ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 723 ปากเหมือนปืนลิ้นเหมือนดาบ

บทที่ 723 ปากเหมือนปืนลิ้นเหมือนดาบ

ผู้อาวุโสตระกูลหลินแต่ละคนนิ่งเงียบ แล้วมองไปที่หลินอิ่งกับจางฉีโม่อย่างเฝ้าสังเกต

แม่เฒ่าที่นั่งตำแหน่งสูงสุด หรี่ตาลงเช่นกัน แล้วใช้สายตามองสำรวจทั้งสองคน

หลินอิ่งสีหน้าท่าทีปกติ มองไปที่แม่เฒ่าตระกูลหลิน อย่างเรียบเฉย

แม่เฒ่าผมหงอกเต็มหัว มีริ้วรอยบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด เธอถือไม้ค้ำที่ทำจากไม้จันทน์หัวไม้ค้ำเป็นหัวมังกร ท่าทางสง่างาม

แม่เฒ่าตระกูลหลินผู้นี้ อายุเกือบร้อยปี แต่ดูเหมือนยังมีชีวิตชีวา มีดวงตาที่ต่างไปจากเดิมมาก ไร้ร่องรอยของความชรา

เนื่องจาก ในฐานะที่เป็นภรรยาของนายท่านใหญ่ของตระกูลหลิน แม่เฒ่าผู้นี้มีภูมิหลังที่ดี เขายังเป็นยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงในยุทธภพตอนอายุยังน้อย จนถึงตอนนี้กระดูกกระเดี้ยวของเธอก็ยังดีอยู่

หลินอิ่งเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดว่า “สวัสดีครับแม่เฒ่า”

จางฉีโม่เองก็พูดอย่างมีมารยาทเช่นกัน “สวัสดีค่ะแม่เฒ่า”

“อืม หลินอิ่ง ไม่เลวๆ” แม่เฒ่าพยักหน้าเล็กน้อย ด้วยแววตาชื่นชมยินดี “รัศมีของแก มีลักษณะคล้ายกับปู่ทวดของแกตอนหนุ่มๆเลยนะ”

“คนที่อยู่ข้างๆ เป็นเหลนสะใภ้ของฉันใช่ไหม?” แม่เฒ่าค่อยๆพูดขึ้นมา “ไม่เลว เหมาะสมดี”

“หนูจ๊ะ เข้ามาตระกูลหลิน ฉันไม่รู้ว่าหนูชอบอะไร ฉันจะให้ของขวัญสำหรับการพบเจอกันครั้งแรก ในเมืองชางโจว ถ้าชอบอะไรล่ะก็ เลือกได้เลยนะจ๊ะ” แม่เฒ่าพูดอย่างไม่รีบร้อน คำพูดคำจาใจกว้าง

ในขณะที่กำลังพูด ก็มีคนรับใช้ของตระกูลหลินเดินเข้ามาจากข้างๆประตูสองคน สองมือถือกล่องไม้ แล้วยื่นมาด้านหน้าของจางฉีโม่อย่างนอบน้อม

จางฉีโม่เหมือนจะตื่นเต้นเล็กน้อย เหลือบมองหลินอิ่งครู่หนึ่ง หลินอิ่งค่อยๆพยักหน้า แล้วจึงรับรางวัล

แม่เฒ่าให้รางวัลกับจางฉีโม่ เป็นป้ายหยกของตระกูลหลิน เป็นสิ่งของที่แสดงถึงตำแหน่งฐานะ

อย่ามองว่าเป็นแค่ป้ายแผ่นหนึ่ง แต่ในเมืองชางโจว มันเป็นสิ่งที่จะเลือกอะไรก็ได้ รวมถึงเงินตราอำนาจ และทุกอย่าง

“ขอบคุณค่ะแม่เฒ่า” จางฉีโม่พูดอย่างนอบน้อม

“อืม” แม่เฒ่าพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปที่หลินอิ่ง “เหลนมีหน้าที่การงานใหญ่โตที่ตี้จิง ฉันได้ยินมาว่า ไม่เลวเลย ไม่ทำให้คนของตระกูลหลินเสียชื่อเสียง ซูชิงยัยเด็กคนนั้น มีลูกชายดีจริงๆ”

หลังจากพูดชื่นชมไปหนึ่งประโยค แม่เฒ่ากับชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนบทสนทนา พูดต่อว่า “หลินอิ่ง แกน่าจะรู้ว่าฉันให้แกเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลหลิน มันหมายความว่ายังไง?แล้วรู้ไหมว่าฐานะตัวตนนี้มันแสดงให้เห็นว่าอะไร?”

แม่เฒ่าพูดเข้าประเด็น หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “กระผมไม่รู้ครับ”

“เหอะๆๆ” แม่เฒ่าหัวเราะ “เรื่องซูชิงแม่ของแก ตอนนั้นถือว่าฉันทำผิด หลายปีมานี้ฉันเป็นหนี้ครอบครัวของพวกแก นี่เป็นการชดใช้อย่างหนึ่ง และเป็นการยอมรับว่านามีความสามารถ”

“และแกมีฐานะนี้แล้ว ในขณะเดียวกันก็จะได้รับอำนาจและตำแหน่ง พร้อมกับต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบที่ตามมาด้วยเช่นกัน”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวแกนะ ตอนแรกฉันคิดจะเพิ่มภาระให้แก แต่ว่านะ ก่อนหน้าที่แกจะมาตระกูลหลินได้ทำอะไรมามากมาย คณะกรรมการผู้อาวุโสต่างถกเถียงกันใหญ่ ฉันจะอธิบายกับแกและเหล่าผู้อาวุโสอย่างไม่ปิดบัง แกคิดยังไงกับเรื่องนี้?”

พูดจบ แม่เฒ่าก็หรี่ตาลงแล้วมองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งเฉย “ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องอธิบายครับ”

“หืม?” คิ้วของแม่เฒ่าขมวดเล็กน้อย ด้วยความสนใจ “เมื่อวานแกฆ่าเซี่ยวเอ๋อ เขาเป็นพี่ชายของแก แกจะไม่อธิบายถึงเหตุการณ์นั้นหน่อยหรอ?ว่าเป็นมายังไง?”

หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งเฉยว่า “หลินเซี่ยวบีบให้ผมฆ่าเขาเอง ผมก็เลยฆ่าเขาซะ”

“บังอาจ!แกพูดจาสามหาวเกินไปแล้วนะ ไม่เห็นผู้ที่อาวุโสกว่าอยู่ในสายตา!คุณชายเซี่ยวเป็นพี่ชายของแก และเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้สืบทอดของตระกูลหลิน แกเข้ามาในตระกูลหลินเป็นครั้งแรก ก็ฆ่าพี่ชายตระกูลเดียวกันอย่างโหดเหี้ยม นี่มันคือการไม่เห็นตระกูลหลินอยู่ในสายตาชัดๆ!” เวลานี้เอง หลินเสวียนเฮอลุกขึ้นยืน ตำหนิหลินอิ่งอย่างเกรี้ยวกราด หลังจากนั้นก็มองไปที่แม่เฒ่า “แม่เฒ่าครับ เด็กคนนี้จองหองเกินไป ต่อหน้าท่าน เขายังกล้ายโสโอหังขนาดนี้ ผมขอเสนอ ให้โบยเขาหนึ่งร้อยทีแล้วค่อยว่ากันครับ!”

แม่เฒ่าค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “อย่าเอะอะอะไรก็ลงโทษ ใช้อำนาจในการกดขี่คนที่เด็กกว่าได้ไหม หลินอิ่ง ไหนแกลองเล่ามาสิ ว่าหลินเซี่ยวไปทำอะไรให้แกโกรธ ถึงได้ลงมือฆ่าเขาอย่างนี้?”

“ฆ่าเขาไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลหรอกครับ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“หลินเซี่ยวตายแล้ว ผมไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก”

“ผมเป็นคนฆ่าเอง แม่เฒ่าอยากจะทำยังไง ก็พูดมาได้เลยครับ”

“หืม?” แม่เฒ่าตระกูลหลินมองไปที่หลินอิ่งอย่างลึกซึ้ง ไม่พูดอะไร

หลินอิ่งแข็งกร้าวมาก เผชิญหน้ากับยายทวดเช่นเธอ ไม่เพียงแต่ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต้อยต่ำ กระทั่งยังไม่ใส่ใจอีกด้วย

โดยอากัปกิริยาเช่นนี้ ถึงว่าล่ะก่อนหน้านี้หลินอิ่งไม่สามารถทนต่อการยั่วยุของหลินซวนถูและคนอื่นๆ รวมถึงจัดการฆ่าหลินเซี่ยวที่คอยสร้างปัญหาให้เขา

เด็กคนนี้ ความตั้งใจแรงกล้ามาก

ความรู้สึกที่พบกันครั้งแรกที่แม่เฒ่ามีต่อหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง แกบังอาจเกินไปแล้ว!แกเป็นลูกหลานคนหนึ่ง คนที่อยู่ในที่นี้เป็นผู้อาวุโสในตระกูลแกทั้งนั้น แม่เฒ่าเป็นถึงยายทวดของแก แม้แต่ปู่ของแกยังไม่กล้าพูดอะไร แกทำอย่างนี้มันหมายความว่ายังไง?” หลินเสวียนหมิงพูดด้วยเสียงขรึม

“แกฆ่าหลินเซี่ยว ตามกฎของตระกูลแล้ว จะต้องโดนทำโทษ กำจัดบูโดของแกซะ!และปลดออกจากการเป็นทายาท!”

พูดจบ หลินเสวียนหมิงก็มองไปที่แม่เฒ่า แล้วพูดขึ้นมาว่า “แม่เฒ่าครับ เด็กคนนี้ไร้เหตุผลเกินไป เขาพูดจาอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องพูดกับเขาด้วยเหตุผลแล้ว ผมขอให้แม่เฒ่าปลดความเป็นทายาทของเขากลับไป อนุญาตให้ผมอำนาจของผู้อาวุโส จับตัวเขาไปที่หลังเขา จัดการกำจัดบูโดซะ”

“ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้อาวุโสสองครับ เด็กคนนี้ไม่มีความเป็นคนของตระกูลหลินด้วยซ้ำ ทำอะไรเย่อหยิ่งจองหอง โหดเหี้ยมอำมหิต ไม่คู่ควรกับการเป็นทายาทของตระกูลหลินด้วยซ้ำไปครับ”

“แม่เฒ่า ผมก็เห็นด้วย……”

คราวนี้ ผู้อาวุโสหลายคนที่มีอำนาจต่างพากันพูดจาตำหนิหลินอิ่ง อยากให้แม่เฒ่าตรึกตรองคำเสนอแนะ

บรรยากาศ เปลี่ยนเป็นกดดันภายในชั่วพริบตา แม้แต่หลินซวนหวาที่ยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าก็ประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย

ใช่แล้ว ในความเห็นของเขา หลินอิ่งเผชิญหน้ากับแม่เฒ่า พูดจาแข็งกร้าวไปจริงๆนั่นแหละ คราวนี้ถูกหลินเสวียนหมิงคว้าโอกาสทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่นั่งลำบาก

หลินอิ่งหัวเราะอย่างเย้ยหยัน แล้วพูดขึ้นมาว่า “ศิลปะการต่อสู้ที่ผมเรียนมาไม่ได้มาจากการถ่ายทอดของตระกูลหลิน ตระกูลหลินมาสิทธิ์อะไรมากำจัดบูโดของผม?ผู้อาวุโสสองคุณน่ะ มีสิทธิ์อะไรมาแย่งเอาสถานะของผมไปหรอครับ?”

“หลินเซี่ยวเป็นหลานชายสวะของคุณ ความสามารถของเขาไม่เท่าคนอื่น ถูกผมฆ่าขณะที่เราต่สู้กันตัวต่อตัว คุณยังมีหน้ามาพูดอะไรอีก?”

“ถ้าแต่ละคนเหมือนคุณแบบนี้ เด็กไม่ได้เรื่อง ผู้ใหญ่ขึ้นมาสู้ต่อ ถ้าอย่างนั้นตระกูลหลินก็ทำให้คนดูถูกเกินไปแล้ว”

พูดจบ หลินอิ่งก็ส่ายหัวไปมา

“แก!แก!” หลินเสวียนหมิงท่าทางโกรธเกรี้ยว ถูกคำพูดของหลินอิ่งทำให้โกรธเข้าให้แล้ว

หลินเสวียนหมิงหายใจเข้า แล้วใจเย็นลง พลางพูดขึ้นมาว่า “แม่เฒ่าครับ การตายของเซี่ยวเอ๋อ ผมไม่มีวันหยุดแค่นี้แน่ เด็กคนนี้ฆ่าพี่ชาย แล้วยังไม่สำนึกอีก แถมยังยั่วยุผม ท่านได้โปรดอนุญาตผมเถอะครับ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น แม่เฒ่าจึงขมวดคิ้วขึ้นมาเบาๆ

ในใจของเธออยากจะปกป้องหลินอิ่ง แต่ก็ไม่กล้าทำเกินไป

คราวนี้หลินอิ่งยังหักหน้าผู้อาวุโสสองอีก

“เสวียนหมิง บูโดของหลินอิ่งไม่ได้รับการถ่ายทอดมาจากตระกูลหลินจริงๆนั่นแหละ ตระกูลหลินไม่มีสิทธิ์ไปเก็บบูโดของเขา” และแม่เฒ่าก็ค่อยๆพูดขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ฉันได้ยินมาลูกหลานหลายคนตอนที่อยู่ตึกชางไห่แล้วว่า เซี่ยวเอ๋อถูกหลินอิ๋งฆ่าโดยวิธีหนึ่งต่อหนึ่งจริงๆ แวดวงลึกลับเองก็มีกฎ ถ้าถูกฆ่าตายโดยวิธีประลองบูโด จะโทษใครไม่ได้”

พูดจบ มาเฒ่าก็มองไปที่หลินอิ่ง แล้วพูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม “หลินอิ่ง ยังไงแกก็เป็นคนฆ่าเซี่ยวเอ๋อ ถ้าไม่ลงโทษแก มันก็จะดูไร้เหตุผลเกินไป”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท