ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 736 ขอร้องอ้อนวอน?

บทที่ 736 ขอร้องอ้อนวอน?

ก่อนหน้านี้หวงลี่นึกว่าหลินอิ่งกำลังคุยโม้โอ้อวด เป็นไอ้โง่ไร้ค่าที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

แต่คิดไม่ถึงว่า ที่หลินอิ่งพูดจะเป็นความจริง แถมเป็นจริงแบบที่เขาพูดเอาไว้ด้วย……

ผู้รับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่สูงสุดของบริษัทในตอนนี้ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย ก็คือคุณหนูใหญ่หลินหวูซิน

คุณหนูใหญ่ให้เธอไปขอร้องอ้อนวอนหลินอิ่งให้กลับมาที่บริษัท แถมยังให้แสดงความขอโทษอีกด้วย……

การเปลี่ยนแปลงพลิกผันที่กะทันหันแบบนี้ ทำให้สภาพจิตใจของหวงลี่แทบจะพังทลาย

น่าขำ ก่อนหน้านี้ยังเยาะเย้ยหลินอิ่งว่าเป็นคนไร้ค่ามิจฉาชีพอยู่เลย……

แต่ความจริงแล้วคนเขากลับเป็นคุณชายสามแห่งตระกูลหลินที่ทรงพลัง ตำแหน่งสูงส่ง แถมยังมาจากภูเขาลังยาแห่งชางโจวที่มารับผิดชอบตำแหน่งชั้นสูงที่จี้โจวอีกด้วย!

“เธอมัวแต่อึ้งอะไรอยู่? รีบตามฉันมาเร็วเข้า!”หลินหวูซินพูดตำหนิด้วยความโมโห

“ค่ะ ค่ะ คุณหนูใหญ่ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”หวงลี่พยักหน้าอย่างเร็วพลางพูดขึ้น รีบตามหลินหวูซินไปทันที

ทั้งสองคนวิ่งออกจากหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยด้วยความลนลาน

ในใจของหวงลี่หวาดกลัว สีหน้าดูไม่ดีสุดๆ ยังไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวตอนที่เจอกับหลินอิ่งจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมา ไม่รู้ว่าคุณหนูใหญ่หลินจะลงโทษเธอยังไงบ้าง

ถึงยังไง เธอก็เป็นแค่ข้ารับใช้ของตระกูลหลินคนหนึ่งเท่านั้น ไปพูดด่าทอใส่หน้าของคุณชายสามที่มีสถานภาพเป็นถึงว่าที่ทายาทของตระกูลหลิน!

กฎข้อบังคับของตระกูลหลินเข้มงวดมาก!เรื่องแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นที่ชางโจว เกรงว่าไม่ต้องให้หลินอิ่งลงมือเอง ก็จะมีคนตระกูลหลินคนอื่นลงมือจัดการฆ่าเธอตายไปแล้วแน่ๆ แถมคุณหนูใหญ่ก็ไม่สามารถเรียกร้องความไม่เป็นธรรมให้กับเธอได้ด้วย

“ลี่เอ๋อร์ ตอนนี้เธอหยิ่งผยองพองขนเกินไปแล้ว หลังจากที่เธอมาถึงจี้โจวพร้อมกับฉัน จิตใจเธอฉุนเฉียวเกินไป ปกติที่ทำตัวหยิ่งยโสฉันก็ไม่ได้สั่งสอนอะไรเธอ แต่ ไม่คิดว่าเธอกลับไปก้าวก่ายคุณชายสามเข้า”หลินหวูซินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักอึ้ง”เธอรู้ไหม ว่าคุณชายรองหลินเซี่ยวตายด้วยมือของคุณชายสามคนนี้! คนโหดเหี้ยมแบบนี้ เธอไปก้าวก่ายเข้าแล้ว ถ้าเขาจะฆ่าเธอขึ้นมา ฉันก็ปกป้องเธอไม่ได้เหมือนกัน”

“อีกเดี๋ยวไปอยู่ต่อหน้าของคุณชายสาม เธอต้องแสดงความขอโทษออกมาอย่างจริงใจตรงไปตรงมา เข้าใจไหม?”

หลินหวูซินพูดสั่งสอนหวงลี่ด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง

“ค่ะ ค่ะ คุณหนูใหญ่ ท่าน ท่านต้องช่วยฉันนะคะ!”หวงลี่พูดขึ้นอย่างนอบน้อมเชื่อฟัง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

หลินหวูซินถอนหายใจออกมาหนึ่งเฮือก คิดไม่ถึงว่าเพียงเพราะความผิดพลาดเล็กน้อยแค่นี้ จะทำให้เกิดหายนะครั้งใหญ่ขนาดนี้ขึ้น

เธอก็เพิ่งจะได้รับรายงานมาจากคณะกรรมการผู้อาวุโสตระกูลหลิน บอกว่าหลินอิ่งคุณชายสามคนใหม่จะมาถึงจี้โจว มาดำรงตำแหน่งที่หลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยในวันนี้ ให้เธอทำหน้าที่ต้อนรับอย่างดี

แถม ยังแนบรูปและข้อมูลที่ติดต่อของตัวหลินอิ่งมาอีกด้วย

ตอนที่เห็นรูปของหลินอิ่ง ใจของเธอก็กระตุกเต้นแรงขึ้นมา จำได้ว่านี่คือชายหนุ่มที่เพิ่งจะเจอกันบนถนนเมื่อตอนบ่าย

ที่แท้เขาก็คือหลินอิ่ง มิน่าล่ะแววตากับบุคลิกท่าทางถึงคล้ายกับคุณท่านขนาดนั้น

ในตระกูลหลินหลินหวูซินอยู่รุ่นเดียวกับหลินอิ่ง พูดกันแล้วก็ถือว่าเป็นน้องสาวของหลินอิ่งนั่นเอง

เพราะว่าเธอได้รับความรักเอ็นดูจากนายท่านใหญ่ตระกูลหลินและแม่เฒ่าตั้งแต่เด็ก ดังนั้นจึงมีตำแหน่งที่สูงมากในตระกูล

แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง หลินอิ่งเป็นถึงว่าที่ทายาทตระกูลหลินของแท้แน่นอนเชียวนะ ต่อให้หลินหวูซินจะได้รับความโปรดปรานขนาดไหน ว่ากันตามกฎและธรรมเนียมของตระกูลหลินแล้ว ก็ไม่สามารถขึ้นมาทัดเทียมกับหลินอิ่งได้

หลังจากออกจากบริษัทมาแล้ว

หลินหวูซินและหวงลี่ก็เห็นเงาของหลินอิ่งอยู่ไกลๆ รีบวิ่งตามไปทันที

หลินอิ่งยืนอยู่ที่ริมถนน กำลังโบกรถแท็กซี่กลับไป

เขากะที่จะไปหาจ้าวเฉิงเฉียน ทำความเข้าใจเรื่องของตระกูลเผยแห่งจี้โจว ชัดเจนแล้วว่าหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็ขี้เกียจจะไปคิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงเหมือนกัน กะที่จะคิดบัญชีทีเดียวภายหลัง ใช้พลังอำนาจของจี้โจวจัดการล้มล้างหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยซะ

“คุณชายอิ่ง!ท่านอย่าเพิ่งไป! รอเดี๋ยว!”

ในขณะนี้เอง เสียงที่ไพเราะใสแจ๋วดังขึ้นมา

หลินอิ่งชำเลืองตาไปมอง เห็นหลินหวูซินพาหวงลี่วิ่งข้ามถนนมาอยู่ตรงหน้าของเขา หายใจหอบแฮกๆอย่างไมสนภาพลักษณ์

“คุณชายอิ่ง ขอโทษด้วยค่ะ ที่ฉันไม่ได้ต้อนรับคุณอย่างดี ฉันก็เพิ่งจะได้รับแจ้งมาจากคณะกรรมการผู้อาวุโสเหมือนกัน เพิ่งจะรู้ว่าคุณชายมาถึงจี้โจวแล้ว”

หลินหวูซินพูดขึ้นด้วยสีหน้าละอายรู้สึกผิด

“อ๋อ?”หลินอิ่งสีหน้าปกติตามเดิม พูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“ขอโทษจริงๆนะคะ คุณชายสาม ถ้าฉันได้รับแจ้งเร็วกว่านี้ล่ะก็ จะต้องไปรับท่านที่สนามบินด้วยตัวเองแน่นอนค่ะ แล้วก็จะไม่มีทางให้เกิดเรื่องที่ไม่สบอารมณ์แบบตอนที่อยู่ที่ล็อบบี้ของบริษัทขึ้นอย่างแน่นอน”หลินหวูซินพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์ความรู้สึก มองหลินหวูซินหนึ่งที เห็นว่าผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ได้มีท่าทีที่ปลอมอะไร

ชื่อเสียงของหลินหวูซิน หลินอิ่งก็เคยได้ยินมาบ้างนิดหน่อย

ผู้หญิงคนนี้ถูกขนานนามว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งของชางโจว ในตระกูลหลินแห่งลังยาก็เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นไข่มุกในกำมือ ได้รับความรักความโปรดปรานจากแม่เฒ่าและนายท่านใหญ่ตระกูลหลินมาโดยตลอด

แถมผู้หญิงคนนี้ยังเป็นหลานสาวแท้ๆของผู้อาวุโสหลินสวียนคุนอีกด้วย สถานภาพสูงส่ง

พอเห็นว่าหลินอิ่งไม่มีท่าทีอะไร หลินหวูซินก็รู้สึกไม่แน่นอนใจอยู่ไม่น้อย

“หวงลี่ เธอยังไม่ขอโทษคุณชายสามอีกหรือไง? ดูสิก่อนหน้านี้เธอทำเรื่องโง่เขลาอะไรไว้บ้าง!”

หลินหวูซินมองหวงลี่ด้วยท่าทางเข้มงวดพร้อมกับพูดขึ้น

“อา!ค่ะ!”หวงลี่ยังคงอยู่ในสภาวะอึ้งตะลึง ตอบสนองกลับมาอย่างรุนแรง

หวงลี่คิดไม่ถึงว่า คุณหนูใหญ่หลินจะระมัดระวังไม่เป็นตัวของตัวเองต่อหน้าของหลินอิ่งแบบนี้ ลดตัวเองลงจนต่ำต้อยขนาดนี้

หวงลี่เดินมาอยู่ตรงหน้าของหลินอิ่ง ก้มหน้าลงพูดขึ้น”คุณชายสาม ขอโทษค่ะ ก่อนหน้านี้เป็นความผิดของฉันเอง ฉันปากพล่อย ฉันพุ่งไปชนท่านอย่างไม่รักตัวกลัวตาย ได้โปรดลงโทษฉันด้วยค่ะ!”

หลินหวูซินพูดขึ้น”คุณชายอิ่ง เธอไม่รู้จักท่าน ก็เลยเผลอทำผิดอย่างมหันต์ ท่านได้โปรดเห็นแก่ว่าเธอเป็นแค่ข้ารับใช้ที่สถานภาพต่ำต้อยด้วยเถอะค่ะ อย่าถือสาเอาความอะไรกับเธอเลยนะคะ ฉันกลับไปจะสั่งสอนเธออย่างเคร่งครัดเลยค่ะ”

“หวงลี่ ยังไม่คุกเข่าให้คุณชายอิ่งอีก? ก่อนหน้านี้เธอยังกล้าด่าคุณชายอิ่ง รีบตบปากตัวเองเดี๋ยวนี้!”หลินหวูซินพูดตำหนิด้วยน้ำเสียงโมโห

หวงลี่สีหน้าตกใจจนซีดขาว คุกเข่าลงตรงหน้าของหลินอิ่งอย่างแรง ก่อนจะตบลงที่หน้าของตัวเอง

“คุณชายสาม ท่านเป็นคนใหญ่คนโต อภัยให้ข้ารับใช้แบบฉันด้วยเถอะนะคะ”หวงลี่หน้าบวมครึ่งหน้า พูดขึ้นด้วยท่าทางที่น่าสมเพชเวทนา

หลินอิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยัน ไม่ได้หันมองหวงลี่เลยแม้แต่นิดเดียว แต่หันมองไปยังหลินหวูซิน พร้อมกับพูดถามขึ้น”คุณมาหาผม เพื่อมาขอร้องอ้อนวอนให้กับเธอ?”

หลินหวูซินสีหน้าอึดอัดไม่น้อย พูดขึ้น”ไม่ใช่ค่ะ คุณชายอิ่ง ฉันมาเชิญท่านกลับบริษัท แม่เฒ่าแจ้งฉันมา ว่าได้ยกหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยให้กับท่านแล้ว ในอนาคตท่านจะเป็นคนจัดการกับเรื่องใหญ่ๆของบริษัท”

“คุณชายอิ่ง นี่ล้วนแต่เป็นความผิดพลาดในการทำงานของฉัน ถ้าท่านยังโกรธล่ะก็ คืนนี้ฉันจะดื่มเพื่อเป็นการขอโทษให้ท่านเอง ฉันเลี้ยงเองค่ะ”

หลินหวูซินพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท