ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 733 คนต่ำต้อยคนหนึ่ง

บทที่ 733 คนต่ำต้อยคนหนึ่ง

ณ สนามบินนานาชาติจี้โจว มีผู้ชายสวมเสื้อสีขาวสะอาดคนหนึ่ง กำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ

หลินอิ่งมาถึงจี้โจวแล้ว ครั้งนี้เขามาคนเดียว ไม่ได้พาคนติดตามมาด้วยสักคน

เย่เฮยกับหวงชิงซานก็ยังปฏิบัติหน้าที่แทนเขาอยู่ ไม่ได้มารับที่สนามบิน

เดิมทีจ้าวเฉิงเฉียนจะมารับหลินอิ่ง แต่ถูกหลินอิ่งให้กลับไปแล้ว

หลินอิ่งมองวิวตึกอาคารสูงใหญ่ที่บรรยากาศคึกคัก ถนนที่ว่างเปล่า มุมปากยกขึ้นยิ้มอย่างเย้ยหยัน

ว่ากันตามกฎระเบียบข้อบังคับแล้ว เขาเป็นตัวแทนของตระกูลหลินที่มาจากชางโจว สมาชิกองค์กรของตระกูลหลินที่จี้โจวจะต้องมาต้อนรับเขา นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉินเหิงเยว่เคยพูดขึ้น

ดูท่า ที่จี้โจวแห่งนี้คงจะไม่มีใครให้ความสำคัญกับหลินอิ่งเลยสินะ

มองไปรอบๆ หลินอิ่งตรวจดูข้อมูลจากมือถือ ก่อนจะไปนั่งรถไฟใต้ดิน ตรงไปยังเขตใจกลางเมืองของมณฑลจี้โจว

สถานีแรกของหลินอิ่ง ก็คือ ไปยังสำนักงานใหญ่ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย

นั่นเป็นอาณาจักรพาณิชย์ในจี้โจวของตระกูลหลิน ไม่เพียงแต่จะมีห่วงโซ่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในโลกธรรมแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าหัวกะทิของตระกูลหลินอีกด้วย

ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางหนึ่งวัน หลินอิ่งก็ถูกแม่เฒ่าออกคำสั่งให้มาเป็นกรรมการผู้จัดการ ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย

ดูจากสถานภาพผิวเผินแล้ว ในหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยหลินเซวียนเป็นหมายเลขหนึ่ง ส่วนเขาเป็นหมายเลขสอง

แต่ในความจริงแล้ว หลินอิ่งยังไม่มีศักดิ์และความน่าเชื่อถือเพียงพอที่เจียงเป่ย

หลังจากผ่านไปสิบนาที

หลินอิ่งเดินออกมาจากรถไฟใต้ดิน มาถึงยังเขตตัวเมือง บนถนนมีรถแท็กซี่คันหนึ่งมาจอดขวางตรงหน้า

“พ่อหนุ่ม จะไปไหนเหรอ”

หลินอิ่งขึ้นรถ คนขับวัยกลางคนถามขึ้นอย่างเกรงใจ

“สำนักงานใหญ่ของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งๆ

“อ้อ?”คนขับวัยกลางคนขับรถไปพลาง สายตามองสำรวจหลินอิ่งด้วยความประหลาดใจ

“พ่อหนุ่ม นายไปทำอะไรที่หลินซื่อกรุ๊ปเหรอ? ไปสมัครงานหรือไง?”คนขับวัยกลางคนถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ช่วงหลายปีมานี้หลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยมีชื่อเสียงอย่างมากในจี้โจว คนที่อาศัยอยู่ในจี้โจวล้วนแต่เคยได้ยินข่าวลือมาว่าหลินซื่อกรุ๊ปมาจากตระกูลกลุ่มบริษัทแถวฝั่งทะเล แถมมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งหนาแน่นกับตระกูลอันดับหนึ่งของจี้โจวตระกูลเผยอีกด้วย

ท่าทางที่คนขับวัยกลางคนมองหลินอิ่ง เหมือนกับกำลังมองนักศึกษาที่เพิ่งจะจบการศึกษา

“ช่างเถอะ”หลินอิ่งตอบกลับอย่างนิ่งๆ

“พ่อหนุ่มช่างกล้าหาญดีจริงๆ คุณสมบัติในการรับสมัครงานของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ยสูงมากเลยนะ ไม่เพียงแต่จะต้องการวุฒิการศึกษาสูงจากมหาวิทยาลัยชื่อดังแล้ว ยังต้องมีความสามารถที่เป็นเลิศอีกด้วย”คนขับพูดคุยเล่น”แถมถ้าสามารถได้ทำงานกับหลินซื่อกรุ๊ป ถือว่ามีหน้ามีตาอย่างมากเลยล่ะ”

คนขับพูดคุยไปเรื่อย หลินอิ่งฟังด้วยสีหน้านิ่งๆ

รถแท็กซี่แล่นอยู่บนถนนสิบนาที ตอนที่กำลังแล่นผ่านถนนใหญ่ที่คึกคักสายหนึ่งอยู่นั้น

ปี๊นๆๆๆ!

จู่ๆ ริมถนนก็มีเสียงแตรรถดังขึ้น

หลินอิ่งมองตามไป เห็นขบวนรถหรูสีดำดูดีมีสไตล์กำลังขับเรียงกันมา คันที่นำหน้าคือรถโรลส์รอยซ์สีโรสโกลด์รุ่นลิมิเต็ดคันหนึ่ง

ราคาของขบวนรถพวกนี้เกรงว่าน่าจะหลายร้อยล้าน ดูทรงพลัง น่าเกรงขาม ส่งสัญญาณไฟเตือนและส่งเสียงดังสุดๆ ทำให้คนเดินเท้าและรถต่างๆที่บริเวณนั้นต่างหลบออก

“เห้อ พูดถึงก็มาเลย”คนขับวัยกลางคนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดกดดันไม่น้อย เท้าเหยียบคันเร่ง หมุนพวกมาลัยรัวๆ”พ่อหนุ่มเห็นแล้วยัง นี่ก็คือขบวนรถของหลินซื่อกรุ๊ปแห่งเจียงเป่ย ออกมาแล้วทรงพลังน่าเกรงขามมาก”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนระดับสูงคนไหนของหลินซื่อกรุ๊ปออกเดินทางมา ฉันต้องรีบหลีกทางให้ หลบให้ไกลสักหน่อย ถ้าเผลอไปชนเข้าล่ะชดใช้ไม่ไหวแน่ๆ”

หลินอิ่งขมวดคิ้ว พูดขึ้น”ทำไมต้องหลีกทางให้พวกเขา? ไม่มีกฎจราจรหรือไง”

คนขับวัยกลางคนพูดถอนหายใจ”พ่อหนุ่มนายน่ะยังเลือดร้อนตามประสาวัยรุ่นอยู่ คนเขาเป็นถึงคนระดับสูงของหลินซื่อกรุ๊ปออกเดินทางมาเชียวนะ มีเงินมีอำนาจ คนธรรมดาอย่างเราๆไปก้าวก่ายได้ที่ไหนล่ะ ถ้าไม่ระวังเผลอไปเฉี่ยวกับรถของเขาเข้า ต่อให้ สิ้นเนื้อประดาตัวก็ชดใช้ไม่ไหว”

หลินอิ่งกำลังจะพูดอะไร

เกิดเสียงโครมดังขึ้น

จู่ๆรถแท็กซี่ก็เกิดเสียงดังอย่างแรงขึ้น ถูกรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งชนด้านข้างตัวรถตรงริมถนน

“อา!”

คนขับวัยกลางคนหันไปมอง เป็นรถจากขบวนรถของหลินซื่อกรุ๊ป ถึงเขาจะไม่เป็นไร แต่ก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปหมดแล้ว รีบเปิดประตูรถออกทันที

“ขอโทษครับ ขอโทษด้วย เถ้าแก่ทั้งหลาย……”คนขับวัยกลางคนรีบพูดขอโทษกับชายชุดสูทกลุ่มหนึ่งที่ลงมาจากข้างในรถเบนซ์ทันที

“แกขับรถเป็นไหม? ไม่ดูตาม้าตาเรือหรือไง? ไม่รู้จักรถของหลินซื่อกรุ๊ปเหรอ? ขับรถเลี้ยวไปเลี้ยวมาบนถนน ไม่รู้จักหลีกทางหรือไง?”ผู้หญิงชุดยูนิฟอร์มสีดำนำหน้าพูดด้วยความโมโห

“อา ขอโทษครับ ขอโทษ คือ……”คนขับวัยกลางคนก้มหัวลงขอโทษทันที

หลินอิ่งลงมาจากรถด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นฉากตรงหน้านี้ สีหน้าก็นิ่งขรึมลง

เห็นๆอยู่ว่ารถเบนซ์คันนี้จงใจชนเข้ามา แต่กลับยังพูดตำหนิด่าทอคนขับรถอีก

ไม่ถามตัวเองกับคนขับเลยว่าถูกชนบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า

คนคนนี้ช่างยโสโอหังจริงๆ

“แกเป็นคนขับของบริษัทแท็กซี่ไหน? อยู่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใช่ไหม? ฉันจะแจ้งให้ประธานของบริษัทของพวกแกทราบเดี๋ยวนี้ ว่าให้ไล่แกออกไปซะ”

สาวชุดสูทดำพูดขึ้นอย่างยโสโอหัง

“อา ขอโทษครับ ขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว เถ้าแก่ คนใหญ่คนโตมีอำนาจบาตรใหญ่แบบพวกคุณอย่ามาถือสาเอาความอะไรกับผมเลยครับ ผมทำงานหาเลี้ยงครอบครัวลำบากมาก”คนขับวัยกลางคนก้มลงขอร้องอ้อนวอน สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวลและตึงเครียด

“เหอะๆ”หญิงชุดดำหัวเราะอย่างเย้ยหยัน สีหน้าสะอกสะใจไม่น้อย ราวกับว่าเพลิดเพลินกับท่าทางขอร้องอ้อนวอนของคนอื่นที่มีต่อเธอ

“คนยากจนซอมซ่อแบบแกก็ยังถือว่ารู้ตัวอยู่เหมือนกันนะ รีบขับรถพังๆของแกไปซะ อย่ามาขวางทาง กล้ามาขวางการเดินทางของคุณหนูใหญ่หลิน ต่อให้แกมีกี่หัวก็ชดให้ไม่ไหวหรอก”

ในเวลานี้เองคนขับรีบพูดขอบคุณทันที หันกลับไปจะขับรถที่ถูกชนออกไป

ในตอนนี้ หลินอิ่งเดินเข้ามา บังคนขับวัยกลางคนเอาไว้ มองไปยังผู้หญิงชุดสูทดำด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

“คุณเป็นฝ่ายมาชนรถของคนอื่นแท้ๆ ยังยโสโอหังขนาดนี้อีกเหรอ?”หลินอิ่งพูดถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เกี่ยวอะไรกับแกด้วย?”หญิงชุดสูทดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ”รถเบนซ์เอสคลาสคันนี้ชนแล้วฉันก็ไม่ได้ให้มันชดใช้ นี่ถือว่าเมตตาสุดๆแล้ว”

หลินอิ่งพูดขึ้นด้วยสีหน้าไร้อารมณ์”ผมนั่งอยู่ข้างใน คุณขับเข้ามาชน ไหนคุณว่ามาซิ ว่าไม่เกี่ยวข้องกับผมตรงไหน?”

“เหอะ แล้วยังไง? คิดจะรีดไถ่เงินอย่างนั้นเหรอ? ไม่แหกตาดูว่าพวกเราเป็นคนของบริษัทไหน กล้ามารีดไถ่เงิน?”หญิงชุดสูทดำมองสำรวจหลินอิ่งด้วยสายตาดูถูก

“คนต่ำต้อยแบบแก อย่าว่าแต่ชนแกนิดหน่อยเลย ต่อให้ชนแกตายแล้วมันจะยังไง? ยังกล้ามาเถียงไม่รู้จักจบจักสิ้นอีก?”หญิงชุดสูทดำพูดอย่างเย้ยหยัน

“พอเถอะ พ่อหนุ่ม ช่างมัน นี่เป็นคนของหลินซื่อกรุ๊ป พวกเรายุแหย่ไม่ได้หรอก……”คนขับวัยกลางคนพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆตัวของหลินอิ่ง

หลินอิ่งมองรถโรลส์รอยซ์ตรงกลางของขบวนรถที่อยู่ไกลออกไปคันนั้น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา”คุณเป็นคนของหลินซื่อกรุ๊ป? รถคันนั้นข้างหลังคุณ ใครนั่งอยู่ข้างใน? ให้เขาโผล่หัวออกมา”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท