ในระหว่างที่จ่านป๋ายพูดนั้น เขาก็ใช้น้ำสะอาดชะล้างพื้นผิวที่เจียรไปบนเนื้อแก้วไร้สีโปร่งแสงชั้นนั้น ข้างในก็คือไข่ฟองหนึ่ง แต่เปลือกไข่ของมันแข็งแกร่งมาก หรืออาจจะพูดว่ามันเป็นซากฟอสซิลหยกไปแล้ว เปลือกไข่ลื่นเนียนและมีแสงอ่อนๆ ทะลุออกมา
หูชีเยี่ยนยื่นมือรับมาและมองไปทางแสงนั่น “เหมือนไข่จริงๆ แต่ไม่รู้ว่าข้างในจะมีไข่ขาวหรือไข่แดงหรือเปล่า”
“หนูขอดูหน่อยค่ะ…” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางรับไข่ฟองนั้นมา แต่เมื่อไข่ฟองนั้นมาอยู่ในมือแล้วเธอก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ ตอนนี้ราชาหยกอยู่ในขั้นที่ผ่าหยกข้างในออกมาจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อกุมอยู่ในมือ เธอรู้สึกได้ว่ามันมีความไหวตัวนิดหน่อย เหมือนมีสิ่งมีชีวิต
บอบบางมาก ถ้าไม่ตั้งใจสังเกตให้ดี บางทีอาจจะไม่รู้สึกด้วยซ้ำ
เวลานี้โทรศัพท์ของซีเหมินจินเหลียนก็ดังขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอรีบส่งไข่ฟองนั้นไปให้หูชีเยี่ยนและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นสายจากจินอ้ายกั๋ว
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกใจ เวลานี้จินอ้ายกั๋วโทรมาหาเธอทำไมกัน หรือว่าเขาแพ้พนันอย่างราบคาบ? ตอนนั้นเองจึงรีบกดปุ่มรับสาย…
“จินเหลียน…” เสียงของจินอ้ายกั๋วดังเข้ามา
“ฉันเองค่ะ มีธุระเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“มีใครอยู่ข้างๆ เธอหรือเปล่า” น้ำเสียงของจินอ้ายกั๋วเหมือนมีเรื่องอะไรบางอย่าง
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม คงจะโทรมายืมเงินสินะ? จากนั้นจึงถามว่า “พี่แพ้ไปเท่าไหร่ล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องนี้!” จินอ้ายกั๋วพูด “เธอสะดวกคุยหรือเปล่า”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วยิ่งแปลกใจกว่าเดิม จินอ้ายกั๋วน่าจะรู้ว่าเวลานี้เธอจะไม่ชอบออกไปข้างนอก อีกอย่างจ่านป๋ายกับเธอก็อยู่ด้วยกัน ถ้าอยู่ที่บ้านก็มีแค่จ่านป๋ายที่อยู่ข้างเธอ ในเมื่อเป็นอย่างนี้แสดงว่าเรื่องที่จินอ้ายกั๋วอยากจะพูดต้องพยายามปิดบังจ่านป๋ายอยู่แน่ “พี่รอเดี๋ยวนะคะ” ในขณะที่พูดนั้นเธอก็หันกายเดินออกไปข้างนอก
ซีเหมินจินเหลียนเดินมาถึงห้องรับแขก “โอเคค่ะ ตอนนี้ฉันอยู่คนเดียว พี่มีอะไรจะพูดก็ว่ามาเลย”
“ผู้ชายที่ได้รับบาดเจ็บที่เธอส่งตัวมาตอนนั้นยังอยู่กับเธอหรือเปล่า จริงสิ ชื่อจ่านป๋ายอะไรนั่นใช่ไหม?” จินอ้ายกั๋วถาม
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ”
“ตอนนั้นที่เขาได้รับบาดเจ็บ เขาสูญเสียเลือดจำนวนมาก คลินิกเล็กๆ ของพี่ไม่มีคลังเลือด ตอนนั้นเลยใช้เลือดของพวกเธอถ่ายให้เขาโดยตรง” จินอ้ายกั๋วพูดด้วยความจริงจัง
“อืม เลือดของพวกเรากับเขาเป็นกรุ๊ปเดียวกัน” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ถ้ากรุ๊ปเลือดไม่สัมพันธ์กัน จ่านป๋ายคงตายไปตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็คงไม่มีชีวิตอยู่เหมือนตอนนี้?
“กรุ๊ปเลือดเหมือนกันไม่ใช่ปัญหา” จินอ้ายกั๋วพูด “แต่เจ้าหน้าที่ของพี่ที่ถ่ายเลือดในตอนนั้น วันนี้ผลออกมาบอกว่าเลือดมีปัญหา…”
“อะไรนะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็เผลอเสียงดังขึ้นหลายเท่า เลือดมีปัญหา? หรือว่าจะเป็นโรคติดเชื้ออะไรแบบนั้น พระเจ้าช่วย! ถ้าเป็นแบบนั้นจริงเสี่ยวป๋ายจะติดเชื้อด้วยหรือเปล่า?
“เกรงว่าถึงจะเป็นเลือดกรุ๊ปเดียวกัน แต่ก็มีระบบอาร์เอชบวกลบไม่เหมือนกัน เลือดของคนส่วนใหญ่จะเป็นเลือดบวก แต่คนคนนี้…เป็นเลือดลบ เป็นหมู่โลหิตพิเศษ ในหนึ่งหมื่นคนมีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งคนเท่านั้น ไม่มีทางที่จะเข้ากันได้กับเลือดบวก…” จินอ้ายกั๋วพูดต่อ
“พี่…หมายความว่ายังไง?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างสงสัย
“ความหมายของพี่ก็คือ…ตอนนั้นจ่านป๋ายรับถ่ายเลือดมาจากคนคนนั้นจริงๆ และเลือดของคนอื่นๆ ไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นตามที่พูดมานั้น กรุ๊ปเลือดทั้งสองชนิดเข้ากันไม่ได้ เขาน่าจะตายตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว…” จินอ้ายกั๋วพูดต่อ
“คืนนี้พี่ดื่มมาเยอะหรือเปล่า?” ซีเหมินจินเหลียนถามอย่างไม่สบอารมณ์ เขาก็เอาแต่พูดจาเหลวไหลอยู่นั่น ตอนนี้จ่านป๋ายก็มีชีวิตอยู่ดีไม่ใช่เหรอไง?
“จินเหลียน พี่ไม่ได้ดื่มเหล้า พี่พูดจริงๆ!” จินอ้ายกั๋วพูด “พี่ศึกษาเลือดของสามคนที่เหลือแล้วปกติทุกคน…ดังนั้นพี่ลองคิดๆ ดูแล้วมีความเป็นไปได้แค่หนึ่งอย่าง”
“อะไรที่เป็นไปได้คะ? อย่ามาลีลานะคะ ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพวกหมอมองโกลชอบลีลา!” ซีเหมินจินเหลียนหมดอารมณ์จะพูด
“นั่นก็คือเลือดของเธอมีปัญหา ทำให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ที่คลินิกพี่เก็บตัวอย่างเลือดเก่าเอาไว้อยู่ เลือดเก่าของเขาอยู่ในเกณฑ์ปกติ เป็นไปไม่ได้ที่จะรวมตัวกับเลือดอื่น…” จินอ้ายกั๋วพูดอีกครั้ง
“พี่อ่านนิยายตะวันตกมากเกินไปหรือเปล่า?” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“จินเหลียน ถ้าเธอมีเวลาพรุ่งนี้ก็เข้ามาหาพี่หน่อย” จินอ้ายกั๋วพูด
“ขืนเข้าไปฉันก็ไม่ให้พี่ตรวจเลือดฉันหรอก!” ซีเหมินจินเหลียนพูด ในใจคิดถึงคำพูดของสวี่อี้หรานขึ้นมา ชีพจรของเธอผิดปกติ ตอนนั้นเขาเคยบอกเรื่องนี้กับเธอ อยากจะขอเจาะเลือดเธอไปตรวจดู แต่เธอก็ปฏิเสธเขาท่าเดียว เธอไม่อยากให้เขาตรวจจับอะไรออกมาได้ สิ่งเดียวที่เธอแปลกไปก็คือการที่เธอมีพลังพิเศษในการมองทะลุผ่าน…นี่เป็นเพียงความลับที่เธอรู้คนเดียว และไม่เคยบอกกับใคร
“พี่ไม่เจาะเลือดเธอไปตรวจหรอก พี่แค่อยากเตือนเธอให้พาจ่านป๋ายมาตรวจสักครั้ง ดูว่ามีอาการแทรกซ้อนหรือเปล่า” จินอ้ายกั๋วพูดอีกครั้ง
“อืม…โอเคค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูดด้วยความไม่เต็มใจ “ขอบคุณพี่นะคะ”
“พรุ่งนี้เธอเข้ามาหน่อยแล้วกัน แล้วช่วยพี่เกลี้ยกล่อมอ้ายหัวหน่อย เธออยากจะหย่า” จินอ้ายกั๋วพูดอีกครั้ง
“อะไรนะคะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามตกใจ “ไม่ใช่ว่าเธอเพิ่งแต่งงานไปไม่นานหรอกเหรอ? เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงจะหย่าล่ะ?”
“พรุ่งนี้เธอเข้ามาพูดคุยกับเธอหน่อยแล้วกัน ลองเกลี้ยกล่อมเธอดู พี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้ว” จินอ้ายกั๋วถอนหายใจพูด “นี่ก็ดึกแล้ว พี่ไม่รบกวนเธอดีกว่า ฝันดี!”
“อืม ฝันดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดจบรีบวางสาย สติเลื่อนลอย…หรือว่าเลือดของตัวเองจะมีปัญหาจริงๆ?
นอกจากนี้จินอ้ายหัวอยู่ดีๆ ทำไมถึงได้อยากหย่า? ความสงสัยกลัดกลุ้มไปหมด ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปในห้องใต้ดินอีกครั้ง แต่เห็นจ่านป๋ายนำไข่ฟองนั้นจัดวางตำแหน่งไว้บนปากกาจับชิ้นงาน และใช้เครื่องเจียระไนขัดเปลือกไข่อย่างระมัดระวัง
“เสี่ยวป๋าย คุณจะทำอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“คุณหูบอกว่าให้เจียเปลือกไข่ออกให้หมด ดูว่าข้างในมีไข่ขาวหรือว่าไข่แดงหรือเปล่า” จ่านป๋ายพูด ถือโอกาสที่ซีเหมินจินเหลียนออกไปรับโทรศัพท์ หูชีเยี่ยนก็ศึกษาไข่ฟองนั้นอยู่นาน จากนั้นเรียกให้จ่านป๋ายเจียรเปลือกของมันออกมาดู
จ่านป๋ายคิดว่าไม่ว่าอย่างไรมันถูกผ่าออกมาจากหยก ถ้าไม่ทำก็ช่างเถอะ พอได้ทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด และต้องเจียรออกให้รู้ว่ามันคืออะไรกันแน่ เขารู้สึกสงสัยเหลือเกิน
แม้ว่าเปลือกไข่จะแข็งจนอาจจะเป็นฟอสซิลหยก แต่ก็ทนทานกับเครื่องมือสมัยใหม่ของยุคนี้ไม่ได้ ไม่นานจ่านป๋ายก็เจียรรูออกมาขนาดเท่านิ้วมือ หยิบออกมาจากปากกาจับชิ้นงาน และมองดูจากข้างบนพร้อมยิ้มเฝื่อน “ดูแล้วเหมือนไข่ขาว…ไม่มีไข่แดง”
“ฉันขอดูหน่อย” หูชีเยี่ยนพูด
จ่านป๋ายส่งไปให้เขา หูชีเยี่ยนถือโอกาสหยิบไฟฉายแรงสูงบนโต๊ะทำงานประจำเวลาแกะสลักหยกของซีเหมินจินเหลียน และส่องไปข้างในเปลือกอยู่นาน “ไข่ฟองนี้เล็กเหลือเกิน ไข่ขาวข้างในเล็กแค่นิดเดียว?”
“มีไข่ขาวจริงเหรอคะ” ซีเหมินจินเหลียนควบคุมความสงสัยไม่ไหว รีบเดินเข้าไปดู
“ดูแล้วเหมือนจริงๆ แต่ไม่น่าจะใช่ไข่ขาวหรอก” หูชีเยี่ยนพูดจบจึงส่งไปให้เธอ
ซีเหมินจินเหลียนรับไข่ประหลาดมาและมุ่นคิ้วเป็นปม สัญญาณของสิ่งมีชีวิตนั่นยังไม่ได้หายไป และยังคงมีชีวิตอยู่ เพียงแต่อ่อนแรงกว่าเก่า อ่อนแรงจนแทบจะไม่รู้สึก
เมื่อใช้ไฟฉายส่องเข้าไปดู ก็เห็นว่าไข่ฟองนั้นเปลือกเล็กกว่าไข่ไก่นิดหน่อย มีแค่ก้นล่างที่เหมือนจะมีน้ำเหนียวหนืดใสสะอาดเล็กน้อย แต่ไม่เหมือนกับไข่ขาว
ซีเหมินจินเหลียนมองอยู่นาน แต่ก็มองอะไรไม่ออกว่านี่เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณหรือเปล่า หรือว่าน่าจะส่งไปให้ตรวจสอบทดลองทางเคมีดูว่าของเหลวข้างในจัดอยู่ในประเภทไหนกัน?
“นี่เป็นอะไรกันแน่?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด “ดูแล้วพวกเราน่าจะเสียเวลาเปล่า”
หูชีเยี่ยนรับไข่ฟองนั้นมาจากเธอและยิ้ม “ก็ไม่ได้เสียเปล่าซะทีเดียว อย่างน้อยก็รู้ว่าข้างในมีไข่ขาวก็ตอบโจทย์ความสงสัยนี้ได้หน่อย”
“ถ้ารู้ว่าข้างในคืออะไรก็ง่ายขึ้นหน่อย ส่งไปให้ทดลองทางเคมีก็น่าจะรู้แล้ว?” จ่านป๋ายคิดในใจ และเหลือบไปมองซีเหมินจินเหลียนแวบหนึ่ง ส่งไปให้ทดลองทางเคมี แต่ทว่ายังไงก็ต้องผ่าออกมา
ถ้ารู้ว่าข้างในมีอะไรก็เท่ากับว่าไขความสงสัยในใจตัวเอง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรนี่ก็เป็นสิ่งมีชีวิตโบราณที่อยู่ข้างในหยก
หูชีเยี่ยนไม่ได้คิดแบบนี้ทั้งหมด แต่คว่ำไข่ฟองนั้นและนำน้ำเหลวใสของมันเทลงบนนิ้วมือ และใช้จมูกดมกลิ่นไปทั่ว “ไม่มีพิษ จินเหลียน ลูกมานี่…”
ซีเหมินจินเหลียนสับสน แต่ก็เดินเข้าไปอย่างว่าง่าย หูชีเยี่ยนจับมือซ้ายของเธอและนำของเหลวใสทั้งหมดเทไปบนหลังมือและยิ้ม “ตามบันทึกในหนังสือโบราณ คาลซิโดนีโบราณมีคุณสมบัติช่วยผนังเซลล์ที่ถูกทำลาย กระชับริ้วรอยหย่อนคล้อย พ่อเคยทดลองดูแล้วของพวกนี้ไม่มีพิษ แต่มีประโยชน์ในด้านช่วยเสริมความงาม ลองทดลองบนมือก่อนดีแล้ว เดี๋ยวอีกไม่กี่วันพ่อค่อยไปหามาให้ลูก…”
ส่วนของเหลวใสในเปลือกไข่ฟองนี้น้อยเกินไป เมื่อเทมาบนหลังมือเธอไม่นานก็แห้ง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันระเหยเมื่อสัมผัสกับอากาศหรือผิวหนังดูดซึมได้ดี แต่อย่างไรตอนนี้ถึงอยากจะเก็บเอาไปทดลองก็ไม่เหลือแล้ว
ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกสงสัย หลังมือของเธอ ดอกบัวสีทองกึ่งบานกึ่งตูม เมื่ออยู่ใต้แสงไฟยิ่งระยิบระยับแพรวพราวในสายตา สีสันสดใสเหลือเกิน
แถมของเหลวในเปลือกไข่ เดิมทีเธอคิดว่าจะเหนียวข้น แต่คิดไม่ถึงว่าหูชีเยี่ยนถูไปบนมือเธอเหมือนกับน้ำใสสะอาด ไม่มีความแตกต่างสักนิด…ตอนนี้แห้งสนิทไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
คาลซิโดนีโบราณ? ไม่น่าล่ะเปลือกไข่ถึงได้แข็งแรง เป็นคาลซิโดนีโบราณจริงๆ เหรอ? เปลือกไข่ของมันเหมือนหยกเหลือเกิน หรือว่าหลายพันปีที่ผ่านมากลายเป็นซากฟอสซิลหยกแล้ว?
“คุณหู คุณบ้าบิ่นเกินไปแล้ว ถ้ามีพิษจะทำยังไงครับ?” จ่านป๋ายสีหน้าไม่รู้จะร้องไห้หรือยิ้มดี นี่มันเรื่องอะไรกัน?
“ไม่มีพิษหรอก” หูชีเยี่ยนมั่นใจในตัวเอง “จินเหลียนเป็นลูกของฉัน ถ้าเป็นของมีพิษฉันก็ไม่ให้มือเธอไปเปรอะเปื้อนหรอก”
“แต่…” จ่านป๋ายหยิบเปลือกไข่ฟองนั้นมาดูอย่างจนปัญญา หวังว่าข้างในยังมีของเหลวที่สามารถส่งไปในห้องทดลองได้ แต่เปลือกไข่ข้างในกลับว่างเปล่าไม่มีอะไร แห้งเหือดไปหมด เมื่อถูกแสงสว่างเปลือกไข่ฟองนั้นเหมือนเครื่องลายครามประณีต คอยเปล่งประกายส่องแสงระยิบระยับสวยเหลือเกิน