ซีเหมินจินเหลียนคิดๆ ดูแล้วส่ายศีรษะพูด “ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องคนคนนี้ น่าจะเป็นคนของพ่อ!”
“เขาน่าจะเป็นคนสนิทของคุณหู!” จ่านป๋ายพูด “ที่คุณหูสร้างตัวได้ คนคนนี้คงมีส่วนช่วยอยู่ไม่น้อย!”
“รู้แค่นี้เองเหรอ ไม่มีอย่างอื่นแล้วอย่างนั้นเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายพยักหน้าพูด “จี้หยกชิ้นนี้ คุณเคยเห็นหรือเปล่า”
“ไม่เคย” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ในระหว่างที่พูดก็พลางนั่งลงบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ ขยายภาพนั้นของหูชีเยี่ยนและมองมันอย่างละเอียด
“จี้หยกนี้น่าจะแขวนไว้บริเวณเอว คุณดูนี่สิ!” จ่านป๋ายพูดพลางตั้งค่าปรับรูปภาพให้ซีเหมินจินเหลียนดู
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ผงกศีรษะพูด “รูปนี้ถ่ายได้ไม่เลว ใครเป็นคนถ่ายเหรอ”
“ลักษณะการแต่งกายของเขาแบบนี้ เวลาปรากฏตัวที่มัณฑะเลย์ คุณก็รู้ว่าที่นั่นมังกรกับงูผสมปนเปกันหมด แน่นอนตอนนั้นเลยดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาเดินไปมาตั้งแต่ตีสามอยู่บนถนนมัณฑะเลย์ตลอด คนที่ถ่ายรูปเขามีไม่น้อยเลย จนมีบางคนใจกล้าคุยซึ่งๆ หน้า ถามเขาว่าเป็นดาราหรือเปล่า…”จ่านป๋ายอธิบาย
“เขาหน้าตาหล่อเอาการจริงๆ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดจากใจ “ผมสวยดีจัง ผมของฉันแม้จะปล่อยยาวก็ยังหยัก…” ผมของเธอหยักศกเล็กน้อย ไม่เหมือนกับหูชีเยี่ยนที่ผมยาวตรงสวย
“ฮะๆ…” จ่านป๋ายได้ยินแล้วหัวเราะยิ้มร่า มองไปทางเธอและพูด “จินเหลียน เหมือนว่าคุณจะแอบรักพ่อตัวเองมากนะครับ!”
“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนโคลงศีรษะพูด “เขาเป็นพ่อของฉัน คุณอย่าพูดจาเหลวไหล! แปลกจริงทำไมฉันไม่เห็นจี้หยกชิ้นนี้ของเขาเลย?” พูดจบเธอก็พยายามขยายจี้หยกอีกครั้ง และมองอย่างละเอียดพร้อมถอนหายใจพูด “สีสันห้าสี พวงกุญแจหยกแบบนี้ ถึงจะขายไปด้วยราคาสองล้านยูโรก็ไม่เกินจริง แถมฝีมือแกะสลักยังวิจิตรบรรจงอีก แม้จะขนาดไม่ใหญ่แต่ก็สามารถสลักเป็นลวดลายสลับซับซ้อนสวยงาม”
“จินเหลียน คุณพอจะดูออกหรือเปล่า…พวงกุญแจหยกนี้แกะสลักเป็นลวดลายอะไร?” จ่านป๋ายถาม
ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพูด“ฉันดูไม่ออกหรอก แต่มองแล้วเหมือนเป็นพวกโทเทมในสมัยโบราณหรือเปล่า? แต่ดูแล้วสวยจริง”
จ่านป๋ายคิดๆ ดูแล้วขมวดคิ้วพูด “ตอนที่ผมอยู่ต่างประเทศ เคยเห็นเครื่องทองสัมฤทธิ์ในสมัยราชวงศ์อินซัง ลวดลายด้านบนของมันคล้ายเคียงกับอันนี้มาก แต่ก็รู้สึกมีความไม่เหมือนบางอย่าง น่าจะพูดว่าไม่สวยเท่าอันนี้”
“คุณอย่าลืมล่ะ เขาเองก็เป็นปรมาจารย์แกะสลักหยก ของสิ่งนี้ไม่แน่เขาเองอาจจะอ้างอิงดูจากโทเทมสมัยโบราณก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มฝืดเฝื่อน “ถ้าทำเพื่อสวยงาม มันก็ไม่มีคุณค่าความสำคัญอะไร พวกเราจะศึกษาดูยังไงก็ไม่มีประโยชน์ แต่ตัวอักษรสองตัวนี้…” ในระหว่างที่เธอพูด พลางเริ่มกวาดสายตาไล่มองตัวอักษรทั้งสองนี้อีกครั้ง
“พรุ่งนี้พวกเราไปเยี่ยมเยียนนักวิจัยตัวอักษรโบราณ ศาสตราจารย์จ้าวของคุณท่านนั้นกันเถอะ!” จ่านป๋ายพูด
“ก็ดี” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า “คุณลงไปก่อนเถอะ ฉันอยากพักผ่อนแล้ว”
“โอเคครับ” จ่านป๋ายพูดจบก็กล่าว “ฝันดี” กับซีเหมินจินเหลียนพร้อมเปิดประตูออกจากห้องทันที
ซีเหมินจินเหลียนมองเงาด้านหลังของจ่านป๋ายที่หายไปจากประตูห้อง ตอนนั้นคว้าโทรศัพท์โทรไปหาหลินเสวียนหลาน
“จินเหลียน ดึกขนาดนี้แล้วยังไม่นอนอีกเหรอครับ?” หลินเสวียนหลานที่อยู่ในสาย เมื่อได้รับสายจากซีเหมินจินเหลียนก็ดีใจเนื้อเต้น
“มีเรื่องนิดหน่อยค่ะ กำลังจะนอนแล้วเหมือนกัน” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “บริษัทเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“กำลังไปได้ดี คุณวางใจได้ ช่วงนี้ธุรกิจก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ผลการดำเนินงานของต้นเดือนธันวาคมขึ้นสูงกว่าเดือนที่แล้วเป็นเท่าตัว น่าจะเป็นเพราะใกล้ฉลองปีใหม่ ทุกคนเลยอยากซื้อเครื่องประดับอัญมณีกัน!” หลินเสวียนหลานยิ้ม “รายการเดินบัญชีออกมาเมื่อไหร่ผมจะส่งให้คุณก็แล้วกันนะครับ”
“ได้ค่ะ” เป้าหมายของซีเหมินจินเหลียนไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องบริษัท ถ้าเธอไม่เชื่อใจหลินเสวียนหลาน เธอคงไม่ให้เขามาดูแลจัดการบริษัทจินเหลียนจิลเวอรี่หรอก “พี่หลินคะ คุณยังจำวันเวลาที่พวกเราเจอกันครั้งแรกได้หรือเปล่าคะ”
“เอ่อ…จินเหลียน คุณถามเรื่องนี้ไปทำไมครับ?” หลินเสวียนหลานนิ่งอึ้ง “ถ้าผมจำไม่ผิดน่าจะเป็นตอนกลางคืนของวันที่สิบสองพฤษภาคม ไม่สิ สิบสามพฤษภาคมต่างหาก ตอนนั้นเลยเที่ยงคืนไปแล้วน่าจะสักประมาณตีสามกว่าๆ ได้ล่ะมั้งครับ ดูสิผมจำได้แม่นยำไหมล่ะ!”
“จริงสิคะ พวกเรารู้จักกันได้ครึ่งปีแล้วนี่นะ!” ซีเหมินจินเหลียนพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ปกติ และใช้มือกุมโทรศัพท์แน่น เพื่อไม่ให้มันลื่นไถลไปจากมือ
ความจริงไม่ต้องโทรศัพท์ไปพิสูจน์ยืนยันกับหลินเสวียนหลาน วันที่สิบสองพฤษภาคมก็คือวันเกิดของพ่อหวังหมิงหยาง หลังจากที่ฉลองวันเกิดพ่อของเขาเสร็จ พวกเขาก็เลิกรากัน ตัวเธอเดินเตร็ดเตร่อยู่บนถนนเซี่ยงไฮ้และถูกหลินเสวียนหลานที่ดื่มเหล้าขับรถชนเข้า…
และในเวลาเดียวกัน หูชีเยี่ยนก็ปรากฏตัวที่มัณฑะเลย์อย่างลึกลับ ตั้งแต่ตีสามจนท้องฟ้าสว่าง เพราะการแต่งตัวที่ไม่เข้ากับสถานที่เลยเป็นเป้าสายตาของคนรอบข้าง จึงมีคนถ่ายรูปเขาได้
“จินเหลียน คุณว่างเมื่อไหร่ ผมขอเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อได้ไหมครับ?” หลินเสวียนหลานถาม
“อีกสักสองสามวันนะคะ” ซีเหมินจินเหลียนกำลังควบคุมอารมณ์และพยายามยิ้ม “พ่อฉันอยู่กับฉันที่นี่ค่ะ”
ในโทรศัพท์ หลินเสวียนหลานตกอยู่ในความเงียบไปนานถึงเปล่งเสียง “แล้วผมสะดวกเข้าไปได้หรือเปล่า?”
“ได้สิคะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ยินดีต้อนรับพี่เสมอ”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว คุณรีบนอนพักผ่อนเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะเข้าไปหา” หลินเสวียนพูด
“ได้ค่ะ สวัสดีค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนวางสายโทรศัพท์ ในใจรู้ดีหลินเสวียนหลานไม่ได้อยากมาหาเธอ แต่อยากมาหาหูชีเยี่ยนต่างหาก
ซีเหมินจินเหลียนเพิ่งวางสายไปได้ไม่นาน เธอก็เดินเข้าไปล้างหน้าหวีผมในห้องน้ำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จสรรพ ได้ยินหน้าประตูมีเสียงกริ่งดังขึ้นได้แต่ขมวดคิ้ว นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว ยังมีใครมาอีก? คิดว่าบ้านของเธอเป็นตลาดเปิดหรืออย่างไรกัน? พนักงานรักษาความปลอดภัยที่นี่ก็เหมือนกัน เวลานี้แล้วไม่รู้จักแจ้งกันบ้าง? ถึงจะรับสินบนอะไรมาจากคนพวกนั้นก็เถอะ
เรือนร่างของเธอถูกคลุมด้วยชุดนอน เปิดประตูห้องนอนเดินออกไป เพิ่งลงจากบันไดได้ไม่นานก็เห็นจ่านป๋ายเปิดประตูเดินออกไปแล้ว แต่ก็ไปพร้อมใบหน้าที่หงุดหงิดใจเหมือนกัน
เมื่อเปิดสวิตซ์ไฟในห้องรับแขก ก็เห็นหูชีเยี่ยนสวมใส่สลิปเปอร์เดินลงมาจากข้างบน
“จินเหลียน ลูกทำเกินไปแล้ว!” หูชีเยี่ยนสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย
“พ่อคะ พ่อพูดอะไรเหรอคะ?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มเฝื่อน “หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน เวลานี้ยังมีแขกจากไหนมาอีก เสี่ยวป๋าย คุณช่วยไปดูหน่อยว่าเป็นใคร?”
“พ่อไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” หูชีเยี่ยนพูด “พ่อหมายถึงเรื่องที่ลูกก่อไว้ที่พม่า!”
ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง เห็นเงาด้านหลังของจ่านป๋ายที่เดินไปทางประตู เห็นได้ชัดว่าแข็งค้างเล็กน้อย หรือว่าหูชีเยี่ยนจะรู้เรื่องนี้แล้ว?
“ถ้าลูกสงสัยพ่อ พ่อก็สามารถเก็บของไปจากที่นี่ได้ทันที และลูกก็ไม่สามารถก้าวเท้าเข้ามาในพม่าเด็ดขาด!” หูชีเยี่ยนพูดจริงจัง
“พ่อคะ…” ซีเหมินจินเหลียนใจฝ่อ “หนูแค่…”
หูชีเยี่ยนค่อยๆ เดินลงมาอย่างเชื่องช้า และพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ลูกเชื่อคำพูดของลุงงู และสงสัยว่าพ่อเป็นตัวปลอมหรือคิดว่า…พ่อไม่ใช่คนกันล่ะ?”
“ไม่ใช่นะคะ พ่อ มันไม่ใช่แบบนั้นนะคะ!” ซีเหมินจินเหลียนก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ แต่ลืมไปว่าตัวเองยังยืนอยู่ที่บันได เมื่อเท้าสัมผัสถึงความว่างเปล่า โดยที่ไม่รู้ตัวเธอก็ตกลงไปจากบันไดทันที
เธอแค่อยากจะรู้ว่ายี่สิบปีนี้ เขาไปอยู่ที่ไหนก็เท่านั้น…เธอไม่ได้สงสัยอะไรในตัวเขาทั้งนั้น
“จินเหลียน…” หูชีเยี่ยนเห็นเหตุการณ์จึงรีบพุ่งลงไป กอดประคองเธอไว้
“จินเหลียน ไม่ต้องร้อง…” หูชีเยี่ยนเห็นดวงตาทั้งสองของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา ในใจก็รู้สึกเจ็บปวดแปลบขึ้นมาจึงรีบพูดปลอบ “จินเหลียน ไม่ต้องร้อง…เชื่อพ่อ พ่อทำทุกอย่างก็เพื่อลูกทั้งนั้น…”
“หนูรู้ค่ะ แต่หนูก็กลัวจะเสียพ่อไป!” ซีเหมินจินเหลียนฟุบตัวอยู่บนบ่าเขา ในระหว่างที่พูดจมูกก็แสบร้อนไปหมด น้ำตาไหลมาเหมือนสายธารที่หลั่งไหล
“มีแขกมาแล้ว อย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ รีบไปล้างหน้าล้างตาเถอะ” หูชีเยี่ยนประคองเธอให้ยืนบนบันไดให้ดีและถอนหายใจออกมา “ลูกก็ยังชอบทำตัวบุ่มบ่ามเหมือนเคย ชอบทำให้คนอื่นเป็นห่วงอยู่ดี”
ซีเหมินจินเหลียนยกแขนเสื้อมาปราดคราบน้ำตา จากนั้นออกแรงฟุตฟิดที่จมูก “พ่อ บนตัวพ่อมีกลิ่นอะไรคะ?”
หูชีเยี่ยนนิ่งงัน จากนั้นก็ส่ายหน้าพูด “ไม่เห็นมีกลิ่นอะไรนี่นา? หรือจะเป็นกลิ่นเหม็น เดี๋ยวพ่อไปอาบน้ำ”
“ไม่ใช่ค่ะ กลิ่นมันหอมมาก” ซีเหมินจินเหลียนขมวดคิ้วพูด “พ่อใช้น้ำหอมอะไรคะ ครั้งก่อนที่หนูได้กลิ่นก็อยากจะถามพ่อเหมือนกัน แต่ก็ลืมเสียได้…” ยุคนี้น้ำหอมไม่ใช่ของมีค่าหายากอะไร แม้จะเป็นของมีราคา แต่จากความร่ำรวยที่หูชีเยี่ยนมีก็ได้มาง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก แต่สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ…เขาใช้น้ำหอมด้วยหรือ?
อีกอย่างกลิ่นหอมของมันก็ไม่เหมือนกลิ่นน้ำหอมธรรมดา กลิ่นมันหอมอ่อนๆ แต่ก็ไม่จางหายและไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกรำคาญใจ
“คนแก่อย่างพ่อ จะใช้น้ำหอมอะไรได้?” หูชีเยี่ยนส่ายหน้าพูด มองเห็นจ่านป๋ายพาแขกในยามวิกาลเข้ามาในห้องจึงรีบพูด “พ่อมีเรื่องบางอย่างต้องจัดการ ลูกกลับเข้าไปนอนในห้องก่อนเถอะ”
ซีเหมินจินเหลียนมองไปชั้นล่าง เห็นสีหน้าของหูหวังอึมครึมยิ่งกว่าหูชีเยี่ยนเมื่อครู่นี้อีก เขาได้เข้ามาในห้องรับแขกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หูหวังรีบมาในเวลานี้ แน่นอนว่าไม่ได้มาหาเธอ แต่มาหาเรื่องหูชีเยี่ยน เขาถูกคนขับไล่ให้ออกจากพม่า และคิดไม่ถึงว่าคนคนนั้นยังเป็นหูชีเยี่ยน เขาไม่โกรธนี่สิแปลก!
“จินเหลียน พ่อคิดออกแล้ว มันคือของสิ่งนี้!” หูชีเยี่ยนเดินลงไปด้านล่างไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลงกะทันหัน คว้าจี้หยกสีเหลืองชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าและส่งไปให้เธอ “นี่เป็นหยกกฤษณา ถ้าลูกไม่พูดขึ้นมา พ่อคงลืมไปแล้ว ถ้าลูกชอบพ่อยกให้ก็ได้!”
“หูชีเยี่ยน ไปให้พ้นๆ หน้าฉัน!” หูหวังพูดเยือกเย็น
ซีเหมินจินเหลียนมองหูหวังและยิ้มตอบ “คุณปู่หูคะ ทำไมปู่มาหาหนูกลางดึกแบบนี้ล่ะคะ? เสี่ยวป๋ายรีบไปต้มน้ำชงชาร้อนๆ มาหน่อย!” เวลานี้เธอทำได้แค่แกล้งไม่รู้เรื่อง ปากก็พูดไปแบบนั้น แต่มือก็ลูบไล้ไปที่จี้หยกสีเหลืองชิ้นนั้น ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ทรงกลมและถักเป็นผีเสื้อด้วยเชือกสีเหลือง ดูจากเนื้อหยกแล้วน่าจะเป็นเนื้อแก้วจากพะกัน แต่มีความชุ่มฉ่ำกว่าหยกทั่วไปหน่อย คล้ายกับหยกไขมันแพะเล็กน้อยแต่ก็ไม่เหมือน
ลวดลายแกะสลักด้านบน เหมือนกับลวดลายของโทเทมโบราณชนิดเดียวกัน ด้านหลังมีตัวอักษรเล็กๆ สองตัวที่เหมือนกับจี้หยกห้าสีชิ้นนั้น…และเป็นตัวอักษรเหนี่ยวจ้วนที่เธออ่านไม่ออก
หูชีเยี่ยนเดินไปถึงด้านล่างเป็นที่เรียบร้อย รีบเข้าไปพยักหน้าทักทายหูหวัง “ผมรู้ว่าคุณต้องมาหา ผมก็รอคุณมาตลอดอยู่เหมือนกัน!”