แฟนผมกลายเป็นซอมบี้ – ตอนที่ 656

ตอนที่ 656

บทที่ 656 บางครั้งก็ต้องทุ่มสุดตัวบ้าง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ซ่งจินเซินถอนหายใจโล่งอกออกมายาวๆ แต่สีหน้าของเขากลับสลดหม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด

คิดไม่ถึง ว่าสุดท้ายเรื่องต้องจบลงอย่างนี้…

คำพูดของหลิงม่อไม่น่าฟัง แต่เขากลับพูดไม่ผิดเลยซักนิด

ถ้าหากเขาไม่เสแสร้งแกล้งทำ อย่างน้อยเขาก็จะมีจุดจบที่ดีกว่าตอนนี้ แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

ตอนนี้เขากลับกระตุกต่อมโมโหของหลิงม่อเข้าแล้วจริงๆ และได้ละทิ้งความภาคภูมิใจครั้งสุดท้ายในฐานะเชลยทิ้งไปกับมือ

ประโยชน์? ตอนนี้ยังกล้าคิดเรื่องผลประโยชน์อีกหรือ แค่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ก็พอแล้ว…

“ฉัน…” ซ่งจินเซินสีหน้าสลด เขาเริ่มอ้าปากพูดด้วยแววตาสับสน

“บอกให้พูดแล้วหรอ?” หลิงม่อกลับตัดบทเขาอย่างไม่ไว้หน้า

ซ่งจินเซินชะงักไป สีหน้าบึ้งตึง แต่สุดท้ายก็ยอมหุบปากแต่โดยดี

“อย่าขยับ” เสียงของหลิงม่อดังมาอีกครั้ง

คอของซ่งจินเซินที่กำลังจะหันไปข้างหลังพลันชะงักค้าง เท้าของเขาหยุดกึกอยู่กับที่ทันที

เขาไม่กล้าขยับ การระเบิดอารมณ์เมื่อกี้ของหลิงม่อฝังรางแห่งความกลัวลึกลงไปในใจเขา แต่ขณะเดียวกันเขาก็กระวนกระวายใจไปด้วย

หลิงม่อคิดจะทำอะไรกันแน่…

ระหว่างที่เงียบไปช่วงสั้นๆ นี้ ซ่งจินเซินยืนนิ่งไม่ขยับอยู่อย่างนั้น เหงื่อเย็นจากศีรษะไหลผ่านแก้มและหยดลงจากคาง

แต่ในเวลานี้ด้านหลังซ่งจินเซิน หลิงม่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับไม่ได้กำลังแสยะยิ้มและคิดแผนจัดการกับเขาอย่างที่เขาคิด ตรงกันข้าม หลิงม่อสีหน้าซีดเซียว เขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว ท่าทางเหนื่อยล้าเต็มที่

ก่อนหน้านั้นก็เบี่ยงเบนความสนใจของพวกนั้นโดยใช้วิธีการโจมตีประหลาดๆ เมื่อกี้ก็เพิ่งใช้เทคนิคลวงซ่งจินเซินให้หวาดกลัว หลิงม่อเผาผลาญพลังจิตไปมากจริงๆ

หลังจากที่เขาดูดกลืนพลังจิตของหมายเลข 0 ปริมาณโดยรวมเพิ่มขึ้นก็จริง แต่ที่เขาเพิ่งใช้ไปเมื่อกี้ กลับเป็น “วิธีเผาผลาญพลังจิตขั้นสูง” ที่เขาคิดมาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยมีพลังจิตมากพอที่จะใช้ได้ตามใจ

อย่างเช่น “การโจมตีสร้างความวุ่นวาย” ที่ทำให้คนมากมายสับสน ความจริงแล้ว มันก็เป็นแค่พลังจิตก่อกวนบวกกับตาข่ายพลังจิตที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น

เมื่อรวมทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน ความเร็วในการเคลื่อนไหวของหลิงม่อก็เพิ่มขึ้นมา แล้วยังมั่นใจได้อีกว่าจะไม่ถูกมองเห็นได้อย่างง่ายดาย

คนที่พยายามตามจับวิถีการเคลื่อนไหวของเขา ก็จะถูกพลังจิตก่อกวนเล่นงาน

และคนที่คิดจะใช้พลังจิตจับเขา กลับตามวิถีการเคลื่อนไหวของเขาไม่ทัน

ทว่าวิธีนี้กลับมีผลเสียสองอย่าง หนึ่งคือต้องเผาผลาญพลังจิตมหาศาล สองก็คือต้องอาศัยการเพ่งพลังจิตระดับสูงรวมถึงการตอบสนองอันว่องไว ซึ่งหมายถึงการตอบสนองทั้งทางกายและทางจิต

ตอนนี้ระดับพลังจิตของหลิงม่อมากพอที่จะตอบสนองเงื่อนไขข้อที่หนึ่งได้แล้ว แต่ข้อหลังกลับต้องอาศัยการฝึกฝนมากกว่านี้จึงจะทำได้

หลิงม่อในตอนนี้ เพียงสามารถนำสองวิธีนั้นมาผสมผสานเพื่อใช้ “ซ่อนตัว” แล้วยังสามารถทำการจู่โจมในระหว่างนั้นครั้งสองครั้งครั้ง ก็ถือว่าทำได้ไม่เลวมากแล้ว

แต่เพียงเท่านี้ กลับยังไม่อาจเติมเต็มความต้องการของหลิงม่อได้

ส่วนวิธีการที่เขาใช้กับซ่งจินเซินเมื่อกี้ คือ “ใช่หนวดสัมผัสหลายสิบเส้นทำการจู่โจมในระหว่างที่ซ่อนตัวไปด้วย” ซึ่งความจริงหากดูจากพลังของหลิงม่อในตอนนี้ เขายังไม่สามารถทำได้

แต่แสร้งยิงหลอกหนึ่งนัด เพื่อทำให้ซ่งจินเซินตกใจนั้นเขาทำได้สบายไม่มีปัญหา

เดิมหลิงม่อยังคิดว่าหากซ่งจินเซินฝืนต้านรับการโจมตีนี้ เขาก็คงทำได้เพียงสู้กับซ่งจินเซินอีกครั้ง จนกว่าซ่งจินเซินจะหมดแรงขัดขืน แต่กลับนึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะขี้ขลาดขนาดนี้…

ดูเหมือนว่าคำพูดที่ดูดีก็เป็นอีกเรื่อง แต่จะสามารถอดทนในช่วงเวลาคับขันได้หรือไม่นั้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นอกจากซ่งจินเซินที่ตกใจกลัวจนตัวสั่นอยู่กับจินตนาการของตัวเอง คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนเห็นสภาพของหลิงม่อในตอนนี้อย่างชัดเจน

แม้ว่าสีหน้าของพวกเย่เลี่ยนจะไม่เปลี่ยนไปมากนัก แต่พวกเธอกลับจ้องหลิงม่อตาไม่กระพริบอยู่อย่างนั้น

นั่นกลับทำให้ซ่งจินเซินเข้าใจผิดเข้าไปอีก เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกสายตาเย็นชาหลายคู่จับจ้องอยู่ และอาจถูกพวกนั้นรุมโจมตีจนร่างพรุนเป็นรังผึ้งได้ทุกเมื่อ

สวี่ซูหานยังคงสติเลือนราง สีหน้าคลุ้มคลั่งไม่ต่างจากเดิมมากนัก กลับเป็นมู่เฉินที่สีหน้าฉายแววแปลกไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลิงม่อเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง

คนคนนี้ บางครั้งก็ทุ่มสุดตัวจริงๆ…

หลังจากผ่านไปนานกว่าสีหน้าจะมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง ในที่สุดหลิงม่อจึงอ้าปากพูดเพื่อดึงซ่งจินเซินออกมาจากความกลัวและตื่นตระหนก

“เป็นไง คิดดีแล้วหรือยัง?” หลิงม่อถาม

ซ่งจินเซินน้ำตานองหน้าทันที ที่แท้ก็ปล่อยให้เขาคิดเองหรอกหรอเนี่ย…

เขาอึกอักอยู่สองสามคำ หลิงม่อก็ตัดบทเขาอย่างใจร้อน พร้อมกับย่างสามขุมเข้าไปหาเขาช้าๆ “แกอยากให้ฉันเปลี่ยนวิธีถามแกจริงๆ น่ะหรอ?”

ถึงแม้น้ำเสียงของหลิงม่อจะราบเรียบมาก แต่ในดวงตาที่เปล่งประกายโดดเด่นคู่นั้น ซ่งจินเซินกลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่แผ่ออกมาอย่างไม่ปิดบัง และแรงกดดันมหาศาลนี้ก็ทำให้เขาเย็นสะท้านไปทั้งตัว

“ฉันว่า…” ซ่งจินเซินกัดฟัน แล้วอ้าปากพูด

แต่หลิงม่อกลับกวักมือเรียกมู่เฉินเข้ามา “พูดกับเขา”

ซ่งจินเซินมองมู่เฉินอย่างประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าถามมาก เขาสังเกตสีหน้าของหลิงม่อไปพร้อมกับบอกเรื่องราวทั้งหมดที่ตัวเองรู้

ถึงอย่างไรก็เป็นสมาชิกเก่าแก่ของนิพพาน ดังนั้นข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานใหญ่ที่ซ่งจินเซินให้มา ย่อมต้องชัดเจนกว่าข้อมูลครึ่งๆ กลางๆ ผสมกับการคาดเดาส่วนตัวของมู่เฉินมากอยู่แล้ว และมีรายละเอียดมากมาย ที่แตกต่างไปจากที่หลิงม่อคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้

จากที่ซ่งจินเซินบอกมา ความจริงนิพพานสำนักงานใหญ่ไม่ได้เป็นองค์กรลับที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ความจริงแล้ว มันเป็นเพียงค่ายผู้รอดชีวิตแห่งหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในเมือง X อย่างหลิงม่อ และคนของสาขาย่อยพวกนั้น นิพพานสำนักงานใหญ่ถือว่าลึกลับมากเท่านั้น

ส่วนจุดพิเศษ หลักๆ อยู่ที่ระบบการแบ่งระดับขั้นและการแบ่งสัดส่วนงานที่ชัดเจนของนิพพานสำนักงานใหญ่

อย่างซ่งจินเซิน ความจริงถูกเรียกว่าเป็นสมาชิกธรรมดา พวกเขาเหมือนผึ้งงาน ที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่งานภายนอกส่วนใหญ่ อย่างเช่นการค้นหาทรัพยากร ข่าวสารข้อมูล และจัดการสะสางภารกิจที่สำนักงานใหญ่มอบหมายลงมาให้เป็นต้น

ภารกิจเหล่านั้นไม่ได้ถูกถ่ายทอดลงมาในเชิงบังคับ แต่เป็นการเลือกรับโดยความสมัครใจ

และเมื่อภารกิจเสร็จสิ้น พวกเขาจะได้รับความดีความชอบที่แตกต่างกันไปตามระดับความสำเร็จของภารกิจ และความดีความชอบเหล่านี้ก็คือคะแนนสะสมของพวกเขาแต่ละคน ซึ่งจะถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดในแฟ้มข้อมูลของแต่ละคน

เมื่อสะสมคะแนนได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะได้รับการเลื่อนระดับตามความเหมาะสม

“แล้วอย่างอื่นล่ะ?” หลังจากมู่เฉินได้ยินรายละเอียดเหล่านี้ ก็ถามอีกหนึ่งคำถามขึ้นมา

ซ่งจินเซินเหลือบมองหลิงม่อ พอเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงพูดต่อว่า “กลุ่มของพวกเราถือว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในสำนักงานใหญ่ แต่กลับเป็นเพียงกลุ่มระดับต่ำที่สุด และไม่ใช่กลุ่มที่สำคัญที่สุด คนอีกกลุ่มในสำนักงานใหญ่ก็คือกลุ่มทดลอง พวกนี้รับผิดชอบทำการวิจัยทุกรูปแบบเกี่ยวกับเชื้อไวรัส ซึ่งจะมีระบบการเลื่อนขั้นอีกอย่างหนึ่ง”

“นอกจากนี้ก็ยังมีแผนกยิบย่อยอีกมากมาย ความรับผิดชอบของแต่ละแผนกนั้นแตกต่างกันออกไป วิธีการที่จะได้รับความดีความชอบก็ไม่เหมือนกัน แต่โดยสรุปแล้วก็คือ นิพพานสาขาใหญ่ก็เหมือนกับรังผึ้งรังหนึ่ง…” ซ่งจินเซินพยายามเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพชัดที่สุด เพื่อสื่อว่าเขาไม่ได้ปิดบังเลยแม้แต่น้อย

ตอนนั้นเอง ในที่สุดหลิงม่อก็เปิดปาก “หัวหน้าสำนักงานใหญ่ของพวกแก…เป็นใครกันแน่?”

มู่เฉินเองก็ทำหน้าสงสัยออกมาทันที เพราะเขาเองก็อยากรู้เรื่องนี้มากเหมือนกัน!

“สภาพแวดล้อมยากลำบากอย่างนี้ แต่กลับสามารถรวมกำลังคนได้มากมาย และขยายอำนาจได้ถึงระดับนี้ ก็ทำให้คนตกตะลึงมากแล้ว แต่นึกไม่ถึงว่ายังจะสามารถสั่งคนกลุ่มหนึ่งให้ทำงานได้อย่างมีระบบระเบียบ กระทั่งยังสร้างระบบแข่งขันอันสมบูรณ์แบบโดยการให้รางวัลและการลงโทษขึ้นมาอีกด้วย…ฉันล่ะอึ้งจริงๆ”

แต่สีหน้าของซ่งจินเซินกลับดูลำบากใจขึ้นมาทันที “ฉัน…ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากพูดนะ แต่ฉัน…ไม่รู้จริงๆ!”

“ล้อเล่นอะไรวะ?” มู่เฉินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

หลิงม่อเองก็ขมวดคิ้วเบาๆ นี่จะเป็นไปได้อย่างไร…

“ฉันไม่รู้จริงๆ!” ซ่งจินเซินกระวนกระวาย “แกต้องเชื่อฉันนะ! ฉันบอกไปตั้งหลายเรื่องแล้ว จะปิดบังเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร? ฉันไม่รู้จริงๆ คนที่ฉันรู้จักทุกคนก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่วนเรื่องที่สำนักงานใหญ่รู้หรือไม่นั้น ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน…”

“ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงแน่?” หลิงม่อถามขึ้นอีก

“ก็ฉันไม่เคยเห็นเขา แล้วก็ไม่เคยได้ยินข่าวลืออะไรเลยด้วย แล้วตกลงสร้างโดยคนคนเดียว หรือสร้างโดยคนกลุ่มหนึ่ง เรื่องนี้ก็ไม่แน่ชัดเหมือนกัน รู้แค่ว่าหลังจากที่เกิดภัยพิบัติได้ไม่นาน นิพพานก็เริ่มก่อตั้งขึ้นมาแล้ว”

ซ่งจินเซินสีหน้าตื่นตระหนก ทว่าเขายังคงพูดได้ชัดเจนอยู่

หลิงม่อได้ยินแล้วก็แอบสงสัยในใจ ทำไมต้องทำตัวลึกลับขนาดนี้ด้วย?

—————————————————————————–

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

Status: Ongoing

เมื่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อุบัติขึ้นและเกิดการแพร่ระบาดเป็นวงกว้าง

ผู้คนบนโลกก็ต้องพบกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต จากคนธรรมดาต้องกลายเป็นซอมบี้กระหายเลือด!

แต่ก็ยังมีคนจำนวนหนึ่งที่รอดพ้นจากไวรัสร้ายกาจนี้ หนึ่งในนั้นคือหลิงม่อ หนุ่มเนิร์ดหน้าตาบ้านๆ แน่นอนว่าเขาต้องทุ่มเทพยายามสุดชีวิตเพื่อเอาตัวรอด

แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เขายังมีภารกิจสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ คือช่วยแฟนสาวซอมบี้ ให้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง สุดท้ายแล้วหลิงม่อหนุ่มธรรมดาคนนี้จะทำภารกิจสำเร็จหรือไม่ เรามาร่วมลุ้นไปด้วยกันเถอะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท