สวี่ซูหานได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป ไม่ต้องให้พวกเขาทำคว่ำงั้นหรอ? ถ้าหากแค่เปิดฝาสำรวจดู ก็ไม่น่าจะทำให้เกิดอะไรใหญ่โตขึ้นได้นี่นา…
หลิงม่อเดินไปข้างๆ ถังใบนั้น เขาเดินวนรอบๆ มันหนึ่งครั้ง แล้วบอกว่า “ดูเหมือนว่าเฟิ้งจื่อซวนจะสังเกตเห็นแล้วเหมือนกัน…แต่เพราะเขาสังเกตเห็น เขาก็เลยยิ่งเชื่อว่า ฉันถูกขังไว้ข้างล่างนี้…”
“เห็นฝุ่นบนฝานี่ไหม? ฉันเชื่อว่าตอนที่เฟิ้งจื่อซวนขุดหลุมนี้ เขาจะต้องแทง ‘พื้น’ จนทะลุตรงๆ แน่นอน หลังจากลงมาข้างล่างก็ไม่มีทางที่จะมัวเสียวเวลาทำความสะอาดอีก…” เขาก้มเก็บท่อพลาสติกที่หล่นอยู่ข้างถังใบนั้นขึ้นมา แล้วแกว่งไปแกว่งมา “ในตึกใหญ่หลังนี้มีวัสดุตกแต่งอย่างนี้อยู่มากมาย ถ้าหากจะยันพรมแบบนั้นไว้ให้มั่นคง ก็แค่ต้องยึดขอบทั้งสองด้านให้แน่น แล้วค่อยใช้ท่อนี้วางไว้ข้างล่างในแนวขวางก็พอแล้ว
“ดังนั้นบนฝนถังก็เลยมีฝุ่นน้อยมาก แถมยังเป็นฝุ่นที่เข้ามาจากสองฝั่งที่ถูกยึดไว้อีกด้วย ฉันว่าถ้าพวกเราตามหาดีๆ จะต้องเจอตะปูหลายตัวแน่ๆ…” หลิงม่อวางท่อพลาสติกในมือพิงไว้บนผนังด้านหนึ่ง แล้วบอก
“ฉันไม่เข้าใจ…ถึงจะรู้วิธีที่พวกเขาสร้างกับดักขึ้นมาแล้ว…”
สวี่ซูหานเพิ่งจะถาม ก็ได้ยินหลิงม่อตอบว่า “ถังฮ่าวเคยบอกไว้ วิธีที่พวกเขาจะล่อพวกเราเข้ามา ก็คือการใช้คน…ถึงจะไม่เคยพูดถึงกับดักหลุมนี่ แต่ถ้าบวกมันเข้าไปด้วย ก็เข้าใจได้ไม่ยากแล้วล่ะ”
“นายหมายความว่า…” สวี่ซูหานขมวดคิ้ว แล้วอยู่ๆ สายตาก็เป็นประกายขึ้นมา “คนที่ทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อคนนั้น จะตกลงมาพร้อมกับพวกเรา?”
“ใช่! ดังนั้นถังใบนี้ จะถูกเหยื่อล่อคนนั้นทำให้คว่ำทันที” หลิงม่อพยักหน้า แล้วบอก
“แต่ว่า…ถ้าทำอย่างนั้นเขาก็ต้องตายเหมือนกันนะ!คนแบบนั้นไม่มีทางยอมเสียสละตัวเองเพื่อคนอื่นหรอกหรือเปล่า? ถึงจะเป็นคนที่อยู่กลุ่มเดียวกันก็ตาม…” สวี่ซูหานเหมือนยังไม่เข้าใจนัก
“แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว” หลิงม่อหันหน้าใช้ไฟฉายส่องลึกเข้าไปข้างใน “ดังนั้นที่นี่จะต้องเชื่อมกับทางออกอีกทางไว้แน่ๆ นี่คืออีกเรื่องที่ถังฮ่าวปิดบังไว้ ถ้าหากไม่ได้ลงมากับตัวเอง ฉันก็คงยังไม่รู้…พวกเขาวางแผนได้รอบคอบและลึกล้ำ ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ฉันนึกว่าพวกนั้นจะฉวยโอกาสลอบเข้าไปในบริษัทลอว์สัน แต่กลับไม่ทันสังเกตเห็นช่องโหว่นี้เลยแม้แต่น้อย…ส่วนถังฮ่าว เขายังคงปรารถนาและมุ่งมั่นที่จะหนีรอดออกไป และปล่อยให้พวกเราตายอยู่ในนี้”
“ที่แท้ก็อย่างนี้นี่เอง! อวี่เหวินซวนตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ก็เลยเข้ามา…แต่ที่นี่ก็สามารถดึงดูดสัตว์ประหลาดออกมาได้เหมือนกัน ดังนั้น…ข้างในจะต้องมีทางแยกอยู่แน่ๆ!” สวี่ซูหานเพิ่งจะพูดไม่กี่ประโยค แต่ไม่นานก็เผยสีหน้าลังเลออกมาอีกครั้ง
“มีทางไปก็ไม่ตายแล้ว แต่ก่อนจะเข้าไป พวกเราต้องจัดการเจ้าสิ่งนี้ก่อน” หลิงม่อชี้ไปทางถังเลือดแล้วบอก
หลายสิบวินาทีผ่านไป หลิงม่อกับสวี่ซูหานเดินตามแสงไฟฉายเข้าไปข้างใน
และด้านหลังของพวกเขา ถังพลาสติกสีฟ้าใบนั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว…
“ไม่คิดเลยว่าร่างจริงก็ตามเข้ามาด้วยแล้ว…แต่ถ้าหาทางออกอีกทางเจอแถวๆ นี้ล่ะก็ ไม่แน่ว่าอาจหาวิธีรวมตัวกับพวกซย่าน่าได้…น่าเสียดายที่พลังหนวดสัมผัสทางจิตแผ่ออกไปไกลมากไม่ได้ แถมยังสัมผัสรู้ถึงตำแหน่งของพวกซย่าน่าไม่ได้ด้วย…ส่วนประกอบของของเหลวหนืดพวกนั้นคืออะไรกันแน่นะ!”
หลิงม่อกำลังคิดในใจ ทันใดนั้น แสงไฟฉายพลันส่องไปเจอสัญลักษณ์หนึ่งเข้า
“สัญลักษณ์ที่อวี่เหวินซวนทิ้งไว้!”
นอกจากเขา ก็คงไม่มีใครสามารถทำรอยไหม้ทิ้งไว้บนกำแพงได้อีกแล้ว…
ลูกศรสีดำชี้ไปทางซ้าย ในขณะที่ทางขวาเป็นปากหลุมซีเมนต์อีกหนึ่งหลุม ทว่าหลังจากใช้ไฟฉายส่องเข้าไปข้างใน กลับพบว่าปลายทางถูกปิดตายซะแล้ว และบนนั้นก็มีตะไคร่น้ำขึ้นเต็มไปหมด หลิงม่อกระทั่งใช้หนวดสัมผัสสำรวจดูหนึ่งรอบ หลังมั่นใจว่าไม่สามารถเปิดออกได้ จึงยอมตัดใจ
“ไปทางนี้เถอะ” หลิงม่อจ้องลูกศรแวบหนึ่ง จากนั้นก็เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น “ลูกศรนี้ไม่เห็นช่วยอะไรเลย…”
“…เขาคงรู้แต่แรกแล้วล่ะมั้งว่านายจะลงมา? ไม่แน่ที่เขาทิ้งลูกศรไว้ ก็เพื่อเตือนนายเท่านั้น” สวี่ซูหานพูดเสียงเบา
“ใช่น่ะสิ ไม่งั้นจะเรียกเขาว่าเจ้าเฟิ้งจื่อได้ยังไง…” หลิงม่อตอบอย่างเอือมระอา
ทั้งสองเงียบอีกครั้ง ต่างคนต่างตั้งหน้าตั้งตาเดินไปข้างหน้าให้เร็วที่สุด
สวี่ซูหานเดินตามอยู่ข้างหลัง เธอลอบมองแผ่นหลังของหลิงม่อเป็นครั้งคราว ขณะเดียวกัน จากเดิมที่พื้นใต้เท้าเป็นพื้นซีเมนต์เปียกๆ ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นโคลนที่ลึกตื้นไม่เท่ากัน บางจุดก็เริ่มมีร่องรอยประหลาดๆ ผุดขึ้นมา สิ่งที่ทำให้เธอตะลึงที่สุด คือระหว่างทางพวกเขาเจอโครงกระดูกครึ่งตัว นอนเฉียงอยู่บนพื้นโคลนตม…บนแขนของโครงกระดูกนั้นมีสร้อยทองแบบผู้หญิงห้อยไว้หนึ่งเส้น ท่ามกลางโคลนตมอันมืดมิดมันสะท้อนแสงวิบวับสะดุดตา
หลังจากที่จะพูดแต่ก็ไม่พูดมาหลายครั้ง ในที่สุดสวี่ซูหานก็อดเปิดปากขึ้นไม่ได้ “หลิงม่อ…”
“หืม?”
“นายรู้อะไรมาใช่หรือเปล่า? หมายถึงเรื่องเกี่ยวกับที่นี่?” สวี่ซูหานถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจ จากนั้นเธอก็พูดเสริมอย่างล่ำละลัก “ฉันรู้สึกเหมือนนาย…นายไม่สนเลยว่าสภาพแวดล้อมในนี้จะเป็นยังไง…อ๊ะ ขอโทษที! นายเป็นห่วงอวี่เหวินซวนสินะ? ฉันไม่ได้อยากละลาบละล้วง…”
ขณะที่เธอกำลังหาเหตุผลมาอธิบาย ก็ได้ยินหลิงม่อบอกว่า “ฉันรู้มาบ้างจริงๆ แต่ไม่ได้รู้ทั้งหมด ระหว่างทางถ้ามีเรื่องที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ฉันจะเตือนเธอก่อน ไม่ต้องห่วง”
“เอ้า? ยอมรับแล้วหรอ?” สวี่ซูหานกลับตกใจ พลันยกมือทาบอกทันที
ตอนที่เธอยังเป็นมนุษย์ เธอได้ค้นพบความจริงเรื่องหนึ่ง หลิงม่อมีความลับอยู่มากมาย…หลังจากกลายเป็นซอมบี้ ถึงแม้เธอจะรู้หนึ่งในความลับสุดยอดของเขาแล้ว แต่สำหรับตัวหลิงม่อเอง เธอกลับยังรู้จักเขาไม่มากนัก ในทางตรงกันข้าม หลิงม่อกลับรู้จักเธอดีเหมือนรู้จักนิ้วมือตัวเอง…ความแตกต่างที่ชัดเจนนี้ ทำให้สวี่ซูหานรู้สึกวุ่นวายใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลิงม่อ…
“แต่ฉันไม่คิดเลยว่าครั้งนี้เขากลับยอมบอกฉัน! ถึงแม้มันจะไม่ใช่การเปิดเผยความลับออกมาหมดเปลือก แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เมินคำถามของฉันอีกแล้ว! หรือเป็นเพราะฉันไม่ได้เป็นคนแล้ว? เพราะฉันกลายเป็นซอมบี้เขาเลยมองว่าฉันเป็นคนของเขาไปแล้ว…ไม่สิๆ ไม่ถึงกับเป็นคนของเขา น่าจะเป็นไม่ระวังตัวกับฉันเท่าเมื่อก่อนอีกแล้วมากกว่า…”
สวี่ซูหานกำลังคิดฟุ้งซ่าน แต่กลับถูกหลิงม่อดึงแขนไว้
ไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาอะไร ปากของเธอถูกมือข้างหนึ่งปิดไว้ แล้วถูกลากตัวเข้าไปในมุมมืด
“อื้อ…”
“ชู่ว” เสียงเบาๆ ของหลิงม่อดังขึ้นที่ข้างหูเธอ และเธอก็เพิ่งสังเกตเห็นตอนนี้ หลิงม่อปิดไฟฉายตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วไม่รู้…
“ข้างหน้า เหมือนจะมีอะไร” หลิงม่ออธิบายเสียงเบา
ลมหายใจแผ่วเบาของหลิงม่อกระทบใบหูของสวี่ซูหานเบาๆ เธอยืนเกร็งไปทั้งตัว แต่หลังจากที่ได้ยินหลิงม่ออธิบาย เธอกลับลอบกลอกตาขาวเงียบๆ ทั้งๆ ที่ยังใจเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ “ก็นายทำฉันตกใจนี่! ว่าแต่…ทำไมเขาต้องใช้มือปิดปากฉันไว้ด้วยเนี่ย!”
“อยากกัดซักคำจัง…”
—————————————————————————-