จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – บทที่ 892 การควบคุมที่แม่นยำ

บทที่ 892 การควบคุมที่แม่นยำ

“ถ้าฐานะที่สูงศักดิ์ของสำนักยาตัน ทำให้นักกลั่นยาทุกคนจดจำเอาไว้ในใจ ถ้างั้นสำนักยาตันก็จะกลายเป็นดังเทพเจ้าที่อยู่ในโลกกลั่นยา และไม่มีใครสามารถสั่นคลอนฐานะของพวกเขาได้อีก!”

โม่จือมิ่งวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างละเอียด นี่คงเป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของป่ายหลี่เถ่

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมองออก แต่พวกเขาก็หยุดป่ายหลี่เถ่ไม่ได้

ตอนนี้พลังของสำนักยาตันแข็งแกร่งมากๆ และกลายเป็นผู้นำของโลกกลั่นยาอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง

ถึงแม้จะมีคนอยากจะแทนที่สำนักยาตัน แต่คนของโลกกลั่นยาก็คงจะไม่ยอมรับอย่างแน่นอน

ดังนั้น สำหรับแผนการของป่ายหลี่เถ่ ถึงแม้ทุกคนจะรู้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

นอกจากจะมีคนที่สามารถเอาชนะป่ายหลี่เถ่ ทำให้เจ้าสำนักป่ายหลี่คนนี้พ่ายแพ้

ถ้าเป็นแบบนี้ แผนการต่างๆของป่ายหลี่เถ่ก็จะล้มเหลวทันที

อย่างไรก็ตาม วิชาการกลั่นยาของป่ายหลี่เถ่นั้นแข็งแกร่งมากๆ แม้แต่ผู้นำของสมาคมโอสถก็สามารถสู้กับเขาได้แค่สูสีเท่านั้น

และสมาคมโอสถไม่ได้อยู่ในโลกกลั่นยาทั้งหมด แต่พวกเขาส่วนใหญ่จะอยู่ในโลกแห่งแพทย์

ดังนั้นป่ายหลี่เถ่จึงกลายเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของโลกกลั่นยา

หลินหยุนพูดเบาๆ:”ไม่ต้องใจร้อน ครั้งนี้ฉันจะดึงเขาลงจากตำแหน่งบุคคลอันดับหนึ่งของโลกกลั่นยาได้อย่างแน่นอน”

ป่ายหลี่เถ่พอใจมากๆกับการตอบสนองของทุกคนที่อยู่ด้านล่าง เขาพูดอีกครั้ง:”ทุกคนช่วยเงียบๆหน่อย!”

“ตอนนี้ฉันขอประกาศ การแข่งขันด่านที่สามเริ่มต้นได้เลย!”

ลูกศิษย์ของสำนักยาตันเดินขึ้นมายังเวที และเก็บข้าวของที่ใช้ในด่านที่สองทั้งหมดลงไป จากนั้นลูกศิษย์พวกนั้น ก็ยกเตาสามขาเนื้อสัมฤทธิ์ทั้งหมดสิบอันขึ้นมา

และมีลูกศิษย์คนหนึ่ง ได้เอาธงสีดำและสีแดงให้กับป่ายหลี่เถ่

ป่ายหลี่เถ่ยกธงที่อยู่ในมือขึ้นมา และพูดทันที:”ด่านที่สามนี้ ฉันจะเป็นผู้ตัดสินเอง”

“ยังคงเป็นกฎระเบียบเดิม ธงดำคือไฟบุ๋นธงแดงคือไฟบู๊”

“มีเวลาสิบนาที ถ้าตามไม่ทันหรือทำผิด ก็จะถูกสละสิทธิ์และตกรอบทันที!”

“ทุกคนเข้าใจแล้วใช่ไหม?”

โม่จือมิ่งอธิบายให้หลินหยุนฟังด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”ด่านที่สามคือการทดสอบการควบคุมเปลวไฟของนักกลั่นยา ถ้าเขาถือธงดำขึ้นมา ก็ควบคุมเปลวไฟในเตาสัมฤทธิ์ให้เล็กลง แต่ถ้าเขาถือธงแดงขึ้น ก็ควบคุมเปลวไฟในเตาสัมฤทธิ์ให้ใหญ่ขึ้น”

“ด่านที่สามเป็นด่านที่ยากที่สุด ถ้าสามารถผ่านไปได้ ก็จะมีสิทธิ์ท้าประลองสำนักยาตัน”

หลินหยุนไม่ได้พูดอะไรอีก ด่านแรกทดสอบเรื่องพลังและความสามารถ ด่านสองทดสอบเรื่องความขยัน ด่านที่สามก็คือทดสอบการควบคุมและความอดทน

ถ้าสามารถผ่านด่านที่สามไปได้ ก็จะกลายเป็นนักกลั่นยาที่ดีได้อย่างแน่นอน

ป่ายหลี่เถ่ประกาศอีกครั้ง:”เริ่มได้เลย!”

เนื่องจากสองด่านแรกที่ผ่านมา หลินหยุนสามารถทำคะแนนได้ดีมากๆ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์สนใจเขาทันที และเขากลายเป็นม้ามืดของงานประลองกลั่นยาในครั้งนี้

ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นแข่งขันด่านที่สาม ทั้งผู้ตัดสินและผู้คนทั้งหลาย ต่างจ้องมองไปที่หลินหยุน

ด่านที่สาม ยังคงแข่งขันกันครั้งละสิบคน

นักกลั่นยาที่เข้าแข่งขันเหล่านั้น ต่างยืนอยู่บนเวที ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างดูการแข่งขันของพวกเขาอยู่

ป่ายหลี่เถ่มองคนกลุ่มแรกที่ขึ้นมาแข่งขันทั้งหมดสิบคน และถามทันที:”เตรียมตัวให้พร้อม ปล่อยเปลวไฟออกมา!”

นักกลั่นยาสิบคนยื่นมือไปกดไว้ที่เตาสัมฤทธิ์ ด้านในเตาสัมฤทธิ์ก็มีเปลวไฟพุ่งออกมาทันที แต่เปลวไฟนั้นไม่ได้ใหญ่มาก และมันสูงกว่าเตาสัมฤทธิ์ไม่กี่เซนติเมตร

ในเวลานี้ ทุกคนต่างเก็บซ่อนพลังที่แท้จริงของตัวเองไว้ เพราะทุกคนไม่กล้าสูญเสียพลัง

มือซ้ายของป่ายหลี่เถ่ถือธงแดง ส่วนมือขวาถือธงดำ เขายื่นสองมืออยู่ในระนาบเดียวกัน

ทุกคนมุ่งความสนใจไปที่ธงในมือของป่ายหลี่เถ่ทันที

“ธงสีแดง!”

ป่ายหลี่เถ่ยกมือซ้ายขึ้นมาทันที

ฟู๊ๆๆๆ!

เปลวไฟในเตาสัมฤทธิ์ทั้งสิบใบ พุ่งสูงขึ้นทันที

จากนั้นป่ายหลี่เถ่ก็ยกมือขวาขึ้น:”ธงดำ!”

ฟู่ๆ!

เปลวไฟในเตาสัมฤทธิ์ทั้งสิบใบเล็กลงทันที และเปลวไฟก็เล็กลงไปเหมือนตอนที่เริ่มการแข่งขัน

ด้วยวิธีนี้ สองมือของป่ายหลี่เถ่สลับกันยกขึ้นยกลง แต่บางครั้งเขาก็ยกธงอันเดิมขึ้นมาสองครั้งติดต่อกัน

ผ่านไปไม่นานก็มีคนทำผิด

ทั้งๆที่เป็นธงแดง แต่เปลวไฟกลับไม่ได้พุ่งขึ้นมา

แต่ก็มีบางคนปล่อยให้เปลวไฟพุ่งขึ้นมา ตอนที่เขายกธงดำขึ้น

ถ้าทำผิดเพียงหนึ่งครั้ง ก็จะตกรอบทันที

สุดท้าย คนกลุ่มแรกที่เข้าแข่งขันก็เหลือเข้ารอบแค่สองคนเท่านั้น

อัตราในการตกรอบสูงถึง80% ความยากของด่านที่สาม แค่ดูก็รู้แล้ว

หลินหยุนกับโม่จือมิ่งเข้าร่วมการแข่งขันในกลุ่มที่สอง

เมื่อเห็นหลินหยุนปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ตัดสินบนโต๊ะ หรือผู้ชมด้านล่างเวที ต่างก็ใช้สายตามองไปที่หลินหยุนทันที

โม่จือมิ่งยืนมือไปจับเตาสัมฤทธิ์ทันที เขามองหลินหยุนครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ป่ายหลี่เถ่และเขาก็รวบรวมสมาธิทันที

หลินหยุนยืนอยู่ด้านหน้าเตาสัมฤทธิ์ด้วยสีหน้าปกติ เขาไม่ได้เหมือนกับคนอื่นๆ ที่เอามือจับเตาสัมฤทธิ์ไว้

“เขากำลังทำอะไรอยู่เหรอ? ทำไมเขาถึงยังไม่ยอมเตรียมตัวละ!”เจียงย่านหรงสงสัยทันที

ตอนนี้หลินหยุนไม่ได้ยื่นมือไปจับเตาสัมฤทธิ์ ถ้าป่ายหลี่เถ่ยกธงขึ้น เขาก็จะช้ากว่าคนอื่นครึ่งก้าว

ผู้ตัดสินแซ่กู่ที่อยู่ด้านบนขมวดคิ้วทันที:”ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็มองไปที่หลินหยุน และพวกเขาก็เริ่มพูดคุยสนทนาทันที

“เด็กหนุ่มคนนั้นทำอะไรกันแน่ ทำไมเขาถึงยืนอึ้งอยู่อย่างนั้นละ!”

“ใช่ ฉันก็ไม่เข้าใจจริงๆ เขาต้องการทำอะไรกันแน่?”

ป่ายหลี่หลงเซิ่งกับซูม่านม่านมองหลินหยุนด้วยความสงสัยเหมือนกัน

ป่ายหลี่หลงเซิ่งพูด:”เขาต้องการทำอะไรกันแน่? เขายอมแพ้เหรอ?”

“ฮ่าๆๆ ฉันเข้าใจแล้ว เขาคงมีความสามารถและความขยันที่ดี แต่เขาไม่มีความอดทนและพลังในการควบคุมที่ดี ดังนั้นเขาก็เลยเตรียมตัวที่จะยอมแพ้ในด่านที่สาม”

ซูม่านม่านเหลือบมองป่ายหลี่หลงเซิ่งที่หลงตัวเองมากๆ เธออยากจะผ่าศีรษะของคนคนนี้ออกมาดู ในสมองของเขาเป็นสมองโง่ๆของหมูหรือเปล่า ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้

คนคนหนึ่งสามารถผ่านสองด่านได้อย่างง่ายดาย กลายเป็นนักกลั่นยาที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ คุณคิดว่าเขาอาศัยแค่ความโชคดีเหรอ?

ซูม่านม่านรู้สึกว่าการที่หลินหยุนยืนนิ่งๆและไม่ยอมขยับร่างกาย ไม่ได้เป็นเพราะเขาต้องการยอมแพ้ แต่เขามีความมั่นใจในตัวเองสูง

ป่ายหลี่เถ่มองไปที่หลินหยุนหนึ่งครั้งด้วยสายตาที่สงสัย แต่เขาไม่ได้คิดเหมือนลูกชายโง่ๆของเขาอย่างแน่นอน เพราะเขาไม่ได้คิดว่าหลินหยุนกำลังจะยอมแพ้

แต่เขากลับมีความคาดหวังอยู่ในใจ เขารู้สึกว่าหลินหยุนจะต้องทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้งอย่างแน่นอน

“เตรียมตัวเสร็จหรือยัง?”

นักกลั่นยาสิบคนไม่ได้ตอบ แต่กลับมีเสียงของเปลวไฟพุ่งออกมาทันที เตาสัมฤทธิ์ที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขามีเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาทันที

“เริ่มการแข่งขัน!”

เมื่อป่ายหลี่เถ่พูดจบ เขาก็ยกธงแดงขึ้นมาทันที

ฟู๊ๆๆ เปลวไฟในเตาสัมฤทธิ์ทั้งสิบใบ พุ่งสูงขึ้นมาทันที

อย่างไรก็ตาม จู่ๆทุกคนในสนามแข่งก็เงียบทันที

เพราะสายตาของทุกคนต่างจ้องไปที่หลินหยุน

ดูเหมือนเวลาโดนหยุดนิ่งเอาไว้

หลินหยุนยืนอยู่ที่เดิมและไม่ได้ขยับร่างกาย ระยะห่างระหว่างตัวเขากับเตาสัมฤทธิ์ประมาณสองเมตร

เขายื่นมือออกมา ระยะห่างระหว่างมือของเขากับเตาสัมฤทธิ์คือหนึ่งเมตร

แต่ด้วยระยะห่างนี้ จู่ๆเปลวไฟก็ลุกโชนขึ้นในเตาสัมฤทธิ์ทันที และเปลวไฟของเขาสูงกว่านักกลั่นยาคนอื่นๆ อย่างน้อยเปลวไฟของเขาก็สูงกว่าคนอื่นๆถึงสามเท่า

ผู้ตัดสินที่อยู่ด้านบนต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที!

สีหน้าของป่ายหลี่เถ่นั้นเคร่งขรึม แต่ใบหน้าของเขาก็กระตุกไปหลายครั้ง

“นั่นคือปล่อยเปลวไฟผ่านอากาศ!”

“โอ้พระเจ้า มันเป็นไปได้ยังไง!”

“ในตำนานมีเพียงนักกลั่นยาระดับเทพที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากๆในโลกกลั่นยาเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถปล่อยเปลวไฟผ่านอากาศได้!”

ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที หลังจากอึ้งไปสักครู่ จากนั้นพวกเขาก็ตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที

สายตาของทุกคนที่มองไปที่หลินหยุนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

แม้แต่ป่ายหลี่เถ่ที่อยู่ด้านบนเวที ก็อึ้งไปเลยและเขาก็ลืมยกธง

ป่ายหลี่หลงเซิ่งและซูม่านม่านตกใจมากๆเหมือนกัน เธอรู้สึกว่าเรื่องที่เธอกังวลมากที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว

เจียงย่านหรงอ้าปากค้างจนสามารถยัดกล้วยทั้งใบเข้าไปปากได้ สายตาที่เธอมองหลินหยุนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและตกใจ

“ใช่จริงๆเหรอ เขาเก่งขนาดนี้เลยเหรอ!”

“ด้วยระยะห่างขนาดนั้น เขายังสามารถควบคุมเปลวไฟได้ เขาทำได้ยังไง!”

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

Status: Ongoing

มหากษัตริย์ชางฉองหลินหยุนที่ปราบปรามสามโลกไถ่บาปไม่สำเร็จ เกิดใหม่กลับสู่โลกมนุษย์เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ชาติปางก่อน ได้เมียที่สวยเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่กลับครอบครองไม่ได้ ชาตินี้ หลินหยุนจะทำยังไง……ชาติก่อน เขาเป็นคนไร้ความสามารถที่ใครๆต่างดูถูก ชาตินี้ เขาเป็นหมอเทพหลินในวงการแพทย์ ตาทิพย์หลินในวงการของโบราณ อาจารย์หลินในวงการฮวงจุ้ย และหลินชางฉองในวงการบู๊ เมื่อเขากลับมาสู่เทวโลกอีกครั้ง พบว่าเทวโลกมีการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่กำลังไถ่บาปรวมตัวกัน พวกเขาจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท