ในเวลาเดียวกัน เซียวจิ่งสือก็พบว่าหลินหว่านหายตัวไป เขาส่งคนไปตามหาบริเวณโดยรอบก็ไม่เจอ
ตอนแรก เขาเข้าใจว่าหลินหว่านมีธุระออกไปข้างนอก แต่เขาโทรเข้ามือถือของเธอยังไงก็โทรไม่ติด
ตอนนี้ดูท่าว่าหลินหว่านคงเกิดเรื่องบางอย่าง ดังนั้นเซียวจิ่งสือจึงส่งคนออกไปตามหาร่องรอยของหลินหว่าน
ส่วนเขาตอนแรกนั่งอยู่ในห้องทำงานก็ยังจิตใจว้าวุ่น เนื่องจากผ่านไปหลายชั่วโมงก็ยังไม่มีข่าวคราวใดๆ ของหลินหว่านเลย
นี่ไม่เพียงทำให้เขาคิดถึงเหตุการณ์หลากหลายชนิด เวลาผ่านไปทุกนาที พอรู้ว่าผิดปกติ เซียวจิ่งสือก็ออกไปตามหาด้วยตัวเอง
เรื่องของบริษัท เขาไม่มีเวลาสนใจแล้ว ภารกิจสำคัญอันดับหนึ่งก็คือหาตัวหลินหว่านให้พบ แต่พอฟังรายงานของพวกลูกน้องว่ายังไม่เจอตัวหลินหว่าน เธอเหมือนกับหายตัวไปเฉยๆ อย่างนั้นเลย
แต่ส่งคนออกไปตั้งมากมายขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่พบร่องรอยของหลินหว่าน
จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบ และเนื่องด้วยตอนนี้เซียวจิ่งสือละเลยต่องานบริษัท ทำให้ขุมกำลังของอันจี๋ถิงแทรกตัวเข้ามาในบริษัท
ตอนนี้ถึงแม้จะยังไม่พบร่องรอยของหลินหว่าน แต่ก็ทราบข่าวหนึ่ง นั่นคืออันจี๋ถิงปรากฏตัวขึ้นแล้ว
คาดว่าการหายตัวไปของหลินหว่านคงต้องเกี่ยวเนื่องกับเธอแน่ เซียวจิ่งสือรู้สึกตกใจอยู่บ้าง ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง งั้นตอนนี้อันจี๋ถิงคงต้องเข้าใจผิดว่าอี้อวิ๋นฉังที่เขาไม่สนใจนั่นเป็นลูกสาวของตัวเอง พอคิดถึงตรงนี้ เซียวจิ่งสือก็รู้สึกได้ว่าหลินหว่านกำลังตกอยู่ในอันตราย
การปรากฏตัวของอันจี๋ถิงแม้ว่าจะเหนือความคาดหมายของเซียวจิ่งสือ ซึ่งเขาเองก็คิดไม่ถึงว่าอันจี๋ถิงจะมาปรากฏตัวในตอนนี้
ตัวเขาเองก็ไม่อาจจะนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปก็หมายความว่าหลินหว่านยิ่งเสี่ยงมากขึ้น
เซียวจิ่งสือตัดสินใจว่าจะไปหาอันจี๋ถิงด้วยตัวเอง อันจี๋ถิงก็รู้อยู่แล้วว่าเซียวจิ่งสือจะมาหาเธอ
“พูดสิ มาหาฉันทำไม” อันจี๋ถิงก็ไม่ไว้หน้าเซียวจิ่งสือเช่นกัน ถ้าหากเธอทายไม่ผิด เขาต้องมาหาแม่ผู้หญิงนั่นแน่
“คุณทำแบบนี้กับลูกสาวฉันนี่เอง” อันจี๋ถิงวางถ้วยชาในมือลง รู้สึกขัดเคืองใจมาก พอคิดว่าหลายปีมานี้เธอติดค้างลูกสาวไว้มาก ก็น่าจะช่วยเธอได้ในตอนนี้
“คุณแน่ใจแล้วหรือว่าเธอเป็นลูกสาวของคุณ?” อันจี๋ถิงคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวจิ่งสือจะพูดแบบนี้ “คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง ทำไมเธอจะไม่ใช่ลูกสาวฉัน จนถึงขนาดนี้แล้วก็อย่าทำปากแข็งไปหน่อยเลย”
อันจี๋ถิงพอได้ฟัง ถึงแม้จะรู้สึกตกใจ แต่เพียงชั่วครู่ก็สงบใจลงได้ อันที่จริงเธอก็นึกถึงปัญหานี้แต่แรก เธอต้องใช้เวลานานมากกว่าจะยืนยันได้ว่าอี้อวิ๋นฉังเป็นลูกสาวเธอ
“งั้นถ้าผมบอกว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวของคุณล่ะ?” พอนึกถึงว่าตอนนี้หลินหว่านอาจตกอยู่ในอันตราย เซียวจิ่งสือก็พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
เธอคิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือจะพูดแบบนี้กับเธอ อันจี๋ถิงนั่งไขว่ห้าง “จนถึงตอนนี้คุณยังจะโกหกฉันอีก” อันจี๋ถิงจ้องเซียวจิ่งสือเขม็งอย่างไม่อยากเชื่อ
ตอนนี้เธอไม่ชอบใจชายหนุ่มตรงหน้านี้อย่างมาก เซียวจิ่งสือส่ายหน้าอย่างอับจน “คนที่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่หลินหว่านตัวจริง หลินหว่านต่างหากที่ใช่”
พอได้ยินเช่นนี้ อันจี๋ถิงก็หัวเราะออกมา รู้สึกว่าถึงตอนนี้เขายังจะมาพูดโกหกแบบนี้กับเธออีก “คุณจะบอกว่าแม่ผู้หญิงที่ไปทำศัลยกรรมหน้ามานั่น เป็นลูกสาวของฉัน ตอนคุณพูดนี่ได้ใช้สมองคิดด้วยหรือเปล่าเนี่ย?”
อันจี๋ถิงหัวเราะใส่หน้าเซียวจิ่งสือ เนื่องจากเธอรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องตลกขบขันที่สุดที่เธอได้ยินมา เรื่องทั้งหมดนี้ฟังดูแปลกประหลาดจนเหลือเชื่อ
ตอนนี้เธอเข้าใจว่าเซียวจิ่งสือแค่ใช้วิธีพรางตากับเธอ “จะพูดก็ต้องมีหลักฐาน ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นลูกสาวฉันได้อย่างไรกัน” อันจี๋ถิงส่ายหน้าดิก รู้สึกว่าคำพูดของเซียวจิ่งสือเป็นแค่คำแอบอ้างลอยๆ
“ผมคิดว่าคุณก็คงรู้สึกเหมือนกันว่านี่มันเรื่องยกเมฆ แต่ที่เธอทำศัลยกรรมใบหน้าก็เพราะถูกบ้านตระกูลอันทำร้าย จึงต้องทำ” เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองพูดออกจะเหลือเชื่อเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ดูไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรก็คงยากจะเข้าใจได้
อี้อวิ๋นฉังรู้ว่าคนทั้งสองจะพบกัน จึงแอบดูอยู่มุมหนึ่งนานแล้ว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเซียวจิ่งสือจะพูดแบบนี้ จากเดิมที่เธอหลงเข้าใจว่าเซียวจิ่งสือไม่รักหลินหว่าน คิดไม่ถึงว่าจะค้นพบร่องรอยพิรุธ
“ทำไมเป็นอย่างนี้ไปได้ ทำไม?” ชั่ววูบนั้นอี้อวิ๋นฉังรู้สึกว่าตัวเองสับสนว้าวุ่นไปบ้าง คิดแต่ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?
พอเห็นว่าเซียวจิ่งสือยังจะพูดต่อไปอีก เคราะห์ดีที่อันจี๋ถิงไม่เชื่อเขา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าที่แท้แล้วเซียวจิ่งสือก็รู้เรื่องบางเรื่องแล้ว
“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ออกมาได้นะ ฉันต่างหากที่เป็นหลินหว่านตัวจริง” อี้อวิ๋นฉังชี้นิ้วสั่นเทามาที่ตัวเองด้วยท่าทีน่าสงสาร จากนั้นก็ร้องไห้กระซิกออกมาเหมือนดอกหลีถูกน้ำฝน
พอเห็นลูกสาวร้องไห้ออกมาตรงหน้า อันจี๋ถิงก็ไม่สบายใจขึ้นมาบ้าง ทอดถอนใจไปหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าหลายวันมานี้จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ ขณะที่ในใจคิดว่าลูกสาวของเธอต้องทุกข์ทรมานใจขนาดไหน
“คุณก็อย่ามาพูดจาซี้ซั้วมั่วซั่วที่นี่แล้ว” อันจี๋ถิงได้ฟังคำพูดของเซียวจิ่งสือแล้วก็โกรธมาก ตบโต๊ะไปหลายที คิดไม่ถึงว่าเซียวจิ่งสือยังจะทำปากกล้าเถียงคำไม่ตกฟาก นี่ก็คือความคิดเธอตอนนี้
อี้อวิ๋นฉังคิดว่าตอนนี้จะยังไงซะเธอก็ไม่มีทางยอมรับหรอก ยันคำเดียวว่าตัวเองเป็นหลินหว่าน อันที่จริงในใจเธอก็ตึงเครียดอยู่มากเช่นกัน
นอกจากนี้เธอยังพูดถึงเรื่องราวตอนที่สองคนอยู่ด้วยกัน พูดซะแม่นเป๊ะขนาดนั้นเลย
อันจี๋ถิงเห็นอยู่คาตา เธอรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เซียวจิ่งสือรังแกลูกสาวเธอ “คุณอย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ นี่เป็นเพียงข้ออ้างที่คุณยกมาบังหน้าเท่านั้น” อันจี๋ถิงอารมณ์ขึ้นอยู่บ้าง
ทำอย่างไรเธอก็ไม่เชื่อว่านั่นเป็นความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอไม่ได้เห็นว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงด้วยซ้ำ ลองคิดดูซิว่าผู้หญิงแบบนั้นจะมาเป็นลูกสาวตัวเองได้อย่างไร
“คุณไม่เชื่อผมก็ทำอะไรไม่ได้ ที่ผมพูดนี่เป็นความจริงทั้งหมด” เซียวจิ่งสือรู้สึกว่าต่อให้พูดแค่ไหนก็คงไม่ได้ผลอะไร ดูท่าแล้วไม่ว่าเขาจะพูดอะไรอันจี๋ถิงก็คงไม่เชื่ออยู่ดี
คิดไม่ถึงว่าอี้อวิ๋นฉังนี่จะมีฝีมือขนาดนี้ พลิกขาวให้เป็นดำเธอทำได้ร้ายกาจมาก
“คุณบอกว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวฉัน งั้นทำไมหลายวันมานี้ฉันส่งคนออกไปสืบถึงบอกเหมือนกับที่เธอพูดทุกอย่างล่ะ” อันจี๋ถิงชี้ไปที่อี้อวิ๋นฉัง น้ำเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง ถึงกับพูดได้ว่าอารมณ์ขึ้นเล็กน้อย
“แม่คะ อย่าโมโหอย่างนี้สิ” อี้อวิ๋นฉังเห็นว่าอันจี๋ถิงเชื่อเธอขนาดนี้ เห็นเธอตบอกตัวเองไม่หยุด อี้อวิ๋นฉังจึงเข้าไปปลอบเธอ
ในเวลานั้นเซียวจิ่งสือก็รู้สึกอัดอั้นตันใจเหมือนกัน ทำไมอี้อวิ๋นฉังจึงมีความทรงจำของหลินหว่านได้ เหมือนที่เมื่อครู่อันจี๋ถิงพูด จุดนี้เขาก็อธิบายไม่ได้เหมือนกัน
ในสายตาเขา อี้อวิ๋นฉังไม่มีทางเป็นหลินหว่านไปได้ ต้องมีสาเหตุที่ทำให้เธอรู้เรื่องของหลินหว่านแน่
อี้อวิ๋นฉังถามเซียวจิ่งสือว่าชอบหลินหว่านจริงหรือ แล้วขอร้องให้อันจี๋ถิงปล่อยหลินหว่านไป