ข้าง ๆ เขามีโต๊ะไม้พะยูงตัวเตี้ยตั้งอยู่ บนโต๊ะมีกระถางธูปที่ถูกจุดไว้ ไม้กฤษณาชั้นเลิศกำลังถูกเผาไหม้อย่างเงียบเชียบ เกิดเป็นกลิ่นที่ทั้งหอมทั้งเศร้าโชยออกมา
หลังจากที่รอให้ลูกน้องของเขารายงานสถานการณ์เสร็จ เขาก็หยุดโบกพัดอยู่ในมือ
ก่อนจะพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า “เพราะงั้น อาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนก็เลยถูกพวกเขาแบ่งกันจนเสร็จแล้วเหรอ?”
ลูกน้องของเขาก้มหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ครับ”
ขณะที่ตอบ เขาก็เหลือบมองไปที่เจ้านายของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย
“คุณท่าน พวกเราไม่เข้าใจมาตลอด ในเมื่อท่านลงมือต่อกรกับ กลุ่มชาวจีนทำไมไม่….”
ชายหนุ่มยิ่งออกมาเบา ๆ
ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติ มีประกายที่ยากจะคาดเดา
ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า “ฉันขัดสนเรื่องเงินงั้นเหรอ?”
ลูกน้องของเขาชะงักไป
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเจ้านายเขามีเงินเท่าไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ขัดสนอย่างแน่นอน
เพราะงั้น เขาจึงส่ายหน้าเบา ๆ
ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วตระกูลหนานต้องการสิ่งของภายนอกเพื่อเป็นหลักประกันพลังอำนาจของพวกเขารึเปล่า?”
ลูกน้องก็ส่ายหน้าอีกครั้ง
“ในเมื่อไม่ได้ต้องการอะไร แล้วจะให้ฉันไปแก่งแย่งกับพวกเขาทำไม”
พอเขาพูดแบบนี้ ลูกน้องคนนั้นคล้ายจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนไม่เข้าใจ
“งั้นที่ท่านลงมือครั้งนี้….”
“ฉันมีเหตุผลของฉัน”
พอชายหนุ่มพูดจบ เขาก็โบกมือเบา ๆ ลูกน้องเห็นดังนั้น เขาก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่ม จึงค่อย ๆ ถอยออกไป
รอจนเขาออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสักพัก จนกระทั่งมีคนรับใช้จากด้านนอกเข้ามากระซิบบอกเขาว่า “ คุณชายรอง มาแล้วครับ”
เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วเดินออกไป
ภายในห้องอันเงียบสงบ พร้อมกับการตกแต่งที่เรียบง่าย
ขณะที่ชายหนุ่มเดินเข้าไป ภายในห้องก็มีอีกคนหนึ่งนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว
ชายคนนั้นสวมชุดสูทสีเข้ม ดูเหมือนอายุประมาณห้าสิบหรือหกสิบปี พอเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบโค้งตัวทำความเคารพทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณท่าน มาแล้วเหรอครับ”
หนานกงจิ่น มองไปยัง หนานกงยวู่ ที่อยู่เบื้องหน้า
เขาถือสายประคำพร้อมกับใช้นิ้วลูบทีละเม็ด พร้อมพูดว่า “นั่งลงเถอะ”
หนานกงยวู่ จึงนั่งลงอย่างร้อนรน
เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ ผู้อาวุโสอันสูงส่งของตระกูลหนานในสายตาคนภายนอก ตอนนี้กำลังก้มหัวอย่างนอบน้อมให้ชายหนุ่มอีกคนที่ดูอ่อนกว่าเขาอย่างน้อยก็ยี่สิบปี
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เบื้องหน้ามีชุดถาดน้ำชาโบราณตั้งอยู่
หนานกงจิ่น เอื้อมมือออกไป ก่อนจะเริ่มชงชาอย่างละเมียดละไม
หนานกงยวู่ สังเกตเห็นว่ามือที่อยู่เบื้องหน้า นั้นเรียวยาวขาวสะอาด ราวกับหยกอันสมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนมือผู้ชายเลยสักนิด
เขาเกือบจะลุ่มหลงไปกับมันแล้ว จนกระทั่ง หนานกงจิ่น เริ่มพูดขึ้น อีกฝ่ายถึงได้ดึงสติกลับมา
“เรื่องทั้งหมดในตระกูลเรียบร้อยดีใช่ไหม?”
หนานกงยวู่ ตอบกลับอย่างลนลานว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เรื่องที่คุณท่านสั่งผมก่อนหน้านี้ ผมแจ้งลงไปแล้ว ทุกอย่างจัดการตามที่คุณท่านสั่งทั้งหมดเลยครับ”
หนานกงจิ่น พยักหน้ารับ
เขายกมือขึ้น พร้อมกับรินชาจอกหนึ่งให้ หนานกงยวู่ ด้วยตัวเอง
หนานกงยวู่ รับมาอย่างประจบสอพลอ แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเผือดด้วยความกลัว
“คุณท่าน ผมไม่กล้ารบกวนคุณท่านหรอกครับ ผมจัดการเองก็ได้”
หนานกงจิ่น ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คนกันเองทั้งนั้น จะเกรงใจอะไร”
คำพูดของเขา ทำให้ หนานกงยวู่ ชะงักไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่อยู่ ๆ ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่กำลังสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องปฏิบัติกับตนด้วยความสุภาพขนาดนี้ เขาก็ได้ยิน หนานกงจิ่น พูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้ต้องให้คุณจัดการเรื่องในตระกูลตลอด ลำบากคุณแล้ว”
พอคำพูดนี้หลุดออกมา ทันใดนั้น หนานกงยวู่ ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน
“คุณท่านครับ ผม ผมไม่ลำบากเลย ผมจัดการตามแนวทางที่คุณท่านต้องการตลอด เรื่องที่คุณท่านบอกทำไม่ได้ผมก็ไม่ทำ ผม…..”
เขาตื่นตระหนกจนเหงื่อซึมออกมาเต็มใบหน้า
หนานกงจิ่น พูดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยว่า “ฉันรู้ คุณไม่ต้องกลัว ฉันแค่ถามเฉย ๆ ตราบใดที่คุณยังทำงานได้ดี ฉันก็ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรคุณหรอก”
หนานกงยวู่ มองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ
หนานกงจิ่น ยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นั่งลง”
เขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้แค่ค่อย ๆ นั่งลงอีกครั้ง
บรรยากาศภายในห้องนั้นอึมครึมเล็กน้อย
หนานกงยวู่ ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเรียกผมมาวันนี้ มีอะไรจะสั่งรึเปล่าครับ”
หนานกงจิ่น ตอบกลับว่า “ไม่ต้องรีบ คุณลองชิมชาดูก่อน”
สีหน้าของเขาดูเฉยเมย ท่าทางในการชงชานั้นดูไม่รีบร้อน มองดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังเดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเพลินตาเวลามอง
หนานกงยวู่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยกชาขึ้นมาจิบเบา ๆ
รสชาติที่เข้าไปในปากนั้นขมเล็กน้อยก่อนจะมีรสหวานตามมา ทำให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
นัยน์ตาของเขาอดเป็นประกายไม่ได้
“ชาดี ๆ”
หนานกงจิ่น ยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมันประดับอยู่ในดวงตาเขา ราวกับว่าในใจของเขานั้นมีความสุขจริง ๆ
เขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่คือ เซียนเหรินจุ้ย ที่ ซูลั่ว ส่งมาให้ใหม่ ปีนี้รวบรวมมาได้แค่นิดหน่อย ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ฉัน ถ้าคุณชอบคุณเอากลับไปบ้างก็ได้นะ”
หนานกงยวู่ ตกตะลึงไปชั่วขณะ
ทว่าครั้งนี้ กลับไม่กล้าปฏิเสธ จึงตอบกลับอย่างร้อนรนว่า “ขอบคุณครับคุณท่าน”
หลังจากดื่มชาเสร็จ หนานกงจิ่น ก็พูดขึ้นว่า “ครั้งนี้ที่ฉันขอให้พวกคุณจัดการ กลุ่มชาวจีนแม้ว่าพวกคุณจะทำสำเร็จ แต่หลังจากเกิดเรื่อง ฉันก็ไม่ได้ให้พวกคุณเข้าไปมีส่วนร่วมในการแบ่งผลประโยชน์ คนข้างล่างคงจะเกิดข้อข้องใจกับคุณมากทีเดียว”
หนานกงยวู่ ยิ้มออกมาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง “พวกคนข้างล่างไม่เข้าใจความพยายามของคุณท่าน ต่อให้มีข้อข้องใจก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ต่อไปเมื่อพวกเขารู้ ว่าที่คุณท่านทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดี เดี๋ยวพวกเขาก็จะหายข้องใจไปเองล่ะครับ”
หนานกงจิ่น หรี่ตาลงเล็กน้อย
“แต่พวกเขาไม่ได้รู้ว่าคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ คือฉันที่อยู่เบื้องหลังคุณ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเบื้องหลังคุณมีฉันอยู่ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังยังไง?”
ใบหน้าของ หนานกงยวู่ นั้นแข็งทื่อขึ้นมาทันที
หนานกงจิ่น พูดต่ออย่างเฉยเมยว่า “ตระกูลหนานได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปี และผู้อาวุโสทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวคือการมุ่งมั่นและพัฒนาตระกูลให้มั่นคง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน หรือมีพลังอำนาจลึกลงไปเท่าไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีขีดจำกัด อาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนอยู่ไกลจากพวกเราเกินไป หากยึดมาได้ ไม่เพียงแค่จะได้ประโยชน์น้อยนิด แต่มันยังเป็นการกระจายกำลังของพวกเราอีก ซึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกในกลุ่มด้วย ในท้ายที่สุดตระกูลที่ดี ๆ อยู่แล้ว ก็อาจจะต้องลงเอยด้วยการแบ่งแยก จนสุดท้ายก็ต้องล่มสลายลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”
น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ เป็นจังหวะ หนานกงยวู่ ได้ฟัง หัวใจของเขากระตุกขึ้นมาทันที
เขาลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน ก่อนจะโค้งคำนับชายหนุ่มแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ คุณท่านที่ตักเตือนครับ ผมเข้าใจแล้ว”
หนานกงจิ่น ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องส่งตัวพวกคุณไปจัดการกับ กลุ่มชาวจีนนั้นก็แค่เพราะว่ากลุ่มนี้มันไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เกินไป เดิมทีความเป็นระเบียบของวงการใต้ดินก็ดีมาตลอดอยู่แล้ว แต่พวกเขากลับจงใจที่จะกวาดล้างกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมด พวกเขาอยากกินคำใหญ่เกินไป”
และเนื่องจากเรายึดถือความมั่นคงและความเป็นระเบียบมาโดยตลอด เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้เราจึงเพิกเฉยต่อมันไม่ได้ ไม่ต้องพูดว่าเคยมีคนทำมาเยอะแล้ว เราก็เหมือนแค่มาแต่งหน้าเค้กเพิ่ม ซึ่งมันก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว แถมยังได้ขายประโยชน์ให้กับฝ่ายอื่นอีก ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ?”
หนานกงยวู่ ก้มหน้ารับ “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”