วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 917 คนที่อยู่เบื้องหลัง

บทที่ 917 คนที่อยู่เบื้องหลัง

ข้าง ๆ เขามีโต๊ะไม้พะยูงตัวเตี้ยตั้งอยู่ บนโต๊ะมีกระถางธูปที่ถูกจุดไว้ ไม้กฤษณาชั้นเลิศกำลังถูกเผาไหม้อย่างเงียบเชียบ เกิดเป็นกลิ่นที่ทั้งหอมทั้งเศร้าโชยออกมา

หลังจากที่รอให้ลูกน้องของเขารายงานสถานการณ์เสร็จ เขาก็หยุดโบกพัดอยู่ในมือ

ก่อนจะพูดขึ้นอย่างราบเรียบว่า “เพราะงั้น อาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนก็เลยถูกพวกเขาแบ่งกันจนเสร็จแล้วเหรอ?”

ลูกน้องของเขาก้มหน้าลงเล็กน้อย พร้อมกับตอบกลับด้วยความเคารพว่า “ครับ”

ขณะที่ตอบ เขาก็เหลือบมองไปที่เจ้านายของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจเล็กน้อย

“คุณท่าน พวกเราไม่เข้าใจมาตลอด ในเมื่อท่านลงมือต่อกรกับ กลุ่มชาวจีนทำไมไม่….”

ชายหนุ่มยิ่งออกมาเบา ๆ

ใบหน้าที่หล่อเหลาไร้ที่ติ มีประกายที่ยากจะคาดเดา

ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า “ฉันขัดสนเรื่องเงินงั้นเหรอ?”

ลูกน้องของเขาชะงักไป

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเจ้านายเขามีเงินเท่าไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ขัดสนอย่างแน่นอน

เพราะงั้น เขาจึงส่ายหน้าเบา ๆ

ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้งว่า “แล้วตระกูลหนานต้องการสิ่งของภายนอกเพื่อเป็นหลักประกันพลังอำนาจของพวกเขารึเปล่า?”

ลูกน้องก็ส่ายหน้าอีกครั้ง

“ในเมื่อไม่ได้ต้องการอะไร แล้วจะให้ฉันไปแก่งแย่งกับพวกเขาทำไม”

พอเขาพูดแบบนี้ ลูกน้องคนนั้นคล้ายจะเข้าใจแล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนไม่เข้าใจ

“งั้นที่ท่านลงมือครั้งนี้….”

“ฉันมีเหตุผลของฉัน”

พอชายหนุ่มพูดจบ เขาก็โบกมือเบา ๆ ลูกน้องเห็นดังนั้น เขาก็ไม่กล้าถามอะไรเพิ่ม จึงค่อย ๆ ถอยออกไป

รอจนเขาออกไปแล้ว ชายหนุ่มก็ยังนั่งอยู่ตรงนั้นไปอีกสักพัก จนกระทั่งมีคนรับใช้จากด้านนอกเข้ามากระซิบบอกเขาว่า “ คุณชายรอง มาแล้วครับ”

เขาพยักหน้ารับ ก่อนจะยืดตัวขึ้นแล้วเดินออกไป

ภายในห้องอันเงียบสงบ พร้อมกับการตกแต่งที่เรียบง่าย

ขณะที่ชายหนุ่มเดินเข้าไป ภายในห้องก็มีอีกคนหนึ่งนั่งคอยอยู่ก่อนแล้ว

ชายคนนั้นสวมชุดสูทสีเข้ม ดูเหมือนอายุประมาณห้าสิบหรือหกสิบปี พอเห็นเขาเดินเข้ามา ก็รีบโค้งตัวทำความเคารพทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณท่าน มาแล้วเหรอครับ”

หนานกงจิ่น มองไปยัง หนานกงยวู่ ที่อยู่เบื้องหน้า

เขาถือสายประคำพร้อมกับใช้นิ้วลูบทีละเม็ด พร้อมพูดว่า “นั่งลงเถอะ”

หนานกงยวู่ จึงนั่งลงอย่างร้อนรน

เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการ ผู้อาวุโสอันสูงส่งของตระกูลหนานในสายตาคนภายนอก ตอนนี้กำลังก้มหัวอย่างนอบน้อมให้ชายหนุ่มอีกคนที่ดูอ่อนกว่าเขาอย่างน้อยก็ยี่สิบปี

ทั้งสองนั่งตรงข้ามกัน เบื้องหน้ามีชุดถาดน้ำชาโบราณตั้งอยู่

หนานกงจิ่น เอื้อมมือออกไป ก่อนจะเริ่มชงชาอย่างละเมียดละไม

หนานกงยวู่ สังเกตเห็นว่ามือที่อยู่เบื้องหน้า นั้นเรียวยาวขาวสะอาด ราวกับหยกอันสมบูรณ์แบบ ไม่เหมือนมือผู้ชายเลยสักนิด

เขาเกือบจะลุ่มหลงไปกับมันแล้ว จนกระทั่ง หนานกงจิ่น เริ่มพูดขึ้น อีกฝ่ายถึงได้ดึงสติกลับมา

“เรื่องทั้งหมดในตระกูลเรียบร้อยดีใช่ไหม?”

หนานกงยวู่ ตอบกลับอย่างลนลานว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับ เรื่องที่คุณท่านสั่งผมก่อนหน้านี้ ผมแจ้งลงไปแล้ว ทุกอย่างจัดการตามที่คุณท่านสั่งทั้งหมดเลยครับ”

หนานกงจิ่น พยักหน้ารับ

เขายกมือขึ้น พร้อมกับรินชาจอกหนึ่งให้ หนานกงยวู่ ด้วยตัวเอง

หนานกงยวู่ รับมาอย่างประจบสอพลอ แต่ใบหน้าของเขากลับซีดเผือดด้วยความกลัว

“คุณท่าน ผมไม่กล้ารบกวนคุณท่านหรอกครับ ผมจัดการเองก็ได้”

หนานกงจิ่น ยิ้มออกมาเล็กน้อย “คนกันเองทั้งนั้น จะเกรงใจอะไร”

คำพูดของเขา ทำให้ หนานกงยวู่ ชะงักไป ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่อยู่ ๆ ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

ขณะที่กำลังสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงต้องปฏิบัติกับตนด้วยความสุภาพขนาดนี้ เขาก็ได้ยิน หนานกงจิ่น พูดขึ้นว่า “หลายปีมานี้ต้องให้คุณจัดการเรื่องในตระกูลตลอด ลำบากคุณแล้ว”

พอคำพูดนี้หลุดออกมา ทันใดนั้น หนานกงยวู่ ก็เบิกตากว้างด้วยความตื่นตระหนก

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน

“คุณท่านครับ ผม ผมไม่ลำบากเลย ผมจัดการตามแนวทางที่คุณท่านต้องการตลอด เรื่องที่คุณท่านบอกทำไม่ได้ผมก็ไม่ทำ ผม…..”

เขาตื่นตระหนกจนเหงื่อซึมออกมาเต็มใบหน้า

หนานกงจิ่น พูดพร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อยว่า “ฉันรู้ คุณไม่ต้องกลัว ฉันแค่ถามเฉย ๆ ตราบใดที่คุณยังทำงานได้ดี ฉันก็ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรคุณหรอก”

หนานกงยวู่ มองเขาด้วยใบหน้าซีดเซียว เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจริงหรือเท็จ

หนานกงจิ่น ยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “นั่งลง”

เขาไม่มีทางเลือกอื่น จึงทำได้แค่ค่อย ๆ นั่งลงอีกครั้ง

บรรยากาศภายในห้องนั้นอึมครึมเล็กน้อย

หนานกงยวู่ ถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่านายท่านเรียกผมมาวันนี้ มีอะไรจะสั่งรึเปล่าครับ”

หนานกงจิ่น ตอบกลับว่า “ไม่ต้องรีบ คุณลองชิมชาดูก่อน”

สีหน้าของเขาดูเฉยเมย ท่าทางในการชงชานั้นดูไม่รีบร้อน มองดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเขากำลังเดินออกมาจากภาพวาดก็ไม่ปาน ทำให้คนที่เห็นรู้สึกเพลินตาเวลามอง

หนานกงยวู่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยกชาขึ้นมาจิบเบา ๆ

รสชาติที่เข้าไปในปากนั้นขมเล็กน้อยก่อนจะมีรสหวานตามมา ทำให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที

นัยน์ตาของเขาอดเป็นประกายไม่ได้

“ชาดี ๆ”

หนานกงจิ่น ยิ้มออกมาเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นมันประดับอยู่ในดวงตาเขา ราวกับว่าในใจของเขานั้นมีความสุขจริง ๆ

เขาพูดพร้อมรอยยิ้มว่า “นี่คือ เซียนเหรินจุ้ย ที่ ซูลั่ว ส่งมาให้ใหม่ ปีนี้รวบรวมมาได้แค่นิดหน่อย ทั้งหมดล้วนอยู่ที่ฉัน ถ้าคุณชอบคุณเอากลับไปบ้างก็ได้นะ”

หนานกงยวู่ ตกตะลึงไปชั่วขณะ

ทว่าครั้งนี้ กลับไม่กล้าปฏิเสธ จึงตอบกลับอย่างร้อนรนว่า “ขอบคุณครับคุณท่าน”

หลังจากดื่มชาเสร็จ หนานกงจิ่น ก็พูดขึ้นว่า “ครั้งนี้ที่ฉันขอให้พวกคุณจัดการ กลุ่มชาวจีนแม้ว่าพวกคุณจะทำสำเร็จ แต่หลังจากเกิดเรื่อง ฉันก็ไม่ได้ให้พวกคุณเข้าไปมีส่วนร่วมในการแบ่งผลประโยชน์ คนข้างล่างคงจะเกิดข้อข้องใจกับคุณมากทีเดียว”

หนานกงยวู่ ยิ้มออกมาอย่างรอบคอบและระมัดระวัง “พวกคนข้างล่างไม่เข้าใจความพยายามของคุณท่าน ต่อให้มีข้อข้องใจก็เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ต่อไปเมื่อพวกเขารู้ ว่าที่คุณท่านทำไปทั้งหมดก็เพราะหวังดี เดี๋ยวพวกเขาก็จะหายข้องใจไปเองล่ะครับ”

หนานกงจิ่น หรี่ตาลงเล็กน้อย

“แต่พวกเขาไม่ได้รู้ว่าคนที่ตัดสินใจเรื่องนี้ คือฉันที่อยู่เบื้องหลังคุณ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเบื้องหลังคุณมีฉันอยู่ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ให้พวกเขาฟังยังไง?”

ใบหน้าของ หนานกงยวู่ นั้นแข็งทื่อขึ้นมาทันที

หนานกงจิ่น พูดต่ออย่างเฉยเมยว่า “ตระกูลหนานได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลาหลายพันปี และผู้อาวุโสทุกคนมีเป้าหมายร่วมกันเพียงหนึ่งเดียวคือการมุ่งมั่นและพัฒนาตระกูลให้มั่นคง ไม่ว่าจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน หรือมีพลังอำนาจลึกลงไปเท่าไร แต่สุดท้ายแล้วมันก็ยังมีขีดจำกัด อาณาเขตของ กลุ่มชาวจีนอยู่ไกลจากพวกเราเกินไป หากยึดมาได้ ไม่เพียงแค่จะได้ประโยชน์น้อยนิด แต่มันยังเป็นการกระจายกำลังของพวกเราอีก ซึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดการแบ่งแยกในกลุ่มด้วย ในท้ายที่สุดตระกูลที่ดี ๆ อยู่แล้ว ก็อาจจะต้องลงเอยด้วยการแบ่งแยก จนสุดท้ายก็ต้องล่มสลายลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

น้ำเสียงของเขานิ่งเรียบ เป็นจังหวะ หนานกงยวู่ ได้ฟัง หัวใจของเขากระตุกขึ้นมาทันที

เขาลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน ก่อนจะโค้งคำนับชายหนุ่มแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณ คุณท่านที่ตักเตือนครับ ผมเข้าใจแล้ว”

หนานกงจิ่น ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบอีกครั้ง พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมต้องส่งตัวพวกคุณไปจัดการกับ กลุ่มชาวจีนนั้นก็แค่เพราะว่ากลุ่มนี้มันไม่เข้าใจกฎเกณฑ์เกินไป เดิมทีความเป็นระเบียบของวงการใต้ดินก็ดีมาตลอดอยู่แล้ว แต่พวกเขากลับจงใจที่จะกวาดล้างกลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมด พวกเขาอยากกินคำใหญ่เกินไป”

และเนื่องจากเรายึดถือความมั่นคงและความเป็นระเบียบมาโดยตลอด เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้เราจึงเพิกเฉยต่อมันไม่ได้ ไม่ต้องพูดว่าเคยมีคนทำมาเยอะแล้ว เราก็เหมือนแค่มาแต่งหน้าเค้กเพิ่ม ซึ่งมันก็ไม่ติดอะไรอยู่แล้ว แถมยังได้ขายประโยชน์ให้กับฝ่ายอื่นอีก ทำไมเราจะไม่ทำล่ะ?”

หนานกงยวู่ ก้มหน้ารับ “ครับ ผมเข้าใจแล้ว”

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท