วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน – บทที่ 928 โรคหายาก

บทที่ 928 โรคหายาก

เขาปลอบเธอเบา ๆ และสังเกตนิ้วที่กำแน่นของเธอ และเอื้อมมือไปกุมมันอย่างแผ่วเบา

เฉียวฉีฟังสิ่งที่เขาพูดแล้วเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

เธอพูดเสียงขรึม: “กู้ซือเฉียน คุณอย่าหลอกฉันเลย ถ้าหากไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แล้วทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”

เธอรู้จักกู้ซือเฉียนดี ทั้งสองผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มก็ไม่มีทางสะทกสะท้าน แต่ตอนนี้เขากลับมีสีหน้าที่ดูแย่มากๆ

กู้ซือเฉียนหลับตาลงและลืมตาพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน

เขาเงยหน้าและลูบผมเธอแล้วพูดเบา ๆ: “ได้ ฉันยอมรับ มีปัญหาเล็กน้อย แต่เชื่อฉันนะว่ามันแก้ไขได้ เอาไว้กลับไปแล้ว เราให้หมอตรวจร่างกายเธอ จากนั้นก็ทำการรักษา มันจะจบลงอย่างรวดเร็ว ดีไหม?”

เฉียวฉีเป็นผู้หญิงที่ฉลาด

แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้สบายใจ แต่เธอก็ยังสัมผัสได้ถึงความจริงจังของเรื่องนี้อย่างคลุมเครือ

แต่เธอไม่ได้พูดออกมา ได้แต่พยักหน้า

“ค่ะ”

เนื่องจากเหตุการณ์นี้ งานเลี้ยงอาหารกลางวันตอนเที่ยงและตอนบ่ายจึงดูไม่มีอะไรน่าสนใจอีกแล้ว

กู้ซือเฉียนกับเฉียวฉีไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงช่วงบ่าย หลังจากร่วมงงานเลี้ยงตอนเที่ยงแล้วก็พาเฉียวฉีกลับ

ส่วนแขกคนอื่นนั้นที่ยินดีจะอยู่พักผ่อนต่อบนเกาะก็สามารถอยู่ต่อได้ หากไม่ก็สามารถโดยสารเครื่องบินกลับได้

งานแต่งงานนี้ถือได้ว่าตั้งต้นได้ดีและจบด้วยความล้มเหลว

เพียงแต่แขกส่วนมากไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง ที่สุดแล้วเรื่องที่เกิดกับเฉียวฉีและตอนที่หนานมู่หรงพูดนั้น มีเพียงคนที่ข้นข้างสนิทกับกู้ซือเฉียนอยู่ด้วยเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ อยู่ในงานหมด

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น แต่จากการกระทำของเจ้าบ่าวเจ้าสาวก็ทำให้พวกเขาพอรู้สึกอะไรบางอย่างได้

แขกส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะกลับหลังจากงานเลี้ยงตอนบ่าย

ฉินเย่วอารักขาและไปส่งกู้ซือเฉียนและเฉียวฉีที่ปราสาท ดังนั้นลุงโอจึงยังอยู่ที่นี่ รับผิดชอบเรื่องการรับรองส่งแขกรอบบ่าย

เขามีบุคลิกสงบและมีประสบการณ์ในการจัดการกับสิ่งต่าง ๆ และเขาก็เหมาะสำหรับการจัดการกับเหตุฉุกเฉินดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ที่ปราสาท

กู้ซือเฉียนได้เรียกให้แพทย์ที่มีอำนาจมากที่สุดที่นี่ และกำลังตรวจร่างกายอย่างละเอียดให้เฉียวฉี

ลู่จิ่งเซิน หลินซงและกลุ่มเพื่อนไม่รีบร้อนจะกลับ ที่สุดแล้วในจุดนี้ ยังไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉียวฉีกันแน่

ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนทุกคนจะไม่ได้นับว่าเป็นเพื่อนกัน แต่เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู พวกเขาเป็นเสมือนสหายร่วมรบของกันและกัน

การตรวจร่างกายใช้เวลากว่าสามชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น

กู้ซือเฉียนมองที่หมอและถาม: “เป็นยังไงบ้างครับ?”

คิ้วของหมอขมวดแน่นและใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยดีนัก

“เนื้อเยื่อและอวัยวะภายในต่างๆ ของร่างกาย และแม้แต่หลอดเลือดในสมองก็เสื่อมสภาพและหดตัวลงเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน หนานมู่หรงไม่ได้โกหกพวกคุณ”

กู้ซือเฉียนสั่นอย่างรุนแรงและกำหมัดของเขาแน่น

ส่วนเฉียวฉีที่นั่งอยู่บนเตียงนั้น มีสีหน้าที่ดูสงบมากกว่าเขา

เธอถามเสียงขรึม: “ทำไมถึงเป็นแบบนี้คะ?”

หมอคิดอยู่นานแล้วส่ายหน้า

“พูดตามจริง ผมก็เพิ่งเคยเคสแบบนี้เป็นครั้งแรก แม้แต่ในหนังสือ คุณเฉียวอยู่ในช่วงเริ่มต้นของชีวิต มีเหตุผลว่าแม้ว่าคุณจะป่วย เปลี่ยนแค่ส่วนเดียวก็พอ อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เกิดขึ้นทั่วร่างกายพร้อมๆ กัน ผมไม่เคยพบเจอเลยจริงๆ และผมไม่สามารถหาสาเหตุของมันได้ในขณะนี้”

เฉียวฉีหน้าขาวเผือด

กู้ซือเฉียนกล่าวอย่างเย็นชา: “หาสาเหตุไม่ได้? หรือว่าคุณไม่มีความสามารถพอจะหาสาเหตุได้กันแน่?”

มีร่องรอยของความโกรธอยู่ในน้ำเสียง

เขาเป็นแพทย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของกู้ซือเฉียน เขาได้รับความนิยมจากเขาในช่วงอายุยังน้อย และเขาค่อนข้างประสบความสำเร็จในด้านทักษะทางการแพทย์ นอกจากนี้ เขาไม่เต็มใจที่จะทำงานในโรงพยาบาลและต้องการมีสมาธิกับการวิจัยยา ดังนั้นกู้ซือเฉียนจึงรับเขาไปที่ปราสาทและสร้างห้องทดลองเพื่อช่วยให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ

แต่ในตอนนี้ ภรรยาของกู้ซือเฉียนเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขากลับไม่สามารถหาสาเหตุได้

ตอนนี้เขารู้สึกผิดในใจ

เขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า: “คุณกู้ ให้เวลาผมสักสองสามวัน ผมจะพยายามที่สุดเพื่อหาสาเหตุของโรคของคุณเฉียว”

กู้ซือเฉียนสีหน้าเครียดและเฉียวฉีก็ดึงแขนเสื้อของเขาแล้วพูดขึ้นก่อน: “ได้ค่ะ รบกวนคุณด้วยนะคะ”

หมอพูดว่าไม่ต้องเกรงใจ จากนั้นก็หยิบของที่เขาต้องการและขอตัว

หลังจากเขาจากไปแล้ว เฉียวฉีก็มองไปที่กู้ซือเฉียนและยิ้มแล้วพูด: “คุณจะโกรธเขาทำไมคะ? หมอเขาไม่ใช่เทวดา บนโลกนี้ยังมีโรคหายากอีกตั้งเยอะ ก็ไม่แปลกใช่ไหมคะถ้ายังจะมีโรคอีกมากมายที่เขาไม่สามารถรักษาให้หายได้?”

เธอมีความคิดที่ดี แต่กู้ซือเฉียนกลับรู้สึกกระวนกระวาย

ในหัวคิดย้อนกลับไปถึงคำพูดของหนานมู่หรงที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ เธอเป็นสายเลือดตระกูลหนาน ในอดีต โรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรมที่รักษาไม่หาย ทั้งหมดที่รู้สึกคืออาการจุกเสียดและหายใจลำบาก

เขามองไปที่เฉียวฉีและถาม: “เธอจำได้ไหมว่าพ่อที่แท้จริงของตัวเองเป็นใคร?”

เฉียวฉีตกตะลึง

คิดไม่ถึงว่าหัวข้อจะถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

เธอคิดและส่ายหน้า “จำไม่ได้แล้ว ตั้งแต่จำความได้ฉันก็อยู่กับแม่ ต่อมาแม่แต่งงานเข้าตระกูลถัง ฉันถึงออกจากบ้านตระกูลถังแล้วมาอยู่กับท่านผู้อำนวยการ คุณถามฉันเรื่องนี้ทำไม?”

กู้ซือเฉียนคิ้วขมวดแน่น

เขาไม่ได้บอกความจริงกับเธอ ได้แต่ปลอบ: “ไม่มีอะไร ฉันก็ถามไปอย่างนั้นเอง เธอเหนื่อยไหม? พักผ่อนก่อนไหม?”

เฉียวฉีได้รับการตรวจร่างกายจากแพทย์ ไปๆ มาๆ ก็ใช้เวลาไปกว่าสามชั่วโมง ตอนนี้ย่อมเหนื่อยเป็นธรรมดา

เธอจึงพยักหน้า กู้ซือเฉียนจึงกล่อมให้เธอหลับ หลังจากเธอหลับไป เขาจึงออกมาจากห้อง

ชั้นล่าง

ลู่จิ่งเซินและกลุ่มเพื่อนรู้เรื่องผลการตรวจจากหมอแล้ว

พวกเขามองดูกู้ซือเฉียนลงมาจากชั้นบนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด และพวกเขาก็ทนไม่ได้อยู่ไม่น้อย

ที่สุดแล้ว ใครจะคิดว่าในวันที่เป็นวันดีๆ จะนำมาซึ่งข่าวร้ายแบบนี้?

ลู่จิ่งเซินเดินเข้าไปและตบบ่าเขาพร้อมพูดปลอบใจ “อย่าเพิ่งท้อ ตอนนี้เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าแล้ว ไม่มีโรคไหนที่รักษาไม่หาย พรุ่งนี้จะขอให้เอมี่มาหานะ เขามีความรู้เรื่องโรคที่รักษาไม่หายมากและอาจช่วยได้”

หากเป็นเมื่อก่อน กู้ซือเฉียนคงจะไม่มีทางยอมรับความช่วยเหลือจากเขา

แต่ในตอนี้ เขากลับไม่ปฏิเสธและพยักหน้า

“ขอบใจมาก น้ำใจครั้งนี้ฉันจะจดจำไว้”

ลู่จิ่งเซินยิ้มแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ เขาเหลือบดูเวลาซึ่งก็สายมากแล้ว พวกเขายังต้องกลับประเทศ จึงได้กล่าวลาคู่ข้าวใหม่ปลาวันแล้วจากไป

หลังจากพวกเขาไปแล้ว ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว และลุงโอก็กลับมาแล้ว

อันดับแรก เขารายงานให้กู้ซือเฉียนด้วยความเคารพถึงสถานการณ์ในการส่งแขกออกไปทีละคน จากนั้นเขาก็ถามคำถามที่เป็นกังวล: “คุณนายไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?”

กู้ซือเฉียนพูดเสียงขรึม: “ตอนนี้ยังหาสาเหตุไม่ได้”

ลุงโอตกตะลึง

และไม่อยากจะเชื่อ

คนอื่นอาจจะไม่รู้แต่เขารู้ว่าหมอภายใต้การดูแลของปราสาทแห่งนี้นั้นเป็นหมอระดับหัวกะทิ แต่ตอนนี้อย่าว่าแต่รักษาให้หาย แม้แต่สาเหตุของโรคก็ยังไม่สามารถระบุได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว?

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

วิวาห์หวาน นายซาตานที่รักของฉัน

Status: Ongoing

บทที่ 1 จับชู้คาเตียง

“มีถุงยางดูเร็กซ์ ดูอัล เพลย์เชอร์ไซซ์กลางไหม? ”

“มีค่ะ”

“แล้วก็ไวเบรเตอร์กับชุดนางแมวสวาทชุดหนึ่งด้วย”

“ได้ค่ะ จัดส่งที่ไหนคะ? ”

“โรงแรมลี่หัว ห้อง2202”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”

เมื่อจิ่งหนิงมาถึงโรงแรมลี่หัวก็เป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว

เวลาดึกดื่นขนาดนี้ สำหรับคนที่ทำธุรกิจสินค้าผู้ใหญ่ แบบนี้ การนำส่งสินค้าด้วยตนเองไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่

นัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงสาวหน้าตาสะสวยอย่างเธอ

แต่จะทำยังไงได้ล่ะ ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุก สิ่งทุกอย่างต้องแลกมาด้วยเงิน อีกอย่างมู่ยั่นเจ๋อกำลังจะ กลับมาอีกไม่กี่วันนี้

คบกันมาตั้งหกปี แต่เวลากว่าครึ่งเป็นรักระยะไกล เขา ต้องดูแลธุรกิจทั้งในและนอกประเทศ เธอจะทำตัววุ่นวาย ส่งผลต่อการทำงานของเขาไม่ได้

ดีที่ความรักของทั้งสองคนนั้นค่อนข้างหวานชื่นนอกจากงานในแต่ละวันแล้ว เธอยังมีธุรกิจเล็กๆของตัวเอง ด้วย อีกไม่กี่วันเป็นวันเกิดของเขา เธอตั้งใจจะมอบของ ขวัญให้เขาอย่างเซอร์ไพรซ์

เมื่อคิดได้ดังนั้น จึงหนิงก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เธอขยับหมวกสีดำที่ใส่มาให้ปิดลงมาบังหน้าไว้ จากนั้น เดินถือกล่องสินค้าเข้าไปด้านใน

โรงแรมลี่หัว เป็นสถานที่ราคาแพงขึ้นชื่อของเมืองจิ้น ผู้คนที่เดินทางมาเข้าพักล้วนเป็นระดับมหาเศรษฐี

ความโอ่อ่างดงามที่ห้องโถงไม่ต้องพูดถึง แม้แต่ลิฟต์ก็ ถูกประดับตกแต่งด้วยเงินและทองคำ คนที่ยืนอยู่ด้านใน ถูกแสงไฟส่องสว่างไสว

จิ่งหนิงเดินถือกล่องเข้าไปแล้วมองหาจุดหมาย

ใบหน้าอันงดงามถูกปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มองเห็นเพียงดวงตา เป็นประกายคู่นั้น แฝงไปด้วยความมั่นใจ

ลิฟต์ขึ้นสู่ชั้น22 “ตั้ง” ประตูเปิดออก เธอเดินออกไป กระทั่งถึงห้อง2202และกดกริ่งที่ประตู

ประตูยังไม่เปิดออก ก็มีเสียงหนุ่มสาวดังขึ้น

“อาเจ๋อ อุ๊ย? อย่าค่ะ….ของน่าจะมาส่งแล้ว”

“รอผมนะ เดี๋ยวมา”

จึงหนิงยืนยิ้มอยู่ที่ปากประตูอย่างอดไม่ได้ ของยังมาส่งไม่ถึงก็เริ่มกันแล้วเหรอเนี่ย? รีบร้อนกันจริงๆ?

ประตูถูกเปิดออกในไม่ช้า ชายผู้ออกมารับของสวมผ้า ขนหนูเพียงผืนเดียว บนร่างกายของเขายังคงมีไอน้ำอยู่

จิ่งหนิงไม่ได้มองหน้าเขา เธอยื่นกล่องใส่ของออกไป “843หยวนค่ะ? จ่ายเงินสดหรือว่าโอนคะ? ”

ชายผู้อยู่ตรงหน้าไม่ตอบ

ผ่านไปสองวินาที เสียงของชายผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “.

หนิง?

จิ่งหนิงตกตะลึง เธอเงยหน้าขึ้นมอง

เมื่อเห็นชายที่ยืนอยู่ด้านหน้า ร่างกายกำยำ ผมเผ้าเปียก ปอน เขามีเพียงผ้าขนหนูสีขาวปิดบังร่างกายไว้ แสงไฟ เหลืองนวลส่องมายังร่างกายของเขา ผิวขาวเนียนและ ใบหน้าอันเกลี้ยงเกลาของเขาเต็มไปด้วยความประหลาด

ใจ อีกทั้ง ทำตัวไม่ถูก

สีหน้าของจิงหนิงตกใจเสียจนหน้าซีด

“ปั่นเจ๋อ ใครคะ? ”

“ไม่มีอะไรครับ คนมาส่งของครับ”

มู่ยั่นเจ๋อรีบพูดขึ้นก่อนที่จิ่งหนิงจะเอ่ยอะไรออกมาจาก นั้นรีบหยิบเงินจากกระเป๋ายัดใส่มือเธอและหยิบของไป อย่างรวดเร็ว

เสียงประตูปิดลงดัง “ปัง?

จึงหนิงยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู มือของเธอเริ่มสั่น สีหน้า

เหนิงซีดเผือดลงทันที

เธอหัวเราะออกมาเบาๆ

และมองไปยังธนบัตรที่เขายัดเข้ามาไว้ในมือ นี่มันเรื่อง ตลกบ้าบออะไรกัน? เธอหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของ ตัวเองจริงๆ

เสียงชายหนุ่มและหญิงสาวเล็ดลอดออกมานอกห้อง เธอก็ถอนหายใจยาวๆออกมา และกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้าเอา

ไว้

เธอหันหลังกลับและเดินตรงไปยังลิฟต์และหยิบมือถือ

ออกมา

“สวัสดีค่ะ สถานีตำรวจใช่ไหมคะ? ฉันจะขอแจ้งความ ว่ามีชายหญิงค้าประเวณี ห้องพักเลขที่.”

ต่อมา20นาที

รถตำรวจคันหนึ่งจอดลงที่หน้าโรงแรมลี่หัว ข้างๆยังมีนัก ข่าวและช่างกล้องเดินตามมา เมื่อเห็นคนที่ถูกจับตัวออกมา นักข่าวก็พากันแห่เข้าไป

“นายมู่ มีคนแจ้งความว่าคุณเสพยาและซื้อบริการทาง เพศ จริงหรือไม่คะ? ”

“นายมู ในฐานะผู้สืบทอดมู่ชื่อกรุ๊ป คุณคิดว่าการกระทำ เช่นนี้เหมาะสมหรือไม่คะ?

“นายมู่ครับ ผู้หญิงคนที่อยู่กับคุณเป็นใครกันครับ? มี

ข่าวลือว่าเป็นดาราในวงการ จริงหรือไม่ครับ? ” “นายมู..”

มู่ยั่นเจ่อถูกนักข่าวล้อมไว้ แม้แต่ตำรวจก็ห้ามไว้ไม่ได้ เขากัดฟันกรอดๆและตะโกนออกมาว่า “ไปให้พ้น? ” นักข่าวพากันตกอกตกใจและถอยหลังออกไป

มู่ยั่นเจ๋อมองไปยังฝูงชน เขาพบเข้ากับจิ่งหนิง สายตา ของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น

นี่คือสิ่งที่คุณต้องการใช่ไหม?”

จึ่งหนิงเผยอยิ้ม สายตาแฝงไปด้วยการดูถูก

“คุณทำแบบนี้อย่าหวังว่าจะได้ผมไปครอง”

จิ่งหนิงเดินหน้าขึ้นไปแล้วเงื้อมือขึ้นต่อหน้านักข่าวและ

ตำรวจ

11 เพียะ!”

ฝ่ามือของเธอตบลงไปที่หน้าเขาอย่างจัง มู่ยั่นเจ่อถูกตบ เสียจนหน้าหัน

บรรยากาศรอบด้านเงียบลงทันใด

ทางตำรวจตกตะลึงอ้าปากค้าง ” คุณผู้หญิงคนนี้คือ.

%3D

%3D ขอโทษนะคะ มือลั่นไปเอง!”

เธอยิ้มด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วทำท่าทางนวดข้อมือ แล้วมองไปยังมู่ยั่นเจ่อด้วยสายตาอาฆาต จากนั้นพูดด้วย น้ำเสียงเยือกเย็นว่า

กระดาษชำระที่ตกลงไปในชักโครก คุณคิดว่าใครยังจะต้องการอีกกัน?ตบเมื่อสักครู่เป็นแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ทุน ที่เหลือฉันจะให้คุณชดเชยภายในสามวัน!”

แววตาของมู่ยั่นเจ่อตื่นตระหนก อะไร! ทุนอะไร !!” จึ่งหนิงขมวดคิ้วขึ้น ” คุณแน่ใจนะว่าจะให้ฉันกระตุ้น

ความจำคุณ

มู่ยั่นเจ๋อก้มหน้าลงทันที

เธอหัวเราะหีๆ เป็นเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความดูถูก เหยียดหยาม

ทางตำรวจเห็นเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาโบกมือ เป็นสัญญาณว่าให้คุมตัวขึ้นรถไปได้ เมื่อเขาเดินทางจากไป บรรดานักข่าวก็ไม่ได้รีรอ รีบตาม

ไปทันที

เดิมทีที่จากประตูทางเข้าโรงแรมเต็มไปด้วยผู้คน ตอนนี้ กลับว่างเปล่าไม่เหลือใคร

จึงหนิงยังยืนอยู่ที่นั่นจนกระทั่งควบคุมอารมณ์ได้ เธอจึง ได้เตรียมตัวจากไป

แต่เธอคาดไม่ถึงว่าเมื่อหันหลังกลับไปจะพบเข้ากับแวว ตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเธออยู่

ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำ ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ผมสั้นจัด ทรงเป็นระเบียบ แววตาแหลมคมนั้นทำให้ผู้พบเห็น หลงใหล

ใบหน้าอันหล่อเหลาภายใต้แสงยามค่ำคืนแบบนี้ เผยให้เห็นออร่าที่กลมกลืนไปกับบรรยากาศรอบข้าง จิ่งหนิงรู้สึกว่าเธอเคยเห็นชายคนนี้มาก่อน

จากนั้นเธอหันไปเห็นเลขาของเขาที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีก ทั้งรถปอร์เช่สีเงินที่อยู่ข้างๆ เธอก็คิดได้ว่าจะไปรู้จักบุคคล ที่โดดเด่นแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เธอสลัดความคิดออกจากหัว หันหลังแล้วเดินจากไป จนกระทั่งร่างเล็กๆของเธอเข้าสู่รถยนต์ ลู่จิ่งเซินจึงได้

ละสายตามาจากเธอและถามขึ้นว่า “คนเมื่อกี้นี้คือใคร?

ซูมู่ที่ยืนอยู่ด้านหลังรีบตอบขึ้นว่า ท่านหมายถึงคนที่ถูก ตำรวจจับไปเมื่อกี้หรือครับ? เหมือนว่าจะเป็นคุณชายขอ งมู่ชื่อกรุ๊ปที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศเมื่อหลายวันก่อน”

ลู่จิ่งเซินขมวดคิ้วแล้วบอกว่า “ผมหมายถึงคนผู้หญิงคน เมื่อกี้”

“ครับ? ” ซูมู่งุนงงเล็กน้อย “ผู้หญิงคนไหนกัน? ”

เมื่อเห็นแววตาอันไม่พอใจของลู่จิ่งเซิน ซูมู่ก็รีบพูดขึ้นมา ว่า “ท่านประธานครับ ต้องขออภัยด้วยผมจะไปตรวจสอบ เดี๋ยวนี้”

“ช่างมันเถอะ”

สายตาของเขามองไปตามทางที่ผู้หญิงคนนั้นขับรถออก ไปแล้วยิ้มขึ้น เขาคล้ายกับนึกอะไรออกมาได้

จากนั้นเขารีบก้าวเดินเข้าไปด้านใน ในฐานะผู้แจ้งความ จิ่งหนิงจึงต้องเดินทางไปที่สถานี ตำรวจด้วย

เมื่อทำการบันทึกข้อความเสร็จแล้ว ผู้คนจากด้านนอกก็ พากันแห่กรูเข้ามา

คนที่เดินเข้ามาเป็นคนแรกก็คือคุณย่าจิ่งหวังเสว่เหมย เมื่อเธอเดินเข้ามาถึงก็ตบเข้าให้ที่หน้าของจิ่งหนิงอย่างจัง

“นังคนทรยศ? ”

หวังเสว่เหมยตัวสั่นสะท้านแล้วพูดว่า “แกรู้อยู่แก่ใจว่านั่น คือน้องสาวแท้ๆของแก ยังกล้าแจ้งตำรวจจับอีกอย่างนั้น เหรอ? แกต้องการจะยั่วให้ฉันโมโหตายยังไง? ”

จิงหนิงเช็ดโชคเลือดที่มุมปาก จากนั้นเงยดูหญิงชราที่ อยู่ตรงหน้า

“น้องสาวอย่างนั้นเหรอ? คุณหมายถึงจิ่งเสี่ยวหย่า? ”

“ไม่ต้องทำมาเป็นเสแสร้ง สื่อต่างๆพากันพูดกันให้แซ่ด บอกว่าคุณหนูจิงรองให้ท่าคู่หมั้นของคนอื่น แกไม่รู้เรื่อง หรือไง? ”

จึงหนิงก้มหน้าลงและยิ้มออกมาเบาๆ

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นเธอนั่นเอง….ฉันก็คิดว่ากะหรี่ที่ไหน รีบร้อนจะหาเงินซะอีก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของฉันเอง? “

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท