หยวนชิงหลิงเปิดโปงอย่างไม่รีรอ “พวกเขากำลังดื่มสุราอยู่ด้านใน”
แต่ฉางกงกงยังคงตอบกลับด้วยมารยาท : “เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ เชิญพระชายาไปถวายพระพรไทเฮาก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าหากมีการดื่มขึ้นมาจะไม่มีการกำหนดปริมาณ แต่เมื่อประตูใหญ่ปิดสนิทเช่นนี้ นางไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เช่นนั้นนางจึงได้แต่จำยอม: “เช่นนั้นก็ได้ วานเจ้าไปแจ้งกับเสด็จปู่ด้วยว่าข้ามีเรื่องเร่งด่วน หลังจากที่ข้าไปถวายพระพรไทเฮากลับมา โปรดให้เขาอนุญาตให้พวกข้าเข้าพบด้วย”
ฉางกงกงยิ้มจางๆ : “รับทราบ!พระชายาเจ้าไปก่อน วันนี้ไท่ซ่างหวงมีความสุขยิ่งนัก ให้เขาได้สุขสำราญอีกสักนิดเถอะ”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าเข้าใจ ก็จริงเพราะเรื่องที่อีกสักครู่นางจะพูดนั้นต้องทำลายความสุขของไท่ซ่างหวงเป็นแน่ เช่นนั้นก็ให้เขาได้เสพสุขสำราญอีกสักหน่อยดีกว่า
เมื่อเดินทางมาถึงฝั่งของไทเฮา พอดีกับเต๋อเฟยที่มาอยู่ที่นี่ด้วย ไทเฮามีความปลาบปลื้มเป็นอย่างมากจึงดึงตัวหยวนชิงหลิงเข้ามาดูอย่างละเอียดโดยเฉพาะท้องของนาง แต่พอดูไปดูมาคิ้วของนางกลับขมวดขึ้น “ครรภ์นี้ใหญ่เร็วจริงเลย อีกทั้งยังดูกลมๆ อีกด้วย”
เต๋อเฟยพูดพร้อมรอยยิ้ม : “ไทเฮา ครรภ์กลมโตไม่ดีหรือเพคะ?”
ไทเฮาเหลียวหันไปมองเต๋อเฟย : “เจ้าไม่เข้าใจ เจ้ายังไม่เคยคลอดลูกเลย ส่วนมากท้องกลมจะได้เป็นลูกสาว ส่วนท้องมีปลายแหลมถึงจะเป็นลูกชาย”
เต๋อเฟยตอบ “อ่อ” คำเดียวแล้วกลับมายิ้ม ในขณะที่แววตากลับมีความอ้างว้าง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง หม่อมฉันยังไม่เข้าใจจริงๆ ”
ไทเฮารู้ตัวถึงสิ่งที่ตนพูด จึงหันไปตบมือนางเบาๆ “เจ้าปรนนิบัติฝ่าบาทได้อย่างดีที่สุดแล้ว อย่าไปใส่ใจเรื่องพวกนี้เลย”
เต๋อเฟยจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม: “หม่อมฉันเป็นคนไร้บุญวาสนา ต่อให้ใส่ใจ ก็คงจะทำไม่ได้เพคะ”
“บุญวาสนาของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับทายาทเสมอไป ยังมีอย่างอื่นอีกมากมาย ตอนนี้เจ้าโชคดีเพียงใดที่ผ่านมาหลายปีแล้วแต่ฝ่าบาทยังไม่เคยละทิ้งเจ้าเลยสักครั้ง เจ้าควรที่จะรู้สำนึกจะดีกว่า” ไทเฮากล่าว
“เพคะ หม่อมฉันรู้ดี การที่หม่อมฉันได้มาอยู่เคียงข้างพูดคุยกับไทเฮาทุกๆ วันก็นับว่าเพียงพอมากแล้วเพค่ะ” เต๋อเฟยตอบ
ไทเฮายิ้มบางๆ ก่อนจะเรียกให้หยวนชิงหลิงนั่งลงพร้อมไถ่ถาม: “ทานอาหารได้เยอะหรือไม่?อาเจียนหรือเปล่า?หรือว่าชอบทานเผ็ด?ชอบทานอาหารรสเปรี้ยวหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าเหตุใดไทเฮาถึงเอาแต่ให้ความสนใจในเรื่องพวกนี้นะ แต่นางไม่กล้าที่จะเอ่ยออกมา จึงได้แต่ตอบคำถามไปตามมารยาท: “ทูลท่านย่า ข้าพอทานอาหารได้บ้าง ส่วนอาการอาเจียนก็ไม่ค่อยเป็นบ่อยมากแล้ว ยาเม็ดอู๋โยวที่โสวฝู่ฉู่มอบให้นั้นได้ผลเป็นอย่างมาก ส่วนเรื่องอาหารเผ็ดหรือเปรี้ยวนั้นตอนนี้ข้าไม่กินทั้งนั้นเพค่ะ”
ไทเฮาพยักหน้ารับเบาๆ แล้วมองดูครรภ์ของนางอย่างถี่ถ้วน จนสุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะขอให้กำเนิดเป็นลูกชาย
ไทเฮาหันไปส่งสัญญาณให้แม่นมนำขนมเซียงจามาให้หนึ่งจาน ก่อนจะส่งให้กับหยวนชิงหลิง “เจ้าทานสักคำ ดูสิว่าชอบทานหรือไม่?”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปหยิบขนมมาหนึ่งชิ้นนางเคี้ยวอยู่ในปากแล้วทันใดนั้นใบหน้าของนางก็ย่นเข้าหากันด้วยความเปรี้ยว นางกัดฟันทนกินจนหมด แล้วกล่าวออกมาตามตรง : “เสด็จย่าเพค่ะ ขนมเซียงจานี้ไม่ใส่น้ำตาลหรือเพคะ ?มันเปรี้ยวเกินไป ข้าไม่ชอบทาน”
ไทเฮาผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด “ไม่ชอบทานงั้นหรือ?นี่ของเปรี้ยวเหตุใดถึงไม่ชอบทานกันนะ?เฮ้อ ยังโชคดีที่ไม่ชอบทานเผ็ดด้วย นับว่ายังพอมีหวังแต่เพราะครรภ์มันกลมเกินไป หรือว่าเจ้าจะทานจนอ้วนขึ้น ?เช่นนั้นก็ทานให้น้อยลงหน่อยจะดีกว่า……แต่ก็ไม่ดี ทานน้อยจะไม่ดีต่อครรภ์เช่นกัน”
เต๋อเฟยถึงกับอดยิ้มออกมาไม่ได้: “ไทเฮาทำเช่นนี้จะทำให้พระชายาฉู่ตกใจแล้วเพค่ะ ไม่ว่าจะเป็นซื่อจื่อหรือจวิ้นจู่ ขอให้แข็งแรงก็เพียงพอแล้ว เจ้าอย่าได้พูดอีกเลย ไม่เช่นนั้นหลังจากที่เด็กคนนี้กำเนิดออกมาแล้วทราบว่าเจ้าเคยรังเกียจจะทำให้เขาไม่สนิทสนมกับเจ้าได้เพค่ะ”
ไทเฮาที่ได้ยินเช่นนั้นรีบสะบัดมือทันที “จะเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ลูกสาวทั้งสองคนของเจ้าใหญ่ล้วนไม่สนิทสนมกับข้า คนนี้ไม่อาจให้เป็นเช่นนั้นอีก เต๋อเฟยพูดถูก อย่าได้ไปสนใจว่าจะเป็นซื่อจื่อหรือจวิ้นจู่ ขอให้แข็งแรงก็พอแล้ว”
นางจึงรีบสั่งให้คนเก็บขนมเซียงจากลับไป แล้วหันไปหาหยวนหย่งอี้ “เจ้าล่ะ?อภิเษกไปก็ตั้งนานแล้ว ตั้งครรภ์แล้วหรือยัง?”
หยวนหย่งอี้ยกกำปั้นขึ้นแล้วทุบลงไปบนท้องของตัวเองหลายที “ไม่เพคะ ยังคงปกติดี”
ไทเฮาถึงกับตกใจกับการกระทำของ ก่อนจะรีบยิ้มออกมา: “เจ้านี่ช่างน่าเวทนา เหตุใดเจ้าถึงได้มีนิสัยเหมือนท่านย่าของเจ้านักนะ ?ใช้แรงขนาดนี้ไม่เจ็บบ้างหรือ?”
หยวนหย่งอี้รีบตอบกลับทันที : “ไม่เจ็บเพคะ ไม่มีอะไรเลย เจ้าอ๋องไม่เคยนอนกับข้า เอาแต่ไปนอนกับพระชายา” นางชะงักไปครู่หนึ่ง
“ไม่ใช่ ตอนนี้เจ้าอ๋องก็ไม่ได้นอนกับพระชายาแล้วเช่นกัน ต่างแยกห้องกันหมด”
ไทเฮาถึงกับตะลึงงัน “หมายความว่าอย่างไร?ไม่นอนกับเจ้าเลยหมายความว่าอย่างไร?”
เรื่องนี้ได้อบรมเขาไปกี่ครั้งแล้ว?ว่าต้องมีความเท่าเทียมกัน แต่เขากลับมอบความโปรดปรานให้กับหญิงตระกูลฉู่นั่นคนเดียว
ไม่เอาไหน!
หยวนหย่งอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา: “ก็หมายความว่าเขาไม่เคยนอนกับข้าเลย นับตั้งแต่ที่อภิเษกเขาไม่เคยมานอนที่ห้องของข้าเลยเพค่ะ”
ไทเฮาตกใจไม่เบา “เช่นนี้ก็ได้หรือ?นี่ไม่ใช่ว่าเหมือนเจ้าห้าในตอนนั้นหรอกหรือ ?อภิเษกกันไปตั้งหนึ่งปียังไม่เคยมีการร่วมสัมพันธ์กันเลย จะปล่อยให้เป็นเช่นนั้นหรือ?ข้าจะต้องอบรมเขาหน่อยเสียแล้ว”
“ไม่ต้องหรอกเพคะ ข้าไม่ชอบให้เขามานอนด้วยกับข้า นอนคนเดียวดีจะตายเพค่ะ”หยวนหย่งอี้รีบปฏิเสธทันที ในขณะที่พูดนางพลางหันไปมองหยวนชิงหลิง ในแววตามีความปลาบปลื้มใจแฝงอยู่ ดีจริงๆ นางมีประสบการณ์เช่นเดียวกับพระชายาฉู่ด้วยแหละ
หยวนชิงหลิงที่เห็นประกายในดวงตาของนาง ก็ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เด็กคนนี้แปลกคนจริงๆ !
แต่ว่าตอนนี้อ๋องฉีและหยวนหย่งอี้นั้นมีเรื่องราวที่เหมือนกับตัวนางและหยู่เหวินเห้าในตอนนั้นเลยจริงๆ ตอนนั้นในใจของอ๋องฉู่มีเพียงฉู่หมิงชุ่ย ตอนนี้ในใจของอ๋องฉีก็มีเพียงแต่ฉู่หมิงชุ่ย
พี่น้องสองคนนี้ตาบอดจริงๆ !
ตอนนี้หยวนชิงหลิงไม่อาจที่จะทนนั่งต่อไปได้อีกแล้ว พูดคุยเรื่องพวกนี้ไม่มีความน่าสนใจอะไรสำหรับนางเลย เพราะนางอยากจะไปพบโสวฝู่ฉู่โดยเร็วที่สุดเท่านั้น
อีกอย่างนั่งอยู่ที่นี่ไทเฮาก็เอาแต่จ้องมองครรภ์ของนางอยู่ตลอดเวลา ทำให้นางรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก
แล้วโชคดีก็เกิดขึ้นเมื่อเต๋อเฟยลุกขึ้นยืน : “ไทเฮาได้เวลาพักกลางวันแล้วเพคะ พระชายาฉู่จะไปนั่งยังตำหนักของข้าสักหน่อยหรือไม่ ?”
หยวนชิงหลิงจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที “เพคะ!”
หยวนหย่งอี้ลุกขึ้นตาม “ข้าไปด้วยเช่นกันเพคะ!”
ทั้งสามถวายบังคมลาไทเฮาเรียบร้อยก็พากันเดินออกมาจากตำหนักพร้อมกัน
ทันทีที่เดินออกมาด้านนอก เต๋อเฟยก็หันไปกล่าวถามหยวนชิงหลิงทันที “เหตุใดใจของพระชายาฉู่ไม่ค่อยอยู่กับที่เลย?เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงที่ไม่คิดจะปกปิดอะไร จึงได้เล่าเรื่องราวให้กับเต๋อเฟยฟัง
เต๋อเฟยที่ได้ฟังเรื่องราวก็ถึงกับอุทานด้วยความตกใจ : “อะไรนะ?ข้างนอกเล่ากันว่าฟางหยู่ยอมถูกประหารชีวิตเพื่อแม่นมสี่งั้นหรือ?นี่มันข่าวลือบ้าบออะไรกัน?คนที่พูดเรื่องนี้ไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่หรือไม่?”
หยวนชิงหลิงกลับถามกลับทันที: “เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?เช่นนั้นทหารรักษาพระองค์ฟางหยู่คนนี้เสียชีวิตอย่างไรเพคะ ?”
เต๋อเฟยตอบด้วยความไม่สบอารมณ์นัก : “ในตอนนั้นฟางหยู่เป็นราชองครักษ์ข้างกายไท่ซ่างหวง ครั้งหนึ่งในตอนที่ไท่ซ่างหวงเดินทางออกนอกวังถูกลอบสังหาร และฟางหยู่ที่เข้าไปช่วยชีวิตไท่ซ่างหวงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนถึงแก่ชีวิต ไท่ซ่างหวงถึงขั้นเคารพเขาเป็นวีรบุรุษปกป้องชาติ สาเหตุที่ให้ความเคารพเขานั้นไท่ซ่างหวงไม่ได้กล่าวเอาไว้ ทั้งยังไม่สามารถออกไปป่าวประกาศว่าตัวเองถูกลอบสังหารอีกด้วย จึงได้เพียงหาสาเหตุอื่นมาปิดบังเอาไว้แล้วบอกว่าระหว่างที่เขาปฏิบัติหน้าที่ราชองครักษ์ เขานั้นได้ทำมันด้วยความทุ่มเทและภักดี แต่คนเก่าคนแก่ในวังหลวงต่างรู้ดีว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“แม่เจ้า” หยวนชิงหลิงอุทานออกมาด้วยความตะลึง “เช่นนั้นคนที่ปล่อยข่าวลือออกไปต้องตายหรือไม่?ที่บังอาจสร้างเรื่องเท็จเช่นนี้?”
เต๋อเฟยหรี่ตาลงพร้อมครุ่นคิด “เจ้าแน่ใจนะว่าเป็นฟางหยู่วีรบุรุษปกป้องชาติ?ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้แม่นมเคยบอกว่าหลังจากที่การสังเวยชีวิตของวีรบุรุษปกป้องชาติ มี ราชองครักษ์ข้างกายคนหนึ่งของไท่ซ่างหวงได้ทำการพลอดรักกับนางในคนหนึ่งจนถูกประหารชีวิต ดังนั้นจึงมีราชองครักษ์ที่เสียชีวิตในเวลานั้น”
“เขามีนามว่าอะไรหรือเพคะ?” หยวนชิงหลิงรีบถามทันที
เต๋อเฟยตอบกลับ: “สิ่งนี้ต้องกลับไปถามแม่นม มีหรือที่ข้าจะจำได้?”
หยวนชิงหลิงจึงรีบเดินตามนางไปยังวังเต๋อซ่างด้วยความรวดเร็ว แล้วตามแม่นมเก่าแก่คนหนึ่งเข้ามา ก่อนจะไถ่ถามอย่างถี่ถ้วน จึงได้รู้ว่าราชองครักษ์มีชื่อว่าฟางต้าเฟิง ซึ่งแซ่ฟางเหมือนกัน
จึงสามารถบอกได้เลยว่าในตอนที่ฝั่งตระกูลฉู่ทำการปล่อยข่าวลือ ไม่ได้มีรายละเอียดเรื่องราวที่ถี่ถ้วนจึงทำให้กล่าวชื่อผิดเป็นชื่อของฟางหยู่แทน
หยวนชิงหลิงพูดด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น: “เช่นนั้นก็ถือว่าทำเกินไปแล้ว ตอนนี้ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าแม่นมสี่และฟางหยู่ทำเรื่องล่วงเกินประเวณี สร้างความเสื่อมเสียไปทั่ววัง จนถูกไท่ซ่างหวงประหารชีวิต นี่ถือเป็นการเหยียดหยามชื่อเสียงของวีรบุรุษปกป้องชาติผู้อยู่เบื้องหลังเชียว!