Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ – ตอนที่ 740-750

ตอนที่ 740-750

อยากกินไหมล่ะ 740-750

 740 ตำแหน่งรักษาความปลอดภัย

เมิ่งเมิ่งเป็นคนที่จะทสิ่งที่อยากทำ ดังนั้นทันทีที่เธอบอกว่าความอยากอาหารของเธอถูกกระตุ้นขึ้นมาแล้ว เธอก็ร้องเรียกโจวเจียเพื่อสั่งอาหารเพิ่มทันที

“พี่เจียเจีย ฉันขอไก่อบเกลือ วุ้นเส้นผัดหมูเผ็ดแล้วก็เนื้อสไลซ์บางเฉียบนะคะ” เมิ่งเมิ่งสั่งอาหารสามอย่างในรวดเดียว

“ได้ค่ะ โปรดรอสักครู่นะคะ” โจวเจียตอบพร้อมยิ้มหลังจากได้รับการชำระเงินในออเดอร์นั้นแล้ว

“แค่นึกถึงเนื้อสไลซ์บางเฉียบของเถ้าแก่หยวนก็ทำเอาฉันน้ำลายสอแล้ว ทุกคนก็คงตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้เห็นอยู่เหมือนกันใช่ไหมล่ะ?” เมิ่งเมิ่งกล่าวพร้อมยิ้มให้กล้อง

[เมิ่งเมิ่ง ฉันรู้สึกว่าเธอชักจะเริ่มทานอาหารมันๆมากไปแล้วนะ ถ้าน้ำหนักขึ้นจะดูไม่สวยเวลาอยู่บนหน้าจอนะ ทำไมเธอไม่กินให้น้อยๆลงดูบ้างเล่า?] กลัวหนักมาก

[อย่างพูดอะไรอีกเลย เมิ่งเมิ่ง ฉันรู้ว่าเธอกำลังจะบอกว่าเธอมีร่างกายที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน แต่เธอเคยได้ยินเรื่องโชคไหม? เมื่อมันหมดไปแล้วอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละนะ] รักในสายลมหนาว

[ใช่แล้ว เธอพลาดไปเสียแล้วล่ะ เมิ่งเมิ่ง ในเวลาสั้นๆแบบนั้น แค่ฉันกินขนมปังไปสามชิ้น บ๊ะจ่างหนึ่งลูกแล้วก็โค้กอีกขวด เธอรู้ไหมว่าฉันต้องลดน้ำหนักอยู่ตั้งนานขนาดไหน?] เชอร์รี่ในคืนเดือนมืด

ท่าทางการสั่งอาหารเพิ่มหลังจากทานอาหารของเมิ่งเมิ่งดึงดูดคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกที่หลบซ่อนอยู่ได้เป็นจำนวนมาก นี่เป็นเรื่องโหดร้ายกับเธอเกินไปแล้ว

โชคดีที่ยังมีอีกหลายคนที่อยากเห็นเมิ่งเมิ่งกินอีก ดังนั้นคนพวกนี้จึงเริ่มทุ่มเถียงกันเอง

เมิ่งเมิ่งอยากจะเอ่ยคำหนึ่ง ณ ตรงนี้และเปลี่ยนแปลงการสนทนาให้ดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้บรรดาผู้ชมรู้สึกโกรธเคืองจากการทุ่มเถียงกันมากเกินไป นี่เป็นสิ่งเดียวที่สตรีมเมอร์สามารถทำได้

ระหว่างที่กำลังสตรีมอยู่นั้น เมิ่งเมิ่งก็กินไปพลางดูบรรดาผู้ชมของเธอไปพลางอย่างมีความสุข ในร้านมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมดังขึ้นเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกัน บรรยากาศก็สมัครสมานกลมเกลียวกันมากทีเดียว

“พี่วั่นอยู่ที่นี่ด้วย วันนี้สวยจังเลยค่ะ” ถังซีหันกลับมามองคนที่เพิ่งจะนั่งลงข้างๆเธอ

คนผู้นี้ก็คือพี่วั่นนั่นเอง เนื่องจากเป็นต้นฤดูใบไม้ผลิ อากาศจึงยังค่อนข้างหนาวเย็น ดังนั้นเธอจึงแต่งกายในชุดเสื้อคลุมรัดรูปสีน้ำตาลโดยมีเสื้อแจ็คเก็ตสีดำทับอยู่บนเสื้อคลุมพร้อมรองเท้าส้นสูงสีดำอีกคู่หนึ่ง

ผมของเธอยาวประบ่าและแต่งหน้าอ่อนๆ สิปสติกสีชมพูที่เธอใช้ก็ค่อนข้างสะดุดตามาก

ท่าทีที่ดูสุภาพและเป็นทางการของเธอทำให้ต่างจากยามปกติไปโดยสิ้นเชิง นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ถังซีอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชื่นชมพี่วั่นขึ้นมา

“วันนี้ฉันใช้เวลาแต่งตัวตั้งนาน ยังไงก็ต้องออกมาสวยอยู่แล้ว” พี่วั่นตอบพร้อมยิ้ม

“ถึงไม่แต่งตัวพี่วั่นก็ยังสวยนะคะ” ถังซีเยินยอเธอ

“ยัยเด็กคนนี้ ปากหวานเชียวนะ” พี่วั่นกล่าว

“ฉันแค่พูดไปตามความจริงนี่คะ แล้วทำไมวันนี้ถึงได้แต่งตัวสวยเสียขนาดนี้ล่ะคะ?” ถังซีถามด้วยความสงสัย

“ยังต้องถามอีกเหรอ? เธอกำลังจะไปนัดบอดแน่ๆเลยใช่ไหมล่ะ?” เจียงฉางซี่ขัดขึ้นก่อนที่พี่วั่นจะตอบ

“ใช่แล้วล่ะ ฉางซี่พูดถูก ฉันกำลังจะไปนัดบอด” พี่วั่นกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ และในขณะเดียวกันดูเหมือนว่าเธอก็เหมือนจะคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้ดี

“ว้าว! นัดบอดงั้นเหรอคะ? คราวนี้คนที่พี่ไปหาจะเป็นคนแบบไหนกันนะ?” ถังซีตาเป็นประกายขึ้นมาทันทีขณะที่ถาม

“ปีนี้เธออายุเท่าไหร่แล้วถังซี? ยี่สิบหรือยี่สิบเอ็ดกันเล่า?” พี่วั่นไม่ตอบแต่กลับถามคำถามกลับมาแทน

“อีกไม่นานก็จะ 20 แล้วค่ะ” ถังซีตอบตามตรง

“เอาล่ะ ถึงเวลามีแฟนได้แล้วนะ” พี่วั่นกระเซ้าเย้าแหย่

“เรื่องนั้นมันยังเร็วเกินไปค่ะ ฉันยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยเลยนะคะ!” ถังซีหน้าแดงแล้วตอบอย่างเอียงอาย

“ตอนนี้ก็เริ่มหาได้แล้ว” เจียงฉางซี่นั่งลงแล้วเอ่ยสนับสนุนคำพูดของพี่วั่น

“ถึงยังไงถ้าหากเธอไม่มีแฟนพอเรียนจบครอบครัวของเธอก็จะเริ่มเร่งเร้าให้เธอหาแฟนอยู่ดีนั่นแหละ ตอนนี้เธอน่าจะหาเอาไว้สักคนนะ” เจียงฉางซี่พูดต่อ

“แต่ครอบครัวของฉันไม่อนุญาตให้มีแฟนตอนนี้นี่คะ” ถังซีพูดเบาๆ

“แหงล่ะ ครอบครัวก็เอาแต่บอกว่าไม่ให้มีแฟนตอนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่แต่พอเธอเรียนจบ พวกเขาก็จะเริ่มมาเร่งเร้าให้เธอหาแฟนก่อนที่เธอจะหางานได้เสียอีก เหมือนกับพวกเขาอยากให้เธอแต่งงานกับแฟนคนแรกที่เธอหาได้ราวกับแฟนงอกอยู่ตามต้นไม้แล้วนึกอยากจะเด็ดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้อย่างนั้นแหละ” พี่วั่นกล่าว

พี่วั่นดูเจ็บปวดยามที่พูดออกมา สิ่งนี้ทำให้ถังซีถึงกับเงียบไปทันที

“มาพูดเรื่องเดทคราวนี้ของเธอดีกว่า” จู่ๆเจียงฉางซี่ก็กล่าวขึ้นมา

“อืม ใช่ คราวนี้พี่วั่นจะไปเจอใครงั้นเหรอคะ?” ถังซีถามด้วยความตื่นเต้น

“ก็เรื่องเดิมๆนั่นแหละ ตอนที่กลับบ้านไปพวกเขาก็เริ่มเร่งเร้าให้ฉันแต่งงานอีกครั้ง ฉันก็เลยบอกพวกเขาไปว่ายังหาไม่ได้เลย แล้วตอนนี้แม่ฉันก็นัดบอดให้อีกแล้ว แถมเพิ่งจะมาบอกเรื่องนี้กับฉันเมื่อวานนี้เอง” พี่วั่นตอบ

“หา? งั้นก็หมายความว่าพี่ไม่รู้เรื่องเดทของตัวเองเหมือนกันใช่ไหมคะ?” ถังซีจับประเด็นสำคัญได้แล้ว

“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาสักอย่างเลย” พี่วั่นตอบ

“ขอดูรูปหน่อยสิ ยังไงฉันก็เป็นคนที่มีประสบการณ์มาอย่างโชกโชนเชียวนะ” เจียงฉางซี่ยื่นมือออกมาแล้วถามขึ้นหลังจากสั่งอาหารของตัวเองแล้ว

“ฉันไม่มีรูปหรอก ตอนนี้แม่ฉันดันฉลาดขึ้นแล้วน่ะสิ แต่ก่อนฉันยังสามารถให้คำวิจารณ์ยาวเป็นหางว่าวได้ทุกครั้งที่เธอโชว์รูปให้ดู แต่ตอนนี้เธอเก็บรูปและปิดบังชื่อแซ่ไม่ให้ฉันรู้เลย” พี่วั่นยักไหล่

“ทำไมแม่พี่ถึงไม่ยอมบอกชื่อให้พี่รู้ล่ะคะ?” ถังซีถามขึ้น

“เพราะเธอสิ่งที่มีชื่อคล้ายกันอาจจะไม่เหมาะสมกันก็ได้ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?” เจียงฉางซี่กล่าว

“เธอพูดถูกเลยล่ะ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมแม่ถึงบอกข้อมูลเบื้องต้นบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาให้ฉันรู้เท่านั้น” พี่วั่นพยักหน้า

“ข้อมูลเบื้องต้นอะไรงั้นเหรอคะ?” ถังซีถามด้วยความสงสัยฉาบเต็มใบหน้า แม้แต่เจียงฉางซี่ก็จ้องมองพี่วั่นด้วยความสงสัยเช่นกัน

“คนที่ได้รับการแนะนำมาบอกว่าเขาสูง 180 ซม. มีร่างกายกำยำ หน้าที่การมั่นคง ไม่ดื่มเหล้าและไม่สูบบุหรี่ ทั้งยังเป็นคนหนักแน่นเอาจริงเอาจังแล้วก็มีซิกส์แพ็คด้วย” พี่วั่นเกือบระเบิดหัวเราะออกมาให้กับคำอธิบายในตอนท้าย

“ซิกส์แพ็คงั้นเหรอ? คิดไม่ถึงเลยแฮะ” ถังซีจับใจความสำคัญได้เพียงแค่นั้น

“ถ้าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องจริงได้สักครึ่งล่ะก็ผู้ชายคนนี้ควรค่าแก่การไปเจอจริงๆนั่นแหละ” เจียงฉางซี่กล่าวอย่างจริงจังหลังจากครุ่นคิดดูเล็กน้อย

“ไม่ดื่มเหล้าแถมไม่สูบบุหรี่อีก เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่การไปเจอจริงๆแหละ” พี่วั่นพยักหน้า

“เฉินเว่ย นายก็ไม่มีซิกส์แพ็คเหมือนกันเหรอ?” จู่ๆอู๋ไห่ก็ถามเฉินเว่ยขึ้นมาทันที

“นายจะถามไปทำไม? ฉันไม่โชว์ให้นายดูหรอก” เฉินเว่ยมองอู๋ไห่ด้วยความระแวดระวัง

“ไอ้คนโรคจิตเอ้ย” หยวนโจวเองก็มองอู๋ไห่ด้วยความระแวดระวังเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่มีซิกส์แพ็คคนหนึ่งเหมือนกัน

“ไสหัวไปซะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเคราอย่างช่วยไม่ได้แล้วเงียบไปทันที

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

คำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ของพวกเขาทำให้เจียงฉางซี่ พี่วั่นและถังซีต้องหัวเราะด้วยความขบขัน

วันนี้พี่วั่นสั่งอาหารง่ายๆคือ ก๋วยเตี๋ยวน้ำใสหนึ่งชาม หลังจากทานอาหารจนเกลี้ยงแล้ว เธอก็เช็ดปากก่อนที่จะกล่าวอำลาเจียงฉางซี่กับถังซี

“ฉันจะกลับแล้วนะ บาย” พี่วั่นกล่าวขณะที่ลุกขึ้นเดินจากไป

ห้านาทีก่อนสิ้นสุดมื้อเที่ยง หยวนโจวก็เช็ดมือจนแห้งแล้วยืนประจัญหน้ากับบรรดาลูกค้าของตัวเองก่อนที่จะประกาศออกมาว่า “อีกห้านาทีจะสิ้นสุดมื้อเที่ยงแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะทุกคน”

“บ้าชิบ สายป่านนี้แล้วงั้นเหรอนี่? ฉันต้องกลับแล้วสินะ” นอกจากอู๋ไห่แล้ว เฉินเว่ยดูจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อประกาศนี้มากที่สุด

“มีอะไรงั้นเหรอ?” เจียงฉางซี่ถามด้วยความสงสัย

“จะอะไรเสียอีกเล่า? เขาโดดงานออกมาทานอาหารที่นี่น่ะสิ ผู้จัดการกำลังจะมาตรวจแล้วเขาก็เลยต้องรีบกลับไป รู้สึกเหมือนยิ่งเวลาผ่านไปสถานการณ์ของเฉินเว่ยก็ยิ่งเลวร้ายลงไปเรื่อยๆเลย ตอนนี้เขาคงรู้สึกหวาดกลัวผู้จัดการจับจิตเชียวล่ะ” อู๋ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจพลางลูบหนวดเคราไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้นกับเขากันถึงได้หวาดกลัวผู้จัดการเสียขนาดนี้น่ะ?” เจียงฉางซี่ไม่เข้าใจตรรกะของอู๋ไห่เอาเสียเลย

“เขาเป็นหัวหน้ารักษารักษาความปลอดภัยฉะนั้นตำแหน่งของเขาก็เทียบเท่ากับผู้จัดการอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาทั้งสองคนต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการบริหาร แล้วทำไมเขาถึงกลัวผู้จัดการเสียขนาดนี้เลยเล่า?” อู๋ไห่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

เจียงฉางซี่ถึงกับพูดไม่ออกไปแล้ว หัวหน้ารักษาความปลอดภัยมีตำแหน่งเทียบเท่าได้กับผู้จัดการเสียเมื่อไหร่กันเล่า?

อู๋ไห่ช่างเป็นผู้ที่มีตรรกะที่ไม่เหมือนใครอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ

บทที่ 741 สถานที่เป็นอย่างไรบ้างเล่า?

รายการวาไรตี้โชว์หรือแม้แต่เรียลลิตี้โชว์จะจัดเตรียมสถานที่ถ่ายทำเอาไว้ก่อน ในงานวิจัยด้านการบริหารเชื่อกันว่าคนๆหนึ่งสามารถจัดการกับคนอื่นได้มากที่สุดหกคน แต่ทีมถ่ายทำจะมีแค่หกคนได้อย่างไรกันเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างถ่ายทำก็ได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการจัดเตรียมทุกอย่างล่วงหน้ามาก่อนแล้ว

รายการโรล เดียร์ บีฟ ได้เซ็นต์สัญญาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างเป็นคนที่มาเจรจาต่อรองจนสำเร็จ ประมาณไม่กี่สิบวันหลังจากนั้น เขาก็นำทางแล้วพาทอมหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ของทีมงานมาตรวจสอบสถานที่ถ่ายทำอีกครั้ง ถึงอย่างไรก็จำเป็นต้องมาติดตั้งกล้องและไฟในตำแหน่งเฉพาะระหว่างการถ่ายทำอยู่แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นงานของแผนกโลจิสติกส์ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมาที่นี่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที

ทอมฟังดูแล้วเหมือนชื่อของชาวต่างชาติ แต่แท้จริงแล้วเขาเป็นคนจีน ตัวเขามีชื่อเดิมว่าถังตงแต่มาเปลี่ยนชื่อเอาในภายหลัง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนจีน แต่เขาก็ไปเรียนต่อในอเมริกามาสองสามปีแล้วตอนนี้เขาก็คิดว่าตัวเองเป็นชาวต่างชาติไปแล้ว ดูจากชื่อเขาสิแค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้ว

“มิสเตอร์ทอมเกือบสี่ทุ่มครึ่งแล้ว พวกเราจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีจากสนามบินไปถนนเถ่าซือ ถ้าหากพวกเราไม่เคลื่อนตัวให้เร็วขึ้นก็คงต้องติดแหง็กอีกนานเลยล่ะ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าว เขาบอกเรียกทอมว่ามิสเตอร์ทอมก็เพราะนี่เป็นความต้องการของเขา ส่วนตัวเขานั้นอยากเรียกเขาว่าหัวหน้าถังมากกว่า

“ยังมีเวลาเดินทางอีกตั้ง 40 นาที ยังไงพวกเราก็ไปถึงก่อนห้าทุ่มครึ่งได้สบายๆ คุณจะตื่นตระหนกไปทำไมกันเล่า?” ทอมขมวดคิ้ว การนั่งเครื่องเป็นเรื่องที่เหนื่อยเอามากๆเลย ดังนั้นเขาจึงอยากนั่งพักจิบกาแฟเสียก่อน

“มิสเตอร์ทอม ในเมื่ออาหารร้านหยวนโจวรสชาติอร่อยมาก… ผมหมายความว่าในเมื่อร้านหยวนโจวถึงขนาดได้ออกข่าวและออกทีวีก็คงจะมีลูกค้ามาต่อคิวเยอะทุกวันเป็นแน่” เขาอยากจะบอกว่าเพราะอาหารที่ร้านหยวนโจวรสชาติอร่อยมาก แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเจ้าทอมผู้นี้เอาแต่เชื่อว่าอาหารจีนไม่เคยใส่ใจคุณค่าทางโภชนาการ การจัดจานและอื่นๆเลย เขามักจะมีคำวิพากษ์วิจารณ์อาหารจีนเยอะแยะมากมายอยู่เสมอ พูดง่ายๆก็คือทอมไม่ชอบอาหารจีนแถมยังเชื่อว่าอาหารฝรั่งเศสดีที่สุดอีกด้วย

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างเป็นคนที่มีอีคิวดี เขารู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ถึงแม้เจ้าทอมผู้นี้จะไม่ใช่หัวหน้าของเขาโดยตรงและไม่ได้มาจากแผนกเดียวกับเข้าเสียด้วยซ้ำไป แต่เขาก็หาใช่คนประเภทที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้คนที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานที่สูงกว่าตัวเองเพียงเพื่อสนองความต้องการบางอย่าง

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนคำพูดจากร้านหยวนโจวมีอาหารรสชาติอร่อยให้กลายเป็นร้านหยวนโจวเป็นร้านที่มีชื่อเสียงแทนเสียเลย

“ผมล่ะไม่เข้าใจจริงๆเลยที่พวกเขาเลือกสถานที่ถ่ายทำแบบนั้นน่ะ ทั้งเวลลิงตันและไพเบอร์เกอร์ก็ออกจะดี ทำไมพวกเขาต้องเลือกร้านอาหารจีนกันด้วยก็ไม่รู้? เพียงเพราะเป็นร้านอาหารที่มีชื่อเสียงน่ะเหรอ?” ถึงแม้ทอมจะเชื่อว่าอาหารจีนเทียบไม่ได้กับอาหารฝรั่งเศส แต่เขาก็กลายเป็นหัวหน้าด้วยความสามารถของตัวเองล้วนๆ

วันนี้ นอกเหนือไปจากการสรุปรายละเอียดกับเถ้าแก่ร้านอาหารแล้ว พวกเขายังต้องเจรจาต่อรองกับร้านค้าในละแวกข้างเคียงให้สำเร็จด้วย และในคืนเดียวกันเขาก็ต้องบินกลับไปสถานีโทรทัศน์ มีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องจัดการให้เรียบร้อยในเวลาอันน้อยนิด ดังนั้นทอมจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะไปดื่มกาแฟลง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่เลิกบ่นหรอก

“ในด้านความมีชื่อเสียง ทั้งเวลลิงตันและไพเบอร์เกอร์ก็มีชื่อเสียงมากเช่นกัน ผมไม่เข้าใจเสียจริงๆเลยว่าผู้กำกับตัดสินใจแบบนี้ได้ยังไง”

เวลลิงตันและไพเบอร์เกอร์ที่ทอมเอ่ยถึงคือร้านอาหารสไตล์ตะวันตกทั้งสองแห่งในเฉิงตู ร้านอาหารทั้งสองแห่งนี้เคยออกทีวีมาก่อนแล้วเช่นกัน แถมเชฟที่นั่นยังเป็นคนฝรั่งเศสอีกต่างหาก ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างไม่ตอบและเอาแต่จดจ่ออยู่กับการเรียกรถแท็กซี่แทน เนื่องจากพวกเขาต้องเข้าคิวรอแท็กซี่จากสนามบิน ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างจึงใช้โทรศัพท์มือถือเรียกแท็กซี่แทน

หลังจากพวกเขาขึ้นรถแท็กซี่ไปแล้วก็รีบบึ่งไปที่ถนนเถ่าซือในทันที

ทอมอยู่ในรถแท็กซี่จนเบื่อจึงเริ่มหัวข้อสนทนาโดยถามขึ้นมาว่า “คุณชอบสเต็กไหม?”

“กับสเต็กผมยังไงก็ได้อยู่แล้วครับ เผอิญว่าผมกินมาหลายครั้งแล้ว” แน่นอนว่าชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างย่อมไม่ได้พูดให้หมด อันที่จริงแล้วชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างเคยกินสเต็กในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเมื่อตอนที่เขายุ่งกับงานเท่านั้น

ทอมส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “การทอดด้วยน้ำมันเล็กน้อยเป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะแสดงรสชาติของเนื้อได้อย่างเต็มที่ เมื่อตอนที่ผมไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ผมบังเอิญโชคดีที่จองที่นั่งในร้านของไมค์ได้ มิสเตอร์ไมค์เองก็ทำสเต็กและนั่นก็เป็นสเต็กที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยกินมาเลยก็ว่าได้ สเต็กช่างแสนชุ่มฉ่ำอย่างไม่น่าเชื่อเชียวล่ะ”

ระหว่างที่เขาพูด ทอมก็จมจ่อมอยู่ในความทรงจำของตนเองแล้วเริ่มกลืนน้ำลายเมื่อหวนระลึกถึงรสชาตินั้นได้

“ต่อมาผมก็รู้มาจากมิสเตอร์ไมค์ว่าเนื้อที่นำมาใช้ในร้านของเขาล้วนแล้วแต่มาจากเบอร์กันดีซึ่งมีโคพันธุ์ชาร์โรเล่ส์หนึ่งในสี่สุดยอดสายพันธุ์โคของโลก ทั่วทั้งตัวของโคพันธุ์นี้เป็นสีขาวและรสชาติของเนื้อก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจลืมได้ลงเลยทีเดียว”

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างไม่เคยกินมาก่อน ดังนั้นเขาจึงได้แต่รับฟังและพยักหน้าเป็นครั้งคราว

“หลังจากเดินทางมาที่ประเทศจีน ผมก็พบว่านอกเหนือไปจากร้านที่เปิดให้บริการโดยเชฟชาวฝรั่งเศส ก็ไม่มีร้านไหนที่สามารถทำสเต็กได้อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย” ทอมดูเปี่ยมไปด้วยความขัดเคืองใจ “ไม่ต้องเอ่ยถึงคุณภาพเนื้อที่นำมาใช้เลย ใช้เวลาตอนทำสเต็กนานมากแถมยังไม่อร่อยอีกต่างหาก แล้วผมก็ได้ลองกินเนื้อทอดกับเนื้อผัดซอสด้วย พวกมันถูกทำลายรสชาติเดิมของเนื้อเสียจนเกลี้ยงเลย ผมพบว่าในอาหารจีน รสชาติดั้งเดิมของวัตถุดิบต่างๆมักจะถูกทำลายอยู่เสมอและนอกจากนั้นยังไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย”

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างดวงตากระตุกยิกๆ เขาหมายความว่าอะไรกันที่บอกว่าเดินทางมาที่ประเทศจีน? เขาคิดว่าตัวเองเป็นชาวต่างชาติงั้นเหรอ? ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างอยากถามเขาจนแทบบ้าอยู่แล้ว ต้องขอบคุณสติของเขาที่บอกให้เขาสงบปากสงบคำเอาไว้

ประมาณห้าทุ่มยี่สิบนาที พวกเขาก็มาถึงสี่แยกถนนเถ่าซือ

“ถึงแล้วครับ มิสเตอร์ทอม” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าวพลางนำทางไปด้วย

“สถานที่แห่งนั้นดูค่อนข้างโบราณมากทีเดียว” ทอมกล่าวพลางตรวจสอบสถานที่หลังจากลงรถแท็กซี่มาแล้ว

“ใช่ครับ นี่คือสถานที่ที่ซุกซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางเมืองอันแสนสับสนวุ่นวาย มิสเตอร์ทอม มื้อเที่ยวแล้ว พวกเราน่าจะไปเข้าคิวทานอาหารก่อนที่จะปรึกษาหารือกันต่อไปดีไหมครับ?” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างถามขึ้นอย่างรู้จักกาลเทศะ

“มีคนมาที่นี่กันตั้งเยอะตั้งแยะ ในเมื่อเถ้าแก่เป็นคนทำอาหารเอง ฉันเดาว่าเขาคงจะมีเวลาว่างมากเชียวล่ะ งั้นเราก็ทานอาหารมื้อเที่ยงก่อนก็แล้วกัน” ทอมขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นว่าหน้าร้านหยวนโจวเนืองแน่นไปด้วยผู้คน

“งั้นก็ไปกันเถอะครับ ที่ร้านแห่งนี้ ทุกคนต้องเข้าคิวรอเอง” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างตั้งหน้าตั้งตารอคอยที่จะได้ทานอาหารที่นี่

เขาอยากลิ้มลองอาหารที่ร้านหยวนโจวมานานแล้ว น่าเสียดายที่อาหารช่างราคาแพงเสียเหลือเกิน หากเขาจ่ายเงินเองก็น่าจะแพงเกินไป แต่ตอนนี้เขามาทานกับหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ เรื่องน่าจะต่างออกไปเพราะสามารถเบิกค่าอาหารจากบริษัทได้

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างวางแผนที่จะได้ทานอาหารฟรีๆอย่างเอาเป็นเอาตาย อีกไม่นานเขาก็จะได้ลิ้มลองอาหารอร่อยในตำนานของร้านหยวนโจวแล้ว

“ไม่ล่ะ ร้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่อยู่ข้างๆดูดีกว่า ไปกินที่นั่นกันเถอะ พวกเราจะได้จิบกาแฟสักถ้วยไปด้วย” ทอมกล่าวขึ้นเมื่อเขาเห็นร้านอาหารสไตล์ตะวันตกสองร้านที่อยู่ห่างจากร้านหยวนโจวออกไป

นั่นก็คือร้านของลี่ลี่นั่นเอง

“โอ้ ครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างตัวแข็งท่อไปทันทีก่อนที่จะพยักหน้าเห็นด้วยแล้วมุ่งหน้าไปที่ร้านอาหารสไตล์ตะวันตก

เขาเดินราวกับถูกสูบพลังงานออกจากร่างกายไปจนหมดสิ้น

“วันนี้หัวหน้าเชฟคือลี่ลี่งั้นเหรอ? เป็นเขางั้นเหรอ? อาหารสไตล์ตะวันตกที่เขาทำรสชาติเยี่ยมมากทีเดียว ฉะนั้นเขาก็เลยมาเปิดร้านอยู่ที่นี่” ทอมเริ่มอ่านคำแนะนำหัวหน้าเชฟด้วยท่าทางที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี

“เอาล่ะ ดูเหมือนว่ายังมีเรื่องดีๆที่ได้จากการทำงานอันแสนห่อเหี่ยวในครั้งนี้อยู่บ้างแหละนะ วันนี้เป็นวันดีของคุณแล้วล่ะ ผมจะให้คุณได้ลิ้มลองว่าสเต็กขนานแท้รสชาติเป็นอย่างไร” ทอมกล่าวอย่างมีความสุข

“ขอบคุณครับ มิสเตอร์ทอม” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าตื้นตันใจ แต่กลับลอบสบถอยู่ในใจ

“ไอ้เวรเอ้ย แกมันไอ้ฝรั่งจอมปลอม จบเห่กันพอดีอาหารอร่อยของฉัน…” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างส่งเสียงร้องโหยหวนอยู่ในใจ

บทที่ 742 วันดีๆ

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างรู้สึกว่าเขาเก็บอาการได้ดีพอแล้ว แต่ทอมก็ยังสังเกตเห็นความขัดเคืองใจของเขาเข้าจนได้

ทอมเห็นชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างดูหม่นหมองจึงเริ่มอธิบายเพราะคิดว่าเขาอาจจะสับสนอยู่ “คุณไม่รู้จักลี่ลี่หรือไง? การประชุมแลกเปลี่ยนวิชาด้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่จัดขึ้นในประเทศสิงคโปร์แต่ละปี การประชุมแลกเปลี่ยนวิชาแบบนี้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างใหญ่มากเลยทีเดียวและลี่ลี่ก็เป็นผู้ที่ได้เหรีญทองมาสามเหรียญจากการประชุมแลกเปลี่ยนวิชาด้วย ที่สำคัญเขาเป็นคนที่มีความเข้มงวดเมื่อเป็นเรื่องของวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร วันนี้ช่างเป็นวันดีของคุณเสียจริงๆเลยนะ”

ถ้าหากชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างไม่ได้เป็นที่ใจเย็นขนาดนั้นแล้วล่ะก็เขาคงจะสบถออกไปแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยกินอาหารของหยวนโจวมาก่อนก็เถอะ แต่สัญชาตญาณราวกับสัตว์ป่าของเขาสามารถรู้สึกได้เลยว่าอาหารของหยวนโจวต้องอร่อยกว่าอาหารของลี่ลี่อย่างแน่นอน

แน่นอนว่าเขาก็เกรงว่าจะไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของทอมได้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ก้มหน้าก้มตารับคำกับสิ่งที่ทอมกล่าวเป็นครั้งคราว

พวกเขาเข้ามาในร้านแล้วนั่งลงตรงโต๊ะริมหน้าต่าง ต่อมาบริกรหญิงก็เข้ามายื่นผ้าเช็ดมือให้พวกเขาก่อนที่จะยื่นเมนูให้ บริกรหญิงถามอย่างเป็นกันเองว่า “วันนี้จะรับอะไรดีคะ?”

ทอมปิดเมนูลง ในฐานที่เป็นผู้ที่ทานอาหารสไตล์ตะวันตกมานานหลายปี เขาจึงมีประสบการณ์ในการสั่งอาหารสไตล์ตะวันตกอยู่มากมาย

“คุณจะทานอาหารจานพิเศษประจำวันหรือว่าอาหารแนะนำของเชฟในวันนี้ดีล่ะ?” ทอมถามขึ้น

แน่นอนว่าบรรยากาศและพนักงานของร้านลี่ลี่ย่อมไม่ใช่ปัญหา เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากเครื่องแบบสีดำที่เป็นระเบียบเรียบร้อยและรอยยิ้มเป็นมิตร

“อาหารจานพิเศษประจำวัน” ทอมกล่าวย้ำคำถามของตนเอง

บริกรหญิงเปิดเมนูแล้วหลังจากเจอหน้าที่เธอกำลังค้นหา เธอก็ตอบว่า “อาหารแนะนำของเชฟในวันนี้คือเป็ดกงฟีต์ที่เชฟเป็นผู้เตรียมเองค่ะ”

ทอมตอบว่า “เป็ดกงฟีต์งั้นเหรอ? นานแล้วไม่ได้กินอาหารจานนี้ โฮเค งั้นเอาเป็ดกงฟีต์หนึ่งที่กับสเต็กเนื้อเซอร์ลอยด์สองที่ แล้วก็…”

“โอ จริงด้วย คุณอยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?” ในที่สุดทอมก็นึกถึงชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างขึ้นมาได้

“สั่งตามที่คุณเห็นว่าเหมาะสมเถอะครับ มิสเตอร์ทอม ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างตอบ

“โอเค เอาซุปข้นสองที่กับบาแก็ตหนึ่งที่ด้วยครับ” หลังจากสั่งอาหารเสร็จแล้ว ทอมก็บอกสิ่งต้องการเพิ่มเติมสำหรับสเต็กของตัวเองก่อนที่จะถามชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างว่าอยากได้สเต็กแบบไหน

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างส่ายหน้า เขาไม่คุ้นเคยกับสเต็กแล้วก็ไม่มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษด้วย ตามที่เขาเข้าใจ การทานสเต็กบุฟเฟ่ต์สักครั้งควรจะมีสเต็กสี่หรือห้าที่จึงจะดีที่สุด

และนี่ก็คือภาพของคนผู้หนึ่งที่กำลังรอคอยด้วยความหวาดวิตกในขณะที่อีกคนรอคอยด้วยท่าทีไม่สนใจอย่างเห็นได้ชัดที่ปรากฏขึ้นในร้าน

หลังจากผ่านไป 10 นาที อาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟแล้วพวกเขาก็เริ่มกิน

“อย่าเพิ่งกินขนมปังสิ กินสเต็กก่อน พอสเต็กมาถึงคุณจะได้กินตอนที่ยังร้อนอยู่ยังไงล่ะ ยังมีน้ำมันกับเลือดอยู่ในสเต็กอยู่เลยถ้าหากคุณเก็บไว้กินทีหลังมันจะเย็นเสียก่อน รสชาติและเนื้อสัมผัสก็จะให้ความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีแล้ว” ทอมอธิบายอย่างเอาจริงเอาจังระหว่างที่ใช้มีดกับส้อม

“สเต็กจานนี้เป็นแบบมีเดียมงั้นเหรอครับ?” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าวเมื่อเห็นว่ามีเลือดกับน้ำมันกำลังไหลออกมาหลังจากหั่นสเต็กเป็นชิ้นๆแล้ว

“ถูกต้องแล้ว สเต็กจะมีรสชาติดีขึ้นถ้าหากดิบอยู่บ้าง ด้วยเลือดกับน้ำมันที่ผสมเข้าด้วยกัน ก็จะให้ความรู้สึกยอดเยี่ยมแก่เนื้อสัมผัสเชียวล่ะ ลองชิมดูสิ” ทอมอธิบาย

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างแย้งในใจ ถึงอย่างไรเนื้อวัวก็ดูยังดิบๆอยู่เลยแถมมีแค่ชั้นนอกเท่านั้นที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจริงๆ น่าเสียดายที่ผู้ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเขาไม่ใช่เพื่อนของเขา แต่ยังไงคนผู้นี้ก็เป็นหัวหน้าของเขานี่นา เขาจึงไม่มีทางเลือกได้แต่เริ่มกินมันลงไปเท่านั้นแล้ว

“ถูกต้องแล้ว เคี้ยวให้ละเอียดแบบนี้แหละถึงจะเป็นวิธีการกินสเต็กที่ถูกต้อง” ทอมจ้องมองชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างด้วยความพึงพอใจ

แต่คนผู้นั้นกลับกำลังสบถอยู่ในใจว่า “เวรเอ้ย ฉันเกือบจะสำลักตายอยู่แล้ว เนื้อห่าเหวอะไรกันเหนียวชะมัดยากเลย”

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเลยสักนิด แต่เขาก็ยังคงระบายยิ้มต่อไป “ครับ อร่อยแล้วก็เหนียวนุ่มมากเลยล่ะครับ”

“แหงอยู่แล้ว ตอนที่สั่งฉันขอเนื้อวัวส่วนซี่โครงเชียวนะ ดูชั้นสีขาวบนสเต็กชิ้นนี้สิ ด้วยสิ่งนี้แหละก็จะยิ่งเคี้ยวหนึบมากขึ้นไปอีกทั้งยังเหมาะกับฟันของผู้ใหญ่อย่างเราๆมากเลยล่ะ” ทอมกล่าว

“แน่นอนครับ ก็มันเป็นของดีนี่นา” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างเห็นด้วย

“แหงอยู่แล้วก็มันเป็นของดีน่ะสิ เนื้อทั้งเหนียวนุ่มแถมชุ่มน้ำมันอีกต่างหาก แล้วก็มีเลือดผสมอยู่ด้วยตอนที่กำลังเคี้ยว ทุกอย่างจะผสมเข้าด้วยกันทันที ปากของนายจะเต็มไปด้วยกลิ่นเนื้อวัวเลยล่ะ นี่ก็คือรสชาติที่แท้จริงของเนื้อวัวยังไงเล่า” ทอมรำพึงออกมาด้วยความพึงพอใจพร้อมหลับตาหลังจากทานชิ้นแรกเข้าไป

“โอ ยอดเยี่ยมไปเลย นานขนาดไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้ทานสเต็กขนานแท้แบบนี้น่ะ สมกับเป็นสเต็กที่สุดยอดเชฟลี่ลี่เป็นคนทำเองจริงๆ รสชาติอร่อยจริงๆ” ทอมเอ่ยปากชื่นชมซ้ำๆ

“มันยังดิบและสดอยู่เลยไม่ใช่หรือไง? เขามันเว่อร์เกินไปหน่อยแล้ว” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างไม่เข้าใจว่าทำไมทอมถึงได้มีท่าทีตอบสนองเช่นนี้

ควรรู้ว่ายามที่กำลังทานอาหารอยู่นั้น อารมณ์จัดเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน ถ้าหากกำลังทานอาหารกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ไม่ว่าอาหารจะเลิศรสสักแค่ไหนก็ย่อมไม่อร่อยอยู่ดี นี่เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างในตอนนี้นั่นเอง

ในสถานการณ์นี้ ถ้าหากสเต็กจานนี้ได้คะแนน 8/10 ตอนนี้ก็จะลดเหลือเพียงแค่ 5/10 แทนเนื่องจากคนที่เข้ากำลังทานด้วย

พวกเขาออกจากร้านพร้อมรสชาติของเป็ดกงฟีต์ยังคงตลบอบอวลอยู่เต็มปากและเตรียมตัวไปจัดการธุระต่อ

“อาหารเป็นยังไงบ้าง? ไม่เลวไปเลยใช่ไหมล่ะ? บรรยากาศร้านก็ดี บริการก็เยี่ยมแถมรสชาติอาหารก็สุดยอดอีกต่างหาก ก่อนที่จะไปทำธุระต่อ ทางที่ดีต้องอารมณ์ดีเสียก่อน” ทอมกล่าวขึ้นระหว่างที่เดินไปด้วย

“คุณพูดถูกเลยล่ะครับ ผมอิ่มมากเลย มิสเตอร์ทอม เถ้าแก่หยวนคนนั้นไม่ใช่คนช่างจ้ออะไรนักหรอกครับ ผมก็เลยเตรียมเอกสารทั้งหมดมาให้ด้วย ทุกอย่างอยู่ในนั้นแล้วล่ะครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างหยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋าเอกสารอย่างคล่องแคล่ว

“ดีแล้วแหละที่เข้าไม่ใช่คนช่างจ้อ ขอเพียงแค่เขาดูดีตอนอยู่หน้ากล้องก็พอแล้ว” ทอมรู้สึกยินดีมากที่ได้ยินว่าหยวนโจวเป็นคนพูดน้อย

“แต่ร้านอาหารจีนก็มักจะสกปรกอยู่แล้วเพราะพวกเขาไม่ค่อยจะเข้มงวดกวดขันเรื่องสภาพแวดล้อมอย่างจริงๆจังๆสักเท่าไหร่นัก ผมเกรงว่าร้านจะดูไม่ดีตอนอยู่หน้ากล้องน่ะสิ” จู่ๆทอมก็กล่าวพลางขมวดคิ้วระหว่างที่พลิกดูเอกสาร

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มิสเตอร์ทอม เถ้าแก่หยวนคนนี้มีที่ยอดเยี่ยมทั้งยังแกะสลักได้ประณีตมากเลยด้วย นอกจากนี้เขายังเคยออกรายการโฟล์คทาเลนต์มาก่อนแล้ว เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียวแหละครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าวด้วยความมั่นใจ

ถึงแม้ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างจะไม่เคยเห็นหยวนโจวทำงานกะสลักด้วยตาตนเอง แต่เขาก็เคยดูรายการโฟล์คทาเลนต์มาก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับหยวนโจวก่อนที่จะมาหาเขาอยู่ก่อนแล้ว

“พวกเขาก็แค่โฆษณาให้รายการเท่านั้นแหละ อาหารจีนก็เหมือนๆกันหมด ถ้าหากคุณอยากเห็นชิ้นงานแกะสลักที่ยอดเยี่ยมจริงๆล่ะก็ต้องดูอาหารสไตล์ตะวันตกนี่สิ อาหารจีนให้ความสำคัญกับความถูกต้องของส่วนผสมน้อยเกินไป” ทอมตอบโต้พลางขมวดคิ้ว เขาได้ลืมเลือนรากเหง้าของตัวเองไปแล้วหลังจากไปอยู่ต่างประเทศแค่ไม่กี่ปี

“แต่ถ้าหากรายการนั้นสามารถทำให้เขาทำอาหารออกมาอร่อยได้ พวกเราก็สามารถทำได้เหมือนกันแหละน่า แล้วก็เสริมเข้าไปด้วยว่าข้อความตลกขบขันตรงนั้นทีตรงนี้ที พวกเราก็สามารถรักษาคุณภาพของรายการไว้ได้แล้ว” ทอมพูดต่อ

“แน่นอนครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างพยักหน้าพร้อมยิ้มโดยไม่สนใจที่จะทุ่มเถียงกับเขาสักนิด

“ทำไมถึงยังมีคนมาที่นี่ตั้งเยอะตั้งแยะอีกเล่า?” ทอมรู้สึกสับสนเมื่อเขาเห็นว่ายังมีคนกลุ่มใหญ่อยู่หน้าร้านหยวนโจว

“คนพวกนี้มาที่นี่เพราะฝีมือการทำอาหารของเถ้าแก่หยวนกันทั้งนั้นแหละครับ ผู้คนมักจะมารวมตัวกันแบบนี้อยู่เสมอ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างอธิบายให้ฟัง

“เอาล่ะ ผมเดาว่าคนจีนคงจะสนุกกับการรวมพลให้มีคนเยอะๆมากเลยสินะ” ทอมกล่าวพลางขมวดคิ้ว

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มิสเตอร์ทอม มื้อเที่ยงกำลังจะสิ้นสุดลงในอีกห้านาทีแล้ว เดี๋ยวผู้คนก็แยกย้ายกันไปเองแหละครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างตอบ

“อืม ได้ยินแบบนั้นก็ดี พวกเราจะยืนรออยู่สักแปบนึงก็แล้วกัน” ทอมยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเริ่มต้นการรอคอย

“โอเคครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างพยักหน้า

ณ จุดนี้ ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างก็ต้องรู้สึกประหลาดใจกับความเป็นมืออาชีพของเขา ถึงอย่างไรบุคลิกของเขาก็ช่างตรงข้ามกับคนที่อยู่ตรงนี้โดยสิ้นเชิง

743 คุณคือผู้เชี่ยวชาญ

 

ทอมที่แต่งกายในชุดสูทที่กำลังยืนอยู่หน้าร้านหยวนโจวดูมีความเป็นมืออาชีพมาก ส่วนชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างนั้น เขายืนอยู่ข้างหลังทอมด้วยสายตาจับจ้องไปที่บรรดาลูกค้าของร้าน

ผู้คนเริ่มทยอยกันออกจากร้านแล้ว

บรรดาลูกค้าที่คุยกันไประหว่างเดินหากันมุ่งหน้าไปที่ถนน

“ฉันรู้สึกว่ามื้อเที่ยงของเถ้าแก่หยวนสั้นเกินไป ถ้านานกว่านี้สักหน่อยจะดีสักเพียงใดกันนะ”

“ใช่เลย แค่เถ้าแก่หยวนคนเดียว ขนาดเขาไม่มีลูกมือในครัวคอยช่วยก็ยังทำออกมาได้ดีมากถึงขนาดนี้แล้ว”

“ใช่แล้วล่ะ อาหารของเถ้าแก่หยวนอร่อยเกินไปแล้ว ฉันล่ะอยากมีแฟนแบบเขาจัง”

ถ้าหากผู้ที่กล่าวเช่นนั้นเป็นสาวงาม หยวนโจวก็คงจะสุขใจมาก น่าเสียดายที่ผู้ที่กล่าววาจาพวกนั้นกลับเป็นบุรุษ…

“ฉันคิดว่าพรุ่งนี้จะกินหมูสองไฟล่ะ ทั้งเผ็ดร้อนทั้งหอมกรุ่น เสียอย่างเดียวเท่านั้นแหละคือฉันคงต้องทานข้าวเพิ่มอีกสักถ้วย”

“ขืนทานอาหารที่นี่มากเกินไปกระเป๋าสตางค์ของฉันคงไม่รอดแน่เลย ฉันมีความฝันนะ ฝันว่าได้ทานอาหารที่ร้านของเถ้าแก่หยวนฟรีๆบ้างน่ะ”

“งั้นก็จงฝันต่อไปเถอะ”

ทอมบังเอิญได้ยินบทสนทนาทั้งหลายเข้า แต่เขาดูจะไม่ตื่นตระหนกหรือตกตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินเลยสักนิด

ทอมไม่ใช่คนโง่ เขาเกรงว่าอาจจะเป็นการสร้างจุดสนใจบนหน้าจอทีวีและลูกค้าเป็นจำนวนมากพวกนั้นก็น่าจะมาทานอาหารอร่อยเป็นแน่

เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีคนร้องสรรเสริญร้านแห่งนี้ ถึงอย่างไรอาหารจีนก็คงอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว แน่นอนว่าย่อมเป็นอาหารที่ยอดเยี่ยมเนื่องจากอาหารของหยวนโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย

แน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมไม่มีผลต่อวิธีจัดลำดับอาหารต่างๆของทอม

เมื่อบรรดาลูกค้าออกไปเกือบหมดแล้วจนเหลือเพียงแค่ไม่กี่คน ทอมก็พูดขึ้นมา

“ไปกันเถอะ” ทอมหันหน้ามาบอก

“ทางนี้ครับ มิสเตอร์ทอม” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างนำทาง

“อืม” ทอมตอบเบาๆแล้วเดินเข้าร้านไป

มีเพียงหยวนโจวกับคุณเฉิงเท่านั้นที่อยู่ในร้าน เมื่อทอมเข้ามา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มกว้างในทันที

“สวัสดีครับ เถ้าแก่หยวน ผมเป็นหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ของรายการโรล เดียร์ บีฟ ชื่อว่าทอมนะครับ” ทอมแนะนำตัว

หยวนโจวไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่แสดงท่าทีให้ทอมรออยู่สักครู่ก่อนที่จะเบนสายตาไปทางคุณเฉิงอีกครั้งเพื่อฟังสิ่งที่เขากำลังกล่าวให้จบ

“คุณหยวน ผมกลับก่อนแล้วกัน สู้ต่อไปนะครับ” คุณเฉิงจบการสนทนา

“อืม แล้วเจอกันครับ” หยวนโจวพยักหน้า

ตึก ตึก ตึก เสียงฝีเท้าของคุณเฉิงเริ่มห่างไกลออกไปทุกทีๆ ตอนนี้เหลือคนแค่สามคนอยู่ในร้านแล้วคือ หยวนโจว ทอมและชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างนั่นเอง

“สวัสดีครับ” หยวนโจวทักทายอย่างสุภาพขณะที่หันหน้าไปหาทอมกับชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้าง

“สวัสดีครับ เถ้าแก่หยวน ผมคงไม่ได้มารบกวนหรอกนะ” ทอมรักษารอยยิ้มเอาไว้ขณะที่กล่าวอย่างสุภาพ

แววดูหมิ่นของเขาที่มีต่ออาหารของหยวนโจวตอนที่เปรียบเทียบกับอาหารสไตล์ตะวันตกไม่ปรากฏให้เห็นอีก

“อย่ากังวลเรื่องนั้นเลย มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ?” หยวนโจวพูดถึงเรื่องงานแล้วถามขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เถ้าแก่หยวน ไม่มีธุระอะไรหรอก พวกเราแค่อยากมาขอบคุณสำหรับการให้ความร่วมมือของคุณที่ช่วยให้ดำเนินการทุกอย่างได้อย่างราบรื่นน่ะครับ จริงๆแล้วที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อมาดูสภาพแวดล้อมบริเวณร้านและการเตรียมการในร้าน แบบนี้จะทำให้เราตั้งกล้องและวางแผนระหว่างการถ่ายทำได้ง่ายขึ้นครับ” ทอมอธิบายพร้อมยิ้มไปด้วย

“ห้ามเข้าไปหลังครัวนะครับ” หยวนโจวแจ้งขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะ

“ไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นหรอก ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่ามีเครื่องซุกซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง แต่หากเที่ยวเปิดตู้ไปทั่วแล้วเจอเข้ากับสัตว์เป็นๆอยู่ในนั้น ฉันก็คงสุดที่จะอธิบายได้แล้ว” หยวนโจวคิดในใจขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังเมื่อนึกถึงวัตถุดิบชั้นยอดเต็มตู้

“ไม่ต้องห่วงครับ เรื่องนั้นระบุเอาไว้ในสัญญาแล้ว ผมจะไม่เข้าไปในครัว ยังไงเสียคุณก็ไม่แสดงหน้าตาตัวเองออกรายการอยู่แล้ว พวกเราสามารถจัดไฟหลังครัวเอาทีหลังได้ครับ” ทอมไม่พอใจเรื่องนี้แต่กลับไม่แสดงออกทางสีหน้าให้เห็นยามที่พูด

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า

“เอาล่ะ คุณกลับไปทำงานเถอะครับ เถ้าแก่หยวน ผมจะตรวจดูก่อน จะเป็นอะไรไหมครับถ้าผมจะขอถ่ายรูปเอาไว้ด้วยน่ะครับ?” ทอมถามอย่างสุภาพขณะที่หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา

“เชิญครับ” หยวนโจวตอบพลางพยักหน้า จากนั้นเขาก็ไม่สนใจทั้งสองคนอีกแล้วเริ่มทำความสะอาดครัว

“งั้นเรามาเริ่มกันเลย ขอโทษที่มารบกวนนะครับ เถ้าแก่หยวน เอานี่ไปแล้วก็ถ่ายภาพทั่วทั้งร้านไว้เลยนะ” ทอมกล่าวขอบคุณหยวนโจวก่อนจะยื่นกล้องให้ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้าง

คราวนี้หยวนโจวเพียงแค่ส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไรและเช็ดเคาน์เตอร์หินอะซูเร่ต่อไป

เมื่อทอมเห็นว่าหยวนโจวหันหลังให้เขาแล้ว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นดูถูกดูแคลนขึ้นมาทันที

“ในร้านมีพื้นที่ไม่เพียงพอแถมยังไม่มีแม้แต่เมนูที่พอจะนำเสนอได้อีกต่างหาก” ทอมขมวดคิ้วเมื่อเขาเห็นเมนูบนโต๊ะ

ร้านหยวนโจวมีขนาดเล็กกว่า 500 ตารางฟุตและมีเฟอร์นิเจอร์เต็มไปหมด แม้ว่าจะพรั่งพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและการออกแบบร้านก็ค่อนข้างประณีต แต่ร้านแห่งนี้ก็ยังเล็กเกินไปสำหรับทอมอยู่ดี ทอมคิดว่าทางที่ดีควรจะพื้นที่มากกว่านี้

การจัดวางในร้านแห่งนี้ก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เขาไม่สามารถทำได้แม้แต่จะเหยียดแขนโดยไม่ขนกับโต๊ะตัวถัดไป สิ่งนี้ช่างแตกต่างไปจากการออกแบบอันโอ่โถงของร้านอาหารสไตล์ตะวันตกโดยสิ้นเชิง

“รสนิยมของผู้กำกับแปลกชะมัดที่เสาะหาร้านเล็กๆแบบนี้มาได้ ดูเหมือนหลังจากนี้ฉันต้องกลับไปวางแผนก่อนเสียแล้ว” ทอมเริ่มพูดถึงเรื่องงาน

“เรียบร้อยครับ มิสเตอร์ทอม” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างส่งกล้องกลับไปให้ทอม

“อืม” ทอมพยักหน้าก่อนที่จะบอกหยวนโจวว่า “เถ้าแก่หยวน พวกเราจัดการตรงนี้เรียบร้อยแล้วคงไม่รบกวนคุณอีกเพราะพวกเรายังต้องไปคุยกับเจ้าของร้านค้าแถวนี้อีก”

“โอเคครับ ลาก่อน” หยวนโจวพยักหน้าแล้วเดินออกจากครัวพร้อมถือตะกร้าไปด้วย

“คุณก็จะออกไปข้างนอกเหมือนกันเหรอครับ เถ้าแก่หยวน?” ทอมถามเขาขณะที่เดินออกมานอกร้าน

“เปล่าหรอกครับ ผมจะมาฝึกการแกะสลักน่ะ” หยวนโจวตอบง่ายๆ

เมื่อเขาได้ยินคำตอบของหยวนโจว ทอมก็รู้สึกค่อนข้างไม่พอใจนัก ในความคิดของเขานั้น มีแต่คนที่ไม่มีฝีมือเท่านั้นแหละที่ต้องมาฝึกฝนอะไรแบบนี้ หยวนโจวคงจะเป็นคนที่ไร้ฝีมือมากที่สุดคนหนึ่งเลยสินะ

“เถ้าแก่หยวนฝึกหนักมากเลยนะครับ ในเมื่อฝึกหนักขนาดนี้ ฝีมือของคุณจะต้องพัฒนาขึ้นแน่” ทอมกล่าวหลังจากหยวนโจวนั่งลงหน้าร้าน

“ใช่ครับ ฝีมือของผมจะต้องพัฒนาขึ้นให้ได้” หยวนโจวพยักหน้า

“งั้นพวกเราไม่รบกวนการฝึกของคุณแล้วล่ะ เถ้าแก่หยวน ไว้เจอกันนะ” ทอมกล่าว

หยวนโจวพยักหน้าแล้วเริ่มเตรียมฝึกการแกะสลักของตัวเอง

หลังจากเดินห่างจากร้านมาได้ 20 หรือ 30 เมตร ทอมก็อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วเริ่มบริภาษขึ้นมาว่า “เขายังจะฝึกยันนาทีสุดท้ายเลยหรือไงกัน? พวกเรากำลังจะไปถ่ายทำการแกะสลักของเขาใช่ไหม? เขาเชื่อได้จริงๆหรือเปล่าน่ะ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มิสเตอร์ทอม ทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดี” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าว

“ร้านอาหารจีนแห่งนี้เล็กมากๆซ้ำยังเป็นครัวแบบเปิดอีกต่างหาก ตอนที่เขาทำอาหาร ร้านย่อมต้องเต็มไปด้วยควันแหงๆเลย แบบนี้จะดูดีตอนออกรายการได้อย่างไรกันเล่า? นี่ออกจะเป็นวิธีการที่ขาดคุณค่าทางศิลปะเกินไปแล้วไม่เหมือนกับร้านอาหารสไตล์ตะวันตกเอาเสียเลยจริงๆ” ทอมบ่นอีกครั้ง

“แล้วในอาหารจีนนั้น ไม่ว่าจะทำอาหารอะไรก็จะใช้มีดอีโต้เหมือนกันไปเสียหมด นี่ช่างไม่เหมือนกับมีดอันประณีตอ่อนช้อยที่ใช้กันในอาหารสไตล์ตะวันตกเอาเสียเลย คงจะจัดวางตำแหน่งกล้องลำบากเอาการทีเดียว” ทอมเริ่มกังวลใจ

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างหันกลับไปมองร้านหยวนโยวก่อนที่จะจ้องมองทอมที่ยังคงบ่นต่อไป เขาจึงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

“ใช่ครับ คุณพูดถูก แต่ผู้กำกับตัดสินใจเลือกร้านนี้แล้ว ไม่งั้นเราก็ต้องเปลี่ยนสถานที่ แน่นอนว่าเราน่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้” จู่ๆเขาก็กล่าวขึ้นมาในทันที

“คุณมีความคิดอะไรงั้นเหรอ?” ทอมถามด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“ไม่ครับ มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมีความเข้าใจในอาหารสไตล์ตะวันตกที่ลึกซึ้งขนาดไหนและอาหารสไตล์ตะวันตกมีวิธีการจัดตกแต่งจานที่ประณีตขนาดไหนมากกว่า ในเมื่ออีกไม่นานเถ้าแก่หยวนก็จะเริ่มการแกะสลักแล้ว พวกเราน่าจะไปดูสักหน่อยนะ ถ้าหากคุณสังเกตพบปัญหาอะไรจะได้ให้คำแนะนำเขาได้อย่างไรล่ะครับ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างเสนอแนะ

สายตาของทอมวอกแวกขณะที่เขากล่าวด้วยความลังเลว่า “จะไม่เป็นไรงั้นเหรอ?”

“ใช่ครับ ไม่เป็นไรหรอก คุณแค่ต้องบอกสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อให้ดูดีตอนอยู่หน้ากล้องและวิธีการถือมีดยังไงก็ได้ให้ออกมาดูดี คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้วนี่นา” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าว

“อืม ยังไงก็ได้แหละ งั้นก็ไปดูกันเถอะ ฉันจะได้ถือโอกาสคิดเรื่องการจัดวางตำแหน่งกล้องระหว่างการถ่ายทำไปด้วยเสียเลย” ทอมรู้สึกราวกับว่านี่เป็นความคิดที่ดี ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจเรื่องรสชาติอาหารอยู่แล้ว เขาเพียงแค่ต้องทำให้มั่นใจเสียก่อนว่าหยวนโจวที่กำลังแกะสลักจะออกมาดูดีตอนอยู่หน้ากล้อง

ถึงอย่างไรก็การมีความเชี่ยวชาญสักทางเป็นเรื่องดี ทอมพยักหน้าเห็นด้วยให้ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้าง นี่คือวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว

744 ความพ่ายแพ้อีกครั้ง

 

แต่ละวันหยวนโจวจะฝึกฝนการแกะสลัก สำหรับเขาแล้ว เส้นทางของฝีมือการใช้มีดไม่มีที่สิ้นสุด นี่เป็นมุมที่คล้ายกับสิ่งที่นวนิยายกำลังภายในทั้งหลายมักจะมี

ตอนนี้ฝีมือของเขาน่าจะดีอยู่แล้ว แต่เขายังสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นอีกได้

อันที่จริงฝีมือการใช้มีดของหยวนโจวก็จัดอยู่ในระดับสุดยอดอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อคนภายนอกเห็นการฝึกฝนของเขา พวกเขาจึงคิดว่าเขากำลังโอ้อวดฝีมือของตัวเองทั้งๆที่ยังต้องพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ

ตัวอย่างเช่นเป้าหมายใหม่ที่หยวนโจวตั้งขึ้นสำหรับตัวเองเมื่อวานนี้คือ: สร้างสรรค์ชิ้นงานแกะสลักที่ดูเหมือนพระโพธิสัตว์กวนอิมหรือพระอรหันต์จากมุมที่ต่างกัน

พูดง่ายๆก็คือเมื่อมองดูชิ้นงานแกะสลักจากทางด้านหน้าแล้วจะดูเหมือนพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่พอมองจากทางด้านขวา ชิ้นงานแกะสลักกลับดูเหมือนพระอรหันต์ ดูท่าต้องใส่ใจกับรายละเอียดมากทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อกำลังแกะสลักหุ่นพระโพธิสัตว์กวนอิมอยู่นั้น เขาต้องระมัดระวังมิให้ทำลายหุ่นพระอรหันต์ไปด้วยกัน หลังจากการฝึกฝนเมื่อวานนี้ หยวนโจวก็สามารถแกะสลักงานชิ้นนั้นออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ วันนี้เขามีเป้าหมายใหม่คือ: แกะสลักชิ้นงานแกะสลักที่ดูเหมือนงูกับลิงในคราวเดียวกัน

เมื่อหยวนโจวเอาจริงเอาจังขึ้นมา เขาก็จะเพ่งสมาธิอย่างเต็มที่จนดูเหมือนมหาปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่

ควับ! ควับ!

มีดขยับไปมาราวกับผีเสื้อกระพือปีกอย่างช้าๆ หัวผักกาดเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตามที่เขาแกะสลัก

เขาไม่ล้มเลิกความพยายามในครั้งแรกเพราะดวงตาของลิงดูไม่สมจริงมากพอ หยวนโจวเป็นคนที่ดื้อรั้นดันทุกรังเป็นอย่างยิ่ง สำหรับเขาแล้ว ถ้าหากดวงตาดูไม่สมจริงพอก็เป็นเพราะเขาขาดฝีมือการใช้มีดเกินกว่าที่จะแสดงสิ่งที่ต้องการออกมาได้

ความพยายามทั้งสามครั้งที่ตามมาหลังจากนั้นล้วนจบลงด้วยผลลัพธ์อันไม่เป็นที่พอใจของหยวนโจว เขาเริ่มลูบหนวดเคราที่ไม่มีอยู่จริงของตนเองก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนวิธีการ

ในความพยายามสี่ครั้งแรก เขาแกะสลักลิงขึ้นมาก่อน แต่ในแต่ละครั้งก็ยังมีบางรายละเอียดที่เขายังไม่พอใจอยู่ ตอนนี้เขาตัดสินใจที่จะเริ่มแกะสลักงูบ้างแล้ว

บังเอิญว่าขณะที่หยวนโจวกำลังจะเริ่มความพยายามครั้งที่ห้าของตนเองนั้น ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกับทอมก็ย้อนกลับมา

เมื่อทอมเห็นมีดที่หยวนโจวถืออยู่ เขาก็ยังคงมีสีหน้าไร้อารมณ์ทว่าสมองกลับเริ่มแล่นขึ้นมาแล้ว

“เขาขาดความเป็นมืออาชีพเกินไปหน่อยแล้ว ใช้มีดทำครัวมาแกะสลักงั้นเหรอ? เขาจะพัฒนาฝีมือขึ้นด้วยเจ้าสิ่งนี้ได้ยังไงกันเล่า? เขาไม่มีแม้แต่มีดแกะสลักตามมาตรฐานเสียเลยด้วยซ้ำ” ทอมบ่นอยู่ในใจ

ในอาหารสไตล์ตะวันตก มีมีดอยู่มากมายหลากหลายรูปแบบอาทิเช่น มีดหั่นขนมปัง มีดเลาะกระดูก เกรียง มีดขูดและอื่นๆ ส่วนในอาหารจีน จะใช้เพียงแค่มีดทำครัวเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการหั่นวัตถุดิบให้เป็นชิ้นเล็กๆ การหั่นวัตถุดิบให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า การหั่นเนื้อหรือหั่นผักก็จะใช้แต่มีดทำครัว นั่นช่างดูไม่เป็นมืออาชีพเอาเสียเลย

หยวนโจวสามารถรับรู้ได้ว่ามีคนมา แต่นอกเหนือไปจากเวลาเปิดร้านตอนที่เขากำลังฝึกฝนการแกะสลักอยู่นั้น หยวนโจวจะไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น

อันที่จริงแล้ว มีดที่เขาถืออยู่ในมือเป็นมีดทำครัวในชุดสุดยอดเชฟ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจงใจใช้มีดที่ไม่เหมาะกับการแกะสลักในการฝึกฝนเพื่อให้สามารถขัดเกลาฝีมือการแกะสลักของตัวเองได้เป็นอย่างดีจนถึงจุดที่เขาสามารถแกะสลักด้วยมีดแบบใดก็ได้

หลังจากคิดแผนสำหรับความพยายามครั้งที่ห้าแล้ว หยวนโจวก็เริ่มการแกะสลักอีกครั้ง

ทอมกำลังจะบอกว่า: “คุณอยากให้เราช่วยแนะนำมีดที่ดูเป็นมืออาชีพให้สักชุดไหม?”

ก่อนที่เขาจะทันได้พูดออกไปนั้น เขาก็เห็นคมมีดที่ส่องประกายออกมาจากมีดของหยวนโจว

นี่ไม่ใช่มีดที่สามารถทำร้ายคนใครได้อย่างในนวนิยายกำลังภายใน แต่คมมีดกลับสะท้อนแสงอาทิตย์จริงๆจากการขยับมีดในมือหยวนโจวอย่างรวดเร็ว มีดกำลังขยับไปมาราวกับคนตัวจิ๋วที่กำลังเริงระบำอยู่บนมือของเขา

ทันใดนั้นคำแนะนำของทอมก็สะดุดลงทันทีก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปากออกมา เขาเริ่มสงสัยว่ามีดเล่มใหญ่ขนาดนี้จะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปได้อย่างไรกันหนอ

เขารู้สึกเหมือนเพิ่งจะได้เห็นการเริงระบำราวกับการเต้นบัลเล่ต์อันแสนสง่างามของคนอ้วนหนัก 500 ปอนด์ที่หมุนตัวได้อย่างยากลำบากนับครั้งไม่ถ้วน

หยวนโจวแกะสลักงูที่กำลังขดตัวอยู่ก่อนที่จะใช้ภาพร่างของงูเพื่อแกะสลักลำตัวและหางของ “ลิงที่กำลังขโมยลูกท้อ” เขาไม่อาจเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยในการแกะสลักขั้นนี้ได้เลย

ชิ้นงานแกะสลักทั้งสองอย่างที่ให้ความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นเรื่องที่ยากมากทีเดียว ลิงต้องดูซุกซนและสมจริง ส่วนงูที่กำลังขดตัวจะต้องดูเกียจคร้านและกำลังนอนพักผ่อนแทนที่จะเป็นงูตาย

หลังจากผ่านไปหลายนาที หัวผักกาดก็ค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างขึ้นอย่างช้าๆ

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างหาข้อมูลเอาไว้มากมายอยู่ก่อนแล้วและตระหนักดีว่าหยวนโจวมีฝีมือการใช้มีดที่ยอดเยี่ยมมาก ถึงอย่างไรเหตุการณ์ที่หยวนโจวแกะสลักปลาเตาอี๋ว์ก็พบได้ในข้อมูลของเขาด้วย

แต่สิ่งที่เขาเห็นในตอนนี้ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว

ทอมจ้องมองตาค้างจนลูกตาแทบพลัดออกจากเบ้า คนผู้นี้มีฝีมือการใช้มีดขึ้นสูงสุดอยู่แล้วไม่ใช่หรือไงกัน?

“ช่างเป็นงู(ลิง) ที่สมจริงเหลือเกิน”

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างและทอมกล่าวขึ้นพร้อมกันก่อนที่จะแลกเปลี่ยนสายตากัน

“เป็นลิง(งู) ชัดๆ”

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันอีกครั้งราวกับเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว พวกเขาหันมาเงียบแล้วจ้องมองชิ้นงานแกะสลักอีกครั้งด้วยสายตาที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

เจ้าลิงแลดูเจ้าเล่ห์แสนกลส่วนเจ้างูกลับแลดูนิ่งเงียบทว่าอันตราย

“นี่… มันน่าตกใจเกินไปแล้ว” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างกล่าวหลังจากเงียบไปไม่นานนัก

“แค่ก แค่ก” ทอมไอแต่สายตากลับยังคงจับจ้องอยู่ที่หยวนโจว

นี่ไม่ใช่เรื่องฝีมือการใช้มีดอีกต่อไปแล้ว จากชิ้นงานแกะสลักชิ้นนี้ เห็นได้ชัดว่าฝีมือการจัดจานของเถ้าแก่หยวนก็อยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

ควับ! ควับ! ควับ! มีดที่โบกสะบัดไปมาทำให้หัวผักกาดหลายชิ้นร่วงหล่นลงในตะกร้า ในที่สุดหยวนโจวก็มาถึงการแกะสลักขั้นสุดท้ายเสียที

ระหว่างที่เขากำลังแกะสลักอยู่นั้น ทั้งทอมและชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างก็เงียบไปโดยสิ้นเชิงแล้วเอาแต่จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ชิ้นงานแกะสลักชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นงานศิลป์แล้ว จากด้านซ้ายมือดูเหมือนลิงที่กำลังขโมยลูกท้อส่วนด้านขวามือดูเหมือนงูที่กำลังขดตัวอยู่

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น ยังมีรายละเอียดที่แกะสลักลงในชิ้นงานแกะสลักอีกมากมาย แม้แต่ขนาดของงูก็ยังสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน

“เจ้าสิ่งนี้แกะสลักด้วยมีดทำครัวจริงๆหรือนี่?” ถึงแม้ว่าทอมจะเห็นกับตาตัวเอง แต่เขาก็พบว่าช่างยากที่จะเชื่อได้ลงจริงๆ

เห็นได้ชัดว่านี่คืองานที่ออกมาจากเครื่องมือสำหรับการแกะสลักโดยเฉพาะ

“ฟู่” หยวนโจวพรูลมหายใจออกมาเบาๆก่อนที่จะวางมีดลงแล้วเริ่มศึกษาชิ้นงานแกะสลักที่เขาถืออยู่

“คราวนี้ฉันจะรวมหางลิงกับหางงูเข้าด้วยกัน แต่รู้สึกว่ายังขาดขนหางลิงอยู่บ้าง แต่คราวนี้ดวงตาของมันดูดีพอแล้วล่ะ” หยวนโจวพินิจพิเคราะห์ขณะที่เขาศึกษาชิ้นงานแกะสลัก เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ค่อยพอใจกับมันสักเท่าไหร่นัก

“ช่างน่าชมดูอะไรอย่างนี้นะ” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างพึมพำ ชิ้นงานแกะสลักนี้ยอดเยี่ยมพอที่จะนำไปขายได้เชียวล่ะ

“นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว น่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ” ทอมกล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในใจ ใครมันจะไปทำแบบได้ในอาหารสไตล์ตะวันตกกันเล่า?

สุดยอดเชฟอาหารสไคล์ตะวันตกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นในหัวของเขาแต่ก็ถูกลบออกไปอย่างรวดเร็ว เขาได้แต่พึมพำคำว่า “น่าเหลือเชื่อ” ไม่หยุดหย่อน

ขณะที่ทอมและชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออกกับฝีมือการใช้มีดของหยวนโจวอยู่นั้นก็เกิดเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงมากยิ่งขึ้นไปอีก

หยวนโจวโยนชิ้นงานแกะสลักที่เป็น “งานศิลป์” ลงถังขยะ เขาขยับตัวตรงก่อนที่พวกเขาจะทันได้ยับยั้งเขาไว้ได้ทันเวลา

พวกเขาต่างเงียบไป

ทั้งทอมและชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างต่างมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าเหตุใดหยวนโจวถึงได้โยนงานศิลป์ที่ยอดเยี่ยมออกขนาดนั้นทิ้งไป

ทำไมเขาถึงได้โยนชิ้นงานที่ยอดเยี่ยมชิ้นนี้ทิ้งไปกันนะ?

“ก็ยังไม่ใช่อยู่ดีนั่นแหละ” หยวนโจวสูดหายใจเข้าลึกพลางพึมพำ พวกสัตว์นี่แกะสลักยากกว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมหรือพระอรหันต์มากจริงๆ

“แล้วสัตว์ที่ดูสมจริงก็ยากเข้าไปกันใหญ่เลย” หยวนโจวพึมพำ

หยวนโจวขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังขณะที่จับจ้องไปที่ส่วนหางของชิ้นงานแกะสลักที่เขาเพิ่งจะโยนลงถังขยะไป

เมื่อหยวนโจวทำเช่นนี้ ในที่สุดทอมกับชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างก็เข้าใจแล้วว่าหยวนโจวรู้สึกไม่พอใจชิ้นงานแกะสลักชิ้นนี้นั่นเอง

เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆนั่นแหละ!

“นายไม่พอใจงานชิ้นนี้งั้นเหรอ? อยากได้อะไรกันแน่นะ?” ทอมพึมพำอยู่ในใจขณะที่ตัวกลับสั่นระริก

เมื่อเขานึกถึงสาเหตุที่แท้จริงของการย้อนกลับมาดูหยวนโจวแกะสลักได้ เขาก็ชักจะรู้สึกไม่สบายใจเสียแล้ว

745 เพื่อน

 

“คุณไม่พอใจงานชิ้นนี้เหรอครับ?” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างรู้สึกอารมณ์เสียจนอดที่จะส่งเสียงดังออกมาไม่ได้ แต่เขาก็ต้องเสียใจทันทีหลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา เสียงดังอาจจะส่งผลต่อหยวนโจวที่กำลังแกะสลักได้

ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างไม่กล้าบอกว่าสิ่งที่เขาต้องการสูงอีกต่อไป สิ่งที่เขาคิดก็คือสิ่งที่เขาต้องการทำให้ผู้อื่นประสบความผิดพลาดเอาได้ง่ายๆ

เสียงที่ดังขึ้นหาได้มีผลต่อหยวนโจวแต่อย่างใด เขาหยิบหัวผักกาดขึ้นมาอีกแล้วแกะสลักต่อไปโดยไม่ลังเล

ในขณะเดียวกัน ทอมก็อยากจะเอามือดันแว่นตาโดยไม่รู้ตัวแต่นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เขาไม่ได้สวมแว่นตามาด้วย ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกรำคาญและอับอายขึ้นมาทันที

“พวกเรากำลังแสดงฝีมือต่อหน้าผู้ชำนาญเข้าเสียแล้ว” ทอมเอ่ยสำนวนจีนทั้งสองประโยคด้วยใบหน้าแดงก่ำ

เชฟร้านเล็กๆแห่งนี้ช่างสุดยอดไปเลย!

ทอมรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ออกจะอันตรายเกินไปแล้วเขาต้องรีบออกไปเดี๋ยวนี้เลย ขณะที่เขาเตรียมตัวที่จะหลบฉากออกไปด้วยความกระดากใจ หยวนโจวก็แกะสลักเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา

“ให้ช่วยอะไรไหมครับ?” หยวนโจวถามอย่างไม่ใสใจ

“ไม่เป็นไรครับ…” ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างยังคงตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ดังนั้นเขาจึงมองไปทางทอมโดยไม่รู้ตัว

สีหน้าของทอมเปลี่ยนเป็นแดงก่อนแล้วค่อยเปลี่ยนเป็นเขียว ดูจากภายนอกแล้ว เขาดูไม่ต่างอะไรจากถูกพิษเข้าไปเลย เขาเงียบไปสักพักก่อนที่จะพูดตะกุกตะกัก “เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ผมแค่จะมาดูว่าพวกเราควรจะตั้งกล้องวิดีโอตรงไหนถึงจะสามารถถ่ายทำการแกะสลักของคุณได้น่ะครับ”

ในฐานที่เป็นหัวหน้าแผนกโลจิสติกส์ของรายการวาไรตี้โชว์ยอดนิยม ยามปกติทอมจะเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า แทบจะไม่มีใครเคยเห็นเขาพูดจาตะกุกตะกักแบบนั้นโดยปราศจากความมั่นใจเลย

“อย่าถ่ายหน้าผมนะครับ” หยวนโจวกล่าว

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ พวกเราจะไม่ถ่ายหน้าคุณแน่ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ขึ้นอยู่กับคุณเลยครับ” คราวนี้ทอมเรียกเขาด้วยความเคารพนับถือ

ถึงอย่างไรเขาก็ยังคงรู้สึกผิดยามนึกถึงเรื่องที่เดิมทีเขาเตรียมจะมาสั่งสอนหยวนโจว เรื่องที่เขาต้องให้ความใส่ใจและแม้แต่เตรียมที่จะส่งมีดแกะสลักสักชุดมาให้เขาเสียด้วยซ้ำไป เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เขาก็อายแทบแทรกแผ่นดินหนีแล้ว

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า เมื่อมองเห็นท่าทางประจบประแจงและนิ่งเงียบของคนทั้งสองแล้ว หยวนโจวก็ก้มหน้าลงแล้วเริ่มแกะสลักอีกครั้ง

“ฟู่… รีบไปกันเถอะ” ทอมหันมาขู่ทันทีแล้วหันหลังจากไปก่อนเมื่อเขาพบว่าหยวนโจวก้มหน้าลงไปแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะการวิ่งจะทำให้ดูเหมือนผู้มาใหม่แล้วล่ะก็ทอมก็แทบจะอดใจไม่ไหวที่จะวิ่งออกไปแล้ว

“ขายขี้หน้าชะมัดเลย!” ทอมรู้สึกได้ว่าความอับอายกำลังตามติดเขาราวกับเงาตามตัวไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนจึงทำให้เขาต้องรีบก้าวเดินจากไป

ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเถ้าแก่หยวนจะสุดยอดขนาดนี้ ตอนนี้มิสเตอร์ทอมคงรับรู้ถึงความยอดเยี่ยมของอาหารจีนแล้วล่ะ ชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างที่ติดตามทอมอยู่ทางด้านหลังคิดอย่างภาคภูมิใจ

อาหารจีนช่วยเปลี่ยนโลกทัศน์ทั้งสามประการของทอมโดยไม่ต้องอาศัยรสชาติเลยเสียด้วยซ้ำ

สองวันผ่านไปหลังจากชายที่ไว้ผมทรงเปิดข้างและมิสเตอร์ทอมได้มาเยือนร้านหยวนโจว ในช่วงสองวันที่ผ่านมา ทุกอย่างในร้านหยวนโจวดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก

จำนวนเงินในกล่องใส่เงินตรงประตูอาจจะมากขึ้นหรือน้อยลงเป็นครั้งคราวไป บางครั้งเจียงฉางซี่กับหยวนโจวก็จะใส่เงินลงไปด้วย

บางคนไม่ได้นิสัยดีอย่างที่คิด มีอยู่หลายคนที่ชอบหาประโยชน์เล็กๆน้อยๆ ในขณะเดียวกันบางคนก็ไม่ได้นิสัยเลวร้ายอย่างที่คิด ก่อนหน้านี้มีนักท่องเที่ยวจากเมืองซานซีของมณฑลหูเป่ย์ เขานั่งรถจากเมืองซานซีมาที่นี่เพียงเพื่อเอาเงิน หยวนมาหย่อนลงกล่องใส่เงินเท่านั้น

ในตอนนั้นเขาเผอิญได้เจอเข้ากับหม่าจื้อต๋า หม่าจื้อต๋าพึมพำอย่างมีความสุขว่าเขาช่างเป็นคนที่ซื่อตรงเหลือเกินแล้วถามนักท่องเที่ยวผู้นั้นว่าทำไมเขาต้องทำแบบนั้นด้วยเล่า แต่นักท่องเที่ยวไม่ตอบทว่ากลับหันหลังจากไปอย่างรีบร้อน ไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ยินหรือไม่หรือว่าเขาเป็นคนถือเนื้อถือตัวก็สุดจะรู้ได้

เขาเป็นคนที่มีเรื่องเล่าเยอะแยะมากมาย น่าเสียดายที่ใช่ว่าทุกเรื่องจะสามารถเล่าให้ผู้อื่นฟังได้

โชคดีที่หม่าจื้อต๋าไม่รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ นอกจากนั้นเขายังรู้สึกค่อนข้างมีความสุขอีกต่างหาก ถึงอย่างไรนั่นก็หมายความว่ากล่องใส่เงินของเขานั้นได้ผล

ดังนั้นหม่าจื้อต๋าจึงไปร้านหยวนโจวด้วยความตื่นเต้นในวันเดียวกันนั้นเอง

“ไม่เจอกันตั้งนาน พักนี้ก็ยังไม่มีอาหารจานใหม่หรอกนะ” ลูกค้าคนหนึ่งกล่าวติดตลกเมื่อเห็นหม่าจื้อต๋า

“วันนี้ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาทานอาหารจานใหม่หรอกน่า ฉันมาที่นี่เพื่อมาตรวจสอบแล้วก็ยอมรับความสำเร็จของตัวเองต่างหากล่ะ” หม่าจื้อต๋าระเบิดหัวเราะออกมา

“นายนี่มันกระฉับกระเฉงดีชะมัดเลย พอกลับมาแล้วก็รีบแจ้นมาทันทีเชียวนะ” อู๋โจวกล่าว

“แหงอยู่แล้ว ฉันต้องมาที่นี่อยู่แล้วล่ะถ้าไม่ต้องเดินทางไปทำธุระเป็นบางครั้งบางคราวอ่ะนะ” หม่าจื้อต๋ากล่าวพลางอมยิ้ม

“แต่วันนี้ฉันยังไม่เห็นพี่เจียงมาเลย” จู่ๆลูกค้าผู้แสนกระตือรือร้นก็ลุกขึ้นทันทีแล้วกวาดตามองไปทางผู้คนในแถวจนทั่วทันที

“เธอไม่มาจริงๆด้วย” หม่าจื้อต๋าเองก็มองจนทั่วและพบว่าเธอไม่ได้อยู่ในแถว

“อีกสักพักก็คงจะมาแหละ” ลูกค้าคนหนึ่งกล่าวขึ้นทันที

“อืม เดี๋ยวเธอก็มา” ลูกค้าคนอื่นๆพากันกล่าวขึ้นมาทีละคนๆ

ถึงแม้ว่าเจียงฉางซี่จะไม่ได้มาร้านหยวนโจวอยู่ทุกวี่ทุกวัน แต่เธอก็จะมาไม่เคยขาดตราบเท่าที่มีเวลา ดังนั้นหม่าจื้อต๋าจึงไม่เป็นห่วงเรื่องนี้และเข้าแถวด้วยความสบายอกสบายใจ

เขารอแล้วรอเล่าจนทานอาหารเสร็จแล้ว เจียงฉางซี่ก็ไม่โผล่มาเลย หม่าจื้อต๋ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ในวันที่สอง หม่าจื้อต๋าก็ไปร้านหยวนโจวอีกครั้ง แต่เจียงฉางซี่ก็ยังไม่มา นั่นออกจะเป็นเรื่องแปลกมากเลยทีเดียว

จนวันที่สามเจียงฉางซี่ก็ยังไม่มา แต่ในเช้าวันที่สี่ หม่าจื้อต๋าก็อดที่จะพึมพำกับตัวเองไม่ได้

“เธอไม่กล้ามาที่นี่เพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะแพ้หรือเปล่านะ?” หม่าจื้อต๋าอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเองระหว่างที่กำลังทำงาน

“นายว่าไงนะ?” เพื่อนร่วมงานของเขาถามด้วยความสงสัย

“เปล่านี่” ทันใดนั้นหม่าจื้อต๋าก็รู้สึกตัวจึงส่ายหน้าทันที

“ไม่ ไม่ ไม่ นายต้องมีเรื่องอะไรในใจอยู่แน่ๆเลย” เพื่อนร่วมงานคนนี้จ้องมองหม่าจื้อต๋าด้วยรอยยิ้มราวกับปีศาจอันเผยให้เห็นเจตนาชั่วร้ายของเขา

“ทำเองแล้วกัน ฉันไม่มีเวลา แล้วฉันก็ไม่อยากทำงานล่วงเวลาด้วย แค่นี้ก็ยุ่งมากแล้ว” หม่าจื้อต๋าตอบอย่างว่องไวขึ้นมาในทันที

เพื่อนร่วมงานคนนี้มักจะขี้เกียจทำงานและชอบขอร้องให้เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆช่วยเขาทำงานอยู่เสมอ หม่าจื้อต๋าเคยถูกหลอกมาแล้วครั้งหนึ่งและเขาจะไม่ยอมโดนหลอกอีกครั้งแน่ ดังนั้นเขาจึงต้องทำให้เขารู้จักตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง

“ไม่เกี่ยวกับเรื่องงาน งั้นก็ต้องเป็นเรื่องอื่นแล่วล่ะ” เพื่อนร่วมงานของเขาส่ายหน้าแล้วยื่นแขนมาแตะไหล่ของหม่าจื้อต๋าทันที

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องอื่นหรอก ฉันจะทำงานแล้ว ไว้ค่อยคุยกันหลังเลิกงานเถอะ” หม่าจื้อต๋าปัดแขนออกจากไหล่ตัวเองแล้วเตรียมหลบเลี่ยงโดยใช้เรื่องงานเป็นข้ออ้าง

“ไม่เอาน่า อย่าทำแบบนี้กับเพื่อนร่วมงานสิ ช่วงนี้ได้โบนัสหรือถูกลอตเตอรี่มางั้นเหรอ?” เพื่อนร่วมงานคนนี้ยับยั้งหม่าจื้อต๋าแล้วถามเขาในรวดเดียว

“อะไรนะ?” หม่าจื้อต๋ามองเพื่อนร่วมงานของเขาด้วยสีหน้าสับสน

“อย่ามาทำไก๋ไปหน่อยเลย นายยไปทานอาหารมื้อค่ำที่ร้านหยวนโจวมาสามวันติดๆ นายถูกลอตเตอรี่หรือได้โบนัสกันล่ะ” เพื่อนร่วมงานของเขากล่าวด้วยความมั่นใจ

“เปล่าอ่ะ ไม่ใช่สักอย่าง นายเข้าใจผิดหมดเลย ฉันไปที่นั่นแต่ไม่ได้ไปกินอะไรหรอก ฉันไปที่นั่นเพื่อรอใครบางคนน่ะ” หม่าจื้อต๋ากล่าว เขาพบว่ามันทั้งน่าขันและน่ารำคาญสิ้นดี

“จริงดิ?” เพื่อนร่วมงานของเขาสงสัยอยู่นิดหน่อย

“แน่นอน ถ้าฉันถูกลอตเตอรี่ นายจะเป็นคนแรกที่ฉันจะพาไปเลี้ยงอาหารมื้อค่ำเลยล่ะ” หม่าจื้อต๋ากล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างช่วยไม่ได้

“งั้นก็ดี ถึงตอนนั้นอย่าลืมฉันล่ะ” หลังจากเพื่อร่วมงานกล่าวเช่นนั้นแล้ว เขาก็โบกมือแล้วกลับไป

“น่ารำคาญชะมัดเลย! พี่เจียงยังไม่มาอีก เธอจะมาหรือไม่มาวะเนี่ย?” หม่าจื้อต๋าถอนหายใจ

ทันทีที่พักกลางวัน หม่าจื้อต๋าก็เดินตรงไปที่ร้านของหยวนโจว แน่นอนว่าเขาย่อมต้องซื้ออาหารก่อนที่เขาจะไปที่นั่น

เมื่อเขาไปถึงที่นั่น ทางเข้าร้านหยวนโจวก็แน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากมาย แต่เจียงฉางซี่ก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น

“ทำไมยัยผู้หญิงคนนั้นถึงยังไม่มาอีกนะ?” หม่าจื้อต๋าพึมพำขณะทานอาหาร เขารอแล้วรอเล่าจนบรรดาลูกค้าเริ่มได้ตั๋วหมายเลขกันแล้ว

แต่เจียงฉางซี่ก็ยังไม่ปรากฏตัวสักที

“แปลกชะมัดเลย เกิดอะไรขึ้นกับพี่เจียงหรือเปล่านะ? พี่เจียงไม่เคยหายหน้าหายตาไปตั้งสองสามวันแบบนี้มาก่อนเลย” หม่าจื้อต๋าชักจะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาเสียแล้วเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่เขารู้สึกแปลกๆและไม่พอใจอยู่บ้าง

หม่าจื้อต๋าหยิบโทรศัพท์ออกมาโดยไม่รู้ตัวแล้วเตรียมที่จะโทรหา เขาเลื่อนรายชื่อผู้ติดต่อและพบว่าเขาไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเจียงฉางซี่เลย

“ฉันลืมบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของเธอเอาไว้เสียด้วยสิ ไม่เป็นไร งั้นไปถามเจ้าคนหน้าไม่อายอู๋ก็แล้วกัน” หม่าจื้อต๋าเตรียมที่จะเดินไปถามอู๋ไห่

หม่าจื้อต๋ากับเจียงฉางซี่นับได้ว่าเป็นเพื่อนกัน แต่พวกเขาเพียงแค่เจอหน้าแล้วก็คุยกันในร้านหยวนโจวเท่านั้น พออยู่นอกร้านหยวนโจวแล้ว ด้วยความที่พวกเขาไม่ได้อยู่แวดวงเดียวกันจึงแทบจะไม่เคยติดต่อหากันเลย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเธอ

หม่าจื้อต๋าไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น

การเป็นเพื่อนกันไม่ได้หมายความว่าต้องห่วงใยกันและกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่คนที่ห่วงใยคุณไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นย่อมเป็นเพื่อนของคุณอย่างแน่นอน ถึงแม้ยามปกติพวกเขาจะไม่ได้ติดต่อกันเลยก็ตามที

ส่วนมากคนที่คุณห่วงใยอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ในรายชื่อของคุณก็ได้

เช่นเดียวกับหม่าจื้อต๋าที่เป็นห่วงเจียงฉางซี่ เฉินเว่ยที่เป็นห่วงพี่วั่นและม่านม่านที่เป็นห่วงเถ้าแก่หยวน…

746 ถูกลอตเตอรี่ตอนสตรีมสด

“โทษทีนะ ขอทางหน่อย ฉันจะอยู่แค่ตรงประตูไม่เข้าไปข้างในหรอก” จู่ๆหม่าจื้อต๋าก็ออกท่าออกทางทันทีที่นึกขึ้นได้ เขาเดินไปที่ประตูร้านหยวนโจวทันที

“โอ้ นายนี่เอง เข้ามาสิ” บรรดาลูกค้าต่างหลีกทางให้เขาด้วยความเอื้อเฟื้อเมื่อพวกเขาหันหน้ามาแล้วเห็นว่าเป็นหม่าจื้อต๋า

ถึงอย่างไรหม่าจื้อต๋าก็มีชื่อเสียงที่ดีในละแวกนี้ เขาไม่เคยแซงคิวแถมนอกจากนี้เขายังตั้งกล่องใส่เงินบริจาคอีกด้วย ถึงแม้เขาจะไม่เคยใช้มันมาก่อนเลยก็ตามที แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกดีจริงๆ

“ขอบคุณครับ” หม่าจื้อต๋ากล่าวขอบคุณซ้ำๆ

“ด้วยความยินดี” บรรดาลูกค้าต่างถอยออกมาพลางอมยิ้ม อย่างไรเสียตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่ทานอาหารหลีกทางให้เขาสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไรนักหรอก

“อู๋ไห่ อู๋ไห่ มานี่หน่อยซิ” หม่าจื้อต๋าเดินไปที่ประตูแล้วเจออู๋ไห่ที่กำลังสั่งอาหารอยู่ จากนั้นเขาก็เรียกอู๋ไห่ทันที

“อะไรเหรอ?” อู๋ไห่ส่งสัญญาณให้โจวเจียไปที่อื่นก่อนแล้วหันกลับมามองหม่าจื้อต๋าก่อนที่จะถามเขาขึ้นมา

“พี่เจียงหายไปไหนอ่ะ?” หม่าจื้อต๋าถามตามตรง

“เธองั้นเหรอ?” อู๋ไห่รู้สึกสับสนและงุงงเล็กน้อย

“ใช่ พี่เจียงไม่ได้มาที่นี่สองสามวันแล้ว” หม่าจื้อต๋าพยักหน้าแล้วกล่าว

“ฉันก็ไม่รู้อ่ะ เธอไม่ได้ที่นี่มาสองสามวันแล้วจริงๆเหรอ?” พักนี้อู๋ไห่มักจะวาดภาพอยู่ตลอดจึงทำให้เขาไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยนอกจากเรื่องกิน เขาไม่รู้หรอกว่าใครจะมาหรือไม่มากันน่ะ

ถูกต้องแล้วล่ะ หมูก็สนใจแต่เรื่องกินนั่นแหละ

“เธอออกไปทำธุระเดี๋ยวอีกสองวันก็กลับ” ในตอนนั้นเอง เสียงของหยวนโจวก็ดังขึ้นมาจากหน้ากากของเขา

ใช่แล้วล่ะ ในฐานที่เป็นคนที่มีประสาทสัมผัสทั้งห้าอันกล้าเฉียบคม หยวนโจวก็เลยได้ยินหม่าจื้อต๋าอย่างชัดเจนแม้ว่าเขาจะพยายามที่จะไม่รบกวนลูกค้าคนอื่นๆก็ตามที

หยวนโจวอ้าปากแล้วกล่าวเช่นนั้นระหว่างที่เขายกอาหารลงวางบนโต๊ะ

“โอ้ เป็นงี้เอง” หม่าจื้อต๋าพยักหน้าเพื่อบอกว่าเขาเข้าใจแล้ว

“อืม” หยวนโจวพยักหน้า

แล้วหม่าจื้อต๋าก็รู้สึกโล่งอก เขาขอบคุณหยวนโจวแล้วออกไปทันที

“แปลกชะมัด! ทำไมหม่าจื้อต๋าต้องถามหาเจียงฉางซี่ด้วยเล่า?” อู๋ไห่พึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัย

“งี่เง่า” หยวนโจวจนปัญญากับท่าทีตอบสนองของอู๋ไห่จริงๆ ดังนั้นเขาจึงพูดคำว่า “งี่เง่า” ออกมาอย่างแนบเนียน

“เถ้าแก่หยวน ทุกคนจะวิจารณ์ฉันว่ายังไงก็ได้ยกเว้นนาย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋ไห่ก็กล่าวขึ้นมาอย่างเคร่งขรึมทันที

“จริงเหรอ?” หยวนโจวตอบส่งๆ

“ใช่สิ เพราะยังไงฉันก็ฉลาดกว่านายแน่ๆล่ะ” อู๋ไห่พยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ

“เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกน่า” หยวนโจวกล่าว

“ก็ได้ งั้นตอนนี้ให้ฉันถามคำถามทางวิทยาศาสตร์กับนายนะ ชั้นนอกโลกมีชื่อเรียกว่าอะไร?” อู๋ไห่บอกด้วยความภาคภูมิใจว่าเขาเพิ่งจะศึกษาความรู้ทางดาราศาสตร์มาเนื่องจากความจำเป็นในงานของเขา เขาคิดว่าน่าจะสร้างความสับสนให้หยวนโจวได้เป็นแน่

ก็อย่างที่รู้ๆกันแหละนะ หยวนโจวเป็นเชฟและนอกเหนือไปจากนั้น คนอื่นๆก็มักจะเห็นเขาอ่านตำราการทำอาหารทุกครั้งอยู่เสมอ เขาน่าจะไม่มีความรู้ทางดาราศาสตร์ที่ดูเคลือบคลุมแบบนั้นหรอก

อู๋ไห่จ้องมองหยวนโจวแล้วรอคอยคำตอบของเขาด้วยความมั่นใจในชัยชนะของตนเอง

แต่คราวนี้อู๋ไห่คำนวณพลาดไปเสียแล้ว หยวนโจวค่อนข้างมีความเชี่ยวชาญด้านภูมิศาสตร์ เขารู้ทุกอย่างรวมไปถึงทั้งสี่ทิศทางด้านหน้า หลัง ซ้ายและขวา แน่นอนว่าย่อมยกเว้นความรู้เรื่องทิศตะวันออก ตะวันตก ใต้และเหนือ

อย่างน้อยคำถามนี้ เขาก็รู้คำตอบแหละน่า

“ชานมเซียงเพียวเพียว” หยวนโจวกล่าวโดยไม่หยุดคิดและไม่ลังเลเลยสักนิด

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…..”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ชานมงั้นเหรอ?”

“ฮ่า ฮ่า กลายเป็นว่าเถ้าแก่หยวนสามารถเล่าเรื่องตลกได้หน้าตายเลย ขำชะมัด”

“ใช่ เขาพูดถูกเชียวล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

“ถูกเผงเลย โฆษณาบอกว่าขายได้ปีละพันล้านถ้วยแถมยังมีเครือข่ายไปทั่วโลกอีกต่างหาก งั้นนอกโลกคือชานมก็เป็นเรื่องจริงแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า…”

“ฉันไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าเถ้าแก่หยวนก็เข้าใจมุขตลกแบบนั้นด้วย ฮ่าฮ่า อู๋ไห่ เป็นชานมเซียงเพียวเพียวที่รายล้อมอยู่ทั่วโลก”

เมื่อหยวนโจวบอกคำตอบไปแล้ว บรรดาลูกค้าในร้านก็ระเบิดหัวเราะออกมา แต่เนื่องจากมีอาหารอร่อยอยู่ในปาก พวกเขาจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยิ้มยิงฟัน แต่เรื่องนั้นกลับไม่ส่งผลต่อการล้อเลียนอู๋ไห่ของพวกเขาสักนิด

ทว่าอู๋ไห่ดูเหมือนจะค่อนข้างสับสน ชานมบ้าบออะไรกันวะ?

ส่วนหยวนโจวนั้น เขาหันหน้าไปอย่างเฉยเมยแล้วจ้องมองอู๋ไห่ด้วยสายตาดูถูกราวกับจะบอกว่า “เจ้าโง่เอ้ย” จากนั้นเขาก็ทำอาหารต่อ

ร้านหยวนโจวกลับครื้นเครงยิ่งขึ้นเพราะมุขตลกหน้าตายของหยวนโจว แต่อู๋ไห่กลับขมวดคิ้วและยังคงไม่เข้าใจความหมายอยู่ดี ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เข้าใจมุขตลกพวกนี้เอาเสียเลย

แต่อย่างไรเสียเขาก็ยืนกรานว่าตัวเองฉลาดกว่าหยวนโจว เห็นได้ชัดว่าเขาแน่ใจว่าคำตอบของหยวนโจวไม่ถูกต้อง

มันเป็นความครื้นเครงอย่างหนึ่งในร้านหยวนโจว ในขณะเดียวกัน เมิ่งเมิ่งที่เพิ่งจะจบการสตรีมสดไปเมื่อหลายวันก่อนก็อารมณ์ดีเช่นกัน นี่เป็นเพราะเธอถูกลอตเตอรี่มากถึง 100,000 หยวน

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายวันก่อน

พอจบการสตรีมสดเกี่ยวกับการกินแล้ว เมิ่งเมิ่งก็ตัดสินใจที่จะไปซื้อลอตเตอรี่ตามที่ให้สัญญาเอาไว้

“ฉันจะซื้อลอตเตอรี่เดี่ยวนี้แหละ ถึงยังไงวันนี้ก็เป็นวันดีของเมิ่งเมิ่งล่ะนะ อย่างแรกเลยฉันจะเริ่มการสตรีมสดขึ้นมาใหม่อีกครั้งส่วนอย่างที่สอง ฉันจะโชคดีได้กินน้ำข้าวที่เถ้าแก่หยวนเสนอให้ฟรีๆ ก็มันเป็นของฟรีนี่นา พรรคพวก” เมิ่งเมิ่งกล่าวอย่างมีความสุขกับเลนส์กล้อง

“ตอนนี้เมิ่งเมิ่งก็เลยตัดสินใจว่าจะไปซื้อลอตเตอรี่ ถ้าหากโชคดีพอ ฉันจะชวนพวกคุณไปร้องเพลงที่เคทีวีด้วย ใช่แล้ว ร้องเพลงกันๆ ถ้าลอตเตอรี่เป็นรางวัลใหญ่ ฉันก็จะพาพวกคุณมาเลี้ยงอาหารมื้อค่ำที่นี่ไงล่ะ แต่ถ้าไม่ใช่รางวัลใหญ่ ฉันคงทำได้แค่ซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆให้พวกคุณล่ะนะ พวกเราสามารถเล่นเกมเสี่ยงโชคกันได้” ขณะที่กล่าวเช่นนั้น เมิ่งเมิ่งก็กระโดดโลดเต้นไปมาตรงนั้นด้วยความตื่นเต้น เธอทำตัวราวกับว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่แล้วก็ไม่ปาน

[เมิ่งเมิ่ง ฉันคิดว่าเธอคิดมากไปแล้วนะ เธอยังไม่มีลอตเตอรี่เสียด้วยซ้ำ] จากพี่ชายปลาหมึก

[เมิ่งเมิ่ง ถ้าเธออยากได้รางวัลก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะส่งร็อคเก็ตไปให้นะ] เมื่อข้อความของความเจ็บปวดของการอกหักปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เมิ่งเมิ่งก็นึกถึงผู้ดูแลที่ให้ร็อคเก็ตอันเป็นสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส์แบบหนึ่งในการสตรีมสดแก่เธอมาสิบชิ้นขึ้นมาได้

[ว้าว ขอคารวะนายเลย ความเจ็บปวดของการอกหัก] จากจิ้งจอกเงินหลิวหลี

[ซื้อเลยสิ ก็แค่ซื้อมา แต่ฉันก็ยังไม่เคยถูกลอตเตอรี่เลยสักใบ ถ้าเมิ่งเมิ่งถูกรางวัลก็คงจะดีสินะ] จากเต้าฟาซูเซียง

นอกเหนือไปจากของขวัญนับไม่ถ้วนบนหน้าจอแล้ว ยังมีข้อความอีกมากมายที่กำลังถามเรื่องที่เมิ่งเมิ่งจะออกไปซื้อลอตเตอรี่

“ขอบคุณของขวัญทั้งหลายของพวกคุณด้วยนะ ความเจ็บปวดของการอกหักและก็เพื่อนๆที่รักคนอื่นๆด้วย ขอบคุณทุกๆคนนะคะ” เมิ่งเมิ่งแสดงสีหน้าซาบซึ้งอย่างจริงจังแล้วอ้าปากพูดอีกครั้ง

“ไม่ต้องห่วงนะ ฉันกำลังจะออกไปซื้อลอตเตอรี่แล้ว” เมิ่งเมิ่งกล่าวพลางอมยิ้ม

“ไปกันเถอะ ไปร้านขายลอตเตอรี่กัน” เมิ่งเมิ่งยกมือขึ้นแล้วก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างกระฉับกระเฉง

สถานที่ที่เมิ่งเมิ่งจะไปซื้อลอตเตอรี่เป็นร้านที่เถ้าแก่ถงเคยอยู่มากก่อนนั่นเอง มันเป็นแค่ร้านขายลอตเตอรี่บนถนนสายนี้และกิจการก็ค่อนข้างดีมากทีเดียว ทุกวันนี้การซื้อลอตเตอรี่กลายเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่งไปเสียแล้ว

อย่างที่รู้ๆกันอยู่ คนส่วนใหญ่ซื้อลอตเตอรี่เพื่อเสี่ยงโชค เมิ่งเมิ่งเองก็เช่นกัน

เธอเดินไปตรงทางเข้าร้านขายลอตเตอรี่ เนื่องจากมือหนึ่งถือโทรศัพท์เอาไว้ส่วนอีกมือหนึ่งถือบิลอยู่ เธอจึงบอกไปตรงๆว่า “เถ้าแก่ เอาลอตเตอรี่ 5 หยวนค่ะ”

“นี่ไง เลือกเอาเองเลย” เถ้าแก่หยิบลอตเตอรี่แข็งๆขนาดเท่าฝ่ามือออกมา

“ลอตเตอรี่ 5 หยวนน่าจะมีโอกาสถูกรางวัลใหญ่ได้มากกว่า งั้นฉันจะซื้อสักใบก็แล้วกัน” ขณะที่กำลังเลือกลอตเตอรีอยู่นั้น เมิ่งเมิ่งก็ให้คำอธิบายนิดๆหน่อยๆกับผู้ชมของเธอ

นี่เป็นเรื่องจริง ลอตเตอรี่ 5 หยวนสามารถถูกรางวัลได้สูงสุด 100,000 หยวนในขณะที่ลอตเตอรี่ 2 หยวนสามารถถูกรางวัลได้สูงสุดเพียง 20,000 หยวนเท่านั้น

“พวกคุณคิดว่าใบนี้เป็นไง?” เมิ่งเมิ่งหยิบลอตเตอรี่ใบสีน้ำเงินออกมาแล้วถามผู้ชมของเธอผ่านหน้าจอ

“ไม่งั้นเหรอ? งั้นใบสีแดงที่อยู่ข้างล่างเป็นไง?” เมิ่งเมิ่งอ่านข้อความแล้วหยิบใบสีแดงขึ้นมา

“แต่มีใบสีแดงอยู่สองใบ งั้นให้ฉันหลับตาเลือกก็แล้วกันนะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้นออกมา เมิ่งเมิ่งก็หลับตาลงทันทีแล้วสุ่มเลือกขึ้นมาใบหนึ่ง

“เอาล่ะ ได้แล้ว ฉันจะไปขูดดูนะ” เมิ่งเมิ่งค่อยๆวางโทรศัพท์ลง จากนั้นเธอก็หยิบเหรียญบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเริ่มขูด

เกิดเสียงขูดเหรียญลงบนกระดาษดัง “ครืดคราด” เพียงไม่นาน เมิ่งเมิ่งก็จัดการจนเสร็จ

“ว้าว! ฉันโชคดีชะมัดเลยยยยย คุณไม่คิดงั้นเหรอ? ดูสิ ฉันถูกรางวัลด้วยล่ะ แถมเป็นรางวัลใหญ่อีกต่างหากแน่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า เถ้าแก่หยวนเป็นดาวนำโชคของเมิ่งเมิ่งจริงๆพวกคุณก็ด้วยนะ” เมิ่งเมิ่งหยิบลอตเตอรี่ขึ้นมาและดูค่อนข้างจะตื่นเต้นเอามากๆเลยทีเดียว

นอกจากนี้เสียงตะโกนของเมิ่งเมิ่งก็ยังดึงดูดความสนใจของเถ้าแก่ร้านขายลอตเตอรี่ด้วย ถึงอย่างไรถ้าหากเธอถูกรางวัลจริงๆขึ้นมาเขาก็ต้องขึ้นเงินให้อยู่แล้ว

คนอื่นๆที่กำลังซื้อลอตเตอรี่อยู่ที่นั่นก็พากันเข้ามาล้อมรอบตัวเธอเช่นกัน…

747 นัดบอด

“เธอถูกลอตเตอรี่งั้นเหรอ?” คนที่เหลือต่างมองเมิ่งเมิ่งด้วยความประหลาดใจ

“เธอถูกลอตเตอรี่จริงๆใช่ไหม?” ผู้คนทางด้านหลังต่างอยากเบียดตัวไปข้างหน้า แต่ในขณะนั้นก็ยังมีผู้คนอีกมากมายรายล้อมอยู่รอบตัวเมิ่งเมิ่ง

ทุกคนถามเมิ่งเมิ่งขึ้นพร้อมกันขณะที่ผู้คนทางด้านหลังต่างพากันชะเง้อมองเธอด้วยความสงสัย

ทุกคนอยากเห็นหญิงสาวที่ถูกลอตเตอรี่และอยากได้โชคดีจากเธอบ้าง พวกเขาไม่มีเจตนาอื่นใดเป็นพิเศษทั้งนั้น อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการชมดูเหตุการณ์อันแสนคึกคักอีกด้วย

หลังจากนั้นเถ้าแก่ก็เอ่ยปากให้ผู้คนแยกย้ายกันไป “เอาล่ะ พรรคพวก ขอฉันดูรางวัลหน่อยเถอะ โทษทีนะ”

“นี่ค่ะเถ้าแก่ นี่เป็นลอตเตอรีของฉันเอง” เมิ่งเมิ่งยื่นลอตเตอรี่ให้เขาไป

“ว้าว แม่สาวน้อย เธอโชคดีจริงๆเลยนะ” เถ้าแก่มองเมิ่งเมิ่งด้วยความประหลาดใจ ถึงแม้เขาจะเห็นเธอซื้อลอตเตอรี่ด้วยตนเอง แต่เถ้าแก่ก็ยังตรวจสอบความถูกต้องด้วยวิธีการง่ายๆอยู่ดี จากนั้นเขาก็เอ่ยชื่นชมเธอพลางอมยิ้ม

“ใช่ค่ะ เพราะวันนี้ฉันมีดาวนำโชคและตัวนำโชคของตัวเองมาด้วยค่ะ” เมิ่งเมิ่งพยักหน้าแล้วกล่าว

“โอเค ลอตเตอรี่ไม่มีปัญหา ฉันจะไปขึ้นเงินมาให้นะ” เถ้าแก่ขึ้นเงินรางวัลให้ผู้ถูกรางวัลก่อนในจำนวนที่เท่ากัน หลังจากนั้นเขาค่อยไปเบิกเงินคืนจากกองสลากพร้อมลอตเตอรี่พวกนั้น

“ขอบคุณค่ะเถ้าแก่” เมิ่งเมิ่งพยักหน้าแล้วยิ้มอย่างมีความสุข

ผู้ชมในสตรีมสดระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันทีที่พวกเขาเห็นว่าเมิ่งเมิ่งถูกลอตเตอรี่จริงๆ

[อะไรกันเนี่ย น่าเหลือเชื่อจริงๆ เธอถูกลอตเตอรี่จริงๆด้วย แถมยังเป็นรางวัลใหญ่อีกต่างหากแน่ะ ออกไปซื้อลอตเตอรี่ตอนนี้ยังทันอยู่ไหม?] จากจี้เย่เจีย

[น่าแปลกชะมัด! ตอนนี้ฉันชักจะอยากซื้อลอตเตอรี่เสียแล้วสิ ถ้าหากถูกรางวัลสัก 1 หยวนก็ไม่เลวเลยจริงๆ] จากจิ้งจอกเงินหลิวหลี

[เมิ่งเมิ่งโชคดีจริงๆเลย เธอถูกลอตเตอรี่จริงๆเสียด้วยสิ ฉันกำลังรอดูรางวัลอยู่เลย] จากเต้าฟาซูเซียง

เมื่อเห็นความยินดีและความอยากรู้อยากเห็นเต็มหน้าจอ เมิ่งเมิ่งก็ถึงกับอ้าปากเช่นกัน

“ขอบคุณนะทุกคน ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะรักษาสัญญา แล้วฉันก็จะบริจาคเงินและจัดให้มีการจับฉลากอย่างแน่นอน คอยดูแล้วกัน” เมิ่งเมิ่งตอบทีเดียว

ทันทีที่เมิ่งเมิ่งกล่าวเช่นนั้นแล้ว ก็มีข้อความแวบผ่านบนหน้าจออีกครั้ง แต่คราวนี้พวกเขาเปลี่ยนหัวข้อแล้วและเริ่มคุยกันเรื่องอาหารในร้านหยวนโจวตลอดจนการนัดทานอาหาร

ถึงอย่างไรพวกเขาก็เคยได้ยินมาจากโทรทัศน์ว่ายากยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่เสียอีก แต่ส่วนใหญ่พวกเขาก็ไม่เคยพบเคยเห็นเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยในชีวิต ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างสนใจเรื่องนี้กันมาก

[ยินดีด้วยนะ เมิ่งเมิ่ง ฉันรอส่วนแบ่งจากเธออยู่นะ ใครสามารถบอกได้บ้างว่ารางวัลเป็นอะไรงั้นเหรอ?] จากข้าเมามายจันทรา

[ดูเหมือนว่าจะได้เวลาไปกินเมนูข้าวร้อยอย่างที่ร้านหยวนโจวเสียแล้วสิ] ลูกไฟปีศาจในคืนฝนโปรย

[มานัดกันไปกินเมนูข้าวร้อยอย่างของเถ้าแก่หยวนกันเถอะ เข้ามาเลย พรรคพวก] จากผงผสม

[ทำไมเธอไม่พาเราไปเลี้ยงเมนูข้าวร้อยอย่างของเถ้าแก่หยวนคนละที่เสียเลยล่ะ? หลังจากพวกเรากินเข้าไปแล้ว ฉันเดาว่าโชคของเราต้องพุ่งถึงขีดสุดเชียวแหละ วิธีแบบนี้ไว้ใจได้มากเลยนะ] จากบุตรชายคนรองของขนห่านป่า

“ฮ่าฮ่า ถ้าหากเถ้าแก่หยวนจัดให้มีแบบห่อกลับบ้านได้ พวกคุณคงเสนอรางวัลแบบนี้แหงๆเลย แต่พวกคุณไม่รู้เหรอว่าเถ้าแก่หยวนเป็นถึงเจ้าเข็มทิศเชียวนะ? แน่นอนว่ารางวัลย่อมเป็นไปไม่ได้เลย” เมิ่งเมิ่งเองก็มีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือเรืองรางวัลอย่างมีความสุขเช่นกัน

เมิ่งเมิ่งพูดถูก แต่ทว่ากลับไม่อาจหยุดยั้งสติปัญญาของผู้ชมทั้งหลายได้ พวกเขาพบวิดีโอสตรีมสดช่วงก่อนหน้านี้ของเมิ่งเมิ่งที่จับภาพตัวอย่างของข้าวนึ่งจากเมนูข้าวร้อยอย่างมาได้กล่าวคือทันทีที่โจวเจียยกข้าวสวยกับน้ำข้าวมาให้เธอนั่นเอง

จากนั้นพวกเขาก็เผยแพร่ภาพตัวอย่างลงบนโมเมนต์เผื่อจะโชคดีกว่านี้

พวกเขาไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ถ้าหากเมิ่งเมิ่งสามารถทานอาหารที่นำเสนอในร้านหยวนโจวได้ฟรีๆก็ย่อมไม่มีสิ่งใดในโลกที่พวกเขาจะไม่สามารถทำได้อีกแล้ว

ผลก็คือเกิดเทรนด์ใหม่บนอินเตอร์เน็ต ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องราวอย่างแน่ชัดเริ่มรู้สึกสับสน น้ำข้าวสามารถนำโชคดีมาให้พวกเขาได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เพราะความสับสนดังกล่าวจึงทำให้เกิดเรื่องตลกมากมายตามมา

ระหว่างมื้อค่ำ พี่วั่นที่ไม่ได้มาที่นี่สองสามวันแล้วมาที่ร้านหยวนโจวอีกครั้ง

“สายัณห์สวัสดิ์จ้า” พี่วั่นทักทายหยวนโจวทันทีที่เธอเข้าประตูมา

“สายัณห์สวัสดิ์ครับ” หยวนโจวพยักหน้า

“ขอก๋วยเตี๋ยวน้ำใสที่นึงนะ” พี่วั่นสั่งอาหารทันที

“ได้เลย รอสักครู่นะครับ” หยวนโจวพยักหน้า

“ขอบใจ” พี่วั่นนั่งลงและเอ่ยขอบคุณเขา

แต่หยวนโจวกลับส่ายหน้าแล้วบอกว่า “ด้วยความยินดี” หลังจากนั้นเขาก็เข้าครัวไป

ในขณะนั้นก็มีอีกคนมานั่งลงข้างๆพี่วั่น เป็นม่านม่านที่ยุ่งง่วนอยู่กับร้านใหม่ของเธอนั่นเอง

“พี่วั่นมาแล้ว” ม่านม่านทักทายพี่วั่นก่อนที่จะเรียกโจวเจียเพื่อสั่งอาหาร

“ฉันรู้สึกเหมือนสามารถกินวัวได้ทั้งตัวแล้ว เพียงแค่มีเงินไม่พอแค่นั้นเองแหละ” ม่านม่านมองดูเมนูแล้วทอดถอนใจ

“ฉันคิดว่าหุ่นของเธอไม่เอื้ออำนวยให้ทานอะไรแบบนั้นเสียอีก” โจวเจียกับพี่วั่นกล่าวขึ้นพร้อมกัน

“พวกเราต่างก็เป็นผู้หญิง ผู้หญิงไม่ควรจะทำร้ายผู้หญิงด้วยกันนะ” ม่านม่านเหลือบมองทั้งสองคนแล้วกล่าวอย่างช่วยไม่ได้

“เอาล่ะ สั่งอาหารของเธอไปเถอะ” พี่วั่นส่งสัญญาณให้ม่านม่านสั่งอาหารต่ออย่างสุภาพ

และโจวเจียเองก็ยื่นมือออกมาแล้วทำท่าทางให้เธอสั่งอาหารต่อ

“เอาล่ะ ฉันขอก๋วยเตี๋ยวน้ำใสเหมือนพี่วั่นก็แล้วกันนะ” ม่านม่านเลือกบะหมี่ที่ทั้งง่ายและอร่อยแถมยังมีไขมันน้อยอีกด้วย

“ได้ค่ะ เดี๋ยวจะยกมาเสิร์ฟให้นะคะ” เมื่อโจวเจียยืนยันการได้รับเงินแล้วก็ออกไปรับออเดอร์คนอื่นๆต่อ

“ฉันได้ยินมาว่าพี่ฝืนไปนัดบอดอีกแล้วงั้นเหรอ?” จู่ๆม่านม่านก็กล่าวขึ้นมาทันที

“อืม” พี่วั่นเพียงแค่พยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

ทัศนคติของพี่วั่นค่อนข้างแตกต่างไปจากก่อนหน้านี้แล้ว ทุกครั้งที่เธอนัดบอดเสร็จก็ไม่พ้นต้องมาบ่นเรื่องนั้นเรื่องนี้กับคนอื่นๆ แน่นอนว่าเธอไม่ได้บ่นเรื่องฝ่ายชาย แต่กลับบ่นเรื่องที่ถูกจัดให้ไปนัดบอดแทน

นอกจากนี้เธอยังบ่นเรื่องความแปลกประหลาดของนักจัดหาคู่ที่แนะนำเธอให้ฝ่ายชายรู้จัก จากที่เธอเล่าให้ฟัง จู่ๆฝ่ายชายก็ถามขึ้นมาทันทีว่า “ทำไมคุณดูไม่เหมือนจางม่านอวี้เลยล่ะครับ?” ทันทีที่เขาเห็นเธอในการนัดบอดเมื่อคราวที่แล้ว

นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้พี่วั่นรู้สึกกดดันจริงๆ จริงอยู่ที่เธอเป็นคนหน้าตาดีและค่อนข้างสุภาพอ่อนโยนแถมยังเรียบร้อยอีกต่างหาก แต่ก็ยังมีระยะห่างระหว่างตัวเธอกับจางม่านอวี้อยู่ดี

แต่นักจัดหาคู่กลับแนะนำไปว่าเธอสวยจนยากจะหาผู้ใดเปรียบได้ซึ่งส่งผลทำให้ฝ่ายชายรู้สึกผิดหวังเอามากๆ

ส่วนการนัดบอดย่อมล้มเหลวอยู่แล้ว

แต่คราวนี้พี่วั่นกลับไม่พูดอะไรสักคำซึ่งตรงกันข้ามกับอุปนิสัยยามปกติของเธอ ม่านม่านใคร่ครวญดูสักครู่พลางจ้องมองพี่วั่นด้วยความสงสัยแล้วถามขึ้นมาว่า “พี่วั่น คราวนี้ปิ๊งเขาเข้าแล้วใช่ไหม?”

“เปล่าสักหน่อย” พี่วั่นปฏิเสธอย่างใจเย็น

“แล้วทำไมคราวนี้ทัศนคติของพี่ถึงได้แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้เล่า?” ม่านม่านถามด้วยความสงสัย

“ใช่ ดูเหมือนเธอแปลกๆไปนะ” อู๋ไห่ลูบหนวดเครากระจุ๋มกระจิ๋มของตัวเองแล้วกล่าวด้วยความสงสัย

“เพราะนัดบอดคราวนี้พิเศษอยู่นิดหน่อย” พี่วั่นนึกอยู่สักครู่และในที่สุดก็เจอคำที่เหมาะสม

“พิเศษงั้นเหรอ? ฉันอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม” ม่านม่านถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น

“ฉันบอกไม่ได้หรอก มีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย” พี่วั่นดูค่อนข้างจนปัญญา

“มีใครที่เข้ามาเกี่ยวข้องงั้นเหรอ?” ม่านม่านดึงแขนพี่วั่นแล้วถาม

“ฉันไง ฉันนี่แหละที่เกี่ยวข้อง” เฉินเว่ยเข้าประตูและดูเคร่งขรึมจริงจังตามปกติ เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็พูดขัดจังหวะขึ้นทันที

“นายเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้ไงอ่ะ? ทำไมต้องเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของสาวๆเขาด้วย?” อู๋ไห่จ้องมองเฉินเว่ยด้วยความสงสัยและไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด

แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมหาใช่คนเดียวที่ไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น แม้แต่หยวนโจวที่ภายนอกดูสงบนิ่งทว่ากลับรู้สึกสับสนในใจ

ในทางกลับกัน ม่านม่านกลับมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วยิ่ง เธอจ้องมองพี่วั่นแล้วค่อยจ้องมองเฉินเว่ยที่มีสีหน้าเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดงและจู่ๆเธอก็ชี้ไปทางเฉินเว่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “งั้นนายก็เป็นฝ่ายนัดบอดงั้นเหรอ?”

เมื่อม่านม่านพูดออกมา บรรดาลูกค้าในร้านต่างก็จับจ้องมาที่เขาทันที

“อืม เป็นฉันเองแหละ” เฉินเว่ยนั่งลงแล้วพยักหน้า

“อะแฮ่ม อะแฮ่ม อะแฮ่ม เอาล่ะ…” จู่ๆม่านม่านก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีเมื่อเธอได้ยินเฉินเว่ยยอมรับเรื่องนั้น

จากนั้นร้านก็ตกอยู่ในความเงียบงันทันที

748 ข้าวแช่

บรรดาลูกค้าในร้านต่างมองหน้ากันเงียบๆ แม้แต่หยวนโจวก็ยังเงียบไปขณะที่กำลังทำอาหารต่อโดยไม่สนใจที่จะฟังการสนทนาอีกต่อไป

เป็นอู๋ไห่ผู้ไม่รู้จักอายที่พูดขึ้นมาว่า “’แล้วทำไมตอนอยู่ในร้านอาหารถึงไม่ระงับเอาไว้เล่า? นายก็อยู่ที่นั่นไม่ใช่หรือไง?”

เฉินเว่ยที่มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเป็นคนที่ไม่แสดงสิ่งที่คิดออกมาอยู่แล้ว ส่วนพี่วั่นนั้นถึงกับมีสีหน้าจนปัญญา อู๋ไห่ผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองจริงๆ

“เนื่องจากการให้ข้อมูลผิดๆของนักจัดหาคู่ พวกเราจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แถมฉันดันมีนิสัยชอบมาถึงก่อนเวลาด้วยน่ะสิ” พี่วั่นกล่าว

“ฉันเข้าใจนะ” ม่านม่านพยักหน้า

อู๋ไห่จ้องมองเฉินเว่ยเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นมาทันที

“โอ้ ไม่แปลกใจเลยที่วันนั้นนายวิ่งโคตรไวเลย งั้นก็ไม่ใช่เพราะผู้จัดการที่ตามหานายอ่ะดิ ฉันรู้นะว่าหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างนายคงไม่กลัวผู้จัดการหรอก ถึงยังไงนายทั้งสองคนก็ตำแหน่งเสมอกันนี่นา” อู๋ไห่กล่าวด้วยความมั่นใจ

ตอนนี้ไม่มีใครมองพี่วั่นกับเฉินเว่ยอีกต่อไปแล้ว พวกเขาต่างเบนสายตาไปที่อู๋ไห่แทน แน่นอนว่าอู๋ไห่ย่อมไม่ถูกรบกวนด้วยเรื่องนี้ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่อู๋หลินพิสูจน์แล้วว่าถูกต้อง

“พี่วั่นเป็นคนดีมากๆเลย ฉันหมายถึงเป็นหญิงสาวที่แสนน่ารัก” จู่ๆเฉินเว่ยก็กล่าวขึ้นมาทันที

“ฉันบอกให้นายพอได้แล้วไง นายก็ยังจะพูดถึงเรื่องเดิมๆเมื่อวันนั้นอยู่อีก ดีที่ฉันเป็นคนที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับใครก็ได้หรอกนะ” พี่วั่นกล่าวขึ้นมาทันทีพลางเหลือบมองไปทางเฉินเว่ย

เฉินเว่ยหัวหดจากอารมณ์ที่เดือดพล่านคราวนี้ทันที เขาเงียบไปแล้วไม่พูดอะไรอีก ส่วนพี่วั่น เธอสะบัดผมตัวเองแล้วกลับคืนสู่อารมณ์สุภาพอ่อนโยนราวกับว่าเธอหาใช่คนที่ระเบิดอารมณ์ด้วยความโกรธออกไปก่อนหน้านี้

ความเปลี่ยนแปลงของเธอรวดเร็วเสียจนผู้อื่นต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก

“โอ้ ดูเหมือนจะไม่ได้ผลแฮะ” ม่านม่านพึมพำ

“ฉันก็คิดว่างั้นแหละ ดูสิ ตอนนี้เฉินเว่ยกลัวจนตัวสั่นไปแล้ว” ลูกค้าอีกคนกระซิบกระซาบ

“แต่ฉันคิดว่าพี่วั่นเยี่ยมมากจริงๆเลยนะ” ลูกค้าอีกคนเอ่ยปากชื่นชมพี่วั่น

“ใจสตรีช่างยากแท้หยั่งถึง” หยวนโจวรำพึงอยู่ในใจ

“บะหมี่มาแล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ พี่วั่น” โจวเจียกล่าวขึ้นขณะเสิร์ฟอาหารที่พี่วั่นสั่ง

“ขอบใจนะ เจียเจีย” พี่วั่นกล่าวขอบคุณพร้อมยิ้ม

“สวัสดีจ้า” ตอนที่ผู้คนเข้าๆออกๆร้านกันอย่างต่อเนื่อง ก็มีหญิงสาวผมสั้นเข้ามา

ผู้มาใหม่รายนี้หาใช่ใครอื่นนอกจากเพื่อนร่วมงานของญินยา ดูเหมือนเธอจะมีนามว่าเสี่ยวเฉินและไม่ค่อยมาที่นี่เพียงลำพังสักเท่าไหร่

แน่นอนว่าในแต่ละครั้งที่มา เธอก็ช่างแสนสุภาพเหลือเกิน เธอมักจะทักทายโจวเจียอยู่เสมอจนสร้างความประทับใจอย่างล้ำลึกต่อผู้คนที่นี่

“สวัสดีค่ะ พี่เสี่ยวเฉิน วันนี้รับอะไรดีคะ?” โจวเจียถามอย่างสุภาพ

“ฉันขอคิดดูก่อนนะ พอดียังไม่ได้นึกเอาไว้เลย” เสี่ยวเฉินกล่าวพลางทัดผมไว้กับหูแล้วหยิบเมนูขึ้นมา

“ได้ค่ะ ลองเลือกดูก่อนนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปทำอย่างอื่นก่อนก็แล้วกัน” โจวเจียพยักหน้าแล้วเดินจากไป

“ว้าว เถ้าแก่หยวนวางจำหน่ายอาหารจานใหม่เยอะมากเลย” เสี่ยวเฉินน้ำลายแทบหกตอนที่ดูเมนู ในขณะเดียวกัน เธอก็กำลังทอดถอนใจแทนกระเป๋าสตางค์ของตัวเอง

“หมูสองไฟ หมูอบซีอิ๊ว เต้าหู้ผัดเสฉวน ไก่ผัดถั่วลิสงและหมูสวรรค์ ฉันอยากกินหมดเลย” เสี่ยวเฉินพึมพำขณะดูเมนู

หลังจากดูเมนูไปสามครั้ง เสี่ยวเฉินก็เรียกโจวเจียอีกครั้ง

“รับอะไรดีคะ พี่เสี่ยวเฉิน?” โจวเจียถาม

“ที่นี่มีข้าวแช่ไหม?” เสี่ยวเฉินจับจ้องไปที่เมนูข้าวร้อยอย่างก่อนที่จะถามขึ้นมา

“ข้าวแช่งั้นเหรอคะ? ขอฉันไปถามเถ้าแก่ก่อนนะคะ” โจวเจียลังเลเนื่องจากไม่เคยได้ยินชื่ออาหารจานนี้มาก่อนเลย

“ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในเมนูข้าวร้อยอย่างนะ” เสี่ยวเฉินเสริม

“เอาล่ะ งั้นขอฉันไปถามเถ้าแก่ก่อนนะคะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วเดินไปหาหยวนโจว

“เถ้าแก่คะ มีคนอยากสั่งข้าวแช่ นี่เป็นหนึ่งในเมนูข้าวร้อยอย่างหรือเปล่าคะ?” โจวเจียรู้ว่าตอนที่กำลังทำอาหารหยวนโจวจะยุ่งเอามากๆ ดังนั้นเธอจึงเข้าประเด็นที่เธอต้องการจะถามในทันที

“อืม ฉันทำได้” หยวนโจวตอบ

“โอเคค่ะ ฉันจะได้ไปบอกลูกค้า” โจวเจียกลับไปหาเสี่ยวเฉินแล้วบอกคำตอบกับเธอ

“งั้นฉันขออาหารจานนั้นที่นึงแล้วกันนะ” เสี่ยวเฉินกล่าวหลังจากปิดเมนูแล้ว

“ได้ค่ะ พร้อมกับอาหารเซ็ตต้อนรับเป็นราคาทั้งสิ้น 118 หยวนค่ะ จะเลือกชำระเป็นเงินสดหรือว่าเงินโอนดีคะ” โจวเจียกล่าว

“โอนเงินให้เรียบร้อยแล้วนะ” เสี่ยวเฉินโชว์โทรศัพท์มือถือของตัวเองให้ดู

“ได้รับชำระแล้วนะคะ โปรดรอสักครู่ เดี๋ยวจะมีอาหารมาเสิร์ฟค่ะ” โจวเจียพยักหน้าแล้วเดินจากไป

หลังจากโจวเจียเดินจากไปแล้ว เสี่ยวเฉินก็เริ่มพึมพำกับตัวเองว่า “ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าข้าวแช่ของเถ้าแก่หยวนจะออกมารสชาติแบบไหนกันนะ”

จากนั้นเธอก็เริ่มจ้องมองไปที่หยวนโจว ส่วนหยวนโจวนั้นยังคงทำเป็ดอบชาที่ลูกค้าอีกคนสั่งอยู่ สีหน้าของเขาดูคร่ำเคร่งโดยสิ้นเชิงขณะที่เตรียมอาหาร

“เถ้าแก่หยวนก็ยังหล่ออย่างเคย ฉันล่ะสงสัยจังว่าเขามีแฟนหรือยังนะ แฟนของเถ้าแก่หยวนคงจะเป็นหญิงสาวที่มีความสุขมากทีเดียว” เสี่ยวเฉินพึมพำกับมือที่กุมคางตัวเองเอาไว้จนดูเหมือนตกหลุมรักเข้าเต็มเปาเข้าเสียแล้ว

เสี่ยวเฉินเอาแต่กุมคางมองเหม่อไปทางหยวนโจว โชคดีที่ท่าทางของเสี่ยวเฉินหาใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไรในร้านแห่งนี้ มีสาเหตุอยู่ว่าทำไมหยวนถึงมักจะหลงตัวเองเอามากๆอยู่ตลอดเวลา

ควรรู้ว่าหยวนโจวยังค่อนข้างโชคดีกับเพศที่อ่อนแอกว่า แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครเคยมาสารภาพรักกับเขามาก่อนหรอก แต่ผู้คนเป็นจำนวนมากต่างเอาแต่มองเหม่อมาทางหยวนโจวอยู่แบบนี้

แน่นอนว่าแม้แต่ผู้ชายก็ยังเอาแต่มองเหม่อมาทางหยวนโจวอยู่แบบนี้ แต่หยวนโจวได้ตัดผู้ชายพวกนี้ออกไปจากสมองจนหมดโดยอัตโนมัติเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาทำเช่นนั้น

ถึงอย่างไรหญิงสาวผู้แสนสุภาพอ่อนโยนและน่ารักน่าชังก็น่ามองมากกว่าเยอะเลย ผู้ชายที่มองเหม่อมาทางเขาส่วนใหญ่ต่างเป็นพวกตกตะลึงกับฝีมือการทำอาหารของเขาไม่ก็เป็นพวกที่อยากเรียนรู้จากเขา

เสียงตุ้บดังขึ้นทันทีราวกับมีบางสิ่งวางลงบนเคาน์เตอร์หินอะซูเร่ที่ปลุกเสี่ยวเฉินจากฝันกลางวัน

“โอ้ ใช่” เสี่ยวเฉินลุกขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเห็นว่าหยวนโจวกำลังจะเริ่มเตรียมอาหารจานถัดไป

“ช้าก่อนค่ะ เถ้าแก่หยวน” เสี่ยวเฉินเรียกหยวนโจวเอาไว้

“โอ?” หยวนโจวเงยหน้าขณะที่กำลังล้างหม้ออีกใบอยู่

“เอิ่ม ฉันขอข้าวแช่ที่ทำด้วยข้าวค้างคืนได้ไหมคะ?” เสี่ยวเฉินค่อนข้างอายตอนถูกหยวนโจวมอง แต่เธอก็ยังร้องขอต่อไป

“ได้ครับ หนึ่งในวัตถุดิบของข้าวแช่ก็คือข้าวค้างคืนอยู่แล้วล่ะครับ” หยวนโจวกล่าวพลางพยักหน้า อาหารจานนี้จะรสชาติดียิ่งขึ้นด้วยข้าวค้างคืน

“ขอบคุณค่ะ เถ้าแก่หยวน” เสี่ยวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วนั่งลง

“ไม่มีปัญหาครับ” หยวนโจวพยักหน้าแล้วล้างหม้อต่อไป

ส่วนหยวนโจวมีหน้าที่ทำอาหารให้ออกมามีรสชาติอร่อยที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ในฐานที่เขาเป็นเชฟ

เสี่ยวเฉินหันไปมองรอบๆเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเธอก่อนที่จะมองเหม่อมาทางหยวนโจวต่อไป

อันที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องที่พอจะเข้าใจได้ที่เสี่ยวเฉินจะถามหาสิ่งที่อยากร้องขอ ถึงแม้อาหารของหยวนโจวจะเป็นที่รู้กันดีว่ามีรสชาติอร่อย แต่ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากเช่นกัน เขาทำอาหารราวกับโฆษณาในโทรทัศน์ที่มักจะบอกว่า: ปราศจากสารปรุงแต่งในอาหาร ลูกค้าขาประจำของเขาทุกคนต่างก็ทราบเรื่องนี้ดี

ด้วยครัวแบบเปิดของเขา ทุกคนจึงสามารถมองเห็นสิ่งที่เขาทำตอนที่กำลังทำอาหารได้ เคาน์เตอร์ของเขาเปล่งประกายเจิดจ้าแถมวัตถุดิบของเขาดูแล้วต่างก็เป็นวัตถุดิบชั้นยอดและมีประโยชน์ต่อสุขภาพไปพร้อมๆกันด้วย

ดังนั้นเสี่ยวเฉินจึงเป็นห่วงว่าหยวนโจวจะไม่มีวัตถุดิบอย่างข้าวค้างคืน ถึงอย่างไรอาหารที่เหลือข้ามคืนก็ถือว่าไม่ค่อยดีต่อสุขภาพและถูกนักโภชนาการมองว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

แต่ถ้าไม่ทำข้าวแช่ด้วยข้าวค้างคืน แล้วอาหารจานนี้จะออกมาอร่อยได้อย่างไรกันเล่า?

“ดีที่เถ้าแก่หยวนรู้จักอาหารจานนี้มากพอสมควร เขาคู่ควรกับชื่อเสียงที่มีอยู่แล้วจริงๆ” เสี่ยวเฉินครวญขณะที่จับจ้องหยวนโจวไปด้วย

749  หนูอยากจะกินข้าวแช่

เสี่ยวเฉินรอคอยข้าวแช่ของหยวนโจวด้วยความคาดหวัง แต่ก็ไม่ต้องรอให้นานเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่าข้าวแช่นั้นสามารถเตรียมขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เสี่ยวเฉิน ข้าวแช่ได้แล้วค่ะ ทานให้อร่อยนะคะ” โจวเจียกล่าวตอนที่เธอมาถึงพร้อมถาดที่บรรจุอาหารไว้บนนั้น

“ขอบใจนะ” เสี่ยวเฉินกล่าวขอบคุณเธอแล้วช่วยยกอาหารออกจากถาด

“ด้วยความยินดีค่ะ” โจวเจียส่ายหน้าพร้อมยิ้ม

ข้าวแช่ก็เหมือนชื่อที่เรียกนั่นแหละ เป็นข้าวที่ผ่านการแช่มาแล้ว ข้าวขาวที่แช่อยู่ในน้ำถ้วยหนึ่งที่ยกมาเสิร์ฟให้เสี่ยวเฉินนั้นดูไปแล้วเหมือนข้าวต้มถ้วยหนึ่งไม่มีผิด นอกจากนี้ยังมีน้ำเปล่าหนึ่งแก้วกับลูกกวาดสองลูกด้วย

“ฉันจะกินข้าวก่อนล่ะนะ” เสี่ยวเฉินไม่กินลูกกวาดเพื่อกระตุ้นความอยากอาหารก่อนอย่างที่เธอมักจะทำอยู่เสมอ แต่เธอกลับเริ่มกินข้าวทันที

อันที่จริงแล้ว ข้าวแช่ไม่ง่ายเท่าข้าวต้มหรอก ข้าวต้องต้มในน้ำเสียก่อนจึงจะยกมาเสิร์ฟได้

ส่วนข้าวที่นำมาใช้นั้นก็เป็นเสี่ยวเฉินเองที่ขอให้ใช้ข้าวค้างคืน เพียงแต่อาหารจานนี้ต้องทำด้วยข้าวค้างคืนถึงจะมีรสชาติอย่างที่ควรจะมี

น้ำในถ้วยเป็นสีขาวน้ำนมในขณะที่เมล็ดข้าวเปล่งประกายโปร่งแสง ส่วนไอควันชั้นบางๆกำลังลอยวนเหนือถ้วย

“ดูน่ากินจริงๆเลย” เสี่ยวเฉินรำพึงขณะที่หยิบช้อนขึ้นมาแล้วเริ่มกิน

ช้อนที่เธอใช้เป็นช้อนลายครามที่สลักดอกบัวสีม่วงเอาไว้ตรงกลางช้อนให้ความสวยงามและบอบบางไปในที

เมื่อเธอตักข้าวขึ้นมาคำหนึ่งก็สามารถเห็นจุดสีน้ำเงินสวยงามบนข้าวได้ แน่นอนว่าเธอย่อมไม่สนใจเรื่องนี้แล้วยัดข้าวเข้าปากทันที

ข้าวแช่ไม่เหมือนกับข้าวต้ม ดังนั้นเมล็ดข้าวจึงไม่จำเป็นต้องหุงจนเละ ฉะนั้นรสชาติอาหารจานนี้จึงเป็นเพียงการรวมกันอย่างง่ายๆของน้ำเดือดกับข้าวขาวธรรมดาเท่านั้น พูดง่ายๆก็คือไม่มีรสชาติอะไรเลย

แต่ข้าวแช่ถ้วยนี้ที่หยวนโจวเตรียมขึ้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของข้าว เมื่อเข้าปากก็จะส่งกลิ่นหอมหวานเล็กน้อย

เป็นที่แน่ชัดแล้วว่านี่คือความหวานที่กระจายไปทั่วหลังจากเคี้ยวเมล็ดข้าวแล้ว

“ฟู่ ฟู่” เสี่ยวเฉินเป่าข้าวร้อนๆก่อนที่จะกินต่อ

ข้าวแช่ของหยวนโจวเป็นข้าวแช่บริสุทธิ์ที่ปราศจากสารปรุงแต่งอาหารใดๆทั้งสิ้น ตามปกติแล้วเมื่อทำที่บ้านก็ต้องมีอาหารที่รับประทานโดยไปต้องอุ่นควบคู่กันไปด้วย แต่เสี่ยวเฉินก็ไม่ได้สั่งอะไรอีก เธอยังคงกินต่อไป ขณะที่กินอยู่นั้น ความเร็วของเธอก็เพิ่มขึ้น

ข้าวแช่ถ้วยหนึ่งค่อนข้างน้อย เสี่ยวเฉินใช้เวลาไม่นานก็จัดการจนเกลี้ยง หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว เสี่ยวเฉินก็ออกไป

ตึก ตึก ตึก เสี่ยวเฉินเดินไปยังอพาร์ทเมนต์ที่เช่าไว้ จู่ๆเธอก็ลูบท้องแล้วพึมพำขึ้นมาว่า “ฉันยังไม่อิ่มเลย”

ความรู้สึกราวกับไม่ได้กินอะไรเลยหลังอาหารจะเป็นอันตรายต่อคนที่พยายามลดน้ำหนัก ส่วนเสี่ยวเฉินนั้น ไม่เพียงเธอยังคงรู้สึกหิวเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าข้าวแช่จะกระตุ้นความอยากอาหารของเธอเข้าให้แล้วทำให้เธอรู้สึกอยากทานอาหารอีก

พักนี้เธองานยุ่งมาก ดังนั้นเธอจึงไม่ขยับเขยื้อนไหวติงราวกับศพหลังเวลางาน แม้แต่ในวันหยุด เธอก็ยังเอาแต่นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน คราวที่แล้วเธอถึงกับเจริญอาหารเมื่อได้รับโบนัสหลังจากคำสั่งซื้อเสร็จสมบูรณ์ลงแล้ว

แล้วหลังจากนั้นเธอก็เจริญอาหารเมื่อได้เจอพี่ๆน้องๆที่ไม่ได้เจอกันเสียนาน ส่วนหลังจากนั้น… เธอก็ไม่ได้นึกถึงพวกเธออีก อย่างไรเสียก็เป็นเรื่องเดียวที่เธอจำได้ในช่วงปีใหม่ ในตอนนั้น เธอค่อนข้างเจริญอาหารมากทีเดียวเมื่อได้ทานอาหารที่มารดาของเธอเป็นคนเตรียมขึ้นมา

เธอโดนมารดาจ้องจับผิดเพราะยังไม่มีแฟน มารดาของเธออ้างว่าเธอกินเยอะราวกับหมูแต่ก็ยังไม่มีประโยชน์เท่าหมูเลยเสียด้วยซ้ำไป

ใช่แล้ว นั่นก็คือมารดาบังเกิดเกล้าของเธอเอง

ขณะที่เธอเดินอยู่นั้น เสี่ยวเฉินก็เริ่มคิดถึงมารดาของเธอขึ้นมา ก่อนจะทันได้รู้ตัว เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทร

บนหน้าจอขึ้นคำว่า “แม่” หลังจากเสียงสัญญาณดังขึ้นหลายต่อหลายครั้งก็มีคนรับสาย

“โทรมาทำไมดึกดื่นป่านนี้? เลิกงานแล้วหรือไง?” สตรีวัยกลางคนถาม คนผู้นี้ก็คือมารดาของเสี่ยวเฉินนั่นเอง

“ไม่มีอะไรหรอก หนูเพิ่งทานอาหารมื้อค่ำเสร็จ แม่กินข้าวหรือยัง?” เสี่ยวเฉินถาม

“แกคงออกไปกินข้าวนอกบ้านอีกแล้วสินะ บอกแล้วไงว่าอาหารข้างนอกมันทั้งแพงแถมไม่ดีต่อสุขภาพอีก อย่ากินเยอะเกินไปเสียล่ะ แกควรจะทำอาหารกินเองบ้างนะ เป็นลูกผู้หญิงไม่ควรจะขี้เกียจนะ ดูแกสิ ถ้าแกเป็นผู้ชายจะหาผู้หญิงอย่างแกมาเป็นแฟนไหมล่ะ?” คำพูดยาวเหยียดพรั่งพรูออกมาทันทีที่มารดาของเธอได้ยินเรื่องอาหาร

“…” ทีแรกเสี่ยวเฉินมีคำพูดมากมายที่อยากจะบอกมารดาของเธอ แต่ตอนนี้มันปลาสนาการหายไปจนสิ้นแล้ว เสี่ยวเฉินสงสัยจริงๆว่าเธอเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาจากถังขยะที่ไหนสักแห่งหรือเปล่านะ

“เปล่านะ หนูเลิกงานดึกก็เลยไม่รู้สึกอยากทำอาหารต่างหากเล่า” เสี่ยวเฉินตอบสั้นๆราวกับเธอรู้สึกเหนื่อยมากเสียเหลือเกิน

“จริงๆเลย ไม่มีลูกผู้หญิงคนไหนขี้เกียจได้เท่าแกอีกแล้ว ในเมื่อเลิกงานดึกก็ควรจะรีบกลับบ้านไปเสีย ฉันยังได้ยินเสียงรถอยู่ใกล้ๆตัวแกอยู่เลยนะ ทำไมถึงออกมาเดินคนเดียวดึกๆดื่นๆป่านนี้ในเฉิงตูล่ะ? รีบกลับไปซะ” มารดาของเสี่ยวเฉินยังคงเซ้าซี้ต่อไป

ก่อนที่เสี่ยวเฉินจะทันได้พูดอะไรอีก มารดาของเธอก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้แล้วพูดต่อไปว่า “ทำไมแกโทรมาหาฉันดึกดื่นป่านนี้เล่า? มีอะไรหรือเปล่า?”

เธอถามไปเรื่อยเปื่อยและกำลังจะวางสายหากไม่มีเรื่องสำคัญ

เสี่ยวเฉินเงียบไปนานก่อนที่จะพูดความรู้สึกนึกคิดที่แท้จริงออกมา “ไม่มีอะไรหรอก จู่ๆหนูก็คิดถึงข้าวแช่ของแม่ขึ้นมาเสียดื้อๆ ก็ไม่ได้กินมาตั้งนานแล้วนี่นา”

“เรื่องนั้นง่ายจะตาย ตอนแกกลับมา ฉันจะทำข้าวแช่กับเนื้อผัดเกี้ยมไฉ่ให้แกกินเอง” มารดาของเธอกล่าว

“เยี่ยมไปเลย หนูจะกลับบ้านช่วงประเพณีแข่งเรือมังกรนะ” เสี่ยวเฉินตอบพลางพยักหน้า

“ได้สิ อย่าลืมกลับมาช่วงประเพณีแข่งเรือมังกรล่ะ แล้วก็อย่าออกไปไหนคนเดียวดึกๆดื่นๆอีก มันไม่ปลอดภัยนะได้ยินไหม?” มารดาของเธอเซ้าซี้ต่อไป

“อืม หนูรู้แล้ว เอาล่ะ รถมาแล้ว หนูจะวางสายแล้วนะ” เสี่ยวเฉินกล่าว

“ก็ได้ งั้นฉันจะทำข้าวแช่กับหมูผัดเกี้ยมไฉ่ให้แก่กินตอนกลับมาก็แล้วกันนะ ฉันจะกลับไปดูรายการทีวีต่อล่ะ จุ๊บๆ” มารดาของเธอกล่าว

เสี่ยวเฉินบอกลาแล้ววางสาย เธอค่อนข้างตกตะลึงจนพูดไม่ออกที่ได้ยินมารดาพูดว่า “จุ๊บๆ” กับเธอ

“ไม่ได้กินข้าวแช่มานานแล้วจริงๆ ฉันคิดว่าข้าวแช่ของเถ้าแก่หยวนน่าจะอร่อยกว่าข้าวแช่ของแม่นะ ข้าวของเถ้าแก่หยวนคุณภาพยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้ว แต่ยังไงฉันก็ยังตั้งตารอคอยอาหารของแม่อยู่ดีนั่นแหละ” เสี่ยวเฉินพึมพำก่อนที่จะไปขึ้นรถ

ตัวเธอเองก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงได้อยากเอ่ยคำพูดตั้งมากมายที่อยากเอ่ยกับมารดาถึงได้เหลือแค่เพียงคำเดียวว่า “หนูอยากกินข้าวแช่” ไปเสียได้

วันนี้หยวนโจวไม่ได้ยุ่งง่วนอยู่ในครัวหลังมื้อค่ำ แต่เขากลับนั่งตรงทางเข้าเพียงลำพังพลางจ้องมองเจ้าบรอธที่กำลังเดินขึ้นๆลงๆบนถนน บางครั้งเจ้าบรอธก็จะนั่งลงตรงหน้าหยวนโจว

“ต้วนต้วน ช้าลงหน่อยสิ” หญิงสาวผมยาวกล่าวขณะวิ่งกับเจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ที่ถูกล่ามเอาไว้

ในเวลานี้เจ้าบรอธนั่งเต๊ะอยู่ข้างหยวนโจว เมื่อเห็นแบบนั้น เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ก็หยุดตัวลงตรงหน้าเจ้าบรอธแล้วมองด้วยความสงสัย

“เถ้าแก่หยวน วันนี้ทำไมถึงมานั่งข้างนอกล่ะคะ?” หญิงสาวผู้นั้นหยุดทักทายหยวนโจวเมื่อเห็นเขาอยู่ตรงนั้น เธอหยุดวิ่งหลังจากสุนัขของเธอหยุดตัวลง

“ไม่มีอะไรหรอก แค่พักผ่อนน่ะ” หยวนโจวตอบขณะที่กำลังนั่งตัวตรงแน่ว

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” ขณะที่หญิงสาวกำลังพูดคุยอยู่นั้น เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์ที่ถูกเธอล่ามเอาไว้ก็เห่าใส่เจ้าบรอธ

เจ้าบรอธยังคงไม่สนใจแถมยังไม่ชายตามองเจ้าสุนัขตัวนี้เสียด้วยซ้ำ มันนั่งหลังตรงแน่วอย่างเงียบๆต่อไป

“เจ้าบรอธ แกก็อยู้ด้วยหรอกเหรอนี่? เจ้าบรอธ นี่คือต้วนต้วนนะเป็นสุนัขสายพันธุ์อลาสกัน มาลามิวท์ แกอยากเป็นเพื่อนกันหน่อยไหมล่ะ?” ขณะที่เจ้าสุนัขตัวใหญ่ยักษ์กำลังกระชากสายจูงไปหาเจ้าบรอธ หญิงสาวไม่ทางเลือกได้แต่มองหยวนโจวอย่างขอโทษขอโพยก่อนจะคุยกับเจ้าบรอธ

เมื่อเห็นเจ้าสุนัขแสนไร้เดียงสาอีกตัวยังพยายามที่จะเป็นเพื่อนกับเจ้าบรอธต่อไป หยวนโจวจึงรอดูท่าทีตอบสนองของเจ้าบรอธด้วยสีหน้าที่สงบนิ่งโดยสิ้นเชิง

750 เรื่องของคนสองคน

“โฮ่ง!” เจ้าอลาสกัน มาลามิวท์เห่าใส่เจ้าบรอธอีกครั้งก่อนที่จะถูไถกับหัวของเจ้าบรอธ

เจ้าบรอธยังเงียบและเอาแต่มองเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์อย่างเย็นชาและไม่สนใจ

เมื่อเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์และหญิงสาวเห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ชักจะตื่นเต้นขึ้นมาเสียแล้ว ส่วนหยวนโจวนั้น เขารู้สึกเหมือนถูกใครทำร้ายมาก็ไม่ปาน เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่าสายตาก่อนหน้านี้เปี่ยมไปด้วยความดูถูกดูแคลน

“นี่มันสุนัขปีศาจหรือไงกันเนี่ย? มันรู้จักมองคนอื่นด้วยความดูถูกดูแคลนจริงๆด้วยเหรอ?” หยวนโจวยังคงรักษาความสงบนิ่งเอาไว้ทั้งๆที่ในใจกลับด่าว่าอย่างไม่รู้จักหยุดหย่อน ทั้งที่เป็นแค่สุนัขพันธุ์มอลทีสแท้ๆ แต่เจ้าบรอธกลับกล้าดูถูกดูแคลนเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์เชียวเหรอ?

หยวนโจวเงียบไปขณะที่หญิงสาวแนะนำเจ้าหมาทึ่มให้เจ้าบรอธได้รู้จัก

เจ้าบรอธก็ยังไม่สนใจอีกตามเคย สิ่งนี้ทำให้เจ้าอลาสกัน มาลามิวท์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไปและอ้าขากรรไกรพยายามที่จะกัดเจ้าบรอธ ในที่สุดเจ้าบรอธก็แสดงพลังอันร้ายกาจและน่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบมิได้ออกมา “โฮ่ง!” อันเสียงเห่าที่เทียบได้กับเสียงกู่ร้องคำรามของพยัคฆ์เลยก็ว่าได้

ในที่สุดเสียงเห่าครั้งนี้ก็สยบเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์ลงได้ มันทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วไม่ขยับเขยื้อนไหวติงอีกเลย เมื่อหญิงสาวกระตุกสายจูงมันก็ซวนเซมาหลบอยู่ข้างหลังเธอดูท่าทางจะหวาดกลัวเอามากๆเลย

หญิงสาวรู้สึกอึดอัดใจกับเจ้าสิ่งนี้มาก

“เจ้าบรอธเป็นแค่สุนัขตัวเล็กๆ แต่แกเป็นสุนัขตัวใหญ่ออกขนาดนั้น แกโง่หรือไง? แถมเจ้าบรอธยังดูไม่อยากจะกัดแกเสียด้วยซ้ำไป” หญิงสาวเริ่มตำหนิเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์

“อืม เจ้าบรอธเคยกัดใครหรอกครับ” หยวนโจวเสริมพลางมองเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์ที่กำลังหวาดกลัว

“ฉันรู้สาเหตุแล้วค่ะ เถ้าแก่หยวน เป็นเพราะเจ้าบรอธฉลาดมากส่วนเจ้าต้วนต้วนของฉันโง่เกินไปน่ะสิคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยท่าทีอับอายก่อนที่จะเดินจากไปพร้อมเจ้าอลาสกัน มาลามิวท์

หลังจากพวกเขาจากไปแล้ว เจ้าบรอธก็ต้องมองไปทางหยวนโจวทันที จากสายตาของมัน เจ้าบรอธดูเหมือนอยากจะบอกว่า “ถึงฉันจะไม่กัดคน แต่ฉันกัดสุนัขด้วยกันนะเว้ยเฮ้ย” หยวนโจวอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ ดูเหมือนว่าเจ้าสุนัขทึ่มตัวนั้นก็ไม่ได้โง่เลยสักนิด…

วันนี้ลูกค้าสองคนที่ไม่ได้มาเยือนเสียนานได้มาถึงร้านหยวนโจว เป็นบุรุษและสตรีที่จับมือกัน

“โอ? หลังจากงานแต่งงานช่วงก่อนปีใหม่ก็ไม่ได้เจอพวกคุณเลย นึกว่าพวกคุณย้ายไปแล้วเสียอีก” หลิงหงกล่าว

ทั้งคู่ย่อมเป็นคู่แต่งงานใหม่อย่างกั๋วรุ่ยกับฉินหลัวอยู่แล้ว บรรดาลูกค้าคนอื่นๆอาจจะไม่ค่อยประทับใจกับชื่อของพวกเขานัก แต่พวกเขาก็เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานคู่รักที่คุยกันไม่รู้จักจบจักสิ้นในขณะที่ไม่ค่อยจะคุยกับคนอื่นสักเท่าไหร่นัก

ครั้งหนึ่งหลิงหงเคยถามกั๋วรุ่ยอยู่คำถามหนึ่ง เพราะคำถามนั้นจึงทำให้กั๋วรุ่ยค่อนข้างนับถือหลิงหงมากทีเดียว เมื่อเขาได้ยินหลิงหง เขาก็ตอบทันทีว่า “พวกเรามัวแต่ยุ่งง่วนกับการรีโนเวทบ้านใหม่และก็งานอยู่น่ะครับ”

กั๋วรุ่ยเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเองแล้วเสริมขึ้นว่า “ทันทีที่พวกเรามีเวลาว่าง พวกเราก็รีบมาเลยครับ”

หลิงหงพยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก เขายังคงกินต่อไประหว่างที่กั๋วรุ่นกับฉินหลัวนั่งลงแล้วเริ่มสั่งอาหารหลังจากถึงคิวของพวกเขาแล้ว

“หมูสองไฟกับอาหารเช็ตข้าวผัดไข่ แล้วก็ข้าวห่อใบบัวกับหญ้าจินหลิงครับ” กั๋วรุ่ยสั่งอาหารแล้วชำระเงิน

ฉินหลัวก็เหมือนเช่นเคย เธอเงียบพร้อมยิ้มอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั่งอยู่ข้างๆกั๋วรุ่ย ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สั่งอะไรเลย แต่อันที่จริงแล้วทุกอย่างที่กั๋วรุ่ยสั่งมาล้วนแล้วแต่เป็นอาหารที่เธอชอบอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องจดหรือชี้ไม้ชี้มือบอกอาหารที่อยากกินเลย

“ทำไมถึงไม่เห็นพี่เฉินเว่ยเลยล่ะ?” กั๋วรุ่ยถาม

“ฉันคิดว่าวันนี้บริษัทใหญ่ของเขาคงจะมาตรวจ ในฐานที่เป็นหัวหน้าแผนกรักษาความปลอดภัย เขาต้องยุ่งมากแน่ๆ” พี่วั่นตอบก่อนที่จะถามว่า “ถามหาเขาทำไมเหรอ? ถ้ามีเรื่องด่วนอะไร ฉันมีเบอร์เขานะ แต่ต้องบอกมาก่อนว่าตามหาเขาทำไม ยังไงก็ไม่เหมาะที่ฉันจะเที่ยวแจกเบอร์โทรศัพท์ของเขาไปเที่ยวนะ”

“ครับ ผมตามหาเขาเพราะมีเรื่องน่ะครับ” กั๋วรุ่ยไม่มีเจตนาที่จะปิดบังซ่อนเร้นแต่อย่างใด เขาเสริมขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้พวกเราไปถ่ายรูปที่แหลมไห่เจียว ช่างภาพฝีมือดีทีเดียว แต่พวกเรากลับรู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไปจากภาพน่ะสิครับ หลังจากนั้นเราก็เลยปรึกษากัน พวกเราตัดสินใจว่าจะถ่ายภาพใหม่ครับ”

พี่วั่นพยักหน้าแล้วรอให้กั๋วรุ่ยพูดต่อ เธอไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของพวกเขา ดังนั้นเธอจึงไม่รู้ว่าเฉินเว่ยเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวในงานแต่งงาน

ส่วนสาเหตุที่ว่าทำไมกั๋วรุ่ยจึงไม่เชิญเพื่อนสนิทของเขามาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ไม่มีใครในร้านหยวนโจวรู้สักคน

“เราสองคนคิดว่าจะถ่ายรูปแต่งงานชุดใหม่โดยมีร้านอาหารเป็นฉากหลังครับ” กั๋วรุ่ยจงใจบอกให้รู้ถึงความตั้งใจของเขา

มีรูปแต่งงานทั้งในร่มและกลางแจ้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นในร่มหรือกลางแจ้ง ร้านหยวนโจวก็ดูจะไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมสักเท่าไหร่นัก ดังนั้นสิ่งนี้จึงไม่เพียงแต่กระตุ้นความสงสัยของพี่วั่นเท่านั้นแม้แต่หลิงหงที่กำลังยุ่งง่วนกับการกินก็สนใจขึ้นมาเสียแล้ว

“ถ่ายรูปแต่งงานที่ร้านหยวนโจวงั้นเหรอ? นายคิดอะไรอยู่เนี่ย?” หลิงหงถาม

“ลองนึกดูสิ พวกเราเจอกันครั้งแรกในร้านนี้ จากนั้นพวกเราก็รู้จักกันแล้วก็ตกหลุมรักกันในร้านนี้อีก ทั้งสามขั้นตอนสำคัญของการตกหลุมรักล้วนเกิดขึ้นที่นี่ทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงรู้สึกชอบร้านนี้และบรรดาลูกค้าทั้งหลายยังไงล่ะครับ ไม่ว่าพวกเขาจะรู้หรือไม่ แต่พวกเขาต่างก็เป็นประจักษ์พยานในเรื่องราวความรักของเรา นี่เป็นสถานที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายรูปแต่งงานชุดที่สองของเราเชียวล่ะ” กั๋วรุ่นอธิบายอย่างชัดเจน

หลิงหงประเมินว่า “เด็กอย่างพวกนายนี่มันช่างไอเดียบรรเจิดเสียจริง”

“นายรู้อะไรไหม? นี่ก็คือความโรแมนติกยังไงล่ะ” พี่วั่นเห็นด้วยกับเหตุผลนี้เป็นอย่างยิ่ง เธอพูดต่อไปว่า “ถ้าครึ่งหนึ่งของชีวิตในอนาคตของฉันเป็นคนที่ฉันรู้จักจากร้านนี้ ฉันก็จะมาถ่ายภาพที่นี่เหมือนกัน”

“แหงอยู่แล้ว แต่เธอก็ต้องหาครึ่งหนึ่งของชีวิตให้ได้เสียก่อนนะ” อู๋ไห่ขัดคอขึ้นโดยไม่ตั้งใจ เขาจดจ่ออยู่กับการกินเงียบๆต่อไป

“อู๋! ไห่!” พี่วั่นรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาทันที เธอตะโกนชื่อเขาออกมาด้วยสีหน้าดุร้าย อู๋ไห่ที่ยังกินต่อไปรู้สึกสันหลังเย็นเฉียบ เขารีบเงยหน้ามองพี่วั่นที่กำลังเหลือบมองเขาอย่างสุภาพอ่อนโยน

อู๋ไห่รู้สึกได้ว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสีหน้าสุภาพอ่อนโยนคือเจตนาสังหาร ในทุกสถานการณ์ การหนีมักจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นอู๋ไห่จึงแสดงความสามารถในการกินอย่างรวดเร็วในที่สุดก่อนจะรีบเผ่นหนีออกจากร้าน

หลิงหงเป็นคนที่เห็นพี่วั่นเปลี่ยนสีหน้าจากดุร้ายเป็นสุภาพอ่อนโยนด้วยตาตนเอง เขาสรุปอยู่ในใจว่าผู้หญิงช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ความเร็วที่ผู้หญิงสามารถเปลี่ยนสีหน้าของพวกเธอนั้นช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆแถมพวกเธอยังมีความสามารถพิเศษในการปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองอีกด้วย เขาขอสาบานว่าจะไม่เข้าไปข้องแวะกับผู้หญิงอีกแล้ว

เนื่องจากการขัดคอของอู๋ไห่ ทุกคนจึงลืมเรื่องที่จะถ่ายรูปแต่งงานที่ร้านนี้ไปแล้ว พวกเขาต้องปรึกษาหารือกับหยวนโจวแทนที่จะเป็นเฉินเว่ย

พี่วั่นยื่นเบอร์โทรศัพท์ของเฉินเว่ยให้กั๋วรุ่ย เนื่องจากกั๋วรุ่ยเป็นคนที่ค่อนข้างใจร้อนอยู่แล้ว เขาจึงโทรหาเฉินเว่ยเมื่อได้รับเบอร์ทันที จากนั้นทุกคนก็รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงต้องตามหาเฉินเว่ยแทนที่จะเป็นหยวนโจว

ปกติแล้วคู่รักคู่อื่นๆมักจะมีแค่พวกเขาสองคนอยู่ในรูปแต่งงานของตัวเอง แต่กั๋วรุ่ยกับฉินหลัวกลับตัดสินใจที่จะทำเรื่องที่แตกต่างออกไปแทน พวกเขาอยากให้ร้านและบรรดาลูกค้าทั้งหลายเป็นฉากหลังในภาพของพวกเขา

ไม่ว่าจะเป็นเฉินเว่ยหรือหลิงหง หรือแม้แต่เจียงฉางซี่ที่ไม่รู้เรื่องดีนักก็ยังหวังว่าจะมีคนพวกนี้อยู่ในฉากหลังด้วย ตัวอย่างของแนวคิดที่พวกเขาคิดเอาไว้ก็คือพวกเขากอดกันอยู่ด้านหน้าโดยมีบรรดาลูกค้าคนอื่นๆที่ทานอาหารอยู่เป็นฉากหลัง

เรื่องนี้อาจจะฟังดูค่อนข้างแปลก ทีแรกกั๋วรุ่ยก็ลังเลใจ แต่มันเป็นสิ่งที่ฉินหลัวบอกเขา การแต่งงานเป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นในขณะที่รูปภาพจะเป็นความทรงจำของคนสองคน ทำไมพวกเขาจะต้องไปสนใจด้วยเล่าว่าคนอื่นจะคิดยังไง?

ดังนั้นกั๋วรุ่ยจึงตัดสินใจที่จะทำเช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาต้องหาคนที่จะเห็นด้วยกับเรื่องนี้เสียก่อน อย่างที่กั๋วรุ่ยคิดเอาไว้เลย เฉินเว่ยผู้แสน “ใจดี” เป็นคนที่โน้มน้าวได้ง่ายที่สุดแล้ว

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Gourmet Food Supplier อยากกินไหมล่ะ

Status: Ongoing

ณ ประเทศตะวันออกที่ห่างไกลมีร้านอาหารเล็ก ๆ แปลก ๆ แห่งหนึ่งที่อาจหาญกล้า ‘ปฏิเสธการจัดอันดับสามดาว‘ โดย Michelin Guide อยู่หลายครั้ง อาหารที่นี่ราคาแพงมากข้าวผัดธรรมดาจานหนึ่งกับซุปหนึ่งชาม ราคาก็ปาเข้าไป 288 หยวนแล้ว (ประมาณ 1500 บาท) เคี่ยวขนาดนี้ก็ยังมีคนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจะรอกิน อ้อ… ที่นี่เขาไม่รับจองคิวด้วยนะ! แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนจำนวนมากนั่งเครื่องบินส่วนตัวมาเพื่อจองคิวอีก! ทำไมต้องนั่งเครื่องบินน่ะเหรอ ก็เขาไม่มีที่จอดรถให้น่ะสิ ที่นี่บริการแย่ ลูกค้ากินแล้วต้องล้างจานเช็ดโต๊ะเอง ไม่รู้เจ้าของร้านคิดอะไรอยู่… สงสัยคงเป็นคนบ้าคนหนึ่ง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท