หยวนชิงหลิงพูดว่า “ท่านน่ะไม่รู้จักวิธีในการจัดการเงิน ค่าใช้จ่ายของหนึ่งเดือน ท่านเอาไปเลี้ยงเหล้าจนหมดในมื้อเดียว ไม่ว่าจะให้ท่านสิบตำลึงหรือสองร้อยตำลึง อย่างไรก็คงใช้ได้ไม่พ้นเดือนอยู่ดี ใช่แล้ว ออกไปทำงานครั้งนี้ เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่ หรือว่า ได้พบกับใครบางคนหรือไม่ ”
นางจำได้ว่าเสี้ยนจู่โหรหมิ่นกับคุณหนูห้าแห่งตระกูลกู้เดินทางไปฮู่ยโจว ไม่รู้ไว้ได้พบกันหรือไม่
เขาออกไปทำงานครึ่งเดือน กลับบ้านไม่ได้เข้ามากอดมาหอมนางเหมือนแต่ก่อน กลับมาแล้วก็กล่าวโทษว่านางเอาเงินเก็บส่วนตัวของเขาไปทำให้เขาต้องทนหิว ถ้าเมื่อใดที่เขารู้สึกผิดในใจ ก็จะหาเรื่องควบคุมคนอื่นก่อน
ปรากฏว่า เมื่อหยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ ดวงตากลอกไปมาหลายครั้ง เห็นได้ชัดว่ารู้สึกผิดในใจ
“ก็…… ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียหน่อย พบกับ…… ไม่ได้พบกับใครทั้งนั้น มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เป็นไรมาก”หยู่เหวินเห้าหยิบเอาลูกพลับแช่แข็งที่ถูกโยนทิ้งไว้ข้างๆขึ้นมาอีก กัดคำใหญ่ๆ สีหน้าเป็นกังวล
หยวนชิงหลิงไม่ถามอีก นั่งลงตรงหน้าเขา สองมือเท้าไว้ใต้คางมองเขา
หยู่เหวินเห้าถูกจ้องจนรู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข จึงยิ้มขึ้นมา “ประเดี๋ยวเจ้าคงจะรู้เอง คงต้องมาหาถึงบ้านแน่ๆ”
สายตาของหยวนชิงหลิงมีแววอันตรายประกายขึ้น “ก่อนที่คนอื่นจะมาหาถึงบ้าน ข้าควรจะรู้ก่อนหรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หยู่เหวินเห้าพยักหน้ารัวๆ เอ่ยด้วยสีหน้าบริสุทธิ์ไร้เดียงสาว่า “ใช่แล้ว เจ้าต้องรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่เช่นนั้นถ้าจวิ้นจู่องจิ้งมา เจ้าก็ไม่มีอะไรจะทะเลาะกับเขาได้ ”
“ฉะนั้น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หยู่เหวินเห้าประสานสองมือเข้าหากัน สายตาที่มองหยวนชิงหลิงนั้นชัดแจ๋วมาก “ข้า……ทำลายความบริสุทธิ์ของลูกสาวผู้อื่นไปแล้ว”
สายตาของหยวนชิงหลิงราวกับมีพายุฝนก่อตัวขึ้นมา หยู่เหวินเห้ารีบยกมือขึ้นมาแก้ตัวว่า “ไม่ได้หมายความเช่นนั้น ไม่ใช่ข้าเป็นคนทำลาย เป็นคนอื่นที่ทำลาย แต่ว่ามีความเกี่ยวข้องกับข้าเล็กน้อย”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”หยวนชิงหลิงถามอย่างนิ่งสงบ ผ่านคลื่นลมฝนมาตั้งมากมายแล้ว ที่จริงไม่มีอะไรทำให้นางจะรู้สึกตกใจและโกรธได้ในชั่วพริบตา
หยู่เหวินเห้าอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ ค่อยเล่าความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ที่แท้พวกเขาก็ไปยังหนานอานก่อนจะวนกลับมายังฮู่ยโจว หลังจากกลับมาจากกองทัพที่ฮู่ยโจว ก็ไปอาศัยอยู่ยังบ้านเก่าของกู้กั๋วกงสองวัน
ไหนเลยจะรู้ว่า เสี้ยนจู่โหรหมิ่นก็อยู่ที่นี่ด้วย เข้ามาทำตัวพัวพันกับเขา พี่ชายอย่างโน้นพี่ชายอย่างนี้ หยู่เหวินเห้าไม่สนใจนาง เพื่อเป็นการหลบหน้านางจึงพาสวีอีออกไปเดินชมบรรยากาศของทิวทัศน์และผู้คนของฮู่ยโจว
แต่คิดไม่ถึงว่าเสี้ยนจู่โหรหมิ่นกับคุณหนูห้าแห่งตระกูลกู้ก็ตามไปด้วย ยังตามติดไม่ยอมปล่อย หยู่เหวินเห้ารู้สึกโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว จึงจงใจเดินทางไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างเปลี่ยว ดูสิว่าพวกนางจะตามไปอีกหรือไม่ ปรากฏว่าพวกนางยังคงตามอยู่ตลอดไม่ไปไหน
หยู่เหวินเห้ากับสวีอีจึงใช้วิชาตัวเบาหนีไป ทิ้งพวกนางเอาไว้
ในคืนวันเดียวกัน พวกนางไม่ได้กลับมา กู้กั๋วกงให้คนออกไปตามหาก็หาไม่พบ ช่วงเที่ยงของวันที่สอง จึงพบว่าพวกนางอยู่ในหอคณิกาแห่งหนึ่ง
หลังจากตรวจสอบแล้วจึงรู้ว่า เดิมทีพวกนางสองคนพาบ่าวรับใช้ตามหยู่เหวินเห้าไป หยู่เหวินเห้าจงใจนำทางพวกนางให้ไปยังสถานที่ที่ค่อนข้างเปลี่ยว แล้วก็ทิ้งไว้ไม่สนใจ ทำเอาพวกนางหลงทางกลับมาไม่ได้ ได้แต่ถามทางกับคนแถวนั้นมาตลอดทาง ที่แห่งนั้นเดิมก็วุ่นวายอยู่แล้ว พวกนางมีหน้าตาสวยงามบวกกับไม่ได้พูดสำเนียงในท้องถิ่น จึงถูกคนลงมือลักพาตัวไป พาไปยังหอคณิกา
แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้ถูกกระทำการข่มขืน แต่เป็นถึงเสี้ยนจู่คนหนึ่ง อีกคนก็เป็นคุณหนูของตระกูลกู้ ถูกคนค้นหาจนพบในหอคณิกา ความบริสุทธิ์นั้นนับว่าถูกทำลายไปแล้ว
และเพราะว่าตอนนั้นหยู่เหวินเห้าก็ได้ออกไปตามหาพร้อมกัน ฉะนั้นหลังจากที่ช่วยเหลือเสี้ยนจู่โหรหมิ่นและคุณหนูห้าออกมาจากหอคณิกาแล้ว เสี้ยนจู่โหรหมิ่นก็ร้องไห้โฮกับหยู่เหวินเห้า บอกว่าเขาจงใจทิ้งนางเอาไว้ ทำให้นางถูกพวกคนชั่วลักพาตัวไป ระหว่างที่ตำหนิอย่างเจ็บปวด นางก็พูดถึงฐานะของหยู่เหวินเห้ากับนาง
หยู่เหวินเห้าพูดจบ มองหยวนชิงหลิงด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ไม่เกี่ยวข้องกับข้าจริงๆนะ ใครจะไปรู้ว่าพวกนางจะถูกลักพาตัวไป ข้าคิดว่าตามข้าไม่ทัน พวกนางก็จะกลับกันไปเองได้ พวกนางโง่หรืออย่างไร แม้แต่ทางก็ไม่รู้ยังจะตามข้าอยู่ได้ ”
หลังจากหยวนชิงหลิงฟังแล้ว ก็รู้สึกหมดคำพูด ถามขึ้นว่า “ตอนที่พวกนางอยู่ข้างในนั้นคงไม่ได้ถูกปฏิบัติอย่างไม่ดีกระมัง คงไม่ถูกทำลายความบริสุทธิ์ของร่างกายใช่หรือไม่ ”
“ถูกตบตีไปหลายที เจ้าก็รู้ ปกติพวกนางนั้นหยิ่งยโส เพราะคิดว่าตัวเองฐานะสูงส่ง คิดว่าถ้าพูดสถานะของตนเองออกไปคนอื่นจะกลัวไม่กล้าทำอะไร ไหนเลยจะรู้ว่าเพื่อเงินแล้วแม้แต่ชีวิตก็ยอมแลก แต่ว่า คนอื่นก็ไม่ได้คิดว่าพวกนางเป็นคุณหนูที่อยู่ในลู่ในทาง คนอื่นติดตามนางเกือบครึ่งค่อนวันแล้ว เห็นพวกนางเดินตามผู้ชายอยู่ ก็คิดว่าเป็นพวกไร้เกียรติไม่มียางอาย”
หยู่เหวินเห้าพูดจบ ก็แอบมองนางแวบหนึ่ง พูดเพิ่มขึ้นอีกประโยคด้วยความปากดีว่า “ที่จริงคนอื่นคิดเช่นนี้ก็ถูกต้อง ใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงมองเขา “เช่นนั้นเกรงว่าเรื่องนี้คงแพร่สะพัดไปจนทั่วเมืองฮู่ยโจวแล้วกระมัง คนอื่นเขาว่าอย่างไรกันบ้าง”
หยู่เหวินเห้ากลืนน้ำลายลงคอ“บอกว่าอันธพาลกับรัชทายาทองค์ปัจจุบันแย่งชิงสาวงาม รัชทายาทยังพ่ายแพ้ต่ออันธพาลด้วย……”
หยวนชิงหลิงยื่นมือออกไปหยิกแก้มบนใบหน้าที่ร้ายกาจของเขา “ทำไมท่านถึงมีแต่คนที่ตัวเองไม่ชอบมาพัวพันกันนะ”
แม้ว่านี่จะไม่ใช่เรื่องดีอะไร แต่หยวนชิงหลิงก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้ ทำไมนางจึงไม่พบเข้าสักคนนะ
ไหนใครๆต่างก็บอกว่าผู้หญิงที่ทะลุมิติมานั้นต่างก็เนื้อหอมมากมิใช่หรือ ทำไมพอนางมาถึงที่นี่ ก็มีแต่ศัตรูเต็มไปหมด ไปไหนก็ถูกรังเกียจ
“ประมาณนั้น”ใบหน้าของหยู่เหวินเห้าเผยให้เห็นความน่าเกรงขามของรัชทายาท พูดอย่างจริงจังว่า “จวิ้นจู่องจิ้งนั้นต้องโทษข้าแน่ คงจะผลักไสโหรหมิ่นให้ข้ารับมาเป็นเหลียงหยวน เจ้าเป็นพระชายารัชทายาท ดูสิว่าจะจัดการอย่างไร ”
หยวนชิงหลิงยืนขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่ยุ่งเรื่องนี้ ท่านก็ปฏิเสธเองเถอะ ถ้าปฏิเสธไม่ได้ท่านก็รอเป็นเจ้าบ่าวได้เลย ส่วนข้าก็แสดงความยินดีด้วย”
หยู่เหวินเห้าแค้นใจจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก็ลุกขึ้นยืนตามและอุ้มตัวนางขึ้นเดินไปยังข้างเตียง โยนนางลงไปบนฟูกที่อ่อนนุ่ม ทับทาบลงไปกัดคางของนางหนึ่งที เอ่ยอย่างดุดันว่า “เจ้าเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วยหรือ”
หยวนชิงหลิงยิ้มจนตาหยีแทบลืมไม่ขึ้นแล้ว “โชคชะตาของท่านทำให้ต้องพบเจอกับนาง ยอมรับเถอะ แต่งกับนาง ให้นางเป็นเทพเฝ้าประตูให้ท่าน วันหน้าจะไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องท่านอีก”
“ยายหยวน”หยู่เหวินเห้าถลึงตาให้นาง “ข้าโมโหจริงๆแล้วนะ”
หยวนชิงหลิงกอดคอของเขาเอาไว้ ดูจริงจังขึ้นมา พูดว่า “ได้ ครั้งนี้ข้าจะช่วยท่านแก้ปัญหา แต่ให้จำไว้เป็นบทเรียนห้ามทำอีก ถ้าหากยังมีครั้งต่อไปละก็ นางมา ข้าไป พวกเราหย่ากัน ”
หยู่เหวินเห้าได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกไม่สบายใจ ร้องตะโกนว่า “ให้ตายข้าก็ไม่หย่า”
หยวนชิงหลิงจุ๊ปาก “กับข้านั้นรู้จักดุใส่ ถ้าจะดุเช่นนี้ทำไมไม่ไปทำกับจวิ้นจู่องจิ้งเล่า”
“นั่นทำไม่ได้ ข้ากลัวหญิงปากร้าย”หยู่เหวินเห้านึกถึงนิสัยใจคอของสองแม่ลูกจวิ้นจู่องจิ้งแล้วก็หัวใจกระตุก ถ้าหากไม่ใช่ญาติ แม้แต่ไปมาหาสู่ก็ไม่จำเป็น
หยวนชิงหลิงยิ้ม คิดถึงท่าทีดุร้ายของจวิ้นจู่องจิ้งที่เคยเห็นตอนอยู่ที่ตำหนักสู้ซิน ช่างน่ากลัวจริงๆ
เผชิญหน้าคนเช่นนี้ แสดงความอ่อนแอนั้นไร้ประโยชน์ จำเป็นต้องดุกว่านาง
หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตนเองที่เป็นนักวิจัยคนหนึ่ง คงไม่อาจจะดูดุกว่านางได้ แต่ว่า ในเมื่อภายหน้าต้องควบคุมดูแลตำหนักอันกว้างใหญ่ของรัชทายาทให้อยู่หมัด ยังต้องห้ามไม่ให้คนอื่นมาหมายปองจับจ้องคนเนื้อหอมในบ้านของนางอีก ฉะนั้น ถึงเวลาที่สมควรดุ ก็ต้องดุซะบ้าง ดีที่สุดคือทำครั้งเดียวให้สำเร็จ
เพื่อเรื่องนี้ วันรุ่งขึ้นนางก็ให้คนไปเชิญหรงเยว่มาตั้งแต่เช้า ขอคำแนะนำในการฝึกฝนวิชาอาละวาดหาเรื่องเสียหน่อย
พอหรงเยว่ได้ยินว่าเป็นเรื่องทะเลาะกันก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ยังบอกว่าจะช่วยออกหน้าไปทะเลาะกับจวิ้นจู่องจิ้งเอง แต่ว่าหยวนชิงหลิงปฏิเสธไป เพราะว่าเรื่องนี้ถ้ามีครั้งแรกต้องมีครั้งที่สอง เพื่อให้ชื่อเสียงด้านลบของนางขจรแพร่ไกลออกไป ทางที่ดีที่สุดคือให้นางออกหน้าเอง