ตอนที่ 90 มู่อวิ๋น
ณ จวนตระกูลฉิน หนึ่งคืนก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มต้น
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าพกโอสถพวกนี้ติดตัวเอาไว้นะ พวกมันน่าจะมีประโยชน์กับเจ้าตอนอยู่ในดินแดนต้องห้าม”
ฉินอี้เฟยนำกล่องใส่โอสถหลากหลายประเภทออกมาจากคลังส่วนตัวของเขา ก่อนจะส่งให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วที่กำลังยืนเบิกตากว้าง
“ถูกต้องแล้ว โอสถพวกนี้มีความสำคัญมาก พวกเจ้าต้องเก็บมันไว้ให้ดีล่ะ”
ผู้เฒ่าฉินเฟินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นสุข เมื่อเห็นฉินอี้เฟยเอาโอสถที่ตนเองสะสมไว้มามอบให้น้องสาว ผู้นำตระกูลฉินเองก็นำกล่องไม้และ**บจำนวนหนึ่งส่งมอบให้กับฉินอวี้โม่
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ สิ่งของพวกนี้เป็นอาวุธและอุปกรณ์ช่วยชีวิตที่พวกเราตระกูลฉินสั่งสมเอาไว้ ระดับของพวกมันไม่ใช่น้อย ๆ หากพกพาพวกมันติดตัวไว้ บางทีพวกมันอาจจะช่วยรักษาชีวิตของเจ้าในยามวิกฤตได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเปิดแต่ละกล่องออกดู นางพบอาวุธและอุปกรณ์ระดับวิญญาณมากมายหลายชนิด แต่สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ภายในกล่องเล็กใบหนึ่งมีผงสีขาวละเอียดลักษณะคล้ายแป้งบรรจุอยู่ ผงเหล่านี้มีคุณสมบัติในการทำให้ยอดฝีมือหลับหรือไม่รู้สึกตัวไปได้ชั่วขณะ แม้ว่าปริมาณของมันจะมีไม่มาก ทว่าท่านปู่ฉินเฟินก็ยังเตรียมไว้ให้นาง
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรับของเหล่านั้นมาอย่างซาบซึ้ง พวกนางกล่าวขอบคุณผู้เฒ่าฉินเฟินและคนอื่น ๆ เป็นการใหญ่
“เอาละ ตอนนี้พวกเจ้าสองคนก็รีบไปพักผ่อนเถอะ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าจะต้องผ่านการสอบคัดเลือกได้อย่างแน่นอน”
ฉินเฟินเอ่ยขึ้นมา เขาต้องการให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรีบนอนหลับพักผ่อนเพื่อจะได้สดชื่นและมีแรงในวันพรุ่งนี้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนจะเดินกลับไปยังเรือนพักของตัวเอง
เมื่อกลับมาถึงเรือนพักและก้าวเข้าไปในห้องส่วนตัว คุณหนูคนงามแห่งตระกูลฉินก็พบว่ามีบุรุษสูงใหญ่ยืนรออยู่ในนั้นก่อนแล้ว
“โม่เอ๋อร์ ข้าคงไปแดนดินต้องห้ามกับเจ้าในวันพรุ่งนี้ไม่ได้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ก้าวเท้าเข้ามาในห้อง หานโม่ฉือก็เดินเข้าไปหาพลางคว้าจับเอามือบางเข้ามากอบกุมไว้
“ข้ารู้ว่าเจ้าสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแล้ว มันคงเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะเข้าร่วมการสอบคัดเลือกกับข้าอีก”
ฉินอวี้โม่ตอบด้วยรอยยิ้มพลางชี้ชวนหานโม่ฉือให้นั่งลงที่โต๊ะ
“โม่เอ๋อร์ เก็บนี่ติดตัวไว้”
หานโม่ฉือล้วงเอาบางอย่างที่มีรูปร่างเป็นก้อนกลม ๆ ขนาดเล็กส่องแสงเป็นประกายแวววาวออกมาก่อนจะส่งให้ฉินอวี้โม่
“หากมีเรื่องอันตรายที่เจ้าไม่สามารถรับมือได้ในดินแดนต้องห้าม ขอให้เจ้าบดขยี้สิ่งนี้ มันจะทำให้ข้ารับรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอยู่ในอันตราย และข้าจะสามารถฝ่าผ่านเขตอาคมเข้าไปช่วยเจ้าได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเก็บมันไว้
“ในช่วงที่อยู่ในโรงเรียนราชสำนัก ข้าเคยลอบเข้าไปฝึกฝนในดินแดนต้องห้ามอยู่ช่วงหนึ่ง ที่นั่นเป็นสถานที่ที่อันตรายแต่ก็เป็นสถานที่ที่เจ้าจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ข้ารู้ดีว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด หากเป็นเจ้าจะต้องคว้าโอกาสที่อยู่ภายในนั้นมาได้แน่”
ในสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนราชสำนัก หานโม่ฉือเคยเข้าไปในดินแดนต้องห้ามอยู่ครั้งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นไม่ธรรมดาและเต็มไปด้วยอันตราย ทว่าภายในก็มีวาสนาและโอกาสมากมายให้ได้ไขว่คว้าอย่างไร้ขีดจำกัด ขอเพียงค้นหาและคว้าโอกาสเหล่านั้นมาได้ก็จะทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มพูนขึ้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อมันเป็นถึงสถานที่ต้องห้ามที่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงล้ำเข้าไป ฉะนั้นมันก็คงจะไม่ธรรมดาอย่างที่ว่า ในตอนนี้นางเองก็ติดอยู่ในช่วงคอขวดของระดับพลัง การได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามครั้งนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดี
“แต่ไม่ว่าจะยังไง การทดสอบในปีนี้ก็อันตรายมาก ไม่รู้ว่าเจ้าจะถูกส่งไปที่ใดในดินแดนต้องห้าม ในตอนนั้นทุกอย่างก็คงจะขึ้นอยู่กับพลังของเจ้าแล้ว”
หานโม่ฉือกล่าว ท่าทางของเขาดูกังวลใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรู้ดีว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งเพียงใดและคงไม่ถูกผู้ใดรังแกได้โดยง่าย ทว่าเขาก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้อยู่ดี
“เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะต้องกลับออกมาอย่างปลอดภัยและข้าจะต้องได้เป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนักอย่างแน่นอน”
ฉินอวี้โม่บีบมือของหานโม่ฉือแน่นขึ้น นางกล่าวยืนยันด้วยน้ำเสียงมาดมั่นเพื่อให้เขาอุ่นใจและคลายจากความกังวล
เวลาที่จะต้องอยู่ในดินแดนต้องห้ามคือหนึ่งเดือนเต็ม ช่วงระยะเวลาเนิ่นนานขนาดนี้ในดินแดนอันแสนลึกลับและน่าหวาดหวั่นนั้นนับเป็นเรื่องที่อันตรายและท้าทายมาก แน่นอนว่าแม้แต่บุรุษน้ำแข็งเองก็ยังอดเป็นห่วงสตรีผู้เป็นที่รักของเขาไม่ได้
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีประสบการณ์ในการอยู่ในป่าแสงจันทร์มานานกว่าครึ่งปี แต่กับสถานที่อย่างดินแดนต้องห้ามนั้นถือว่าแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง
ในดินแดนต้องห้ามมีอันตรายสูงกว่าป่าแสงจันทร์มาก แต่ในทางกลับกันที่นั่นก็มีทั้งวาสนาและโอกาสที่มากกว่าเช่นกัน
“ไม่ว่ายังไง หากมีอันตรายเจ้าต้องบีบสิ่งนั้นให้แตก เจ้าเข้าใจใช่ไหม ?”
หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่และกล่าวย้ำอีกครั้ง
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น
…ราตรีกาลเคลื่อนพ้นผ่านผัน สาวหนุ่มแนบชิดกันเคียงข้าง อุ่นอ้อมอก-กก-กอดมิอ้างว้าง นิทรารมณ์สุขสร้าง ข้างคู่ เคียงใจ…
เป็นไปดังที่คาดเอาไว้ หานโม่ฉือหายตัวไปก่อนที่ฉินอวี้โม่จะตื่นในเช้าวันรุ่งขึ้น
เสี่ยวโร่วเปิดประตูเข้ามาและเห็นฉินอวี้โม่กำลังนั่งครุ่นคิดบางอย่างอยู่
“คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”
สาวใช้น้อยยกอ่างใส่น้ำสำหรับล้างหน้ามาให้ก่อนจะเอ่ยปากถามคุณหนูของนาง
“ข้ากำลังคิดอยู่ว่าหลังจากที่เราเข้าไปในดินแดนต้องห้ามแล้ว เจ้ายังจะมาปรนนิบัติข้าอยู่รึเปล่า ?”
แท้จริงแล้วฉินอวี้โม่กำลังกังวลใจอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับความปลอดภัยของเหล่าสหายโดยเฉพาะสาวน้อยเสี่ยวโร่ว หากไม่มีนาง แล้วสาวใช้น้อยจะสามารถกลับออกมาจากที่นั่นได้อย่างปลอดภัยหรือไม่
ทว่านางก็ไม่อยากทำให้เสี่ยวโร่วต้องคิดมากหรือหวาดกลัวในเวลาที่การคัดเลือกใกล้จะเริ่มขึ้นเช่นนี้ คุณหนูคนงามจึงกล่าววาจาหยอกล้อออกไปพลางเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของเด็กช่างถาม
“โธ่คุณหนูท่านล้อข้าเล่นแล้ว”
เสี่ยวโร่วเองก็ทราบดีว่าคุณหนูพยายามจะทำให้นางไม่คิดมากหรือเป็นกังวล
อันที่จริงในวันนี้ฉินอวี้โม่อยากจะสวมใส่ชุดบุรุษเพราะช่วยให้เคลื่อนไหวได้สะดวกและคล่องตัวมากกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดทบทวนอยู่หลายครั้งและคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลักแล้ว นางก็ตัดสินใจเลือกใส่ชุดสีขาวที่หานโม่ฉือให้มาเพียงแต่ในครั้งนี้ไม่ได้สวมใส่แบบเต็มยศเพื่อความคล่องแคล่ว ซึ่งด้วยเหตุนี้เองจึงกลายเป็นว่าสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่ตระกูลฉินต้องสวมใส่ชุดสตรีไปเข้าร่วมการสอบอย่างไม่มีทางเลือก
“เอ… คุณหนู ชุดนั่นมันคุ้น ๆ นะเจ้าคะ”
เสี่ยวโร่วถามยิ้ม ๆ และในตอนนั้นเองสาวน้อยก็มองเห็นลูกกลม ๆ ที่ส่องแสงแวววาวอยู่ในมือของฉินอวี้โม่
“ว้าวก้อนกลม ๆ นี่สวยจังเลย” เสี่ยวโร่วอุทานตาโต ก่อนจะถามต่อด้วยความตื่นเต้น “ข้าเดาว่าฮองเฮาคงจะเป็นผู้มอบมันให้คุณหนูแน่เลย ใช่ไหมเจ้าคะ”
“สาวน้อย ถ้าหากเจ้าสอดรู้มากไประวังจะไม่มีหนุ่มมาขอแต่งงานเอาได้นะ”
เมื่อถูกเสี่ยวโร่วถามในเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ก็รีบเฉไฉไม่ตอบคำถาม คุณหนูผู้มีความลับแกล้งดุสาวใช้ผู้แก่นเซี้ยวเพื่อสยบอาการสอดรู้ของนาง
“ไม่ใช่ปัญหาเลยเจ้าค่ะ ถ้าข้าไม่ได้แต่งงานก็ดีเหมือนกัน ข้าจะได้อยู่เคียงข้างคุณหนูตลอดไป”
เสี่ยวโร่วยิ้มกว้างและตอบกลับไปเสียงสดใส
หลังจากเตรียมตัวกันเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็บอกลาท่านปู่ฉินเฟินและฉินอี้เฟยก่อนจะออกเดินทางไปยังที่ตั้งของโรงเรียนราชสำนัก
เดิมทีฉินอี้เฟยอยากจะตามไปส่งสาวน้อยทั้งสอง ทว่าก็ถูกฉินอวี้โม่ปฏิเสธเพราะนางและเหล่าสหายทั้งหลายได้นัดหมายรวมตัวกันที่จุดหนึ่งเพื่อจะได้เดินทางออกไปนอกนครไป๋อวิ๋นพร้อม ๆ กัน
โรงเรียนราชสำนักแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นตั้งอยู่ส่วนนอกของนครไป๋อวิ๋นในจุดที่ห่างจากตัวเมืองออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ สถาบันการศึกษาแห่งนี้มีอาณาเขตที่เรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล ถ้าหากลองเปรียบเทียบกันแล้วจะพบว่าพื้นที่ของโรงเรียนราชสำนักนั้นมีขนาดเทียบเท่ากับพื้นที่ถึงหนึ่งในสามของตัวนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด ซึ่งนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้มีความยิ่งใหญ่อลังการมากเพียงใด
โรงเรียนราชสำนักนี้มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งดินแดนและยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีผู้ใดกล้ามาล่วงล้ำหรือกระทำการหยามเหยียด
ไม่ต้องกล่าวถึงท่านอธิการของโรงเรียนราชสำนักผู้ที่มีระดับพลังสูงที่สุดในสถาบันและมีความแข็งแกร่งในระดับที่ยากจะจินตนาการได้ เพราะเพียงแค่นักเรียนที่ศึกษาอยู่ในโรงเรียนราชสำนักก็ไม่มีผู้ใดกล้าทำให้ขุ่นเคืองใจแล้ว
แม้ว่าตัวโรงเรียนราชสำนักเองจะไม่ใช่ขุมกำลังที่ทรงอำนาจที่สุด ทว่าเหล่าศิษย์ของโรงเรียนนี้ต่างก็เป็นกำลังสำคัญในขุมกำลังมหาอำนาจ เป็นทายาทแห่งตระกูลทรงอิทธิพลและบ้างก็เป็นถึงว่าที่ผู้นำแห่งขุมกำลังยิ่งใหญ่ในแผ่นดินนี้แทบทั้งสิ้น ไม่เพียงแต่จักรวรรดิไป๋อวิ๋นเท่านั้น แม้แต่ในจักรวรรดิชิงเฟิงก็มีนักเรียนที่จบจากโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้เป็นจำนวนมาก
“เมื่อพวกเราเข้าไปในดินแดนต้องห้ามแล้ว ไม่ว่าพวกเราจะถูกส่งไปที่ใดให้พวกเรามุ่งไปยังใจกลางและมารวมตัวกัน หากทำเช่นนั้นไม่นานพวกเราต้องได้พบกันแน่”
ฉินอวี้โม่ชี้แจงแผนการให้แก่เหล่าสหาย
“หากเจอคนของอารามให้เข้าไปเล่นงานทันทีและชิงป้ายของพวกเขามาให้ได้ แต่ถ้าประเมินแล้วอีกฝ่ายแข็งแกร่งเกินไปให้พยายามหลีกเลี่ยง หากเป็นขุมกำลังอื่นก็ใช้หลักการเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้ทุกฝ่ายจะเป็นพันธมิตรกันชั่วคราว ทว่าภาคีนี้ก็ใช้ได้เฉพาะขุมกำลังที่อยู่ในนครไป๋อวิ๋นเท่านั้นไม่ได้ครอบคลุมถึงขุมกำลังอื่นด้วย แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะเป็นคนจากไป๋อวิ๋นเองก็ยังไว้ใจไม่ได้เสียทีเดียว จำไว้ว่าจงอย่าประมาท”
กลุ่ม ‘สหายของฉินอวี้โม่’ ซึ่งประกอบไปด้วย เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง ลั่วอวิ๋น และเสี่ยวโร่วพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนไม่มากแต่ทุกคนก็เข้าใจในหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี
“หากเจอกับสหายของเราแล้วโปรดอย่าแยกกันอีก อย่างน้อยมีสองคนก็ยังดีกว่าหนึ่ง พวกเราจะต้องพิชิตการทดสอบในครั้งนี้และเข้าไปเรียนอย่างพร้อมหน้ากันให้ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง !”
ระหว่างที่ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาปลุกขวัญกำลังใจอยู่นั้น สมาชิกในกลุ่ม ‘สหายของฉินอวี้โม่’ ทุกคนก็ตั้งใจฟังกันอย่างมาก เมื่อเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจของสหายทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
ความตั้งใจและเป้าหมายสูงสุดของพวกเขาคือพยายามให้ทุกคนในกลุ่มสอบผ่านไปได้อย่างพร้อมหน้ากัน
เป็นเพราะฉีฉีอายุยังน้อยและยังเป็นเชื้อพระวงศ์ทำให้นางเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักได้ทันทีโดยไม่ต้องเข้าร่วมการคัดเลือกในวันนี้
ในบรรดากลุ่มสหายขนาดเล็กกลุ่มนี้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดคือลั่วอวิ๋นจากเมืองเยว่กวาง
เมื่อได้ทราบถึงความแข็งแกร่งของผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ลั่วอวิ๋นก็รู้สึกกดดันอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ไม่เสียขวัญกำลังใจและความกล้าหาญไปง่าย ๆ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะด้อยที่สุดในกลุ่ม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะหมดโอกาส ในฐานะบุตรของเจ้าเมืองเขาจะไม่ยอมให้บิดาของเขาต้องขายหน้า
ถัดจากลั่วอวิ๋นผู้ที่มีความแข็งแกร่งน้อยที่สุดในลำดับถัดขึ้นมาก็คือเสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วเพิ่งจะทะลวงผ่านขอบเขตนภมายามาได้ไม่นานทำให้รากฐานยังไม่มั่นคงบวกกับประสบการณ์ที่ยังน้อยทำให้นางด้อยกว่ายอดฝีมือขอบเขตนภมายาคนอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม สาวน้อยก็ยังมีอสูรเทวะราชันเป็นผู้พิทักษ์อยู่จึงไม่น่าเป็นกังวลมาก
“อวี้โม่ เจ้าวางใจเถอะ อย่างไรพวกเราทุกคนก็สอบผ่านอย่างแน่นอน !”
สมาชิกกลุ่มผู้ที่มองโลกในแง่ดีที่สุดและดูจะไม่กดดันอะไรเลยก็คือเยว่ชิงเฉิง คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมกล่าวขึ้นมาอย่างมั่นอกมั่นใจ ท่าทางสบาย ๆ ของนางทำให้เหล่าสหายทั้งหมดต่างก็ยิ้มออกมา
พวกเขาสนทนาเรื่องสัพเพเหระกันเพื่อคลายเครียดจนกระทั่งเดินทางถึงประตูทางเข้าโรงเรียนราชสำนัก
ในตอนนี้คนจำนวนมากต่างก็เดินทางมาถึงโรงเรียนราชสำนักกันแล้ว และนั่นก็รวมถึงหวังรั่วอีและคณะด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างคนในกลุ่มของฉินอวี้โม่กับหลิวหว่านเยียนนั้นถือว่าย่ำแย่ ฉะนั้นเมื่อได้เห็นหน้ากันจึงไม่มีฝ่ายใดหรือผู้ใดคิดจะเข้าไปทักทาย
ระหว่างนั้นสองในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน หลานสาวของท่านอ๋องหลิง–หลิงซวง และคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ–เหย่าเซียนเอ๋อร์ ต่างก็ถือโอกาสในช่วงเวลานี้ผลัดกันเข้ามาทักทายฉินอวี้โม่และคณะ
เนื่องจากหลิงซวงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับหลิงเฟิงและฉีอวี้ทำให้บุคคลสูงศักดิ์ทั้งสามเดินทางมาพร้อมกัน พวกเขาทักทายกลุ่มของฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและเป็นมิตร
“ข้าเรียกเจ้าว่าอวี้โม่ได้หรือไม่ ? ใบหน้าของเจ้าคล้ายพี่ชายของเจ้ามากจริง ๆ”
เทพธิดาโอสถ คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ–เหย่าเซียนเอ๋อร์ ดูจะเป็นสตรีที่ร่าเริงแจ่มใส มีอัธยาศัยไมตรีที่ดี นางดูสูงส่งทว่าก็ดูเข้าถึงได้ง่าย
ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่เองก็เคยได้ยินฉินอี้เฟยกล่าวถึงเทพธิดาโอสถผู้นี้อยู่บ่อยครั้ง เขากล่าวว่าหากมีโอกาสให้ผูกสัมพันธ์เป็นสหายกับนางไว้
“แน่นอน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “พี่ใหญ่ของข้ากล่าวถึงคุณหนูเหย่าเซียนเอ๋อร์แห่งสมาคมโอสถอยู่บ่อย ๆ แม่นางเป็นอย่างที่พี่ใหญ่กล่าวไว้ไม่มีผิด”
“โอ้ ! งั้นหรือ ? แต่ว่าเจ้าเรียกข้าว่าเซียนเอ๋อร์ก็พอ”
เทพธิดาโอสถยิ้มหวานหยด นางได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าวกับสหายและรู้ว่าพวกเขานัดรวมตัวกัน ณ จุดกึ่งกลางของดินแดนต้องห้ามซึ่งนางเองก็มีความคิดแบบเดียวกัน ดังนั้นจึงเข้ามาทักทายพวกเขาเพื่อผูกไมตรีไว้ก่อน
ในตอนนี้ ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ประตูทางเข้าโรงเรียนราชสำนัก เป็นเพราะยังไม่มีคำสั่งเรียกให้เข้าไป พวกเขาจึงทำได้เพียงรอคอยอยู่ตรงนี้เท่านั้น
หลังจากเวลาผ่านไปเกือบหนึ่งก้านธูป ประตูที่ปิดสนิทของโรงเรียนราชสำนักก็เปิดขึ้น บุคคลสามท่านที่ดูเหมือนจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการสอบคัดเลือกครั้งนี้ก้าวเดินออกมา
ผู้ที่เดินนำมาเป็นบุรุษหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าของเขาดูอ่อนเยาว์ราวกับมีอายุไม่เกินยี่สิบปี เขาสวมชุดสีน้ำเงินเข้มที่เข้ากันกับผมสลวยสีน้ำเงินคล้ายสีของมหาสมุทร เส้นผมของคนผู้นี้ดูโดดเด่นและงดงามเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีผู้ใดคิดว่าบุรุษผู้นั้นคือคนรุ่นเยาว์จริง ๆ
กล่าวกันว่าอธิการแห่งโรงเรียนราชสำนัก–มู่อวิ๋น นั้น มีเส้นผมสีน้ำเงินที่ดูงดงามตั้งแต่เกิด แม้ว่าเขาจะอยู่มานานหลายทศวรรษแต่รูปลักษณ์กลับยังดูอ่อนวัยไม่เปลี่ยนแปลง อีกทั้งระดับพลังของบุรุษผู้มีตำแหน่งสูงสุดในโรงเรียนราชสำนักผู้นี้ก็น่าสะพรึงกลัวอย่างยากจะหยั่งถึง และยังไม่มีผู้ใดทราบถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา
“หึ ๆ ๆ พวกหนูน้อยทั้งหลายมากันแต่เช้าเลยนะ”
เมื่อมองเห็นเหล่าผู้ที่มารวมตัวกันเพื่อเข้ารับการสอบคัดเลือก มู่อวิ๋นก็แย้มรอยยิ้มกว้าง
“ข้ามู่อวิ๋น เป็นอธิการของโรงเรียนราชสำนัก ส่วนสองท่านนี้คือรองอธิการของโรงเรียน หากพวกเจ้าไม่มีคำถามอะไรก็รับป้ายของตัวเองและเตรียมตัวเข้าไปยังดินแดนต้องห้ามได้ !”
ทันทีที่เสียงนั้นสิ้นสุดลง ฉินอวี้โม่ก็พบว่ามีสิ่งของบางอย่างลอยเข้ามาหาและหยุดลงตรงหน้า ซึ่งเมื่อมองดูอย่างชัดเจนแล้วนางก็พบว่ามันเป็นป้ายแผ่นหนึ่ง ทุกคนที่มาเข้าร่วมการทดสอบต่างก็ได้รับแผ่นป้ายนั้นด้วยเช่นกัน
“หยดเลือดลงบนแผ่นป้ายเพื่ออ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของ ป้ายแผ่นนั้นพวกเจ้าต้องรักษาไว้เป็นอย่างดี หากใครสูญเสียมันไปก็จะถือว่าสอบตกทันที”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่อวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็กัดนิ้วของตัวเองอย่างไม่รอช้าและหยดเลือดลงไปบนป้ายตรงหน้า
ป้ายแผ่นนั้นเปล่งแสงสว่างวาบออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเอง อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พบว่าบนแผ่นป้ายมีชื่อของนางปรากฏอยู่เรียบร้อยแล้ว
“เมื่อเข้าไปแล้ว ขอให้ทุกคนใช้ความระมัดระวัง หากพบเจออันตรายที่รับมือไม่ได้พวกเจ้าสามารถทำลายแผ่นป้ายของตัวเองแล้วทางโรงเรียนจะส่งตัวพวกเจ้ากลับออกมาทันทีเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เมื่อป้ายถูกทำลายนั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าสอบตก เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนพร้อมกันแล้ว พวกเราขอเริ่มการทดสอบ ณ บัดนี้ !”
มู่อวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนจะโบกมือไปในอากาศ ม่านแสงกึ่งโปร่งใสปรากฏขึ้นเหนือฝูงชนก่อนจะค่อย ๆ ลดระดับลงมาปกคลุมทุกคนเอาไว้ เพียงชั่วพริบตาถัดจากนั้น ผู้เข้าร่วมการทดสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ทั้งหมดก็หายตัวไป
.
.
ตอนที่ 89 การสอบคัดเลือก
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ากลับมาแล้วหรือ ?”
ฉินอี้เฟยเห็นฉินอวี้โม่กลับมาช้า ด้วยความเป็นห่วงเขาจึงมารออยู่ที่เรือนพักของนาง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า คุณหนูตระกูลฉินได้ยินเสียงน้ำเสียงที่ห่วงกังวลของพี่ชายได้อย่างชัดเจน นางจึงส่งยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน
หลังจากเข้ามาถึงห้องด้านในของเรือนพักและนั่งลงข้างกายฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยถาม
เมื่อครู่นางเพิ่งจะบอกให้เสี่ยวโร่วเข้าไปพักผ่อน เรื่องที่นางจะคุยกับพี่ชายในวันนี้นางไม่อยากให้เสี่ยวโร่วต้องรับรู้เพราะกลัวว่าสาวน้อยอาจจะรับไม่ได้
“พี่ใหญ่ ท่านมีเรื่องปิดบังข้าอยู่ใช่หรือไม่ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของน้องสาว ฉินอี้เฟยก็มีท่าทีตกตะลึงไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าอยากจะรู้เรื่องอะไรหรือ ?”
จากน้ำเสียงของฉินอวี้โม่ เขาสัมผัสได้ว่านางจะต้องรู้เรื่องราวบางอย่างมาเป็นแน่
“พี่ใหญ่ คนที่ชุบเลี้ยงและดูแลพวกเรามาไม่ใช่ท่านแม่ของเราใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่อ้อมค้อมให้เสียเวลา นางเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“เจ้ารู้ด้วยหรือ ?”
เมื่อได้ฟังคำถามที่เอ่ยออกมาอย่างไม่ลังเลของฉินอวี้โม่ ฉินอี้เฟยก็อดคิดไม่ได้ว่าน้องสาวผู้นี้ของเขาคงจะโตขึ้นแล้วจริง ๆ สตรีตรงหน้าเขาไม่ใช่น้องสาวตัวน้อยที่รอคอยให้เขาปกป้องอีกต่อไป บางทีตอนนี้คงถึงเวลาที่ต้องบอกให้นางรู้แล้ว
ด้วยคำถามนั้นของฉินอี้เฟยบวกรวมกับท่าทีของเขา ฉินอวี้โม่ก็รู้ในทันทีว่าการคาดเดาของนางถูกต้อง พี่ใหญ่ของนางจะต้องรู้บางสิ่งอย่างแน่นอน
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เมืองหลิงซีคนนั้นไม่ใช่แม่จริง ๆ ของเรา แต่นางเป็นหญิงสาวที่เคยถูกท่านพ่อและท่านแม่ช่วยชีวิตไว้โดยบังเอิญ”
ฉินอี้เฟยกล่าวถึงสิ่งที่เขารู้มาออกไปตรง ๆ
ในตอนนั้นฉินอี้เฟยยังเป็นเด็กน้อย
หลังจากฉินเทียนตัดสินใจไปตั้งรกรากอยู่ในเมืองหลิงซี เขาก็พาอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอี้เฟย และฉินอวี้โม่ออกเดินทางโดยไม่ได้ให้บ่าวรับใช้หรือผู้คุ้มกันติดตามมาด้วย ในระหว่างทางไปยังเมืองหลิงซีนั้น ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ช่วยเหลือสตรีผู้หนึ่งนามว่า–หลี่ก่วน เอาไว้ หลี่ก่วนผู้นี้ซาบซึ้งในน้ำใจของสองสามีภรรยาจึงขออยู่ดูแลและติดตามรับใช้พวกเขา
หลังจากที่ครอบครัวของฉินเทียนพร้อมด้วยหลี่ก่วนเดินทางมาถึงเมืองหลิงซี ในช่วงแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างชื่นมื่นและเป็นสุข
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เดิมทีลงทุนเดินทางมาเมืองหลิงซีเพื่อหลบหนีคนกลุ่มหนึ่งกลับต้องพบเจอกับกลุ่มคนลึกลับอีกสองกลุ่มที่บุกมาโจมตีพวกเขาถึงจวนในเมืองหลิงซี
ทว่าดูเหมือนกลุ่มคนปริศนาสองกลุ่มนั้นจะไม่ได้มีจุดประสงค์ที่ตรงกันเพราะทั้งสองเปิดศึกกันอย่างดุเดือดและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ได้หายตัวไปในตอนนั้น
อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนนั้นเป็นคนฉลาดหลักแหลม แม้คนร้ายเหล่านั้นจะต่อสู้กันให้เห็นแต่เพราะภรรยาหายตัวไปเขาจึงเกรงว่าคนสองกลุ่มนี้อาจจะสมรู้ร่วมคิดกันหรือไม่ก็มีเบื้องลึกบางอย่าง
เพื่อความไม่ประมาท ฉินเทียนจึงจัดแจงสั่งการให้หลี่ก่วนแสร้งปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและกลายเป็นมารดาของฉินอวี้โม่กับฉินอี้เฟย
หลี่ก่วนยอมตกลงอย่างไม่ลังเลเพราะทั้งฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่างก็เป็นผู้มีพระคุณที่นางเป็นหนี้ชีวิต
ไม่นานหลังจากที่หลี่ก่วนแกล้งปลอมตัวเป็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มีคนอีกกลุ่มที่ไม่ทราบว่าใช่พวกเดียวกันกับสองกลุ่มแรกหรือไม่ลอบติดตามและซุ่มทำร้ายพวกเขาในขณะที่อยู่นอกจวน
ฉินเทียนใช้ประโยชน์จากการปรากฏตัวของกลุ่มคนลึกลับในครั้งนี้เพื่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
หลังจากนั้นไม่นานฉินเทียนตัวปลอมก็ปรากฏตัวขึ้นที่จวนตระกูลฉินในเมืองหลิงซี
ภายหลังเมื่อหลี่ก่วนสืบจนแน่ใจอย่างกระจ่างแจ้งว่าฉินเทียนที่ปรากฏตัวขึ้นเป็นฉินเทียนตัวปลอม นางก็ได้รับการติดต่อจากฉินเทียนตัวจริงอยู่ครั้งหนึ่งและเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ในตอนนั้น ฉินเทียนเพียงส่งข้อความสั้น ๆ ฝากฝังให้หลี่ก่วนคอยดูแลบุตรชายหญิงทั้งสองของตนและบอกว่าในเวลานั้นเขากำลังตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในความมืด คาดว่าฉินเทียนคงจะพยายามสืบหาเบาะแสของคนปริศนาทั้งสองกลุ่มอย่างลับ ๆ ทว่าตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดทราบอีกเลยว่าฉินเทียนตัวจริงอยู่ที่ไหนและกำลังทำสิ่งใด
ในตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมานานมากแล้ว
ในหลายปีที่ผ่านมา หลี่ก่วนทำหน้าที่แม่ให้กับฉินอวี้โม่อย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง นางรู้ว่าฉินเทียนที่เข้ามาภายหลังไม่ใช่ฉินเทียนตัวจริง ทว่านางก็จงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้เพื่อล้วงเอาข้อมูลของอีกฝ่าย
และนั่นเป็นทั้งหมดที่ฉินอี้เฟยรู้
ฉินอวี้โม่รับฟังและใช้สมองวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่าทั้งบิดาและมารดาของนางต่างก็ไม่ทราบว่าอีกฝ่ายอยู่ที่ใด และเหมือนว่าขุมกำลังปริศนาที่ทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปกับขุมกำลังที่เข้ามาโจมตีในภายหลังจนทำให้ฉินเทียนตัวจริงหายไปจะไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็คาดว่ากลุ่มที่มาทีหลังนั้นน่าจะมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่กายเทพมายาของนาง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ ท่านพ่อและท่านแม่ไม่ใช่คนธรรมดา แม้ว่าเราจะไม่ทราบข่าวคราวของพวกเขาเลย แต่ข้าก็เชื่อว่าพวกเขาจะต้องปลอดภัย”
ฉินอี้เฟยลูบหลังมือบางของผู้เป็นน้องสาว เขาไม่อยากให้นางเป็นกังวลมากจนเกินไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็เชื่อมั่นในตัวบิดาและมารดา
ฟังจากที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามา อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมารดาของนางเป็นสตรีร่างบางรูปโฉมงดงามพรสวรรค์สูงส่ง และจากการบอกเล่าของพี่ชาย นางก็ยังทราบว่าบิดาของนางเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ทั้งสองคนคงไม่เสียท่าให้ศัตรูได้ง่าย ๆ อย่างแน่นอน
“พี่ใหญ่ ท่านรู้ตัวตนของท่านแม่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่มองฉินอี้เฟย ก่อนกลับมาที่จวนนางได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับมารดามาจากฮองเฮาเหวินหย่า นางไม่แน่ใจว่าพี่ชายของนางจะทราบเรื่องราวนี้หรือไม่
“ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือท่านแม่เป็นคนของนครเมฆา ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกจากนั้นข้าไม่รู้”
ในครั้งนี้ฉินอี้เฟยทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจอีกครั้ง …‘นี่เขารู้แม้กระทั่งว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นคนจากนครเมฆาเชียวหรือ ?’
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้ารู้ตัวตนของท่านแม่อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ เขาเองก็สงสัยอยู่ว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ถึงได้ทราบว่าสตรีที่เลี้ยงดูพวกเขามาไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงให้ฉินอี้เฟยฟัง
เมื่อฟังจบฉินอี้เฟยก็พยักหน้า ฮองเฮาเหวินหย่าเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งนครเมฆา เรื่องนี้คนใหญ่คนโตและบุคคลสำคัญของนครไป๋อวิ๋นต่างก็ทราบกันดี ฉินอี้เฟยเองก็เคยคิดจะเข้าไปสอบถามเรื่องนี้กับฮองเฮาแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่เช่นกัน ทว่าเมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็เลือกที่จะไม่ทำเพราะเขาไม่แน่ใจว่าเหวินหย่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูของมารดากันแน่ หากพลาดพลั้งไปเขาอาจจะเป็นผู้นำพาหายนะมาสู่ครอบครัวหรือทั้งตระกูล
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าเจ้าพบคนที่เจ้ายินดีจะอยู่เคียงคู่แล้วอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่ฉินเฟินเล่าให้ฟัง ฉินอี้เฟยก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ใบหน้านวลของนางขึ้นสีแดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย
“หานโม่ฉือผู้นั้นดูน่าจะเป็นสุภาพบุรุษ ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าทั้งสองอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
ฉินอี้เฟยพยักหน้า แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยทราบเรื่องราวเกี่ยวกับบุรุษแห่งตระกูลลับผู้นั้นสักเท่าไหร่ ทว่าเขาก็ยังรู้สึกโล่งอก เท่าที่เขาทราบมาคือคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก อย่างน้อยก็คงจะดูแลเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของเขาได้และจากคำบอกเล่าของท่านอาและท่านปู่ เขารู้สึกว่าทั้งคู่น่าจะอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุข
“แต่อย่างไรก็เถอะ ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ อย่างน้อย ๆ เรื่องเช่นนี้เจ้าก็น่าจะบอกให้ข้ารู้ก่อน อย่าให้ข้าต้องรู้เอาเองจากวาจาของผู้อื่นเช่นนี้สิ”
ฉินอี้เฟยทอแววตาผิดหวังเล็กน้อยเพราะเขาเป็นถึงพี่ชายแท้ ๆ ของฉินอวี้โม่ ทว่าเขากลับแทบจะรู้เป็นคนสุดท้ายเลยก็ว่าได้
“ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มตาใสใส่พี่ชายของนางอย่างออดอ้อน อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูมองดูฉินอี้เฟยอย่างรักใคร่ ตอนนี้ในหัวใจของนางรู้สึกเป็นสุขมาก
…ในชีวิตก่อน เธอไม่เคยมีญาติ เพื่อนสนิทก็แทบจะไม่มี แต่ในชีวิตนี้เธอได้พี่ชายที่รักเธอมาก อีกทั้งยังได้ปู่และญาติผู้ใหญ่มากมายที่น่านับถือ ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าหัวใจของเธอกำลังถูกเติมเต็ม เวลานี้อดีตสาวนักฆ่ารู้สึกมีความสุขกว่าชีวิตในศตวรรษที่ 21 อันเดียวดายของเธอมากมายเหลือเกิน…
หลังจากนั้นต่อมาอีกหลายวัน ฉินอวี้โม่ก็ดำเนินชีวิตต่อไปในรูปแบบเดิม
ในช่วงเช้าถึงบ่ายนางไปที่สมาคมช่างหลอมเพื่อเรียนรู้ทักษะการหลอม แล้วช่วงเย็นนางก็กลับมาฝึกฝนอย่างเงียบ ๆ ภายในตระกูล ในช่วงเวลานี้พลังของนางคล้ายกับติดอยู่ในช่วงคอขวด การฝึกยุทธ์ก้าวหน้าได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นทว่าในด้านทักษะการหลอมกลับพัฒนารุดหน้าไปได้มากอย่างน่าพึงพอใจ
หลังจากความล้มเหลวทั้งสิบเก้าครั้ง ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็สร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณได้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาทั่วไป ทว่าเรื่องนี้ก็ทำให้ทุกคนในสมาคมประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง
ต้องทราบก่อนว่าเยว่ชิงเฉิงต้องล้มเหลวมากกว่าร้อยครั้งก่อนจะสร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาทั่วไปได้สำเร็จ หรือแม้แต่ผู้ที่มีพรสวรรค์ในระดับหาได้ยากในแผ่นดินอย่างปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ยังต้องพยายามถึงยี่สิบห้าครั้งจึงจะหลอมสิ่งหลอมระดับวิญญาณชิ้นแรกได้ ทว่าเวลานี้คุณหนูตระกูลฉินผู้มีอายุเพียงสิบหกปีกลับประสบความสำเร็จก่อนปรมาจารย์ช่างหลอมผู้มีฝีมือสูงส่งถึงหกครั้ง นั่นจึงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์
ยิ่งกว่านั้น คุณหนูตระกูลฉินผู้นี้ก็เพิ่งจะเข้ามาในวงการช่างหลอมได้เพียงแค่เดือนเดียว แต่กลับสามารถสร้างสิ่งหลอมระดับวิญญาณขั้นธรรมดาและถือได้ว่ากลายเป็นช่างหลอมในระดับ ‘ขั้นต้น’ ไปได้แล้ว นางจึงนับเป็นระดับสุดยอดอัจฉริยะที่น่าอัศจรรย์ ต้องทราบก่อนว่าตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมช่างหลอมมา ผู้ที่เป็นอัจฉริยะมากที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดของสมาคมก็ยังใช้เวลาถึงสามเดือนกว่าจะบรรลุถึงระดับนี้
ปรมาจารย์เยว่เหยารู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากกับพรสวรรค์ในการเป็นช่างหลอมของฉินอวี้โม่และในช่วงนี้เขาก็เริ่มชี้แนะฉินอวี้โม่ด้วยตัวเองแล้ว
เยว่ชิงเฉิงเองก็รู้สึกตกใจกับพรสวรรค์ของสหายสนิทผู้นี้เป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันมันก็ทำให้นางรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากไปด้วย แต่สิ่งที่ทำให้นางตื่นเต้นและมีความสุขที่สุดก็คือเรื่องเล่าของฉินอวี้โม่ที่เล่าให้นางฟังในระหว่างเวลาว่างจากการฝึกหลอม
ระหว่างที่อยู่ในสมาคมช่างหลอมด้วยกันนั้น ฉินอวี้โม่มักจะเหล่าเรื่องราวแปลก ๆ ให้คุณหนูช่างหลอมผู้อยากเป็นช่างกลฟังเสมอ ตัวอย่างเช่น นางกล่าวว่านางเคยเห็นอาวุธลับที่สามารถบรรจุเข็มพิษกว่าร้อยเล่มและสามารถส่งให้เข็มเหล่านั้นพุ่งออกไปยังเป้าหมายได้ หรือจะเป็นเรื่องเครื่องร่อนอันทรงพลังที่แม้ว่าจะไม่ได้เป็นจอมยุทธ์ระดับนภมายาและไม่มีอสูรมายาก็ยังสามารถช่วยทำให้บินบนฟ้าได้ แน่นอนว่าเรื่องพวกนั้นทำให้แววตาของเยว่ชิงเฉิงเป็นประกายอย่างมีความสุข
…
วันแรกของเดือนเก้า วันสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก
ฉินอวี้โม่และเหล่าสหายทั้งหลายเดินทางมาลงชื่อสมัครกันตั้งแต่ในช่วงเช้าและกำลังรอคอยให้การสอบเริ่มต้นขึ้น
นับว่าการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักนี้คึกคักมากจริง ๆ ผู้คนมากมายจากทั่วทุกสารทิศที่มาเข้าร่วมการสอบนั้นมีทั้งที่ฉินอวี้โม่รู้จักและไม่รู้จัก ซึ่งถ้าหากนับเฉพาะบุคคลที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าคุ้นตาก็มีอยู่ไม่น้อยแล้ว
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจากตระกูลฉิน โอวหยางชิงเฟิงและลูกพี่ลูกสองของเขาสองคนนามว่า–โอวหยางชิงเซียว และโอวหยางชิงลั่ว จากตระกูลโอวหยาง เยว่ชิงเฉิงคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมช่างหลอม เหย่าเซียนเอ๋อร์คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถ สองพี่น้องฉีฉีและฉีอวี้ตัวแทนจากเชื้อพระวงศ์พร้อมด้วยหลิงเฟิง นอกจากนี้ยังมีหลิงซวงหลานสาวของท่านอ๋องหลิงสตรีงดงามผู้อยู่ในอันดับที่ห้าของสิบอันดับโฉมงามแห่งแผ่นดิน ส่วนบุคคลที่เป็นฝ่ายไม่กินเส้นกับฉินอวี้โม่ก็มี พี่น้องจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร หวังรั่วจวินและหวังรั่วอีพร้อมกับโฉมงามอันดับแปดจอมริษยาหลิวหว่านเยียน
นอกเหนือจากคนจากนครไป๋อวิ๋นเองแล้ว ยังมีคนจากเมืองอื่น ๆ หรือแม้กระทั่งจากต่างแคว้นต่างจักรวรรดิก็ยังมาเข้าร่วมการทดสอบด้วย
มีอีกคนหนึ่งที่ฉินอวี้โม่คุ้นหน้าและยังมีความสัมพันธ์อันดีด้วย บุรุษผู้นั้นคือหนุ่มรูปงามผู้มีอัธยาศัยดีลั่วอวิ๋นบุตรชายของเจ้าเมืองเยว่กวาง
ผู้ที่รู้จักคุ้นหน้ากันทั้งหลายต่างก็เดินเข้าไปทักทายกันอย่างสนุกสนานครื้นเครง
เป็นเพราะว่าหลังจากลงทะเบียนแล้วทางราชสำนักจะต้องทำการตรวจสอบก่อนแล้วจึงจะประกาศรายชื่อผู้ที่จะเข้าคัดเลือกได้ ซึ่งกระบวนการนี้ค่อนข้างใช้เวลานานทำให้ผู้มาสมัครหลาย ๆ คนนัดแนะรวมกลุ่มกันไปกินอาหารที่ตึกเต๋อเยว่หรือร้านอาหารชื่อดังอื่น ๆ ในเมืองก่อนจะกลับมาดูรายชื่อผู้มีสิทธิ์เข้าคัดเลือกในช่วงเย็น
…
วันถัดมา เนื้อหาและรายละเอียดของการสอบคัดเลือกก็ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ
วิธีการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักของปีนี้ต่างจากปีก่อน ๆ
การคัดเลือกของปีนี้จะมีความท้าทายและอันตรายที่สูงกว่าปีก่อน
ภายในโรงเรียนราชสำนักนั้นจะมีป่าลึกลับอยู่แห่งหนึ่งซึ่งถือเป็นดินแดนต้องห้ามสำหรับเหล่านักเรียนหรือแม้แต่บุคลากรทั่วไป และการสอบคัดเลือกนักเรียนใหม่ของปีนี้ก็จะใช้ป่าลึกลับดังกล่าวเป็นสนามสอบ
ผู้เข้ารับการสอบจะได้รับแผ่นป้ายคนละหนึ่งแผ่นจากทางโรงเรียนราชสำนัก จากนั้นพวกเขาก็จะถูกส่งเข้าไปภายในดินแดนต้องห้าม
โดยแต่ละคนจะถูกส่งเข้าไปแบบสุ่มสถานที่ นั่นคือจะไม่มีผู้ใดทราบว่าตนเองจะปรากฏตัวยังจุดไหน และหลังจากเข้าไปแล้วทุกคนสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ซึ่งก็หมายความว่านี่จะต้องขึ้นอยู่กับโชคของผู้เข้าสอบด้วยว่าจะถูกสุ่มไปปรากฏตัวอยู่ใกล้ ๆ กับสหายหรือศัตรู
และกฎของการสอบที่แสนอันตรายของปีนี้คือ
ให้ผู้เข้าสอบแต่ละคนแย่งชิงแผ่นป้ายของผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ และเมื่อจบการทดสอบ ผู้ที่มีจำนวนแผ่นป้ายมากที่สุดจะถูกคัดเลือกให้เข้าโรงเรียนราชสำนักก่อนและจะไล่เรียงอันดับตามจำนวนแผ่นป้ายที่ได้ลงไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะครบจำนวนคนที่ทางโรงเรียนราชสำนักต้องการ แน่นอนว่าจำนวนนักเรียนที่เปิดรับนั้นมีอยู่อย่างจำกัด
เนื่องจากในปีนี้มีผู้เข้าสอบคัดเลือกมากกว่าปีอื่น ๆ หลายสิบเท่า ดังนั้นทางกรรมการจัดการสอบจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการคัดเลือกเช่นนี้เพื่อลดระยะเวลาในของการสอบลงไป
ปกติแล้วในปีก่อน ๆ การสอบจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว จัดการแข่งกันแบบแพ้คัดออกจนเมื่อเหลือจำนวนคนเท่าที่ทางโรงเรียนราชสำนักต้องการให้ถือว่าการสอบเสร็จสิ้นลง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบห้าสิบปีของโรงเรียนราชสำนักที่มีการใช้วิธีนี้สำหรับสอบคัดเลือกนักเรียนใหม่
กล่าวได้ว่าการสอบในปีนี้เข้มข้นและยากกว่าปีก่อน ๆ มาก อีกทั้งยังต้องพึ่งพาโชควาสนาของตนเองสูง หากโชคดีแม้ว่าฝีมือจะไม่ได้สูงส่งก็อาจจะผ่านการคัดเลือกได้ ในทางกลับกันแม้ว่าจะมีฝีมือสูงส่งแต่ถ้าโชคร้ายถูกผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ รุมเล่นงานระหว่างการสอบก็มีสิทธิ์สอบตกได้
เมื่อเห็นเนื้อหาการสอบของปีนี้ คนกลุ่มหนึ่งก็ผุดรอยยิ้มอันแสนชั่วร้ายในทันที พวกเขาเหล่านั้นก็คือกลุ่มคนจากอาราม
ลิ่วรุ่ยสั่งให้พวกเขาสังหารฉินอวี้โม่ให้ได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถ้าหากการสอบเป็นดังเช่นในปีที่ผ่าน ๆ มก็จะต้องเป็นที่จับตามองและอาจจะทำให้ลงมือได้ยาก แต่หากได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามพวกเขาก็จะสามารถสังหารนางได้อย่างง่ายดายตามที่ต้องการโดยไม่มีผู้ใดกล่าวโทษได้ว่าความตายของนางเป็นเจตนาที่แท้จริงของอาราม
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายฉินอวี้โม่และพวกพ้องคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย เพราะด้วยวิธีการสอบนี้ก็จะเอื้ออำนวยให้พวกเขาสามารถร่วมมือกันจัดการกับคนของอารามได้เช่นกัน
และด้วยวิธีนี้ผู้ที่มีความแข็งแกร่งไม่สูงมากนักก็เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างเพราะยังสามารถใช้การวางแผนทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน หรืออาศัยสหายที่แข็งแกร่งกว่าช่วยในการสอบได้
หลังจากเนื้อหาในการทดสอบถูกประกาศออกไป ทุกขุมกำลังต่างก็รู้สึกมีความสุขกันทั่วหน้า ผู้เข้าสอบทุกคนดูมีความกระตือรือร้นกันมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้บรรยากาศก่อนการสอบคัดเลือกจะเริ่มต้นก็ได้ร้อนระอุขึ้นมาแล้ว !
.
.
.
ตอนที่ 88 ตัวตนของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ฉินอวี้โม่มองจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่าอย่างรอคอย นางรู้ว่าทั้งสองพระองค์กำลังจะไขความกระจ่างในบางเรื่องให้นาง
“เสี่ยวอวี้โม่ แม่ของเจ้ามีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นใช่หรือไม่ ?”
เหวินหย่ามองฉินอวี้โม่ และเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่แฝงความตื่นเต้นไม่ปิดบัง
“ท่านป้าเหวินหย่า ท่านไม่ทราบหรือเจ้าคะ ?”
เมื่อได้ยินคำถามของสตรีผู้สูงศักดิ์ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ตามคำบอกเล่าของท่านปู่ฉินเฟิน ฉินเทียนบิดาของนางตบแต่งอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเข้าตระกูลอย่างถูกต้อง และการแต่งงานของพวกเขาก็เกิดขึ้นภายในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ …แต่ฮองเฮาเหวินหย่ากลับไม่รู้เรื่องนี้เลยอย่างนั้นหรือ ?
ฮองเฮาเหวินหย่าส่ายหน้า
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าไม่ต้องสงสัยหรอก ในเวลานั้นพวกเรารู้จักฉินเทียนพ่อของเจ้าและได้เจออยู่บ้าง แต่เราก็ไม่เคยเห็นภรรยาของเขาเลยสักครั้ง ข้าเกรงว่าคงมีน้อยคนนักในนครไป๋อวิ๋นที่รู้จักอวี๋เสี่ยวอวิ๋น แน่นอนว่าเรื่องที่ภรรยาของฉินเทียนคืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นเราก็เพิ่งรู้กระจ่างชัดไปเมื่อครู่”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเห็นฉินอวี้โม่ทอแววตางุนงง เขาจึงเอ่ยปากพูด
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ทว่าตอนนี้หัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสับสน มีเหตุผลใดกันที่คนในเมืองไป๋อวิ๋นจะไม่รู้จักสะใภ้ใหญ่แห่งตระกูลฉิน ไม่แม้แต่จะรู้ชื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋น ทั้งๆ ที่นางเป็นถึงภรรยาของฉินเทียนบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของฉินเฟินผู้นำของหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งไป๋อวิ๋น
“ท่านป้าเหวินหย่า ท่านรู้จักมารดาของข้าอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่มองฮองเฮาเหวินหย่าแล้วเอ่ยปากถามอย่างใคร่รู้
“ไม่ใช่แค่รู้จัก พวกเราเติบโตมาด้วยกัน…”
สตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในจักรวรรดิพยักหน้าก่อนจะกล่าวเล่าถึงเรื่องเมื่อนานมาแล้ว
ในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้มีขุมกำลังแสนลึกลับที่ลึกลับเสียยิ่งกว่าอารามและวิหารแห่งความมืด ขุมกำลังนี้มีนามว่า —— นครเมฆา
ผู้คนในนครเมฆาปลีกวิเวกออกมาจากโลกภายนอกเมื่อนานแสนนานมาแล้ว พวกเขาตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่กันเองอย่างเงียบ ๆ ในสถานที่ที่ห่างไกลทำให้มีน้อยคนนักในดินแดนหวงหลิงที่จะรู้จักพวกเขา นอกเหนือจากความลึกลับสุดจะหยั่งถึง ความแข็งแกร่งของนครเมฆาก็อยู่เหนือกว่าทุกขุมกำลังในแผ่นดิน กล่าวกันว่าแม้จะให้ทั้งอารามและวิหารแห่งความมืดผนึกกำลังกันก็ยังมิอาจสั่นคลอนนครเมฆาหรือแม้แต่ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันได้
และทั้งฮองเฮาเหวินหย่าและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็เป็นคนของนครลึกลับดังกล่าว
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้นแท้จริงแล้วเป็นถึงบุตรีสุดที่รักของผู้ครองนครเมฆา นางเป็นสตรีผู้ที่มีความแข็งแกร่งมากและมีพรสวรรค์อันสูงส่งและโดดเด่น ส่วนเหวินหย่าเป็นหลานสาวคนหนึ่งของผู้ครองนครและมีตำแหน่งเป็น ‘ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของนครเมฆา’
จักรวรรดิไป๋อวิ๋นมีพันธสัญญาลับกับทางนครเมฆานั่นคือ นครเมฆาจะต้องส่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ใน ทุกๆ สี่อันดับที่ผันเปลี่ยนไปให้มาเชื่อมสัมพันธ์กับจักรวรรดิไป๋อวิ๋น หรือกล่าวโดยง่ายก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ในอันดับที่ห้าจะถูกส่งมาให้แต่งงานกับจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและเป็นฮองเฮาแห่งจักรวรรดิยิ่งใหญ่แห่งนี้ และเหวินหย่าก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ถูกส่งมาเพื่อแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์
เหวินหย่าและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเติบโตมาด้วยกันในวัยเด็ก พวกนางรักกันมากและทั้งสองเป็นเสมือนพี่น้องร่วมอุทร
เหวินหย่าอายุมากกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่หลายเดือน หลังจากผ่านพ้นพิธีสู่วัยสาวแล้ว นางก็ถูกส่งไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อแต่งงานและกลายเป็นฮองเฮาของจักรวรรดิตามหน้าที่แห่งธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตน
และก่อนที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือเหวินหย่าในเวลานั้นจะถูกส่งไปเข้าพิธีแต่งงาน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็แอบบอกพี่สาวของนางอย่างลับ ๆ ว่าเมื่อนางโตเป็นผู้ใหญ่ นางจะไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อเยี่ยมหา
ในตอนนั้นเหวินหย่าคิดว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นคงเพียงแต่พูดเล่นตามประสาเด็กน้อยที่โศกเศร้าเพราะต้องจากลาพี่สาวของตนเท่านั้น แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากผ่านพ้นพิธีสู่วัยสาวและมีอายุได้สิบหกปี อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็มายังนครไป๋อวิ๋นจริง ๆ
อย่างไรก็ตาม เหวินหย่าได้พบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นก่อนที่บุตรีแห่งผู้ครองนครเมฆาจะตัดสินใจเดินทางออกจากนครไป๋อวิ๋นไปเผชิญโลกกว้างในแผ่นดินใหญ่
แน่นอนว่าแม้จะอยากห้ามมากเพียงใดแต่เหวินหย่าก็หยุดนางไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นางก็ได้ขอให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นรับปากว่าจะยอมกลับมาที่นครไป๋อวิ๋นในอีกสามเดือนให้หลัง และเมื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับมาแล้วเหวินหย่าก็จะให้คนส่งตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับไปยังนครเมฆาทันที
ทว่าไม่คิดเลยว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะไม่เคยกลับมาอีกเลยหลังจากนางจากไปในวันนั้น
มันราวกับว่านางได้จางหายไปจากโลกใบนี้และไม่มีผู้ที่เหวินหย่ารู้จักคนใดเคยได้ยินข่าวคราวของบุตรีแห่งผู้ครองนครเมฆาอีกเลย
เจ้าผู้ครองนครเมฆาทั้งโกรธและวิตกกังวลมากเมื่อทราบว่าบุตรสาวของตัวเองหายตัวไป เขาส่งคนออกตามหาทั่วทุกแห่งหนทว่ากลับไม่เคยพบเจอเบาะแสใดเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อฉินอี้เฟยลืมตาดูโลก ไม่ทราบว่าด้วยวิธีใดแต่เจ้าผู้ครองนครเมฆาก็ได้รับรู้ในตอนนั้นว่า บุคคลที่มีสายเลือดแห่งนครเมฆาถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ นั่นจึงทำให้เขาคาดเดาว่าบุตรสาวของตนยังมีชีวิตอยู่และอาจจะเข้าพิธีแต่งงานอย่างลับ ๆ ไปแล้ว
เมื่อรู้ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่งงานและให้กำเนิดทายาท ในตอนแรกบิดาผู้เป็นใหญ่แห่งนครลึกลับของนางก็รู้สึกโล่งอก แต่ไม่นานอารมณ์ความรู้สึกของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว
เมื่อทราบว่าบุตรสาวสุดที่รักยังมีชีวิตอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกยินดี ทว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับแต่งงานโดยไม่บอกกล่าวเขาผู้เป็นบิดาเลยแม้แต่ครึ่งคำ นางทำราวกับตั้งใจปิดบังเรื่องนี้กับเขาและนั่นก็ทำให้เขาโกรธมาก
นครเมฆามีกฎที่สำคัญอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือนอกจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่จะถูกส่งไปสานสัมพันธ์โดยเฉพาะแล้ว พวกเขาจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดแต่งงานกับคนภายนอกอย่างเด็ดขาด แม้ว่าบิดาของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจะเป็นเจ้าผู้ครองนครเมฆาทว่าเขาเองก็ยังมิอาจฝ่าฝืนกฎข้อนี้ได้
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็ลืมตาดูโลกอีกคน ในเวลานั้นนับว่ามีสายเลือดแห่งนครเมฆาปรากฏขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว
เจ้าผู้ครองนครเมฆาไม่สามารถหาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้พบแม้จะใช้เวลาไปแล้วหลายปี ทว่าด้วยวิธีการบางอย่าง เขาสามารถมองเห็นจำนวนของผู้ที่มีสายเลือดแห่งนครเมฆาที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนได้ ในเมื่อตอนนี้มีคนที่มีสายเลือดนครเมฆาเกิดขึ้นมาถึงสองคนแล้ว นั่นเป็นการยืนยันว่าบุตรสาวของเขายังคงปลอดภัยดี
ในตอนนั้นเองที่เรื่องนี้ปิดเป็นความลับไม่ได้อีกต่อไป ในที่สุดบรรดาอาวุโสทั้งหลายของนครเมฆาต่างก็ทราบเรื่องทุกอย่างจนหมดสิ้น
เหล่าผู้อาวุโสพยายามกดดันให้เจ้าครองนครเมฆาจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกลับมาให้ได้และให้นางรับโทษตามกฎของนคร ยิ่งกว่านั้น ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยลูกของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ถูกตราหน้าว่าเป็นทายาทอันมีสายเลือดที่ไม่บริสุทธิ์ แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็ไม่ยอมรับเด็กทั้งสองและต้องการให้จับตัวพวกเขามารับโทษด้วย
ในฐานะบิดาและตา เจ้าผู้ครองนครเมฆาจึงยืนกรานปฏิเสธข้อเรียกร้องของเหล่าผู้อาวุโสของนครและด้วยเหตุนั้นเองก็ทำให้เขาไม่กล้าส่งคนออกตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอย่างโจ่งแจ้งอีก เขาจึงลอบขอให้เหวินหย่าผู้เป็นหลานและอยู่ในเมืองไป๋อวิ๋นช่วยตามหาบุตรสาวของเขาอย่างลับ ๆ และบอกเล่าปัญหานี้กับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพื่อให้นางเตรียมตัวรับมือ
อย่างไรก็ตามแม้เหวินหย่าจะเป็นถึงฮองเฮาของจักรวรรดิใหญ่ทว่าหลังจากค้นหาอยู่นานก็ยังไร้ข่าวคราวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
จนกระทั่งฮองเฮาได้พบกับฉินอวี้โม่โดยบังเอิญที่เมืองเยว่กวาง
ฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นดูคล้ายคลึงกันถึงเจ็ดส่วน กลิ่นอายและบรรยากาศจากตัวนางก็ยังแทบไม่แตกต่างกัน ฮองเฮาเหวินหย่าจึงเกิดความสงสัยขึ้น นางคิดว่าฉินอวี้โม่อาจจะเป็นบุตรสาวของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากฮองเฮาเหวินหย่า ฉินอวี้โม่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก มารดาของนางเป็นสตรีที่น่าจะผ่านเรื่องราวต่าง ๆ มามากมายและดูแล้วนางน่าจะแข็งแกร่งอยู่ไม่น้อย แต่เรื่องนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่เกิดความสงสัยบางอย่างขึ้นในหัวใจ
ตามที่เหวินหย่าเล่ามา นางและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีใบหน้าที่คล้ายกันถึงเจ็ดส่วน ทว่าใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นทั้งในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับและที่เธอได้พบเจอนั้นไม่ได้มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินอวี้โม่เลย ยิ่งกว่านั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้ที่ควรจะเป็นสตรีที่มีฝีมือและพรสวรรค์สูงส่ง มันเป็นไปไม่ได้ที่จะดูเป็นเพียงคนธรรมดาอย่างมารดาที่นางเคยเจอและถึงแม้ในประเด็นนี้ฉินอวี้โม่จะรับรู้เหตุผลว่ามารดาสูญเสียพลังไปตั้งแต่คลอดนางออกมา แต่เรื่องใบหน้าก็ไม่น่าแตกต่างกันได้ถึงเพียงนั้น และมารดาในความทรงจำของนางก็ดูคล้ายคนธรรมดามากกว่าเป็นอดีตบุตรสาวของเจ้าผู้ครองนครลึกลับที่แข็งแกร่ง
ถ้าหากเรื่องที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามาเป็นเรื่องจริง เช่นนั้นแล้วก็มีทางเดียวที่เป็นไปได้คือ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เมืองหลิงซีอาจจะไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง !
อย่างไรก็ตาม หากเป็นไปตามข้อสันนิษฐานของฉินอวี้โม่แล้ว ความสัมพันธ์ของ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในความทรงจำของฉินอวี้โม่’ กับ ‘อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริง’ จะต้องใกล้ชิดกันมาก และนางจะต้องเป็นผู้ที่ภักดีกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงอย่างมากด้วย มิฉะนั้นแล้วนางคงไม่ดีต่อฉินอวี้โม่และปกป้องนางถึงเพียงนั้น
แต่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคนนั้นเป็นผู้ใดกัน? แล้วตอนนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงอยู่ที่ไหน ?
ฉินเทียนที่เมืองหลิงซีก็เป็นตัวปลอม ส่วนเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ตามเข้ามาทีหลัง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูคาดเดาว่าพวกเขาต้องไม่รู้ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นตัวปลอมเป็นแน่
มีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงและฉินเทียนตัวจริงอาจจะหายไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
ตามการสันนิษฐานของฉินอวี้โม่ก็คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นน่าจะเป็นฝ่ายที่หายตัวไปก่อน จากนั้นฉินเทียนที่รู้เรื่องนี้จึงวางแผนการบางอย่างขึ้นมาและแสร้งว่าหายตัวไปด้วย แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้วเขาจะทำไปเพราะต้องการสิ่งใด หรือทำไปด้วยเหตุผลใดกัน ?
ยิ่งคิดฉินอวี้โม่ก็ยิ่งพบกับสิ่งที่น่าสงสัยอยู่เต็มไปหมด มีอีกหลายเรื่องราวที่นางจะต้องสืบหาความจริงให้ได้
เสี่ยวโร่วนั้นเด็กกว่านางและถูกรับเลี้ยงมาในภายหลังจึงเป็นไปไม่ได้ที่สาวใช้น้อยจะทราบเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ ฉะนั้นผู้ที่น่าจะรู้ได้ก็มีเพียงฉินอี้เฟยคนเดียว … ‘ใช่แล้วพี่ใหญ่ของนางต้องรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน !’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจว่าหากกลับไปยังตระกูลนางจะต้องถามไถ่เรื่องนี้กับฉินอี้เฟย
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนนี้แม่ของเจ้าอยู่ที่ไหน ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่นคล้ายกำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่นาน ฮองเฮาเหวินหย่าก็ส่งเสียงเรียกสติของนาง
นางและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นญาติกันและยังเสมือนเป็นไม่ต่างจากพี่น้องกัน ดังนั้นแล้วนางย่อมกังวลถึงสถานการณ์ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ฉินอวี้โม่ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจบอกฮองเฮาไปว่ามารดาของนางหายตัวไปแล้วที่เมืองหลิงซี ทว่าอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็ไม่ได้บอกเรื่องข้อสันนิษฐานที่ว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้นั้นอาจจะไม่ใช่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตัวจริงออกไป
ไม่ใช่ว่าฉินอวี้โม่ตั้งใจจะปกปิดท่านป้าเหวินหย่าผู้ที่นางเพิ่งทราบว่าเป็นญาติทางฝั่งมารดา แต่เป็นเพราะนางก็ยังไม่แน่ใจในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงไม่อยากกล่าวออกไปสุ่มสี่สุ่มห้า
“หายตัวไปอย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ว่าถูกคนจากนครเมฆาจับตัวกลับไปหรอกนะ ?!”
เมื่อได้ยินว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไป ใบหน้างดงามของฮองเฮาแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและเป็นกังวล
“หยาหย่า หากว่านางถูกจับตัวกลับไปนครเมฆาจริง เจ้าผู้ครองนครเมฆาจะไม่แจ้งข่าวให้เจ้าทราบเชียวหรือ ?”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยกล่าวปลอบฮองเฮาผู้เป็นที่รัก ทว่าเขาก็ไม่คิดว่าคำปลอบนั้นจะยิ่งทำให้สตรีจากนครเมฆาเป็นกังวลหนักขึ้นกว่าเดิม
“หากเป็นเช่นนั้นก็ยิ่งน่ากังวล หากไม่ใช่นครเมฆาจับตัวกลับไป นางจะไปอยู่ไหนได้ในแผ่นดินนี้ นางถูกใครจับตัวไปแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางบ้าง ?”
“ท่านป้าเหวินหย่าโปรดวางใจ ข้าคิดว่าตอนนี้ท่านแม่น่าจะปลอดภัย มิฉะนั้นท่านตาก็น่าจะรับรู้บางอย่างได้ ยิ่งกว่านั้น มีคำกล่าวกันว่าแม่และบุตรสาวมีจิตใจที่สื่อถึงกันได้ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าท่านแม่ยังไม่มีอันตราย”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปลอบใจสตรีผู้อ่อนโยนที่นางเพิ่งรู้ว่าเป็นญาติ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินรู้สึกว่าเหวินหย่าผูกพันกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมากและเป็นห่วงนางจากใจจริงไม่มีร่องรอยแห่งการเสแสร้งอยู่แม้แต่น้อย
ในตอนนี้ฮองเฮาเหวินหย่าดูสงบลงมาบ้างเล็กน้อย ทว่าคิ้วเรียวของนางก็ยังขมวดน้อย ๆ และยังไม่คลายจากความกังวล
“ท่านป้าเหวินหย่า เหรียญตรานี้มีไว้ทำสำหรับทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ ?” เมื่อเห็นว่าฮองเฮาเหวินหย่ายังคงมีความกังวล ฉินอวี้โม่ก็รีบเอ่ยถามเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนประเด็นสนทนา
เมื่อทราบถึงเจตนาของฉินอวี้โม่ที่ไม่อยากให้นางเป็นกังวล ฮองเฮาเหวินหย่าจึงส่งยิ้มให้สตรีผู้เป็นดั่งหลานสาวแท้ ๆ อย่างขอบคุณแล้วกล่าวตอบ “อวี้โม่ นี่คือป้ายหยกที่ท่านเจ้านครเมฆามอบให้น้องเสี่ยวอวิ๋นเมื่อนานมาแล้ว มันเป็น ‘ป้ายแสดงสถานะของเจ้าผู้ครองนครเมฆา’ หากมีสิ่งนี้อยู่ในมือคนจากนครเมฆาจะทำตามคำสั่งของเจ้าโดยไม่กล้าขัด”
ป้ายแสดงสถานะที่เหวินหย่ามอบให้ฉินอวี้โม่นี้เป็นป้ายสถานะที่มีระดับที่สูงส่งที่สุดในนครเมฆาแล้ว มันไม่ใช่เป็นเพียงป้ายที่แสดงบรรดาศักดิ์ของผู้ครอบครองเพียงอย่างเดียว ทว่ายังเป็นป้ายที่มีสิทธิและอำนาจอยู่ในตัวของมันด้วย
หากคนจากนครเมฆาพบป้ายนี้ พวกเขาจะต้องปฏิบัติกับผู้ถือป้ายเสมือนได้พบเจ้าผู้ครองนครเมฆา ในตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปจากนครไป๋อวิ๋น นางได้ฝากป้ายนี้ไว้กับเหวินหย่าเพราะนางกลัวว่าอาจจะทำมันหายระหว่างการผจญภัยในโลกกว้าง ด้วยความศักดิ์สิทธิ์และสูงส่งของป้ายนี้ ฮองเฮาเหวินหย่าจึงเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี แต่ตอนนี้นางพบผู้ที่คู่ควรจะเก็บรักษามันไว้แทนนางแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนเก็บแผ่นป้ายนี้เอาไว้เช่นเดิม
ของสำคัญเช่นนี้ นางจะต้องเก็บรักษามันไว้เป็นอย่างดี
“เสี่ยวอวี้โม่ เมื่อความแข็งแกร่งของเจ้าไปถึงจุดที่อยู่เหนือทุกคนในจักรวรรดินี้ เจ้าก็สามารถไปยังนครเมฆาเพื่อพบท่านตาของเจ้าได้ หลายปีมานี้เขาคงเป็นกังวลและร้อนใจมาก และเหตุผลที่เจ้าต้องแข็งแกร่งก่อนจะไปเยือนที่นั่นก็เพราะเหล่าผู้อาวุโสหัวรั้นทั้งหลายเป็นพวกที่รับมือได้ยาก”
เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา นางรู้ดีว่าท่านเจ้าผู้ครองนครเมฆาพยายามอย่างหนักหน่วงมาหลายปีเพื่อจะทำให้ได้พบหน้าหลาน ๆ หากเขาได้เจอฉินอวี้โม่เขาก็คงจะมีความสุขมาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อฟังจากที่ฮองเฮาเหวินหย่าเล่ามา นางก็สัมผัสได้ถึงความรักที่เจ้าผู้ครองนครเมฆามีต่อมารดาของนาง
“เอ่อ… หากเป็นเช่นนี้พี่ชายของเจ้า ฉินอี้เฟยก็เป็นบุตรชายของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้นองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง เขาจึงเอ่ยถามขึ้น
“จริงด้วยสิ ข้าเองก็เคยเห็นฉินอี้เฟยตั้งหลายครั้ง เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้สึกถึงเรื่องนี้เลย ?”
ฮองเฮาเหวินหย่านึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ตัวนางเห็นฉินอี้เฟยมาหลายครั้งแล้ว ทว่านางก็เพียงแต่รู้สึกว่าบุรุษหนุ่มพรสวรรค์สูงผู้นั้นมีหน้าตาหล่อเหลาและดูค่อนข้างคุ้นเคย ทว่าก็ไม่ได้ชวนให้นางนึกถึงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่ยิ้มและไม่ได้กล่าวสิ่งใด
ฉินอี้เฟยมีส่วนคล้ายฉินเทียนเสียเป็นส่วนใหญ่ เขามีส่วนที่คล้ายกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ไม่เกินสี่ส่วน อีกทั้งฉินอี้เฟยยังเป็นบุรุษจึงไม่แปลกที่ฮองเฮาเหวินหย่าจะไม่เอะใจในตอนที่เห็นหน้าเขา สตรีสูงศักดิ์แห่งนครไป๋อวิ๋นเพียงแค่รู้สึกว่าเขาเป็นบุรุษหนุ่มอนาคตไกลที่ดูเป็นมิตรกับทุกคนดี แต่ทั้งหมดก็เพียงเท่านั้น
ทั้งสามคนนั่งสนทนากันอยู่อีกพักใหญ่ ฮองเฮาเหวินหย่าเล่าถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นพลางมองฉินอวี้โม่อย่างเอ็นดู
ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากสายตาอ่อนโยนของสตรีที่เป็นเสมือนพี่น้องของมารดาผู้นี้อย่างเปี่ยมล้น ทว่าคุณหนูแห่งตระกูลฉินก็อยู่ต่ออีกไม่นานนักก่อนจะกล่าวลาฮองเฮาเหวินหย่าและจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและกลับไปยังตระกูลฉิน
เมื่อกลับมาถึงตระกูลฉิน ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นฉินอี้เฟยยืนรออยู่ที่เรือนพักของนางแล้ว
.
.
ตอนที่ 87 เหรียญตราที่เปลี่ยนแปลง
“ฮ่า ๆ การที่อารามจะส่งคนมาเข้าร่วมการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีและเป็นเกียรติสำหรับเราอย่างมาก อย่างไรก็ตาม หากว่าคนจากอารามไม่ผ่านการทดสอบ ข้าก็หวังว่าท่านเจ้าอารามจะไม่ขุ่นเคืองในเรื่องนี้”
ทัศนคติและท่าทีวางอำนาจใหญ่โตที่ลิ่วรุ่ยแสดงออกในวันนี้ทำให้ทุกคนในงานเลี้ยงขุ่นเคืองใจไม่น้อย และก็แน่นอนว่าในฐานะของผู้นำแห่งจักรวรรดิ จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเองก็มีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้างเป็นธรรมดา
แม้ว่าอารามจะเป็นขุมกำลังที่ลึกลับและทรงอำนาจมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดินไป๋อวิ๋นอย่างพวกเขาจะต้องเกรงกลัว
เมื่อครู่ คำกล่าวของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยนั้นราวกับเป็นตัวแทนความรู้สึกของทุกคน บุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นถึงจักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งนี้
สิ่งที่องค์จักรพรรดิตรัสออกไปเมื่อสักครู่ แม้จะไม่ได้กล่าวออกไปตรง ๆ ว่าจะต่อต้านอารามที่ส่งคนมาเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก แต่ก็ถือเป็นการแสดงจุดยืนของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำโต้ตอบของฉีเยวี่ยนเวย สีหน้าของลิ่วรุ่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเข้าใจความนัยจากวาจาของบุรุษสูงศักดิ์ผู้นี้ และเขารู้สึกโกรธเคืองที่จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋นไม่เห็นอารามของพวกเขาอยู่ในสายตา
“ฝ่าบาท เรื่องนี้ไม่พระองค์ไม่ต้องทรงเป็นกังวล ทางฝ่ายพระองค์ควรห่วงเรื่องการจัดการทดสอบดีกว่าว่าจะทำอย่างไรไม่ให้คนของพวกท่านต้องเผชิญหน้ากับคนจากอารามเรา มิฉะนั้นแล้วคนจำนวนมากของพวกท่านอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักเลยก็ได้”
ลิ่วรุ่ยกล่าวอย่างเย็นชาก่อนจะหลังกลับออกไปพร้อมกับคนของเขา
“บัดซบ โอหังนัก ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอารามของพวกมันจะแข็งแกร่งสักแค่ไหน”
เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของลิ่วรุ่ย หลินจิ้งหงก็อดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
หากไม่ใช่เพราะหานโม่ฉือกำลังห้ามเอาไว้ เกรงว่านายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็คงจะลุกขึ้นยืนและเข้าไปต่อว่าชายวัยกลางคนนามว่าลิ่วรุ่ยผู้นั้นแล้ว
“หากว่าเจ้าโกรธนัก เจ้าก็แค่หาทางไม่ให้พวกเขาสอบผ่านเข้าไปเรียนในโรงเรียนราชสำนักก็หมดเรื่อง”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นด้วยเสียงเรียบเฉย นางไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองมากนัก
ในตอนที่อดีตนักฆ่าสาวมองเห็นลิ่วรุ่ยเดินเข้ามา นางก็สัมผัสได้ว่าคนผู้นั้นมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวนางอย่างมาก และเพียงแค่เห็นรูปลักษณ์และใบหน้าของเขา ฉินอวี้โม่ก็พอจะคาดเดาเรื่องราวทั้งหมดได้แล้ว
เรื่องที่บุรุษวัยกลางคนจากอารามกล่าวว่านำคนมาเข้าร่วมการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ในความจริงแล้วพวกเขามาเพราะฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ แววตาที่เต็มไปด้วยรังสีสังหารของคนผู้นั้นก็พอจะพิสูจน์ทุกอย่างได้แล้ว จุดประสงค์แท้จริงของคนจากอารามผู้นั้นคือการสังหารฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเพื่อแก้แค้นให้กับบุตรชายของเขา
เนื่องจากครั้งนี้พวกเขามาเพราะนาง นางก็จะไม่แสดงความอ่อนแอหรือเปิดเผยจุดอ่อนให้ผู้ใดเห็น หากต้องการจะฆ่านาง ฉินอวี้โม่ก็อยากจะดูว่าอีกฝ่ายมีความสามารถนั้นหรือไม่
“คนผู้นั้นคือผู้อาวุโสสองของอารามนามว่าลิ่วรุ่ย เขาอยู่ในขอบเขต ‘มายาบรรพชน’ เจ็ดดารา คนผู้นี้ถือว่าแข็งแกร่งพอใช้ได้เลย ที่สำคัญเขาคือบิดาของลิ่วเยว่ เขารักบุตรชายของเขามากและมีนิสัยเจ้าคิดเจ้าแค้น ต่อไปเจ้าต้องระวังคนคนนี้ให้ดี ๆ”
หานโม่ฉือกล่าวเสียงนิ่งเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้อาวุโสสองแห่งอารามและยังบอกให้นางระวังตัว ฉินอวี้โม่คาดไว้ไม่มีผิด คนผู้นี้แท้จริงแล้วก็คือบิดาของลิ่วเยว่
อย่างไรก็ตาม จากคำพูดและท่าทีของหานโม่ฉือ มันทำให้นางยิ่งประหลาดใจในความแข็งแกร่งของเขา อีกฝ่ายคือยอดฝีมือขอบเขตมายาบรรพชนเจ็ดดาราซึ่งถือว่าเป็นตัวตนระดับสูงของดินแดนหวนหลิงแล้ว ทว่าหานโม่ฉือกลับกล่าวว่าลิ่วรุ่ยผู้นั้นเพียงแต่ ‘แข็งแกร่งพอใช้ได้’ เช่นนั้นก็แสดงว่าความแข็งแกร่งของบุรุษน้ำแข็งผู้นี้คงจะยากเกินกว่าที่จะจินตนาการได้
“โม่ฉือ ตอนนี้เจ้าแข็งแกร่งมากแค่ไหนกัน ?”
เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ถามหานโม่ฉือออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อย่างไรก็ไม่แย่กว่ามายาบรรพชนเจ็ดดารา”
หานโม่ฉือตอบออกมาเพียงเท่านี้ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าที่ดูไม่พอใจนักของฉินอวี้โม่เขาจึงกล่าวเพิ่ม “ลิ่วรุ่ยผู้นั้นหากจำเป็นต้องรับมือกับเขา ข้าขอไม่เกินสิบกระบวนท่า”
ฉินอวี้โม่ถึงกับนิ่งอึ้งไป มนุษย์น้ำแข็งของนางไม่เคยกล่าวโอ้อวด หากเขากล่าวว่ายอดฝีมือมายาบรรพชนเจ็ดดารายังต้านเขาได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าก็มีความหมายตรงตามนั้น อีกทั้งเขายังกล่าวด้วยเสียงจริงจังถึงเพียงนี้ เช่นนั้นแล้ว… ‘ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหานโม่ฉือน่ากลัวเพียงใดกัน ?’
อย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลิงซี ฉินอวี้โม่ก็ถามด้วยความสังสัย “จำได้ว่าครั้งก่อนที่เมืองหลิงซี…”
“นั่นเป็นเพราะข้าใช้พลังได้เพียงบางส่วน”
หานโม่ฉือรู้ถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่ต้องการจะถาม เขาจึงตอบกลับไปทันที
เมื่อได้ฟังที่หานโม่ฉือกล่าวฉินอวี้โม่ก็เข้าใจ ในตอนที่พบกันครั้งล่าสุดพลังและความแข็งแกร่งส่วนใหญ่ของหานโม่ฉือถูกใช้ไปกับการควบคุมพิษเย็นในร่างกาย ในตอนนี้พิษเย็นนั้นถูกกายเทพมายาของนางกำจัดออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ดังนั้นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาจึงกลับคืนมาอีกครั้ง
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ฉินอวี้โม่ยังไม่ทราบก็คือกายเทพมายาของนางได้มอบผลประโยชน์บางส่วนให้กับหานโม่ฉือ ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยด้วย
“อวี้โม่ ไม่ต้องไปสนใจโม่ฉือนัก เพราะเจ้านี่เป็นสัตว์ประหลาด พรสวรรค์ของเขาน่าอัศจรรย์ ยิ่งข้าพยายามไล่ตามเขาก็ยิ่งถูกทิ้งห่าง”
เมื่อได้ยินการสนทนาของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวแทรกขึ้นมา
“เช่นนี้ก็ดีเลย ถ้าเจ้ากล้ารังแกข้าในอนาคต ข้าจะได้ให้โม่ฉือจัดการกับเจ้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อสหายคุณชายผู้นี้กลับไป
“ข้าจะไปกล้าได้อย่างไร”
หลังจากเหลือบตามองสหายน้ำแข็งที่กำลังปลดปล่อยรังสีอันเยือกเย็นกดดันตัวเขาอยู่ หลินจิ้งหงก็เลือกตอบอย่างชาญฉลาด ทว่าหลังจากนั้นคุณชายเจ้าสำราญก็ได้แต่ทอดถอนใจอย่างปลงตก …‘วาสนาของเขาก็ได้เท่านี้ มีสหายกับเขาคนหนึ่ง แต่พอได้สาวงามมาเคียงข้าง เจ้าสหายรักก็ลืมเลือนสหายเก่าอย่างเขาไปเสีย~’
“เรียนแขกทุกท่าน วันนี้ทุกท่านคงได้เห็นความโอหังของอารามแล้วใช่หรือไม่ แม้ว่าอารามจะเป็นขุมกำลังใหญ่ก็จริง แต่พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวพวกเขา ดังนั้นแล้วข้าขอเสนอว่า ให้ทุกฝ่ายลืมความขัดแย้งที่มีมาและผนึกกำลังกันรับมือกับเหล่าศิษย์ของอารามที่ถูกส่งมาเข้าร่วมการคัดเลือก เพื่อป้องกันไม่ให้คนจากอารามเข้ามาในโรงเรียนราชสำนักของจักรวรรดิเราได้”
เหล่ยหลิน–ผู้นำแห่งตระกูลเหล่ย ตระกูลคู่อริตลอดกาลของตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางเป็นบุคคลแรกที่ออกปากกล่าวเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็ทนไม่ได้ที่เห็นพฤติกรรมของคนจากอารามในวันนี้ แม้ว่าที่ผ่านมาขุมกำลังทั้งหลายภายในไป๋อวิ๋นจะไม่ได้สมัครสมานสามัคคีกันนัก และหลาย ๆ ขุมกำลังก็มีเรื่องบาดหมางกระทบกระทั่งกันเสมอ ทว่านั่นเป็นปัญหาภายในที่พวกเขาต้องสะสางกันเอง ในตอนนี้ เมื่อเป็นเรื่องที่มีคนภายนอกเข้ามายั่วยุ พวกเขาก็ควรจะผนึกกำลังกันรับมือกับศัตรูก่อน
“ข้าเห็นด้วย พวกอารามไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่เกรงใจฝ่าบาทซึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวผู้ปกครองแผ่นดินไป๋อวิ๋นของพวกเรา อีกทั้งยังกล้ากล่าววาจาข่มขู่ ทำเหมือนไม่เห็นตระกูลใหญ่อย่างพวกเราอยู่ในสายตา เช่นนี้เราก็ควรจะแสดงให้พวกมันได้เห็นว่าพวกเราแข็งแกร่งแค่ไหน อารามจะต้องสำนึกว่าอย่าคิดจะลองดีกับขุมกำลังแห่งนครไป๋อวิ๋น”
โอวหยางเจวี๋ยตัวแทนของผู้นำตระกูลโอวหยางกล่าวด้วยเสียงอันดังก้อง แม้ว่าตระกูลของพวกเขาจะไม่เคยเป็นมิตรกับตระกูลเหล่ย ทว่าสำหรับผู้ประกาศตนเป็นศัตรูของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นแล้ว พวกเขาก็มีความคิดเห็นตรงกัน !
“ผู้เฒ่าอย่างข้าไม่มีความเห็นอื่น ข้ายินดีให้การสนับสนุนเพื่อต่อต้านคนจากอาราม”
ผู้เฒ่าฉินเฟินผู้นำตระกูลฉินก็พยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนนี้จุดยืนของสามตระกูลใหญ่ตรงกันอย่างน่าประหลาด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะความหยิ่งยโสไม่เห็นหัวผู้ใดของอาราม จึงทำให้มีภาคีต่อต้านอารามเกิดขึ้นแล้ว
“เช่นนี้ก็ขอขอบคุณทุกท่านมาก ทางราชวงศ์เราก็จะร่วมมือกับทั้งสามตระกูลอีกแรง การคัดเลือกครั้งนี้จะต้องเป็นความล้มเหลวของอาราม”
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพฤติกรรมและทัศนคติของอารามทำให้อารมณ์ของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเต็มไปด้วยความหดหู่เศร้าหมอง ตอนนี้เมื่อได้เห็นการแสดงจุดยืนของสามตระกูลใหญ่ก็ทำให้องค์จักรพรรดิมีกำลังใจและโล่งอกขึ้น
ครานี้ นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างมาก ที่ตระกูลใหญ่ทั้งสามสามารถผนึกกำลังอย่างกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวเพื่อร่วมกันต่อต้านอาราม
“ด้วยความยินดี ฝ่าบาท จักรวรรดิไป๋อวิ๋นคือบ้านของพวกเรา ไม่ว่าใครก็ตามที่มาเหยียดหยามเราก็จะไม่เกรงใจ”
เหล่ยหลินผู้นำตระกูลเหล่ยเอ่ยปากขึ้นมาอีกครั้ง วาจาของเขาทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยในงานเลี้ยงรู้สึกฮึกเหิม พวกเขามีความคิดเห็นตรงกันกับผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสาม
“เหล่ยหลิน แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะขัดแย้งกับพวกท่านมาตลอด แต่วันนี้ข้าเห็นด้วยกับท่าน หากมีคนคิดจะข่มเหงคนในบ้านเรา ความขัดแย้งภายในก็ควรจะยุติไว้ก่อน”
ฉินหยางกล่าว ในตอนนี้เขาเองก็คิดว่าความขัดแย้งระหว่างตระกูลฉินและตระกูลเหล่ยถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปัญหาจากคนของอาราม และเมื่อได้รับรู้ความคิดเห็นของเหล่ยหลินเช่นนั้น ตระกูลฉินเองก็รู้สึกดีและเบาใจไปได้มาก
“ดี ในเมื่อทุกท่านมีความคิดเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าครั้งนี้อารามจะต้องขายหน้ากลับไปอย่างแน่นอน เวลานี้เรามาสนุกกับงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้กันต่อเถิด ถัดจากนี้จะมีการแข่งขันสนุก ๆ ให้ทุกท่านได้มีโอกาสเข้าร่วมระหว่างมื้ออาหาร และพวกเรามีของรางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ มอบให้สำหรับท่านที่เข้าร่วม”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยยิ้มและโบกมือเพื่อส่งสัญญาณให้ข้าราชบริพารนำของรางวัลที่เตรียมไว้เข้ามา
รางวัลที่ฉีเยวี่ยนเวยเตรียมไว้ไม่ใช่น้อย ๆ เลย มีทั้งโอสถ อาวุธหรือแม้แต่ตำรานภายุทธ์ ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นก็ล้วนแต่มีระดับที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย
แน่นอนว่าหากทางวังหลวงอยากจะให้กิจกรรมที่จัดขึ้นนั้นดูคึกคักและมีผู้เข้าร่วมจำนวนมาก พวกเขาก็ต้องหารางวัลชั้นเลิศที่สามารถจูงใจยอดฝีมือทั้งหลายได้
ฉินอวี้โม่เองก็เข่าร่วมกับการแข่งขันเล็ก ๆ รอบหนึ่งก่อนจะเป็นผู้ชนะเลิศและได้รับรางวัลเป็นโอสถล้ำค่าเม็ดงามซึ่งเป็นของรางวัลที่นางหมายตาหมายใจไว้ตั้งแต่แรกเห็น
โอสถเม็ดนี้มีชื่อว่า ‘โอสถก่อจิต’ ซึ่งมีสรรพคุณในการฟื้นฟูพลังในร่างกายให้กลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่ต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อยู่บ่อยครั้ง และใช้พลังมายาอย่างมหาศาล โอสถเม็ดนี้ก็ถือเป็นสิ่งของที่จำเป็นต้องมีติดตัวเอาไว้
เมื่อวานนี้ฉินอี้เฟยก็นำโอสถจำนวนมากมามอบให้นางเพื่อเอาไว้ใช้ในการสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก โอสถส่วนมากเป็นโอสถรักษาและฟื้นกำลัง เมื่อเห็นโอสถมากมายที่ผู้เป็นพี่ชายนำมามอบให้ คุณหนูคนงามก็คาดเดาได้อย่างเดียวว่าพี่ชายของนางคงจะเป็นผู้หลอมโอสถที่ฝีมือไม่ธรรมดาแน่
เห็นได้ชัดว่าแขกที่มาในงานเลี้ยงวันนี้ต่างก็รู้สึกเต็มอิ่ม ด้วยอาหารและเครื่องดื่มมากมายที่ถูกจัดไว้สำหรับงานเลี้ยงนั้นล้วนแต่เลิศรสถูกปาก บรรยากาศคลอเคล้าเสียงดนตรีก็ชวนให้ดื่มด่ำและผ่อนคลาย อีกทั้งกิจกรรมการละเล่นและการแข่งขันที่วังหลวงจัดขึ้นก็เต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้จึงจบลงด้วยความชื่นมื่น
ทว่าจนกระทั่งงานเลี้ยงจบลง ก็ยังไม่มีผู้ใดได้เห็นหลิงซวง หลานสาวคนงามของท่านอ๋องหลิง สาวงามอันดับห้าแห่งแผ่นดิน และเหย่าเซียนเอ๋อร์ โฉมนารีแห่งสมาคมโอสถผู้เป็นสาวงามอันดับสองปรากฏตัวอยู่ภายในงานเลี้ยงเลย
หานโม่ฉือกล่าวลาฉินอวี้โม่สองสามประโยคก่อนจะตามหานปิ่งเซียนผู้เป็นบิดากลับไปยังจวนตระกูลหาน ส่วนหานโม่หยวนก็หันมามองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายก่อนจะกลับออกไปเช่นกัน อย่างไรก็ตาม แววตาของเขานั้นไม่ได้ดูเป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
หลิวหว่านเยียนเองก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เกลียดชังก่อนจะรีบไล่ตามหานโม่หยวนกลับไป
หวังรั่วอียังคงมีทัศนคติที่ดีต่อฉินอวี้โม่เช่นเดิม ทว่านางก็เพียงแต่ส่งยิ้มให้คุณหนูตระกูลฉินจากที่ไกล ๆ มิกล้าเข้ามากล่าวร่ำลาเป็นส่วนตัว คุณหนูตระกูลหวังหันหลังก่อนจะพาหวังรั่วจวินกลับออกไป
ส่วนหวังรั่วจวินตอนนี้เขารู้สึกกลัวเป็นอย่างมาก เขาเสียขวัญตั้งแต่ตอนที่รถม้าระเบิดและยิ่งเมื่อได้รู้ว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เขาก็หวาดหวั่นจนทำสิ่งใดไม่ถูก
หากว่าหานโม่ฉืออยากจะเล่นงานเขาจริง ๆ ต่อให้เป็นสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเขาก็คงคุ้มกะลาหัวเขาไม่ได้ นั่นเองทำให้ตลอดทั้งงานเลี้ยง คุณชายคึกคะนองที่ไม่รู้จักโตแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ในตอนแรก ผู้เฒ่าฉินเฟินและฉินหยางต้องการจะอยู่รอฉินอวี้โม่ก่อน ทว่าเมื่อเห็นว่ามีโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงสหายทั้งสองของหลานสาวยืนรอนางอยู่แล้ว พวกเขาจึงขอตัวกลับกันก่อน
คนจากตระกูลโอวหยางและตระกูลเหล่ยก็ทยอยกลับออกไปเช่นกัน ผู้นำของแต่ละตระกูลเข้าไปกล่าวลาองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่าก่อนจะพากันกลับไป
ในตอนนี้ ภายในตำหนักจัดงานเลี้ยงมีเพียงองค์จักรพรรดิ ฮองเฮา ฉินอวี้โม่ องค์หญิงน้อยฉีฉี เสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิง และเยว่ชิงเฉิงเท่านั้นที่ยังอยู่
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าพาสหายทั้งสามออกไปเที่ยวชมวังหลวงก่อนเถิด ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะคุยกับอวี้โม่และเสด็จแม่ของเจ้า”
ผู้ปกครองแห่งจักรวรรดิกล่าวกับพระธิดาองค์น้อยเสียงอ่อนโยน เรื่องที่พวกเขาจะพูดคุยกันเป็นเรื่องที่ต้องการความเป็นส่วนตัวและไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้
“ก็ได้เพคะ ถ้าเช่นนั้นข้าออกไปก่อนก็ได้”
องค์หญิงฉีฉีน้อยพยักหน้าก่อนจะพาเสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิงออกไปเที่ยวเล่น
ฉินอวี้โม่ตามฮองเฮาเหวินหย่าและองค์จักรพรรดิเข้าไปยังห้องด้านใน
“เสี่ยวอวี้โม่ ตอนเจ้าออกจากเมืองเยว่กวาง เจ้ายังเก็บสิ่งที่ข้าฝากให้ท่านเจ้าเมืองมอบให้เจ้าเอาไว้อยู่รึเปล่า ?”
ฮองเฮาผู้อ่อนโยนเดินจูงมือฉินอวี้โม่เข้ามา พระนางนั่งลงก่อนจะดึงมือของสตรีน้อยที่นางนึกเอ็นดูให้นั่งข้าง ๆ สายตาที่สตรีสูงศักดิ์ใช้มองฉินอวี้โม่นั้นเต็มไปด้วยความเอ็นดูและรักใคร่
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและนำเหรียญตราเหรียญหนึ่งออกมา
นางสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดฮองเฮาเหวินหย่าถึงได้มอบของสิ่งนี้ให้นาง วันนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูคิดว่าองค์จักรพรรดิและฮองเฮาคงจะช่วยคลายความสงสัยนั้นให้ได้
ฉินอวี้โม่นำเหรียญนี้ติดตัวไว้ตลอดเวลา และเนื่องจากไม่รู้ว่าเหรียญนี้คืออะไรและจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร คุณหนูคนงามจึงไม่เคยนำมันออกมาเลย
ทว่าในทันทีที่หยิบเหรียญนี้ออกมาอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็สังเกตเห็นว่าเหรียญตรานี้มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง มันต่างไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด !
ก่อนหน้านี้ในตอนที่รับมันมาจากเจ้าเมืองเยว่กวาง ฉินอวี้โม่เห็นว่า มันยังเป็นเพียงเหรียญตราเล็ก ๆ ดูคล้ายกับโลหะแกะสลัก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือของนางกลับเป็นประกายวาววับดูเรียบลื่น เมื่อคุณหนูตระกูลฉินลองสัมผัสมันจนทั่ว นางก็พบว่าเนื้อของมันเนียนละเอียดคล้ายหยก ที่น่าประหลาดใจกว่านั้นคือ เหรียญหยกนี้ให้ความรู้สึกอุ่นซ่าน
นี่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกสนใจ ตอนนี้อดีตสาวนักฆ่ากำลังเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเหรียญตรานี้เป็นอย่างมาก
ทว่าเมื่อฮองเฮาเหวินหย่ามองเห็นเหรียญตราในมือฉินอวี้โม่ นางกลับดูไม่ประหลาดใจมากนัก มีเพียงรอยยิ้มที่ตื่นเต้นน้อย ๆ ปรากฏอยู่ที่มุมปาก
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยรับเหรียญตราจากมือฉินอวี้โม่มาและมองดูมันอย่างละเอียด ในตอนนั้นเอง มุมปากของเขาก็อดจะยกตัวขึ้นเป็นรอยยิ้มไม่ได้
กิริยาของบุรุษสตรีผู้สูงศักดิ์ทั้งสองพระองค์นั้น ราวกับว่าเหรียญตราที่กลายเป็นแผ่นหยกไปแล้วชิ้นนี้ มีความหมายบางอย่างและเป็นความทรงจำลึกซึ้งของพวกเขา
.
.
ตอนที่ 86 คนจากอาราม (2)
หานโม่ฉือจับมือบางของฉินอวี้โม่และเดินกลับไปยังที่นั่งของตระกูลฉิน
“ท่านปู่ ท่านอา นี่คือหานโม่ฉือ ว่าที่สามีของข้าเจ้าค่ะ”
เมื่อคู่รักหนุ่มสาวเดินมาถึงตำแหน่งที่ผู้นำตระกูลฉินนั่งอยู่ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยเรื่องนี้กับฉินเฟินและฉินหยางในทันที นางทราบดีว่าท่านปู่และท่านอาจะต้องมีคำถามมากมายแน่ แต่ถึงอย่างนั้นเวลานี้ก็ยังไม่สมควรที่พวกเขาจะสืบสาวเอาความกับนาง คุณหนูคนงามจึงมั่นใจว่าตอนนี้จะยังไม่ต้องกระอักกระอ่วนตอบคำถามน่าอายบางข้อ
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าว หานโม่ฉือก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย บุรุษน้ำแข็งส่งสายตามองค้อนนางมารน้อยของเขาพร้อมกับบีบมือบางในมือแน่นขึ้นอย่างคาดโทษ … ‘นางเป็นสตรีแบบใดถึงได้ใจกล้ากล่าวเช่นนั้นต่อหน้าญาติผู้ใหญ่ กล่าวเรื่องนี้ครั้งแรกก็ควรเป็นบุรุษอย่างเขาเป็นคนเอ่ยปากถึงจะเหมาะสม’
ฉินอวี้โม่เหลือบมองหานโม่ฉือแล้วอดขำใบหน้าคล้ายจะต่อว่านั้นไม่ได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจกับการที่นางแย่งเขาพูดเรื่องนี้เท่าไหร่นัก
ฉินเฟินและฉินหยางพยักหน้า แน่นอนว่าเพียงแค่ดูบรรยากาศอันอบอวลด้วยความอบอุ่นและสนิทสนมกันของสองหนุ่มสาวพวกเขาก็พอจะเข้าใจแล้ว ดังนั้นก็คงไม่ต้องกล่าวสิ่งใดให้มากความ
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟินกับบุตรชายก็หันมามองหน้ากัน พวกเขาตั้งใจไว้ว่าหลังกลับจากงานเลี้ยงพวกเขาคงต้องคุยเรื่องนี้กับหลานสาวตัวน้อยกันเสียหน่อย
แน่นอนว่าภาพที่ฉินเฟินและฉินหยางหันไปมองหน้าและส่งสายตาบางอย่างให้แก่กัน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเองก็เห็น ทว่าคู่รักหนุ่มสาวก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด
หานโม่ฉือนั่งลงตรงที่นั่งข้างกายคุณหนูตระกูลฉิน บุรุษมนุษย์น้ำแข็งจับมือว่าที่ภรรยาของเขาไว้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการประกาศให้ทุกคนในที่นี้ได้รับรู้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสอง
หานปิ่งเซียนนั้นคิดว่าไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องขัดขวาง และเขาก็ไม่เห็นหนทางที่จะห้ามปรามบุตรชายได้ เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือนั่งอยู่กับฉินอวี้โม่เช่นนั้น เขาก็ทำได้เพียงส่งยิ้มสุภาพเป็นเชิงขออนุญาตไปให้ฉินเฟินและฉินหยาง
ส่วนทางฝั่งตระกูลฉิน เมื่อเห็นว่าทางฝั่งผู้นำขุมกำลังลับที่ทรงอิทธิพลมากในแผ่นดินส่งยิ้มมา ฉินเฟินและฉินหยางเองก็ยิ้มกลับไปอย่างชื่นมื่น
“คุณหนู นี่คือว่าที่สามีของคุณหนูหรือเจ้าคะ ?”
แม้ว่าหานโม่ฉือจะดูเป็นบุรุษที่เข้าถึงได้ยากและไม่ว่าผู้ใดต่างก็หวั่นเกรงความเย็นชาและสภาวะพลังอันน่ากลัวในตัวเขา ทว่านั่นเป็นข้อยกเว้นสำหรับสาวใช้คนซื่อ เสี่ยวโร่วน้อยผู้ไม่มีความกลัวใด ๆ เอ่ยปากถามฉินอวี้โม่ออกไปตรง ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อาจจะนะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตอบคำถามของเสี่ยวโร่ว แต่ทันใดนั้นคุณหนูโฉมงามก็ได้เห็นสายตาทิ่มแทงระคนเจ็บปวดของบุรุษข้างกาย
“โม่เอ๋อร์ เจ้าไม่มั่นใจในตัวข้าอย่างนั้นหรือ ?”
หานโม่ฉือเอ่ยขึ้น ในน้ำเสียงของเขามีความขมขื่นเจืออยู่เล็กน้อย
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างหมดคำพูด ยิ่งใกล้ชิดกับเขามากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาต่างจากเปลือกนอกที่แสดงให้เห็นมากมายนัก
“อวี้โม่ โม่ฉือ พวกเจ้ามาถึงขั้นนี้กันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกให้ข้ารู้บ้างเลย”
ในตอนนั้นเอง หลินจิ้งหงก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
หานโม่ฉือถือเป็นสหายรักของเขา ในตอนที่คนผู้นี้รู้จักกับฉินอวี้โม่ พวกเขาก็อยู่ด้วยกันตลอด ที่สำคัญช่วงเวลานั้นหานโม่ฉือไม่มีท่าทีว่าจะสนใจไยดีสตรีตระกูลฉินผู้นี้แม้แต่น้อย
ทว่าเหตุใด จู่ ๆ ตอนนี้พวกเขาถึงได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันถึงเพียงนี้
ต้องกล่าวเลยว่าในเวลานี้หัวใจของหลินจิ้งหงกำลังอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกอันหลากหลายและซับซ้อน ความโกรธเคือง ความเศร้าโศก ความน้อยใจ ความขื่นขม ผสมปนเปและหมุนวนไปในหัวใจของเขาจนยากจะบรรยาย ก่อนหน้านี้เขายอมรับว่ามีความรู้สึกดี ๆ ให้กับฉินอวี้โม่ เขารู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่หาได้ยากในโลกใบนี้ หลินจิ้งหงรู้สึกว่าสตรีไม่ธรรมดาผู้นี้คู่ควรที่จะมาเป็นภรรยาของเขาผู้ซึ่งเป็นนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างมากที่สุด
ทว่าจู่ๆ วันนี้เขาก็ได้มารับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสตรีที่เขาหมายปองกับสหายรักของเขาอย่างกะทันหัน แน่นอนว่าหัวใจของคุณชายผู้หยิ่งยโสก็เกิดความเจ็บปวดเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม หลินจิ้งหงก็มีความจริงใจกับหานโม่ฉือสหายสนิท
บุรุษน้ำแข็งผู้นี้คือเพื่อนรักของเขา ตั้งแต่รู้จักกันมา หลินจิ้งหงไม่เคยเห็นหานโม่ฉือใกล้ชิดกับสตรีมาก่อน อย่าว่าแต่เหล่าสตรี แม้แต่บุรุษที่เป็นสหายสนิทอย่างเขาบางครั้งก็ยังเข้าไม่ถึงความรู้สึกนึกคิดของคนผู้นี้ เพราะที่ผ่านมา หานโม่ฉือมักจะสวมหน้ากากเย็นชาต่อหน้าผู้คนและสร้างกำแพงหนาคุ้มกันหัวใจเอาไว้เสมอ ฉะนั้น หลินจิ้งหงจึงคิดว่าคงจะไม่มีสตรีคนใดผ่านเข้าไปในหัวใจอันหนาวเหน็บของมนุษย์น้ำแข็งเพื่อนรักได้ ทว่าเขาก็รู้ดีที่สุดว่าลึก ๆ แล้วสหายของเขาโดดเดี่ยวเพียงใด หานโม่ฉือนั้นกำลังแบกรับเรื่องราวที่หนักหนาสาหัสไว้ด้วยตัวคนเดียว ในตอนนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่เข้ามาในชีวิตของหานโม่ฉือ เขาก็ควรจะดีใจกับสหายถึงจะถูก
ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้หลินจิ้งหงต้องพยายามสยบความปวดร้าวในใจและปั้นยิ้มขี้เล่นส่งให้สหาย
“ข้าขอโทษเจ้าด้วย บอกตอนนี้คงไม่สายไปใช่ไหม ?”
หานโม่ฉือมองหลินจิ้งหงก่อนจะเอ่ยขออภัยด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่หาได้ยากยิ่งของสหายน้ำแข็ง หลินจิ้งหงก็ตระหนักได้ในตอนนั้นว่าคงมีเพียงนาง–ฉินอวี้โม่ สตรีผู้กำลังอยู่เคียงข้างหานโม่ฉือผู้นี้คนเดียวเท่านั้น ที่สามารถเปลี่ยนแปลงเพื่อนรักของเขาได้ ซึ่งยิ่งเมื่อเห็นเช่นนี้ นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็ยิ่งต้องกดข่มความรู้สึกในหัวใจของตัวเองไว้
หากกล่าวกันตามตรง หลังจากที่กลับมาจากเมืองหลิงซี ทั้งหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือก็แทบไม่ได้พบหน้ากันเลย
พวกเขาทั้งสองคนต่างก็มีงานและภารกิจมากมายของตัวเองที่ต้องจัดการ น้อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาจะมีโอกาสได้พบหน้ากัน ในช่วงนี้หานโม่ฉือยุ่งกับงานภายในตระกูลหาน หลินจิ้งหงรู้มาว่าก่อนที่เขาจะไปยังป่าแสงจันทร์ ดูเหมือนว่าสหายมนุษย์น้ำแข็งจะกำลังทำการสืบสวนบางอย่างอยู่
ส่วนหลินจิ้งหงเองก็มีงานมากมายให้จัดการที่สมาคมทหารรับจ้าง
“เอาเถอะ หากว่าเจ้าอยากให้ข้ายกโทษให้ ไว้มีโอกาสเจ้าช่วยเลี้ยงอาหารข้าที่ตึกเต๋อเยว่สักมื้อก็แล้วกัน”
หลินจิ้งหงพยักหน้าและนั่งลงด้วยท่าทางสบาย ๆ ข้างกายฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ
ในตอนนี้สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมายังตระกูลฉิน
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด เรื่องนี้ทุกคนในนครไป๋อวิ๋นต่างก็ทราบกันดี แต่เมื่อได้ฟังจากคำพูด ท่าทาง รวมถึงน้ำเสียงของหลินจิ้งหง ทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าหลินจิ้งหงรู้จักคุ้นเคยกับฉินอวี้โม่ไม่น้อย ยิ่งกว่านั้น บางคนยังคาดเดาได้อีกด้วยว่าคุณชายแห่งสมาคมทหารรับจ้างผู้นี้เองก็คงมีใจให้คุณหนูตระกูลฉินเช่นกัน
ในตอนนี้สายตาทุกคู่ที่มองมายังฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปจากเดิม ก่อนหน้านี้พวกเขาทราบเพียงว่าคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้มาจากตระกูลสาขาที่ตั้งอยู่ในเมืองเล็กๆ อันแสนห่างไกลอย่างหลิงซี ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าสตรีจากแดนไกลจะมีสิ่งใดที่พิเศษ และในสายตาของขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายพวกเขายังไม่นับนางเป็นสมาชิกของตระกูลฉินเลยด้วยซ้ำ
ทว่าเวลานี้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องจับตาดูฉินอวี้โม่ผู้นี้เสียแล้ว หากนางสามารถเป็นสหายกับหลินจิ้งหง เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับหานโม่ฉือได้ นั่นแสดงว่าสตรีผู้นี้ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
หลังจากหลินจิ้งหงนั่งลงได้เพียงชั่วครู่เดียว ฉีเยวี่ยนเวย จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและฮองเฮาเหวินหย่าก็เสด็จมาถึงพื้นที่จัดงาน
ทุกคนในตำหนักจัดงานเลี้ยงต่างก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง แม้ว่าพลังอำนาจของราชสำนักจะไม่ได้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรมากมายในดินแดนที่มีเหล่าขุมกำลังมหาอำนาจอยู่อย่างชุกชุมเช่นหวนหลิง แต่อย่างไรทุกคนก็ยังให้ความเคารพต่อราชวงศ์ซึ่งเป็นผู้ปกครองแผ่นดินอยู่ดี
“ทุกท่านไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้ โปรดนั่งลงเถิด งานเลี้ยงครั้งนี้เชิญสนุกให้เต็มที่ ขอให้คิดว่ามันไม่ต่างจากงานเลี้ยงธรรมดา ๆ”
จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสกับแขกผู้มาร่วมงานด้วยรอยยิ้ม พระองค์มีพระพักตร์คล้ายกับองค์ชายฉีอวี้ถึงแปดส่วน พระวรกายผึ่งผายสง่างามดูภูมิฐาน แม้จะมีรัศมีแห่งพระบารมีสูงส่งแต่ก็มีกิริยาท่าทางอบอุ่นอ่อนโยน ดูแล้วคล้ายกับว่าพระองค์จะเป็นจักรพรรดิที่เข้าถึงได้ง่าย
“เสี่ยวอวี้โม่ ไหน ๆ ก็มาถึงนครไป๋อวิ๋นแล้ว เหตุใดไม่แวะมาเยี่ยมป้าเหวินหย่าผู้นี้บ้างเลย ?”
ในตอนนั้นเองที่ฮองเฮาเหวินหย่ามองเห็นฉินอวี้โม่ในตำแหน่งที่นั่งของตระกูลฉิน พระนางเดินเข้ามาหาดรุณีผู้เก่งกล้าที่พบในเมืองเยว่กวางด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงที่ใช้เอ่ยฟังดูคล้ายมีเศษเสี้ยวแห่งความน้อยใจเล็ก ๆ เจืออยู่
ฉินอวี้โม่รีบลุกขึ้นมาต้อนรับ และเป็นตอนนั้นเองที่ฮองเฮาเหวินหย่าดึงนางเข้ามากอดอย่างอบอุ่น “องค์ฮองเฮา มีเรื่องบางอย่างทำให้หม่อมฉันต้องชักช้าไปบ้าง ขอพระองค์ได้โปรดอย่าถือสาเลยนะเพคะ”
อันที่จริง ฉินอวี้โม่ตั้งใจจะเข้าไปเยี่ยมเยือนฮองเฮาเหวินหย่าตั้งแต่เมื่อครั้งมาถึงนครไป๋อวิ๋นในช่วงแรก ๆ แล้ว ทว่าเป็นเพราะอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูมัวแต่คร่ำเคร่งกับการศึกษาวิชาการหลอมและหาหนทางพัฒนาฝีมือ นางวิ่งเข้าวิ่งออกสมาคมช่างหลอมทุกวัน ศึกษาตำราช่างหลอมอย่างหนักหน่วงแทบไม่หยุดพักจนในที่สุดก็ทำให้หลงลืมเรื่องนั้นไป
เวลานี้ เมื่อนึกขึ้นได้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกเสียใจและกระอักกระอ่วน
“เด็กโง่ ข้าจะตำหนิเจ้าได้อย่างไร แล้วจำไว้ ต่อไปไม่ต้องเรียกข้าว่าฮองเฮา เรียกว่าป้าเหวินหย่าก็พอ”
เมื่อฮองเฮาเหวินหย่าได้ยินน้ำเสียงที่เสียใจอย่างสุดซึ้งของฉินอวี้โม่ สตรีผู้สูงศักดิ์ก็ลูบหัวสตรีน้อยตรงหน้าอย่างอ่อนโยน
“หยาหย่า นี่คือแม่นางอวี้โม่ที่เจ้าเล่าให้ข้าฟังก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่ ?”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยเดินตรงเข้ามาและมองสำรวจใบหน้าของฉินอวี้โม่ก่อนจะพยักหน้าอย่างนุ่มนวลแล้วกล่าวต่อ
“เหมือนกันจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ตกตะลึงเมื่อได้ยินคำกล่าวขององค์จักรพรรดิ
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าก็เรียกข้าว่าท่านลุงเถอะนะ”
จักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นผู้นี้ใจดีเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาก็มีแต่ความอบอุ่นและเป็นกันเอง
เขาได้ยินมาจากฮองเฮาเหวินหย่าว่านางได้พบกับเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับสหายเก่าของนางหลายส่วน ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นแล้ว บุรุษผู้ปกครองแผ่นดินก็ต้องยอมรับว่าคล้ายกันมากจริง ๆ ยิ่งกว่านั้น โอรสและธิดาของเขาทั้งคู่ก็ดูจะชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่น้อย แน่นอนว่าเขาเองก็ประทับใจในตัวแม่นางน้อยผู้นี้เช่นกัน
ฉินอวี้โม่ก้มหัวคารวะ นางสัมผัสได้ถึงพระเมตตาที่องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยมีต่อนาง ในเรื่องนี้นางไม่ทราบความใด ๆ จึงไม่สามารถปฏิเสธ ตอนนี้เท่าที่ลองจับความดูแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็เข้าใจว่าฮองเฮาเหวินหย่ากับจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยน่าจะรู้จักใครบางคนที่ดูคล้ายตัวนางมาก อย่างไรก็ตาม คุณหนูคนงามก็ไม่ค่อยมั่นใจนัก
“เสี่ยวอวี้โม่ หลังจบงานเลี้ยงอย่าเพิ่งออกไปไหน ข้ามีบางอย่างอยากจะพูดคุยกับเจ้า”
ฮองเฮาเหวินหย่าเอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าในน้ำเสียงก็แฝงด้วยความจริงจังส่วนหนึ่ง เมื่อเห็นสาวน้อยพยักหน้า พระนางกับองค์จักรพรรดิก็เดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์
“ดังเช่นที่ทุกท่านทราบกันดี ทุก ๆ ปีก่อนที่โรงเรียนราชสำนักจะเปิดภาคการศึกษา พวกเราจะจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำขึ้นในพระราชวังไป๋อวิ๋น เพื่อให้ทุกขุมกำลังของเมืองหลวงได้มาพบปะกัน แลกเปลี่ยนเรื่องราวข่าวสาร รวมถึงทำความรู้จักสนิทสนมก่อนที่เหล่าลูกหลานคนรุ่นใหม่จะเข้าไปศึกษาร่วมกันในโรงเรียนราชสำนัก ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์สร้างความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียว และข้าก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่านี่จะเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ที่จะช่วยให้จักรวรรดิไป๋อวิ๋นของเราแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสแก่ทุกคนในงานเลี้ยงด้วยน้ำเสียงที่ทรงอำนาจและน่ายำเกรง
จักรวรรดิไป๋อวิ๋นจะให้ความสนใจในการพัฒนาผู้มีพรสวรรค์ และจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ชมชอบและชื่นชมในเหล่าผู้มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก หลายคนที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนัก เมื่อจบออกมาพวกเขาก็จะได้ทำงานในพระราชวัง อย่างไรก็ตามจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็ไม่ได้บีบบังคับให้ทุกคนทำงานเพื่อราชสำนัก แต่เขาจะใช้วิธีจูงใจโดยมอบสิ่งตอบแทนที่แสนคุ้มค่า และให้ผู้ที่เข้าร่วมกับทางจักรวรรดิได้ใช้ทรัพยากรอย่างดีที่สุด ซึ่งวิธีนี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ในหลายปีที่ผ่านมา วังหลวงใช้งานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักเพื่อให้ได้พบปะและใกล้ชิดกับขุมกำลังในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด โดยงานเลี้ยงจะจัดขึ้นภายใต้พระนามขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทางวังหลวงจะดูแลรับผิดชอบการจัดงานในทุกส่วน นอกจากอาหารและเครื่องดื่มจากห้องเครื่องหลวงแล้วก็ยังมีการแจกของกำนัลและของรางวัลภายในงานอีกด้วย งานเลี้ยงในครั้งนี้นับว่าเป็นการซื้อใจเหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีความสำคัญต่อจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นอย่างมาก
“การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้มีความคึกคักกว่าปีก่อนมาก ครั้งนี้เหล่าจอมยุทธ์รุ่นเยาว์จากทั่วดินแดนมารวมตัวกันเป็นจำนวนมหาศาล และทุกคนที่มุ่งมั่นเดินทางมาที่นี่ก็ล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์สูงส่งและเป็นความหวังของตระกูล ข้าได้แต่หวังว่าทุกคนจะสามารถเข้าไปศึกษาในโรงเรียนราชสำนักได้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ หลังจากกลายเป็นนักเรียนของโรงเรียนราชสำนัก พวกท่านก็จะเป็นผู้ที่คนทั่วทั้งแผ่นดินจับตามอง !”
องค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยตรัสต่อ แม้ว่าจะขึ้นชื่อว่าโรงเรียนราชสำนัก แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของที่นี่กลับไม่ได้เห็นประโยชน์ต่อราชสำนักเป็นที่หนึ่ง โรงเรียนราชสำนักภายใต้การปกครองของจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยนั้นเพียงแต่ต้องการจะผลิตบัณฑิตที่มีคุณภาพ และสามารถดึงศักยภาพอันเป็นเลิศของนักเรียนทุกคนออกมาได้อย่างเฉิดฉาย เพราะจักรพรรดิพระองค์นี้ไม่มีความเห็นแก่ตัวอยู่เลยแม้แต่น้อย ความตั้งใจจริงแท้ของเขาคืออยากให้ทุกคนแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จได้
เหล่าผู้ดูแลโรงเรียนราชสำนักก็เช่นกัน พวกเขามีความหวังสูงสุดว่าวันหนึ่งผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแห่งไป๋อวิ๋นจะกลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลติดในอันดับต้น ๆ ของหวนหลิง โดยไม่จำเป็นว่าจะเป็นคนในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นหรือต้องทำงานให้แก่จักรวรรดิแห่งนี้เท่านั้น
ในดินแดนมายาแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก และหนทางที่จะก้าวไปให้ถึงจุดนั้นก็มิใช่เรื่องง่าย มันทั้งยาวไกลและมีอุปสรรคมากมายให้ข้ามผ่าน การจบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักจึงเป็นเพียงความสำเร็จก้าวแรกเท่านั้น
“ฮ่า ๆ ฝ่าบาทก็ช่างจะกล่าวนะ ‘ข้าหวังให้ทุกคนได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักได้ตามที่ตั้งใจไว้’ แต่ถึงอย่างไรจำนวนคนที่ทางราชสำนักเปิดรับก็มีจำกัดอยู่ดี ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าไปได้แล้วมั้ง”
ทันทีที่เสียงขององค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยสิ้นสุดลง ก็มีวาจาเสียดสีเสียงหนึ่งดังขึ้น
บุรุษจำนวนนับสิบค่อย ๆ ย่างเท้าเข้ามาในพื้นที่จัดงานเลี้ยงและเรียกให้ทุกสายตาหันไปจ้องมองพวกเขา
คนในกลุ่มทุกคนสวมชุดสีขาว ผู้นำของคนกลุ่มนี้เป็นบุรุษวัยกลางคนที่ค่อนไปทางสูงอายุ ทางด้านหลังเขามีคนรุ่นเยาว์กว่าสิบคนติดตามมา ซึ่งเมื่อดูแล้วคนทั้งหมดก็ล้วนแต่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งด้วยกันทั้งสิ้น
“ฮ่า ๆ วันนี้แม้จะไม่ได้รับเชิญ แต่ทางอารามของเราก็ตั้งใจมา ขอฝ่าบาทอย่าได้ตำหนิ”
บุรุษวัยกลางคนค่อนสูงอายุที่ดูเหมือนเป็นผู้นำผู้นั้นก้าวออกมาและเอ่ยขออภัยกับองค์จักรพรรดิ แม้จะกล่าววาจาเป็นเชิงขอโทษ ทว่าน้ำเสียง สีหน้า และแววตาของคนผู้นี้กลับไม่มีความรู้สึกผิดหรือขออภัยใด ๆ ทั้งสิ้น
เมื่อได้ยินบุรุษวัยกลางคนผู้มาใหม่กล่าวอ้างว่าตนมาจากอาราม คนจำนวนมากที่อยู่ในงานเลี้ยงต่างก็หยุดชะงักด้วยความตกใจ แต่กระนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมา อย่างไรก็ตาม ท่าทีของบุรุษวัยใกล้สูงอายุผู้นี้ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ไม่ใคร่จะชอบใจเท่าไหร่นัก
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนจากอารามที่แสนภาคภูมิใจในตนเอง… แม้ว่าพวกเขาจะเป็นขุมกำลังที่แข็งแกร่งและยากที่จะรับมือ… แต่แล้วอย่างไร ? ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น และนี่คืองานเลี้ยงที่รวมเหล่าขุมกำลังที่มีอำนาจมหาศาลมาจากทั้งจักรวรรดิ ที่แห่งนี้มีผู้มีอำนาจไม่น้อยและที่สำคัญพวกเขาไม่เกรงกลัวคนจากอาราม
“ฮ่า ๆ ท่านก็อย่าล้อเล่นเลย มันเป็นเกียรติของนครไป๋อวิ๋นของเราเสียอีกที่ทางอารามอุตส่าห์มาเยือนเช่นนี้ แต่ที่ข้าไม่ทราบก็คือวันนี้ทางขุมกำลังทรงอำนาจอย่างอารามมาทำสิ่งใดที่นครไป๋อวิ๋นของเรา ?”
องค์ฉีเยวี่ยนเวยนั้น สมแล้วที่เป็นถึงผู้นำแห่งจักรวรรดิ ในตอนนี้สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย วาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมา แม้คล้ายจะเกรงใจ แต่ทว่ากลับมีความน่ายำเกรงอยู่อย่างเปี่ยมล้นและไม่มีท่าทีเกรงกลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย
“ทางอารามของเราได้ยินมาว่าโรงเรียนราชสำนักของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเป็นเลิศนัก ทางเราเองจึงอยากจะส่งคนมาลองเข้าร่วมการทดสอบเพื่อดูว่าโรงเรียนราชสำนักแห่งนี้จะดีเลิศอย่างที่เล่าลือหรือไม่ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทจะขัดข้องสิ่งใดไหม ?”
แท้จริงแล้ว บุรุษวัยกลางคนที่นำกลุ่มคนรุ่นเยาว์จากอารามมามิใช่ใครอื่น เขาคือ–ลิ่วรุ่ย บิดาของลิ่วเยว่ที่ทุกคนคิดว่าถูกหานโม่ฉือสังหารไปในป่าแสงจันทร์ เขาคือผู้อาวุโสสองแห่งอาราม และในวันนี้เขาก็มาที่นี่เพื่อหาทางแก้แค้นให้บุตรชายโดยเฉพาะ
แม้ว่าทางเจ้าอารามจะเคยกล่าวไว้ว่าหานโม่ฉือไม่ใช่ผู้ที่ใครจะเข้าไปยั่วยุได้ ทว่าลิ่วรุ่ยก็ไม่สนใจ
วันนี้เขาจะแสดงให้คนรุ่นเยาว์แสนโอหังผู้นั้นได้รู้ว่าความน่ากลัวของขุมกำลังใหญ่อย่างอารามเป็นเช่นไร !
แม้ว่าก่อนเดินทางออกมา เขาจะให้สัญญาว่าจะไม่เข้าไปยุ่งกับหานโม่ฉือและจะจัดการเพียงแค่ฉินอวี้โม่ แต่แท้จริงแล้ว บุรุษผู้คั่งแค้นเพราะสูญเสียบุตรชายวางแผนไว้ว่าจะหาโอกาสสังหารทั้งฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือไปพร้อมกัน
.
ตอนที่ 85 เปิดตัว
ชุดขาวนวลดุจแสงจันทร์ ร่างสูงใหญ่สง่าผ่าเผย แผ่นหลังยืดตรง บ่ากว้างแข็งแกร่งดูองอาจ ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้จะงดงามสูงส่งและเปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ดึงดูดใจชวนให้หลงใหลอยากใกล้ชิด ทว่าบรรยากาศรวมถึงสภาวะพลังอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากร่างของเขากลับทำให้ผู้คนที่เข้าใกล้รู้สึกหวาดหวั่น
คนผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือบุรุษน้ำแข็งหานโม่ฉือที่ฉินอวี้โม่ไม่ได้เห็นหน้ามาสามวันแล้ว
ฉินอวี้โม่คาดไม่ถึงว่ามนุษย์น้ำแข็งของนางจะมาที่งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้ด้วย ตามความรู้สึกของอดีตสาวนักฆ่า หานโม่ฉือนั้นเป็นคนเก็บตัว ไม่ชอบสมาคมกับคนหมู่มาก และไม่สนใจงานเลี้ยงสังสรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ในตอนที่เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักที่ต้องพบเจอกับนักเรียนร่วมชั้นจำนวนมาก หากไม่นับหลิงจิ้งหงแล้ว คนผู้นี้ก็แทบไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด ทว่าเขาก็ยังนับเป็นอัจฉริยะหาตัวจับยากที่มีฝีมือสูงส่งเสียยิ่งกว่าบัณฑิตคนไหน ๆ ของสถาบันผลิตยอดฝีมือชื่อดังแห่งนี้
ในคราแรกที่เห็นหานโม่ฉือปรากฏตัว ฉินอวี้โม่ก็นิ่งอึ้ง ทว่าเพียงชั่วอึดใจหลังจากนั้น คุณหนูคนงามแห่งตระกูลฉินก็แย้มรอยยิ้มดีใจ
แท้จริงแล้ว หานโม่ฉือไม่ได้อยากมางานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวังครั้งนี้ ทว่าหลังจากได้ทราบว่าสตรีในหัวใจของเขาตั้งใจจะเข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย คุณชายน้ำแข็งก็เปลี่ยนใจอย่างฉับพลัน และต่อให้เขาไม่อยากออกงานมากเพียงใด เขาก็ยังคงอุตส่าห์มาจนถึงที่นี่
ในตอนแรกที่เห็นอาภรณ์สีขาวดุจแสงจันทร์ที่หานโม่ฉือส่งมาให้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทว่าเมื่อได้เห็นอาภรณ์สีเดียวกันบนร่างกายใหญ่โตของเขาในเวลานี้ คุณหนูคนงามก็เข้าใจเรื่องทั้งหมด
“คารวะท่านผู้นำตระกูลฉิน ข้ามิได้เจอหน้าท่านมานานมากแล้ว ไม่ทราบว่าท่านสบายดีหรือไม่ ?”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็เดินตรงเข้ามายังที่นั่งฝั่งขวาของบัลลังก์อย่างองอาจแล้วหยุดลงที่โต๊ะตัวหน้าสุด ที่ตรงนั้นเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลฉิน บุรุษเย็นชาตระกูลหานเอ่ยคำคารวะฉินเฟินด้วยกิริยาค่อนข้างนอบน้อม
หานโม่ฉือนับฉินอวี้โม่เป็นภรรยาของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงถือว่าตัวเขาควรจะปฏิบัติอย่างให้เกียรติ และให้ความเคารพฉินเฟินผู้ซึ่งเป็นปู่ของนาง
ทว่า การกระทำของหานโม่ฉือเช่นนี้ กลับทำให้ท่านผู้นำตระกูลฉินถึงกับนิ่งค้างไป
ต้องทราบก่อนว่าหานโม่ฉือผู้นี้มีชื่อเสียงด้านความเย็นชาและไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา ไม่ต้องกล่าวถึงผู้นำตระกูลฉินเลย เพราะแม้แต่ต่อหน้าองค์จักรพรรดิแห่งไป๋อวิ๋น หานโม่ฉือก็ยังมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบเฉย ที่สำคัญบุรุษน้ำแข็งผู้นี้ไม่เคยเข้าไปทักทายผู้ใดอย่างออกหน้าออกตาเช่นที่เขาเพิ่งทำไปเมื่อครู่สักครั้ง และการเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงที่ดูออกจะนอบน้อมของเขาในวันนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน
บุรุษอาวุโสฉินเฟินตกตะลึงไม่น้อยที่เห็นว่าจู่ ๆ คุณชายตระกูลหาน อัจฉริยะอายุน้อยแต่ไม่เคยสนใจใครผู้นี้ ก็เดินเข้ามาทักทายเขา อย่างไรก็ตาม คนสูงวัยที่เป็นถึงผู้นำตระกูลเช่นเขาเรื่องการรักษาภาพลักษณ์นั้นไม่ต้องเอ่ยถึง ฉินเฟินผู้เฒ่าดึงสติกลับมาได้ในพริบตาก่อนจะยิ้มแล้วกล่าว “ขอบคุณ คุณชายหานที่เป็นห่วงสุภาพของชายชราผู้นี้ ข้ายังคงแข็งแรงดี”
ฉินเฟินรู้สึกว่าหานโม่ฉือเพียงแค่เข้ามาทักทายและไม่ได้มีความนัยใดอื่นแอบแฝง แต่กระนั้นเขาก็มิวายนึกสงสัยเหลือเกินว่า บุรุษผู้ไม่เคยเห็นผู้ใดในสายตาอย่างคนหนุ่มผู้นี้เหตุใดถึงได้เป็นฝ่ายเดินเข้ามาทักทายเขาได้
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่าฉินเฟินนั้นอยู่ดูโลกมามากแล้ว จึงเป็นที่แน่นอนว่าตั้งแต่เริ่มต้นที่หานโม่ฉือก้าวเข้ามาจนถึงตอนนี้สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย ใบหน้าชราที่กำลังยิ้มอ่อน ๆ ยังคงประดับรอยยิ้มน่าเลื่อมใสอย่างเป็นปกติ
เมื่อทักทายผู้นำตระกูลเรียบร้อย หานโม่ฉือก็เข้าไปทักทายบุรุษอาวุโสคนถัดไปแห่งตระกูลฉินนั่นก็คือฉินหยาง การกระทำของเขาราวกับตั้งใจจะสานสัมพันธ์และสร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับตระกูลใหญ่นี้
และนี่เองที่ทำให้ทุกคนในตำหนักจัดเลี้ยงรู้สึกถึงความแปลกประหลาด ในตอนนี้เริ่มมีคนรวมกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเบา ๆ แล้ว ทุกคนต่างก็เริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์อย่างลับ ๆ ของตระกูลหานและตระกูลฉินว่าแน่นแฟ้นถึงระดับใด…เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองตระกูลใหญ่นี้วางแผนจะผนึกกำลังลงมือทำบางสิ่งอยู่ ?
ในตอนนี้ใบหน้าของผู้นำตระกูลเหล่ยบึ้งตึงเป็นอย่างยิ่ง ดูราวกับว่าเขากำลังนึกคิดเรื่องราวอันแสนเลวร้ายอยู่ หากตระกูลฉินและตระกูลหานผนึกกำลังเป็นหนึ่งได้ เห็นทีว่าตระกูลเหล่ยคงต้องจบสิ้นแล้ว
อย่างไรก็ตาม หานโม่ฉือก็ไม่ปล่อยให้ทุกคนสงสัยกันนานนัก
เขาเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยเสียงไม่ดังไม่เบา “อวี้โม่ เจ้าชอบชุดที่ข้าส่งไปให้รึเปล่า ?”
แม้ว่านางจะไม่ทราบว่าวันนี้มนุษย์น้ำแข็งของนางตั้งใจจะทำสิ่งใด ทว่าสาวงามก็ยังลุกขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลย”
“ฮ่า ๆ ๆ ”
เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ หานโม่ฉือก็หัวเราะออกมาผู้คนในงานเลี้ยงก็ประหลาดใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในความคิดของทุกคนหานโม่ฉือเป็นบุรุษที่จริงจังเคร่งเครียดอยู่เสมอ ไม่ใช่แต่เพียงคนทั่วทั้งเมืองไป๋อวิ๋นจะไม่เคยมีใครได้เห็นรอยยิ้มของคนผู้นี้ แต่แม้กระทั่งหานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานก็ยังไม่เคยเห็นเขาหัวเราะเช่นนี้มาก่อน
ในวันนี้พวกเขาเห็นหานโม่ฉือกำลังยิ้มร่า อีกทั้งยังเป็นรอยยิ้มที่ดูมีความสุขอย่างเปี่ยมล้น แน่นอนว่าทุกคนในงานต่างพากันตกตะลึงและนิ่งอึ้งไปคล้ายทำสิ่งใดไม่ถูก
“เช่นนั้นก็ดี มีเพียงแค่เจ้าเท่านั้นที่เหมาะสมกับชุดนี้”
หานโม่ฉือยิ้มสดใสก่อนจะยื่นมือใหญ่ออกไปตรงหน้าฉินอวี้โม่
เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณหนูผู้งดงามก็ยื่นมือบางออกไปวางบนฝ่ามือของเขา ในตอนนี้ฉินอวี้โม่เข้าใจความตั้งใจของคนตรงหน้าแล้ว บุรุษเย็นชาของนางคิดจะใช้งานเลี้ยงใหญ่ในวังหลวงวันนี้เพื่อประกาศให้เหล่าผู้มีอำนาจน้อยใหญ่ทั้งหลายจากทุกขุมกำลังรับรู้ว่า ฉินอวี้โม่–คุณหนูสี่ผู้งดงามแห่งตระกูลฉินเป็นของเขาแล้ว และต่อไปนี้ผู้ใดก็ตามที่คิดจะกระทำการล่วงเกินฉินอวี้โม่ก็เท่ากับตั้งตัวเป็นศัตรูกับหานโม่ฉือด้วย
“อวี้โม่ ข้าอยากจะแนะนำคนในครอบครัวของข้าให้เจ้ารู้จัก”
เมื่อเห็นนางวางมือเล็กลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขา หานโม่ฉือก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาจูงมือฉินอวี้โม่เดินตัดผ่านลานหน้าบัลลังก์ไปยังที่นั่งของตระกูลหานในฝั่งตรงข้าม สองหนุ่มสาวหยุดลงตรงหน้าหานปิ่งเซียน
“ท่านพ่อ นี่คืออวี้โม่ ว่าที่ลูกสะใภ้ของท่าน”
หานโม่ฉือเอ่ยแนะนำว่าที่ภรรยากับหานปิ่งเซียนที่กำลังทอแววตาประหลาดใจ ก่อนจะหันมากล่าวกับสตรีข้างกายต่อ “อวี้โม่ นี่คือท่านพ่อของข้า หานปิ่งเซียน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและโค้งตัวลง “คารวะท่านลุงหานเจ้าค่ะ”
“ยินดีต้อนรับเสี่ยวอวี้โม่”
ด้วยตำแหน่งผู้นำสูงสุดของตระกูล หานปิ่งเซียนเองก็ดึงสติกลับมาและตอบสนองกลับได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นบุตรชายจับจูงมือสตรีน้อยแสนงดงามผู้นี้แน่นและพาเดินมาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นสุข ผู้เป็นบิดาอย่างเขาก็พอจะคาดเดาได้บ้างแล้ว
ในหัวใจของหานปิ่งเซียน เขารู้สึกติดค้างบุตรชายคนนี้มาก ที่หานโม่ฉือเป็นคนเย็นชาเหมือนเช่นทุกวันนี้ก็ล้วนแต่เป็นความผิดของเขา
แม้ว่าหานโม่ฉือจะไม่เคยตำหนิเขาหรือไม่เคยกล่าวสิ่งใดออกมา แต่หานปิ่งเซียนนั้นรู้ดีว่าหานโม่ฉือต้องทนทุกข์ทรมานและทำงานอย่างหนักหน่วงมานานหลายปีแล้ว
ในตอนนี้เมื่อเห็นบุตรชายกุมมือของหญิงสาวผู้หนึ่งแน่น อีกทั้งใบหน้ายังประดับรอยยิ้มมีความสุข หานปิ่งเซียนเองก็รู้สึกมีความสุขไปกับผู้เป็นลูกด้วย ชีวิตนี้ของเขานับว่าไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว ฉะนั้นแล้วเขาจึงยอมรับคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้อย่างไร้เงื่อนไข
เมื่อได้ยินวาจาสั้น ๆ ของหานปิ่งเซียน หานโม่ฉือก็เข้าใจในความหมายของบิดา เขายิ้มขอบคุณให้หานปิ่งเซียนจากหัวใจ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นรอยยิ้มอย่างเป็นสุขครั้งแรกของบุตรชายผู้นี้ที่ผู้เป็นพ่อได้สัมผัสตรง ๆ ต่อหน้า และมันก็ทำให้หัวใจของผู้นำตระกูลหานพองโตอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี
หลังจากแนะนำว่าที่ภรรยาให้บิดารู้จัก บุรุษน้ำแข็งก็หันไปมองหานโม่หยวนน้องชายต่างมารดาของตน
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามา หานโม่หยวนก็จับตามองฉินอวี้โม่มาตลอด ความโกรธของเขายังสุมอยู่ในหัวใจไม่จางหาย เมื่อนึกถึงเรื่องที่สตรีจองหองผู้นี้เพิ่งจะระเบิดรถม้าต่อหน้าเขา หานโม่หยวนก็ตัดสินใจไว้แล้วว่าหลังจบงานเลี้ยงเขาจะคิดบัญชีแค้นนี้กับนาง
ทว่าเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่หานโม่ฉือก้าวเข้ามาในงานเลี้ยง คุณชายรองตระกูลหานก็ต้องนั่งนิ่งตกตะลึงอย่างโง่งมไปพักใหญ่กว่าจะดึงสติกลับคืนมาเช่นเดิมได้ และในตอนที่หานโม่ฉือจับจูงมือฉินอวี้โม่เดินเข้ามาเขาก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคียดแค้น
เมื่อหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่อยู่เคียงคู่กันเช่นนี้ พวกเขาก็ดูราวกับมังกรคู่ที่เหมาะสมกันอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นในวันนี้สองหนุ่มสาวยังสวมใส่ชุดสีขาวแสงจันทร์ที่เข้าคู่กันอย่างลงตัว ซึ่งนั่นก็ทำให้ทั้งคู่ยิ่งดูกลมกลืนกันเป็นหนึ่ง ผู้คนในงานที่เฝ้าดูอยู่ได้แต่คิดว่าพวกเขาเป็นคู่ที่เกิดมาเพื่อเคียงข้างกันโดยแท้
หานโม่หยวนไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดตั้งแต่เล็กจนโต หานโม่ฉือผู้นี้ถึงได้ดิบได้ดีมากกว่าเขาไปเสียทุกอย่าง ตอนนี้แม้แต่เรื่องสตรี อีกฝ่ายก็ยังได้ดีกว่าเขาอีก และที่สำคัญที่สุดสตรีผู้นั้นยังเป็นยอดฝีมือจองหองที่ถึงกับกล้าทำลายรถม้าของพวกเขาไปอย่างไม่ไว้หน้า…นี่เท่ากับว่านางได้ประกาศความเป็นศัตรูกับเขาแล้วใช่หรือไม่ ?!
“อวี้โม่ นี่หานโม่หยวน น้องชายต่างมารดาของข้า”
หานโม่ฉือแนะนำเพียงสั้น ๆ เพราะรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เข้าใจความหมายของเขาดี
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าแม่นางอวี้โม่จะเป็นผู้หญิงของพี่ใหญ่ ข้าทำเรื่องล่วงเกินท่านไปแล้วจริง ๆ ต้องขออภัยด้วย”
หานโม่หยวนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบอารมณ์ไว้ เขายืนขึ้นและกล่าว
“ข้าเองก็ต้องขออภัย ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นน้องชายของโม่ฉือ ที่ทำลายรถม้าของเจ้าไปตอนอยู่นอกวังข้าเสียใจจริง ๆ หากว่าข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนตระกูลหาน ข้าเองคงไม่ทำเช่นนั้นแน่”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำราวกับเพิ่งทราบว่า หานโม่หยวนคือน้องชายของหานโม่ฉือ แล้วเอ่ยคำขอโทษที่ไม่ได้แฝงเจตนาขอโทษแม้แต่น้อยออกไป
“ว่าอย่างไรนะ ?! ตอนอยู่นอกวังมันเกิดอะไรขึ้น ?”
เมื่อได้ยินถ้อยคำที่ฉินอวี้โม่กล่าว หานโม่ฉือก็เกิดความสงสัย ทว่าเขายังไม่ทันได้เปิดปาก หานปิ่งเซียนผู้เป็นบิดาและผู้นำตระกูลก็ชิงถามขึ้นมาก่อน
“ท่านลุงหาน วันนี้แค่มีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางเล่าเรื่องที่เกิดในระหว่างที่เดินทางมาร่วมงานเลี้ยงในพระราชวังให้หานปิ่งเซียนฟังอย่างคร่าว ๆ ซึ่งก็แน่นอนว่ามีเรื่องราวและคำพูดบางช่วงที่นางตัดออกไป อดีตนักฆ่าสาวจงใจเอ่ยเล่าโดยเน้นกล่าวถึงเพียงช่วงที่หานโม่หยวนตวาดวาจาข่มขู่พวกเขาเท่านั้น
“เจ้าเด็กสารเลว ยังไม่รีบขอโทษอวี้โม่อีก !”
หลังจากได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่เล่า หานปิ่งเซียนก็จ้องเขม็งไปที่บุตรชายคนรองด้วยสายตาโกรธเคือง เขารีบบังคับให้บุตรชายตัวดีขอโทษฉินอวี้โม่
“ท่านลุงหานไม่ต้องทำเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็คงจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว แค่เรื่องเข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น หากโม่หยวนไม่อยากขอโทษ ข้าก็จะไม่ว่าอะไร”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นใจกว้างซึ่งนั่นทำให้ใบหน้าของหานโม่หยวนตอนนี้บูดเบี้ยวจนน่าเกลียดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
หานโม่ฉือลอบหยิกเนื้อนวลบนมือบางเบา ๆ มุมปากของบุรุษน้ำแข็งกระตุกเล็กน้อย เขากำลังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่หลุดยิ้ม หานโม่ฉือไม่รู้ดีว่านางมารน้อยของเขาร้ายไม่เบา แต่ไม่คิดเลยว่านางจะมีด้านร้ายกาจในลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย
“แม่นางฉินอวี้โม่ ข้าต้องขอโทษด้วยสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกวัง ทุกอย่างเป็นความผิดของข้าเอง โปรดให้อภัยข้าด้วย”
แม้ว่าจะฝืนใจมากเพียงใด แต่หานโม่หยวนก็พยายามข่มกลั้นอารมณ์แล้วกล่าวขอโทษออกไปอย่างนอบน้อม เขาทำถึงกับยอมคุกเข่าลงไปกับพื้น
ขณะนี้สายตามากมายจากเหล่าผู้มีอำนาจแห่งขุมกำลังทั่วทั้งเมืองกำลังจับจ้องมาที่เขาเป็นตาเดียว หากว่าเขาไม่ยอมขอโทษ บิดาของเขาก็คงจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ แน่ อีกทั้งชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของเขาก็จะต้องป่นปี้ไร้ผู้เชื่อถือ
ในเวลานี้หานโม่หยวนทำได้เพียงแค่กัดฟันกดข่มความเกลียดชังของตนเองไว้ ตอนนี้ที่นางยังไม่ได้ตบแต่งเข้าตระกูลหาน สตรีน่ารังเกียจก็ไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาแล้ว ทว่าที่สำคัญกว่านั้นคือนางแข็งแกร่งจนนางกลัว เพียงแค่หานโม่ฉือคนเดียวก็รับมือได้ยากมากพอแล้ว หากมีฉินอวี้โม่เพิ่มเข้ามาอีกคนก็คงเป็นหายนะสำหรับเขาแน่
เมื่อใดก็ตามที่สตรีผู้นี้ได้แต่งเข้าตระกูลหาน เมื่อนั้นชีวิตเขาคงจะจบสิ้นอย่างแท้จริง ทันทีที่คิดได้เช่นนี้หานโม่หยวนก็สาบานว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางไม่ให้ฉินอวี้โม่ได้แต่งกับหานโม่ฉือ
“ข้าบอกแล้วว่าเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น ข้าไม่ได้โกรธเคืองสิ่งใดเลย”
ฉินอวี้โม่ปั้นยิ้มใจดีพลางมองหานโม่หยวนที่ค่อย ๆ ลุกขึ้น
ในตอนนี้ภายในตำหนักกว้างซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงแห่งนี้กำลังตกอยู่ในความเงียบงัน มีเพียงเสียงของความเคลื่อนไหวจากทางด้านที่นั่งของตระกูลหานเท่านั้นที่กำลังดังอยู่ และด้วยความเงียบสงัดนี้เสียงของพวกเขาจึงดังก้องจนได้ยินทั่วทั้งงาน
ที่เป็นเช่นนั้น ก็เนื่องมาจากแขกทุกคนในงานเลี้ยงยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงเมื่อได้รับรู้ว่าหานโม่ฉือ–คุณชายผู้ทรงอำนาจแห่งตระกูลลับที่แข็งแกร่งที่สุดกับฉินอวี้โม่–คุณหนูลึกลับผู้เก่งกาจแห่งหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ อาจจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน และยิ่งได้เห็นรอยยิ้มเปี่ยมสุขที่หานโม่ฉือมอบให้ฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ยิ่งประหลาดใจจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“เสี่ยวโร่ว เสี่ยวโม่เอ๋อร์ตกลงปลงใจกับหานโม่ฉือไปตั้งแต่เมื่อใดกัน ?”
ฉินเฟินและฉินหยางที่ได้สติกลับมาก่อนใครหันหน้าไปมองเสี่ยวโร่วน้อยผู้ใกล้ชิดกับหลานสาวของพวกเขามากที่สุดและเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เสี่ยวโร่วส่ายหน้าอย่างแรง เรื่องนี้นางเคยไม่รู้จริง ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นถึงความหล่อเหลาและรูปลักษณ์งดงามมีสง่าราศีของหานโม่ฉือ นางก็คิดว่าคุณชายผู้นั้นก็เหมาะสมกับคุณหนูของนางแล้ว
นี่เป็นสิ่งที่สาวใช้น้อยได้แต่คิดในใจ แน่นอนว่านางไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“นี่มันเรื่องอะไรกัน อวี้โม่รู้จักกับหานโม่ฉือด้วยหรือ แถมยังคบกันด้วย ?!”
เยว่ชิงเฉิงถามด้วยความสับสนอย่างหนัก พวกเขาไม่เคยเห็นฉินอวี้โม่หรือหานโม่ฉืออยู่ด้วยกันมาก่อน ยิ่งกว่านั้นสหายตระกูลฉินก็ยังไม่เคยเอ่ยถึงบุรุษเย็นชาผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ
“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะอย่างงุนงงไม่แพ้กัน แม้แต่เขาเองที่อยู่กับนางในป่าแสงจันทร์ถึงครึ่งปียังไม่เคยรับรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
“อวี้โม่ เจ้าตัวร้าย นางกล้าปิดบังพวกเรา จบงานข้าจะต้องเค้นคอถามนางให้ได้ !”
แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงจะกล่าวออกไปเช่นนั้นแต่ใบหน้านางก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม เมื่อมองเห็นบรรยากาศแห่งความสุขของคนทั้งคู่ คุณหนูช่างหลอมก็รู้สึกยินดีไปกับสหาย
แม้ว่านางจะไม่รู้จักคุ้นเคยกับบุรุษน้ำแข็งหานโม่ฉือผู้นี้ แต่นางก็ได้ยินเรื่องราวของเขามามาก
เขาทั้งแข็งแกร่งจนถึงขั้นเป็นอัจฉริยะ และยังมีรูปโฉมงดงาม แม้จะดูเย็นชา แต่ก็มีสตรีนับไม่ถ้วนตกหลุมรักเขา ทว่าน่าแปลกที่ตัวนางไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าคุณชายตระกูลหานผู้นี้จะสนใจหรือใกล้ชิดกับสตรีคนไหน
ในตอนนี้เมื่อเขาสามารถยิ้มอย่างอบอุ่นถึงเพียงนั้นให้ฉินอวี้โม่ได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าต่อไปในอนาคตสหายรักของนางก็คงจะพบเจอแต่ความสุขเป็นแน่
ทางด้านองค์ชายฉีอวี้ เมื่อได้เห็นความสนิทสนมของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ ใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษสูงศักดิ์ก็มืดมนลงในทันที แววตาของเขามีร่องรอยแห่งความปวดร้าว ทว่าไม่นานนักองค์ชายผู้เก่งกล้าแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นก็ปรับสีหน้าของตน ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างดังเดิม
หลิงเฟิงหันมองฉีอวี้ที่อยู่ข้างกายพลางส่ายศีรษะและตบไหล่ของเขาเบา ๆ เป็นเชิงปลอบโยน
เขาผู้เป็นสหายสนิทจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าองค์ชายสามมีใจให้ฉินอวี้โม่คุณหนูตระกูลฉินมานานแล้ว อย่างไรก็ตามหลิงเฟิงก็ต้องยอมรับว่าแม้เขาจะคิดว่าฉีอวี้สหายของเขายอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ยังห่างไกลจากหานโม่ฉือที่ยืนเคียงคู่กับฉินอวี้โม่อยู่ในขณะนี้ พวกเขาดูราวกับเป็นมังกรคู่ที่เกิดมาเพื่อกันและกันโดยแท้ จนเขาที่มองอยู่เองยังอดเพ้อฝันไม่ได้ว่าหากมีวาสนาที่ดีในสักวันหนึ่งก็อาจจะได้พบเจอกับผู้ที่จะมาอยู่เคียงคู่ตนเองเช่นนั้นบ้าง
ภาพความสนิทสนมของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั้น ผู้คนที่มาจากขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายทั่วทั้งงานเลี้ยงล้วนได้รับรู้ และต่างคนต่างก็มีความคิดเห็นและความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงมีแต่ผู้ที่ชื่นชมหนุ่มสาวทั้งสอง ผู้ที่รู้สึกชิงชังหรือหวาดหวั่นก็มีไม่น้อยเช่นกัน
แท้จริงแล้ว งานเลี้ยงในคืนนี้หลิวหว่านเยียนคิดว่าตนเองควรจะต้องเป็นผู้ที่เฉิดฉายที่สุด และเป็นจุดสนใจของงาน ที่สำคัญด้วยความสนิทสนมกับคุณชายรองตระกูลหาน สาวงามอันดับแปดยังคาดหวังว่าตนจะได้ขึ้นไปนั่งยังแถวหน้าสุดให้ผู้คนได้ยลโฉมและกล่าวคำชมเชย ทว่าไม่คิดเลยว่าผู้นำตระกูล หานปิ่งเซียนจะไม่ไว้หน้านางเลยเช่นนี้
ซ้ำร้ายในตอนนี้ฉินอวี้โม่สตรีที่นางเกลียดที่สุดกลับมีความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดากับหานโม่ฉือบุรุษเพียบพร้อมที่ไม่ต่างจากเทพเซียนมาจุติ ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มจริงใจที่เขามีให้ฉินอวี้โม่ นางยังไม่เคยได้รับมันจากหานโม่หยวนเลยสักครั้ง
นี่ทำให้หลิวหว่านเยียนอดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยความโกรธแค้น ในตอนนี้หากนางมีมีดอยู่ในมือ หลิวหว่านเยียนก็คงจะพุ่งเข้าไปสับสตรีผู้นั้นเป็นชิ้น ๆ อย่างไรก็ตามเมื่อมองดูฉินอวี้โม่ในตอนนี้แล้ว สตรีผู้คิดริษยาก็ไม่มีความกล้าพอจะทำสิ่งใดทั้งสิ้น
ตั้งแต่ได้เห็นนางระเบิดรถม้า หลิวหว่านเยียนก็รู้แล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ไม่สมควรยั่วยุ และตอนนี้เมื่อนางมีหานโม่ฉืออยู่ด้วยแล้ว ผู้ใดที่ขวัญกล้าคิดมีเรื่องกับพวกเขาก็เท่ากับรนหาที่ตาย !
.
ตอนที่ 84 การพบปะของขุมกำลังน้อยใหญ่
— ตูม ! —
เกิดเสียงดังก้องไปทั่วถนนทั้งสาย ลูกเพลิงลูกหนึ่งพุ่งกระแทกเข้าใส่รถม้าคันงามของตระกูลหวัง
ก่อนที่จะมีผู้ใดในคณะเดินทางของหวังรั่วอีได้ตอบสนอง รถม้าของพวกเขาก็ระเบิดเละกลายเป็นจุณไปเสียแล้ว
“หลิวหว่านเยียน พวกข้าไม่มีเวลามามัวเล่นเกมตีสองหน้ากับเจ้า ในเมื่อเจ้าตัดสินใจจะไม่หลีกทางเช่นนี้ก็เตรียมตัวหารถม้าคันใหม่ได้เลย”
หลังจากกล่าววาจาจบลง ฉินอวี้โม่ก็บอกให้คนขับเคลื่อนรถม้าออกไปในทันที
“ฉินอวี้โม่…”
ในที่สุดหลิวหว่านเยียนก็จดจำเสียงนั้นได้ ผู้ที่อยู่ในรถม้าก็คือฉินอวี้โม่ เป็นนางอย่างแน่นอน สตรีบ้านนอกที่สาวงามอันดับแปดนึกริษยาชิงชัง ทว่าหลิวหว่านเยียนก็ได้แต่ยืนแข็งค้างอยู่กับที่และไม่กล้าเคลื่อนไหว
ทางด้านหานโม่หยวนเองถึงแม้จะรู้สึกราวกับถูกตบหน้าอย่างแรงจนบัดนี้ใบหน้าถมึงทึงเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด แต่เขาเองก็ไม่กล้าจะไล่ตามไปจัดการคนในรถม้าคันนั้น
ด้วยเพราะแรงกดดันจากสภาวะพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายออกมาจากภายในรถม้าเมื่อสักครู่…มันไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต้านทานได้เลย พลังของลูกเพลิงที่ถูกปลดปล่อยออกมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหานโม่หยวนและหลิวหว่านเยียนยังไม่อยากถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านภายใต้เปลวเพลิงนั้น
“หึ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน !”
หานโม่หยวนแค่นเสียงกล่าวออกมาอย่างเคียดแค้น เขาหมายมาดไว้ในใจแล้วว่าจะหาทางเล่นงานคนในรถม้านั่นให้ได้ และเพราะเวลาเหลือน้อยเต็มทีคุณชายตระกูลหานจึงต้องรีบหันไปสั่งคนให้นำรถม้ามาใหม่เป็นการด่วน
ในเวลานี้ใบหน้าของคุณชายขี้แยหวังรั่วจวินซีดเผือดไร้สีเลือดไปโดยสมบูรณ์เพราะเขากำลังหวาดกลัวจนตัวสั่น โชคยังดีที่เขาสามารถคงสติอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นคงได้ฉี่ราดอาภรณ์หรูหรานี้ไปแล้ว เมื่อครู่นี้ที่เห็นว่าหานโม่หยวนปรากฏตัว เขาก็คิดว่าหน้าที่ในการก่อกวนของเขาเสร็จสิ้น คุณชายคึกคะนองจึงคิดจะขึ้นไปนั่งเคี้ยวขนมดูละครฉากใหญ่อยู่เฉย ๆ บนรถม้า ทว่ายังดีที่เขาคิดช้า หากเขาขึ้นไปนั่งอยู่บนรถม้านั่นในโลกใบนี้คุณชายแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรหวังรั่วจวินก็คงจะเหลือเพียงนามให้สลักไว้บนป้ายหลุมศพแล้วเป็นแน่ !
ใบหน้าของหวังรั่วอีเองก็ดูตื่นตระหนกไม่น้อย แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือนางกำลังปวดร้าวใจเป็นอย่างมากเพราะหากว่านางทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่อยู่ในรถม้าคันนั้น นางก็คงไม่เข้าไปหาเรื่องยั่วยุพวกเขาตั้งแต่แรก
ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารฉินอวี้โม่ที่ตึกเต๋อเยว่ ในตอนนั้นแผนการ ‘เชื่อมสะพานเพื่อพิชิตใจบุรุษ’ ของนางพังยับเยินไม่เป็นท่า วันนั้น นางได้แต่โทษหลิวหว่านเยียนอยู่ในใจที่ทำให้นางต้องเสียหน้าต่อหน้าฉินอวี้โม่
แล้วยิ่งมีเหตุการณ์ในวันนี้เกิดขึ้นอีก ตอนนี้คุณหนูตระกูลหวังกำลังรู้สึกสิ้นหวังและหดหู่คล้ายกับว่าความหวังทั้งหมดของนางพังทลายลงไปในพริบตาพร้อมกับรถม้าคันนั้น
การมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่ย่อมสร้างความไม่ประทับใจและก่อให้เกิดอคติขึ้นในใจของสตรีผู้ที่นางหมายใจให้เป็นน้องสามีมากขึ้นอีกเป็นแน่ หวังรั่วอีสัมผัสได้ว่าความรักที่ฉินอี้เฟยมีต่อน้องสาวของเขานั้นมีมากเพียงใด เมื่อฉินอวี้โม่เกลียดนางไปแล้วเช่นนี้โอกาสในการจุดประกายเรื่องราวความรักระหว่างนางกับฉินอี้เฟยก็คงจะริบหรี่เต็มทน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณหนูตระกูลหวังยังไม่ทราบก็คือ ไม่ว่านางจะพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดีอย่างไรแต่ในใจของฉินอวี้โม่ก็มีอคติกับสตรีดอกบัวขาวอย่างนางไปตั้งแต่แรกพบแล้ว ฉินอวี้โม่คิดว่าสตรีเช่นนี้ไม่เหมาะสมกับพี่ชายของนางแม้แต่น้อย
เมื่อครู่นี้ ฉินอวี้โม่ขอให้ซิวใช้พลังปลดปล่อยลูกเพลิงออกไปทำลายรถม้าที่ขวางทางอยู่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้แต่อ้าปากค้างมองฉินอวี้โม่ ในดวงตาทั้งสี่ข้างของสองคนเต็มไปด้วยความตื่นตะลึงระคนยำเกรง
“อวี้โม่ เจ้านี่ดุดันจริง ๆ ข้ามักคิดอยู่เสมอว่าหากนับสตรีในนครไป๋อวิ๋นทั้งหมด ข้าก็คือคนที่ดุดันและองอาจที่สุดแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องนี้ข้าจะยังด้อยกว่าเจ้ามาก”
เยว่ชิงเฉิงรู้สึกทึ่งในตัวฉินอวี้โม่มากทว่าก็ยังแฝงไปด้วยความรู้สึกยำเกรง ยิ่งกว่านั้นคุณหนูช่างหลอมก็เริ่มเกิดความรู้สึกเลื่อมใสศรัทธาในตัวสหายโฉมงามผู้นี้ขึ้นมาด้วย …สหายของนางเพิ่งจะระเบิดรถม้าต่อหน้าต่อตาหานโม่หยวน นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าเขาอย่างแรง !
เดิมทีวันนี้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงคิดว่าพวกเขาอาจจะต้องต่อสู้ครั้งใหญ่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวเลยก็ตาม แต่ก็คิดว่าอาจจะต้องเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียวของฉินอวี้โม่กลับข่มให้หานโม่หยวนรู้สึกหวาดหวั่นจนไม่กล้าติดตามมาเอาคืนพวกเขาได้เช่นนี้ และบางทีคนจองหองผู้นั้นอาจจะไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัวเลยด้วยซ้ำ
นี่ไม่ใช่แค่ช่วยพวกเขาประหยัดพลังและเวลาไปได้ แต่ยังเป็นการแสดงแสนยานุภาพให้คนพวกนั้นต้องยำเกรง นี่ทำให้ทั้งคุณหนูใหญ่ตระกูลช่างหลอมและคุณชายรองตระกูลโอวหยางรู้สึกสะใจอย่างมาก
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน ๆ ความจริงแล้วหากว่าหานโม่หยวนไม่ออกมา นางก็ไม่คิดจะเคลื่อนไหวและคงปล่อยให้โอวหยางชิงเฟิงกับเยว่ชิงเฉิงสั่งสอนบทเรียนให้หลิวหว่านเยียนไปเสีย
อย่างไรก็ตาม เพราะบุรุษน่าตายหานโม่หยวนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาอีกทั้งยังทำตัวโอหังวางก้ามใหญ่โต นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อดรนทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้อีก
ในเมื่อนางตัดสินใจจะใช้ชีวิตเคียงคู่กับหานโม่ฉือแล้ว หานโม่หยวนผู้ซึ่งเป็นศัตรูตัวร้ายของหานโม่ฉือก็ถือเป็นศัตรูของนางด้วย เมื่อครู่อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงไม่ลังเลที่จะแสดงพลังของตัวเองออกไปให้อีกฝ่ายได้เห็น
หลังจากใช้พลังนิดหน่อยเพื่อปัดเป่าเอาเรื่องยุ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางออกไป คณะเดินทางทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าพระราชวังในที่สุด
เนื่องจากในเขตวังหลวงไม่อนุญาตให้มีการใช้รถม้า ดังนั้นทั้งสี่คนจึงต้องเดินเข้าไปเท่านั้น
โอวหยางชิงเฟิงบอกให้คนขับรถม้าของเขากลับไปก่อน ส่วนสหายทั้งสี่ก็พากันเดินเข้าไปภายในวังหลวง
หลังจากล่วงเข้ามาเขตพระราชฐานได้ไม่นานนัก พวกเขาก็พบเห็นองค์ชายฉีอวี้ที่กำลังฉีกยิ้มกว้างเดินตรงเข้ามาหาอย่างเบิกบาน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เยว่ชิงเฉิง และโอวหยางชิงเฟิง องค์ชายสามที่ทำหน้าที่ช่วยในการต้อนรับแขกที่มาร่วมงานก็รีบเดินเข้ามาหาพวกเขาทันที
“ฉีอวี้เจ้ามาอยู่ที่นี่เพื่อรอพบพวกเราอย่างนั้นหรือ ?”
ดูเหมือนว่าเยว่ชิงเฉิงจะรู้จักมักคุ้นกับองค์ชายสามฉีอวี้เป็นอย่างดี คุณหนูผู้ห้าวหาญจึงเอ่ยวาจากับบุรุษสูงศักดิ์อย่างเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้
องค์ชายฉีอวี้พยักหน้าและกล่าว “ข้ากับฉีฉีร้อนใจที่เห็นพวกเจ้ายังไม่มากันสักที ข้าก็เลยอาสาเดินรอดูอยู่แถว ๆ ประตูวังให้”
แท้จริงแล้ว องค์ชายสามเลือกกล่าวความจริงออกมาเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งเหตุผลจากใจที่เขาควรจะบอกแต่กลับไม่ยอมเปิดเผยก็คือ ‘เป็นเขาเองคนเดียวที่ร้อนใจ และฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วต่างหากที่เขารอ เมื่อเห็นว่าพวกนางยังไม่มาเสียทีเขาก็กังวลจนต้องมายืนรออยู่หน้าวังเช่นนี้’
“ไม่คิดเลยว่าองค์ชายจะเป็นห่วงพวกเราขนาดนี้ด้วย ? น่าสนใจจริง ๆ” เยว่ชิงเฉิงเดินเข้าไปหาองค์ชายฉีอวี้พลางเอ่ยปากเสียงล้อเลียน ก่อนจะตบบ่าของเขาเบา ๆ เป็นเชิงหยอกล้อ
ทั้งการแสดงออก วาจาและการกระทำทั้งหลายของเยว่ชิงเฉิงที่มีต่อองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสองสนิทสนมคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่องค์ชายสามได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์และได้ร่ำเรียนวิชาการหลอมจากประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบัน หรือก็คือบิดาของเยว่ชิงเฉิง ในตอนนั้นพวกเขาทั้งคู่ได้เรียนรู้และฝึกทักษะแห่งศาสตร์การหลอมไปพร้อม ๆ กัน จึงเป็นที่มาของความสนิทสนมและการกระทำที่เสมือนไม่เคารพต่อตำแหน่งองค์ชายของคุณหนูผู้ห้าวหาญ
“พวกเราเจอสุนัขกลุ่มหนึ่งระหว่างทางทำให้ต้องเสียเวลาไปบ้าง โปรดอย่าถือสาพวกเราเลยนะ”
เมื่อฉินอวี้โม่เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวผ่านประตูวังและเดินตรงมาทางด้านหลังของนาง อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็จงใจกล่าวออกไปเช่นนั้นโดยเน้นเสียงให้ดังขึ้นสักเล็กน้อย
ในที่สุดหานโม่หยวนและคนอื่น ๆ ก็หารถม้าคันใหม่ได้และรีบเร่งมาให้ถึงวังหลวงอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้ามาแล้วจะบังเอิญได้ยินประโยคเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหวังรั่วจวินก็เดือดดาลในทันใด คุณชายอารมณ์ร้อนนั้นไร้ความอดทนอยู่แล้ว เขาจึงพยายามจะเดินเข้าไปเอาเรื่องกับฉินอวี้โม่และพวกพ้อง
ทว่าหวังรั่วจวินก็ถูกหวังรั่วอีผู้เป็นพี่สาวรั้งตัวไว้เสียก่อน
“เรื่องแค่นี้เองจะเกรงใจทำไมกัน พวกเราถือเป็นสหายกันทั้งนั้น ต่อไปอยู่ต่อหน้าข้าก็ไม่ต้องเกรงใจกัน จริงสิ เจ้าเรียกข้าว่าฉีอวี้เหมือนชิงเฉิงก็ได้ แล้วก็เรียกองค์หญิงน้อยด้วยชื่อ ข้าว่านางคงจะดีใจมาก”
องค์ชายสามฉีอวี้ยิ้มแล้วพาสหายทั้งสี่คนตรงเข้าไปยังตำหนักที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงในทันที โดยปล่อยให้แขกกลุ่มล่าสุดที่เพิ่งเดินเข้ามาได้แต่ยืนหน้าตึงอยู่เช่นนั้น หานโม่หยวน หลิวหว่านเยียน และหวังรั่วจวินมองตามไปด้วยความโกรธแค้น มือของบุรุษตระกูลหานกำหมัดแน่น
เมื่อเข้ามาภายในตำหนักสำหรับจัดงานเลี้ยง ฉินอวี้โม่ก็พบเห็นใบหน้าของคนคุ้นเคยจำนวนมาก
ในตอนนี้ที่นั่งบนบัลลังก์ยังไม่มีผู้ใดนั่งอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยและฮองเฮาเหวินหย่ายังเสด็จมาไม่ถึง
บัลลังก์นั้นถูกจัดวางอยู่ตรงกลางด้านในสุด พื้นที่ถัดจากบัลลังก์ทางด้านข้างมีที่นั่งสำหรับแขกจำนวนมากถูกจัดวางไว้ซ้ายขวาโดยทุกที่นั่งจะถูกวางไว้ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าระดับของบัลลังก์เล็กน้อย
ที่นั่งแรกทางด้านขวาจะเป็นที่นั่งของผู้นำตระกูลฉินซึ่งในขณะนี้มีฉินเฟินและฉินหยางนั่งอยู่ พวกเขากำลังสนทนาอย่างออกรสกับบุรุษอีกสองคนที่นั่งอยู่ถัดไป
ที่นั่งถัดจากของตระกูลฉินเป็นของตระกูลโอวหยาง ณ จุดนั้นมีบุคคลผู้หนึ่งที่ฉินอวี้โม่จดจำได้ในทันที นั่นก็คือท่านลุงสามของโอวหยางชิงเฟิง ผู้อาวุโสโอวหยางหมิง และถัดจากโอวหยางหมิงเป็นบุรุษวัยกลางคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกับโอวหยางชิงเฟิงมากกว่าห้าส่วนนั่งอยู่ ฉินอวี้โม่คาดเดาว่าเขาน่าจะเป็นบิดาของโอวหยางชิงเฟิงที่มีนามว่า–โอวหยางเจวี๋ย
ถัดจากที่นั่งของตระกูลโอวหยางจะเป็นที่นั่งของตระกูลเหล่ย
บุคคลแรกที่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นก็คือ–เหล่ยชิว คุณชายสามผู้หยิ่งยโสที่ฉินอวี้โม่เคยพบที่ป่าแสงจันทร์เมื่อครั้งเข้าร่วมภารกิจบุกถ้ำอสรพิษก่อนหน้านี้
เหล่ยชิวเองก็เห็นฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน เขามองพวกนางด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะสะบัดหน้าไปอีกทาง
ส่วนที่นั่งอีกหลายที่ที่อยู่ถัดจากตระกูลเหล่ยไปนั้น ฉินอวี้โม่รู้สึกไม่คุ้นเคยเลย นางคาดเดาว่าพวกเขาน่าจะมาจากตระกูลขนาดกลางและขนาดเล็กในนครไป๋อวิ๋น
ที่นั่งแรกที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของบัลลังก์คือที่นั่งของตระกูลหาน
ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นบุรุษวัยกลางคนที่มีส่วนคล้ายคลึงกับหานโม่ฉือนั่งอยู่ตรงนั้น นางคิดว่าเขาน่าจะเป็น — หานปิ่งเซียน บิดาของหานโม่ฉือ
ถัดไปจากตระกูลหานจะเป็นที่นั่งของสมาคมใหญ่ทั้งหลาย
ในที่นั่งของสมาคมทหารรับจ้าง ฉินอวี้โม่มองเห็นหลินจิ้งหงนั่งอยู่ที่แถวหน้าสุดและกำลังส่งยิ้มทักทายนาง
“อวี้โม่ดูนั่น เหมือนว่าคุณชายหลินจิ้งหงแห่งสมาคมทหารรับจ้างกำลังยิ้มให้เจ้า !”
เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาของหลินจิ้งหง เยว่ชิงเฉิงก็เอ่ยแซวและพยายามดันร่างของฉินอวี้โม่อย่างหยอกเย้า เยว่ชิงเฉิงนั้นไม่ทราบว่าหลิงจิ้งหงนั้นรู้จักกับฉินอวี้โม่อยู่ก่อนแล้ว นางจึงคิดว่าคุณชายหล่อเหลาผู้เย่อหยิ่งอาจจะถูกใจสหายสาวของนาง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพลางยิ้มตอบกลับไปให้สหายคุณชายหน้าหล่อ
ต้องบอกเลยว่าหานโม่ฉือกับหลินจิ้งหงนั้น ผู้หนึ่งเย็นดุจหิมะ ส่วนอีกคนก็ร้อนแรงดั่งเปลวเพลิง นิสัยของบุรุษทั้งสองดูจะตรงกันข้ามอย่างสุดขั้ว ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดพวกเขาถึงกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันได้
ถัดจากสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นที่นั่งของสมาคมช่างหลอม แน่นอนว่าปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์จึงไม่ได้มาร่วมงานด้วย ดังนั้นผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดของสมาคมในขณะนี้คือ–เยว่หลิงเซียวบิดาของเยว่ชิงเฉิงและเป็นประธานสมาคมคนปัจจุบัน
เมื่อเห็นบุตรสาวอย่างเยว่ชิงเฉิงเดินเข้ามา เขาก็พยักหน้าก่อนจะส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเป็นการทักทาย
ฉินอวี้โม่เดินเข้าไปทักทายกับคนคุ้นเคยทีละคนด้วยกิริยานอบน้อมโดยเฉพาะกับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายจนทำให้ผู้คนทั่วทั้งงานต่างก็รู้สึกชื่นชมนาง
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดชิงเฟิงถึงอยากเป็นสหายกับเสี่ยวอวี้โม่ !”
โอวหยางเจวี๋ยบิดาของโอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวกับฉินหยางที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ
ใบหน้าของฉินหยางเต็มไปด้วยรอยยิ้มราวกับว่ายิ่งฉินอวี้โม่หลานสาวตัวน้อยได้รับคำชื่นชมมากเท่าไหร่ เขาผู้เป็นท่านอาก็ยิ่งรู้สึกภาคภูมิใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนทางผู้นำตระกูลเหล่ยเพียงแต่กล่าวทักทายฉินอวี้โม่ตามมารยาทโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก เขาได้ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ผาทรนงในป่าแสงจันทร์มาแล้ว
เมื่อฉินอวี้โม่เดินทักทายแขกคุ้นหน้าคุ้นตาจนเสร็จสิ้นก็ยังไม่ถึงเวลาที่งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้น และในตอนนั้นเองที่องค์หญิงน้อยฉีฉีรีบวิ่งเข้ามา
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ องค์หญิงน้อยก็ยิ้มแก้มปริจนดวงตากลมโตของนางเปลี่ยนกลายเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว
“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว พวกท่านมาแล้วเหรอ”
องค์หญิงฉีฉีรีบตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่และด้วยอาภรณ์งดงามอลังการยาวกรุยกรายที่หรูหราสมฐานะขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิจึงทำให้การเคลื่อนที่ขององค์หญิงน้อยดูออกจะต้วมเตี้ยมไปสักหน่อย
“เสี่ยวฉี วันนี้เจ้าสวยมากเลย”
ฉินอวี้โม่ลูบหัวฉีฉีอย่างเอ็นดูและกล่าวชมนาง เมื่อองค์ชายสามอนุญาต ฉินอวี้โม่จึงกล้าใช้คำเรียกขานอย่างเป็นกันเองกับองค์หญิงน้อย
“จริงเหรอ ?”
องค์หญิงฉีฉียิ้มกว้างเมื่อได้ยินวาจาชื่นชมบวกกับคำเรียกที่ฟังดูสนิทสนม ดวงตาสุกใสของนางเป็นประกายก่อนจะกล่าว “พี่อวี้โม่เองก็สวยมากกกก”
เมื่อฉินอวี้โม่เข้ามาภายในตำหนักแห่งนี้ นางก็ปลดผ้าคลุมสีดำออกทำให้อาภรณ์สีขาวดุจแสงจันทร์อันงดงามปรากฏสู่สายตาของผู้คนในงาน
หากบางคนช่างสังเกตมากพอก็จะมองความซับซ้อนแต่ประณีตบรรจงของชุดกระโปรงยาวที่ฉินอวี้โม่สวมใส่อยู่ออก และเพราะเห็นเป็นเช่นนั้น คนเหล่านั้นจึงคิดว่าคุณหนูผู้เพิ่งจะมาจากเมืองเล็กๆ อันแสนไกลของตระกูลฉินผู้นี้คือหลานสาวสุดที่รักของฉินเฟินผู้นำตระกูลฉิน ในตอนนี้หลายคนเริ่มประมาณพลังอำนาจของตระกูลฉินกันอย่างลับ ๆ เพราะจู่ ๆ คุณหนูฉินผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นในเมืองไป๋อวิ๋น อีกทั้งยังมีคำร่ำลือหนาหูเกี่ยวกับความสามารถอันไม่ธรรมดาของนาง ไหนจะเรื่องที่นางดูจะเป็นที่รักของผู้นำตระกูล นั่นเองจึงทำให้ขุมกำลังต่าง ๆ คิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้อาจจะเป็นไพ่ตายที่ทางตระกูลฉินซุกซ่อนเอาไว้
แต่ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลฉินหรือไม่ก็ตาม ทุกคนต่างก็ล้วนแล้วแต่ตื่นตะลึงในความงดงามของชุดที่คุณหนูตระกูลฉินสวมใส่ ซึ่งเมื่อรวมกับความงดงามราวเทพเซียนของสตรีผู้นี้แล้วก็ทำให้แขกในงานทั้งบุรุษและสตรีมากมายต้องตาค้างมองตามนางอย่างไม่อาจละสายตา
“เจ้าเห็นหรือไม่ คุณหนูฉินอวี้โม่งดงามยิ่งนัก ตามความเห็นของข้าหากสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินมาในงานวันนี้ด้วยทั้งหมด ข้าว่าพวกนางก็คงได้อับอายเป็นแน่”
“ใช่ ใช่ เมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีที่งดงามมากถึงเพียงนั้น ผู้ใดเล่าจะกล้ากล่าวว่าตัวเองคือสตรีที่งดงามติดหนึ่งในสิบแห่งแผ่นดินได้”
เมื่อเห็นความงดงามของฉินอวี้โม่ บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายในงานต่างก็อดวิพากษ์วิจารณ์ออกมาไม่ได้ วันนี้ฉินอวี้โม่ทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา และหลายคนก็คิดเห็นตรงกันว่า…เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือโฉมงามทั่วหล้ายังมีคุณหนูฉินอวี้โม่
งานเลี้ยงอาหารค่ำในวันนี้ ทางวังหลวงได้ส่งเทียบเชิญโฉมงามสิบอันดับแรกที่มีส่วนร่วมในการคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักในปีนี้ให้มาร่วมงานในวันนี้ด้วย หนึ่งในนั้นคือหลิวหว่านเยียนโฉมงามอันดับแปด อีกคนหนึ่งคือ–เหย่าเซียนเอ๋อร์ คุณหนูใหญ่แห่งสมาคมโอสถคนที่อยู่ในอันดับสอง และคนสุดท้ายคือ–หลิงซวง หลานสาวของท่านอ๋องหลิงซึ่งงดงามเป็นอันดับที่ห้า
อย่างไรก็ตาม ทั้งเหย่าเซียนเอ๋อร์และหลิงซวงยังมาไม่ถึง ฉินอวี้โม่จึงไม่ทราบว่าโฉมงามทั้งสองมีหน้าตาเช่นไร
ในตอนที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเพิ่งจะนั่งลงกันได้ไม่นานก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามางาน
แน่นอนว่าหวังรั่วอีก็ยังคงแสดงกิริยาท่าทางเรียบร้อยอ่อนหวาน วางตัวดีมีอัธยาศัยไมตรีเหมือนเช่นเคย คุณหนูตระกูลหวังเข้าไปกล่าวทักทายแขกหลายคนอย่างนอบน้อม
ขณะที่หลิวหว่านเยียนนั้นก็ยังคงเชิดหน้ามองสูงไม่สนใจผู้ใดทั้งสิ้นเหมือนทุกครั้ง นางเดินตามหานโม่หยวนตรงไปยังที่นั่งของตระกูลหานในทันที
“หยวนเอ๋อร์อย่าเสียมารยาท นี่เป็นงานขององค์จักรพรรดิ เจ้าก็ควรจะให้เกียรติพระองค์ ข้าว่าควรให้คุณหนูหลิวไปนั่งตรงที่นั่งสำหรับตระกูลของนางจะดีกว่า”
ทันใดนั้น หานปิ่งเซียนผู้นำตระกูลหานก็เอ่ยขึ้นเสียงดุดัน วาจานั้นทำให้หลิวหว่านเยียนที่กำลังจะนั่งลงถึงกับปั้นหน้าไม่ถูก
แน่นอนว่าหานโม่หยวนไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นบิดา เขาจึงหันไปส่งสายตาให้หลิวหว่านเยียน
แม้ว่าในใจของสาวงามอันดับแปดจะคิดต่อต้านมากเพียงใด แต่นางซึ่งเป็นเพียงผู้น้อยและอ่อนอาวุโสกว่าก็ไม่อาจขัดใจหานปิ่งเซียงได้ สาวงามตระกูลหลิวจึงต้องยอมกลับไปยังตำแหน่งที่นั่งของตัวเองแต่โดยดี
ตำแหน่งที่นั่งของหลิวหว่านเยียนนั้นอยู่แถวกลางค่อนมาด้านหลังเล็กน้อย เนื่องจากวันนี้นางซึ่งเป็นถึงสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินแต่กลับไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปนั่งยังแถวหน้าทำให้นางรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
ในตอนที่ทุกคนนั่งประจำที่กันจนเกือบหมดแล้วก็มีบุรุษอีกผู้หนึ่งก้าวเข้ามาในสถานที่จัดเลี้ยง
ซึ่งในทันทีที่ร่างสูงใหญ่ของบุรุษผู้นั้นปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ก็จับจ้องอยู่ที่ตัวเขา เวลานี้แขกทุกคนในงานเลี้ยงมีสีหน้าเปลี่ยนไปจนหมด
แววตาหลายสิบคู่ที่กำลังมองดูบุรุษผู้นั้นแสดงอารมณ์ต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ที่มีทั้งความชื่นชม ความยำเกรง ความอิจฉา และบ้างก็เกลียดชังชัดเจน
อย่างไรก็ตาม เมื่อบุรุษสูงใหญ่ผู้นั้นเดินเข้ามา ทั่วทั้งงานก็เงียบสนิทลงไปทันที
.
.
ตอนที่ 83 หาเรื่องใส่ตัว
“เยว่ชิงเฉิง เจ้าว่าใครเป็นคนขี้แย ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง หวังรั่วจวินก็โกรธเคืองเป็นอย่างมาก คุณชายอันธพาลตวาดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
“ใครอยากจะรับก็รับไปสิ”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวเสียงเบา มุมปากประดับด้วยรอยยิ้ม
“หวังรั่วจวิน ข้ารู้ว่าเจ้าเองก็กำลังจะรีบไปงานเลี้ยงอาหารค่ำ งั้นเจ้าก็หลีกทางข้าไปเถอะ”
เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจงใจมาก่อกวนไม่ให้พวกนางไปงานเลี้ยงอาหารค่ำได้ทัน เยว่ชิงเฉิงก็พยายามข่มอารมณ์เดือดดาลแล้วใช้ความอดทนอดกลั้นกล่าวขึ้นมา คนผู้นี้กำลังต้องการยั่วยุให้นางโกรธเพื่อให้ไปร่วมงานเลี้ยงสาย ดังนั้นการใช้วิธีประนีประนอมแล้วรีบไปเสียเป็นวิธีที่ดีที่สุด
งานเลี้ยงอาหารค่ำจะเริ่มขึ้นในอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามข้างหน้า แม้ว่าองค์จักรพรรดิกับองค์ฮองเฮาจะมากพระเมตตาเพียงใด แต่การที่คุณหนูคุณชายแห่งขุมกำลังใหญ่ไปเข้าร่วมงานใหญ่สายก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“เหอะ ฝันไปเถอะ ตอนนี้ข้ากำลังรอคนอยู่ ถ้าเจ้าไปต่อไม่ได้ก็อยู่คอยพร้อมกับข้าเลยก็ได้”
หวังรั่วจวินส่งเสียง *เหอะ* อย่างเย็นชาก่อนจะกล่าววาจายียวน เขาไม่มีความคิดที่จะหลีกทางให้เยว่ชิงเฉิงกับพวกพ้องของนางแม้แต่น้อย
“หวังรั่วจวิน เจ้าจะหลีกทางหรือไม่ หากเจ้าไม่ยอมถอยไปก็อย่ามาหาว่าข้าใจร้ายกับผู้ที่เพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บอย่างเจ้า”
โอวหยางชิงเฟิงเป็นบุรุษซื่อตรงไม่ชอบอ้อมค้อม เมื่อเห็นหวังรั่วจวินจงใจมาก่อกวนและยังไม่มีทีท่าว่าจะหลบหลีกเขาก็โกรธมาก หากคนอันธพาลผู้นี้ยังไม่ยอมไป เขาจะทำให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าระหว่างหมัดของเขากับหน้าของมันสิ่งใดที่แข็งแกร่งกว่า !
“โอวหยางชิงเฟิง เจ้ากล้าเรอะ ?!”
เมื่อหวังรั่วอีได้ยินวาจาของโอวหยางชิงเฟิง แม้ว่าเขาจะพยายามแสร้งทำเป็นไม่กลัวเกรงทว่าเท้าของเขาก็เผลอก้าวถอยหลังกลับไปก้าวหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ถึงแม้โอวหยางชิงเฟิงจะเพิ่งกลับมายังนครไป๋อวิ๋น ทว่าก็ได้ยินข่าวมาว่าคุณชายรองตระกูลโอวหยางผู้นี้เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาหกดาราและยังครอบครองอสูรเทวะราชัน ที่สำคัญ โอวหยางชิงเฟิงเป็นคนซื่อ ๆ ที่ทำสิ่งใดไม่เคยอ้อมค้อม หากถูกผู้ใดจงใจยั่วยุ เขาก็พร้อมจะสวนกลับไปในทันที
“หวังรั่วจวิน ข้าว่าเจ้าคงจะลืมความแข็งแกร่งของข้าไปแล้วสินะ ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองหวังรั่วจวินอย่างเย็นชาพลางกล่าววาจาข่มขู่ ในเมื่อใช้ไม้อ่อนไม่ได้นางคงต้องใช้ไม้แข็งแล้ว
สงสัยเหลือเกินว่า คุณชายอันธพาลตระกูลหวังผู้นี้คงจะเป็นพวกโรคจิตที่ชื่นชอบความเจ็บปวดเพราะจู่ ๆ วันนี้เขาก็โผล่หน้าออกแกว่งปากหามือหาเท้า เยว่ชิงเฉิงคิดว่าเขาคงจะลืมเรื่องที่เคยถูกนางสั่งสอนไปเมื่อนานมาแล้วหรือไม่ก็กำลังคิดถึงพลังฝ่ามือ เข่า และศอกคม ๆ ของนาง
แน่นอนว่าหวังรั่วจวินทราบดีว่าเยว่ชิงเฉิงเป็นหนึ่งในสามบุคคลรุ่นเยาว์แห่งเมืองหลวงที่ไม่ควรมีเรื่องบาดหมางด้วย แต่บนรถม้าของทางฝั่งเขาก็มีคนนั่งกันอยู่หลายคน นั่นรวมถึงท่านพี่ของเขาด้วย แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงจะเป็นลูกหลานของขุมกำลังใหญ่ที่ไม่ควรเข้าไปยั่วยุและโอวหยางชิงเฟิงก็มีระดับพลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าหวังรั่วจวินก็ไม่คิดจะเกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เสี่ยวจวิน เจ้าไปเอะอะอะไรข้างนอกนั่น ?”
เสียงที่ดัดให้แหลมเล็กของหวังรั่วอีดังออกมา สตรีดอกบัวขาวก้าวลงมาจากรถม้าอย่างช้า ๆ ท่วงท่าสง่างาม
“คุณหนูเยว่ คุณชายโอวหยางก็มาด้วยหรือ ?”
ต้องกล่าวเลยว่าหวังรั่วอีผู้นี้เปลือกนอกดูอ่อนโยน อ่อนหวาน อัธยาศัยดีเป็นอย่างยิ่ง หากว่าไม่ใช่คนที่รู้จักธาตุแท้ของนาง พวกเขาก็จะถูกการแสดงออกของนางลวงตาเอาได้
อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงที่รู้จักโฉมหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากงดงามของคุณหนูตระกูลหวังผู้นี้ก็มีสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
“คุณหนูหวัง ตอนนี้รถม้าของเจ้าขวางทางเราอยู่ พวกเรากำลังรีบไปงานเลี้ยง หากพวกเจ้าจะไปร่วมงานเลี้ยงด้วยก็ได้โปรดออกเดินทางกันเถิด หรือไม่ก็ช่วยหลีกไปให้พ้นทาง พวกเราจะขอบคุณมาก !”
เยว่ชิงเฉิงพยายามควบคุมอารมณ์และค่อย ๆ เจรจา ทว่าน้ำเสียงของนางก็แฝงเอาไว้ด้วยความโกรธอยู่ส่วนหนึ่ง
“โอ้ ? เป็นเช่นนี้เองหรือ”
หวังรั่วอีพยักหน้าก่อนจะมองดูตำแหน่งรถม้าทั้งสองและพบว่ารถม้าของตัวเองกำลังขวางทางรถม้าของอีกฝ่ายอยู่จริง ๆ
“คุณหนูเยว่ พวกเราก็อยากจะหลีกทางให้เจ้า แต่เจ้าดูสิ ถนนเส้นนี้คับแคบมาก พวกเราจึงไม่รู้ว่าจะหลบหลีกอย่างไรดี และตอนนี้เรากำลังคอย ‘สหายคนสำคัญ’ อยู่ ขอให้พวกเจ้าทนรออีกสักหน่อยจะได้หรือไม่ ?”
แม้ว่าน้ำเสียงของหวังรั่วอีจะดูนุ่มนวลและผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ทว่าไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็จะเข้าใจตรงกันว่านางจะไม่ยอมหลีกทางออกไปและให้อีกฝ่ายรออยู่ตรงนี้ไปก่อน
ยิ่งกว่านั้นหวังรั่วอีในยามที่กล่าวถึงสหายคนสำคัญ นั้น นางจงใจเว้นช่วงและกล่าวเน้นเสียงให้ทราบว่าสหายผู้นี้สำคัญมากจริง ๆ ซึ่งการทำเช่นนี้ก็ราวกับว่านางอยากจะดึงความสนใจของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงให้อีกฝ่ายอยากรู้ว่าผู้ใดคือสหายของนาง
อย่างไรก็ตาม เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ความหมายของคุณหนูหวังคืออยากให้รออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าใช่หรือไม่ ? ”
เยว่ชิงเฉิงถามกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง นางไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองเลย ตรงกันข้ามกลับยิ้มออกมาแทน ทว่าคุณหนูตระกูลช่างหลอมก็หันไปสบตากับคุณชายรองตระกูลโอวหยางอย่างสื่อความบางอย่าง ก่อนที่ใบหน้าของอดีตคู่หมั้นหนุ่มสาวจะเริ่มฉายแววชั่วร้าย
“นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริง ๆ ข้าได้แต่หวังว่าคุณหนูเยว่และคุณชายโอวหยางจะให้อภัยข้า”
หวังรั่วอีสวมหน้ากากสตรีอ่อนหวานผู้รู้สึกผิดจนน่าสงสาร ซึ่งมันทำให้เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงรู้สึกว่าหากนางร้องไห้ออกมาด้วยเลยก็อาจจะสมจริงมากกว่านี้
“มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหวานของสตรีอีกเสียงหนึ่งดังออกมาจากรถม้าด้านหน้า
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงนั้นแววตาของนางก็ปรากฏรังสีสังหารขึ้นมาในทันใด
“คุณหนู นั่นมันนังผู้หญิงต่ำช้า หลิวหว่านเยียน !”
เสี่ยวโร่วกัดฟันกรอดเพราะนางเองก็จดจำสตรีเจ้าของเสียงในนั้นได้ดี
แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะเป็นเด็กซื่อ ทว่านางก็ไม่ได้โง่ หลิวหว่านเยียนผู้นี้คือคนที่ส่งชายฉกรรจ์นับสิบมาเล่นงานพวกนางเมื่อครั้งก่อน ฉะนั้นแล้วสาวน้อยจึงถือว่าสตรีใบหน้างามแต่จิตใจอำมหิตผู้นี้คือศัตรู และหากไม่ใช่เพราะถูกฉินอวี้โม่ห้ามไว้นางคงจะลงไปสั่งสอนคนน่ารังเกียจผู้นั้นแล้ว
“หลิวหว่านเยียนก็อยู่นี่ด้วย ?!”
เมื่อเห็นหลิวหว่านเยียน เยว่ชิงเฉิงก็ดูไม่สบอารมณ์ขึ้นอย่างฉับพลัน
ขณะเดียวกันทางด้านหลิวหว่านเยียนที่เพิ่งลงมาจากรถม้า เมื่อได้เห็นหน้าเยว่ชิงเฉิงก็ขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจเช่นกัน ความเกลียดชังหยั่งลึกปรากฏขึ้นชัดในแววตาของนาง
ผู้คนในนครไป๋อวิ๋นล้วนทราบกันดีว่า บุคคลที่หลิวหว่านเยียนไม่ชอบหน้ามากที่สุดก็คือคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง
เยว่ชิงเฉิงไม่เพียงแต่เกิดในตระกูลที่สูงส่งเท่านั้นแต่นางยังมีรูปโฉมที่งดงามมากอีกด้วย เพียงแต่นางเป็นสตรีใจร้อนและมีนิสัยโผงผางมากไปหน่อยเท่านั้น แต่แม้กระนั้นในตอนที่มีการคัดเลือกจัดอันดับสิบโฉมงาม เยว่ชิงเฉิงเองก็ถูกผู้คนทั้งหลายเลือกให้อยู่ในรายชื่อนั้นด้วย
อย่างไรก็ตาม คุณหนูตระกูลเยว่ก็ปฏิเสธตำแหน่งนั้น นางกล่าวว่าการจัดอันดับสตรีจากความงามเป็นเรื่องไร้สาระ
เดิมทีหลิวหว่านเยียนอยู่ในอันดับที่สิบเอ็ดแต่เป็นเพราะการถอนตัวออกไปของเยว่ชิงเฉิงทำให้นางได้เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับสิบ แม้ว่าหลังจากนั้นมานางจะพัฒนาตัวเองจนก้าวข้ามหญิงสาวสองคนที่มีอันดับเหนือกว่าจนได้ขึ้นมาถึงอันดับแปด แต่ภายในหัวใจของนางยังคงรู้สึกขุ่นเคืองเรื่องนี้อยู่ดี
นางคิดว่าตัวเองไม่เคยด้อยกว่าเยว่ชิงเฉิงเลยแม้แต่น้อย ทว่าในสายตาของผู้คนกลับคิดว่าตำแหน่งของนางในทุกวันนี้เยว่ชิงเฉิงเป็นคนทิ้งมาให้และนั่นก็เท่ากับดูหมิ่นในความงามและศักดิ์ศรีของนางยิ่งนัก
ด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้สตรีผู้หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีอย่างหลิวหว่านเยียนไม่ชอบเยว่ชิงเฉิงถึงขั้นเกลียดชังน้ำหน้า
ไม่ว่าหลิวหว่านเยียนจะทำสิ่งใดผู้คนก็จะชอบนำไปเปรียบกับเยว่ชิงเฉิงเสมอ ซ้ำร้ายยังมองว่านางด้อยกว่าอีกฝ่ายในทุกด้าน นี่ยิ่งตอกย้ำความเกลียดชังของหลิวหว่านเยียนที่มีต่อเยว่ชิงเฉิง สาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินรู้สึกอิจฉาริษยาคุณหนูตระกูลช่างหลอมยิ่งนัก
“เยียนเอ๋อร์ เหตุใดพี่โม่หยวนของเจ้าถึงยังไม่ออกมาอีก ?”
หวังรั่วอีถามด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน สีหน้าท่าทางของนางดูเป็นกังวลเหลือแสน “คุณหนูเยว่และคุณชายโอวหยางบอกว่ารถม้าของพวกเราขวางทางของพวกเขาอยู่ พวกเราหลีกทางให้พวกเขาก่อนเถอะ”
“ข้าคิดว่าเขาคงกำลังออกมา”
หลิวหว่านเยียนกล่าวตอบหวังรั่วอี ก่อนจะหันไปมองเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงแล้วเชิดหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มร้าย “เยว่ชิงเฉิง เจ้ารออีกหน่อยก็แล้วกัน สหายของข้าที่กำลังจะมาเป็นคนสำคัญมาก เราคงจะหลีกทางให้เจ้าไม่ได้”
กล่าวจบสายตาของนางก็มองไปที่จวนใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่รถม้าของพวกเขาจอดรออยู่
“หลิวหว่านเยียน เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะไม่ยอมเปิดทางให้เรา ?”
วาจาหน้าไม่อายของสตรีขี้อิจฉาทำให้เยว่ชิงเฉิงเริ่มจะกดข่มอารมณ์เอาไว้ไม่ได้อีก คุณหนูผู้ห้าวหาญแค่นเสียงกล่าวก่อนจะหันไปสบตาโอวหยางชิงเฟิงอีกครั้ง ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าคงมีแต่ต้องใช้กำลังเท่านั้นถึงจะสามารถผ่านทางไปถึงงานเลี้ยงได้ หึ…หลิวหว่านเยียนผู้นี้หาเรื่องใส่ตัวเองแล้ว
หลิวหว่านเยียนไม่เอ่ยตอบและไม่มีท่าทีที่จะหลบออกไปแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนที่เยว่ชิงและโอวหยางชิงเฟิงเตรียมพุ่งเข้าจู่โจมนั้นก็มีบุรุษผู้หนึ่งก้าวย่างออกมาจากประตูจวนใหญ่
บุรุษผู้นั้นสวมชุดสีม่วงที่ดูหรูหรา เขามีรูปร่างสูง ใบหน้าคมดูหล่อเหลา ทว่าแววตากลับดูไม่สดใส ท่าทางของเขาดูเป็นบุรุษใจแคบน่ากลัวและไม่น่าคบหาอย่างยิ่ง
“มีเรื่องอะไรกัน ?”
เมื่อบุรุษร่างสูงผู้นั้นเดินมาถึงก็กล่าวด้วยเสียงอันดังอย่างหงุดหงิด น้ำเสียงของเขาคล้ายจะหมดความอดทนลงได้ทุกเมื่อ
เพียงแค่ลอบมองจากในรถม้า ฉินอวี้โม่ก็จดจำตัวตนของคนผู้นั้นได้ในทันที !
เป็นเขาอย่างแน่แท้มิใช่ใครอื่น คนผู้นี้คือผู้ที่เกือบจะปลิดชีวิตหานโม่ฉือภายในป่าแสงจันทร์
ในที่สุด ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิวหว่านเยียนจึงทำตัวยโสโอหังไม่เกรงกลัวผู้ใดมากนัก ที่แท้นางก็มีบุรุษตระกูลหานผู้นี้คอยให้ท้ายนี่เอง
ต้องทราบก่อนว่าตระกูลหานนั้นถูกจัดเป็นตระกูลลับ แม้ว่าชื่อเสียงในที่แจ้งจะไม่ได้โด่งดังเท่ากับสามตระกูลใหญ่ ทว่าหากเป็นในวงการใต้ดินหรืออิทธิพลในเงามืดแล้ว ขุมกำลังของพวกเขานับว่ามีอำนาจบารมีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสามตระกูลใหญ่เลย หรือบางทีอาจจะทรงอิทธิพลมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
“พี่โม่หยวน ในตอนที่ข้ากำลังรอท่านอยู่ที่นี่ พวกเขาก็เข้ามาแล้วไล่ให้เราหลีกทางไป ข้าอุตส่าห์เจรจาขอว่าให้รอสักครู่ เมื่อท่านมาถึงแล้วพวกเราจึงจะไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่ยอมอีกทั้งยังคิดจะใช้กำลังทำร้าย”
หลิวหว่านเยียนรีบเดินเข้าไปหาหานโม่หยวนด้วยใบหน้าเศร้าโศก นางเอ่ยฟ้องเสียงออดอ้อนพลางชี้นิ้วไปที่เยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง
แม้ใบหน้าจะโศกตรมทว่าในใจของสตรีจอมริษยากำลังรู้สึกสนุกอยู่ หานโม่หยวนผู้นี้ไม่ใช่ตัวตนที่ใครจะสามารถยั่วยุได้ วันนี้เกรงว่าเยว่ชิงเฉิงจะต้องโชคร้ายเสียแล้ว
“หือ ? มีเรื่องเช่นนี้ด้วยรึ ?”
เมื่อหานโม่หยวนได้ยินได้เห็นกิริยาอาการเป็นทุกข์หนักหนาของหลิวหว่านเยียน เขาก็โอบร่างของนางมาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะกล่าวถาม
“ใครมันกล้ามารังแกเยียนเอ๋อร์ของข้า ช่างไม่รู้จักประมาณตน ! พวกเจ้า—”
หานโม่หยวนจ้องมองเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงด้วยสายตาหงุดหงิดรำคาญใจราวกับว่าเขากำลังมองดูแมลงตัวเล็ก ๆ ที่สร้างเสียงหนวกหู เห็นได้ชัดว่าหานโม่หยวนผู้นี้ไม่เห็นตัวตนของคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่ตรงหน้าอยู่ในสายตา
“หยุดแค่นั้นแหละ ! ที่แท้สหายคนสำคัญที่ว่าก็คือคุณชายตระกูลหานนั่นเอง อะไรกัน คุณชายหานเองก็จะไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในวังด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองหานโม่หยวนด้วยสีหน้าเรียบเฉยไม่มีวี่แววหวาดหวั่นแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นก็เป็นเช่นเดียวกันกับโอวหยางชิงเฟิง แค่ตัวตนของหานโม่หยวนจากตระกูลหานไม่เพียงพอที่จะข่มพวกเขาได้
บิดาและท่านปู่ของเยว่ชิงเฉิง รวมถึงบิดาและท่านปู่ผู้นำตระกูลของโอวหยางชิงเฟิงมักจะบอกกับพวกเขาว่า บุรุษเดียวในตระกูลหานที่ไม่ควรไปยั่วยุคือหานโม่ฉือ ขอเพียงไม่ยั่วยุหานโม่ฉือก็ไม่มีปัญหาสิ่งใด
ชื่อเสียงของหานโม่ฉือนั้น ทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงได้ยินมามากพอสมควร เขาคือหนึ่งในสามจอมมารรุ่นเยาว์แห่งไป๋อวิ๋น เขาเป็นบุรุษโหดเ**้ยม เฉียบขาด และเป็นผู้นำที่เด็ดเดี่ยว ว่ากันว่าความแข็งแกร่งของหานโม่ฉืออยู่ในระดับที่น่าสะพรึงกลัวมากถึงขั้นที่ว่า…แทบจะไร้เทียมทานในแผ่นดินหวนหลิง ตระกูลหานในตอนนี้ตกอยู่ภายใต้อำนาจบารมีของหานโม่ฉือเกือบทั้งหมดแล้ว ขอเพียงแค่หานโม่ฉือออกคำสั่ง แม้เพียงครึ่งคำก็สามารถสร้างความโกลาหลไปได้ทุกที่
ดังนั้นเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงจึงไม่เห็นหานโม่หยวนอยู่ในสายตา สีหน้าของพวกเขานอกจากจะไม่กลัวเกรงแล้วยังมีแววเหยียดหยามฉายชัด
“เยว่ชิงเฉิง โอวหยางชิงเฟิง ที่พวกเจ้าสบประมาทข้า ข้าไม่ถือสาเอาความก็ได้ แต่พวกเจ้าต้องขอโทษเยียนเอ๋อร์ของข้าก่อน หาไม่แล้วพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้ไปงานเลี้ยงในคืนนี้เลย !”
หานโม่หยวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงข่มขู่
“หานโม่หยวน เจ้าละเมออะไรอยู่ พวกเจ้าเป็นฝ่ายทำให้เราเสียเวลาแล้วยังใช้วาจาหน้าไม่อายขู่เข็ญให้เราขอโทษ ก่อนออกจากประตูบ้านเจ้าได้พกสมองออกมาด้วยรึเปล่า ?”
เย่วชิงเฉิงไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายแม้แต่น้อย จู่ ๆ ฝ่ายที่ทำผิดก็บีบบังคับให้พวกนางขอโทษ… นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน
“ชิงเฉิง ชิงเฟิง ถอยออกมา ถ้าพวกเขาไม่ยอมหลีกทาง พวกเราก็ไร้ทางเลือก !”
เสียงของฉินอวี้โม่ดังออกมาจากภายในรถม้าด้านหลัง นางไม่ต้องการจะเสวนากับคนพวกนี้ให้เสียเวลาอีกแล้ว
ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือก็ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว และนางเองก็กำลังคิดหาสิ่งตอบแทนให้เขาอยู่พอดีเช่นกัน ! …ซึ่งการลงมือกับบุรุษน่าตายตรงหน้าก็ดูจะเป็นของขวัญที่ดีไม่น้อย
แม้ว่าเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงจะไม่เข้าใจความหมายในวาจาของฉินอวี้โม่อย่างกระจ่างชัดนัก ทว่าพวกเขาก็ยังถอยออกมาอยู่ข้าง ๆ รถม้า
ซึ่งก็แน่นอนว่าทางด้านหลิวหว่านเยียนนั้นไม่ยินยอมให้ศัตรูถอยห่างไปได้ง่าย ๆ ทว่าในตอนที่นางกำลังจะเคลื่อนไหว จู่ ๆ หนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินก็สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่รุนแรงพุ่งตรงออกมาจากรถม้าที่เยว่ชิงเฉิงนั่งมา !
.
.
เมื่อฉินอวี้โม่ตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นก็พบว่าเจ้าของอ้อมกอดอันอบอุ่นได้หายตัวไปแล้ว เมื่อคืนถือเป็นคืนที่คุณหนูคนงามรู้สึกหลับสบายเป็นที่สุดและเป็นคืนที่เธอหลับตาลงได้อย่างอุ่นใจที่สุดตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในโลกมายาใบนี้
หากไม่ใช่เพราะกลิ่นเฉพาะกายอันชวนให้หัวใจอุ่นซ่านของบุรุษน้ำแข็งที่ยังคงอบอวลอยู่รอบตัว ฉินอวี้โม่ก็คงคิดว่าเรื่องเมื่อคืนเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น
หลังจากอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่จนเรียบร้อย คุณหนูคนงามก็นั่งลงเปิดอ่านตำราที่โต๊ะ ทว่านางกลับยังไม่เห็นเสี่ยวโร่วที่ปกติจะเตรียมมื้อเช้าให้นางทุกวัน ในตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ
ฉินอวี้โม่รีบเดินไปยังห้องของสาวใช้น้อยและพบว่าประตูห้องนางปิดอยู่
คุณหนูผู้เริ่มร้อนใจผลักบานประตูเข้าไปแต่ก็ไม่พบแม้แต่เงาของสาวใช้ผู้เป็นเสมือนน้องสาว
นี่ทำให้นางเริ่มวิตกกังวล… ‘หรือว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเสี่ยวโร่ว’
ในตอนที่คุณหนูผู้ตื่นตระหนกเตรียมจะออกไปจากเรือนเพื่อตามหาสาวใช้น้อย นางก็เห็นฉินอี้เฟยเดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเช้า บนใบหน้าของคุณชายใหญ่แห่งตระกูลฉินแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดี
“พี่ใหญ่ เสี่ยวโร่วล่ะเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของพี่ชาย ในใจของฉินอวี้โม่ก็รู้สึกโล่งขึ้น ในเมื่อฉินอี้เฟยก็ยังคงยกอาหารเช้ามาให้นางแทนเสี่ยวโร่วด้วยสีหน้าปกติไม่ทุกข์ร้อนได้นั่นแสดงว่าคงไม่มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับเสี่ยวโร่ว
“เสี่ยวโร่วต้องการจะทะลวงข้ามขอบเขตพลัง ดังนั้นท่านปู่จึงอนุญาตให้นางเข้าไปใช้ห้องลับสำหรับทะลวงพลัง เจ้าเองก็น่าจะเข้าใจ ในระหว่างที่จอมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะกำลังจะก้าวข้ามไปสู่ขอบเขตนภมายาห้ามเข้าไปรบกวนเด็ดขาด การให้เสี่ยวโร่วเข้าไปยังห้องลับก็จะทำให้นางทะลวงพลังได้อย่างมั่นใจ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเข้าใจ สิ่งที่ท่านปู่ของนางคิดนั้นถูกต้อง
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ หลายปีมานี้เสี่ยวโร่วใส่ใจเจ้ามากนะ ก่อนที่นางจะเข้าไปยังห้องลับ นางยังไม่ลืมฝากฝังให้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เจ้า การที่ท่านแม่รับนางมาเลี้ยงก็เหมือนได้ผู้ช่วยมือดีมาคนหนึ่งเลยล่ะ”
ฉินอี้เฟยรู้สึกขอบคุณเสี่ยวโร่วจากใจ ในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมานางเฝ้าดูแลฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นอย่างดีไม่มีสิ่งขาดตกบกพร่อง
พวกเขาสองพี่น้องไม่เคยมองว่าเสี่ยวโร่วเป็นคนนอกเลยสักครั้งและนับเอานางเป็นคนในครอบครัวเสมอ
“ใช่ เสี่ยวโร่วเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและสนทนากับพี่ชายในระหว่างลงมือจัดการอาหารมื้อเช้า
“พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านคิดว่าเสี่ยวโร่วแสนดีขนาดนั้น เช่นนั้นท่านตบแต่งนางเข้าตระกูลเสียดีหรือไม่ นางก็จะได้กลายเป็นพี่สะใภ้ข้า แถมยังถือได้ว่านางเป็นครอบครัวเดียวกันกับเราจริง ๆ ไง”
ฉินอวี้โม่แกล้งถามด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง ตอนนี้ฉินอี้เฟยก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เขาถึงวัยที่ควรจะมีคู่ครองได้แล้ว ทว่าพี่ชายของนางก็ยังไม่มีสตรีที่ถูกใจ อีกทั้งเสี่ยวโร่วก็ดูเหมือนจะมีใจให้ ‘คุณชายใหญ่’ ของนางอยู่บ้าง เมื่อเป็นเช่นนั้นฉินอวี้โม่จึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวลองใจเขา
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าจึงได้กังวลถึงปัญหานี้ของข้านักล่ะ ?”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่อย่างระอา น้องสาวของเขาเพิ่งอายุเพียงสิบหกเท่านั้น เหตุใดนางถึงได้เป็นห่วงเรื่องคู่ครองของเขานักหนา
“ท่านพี่ ท่านรังเกียจที่เสี่ยวโร่วไม่มีพ่อแม่และเป็นแค่สาวใช้ใช่ไหม ?”
เมื่อได้ฟังวาจาเลี่ยงบาลี ตอบไม่ตรงประเด็นของฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ก็จงใจกล่าวลองใจออกไปอีกครั้ง ในครั้งนี้นางตั้งใจใช้ประโยคที่ตรงประเด็นกว่าเดิม แน่นอนว่าคุณหนูคนงามรู้ดีอยู่แล้วว่าพี่ชายนางไม่เคยมองว่าเสี่ยวโร่วเป็นเพียงคนรับใช้ หรือเหยียดหยามชาติตระกูลของนางและยิ่งแน่นอนว่าเขาไม่เคยรังเกียจสาวน้อยเลย
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า ข้าจะไปเกลียดเสี่ยวโร่วได้อย่างไร ?”
ฉินอี้เฟยเอามือเขกกะโหลกน้องสาวตัวดีไปทีหนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “ตอนนี้เสี่ยวโร่วยังเด็กมาก เรื่องครอบครัวเราก็ยังมีปัญหาที่แก้ไม่ตก ข้าว่าเอาไว้เราค่อยพูดเรื่องนี้กันวันหลังเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า การลองใจครั้งนี้ของคุณหนูสี่ตระกูลฉินนับว่าไม่สูญเปล่า อย่างน้อย ๆ นางก็รู้แล้วว่าพี่ชายของนางไม่ได้ต่อต้านหรือกีดกันเสี่ยวโร่ว
เมื่อถึงเวลาที่นางและพี่ชายตามหาบิดามารดาจนพบและสะสางปัญหาครอบครัวของพวกนางได้
รวมถึงรอคอยให้เสี่ยวโร่วโตขึ้นมากกว่านี้ ฉินอวี้โม่เกรงว่าในตอนนั้นนางคงจะต้องเตรียมตัวจัดงานแต่งงานให้กับพี่ชายและเสี่ยวโร่วโดยเร็วที่สุด
ฉินอวี้โม่คิดว่าหากนางไม่รีบจัดการเรื่องนี้ให้ชัดเจน ภายหลังถ้าหากเสี่ยวโร่วพบพ่อแม่และตัวตนของสาวใช้น้อยถูกเผยออกมา สาวน้อยอาจจะต้องตบแต่งกับบุรุษที่บิดามารดาจัดหาให้ เมื่อเวลานั้นมาถึงผู้เป็นคุณหนูก็คิดว่าตัวนางจะต้องเสียใจเป็นแน่
ณ ตอนนี้ ในเมื่อมีโอกาสจะทำได้ คุณหนูผู้รักเสี่ยวโร่วเสมือนน้องสาวก็อยากจะจัดการให้สาวน้อยที่นางรักได้แต่งงานกับฉินอี้เฟย ได้ทำอาหารและได้ดูแลพี่ชายของนาง หากเป็นเช่นนั้นทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวที่มีความสุข
การทะลวงพลังของเสี่ยวโร่วกินเวลากว่าสองวัน ในตอนนี้งานเลี้ยงอาหารค่ำที่พระราชวังใกล้จะเริ่มขึ้นแล้ว และในที่สุดเสี่ยวโร่วก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ การทะลวงพลังของนางเป็นไปอย่างราบรื่น
เมื่อเห็นจอมยุทธ์นภมายาตัวน้อย ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มแย้มและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตอนนี้เสี่ยวโร่วของนางดูมีราศีแห่งยอดฝีมือเปล่งประกายเฉิดฉาย ยิ่งกว่านั้นใบหน้ามนของสาวน้อยก็ยังดูอิ่มนวลขึ้นมากอีกด้วย
หากรอคอยให้เวลาผ่านไปอีกสักสองถึงสามปี เกรงว่าเสี่ยวโร่วคงจะกลายเป็นสาวงามไม่แพ้ผู้ใดในเมืองเป็นแน่ และเมื่อถึงตอนนั้น … หึ ๆ
“คุณหนู คุณหนูจ้องมองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่จ้องมองตัวนางอยู่นาน เสี่ยวโร่วก็หน้าแดง นางอดเขินอายไม่ได้ สาวน้อยไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าสายตาที่คุณหนูใช้มองนางในตอนนี้ถึงได้ดูเปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าเจ้าโตขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว”
ฉินอวี้โม่รีบส่ายหน้าปฏิเสธ คุณหนูคนงามยังไม่คิดจะพูดเรื่องทัศนคติของฉินอี้เฟยหรือเปิดเผยแผนการจับคู่ที่นางตั้งใจเอาไว้
เสี่ยวโร่วน้อยผู้มีสองแก้มแดงเรื่อเดินกระมิดกระเมี้ยนเข้ามายืนข้างกายคุณหนูของตน ตอนนี้สาวใช้น้อยดูเขินอายไม่น้อยเลย
เมื่อเห็นท่าทางของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มขำไม่ได้
“เจ้ารีบไปอาบน้ำแต่งตัวเถอะ ข้าจะพาเจ้าเข้าวัง วันนี้เราคงต้องแต่งตัวให้ดูดีกันสักหน่อย อย่าให้ตระกูลฉินต้องเสียหน้าได้”
ฉินอวี้โม่บอกให้เสี่ยวโร่วรีบไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงในพระราชวัง ก่อนที่นางเองจะเดินกลับเข้าห้องส่วนตัวเพื่อเปลี่ยนอาภรณ์ใหม่เช่นกัน เพื่อให้เกียรติงานใหญ่โตที่จัดต่อหน้าพระพักตร์และเพื่อรักษาหน้าวงศ์ตระกูล วันนี้พวกนางทั้งคู่จะต้องแต่งกายให้ดูดีที่สุด
ช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ บ่าวรับใช้มาแจ้งว่ามีผู้ส่งชุดงดงามสำหรับไปงานเลี้ยงอาหารค่ำมาให้คุณหนูสี่ตระกูลฉิน
เมื่อฉินอวี้โม่ลองเปิดห่อชุดออกดูก็พบกระดาษแผ่นน้อยที่เขียนข้อความสั้น ๆ แนบมาด้วย –จากหานโม่ฉือ– นั่นทำให้สตรีเลอโฉมรู้ในทันทีว่าชุดงดงามนี้เป็นของบุรุษเย็นชาผู้ขยันทำให้หัวใจนางอบอุ่น
ในเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะคืนนั้นนางจำได้ว่านางไม่ได้บอกหานโม่ฉือว่าจะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในพระราชวัง แล้วเหตุใดคนผู้นั้นถึงได้ส่งชุดมาให้นางในวันนี้ได้อย่างพอดิบพอดี
อย่างไรก็ตาม คุณหนูโฉมงามก็ทราบว่าตนไม่มีเวลาให้นึกสงสัยสิ่งใดมากนัก จึงจัดการผลัดเปลี่ยนมาสวมใส่อาภรณ์งดงามในมืออย่างรวดเร็ว
ต้องบอกเลยว่าชุดที่หานโม่ฉือเลือกและส่งมานั้นช่างเหมาะสมและถูกใจฉินอวี้โม่เป็นอย่างยิ่ง
อาภรณ์ชุดนี้ตัดเย็บมาอย่างประณีตเพื่อใช้สำหรับสวมใส่ออกงานเลี้ยงใหญ่โดยเฉพาะ อาภรณ์ชุดนี้เป็นชุดกระโปรงยาวสีขาวนวลดุจแสงจันทร์ เมื่อมองแล้วให้ความรู้สึกสง่างามเรียบหรู ตัวชุดนั้นแม้ว่าจะมีรายละเอียดที่ซับซ้อนแต่ทว่าก็ทำได้อย่างงดงามลงตัว มองดูแล้วสบายตาและยังช่วยขับเน้นความงามของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญมันยังมีน้ำหนักเบา แม้จะสวมใส่ครบทุกชิ้นแล้วแต่ฉินอวี้โม่ก็ยังรู้สึกว่ามันเบากว่าชุดธรรมดาของนางเสียด้วยซ้ำ
นอกจากอาภรณ์งดงามเต็มชุดแล้ว บุรุษน้ำแข็งยังส่งเครื่องประดับที่เข้ากันกับชุดมาให้ด้วย เครื่องประดับชิ้นนั้นคือปิ่นปักผมสีนวล เพียงแค่มองด้วยสายตาก็ทราบได้ว่าราคาของมันไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย แม้ว่าตัวปิ่นจะดูไม่โดดเด่นนัก แต่เมื่อใส่รวมกับอาภรณ์ยาวสีขาวนั้นแล้วกลับดูงดงามลงตัวเป็นอย่างมากและยังช่วยทำให้สตรีผู้สวมใส่โดดเด่นเฉิดฉายราวเทพธิดาจากสรวงสวรรค์
เสี่ยวโร่วที่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามาในห้องของฉินอวี้โม่ เมื่อก้าวเข้ามาและมองเห็นคุณหนูของนาง สาวใช้น้อยก็ต้องตกตะลึงในทันที
“โอ้โห ! คุณหนูสวยสุด ๆ ไปเลยเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วน้อยกล่าวชื่นชมจากใจจริง แววตาเป็นประกายของนางเต็มไปด้วยความเทิดทูนและภาคภูมิใจในตัวฉินอวี้โม่
“ใช่ไหมล่ะ ? ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน”
ฉินอวี้โม่มองดูตัวเองในกระจกและพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ต้องบอกเลยว่าหากนางสวมชุดนี้ไปปรากฏตัวที่งานเลี้ยงอาหารค่ำในวังหลวงคืนนี้ เกรงว่าบรรดาสาวงามทั้งหลายที่มาเข้าร่วมงานอาจจะดูหม่นหมองลงไปถนัดตา
“เสี่ยวโร่วไปเอาผ้าคลุมสีดำมาให้ข้าที”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจปกปิดอาภรณ์งามนี้ไว้ก่อน
เสี่ยวโร่วพยักหน้าก่อนจะรีบไปหยิบฉวยผ้าคลุมยาวสีดำมาและช่วยฉินอวี้โม่สวมใส่
“ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางและเสี่ยวโร่วออกเดินทางจากตระกูลฉินไปพร้อมกัน
ท่านผู้นำตระกูลฉินเฟินนั้นออกไปก่อนหน้าพวกนางสักพักหนึ่งแล้ว ท่านปู่บอกว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างต้องไปหารือกับคนผู้หนึ่งก่อนที่งานเลี้ยงจะเริ่ม ส่วนฉินอี้เฟยนั้น เขามีงานบางอย่างต้องทำในสมาคมโอสถทำให้ไม่สามารถไปร่วมงานเลี้ยงได้ ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงต้องไปกับเสี่ยวโร่วเพียงสองคน
อย่างไรก็ตาม ในทันทีที่ออกจากจวน ฉินอวี้โม่ก็พบกับหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีกำลังยืนรออยู่
“อวี้โม่ ในที่สุดเจ้าก็ออกมา พวกเรารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ผู้ที่กำลังยืนรออยู่ใกล้ ๆ กับด้านหน้าประตูทางเข้าออกของจวนตระกูลฉินก็คือเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง สองสหายรักของฉินอวี้โม่
ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ แต่ทั้งเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิงต่างก็สวมใส่อาภรณ์สีน้ำเงินด้วยกันทั้งคู่ คนผู้หนึ่งดูนุ่มนวลและงดงาม ส่วนอีกคนก็ดูสง่าผ่าเผย หากยืนนิ่ง ๆ อยู่เคียงข้างกัน ทั้งสองก็ดูเหมาะสมกันไม่น้อย แต่ถ้าหากมีฝ่ายใดเปิดปากกล่าวกับอีกฝ่ายขึ้นมาก็ได้แต่เตือนผู้ที่อยู่ใกล้เคียงว่าให้หาที่หลบพายุกันเอาเอง
“จริงหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มกว้างให้สหายก่อนจะกล่าวต่อ “งั้นเราก็ไปกันเถอะ”
กล่าวจบคุณหนูตระกูลฉินก็ก้าวขึ้นไปบนรถม้าของเยว่ชิงเฉิงและโอวหยางชิงเฟิง
“ว่าแต่ทำไมพวกเจ้าสองคนถึงมาด้วยกันได้ล่ะ ?”
ปกติแล้วโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงไม่ต่างจากศัตรูคู่อาฆาตที่บาดหมางแค้นเคืองกันมาแต่ชาติปางก่อน หากได้อยู่ใกล้กันก็คงไม่พ้นทะเลาะกันเสียทุกครา ทว่าการที่ในวันนี้พวกเขาทั้งคู่อยู่ด้วยกันอย่างสงบได้มากถึงเพียงนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่อดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
“ในตอนที่รถม้าของโอวหยางชิงเฟิงกำลังผ่านหน้าสมาคมของเรา ข้าบังเอิญเห็นเข้าพอดีจึงตะโกนเรียกเขาไว้ ข้าไม่อยากจะไปพร้อมกับท่านพ่อและไม่อยากอยู่บ้านกับท่านปู่เพราะมันน่าเบื่อ เขาเลยคิดว่าจะไปพร้อมเขา ถ้าไปพร้อมคุณชายที่ไม่รู้จักโตผู้นี้ท่านพ่อและท่านปู่คงจะอนุญาต อีกอย่างจะได้มาเรียกเจ้าด้วย”
เยว่ชิงเฉิงอธิบาย ตอนนี้ดูเหมือนนางจะอารมณ์ดีไม่น้อย
เยว่ชิงเฉิงไม่ชอบอยู่กับบิดาและปู่ของนางเพราะมันทำให้นางรู้สึกเบื่อและอึดอัด คุณหนูช่างหลอมอยากจะอยู่กับสหายรักอย่างฉินอวี้โม่มากกว่า ทว่าในวาจาของนางก็ยังมิวายมีคำพูดจิกกัดโอวหยางชิงเฟิงอยู่
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทั้งคู่ถึงมาด้วยกันได้ และเหลือบเห็นสายตาไม่ชอบใจจากคุณชายหน้ามนที่กำลังมองจ้องคุณหนูตระกูลเยว่
“อวี้โม่ ชุดของเจ้าสวยมาก !”
เมื่อสังเกตเห็นอาภรณ์ของคุณหนูตระกูลฉินผู้เป็นสหาย เยว่ชิงเฉิงก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ชุดนี่ทำมาจากไหมน้ำแข็งหมื่นปี ว่ากันว่ามันอยู่ยงคงกระพันและยังต้านพิษได้ด้วย เจ้าไปได้มันมาจากที่ใดกัน ?”
แม้ว่าทักษะการหลอมของเยว่ชิงเฉิงจะธรรมดาเหลือแสน ทว่านางก็คงถือเป็นช่างหลอมผู้หนึ่ง อีกทั้งยังถูกทั้งบิดาและปู่บังคับให้อ่านตำราและท่องจำวัตถุดิบต่าง ๆ สำหรับการหลอมตั้งแต่เริ่มจำความได้ ดังนั้นเมื่อมองเห็นเนื้อผ้าที่ใช้ตัดเย็บอาภรณ์ของฉินอวี้โม่ชัดถนัดตา คุณหนูช่างหลอมก็มองวัสดุสำหรับทอออกในทันทีและมันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้นางประหลาดใจ
อาภรณ์ที่ทำจากไหมน้ำแข็งหมื่นปีนั้นหาได้ยากยิ่ง แม้แต่ขุมกำลังที่ทรงอิทธิพลในการเลือกสรรวัตถุดิบอย่างสมาคมช่างหลอมของพวกนางยังหามันมาไม่ได้เลย ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะมีของล้ำค่าถึงเพียงนี้อยู่ด้วย
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็นิ่งอึ้งทว่าไม่นานนักมุมปากของนางก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้
ในตอนแรกฉินอวี้โม่เพียงแต่รู้สึกว่าชุดนี้งดงามมากและเหมาะกับตัวนาง แต่ไม่คิดเลยว่าเมื่อได้ทราบถึงวัสดุที่ใช้สร้างแล้วมันจะน่าตกใจถึงเพียงนี้ …อาภรณ์ชุดนี้เป็นของขวัญที่หานโม่ฉือมอบมาเพื่อจะทำให้นางประหลาดใจครั้งใหญ่อย่างแท้จริง…และมันก็ทำให้หัวใจดวงน้อยอุ่นซ่านอีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ข้าได้มาจากสหายคนหนึ่ง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและตอบออกไปสั้น ๆ โดยไม่ได้เอ่ยนามผู้ให้
“ได้มาจากสหายอย่างนั้นหรือ ?” เยว่ชิงเฉิงประหลาดใจอีกครั้ง “สหายคนไหนกันถึงได้ใจกว้างถึงเพียงนั้น ? เจ้าแนะนำให้ข้ารู้จักบ้างสิ—”
— โครม ! —
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมจะทันได้กล่าวจนจบประโยค นางก็รู้สึกว่ารถม้าสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนจะหยุดชะงักลง
“เกิดอะไรขึ้น ?”
เยว่ชิงเฉิงเกือบจะกระเด็นตกจากรถม้าไปเพราะความแรงจากการกระแทก หากไม่ใช่เพราะโอวหยางชิงเฟิงคว้าตัวนางเอาไว้ นางก็คงต้องขายหน้าและเจ็บตัวไปแล้ว
“เรียนคุณหนูเยว่ จู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งโผล่ออกมาจากตรอกด้านหน้าและขวางหน้ารถม้าของเราไว้จนทำให้ม้าตกใจขอรับ !”
เสียงของบ่าวรับใช้ผู้บังคับรถม้าดังขึ้นจากด้านนอก น้ำเสียงของเขาฟังดูกังวลใจอย่างมาก
“ใครกันที่ไร้ความสามารถแต่ยังกล้าขับรถม้ามาบนถนน ?”
เยว่ชิงเฉิงเปิดม่านแล้วชะโงกหน้าออกไป ตรงหน้ารถม้าที่พวกนางนั่งมีรถม้าคันหนึ่งจอดขวางทางอยู่จริง ๆ
“เยว่ชิงเฉิง เรื่องนั้นช่างเถอะ ถ้าเราไม่รีบ พวกเราจะไปสาย”
โอวหยางชิงเฟิงหยุดเยว่ชิงเฉิงที่กำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงและตั้งท่าจะกระโจนออกไปดูหน้าเจ้าของรถม้าคันนั้น
เยว่ชิงเฉิงได้แต่จ้องมองไปที่รถม้าคันนั้นด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะสั่งให้คนขับรถม้าของตระกูลโอวหยางเบี่ยงไปด้านข้างเพื่อเดินทางต่อ
ทว่าเมื่อคนขับรถม้าพยายามเบี่ยงเส้นทางเพื่อหลบรถม้าเจ้าปัญหานั้น ไม่คิดเลยว่าพอรถม้าของพวกเขาขยับ รถม้าที่อยู่ข้างหน้าก็ขยับตามมาเพื่อขวางทางพวกเขาอีก
หลังจากการพยายามอยู่หลายครั้งเยว่ชิงเฉิงก็ทนไม่ไหวและโอวหยางชิงเฟิงก็ฉุดรั้งนางไว้ไม่ได้ ในที่สุดคุณหนูผู้ห้าวหาญไม่ต่างจากบุรุษก็กระโดดออกจากรถม้าไป~
“เฮ้ เจ้ารถม้าข้างหน้ารีบถอยออกไปอย่ามาขวางทางพวกข้านะ !”
เมื่อออกมาจากรถม้า เยว่ชิงเฉิงก็เดินตรงเข้าไปพร้อมตะโกนเข้าใส่ในทันที
“โอ้ ! ข้าก็สงสัยอยู่ว่าใครกันที่กำลังซ่อนอยู่ด้านหลังรถม้าของข้า ? ที่แท้ก็เป็นคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมนี่เอง”
เสียงเย้ยหยันของบุรุษผู้หนึ่งดังออกมา จากนั้นก็มองเห็นร่างของเขาเดินออกมาจากรถม้าคันข้างหน้า
“คุณหนู นั่นมันหวังรั่วจวิน”
เมื่อเห็นใบหน้าของคนที่เพิ่งลงจากรถม้าที่จงใจขวางทางพวกนาง เสี่ยวโร่วก็จดจำเขาได้ ซึ่งก็แน่นอนเพราะอีกฝ่ายเป็นบุรุษอันธพาลที่นางซัดจนหมอบไปเมื่อเดือนก่อน
“ข้าก็สงสัยอยู่ว่าใครมันกล้ามาขวางทาง ที่แท้ก็เป็นคุณชายขี้แยจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร ทำไม เมื่อเดือนก่อนที่เจ้าถูกสตรีสองคนสั่งสอนไปนั่นมันยังหนักไม่พอใช่ไหม ?”
เมื่อเยว่ชิงเฉิงเห็นหวังรั่วจวิน สีหน้าของนางก็ดูไม่สบอารมณ์มากยิ่งขึ้น คุณหนูตระกูลช่างหลอมอดไม่ได้ที่จะถากถางอีกฝ่ายออกไปพร้อมสาดสายตาดุร้าย
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงเห็นว่าผู้ที่ลงจากรถม้าคือหวังรั่วจวิน เขาก็รีบลงไปยืนเคียงข้างเยว่ชิงเฉิงทันที
.
.
.
หลังจากกลับถึงจวนตระกูลฉินแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดในสมาคมช่างหลอมให้ฉินอี้เฟยและฉินเฟินได้รับรู้เพื่อไม่ให้พวกเขาเป็นกังวล
แน่นอนว่าฉินเฟินและฉินอี้เฟยรู้สึกตื่นเต้นยินดีอย่างมากที่ได้ทราบว่า ฉินอวี้โม่จะได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธจากสุดยอดช่างหลอมผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งแผ่นดินอย่างปรมาจารย์เยว่เหยา
ทว่าแม้จะชื่นชมและภูมิใจในความเก่งกาจของฉินอวี้โม่มาก แต่ทั้งสองก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งฉินเฟินและฉินอี้เฟยต่างก็ย้ำเตือนสาวน้อยของพวกเขาว่าอย่าได้ประมาท พวกเขากำชับให้นางระวังตัวเองในทุกเรื่อง หากมีสิ่งใดที่นางไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเองก็ให้แจ้งพวกเขาทันที
ครึ่งเดือนถัดมา ฉินอวี้โม่ยังคงเข้าออกสมาคมช่างหลอมอย่างต่อเนื่องเพื่อศึกษาวิธีการหลอมและขั้นตอนการสร้างสรรค์สิ่งหลอม
ในช่วงนี้สาวใช้น้อยถูกคุณหนูของนางสั่งให้ฝึกฝนอยู่ที่ตระกูลฉินโดยไม่ต้องติดตามนางไป หลังจากผ่านพ้นการฝึกฝนภายในป่าแสงจันทร์นานกว่าหกเดือน เสี่ยวโร่วก็ก้าวขึ้นสู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว ตอนนี้นางกำลังพยายามหาทางทะลวงขึ้นไปให้ถึงขอบเขตนภมายาให้ได้ ในเมื่อยังพอเหลือเวลาก่อนที่การสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มขึ้น ฉินอวี้โม่จึงอยากให้สาวใช้น้อยใช้ช่วงเวลานี้ลองพยายามทำให้สำเร็จ
เมื่อทราบว่าเสี่ยวโร่วเกือบจะก้าวข้ามขอบเขตได้แล้ว ฉินอี้เฟยก็ยื่นมือเข้าช่วยอย่างใจกว้าง ทุกครั้งที่กลับมาจากสมาคมโอสถเขาก็จะนำโอสถติดไม้ติดมือกลับมาให้เสี่ยวโร่วด้วยเสมอ ซึ่งโอสถที่คุณชายใหญ่เลือกมาให้สาวใช้น้อยก็จะมีเฉพาะโอสถที่เป็นประโยชน์ในการทะลวงพลังและไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงใด ๆ เท่านั้น
ในตอนนี้ แม้ว่าเสี่ยวโร่วจะยังไม่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายา แต่นางก็รู้สึกว่าสภาวะพลังภายในร่างกายของตัวเองนั้นแข็งแกร่งและมั่นคงมากยิ่งขึ้นและสาวน้อยก็เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าอีกไม่นานนัก นางก็คงจะทะลวงพลังข้ามขอบเขตขึ้นไปเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้แล้ว
ทว่าสถานการณ์ทางด้านฉินอวี้โม่กลับแตกต่างออกไป นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่พึงพอใจกับผลงานของตนมากนัก นางพบว่าการศึกษาวิชาการหลอมของนางในช่วงต้นเป็นไปค่อนข้างช้าและจนถึงเวลานี้ฝีมือของนางก็ยังไม่ก้าวหน้าไปสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นเมื่อผู้เฒ่าเยว่เหยาเห็นว่าคุณหนูตระกูลฉินใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการหลอมผลิตภัณฑ์ระดับต่ำออกมาได้ เขาก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม
แม้ว่าตัวฉินอวี้โม่จะไม่พอใจกับความเร็วในการเรียนรู้ของตัวเอง ทว่าผู้เฒ่าเยว่เหยากลับทึ่งในพรสวรรค์ในการหลอมของนางไม่น้อย และถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป การจะหลอมอุปกรณ์กึ่งสำเร็จรูปคุณภาพดีออกมาให้ได้ก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งปี
ต้องทราบก่อนว่า โดยปกติแล้ว ‘ศาสตร์แห่งการหลอมสร้าง’ ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลยในโลกมายาแห่งนี้ การจะหลอมผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาให้ได้โดยทั่วไปผู้หลอมจะต้องฝึกฝนอยู่นานหลายปี ดังนั้นแล้วพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่เช่นนี้จึงถือว่าน่าตกใจมาก
อย่างไรก็ตาม วันนี้ฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาไปที่สมาคมช่างหลอม เหตุผลก็เนื่องมาจากช่วงสายของวันนี้ทางตระกูลฉินของนางมีแขกมาเยือน
ฉินอวี้โม่รีบมายังเรือนรับรองของตระกูลเมื่อมีบ่าวรับใช้แจ้งว่ามีแขกมารอพบ ซึ่งในทันทีที่มาถึง คุณหนูตระกูลฉินก็ยิ้มกว้างเพราะแขกของนางนั้นมีนามว่า ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง
“อวี้โม่ เจ้านี่น่าเบื่อจริง ๆ ในเมื่อมาที่นครไป๋อวิ๋นตั้งหลายวันแล้ว เหตุใดถึงไม่คิดจะไปเยี่ยมข้าบ้างเลย”
หลิงเฟิงเป็นคนตรงไปตรงมา เขาเอ่ยคล้ายต่อว่าออกไปตรง ๆ ทว่าถึงแม้เขาจะกำลังบ่นแต่สีหน้าของเขาก็ไม่ได้มีอารมณ์โกรธอยู่เลย เห็นได้ชัดว่าเขาแค่แกล้งหยอกเย้าฉินอวี้โม่เท่านั้น
“ฮ่า ๆ ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ข้ายุ่งมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย เดิมทีนางคิดว่าเมื่อเข้าไปในโรงเรียนราชสำนัก นางก็คงจะได้เจอกับสหายแซ่หลิงผู้นี้อยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ได้ไปเยี่ยมเยียนเขา อย่างไรก็ตาม หากจะให้กล่าวเหตุผลนี้ออกไปฉินอวี้โม่ก็ทำไม่ได้
“ในเมื่อเจ้าทำผิด งั้นก็เชิญเราไปเลี้ยงอาหารที่ตึกเต๋อเยว่เป็นการไถ่โทษแล้วกัน”
หลิงเฟิงแสร้งเอ่ยเสียงดังก่อนจะยิ้มกว้าง เขาทราบดีอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่คงจะมีภารกิจให้ทำมากมาย สิ่งที่เขากล่าวไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่หยอกล้อนางเท่านั้น
“ย่อมได้ เช่นนั้นเราไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างแจ่มใส คุณหนูตระกูลฉินพาเหล่าสหายผู้สูงศักดิ์ของนางและเสี่ยวโร่วออกจากจวนก่อนจะมุ่งหน้าไปยังตึกเต๋อเยว่
เมื่อวานนี้ผู้เฒ่าเยว่เหยาเพิ่งจะกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ว่าอย่ามัวแต่คร่ำเคร่งกับการเรียนมากจนเกินไป ท่านอาจารย์บอกว่านางควรจะพักผ่อนบ้าง เมื่อมีแขกมาเยือนในวันนี้ คุณหนูสี่จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่จะหยุดพักเสียเลย
ใช้เวลาไม่นานนักสหายหนุ่มสาวทั้งห้าก็มาถึงตึกเต๋อเยว่ พวกเขาสั่งจองห้องอาหารส่วนตัวบนชั้นสอง
เถ้าแก่ร้านยังคงอ่อนน้อมกับฉินอวี้โม่มากและยังดูคล้ายจะมากยิ่งขึ้นกว่าครั้งก่อนจนทำให้แม้แต่สหายราชนิกุลทั้งสามที่คุ้นชินกับการได้รับความเคารพก็ยังรู้สึกประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม นางก็ไม่คิดจะอธิบายเรื่องนี้ นั่นก็เพราะมันเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือ อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูยังไม่แน่ใจว่าควรจะเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้ดีหรือไม่
ตั้งแต่วันนั้นมาจนถึงเวลานี้ ฉินอวี้โม่ไม่ได้พบหน้าหานโม่ฉือมานานกว่าครึ่งเดือนแล้ว ในตอนนี้นางไม่รู้เลยว่าเขากำลังทำสิ่งใดอยู่ หรือมีงานยุ่งมากเพียงใด
เมื่อเข้ามานั่งในห้องอาหาร พวกเขาก็สั่งอาหารหลากหลายอย่างก่อนจะนั่งพูดคุยสนทนาเรื่องสัพเพเหระและแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาสหายที่ไม่ได้รวมกลุ่มกันมานาน
“อวี้โม่ แท้จริงแล้ววันนี้ที่เรามาพบเจ้าก็เพราะว่ามีธุระบางอย่าง”
ผ่านไปพักใหญ่องค์ชายฉีอวี้ก็เอ่ยเข้าประเด็น ในที่สุดพวกเขาก็หาข้ออ้างในการออกจากวังมาได้ โดยปกติแล้วพวกเขาจะยุ่งอยู่กับการศึกษาวิชาการต่าง ๆ รวมถึงฝึกยุทธ์และพลังมายาจนไม่มีโอกาสได้ออกไปไหน หรือต่อให้พวกเขาหาเวลาว่างได้ เสด็จพ่อและเสด็จแม่ก็ไม่ให้ทั้งเขาและฉีฉีไปไหนมาไหนตามลำพังอยู่ดีเพราะเป็นกังวลเรื่องความปลอดภัย
“อ่า… เช่นนั้นก็เชิญบอกข้าได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ
“คือว่า อีกไม่ถึงครึ่งเดือนโรงเรียนราชสำนักก็จะเปิดรับนักเรียนเข้าคัดเลือกแล้ว ตอนนี้ผู้คนทั่วทุกสารทิศจากทุกขุมกำลังต่างก็มาเยือนยังนครไป๋อวิ๋น ดังนั้นทางวังหลวงของเราจึงมีการจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำขึ้นในพระราชวัง จุดประสงค์ก็เพื่อจะสานสัมพันธ์กับขุมกำลังใหญ่น้อยทั้งหลายและยังเปิดโอกาสให้เหล่าผู้ที่จะเข้าคัดเลือกได้มาพบปะกันเพื่อทำความคุ้นเคย เสด็จแม่ทรงทราบว่าเจ้ามาที่นครไป๋อวิ๋น ดังนั้นพระองค์จึงอยากเชิญเจ้าเข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่ว่า”
องค์ชายสามฉีอวี้บอกเล่า หากนับรวมทั้งหมดแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักฉินอวี้โม่มาได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังไม่ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับตัวนางมากนัก ทว่าพวกเขาก็รับรู้ได้ว่าฉินอวี้โม่น่าจะเป็นสตรีที่ไม่ค่อยชื่นชอบงานเลี้ยงสังสรรค์ ดังนั้นทั้งเขา องค์หญิงน้อย และหลิงเฟิงจึงต้องออกมาเชื้อเชิญนางด้วยตัวเอง
คราแรกที่ได้ฟังฉินอวี้โม่ก็อยากจะปฏิเสธ แต่เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายขององค์ชายสาม นางก็พยักหน้าอย่างนุ่มนวล
จนถึงตอนนี้ก็นับว่าผ่านมานานมากแล้ว ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่นางได้พบเจอฮองเฮาเหวินหย่า ฉินอวี้โม่รู้สึกถูกชะตากับสตรีสูงศักดิ์ผู้นี้อย่างน่าประหลาด เมื่อองค์ฮองเฮาผู้อ่อนโยนตั้งใจออกโอษฐ์เชิญเอง คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้เลย
“วิเศษจริง ๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่อวี้โม่จะต้องตอบตกลง”
องค์หญิงฉีฉียิ้มร่าพลางปรบมือชอบใจก่อนจะกล่าวต่อ “พี่เสี่ยวโร่วเองก็จะไปด้วยใช่ไหม ?”
ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองเสี่ยวโร่วแล้วพยักหน้าให้นาง เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวใช้น้อยก็พยักหน้าอย่างดีใจ
กว่ามื้ออาหารแสนอร่อยที่ตึกเต๋อเยว่นั้นจะสิ้นสุดลงก็เป็นปลายยามโฉ่วแล้ว คนทั้งห้าออกมาจากตึกเต๋อเยว่ก่อนจะพากันแวะไปเดินเล่นชมดูและเลือกซื้อสิ่งของถูกใจตามร้านรวงต่าง ๆ ภายในเมืองหลวง เป็นเพราะโอกาสในการออกจากพระราชวังของสหายจากพระราชวังทั้งสามมีไม่มากนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการใช้เวลาในวันนี้ให้คุ้มค่าที่สุด องค์หญิงฉีฉีนั้นชี้ชวนฉินอวี้โม่ดูชมสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมืองเสียงเจื้อยแจ้วไม่ยอมหยุด
และกว่าการเดินเล่นเที่ยวชมเมืองจะสิ้นสุดเวลาก็ล่วงเลยถึงยามเฉินแล้ว สหายทั้งห้าบอกลากัน หนุ่มสาวเชื้อพระวงศ์ทั้งสามคนเดินทางกลับไปยังพระราชวังทันทีโดยมีฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วยืนส่งอยู่หน้าพระราชวัง
ที่กล่าวว่าทั้งหมดเป็นเชื้อพระวงศ์ก็เป็นเพราะหลิงเฟิงผู้โผงผางนั้นเป็นสหายสนิทขององค์ชายฉีอวี้และองค์หญิงน้อยฉีฉี บิดาของหลิงเฟิงมีบรรดาศักดิ์เป็นถึงอ๋องและยังเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวย ปกติแล้วหลิงเฟิงมักจะศึกษาตำราอยู่ภายในวังหลวง นั่นจึงทำให้ทั้งสามคนได้เจอกันบ่อยครั้งจนกลายเป็นสหายสนิทกันในที่สุด
หลังจากที่สหายผู้สูงศักดิ์ทั้งสามคนกลับไปแล้ว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็เดินทางกลับไปยังตระกูลฉิน
และในทันทีที่มาถึงตระกูลฉิน พวกเขาก็ได้รับเทียบเชิญจากพระราชวัง ผู้นำตระกูลฉินและเหล่าอัจฉริยะแห่งตระกูลถูกเชิญให้เข้าไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในอีกสามวันข้างหน้า
ฉินอวี้โม่แจ้งแก่ท่านปู่ฉินเฟินในระหว่างมื้อค่ำว่านางและเสี่ยวโร่วก็จะไปร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วย หลังจากนั้นหญิงสาวทั้งสองก็กลับไปยังห้องพักของตัวเอง
“เสี่ยวโร่ว ช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง ? มีสัญญาณว่าจะก้าวข้ามขอบเขตบ้างหรือยัง ?”
ฉินอวี้โม่อยากให้เสี่ยวโร่วได้เข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนักพร้อมกับนางด้วย ตอนนี้ก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนการคัดเลือกก็จะเริ่มขึ้นแล้ว แน่นอนว่านางหวังให้เสี่ยวโร่วทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ก่อน หากทำเช่นนั้นได้ไม่ว่าการสอบจะยากเย็นเท่าไหร่ เสี่ยวโร่วก็คงจะสอบผ่านได้อย่างไม่มีปัญหา
“คุณหนูไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ข้ามั่นใจมากว่าจะสามารถทะลวงพลังได้ก่อนที่การคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มแน่นอน”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ นางรู้สึกว่าใกล้จะทำลายโซ่ตรวนแห่งขอบเขตนภมายาได้แล้ว หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดนางคาดว่าอีกประมาณสองวันก็คงจะเป็นจอมยุทธ์นภมายาได้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่พูดคุยกับเสี่ยวโร่วอีกสองสามประโยคก่อนจะบอกให้สาวน้อยไปพักผ่อน
อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูเข้ามาในห้องนอนของตัวเองก่อนจะเดินไปที่เตียงกว้าง ในหลายวันมานี้ บางทีนางอาจจะคร่ำเคร่งมากเกินไปจนเกิดความอ่อนล้าสะสมอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้หยุดพักร่างกายจึงโหยหาการพักผ่อน อีกทั้งวันนี้ที่ได้เดินเล่นทั่วเมืองก็ทำให้ความง่วงเริ่มจู่โจม หลังจากอาบน้ำชำระล้างร่างกายเสร็จคุณหนูคนงามก็อยากจะล้มตัวลงนอนในทันที
ทว่าขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังจะเอนหลังลงบนเตียง จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าภายในห้องมีคนอื่นอยู่ด้วย !
“โม่ฉือ เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ?!”
ฉินอวี้โม่ร้องเสียงดังและรีบเด้งตัวขึ้นมาอยู่ในท่ายืน คุณหนูคนงามขมวดคิ้วจ้องมองหานโม่ฉือที่กำลังมีรอยยิ้มอ่อน ๆ ปรากฏบนใบหน้า
หานโม่ฉือพยักหน้าลงครั้งหนึ่งโดยไม่กล่าวสิ่งใด บนใบหน้าหล่อเหลาคมคายมีร่องรอยแห่งความเหนื่อยล้าอย่างหนักหน่วงปรากฏให้เห็น
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า ? ดูเหมือนเจ้าซูบลงไปนะ”
เมื่อเห็นอาการเช่นนั้นของบุรุษผู้แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่ก็รีบทิ้งความขุ่นเคืองที่เขาทำให้นางตกใจ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าหานโม่ฉืออาจจะไม่ตอบคำถามนี้ ทว่านางก็ยังอยากจะถามออกไปอยู่ดี
หานโม่ฉือส่ายหน้า เขาหลบสายตาชั่ววูบหนึ่งก่อนจะหันมามองสบตาคู่งามอย่างแน่วแน่ตามเดิม
“อวี้โม่ขอให้เชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้าจะบอกเจ้าในภายหลัง แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เจ้าควรรู้”
สิ้นวาจานั้น หานโม่ฉือก็หยุดไปชั่วครู่ เขากำลังมองฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าและแววตาที่เป็นกังวล
“โม่ฉืออย่างมองข้าเช่นนั้น ข้าไม่ใช่สตรีไร้เหตุผล เรื่องนี้เจ้าวางใจได้”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเมื่อเห็นท่าทางกังวลใจจากบุรุษมนุษย์น้ำแข็ง เรื่องนี้คนตรงหน้าคงจะไม่สามารถบอกนางในตอนนี้ได้จริง ๆ และเขาก็คงกลัวว่านางอาจจะโกรธ สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเดินเข้าไปใกล้ผู้ชายของนาง
“ข้าเข้าใจ แต่ข้าเคยสัญญากับเจ้าไปตั้งแต่แรกแล้วว่าข้าจะไม่ปิดบังเรื่องใดกับเจ้า”
หานโม่ฉือจับมือบางของสตรีเจ้าของหัวใจก่อนจะฉุดดึงร่างบางให้นั่งลงข้างกาย
ในเวลานี้หานโม่ฉือยังไม่มั่นใจในสิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ ทุกอย่างในเรื่องนี้ดูมืดมนและคลุมเครือไปหมด หากบอกฉินอวี้โม่ไปตอนนี้ เขากลัวว่าจะทำให้นางต้องเป็นกังวลไปด้วย ดังนั้นหานโม่ฉือจึงอยากจะบอกเรื่องนี้กับนางหลังจากเขารู้เรื่องราวกระจ่างชัดและทำการสืบสวนอย่างละเอียดรอบคอบแล้ว
เพราะรับรู้ได้ถึงความตั้งใจของบุรุษตรงหน้า คุณหนูคนงามจึงเอามือสัมผัสใบหน้าของมนุษย์น้ำแข็งขี้กังวลพลางส่งรอยยิ้มอ่อนหวานไปให้ ….มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคนได้รับผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
แววตาของหานโม่ฉือในตอนนี้ดูเหนื่อยล้าเหลือเกิน สิ่งที่เขาแบกรับอยู่คงจะหนักหนาไม่น้อย แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่ยินยอมจะให้ผู้หญิงที่เขารักต้องเป็นกังวลไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่เคยลืมเลือนคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ต่อนางเลย สิ่งที่เขาแสดงออกในวันนี้ทำให้ฉินอวี้โม่รู้ว่าในห้วงคำนึงของเขามีนางอยู่เสมอและนั่นก็แสดงว่าเขารักนางจากหัวใจ คนผู้นี้ต้องการจะอยู่เคียงคู่กับนางไปตลอดชีวิตอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นและเดินอ้อมไปด้านหลังของหานโม่ฉือพลางใช้มือบางบีบนวดไหล่แข็งแรงนั้นอย่างนุ่มนวลแล้วเปลี่ยนไปนวดขมับให้เพื่อคลายความเหนื่อยล้า
เมื่อได้เห็นร่างกายที่ซูบผอมและใบหน้าแสนอ่อนล้าของบุรุษอันเป็นที่รักใกล้ ๆ เช่นนี้ จู่ ๆ คุณหนูคนงามก็รู้สึกปวดร้าวในหัวใจ
“โม่ฉือ เจ้าอยากจะนอนพักสักครู่หรือไม่ ?”
เดิมที ถ้าหากหานโม่ฉือไม่เข้ามา ฉินอวี้โม่ก็คงจะล้มตัวลงนอนและงีบหลับไปแล้ว ทั้งความเหนื่อยสะสมมาหลายวันและวันนี้นางตื่นมาอ่านตำราตั้งแต่เช้า รวมกับที่ได้ออกไปด้านนอกทำให้นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย
คุณหนูผู้เลอโฉมอดไม่ได้ที่จะดึงร่างหานโม่ฉือและพาตรงไปที่เตียง
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้าจะนอนที่ไหน ?”
ด้วยน้ำเสียงแสนห่วงใยของฉินอวี้โม่ทำให้หานโม่ฉือไม่กล้าปฏิเสธ เขาพยักหน้าอย่างว่าง่ายและยอมให้นางจับจูงมือไป ก่อนจะนอนลงบนเตียงแต่โดยดี ทว่าบุรุษร่างใหญ่ก็ยังสงสัยว่าหากเขานอนบนเตียงแล้วนางจะนอนที่ใด
“แน่นอนว่าข้าก็จะนอนตรงนี้”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือและกล่าว นางตอบออกไปตรง ๆ โดยไม่ได้คิดอะไร
‘เรียกผู้ชายมานอนบนเตียงเดียวกับตัวเอง อีกทั้งยังตีสีหน้าสงบได้ถึงเพียงนี้ นางยังเป็นสตรีอยู่หรือไม่ ?’ และนี่ก็ทำให้บุรุษเย็นชาหานโม่ฉือถึงกับหน้าแดง คิ้วหนาขมวดมุ่น ร่างกายแข็งแกร่งก็แข็งเกร็งและเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“โม่ฉือ หน้าของเจ้าแดงแล้วนะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของหานโม่ฉือขึ้นสีแดงซ่าน ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยล้อเลียน ยิ่งกว่านั้นนางยังมิวายนึกสงสัย… ‘บุรุษที่เย็นชาถึงเพียงนี้หน้าแดงได้ด้วยหรือ ?’
“หานโม่ฉือ ‘เรื่องแบบนั้น’ เราก็เคยทำกันไปแล้ว ตอนนี้เพียงแค่นอนบนเตียงเดียวกันก็ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยนี่ เหตุใดเจ้าต้องอายด้วยเล่า ?”
เมื่อเห็นว่าใบหน้ามนุษย์น้ำแข็งยังคงแดงขึ้นเรื่อย ๆ ฉินอวี้โม่ก็อดพูดหยอกล้อเขามากขึ้นไม่ได้ สตรีโฉมงามอมยิ้มอย่างขบขัน
หานโม่ฉือเป็นชายที่นางเชื่อมั่นและไว้วางใจ ในเมื่อนางวางหัวใจไว้ที่คนผู้นี้จนหมดแล้ว อีกทั้งทั้งนางและเขาก่อนหน้านี้ก็เรียกว่าได้กลายเป็นสามีภรรยากันไปแล้ว ทำให้นาง..ไม่สิ..เธอ..ไม่มีอาการขัดเขินเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาและไม่รู้สึกว่าสิ่งที่พูดออกไปจะน่าอายแต่อย่างใด
ไม่ทราบว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่ด้วยสายตาขี้เล่นและวาจาหยอกล้อของสตรีเจ้าของหัวใจตรงหน้าก็ช่วยให้ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นของหานโม่ฉื่อเริ่มจางหายไป
โดยปกติแล้ว หานโม่ฉือผู้นี้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดเลยแม้กระทั่งความตาย ทว่าเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีเพศแล้วเขาดูจะเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด นั่นอาจจะเป็นเพราะเขาไม่เคยใกล้ชิดกับสตรีมาก่อน ทั้งในเรื่องทางกายและในเรื่องหัวใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นฉินอวี้โม่นอนลงและทำตัวเป็นธรรมชาติ เขาก็เริ่มผ่อนคลายขึ้นมากและไม่กังวลอีก
เมื่ออาการขัดเขินหายจนหมดสิ้นและด้วยท่าทีรวมถึงวาจาเช่นนั้นของฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็ดึงตัวฉินอวี้โม่เข้ามากอดอย่างฉับพลัน ก่อนจะประกบจูบลงไปบนริมฝีปากแดงฉ่ำของสาวน้อยแสนงามของเขาอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่นั้นกำลังกลั้นขำกับท่าทางเขินอายของบุรุษตัวใหญ่หัวใจเย็นชา ทว่าเมื่อรู้ตัวอีกครั้งร่างของนางก็ตกไปอยู่ในอ้อมกอดอบอุ่นของเขาแล้ว ยิ่งกว่านั้น ริมฝีปากเล็ก ๆ ยังถูกปากบางของเขาประกบแนบแน่น
แม้ว่าในคราแรกจะรู้สึกตกตะลึงอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่านักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่ใช่คนที่จะเสียขวัญได้ง่าย ๆ นางกอดตอบเขาไปทันทีและแลกจูบกับเขาอย่างดูดดื่ม มือบางลูบไล้ซุกซน
“เฮ้ !”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ผลักตัวฉินอวี้โม่ออกไปก่อนจะส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญา “เจ้ามันคือนางมารร้าย”
เมื่อครู่ ฉินอวี้โม่เพิ่งจะสอดมือเข้าไปในเสื้อของหานโม่ฉือและสัมผัสลูบไล้เรือนร่างแข็งแกร่งของเขาอย่างอุกอาจ !
หานโม่ฉือก็เป็นบุรุษมีเลือดเนื้อ แน่นอนว่าในเวลาเช่นนี้เขาก็ย่อมมีความต้องการ ทว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ตระกูลฉินเขาจึงต้องหักห้ามใจ เขาไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีไม่สงวนตัว ในตอนนี้เขารู้สึกอยากจะรีบตบแต่งกับนางและพาเข้าบ้านของเขาโดยไวเพื่อกำจัดอุปสรรคขวากหนามทั้งหมดนี้ !
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้หานโม่ฉือ สายตาคมประสานตาคู่งามนิ่งนาน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ฉินอวี้โม่รับรู้ได้ถึงความคิดของบุรุษตรงหน้าอย่างชัดเจน แม้ว่านางจะไม่ถือสาเรื่องนี้ก็ตามทว่าเมื่อได้ล่วงรู้ถึงความคิดของเขา จิตใจของนางก็ยังสั่นไหวไม่น้อย
นี่นับว่าโชคดีมากเหลือเกินที่นางได้ผู้ชายที่นึกถึงจิตใจของนางก่อนมาอยู่เคียงข้าง
“นอนกันเถิด ยังมีงานอีกหลายอย่างที่รอให้เราทำ”
หานโม่ฉือกอดฉินอวี้โม่ไว้ในอ้อมแขนแน่นก่อนจะหลับตาลง ฉินอวี้โม่เองก็ค่อย ๆ หลับตาลงอย่างช้า ๆ มุมปากเล็กของคุณหนูผู้งดงามปรากฏเป็นรอยยิ้มสุขใจอยู่จนผล็อยหลับไป
.
.
“อวี้โม่ เจ้าอยากจะเป็นช่างหลอมอย่างนั้นหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงไม่แน่ใจนักว่าฉินอวี้โม่คิดอย่างไร ทว่านางได้เห็นพรสวรรค์ในด้านนี้ของสตรีที่นางยึดถือเอาเป็นสหายแล้ว หากสหายผู้เก่งกาจอยากจะเป็นช่างหลอม นางก็จะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่
เมื่อได้ยินคำถามของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้ารับ นางสนใจศาสตร์ด้านการหลอมอยู่จริง ๆ ถ้าหากว่านางกลายเป็นช่างหลอมได้ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดี
“ข้าจะพาเจ้าไปพบท่านปู่ของข้า เจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมกับสมาคมของเราก็ไม่เป็นไร แค่ท่านปู่รู้ว่าเจ้าเป็นสหายสนิทของข้า ท่านจะสอนเจ้าอย่างดี ข้ารับรองเลยว่าด้วยพรสวรรค์ของเจ้า ไม่นานเจ้าจะกลายเป็นช่างหลอมระดับแนวหน้าได้แน่นอน”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาคือปู่ของเยว่ชิงเฉิง เขาเป็นปรมาจารย์ในด้านการหลอม ชื่อเสียงของช่างหลอมชราผู้นี้ไม่ได้เป็นที่นับถือกันแต่เพียงภายในนครไป๋อวิ๋นเท่านั้น แต่ยังโด่งดังไปทั่วทั้งแผ่นดิน แม้ว่าปัจจุบันเขาจะวางมือจากตำแหน่งประธานสมาคมช่างหลอมไปแล้วก็ตาม ทว่าสถานะและบารมีของเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าบุตรชายที่เป็นประธานสมาคมช่างหลอมคนปัจจุบันเลย
แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงศ์แห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น และผู้นำตระกูลน้อยใหญ่ทั้งหลายต่างก็เคารพยำเกรงและให้เกียรติปรมาจารย์เฒ่าผู้นี้
เมื่อกล่าวจบเยว่ชิงเฉิงก็ลากตัวฉินอวี้โม่ออกไปอย่างรวดเร็ว
คุณหนูตระกูลฉินลอบถอนหายใจอย่างปลดปลง เยว่ชิงเฉิงเป็นสตรีที่คิดเร็วทำเร็ว ไม่ว่าจะกล่าวหรือคิดสิ่งใดออกมาได้ นางก็จะลงมือทำมันให้ได้ในทันทีทันใด เช่นในตอนนี้ เมื่อกล่าวว่าจะแนะนำท่านปู่ให้ฉินอวี้โม่รู้จัก นางก็ลากสหายใหม่จากตระกูลฉินออกไปอย่างฉับพลัน
หลังจากออกจากห้องส่วนตัว เยว่ชิงเฉิงก็พาฉินอวี้โม่ลงไปที่ชั้นสองก่อนจะเดินตรงไปยังห้องใหญ่ห้องหนึ่ง ห้องนี้เป็นห้องของอดีตประธานสมาคมช่างหลอม–ปรมาจารย์ผู้เฒ่าเยว่เหยา
เมื่อเห็นว่าตรงหน้าประตูไม่มีผู้ใดยืนอยู่ เยว่ชิงเฉิงก็ผลักประตูเข้าไปทันที
ในยามที่ช่างหลอมลงมือสรรค์สร้างสิ่งหลอม พวกเขาจะต้องใช้สมาธิอันสูงส่ง ดังนั้นแล้วในระหว่างที่ผู้เฒ่าเยว่เหยาปฏิบัติงานจะต้องมีคนมายืนเฝ้าหน้าประตูห้องเอาไว้ ซึ่งการที่หน้าประตูไม่มีผู้ใดเฝ้าก็แสดงว่าขณะนี้ปรมาจารย์ผู้เฒ่าไม่ได้สร้างสิ่งหลอมอยู่ เยว่ชิงเฉิงจึงกล้าผลักประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยขออนุญาต
“ท่านปู่ ข้าพาสหายของข้ามาพบท่าน”
เยว่ชิงเฉิงจูงมือฉินอวี้โม่เดินตรงเข้ามา แน่นอนว่าคุณหนูช่างหลอมหลงลืมการมีอยู่ของโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วไปโดยสมบูรณ์ สองสหายผู้ไร้ตัวตนเดินคอตกตามหลังมาอย่างอับจนปัญญา
“เสี่ยวชิงเฉิง ช่วงนี้การฝึกฝนในด้านการหลอมอาวุธของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ทันทีที่เดินเข้ามา พวกเขาก็ได้ยินเสียงของบุรุษชราท่าทางใจดีผู้หนึ่งที่กำลังจดจ่ออยู่กับหมากกระดานดังมาออกมาจากส่วนลึกของห้อง
“ท่านปู่ ข้าก็กำลังฝึกอยู่เรื่อย ๆ นั่นแหละ”
เยว่ชิงเฉิงถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปหาเยว่เหยาและเกาะแขนของเขาออดอ้อน
“เจ้าเด็กคนนี้ เจ้าต้องขี้เกียจอีกแล้วแน่ ๆ”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนั้น แต่สายตาที่ผู้เฒ่าเยว่เหยาใช้จ้องมองเยว่ชิงเฉิงก็เป็นสายตาที่ดูตามใจไม่น้อย เขาไม่อยากจะไปขัดขวางแนวทางของหลานสาว
เยว่ชิงเฉิงแลบลิ้นออกมาอย่างแก่นแก้ว
“ท่านปู่ ข้าจะแนะนำให้ท่านรู้จัก นี่คือสหายคนสนิทของข้า–ฉินอวี้โม่”
เยว่ชิงเฉิงดึงฉินอวี้โม่ให้เข้ามาหาผู้เป็นปู่ “ท่านปู่ ท่านอาจจะยังไม่ทราบ เมื่อครู่อวี้โม่ได้สร้างผลงานชิ้นเอกขึ้นมาเป็นกริชงามมากเล่มหนึ่ง กริชเล่มนี้ไม่เพียงแต่ไร้ที่ติแต่ยังคุณภาพยอดเยี่ยม ที่สำคัญนางสร้างมันขึ้นมาจากชิ้นงานที่ล้มเหลวของข้า ข้าคิดว่าหากว่านางรู้ทักษะการหลอม อวี้โม่อาจจะสามารถทำให้เหล็กผุ ๆ กลายเป็นสมบัติได้เลย !”
เยว่ชิงเฉิงเล่าให้ท่านปู่ของนางฟังด้วยสีหน้าแววตาเจ้าเล่ห์ ก่อนที่จะหยิบเอากริชที่เพิ่งจะเสร็จสมบูรณ์ออกมาประกอบการบรรยาย
เมื่อเห็นกริชเล่มนั้นในมือหลานสาว ปรมาจารย์เยว่เหยาก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“เป็นอาวุธที่ดี ทักษะการเจียระไนของเสี่ยวอวี้โม่ยอดเยี่ยมมาก แต่เสี่ยวเฉิงเอ๋อร์ การขัดเงาและลับคมของเจ้าต้องตั้งใจฝึกหัดอีกสักหน่อย”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่ามองดูกริชอยู่เพียงชั่วครู่ก็เอ่ยวิจารณ์ออกมา
ผู้เฒ่าเยว่เหยารู้จักพรสวรรค์ของหลานสาวตัวเองดี เขารู้ว่าพรสวรรค์ด้านการสร้างสิ่งหลอมของนางเรียกได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง วัน ๆ สิ่งที่นางสร้างขึ้นมาก็มักจะมีแต่อุปกรณ์หน้าตาแปลกประหลาด แม้ว่ายอดฝีมือช่างหลอมเฒ่าจะรู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง ทว่าเขาก็ยังปล่อยให้หลานสาวได้ทำในสิ่งที่นางต้องการ
เพียงแค่มองกริชในมือเขาก็รู้ในทันทีว่าการเจียระไนไม่ใช่ผลงานของเยว่ชิงเฉิง อย่างไรก็ตาม การขึ้นรูป การขัดสี และการลับคมเป็นฝีมือของนางอย่างแน่นอน กริชเล่มนี้แกะและเจียออกมาได้อย่างน่าชื่นชม ทักษะการใช้มือและมีดแกะไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ทว่าฝีมือการขัดเงาและลับคมของกริชเล่มนี้แม้ไม่ได้ย่ำแย่แต่ก็ไม่ได้ดีนัก ปรมาจารย์สายตาแหลมคมมากประสบการณ์จึงคาดเดาว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่เจียระไนมันออกมา
แค่มองเพียงชั่ววูบ ก็ให้คำวิจารณ์ที่เฉียบขาดได้ถึงเพียงนี้แสดงว่าสายตาของเยว่เหยาเหนือชั้นเป็นอย่างมาก เขารู้แม้กระทั่งว่านางและหลานสาวสร้างสรรค์ผลงานในขั้นตอนใด อีกทั้งยังสามารถแยกแยะฝีมือและจุดบกพร่องได้ นี่ทำให้ฉินอวี้โม่โค้งคำนับเขาด้วยความนอบน้อม
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นเพื่อนสนิทของเสี่ยวชิงเฉิง เวลาอยู่ต่อหน้าข้าเจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจนักหรอก มานั่งลงก่อนสิ”
กล่าวจบผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ชี้นิ้วไปที่เก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม คล้ายเป็นการบอกกลาย ๆ ให้ฉินอวี้โม่มาเป็นคู่ซ้อมเดินหมากกระดานนี้กับเขา
ฉินอวี้โม่มองไปที่หมากในกระดานและพบว่ามันเป็นหมากรุกของโลกมายา อดีตสาวนักฆ่าค่อย ๆ เดินไปแล้วนั่งตรงข้ามกับปรมาจารย์ช่างหลอมผู้มากอาวุโส
ในชีวิตก่อน หมากกระดานเป็นสิ่งหนึ่งที่เธอชื่นชอบมาก เกมประเภทหมากกระดานที่เธอถนัดที่สุดก็คือหมากล้อม ซึ่งเธอจะศึกษามันทุก ๆ วันหยุด ฝีมือของเธอแม้จะไม่ได้เข้าขั้นมืออาชีพแต่ก็ถือว่าไม่ต้องอายใคร เธอชื่นชอบการเดินหมากกระดานเพราะมันช่วยให้ได้ฝึกฝนความคิด ชอบความท้าทายที่ต้องคิดค้นกลวิธีในการเอาชนะคู่ต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขและกติกา อันที่จริง นอกเหนือจากหมากล้อมแล้ว หมากรุกก็เป็นเกมที่เธอถนัดมากเช่นกัน
“อวี้โม่ เจ้ารู้วิธีเล่นหมากรุกใช่ไหม ?”
ทันทีที่ฉินอวี้โม่นั่งลง ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็ส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
“ทราบมานิดหน่อยเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ สำหรับนางที่มีความทรงจำของคุณหนูสี่อยู่ แน่นอนว่ากติกาของหมากรุกโลกมายานางย่อมรู้ดี ทว่าคุณหนูคนงามก็ยังตอบอย่างถ่อมตัว
เมื่อได้ยินบทสนทนาของผู้เป็นปู่และฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็เข้าใจความตั้งใจของผู้เฒ่าเยว่เหยาทันที แต่อย่างไรก็ตาม คุณหนูช่างหลอมก็ไม่รู้วิธีการเล่นหมากรุก นางส่งสายตาให้โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วเป็นเชิงบอกว่าอย่าได้เข้าไปขัดคนต่างวัยทั้งคู่ ก่อนนางจะยืนดูเงียบ ๆ เช่นกัน
“งั้นช่วยข้าแก้กระดานนี้ให้จบทีสิ”
บุรุษผู้เฒ่ายิ้มใจดี เขาผู้ซึ่งเป็นปู่ของเยว่ชิงเฉิงคือปรมาจารย์ด้านการหลอม การที่หลานสาวของเขาพาสหายมาพบและยังอวดอ้างว่านางมีพรสวรรค์ที่ดี เช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเจ้าหลานตัวดีรวมทั้งดรุณีน้อยตรงหน้าต้องการสิ่งใด
ปกติแล้ว ตัวเขาไม่คิดจะรับผู้ใดเป็นศิษย์โดยง่าย และที่ผ่านมาเขาก็เคยรับศิษย์เพียงหนึ่งคนเท่านั้น แต่ในเมื่อหลานสาวของเขาเป็นผู้พานางมาหาถึงที่เช่นนี้ ผู้เฒ่าเยว่เหยาก็จะไม่ใจร้ายกล่าวปฏิเสธ อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังต้องการทดสอบฉินอวี้โม่ก่อน
มีผู้รู้เคยกล่าวไว้ว่าแนวทางการเล่นหมากรุกของคนคนหนึ่งสามารถบ่งบอกถึงธรรมชาติของคนผู้นั้นได้ ผู้เฒ่าเยว่เหยาจึงคิดจะใช้หมากรุกกระดานนี้เพื่อวิเคราะห์สตรีน้อยผู้ต้องการฝากตัวเป็นศิษย์
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะไล่สายตาดูหมากในกระดานอย่างพินิจพิเคราะห์
บนกระดาน ตัวหมากสีดำได้ล้อมตัวหมากสีขาวเอาไว้แล้วทุกด้าน ดูเหมือนว่าในสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีทางที่หมากสีขาวจะหนีไปไหนได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นไม่ว่าจะเดินตัวหมากตำแหน่งใดก็ดูเหมือนจะถูกรุกฆาตในท้ายที่สุดอยู่ดี
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ยังมองเห็นช่องโหว่ของวิธีการเดินหมากของตัวหมากดำได้ ต้องถือว่าโชคดีที่นางได้เรียนรู้วิธีการเล่นหมากรุกมาจากศตวรรษที่ 21 เพราะกติกาและรูปแบบการเดินหมากรุกของโลกที่นักฆ่าสาวจากมานั้นซับซ้อนกว่าหมากรุกในโลกมายานี้มาก ในตอนนี้เธอจึงเห็นแล้วว่าจะแก้หมากตานี้อย่างไร
— แก๊ก ! —
ฉินอวี้โม่หยิบตัวหมากสีขาวขึ้นมาและวางลงไปตรงช่องว่างเพียงช่องเดียวที่อยู่กลางกระดานอย่างไม่ลังเล
เมื่อเห็นการเดินหมากของฉินอวี้โม่ ปรมาจารย์แห่งสมาคมช่างหลอมก็ยิ้มกว้างออกมาในทันใด
“กล้าหาญ ตรงไปตรงมา หยิ่งผยอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเสี่ยวอวี้โม่ถึงได้กลายเป็นสหายที่ดีของเสี่ยวเฉิงเอ๋อร์ได้ !”
การเดินหมากเช่นนั้น ทำให้ปรมาจารย์ผู้มากประสบการณ์อดกล่าวคำชมเชยออกมาไม่ได้ ผู้เฒ่าเยว่เหยารู้สึกชื่นชมสตรีน้อยตรงหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง
หมากที่นางลงมาเมื่อสักครู่นั้น จริงอยู่ว่าดูผิวเผินคล้ายกับเป็นการฆ่าตัวตาย ในตำแหน่งนั้นเห็นชัดว่ามันเสี่ยงที่จะถูกหมากดำของเขาจับกิน ทว่าเขากลับไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะการทำเช่นนั้นโครงสร้างของหมากที่เขาวางไว้จะเกิดช่องโหว่ที่ร้ายแรง และสถานการณ์ของหมากกระดานนี้ก็จะพลิกกลับทันที แต่หากว่าเขาไม่จับกินมันก็จะกลายเป็นเสี้ยนหนามสำคัญที่ทำให้ฝ่ายเขาจะต้องพ่ายแพ้ในที่สุด
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าอยากจะมาเป็นศิษย์ของผู้เฒ่าผู้นี้หรือไม่ ?”
ปรมาจารย์เยว่เหยามองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำพูดของเยว่เหยา มุมปากของฉินอวี้โม่ก็แย้มยิ้มอย่างแจ่มใส นางลุกขึ้นมาทันทีและเตรียมคุกเข่าทำการคำนับปรมาจารย์ช่างหลอมมือหนึ่งเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์
“ช้าก่อนอวี้โม่ อย่าทำแบบนั้น เจ้าทำเช่นนั้นไม่ได้”
ทว่าผู้เฒ่าเยว่เหยากลับหยุดฉินอวี้โม่เอาไว้ จู่ ๆ บุรุษผู้เฒ่าก็นึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ หากว่าฉินอวี้โม่กราบเขาเป็นอาจารย์ก็คงจะเป็นเรื่องยุ่งไม่น้อย
ฉินอวี้โม่ชะงักไป นางมองอดีตประธานสมาคมช่างหลอมด้วยความประหลาดใจ การแสดงออกของผู้เฒ่าเยว่เหยาในตอนนี้ดูออกจะแปลกอยู่ไม่น้อย
“แค่ก ๆ ข้าเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉินเทียนพ่อของเจ้าเคยกราบข้าเป็นอาจารย์และยังถือเป็นศิษย์คนเดียวของข้า หากว่าเจ้ากราบข้าเป็นอาจารย์อีกคน ข้าเกรงว่ามันจะไม่เหมาะ”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาไอ และกล่าวบางสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่และเยว่ชิงเฉิงประหลาดใจ
ในตอนนั้นพรสวรรค์ของฉินเทียนนับว่าโดดเด่นเป็นอย่างมากจนเยว่เหยารู้สึกประทับใจและรับเขาไว้เป็นศิษย์เพียงคนเดียว เรื่องนี้มีน้อยคนนักที่จะทราบและเยว่เหยาก็ไม่เคยคิดจะเอ่ยเล่าให้ใครฟัง ในเมื่อฉินเทียนเป็นศิษย์ของเยว่เหยา ฉินอวี้โม่เป็นบุตรสาวของฉินเทียน ฉะนั้นด้วยศักดิ์แล้ว เยว่เหยาก็นับเป็นอาจารย์ของฉินอวี้โม่อยู่แล้ว
แต่ถ้าหากฉินอวี้โม่กราบเขาเป็นอาจารย์อีกคน นั่นก็เท่ากับว่าฉินอวี้โม่กับฉินเทียนจะกลายเป็นศิษย์รุ่นเดียวกันหรือเป็นศิษย์พี่-ศิษย์น้อง ซึ่งเยว่เหยาคิดว่ามันไม่เหมาะสมนัก
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าผู้นี้ถือว่าเป็นอาจารย์ของเจ้าอยู่แล้ว ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกราบข้าเป็นอาจารย์อีก และเจ้าก็ไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้ ให้เรียกข้าว่าท่านปู่แบบเดียวกับเสี่ยวชิงเฉิงก็แล้วกัน”
เยว่เหยาเอ่ยปากกล่าวในสิ่งที่เขาตัดสินใจ
ฉินเทียนคือลูกศิษย์ของเขา ตามหลักแล้วฉินอวี้โม่เป็นก็คือลูกของลูกศิษย์ซึ่งก็คือหลานคนหนึ่ง เพียงแต่เขาอยากให้นางเป็นเสมือนหลานแท้ ๆ อีกคนจึงขอให้เรียกเขาว่าท่านปู่ ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์สูงส่ง หากสามารถส่งเสริมให้นางเป็นช่างหลอมฝีมือโดดเด่นได้เขาก็ยิ่งรู้สึกดีใจ หลานสาวของเขาคนหนึ่งมีพรสวรรค์แสนธรรมดาทำให้เขาไม่อาจจะถ่ายทอดทักษะการหลอมของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ถ้าหากหลานอีกคนของเขามีพรสวรรค์ที่เหนือกว่าและประสบความสำเร็จได้ ช่างหลอมผู้เฒ่าอย่างเขาผู้นี้ก็คงได้ยิ้มเป็นสุขราวกับสวรรค์อำนวยพรให้เขาทุกวัน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเปลี่ยนแปลงท่าทาง คุกเข่าทำท่าคารวะผู้เฒ่าเยว่เหยาเสมือนคนรุ่นเยาว์ที่คำนับผู้อาวุโสก่อนจะลุกขึ้นยืนและเรียกเขาว่าท่านปู่เยว่เหยาด้วยรอยยิ้ม
“วิเศษที่สุด ในที่สุดอวี้โม่ก็จะได้เรียนรู้ทักษะการหลอมแล้ว”
เยว่ชิงเฉิงหัวเราะร่า จุดประสงค์ที่นางพาฉินอวี้โม่มาที่นี่ก็เพื่อให้ท่านปู่ของนางสอนทักษะการหลอมให้ฉินอวี้โม่ และตอนนี้ในเมื่อท่านปู่ของนางรับฉินอวี้โม่เป็นศิษย์แล้วก็เท่ากับว่าสิ่งที่นางทำไปในวันนี้สำเร็จลุล่วง
“อวี้โม่ เจ้าต้องเรียนรู้ศาสตร์การหลอมอาวุธจากปู่ของข้าให้ได้มากที่สุดนะ หากเจ้าทำเช่นนั้นต่อไปท่านปู่ก็จะได้ไม่ต้องมาค่อยสั่งหรือบอกให้ข้าฝึกอีก”
เยว่ชิงเฉิงเข้าไปจับมือฉินอวี้โม่อย่างอารมณ์ดีก่อนจะพูดในสิ่งที่นางคิดออกไป ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเป้าหมายอันแท้จริงที่คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมคาดหวังไว้แต่แรกแล้ว
“เสี่ยวชิงเฉิง เหมือนเจ้าจะไม่อยากฝึกฝนการหลอมเหลือเกินนะ !”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาแสร้งทำทีเป็นดุหลานสาว แต่บนใบหน้าชรากลับยังคงอมยิ้ม ปรมาจารย์ช่างหลอมถอนหายใจพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เขาไม่ทราบว่าควรจะทำอย่างไรกับหลานสาวตัวร้ายของเขาดี ตัวเขามีทักษะการหลอมอยู่อย่างเปี่ยมล้น ทว่าหลานสาวกลับไม่อยากเดินเส้นทางนี้ ยังดีที่วันนี้เขาได้ฉินอวี้โม่มาเป็นหลานอีกคน อย่างน้อยเขาก็มีตัวแทนที่จะฝากความหวังเอาไว้ได้บ้างแล้ว
“ท่านปู่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าแค่คิดว่าอวี้โม่มีพรสวรรค์ในการหลอมที่สูงส่ง หากว่านางได้เรียนรู้จากท่านปู่ นางก็คงจะประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เมื่อถึงตอนนั้น ไม่แน่ว่านางอาจจะเหนือกว่าท่านปู่เสียอีก และถ้าหากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะได้ไปเรียนรู้จากเสี่ยวอวี้โม่แทน”
เนื่องจากนางกำลังอารมณ์ดี เยว่ชิงเฉิงจึงอดไม่ได้ที่จะพูดจาหยอกล้อผู้เป็นปู่ของตัวเอง
“เหอะ ! เจ้าเรียนรู้จากข้ามาตั้งหลายปี เจ้ายังทำได้เพียงเท่านี้ หากว่าเสี่ยวอวี้โม่เรียนแล้วเก่งกว่าเจ้าได้ในระยะเวลาสั้น ๆ เจ้าตัวดี ข้าว่าเจ้าควรจะมุดแผ่นดินหนีได้แล้วล่ะ”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาแสร้งเหน็บแนมเยว่ชิงเฉิง พลางมองนางด้วยสายตาดูหมิ่น ทว่าน้ำเสียงของเขาก็ไม่ได้มีความโกรธอยู่เลย ตัวเขานั้นเคยชินกับนิสัยของหลานสาวที่เป็นเช่นนี้มานานและหมดมุกที่จะใช้รับมือกับเจ้ามารน้อยผู้นี้ไปเสียแล้ว จนทุกวันนี้เหลือเพียงวิธีเดียวที่เขาใช้รับมือกับนางนั่นคือ… ต้องปล่อยวางให้ได้เท่านั้น
เยว่ชิงเฉิงแลบลิ้นใส่ปู่ของตัวเอง ก่อนจะกล่าว “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็คงจะดีใจกับอวี้โม่”
“เพ่ย เจ้าหลานดื้อ หัดใจกล้าทำท่าทางน่าตีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ?”
ปรมาจารย์ผู้เฒ่าส่ายศีรษะอย่างอับจนปัญญาก่อนจะเปลี่ยนเป็นกล่าวเรื่องอื่นไป “เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบ
“เหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือนก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มขึ้น ถ้าเจ้ามีเวลาก็เข้ามาที่สมาคมได้ ในเรื่องของพื้นฐานการหลอมข้าจะสั่งให้ศิษย์ของสมาคมคอยดูแลแนะแนวทางให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็ศึกษาดูจากการปฏิบัติงานของช่างในสมาคม เจ้าจะเข้าใจได้มากแค่ไหนก็คงขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้า หากเจ้าสามารถขึ้นถึงระดับช่างหลอมอาวุโสได้แล้ว เวลานั้นข้าจะชี้แนะให้เจ้าด้วยตัวเอง”
ผู้เฒ่าเยว่เหยาไม่ต้องการจะเริ่มต้นสอนในส่วนของพื้นฐานให้แก่ฉินอวี้โม่ เขาอยากให้นางเรียนรู้ด้วยตนเอง ทว่าเขาก็จะคอยชี้แนะแนวทางในเรื่องที่นางสงสัยและคอยอำนวยความสะดวกให้
หากเป็นการสอนในเรื่องของพื้นฐานจะให้ช่างหลอมคนใดสอนก็จะให้ผลที่ไม่ต่างกันมาก สิ่งสำคัญคือฉินอวี้โม่ต้องเข้าใจมันได้ด้วยตัวเอง หากนางมีพรสวรรค์ที่ดี นางก็จะก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากว่ายังไม่พึงพอใจในทักษะพื้นฐานที่ผู้อื่นสั่งสอน นางก็ต้องค้นหาแนวทางเฉพาะของตัวเอง และนั่นคือสิ่งที่อาจารย์เฒ่าผู้นี้ต้องการ
ฉินอวี้โม่พยักหน้า อย่างไรเสียหลังจากนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดให้ทำอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงตั้งใจจะมาที่สมาคมช่างหลอมทุกวันเพื่อศึกษาเรียนรู้ นางตั้งมั่นแล้วว่าจะเป็นช่างหลอมให้ได้โดยเร็วที่สุด
ยังพอมีเวลาเหลือก่อนที่การสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักจะเริ่มต้นขึ้น นี่จึงถือเป็นการดีที่จะใช้เวลาในช่วงนี้ให้เกิดประโยชน์
หลังจากพูดคุยสนทนากับผู้เฒ่าเยว่เหยาและเยว่ชิงเฉิงอีกพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงก็ออกจากสมาคมช่างหลอม สองสาวกล่าวลาสหายหนุ่มก่อนที่ทั้งหมดจะแยกย้ายเดินทางกลับตระกูลของตัวเอง
.
.
“เฮ้ เยว่ชิงเฉิง ในเมื่อเจ้าเองก็ไม่อยากแต่งงานกับข้า จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเรายุติการหมั้นหมายนี้ลง ?”
เมื่อเห็นเยว่ชิงเฉิงดึงตัวฉินอวี้โม่ออกไปนั่งสนทนาอย่างสนิทสนมโดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย โอวหยางชิงเฟิงก็หมดคำพูดไป คุณชายรองตระกูลโอวหยางผู้มีปัญหาหนักอกเรื่องการหมั้นหมายมาตลอดหลายปีจนถึงกับต้องหนีออกจากตระกูลแทบอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนกับพฤติกรรมของ ‘สตรีผู้เป็นคู่หมั้น’
‘ผู้หญิงเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่เข้าใจได้ยากที่สุดโดยแท้’
หลังจากพบหน้ากันได้เพียงหนึ่งก้านธูปถ้วน โอวหยางชิงเฟิงก็รู้สึกว่าเยว่ชิงเฉิงและฉินอวี้โม่ดูราวกับเป็นสหายรักที่พลัดพรากจากกันไปนานแสนนาน
“โอวหยางชิงเฟิง เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้นะ อย่ามารบกวนเวลาสนทนาของข้ากับอวี้โม่ !”
เยว่ชิงเฉิงหันมาสาดสายตาแข็งกร้าวเข้าใส่อดีตคู่หมายผู้น่ารำคาญก่อนจะหันกลับไปคุยกับฉินอวี้โม่ต่ออย่างออกรส
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกลไกกับดักเมื่อครู่นี้ของเยว่ชิงเฉิง และบอกนางเกี่ยวกับกลวิธีการวางกับดักที่นางไม่เคยได้ยินมาก่อน และนี่ทำให้เยว่ชิงเฉิงรู้สึกสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก
อันที่จริง อดีตสาวนักฆ่าอยากจะบอกคุณหนูช่างหลอมผู้นี้ด้วยซ้ำว่าถ้าหากเอาเทคนิคการสร้างกับดักของนางมาเทียบกับตัวเธอเมื่อชีวิตก่อน ฝีมือของเยว่ชิงเฉิงในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเด็กทารกเลย แต่พอคิด ๆ ดูแล้ว นักฆ่าสาวศตวรรษที่ 21 ในร่างคุณหนูตระกูลฉินก็เลือกที่จะไม่พูดเพราะถ้าพูดออกไปแบบนั้นอีกฝ่ายอาจจะไม่เชื่อถือ
เพราะถึงอย่างไรร่างกายของคุณหนูตระกูลฉินในตอนนี้ก็มีอายุน้อยกว่าเยว่ชิงเฉิงถึงหนึ่งปี นางจึงไม่อยากจะคุยโวโอ้อวดมากเกินตัว แต่ถ้าหากเอาอายุและประสบการณ์ของเธอจากชีวิตก่อนมาบวกรวมเข้าด้วยกันกับประสบการณ์ในความทรงจำของคุณหนูสี่ในชีวิตนี้ อายุของฉินอวี้โม่ก็นับว่าแทบจะเป็นแม่ของเยว่ชิงเฉิงได้เลยทีเดียว
เมื่อมองดูใบหน้าอันแสนจริงจังและตั้งใจของเยว่ชิงเฉิง ฉินอวี้โม่ก็รับรู้ได้ทันทีว่าเยว่ชิงเฉิงผู้นี้มีความสนใจในด้านเครื่องจักรและกลไกมากเป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าพรสวรรค์ในด้านนี้ของคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมจะสูงส่งและโดดเด่นเหนือผู้ใด เมื่อฉินอวี้โม่อธิบายเกี่ยวกับเรื่องกลไกออกไป เยว่ชิงเฉิงก็สามารถพูดคุยโต้ตอบกับเธอที่มาจากศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไม่ด้อยกว่า นี่ทำให้ฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากสตรีผู้นี้เกิดในยุคสมัยของเธอแล้ว เยว่ชิงเฉิงก็อาจจะกลายเป็นวิศวกรอัจฉริยะที่แม้แต่วิศวกรชายเก่ง ๆ ยังต้องยอมซูฮก
“เอ่อ ชิงเฉิง ไว้ข้าจะมาคุยเรื่องนี้ให้ฟังเจ้าอีกเยอะ ๆ ในวันหลังนะ แต่ตอนนี้ข้าว่าเจ้าฟังสิ่งที่ชิงเฟิงอยากจะพูดก่อนดีกว่า”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะต้องเอ่ยปากขัดขึ้นมา เมื่อเห็นเยว่ชิงเฉิงมุ่งมั่นตั้งใจเรื่องจักรกลแห่งศตวรรษที่ 21 มากเสียจนเพิกเฉยต่อโอวหยางชิงเฟิงที่กำลังยืนเคว้งคว้างอยู่กลางห้องและคล้ายจะเลือนหายไปจากความนึกคิดของคู่หมั้นสาวอย่างสมบูรณ์
“ก็ได้ ไว้หลังจากนี้ข้าจะไปหาเจ้าบ่อย ๆ เราจะสนทนาเรื่องนี้กัน ข้าจะลองเอาสิ่งที่เจ้าบอกไปหารือกับท่านปู่ดูด้วย ท่านปู่มีประสบการณ์เคยเห็นอุปกรณ์ต่าง ๆ มามาก บางทีเขาอาจจะมีคำชี้แนะเพิ่มเติมที่น่าสนใจ”
คุณหนูช่างหลอมคนงามยังมิวายเอ่ยทิ้งท้ายเรื่องการช่างเสียยาวยืด นางกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนจะหันไปมองโอวหยางชิงเฟิงอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“โอวหยางชิงเฟิง ถ้าเจ้าต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย ก็ยกเลิกมันไปซะ ข้าเองก็ไม่ต้องการแต่งงานกับคนไม่มีใจเช่นกัน ข้าจะกลับไปบอกท่านพ่อของข้าและให้เขาไปคุยกับทางตระกูลของเจ้าเพื่อขอยกเลิกการหมั้นนี้เอง”
เยว่ชิงเฉิงเองก็พึงพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้ นางไม่ชอบการถูกจับคลุมถุงชน แม้ว่าความประทับใจที่มีต่อโอวหยางชิงเฟิงผู้นี้จะ…ไม่มี แต่เขาก็ไม่ได้ดูเป็นคนเลวร้าย อีกทั้งนางก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังคนผู้นี้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนางไม่อยากแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งด้วยเหตุผลเพียงเพราะการสานสัมพันธ์ของสองตระกูล
จะกล่าวให้ถูกก็คือ สตรีที่หยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างนางจะไม่ยอมเข้าพิธีแต่งงานกับบุรุษที่ตนเองไม่ได้ผูกสมัครรักใคร่ด้วยหัวใจอย่างแน่นอน
“ถ้าได้อย่างนั้นก็วิเศษเลย ขอบคุณมาก ขอบคุณเจ้ามาก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นโอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มกว้างอย่างยินดี เขาพุ่งตัวไปจับมือบางของอดีตคู่หมั้นสาวมากุมไว้แล้วเอ่ยคำขอบคุณซ้ำ ๆ ดวงตาของหนุ่มหน้ามนเปล่งประกายระยิบระยับสดใส ในตอนนี้หัวใจของเขาโล่งขึ้นมามาก ในที่สุดปัญหาหนักสมองที่ทำให้เขาตรมตรอมมานานแสนนานก็คลี่คลายลงไปได้เสียที
“เหอะ ! โอวหยางชิงเฟิง ข้ามันแย่ขนาดนั้นเลยเรอะ ?! ตอนที่ได้ยินว่าการหมั้นจะถูกยกเลิกถึงได้ทำให้เจ้ารู้สึกดีใจมากมายเพียงนี้ ? ถ้าซาบซึ้งนักก็ไม่ก้มหัวขอบคุณข้าด้วยเลยเล่า เจ้าคงคิดสินะว่าข้าไม่ดีพอสำหรับเจ้า !”
เยว่ชิงเฉิงสะบัดมือโอวหยางชิงเฟิงทิ้งอย่างไม่แยแสขณะที่แก้มนวลขึ้นสีแดงระเรื่อเป็นริ้ว ทว่าเพียบชั่ววูบเดียวก็แปรเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเข้ม คุณหนูตระกูลเยว่สาดวาจาเข้าใส่อดีตคู่หมั้นหนุ่มด้วยน้ำเสียงชวนขนหัวลุก ใบหน้างามเวลานี้กำลังมืดมนจนเข้าขั้นน่ากลัวแล้ว !
เพราะการแสดงออกของคุณชายรองตระกูลโอวหยางเช่นนั้น ทำให้เยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ ตอนนี้นางกำลังนึกอยากเปลี่ยนใจจากไม่ได้เกลียดชังมาเป็น… เกลียดเข้าไส้
‘ต่อให้โอวหยางชิงเฟิงจะดีใจแค่ไหนก็เถอะ แต่ก็ไม่เห็นจะต้องแสดงออกให้มันชัดถึงเพียงนั้นเลย หนอย~ ท่าทางเช่นนั้นไม่ใช่กำลังดูหมิ่นข้าทางอ้อมหรอกเรอะ ?!’
นางคือเยว่ชิงเฉิงแห่งสมาคมช่างหลอม นางเป็นหนึ่งในสตรีที่มีคุณสมบัติสมบูรณ์เพียบพร้อมที่สุดจนเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมายในนครไป๋อวิ๋น ทว่าโอวหยางชิงเฟิงผู้นี้กลับแสดงท่าทีคล้ายรังเกียจนาง !
“มะ… ไม่… ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าแค่คิดว่าข้าไม่คู่ควรกับเจ้าเท่านั้น”
โอวหยางชิงเฟิงรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน แม้ว่าเขาจะดีใจมากที่ยกเลิกเรื่องการหมั้นได้ แต่เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายที่เป็นสตรีต้องคิดมาก
“มันก็คงจะเป็นอย่างที่เจ้าพูด ดูตัวเจ้าสิ เจ้าทำตัวไม่เหมือนบุรุษที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสักนิด อย่างเจ้าจะคู่ควรกับข้าคนนี้ได้อย่างไร”
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจและหันไปมองฉินอวี้โม่ “อวี้โม่ เจ้าคิดว่าข้าพูดถูกหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่นั่งนิ่งสนิท นางทำตัวไม่ถูกจึงได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ เพื่อรับหน้าไปก่อน โอวหยางชิงเฟิงก็เป็นเพื่อนรักของนาง เยว่ชิงเฉิงเองก็เป็นคนที่นางถูกชะตา… ในสถานการณ์เช่นนี้จะเอ่ยสิ่งใดออกไปก็ช่างยากเย็นเหลือเกิน~
ถ้าให้กล่าวตามความสัตย์จริง ตอนนี้ภายในใจของฉินอวี้โม่นางอยากจะตอบไปว่า นางรู้สึกว่าเยว่ชิงเฉิงกับโอวหยางชิงเฟิงเหมาะสมกันมากกกกกก
ฝ่ายหนึ่งจริงจัง ตรงไปตรงมา ดูเป็นผู้ใหญ่ ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นคนง่าย ๆ แม้จะดูไม่โตเท่าไหร่ แต่ก็มีนิสัยเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หากได้ครองคู่กันก็น่าจะสนับสนุนกันและกันได้ดี และผลลัพธ์ที่ออกมาก็อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้
ที่ฉินอวี้โม่ไม่กล่าวสิ่งที่นางคิดออกมาในตอนนี้นับว่าสมควรแล้ว เพราะหากลองนางพูดออกไปเช่นนั้น ไม่ใช่แค่เพียงสายตาน่ากลัวของสหายคุณหนูช่างหลอมจะเปลี่ยนเป้าหมายมาที่นาง แต่นางก็คงจะได้เห็นสายตาทิ่มแทงตัดพ้อมาจากสหายหนุ่มหน้ามนด้วยเป็นแน่
“ชิงเฉิง สิ่งของที่อยู่ด้านนอกเป็นผลงานการหลอมของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ผู้นับว่าอาวุโสที่สุดหากนับจากเวลาในการมีชีวิต ก็ต้องรีบไกล่เกลี่ยและทำลายบรรยากาศน่าหวาดหวั่น ดังนั้นสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูตระกูลฉินจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
และนี่ก็เป็นวิธีการที่ดีที่สุดที่จะหลบเลี่ยงออกมาจากประเด็นที่ว่าอดีตคู่หมายทั้งสองเหมาะสมกันหรือไม่
“ใช่แล้วล่ะ เจ้าเห็นพวกมันทั้งหมดแล้วสินะ”
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักอย่างแจ่มใสพลางยิ้มแย้มจนตาหยี นางหันหลังแล้วรีบคว้ามือคนข้างกายออกไปด้านนอกทันที
ที่ขอบด้านหนึ่งของเตาหลอมขนาดยักษ์มีโต๊ะกว้างตั้งอยู่ เยว่ชิงเฉิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ของทั้งหมดนี้ข้าเป็นคนทำเอง เจ้าชอบอันไหนก็หยิบออกไปได้เลย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่างหลอมสาวหันกลับไปมองฉินอวี้โม่ที่นางจูงมือออกมา ใบหน้านวลก็แดงซ่านขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อครู่นี้ฉินอวี้โม่กับโอวหยางชิงเฟิงยืนอยู่ใกล้กัน ในตอนที่เยว่ชิงเฉิงได้ยินฉินอวี้โม่เอ่ยถามถึงชิ้นงานที่นางสร้าง คุณหนูช่างหลอมก็ตื่นเต้นมากเพราะในกองชิ้นงานมีสิ่งประดิษฐ์จากกลไกบางชิ้นที่นางอยากจะอวด เยว่ชิงเฉิงจึงคว้ามือสหายคนใหม่ที่อยู่ใกล้ตัวและรีบเดินออกมา ทว่าสตรีผู้หลงใหลในกลไกจนเข้าขั้นเสพติดกลับไม่รู้ตัวเลยว่าผู้ที่นางจูงมือมานั้นหาใช่ฉินอวี้โม่สหายใหม่ที่นางถูกชะตานักหนา แต่เป็นคุณชายตระกูลโอวหยางอดีตคู่หมายที่นางนึกขุ่นเคือง
ส่วนโอวหยางชิงเฟิงที่จู่ ๆ ก็ถูกอดีตคู่หมั้นสาวผู้แสนน่ากลัวลากตัวออกมานั้น เพราะรู้สึกหวาดหวั่นเป็นอย่างมากเขาจึงต้องเดินตามไปโดยไม่ส่งเสียงหรือขัดขืน
“โอวหยางชิงเฟิง เจ้าคิดจะทำบ้าอะไร ? เมื่อครู่ก็จับมือข้าครั้งหนึ่งแล้ว ยังจะมาตอนนี้อีก นี่เจ้าคิดจะฉวยโอกาสจากสตรีอย่างข้าสินะ !”
จากที่แดงซ่านอยู่ชั่วอึดใจ ใบหน้าของเยว่ชิงเฉิงก็แปรเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้มขึ้นเพราะความโกรธเคืองแทน ดวงตาคู่งามที่น่ากลัวเสียมากกว่างดงามกำลังจ้องเขม็งไปที่โอวหยางชิงเฟิงราวกับพร้อมจะบดขยี้อีกฝ่ายให้บี้แบนแล้วกระทืบซ้ำ
เป็นตอนนั้นเองที่โอวหยางชิงเฟิงดึงสติของตัวเองกลับมาได้ ในตอนแรกเขาก็รู้สึกเขินอายและกระอักกระอ่วน แต่เมื่อเอะใจในสิ่งที่เยว่ชิงเฉิงกล่าวเมื่อครู่ จู่ ๆ เขาก็โกรธขึ้นมา
“เยว่ชิงเฉิง ครั้งแรกที่ข้าจับมือเจ้าเป็นเพราะข้าดีใจมากไปซึ่งเรื่องนั้นข้าก็ต้องขออภัยเจ้า แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ เห็นอยู่ชัด ๆ ว่า จู่ ๆ เจ้าก็คว้ามือข้าแล้วลากออกมาเอง ข้าไม่ได้ว่าเจ้าเรื่องฉวยโอกาสจากข้ายังไม่พอ เจ้ากลับมาว่าข้าเสีย ๆ หาย ๆ ก่อนแบบนี้ เจ้ามันเป็นพวกป่าเถื่อนชัด ๆ”
“โอวหยางชิงเฟิง ! เจ้าว่าใครป่าเถื่อน ? ถูกสตรีอย่างข้าจับมือเจ้าควรจะรู้สึกเป็นเกียรติด้วยซ้ำ เจ้าไม่เคยรู้เลยหรือว่ามีกี่คนในนครไป๋อวิ๋นที่อยากให้ข้าชายตามองพวกเขา”
เมื่อฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินออกมาก็เห็นเหตุการณ์ในตอนที่พายุอารมณ์ลูกใหญ่สองลูกกำลังจะปะทะกันพอดี
ในตอนที่เยว่ชิงเฉิงดึงคนไปผิดคนนั้น ฉินอวี้โม่ก็ตั้งใจจะเอ่ยปากร้องเตือน ทว่าเยว่ชิงเฉิงรวดเร็วเกินไป ก่อนที่คุณหนูตระกูลฉินจะได้พูดอะไร พวกเขาทั้งสองคนก็ออกจากห้องไปแล้ว
เมื่อเห็นความเป็นปรปักษ์ของทั้งสองฝ่าย ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าความคิดที่ว่าพวกเขาทั้งคู่เหมาะสมกันเมื่อครู่นั้นผิดมหันต์ พวกเขาน่าจะไม่ใช่คู่ที่เหมาะสมกันแต่เป็นคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้อกันมากกว่า
“ชิ !”
เมื่อเยว่ชิงเฉิงเห็นฉินอวี้โม่เดินออกมา นางก็เปล่งเสียง *ชิ* ใส่โอวหยางชิงเฟิงอย่างเย็นชา ก่อนจะสะบัดหน้าหนีบุรุษที่นางนึกชังก่อนจะเดินเข้าไปหาสหายใหม่อย่างเริงร่าประหนึ่งว่าเมื่อครู่ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
“อวี้โม่ รีบมาดูนี่เร็วเข้า นี่คือสิ่งที่ข้าเป็นผู้สรรค์สร้าง”
โอวหยางชิงเฟิงหมดคำพูดไปในทันใด นางกำลังทำให้เขากลายเป็นเสมือนอากาศธาตุอีกครั้งแล้ว คุณชายรองตระกูลโอวหยางได้แต่มองคุณหนูช่างหลอมด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทางและตั้งใจจะเลิกสนใจเยว่ชิงเฉิงโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
ฉินอวี้โม่ถูกเยว่ชิงเฉิงลากไปที่โต๊ะตัวใหญ่ที่อยู่อีกจุดหนึ่ง ด้านบนของโต๊ะตัวนั้นมีสิ่งของหลายอย่างวางอยู่
“เจ้าดูนี่สิ นี่ผลิตภัณฑ์ที่ข้าหลอมเสร็จแล้ว ส่วนนี่คือผลิตภัณฑ์ที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ ส่วนกองนี้คือผลงานที่ข้าหลอมผิดพลาดจนออกมาแย่”
เยว่ชิงเฉิงจัดผลงานไว้เป็นสามกองตามหมวดหมู่ นางชี้ไปที่แต่ละกองพร้อมกับแนะนำให้ฉินอวี้โม่ได้รับรู้
ฉินอวี้โม่มองไปที่ ‘ประติมากรรม’ ทั้งสามกองอย่างสนใจ ทว่าในตอนนั้นเอง แววแห่งความประหลาดใจบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นในดวงตาเนื้อทราย
เมื่อเห็นแท่งยาว ๆ ดำ ๆ ที่จะเรียกว่ากระบี่ก็ไม่ใช่กระบองงอ ๆ ก็ไม่เชิง ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะหยิบมันขึ้นมาดู รูปลักษณ์ของเจ้าสิ่งนี้ดูไม่สมบูรณ์และแปลกพิกล
“นั่นคือกระบี่อเวจีมรกต ที่บังเอิญว่าในตอนที่ข้ากำลังหลอมขึ้นรูป ข้าทำพลาดไปนิดหน่อย มันก็เลยออกมาหน้าตาประหลาดอย่างที่เห็น”
เยว่ชิงเฉิงกล่าวพลางยิ้มเจื่อน ๆ แม้ว่านางจะเป็นคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอม ทว่าทักษะการหลอมของนางก็ไม่ได้สูงส่งมากนัก นั่นก็เพราะว่าการหลอมเป็นงานที่ยาก การจะหาช่างหลอมที่ฝีมือเยี่ยมนั้นยากเย็นไม่ต่างจากการหาผู้ฝึกสัตว์เลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจหลักการหรือวิธีการหลอมอาวุธ ทว่าเมื่อมองดูกระบี่อเวจีมรกต ที่ดำปี๋และบูดเบี้ยวในมือ นางกลับรู้สึกว่ายังพอมีโอกาสที่จะทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่สมบูรณ์ได้
เมื่อคิดเห็นเช่นนั้นคุณหนูตระกูลฉินก็หยิบเอากริชน้ำแข็งที่หลั่วเจี๋ยมอบให้ออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่จะตั้งสมาธิรีดเค้นพลังมายาส่งผ่านเข้าไปในกริชงามที่กำลังเปล่งประกายและเริ่มใช้มันเพื่อเจียระไนแท่งดำ ๆ ที่ผู้สร้างมันตั้งใจให้ออกมาเป็นกระบี่อเวจีมรกตเล่มนี้
เนื่องจากกระบี่อเวจีมรกตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้มเหลว และด้วยความคดงอของมัน การจะเจียระไนให้กลายเป็นกระบี่อีกครั้งก็คงเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นรูปทรงของกริชอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นทักษะการใช้กริชของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือนางกำลังตื่นเต้น
ส่วนโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วได้แต่ยืนดูอยู่เงียบ ๆ ห่าง ๆ ไม่กล้าคิดจะเข้าไปรบกวนพวกนางทั้งสอง
ภายในเวลาอันสั้น กริชสีดำเล่มเล็ก ๆ ก็ปรากฏในมือของฉินอวี้โม่
เมื่อเห็นกริชเล่มเล็กในมือของสหายผู้เก่งกาจ เยว่ชิงเฉิงก็อดไม่ได้ที่จะรีบคว้ามันมาและรีบโยนมันเข้าไปในเตาหลอมก่อนจะเริ่มขั้นตอนการหลอมอย่างตั้งอกตั้งใจ
ภายในเวลาไม่นานนัก กริชคมกริบก็ปรากฏในมือเยว่ชิงเฉิง
เยว่ชิงเฉิงส่งกริชคืนให้ฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มกว้าง
ฉินอวี้โม่พบว่ากริชเล่มนี้กลายเป็นอาวุธคุณภาพดีที่ดูมีประสิทธิภาพยอดเยี่ยมไปแล้ว
“อวี้โม่ เจ้าเองก็เป็นช่างหลอมเหมือนกันหรือ ?”
เยว่ชิงเฉิงมองฉินอวี้โม่พลางถามด้วยความสงสัย ทักษะการเจียระไนของฉินอวี้โม่ดูลื่นไหลและเหนือชั้นมาก เรื่องนี้ทำให้นางอดนึกสงสัยไม่ได้
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “จริง ๆ แล้วข้าเองก็อยากจะเป็นช่างหลอมอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่มีคนสอนข้า ข้าจึงไม่มีเคยได้เรียนรู้”
สิ้นคำตอบของฉินอวี้โม่ เยว่ชิงเฉิงก็รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
“เอ… แต่แค่ทักษะในการเจียระไนที่สูงส่งของเจ้าก็มากพอจะเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ที่ต้องทิ้งให้กลายเป็นกริชคุณภาพดีได้แล้ว เจ้านับว่าเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงได้เลย”
เวลานี้จิตใจของเยว่ชิงเฉิงกำลังสั่นไหวเป็นอย่างมาก สิ่งที่ช่างหลอมควรจะมีก็คือสายตาที่ยอดเยี่ยมและทักษะการเคลื่อนไหวของข้อมือและนิ้วที่เฉียบขาด ซึ่งเมื่อบวกรวมเข้ากับพลังจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง คนผู้นั้นจะกลายเป็นสุดยอดช่างหลอมได้
ฉินอวี้โม่บอกว่านางไม่เคยสัมผัสกับเครื่องมือการหลอมและไม่เคยเรียนรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่กลับทำได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ นับว่านางเป็นอัจฉริยะโดยแท้
“ชิงเฉิง ดูเหมือนว่าทักษะการหลอมผลิตภัณฑ์ของเจ้าไม่ค่อยดีนัก อย่างนั้นใช่ไหม ?”
ที่ฉินอวี้โม่กล่าวออกมานับว่าไม่ผิดแม้แต่น้อย เพราะหากประเมินจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เยว่ชิงเฉิงหลอมออกมาแล้วก็จะพบว่าระดับของมันไม่ได้สูงมากนัก
“เจ้ามองออกด้วยเหรอ ?!”
เยว่ชิงเฉิงรู้สึกอับอายจนอยากจะมุดดินหนี นางเป็นช่างหลอมตั้งแต่จำความได้ ทั้งท่านพ่อและท่านปู่ของนางก็เป็นสุดยอดช่างหลอมมือหนึ่ง ทว่าฝีมือของนางนั้น ราวกับไม่ได้รับการสืบทอดวิชามาจากพวกเขาเลย
แม้จะมีสถานะเป็นถึงคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอม แต่เยว่ชิงเฉิงกลับยังเป็นเพียงช่างหลอมระดับกลางอยู่จนถึงตอนนี้ ด้วยเพราะมีอาจารย์ที่ดี รวมถึงอุปกรณ์และวัตถุดิบที่ครบครันสำหรับใช้ในการฝึกฝน ถึงแม้พรสวรรค์จะไม่ดีอย่างไรก็ควรจะขึ้นเป็นช่างหลอมระดับอาวุโสแล้วถึงจะถูก
ไม่ใช่แค่ เยว่ชิงเฉิงจะเป็นเพียงช่างหลอมระดับกลางอยู่ในตอนนี้ แต่ทว่านางยังไม่มีวี่แววว่าจะเลื่อนระดับขึ้นไปได้เลย นี่ทำให้บิดาของนางอ่อนอกอ่อนใจเป็นอย่างมาก จนแทบจะอดคิดไม่ได้ว่านี่ใช่บุตรสาวของเขาที่เป็นลูกหลานของสมาคมช่างหลอมจริง ๆ หรือไม่ ?
“อันที่จริงข้าไม่ได้ชื่นชอบการหลอมเท่าไหร่ แท้จริงแล้วข้าชื่นชอบกลไกและการสร้างอาวุธลับที่คุยกับเจ้าไปเมื่อครู่มากกว่า”
เยว่ชิงเฉิงไม่คิดปิดบังเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่เลย หลังจากพบเจอกันแค่เพียงช่วงสั้น ๆ นางก็นับฉินอวี้โม่เป็นสหายสนิทของนางแล้ว
ฉินอวี้โม่พบว่าตนเองก็รู้สึกชื่นชอบในด้านกลไกและอุปกรณ์ลับเช่นเดียวกับเยว่ชิงเฉิง ทว่าในดินแดนหวงหลิงนี้ไม่มีอาชีพดังกล่าว จะมีที่ใกล้เคียงที่สุดก็คือช่างหลอม ทว่ามันก็ไม่ใช่แนวทางที่เยว่ชิงเฉิงถนัด และการที่นางเอาแต่ศึกษาในด้านนี้จึงทำให้ทักษะด้านการหลอมของนางไม่ก้าวหน้าเท่าไหร่นัก แต่ฉินอวี้โม่ก็อยากจะเอาใจช่วยสหายผู้นี้ในสิ่งที่นางหลงใหล
อดีตนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 ตัดสินใจแล้วว่าเธอจะบอกเยว่ชิงเฉิงเกี่ยวกับทุกเรื่องที่เธอเคยรู้มาเมื่อชีวิตก่อนในด้านของเครื่องจักร กลไกและอุปกรณ์ลับของนักฆ่า เธอตั้งใจจะทำให้เยว่ชิงเฉิงเป็นบุคคลแรกที่เชี่ยวชาญด้านนี้ในดินแดนมายาแห่งนี้
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้เลยว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ของตนจะก่อให้เกิดสุดยอดช่างหลอมแนวใหม่แห่งดินแดนหวงหลิง ผู้ที่ไม่ว่าใครต่างก็ให้ความเคารพยำเกรงและไม่กล้าคิดจะทำให้นางรู้สึกระคายใจแม้แต่นิดเดียว
แต่ถึงอย่างนั้น กว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึง หนทางก็ยังคงอีกไกลแสนไกล
.
.
ตอนที่ 78 เยว่ชิงเฉิง
เมื่อได้รู้ถึงปัญหาทุกข์ใจของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น หากเป็นเรื่องอื่นพวกนางก็คงจะสามารถช่วยคิดหาวิธีหรือช่วยกันแก้ปัญหาให้ได้และแน่นอนว่าพวกนางก็จะพยายามอย่างเต็มที่ ทว่ากับปัญหาเช่นนี้พวกนางทั้งคู่ก็มีแต่จนปัญญา และไม่รู้เลยว่าจะช่วยเขาอย่างไรได้บ้าง
แม้ว่าหวนหลิงจะเป็นดินแดนมายา ทว่าธรรมเนียมปฏิบัติในเรื่องการหาคู่ครองให้ลูกหลานรวมถึงการหมั้นหมายล่วงหน้าของที่นี่ก็ไม่ได้ต่างจากยุคโบราณในโลกที่ฉินอวี้โม่ผู้เป็นนักฆ่าจากมาแม้แต่น้อย
แม้ว่าทั้งสองตระกูลต่างก็อยากจะยกเลิกการหมั้นหมายครั้งนี้ แต่หากทำเช่นนั้นพวกเขาก็กลัวว่าจะกลายเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาเสียเอง นั่นทำให้ไม่มีฝ่ายใดริเริ่มเอ่ยปากเรื่องยกเลิกการหมั้น
และในตอนนี้ผู้นำตระกูลโอวหยางก็ไม่ได้บีบบังคับโอวหยางชิงเฟิงอีกต่อไปแล้ว ทว่าเขาก็ให้โอวหยางชิงเฟิงแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง นี่จึงเป็นภาระที่คุณชายรองตระกูลโอวหยางต้องตัดสินใจ ‘และ…มันไม่ง่ายเลย’
“เจ้าเคยพบเยว่ชิงเฉิงบ้างรึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่ถามออกมาด้วยความสงสัย เยว่ชิงเฉิงเองก็เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงในนครแห่งนี้ ฉะนั้นโอวหยางชิงเฟิงก็น่าจะเคยพบเจอนางมาบ้างแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าก่อนส่ายศีรษะ
“จะว่าเคยพบก็เคยอยู่ แต่ตอนที่ข้าเห็นนาง มันเป็นตอนที่ข้าอายุได้หกขวบ ในตอนนั้นพวกเราต่างก็ยังเด็กกันมาก แน่นอนว่าถ้าเป็นตอนนี้เราคงจำกันไม่ได้แล้ว นั่นเป็นความผิดข้าเอง เพราะความดื้อรั้นของข้าที่เอาแต่หลีกเลี่ยงการเจอหน้าเยว่ชิงเฉิงทำให้ข้าไม่รู้เลยว่าตอนนี้นางเป็นอย่างไร”
ตระกูลโอวหยางมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมช่างหลอม และยิ่งมีเรื่องของการหมั้นหมายเข้ามาเกี่ยวข้องก็ยิ่งทำให้ขุมกำลังทั้งสองกลมเกลียวกันมากจนขุมกำลังอื่น ๆ ยังต้องเกรงกลัว
ด้วยเหตุผลเช่นนั้น ผู้ใหญ่ของทั้งสองตระกูลจึงไม่อยากจะทำลายความสัมพันธ์ที่ว่านี้ ทว่าลูกหลานที่พวกเขาวาดหวังให้เกี่ยวดองกันกลับไม่ยอมแม้แต่จะเจอหน้า ซึ่งมันก็ทำให้สถานการณ์ระหว่างสองขุมกำลังอยู่ในจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“งั้นเจ้าก็ควรจะลองไปพบเยว่ชิงเฉิงสักครั้งและพูดกับนางตรง ๆ หากเป็นดังที่เขาร่ำลือกัน ข้าว่านางก็คงจะเป็นสตรีเก่งกล้าที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีและมีความภาคภูมิในตัวเอง บางทีนางอาจจะเห็นด้วยกับเจ้าและยอมยกเลิกการหมั้นก็ได้”
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงแค่ให้คำแนะนำไปเท่านั้น
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ให้คำแนะนำเช่นนี้ แต่เขาก็ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องไปพบเยว่ชิงเฉิงสักครั้ง
“อวี้โม่ เหตุใดเจ้าไม่ไปเจอเยว่ชิงเฉิงพร้อมข้าเลยล่ะ ?”
แม้ว่าโอวหยางชิงเฟิงจะอายุสิบแปดปีแล้ว ทว่านิสัยและอารมณ์ของเขาก็ยังเหมือนกับเด็ก ๆ แน่นอนว่าการจะให้เขาไปพบหน้าคู่หมายที่ต่างก็หลีกเลี่ยงการพบเจอกันมาโดยตลอดเช่นนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลอยู่บ้าง หนุ่มหน้ามนผู้กำลังหม่นหมองจึงอยากเอ่ยขอให้ฉินอวี้โม่สหายสนิทที่ดูโตกว่าเขามากมายไปเป็นเพื่อน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างนุ่มนวล แท้จริงแล้วนางไม่ได้อยากจะไปพบเยว่ชิงเฉิงกับโอวหยางชิงเฟิงเท่าไหร่นัก ทว่าอดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูกำลังรู้สึกสนใจ ‘สมาคมช่างหลอม’ เป็นอย่างมากต่างหาก
เพราะมันทำให้เธอนึกถึงนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่านในชีวิตก่อน ตัวเอกของเรื่องคือช่างหลอมอาวุธและเขาก็ค่อย ๆ สร้างสุดยอดอาวุธขึ้นมาทีละชิ้น ๆ จนสามารถขึ้นเป็นหนึ่งในใต้หล้าได้ นี่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกอิจฉา
ในชีวิตก่อน เธอเชี่ยวชาญอาวุธแทบจะทุกรูปแบบ และเมื่อมีโอกาสได้มาอยู่ในดินแดนมายาแห่งนี้ เธอจึงมีความสนใจในศาสตร์แห่งการหลอมอาวุธมากเป็นธรรมดา
เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและเห็นว่ายังพอมีเวลาอยู่บ้าง โอวหยางชิงเฟิงจึงตัดสินใจที่จะออกไปในตอนนี้ก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน เขาเดินไปแจ้งท่านปู่ของเขาให้ทราบก่อนจะออกจากจวนไปพร้อมฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และหลินจิ้งหง
“เชิญพวกเจ้าตามสบาย ข้ายังมีงานต้องไปทำ”
หลังจากเดินพ้นประตูจวนตระกูลโอวหยางและเห็นว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นธุระของตนแล้ว หลินจิ้งหงก็ขอตัวกลับไปก่อน เขาบอกลาคนทั้งสามก่อนจะเดินไปยังทิศทางที่สมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าตอบรับและออกเดินไปในอีกทิศทางหนึ่ง พร้อมกับเสี่ยวโร่ว
สมาคมช่างหลอมอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโอวหยาง หลังจากเดินทางมาได้หนึ่งก้านธูป อาคารสมาคมช่างหลอมก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ต้องบอกเลยว่าสมาคมช่างหลอมนี้ช่างเหมาะสมจะให้ช่างหลอมทุกคนเข้ามาอยู่อย่างแท้จริงเพราะรูปแบบและโครงสร้างของที่นี่ดูมีเอกลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่มองดูอย่างตื่นตาตื่นใจ สาวนักฆ่ารู้สึกว่ามันดูคล้ายกับโรงหลอมอาวุธสไตล์ยุโรปโบราณในโลกก่อนของเธอ
เมื่อสามสหายแห่ง ‘ปฏิบัติการเจรจายุติการหมั้นหมาย’ เดินเข้ามาภายในสมาคมช่างหลอม พวกเขาก็เห็นคนจำนวนมากกำลังมุ่งมั่นจัดการงานของตนอย่างแข็งขัน
“ท่านทั้งสามมีสิ่งใดให้ช่วยหรือขอรับ ?”
เมื่อเห็นหนึ่งบุรุษสองสตรีท่าทางดูคล้ายคุณหนูคุณชายตระกูลใหญ่เดินเข้ามา บุรุษหน้าตาอ่อนเยาว์ผู้หนึ่งก็รีบเข้าไปทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เขาเป็นพนักงานต้อนรับของสมาคมแห่งนี้
ตามปกติแล้วผู้ที่มายังสมาคมช่างหลอมก็จะมีอยู่สองจุดประสงค์หลักนั่นก็คือการซื้อขายผลิตผลิตภัณฑ์ หรือไม่ก็มาจ้างวานให้ช่างช่วยหลอมในสิ่งที่พวกเขาต้องการ เมื่อเห็นการแต่งกายที่ดูมีชาติตระกูลของคนทั้งสาม พนักงานต้อนรับหนุ่มผู้มีประสบการณ์การทำงานมาหลายเดือนก็คาดเดาว่าผู้มาเยือนสามท่านนี้น่าจะต้องการให้ช่างหลอมสร้างอุปกรณ์ที่มีความพิเศษให้
“ขออภัย เรามาพบเยว่ชิงเฉิง คุณหนูของเจ้าอยู่ด้านในหรือไม่ ?”
เมื่อเห็นว่าโอวหยางชิงเฟิงเอาแต่ยืนอ้ำอึ้ง ฉินอวี้โม่ก็ก้าวออกมาและกล่าวถามแทนด้วยรอยยิ้มสุภาพ
เมื่อได้มองฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน หนุ่มน้อยผู้นั้นก็ชะงักงันไป เขากำลังตกตะลึงในความงดงามของสตรีตรงหน้า แม้จะเคยคิดว่าคุณหนูของพวกเขางดงามมากไม่แพ้ผู้ใด แต่เวลานี้เขากลับคิดว่าความงามของคุณหนูก็ยังดูด้อยกว่าสตรีผู้นี้ถึงขั้นหนึ่ง
“คุณหนูอยู่ด้านใน ท่านทั้งสามมีงานที่จะให้คุณหนูเป็นผู้หลอมใช่หรือไม่ขอรับ ?”
พนักงานต้อนรับผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นมืออาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี แม้จะชะงักไปชั่วขณะ ทว่าเขาก็ยังดึงสติตัวเองกลับมาได้อย่างรวดเร็ว บุรุษอ่อนเยาว์ส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อมแล้วกล่าวถาม
“พวกเรามีเรื่องอยากจะคุยกับนาง ไม่ทราบว่าจะให้พวกเราผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง เดิมทีนางคิดจะให้เหรียญทองเป็นสินบนกับหนุ่มน้อยผู้นี้เพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวก ทว่าเมื่อได้ไตร่ตรองดูดี ๆ แล้ว ที่สมาคมช่างหลอมแห่งนี้คงไม่มีผู้ใดที่ขาดแคลนเงินเป็นแน่ หลังจากคิดเช่นนั้นนางจึงหยิบเอาแกนชีวิตของอสูรมายาขึ้นมาหลายก้อนก่อนจะส่งให้เขา
เมื่อได้เห็นแกนชีวิตที่ผู้มาเยือนสาวยื่นให้ หนุ่มน้อยผู้ทำหน้าที่พนักงานต้อนรับก็เปิดปากเพื่อจะเอ่ยปฏิเสธ ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นและมองเห็นรอยยิ้มกระชากใจ จู่ ๆ มือของเขาก็ยื่นออกไปรับของจากมือบางนั้นเองอย่างไม่เชื่อฟัง
“พวกท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะรีบไปเรียนคุณหนูทันที แต่ข้าไม่รับประกันว่านางจะยินยอมให้พวกท่านเข้าพบหรือไม่”
พนักงานผู้นั้นก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหันหลังและเตรียมขึ้นไปยังชั้นบนเพื่อแจ้งแก่ผู้เป็นนาย
“บอกคุณหนูของเจ้าว่า โอวหยางชิงเฟิงจากตระกูลโอวหยางมาขอพบ”
ในครั้งนี้โอวหยางชิงเฟิงเป็นผู้กล่าวเพิ่มเติมขึ้นมา หากบอกไปเช่นนี้ เขาไม่เชื่อว่าเยว่ชิงเฉิงจะไม่ให้พวกเขาเข้าพบ
พนักงานต้อนรับหนุ่มประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดเขาจึงรู้สึกคุ้นนามโอวหยางชิงเฟิงถึงเพียงนี้กันนะ ?
อย่างไรก็ตาม หนุ่มน้อยก็ไม่ได้ขบคิดให้มากมาย เขารีบขึ้นไปชั้นบนเพื่อแจ้งข่าวทันที
ทว่าในตอนที่ได้ยินชื่อโอวหยางชิงเฟิง คุณหนูของเขาก็แสดงสีหน้าแววตาเกลียดชังออกมาให้เห็น และเป็นตอนนั้นเองที่หนุ่มน้อยพนักงานต้อนรับจดจำนามโอวหยางชิงเฟิงนี้ได้ในที่สุด
นั่นไม่ใช่คู่หมั้นของคุณหนูหรอกหรือ ?
“พาพวกเขาขึ้นมา”
เยว่ชิงเฉิงยิ้ม ทว่าเป็นรอยยิ้มที่ทำให้หนุ่มน้อยพนักงานต้อนรับรู้สึก… หนาวเหน็บจนขนลุกซู่ !
พนักงานต้อนรับผู้ภักดีพยักหน้าและรีบเดินลงไปพาแขกทั้งสามคนของเจ้านายเข้ามาทันที
สมาคมช่างหลอมแห่งนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสามชั้น บนชั้นที่สามเรียกได้ว่าเป็นเสมือนอาณาจักรส่วนตัวของคุณหนูแห่งเหล่าช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง
เมื่อพนักงานต้อนรับพาผู้มาขอพบเจ้านายขึ้นมาจนถึงชั้นสามแล้ว เขาก็หยุดลงตรงหน้าประตูก่อนเอ่ยลา
“เชิญพวกท่านทั้งสามเข้าไปด้วยตัวเอง ข้าต้องขอตัวก่อน“
หลังจากกล่าวจบ หนุ่มน้อยผู้นั้นก็รีบหายตัวไปอย่างว่องไวราวกับว่าเขากำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ! …และทิ้งให้สามสหายแห่งปฏิบัติการเจรจาเพื่อยุติการหมั้นยืนอยู่หน้าประตูบานนั้นอย่างเคว้งคว้าง ~
เมื่อเห็นเช่นนั้น คนทั้งสามก็ได้แต่ทอแววตางุนงง และเมื่อรู้ว่าคงต้องเข้าไปด้านในห้องของเยว่ชิงเฉิงด้วยตนเองโอวหยางชิงเฟิงจึงเคาะประตู
“เชิญเข้ามาได้”
เสียงที่ไม่ดังไม่เบาของสตรีผู้หนึ่งดังลอดออกมา และทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นโอวหยางชิงเฟิงก็ชะงักไปเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม หนุ่มหน้ามนก็ยังคงผลักประตูและเดินเข้าไป ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเองก็เดินตามเขาเข้าไปด้วย เท่าที่ได้ฟังเสียงของนาง ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเยว่ชิงเฉิงน่าจะเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายกว่าที่คิด
เมื่อเข้ามาในห้องแห่งนี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็รู้สึกตื่นตาตื่นใจขึ้นอีกครั้ง ห้องนี้เป็นห้องทำงานของช่างหลอม แม้จะไม่ใหญ่เท่าชั้นล่างแต่ก็นับว่ากว้างขวางไม่น้อย ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นเตาหลอมขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง ที่ขอบของเตาหลอมนั้นมีโต๊ะขนาดใหญ่วางอยู่ และบนโต๊ะก็มีวัตถุดิบสำหรับสร้างสิ่งหลอม อาวุธหน้าตาแปลกประหลาดทั้งเก่าและใหม่ รวมไปถึงเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมากวางสุมกันเป็นกอง
อย่างไรก็ตาม เท่าที่นางเห็นอุปกรณ์เหล่านี้ส่วนมากก็ไม่ได้มีคุณภาพสูงมากนักและดูแล้วพวกมันก็คงจะเป็นของคุณหนูเจ้าของห้องนี้
ภายในห้องกว้างนั้นยังมีห้องขนาดเล็กที่อยู่ด้านในอีกห้องหนึ่ง หากอยากจะเข้าไปพูดคุยกับเยว่ชิงเฉิงก็คงต้องเข้าไปยังห้องด้านในเสียก่อน
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมามองหน้ากันก่อนเดินตรงไปที่ประตูห้องเล็กนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่พวกเขาจะต้องรออยู่ด้านนอก ไม่ว่าดูอย่างไรห้องด้านในก็น่าจะเป็นห้องที่เยว่ชิงเฉิงอยู่อย่างแน่นอน
ทว่าเมื่อประตูแง้มเปิดเพียงครึ่งชุ่น ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
“ระวัง !”
จู่ ๆ ก็มีลูกดอกเล็ก ๆ จำนวนมากพุ่งตรงเข้าใส่โอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่สะบัดแขนเสื้อจนเกิดกระแสลมแรงวูบหนึ่งซัดปะทะลูกดอกเหล่านั้นให้กระจายออกไป
เมื่อมองผ่านช่องว่างเล็ก ๆ ของประตูเข้าไป พวกเขาก็มองเห็นร่างของเยว่ชิงเฉิงที่อยู่ด้านในได้ราง ๆ
เมื่อรอต่อไปอีกครู่ใหญ่ คนทั้งสามก็ไม่พบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติใด ๆ อีก โอวหยางชิงเฟิงจึงตัดสินใจจะเปิดประตูอีกครั้ง ทว่าในตอนที่กำลังจะสัมผัสประตู เขาก็ถูกฉินอวี้โม่รั้งเอาไว้ก่อน
อดีตนักฆ่าสาวดันโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วให้ถอยห่างออกไป ก่อนที่นางจะใช้เท้าถีบส่วนล่างของบานประตู ทันใดนั้นเอง กะละมังไม้ใบไม่เล็กไม่ใหญ่แต่ใส่น้ำไว้จนเต็มก็ตกลงมาดัง *ปัง* น้ำปริมาณมากสาดกระจายเจิ่งนองไปทั่วพื้นทันที
“หือ ?”
เสียงหวานของสตรีที่ฟังดูประหลาดใจดังออกมาจากภายในห้องหนึ่งครั้งก่อนที่โอวหยางชิงเฟิงจะผลักประตูเข้าไปด้วยความโกรธ
สีหน้าของโอวหยางชิงเฟิงในตอนนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก ทั้งลูกดอก อีกทั้งยังมีกะละมังน้ำเมื่อครู่อีก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อเล่นงานเขาโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม เขาก็พยายามสงบจิตสงบใจ คุณชายตระกูลโอวหยางสยบอารมณ์โกรธของตัวเองไว้และ… ‘พยายามปั้นหน้าฉีกยิ้ม’
เมื่อเข้ามาภายในห้องเล็กนั้นได้ สามสหายผู้รอดพ้นจากลูกดอกและความชุ่มโชกมาได้อย่างหวุดหวิดก็มองเห็นสตรีงดงามผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่หลังโต๊ะตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง นางกำลังส่งยิ้มให้น้อย ๆ …‘อย่างเป็นมิตร’ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสตรีผู้นี้จะต้องเป็นเยว่ชิงเฉิง บุคคลที่พวกเขาตั้งใจมาพบอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ ร่องรอยแห่งความประหลาดใจและอยากรู้อยากเห็นก็ปรากฏบนใบหน้าและแววตาของเยว่ชิงเฉิงทันที
“เจ้าสินะ โอวหยางชิงเฟิงที่ไม่อยากแต่งงานกับข้าจนต้องหนีออกจากตระกูลไปเมื่อห้าปีก่อน ?”
โอวหยางชิงเฟิงยังไม่ทันจะได้อ้าปากกล่าวสิ่งใดก็เป็นเยว่ชิงเฉิงที่ลุกยืนขึ้นมาและสาดวาจาเข้าใส่เสียก่อน คุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมไล่สายตามองอดีตคู่หมายตั้งแต่หัวจรดเท้า
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงได้ยินคำพูดของเยว่ชิงเฉิง ความโกรธของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดไปในทันที
เรื่องที่นางกล่าวเป็นความจริงทุกประการ ที่เขาหนีไปเมื่อห้าปีก่อนเป็นเพราะไม่อยากแต่งงานกับนาง วันนี้ถึงแม้คุณชายรองตระกูลโอวหยางจะไม่ทราบว่าสตรีตรงหน้าจะเล่นงานเขาด้วยวิธีใด แต่อย่างไรเรื่องนั้นเขาก็เป็นคนผิดเต็มประตู
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า เขายอมรับอย่างลูกผู้ชาย
“เป็นเพราะนางใช่ไหม ?”
เยว่ชิงเฉิงจ้องมองโอวหยางชิงเฟิง ขณะชี้นิ้วไปที่ฉินอวี้โม่พร้อมกับเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัย
“อวี้โม่เป็นแค่สหายของข้าเท่านั้น ที่ข้าไม่อยากแต่งงานกับเจ้าก็เพราะว่าข้าไม่ได้ชอบเจ้า”
โอวหยางชิงเฟิงรีบส่ายศีรษะ เป็นความสัตย์จริงที่คุณชายรองตระกูลโอวหยางกล่าว เขาไม่อยากแต่งงานกับเยว่ชิงเฉิงก็เพราะว่าเขาไม่ได้ชอบนางและเขาไม่เห็นด้วยเลยกับการหมั้นหมายโดยพลการของผู้ใหญ่
เยว่ชิงเฉิงพยักหน้า ทว่า จู่ ๆ นางก็ยิ้มออกมาก่อนจะสาดวาจาด่าทอเขาอย่างก้าวร้าว “โอวหยางชิงเฟิง เจ้าคนโง่เง่า แล้วเจ้าคิดงั้นหรือว่าข้าคนนี้อยากจะแต่งงานกับเจ้า ! ”
“ห๊ะ… ?”
เมื่อจู่ ๆ เยว่ชิงเฉิงก็ดูจะเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย โอวหยางชิงเฟิงก็ได้แต่ยืนโง่งมมองตาปริบ ๆ ดูเหมือนว่าเวลานี้หัวสมองที่ขบคิดเรื่องนี้มาอย่างหนักหน่วงตั้งแต่กลับเข้ามาในตระกูลของเขาจะ ‘กลายเป็น…ว่างเปล่า…ไปเสียแล้ว’
เมื่อเห็นสถานการณ์ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างขบขัน
แท้จริงแล้วเรื่องราวระหว่างสองคนนี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พวกนางคิดไว้แต่แรก เยว่ชิงเฉิงผู้นี้แท้จริงแล้วก็ไม่ได้หยิ่งยโสอย่างที่ฉินอวี้โม่เคยจินตนาการ อันที่จริงนางนับเป็นสตรีที่น่าสนใจมากผู้หนึ่งเลยทีเดียว
การที่คุณหนูแห่งตระกูลช่างหลอมสามารถกล่าววาจาเช่นนั้นออกมาได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องชั่งใจอะไรมาก มันทำให้ฉินอวี้โม่คิดว่าสตรีผู้นี้มีส่วนที่คล้ายคลึงกับตัวเองอยู่บ้าง
“อวี้โม่ ? เจ้าคือฉินอวี้โม่งั้นหรือ ?”
แม้ว่าปกติแล้วเยว่ชิงเฉิงจะแทบไม่ได้ออกไปจากอาณาจักรของนางในสมาคม ทว่าเรื่องราวและข่าวคราวต่าง ๆ ทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นนางก็ล้วนได้รับรู้มาทั้งสิ้น และเมื่อได้ยินโอวหยางชิงเฟิงเอ่ยนามของสตรีงดงามในชุดสีม่วงผู้อยู่ตรงหน้านางไปเมื่อครู่ เยว่ชิงเฉิงจึงคาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่ได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่าเยว่ชิงเฉิงเป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว
“เฮ้ ! ฉินอวี้โม่ เมื่อครู่เจ้าดูกับดักของข้าออกได้อย่างไร ช่วยบอกข้าหน่อยสิ ?”
จู่ ๆ เยว่ชิงเฉิงก็กระโดดข้ามโต๊ะมา ก่อนจะเดินไปจับมือฉินอวี้โม่และลากนางไปนั่งที่เก้าอี้ แม้ท่าทางเช่นนั้นของคุณหนูช่างหลอมจะห้าวหาญเยี่ยงบุรุษแต่ก็แสดงให้เห็นว่านางกำลังถูกใจคุณหนูตระกูลฉินผู้นี้มาก
เมื่อวานนางได้ยินว่ามีคนลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินกลางถนนเสียจนหมอบ อีกทั้งยังไม่ไว้หน้าหวังรั่วอีที่เดินเข้ามาจัดการเลยแม้แต่น้อย ทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้นางก็รู้สึกสะใจมากและอยากรู้เหลือเกินว่าเป็นฝีมือของผู้ใด ซึ่งหลังจากให้คนหาข่าว นางก็ได้รู้จักนามฉินอวี้โม่–คุณหนูแห่งตระกูลฉินผู้มาจากหลิงซี เยว่ชิงเฉิงจดจำได้อย่างขึ้นใจในทันที
วันนี้ ในตอนที่รู้ว่าสตรีงดงามผู้มาพร้อมโอวหยางชิงเฟิงมอง ‘ของขวัญต้อนรับอดีตคู่หมาย’ ทั้งสองอย่างของนางออกอีกทั้งยังปัดป้องทั้งลูกดอกและกะละมังน้ำนั้นได้ มันก็ยิ่งทำให้คุณหนูผู้ชื่นชอบการช่างรู้สึกสงสัยในตัวสตรีผู้นี้มากจนกระทั่งเมื่อได้ทราบว่านางคือฉินอวี้โม่ผู้เก่งกล้า ความสงสัยของเยว่ชิงเฉิงก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นเต้น !
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็มีสติปัญญาหลักแหลม รูปลักษณ์งดงาม ท่าทางดูดีมีชาติตระกูลและเมื่อได้ดูจากทั้งสีหน้าแววตาก็พบว่าคุณหนูฉินผู้นี้น่าจะเป็นคนดีคนหนึ่ง เยว่ชิงเฉิงเป็นคนตรง ๆ ทันทีที่คิดเห็นเช่นนี้นางก็ต้องการให้ฉินอวี้โม่มาเป็นสหาย
แม้จะถูกเยว่ชิงเฉิงลากตัวไป แต่ฉินอวี้โม่กลับไม่มีอาการต่อต้านเลยสักนิด นี่เป็นเรื่องน่าแปลกเพราะตามปกติหากถูกคนแปลกหน้าหรือไม่เคยรู้จักกันมาแตะเนื้อต้องตัวเช่นนี้ คนอย่างฉินอวี้โม่จะต้องปัดป้องและรู้สึกขุ่นเคืองไปแล้ว
นี่จึงชัดเจนเลยว่า สตรีตรงไปตรงมาอย่างคุณหนูแห่งสมาคมช่างหลอมผู้นี้เป็นคนในแบบที่ฉินอวี้โม่ถูกชะตาด้วยทำให้นางเองก็คิดอยากจะให้อีกฝ่ายมาเป็นสหายเช่นกัน
.
“ว่าอย่างไร ข้าช่วยพวกเจ้าจัดการพวกอันธพาลเชียวนะ พวกเจ้าจะให้อะไรข้าล่ะ ?”
หลังจากสวมบทบาทคุณชายหยิ่งยโส วางท่าข่มขู่ ‘เหล่าบุรุษคนถ่อยผู้คิดทำร้ายสตรีของเขา’ ไปแล้ว หลินจิ้งหงก็เดินตามฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมาอย่างไม่ลังเล คุณชายโอหังไม่ได้คิดที่จะเอ่ยถามเลยว่าพวกนางจะไปที่ใด เวลานี้เขาเดินอยู่ข้างกายฉินอวี้โม่และถามไถ่หาสิ่งตอบแทนด้วยรอยยิ้มยียวน
“คุณชาย นี่ไงรางวัลของเจ้า”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะรู้ดีว่าวาจาเช่นนั้นของหลินจิ้งหงมีเจตนาหยอกล้อ ทว่านางก็ยังหยิบเอาถุงเหรียญเงินออกมาและโยนให้เขา
“ไม่ ! ตัวข้าไม่ได้ถูกขนาดนี้”
หลินจิ้งหงมองดูเหรียญเงินในถุงของฉินอวี้โม่และแสร้งทำท่าทางคล้ายเหยียดหยาม
“สาวน้อย ดูสิ คุณหนูของเจ้าจะขี้เหนียวกับผู้ช่วยชีวิตมากเกินไปแล้ว”
หลินจิ้งหงมองไปที่เสี่ยวโร่วก่อนจะเอ่ยปากเป็นเชิงฟ้อง เขาอยากเห็นท่าทีของสาวน้อยคนนี้
“ฮ่า ๆ อย่างคุณหนูของข้านี่สิ ถึงจะเหมาะเป็นฮูหยินของจวน”
เสี่ยวโร่วพอจะทราบว่าหลินจิ้งหงและฉินอวี้โม่เพียงแต่กำลังหยอกล้อกันเท่านั้น เพราะฉะนั้นนางจะไม่บ้าคิดจริงจังกับเรื่องนี้ หลังจากพูดประโยคเมื่อครู่ออกไปนางก็อดยิ้มขำไม่ได้
“ก็ได้ ๆ ถือว่าพวกเจ้าชนะ”
หลินจิ้งหงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องยอมสงบคำ ทว่าริมฝีปากของเขาก็มิอาจซุกซ่อนรอยยิ้มได้เลยเช่นกัน
“คุณหนู สุภาพบุรุษท่านนี้คือใครเหรอเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วเดินเข้าไปประชิดตัวคุณหนูของนางก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบถาม
“สาวน้อย… ถ้าไม่พูดเบากว่านั้น ข้าจะได้ยินเอานะ”
หลินจิ้งหงแกล้งดัดเสียงเข้มแล้วกล่าวหยอกล้อสาวน้อยผู้มากับฉินอวี้โม่ก่อนจะกล่าวต่อเสียงดัง “ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีคนไม่รู้ชื่อข้า คุณหนูของเจ้าไม่เคยเล่าให้เจ้าฟังเลยหรือว่าข้าคือใคร ?”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างใสซื่อเพราะนางไม่รู้จักหลินจิ้งหงจริง ๆ
“เหอะ อวี้โม่ ไม่นึกเลยนะว่าเจ้าจะเป็นคนอย่างนี้ ข้าอุตส่าห์กังวลเรื่องเจ้าจนต้องถ่อมาดูถึงที่ ไม่คิดว่าเจ้าจะใจดำถึงกับไม่ยอมเล่าเรื่องของข้าให้สาวน้อยแสนซื่อผู้นี้ฟัง”
หลินจิ้งหงแสร้งต่อว่าพลางตีหน้าเศร้า
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำออกมาอย่างอดไม่ได้ เพราะเคยได้เจอหลินจิ้งหงมาก่อนหน้านี้แล้ว นางจึงพอรู้จักนิสัยของคุณชายท่านนี้ดี หากเมื่ออยู่กับคนแปลกหน้าเขาจะหยิ่งยโสถึงขีดสุด แต่กับคนคุ้นเคยเขาจะขี้เล่นและมักจะหาเรื่องหยอกล้อเสมอ ดังนั้นที่หลินจิ้งหงอุตส่าห์ตัดพ้อต่อว่าพลางทอแววตาเสียอกเสียใจจึงไม่ได้หมายความว่าเขาน้อยใจจริง ๆ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ยิ้ม บุรุษใบหน้าหล่อเหลาก็ยิ้มกลับ เขาเลิกล้อเล่นแล้วยืดอกทำการแนะนำตัวเอง
“ฟังนะสาวน้อย ชื่อของข้าคือหลินจิ้งหง นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง”
หลังจากกล่าวจบ หลินจิ้งหงก็เชิดหน้ามองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาภาคภูมิ เขาคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นตาลุกวาวอันแสนน่าขันของสาวน้อยตรงหน้าอีก
และแน่นอนว่าเมื่อได้ยินเกี่ยวกับตัวตนของหลินจิ้งหง ในตอนแรกสาวใช้น้อยก็รู้สึกประหลาดใจก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม สาวน้อยเริ่มตาลุกวาวแต่แล้วก็หันไปถามฉินอวี้โม่ก่อน “คุณหนู ที่เขาพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า ?”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วรู้สึกตื่นเต้นขึ้นทันที
ทว่าในตอนที่สาวน้อยกำลังจะโพล่งวาจาบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็หยุดนางไว้เพียงเท่านั้น
ฉินอวี้โม่รู้ดีว่าในตอนที่ได้ยินว่าหลินจิ้งหงคือนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง สาวใช้น้อยก็คงเตรียมจะขอร้องให้เขาช่วยตามหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
แต่ทว่าเนื่องจากเรื่องนี้ยังมีปริศนาที่ซับซ้อนซ่อนอยู่มากมายทำให้คุณหนูตระกูลฉินยังไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวและไม่ต้องการให้มีผู้ล่วงรู้มากนัก แม้ว่าหลินจิ้งหงจะเป็นสหายสนิทของหานโม่ฉือและนางก็เชื่อใจเขา แต่นางก็ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องภายในตระกูลที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน ตอนนี้จึงยังไม่สมควรที่จะเอ่ยให้เขาฟัง
คราแรก เมื่อหลินจิ้งหงเห็นสาวใช้น้อยตื่นเต้นและกำลังจะพูดบางอย่างเขาก็เริ่มรื่นเริง ทว่าเมื่อสาวน้อยถูก‘สหายผู้รู้ทันเขา’ สกัดเอาไว้ คุณชายขี้เล่นก็เริ่มหมดสนุก อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นแววตาจริงจังของทั้งคุณหนูตระกูลฉินและสาวใช้ของนาง นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างก็หรี่ตาลงอย่างสงสัย ทว่าเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่ชอบสอดรู้เรื่องของผู้อื่น ถ้าฉินอวี้โม่ไม่อยากเล่า เขาก็จะไม่ถาม
“อวี้โม่ เมื่อออกจากบึงสายหมอกแล้วพวกเราก็ไปตามหาเจ้า เหตุใดถึงไม่บอกเราเลยว่าเจ้าจะออกจากเมืองหลิงซี ?”
หลินจิ้งหงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ในตอนนั้นเขาและหานโม่ฉือไปตามหาฉินอวี้โม่ในโรงเตี๊ยมที่นางพัก แต่พวกเขาก็พบว่านางจากไปแล้ว ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังได้ยินข่าวน่าตกใจที่เกิดขึ้นกับตระกูลฉินในเมืองหลิงซีและเป็นตอนนั้นเองที่เขามั่นใจอย่างมากว่าสตรีผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่นั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
“มีเรื่องบางอย่างที่ทำให้พวกเราต้องรีบร้อนออกเดินทาง ข้าเลยไม่มีเวลาจะบอกลาคุณชายหลิน”
เมื่อได้ฟังวาจาของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเขาและหานโม่ฉือจะไปตามหานางที่โรงเตี๊ยม การที่พวกเขารู้ได้ทันทีว่านางพักอยู่ในโรงเตี๊ยมใด นั่นชี้ชัดว่าพวกเขามีแหล่งข่าวที่กว้างขวางไม่ธรรมดา ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับตระกูลฉินในเมืองหลิงซีพวกเขาก็คงจะได้รู้มาไม่น้อย
“คุณชายจิ้งหง ตอนนี้ตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีเป็นอย่างไรบ้าง ?”
จนถึงตอนนี้ นับว่าฉินอวี้โม่ออกจากที่นั่นมานานพอสมควรแล้ว แต่นางก็ยังไม่ทราบถึงข่าวคราวของฉินเทียนตัวปลอมและเยี่ยเสี่ยวตี๋เลย เวลานี้เมื่อมีโอกาส อดีตคุณหนูผู้รันทดแห่งหลิงซีจึงรีบเอ่ยถามข้อมูล
หลินจิ้งหงรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่ฉลาด ดังนั้นเขาจึงไม่ประหลาดใจที่นางจะถามคำถามเช่นนี้
“หลังจากเจ้าระเบิดจวนตระกูลฉินไปตอนนั้น ตระกูลฉินทั้งหมดก็กลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น ส่วนเรื่องที่เจ้าทำกับเยี่ยเสี่ยวตี๋ แม้ว่าฉินเทียนจะพยายามปกปิดเต็มที่แต่เขาก็ปิดมันไว้ได้ไม่นาน พอชาวเมืองได้รับรู้ เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านและโดนดูถูกเหยียดหยามสารพัด ส่วนขุมกำลังต่าง ๆ ในเมืองหลิงซีที่เคยดูถูกหรือรังแกเจ้าต่างก็กลัวกันหัวหด พวกเขาเก็บตัวเงียบในช่วงหลายวันหลังจากเกิดเรื่องนั้นเพราะกลัวว่าเจ้าจะไปเอาเรื่องพวกเขา พูดได้เลยว่าตอนนั้นเมืองหลิงซีตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหลมาก”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง หลิงจิ้งหงก็กล่าวต่อ “แต่หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อข้าไม่รู้ เพราะโม่ฉือกับข้าออกมาจากที่นั่นก่อน”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อนางรู้ว่าฉินเทียนตัวปลอมและเยี่ยเสี่ยวตี๋คงจะอยู่ในเมืองหลิงซีต่ออย่างไม่เป็นสุขนัก รอยยิ้มสาแก่ใจก็ปรากฏบนใบหน้านวล
ก่อนออกมานางบอกพวกเขาว่าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น นางจะทำลายตระกูลฉินในเมืองหลิงซีให้พินาศ ในตอนนี้ ถึงแม้จะคิดว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นคงจะปลอดภัย ทว่าอดีตคุณหนูผู้เคยถูกรังแกก็ยังถือว่าฉินเทียนตัวปลอมเป็นศัตรูไม่แปรเปลี่ยน
ในระหว่างที่สนทนากันไปพลางเดินไปพลาง ในที่สุดพวกเขาทั้งสามก็มาถึงจวนตระกูลโอวหยางแล้ว
เมื่อเทียบกับจวนตระกูลฉิน จวนตระกูลโอวหยางดูหรูหราโอ่อ่ายิ่งกว่ามาก ลานกว้างที่กว้างขวาง สวนดอกไม้งดงาม เรือนหลังใหญ่น้อยทั้งหมดเป็นอาคารใหม่เอี่ยมตกแต่งอย่างมีระดับ ตัวเรือนหลักนั้นสูงใหญ่สะดุดตาบ่งบอกฐานะและความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของได้อย่างดี
ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ จวนตระกูลโอวหยางนับว่าเป็นจวนที่มีความยิ่งใหญ่อลังการมากที่สุดแล้ว
ณ ประตูทางเข้าจวนตระกูลโอวหยาง บ่าวรับใช้หนุ่มผู้หนึ่งกุลีกุจอเดินออกมาต้อนรับ
ชื่อเสียงของหลินจิ้งหงไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงแห่งนี้ไม่รู้จัก
“คารวะคุณชายหลิน”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเดินเข้ามาและกล่าวทักทายหลินจิ้งหงในทันที แม้ว่าตระกูลโอวหยางจะนับเป็นหนึ่งในสามตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลในเมืองหลวง ทว่าสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นขุมกำลังที่มีอิทธิพลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นเขาที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ในจวนตระกูลโอวหยางจึงต้องนอบน้อมกับคุณชายผู้นี้เป็นธรรมดา
“วันนี้ที่ข้าและแม่นางทั้งสองมาเพื่อจะขอพบคุณชายชิงเฟิง”
ขณะพูดคุยกันระหว่างทางนั้น หลินจิ้งหงได้รับรู้ถึงจุดประสงค์การมายังจวนตระกูลโอวหยางจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วแล้ว ดังนั้นเมื่อมาถึงหน้าจวนเขาจึงบอกจุดประสงค์นั้นออกไปทันที
บ่าวผู้นั้นมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แม้ว่าเขาจะนึกสงสัยในตัวตนของพวกนางทว่าในเมื่อคุณชายหลินไม่ได้เอ่ยอธิบายออกมา เขาผู้น้อยก็มิกล้าเอ่ยถาม ยิ่งกว่านั้น เมื่อดูจากรูปลักษณ์ การแต่งกาย และกิริยาท่าทางของสตรีทั้งสองแล้ว เขาก็มั่นใจว่าพวกนางคงไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
“เชิญท่านทั้งสามเข้ามาก่อน ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปแจ้งนายน้อยของเราให้ทราบทันที”
บ่าวรับใช้หนุ่มผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูในวันนี้พาหลินจิ้งหงและแม่นางทั้งสองเข้าไปยังเรือนรับรอง ก่อนจัดแจงที่นั่งและให้คนนำน้ำชาออกมาต้อนรับ
ไม่นานนัก โอวหยางชิงเฟิงก็มาถึง
แท้จริงแล้ว โอวหยางชิงเฟิงอยากจะออกไปหาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วที่จวนตระกูลฉินมาก ทว่าตอนนี้ท่านผู้นำตระกูลและบิดาของเขามีเรื่องมากมายอยากจะพูดคุยกับเขา ทั้งสองบอกให้เขารั้งรออยู่ที่จวนอย่าเพิ่งรีบออกไปไหนในสองสามวันแรกนี้ เขาต้องรอให้ท่านปู่และท่านพ่อว่างจากงานจะได้สนทนากัน ด้วยเหตุผลนั้นจึงทำให้คุณชายผู้เคยหนีออกจากจวนไม่มีโอกาสออกไปไหนได้เลยตั้งแต่กลับมาถึง
เมื่อแรกได้ยินว่าหลินจิ้งหงมาที่ตระกูลเพื่อพบเขา คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็งุนงงเล็กน้อย แต่หลังจากได้รู้ว่าเขาพาสตรีอีกสองคนมาด้วย โอวหยางชิงเฟิงก็เข้าใจในทันทีว่าต้องเป็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
ในตอนนี้เองที่อาการเศร้าหมองของหนุ่มหน้าใสผู้ถูกกักตัวอยู่กับจวนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เขารีบออกมาจากเรือนที่พักอย่างเริงร่าและตรงมายังเรือนรับรองแห่งนี้ทันที
เมื่อเห็นโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้าง พวกเขาทั้งสามฝึกฝนร่วมกันมานานถึงครึ่งปี แน่นอนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจึงใกล้ชิดสนิทสนมกันมากเป็นธรรมดา จนตอนนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นสหายสนิทได้อย่างเต็มปากแล้ว
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว ข้าเองก็กำลังคิดจะออกไปเยี่ยมเจ้า คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นฝ่ายมาเองแบบนี้”
โอวหยางชิงเฟิงเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขามองสำรวจทั่วทั้งตัวสหายสนิททั้งสองจนเมื่อเห็นว่าพวกนางไม่เป็นอะไร เขาจึงยิ้มอย่างโล่งใจ
เมื่อเห็นใบหน้าของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็อดขำไม่ได้
“ชิงเฟิง นี่เจ้าจะกังวลเกินเหตุไปหรือเปล่า พวกเราสองคนกลับบ้านมิใช่ลงสนามรบบุกดงข้าศึก พวกเราจะเป็นอันตรายได้อย่างไรกัน ?”
ด้วยวาจาเช่นนั้นทำให้โอวหยางชิงเฟิงยิ้มเขินพลางลูบท้ายทอยป้อย ๆ ก่อนจะนั่งลง ถึงจะกลับเข้าตระกูลแล้วแต่คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็ยังคงเป็น ‘สายลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์’ คนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ข้ารู้ข่าวที่เกิดขึ้นเมื่อวานมาน่ะสิ ได้ยินว่าเจ้ามีเรื่องกับหวังรั่วจวินใช่หรือไม่ ? แล้วหวังรั่วอีผู้นั้นทำอะไรเจ้ารึเปล่า ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานโอวหยางชิงเฟิงเองก็ได้ยินมาเช่นกัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้กลับมายังนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้นานถึงห้าปีแต่เขาก็รู้จักสตรีน่ากลัวอย่างหวังรั่วอีดี
หวังรั่วอีเป็นสตรีที่ภายนอกดูอ่อนหวานและใสซื่อบริสุทธิ์ทว่าภายในหัวใจกลับร้ายกาจ ปกติแล้วหากมีผู้ใดลงไม้ลงมือกับน้องชายของนาง ไม่ว่าหวังรั่วจวินจะผิดหรือไม่ หรือจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางไม่มีทางปล่อยอีกฝ่ายไว้แน่ หวังรั่วอีและหวังรั่วจวินถือดีว่ามีสถานะของนายน้อยแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่จึงไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แน่นอนว่านี่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงไม่ชอบใจพี่น้องตระกูลหวังคู่นี้
เมื่อวานนี้ ทันทีที่ได้ยินว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วถึงขั้นลงมือกับหวังรั่วจวิน คุณชายตระกูลโอวหยางก็หน้าถอดสี เขาเป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของสหายทั้งสองมากและอยากจะไปพบพวกนางให้เร็วที่สุด หากรู้ว่าหวังรั่วอีทำอะไรพวกนาง คุณชายรองตระกูลโอวหยางก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไปเอาคืนให้สหายทั้งสองอย่างสาสม
“ชิงเฟิง นี่เจ้าคิดว่าพวกข้าจะถูกรังแกง่าย ๆ อย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดเป็นห่วงเป็นใยของโอวหยางชิงเฟิงฉินอวี้โม่ก็ยิ้มกว้าง และนางก็อดรู้สึกขบขันอยู่ในใจไม่ได้
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ พวกเขาอยู่ฝึกฝนด้วยกันนานครึ่งปี เขารู้ดีที่สุดว่าฉินอวี้โม่เป็นยอดฝีมือที่น่าหวาดกลัวเพียงใด ไม่ใช่เพียงแค่ฝีมือเท่านั้นความเลือดเย็นในการสังหารของนางก็ด้วย การมารังแกสตรีผู้นี้จึงไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
“ถ้ามีใครกล้ามารังแกข้า คนผู้นั้นจะต้องเตรียมใจเอาไว้หนักหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม การมีสหายที่ดีอย่างโอวหยางชิงเฟิงนี้ นางคิดว่ามันเป็นโชควาสนาที่หาได้ยากยิ่ง
“โอวหยางชิงเฟิง ครั้งนี้เจ้ายอมกลับมาเองอย่างนั้นหรือ ? คนในตระกูลไม่ได้บีบบังคับเจ้าแล้วอย่างนั้นใช่ไหม ?”
หลินจิ้งหงเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เขาอายุมากกว่าโอวหยางชิงเฟิงสองปี เขารู้จักอัจฉริยะแห่งตระกูลโอวหยางเป็นอย่างดี เมื่อก่อนพวกเขาก็เคยเจอกันหลายครั้ง เขาจึงรู้ดีว่าที่โอวหยางชิงเฟิงหนีออกไปจากตระกูลเมื่อห้าปีก่อนนั้นเป็นเพราะถูกบีบบังคับให้ทำในเรื่องที่ไม่อยากทำ เมื่อเห็นเขายอมกลับมา หลินจิ้งหงจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น ใบหน้าของคุณชายรองตระกูลโอวหยางก็หม่นหมองลงไปอย่างเห็นได้ชัด
และภาพใบหน้าที่ตกต่ำลงอย่างฉับพลันของสหายสนิทผู้ร่วมผจญภัยด้วยกันในป่ากว้างก็ทำให้ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วต้องขมวดคิ้วอย่างสงสัย ในตอนนี้พวกนางเองก็อยากจะรู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปถึงสาเหตุที่ทำให้ข้าหนีออกจากบ้าน”
หลังจากปรับอารมณ์อยู่ครู่หนึ่ง โอวหยางชิงเฟิงก็อธิบายให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วฟัง
…เมื่อห้าปีก่อน ที่โอวหยางชิงเฟิงหนีออกจากตระกูลนั้นมีเหตุผลเพียงข้อเดียวคือ ‘เรื่องของการหมั้นหมายตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด’
ตระกูลโอวหยางและตระกูลเยว่ของประธานสมาคมช่างหลอมนั้นมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น โดยเฉพาะบิดามารดาของโอวหยางชิงเฟิงและครอบครัวของประธานสมาคมช่างหลอมนับเป็นสหายที่สนิทสนมกันอย่างมาก และมากเสียจนทั้งสองครอบครัวได้ตกลงกันว่าหากมีบุตรชายและบุตรสาวจะให้เกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน
ด้วยเหตุนี้ทำให้โอวหยางชิงเฟิงและบุตรสาวของประธานสมาคมช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง ถูกจับให้หมั้นหมายกันตั้งแต่เกิดและมีสัญญาที่จะต้องแต่งงานเมื่อพวกเขาโตขึ้น อย่างไรก็ตาม บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายต่างก็ปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ และรอบอกกับพวกเขาในตอนที่ทั้งสองเติบโตจนพร้อมที่จะรับรู้เรื่องราวแล้ว
ทว่าโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงนั้นต่างก็เป็นเด็กที่มีนิสัยดื้อรั้นหัวชนฝาด้วยกันทั้งคู่ พอได้รู้เรื่องการหมั้นหมายดังกล่าว พวกเขาก็แสดงอาการต่อต้านในทันที
อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะพวกเขาทั้งคู่ไม่ถูกชะตาหรือไม่ชอบหน้ากัน แต่เป็นเพราะทั้งสองรู้สึกไม่พอใจที่ถูกผู้อื่นกำหนดหรือตัดสินชีวิตของพวกเขาโดยพลการ
ดังนั้นโอวหยางชิงเฟิงในวัยสิบสามปีจึงตัดสินใจหนีออกจากตระกูลเพื่อประท้วงและแสดงจุดยืนในการต่อต้านสัญญาการแต่งงาน แน่นอนว่าทั้งโอวหยางชิงเฟิงและเยว่ชิงเฉิงต่างก็อยากจะตามหาบุคคลที่รักด้วยตนเองและอยากมีพิธีแต่งงานที่เกิดขึ้นจากความสมัครรักใคร่ของทั้งสองฝ่าย
หลังจากห้าปีผ่านไป ในที่สุดผู้นำตระกูลโอวหยางก็ไม่ได้บีบบังคับโอวหยางชิงเฟิงอีกแล้ว ทว่าเขาก็บอกให้หลานชายแก้ปัญหาเรื่องการหมั้นหมายด้วยตัวเอง…
และนี่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกปวดหัวอยู่ในขณะนี้
.
.
.
เมื่อเห็นคนจำนวนมากกำลังพุ่งเข้ามา เสี่ยวโร่วก็ส่งเสียง *หึ* ครั้งหนึ่งอย่างเย็นชา สาวน้อยเตรียมตัวจะเรียกอสูรมายาออกมารับมือ ทว่ากลับถูกฉินอวี้โม่ร้องห้ามเสียก่อน
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวก็มีคนจัดการให้เราเอง”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ลงมือทำสิ่งใดเลย นางเพียงแต่ยืนนิ่ง ๆ อย่างไม่เกรงกลัว
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เจอกันแค่ครึ่งปี เหมือนว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นเยอะเลยนี่”
เสียงหัวเราะอย่างแจ่มใสดังขึ้น ก่อนที่บุรุษท่าทางสุภาพผู้หนึ่งจะปรากฏตัวต่อหน้าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
“พลังของคุณชายหลินนับวันก็ยิ่งพัฒนาไปไกล จนแม้แต่ข้าก็ยังมองไม่ออก”
เมื่อเห็นคนตรงหน้าปรากฏตัวออกมา มุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกเป็นรอยยิ้ม สาวงามแย้มยิ้มแล้วเอ่ยทักทายสหายหนุ่มผู้ไม่ได้พบเจอกันนานด้วยเสียงที่แจ่มใสไม่แพ้กัน
บุรุษสง่าผ่าเผยผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง–หลินจิ้งหง สหายเก่าแก่ที่ฉินอวี้โม่ได้พบเจอพร้อมกับหานโม่ฉือในเมืองหลิงซี
ฉินอวี้โม่ถูกชะตากับสหายผู้นี้มาก เขาเป็นคนขี้เล่น เป็นกันเอง ถึงจะเป็นคุณชายผู้กุมอิทธิพลใหญ่แต่ก็เป็นคนง่าย ๆ และมองโลกในแง่ดี ถึงแม้จะดูคล้ายจะเป็นบุรุษเจ้าสำราญมากเล่ห์แต่แท้จริงกลับเป็นคนดีไม่น้อย สำหรับฉินอวี้โม่แล้ว นับว่าหลินจิ้งหงคือบุคคลที่น่าคบหาผู้หนึ่ง แม้ว่านางจะไม่ได้ใกล้ชิดกับเขามากนัก แต่หลินจิ้งหงก็เป็นคนแรก ๆ ที่ยอมเป็นสหายกับนาง ที่สำคัญในเมื่อเขาเป็นเพื่อนรักของหานโม่ฉือ คนผู้นี้ก็ถือเป็นสหายที่ดีของนางด้วยเช่นกัน
“บัดซบ เจ้าเป็นใคร โผล่หัวมาจากไหน กล้าดียังไงมาขวางงานของเรา !”
บุรุษหน้าเ**้ยมผงะไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่า จู่ ๆ ก็มียอดฝีมือที่ดูแข็งแกร่งปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าพวกเขากับเหยื่อสาวแสนสวยทั้งสอง หัวหน้ากลุ่มผู้มีใบหน้าอำมหิตสบถด่าทอเสียงดังลั่น
“เหอะ ไม่มีผู้ใดในเมืองนี้ไม่รู้จักข้า ไอ้หน้าโหด เจ้าไม่อยากแก่ตายหรอกรึ ?”
เมื่อได้ยินวาจาระคายหูของชายหน้าตาเถื่อนถ่อย ใบหน้าแจ่มใสของหลินจิ้งหงก็แปรเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง นายน้อยแห่งสมาคมใหญ่หันหลังกลับไปมองคนผู้นั้นอย่างไม่สบอารมณ์
เมื่อวานนี้หลินจิ้งหงได้ยินข่าวว่าฉินอวี้โม่มาที่นครไป๋อวิ๋น
แม้ว่าเขาจะอยากพบสหายสาวผู้ไม่ธรรมดาของเขามาก แต่เป็นเพราะภารกิจที่รัดตัวตั้งแต่เช้ามืด ทำให้เมื่อวานคุณชายตระกูลหลินไม่มีโอกาสไปเยี่ยมเยียนคุณหนูตระกูลฉินที่จวนเลย วันนี้เมื่อพอจะมีเวลาว่างแล้ว หลินจิ้งหงจึงเดินทางมาตระกูลฉินในช่วงสาย ๆ
ทว่าโชคร้ายที่เมื่อมาถึง คนที่จวนตระกูลฉินก็แจ้งว่าฉินอวี้โม่ออกไปที่ตึกเต๋อเยว่เสียแล้ว
เมื่อรู้เช่นนั้น หลินจิ้งหงก็รีบมุ่งหน้าไปยังตึกเต๋อเยว่ในทันที ทว่าเมื่อไปถึงที่นั่นบุรุษหน้าหล่อก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อพบว่าฉินอวี้โม่ออกไปก่อนหน้านั้นนานแล้ว คุณชายผู้ผิดหวังก็ออกมาจากตึกเต๋อเยว่อย่างเศร้าสร้อย และในขณะที่กำลังเดินผ่านพระราชวังอย่างใจลอยพลางครุ่นคิดว่าจะหาตัวฉินอวี้โม่ได้ที่ไหนอยู่นั้น เขาก็เห็นคนผู้หนึ่งที่ดูคล้ายสตรีที่เขาอยากเจอกำลังออกจากประตูพระราชวังมา
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างยังเห็นด้วยว่า มีบุรุษกลุ่มหนึ่งกำลังแอบสะกดรอยตามฉินอวี้โม่ไป เมื่อเห็นเช่นนั้น คุณชายหน้าหล่อจึงรีบตามไปทันทีเพราะอยากจะรู้ว่าคนเหล่านั้นมีจุดประสงค์อะไร
อันที่จริง เขาคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าด้วยทักษะการสะกดรอยที่ ‘ไม่เอาไหน’ ของคนกลุ่มนี้ คนไม่ธรรมดาอย่างฉินอวี้โม่ย่อมต้องรู้ตัวว่าถูกติดตามตั้งนานแล้ว
ซึ่งการคาดการณ์ของหลินจิ้งหงก็ไม่ผิดเลยสักนิด เพราะฉินอวี้โม่รู้ถึงการมีอยู่ของคนกลุ่มนั้นตั้งแต่แรกและไม่เพียงแต่รู้ว่าถูกบุรุษฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ไล่ตามเท่านั้น นางยังรู้ด้วยว่าสหายที่หายหน้าไปนานอย่างคุณชายหลินจิ้งหงก็แอบติดตามมาด้วย
และในตอนที่กลุ่มคนถ่อยพวกนั้นลงมือกับฉินอวี้โม่ สหายสาวของเขากลับไม่ยอมเคลื่อนไหวเลยนั่นทำให้หลินจิ้งหงต้องปรากฏตัวออกมาอย่างไม่มีทางเลือก เขาตรงเข้าไปทักทายสหายโฉมงามที่วันนี้แต่งตัวเป็นสตรีอย่างงามงดก่อนเป็นอันดับแรก
บุรุษหน้าเ**้ยมนั้นเห็นเพียงด้านหลังของหลินจิ้งหง และเมื่อเห็นว่าบุรุษแต่งกายสูงส่งเดินเข้ามาขวางแต่ก็เอาแต่กล่าววาจาทักทายสตรีไม่สนใจเขา เขาจึงโกรธเคืองหนักขึ้นและสบถด่าทอคนผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัว
ทว่าในตอนที่หลินจิ้งหงหันหน้ากลับมา เมื่อได้เห็นใบหน้าของผู้ที่เขาเพิ่งด่าทอไปชัด ๆ คนหน้าโหดรวมถึงลูกน้องทั้งหมดก็ชะงักงันอยู่กับที่
“คุณชายหลิน !”
พวกเขาอึ้งไปชั่วขณะ บุรุษหน้าโหดได้แต่อ้าปากค้างโดยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อไป
ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ มีอยู่หลายคนที่ไม่ควรล้ำเส้นเป็นอย่างยิ่ง และการทำสิ่งใดให้พวกเขาขุ่นเคืองใจก็เท่ากับรนหาที่ตาย !
คนแรกก็คืออัจฉริยะแห่งตระกูลหาน บุตรชายสุดรักของผู้นำตระกูล–หานโม่ฉือ คนต่อมาคือคุณหนูใหญ่แห่งสมาคมช่างหลอม–เยว่ชิงเฉิง ส่วนอีกคนก็คือหลินจิ้งหง–นายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้าง ทั้งสามคนได้รับฉายาว่าเป็น ‘จอมมารรุ่นเยาว์แห่งไป๋อวิ๋น’
ทุกคนในเมืองต่างรู้ดีว่า ผู้ใดก็ตามที่หาเรื่องหมางใจกับจอมมารทั้งสามในเมืองไป๋อวิ๋น คนเหล่านั้นก็จะพบจุดจบที่ย่ำแย่มากแทบทุกราย แต่ที่ยิ่งกว่าก็คือที่ผ่านมาไม่มีผู้ใดเลยที่จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในนครไป๋อวิ๋นต่อไปอีกได้
ในตอนนี้ ใบหน้าของบุรุษหน้าเ**้ยมซีดเซียวลงไปหลายส่วน เขาเพียงแต่รับคำสั่งมาจากคุณหนูของพวกเขาให้สั่งสอนสตรีบ้านนอกสองคน ทว่าเหตุการณ์กลับกลายเป็นพวกเขากำลังทำให้หนึ่งในสามจอมมารรุ่นเยาว์แห่งไป๋อวิ๋นโกรธเคืองเข้าเสียแล้ว
“ไอ้หน้าโหด เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?”
หลินจิ้งหงมองชายผู้มีใบหน้าโหดเ**้ยมก่อนถามด้วยรอยยิ้มที่… เ**้ยมเกรียม ‘คนไม่เจียมตัวผู้นี้ถึงกับขวัญกล้าใช้วาจาระคายหูกับเขา นี่มันเท่ากับหาที่ตายชัด ๆ’
“คุณชายหลิน เมื่อครู่ ข้าน้อยไม่ได้พูดอะไรเลย ข้าว่าท่านคงจะฟังผิดไปแล้ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงชวนขนลุกของหลินจิ้งหง ใบหน้าของชายหน้าโหดก็ชุ่มโชกไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็น ๆ เขาพูดเสียงอ่อนด้วยความนอบน้อม น้ำเสียงของเขาไม่ได้สั่นแต่กลับมีแววแห่งความเป็นกังวลอยู่ชัดเจน
“เพ่ย เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกรึไง ?!”
หลินจิ้งหงไม่คิดจะปล่อยอีกฝ่ายไปง่าย ๆ
“เจ้ากล้าสบถคำหยาบคายต่อหน้าข้า เจ้าพูดว่าข้า ‘โผล่หัว’ มาจากไหนไม่ใช่รึไง ?! กล่าวออกมาเองแล้วเหตุใดถึงขี้ขลาดทำเฉไฉ ไม่ยอมรับเสียเล่า !”
เมื่อได้ยินวาจาด่ากลับของหลินจิ้งหง ขาของชายหน้าโหดก็สิ้นเรี่ยวแรงลงไปทันที บุรุษร่างใหญ่ใจปลาซิวทรุดลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น
เขาอยากจะตบหน้าตัวเองแรง ๆ เพื่อสั่งสอนนัก ‘กลัวจะไม่ตายดีหรืออย่างไร ถึงได้กล่าววาจาเช่นนั้นกับคนอย่างหลินจิ้งหงอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ’
“ขออภัยคุณชายหลิน ข้าน้อยไม่ทราบว่าเป็นท่าน หากข้าน้อยทราบก็คงไม่กล้า ข้าน้อยไม่อาจเอื้อมกระทำต่ำช้ากล่าววาจาหยาบคายต่อหน้าท่านแน่ขอรับ”
บุรุษร่างใหญ่โตใบหน้าโหดเ**้ยมรีบกล่าวขอโทษขอโพยอย่างนอบน้อม น้ำเสียงเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกเคร่งเครียดปนตื่นตระหนก
“เหอะ ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าข้างั้นรึ ? เช่นนั้นข้าก็ชักจะสงสัยแล้วว่าลับหลังข้าเจ้าจะด่าทอข้าอย่างไรบ้าง”
หลินจิ้งหงยังมีท่าทีไม่ยินยอม ราวกับว่าวันนี้เขาต้องการจะเอาเรื่องอีกฝ่ายให้ได้
เมื่อเห็นท่าทีของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็อดอมยิ้มอย่างขบขันไม่ได้ หลินจิ้งหงผู้นี้น่าสนใจยิ่งนัก ท่าทางข่มขู่คุกคามเช่นนั้นดูเป็นบุคคลยโสโอหังจนน่าหมั่นไส้ แม้ว่าเหตุผลหนึ่งจะเป็นเพราะความโอหังที่มาจากนิสัยส่วนตัวของคุณชายอย่างเขาก็จริง แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เขาทำก็เป็นเพราะต้องการจะช่วยนางและเสี่ยวโร่ว
ใบหน้าของบุรุษหน้าโหดซีดเซียวจนไร้สีเลือดแล้ว ตอนนี้เขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก เขารู้สึกว่าไม่ว่าเขาจะเอ่ยสิ่งใด หลินจิ้งหงก็จะหาเรื่องเอาผิดเขาจนได้อยู่ดี
“ไอ้หน้าโหด เมื่อครู่พวกเจ้ากำลังคิดจะทำมิดีมิร้ายกับแม่นางทั้งสองอย่างนั้นรึ ?”
ในตอนนั้นเอง หลินจิ้งหงก็หันหลังกลับไปขยิบตาเป็นสัญญาณให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว ก่อนจะหันไปตีหน้าโหดกว่าเพื่อกล่าวกับชายหน้าโหด
“ไม่ขอรับ พวกเรามิกล้า”
บุรุษใบหน้าโหดเ**้ยมรีบส่ายหน้าอันซีดเผือดรัวเร็ว ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ ท่าทางของเขาดูอึดอัดอยู่ไม่น้อย “เป็นเพราะคุณหนูของเรากล่าวว่าสตรีสองคนนี้ไปล่วงเกินนางเข้า คุณหนูจึงสั่งให้พวกเราลงมือสั่งสอน”
“โอ้ ! แล้วพวกนางไปล่วงเกินคุณหนูของเจ้าอย่างไรบ้างล่ะ ? เล่าให้ข้าฟังหน่อยซิ ?”
หลินจิ้งหงแสร้งถามออกไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“คือ คือว่า… เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ทราบขอรับ พวกเราเพียงแต่ได้รับคำสั่งจากคุณหนู”
บุรุษหน้าโหดกล่าวอย่างอับจนหนทาง ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดก็คือพาคนออกไปจากที่นี่ ทว่าเขาก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะเกรงกลัวสถานะของบุรุษตรงหน้า แต่ถ้าหากพวกเขาบุ่มบ่ามหนีกลับไป หลินจิ้งหงก็อาจจะไม่ปล่อยพวกเขาไว้
หลินจิ้งหงพยักหน้าพลางเผยรอยยิ้มร้าย “คุณหนูของเจ้าคือหลิวหว่านเยียนสินะ ?”
แน่นอนว่านายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างรู้อยู่แล้วว่าเจ้านายของคนพวกนี้ก็คือหลิวหว่านเยียน แต่เขาเพียงแค่แสร้งถามออกไปเท่านั้น
ชายหน้าโหดพยักหน้า แน่นอนว่าเขาไม่กล้าปิดบังจอมมารรุ่นเยาว์ผู้นี้
“เช่นนั้นข้าก็พอจะรู้แล้วว่าสตรีทั้งสองของข้าไปล่วงเกินคุณหนูของเจ้าในเรื่องใด”
หลินจิ้งหงพยักหน้าหงึกหงักและกล่าวออกไปตามตรง ทว่าก็ยังคงสีหน้าอำมหิตเอาไว้เช่นเดิม “คุณหนูของพวกเจ้าคงจะอิจฉาสตรีทั้งสองของข้าเพราะพวกนางงดงามกว่า เรื่องนี้ทำให้นางที่เป็นถึงหนึ่งในสิบของโฉมงามแห่งแผ่นดินรู้สึกเสียหน้า ดังนั้นแล้วนางจึงสั่งให้พวกเจ้ามาสั่งสอนบทเรียนให้สตรีทั้งสองเพื่อลดความเกลียดชังในหัวใจ”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินจิ้งหง ดวงตาของเสี่ยวโร่วก็เบิกกว้างและเป็นประกายขึ้นทันที “คุณชายทราบเรื่องนี้ได้อย่างไรกัน ?”
หลินจิ้งหงมองเสี่ยวโร่วที่กำลังทอแววตาตกตะลึงอย่างพึงพอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อหันไปเห็นฉินอวี้โม่ที่กำลังเผยรอยยิ้มน้อย ๆ รอยยิ้มของหลินจิ้งก็หุบลงในทันที เพราะใบหน้างามที่มองมานั้นคล้ายกำลังบอกว่า… ‘ข้ารู้ทันเจ้านะ’ คุณชายเจ้าเล่ห์หน้าหล่อรีบหันหน้ากลับไปหาชายหน้าโหดอย่างรวดเร็ว
บุรุษหน้าเ**้ยมโหดผู้ถูกส่งมาให้ทำร้ายสตรีเองก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะทุกอย่างเป็นเหมือนที่หลินจิ้งหงกล่าวจริง ๆ ฉินอวี้โม่ผู้นี้งดงามกว่าหลิวหว่านเยียนคุณหนูของเขามาก ขนาดเขาที่เป็นข้ารับใช้ผู้ภักดีก็ยังเห็นเช่นนั้น ดังนั้นไม่ว่าผู้ใดหากใช้ตามองก็คงจะเห็นเป็นเสียงเดียวกัน
“ไอ้หน้าโหด ข้าจะบอกให้นะว่า คุณหนูของพวกเจ้าน่ะอวดดีเกินไป นางคิดจริง ๆ หรือว่าตัวเองงดงามติดหนึ่งในสิบของแผ่นดินจริง ๆ ดินแดนหวนหลิงนั้นกว้างกว่าที่นางคิดมากนัก นางไม่รู้เลยหรือว่าแค่ภายในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นที่เดียวก็มีคนงดงามกว่านางอยู่อย่างมหาศาลแล้ว !”
หลินจิ้งหงเองก็ไม่ค่อยถูกชะตากับหลิวหว่านเยียนนัก เขาคิดว่าสตรีผู้นี้อวดดีเกินไป นางถือดีว่าตัวเองมีชื่อเสี่ยงเป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงาม ดังนั้นแล้วเขาจึงกล่าววาจาที่ไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย
บุรุษใบหน้าเ**้ยมได้แต่พยักหน้า เขากำลังกลัวคุณชายตระกูลหลินจนไม่กล้าเปิดปากเอ่ยวาจาใด ๆ
“เจ้ารู้สถานะของแม่นางทั้งสองนี้หรือไม่ ?”
ดูเหมือนว่าวันนี้หลินจิ้งหงจะไม่ยอมจบเรื่องนี้ง่าย ๆ เสียแล้ว บุรุษหน้าหล่อที่กำลังสวมหน้ากากอำมหิตค่อย ๆ เดินเข้าไปใกล้ ๆ ชายหน้าโหด
ชายหน้าโหดส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างแรง วันนี้เขาเพียงแค่ได้รับคำสั่งมาสั้น ๆ คุณหนูสั่งพวกเขามาว่าให้ไปดักรอสตรีแปลกหน้าสองนางที่จะออกมาจากพระราชวัง จากนั้นก็ให้ติดตามไปลงมือสั่งสอน ส่วนเรื่องตัวตนของ ‘เหยื่อตามคำสั่ง’ นั้นพวกเขาไม่รู้เลย
“ไม่รู้แล้วยังกล้าจะกระทำต่ำช้าคิดสั่งสอนพวกนาง เจ้านี่มันโง่งมจริง ๆ”
หลินจิ้งหงส่ายศีรษะแล้วกล่าวต่อว่า “ข้าจะบอกให้ พวกนางทั้งสองคือสหายรักของข้า ทีนี้เจ้ารู้รึยังว่ากำลังจะสั่งสอนใคร !”
วาจาของสหายหน้าหล่อทำให้ฉินอวี้โม่ประหลาดใจไม่น้อย เดิมทีนางคิดว่าหลินจิ้งหงคงจะบอกว่าพวกนางเป็นคนของตระกูลฉิน ไม่คิดเลยว่าคนผู้นี้จะกล่าวออกมาเช่นนั้น ซึ่งนั่นก็ทำให้นางเกิดความรู้สึกอุ่นซ่านในหัวใจ วันนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูได้รับรู้ว่าตนเองได้สหายดี ๆ เพิ่มมาอีกคนหนึ่งแล้ว
การมีสหายที่ดีนับเป็นวาสนาที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างหนึ่ง
เมื่อได้ยินวาจาของหลินจิ้งหง บุรุษหน้าโหดและคนของเขาก็หันไปมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วในทันทีก่อนจะรีบกล่าวขอขมา
หากพวกเขารู้ก่อนว่าสตรีงดงามทั้งสองเป็นสหายของหลินจิ้งหง ต่อให้เป็นคำสั่งของคุณหนู พวกเขาก็คงไม่กล้าทำเรื่องนี้แน่
“ต้องขออภัยแม่นางทั้งสองด้วย พวกเราผิดไปแล้วที่ทำให้พวกท่านต้องขุ่นเคือง ได้โปรดอย่าถือโทษโกรธเคืองเราเลย”
ชายหน้าโหดพรั่งพรูคำขอโทษเสียงสั่นเครือ เขาก้มหัวลงจนแทบจะติดพื้น
ฉินอวี้โม่ยืนนิ่งเฉยไม่เอ่ยสิ่งใด นางปล่อยให้หลินจิ้งหงกล่าวขึ้นมาแทน
“ไอ้หน้าโหด ข้าก็บอกอยู่ว่าพวกนางเป็นสหายของข้า เพียงแค่กล่าวขอโทษอย่างเดียวคิดว่าพวกนางจะพอใจอย่างนั้นรึ ?”
เป็นตอนนั้นเองที่ในที่สุดเสี่ยวโร่วผู้แสนซื่อก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของคุณชายรูปลักษณ์ดูดีผู้เป็นสหายของคุณหนูของนางแล้ว
ที่เขาต้องลงทุนกล่าววาจามากขนาดนี้ก็เพราะเขาอยากจะเรียกร้องของกำนัลเป็นค่าทำขวัญให้นางและคุณหนู
ซึ่งเมื่อได้รู้ถึงจุดประสงค์ของหลินจิ้งหงแล้ว เสี่ยวโร่วก็รู้สึกชื่นชมคุณชายผู้นี้มากยิ่งขึ้น สาวน้อยดวงตาเป็นประกายอีกครั้งอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางรู้สึกว่าการมีสหายเป็นคนหยิ่งยโสถือเป็นเรื่องที่ดีมาก !
เมื่อได้ยิน ชายหน้าโหดก็เข้าใจความหมายของหลินจิ้งหงทันที
ด้วยคำพูดเช่นนั้นของหลินจิ้งหง รวมถึงมองเห็นสายตาที่เย็นชาของเขา บุรุษหน้าโหดก็ไม่ลังเลอีก เขารีบหยิบเอาแหวนมิติของเขาออกมาและยื่นให้หลินจิ้งหงอย่างนอบน้อม
“คุณชายหลิน คิดซะว่าแหวนวงนี้เป็นค่าทำขวัญที่พวกเรามอบให้แม่นางทั้งสอง พวกเราไม่มีตา ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ กล้าคิดทำร้ายคนของท่าน ข้าน้อยสำนึกผิดแล้ว โปรดอภัยให้พวกเราด้วย”
ในตอนนี้ คนหน้าโหดผู้โหดไม่ลงกำลังหวาดหวั่นเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่ได้คิดเสียดายแหวนมิติของตนเลย ขอเพียงแค่วันนี้เขารอดจากเงื้อมมือของจอมมารรุ่นเยาว์หลินจิ้งหงผู้นี้ได้ ไม่ว่าจะเสียอะไรพวกเขาก็ยังรู้สึกยินดี
หลินจิ้งหงโยนแหวนวงนั้นให้ฉินอวี้โม่ในทันที นางรับมันไปด้วยรอยยิ้มและพยักหน้าให้หลินจิ้งหง
“ถือว่าครั้งนี้ข้าเห็นแก่น้ำใจของเจ้า ไสหัวไปได้แล้ว !”
หลินจิ้งหงสะบัดหน้ากลับไปอย่างไม่แยแส ก่อนจะก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่
บุรุษหน้าโหดและบรรดาลูกน้องถอนหายใจอย่างโล่งอกในทันที ในที่สุดวันนี้พวกเขาก็รอดแล้ว
ทว่าทันใดนั้น หลินจิ้งหงก็หันหลังกลับมาอีกครั้งและเดินตรงเข้ามาหา นั่นทำให้กลุ่มบุรุษร่างใหญ่ที่ได้รับคำสั่งให้มาทำร้ายสตรีหวาดกลัวลนลานจนหัวใจแทบหยุดเต้น
“กลับไปบอกคุณหนูของพวกเจ้าด้วยว่าหากมีเรื่องนี้เกิดขึ้นอีกแม้แต่เพียงครั้งเดียว ข้าจะทำให้นางกลายเป็นหนึ่งในสิบสตรีอัปลักษณ์แห่งแผ่นดิน !”
หลังจากกล่าวประโยคอันน่าขนลุกจบลง หลินจิ้งหงก็เดินกลับไปหาฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วพลางพยักหน้าให้พวกนาง
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับ ก่อนจะหันหลังออกเดินตรงไปยังทิศทางที่ตระกูลโอวหยางตั้งอยู่พร้อมกับสหายคุณชายของนาง
เวลานี้ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูยอมรับแล้วว่าหลินจิ้งหงผู้นี้เป็นบุรุษยโสโอหังอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามนางก็ยอมรับอีกเช่นกันว่านางชื่นชอบในความยโสเช่นนี้ของเขามาก ‘เอ…หรือเป็นความเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างหน้าไม่อายของคนผู้นี้กันนะที่มีประโยชน์’
.
.
.
ตอนที่ 75 ถูกสะกดรอย
“รั่วอี นี่น่ะหรือน้องสาวของฉินอี้เฟยที่เจ้าว่า ?”
หลังจากฉินอวี้โม่และสาวใช้ของนางออกไปแล้ว ในที่สุดหลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีก็ทนแสร้งเป็นสตรีอ่อนหวานรักสงบไม่ได้อีกต่อไป ตอนนี้ความโกรธของพวกนางปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน
“หว่านเยียน ข้าก็ไม่คิดว่าฉินอวี้โม่จะนิสัยแย่ได้ถึงขนาดนั้น”
แม้จะพูดเช่นนั้น ทว่าในใจหวังรั่วอีก็รู้สึกโกรธหลิวหว่านเยียนอยู่หลายส่วน
ในตอนที่นางพาฉินอวี้โม่เข้ามา เป็นเพราะหลิวหว่านเยียนเอาแต่เชิดหน้า วางท่าสูงส่ง ไม่ยอมทักทายตามมารยาทจนทำให้คุณหนูตระกูลฉินไม่พอใจและกล่าววาจาเช่นนั้น หวังรั่วอีตำหนิว่านี่เป็นความผิดของหลิวหว่านเยียนที่ทำให้แผน ‘ใช้น้องสาวเป็นสะพานพิชิตใจชาย’ ของนางล้มเหลว
“เหอะ สมแล้วจริง ๆ ที่นังนั่นเป็นสตรีป่าเถื่อนจากเมืองเล็ก ๆ !”
หลิวหว่านเยียนเปล่งเสียงออกมาอย่างกรุ่นโกรธ ตอนนี้นางตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องหาใครสักคนมาสั่งสอนฉินอวี้โม่สตรีหยาบคายคนนั้นให้ได้
แม้ว่าสองสหายผู้งดงามจะทำตัวสูงส่งและมีนิสัยเย่อหยิ่งถือตัวไม่ต่างกัน แต่ทว่าหลิวหว่านเยียนนั้นไม่เหมือนกับหวังรั่วอีเสียทีเดียว เพราะนางเป็นสตรีที่มีจิตใจพยาบาทมากกว่า การที่ถูกฉินอวี้โม่เหยียดหยามในวันนี้ทำให้นางเกลียดชังคุณหนูตระกูลฉินผู้นั้นเข้ากระดูกดำ
เมื่อได้ฟังวาจาถากถางของหลิวหว่านเยียน หวังรั่วอีก็เลือกที่จะไม่กล่าวสิ่งใด อย่างไรเสียหลิวหว่านเยียนก็มีส่วนทำให้นางโกรธอยู่ไม่น้อย ทว่าในตอนนี้ คุณหนูตระกูลหวังกลับไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่สหายของนางกำลังมาดหมายเอาไว้เลย
หลังจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วออกจากตึกเต๋อเยว่ พวกนางก็มุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของพระราชวังในทันที
“คุณหนู ข้าไม่ชอบสตรีที่ชื่อหลิวหว่านเยียนนั่นเลย”
เสี่ยวโร่วคงจะนึกถึงตอนที่พวกนางเดินเข้าไปแล้วหลิวหว่านเยียนแสร้งทำทีเป็นมองไม่เห็น ซึ่งนั่นทำให้สาวใช้น้อยรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“หวังรั่วอีนั่นก็หน้าไหว้หลังหลอก ข้าดูออกนะว่านางพยายามแสร้งทำดีกับเราเพื่อจะหาทางใกล้ชิดคุณชายใหญ่ ถ้าคุณชายไม่ได้ตาบอด ชาตินี้ก็คงไม่มีทางชอบนางแน่ ! ผู้หญิงเสแสร้งกลับกลอกอย่าหวังว่าจะได้ครองคู่กับคุณชายใหญ่เลย”
แท้จริงแล้วสำหรับวันนี้หวังรั่วอีเองก็ไม่ได้มีท่าทีเลวร้ายอะไรมากมายนัก เพียงแต่ฉินอวี้โม่ไม่นิยมสตรีดอกบัวขาว คุณหนูตระกูลฉินเห็นว่าสตรีเช่นนี้ไม่คู่ควรกับพี่ชายและที่สำคัญพี่ชายของนางก็ไม่ได้มีท่าทีพึงพอใจหญิงสาวตระกูลหวังคนนี้แม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่จึงจงใจใช้วาจาเหน็บแนมให้เจ็บแค้นเพื่อทำลายแผนการใช้นางเป็นสะพานของหวังรั่วอี นางต้องการตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อไม่ให้สตรีดอกบัวขาวผู้นั้นได้เข้ามาใกล้ชิดกับฉินอี้เฟยพี่ชายของนาง ทว่านางก็ไม่คิดเลยว่าเสี่ยวโร่วจะไม่ชอบหวังรั่วอีได้มากมายขนาดนั้น
“เอาเถอะ วันนี้เราก็สั่งสอนพวกนางไปเยอะแล้ว เจ้าอย่าโกรธนักเลย”
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วที่กำลังหายใจรุนแรงด้วยความโกรธ ฉินอวี้โม่ก็พยายามปลุกปลอบให้สาวน้อยสงบลง
ในตอนนี้ คุณหนูสี่กำลังสัมผัสได้ถึงความขุ่นเคืองที่ผิดปกติของสาวใช้น้อย แค่ถูกอีกฝ่ายวางท่าทางเย่อหยิ่ง เป็นไปไม่ได้ที่เสี่ยวโร่วจะโกรธได้ถึงเพียงนี้ …หรือแท้จริงแล้วที่สาวน้อยผู้นี้โกรธเพราะกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก ?!
เนื่องจากตึกเต๋อเยว่อยู่ติดกับพระราชวัง ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงใช้เวลาเดินเพียงไม่นานนักก็มาถึงประตูทางเข้าพระราชวังแล้ว
คุณหนูตระกูลฉินหยิบป้ายหยกแสดงสถานะที่ฉีฉีเป็นผู้มอบให้นางออกมาแล้วส่งมอบให้ทหารยามสองคนที่เฝ้าประตูดู แท้จริงแล้วแผ่นป้ายนั้นคือป้ายแสดงสถานะขององค์ชายสามที่องค์หญิงจอมแก่นแอบฉกชิงมาจากพี่ชายและมอบให้ฉินอวี้โม่ เมื่อได้เห็นแผ่นป้ายของบุคคลสูงศักดิ์ ทหารยามทั้งสองก็รีบเปิดทางให้ฉินอวี้โม่เข้าไปทันทีก่อนที่จะมีทหารองครักษ์ผู้หนึ่งเดินนำพวกนางทั้งสองเข้าไปด้านใน
…
ทว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ไม่รู้ตัวเลยว่าก่อนที่ร่างของพวกนางจะลับหายเข้าไปในพระราชวังนั้น มีสายตาอาฆาตแค้นกำลังจ้องมองมาจากจุดที่ไกลออกไป ใบหน้าของเจ้าของสายตาคู่นั้นปรากฏรอยยิ้มร้ายขึ้นชั่ววูบก่อนจะหายกลับเข้าไปในมุมมืด
…
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วถูกพาตัวไปยังตำหนักที่องค์ชายฉีอวี้อยู่
ในตอนนี้ฉีอวี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาตำราพิชัยสงครามที่ห้องอ่านหนังสือ ในตอนที่เขาได้ยินขันทีมารายงานว่ามีหญิงสาวสองคนนำแผ่นป้ายหยกขององค์ชายมาขอพบ เขาก็รีบลุกขึ้นยืนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น องค์ชายสามได้ทราบในภายหลังว่าน้องสาวจอมซนตัวน้อยแอบเอาแผ่นป้ายของเขาให้คนผู้หนึ่งที่เมืองเยว่กวาง เมื่อได้รับรายงานว่ามีผู้มาขอพบในวันนี้ เขาจึงรู้ในทันทีว่าเป็นผู้ใด
ฉีอวี้ไม่สนใจสายตาประหลาดใจของเหล่าข้าราชบริพาร เขาย่ำเท้าก้าวเดินกลับไปยังตำหนักอย่างรีบเร่ง
“ไปเรียกองค์หญิงน้อยมา บอกว่าข้ามีบางอย่างจะให้นางดู”
องค์ชายสามสั่งการองครักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อนจะเดินตามขันทีที่มาแจ้งข่าวไป
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว เป็นพวกเจ้าจริง ๆ ด้วย”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วกำลังยืนอยู่ข้างนอกพร้อมกับเหล่าทหารองครักษ์ ฉีอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มกว้าง
เมื่อเห็นองค์ชายฉีอวี้ ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเองก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
พวกเขาไม่ได้เจอกันมาเกินกว่าครึ่งปีแล้ว ดูเหมือนองค์ชายสามจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าครั้งล่าสุดที่พบกันมากพอสมควร อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เจอกันอีกในครั้งนี้ สหายผู้เป็นถึงองค์ชายก็ยังคงดูสงวนท่าทีและขี้อายไม่ต่างจากเดิม
องค์ชายฉีอวี้ให้การต้อนรับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเป็นอย่างดี เขาเชื้อเชิญพวกนางให้เข้าไปนั่งในตำหนัก พร้อมทั้งบอกให้ทำตัวตามสบาย อีกทั้งยังตั้งใจรินน้ำชาให้ทั้งคู่ด้วยตัวเอง องค์ชายสูงศักดิ์ต้อนรับสหายทั้งสองด้วยใบหน้าที่เป็นสุข
และก่อนที่องค์ชายฉีอวี้จะได้เอ่ยปากถามไถ่ทุกข์สุขของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เสียงที่ตื่นเต้นดีใจขององค์หญิงน้อยฉีฉีก็ดังขึ้นมา ก่อนที่ร่างเล็ก ๆ จะปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
“ท่านพี่ ท่านเรียกหาข้าเหรอ ?”
ฉีฉีเดินเข้ามาภายในตำหนัก และเมื่อเห็นฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วนั่งอยู่ด้านใน นางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจในทันที
องค์หญิงน้อยรีบวิ่งเข้าไปข้างกายฉินอวี้โม่ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแนบแน่น จากนั้นก็หันไปกอดเสี่ยวโร่วต่อให้ชื่นใจอีกคน
“พี่อวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว ข้าคิดถึงพวกท่านมาก”
เมื่อเห็นถึงความปีติยินดีของสาวน้อยฉีฉี ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ยิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้ม
องค์หญิงน้อยผู้นี้เป็นเด็กหญิงไร้เดียงสา นางเป็นดรุณีน้อยผู้มีจิตใจที่บริสุทธิ์
“พี่อวี้โม่ ท่านไม่รู้หรอกว่า ท่านพ่อของข้าเป็นจักรพรรดิที่ใจร้ายมาก”
เมื่อได้นั่งอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ ฉีฉีก็อดไม่ได้ที่จะลอบนินทาองค์จักรพรรดิให้พี่สาวที่นางชื่นชอบเหลือเกินได้ฟัง
ในตอนที่อยู่เมืองเยว่กวาง พวกนางได้รับจดหมายจากองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยที่เร่งรัดให้ฮองเฮาเหวินหย่า องค์หญิงฉีฉี และองค์ชายสามฉีอวี้เดินทางกลับโดยด่วน
ทว่าไม่มีผู้ใดทราบเลยว่า องค์จักรพรรดิเรียกพวกนางกลับมาด้วยเหตุผลใดจนกระทั่งเมื่อกลับมาถึงพระราชวังในนครไป๋อวิ๋นแล้ว ทั้งหมดจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิฉีเยวี่ยนเวยก็แค่คิดถึงฮองเฮาเหวินหย่าจนต้องขอให้นางกลับมาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เท่านั้นเอง
เรื่องนี้ทำให้ฮองเฮาเหวินหย่า องค์ชายสามฉีอวี้ และองค์หญิงน้อยฉีฉีรู้สึกอยากจะหัวเราะทั้งน้ำตา โดยเฉพาะฉีฉีที่ถึงขั้นรู้สึกว่านับวันเสด็จพ่อของนางผู้เป็นถึงองค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่จะยิ่งไม่น่าเชื่อถือขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อได้ฟังองค์หญิงฉีฉีพร่ำบ่นปนบรรยายถึงเสด็จพ่อของนางเสียงเจื้อยแจ้ว ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็อดอมยิ้มมุมปากไม่ได้ ฉินอวี้โม่ยังแอบอิจฉาองค์หญิงน้อย ดูเหมือนว่าความรักที่พระชนกชนนีมีให้องค์หญิงและองค์ชายทั้งสองจะมีอย่างมากมายมหาศาล และองค์จักรพรรดิกับฮองเฮาเองก็ดูจะรักกันมากอีกด้วย
“องค์ชายฉีอวี้ ข้านำสิ่งนี้มาให้ท่าน”
ฉินอวี้โม่หยิบผลหลิวหลีออกมาจากแหวนมิติและส่งมอบมันให้ฉีอวี้
“ถึงแม้ตอนนี้มันอาจจะไม่ได้ช่วยอะไรองค์ชายมากนัก แต่ข้าก็ยังอยากมอบมันให้ท่าน”
เมื่อเห็นผลไม้ส่งกลิ่นหอมหวานที่ใสดั่งแก้วในมือของฉินอวี้โม่ ฉีอวี้ก็รับมันมาด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ เขาต้องการใช้ผลไม้วิเศษชนิดนี้เป็นอย่างมาก เขาทั้งเฝ้าตามหาและรอคอยมันมาตลอด คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าฉินอวี้โม่จะคิดจริงจังในเรื่องที่เขาเคยเล่าให้ฟังและนำมันมามอบให้เขาถึงที่นี่ มันทำให้องค์ชายสามแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นรู้สึกซาบซึ้งจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
“สวรรค์ พี่อวี้โม่ยังจำเรื่องที่เราตามหาผลหลิวหลีในป่าแสงจันทร์ได้อยู่หรือเนี่ย ?!”
เมื่อเห็นผลไม้ที่ฉินอวี้โม่ส่งให้องค์ชายสาม องค์หญิงน้อยฉีฉีก็อุทานออกมา นางมองพี่ชายด้วยแววตาอิจฉา
“พี่อวี้โม่ ท่านใจดีกับท่านพี่ขนาดนี้ แล้วถ้าข้าอยากได้อะไร พี่อวี้โม่จะช่วยหามันให้ข้ารึเปล่า ?”
“แน่นอน ก็พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่”
ฉินอวี้โม่บีบจมูกเล็กขององค์หญิงน้อยอย่างเอ็นดู
ฉีฉียิ้มกว้าง นางรู้สึกมีความสุขมากกับคำตอบของฉินอวี้โม่
“พี่อวี้โม่ ข้าจะพาท่านไปพบเสด็จแม่”
หลังจากคุยกันอยู่พักใหญ่ ฉีฉีก็จูงมือฉินอวี้โม่และเตรียมจะพานางไปหาฮองเฮาเหวินหย่า
“องค์หญิงฉีฉีน้อย วันนี้ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำอีก ข้าว่าข้าควรจะมาเยี่ยมฮองเฮาในภายหลัง”
ในตอนที่ออกมา ฉินอวี้โม่ไม่ได้บอกกล่าวฉินอี้เฟยเอาไว้ก่อน นางกลัวว่าตนออกมานานถึงเพียงนี้จะทำให้พี่ชายเป็นห่วง
ในตอนออกจากจวน คุณหนูคนงามไม่ได้นำสิ่งใดติดมาด้วยยกเว้นแต่ผลหลิวหลี แม้ว่าความสัมพันธ์ของพวกนางกับองค์หญิงน้อยฉีฉีและองค์ชายสามฉีอวี้จะยอดเยี่ยมเพียงใด แต่นางก็คิดว่ามันคงจะไม่เป็นการสมควรนักหากคุณหนูตระกูลใหญ่จะไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิและฮองเฮาผู้เป็นใหญ่เหนือชนทั้งปวงในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นโดยไม่ได้นำสิ่งใดติดไม้ติดมือไปเลย
ยิ่งกว่านั้น ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้นางยังไม่พบตัวโอวหยางชิงเฟิงเลย ฉินอวี้โม่กังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่สู้ดีขึ้นกับสหายหนุ่มหน้ามน เพราะการที่วันนี้เขาไม่ได้มาหานางเลยทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกประหลาดใจ นี่ดูไม่เหมือนโอวหยางชิงเฟิงในยามปกติ
“หา ? พี่อวี้โม่จะกลับแล้วหรือ ?”
สีหน้าขององค์หญิงน้อยฉีฉีหม่นหมองลงทันตา
ฉินอวี้โม่ยิ้ม “วันนี้ข้าคงต้องกลับก่อน แต่ไม่ต้องห่วง หากข้ามีเวลาข้าจะมาเยี่ยมพวกท่านบ่อย ๆ หรือหากองค์หญิงเสด็จออกจากราชวังก็มาหาข้าที่ตระกูลฉินได้”
ฉีอวี้และฉีฉีพยักหน้า อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่ทันที่จะตระหนักได้ว่าฉินอวี้โม่เพิ่งจะเชิญชวนให้ไปหานางที่ตระกูลฉิน สหายจากแดนไกลทั้งสองก็หันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
และในตอนที่องค์หญิงองค์ชายตอบสนอง ร่างของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็เดินหายไปไกลลิบเสียแล้ว…
“ท่านพี่ เมื่อครู่ พี่อวี้โม่เพิ่งจะบอกว่าให้เราไปหานางที่ตระกูลฉิน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพี่อวี้โม่จะเป็นสมาชิกของตระกูลฉิน ?”
องค์หญิงฉีฉีถามขึ้นมาด้วยความสงสัย พวกเขาชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่มากและถือว่านางเป็นสหายคนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่เคยเอ่ยถามไถ่สิ่งใดมากมายเกี่ยวกับเรื่องตัวตนและสถานะของนาง และในตอนนั้นพวกเขาทั้งสองก็เคารพในตัวสหายผู้นี้ หากนางไม่ต้องการบอกพวกเขาก็ไม่คิดละลาบละล้วง
“ข้าก็คิดเช่นนั้น”
องค์ชายฉีอวี้พยักหน้า เวลานี้ในหัวของเขากำลังพยายามจัดสรรตารางชีวิตอีกครั้ง เพื่อหาเวลาเหมาะ ๆ สำหรับออกจากพระราชวังไปเยี่ยมเยือนสหายตระกูลฉินของเขา
….
ฉินอวี้โม่พาเสี่ยวโร่วออกจากวังและกลับไปยังตระกูลฉิน นางตั้งใจจะกลับมาที่จวนตระกูลฉินก่อนเพื่อดูว่าฉินอี้เฟยกลับมาหรือยัง หลังจากนั้นค่อยไปยังตระกูลโอวหยางเพื่อถามไถ่ข่าวคราวของโอวหยางชิงเฟิง
ทว่าหลังจากออกจากประตูพระราชวังมาได้ไม่นาน อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูก็รู้สึกว่านางและเสี่ยวโร่วถูกใครบางคนจับตามองอยู่
“คุณหนู เหมือนจะมีคนแอบมองพวกเราอยู่อย่างลับ ๆ”
ด้วยการฝึกฝนมานานกว่าครึ่งปี ดูเหมือนว่าในเวลานี้ประสาทสัมผัสและความระมัดระวังของเสี่ยวโร่วจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา
ถึงแม้จะรู้ตัวช้ากว่าฉินอวี้โม่มาก ทว่าสาวใช้น้อยก็ยังพบว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามพวกนางได้ในที่สุด
“ไม่ต้องสนใจ”
ฉินอวี้โม่กระซิบแผ่วเบา นางคาดการณ์ว่าคนกลุ่มนั้นคงถูกใครบางคนส่งมา อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวก็เลือกที่จะเพิกเฉยไปก่อน คุณหนูคนงามเดินนำเสี่ยวโร่วและเดินตรงไปยังจวนตระกูลฉินอย่างเป็นปกติ
เมื่อหญิงสาวทั้งสองเดินมาถึงจุดที่มีผู้คนบางตา ชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นด้านหลังพวกนางและพุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไว้
ฉินอวี้โม่กวาดตามองกลุ่มคนร่างใหญ่ที่กำลังล้อมตัวนางอยู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย ไม่มีร่องรอยแห่งความหวาดกลัวปรากฏให้เห็นเลยแม้แต่น้อย
“โอ้ ! ในที่สุดก็โผล่หัวออกมาแล้วหรือ ข้าก็นึกว่าพวกเจ้าจะแอบตามไปจนถึงห้องนอนข้าเลยเสียอีก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นขณะจ้องมองบุรุษวัยกลางคนใบหน้าโหดเ**้ยมที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้
จากการตรวจสอบอย่างคร่าว ๆ บุรุษหน้าเ**้ยมผู้นี้คือจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายา ส่วนลูกน้องของเขาอีกนับสิบคนนั้น ส่วนมากอยู่ขอบเขตมายารัตนะ และมีเพียงไม่กี่คนที่ยังอยู่ในขอบเขตทิพย์มายา
“ฮ่า ๆ ไม่คิดเลยว่าลูกไก่ทั้งสองจะดูงดงามถึงเพียงนี้”
บุรุษหน้าตาเ**้ยมโหดก้าวเข้ามาข้างหน้าพลางเผยยิ้มชั่วร้าย เขากล่าววาจาน่ารังเกียจในขณะที่จ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
เดิมทีพวกเขาได้รับคำสั่งมาจากเจ้านายของพวกเขาให้สั่งสอนบทเรียนฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหนัก ๆ แต่พวกเขาไม่คิดเลยว่าเหยื่อทั้งสองจะงามเย้ายวนมากถึงเพียงนี้
“หัวหน้า นางดูงดงามยิ่งกว่านายหญิงของเราอีก !”
หนึ่งในลูกน้องที่อยู่ด้านหลังชายหน้าเ**้ยมกล่าวอย่างพร่ำเพ้อ เขาจ้องมองฉินอวี้โม่พร้อมกลืนน้ำลายลงคอดัง ‘เอื้อก’
ด้วยวาจาของคนผู้นั้นทำให้ฉินอวี้โม่รู้ได้ในทันทีว่าใครคือผู้ที่ส่งคนเหล่านี้มา
ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาเยือนนครไป๋อวิ๋นได้เพียงสองวัน นางยังไม่ได้รู้จักพบเจอกับผู้คนมากนัก และผู้ที่มีเรื่องบาดหมางกับนางในนครแห่งนี้ก็พอจะนับจำนวนได้ หวังรั่วอีสตรีดอกบัวขาวที่ชอบพี่ชายนางผู้นั้นเป็นไปได้น้อย แม้ว่าฉินอวี้โม่จะถากถางนางไปหลายประโยค แต่ก็คงไม่น่าจะถึงขั้นส่งคนมาทำร้าย อย่างไรสตรีตระกูลหวังก็จะต้องเกรงใจหวังอี้เฟย คงไม่คิดแตกหักด้วยการส่งคนมาทำร้ายฉินอวี้โม่ เพราะฉะนั้นบุคคลผู้น่าสงสัยที่สุดก็คงมีแต่หลิวหว่านเยียนที่ถูกนางเหยียดหยามไปหลายประโยคเพียงคนเดียวเท่านั้น
หลิวหว่านเยียนคือคนหยิ่งยโสไม่น่าคบหา ฉินอวี้โม่จึงใช้วาจาถากถางนางไปหลายประโยค อีกทั้งเสี่ยวโร่วถึงกับเอ่ยว่าคุณหนูของนางนั้นงดงามกว่ามาก ฉินอวี้โม่เข้าใจว่าสตรีอย่างหลิวหว่านเยียนคงจะเกิดความริษยา ยิ่งไปกว่านั้นยังทนให้ผู้ใดมาวิพากษ์วิจารณ์ความงามของตัวเองไม่ได้ หากว่าคนผู้นั้นจะส่งคนมาทำเช่นนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกนัก
ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดเลยว่าสตรีผู้นั้นจะเคียดแค้นรุนแรงและโหดเ**้ยมอำมหิตจนถึงกับส่งคนมาตามประกบและเล่นงานนางในทันที ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะแยกจากกันไปไม่ถึงครึ่งวันเช่นนี้ นี่แสดงให้เห็นว่าสาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินก็มีอิทธิพลในเงามืดไม่น้อยเลยทีเดียว
“เจ้านายของพวกเจ้าก็คือหลิวหว่านเยียนสินะ”
ประโยคของฉินอวี้โม่นั้นราบเรียบ แต่ถึงกับทำให้สีหน้าของเหล่าชายฉกรรจ์ที่ล้อมพวกนางอยู่เปลี่ยนไปอย่างมหาศาล
คุณหนูของพวกเขาบอกกับพวกเขาเองว่าอีกฝ่ายไม่มีทางรู้ตัวตนของพวกเขาได้ ไม่คิดเลยว่าเป้าหมายที่เป็นสตรีบอบบางจะรู้ตัวได้เร็วถึงเพียงนี้ !
“ฮ่า ๆ ทั้งสวยทั้งฉลาด ดูเหมือนว่าวันนี้สวรรค์จะเข้าข้างพวกเราแล้ว”
ในเมื่อเหยื่อรู้ที่มาของพวกเขาแล้ว ชายหน้าโหดก็ไม่คิดจะปกปิดอีกต่อไป เขาโบกมือส่งสัญญาณให้คนของเขาเข้าไปเล่นงานสตรีทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าในทันที
.
.
.
วันนี้หวังรั่วอีบรรจงแต่งกายมาอย่างประณีตเพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ฉินอวี้โม่ ทว่าเมื่อเห็นสตรีโฉมงามที่อื่นอยู่ด้านนอกประตูห้องแล้ว นางก็รู้สึกว่าชุดของนางในวันนี้ดูไร้ราคาไปโดยสิ้นเชิง
หวังรั่วอีเชื่ออยู่เสมอว่าความงามของตนเองไม่ได้ด้อยไปกว่าสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน เพียงนางไม่อยากจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสตรีสิบคนนั้นเท่านั้น มิฉะนั้นนางเองก็คงจะขึ้นเป็นหนึ่งในกลุ่มนั้นได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้เห็นฉินอวี้โม่ที่สวมใส่ชุดสตรีงดงามมาในวันนี้ ความมั่นใจในความงามทั้งหมดของนางก็พังทลายลงในพริบตา
เมื่อวานเป็นเพราะฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยชุดบุรุษบวกกับหวังรั่วอีเอาแต่สนใจฉินอี้เฟยจนไม่มีเวลามองดูฉินอวี้โม่ให้ชัดเจน ทำให้คุณหนูตระกูลหวังไม่เห็นถึงความงามของฉินอวี้โม่ผู้นี้เลยสักนิด
ทว่าในตอนที่นางเปิดประตูออกไปและเห็นฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ด้านนอก หวังรั่วอีก็ได้แต่ตกตะลึงจนกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ใบหน้าของคนตรงหน้างดงามอย่างยากที่จะหาได้บนแผ่นดินนี้ มันเป็นความงามจากเนื้อแท้มิใช่จากการเสริมแต่งเครื่องประทินโฉมหรืออาภรณ์เครื่องประดับ แม้จะเป็นสตรีด้วยกันก็เกรงว่าจะถูกฉินอวี้โม่ดึงดูดใจเอาได้ง่าย ๆ ส่วนเหล่าบุรุษทั้งหลายนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึง
“อะไรกัน คุณหนูหวังไม่ได้เชิญพวกเรามาอย่างนั้นหรือ เหตุใดท่านต้องตกใจขนาดนั้น ?” เมื่อเห็นสีหน้าที่ตกใจของหวังรั่วอี ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มแย้มและกล่าวถาม
“มิได้ ๆ น้องอวี้โม่รีบเข้ามาข้างในเถอะ”
เมื่อได้ยินคำกล่าวทักทายของฉินอวี้โม่ก็ทำให้หวังรั่วอีได้สติขึ้นมาก่อนจะรีบเชิญสาวงามที่งามจนสตรีอย่างนางต้องตกตะลึงเข้าไปด้านใน
“น้องอวี้โม่งดงามยิ่งนักจนข้ายังรู้สึกอิจฉาเลย”
หวังรั่วอีเอ่ยเปิดประเด็นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงชื่นชม ทว่าภายในน้ำเสียงและแววตาของนางนั้นไม่มีความชื่นชมจริง ๆ อย่างที่ปากกล่าว
มุมปากของฉินอวี้โม่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อน ทว่าคุณหนูตระกูลฉินก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ดูเหมือนว่าหวังรั่วอีผู้นี้จะชื่นชอบพี่ชายของนางอยู่จริง ๆ จนถึงกับต้องยอมฝืนใจตัวเองเพื่อเอ่ยชื่นชมนางเช่นนี้
ตั้งแต่เหตุการณ์บนถนนเมื่อวานนี้ ฉินอวี้โม่ก็พอจะมองนิสัยของสตรีตรงหน้าออกบ้างแล้ว และด้วยการกระทำแต่แรกเริ่มของหวังรั่วอีผู้นี้ก็ทำให้อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูไม่ชอบใจนางเลยสักนิด ทว่าที่ฉินอวี้โม่ยอมมาตามนัดในวันนี้ก็เพื่อจะดูว่าคุณหนูตระกูลหวังกำลังตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่
ภายในห้องอาหารส่วนตัวแห่งตึกเต๋อเยว่นั้น ฉินอวี้โม่เห็นว่ายังมีคนนั่งอยู่อีกหนึ่งคน
คนผู้นี้เป็นสตรีสวมใส่ชุดสีขาวสะอาดตา บนใบหน้างามของนางมีรอยยิ้มบางเบาแบบฉบับสตรีอ่อนหวานปรากฏอยู่ แม้ว่าดูภายนอกแล้วสตรีผู้นี้จะมีท่าทีที่สงบ แต่ทว่ามือสังหารสาวที่คร่ำหวอดในวงการลอบสังหารมาช้านานก็ยังมองเห็นถึงแววแห่งความดูหมิ่นดูแคลนในสายตาของนาง
เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวงามผู้มาจากเมืองเล็ก ๆ ไกลปืนเที่ยงก็อดสงสัยขึ้นมาไม่ได้เพราะนางมั่นใจว่าตนไม่เคยไปยั่วยุหรือสร้างเรื่องบาดหมางกับสตรีผู้นี้มาก่อน นี่เป็นการพบหน้ากันครั้งแรกเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงได้เดียจฉันท์กันถึงเพียงนั้น
“น้องอวี้โม่ ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก นี่น้องสาวที่ดีของข้า หลิวหว่านเยียน ไม่ทราบว่าเจ้าจะเคยได้ยินชื่อนี้บ้างหรือไม่”
หวังรั่วอีอยากจะเข้าไปจับมือฉินอวี้โม่เพื่อแสดงให้เห็นถึงความใจดีและเป็นกันเองของนาง ทว่าฉินอวี้โม่กลับแสดงท่าทีเหมือนไม่ยินยอมทำให้นางไม่กล้าสัมผัสตัวคนที่นางอยากจะใช้เป็นสะพานข้ามไปหาบุรุษที่ตนหมายปอง
ฉินอวี้โม่ยิ้มออกมา แน่นอนว่านางย่อมเคยได้ยินชื่อหลิวหว่านเยียนเป็นธรรมดา
หลิวหว่านเยียนนั้นอยู่ในอันดับแปดในบรรดาสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินนี้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดสตรีผู้นี้จึงนั่งเชิดหน้าทำท่าทางคล้ายเมินเฉย นางไม่คิดจะลุกขึ้นมาหรือทักทายในตอนที่ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาแม้แต่น้อย ที่นางเย่อหยิ่งได้ถึงเพียงนี้ก็เป็นเพราะครองตำแหน่งสาวงามชื่อดังอยู่นี่เอง
เมื่อกล่าวถึงโฉมงามทั้งสิบแห่งดินแดนหวงหลิง แท้จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่น่าขำไม่น้อย
เพราะไม่มีผู้ใดทราบถึงที่มาที่ไป และไม่เคยมีองค์กรหรือขุมกำลังใดออกตัวรับผิดชอบหรือเป็นผู้จัดการในเรื่องดังกล่าว ทว่าเมื่อรู้ตัวกันอีกที สิบอันดับโฉมงามที่ว่าก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาแล้ว
ในรายชื่อสิบโฉมงามที่ว่านี้ก็มีอยู่หลายคนที่มีตระกูลใหญ่ทรงอำนาจคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง อย่างไรก็ตามในบรรดาพวกนางก็ยังมีสตรีที่เป็นคนธรรมดาสามัญอยู่บ้าง ทว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันหมดก็คือ สาวงามทั้งสิบคนล้วนมีพรสวรรค์เป็นเลิศและรูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติ
โฉมงามทั้งสิบคนนี้ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดัง พวกนางมีผู้คนจำนวนมากทั้งบุรุษและสตรีที่มีทุกเพศ ทุกวัย ทุกชนชั้นมาหลงใหลชื่นชมหรือยกย่องให้เป็นต้นแบบ ที่สำคัญคนเหล่านั้นรักโฉมงามของพวกเขามากและก็ยินดีให้ความช่วยเหลือแก่พวกนางทุกอย่าง ด้วยเหตุนี้เองจึงนับได้ว่าสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินค่อนข้างมีอิทธิพลมากทำให้ปกติแล้วไม่มีผู้ใดกล้ายั่วยุหรือทำให้พวกนางขุ่นเคือง
ตัวอย่างก็อย่างเช่น หวังรั่วอีผู้นี้ที่ปกติแล้วเป็นคนหยิ่งยโส ทว่าเพื่อให้ได้เป็นสหายกับสิบโฉมงามนางจึงต้องพยายามทำตัวดี ๆ ต่อหน้าอีกฝ่าย
เมื่อเห็นว่าหลิวหว่านเยียนนั่งนิ่งเฉยไม่ยอมลุกขึ้นมาและกล่าวทักทายฉินอวี้โม่ซึ่งเป็นแขกของตน หวังรั่วอีก็รู้สึกเสียหน้าและเกิดความกระอักกระอ่วนไม่น้อย
“ข้าได้ยินชื่อแม่นางหลิวมานานแล้ว แน่นอนว่าข้ารู้สึกเป็นเกียรติ และรู้สึกโชคดีที่ได้พบแม่นาง”
ฉินอวี้โม่เน้นเสียงตรงคำว่า ‘เป็นเกียรติ’ และ ‘โชคดี’ เป็นพิเศษ ยิ่งกว่านั้นน้ำเสียงของนางก็ให้ความรู้สึกที่ดูคลุมเครือคล้ายจงใจประชดประชัน
หลังจากนั้น ฉินอวี้โม่ก็หาที่นั่งให้ตัวเอง เสี่ยวโร่วเองก็นั่งลงข้างกายคุณหนูของนางอย่างสุภาพเรียบร้อย สาวใช้น้อยรู้สึกไม่ชอบและไม่ถูกชะตากับหลิวหว่านเยียนผู้นี้เลยสักนิด นางสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าคนอย่างหลิวหว่านเยียนผู้นี้ก้าวขึ้นมาเป็นสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินได้อย่างไร
วันนี้ หลิวหว่านเยียนมีธุระที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในตอนเช้า ทว่าก่อนจะกลับก็ถูกหวังรั่วอีรั้งเอาไว้และชักชวนให้มารับประทานอาหารที่ตึกเต๋อเยว่ คุณหนูตระกูลหวังทั้งคะยั้นคะยอและรบเร้าให้นางมา และบอกกับนางว่าจะแนะนำสหายใหม่ผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่ให้รู้จัก
หลิวหว่านเยียนนั้นเย่อหยิ่งมาก นางมักจะวางตัวสูงส่งในฐานะของผู้ที่อยู่ในสิบอันดับโฉมงามแห่งแผ่นดินทำให้ปกติแล้วนางจะไม่สนใจผู้ใดและไม่ตกปากรับคำชวนของใครง่าย ๆ ทว่า เนื่องจากหลิวหว่านเยียนและหวังลั่วอีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ยิ่งกว่านั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ของนางกับหวังรั่วอีส่งผลให้ประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรรักและเอ็นดูนางไปด้วย ดังนั้นแล้วเมื่อหวังรั่วอีออกปากชวนนางจึงไม่ควรปฏิเสธ
ในระหว่างทางที่มาที่ตึกเต๋อเยว่ เมื่อได้ยินหวังรั่วอีเล่าเรื่องราวของฉินอวี้โม่และกล่าวถึงนางอย่างออกนอกหน้า หลิวหว่านเยียนก็รู้สึกเหยียดหยามคุณหนูบ้านนอกตระกูลฉินคนนั้นขึ้นมาทันที
‘เป็นแค่สตรีบ้านนอกจากเมืองเล็กๆ ที่ห่างไกล ไม่รู้ว่าเหตุใดหวังรั่วอีถึงได้อยากจะสนิทชิดเชื้อกับคนผู้นั้นนัก’
ในตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู ยิ่งเห็นหวังรั่วอีรีบเดินออกไปต้อนรับ หลิวหว่านเยียนก็ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์ นางไม่อยากให้ความสนใจฉินอวี้โม่ผู้นี้ อย่างไรในวันนี้นางก็แค่ตามหวังรั่วอีมาทานอาหาร สตรีบ้านนอกคนนั้นจะเป็นเช่นไรก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของนาง
แต่ในตอนที่ได้ยินประโยคที่ฉินอวี้โม่กล่าวเมื่อสักครู่ ใบหน้าที่ยิ่งสงบของหลิวหว่านเยียนก็แปรเปลี่ยนเป็นความขุ่นเคือง ตอนนี้นางเกิดความสนใจขึ้นมาอย่างเต็มที่แล้ว โฉมงามอันดับแปดหันไปจ้องมองคุณหนูบ้านนอกผู้นั้นทันที
ทว่าเมื่อได้มองฉินอวี้โม่ชัด ๆ หลิวหว่านเยียนก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
นางคิดว่าวันนี้จะได้พบเจอสตรีบ้านนอกจากเมืองเล็ก ๆ แม้ว่าหน้าตาอาจจะพอใช้ได้ แต่ทว่าก็คงไม่ได้ดูมีสง่าราศีมากมายนัก แต่ทว่าพอได้เห็นใบหน้าอันงดงามสูงส่งดุจเทพเซียนของสตรีที่อยู่ตรงหน้านี้แล้ว หลิวหว่านเยียนก็เกิดความอิจฉาตั้งแต่แรกเห็น
เหตุใดรูปลักษณ์ของนางจึงดูสูงส่งโดยไม่ต้องมีการแต่งแต้มเครื่องสำอางหรือสวมใส่เครื่องประดับ ความงามของสตรีผู้นี้เกรงว่าแม้แต่โฉมงามทั้งสิบก็ยังไม่อาจจะเทียบได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงาม หลิวหว่านเยียนก็ตั้งสติและรีบดึงสีหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็ว
นางรีบลอบสูดลมหายใจเพื่อตั้งสติก่อนจะเอ่ยขึ้น
“ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าใจลอยไปหน่อยจนไม่ได้สังเกตว่าน้องอวี้โม่เข้ามา โปรดอย่าถือสาข้าเลยนะ”
แม้ว่าหลิวหว่านเยียนจะรู้สึกโกรธในตอนที่ได้ยินวาจาคล้ายแดกดันของฉินอวี้โม่ แต่เพื่อรักษาภาพลักษณ์ สาวงามอันดับแปดจึงไม่แสดงมันออกมา
เมื่อได้ฟังที่หลิวหว่านเยียนพูด ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบางๆ หลิวหว่านเยียนผู้นี้รู้จักวิธีการพูดการจาและยังเก็บอาการได้ดี สมแล้วจริงๆ ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงาม
“คำขอโทษนี้ข้าคงรับไว้ไม่ได้ ข้าไม่เคยมีพี่สาว และข้าก็ไม่อยากเป็นน้องสาวของผู้หญิงคนไหนด้วย”
นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูกล่าวออกไปด้วยเสียงเรียบเฉย ปกติแล้วนางไม่ชื่นชอบที่จะมีเรื่องทะเลาะกับสตรีคนอื่น ๆ ทว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมใครง่าย ๆ
หลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีผงะไป วาจาเมื่อครู่ของฉินอวี้โม่ทำให้พวกนางทั้งสองโกรธขึ้นมาจริง ๆ แล้ว
คนหนึ่งเป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน อีกคนก็เป็นหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่ฉินอวี้โม่เป็นเพียงคุณหนูที่มาจากเมืองเล็กๆ เท่านั้น แม้ว่าจะมีรูปโฉมงดงามกว่า แต่นางก็ควรจะให้เกียรติหญิงสาวรุ่นพี่ทั้งสองบ้าง
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าความโกรธจะสุมอยู่เต็มอก แต่หลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีก็ยังตีสีหน้ายิ้มแย้มอยู่เช่นเดิม
“น้องอวี้โม่ล้อเล่นแล้ว เจ้าอายุน้อยกว่าพวกเรา และข้าก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่อี้เฟย ตามปกติแล้วเจ้าก็ควรจะเรียกข้าว่าพี่ถึงจะถูกมิใช่หรือ ?”
หวังรั่วอีเผยรอยยิ้มหวานแล้วกล่าวออกไปเสียงหวานหู นางพยายามทำให้สถานการณ์ในตอนนี้ผ่อนคลายลงเพราะจุดประสงค์ของนางในวันนี้ก็เพื่อจะตีสนิทกับฉินอวี้โม่ให้ได้
เมื่อวาน คุณหนูตระกูลหวังเห็นแล้วว่าฉินอี้เฟยบุรุษที่นางหมายปองรักใคร่ห่วงใยผู้เป็นน้องสาวของเขามาก หวังรั่วอีจึงเกิดความคิดดี ๆ ที่จะเอาใจฉินอวี้โม่เพื่อประโยชน์ในการพิชิตใจฉินอี้เฟยในวันข้างหน้า
“คุณหนูหวังและพี่ใหญ่มีความสัมพันธ์ที่ดีอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยพลางแสร้งทำหน้างุนงง ก่อนจะหันไปถามเสี่ยวโร่ว “เสี่ยวโร่ว เจ้าเคยได้ยินพี่ใหญ่พูดถึงคุณหนูหวังบ้างรึเปล่า ?”
ในตอนที่มองเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็ขยิบตาข้างหนึ่งเป็นสัญญาณ เมื่อเห็นเช่นนั้นสาวใช้น้อยก็เข้าใจในทันที
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนู ข้าไม่เคยได้ยินคุณชายใหญ่พูดถึงคุณหนูหวังมาก่อนเลยเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าคงเพราะไม่ใช่คนที่สนิทสนมหรือคุ้นเคยกันสักเท่าไหร่ คุณชายจึงไม่ได้กล่าวถึง”
เมื่อได้ฟังคำตอบเสียงฉะฉานของเสี่ยวโร่วก็ยิ่งทำให้หวังรั่วอีรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม
“คุณหนู ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องสิบโฉมงามมาบ้างแล้วข้าก็เคยสงสัยอยู่ว่าหากนำคุณหนูไปเทียบกับพวกนางทั้งสิบจะเป็นเช่นไรบ้าง วันนี้ข้าได้เห็นคุณหนูหลิวแล้ว แล้วก็แน่ใจแล้วว่าคุณหนูของข้างดงามยิ่งกว่าสิบโฉมงามเสียอีก”
เสี่ยวโร่วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดาราวกับเป็นเรื่องคุยเล่นสบาย ๆ ทว่าเนื้อความในคำพูดของสาวใช้น้อยนั้นทำให้หลิวหว่านเยียนเดือดดาลขึ้นมาทันที…นี่ถือว่าเป็นการยั่วยุกันซึ่ง ๆ หน้าชัด ๆ
หลิวหว่านเยียนผู้นี้ไม่ต่างจากนกยูง แม้ไม่ได้ดูดีเท่ากับคุณหนูของนาง ทว่ายังแสร้งวางท่าว่าเหนือกว่า นี่ทำให้เสี่ยวโร่วรู้สึกไม่พอใจและเกิดความรู้สึกต่อต้านหญิงสาวผู้นี้มาก
เมื่อหลิวหว่านเยียนได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่วใบหน้าของนางก็มีร่องรอยของความโกรธปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สาวใช้ผู้นี้กล้าเย้ยหยันนางซึ่ง ๆ หน้า ด้วยการบอกว่านางเทียบกับฉินอวี้โม่ไม่ได้ !
แม้ว่าหลิวหว่านเยียนจะยอมรับว่าความงามของฉินอวี้โม่นั้นเหนือกว่าตนอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม การเอ่ยออกมาซึ่ง ๆ หน้าเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการหยามศักดิ์ศรีหนึ่งในสิบโฉมงามแห่งแผ่นดินเลยสักนิด และนั่นก็ทำให้หลิวหว่านเยียนรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“เสี่ยวโร่ว !” ฉินอวี้โม่แสร้งมองสาวใช้น้อยด้วยสายตาดุดัน ทว่าผู้เป็นคุณหนูก็แทบจะกลั้นขำไว้ไม่ได้ ในตอนนี้บรรยากาศในห้องอาหารเริ่มมืดมนขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“ข้าต้องขออภัยคุณหนูทั้งสองด้วย สาวใช้ของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา อย่าได้ถือสานางเลย”
แม้ว่าจะเป็นการกล่าวขอโทษ ทว่าความหมายของฉินอวี้โม่กลับยิ่งทำให้บรรยากาศย่ำแย่ลงไปอีก
คำขอโทษของฉินอวี้โม่ นอกจากจะคล้ายไม่มีเจตนาขออภัยดังคำพูดแล้วก็ยังทำให้ทั้งหลิวหว่านเยียนและหวังรั่วอีรู้สึกระคายหูเป็นอย่างมาก
วันนี้หวังรั่วอีอุตส่าห์ลงทุนเชื้อเชิญสหายที่เป็นถึงหนึ่งในสิบโฉมงามมา ทว่าไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะไม่ไว้หน้านางและยังบอกอีกด้วยว่าฉินอี้เฟยนั้นไม่ได้สนิทสนมกับนาง แม้ว่ามันอาจจะเป็นเรื่องจริงที่ฉินอี้เฟยแทบไม่เคยให้ความสนใจหรือชายตามองนางเลย แต่จู่ ๆ ก็กล่าวออกมาตรง ๆ แบบนี้ก็คล้ายเจตนาจะหักหน้ากันชัด ๆ เช่นนี้ก็ยากที่จะทำให้หวังรั่วอียอมรับได้
ในตอนนี้สีหน้าของหลิวหว่านเยียนเปลี่ยนเป็นกรุ่นโกรธอย่างสมบูรณ์แล้ว ในตอนที่สาวใช้ผู้มากับคุณหนูบ้านนอกกล่าววาจาเย้ยหยันนาง นางก็กำลังจะตวาดออกไปเพื่อตำหนิในความไร้มารยาทขาดการอบรมของเด็กคนนี้ ทว่าฉินอวี้โม่กลับชิงเอ่ยคำขอโทษขึ้นมาก่อน นั่นจึงทำให้นางไม่สามารถด่าทอออกไปอย่างใจนึกได้
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าคุณหนูบ้านนอกผู้นี้จะกล่าวขออภัย ทว่าใบหน้าของนางกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย นี่ทำให้หลิวหว่านเยียนรู้สึกโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
“ฮ่า ๆ ช่างเถอะ ข้าไม่ถือสาก็ได้เพราะข้าเข้าใจว่าคุณหนูฉินและสาวใช้มาจากเมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกล ที่สำคัญก็อาจจะไม่เคยได้ใกล้ชิดกับบุคคลชั้นสูง สาวใช้ของคุณหนูจึงไม่รู้ความ ไม่รู้จักมารยาทและการพูดจาให้เหมาะสมกับผู้อื่น”
หลิวหว่านเยียนกล่าวออกไปว่านางไม่ถือสา ทว่าแท้จริงแล้วกลับมีเจตนาเสียดสีฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วอย่างแจ้งชัด
“ใช่ เมืองหลิงซีของเราคือเมืองเล็ก ๆ ที่ไม่อาจเทียบกับนครไป๋อวิ๋นได้ ส่วนเสี่ยวโร่วของข้านั้นนางเพียงแค่ยังเด็กจึงพูดอะไรตรงไปตรงมา เราสองคนสนิทสนมกันมาก นางเป็นเพื่อนเล่นกับข้ามานานแล้วจึงรู้ใจข้าเป็นอย่างดี ในตอนที่ข้าออกไปอยู่ที่เมืองหลิงซีนั้น ท่านปู่และพี่ใหญ่ต่างก็บอกกับข้าและเสี่ยวโร่วว่าอย่าได้เกรงใจ ให้ซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการ ให้ทำสิ่งใดก็ได้ที่พอใจ เป็นเพราะข้ารักเสี่ยวโร่ว ทั้งท่านปู่และพี่ใหญ่จึงเอ็นดูนางไปด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ายอมรับ แล้วกล่าวเป็นเชิงเล่าเรื่องราวเสมือนกำลังสนทนาเรื่องทั่ว ๆ ไป ทว่านั่นก็เป็นการบอกอ้อม ๆ ให้หลิวหว่านเยียนรู้ถึงสถานะของนาง
เมืองเล็ก ๆ แล้วอย่างไร ? ในเมื่อนางเป็นถึงหลานสาวของผู้นำตระกูลฉินและยังเป็นน้องรักของฉินอี้เฟย ฉินอวี้โม่ยกชื่อของผู้นำตระกูลฉินและพี่ชายของตนมาอ้าง สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูจงใจพูดให้หวังรั่วอีและหลิวหว่านเยียนเข้าใจว่าทั้งท่านปู่และพี่ชายรักนางมาก
เมื่อหลิวหว่านเยียนได้ยินคำกล่าวของฉินอวี้โม่ใบหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ครั้งนี้ในใจของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชังอย่างถึงที่สุดแล้ว สาวงามอันดับแปดแห่งแผ่นดินต้องลอบจิกเล็บลงไปในเนื้อตัวเองเพื่อยับยั้งโทสะ สตรีบ้านนอกสองคนนี้ไม่เพียงแค่เย้ยหยันนางเท่านั้น แต่ยังเหยียดหยามตำแหน่งหนึ่งในสิบโฉมงามของนาง เท่านั้นไม่พอยังกล้าต่อปากต่อคำ ยกตนเองขึ้นมาข่มว่าเหนือกว่านาง !
“คุณหนูหวัง หากไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวกลับก่อน เมื่อแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาล ข้าอยากจะพาเสี่ยวโร่วไปเปิดหูเปิดตา”
ฉินอวี้โม่ลุกขึ้นยืนพร้อมเอ่ยลาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพาเสี่ยวโร่วออกไปในทันที
.
.
.
“แม้ว่าข้าจะประกาศออกไปว่าข้าเป็นคนสังหารลิ่วเยว่ แต่เท่าที่ข้ารู้ อารามคงไม่ปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่”
หานโม่ฉือกระชับมือบางของฉินอวี้โม่ให้แน่นขึ้น แม้ว่าจะมีเขาอยู่คอยปกป้อง แต่เขาก็ยังเกรงว่าอาจจะมีจุดที่เขาไม่สามารถเข้าถึงตัวสาวคนรักได้ หานโม่ฉือจึงต้องกล่าวเตือนนางเพื่อไม่ให้ประมาท
ฉินอวี้โม่พยักหน้า แน่นอนว่านางเข้าใจความหมายของหานโม่ฉือดี
แม้ว่าอารามจะเข้าใจว่าการตายของลิ่วเยว่ในเทศกาลอสูรล้อมเมืองไม่ได้เกิดจากฝีมือของฉินอวี้โม่ แต่ด้วยความสัมพันธ์ของนางกับหานโม่ฉือที่เป็นเช่นนี้ไม่ว่าอย่างไรก็คุณหนูตระกูลฉินก็คงต้องถูกเพ่งเล็ง และที่ยิ่งกว่านั้นคือในครั้งนั้น ฉินอวี้โม่ยังทำให้ตัวแทนของอารามเสียหน้าเป็นอย่างมาก เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพลักษณ์ของขุมกำลังทรงอำนาจอย่างพวกเขา ดังนั้นอีกฝ่ายต้องไม่ปล่อยนางไว้อย่างแน่นอน
ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าอารามเป็นขุมกำลังที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีอยู่ไม่น้อย ทว่าเมื่อได้ฟังสิ่งที่หานโม่ฉือแห่งตระกูลลับที่มีอิทธิพลแทรกซึมอยู่ทุกที่เอ่ยปากเตือน อดีตสาวนักฆ่าก็เริ่มเข้าใจว่าความชั่วร้ายของอารามน่าจะมีมากกว่าที่นางคิด ฉินอวี้โม่จึงย้ำเตือนตัวเองเอาไว้ว่าหากพบเจอคนของอารามต่อไปนี้นางจะต้องระวังให้มาก
…และที่หานโม่ฉือกล่าวมาก็ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ในครั้งนั้น การตายของลิ่วเยว่สร้างความโกรธแค้นอย่างใหญ่หลวงให้แก่ยอดฝีมือมากมายในอาราม
“ท่านผู้อาวุโส ท่านต้องแก้แค้นให้เยว่เอ๋อร์ !”
ผู้อาวุโสสอง–ลิ่วรุ่ย บิดาของลิ่วเยว่วิ่งเข้าไปในห้องของผู้อาวุโสใหญ่–หนั่วหลาน แห่งอาราม
ลิ่วรุ่ยคือผู้อาวุโสลำดับสอง เขามีบุตรชายตอนอายุมากแล้วและเป็นเพียงบุตรชายคนเดียว จึงทำให้ลิ่วเยว่เป็นบุตรที่เขารักและตามใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ลิ่วเยว่บอกว่าอยากจะไปเข้าร่วมอสูรล้อมเมือง ในตอนนั้นลิ่วรุ่ยคิดว่าบุตรชายของตนโตพอแล้วจึงไม่คิดห้ามปราม อีกทั้งยังมอบสิ่งป้องกันตัวจำนวนหนึ่งให้ไปและบอกให้เขาไปค้นหาประสบการณ์ดี ๆ กลับมา
ทว่าโชคร้ายที่ลิ่วเยว่ถูกสังหาร แน่นอนว่าผู้เป็นบิดาที่รักบุตรชายมากอย่างลิ่วรุ่ยจะต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมานแสนสาหัส
“ผู้อาวุโสสอง ข้าจะไปแก้แค้นให้บุตรชายของท่านได้อย่างไรกัน แม้ว่าผู้ที่ยั่วยุเขาจะเป็นคนอื่น ทว่าคนที่ลงมือสังหารคือหานโม่ฉือ ท่านอย่าลืมสิว่าหานโม่ฉือคือบุรุษที่ท่านเจ้าอารามเตือนไว้ว่าอย่าได้หาเรื่องบาดหมางกับคนผู้นั้น”
หนั่วหลานผู้อาวุโสใหญ่แห่งอารามนั้นเป็นสตรีและถ้าหากคนภายนอกรู้เรื่องนี้ก็คงจะตกใจไม่น้อย
ผู้อาวุโสลิ่วรุ่ยขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงใบหน้าของหานโม่ฉือผู้ลงมือสังหารบุตรชายแล้ว เขาก็รู้สึกคล้ายจะหมดหวังขึ้นมา หานโม่ฉือเป็นบุคคลที่แข็งแกร่ง เขากุมอำนาจและอิทธิพลมืดอยู่ในมือไม่น้อย ขุมกำลังของตระกูลลับหานนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่ท่านเจ้าอารามก็ยังเอ่ยเตือนให้ระวังเขาเอาไว้ หากคิดจะแก้แค้นคนผู้นี้สุ่มสี่สุ่มห้าก็เท่ากับเขารนหาที่ตายเท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงความตายของบุตรชาย ลิ่วรุ่ยก็ยังคงทำใจไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ! และในตอนนั้นเองในหัวของเขาก็คิดถึงฉินอวี้โม่ สตรีที่ยั่วยุบุตรชายเขาขึ้นมา “ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น ข้าหมายถึงว่าเราจะไปแก้แค้นคนที่ยั่วยุลูกข้า สตรีผู้นี้มีนามว่าฉินอวี้โม่ ในเมื่อเราไม่กล้ายุ่งกับหานโม่ฉือ ข้าว่าเราก็เริ่มจัดการนางก่อนจะเป็นการดี ท่านเองก็คงทราบว่านางดูหมิ่นอารามของเรา ข้าทราบมาว่านางเป็นสตรีที่งดงามเหนือผู้ใด ฉะนั้นเราคงจะตามหาตัวนางได้ไม่ยาก และถ้าหากเราจัดการสตรีผู้นี้ก็จะเสมือนเป็นการประกาศให้ทั้งหวนหลิงได้รู้ว่า ผู้ที่ขวัญกล้ากล่าววาจาล่วงเกินอารามจะมีจุดจบเยี่ยงไร !”
ลิ่วรุ่ยจงใจเอ่ยถึงความงามของฉินอวี้โม่และเน้นย้ำว่าสตรีผู้นั้นหมิ่นเกียรติแห่งอาราม ซึ่งนี่ก็เพื่อจะกระตุ้นให้ผู้อาวุโสหนั่วหลานตัดสินใจได้เร็วขึ้น
ผู้อาวุโสหนั่วหลานเป็นสตรีที่สนใจในรูปลักษณ์ของตัวเองเป็นอย่างมาก นางคิดว่าตนงดงามและสูงส่งเหนือสตรีทั่วหล้า เมื่อทราบว่าฉินอวี้โม่อาจจะงดงามกว่าตนอีกทั้งคนผู้นั้นยังดูหมิ่นอาราม แน่นอนว่าสตรีผู้ทรงอำนาจแห่งอารามย่อมต้องไม่พอใจและไม่ปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเป็นแน่
ซึ่งก็เป็นดังผู้อาวุโสลิ่วรุ่ยคาดการณ์ไว้ แม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าลิ่วรุ่ยจงใจใช้วาจาเช่นนั้นยุแยง แต่หนั่วหลานก็ยังคงตอบตกลงในทันที
“ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เป็นหน้าที่เจ้า จัดการได้ตามสะดวก ส่วนทางด้านของท่านเจ้าอาราม ข้าจะเป็นคนออกหน้าอธิบายเรื่องนี้ให้ท่านเข้าใจเอง”
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก”
ผู้อาวุโสสองแห่งอารามพยักหน้า รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นมาบนใบหน้ากระด้างที่มีส่วนคล้ายลิ่วเยว่กว่าเจ็ดส่วน …. ‘ฉินอวี้โม่ ในเมื่อเจ้าเป็นเหตุลูกข้าตาย เจ้าก็ต้องชดใช้’
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นทางฝั่งอารามแม้แต่น้อย นางส่งหานโม่ฉือกลับออกไปก่อนจะกลับมาตั้งสมาธิเพื่อฝึกฝนจิตใจอย่างอารมณ์ดี
เพราะงีบหลับไปช่วงยามเว่ยทำให้ตอนนี้คุณหนูคนงามไม่รู้สึกง่วง และยิ่งได้ยินคำสารภาพรักของหานโม่ฉือไปเมื่อครู่ หัวใจดวงน้อยก็ยิ่งเต้นรัวจนยากจะข่มตาหลับได้ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงหันไปฝึกสมาธิไหลเวียนพลังมายาในร่างกายแทน
ตั้งแต่ก้าวข้ามมาสู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดารา ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่า เป็นเรื่องยากเย็นเหลือเกินที่จะก้าวหน้าขึ้นสู่ระดับพลังในขั้นถัดไป แม้ว่าในป่าแสงจันทร์นางจะสยบอสูรมายาไปเป็นจำนวนมาก แต่นางก็ยังไม่รู้สึกถึงวี่แววของการเลื่อนระดับเลย
หลังจากตั้งสมาธิฝึกฝนอยู่ตลอดคืน พลังของฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มีสิ่งใดก้าวหน้า และเพราะความเหนื่อยล้าของการฝึกฝนก็ทำให้สตรีโฉมงามผล็อยหลับไปตอนเกือบรุ่งสาง
ฉินอวี้โม่ตื่นขึ้นอีกครั้งเมื่อฟ้าสว่าง คุณหนูผู้พลัดพรากแห่งตระกูลฉินลุกขึ้นมาอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ กลางดึกที่ผ่านมานางนึกขึ้นได้ว่ามีผลหลิวหลีที่เตรียมจะนำไปมอบให้องค์ชายสามฉีอวี้ที่พระราชวัง ในวันนี้นางจึงตั้งใจจะไปที่นั่น
แม้ว่าฉีอวี้ในตอนนี้อาจจะไม่ต้องการผลหลิวหลีแล้วก็ตาม ทว่าในเมื่อได้ตั้งใจไว้แต่แรกแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จะนำมันไปมอบให้เขา
แต่ก่อนที่คุณหนูตระกูลฉินจะได้ออกจากจวนก็มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินมาส่งมอบจดหมายฉบับเล็ก ๆ ที่พับอย่างประณีตให้ถึงมือบาง
เมื่อได้มองดู ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามันคือจดหมายจากสตรีดอกบัวขาวที่เคยเจอบนถนนผู้นั้น สาวงามเปิดมันออกดูด้วยใบหน้างุนงงเล็กน้อย
— น้องอวี้โม่ ข้าอยากจะขอโทษเจ้าในเรื่องน่าอายที่จวินเอ๋อร์ก่อ ได้โปรดมาร่วมโต๊ะอาหารกับข้าสักมื้อ หากเจ้าตกลงก็มาพบข้าที่ตึกเต๋อเยว่ในยามเว่ย ข้าหวังว่าเจ้าจะเห็นความตั้งใจนี้และไม่ปฏิเสธ —
— หวังรั่วอี —
หลังจากอ่านจดหมายเชื้อเชิญของหวังรั่วอีจบ ฉินอวี้โม่ก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเลื่อนการไปเยือนพระราชวังและตกลงใจไปร่วมรับประทานอาหารกับแม่สาวดอกบัวขาว นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่าหวังรั่วอีจะเตรียมสิ่งใดไว้เป็นการขอโทษนาง
“คุณหนู อาหารเช้าเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วเดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารเช้า แม้ว่าฉินอวี้โม่จะบอกนางว่าไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองและให้ทำตัวตามสบาย แต่ทว่าสาวใช้น้อยก็ยังเคยชินกับการดูแลปรนนิบัติดูแลคุณหนูของนางเช่นนี้อยู่ ปกติตอนอยู่ที่เมืองหลิงซีนางก็ทำเช่นนี้ในทุก ๆ เช้า จะขาดไปก็เพียงแต่ช่วงเวลาที่รอนแรมอยู่ในป่า เมื่อได้อยู่ในจวนอีกครั้งนางจึงยังคงทำเช่นเดิม
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธในความตั้งใจของสาวใช้น้อย และเตรียมลงมือจัดการอาหารที่สาวน้อยเตรียมมา
“คุณหนู นี่อะไรเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วมองจดหมายเชิญที่วางอยู่บนโต๊ะพลางขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย
“เจ้าก็ลองดูสิ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเริ่มต้นมื้ออาหาร
“นี่เป็นของสตรีน่ารำคาญคนเมื่อวานนี้นี่ !”
หลังจากอ่านข้อความที่เขียนไว้จนจบ เสี่ยวโร่วก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก เด็กสาวทำหน้ามุ่ยอย่างชัดเจน
“คุณหนู เหตุใดสตรีผู้นี้ต้องเชิญท่านไปทานอาหารข้างนอกด้วยล่ะ ? ข้าว่านางต้องคิดไม่ดีแน่ ไม่แน่ว่านางอาจจะเตรียมคนมากลุ่มใหญ่และคอยหาจังหวะดักเล่นงานคุณหนูระหว่างทางก็ได้นะเจ้าคะ !” เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่อย่างเป็นกังวลก่อนจะพูดต่อ “นางไม่น่าไว้ใจ ถ้าคุณหนูจะไปที่นั่นจริง ๆ ท่านก็ต้องพาข้าไปด้วย ถ้าสตรีผู้นั้นจะรังแกคุณหนู ข้าก็จะช่วยสั่งสอนนางให้เองเจ้าค่ะ !”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าอย่างหมดคำพูด นางเชื่อในจินตนาการของสาวใช้น้อยผู้นี้จริง ๆ ยิ่งกว่านั้นเหมือนเด็กสาวแก้มนิ่มจะลืมไปแล้วว่า ฉินอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าตัวเองมาก
“วางใจเถอะ ข้าว่าครั้งนี้นางอาจจะต้องการขอโทษพวกเราจริง ๆ ก็ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าอยากจะตามมาด้วย งั้นก็ตามใจเจ้า มาดูกันว่าวันนี้นางต้องการอะไรกันแน่”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น ดูเหมือนว่าสาวใช้น้อยจะไม่ชอบสตรีดอกบัวขาวผู้นี้มากจริงๆ
เมื่อวาน ในตอนที่ยังไม่ทราบสถานะของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว สตรีเสียงแหลมยังใช้เสียงน่ารำคาญของนางขอให้ฉินอี้เฟยลงมือสั่งสอนพวกนางอยู่เลย แต่พอได้รู้ว่าฉินอวี้โม่เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของฉินอี้เฟย นางกลับทำตัวเหมือนกิ้งก่าเปลี่ยนสี เปลี่ยนมาทำท่าทีนิ่มนวลอ่อนหวานเข้าหาพวกนางเสียเช่นนั้น สตรีกลับกลอกไม่คู่ควรกับคุณชายใหญ่ของนางเลยสักนิด !
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ได้ล่วงรู้ถึงสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังคิดอยู่ หากผู้เป็นคุณหนูรู้เข้านางก็คงจะได้อบรมสาวใช้น้อยจอมแก่นของนางยกใหญ่แน่
“เสี่ยวโร่ว พี่ใหญ่ล่ะ ?”
เมื่อไม่เห็นฉินอี้เฟยเลยในตอนเช้า ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าเขาคงจะยุ่งมาก
“คุณชายถูกทางสมาคมโอสถเรียกตัวไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายบอกว่ามีงานต้องรีบไปจัดการ ก่อนจะออกไปคุณชายยังกำชับข้าด้วยว่าให้ข้าดูแลคุณหนูให้ดี”
เสี่ยวโร่วตอบด้วยรอยยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงฉินอี้เฟยแล้วใบหน้าของสาวใช้น้อยก็เต็มไปด้วยความเทิดทูน ยิ่งไปกว่านั้นนางยังดูอารมณ์ดีผิดปกติ
เมื่อเห็นท่าทางของสาวน้อยแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสงสัยในบางเรื่องขึ้น ….นี่หรือว่าเสี่ยวโร่วจะชอบพี่ชายของนาง ?
อย่างไรก็ตาม ผู้เป็นคุณหนูก็ไม่ได้เอ่ยถาม เพราะถึงจะเป็นเช่นที่นางคิดจริง ๆ ฉินอวี้โม่ก็อยากให้พวกเขาทั้งคู่พัฒนาความสัมพันธ์กันอย่างเป็นธรรมชาติ
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็นั่งเล่นกันอยู่ครู่ใหญ่ เพื่อรอเวลาที่จะไปยังตึกเต๋อเยว่ตามนัดหมายของหวังรั่วอี
ตึกเต๋อเยว่คือร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งนครไป๋อวิ๋น แม้จะมีที่ตั้งอยู่ติดกับจากพระราชวังอันใหญ่โตโอ่อ่า แต่ก็ยังมิอาจบดบังความงดงามและยิ่งใหญ่อลังการของตึกมีชื่อแห่งนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเครื่องดื่มของตึกเต๋อเยว่ก็ล้วนเลิศรส ด้วยการปรุงอย่างพิถีพิถันจากพ่อครัวมือหนึ่ง พวกเขาคัดสรรแต่วัตถุดิบชั้นเลิศมาใช้ในทุกๆ จานอาหาร อีกทั้งยังมีบริการที่เป็นหนึ่งรวมถึงบรรยากาศที่งดงามหรูหรา ซึ่งก็แน่นอนว่าราคาของอาหารแต่ละจานก็ย่อมต้องสูงจนน่าตกใจ นั่นทำให้ผู้ที่เข้ามาใช้บริการในตึกเต๋อเยว่นี้จึงล้วนแล้วแต่มีฐานะที่มั่งคั่ง
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินเข้าไปด้านในและได้รับการต้อนรับจากพนักงานหน้าร้านรวมถึงเถ้าแก่ของร้านที่ออกมารับแขกเองอย่างอบอุ่น
และในตึกเต๋อเยว่แห่งนี้ก็มีคนเป็นจำนวนมากที่จดจำฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วได้
“นั่นใช่แม่นางคนเมื่อวานกับสาวใช้ของนางหรือไม่ ?”
คนผู้หนึ่งชี้นิ้วมาที่ฉินอวี้โม่และเอ่ยถามสหายด้วยความสงสัย
“คนที่หยุดคุณชายหวังที่ขี่อสูรมายากลางถนนนั่นน่ะหรือ ?”
“ใช่ ได้ยินมาว่านางคือน้องสาวของฉินอี้เฟยและเป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลฉิน แต่ข้าไม่รู้นะว่านั่นเป็นความจริงรึเปล่า”
สหายของเขาส่งเสียงตอบกลับไม่ดังไม่เบา
“ข้าว่าไม่น่าใช่ หากนางเป็นหลานสาวของผู้นำตระกูลฉินจริง เหตุใดที่ผ่านมาเราถึงไม่เคยได้ยินชื่อของนางเลยล่ะ ? เจ้าไม่เห็นหรือว่านางงดงามเพียงใด ต่อให้นำ ‘สิบโฉมงามแห่งแผ่นดิน’ มายืนอยู่ข้างกายนางก็ยังไม่อาจเทียบ ดีไม่ดีถ้าให้ยืนด้วยกัน ข้าว่าสตรีพวกนั้นก็คงเป็นได้แค่ไม้ประดับเท่านั้น !”
สหายอีกคนในกลุ่มเดียวกันกล่าวชื่นชมในความงามของฉินอวี้โม่ หลังจากนั้นก็มีเสียงซุบซิบ แสดงความคิดเห็นดังบ้างเบาบ้างดังระงมไปทั่วทั้งร้าน
“แต่เจ้าไม่เห็นเมื่อครู่นี้หรือ เถ้าแก่ออกมาต้อนรับนางด้วยตัวเองเชียวนะ”
และยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งมีความเห็นต่าง ๆ ดังขึ้นมามากขึ้น ทุกคนพากันมองดูสตรีโฉมงามแปลกหน้าผู้เพิ่งเข้ามาในตึกเต๋อเยว่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
เมื่อเห็นกระแสความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเสี่ยวโร่วก็หมดคำพูดไป ถึงแม้ว่าจะพบเจอเหตุการณ์ที่ผู้ตามท้องถนนหันมองและวิพากษ์วิจารณ์คุณหนูของนางอยู่บ่อยครั้ง แต่สาวใช้น้อยก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าคุณหนูที่เพิ่งจะมาเยือนนครหลวงได้เพียงหนึ่งวันจะกลายเป็นศูนย์กลางของหัวข้อการสนทนาในโต๊ะอาหารที่ผู้คนกล่าวขานถึงกันมากถึงเพียงนี้
เรื่องทั้งหมดอาจเป็นเพราะว่าเถ้าแก่ร้านออกมาต้อนรับพวกนางด้วยตัวเอง แต่เหตุผลที่เขาออกมาต้อนรับก็ไม่ได้เป็นเพราะต้องการจะแสดงความนอบน้อมในฐานะที่นางเป็นคุณหนูตระกูลฉิน แต่เป็นเพราะอิทธิพลของบุรุษมนุษย์น้ำแข็งของนาง
เนื่องจากตึกเต๋อเยว่แห่งนี้คือร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในนครไป๋อวิ๋นซึ่งก็อยู่ภายใต้อิทธิพลแห่งตระกูลหาน และเป็นเพราะว่าหานโม่ฉือได้บอกเถ้าแก่แห่งเต๋อเยว่เอาไว้แต่แรกแล้วว่าให้รอต้อนรับสตรีงดงามผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่คาดเดาว่าขุมกำลังของหานโม่ฉือที่แทรกซึมอยู่ในเมืองแห่งนี้คงไม่ธรรมดาแน่ ขอเพียงคนของเขาเห็นหน้านาง ทุกคนก็จะปฏิบัติกับนางอย่างดีราวกับเป็นหานโม่ฉื่อเองก็มิปาน ไม่ว่าฉินอวี้โม่ต้องการอะไรพวกเขาก็พร้อมจะจัดหาให้ทุกประการ
อันที่จริงในเรื่องนี้ก็เป็นเพราะบุรุษผู้เย็นชานั้นถึงกับวาดภาพของฉินอวี้โม่ให้เถ้าแก่ดูเพื่อให้เขาจดจำได้ และยังกำชับอีกว่าอย่าได้แพร่งพรายเรื่องของนางให้ผู้ใดรู้
แม้ว่าเถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อร์ทั้งหลายจะไม่ทราบว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีความพิเศษอย่างไรหรือเป็นผู้ใดมาจากไหน ทว่าพวกเขาก็ยังไม่กล้าขัดคำสั่งโดยตรงของหานโม่ฉือ
เถ้าแก่เป็นคนแรกที่ได้รู้จักหน้าตาของฉินอวี้โม่จากรูปวาดของหานโม่ฉือ จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องทุกคนจดจำนางไว้ เมื่อวันนี้พนักงานหน้าร้านมาแจ้งว่าแขกสุดพิเศษผู้นี้มาที่เยือนเต๋อเยว่เขาจึงรีบออกมาต้อนรับ
และเมื่อได้เห็นรูปโฉมงามล้ำเหนือสตรีทั่วหล้าและกิริยาท่าทางอันสูงส่งน่าหลงใหลนั้น ในที่สุดเขาก็ได้เข้าใจว่าเหตุใดผู้เป็นนายจึงได้เอาใจใส่สตรีผู้นี้เป็นพิเศษ
วันนี้ฉินอวี้โม่แต่งกายด้วยชุดสีม่วงที่ดูหรูหรามีระดับ ทว่าไม่ฉูดฉาด นางดูสูงส่งสง่างามทว่ากลับไม่ดูหยิ่งยโส ความงามของนางดูเป็นมิตรกับทุกคน แม้นบุรุษใดได้ยลโฉมสะคราญสักครั้ง หากยังร้างไร้คู่ครองก็คงต้องอยากเข้าไปทำความรู้จักนางเป็นแน่แท้
ในตอนนี้แม้ว่าจะถูกจับจ้องเป็นตาเดียว แต่ทว่าแขกพิเศษผู้งดงามของนายเหนือหัวของเขาก็ยังคงความสงบอยู่ได้ ซึ่งนั่นก็ทำให้เถ้าแก่ยิ่งประทับใจในตัวคุณหนูผู้นี้ยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณหนูฉินอวี้โม่ มาตามคำเชิญของคุณหนูหวังรั่วอีใช่ไหมขอรับ ?”
เถ้าแก่แห่งตึกเต๋อเยว่เอ่ยปากถามคุณหนูแห่งตระกูลฉินด้วยความนอบน้อม
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “นางมาถึงหรือยัง ?”
เถ้าแก่พยักหน้าและพาฉินอวี้โม่ขึ้นไปส่งยังที่นั่งบนชั้นสองด้วยตัวเอง
“ขอบคุณเถ้าแก่มาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวขอบคุณเถ้าแก่ของร้านอาหารชื่อดัง
“ยินดีอย่างยิ่ง คุณหนูฉินอวี้โม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าควรจะทำอยู่แล้ว”
หากไม่ใช่เพราะนางยังดูอ่อนเยาว์มาก เขาก็คงจะเรียกนางว่าท่านหญิงฉินไปนานแล้ว
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเคาะประตูของห้องตรงหน้า
หวังรั่วอีเปิดประตูออกมาและมองเห็นบุคคลที่นัดหมายไว้รออยู่ด้านนอก ทว่าในตอนนั้นเองที่คุณหนูตระกูลหวังตกตะลึงจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
.
.
.
ตอนที่ 72 คำสารภาพของหานโม่ฉือ
หลังจากภายในห้องประชุมลับแห่งตระกูลฉินตกอยู่ภายใต้ความเงียบงันไปชั่วขณะ ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมา “ข้าพอจะทราบถึงเหตุผลว่าเหตุใดฉินเทียนตัวปลอมถึงได้เข้ามาสวมรอยเป็นท่านพ่อ รวมถึงเหตุผลของกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาโจมตีพวกเรา”
เมื่อฉินเฟิน ฉินอี้เฟย และฉินหยางได้ยินสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกล่าว พวกเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะจ้องมองนางด้วยความสับสน
“พวกเขาน่าจะมาเพราะกายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่กล่าวถึงข้อสันนิษฐานของนางออกไปด้วยรอยยิ้ม
“กายเทพมายา !”
บุรุษต่างวัยสามคนในห้องลุกขึ้นยืนในทันที สิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองสาวน้อยด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง
กายเทพมายาคือร่างกายของเทพมายาในตำนาน เพราะสูญหายไปนานนับพันปีแล้ว ในเรื่องนี้จึงไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ทุกคนในที่แห่งนี้หรืออาจจะทั่วทั้งนครเคยได้ยินแต่เพียงเรื่องเล่า แล้วคนร้ายเหล่านั้นจะมาโจมตีคนในตระกูลของพวกเขาเพื่อกายเทพมายาใดอีก ?
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นไปไม่ได้ หรือว่าเจ้า…”
ฉินอี้เฟยมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทว่าความนัยในวาจาของนางนั้นชัดแจ้งจนเขาทำได้เพียงแค่เชื่อเท่านั้น
ฉินเฟินและฉินหยางมองหน้ากัน นั่นเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อถืออย่างยิ่ง ทว่าหลังจากพิจารณาจากน้ำเสียงแน่วแน่และแววตาจริงจังของฉินอวี้โม่แล้วก็ทำให้พวกเขาอยากเชื่อคำพูดของนาง แม้จะสับสนไม่น้อยแต่บุรุษมากอาวุโสทั้งสองก็ไม่เอ่ยปากซักไซ้สิ่งใดกับผู้เป็นหลาน พวกเขาจะทำแค่เพียงสนับสนุนนางทุกด้านและรอดูข้อพิสูจน์ ซึ่งถ้าหากว่าสิ่งที่นางบอกเป็นเรื่องจริง พวกเขาทั้งสองก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะช่วยกันปกปิดความลับนี้
“เอาเถอะเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงคงจะเหนื่อยมาก เจ้าไปพักก่อนเถิด” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉินเฟินก็กล่าวขึ้น “ส่วนเรื่องของเทียนเอ๋อร์ข้ามั่นใจว่าเขายังมีชีวิตอยู่ เสี่ยวอวิ๋นเองข้าก็คิดว่านางไม่น่าจะมีอันตราย ฉะนั้นตอนนี้เรายังไม่ต้องกังวลมากนัก พวกเราค่อย ๆ ค้นหาเบาะแสแล้วตามหาตัวพวกเขา เรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลา”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางโค้งคำนับคนทั้งสามก่อนจะเดินออกจากห้องประชุมลับไป
ฉินอวี้โม่รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย อีกทั้งในวันนี้ยังมีเรื่องมากมายให้ต้องขบคิด นางและเสี่ยวโร่วเดินไปยังเรือนที่พักที่ฉินเฟินให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมไว้ให้ก่อนจะทำความสะอาดร่างกายแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน
ในเรือนพักอันแสนสบาย คุณหนูผู้พลัดพรากและสาวใช้น้อยงีบหลับไปเกือบหนึ่งชั่วยาม พวกนางตื่นขึ้นเพราะเสียงปลุกของฉินอี้เฟยที่มาบอกให้พวกนางไปร่วมโต๊ะอาหารเย็น
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าคิดจะเข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักหรือไม่ ?”
ฉินเฟินมองฉินอวี้โม่อย่างรักใคร่พลางเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เสี่ยวโร่วน้อยที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูของนางก็รีบพยักหน้าตามเช่นกัน
เสี่ยวโร่วเป็นเสมือนคนในครอบครัวของฉินอวี้โม่ไปแล้ว ดังนั้นฉินเฟินจึงบอกให้นางไม่ต้องมากพิธีนักเมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคนและอนุญาตให้สาวน้อยทำตัวตามสบาย
เสี่ยวโร่วและฉินอวี้โม่อยู่ด้วยกันมานาน สาวใช้น้อยจึงรู้ความต้องการของคุณหนูดี นางจึงนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน
“เจ้าสองคนอยากให้ข้าไปพูดกับผู้มีอำนาจควบคุมโรงเรียนราชสำนักให้รับพวกเจ้าทั้งสองเข้าเรียนในนามของตระกูลฉินหรือไม่ ?”
แม้ว่าจะเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่ในฐานะของคนเป็นปู่ที่เป็นห่วงลูกหลาน ฉินเฟินก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามออกไปเช่นนั้น
วันนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น อีกทั้งนางยังได้ลงมือสั่งสอนหวังรั่วจวินไปบนถนน เรื่องนั้นดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเรื่องตัวตนของนางในตระกูลฉินก็อาจจะไม่สามารถปกปิดได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความคิดที่จะปิดบังตัวตนของนางเลย หากว่านางใส่ใจเรื่องนี้ นางก็คงจะไม่เลือกมาที่นี่ตั้งแต่แรก
“ท่านปู่ ข้าว่าอย่าดีกว่าเจ้าค่ะ พวกเราไม่อยากจะเข้าไปโดยใช้เส้นสายของตระกูล”
หลังจากหยุดคิดไปครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็กล่าวต่อ “ส่วนเรื่องตัวตนของพวกเรา ข้าอยากให้ปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ก่อนจะได้ไหมเจ้าคะ ? พวกเราไม่ต้องกระจายข่าว ผู้ใดจะคิดอย่างไรกับข้าก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้พวกเขาคาดเดากันไปเอง”
ฉินเฟินพยักหน้ารับคำ หลังจากการได้รู้จักกันมา แม้จะยังเป็นเพียงช่วงสั้น ๆ แต่เขาก็รับรู้แล้วว่าหลานสาวผู้นี้เป็นบุคคลที่แน่วแน่และเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่านางจะยังเด็กอยู่ แต่เรื่องของความคิดอ่าน การวิเคราะห์เรื่องราว เด็กคนนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าคนแก่ ๆ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายอย่างพวกเขาเลยสักนิด
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มมื้อค่ำกันอย่างมีความสุข หลังจากอาหารค่ำต้อนรับสมาชิกใหม่ของตระกูลฉินจบลง ทุกคนก็แยกย้ายไปยังเรือนที่พัก
เมื่อกลับมาถึงห้องพักส่วนตัวแล้ว ฉินอวี้โม่ก็บอกให้เสี่ยวโร่วแยกไปพักในห้องของนาง ขณะที่คุณหนูผู้ที่เพิ่งจะได้กลับมาในอ้อมกอดของครอบครัวใหญ่ยังคงนั่งครุ่นคิดสิ่งต่าง ๆ อยู่อีกพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่ได้รับรู้ในวันนี้ หรือเป็นเพราะการงีบหลับก่อนมื้อค่ำจึงทำให้สาวงามไม่รู้สึกง่วง
“เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
เสียงอันแสนอ่อนโยนดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกลจากร่างบางนัก เสียงนุ่มทุ้มนั้นทำลายความเงียบงันภายในห้องไปจนหมด
“โม่ฉือ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?” เมื่อได้ยินเสียงนั้นฉินอวี้โม่ก็แย้มรอยยิ้มก่อนจะมองไปตามทิศทางของเสียง
วันนี้หานโม่ฉือได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาที่ตระกูลฉิน หลังจากจัดการงานและภารกิจทั้งหลายของตัวเองเสร็จสิ้น เขาก็รีบตรงมาที่จวนตระกูลฉินทันที
แท้จริงแล้วในตอนบ่ายหานโม่ฉือก็ลอบเข้ามาที่นี่แล้วครั้งหนึ่ง ทว่าเพราะเห็นสาวน้อยของเขากำลังหลับอย่างเป็นสุข เขาจึงไม่คิดจะรบกวนนางและออกไปเงียบ ๆ เขาแอบซุ่มรออยู่จนกระทั่งนางกลับมาจากทานอาหารค่ำและเข้ามาหานางเพราะมีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยด้วย
ต้องบอกเลยว่าตั้งแต่ครานั้นที่พวกเขามีความสัมพันธ์กัน หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าเขามีความกังวลบางอย่างอยู่ในหัวใจ
เขาคิดว่าฉินอวี้โม่ต่างจากสตรีทั่วไปมาก หลังจากเกิดเรื่องภายในถ้ำอสรพิษนั้นแล้ว บุรุษเย็นชาก็ครุ่นคิดเรื่องของนางมากขึ้น
ในหลายวันมานี้ แม้ว่าเขาจะยุ่งอยู่กับงานของตระกูลและงานส่วนตัวจนแทบไม่มีเวลาพัก แต่ทว่าในหัวใจของเขาก็ไม่เคยหยุดคิดถึงสตรีผู้อยู่ตรงหน้านี้เลย
หานโม่ฉือสั่งให้คนของเขาคอยรายงานว่ามีสตรีแปลกหน้ารูปโฉมงดงามเดินทางมาที่นครไป๋อวิ๋นหรือไม่ และยังสั่งให้คอยจับตาดูตระกูลฉินเอาไว้ หากว่ามีสตรีเลอโฉมจากต่างถิ่นผู้มีนามว่าฉินอวี้โม่มาถึงก็ให้รีบแจ้งข่าวในทันที
วันนี้เมื่อได้ยินว่าฉินอวี้โม่มาแล้ว เขาก็แทบจะอดทนรอไม่ไหว อยากจะเข้ามาพบนางจนใจจะขาด
ในตอนนี้เองที่บุรุษหัวใจด้านชาผู้ยังไม่เคยมีความรักได้เข้าใจว่าสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความกังวลในหัวใจของตัวเองในหลายวันมานี้นั้น แท้จริงก็คือความคิดถึง เพราะทันทีที่ได้เห็นหน้านางในดวงใจ หัวใจของเขาก็พองโตและมีความสุขอย่างเหลือล้น
“ข้าได้ยินว่าเจ้ามา ข้าก็เลยรีบมาหา”
หานโม่ฉือยิ้มและเดินเข้าไปหาสาวน้อยผู้เป็นเจ้าของหัวใจ
ไม่ได้เห็นกันมานานกว่าครึ่งปี เขารู้สึกว่าฉินอวี้โม่ตัวสูงขึ้นและ… นางก็ดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ครั้งล่าสุดในป่าแสงจันทร์ นางดูผอมบางกว่านี้เล็กน้อย ทว่าตอนนี้นางดูเอิบอิ่มมีน้ำมีนวลและดูสุขภาพดีขึ้นมาก ใบหน้านวลหวานซึ้งของนางก็ดูมีเสน่ห์และน่าดึงดูดมากขึ้นด้วย
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่กำลังเดินเข้ามาใกล้ด้วยรอยยิ้ม นางลอบสำรวจร่างกายเขาอย่างละเอียด
ในครึ่งปีมานี้ หานโม่ฉือดูไม่เปลี่ยนไปมากนัก อย่างไรก็ตาม หลังจากครั้งนั้นที่พิษเย็นในร่างกายของเขาถูกถอนออกไปจนหมด ทั้งร่างกายใหญ่โตนี้ก็ดูละมุนละไมและอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย แม้ว่าตอนอยู่ต่อหน้าผู้อื่น คนผู้นี้จะไม่เคยยิ้ม ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสตรีในหัวใจเขากลับยิ้มได้อย่างอ่อนโยนจนฉินอวี้โม่อดคิดไม่ได้ว่าหากเขาทิ้งความเย็นชาออกไป บุรุษผู้นี้แท้จริงแล้วก็มีเสน่ห์อย่างเหลือล้นจนอาจจะครองใจสตรีทั่วทั้งนครได้เลยทีเดียว
เมื่อเดินมาถึงตัวเจ้าของหัวใจ หานโม่ฉือก็ดึงร่างบางที่เขาโหยหามาตลอดเข้ามากอดไว้แนบอก
กิริยาเช่นนั้นทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปชั่วครู่ คราแรกนางก็เกือบจะดันร่างใหญ่ให้ถอยห่างไปตามสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าจากร่างกายแข็งแกร่งที่กำลังกกกอดนางไว้นี้ ฉินอวี้โม่ก็ยอมตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาแต่โดยดี
“ข้าคิดมาตลอดว่ามันน่าขำ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะคิดถึงผู้ใดได้มากขนาดนี้ จนกระทั่งได้เจอเจ้า”
หานโม่ฉือเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทำให้จิตใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหว
“ก่อนที่ข้าจะได้พบเจ้า ในชีวิตข้าไม่เคยหลงใหล หลงรัก หรือแม้แต่ชื่นชอบสตรีใดมาก่อน และข้าก็คิดว่าทั้งชีวิตนี้คงไม่ได้ใกล้ชิดกับสตรีคนใดเป็นแน่ แต่เมื่อได้เจอเจ้า ข้าก็พบว่าสิ่งที่ข้าคิดมาเป็นเพียงเรื่องเหลวไหล”
หานโม่ฉือดันร่างบางของฉินอวี้โม่ออกอย่างเบามือก่อนจะโอบประคองให้นั่งลง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความทะนุถนอมและเทิดทูน
“ครั้งแรกที่ข้าพบเจ้า ข้าคิดว่าเจ้าต่างจากสตรีคนอื่น มันอาจเป็นเพราะข้าสงสัยว่าเหตุใดเจ้าจึงสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ได้มากมายทั้ง ๆ ที่ไม่มีพลังมายา ในตอนนั้นเจ้าเคลื่อนไหวได้รวดเร็วมาก รูปแบบการเคลื่อนก็แปลกประหลาด ในครั้งที่สองที่เจอกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ในตอนนั้นที่ข้าเริ่มรู้สึกสนใจเจ้า วาจาทรงพลังยังไม่เท่าไหร่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่แข็งแกร่งของเจ้า ข้าเกิดความสงสัยว่าเจ้าต้องผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถพูดเช่นนี้ออกมาได้ แต่ตอนนั้นข้าขี้ขลาดเกินไปและยังคิดอคติกับเจ้า ข้าจึงทำเมินเฉย ทว่าหลังจากที่หลินจิ้งหงชวนเจ้าเข้าร่วมภารกิจข้าก็เริ่มรู้ความคิดจริง ๆ ของตัวเองที่มีต่อเจ้า ตอนนั้นถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยชอบใจนักและข้าก็ไม่เคยใกล้ชิดกับผู้หญิงมาก่อนแต่พอได้อยู่ด้วยกัน ข้ากลับไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย เรื่องนั้นมันทำให้ข้าประหลาดใจมาก และยิ่งเมื่อเจ้าแสดงความองอาจในตอนที่เจ้าพูดกับกลุ่มทหารรับจ้าง ตอนนั้นข้าก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าข้าชอบเจ้าจริง ๆ
แล้วพอถึงตอนที่เจ้าถอนพิษให้ข้า เรื่องที่เกิดขึ้นในถ้ำอสรพิษนั่นมันทำให้หัวใจของข้าสั่นไหวรุนแรงมากจนข้ากลัวว่ามันจะระเบิดออกจากอก แล้วข้าก็เกิดความคิดอย่างหนึ่งว่าหากข้าสามารถใช้ทั้งชีวิตนี้อยู่กับเจ้าได้ข้าคงจะมีความสุข ยิ่งกว่านั้น… ข้าก็ควรจะรับผิดชอบเจ้า แต่มาตอนนี้ข้าเพิ่งจะ…”
บุรุษเย็นชาพูดน้อยที่วันนี้พูดไม่น้อยเลยหยุดลงครู่หนึ่ง เขาหลุบสายตาที่เคยจับจ้องใบหน้างามลงชั่วขณะก่อนที่หันกลับขึ้นมามองสบตาหวานซึ้งอีกครั้งแล้วพูดต่อ หากฉินอวี้โม่มองไม่ผิด นางเห็นสีแดงจาง ๆ ขึ้นเป็นริ้วอยู่บนใบหน้าคมคาย “….ข้าเพิ่งจะรู้ตัวว่าบางทีข้าอาจจะชอบเจ้ามากมายเพียงใด ในครึ่งปีมานี้ข้าทั้งคิดถึงและเป็นห่วงเจ้าอยู่ทุกวัน ข้ากังวลว่าเมื่อไหร่เจ้าจะมาที่นครไป๋อวิ๋น บางทีก่อนหน้านี้ข้าคงจะยังไม่เข้าใจ แต่พอคิดดูดี ๆ แล้ว ข้าว่า… มันอาจจะเป็นความรัก”
เมื่อได้ฟังคำพูดมากมายที่ออกจากปากคนตรงหน้า และได้เห็นความอ่อนโยนในดวงตาคู่คมของเขา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็พูดอะไรไม่ออก
…คนเย็นชาคนนี้… กำลังสารภาพรักกับนาง !…
ถ้อยคำมากมายจากปากคนไม่ค่อยพูดกำลังทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่สั่นไหว เวลานี้ใจดวงน้อยของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
ในอดีตเธอคือนักฆ่า แม้จะมีผู้ชายสักกี่คนมาสารภาพรัก เธอก็จะปฏิเสธทันทีอย่างไม่ลังเลและไม่เคยเก็บมาใส่ใจสักครั้ง ความรักกับนักฆ่าเป็นสิ่งที่ขัดแย้ง ชีวิตนักฆ่าเต็มไปด้วยอันตราย และความรักจะกลายเป็นจุดอ่อนที่สุดท้ายคงไม่พ้นมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต้องเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ดังนั้นสู้ไม่รักให้ต้องเจ็บปวดจะดีกว่า
ทว่าหลังจากที่วิญญาณข้ามภพมายังดินแดนหวนหลิงนี้ เธอก็ไม่เคยคิดเลยว่าผู้หญิงอย่างเธอ ที่อยู่ในดินแดนที่มีค่านิยมชายเป็นใหญ่แบบนี้จะมีผู้ชายที่พร้อมจะอยู่เคียงข้าง สำหรับโลกมายาที่ความแข็งแกร่งเป็นทุกอย่างแห่งนี้ จุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตนี้มีแค่ เธอ อยากจะแข็งแกร่งขึ้นเพื่อจะได้ปกป้องคนที่เธอต้องปกป้องให้ได้
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเรื่องราวภายในถ้ำอสรพิษขึ้นในวันนั้น อดีตสาวนักฆ่าก็ได้รู้ตัวว่า หัวใจของเธอ ได้เปลี่ยนไปแล้ว
เป็นตอนนั้นที่ จู่ ๆ เธอก็เกิดความคิดว่ามันคงจะดีมากหากมีผู้ชายตรงหน้านี้อยู่เคียงข้าง… ผู้ชายที่ชื่อหานโม่ฉือคนนี้
ในตอนที่ช่วยเขาถอนพิษ ฉินอวี้โม่คิดว่าเธอทำไปเพราะอยากช่วยชีวิตเขา เพราะไม่อยากเห็นเขาตายไปต่อหน้า เธอไม่ได้ทำเพราะพิศวาสหรือหลงรักเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้น… เธอก็ค้นพบว่าที่เธอไม่อยากให้คนเย็นชาของเธอตายไปก็เป็นเพราะเธอมีความรู้สึกดี ๆ ให้เขา และเป็นวินาทีนั้นที่ฉินอวี้โม่ยอมรับกับตัวเองว่าเธอเริ่มชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ
บางทีอาจจะเป็นเพราะแววตาห่วงกังวลของเขาในตอนที่เธอถูกยูนิคอร์นสีนิลจับตัวไปที่บึงสายหมอก หรือเป็นเพราะความช่วยเหลือเมื่อตอนที่เธอกำลังจะถูกลิ่วเยว่ทำร้าย หรือเพราะความใจดีลึก ๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้หน้ากากอันเลือดเย็น หรือบางทีอาจจะเป็นความเย็นชาอย่างที่เขาเป็น หรือรอยยิ้มละลายใจที่เธอได้เห็น เธอไม่รู้ว่าเพราะอะไรและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่หานโม่ฉือมนุษย์น้ำแข็งคนนี้ก้าวเข้ามาในหัวใจของเธอ
แท้จริงแล้วการช่วยหานโม่ฉือถอนพิษในครั้งนั้น ใครก็ตามที่รู้จักสาวนักฆ่าฉินอวี้โม่ผู้มาจากในศตวรรษที่ 21 แล้ว จะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่เธอจะยอมช่วยเขาด้วยวิธีแบบนั้น…ถ้าหากว่าเขาไม่ได้อยู่ในหัวใจของเธออยู่ก่อน
….เหตุการณ์ในถ้ำอสรพิษเกิดขึ้นเพราะความรักที่ฉินอวี้โม่อาจจะยังไม่รู้ตัวในตอนนั้นเท่านั้น….
ในครึ่งปีที่ผ่านมา นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คิดถึงชายหนุ่มตรงหน้าอยู่ตลอดเวลา เธอมักจะชอบคิดว่าหานโม่ฉือกำลังทำสิ่งใดอยู่ เขากำลังทำงานของตระกูลอย่างหนักอยู่หรือกำลังจัดการเรื่องส่วนตัว เขาจะได้กินข้าวหรือพักผ่อนเพียงพอหรือไม่ หรือว่า… เขาจะไปหลงเสน่ห์สาวอยู่ที่ไหน และ… เขาจะคิดถึงเธอเหมือนที่เธอคิดถึงเขาบ้างรึเปล่า หลังจากวันนั้น ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ รู้ตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าตัวเองหลงรักหานโม่ฉือ
เมื่อครู่ตอนที่หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้ ถึงจะเห็นฉินอวี้โม่นิ่งเฉย แต่นั่นก็เพราะนางกำลังแสร้งทำตัวให้สงบ อันที่จริงหัวใจดวงน้อยกำลังสั่นระรัว และนางกำลังพยายามอย่างยิ่งยวดให้มันสงบลงจนไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดได้เลย
“โม่ฉือ ที่จริงข้าก็รู้สึกเหมือนกับเจ้า ในอดีตที่ผ่านมาข้าไม่เคยเชื่อว่าข้าจะรักใครได้ตั้งแต่แรกเห็น ข้าเชื่อมาตลอดว่า ถ้าคนสองคนไม่มีประสบการณ์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน ไม่เคยใช้เวลาร่วมกัน แล้วจะเกิดความรู้สึกที่ดีให้กันและกันได้อย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับเจ้า ข้าก็เริ่มเชื่อแล้ว”
ต้องบอกเลยว่า แม้จะเป็นสตรีที่แข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องมีมุมที่อ่อนไหวอยู่บ้างเป็นธรรมดา เมื่ออยู่ต่อหน้าบุรุษที่ตนเองรัก คนที่คิดจะเคียงข้างก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนความอ่อนไหวเอาไว้อีก
เมื่อได้ฟังสิ่งที่โฉมงามของเขากล่าว หานโม่ฉือก็บีบกระชับมือบางแน่นขึ้นราวกับต้องการจะส่งผ่านความรู้สึกที่มีในใจไปให้ถึงหัวใจของนาง ในตอนนี้สองดวงใจกำลังใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม
แท้จริงแล้ว การตกหลุมรักใครสักคนนั้นง่ายกว่าที่พวกเขาคิด ขอเพียงแค่ได้พบเจอกับคนที่ใช่เท่านั้นทุกอย่างก็จะไหลไปตามครรลองของมันได้เอง
เป็นเรื่องจริงที่ว่าช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ หลังจากสองหนุ่มสาวได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศแสนอ่อนหวานของการได้ชิดใกล้กับบุคคลผู้แสนคะนึงหาอยู่สักพัก ในที่สุดหานโม่ฉือก็ถอนหายใจออกมา
“อวี้โม่ ข้าต้องไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มบางให้
“ไปเถอะ ข้าเข้าใจ” นางรู้ดีว่าหานโม่ฉือมีงานที่ต้องจัดการ
“เจ้าจะเข้าโรงเรียนราชสำนักรึเปล่า ?” หานโม่ฉือมองฉินอวี้โม่ ครั้งนี้ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดจริงจัง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อเห็นใบหน้าเครียดและคิ้วที่ขมวดแน่นของเขา นางก็รู้สึกสงสัย
“ระวังคนจากอาราม”
หานโม่ฉือกล่าวเตือนฉินอวี้โม่ ตั้งแต่ครั้งนั้นที่นางได้สังหารลิ่วเยว่บุรุษหน้าไม่อายจากอารามไปก็ยังไม่มีการตอบสนองจากทางขุมกำลังทรงอิทธิพลนั้นเลยจนตัวนางเองก็เกือบจะลืมมันไปแล้ว
.
.
ห้องเล็กด้านในที่ว่านี้แท้จริงแล้วเป็นห้องลับห้องหนึ่ง ไม่ทราบเช่นกันว่าฉินเฟินสัมผัสตรงจุดใดของผนังว่างเปล่าก่อนที่ประตูลับของห้องจะเปิดออก
ห้องนี้เป็นห้องลับที่ติดกับห้องรับรองของเรือนหลัก หากมองจากภายนอกจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่ามีห้องเล็ก ๆ ถูกซ่อนอยู่ตรงจุดนี้
เมื่อพวกเขาทั้งสี่คนเข้ามาในห้องลับนี้แล้ว ประตูก็จะปิดฉับลงเองโดยทันที
ภายในห้องลับมีเก้าอี้และเบาะนุ่มสบายถูกจัดวางเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมอยู่มากมาย คล้ายกับว่าที่นี่คือห้องที่ถูกใช้ในการประชุมลับบางอย่าง
“นั่งก่อน”
ฉินเฟินกวาดตามองทุกคนก่อนจะเชื้อเชิญให้นั่งลง
“อวี้โม่ แม่ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?”
ฉินเฟินมองดูฉินอวี้โม่และถามเข้าประเด็นอย่างไม่รอช้า
“หายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ก่อนจะเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ทุกคนได้รับรู้
ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว ฉินเฟินจะลุกขึ้นยืนในทันที ใบหน้าของเขามีอาการตื่นเต้นปรากฏให้เห็นเด่นชัด
เมื่อเห็นท่าทีของฉินเฟิน ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เรื่องที่มารดาของนางหายตัวเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้นำตระกูลที่ขับไล่บิดาของนางออกจากตระกูลอย่างนั้นหรือ ? นี่มันเรื่องอะไรกัน ?
เมื่อมองเห็นแววตางุนงงของหลานสาวผู้มาใหม่ ฉินเฟินก็รีบนั่งลงก่อนจะเอ่ยปากไขความกระจ่างให้สาวน้อย
“เสี่ยวอวี้โม่ แท้จริงแล้วฉินเทียนที่อยู่ในเมืองหลิงซีไม่ใช่บิดาของเจ้า !”
ฉินเฟินกล่าวเช่นนั้นออกมาอย่างปุบปับทำให้ฉินอวี้โม่ยิ่งประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้แววตาของสตรีผู้อ่อนอาวุโสที่สุดในห้องกำลังเต็มไปด้วยความตกตะลึง งุนงง และเต็มไปด้วยคำถาม
ฉินเฟินเหมือนจะเข้าใจความรู้สึกของหลานสาว เขาเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางฟังอย่างช้าๆ
ฉินเทียนคือบุตรชายคนโตของฉินเฟินและเป็นบุตรชายที่เขารักมากที่สุด
เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ในตอนที่ฉินเทียนได้พบกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้นเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ไม่มีภูมิหลังหรือมีตระกูลใหญ่คอยให้การสนับสนุน ในคราแรกที่ได้เห็นฉินเทียนพาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเข้ามาในจวนและยืนกรานจะแต่งงานกับนาง ทุกคนในตระกูลฉินต่างก็ไม่เห็นด้วย
ฉินเทียนเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์สูงส่งมาก อีกทั้งรูปลักษณ์ของเขาก็งามสง่าเหนือผู้ใด ในเวลานั้น ตระกูลใหญ่น้อยทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นต่างก็ต้องการจะส่งบุตรีมาให้ตบแต่งเกี่ยวดองกับฉินเทียนแทบทั้งสิ้น ฉินเทียนในวัยหนุ่มจึงนับว่ามีตัวเลือกมากมาย นอกจากนั้นยังไม่มีผู้ใดในตระกูลทราบที่มาของสตรีผู้มีนามว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเลย ฉะนั้นจะให้พวกเขาเห็นด้วยกับการแต่งงานของว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไปกับสตรีลึกลับไม่ทราบที่มาในทันทีก็คงเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความดื้อรั้นไม่ฟังผู้ใดของฉินเทียนจึงไม่มีใครหยุดเขาได้ สุดท้ายตระกูลฉินจึงต้องรับอวี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นสะใภ้ และด้วยความดีของนาง ในที่สุดพวกเขาทุกคนก็ค่อย ๆ เปิดใจยอมรับสะใภ้ลึกลับผู้นี้ได้
หลังจากนั้นชีวิตคู่ของพวกเขาก็ราบรื่น พวกเขารักกันมาก คอยดูแลกันและกันเป็นอย่างดี ไม่นานหลังจากนั้นบุตรชายคนแรกของพวกเขา–ฉินอี้เฟย ก็ถือกำเนิด
ในเวลานั้นทั่วทั้งตระกูลฉินต่างก็มีความสุขกันถ้วนหน้า ทุกคนในตระกูลอยู่กันอย่างสงบสุข ไม่เคยมีเรื่องบาดหมาง ไม่เคยมีข้อพิพาทใด ๆ ที่ทำให้ต้องทุกข์ร้อน
อย่างไรก็ตาม หลายปีต่อมา เมื่อถึงคราที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตั้งท้องฉินอวี้โม่ก็มีปัญหาใหญ่เกิดขึ้น
ในตอนนั้นฉินเทียนโกรธมากจนต้องพาภรรยาพร้อมกับบุตรในครรภ์ที่ยังไม่คลอดและบุตรชายตัวน้อย หนีออกจากตระกูลฉินในเมืองไป๋อวิ๋นไปตั้งรกรากอยู่ยังเมืองหลิงซีที่แสนห่างไกล
แม้ว่าในสายตาของผู้คนภายนอกจะดูเหมือนกับว่าฉินเทียนและฉินเฟินมีปัญหาขัดแย้งกันครั้งใหญ่จนฉินเฟินขับไล่ฉินเทียนออกไปจากตระกูลด้วยโทสะ ทว่าแท้จริงแล้ว ความจริงของเรื่องนี้กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ในตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นตั้งท้องฉินอวี้โม่นั้น นางและฉินเทียนเกิดฝันร้าย ซึ่งเป็นฝันที่น่ากลัวอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นความฝันที่เหมือนกันทั้งสองคน
ในความฝันนั้น พวกเขาเห็นกลุ่มคนชุดดำกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป คนพวกนั้นลงมือเข่นฆ่าทุกคนในตระกูลฉินอย่างโหดเ**้ยมอำมหิตเพื่อชิงเอาตัวทารกน้อยที่เพิ่งจะคลอดของพวกเขาไปก่อนจะฆ่าพวกเขาและฉินอี้เฟย
แม้จะเป็นเพียงความฝันแต่ก็เป็นฝันที่ชัดเจนมาก อีกทั้งพวกเขายังฝันเหมือนกันทั้งคู่ทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนกลัวว่ามันจะเป็นลางร้าย
ฉินเทียนมีอาจารย์ที่เขาเคารพมากคนหนึ่งนามว่า–เซียวเหยา บุรุษชราผู้นี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงระดับพลังของเขา รู้เพียงว่าต่อให้เป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าของแผ่นดินหวนหลิงก็ยังยากที่จะเป็นคู่ต่อสู้ให้กับเขา
ผ่านไปไม่กี่วันหลังจากที่สองสามีภรรยาฝันร้าย ผู้เฒ่าเซียวเหยาก็มาเยือนจวนตระกูลฉินเพื่อบอกกล่าวบางสิ่งที่ทำให้ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต้องตกตะลึง
ผู้เฒ่าเซียวเหยาบอกฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นว่าในยามที่บุตรในครรภ์ของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถือกำเนิด ความโชคร้ายจะเข้ากล้ำกรายและจะนำพาหายนะมาสู่ทุกคนในตระกูลฉิน ทางแก้เดียวก็คือพวกเขาจะต้องหาเมืองเล็ก ๆ เพื่อหลบซ่อนตัวชั่วคราว รอจนกว่าทารกในครรภ์เติบโตขึ้นและมีพลังมากเพียงพอ พวกเขาจึงจะสามารถกลับมาอยู่ในตระกูลฉินได้อย่างปลอดภัย
ฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเชื่อในคำทำนายของผู้เฒ่าเซียวเหยาอย่างไร้ข้อสงสัย หลังจากบอกเล่าเรื่องนี้กับฉินเฟิน พวกเขาก็สร้างละครฉากใหญ่ด้วยการแสร้งทะเลาะและมีปัญหากับท่านผู้นำตระกูลครั้งใหญ่
จากนั้นฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ออกเดินทางไปเมืองหลิงซี เมื่อแรกไปถึง ครอบครัวเล็ก ๆ ของพวกเขาก็อยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุข อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคลอดทารกน้อยเป็นบุตรสาวน่าตาน่ารักน่าชังที่นางและสามีตั้งชื่อให้ว่า–ฉินอวี้โม่
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ฉินอวี้โม่อายุได้สองขวบ ขณะที่ทั้งครอบครัวกำลังเดินทางกลับจากงานเทศกาลก็ถูกกลุ่มคนชุดดำลอบทำร้ายระหว่างทาง คนเหล่านั้นพยายามสังหารฉินเทียนและอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ฉินเทียนเอาตัวเข้าแลกกับกลุ่มของคนร้ายเพื่อเปิดโอกาสให้ภรรยาพาบุตรชายและบุตรสาวหลบหนี หลังจากนั้นฉินเทียนก็หายตัวไปนานถึงสามวันก่อนจะกลับมายังจวนตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีอีกครั้ง
เมื่อเห็นฉินเทียนกลับมาพร้อมด้วยบาดแผลทั่วทั้งร่าง อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในเวลานั้นก็ไม่ได้ติดใจสงสัยสิ่งใด นางรีบเรียกหาหมอมารักษาและปรนนิบัติดูแลสามีอย่างดีเพื่อให้ฟื้นคืนมาเป็นปกติให้ได้
ไม่นานหลังจากนั้นฉินเทียนก็ได้สติ …ทว่าการฟื้นคืนมาของเขาในครั้งนี้กลับต่างไปจากเดิม…
ในตอนแรกก็ไม่มีสิ่งใดที่แตกต่างออกไปจากเดิมมากนัก ฉินเทียนผู้นั้นยังคงดีกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอี้เฟย และฉินอวี้โม่เหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาก็พาเยี่ยเสี่ยวตี๋พร้อมด้วยบุตรชายหญิงของนางเข้ามาอยู่ภายในจวน
เป็นตอนนั้นเองที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นเริ่มสงสัยในตัวฉินเทียน
นางและฉินเทียนรักกันมาก และนางก็ยังรักเขาอยู่แม้ว่าเขาจะพาสตรีคนอื่นเข้าบ้าน ยิ่งกว่านั้นฉินเทียนเองก็ยังดีเหมือนเดิม เขายังคงแสดงออกว่ารักอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและบุตรชายบุตรสาว ทว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นในตอนนั้นกลับมองไม่เห็นความรักในแววตาของฉินเทียนอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้ฉินเทียนเคยบอกว่าทั้งชีวิตนี้เขาจะมีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นางเองก็รู้จักฉินเทียนดี หากฉินเทียนออกปากเช่นนั้นแสดงว่าเขามีความตั้งใจจริงและจะไม่มีทางผิดคำพูดอย่างเด็ดขาด ซึ่งการที่เขาพาเยี่ยเสี่ยวตี๋เข้ามาในบ้านนั่นแสดงให้เห็นว่าเขาอาจจะเป็นฉินเทียนตัวปลอม !
หลังจากนั้นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็เริ่มสืบหาความจริงเกี่ยวกับฉินเทียนผู้นี้
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินเทียนผ่านเรื่องราวด้วยกันมามากมายทั้งดีและร้าย ดังนั้นนางจึงพยายามหลอกถามไถ่ในเรื่องที่ผ่าน ๆ มาเพื่อทดสอบเขา
หลังจากการทดสอบหลายครั้ง ในที่สุดนางก็ได้รู้ผล และผลลัพธ์นั้นก็ทำให้ฮูหยินตระกูลฉินในตอนนั้นตกตะลึงเป็นอย่างมากเพราะได้ค้นพบว่าฉินเทียนผู้อยู่ร่วมกันในปัจจุบันแท้จริงแล้วไม่ใช่ฉินเทียนที่นางเคยรู้จัก
ในเวลานั้นเป็นเพราะฉินอวี้โม่ยังเล็กมาก และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่ค่อยชอบใช้งานบ่าวรับใช้ นางดูแลบุตรสาวด้วยตัวของนางเองทำให้ในช่วงเวลานั้นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้ร่วมหลับนอนกับฉินเทียน
เมื่อรู้ว่าเขาไม่ใช่ฉินเทียน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นในตอนนั้นก็หาวิธีติดต่อกับฉินเฟินที่อยู่ในนครไป๋อวิ๋น
หลังจากที่ฉินเฟินได้ทราบข่าวเขาก็ตกใจมากและเกิดความกังวลไม่น้อย
ทว่าเขาก็บอกให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนิ่งเฉยไว้ก่อน เขาปลอบให้นางอย่าเพิ่งตื่นตระหนกและพยายามอย่าทำตัวให้แปลกออกไปจากเดิม ซึ่งในตอนนั้นเองที่ผู้นำตระกูลฉินเริ่มส่งคนไปสืบเรื่องของฉินเทียน
หลังจากการสืบสวนแล้ว ฉินเฟินก็พบว่าฉินเทียนผู้นั้นไม่ใช่บุตรชายของเขาจริง คนคนนั้นเป็นเพียงคนแปลกหน้าที่ปลอมตัวมาเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
หลังจากรู้เช่นนี้ ฉินเฟินก็คาดเดาว่าฉินเทียนตัวจริงจะต้องหายตัวไปตั้งแต่ตอนที่ต่อสู้กับกลุ่มคนชุดดำก่อนหน้านั้น และการหายตัวไปของเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับการปรากฏตัวของฉินเทียนตัวปลอมผู้นี้เป็นแน่
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่อยู่ในเมืองหลิงซีนั้นเป็นสตรีที่เฉลียวฉลาด นางพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุดเพื่อจะอยู่สืบหาความจริง
ดังนั้นแล้วในตอนที่อยู่ในจวนนางจึงไม่เคยแสดงความอิจฉาริษยาต่อเยี่ยเสี่ยวตี๋เลย นางพยายามทำตัวเป็นภรรยาที่ใจกว้างและแสนอ่อนโยน
ขณะเดียวกันนางก็ทำการสืบหาความจริงอย่างลับ ๆ นางต้องการล้วงเอาข้อมูลหรือความลับออกมาจากปากฉินเทียนตัวปลอมให้ได้มากที่สุด แต่ถึงแม้ว่าฉินเทียนตัวปลอมจะดูเป็นบุรุษเรียบง่าย ทว่าเขาก็ระวังตนเองเสมอ
ไม่นานนักเขาก็เริ่มสงสัยอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
ผนวกกับในช่วงเวลานั้นมีข่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ไม่สามารถฝึกยุทธ์หรือใช้พลังมายาได้ ในตอนนั้นเองฉินเทียนตัวปลอมจึงได้โอกาส เขาอ้างเหตุผลว่าอับอายเรื่องบุตรสาวเพื่อที่จะทำตัวเหินห่างจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินอวี้โม่และไล่สองแม่ลูกออกไปอยู่เรือนหลังเล็ก
เกือบหกปีก่อน ฉินอี้เฟยจงใจแสดงพรสวรรค์ในการหลอมโอสถจนในที่สุดเขาก็ถูกเรียกตัวโดยสมาคมโอสถสำนักงานใหญ่ในเมืองไป๋อวิ๋นภายใต้การรู้เห็นของฉินเฟิน …แท้จริงแล้วเรื่องนี้เป็นแผนของฉินเฟินและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเพื่อส่งตัวฉินอี้เฟยกลับไปยังเมืองหลวง ซึ่งก็แน่นอนว่าอำนาจและอิทธิพลบางประการแห่งผู้นำตระกูลฉินก็มีส่วนช่วยให้การเรียกตัวครั้งนี้เป็นไปอย่างแนบเนียนด้วย
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยายามอย่างหนักจนฉินเทียนตัวปลอมไม่ติดใจสงสัยในเรื่องนี้มากนัก และการสืบสวนหาความจริงก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกเป็นเวลาถึงห้าปี
ในห้าปีที่ผ่านมานี้ มิใช่ว่าฉินเฟินไม่อยากจะพาตัวฉินอวี้โม่หลานสาวตัวน้อยของเขาออกมาจากจวนตระกูลฉินที่หลิงซี
แต่เป็นเพราะพรสวรรค์ของฉินอวี้โม่ไม่ดี ดังนั้นจึงไม่มีข้ออ้างใด ๆ ที่จะให้เขาเรียกตัวนางกลับไปได้ หากดึงดันจะพาฉินอวี้โม่ไปยังเมืองหลวงก็รังแต่จะทำให้ฉินเทียนตัวปลอมเกิดความสงสัยและไม่อนุญาตให้นางไป
ที่สำคัญพวกเขายังไม่รู้ว่าฉินเทียนตัวปลอมมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ตระกูลฉินสาขาใหญ่จึงไม่กล้าจะใช้กำลังชิงตัวฉินอวี้โม่มา
ที่สำคัญ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นยังต้องอยู่เพื่อรีดเค้นเอาข้อมูลออกมาจากฉินเทียนตัวปลอมให้ได้มากที่สุด ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจให้ฉินอวี้โม่อยู่ที่นั่นต่อเพื่อไม่ให้ฉินเทียนตัวปลอมเกิดความสงสัย และอย่างน้อยก็มีคนอยู่เป็นเพื่อนอวี๋เสี่ยวอวิ๋นจนในที่สุดก็เกิดเหตุการณ์อย่างที่ฉินอวี้โม่เล่ามา
ในช่วงที่พวกเขาขาดการติดต่อจากทางอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไป พวกเขาก็กำลังคิดจะบุกไปที่เมืองหลิงซีเพื่อพาตัวฉินอวี้โม่กลับมา ทว่าก่อนที่พวกเขาจะดำเนินการ ฉินอีเฟิงที่กลับมาจากป่าแสงจันทร์ก็นำข่าวเกี่ยวกับฉินอวี้โม่มาแจ้งให้ทราบเสียก่อน และเขายังบอกอีกด้วยว่านางจะมาที่ตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นในอีกไม่นาน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟินและฉินอี้เฟยก็รู้สึกเบาใจไปได้บ้าง พวกเขาจึงยกเลิกความคิดที่จะบุกไปยังเมืองหลิงซี
หลังจากได้ฟังเรื่องที่ฉินเฟินเล่า ฉินอวี้โม่ก็สงบใจและตั้งสติพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทั้งหมด หากว่านางคาดเดาไม่ผิด มีความเป็นไปได้สูงมากว่าที่ฉินเทียนตัวปลอมเข้ามาสวมรอยในตระกูลฉินอาจจะเกี่ยวข้องกับกายเทพมายาของนาง
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดเวลานี้นางก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดบุรุษที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นบิดาถึงได้ทำกับตัวนางและมารดาเช่นนั้น และคุณหนูผู้พลัดพรากแห่งตระกูลฉินก็ได้แต่ชื่นชมอวี๋เสี่ยวอวิ๋นในความเฉลียวฉลาดและมุมานะของนาง
ฉินอวี้โม่คิดว่าหากไม่ใช่เพราะคุณหนูสี่คนก่อนไม่สามารถฝึกฝนพลังมายาได้ หรือหากนางมีสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด บางทีอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอาจจะบอกความจริงเรื่องนี้กับคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับไปตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว
“อวี้โม่ เจ้าคงจะพอเดาได้แล้วใช่ไหมว่าเหตุใดข้าถึงตื่นเต้นในตอนที่เจ้าบอกว่ามีคนมาช่วยมารดาของเจ้าไป”
ฉินเฟินมองดูฉินอวี้โม่อย่างพิจารณา เมื่อได้เห็นใบหน้างามที่สงบเรียบเฉย ไม่มีแววหวาดกลัวหรือโกรธแค้น ผู้นำตระกูลสูงอายุก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
หลานสาวของเขาไม่ใช่คนธรรมดาโดยแท้ ถ้าเป็นดรุณีอายุน้อยธรรมดาทั่วไป เมื่อได้ฟังเรื่องที่น่าตกใจเช่นนี้ก็อาจจะกลัวและทำใจยอมรับไม่ได้ ทว่าหลานสาวผู้นี้กลับสามารถสงบใจได้อย่างสมบูรณ์และท่าทางที่ดูสุขุมนั้นก็แสดงให้เห็นว่านางกำลังพยายามวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดอยู่
สมแล้วจริง ๆ ที่เป็นบุตรสาวของฉินเทียน และเป็นหลานสาวของฉินเฟินผู้นี้ !
ฉินเฟินอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างภาคภูมิ หัวใจของเขากำลังพองโตเพราะเป็นสุข
“ท่านปู่กำลังจะบอกว่าบางทีอาจจะเป็นท่านพ่อที่เป็นคนช่วยท่านแม่เอาไว้อย่างนั้นใช่ไหมเจ้าคะ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม เมื่อได้ฟังสิ่งที่ฉินเฟินเล่า นางก็รู้สึกได้ถึงความรักของผู้เป็นปู่ที่มีต่อพวกนาง เขาไม่เคยคิดที่จะทอดทิ้งพวกนางเลย ยิ่งไปกว่านั้นสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูยังสัมผัสได้ถึงความรักอันบริสุทธิ์และความห่วงใยที่จริงแท้จากแววตาของบุรุษชราผู้ซึ่งเป็นทั้งบิดาของลูกชายลูกสะใภ้และเป็นปู่ของหลาน ๆ อย่างชัดเจน
“มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียว แต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มสิบ”
ฉินเฟินตอบพลางพยักหน้าก่อนจะส่ายศีรษะ
หากเป็นฉินเทียนที่ช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปจริง ๆ เหตุใดเขาถึงไม่ส่งข่าวบอกหรือติดต่อกับพวกเขาเลย ? หากว่าจะสืบข่าวเกี่ยวกับฉินเทียนตัวปลอมอยู่ที่เมืองหลิงซี แต่เพียงแค่ส่งข่าวอย่างลับ ๆ มาบอกให้ตระกูลใหญ่ในนครไป๋อวิ๋นทราบเช่นนั้นก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ยากเย็นจนไม่สามารถทำได้
แต่ถ้าหากผู้ที่ช่วยนางไปไม่ใช่ฉินเทียน ทว่าเท่าที่พวกเขาทราบ บนดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ทั่วทั้งแผ่นดิน อวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่มีทั้งญาติพี่น้องและสหาย แล้วผู้ใดเล่าจะยื่นมือเข้าช่วยนาง ?
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่บุคคลผู้ให้การช่วยเหลือมารดาของนางไปจะไม่ใช่ฉินเทียนตัวจริง อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือคนผู้นั้นน่าจะเป็นมิตรมากกว่าศัตรู ยิ่งกว่านั้นคนผู้นั้นจะต้องรู้จักอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นอย่างดีและคอยจับตามองนางมาตลอดด้วย
“ท่านพ่อ มีความเป็นได้หรือไม่ว่าคนที่ช่วยพี่สะใภ้ไปจะเป็นทางฝั่งตระกูลของพี่สะใภ้”
ฉินหยางเอ่ยปากแสดงความเห็นอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ฉินเทียนคือผู้ที่บอกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นเด็กกำพร้าและทุกคนก็เชื่อสิ่งที่เขากล่าว อย่างไรก็ตามการสืบสวนในหลายปีที่ผ่านมาก็ทำให้พวกเขาคิดว่า บางทีในเรื่องนั้นอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่ฉินเทียนกล่าวไว้ก็ได้
เพราะถ้าหากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นเพียงเด็กกำพร้า แล้วเหตุใดนางถึงได้ดูมีความกล้าหาญมากมายถึงเพียงนั้น ? สตรีธรรมดาที่ทราบว่าสามีของตนหายตัวไปและมีผู้อื่นสวมรอยแทนจะยังคงทำตัวเป็นปกติเช่นที่นางทำได้หรือ ? หรือว่าเรื่องนี้ยังมีเบื้องหลังที่ซับซ้อนอยู่อีก ?
ด้วยเหตุนั้นเองที่ทำให้พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าฉินเทียนอาจจะจงใจปกปิดตัวตนที่แท้จริงของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไว้เพื่อเหตุผลบางอย่างก็เป็นได้
“ข้ายังไม่ตัดความเป็นไปได้นี้ อย่างไรก็ตาม จากการตามสืบของเรา ดูเหมือนว่าทั่วทั้งหวนหลิงจะไม่มีตระกูลที่ชื่อว่าตระกูลอวี๋อยู่เลย แม้แต่ในแคว้นเล็ก ๆ ก็ไม่มี ยิ่งกว่านั้น… หากนางถูกคนในตระกูลช่วยไปได้อย่างปลอดภัยจริง นางก็ควรจะส่งข่าวบอกพวกเราทางนี้เพื่อให้สบายใจก่อนถึงจะถูก”
หลังจากฉินเฟินกล่าวเรื่องนี้ออกไป ทั้งห้องลับก็ถูกความเงียบเขาปกคลุมอีกครั้ง
.
.
.
ฉินอี้เฟยฟังคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่แล้วจ้องมองน้องสาวของตัวเองอย่างพิจารณา เวลานี้ดูเหมือนว่านางจะโตขึ้นมากแล้ว และนั่นก็ทำให้เขายิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
“ข้าจำได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก เสี่ยวโม่เอ๋อร์มักจะเอาแต่หลบซ่อนอยู่หลังพี่ใหญ่ตลอดเวลา ตอนนั้นเจ้าเป็นเด็กน้อยขี้อาย แต่หลายปีมานี้เด็กน้อยของพี่ใหญ่เติบโตขึ้นมากเลย”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ในตอนนี้ ฉินอี้เฟยก็อดที่จะระลึกถึงความหลังครั้งก่อนไม่ได้ เขาเอ่ยวาจานั้นออกมาเพราะรู้สึกเช่นนั้นอย่างจริงแท้ ทว่าถ้อยคำของฉินอี้เฟยกลับทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไป
อย่างไรก็ตาม นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็รีบดึงอารมณ์ของตนกลับมาอย่างรวดเร็ว ยังดีที่คุณหนูสี่ไม่ได้เจอพี่ชายมานานหลายปีแล้ว มิฉะนั้นฉินอี้เฟยจะต้องรู้ได้อย่างแน่นอนว่านางไม่ใช่น้องสาวคนเดิมของเขา
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เสี่ยวโร่วบอกว่าพวกเจ้าออกมาจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีแล้วอย่างนั้นหรือ ?”
ทันทีที่นึกถึงคำพูดของเสี่ยวโร่วขึ้นมาได้ ฉินอี้เฟยก็เอ่ยปากถาม
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางคิดว่าฉินอี้เฟยคงจะคิดมากในเรื่องนี้ ซึ่งเหตุผลนั้นก็เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งที่คุณชายใหญ่ของบ้านยังคงอาศัยอยู่ในตระกูลฉินที่เมืองหลิงซี ฉินเทียนมักจะปฏิบัติกับฉินอี้เฟยอย่างดีเสมอมา
ทว่าฉินอี้เฟยกลับทำในสิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่คาดคิด คุณชายใหญ่ผู้พลัดพรากยิ้มออกมาบาง ๆ พลางกล่าว “เอาเถอะ เจ้าออกมาก็ดีแล้ว”
เมื่อได้ยินวาจาแปลกประหลาดของพี่ชาย ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองเขานิ่งนาน นางกำลังเกิดความรู้สึกที่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่
ในระหว่างที่สองพี่น้องและสาวใช้น้อยกำลังสนทนากันอยู่นั้น คนของตระกูลฉินก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าพวกเขา
ตระกูลฉินคือหนึ่งในสามตระกูลใหญ่แห่งเมืองไป๋อวิ๋น แน่นอนว่าฐานะของตระกูลฉินจะต้องเหนือกว่าตระกูลอื่น ๆ ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ตระกูลฉินเป็นตระกูลเรียบง่าย พวกเขาไม่ชื่นชอบความหรูหราอลังการ ไม่นิยมการโอ้อวดความร่ำรวย ดังนั้นแล้วหากจะดูความมั่งคั่งของตระกูลใหญ่นี้จากที่พักอาศัยจึงถือว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง
แม้จะกว้างขวาง แต่ที่นี่กลับไม่มีเรือนหลังใหญ่งดงาม กำแพงจวนเป็นสีเทาธรรมดา ไม่มีสิ่งประดับตกแต่งที่เลิศหรู จวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบที่เน้นกลิ่นอายโบราณและเรียบง่าย
“คุณชายอี้เฟยมาแล้วหรือขอรับ”
เมื่อบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูเรือนหลักเห็นฉินอี้เฟย เขาก็กล่าวทักทายด้วยรอยยิ้มเป็นกันเอง
แม้ว่าฉินอี้เฟยจะไม่ได้เติบโตในจวนแห่งนี้และเพิ่งจะย้ายเข้ามาได้ไม่นาน แต่ทุกคนในจวนตระกูลฉินต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเพราะเขาเป็นคนที่ผู้นำตระกูลรักมาก แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือฉินอี้เฟยเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมโอสถ ฝีมือของเขาสูงส่งไม่แพ้ผู้ใด ทุกคนจึงให้ความเคารพคุณชายผู้นี้
“ท่านผู้นำตระกูลอยู่หรือไม่ ?”
ฉินอี้เฟยยิ้มและเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองเช่นกัน
ฉินอี้เฟยเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหลา ท่าทางภูมิฐาน มุมปากของเขามักมีรอยยิ้มแต้มอยู่เสมอ เมื่อได้เห็นคุณชายตระกูลฉินผู้นี้ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากจะเข้ามาสนทนาด้วย
“ท่านผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสหลายท่านกำลังหารือกันอยู่ในห้องโถง คุณชายต้องการให้ข้าน้อยนำข้อความเข้าไปแจ้งหรือไม่ ?”
บ่าวรับใช้กล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าจะเข้าไปเอง”
ฉินอี้เฟยยิ้มให้คนเฝ้าประตูแทนคำขอบคุณ ก่อนพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินไปยังห้องโถงรับรองของเรือนหลัก
บ่าวรับใช้นั้นสังเกตเห็นว่าฉินอี้เฟยพาคนสองคนติดตามไปด้วยจึงลอบมองด้วยความใคร่รู้ ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ชัด ๆ เขาก็ตกตะลึงไปในทันที
และกว่าบ่าวผู้นั้นจะได้สติกลับมาอีกครั้ง ฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่ก็หายลับไปจากสายตาของเขาแล้ว
“เหตุใดแม่นางผู้นั้นถึงได้หน้าคล้ายกับคุณชายอี้เฟยยิ่งนัก ?!”
บ่าวรับใช้อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาประโยคหนึ่ง ใบหน้าของแม่นางที่ติดตามคุณชายของเขามาทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะพวกเขาทั้งคู่เหมือนกันราวกันเป็นพี่น้อง !
ฉินอี้เฟยพาฉินอวี้โม่มุ่งตรงไปยังห้องโถงรับรองของตระกูลฉินและกล่าวแนะนำเกี่ยวกับสมาชิกภายในตระกูลให้นางฟังอย่างคร่าว ๆ
ในเวลานี้ผู้นำตระกูลฉินก็คือ–ฉินเฟิน เขาคือบิดาบังเกิดเกล้าของฉินเทียน และเป็นปู่ของฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตนั้นฉินอี้เฟยเองก็ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด เขารู้เพียงแต่ว่าเมื่อนานมาแล้วมีเหตุบางอย่างที่ทำให้ฉินเทียนถูกฉินเฟินขับไล่ออกจากตระกูลจนต้องระหกระเหเร่ร่อนไปอยู่ยังเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซี อันที่จริงรายละเอียดของเรื่องนี้ถือเป็นความลับของตระกูล ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ทุกคนรวมถึงฉินอี้เฟยจะรู้เพียงคร่าว ๆ
เมื่อห้าปีก่อน ฉินอี้เฟยถูกทางสำนักงานใหญ่แห่งสมาคมโอสถที่ซึ่งตั้งอยู่ในนครไป๋อวิ๋นเรียกตัวมาที่เมืองหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่าพวกเขาเล็งเห็นพรสวรรค์ด้านการหลอมโอสถอันโดดเด่นในตัวเขา และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนตระกูลฉินในไป๋อวิ๋น รวมถึงได้พบฉินเฟินผู้นำตัวจริงแห่งตระกูลฉิน
ในเวลานั้นฉินเฟินแสดงให้เห็นว่าเขารักและเอ็นดูหลานชายผู้นี้มาก ฉินอี้เฟยสัมผัสได้ว่ามันเป็นความรักที่มาจากหัวใจอย่างจริงแท้ ไม่ใช่สิ่งเสแสร้ง
ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกสับสนมากขึ้นกว่าเดิม ในเมื่อปู่ของเขารักพวกเขามากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดบิดาของเขา–ฉินเทียน ถึงได้ถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉินไปในตอนนั้น
นอกเหนือจากฉินเฟินที่คอยดูแลฉินอี้เฟยอย่างดีแล้ว ในตระกูลฉินยังมีอีกผู้หนึ่งที่รักและเอ็นดูฉินอี้เฟยมาก คนผู้นี้มีนามว่าฉินหยาง เขาเป็นน้องชายของฉินเทียนและเป็นอาของฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่
เมื่อครั้งยังอยู่ในตระกูลฉิน ฉินเทียนสนิทสนมกับฉินหยางน้องชายของเขามาก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนพี่น้องเรียกได้ว่าไร้ซึ่งกำแพงกั้น
ฉินหยางมีบุตรชายหญิงอย่างละคน บุตรชายของเขาอายุไล่เลี่ยกับฉินอี้เฟย มีนามว่า–ฉินอี้เฉียง ส่วนบุตรสาวของเขาอายุมากกว่าฉินอี้โม่หนึ่งปีและมีนามว่า–ฉินอี้เพ่ย พวกเขาทั้งคู่กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนราชสำนัก
ฉินอี้เฉียงเหลืออีกเพียงหนึ่งปีก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว ในขณะที่ฉินอี้เพ่ยเพิ่งจะเข้าโรงเรียนราชสำนักได้เมื่อปีก่อน
ภายในตระกูลฉินมีผู้อาวุโสอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน และคนที่ฉินอวี้โม่ได้พบในป่าแสงจันทร์ก็คือผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลฉิน–ฉินอีเฟิง ส่วนผู้อาวุโสอีกหกคนที่เหลือล้วนอยู่ในขอบเขตนภมายาหรือสูงกว่ากันทั้งหมด
ผู้อาวุโสของตระกูลฉินนั้นเรียกได้ว่ารักใคร่ปรองดอง พวกเขามีความสามัคคีกลมเกลียวและไม่เคยมีเรื่องบาดหมางทะเลาะเบาะแว้งกันมาก่อน
ผู้เป็นพี่ชายบอกกล่าวเรื่องราวและเอ่ยแนะนำคนในตระกูลให้น้องสาวฟังในขณะที่เดินไปยังห้องรับรองจนในที่สุดสองพี่น้องจากหลิงซีก็เดินมาจนถึงจุดหมาย บัดนี้ประตูห้องรับรองของเรือนหลักตระกูลฉินตั้งอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่แล้ว
“เสี่ยวโร่ว เจ้ารออยู่ด้านนอกก่อนนะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเสี่ยวโร่ว และเดินตามฉินอี้เฟยเข้าไปด้านใน
ภายในห้องโถงแห่งนี้ ฉินเฟินกำลังหารือบางอย่างอยู่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของตระกูล ในตอนนั้นเองที่พวกเขามองเห็นฉินอี้เฟยเดินเข้ามา
เป็นเพราะว่าฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษอยู่จึงทำให้ผู้นำตระกูลสูงอายุไม่ได้สังเกตเห็นดรุณีน้อยที่มากับหลานชายเขาตั้งแต่แรก
“อี้เฟยเจ้ามาแล้วรึ”
ฉินเฟินส่งยิ้มใจดีให้ฉินอี้เฟยและเอ่ยปากกล่าว
ฉินอี้เฟยพยักหน้า ในตอนที่เขากำลังจะแนะนำตัวฉินอวี้โม่ที่อยู่ข้าง ๆ นั้น จู่ ๆ ฉินอีเฟิงก็ลุกขึ้นมา
“เสี่ยวอวี้โม่ ?”
ในตอนที่นางเดินเข้ามาพร้อมกับฉินอี้เฟย ผู้อาวุโสเจ็ดก็สังเกตเห็นคนร่างเล็กที่เดินตามหลานชายมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาแต่ทว่าก็ยังไม่แน่ใจจนกระทั่งได้เห็นใบหน้างามนั้นชัดเจน ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลฉินก็ลุกขึ้นมาและอุทานด้วยความประหลาดใจ
“ท่านลุงเจ็ด ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้ฉินอีเฟิง
ด้วยอาการของฉินอีเฟิง รวมถึงชื่อของฉินอวี้โม่ที่ออกมาจากปากของเขา ฉินเฟินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ด้านในสุดก็ลุกขึ้นยืนในทันที
เหล่าผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินที่เหลืออีกหกคนก็ลุกยืนขึ้นเช่นกัน
สายตาทุกคู่ของทุกคนล้วนแต่จ้องมองมายังฉินอวี้โม่ แววตาของพวกเขามีทั้งความปลาบปลื้ม ตื่นเต้น และอยากรู้อยากเห็นเจืออยู่ เหนือสิ่งอื่นใดคือพวกเขายินดีไม่น้อยที่ได้เห็นนางในวันนี้
“ท่านปู่ ท่านลุงทั้งหลาย นี่คือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ น้องสาวของข้าเอง”
เมื่อฉินอี้เฟยเห็นแววตาตื่นเต้นยินดีและความประหลาดใจของทุกคน เขาก็ยิ้มและรีบแนะนำตัวน้องสาวก่อนจะดันร่างบางของฉินอวี้โม่ให้ก้าวออกไปด้านหน้า
เมื่อเห็นรูปร่างหน้าตาของฉินอวี้โม่อย่างแจ่มชัด ฉินเฟินและผู้อาวุโสทั้งหลายก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางดูคล้ายกับฉินอี้เฟยมากกว่าหกถึงเจ็ดส่วน เพียงแต่ฉินอวี้โม่ดูอ่อนหวานละมุนละไมกว่ามาก ผิวขาวบางนั้นเนียนละเอียดกว่าและมีความงามที่น่าดึงดูดตามแบบอิสตรี แม้ว่านางจะมาในชุดบุรุษแต่ก็ยังยากที่จะปิดบังความงดงามของนางได้
“อวี้โม่ ? ลูกสาวของเทียนเอ๋อร์กับเสี่ยวอวิ๋น หลานสาวตัวน้อยของข้าจริง ๆ อย่างนั้นรึ ?”
ฉินเฟินค่อย ๆ เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาเอ่ยขึ้นด้วยอาการตื่นเต้นที่ไม่อาจปกปิด
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะรีบคุกเข่าลงทันที “อวี้โม่ยินดีที่ได้พบท่านปู่และผู้อาวุโสทุกคน”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่คุกเข่าลงกับพื้นแล้วก้มลงคารวะพวกเขา ฉินเฟินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างปลื้มปีติ
“อวี้โม่รีบลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องเป็นทางการนักก็ได้”
ฉินเฟินรีบดึงตัวฉินอวี้โม่ขึ้นมา เขาสำรวจไปทั่วใบหน้าและร่างเล็ก ๆ เพื่อมองดูนางให้ชัด ๆ
“นี่คือหลานสาวของฉินเฟินเฒ่าผู้นี้จริง ๆ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากไม่ต่างจากพี่ชายของเจ้าเลยสักนิด !”
ฉินเฟินพยักหน้าอย่างมีความสุขก่อนจะจัดแจงที่นั่งให้แก่ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย จากนั้นทุกคนก็กลับไปนั่งประจำที่ของตัวเองอีกครั้ง
“เสี่ยวอวี้โม่ ข้าได้ยินว่าเจ้าฝึกฝนอยู่ในป่าแสงจันทร์ถึงครึ่งปีก่อนที่จะมายังนครไป๋อวิ๋น ในตอนนี้เจ้าอยู่ในระดับใดแล้วล่ะ ?”
ผู้อาวุโสห้ามองดูฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
ก่อนหน้านี้ หลังจากฉินอีเฟิงกลับมาจากป่าแสงจันทร์ก็ได้แจ้งว่าพบกับฉินอวี้โม่หลานสาวผู้พลัดพราก อีกทั้งยังได้กล่าวถึงเรื่องความแข็งแกร่งอันน่าตกใจของนางให้พวกเขาได้ทราบ
ด้วยเหตุนี้จอมยุทธ์ทั้งหลายในตระกูลจึงอยากรู้อยากเห็นเรื่องระดับพลังของนางมาก
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าผู้อาวุโสทุกคนของตระกูลฉินนั้นน่าเลื่อมใส พวกเขาดูจริงใจและสามารถไว้วางใจได้ นั่นทำให้นางคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่นางต้องปิดบัง
สาวน้อยผู้งดงามยิ้มบาง ก่อนจะเรียกสัญลักษณ์แห่งระดับพลังออกมาแสดงให้ทุกคนดู
ฉินเฟินและผู้อาวุโสทั้งหลายสัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แกร่งแข็งจากร่างกายของฉินอวี้โม่ ก่อนที่ทุกคนจะมองเห็นสัญลักษณ์รูปกระบี่เล่มเล็กเจ็ดเล่มปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้าของนาง
เมื่อจอมยุทธ์บรรลุถึงขอบเขตนภมายาแล้ว รูปดวงดาวที่ใช้แสดงระดับพลังก็จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นสัญลักษณ์รูปกระบี่ และกระบี่เล็ก ๆ ทั้งเจ็ดเล่มนี้ก็แสดงถึงว่านางอยู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดารา
สาวน้อยอายุไม่ถึงสิบเจ็ดปีแต่ก็บรรลุถึงขอบเขตนภมายาได้แล้ว นี่นับเป็นอัจฉริยะที่หาตัวจับได้ยากยิ่งในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้
“สวรรค์ ข้าไม่ได้มองผิดไปใช่ไหม ?! นภมายาเจ็ดดารา ตอนนี้ระดับพลังของเสี่ยวอวี้โม่แข็งแกร่งกว่าข้าอีกหรือ ?”
ฉินอีเฟิงเบิกตากล่าวด้วยความประหลาดใจ เขามองหลานสาวตัวน้อยอย่างตกตะลึงราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด
ผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็มีอาการไม่ต่างจากฉินอีเฟิง ทุกคนประหลาดใจกับระดับพลังของฉินอวี้โม่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก
ทุกคนล้วนทราบดีว่าครั้งล่าสุดที่ฉินอีเฟิงได้พบเจอกับฉินอวี้โม่ภายในป่าแสงจันทร์นั้น เวลานั้นนางยังอยู่เพียงขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา นี่เพิ่งผ่านพ้นไปเพียงครึ่งปี ทว่านางกลับก้าวขึ้นมาอยู่ขอบเขตนภมายาเจ็ดดาราแล้ว…แล้วจะไม่ให้คนแก่ ๆ อย่างพวกเขาที่ต้องทุ่มเทเวลาหลายต่อหลายปีเพื่อเลื่อนขึ้นสักหนึ่งดาราตกใจได้อย่างไร ?
“ฮ่า ๆ ๆ หลานสาวของข้ามีพรสวรรค์สูงส่งไม่มีใครเทียบเทียม !”
ฉินเฟินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง
ฉินอวี้โม่คือหลานสาวของเขา แน่นอนว่าเขาย่อมต้องอยากให้นางแข็งแกร่งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฉินอี้เฟยเองก็เคยทำให้ตระกูลฉินประหลาดใจมาแล้วครั้งหนึ่ง ในตอนนี้เพิ่มฉินอวี้โม่ที่มีพรสวรรค์สูงส่งมากอีกหนึ่งคน ฉินเฟินรู้สึกว่าอนาคตของตระกูลฉินต่อไปในภายภาคหน้าก็คงไร้ขีดจำกัด
เมื่อความตื่นเต้นของเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายเริ่มสงบลง ผู้อาวุโสห้าก็กล่าวขึ้นมา “เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วยใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเรื่องนี้นางไม่ปฏิเสธ ขอเพียงแต่ไม่ต้องกล่าวถึงกายเทพมายาก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เรื่องสถานะของผู้ฝึกสัตว์อสูรแม้จะถูกเปิดเผยออกไป นางก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นปัญหา
“ข้าคิดมาเสมอว่าอี้เฟยคืออัจฉริยะที่พิเศษกว่าใคร ไม่คิดเลยว่าน้องสาวของเขาจะน่าตกใจยิ่งกว่า ฉินเทียน ลูกของเจ้าเด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ !”
ผู้อาวุโสห้าตกตะลึงกับพรสวรรค์อันน่าตกใจของฉินอวี้โม่มากจนอดไม่ได้ที่จะกล่าววาจาเช่นนั้นออกไป อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความผ่อนคลาย และไม่มีความอิจฉาริษยาแอบแฝงอยู่แม้แต่น้อย
“เอาละผู้อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พวกเราก็ได้หารือกันมาพอสมควรแล้ว ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอพูดคุยกับอี้เฟยและอวี้โม่สักหน่อย”
เมื่อมองฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย ฉินเฟินก็นึกเรื่องบางเรื่องขึ้นมาได้ ผู้นำตระกูลสูงอายุจึงกล่าวประโยคนั้นกับเหล่าผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสตระกูลฉินทุกคนเข้าใจดีว่าฉินเฟินต้องการจะสนทนากับหลานทั้งสองของเขาเป็นการส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดคิดจะคัดค้าน ทุกคนต่างก็บอกลาแล้วพากันแยกย้าย
“อวี้โม่ อี้เฟย ตามข้ามา”
ฉินเฟินลุกขึ้นยืนและเดินนำฉินอี้เฟยและฉินอวี้โม่ไปยังห้องด้านในที่อยู่ติดกับห้องรับรอง
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสามคนปู่หลานออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงร้องเรียกดังขึ้นจากด้านหลังก่อนที่จะมีเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบกำลังเข้ามาใกล้
“ท่านพ่อ ได้ยินว่าเสี่ยวอวี้โม่มาที่ตระกูลรึขอรับ ?”
ที่มาของเสียงนั้นคือผู้เป็นอาของฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟย–ฉินหยาง
ทันทีที่พวกเขาหันกลับไปก็พบร่างของบุรุษวัยกลางที่มีใบหน้าคล้ายกับฉินอี้เฟยอยู่หลายส่วนกำลังเดินตรงเข้ามาหา
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ ฉินหยางก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจก่อนจะโผเข้ากอดหลานสาวอย่างหนักแน่นแล้วกล่าว “เสี่ยวอวี้โม่ ข้าคืออาของเจ้าเอง ฉินหยาง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและโค้งตัวคารวะฉินหยางอย่างนอบน้อม
ฉินหยางผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา เขาไม่เคยถือตัวจึงเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย
“หยางเอ๋อร์ เจ้ามาก็ดีแล้ว เราเข้าไปที่ห้องเล็กกันเถอะ ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะพูดคุยกับอวี้โม่และอี้เฟย”
ฉินเฟินกล่าวก่อนจะเดินนำทุกคนเข้าไปที่ห้องด้านใน
ฉินอวี้โม่และฉินอี้เฟยเดินตามฉินเฟินไปติด ๆ ฉินหยางเองก็ตามไปด้วยเช่นกัน
คุณหนูผู้พลัดพรากคาดเดาว่าเรื่องที่จะพูดคุยกันในวันนี้คงจะเกี่ยวข้องกับตัวนางอย่างแน่นอน
.
.
ชีวิตในช่วงเวลานี้ของฉินอี้เฟยนั้นยุ่งมากเหลือเกิน ภารกิจและงานที่เขาต้องรับผิดชอบกองท่วมหัวจนแทบจะรับมือไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ในวันนี้เขาสละเวลาอันมีค่าและวางแผนจะกลับไปยังจวนตระกูลฉิน ซึ่งเหตุผลก็เป็นเพราะเมื่อหลายเดือนก่อนเขาได้รับข่าวจากทางตระกูลว่ามีผู้พบตัวน้องสาวของเขา–ฉินอวี้โม่ ภายในป่าแสงจันทร์ และยังบอกอีกด้วยว่านางจะมาที่ตระกูลฉินในนครไป๋อวิ๋นในเร็ว ๆ นี้
ฉินอี้เฟยไม่ได้กลับไปที่เมืองหลิงซีนานกว่าห้าปีแล้ว และนั่นก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากกลับไปแต่เป็นเพราะเหตุผลบางประการที่ทำให้เขาไม่สามารถกลับไปได้
หลังจากได้ทราบข่าวคราวของนางสาว ฉินอี้เฟยก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง คุณชายตระกูลฉินดีใจมากอย่างที่ในหลายปีมานี้ไม่เคยเป็นมาก่อน
นั่นก็เพราะว่าฉินอี้เฟยรักและเป็นห่วงน้องสาวผู้นี้มากเหลือเกิน เมื่อครั้งยังเด็ก ในสมัยอยู่ในเมืองหลิงซี หากพี่ชายอย่างเขายังอยู่ก็จะไม่มีผู้ใดกล้ารังแกฉินอวี้โม่ ทว่าด้วยเหตุผลจำเป็นบางอย่างทำให้เขาต้องพลัดพรากจากนาง แต่ถึงแม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาตัวเขาจะอยู่ในนครไป๋อวิ๋นทว่าจิตใจก็ยังคงเป็นห่วงน้องสาวในเมืองหลิงซีอยู่ตลอด
อันที่จริงไม่มีผู้ใดทราบว่าน้องสาวของเขาจะเดินทางมาถึงไป๋อวิ๋นเมื่อใด แต่เพราะรู้ว่าการสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้นในไม่ช้า ฉินอี้เฟยจึงคาดเดาเอาว่าอาจจะได้เวลาที่ฉินอวี้โม่จะมาที่นี่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะไปที่ตระกูลฉินเพื่อถามข่าว
ทว่าไม่คิดเลยว่าเมื่อออกจากสมาคมโอสถมาได้ไม่นานนัก เขาจะบังเอิญพบเจอกับสตรีผู้ยืนอยู่ข้างกายในเวลานี้
สตรีเลอโฉมผู้นี้คือหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร นางมีนามว่า หวังรั่วอี และบุรุษหนุ่มเจ้าของหมูป่าอสูรที่นางกล่าวว่าเป็นน้องชายของตนนั้น มีนามว่า หวังรั่วจวิน
ฉินอี้เฟยไม่ชอบสตรีผู้นี้เท่าใดนัก แม้ว่าหวังรั่วอีจะมีรูปโฉมงดงาม กิริยามารยาทดูสุภาพอ่อนหวาน ช่างเจรจา และมีอัธยาศัยดี ทว่านั่นก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น
แต่แท้จริงแล้วนิสัยโดยเนื้อแท้ของคนผู้นี้คือสตรีหยิ่งยโส อีกทั้งนางยังเห็นแก่ตัวมากอีกด้วย
คนประเภทหนึ่งที่ฉินอี้เฟยเกลียดที่สุดก็คือคนกลับกลอก หน้าไหว้หลังหลอก และหวังรั่วอีผู้นี้ก็มีคุณสมบัติดังเช่นที่เขาไม่ชอบครบทุกประการ หากไม่ใช่เพราะสมาคมโอสถของเขาถือเป็นพันธมิตรที่ดีและมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแล้ว เขาก็จะคงไม่ขอข้องเกี่ยวหรือเข้าใกล้สตรีผู้นี้
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้น เกิดจากการที่หวังรั่วจวินไม่ฟังคำเตือนของเขาและผู้เป็นพี่สาวของตัวเอง คุณชายแห่งสมาคมยิ่งใหญ่ที่โตแต่ตัวผู้นั้นขี่อสูรมายาตัวยักษ์แล้วควบทะยานไปตามท้องถนนอย่างน่าหวาดเสียว
เดิมทีฉินอี้เฟยต้องการจะเข้าไปหยุดเด็กหนุ่มผู้ซุกซน ทว่ากลับถูกหวังรั่วอีดึงตัวไว้เสียก่อน เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง หวังรั่วจวินก็ควบหมูป่ายักษ์พุ่งออกไปไกลแล้ว
เมื่อพวกเขาเดินไล่ตามมาทัน ฉินอี้เฟยก็พบว่าเกือบมีเด็กน้อยได้รับบาดเจ็บจากความคึกคะนองของคุณชายตระกูลหวังเสียแล้ว ทว่ายังโชคดีที่มีคนผู้หนึ่งช่วยเหลือไว้ได้ นั่นทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกโล่งอกเป็นอย่างมาก แต่คล้ายสวรรค์กลั่นแกล้งเพราะเรื่องยุ่งก็เกิดขึ้นมาอีกจนได้ เมื่อหนุ่มน้อยตัวเล็กผู้มากับชายหนุ่มผู้ช่วยชีวิตเด็กน้อยกลับไปทำร้ายหวังรั่วจวินเข้า
อันที่จริงฉินอี้เฟยมาทันเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แน่นอนว่าเขาย่อมมีโอกาสจะเข้าไปหยุดหนุ่มร่างเล็กเพื่อช่วยหวังรั่วจวิน อย่างไรก็ตาม เพราะรู้สึกว่าคนอย่างหวังรั่วจวินก็สมควรจะถูกสั่งสอนเสียบ้างเผื่อว่าจะได้หลาบจำและไม่ทำสิ่งเอาแต่ใจอีก
ในตอนนั้น ฉินอี้เฟยจึงเลือกยืนดูอยู่เฉย ๆ และเขายอมรับว่าตนเองก็แอบรู้สึกสะใจอยู่บ้าง
หลังจากจัดการสั่งสอนหวังรั่วจวินเสร็จแล้ว บุรุษสองคนนั้นก็ต้องการจะจากไป ทว่ากลับถูกหวังรั่วจวินยื้อเอาไว้ ยิ่งไปกว่านั้นหวังรั่วอียังลากเขาเข้าไปยุ่งแล้วเอ่ยประโยคเมื่อสักครู่กับเขาอีก
ในคราแรก ฉินอี้เฟยมองเห็นใบหน้าของบุคคลผู้มีเรื่องกับคุณชายตระกูลหวังจากระยะไกลได้ไม่ชัดเจน และด้วยชุดบุรุษที่พวกนางสวมใส่ เขาจึงคิดว่าคนทั้งสองนั้นเป็นบุรุษ จนกระทั่งในตอนที่พวกนางหันกลับมาหลังด้วยเสียงเรียกของหวังรั่วอี เขาจึงได้เห็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคยและโหยหาอีกครั้ง เมื่อแรกเห็นฉินอี้เฟยก็ตกตะลึงไม่น้อย ทว่าหลังจากนั้นเพียงไม่นานความปีติยินดีก็เข้ามาแทนที่
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ ? เสี่ยวโร่ว ?” ฉินอี้เฟยโพล่งวาจาออกมาอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอกันมานานเกือบหกปีแล้ว ทว่าฉินอี้เฟยยังคงจดจำใบหน้าของน้องสาวตัวเองได้ขึ้นใจ ซึ่งก็รวมถึงสาวน้อยเสี่ยวโร่วด้วย
ในตอนที่ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างชัดเจน พวกนางก็ชะงักงันไป นั่นก็เพราะมันเป็นใบหน้าแสนคุ้นตาของคนที่เคยใกล้ชิด แม้ว่าจะจากกันไปนานแต่พวกนางก็ยังจำฉินอี้เฟยได้
“คุณชายใหญ่ ?”
เสี่ยวโร่วอดไม่ได้ที่จะเอามือขึ้นมาขยี้ตาตัวเอง นางไม่อยากจะเชื่อจริง ๆ
“พี่ใหญ่ !”
คำคำนี้อดีตคุณหนูไม่ได้เอ่ยมานานมากแล้ว ในตอนนี้หัวใจของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยความตื้นตันปนตื่นเต้นยินดี แม้ว่าเธอจะไม่ใช่คุณหนูสี่ตัวจริง ทว่าความทรงจำของคุณหนูสี่แห่งหลิงซีทั้งหมดนั้นแจ่มชัดอยู่ในหัว ดังนั้นความรู้สึกรักและผูกพันต่อบุคคลตรงหน้าจึงคงมีอยู่อย่างเข้มข้นเสมือนว่าเธอคือน้องสาวของบุคคลผู้นี้จริง ๆ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าความรัก ความคิดถึง และความอาทรทั้งหมดของคุณหนูสี่คนก่อนส่งต่อมาถึงตัวเธอ นี่สินะความผูกพันทางสายเลือด
ยิ่งกว่านั้นภายในความทรงจำนี้ ฉินอี้เฟยยังแสนดีกับนางเสมอมา เขาตามใจนางทุกอย่างราวกับว่าหากนางอยากได้ดาวบนท้องฟ้า ผู้เป็นพี่ชายอย่างเขาก็จะพยายามปีนขึ้นไปเก็บมันมามอบให้
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เป็นเจ้าจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำเรียกขานจากปากของฉินอวี้โม่ และได้มองใบหน้าของนางอย่างชัดเจน ฉินอี้เฟยก็ฉีกยิ้มกว้าง
คุณชายตระกูลฉินรีบโผเข้าไปหาน้องสาวของตนอย่างรวดเร็ว ฉินอี้เฟยคว้ามือบางของน้องสาวขึ้นพลางมองสำรวจไปทั่วร่างกายเล็ก ๆ ก่อนจะสวมกอดนางอย่างแสนคะนึงหา ริมฝีปากของเขาฉีกกว้างเต็มหน้าจนเกือบจะถึงใบหู
เมื่อเห็นความปลื้มปีติและแววตาห่วงหาอาทรของผู้เป็นพี่ชาย ฉินอวี้โม่เองก็จิตใจสั่นไหวตามไปด้วย นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างให้เขาเช่นกัน วันนี้หัวใจของนางรู้สึกอบอุ่นมากจริง ๆ
หวังรั่วอีได้แต่ยืนนิ่งค้างและมองภาพตรงหน้าอย่างโง่งม นางกำลังรอดูฉากที่ฉินอี้เฟยสั่งสอนเด็กหนุ่มโง่เง่าไม่เจียมตัวสองคนนั้น ทว่าไม่คิดเลยว่าเหตุการณ์มันจะกลับตาลปัตรได้ถึงเพียงนี้ สองคนที่นางคิดว่าเป็นผู้ชายดันกลับกลายเป็นผู้หญิงไปเสียได้ !
และที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ บุรุษที่นางไม่เคยเห็นว่าจะแสดงความใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับผู้ใดเลยอย่างฉินอี้เฟยจะเข้าไปสวมกอดสาวงามที่เพิ่งจะพบเจอกันอย่างสนิทชิดเชื้อได้ถึงเพียงนั้น !
เมื่อเห็นภาพเช่นนั้น หวังรั่วอีก็กัดฟันกรอด นางมีความรู้สึกที่ดีให้ฉินอี้เฟยมาตลอด และในตอนนี้นางก็อดคิดไม่ได้ว่าที่ผ่านมาที่คนผู้นี้ไม่เคยสนใจนางอาจเป็นเพราะสตรีที่เขาสวมกอดคนนี้หรือไม่ ?
“เสี่ยวโร่ว เจ้าโตขึ้นเยอะเลยนะ”
ฉินอี้เฟยปล่อยฉินอวี้โม่ก่อนจะหันมาลูบศีรษะเสี่ยวโร่วน้อยที่กำลังยืนตื่นเต้นอยู่ข้าง ๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ไม่นานนักก็ราวกับว่าฉินอี้เฟยคิดบางอย่างได้ เขารีบดึงมือกลับมาด้วยใบหน้ากระอักกระอ่วน
อาการเช่นนั้นของพี่ชาย ฉินอวี้โม่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ในตอนที่พวกนางยังเล็ก ๆ ฉินอี้เฟยมักจะแสดงความรักต่อนางและเสี่ยวโร่วด้วยวิธีนี้อยู่บ่อยครั้งจนเขารู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เสี่ยวโร่วโตขึ้นมากแล้ว นั่นคงทำให้ฉินอี้เฟยรู้สึกว่าการทำเช่นนี้อาจจะไม่เหมาะสม
ทว่าโชคดีที่เสี่ยวโร่วน้อยไม่มีปฏิกิริยาผิดแปลก นางยังคงเหมือนเดิม ซึ่งก็ช่วยให้ฉินอี้เฟยยิ้มเต็มหน้าได้อย่างมีความสุข
ขณะที่หวังรั่วจวินที่นั่งอยู่บนพื้นนั้น เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็รู้สึกน้ำท่วมปาก คุณชายผู้เอาแต่ใจรู้สึกว่าร่างกายของเขาเจ็บปวดยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“พี่อี้เฟย คนพวกนั้นมันรังแกข้า ท่านต้องช่วยข้าสิถึงจะถูก”
หวังรั่วจวินกล่าวออกไปด้วยความโมโห เขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้
“เสี่ยวจวิน หุบปากเดี๋ยวนี้”
ในตอนนั้นเองหวังรั่วอีก็รีบดุน้องชายก่อนจะค่อย ๆ เดินนวยนาดเข้ามาด้วยรอยยิ้ม
“พี่อี้เฟย สองคนนี้คือ…?”
หวังรั่วอีแสร้งมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วด้วยสายตาอ่อนโยน ทว่าอดีตนักฆ่าสาวดูความจริงใจของผู้หญิงคนนี้ออก แววตาของอีกฝ่ายแฝงไปด้วยความริษยาและเกลียดชังอยู่หลายส่วน
“นี่คือน้องสาวของข้าเอง–ฉินอวี้โม่ ส่วนสาวน้อยคนนี้คือเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกัน–เสี่ยวโร่ว”
ฉินอี้เฟยเอ่ยปากแนะนำด้วยเสียงเบา ทว่าน้ำเสียงที่เขาใช้ดูจะแปลกไปสักเล็กน้อย
“คุณหนูหวัง อย่างไรวันนี้ข้าจะไปที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรและพูดกับท่านประธานสมาคมเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในนี้เอง แต่ข้าคงต้องขอไปส่งน้องสาวที่ตระกูลฉินก่อน”
หลังจากกล่าวจบ ฉินอี้เฟยก็จูงมือฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินจากไป
ในตอนแรกที่ได้ยินว่าฉินอวี้โม่คือน้องสาวของฉินอี้เฟยหวังรั่วอีก็ชะงักไปเล็กน้อย ทว่าไม่นานรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้านวลของนาง
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นน้องสาว ถ้าเช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด เรื่องนี้นางควรจะรู้สึกยินดีด้วยซ้ำ ส่วนเด็กสาวอีกคนผู้มีนามว่าเสี่ยวโร่วที่เขาบอกว่าเป็นสหายยามเด็กนั้น หวังรั่วอีไม่เห็นอยู่ในสายตา สาวน้อยนั่นยังเด็กเกินกว่าจะเป็นคู่แข่งของนางได้จึงไม่จำเป็นที่นางจะต้องใส่ใจนัก
“อย่าเลย พี่อี้เฟย เรื่องนี้เป็นความผิดของเสี่ยวจวินน้องชายข้าเอง ข้าจะให้เขาขอโทษอวี้โม่เดี๋ยวนี้”
หวังรั่วอีเรียกฉินอี้เฟยเพื่อตัวยื้อเขาไว้
“สวัสดีอวี้โม่ ข้าหวังรั่วอีเป็นหลานสาวของประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร เจ้าเรียกข้าว่าพี่รั่วอีก็ได้ ส่วนนี่ก็น้องชายของข้า เขาเพียงแต่ซุกซนไปบ้าง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาหาความเขา”
หวังรั่วอีเดินเข้ามาหาฉินอวี้โม่ก่อนจะยิ้มอ่อนหวานส่งให้ วาจาหวานหูของนางฟังดูเป็นมิตรไม่น้อย
ทว่าเมื่อดูจากท่าทางและได้ฟังคำพูดของหวังรั่วอีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจเจตนารมณ์และสิ่งที่สตรีตรงหน้ากำลังคิดอยู่ในทันที
ไม่ว่าอย่างไรแม่ดอกบัวขาวผู้นี้ก็ไม่เหมาะสมกับพี่ชายของนางแม้แต่น้อย
“คุณหนูหวังช่างสุภาพอ่อนหวานยิ่งนัก ในอนาคตข้าหวังว่าท่านจะอบรมน้องชายหยาบคายต่ำช้าของท่านให้ดีขึ้น หากครั้งหน้าเขายังทำตัวเหมือนอย่างวันนี้ ข้าอาจจะไม่ละเว้นเขาอีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่เอ่ยปากขึ้นมา น้ำเสียงของนางฟังดูไม่รับแขกแม้แต่น้อย
ที่เป็นเช่นนั้นเป็นเพราะว่านางไม่ชอบผู้หญิงดอกบัวขาว ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายดูสนิทสนมกับพี่ชายของนาง นางคงจะไม่ยอมเสียเวลาสนทนาด้วยซ้ำไป
“ข้าจะทำตามที่อวี้โม่พูด เมื่อข้ากลับไปแล้ว ข้าจะไปบอกให้ท่านปู่ลงโทษเขา”
หวังรั่วอีไม่ได้โกรธ นางพยายามไม่ถือสาคำพูดของอีกฝ่าย นางคิดว่าอาจจะเป็นเพราะฉินอวี้โม่ไม่ชอบติดต่อกับผู้คนจึงไม่รู้จักการวางตัวต่อหน้าคนอื่น
“ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากปากของพี่อี้เฟยอยู่บ่อย ๆ แต่ข้าไม่คิดเลยว่าน้องอวี้โม่จะงดงามเสียยิ่งกว่าที่พี่อี้เฟยบรรยายไว้”
วาจาหวานหยดย้อยของหวังรั่วอีทำให้ฉินอวี้โม่หมดคำพูด
“พี่อี้เฟย ในเมื่อวันนี้เสี่ยวจวินไปหาเรื่องก่อกวนน้องอวี้โม่ เหตุใดเย็นนี้พวกเราทั้งหมดถึงไม่ไปทานอาหารกันที่ตึกเต๋อเยว่ล่ะ จะได้เป็นการขอโทษน้องอวี้โม่ด้วย”
ในขณะที่กล่าวออกไป สายตาของหวังรั่วอีก็จับจ้องอยู่ที่ฉินอี้เฟยราวกับรอให้เขาพยักหน้า
“ข้าว่าอย่าดีกว่า เสี่ยวโม่เอ๋อร์เพิ่งจะมาถึงนครไป๋อวิ๋น พวกเรายังมีธุระหลายอย่างที่ต้องทำ”
ฉินอี้เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมเอ่ยปากปฏิเสธอย่างรวบรัดตัดความ ก่อนจะรีบจูงมือฉินอวี้โม่ออกเดินตรงไปยังทิศทางที่จวนตระกูลฉินตั้งอยู่
เสี่ยวโร่วสาดสายตาสมน้ำหน้าเข้าใส่หวังรั่วจวินที่อยู่บนพื้นเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะรีบไล่ตามเจ้านายทั้งสองของนางไป
เมื่อมองเห็นแผ่นหลังของสองพี่น้องตระกูลฉินเดินจากไป หวังรั่วอีก็กระตุกยิ้มมุมปาก ตอนนี้นางเกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมาแล้ว นางจะตีสนิทกับฉินอวี้โม่เพื่อพิชิตใจฉินอี้เฟย นางจะใช้หญิงสาวคนนั้นเป็นสะพานข้ามไปหาบุรุษที่นางหมายปอง
“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงได้เข้าข้างพวกเขาล่ะ ?”
หวังรั่วจวินลุกขึ้นมาจากพื้นและมองหวังรั่วอีด้วยความไม่พอใจ
“เหอะ ! เจ้าเด็กดื้อด้าน วันนี้เจ้าเกือบจะทำให้ข้าต้องขายหน้าต่อหน้าพี่อี้เฟย กลับไปข้าจะฟ้องท่านปู่ให้ลงโทษเจ้า !”
หวังรั่วอีดุน้องชายเสียงเข้ม นางหันหลังเดินจากไปโดยไม่หันไปมองเขาอีก สาวงามตระกูลหวังเดินตรงไปยังที่ตั้งของสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร
หวังรั่วอีได้แต่คิดว่าเหตุใดน้องชายของนางถึงได้โง่งมและไม่เอาไหนมากมายขนาดนี้ ชาตินี้ทั้งชาตินางคงไม่มีหวังได้เห็นน้องชายตัวดีประสบความสำเร็จเป็นแน่
เมื่อได้ยินวาจาของพี่สาว หวังรั่วจวินก็ทำได้เพียงเกาหัวอย่างงุนงง เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก เป็นเพราะตกจากหลังอสูรมายาอีกทั้งยังถูกสาวน้อยผู้นั้นซัดจนเละ เวลานี้บุรุษผู้คึกคะนองจึงปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว คุณชายตระกูลหวังเรียกหมูป่ายักษ์แล้วออกเดินตามหลังพี่สาวไปด้วยความเหนื่อยหน่าย
“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ เหตุใดเจ้าถึงมานครไป๋อวิ๋นกับเสี่ยวโร่วแค่สองคน ? แล้วท่านแม่ล่ะ ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ระหว่างทางไปตระกูลฉิน ฉินอี้เฟยก็ถามคำถามนี้ขึ้น น้ำเสียงของเขาฟังดูเป็นกังวลอยู่หลายส่วน
เมื่อได้ยินคำถามของพี่ชาย ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้ว นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
“คุณชาย ตอนนี้พวกเราทั้งหมดออกจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีแล้ว ส่วนฮูหยิน ฮูหยินหายตัวไปแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ไม่ยอมตอบ เสี่ยวโร่วจึงอดไม่ได้ที่จะช่วยตอบ สาวใช้น้อยกล่าวเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงที่หดหู่และเศร้าสร้อย
“อะไรนะ ท่านแม่หายตัวไป !”
ประโยคแรกที่เสี่ยวโร่วกล่าวออกมานั้น ฉินอี้เฟยไม่ได้คิดสิ่งใดเกี่ยวกับมันมากนัก ทว่าเมื่อได้ยินประโยคหลังที่นางบอกว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปก็ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาซีดเซียวอย่างตกใจในทันทีก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงด้วยความปวดร้าว
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ ท่านแม่แค่หายตัวไปเท่านั้นแต่คงไม่มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเราต้องพบเบาะแส”
ฉินอวี้โม่รีบกล่าวขึ้นมาก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลิงซีในตอนที่มารดาถูกจับตัวไปให้พี่ชายฟัง
แน่นอนว่านางไม่อยากจะให้ฉินอี้เฟยเป็นกังวลและรู้สึกแย่ ฉินอวี้โม่จึงไม่ได้เล่าเรื่องที่นางถูกรังแกมาตลอดหลายปีออกไป ในเวลาเดียวกันนางก็ส่งสายตาห้ามเสี่ยวโร่วที่กำลังจะเอ่ยปาก
สาวใช้น้อยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องที่เยี่ยเสี่ยวตี๋เป็นต้นเหตุให้อวี้เสี่ยวอวิ๋นมารดาของพวกเขาทั้งสองต้องหายตัวไป พี่ชายของนางก็ควรได้รับรู้
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ สตรีบัดซบ ! ข้าเสียใจจริง ๆ ที่ไม่ได้ฆ่านาง !”
เมื่อได้ฟังเรื่องที่ฉินอวี้โม่เล่า ฉินอี้เฟยก็เดือดดาลขึ้นมาจนยากจะระงับโทสะเอาไว้ได้ แววตาของเขาเต็มไปด้วยรังสีสังหาร
หากเขารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาก็คงจะฆ่าเยี่ยเสี่ยวตี๋ทิ้งไปตั้งแต่แรก
“พี่ใหญ่วางใจเถอะ แม้ว่าตอนนี้เยี่ยเสี่ยวตี๋จะมีชีวิตอยู่ แต่นางก็ไม่ต่างอะไรจากขยะ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชา ก่อนที่นางจะออกมาจากเมืองหลิงซี นางได้ลงโทษสตรีน่ารังเกียจผู้นั้นไปเรียบร้อยแล้ว
.
สูงขึ้นไปเหนือพื้นดินนับร้อยจั้ง กำแพงสีขาวที่ดูหรูหราตระการตาตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า กำแพงเมืองแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่ากำแพงเมืองเยว่กวางที่ฉินอวี้โม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้ถึงสิบเท่า ! ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนที่กำลังเดินทางผ่านเข้าออกประตูเมืองขนาดใหญ่นั้นก็มีจำนวนมากมายและมีความคึกคักมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้…ที่นี่คือนคราอันยิ่งใหญ่–นครไป๋อวิ๋น เมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น
เหล่าจอมยุทธ์ผู้มีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและทรงพลังเดินกันขวักไขว่ หลายต่อหลายคนเดินผ่านฉินอวี้โม่เพื่อเข้าสู่ประตูเมืองอย่างไม่ขาดสาย และนี่เองที่ทำให้นางรู้สึกอัศจรรย์ใจในความยิ่งใหญ่ของมหานครแห่งนี้
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงเดินมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองอย่างไม่รีบร้อน ทหารที่เฝ้าหน้าประตูตรวจสอบและสอบถามพวกเขาตามระเบียบก่อนจะปล่อยให้คนทั้งสามผ่านเข้าไป
เมื่อผ่านเข้าสู่ประตูเมืองแล้ว ภาพของถนนหนทางที่กว้างขวางงดงามเป็นระเบียบ ความอลังการของตึกรามบ้านช่องสองข้างทางผนวกกับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนที่เดินผ่านไปมาก็ทำให้สาวน้อยจากเมืองไกลปืนเที่ยงทั้งสองต่างตื่นตาตื่นกับความเจริญรุ่งเรืองและความมีชีวิตชีวาของมหานครแห่งนี้อย่างมาก
ทางด้านตะวันออกของนครไป๋อวิ๋นเป็นที่ตั้งของพระราชวังขนาดใหญ่แห่งองค์จักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิไป๋อวิ๋นทั้งหมด ในขณะที่จวนแห่งสามตระกูลเรืองอำนาจต่างก็ตั้งอยู่กระจัดกระจายในแต่ละมุมเมืองของนคร
ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งจวนตระกูลโอวหยาง ทางตะวันตกเป็นที่ตั้งของตระกูลฉิน และทางทิศเหนือเป็นที่ตั้งของตระกูลเหล่ยซึ่งในจุดนี้ก็เป็นจุดที่อยู่ใกล้กับประตูใหญ่ของเมืองมากที่สุด
ส่วนเหล่าสมาคมมีชื่อมากมายทั้งใหญ่และเล็กนั้น ตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายทั่วทั้งพื้นที่ของนครไป๋อวิ๋น อาทิเช่น สมาคมทหารรับจ้างอยู่ใกล้ ๆ กับจวนตระกูลฉิน สมาคมช่างหลอมตั้งอยู่ใกล้เคียงตระกูลโอวหยาง สมาคมโอสถอยู่ถัดจากจวนตระกูลเหล่ย ส่วนสมาคมผู้ฝึกสัตว์จะอยู่ไม่ไกลจากพระราชวัง
นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกหนึ่งตระกูลที่มีชื่อเสียง ตระกูลนี้ถูกจัดเป็นตระกูลลับ พวกเขามีที่ตั้งไม่ชัดเจนและยากจะปรากฏตัวในที่แจ้ง อย่างไรก็ตาม พลังอำนาจของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตระกูลใหญ่ทั้งสามเลย หรืออาจเป็นไปได้ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทรงอำนาจมากยิ่งกว่าเสียด้วยซ้ำ –ซึ่งนั่นก็คือตระกูลหานของหานโม่ฉือ
เช่นเดียวกับตระกูลหาน ในนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ยังมีตระกูลลับอื่น ๆ อยู่อีกไม่น้อย และที่เป็นที่รู้จักกันดีก็ได้แก่ตระกูลหลิว
หลังจากเข้ามาในเมือง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปากบอกลาโอวหยางชิงเฟิงเพราะนางได้สัญญากับฉินอีเฟิงผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลฉินไว้ว่าหากมาถึงนครไป๋อวิ๋นแล้วจะไปยังจวนตระกูลฉินเป็นอันดับแรก
ครั้งนี้โอวหยางชิงเฟิงเพียงพยักหน้ารับคำโดยไม่ได้เอ่ยทัดทาน เขาเองก็ไม่ได้กลับบ้านมานานมากแล้ว ถึงจะไม่เคยพูดออกมาตรง ๆ แต่ในส่วนลึกแล้ว คุณชายรองผู้หนีออกจากตระกูลก็คิดถึงครอบครัวของตัวเองมาก
ฉินอวี้โม่พาเสี่ยวโร่วมุ่งตรงไปยังจวนตระกูลฉินในทันที และตลอดทางที่พวกนางเดินผ่าน สตรีทั้งสองก็เป็นที่สนใจของผู้คนมากมายทั้งชายและหญิง
แม้ว่าฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจะสวมใส่ชุดบุรุษทั้งคู่ ทว่าก็ไม่ได้สวมใส่ผ้าคลุมปิดบังหน้าตา ดังนั้นจึงมิอาจปกปิดความงดงามอ่อนหวาน รวมถึงกลิ่นหอมเย็นราวดอกไม้ป่าจากกายของพวกนางได้
รูปลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ กลิ่นอายอันสูงส่ง ท่วงท่ากิริยาแสนองอาจเยี่ยงบุรุษแต่มีใบหน้าและรูปโฉมงดงามราวเทพธิดาจากแดนสวรรค์ เป็นเหตุให้ชายหนุ่มหลายคนที่ได้พบฉินอวี้โม่เห็นต่างก็เผลอมองตาม และบ้างก็กลืนน้ำลายอย่างไม่อาจควบคุม
ส่วนเสี่ยวโร่วน้อยที่อยู่ข้างกายอดีตคุณหนู แม้ว่าจะยังไม่โตเป็นสาวเต็มตัว แต่สาวน้อยก็ฉายแววแห่งความงดงามและน่ารักสดใสออกมาจนสั่นคลอนหัวใจชายหนุ่มได้ไม่ต่างกัน
ด้วยเหตุนั้นจึงทำให้สตรีในชุดบุรุษทั้งสองเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนเป็นจำนวนมาก
“ข้าไม่รู้ว่าแม่นางผู้นั้นมาจากตระกูลใหญ่ตระกูลใด แต่นางช่างดูงดงามสูงส่งมีสง่าราศียิ่งนัก หากได้ทำความรู้จักกับนางคงถือเป็นเรื่องที่วิเศษไม่น้อย”
บุรุษผู้หนึ่งถึงกับอดไม่ได้ ต้องชี้ชวนสหายในวงสนทนาให้มองดูสตรีผู้เลอโฉมแล้วกล่าวชื่นชมออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
คนอื่น ๆ เองก็พยักหน้าเห็นด้วย ความงดงามสูงส่งระดับนี้ของฉินอวี้โม่ต่างก็ทำให้ผู้คนคิดเห็นตรงกันว่านางต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่โตตระกูลใดตระกูลหนึ่งเป็นแน่
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตามากมายที่กำลังจับจ้อง ทว่ากับเสี่ยวโร่วนั้นต่างออกไป เมื่อสาวใช้น้อยตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนจำนวนมากมายเช่นนี้ นางก็หน้าแดงซ่านด้วยความเขินอายจนแทบไม่อยากจะเดินต่อ
เมื่อครั้งยังอยู่ที่เมืองหลิงซี แม้ว่าตอนออกมาด้านนอกจวนนางและคุณหนูก็เป็นจุดสนใจเช่นกัน แต่หลิงซีนั้นเป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ พื้นของตลาดและถนนก็ไม่ได้กว้างขวาง ที่สำคัญก็ไม่ได้มีคนเยอะแยะมากมายเหมือนเช่นที่นี่ นั่นจึงทำให้เสี่ยวโร่วยังพอรับมือได้บ้าง
ทว่านครไป๋อวิ๋นเป็นเมืองที่ใหญ่โตมาก ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนมีมากกว่าในเมืองหลิงซีหลายสิบเท่า เสี่ยวโร่วที่ยังเป็นเพียงเด็กสาวแรกแย้ม เมื่อถูกจ้องมองขนาดนี้ก็จึงกังวลเป็นธรรมดา
“คุณหนู เราใกล้จะถึงหรือยังเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วยื่นหน้าเข้าไปใกล้คุณหนูของนาง ก่อนจะกระซิบถาม
“อีกนิดเดียวก็ถึงแล้วล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วกล่าว นางพอจะรับรู้ได้ว่าเสี่ยวโร่วกำลังรู้สึกเป็นกังวลและคงจะตึงเครียดอยู่บ้างกับสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอ ฉินอวี้โม่จึงเลือกตอบเช่นนั้นเพื่อให้กำลังใจสาวใช้น้อย
โฉมนารีทั้งสองเดินมาจนถึงหัวมุมถนนแห่งหนึ่ง ในขณะที่กำลังจะเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนทิศทาง จู่ๆ พวกนางก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น
เมื่อสิ้นเสียงตะโกนดังลั่นนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามของอสูรมายาอันดังสนั่น
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วรีบมองไปในทิศทางแห่งต้นกำเนิดเสียงก่อนจะพบอสูรมายารูปร่างคล้ายหมูป่าขนาดยักษ์ บนหลังหมูป่าตัวนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่
หากดูจากท่าทางและบวกรวมกับสัญชาตญาณของอดีตนักฆ่าแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้ว่าคนผู้นั้นไม่ใช่คนดีแน่ และในตอนนี้เขาก็กำลังควบหมู่ป่าตรงมาทางฉินอวี้โม่
“วู้~!”
“อู๊ดดดด~ คร่อก ๆ~”
แต่ทว่าในตอนนั้นเอง ร่างเล็ก ๆ ของหนูน้อยอายุสามถึงสี่ขวบผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและวิ่งเขามาขวางหน้าบุรุษขี่หมูป่าและอสูรมายาของเขา !
ในทันทีที่มองเห็นร่างหมูป่ายักษ์เด็กน้อยก็ตกใจจนร้องไห้จ้า
ทว่าเจ้าหมูยักษ์ก็เข้าถึงตัวเด็กน้อยเสียแล้ว ขาข้างหนึ่งของหมูป่ากำลังจะเหยียบลงบนร่างเล็ก ๆ ของเด็กคนนั้น ภาพเหตุการณ์ที่เห็นทำให้ใบหน้าของเสี่ยวโร่วซีดลงอย่างฉับพลัน
ขณะที่ฉินอวี้โม่ไปปรากฏตัวอยู่ข้างกายเด็กน้อยอย่างรวดเร็ว สาวงามช้อนอุ้มหนูน้อยผู้นั้นขึ้นทันทีแล้วเบี่ยงตัวหลบออกไปได้อย่างหวุดหวิด
“โอ๋ ๆ อย่าร้องเลย ไปเถอะ รีบไปหาแม่ของเจ้า”
เมื่อรู้สึกว่าเด็กน้อยในอ้อมแขนสงบลงแล้ว ฉินอวี้โม่จึงวางตัวหนูน้อยลงแล้วบอกให้กลับไปหามารดา จากนั้นอดีตคุณหนูคนงามก็หันหลังกลับไป
ทางด้านเจ้าหมูป่ายักษ์ เป็นเพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของฉินอวี้โม่ทำให้มันตกใจจนก้าวพลาด เป็นเหตุให้เจ้าของหมู่ป่าตกลงมาแล้วล้มกลิ้งขลุกขลักไปบนพื้น บุรุษผู้นั้นรีบปีนกลับขึ้นหลังอสูรมายาของตนอย่างอับอาย ใบหน้าของเขาถมึงทึงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“เฮ้ เจ้าเป็นใครกัน เหตุใดถึงได้มาขวางทางอสูรมายาของข้า ?”
บุรุษที่ดูชั่วร้ายผู้เป็นเจ้าของหมู่ป่าอสูรยืนจังก้าอยู่บนหลังเจ้าหมูยักษ์แล้วจ้องมองมาที่ฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน ถ้าปฏิกิริยาของเขาไม่ว่องไวพอ ป่านนี้เขาคงล้มหน้าฟาดพื้นเป็นรอยไปนานแล้ว
“เจ้าต้องเป็นคนไร้ยางอายขนาดไหนกันถึงได้กล้าขี่อสูรมายาวิ่งไปมาในเมืองจนเกือบทำให้เด็กตัวเล็ก ๆ บาดเจ็บ นี่ถ้าคุณหนูของข้าไม่เข้าไปช่วยเอาไว้เด็กคนนั้นอาจจะตายไปเลยก็ได้ แต่เจ้ากลับยังหน้าไม่อายมากล่าวหาว่าคุณหนูของข้าขวางทางเจ้า เจ้ามันคนชั่วช้า !”
เสี่ยวโร่วรีบวิ่งเข้าไปหาฉินอวี้โม่ก่อนจะตวาดเสียงดังใส่ชายเจ้าของหมูป่า
เสี่ยวโร่วยังเด็กอยู่มาก แม้ว่านางจะไม่ใช่คนกล้าหาญมากนัก แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับคุณหนูของนางแล้ว ความกล้าของนางจะเพิ่มขึ้นอย่างเท่าทวี ยิ่งกว่านั้นถ้าเป็นคนที่คิดจะทำอันตรายฉินอวี้โม่ นางก็จะไม่ลังเลเลยที่จะต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวและนับเอาคนผู้นั้นเป็นศัตรู
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วในตอนนี้ หัวใจของฉินอวี้โม่ก็สั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้ ในยามปกติเสี่ยวโร่วไม่ใช่เด็กที่กล้าหาญเลย ตรงกันข้ามนางออกจะขี้กลัวมากด้วยซ้ำ ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของคุณหนูผู้เป็นที่รักของนางแล้ว เสี่ยวโร่วก็พร้อมจะกลายเป็นนางราชสีห์ที่เกรี้ยวกราด ไล่ตวัดฟาดกรงเล็บเข้าใส่คนที่รังแกคุณหนูของนางโดยไม่เกรงกลัว เรื่องนี้อธิบายได้เป็นอย่างดีว่าตัวฉินอวี้โม่นั้นสำคัญกับเสี่ยวโร่วมากมายเพียงใด
“เหอะ สาวน้อย เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอยู่กับใคร ?!”
บุรุษเจ้าของหมูป่าจ้องมองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาดุดัน ขณะเดียวกันนั้นเองแส้ก็ปรากฏขึ้นในมือเขา แส้เส้นใหญ่ถูกตวัดฉับเพื่อฟาดลงไปที่ร่างเล็ก ๆ ของเสี่ยวโร่วในพริบตา
“ในนครไป๋อวิ๋นไม่มีกฎห้ามขี่อสูรมายาบนท้องถนน เจ้าเด็กคนนั้นมันดันวิ่งเข้ามาเอง เรื่องนี้ข้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ พวกเจ้าสองคนไม่สมควรสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของข้า”
ในตอนที่ปลายแส้ของคนอันธพาลผู้นั้นกำลังจะฟาดลงบนร่างของเสี่ยวโร่ว จู่ ๆ มันก็หยุดชะงักลง และไม่ว่าบุรุษอันธพาลจะออกแรงมากเพียงใด แต่แส้ในมือของเขาก็ไม่ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย
“ไม่มีใครทำร้ายนางต่อหน้าข้าได้”
ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชาพลางกำเส้นแส้ในมือแน่น ในตอนที่แส้ของคนหยาบช้าผู้นั้นตวัดลงมานางก็เตรียมพร้อมรับมันไว้อยู่แล้ว
อีกฝ่ายเป็นเพียงจมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เสี่ยวโร่วก็สามารถเลาะฟันของเขาออกจากปากได้ง่าย ๆ หากสาวใช้น้อยไม่ตื่นตระหนกจนเกินเหตุ
เมื่อผู้คนตามท้องถนนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบมองเห็นใบหน้าของอันธพาลบนหลังหมูป่าอย่างชัดเจน พวกเขาต่างก็เงียบเสียงลงในทันที ไม่มีใครกล้าวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเขา คนเหล่านั้นไม่กล้าแม้แต่มองใบหน้าของเขาเลยด้วยซ้ำ มีเพียงบางคนที่ซุบซิบกันอย่างแผ่วเบาและชี้นิ้วมาทางฉินอวี้โม่ที่กำลังยึดแส้เอาไว้เท่านั้น
ดูเหมือนว่าผู้คนทั้งหลายก็ต้องการจะช่วยฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว แต่เป็นเพราะเกรงกลัวชายผู้นั้นทำให้ไม่มีใครกล้า พวกเขาไม่กล้าเข้ามายุ่งและไม่กล้าพอที่จะเอ่ยห้ามปราม
ชายบนหลังหมูดึงแส้อยู่หลายครั้ง ทว่าอาวุธของเขาก็ไม่เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเดือดดาล
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร ?”
— เพี๊ยะ ! —
เพียงแค่สะบัดมืออย่างง่าย ๆ ฉินอวี้โม่ก็สามารถทำให้แส้เหวี่ยงย้อนกลับไปและฟาดเข้าใส่มือของชายผู้นั้นได้แล้ว รอยแดงปรากฏขึ้นบนหลังมือเขาในทันที
“ทำไมข้าต้องรู้จักเจ้าด้วยล่ะ ?”
หลังจากกล่าวออกมาอย่างไม่แยแส ฉินอวี้โม่ก็หันไปคว้าแขนของเสี่ยวโร่วแล้วเตรียมตัวพานางออกเดินต่อ
นางไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้น ทว่านางก็ไม่อยากจะเปลืองน้ำลายโต้เถียงกับคนโง่งมผู้นี้
“หยุดเดี๋ยวนี้ ! ทำร้ายข้าแล้วคิดจะหนีงั้นรึ ไม่มีทางซะหรอก”
ชายที่ถูกแส้ของตัวเองฟาดรู้สึกเดือดดาลมากเมื่อเห็นสตรีที่ฟาดแส้เข้าใส่เขาดึงมือสตรีน้อยปากดีและทำท่าทางคล้ายจะเดินหนีไป เขาจึงรีบเข้าไปขวางทางพวกนางไว้ทันที
“เจ้ากล้าลงมือทำร้ายข้าในนครไป๋อวิ๋น ถ้าท่านปู่และพี่สาวของข้ารู้เรื่องนี้เข้า ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าเจ้าจะเดินได้อีกเลย !”
ดูเหมือนว่าคนอันธพาลผู้นี้คงจะมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดา ทว่าฉินอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วก็ไม่คิดแยแส
“ไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ นางไม่อยากจะเสวนากับคนโง่งมที่พูดไม่รู้เรื่องเช่นนี้ หากพูดแล้วไม่เกิดประโยชน์ก็จะไม่พูดนี่คือหลักการของนาง
“ถ้าเจ้าไม่ขอโทษข้า พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์จะไปไหนทั้งนั้น !”
เมื่อบุรุษคนพาลเห็นว่ามีคนกำลังเดินตรงเข้ามาจากทางด้านหลังของฉินอวี้โม่ เขาก็ดูจะมีความกล้าขึ้นมาทันที
“ทำไมเราต้องขอโทษเจ้าด้วยล่ะ ?”
น้ำเสียงของฉินอวี้โม่เย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ นางเกลียดคนประเภทนี้เป็นที่สุด คนโง่หยิ่งยโส ไร้เหตุผล
“ใช่ มันเป็นเจ้ามากกว่าที่ควรจะขอโทษ”
เสี่ยวโร่วเอ่ยปากสนับสนุนคุณหนูของตัวเอง
“เหอะ ! ทั่วทั้งนครไป๋อวิ๋นแห่งนี้ไม่มีผู้ใดกล้าบอกให้ข้าต้องขอโทษ”
อันธพาลผู้ทำตัวเก่งกร่างยังคงมองสองสาวด้วยสายตาดุดัน เขาไม่คิดที่ปล่อยพวกนางให้รอดไปได้ง่าย ๆ
“เสี่ยวโร่ว แสดงผลลัพธ์ของการฝึกฝนกว่าครึ่งปีของเจ้าให้ข้าดูทีสิ”
ฉินอวี้โม่คร้านที่จะเจรจากับคนผู้นี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมถอยออกไปดี ๆ เช่นนั้นก็คงต้องใช้วิธีถีบส่งแล้ว
“เจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้ารับคำอย่างตื่นเต้น และรีบตรงเข้าไปหาชายผู้นั้นทันที
การฝึกฝนในครึ่งปีที่ผ่านมาทำให้นางพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว แต่กระนั้นเสี่ยวโร่วก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ต่อสู้กับคนจริง ๆ เลยสักครั้งเพราะภายในป่าแสงจันทร์มีเพียงแต่อสูรมายาให้ต่อสู้
ในตอนนี้คุณหนูของนางคิดจะใช้คนตรงหน้าเป็นเหมือนกับกระสอบทรายให้นางได้ฝึก เมื่อรู้เช่นนั้นเสี่ยวโร่วน้อยก็ตกใจอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม เพื่อสั่งสอนคนพาลแล้วนางก็จะไม่กลัว ที่สำคัญสาวใช้น้อยจะพยายามพิสูจน์ตัวเองให้คุณหนูของนางได้เห็น
เมื่อเห็นว่าสตรีปากดีพุ่งตัวเข้ามาหา บุรุษเจ้าของหมูป่ายักษ์ก็สาดสายตามองอย่างดูถูก เขาไม่เชื่อหรอกว่าสตรีน้อยปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้จะแข็งแกร่งได้
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ดูเหมือนบุรุษจอมวางอำนาจจะพลาดเสียแล้ว
ด้วยแววตาที่เหยียดหยามนางเช่นนั้นทำให้เสี่ยวโร่วไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้อีก ชายตรงหน้าเกือบจะทำร้ายนาง และยังกล้ากล่าวหาคุณหนู สาวใช้น้อยจึงทุ่มสุดฝีมือเพื่อจัดการกับเขา
ทั้งดั้งจมูก ใบหน้า และท้องน้อยของชายผู้นั้นถูกหมัด เข่า ศอกของเสี่ยวโร่วกระแทกเข้าใส่จนร่วงผล็อยลงไปกับพื้น เขาเจ็บจุกจนพูดไม่ออก
เสี่ยวโร่วน้อยฟาดเท้าเตะซ้ำไปอีกหนึ่งครั้งก่อนจะสาดสายตาเหยียดหยามยิ่งกว่าเข้าใส่คู่ต่อสู้แล้วดึงฉินอวี้โม่ออกเดินต่อเพื่อตรงไปยังที่ตั้งจวนตระกูลฉิน
ผู้คนที่มุงดูอยู่โดยรอบต่างก็ได้แต่ยืนอึ้ง พวกเขาไม่คิดเลยว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีที่มีใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มจะมีฝีมือร้ายกาจได้ถึงเพียงนั้น และนี่จึงยิ่งทำให้พวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าสตรีทั้งสองนั้นจะต้องมาจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน
ทว่าหลังจากออกเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ได้ยินเสียงดังมาจากทางด้านหลัง
“เจ้าทั้งสองคน ข้ายอมรับว่าน้องชายข้ามีนิสัยซุกซน แต่เพียงแค่พวกเจ้าไม่ขอโทษเขาก็มากพอแล้ว เหตุใดถึงต้องลงมือทำร้ายเขาถึงเพียงนี้ด้วย ?”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหยุดชะงัก
เมื่อได้ฟังเสียงนี้ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขนลุกขนพอง เสียงนั้นเป็นเสียงของสตรี และการได้ฟังเสียงของคนผู้นี้ก็ทำให้คำคำหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของอดีตนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 อย่างรวดเร็ว…ดอกบัวขาว*
*白莲花 (ดอกบัวขาว) เป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ในหมู่วัยรุ่นจีน ใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่ที่จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดฟุ้งแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม หรือผู้หญิงแอ๊บแบ๊วที่ในใจไม่แบ๊ว พูดสั้น ๆ คือแอบแรด หรือแรดเงียบ
“ท่านพี่ ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้ข้า !”
เมื่อคนอันธพาลที่ล้มกองอยู่บนพื้นมองเห็นพี่สาวของตนเดินเข้ามาหา เขาก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งแล้วรีบฟ้องเสียงดังเหมือนเด็ก ๆ บุรุษขี้แยจ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วด้วยสายตาอาฆาตแค้น
“พี่อี้เฟย เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่ บุรุษต่ำช้าสองคนนั้นมาทำร้ายน้องชายข้า ท่านต้องช่วยข้าทวงความเป็นธรรม !”
ครั้งนี้สตรีดอกบัวขาวหันไปกล่าวกับบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยเสียงแหลมสูง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วต่างก็ทนไม่ได้ ทั้งสองหันไปมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
ทว่าเมื่อได้เห็นใบหน้าของบุรุษที่อยู่ข้างกายสตรีน่ารำคาญผู้นั้น ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็ตกตะลึงในทันที !
.
ฉินอวี้โม่บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครั้งนางอยู่ในตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีให้แก่หานโม่ฉือได้รับรู้
ในเมื่อตอนนี้พวกเขาทั้งสองตัดสินใจที่จะเดินเคียงคู่กัน ดังนั้นจึงไม่สมควรมีเรื่องปิดบังซ่อนเร้นใด ๆ ต่อกันอีก เมื่อครั้งยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 ฉินอวี้โม่เหนื่อยหน่ายกับการอ่านนิยายที่คู่รักมีปัญหากันเพราะค้นพบว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปกปิดเรื่องราวบางอย่างไม่ให้อีกฝ่ายรับรู้มามากแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งที่คนข้างกายบอกเล่า หานโม่ฉือก็พยักหน้า
“วางใจเถอะ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาแม่เอง”
หานโม่ฉือส่งแผ่นป้ายไม่ใหญ่ไม่เล็กแผ่นหนึ่งให้ฉินอวี้โม่แล้วสั่งความ “อวี้โม่ ข้าขอมอบสิ่งนี้ให้เจ้า เจ้าสามารถนำแผ่นป้ายนี้ไปที่ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของทุกเมืองได้ ขอเพียงเห็นมัน พวกเขาจะฟังคำสั่งของเจ้าทุกอย่าง”
แผ่นป้ายนี้คือป้ายแสดงสถานะที่สามารถใช้ควบคุมหรือสั่งการขุมกำลังของหานโม่ฉือที่มีนามอันแปลกประหลาดว่า—ประตูไร้เงา
หานโม่ฉือผู้นี้มิใช่คนธรรมดา ขุมกำลังของเขามีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย พวกเขาแทรกซึมกระจายอำนาจไปทั่วทั้งดินแดนหวนหลิงไม่ต่างจากอากาศที่อยู่รอบตัวคน ร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดของทุกเมืองในดินแดนแห่งนี้ต่างก็อยู่ภายใต้อำนาจของ ‘ประตูไร้เงา’ ทั้งหมด
แผ่นป้ายนี้มีความสำคัญมาก ขอเพียงมีแผ่นป้ายนี้อยู่ในมือ ผู้ถือป้ายจะสามารถควบคุมประตูไร้เงาได้อย่างเบ็ดเสร็จ
การที่หานโม่ฉือมอบของสิ่งนี้ให้แก่ฉินอวี้โม่นั้นก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่มีต่อนาง และที่สำคัญคือเพื่อเป็นสิ่งแสดงความจริงใจที่เขามีต่อสตรีผู้เป็นที่รัก
ฉินอวี้โม่รับแผ่นป้ายมา นางจะไม่สงสัยในการตัดสินใจของเขา ตอนนี้นางวางหัวใจเอาไว้ในมือของเขาแล้ว ดังนั้นนางก็จะเชื่อใจบุรุษผู้นี้ให้ถึงที่สุดและให้สมกับที่เขาวางใจในตัวนางเช่นกัน
“อวี้โม่ ข้าต้องไปก่อน ยังมีบางเรื่องที่รอให้ข้าไปจัดการในเมืองไป๋อวิ๋น”
สองหนุ่มสาวนั่งเคียงข้าง จับมือพูดคุยกันได้เพียงไม่นาน หานโม่ฉือก็เอ่ยปากขอลา
ยามนี้ ดูเหมือนว่าท้องฟ้าภายนอกจะเริ่มสว่างแล้ว แสงรำไรแห่งยามเช้าตรู่ส่องลอดช่องเล็กช่องน้อยบนเพดานถ้ำลงมาให้เห็น
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ เรื่องที่หานโม่ฉือต้องไปจัดการนั้น นางเองก็ทราบดี
“ข้าจะรอเจ้าที่นครไป๋อวิ๋น”
แม้ว่าจะลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดหานโม่ฉือก็กล่าวคำอำลาอีกครั้งพร้อมให้คำมั่น เขามองใบหน้างดงามของสตรีผู้อยู่ในหัวใจอีกครู่ใหญ่ก่อนจะหักใจแล้วหันหลังเดินจากไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ แม้จะมีความรู้สึกอันแสนหนักอึ้งเจือปนกับความโศกเศร้าอยู่ในหัวใจดวงน้อย แต่นางก็ต้องรีบหักห้าม พวกเขาทั้งคู่ต่างก็ยังมีภารกิจหลายอย่างที่ต้องจัดการ
หลังจากหานโม่ฉือจากไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จัดเครื่องแต่งกายของตัวเองอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่า ‘ปฏิบัติการถอนพิษร้าย’ ของหนุ่มสาวทั้งสองก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างจะ…เข้มข้น สภาพของฉินอวี้โม่ในตอนนี้จึงดูน่าอายสักเล็กน้อย
โชคดีที่นางได้เตรียมอาภรณ์สำรองไว้ภายในแหวนมิติหลายชุด หลังจากจัดการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าจนเรียบร้อย อดีตคุณหนูก็รีบมุ่งหน้ากลับไปยังจุดพักแรมในคืนที่ผ่านมา
เมื่อโอวหยางชิงเฟิงตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฉินอวี้โม่หายตัวไปก็ทำให้เขากังวลใจอยู่ไม่น้อย
หากไม่ใช่เพราะการกลับมาของเสี่ยวจิ่วและข้อความที่ฉินอวี้โม่ฝากไว้กับม่อเสีย เขาและเสี่ยวโร่วก็คงจะรีบร้อนออกไปตามหานางแล้ว
“คุณชายโอวหยาง ทำไมคุณหนูถึงยังไม่กลับมา ?”
เมื่อเห็นท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่ยังไร้เงาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็ถามอย่างกระวนกระวาย
ในตอนที่โอวหยางชิงเฟิงกำลังจะตอบ เขาก็รู้สึกถึงสายลมที่เคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัว ไม่นานนักฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อเห็นตัวฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็รีบวิ่งเข้ามาจับมือฉินอวี้โม่อย่างโล่งอก ทว่าไม่ทราบเพราะเหตุใด สาวใช้น้อยจึงรู้สึกราวกับว่าคุณหนูของนางแตกต่างไปจากเดิม
“คุณหนู เมื่อคืนไปที่ไหนมาหรือเจ้าคะ ? ทำไมเหมือนข้าจะรู้สึกว่าคุณหนูดูต่างไปจากเมื่อวาน ?”
เสี่ยวโร่วคือเด็กซื่อ เมื่อนางไม่รู้อะไรก็จะถามออกไปตรง ๆ เด็กสาวมองสำรวจฉินอวี้โม่ทั้งตัวพลางกล่าวถามด้วยความสงสัย
“ต่างตรงไหนกัน ?”
ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย นางไม่คิดว่าเสี่ยวโร่วจะมีความรู้สึกที่ว่องไวเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม สาวงามก็พยายามทำตัวให้เป็นปกติมากที่สุด
“คุณหนูดู… น่าหลงใหลกว่าแต่ก่อนเจ้าค่ะ !”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ สาวน้อยรู้สึกว่าหากนางเป็นบุรุษ นางก็คงจะตกหลุมรักคุณหนูไปแล้วเป็นแน่แท้
ฉินอวี้โม่โล่งใจไปเล็กน้อย แท้จริงแล้วนางไม่อยากปิดบังเรื่องราวใด ๆ กับเสี่ยวโร่วเลย เพียงแต่ผู้เป็นอดีตคุณหนูเกรงว่าหากสาวใช้น้อยรู้เรื่องที่นางใช้กายเทพมายานี้ช่วยหานโม่ฉือ เด็กสาวอาจจะรู้สึกกลัว เรื่องเช่นนี้หนักหนาเกินไป และเด็กอายุน้อยอย่างเสี่ยวโร่วก็คงไม่อาจยอมรับได้โดยง่าย
“เด็กกะล่อน ปากเจ้าหวานขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะ”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มเสี่ยวโร่วเบา ๆ พร้อมกับยิ้มเอ็นดู
“โอวหยางชิงเฟิง ข้ากับเสี่ยวโร่ววางแผนว่าจะอยู่ในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ต่ออีกหน่อยเพื่อฝึกวิชา จากนั้นค่อยเดินทางไปที่นครไป๋อวิ๋น หากเจ้ามีเรื่องที่ต้องทำ เจ้าก็ล่วงหน้าไปก่อนได้เลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับโอวหยางชิงเฟิง เวลานี้นางถือว่าเขาคือสหายผู้หนึ่ง ดังนั้นอดีตคุณหนูจึงเลือกที่จะกล่าวกับเขาอย่างตรงไปตรงมาในสิ่งที่นางต้องการ ตอนนี้นางและเสี่ยวโร่วยังไม่มีเรื่องเร่งด่วนต้องทำไปที่นครไป๋อวิ๋น และที่นั่นมีก็เรื่องราวมากมายหลายอย่างที่ไม่ทราบว่าร้ายหรือดีรอพวกนางอยู่ ดังนั้นมันจะเป็นการดีกว่าหากได้ฝึกฝนพลังมายาและทักษะร่างกายภายในป่าแสงจันทร์ก่อนไปเยือนนครไป๋อวิ๋น เพราะถ้ามีเรื่องร้ายแรงใดเกิดขึ้นที่นั่น พวกนางทั้งคู่จะได้มีพลังพอจะป้องกันตัวเองได้
โอวหยางชิงเฟิงนั้นต่างจากพวกนาง เขามาจากตระกูลโอวหยาง บางทีเขาอาจจะมีเรื่องที่ต้องไปทำ การให้เขามาคอยอยู่เฝ้าพวกนางในป่าแห่งนี้อย่างเปล่าประโยชน์ไม่เป็นผลดีใด ๆ และมันก็รังแต่จะทำให้งานของเขาล่าช้าเท่านั้น
“อวี้โม่ เจ้าเห็นข้าเป็นคนไม่รักษาสัญญาอย่างนั้นหรือ ?”
โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่
“ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเพียงแต่กลัวจะทำให้เจ้าเสียงานเท่านั้นเอง”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างอับจนหนทาง โอวหยางชิงเฟิงอายุเพียงสิบแปดปี เขายังมีความเป็นเด็กอยู่บ้างจึงทำให้ความรู้สึกในด้านเหตุผลของเขาค่อนข้างช้า
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็คิดได้ หนุ่มหน้าใสหัวเราะเบา ๆ อย่างเก้อเขิน แล้วตอบสหาย
“แหะ ๆ เรื่องนั้นอย่าห่วงเลย ข้าไม่มีงานอะไรต้องไปทำที่ตระกูลทั้งนั้น ที่สำคัญข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าจะพาเจ้าเที่ยวชมป่าแสงจันทร์ อีกประมาณครึ่งปีหลังจากนี้จะมีการสอบคัดเลือกผู้ที่จะเข้าเรียนในโรงเรียนราชสำนัก ข้าอยากจะบอกเจ้าเอาไว้ก่อนเผื่อว่าเจ้าจะสนใจ ข้าเองก็มีความคิดที่จะลงสอบคัดเลือกด้วย บางทีเราอาจจะไปคัดเลือกด้วยกันได้”
โอวหยางชิงเฟิงบอกเล่าสิ่งที่เขาคิดอย่างไม่ปิดบัง บนใบหน้าใสประดับรอยยิ้มกว้าง มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้พบเจอกับสหายที่ดีถึงสองคนเช่นนี้ โอวหยางชิงเฟิงยังไม่อยากกลับไปที่ตระกูลของเขาในตอนนี้ เขาสนุกที่ได้พวกนางมาเป็นสหายและยังอยากจะใช้เวลาร่วมกับสหายของเขาก่อน
“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ใช้ป่าแสงจันทร์เป็นที่ฝึกฝนกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าแล้วเชิญชวนและไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีกหลังจากนั้น
ในเมื่อโอวหยางชิงเฟิงเลือกที่จะอยู่ นางก็ไม่มีความเห็นอื่น อย่างไรเสียการมีโอวหยางชิงเฟิงอยู่ด้วยก็ทำให้การเดินทางภายในป่าแสงจันทร์สะดวกมากยิ่งขึ้น
หลายวันหลังจากนั้น พวกเขาทั้งสามคนก็พากันท่องไปทั่วผืนป่าเพื่อหาประสบการณ์และฝึกฝนพลังมายาไปพร้อม ๆ กับการพัฒนาร่างกาย
แน่นอนว่าในฐานะผู้ฝึกสัตว์อสูร ฉินอวี้โม่ก็ช่วยสยบอสูรมายาให้ทั้งโอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่ว
ตอนนี้ระดับพลังของนางพัฒนาไปไกลมาก และเมื่อบวกรวมกับการที่นางมีราชาอสรพิษเก้าเศียรแล้ว การจะกำราบอสูรเทวะราชันให้อยู่หมัดก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกแล้ว
ทว่าสถานที่บางแห่งในป่าแสงจันทร์นั้นมีทั้งความลึกลับและอันตรายที่น่าหวาดหวั่นแฝงอยู่ แม้ว่าฉินอวี้โม่จะคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งมากแล้ว แต่บางจุดนางก็ยังไม่กล้าจะเหยียบย่างเข้าไป
ดังนั้นส่วนมากพวกเขาจึงมุ่งเน้นตามหาอสูรมายารอบ ๆ ผาทรนงเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม อสูรเทวะราชันก็หาได้ยากอย่างยิ่ง ผ่านไปกว่าครึ่งปี พวกเขาทั้งสามยังพบอสูรมายาระดับเทวะราชันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น
โอวหยางชิงเฟิงไม่ลังเลเลยที่จะให้เสี่ยวโร่วทำพันธสัญญากับอสูรระดับเทวะราชันตัวนั้น
และเป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันบวกกับการฝึกฝนอย่างหนักหน่วงกว่าครึ่งปีทำให้เวลานี้เสี่ยวโร่วกลายเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะข้ามไปถึงขอบเขตนภมายาและกลายเป็น ยอดฝีมือที่แท้จริง อย่างเต็มตัวแล้ว
ในครึ่งปีที่ผ่านมา ความแข็งแกร่งของโอวหยางชิงเฟิงเองก็ก้าวหน้าไปมาก ส่วนผู้ที่พัฒนาระดับพลังไปได้น้อยที่สุดก็คือฉินอวี้โม่
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่อยู่ขอบเขตนภมายาหกดารา หากนางต้องการจะให้พลังของตัวเองก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว สิ่งที่นางทำได้ก็มีเพียงหนทางเดียวนั่นคือ นางจะต้องทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันที่มีดาราสูงๆ อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีที่ผ่านมานางยังไม่พบเจออสูรเทวะราชันดาราสูงเลยแม้แต่ตัวเดียว
ดังนั้นแม้จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เพียงแต่ก้าวหน้าจากขอบเขตนภมายาหกดาราขึ้นมาเป็นนภมายาเจ็ดดาราเท่านั้น
ในเรื่องนี้นับว่าไม่แปลกเพราะขอบเขตนภมายาเป็นขอบเขตที่ยากที่จะก้าวหน้าได้ ในช่วงที่ผ่านมาสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจึงทดลองปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยการจับอสูรมายาในทุกระดับและหลากหลายชนิดมาทำพันธสัญญาแล้วปล่อยพวกมันไปในภายหลัง ทว่าแม้จะทำเช่นนี้ไปนับครั้งไม่ถ้วน แต่นางก็ยังคงก้าวหน้าได้ช้ามาก
อย่างไรก็ตาม ครึ่งปีที่ผ่านมาก็นับว่าไม่ได้สูญเปล่า เพราะฉินอวี้โม่ได้สำเร็จทักษะอสูรเสริมร่างเรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันนางยังได้วิชานภายุทธ์ของตัวเองมาแล้วด้วย
ในตอนที่ฉินอวี้โม่ได้ลองปลดปล่อยนภายุทธ์ครั้งแรก เสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงก็ต้องผงะไปด้วยความตกตะลึง ซึ่งก็เป็นเพราะพลังทำลายล้างและความรุนแรงของนภายุทธ์ของฉินอวี้โม่นั้นน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
หกเดือนผ่านไปราวกับชั่วพริบตา ตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น การสอบเข้าโรงเรียนราชสำนักที่โอวหยางชิงเฟิงพูดถึงก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในวันนี้ สมาชิกทั้งสามแห่งคณะท่องไปในไพรกว้างจึงยุติภารกิจสำรวจป่าแห่งนี้ลง ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงต่างก็เก็บข้าวของเพื่อจะมุ่งหน้าเดินทางไปยังนคราใหญ่ไป๋อวิ๋นอย่างไม่ลังเล
ในบรรดาอสูรมายาของพวกเขาทั้งหมด อสูรที่มีความเร็วสูงที่สุดคืออสูรมายาของฉินอวี้โม่ เสี่ยวจิน–เหยี่ยวปีกทองเทวะราชัน
หลังจากทั้งหมดขึ้นไปนั่งบนหลังของเสี่ยวจินแล้ว เหยี่ยวตัวยักษ์สีทองอร่ามก็บินตรงไปยังที่ตั้งแห่งนครไป๋อวิ๋นทันที หลายวันแห่งการเดินทาง โอวหยางชิงเฟิงก็บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเมืองหลวงของจักรวรรดิให้ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วฟังอย่างคร่าว ๆ
นครไป๋อวิ๋นคือเมืองใหญ่ที่เก่าแก่และเจริญที่สุดแห่งหนึ่งของดินแดนหวนหลิง แม้ว่าในดินแดนมายาแห่งนี้จะมีแคว้นอยู่หลายแคว้นหรือมีจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่พอ ๆ กับจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอย่างจักรวรรดิชิงเฟิงอยู่ แต่ถ้าหากเทียบกันเพียงแค่เมืองเมืองหนึ่ง นครไป๋อวิ๋นนั้นนับเป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่และดีที่สุดในดินแดน
นครใหญ่แห่งนี้ตั้งอยู่ในชัยภูมิที่พิเศษ ศูนย์บัญชาการใหญ่แห่งสมาคมที่ทรงอิทธิพลต่างก็ตั้งอยู่ภายในเมืองแห่งนี้ นอกจากนั้นยังเป็นที่ตั้งของสามตระกูลที่ทรงอำนาจมาก และเมื่อรวมเข้ากับโรงเรียนราชสำนักที่มีชื่อเสียงไปทั่วดินแดนแล้ว นครไป๋อวิ๋นจึงเป็นหนึ่งในเมืองที่เจริญที่สุดในแผ่นดินนี้
แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแคว้นอื่นๆ ก็ล้วนเคยเดินทางมายังนครไป๋อวิ๋นด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย บ้างก็มาเพื่อสมัครเข้าร่วมกับสามสมาคมใหญ่และอีกมากมายมาเพื่อคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนัก
บนดินแดนหวงหลิงแห่งนี้มีแคว้นใหญ่น้อยอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าแทบจะทุกแคว้นก็ล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์อันดีกับนครไป๋อวิ๋นทั้งสิ้น ซึ่งนั่นก็รวมถึงจักรวรรดิชิงเฟิง อาณาจักรข้างเคียงที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้จักรวรรดิไป๋อวิ๋น แต่ทว่าความสัมพันธ์ดังกล่าวก็เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น และด้วยเหตุผลที่ไป๋อวิ๋นเป็นเมืองใหญ่ แทบทุกแคว้นจึงส่งคนของตัวเองเข้ามาแทรกซึมอยู่ในนครแห่งนี้จำนวนมาก และเป็นผลให้จักรวรรดิไป๋อวิ๋นเองก็ควบคุมอำนาจภายในเมืองหลวงแห่งนี้ได้ยากยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน
แต่ในสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด โรงเรียนราชสำนักถือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ในทุก ๆ เดือนเก้าของแต่ละปี โรงเรียนแห่งนี้จะมีการจัดสอบคัดเลือกครั้งใหญ่
ที่กล่าวว่าครั้งใหญ่นั้นก็เป็นเพราะผู้ที่มาเข้ารับการคัดเลือกจะมาจากทั่วทุกสารทิศในหวนหลิง และเนื่องจากจำนวนคนที่มาเข้ามาสอบนั้นมีอย่างมหาศาล กฎกติกาในการสอบจึงต้องเข้มข้นมากตามไปด้วย
ผู้ที่จะสอบผ่านเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ไม่เพียงแต่จะต้องมีพรสวรรค์สูงส่งเท่านั้น แต่ยังต้องมีคุณสมบัติด้านอื่น ๆ ที่ดีพร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกลักษณะและอุปนิสัยเฉพาะตัว
หากมีเพียงพรสวรรค์แต่มีแนวโน้มว่าจะทำให้สถาบันเสื่อมเสีย ทางโรงเรียนราชสำนักก็จะไม่รับคนผู้นั้นเข้ามา
หลังจบการศึกษาจากโรงเรียนราชสำนักแล้ว เหล่าบัณฑิตทั้งหลายผู้เป็นผลผลิตอันดีเลิศของโรงเรียนแห่งนี้ก็จะกลายเป็นความหวังของทั้งตระกูลได้เลยทีเดียว เพราะความแข็งแกร่งของพวกเขาจะพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด แม้แต่ชื่อเสียงก็จะขจรขจายไปไกลภายในนามศิษย์แห่งโรงเรียนราชสำนัก
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้คนจำนวนมากมายหลั่งไหลเข้ามาสมัครรับคัดเลือกเข้าเรียนในสถาบันมีชื่อเสียงแห่งนี้
ในเรื่องนี้ ฉินอวี้โม่ไม่มีข้อสงสัยเลยเพราะระหว่างทางที่กำลังมุ่งหน้าไปยังนครไป๋อวิ๋น พวกเขาก็พบเห็นผู้คนจำนวนมากกำลังเดินทางหลั่งไหลเข้าสู่นครใหญ่ที่เป็นจุดมุ่งหมายเดียวกันกับพวกเขา ผู้คนเหล่านั้น บางคนก็ยังหนุ่มสาวไม่ต่างจากฉินอวี้โม่ บางคนก็พอมีอายุบ้างแล้ว แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นผู้ที่ต้องการมาสอบคัดเลือกเข้าโรงเรียนราชสำนักทั้งสิ้น
เดิมทีโอวหยางชิงเฟิงเคยได้รับการคัดเลือกให้เข้าเรียนที่โรงเรียนราชสำนักเมื่อห้าปีก่อน แต่เป็นเพราะเขามีปัญหากับตระกูลเสียก่อนจึงทำให้ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียน แต่ในครั้งนี้ หนุ่มหน้าใสก็หมายใจแล้วว่าจะต้องเข้าเรียนโรงเรียนในฝันแห่งนี้ให้ได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งโอวหยางชิงเฟิงและฉินอวี้โม่ไม่ได้มีความกังวลเลยแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากถึงกับว่าพวกเขาทั้งสองยังสอบไม่ผ่าน แล้วจะมีผู้ใดสอบผ่านได้อีก ?
เสี่ยวโร่วนั้นมีความกังวลอยู่เล็กน้อย ทว่าหลังจากฉินอวี้โม่พูดปลอบใจสาวน้อยไปสองสามประโยค เสี่ยวโร่วน้อยก็ดูจะมั่นใจขึ้นมาในทันที
ระดับพลังของเสี่ยวโร่วในตอนนี้ไม่นับว่าต่ำต้อยเลย และนางยังมีอสูรเทวะราชันอยู่ด้วย หากไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นางก็น่าจะสามารถเข้าโรงเรียนราชสำนักได้อย่างไร้ปัญหา
คณะเดินทางกลุ่มไม่เล็กของสามคนกับอีกหลายตัวมุ่งหน้าไปยังนครไป๋อวิ๋นอย่างมุ่งมั่น พวกเขาบินบ้าง พักบ้าง เดินคุยกันบ้าง หลังจากผ่านไปเจ็ดวันเจ็ดคืน ในที่สุดภาพของเมืองขนาดใหญ่โตมโหฬารก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขา
.
หานโม่ฉือจ้องมองฉินอวี้โม่นิ่งนาน สายตาคมของเขาอ่อนหวานละมุนละไม ถึงแม้ว่าเขาจะตกตะลึงในความพิเศษไม่เหมือนผู้ใดของสตรีตรงหน้าอยู่ไม่น้อย ทว่าบุรุษเย็นชาก็มีความสุขมากเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เขาเตรียมใจไว้แล้ว และคิดว่าอย่างไรวันนี้ตัวเขาก็คงหลีกหนีความตายไม่พ้น ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าหญิงสาวผู้นี้จะหาญกล้ายอมเสียสละร่างกายงดงามเพื่อช่วยถอนพิษให้เขาด้วยวิธีเช่นนั้น
ถึงแม้นางจะขัดเขินอยู่บ้าง แต่กลับไม่แสดงความกระดากอายหรือกล้ำกลืนฝืนทนออกมาให้เห็น เพื่อช่วยชีวิตเขาแล้ว สตรีผู้นี้ไม่ลังเลแม้แต่น้อย นางมีแต่ความมุ่งมั่นลงมืออย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ก่อนที่นางจะช่วยเขา ฉินอวี้โม่ไม่แม้แต่จะคิดด้วยซ้ำว่าหากเขาไม่รับผิดชอบ นางจะทำอย่างไร
ตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา ในดินแดนแห่งนี้ เขายังไม่เคยพบเจอหรือรู้จักสตรีที่เป็นเช่นนี้มาก่อน
หานโม่ฉือคิดเสมอว่า ด้วยร่างกายที่แตกต่างจากคนทั่วไปของเขา เขาคงจะไม่สามารถตกหลุมรักสตรีคนใดและคงไม่มีใครก้าวเข้ามาในหัวใจของเขาได้ ทว่าไม่คิดเลยว่าสตรีที่ไม่ธรรมดาผู้นี้จะทำให้เขามองข้ามเงื่อนไขทั้งปวงและพานางเข้ามานั่งในหัวใจของเขาเองได้….อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้
“ข้า…” // “ข้า…”
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเปล่งเสียงขึ้นพร้อมกัน
เมื่อครู่หานโม่ฉือได้สารภาพออกมาหมดแล้ว และเขาก็ตอบตกลงรับเงื่อนไขทั้งสามข้อของนาง ฉินอวี้โม่จึงคิดว่าตัวเองไม่ควรมีสิ่งใดปิดบังต่อบุรุษที่นางเลือกจะยืนเคียงข้าง ดังนั้นอดีตคุณหนูผู้ไม่เคยเป็นคุณหนูจึงตั้งใจจะเล่าเรื่องราวของตัวเองให้คนตัวโตฟังทั้งหมด ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าเขาเองจะเอ่ยปากขึ้นพร้อม ๆ กัน…. ไม่คาดคิดว่าใจของเขาจะตรงกับนาง
เพราะถ้อยคำตอบรับเงื่อนไขข้อสุดท้ายเมื่อครู่จากปากเขายังคงดังก้องอยู่ในหัวใจดวงน้อย ‘นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ’ ความนัยของวาจานั้นยังคงทำให้หัวใจของนางสั่นสะท้านอย่างไม่อาจต้าน… ไม่ใช่เพียงแค่ตอบตกลง แต่เสมือนเขากำลังสื่อให้รู้ว่า… พวกเขาทั้งคู่มีหัวใจที่ตรงกัน
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะยอมรับว่าตนเองมีใบหน้าที่หนาในระดับหนึ่ง ทว่าในตอนนี้ใบหน้าของนางก็ยังคงแดงซ่านและร้อนผ่าวราวกับถูกเผาไหม้อยู่ดี
หานโม่ฉือเงียบและรอฟัง ฉินอวี้โม่เองก็รอให้เขาพูดก่อน บรรยากาศในตอนนี้จึงค่อนข้างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
“เจ้าพูดก่อน”
เพื่อลดทอนความขัดเขิน ฉินอวี้โม่จึงเดินหาสถานที่นั่งคุยกัน และในทันทีที่พบเจอจุดเหมาะสม อดีตคุณหนูก็นั่งลงแล้วเริ่มบทสนทนา นางมองหานโม่ฉือและบอกให้เขาเอ่ยปากเรื่องที่อยากพูดออกมาก่อน
“ร่างกายของเจ้าคือกายเทพมายาใช่หรือไม่ ?”
หานโม่ฉือนั่งลงข้าง ๆ ฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับ สาวงามหันไปมองบุรุษข้างกาย ความงุนงงปรากฏบนใบหน้านวลชัดเจน นางกำลังสงสัยว่าหานโม่ฉือรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร “ทำไมเจ้าถึงรู้เรื่องนี้ได้ ?”
จริงอยู่ที่ฉินอวี้โม่เป็นผู้ขจัดพิษเย็นในร่างกายของเขา แต่เพียงเท่านั้นเขาจะรู้ได้ในทันทีเลยหรือว่าร่างกายของนางคือกายเทพมายา ?
รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นตรงมุมปากของหานโม่ฉือก่อนที่เขาจะกล่าวตอบ “ข้าแค่เดาเท่านั้น”
การที่ฉินอวี้โม่ช่วยเขากำจัดพิษเย็นในร่างกายไปได้ นั่นก็แสดงว่าร่างกายของนางจะต้องมีความพิเศษ
ร่างกายมหัศจรรย์ที่สามารถขจัดพิษที่ไร้ทางรักษาได้ และยังทำให้ฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์อันน่าตกใจ ไหนจะความรวดเร็วอย่างผิดปกติของนางในการสยบอสูรมายา เรื่องทั้งหมดนี่มีเพียงกายเทพมายาในตำนานเท่านั้นที่จะทำได้
เมื่อฟังคำพูดของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
“วางใจเถอะ ข้าจะปกป้องเจ้าไม่ว่าในอนาคตจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ตาม”
หานโม่ฉือคว้าจับมือบางของฉินอวี้โม่อย่างอ่อนโยน ต้องบอกเลยว่าถึงแม้หานโม่ฉือจะเป็นมนุษย์เย็นชาอย่างยากจะหาผู้เปรียบเทียบ ทว่ากับสตรีที่เขารักแล้ว บุรุษเย็นชาผู้นี้ก็สามารถปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและเอาใจใส่จนแทบจะละลายคาอกกว้างนี้ได้เลยทีเดียว
เมื่อได้ยินคำกล่าวที่ไม่ต่างจากคำมั่นสัญญาของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มหวานหยดตอบรับอย่างมีความสุข แม้จะรับรู้ว่ามือใหญ่ของเขายังคงเย็นอยู่เล็กน้อย ทว่าภายใต้มือคู่นี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูกลับรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก นางจึงปล่อยให้เขากอบกุมมือบางไปเรื่อยๆ อย่างตามใจ
“คนที่ไล่ล่าข้าคือน้องชายต่างมารดาของข้าเอง เขามีนามว่า หานโม่หยวน คนผู้นั้นต้องการจะกำจัดข้ามาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะถูกลอบกัดจนพิษเย็นในร่างกายกำเริบขึ้นมาได้ ข้าก็ไม่เคยเห็นมันอยู่ในสายตาสักครั้ง ต่อให้พวกมันมากันเป็นสิบข้าก็ไม่เคยกลัว”
หานโม่ฉือกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา เขาอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฉินอวี้โม่ฟัง ในน้ำเสียงที่คล้ายจะเรียบเฉยของเขานั้น นางสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่ถูกส่งออกมาอยู่หลายส่วน
ที่หานโม่ฉือเข้ามาในป่าแสงจันทร์ครั้งนี้ก็เพื่อตามหาสมุนไพรสำหรับต้านพิษเย็นในร่างกาย เขาออกมาตามลำพังไม่ได้นำคนของเขาติดตามมาด้วย
ตอนที่เขาพบเจอสมุนไพรก็เป็นเวลาเดียวกันกับที่เขาค้นพบว่าตัวเองถูกหานโม่หยวนและลูกน้องสะกดรอยตามมาอย่างลับ ๆ
ในตอนแรกนั้น เขาไม่ได้สนใจน้องชายต่างมารดาและพรรคพวกของมันแม้แต่น้อย เมื่อได้สมุนไพรมาแล้วหานโม่ฉือก็เตรียมตัวจะกลับทันที
ทว่าในตอนนั้นเองก็มีอสูรเทวะราชันปรากฏตัวขึ้นและขวางทางเขาเอาไว้
อสูรเทวะราชันตัวนั้นสร้างปัญหาให้หานโม่ฉือไม่น้อย และโชคร้ายที่พิษเย็นในร่างกายของเขากำเริบขึ้นมาในเวลานั้นอย่างพอดิบพอดี
ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาพลาดพลั้งถูกอสูรมายาทำร้ายจนบาดเจ็บหนัก แต่ด้วยความสามารถอันสูงส่ง หานโม่ฉือก็ยังคงหลบหนีออกมาได้ เดิมทีเขาพยายามยับยั้งพิษเย็นเอาไว้ ในขณะเดียวกันก็รีบหลบหลีกการติดตามของหานโม่หยวนและลูกน้อง
ทว่าเขาไม่ทราบว่าอีกฝ่ายใช้วิธีการใด แต่หานโม่หยวนกลับยังคงสามารถไล่ตามกลิ่นอายของเขาได้และเปลี่ยนเป็นการไล่ล่า !
ซึ่งในภายหลัง หานโม่ฉือก็ได้เข้าใจวิธีที่หานโม่หยวนใช้ คนชั่วช้าผู้นั้นแอบโรยผงไร้สีไร้กลิ่นไว้บนร่างของเขาในขณะที่กำลังต่อสู้กับอสูรเทวะราชัน
ไม่ว่าหานโม่ฉือจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ในสถานการณ์ตอนนั้น บวกรวมกับสภาพร่างกายที่เลวร้ายทำให้เขาไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่
และในตอนที่เขากำลังเข้าตาจน จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ปรากฏตัวขึ้นและช่วยเขาเอาไว้
เดิมทีเรื่องของพิษเย็นที่อยู่ในร่างกายของหานโม่ฉือถือเป็นเรื่องสิ้นหวังและไร้หนทางแก้
มารดาของเขาได้รับพิษเย็นนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะให้กำเนิดเขา และในตอนนั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นางกำลังตั้งครรภ์บุตรชาย โชคร้ายที่พิษเย็นนั้นสามารถถ่ายเทไปยังทารกในครรภ์ได้ หานโม่ฉือจึงติดพิษร้ายตั้งแต่ตอนนั้น แต่ที่โชคร้ายยิ่งกว่าคือมารดาของเขาได้หายตัวไปหลังจากให้กำเนิดเขาได้ไม่นาน
หานโม่ฉือนั้นเป็นที่โปรดปรานของผู้นำตระกูลตั้งแต่วัยเด็ก อาจจะเป็นเพราะผู้นำตระกูลหรือก็คือบิดาของหานโม่ฉือรักมารดาของเขามาก ทว่าก็เป็นเพราะเหตุนั้นเองที่ส่งผลให้ตัวเขาถูกหานโม่หยวนและมารดาเลี้ยงเกลียดชังและลงมือกลั่นแกล้งอยู่บ่อยครั้ง ตั้งแต่เริ่มเข้าใจเหตุผลที่เขาต้องถูกรังแก หานโม่ฉือก็สัญญากับตัวเองว่าหากเขามีสตรีที่รัก เขาจะขอรักมั่นเพียงแต่นางผู้เดียว เขาจะยึดมั่นในความรักนั้นให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ก็ตรงกับความคิดของฉินอวี้โม่ นอกจากจะไม่คิดคัดค้านคำขอในเงื่อนไขของนางแล้ว หานโม่ฉือยังสัญญากับตัวเองว่าเขาจะประคับประคองดูแลความรักของพวกเขาทั้งสองอย่างดีที่สุด
หลังจากตามสืบมานาน ในที่สุดหานโม่ฉือก็ทราบว่าผู้ที่ทำให้เขาต้องติดพิษเย็นก็คือมารดาของหานโม่หยวน
แท้จริงแล้วหานโม่ฉือมีพลังและอิทธิพลมากเพียงพอที่จะกำจัดทั้งมารดาเลี้ยงและน้องชายต่างมารดาทิ้งไปอย่างไร้ร่องรอยได้ ทว่าเขากลับสืบรู้ข้อมูลสำคัญเรื่องหนึ่งว่า มีใครบางคนกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังมารดาของหานโม่หยวน
หานโม่ฉือไม่ใช่คนโง่ เขาเริ่มสงสัยถึงจุดประสงค์อันแท้จริงที่มารดาของหานโม่หยวนก้าวเข้ามาในตระกูลหาน ดังนั้นเขาจึงยังไม่ลงมือสังหารสองแม่ลูกในทันที แต่เลือกที่จะจับตามองพฤติกรรมของคนทั้งสองไปก่อน ทว่าคิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นในวันนี้เกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในที่สุดหานโม่ฉือสามารถปลดเปลื้องปัญหาอันหนักหน่วงที่สุดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะแก้ไขได้อย่างเรื่องพิษเย็นในร่างกายออกไปได้ เวลานี้เขาจึงไม่อยากคิดสิ่งใดให้ปวดหัว ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้พบเจอสตรีที่จะอยู่เคียงข้างกับเขาไปจนแก่เฒ่าแล้วและนั่นก็ทำให้เขามีความสุขมากเหลือเกิน
หลังจากได้ฟังเรื่องเล่าของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
แท้จริงแล้ว สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการเป็นศัตรูกับหานโม่ฉือ ต่อให้วันนี้บุรุษเย็นชาผู้นี้ต้องตายไป แต่หลังจากหานโม่หยวนกลับถึงจวนก็จะมีสถานที่เพียงที่เดียวเท่านั้นที่รอคอยให้เขาเข้าไปอยู่…นั่นก็คือในหลุมฝังศพของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นมารดาของเขาก็จะถูกฆ่าในทันทีเช่นกัน เรื่องนี้หานโม่ฉือได้เตรียมการเอาไว้แล้วทั้งหมด อย่างไรก็ตาม หานโม่หยวนนั้นไม่รู้ถึงแผนการของพี่ชายที่เขาชิงชังเลยแม้แต่น้อย
ทว่าในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว และหานโม่ฉือก็ตระเตรียมแผนการใหม่เอาไว้แล้วเช่นกัน
“ข้ามีเรื่องนึงที่สงสัย เจ้าไม่มีอสูรมายาเลยหรือ ทั้ง ๆ ที่ตัวเจ้าก็แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ?”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฉินอวี้โม่สงสัยเป็นอย่างมาก ในมุมมองของอดีตสาวนักฆ่า จริงอยู่ว่าหานโม่ฉือน่าจะแข็งแกร่งกว่าตัวนาง แต่ในยามเข้าตาจนการพึ่งพาพลังของอสูรมายาแล้วหลบหนีไปน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสุด ทว่าเหตุใดในตอนที่มีอันตรายจนเกือบจะถึงชีวิต เขาจึงไม่เรียกอสูรมายาออกมา นี่เป็นเรื่องที่นางไม่เข้าใจเลยสักนิด
“ไม่กี่วันก่อน อสูรมายาของข้าเพิ่งจะเข้าสู่การเก็บตัวและเตรียมตัวรับทัณฑ์อัสนี แม้ข้าจะเรียกมันออกมา มันก็ไม่ตอบสนอง”
หานโม่ฉือส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา เขามีอสูรมายาคู่ใจอยู่เพียงตัวเดียว และเขาเองก็คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตในช่วงเวลาที่อสูรคู่ใจเก็บตัวพอดีเช่นนี้ หากว่าเขามีอสูรมายาอยู่ด้วย แน่นอนว่าเรื่องนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น
“รับทัณฑ์อัสนี ?”
ฉินอวี้โม่ตกตะลึง นั่นเป็นการเลื่อนพลังของอสูรมายาระดับใดกันถึงต้องรับทัณฑ์อัสนีด้วย ?
‘ไม่ต้องสงสัยหรอกนายหญิง เพราะว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรของท่านเองหากมันเลื่อนไปอีกขั้นมันก็จะต้องรับทัณฑ์อัสนีด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มันยังต้องการพลังอีกมาก ข้าคิดว่าเรื่องนั้นคงยังไม่เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้’
เสียงของซิวดังขึ้นในห้วงจิตของฉินอวี้โม่
หลังจากรับการชำระล้างจากทัณฑ์อัสนีแล้ว อสูรมายาระดับเทวะราชันก็จะพัฒนาสู่ระดับที่สูงขึ้น
นั่นก็หมายความว่าอสูรมายาของหานโม่ฉือจะต้องเหนือกว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรที่เป็นถึงอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดาราของนาง !
“แล้วระดับของเจ้าในตอนนี้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือและเอ่ยถามด้วยความสงสัย นางรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของบุรุษผู้นี้ แต่นางกลับมองมันไม่ออก ไม่ว่าจะลอบใช้พลังตรวจสอบอย่างไรก็ไม่สามารถทำได้ อันที่จริงในเรื่องนี้ฉินอวี้โม่สงสัยมาโดยตลอดเพียงแต่ว่ามันไม่ได้มากมายเท่ากับตอนนี้ ตอนที่ได้รู้ว่าอสูรมายาคู่ใจของเขากำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ระดับที่สูงกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดาราแล้ว
หานโม่ฉือยิ้มและเรียกสัญลักษณ์แสดงระดับพลังออกมาในทันที
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ฝ่าเท้าของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ได้แต่เบิกตากว้าง สาวงามเอ่ยสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดที่ผ่านมานางจึงไม่สามารถมองดูระดับพลังของเขาได้ …นั่นก็เพราะระดับพลังของเขาสูงอย่างผิดปกติถึงขนาดนี้
“เป็นเพราะกายเทพมายาของเจ้าและเป็นเพราะพิษเย็นในตัวข้าถูกกำจัดออกไป ทำให้ระดับพลังของข้าก้าวหน้าขึ้นมาหลายขั้น อีกไม่นานข้าก็จะทะลวงสู่ขอบเขตถัดไปแล้ว”
หานโม่ฉืออธิบายเพิ่มเติมโดยไม่คิดปกปิดสตรีในดวงใจ
ฉินอวี้โม่นิ่งอึ้งอยู่นาน ตั้งแต่เริ่มมาถึงยังดินแดนแห่งนี้ นางก็คิดว่าพรสวรรค์ของตัวเองนั้นเป็นหนึ่งมาโดยตลอด ด้วยประสบการณ์ในสองภพของนางทำให้นางได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากกว่าคนทั่วไป ทั้งทักษะวิชาการต่อสู้ หรือแม้แต่ทักษะชีวิตและการเอาตัวรอดทำให้พรสวรรค์และระดับพลังของนางสูงส่งผิดปกติหากเทียบกับคนในวัยใกล้เคียงกัน ทว่าไม่คิดเลยว่าความสามารถของหานโม่ฉือผู้นี้จะประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งกว่านางเสียอีก
“ตอนนี้พิษเย็นของเจ้าก็ถูกลบล้างไปหมดแล้ว ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดเรื่องอย่างวันนี้อีกแล้ว”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางใช้มือที่ว่างลูบหลังมือใหญ่อย่างแผ่วเบา ตอนนี้อดีตคุณหนูผู้งดงามให้การยอมรับหานโม่ฉือแล้ว นางหวังว่าจะได้จับมือเดินเคียงคู่กับเขาไปตลอด และแน่นอนว่านางไม่ต้องการให้เขามีอันตราย ฉินอวี้โม่อยากจะอยู่ข้างกายคนผู้นี้และช่วยปัดเป่าภัยร้ายที่ซุ่มซ่อนอยู่ ไม่ให้มากล้ำกรายตัวและหัวใจของเขาได้
หานโม่ฉือพยักหน้า เขาเข้าใจความหมายที่นางต้องการจะสื่อสารเป็นอย่างดี ทว่าบุรุษร่างใหญ่ก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดกลับไป เขาเพียงแต่บีบกระชับมือบางในอุ้งมือใหญ่ให้แน่นขึ้นเท่านั้น
“หานโม่ฉือ ข้ามีบางอย่างจะบอกเจ้า !”
หลังจากปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไปกับความรู้สึกอุ่นซ่านในใจอยู่ชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงจริงจังเพราะไม่ต้องการปิดบังความจริงและไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้เองในภายหลัง ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจจะบอกความลับของเธอให้เขารู้เอาไว้ตั้งแต่ตอนนี้
หานโม่ฉือสบตาฉินอวี้โม่เงียบ ๆ เพื่อรอคอยให้นางพูด
“หานโม่ฉือ เจ้าจำครั้งแรกที่เราพบกันได้หรือไม่ ? มันไม่ใช่ที่สมาคมทหารรับจ้างเมืองหลิงซี แต่เป็นก่อนหน้านั้นที่บึงสายหมอก”
หานโม่ฉือเป็นบุรุษเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นางเชื่อว่าเขาคงไม่คิดหันหลังกลับ หลังจากที่ได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเธอ
หานโม่ฉือพยักหน้ารับ เหตุการณ์ในวันนั้นเขาจำได้อย่างแม่นยำ
วันนั้นที่บึงสายหมอก เขาและหลินจิ้งหงบังเอิญได้รู้เห็นภาพเหตุการณ์ที่สตรีงดงามผู้อยู่ตรงหน้านี้กำลังไล่ฟาดฟันและลงมือสังหารบุรุษร่างใหญ่โตนับสิบคนอย่างโหดเ**้ยม…ด้วยตัวนางเองเพียงลำพัง
ในเวลานั้นพวกเขาเกิดข้อสงสัยในตัวฉินอวี้โม่มากมาย
เห็นได้ชัดว่านางไม่มีพลังมายา และไม่ใช่จอมยุทธ์แม้แต่ในระดับจิตมายา แต่ทว่านางกลับสามารถลงมือสังหารชายหนุ่มผู้อยู่ในขอบเขตจิตมายาจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
ในเวลานั้น แม้ว่าการแสดงออกภายนอกของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนแปลง ทว่าภายในหัวใจแสนเย็นชาเขากลับรู้สึกเปลี่ยนไป เขาเกิดความอยากรู้อยากเห็นและสนใจคนผู้นี้อย่างที่ไม่เคยเป็นกับสตรีคนใด
อย่างไรก็ตาม ทั้งหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงกลับไม่ได้เห็นตอนที่ฉินอวี้โม่ถูกไล่ล่าจนจนมุม ถูกด่าทอเหยียดหยามและเกือบจะถูกกลุ่มคนกักฬะย่ำยี ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เห็นฉากที่คุณหนูสี่ผู้นี้ตายและไม่ได้เห็นเมื่อยามนางฟื้นขึ้นมา
“หานโม่ฉือ จริง ๆ แล้วเจ้าของร่างกายนี้ที่แท้จริงได้ตายไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนข้าที่กำลังพูดคุยกับเจ้านั้นไม่ใช่นาง… ไม่ใช่คุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหลิงซี… ข้าเป็นเพียงดวงวิญญาณจากโลกอื่นที่ฟื้นกลับมาจากความตายและมาอาศัยร่างกายนี้”
ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็บอกความลับตัวเองออกไปให้หานโม่ฉือได้รับรู้ เธอกำลังยอมรับกับเขาตรง ๆ ว่าตัวเธอไม่ใช่คนของโลกมายาแห่งนี้
หลังจากกล่าวออกไป ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองหานโม่ฉือนิ่งเงียบ แววตาหวานมีความกังวลเจืออยู่
นางรู้ดีว่าเรื่องที่นางเอ่ยออกไปเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อถือ การที่ดวงวิญญาณข้ามภพมาเข้าร่างคนตายที่อยู่ต่างภพต่างชาติ หรือแม้แต่ต่างมิติจนฟื้นขึ้นมาเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็คงคิดว่าเหลวไหล หากว่าหานโม่ฉือไม่เชื่อเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เองก็จะไม่ว่า
หากว่าเขาบอกว่านางพูดจาเหลวไหลนางก็จะไม่ถือสา นางเพียงแค่อยากจะบอกให้เขาได้รับรู้เอาไว้ก่อน เมื่อตัดปลงใจแล้วว่าจะอยู่เคียงข้างคนผู้นี้ตลอดไป นางก็ไม่อยากมีเรื่องใดปิดบังเขา
“งั้นข้าก็ต้องขอบคุณคนที่ฆ่าเจ้าในอีกโลกน่ะสิ ไม่งั้นข้าก็คงไม่ได้พบกับเจ้า”
หานโม่ฉือกล่าวติดตลก แล้วดึงร่างบางของฉินอวี้โม่เข้ามาแนบอก เขาต้องการจะโอบกอดร่างเล็กๆ นี้ไว้ให้เนิ่นนานที่สุด ไม่ว่าร่างกายนี้จะเคยผ่านความตายมาหรือไม่ ไม่ว่าวิญญาณนี้จะไม่ได้อยู่ในร่างกายนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ขอเพียงแค่เป็นนาง เป็นฉินอวี้โม่ที่เขารู้จัก เป็นสตรีที่เขากอดและกำลังกอดตอบเขาอยู่ตอนนี้ที่จะเดินเคียงข้างเขาตลอดไป เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
เมื่อได้ฟังคำตอบคล้ายหยอกล้อของบุรุษแสนเย็นชาอย่างหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย สาวผู้ข้ามภพมาจากโลกอื่นยิ้มอย่างนึกทึ่งปนโล่งใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนางกำลังสุขใจเป็นที่สุด… คนคนนี้คือผู้ที่คู่ควรแล้วที่จะให้นางวางทั้งหัวใจเอาไว้บนมือของเขา
.
.
ตอนที่ 65 ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง
‘นายหญิง ท่านอยากจะช่วยชีวิตคนผู้นี้หรือไม่ ?’
ภาพของหานโม่ฉือที่กำลังใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการควบคุมความเย็นในร่างกายและความทุกข์ทรมานที่แสดงออกมาให้เห็น ทำให้หัวใจของฉินอวี้โม่เจ็บปวดไม่น้อย
ซึ่งก็แน่นอนว่าอสูรมายาที่อยู่ภายในมิติเชื่อมอสูรของนางต่างก็รับรู้ถึงอารมณ์ของผู้เป็นนายได้เป็นอย่างดี
‘เจ้าสามารถช่วยเขาได้อย่างนั้นหรือ ?’
เมื่อได้ยินเสียงของซิว ฉินอวี้โม่ที่กำลังจมอยู่ในความโศกเศร้าและหดหู่เพราะไม่สามารถช่วยเหลือมนุษย์น้ำแข็งที่กำลังจะตายผู้นี้ได้ก็ถามกลับอย่างมีความหวัง นางกำลังรู้สึกราวกับกำลังมองเห็นแสงสว่างท่ามกลางความมืดมิด
‘ไม่มีอะไรในโลกใบนี้ที่ข้าทำไม่ได้ !!!’
ซิวพูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งทะนงและองอาจ ก่อนจะกล่าวต่อเสียงอ่อย ‘อ่าาาา… มันแค่ขึ้นอยู่กับท่านว่าจะยอมทำหรือไม่ยอมทำก็เท่านั้น’
เมื่อได้ยินประโยคแรก ฉินอวี้โม่ก็อดรู้สึกขบขันไม่ได้ อสูรมายาแห่งโชคชะตาของนางดูจะเป็นผู้ที่ยโสโอหังไม่น้อย อย่างไรตามเมื่อได้ฟังประโยคหลัง นางก็ต้องขมวดคิ้วเป็นปม มันเป็นประโยคที่ค่อนข้างแปลกประหลาด
‘แล้วต้องทำอย่างไรข้าถึงจะช่วยคนผู้นี้ได้ ?’
ฉินอวี้โม่จ้องมองหานโม่ฉือที่ดูเหมือนจะทนไม่ไหวแล้วพร้อมกับเอ่ยถามซิวอย่างร้อนรน
‘นายหญิงจำได้หรือไม่ว่าร่างกายแสนพิเศษของนายหญิงถูกเรียกขานว่าอย่างไร ?’
อดีตนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 พยักหน้าก่อนจะตั้งใจฟังอสูรมายาลึกลับแห่งโชคชะตาของตนเอง เพราะซิวไม่เคยพูดเรื่องเหลวไหล หากมันบอกว่ามีทางช่วยได้ แสดงว่าย่อมมีหนทางอยู่จริง ๆ
‘กายเทพมายามีพลังในการรักษาทุกสรรพสิ่ง ต่อให้เป็นพิษเย็นที่กำลังกัดกินร่างกายของคนผู้นั้น กายเทพมายาก็สามารถยับยั้งมันได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกายเทพมายา นายหญิงคงจะกลายเป็นน้ำแข็งตั้งแต่ตอนที่จับตัวคนผู้นั้นแล้ว’
หญิงสาวเจ้าของกายเทพมายาพยักหน้าอย่างเข้าใจ กายเทพมายาเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างแท้จริง ที่ผ่านมาไม่ว่านางจะได้รับบาดแผลในรูปแบบใดก็ตาม ทว่าแผลทั้งหมดก็จะสมานตัวเองและเลือนหายไปได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเหตุผลก็คงเป็นเพราะ ‘พลังในการรักษาทุกสรรพสิ่ง’ ดังที่ซิวกล่าว ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เข้าใจความวิเศษของร่างกายนี้
‘แล้วข้าจะช่วยคนผู้นี้ได้อย่างไร ?’
จากเรื่องที่ซิ่วบอกมานั้น ถึงแม้นางจะพอเข้าใจแล้วว่าพลังจากกายเทพมายาสามารถช่วยชีวิตหานโม่ฉือได้ แต่ทว่าฉินอวี้โม่ก็นึกไม่ออกว่านางจะใช้งานมันได้อย่างไร
…ทว่าก็ไม่มีเสียงตอบกลับจากซิว…
จู่ ๆ อสูรมายาแห่งโชคชะตาของนางก็เงียบไปเสียเช่นนั้น แต่เพียงไม่นานนัก ซิวก็ส่งเสียงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ทำราวกับว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มันไม่สามารถเอ่ยออกมาได้
‘เอ่อ วิธีนั้น…’
เมื่อรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของซิว ทันใดนั้นนักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูผู้มีกายวิเศษก็นึกบางอย่างขึ้นได้ ร่างบางของนางแข็งค้างไปในฉันพลัน ! ความคิดพิสดารอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของหญิงสาว… ‘ไม่ ไม่ต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่’
‘ถูกแล้ว มันคือสิ่งที่นายหญิงกำลังคิดอยู่ในขณะนี้’
เมื่อกล่าวจบ ซิวก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ฉินอวี้โม่ไม่สามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้อีก
…หญิงสาวแห่งศตวรรษที่ 21 ในร่างคุณหนูผู้งดงามนิ่งงันอยู่ท่ามกลางความเงียบและหนาวเหน็บ…
เธอเพิ่งจะเข้าใจเดี๋ยวนี้เองว่าทำไมซิวพูดเรื่องนี้ออกมาได้ยากลำบากนัก ‘เรื่องแบบนี้จะเป็นจริงได้ยังไง มีแต่พล็อตนิยายน้ำเน่าในโลกของเธอเท่านั้นแหละ —พระเอกถูกพิษ และนางเอกก็มีร่างกายที่พิเศษบางอย่าง จากนั้นเพียงแค่ทั้งคู่ทำบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ชายกับผู้หญิงเขาทำกัน พระเอกก็จะฟื้นกลับมาเป็นปกติ …เป็นไปไม่ได้ มันไม่ควรจะเป็นไปได้ !’
เธอไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เธออุตริคาดเดาเอาเล่น ๆ จะกลายเป็นเรื่องจริงได้
เธอเพิ่งจะรู้จักกับหานโม่ฉือได้ไม่นาน เจอกันไม่กี่ครั้ง แค่จะเรียกว่ารู้จักกันดีก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าอยากช่วยเขาก็ต้องยอมทำเรื่องแบบนั้น ถ้าไม่อยากให้เขาตาย เธอกับมนุษย์น้ำแข็งนี่จะต้อง… สาวนักฆ่าแห่งศตวรรษที่ 21 รู้สึกว่าแม้แต่ผู้หญิงใจง่ายก็ยังไม่ทำกันเลย
“อวี้โม่…! รีบ ฆ่า ข้า เร็ว !”
เวลานี้หานโม่ฉือไม่สามารถยื้อฤทธิ์ของพิษเย็นในร่างกายไว้ได้อีกต่อไปแล้ว เขาลืมตาขึ้นมาเป็นครั้งสุดท้าย แล้วเอ่ยปากร้องขอความตายกับฉินอวี้โม่ ทุกถ้อยคำนั้นเปล่งออกมาได้อย่างยากลำบาก ในทันทีที่คำพูดสุดท้ายจบสิ้นลง บุรุษร่างใหญ่ผู้องอาจก็หลับตาเพื่อรอคอยคมอาวุธที่จะปลิดชีวิตของเขาอย่างสงบ
เมื่อได้เห็นบุรุษน้ำแข็งหานโม่ฉือร้องขอและนอนรอคอยความตายอย่างอาจหาญเช่นนั้น หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังคิดวุ่นวายอยู่ในหัวก็เกิดอาการลังเลขึ้นในใจ
‘ถึงเขาจะดูเย็นชามากไปสักหน่อยก็เถอะ แต่การที่ผู้ชายที่ดูสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ต้องมาตายไปแบบนั้นมันไม่น่าสงสารไปหน่อยเหรอ ?’
‘รูปร่างหน้าตาไร้ที่ติ อารมณ์สุขุม ไม่ว่าจะมองอย่างไรผู้ชายคนนี้ก็เหมือนถูกเทพเซียนปั้นแต่ง ถ้าต้องมอบครั้งแรกให้คนคนนี้มันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรนี่ !’
ฉินอวี้โม่ในชาติก่อนนอกจากจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เธอก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องอย่างว่ามาก่อนเลยด้วย …แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องผิดหรือเสียหาย เซ็กส์เป็นความสัมพันธ์ทางร่างกายอย่างหนึ่ง ในโลกศตวรรษที่ 21 ของเธอ ความสัมพันธ์ทางกายระหว่างชายหญิงไม่ใช่เรื่องใหญ่โต หลายคู่เลือกทำเรื่องนั้นเพราะความพึงพอใจไม่ได้เกิดจากความรัก บางคู่ก็ตกลงมีสัมพันธ์กันเพียงชั่วคืน หลังจากแยกย้ายก็ไม่รู้จักกันอีก เมื่อคิดได้แบบนั้น เธอก็ตัดสินใจได้
ยังไงหานโม่ฉือก็ถือเป็นเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง แถมเขายังเคยช่วยชีวิตนี้ของเธอไว้ เธอไม่ได้รังเกียจอะไรเขา ตรงกันข้ามเธอก็มีความรู้สึกที่ดีให้หนุ่มหน้าน้ำแข็งคนนี้ไม่น้อย ถ้าการทำแบบนี้ช่วยชีวิตเขาได้ กับอีแค่เสียสละตัวเองแค่นี้มันก็ไม่ควรจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
ที่สำคัญที่สุด ความรู้สึกในใจของเธอแสดงออกอย่างแรงกล้าว่า…ไม่อยากให้หานโม่ฉือผู้นี้ตายไปต่อหน้า ถ้าเธอไม่ทำตอนนี้ก็จะไม่มีโอกาสได้ช่วยเขาอีกแล้ว
“หานโม่ฉือ เอาเป็นว่า เรื่องนี้ข้าจะรับผิดชอบเอง !”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างแน่วแน่ เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง ก่อนจะขยับเข้าไปข้างกายเขา
ในเมื่อตัดสินได้แล้วว่าจะช่วยชีวิตเขา เธอก็ต้องช่วยอย่างเต็มใจและทำให้เต็มที่ที่สุดเพื่อไม่ให้ต้องมาเสียใจภายหลัง
หานโม่ฉือที่กำลังนอนรอความตายจากฉินอวี้โม่ผงะไปเมื่อได้ยินวาจาแปลกประหลาดเมื่อครู่ของนาง ในตอนที่เขาลืมตาขึ้นเขามองก็เห็นใบหน้านวลแสนงดงามกำลังโน้มเข้ามาใกล้
ยังไม่ทันที่บุรุษผู้กำลังนอนรอความตายจะตอบสนอง ริมฝีปากอุ่นนุ่มก็ประทับลงบนเรียวปากเย็บเฉียบและแห้งผากของเขาเสียก่อน
หานโม่ฉือตัวแข็งทื่อไปในทันที…นี่ฉินอวี้โม่กำลังทำสิ่งใด ?
น่าประหลาดที่หลังจากได้รับจุมพิตจากสาวงามแล้ว พิษเย็นในร่างกายของเขากลับอ่อนพลังลงไปอย่างชัดเจน
“หานโม่ฉือ เจ้าวางใจได้เลย หลังจากนี้ ข้าจะรับผิดชอบเจ้าเอง !”
ฉินอวี้โม่สบตาหานโม่ฉืออีกครั้ง ก่อนจะหลุบตาลงต่ำ ใบหน้านวลขึ้นสีแดงซ่านอย่างกระดากอาย ทว่ามือบางกลับริเริ่มกระทำการอันชวนหลงใหลต่อหน้าต่อตามนุษย์น้ำแข็งอย่างมุ่งมั่น…
จากอาภรณ์ของนางที่ค่อย ๆ ถูกปลดเปลื้อง สู่อาภรณ์ของเขาที่หลุดหายไปจากร่าง จากร่างกายส่วนบนสงไปสู่ร่างกายส่วนล่าง จากความหนาวสะท้านกลับกลายเป็นความอุ่นซ่านเข้าแทนที่…
หานโม่ฉือนั้น แม้จะเป็นบุรุษเย็นชา ทว่าก็นับเป็นผู้ชายธรรมดาที่มีเลือดเนื้อ แม้เขาจะรู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่ถูกไม่ควร แต่ร่างกายฉินอวี้โม่กลับมีพลังอันแรงกล้าบางอย่างที่สามารถยับยั้งพิษเย็นในร่างกายเขาได้และมันก็ดึงดูดให้เขาอยากจะแนบชิดกายบางมากขึ้นเรื่อย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยความงดงามชวนหวั่นไหวและเรือนร่างอันเย้ายวนเกินห้ามใจ รวมไปถึง… ความรู้สึกบางอย่างที่มีต่อสตรีผู้กำลังกระทำสิ่งอาจหาญต่อร่างกายของเขาก็ทำให้บุรุษผู้เคยเย็นชาต่อทุกสรรพสิ่งมิอาจต้านทานความเสน่หาไว้ได้เลย…….
ในเวลานี้ทั้งบุรุษผู้ร้องขอความตายและสตรีผู้ยอมพลีกายเพื่อช่วยชีวิตได้ปล่อยตัวปล่อยใจลอยล่องไปตามกระแสธารอันเชี่ยวกรากในภวังค์แห่งความพิศวาสจนหมดสิ้นแล้ว…
….และแน่นอนว่าคนทั้งคู่กำลังรู้สึกดีเป็นอย่างยิ่ง
หานโม่ฉือรู้สึกได้ว่ามีพลังพิเศษบางอย่างจากร่างกายของฉินอวี้โม่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขา ซึ่งพิษเย็นทั้งหลายที่กำลังแทรกซึมอยู่ทั่วร่างกายใหญ่โตนี้ก็พยายามหลบหลีกอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังพบเจอบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด อย่างไรก็ตาม ภายในไม่กี่อึดใจ พวกมันก็ถูกพลังพิเศษนั้นกลืนกินเข้าไปจนหมดสิ้น
พริบตาต่อมาพลังอันแสนมหัศจรรย์นั้นก็ไหลกลับเข้าไปในร่างของฉินอวี้โม่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากกิจกรรมแสนดุเดือดสิ้นสุดลง หานโม่ฉือก็รู้สึกว่าพิษเย็นภายในร่างกายของเขาถูกขจัดออกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว มากกว่าไปนั้น ความแข็งแกร่งของร่างกายนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยด้วย
ฉินอวี้โม่ผู้กำลังอ่อนล้าจากศึกอันหนักหน่วงนอนสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ ต้องบอกเลยว่าร่างกายของชายผู้นี้แข็งแรงมากจริง ๆ !
อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูเองก็พึงพอใจไม่น้อยเช่นกัน เวลานี้ระดับพลังของนางเพิ่มขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด มันเป็นความก้าวหน้าที่น่าสะพรึงกลัวมาก เพราะนางเลื่อนจากขอบเขตนภมายาสองดารามาสู่นภมายาหกดาราได้ในคราเดียว !
ฉินอวี้โม่ถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ ….นี่คือซวงซิว*ในตำนานงั้นหรือ ?
*ซวงซิว (双修) การฝึกวิชาคู่โดยการมีอะไรกัน
สิ่งหนึ่งที่ฉินอวี้โม่ยังไม่รู้ก็คือ เหตุผลที่ระดับพลังของนางเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดนั้นไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของพลังมายา แต่เป็นเพราะพลังงานจากพิษเย็นที่กระจายอยู่ทั่วร่างกายของหานโม่ฉือที่กายเทพมายาของนางได้ดูดซับมาได้ บวกรวมเข้ากับอารมณ์ที่อยู่ในสภาวะผ่อนคลายถึงขีดสุดของนางทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีเยี่ยมกว่าปกติ
“ต้องขอโทษเจ้าด้วย ข้าแค่อยากจะช่วยเจ้าจึงต้องรีบทำเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ต้องห่วง สิ่งที่ข้าทำเป็นข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเอง”
หลังจากนอนพักเหนื่อยอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็คว้าอาภรณ์ของตัวเองมาสวมแล้วลุกขึ้น ในตอนนี้ใบหน้านวลไม่มีหลงเหลือร่องรอยแดงซ่านอีกแล้ว และหัวใจดวงน้อยก็ไม่ได้เต้นแรงเหมือนกลองรัวอยู่ในอกอีก
เธอรู้ดีว่าหานโม่ฉือเป็นสุภาพบุรุษและคู่ควรต่อการไว้เนื้อเชื่อใจ แม้ว่าจะไม่ถึงกับมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมเสียทีเดียว แต่เธอก็รู้ว่าในเมื่อเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ต่อไปนี้หานโม่ฉือก็คงจะอุทิศตัว ยืดอกขอรับผิดชอบดูแลเธอไปตลอดชีวิต
ทว่าฉินอวี้โม่กลับไม่อยากให้เขาต้องมารับภาระดูแลเธอด้วยเหตุผลนี้ นักฆ่าสาวไม่อยากให้เขาพาเธอไปอยู่ด้วยเพราะ ‘ต้องรับผิดชอบ’ แต่อยากให้เขา ‘ต้องการอยู่เคียงข้างเธอ อยากใช้ชีวิตเคียงคู่ไปกับเธอจากใจจริง’ มากกว่า ดังนั้นเธอจึงชิงพูดประโยคนั้นออกไปก่อนเพื่อตัดบทเขา และ… เพื่อที่จะทดสอบใจอีกฝ่าย
หานโม่ฉือลุกขึ้นก่อนจะจัดการสวมใส่อาภรณ์จนเรียบร้อย เขาจ้องมองฉินอวี้โม่อยู่นาน ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
หญิงสาวงดงามตรงหน้าเพิ่งจะยอมเสียสละสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตผู้หญิงเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ ยิ่งกว่านั้น นางยังกล่าวอีกด้วยว่าสิ่งที่นางกระทำลงไปนางจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง ….คนเยี่ยงนี้ก็มีด้วยหรือ ? นางเป็นสตรีประเภทไหนกัน ?….
หานโม่ฉือได้ยืนนิ่งอึ้งจ้องมองสตรีแสนงดงามผู้ยอมพลีกายช่วยชีวิตเขาด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย
ในตอนที่ได้เห็นฉินอวี้โม่ครั้งแรกเขาก็รู้ได้ทันทีว่านางพิเศษ สตรีผู้นี้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ทั่วไปมาก หลังจากได้รู้จักกันมากขึ้น นางก็ทำให้ความรู้สึกแปลกประหลาดเกิดขึ้นในหัวใจของเขา ซึ่งไม่นานนักเขาก็ค้นพบว่ามันเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เขามีต่อนางเพียงผู้เดียว
หานโม่ฉือคือบุรุษเย็นชา เขาสามารถเพิกเฉยต่อทุกสิ่งในใต้หล้านี้ได้อย่างไม่ไยดี ทว่าเวลานี้เขากลับกำลังสนใจและรู้สึกว่าเขาคงมีความสุขมากหากได้ใช้เวลาชั่วชีวิตนี้อยู่ร่วมกับสตรีผู้หนึ่ง ในเวลานี้หัวใจด้านชาของเขากลับเกิดความอุ่นซ่านที่ยากจะอธิบาย หัวใจน้ำแข็งแสนมั่นคงที่ไม่เคยสั่นไหวมาก่อนเลยตลอดยี่สิบปี บัดนี้กำลังหลอมละลายลงเพราะสตรีตรงหน้า
ฉินอวี้โม่มองดูหานโม่ฉือที่กำลังยืนอึ้งอยู่อย่างนิ่งเงียบเช่นกัน แน่นอนว่านางก็ไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เขากำลังคิดอยู่ ที่นางกล่าววาจาเช่นนั้นออกไปก็เพราะกลัวว่าบุรุษตรงหน้าจะรู้สึกอึดอัด กระอักกระอ่วน หรือทำตัวไม่ถูก นางกลัวว่าเขาจะฝืนใจเลือกทางที่ตัวเองไม่เต็มใจ
….ทว่าสาวน้อยกลับไม่รับรู้เลยว่าหัวใจของมนุษย์เย็นชาตรงหน้าเปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมาได้เพราะตัวนางเนิ่นนานแล้ว….
ทันใดนั้น จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าคมคายของหานโม่ฉือ ! มันไม่ใช่ยิ้มอ่อน ๆ เช่นที่เธอเคยเห็นก่อนหน้านี้ แต่มันคือรอยยิ้มจริง ๆ รอยยิ้มเต็มหน้าที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจเขา
“ฉินอวี้โม่ ข้าไม่เคยรู้เลยว่าในโลกใบนี้จะมีสตรีเช่นเจ้าอยู่ด้วย”
หานโม่ฉือเดินเข้ามาใกล้ร่างบางก่อนจะคว้ามือเรียวเล็กขึ้นมากอดกุมอย่างแผ่วเบา
“ข้าไม่ต้องการความรับผิดชอบจากเจ้า และข้าจะไม่พูดว่าข้าจะรับผิดชอบเจ้า ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ข้าเริ่มมีใจให้แก่เจ้ามานานแล้ว ยิ่งกว่านั้นด้วยความรู้สึกในตอนนี้ของข้า ข้าคิดว่าในอนาคตจะต้องรักเจ้ามากมายขึ้นอีกเป็นแน่
ข้ารู้ดีว่าที่เจ้าทำไปเพราะพยายามจะช่วยชีวิตข้า ที่เจ้าทำเช่นนั้นเพราะไม่มีทางเลือกอื่น แต่ข้าอยากจะบอกเจ้าว่าเรื่องของความรู้สึกนั้น มันสามารถสั่งสมและค่อย ๆ พัฒนาไปเรื่อย ๆ ได้ ในเมื่อเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ข้าอยากให้เราทั้งสองลองพยายามร่วมกัน หากว่าเจ้าไม่รังเกียจข้า ข้าก็อยากจะอยู่ข้างกายเจ้าไปตลอดชีวิต”
วาจาที่แน่วแน่ของหานโม่ถือถูกกลั่นออกมาจากหัวใจที่หนักแน่น เป็นคำมั่นที่ปราศจากข้อสงสัยอย่างสิ้นเชิง ฉินอวี้โม่คือผู้หญิงคนแรกและคนเดียวที่พิชิตหัวใจเขาได้ นางทำให้เขาเกิดความรู้สึกที่ดีและเขาก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับนางไปตลอดชีวิต
อย่างไรเสียในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ก็เคยเป็นหนึ่งเดียวกันมาแล้ว หานโม่ฉือจึงตั้งความหวังเอาไว้ว่าอยากจะพยายามเคียงคู่กับสตรีผู้นี้ ในความคิดของเขา หากได้นางมาอยู่ข้างกาย ชีวิตและหัวใจของเขาก็คงจะเปี่ยมไปด้วยความสุขในทุกวัน ซึ่งชีวิตที่มีความสุขในทุก ๆ วันก็คงจะดีไม่น้อย
วาจาของหานโม่ฉือทำให้หัวใจฉินอวี้โม่หวั่นไหว ในทุก ๆ ถ้อยคำที่ออกจากปากเขาสั่นสะท้านหัวใจดวงน้อยของสตรีโฉมงามผู้ที่กำลังรับฟังอยู่ไม่น้อย
บุรุษผู้นี้ไม่ได้กล่าวว่าเขาจะรับผิดชอบตัวนาง เขาไม่ได้บอกว่ารู้สึกผิดที่ทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเสื่อมเกียรติแห่งสตรี ไม่ได้พูดว่านางเป็นคนของเขาแม้แต่ครึ่งคำ ไม่ได้แสดงอาการรังเกียจ ไม่ได้แสดงความเป็นเจ้าของ ไม่มีอาการลำบากใจ ตรงกันข้ามบุรุษมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้กลับสารภาพตรง ๆ ว่าหลงรักนางมานานแล้ว และยังบอกด้วยว่า เขาหวังจะอยู่เคียงคู่นางไปชั่วชีวิต ที่สำคัญในวาจาของเขาไม่มีความลังเลเลยสักนิด
…..มันจึงอดไม่ได้ที่ ‘เธอ’ จะรู้สึกว่าหากมีชายผู้นี้อยู่เคียงข้าง วันเวลาหลังจากนี้… ในโลกใหม่ใบนี้… ‘เธอ’ คงไม่เหงาหรือโดดเดี่ยวอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่ไม่ใช่สตรีที่คิดจะพึ่งพาผู้ชาย สำหรับนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ผู้เก่งกาจแล้วความคิดเช่นนี้ไม่เคยอยู่ในหัวเลยสักครั้ง ทว่าในหัวใจของเธอก็มีความคิดเช่นเดียวกับหานโม่ฉือ หากว่าชีวิตนี้ เธอมีโอกาสพบเจอกับคนดี ๆ คนที่มีทัศนคติตรงกัน การได้อยู่ร่วมกันกับคนคนนั้นก็คงเป็นสิ่งที่วิเศษ
“หานโม่ฉือ ข้าเองก็มีความรู้สึกที่ดีให้เจ้า แต่ตัวข้ามีเงื่อนไขของข้าสำหรับเรื่องที่จะใช้ชีวิตร่วมกันในอนาคต”
หลังจากคิดทบทวนอยู่นาน ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปาก สตรีผู้งดงามมองสบสายตาคมของบุรุษตรงหน้าอย่างแน่วแน่
“เจ้าลองพูดมาสิ”
หานโม่ฉือพยักหน้า เขามองตอบฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน
“ข้อแรก ข้าอยากจะให้พวกเราทั้งสองซื่อสัตย์ต่อกันและกัน และระหว่างเราจะไม่มีเรื่องใดที่ปิดบังซ่อนเร้น”
หลังจากนี้ฉินอวี้โม่ตั้งใจแล้วว่าจะบอกคนตรงหน้าในทุกเรื่อง ตัวเธอพร้อมที่จะเปิดเผยความลับของตัวเองให้เขารู้ทั้งหมด และเธอก็คาดหวังให้เขาทำในสิ่งเดียวกัน หากเขารับยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก
หานโม่ฉือพยักหน้าและกล่าว “หลังจากนี้ข้าจะบอกเจ้าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้า”
แท้จริงแล้วอดีตนักฆ่าสาวไม่ได้หวาดระแวงหรือมีข้อสงสัยในตัวหานโม่ฉือผู้นี้ เพียงแต่ เธอคิดว่าคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตกันก็ไม่ควรจะมีความลับอะไรต่อกันเท่านั้น
“ข้อสอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เจ้าจะเชื่อมั่นในตัวข้า เราจะเชื่อใจกันและกันเสมอ”
ฉินอวี้โม่กล่าวต่อ
หานโม่ฉือพยักหน้าตอบ เพราะนี่ก็คือสิ่งที่เขาหวังเอาไว้เช่นเดียวกัน
“ข้อสาม ข้อนี้สำคัญที่สุด ข้ายึดมั่นในความรักของคนสองคน หากวันหนึ่งเจ้ามีใจให้แก่สตรีคนอื่นหรือไม่ต้องการจะเคียงคู่กับข้าแล้ว ข้าอยากให้เจ้าบอกข้ามาตามตรง แล้วข้าจะเป็นผู้เดินจากไปเอง”
หลังจากกล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกครั้งหนึ่ง ดวงตาเนื้อทรายงามซึ้งยังคงจ้องมองหานโม่ฉืออย่างแน่วแน่ไม่วางตา ทว่าในแววตานั้นก็มีร่องรอยแห่งความกังวลเจืออยู่ไม่น้อย สาวจากศตวรรษที่ 21 ในร่างสาวงามแห่งดินแดนหวนหลิงรู้ดีว่า สำหรับคนในดินแห่งนี้แล้ว เรื่องที่เธอร้องขอเป็นสิ่งที่ค่อนข้างยากที่จะยอมรับได้
หานโม่ฉือมองสบนัยน์ตาหวานล้ำของฉินอวี้โม่อย่างค้นหาก่อนจะพยักหน้าและแย้มรอยยิ้มจริงใจ “นั่นคือสิ่งที่ข้าต้องการ”
เมื่อได้ฟังคำตอบอันหนักแน่นของหานโม่ฉือ หัวใจดวงน้อย ๆ ของฉินอวี้โม่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เวลานี้นางยอมรับคนเย็นชาผู้นี้เข้ามาอยู่ในหัวใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
.
.
.
ตอนที่ 64 ถูกพิษ
ทันทีที่ได้เห็นใบหน้าของบุรุษผู้ถูกล่าอย่างแจ่มชัด ฉินอวี้โม่ก็ต้องประหลาดใจปนหวาดหวั่น นางพบว่าเขาก็คือหานโม่ฉือ บุรุษมนุษย์น้ำแข็งที่เพิ่งจะแยกจากนางไปเมื่อไม่นานมานี้
หากจะนับอย่างละเอียด ตั้งแต่มายังดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ หานโม่ฉือคือหนึ่งในบุคคลที่เธอพบเจอบ่อยครั้งที่สุด ฉะนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่ฉินอวี้โม่จะรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายของเขา
ทันใดนั้นเองหานโม่ฉือก็หยุดเคลื่อนที่ ร่างของเขาอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฉินอวี้โม่ซ่อนตัวอยู่มากนัก
“เหอะ เจ้าหนีต่อไปไม่ได้แล้วสินะ ?!”
ฉินอวี้โม่ประหลาดใจเป็นอย่างมากที่เห็นหานโม่ฉือหยุดการเคลื่อนไหวและปล่อยให้กลุ่มคนที่กำลังไล่ล่าเขาพุ่งเข้าล้อมตัวได้โดยง่าย และนางยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเมื่อเห็นบาดแผลมากมายทั่วร่างกายใหญ่โตนั้น
อย่างไรก็ตาม สาวงามก็พบว่าบนใบหน้าคมของเขาไม่มีร่องรอยแห่งความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย บุรุษมนุษย์น้ำแข็งสาดสายตาเย็นเฉียบเข้าใส่กลุ่มคนที่ล้อมตัวเขาไว้ พร้อมกันนั้นก็ปลดปล่อยสภาวะพลังที่น่ากลัวออกมา
“หานโม่ฉือ ในที่สุดเจ้าก็ตกอยู่ในกำมือข้าแล้ว”
บุรุษสวมหน้ากากดำที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มมองหานโม่ฉือด้วยสายตาที่มีแต่ความเกลียดชังอย่างเต็มเปี่ยม
“หึ ! เจ้าคิดว่าเจ้าจะจับข้าได้รึ ? หานโม่หยวน”
หานโม่ฉือตอบโต้พลางจ้องมองอีกฝ่ายกลับไปอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเด็ดขาดแน่วแน่และเต็มไปด้วยความป่าเถื่อน แม้ว่าจะถูกยอดฝีมือจำนวนมากปิดล้อมอยู่แต่หานโม่ฉือก็ยังคงไม่มีอาการหวาดวิตกหรือตื่นกลัวให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ก็กำลังตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด เพราะร่างกายที่เคยแข็งแกร่งนั้นบัดนี้มีร่องรอยของพลังมายาที่กำลังรั่วไหลออกมาเรื่อย ๆ
หานโม่หยวนคือน้องชายต่างมารดาของหานโม่ฉือ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาคนผู้นี้ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับพี่ชายตนเองอย่างเด่นชัดและเพื่อที่จะให้ตนเองได้ขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำตระกูลคนต่อไป หานโม่หยวนจึงพยายามเล่นงานหานโม่ฉืออยู่หลายครั้ง
ทว่าหานโม่ฉือไม่เคยเห็นน้องชายต่างมารดาผู้นี้อยู่ในสายตามาก่อน ไม่คิดเลยว่าในครั้งนี้เขาจะตกอยู่ในเงื้อมมือคนชั่วช้าผู้นี้ได้
“หานโม่ฉือ หากว่าเจ้าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ข้ายอมรับว่าต่อให้ข้าพยายามมากแค่ไหนก็ไม่อาจเทียบเจ้าได้ แต่ตอนนี้พิษเย็นในกายเจ้าเริ่มอยู่เหนือการควบคุมแล้ว พลังของเจ้าก็เหลืออยู่ไม่ถึงสามในสิบส่วน คิดหรือว่าข้าจะกลัวเจ้า !”
หานโม่หยวนมองพี่ชายที่เขาแสนเกลียดชังด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันแล้วกล่าวต่อ “หานโม่ฉือ ขอเพียงแค่เจ้าตายในวันนี้ ในอนาคตก็จะไม่มีผู้ใดมาเป็นเสี้ยนหนามของข้าอีกแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีใครกล้ายืนขวางทางข้า และท่านผู้นำตระกูลจะได้เห็นถึงความสามารถของข้าเสียที !”
ทันทีที่กล่าวจบ หานโม่หยวนก็กวักมือเป็นสัญญาณให้กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังเตรียมพร้อมเพื่อลงมือจู่โจมเหยื่อตรงหน้า
เห็นได้ชัดว่าสภาพร่างกายของหานโม่ฉือในเวลานี้ดูย่ำแย่ยิ่งนัก ลมหายใจของเขาไม่มั่นคง อีกทั้งสภาวะพลังที่แผ่ออกมาจากร่างกายก็อ่อนแอกว่าปกติอย่างชัดเจน มีเพียงเจตจำนงอันแรงกล้าและจิตใจที่เข้มแข็งเท่านั้นที่ยังคงค้ำจุนร่างไว้ไม่ให้ล้มลงไป
ทว่าถึงแม้ว่าบุรุษร่างใหญ่โตดูคล้ายจะล้มพับไปตามสายลมได้ทุกเมื่อ แต่กลุ่มบุรุษหน้ากากดำก็ยังคงไม่สามารถทำอันตรายเขาได้
หานโม่หยวนนั้นไม่ใช่คนโง่ เขาให้คนของเขาล้อมหานโม่ฉือเอาไว้และสั่งให้อยู่ในสภาวะพร้อมจู่โจมตลอดเวลา แต่กลับยังไม่ได้สั่งให้ผู้ใดลงมือ เขาจะรอคอยจนกระทั่งหานโม่ฉือไม่สามารถควบคุมร่างกายได้อย่างสมบูรณ์เท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะได้ลงมือสังหารได้โดยง่าย
แม้ว่าสีหน้าของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนไป ทว่าพละกำลังของเขาก็ค่อย ๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้ฤทธิ์ของพิษเย็นในร่างกายเขากำเริบขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยิ่งร่างกายอันแข็งแกร่งนี้เย็นลงเท่าใด สถานการณ์ของเขาก็ยิ่งลงเลวร้ายลง
ฉินอวี้โม่เร้นกายอยู่ในเงาของต้นไม้ต้นหนึ่งท่ามกลางความมืด แม้ว่าเธอจะเป็นนักฆ่าฝีมือฉกาจที่มองดูผู้คนล้มตายต่อหน้าโดยไม่กะพริบตามานักต่อนัก แต่ในครั้งนี้มือสังหารสาวผู้มีจิตใจมั่นคงกลับควบคุมหัวใจที่กำลังเต้นรัวเร็วของตัวเองได้อย่างยากลำบาก
หากจะว่ากันตามเหตุและผล นี่เป็นเรื่องราวภายในตระกูล และฉินอวี้โม่ก็ไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเรื่องภายในของผู้อื่น ทว่าเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหานโม่ฉือเมื่อครั้งที่อยู่ที่บึงสายหมอก อีกทั้งยังเรื่องที่เขาช่วยเหลือเธอไว้ในวันอสูรล้อมเมือง ฉินอวี้โม่ก็คิดว่าตัวเองไม่สามารถยืนดูอยู่เฉยๆ ได้
ด้วยความคิดเช่นนั้นฉินอวี้โม่ก็ไม่ลังเลอีก เมื่อเห็นว่าสบโอกาส นักฆ่าสาวก็ใช้วิชาตัวเบาดีดตัวพุ่งทะยานออกไปยังจุดที่หานโม่ฉือถูกล้อมอยู่ ก่อนจะใช้ฝ่าเท้าซัดเข้าใส่ชายหน้ากากดำผู้หนึ่งที่กำลังยืนขวางหน้าตัวนางกับบุรุษน้ำแข็งเต็มแรง
ในขณะที่หานโม่ฉือกำลังคิดจะรีดเค้นพลังเฮือกสุดท้ายเพื่อต่อสู้แลกชีวิตกับคนหยาบช้าเหล่านี้ จู่ ๆ เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายหอมหวานกระแสหนึ่งพุ่งเข้าปะทะ ก่อนที่พริบตาต่อมาร่างบางที่แสนคุ้นเคยจะปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“ฉินอวี้โม่ เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”
แม้แต่หานโม่ฉือที่เป็นบุรุษเย็นชาและประหยัดวาจาเป็นอย่างยิ่งก็ยังอดอุทานอย่างประหลาดใจออกมาไม่ได้
เขาไม่ได้แปลกใจที่เห็นนางเสี่ยงชีวิตบุกเข้ามาช่วยเขา แต่ประหลาดใจเพราะว่าจู่ ๆ นางก็ปรากฏตัวออกมาอย่างไม่คาดฝันในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้ หากฉินอวี้โม่ซุ่มอยู่ไม่ไกลเขาก็ควรจะรับรู้ถึงการมีอยู่ของนางบ้าง
“ไม่มีเวลาอธิบาย ข้าจะพาเจ้าออกไปจากที่นี่ก่อน”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉือที่ในตอนนี้กำลังหน้าซีดเซียวอย่างอ่อนล้า ความเย็นที่รั่วไหลออกมาจากร่างของเขาอยู่ในระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แค่ยืนอยู่ไม่ไกลฉินอวี้โม่ก็รู้สึกหนาวสะท้าน ไม่ต้องคิดเลยว่าเขาจะกำลังเหน็บหนาวเพียงใด
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดถึงเข้ามายุ่งเรื่องของข้า ?”
หานโม่หยวนอดไม่ได้ที่จะพ่นวาจาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว เมื่อเห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนชุดดำร่างเล็กปรากฏตัวขึ้นมาขวางหน้าหานโม่ฉือและพวกเขา
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นผู้ช่วยของหานโม่ฉือ ?
เพราะเวลานี้ฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษและเป็นเพราะในยามนี้คือกลางดึกในคืนข้างแรมอันแสนมืดมิด หานโม่หยวนจึงมองไม่ออกว่าผู้สอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของเขาเป็นบุรุษหรือสตรี
“ข้าจะพาตัวคนผู้นี้ออกไป !”
ฉินอวี้โม่สาดวาจาเข้าใส่คนตรงหน้าอย่างเย็นชา นางรู้สึกว่าร่างของหานโม่ฉือกำลังสั่นอย่างไม่อาจต้าน เขากัดฟันเอาไว้และก้าวออกมายืนเคียงข้างนาง
เมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัว แววแห่งความตื่นตระหนกก็ปรากฏบนใบหน้าของบุรุษมนุษย์น้ำแข็ง เขาอยากจะผลักให้สตรีร่างบางออกไปจากตรงนี้ แต่ทว่าก็ไม่มีเรี่ยวแรงมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้ และตอนนั้นเองที่เขาต้องชะงักไปเมื่อเห็นฉินอวี้โม่ใช้แขนเล็กๆ ของนาง โอบรอบร่างกายใหญ่โตของเขาเอาไว้แล้วแบกขึ้นบ่า
หานโม่ฉือตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แต่เพียงจับต้องร่างกายของเขาได้โดยไม่ทุกข์ทรมานจากไอเย็นที่แผ่กระจายออกมาแต่สตรีผู้นี้กลับยังสามารถแบกร่างกายใหญ่โตและเย็นจัดของเขาได้อีกด้วย!
“เย็นจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่แบกร่างของหานโม่ฉือเอาไว้ นางรู้สึกได้ว่าเขาไม่สามารถควบคุมความเย็นในร่างกายของตัวเองได้ อีกทั้งลมหายใจของเขาก็ยังแผ่วเบาอย่างน่าหวาดหวั่น อวัยวะภายในของคนผู้นี้กำลังปั่นป่วน เป็นไปได้ว่าธาตุไฟในร่างของเขากำลังจะหมดลงในไม่ช้า
เมื่อเห็นว่าบุรุษมนุษย์น้ำแข็งจะคงสติอยู่ได้อีกไม่นาน ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเรียกราชาอสรพิษเก้าเศียรออกมา
“เสี่ยวจิ่ว* ช่วยข้าหยุดพวกมันที !”
*九 (จิ่ว) แปลว่า เก้า
อดีตคุณหนูสั่งให้อสรพิษเทวะราชันของนางรับมือกับกลุ่มชายหน้ากากดำ ในขณะที่นางแบกร่างของหานโม่ฉือแล้วพุ่งทะยานพาเขาหนีออกไป
“ราชาอสรพิษเก้าเศียร !”
เมื่อเห็นการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเสี่ยวจิ่ว ไม่เพียงแค่หานโม่หยวนและเหล่าบุรุษหน้ากากดำเท่านั้นที่ผงะไป เพราะแม้แต่หานโม่ฉือเองก็ยังตกตะลึงไม่น้อย
แม้ว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรจะไม่ค่อยชอบใจกับชื่อที่ฉินอวี้โม่ตั้งให้มากนัก ทว่ามันก็ไม่ได้เอ่ยตัดพ้อนางในเรื่องนี้
แม้จะได้เพิ่งกลายเป็นอสูรมายาของสตรีมนุษย์ผู้นี้ได้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันก็ได้รู้ดีว่านายหญิงของมันไม่ใช่คนที่ชอบบีบบังคับอสูรมายา และไม่บ่อยครั้งนักที่นางจะออกคำสั่ง การที่ครั้งนี้นางสั่งการด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมากถึงเพียงนี้นั่นแสดงว่าสถานการณ์อยู่ในภาวะวิกฤตถึงขีดสุด ยิ่งกว่านั้นทุก ๆ ครั้งที่ฉินอวี้โม่ทำพันธสัญญากับอสูรมายาและเลื่อนระดับพลัง มันก็จะได้เลื่อนระดับไปด้วย และทั้งหมดก็เป็นเหตุผลให้ความรู้สึกต่อต้านในหัวใจของมันค่อย ๆ คลายลงไป
เพื่อให้ฉินอวี้โม่พาหานโม่ฉือหนีออกไปได้อย่างปลอดภัย เสี่ยวจิ่วจึงส่งเสียงขู่คำรามดังก้องไปทั่วป่าและใช้หัวทั้งเก้าของมันขัดขวางมนุษย์ตัวจ้อยทุกคนที่คิดจะไล่ตามนายหญิงของมัน
“อย่าปล่อยให้พวกมันหนีไป !”
เมื่อเห็นว่าร่างของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ หานโม่หยวนก็อดแค้นเคืองไม่ได้ บุรุษผู้คิดเป็นใหญ่ในตระกูลหานตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล
“อยู่ต่อหน้าราชา เจ้ามีเพียงสิทธิ์แสดงความหวาดกลัวและยอมจำนนเท่านั้น อย่าคิดจะทำสิ่งอื่น ไม่งั้นข้าจะส่งเศษกระดูกของพวกเจ้าลงไปเฝ้ารากผิงกั๋ว !”
ราชาอสรพิษเก้าเศียรเปล่งเสียงข่มขู่อย่างข่มขวัญ ก่อนจะใช้หัวยักษ์ทั้งเก้าและเขี้ยวยาวอีกหลายสิบตรงเข้าฉกกัด ฉีกกระชากเล่นงานกลุ่มจอมยุทธ์ตรงหน้าอย่างดุร้าย
แม้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มจอมยุทธ์หน้ากากดำและหานโม่หยวนจะไม่ถือว่าย่ำแย่และเสี่ยวจิ่วก็ไม่สามารถสังหารพวกเขาคนใดได้ ทว่าในเรื่องการจะหยุดยั้งคนพวกนี้เอาไว้นั้นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเจ้างูยักษ์เก้าหัวที่เป็นถึงอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดาราเลยแม้แต่น้อย หน้าที่ของเสี่ยวจิ่วคือการยื้อเวลา หากฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหนีไปได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ถือว่าภารกิจเสร็จสิ้น และมันก็จะถอยออกไปในทันที
เวลานี้ฉินอวี้โม่แบกร่างหานโม่ฉือหนีมาได้ไกลพอสมควรแล้ว นางไม่ได้พาเขากลับไปยังจุดที่นางและพรรคพวกตั้งเต็นท์เอาไว้ ทว่ากลับพาเขาหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวภายในถ้ำอสรพิษซึ่งเป็นที่อยู่เดิมของราชาอสรพิษเก้าเศียร
ในตอนนี้ร่างกายของหานโม่ฉือปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเย็นไหลทะลักออกมาจากร่างของเขาอย่างรุนแรงจนฉินอวี้โม่รู้สึกว่าทั้งไหล่และแขนของนางแทบจะกลายเป็นน้ำแข็ง มันชาจนไร้ความรู้สึกไปหมดแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ไม่คิดจะปล่อยร่างของมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ลง
เมื่อหานโม่ฉือมองดูสตรีโฉมงามที่กำลังเร่งรีบพาเขาหลบหนีด้วยสีหน้าท่าทางอันแสนมุ่งมั่น รอยยิ้มบางๆ ก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าคมคาย เขาเห็นชัดเจนเลยว่านางเองก็กำลังฝืนต่อต้านไอเย็นจากร่างของเขาอยู่อย่างหนักหน่วง
“ขอบคุณมาก”
หานโม่ฉือเอื้อนเอ่ยวาจาด้วยความยากลำบาก ทว่าน้ำเสียงนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยน
เมื่อได้ยินเสียงแหบแห้งแต่กลับอ่อนโยนอย่างน่าประหลาดของบุรุษผู้เย็นชา ฉินอวี้โม่ก็ตกตะลึงไปไม่น้อย ทว่านางก็เลือกที่จะไม่เอ่ยอะไรและรีบมุ่งหน้าต่อไป
เมื่อมาถึงผาทรนงแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบพาร่างของหานโม่ฉือทะยานเข้าไปภายในถ้ำอสรพิษทันที
ในเวลาเดียวกันนางก็สั่งการให้ราชาอสรพิษเก้าเศียรถอนกำลังออกมาด้วยการสื่อสารทางจิตวิญญาณ และด้วยจุดที่นางพักแรมนั้นอยู่ในเส้นทางเสี่ยงที่กลุ่มชายหน้ากากดำจะเข้าไปพบเจอ ฉินอวี้โม่จึงขอร้องให้ราชางูยักษ์กลับไปช่วยคุ้มครองเสี่ยวโร่วและโอวหยางชิงเฟิงพร้อมกับแจ้งสถานการณ์ให้ทางนั้นได้รับทราบ
เสี่ยวจิ่วพยักหน้าตอบรับและรีบถอนตัวออกไปตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
กลุ่มของหานโม่หยวนได้แต่มองราชาอสรพิษเก้าเศียรถอนกำลังออกไปโดยไม่คิดจะขัดขวางมัน พวกเขาไม่กล้าใช้นภายุทธ์ในเวลานี้ เพราะนั่นอาจจะนำพาให้อสูรมายาหากินกลางคืนที่ดุร้ายตัวอื่นเข้ามาแทรกแซงได้
ในตอนนี้เมื่อเป้าหมายของเขา–หานโม่ฉือ ถูกบุคคลปริศนามาช่วยออกไปได้ ใบหน้าของหานโม่หยวนก็มีแต่ความมืดมนและบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
“หัวหน้า พิษเย็นในตัวของเจ้าหานโม่ฉือมันควบคุมไม่ได้แล้ว อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกับพวกเรา ข้าคิดว่ามันคงอยู่ได้ไม่พ้นคืนนี้แน่ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก !”
บุรุษหน้ากากดำที่อยู่ข้าง ๆ หานโม่หยวน เอ่ยปากกล่าวปลอบใจเพื่อให้ผู้เป็นนายของตนสงบสติอารมณ์ลง
หานโม่หยวนเปล่งเสียง *หึ* อย่างเย็นชาออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังกลับ
เขารู้ดีว่าในร่างกายของหานโม่ฉือมีพิษเย็นไหลเวียนอยู่ โดยปกติแล้วมันสามารถกำเริบขึ้นมาได้ทุกเวลา แต่หากว่ายับยั้งไว้ได้ทันก็จะไม่มีผลกระทบร้ายแรง อย่างไรก็ตาม พิษนี้มีความพิเศษอย่างหนึ่งคือ เมื่อใดที่ผู้ติดพิษใช้พลังมายาก็จะเป็นการเร่งให้พิษนั้นกระจายไปทั่วร่างและกำเริบรุนแรงขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุดคนผู้นั้นก็จะต้องเจ็บปวดทรมานจนขาดใจตาย
ทว่าหานโม่ฉือนั้นแข็งแกร่งมากจนสามารถใช้พลังยับยั้งพิษไปพร้อมๆ กับใช้พลังในการต่อสู้ได้ อีกทั้งยังมีสมุนไพรบ้าบอนั่นช่วยต้านพิษไว้ แต่ในวันนี้เขาระดมพลมาและฉวยจังหวะเวลาเหมาะสมลงมืออย่างหนัก ในตอนที่ต้องรับมือกับพรรคพวกของเขาก่อนจะหลบหนีไป หานโม่ฉือได้ใช้พลังไปมาก ไหนจะยังอาการบาดเจ็บนั่น เกรงว่าตอนนี้พิษเย็นคงจะแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของมันแล้ว
หากไม่มีพลังหลงเหลือที่จะควบคุมพิษเย็นก็มีเพียงความตายหนทางเดียวเท่านั้นที่รอคอยหานโม่ฉืออยู่ อีกไม่นานร่างของคนน่าชังผู้นั้นก็จะกลายเป็นเสมือนกับรูปปั้นน้ำแข็ง หัวใจของมันจะหยุดเต้นช้าๆ และลมหายใจของมันก็จะหมดไปในที่สุด ส่วนคนที่ช่วยมันไปได้นั่น อีกไม่นานก็จะถูกฤทธิ์ของพิษเย็นทำให้ตายไปพร้อมกัน !
“กลับตระกูลหานได้ ข้าจะใช้โอกาสนี้กวาดล้างกำลังสนับสนุนและกลุ่มอิทธิพลของหานโม่ฉือออกไปให้หมด !”
หานโม่หยวนมองไปยังทิศทางที่หานโม่ฉือหายตัวไปด้วยสายตาชั่วร้าย เขายกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันครั้งหนึ่งก่อนจะพาคนของเขาเดินทางกลับออกไปอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้สถานการณ์ภายในถ้ำอสรพิษเป็นอย่างที่หานโม่หยวนคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดเพี้ยน พิษเย็นที่อยู่ในร่างกายของหานโม่ฉือไหลเวียนอยู่ทั่วจนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว
ฉินอวี้โม่ทำได้เพียงคอยเฝ้าเขาเอาไว้ ขณะเดียวกันนางก็รู้สึกได้ว่าอุณหภูมิภายในถ้ำกำลังลดต่ำลงไปเรื่อย ๆ นักฆ่าสาวเริ่มตื่นตระหนกเพราะลมหายใจของหานโม่ฉือกำลังปั่นป่วนจนน่าหวาดหวั่น ฉินอวี้โม่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย นางได้แต่หน้านิ่วขมวดคิ้วมองดูอย่างอับจนหนทาง
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ทันใดนั้นหานโม่ฉือก็ลืมตาขึ้นมา
“เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม ?”
ฉินอวี้โม่มองหานโม่ฉืออย่างเป็นกังวล นางยอมรับนานแล้วว่าบุรุษผู้นี้เป็นสหาย แต่ที่ไม่เข้าใจนักก็คือเหตุใดอาการเลวร้ายของเขาจึงทำให้หัวใจของนางรู้สึกย่ำแย่นัก
“ข้าเกรงว่าข้าคงไม่สามารถควบคุมพิษเย็นภายในร่างกายได้อีกแล้ว”
หานโม่ฉือส่ายหน้า ใบหน้าของเขายังคงสงบเยือกเย็น แต่ชีพจรและอวัยวะภายในของเขาดูจะไม่ดีอย่างที่เขากำลังแสดงออกให้เห็น
“อวี้โม่ เจ้าสัญญากับข้าเรื่องหนึ่ง”
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่แน่วแน่ราวกับว่าเขาตัดสินใจบางอย่างได้
“เชิญพูดมาได้”
คำพูดเช่นนั้นและแววตาจริงจังของบุรุษน้ำแข็งตรงหน้าทำให้ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกใจคอไม่ดี
“หากว่าหลังจากนี้ข้าไม่สามารถควบคุมพิษเย็นไว้ได้ อย่าได้ลังเลที่จะสังหารข้า !”
แม้ว่าจะเอื้อนเอ่ยแต่ละคำออกมาจากปากได้อย่างยากลำบาก ทว่าเสียงของหานโม่ฉือก็ยังคงหนักแน่น
เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็ชะงักไป นางยังไม่ได้เตรียมใจถึงเรื่องนี้เอาไว้
“แท้จริงแล้วพิษเย็นนี้อยู่ในตัวข้ามาหลายปี ในทุกครั้งที่ใช้พลังมายา ฤทธิ์ของพิษจะร้ายแรงขึ้น หากไม่ใช่เพราะข้าควบคุมมันไว้ ข้าคงตายไปนานแล้ว แต่ครั้งนี้ข้าใช้พลังไปมากมายจนไม่อาจควบคุมมันได้อีก เมื่อถึงเวลานั้น ไม่เพียงแค่เจ้า แต่ทุกสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใกล้ ๆ จะได้รับผลกระทบไปด้วย แม้ข้าไม่ใช้วีรบุรุษหรือผู้ผดุงคุณธรรม แต่ข้าก็ไม่อยากเห็นชีวิตบริสุทธิ์ต้องมาตายไปเพราะข้า อวี้โม่… ถ้าเวลานั้นมาถึง เจ้าต้องสังหารข้าทันที อย่างลังเลเด็ดขาด !”
วาจาที่หลุดออกมาจากปากของหานโม่ฉืออย่างยากลำบากนั้นช่างหนาวเหน็บชวนสั่นสะท้าน มันไม่ใช่แต่เพียงความเย็นภายนอก แต่เนื้อความนั้นก็ยังทำให้คนฟังหนาวสั่นไปถึงขั้วหัวใจ
ทว่าทั้งหมดก็ช่วยอธิบายให้ฉินอวี้โม่ได้เข้าใจในหลายเรื่อง
นางได้รู้แล้วว่า ไอเย็นที่เคยแผ่ออกมาจากร่างของมนุษย์น้ำแข็งผู้นี้ตลอดเวลาแท้จริงแล้วเป็นผลข้างเคียงจากการที่เขาติดพิษ ซึ่งทุกครั้งที่เขาใช้พลัง พิษนี้จะกำเริบและทำให้ร่างกายต้องเจ็บปวด เพียงแต่ที่เขาไม่แสดงอาการใดเลยก็เป็นเพราะที่ผ่านมาคนผู้นี้สามารถยังยั้งพิษเอาไว้ได้
ทว่าพิษเย็นในร่างกายของหานโม่ฉือก็มีผลข้างเคียงที่เลวร้ายกว่านั้นอยู่ นั่นก็คือเมื่อเขาไม่สามารถควบคุมมันได้ มันก็จะระเบิดออกมา ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเขาจะกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด และทางแก้เพียงอย่างเดียวก็คือต้องชิงลงมือสังหารเขาให้ตายก่อน ขอเพียงแค่เขาตายก่อนที่พิษจะระเบิดออกจากร่าง พิษเย็นเหล่านั้นก็จะสูญเสียพลังไปพร้อม ๆ กับลมหายใจของเขาและสลายตัวไปเองในที่สุด
ฉินอวี้โม่นึกไม่ออกเลยว่าภายใต้ใบหน้าอันแสนเย็นชานั้น เขาจะต้องอดทนอดกลั้นต่อความทุกข์ทรมานจากพิษเย็นในร่างกายมากมายเพียงใดในทุกครั้งที่ใช้พลังต่อสู้
ด้วยถ้อยคำอันหนักแน่นและแววตาแสนจริงจังนั้น ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าตอบรับ…..คนผู้นี้ต่างจากคนอื่น ๆ ที่นางเคยพบมาจริง ๆ
แม้วาจาจะกล่าวว่าตนไม่ใช่คนดี แต่ลึก ๆ แล้วบุรุษผู้นี้ก็มีความดีอยู่ เพราะอย่างน้อยในช่วงเวลาอันสำคัญเช่นนี้เขาก็มิได้ลังเลที่จะเลือกให้ตัวเองตายเพื่อแลกกับชีวิตบริสุทธิ์ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่อาจได้รับผลกระทบจากพิษร้ายในร่างกาย
นอกจากความจริงเรื่องพิษในกาย ฉินอวี้โม่ยังได้รู้อีกด้วยว่าส่วนลึกในจิตใจของหานโม่ฉือก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเช่นที่เขาแสดงมาออกต่อหน้าผู้คน
….ทว่าสิ่งหนึ่งที่อดีตมือสังหารในร่างคุณหนูไม่รู้ก็คือ ไม่เพียงแต่หานโม่ฉือจะไม่ต้องการทำร้ายชีวิตผู้บริสุทธิ์อื่น ๆ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขาไม่อยากให้สตรีตรงหน้าต้องเป็นอะไรไปเพราะตัวเขา….
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยอมพยักหน้ารับคำ รอยยิ้มอ่อนแรงก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของบุรุษผู้แสนเย็นชา เขาหลับตาลงอีกครั้งและพยายามควบคุมความเย็นในร่างกายอย่างสุดความสามารถ
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มจากคนเย็นชาผู้นี้ชัด ๆ สาวนักฆ่าก็ชะงักไป !
….ผู้ชายคนนี้ปกติไม่เคยยิ้มให้ ‘เธอ’ เห็นเลยสักครั้ง แต่พอเขาได้ยิ้มแบบนี้แล้ว ใบหน้าของเขาก็ดูดีมากจริง ๆ….
เป็นตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา… ‘เธอ’ ไม่อยากเห็นชายคนนี้ตายไปต่อหน้าต่อตาเลย
แต่ทว่าสาวงามกลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้ และยิ่งเวลาผ่านไป อากาศภายในถ้ำอสรพิษก็ยิ่งเย็นลงไปอย่างต่อเนื่อง
.
.
.
ตอนที่ 63 การไล่ล่ากันกลางป่า
ฉินอวี้โม่ช่วยตระกูลเหล่ยสยบอสูรมายาจึงทำให้ระดับพลังของนางเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งระดับขั้นดารา และนั่นก็เป็นผลให้ในเวลานี้นางอยู่ในขอบเขตนภมายาสองดาราแล้ว
แม้ว่าเหล่ยเจิ้นเทียนจะไม่พอใจนักที่คุณหนูบ้านนอกจากตระกูลคู่อริเป็นผู้สยบอสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราได้และยังได้ไข่ประหลาดที่ฟักเป็นตัวแล้วไปครอบครอง ทว่าการลงทุนลงแรงของตระกูลเหล่ยในครั้งนี้ก็ยังนับว่าไม่สูญเปล่า เพราะพวกเขาได้อสูรเทวะเจ็ดและแปดดารามาทดแทน ซึ่งนั่นก็สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตระกูลของพวกเขาได้อยู่ไม่น้อย แม้แต่เหล่ยเจิ้นเทียนผู้นำในภารกิจเองก็ต้องยอมรับว่าเขาพึงพอใจกับการเดินทางครั้งนี้
“ผู้อาวุโสฉิน ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเราคงต้องขอลา ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า”
หลินซวงผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างกล่าวอำลาฉินอีเฟิงด้วยรอยยิ้ม เขาเหลือบมองฉินอวี้โม่อยู่ปราดหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินจากไป
“ชิงเฟิง กลับตระกูลพร้อมกับข้าเถอะ ท่านปู่ของเจ้าคิดถึงเจ้ามาก”
โอวหยางหมิงเอ่ยกับหลานชายอย่างอ่อนโยน ดูเหมือนว่าคุณหนูฉินเองก็ต้องการจะตามฉินอีเฟิงกลับตระกูลเช่นกัน ดังนั้นผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยางจึงไม่เชื่อว่าโอวหยางชิงเฟิงจะยังดื้อดึงไม่ยอมกลับพร้อมกับเขาในครั้งนี้
“ท่านลุงสาม ข้าจะกลับไปแน่นอน เพียงแต่ข้าให้สัญญากับสหายของข้าเอาไว้ว่าข้าจะพาพวกนางเที่ยวชมป่า ถ้าพวกนางไม่กลับ ข้าก็จะไม่กลับไป”
โอวหยางชิงเฟิงยังคงดื้อรั้นอย่างมาก แต่ก็นั่นก็เพราะเขาลั่นวาจาให้สัญญากับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเอาไว้แล้ว เขาจะต้องพาพวกนางไปหาสถานที่ดี ๆ สำหรับฝึกวิชาภายในป่าแสงจันทร์ให้ได้ เพราะฉะนั้นในเรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องทำให้เสร็จสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้โอวหยางหมิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปมองฉินอีเฟิงเป็นเชิงขอความช่วยเหลืออยู่กลาย ๆ
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าก็ตามข้ากลับตระกูลเถอะ”
ฉินอีเฟิงยิ้มแย้มแล้วเอ่ยชักชวน ก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่ก็บอกกับเขาไว้ว่านางจะไปที่ตระกูลฉินในนครไปอวิ๋น หากนางเดินทางไปพร้อมกับเขา อย่างไรเสียก็ต้องดีกว่าเดินทางลำพัง
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างนอบน้อมแล้วกล่าวตอบ “ท่านลุงเจ็ด ข้าให้คำมั่นว่าจะกลับไปที่ตระกูลฉินแน่นอน เพียงแต่ในตอนนี้ข้าคิดว่ายังไม่ถึงเวลา”
เวลานี้ ไหน ๆ นางก็มาอยู่ใจกลางป่าแสงจันทร์ อีกทั้งระดับของนางก็เลื่อนขึ้นสู่นภมายาแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้นำทางแสนเชี่ยวชาญที่ยากจะหาได้อยู่ด้วย หากฉินอวี้โม่ไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อฝึกฝนพัฒนาตนเองและเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก็ถือว่านางปล่อยโอกาสทองให้หลุดมือไป
สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูคิดว่าสำหรับนางแล้ว การจะเป็นยอดฝีมือในขอบเขตนภมายาที่เก่งกาจก็ยังต้องการการฝึกฝนขัดเกลาอยู่อีกมาก ฉากการใช้วิทยายุทธ์อันแสนล้ำเลิศของเหล่าจอมยุทธ์นภมายาจากไป๋อวิ๋นในถ้ำอสรพิษทำให้ฉินอวี้โม่ตระหนักได้ถึงความสามารถของตน และตอนนี้นางเกิดความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะฝึกฝนขึ้นมาแล้ว
“เป็นเพราะเหตุใด ?”
ฉินอีเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำตอบของหลานสาว
ฉินอวี้โม่เล่าถึงสิ่งที่นางต้องการจะทำให้บุรุษผู้มีศักดิ์เป็นลุงฟังอย่างคร่าวๆ
ในที่สุดฉินอีเฟิงก็พยักหน้าตอบรับ เขาเข้าใจว่าฉินอวี้โม่เป็นคนรักอิสระ การเร่งรัดให้นางกลับไปที่ตระกูลฉินมากเกินไปอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดี ผู้อาวุโสเจ็ดตระกูลฉินคิดอย่างจนใจในเรื่องนี้และเลือกที่จะปล่อยให้นางทำตามใจ
“เช่นนั้น พวกเราจะขอกลับก่อน หากเจ้าไปที่นครไป๋อวิ๋นแล้วก็ให้มาพบเราที่ตระกูลฉินเป็นอันแรก อย่าลืมนะเสี่ยวอวี้โม่”
ฉินอีเฟิงกล่าวอำลาพร้อมทั้งฝากฝังย้ำเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะโบกมือลาหลานสาว
โอวหยางหมิงเองก็ได้แต่มองโอวหยางชิงเฟิงด้วยสีหน้าปลงใจ และสุดท้ายเขาก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
“ลุงสาม ข้าให้สัญญาว่าข้าจะกลับไปพร้อมกับอวี้โม่”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้ม เขาพยายามพูดให้ท่านลุงสบายใจขึ้น อีกทั้งเขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดมากที่เขาไม่ยอมตามกลับตระกูล
โอวหยางหมิงพยักหน้าและหันหลังเดินจากไปพร้อม ๆ กับฉินอีเฟิง
ฉินอวี้โม่กับโอวหยางชิงเฟิงมองดูสองผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางเดินจากไปจนลับสายตา
ตอนนี้ เนื่องจากทั้งฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงยังไม่มีแผนที่จะออกจากป่าแสงจันทร์ ทั้งสองและเสี่ยวโร่วจึงเลือกเดินผ่านผาทรนงและมุ่งต่อไปในป่าด้านหน้า
“อวี้โม่ จริง ๆ แล้วข้าเป็นทายาทตระกูลโอวหยาง แต่เป็นเพราะว่าข้าถูกบังคับให้แต่งงานกับคนผู้หนึ่งซึ่งข้าไม่อยากแต่งด้วย ข้าเลยหนีออกมาจากจวน”
โอวหยางชิงเฟิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเล่าเรื่องนี้ให้ฉินอวี้โม่ฟัง เขาไม่อยากให้นางเข้าใจเขาผิดเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหนีออกจากบ้านและเรื่องที่เขาปิดบังตัวตนเอาไว้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าตอบรับพร้อมกับแย้มยิ้ม นางไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองในเรื่องที่เขาปิดบังฐานะของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
โอวหยางชิงเฟิงเป็นบุรุษที่มีนิสัยสนุกสนานตรงไปตรงมาเหมือนเด็ก ๆ นางชื่นชอบคนผู้นี้จากใจจริง เขาเป็นบุคคลที่น่าคบหาและเป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง ที่สำคัญตัวนางเองก็มีเรื่องที่ปิดบังอีกฝ่ายไว้เช่นเดียวกัน
“อวี้โม่ ที่คุณชายสามตระกูลเหล่ยพูดเป็นความจริงรึเปล่า ?”
โอวหยางชิงเฟิงมองดูฉินอวี้โม่และถามด้วยความสงสัย
ในตอนที่คุณชายสามตระกูลเหล่ยกล่าวว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงขยะไร้ค่าจากเมืองที่ห่างไกล แม้ว่าตัวเขาจะไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงแต่ก็ทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมา และเขาก็อยากจะรู้เรื่องราวเกี่ยวกับนางมากขึ้น
“เรื่องนี้ เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน วาจาร้ายกาจของคุณชายสามไม่ได้ทำให้นางกังวลแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ตระกูลฉินเป็นดั่งที่เขากล่าวไว้จริง ๆ แต่ตอนนี้สตรีนามฉินอวี้โม่ได้ผ่านพ้นจุดนั้นมาแล้ว และยามนี้ทุกอย่างก็ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
“ข้าก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกนะ แต่ดูเหมือนว่าที่เขาพูดมาจะเป็นเรื่องจริง”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ หากมองจากสิ่งที่เห็นจากตัวตนของสตรีงดงามตรงหน้าเขาตอนนี้ เขาก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่านางจะเคยเป็นเพียงขยะไร้ค่ามาก่อน อย่างไรก็ตาม เขาก็รู้ว่าที่คุณชายตระกูลเหล่ยพูดมาคือเรื่องจริง และเหตุผลส่วนหนึ่งก็เพราะว่าฉินอวี้โม่ไม่เคยปฏิเสธเรื่องนี้เลย
เมื่อคิดถึงเรื่องของนาง โอวหยางชิงเฟิงก็รู้สึกปวดร้าวใจแทน หญิงสาวผู้นี้จะต้องลำบากลำบนและต้องพยายามหนักหนาเพียงใดกว่าจะเติบโตมาเป็นอย่างทุกวันนี้ได้
เมื่อรู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่หม่นหมองลงของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มบาง ๆ และเอ่ย “ชิงเฟิง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดมาก ทุกอย่างมันผ่านไปหมดแล้ว ข้าเคยเป็นสตรีไร้ประโยชน์ เคยถูกเรียกว่าขยะไร้ค่าและถูกรังแกมาโดยตลอด แต่เรื่องเช่นนั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว มีเพียงแค่ฉินอวี้โม่เท่านั้นที่มีสิทธิ์จะรังแกใครต่อใคร แต่ไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารังแกข้า !”
แม้ว่าจะร่วมทางกันมาได้ไม่นาน แต่ฉินอวี้โม่ก็ถือว่าโอวหยางชิงเฟิงเป็นสหายที่แท้จริง ในเมื่อนางนับว่าเขาเป็นเพื่อนจากก้นบึ้งของหัวใจแล้ว นางก็จะไม่ปกปิดอะไรเขา
“หากว่าต่อไปมีใครกล้ามารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้นะ ข้าจะช่วยเจ้าจัดการคนชั่วพวกนั้นเอง”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าแล้วให้คำมั่น เขาเองก็ถือว่าฉินอวี้โม่เป็นสหายที่แท้จริงเช่นกัน
“ชิงเฟิง เจ้าคิดหรือว่าจะมีใครรังแกข้าได้ ?”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้ายก่อนจะถามออกไป นางต้องการจะปรับอารมณ์ของสหายหนุ่มหน้ามน
คุณชายรองตระกูลโอวหยางส่ายศีรษะ ถ้าเป็นฉินอวี้โม่ในตอนนี้ เขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดรังแกนางได้แน่
“ถูกแล้วล่ะ งั้นเจ้ามาติดตามข้าดีกว่า พวกเรามารังแกพวกคนเลวด้วยกันเถอะ!”
ฉินอวี้โม่วางท่าใหญ่โต แล้วตบไหล่ของโอวหยางชิงเฟิงปุ ๆ อย่างสนิทสนม
โอวหยางชิงเฟิงที่ได้เห็นเช่นนั้นก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน ตอนนี้สีหน้าของเขากลับมาเป็นปกติแล้ว
เสี่ยวโร่วฟังบทสนทนาของคุณหนูของนางและคุณชายรองตระกูลโอวหยางมาเงียบ ๆ ตลอดทางโดยไม่กล่าวขัด ตอนนี้นางรู้สึกยินดีกับคุณหนูของนางที่ได้สหายดี ๆ
‘ถ้าคุณหนูมีความสุข เสี่ยวโร่วก็มีความสุข !’
คณะเดินทางทั้งสามคนและอีกหลายตัวเดินทางตัดผ่านผาทรนงมาและล่วงเข้าสู่เขตป่าอีกด้านได้ก่อนที่ท้องฟ้าจะเริ่มมืด
“เราหาที่พักสำหรับคืนนี้กันก่อนเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางตัดสินใจจะหาที่พักสำหรับค้างแรมในคืนนี้
ขึ้นชื่อว่าพงไพร ไม่ว่าจะเป็นป่าแห่งใด ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดก็คือยามค่ำคืน หากว่าบังเอิญได้เผชิญหน้ากับอสูรมายาที่ทรงพลังและหากินกลางคืนแล้วนั้น ถึงแม้ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงจะไม่ได้อ่อนแอแต่ก็คงจะต้องรับศึกหนักหนาไม่น้อย
โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ตอนนี้ทัศนวิสัยเริ่มลดลงไปมากแล้ว หากยังฝืนเดินทางต่อไป เกรงว่าจะไม่ปลอดภัยกันทั้งกลุ่ม
คนทั้งสามพบลานกว้างไม่ใหญ่ไม่เล็กแห่งหนึ่ง ที่ตรงนี้อยู่ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่และแห้งพอที่จะใช้เป็นที่นอนได้ หลังจากนั่งลงเพื่อพักขาให้คลายจากความเมื่อยล้า ฉินอวี้โม่ก็นำของสิ่งหนึ่งออกมา… มันคือสิ่งที่ในศตวรรษที่ 21 เรียกกันว่า ‘เต็นท์’
ในช่วงที่พักอยู่ในบ้านพักที่ลั่วอวิ๋นจัดไว้ให้นั้น ด้วยความที่ฉินอวี้โม่คิดได้ว่าต่อไปนี้ทั้งนางและเสี่ยวโร่วคงจะได้นอนกลางป่ากลางเขากันอยู่บ่อยครั้ง ฉะนั้นนางจึงตามหาช่างฝีมือในเมืองเยว่กวาง แล้ววาดแบบแปลนพร้อมทั้งอธิบายรายละเอียดให้ช่างฝีมือผู้นั้นให้สร้างมันขึ้นมา กว่าจะได้เป็นเต็นท์ที่มีความใกล้เคียงเต็นท์มากที่สุดอีกทั้งยังใช้งานได้จริงและคงทนถาวรนั้น เรียกได้ว่าทั้งช่างทั้งผู้ออกแบบต้องเหน็ดเหนื่อยไปไม่น้อย
“นั่นมันคืออะไร ?”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยถามออกมาด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสิ่งของประหลาดที่ฉินอวี้โม่นำออกมา
เหตุใดเขาถึงไม่เคยเห็นสิ่งที่ดูเหมือนกับ ‘บ้านหลังน้อย’ เช่นนี้มาก่อนเลย ?
“สิ่งนี้เขาเรียกว่าเต็นท์ หากว่าต้องอยู่กลางป่ากลางเขา การนอนในเจ้านี่ก็จะช่วยให้สะดวกสบายขึ้นมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางรีบกางเต็นท์สองหลังอย่างคล่องแคล่ว
“เสี่ยวโร่ว เจ้ากับข้านอนในหลังนี้ ส่วนอีกหลังให้ชิงเฟิงนอน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มให้เสี่ยวโร่ว ก่อนจะจัดสรรพื้นที่แต่ละเต็นท์ให้เหล่าสมาชิกในคณะเดินทางกลุ่มเล็ก ๆ ของนาง
สาวใช้น้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย นางเคยเห็นมันมาก่อนจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะให้คนสร้างเต็นท์ไว้สองหลังก็ตาม แต่ปกติแล้วเพื่อความปลอดภัยอดีตคุณหนูก็มักจะนอนกับสาวใช้ผู้เป็นเสมือนน้องสาวเสมอ
โอวหยางชิงเฟิงมองดูเต็นท์ที่ฉินอวี้โม่เพิ่งจะตั้งเสร็จด้วยความพิศวง และด้วยความใคร่รู้ หนุ่มหน้าใสจึงก้มลงมองลอดเข้าไปภายในก่อนจะพบว่าเจ้าบ้านหลังน้อยนี่มันช่างน่านอนเป็นอย่างยิ่ง บุรุษหน้ามนทอแววตาหลงใหลในทันที
“อวี้โม่ เจ้าจะบอกวิธีการสร้างเต็นท์นี่ให้ข้าได้หรือไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงถามอย่างสนอกสนใจ เขาเองก็อยากจะได้ ‘เต็นท์’ นี่สักหลัง และถ้าหากรู้วิธีก็จะได้หาคนสร้างให้ได้ ต่อไปเวลานอนในป่าเขาก็ไม่ต้องลำบากอีกแล้ว
“ถ้าเจ้าต้องการ หลังนั้นข้ายกให้เจ้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วเอ่ยปากยกเต็นท์ให้โอวหยางชิงเฟิงในทันที
ไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการบอกวิธีสร้างเต็นท์ให้สหายรู้ แต่นางแค่อยากจะให้การออกแบบออกมาในรูปแบบที่มั่นคงที่สุดก่อน เพราะในอนาคตสาวจากศตวรรษที่ 21 คิดเอาไว้ว่าจะทำเต็นท์ออกมาเป็นสินค้าสำหรับขาย และเพื่อให้มั่นใจในคุณภาพสินค้ามากที่สุดนางก็ต้องพัฒนาระบบการผลิตให้ดีที่สุดเสียก่อน ฉะนั้นแม้ว่าฉินอวี้โม่จะเชื่อใจโอวหยางชิงเฟิง แต่มันก็ยังเร็วเกินไปที่จะบอกวิธีสร้างให้เขารู้ในตอนนี้
“จริงเหรอ ได้อย่างนั้นก็วิเศษเลย !”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มกว้างและพยักหน้าอย่างยินดี แท้จริงแล้วเขาเพียงแค่ต้องการเต็นท์สักหลังเท่านั้น ส่วนวิธีในการสร้างมันเขาไม่ได้สนใจ
ทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง ก่อนจะกินอาหารค่ำแล้วแยกย้ายกันพักผ่อน
คืนนี้ม่อเสียผู้หายจากอาการซึมเศร้าแล้วขออาสาเฝ้าเวรยามอย่างกระตือรือร้น ซึ่งฉินอวี้โม่เองก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปกติแล้วนางมักจะให้อสูรมายาช่วยเฝ้าระวังภัยในยามค่ำคืนเสมอ การอาศัยอยู่ในป่าลึกจำเป็นต้องระแวดระวังความปลอดภัยตลอดเวลา ยิ่งเมื่อเป็นสตรีที่เดินทางกันสองคนเช่นนางและเสี่ยวโร่วก็ควรจะระวังมากกว่าผู้อื่น การมีเหล่าอสูรมายาคอยช่วยเหลือเรื่องนี้จึงช่วยให้อุ่นใจได้มาก
ในวันนี้ตัวนางและเสี่ยวโร่วพบเจอเรื่องราวมากมายหลายอย่างทำให้สาวใช้น้อยรู้สึกเหนื่อยล้ามาก สาวน้อยผู้เข้มแข็งผล็อยหลับไปในทันทีที่ล้มตัวลงนอน ฉินอวี้โม่จึงได้แต่ยิ้มและส่ายหน้าอย่างเอ็นดู
ในกลางดึกอันแสนเงียบสงัด หลังจากงีบหลับไปได้ครู่ใหญ่ สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็สะดุ้งตื่นเพราะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังจำนวนมากในจุดที่ไกลออกไปกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ! แท้จริงแล้วนี่เป็นเรื่องที่นางไม่สมควรจะไปยุ่งเกี่ยว… ทว่ามีกลิ่นอายหนึ่งที่นางรู้สึกคุ้นเคย
สาวงามค่อย ๆ ขยับตัวออกมาจากเต็นท์พักแรมและเห็นม่อเสียที่กำลังมองไปรอบทิศ อสูรเทวะราชันขมวดคิ้วมุ่น ตาสองข้างหรี่ลงราวกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง
“นายหญิง ท่านเองก็สัมผัสกลิ่นอายพวกนั้นได้ใช่ไหม ?”
ม่อเสียนั้นเป็นอสูรเทวะราชันที่แข็งแกร่งในระดับที่แม้ฉินอวี้โม่จะใช้อาวุธต่อสู้ตัวต่อตัวกับมันก็ยังเอาชนะได้ยาก ทันทีที่กลิ่นอายเหล่านั้นปรากฏหมีดำเทวะราชันจึงรู้สึกตัวในทันที
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและกล่าว “ม่อเสีย ข้าจะไปดูหน่อย เจ้ารออยู่ที่นี่ ถ้าทุกคนตื่น บอกพวกเขาว่าเดี๋ยวข้าจะรีบกลับมา”
เนื่องจากมีกลิ่นอายที่นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก อดีตนักฆ่าสาวจึงอยากจะไปดูให้เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ตัวเธอนั้นมาอยู่ยังดินแดนแห่งนี้ได้ไม่นานนัก คนที่จะทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับกลิ่นอายได้ก็แสดงว่าเธอจะต้องเคยเจอคนผู้นั้นมาหลายครั้งแล้ว
ม่อเสียพยักหน้าตอบรับ “นายหญิง ท่านก็ระวังตัวด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้อสูรมายาของนางอีกครั้ง จากนั้นนางก็พุ่งหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืด สตรีงดงามมุ่งหน้าผ่านป่าด้วยความเร็วเสียงเพื่อตรงไปยังกลิ่นอายเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบ
ณ เขตป่าลึก ในจุดที่ไม่ไกลจากใจกลางป่าแสงจันทร์มากนัก กลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังไล่ล่ากันอยู่อย่างดุเดือด !
ผู้ที่นำหน้ามาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ คนผู้นี้สวมชุดสีดำสนิท ใบหน้าเย็นชาราวกับฉาบไว้ด้วยน้ำแข็ง บนร่างของเขามีบาดแผลเล็กใหญ่กระจายอยู่ทั่ว ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย อย่างไรก็ตาม บุรุษชุดดำผู้นี้กลับเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่สูงเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่าบาดแผลเหล่านั้นไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อตัวเขาเลย
ที่ด้านหลังบุรุษชุดดำมีกลุ่มคนสวมหน้ากากสีดำจำนวนนับสิบไล่ตามมา
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มคนสวมหน้ากากเหล่านี้มีระดับพลังที่สูงส่งไม่ธรรมดา และหลายคนในกลุ่มนั้นก็เป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายา พวกเขาดูเหมือนบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ทุกคนกำลังไล่ล่าเป้าหมายอย่างมุ่งมั่น โดยไม่มีวี่แววว่าจะยอมปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดรอดไปได้
“บ้าเอ๊ย !”
จู่ ๆ บุรุษผู้ถูกไล่ล่าก็สบถเสียงดัง ดูเหมือนว่ากลุ่มคนสวมหน้ากากดำเริ่มเข้าใกล้เขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว
“เอาล่ะ มาดูกันว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน ?!”
ชายผู้หนึ่งที่อยู่ในกลุ่มคนสวมหน้ากากดำเปล่งเสียงขึ้นอย่างเย็นชา เขาจ้องมองเหยื่อที่กำลังหนีอยู่ด้านหน้าตาไม่กะพริบพลางเร่งความเร็วเต็มฝีเท้าเพื่อไล่ตาม
ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวเข้าไปใกล้คนกลุ่มนั้นจากด้านข้าง อดีตสาวนักฆ่าปกปิดกลิ่นอายของตนเอาไว้ และใช้วิชาตัวเบาค่อย ๆ เร้นกายในความมืดเพื่อขยับเข้าไปใกล้อย่างเงียบที่สุด จากนั้นก็หาสถานที่เหมาะสมแห่งหนึ่งเพื่อซ่อนตัว
นางต้องการจะดูให้แน่ชัดก่อนว่ามีสิ่งใดขึ้น หากเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว อดีตมือสังหารค่อยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป
ในตอนที่ฉินอวี้โม่เพิ่งจะซ่อนตัวได้ไม่นานนัก ร่างของคนผู้หนึ่งก็เคลื่อนที่เข้ามาใกล้จุดที่นางอยู่ ฉินอวี้โม่สัมผัสถึงกลิ่นอายคุ้นเคยของคนผู้นี้ได้อย่างเลือนราง
และในชั่วอึดใจต่อมา อดีตคุณหนูก็มองเห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้นได้อย่างชัดเจนเมื่อเขาเคลื่อนที่ผ่านหน้า และเป็นตอนนั้นเองที่หัวใจของสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูเกิดอาการสั่นไหวรุนแรง พร้อมกันนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน
.
.
.
ตอนที่ 62 ข้อเสนอของตระกูลเหล่ย
เหล่ยเจิ้นเทียนมองดูฉินอวี้โม่ที่ไม่เพียงแค่สยบอสูรเทวะราชันแต่ยังได้ลูกอสูรมายาศักยภาพสูงไปครอบครองอีกตัวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
แม้ว่าตระกูลเหล่ยกับตระกูลฉินจะเป็นปรปักษ์กันมาช้านานและมักจะมีเรื่องกระทบกระทั่งกันอยู่บ่อยครั้ง ทว่าเพื่อไม่ให้เสียภาพลักษณ์ดีงามของตระกูลยิ่งใหญ่โดยเปลือกนอกแล้วพวกเขาจึงต้องรักษามารยาทไว้บ้าง
“ยินดีกับผู้อาวุโสฉินด้วย หากผู้นำตระกูลฉินทราบว่าท่านตามหาคุณหนูฉินอวี้โม่จนเจอและยังพบด้วยว่านางถูกเลี้ยงดูมาอย่างดีจนคุณหนูมีพรสวรรค์อันโดดเด่นมากมายเพียงนี้ เขาก็คงจะชื่นชมท่านยกใหญ่เป็นแน่”
เหล่ยเจิ้นเทียนกัดฟันกล่าวอย่างกล้ำกลืน เขาต้องทนกดความรู้สึกรวดร้าวเอาไว้ในหัวใจเพื่อออกปากแสดงความยินดีกับฉินอีเฟิง
“ฮ่า ๆ ๆ ขอบคุณมาก ผู้อาวุโสเหล่ย ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเหล่ยมาช่วยพวกเรารับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร พวกเราก็คงไม่ประสบความสำเร็จขนาดนี้ !”
ฉินอีเฟิงยิ้ม สิ่งที่เขากล่าวเป็นเรื่องจริง หากไม่ได้เหล่ยเจิ้นเทียนและตระกูลเหล่ยของเขามาช่วย พวกเขาก็จะไม่สามารถสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรและได้ไข่อสูรเทวะราชันมาโดยง่ายเช่นนี้
“ฮ่า ๆ ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าขอตัวก่อน !”
เหล่ยเจิ้นเทียนพยายามยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเอ่ยลา ผู้อาวุโสอายุน้อยผู้กำลังเจ็บช้ำใจรีบพาคนจากตระกูลเหล่ยของเขาเดินออกไปทันที
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงหันมองหน้ากัน สองผู้อาวุโสจากตระกูลพันธมิตรยกยิ้มให้กันอย่างรื่นรมย์ก่อนจะนำคนของพวกเขาเดินออกจากถ้ำอสรพิษ
ฉินอวี้โม่เดินเคียงคู่กับราชาอสรพิษเก้าเศียร นางสังเกตเห็นว่าราชาอสรพิษระดับเทวะราชันเกือบจะฟื้นฟูร่างกายกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
“เจ้าอยากจะเดินไปกับข้า หรือจะเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรก่อน ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ในช่วงนี้ข้าขอเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรก่อน…”
แม้ว่ามันจะได้รับประโยชน์จากฉินอวี้โม่จนได้เลื่อนระดับ แต่ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ยังคงอารมณ์ไม่ดีที่ต้องกลายเป็นอสูรมายาของมนุษย์ อสรพิษผู้ยิ่งใหญ่จึงอยากจะขอสงบสติอารมณ์ให้ได้ก่อน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและส่งอสูรเทวะราชันผู้ซึมเศร้าเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูร
ต้องบอกเลยว่าหลังจากที่ฉินอวี้โม่ก้าวเข้ามาอยู่ขอบเขตนภมายา มิติเชื่อมอสูรของนางก็กลายเป็นช่องมิติที่มีขนาดกว้างขึ้นมาก และทำให้นางสามารถเก็บอสูรมายาเข้าไปไว้ภายในนั้นได้มากขึ้น
ส่วนมังกรทองห้าเล็บตัวกระจิริดที่เกาะอยู่บนไหล่บาง ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจส่งมันเข้าไปภายในมิติเชื่อมอสูรพร้อมกันกับราชาอสรพิษด้วย
แม้ว่าฉินอีเฟิงกับโอวหยางหมิงอาจจะยังไม่ถามอะไรนางในตอนนี้ แต่นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูเชื่อว่าพวกเขาคงมีเรื่องสงสัยอยู่มากมาย
เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่พวกเขาได้เห็นในวันนี้ก็แปลกประหลาดมากเกินไป ไม่มีผู้ใดเคยเห็นมาก่อนว่ามีอสูรมายาที่เพิ่งจะฟักออกจากไข่แล้วพูดได้ในทันที ! นี่ไม่ใช่เรื่องปกติเป็นแน่ และไม่ใช่สิ่งที่อสูรมายาทั่ว ๆ ไปจะทำได้เลย
“อวี้โม่ ยินดีด้วย ต่อไปนี้ใครมารังแกข้า เจ้าก็ช่วยปกป้องข้าด้วยนะ”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยวาจาหยอกล้อฉินอวี้โม่ เขาไม่ได้หดหู่หรือรู้สึกย่ำแย่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามมันกลับคล้ายว่าการที่ฉินอวี้โม่ได้อสูรมายาที่ทรงพลังไปสองตัวเป็นเรื่องที่ทำให้ตัวเขาเองก็มีความสุขมากด้วยเช่นกัน
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินถ้อยคำหยอกล้อของโอวหยางชิงเฟิง นางก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไม่ต้องเป็นห่วง ต่อไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
ตอนนี้นางยอมรับโอวหยางชิงเฟิงเป็นสหายจากก้นบึ้งของหัวใจ อดีตคุณหนูผู้งดงามไม่มีความหวาดระแวงต่อหนุ่มหน้าใสผู้นี้อีกแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
เมื่อเสี่ยวโร่วเห็นกิริยาท่าทางของโอวหยางชิงเฟิงที่มีต่อคุณหนูของนาง สาวใช้น้อยก็รู้สึกสะกิดใจในความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง ทว่านางก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
แต่กระนั้นเด็กสาวก็ยังคงครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ ถ้าหากว่ามีโอกาสหรือจังหวะเวลาเหมาะๆ ที่ได้อยู่กับคุณหนูตามลำพังสองคนในสถานที่เงียบๆ เสี่ยวโร่วน้อยก็ตั้งใจไว้ว่าจะพูดคุยเรื่องนี้กับคุณหนูของนางแน่นอน
ในเวลานี้คุณหนูผู้งดงามของนางกลายเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย ทั้งชื่อเซียว ลั่วอวิ๋น และโอวหยางชิงเฟิง ต่างก็ดูจะมีใจให้กับคุณหนูอยู่ไม่น้อย แม้พวกเขาจะเป็นคนดีแต่ก็ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าพวกเขาจะมีรักแท้ให้กับคุณหนูตลอดไป ถึงเสี่ยวโร่วจะยังเด็กแต่นางก็เคยได้ยินได้เห็นเรื่องราวความรักมามากมาย ในเรื่องความรักคุณหนูน่าสงสารมาโดยตลอดเพราะมีเพียงความรักจากมารดาคอยเติมเต็ม คนอื่น ๆ ก็เป็นแต่รังแกคุณหนูของนาง หากคุณหนูจะมีคนรักก็ขอให้เจอชายผู้รักจริงไม่ทำให้คุณหนูเจ็บช้ำ
และเพราะฉะนั้น เด็กน้อยเพิ่งพ้นวัยสาวมาหมาดๆ จึงมุ่งหมายใจเอาไว้ว่า นางจะต้องหาโอกาสเตือนสตรีผู้ที่นางรักเสมือนพี่สาวในเรื่องนี้ให้ได้ และถ้าหากคุณหนูจะเลือกผู้ใดมาเป็นคู่ครองก็จะต้องเลือกอย่างระมัดระวัง อย่าบุ่มบ่ามเป็นอันขาด
หากว่าฉินอวี้โม่ล่วงรู้ในสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังนึกคิดอยู่ตอนนี้ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็คงจะขำพรืดออกมาแน่ เสี่ยวโร่วอายุน้อยกว่านางเสียอีก อันที่จริงสาวน้อยอายุน้อยกว่าเธอเป็นสิบปี แต่เหตุใดเด็กคนนี้ถึงได้เอาแต่คิด ‘เรื่องพวกนี้’ แทนนางจนสับสนไปหมด
หลังจากออกจากถ้ำอสรพิษแล้ว ฉินอีเฟิงก็ตั้งใจไว้ว่าจะพาคณะเดินทางกลับไปยังตระกูลฉิน
ทันทีที่ออกจากถ้ำได้ ผู้อาวุโสเจ็ดก็ถามไถ่สถานการณ์ด้านนอกกับฉินขุย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเจออสูรเทวะอยู่หลายตัว และมีระดับเทวะราชันเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นอีกทั้งยังเป็นตัวที่มีขั้นดาราต่ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อมันได้เห็นความแข็งแกร่งของกลุ่มคนที่เฝ้าปากทางเข้าถ้ำอยู่มันก็ถอยหนีไป
“ผู้อาวุโสเจ็ด ข้าเห็นผู้อาวุโสชวี่เดินกลับออกมา ใบหน้าถมึงทึง ท่าทางเกรี้ยวกราด ผู้ใดก็เข้าหน้าไม่ติด ใครเข้าไปทักทายก็ไม่สนใจ มันเกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ ?”
ฉินขุยที่รับหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกสอบถามในสิ่งที่สงสัยออกไปทันที แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษร่างใหญ่โต แต่ทว่ากลับมีจิตใจละเอียดรอบคอบ บุรุษกำยำผู้นี้ใส่ใจในทุกรายละเอียด แม้แต่เรื่องที่ผู้คนคิดว่าหยุมหยิมเล็กๆ น้อยๆ เขาก็ไม่เคยมองข้าม
ฉินอีเฟิงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นด้านในให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ และนั่นเองที่ทำให้ฉินขุยอดไม่ได้ที่จะหันไปมองคุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหลิงซีตาโต บุรุษร่างใหญ่แต่มีหัวใจละเอียดอ่อนมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเทิดทูนศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม
ฉินอวี้โม่เริ่มทำตัวไม่ถูก อดีตนักฆ่าสาวในร่างสตรีโฉมงามกำลังรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเห็นสายตาของฉินขุย เธอคิดว่าตัวเองไม่เหมาะจะเป็นที่จ้องมองของผู้ชายตัวใหญ่กำยำแบบนั้น… ‘ถูกผู้ชายร่างกำยำมองอย่างเทิดทูนบูชาแววตาเปล่งประกาย อ่า… ไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด’
หลังจากกลับออกมาได้ไม่นานนัก เหล่ยเจิ้นเทียนก็เดินตรงเข้ามาหาพวกเขาก่อนจะเปิดหัวข้อสนทนาด้วยคำทักทาย
“ผู้อาวุโสฉิน ท่านจะกลับไปที่นครไป๋อวิ๋นเลยใช่หรือไม่ ?”
เหล่ยเจิ้นเทียนเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มแห้ง ๆ ราวกับว่าเขากำลังต้องการอะไรบางอย่าง อาการไม่เป็นปกติของบุรุษจากตระกูลคู่อริผู้นี้ทำให้ผู้อาวุโสตระกูลฉินพอจะคาดเดาบางสิ่งได้
ทว่าฉินอีเฟิงก็ยังคงพยักหน้าและกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มตามมารยาท “ทุกอย่างก็เรียบร้อยหมดแล้ว พวกข้าจึงคิดว่าได้เวลาที่ต้องกลับกันแล้ว ผู้อาวุโสเหล่ยมีเรื่องใดให้ช่วยรึ ?”
ฉินอีเฟิงรู้ดีว่า การที่คนเช่นเหล่ยเจิ้นเทียนผู้นี้จะยอมบากหน้ามาหาเขาแสดงว่าอีกฝ่ายจะต้องมืดแปดด้านแล้วอย่างแท้จริง
“ฮ่า ๆ ๆ ผู้อาวุโสฉิน ข้ามีเรื่องบางอย่างอยากจะขอร้อง”
ในที่สุดเหล่ยเจิ้นเอ่ยเข้าประเด็น
“เรื่องมีอยู่ว่า สมาชิกของตระกูลเราที่เฝ้ารออยู่ด้านนอกจับอสูรมายามาได้หลายตัว พวกเราอยากจะทำให้พวกมันเชื่องก่อนจะเอากลับไป แต่ตอนนี้ตระกูลของเราไม่ได้พาผู้ฝึกสัตว์อสูรมาด้วย ฉะนั้นพวกเราจึงอยากจะขอให้คุณหนูฉินอวี้โม่ช่วยเราสยบมัน แน่นอนว่าเราจะมอบรางวัลที่สมน้ำสมเนื้อให้คุณหนูเป็นการตอบแทน”
แน่นอนว่าเหล่ยเจิ้นเทียนไม่ได้ต้องการจะบากหน้ามาขอร้องฉินอีเฟิงเท่าไหร่นัก ทว่าตระกูลเหล่ยของพวกเขาจับอสูรมายามาได้เป็นจำนวนมาก หากไม่ทำให้พวกมันเชื่องก่อนเขาก็เกรงว่าการเดินทางครั้งนี้พวกเขาจะไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย มิหนำซ้ำยังอาจจะเสี่ยงต่อความล่าช้าและความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในกรณีที่อสูรมายาเกิดพยศระหว่างทางอีกด้วย
ในตอนที่พวกเขามา พวกเขาไม่ได้พาผู้ฝึกสัตว์อสูรมาจากตระกูลหรือต่อให้พวกเขาพามา ผู้ฝึกสัตว์อสูรของพวกเขาก็มีพลังไม่พอจะสยบอสูรมายาเหล่านี้ทั้งหมด
เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำอสรพิษ ในตอนที่ฉินอวี้โม่สยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้ง่ายดายดั่งพลิกฝ่ามือ เหล่ยเจิ้นเทียนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ แม้ในใจจะไม่ใคร่ยินยอมนัก แต่เพื่อเห็นแก่ประโยชน์แห่งตระกูล เขาจึงต้องทิ้งทิฐิบากหน้ามาขอร้องตระกูลฉิน
ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสตระกูลเหล่ยไม่คาดคิดก็คือ ไม่เพียงแต่ฉินอวี้โม่จะไม่ปฏิเสธ แต่นางยังพยักหน้าตกลงอย่างรวดเร็ว
“ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านคงจะรู้นะว่าการสยบอสูรมายาระดับเทวะเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังมาก ฉะนั้นแล้วจะให้ข้าช่วยเปล่า ๆ คงจะเป็นไปไม่ได้”
อันที่จริงสำหรับฉินอวี้โม่แล้ว อสูรมายาแค่ไม่กี่ตัวนี้ไม่คณามือของนาง ทว่าเมื่อผู้ที่นางต้องช่วยเป็นผู้คนจากตระกูลเหล่ยที่เหยียดหยามนางมาตั้งแต่ต้นเช่นนี้ หากนางไม่ตักตวงผลประโยชน์จากพวกเขาให้มากที่สุด นางก็ไม่ใช่ฉินอวี้โม่อดีตมือรีดไถแห่งศตวรรษที่ 21 แล้ว
“เรื่องนั้นแน่นอน ต้องการอะไรคุณหนูฉินอวี้โม่เชิญเอ่ยปากมาได้ ขอเพียงแค่เราคิดว่ามันสมเหตุผล เราก็พร้อมจะมอบให้”
เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า ในตอนนี้เขามีโอกาสจะได้ใช้ให้ฉินอวี้โม่สยบอสูรมายาให้แล้ว และเขาจะไม่ยอมเสียโอกาสนี้ไปโดยเปล่าประโยชน์
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วทำท่าทางราวกับกำลังคิดใคร่ครวญอะไรบางอย่าง ไม่นานนักนางก็ประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด “ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านคงรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเงิน ผู้ใดก็ล้วนอยากได้เงินทั้งนั้น แต่… ข้าไม่ต้องการเงิน”
เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า ‘มันก็แน่อยู่แล้ว นางเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรจะไปขาดเงินได้อย่างไรกัน’
“และข้าคิดว่าตอนผู้อาวุโสเหล่ยเดินทางออกมาในครั้งนี้คงจะพกอุปกรณ์หรืออาวุธชั้นเลิศมาด้วย หากว่าท่านยอมมอบมันให้ข้า ข้าก็จะยอมทำตามคำร้องขอของผู้อาวุโสเหล่ยสักครั้ง”
แม้ว่าตระกูลฉินและตระกูลเหล่ยจะไม่ต่างจากศัตรูคู่แค้น แต่ครั้งนี้ฉินอีเฟิงก็ไม่ได้เข้าไปขัดขวางการต่อรองของฉินอวี้โม่และเหล่ยเจิ้งเทียน เขาเองก็คิดเหมือนกับฉินอวี้โม่ที่ไม่เห็นอสูรมายาเหล่านี้อยู่ในสายตา แม้ว่าอีกฝ่ายจะได้พวกมันไปครอบครองก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับตระกูลฉิน
นอกจากนี้ หากดรุณีน้อยผู้พลัดพรากจากตระกูลสาขาใหญ่จะเลือกเส้นทางนี้ ผู้อาวุโสอย่างเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุน เขารู้ดีว่าถึงแม้ฉินอวี้โม่จะยังเยาว์วัย แต่ก็เห็นชัดว่านางไม่ใช่คนที่จะยอมให้ผู้ใดรังแกได้ง่าย ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เหล่ยเจิ้นเทียนจะเอาเปรียบนางได้
เมื่อผู้อาวุโสตระกูลอายุน้อยแห่งเหล่ยได้ยินข้อต่อรองของฉินอวี้โม่ เขาก็ผงะไปเล็กน้อยก่อนที่สมองจะหมุนเร็วจี๋เพื่อใคร่ครวญ
เขากำลังคิดว่าจะมีสิ่งของล้ำค่าใดที่จะจูงใจฉินอวี้โม่ได้บ้าง
คุณชายตระกูลเหล่ยไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำ เมื่อเขาเห็นผู้อาวุโสในตระกูลเดินไปขอร้องให้ฉินอวี้โม่ช่วยสยบอสูรมายา เขาก็ขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“ผู้อาวุโสหก นี่ท่านบ้าไปแล้วหรือถึงได้ไปขอให้ขยะแบบนี้ช่วยสยบอสูรมายา ?”
คุณชายสาม(หาว)ตระกูลเหล่ยเดินไปยืนข้างกายเหล่ยเจิ้นเทียนก่อนจะถามเสียงดังอย่างก้าวร้าว เขาไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสของเขาคิดอยู่แม้แต่น้อย
“เงียบซะ เจ้ายังไม่เข้าใจอะไร จำไว้ต่อไปนี้อย่าว่านางเป็นขยะอีก และอย่าได้ลบหลู่นางอีกเด็ดขาด ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนที่พวกเราควรจะไปยั่วยุ เอาเป็นว่าถ้าเจ้าอยากอายุยืนก็อย่าไปยั่วโมโหนาง”
เหล่ยเจิ้นเทียนกล่าวกับหลานชายด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ฮ่า ๆ หากว่านางไม่ใช่ขยะแล้วนางเป็นอะไร ?”
เสียงของคุณชายสามยังคงดังลั่น น้ำเสียงนั้นยังเต็มไปด้วยความหยิ่งยโส
“แม้แต่ขยะข้างถนนก็ยังดีกว่าเจ้า อย่างน้อยข้าก็มีพลังพอจะเข้าไปในถ้ำได้ ผิดกับบุรุษจองหองบางคนที่ไม่มีความสามารถพอจะเข้าไป แต่ยังหน้าด้านกล่าววาจาว่าร้ายผู้อื่น !” เมื่อได้ยินถ้อยคำใส่ร้ายเสีย ๆ หาย ๆ ของคุณชายสามตระกูลเหล่ย ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะด่าทอกลับไป
“ผู้อาวุโสเหล่ย ท่านยังต้องการให้ข้าช่วยสยบอสูรมายาอยู่หรือไม่ ถ้าหากว่าท่านต้องการก็จงรีบตัดสินใจ ข้าไม่มีเวลาว่างมากนัก”
ฉินอวี้โม่เร่งรัด นางต้องการสิ่งของล้ำค่าของเหล่ยเจิ้นเทียนมากก็จริง แต่ถ้าหากว่าอีกฝ่ายยังคงชักช้านางเองก็ไม่อยากจะรอแล้วเช่นกัน
ใบหน้าของคุณชายสามเปลี่ยนไปเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ เขาอยากจะกล่าวบางอย่าง ทว่าก็ถูกเหล่ยเจิ้นเทียนรั้งแขนเป็นเชิงห้ามปราม
“เรื่องนั้นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว คุณหนูฉินอวี้โม่ สิ่งนี้เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ?”
เหล่ยเจิ้นเทียนนำเอาสิ่งของบางอย่างลักษณะคล้ายหม้อขนาดใหญ่ที่มีสามขาออกมาจากแหวนมิติด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนจะหันไปขยิบตาให้เหล่ยเซิงครั้งหนึ่งเพื่อส่งสัญญาณบอกให้เขาพาตัวคุณชายสามออกไปก่อน
แม้ว่าเหล่ยเจิ้นเทียนจะอยู่ในระบบอาวุโสของตระกูล แต่เขาก็ไม่ใช่บิดามารดาของคุณชายผู้นี้ ดังนั้นเขาก็ไม่ควรจะออกคำสั่งกับอีกฝ่ายมากนัก อย่างไรก็ตามในครั้งนี้ผู้อาวุโสอายุน้อยเห็นว่านี่เป็นสถานการณ์จำเป็น เขาจึงต้องใช้การบีบบังคับคุณชายปากมอมผู้นี้สักหน่อย เพราะหากไม่รีบ ฉินอวี้โม่ก็จะไม่รอพวกเขาอีก และพวกเขาก็จะไม่ได้อะไรจากการมาเยือนป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้เลย
“คุณหนูฉินอวี้โม่ นี่คือเตาหลอม มันถือเป็นอุปกรณ์ระดับวิญญาณ เจ้าสามารถใช้มันหลอมสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่อาวุธไปจนถึงโอสถได้ ประสิทธิภาพในการหลอมของเตานี้นับว่าสูงกว่าเตาหลอมอาวุธหรือเตาหลอมโอสถธรรมดามากมายหลายเท่า และคุณภาพของผลผลิตที่หลอมได้ก็จะดีกว่าการหลอมในแบบทั่วไปเป็นอย่างมากด้วย”
เหล่ยเจิ้นเทียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม ที่เขาเลือกนำสิ่งนี้มาเสนอก็เพราะว่าแม้จะเสียมันไป เขาก็ไม่เสียหาย เพราะเตาหลอมนี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงสำหรับเขาที่ไม่ใช่ช่างฝีมือหรือผู้หลอมโอสถ
อีกทั้งตระกูลเหล่ยเองก็ไม่มีช่างหลอมระดับสูงหรือผู้หลอมโอสถที่เก่งกาจเลยสักคน ดังนั้นแม้ว่าเตานี้จะมีประสิทธิภาพมากแต่ก็ไม่มีผู้ใดในตระกูลที่ใช้มันได้คุ้มค่า
นี่จึงถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับเสนอเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ถึงอย่างไรฉินอวี้โม่ก็จะช่วยพวกเขาสยบอสูรเทวะเจ็ดถึงแปดดารา วันนี้พวกเขาจึงถือว่าไม่ขาดทุน
“เตาหลอม ?”
จิตใจของฉินอวี้โม่หวั่นไหวเล็กน้อย พี่ชายผู้พลัดพราก บุคคลสายเลือดเดียวกันที่ไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมานานของนางนั้นได้ยินมาว่าเขาก็เป็นผู้หลอมโอสถเช่นกัน มันคงจะดีไม่น้อยเลยหากนางจะนำเอาเตาหลอมนี้ไปเป็นของขวัญสำหรับเขา
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังแสร้งตอบออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง “ข้าไม่ใช่ช่างหลอมหรือผู้หลอมโอสถ แล้วข้าจะเอาเตาหลอมนี่ไปทำอะไร ?”
เมื่อเหล่ยเจิ้นเทียนได้ฟังสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าว สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย บุรุษหยิ่งยโสผู้อุตส่าห์บากหน้ามาขอร้องศัตรูเริ่มรู้สึกโกรธขึ้นมา
เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนเริ่มเปลี่ยนไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบกล่าวต่อ “แต่อย่างไรมันก็ยังถือว่าเป็นของที่ดี เหมาะจะนำไปเป็นของกำนัลให้สหาย ถ้าเช่นนั้น เป็นอันว่าข้าตกลงก็แล้วกัน”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนก็ค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
“ถ้าเช่นนั้น เราก็ต้องขอรบกวนคุณหนูฉินอวี้โม่แล้ว”
เหล่ยเจิ้นเทียนพยักหน้า และพาฉินอวี้โม่ไปยังจุดที่สมาชิกของตระกูลเหล่ยรวมตัวกันอยู่
และในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่ได้เข้าใจว่า เหตุใดเหล่ยเจิ้นเทียนจึงใจกว้างจนถึงกับยอมมอบของดีเช่นนี้ให้นาง เพราะสิ่งที่นางเห็นอยู่ตรงหน้าก็คืออสูรเทวะเจ็ดถึงแปดดารา !
ทว่ารอยยิ้มร้ายก็ยังคงปรากฏบนใบหน้างาม เพราะยิ่งนางสยบอสูรมายาและทำพันธสัญญากับพวกมันได้มากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น
ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้อดีตสาวนักฆ่าก็มีแต่ได้กับได้
.
.
.
ตอนที่ 61 มังกรทองห้าเล็บ
ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ มองดูชวี่เซียวสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วยความกังวล ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ทันใดนั้น บุรุษอาวุโสจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็หยุดเคลื่อนไหวและสภาวะพลังของราชาอสรพิษเก้าเศียรฟื้นฟูกลับขึ้นมาอย่างฉับพลัน
พวกเขาทั้งหมดได้แต่หวาดหวั่นอยู่ภายในใจ ‘นี่หมายความว่าเจ้าคนบัดซบผู้นี้มันสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้แล้วอย่างนั้นรึ !’
…เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายถอนหายใจอย่างปลดปลง ยิ่งเมื่อเห็นราชาอสรพิษเก้าเศียรยืดกายใหญ่โตขึ้น หัวใจของพวกเขาก็แทบจะหยุดเต้นในทันที…
ทว่าแท้จริงแล้ว ในระหว่างที่ชวี่เซียวกำลังสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรอยู่ จู่ ๆ พลังมายาของเขาก็ถูกตัดขาดไปโดยสิ้นเชิง ในขณะที่สภาวะพลังของราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วจนน่าหวาดหวั่น ซึ่งนั่นทำให้เขาอดที่จะสะดุ้งขึ้นมาไม่ได้
ยังไม่ทันที่จะหายจากอาการงุนงง ในอึดใจต่อมาชวี่เซียวก็ได้ยินเสียงของฉินอวี้โม่ และเมื่อหันไปมองเขาก็พบวว่าสตรีตระกูลฉินผู้น่ารำคาญกำลังยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งของร่างราชาอสรพิษเก้าเศียร
ทันใดนั้นสีหน้าของชวี่เซียวก็เปลี่ยนเป็น ใบหน้าของผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด
“เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นรึ ?”
ชวี่เซียวชี้ไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อ มือของเขาสั่นเทาและปลายนิ้วก็สั่นระริกด้วยความขุ่นแค้น สตรีน้อยผู้นี้อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น แล้วนางจะสามารถสยบอสูรเทวะราชันเจ็ดดาราได้อย่างไร ที่สำคัญเขายังไม่เคยได้ยินว่าบนแผ่นดินหวงหลิงมีผู้ฝึกสัตว์อสูรที่อายุน้อยถึงเพียงนี้อยู่ด้วย !
“ถูกต้องแล้ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยด ตอนนี้นางกำลังอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก
หลังจากทำพันธสัญญากับราชาอสรพิษเก้าเศียร ฉินอวี้โม่ก็ทะลวงขึ้นสู่ขอบเขตนภมายาได้สำเร็จ ในขณะเดียวกันราชาอสรพิษเก้าเศียรเองก็เลื่อนระดับขึ้นด้วย มันกลายเป็นอสูรเทวะราชันเก้าดาราที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น อสูรมายาตัวอื่นๆ ของนางก็เลื่อนระดับขึ้นไปอย่างพร้อมหน้า
ม่อเสียเลื่อนขึ้นสู่ระดับเทวะราชันหกดารา เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินทำลายโซ่ตรวนแห่งพันธนาการได้สำเร็จและวิวัฒนาการกลายเป็นอสูรเทวะราชันในที่สุด นอกจากทั้งสองตัวแล้ว พยัคฆ์สาวขนทองเสี่ยวเยี่ยผู้เรียบร้อยเองก็เลื่อนระดับขึ้นเป็นอสูรเทวะราชันแล้วเช่นกัน ทว่าการพัฒนาที่น่ากลัวที่สุดกลายเป็นของเจ้าเพียงพอนที่ยังคงหลับปุ๋ยไม่รับรู้เรื่องราว เพราะจากเดิมที่มันเพียงเติบโตขึ้นมาและยังไม่มีระดับ ตอนนี้เจ้าตัวเล็กเลื่อนระดับขึ้นมารวดเดียวจนกลายเป็นอสูรเทวะหนึ่งดารา
เวลานี้ฉินอวี้โม่เพิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของการทะลวงผ่านจากขอบเขตมายารัตนะมาสู่นภมายา นักฆ่าสาวได้รับรู้แล้วว่าความทรงพลานุภาพและความแข็งแกร่งอย่างเหนือชั้นของจอมยุทธ์นภมายาที่นางสงสัยมานานนั้นเป็นเช่นไร ในขณะที่อสูรมายาทั้งหลายในสังกัดก็ได้รับอานิสงส์จากความสำเร็จนี้ไปด้วย
“เจ้ามันต่ำช้า !”
เมื่อได้ยินคำตอบรับเสียงดังและรอยยิ้มหน้าระรื่นของฉินอวี้โม่ ชวี่เซียวก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงตวาดอย่างโกรธแค้น เขากำลังกระหยิ่มใจเพราะคิดว่ากำลังจะได้ราชาอสรพิษเก้าเศียรมาครอบครอง ไม่คิดเลยว่าสตรีบัดซบนี่จะโผล่ออกมาและแย่งสิ่งที่ควรจะเป็นของเขาไปหน้าด้าน ๆ เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธแค้นจนตัวสั่น
“อ่าว ! ผู้อาวุโสชวี่ อยู่ ๆ ดีทำไมถึงด่าตัวเองอย่างนั้นเล่า !”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้โกรธเคืองถ้อยคำประณามของบุรุษอาวุโสผู้ด่าทอคนอื่นไม่ดูตัวเอง ทว่านางกลับรู้สึกเหยียดหยามและติดจะขยะแขยงอีกฝ่ายเสียมากกว่า
“พวกเราทุกคนที่นี่ต่างก็ร่วมมือกันทำงานอย่างหนักเพื่อรับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร แต่ท่านกลับทำตัวขี้ขลาดเอาแต่หลบซ่อนอยู่ด้านหลัง ทว่าเมื่อพวกเราสยบราชาอสรพิษได้จนอยู่ในสภาพเหนื่อยล้า ท่านก็หน้าหนาหน้าทนออกมาตักตวงผลประโยชน์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังกล้าทำพฤติกรรมเลวทรามข่มขู่ผู้อื่น ทีนี้บอกมาซิว่าใครกันแน่ที่ต่ำช้า !”
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปาก ทว่าดวงตาคู่งามกลับไม่ยิ้มแม้แต่น้อย ชวี่เซียวผู้นี้หน้าหนายิ่งกว่ากำแพง เขาไม่ลงแรงทำสิ่งใดเลยแต่กลับคิดจะชุบมือเปิบเอาผลประโยชน์ไปเสียดื้อ ๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังคิดจะทำร้ายจอมยุทธ์ทั้งหลายในตอนที่พวกเขาอ่อนแรงไร้ทางสู้ เขาคงจะคิดไม่ถึงเป็นแน่ว่าสุดท้ายจะถูกฉินอวี้โม่ชิงราชาอสรพิษเก้าเศียรไป
แน่นอนว่าในเวลานี้ผู้อาวุโสชวี่จะต้องโกรธเป็นธรรมดา แต่เขาไม่รู้เลยว่าคนที่ไม่มีคุณสมบัติจะด่าผู้อื่นมากที่สุดก็คือตัวเขาเอง
…ด้วยสัญชาตญาณแห่งนักฆ่าทำให้ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่า หลังจากที่ถูกปฏิเสธข้อเสนอเอาแต่ได้ไป แววตาและใบหน้าของชวี่เซียวก็ดูไม่น่าไว้วางใจเลยแม้แต่น้อย ใบหน้ามืดมนของเขามีบางอย่างเคลือบแฝง สายตาของเขาก็เอาแต่จับจ้องราชาอสรพิษเก้าเศียรไม่วางตา เมื่ออดีตคุณหนูคนงามลองไตร่ตรองดูแล้วก็มีความเป็นไปได้สูงว่าบุรุษอาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ผู้นี้น่าจะกำลังหาวิธีเอาราชาอสรพิษเก้าเศียรมาครอบครอง และแน่นอนว่าวิธีเดียวก็คือการรอคอยจังหวะเวลาที่เจ้างูยักษ์เก้าหัวอยู่ในช่วงอ่อนกำลังถึงขีดสุดและเข้าไปสยบมันให้ได้
ในคราแรกฉินอวี้โม่ไม่แน่ใจนักว่าจังหวะเวลาดังกล่าวจะเกิดหรือไม่ แต่นางก็ตัดสินใจในฉับพลันนั้นเลยว่าหากมีโอกาสที่สามารถสยบอสูรเทวะราชันตัวนี้เกิดขึ้นจริง นางจะชิงลงมือสยบมันมาครอบครองก่อนชวี่เซียวให้ได้ เพราะสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจคือผู้อาวุโสที่กำลังเคียดแค้นจากการถูกปฏิเสธความร่วมมือนั้นย่อมมีเจตนาไม่ดีอย่างแน่นอน
และด้วยเหตุนี้นางจึงให้เสี่ยวโร่วเป็นตัวแทนตระกูลฉินร่วมท้าชิงไข่ประหลาดแทนตัวเอง อีกอย่างหนึ่งเรื่องเก็บไข่นั้นนางไว้ใจโอวหยางชิงเฟิงอยู่แล้ว เมื่อบอกเล่าแผนการนี้ให้แก่เขา คนหนุ่มหน้าใสก็ไม่คัดค้านอะไร ดูแล้วเขาก็คงจะเห็นชอบด้วย
ในขณะที่คนอื่นๆ รับมือกับราชาอสรพิษเก้าเศียร ฉินอวี้โม่ก็คอยจับตาดูชวี่เซียวอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกสัตว์อาวุโสเอาแต่จับจ้องมองดูราชาอสรพิษเก้าเศียรโดยไม่ยอมลงแรงบวกกับเมื่อสถานการณ์เริ่มคับขันจนเหล่ยเจิ้นเทียนต้องใช้ท่าไม้ตายนภายุทธ์ อดีตนักฆ่าสาวก็เริ่มรู้แล้วว่าโอกาสทองที่ชวี่เซียวกำลังคอยท่าอยู่นั้นคือเมื่อใด ในตอนนั้นนางจึงรีบลงมือดำเนินแผน ‘ดัดหลังคนพาล’ โดยไม่ลังเล
ฉินอีเฟิงและยอดฝีมือจากเมืองหลวงทั้งหลายจ้องมองฉินอวี้โม่ดรุณีน้อยจากเมืองอันห่างไกลด้วยแววตาตกตะลึง และยิ่งฟังนางกล่าวกับผู้อาวุโสชวี่เซียวผู้นั้นแล้ว พวกเขาก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงมีความสุขเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร และยังสามารถชิงราชาอสรพิษเก้าเศียรไปจากมือของชวี่เซียวได้ ซึ่งนี่ก็ทำให้พวกเขาหลบรอดจากหายนะกันมาอย่างหวุดหวิด พวกเขาทั้งหมดล้วนชื่นชมความเฉลียวฉลาดของฉินอวี้โม่อยู่ในใจ
ส่วนสีหน้าของเหล่ยเจิ้นเทียนในเวลานี้ไม่ถือว่าดีเท่าไหร่นัก แต่เขาก็คิดว่านี่ยังดีกว่าให้ชวี่เซียวได้ราชาอสรพิษเก้าเศียรไปครอบครอง เพราะผู้ฝึกสัตว์อสูรอาวุโสจอมเอาเปรียบผู้นั้นข่มขู่ไว้ว่าจะคิดบัญชีกับทุกคนในทันที
ทว่าฉินอวี้โม่นั้น แม้ว่าการได้รับราชาอสรพิษเก้าเศียรไปจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้นางอย่างมหาศาลและทำให้ตระกูลฉินดูแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย แต่หากประเมินในด้านของความเสี่ยงเฉพาะหน้าที่มีต่อตัวเขาในตอนนี้ก็ยังไม่นับว่าสูงมากนัก อย่างน้อย ๆ คุณหนูบ้านนอกผู้นั้นก็ทำให้ชวี่เซียวเสียหน้าครั้งใหญ่ได้ ดังนั้นแล้วเหล่ยเจิ้นเทียนจึงพยายามจะปั้นสีหน้าให้ปกติมากที่สุด
ขณะที่ทางด้านหลินซวงจากสมาคมทหารรับจ้างนั้นไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าผู้ใดจะได้ครอบครองราชาอสรพิษเก้าเศียร เขาเพียงห่วงความปลอดภัยของทุกคนในที่แห่งนี้ ขอเพียงแต่ผู้ที่ได้อสูรเทวะราชันไปไม่ใช่ชวี่เซียวก็วางใจได้มากแล้ว มิฉะนั้นเขาเกรงว่าวันนี้คงไม่มีใครได้รอดกลับไปแน่
“นังเด็กสารเลว นี่เจ้า…”
ถ้อยคำประณามหยามเหยียดของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของชวี่เซียวเปลี่ยนเป็นคล้ำเข้ม เขากำลังโกรธจนถึงขีดสุดและไม่สามารถกล่าววาจาใด ๆ ได้อีกแล้ว
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ผู้อาวุโสชวี่ ที่นี่ไม่มีอะไรให้ท่านทำแล้ว ท่านอยากจะกลับไปเองหรือจะให้ข้าช่วยส่งดีล่ะ ?!”
กล่าวจบ ฉินอวี้โม่ก็หันไปมองราชาอสรพิษเก้าเศียรที่ชูคออยู่ไม่ไกล ก่อนจะหันกลับมาส่งรอยยิ้มโหดเ**้ยมให้ผู้อาวุโสหน้าไม่อายนามชวี่เซียวผู้นั้นเป็นการข่มขู่
“ดี! ความอัปยศในวันนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้!”
ชวี่เซียวมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาอาฆาตแค้น เขารู้ดีว่าจะดันทุรังอยู่ต่อไปก็ไร้ประโยชน์แล้ว ทั้งยังมีแต่จะสร้างภัยกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นราชาอสรพิษเก้าเศียรหรือไข่ประหลาดเขาก็ไม่มีสิทธิ์ใดๆ อีกเป็นแน่ ผู้ฝึกสัตว์อสูรอาวุโสจึงกล่าวคำข่มขู่สตรีน่าตายที่เขานึกชังไปครั้งหนึ่งแล้วหันหลังกลับเดินออกจากถ้ำไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้เขาเองก็ขู่ผู้อาวุโสสี่ตระกูลใหญ่นั้นไปมากโข ถ้าคนพวกนั้นฟื้นพลังกลับมาได้ เขาก็เกรงว่าอาจจะไม่มีโอกาสออกจากถ้ำอีกเลย
คนอื่นๆ ไม่มีผู้ใดคิดจะหยุดยั้งหรือขัดขวางชวี่เซียว พวกเขามองผู้อาวุโสหน้าไม่อายแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรที่กำลังเดินหน้าหด คอตก กลับออกจากถ้ำไปด้วยความสะใจ ทุกผู้คนในที่แห่งนั้นล้วนยกยิ้มอย่างเหยียดหยาม
“ทำได้ดีมากแม่นางอวี้โม่ วิเศษจริงๆ !”
โอวหยางหมิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะร่าและกล่าวชมฉินอวี้โม่จากใจจริง
“ท่านลุงสามชมเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่ทำสิ่งที่พอทำได้เท่านั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างถ่อมตัว
“เสี่ยวอวี้โม่ เจ้าเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร เรื่องนี้ทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ”
ฉินอีเฟิงมองฉินอวี้โม่และพยักหน้าอย่างพึงพอใจ พรสวรรค์สูงส่ง ฉลาดหลักแหลม อนาคตของสตรีน้อยผู้นี้ช่างไร้ขีดจำกัด ถ้าหากเขาสามารถพานางกลับไปที่ตระกูลฉินได้ ตระกูลของพวกเขาก็จะมีผู้ฝึกสัตว์เพิ่มมาอีกคน …ครานี้แหละ เขาอยากจะรู้นักว่าตระกูลเหล่ยจะกล้ามาหาเรื่องพวกเขาอีกหรือไม่ !
“ลุงเจ็ด ข้าแค่มีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะการสยบอสูรมายามาโดยบังเอิญ อันที่จริงก็ไม่ถือเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรเต็มตัว”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยยิ้มและไม่ได้กล่าวอธิบายสิ่งใดเพิ่ม
“ผู้อาวุโสฉินยินดีด้วย ตระกูลของท่านได้ผู้มีพรสวรรค์เพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว ต่อไปตระกูลฉินคงขึ้นมาเป็นขุมกำลังแนวหน้าได้ !”
หลินซวงยิ้มจริงใจ ตระกูลของพวกเขาไม่ได้มีความบาดหมางหรือเรื่องเคืองแค้นกับตระกูลฉิน เมื่อให้พวกเขาได้ดี เขาจึงเข้ามากล่าวแสดงความยินดีด้วยตามมารยาทที่ถูกที่ควร
“แนวหน้าที่ไหนกัน ? ท่านก็กล่าวเกินไป หากเทียบกับนายน้อยแห่งสมาคมทหารรับจ้างแล้ว เสี่ยวอวี้โม่ของข้ายังด้อยกว่ามาก”
ฉินอีเฟิงยิ้ม ในตอนนี้เขาถือว่าฉินอวี้โม่เป็นคนในครอบครัวแล้ว
เมื่อได้ฟังที่พวกเขาคุยกัน ฉินอวี้โม่ก็ส่ายศีรษะทว่าก็ไม่ได้กล่าวอะไร ตอนนี้นางเองก็อยากจะไปเยือนตระกูลฉินในเมืองหลวงสักครั้งเพื่อคลายข้อสงสัยที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะเพิ่งตัดขาดจากตระกูลฉินที่เมืองหลิงซี อีกทั้งยังมีเรื่องหมางใจกับฉินเทียนเรื่องมารดา อดีตคุณหนูจึงไม่รู้ว่าท่าทีของตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นที่มีต่อตนเองจะเป็นเช่นไร
— ปัง ! —
ขณะที่พวกเขากำลังสนทนากันอย่างเริงร่าเพราะเรื่องร้ายผ่านไปแล้วนั้น อีกด้านหนึ่งของโถงถ้ำก็เกิดเสียงดังขึ้น จอมยุทธ์หน่วยแนวหน้ารีบหันไปมองทันที ในเวลานี้ ทางด้านของหน่วยชิงไข่ประหลาดได้มีการปะทะกันเกิดขึ้น ! เหล่าผู้ท้าชิงไข่ทั้งหลายจากตระกูลต่าง ๆ กำลังเปิดศึกแย่งชิงไข่กันอย่างดุเดือด
ตอนนี้โอวหยางชิงเฟิงคว้าไข่มาอยู่ในมือได้แล้ว ขณะที่เสี่ยวโร่วและม่อเสียก็ยืนอยู่ด้านหน้าเขาเพื่อคุ้มกัน
“ข้าว่าพอแค่นี้เสียดีกว่า !”
โอวหยางชิงเฟิงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเพื่อบอกให้อีกฝ่ายหยุดมือพร้อมกล่าวจริงจัง
ทางฝั่งเขามีเสี่ยวโร่วและอสูรเทวะราชันคอยช่วยเหลือ อย่างไรก็เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบกว่า แม้ว่าจะสู้กันต่อไปก็ไม่มีใครชิงไข่มาจากเมืองเขาไปได้แน่ ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้กับราชาอสรพิษเก้าเศียรในอีกด้านหนึ่งก็จบลงแล้วด้วย ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่เหล่าผู้ชิงไข่จะต้องต่อสู้กันต่อไป
คนอื่น ๆ หันมามองหน้ากัน แม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากยินยอม ทว่าก็ได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ
พวกเขาเข้าใจดีว่าที่โอวหยางชิงเฟิงกล่าวมาถูกต้อง ภายใต้การคุ้มกันของเสี่ยวโร่วและอสูรเทวะราชัน พวกเขาไม่มีทางเข้าใกล้โอวหยางชิงเฟิงได้ ไม่ต้องพูดถึงตัวของโอวหยางชิงเฟิงเองที่เป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาผู้ซึ่งกำลังถือไข่อยู่
โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วยิ้มโล่งใจและเดินกลับมารวมกลุ่มกับเหล่าผู้อาวุโสในตระกูล
“คุณหนูไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ?”
เมื่อมาถึงเสี่ยวโร่วก็ไม่มองผู้อื่นแม้แต่น้อย นางมองแต่คุณหนูของนางและกล่าวถามด้วยความห่วงใยในทันที
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ อดีตคุณหนูผู้งดงามยิ้มแล้วตอบเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าพลางหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“อวี้โม่ ไข่อยู่นี่แล้ว !”
โอวหยางชิงเฟิงเดินกลับมาพร้อมกับไข่ เขายื่นมันให้ฉินอวี้โม่โดยไม่ลังเล ใบหน้าของหนุ่มหน้ามนคนหน้าใสยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับว่าภูมิใจนักหนาที่ชิงของขวัญเพื่อสาวงามมาได้
โอวหยางหมิงเห็นการกระทำของโอวหยางชิงเฟิง ทว่าเขาก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้าน ผู้เป็นลุงสามของคุณชายสองได้แต่ลอบทอดถอนใจอยู่เงียบ ๆ … ‘เจ้าหลานคนนี้จะใจกว้างเกินไปแล้ว !’
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นการกระทำของโอวหยางชิงเฟิงนางก็ชะงักไปอย่างคาดไม่ถึง ทว่าด้วยรอยยิ้มใสซื่อแสนจริงใจนั้นก็ทำให้สาวงามผู้กำลังนึกจะปฏิเสธของกำนัลนั้นทำไม่ลง หลังจากลังเลอยู่นานในที่สุดนางก็เข้าใจความตั้งใจของชายหนุ่ม
…เหมือนว่าโอวหยางชิงเฟิงจะมุ่งมั่นตั้งใจแล้วว่าจะมอบไข่ประหลาดเป็นของขวัญให้ฉินอวี้โม่ !
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาของผู้คนชั่วขณะแล้วรับไข่มาไว้ในมือ
แท้จริงแล้วนางแค่ต้องการรับมันมาดูเท่านั้น แล้วตั้งใจว่าจะส่งมันคืนให้โอวหยางหมิงตัวแทนแห่งตระกูลโอวหยาง ทว่าในตอนที่กำลังจะยกไข่เรืองแสงสีสันสดสวยขึ้นดู ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงปริแตกเบา ๆ …จู่ ๆ เปลือกไข่ก็กะเทาะออกมา !
เกิดเสียปริแตกดังอย่างต่อเนื่องก่อนที่เปลือกไข่ประหลาดจะแตกกระจายออกมา ในตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ยังไม่ทราบเผ่าพันธุ์ที่ชัดเจนก็ปรากฏตัวต่อสายตาของทุกผู้คน มันตัวเล็กมากและมีขนาดเท่ากับหนึ่งฝ่ามือของฉินอวี้โม่เท่านั้น เจ้าตัวน้อยนั่งแหมะอยู่บนฝ่ามือเรียวของสาวงามและจ้องมองนางตาแป๋ว ไม่ทราบว่าเป็นเพราะลูกตาของมันใหญ่มากหรือตัวของมันเล็กเกินไปจึงทำให้ตาดำ ๆ ทั้งสองข้างดูกลมบล็อกอย่างน่ารักน่าชัง
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยนี้ดูจะมีความสุขมากที่ได้เห็นฉินอวี้โม่ ทว่ายังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะได้ตอบสนองสิ่งใด นางก็สัมผัสได้ถึงพลังจิตวิญญาณแปลกประหลาดสายหนึ่งเล็ดลอดเข้ามาในห้วงจิต และเสี้ยวลมหายใจหลังจากนั้นสาวงามก็สัมผัสได้ถึงจิตใจของเจ้าตัวน้อยตัวนี้
“อะไรกัน ? เจ้าตัวเล็กนี่ทำพันธสัญญากับข้า ! เหตุใด จู่ ๆ พันธสัญญาก็ขึ้นเองเช่นนี้ ?”
ฉินอวี้โม่รีบหันมามองโอวหยางชิงเฟิง อดีตนักฆ่าสาวไม่ต้องการให้สหายหนุ่มเข้าใจตนเองผิดไป
“อย่างนั้นหรือ ? ข้าว่าเจ้าตัวน้อยตัวนี้คงไม่ธรรมดาซะแล้ว !”
โอวหยางชิงเฟิงไม่คิดมาก ตรงข้ามสิ่งที่เกิดขึ้นกลับทำให้หนุ่มหน้าใสมีความสุขเสียมากกว่า
โอวหยางหมิงหมดคำพูดในบัดดล ‘เห้อ ! เจ้าหลานซื่อบื้อ จะโง่ไปถึงไหน’ เห็นได้ชัดเลยว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่อชิงมันมา แล้วเหตุใดถึงเอาไปมอบให้ผู้อื่น อีกทั้งยังมองดูผู้อื่นทำพันธสัญญากับอสูรมายาที่เหนื่อยยากหามาแทบตายด้วยท่าที่มีความสุขได้เช่นนั้น
…ดูไปแล้วคงไม่แคล้วว่า คุณชายรองตระกูลโอวหยางจะกำลังตกหลุมรักสหายผู้มีรูปโฉมงดงามของตนเข้าให้แล้ว
ฉินอีเฟิงยิ้ม เขาไม่คิดว่าครั้งนี้ฉินอวี้โม่จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้มหาศาลถึงเพียงนี้ ในฐานะผู้อาวุโสในตระกูลและในฐานะลุงเจ็ด เขาอดรู้สึกดีใจไปกับนางไม่ได้
“แม่จ๋า…”
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยรู้สึกได้ถึงสายใยและความผูกพันที่มีต่อฉินอวี้โม่ ทันใดนั้นเจ้าตาแป๋วก็กางปีกเล็ก ๆ ทั้งสองข้างออก มันกะพริบตากลม ๆ แสนบ้องแบ๊วอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะบิดขี้เกียจเหยียดขยายร่างเล็ก ๆ ฮึบฮับไปมา เจ้าตัวน้อยพยายามกระพือปีกและบินขึ้น
สิ่งมีชีวิตที่เพิ่งออกจากไข่บินขึ้นมาเกาะบนไหล่ของฉินอวี้โม่ก่อนที่จะแลบลิ้นเล็กจิ๋วของมันเลียแก้มนวลเบา ๆ อยู่หลายครั้ง
ฉินอวี้โม่หมดคำพูด ในตอนนี้จู่ ๆ นางก็กลายเป็นแม่คน… ไม่สิ… แม่ของอสูรมายาวัยทารกไปแล้ว… ทั้ง ๆ ที่ไม่ว่าจะชีวิตนี้หรือชีวิตก่อน ‘เธอ’ ก็ยังไม่เคยผ่านชีวิตการแต่งงานมาก่อนเลยด้วยซ้ำ !
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองดูความเด๋อด๋าอย่างน่ารักน่าชังของเจ้าตัวน้อยตัวนี้ ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสหัวของมันเบา ๆ
แม้ว่ามันจะมีรูปร่างคุ้นตา ทว่ามันก็ยังตัวเล็กเกินไป หลังจากมองจ้องและพยายามพิจารณากันอยู่นาน ทุกคนในที่แห่งนั้นก็ยังคงดูไม่ออกว่าสิ่งมีชีวิตที่เพิ่งฟักเป็นตัวตัวนี้คืออสูรมายาชนิดใด
อดีตสาวนักฆ่ารู้สึกว่ามันดูคล้ายกับสิ่งที่เรียกว่ามังกรในชีวิตก่อน ทว่าก็ไม่มั่นใจนัก ตอนนี้ถึงอย่างไรเจ้าตัวนี้ก็ยังเล็กมาก และมากเกินกว่าจะดูลักษณะของมันให้ชัดเจนได้
‘นายหญิง เจ้าตัวนี้คือมังกรจริง ๆ และมันยังเป็นมังกรระดับสูงในหมู่เผ่าพันธุ์มังกร สายเลือดของมันบริสุทธิ์มากและศักยภาพของมันก็สูงส่งไร้ขีดจำกัด !’
เสียงของซิวดังขึ้นมาในจิตของฉินอวี้โม่เพื่อบอกเล่าเกี่ยวกับตัวตนของเจ้าหนูน้อยตัวนี้
‘เห็นกรงเล็บของมันหรือไม่ มือแต่ละข้างของมันมีห้าเล็บ ข้าคิดว่ามันอาจจะเป็น ‘มังกรทองห้าเล็บในตำนาน’ !’
เมื่อได้ยินที่ซิวบอก ฉินอวี้โม่ก็จับอุ้งเท้าน้อยของเจ้าตัวเล็กยกขึ้นดูชัด ๆ ทันที และนางก็เห็นว่ามันมีห้าเล็บจริง ๆ เสียด้วย อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูพยักหน้าเบา ๆ อย่างตื่นเต้น… เหมือนว่านางจะพบกับสุดยอดสมบัติเข้าให้แล้ว
.
.
.
ตอนที่ 60 เจ้าตัวนี้เป็นของข้า
หลังจากต่อสู้กับราชาอสรพิษเก้าเศียรมาได้ระยะหนึ่ง ยอดฝีมือฝ่ายมนุษย์ต่างก็เริ่มรู้สึกถึงความอ่อนล้าแล้ว ต้องยอมรับเลยว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรเป็นอสูรมายาที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้เจ้าราชางูยักษ์จะตกเป็นรองในตอนต้น แต่ด้วยพละกำลังที่มีอย่างมหาศาลทำให้มันสามารถยื้อเวลาเอาไว้ได้นานและเกือบจะพลิกสถานการณ์ได้หลายครั้ง และถ้าหากไม่ใช่เพราะยอดฝีมือจากทุกตระกูลต่างช่วยกันรับมือ ป่านนี้คงจะพ่ายแพ้และถูกฆ่าตายไปแล้ว
“ฟ่อ~!”
เมื่อหัวหนึ่งของราชาอสรพิษเก้าเศียรสังเกตเห็นโอวหยางชิงเฟิงที่กำลังเร้นกายลักลอบเข้าไปใกล้ไข่ประหลาด มันก็ขู่ฟ่อออกมาดังสนั่น
พวกมนุษย์ที่น่ารังเกียจเหล่านี้กำลังเบี่ยงเบนความสนใจของมันแล้วลอบเข้าไปเอาไข่ แม้ว่าไข่บัดซบใบนี้จะทำเอามันท้องอืดเกือบตาย แต่การจะให้มนุษย์ไร้ค่ามาขโมยสมบัติส่วนตัวไปได้ง่าย ๆ นั้นก็นับเป็นเรื่องที่น่าอับอายสำหรับราชาอสรพิษเทวะราชันอย่างมาก
“พวกมนุษย์น่าขยะแขยง ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้รู้เอาไว้ว่าการล่วงเกินราชาอสรพิษผู้ยิ่งใหญ่จะได้รับผลอย่างไร !”
ดวงตาทั้งสิบแปดดวงของราชาอสรพิษเก้าเศียรเปล่งแสงเรืองรองอย่างน่าขนลุก มันจ้องมองฉินอีเฟิงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ด้วยความอาฆาตแค้น จิตสังหารอันแรงกล้าพุ่งออกมารอบทิศและตรงเข้าปะทะทุกสิ่งอย่างที่ขวางหน้า ในเวลานี้แม้แต่หินก้อนเล็กก้อนน้อยในถ้ำก็เริ่มปริแตก !
เป็นตอนนั้นเอง ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ รู้สึกได้ว่าความแข็งแกร่งของราชาอสรพิษเก้าเศียรเพิ่มมากขึ้นอย่างเท่าทวี หากพวกเขาไม่พยายามอย่างสุดฝีมือก็คงยากที่จะหยุดยั้งมันได้แน่ สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าอันตรายถึงขีดสุดแล้ว
ทางด้านฉินอวี้โม่นั้นยังไม่ทำการโจมตีราชาอสรพิษเก้าเศียรเลยแม้แต่ครั้งเดียว นางทำเพียงแค่หลบซ้ายหลีกขวา และถ้าหากราชาอสรพิษเก้าเศียรไม่โจมตีเข้ามา นักฆ่าสาวก็จะไม่โจมตีกลับไป สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจะทำเพียงรอคอยอย่างเงียบ ๆ โดยไม่เคลื่อนไหว
แต่เมื่อราชาอสรพิษเก้าเศียรเห็นมนุษย์ขอบเขตมายารัตนะตัวน้อย ๆ สามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของมันได้อย่างง่ายดาย เจ้างูยักษ์ก็ดูจะโกรธมากขึ้นกว่าเดิม
— ปัง ! —
จอมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราของตระกูลเหล่ยไม่ทันระวังจึงถูกหางของราชาอสรพิษเก้าเศียรฟาดเข้าใส่จนกระเด็นออกไปไกล
ร่างของคนผู้นั้นชนเข้ากับถ้ำจนเกิดเสียงดังก้องก่อนจะไถลร่วงลงมา เมื่อตกลงมาถึงพื้นเลือดจำนวนไม่น้อยก็ไหลออกมาจากปากของเขา
เมื่อจอมยุทธ์ของตระกูลเหล่ยถูกซัดร่วงจนไม่สามารถสู้ต่อได้ คนอื่น ๆ ที่เหลือก็ต้องแบกรับภาระและแรงกดดันที่หนักหน่วงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อศัตรูลดจำนวนลงไปหนึ่ง ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็มีหัวหนึ่งที่ว่างงานแล้วในตอนนี้ มันต่อสู้และเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก
จริงอยู่ที่ฉินอวี้โม่ยังคงสามารถหลบหลีกการโจมตีทั้งหลายของราชาอสรพิษเก้าเศียรได้เช่นเคย แต่นางก็ต้องยอมรับว่าเมื่อขาดคู่ต่อสู้ไปหนึ่งคนแล้ว ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ดูจะน่ากลัวมากขึ้นจนคล้ายไม่ใช่ตัวเดียวกันกับก่อนหน้านี้
ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกว่าศึกนี้เริ่มตึงมือมากแล้ว พวกเขาต้านทานแรงกดดันของราชาอสรพิษเก้าเศียรได้ยากขึ้นทุกขณะ ทว่าก็ไม่มีผู้ใดปริปากบ่นและยังไม่มีใครคิดจะเรียกใช้ทักษะนภายุทธ์เพื่อตอบโต้อสูรเทวะราชันกลับไปในระดับสูงสุด
ต้องทราบก่อนว่า จุดอ่อนอย่างหนึ่งของจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายาก็คือช่วงเวลาหลังจากที่ใช้นภายุทธ์ไปแล้วพวกเขาจะอ่อนแอถึงขีดสุด เนื่องจากนภายุทธ์เป็นทักษะที่ต้องอาศัยพลังมายาที่สูงมาก หลังจากใช้ทักษะยุทธ์นี้แล้วเหล่าจอมยุทธ์จะอ่อนกำลังลงจนไม่สามารถใช้พลังมายาได้ชั่วขณะ ซึ่งนั่นก็จะทำให้เกิดช่องว่างให้เหล่าศัตรูโจมตีโต้กลับและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นถ้าหากคนในกลุ่มไม่มีความสามัคคีและวางแผนการต่อสู้มาอย่างรัดกุมก็จะไม่มีผู้ใดกล้าเสี่ยงชีวิตงัดเอาวิชายุทธ์ที่ร้ายกาจนี้ออกมาใช้กันโดยง่าย
“ฮ่า ๆ เจ้าพวกมนุษย์อวดดี หากวันนี้ข้ายอมให้พวกเจ้าเอาไข่ใบนั้นไปได้ก็ถือว่าเสียเกียรติแห่งราชา !”
ราชาอสรพิษเก้าเศียรหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ในตอนนี้มันกำลังพยายามจะฝ่าเหล่าจอมยุทธ์ที่เป็นหน่วยคุ้มกันในแนวหน้าเพื่อเข้าไปจัดการกับโอวหยางชิงเฟิงและเหล่าตัวแทนตระกูลที่กำลังจะชิงไข่
ในเวลานั้นโอวหยางชิงเฟิงเข้าไปถึงแท่นวางไข่แล้ว ทว่าก่อนที่เขาจะได้สัมผัสมัน มือของบุรุษวัยกลางคนที่มีนามว่าเหล่ยเซิงหนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลเหล่ยก็คว้าจับไข่ประหลาดไว้ได้และเตรียมที่จะเอามันไป
เมื่อเหล่ยเจิ้นเทียนมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ณ จุดปล้นไข่ ในสายตาคมก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ผู้อาวุโสอายุน้อยยิ้มออกมาอย่างมีชัย
“ยอดฝีมือผู้เก่งกล้าทุกท่าน หากพวกเราไม่ทุ่มสุดตัวในเวลานี้ ข้าเกรงว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรคงจะฝ่าแนวป้องกันของเราไปได้แน่ ดังนั้นข้าแนะนำว่าทุกท่านอย่าได้เก็บออมพลังกันอีกเลย ใครมีไม้เด็ดอะไรก็รีบใช้ออกมาซะ !”
หลังจากกล่าวจบ เหล่ยเจิ้นเทียนก็เป็นคนเรียกที่ใช้ไพ่ตายของตัวเอง
“อสูรเสริมร่าง !”
ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเหล่ยเปล่งเสียงออกมาดังลั่น ซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่อสูรมายาทรงพลังตัวหนึ่งออกมาจากมิติเชื่อมอสูรของเขา อสูรมายาตัวนั้นเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเกราะหลายชิ้นก่อนจะประกอบร่างเข้ากับร่างกายของเหล่ยเจิ้นเทียน
เมื่อใดก็ตามที่จอมยุทธ์บรรลุถึงขอบเขตนภมายา คนผู้นั้นจะสามารถใช้ทักษะเสริมพิเศษของอสูรมายาได้ และจะสามารถใช้อสูรมายาของตนในรูปของอุปกรณ์เสริมต่างๆ ได้ ซึ่งทักษะพิเศษนี้ถูกเรียกขานว่า ‘ทักษะอสูรเสริมร่าง’
หากได้รับการเสริมพลังจากอสูรมายา นอกเหนือจากพลังป้องกันได้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลแล้ว ความแข็งแกร่งของร่างกายโดยรวมก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ที่สำคัญการจะเรียกใช้ทักษะนภายุทธ์ออกมาได้ ยอดฝีมือทั้งหลายจะต้องใช้งานทักษะเสริมเกราะอสูรนี้เสียก่อน
“เพื่อเป็นการให้เกียรติราชาอย่างเจ้า งั้นข้าขอเริ่มเป็นคนแรก !”
เหล่ยเจิ้นเทียนจ้องมองอสรพิษเก้าเศียรและระเบิดสภาวะพลังที่แข็งแกร่งออกมาในชั่วพริบตา เมื่อเห็นว่าเหล่ยเซิงกำลังจะชิงไข่ไปได้ เหล่ยเจิ้นเทียนก็งัดเอาไพ่ตายออกมาใช้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเหล่ยจู่โจมราชาอสรพิษเก้าเศียรอย่างหนักหน่วง เหตุผลหนึ่งก็เพื่อดึงความสนใจของราชางูยักษ์ป้องกันไม่ให้มันขัดขวางคนของเขา อีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อกระตุ้นให้ยอดฝีมือคนอื่น ๆ ทำตาม
ที่เหล่ยเจิ้นเทียนกล้าเปิดฉากโจมตีก่อนเป็นเพราะเขาไม่กลัว เขารู้ดีว่าทั้งโอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงต่างก็เป็นสุภาพบุรุษที่ซื่อตรง สองคนนั้นไม่มีทางทำร้ายผู้ใดลับหลังแน่ ตอนนี้ทุกคนต่างก็ตกลงกันแล้วเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจของราชาอสรพิษเก้าเศียร ฉะนั้นแม้ว่าคนของเหล่ยเจิ้นเทียนจะเป็นฝ่ายที่ได้มันไป อย่างไรเสียสุภาพบุรุษทั้งสองก็คงไม่ละทิ้งหน้าที่อย่างแน่นอน
— ปัง ! —
เหล่ยเจิ้นเทียนตรงเข้าไปจู่โจมที่กลางลำตัวของราชาอสรพิษเก้าเศียรจนร่างกายใหญ่โตของมันสั่นไหวและส่งผลให้หัวทั้งเก้าของเจ้างูยักษ์สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงตามไปด้วย …ซึ่งภาพงูยักษ์ที่กำลังหัวโยกหัวคลอนจนตากลับก็ดูน่าขำอยู่ไม่น้อย
“เจ้ามนุษย์น่าขยะแขยงแงงงงงงงง~ วันนี้เจ้าจะต้องยอมจำนนต่อหน้าข้าง่าาาาาา~ ราชาผู้ยิ่งใหญ่ไหง่ง่ง่ง่ง่ง่ง่ง่ง่~ !”
ราชางูยักษ์หัวคลอนพ่นวาจาข่มขู่ศัตรู ทว่าเพราะหัวที่โยกคลอนทำให้เสียงที่ออกมาแหลมเล็กและสั่นเสียจนชวนหัวเราะมากกว่าน่ากลัว
ราชาอสรพิษเก้าเศียรถูกเหล่ยเจิ้นเทียนจู่โจมด้วยนภายุทธ์ แม้ว่าจะไม่ได้บาดเจ็บหนัก ทว่ามันก็รู้สึกอับอายไม่น้อย แต่เรื่องที่ทำให้อสรพิษผู้ยิ่งใหญ่ขุ่นเคืองมากที่สุดก็คืออสูรเทวะราชันเจ็ดดาราที่แม้แต่อสูรเทวะราชันเก้าดารายังไม่กล้ามองข้ามอย่างมันกลับต้องมาถูกมนุษย์จองหองผู้หนึ่งเล่นงานจนหัวโยก เรื่องนี้ถือว่าน่าอับอายสำหรับมันมาก และนั่นก็ทำให้ราชาอสรพิษเทวะราชันเริ่มจะคลั่งขึ้นมาแล้ว !
“ลงมือ !”
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงหันมามองหน้ากัน พวกเขาจะไม่ยอมปล่อยให้ราชาอสรพิษเก้าเศียรมีโอกาสได้อาละวาด
หลินซวงเห็นผู้อาวุโสตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางเคลื่อนไหว เขาก็ไม่ลังเลอีก ผู้อาวุโสตัวแทนแห่งสมาคมทหารรับจ้างปลดปล่อยนภายุทธ์ของตัวเองในทันที
ภายในชั่วอึดใจ การโจมตีขั้นสุดยอดสามสายก็ฟาดเข้าใส่ร่างของราชาอสรพิษเก้าเศียร แม้ว่ามันจะเป็นอสูรเทวะราชันเจ็ดดารา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกระบวนท่าที่รุนแรงถึงเพียงนี้พร้อม ๆ กัน เจ้างูยักษ์ก็ทรุดลงไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากปลดปล่อยนภายุทธ์ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็ร่วงลงไปกองกับพื้นเช่นกัน พลังมายาของพวกเขาเหือดแห้งหายไปเกือบหมดสิ้น เห็นได้ชัดว่าการใช้นภายุทธ์เป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองพลังอย่างมหาศาล ครั้งนี้หากว่าไม่สบโอกาสทองอย่างแท้จริง พวกเขาทั้งหมดคงจะไม่กล้าปลดปล่อยนภายุทธ์ออกมาโดยง่ายแน่
ราชาอสรพิษเก้าเศียรนอนเผละอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่อ่อนยวบราวกับก้อนโคลนก็มิปาน ลมหายใจของเจ้างูผู้ยิ่งใหญ่โรยริน สภาพดูน่าเวทนายิ่งนัก
ดูเหมือนว่าในตอนนี้ราชาอสรพิษเก้าเศียรจะสูญเสียพลังที่จะต่อสู้ไปจนหมดสิ้นแล้ว ฉินอีเฟิงและนักรบแนวหน้าคนอื่น ๆ โล่งใจได้เล็กน้อยจึงหันไปมองยังกลุ่มนักปล้นไข่ทั้งหลาย
ทว่าขณะนั้นเอง ชวี่เซียวผู้ล้มเหลวในการหว่านล้อมผู้คนก็ปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ ร่างอ่อนปวกเปียกของราชาอสรพิษเก้าเศียร ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร วางมือข้างหนึ่งบนหัวของราชาอสรพิษเก้าเศียรและทำท่าทางราวกับว่ากำลังต้องการจะสยบมัน
“ชวี่เซียว เจ้าคนไร้ยางอาย !”
ทันทีที่เห็นชวี่เซียว เหล่ยเจิ้นเทียนก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอด ยอดฝีมือผู้เพิ่งทุ่มพลังจนสุดตัวเพื่อสกัดกั้นราชาอสรพิษเก้าเศียรทำได้แต่เพียงมองอย่างเคียดแค้นและตวาดด่าเสียงดังลั่น
“เหอะ ในเมื่อพวกเจ้าไม่คิดจะช่วยข้าสยบราชาอสรพิษเก้าเศียร ข้าก็ต้องหาโอกาสของข้าเอง เหตุการณ์วันนี้ ข้าชวี่เซียวจะเป็นผู้เขียนหน้าประวัติศาสตร์ เมื่อข้าสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรได้แล้ว ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าการลบหลู่ข้าจะได้รับผลเช่นไร !”
ชวี่เซียวเพิกเฉยต่อสายตาสาปแช่งของทุกผู้คนและเริ่มการสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรในทันที
“ต่ำช้านัก !”
เหล่ยเจิ้นเทียนทำได้เพียงแค่แช่งชักหักกระดูกอีกฝ่ายในใจ ทว่าก็ไม่สามารถทำสิ่งอื่นใดได้ นี่เป็นผลข้างเคียงจากการใช้นภายุทธ์
ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้ใช้นภายุทธ์ก็ถูกอสูรมายาระดับสูงสองตัวที่ชวี่เซียวเรียกมาคอยสกัดกั้นไว้ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าไปขัดขวางการกระทำเลวทรามของอีกฝ่ายได้ !
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หลังจากสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรเสร็จเรียบร้อย บุรุษน่ารังเกียจชวี่เซียวก็คงไม่หยุดเพียงเท่านั้นแน่ และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่อาจต้าน
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงขมวดคิ้วแน่น หากชวี่เซียวได้ราชาอสรพิษเก้าเศียรไปจริง ๆ พวกเขาเกรงว่าวันนี้คงไม่ได้กลับออกไปอย่างปลอดภัยเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ทุกคนกำลังจ้องมองการกระทำของตัวแทนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างสิ้นหวังปนแค้นเคืองกันอยู่นั้น ฉินอีเฟิงก็นึกถึงฉินอวี้โม่ขึ้นมา
ทันทีที่นึกได้ ผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลฉินก็รีบกวาดสายตาเพื่อหาตัวหลานสาว ทว่ากลับไม่พบแม้แต่เงาของนาง
โอวหยางหมิงเองก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ ตั้งแต่พวกเขาปลดปล่อยนภายุทธ์ก็ไม่เห็นตัวคุณหนูตระกูลฉินอีกเลย และแม้จะพยายามมองหาจนทั่ว เขาก็ไม่พบร่างบางของนางเช่นกัน
“เสี่ยวอวี้โม่ไปอยู่ที่ไหน ? เมื่อครู่จำได้ว่านางกำลังต่อสู้พัวพันอยู่กับหนึ่งในหัวของราชาอสรพิษนี่ ?”
ฉินอีเฟิงเริ่มเป็นกังวล หรือว่าฉินอวี้โม่จะถูกลูกหลงจากนภายุทธ์จนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น ?
“ไม่ต้องห่วง แม่นางอวี้โม่เป็นสตรีที่ฉลาด ข้าคิดว่าคงจะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนางได้แน่”
แม้ว่าโอวหยางหมิงจะมีความกังวลอยู่เช่นกันแต่ก็ไม่มากเท่าฉินอีเฟิง ตั้งแต่แรกเห็นเขาก็รู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ธรรมดาในตัวของสตรีน้อยผู้นี้ และเขาก็เชื่อว่านางไม่มีทางเป็นอะไรไปเพียงเพราะถูกพลังสะท้อนจากการโจมตีที่รุนแรงเป็นแน่
‘และถ้าหากว่าฉินอวี้โม่ไม่เป็นอะไร การที่นางไม่ยอมปรากฏตัวออกมา นั่นก็หมายความว่านางอาจจะกำลังเตรียมการอะไรบางอย่างอยู่ !’
ต้องกล่าวเลยว่าความคิดของโอวหยางหมิงนั้นถูกต้อง เพราะในเวลานี้ฉินอวี้โม่กำลังซ่อนตัวอยู่อีกด้านหนึ่งของร่างเจ้างูยักษ์ นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูใช้ประโยชน์จากร่างกายขนาดมหึมาของราชาอสรพิษเก้าเศียรบดบังตัวเองไว้ …และแน่นอนว่านางก็กำลังสยบมันอยู่เช่นกัน !
ทันทีที่เห็นฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ ใช้นภายุทธ์ ดรุณีน้อยร้อยเล่ห์ก็รีบหลีกเร้นกายบางเข้าไปอยู่ในมุมอับสายตา เมื่อถึงตอนที่ราชาอสรพิษเก้าเศียรล้มลงนอนแน่นิ่ง นางก็รีบเข้ามาหลบอยู่ข้างร่างใหญ่ยักษ์และทำการสยบอสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราตัวนี้ทันที
แต่ไม่คิดเลยว่า ถึงแม้ราชาอสรพิษเก้าเศียรจะบาดเจ็บสาหัสจนมีสภาพปางตาย แต่จิตใจของมันก็ยังเข้มแข็งอยู่มาก ฉินอวี้โม่พยายามรีดเค้นพลังมายาเพื่อสั่นคลอนจิตใจของเจ้างูผู้อ่อนแรงอย่างเต็มที่ ทว่าไม่ว่านางจะพยายามเท่าใดก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ
ในเวลาเดียวกัน ด้วยคำพูดของเหล่ยเจิ้นเทียน ฉินอวี้โม่จึงรู้ว่าผู้อาวุโสจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็กำลังพยายามสยบมันอยู่เช่นกัน และนั่นก็ทำให้นักฆ่าสาวเริ่มกังวลใจขึ้นมาแล้ว
‘ราชาอสรพิษเก้าเศียร ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีสติอยู่ ข้าอยากให้เจ้ามาเป็นผู้ติดตามข้า พวกเราจะพัฒนาไปด้วยกัน หรือเจ้าอยากจะกลายเป็นทาสของชายจิตใจย่ำแย่ผู้นั้น ?’
เมื่อเวลาบีบคั้น ฉินอวี้โม่จึงพยายามสื่อสารกับราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วยพลังแห่งจิตวิญญาณ
‘เจ้าพวกมนุษย์ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้า ราชาผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าจะบาดเจ็บหนักถึงเพียงนี้ได้หรือ อยากจะให้ข้ากลายเป็นสัตว์เลี้ยงของเจ้าน่ะรึ ฝันไปเถอะ !’
ราชาอสรพิษเก้าเศียรปฏิเสธอย่างไม่ไยดี จิตใจของมันแข็งแกร่งมาก มันไม่ยอมโอนอ่อนตามคำหว่านล้อมของมนุษย์สตรีผู้นี้แน่
‘แต่ช้านานแล้วที่มนุษย์และอสูรมายาต่อสู้ห้ำหั่นกันมาโดยตลอด เรื่องนี้ยากจะแก้ไขอะไรได้ แต่ข้าขอรับประกันว่าหากเจ้ายอมเป็นอสูรมายาของข้า ข้าจะปฏิบัติกับเจ้าไม่ต่างจากสหาย ข้าจะไม่บังคับจิตใจเจ้า สิ่งใดก็ตามที่เจ้าไม่ชอบข้าจะไม่มีวันร้องขอให้เจ้าทำ’
ฉินอวี้โม่ยังคงพยายามหว่านล้อมเจ้างูยักษ์ตัวนี้ผ่านกระแสแห่งจิตวิญญาณ ตอนนี้นางสัมผัสได้ว่าพลังมายาของชวี่เซียวเริ่มรุกล้ำเข้ามาภายในร่างของเจ้าอสรพิษเก้าหัวแล้ว
‘มนุษย์น้อย เจ้าไม่ต้องพูดมาก ข้ายอมระเบิดเป็นจุณดีกว่ายอมเป็นอสูรมายาของเจ้า’
ในตอนนั้นเอง จิตของฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ว่า จู่ ๆ ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ปลดปล่อยสภาวะพลังที่รุนแรงออกมา
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่อยากให้อสูรเทวะราชันระเบิดตัวเอง หากว่าเจ้างูขนาดยักษ์ระเบิดตัวเองในที่แห่งนี้ ทุกคนก็จะตกอยู่ในอันตราย และพวกเขาอาจจะไม่แม้แต่จะสามารถปกป้องตัวเองได้ อีกทั้งในตอนนี้พลังของชวี่เซียวก็แทรกซึมเข้ามาในร่างราชาอสรพิษมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งเรื่องนี้ก็ยิ่งทำให้งูผู้ถือดีโกรธจนไม่อาจยั้งสติได้แล้ว
‘นายหญิงไม่ต้องไปเกลี้ยกล่อมมันให้เสียเวลา ในเมื่อมันไม่ยอม ข้าก็จะทำให้มันยอมเพื่อท่านเอง !’
ทันใดนั้นเสียงของซิวก็ดังขึ้นในจิตของฉินอวี้โม่
‘ฮ้า ! ในที่สุดเจ้าก็ตื่น’
เมื่อได้ยินเสียงของซิว ฉินอวี้โม่ก็ทั้งประหลาดใจและโล่งอก ต้องบอกเลยว่ามันตื่นขึ้นมาในจังหวะเวลาที่พอดีจริง ๆ
‘ใช่แล้ว ข้าเพิ่งจะสิ้นสุดการวิวัฒนาการ’
ซิวตอบรับ ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ทันทีว่าพลังของซิวแทรกซึมเข้าไปในหัวของราชาอสรพิษเก้าเศียรที่อยู่ตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น ราชาอสรพิษเก้าเศียรผู้ยิ่งใหญ่ก็ขยับหัวที่แสนอ่อนแรงของมันในท่าทางที่คล้ายกำลังก้มหัวอย่างจำนน
ภายใต้แรงกดดันที่เหนือชั้นของซิว ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็ไม่หลงเหลือความดื้อด้านใด ๆ อีก มันไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะต่อต้านแรงกดดันนั้นได้เลย ต้องบอกเลยว่าพลังจิตวิญญาณของซิวแข็งแกร่งกว่าอสรพิษเทวะราชันเจ็ดดาราตัวนี้มาก พลังจิตอันทรงอำนาจทำให้แรงใจของมันสูญสลายหายไปในทันที ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจของเจ้างูยักษ์ผู้เคยยิ่งใหญ่ต่างก็สั่งให้ตัวมันยินยอมพ่ายแพ้
ฉินอวี้โม่ยกยิ้มและเริ่มทำพันธสัญญากับราชาอสรพิษเก้าเศียร แน่นอนว่าซิวช่วยกางเขตอาคมเอาไว้เพื่อไม่ให้มีผู้ใดมองเห็นแสงจากการเลื่อนระดับพลังของฉินอวี้โม่และราชาอสรพิษเก้าเศียรได้
อีกทางด้านหนึ่ง ชวี่เซียวก็กำลังพยายามสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรอยู่ ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกว่าอาการบาดเจ็บทั้งหมดของอสูรมายาเทวะราชันที่เขาคิดว่าจะต้องได้ครอบครองอย่างแน่นอนก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง ผู้อาวุโสใจคดแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรตกตะลึงปนงุนงงจนทำสิ่งใดไม่ถูก
“เฮ้ ! เจ้านี่เป็นของข้าแล้ว นั่นเจ้ากำลังคิดจะทำอะไร ?”
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น สีหน้าของชวี่เซียวก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง !
.
.
.
ตอนที่ 59 หาโอกาส
เมื่อได้ยินวาจาของหลินซวง สีหน้าของชวี่เซียวก็มืดมนลงไปถึงสี่ส่วน แต่เมื่อได้ฟังคำตอบของฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิง ใบหน้าของผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำในทันที
เขาไม่คิดเลยว่าอสูรมายาถึงสองตัวจะยั่วยวนเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลใหญ่ที่ควรจะเห็นแก่ประโยชน์ของตระกูลไม่ได้ ไม่คิดว่าคนพวกนี้จะปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างไม่ไยดี คนพวกนี้ไม่เกรงกลัวบารมีของสมาคมผู้ฝึกสัตว์เลยหรืออย่างไรกัน ?!
ยิ่งเวลาผ่านไป ความโกรธในหัวใจของชวี่เซียวก็ยิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“ผู้อาวุโสชวี่ หากว่าท่านยังต้องการผลประโยชน์และอยากจะอยู่ต่อก็เชิญท่านตามสะดวก แต่พวกเราจะไม่ช่วยท่านสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรแน่ ส่วนเรื่องผู้ใดจะได้ไข่ประหลาดไปครอบครอง เห็นทีคงต้องวัดกันที่ฝีมือของใครของมันแล้ว”
เหล่ยเจิ้นเทียนกล่าวกับชวี่เซียวอย่างเย้ยหยัน
“ผู้อาวุโสชวี่ ผู้อาวุโสโอวหยาง และผู้อาวุโสหลิน แม้ว่าพวกเราจะไม่ได้สมัครสมานสามัคคีกันนักเมื่อครั้งอยู่ในนครไป๋อวิ๋น แต่ในเมื่อเราต่างก็ไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะเพราะคู่ต่อสู้ตรงหน้าเป็นถึงราชาอสรพิษเก้าเศียร ข้าเสนอให้ส่งตัวแทนเพียงหนึ่งคนไปชิงไข่มา ส่วนคนอื่น ๆ ให้ช่วยกันทำหน้าที่เบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าอสรพิษ ตัวแทนจากตระกูลไหนชิงไข่ได้ก็จะได้ไข่ไปครอบครอง เช่นนี้พวกท่านคิดเห็นอย่างไร ?”
เหล่ยเจิ้นเทียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วเสนอแผนการ เขาคิดว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ทว่าด้วยทิฐิมานะและความแค้นเคืองที่มีต่อตระกูลฉิน เขาจึงจงใจละนามแห่งตระกูลคู่อรินี้ไว้
แต่ละตระกูลจะส่งคนไปแย่งชิงไข่ตระกูลละหนึ่งคน ส่วนคนอื่น ๆ รับผิดชอบช่วยกันเบนความสนใจของอสรพิษเก้าเศียร ไม่ว่าตัวแทนแห่งตระกูลใดจะได้ไข่มาครอง ตระกูลอื่นก็ต้องยอมรับอย่างไม่มีข้อแม้และห้ามโต้แย้ง
โอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงหันมามองหน้ากันก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย พวกเขาเองก็มีแนวคิดคล้าย ๆ กันนี้อยู่
หลินซวงเองก็พยักหน้า พวกเขาแต่ละตระกูลมีกำลังไม่เพียงพอที่จะจัดการกับราชาอสรพิษระดับเทวะราชันและชิงไข่มาพร้อม ๆ กัน เพราะฉะนั้นข้อเสนอในการช่วยกันรับมือกับอสรพิษยักษ์และส่งตัวแทนชิงไข่ของเหล่ยเจิ้นเทียนจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกท่านไม่มีปัญหา งั้นเรามาตกลงกันก่อนว่าแต่ละตระกูลจะส่งผู้ใดไปชิงไข่นั่นมา”
เหล่ยเจิ้นเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปกระซิบสั่งการคนจากตระกูลเหล่ยที่อยู่ด้านหลัง
“ชิงเฟิง เจ้าเข้าไปชิงไข่มา”
ฉินอวี้โม่หันมาพูดกับโอวหยางชิงเฟิง นางรู้ความแข็งแกร่งของโอวหยางชิงเฟิงดี มันเป็นการดีที่สุดแล้วหากให้เขาเป็นตัวแทนเข้าไปเอาไข่
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี้โม่ ไม่ต้องห่วง ข้าจะนำไข่ใบนั้นมาเป็นของฝากให้เจ้าเอง”
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงส่ายศีรษะอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพื่อคัดค้าน ในเมื่อคนรุ่นเยาว์ต้องการแสดงศักยภาพ ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาก็จะให้การสนับสนุน
“เสี่ยวโร่ว เจ้ากับม่อเสียเข้าไปช่วยชิงเฟิงเพื่อให้แน่ใจว่าต้องชิงไข่มาให้ได้”
ฉินอวี้โม่หันสั่งการเสี่ยวโร่วอีกคนหนึ่ง สาวใช้น้อยพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง มันเป็นครั้งแรกที่นางได้รับคำสั่งการในเรื่องที่จริงจังมากถึงเพียงนี้จากคุณหนู และนั่นจึงทำให้เด็กสาวรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย
“ท่านลุงสาม ท่านลุงเจ็ด แสดงให้หลานตัวน้อยผู้นี้ได้เห็นทีได้ไหมเจ้าคะว่าพลังอันแสนยิ่งใหญ่นั้นเป็นเช่นไร อวี้โม่ วานท่านลุงทั้งสองช่วยเบนความสนใจของราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วย”
โอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงรู้ดีว่าฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงคงจะซ่อนเร้นพลังความสามารถเอาไว้อีกมาก จริงอยู่ว่านี่เป็นเรื่องที่เสี่ยงมากและเป็นภาระที่หนักหนา ทว่าพวกเขาทั้งคู่ก็วางใจในคนรุ่นเยาว์ของตระกูลจึงไม่เอ่ยถามให้มากความ หากเด็กทั้งสองมีพลังที่ซ่อนเร้นอยู่จริง ๆ อีกไม่นานก็คงจะได้รู้เอง ยิ่งกว่านั้นเหล่าผู้อาวุโสในตระกูลทั้งหลาย ไม่ว่าใครก็ย่อมชมชอบที่จะได้เห็นลูกหลานของตัวเองเป็นคนเก่งกาจมากฝีมืออยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่จัดแจงทุกอย่างในภารกิจอันตรายครั้งนี้ด้วยความมั่นใจก็ทำให้ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงรู้สึกมั่นใจตามนางไปด้วย ที่สำคัญโอวหยางชิงเฟิงเป็นถึงจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาที่มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งและทรงพลังเป็นคู่หู เขาย่อมมีศักยภาพเพียงพอที่จะชิงไข่มาได้อย่างแน่นอน
ที่สำคัญอสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราก็มีความอันตรายเกินไปสำหรับคนรุ่นเยาว์ หากจะปล่อยให้พวกเขารับมือกับอสูรระดับนั้นกันเองก็เกรงว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นได้ อีกทั้งสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าวก็ตรงกับความคิดของพวกเขาทุกอย่าง
ดังนั้นผู้อาวุโสแห่งตระกูลพันธมิตรทั้งสองจึงพยักหน้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉิน
“เหล่ยเซิง เจ้าเป็นผู้เข้าไปชิงไข่”
เหล่ยเจิ้นเทียนเอ่ยปากกับบุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ท่ามกลางคนของตระกูลเหล่ยทั้งหมดในที่แห่งนี้ พลังของเหล่ยเซิงนับว่าเป็นรองเพียงตัวเขาเท่านั้น อีกทั้งบุรุษวัยกลางคนผู้นี้ก็เป็นระดับอาวุโสในตระกูลเหล่ยเช่นกัน เหล่ยเจิ้นเทียนจึงมั่นใจอย่างมากว่าเขาต้องชิงไข่ประหลาดมาได้ และเมื่อเห็นว่าทางฝั่งตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางส่งเพียงเด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเป็นผู้ท้าชิง เหล่ยเจิ้นเทียนก็รู้สึกมั่นใจมากว่าศึกชิงไข่ในครั้งนี้ตระกูลเหล่ยจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
บุรุษวัยกลางผู้ถูกเรียกขานว่าเหล่ยเซิงพยักหน้าและมองที่ไข่ด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ
“หลินซี เจ้าเป็นผู้เข้าไปชิงไข่มา อย่างไรก็ตามหากตึงมือเกินไปก็ให้คิดถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ถ้าไม่ไหวก็รีบถอย จำไว้ว่าอย่าฝืน”
หลิงซวงเองก็หันไปสั่งการคนในตระกูล ผู้ท้าชิงจากตระกูลหลินผู้นี้มีอายุราว ๆ ยี่สิบ แม้ใบหน้าจะดูอ่อนวัย แต่ทว่ากลับเป็นถึงจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายาแล้ว หากนับเฉพาะคนในรุ่นเดียวกัน ผู้ที่อยู่ในสมาคมทหารรับจ้างที่เหนือกว่าเขาก็มีเพียงแค่สองถึงสามคนเท่านั้น
หนุ่มจากตระกูลหลินนามว่าหลินซีพยักหน้ารับคำอย่างมุ่งมั่น แม้ว่าสมาคมทหารรับจ้างของพวกเขาจะต้องการไข่ประหลาดใบนี้มาก แต่เมื่อผู้อาวุโสบอกให้เขาคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เขาก็ต้องเชื่อฟัง หากไม่สามารถนำไข่กลับมาได้จริง ๆ เขาก็พร้อมที่จะถอย
ชวี่เซียวมองดูเหล่ายอดฝีมือทั้งหลายด้วยสายตาแค้นเคืองปนดูถูก ตัวแทนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเปล่งเสียง ‘ชิ’ ออกมาอย่างดูหมิ่น แม้จะมีตัวคนเดียวทว่าเขาก็ยังไม่คิดที่จะถอยง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะพยายามช่วงชิงจังหวะหาทางสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรให้จงได้
หลังจากปรึกษาหารือกันอยู่พักหนึ่ง ทุกตระกูลก็ได้ตัวแทนที่จะเข้าไปชิงไข่ประหลาดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อไล่สายตามองดูสองเด็กหนุ่มซึ่งเป็นผู้ท้าชิงไข่จากตระกูลหลินและตระกูลโอวหยางแล้ว เหล่ยเจิ้นเทียนก็ยกยิ้มอย่างมั่นใจ และยิ่งเมื่อเห็นตัวแทนของตระกูลฉินที่เป็นเพียงสาวน้อยธรรมดา ๆ เขาก็ส่งสายตาเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบัง
แม้ว่าตัวแทนของตระกูลอื่นจะแข็งแกร่งอยู่บ้างแต่ทุกคนก็ล้วนเป็นคนรุ่นเยาว์ และยังห่างไกลจากเหล่ยเซิงตัวแทนของพวกเขาที่ซึ่งเป็นระดับอาวุโส คนรุ่นเยาว์มีข้อเสียเปรียบเรื่องของความอ่อนด้อยประสบการณ์ ดูอย่างไรในวันนี้ไข่ก็ต้องเป็นของตระกูลเหล่ยแน่นอน
อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูผู้งดงามจ้องมองรอยยิ้มแสนมั่นใจและแววตาดูถูกของเหล่ยเจิ้นเทียนแล้วยกยิ้มมุมปาก… ‘อยากจะยิ้มหรือหัวเราะก็รีบ ๆ ทำให้เต็มที่ซะตอนนี้ เพราะอีกไม่นานเจ้าก็จะหัวเราะไม่ออกแล้ว !’
ฉินอวี้โม่ได้บอกเล่าแผนการทั้งหมดของนางกับโอวหยางชิงเฟิงไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อคุณชายหน้าใสได้ฟังแผนการนี้จบก็เกิดความคิดที่เด่นชัดอย่างหนึ่งขึ้น…เขาจะไม่มีวันหาเรื่องบาดหมางกับสตรีผู้นี้อย่างเด็ดขาด และในตอนนี้เขาก็เริ่มรู้สึกเสียใจแทนผู้ที่คิดจะเป็นศัตรูกับสตรีงดงามผู้นี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกอย่างลงตัวแล้ว งั้นก็เริ่มบุกเข้าไปเบนความสนใจของอสรพิษเก้าเศียรได้เลย !”
เหล่ยเจิ้นเทียนยิ้มและก้าวออกไปเป็นคนแรก ผู้อาวุโสแห่งตระกูลเหล่ยปลดปล่อยสภาวะพลังของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่
แม้ว่าจะหลับลึกอยู่ แต่เมื่อราชาอสรพิษเก้าเศียรสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมนุษย์ที่มันรังเกียจเป็นหนักหนาตรงเข้ามาใกล้ ราชางูยักษ์ก็ลืมตาตื่นขึ้นในทันที !
เมื่อเห็นมนุษย์หลายคนอยู่ตรงหน้าในรังอันแสนสุขของมันเอง ดวงตาขนาดใหญ่ของราชาอสรพิษเก้าเศียรก็เบิกกว้าง มันจ้องมาไปที่ยอดฝีมือนักล่าไข่อย่างคั่งแค้น
“เจ้าพวกเผ่าพันธุ์มนุษย์น่าขยะแขยง กำแหงนัก บังอาจรบกวนเวลาฝันกลางวันของราชาอสรพิษอย่างข้า พวกเจ้าอยากตายพร้อมกันอย่างนั้นรึ?”
“ราชาอสรพิษเก้าเศียร ส่งไข่ที่อยู่ด้านหลังของเจ้ามา แล้วพวกเราจะไว้ชีวิตเจ้า !”
เหล่ยเจิ้นเทียนจ้องมองราชาอสรพิษเก้าเศียรและเสนอข้อต่อรองอย่างโอหัง
พวกเขามาก็เพื่อไข่ ไม่ได้สนใจในตัวงูยักษ์เก้าหัวตัวนี้ หากอีกฝ่ายยินยอมส่งไข่มาแต่โดยดี มันก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
“ไข่ ? พวกเจ้ามาเพื่อไข่สินะ !”
หนึ่งในหัวทั้งเก้าของราชาอสรพิษเก้าเศียรหันกลับไปมองไข่ที่อยู่ด้านหลัง เมื่อยังเห็นไข่วางอยู่อย่างเรียบร้อยและยังคงส่องแสงเรืองรองอย่างเป็นสุข ราชางูยักษ์ก็แอบยิ้มด้วยความโล่งใจ
“ถึงไข่นั่นมันจะไม่มีประโยชน์ก็เถอะ แต่พวกเจ้ากล้าดียังไงมารบกวนการนอนหลับของข้าผู้ยิ่งใหญ่ แถมยังขวัญกล้าคิดที่จะชิงไข่ของข้าไป ?!”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องไข่ใบนั้น ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็แทบอยากจะกลอกตามองบนอย่างหมดคำพูด แต่ทว่าเพื่อรักษาความน่าเกรงขามของตัวเองมันจำเป็นต้องยับยั้งใจ เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้มันเพิ่งจะลองเขมือบกินไข่ใบนี้เข้าไป ทว่าใครจะรู้ว่าไอ้ไข่บัดซบใบนั้นเมื่อเข้าไปอยู่ในท้องของมันแล้วกลับยังไม่ถูกย่อย มันไม่เสื่อมสลายไปเลยราวกับเป็นไข่อมตะ ราชางูยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่นอนท้องอืดแทบตายอยู่หลายวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้ไข่บรรลัยใบนี้ยังแปลกประหลาดจนน่าขนลุก เพราะนอกจากจะไม่ย่อยสลายแล้ว ในตอนที่ไข่อยู่ในท้องของมัน เจ้าไข่ชั่วช้ายังกลับดูดกลืนพลังมายาแห่งอสรพิษระดับเทวะราชันอย่างมันไปจนเหือดแห้ง และทำให้ราชาอสรพิษผู้นอนอืดไข่อยู่ต้องทุรนทุรายอย่างหวาดหวั่น
ราชาอสรพิษเก้าเศียรคิดว่ามันจะต้องตายเสียแล้ว จึงต้องเค้นเอาพลังงานเฮือกสุดท้ายออกมาอย่างมหาศาลกว่าที่จะเบ่งเอาไข่เจ้าปัญหาให้หลุดผลุงออกมาจากร่างได้ โชคยังดีที่เจ้างูเก้าหัวยังมีพลังเหลือมากพอ หากมันไม่คิดเบ่งไข่ออกมาหรือคิดช้ากว่านี้อีกสักวันสองวันพลังของมันคงจะถูกไข่ประหลาดเลวทรามนั่นดูดไปหมดแน่ !
งูยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เพิ่งจะท้องอืดไข่จนเกือบตายคิดอย่างมีน้ำโห แต่มันก็ยังต้องเก๊กท่าทำหน้าหล่อให้ดูสมกับเป็นราชาอสรพิษผู้ดุร้ายและโหดเ**้ยมต่อหน้ามนุษย์ต่ำต้อยกระจ้อยร่อยพวกนี้
“ไข่เจ้าหรือ ? เจ้าเป็นคนออกไข่ใบนี้อย่างนั้นรึ ?”
เมื่อเหล่ยเจิ้นเทียนได้ยินคำพูดของราชาอสรพิษเก้าเศียรเขาก็ผงะไปด้วยอาการตกตะลึง หากว่าไข่ใบนี้เป็นของราชาอสรพิษเก้าเศียรจริง เช่นนั้นหลังจากที่มันฟักออกมาและถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มันก็จะกลายเป็นเสมือนราชาอสรพิษเก้าเศียรตัวนี้ หรือบางทีมันอาจจะแข็งแกร่งและทรงพลังอย่างเหนือชั้นกว่านี้ก็เป็นได้
“เพ่ย ! ชื่อของข้าก็บอกอยู่ว่าข้าคือราชา นั่นก็แปลว่าเป็นตัวผู้ แล้วข้าจะไปออกไข่ได้ยังไงเล่าไอ้มนุษย์โง่ ! มีหัวเดียวแล้วยังจะไม่มีสมองอีกเรอะ !”
เมื่อได้ยินคำถามของเหล่ยเจิ้นเทียน ราชาอสรพิษเก้าเศียรก็กลอกตาอย่างเหลืออดก่อนจะสบถด่าทออย่างดูถูก… ‘หึ่ยยย ! มนุษย์น่าขยะแขยงนี่มันโง่เกินไป หรือมันขวัญกล้าจงใจพูดจาเหยียดหยามข้ากันแน่ฟระ ?’
เมื่อฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ได้ฟังคำพูดของราชาอสรพิษเก้าเศียรและเหล่ยเจิ้นเทียน พวกเขาก็อดหัวเราะไม่ได้
ราชาอสรพิษเก้าเศียรตัวนี้น่าสนใจจริง ๆ และสติปัญญามันก็มีไม่น้อยเลยด้วย
ราชาอสรพิษเก้าเศียรเป็นสัตว์เพศผู้ แล้วมันจะออกไข่ได้อย่างไร ต่อให้เป็นโลกมายานี้ก็เถอะ แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตเพศผู้ตัวไหนที่จะให้กำเนิดทายาทได้
“กรอด~…”
เหล่ยเจิ้นเทียนหมดคำพูดไป ใบหน้าของผู้อาวุโสตระกูลเหล่ยถมึงทึงอย่างน่ากลัว เขาได้แต่กัดฟันเอาไว้ … ‘ก็เมื่อครู่เจ้างูยักษ์นี่มันเพิ่งจะบอกเองไม่ใช่หรือว่านั่นเป็นไข่ของมัน ?’
“ไข่นั้นจะเป็นของเจ้าหรือไม่ข้าไม่สนใจ ส่งมันมาซะ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า !”
เหล่ยเจิ้นเทียนปัดความรู้สึกงุนงงปนเสียหน้าทิ้งไปแล้วข่มขู่งูใหญ่ไปอีกครั้ง
“เหอะ ! ข้าไม่ให้ ถ้าอยากได้ก็เข้ามา จองหองดีนัก วันนี้แหละจะเป็นวันตายของพวกเจ้า”
ราชาอสรพิษเก้าเศียรแสยะยิ้มอย่างไม่กลัวเกรง อีกฝ่ายแค่มนุษย์ตัวจ้อยไม่กี่คน ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกยำเกรงเลยสักนิด
“เหอะ ! เช่นนั้นก็อย่ามาหาว่าพวกเราทำรุนแรงก็แล้วกัน”
เหล่ยเจิ้นเทียนเปล่งเสียงออกมาเสียงดังลั่นก่อนจะพุ่งตรงเข้าไปโจมตีราชาอสรพิษเก้าเศียรในพริบตา
ผู้อาวุโสตระกูลอื่น ๆ และเหล่ายอดฝีมือฝ่ายเบี่ยงเบนความสนใจทั้งหลายหันมามองหน้ากันก่อนจะบุกเข้าโจมตีราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วยเช่นกัน
เพียงชั่วอึดใจ ยอดฝีมือฝ่ายมนุษย์ทั้งหลายก็ตรงเข้าล้อมราชาอสรพิษเก้าเศียรไว้ทุกทิศ พวกเขาผลัดกันจู่โจมผลัดกันตั้งรับอย่างแข็งขัน ทว่าราชางูยักษ์ก็ใช้ความได้เปรียบจากการมีเศียรทั้งเก้าคอยปัดป้องและสวนกลับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างแข็งแกร่ง ในเวลานี้ดูไม่ออกเลยว่าเป็นฝ่ายใดที่กำลังเป็นต่อ
ในระหว่างนั้นเอง โอวหยางชิงเฟิง เสี่ยวโร่ว และตัวแทนตระกูลหน่วยเก็บกู้ไข่ประหลาดคนอื่น ๆ ต่างก็พยายามหาช่องว่างและแอบลอบเข้าไปใกล้ไข่อย่างลับ ๆ
ฉินอวี้โม่มองดูยอดฝีมือคนอื่น ๆ ที่พุ่งเข้าไปจู่โจมและสกัดหัวแต่ละหัวของราชาอสรพิษเก้าเศียรด้วยความตื่นตาตื่นใจ กระบวนท่าและพลังยุทธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาเลย
ดูเหมือนว่าจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายาจะสามารถเหาะหรือบินบนอากาศได้ ในตอนนี้ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างก็กำลังลอยตัวอยู่ใกล้ ๆ หัวของราชาอสรพิษเก้าเศียรและซัดพลังเข้าใส่มันอย่างดุเดือดเพื่อหลอกล่อและดึงความสนใจของเจ้างูยักษ์
ฉินอวี้โม่ใช้วิชาอสนีบาตผสานกับวิชาตัวเบาเพื่อกระโดดขึ้นไปลอยค้างอยู่บนอากาศ แม้ว่าจะไม่สามารถเหาะเหินได้อย่างถาวรแต่ก็สามารถลอยตัวได้นานพอสมควร
“ฮ่า ๆ น่าสนใจมากแม่หนูน้อย ไม่คิดเลยว่าแม้จะไม่ใช่มนุษย์ระดับนภมายาแต่ก็ยังเหาะได้ !”
เมื่อราชาอสรพิษเก้าเศียรมองดูระดับพลังของฉินอวี้โม่และเห็นว่านางสามารถลอยบนอากาศได้มันก็แสยะยิ้ม มันคิดว่าสาวน้อยผู้นี้น่าสนใจ
ฉินอีเฟิงและคนอื่น ๆ ก็สังเกตเห็นฉินอวี้โม่เช่นกัน เมื่อเห็นนางลอยอยู่บนอากาศพวกเขาก็อดประหลาดใจไม่ได้
ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารานั้น แม้ว่าจะเป็นระดับขั้นที่เข้าใกล้ขอบเขตนภมายามากที่สุดแล้ว แต่ยอดฝีมือในขอบเขตนี้ก็ไม่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างแน่นอน ทว่าฉินอวี้โม่กลับลอยอยู่บนท้องฟ้าได้และดูเหมือนจะมิใช่เรื่องยากลำบากสำหรับนางแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นยังคล้ายกับว่าคุณหนูผู้งดงามแห่งตระกูลฉินจะไม่จำเป็นต้องรีดเค้นเอาพลังมายาออกมาใช้อย่างหนักหน่วงเลยด้วยซ้ำ และนั่นทำให้พวกเขาคิดว่าฉินอวี้โม่จะต้องมีวิชาลับบางอย่างที่พิเศษมากเป็นแน่
ภายในใจของฉินอีเฟิงเต็มไปด้วยความโล่งอกและปลื้มใจ หลายปีมานี้เขารู้ดีว่าผู้นำตระกูลเป็นห่วงฉินอวี้โม่มาก ถ้าเขารู้ว่าฉินอวี้โม่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เขาคงจะมีความสุขมาก
“ราชาอสรพิษเก้าเศียร แม้ว่าเจ้าจะเป็นอสูรเทวะราชัน แต่ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะเอาชนะพวกเราที่มีจำนวนมากได้”
เหล่ยเจิ้นเทียนกล่าวเสียงดังอย่างโอหัง เขาชักดาบออกมาและฟันเข้าใส่เศียรหนึ่งของราชาอสรพิษเก้าเศียร
คนอื่น ๆ เห็นเช่นนั้นก็พากันชักอาวุธคู่ใจของตัวเองออกมา ทุกคนเริ่มเปิดฉากโจมตีราชาอสรพิษเก้าเศียรอย่างเต็มกำลังแล้ว !
ฉินอวี้โม่ยังคงยืนดูอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่ทำอะไร นางเพียงแต่ยืนประจันหน้ากับราชาอสรพิษเก้าเศียรเท่านั้น
แน่นอนว่าระดับพลังของฉินอวี้โม่ยังไม่มากพอที่จะทะลวงการป้องกันของราชาอสรพิษเก้าเศียรได้
คุณหนูผู้งดงามมองดูจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาคนอื่น ๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย หากนางไปถึงระดับนั้นบ้างนางก็จะสามารถใช้พลังได้อย่างเหนือชั้น อีกทั้งยังสามารถใช้ทักษะยุทธ์ของขอบเขตนภมายาที่เรียกว่า ‘นภายุทธ์’ ได้
ไม่ว่าจะเป็นฉินอีเฟิง โอวหยางหมิง เหล่ยเจิ้นเทียน และหลินซวงต่างก็สามารถใช้อาวุธกันได้อย่างคล่องแคล่วและมีประสิทธิภาพ ถึงแม้เวลานี้พวกเขาจะยังไม่ได้ปลดปล่อยนภายุทธ์ออกมาเลยสักครั้งแต่ก็สามารถสร้างความเสียหายให้เจ้าอสรพิษเก้าหัวได้บ้างแล้ว ถ้าหากว่าเหล่ายอดฝีมือในขอบเขตนภมายาเลือกใช้ทักษะนภายุทธ์อันยอดเยี่ยมนั้นก็เกรงว่าแม้แต่อสูรมายาที่แข็งแกร่งอย่างราชาอสรพิษเก้าเศียรนี้จะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สูสี
อดีตนักฆ่าสาวชมการต่อสู้ของเหล่าจอมยุทธ์นภมายาอย่างชื่นชมเพื่อรอคอยจังหวะเวลา… สิ่งที่นางต้องทำตอนนี้คือถ่วงเวลาเอาไว้เพื่อให้โอวหยางชิงเฟิงและเสี่ยวโร่วเข้าไปเอาไข่ และนอกจากนั้น… เพื่อสั่งสอนใครบางคน… นางต้องหาโอกาสสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรมาเป็นของตัวเองให้ได้ !
แน่นอนว่าเหล่ยเจิ้นเทียนและคนอื่น ๆ ไม่ล่วงรู้ถึงความคิดนี้ของสตรีหนึ่งเดียวในกลุ่ม และถ้าหากพวกเขารู้ก็คงไม่ยินยอมเป็นแน่
.
.
.
ตอนที่ 58 ราชาอสรพิษเก้าเศียร
“ท่านลุงเจ็ด ภายในตระกูลฉินคงจะมียอดฝีมือขอบเขตนภมายาจำนวนมากมายใช่หรือไม่”
หลังจากเข้ามาภายในถ้ำอสรพิษ ฉินอวี้โม่ที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ฉินอีเฟิงก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“นั่นก็ใช่ แม้ว่าช่วงหลายปีมานี้ตระกูลฉินของเราจะตกต่ำลงไปบ้าง ทว่าก็ยังมียอดฝีมือขอบเขตนภมายาอยู่หลายคน มีอะไรหรือ? เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงอยากรู้เรื่องนี้ล่ะ?”
ฉินอีเฟิงมองฉินอวี้โม่ด้วยความประหลาดใจ สาวน้อยอายุเพียงเท่านี้จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาแล้วรึ? หรือหลานสาวผู้นี้กำลังจะสร้างความตกตะลึงให้กับเขาอีกครั้งกัน?
“ข้าอยากจะทราบเงื่อนไขในการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาว่ามีอะไรบ้าง?”
ฉินอวี้โม่ถามเสียงใสด้วยรอยยิ้มหวาน และถึงแม้ฉินอีเฟิงจะคาดเดาไว้บ้างแล้ว ทว่าเขาก็ยังคงตกใจกับคำถามที่ได้ฟังอยู่ดี
“เรื่องนี้มันก็ขึ้นอยู่บุคคล”
ฉินอีเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “บางคนก็ขอเพียงสั่งสมพลังมายาได้ถึงระดับที่เพียงพอก็จะกระตุ้นให้ร่างกายทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้เลย แน่นอนว่ากรณีเช่นนี้มีไม่มาก และโดยส่วนมากแล้วนั้นจะต้องอาศัยการกระตุ้นจากภายนอกช่วย”
“เหมือนกับกรณีของข้าเลย ในตอนที่ข้าสู้กับอสูรมายาอย่างหนักหน่วง ตอนนั้นข้าตกอยู่ในวิกฤตและจู่ๆ ข้าก็ก้าวเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้เอง”
ระหว่างที่ฉินอวี้โม่และฉินอีเฟิงกำลังสนทนากันอย่างจริงจัง โอวหยางชิงเฟิงที่ฟังอยู่นานแล้วก็ยกตัวอย่างเรื่องราวในตอนที่เขาทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตนภมายาขึ้นมา ฉินอีเฟิงไม่ได้มีท่าทีประหลาดใจกับเหตุการณ์การก้าวข้ามระดับพลังของคุณชายรองตระกูลโอวหยาง ตรงกันข้ามเขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
หลังจากฟังสิ่งที่ฉินอีเฟิงกล่าว ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า นางพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ดูเหมือนว่าการจะข้ามขอบเขตนภมายาจะเป็นไปไม่ได้โดยง่าย
“เสี่ยวอวี่โม่ไม่ต้องกังวลหรือรีบร้อนไป สิบในสิบส่วนไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนมีปัญหาติดขัดที่ขอบเขตนี้ทั้งนั้น ขอบเขตนภมายาจึงเป็นปราการด่านสำคัญ หากว่าผู้ใดก้าวเข้าไปได้คนผู้นั้นก็จะนับเป็นยอดฝีมือที่แท้จริง จอมยุทธ์มายารัตนะและนภมายามีช่องว่างที่ห่างกันอย่างมหาศาลจนเจ้าเองก็คิดไม่ถึงเชียวล่ะ”
ฉินอีเฟิงมองดรุณีน้อยผู้เยาว์วัยฉินอวี้โม่แล้วถอนหายใจ ในฐานะผู้อาวุโสแห่งตระกูล เขาเห็นว่านางรีบร้อนเกินไปในเรื่องนี้และกลัวว่าสาวน้อยจะเอาแต่กลัดกลุ้มกังวลใจหรือกดดันตัวเองจนเกินพอดีจึงเตือนนางขึ้นมา
“ท่านลุงเจ็ดไม่ต้องห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ตัวเองดี”
เมื่อเห็นใบหน้าเป็นกังวลของฉินอีเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มพลางส่ายศีรษะ นางรู้และเข้าใจในสภาวะของร่างกายตัวเองดีที่สุด และนางจะไม่ทำสิ่งใดที่เป็นผลเสียต่อการพัฒนาของตัวเองเป็นแน่
“เจ้าคอยตามข้าไว้ ราชาอสรพิษเก้าเศียรไม่อาจนำไปเปรียบเทียบกับอสูรเทวะราชันธรรมดาๆ ได้เลย แม้ว่าระดับของมันจะยังอยู่ในขั้นดาราที่เจ็ด แต่มันก็ทรงพลังไม่ด้อยกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดาราเลย ที่สำคัญขึ้นมันชื่อว่าดุร้ายอย่างมาก”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา แต่ฉินอีเฟิงก็ยังกล่าวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง เพราะอสูรมายาที่พวกเขากำลังจะเจอแข็งแกร่งไม่น้อยไปกว่าอสูรมายาระดับเทวะราชันเก้าดารา และความแข็งแกร่งระดับอสูรเทวะราชันเก้าดารานั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่จะรับมือได้เลย ในเมื่อสตรีน้อยผู้นี้เรียกเขาว่า ‘ลุงเจ็ด’ เขาก็ควรจะรับผิดชอบดูแลนางให้ดีในฐานะลุงคนหนึ่ง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยของฉินอีเฟิง นางก็รู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก
ราชาอสรพิษเก้าเศียรเป็นอสูรมายาขนาดยักษ์ ถ้ำอสรพิษที่เป็นที่อยู่อาศัยของมันนี้จึงมีความยาวมาก ตั้งแต่ปากถ้ำพวกเขาทั้งหมดใช้เวลาเดินไปมากกว่าหนึ่งก้านธูปแล้วกว่าจะมาถึงยังจุดนี้ และในตอนนั้นเองที่เหล่านักล่าไข่ประหลาดสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังบางอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังได้ยินเสียงดังครืนครางแปลกประหลาดดังออกมาจากส่วนลึกของถ้ำ ดูเหมือนว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรจะยังคงนอนหลับฝันหวานอยู่ …..และเสียงดังครืนครางนั้นก็เป็นเสียงกรนของเจ้างูยักษ์!
“ทุกคนโปรดใช้ความระมัดระวังด้วย!”
หลินซวงผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างกล่าวเตือนทุกคนให้ระมัดระวัง
“นายหญิง ราชาอสรพิษเก้าเศียรตัวนี้มีพลังที่น่าสะพรึงกลัวมาก ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย โปรดระวังตัวด้วย”
ม่อเสียกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
ก่อนหน้านี้เจ้าหมีในร่างมนุษย์ยังไม่ยินดีที่จะเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่เท่าใดนัก แต่หลังจากติดตามฉินอวี้โม่มาระยะหนึ่ง เจ้าหมีดำก็ได้ทำความรู้จักนางมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นมันยังเข้าใจแล้วว่าทั้งอสูรมายาและมนุษย์ต่างอยู่ตามวิถีทางของตัวเอง หลังจากที่มันได้เห็นว่าอสูรมายาก็โจมตีและทำร้ายมนุษย์เช่นกัน มันก็เปิดใจกว้างและเข้าใจสิ่งที่นายหญิงของมันพูดได้ในที่สุด
แม้ว่ามนุษย์และอสูรมายาจะไม่ใช่ศัตรูตามธรรมชาติ แต่ก็ไม่เคยอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ มันเหมือนกับบ่วงที่ไม่มีสิ้นสุด อสูรมายามักจะทำร้ายมนุษย์ทุกครั้งเมื่อมันเห็นมนุษย์ และเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด มนุษย์เองก็ฆ่าอสูรมายาเช่นกัน ในทางกลับกันมนุษย์บางคนก็ล่าอสูรมายา บ้างก็ต้องการผลผลิตจากอสูรมายา บ้างก็ต้องการเอามันมาใช้งาน วัฏจักรการเข่นฆ่านี้หมุนเวียนไปไม่มีอย่างที่สิ้นสุด
ฉินอวี้โม่เป็นนายที่ดีสำหรับเหล่าอสูรมายา นางไม่เคยทำรุนแรงกับพวกมันและนางปฏิบัติกับพวกมันทุกตัวคล้ายเป็นคู่หูมากกว่าผู้รับใช้ ซึ่งนั่นจึงทำให้ม่อเสียให้การยอมรับในตัวฉินอวี้โม่ได้ในที่สุด
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของม่อเสีย นางเองก็รู้สึกได้ว่ากลิ่นอายของมันทรงพลังและแข็งแกร่งยิ่งกว่าอสูรมายาทุกตัวที่นางเคยพบเจอมา แต่แน่นอนว่านั่นไม่นับซิว
เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้ามาอีกไม่นานนักพื้นที่ถ้ำคับแคบก็แปรเปลี่ยนไป เวลานี้โถงถ้ำขนาดใหญ่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าพวกเขา
โถงถ้ำนี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ณ จุดกึ่งกลางของโถงถ้ำแห่งนี้มีอสูรมายารูปร่างคล้ายงูขนาดยักษ์นอนขดอยู่ เจ้างูยักษ์นี้มีลำตัวขนาดใหญ่และยาวมาก และเมื่อสังเกตดูจะเห็นว่ามันมีเก้าหัว อสูรมายาตัวนี้แผ่กลิ่นอายแห่งอสูรเทวะราชันอันทรงพลังและแสนเข้มข้นออกมา มันคือ–ราชาอสรพิษเก้าเศียร ในตอนนี้ราชางูยักษ์กำลังนอนหลับอยู่ และพื้นที่ด้านหลังของมันมีไข่ใบหนึ่งหนึ่งถูกวางเอาไว้บนแท่นหินอย่างเรียบร้อย ไข่ใบนั้นกำลังเรืองแสงออกมาอย่างต่อเนื่อง และมันก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ทั่วทั้งโถงถ้ำนี้สว่างไสว
ราชาอสรพิษเก้าเศียรนั้นมีส่วนศีรษะขนาดใหญ่และร่างกายขนาดมหึมา เมื่อมันนอนขดตัวอยู่เช่นนี้จึงทำให้มันดูราวกับเป็นภูเขาลูกหนึ่งเลยทีเดียว อสูรมายาสายพันธุ์อสรพิษตัวนี้ดูทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้เพียงแค่กลิ่นอายของมันก็ชวนให้หวาดหวั่นจนไม่อาจขยับตัวได้ แน่นอนว่าอสูรเทวะราชันธรรมดาๆ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันเลย ระดับความแข็งแกร่งของราชางูยักษ์ตัวนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอสูรเทวะราชันเก้าดารา ทว่าแม้ว่ามันจะมีนิสัยดุร้ายเจ้าอารมณ์แต่มันก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว ราชางูยักษ์นั้นรักความสงบ แต่ถ้าหากมีใครขวัญกล้ากวนใจมัน ไม่ว่าจะอสูรหรือมนุษย์ก็ไม่เคยมีผู้รอดชีวิต!
“นั่นไง ไข่ประหลาด”
คนผู้หนึ่งในกลุ่มนักล่าไข่สังเกตเห็นไข่ที่วางอยู่บนแท่นหินด้านหลังราชาอสรพิษเก้าเศียร ในทันทีที่ได้เห็นเขาก็อดไม่ได้ที่จะต้องอ้าปากค้าง คนผู้นี้คือคนของเหล่ยเจิ้นเทียนแห่งตระกูลเหล่ย
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงเองก็เห็นไข่แล้วเช่นกัน สองผู้อาวุโสแห่งสองตระกูลใหญ่จ้องไข่เรืองแสงด้วยแววตาเป็นประกายราวกับจะมีเปลวเพลิงปรากฏขึ้นในดวงตาของสอง
“ทุกท่าน ในเมื่อพวกเราพบไข่นั่นแล้ว ข้าว่าตอนนี้ก็คงจะถึงเวลาที่เราต้องคิดเรื่องการแบ่งปันผลประโยชน์ภายหลังจากที่เราร่วมมือกันชิงไข่นั่นมา”
ชวี่เซียวผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรในนครไป๋อวิ๋นผู้ซึ่งปิดปากเงียบมาตลอดเริ่มเปิดประเด็นขึ้น แม้ปากจะกล่าวถึงไข่ประหลาด ทว่าดวงตาของเขากลับไม่ได้มองดูไข่ใบที่ว่านั้นเลย แววตาของบุรุษวัยกลางคนแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรทอประกายระยิบระยับ เขากำลังจ้องมองราชาอสรพิษเก้าเศียรที่กำลังนอนหลับอยู่
“เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ ข้าเองก็ไม่ได้สนใจไข่ใบนั้น เหตุใดทุกท่านไม่ลองช่วยข้าสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรนั่นเล่า หากสยบอสูรเทวะราชันน่ากลัวตัวนี้ลงได้ ก็จะได้ไข้ประหลาดใบนั้นมาอย่างง่ายดาย ข้าได้ราชาอสรพิษแล้ว เรื่องไข่ข้าจะไม่ยุ่ง มันจะเป็นของพวกท่านในทันที”
ชวี่เซียวกล่าวถึงความต้องการของตัวเองออกไป ไข่ใบนั้นจริงอยู่ที่มันน่าจะเป็นไข่ของอสูรเทวะราชันที่ยอดเยี่ยม แต่ทว่าเมื่อฟักออกมาแล้ว มันก็ยังเป็นเพียงลูกอสูรมายาที่ยังต้องได้รับการฝึกฝน ในอีกทางหนึ่งถ้าหากเขาสามารถสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรที่อยู่ตรงหน้าได้ นั่นเท่ากับว่าเขาจะได้อสูรเทวะราชันเจ็ดดาราตัวเป็นๆ มาช่วยในการต่อสู้ ไม่ต้องเสียทั้งเวลาและทรัพยากร เช่นนั้นแล้วทางเลือกอย่างหลังจะไม่คุ้มค่ามากกว่าหรอกหรือ
ผู้ใดต้องการไข่ก็เอาไป แต่เขาขอหยิบคว้าเอาสิ่งที่คุ้มค่ามากที่สุดก่อนก็แล้วกัน
“ฮ่าฮ่า ความคิดของผู้อาวุโสชวี่ถือว่าไม่เลว แต่ข้าอยากทราบว่าหากเราช่วยท่านในเรื่องนี้ ท่านจะเสนอสิ่งใดเพื่อตอบแทนพวกเรา?”
เหล่ยเจิ้นเทียนยิ้ม ชวี่เซียวเป็นผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์ หากช่วยเขาสยบราชาอสรพิษเก้าเศียรครั้งนี้ประโยชน์ที่จะได้รับจากอีกฝ่ายก็คงจะไม่ใช่น้อยๆ แน่ ยิ่งกว่านั้นยังได้ผูกสายสัมพันธ์กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอีกด้วย
“ข้าสัญญาว่า ขอเพียงพวกท่านช่วยข้าสยบอสรพิษเก้าเศียร ข้าจะช่วยทุกตระกูลสยบอสูรมายาตระกูลละสองตัว แน่นอนว่าพวกท่านสามารถพาอสูรมายาที่ต้องการให้ข้าสยบและมาหาข้าได้ทุกเวลา”
ชวี่เซียวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะเปิดปากยื่นข้อเสนอ
การช่วยเหลือเหล่าตระกูลใหญ่ในการสยบอสูรมายาสองตัวไม่ใช่เรื่องใหญ่โตแม้แต่น้อย ขอเพียงแค่เขาสามารถครอบครองอสรพิษเก้าเศียรได้ แม้ว่าประธานสมาคมจะทราบเรื่องนี้ เขาก็คงจะกล่าวชมเชยชวี่เซียวผู้นี้อยู่ดี
ชวี่เซียวคิดว่าไม่มีเหตุผลที่ยอดฝีมือทั้งหลายจะปฏิเสธขอเสนอของเขา ผู้อาวุโสแห่งสมาคมสัตว์อสูรจึงกล้าออกปากยื่นข้อเสนอเช่นนี้ออกไป
โอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงหันมามองหน้ากัน ในตอนที่เขากำลังจะกล่าวบางอย่าง ฉินอวี้โม่ก็หันไปพูดกับฉินอีเฟิง
“ท่านลุงเจ็ด อย่าไปให้สัญญากับเขา”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ฉินอีเฟิงก็หยุดวาจาไว้ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินไม่ได้ไถ่ถามหาเหตุผลกับผู้เป็นหลานสาว เขาเชื่อว่าหากนางออกปากเองเช่นนี้ก็ย่อมแสดงว่านางจะต้องมีเหตุผลที่ดี แท้จริงแล้ว เดิมทีเขาเองก็ต้องการจะกล่าวคำคัดค้านคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรอยู่แล้ว และในเมื่อฉินอวี้โม่ออกปากไปแล้วเช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก
“ท่านลุงสามก็อย่าได้รับข้อเสนอนั่น”
โอวหยางชิงเฟิงรู้ดีว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร เขาจึงขอให้ลุงสามของเขาทำตามคำแนะนำของฉินอวี้โม่อย่างไม่ลังเล
โอวหยางหมิงยิ้มรับ เดิมทีเขาก็ไม่ใช่ผู้ที่จะหลงกับผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้อยู่แล้ว อีกทั้งข้อเสนอของอีกฝ่ายก็ยังไม่จูงใจเขามากพอ ยิ่งหลานชายของเขาเองก็ยังกล่าวคัดค้านเช่นนี้แล้วต่อให้อีกฝ่ายเสนอว่าจะสยบอสูรให้อีกสิบตัวเขาก็ไม่สนใจ
ต้องบอกเลยว่าความคิดของโอวหยางหมิงและฉินอีเฟิงนั้นคล้ายคลึงกัน อีกทั้งพวกเขาก็เชื่อมั่นในตัวหลานของตนเองจึงไม่คิดถามสิ่งใดให้มากความ
“ฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสชวี่เซียวข้อเสนอของท่านก็ไม่เลว ให้อสูรพวกเราถึงสองตัวเพื่อแลกกับหนึ่งตัว แต่น่าเสียดายที่ตระกูลเหล่ยของเราคงจะรับน้ำใจของท่านไม่ได้”
เหล่ยเจิ้นเทียนยิ้มและเอ่ยปฏิเสธเป็นคนแรก
เหล่ยเจิ้นเทียนไม่ได้โง่ หลังจากได้ฟังข้อเสนอเอาแต่ได้ของชวี่เซียวแล้วเขาก็เบะปากอย่างนึกรังเกียจ การที่สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรหรือชวี่เซียวผู้นั้นได้อสูรมายาระดับเทวะราชันเจ็ดดาราไปครอบครองจะทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นมาไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของขุมกำลังต่างๆ ภายในนครไป๋อวิ๋นก็มีโครงสร้างที่ซับซ้อน เขาไม่ต้องการให้สมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรแข็งแกร่งขึ้นมาจนเกินหน้าเกินตา นั่นจะไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเหล่ยที่มีความทะเยอทะยานสูง
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่ยเจิ้นเทียน ชวี่เซียวก็ขมวดคิ้ว
“ผู้อาวุโสเหล่ยต้องคิดให้ดีๆ หากช่วยข้าสยบมันตระกูลของท่านจะได้อสูรมายาถึงสองตัว แต่หากไม่ยอมช่วยข้าท่านจะไม่ได้อะไรเลย ถ้าผู้นำตระกูลรู้ถึงการตัดสินใจครั้งนี้ของท่าน ข้าคิดว่าเขาคงจะไม่พอใจเป็นแน่!”
ความหมายของชวี่เซียวนั่นชัดเจนมาก ถ้าอีกฝ่ายไม่ช่วยเขาสยบอสรพิษเก้าเศียร ไม่เพียงแต่จะไม่ได้อสูรมายาสองตัวเท่านั้น แต่จะส่งผลต่อความสัมพันธ์กับสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วย ในตอนนี้เขาได้แต่พูดอ้อมๆ เป็นการข่มขู่อีกฝ่าย หากว่าวันนี้เหล่ยเจิ้นเทียนปฏิเสธเขาก็จะนำเรื่องนี้ไปรายงานประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรให้พิจารณาความสัมพันธ์กับตระกูลเหล่ยใหม่อีกครั้ง
เหล่ยเจิ้นเทียนขมวดคิ้วแน่น ตัวเขาเองเกลียดการข่มขู่เป็นที่สุด เดิมทีหากฝ่ายนั้นเพิ่มข้อเสนอที่มากกว่านี้เขาก็อาจจะยอมรับพิจารณาก็ได้
ทว่าเมื่อได้ฟังวาจาข่มขู่ของชวี่เซียวแล้ว ผู้อาวุโสอายุน้อยแห่งตระกูลเหล่ยก็สลัดความคิดนั้นทิ้งทันที วันนี้ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมให้ความร่วมมือกับคนจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเป็นแน่
“ถ้าเช่นนั้นก็เชิญผู้อาวุโสชวี่นำเรื่องนี้กลับไปรายงานผู้นำตระกูลเหล่ยได้เลย ข้าเชื่อว่าท่านผู้นำตระกูลคงจะไม่สนใจข้อเสนอแย่ๆ เช่นนี้แน่!”
หลังจากนั้นเหล่ยเจิ้นเทียนก็ไม่สนใจชวี่เซียวอีก เขาหันไปจ้องมองไข่ที่เป็นเป้าหมายแทน
เดิมทีฉินอีเฟิงและโอวหยางหลิงก็ไม่คิดที่จะตอบตกลงกับชวี่เซียวอยู่แล้ว ในตอนนี้ยิ่งมาได้ยินวาจาข่มขู่ของอีกฝ่าย พวกเขาก็ยิ่งไม่อยากจะให้ความสำคัญกับคนผู้นี้ เพียงแค่ไม่ช่วยสยบอสรพิษเก้าเศียรก็กล่าววาจาข่มขู่ในทันที ชวี่เซียวผู้นี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“ผู้อาวุโสฉิน ผู้อาวุโสโอวหยาง ผู้อาวุโสหลิน พวกท่านจะว่าอย่างไร?”
ชวี่เซียวกวาดสายตามองตัวแทนตระกูลใหญ่อีกสามคนที่เหลือ แม้ว่าตระกูลเหล่ยจะไม่ช่วย แต่ขอเพียงอีกสามตระกูลยอมตกลงช่วย เขาก็เชื่อว่าเขายังสามารถสยบอสรพิษเก้าเศียรและเอามันมาครอบครองได้
“ฮ่าฮ่า ต้องขออภัยสมาคมทหารรับจ้างของเรามาที่นี่ก็เพื่อไข่เท่านั้น เรื่องอื่นเราไม่สนใจ”
หลินซวงกล่าวปฏิเสธออกไปตรงๆ อย่างไม่เห็นแก่หน้าอีกฝ่าย ตัวเขาเองก็ไม่พอใจชวี่เซียว ดูจากการกระทำเมื่อครู่แล้ว เขาคิดว่าคนผู้นี้อวดดีเกินไป
ฉินอีเฟิงและโอวหยางหมิงมองหน้ากัน ก่อนที่โอวหยางหมิงจะกล่าวขึ้น “เนื่องจากทางตระกูลเหล่ยและสมาคมทหารรับจ้างไม่เข้าร่วม ข้าและน้องฉิน พวกเราเองก็ขอปฏิเสธ!”
.
.
.
ตอนที่ 57 คำเย้ยหยันของตระกูลเหล่ย
“ท่านลุงเจ็ด พวกท่านมาที่นี่เพราะไข่ประหลาดบนผาทรนงใช่หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามออกไปตรง ๆ ในน้ำเสียงหวานใสนั้นไม่มีความประหลาดใจอยู่เลยแม้แต่น้อย ผู้ใดก็ล้วนทราบดีว่าหากไม่มีไข่ประหลาดดังกล่าวก็คงไม่มีฝูงชนมายืนรวมตัวกันมากถึงเพียงนี้
ฉินอีเฟิงพยักหน้า เขาคิดว่าไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง
ก่อนหน้านี้พวกเขาได้รับรู้ข่าวว่ามีไข่ประหลาดอยู่บนผาทรนงภายในป่าแสงจันทร์ ซึ่งถ้าหากคาดการณ์ไม่ผิดไข่นั้นน่าจะเป็นไข่ของอสูรเทวะราชัน แน่นอนว่าอสูรระดับนี้ย่อมเป็นที่หมายปองของทุกขุมกำลัง
ว่ากันว่าหากลูกของอสูรมายาระดับเทวะราชันถูกเลี้ยงดูอย่างดีตั้งแต่แรกเกิด ศักยภาพและความแข็งแกร่งของมันหลังจากเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ก็จะน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นแล้วเหล่าขุมกำลังน้อยใหญ่ทั้งหลายในนครไป๋อวิ๋นจึงเร่งรีบมุ่งหน้ามาที่นี่เพื่อจะดูให้เห็นกับตา
“ทุกคนในที่นี้ต่างก็ทราบกันดีว่าไข่อยู่ลึกเข้าไปในถ้ำเหนือหน้าผา ภายในถ้ำนั้นมีราชาอสรพิษเก้าเศียรซึ่งเป็นอสูรมายาที่น่าหวาดหวั่น ที่สำคัญพื้นที่ภายในถ้ำนั้นก็นับว่าค่อนข้างคับแคบ อีกทั้งรอบ ๆ บริเวณด้านนอกถ้ำก็ยังมีอสูรมายาระดับสูงมากมายที่อาจจะเข้าไปก่อกวนได้ ข้าขอแนะนำว่าให้ทุกท่านแบ่งกำลังคนเพื่อส่งเข้าไป แต่ละขุมกำลังให้ส่งคนเข้าไปเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่เหลือให้รออยู่ด้านนอก ส่วนเรื่องไข่ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของคนในแต่ละขุมกำลังที่ส่งเข้าไป ใครสามารถชิงมันมาได้ก็ได้ไปครอง ทุกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร ?”
หลินซวงผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างประกาศข้อเสนอแนะต่อฝูงชน
การที่ยอดฝีมือทั้งหลายบุกเข้าไปในถ้ำเหนือหน้าผานั้นกันหมดโดยไม่มีผู้ใดคอยเฝ้าคุ้มกันอยู่ด้านนอกเป็นเรื่องอันตรายเพราะถ้ำนั้นคับแคบมาก ถ้าหากมีอสูรระดับสูงตัวอื่น ๆ บุกตามเข้าไปด้วย ความแออัดจะเป็นจุดบอดทำให้รับมือกับอสูรมายาในถ้ำได้ยาก โอกาสจะหลบหนีก็จะมีน้อย และสุดท้ายจะทำให้ทุกคนในถ้ำนั้นตกที่นั่งลำบาก
“ผู้อาวุโสหลินกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พวกเราตระกูลฉินไม่มีความเห็นอื่น”
ฉินอีเฟิงเป็นผู้แรกที่กล่าวสนับสนุนแผนการของหลินซวง การแบ่งคนเข้าไปถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะคนที่อยู่ข้างนอกก็ยังมีโอกาสสังหารอสูรมายาที่จะเข้ามาก่อกวนและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้
“ตระกูลโอวหยางก็ไม่มีปัญหาเช่นกัน”
โอวหยางหมิงพยักหน้า เขาไม่มีปัญหากับข้อเสนอนี้
ทางด้านสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรนั้นส่งชวี่เซียวมาคนเดียว ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว ในเวลานี้เหลือเพียงตระกูลเหล่ยที่ยังไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา
ตัวแทนของตระกูลเหล่ยในครานี้คือเหล่ยเจิ้นเทียนซึ่งเป็นผู้อาวุโสหกแห่งตระกูล เขาเป็นตัวแทนและเป็นผู้นำของเหล่ายอดฝีมือจากตระกูลเหล่ยในวันนี้ แม้จะเป็นระดับผู้อาวุโสแต่เหล่ยเจิ้นเทียนนั้นยังมีอายุไม่มากนัก ที่สำคัญผู้อาวุโสหกผู้นี้เป็นผู้มีนิสัยหยิ่งยโส เขามักจะเชิดหน้าวางตัวสูงส่งอยู่ตลอดเวลา และเมื่อได้เห็นคนผู้นี้อยู่ที่นี่ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ค่อยดีนัก เพราะพวกเขาต่างก็คิดเห็นตรงกันว่าการที่ตระกูลเหล่ยส่งเหล่ยเจิ้นเทียนมาน่าจะทำให้งานนี้เกิดความยุ่งยากไม่น้อย
“พวกเราตระกูลเหล่ยมีคำถาม ไม่ทราบว่าข้าขอถามได้หรือไม่?”
คุณชายสามแห่งตระกูลเหล่ยหนึ่งในผู้เข้าร่วมภารกิจในครั้งนี้เหลือบมองฉินอวี้โม่ปราดหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูด ภายในน้ำเสียงของเขาแฝงแววแห่งความกระแนะกระแหนอยู่หลายส่วน
“โอ้ ? คุณชายสาม เชิญถามมาได้”
หลินซวงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดูเหมือนเขาจะไม่ประหลาดใจเลยที่ตระกูลเหล่ยจะยังไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของเขาในทันที อย่างไรก็ตามแม้ว่าน้ำเสียงจะปกติแต่ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าคิ้วของผู้อาวุโสแห่งสมาคมทหารรับจ้างขมวดเข้าหากันเล็กน้อยราวกับว่าเขาไม่ใคร่ชอบใจคุณชายสามจากตระกูลเหล่ยผู้นี้นัก
“ข้าแค่อยากจะถามว่าตระกูลฉินจะส่งผู้ใดเข้าไปในถ้ำ ?”
“คุณชายสาม เรื่องที่ตระกูลฉินของเราจะส่งใครไปนั้นเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าหรือ ?”
ฉินอีเฟิงขมวดคิ้วมุ่นและเอ่ยถามออกไปอย่างไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินวาจาแปลกประหลาดของคุณชายจากตระกูลฝ่ายตรงข้าม
ภายในนครไป๋อวิ๋น ตระกูลฉินและตระกูลโอวหยางถือเป็นมิตรที่ดี แต่กับตระกูลเหล่ยนั้นเรียกได้ว่าไม่กินเส้นกันกับอีกสองตระกูล แม้ว่าจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางที่รุนแรง แต่ก็มักจะมีการกระทบกระทั่งเล็กน้อย ๆ เกิดขึ้นเป็นประจำ
โดยเฉพาะตระกูลเหล่ยกับตระกูลฉิน ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายชั่วอายุคน สองตระกูลนี้แม้ไม่ใช่ศัตรูอย่างออกนอกหน้าแต่ก็นับว่าไม่ถูกกันเลย
“เกี่ยวข้องแน่นอน เพราะพวกเราไม่อยากจะร่วมมือกับกลุ่มคนฝีมืออ่อนหัด”
คุณชายสามแห่งตระกูลเหล่ยหันไปมองฉินอวี้โม่และกล่าววาจาระคายหูด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันดังลั่น นี่ถือเป็นการดูหมิ่นกันซึ่งๆ หน้าและโจ่งแจ้ง
ไม่ใช่เพียงแต่ตระกูลเหล่ยจะไม่ถูกกับตระกูลฉินอย่างรุนแรงเท่านั้น เหล่ยเจิ้นเทียนและคุณชายสามก็ยังไม่ชอบตระกูลฉินเป็นการส่วนตัวด้วย และยิ่งไม่ถูกกันเขายิ่งหาช่องทางในการเล่นงานและแน่นอนว่าข่าวคราวของฝั่งตรงข้ามนั้น พวกเขาตระกูลเหล่ยก็ได้สืบเสาะมาเป็นอย่างดี ดังนั้นพวกเขาจึงรู้จักนามของคุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งหลิงซีผู้เป็นขยะไร้ค่า และยิ่งเมื่อแอบได้ยินฉินอวี้โม่แนะนำตัวไปก่อนหน้านี้ พวกเขาจึงคาดเดาว่านางจะต้องเข้าร่วมเป็นแน่…..ตระกูลฉินจะให้สตรีไร้ค่าที่เพิ่งจะฝึกพลังยุทธ์ได้จากเมืองเล็ก ๆ ไกลปืนเที่ยง มาร่วมงานกับพวกเขา แน่นอนว่าตระกูลเหล่ยไม่สามารถยอมรับได้ !
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉินอีเฟิงก็ทำหน้ายุ่งทันที เขาพอจะเข้าใจจุดประสงค์ของตระกูลเหล่ยบ้างแล้ว
โอวหยางชิงเฟิงเองก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน เขาก้าวออกมาและต้องการจะพูดบางอย่าง
ทว่าฉินอวี้โม่กลับรีบจับแขนของเขาไว้เป็นเชิงห้าม และเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ข้าเองก็ไม่อยากจะทำให้เกิดปัญหาขึ้น ข้าจึงขอเสนอว่าผู้ที่มีระดับพลังไม่ถึงขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราให้รออยู่ด้านนอก แต่แน่นอนว่าถ้าเป็นผู้มีระดับไม่ถึงขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแต่มีอสูรระดับเทวะราชันอยู่ด้วยก็ถือว่าเข้าไปได้”
ฉินอวี้โม่ใช้พลังมายาตรวจสอบแล้ว และพบว่าคุณชายสามจากตระกูลเหล่ยผู้นี้เป็นเพียงจอมยุทธ์ในขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราเท่านั้น และอสูรมายาของเขาแม้ว่านางจะยังดูไม่ชัด แต่ก็น่าจะอยู่ระดับเทวะ เนื่องจากอีกฝ่ายคิดจะเหยียดหยามนางก่อน ดังนั้นฉินอวี้โม่จึงไม่รั้งรอหรือยั้งคิดที่จะเหยียดหยามกลับไปบ้าง
“ข้าเห็นด้วย !”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็รีบกล่าวเสริมขึ้นมาทันที เขารู้ถึงระดับพลังของฉินอวี้โม่ดีและข้อเสนอกับเงื่อนไขของนางก็ถูกใจเขามาก
ใบหน้าของคุณชายสามเปลี่ยนไป เขาเป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดารา ส่วนอสูรมายาของเขาก็อยู่เพียงระดับเทวะห้าดารา หากทำตามข้อเสนอของสตรีไร้ค่าจากตระกูลฝั่งตรงข้าม ตัวเขาเองก็ถือว่าเข้าไปไม่ได้
เมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันและท่าทางอันแสนมั่นใจของฉินอวี้โม่แล้ว คุณชายสามก็รู้สึกโกรธเคืองเป็นอย่างมาก
แต่ในเมื่อเขาเป็นผู้เปิดประเด็นนี้ขึ้นมาก่อน หากจะกลับวาจาถอนคำพูดตอนนี้ก็จะต้องเสียหน้าไม่น้อย ดังนั้นถ้าหากวันนี้เขาจะไม่ได้เข้าไปเขาก็ยอม ขอเพียงทำให้สตรีน่าชังผู้นั้นไม่ได้เข้าไปด้วย ! เพราะในสายตาเขา ฉินอวี้โม่ไม่มีทางเป็นจอมยุทธ์ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราไปได้เป็นแน่
“ฮ่า ๆ ข้อเสนอของแม่นางฉินอวี้โม่สมเหตุผลจริง ๆ ราชาอสรพิษเก้าเศียรคืออสูรเทวะราชันเจ็ดดารา หากใครฝีมือไม่ถึงขั้นก็ไม่ควรเข้าไป”
คุณชายสามยังคงหัวเราะออกมา เขาหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะกล่าวต่อ “ตระกูลเหล่ยของเราไม่มีปัญหากับเรื่องนี้”
เมื่อทุกตระกูลไม่มีปัญหาใด ๆ แล้ว พวกเขาก็เริ่มทำการเลือกตัวแทนที่จะเข้าไปในถ้ำ
แน่นอนว่าระดับผู้อาวุโสของทุกตระกูลได้เข้าไป ตัวแทนผู้อาวุโสจากสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเองก็ได้เข้าไป หลินซวงและตัวแทนจากสมาคมทหารรับจ้างนั้นมีเพียงสามคนที่ผ่านคุณสมบัติและได้เข้าไป ทว่าเมื่อปรึกษากันแล้วพวกเขาก็ตัดสินใจทิ้งจอมยุทธ์ระดับมายารัตนะเก้าดาราไว้ด้านนอกหนึ่งคน
ทางตระกูลโอวหยางนอกจากโอวหยางชิงเฟิง โอวหยางหมิง พวกเขายังมียอดฝีมือระดับมายารัตนะเก้าดาราอยู่อีกหนึ่งซึ่งมีนามว่าโอวหยางซวน
ทางตระกูลฉินนอกเหนือจากฉินอีเฟิงแล้วก็ยังมียอดฝีมือระดับมายารัตนะเก้าดาราอีกสองคน
คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มอายุย่างยี่สิบปีนามว่าฉินรั่วเฟย อีกผู้หนึ่งเป็นชายวัยกลางคนซึ่งหนึ่งในผู้คุ้มกันหลักของตระกูลฉินนามว่า ฉินขุย
“ฉินขุย เจ้ารออยู่ด้านนอก”
ฉินอีเฟิงหันไปกล่าวสั่งการฉินขุยก่อนจะมองไปยังฉินอวี้โม่
ตอนนี้ฉินอีเฟิงกำลังสงสัยเป็นอย่างมาก ดูภายนอกแล้วฉินอวี้โม่ดูไม่เหมือนกับจอมยุทธ์ระดับสูง แล้วเหตุใดเมื่อครู่นางจึงตัดสินใจกล่าวเงื่อนไขเช่นนั้นออกไปด้วยท่าทางที่มั่นใจนัก หากว่าฉินอวี้โม่มีระดับพลังไม่ถึงมายารัตนะเก้าดาราหรือไม่มีอสูรเทวะราชัน นางก็จะไม่ได้เข้าไป ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นผู้อาวุโสเจ็ดแห่งตระกูลฉินก็กลัวว่าหลานสาวจะได้รับอันตราย เขาจึงตัดสินใจให้ฉินขุยเฝ้าอยู่ด้านนอกเพื่อคุ้มกันนาง
“เสี่ยวอวี้โม่ ไว้ค่อยตามฉินขุยเข้าไปทีหลังนะ เขาจะคอยปกป้องเจ้าเอง”
ฉินอีเฟิงเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่และกล่าว
“ท่านลุงเจ็ด ใครบอกว่าข้าจะรออยู่ด้านนอก ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อน
“หรือว่าเจ้า…”
เมื่อได้ยินที่ฉินอวี้โม่กล่าว ฉินอีเฟิงก็ประหลาดใจไม่น้อย นี่หรือว่าเขามองพลาดสิ่งใดไป ?
“ท่านลุงดูนี่”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม สัญลักษณ์ของระดับพลังปรากฏบนฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่
คุณชายสามตระกูลเหล่ยที่เย้ยหยันผู้อื่นก่อนหน้านี้ก็ลอบมองคุณหนูสี่ตระกูลคู่แข่งเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เพราะเขามองเห็นดาวดวงใหญ่เก้าดวงปรากฏบนฝ่าเท้าของสตรีที่เขาคิดว่าอ่อนหัด บุรุษตระกูลเหล่ยเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว !
“มายารัตนะเก้าดารา !”
คุณชายสามตระกูลเหล่ยอุทานออกมาเสียงดังอย่างตกตะลึง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากเชื่อ
“ระดับมายารัตนะเก้าดารา เสี่ยวอวี้โม่อยู่ระดับมายารัตนะเก้าดาราจริง ๆ”
ฉินอีเฟิงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสียงดังด้วยความตื่นเต้น
เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าบุตรชายคนโตของฉินเทียนพี่ชายของฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์สูงส่งมากแล้ว ทว่าไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเหนือชั้นยิ่งกว่า อายุเพียงแค่สิบหกแต่กลับอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว ในดินแดนหวนหลิงพรสวรรค์ระดับนี้ถือว่าโดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าว “อา ดูเหมือนว่าจะมีคนบางคนต้องผิดหวังแล้วสินะ”
ฉินอวี้โม่ปรายตาตามองคุณชายสามตระกูลเหล่ยที่คิดจะเย้ยหยันนางก่อนหน้านี้ ‘หึ ! ริอ่านจะประมือกับข้าอย่างนั้นหรือ อย่างเจ้ายังอ่อนหัดนัก’
“เป็นไปได้อย่างไรกันที่เจ้าจะอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา”
คุณชายสามยังคงไม่อยากจะเชื่อ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นเพียงขยะไร้ค่าจากเมืองที่แสนห่างไกล ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่นางจะก้าวมาถึงระดับที่สูงเช่นนี้ แม้แต่ในนครไป๋อวิ๋น ผู้ที่ทะลวงเข้าถึงระดับมายารัตนะเก้าดาราตั้งแต่อายุเพียงสิบหกปีก็ยังแทบจะหาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เวลานี้บุรุษตระกูลเหล่ยจึงได้แต่สาปแช่งแหล่งข่าวที่บอกว่านางเป็นขยะไร้ค่า
“ฮ่า ๆ คุณชายเหล่ย เชิญท่านรออยู่ข้างนอกเพราะพวกเราไม่อยากจะทำงานร่วมกับคนฝีมืออ่อนหัด ไม่เอาไหน !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวเย้ยหยันบุรุษอ่อนหัดตระกูลเหล่ย อดีตนักฆ่าสาวจงใจหยิบยกประโยคเดียวกันกับที่คนผู้นี้เคยใช้เย้ยหยันนางออกมาใช้ ทว่าสาวงามมั่นใจเหลือเกินว่าความรู้สึกสะใจของนางยามเอ่ยคำนี้น่าจะมากกว่าอีกฝ่าย
“ดี ! ดี ! ดีมาก !”
ฉินอีเฟิงยิ้มกว้างอย่างชื่นมื่น หากท่านผู้นำตระกูลฉินทราบว่าฉินอวี้โม่มีพรสวรรค์สูงส่งถึงเพียงนี้ เขาคงจะมีความสุขยิ่งกว่าใคร
“เสี่ยวอวี้โม่เป็นสตรีที่วิเศษมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดชิงเฟิงถึงบอกว่าพวกเจ้าเป็นสหายที่ดี”
โอวหยางหมิงเองก็ยิ้มอย่างชอบใจเช่นกัน
เขาจับสัมผัสได้แต่แรกว่าฉินอวี้โม่น่าจะอยู่ขอบเขตมายารัตนะ ทว่าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเป็นมายารัตนะในขั้นดาราสูงสุดเช่นนี้
ขณะที่ทางด้านคุณชายสามตระกูลเหล่ยที่เหยียดหยามนางก่อนหน้านี้นั้นได้แต่ยืนหน้าชา ดวงตาร้อนผ่าว บุรุษตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวงรู้สึกราวกับถูกสตรีบ้านนอกตบหน้าอย่างจัง หากคนผู้นี้มีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ อนาคตของนางคงจะไร้ขีดจำกัดแน่
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับคำของผู้อาวุโสในตระกูลเงียบ ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด
ในตอนนี้คุณชายสามกัดฟันกรอด เขารู้สึกย่ำแย่เป็นอย่างมาก ตอนแรกเขาต้องการจะทำให้ตระกูลฉินต้องขายหน้า ไม่คิดเลยว่าการกระทำของเขาจะย้อนกลับเข้ามาหาตัวเอง เวลานี้เขารู้สึกเกลียดชังสตรีบ้านนอกนามว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นอย่างแท้จริง
“เหอะ ! การอยู่ข้างนอกอาจจะดีกว่าก็ได้ พวกไม่เก่งจริงที่เข้าไปข้างในก็คงเป็นได้เพียงอาหารของอสรพิษเท่านั้น !”
คุณชายสามตระกูลเหล่ยเอ่ยอย่างเย็นชา วาจาของเขาเต็มไปด้วยการเสียดสี
“ก็ยังดีกว่าบางคนที่ทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกเท่านั้น ไว้กลับออกมาข้าจะเล่าให้ฟังเองว่าอสรพิษที่อยู่ด้านในหน้าตาเป็นอย่างไร”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็นแล้วกล่าวคำเย้ยหยันอีกหนึ่งประโยคเป็นการส่งท้ายก่อนจะเลิกสนใจคุณชายน่ารำคาญผู้นี้โดยสิ้นเชิง
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เตรียมพร้อม พวกเขาจ้องมองไปยังปากทางเข้าถ้ำที่เป็นจุดหมาย การจะเข้าไปข้างในจะต้องบินขึ้นไปเท่านั้น
“ช้าก่อน ! เจ้าอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราเข้าไปได้ก็จริง แต่เหตุใดสาวน้อยผู้นี้ถึงจะเข้าไปด้วย ?”
เมื่อเห็นเสี่ยวโร่วเดินตามฉินอวี้โม่ไปติด ๆ และเตรียมจะเข้าไปในถ้ำอสรพิษด้วย คุณชายสามตระกูลเหล่ยผู้ดื้อด้านก็เอ่ยถามขึ้นมา
ฉินอวี้โม่คือยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราก็จริง แต่เขาพอจะมองออกว่าสาวน้อยยังไม่ทันโตผู้นั้นไม่ได้แข็งแกร่งถึงระดับนั้นแน่นอน เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดนางถึงสามารถเข้าไปได้
“คุณชายก็ลองถ่างตามองให้มันชัดขึ้นอีกนิดสิ คนอื่นจะได้ไม่คิดว่าเจ้าโง่งม”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มร้ายก่อนจะกล่าวต่อ “คุณชายไม่เห็นคนที่ติดตามเสี่ยวโร่วอยู่หรืออย่างไร ?”
หลังจากเสนอเงื่อนไขของตนไปในตอนต้น ฉินอวี้โม่ก็ให้ม่อเสียแสร้งทำตัวเป็นอสูรมายาของเสี่ยวโร่ว คุณชายสามตระกูลเหล่ยนั้นตาเซ่อจนไม่ได้สังเกต เขาจึงกล่าวคัดค้านไม่ให้เสี่ยวโร่วเข้าไปอย่างดื้อดึง และนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่อดรนทนไม่ได้จนต้องค่อนแขวะไปอีกหนึ่งประโยค
มีอสูรมายาระดับเทวะราชันเป็นผู้คุ้มกัน หากมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นก็น่าจะหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย ฉินอวี้โม่ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเสี่ยวโร่วมากนัก
เมื่อคุณชายสามสังเกตเห็นบุรุษชุดดำผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เสี่ยวโร่วเขาก็นิ่วหน้า
“อสูรมายาของเสี่ยวโร่วอยู่ระดับเทวะราชัน ไม่เห็นหรือว่ามันอยู่ในร่างมนุษย์ ?”
ทันทีที่กล่าวจบฉินอวี้โม่ก็บอกให้ม่อเสียเปลี่ยนร่างเป็นหมี ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้ง
หลังจากนั้น นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูก็ตัดสินใจแล้วว่าจะละทิ้งความสนใจทั้งปวงจากคุณชายน่าตายแห่งตระกูลฝั่งตรงข้ามให้หมดสิ้น
ในตอนนี้เหล่ายอดฝีมือที่รับหน้าเข้าไปภายในถ้ำอสรพิษเตรียมตัวกันจนพร้อมสมบูรณ์แล้ว ทุกคนเริ่มบินตรงขึ้นไปยังหน้าผาสูง ณ ปากทางเข้าถ้ำ !
.
.
.
ตอนที่ 56 ท่านรู้จักข้า ?
ณ ผาทรนง จุดกึ่งกลางแห่งป่าแสงจันทร์
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิง พร้อมกับเหล่าคณะขุดค้นแร่หายากจากนครไป๋อวิ๋นยืนดูผู้คนจำนวนมากมายที่รวมตัวกันอยู่ไม่ไกลจากหน้าผากว้าง ความจ้อกแจ้กจอแจของฝูงชนมหาศาลขับไล่ความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ไปจนหมดสิ้น
หลังจากได้ฟังเรื่องราวของไข่ประหลาด ฉินอวี้โม่ก็เกิดความสนใจเป็นอย่างมาก กู่เยว่หลิงเองก็อยากจะมาดูสถานการณ์ที่ผาทรนงให้เห็นกับตาตัวเองเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้น พวกเขาทั้งหมดก็ร่วมเดินทางมาด้วยกัน และถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นในระหว่างทาง ทั้งหมดก็จะได้ช่วยกันรับมือได้
ผาทรนงตั้งอยู่ในบริเวณใจกลางของป่าแสงจันทร์ ณ จุดนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของอสูรมายาระดับสูงจำนวนมากและหลากหลายชนิดตั้งแต่ระดับศักดิ์สิทธิ์ดาราสูง ๆ เรื่อยไปจนถึงระดับเทวะเก้าดารา นอกจากนี้พวกเขายังได้กลิ่นอายของอสูรเทวะราชันอันเข้มข้นอยู่ในบริเวณนี้ด้วย
บนหน้าผาทรนงนั้นมีอสูรเทวะราชาระดับเจ็ดดาราอาศัยอยู่ มันคือ–ราชาอสรพิษเก้าเศียร
ส่วนไข่ประหลาดที่กู่เยว่หลิงกล่าวก็อยู่ภายในรังของราชาอสรพิษเก้าเศียร
ทว่าราชาอสรพิษเก้าเศียรนั้นเป็นอสูรมายาที่ทรงพลังและดุร้ายมากเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้าไปใกล้ตัวมันหรือแม้แต่รังใหญ่ของมัน ดังนั้นเรื่องไข่ประหลาดที่เล่าลือกันจึงยังเป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น เพราะในเวลานี้ ผู้คนทั้งหมดที่มารวมตัวกันที่นี่ก็ยังไม่มีใครได้เข้าไปเห็นด้วยตาว่าแท้จริงแล้วมันมีลักษณะเช่นไร
“ดูเหมือนว่าจะมีคนจากนครไป๋อวิ๋นมาที่นี่ด้วย”
เมื่อเห็นคนจำนวนมากมารวมตัวกัน และในคนกลุ่มใหญ่เหล่านั้นยังมีบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตา กู่เยว่หลิงก็เอ่ยเรื่องนี้ขึ้น
ในฐานะที่เป็นหลานสาวของประธานสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น แน่นอนว่านางจะต้องรู้จักผู้คนจำนวนไม่น้อย
ผู้คนมากหน้าหลายตาที่มาที่นี่ กู่เยว่หลิงจำได้ว่ามีหลายคนมาจากขุมกำลังใหญ่ในนครไป๋อวิ๋น
และในบรรดาคนมากมายเหล่านั้นผู้ที่นางพอจะบ่งบอกตัวตนได้นั้นได้แก่ ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง–โอวหยางหมิง ผู้อาวุโสหกแห่งตระกูลเหล่ย–เหล่ยเจิ้นเทียน ผู้อาวุโสสี่แห่งตระกูลหลินและเป็นตัวแทนจากสมาคมทหารรับจ้าง–หลินซวง และ ชวี่เซียว–ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูร และอีกคนคือคนที่มีแซ่เดียวกันกับฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสเจ็ดของตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋น–ฉินอีเฟิง
“อะไรกัน ลุงสามก็มาด้วยรึ ?”
เมื่อเห็นโอวหยางหมิง โอวหยางชิงเฟิงก็ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งตามสัญชาตญาณราวกับเขาต้องการจะซ่อนตัวเพราะกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายพบเห็น
แม้ว่าโอวหยางหมิงจะเป็นเพียงผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง ทว่าความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่ด้อยกว่าผู้อาวุโสที่หนึ่งและสองมากนัก ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีความสุภาพอ่อนโยน ทว่าในขณะเดียวกันก็เป็นคนเด็ดขาด เมื่อตัดสินใจเรื่องใดแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในบรรดาผู้อาวุโสในตระกูล โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกไม่ชอบใจโอวหยางหมิงมากเป็นอันดับต้น ๆ
ฉินอวี้โม่จับตามองฉินอีเฟิงผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินด้วยความรู้สึกแสนซับซ้อน ในความทรงจำของคุณหนูสี่คนเดิมนั้น นางไม่เคยทราบเลยว่าในนครไป๋อวิ๋นก็มีตระกูลฉินอยู่ด้วย ! ซึ่งนั่นก็ทำให้เกิดข้อสงสัยบางอย่างขึ้นในใจฉินอวี้โม่… เวลานี้นางอย่ากรู้เหลือเกินว่า ตระกูลฉินแห่งนครไป๋อวิ๋นจะมีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับหรือไม่ ?!
“ชิงเฟิงก้าวออกมา เจ้าไม่สามารถปกปิดกลิ่นอายของตนเองต่อหน้าข้าได้ !”
จู่ ๆ โอวหยางหมิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างฉับพลันพร้อมกันนั้นเขาก็หันมามองคณะเดินทางของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสใหญ่แห่งตระกูลโอวหยางจ้องมองโอวหยางชิงเฟิงนิ่งนาน
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โอวหยางชิงเฟิงก็โบกมือแล้วก้าวออกมาด้านหน้าเล็กน้อย เขารู้ดีว่าคงไม่สามารถหลบซ่อนตัวต่อหน้าคนผู้นี้ได้
“ท่านลุงสาม ท่านก็มาด้วยรึ ?”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแหยและกล่าวทักทายโอวหยางหมิง ทว่าสายตาของบุรุษหนุ่มหน้าใสผู้มาจากตระกูลยิ่งใหญ่กลับดูหดหู่หม่นหมองอย่างเห็นได้ชัด
“เจ้าตัวดี ข้าไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดถึงส่งคนออกตามหาเจ้าเท่าไหร่ก็ไม่เคยพบ ที่แท้ เจ้าก็มาอาศัยหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าแสงจันทร์นี่เอง”
โอวหยางหมิงที่ทำหน้าเคร่งขรึมในคราแรกเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงเมื่อได้สัมผัสและเข้าใกล้ตัวหลานชาย เขาลูบไหล่ของโอวหยางชิงเฟิง ดูเหมือนบุรุษอาวุโสจะมีความสุขที่ได้เห็นหลานชายของเขาอีกครั้ง
“ชิงเฟิง หากข้าเสร็จธุระที่นี่แล้ว เจ้าจะกลับไปพร้อมกับข้าดีรึไม่ ?”
โอวหยางหมิงยิ้มให้โอวหยางชิงเฟิงอย่างอ่อนโยนพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าไม่อยากกลับ”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะเพราะเขาไม่อยากจะกลับไปจริง ๆ
“ไม่ต้องห่วง ท่านปู่ของเจ้าไม่โกรธแล้วล่ะ เวลานี้เขาเสียใจมากที่บีบบังคับเจ้าในตอนนั้น ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว ขอเพียงเจ้ายอมกลับไป เขาจะไม่บีบบังคับอะไรเจ้าอีก”
โอวหยางหมิงยิ้ม เขารู้ดีว่าโอวหยางชิงเฟิงกำลังกังวลเรื่องนี้อยู่
“ท่านปู่พูดแบบนั้นหรือ ? ท่านลุงสาม นั่นเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของโอวหยางหมิง โอวหยางชิงเฟิงก็ดูสดใสขึ้นในทันที เขากล่าวถามผู้อาวุโสหมิงด้วยรอยยิ้ม
“เด็กโง่ ลุงสามคนนี้จะโกหกเจ้าทำไมกัน ปู่ของเจ้าบอกว่าเขารีบร้อนเองโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเจ้า อย่างไรเจ้าก็เป็นหลานชายเขา เขาควรจะคำนึงถึงความรู้สึกของเจ้าให้มาก”
โอวหยางหมิงมองดูโอวหยางชิงเฟิงและยิ้มอย่างมีความสุข การจากมาถึงห้าปีของโอวหยางชิงเฟิงไม่เสียเปล่าเลยจริง ๆ ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้โอวหยางหมิงมองออกและรับรู้เป็นอย่างดี หากหลานชายผู้นี้กลับไปยังตระกูลในตอนนี้ ท่านผู้นำตระกูลจะต้องดีใจมากแน่
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มตอบ เขารู้ดีว่าท่านลุงสามผู้นี้ไม่ใช่ผู้ชอบกล่าวคำพร่ำเพรื่อ ตระกูลโอวหยางมีเกียรติและศักดิ์ศรี พวกเขาไม่ชอบโกหกผู้ใด
“ตอนนี้เห็นทีว่าข้าคงยังกลับไม่ได้ ข้าสัญญากับสหายทั้งสองของข้าว่าจะพาพวกเขาเที่ยวชมป่าแสงจันทร์ ถ้าพวกเขาไม่ออกไป ข้าก็ยังกลับไปไม่ได้”
เมื่อคิดถึงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิงก็ส่ายศีรษะ
“สหายของเจ้า ?”
โอวหยางหมิงประหลาดใจเล็กน้อย หากหลานชายของเขายอมรับผู้ใดเป็นสหาย นั่นแสดงว่าคนผู้นั้นจะต้องมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาแน่
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว มาทางนี้หน่อย ข้าอยากจะแนะนำพวกเจ้ากับท่านลุงของข้า”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มกว้างก่อนจะร้องเรียกฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว ‘การทำความรู้จักกันไว้ถือเป็นเรื่องดี หากลุงสามของเขาให้การยอมรับฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็คงจะดีไม่น้อย’….คุณชายตระกูลใหญ่ผู้หนีออกจากบ้านคิดอย่างมีความสุข
ด้วยเสียงเรียกนั้น ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงเดินเข้าไปอย่างไม่ลังเล
“ลุงสามนี่คือฉินอวี้โม่ นางเป็นเพื่อนที่ดีของข้า และนี่คือสาวใช้ของนางนามว่าเสี่ยวโร่ว เสี่ยวโร่วก็เป็นเพื่อนที่ดีของข้าเช่นกัน”
“อวี้โม่ เสี่ยวโร่ว นี่คือท่านลุงสามของข้า ผู้อาวุโสสามแห่งตระกูลโอวหยาง”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วคารวะโอวหยางหมิงพลางกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม “ยินดีที่ได้พบท่านผู้อาวุโสสามเจ้าค่ะ”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น เรียกข้าลุงสามก็พอแล้ว”
โอวหยางหมิงไม่เคร่งครัดพิธีรีตอง เขาเป็นบุรุษอาวุโสผู้เข้าถึงได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้มองดูสตรีน้อยทั้งสองตรงหน้าอย่างชัดเจน โอวหยางหมิงก็ตกใจไม่น้อย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดหลานชายของเขาจึงกล่าวว่าทั้งสองคนเป็นสหายที่ดี… พวกนางนั้นไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง
เขาเพิ่งจะลอบตรวจสอบพลังของฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว พวกนางอยู่ในขอบเขตมายารัตนะทั้งคู่ และมีคนหนึ่งอยู่ในระดับเก้าดารา เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าตกใจมากหากพิจารณาจากอายุของพวกนาง
ยิ่งกว่านั้น โอวหยางหมิงพึงพอใจกับท่าทางแสนนอบน้อมของทั้งสองสาว พวกนางแสดงท่าทีที่อ่อนโน้มถ่อมตนดังเช่นที่ผู้อ่อนวัยกว่าพึงปฏิบัติต่อผู้อาวุโส หาใช่อ่อนน้อมเพราะความหวาดหวั่นหรือยำเกรง พวกนางทั้งคู่ไม่ได้แสดงออกถึงความกดดันเมื่อเผชิญหน้ากับเขา ช่างเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ
“ลุงสาม สหายทั้งสองของข้าเป็นอย่างไรบ้าง ?!”
โอวหยางชิงเฟิงจ้องมองโอวหยางหมิงด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ เขารู้ดีว่าสหายของเขาไม่ธรรมดา
โอวหยางหมิงเพียงแค่พยักหน้าพร้อมกับเผยยิ้มกว้างอย่างพอใจเท่านั้น
“ฉินอวี้โม่ ?”
ในระหว่างที่สองสตรีผู้แข็งแกร่งกำลังกล่าวทักทายผู้อาวุโสตระกูลโอวหยางอยู่นั้น จู่ ๆ ฉินอีเฟิงที่ยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็โพล่งชื่อฉินอวี้โม่ออกมาอย่างประหลาดใจ ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินยืนนิ่งมองดูสตรีผู้งดงาม
“มีอะไรหรือ ? น้องฉิน นางเป็นคนรู้จักของเจ้าอย่างนั้นหรือ ?”
แม้ว่าเสียงโพล่งชื่อนั้นจะไม่ได้ดังมากนัก ทว่าโอวหยางหมิงก็ได้ยินอย่างชัดเจน เขาหันไปเอ่ยถามสหายรุ่นน้องพลางแย้มรอยยิ้ม
ความสัมพันธ์ของตระกูลโอวหยางและตระกูลฉินนั้นถือว่าแน่นแฟ้น ดังนั้นแล้วจึงไม่แปลกที่ผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูลจะสนิทสนมกันเป็นอย่างดี
ฉินอีเฟิงที่ถูกคำถามของโอวหยางหมิงเรียกสติหันไปกล่าวตอบสหายทันที “พี่โอวหยางยังจำสาขาของตระกูลฉินที่เมืองหลิงซีได้หรือไม่ ?”
โอวหยางหมิงพยักหน้า แน่นอนว่าเขาต้องจำได้ เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ของเมือง ในตอนนั้นทายาทแห่งตระกูลฉินผู้ซึ่งเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลทำความผิดร้ายจนก่อให้เกิดเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูล เขาจึงต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ยังเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซีและกลายเป็นเพียงตระกูลสาขาที่นั่นไป เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ที่โจษจันกันไปทั่วเมืองหลวง เวลานั้นผู้คนภายในนครไป๋อวิ๋นต่างก็รู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี
“หากว่าข้าจำไม่ผิด เหมือนว่าผู้นำตระกูลสาขาที่หลิงซีจะมีบุตรีนามว่าฉินอวี้โม่”
ฉินอีเฟิงมองดูฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย เขาลอบพิจารณานางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายศีรษะ
“แต่ก็ไม่น่าใช่แม่นางผู้นี้ เท่าที่ข้าทราบมา บุตรีตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีแม้รูปโฉมงดงาม ทว่านางไร้พรสวรรค์มิอาจฝึกพลังมายาได้และเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”
สิ่งที่ฉินอีเฟิงกล่าวทำให้ฉินอวี้โม่ตกตะลึงไม่น้อย ทายาทตระกูลฉินหนีออกมาตั้งตระกูลสาขาที่หลิงซีเพราะมีเรื่องบาดหมางกับผู้นำตระกูล… มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ?
นี่นับว่าค่อนข้างแปลก เพราะเท่าที่เธอ ค้นดูแล้ว ในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับกลับไม่มีเรื่องนี้อยู่เลย พ่อและแม่ของนางไม่เคยพูดถึงตระกูลฉินที่นครไป๋อวิ๋น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ชายนิสัยแย่ฉินเทียนคนนั้นก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของพี่น้องของเขาเลยสักครั้ง ถ้าพวกเขาย้ายจากนครไป๋อวิ๋นมาเมืองหลิงซีจริงก็น่าจะพูดถึงเรื่องนี้บ้าง
“ขออภัยด้วย พอข้าได้ยินนามของแม่นางเมื่อครู่ ข้าจึงคิดว่าอาจจะได้พบเจอหลานสาว ข้าดูไม่ดีเอง ต้องขออภัยแม่นางด้วย”
ฉินอีเฟิงยิ้มให้ฉินอวี้โม่และกล่าวขอโทษ
ครั้งเมื่อได้ยินนามของฉินอวี้โม่เขาก็ประหลาดใจมาก ถึงอย่างไร แม้ว่าคนนอกจะไม่ทราบ แต่ผู้อาวุโสแห่งตระกูลฉินล้วนทราบกันดี เรื่องที่ฉินเทียนออกไปตั้งตระกูลสาขาที่เมืองหลิงซีนั้นท่านผู้นำตระกูลฉินรู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลมาก จนถึงกับแอบส่งคนไปสอดส่องพวกเขาอยู่บ่อยครั้ง ทว่าฉินอีเฟิงเองก็ไม่ทราบว่าเหตุใดในตอนแรกท่านผู้นำตระกูลถึงได้ตัดสินใจให้ฉินเทียนไปเช่นนั้น
เวลานี้ ในใจของอดีตสาวนักฆ่ากำลังเกิดความสับสน นางกำลังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องที่ฉินเทียนออกไปจากตระกูลที่นครไป๋อวิ๋นและย้ายไปตั้งตระกูลสาขาที่เมืองหลิงซี เหตุใดถึงไม่เคยมีผู้ใดในจวนเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน ? เรื่องสำคัญเช่นนี้ แม่แต่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ยังไม่ยอมบอกนางที่เป็นบุตรสาวอย่างนั้นหรือ ? ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามันน่าแปลก และเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังบางอย่างที่นางยังไม่รู้อยู่อีกเป็นแน่
ในความทรงจำของคุณหนูสี่ผู้ล่วงลับเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉินเทียนเป็นบิดาและสามีที่ดี เขาดีต่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นและนางมาก เขารักพวกนางจากหัวใจ แต่แล้วเหตุใดมาภายหลังบุรุษผู้นั้นถึงได้เปลี่ยนไปมากมายนัก ?
ในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็คิดถึงพี่ชายของนางขึ้นมา พี่ชายของนางออกจากจวนตระกูลฉินที่หลิงซีไปนานห้าถึงหกปีแล้ว หากพบกับเขาอีกครั้ง นางคงจะได้รู้เรื่องราวต่าง ๆ มากขึ้น
“ผู้อาวุโสฉิน ขอบอกท่านตามตรง แท้จริงแล้วข้ามาจากเมืองหลิงซี”
เมื่อลองครุ่นคิดอย่างรอบคอบ ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจเปิดเผยตัวตนออกไป เนื่องจากในเวลานี้มีเรื่องราวที่นางยังไม่รู้อีกมากมาย การเปิดเผยตัวตนของฉินอวี้โม่ออกไปตรง ๆ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเพื่อที่จะได้ทดสอบปฏิกิริยาของตระกูลฉินสาขาหลักเป็นอันดับแรก
“หมายความว่าเจ้าคือฉินอวี้โม่จากตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอีเฟิงตกตะลึง ทว่าเขาก็ไม่สงสัยอะไร เพราะเมื่อมองดูให้ดี ๆ แล้ว เขาก็พบว่าสตรีน้อยนามว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับฉินเทียนมาก มีความเป็นไปได้สูงว่านางจะเป็นลูกสาวของฉินเทียน
“เรียนผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้ข้าเคยถูกเรียกขานว่าขยะไร้ค่า ภายหลังมีเหตุผลบางอย่างทำให้ข้าสามารถฝึกฝนวรยุทธ์ใช้พลังมายาได้ ในตอนนี้ข้าออกมาจากเมืองหลิงซีแล้ว และกำลังจะเดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเพื่อตามหาพี่ชายของข้า หากเป็นไปได้ ข้าเองก็อยากจะเข้าไปคารวะท่านปู่สักครั้ง ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับผู้อาวุโสเจ็ดภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้เสียก่อน ช่างบังเอิญยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าความ นางไม่ทราบว่าอีกฝ่ายปกปิดสิ่งใดอยู่บ้าง ดังนั้นสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจึงเลือกเปิดเผยความจริงเพียงครึ่งหนึ่งและแต่งเติมความเท็จเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง เรื่องที่นางจะตามหาพี่ชายคือเรื่องจริง แต่นางไม่เคยคิดจะเข้าไปเยี่ยมเยียนผู้นำตระกูลฉินในนครไป๋อวิ๋น
ถึงอย่างไรนางก็ไม่เคยทราบเรื่องของตระกูลฉิน หรือแม้แต่เรื่องที่ตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซีเป็นเพียงตระกูลสาขา
ฉินอีเฟิงพยักหน้าเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เขาไม่ติดใจสงสัยสิ่งใด
พี่ชายของฉินอวี้โม่อยู่ในนครไป๋อวิ๋นนั่นเป็นเรื่องจริง หลานชายผู้นั้นเป็นผู้หลอมโอสถฝีมือสูงส่ง ผู้นำตระกูลฉินหรือปู่ของฉินอวี้โม่นั้นพึงพอใจในบุตรชายคนโตของฉินเทียนมากจึงรับตัวเขาไปอย่างลับ ๆ เมื่อหลายปีก่อน เรื่องนี้มีน้อยคนนักที่จะรู้
“เช่นนั้นก็วิเศษ อวี้โม่ หากจบงานตรงนี้แล้วเจ้าจะไปนครไป๋อวิ๋นพร้อมกับข้าเลยดีหรือไม่ ? ท่านปู่ของเจ้า ผู้นำตระกูลฉินกล่าวถึงเจ้าอยู่บ่อย ๆ”
ฉินอีเฟิงแย้มยิ้มใจดี เขาเป็นคนที่ดูเป็นสุภาพบุรุษ ภายในตระกูลฉินเขาก็เป็นผู้อาวุโสที่น่าเคารพนับถือ
“หากเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องรบกวนท่านผู้อาวุโสเจ็ดแล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและตอบตกลง ‘เห็นทีว่านางคงต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลฉินสาขาหลักในนครไป๋อวิ๋นสักครั้งเสียแล้ว’
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่รบกวนเลย เจ้าเรียกข้าว่าลุงเจ็ดก็ได้”
ฉินอีเฟิงยิ้มกว้าง วันนี้เขาดีใจมากที่ได้พบหลานสาวที่พลัดพรากของตนเอง
.
.
.
ตอนที่ 55 ไข่ประหลาด
— ตูม ! —
กู่เยว่หลิงลืมตาตื่นขึ้นด้วยเสียงดังอันเกิดจากการปะทะกันของอสูรมายาทั้งสามที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิง รอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของคุณหนูผู้มาจากนครไป๋อวิ๋น
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยข้า”
ต้องกล่าวเลยว่ากู่เยว่หลิงเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียวไม่น้อย เพียงแค่ลืมตาขึ้นมานางก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเป็นผู้ช่วยชีวิตนาง คุณหนูผู้เป็นโรคประหลาดจึงยิ้มและเอ่ยคำขอบคุณพวกเขา
ใบหน้าของกู่เยว่หลิงติดจะซีดเล็กน้อย ตอนนี้นางดูอ่อนล้าเหลือเกิน ด้วยสภาพเช่นนี้ของนางทำให้ยากที่จะเชื่อว่าก่อนหน้านี้สตรีผู้บอบบางสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างเฉียบขาดต่อหน้ามังกรดินอสูรมายาระดับเทวะที่เป็นคู่ต่อสู้
“รู้สึกดีขึ้นบ้างรึเปล่า?”
เมื่อได้มองดูกู่เยว่หลิงสาวน้อยผู้มีจิตใจแข็งแกร่งและมองโลกในแง่ดีเช่นนี้ ชั่ววูบหนึ่งฉินอวี้โม่ก็หวนนึกถึงตัวเองในชีวิตก่อน และเมื่อได้คิดถึงความหลังครั้งเก่าในตอนที่อยู่ในศตวรรษที่ 21 นั้นแล้วเธอก็อดเจ็บปวดหัวใจไม่ได้
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะ”
กู่เยว่หลิงโบกมือไปมาให้รู้ว่าตอนนี้นางแข็งแรงขึ้นมากพลางส่งยิ้มให้ทุกคนอย่างมีความหวัง นางเคยเป็นเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว นางจึงไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
“คุณหนู เหตุใดเจ้าถึงยังรั้งรออยู่ในตอนที่เจ้ามีโอกาสจะหนีได้?”
ฉินอวี้โม่สงสัยเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่านางสามารถวิ่งหนีไปได้ก่อน แต่เหตุใดนางถึงเลือกที่จะอยู่ต่อในตอนที่เผชิญหน้ากับมังกรดิน ทั้ง ๆ ที่ทราบดีแก่ใจว่าไม่สามารถสู้ได้
“ที่ทุกคนตกอยู่ในอันตรายก็เพราะข้า ข้าไม่สามารถทิ้งทุกคนและหลบหนีไปคนเดียวได้ พวกเขาคือสหายของข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะอยู่ช่วยทุกคนให้ถึงที่สุด”
เสียงของกู่เยว่หลิงหนักแน่นแน่วแน่ เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนมีความรับผิดชอบ เห็นแก่พวกพ้อง ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้ใด
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจ อดีตนักฆ่าสาวจ้องมองกู่เยว่หลิงตรง ๆ แล้วกล่าว “แต่เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าขอเพียงแค่เจ้าหนีไปได้ บางทีพวกเขาก็อาจจะมีโอกาสหนีรอดก็ได้ ที่พวกเขาไม่ยอมหนีก็เพราะว่าต้องการปกป้องเจ้าจากอันตราย ถ้าเจ้าอยากให้ทุกคนหนีรอดต่อไปเจ้าต้องหนีให้เร็วที่สุด ! หากเจ้ารั้งรออยู่เช่นนั้นพวกพ้องของเจ้าก็มีแต่ต้องอยู่เพื่อช่วยเจ้าแล้วนั้นก็จะมีแต่ตายกับตายกันหมด”
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะชื่นชมที่กู่เยว่หลิงมีความรับผิดชอบต่อชีวิตผู้อื่นและไม่อยากทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง แต่นางก็ไม่เห็นด้วยอย่างมากในสิ่งที่สตรีร่างบางทำไปเมื่อครู่
ฉินอวี้โม่เห็นอย่างชัดเจนว่าคนพวกนั้นต้องการจะปกป้องกู่เยว่หลิง พวกเขาจึงพยายามต่อสู้กับมังกรดินอย่างเอาเป็นเอาตาย หากว่านางฟังพวกเขาและหลบหนีไปตั้งแต่แรก คนพวกนั้นทั้งหมดก็จะสามารถร่วมมือกันรับมือกับมังกรดินและหาโอกาสหนีรอดไปได้เพิ่มขึ้น
แต่เป็นเพราะคุณหนูผู้นี้เลือกที่จะอยู่ต่อ ทำให้ทุกคนต้องเสียสมาธิเพราะมัวห่วงหน้าพะวงหลังกับการปกป้องนาง
ยิ่งกว่านั้นหากว่าฉินอวี้โม่คาดเดาไม่ผิด ชายวัยกลางคนนามว่าฉีอู่คงจะอยู่ในขอบเขตมายารัตนะตอนปลายแล้ว หากไม่ต้องห่วงกังวลกับกู่เยว่หลิง เขาและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็น่าจะต่อกรกับมังกรดินได้อย่างแน่นอน
เมื่อฟังวาจาของฉินอวี้โม่ กู่เยว่หลิงก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความอับอาย คุณหนูผู้มาจากนครใหญ่เริ่มรู้ตัวแล้วว่าตนเองนั้นคิดไม่ถี่ถ้วนพอ ที่นางไม่หนีไปก็เพราะคิดว่าตนเองนั้นก็สามารถต่อสู้กับอสูรมายาได้ นางอยากอยู่ช่วยเหลือพวกพ้องจากอันตราย ทว่านางก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นภาระให้พวกเขามากถึงเพียงนั้น
เมื่อรับรู้ว่ากู่เยว่หลิงเข้าใจแล้ว และได้เห็นนางก้มหัวสำนึกความผิด ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ กู่เยว่หลิงผู้นี้เป็นคนฉลาดเมื่อรู้ความผิดพลาดของตัวเอง นางก็จะพยายามแก้ไข
“ลุงฉี ข้าขอโทษ ต่อไปข้าจะทำตามที่ท่านบอก”
กู่เยว่หลิงหันไปเอ่ยกับฉีอู่ด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“คุณหนูต้องโทษที่พวกเราปกป้องคุณหนูได้ไม่ดีพอ”
ฉีอู่ก็ได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่เช่นกัน ทว่าเขาก็ไม่สะดวกใจที่จะกล่าวตำหนิกู่เยว่หลิง ถึงอย่างไรสตรีร่างบางตรงหน้าก็คือคุณหนูของเขา แม้ว่าฉินอวี้โม่จะช่วยชีวิตนาง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยกับคำพูดเมื่อครู่นัก
ทว่าเมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของกู่เยว่หลิง เขาก็เข้าใจเจตนาของฉินอวี้โม่ขึ้นมาทันที ความอึดอัดในหัวใจของผู้คุ้มกันวัยกลางคนค่อย ๆ สลายไป
“ข้าฉีอู่ คุณหนูท่านนี้คือกู่เยว่หลิง พวกเรามาจากสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น ข้าไม่ทราบว่าจะเรียกพวกท่านอย่างไรดี ?”
ฉีอู่มองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ด้วยสายตาเคารพยำเกรงและกล่าวออกไปด้วยท่าทางนอบน้อม
คนกลุ่มเล็กๆ นี้สยบมังกรดินได้อย่างง่ายดายและสามารถเดินทางร่อนเร่อยู่ภายในป่าแสงจันทร์ได้เช่นนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาแข็งแกร่งไม่น้อยเลย ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนูเอาไว้ ไม่ว่าอย่างไร ฉีอู่ก็ต้องให้ความเคารพคนทั้งสามที่อยู่ตรงหน้า
“ข้าฉินอวี้โม่ นี่คือผู้ติดตามของข้าเสี่ยวโร่ว”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นักฆ่าสาวไม่แน่ใจนักว่าโอวหยางชิงเฟิงจะสะดวกเผยนามหรือไม่ นางจึงไม่คิดจะแนะนำตัวให้เขาโดยพลการ
“ข้าโอวหยางชิงเฟิง”
โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง เขายิ้มแล้วกล่าวแนะนำตัวเองด้วยท่าทางเป็นมิตร
“โอวหยางชิงเฟิง ?”
เมื่อได้ยินนามนั้น ผู้คุ้มกันวัยกลางคนก็ชะงักไปเล็กน้อย
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของบุรุษตรงหน้า
“เจ้าคือหนุ่มน้อยที่หนีออกไปจากตระกูลโอวหยางแห่งนครไป๋อวิ๋นเมื่อห้าปีก่อนใช่หรือไม่ ?”
ฉีอู่จ้องมองโอวหยางชิงเฟิงพร้อมกับกล่าวถามออกมาด้วย
“ท่านทราบได้อย่างไร ?”
เมื่อได้ยินที่ฉีอู่ถาม โอวหยางชิงเฟิงก็ตกตะลึงไม่น้อย
แม้ว่าเขาจะเคยอาศัยอยู่ในนครไป๋อวิ๋น ทว่าก็ไม่ใช่บุคคลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในนครายิ่งใหญ่แห่งนั้น ดังนั้นการมีคนจากนครไป๋อวิ๋นรู้เรื่องราวของเขาจึงนับเป็นเรื่องแปลก
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าอยู่ในนครไป๋อวิ๋นมาชั่วชีวิต เรื่องทุกอย่างในนครไป๋อวิ๋น ข้าผู้นี้ย่อมทราบเป็นอย่างดี”
ฉีอู่ยิ้มและกล่าวต่อ “โอวหยางชิงเฟิง เจ้าคือลูกหลานตระกูลโอวหยางที่เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่งและความแข็งแกร่งที่โดดเด่น เป็นทายาทที่ผู้นำตระกูลรักมากเสียจนมอบอสูรเทวะให้ตั้งแต่อายุยังน้อย อย่างไรก็ตามบุตรชายคนรองของตระกูลผู้นี้กลับหนีออกไปจากตระกูลตั้งแต่อายุเพียงสิบสามปี นี่ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับคุณชายรองแห่งตระกูลโอวหยางภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้”
ฉีอู่ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดโอวหยางชิงเฟิงจะต้องหนีออกมา เขากลัวว่าในเรื่องนี้เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้ เขาจึงไม่คิดจะเอ่ยสิ่งใดมากไปกว่านี้
“เอ่อ ข้าไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้ลึกถึงเพียงนี้”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มอย่างออกมาอย่างขมขื่น เขาไม่ทราบเลยว่าเรื่องราวของบุตรชายคนรองตระกูลโอวหยางจะเป็นที่โจษจันกัน จนมีชื่อเสียงโด่งดังกลายเป็นที่รู้จักในนครไป๋อวิ๋นไปในลักษณะเช่นนี้
“คุณชายโอวหยาง ข้าต้องขอแจ้งให้เจ้าทราบก่อนว่า คณะที่มาจากเมืองไป๋อวิ๋นและไปสำรวจผาทรนงมีคนจากตระกูลโอวหยางรวมอยู่ด้วย หากว่าไม่อยากจะพบหน้าพวกเขาก็ขอให้คุณชายระวังเอาไว้ด้วย”
ฉีอู่นึกบางอย่างขึ้นมาได้ และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยเตือนโอวหยางชิงเฟิง
ใบหน้าของโอวหยางชิงเฟิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขาดูหม่นหมองลงไปทันที คุณชายรองตระกูลใหญ่ไม่มีความคิดที่จะกลับไปในตระกูลแม้แต่น้อย เพียงแค่คิดว่าอาจจะต้องพบเจอกับคนในตระกูลอีกครั้งเขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแล้ว
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำเตือน”
โอวหยางชิงเฟิงกล่าวขอบคุณฉีอู่
“พวกท่านพาคนมาน้อยมาก ไม่ทราบว่าพวกท่านมาทำอะไรในพื้นที่อันตรายเช่นนี้ ?”
เมื่อกวาดสายตามองดูกลุ่มของจากสมาคมช่างฝีมือที่เดินเข้ามารวมตัวกันทั้งหมดแล้ว โอวหยางชิงเฟิงก็เห็นได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย
ใจกลางป่าแสงจันทร์มีภยันตรายมากกว่าส่วนชายป่าหลายร้อยเท่า กลุ่มคนใดก็ตามที่ไม่แข็งแกร่งเพียงพอหากเดินทางมุ่งหน้าเข้ามาสู่ใจกลางของป่าแสงจันทร์เช่นนี้ก็เท่ากับรนหาที่ตายเท่านั้น !
“ข้าเป็นคนพาพวกเขามาเอง”
กู่เยว่หลิงตอบคำถามของโอวหยางชิงเฟิง
“จริง ๆ แล้วพวกเราไม่ได้มีจำนวนน้อยอย่างที่เห็น ทว่ายอดฝีมือเก่ง ๆ ของสมาคมเราได้แยกตัวออกไปก่อนหน้านี้”
พวกเขามาจากสมาคมช่างฝีมือซึ่งเดินทางมายังป่าแสงจันทร์เพื่อค้นหาแร่หายากบางชนิด ในตอนแรกพวกเขาก็มาด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ ทว่าเมื่อผ่านเข้ามาภายในผืนป่าได้ระยะหนึ่ง กู่เยว่หลิงก็ได้ยินข่าวว่ามีบางสิ่งแปลกประหลาดอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าผาทรนง นางจึงแบ่งกำลังส่วนหนึ่งให้เดินทางไปสำรวจผาแห่งนั้น
ขณะที่กลุ่มของฉีอู่และตัวกู่เยว่หลิงเองทำหน้าที่สำรวจหาแร่หายากต่อไป ทว่าในระหว่างนั้นพวกเขากลับโชคไม่ดีได้พบเจอกับมังกรดินแสนดุร้ายเข้าจนตกอยู่ในอันตราย
“เฮ้อ… น่าสงสารเสี่ยวหวู่ยิ่งนักที่เขาถูกมังกรดินกินไป”
ฉีอู่นับจำนวนคนในกลุ่มและพบว่ามีคนหายไปหนึ่งคน ทุกคนเห็นฉากสยองขวัญ ในตอนที่มังกรดินเขมือบบุรุษเคราะห์ร้ายผู้นั้นไปต่อหน้าต่อตา เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับสหาย ฉีอู่ก็ถอนหายใจออกมา
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เมื่อข้ากลับไปที่นครไป๋อวิ๋น ข้าจะแจ้งท่านปู่เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเราจะดูแลครอบครัวของเสี่ยวหวู่อย่างดีที่สุด”
กู่เยว่หลิงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะนาง เสี่ยวหวู่ก็จะไม่ต้องมาตาย
เมื่อเห็นสีหน้าแสนเศร้าสร้อยของกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกหดหู่ตามด้วย
นางก้าวออกไปและลูบไหล่ของกู่เยว่หลิงพลางกล่าว “อย่ามัวเศร้าเสียใจไปเลย ในเมื่อเขาตายไปแล้วจะพูดอะไรก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่ควรจะทำที่สุดก็คือเจ้าต้องพยายามพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อที่จะได้ไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนเช่นวันนี้อีก”
กู่เยว่หลิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ด้วยคำพูดนั้นของสตรีโฉมงามผู้มีพระคุณช่วยเหลือนางทำให้คุณหนูผู้เป็นโรคประหลาดรู้สึกถึงพลังอันแรงกล้าบางอย่างก่อกำเนิดขึ้นภายในใจ พลังนี้เป็นดั่งชนวนจุดไฟสู้และเป็นแรงกระตุ้นที่จะผลักดันให้นางพัฒนาตัวเองให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“เอ่อ ข้ามีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง ในเมื่อเจ้าเป็นถึงคุณหนูแห่งสมาคมช่างฝีมือ แล้วเหตุใดถึงไม่มีอสูรมายาเป็นของตัวเองเลย ?”
เมื่อไม่เห็นกู่เยว่หลิงเรียกอสูรมายาออกมาในตอนที่เผชิญหน้ากับมังกรดิน ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่าคุณหนูผู้นี้คงไม่ได้ครอบครองอสูรมายา แต่นั่นเป็นเรื่องแปลก อดีตคุณหนูจึงเอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้
กู่เยว่หลิงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนตอบ “ด้วยร่างกายเช่นนี้ ข้าจึงไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้”
เมื่อได้ยินคำตอบของกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่ก็ถามต่อด้วยความสงสัย “ร่างกายของเจ้ามีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
ปกติแล้วฉินอวี้โม่ไม่ได้อยากรู้เรื่องของผู้อื่นถึงเพียงนี้ ทว่ากรณีของกู่เยว่หลิงนั้น มีความคล้ายคลึงกับของคุณหนูสี่คนก่อนเมื่อครั้งที่กายเทพมายาของนางยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา นั่นจึงทำให้สาวนักฆ่าเกิดความสงสัยขึ้นมาอย่างมาก
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน”
กู่เยว่หลิงส่ายศีรษะ ตั้งแต่เกิดมาร่างกายนางก็เป็นเช่นนี้ ถึงแม้นางจะพยายามอย่างหนักแต่กลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง แม้ว่าตอนนี้นางจะอยู่ในขอบเขตมายารัตนะ แต่กลับไม่สามารถใช้พลังออกมาได้อย่างเต็มที่และยังไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้
ฉินอวี้โม่มองดูสตรีบอบบางตรงหน้าพลางนึกปลดปลงบางอย่าง วาสนาคนเราช่างต่างกันนัก โชคยังดีที่คนผู้นี้เป็นถึงคุณหนูแห่งสมาคมช่างฝีมือ หากเป็นคนธรรมดาสามัญ หรือเป็นบุตรีที่บิดาไม่รัก นางคงไม่พ้นกลายเป็นขยะไร้ค่าอย่างเช่นคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินคนก่อนเป็นแน่
“แล้วเจ้าเคยตรวจสอบร่างกายหรือไม่ ?”
“พวกเราเชิญหมอมากมายมาช่วยรักษาและตรวจสอบร่างกายของคุณหนูแล้ว ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถวินิจฉัยอาการของนางได้ ร่างกายของคุณหนูไม่มีจุดใดที่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านประธานสมาคมไม่เคยหยุดที่จะหาทางรักษาร่างกายของคุณหนูเลย ทว่าความพยายามทั้งหมดก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง”
ผู้ที่ตอบคำถามของฉินอวี้โม่ในข้อนี้ก็คือฉีอู่ เรื่องร่างกายของกู่เยว่หลิงนี้เป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจของทุกผู้คนภายในสมาคมช่างฝีมือรู้สึกเจ็บปวดมาโดยตลอด
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่ได้มีความรู้ทางการแพทย์หรือทักษะด้านการหลอมโอสถ นางจึงไม่สามารถออกความเห็นในเรื่องนี้ได้ อย่างไรก็ตาม อดีตนักฆ่าสาวยังคงคิดว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่าแปลก
“เอาล่ะ พวกเราเลิกพูดถึงเรื่องนี้กันเถอะ เปลี่ยนเป็นพูดถึงเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นที่ผาทรนงดีกว่า”
กู่เยว่หลิงยิ้มสดใส ก่อนจะกล่าวชี้ชวนให้เปลี่ยนประเด็นสนทนา คุณหนูแห่งสมาคมมีชื่อไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องรู้สึกเศร้าหมองเพราะตัวนาง
“อวี้โม่ พวกเจ้าเองก็จะไปที่ผาทระนงด้วยอย่างนั้นหรือ?”
กู่เยว่หลิงรู้สึกซาบซึ้งในตัวฉินอวี้โม่มาก ฉินอวี้โม่ไม่เพียงช่วยชีวิตนาง แต่ถ้อยคำของสตรีงดงามผู้นี้ยังกระตุ้นเตือน เป็นกำลังใจ และเป็นแรงผลักดันให้นางได้อีกด้วย ดังนั้นแล้วในเวลานี้ กู่เยว่หลิงจึงลอบทึกทักถือเอาว่าฉินอวี้โม่คือสหายคนสำคัญของนาง
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงพยักหน้า พวกเขาเองก็สงสัยว่ามีสิ่งใดรออยู่ที่ผาทรนง
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า มีอะไรอยู่ที่ผาทรนง ?”
กู่เยว่หลิงเอ่ยคำถาม ทว่าจากน้ำเสียงนั้นราวกับว่าคุณหนูผู้มาจากเมืองใหญ่จะทราบข้อมูลบางอย่าง
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงส่ายหน้าพร้อมเพรียง พวกเขาไม่รู้เลยว่าที่ผาทรนงมีสิ่งใดหรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทั้งสองเพียงแต่ได้ข่าวมาพร้อม ๆ กันว่าอาจจะมีสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่นี่เท่านั้น
กู่เยว่หลิงยิ้มและเอ่ย “ข้ารู้มาเรื่องหนึ่ง ถ้าข้อมูลของข้าไม่ผิดเพี้ยน มันน่าจะมีไข่ประหลาดอยู่ที่ผาทรนง มีคนบอกว่ามันน่าจะเป็นไข่ของอสูรมายาระดับเทวะราชัน !”
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงประหลาดใจไม่น้อย พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทั้งคู่
‘ไข่ของอสูรเทวะราชัน ? น่าสนใจจริง ๆ’
.
.
.
ตอนที่ 54 ค่ายวายุคลั่ง
ค่ายพักแรมที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าฉินอวี้โม่และพวกพ้องนั้น นับว่ามีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก มันมีขนาดพอ ๆ กับหมูบ้านขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ตรงกลางเป็นถนนตัดผ่าน ทั้งสองข้างทางมีกระโจมหน้าตาคล้ายกันตั้งเอาไว้เกือบทั้งตลอดแนวซึ่งน่าจะใช้สำหรับเป็นที่พักอาศัย
นอกเหนือจากนั้น สองข้างถนนก็ยังมีกระโจมที่เปิดเป็นแผงลอยขายสิ่งค้าต่าง ๆ ตั้งสลับไปกับกระโจมที่พักอาศัย และสิ่งค้าที่วางขายอยู่ก็มีให้เลือกสรรมากมายทั้งของใช้จำเป็นและผลผลิตจากอสูรมายาที่ทั้งหาได้ง่ายและยาก รวมไปถึงของป่าหน้าตาแปลกประหลาดก็มีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น โอสถ อาวุธ แก่นมายา และแกนชีวิตและอื่น ๆ ดูแล้วค่ายนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่มีไว้สำหรับติดต่อซื้อขายและแลกเปลี่ยนสินค้า
“อวี้โม่ ที่แห่งนี้มีชื่อว่า ‘ค่ายวายุคลั่ง’ เป็นค่ายสำหรับติดต่อแลกเปลี่ยนและเติมเสบียงอาหารภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ เจ้าอยากจะพักผ่อนหรือซื้อหาสิ่งของจากที่นี่หรือไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงก้าวเดินไปพลางแนะนำสถานที่ให้ฉินอวี้โม่ฟังด้วยรอยยิ้ม
ตั้งแต่เริ่มก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้ ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามีผู้คนมากหน้าหลายตาตรงเข้ามาทักทายโอวหยางชิงเฟิงอยู่ตลอดทาง ดูเหมือนว่าโอวหยางชิงเฟิงจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างที่เขาเคยว่าไว้จริง ๆ และดูจากกิริยาและการวางตัวต่อคนอื่นของเขาแล้ว หนุ่มน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้ก็เป็นผู้มีอัธยาศัยดีมากทีเดียว
“เสี่ยวโร่ว เจ้าเหนื่อยรึเปล่า ?”
สำหรับตัวฉินอวี้โม่นั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าใดนัก อีกทั้งโดยปกติเสี่ยวโร่วไม่เคยได้เดินทางด้วยเท้าในระยะทางไกลเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงกลัวว่าสาวใช้น้อยจะเหนื่อยเกินไปจนทนไม่ไหว
เสี่ยวโร่วส่ายหน้าและกล่าว “ ข้าไม่เหนื่อยเจ้าค่ะคุณหนู ตอนนี้ร่างกายของข้าเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง”
เวลานี้เสี่ยวโร่วอยู่ในขอบเขตมายารัตนะแล้ว ทั้งนางยังมีเหล่าอสูรมายาตัวนิดตัวน้อยทั้งหลายคอยคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาทำให้นางได้หัวเราะเกือบตลอดเวลา และเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยล้า และยิ่งเมื่อได้อยู่ใกล้คุณหนูของตัวเองเช่นนี้ นางยิ่งรู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน
“ถ้างั้นเราเข้าไปหาซื้อสิ่งของพวกภายในค่ายแล้วออกสำรวจป่ากันต่อดีกว่า”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า เนื่องจากเสี่ยวโร่วไม่เหนื่อย ฉะนั้นนางจึงคิดว่าจะไม่หยุดพักค้างคืนที่นี่ อีกทั้งเวลานี้ก็เป็นโอกาสดีที่จะสำรวจป่าแสงจันทร์พร้อมกับโอวหยางชิงเฟิง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจะไม่ปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้ล่าช้าหรือหลุดลอยไปอย่างแน่นอน
คณะเดินทางของฉินอวี้โม่เดินเข้าไปที่แผงลอยขายอาหารแห่งหนึ่งและซื้อหาอาหารแห้งหลายอย่าง
เจ้าของแผงลอยนั้นเป็นสตรีงามวัยสาวสะพรั่งรูปร่างอวบอึ๋มนามว่าเหล่ยหน่า
เมื่อเห็นโอวหยางชิงเฟิง เหล่ยหน่าก็ยิ้มและกล่าว “เสี่ยวชิงเฟิง ข้ามีข่าวที่น่าสนใจบางอย่าง เจ้าอยากจะฟังไหมล่ะ ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหล่ยหน่า โอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มออกมา
“พี่เหล่ยหน่าบอกข้าหน่อยสิ”
เหล่ยหน่านั้นเป็นบุคคลกว้างขวางมาก นอกจากตัวนางจะมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักในเรื่องของความงามและมีอัชฌาสัยวาจาเป็นเลิศแล้ว แม่ค้าสาวงามผู้นี้ยังรู้จักพ่อค้าแม่ค้าแทบทุกคนในแถบนี้ด้วย ฉะนั้นแล้วจึงไม่มีเรื่องอะไรที่จะหลุดรอดหูตาของเหล่ยหน่าไปได้
“บอกได้ แต่จะถือว่าเจ้าติดค้างข้าเรื่องหนึ่งนะ” เหล่ยหน่ายิ้มและพูดทีเล่นทีจริงกับโอวหยางชิงเฟิง
“พี่เหล่ยหน่าก็ทราบดีว่าข้าไม่ยอมติดค้างใครแน่” โอวหยางชิงเฟิงยิ้มแล้วตอบ เขาไม่ได้โกรธเคืองคำพูดของเหล่ยหน่า
“ข้าได้ยินมาว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดเกิดขึ้นที่ผาทรนง ตอนนี้มีหลายขุมกำลังเตรียมจะมุ่งหน้าตรงไปที่นั่น แถมยังมีบางกลุ่มมาจากนครไป๋อวิ๋นด้วยนะ”
เหล่ยหน่ายิ้มและบอกเล่าข่าวที่ได้ยินมาให้โอวหยางชิงเฟิงรับรู้ แท้จริงแล้วเรื่องนี้มิใช่ความลับแต่อย่างใด ทว่าเหล่ยหน่าเพียงแต่ได้รับรู้มาก่อนผู้อื่นเท่านั้น อีกไม่นานมันคงจะแพร่กระจายไปทั่วทั้งค่าย
“โอ้ ! ขอบคุณพี่เหล่ยหน่า”
โอวหยางชิงเฟิงยิ้มพลางพยักหน้า ทว่าใบหน้าของเขาดูแปลกไปเล็กน้อย
หลังจากการซื้อหาสิ่งจำเป็นเสร็จสิ้น โอวหยางชิงเฟิงก็พาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมุ่งหน้าเดินทางเข้าไปในป่าอีกครั้ง
“อวี้โม่ เจ้าจะไปที่ผาทรนงหรือไม่ ?”
โอวหยางชิงเฟิงถามความคิดเห็นของฉินอวี้โม่ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่อยากไปที่ผาทรนงเท่าไหร่นัก
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็อยากจะรู้เช่นกันว่ามีสิ่งใดรออยู่ที่ผาทรนงนั่นกันแน่ถึงได้ดึงดูดให้เหล่าขุมกำลังใหญ่น้อยพากันมุ่งหน้าไปที่นั่น และอย่างไรเสียก็ได้มาอยู่ที่นี่ในช่วงเวลาที่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นแล้ว อดีตนักฆ่าก็ไม่อยากจะพลาดมันไป และบางทีที่ผาทรนงแห่งนั้นอาจจะมีเงื่อนไขพิเศษที่จะช่วยให้นางทะลวงสู่ขอบเขตนภมายาได้ก็เป็นได้
“เอ่อ เช่นนั้นในฐานะสุภาพบุรุษข้าก็จะพาเจ้าไป”
โอวหยางชิงเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงหดหู่ และรอยยิ้มที่ดูขมขื่น
“ทำไมกัน ที่นั่นมีอันตรายอย่างนั้นหรือ”
ท่าทางแปลก ๆ ของสหายหนุ่มหน้าใสทำให้ฉินอวี้โม่ต้องเอ่ยถามขึ้น
“ไม่ใช่หรอก มันแค่สถานที่ธรรมดา ไม่ได้มีอันตรายอะไร”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ข้าเพียงแต่กลัวว่าจะได้พบหน้าคนที่ไม่อยากเจอเท่านั้น”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ทันทีที่เหล่ยหน่าบอกว่ามียอดฝีมือผู้มาจากนครไป๋อวิ๋นกำลังจะไปที่ผาทรนง ใบหน้าของบุรุษหน้าละอ่อนก็สลดลงอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนว่าเขาจะมีเบื้องหลังบางอย่างกับนครใหญ่แห่งจักรวรรดิ
“เช่นนั้นพวกข้าจะไปกันเอง เจ้าไปรอข้าอยู่ที่ค่ายวายุคลั่งเถอะ”
เมื่อเห็นใบหน้าอันแสนยุ่งยากใจของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นมาอย่างเข้าอกเข้าใจ
“ไม่ได้ ข้าลั่นวาจาไว้แล้วว่าจะเป็นคนพาพวกเจ้าเดินชมป่าแสงจันทร์ ข้าจะไม่ทิ้งให้เจ้ากับสหายไปกันเองหรอก”
โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะ ถึงแม้จะกลัวว่าจะได้พบหน้าบุคคลที่เขาไม่อยากเจอ แต่ในเมื่อสัญญาแล้ว บุรุษย่อมไม่คืนคำ ดังนั้นเขาก็จะพานางไป
“ถ้างั้น เจ้าก็อย่าฝืนนักล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเพื่อบ่งบอกว่านางเคารพการตัดสินใจของเขาก่อนจะเดินต่อไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดอีก
ถึงแม้ในผืนป่ากว้างใหญ่แห่งนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายนานัปการ แต่เพราะทั้งฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงต่างก็มีอสูรมายาที่แข็งแกร่งอยู่ด้วยทั้งคู่ ดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ใดในป่าแสงจันทร์ก็คงจะไม่เกิดปัญหาที่ยากเกินรับมือ คณะเดินทางทั้งหมดมุ่งตรงไปยังผาทรนง พร้อมกันนั้นในระหว่างทางก็ฝึกฝนเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการรับมือกับอสูรมายาที่พุ่งเข้ามาโจมตีไปด้วย การเดินทางของพวกเขาจึงเป็นไปอย่างไม่รีบเร่ง
สามวันผ่านไป…
ในที่สุดกลุ่มคนสามคนและสัตว์มายาอีกหนึ่งโขยงย่อม ๆ ก็เข้าใกล้จุดที่เป็นที่ตั้งแห่ง ผาทรนง
“ผาทระนงอยู่ข้างหน้านั่น พวกเราต้องระวัง”
โอวหยางชิงเฟิงบอกฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว
ยิ่งเข้าใกล้ผาทรนงก็มากเท่าไหร่ยิ่งมีโอกาสเผชิญหน้ากับอสูรมายาระดับสูง ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้นหากไม่ระวังให้ดีอาจจะบาดเจ็บหรือถึงขั้นพิการได้
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วพยักหน้ารับทราบ พวกนางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันแข็งแกร่งแทรกซึมอยู่ทั่วไปในอากาศ หากจะกล่าวแล้วก็นับว่าที่ตั้งของผาทรนงนั้นอยู่ ณ จุดกึ่งกลางของป่าแสงจันทร์อย่างพอดิบพอดี ซึ่งบริเวณรอบจุดกึ่งกลางของผืนป่าแห่งนี้มีลักษณะพื้นที่สลับซับซ้อน โดยประกอบไปด้วยที่ราบเล็ก ๆ ยอดเขามากมาย หน้าผาสูงชัน หุบเหวลึกกว้าง และถ้ำใหญ่น้อยอีกนับไม่ถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น ป่าไม้ทั้งหมดก็ยังเป็นป่ารกทึบที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์แปลกประหลาดนานาชนิดขึ้นอยู่อย่างหลากหลาย ดังนั้น อสูรมายาที่อาศัยอยู่โดยรอบบริเวณนี้จึงมีความแข็งแกร่งเหนือกว่าจุดอื่น ๆ มาก
— เคร๊ง ! —
— ปัง ! ปัง ! ปัง ! —
เสียงบางอย่างดังขึ้นมาจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ดูเหมือนว่าพื้นที่เบื้องหน้าของพวกเขาจะมีการต่อสู้เกิดขึ้น !
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมองหน้ากัน ก่อนจะค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังทิศทางที่เกิดเสียงดังอย่างช้า ๆ
เมื่อผ่านพ้นบริเวณที่เป็นป่ารกทึบมาได้ พื้นที่ราบเล็ก ๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา …นี่คือจุดที่มีเสียงของการต่อสู้ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และโอวหยางชิงเฟิงแอบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ สิ่งที่พวกเขากำลังมองดูอยู่นั้นคือภาพของคนกลุ่มหนึ่งกำลังโอบล้อมและโจมตีมังกรดินตัวหนึ่ง
ความแข็งแกร่งของมังกรดินตัวนี้ไม่ได้แตกต่างจากตัวที่พวกเขาเจอก่อนหน้านี้ เวลานี้การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กลุ่มหนึ่งและมังกรดินกำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ดูเหมือนว่าฝ่ายมนุษย์จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง… จากเศษเลือด ชิ้นเนื้อ และกระดูกที่หล่นกระจัดกระจายอยู่บนพื้นบ่งบอกให้ทราบว่ามีใครบางคนถูกมังกรเขี้ยวคมเขมือบกลืนลงท้องไปแล้ว !
เห็นได้ชัดเลยว่ากลุ่มคนที่ล้อมอยู่โดยรอบนั้นอ่อนแอกว่ามังกรดินมาก ภายใต้การโจมตีอันดุเดือดของเจ้ายักษ์ตะกละ พวกเขาไม่มีพลังเพียงพอที่จะโต้กลับได้เลย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่นานพวกเขาคงจะกลายเป็นอาหารของมันหมดแน่
“คุณหนู ท่านรีบหนีไปก่อนเถอะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่พวกเรา !”
ชายร่างใหญ่หนึ่งในกลุ่มคนที่กำลังปะทะกับมังกรดินกล่าวกับสตรีรูปร่างบอบบางที่อยู่ด้านหลังอย่างเร่งร้อน
พวกเขามาจากสมาคมช่างฝีมือแห่งนครไป๋อวิ๋น สตรีผู้นี้มีนานว่า–กู่เยว่หลิง นางเป็นบุตรสาวของประธานสมาคมช่างฝีมือ และผู้ที่กล่าวกับนางเมื่อครู่คือหัวหน้าผู้คุ้มกันของสมาคมและเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสแห่งสมาคมช่างฝีมือนี้ มีนามว่า–ฉีอู่
“ลุงฉี อย่าพูดเหลวไหล ข้าจะไม่ทิ้งพวกท่านไปไหนทั้งนั้น”
แม้ว่ากู่เยว่หลิงจะดูอ่อนแอ ทว่าบนใบหน้านวลนั้นกลับไม่มีร่องรอยของความกลัวปรากฏอยู่ หากไม่ใช่เพราะนาง คนพวกนี้ก็จะไม่ตกอยู่ในอันตราย การจะให้นางหนีไปแต่เพียงผู้เดียวและปล่อยให้พวกเขาสละชีวิตเช่นนั้น นางไม่สามารถทำได้ !
กู่เยว่หลิงจ้องมองมังกรดินที่แสนดุร้ายพลางกัดฟันแน่น ทันใดนั้นนางก็ชักกระบี่ออกมา
“ลุงฉี ข้าจะช่วยพวกท่านรับมือกับเจ้ายักษ์ใหญ่นี่เอง”
กล่าวจบกู่เยว่หลิงก็วิ่งตรงเข้าไปหมายจะจู่โจมมังกรดินอย่างแน่วแน่
แม้ว่าคุณหนูผู้นี้จะดูบอบบางและมีท่าทางไม่แข็งแกร่งมากนัก ทว่าตามความเร็วของเร็วของนางกลับสูงส่งอย่างเหลือเชื่อ ทักษะการเคลื่อนที่ของนางนับว่าเฉียบคมและเหนือชั้นกว่าบุรุษรอบข้างมาก ทั้นใดนั้นเองกระบี่ในมือบางก็เสียบแทงเข้าไปที่หางยาว ๆ ของมังกรดินจากทางด้านหลัง
— ฉึก ! —
ดูแล้วกระบี่ที่อยู่ในมือของกู่เยว่หลิงคงจะเป็นอาวุธระดับสูง เพราะมันสามารถทะลุผ่านผิวหนังที่หนาและแข็งแกร่งของมังกรดินเข้าไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นปลายกระบี่คมยังสามารถทะลุผ่านหางหนา ๆ ของอสูรมายาตะกละลงไปสู่อีกด้านและปลักยึดหางของมันไว้กับพื้นดิน
“โร่วววว !”
มังกรดินร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด สิ่งที่เพิ่งจะแทงทะลุหางของมันไปเมื่อครู่คือกระบี่ระดับวิญญาณ พลังของอาวุธระดับสูงทำให้มังกรดินเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างมาก
อสูรเทวะจอมเขมือบรีบหันหัวกลับมาทางกู่เยว่หลิง
— พรึบ ! —
— เคร๊ง ! —
มังกรดินใช้ความพยายามอย่างมาก เจ้ายักษ์ใหญ่สะบัดหางสุดแรงเกิดจนในที่สุดกระบี่ที่ปักคาอยู่ก็หลุดออก อาวุธระดับวิญญาณกระเด็นตกลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังลั่นอย่างน่าใจหาย
“คุณหนูระวัง !”
สีหน้าของฉีอู่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเมื่อเห็นกู่เยว่หลิงตกเป็นเป้าของมังกรดินที่กำลังโกรธ และในทันทีที่เห็นมังกรดินกำลังจะจู่โจมสตรีร่างบาง เขาและคนอื่น ๆ ก็รีบพุ่งตรงเข้าไปอย่างไม่คิดชีวิต
กู่เยว่หลิงที่เห็นมังกรดินกำลังจะโจมตีตนขมวดคิ้วแน่นอย่างครุ่นคิด เวลานี้นางจะต้องหาทางหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่คุณหนูแห่งสมาคมมีชื่อในนครใหญ่กำลังจะหนีนั้น จู่ ๆ ร่างกายของนางก็อ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง สตรีร่างบางเป็นลมล้มพับไปต่อหน้าต่อตาเหล่าผู้คุ้มกันของนางและเจ้าอสูรจอมตะกละทันที
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงหันมามองหน้ากันอย่างประหลาดใจ พวกเขารู้สึกว่ากู่เยว่หลิงมีพลังเพียงพอที่จะถอยออกไปได้ทัน แล้วเหตุใด จู่ ๆ นางถึงได้หมดสติไปเช่นนั้น ?
มังกรดินสบโอกาสในทันที อสูรเทวะจอมเขมือบโถมร่างยักษ์ใหญ่เข้าใส่กู่เยว่หลิงที่อยู่บนพื้นอย่างรวดเร็วและในขณะเดียวกันมันก็อ้าปากขนาดใหญ่รอไว้แล้ว
โอวหยางชิงเฟิงออกคำสั่งให้อสูรมายาเข้าไปช่วยนางอย่างไม่ลังเล
ฉินอวี้โม่เองก็สั่งให้ม่อเสียเข้าไปเช่นกัน นางต้องการให้มั่นใจว่าจะสามารถจัดการเจ้ามังกรตะกละได้อยู่หมัดโดยไม่มีผู้ใดได้รับอันตราย
เมื่อฉีอู่และเหล่าผู้คุ้มกันมองเห็นปากใหญ่โตที่มีเขี้ยวแหลมคมของมังกรดินกำลังเข้าใกล้ร่างของกู่เยว่หลิง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก อีกเพียงแค่อึดใจเดียวคุณหนูของพวกเขาก็จะถูกกลืนเข้าไปอยู่ในท้องของมัน ผู้คุ้มกันทั้งหมดจึงพยายามทุ่มเทกำลังอย่างสุดชีวิตเพื่อจะจู่โจมเจ้ามังกรดินชั่วช้า
— ปัง ! —
ฉีอู่และพวกพ้องระดมกำลังโจมตีมังกรดินจากด้านหลัง และทำให้ร่างของมันสั่นไหวได้เล็กน้อย ทว่ากลับไม่สามารถทำให้เจ้าอสูรมายาหนังหนาละความสนใจจากว่าที่อาหารอันโอชะของมันได้
ในตอนนั้นเองที่ม่อเสียและอสูรมายาของโอวหยางชิงเฟิงปรากฏตัวตรงหน้ามังกรดิน
อสูรทั้งสองมองหน้ากันชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะพุ่งเข้าจู่โจมมังกรดินพร้อม ๆ กัน เจ้ามังกรตะกละชะงักไปเล็กน้อยเมื่อมีผู้เข้ามาขวางหน้ามัน ทว่ายังไม่ทันที่อสูรหนังหนาจะได้แสดงปฏิกิริยาตอบโต้ มันก็ถูกอสูรมายาลึกลับทั้งสองซัดเข้าใส่อย่างรวดเร็ว
เมื่อมังกรดินถูกดึงความสนใจไปจากกู่เยว่หลิง ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงก็รีบวิ่งเข้ามาหาสตรีผู้ที่นอนกองอยู่บนพื้น
ฉินอวี้โม่อุ้มร่างของกู่เยว่หลิงขึ้นมาโดยไม่ลังเลก่อนจะรีบพาไปยังจุดที่ปลอดภัย
ในตอนที่เข้าไปพาร่างของคุณหนูจากนครใหญ่ผู้นี้มา ฉินอวี้โม่สังเกตเห็นว่าโอวหยางชิงเฟิงมีอาการลังเลและขัดเขิน นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูเข้าใจเอาเองว่าโอวหยางชิงเฟิงนั้นคงจะเป็นเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ และเขาก็คงจะไม่สะดวกใจกับการถูกเนื้อต้องตัวสตรี และทำให้อดีตคุณชายแห่งตระกูลใหญ่แสดงท่าทีกระอักกระอ่วนใจเมื่อจะต้องอุ้มกู่เยว่หลิงขึ้นมา ฉินอวี้โม่จึงรับหน้าที่นั้นแทน
เมื่อฉีอู่และผู้คุ้มกันคนอื่น ๆ มองเห็นอสูรมายาที่มาปรากฏตรงหน้ามังกรดินพวกเขาก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทว่าหลังจากที่ได้เห็นว่าอสูรมายาทั้งสองพุ่งเข้าจู่โจมเจ้ามังกรดิน ต่อมาก็มีสตรีและบุรุษปริศนาเข้ามาช่วยเหลือคุณหนูของพวกเขาไว้ก็ทำให้ทั้งหมดรู้สึกโล่งอก
“ขอบคุณพวกท่านมากที่ช่วยเหลือ”
ฉีอู่วิ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเพื่อกล่าวคำขอบคุณ
หากพวกเขามาไม่ทันเวลา ชีวิตของคุณหนูก็คงจะจบสิ้นกันแล้ว
“นางเป็นอะไรงั้นหรือ? เหตุใดจู่ๆ นางถึงได้หมดสติไป?”
ฉินอวี้โม่มองกู่เยว่หลิงที่ดูเหมือนจะนอนหลับอย่างสงบด้วยความงุนงง กู่เยว่หลิงยังไม่ได้ถูกมังกรดินจู่โจม และไม่มีร่องรอยของอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย อีกทั้งท่าทางของนางเมื่อครั้งเผชิญหน้ากับอสูรเทวะหนังหนาก็ไม่เหมือนกับผู้ที่หวาดกลัวมันจนสิ้นสติด้วย แล้วจู่ ๆ นางจะสลบไปได้อย่างไร ?
ฉีอู่ล้วงเอาขวดกระเบื้องเล็ก ๆ ออกมาจากแหวนมิติก่อนจะเทโอสถที่อยู่ภายในนั้นออกมาหนึ่งเม็ดแล้ววานให้เสี่ยวโร่วช่วยป้อนมันใส่ปากกู่เยว่หลิง
“เป็นเพราะโรคประจำตัวของคุณหนู”
ฉีอู่ถอนหายใจออกมา ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงเพิ่งจะช่วยชีวิตคุณหนูของพวกเขา ฉีอู่จึงไม่คิดจะปิดบังผู้มีพระคุณทั้งสอง
กู่เยว่หลิงนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอมาตั้งแต่แรกเกิด แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์สูงส่งจนตอนนี้นางสามารถบรรลุขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราได้แล้ว ทว่าด้วยปัญหาทางร่างกายทำให้นางไม่สามารถใช้พลังมายาได้อย่างเต็มที่
หากว่าต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้อย่างรุนแรงเมื่อใด นางก็จะหมดสติไปทุกครั้ง
ฉินอวี้โม่และโอวหยางชิงเฟิงมองหน้ากัน โรคนี้เป็นโรคที่แปลกประหลาดมากจริง ๆ
.
.
.
ตอนที่ 53 โอวหยางชิงเฟิง
— ปัง ! —
เสมือนว่าร่างของมังกรดินจะถูกบางอย่างกระแทกเข้าใส่อย่างรุนแรง ร่างแข็งแกร่งขนาดมหึมาของมันกระเด็นขึ้นจากพื้นบริเวณนั้นทันที ก่อนจะลอยพุ่งเข้ามาในจุดที่ฉินอวี้โม่และพวกพ้องยืนอยู่
“หลบเร็ว !”
ฉินอวี้โม่อุทานออกมา นางคว้าแขนเสี่ยวโร่วแล้วรีบกระโจนหลบออกไปด้านข้าง
–ปัง !–
ร่างของมังกรดินตกลงมาบนพื้นตรงจุดที่คณะเดินทางของฉินอวี้โม่อยู่ก่อนหน้านี้อย่างพอดิบพอดี ความรุนแรงของแรงกระแทกทำให้พื้นดินแตกกระจาย ก้อนดินและฝุ่นดินกระจัดกระจายไปรอบด้าน
“ถุย ! ถุย ! แหวะ”
เสี่ยวโร่วพ่นเศษดินที่กระเด็นเข้ามาอยู่เต็มปากก่อนจะหันหน้าตะโกนออกไปในทิศทางหนึ่ง “เฮ้ ! เจ้าตั้งใจจะฆ่าเรารึไง”
ฉินอวี้โม่สะบัดแขนเสื้อและปัดฝุ่นออกจากตัว เมื่ออดีตคุณหนูผู้งดงามที่บัดนี้เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นและโคลนมองดูสาวใช้น้อยที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมทำหน้าตามู่ทู่ นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
“คุณหนูยังหัวเราะได้อีกหรือเจ้าคะ ถ้าเราหลบไม่เร็วพอ เราอาจจะเจ็บหนักไปแล้วก็ได้”
เสี่ยวโร่วผู้หน้ายุ่งมองค้อนคุณหนูของนางไปหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันไปดูมังกรดินที่นอนแผ่หลานิ่งสนิทอยู่บนพื้นเพราะหมดลมหายใจไปแล้ว สาวน้อยผู้กำลังโมโหอดไม่ได้ที่จะเตะมันไปแรง ๆ ทีหนึ่ง
“ลองดูนี่สิเสี่ยวโร่ว เจ้าดูเหมือนกับแมวน้อยเลย”
ฉินอวี้โม่ยังคงยิ้มขบขันพลางหยิบเอากระจกสัมฤทธิ์ออกมาและยื่นให้เสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วรับมันมาและรีบดูใบหน้าของตัวเอง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ในกระจก นางก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเช่นกัน……ในตอนนี้ใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กสาวเลอะเทอะไปด้วยโคลนดำ ๆ จนมองเห็นแต่ลูกตากลม ๆ สองข้าง ! ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดคุณหนูของนางถึงได้ขำนักหนา ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง
“ข้าต้องขออภัยด้วย ข้าเกือบจะทำให้แม่นางทั้งสองบาดเจ็บแล้ว”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นจากบนท้องฟ้า คนผู้นั้นขี่อสูรมายาประเภทบินได้สีทองอร่ามร่อนลงมาหยุดอยู่ไม่ไกลจากฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขาเอามือลูบท้ายทอยของตัวเองพลางผงกหัวขึ้นลงอยู่หลายครั้งพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพยซ้ำแล้วซ้ำอีก เขากำลังรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
ปักษาขนทองเป็นอสูรมายาที่มีความแข็งแกร่งในระดับที่ทัดเทียมกันกับเหยี่ยวปีกทองอย่างเสี่ยวจิน ยิ่งไปกว่านั้นอสูรมายาลักษณะใกล้เคียงกับเหยี่ยวตัวนี้ก็ดูจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลยด้วย
บุรุษผู้มาใหม่มีผมสีดำสนิท ขนคิ้วดกหนา ดวงตากลมโต ผิวหน้าเนียนละเอียด ใบหน้าของเขาดูอิ่มเต็มและใสกระจ่างคล้ายใบหน้าเด็ก โดยรวมแล้วเขาเป็นบุรุษที่ดูน่ารักมากกว่าหล่อ แม้ว่าเขาจะสูงกว่าฉินอวี้โม่ครึ่งศีรษะแต่นางก็ไม่รู้สึกว่าเขาจะอายุมากกว่านางเท่าไหร่นัก… จะว่าไปแล้วหากเป็นในโลกก่อนของเธอ คำนิยามของบุรุษนี้ก็น่าจะตรงกับเหล่าศิลปินไอดอลชายอายุน้อยที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน
“เอ่อ แค่ขอโทษแล้วจะจบได้อย่างนั้นหรือ ? ถ้าเกิดเราหลบไม่ทัน พวกเราคงถูกทับจนแบนแต๋ดแต๋ไปแล้ว”
เสี่ยวโร่วมองไปที่บุรุษคิ้วหนาตาโตที่อยู่ตรงหน้า นางยังไม่คลายจากความขุ่นเคืองทว่าความโกรธของสาวน้อยก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก
เพราะถึงอย่างไร การจะโกรธเคืองบุรุษผู้มีท่าทีไร้เดียงสาราวเด็กน้อยเช่นนี้ก็เป็นเรื่องยาก
“ข้าขอโทษจริง ๆ มังกรดินตัวนี้เที่ยวทำร้ายผู้คน ข้าไล่ล่ามันมาหลายวันแล้ว เมื่อครู่ข้าบังเอิญได้ยินเสียงการต่อสู้ดังขึ้นแถวนี้จึงรีบมาดู พอเห็นว่าเจ้ามังกรดินชั่วช้ากำลังจะวิ่งหนีข้าก็เลยรีบร้อนให้อสูรมายาของข้าลงมือ ไม่คิดเลยว่ามันจะกระเด็นมาหาแม่นางทั้งสอง ขอต้องขออภัยอีกครั้ง”
โอวหยางชิงเฟิง ขอโทษอีกครั้ง เขารู้สึกผิดในความผิดพลาดเมื่อครู่ของตนเอง เขาไล่ล่ามังกรดินอยู่ในแถบนี้มาหลายวันแล้ว วันนี้สบโอกาสเจอตัวมันในขณะที่กำลังวิ่งหนีเขาจึงตัดสินในเผด็จศึก ทว่าคิดไม่ถึงว่าในตอนที่เขาลงมือ การโจมตีของเขาจะทำให้ร่างของเจ้ามังกรตัวใหญ่กระเด็นไปถูกหญิงสาวทั้งสองนี้ได้ ซึ่งถ้าหากพวกนางทั้งสองเป็นอะไรไป โอวหยางชิงเฟิงคงรู้ผิดจนชั่วชีวิตแน่
“เอาเถอะ ข้าไม่ตำหนิท่านหรอก”
เมื่อมองเห็นสีหน้าแววตา และท่าทางที่ดูสำนึกผิดจากใจจริงของบุรุษหน้าใสผู้นี้แล้ว เสี่ยวโร่วก็ไม่อยากจะถือสาหาความเขาอีก
“ขอบคุณแม่นางน้อยมาก”
เมื่อสิ้นเสียงเสี่ยวโร่ว โอวหยางชิงเฟิงก็ยิ้มร่าและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุขไม่ต่างจากเด็ก ๆ
“ข้าจะมอบมังกรดินตัวนี้ให้แม่นางทั้งสองแทนคำขอโทษ”
โอวหยางชิงเฟิงชี้ไปที่มังกรดินที่นอนแน่นิ่งไร้ลมหายใจอยู่บนพื้น
“เฮ้ ! คุณชายทำเช่นนี้ไม่จริงใจเลยนะ มังกรดินตัวนี้เป็นของพวกเราอยู่แล้ว ต่อให้ท่านไม่เข้ามาเราก็จัดการมันได้ มามอบให้เราตอนนี้ไม่ตลกไปหน่อยหรือ”
เสี่ยวโร่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นมาเมื่อได้ยินวาจาของโอวหยางชิงเฟิง
ถูกต้องแล้ว มังกรดินตัวนี้เป็นของพวกนาง แม้โอวหยางชิงเฟิงจะไม่เข้ามานางก็เชื่อว่าม่อเสียจะสังหารมันได้ง่าย ๆ ทว่าโอวหยางชิงเฟิงกลับมาชิงลงมือสังหารมันตัดหน้าไปก่อนต่อหน้าต่อตาพวกนางเช่นนี้ ที่สำคัญเขายังกล้าจะใช้ ‘ซากของมังกรดินของพวกนาง’ มาเป็นสิ่งแทนคำขอโทษ เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวโร่วอดรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมาไม่ได้
โอวหยางชิงเฟิงหมดคำพูดไปในทันที เขาเพิ่งสำนึกได้ว่าที่แม่นางน้อยผู้นั้นพูดมาก็ถูก
เมื่อเขาสังเกตเห็นเหล่าอสูรมายาของฉินอวี้โม่ และมองเห็นม่อเสียที่เพิ่งจะเดินกลับมา บุรุษหน้าใสก็เอามือลูบท้ายทอยอีกครั้งอย่างขัดเขิน
“เอ่อคือ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากว่าท่านมีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ หรือมีอะไรอยากให้ช่วยก็บอกข้ามาได้เลย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ ข้าจะไม่ปฏิเสธเด็ดขาด”
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดโอวหยางชิงเฟิงก็กล่าวสิ่งที่เขาคิดว่าดีที่สุดออกมา
“แต่ก่อนจะพูดเรื่องนั้น คุณชายช่วยบอกเราได้หรือไม่ว่าเจ้าคือใคร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นมา บุรุษหน้าใสตาโต ทั้งกิริยาท่าทางก็ยังดูไม่โตเลยสักนิด แต่กลับกล้าออกมาผจญภัยภายในป่าแสงจันทร์และยังมีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นคู่หู ดังนั้นเขาต้องไม่ธรรมดาแน่ อีกทั้งสภาวะพลังของเขายังแข็งแกร่งกว่านางด้วย หากคาดเดาไม่ผิดเขาน่าจะอยู่ในขอบเขตนภมายา !
“ข้าชื่อ โอวหยางชิงเฟิง”
โอวหยางชิงเฟิงบอกชื่อของตัวเองออกไปด้วยรอยยิ้ม
“อืม”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วพยักหน้า
“ห๊าา ! นี่พวกเจ้าไม่ประหลาดใจเลยหรือที่ได้ยินชื่อข้า ?”
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูนิ่ง ๆ หลังจากได้ยินชื่อเขา โอวหยางชิงเฟิงก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
“แล้วทำไมเราต้องประหลาดใจด้วยล่ะ ?”
เสี่ยวโร่วกลอกตา มันก็คือชื่อเรียกขานเท่านั้น มีอะไรต้องประหลาดใจกัน
“พวกเจ้าไม่รู้จักโอวหยางชิงเฟิงอย่างนั้นหรือ ?”
ตาโต ๆ ของโอวหยางชิงเฟิงเบิกกว้าง เขาจ้องมองฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วสลับไปสลับมาแล้วถามอย่างงุนงง
“เจ้านี่หลงตัวเองจังเลยนะ มีเหตุผลอันใดที่พวกเราต้องรู้จักเจ้าด้วย ?”
เสี่ยวโร่วมองโอวหยางชิงเฟิงด้วยสายตาดูถูก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกนางจะต้องตกใจเมื่อได้ยินนามของบุรุษผู้นี้ด้วย
โอวหยางชิงเฟิงผงะไปก่อนจะรีบกล่าว “ข้าเป็นผู้มีชื่อเสียงแห่งป่าแสงจันทร์ การที่พวกเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อข้าก็แสดงว่าพวกเจ้าเพิ่งจะเคยเดินทางมายังป่าแสงจันทร์ครั้งแรกเช่นนั้นสินะ ?”
…ผู้ที่ถูกเรียกขานนามว่าโอวหยางชิงเฟิงนี้ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักผจญภัยที่เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ว่า ‘ลมอ่อนแห่งป่าแสงจันทร์’ เขาไม่ได้มีดีเพียงฝีมือที่สูงส่งเท่านั้น เขายังเป็นบุรุษมากไมตรี เป็นมิตรกับทุกผู้คน เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายที่มักจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ต่างก็ชื่นชอบเขามาก และบางคนก็ถึงกับให้ความเคารพยำเกรง ยกย่องนับถือเขา ขอเพียงเป็นผู้ที่เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์แห่งนี้หลายครั้ง หรือเคยศึกษาเรื่องราวของป่าแสงจันทร์มาเป็นอย่างดี ก็ย่อมต้องรู้จักนามของโอวหยางชิงเฟิง…
การที่นักเดินทางที่มีเพียงสองสตรีตัวน้อยกลุ่มนี้ไม่รู้จักนามของเขาจึงทำให้โอวหยางชิงเฟิงรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เขาก็ทราบในทันทีว่าทั้งหมดต้องไม่เคยเดินทางผ่านสถานที่แห่งนี้มาก่อน
อีกทั้งหากพิจารณาดี ๆ สตรีทั้งสองมีอสูรมายาในระดับเทวะราชันที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้คอยคุ้มครอง การที่พวกนางจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์อย่างไม่เกรงภัยก็อาจจะไม่แปลกมากนัก
แววตาของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเรื่องที่โอวหยางชิงเฟิงบอกเล่า หากสิ่งที่เขากล่าวมาเป็นเรื่องจริงก็แสดงว่าเขาเดินทางร่อนเร่อยู่ภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้บ่อย ๆ ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับพวกนางไม่น้อย
“โอวหยางชิงเฟิง แท้จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราเดินทางเข้ามาในป่าแสงจันทร์แห่งนี้ และเนื่องจากเจ้าก็มีความผิดติดค้างพวกเราอยู่ เหตุใดไม่อาสาเป็นไกด์ (Guide) นำทางให้เราเลยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยทีเล่นทีจริงด้วยใบหน้านึกสนุกพร้อมแย้มยิ้มมุมปาก นางต้องการหาประสบการณ์ภายในป่าแห่งนี้ หากว่าได้ผู้ที่คุ้นเคยมาคอยช่วยนำทางก็จะเป็นเรื่องที่สะดวกและประหยัดเวลาได้ไม่น้อย
“ไกด์คืออะไร ?”
โอวหยางชิงเฟิงก็ชะงักค้างไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่พูดก่อนจะเอ่ยถาม เขาไม่รู้จักคำว่าไกด์
“เอ่อ… ข้าหมายถึงว่าเราไม่คุ้นเคยกับป่าแสงจันทร์แห่งนี้และเรากำลังมองหาสถานที่ดี ๆ สำหรับฝึกวิชา ซึ่งข้าก็หวังว่าเจ้าจะพาพวกเราไปหาสถานที่เหมาะสมที่ว่าได้”
ฉินอวี้โม่อธิบายออกไปด้วยรอยยิ้ม… เก้อเขิน
“อ่อ เรื่องนั้นไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น สำหรับเขาแล้วเพียงแค่หาสถานที่เหมาะสมสำหรับฝึกวิชาไม่นับว่าเป็นปัญหาแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ เมื่อทุกอย่างลงตัวแล้วพวกเราก็อย่ามัวช้ากันอยู่เลย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยต่อ “ชื่อของข้าคือฉินอวี้โม่ ส่วนสาวน้อยผู้นี้คือเสี่ยวโร่ว ส่วนนั่นม่อเสีย โปรดแนะนำพวกเราด้วย”
เมื่อได้ยินการแนะนำตัวของฉินอวี้โม่ โอวหยางชิงเฟิงก็พยักหน้า และหลังจากลอบพิจารณารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่โดยละเอียดแล้วก็อดทำให้โอวหยางชิงเฟิงอดหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้
ต้องบอกเลยว่าความรู้สึกของโอวหยางชิงเฟิงผู้นี้เชื่องช้ายิ่งนัก เขาใช้เวลานานมากกว่าจะสังเกตเห็นถึงความงามของฉินอวี้โม่ และอาจจะเป็นเพราะเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้มานานแล้วจึงทำให้ไม่มีโอกาสได้พบเจอสาวงาม เมื่อได้เห็นก็ทำให้บุรุษผู้อยู่ป่ามีใบหน้าแดงซ่านอย่างอดไม่ได้
เมื่อได้เห็นท่าทางเปลี่ยนไปของโอวหยางชิงเฟิง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอ่อนอย่างรู้ทัน ทว่าก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา… คุณหนูสี่ช่างเป็นสตรีที่งดงามมากจริง ๆ
ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้นับว่าสัญชาตญาณระวังภัยและความระแวดระวังทั้งหลายที่มีต่อชายผู้นี้ของฉินอวี้โม่ลดทอนลงไปมาก เพราะหลังจากที่ลอบสังเกตและได้พูดคุยกันมา ดูแล้วบุรุษหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มผู้นี้เป็นคนที่เรียบง่ายและเป็นมิตรไม่น้อยทีเดียว
หลังจากเก็บเกี่ยวสมบัติมีค่าทั้งหลายจากร่างของมังกรดินยักษ์แล้ว ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วและม่อเสียก็เดินตามโอวหยางชิงเฟิงผู้เป็นอาสาสมัครนำทางไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาสถานที่พักค้างแรมดี ๆ ดังที่เขาบอกเล่า
ระหว่างการเดินทางไกล ฉินอวี้โม่ก็ได้ทราบว่าโอวหยางชิงเฟิงนั้นนับว่ายังเป็นเด็กอยู่มาก อายุของเขามากกว่านางเพียงสองปี นั่นแสดงว่าเขายังมีอายุไม่ถึงยี่สิบปีบริบูรณ์… เด็กอายุไม่ถึงยี่สิบในยุคที่เธอจากมานั้นก็ถือว่าค่อนข้างเด็ก อย่างน้อยก็ถือว่ายังไม่บรรลุนิติภาวะด้วยซ้ำ
“ชิงเฟิง หากว่าเดาไม่ผิดเจ้าคงจะอยู่ขอบเขตนภมายาแล้วสินะ”
หลังจากลอบตรวจสอบสภาวะพลังของอีกฝ่ายจนมั่นใจแล้วสาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าอย่างไม่คิดจะปิดบังสหายสาวทั้งสอง
“ข้าเพิ่งจะทะลวงผ่านขึ้นมาได้ไม่นานนัก”
โอวหยางชิงเฟิงเป็นคนเรียบง่ายและซื่อตรง เขาเริ่มรู้สึกชื่นชมฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ว เขาจึงปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนเป็นสหาย เมื่อสหายถามไถ่เขาจึงตอบออกไปตามตรงไม่ปิดบัง
“เจ้าช่วยบอกข้าได้หรือไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะทะลวงผ่านไปยังขอบเขตนภมายาได้?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามสิ่งที่นางสงสัยมานานกับโอวหยางชิงเฟิง ในที่สุดนางก็ได้พบกับจอมยุทธ์ขอบเขตนภมายาแล้ว นางต้องการจะรู้ถึงวิธีการทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตนี้
“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” โอวหยางชิงเฟิงส่ายศีรษะและกล่าวต่อ “ในตอนที่ข้ายังอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดารา มีอยู่วันหนึ่งที่ข้าต้องต่อสู้เป็นตายแบบตัวต่อตัวกับอสูรมายาที่แข็งแกร่งมาก ในตอนนั้นเมื่อถึงคราววิกฤต จู่ ๆ ข้าก็ก้าวข้ามขอบเขตไปได้โดยไม่ตั้งใจ”
โอวหยางชิงเฟิงเองก็ยังงุนงง การตัดผ่านของเขาในเวลานั้นนับว่าแปลกมาก ตอนที่เขาต่อสู้กับอสูรมายาระดับเทวะ จู่ๆ เขากลับสามารถทะลวงผ่านไปสู่ขอบเขตนภมายาได้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่คิดว่าโอวหยางชิงเฟิงจะโกหกนาง ทว่าหากเป็นดังที่โอวหยางชิงเฟิงเล่า เช่นนั้นการจะทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ก็ต้องอาศัยโชคและจังหวะเวลาที่เหมาะสม หรืออีกอย่างก็คือจะต้องมีเงื่อนไขที่พิเศษถึงจะสามารถตัดผ่านได้ ซึ่งก็ยังไม่สามารถบอกได้เลยว่าจะเป็นเมื่อไหร่เช่นนั้นหรือ ?
“อวี้โม่ มีปัญหาอะไรหรือ ? หรือว่าเจ้าเกือบจะก้าวข้ามขอบเขตแล้ว ?”
แม้ว่าโอวหยางชิงเฟิงจะเป็นคนซื่อ ทว่าเขาก็ยังมีไหวพริบ เมื่อได้ยินคำถามนี้ของฉินอวี้โม่ เขาจึงคาดเดาว่านางคงใกล้จะทะลวงสู่นภมายาแต่อาจมีปัญหาบางอย่าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเองก็ไม่คิดปกปิดโอวหยางชิงเฟิงเช่นกัน
“เมื่อไม่กี่วันก่อน ข้ารู้สึกได้ว่าพลังภายในของเขาเพียงพอที่จะทะลวงผ่านได้แล้ว ทว่าแม้จะผ่านมาหลายวันแต่กลับไม่มีสัญญาณของการข้ามสู่ขอบเขตต่อไปให้ได้เห็น หากข้าคาดเดาไม่ผิด การจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาคงต้องอาศัยจังหวะเวลาและเงื่อนไขบางอย่างที่ค่อนข้างพิเศษ”
ต้องทราบก่อนว่าขอบเขตนภมายานั้นถือเป็นปราการด่านสำคัญสำหรับจอมยุทธ์ ขอเพียงทะลวงเข้าสู่นภมายาได้ ความแข็งแกร่งก็จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ว่ากันว่าจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายาสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้และสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ระดับสูงได้มากมาย ยิ่งกว่านั้นการต่อสู้ของจอมยุทธ์ในขอบเขตนภมายานี้จะแตกต่างจากการต่อสู้ของจอมยุทธ์ในขอบเขตที่ต่ำกว่า นั่นคือ ด้วยข้อจำกัดของความแข็งแกร่งและขอบเขตพลังส่งผลให้จอมยุทธ์ในขอบเขตที่ต่ำกว่านภมายาไม่สามารถใช้วิทยายุทธ์ที่ร้ายกาจรุนแรงได้มากนัก
โอวหยางชิงเฟิงพยักหน้าและกล่าว “ในสมัยที่ข้ายังอยู่ในตระกูล ข้าได้ยินมาจากผู้อาวุโสว่า การจะทะลวงผ่านจากขอบเขตมายารัตนะสู่ขอบเขตนภมายาเป็นเรื่องยาก นภมายาถือเป็นขอบเขตสำคัญของการฝึกวรยุทธ์ หากทะลวงผ่านมาถึงขอบเขตนี้ได้ทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง ข้าว่าบางทีโอกาสของเจ้าอาจจะยังมาไม่ถึง”
เมื่อฟังจากคำบอกเล่านั้นแล้ว ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาได้ว่าตระกูลของโอวหยางชิงเฟิงน่าจะเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ไม่น้อย ทว่าก็โชคร้ายที่เขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาก แต่อย่างหนึ่งที่น่าจะถูกต้องก็คือภายในตระกูลของบุรุษหน้าใสผู้นี้น่าจะมีจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งที่อยู่ในขอบเขตนภมายาและสูงกว่านั้นอยู่หลายคน
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เองก็สงสัยว่าเหตุใดโอวหยางชิงเฟิงถึงได้มาอาศัยอยู่ภายในป่าทั้งๆ ที่เกิดในตระกูลที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ยิ่งกว่านั้นจากที่สิ่งเขาเล่ามา เขาบอกว่าตัวเองอยู่ในป่าแสงจันทร์แห่งนี้มาถึงห้าปีแล้วอีกด้วย !
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็เลือกที่จะไม่ถามเรื่องนั้น
หลังจากเดินสนทนากันมาได้พักใหญ่ ในที่สุดภาพของค่ายพักแรมขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
.
.
.
ตอนที่ 52 เดินทางผ่านป่าแสงจันทร์
“นายหญิง พวกเรากำลังจะไปที่ไหนกันเจ้าคะ ?”
ณ จุดหนึ่งที่ลึกเข้าไปในพงไพรใหญ่กว้าง ฉินอวี้โม่กำลังเดินทางไปพร้อมเหล่าอสูรมายาของนาง
หลังจากได้รับรางวัลของอสูรล้อมเมืองและทำพันธสัญญากับอสูรมายาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก็บอกลาชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นก่อนที่จะเดินทางออกจากเมืองเยว่กวาง
อดีตนักฆ่าสาววางแผนไว้ว่าจะใช้โอกาสในการเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ครั้งนี้สำหรับฝึกฝนพลังมายาและทักษะการต่อสู้ของตัวเองให้มากขึ้น นางต้องการจะเก่งขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นให้ได้มากกว่านี้ เหตุผลหนึ่งก็เพื่อจะได้ตามหาท่านแม่ให้พบ และอีกเหตุผลหนึ่งคือเมื่อพบท่านแม่แล้ว พวกนางสองแม่ลูกและเสี่ยวโร่วจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยไม่มีผู้ใดมารังแกได้
ในดินแดนที่ความแข็งแกร่งอยู่เหนือทุกสิ่งเช่นนี้ การฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงสำคัญที่สุด อีกทั้งการเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน ดังนั้นนางจะไม่ยอมปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
ตอนนี้นับว่ากองกำลังอสูรมายาขนาดย่อมของนางนั้นแข็งแกร่งไม่น้อยทีเดียว เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย ทั้งสามตัวเป็นอสูรระดับเทวะ ส่วนม่อเสียเป็นอสูรเทวะราชัน และยังมีสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นอสูรมายาที่ทั้งทรงพลังและแข็งแกร่งแต่ยังระบุระดับไม่ได้อยู่อีกหนึ่ง นั่นก็คือซิว ในขณะที่เพียงพอนที่กำลังนอนขดอยู่บนไหล่ของนางก็เพิ่งจะโตเต็มวัย ถึงแม้ความแข็งแกร่งของมันจะยังมีไม่มากนักแต่ในอนาคตก็อาจเป็นไปได้ว่ามันจะแข็งแกร่งไม่แพ้ตัวอื่นๆ ในกลุ่ม
และการมีกลุ่มอสูรมายาที่ทรงพลังถึงเพียงนี้คอยเป็นองครักษ์คุ้มครองในขณะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ก็น่าอุ่นใจและคงจะไม่มีอันตรายใดๆ เข้ามากล้ำกรายนางกับเสี่ยวโร่วได้โดยง่าย
เสี่ยวโร่วเดินตามฉินอวี้โม่มาติด ๆ เวลานี้สาวใช้น้อยอยู่ขอบเขตมายารัตนะ ในหลายวันที่ผ่านมาพลังของเสี่ยวโร่วเริ่มจะมั่นคงขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อรวมกับเสี่ยวหง พวกนางก็นับเป็นคู่หูที่แข็งแกร่งไม่น้อยเลย
“น้องเหมียว เจ้านี่โง่จริง ๆ นายหญิงบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าพวกกำลังจะเดินผ่านป่าแสงจันทร์เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋น”
ในหลายวันที่ผ่านมาเสี่ยวเฮยมักจะหาเรื่องหยอกล้อและแกล้งแหย่เสี่ยวเยี่ยเสมอ เสี่ยวเยี่ยเป็นอสูรมายาขี้เกรงใจจนติดจะขี้อาย และยังเป็นเพศเมียตัวเดียวในกลุ่มอสูรมายาของฉินอวี้โม่ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างเป็นจุดสนใจของอสูรรุ่นพี่ทั้งหลายในกลุ่ม
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังก้าวเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบเร่ง เสี่ยวเฮยตัวน้อยและอสูรมายาอื่น ๆ อยู่ในร่างเล็กจิ๋ว พวกมันจำเป็นต้องเปลี่ยนร่างให้เล็กลงกว่าเดิมเพื่อให้เกาะอยู่บนไหล่บางของนายหญิงได้พร้อม ๆ กันทุกตัว
ส่วนม่อเสียที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ก็กำลังเดินอยู่เคียงข้างร่างบาง หากจะกล่าวให้ชัดเจนแล้วม่อเสียนั้นนับว่ามีวัยวุฒิสูงกว่าตัวอื่น ๆ ในกลุ่ม หากเทียบกับมนุษย์มันก็นับว่าเป็นผู้ใหญ่ อีกทั้งแต่เดิมเจ้าหมีดำตัวนี้ก็มีนิสัยถือตัวเจ้ายศเจ้าอย่าง ดังนั้นมันจึงไม่อยากอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่
“พี่เฮย ข้ารู้ว่าพวกเรากำลังจะไปที่เมืองไป๋อวิ๋น แต่ข้าแค่สงสัยว่าตอนนี้เราจะไปตรงไหนดี?”
เสี่ยวเยี่ยไม่ได้โกรธ ตรงข้ามมันกลับมีความสุขมากกว่า แน่นอนว่ามันเป็นพวกชอบอยู่กับเพื่อน ๆ หลายตัวแบบนี้มากกว่าในตอนที่อยู่กับลิ่วเยว่
ฉินอวี้โม่ที่ฟังเหล่าอสูรมายาตัวกระจิริดกระจ้อยร่อยถกเถียงกันมาตลอดทางก็อมยิ้มอย่างนึกขำ
ความจริงแล้วตอนนี้นางรู้สึกเบาใจขึ้นมาก ในตอนแรกที่มารดาหายตัวไป ในใจของนางมีแต่ความโกรธแค้นและหดหู่
ทว่าตอนนี้นางค่อย ๆ สงบใจได้ และจัดระเบียบความคิดจนเข้าที่เข้าทางขึ้นมามากแล้ว เวลานี้สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือตั้งสติและพยายามคิดทบทวน
อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งที่นางค่อนข้างมั่นใจก็คือท่านแม่น่าจะปลอดภัยภายใต้การช่วยเหลือของยอดฝีมือลึกลับ ท่านแม่แม้เป็นฮูหยินใหญ่ตระกูลฉิน แต่ก็ถูกขับไล่ออกมาพร้อมนางซึ่งเป็นบุตรสาวไร้ค่า หากจะกล่าวว่ามีจุดประสงค์ที่จะเรียกเงินค่าไถก็คงเป็นไปไม่ได้ และถ้าหากพิจารณาจากรูปการณ์ให้ถ้วนถี่แล้ว ยอดฝีมือผู้นั้นจะต้องคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของพวกนางสองแม่ลูกอยู่ตลอด มิฉะนั้นคงไม่สามารถเข้าช่วยอวี้เสี่ยวอวิ๋นออกไปได้อย่างทันท่วงทีเช่นนั้น ทว่าเขาจะจับตามองพวกนางไปเพื่ออะไร หรือพาตัวมารดาของนางไปเพราะเหตุใดนั้น ยังคงเป็นปริศนาที่ฉินอวี้โม่คิดไม่ตก
เนื่องจากเรื่องนี้เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล นางจึงคิดจะไปยังนครไป๋อวิ๋นเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นนคราที่ใหญ่สุดในแถบนี้ก่อน เหตุผลหนึ่งคือเพื่อตามหาเบาะแสของยอดฝีมือลึกลับ และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อตามหาพี่ชายแล้วแจ้งข่าวเรื่องของมารดาให้เขาทราบพร้อมทั้งปรึกษาหารือว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป บางทีพี่ชายของนางอาจจะมีวิธีที่จะช่วยคลี่คลายปัญหาทุกอย่างลงได้
“คุณหนูกำลังคิดอะไรอยู่หรือเจ้าคะ ?”
เมื่อเห็นอาการเดี๋ยวอมยิ้ม เดี๋ยวครุ่นคิดเหม่อลอยของฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย ตอนนี้คุณหนูของนางแตกต่างไปจากเดิม ถึงแม้จะยังมีช่วงเวลาที่คุณหนูจมอยู่กับความเศร้าที่ฮูหยินหายไปอยู่บ้าง แต่อย่างน้อย ๆ เมื่อเทียบกับครั้งที่ยังอยู่ในจวนตระกูลฉินแล้ว นางก็ยิ้มมากขึ้น มีเหตุผลมากขึ้น กล้าหาญและมีเสน่ห์ขึ้นกว่าเดิมมาก
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและกล่าว “ข้าแค่รู้สึกว่าการได้ฟังเหล่าอสูรน้อยพูดคุยกันมันก็น่าสนใจดี”
“เจ้าค่ะ ข้าก็คิดว่าอยู่ด้วยกันเยอะ ๆ แบบนี้มีความสุขดีเหมือนกัน”
เสี่ยวโร่วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ที่ผ่านมานางแทบไม่เคยมีเพื่อนเลย ตอนนี้แม้ว่าเพื่อนของนางจะเป็นเหล่าอสูรมายาตัวนิดตัวน้อย แต่นางก็รู้สึกว่ามันมีความสุขมากจริง ๆ
“คุณหนู ตอนนี้ท่านอยู่ขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่และเอ่ยถามด้วยความสงสัย
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะไม่ได้บอกเสี่ยวโร่วทุกอย่าง แต่ก็ไม่เคยคิดจะปิดบังเช่นกัน เพียงแต่ที่ผ่านมาหากเสี่ยวโร่วไม่ได้ซักถามนางก็ไม่อยากจะอธิบายเท่านั้น
“ใช่ ข้าอยากจะใช้ช่วงเวลาที่เราเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้เพื่อหาโอกาสในการทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตนภามายา”
ฉินอวี้โม่ตอบ การเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์ในครั้งนี้ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว นางต้องการจะหาโอกาสเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตนภมายา เพราะในตอนนี้มิติเชื่อมอสูรของนางยังไม่กว้างมากนัก หากต้องการให้อสูรมายาเข้าไปอยู่ภายในนั้นได้มากกว่านี้นางก็ควรจะรีบทะลวงพลังขึ้นไปสู่ขอบเขตที่สูงกว่าโดยเร็ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อครั้งที่นางอยู่ในเมืองเล็ก ๆ อย่างหลิงซี ยอดฝีมือในขอบเขตมายารัตนะก็นับว่าหาได้ยากแล้ว ดังนั้นถึงแม้ตระกูลฉินจะมียอดฝีมืออยู่หลายคน แต่ก็ไม่มีผู้ใดที่ขึ้นถึงขอบเขตนภมายา
ด้วยเหตุนั้น ฉินอวี้โม่จึงไม่มีความรู้เกี่ยวกับขอบเขตนภามายาและไม่เคยเห็นตัวจริงของผู้อยู่ในขอบเขตนภมายากับตาตนเองมาก่อน และตอนนี้นางก็อยู่ในขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราแล้ว ทว่าพลังของนางกลับยังไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายาได้ ฉินอวี้โม่จึงต้องการจะสอบถามจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่การจะทำเช่นนั้นอย่างไรก็คงต้องรอให้ถึงนครไป๋อวิ๋นเสียก่อน
แม้ว่านางจะพอคาดเดาได้ว่าหานโม่ฉือน่าจะเคยผ่านการทะลวงเข้าสู่ขอบเขตนภมายามาแล้ว แต่เขาก็หายตัวไปก่อนที่นางจะได้ถาม และเท่าที่นางเคยรู้จักมา คนอีกผู้หนึ่งที่คาดว่าน่าจะเข้าสู่ขอบเขตนภามายาแล้วเช่นกันก็คือหลินจิ้งหง หากเป็นเขานางเชื่อว่าคงจะให้ข้อมูลที่ดีได้แน่ ซึ่งการไปที่นครไป๋อวิ๋นก็จะช่วยให้นางมีโอกาสได้พบสหายผู้นั้น
“ข้าเชื่อว่าคุณหนูจะต้องทำได้แน่เจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วกล่าวพร้อมกับพยักหน้าอย่างหนักแน่น สาวใช้น้อยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร นางเพียงแค่เชื่อมั่นในตัวฉินอวี้โม่ คุณหนูของนางยอดเยี่ยมยิ่งกว่าผู้ใดและจะเข้าสู่ขอบเขตนภมายาในเร็ว ๆ นี้อย่างแน่นอน
“สาวน้อย นับวันเจ้ายิ่งพูดเอาใจเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เลยนะ”
ฉินอวี้โม่เอ่ยคำหยอกล้อสาวใช้น้อยกลับไป
เสี่ยวโร่วหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“นายหญิง ข้างหน้าเหมือนจะมีการต่อสู้ !”
ตลอดเวลาที่เดินทางอยู่ในป่าแสงจันทร์ ม่อเสียแทบจะไม่พูดเลย มันเป็นอสูรถือตัวจึงไม่อยากจะสนทนากับตัวที่ระดับต่ำกว่า แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มและประสาทสัมผัสของมันก็เฉียบคมที่สุดในที่แห่งนี้ เมื่อรับรู้ความเคลื่อนไหวบางอย่างได้จากที่ไกล ๆ หมีดำในร่างมนุษย์จึงเป็นผู้แรกที่กล่าวเตือนขึ้นมา
‘ก่อนหน้านี้ยังเห็นเจ้าหมีนี่ช่างพูดอยู่เลย’ ฉินอวี้โม่คาดว่าอาจจะเป็นเพราะมันถูกซิวทำลายความมั่นใจไปหมด จู่ ๆ หมีเทวะราชันก็พบว่าความแข็งแกร่งที่มันแสนภาคภูมิใจนั้นกลับอ่อนหัดเหลือเกินต่อหน้ายอดฝีมือปริศนา นั่นคงเป็นเหตุผลให้ช่วงนี้มันอารมณ์ไม่ดีจนไม่อยากจะสนทนาพาทีกับผู้ใด
ฉินอวี้โม่จ้องมองอสูรมายาที่แข็งแร่งที่สุดของนางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ม่อเสีย อันที่จริงเจ้าไม่ต้องหดหู่ไปหรอกนะ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นอสูรที่มีความภาคภูมิและหยิ่งทะนง อย่าได้เสียความมั่นใจเพราะพ่ายแพ้ให้แก่ตัวตนน่าเกรงขามอย่างซิวเลย”
ฉินอวี้โม่กล่าวปลอบใจม่อเสีย แม้แต่นางเองก็ยังมองความแข็งแกร่งของซิวไม่ออก เจ้าหมีดำเองก็ควรจะลืมเรื่องซิวไปได้แล้ว
ม่อเสียพยักหน้าและก้าวเดินต่อไปโดยไม่พูดอะไร
“ม่อเสีย เจ้าคิดว่าการได้เป็นอสูรมายาของนายหญิงมันน่าอับอายสินะ?”
เสี่ยวจินตัวนิดเอ่ยขึ้นมา ก่อนหน้านี้มันเองก็เคยถูกซิวเผาจนเกือบจะกลายเป็นนกย่าง แน่นอนว่ามันย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของซิวดี แต่เจ้าเหยี่ยวทองก็ไม่คิดว่าการเป็นสัตว์อสูรของฉินอวี้โม่จะน่าอับอายแต่อย่างใด
“ไม่ใช่ ข้าแค่ยังปรับตัวไม่ได้”
ม่อเสียส่ายหัว ที่มันพูดออกไปคือเรื่องจริง
“ข้าเข้าใจ เจ้าคิดว่าพวกเราถูกมนุษย์ข่มเหงรังแกมานานสินะ เจ้าถึงได้อยากจะแก้แค้นมนุษย์ พอต้องตกมาเป็นอสูรมายาของมนุษย์เสียเองเจ้าถึงทำใจยอมรับไม่ได้”
เสี่ยวเฮยเอ่ยขึ้นราวกับมันเข้าไปนั่งอยู่กลางใจหมีดำเทวะราชัน
“การปลุกระดมเหล่าอสูรมายาในป่าแสงจันทร์ให้บุกเข้าไปโจมตีเมืองเยว่กวาง เป็นความคิดของข้าเอง แต่ไหนแต่ไรมามนุษย์รุกล้ำเข้าไปในถิ่นที่อยู่เรา ไล่ล่าจับอสูรมายา บ้างก็ฆ่าให้ตาย บ้างก็เอาไปใช้งาน ข้าต้องการสั่งสอนและแสดงพลังของเหล่าอสูรมายาให้พวกมนุษย์ได้เห็น จะได้ไม่กล้าเข้ามารังแกพวกเราอีก ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะต้องตกเป็นอสูรมายาของมนุยษ์เสียเองแบบนี้”
ดูเหมือนว่าคำพูดของเสี่ยวเฮยจะแทงใจหมีเข้าอย่างจัง จึงทำให้ม่อเสียพรั่งพรูความในใจทั้งหมดออกมา
มันสงสัยมาตลอดว่าในเมื่ออสูรมายาถูกพวกมนุษย์ข่มเหงรังแกมานานแสนนาน แล้วเหตุใดอสูรมายาบางส่วนถึงได้ยอมไปเป็นทาสรับใช้ของมนุษย์แถมยังทำท่าทีมีความสุขนักหนา เรื่องนี้หมีดำผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยยอมรับได้
“ม่อเสีย ทุกอย่างเป็นไปตามกฎแห่งธรรมชาติ ทุกสรรพสิ่งธรรมชาติจะเป็นผู้คัดสรร ความสัมพันธ์ของมนุษย์และอสูรมายาก็เป็นเช่นนี้มาช้านาน ไม่เพียงแค่มนุษย์เท่านั้นที่ฆ่าอสูรมายา เหล่าอสูรมายาเองก็เข่นฆ่ามนุษย์ไปไม่น้อยเลยเช่นกัน อย่าบอกข้านะว่าเจ้าไม่รู้เรื่องที่อสูรมายาทำร้ายหรือจับมนุษย์กินเลย”
ฉินอวี้โม่เอ่ยปากขึ้นเพื่อปรับทัศนะของอสูรมายาจอมทระนง ม่อเสียมีนิสัยหยิ่งยโส ทว่าต้องยอมรับว่ามันมีความคิดที่ละเอียดอ่อนทั้งยังชอบคิดเล็กคิดน้อย อาจเป็นเพราะมันเกิดมาเป็นราชา เป็นผู้นำแห่งหมู่มวลอสูร ทำให้เจ้าหมีราชันชอบคิดแทนอสูรทั้งหลาย เห็นได้ชัดว่ามันคำนึงถึงการใช้ชีวิต ความเป็นอยู่ และความสงบสุขของเหล่าอสูรมายา
อย่างไรก็ตาม ม่อเสียเกิดมาก็อยู่ในจุดที่สูงที่สุดมันจึงมักจะมองว่ามนุษย์เป็นฝ่ายข่มเหงอสูรมายา ทว่ากลับไม่เคยมองในมุมมองที่ว่าทั้งหมดเป็นวัฏจักรของห่วงโซ่อาหาร ไม่ใช่แต่เพียงมนุษย์ที่เข่นฆ่าอสูรมายา แต่อสูรมายานั้นก็จู่โจมและไล่ล่ามนุษย์เช่นกัน นี่คือความสัมพันธ์ของการอยู่ร่วมกันในธรรมชาติของมนุษย์และอสูรมายา ในดินแดนหวนหลิงที่ความแข็งแกร่งคือทุกสรรพสิ่งแล้ว สำหรับทั้งมนุษย์และอสูรมายาผู้ใดแข็งแกร่งกว่าก็คือผู้รอดชีวิต
“ข้าเข้าใจแล้วนายหญิง”
หลังจากฟังวาจาของสตรีมนุษย์ผู้เป็นนาย ม่อเสียก็พยักหน้าราวกับว่ามันเริ่มเข้าใจบางอย่างแล้ว
“มีตัวอย่างที่ดีอยู่ตรงหน้าเจ้า”
เมื่อเห็นใบหน้ายุ่งยากใจของม่อเสีย ฉินอวี้โม่ก็ชี้นิ้วไปด้านหน้า
ที่เบื้องหน้านั้น ไม่ไกลจากจุดที่พวกเขาอยู่มากนัก ปรากฏร่างของอสูรมายาแสนดุร้ายกำลังเขมือบร่างมนุษย์เข้าไปในปาก ข้าง ๆ ตัวของมันยังมีเศษกระดูกที่แตกหักหล่นกระจัดกระจายอยู่ด้วย ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเศษกระดูกมนุษย์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากการที่มันตะลุยกินอย่างตะกละตะกลามจนไม่สามารถจัดการอาหารได้อย่างหมดจด
“นี่คือจุดจบของมนุษย์ที่ไม่ตอบโต้อสูรมายา ไม่ใช่ว่าอสูรมายาหรือมนุษย์ทุกคนจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติได้ และไม่ใช่ว่าอสูรมายาและมนุษย์ทุกคนจะกลายเป็นเพื่อนกันได้”
“นายหญิงพูดถูกแล้ว ข้าเคยเป็นอสูรมายาของคนชั่วมาก่อน ชายคนนั้นไม่เคยปฏิบัติกับข้าเหมือนเป็นอสูรมายาคู่กาย แต่มองเห็นข้าเป็นเพียงทาสรับใช้ เขาไม่ได้ใจดีเหมือนนายหญิง เขาโหดร้ายมาก ข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของเขาทุกอย่าง ข้าอยากจะหนีไปจากเขาให้พ้น ๆ แต่ข้าก็รู้ไม่ว่าจะต้องทำยังไง ข้ารู้สึกว่าข้าโชคดีจริง ๆ ที่ได้มาพบนายหญิง”
เสี่ยวเยี่ยเล่าความในใจของมันเสียงหวาน เสือที่เหลือขนาดตัวเพียงนิดเดียวพยักหน้าประกอบอย่างหนักแน่น
มันติดตามลิ่วเยว่มาก่อน เมื่อมันทำสิ่งใดไม่ได้ดั่งใจเขา มันก็มักจะถูกลิ่วเยว่ดุด่าหรือข่มขู่อยู่ตลอด ตอนนี้เมื่อมันได้มาอยู่กับฉินอวี้โม่ มันก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมาก
“ใช่ เหมียวน้อยพูดถูกแล้วล่ะ นายหญิงใจดีที่สุด พวกข้าเองก็มีความสุขมาก”
เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินพยักหน้าเล็กๆ ของมันหงึกหงักเพื่อสนับสนุนวาจาของสหาย
“โร่วววววววว !”
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้นมังกรดินก็มองเห็นฉินอวี้โม่และกองกำลังอสูรมายาของนาง
มังกรดินเป็นอสูรเทวะดาราสูง ร่างกายของมันแข็งแกร่งอย่างไร้เทียมทานและมีพละกำลังอันมหาศาล หากมนุษย์คนใดถูกหางยาว ๆ ของมันฟาดเข้าใส่ คนผู้นั้นก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือถึงตายได้
โดยธรรมชาติแล้วมังกรดินเป็นอสูรมายาที่โหดร้าย มันไร้อารมณ์หรือความยั้งคิด ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ อสูรมายา หรือแม้แต่เผ่าพันธุ์เดียวกัน ตราบใดที่อีกฝ่ายอ่อนแอกว่าก็จะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันทั้งหมดนั่นก็คือ… ถูกมันจับกิน
ดูเหมือนว่าจะมีกลุ่มนักผจญภัยโชคร้ายบังเอิญผ่านมาเจอเจ้ายักษ์เขี้ยวคมตัวนี้เข้า และตอนนี้พวกเขาก็กลายเป็นอาหารของมันไปเรียบร้อยแล้ว
“ฮ่า ๆ มีอาหารน่าอร่อยเต็มไปหมด ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะโชคดีเหลือเกิน”
มังกรดินส่งเสียงออกมา และวิ่งตรงเข้าหาคณะเดินทางของฉินอวี้โม่
“นายหญิง ให้ข้ารับมือกับมันเอง !”
ในตอนนี้ คล้ายว่าม่อเสียจะเข้าใจในบางอย่างขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของอสูรเทวะราชันร่างมนุษย์กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนก่อนหน้านี้อีกครั้ง
ร่างของม่อเสียหายไปจากจุดที่ยืนอยู่ในฉับพลัน มันพุ่งเข้าหามังกรดินอย่างรวดเร็ว
“ฮ่า ๆ ๆ เจ้ามนุษย์ตัวเล็ก อยากจะเข้ามาอยู่ในท้องของข้ามากขนาดนั้นเลยรึ?”
เมื่อเห็นม่อเสียพุ่งตรงเข้ามาหา มังกรดินก็กล่าวอย่างรื่นเริง มันดูมีความสุขมาก
“ข้าแค่คิดว่าหนังหนา ๆ ของเจ้าน่าสนใจดี เลยอยากจะถลกมันออกมาทำเกราะเสียหน่อย”
ม่อเสียตอบกลับไปอย่างโอหัง ในระหว่างที่กำลังพุ่งเข้าหาอีกฝ่าย หมีดำเทวะราชันก็เปลี่ยนกลายกลับมาเป็นร่างจริง
“โฮกกกกก !”
ม่อเสียคำรามออกมาดังสนั่นก่อนจะกางกรงเล็บและตะปบอุ้งเท้าหน้าเข้าใส่หน้ามังกรดิน
เจ้ามังกรตะกละนี่ช่างไม่เจียมตัว เป็นเพียงอสูรเทวะตัวน้อย ๆ แต่กลับกล้ามาโอหังต่อหน้ามัน แม้ว่าหนังของมังกรดินจะแข็งและหนา แต่ก็คงไม่คณนากรงเล็บของหมีดำระดับเทวะราชันเป็นแน่!
เมื่อเห็นม่อเสียเปลี่ยนร่างมาเป็นหมีดำอย่างกะทันหัน มังกรดินก็ผงะไปเล็กน้อย ก่อนที่พริบตาต่อมา ภายในแววตาของมันจะปรากฏอาการตื่นตระหนก
อีกฝ่ายเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้แสดงว่าอย่างต่ำที่สุดก็ต้องเป็นอสูรเทวะราชัน แม้ว่าเกราะของมันจะแข็ง แต่ก็คงจะต้านทานพลังทำลายล้างอันแข็งแกร่งของอสูรเทวะราชันไม่ได้เป็นแน่!
เมื่อคิดได้เช่นนี้มังกรดินก็หันหลังและวิ่งหนีเข้าไปในป่า ทว่าก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้พ้น
เมื่อเห็นมังกรดินวิ่งหนี ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าเป็นสัญญาณให้อสูรเทวะทั้งสามที่อยู่บนไหล่
เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ยเปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างและขนาดที่แท้จริงก่อนจะพุ่งเข้าขัดขวางการหลบหนีของมังกรดินอย่างรวดเร็ว
“เจ้ามังกรดินบัดซบ ตายซะเถอะ !”
ทว่าในเวลานั้นเองเสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงสภาวะพลังที่แข็งแกร่งกำลังมุ่งตรงมาในทิศทางที่ทุกคนอยู่
.
.
.
ตอนที่ 51 กองกำลังขนาดย่อม ๆ ที่แข็งแกร่ง
“แม่นางฉินฝีมือสูงส่ง แม่นางฉินฝีมือสูงส่ง !”
เสียงแซ่ซ้องสรรเสริญดังระงมไปทั่วบริเวณ ได้ยินไกลถึงในเมืองและดังเข้าไปในผืนป่ากว้าง ทุกคนต่างก็ชื่นชมและซาบซึ้งในตัวฉินอวี้โม่
สตรีเช่นนี้ ในแผ่นดินหวนหลิงคงไม่อาจจะหาผู้ทัดเทียมได้อีกแล้ว
เมื่อมองเห็นฝูงชนพากันกล่าวคำยกย่องฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็รีบเดินหน้าหดตัวลีบฝ่าผู้คนออกไปอย่างเงียบเชียบ อสูรล้อมเมืองในครั้งนี้แทบจะเรียกว่าสูญเปล่า นอกจากอสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัวแล้วเขาก็ไม่ได้สิ่งใดอื่นเลย ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเผลอไปล้ำเส้นผู้เป็นสุดยอดแห่งผู้ฝึกสัตว์อสูรเข้าให้แล้ว
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจผู้อาวุโสจาง นางไม่ได้มีเวลามากนัก อีกทั้งนางก็ไม่คิดที่จะใส่ใจผู้อาวุโสคนนี้ตั้งแต่แรก ในตอนนี้ สู้เอาเวลาไปช่วยเหลือเหล่าพันธมิตรของนางสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ยังมีความสุขเสียมากกว่า
“นายหญิง ท่านควรจะทำพันธสัญญากับเจ้าเหมียวตัวนั้น”
เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินชี้ไปในทิศทางหนึ่งพร้อม ๆ กัน ณ จุดนั้นมีเสือตัวใหญ่ท่าทางน่าสงสารนอนหมอบอยู่อย่างเหงาหงอย ดู ๆ ไปแล้วก็ไม่ต่างจากแมวตัวใหญ่ที่กำลังป่วยเลยสักนิด
เสือหงอยตัวนั้นเป็นอสูรมายาของลิ่วเยว่–พยัคฆ์ขนทอง มันเป็นอสูรเทวะเจ็ดดารา ตามปกติแล้วเมื่อคนผู้หนึ่งตายไปอสูรมายาที่ได้รับการผูกพันธสัญญากับคนผู้นั้นก็จะสูญสลายหายไปด้วย ในตอนนี้เนื่องจากลิ่วเยว่ตายไปแล้ว อสูรในพันธสัญญาของเขาก็ควรจะหายไป อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะคำสาบานของลิ่วเยว่ที่จะมอบอสูรมายาให้แก่ฉินอวี้โม่จึงทำให้พยัคฆ์ขนทองยังคงมีชีวิตรอดอยู่
แต่ถ้าหากว่าฉินอวี้โม่ไม่ยินยอมรับและทำพันธสัญญากับพยัคฆ์ขนทองตัวนี้ ในไม่ช้าตัวมันก็จะสูญสลายไปตามกฏเกณฑ์พิศวงของโลกมายาใบนี้
เมื่อมองดูเสือสีทองที่กำลังหมอบซึมอยู่กับพื้นไม่ต่างจากแมวป่วย ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า การมีอสูรมายาเพิ่มขึ้นอีกเป็นเรื่องดี แม้เพียงหนึ่งตัวก็ช่วยให้นางแข็งแกร่งขึ้นได้
“ดุ๊กดุ๊ก !”
จู่ ๆ เสียงร้องเล็ก ๆ ก็ดังขึ้นจากภายในกรงใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ ตัวพยัคฆ์ขนทองอย่างเรียกร้องความสนใจ
ซึ่งเมื่อทุกผู้คนกวาดสายตาไปในทิศทางดังกล่าวก็มองเห็นอสูรมายาขนาดเล็กอยู่ภายในกรงนั้น แท้จริงแล้วมันคือลูกเพียงพอนตัวน้อยน่ารัก อสูรมายาสุดหวงของหลี่เปียวที่เขาใช้เป็นเดิมพันในการแข่งขันครั้งนี้ ตอนนี้มันตื่นขึ้นมาแล้วและเริ่มส่งเสียงร้องแหลมเล็ก
“ไปกันเถอะ ไว้กลับไปข้าจะผูกพันธสัญญากับพวกนั้นทีหลัง”
อสูรล้อมเมืองในปีนี้จบลงแล้ว ฉินอวี้โม่และสหายได้ประโยชน์กันอย่างมหาศาล เมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืด พวกเขาจึงเดินทางกลับเข้าเมือง
“คุณชายหานจะกลับไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่หันไปมองหานโม่ฉือที่อยู่ใกล้ ๆ และเอ่ยถาม
“ข้ายังมีงานอื่นที่ต้องไปทำ ขอตัวก่อน”
หานโม่ฉือจ้องมองสตรีตรงหน้าอย่างครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวปฏิเสธในที่สุด
“ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้า ถ้าเจ้าต้องการจะไปที่นครไป๋อวิ๋น นำมันไปที่ตระกูลหานและมาพบข้าได้”
หานโม่ฉือส่งป้ายหยกกลม ๆ ที่มีสัญลักษณ์บางอย่างให้ฉินอวี้โม่ก่อนจะหันหลังและหายวับไปต่อหน้าทุกคน
ฉินอวี้โม่กำป้ายหยกที่หานโม่ฉือมอบให้และสัมผัสได้ถึงไอเย็นประหลาดที่มันแผ่ออกมา อดีตสาวจากศตวรรษที่ 21 อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเหตุใดร่างกายของ ‘ผู้ชายเย็นชา’ คนนั้นถึงได้เย็นนัก สาวงามนำเหรียญนั้นใส่เข้าไปในแหวนมิติก่อนจะเดินทางกลับพร้อมกับทุกคน
ในระหว่างทางกลับลั่วอวิ๋นเชิญฉินอวี้โม่ไปรับของรางวัลที่สำนักเจ้าเมืองเตรียมไว้ให้ นางจึงตามเขาไปที่จวนเจ้าเมืองทว่าก็ปฏิเสธที่จะพักค้างคืน
ลั่วชิงซานมอบรางวัลชนะเลิศในเทศกาลอสูรล้อมเมืองปีนี้ซึ่งก็คือกระบี่ปีกจักจั่นให้แก่ฉินอวี้โม่ เจ้าเมืองเยว่กวางรู้สึกพึงพอใจในผลงานของดรุณีน้อยผู้นี้มาก
ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณท่านเจ้าเมืองและเดินทางออกจากจวนเจ้าเมืองก่อนจะเดินทางไปยังบ้านพักที่ลั่วอวิ๋นจัดเตรียมไว้ให้ เป็นเพราะคณะเดินทางขององค์ฮองเฮาเหวินหย่าได้จองโรงเตี๊ยมไว้ถึงวันอสูรล้อมเพียงเท่านั้น ดังนั้นฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงต้องหาที่พักกันใหม่ พอดีกับที่ลั่วอวิ๋นเชื้อเชิญให้นางพักที่จวนเจ้าเมืองแต่ฉินอวี้โม่ปฏิเสธ ดังนั้นบุตรชายท่านเจ้าเมืองผู้มากน้ำใจจึงเสนอตัวจัดหาบ้านพักให้สาวงาม
“อวิ๋นเอ๋อร์ แม่นางอวี้โม่เป็นสตรีที่วิเศษมาก”
หลังจากฉินอวี้โม่ไปแล้ว ลั่วชิงซานก็เรียกลั่วอวิ๋นไปที่ห้องหนังสือ
“ท่านพ่อ ข้าทราบดีว่าแม่นางฉินต่างจากสตรีทั่วไป”
ลั่วอวิ๋นพยักหน้า เขาเองก็คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นหญิงสาวที่พิเศษแตกต่างจากผู้อื่น และตัวเขาก็รู้สึกชื่นชมสาวงามผู้นี้จากก้นบึ้งของหัวใจ
“ในเมื่อรู้แล้วก็ไม่ต้องลังเล ระวังความลังเลจะทำให้เจ้าพลาดโอกาส”
ลั่วชิงซานยิ้มพลางมองหน้าบุตรชายด้วยแววตาเปี่ยมสุข บุตรชายของเขาก็รูปโฉมงดงาม ดูดีมีสง่าราศี สติปัญญาเฉลียวฉลาด มีพรสวรรค์ แข็งแกร่งไม่แพ้ผู้ใด อีกทั้งยังมีจิตใจเมตตานิสัยใจคอน่าคบหา อวิ๋นเอ๋อร์และสาวน้อยฉินอวี้โม่ผู้นั้นดูเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก ถ้าหากว่าพวกเขาได้ครองคู่กัน ชีวิตครอบครัวของทั้งสองก็คงจะชื่นมื่นสุขสมไปจนตลอดรอดฝั่ง
“หืม ?” ลั่วอวิ๋นนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านหมายความว่ายังไง ?”
“เจ้าลูกคนนี้ อย่างมาแกล้งโง่ต่อหน้าข้า”
ลั่วชิงซานตบไหล่ของลั่วอวิ๋นเบา ๆ แล้วกล่าวต่อ “ข้าเห็นหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองก็คล้ายว่าจะมีใจให้นาง ถ้าเจ้ายังขืนชักช้ารำไร ระวังดอกไม้ล้ำค่าจะถูกผู้อื่นช่วงชิงไป”
เมื่อกล่าวจบ ท่านเจ้าเมืองก็เดินออกไป ปล่อยให้บุตรชายยืนเหม่อลอยอยู่ภายในห้องหนังสืออย่างเดียวดาย
…
ทันทีที่ก้าวเข้าไปภายในบ้านพักสำหรับคืนนี้แล้ว ฉินอวี้โม่ก็ปิดประตู
“เสี่ยวโร่ว ช่วยคอยเฝ้าไว้ด้วยอย่าให้ใครเข้ามาได้”
ฉินอวี้โม่บอกสาวใช้น้อย และยังให้เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินคอยช่วยนางอีกแรงเผื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
จากนั้นอดีตคุณหนูสี่ก็เริ่มการสยบอสูรมายา
ตัวแรกคือลูกเพียงพอน เนื่องจากระดับพลังของมันต่ำที่สุดทำให้ทุกอย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และราบรื่น
ลำดับต่อไปนางสยบพยัคฆ์ขนทอง หลังจากผูกพันธสัญญาเสร็จสิ้น เสือตัวใหญ่ก็สดใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เวลานี้เจ้าเสือเคยหงอยกำลังสะบัดหางมองดูนายหญิงคนใหม่อย่างร่าเริง ยิ่งไปกว่านั้นพลังจากการทำพันธสัญญาครั้งนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่ก้าวขึ้นสู่ระดับมายารัตนะเก้าดาราในทันที
พยัคฆ์ขนทองและอสูรมายาตัวอื่น ๆ ของฉินอวี้โม่ก็เลื่อนระดับขึ้นเช่นกัน พยัคฆ์ขนทองเลื่อนขึ้นสู่ระดับเทวะเก้าดารา เสี่ยวจินเป็นอสูรเทวะแปดดารา และเสี่ยวเฮยกลายเป็นอสูรเทวะเจ็ดดารา ในขณะที่เพียงพอนตัวน้อยจากเดิมที่อยู่ในระยะตัวอ่อนก็เจริญเติบโตขึ้นและเข้าสู่ช่วงโตเต็มวัย
ฉินอวี้โม่พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะเดินเข้าไปหาเจ้าหมียักษ์เพื่อเริ่มการทำพันธสัญญา หมีเทวะราชันยังคงอยู่ในร่างหมีเกรียม ๆ จากการถูกซิวเล่นงาน สภาพของมันน่าเวทนาเป็นอย่างมาก
เนื่องจากหมีดำยอมจำนนแต่โดยดีทำให้การทำพันธสัญญาเป็นไปอย่างราบรื่น ใช้เวลาไม่นานนักการทำพันธสัญญาก็เสร็จสมบูรณ์
เดิมทีฉินอวี้โม่คิดว่าพลังงานจากการทำพันธสัญญากับหมีดำที่เป็นอสูรเทวะราชันจะทำให้นางก้าวล่วงไปสู่ขอบเขตต่อไปได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าในระหว่างการสร้างพันธสัญญา ฉินอวี้โม่จะสัมผัสได้ว่าพลังที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายมีปริมาณมหาศาลและน่าจะเพียงพอแล้ว ทว่าเมื่อทุกอย่างสิ้นสุดนางกลับไม่สามารถทะลวงไปสู่ขอบเขตนภมายาได้
‘ดูเหมือนว่าการจะทะลวงสู่ขอบเขตนภมายาคงจะต้องใช้พลังที่มากกว่านี้ หรือบางทีอาจจะต้องอาศัยจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย’
เป็นเพราะได้ทำพันธสัญญากับฉินอวี้โม่จึงทำให้หมีดำเลื่อนระดับขึ้นในทันที จากเดิมที่เป็นอสูรเทวะราชันหนึ่งดารา ตอนนี้มันเลื่อนขึ้นมาเป็นอสูรเทวะราชันสามดาราแล้ว พละกำลังของมันฟื้นคืนกลับมาดังเดิม แม้แต่ขนที่ถูกเผาไปก็ยังกลับมาดกดำเงางามเป็นประกายเช่นเดิม
ภายในพริบตาหมีดำก็เปลี่ยนร่างกลายเป็นมนุษย์
“ม่อเสีย* คารวะนายหญิง”
(*莫邪(ม่อเสีย) = ไม่ชั่วร้าย)
หมีดำโค้งคำนับฉินอวี้โม่อย่างนอบน้อม มันไม่มีท่าทีหยิ่งยโสอีกต่อไป
ฉินอวี้โม่พยักหน้าก่อนจะหันไปเพื่อจัดการสยบอสูรมายาตัวสุดท้าย
อสูรมายาตัวสุดท้ายก็คือกระเรียนขาแดง ฉินอวี้โม่คิดจะยกมันให้เป็นอสูรมายาคู่ใจของเสี่ยวโร่ว และเพื่อที่จะมอบให้สาวน้อยผู้เป็นเหมือนน้องสาว ฉินอวี้โม่จึงตั้งใจเลือกตัวที่เหมาะสมที่สุด อสูรมายาของเสี่ยวโร่วจะต้องปราดเปรียว ดูมีศักยภาพ และไม่อ่อนแอ และที่สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูจงใจเลือกอสูรตัวนี้ก็เพราะเห็นว่ามันแข็งแกร่งไม่น้อย และถ้าหากว่ามันได้เลื่อนระดับขึ้นก็จะช่วยปกป้องเสี่ยวโร่วได้เป็นอย่างดี
ภายในเวลาไม่นานกระเรียนขาแดงก็สยบแทบเท้าฉินอวี้โม่
จากเดิมที่กระเรียนขาแดงเป็นอสูรเทวะสี่ดารา ตอนนี้ก็กลายเป็นเจ็ดดาราแล้ว
“เสี่ยวโร่ว มานี่สิ”
ฉินอวี้โม่กวักมือเรียกสาวใช้น้อยให้เข้ามา
เสี่ยวโร่วพยักหน้า นางอยู่กับฉินอวี้โม่มานานนางจึงไม่แปลกใจกับขั้นตอนการสยบอสูรมายาของผู้เป็นนาย กลับกันสาวใช้น้อยยังรู้สึกมีความสุขอย่างเหลือล้นที่เห็นคุณหนูของนางผู้ที่เคยถูกใครต่อใครรังแกและกล่าวหาว่าเป็นขยะสามารถแข็งแกร่งขึ้นได้ถึงเพียงนี้
“ทำพันธสัญญากับกระเรียนขาแดงตัวนี้ แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับการปกป้องเจ้า”
แม้ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับนางที่มีอสูรเทวะราชันอยู่ในครอบครองแล้วกระเรียนขาแดงตัวนี้จะอ่อนแอ แต่ทว่าในสายตาของผู้อื่น กระเรียนขาแดงก็ยังคงนับเป็นอสูรมายาระดับสูงและหาได้ยากยิ่ง
“ให้ข้าจริง ๆ หรือเจ้าคะคุณหนู ?”
เสี่ยวโร่วตาเบิกกว้าง สาวใช้น้อยไม่อยากเชื่อเลยว่านางกำลังจะมีอสูรมายาเป็นของตัวเองจริง ๆ
“เด็กโง่ นอกจากเจ้าแล้วจะมีใคร ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและหยิกแก้มนุ่ม ๆ ของสาวน้อย
“ฮ่า ๆ ข้ามีอสูรมายาเป็นสัตว์เลี้ยงแล้ว !”
เสี่ยวโร่วหัวเราะเสียงสดใสอย่างมีความสุข ก่อนจะโผเข้ากอดฉินอวี้โม่ วันนี้นางมีความสุขจริง ๆ
“คุณหนู ถ้าไม่ใช่เพราะท่านทั้งชีวิตนี้ข้าคงไม่มีโอกาสได้เลี้ยงอสูรมายาแน่ ข้าไม่รู้จะตอบแทนคุณหนูยังไงดี !”
เสี่ยวโร่วกอดแขนฉินอวี้โม่ นางยังไม่หายจากอาการตื่นเต้น
“เด็กโง่ เจ้าคอยช่วยข้า ปกป้องข้ามาหลายปี ข้าเห็นเจ้าไม่ต่างจากน้องสาวแท้ ๆ อะไรที่ทำเพื่อเจ้าได้ข้าก็ยินดีทำ ต่อไปนี้เจ้าวางใจได้ ตราบใดที่มีข้าอยู่ จะไม่มีใครรังแกเจ้าได้อีก”
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเสี่ยวโร่วกำลังตื่นเต้นมากเกิดเหตุ นางจึงพยายามทำให้สาวใช้น้อยสงบลง
“เจ้าค่ะ ข้าก็จะขอติดตามคุณหนูตลอดไป ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ !”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าและปล่อยแขนของฉินอวี้โม่พลางมองผู้หญิงที่นางรักและเทิดทูดด้วยสายตาแน่วแน่
“พวกเรามาตามหาท่านแม่ด้วยกัน เมื่อหานางพบแล้ว พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและจะไม่แยกจากกันอีก”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเสี่ยวโร่วก่อนจะเอื้อมมือไปช่วยเสี่ยวโร่วเช็ดน้ำตาตรงหางตาอย่างอ่อนโยน มันเป็นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นดีใจ เมื่อเห็นเช่นนั้น อดีตคุณหนูจึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
เสี่ยวโร่วพยักหน้าหนักแน่น คำพูดของคุณหนูทำให้นางมีรอยยิ้ม
“ไปทำพันธสัญญากับกระเรียนขาแดง เจ้าจะได้แข็งแกร่งขึ้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและบอกให้เสี่ยวโร่วเข้าไปรับอสูรมายาประจำกาย
ในตอนนี้เสี่ยวโร่วอยู่ขอบเขตทิพย์มายาสามดารา ฉินอวี้โม่มีความหวังว่าการทำพันธสัญญาในครั้งนี้จะทำให้สาวน้อยทะลวงผ่านขึ้นไปให้ถึงขอบเขตมายารัตนะได้
เสี่ยวโร่วเข้าไปหากระเรียนขาแดงและเริ่มสร้างพันธสัญญา
ผ่านไปสักพัก ร่างกายของเสี่ยวโร่วก็ปรากฏแสงแห่งการเลื่อนระดับพลัง
จากดวงดาวสามดวงกลายเป็นสี่ เป็นเก้า หลังจากครบเก้าดวงแล้วมันก็เหมือนจะหยุดนิ่ง ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่คิดว่าเสี่ยวโร่วคงผ่านไปไม่ถึงขอบเขตมายารัตนะ แต่ทว่าจู่ ๆ แสงก็สว่างเจิดจ้าขึ้นในฉับพลัน
ดวงดาราทั้งเก้ารวมกันเป็นหนึ่ง ในตอนนี้เสี่ยวโร่วทะลวงเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะจริง ๆ แล้ว !
เสี่ยวโร่วยืนอึ้งอยู่กับที่ นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ผู้ใดจะคาดคิดว่าภายในช่วงเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนนี้ เสี่ยวโร่วจะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ จากตอนแรกนางเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาตัวน้อย ๆ กลับเปลี่ยนมาเป็นมายารัตนะอย่างฉับพลัน ความเร็วในการพัฒนาระดับนี้น่าตกใจมาก แม้แต่ในหมู่อัจฉริยะก็ยังพบได้ยากยิ่ง !
“เสี่ยวโร่ว ยินดีด้วยนะ”
ฉินอวี้โม่เดินเข้ามาแสดงความยินดีกับเสี่ยวโร่ว
“วันนี้ข้ามีความสุขที่สุดเลยเจ้าค่ะ ต่อไปข้าสามารถต่อสู้เคียงข้างคุณหนูได้แล้ว !”
เสี่ยวโร่วหัวเราะอย่างปลื้มปีติ
“ยินดีที่ได้พบเจ้านาย”
เสียงแหลมใสของกระเรียนขาแดงดังขึ้น มันเสียงแหลมสูงแต่กลับฟังดูไพเราะเพราะพริ้งราวกับเสียงของระฆังกังวาน และฟังดูคล้ายเสียงของอิสตรี
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วชะงักไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากระเรียนขาแดงตัวนี้จะเป็นเพศเมีย
“หาา ! เจ้าเป็นเพศเดียวกับพวกข้าหรือ ?”
เสี่ยวโร่วเดินเข้าไปหากระเรียนขาแดงและค่อย ๆ เอื้อมมือไปสัมผัสหัวของมัน
กระเรียนขาแดงพยักหน้าและปล่อยให้สาวใช้น้อยลูบหัวมันได้ตามใจชอบ
“โอ้ ! ถึงว่าเหตุใดเสี่ยวจินถึงได้ดูกระตือรือร้นนักในตอนที่จะได้สู้กับเจ้า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”
ฉินอวี้โม่เหล่มองเสี่ยวจินด้วยหางตา พร้อมกับยกยิ้มแฝงเลศนัย
“ฮ้าาา นายหญิง พวกท่านไม่อนุญาตให้อสูรมายาชอบพอกันอย่างนั้นรึ ?”
เสี่ยวจินที่กำลังหน้าแดงเอ่ยปากถามขึ้นมา
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก ต่อไปนี้เจ้ากับเสี่ยวหง (แดงน้อย) คงจะได้พูดคุยและใกล้ชิดกันมากขึ้น”
เสี่ยวโร่วตั้งชื่อให้อสูรมายาของนางเรียบร้อยแล้ว
“นายหญิง ข้าก็เป็นตัวเมียเหมือนกัน”
พยัคฆ์ขนทองที่นิ่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงอันไพเราะ
“เจ้าก็ด้วยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าหงึกหงัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเสือสีทองตัวนี้ถึงได้ดูน่ารักและเรียบร้อยนัก
“อืมมม ตอนนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่า เสี่ยวเยี่ย* ไปก่อน”
(*เยี่ยมาจาก 阅 ที่แปลว่า อ่าน ชื่อนี้แปลเป็นไทยก็น่าจะประมาณ ‘เจ้าหนูนักอ่าน’)
นางยังคิดชื่อดี ๆ ไม่ออก ฉินอวี้โม่จึงเรียกมันด้วยชื่อง่าย ๆ ก่อน
“ขอบคุณนายหญิงเจ้าค่ะ”
เสี่ยวเยี่ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย
ฉินอวี้โม่ยิ้มและมองดูอสูรมายาของนางทั้งห้าตัว–เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เสี่ยวเยี่ย ม่อเสีย และเพียงพอน กับอีกหนึ่งตัวของเสี่ยวโร่ว–เสี่ยวหง ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงด้วยความพึงพอใจ
‘นี่คือกองกำลังอสูรมายาขนาดย่อม ๆ ที่แข็งแกร่งมากทีเดียว’
.
.
.
ตอนที่ 50 ตัดไฟแต่ต้นลม
“ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ทว่าถ้อยคำนั้นกลับทำให้ฉินอวี้โม่ชะงักไปเล็กน้อย อารมณ์ความรู้สึกบางอย่างที่แสนประหลาดก่อตัวขึ้นในหัวใจของนาง
…‘หากนับรวมเวลาที่มีลมหายใจอยู่บนโลกทั้งหมดเธอเองก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว แต่ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตก่อนหรือชีวิตใหม่ในตอนนี้ก็ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะมีใครพูดแบบนี้กับเธอ ถึงแม้นั่นจะเป็นแค่ประโยคสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของคนฟังสั่นไหวอย่างห้ามไม่อยู่
ในความจริง เมื่อนับรวมทั้งหมดนี่เป็นเพียงการพบกันครั้งที่สามระหว่างเธอกับหานโม่ฉือ แต่ถ้านับช่วงเวลาที่ได้รู้จักกันแล้วมันยังเป็นแค่ครั้งที่สองเท่านั้น
ในครั้งแรก ผู้ชายคนนี้กับเพื่อนของเขาหลินจิ้งหงแอบเฝ้าดูตอนที่เธอไล่กำจัดพวกสุนัขน่ารังเกียจที่ฆ่าคุณหนูสี่คนเดิม ตอนนั้นเธอโกรธมากที่อันธพาลกักขฬะรังแกผู้หญิงอ่อนแอและที่แค้นมากกว่าคือมันบังอาจฉีกเสื้อผ้าของเธอจนเกือบโป๊ หลังจบการสังหารหมู่ของเธอลง เธอยังคิดอยู่เลยว่าผู้ชายสองคนที่แอบดูเธอนั้นเลือดเย็นไม่น้อยทีเดียว เพราะพวกเขายืนดูคนฆ่ากันอยู่เฉย ๆ ได้โดยไม่สะทกสะท้าน
แล้วต่อมาตอนที่เจอหน้าเขาอีกครั้งที่สมาคมทหารรับจ้างเมืองหลิงซี หลินจิ้งหงนั้น ถึงเขาจะมีจุดประสงค์บางอย่างแต่ก็ออกปากช่วยปกป้องเธอ ส่วนผู้ชายคนนี้แค่ยืนดูนิ่ง ๆ และมีท่าทีติดจะรำคาญนิด ๆ เสียด้วยซ้ำ ดูแล้วก็เย็นชาสมเป็นมนุษย์น้ำแข็งอย่างที่เพื่อนเขาบอก เหตุการณ์ในตอนนั้นทำให้ฉินอวี้โม่สรุปเอาว่าหานโม่ฉือเป็นผู้ชายเย็นชาที่ไม่สนใจใครหรือเห็นชีวิตใครอยู่ในสายตา
แต่ทว่าในตอนที่อยู่ในถ้ำยูนิคอร์น ชายผู้นี้กลับพยายามปกป้องเธอ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าเขาแสดงอาการห่วงใยเธอจากใจจริง พอมาถึงตอนนี้ ในช่วงเวลาที่เธอตกอยู่ในอันตรายเขาก็เป็นฮีโร่โผล่มาช่วยไว้ได้ทัน แถมยังมีประโยคที่เขาเพิ่งพูดเมื่อครู่อีก ! ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่าหานโม่ฉือเป็นคนเย็นชา ไอเย็นที่ปล่อยออกมาจากร่างกายเขาก็ชวนหนาวสั่น แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อมาถึงตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าการมีเขาอยู่ข้างกายกลับทำให้เธออุ่นขึ้นเรื่อย ๆ
อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูคิดอย่างเลื่อนลอย ทันใดนั้นนางก็ได้สติ สาวงามขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะรีบปัดความคิดแปลกประหลาดออกไปจากใจแล้วหันมาจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า’…
ทว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้ก็คือ แท้จริงแล้วหานโม่ฉือผู้นี่เป็นบุรุษผู้เลือดเย็นอย่างมาก สิ่งที่นางเคยคิดเอาไว้ไม่ผิดแม้แต่น้อย ซึ่งบางทีเขาอาจจะเลือดเย็นได้มากกว่าที่นางคิดเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะเหตุใดแต่ในหัวใจของมนุษย์น้ำแข็งผู้เย็นชากลับเห็นสตรีงามนามฉินอวี้โม่ที่เขานับเป็นสหายผู้นี้แตกต่างไปจากผู้อื่น…..ในใจของหานโม่ฉือตอนนี้ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะช่วยเหลือหรือปกป้องฉินอวี้โม่
หากหลินจิ้งหงหรือผู้ที่รู้จักตัวตนของหานโม่ฉือยืนอยู่ที่นี่ด้วย เขาก็คงจะต้องคิดว่าบุรุษผู้นี้ไม่ใช่หานโม่ฉือแต่เป็นผู้อื่นปลอมตัวมาเป็นแน่
ผู้พิทักษ์ที่ลิ่วเยว่เรียกออกมาจ้องมองหานโม่ฉืออย่างดุร้าย
“หากไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ !”
ราวกับว่าหานโม่ฉือไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตา เขาฟังวาจาขับไล่ของเงาร่างพร่าเลือนนั้นอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“เหอะ ! ในเมื่ออยากจะตายนัก ข้าก็จะสังเคราะห์ให้เอง”
แม้จะเป็นเพียงเงา แต่ผู้พิทักษ์นั้นก็มีสติปัญญาที่สมบูรณ์ หลังจากค่อนแคะอย่างเย็นชามันก็พุ่งเข้าจู่โจมหานโม่ฉือในทันที
“ไม่เจียมตัว !”
หานโม่ฉือสบถอย่างเย็นชาออกมาเช่นกัน ทว่าร่างกายของเขากลับยังคงนิ่งสนิท
และในตอนที่เงาร่างนั้นกำลังจะเข้าประชิดตัวเขาได้ สายตาทุกคู่ก็มองเห็นว่าจู่ ๆ หานโม่ฉือก็เคลื่อนไหว
แสงสีทองปรากฏขึ้นบนฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาก่อนจะแผ่ขยายและเข้าห่อหุ้มมือแข็งแรงเอาไว้ทั้งหมดในพริบตา เสี้ยวลมหายใจต่อมาหัตถ์ทองคำของมนุษย์น้ำแข็งก็ฟาดเข้าใส่เงาร่างที่กำลังตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“อ๊ากกก !”
เมื่อถูกฝ่ามือของหานโม่ฉือปะทะเข้าใส่ เงาร่างนั้นก็เปล่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด
เสียงกรีดร้องนั้นสิ้นสุดลงพร้อม ๆ การสูญสลายไปของเงาเลือนรางแห่งผู้พิทักษ์ เวลานี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนเหลือเพียงความว่างเปล่าราวกับมันไม่เคยมีอยู่แต่แรก
“ซี้ด~…”
ทุกผู้คนในลานแห่งนี้มองเห็นเพียงแค่หานโม่ฉือขยับตัวอย่างรวดเร็วและซัดฝ่ามือเข้าใส่เงานั้นไปครั้งหนึ่งจนมันสลายไปในทันที พวกเขาทั้งหมดจ้องมองบุรุษผู้ใช้เพียงหนึ่งฝ่ามือสังหารผู้พิทักษ์ของศิษย์จากอารามด้วยสายตาที่เบิกกว้าง บางคนถึงกับเผลอก้าวถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณ
แม้แต่บุคคลหยิ่งยโสอย่างลิ่วเยว่ที่มักจะมองผู้คนผ่านปลายจมูกอยู่เสมอนั้น เมื่อได้เห็นผู้พิทักษ์ที่แข็งแกร่งของเขาสลายตัวไปด้วยฝ่ามือเดียวของหานโม่ฉือ บนใบหน้าเขาก็ปรากฏอาการตื่นตระหนก
ในตอนนั้นเอง ร่างของหานโม่ฉือก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว ไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจร่างสูงของเขาก็ปรากฏอีกครั้งที่ด้านหลังของลิ่วเยว่
เขายื่นมือออกไปคว้าจับที่คอของผู้มีพรสวรรค์จากอารามราวกับคว้าคอไก่ก็มิปาน ก่อนจะส่งให้บุรุษไร้ยางอายกระเด็นไป
“ไปรับโทษซะ”
ลิ่วเยว่ถูกหานโม่ฉือเตะกระเด็นไปตกตรงหน้าฉินอวี้โม่ จากนั้นหานโม่ฉือก็เดินไปหยุดอยู่ข้างกายนางเพื่อทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์นารี
“ฮ่า ๆ คุณชายลิ่ว ตอนนี้ท่านไม่หยิ่งยโสทำตัวโอหังแล้วหรือ ?”
ฉินอวี้โม่มองลิ่วเยว่ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าก่อนจะกล่าววาจาเย้ยหยันผู้ที่คิดจะสังหารนาง ตอนนี้คนจากอารามกำลังนั่งหน้าซีดปากสั่นอย่างหวาดหวั่น
“มะ… แม่นางฉินอวี้โม่ ดะ… ได้โปรดไว้ชีวิตข้า ข้าไม่ควรไปยั่วยุเจ้า นี่อสูรมายาของข้า ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ”
ลิ่วเยว่มองตาฉินอวี้โม่และพยายามร้องขออย่างสุดชีวิต
ความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือน่าหวาดกลัวจนเกินไป เขาไม่มีพลังเพียงพอจะต่อต้านหรือขัดขืนได้เลย ตอนนี้เขาเหมือนลูกไก่ที่อยู่ในกำมือของฉินอวี้โม่ หากไม่รีบร้องขอชีวิตไว้ ก็เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่มีทางรอดกลับไปแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ภายในหัวใจของลิ่วเยว่ก็ยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเกลียดชัง เขาขอสาบานด้วยเกียรติทั้งหมด !…หากเขารอดชีวิตกลับไปที่อารามได้ เขาจะรวบรวมยอดฝีมือมาล้างแค้นสตรีผู้นี้ ให้นางได้รู้ว่าการกระทำสิ่งเหยียดหยาม ลบหลู่ดูหมิ่นคนของอารามเช่นเขาจะได้รับผลอย่างไร !
เมื่อได้ยินวาจาของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็เผยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ขอความเมตตางั้นหรือคุณชาย แล้วเหตุใดตอนที่เจ้าตัดสินใจลงมือฆ่าข้า เจ้าถึงไม่คิดเมตตาข้าบ้างเล่า ? เจ้าฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอไร้ทางสู้ลงมือกับสตรีเช่นข้าอย่างไม่ยั้งคิด คนชั่วช้า ! เจ้ายังใจจืดใจดำถึงกับไม่คิดรั้งรอให้โอกาสข้าได้ร้องขอความเมตตาเสียด้วยซ้ำ จำได้หรือไม่ ?”
วาจาของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยเจตนาเสียดแทง ในตอนแรกนางไม่มีแผนที่จะทำร้ายหรือกลั่นแกล้งลิ่วเยว่คืนเลยแม้แต่น้อย แม้จะรู้ว่าการแข่งขันในครั้งนี้เป็นกับดัก แต่นางก็ปลงใจตกปากรับคำท้าอย่างไม่ลังเล และพยายามคิดหากลยุทธ์มารับมือกับกลโกงของพวกเขา นางไม่ได้ปฏิเสธหรือคิดออกปากเปิดโปงความชั่วช้าของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย นางเพียงแต่ต้องการให้มันเป็นการแข่งขันที่ดีและนางก็คิดว่าวันนี้ตัวนางจะชนะได้อย่างงดงามพร้อมทั้งได้ครอบครองรางวัลตามที่ลิ่วเยว่และหลี่เปียวออกปากสาบานไว้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเพื่อที่จะทำให้คำสาบานเป็นโมฆะ ลิ่วเยว่จะไร้ยางอายได้ถึงกับลงมือลอบสังหารนางเช่นนี้ ! ….เสแสร้ง เมื่อยิ่งใหญ่ไม่เคยเห็นหัวผู้ใด ทำร้ายผู้อื่นไม่สะทกสะท้าน แต่ถึงคราวอับจนหนทางกลับร้องขอความเมตตา ตัวบัดซบหน้าไม่อาย !
เรื่องนี้ทำให้ฉินอวี้โม่โกรธเคืองอย่างถึงที่สุด เป็นที่ทราบดีว่าฉินอวี้โม่เกลียดคนประเภทนี้มากจนเข้ากระดูก
“แม่นางฉินอวี้โม่ ข้ายอมรับว่าตัวเองผิดที่ไปยั่วยุเจ้า แต่เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะหลี่เปียวผู้เดียว หากไม่ใช่เพราะความคิดชั่วช้าของมันก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ !”
เมื่อเหลือบไปเห็นหลี่เปียวที่กำลังยืนหลบอยู่อย่างเงียบ ๆ ลิ่วเยว่ก็หันไปกล่าวโทษอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น
“ฮ่า ๆ คุณชายลิ่ว คิดว่าข้าโง่เหมือนกับเจ้ารึไง ?”
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยคำเย้ยหยัน ลิ่วเยว่ผู้นี้ภายในกะโหลกหนา ๆ ของเขาคงจะไร้สมองโดยสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ลงมือลอบสังหารนางอยู่แท้ ๆ แต่กลับพล่ามวาจาเหลวไหล เฉไฉปฏิเสธความผิด และเลือกโยนเรื่องทั้งหมดไปที่หลี่เปียว
“เหอะ ! ฉินอวี้โม่ ถ้าเจ้ากล้าทำอะไรข้า อารามของเราจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ !”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่ยินยอมจะปล่อยตนเองไป ลิ่วเยว่ก็เริ่มกล่าววาจาข่มขู่ เขาเชื่อว่าอย่างไรเสียฉินอวี้โม่ก็คงจะไม่กล้าลงมือสังหารหรือแม้แต่ทำร้ายศิษย์จากอารามแน่
“ฮ่า ๆ แม้ว่าข้าจะปล่อยเจ้าไป แล้วอารามของเจ้าจะไว้ชีวิตข้าอย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาความคิดของลิ่วเยว่ได้ นางถามออกมาด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ที่สำคัญ หากว่าอารามของเจ้าอยากจะเอาเรื่องข้า แล้วเหตุใดข้าต้องกลัวด้วย ?”
อดีตสาวนักฆ่ากล่าวขึ้นมาอย่างองอาจ อีกฝ่ายก็แค่อารามเท่านั้น และเธอเองก็เคยผ่านพ้นความตายมาแล้ว หากตายก็คือตาย ผู้คนมากมายหวาดกลัวความตาย บางคนกลัวเพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน บางคนกลัวเพราะจะต้องพลัดพรากจากความสุขที่มี แต่ในความจริงตายไปแล้วก็ไม่มีใครรู้เลยว่าจะได้ไปไหน อย่างตัวเธอพอตายกลับได้มาอยู่ในร่างคนอื่นในโลกอื่นที่แทบไม่มีอะไรที่เธอรู้จักเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งความตายครั้งก่อนเกิดขึ้นกับเธอในชั่วพริบตานั่นทำให้เธอยิ่งเข้าใจว่าความตายมาพรากได้ในทุกลมหายใจเข้าออก ตอนนี้เธอได้ใช้ลมหายใจมาสองชีวิตแล้ว ถึงจะตายอีกก็ไม่มีอะไรให้เธอต้องกลัว
เมื่อได้ยินวาจาห้าวหาญของสตรีข้างกาย มนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือก็ยกมุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มขึ้นมา หญิงสาวผู้นี้ต่างจากผู้อื่นอย่างแท้จริง ตั้งแต่คราที่พบนางครั้งแรก ณ ชายป่าพรุนอกเมืองหลิงซี ไม่ไกลจากบึงสายหมอกมากนัก ตอนนั้นเขาบังเอิญได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่นางสั่งสอนผู้คนด้วยคมมีด เขาก็คิดว่านางไม่ธรรมดา
‘วันนั้นเขาและหลินจิ้งหงเดินทางผ่านป่าพรุเพื่อจะทำภารกิจยูนิคอร์นสีนิลที่บึงสายหมอก ฉับพลันก็ได้ยินเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ชายดังขึ้นในทิศทางหนึ่ง เมื่อเขาและสหายมองไปในทิศนั้นก็พบว่ากำลังเกิดเหตุสังหารหมู่บุรุษฉกรรจ์กว่าสิบคน… โดยสตรีผู้หนึ่ง
…ภาพสตรีตัวบางแสนงดงามที่ลงมือสังหารบุรุษร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมภายในเวลาชั่วพริบตายังคงติดตราตรึงอยู่ในใจเขาจนถึงทุกวันนี้…
การสังหารหมู่ของนางจบลงในเวลาเพียงไม่ถึงครึ่งก้านธูป ภาพของนางในใจเขาตอนนั้นคือสตรีเลือดเย็นที่สามารถสังหารผู้คนได้โดยไม่กะพริบตา หากเป็นบุรุษที่จิตใจอาจหาญคงไม่แปลกนัก แต่เมื่อเป็นสตรีที่สมควรจะบอบบางอ่อนโยน มีจิตใจอ่อนไหวเมตตากลับดูประหลาด ซึ่งความคิดเช่นนั้นก็ทำให้เขาแทบอยากจะเมินเฉยต่อนางเมื่อครั้งพบกันเป็นครั้งที่สองที่สมาคมทหารรับจ้าง
ทว่าหลังจากจบภารกิจตามหาถ้ำยูนิคอร์นสีนิลที่เขาและฉินอวี้โม่ได้ทำร่วมกัน เขาก็เปลี่ยนความคิดที่มีต่อนางไป… เขาคิดว่านางเป็นสตรีที่พิเศษไม่เหมือนผู้ใด
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะได้ฟังวาทะไม่ยอมคนเมื่อคราวที่นางมาสมัครเป็นทหารรับจ้าง หรือสุนทรพจน์ที่นางใช้สั่งสอนทหารรับจ้างชื่อเหยียน หรือเป็นเพราะความแข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ใด ความเด็ดเดี่ยวในการต้านทานคำครหาอย่างไม่ยอมแพ้ หรือเพราะท่วงท่าการต่อสู้อันสง่างาม หรืออาจจะเป็นความงดงามจากทั้งรูปโฉมและทัศนคติ และไม่ทราบอีกเช่นกันว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ทั้งหมดนี้ทำให้… ความสนใจที่เขามีต่อสตรีโฉมงามผู้นี้เปลี่ยนเป็นหลงใหล’
บุรุษมนุษย์น้ำแข็งมองดูสตรีข้างกายที่ละลายน้ำแข็งในหัวใจเขาด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ทว่าฉินอวี้โม่กลับไม่ได้สังเกตเห็นรอยยิ้มนั้นเลย มิฉะนั้นแล้วนางอาจจะต้องประหลาดใจ หานโม่ฉือแทบไม่เคยหัวเราะหรือยิ้ม รอยยิ้มของคนผู้นี้เป็นของล้ำค่า การจะได้เห็นเขายิ้มว่ายากแล้ว แต่การทำให้เขายิ้มได้ต้องนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์
“ใช่แล้ว แม่นางฉินพูดถูกแล้ว มันก็แค่อารามเท่านั้น มีอะไรต้องไปกลัวนักหนา !”
หนึ่งในสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนกล่าวขึ้นมา และนั่นก็ชักนำให้คนอื่น ๆ ที่เหลือในกลุ่มต่างส่งเสียงสนับสนุนกันเซ็งแซ่อย่างอดไม่ได้
“ถ้าทุกคนในอารามเป็นเหมือนกับเจ้าหมด ข้าว่าต่อไปคงไม่ต้องใช้ชื่อว่าอารามแล้ว เรียกว่าซ่องโจรไปเลยจะเหมาะกว่า !”
“จะอารามหรืออะไรก็แล้วแต่ ในเมื่อทำผิดก็ควรจะรับโทษเหมือน ๆ กัน”
ถ้อยคำที่ไม่เกรงกลัวของสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนทำให้ฉินอวี้โม่อมยิ้มอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยิน พวกเขาเป็นบุรุษเรียบง่ายตรงไปตรงมา ยิ่งได้พบเจอได้รู้จักได้สนิทสนมก็ยิ่งทำให้นางชอบพวกเขามากยิ่งขึ้น พวกเขาไม่เกรงกลัวสิ่งใดและยึดมั่นในแนวคิดของตัวเอง พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่น่าคบหาเป็นอย่างมาก
“พวกเจ้า !…”
เมื่อลิ่วเยว่ได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่และทหารรับจ้างกล่าว เขาก็เดือดดาลขึ้นทันที บุรุษไร้ยางอายโกรธเคืองถึงขีดสุดจนถึงกับกล่าวสิ่งใดไม่ออก เขาคิดเสมอว่าไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน จะเป็นอย่างไร และคนที่นั่นจะไม่ชอบพฤติกรรมของเขามากเพียงใด แต่ด้วยสถานะของคนจากอารามทุกคนก็ย่อมต้องแสดงความยำเกรง ให้เกียรติเขาเพราะเกรงกลัวอิทธิพลของอาราม ทว่าไม่คิดเลยว่าวันนี้นอกจากจะไม่มีผู้ใดไว้หน้าเขาแล้ว แต่คนเหล่านี้ก็ยังแสดงท่าทีไม่ให้เกียรติหรือเกรงกลัวอารามแม้แต่น้อย ไม่มีใครเห็นเขาอยู่ในสายตา ตั้งแต่เมื่อใดกันที่อารามตกต่ำลงได้ถึงเพียงนี้
“หุบปาก ! เจ้ากล้ารังแกนายหญิงของพวกข้า เจ้ามันสมควรตายแล้ว”
เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจ้องมองลิ่วเยว่อย่างเอาเป็นเอาตาย แววตาของพวกมันเต็มไปด้วยรังสีสังหาร อีกฝ่ายเพิ่งจะลงมือกับนายหญิงของพวกมันไป เรื่องนี้มีโทษถึงตาย !
ขอเพียงแค่นายหญิงออกคำสั่ง พวกมันก็พร้อมจะปฏิบัติตามอย่างไม่ลังเล ไม่ใช่แค่มนุษย์หน้าเหม็นตัวเล็กนิดเดียวผู้นี้เท่านั้น ต่อให้ขนกันมาทั้งอารามพวกมันก็ไม่กลัว
“นายหญิง จะให้เราฆ่าเจ้าหน้าโง่นี่ด้วยวิธีไหนก็สั่งมาได้เลย พวกข้าสองตัวไม่อยากให้มือของท่านต้องแปดเปื้อน”
เสี่ยวเฮยเอ่ยกับฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มอวดฟันม้า ๆ สีขาวเงาวับ มันกำลังรอฟังคำสั่งของเจ้านายอย่างใจจดใจจ่อ
ฉินอวี้โม่แสยะยิ้มและกล่าวกับลิ่วเยว่ “ลิ่วเยว่ เจ้าเข้ามายั่วยุข้าที่งานเลี้ยงเมื่อวานนี้ แต่เพราะข้าไม่อยากถือสาหาความจึงปล่อยเจ้าไป ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะไม่รู้ดีรู้ชั่ว ทำตัวเลวทราม น่าอับอายยิ่งนัก”
“ก่อนหน้านี้เราตกลงกันไว้ว่า หากเจ้าแพ้ เจ้าจะยอมมอบอสูรเทวะให้ข้า ที่ข้ายอมตกปากรับคำไปก็เพราะคิดว่าหากเจ้าต้องสูญเสียอสูรมายาเพราะทำตัวโอหัง เหยียดหยามผู้อื่นแล้วเจ้าจะสำนึก จะได้ลงโทษให้เจ้าหลาบจำ”
“แต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะถึงกับกล้าลงมือพยายามจะเอาชีวิตข้า”
ถ้าหากเป็นตัวเธอในชีวิตก่อนก็คงไม่มัวมาพูดพล่ามเสียเวลาเหมือนตอนนี้ เธอคงลงมือสังหารอีกฝ่ายทันทีแบบไม่ต้องคิด ฉินอวี้โม่นักฆ่าสาวไม่เคยมีเมตตาให้กับคนที่ตั้งใจจะฆ่าเธอ
“เจ้าคิดจะทำอะไร ?!”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ลิ่วเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นแล้วก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว ใบหน้าของเขาขาวซีดและเต็มไปด้วยความหวาดกลัวลนลาน
“ข้าไม่อยากจะให้ผู้ที่เป็นอันตรายต่อชีวิตข้ามีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ หากข้าปล่อยเจ้ากลับไปตอนนี้ ข้ากลัวว่าอีกไม่นานเจ้าคงจะไปพาคนกลุ่มใหญ่จากอารามของเจ้ากลับมาล้างแค้นข้าแน่ ดังนั้นข้าก็คงไม่โง่ทำเช่นนั้น !”
วาจาของฉินอวี้โม่เย็นเฉียบ เธอไม่ใช่คนใจอ่อนและก็ไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัว เธอควรจะตัดไฟแต่ต้นลม และเธอก็ไม่ยินดีให้คนที่ต้องการจะเอาชีวิตเธออยู่ร่วมโลกเดียวกัน นี่เป็นหลักการของฉินอวี้โม่ในชีวิตก่อน สาวนักฆ่าที่มีฝีมือระดับพระกาฬ
“จะ… เจ้าจะต้องเสียใจ”
เมื่อได้ยินวาจาที่ออกจากปากของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนไปอย่างใหญ่หลวง เขากลัวสุดขีดและพยายามจะวิ่งหนีไปให้ไกล
ทว่าร่างของฉินอวี้โม่กลับมาปรากฏตรงหน้าของเขาราวกับภูตผี
“คุณชายลิ่ว… ข้าไม่ให้เจ้าหนีได้หรอก”
กล่าวจบ รอยยิ้มเย็นยะเยือกก็ปรากฏบนใบหน้างดงามไร้ที่ติ ก่อนที่กริชเล่มหนึ่งจะปรากฏขึ้นในมือนาง
“จำเอาไว้ด้วยว่า คนที่ฆ่าเจ้ามีนามว่าฉินอวี้โม่ และที่เจ้าต้องตายก็เพราะความโง่งมของตัวเอง !”
ประโยคอันหนาวเหน็บของฉินอวี้โม่ดังก้องในหูของลิ่วเยว่ ขณะที่กริชงดงามเปล่งประกายพุ่งตรงเข้าเสียบที่หัวใจของเขา
“ฉินอวี้โม่ ถึงข้าจะกลายเป็นผี ข้าก็จะไม่ละเว้นเจ้า…”
ลิ่วเยว่กล่าววาจาสุดท้ายของชีวิตอย่างอาฆาตแค้นก่อนที่จะล้มพับลงไปกองพื้น พร้อมกันกับที่ลมหายใจสุดท้ายได้หลุดลอยไป
ฉินอวี้โม่ส่งรอยยิ้มเย้ยหยันเพื่อไว้อาลัยให้กับร่างไร้วิญญาณของลิ่วเยว่ที่อยู่บนพื้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหานโม่ฉือ
“ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงซาบซึ้ง
ฉินอวี้โม่ไม่ใช่คนโง่ ที่นางลงมือสังหารอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ ไม่ใช่เพราะลิ่วเยว่ไม่ต่อต้านนาง แต่เขาต่อต้านไม่ได้ เหตุผลก็เพราะว่าเขาถูกแรงกดดันจากพลังที่ห่างชั้นของหานโม่ฉือบีบอัดจนไม่สามารถขยับตัวได้ แม้จะคิดหนีก็ทำได้อย่างยากลำบาก มิฉะนั้นนางคงลงมือสังหารเขาได้ไม่ง่ายเช่นนี้แน่
หานโม่ฉือพยักหน้าเบา ๆ และไม่กล่าวอะไรเช่นเคย
ตอนนี้เขาไม่ได้คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นสตรีที่โหดร้าย แต่คิดว่านางเป็นคนที่เด็ดขาด อีกทั้งตัวเขาเองก็มีความคิดคล้ายกันกับนาง ผู้ที่ตั้งใจจะเอาชีวิตเราไม่ควรมีโอกาสที่สอง เมื่อมีโอกาสแล้วก็จงอย่าได้ใจอ่อนกับคนประเภทนี้
ดังนั้นเขาถึงได้ใช้พลังกดดันลิ่วเยว่ไว้เพื่อช่วยให้ฉินอวี้โม่ลงมือได้ง่าย
ทันทีที่ลิ่วเยว่ตาย หลี่เปียวที่ตอนนี้ถูกควบคุมตัวไว้แล้วก็หน้าซีดเผือด เขาหวาดกลัวจนปากสั่น
“หัวหน้าหลี่เปียว… ลิ่วเยว่ถูกสำเร็จโทษไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าแล้วล่ะ !”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย็น ทว่านางไม่มีความคิดที่จะสังหารหลี่เปียว
“แผนการที่เจ้าคิดจะใช้เกสรงาดำเล่นงานพวกเราถือว่าไม่เลว แต่เจ้าคงคิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะรู้ถึงแผนการของเจ้าเสียก่อน ยิ่งกว่านั้นข้ายังหาทางแก้ไขไว้เรียบร้อยแล้ว”
ฉินอวี้โม่มองดูใบหน้าไร้สีเลือดของหลี่เปียวก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ต้องกลัวไปหรอก ข้าจะส่งเจ้าเข้าคุกของเมืองเยว่กวาง ส่วนกลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าก็จะถูกเพิกถอนสิทธิ์ บทเรียนคราวนี้หวังว่าจะทำให้หัวหน้าหลี่เปียวเลิกโง่ได้เสียที”
“คุณชายลั่วอวิ๋น ข้ามีเรื่องรบกวนท่าน ได้โปรดจัดการเรื่องลงโทษหัวหน้าหลี่เปียวและกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ กลุ่มทหารรับจ้างแทบทุกกลุ่มของเมืองเยว่กวางที่เคยถูกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเอาเปรียบและกลั่นแกล้งก็ส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจ
.
.
.
ตอนที่ 49 การปรากฏตัวของผู้พิทักษ์
กรงเล็บของหมีดำผู้หยิ่งยโสกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วมันไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายนาง อสูรเทวะราชันแห่งป่าแสงจันทร์ผู้ยิ่งใหญ่เพียงแค่ต้องการจะจับนางกลับไปในป่าพร้อมกับมันเท่านั้น เพราะมันคิดว่าสตรีผู้นี้งดงามเป็นที่ต้องตา อีกทั้งยังกล้าหาญเด็ดเดี่ยว หมีระดับเทวะราชันกำลังรู้สึกสนใจในตัวอดีตสาวนักฆ่าเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่กรงเล็บของมันเกือบจะสัมผัสกับร่างกายสตรีมนุษย์ที่มันหมายปอง หมีดำยักษ์ก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างบางตรงหน้า แรงกดดันอันแสนน่ากลัวนั้นพุ่งเข้าปะทะกายใหญ่ยักษ์และทำให้กรงเล็บของมันไม่อาจจะขยับได้อีก !
ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงอันน่าเกรงขามดังมาจากร่างของฉินอวี้โม่
“ก็นึกว่ามีเจ้าพวกน่ารังเกียจที่ไหนมายุ่งกับนายหญิงของข้า ที่แท้ก็เป็นแค่อสูรเทวะราชันตัวเล็ก ๆ เจ้าคงคิดว่าตัวเองไร้เทียมทานสินะ ?”
เสียงของซิวดังออกมา มันเป็นเสียงที่หยิ่งทะนงและน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันเมื่อฟังแล้วก็ชวนให้รู้สึกหวาดหวั่นอย่างไม่อาจต้าน
ในเสี้ยวลมหายใจที่หมีดำกำลังพุ่งเข้าโจมตี ฉินอวี้โม่ก็พยายามสื่อสารกับซิว ซิวรับรู้ถึงสถานการณ์ภายนอกอยู่นานแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนายหญิง มันก็ปรากฏร่างเลือนรางออกมาช่วยโดยไม่ลังเล
ทุกคนในที่แห่งนั้นเห็นเพียงว่าที่ด้านหน้าของฉินอวี้โม่มีเงาร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่างยืนอยู่ มันคล้ายจะมีสีแดงแต่ก็ดูคลุมเครือไม่ชัดเจน
“เสี่ยวจิน ดูนั่น นั่นคืออสูรมายาแห่งโชคชะตาของนายหญิง—ท่านซิว !”
เมื่อเห็นซิวปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าฉินอวี้โม่ เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินก็หายใจโล่งขึ้น พวกมันไม่กังวลอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่ซิวปรากฏตัว เจ้าหมีดำจอมอหังการก็กลัวจนหัวหด
“นั่นยอดฝีมือเมื่อตอนนั้นนี่ !”
สมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่เคยเห็นซิวมาก่อนหน้านี้ต่างก็โล่งอกเช่นกัน พวกเขารู้ดีว่าท่านยอดฝีมือผู้พร่าเลือน นั้นแข็งแกร่งมากเพียงใด ตัวตนในระดับนี้สามารถสังหารอสูรมายาระดับเทวะได้ในชั่วพริบตาเดียว แน่นอนว่าพลังระดับนั้นย่อมต้องแข็งแกร่งกว่าอสูรเทวะราชันเป็นแน่
“เหอะ คิดว่าข้ากลัวรึ !”
หมีดำเองก็เป็นอสูรมายาแสนหยิ่งยโส มันเปล่งเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อทำลายพันธนาการจากแรงกดดันของซิว
“ข้าจะแสดงพลังของข้าให้เจ้าดู !”
หมีดำกล่าวอย่างโอหัง มันสร้างก้อนแสงขนาดยักษ์ขึ้นที่ปาก แล้วส่งออกไปโจมตีซิวอย่างรวดเร็ว
“ช่างไม่รู้จักประมาณตน !”
ซิวจ้องมองหมีดำพลางโบกมือครั้งหนึ่ง เปลวเพลิงร้อนแรงถูกปลดปล่อยออกไปจากจุดที่ซิวยืนอยู่
ทุกคนเห็นเพียงแค่ว่า เมื่อก้อนแสงที่ออกมาจากปากของหมีดำสัมผัสเข้ากับเปลวเพลิงมันก็สลายตัวไปในฉับพลัน ทว่าเปลวเพลิงของซิวกลับไม่หยุดหรือลดทอนความรุนแรงลงเลย และในที่สุดมันก็ปะทะเข้ากับร่างใหญ่ยักษ์ของหมีดำ
“โฮกกกก !”
เปลวเพลิงแผดเผาขนของหมีเทวะราชันในทันที หมีร่างใหญ่ทำได้เพียงส่งเสียงคำรามที่ดูทุกข์ทรมานออกมา
เปลวเพลิงนั้นร้อนเสียจนขนหนา ๆ ของมันไหม้ไปในพริบตา ทันทีที่เพลิงเผาผลาญร่าง มันก็ทนไม่ไหวจนต้องล้มและกลิ้งไปมากลับพื้นอย่างน่าเวทนา
“จะยอมจำนนหรือจะตาย !”
ซิวมองหมีดำที่กำลังกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นแล้วเริ่มข่มขู่
หมีดำกัดฟันทน มันยังไม่ยอมเปิดปาก
“ถ้าอย่างนั้น ก็เตรียมตัวกลายเป็นหมีย่างได้เลย วันนี้แหละข้าจะย่างหมี ทุกคนจะได้มีอาหารมื้อพิเศษกิน !”
ซิวแสยะยิ้มและเย้ยหยันออกมา ก่อนจะส่งเปลวเพลิงที่ร้อนแรงกว่าเข้าไปซัดใส่หมีดำอีกระลอกหนึ่ง
เมื่อเห็นเปลวเพลิงที่ฝ่ายตรงข้ามปลดปล่อยออกมา แม้ว่าใจของมันจะไม่ยินดีแต่เจ้าหมีดำก็ต้องก้มหัวให้อย่างจำทน
มันยังไม่อยากตาย มันจึงจำใจต้องยอมจำนน ที่สำคัญเมื่อนึกภาพว่าจะได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงของสาวงามแล้วมันก็ไม่ได้รู้สึกย่ำแย่นัก และเพราะอย่างไรก็ย่อมดีกว่าปล่อยให้เจ้าเงามัวๆ ตรงหน้าย่างมันกินแบบนี้
“หึ ! แล้วจำใส่กะโหลกเอาไว้ด้วยว่า อย่ามาโอหังต่อหน้าข้า !”
ซิวขู่หมีไปอีกครั้งก่อนจะหายตัวไปในร่างของฉินอวี้โม่ ซิวกลับเข้าไปในมิติเชื่อมอสูรของนาง
หมีดำนอนแน่นิ่งแผ่หลาอยู่บนพื้น ร่างของมันดูเกรียมๆ ขนที่เคยฟูยุบหายไปหลายส่วน สภาพของหมีระดับเทวะราชันผู้ยิ่งใหญ่ในตอนนี้ดูร่อแร่เต็มทน เปลวเพลิงของซิวน่าสะพรึงกลัวเกินไป มันทำลายเข้าไปจนถึงอวัยวะภายในของหมีดำตัวนี้จนดูราวกับเป็นหมีตากแห้งอย่างน่าเหลือเชื่อ
ในเวลานั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็เข้าไปสยบต้นไม้วิญญาณ และให้อู๋เผยเข้ามาทำพันธสัญญากับมัน ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปหาเจ้าหมีที่นอนไหม้อยู่ไม่ไกล
ในตอนนั้นเอง หมีดำก็เปลี่ยนกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์อีกครั้ง มันคุกเข่าลงต่อหน้าฉินอวี้โม่ด้วยความเคารพยำเกรง
ในเมื่อมันตัดสินใจยอมจำนนไปแล้วก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนใจมันได้อีก
“เสี่ยวเฮย เสี่ยวจิน เฝ้าอสูรเทวะราชันไว้ก่อน ข้าจะสยบมันหลังจากนี้”
ตรงหน้านางเป็นอสูรมายาระดับเทวะราชัน นี่ถือเป็นทรัพยากรชั้นเยี่ยม ตอนนี้นางอยู่ขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราแล้ว ขอเพียงทำพันธสัญญากับอสูรเทวะราชันตัวนี้ นางก็อาจจะทะลวงขึ้นไปถึงขอบเขตนภมายาเลยก็เป็นได้ แต่การจะสยบและทำพันธสัญญากับอสูรระดับสูง ๆ นั้นต้องการเวลา ในตอนที่นางสยบและทำพันธสัญญากับเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินซึ่งเป็นอสูรเทวะก็ใช้เวลาระยะหนึ่ง ในตอนนี้เมื่อเป็นอสูรเทวะราชันนั้นก็คงต้องใช้เวลาที่มากกว่าแน่นอน อีกทั้งในตอนนี้อสูรระลอกที่สามกำลังเริ่มล่าถอยกลับเข้าป่าไปแล้ว หากชักช้าจะไม่ทันการณ์ ฉินอวี้โม่จึงอยากจะเอาเวลาในตอนนี้ไปช่วยทุกคนก่อน
แน่นอนว่าเสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินเข้าใจความคิดของฉินอวี้โม่ดี สองอสูรเทวะพยักหน้ารับคำเจ้านาย
พวกมันไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ทำให้ทั้งม้าและเหยี่ยวรู้สึกอิจฉาหมีตรงหน้ามาก พวกมันทั้งคู่เยื้องย่างเข้าหาหมีดำอย่างข่มขู่และจับตาดูมันอย่างใกล้ชิด!
แม้จะรู้ว่าหมีดำคงไม่เปลี่ยนใจหรือคิดจะขัดขืนอีก แต่ฉินอวี้โม่ก็ไม่อยากประมาท
“เอาล่ะ ทุกคนช่วยกันจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ ข้าจะช่วยทุกท่านสยบมันเอง อสูรล้อมเมืองจบลงแล้ว”
เมื่อหันไปมองดูรอบ ๆ และยังเห็นอสูรศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่หลายตัว ฉินอวี้โม่ก็ร้องบอกเหล่าสหายในกองกำลังพันธมิตรของนาง
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนต่างก็โห่ร้องด้วยความดีใจก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปจับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ ๆ อย่างขะมักเขม้น
เมื่อเห็นความสำเร็จ ความรื่นเริง และความสุขในกลุ่มพันธมิตรของศัตรู หลี่เปียวและลิ่วเยว่ก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้น โดยเฉพาะลิ่วเยว่นั้น วันนี้เขาพ่ายแพ้อย่างยับเยิน และหากกลับไปถึงอารามเขาก็คงจะถูกทุกคนหัวเราะเยาะแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นสถานะของเขาภายในอารามก็คงจะตกต่ำลงอย่างรุนแรง
“หลี่เปียว รีบทำอะไรสักอย่าง เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าอย่างไรพวกเราก็ชนะ!”
ลิ่วเยว่มองหลี่เปียวและกล่าวขึ้นมาด้วยความเดือดดาล
“ท่านลิ่วเยว่ไม่ต้องห่วง”
เมื่อเห็นท่าทางที่ร้อนรนปนเดือดดาลของลิ่วเยว่ หลี่เปียวก็พยายามพูดให้เขาสงบลงไปพร้อม ๆ กับขบคิดหาวิถีทางสำหรับแก้ไขสถานการณ์
เมื่อหันมองไปฉินอวี้โม่ที่กำลังไล่สยบอสูรมายาให้พวกพ้องของนางแล้ว หลี่เปียวก็บังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจ
“คุณชายลิ่ว ข้าจะพาคนในกลุ่มทหารรับจ้างของข้าเข้าไปเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าพวกนั้นทุกคน ส่วนท่านพอสบโอกาสก็ให้รีบเข้าไปฆ่าฉินอวี้โม่ ขอเพียงแต่ฆ่านางได้ คำสาบานก็จะไร้ผล!”
“หลี่เปียว ฉินอวี้โม่มีผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังคอยคุ้มกันอยู่ เจ้าอยากให้ข้าเข้าไปตายรึไง ?!”
ลิ่วเยว่ไม่ได้โง่ เมื่อคิดถึงซิว เขาก็รู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา
“คุณชายลิ่วเยว่ ข้าเคยเห็นผู้พิทักษ์ผู้นั้นมาแล้ว หากนางเรียกยอดฝีมือผู้นั้นออกมาได้ดังใจนึกจริง ๆ ก็คงจะเรียกออกมาตั้งแต่แรกแล้ว การที่ออกมาในช่วงวิกฤตเมื่อครู่ก็แสดงว่านางคงจะเรียกได้เพียงครั้งเดียว หากจะเรียกอีกเป็นครั้งที่สองข้าคิดว่าคงต้องใช้เวลาแน่ ขอแค่คุณชายลงมือตอนที่นางสยบอสูรมายาอยู่ก็จะสามารถสังหารนางได้ในกระบวนท่าเดียว !”
หลี่เปียวกล่าวขึ้นมาอย่างชั่วร้าย
เมื่อได้ยินที่หลี่เปียวเอ่ย ลิ่วเยว่ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุผล ดูจากรูปการณ์แล้วเขาเองก็คาดเดาว่านางคงไม่สามารถเรียกตัวตนที่ลึกลับนั่นออกมาได้อีกเป็นครั้งที่สอง และในเวลานี้วิธีการเช่นใดที่จะทำให้เขาเสียผลประโยชน์น้อยที่สุด เขาก็ไม่ควรจะลังเล
ในตอนที่พวกเขาถูกฝูงอสูรที่บ้าคลั่งเพราะเกสรงาดำเข้าจู่โจม กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่การปรากฏตัวของหมีดำและซิวก็ทำให้อสูรมายาพวกนั้นชะงักไป พวกเขาจึงใช้โอกาสนั้นหนีฝ่าวงล้อมออกมาได้
ในตอนนี้แม้ว่าความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจจะลดทอนลงไปอย่างมหาศาลเพราะความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่หากเป็นเพียงแค่การก่อกวนเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจจากกลุ่มคนเท่านั้น นั่นก็ไม่นับว่าเหลือบ่ากว่าแรงที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้
เมื่อหลี่เปียวเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังอุ้มร่างของอสูรมายาเดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่ เขาก็พยักหน้าให้ลิ่วเยว่ จากนั้นเขาพร้อมกับเหล่าลูกน้องทั้งหมดก็ตรงเข้าไปหากลุ่มพันธมิตรอวี้โม่
“ให้พวกมันได้รู้ไปเลยว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของเราแข็งแกร่งขนาดไหน พวกเราไม่ยอมให้ใครมาหยามได้ง่าย ๆ !”
ขณะที่เขาวิ่งเข้าไปหาสมาชิกในกองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ หลี่เปียวก็แสร้งทำเป็นโกรธแค้นอย่างมาก
เดิมทีเหล่าสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจต่างก็เคียดแค้นกันอยู่แล้วที่ถูกเสี่ยวโร่วโยนขวดที่บรรจุผงเกสรงาดำเข้าใส่ เมื่อได้ยินหลี่เปียวตะโกน พวกเขาก็พากันบุกตะลุยเข้าไปหาพวกพ้องของฉินอวี้โม่ในทันที
กลุ่มพันธมิตรอวี้โม่อยู่ในสภาวะผ่อนคลายหลังจบศึกอันเคร่งเครียด ตอนนี้พวกเขาต่างก็กำลังไล่จับอสูรมายาที่เหลืออยู่ ทว่าระหว่างที่กำลังไล่ล่าอสูรมายาอย่างรื่นเริง จู่ ๆ พวกเขาก็ถูกคนจากกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเข้ามาเล่นงาน
ชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นเองก็ถูกคนของหลี่เปียวจงใจพุ่งเข้าจู่โจม คนเหล่านั้นพยายามผลักดันองครักษ์พิทักษ์สาวงามทั้งสองให้ออกห่างจากสตรีน่าชังผู้เป็นศัตรูสำคัญของพวกเขา เพื่อไม่ให้ชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นเข้าไปปกป้องฉินอวี้โม่ได้
“ฉินอวี้โม่ ตายซะเถอะ !”
เมื่อเห็นว่าโอกาสมาถึงแล้ว ลิ่วเยว่ก็ขี่อสูรมายาของเขาและพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว เขาเปล่งเสียงที่เต็มไปด้วยความอาฆาตออกมาดังลั่น
ฉินอวี้โม่กำลังสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ทำให้นางไม่สามารถเคลื่อนไหวในตอนนี้ได้ ขณะเดียวกันในจุดที่นางอยู่ค่อนข้างไกลจากเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินทำให้พวกมันไม่สามารถพุ่งมาถึงตัวนางได้ทันการณ์
การโจมตีของลิ่วเยว่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และเป็นตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงอันตรายที่คุกคามถึงชีวิต
“ลิ่วเยว่ เจ้าคนไร้ยางอาย !”
ลั่วอวิ๋นซัดคนที่เข้ามาขวางจนกระเด็นออกไป ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปเพื่อหยุดลิ่วเยว่เอาไว้ อย่างไรก็ตามเขาก็พบว่าเขาไม่สามารถเข้าถึงตัวนางได้ทันเป็นแน่
ชื่อเซียวเตะคนตรงหน้าจนหมอบลงไป ทว่าก็ไม่มีเวลาจะเข้าไปชีวิตฉินอวี้โม่ได้ทันแล้วเช่นกัน ผู้นำแห่งกองทหารรับจ้างระดับหนึ่งทำได้แต่มองดูการโจมตีของลิ่วเยว่ที่กำลังจะปะทะตัวโฉมงามของเขา
ทว่าในตอนนั้นเองก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น!
“คนจากอารามไร้ยางอายจนถึงกับลอบลงมือทำร้ายผู้อื่นทีเผลอเช่นนี้เสมอเลยรึ ?”
จากนั้นเขาก็เห็นบุรุษผู้เป็นเจ้าของเสียงปรากฏตัวขึ้นข้างกายฉินอวี้โม่ คนผู้นั้นหยุดการโจมตีของลิ่วเยว่ได้ด้วยการขยับมือเพียงข้างเดียว
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงเข้ามายุ่งเรื่องของข้า ?!”
เมื่อเห็นว่าคนที่เพิ่งปรากฏตัวตรงหน้าสามารถสกัดการโจมตีของเขาได้อย่างง่ายดาย ลิวเยว่ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขาตวาดดังลั่นด้วยความเดือดดาล อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะถึงตัวฉินอวี้โม่แล้ว อีกเพียงนิดเดียวเขาก็จะฆ่านางได้ ขอเพียงสังหารสตรีตรงหน้าสำเร็จ คำสาบานก่อนหน้านี้ก็จะไร้ผล ทว่ากลับมีบุรุษหน้าตายท่าทางลึกลับสอดมือเข้ามายุ่ง มันผู้นี้ดับฝันของเขาลงอย่างไม่น่าให้อภัย
ลิ่วเยว่ที่ถูกสกัดกั้นการโจมตีจนกระเด็นตกลงพื้นและไถลไปไกลรีบลุกขึ้น คนจากอารามพุ่งเข้าจู่โจมศัตรูอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้เป้าหมายของเขาเปลี่ยนเป็นบุรุษหน้าตายที่เข้ามายุ่งเรื่องของผู้อื่น
บุรุษผู้มาใหม่เตรียมพร้อมเอาไว้แล้วเขากระโจนพุ่งเข้าซัดบุรุษจากอารามในทันที พลังของเขารุนแรงและรวดเร็ว ไม่นานนักก็มองเห็นเพียงร่างของลิ่วเยว่ปลิวออกไปตกยังจุดที่ไกลออกไป
หลังจากนั้นคนมาใหม่ที่เพิ่งจะหยุดคนต่ำช้าจากอารามก็เดินเข้าไปหาฉินอวี้โม่
“พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
เมื่อฉินอวี้โม่มองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นชัด ๆ นางก็ชะงักไปเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้สวมชุดสีขาว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชา ร่างกายมีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งคือจะมีไอเย็นหลั่งไหลออกมาจากร่างของเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าใบหน้าในตอนนี้ของเขาจะดูอบอุ่นและผ่อนคลาย ทว่าด้วยพลังแห่งความเย็นลึกลับที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยออกมาก็กำลังทำให้นางเริ่มรู้สึกเหน็บหนาว
ชายผู้นี้มิใช่ใครอื่น เขาคือ–หานโม่ฉือ สหายมนุษย์น้ำแข็งที่นางเคยเจอมาก่อนและยังเคยต่อสู้ร่วมกันที่บึงสายหมอกในเมืองหลิงซี
“ทำไมคุณชายหานถึงมาอยู่ที่นี่ได้”
ฉินอวี้โม่ทำการสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ตรงหน้าจนเสร็จสิ้นและบอกให้ชายผู้ที่อุ้มมันมาผูกพันธสัญญา หลังจากนั้นนางก็ลุกขึ้นมาจากพื้นที่นั่งอยู่อย่างช้า ๆ เพื่อสนทนากับสหายผู้มาใหม่
“ที่ข้ามาเมืองเยว่กวางก็เพราะมีธุระบางอย่าง ข้าเพียงแค่บังเอิญได้มาเห็นคนต่ำช้าผู้หนึ่งกำลังลอบลงมือทำร้ายเจ้า ข้าจึงต้องเข้ามาช่วย”
ดูเหมือนว่าหานโม่ฉือจะยังคงไม่ชอบเปิดปากพูดอยู่เช่นเดิม ทว่าเขาก็ยังอุตส่าห์อธิบายให้สหายสาวฟังยาวยืด
เมื่อภารกิจที่กำลังทำอยู่เสร็จสิ้น หานโม่ฉือก็คิดจะมาชมดูเทศกาลอสูรล้อมเมืองในปีนี้เล็กน้อย เมื่อมาถึงเขาก็เห็นฉินอวี้โม่อยู่ท่ามกลางฝูงชน พรั่งพร้อมไปด้วยเหล่าพันธมิตรมากมายที่ส่วนใหญ่ก็มีแต่บุรุษอาจหาญ เดิมทีเขาเพียงแต่คิดจะเฝ้าดูอยู่อย่างเงียบ ๆ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเห็นลิ่วเยว่ลอบจู่โจมนางอย่างกะทันหัน
หากผู้ใดรู้จักเขาดีจะทราบว่า หานโม่ฉือนั้นเป็นบุรุษที่กล่าวได้ว่าเลือดเย็น และเขาก็เบื่อหน่ายเรื่องยุ่งยากทั้งปวงจึงไม่เคยใส่ใจจะสอดตัวเข้าไปยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดเมื่อเขาเห็นฉินอวี้โม่ตกอยู่ในอันตราย เขากลับไม่ลังเลที่จะเข้าไปช่วยนางเลยแม้แต่น้อย หากว่าหลินจิ้งหงมาอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะต้องประหลาดใจอย่างมาก ไม่เคยมีผู้ใดที่ทำให้หานโม่ฉือเป็นเช่นนี้มาก่อน
“ขอบคุณคุณชายหานมาก”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มให้หานโม่ฉือ นางมีความรู้สึกที่ดีให้กับสหายดั้งเดิมอย่างหานโม่ฉือและหลินจิ้งหง
“เจ้าบัดซบ อาจหาญมายุ่งเรื่องของข้าแล้วยังลงมือทำร้ายข้าอีก ไม่รู้รึว่าข้าคือใคร !”
ลิ่วเยว่พุ่งกลับเข้ามาอีกครั้งอย่างตั้งใจจะหาเรื่องหานโม่ฉืออย่างเต็มที่ ทว่าบุรุษมนุษย์น้ำแข็งกลับยังคงยืนส่งยิ้มให้สาวงามอยู่อย่างอ่อนโยน เมื่อเห็นว่าหานโม่ฉือไม่เห็นตนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย ลิ่วเยว่ก็โกรธแค้นจนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
ไม่เพียงแค่ชายผู้นี้จะดูดีกว่าเขาทุกประการเท่านั้น แต่อีกฝ่ายยังเรียกร้องความสนใจของสาวงามไปจากเขาอย่างสิ้นเชิง ฉินอวี้โม่นั่นก็ผู้หนึ่ง เขากำลังต้องการจะสังหารนาง แล้วเหตุใดจึงไม่คิดที่จะมองหน้าเขาแม้แต่น้อย เมื่อใดกันที่คนจากอารามถูกเพิกเฉยได้ถึงเพียงนี้ !
“ลุงลี้ ข้าต้องการให้ท่านช่วย !”
จู่ๆ ลิ่วเยว่ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง ไม่ทราบเช่นกันว่าเขาพุ่งเข้ามาจากทิศใด ทว่าเพียงพริบตาชายชราผู้หนึ่งก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ร่างกายของชราผู้นี้พร่ามัวไม่ชัดเจน ดูแล้วเขาน่าจะเป็นผู้พิทักษ์ของลิ่วเยว่ที่ถูกส่งตัวมาจากอารามเพื่อคอยคุ้มกันเขา
“ขอแค่ฆ่านางได้ คำสาบานของข้าก็จะถือเป็นโมฆะ”
ลิ่วเยว่จ้องมองฉินอวี้โม่แล้วกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา
“ลุงลี้ ช่วยข้าฆ่านังผู้หญิงคนนั้นซะ”
ลิ่วเยว่กล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อาฆาตแค้น
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้ว และในตอนที่นางเตรียมจะเคลื่อนไหวนั้น เสียงที่นุ่มนวลของหานโม่ฉือก็ดังขึ้น
“เจ้าพักเถอะ ตรงนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง”
.
.
.
ตอนที่ 48 อสูรเทวะราชัน
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แข็งแกร่ง ฉินอวี้โม่ก็รู้ตัวในทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ
นางก้าวขาอย่างฉับพลันเพื่อเบี่ยงตัวหลบหลีกตามสัญชาตญาณ อดีตสาวนักฆ่าต้องการจะหนีออกไปจากจุดนี้โดยเร็วที่สุด ทว่าในตอนนั้นเองที่แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นผนึกการเคลื่อนไหวของนางเอาไว้
แม้ว่านางจะตอบสนองอย่างว่องไวแล้วแต่ก็ยังถูกบางอย่างโจมตีเข้าอย่างหนักหน่วง
ร่างของฉินอวี้โม่กระเด็นออกไปในทันที สาวนักฆ่ากระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ในตอนนี้นางรู้สึกว่าอวัยวะภายในปั่นป่วนไปหมด
มือสังหารในร่างอดีตคุณหนูใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดในการควบคุมร่างกายไว้ให้สงบดังเดิม นางค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงก่อนจะใช้ชายแขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก
เมื่อหันกลับไปมองยังจุดที่เคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้ ฉินอวี้โม่ก็ทอแววตาอาฆาตขึ้นทันที
ณ จุดเดิมที่สตรีโฉมงามในชุดทะมัดทะแมงยืนอยู่เมื่อสักครู่ ปรากฏเป็นร่างของบุรุษสวมชุดสีดำสนิทผู้หนึ่ง ท่าทางของคนผู้นี้ดูหยิ่งทะนงและองอาจ เขาจ้องมองมาที่นางด้วยความอาฆาตแค้นไม่ต่างกัน
— แรงกดดันอันหนักหน่วงที่นางสัมผัสได้มาจากผู้ชายคนนี้ ! —
“แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาแตะต้องนายหญิงของข้า”
เมื่อเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินเห็นว่าผู้เป็นนายถูกเล่นงาน พวกมันก็รีบพุ่งเข้ามายืนบังร่างของฉินอวี้โม่อย่างปกป้องและจ้องมองชายผู้นั้นด้วยความโกรธ
เสี่ยวโร่วและสหายคนอื่น ๆ เองก็วิ่งกรูเข้ามาล้อมรอบกายฉินอวี้โม่และมองจ้องบุรุษผู้นั้นอย่างเดือดดาลเช่นกัน
“คุณหนูเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วรีบถามฉินอวี้โม่อย่างกระวนกระวายและตื่นตระหนก
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”
แม้ว่านางจะถูกคนชุดดำผู้นั้นเล่นงาน แต่ก็ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บที่สาหัส ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะนางตอบสนองได้ว่องไวมากพอจึงหลบเลี่ยงไม่ให้การโจมตีนั้นปะทะจุดสำคัญได้ อีกทั้งด้วยกายเทพมายาของนางมีความมหัศจรรย์เหนือผู้อื่น บาดแผลที่เกิดขึ้นบนร่างบางจึงหายไปในเวลาอันสั้น
“ไอ้กระจอกสองตัว กล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าไม่อยากอยู่ดูโลกแล้วรึ ?!”
เมื่อบุรุษชุดดำผู้นั้นได้ยินที่เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินพูด เขาก็กล่าววาจาโอหังตอกกลับไป
“แกต่างหากที่หาที่ตาย กล้ามาทำร้ายนายหญิงของเรา !”
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินมองชายผู้นั้นด้วยความโกรธเคือง ในดวงตาของอสูรเทวะทั้งสองไร้ซึ่งแววหวั่นเกรงใด ๆ …อีกฝ่ายกล้าลงมือกับนายหญิงของพวกมัน เพราะฉะนั้นมันจะต้องชดใช้ !
“ฮึ่ย ! พวกกระจอก พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังอวดดีกับใคร ?!”
บุรุษชุดดำผู้นั้นมีท่าทางทะนงตนและถือตัวเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ไม่นับว่าผิดเพราะเขามีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้นได้ ด้วยแรงกดดันอันหนักหน่วงจากกายของเขาที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าของทั้งเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินมาก
“เจ้าคนหน้าด้านกล้าลงมือกับสตรี เสียชื่อลูกผู้ชาย” ลั่วอวิ๋นมองที่ชายชุดดำผู้นั้นด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ตลก ข้าไม่ใช่มนุษย์แล้วจะกลัวเสียชื่อทำหอกอะไร ?! ไอ้มนุษย์ไม่เจียมตัว” บุรุษชุดดำยิ้มเย้ยหยันพลางกล่าววาจาถากถางอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้ลั่วอวิ๋นผงะไป
“ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก ไอ้ตัวโอหังตัวนี้มันไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นอสูรเทวะราชัน !”
แม้ว่าเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจะกำลังเป็นกังวลด้วยแรงกดดันที่รุนแรงจากอีกฝ่าย แต่พวกมันทั้งสองก็ไม่คิดเกรงกลัว หากว่ามันทั้งสองตัวที่เป็นอสูรระดับเทวะร่วมมือกันปกป้องนายหญิงก็น่าจะเพียงพอที่จะต้านทานอีกฝ่ายได้ ที่สำคัญด้วยกายเทพมายาของนายหญิงแล้วก็อาจจะช่วยให้พวกมันและผู้เป็นนายเป็นฝ่ายได้เปรียบได้มากกว่าด้วย
“เจ้ากระจอก พวกเจ้าสองตัวนี่ฉลาดจริง ๆ”
บุรุษชุดดำยิ้ม
“เจ้าเป็นบอส (boss) ใหญ่ของอสูรล้อมเมืองปีนี้อย่างนั้นรึ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วมองดูชายชุดดำผู้นั้นแล้วกล่าวถามออกไป ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตัวอะไรก็ตาม แต่การที่กล้ามาลงมือทำร้ายนางก็จะต้องชดใช้อยู่ดี
บุรุษชุดดำผงะไปทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ แน่นอนว่าอสูรเทวะราชันผู้อยู่อาศัยในดินแดนหวนหลิงย่อมไม่เข้าใจว่า ‘บอส’ ที่สตรีมนุษย์ตรงหน้าพูดออกมาเมื่อครู่หมายถึงอะไร
“คุณหนู บอสคืออะไรเหรอเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วเป็นสาวน้อยแสนซื่อ เมื่อนางไม่เข้าใจสิ่งใดก็มักจะถามขึ้นมาในทันที ครั้งนี้นางไม่เข้าใจความหมายที่คุณหนูของนางพูด สาวใช้น้อยจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว ใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็เปลี่ยนเป็นเอ๋อ ไปในทันที เอ่อออ… เธอลืมไปซะสนิทเลยว่าคนในดินแดนนี้ไม่เคยรู้จักภาษาอังกฤษ ซึ่งก็แน่นอนว่าพวกเขาต้องไม่เข้าใจคำว่าบอส
“ที่ข้าพูดมันหมายถึงหัวหน้าของอสูรมายาของอสูรล้อมเมืองปีนี้”
ฉินอวี้โม่กล่าวอธิบายออกไปอย่างง่าย ๆ เพื่อลดความงุนงงของทุกคน
“ฮ่า ๆ ๆ เยี่ยมมากมนุษย์สตรี ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะทั้งสวยทั้งฉลาด !”
เมื่อเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ อสูรเทวะราชันในร่างมนุษย์ชุดดำก็หัวเราะออกมา
“เฮ้อ… ช่างน่าเสียดายเหลือเกินที่จะต้องฆ่าเจ้า สาวน้อย ความงดงามของเจ้าถูกใจข้ายิ่งนัก ถ้าหากเจ้าไปกับข้าและยอมเป็นเมียข้าเสียดี ๆ ข้าจะเมตตาปล่อยมนุษย์พวกนี้ไป ถึงตอนนั้นอสูรล้อมเมืองก็จะจบลง เจ้าจะว่าอย่างไร ?”
‘นี่มันจะจับฉันทำเมียงั้นเหรอ ? รักข้ามเผ่าพันธุ์เรอะ ?’ หลังจากได้ยินคำพูดของอสูรไม่ทราบเผ่าพันธุ์ในร่างบุรุษชุดดำ ทันใดนั้นฉินอวี้โม่ก็หัวเราะออกมาอย่างจริงจัง
“เป็นแค่อสูรมายาแท้ ๆ กลับอยากจะเอาข้าไปเป็นภรรยา ฝันไปเถอะ !” โฉมนารีผู้มีความงามเป็นที่ต้องตาต้องใจแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์อื่นหยุดหัวเราะแล้วกล่าว
เมื่อได้ยินวาจาเสียดแทงของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของอสูรชุดดำที่แต่เดิมเคยยิ้มน้อยๆ อย่างหว่านเสน่ห์ก็แปรเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาทันที
‘เช่นนี้แล้ว ต่อไปในภายภาคหน้ามันจะเป็นอสูรเทวะราชันผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามได้อย่างไร ? ในเมื่อแม้แต่สตรีมนุษย์ตัวเล็ก ๆ ยังหยามมันมากถึงเพียงนี้ นี่เท่ากับว่าไม่ไว้หน้ามันเลยแม้แต่น้อย !’
“สาวน้อย ที่ข้าจะเอาเจ้ามาเป็นเมียถือว่าข้าให้เกียรติเจ้าแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะบังอาจกล่าวคำลบหลู่ข้า ! อย่าคิดว่าสวยแล้วข้าจะไม่กล้าทำรุนแรงกับเจ้านะ”
“ถุย หน้าอย่างเจ้าเอาจระเข้เป็นเมียก็พอแล้ว”
เสี่ยวจินเอ่ยขึ้นก่อนเสี่ยวเฮยจะกล่าวต่อ “กลับไปเจ้าลองส่องกระจกดูเอาเองละกัน หน้าดำอย่างกระถ่านแบบเจ้าใครมันจะไปชอบลง ?” บางทีอาชามีเขาสีดำล้วนก็คงจะลืมไปว่าสีของมันก็ไม่ต่างจากถ่านเช่นกัน
พวกมันทั้งสองติดตามฉินอวี้โม่มาได้สักพักแล้ว พวกมันจึงรู้ใจนายหญิงของตัวเองดี ตอนนี้เจ้านายของมันไม่มีความกลัวอยู่เลย เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกมันเองก็ไม่กลัวด้วยเช่นกัน
“ไอ้กระจอกสองตัวนี่ ปากดีนักนะ !”
เมื่ออสูรในร่างมนุษย์ชุดดำได้ยินคำพูดเหยียดหยามของอสูรระดับต่ำกว่าที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันก็พุ่งตัวเข้าจู่โจมในทันที
“เหอะ อย่าคิดว่าเป็นอสูรเทวะราชันแล้วพวกเราจะต้องกลัวเจ้านะ”
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินพุ่งทะยานออกไปปะทะกับอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พวกมันทั้งสองเป็นอสูรประเภทบินที่มีความเร็วสูง มันผลัดกันแหย่ผลัดกันหนีอย่างมีชั้นเชิงและรวดเร็ว ซึ่งเมื่อมีสองตัวเข้าไปช่วยกันพัวพันเช่นนี้ก็ทำให้อีกฝ่ายล้มพวกมันไม่ได้ง่าย ๆ
ภาพที่เสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินพุ่งเข้าไปต่อสู้กับอสูรมายาในชุดสีดำไม่ได้ทำให้ฉินอวี้โม่เป็นกังวลมากนัก เพราะนางได้สั่งพวกมันไว้แล้วว่า ถ้าหากสู้ไม่ได้ก็แค่ถอยออกมา และเนื่องจากพวกมันทั้งคู่มีความเร็วสูงการจะถอยก็คงไม่มีปัญหา
ฉินอวี้โม่เดินกลับไปยังจุดเดิมอย่างไม่ทุกข์ร้อน นางเห็นว่ายักษ์ศิลากับต้นไม้วิญญาณยังคงหมอบต่ำอยู่ที่พื้น
นางเดินตรงเข้าไปหาพวกมันอย่างไม่ลังเลและเริ่มสยบพวกมัน ฉินอวี้โม่ตั้งใจแล้วว่าจะมอบอสูรเทวะทั้งสองตัวนี้ให้กับขวงจ้านและอู๋เผย
ในเริ่มแรกนั้นเหล่าสมาชิกกลุ่มพันธมิตรอวี้โม่ต่างก็มองดูยูนิคอร์นสีนิลและเหยี่ยวปีกทองที่กำลังโรมรันกับอสูรเทวะราชันในร่างบุรุษชุดดำด้วยสีหน้าเป็นกังวล ทว่าต่อมาเมื่อได้เห็นท่าทีแสนนิ่งสงบของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็รีบกลืนความกังวลของตัวเองลงไป อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงลังเลเพราะไม่รู้ว่าควรจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่
ฉินอวี้โม่รีบสยบยักษ์ศิลาและส่งมอบมันให้กับอู๋เผย
อู๋เผยพร่ำขอบคุณนางทั้งน้ำตา หลังการทำพันธสัญญาเสร็จสิ้นลง เขาก็สั่งให้ยักษ์ศิลาเข้าไปช่วยเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินรับมือกับอสูรเทวะราชันในร่างบุรุษชุดดำ
ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางก้าวเข้าไปสยบต้นไม้วิญญาณต่อทันที
ตอนนี้อสูรเทวะราชันชุดดำที่โรมรันพันตูอยู่กับสองอสูรเทวะสายความเร็วสูงก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าเสี่ยวเฮยและเสี่ยวจินจะอ่อนแอกว่ามัน ทว่าเจ้ากระจอกทั้งสองก็คล่องแคล่วว่องไว แม้มันจะแข็งแกร่งกว่าและได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถเผด็จศึกได้
และทันใดนั้นเอง จู่ๆ ยักษ์ศิลาก็เข้ามาร่วมด้วยอีกตัว !
อสูรในร่างมนุษย์จำได้ดีว่ายักษ์ศิลาตัวนี้เป็นอสูรมายาที่มาโจมตีเมืองในระลอกที่สามพร้อม ๆ กับมัน แล้วจู่ ๆ อีกฝ่ายกลับพุ่งเข้ามาโจมตีมันได้อย่างไร ?
เมื่อหันไปมอง มันก็พบว่าสตรีมนุษย์ผู้งดงามต้องใจมันกำลังสยบต้นไม้วิญญาณอยู่
ทว่าแม้จะเป็นอสูรเทวะราชันแต่ก็ไม่ง่ายที่มันจะฝ่าวงล้อมของอสูรเทวะทั้งสามตัวไปได้
ในอสูรล้อมเมืองครานี้ มันเป็นตัวตั้งตัวตี มันทั้งปลุกระดมและกะเกณฑ์อสูรมายาออกมาเป็นจำนวนมาก เพราะมันอยากจะประกาศให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ว่าพวกมันเหล่าอสูรมายาจะไม่ยอมให้มนุษย์หน้าเหม็นหน้าไหนมารังแกกันได้ง่าย ๆ พวกมันจะทำให้พวกมนุษย์ต้องยำเกรงจนไม่กล้าจะเข้าไปรบกวนพวกมันในป่าแสงจันทร์อีก ซึ่งถ้าหากตอนนี้มันไม่ทำอะไรสักอย่างแล้ว ก็คงจะต้องได้มองดูแผนการทั้งหมดพังทลายไปต่อหน้าต่อตาเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนั้น อสูรเทวะราชันผู้นำเอาเหล่าอสูรมายามาบุกโจมีเมืองมนุษย์ก็เกิดความไม่ยินยอม
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่กำลังสยบต้นไม้วิญญาณมันก็รู้ตัวว่ากำลังถูกถ่วงเวลาอยู่ในกับดักวงล้อมนี้และมันไม่ควรจะมัวเสียเวลาอีกต่อไป อสูรเทวะราชันตัดสินใจได้ในตอนนั้น !
“อ๊ากกกก !”
อสูรมายาในร่างมนุษย์ชุดดำคำรามออกมา ทันใดนั้น ร่างกายของมันก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว !
เวลานี้ขนาดของมันไม่ต่างจากภูเขาขนาดย่อม ๆ กลิ่นอายและสภาวะพลังจากร่างกายนั้นดูรุนแรงและดุดันขึ้นอย่างมหาศาล
“มันคือหมีควาย !!!”
เมื่อเห็นร่างที่แท้จริงของเจ้าตัวที่บังอาจโจมตีนายหญิง เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวจินก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ ในตอนนี้พวกมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่รุนแรงกำลังคุกคามอยู่ กลิ่นอายของหมียักษ์ตัวนี้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“เพ่ย ! ข้าคือหมีดำ ไม่ใช่หมีควายไอ้พวกโง่ !”
หมีดำที่ถูกเรียกว่าหมีควายเปล่งเสียงขึ้นมาอย่างเดือดดาล มันกระโจนเข้าใส่เสี่ยวจินในทันที
อสูรเทวะทั้งสามรีบหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เมื่ออสูรมายาระดับเทวะราชันกลับคืนสู่ร่างที่แท้จริง พวกมันก็ไม่สามารถปะทะกับอีกฝ่ายตรง ๆ ได้อีกต่อไป
“ไอ้กระจอก เมื่อครู่พวกเจ้ายังปากดีอยู่ไม่ใช่รึไง ?”
หมีดำกล่าวขึ้นมาอย่างเย็นชา “เข้ามา มาสู้กับข้า ข้าจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นเองว่าพลังของอสูรเทวะราชันเป็นยังไง !”
ทันทีที่สิ้นเสียง เจ้าหมีดำผู้จองหองก็ไม่ยับยั้งสภาวะพลังของตัวเองอีกต่อไป มันปลดปล่อยแรงกดดันออกไปในบรรยากาศอย่างเต็มที่เพื่อผนึกการเคลื่อนไหวของอสูรเทวะทั้งสามเอาไว้
— ปัง ! —
เสี่ยวเฮยคืออสูรเทวะที่มีระดับต่ำที่สุดในกลุ่ม เมื่อถูกพลังของคู่ต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าพุ่งเข้ากดดันก็ทำให้การเคลื่อนไหวแสนว่องไวของมันหยุดชะงักลง มันถูกมือยักษ์ใหญ่ของหมีดำฟาดจนร่วงตกลงไปกระแทกกับพื้น
จากนั้นยักษ์ศิลาก็เป็นรายต่อไปที่ถูกเจ้าหมีดำซัดกระเด็นออกไป
เสี่ยวจินรวดเร็วมากพอจึงสามารถหลบเลี่ยงการโจมตีของหมีดำได้ ทว่ามันก็คงยื้อได้อีกไม่นานนักเพราะถูกสภาวะพลังของอีกฝ่ายกดดันจนทำให้ความเร็วลดต่ำลงไปมาก
“พอไอ้หมีควายมันเปลี่ยนเป็นร่างจริง มันแข็งแกร่งขึ้นมากเลยจริง ๆ”
เสี่ยวเฮยพยายามจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่ลุกขึ้นมาได้ เจ้าอาชาสีนิลก็ได้เห็นหมีดำคำรามและวิ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่ที่ยังคงอยู่ในระหว่างการสยบต้นไม้วิญญาณ
“นายหญิง ระวัง !”
เสี่ยวเฮยได้แต่ตะโกนออกมา ขณะที่เสี่ยวจินพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อหมีดำใช้ร่างแท้จริงแล้ว มันก็แข็งแกร่งขึ้นมามาก อีกทั้งความเร็วของมันก็เพิ่มขึ้นมาด้วย ดังนั้นเสี่ยวจินที่ถูกยับยั้งพลังไว้จึงไม่อาจจะไล่ตามมันได้ทัน
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเสี่ยวเฮย ชื่อเซียวและคนอื่น ๆ ก็รีบก้าวเข้าไปขว้างหน้าเจ้าหมียักษ์เพื่อปกป้องฉินอวี้โม่
แต่โชคร้ายที่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าอสูรมายาระดับเทวะราชัน พวกเขาทั้งหมดถูกมันซัดกระเด็นออกไปทีละคนสองคนในพริบตา
ตอนนี้ฉินอวี้โม่ตกอยู่ในภาวะวิกฤตเพราะกำลังอยู่ในขั้นตอนการสยบอสูรมายา แม้ว่าจะได้ยินเสียงร้องเตือนของเสี่ยวเฮยแต่นางก็มิอาจหลบหลีกได้ เพราะหากนางหลบแล้ว การสยบอสูรมายาจะต้องหยุดชะงัก ไม่ใช่เพียงแค่การจับสัตว์มายาล้มเหลวไปเท่านั้นแต่พลังมายาของนางก็จะได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการรั้งพลังกลับมาอีกด้วย แน่นอนว่านางเองก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น
หมีดำพุ่งเข้ามาประชิดตัวฉินอวี้โม่แล้ว เมื่อเห็นเหยื่อไม่มีท่าทีว่าจะหลบ รอยยิ้มใหญ่ยักษ์ก็ปรากฏบนใบหน้ายักษ์ใหญ่ของมัน
หมีเทวะราชันกางกรงเล็บแหลมคมแล้วกวาดอุ้งเท้าหน้าเข้าใส่ตัวฉินอวี้โม่ทันที ! ไม่ทราบเช่นกันว่ามันจะลงมือทำร้ายนางหรือเพียงแค่จับตัวนางไปเท่านั้น
ฉินอวี้โม่ได้ยินเสียงกรีดร้องของทุกคน และเสียงร้องเรียกอย่างหวาดกลัวถึงขีดสุดของเสี่ยวโร่ว อย่างไรก็ตาม นางกลับยกยิ้มมุมปากและไม่มีอาการตื่นตระหนกหรือกังวลแม้แต่น้อย
“อสูรเทวะราชันตัวน้อย ๆ กล้าเข้าใกล้นายหญิงของซิว มันเท่ากับรนหาที่ตาย !”
ก่อนที่กรงเล็บของหมีดำจะสัมผัสโดนร่างของสาวน้อยก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ในตอนนั้นทุกคนต่างก็มองเห็นว่ากรงเล็บขนาดใหญ่ของหมีดำชะงักค้างอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ !
.
.
.
ตอนที่ 47 หลี่เปียวผู้ชั่วช้า
ไม่นานนักกองทัพอสูรมายาระลอกที่สองก็ถอนกำลังกลับไปจนหมด
ในอสูรล้อมเมืองระลอกที่สองนี้ ฉินอวี้โม่ทำผลงานสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งหมดสิบตัวในคราวเดียว ! และถึงแม้ว่านางจะมีพลังมายาสูงส่งทว่าก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ดี
อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบตัวนั้น อดีตคุณหนูได้แจกจ่ายให้กับสหายในกลุ่มพันธมิตรอวี้โม่ทั้งหมด เนื่องจากน้ำใจอันงดงามของพวกเขาที่อาสามาช่วยนางอย่างไม่เกรงกลัวอิทธิพลของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจและอาราม แน่นอนว่านักฆ่าสาวในร่างคุณหนูผู้รักความยุติธรรมไม่มีทางยอมให้พวกเขาต้องเสียแรงเปล่า
ขวงจ้านและสหายคนอื่น ๆ ต่างก็ยิ้มกันแก้มปริ เพราะจู่ ๆ กลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาก็มีผู้ที่มีอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครอง อีกทั้งระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยังเพิ่มขึ้นไม่น้อยด้วย
ขณะที่ฝั่งหลี่เปียวต่างก็มีสีหน้าที่บิดเบี้ยวและปวดใจอย่างชัดเจน
ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรพยายามอย่างเต็มที่จนสามารถสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์มาเป็นจำนวนสองตัวถ้วน ! ทว่าเขาก็เลือกเก็บพวกมันเอาไว้เอง ไม่คิดที่จะมอบให้ผู้อื่นเหมือนอย่างฉินอวี้โม่ ซึ่งนั่นก็ทำให้หลี่เปียวและคนในกลุ่มผู้ภักดีต่ออารามผิดหวังกันอย่างมาก
สมาชิกหลายคนของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจรู้สึกอิจฉาเหล่ากองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ พวกเขาได้แต่มองกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันรวมถึงคนอื่น ๆ ในนั้นส่งเสียงเฮเป็นการเฉลิมฉลองกันอย่างชื่นบาน ถ้าหากพวกเขาได้เข้าร่วมกับฉินอวี้โม่พวกเขาก็คงจะได้รับอสูรมายาบ้างเช่นกัน
ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างก็จัดระเบียบกำลังพลกันใหม่เพื่อรอคอยการมาถึงของกองทัพอสูรระลอกที่สาม
“กองทัพอสูรมายาในระลอกที่สามจะต้องแข็งแกร่งจนน่ากลัวแน่ ครั้งนี้เราจะสนใจเฉพาะอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไป ข้าจะช่วยทุกท่านสยบมันเองเพื่อให้พลังของพวกท่านเพิ่มขึ้น ส่วนอสูรมายาระดับอื่น ๆ ขอให้ปล่อยไปก่อน”
ฉินอวี้โม่ประกาศท่ามกลางเหล่าสหายในกลุ่มพันธมิตรด้วยรอยยิ้ม
กองทัพอสูรในระลอกที่สามแม้ว่าจะแข็งแกร่งมากแต่พวกนางก็มีคนอยู่จำนวนไม่น้อย ซึ่งถ้าหากทั้งหมดร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือกันก็คงไม่เหลือบ่ากว่าแรงอย่างแน่นอน
ที่สำคัญ หากมีเผ่าพันธุ์ของอสูรมายาอย่างหลากหลาย ฉินอวี้โม่ก็จะมีตัวเลือกมากขึ้น นางตั้งใจจะสยบอสูรมายาที่เหมาะสมให้เสี่ยวโร่วเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้สาวใช้น้อยในอนาคต
ลิ่วเยว่และพรรคพวกในกลุ่มมองดูฉินอวี้โม่และพวกพ้องของนางด้วยสีหน้าไม่ดีนัก
หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างไม่อาจเลี่ยง หากนับเพียงแค่การรับมือกับฝูงอสูรระลอกที่สองจำนวนแต้มต่อของพวกเขาก็ถูกทิ้งห่างไปไม่น้อย ถ้าในระลอกที่สามพวกเขายังพ่ายแพ้อีก ลิ่วเยว่ก็จะต้องมอบอสูรเทวะของตัวเองให้อีกฝ่ายซึ่งเป็นเรื่องที่เขาไม่มีวันยอมรับได้
“หลี่เปียว ไหนเจ้าบอกว่าครั้งนี้เราจะชนะแน่นอนอย่างไรเล่า ?”
ตอนนี้ลิ่วเยว่เริ่มจะใจเสียขึ้นมาบ้างแล้วที่หลงเชื่อในวาจาหว่านล้อมของหลี่เปียว หากเขารู้ก่อนว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่เก่งกาจเช่นนี้ เขาก็คงไม่กล้าท้าทายนางอย่างแน่นอน
“ไม่ต้องกังวลไป นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น คุณชายลิ่วไม่ต้องเป็นห่วง”
หลี่เปียวกล่าวขึ้นด้วยใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์ ดูเหมือนว่าคนผู้นี้คงจะเตรียมการบางอย่างเอาไว้รับมือเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าในอสูรล้อมเมืองระลอกที่สองพวกเขาจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป แต่หลี่เปียวก็ยังมั่นใจว่าระลอกที่สามสตรีบัดซบและสหายน่ารำคาญของนางจะไม่โชคดีเช่นนั้นอีก
“ข้าก็หวังเช่นนั้น !”
ลิ่วเยว่มองหลี่เปียวด้วยสายตาดุดัน ตอนนี้เขาเริ่มเกิดอาการเสียขวัญบ้างแล้ว
และหลังจากได้หยุดพักหายใจหายคอระยะหนึ่ง ในยามนี้กองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ก็พร้อมเต็มที่สำหรับรับมือกับกองทัพอสูรมายาระลอกที่สาม
ทันใดนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวกำลังมุ่งตรงเข้ามา
“ทุกท่านระวังตัวด้วย พวกมันกำลังมาแล้ว !”
ฉินอวี้โม่ร้องเตือนทุกคน
แน่นอนว่าหลังจากคำเตือนของสตรีผู้เป็นเสมือนผู้นำกลุ่มดังขึ้นไม่นานนัก กองทัพอสูรระลอกสุดท้ายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของทุกคน
ในครั้งนี้ไร้เงาของอสูรระดับต่ำโดยสิ้นเชิง อสูรมายาตัวที่อ่อนแอที่สุดในกองทัพนี้คืออสูรระดับภูต ส่วนระดับศักดิ์สิทธิ์มีจำนวนหลายสิบตัว และถัดออกไปในแถวหลังก็มีอสูรมายาที่ทรงพลังเป็นอย่างมากจำนวนสามตัวกำลังจับจ้องมา แรงกดดันอันแสนหนักหน่วงของพวกมันทำให้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ตัวแข็งค้างอย่างยากที่จะหายใจ
“บ้าน่า มีอสูรเทวะตั้งสามตัว !”
เมื่อเห็นอสูรทั้งสามตัวนั้น หลาย ๆ คนก็อดอุทานออกมาไม่ได้
อสูรเทวะทั้งสามตัวนั้นมี ยักษ์ศิลาสามดารา ต้นไม้วิญญาณสี่ดารา อีกทั้งยังมีนกสีขาวที่มีปีกอันงดงามอีกตัวหนึ่ง
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นนกตัวนั้น นางก็นึกชื่อของมันไม่ออก อดีตคุณหนูไม่รู้จักรูปลักษณ์ของอสูรมายาชนิดนี้มาก่อน
“หืม นั่นมันไม่ใช่เจ้ากระเรียนขาแดงหรอกรึ ?!”
เมื่อเสี่ยวจินที่เกาะอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่เห็นนกตัวนั้นก็จำมันได้ทันที
“กระเรียนขาแดงมันเป็นอสูรมายาแบบไหนกัน ?”
ฉินอวี้โม่ถามด้วยความสงสัย มันเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอสูรมายาชนิดนี้
“นายหญิง กระเรียนขาแดงเป็นหนึ่งในอสูรมายาที่เป็นเลิศในหมู่อสูรมายาประเภทบิน ความเร็วของมันไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย”
เสี่ยวจินเอ่ยอธิบายเกี่ยวกับนกสีขาวระดับเทวะตัวนั้น
“ถ้างั้น ข้ามอบกระเรียนขาแดงตัวนั้นให้เป็นหน้าที่ของเจ้าแล้วกัน”
หลังจากฟังคำแนะนำของเสี่ยวจิน ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยคำสั่ง
ยักษ์ใหญ่ดูเทอะทะ ต้นไม้วิญญาณดูน่าเกลียดและแปลกประหลาด ฉะนั้นกระเรียนขาแดงตัวนี้ดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด มันดูสวยงาม ทั้งยังมีขนาดที่ไม่ใหญ่โตจนเกินพอดี
“รออยู่เลย !”
เหยียวปีกทองขนาดกะทัดรัดรับคำสั่งอย่างตื่นเต้น มันบินออกจากไหล่ของเจ้านายสาวก่อนจะกลับคืนร่างที่แท้จริงและพุ่งทะยานเข้าไปหาเจ้ากระเรียนขาแดงในทันที
ส่วนฉินอวี้โม่และเสี่ยวเฮยนั้นก็พุ่งไปเผชิญหน้ากับต้นไม้วิญญาณเช่นกัน นางต้องการสยบเจ้าอสูรประหลาดนี่ก่อนเป็นอันดับแรก
“เร็วเข้า ทุกคนช่วยกันกำราบเจ้ายักษ์หินตัวนี้”
ขวงจ้านและอู๋เผยหันมามองหน้ากัน แววตาของพวกเขามุ่งมั่น จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมาอย่างแรงกล้าแล้ว
พวกเขาทั้งสองในฐานะที่เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างจึงมีความสามารถไม่น้อย แม้ว่าคนเดียวอาจจะรับมือกับอสูรเทวะไม่ได้ แต่หากทุกคนร่วมมือกันก็สามารถรับมือกับมันได้ไม่ยาก
ที่สำคัญถ้าพวกเขาไม่รีบลงมือ อสูรมายาตัวนั้นจะถูกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าแย่งชิงไปเป็นแน่ เรื่องเช่นนั้นพวกเขายอมรับไม่ได้
“คอยจับตาดูกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจไว้ด้วย”
หลังจากสั่งการคนของตัวเองแล้ว หัวหน้ากลุ่มต่าง ๆ ก็พาคนบางส่วนบุกเข้าไปโจมตียักษ์ศิลาในทันที
ภาพที่ฉินอวี้โม่และกองกำลังพันธมิตรเข้าไปหยุดอสูรเทวะทั้งสามตัวทำให้สีหน้าของลิ่วเยว่เปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เช่นเดียวกันกับผู้อาวุโสจางที่มีใบหน้าบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด
“หัวหน้าหลี่เปียว ช่วยข้าสยบอสูรเทวะสักครั้ง ข้าขอสัญญาว่าจะยอมมอบอสูรศักดิ์สิทธิ์ให้กลุ่มทหารรับจ้างของเจ้าสองตัว !”
เมื่อเห็นอสูรมายาใรระดับเทวะ และคู่แข่งที่กำลังมุ่งหน้าเข้าต่อกรกับพวกมันอย่างดุเดือด ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร ผู้อาวุโสจางจึงอดเอ่ยปากขึ้นมาอย่างร้อนรนปนตื่นเต้นไม่ได้ เขารีบหยิบยื่นข้อเสนออันแสนเย้ายวนใจให้ทันที
“ผู้อาวุโสจาง ท่านอย่าทำเป็นลืมสิ อสูรเทวะมีค่ามากกว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์สิบตัวด้วยซ้ำ ท่านคิดว่าพวกเราโง่อย่างนั้นรึ ทำไมพวกข้าต้องช่วยท่านด้วย ?”
ก่อนหน้านี้หลี่เปียวก็ขัดเคืองใจในความใจจืดใจดำของบุรุษอาวุโสผู้นี้อยู่ก่อนแล้ว แล้วตอนนี้เขายังมีหน้าเสนอข้อเสนอบัดซบเช่นนี้ให้พวกเขาอีก บุรุษมากเล่ห์จึงอดไม่ได้ที่จะทอแววตาดูถูกจ้องมองอีกฝ่าย
“นี่เจ้า !…”
ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรเดือดดาลขึ้นมาทว่าก็กล่าวสิ่งใดไม่ออก หากที่นี่มีเพียงหลี่เปียวคนเดียว เขาคงจะไม่ลังเลที่จะใช้วาจาข่มขู่คุกคาม ทว่าเมื่อหันไปมองลิ่วเยว่บุรุษจากอารามที่มีสีหน้ามืดหม่นในตอนนี้ ผู้อาวุโสวัยกลางคนก็เลือกที่จะสงบคำ คนจากอารามเป็นกลุ่มคนที่เขาไม่ควรจะไปยั่วยุหรือสร้างความบาดหมางมากที่สุด
“หลี่เปียว เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าไม่รีบลงมือพวกมันจะสยบอสูรเทวะไปหมดแล้วนะ !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ พุ่งข้าต่อสู้กับอสูรเทวะทั้งสาม ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็ถมึงทึงบิดเบี้ยวถึงขีดสุด หากสุดท้ายผลการแข่งขันจบลงด้วยการที่ฉินอวี้โม่สยบพวกมันได้ เขาก็จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในทันที นอกจากจะไม่ได้สิ่งใดในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้แล้ว เขายังต้องสูญเสียอสูรเทวะคู่กายที่ใช้ในการวางเดิมพันไปอีกด้วย ผลลัพธ์เช่นนั้นเขาไม่อาจจะทำใจยอมรับได้แน่
ในตอนที่ตกลงกันเมื่อวาน หลี่เปียวบอกเขาว่าวันนี้เขาไม่ต้องลงมือทำสิ่งใดทั้งนั้น ‘ท่านเพียงแค่รอดูเรื่องสนุก ๆ ก็พอ’ ตอนแรกเขาก็วางใจเพราะเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย แต่เวลานี้เขาเกิดความกังวลใจที่หนักหนาขึ้นมาแล้ว เขาไม่อยากจะยอมรับความพ่ายอย่างน่าอเนจอนาถเช่นนี้
“ไม่ต้องห่วงท่านลิ่วเยว่ ข้าบอกแล้วว่าอย่างไรเราก็ชนะ”
ในตอนนั้นเองหลี่เปียวก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพลางส่งสัญญาณให้ลูกน้อง
คนของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจทยอยนำของบางอย่างออกมาทีละอันแล้วขว้างมันเข้าใส่กลุ่มคนที่กำลังต่อสู้อยู่กับอสูรเทวะ
“นั่นมันอะไร ?!”
เมื่อเห็นว่าพวกหลี่เปียวปาอะไรบางอย่างไปที่กลุ่มพันธมิตรอวี้โม่ที่อยู่แนวหน้า ชื่อเซียวและลั่วอวิ๋นผู้มีหน้าที่สั่งการในจุดนี้ก็ชะงัก
สิ่งของนั้นคือขวดกระเบื้องขนาดเล็ก มันถูกปาเข้ามาอันแล้วอันเล่า เมื่อมาถึงกลุ่มคนในฝ่ายของฉินอวี้โม่และตกลงพื้น กระเบื้องขวดน้อยก็แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ทันที ผงละเอียดบางอย่างที่อยู่ภายในนั้นฟุ้งกระจายออกมาและส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว
“นั่นก็คือผงชนิดพิเศษที่ข้าเตรียมไว้เมื่อวานนี้ ผงนี้จะมีกลิ่นประหลาดบางอย่าง เมื่อกลิ่นนั้นกระจายออกไป เหล่าอสูรมายาจำนวนมหาศาลก็จะพุ่งเข้าไปรวมตัวกันในบริเวณที่เกิดกลิ่น หึ หึ แน่นอนว่าความอันตรายก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ข้าอยากจะเห็นนักว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นจะรับมือกับอสูรมายาที่บ้าคลั่งเป็นฝูงได้ยังไง ! ฮ่า ๆ ๆ”
หลี่เปียวกล่าวขึ้นมาด้วยความสะใจและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบแต่เขาก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจเลยสักนิด เพราะเขามั่นใจว่าอย่างไรก็ต้องเป็นฝ่ายชนะ และเพื่อชัยชนะแล้ว คนอย่างเขาไม่เลือกวิธีการ ไม่ใส่ใจความถูกต้อง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หลี่เปียวกำลังคาดหวังกลับไม่เกิดขึ้น ผงที่กระจายอยู่ทั่วพื้นส่งกลิ่นประหลาดออกมา แต่นั่นกลับเป็นกลิ่นหอม ๆ อันสดชื่น ! กลิ่นหอมพวกนั้นไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้อสูรมายาเกิดอาการบ้าคลั่งและพุ่งเข้าไปรวมตัวกันเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกมันสงบลงและถอยห่างออกไปอีกด้วย
“เหอะ ! เจ้าพวกต่ำช้า คุณหนูคาดเดาแผนการของพวกเจ้าออกหมดแล้ว”
เสี่ยวโร่วเปล่งเสียงเหยียดหยามออกมาก่อนจะหยิบเอาขวดกระเบื้องจำนวนหนึ่งออกมาและขว้างเข้าใส่ทางฝั่งที่หลี่เปียวยืนอยู่บ้าง… สาวใช้น้อยผู้ฉลาดเฉลียวเลือกเล็งเข้าใส่หัวหน้าอันธพาลอย่างตั้งใจ
แน่นอนว่าหลี่เปียวหลบมันตามสัญชาตญาณ ทันทีที่ตกลงพื้นมันก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ และมีผงบางอย่างฟุ้งกระจายออกมาจากภายใน
“คุณหนูสั่งเอาไว้ว่าให้ข้ามอบสิ่งนี้คืนให้พวกเจ้า”
เสี่ยวโร่วมองไปทางหลี่เปียวด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจราวกับทำงานสำคัญสำเร็จ
ผงที่ลอยออกมานั้นส่งกลิ่นรุนแรง และในทันทีที่เหล่าอสูรมายาที่อยู่โดยรอบได้กลิ่น พวกมันก็เริ่มคลุ้มคลั่งและบุกเข้าจู่โจมหลี่เปียว ลิ่วเยว่ และกลุ่มผู้ภักดีต่ออารามจากทุกทิศทาง ตามคำบอกเล่าที่หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างเจ้าเล่ห์บรรยายไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
“เกสรงาดำ !”
เมื่อได้กลิ่นจากผงที่กระจายออกมา ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรก็อุทานเสียงดัง
“เป็นไปไม่ได้ เกสรงาดำจะไปอยู่ในมือพวกมันได้ยังไง ?”
หลี่เปียวส่ายศีรษะอย่างแรง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
เมื่อวานเขาเป็นคนยืนคุมให้ลูกน้องนำผงเกสรงาดำกรอกลงในขวดกระเบื้องด้วยตัวเองก่อนจะกำชับว่า ในวันรุ่งขึ้นให้พวกเขาขว้างมันเข้าไปทางฝั่งของฉินอวี้โม่ ถึงตอนนั้นอสูรมายาก็จะพุ่งเข้าโจมตีฝ่ายนั้นราวกับพายุกระหน่ำและมันก็จะสร้างหายนะให้แก่ฝ่ายศัตรูได้
ทว่าเวลานี้เกสรงาดำกลับไปปรากฏอยู่ในมือฝ่ายตรงข้าม !
“เจ้าโง่ ! คุณหนูของเรารู้แผนการของเจ้าตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เลยแอบไปสับเปลี่ยนมาแล้วเรียบร้อย”
เสี่ยวโร่วมองหลี่เปียวอย่างเย้ยหยันและกล่าวต่อ “ผงเกสรงาดำที่พวกเจ้าเตรียมไว้เมื่อวานก็อยู่ใต้เท้าพวกเจ้าในตอนนี้นี่แหละ !”
เมื่อคืน หลังจากที่ได้รับรู้แผนชั่วที่หลี่เปียวกับลิ่วเยว่ตกลงกัน ฉินอวี้โม่ก็สั่งให้เสี่ยวจินตัวน้อยลอบติดตามหลี่เปียวออกไป
ด้วยเหตุนั้นทำให้นางทราบถึงแผนการลับแสนต่ำช้านี้ นักฆ่าสาวใช้ความสามารถดั้งเดิมลอบเข้าไปในห้องพักของพวกเขาตอนกลางดึกและแอบสับเปลี่ยนถุงใส่ขวดเกสรงาดำอย่างเงียบเชียบ เหล่าสมาชิกทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจไม่รู้ตัวเลยว่าขวดที่อยู่ในมือของตนเป็นเพียงผงเกสรดอกไม้หอมธรรมดา
ผงเกสรชนิดนี้นั้น แม้ว่าจะทำจากเกสรดอกไม้เหมือนกันแต่กลับให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับผงเกสรงาดำ เพราะมันทำให้อารมณ์ของอสูรมายาสงบลง สรรพคุณเช่นนี้อันที่จริงฉินอวี้ก็ไม่แน่ใจนัก นางเพียงแต่เลือกเอาดอกไม้ชนิดที่ช่วยให้มนุษย์จิตใจสงบมาเพียงเท่านั้น อันที่จริงนางเองก็ไม่ได้มั่นใจเลยว่าจะได้ผลกับอสูรมายาในลักษณะเดียวกันด้วย
“ตอนนี้ก็เชิญสนุกกับแผนการชั่วร้ายของตัวเองได้แล้ว”
เมื่อได้เห็นสถานการณ์ทางด้านนั้น ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างสะใจและต่อสู้กับต้นไม้วิญญาณที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างร่าเริง
ภายใต้การร่วมมือกันของฉินอวี้โม่และเสี่ยวเฮย ต้นไม้วิญญาณก็ถูกนางสยบลงได้ อสูรเทวะขนาดยักษ์ยอมหมอบลงแทบเท้าของนาง
การต่อสู้ของเสี่ยวจินเองก็เกือบจะมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เสี่ยวจินนั้นมีระดับที่สูงกว่ากระเรียนขาแดงขั้นหนึ่งจึงทำให้มันได้เปรียบกว่าและเอาชัยเหนืออีกฝ่ายได้ในที่สุด
ทว่าทางฝั่งของการต่อสู้ระหว่างยักษ์ศิลากับกลุ่มพันธมิตรอวี้โม่นั้นดูจะดุเดือดรุนแรงมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กลุ่มพันธมิตรก็ดูเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ไม่น้อย และคาดว่าพวกเขาคงจะสามารถจบการต่อสู้ลงได้ในไม่ช้า
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ทว่าในตอนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับต้นไม้วิญญาณ อดีตนักฆ่าสาวก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวพุ่งตรงมาจากทางด้านหลัง !
.
.
.
ตอนที่ 46 ยุทธการปล้นอสูร !
— ตูม ! —
เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น อสูรมายาจำนวนมากปรากฏขึ้นมาตรงหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ
ทั้งกระจง ละองละมั่ง หมูดอย ไฮยีน่า ไก่อ้วน หมาป่า เสือลายเมฆ เสือลายพาดกลอนและลายอื่น ๆ แทบจะทุกลวดลาย วิ่งกรูกันเข้ามาอย่างไม่สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อสูรมายาฝูงนี้เพิ่งจะเป็นระลอกแรก ดังนั้นอสูรมายาที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะเป็นเพียงอสูรระดับภูตเท่านั้น
อสูรมายาระดับต่ำ ๆ เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องถึงมือฉินอวี้โม่ ทันทีที่พวกมันบุกมาถึงเหล่าจอมยุทธ์พเนจรและกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มเล็ก ๆ ทั้งหลายก็กระโจนเข้าไปสกัดกั้นพวกมันไว้ทันที
เหตุการณ์อสูรล้อมเมืองจะมีทั้งหมดสามระลอก แต่ละระลอกก็จะเพิ่มระดับความแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อย ๆ หากไม่มีเรื่องผิดพลาดหรือสิ่งเหนือความคาดหมาย ในระลอกแรกตัวที่แข็งแกร่งที่สุดจะเป็นอสูรระดับภูต และในระลอกต่อมาก็จะเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ ส่วนในระลอกที่สุดท้ายจะมีอสูรในระดับเทวะปรากฏตัวออกมา
อสูรล้อมเมืองระลอกแรกจึงถือเป็นการต่อสู้ในระดับที่ง่ายสำหรับทุกคน หลังจากลงมือสังหารอสูรระดับภูตสองตัวที่เป็นผู้นำฝูง อสูรระดับต่ำก็จะทยอยถอนกำลังกลับไป ทว่าเหล่านักล่าอสูรก็ใช่ว่าจะได้หยุดพักหายใจหรือย่างไก่อ้วน ๆ กิน
เพราะหลังจากอสูรมายาระลอกแรกถอยกลับไปแล้ว ระลอกที่สองก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายป่าแสงจันทร์ด้านนอกของเมืองเยว่กวางต่อทันที
ฝูงอสูรมายาระลอกที่สองนี้ทั้งจำนวนและระดับความแข็งแกร่งของพวกมันจะมากกว่าฝูงอสูรในระลอกแรกมาก ถึงแม้ว่าความหลากของเผ่าพันธุ์อสูรมายาที่บุกมาจะไม่ต่างจากระลอกแรกแม้แต่น้อย แต่กลิ่นอายของพวกมันกลับแข็งแกร่งกว่าอย่างเทียบไม่ได้
และแนวหน้าของกองทัพอสูรในรอบนี้ก็ยังคงเป็นอสูรมายาระดับต่ำ ทว่ากำลังพลแห่งกองทัพอสูรส่วนมากนั้นเป็นอสูรมายาระดับภูตซึ่งกินสัดส่วนถึงเจ็ดจากสิบส่วน ส่วนอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่รั้งท้ายมาเป็นทัพหลังนั้นมีอยู่ไม่ถึงยี่สิบตัว แต่สภาวะพลังที่พวกมันแต่ละตัวปลดปล่อยออกมากลับแข็งแกร่งไม่น้อย
เมื่อเห็นอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เป็นสิบตัวที่อยู่ท้ายขบวน คิ้วกระบี่ของบุตรชายเจ้าเมืองก็ขมวดเข้าหากัน
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นลั่วอวิ๋นนิ่วหน้า ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยปากถาม
“เปล่าหรอก ข้าแค่คิดว่าอสูรล้อมเมืองปีนี้ดูจะแข็งแกร่งกว่าห้าปีก่อนเท่านั้น”
เหตุการณ์อสูรล้อมเมืองเมื่อห้าปีก่อน ในระลอกที่สองจะมีอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่ร่วมขบวนเพียงแค่ห้าตัวเท่านั้น แตกต่างจากครั้งนี้ที่ฝูงอสูรมายาในระลอกที่สองมีจำนวนอสูรศักดิ์สิทธิ์มากกว่าครั้งก่อนถึงสามเท่า ! ปรากฏการณ์เช่นนี้ทำให้ลั่วอวิ๋นประหลาดใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว
คำตอบของลั่วอวิ๋นทำให้ฉินอวี้โม่ต้องขมวดคิ้วเช่นกัน นางไม่เคยเข้าร่วมอสูรล้อมเมืองมาก่อน แต่เมื่อได้ฟังคำพูดจากปากของบุตรชายเจ้าเมืองเยว่กวางเองเช่นนี้ นางก็เชื่อว่าอสูรล้อมเมืองปีนี้คงจะแข็งแกร่งกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาอย่างแท้จริง
เมื่อกองทัพอสูรมายาในระลอกที่สองบุกเข้ามาอย่างหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ เหล่านักล่าอสูรแนวหน้าแห่ง ‘เครือข่ายพันธมิตรอวี้โม่’ จึงเริ่มต้านกันไม่ไหว ฉินอวี้โม่และสหายทั้งหลายจึงเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วย
อสูรมายาระดับต่ำและระดับภูตที่อยู่แถวหน้านั้นไม่ใช่เป้าหมายของฉินอวี้โม่ แต่นางกำลังเพ่งเล็งอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในแนวหลัง
ในขณะที่เหล่ากองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ทั้งหมดกำลังพยายามต่อสู้ในตำแหน่งของตัวเองอย่างเต็มที่ ฉินอวี้โม่ก็ใช้โอกาสนี้ลอบฝ่าเข้าไปจนถึงแนวหลังของกองทัพอสูรมายาด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า
…ณ แนวหลังของกองทัพอสูรมายา นักฆ่าสาวแห่งศตวรรษที่ 21 กำลังยืนประจันหน้ากับบรรดาอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างหาญกล้า !…
เสี่ยวเฮยตัวน้อยบินลงมาจากไหล่ของฉินอวี้โม่และเปลี่ยนกลับไปสู่รูปลักษณ์เดิมของมันอย่างรวดเร็วก่อนจะปลดปล่อยสภาวะพลังแห่งอสูรเทวะเข้าใส่ฝ่ายตรงข้ามทันที
เหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามจากอสูรเทวะ พวกมันทุกตัวหวาดกลัวจนตัวสั่นเทิ้มและเริ่มเก้าถอยหลังออกไป ทว่าก็ยังไม่มีตัวใดที่วิ่งหนีไป อสูรระดับสูงสุดในอสูรล้อมเมืองระลอกนี้ยังคงยืนหยัดเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ตัวคนเดียวไปปรากฏตัวอยู่ต่อหน้ากลุ่มของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ทางฝ่ายของหลี่เปียวเองก็ตกตะลึงไม่น้อย
“หัวหน้าหลี่เปียว อย่าลืมเรื่องที่เราเพิ่งจะหารือกัน”
ท่ามกลางการต่อสู้ผู้อาวุโสจากสมาคมฝึกสัตว์อสูรก็พูดประโยคหนึ่งขึ้นมากับหลี่เปียว คำพูดนั้นราวกับว่าที่เขาเข้าร่วมกับฝ่ายนี้เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง
“ไม่ต้องห่วง ผู้อาวุโสจาง ข้าไม่ลืมแน่”
หลี่เปียวยิ้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพอีกฝ่าย
“เช่นนั้นก็ดี สตรีที่ชื่อฉินอวี้โม่นั่นไปปรากฏตัวตรงกลุ่มอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ข้าไม่อยากให้นางแย่งชิงพวกมันไป”
ผู้อาวุโสจางแห่งสมาคมฝึกสัตว์อสูรมองไปที่ฉินอวี้โม่ ก่อนจะพยักหน้าให้หลี่เปียวและกล่าว
“ผู้อาวุโสจางไม่ต้องเป็นห่วง นางไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อสูรที่จะสยบพวกมันได้ อย่างมากนางก็ทำได้แค่ฆ่าพวกมันเท่านั้น…”
ทว่าเมื่อหลี่เปียวหันกลับไปมองฉินอวี้โม่อีกครั้ง ใบหน้าที่สงบของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความประหลาดใจในทันที
เพราะสีหน้าที่เปลี่ยนเป็นประหลาดอย่างฉับพลันของหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันดับหนึ่งแห่งเมืองเยว่กวางผู้ที่เพิ่งจะให้คำมั่นสัญญาอย่างมั่นอกมั่นใจแก่เขาไปเมื่อสักครู่ ทำให้ผู้อาวุโสจางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองยังจุดที่หลี่เปียวมอง
และเมื่อเห็นสถานการณ์ในจุดที่ฉินอวี้โม่ยืนอยู่ ผู้อาวุโสจางก็ต้องประหลาดใจยิ่งกว่าผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ
ในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ถูกห้อมล้อมไปด้วยอสูรศักดิ์สิทธิ์… ที่ถูกทำให้เชื่องไปเรียบร้อยแล้ว พวกมันทั้งหมดกำลังหมอบอยู่แทบเท้าของสตรีร่างบอบบาง
เพื่อไม่ให้เป็นที่สังเกตหรือเพ่งเล็งของผู้อื่น ฉินอวี้โม่จึงจงใจให้อสูรมายาทั้งหมดของนางยับยั้งการเลื่อนระดับเอาไว้ในตอนที่นางสยบพวกมัน เพราะแสงสว่างจากการเลื่อนระดับอาจเรียกร้องความสนใจของเหล่านักล่าอสูรทั้งหลายได้ ส่วนตัวนางเองนั้นแสงแห่งการเลื่อนระดับถูกปกปิดไว้อย่างดีโดยให้เสี่ยวจินช่วยบดบังเอาไว้ไม่ให้มีผู้ใดมองเห็น
เมื่อสักครู่นี้ นางได้ขอให้เสี่ยวเฮยปล่อยสภาวะพลังแห่งอสูรเทวะเข้ากดดันเหล่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า และใช้โอกาสนั้นสยบพวกมันเอาไว้
เนื่องจากอสูรศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ใช่อสูรมายาในระดับที่นางต้องการ อดีตคุณหนูจึงคิดจะมอบพวกมันให้เป็นของตอบแทนแก่เหล่าสหายผู้ยึดมั่นในความดีงาม กล้าก้าวออกมาเพื่อช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเล
“หัวหน้าขวงจ้าน อสูรมายาตัวนี้เป็นของพวกท่าน รีบหาคนมาทำพันธสัญญากับมันเร็ว !”
ขวงจ้านนั้นกำลังติดพันอยู่กับการรับมือเหล่าอสูรระดับภูตกลุ่มย่อม ๆ ในจุดที่อยู่ไม่ไกลจากตัวฉินอวี้โม่มากนัก และในจังหวะที่เขาเข้ามาใกล้ สาวนักฆ่าในร่างคุณหนูสี่ผู้มีจิตใจงดงามจึงรีบบอกให้เขาส่งคนมาทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่นางสยบได้ทันที
เมื่อเห็นสิงโตตัวใหญ่หมอบอยู่แทบเท้าฉินอวี้โม่ เหล่ากองกำลังพันธมิตรอวี้โม่ที่กำลังชุลมุนอยู่กับการต่อสู้อันแสนดุเดือดก็ชะงักไปอย่างตื่นตะลึง
“แม่นางฉินเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือเนี่ย ?”
อู๋เผยถามออกมาด้วยตาที่เบิกกว้าง
“ใช่” ครั้งนี้เป็นลั่วอวิ๋นที่ได้ยินและเอ่ยตอบแทนสหายสาวสั้น ๆ แต่กลับไม่ได้ขยายความสิ่งใดเพิ่ม
ขวงจ้านประหลาดใจจนนิ่งไปชั่วขณะ ครั้นได้สติขึ้นมาเขาก็รีบตะโกนเรียกรองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันให้เข้าไปหานางทันที
รองหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันมีนามว่าต้าหาน อสูรมายาคู่ใจของเขาเป็นเพียงอสูรระดับภูตเท่านั้น ในตอนที่ได้ยินขวงจ้านเรียกให้เขาออกไปรับอสูรศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ไม่ลังเลที่จะยกเลิกพันธสัญญากับอสูรคู่ใจและมอบมันให้สมาชิกคนอื่นที่อยู่ใกล้ ๆ
เหล่าสหายในกลุ่มสลาตันช่วยกันคุ้มกันต้าหานให้ฝ่าไปให้ถึงจุดที่ฉินอวี้โม่อยู่ รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหนุ่มรีบเข้าไปหาสตรีโฉมงามผู้น่าทึ่งอย่างรวดเร็ว บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจปนประหม่าเขินอาย
“แม่นางฉิน ข้าผูกพันธสัญญากับเจ้าตัวนี้ได้จริง ๆ หรือ ?”
เมื่อเห็นสีหน้าขัดเขินปนตื่นเต้นของต้าหาน ฉินอวี้โม่ก็อดอมยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“หากไม่ลองก็คงไม่รู้หรอก”
ต้าหานเดินเข้าไปหาสิงโตขนาดใหญ่ยักษ์ ในสายตาเขามันดูสูงส่งและสง่างามไม่น้อย เขารีบทำพันธสัญญากับมันทันทีและแน่นอนว่าในชั่วอึดใจต่อมา แสงแห่งการเลื่อนระดับก็ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของบุรุษหนุ่มนามว่าต้าหานผู้นั้น
และเนื่องจากได้ผูกพันธสัญญากับอสูรมายาระดับสูง ต้าหานจึงเลื่อนขึ้นไปหลายขั้นดาราได้ในครั้งเดียว ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“ฮ่า ๆ ๆ สวรรค์มีตา ไม่คิดเลยว่าชีวิตนี้ข้าจะมีวาสนาได้อสูรศักดิ์สิทธิ์เป็นอสูรคู่ใจเช่นนี้ วันนี้ข้ามีความสุขจริง ๆ”
บุรุษผู้เป็นรองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสลาตันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งก่อนจะคุกเข่าลงแล้วก้มหัวคำนับฉินอวี้โม่ “ข้าน้อยต้าหาน ขอบคุณแม่นางมากจริง ๆ หากในอนาคตท่านมีเรื่องเดือดร้อนสิ่งใด ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟข้าก็พร้อมเข้าช่วย !”
“ไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก ข้าต่างหากควรจะขอบคุณที่พวกท่านมาช่วยข้า เจ้าตัวนั้นถือเป็นสิ่งตอบแทนน้ำใจจากข้า”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและส่ายหน้า หากไม่ใช่เพราะได้ความช่วยเหลือจากเหล่าพันธมิตร การแข่งขันในวันนี้นางก็คงจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนักหน่วง
บุรุษหนุ่มผู้ที่เพิ่งได้รับสิงโตระดับศักดิ์สิทธิ์ไป พาอสูรมายาตัวใหม่ของเขากลับเข้าไปร่วมต่อสู้เคียงข้างพี่น้องในกลุ่มทหารรับจ้างอย่างเบิกบาน
ทางด้านของขวงจ้านและอู๋เผยเองก็มีความสุขและตื่นเต้นมาก เมื่อได้เห็นว่าต้าหานผ่านพ้นการทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ตอนนี้จากที่พวกเขาเพียงชื่นชมก็เปลี่ยนเป็นซาบซึ้งในตัวสตรีงดงามผู้นี้มากขึ้น
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาตัดสินใจเข้าร่วมกับฉินอวี้โม่เพราะหนึ่งคือชมชอบในความเด็ดเดี่ยวของสตรีตัวเล็ก ๆ ผู้นี้ และสองคือเกลียดชังความน่ารังเกียจของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจและบุรุษจากอารามนามว่าลิ่วเยว่ผู้นั้น
พวกเขาคิดแล้วว่าวันนี้อาจจะต้องเสียประโยชน์ไปมากมายจากการแสดงความแข็งข้อต่อคนของขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้า แต่เพื่อคงไว้ซึ่งเกียรติยศและศักดิ์ศรีพวกเขาขอยอมเลือกทางนี้ ทว่าไม่คาดคิดเลยว่าไม่เพียงไม่เสียประโยชน์พวกเขากลับได้รับประโยชน์ตอบแทนมามหาศาล การได้ผูกไมตรีกับผู้ฝึกสัตว์อสูรนับเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดแล้ว
“เฮ้ ! อย่ามัวแต่ยืนบื้อซาบซึ้งกันนานนัก รีบทำอะไรบ้างเถอะ ตอนนี้ข้าหิวจะแย่แล้ว ถ้าพวกท่านไม่รีบมาช่วยจับมัน ข้าจะย่างเจ้าพวกนี้กินแทนมอบให้แล้วนะ !”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นดีใจของทั้งขวงจ้านและอู๋เผย ฉินอวี้โม่ก็อมยิ้มก่อนจะแสร้งเอ่ยเสียงดังเพื่อหยอกล้อพวกเขา ขณะเดียวกันก็เร่งมือสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่โดยรอบ
เมื่อขวงจ้านและอู๋เผยได้ยินวาจากึ่งด่าทอกึ่งหยอกล้อและน้ำเสียงห้าวหาญเกินสตรีของโฉมนารีผู้ที่พวกเขากำลังชื่นชมกันอยู่อย่างหลงใหลนั้น บุรุษทั้งสองก็หันมองหน้ากัน ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ ในตอนนั้นเองที่พวกเขาได้รับรู้ว่าการเข้าร่วมกลุ่มกับฉินอวี้โม่เป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในชีวิต
“ทุกคนฟังข้า ท่านหญิงอวี้โม่จะช่วยพวกเจ้าทุกคนสยบอสูรมายา อย่างไรก็ตามต้องอย่าให้นางเหน็ดเหนื่อยอยู่เพียงผู้เดียว ใครอยากได้อสูรมายาตัวไหนก็เลือกจับได้เลย แต่แน่นอนว่าให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ เข้าใจหรือไม่ ?!”
ขวงจ้านตะโกนสั่งการกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันด้วยความฮึกเหิม
อู๋เผยเองก็สั่งการคนของเขาเช่นกัน เหล่าหัวหน้าของแต่ละกลุ่มต่างก็สั่งความคนของตัวเองให้ช่วยฉินอวี้โม่สยบอสูรมายา ไม่นานนักความแข็งแกร่งของฝ่ายพันธมิตรอวี้โม่ก็พุ่งขึ้นสูงอย่างฉับพลัน
อีกด้านหนึ่ง เมื่อได้เห็นความเร็วในการสยบอสูรมายาของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสสมาคมฝึกสัตว์อสูรก็เบิกตากว้างจนดวงตาเล็ก ๆ เปลี่ยนเป็นเบิกกว้างมากอย่างคล้ายจะหลุดออกมาด้วยความประหลาดใจ
“เป็นไปไม่ได้ !”
ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรส่ายศีรษะและปฏิเสธจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
ความเร็วในการสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ของฉินอวี้โม่สูงกว่าเขามาก ต้องทราบก่อนว่าแม้เขาจะไม่ใช่ประธานสมาคมซึ่งเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญในการสยบอสูรมายามากที่สุด แต่ตัวเขาเองก็เป็นถึงระดับอาจารย์หรือผู้อาวุโสแล้ว ทว่าเห็นได้ชัดว่าความสามารถของเขามิอาจเทียบเทียมแม่นางน้อยผู้นั้นได้เลย เรื่องนี้นับเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเลยก็ว่าได้
‘…แม่นางผู้นั้นใช้เวลาในการสยบอสูรมายาเพียงสั้น ๆ แต่กลับยังมีสีหน้าที่ผ่อนคลายราวกับไม่เหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด !’
‘…สาวน้อยผู้มีอายุเพียงสิบหกหรือสิบเจ็ดปี จะเป็นไปได้อย่างไรที่นางจะแข็งแกร่งกว่าเขา !’
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่เขากำลังประหลาดใจอยู่นั้น ฉินอวี้โม่ก็สยบอสูรศักดิ์สิทธิ์และให้รองหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างพเนจรทำพันธสัญญาไปอีกหนึ่งตัวเป็นที่เรียบร้อย
ผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรประหลาดใจหนักขึ้นกว่าเดิม ‘นะ… นั่นเป็นไปได้ด้วยหรือ ? เป็นไปได้อย่างไรที่จะสยบสัตว์อสูรต่อเนื่องกันด้วยความเร็วที่สูงถึงเพียงนั้น ? ยิ่งกว่านั้นสีหน้านั่น… ใบหน้างดงามของนางไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย แม้แต่อาการเหนื่อยล้าก็ไม่มีให้ได้เห็น ต่อให้ประธานสมาคมมาเองก็เกรงว่าคงทำแบบสตรีผูนั้นไม่ได้ !’
ภายในพริบตาฉินอวี้โม่ก็สยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปอีกตัว ภาพนั้นทำให้หลี่เปียวและลิ่วเยว่ต่างก็ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่กับที่และมองดูอย่างโง่งม
“มัวยืนทำอะไรอยู่ ? รีบเข้าไปชิงมาเร็วเข้า !”
หลี่เปียวที่ตั้งสติได้ก่อนหันไปสั่งการสมาชิกที่เอาแต่ยื่นอึ้งด้วยเสียงดุดัน ถ้าพวกเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง อสูรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นจะต้องถูกฉินอวี้โม่สยบไปหมดแน่ และนั่นไม่ใช่สิ่งที่หลี่เปียวหรือลิ่วเยว่ต้องการจะรับรู้
“ผู้อาวุโสจางไม่ต้องกังวลไป นางก็แค่สตรีตัวเล็ก ๆ ตอนนี้ปล่อยให้นางได้ใจไปก่อนเถอะ ข้าก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่านางจะสยบอสูรมายาได้อีกสักกี่ตัวกันเชียวก่อนที่พลังมายาของนางจะเหือดแห้งไป”
หลี่เปี่ยวปลอบใจผู้อาวุโสจางและหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยใบหน้าเย้ยหยัน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อสูร แต่เขาก็รู้ดีกว่าการสยบอสูรมายาแต่ละตัวต้องใช้พลังมากมายมหาศาล
ขณะที่ฉินอวี้โม่สยบอสูรมายาไปทีละตัว ๆ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจก็ตั้งตารอดูวาระสุดท้ายของนางในตอนที่พลังมายาหมดลงอย่างใจจดใจจ่อ
ทว่าใช้เวลารอไปเพียงไม่นานนัก สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็ดูเหมือนจะทำให้ภาพในจินตนาการของหลี่เปียวพังทลายลงไปกว่าครึ่ง ! เพราะภายในชั่วอึดใจ ฉินอวี้โม่ก็สยบอสูรมายาสำเร็จไปอีกสองตัวและยังไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ยิ่งนางสยบอสูรมายามากเท่าไหร่ สีหน้าของนางก็ยิ่งดูดีขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่หลี่เปียวยังไม่ทราบในตอนนี้ก็คือวิธีสยบอสูรมายาของฉินอวี้โม่นั้นแตกต่างจากผู้ฝึกสัตว์อสูรทั่ว ๆ ไป ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งนางสยบอสูรมายาได้จำนวนมากก็จะยิ่งทำให้ระดับพลังของนางเพิ่มขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
…ตอนนี้ เมื่อการสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวที่ห้าจบลง ระดับพลังของฉินอวี้โม่จากเดิมที่อยู่ขอบเขตมายารัตนะสองดาราก็กลายเป็นมายารัตนะห้าดาราแล้ว…
ฉินอวี้โม่มั่นใจว่าหลังจากจบเทศกาลอสูรล้อมเมืองในครั้งนี้ นางจะสามารถพัฒนาไปถึงระดับมายารัตนะเก้าดาราได้… หรือถ้าหากว่าโชคดีกว่านั้นก็อาจจะทะลวงผ่านขึ้นไปถึงขอบเขตนภมายาได้เลย
รอยยิ้มเริงร่าปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวนักฆ่าอย่างอดไม่อยู่
.
.
.
ตอนที่ 45 อสูรล้อมเมือง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินอวี้โม่พาเสี่ยวโร่วตรงไปยังประตูเมืองเยว่กวางเพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง
ณ ลานกว้างด้านบนกำแพงเมืองถูกจัดเป็นจุดสำหรับตั้งรับการโจมตีของเหล่าอสูรมายา เหล่าผู้เข้าร่วมจะเดินทางมารวมตัวกันในบริเวณนี้
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เมื่อถึงวันอสูรล้อมเมือง เหล่าอสูรมายาน้อยใหญ่จะพากันออกมาจากป่าแสงจันทร์และมุ่งตรงเข้าโจมตีเมืองเยว่กวาง อสูรมายาเหล่านั้นมีจำนวนมากมายหลายหลากชนิดและยังเป็นอสูรมายาในหลากหลายระดับ ตั้งแต่อสูรระดับต่ำไปจนถึงอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีขั้นดาราสูง หรือในบางครั้งก็อาจจะมีอสูรเทวะที่มีดาราต่ำปรากฏตัวออกมาด้วย
ตามปกติแล้วปรากฏการณ์อสูรล้อมเมืองนั้นจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นานนัก และว่ากันว่าที่นานที่สุดน่าจะจะกินเวลาราวๆ สองชั่วยามเท่านั้น
สำหรับฉินอวี้โม่แล้ว การมีโอกาสได้เข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะมันจะต้องให้ประสบการณ์ล้ำค่าและยังเป็นโอกาสทองที่นางจะได้ลงมือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ นางได้แต่หวังว่าวันนี้จะมีเหล่าอสูรมายาบุกมากันเป็นจำนวนมาก เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ขุมทรัพย์มหาศาลที่จะกอบโกยได้ แต่นางยังจะสามารถเลือกสรรอสูรมายาดี ๆ สักตัวมามอบให้กับเสี่ยวโร่วได้อีกด้วย
“อรุณสวัสดิ์ แม่นางอวี้โม่”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินทางมาถึง ลั่วอวิ๋นที่กำลังทำหน้าที่ตรวจดูความเรียบร้อยของงานก็รีบตรงเข้ามาหาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“อรุณสวัสดิ์คุณชายลั่ว”
ฉินอวี้โม่แย้มยิ้มตอบกลับและโค้งตัวลงเล็กน้อยเป็นการทักทายอีกฝ่าย
“ปกติแล้วอสูรล้อมเมืองจะเริ่มขึ้นในยามใด ?”
ฉินอวี้โม่มองลั่วอวิ๋นและเอ่ยถามด้วยเสียงหวานใส
“ข้าเองก็บอกไม่ได้เช่นกัน บางครั้งพวกมันก็จะบุกกันมาตั้งแต่เช้าตรู่ บางครั้งจนมืดค่ำก็ยังไม่ปรากฏ ตัวข้าก็เพิ่งจะเคยได้เข้าร่วมอสูรล้อมเมืองเพียงสองครั้งจึงไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก”
ลั่วอวิ๋นตอบตามตรง… ในครั้งล่าสุดที่เขาเข้าร่วมอสูรล้อมเมือง เขายังอ่อนแออยู่มาก เพียงแค่อสูรมายาระดับต่ำ เขาก็ยังต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดกว่าจะจัดการกับพวกมันได้แต่ละตัว ส่วนอสูรระดับภูตหรือระดับที่สูงกว่านั้นไม่ต้องพูดถึง เพียงแค่พบเจอพวกมันแล้วหลบหนีไปให้รอดได้ก็นับว่าดีมากแล้ว… จนตอนนี้ก็ผ่านมาห้าปีแล้ว เขาแข็งแกร่งขึ้นและก้าวหน้าไปจากเดิมมากซึ่งต่อให้วันนี้ต้องเผชิญหน้ากับอสูรเทวะ เขาก็มั่นใจและพร้อมจะต่อสู้เต็มกำลัง
“อ่อ เช่นนั้นก็คงต้องรอต่อไปก่อนสินะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะเดินไปหาที่เหมาะ ๆ เพื่อรอคอย
ไม่นานนัก ชื่อเซียวพร้อมด้วยสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็เดินทางมาถึง
“อรุณสวัสดิ์แม่นางฉิน”
ชื่อเซียวทักทายฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มสดใส
“อรุณสวัสดิ์ แม่นางฉิน !”
สมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนยิ้มกว้างแล้วส่งเสียงทักทายฉินอวี้โม่กันอย่างพร้อมเพรียง กิริยาของพวกเขาทั้งนอบน้อมและเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“อรุณสวัสดิ์ทุกคน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและทักทายตอบทุกคน
เวลานี้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับอสูรล้อมเมืองคนอื่น ๆ ต่างก็ทยอยมาถึงกันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ซึ่งเมื่อมองเห็นฉินอวี้โม่ หลายคนก็เดินเข้ามาทักทายอย่างสุภาพ
ผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่เปียวก็นำคนจากกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของเขาเดินทางมายังลานเตรียมตัวเช่นกัน อดีตนักฆ่าสาวเห็นว่าลิ่วเยว่เองก็เดินเคียงคู่มากับเขา
“แม่นางฉินมาแต่เช้าเลยนะ อยากจะแพ้ข้าจนทนไม่ไหวเลยหรือ ?”
ลิ่วเยว่ที่เดินนำหน้ามาตรงเข้ามาหาฉินอวี้โม่ในทันทีที่มองเห็นร่างบาง เขากล่าววาจายั่วยุก่อนจะยิ้มเย้ย
อย่างไรก็ตามเมื่อได้มองสตรีตรงหน้าชัด ๆ และลอบพิจารณารูปลักษณ์ของนางในวันนี้แล้ว ลิ่วเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลาย
วันนี้ฉินอวี้โม่สวมชุดกางเกงเข้ารูปทั้งตัว ถึงแม้ว่าจะดูกระฉับกระเฉงและคล่องตัวพร้อมต่อสู้แต่ก็เผยให้เห็นรูปร่างอันสมบูรณ์แบบของนางอย่างเด่นชัด ผมยาวสลวยทุกเส้นถูกเก็บรวบเป็นหางม้าอย่างรัดกุม เผยให้เห็นใบหูเล็กและดวงหน้าหวานอย่างเด่นชัด อดีตคุณหนูในวันนี้ดูงดงามไปอีกแบบ นางดูเป็นจอมยุทธ์หญิงที่สูงส่งและสง่างามน่าเลื่อมใส
“ที่ข้ามาเร็ว เป็นเพราะข้าคิดถึงลูกอสูรน้อย ๆ สองตัวของพวกท่านจนอดใจไม่ไหวต่างหาก เอ… ถ้าหากว่าข้าได้อสูรมายามาเพิ่มอีกสองตัว พลังในการต่อสู้ของข้าจะพัฒนาไปมากขนาดไหนกันนะ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและยั่วยุกลับไปเบา ๆ
“เหอะ เรื่องโอ้อวดพอแค่นี้จะดีกว่า มาพูดถึงกฎของการแข่งในวันนี้ได้แล้ว”
ลิ่วเยว่เปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชาพลางส่งสายตาเป็นเชิงบอกใบ้ให้หลี่เปียวอธิบายกฎของการแข่งในวันนี้
หลี่เปียวก้าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วพูดขึ้น “กฎการแข่งขันของวันนี้คือ…”
…หลี่เปียวและลิ่วเยว่หารือกันและตกลงกันได้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่า การแข่งในวันนี้จะไม่ใช่การแข่งแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่จะเป็นการแข่งแบบกลุ่ม…
ในฐานะที่หลี่เปียวให้การสนับสนุนลิ่วเยว่ ดังนั้นกองทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจจะจับกลุ่มร่วมกับลิ่วเยว่ ขณะเดียวกันฉินอวี้โม่เองก็สามารถหาผู้ที่จะเข้าร่วมกลุ่มกับนางได้เช่นกัน กฎการแข่งนั้นง่ายมาก นั่นคือในระหว่างเกิดปรากฏการณ์อสูรล้อมเมืองวันนี้ ฝ่ายใดสามารถสังหารหรือจับอสูรมายาได้มากกว่า ฝ่ายนั้นจะเป็นผู้ชนะ
กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจถือเป็นเจ้าถิ่นและเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเย่วกวางแห่งนี้ ฉะนั้นพวกเขาจึงมีคนที่จะเข้าร่วมในการล่าอสูรอยู่เป็นจำนวนมาก ส่วนฉินอวี้โม่นั้นเพียงแค่เดินทางผ่านมายังเมืองเยว่กวางกับสาวใช้ตัวเล็กๆ หนึ่งคนจึงเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบอย่างหนัก และต่อให้นับรวมพันธมิตรของนางซึ่งก็คือกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่อยู่ที่นี่เข้าไปด้วย จำนวนคนก็ยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี เห็นได้ชัดว่าฝ่ายฉินอวี้โม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่ยังไม่เริ่ม
ด้วยเหตุนี้ทำให้สองบุรุษเจ้าเล่ห์–หลี่เปียวและลิ่วเยว่ มั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าฝ่ายของตนจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน แม้ว่าฉินอวี้โม่จะมีอสูรมายาที่แข็งแกร่งอยู่ด้วย แต่อย่างไรก็ไม่มีทางสังหารอสูรมายาได้มากกว่ากลุ่มของพวกเขาที่มีกำลังพลจำนวนมากกว่าเป็นสิบเท่าได้แน่
เมื่อได้ยินกฎในการประลองอันแสน ‘ยุติธรรม’ ที่ออกมาจากปากของหลี่เปียว ชื่อเซียวก็ขมวดคิ้ว เขาต้องยอมรับเลยว่าการประลองในวันนี้ฉินอวี้โม่กำลังตกที่นั่งลำบากอย่างแท้จริงแล้ว กฎเช่นนี้เอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายที่มีกำลังคนมากกว่าอย่างชัดเจน
“ไม่มีปัญหา ข้าจะนำคนจากจวนเจ้าเมืองมาช่วยด้วยอีกแรง”
ลั่วอวิ๋นก้าวออกมาพร้อมกับประกาศเสียงดัง หากนำกำลังพลจากจวนเจ้าเมืองมาก็จะมีไม่น้อยกว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ ถ้าฝ่ายฉินอวี้โม่รวมเข้ากับทหารจากจวนเจ้าเมืองก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบไปในทันที
“คุณชายลั่ว ทำเช่นนั้นมันไม่ถูก ทหารของจวนเจ้าเมืองก็มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของท่านเจ้าเมืองและประชาชน ไม่ใช่ว่าจะเอามาใช้งานตามอำเภอใจได้ ที่สำคัญถ้าอยากเอาทหารของทางการเข้ามาเกี่ยวข้องแบบนี้ก็เท่ากับเป็นการทำลายธรรมเนียมปฏิบัติที่เรามีมาช้านานของเทศกาลอสูรล้อมเมือง”
หลี่เปียวแสยะยิ้มมุมปากก่อนจะคัดค้านลั่วอวิ๋น
ตั้งแต่ปรากฏการณ์อสูรล้อมเมืองกลายมาเป็นเทศกาล รวมถึงมีของรางวัลล้ำค่าจากสำนักเจ้าเมืองมาเกี่ยวข้อง ทหารของทางการก็ไม่เคยเข้ามาร่วมในการต่อสู้กับเหล่าอสูรมายาอีกเลย ในหลายปีที่ผ่านมาเทศกาลนี้เสมือนกลายเป็นการละเล่นของบรรดาจอมยุทธ์ไปแล้ว และลั่วอวิ๋นผู้ซึ่งเป็นถึงลูกเจ้าเมืองก็ไม่ควรจะทำลายธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้
เมื่อได้ยินคำทัดทานที่ดูมีหลักการและสมเหตุสมผลนั้น ลั่วอวิ๋นก็นิ่วหน้าในทันที เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก
“ไม่เป็นไร อวี้โม่ซาบซึ้งในน้ำใจของคุณชายลั่ว แต่ในเมื่อนี่เป็นธรรมเนียมเราก็ไม่ควรจะฝ่าฝืน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ ให้อีกฝ่าย นางไม่อยากให้ลั่วอวิ๋นต้องถูกมองว่าทำสิ่งไม่ถูกต้องเพื่อตัวนาง
“แม่นางฉิน หากแม่นางไม่รังเกียจ กลุ่มทหารรับจ้างของเรายินดีจะเข้าร่วมเพื่อช่วยแม่นาง”
ในระหว่างที่เหล่าพันธมิตรแห่งหน่วยพิทักษ์โฉมงามกำลังเคร่งเครียดหาทางแก้สถานการณ์อยู่นั้น ก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินมาเข้ามาพูดกับโฉมงามของพวกเขาด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มทหารรับจ้างของบุรุษผู้นี้มีชื่อว่า–กลุ่มทหารรับจ้างสลาตัน และเขาก็คือหัวหน้าของกลุ่มหทารรับจ้างนี้นามว่า–ขวงจ้าน กลุ่มทหารรับจ้างสลาตันเองก็เป็นกลุ่มทหารรับจ้างของเมืองเยว่กวางเช่นกัน แม้ว่าหลายปีนี้จะพัฒนาและก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาก็ยังคงถูกกดอยู่ใต้อำนาจบารมีของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ
พวกเขามักจะถูกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจหาเรื่องกลั่นแกล้งและดูถูกเหยียดหยามอยู่บ่อยครั้ง ขวงจ้านผู้เป็นหัวหน้ามีนิสัยเถรตรง ยอมหักไม่ยอมงอ เมื่อคืนในงานเลี้ยงเขาเองก็ได้เห็นความกล้าหาญของฉินอวี้โม่ ‘เป็นสตรีบอบบางผู้หนึ่งแต่ไม่ยอมอ่อนข้อให้บุรุษจากขุมกำลังมากอำนาจ ช่างน่าเลื่อมใสโดยแท้’ ซึ่งนั่นก็ทำให้เขารู้สึกนับถือสตรีผู้นี้ไม่น้อย ยิ่งเมื่อได้ยินกติกาบัดซบของหลี่เปียวเมื่อครู่ เขาก็ทนไม่ได้จนต้องอาสาเข้าร่วมกับฝ่ายของนาง
“ข้าจะรังเกียจท่านได้อย่างไร ท่านคงจะเป็นขวงจ้าน หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างสลาตันสินะ”
เมื่อฉินอวี้โม่ได้ยินสิ่งที่บุรุษผู้รักความยุติธรรมผู้นี้กล่าว นางก็ตอบรับอย่างนอบน้อม น้ำใจดีงามของเขาน่าซาบซึ้งยิ่งนัก
หลายวันที่อยู่ภายในเมืองเยว่กวาง แม้จะอยู่แต่ภายในที่พัก แต่นางก็ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของเมืองนี้มาไม่น้อย นั่นก็เพราะได้ยินเรื่องเล่าจากเหล่าผู้มาจิบน้ำชาและกินอาหารในห้องอาหารของโรงเตี๊ยม ฉะนั้นจึงไม่แปลกนักที่นางจะรู้จักกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันเพราะเป็นหนึ่งในกลุ่มเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง อีกทั้งเหล่าชาวเมืองยังเล่าลือกันว่าผลงานของพวกเขาในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้ก็น่าจับตามองไม่น้อย และการที่ได้พวกเขามาช่วยอีกแรงจึงถือเป็นเรื่องดี
“ขวงจ้าน เจ้าแน่ใจแล้วรึที่จะออกหน้าต่อต้านกลุ่มหมาป่าปีศาจของข้า โดยเลือกอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ อาราม แบบนี้ ?”
ใบหน้าของหลี่เปียวมืดมนในทันที คิ้วยุ่งเหยิงของเขาขมวดแน่น เมื่อเห็นว่าจู่ ๆ ขวงจ้านก็อาสาเข้าร่วมกับฝ่ายตรงข้าม
‘จริงอยู่ว่า ขวงจ้านผู้นี้และกลุ่มทหารรับจ้างสลาตันของมันแสดงท่าทีแข็งขืน ไม่ยอมอ่อนข้อให้เขามาโดยตลอด แต่วันนี้คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะใจกล้าออกหน้าต่อต้านเขาซึ่งมีพันธมิตรเป็นถึงคนจากอารามอย่างโจ่งแจ้งได้ถึงเพียงนี้’
แม้ว่าถ้าหากเทียบกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจแล้ว กลุ่มทหารรับจ้างสลาตันจะดูเล็กกว่ามาก แต่ก็จะประมาทคนพวกนี้ไม่ได้ เพราะการที่มีพวกเขาเข้าไปร่วมก็ทำให้โอกาสชนะของฉินอวี้โม่เพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว
ด้วยเหตุนั้นหลี่เปียวจึงกล่าววาจาข่มขู่ออกไปทันที เขาหวังว่าเมื่อขวงจ้านได้ยินนามของอารามจะทำให้เขากลัวจนถอนตัวออกไป
“เพ่ย ! หลี่เปียว เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงได้กล้าขู่ข้า ?”
ความโกรธแค้นที่มีต่อหลี่เปียวนั้นสุมอยู่ในใจของขวงจ้านมานานแล้ว วันนี้เมื่อได้โอกาสที่ดีที่จะได้หักหน้าหลี่เปียวบ้างเขาจึงไม่ลังเล
“เจ้าคิดว่าทุกคนต้องกลัวพวกเจ้ารึไง พวกเราเป็นทหารรับจ้าง พวกเรามีเกียรติ พวกเราชื่นชมแม่นางฉินที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวไม่เกรงกลัวผู้ใด ข้าไม่สนใจอารามหรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้เป็นคนจากอารามถ้าทำเรื่องชั่วช้าข้าก็กล้าประณามได้”
วาจาของขวงจ้านทำให้ใบหน้าของหลี่เปียวและลิ่วเยว่ถึงกับเปลี่ยนเป็นสีคล้ำเข้ม พวกเขาทั้งสองสำลักคำพูดจนเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
“ฮึ่ย ! ตามใจเจ้า อยากเข้าร่วมก็เข้าร่วมไม่ต้องพูดมาก หลังจากนี้เจ้าก็เตรียมใจเอาไว้ด้วย !”
หลี่เปียวกล่าวขึ้นมาด้วยใบหน้าถมึงทึง
“แม่นางฉิน แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างของเราจะเล็กและมีคนน้อย แต่เราเองก็อยากจะเข้าร่วมกับแม่นาง ไม่ทราบว่าข้าจะร่วมด้วยได้รึไม่ ?”
บุรุษอีกคนก้าวออกมาและยิ้มให้ฉินอวี้โม่
“จำนวนไม่ใช่ปัญหาเลย ท่านหัวหน้าอู๋เผย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อทักทายและแสดงความขอบคุณต่ออีกฝ่าย
พวกเขาคือกลุ่มทหารรับจ้างระดับสามที่อยู่ในเมืองเยว่กวางที่มีชื่อว่า–กลุ่มทหารรับจ้างพเนจร กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้เป็นเพียงกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็กและยังตั้งขึ้นมาได้ไม่นาน อู๋เผยเป็นผู้นำของกลุ่ม เขาเป็นคนอัธยาศัยดีและน่าคบหา
“ไม่อยากเชื่อว่าแม่นางฉินจะรู้จักข้าด้วย”
เมื่อได้ยินฉินอวี้โม่เอ่ยชื่อตน อู๋เผยก็ตกตะลึงเล็กน้อย เขารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก แท้จริงแล้วที่เขาตัดสินใจมาช่วยฉินอวี้โม่ก็เพราะชื่นชมในความกล้าหาญของนาง ยิ่งกว่านั้นกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจก็เป็นที่รังเกียจของคนในเมืองนี้ แต่การที่ฉินอวี้โม่รู้ชื่อเขานับเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายมากจริง ๆ
เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจ ในขณะเดียวกันก็คิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้เป็นคนที่น่าคบหาอย่างมาก
“อู๋เผย เจ้าเองก็อยากจะเอาด้วยงั้นรึ ?”
สิ่งที่อู๋เผยกล่าวทำให้หลี่เปียวหน้ายุ่งขึ้นมาอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึง เดิมทีเขาคิดว่าทุกคนในเมืองเยว่กวางที่รู้ถึงสถานะของลิ่วเยว่คงไม่กล้าคิดจะต่อต้านพวกเขา และถึงคนเหล่านั้นจะไม่ช่วยพวกเขาก็คงไม่ถึงขั้นไปเข้าร่วมกับฉินอวี้โม่เช่นนี้ เมื่อได้เห็นว่ากลุ่มทหารรับจ้างในเมืองเยว่กวางต่างก็เทไปเข้ากับฝ่ายตรงข้ามเขาก็ทำให้หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจตกตะลึงไม่น้อยเลย
อู๋เผยไม่สนใจคำพูดของหลี่เปียวและเพิกเฉยต่อเขาโดยสิ้นเชิง เขาไม่ต้องการจะสนทนากับอันธพาลเช่นนี้
หลังจากอู๋เผยประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายของฉินอวี้โม่ กลุ่มทหารรับจ้างเล็ก ๆ อีกหลายกลุ่มก็ขอเข้าร่วมกับนางด้วยเช่นกัน ฉินอวี้โม่กล่าวขอบคุณพวกเขาทีละคนอย่างนอบน้อมและต้อนรับทุกคนเข้ากลุ่มอย่างยินดี
ทว่าก็ยังมีกลุ่มทหารรับจ้างอีกหลายกลุ่มที่รั้งรอดูสถานการณ์แต่เพียงภายนอกเท่านั้น พวกเขาไม่ได้รู้สึกชื่นชมสตรีงามแปลกหน้าผู้มาจากเมืองอื่น ในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการจะเป็นศัตรูกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจและทำเรื่องล่วงเกินอารามด้วย
และเพื่อที่จะเอาใจคนของอารามก็ทำให้มีบางกลุ่มเลือกเข้าร่วมกับฝ่ายของลิ่วเยว่และหลี่เปียวด้วยเช่นกัน ซึ่งในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีกลุ่มจอมยุทธ์ที่ทรงพลังซึ่งมีสมาชิกเป็นผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรรวมอยู่ด้วย และผู้นำของกลุ่มนี้ก็คือบุรุษวัยกลางคนที่ออกหน้าช่วยลิ่วเยว่ในงานเลี้ยงเมื่อคืนนี้
และการที่กลุ่มยอดฝีมือที่ทรงพลังเช่นนั้นประกาศตัวเข้าร่วมกับฝ่ายลิ่วเยว่ก็ทำให้อีกหลายกลุ่มจอมยุทธ์ต้องกัดฟันกันเข้าร่วมด้วยในที่สุด พวกเขาคิดว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยผูกสัมพันธไมตรีกับคนของอารามได้… และในเมื่อขุมกำลังใหญ่ของเมืองยังเข้าร่วม พวกเขาก็ควรจะทำบ้าง อย่างน้อยที่สุดในอนาคตก็จะได้ไม่เป็นที่เพ่งเล็งว่าเฉยเมยต่อขุมกำลังอำนาจล้นฟ้าอย่างอาราม
ในที่สุดการประกาศจุดยืนแบ่งฝักฝ่ายกันในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง ฝ่ายฉินอวี้โม่ที่แต่เดิมเสียเปรียบด้านจำนวนอย่างมหาศาลนั้น เวลานี้สถานการณ์ก็ดีขึ้นอย่างมหาศาลเช่นกัน หลังจากที่มีหลายกลุ่มจอมยุทธ์ขอเข้าร่วมด้วย ตอนนี้ ‘กลุ่มพันธมิตรอวี้โม่’ มีกำลังพลไม่ห่างชั้นกับฝ่ายของลิ่วเยว่จนดูน่าหวาดหวั่นอีกแล้ว
เมื่อเห็นจำนวนสมาชิกของกลุ่มพันธมิตรอวี้โม่ หลี่เปียวและลิ่วเยว่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย การที่มียอดฝีมือจำนวนมากมายยอมแสดงตัวต่อต้านพวกเขาและเข้าร่วมกับสตรีอย่างฉินอวี้โม่เป็นสิ่งที่คนทั้งสองไม่เคยคาดคิดมาก่อน
“เอาล่ะ เรื่องสนุกกำลังจะเริ่มแล้ว !”
เมื่อได้ยินเสียงที่ดัง *ครืน* อันกึกก้อง จากฝั่งของป่าแสงจันทร์ รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินอวี้โม่
.
.
.
ตอนที่ 44 แข่งกันอย่างยุติธรรม
ขณะที่ฉินอวี้โม่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่นั้น เสี่ยวเฮยตัวน้อยก็บินกลับมาเกาะลงบนไหล่ของนาง
หลังจากได้ยินสิ่งที่อาชาสีดำขนาดเท่าลูกแมวเล่าให้ฟังที่ข้างหู ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้า
ในเมื่อพวกเขาต้องการจะมาไม้นี้ นางก็ไม่รังเกียจที่จะลงเล่นกับพวกเขาสักตั้ง !
ผ่านไปสักพักหนึ่ง ลิ่วเยว่ก็เดินกลับเข้ามาภายในงานพร้อมด้วยหลี่เปียวที่ติดตามมา
ลิ่วเยว่ค่อย ๆ เดินตรงมายังจุดที่ฉินอวี้โม่นั่งอยู่
“ฉินอวี้โม่ ข้าต้องการท้าประลองกับเจ้า”
“ท้าประลองกับข้าอย่างนั้นหรือ เจ้าแน่ใจแล้วนะ ?”
สิ่งที่ลิ่วเยว่คุยกับหลี่เปียวในสวนนั้น อดีตสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูคนงามได้รับรู้ทุกอย่างมาจากเสี่ยวเฮยจนหมดแล้ว ทว่านางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว …ตอนนี้นางอยากเล่นตามบทบาทที่พวกเขาวางเอาไว้ไปก่อนเพื่อดูเชิงของฝ่ายตรงข้าม
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองก็มีฝีมือสูงส่งและยังมีอสูรเทวะในครอบครอง ข้าจึงต้องการท้าประลองกับเจ้ามากกว่าผู้ใดในที่แห่งนี้”
ลิ่วเยว่จ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อเลยก็ตาม แต่หลี่เปียวได้บอกเรื่องนี้กับเขาเมื่อสักครู่ และเนื่องจากหลี่เปียวเคยมีเรื่องบาดหมางกับฉินอวี้โม่มาก่อน เขาจึงเชื่อว่าชายผู้นั้นคงจะไม่โกหกเขาแน่นอน
“เจ้าเป็นถึงบุรุษอกสามศอก ทั้งยังมีฐานะเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์แห่งขุมกำลังใหญ่ เหตุใดจึงเลือกท้าทายสตรีบอบบางอย่างข้า ไม่รู้สึกอับอายบ้างเลยหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ทำหน้าตายุ่งเหยิงใส่อีกฝ่าย แม้จะล่วงรู้ถึงเจตนาของอีกฝ่ายอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่นางต้องแสร้งทำเป็นโอดครวญให้เขาเชื่อว่านางไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ …ตอนนี้สาวงามนักฆ่าตัดสินใจแล้วว่าจะเล่นตามบทละครของอีกฝ่ายไปให้ถึงที่สุด
“ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า ยิ่งกว่านั้นการท้าประลองของข้ามิใช่การประลองกันตัวต่อตัว แต่เป็นการแข่งขันกันทำผลงานในเทศกาลอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่มีท่าทางลังเลและพยายามหลบเลี่ยงสายตาของเขาคล้ายกังวลที่จะต่อรองและไม่ยินดียอมรับคำท้านี้ ลิ่วเยว่ก็ยกยิ้มมุมปากในทันที ในเวลานี้เขายิ่งเชื่อในคำบอกเล่าจากปากของหลี่เปียวมากยิ่งขึ้น เขาคิดอยู่แล้วว่าฉินอวี้โม่ต้องไม่กล้ารับคำท้าของเขาหากเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงยกเรื่องอสูรล้อมเมืองขึ้นมาเป็นหัวข้อการประลองแทน
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วค่อย ๆ พยักหน้าช้า ๆ
“เอ่อ… หากแพ้ข้าก็มีแต่ต้องอับอาย… แต่ถ้าชนะก็เหมือนว่าข้าไม่ได้สิ่งใดอยู่ดี พวกท่านว่าอย่างนั้นไหมล่ะ ?”
“หึ ๆ แม่นางฉินอวี้โม่ ข้ามีข้อเสนอ แต่ไม่รู้ว่าแม่นางจะกล้ารับรึเปล่า”
เมื่อเห็นว่าเหยื่อในแผนการของพวกเขาเริ่มคล้อยตามขึ้นมาบ้างเล็กน้อย หลี่เปียวก็ก้าวออกมาแล้วกล่าวอย่างนุ่มนวลตามที่ได้ซักซ้อมกับลิ่วเยว่มาก่อนหน้านี้
“โอ้ ! เชิญหัวหน้าหลี่เปียวพูดมาได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นเชิงบอกให้หลี่เปียวกล่าวข้อเสนอ ดวงตางดงามยังคงมีแววกังวลปรากฏ ทว่าในใจของนางกำลังยกยิ้มเย็นชา ‘เปิดตัว ตัวละครเพิ่มแล้วสินะ’ หลี่เปียวผู้นี้คือคนที่นางยอมปล่อยให้รอดชีวิตออกไปจากป่าแสงจันทร์เมื่อคราวก่อน แต่ดูเหมือนเขาไม่คิดที่จะหลาบจำแม้แต่น้อย
ในแววตาเหี้ยมเกรียมที่หลี่เปียวใช้มองฉินอวี้โม่เวลานี้นั้นเต็มแน่นไปด้วยความเกลียดชังอย่างยากที่จะบรรยาย
ที่สมาคมทหารรับจ้าง ครั้งแรกเขาถูกฉินอวี้โม่ทำให้อับอายต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก อีกทั้งตอนนั้นเขายังถูกผู้ฝึกกายาเล่นงานจนต้องวิ่งหนีอย่างน่าอนาถ สตรีผู้นี้ทำให้หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่รู้สึกเสียหน้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในชีวิต
ครั้งต่อมา ภายในป่าแสงจันทร์ ฉินอวี้โม่ร่วมมือกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาชิงผลหลิวหลีที่เขาเกือบจะได้มาครองอยู่แล้วไป เรื่องครั้งนั้นทำให้กลุ่มทหารรับจ้างของเขาเสียหายอย่างหนัก นอกจากภารกิจจะล้มเหลวแล้ว เขาและลูกน้องต่างก็ได้รับบาดเจ็บจนบางคนต้องใช้เวลารักษายาวนานซึ่งก็ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งภายในเวลาอันสั้นจึงถือว่าเหลือน้อยเต็มที
แม้ว่าในป่าแสงจันทร์ครั้งนั้น หลี่เปียวจะรู้สึกหวาดกลัวฉินอวี้โม่มากก็จริง แต่ทันทีที่ออกจากป่ามาได้ ไฟแห่งความแค้นชิงชังก็ลุกโชนขึ้นในใจเขาและยังคงสุมอยู่ในอกจนถึงวันนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องชำระแค้นนี้กับนางให้ได้
ถึงแม้เขาอยากจะแก้แค้นฉินอวี้โม่มากเพียงใด ทว่ากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งมากพอจะคุกคามนางในตอนนี้ได้ ไม่ต้องกล่าวถึงการคุกคามผู้ใด เพียงแค่รักษาร่างกายให้หายจากอาการบาดเจ็บก็ยากเย็นไม่น้อยแล้ว
และในวันนี้เขาก็ได้เห็นเหตุการณ์ที่ฉินอวี้โม่กับสหายของนางกล่าววาจาดูหมิ่นลิ่วเยว่ผู้เป็นตัวแทนจากอารามอย่างรุนแรง ในตอนนั้นเองที่เขาได้รู้ว่าสวรรค์มีตาส่งโชคมาให้เขา เมื่อเจ้าเมืองกล่าวเปิดงานจบเขาก็แอบเห็นบุรุษจากอารามเดินออกด้านนอก เขาคิดแผนได้ในเวลานั้นและรีบเข้าไปยื่นข้อเสนอให้คนผู้นั้นทันที
เนื่องจากลิ่วเยว่ถือเป็นยอดฝีมือที่มาจากอาราม ฉะนั้นแล้วความแข็งแกร่งของเขาก็ต้องอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ หากว่าชักชวนคนผู้นั้นมาเป็นพวกได้ หลี่เปียวก็ไม่ต้องเกรงกลัวฉินอวี้โม่และสหายของนางอีก และต่อให้สตรีผู้นั้นเรียกอสูรมายาระดับเทวะทั้งสองออกมา เขาก็ยังคิดว่าอสูรเทวะของลิ่วเยว่ก็คงไม่มีวันพ่ายแพ้อสูรของนางแน่นอน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลี่เปียวก็ตัดสินใจจะใช้ลิ่วเยว่เพื่อเล่นงานฉินอวี้โม่ ในเมื่ออีกฝ่ายมาทำลายภารกิจของเขาจนต้องพบเจอความเสียหาย เขาก็จะให้นางได้สูญเสียบางสิ่งไปเช่นกัน และจะทำให้นางเสียหายหนักกว่าเขาอีกด้วย
“ในที่นี้ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าฝีมือของแม่นางฉินอวี้โม่ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านลิ่วเยว่เท่าไหร่นัก แต่เพื่อไม่ให้แม่นางรู้สึกเสียเปรียบ พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจยินดีจะเอาลูกอสูรมายาที่เราเลี้ยงดูเป็นอย่างดีมาเป็นรางวัล ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ ลูกอสูรมายาตัวนี้ก็จะเป็นของคนผู้นั้นทันที”
หลี่เปียวพูดจบก็กวักมือให้คนนำเอากรงเข้ามากรงหนึ่ง ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าภายในกรงนั้นมีสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายกระรอกตัวหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่
“เจ้านี่ก็คือลูกของเพียงพอน (เฟอเรท) ความแข็งแกร่งของมันนับว่าไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าทุกคนก็คงจะเคยได้ยินมาบ้าง”
หลี่เปียวกล่าวอธิบายกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าจะต้องเอาอสูรมายาสุดรักสุดห่วงออกมาเป็นของรางวัล ทว่าหลี่เปียวกลับไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดหัวใจมากมายนัก เพราะเขามั่นใจว่าอย่างไรลิ่วเยว่ก็ต้องเป็นผู้ชนะ หากต้องเสียลูกเพียงพอนไป เช่นนั้นมิสู้ส่งมันให้เป็นของกำนัลแก่คนจากอารามไปเลยเขายังจะได้ประโยชน์มากกว่า
“หัวหน้าหลี่เปียวช่างใจกว้างยิ่งนัก”
ฉินอวี้โม่รู้ความคิดและแผนการของอีกฝ่ายดี ทว่านางก็ไม่คิดที่จะไปทำลายแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้ อุตส่าห์วางโครงเรื่องและซุ่มซักซ้อมกันมาแล้วนี่… ก็ต้องยอมให้เล่นจนจบจึงจะเหมาะสม
“ในเมื่อหัวหน้าหลี่เปียวยอมลงทุนถึงเพียงนี้ เห็นทีว่าถ้าข้าไม่รับคำท้าก็คงจะเหมือนไม่ให้เกียรติพวกท่านแล้ว”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นรู้สึกหมดหนทาง นางกล่าวต่อ “วันนี้คุณชายลิ่วเยว่อุตส่าห์ออกปากท้าประลองกับข้า ข้าจึงรู้สึกเป็นเกียรติที่จะได้แข่งขันกับคุณชาย ข้าเองก็จะไม่เอาเปรียบท่าน หากว่าคุณชายลิ่วเยว่ชนะข้าจะมอบอสูรมายาของข้าให้เขา —”
“ยอดเยี่ยมมาก แม่นางฉิน”
ยังไม่ทันที่ฉินอวี้โม่จะพูดจบ ลิ่วเยว่ก็ใจร้อนกล่าวขัดขึ้นมาก่อน
“เช่นกัน ถ้าข้าแพ้ ข้าก็จะส่งอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ทันที”
เมื่อได้ยินประโยคนั้นของคนหน้าไม่อาย รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างไม่อาจห้าม
“เหอะ ! ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าคุณชายลิ่วเยว่ไร้ยางอายเพียงใด ถ้าหากว่าคุณชายพ่ายแพ้ในวันพรุ่งนี้ แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านจะยอมมอบอสูรมายาให้จริง ๆ ?”
ลั่วอวิ๋นยิ้มและมองลิ่วเยว่ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
ก่อนที่หลี่เปียวและลิ่วเยว่จะเข้ามา ฉินอวี้โม่ได้นัดแนะกับลั่วอวิ๋นก่อนแล้ว ครั้งนี้เขาเพียงแค่เล่นไปตามบทที่นางเขียนเอาไว้เท่านั้น
…อดีตคุณหนูคนงามถือคติว่าทำอะไรก็ต้องให้ถึงที่สุด ละครฉากนี้ฉินอวี้โม่ขอร่วมเขียนบทด้วย…
“เหอะ ! ในเมื่อทุกคนไม่เชื่อข้า งั้นข้าจะกรีดเลือดสาบาน แน่นอนว่าข้าหวังว่าแม่นางฉินเองก็จะกรีดเลือดสาบานเหมือนกันกับข้าด้วย”
ลิ่วเยว่กล่าวอย่างเย็นชา เขามั่นใจสิบเต็มสิบว่าตัวเองไม่มีทางแพ้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เขากล้ากรีดเลือดสาบานโดยไม่ลังเล ในเมื่ออย่างไรก็ชนะอยู่แล้วกับเพียงแค่เอ่ยคำสาบานไม่กี่ประโยคทำไมเขาจะทำไม่ได้… นั่นไม่ต่างจากสาบานให้วันพรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นทิศตะวันออกเลยสักนิด !
“ในเมื่อคุณชายพูดถึงขนาดนั้น ข้าเองก็คงไม่กล้าปฏิเสธ ข้าหวังว่าหัวหน้าหลี่เปียวเองก็จะสาบานด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและหันไปมองหลี่เปียว
“แน่นอน ข้ายินดีให้สัตย์สาบาน”
หลังจากนั้น สมาชิกคณะละครอุปโลกน์ทั้งสามก็ให้คำสัตย์ปฏิญาณและกรีดเลือดสาบานกันอย่างจริงจัง
“งานอสูรล้อมเมืองในวันพรุ่งนี้ ข้าลิ่วเยว่จะแข่งขันกับแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าขอสาบานว่าหากข้าพ่ายแพ้ ข้าจะมอบอสูรเทวะของข้าให้แม่นางฉินอวี้โม่ไป หากข้าทำผิดจากคำสาบานนี้ขอให้ตกนรกอเวจี !”
เมื่อคำสาบานสิ้นสุดลง อักขระแห่งฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผากของลิ่วเยว่ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว การสาบานของลิ่วเยว่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
หากผู้ฝึกพลังมายาให้คำสัตย์สาบานด้วยจิตใจที่แน่วแน่ก็จะถือเป็นการผูกมัดตัวเองไว้กับกฎแห่งฟ้าดิน หากผิดคำสาบานพวกเขาก็จะต้องถูกสวรรค์ลงทัณฑ์อย่างไม่อาจหลบเลี่ยง
หลี่เปียวเองก็กล่าวคำสาบานด้วยวิธีนี้เช่นกันก่อนที่เขาจะหันไปจ้องมองฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่ยิ้มน้อย ๆ และกล่าว “ในวันอสูรล้อมเมืองวันพรุ่งนี้ คุณชายลิ่วเยว่กับข้าจะแข่งขันกัน ถ้าข้าฉินอวี้โม่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าจะยอมยกอสูรมายาของข้าให้ ถ้าหากข้าผิดคำพูดจากนี้ขอให้เผชิญกับหายนะ”
อักขระที่เป็นตัวแทนของกฎแห่งฟ้าดินก่อตัวขึ้นล้อมรอบกายของสตรีโฉมงาม นี่เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าคำสาบานของนางก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้วเช่นกัน
หลี่เปียวและลิ่วเยว่พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ลิ่วเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัยแล้วกล่าว
“ข้าจะรอให้ถึงวันพรุ่งนี้”
จนถึงตอนนี้ ลิ่วเยว่และหลี่เปียวยังไม่เคยกล่าวถึงเนื้อหาของการแข่งเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในเรื่องนี้บุรุษใจทรามผู้คิดรังแกอิสตรีทั้งสองได้เตรียมการเอาไว้แล้ว… พวกเขาจะทำให้ฉินอวี้โม่ต้องประหลาดใจในวันพรุ่งนี้
ทว่ามุมปากของฉินอวี้โม่กลับยกขึ้นมาเป็นรอยยิ้ม นางไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย แผนการของพวกเขานางรู้เห็นอย่างชัดเจน ยิ่งกว่านั้น สองคนนั้นไม่ได้รับรู้ถึงช่องโหว่ในคำสาบานของนางเลยแม้แต่น้อย
ฉินอวี้โม่กล่าวว่าหากพ่ายแพ้ นางจะยอมมอบอสูรมายาให้ แต่นางไม่ได้เอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำว่าจะให้มันแก่ผู้ใด และต่อให้นางต้องพ่ายจริง ๆ นางก็เพียงแค่มอบมันให้เสี่ยวโร่วนั่นก็นับว่าไม่ผิดคำสาบาน
ขณะที่เสี่ยวจินตัวนิดและเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่ล่วงรู้ถึงความคิดของผู้เป็นนายที่ได้ผูกพันธสัญญาไว้ต่างก็นอนหัวเราะกันตัวงออยู่บนไหล่ของนาง
‘สองคนนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่บนฝ่ามือของนายหญิง แต่กลับคิดว่าตัวเองถือไพ่เหนือกว่า พวกมันไม่รู้เลยว่าทุกอย่างถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ช่างโง่งมเสียจริง’ นี่คือสิ่งที่อสูรมายาทั้งสองกำลังคิด
“แม่นางอวี้โม่ เจ้าแน่ใจไหมว่าจะชนะ ?”
ถึงแม้เขาจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและให้ความร่วมมือกับฉินอวี้โม่เล่นไปตามบทที่นางบอกไว้ แต่ลิ่วเยว่กับหลี่เปียวก็มีท่าทางมากเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ อย่างไรลั่วอวิ๋นก็อดเป็นกังวลแทนสหายผู้นี้ไม่ได้
ลิ่วเยว่คือหนึ่งในอัจฉริยะแห่งอาราม แน่นอนว่าฝีมือของเขาต้องไม่ธรรมดา
หากประเมินตามข้อมูลที่เขารู้และไม่มีปาฏิหาริย์หรือสิ่งไม่คาดฝันเกิดขึ้น… ผู้ที่น่าจะเป็นฝ่ายที่พ่ายแพ้ก็คือฉินอวี้โม่
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่แพ้แน่”
เมื่อได้ยินวาจาห่วงใยและมองเห็นสายตาเป็นกังวลของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็ส่งยิ้มให้และตอบกลับอย่างมั่นใจ
หากพวกเขาต้องการจะสู้กับนาง พวกเขาเองก็ต้องเตรียมตัวพบเจอกับความพ่ายแพ้เอาไว้ได้เลย !
ท่าทางมั่นอกมั่นใจของฉินอวี้โม่ทำให้ลั่วอวิ๋นที่กำลังจะกล่าวทัดทานได้แต่กลืนคำพูดนั้นลงคอไป
แม้ว่าเขาจะยังรู้จักฉินอวี้โม่ได้ไม่นานนัก ทว่าเขาก็ทราบดีว่านางไม่ใช่สตรีที่ชอบอวดอ้างตนเอง หากว่านางมั่นใจก็แสดงว่านางต้องมีแผนรับมือเตรียมไว้แล้ว
สิ่งที่เขาต้องทำก็เพียงแค่ต้องสนับสนุนนางอย่างเต็มที่ และรอดูการแสดงดีๆ อีกครั้งในวันพรุ่งนี้เท่านั้น
เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจนั้นชื่อเซียวเองก็พยักหน้า โฉมงามของเขา–ฉินอวี้โม่ผู้นี้ทำให้เขาประหลาดใจได้อีกครั้งหนึ่งแล้ว
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเราก็จะสนับสนุนเจ้า ไม่ว่าการแข่งขันในวันพรุ่งนี้จะเป็นยังไง พวกเราก็จะอยู่เคียงข้างเจ้า”
ชื่อเซียวเดินมาหาฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงของเขาหนักแน่นและแน่วแน่
“ใช่แล้ว กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะสนับสนุนแม่นางฉินอวี้โม่”
สมาชิกของกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็ยืนขึ้นกล่าว พวกเขายินดีจะทำตามการตัดสินใจของชื่อเซียว
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองดูเหล่าสหายส่งมอบไมตรีให้นางอย่างจริงใจ ทุกคำที่พวกเขาเอ่ยทำให้นางอดยิ้มไม่ได้
“แม่นางอวี้โม่ ข้าชื่นชมเจ้าจริง ๆ เจ้ากล้ารับคำท้าของคนจากอาราม เจ้าไม่เกรงกลัวพลังอำนาจของพวกเขาเลยรึ ?”
เมื่อทุกคนออกไปหมดแล้ว ก็เหลือเพียงฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในสถานที่จัดเลี้ยงแห่งนี้
ลั่วชิงซานมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
…ด้วยสายตาแห่งผู้ครองเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เขาทำนายว่าสักวันหนึ่งสตรีผู้นี้จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนนี้ได้อย่างแน่นอน…
เหตุผลที่นางยังคงรั้งรออยู่หลังจากงานเลี้ยงจบลงก็เป็นเพราะอดีตคุณหนูต้องการจะกล่าวขออภัยท่านเจ้าเมืองสำหรับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันนี้เสียก่อน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้เริ่มต้นแต่อย่างไรเสียนางก็มีส่วนร่วมไม่น้อย
“วันนี้ข้าต้องขออภัยท่านเจ้าเมืองด้วยที่ทำให้บรรยากาศภายในงานเลี้ยงดูอึดอัด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าเกรงกลัวหรือไม่ เพียงแต่ข้าไม่อาจจะอดกลั้นได้เมื่อเจอกับคนประเภทเดียวกับลิ่วเยว่ผู้นั้น เพราะมันไม่ใช่นิสัยของข้า ที่สำคัญยิ่งเราหวาดกลัวพวกเขามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งได้ใจแล้วใช้ประโยชน์จากความหวาดกลัวของเรา ฉะนั้นข้าคิดว่าหากไม่มีเหตุผลใดให้กลัวก็ไม่จำเป็นต้องกลัว หลักการของข้านั้นง่ายมาก หากใครต้องการฆ่าข้า คนผู้นั้นก็ต้องเตรียมจ่ายด้วยชีวิตเช่นกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม เธอเองก็ไม่อยากจะยั่วยุขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้าแบบนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร การยอมถอยเพียงฝ่ายเดียวหรือยอมให้ผู้อื่นกดหัวก็ไม่ใช่นิสัยของเธอ… วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่เธอรู้จักมาทั้งชีวิตก็คือฆ่าอีกฝ่ายทิ้ง !
ยิ่งกว่านั้นขุมกำลังใหญ่โตที่ทรงอิทธิพลมากมายอย่างอารามก็คงไม่ให้ความสนใจกับสตรีตัวคนเดียวอย่างนางมากนัก
แน่นอนว่าลั่วชิงซานไม่รู้ถึงความคิดทั้งหมดของฉินอวี้โม่ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของสาวน้อย เขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“แม่นาง ข้าเกือบจะลืมไป ก่อนที่จะเสด็จกลับ องค์ฮองเฮาได้ขอให้ข้ามอบของสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”
จู่ ๆ ลั่วชิงซานก็นึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาหยิบเอาบางอย่างที่มีลักษณะคล้ายกับเหรียญตราออกมาและส่งมันให้ฉินอวี้โม่
เหรียญนี้เป็นสิ่งที่ฮองเฮาเหวินหย่ามอบให้ลั่วซิงซานก่อนที่นางจะกลับไป ทว่าลั่วชิงซานเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหรียญนี้มีไว้สำหรับทำสิ่งใดหรือหมายความว่าอย่างไร อย่างไรก็ตามเนื่องจากองค์ฮองเฮาเป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเองของสิ่งนี้ก็ย่อมต้องไม่ธรรมดาแน่
เมื่อได้เห็นเหรียญตรานี้ฉินอวี้โม่ก็คาดเดาเอาว่ามันอาจจะเป็นเครื่องรางคุ้มภัยหรือสิ่งอื่นที่ใกล้เคียง
หลังจากรับมันมาจากท่านเจ้าเมือง สาวนักฆ่าในร่างอดีตคุณหนูก็จ้องมองเหรียญในมือแล้วอมยิ้ม ฉินอวี้โม่อดคิดถึงองค์ฮองเฮาหรือนายหญิงเหวินหย่าที่นางเคยเรียกขานไม่ได้… สตรีงดงามผู้แสนอบอุ่นและอ่อนโยนผู้นั้น ช่างเป็นคนดีจริง ๆ
.
.
.
ตอนที่ 43 เหยียดหยาม
ในเวลานี้บรรยากาศภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอาหารค่ำแห่งจวนเจ้าเมืองเยว่กวางกำลังร้อนระอุ ลิ่วเยว่จ้องมองลั่วอวิ๋นด้วยความโกรธแค้น สายตาของบุรุษจากอารามโหดร้ายหมายชีวิต ทว่าทางฝ่ายลั่วอวิ๋นก็หาได้เกรงกลัวไม่ บุตรชายเจ้าเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นใช้สายตาแข็งกร้าวจ้องกลับไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน
“เจ้าเป็นใครถึงกล้าสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของอาราม ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วรึ ?!”
เมื่อเห็นสีหน้าและสายตาที่จ้องมองกลับมาของลิ่วอวิ๋นก็ทำให้ลิ่วเยว่ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก
วันนี้ลั่วอวิ๋นเองก็สวมใส่ชุดสีน้ำเงินเช่นกัน แม้มันจะใกล้เคียงกับชุดของลิ่วเยว่อยู่บ้าง ทว่าเมื่อบุรุษทั้งสองยืนใกล้กันแล้วมันกลับต่างกันอย่างมิอาจเทียบ แต่เดิมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มของลิ่วอวิ๋นก็ดูสง่างามมากแล้ว เมื่อสวมใส่อยู่บนกายของเขาก็ยิ่งขับให้ดูสูงส่งน่านับถือ และทำให้อาภรณ์ของลิ่วเยว่ดูจืดจางไปถนัดตา
“ฮ่า ๆ เกิดมาข้าก็เพิ่งจะเคยพบเคยเห็นคนหน้าด้านไร้ยางอายที่เกี้ยวพานสตรีไม่สำเร็จก็โกรธจนคิดจะลงมือฆ่า คนในอารามมีใบหน้าหนาเป็นกำแพงเช่นเจ้ากันหมดเลยหรือ ?”
ลั่วอวิ๋นเย้ยหยันลิ่วเยว่ด้วยเสียงเย็นชา เขาไม่ชอบลิ่วเยว่ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย หากไม่ใช่เพราะความไร้ยางอายจนเกินเหตุของอีกฝ่าย ลั่วอวิ๋นก็ไม่อยากจะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของคนผู้นี้
“ข้าก็ได้ยินคนเขาว่ากันมาแบบนั้นเช่นกัน คนจากอารามมีแต่พวกไร้ยางอาย”
ชื่อเซียวลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วกล่าวส่งเสริมลั่วอวิ๋นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เจ้าเป็นใคร ? เจ้าเองก็คิดจะยุ่งเรื่องของข้าด้วยอย่างนั้นรึ ?!”
เมื่อเห็นชื่อเซียวลุกยืนขึ้น ลิ่วเยว่ก็ตกใจไม่น้อย เขาไม่คิดว่าจะมีคนขวัญกล้าคิดต่อต้านและท้าทายเขามากมายเพียงนี้ มิใช่แค่สองคน แม้แต่คนสติไม่สมบูรณ์เพียงคนเดียวก็ไม่ควรจะกล้าหยามเกียรติของคนจากอาราม
วันนี้ชื่อเซียวมาในชุดอาภรณ์ยาวสีแดงปักลวดลายประณีตบรรจง ที่เอวสอบคาดไว้ด้วยเข็มขัดที่เข้ากับลายปักบนเนื้อผ้า ดูงดงามโดดเด่น เมื่อรวมกับรอยยิ้มมีเสน่ห์บนใบหน้าคมก็ทำให้ลิ่วเยว่รู้สึกอิจฉา
“ฮ่าฮ่า ข้าก็ไม่อยากจะยุ่งเรื่องของเจ้านักหรอก แต่สตรีที่เจ้ากำลังล่วงเกินอยู่คือสหายของข้า แน่นอนว่าข้าไม่สามารถทนดูอยู่เฉย ๆ ได้”
ชื่อเซียวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเย็นเยียบ เขาพูดพลางเดินเข้าไปหยุดข้างกายฉินอวี้โม่ แล้วกล่าวอีกครั้งด้วยเสียงนุ่มนวล
“ต้องขอโทษด้วยที่เมื่อครู่ข้าช่วยเจ้าไม่ทัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มไม่ถือสา ทันทีที่ลิ่วเยว่ลงมือชื่อเซียวก็รีบลุกขึ้นมา แต่เป็นเพราะลั่วอวิ๋นสกัดฝ่ามือนั้นไว้ก่อนแล้ว เขาจึงไม่ได้เคลื่อนไหว
“สหายเจ้า ?”
ลิ่วเยว่มองฉินอวี้โม่และกล่าวเย้ยหยัน “เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเจ้าถึงได้อวดดีไม่ไว้หน้าข้า ที่แท้ก็มีองครักษ์พิทักษ์สาวงามอยู่มากมายนี่เอง”
เมื่อเห็นสีหน้าและแววตารวมถึงได้ฟังถ้อยคำกระแนะกระแหนเหมือนสตรีของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เป็นเพราะนางเข้าใจเจตนาของอีกฝ่ายดีจึงนางไม่อยากถือสาหาความคนเช่นนี้
“ถูกต้องพวกเขาคือสหายข้า สหายข้ามิใช่มีเพียงความแข็งแกร่งและพรสวรรค์สูงส่ง แต่ยังต้องสุภาพ รู้กาลเทศะ รู้จักมารยาท ต่างจากเจ้าที่ต่อให้อยากเป็นองครักษ์พิทักษ์ผู้ใดก็คงไม่มีใครต้องการ”
วาจาของฉินอวี้โม่นั้น แต่ละคำถูกเอ่ยออกมาด้วยความตั้งใจจะเสียดสีอีกฝ่ายอย่างเต็มที่ กล้ามาต่อปากต่อคำกับนางมันเท่ากับรนหาที่ตาย
“ฮ่า ๆ แม่นางฉินกล่าวถูกแล้ว แค่เห็นหน้าข้าก็อยากจะอาเจียนแล้ว ใครมันจะอยากเป็นสหายกับคนอย่างเจ้า”
“ใช่ ใช่ ถือตัวว่ามาจากอารามคิดจะทำอะไรก็ได้ นี่ถ้าข้าบอกว่าหน้าของคนผู้นี้หนากว่ากำแพง ข้าจะถูกสับเป็นชิ้น ๆ รึเปล่านะ ?”
“กำแพงเรอะ ? ข้าว่าแค่กำแพงคงไม่พอให้เทียบซะแล้วล่ะมั้ง !”
“ ชู่! พวกเจ้าพูดอะไรไม่เกรงกลัวเลย… ข้าว่าที่หน้ากว่ากำแพงก็หินผนังถ้ำละมั้ง หรือนับภูเขาทั้งลูกเลยดีนะ ?”
เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองต่างก็สุดจะทนกับลิ่วเยว่แล้วเช่นกัน เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ออกปากเอ่ยเห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างอดไม่ได้ วาจาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามลิ่วเยว่
แต่เดิมพวกเขาก็ชื่นชมในตัวฉินอวี้โม่กันมากอยู่แล้ว ในตอนนี้เมื่อได้เห็นว่ามีผู้ไม่ปรารถนาดีมาก่อกวนนาง เหล่าบุรุษนิสัยซื่อตรงคิดเห็นอย่างไรก็แสดงออกและพูดไปเช่นนั้นอย่างทหารแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจึงทนไม่ได้และกล่าวขึ้นมาอย่างไม่เกรงกลัวสถานะของอีกฝ่าย
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมอย่างตั้งใจของสมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินไปชั่วขณะ ตอนนี้เขาคล้ายเป็นตัวตลกของงานเลี้ยงไปแล้ว ทว่าเมื่อมองเห็นว่าข้างกายฉินอวี้โม่มีทั้งชื่อเซียวกับลั่วอวิ๋นยืนเคียงข้างอยู่ บุรุษไร้ยางอายก็เริ่มอ้ำอึ้งไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกไป
แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งมาก แต่การมาเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งนี้เขามาตัวคนเดียวไม่ได้พาผู้ติดตามมาด้วย และจากการประเมินด้วยสายตาความแข็งแกร่งของลิ่วอวิ๋นและชื่อเซียวก็ไม่ได้แย่ แม้ว่าจะมีอสูรมายาระดับเทวะอยู่ แต่หากต้องสู้กันจริง ๆ เกรงว่าตัวเขาเองจะมีปัญหาไม่น้อย
“ฮ่า ๆ ทุกท่านโปรดฟังสักครู่ ข้าคิดว่าตอนนี้อาจจะมีเรื่องเข้าใจผิดกันเล็กน้อย แต่เนื่องจากวันนี้เป็นวันดีที่เรามาร่วมงานเลี้ยงกัน มันจะดีกว่าหรือไม่หากยอมถอยกันคนละก้าวเพื่อให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไปได้”
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มอึดอัด บุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มแล้วกล่าวไกล่เกลี่ย
ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแห่งสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเมืองเยว่กวาง เขาไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับทางสตรีงดงามผู้นั้น ทว่าเขาก็ยังคงยำเกรงต่อขุมกำลังที่คอยสนับสนุนลิ่วเยว่อยู่ ถ้าหากวันนี้เขาทำประโยชน์ให้คนจากอารามหรือช่วยเขาแก้หน้าได้เล็กน้อย ในอนาคตสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเขาก็อาจจะได้ประโยชน์กลับมาบ้างก็ได้
“เอาล่ะ เชิญทุกท่านนั่งลงเถิด วันนี้ข้าชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงเพื่อกระชับมิตรและสานสัมพันธ์มิใช่เพื่อเหตุผลอื่นใด ฉะนั้นก่อนที่ทุกท่านจะคิดทำสิ่งใดลงไปโปรดไตร่ตรองให้รอบคอบอีกสักนิด”
ลั่วชิงซานที่เป็นเจ้าภาพหลักกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ดังไม่เบาเพื่อทำลายความอึดอัดภายในพื้นที่แห่งนี้
แม้ว่าถ้อยคำที่เขาใช้จะฟังคล้ายมีเจตนาลดทอนข้อขัดแย้ง ทว่ามันก็ดูเหมือนกับเป็นการเอ่ยเตือนลิ่วเยว่ไปในคราวเดียวกัน… ‘วันนี้เขาตั้งใจเชิญทุกคนมาร่วมมื้ออาหารไม่ใช่ทะเลาะวิวาท ฉะนั้นแล้วแม้ว่าจะเป็นคนจากอารามก็ควรจะให้เกียรติเขาในฐานะเจ้าภาพสักหน่อย’
“เหอะ เห็นแก่หน้าเจ้าเมืองวันนี้ข้าจะไม่ถือสาเอาความพวกเจ้าก็แล้วกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วชิงซาน ลิ่วเยว่ก็เปล่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะหันหลังและเดินกลับไปนั่งยังตำแหน่งที่ถูกจัดเตรียมไว้เช่นเดิม
เมื่อเห็นว่าลิ่วเยว่ยอมถอยกลับไปนั่งที่ ฉินอวี้โม่ องครักษ์ซ้ายขวาของนาง สาวใช้น้อย รวมถึงสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็มองเขาด้วยสายตาดูถูก
แน่นอนว่าลิ่วเยว่มองเห็นสายตาพวกนั้นดี ทว่าตอนนี้เขาต้องอดกลั้นเอาไว้ ภายในหัวของบุรุษจากขุมกำลังมากอำนาจหมุนเร็วจี๋ เขาพยายามคิดหาหนทางตอบโต้คนพวกนี้ให้เร็วที่สุดเพื่อลบล้างความอายในครั้งนี้… ‘คอยดูเถอะพวกชั้นต่ำ ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องสำนึก !’
“ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มหวานหยดให้กับลั่วอวิ๋นและชื่อเซียวก่อนจะเอ่ยปากขอบคุณ
“พวกเราเป็นสหายกันมิใช่หรือ จะเกรงใจกันไปทำไม ?”
ลั่วอวิ๋นหันไปมองชื่อเซียวและพยักหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมา
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับบาง ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใดเพิ่ม คำพูดของลั่วอวิ๋นที่บอกว่า ‘ทุกคนเป็นสหายกัน’ นั้นทำให้เธอรู้สึกซาบซึ้งอยากบอกไม่ถูก ในชีวิตก่อนที่เธอเป็นนักฆ่า มันยากมากที่เธอจะมีคนที่ยอมเป็นเพื่อนจริง ๆ สักคน พอมาอยู่ในโลกนี้ เธอจึงไม่เคยคิดเลยว่า แค่ผ่านมาไม่กี่วันจะได้เพื่อนที่ดีมาแล้วถึงสองคน
‘เป็นสหายกัน’ ประโยคนี้ก้องอยู่ในหัวของฉินอวี้โม่ และทำให้อดีตสาวนักฆ่าอดยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมาอย่างมีความสุขไม่ได้
เมื่อเห็นใบหน้าที่ดูมีความสุขของฉินอวี้โม่ ลั่วอวิ๋นกับชื่อเซียวก็หันมองหน้ากัน สองบุรุษยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
“อันที่จริง ที่ข้าเชิญชวนทุกท่านมาร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในคืนนี้ก็เพราะมีบางอย่างอยากจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ”
เมื่อเห็นแขกในงานนั่งลงประจำที่กันเรียบร้อยแล้ว ลั่วชิงซานก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะกล่าวเข้าประเด็นตามที่ตั้งใจไว้
“อย่างที่เราทุกคนทราบกัน เมืองเยว่กวางของเราจะถูกอสูรมายาบุกล้อมโจมตีในทุก ๆ ห้าปี และในทุกครั้งที่เมืองถูกโจมตี สำนักเจ้าเมืองก็จะตั้งรางวัลเอาไว้สำหรับผู้ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในวันอสูรล้อมเมือง”
“ครั้งก่อน รางวัลที่สำนักเจ้าเมืองได้จัดไว้ให้ก็คือกระบี่อเวจีมรกต กระบี่เล่มนั้นคืออาวุธระดับวิญญาณที่ทรงพลังมาก ข้าคิดว่าทุกท่านก็คงจะได้ยินกันมาบ้างแล้ว ในครั้งนี้ทางเราก็ได้จัดเตรียมรางวัลเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งข้าขอแสดงความยินดีกับทุกท่านไว้ล่วงหน้าเพราะรางวัลสำหรับครั้งนี้มีความพิเศษและยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าครั้งก่อนมาก”
กระบี่อเวจีมรกตคืออาวุธระดับวิญญาณที่ตีโดยปรมาจารย์ช่างหลอมอาวุธผู้มีฝีมือสูงส่ง มันทั้งทรงพลังและคมกริบ
ในดินแดนนี้ อาวุธจะถูกแบ่งออกเป็นหกระดับ ได้แก่ ระดับทองแดง, ระดับเงิน, ระดับทอง, ระดับวิญญาณ, ระดับสมบัติ, ระดับวิจิตร และระดับศักดิ์สิทธิ์ เพียงแค่อาวุธระดับวิญญาณก็ถือเป็นอาวุธที่หลอมขึ้นมาได้ยากเย็นอย่างยิ่งแล้ว ไม่ต้องกล่าวถึงอาวุธในระดับสูงขึ้นไปที่ถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่ายาก
ดังนั้นกระบี่ระดับวิญญาณจึงถือเป็นรางวัลที่ล้ำค่ามากแล้ว การที่ทางสำนักเจ้าเมืองจัดเตรียมรางวัลระดับนั้นไว้ให้ในเทศกาลอสูรล้อมเมืองครั้งก่อนก็เพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจของเหล่านักล่าอสูร แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมปรารถนาจะครอบครองอาวุธล้ำค่า ดังนั้นทุกคนจึงพยายามอย่างหนักเพื่อคว้าชัยชนะ คงไม่ผิดหากจะกล่าวว่าพวกเขาถูกสำนักเจ้าเมืองใช้ความมั่งคั่งมาสร้างแรงจูงใจ
เมื่อได้ยินว่ารางวัลของปีนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าครั้งก่อน ผู้มาร่วมงานเลี้ยงทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง ตอนนี้บรรยากาศภายในพื้นที่แห่งนี้เริ่มเร่าร้อนขึ้นแล้ว
“ท่านเจ้าเมือง ท่านพอจะให้เราได้ชมรางวัลชนะเลิศในครั้งนี้สักหน่อยจะได้รึไม่ ?”
มีบางคนที่อดใจไม่ไหวจนต้องถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ลั่วชิงซานพยักหน้าพร้อมกับยิ้มสนุกสนานและกล่าว “แน่นอน ไม่มีปัญหา”
สิ้นคำพูดนั้น เขาก็คว้าเอากระบี่อ่อนเล่มหนึ่งที่มีความบางไม่ต่างจากกระดาษออกมาจากแหวนมิติ
“นี่คือรางวัลของปีนี้ กระบี่ปีกจักจั่น”
ทันทีที่ได้เห็นรูปลักษณ์ของกระบี่เล่มบางในมือของท่านเจ้าเมือง ฉินอวี้โม่ก็หมายตาหมายใจมันไว้เรียบร้อยแล้ว
แม้จะบางราวกับกระดาษ แต่ทว่าคมกริบอย่างไร้ที่เปรียบ ประกายแสงจากคมกระบี่ที่สาดส่องออกมาดูงดงามชวนหลงใหล มันถูกสร้างขึ้นมาอย่างประณีตบรรจง อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัดพกพาสะดวก นับว่าเป็นกระบี่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็วคล่องตัวอย่างแท้จริง
“กระบี่ปีกจักจั่นนี้เป็นอาวุธระดับวิญญาณเช่นกัน อย่างไรก็ตาม มันเป็นอาวุธที่สามารถพัฒนาและเลื่อนระดับได้”
ต้นประโยคที่ได้ยินทำให้เหล่านักล่าอสูรที่มาร่วมงานเลี้ยงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย ทว่าเมื่อท่านเจ้าเมืองเอ่ยจนจบประโยค ดวงตาของทุกคนก็วาวโรจน์ราวกับจะลุกเป็นไฟขึ้นทันที ตอนนี้บรรยากาศในงานเลี้ยงร้อนระอุจนแทบจะเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว
คำว่าสามารถเลื่อนระดับได้นั้น หมายความถึงขอเพียงตามหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการหลอมและช่างหลอมที่มีฝีมือสูงมากพอมาได้ก็จะสามารถทำให้มันพัฒนาขึ้นไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้
“ไม่เพียงเท่านั้น การพัฒนาของมันเป็นแบบไร้ขีดจำกัด หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือกระบี่ปีกจักจั่นสามารถเลื่อนระดับจนกลายเป็นอาวุธในตำนานเลยก็ได้”
ลั่วชิงซานกล่าวเสริมพร้อมกับแจกรอยยิ้มให้แก่บรรดาแขกที่เขาเชิญมาร่วมงานเลี้ยงผู้กำลังจับจ้องมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
คำบอกเล่าที่ว่า มันไร้ขีดกำจัด นั้นก็หมายความว่า กระบี่ปีกจักจั่นนี้มีโอกาสที่จะพัฒนาไปจนถึงระดับศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดหรือจะพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นสุดยอดอาวุธซึ่งเป็นตำนานแห่งอาวุธในหมู่อาวุธเลยก็ว่าได้ และถึงแม้ว่าโอกาสจะมีเรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นจะน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ก็ยังนับมีความเป็นไปได้ ดังนั้นมูลค่าของกระบี่ปีกจักจั่นนี้ไม่ควรจะด้อยกว่าอาวุธระดับสมบัติซึ่งเป็นระดับที่อยู่เหนือขึ้นไปจากระดับของมันอีกหนึ่งระดับอย่างแน่นอน
คำบอกเล่าของท่านเจ้าเมืองทำให้จิตใจของอดีตนักฆ่าสาวหวั่นไหวไปไม่น้อยเช่นกัน กระบี่เป็นหนึ่งในอาวุธที่เธอโปรดปราน แม้ว่าปกติในฐานะนักฆ่าอาวุธที่มักจะใช้กันบ่อย ๆ ก็คือกริชหรือมีดก็ตาม
ในตอนนี้ หากเปรียบเทียบอารมณ์ของทุกคนเป็นไส้ตะเกียงก็ราวกับว่าไส้ตะเกียงนั้นถูกจุดจนลุกโชติช่วงขึ้นมาแล้ว เหล่าผู้ร่วมงานเลี้ยงทั้งหลายต่างก็ซุบซิบ ถกเถียงกัน วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องของรางวัลสำหรับเทศกาลอสูรล้อมเมืองในครั้งนี้กันอย่างออกรส
ฉินอวี้โม่ที่กำลังพูดคุยกับเสี่ยวโร่วอยู่สังเกตเห็นว่าลิ่วเยว่ผู้ถูกด่าทอและประณามหยามเหยียดไปอย่างหนักเมื่อครู่ได้ลุกออกไปจากที่นั่งแล้ว
“เจ้าตามไปและคอยจับตาดูว่าเขาคิดจะทำอะไร”
ฉินอวี้โม่กระซิบบอกกับเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่อย่างแผ่วเบา
เสี่ยวเฮยพยักหน้าและบินออกไปจากไหล่ของฉินอวี้โม่ทันที
ภายในสวนกว้างที่ค่อนข้างมืดมิดของจวนท่านเจ้าเมือง ลิ่วเยว่กำลังยืนทำหน้าถมึงทึงมองลมมองฟ้าอยู่ แววตาของเขากำลังขุ่นมัวและมืดมนอย่างถึงที่สุด ภายในงานเลี้ยงเขาถูกเย้ยหยันและต้องเสียหน้าต่อหน้าทุกคนอย่างมาก แต่เนื่องจากแขกทุกคนกำลังจับตามองเขาจึงไม่กล้าลงมือทำเรื่องเกินเลย นี่ทำให้ลิ่วเยว่ผู้ยโสโอหังมาตั้งแต่ยังเล็กรู้สึกโกรธแค้นและอัดอั้นตันใจแทบกระอักเลือด
“ท่านคือผู้มีพรสวรรค์อันโดดเด่นที่มาจากอาราม ลิ่วเยว่ใช่หรือไม่ ?”
ในขณะที่กำลังยืนเคร่งเครียดอยู่ท่ามกลางความมืด เขาก็ได้ยินเสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น จากทางด้านหลัง คนผู้นั้นค่อยๆ เดินเข้ามาหาพลางพูดกับเขาด้วยท่าทางนอบน้อม
“เจ้าเป็นใคร มีธุระอะไรกับข้า ?”
เมื่อลิ่วเยว่ได้ยินเสียงเรียก เขาก็หันหน้ากลับมามองก่อนจะกล่าวอย่างเย็นชา
“ข้าน้อยเป็นคนผู้หนึ่งที่รู้สึกเลื่อมใสในตัวท่านมาก วันนี้ข้าเห็นท่านถูกหยามเกียรติกลางงานเลี้ยงจึงรู้สึกเห็นใจท่าน”
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้อย่างช้า ๆ และในที่สุดใบหน้าของเขาก็เผยออกมาให้เห็น
บุรุษผู้นี้มิใช่ใครอื่นแต่เป็นหลี่เปียว หัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจผู้เคยมีเรื่องขัดแย้งกับฉินอวี้โม่มาก่อนหน้านี้
“เหอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องเห็นใจข้า เพราะอย่างไรไม่ว่าใครหน้าไหนที่กล้ามาหยามข้าลิ่วเยว่ผู้นี้ก็จะไม่มีจุดจบที่ดีแน่ !”
เมื่อได้ยินวาจาของหลี่เปียว ลิ่วเยว่ก็เปล่งเสียงตอบออกมาอย่างเย็นชา ทว่าแม้จะกล่าวคำคล้ายไม่แยแส แต่ท่าทีของเขาก็ดูคล้ายจะพึงพอใจในคำประจบสอพลอของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย
“บอกข้ามา ที่เจ้ามาหาข้ามีจุดมุ่งหมายอะไร ?”
ลิ่วเย่วไม่ใช่คนโง่ เขาไม่คิดว่าคนผู้นี้จะเพียงแต่บังเอิญผ่านจึงเดินเข้ามาเจรจาทักทายด้วยเรื่องเรื่อยเปื่อยกับเขาอย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ นายน้อยลิ่วเยว่ฉลาดจริง ๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดท่านจึงเป็นถึงผู้มีพรสวรรค์สูงส่งในอาราม”
หลี่เปียวยิ้มกว้างพร้อมกับพยักหน้าก่อนจะเข้าไปใกล้ลิ่วเยว่มากขึ้น
“บังเอิญว่าก่อนหน้านี้ ข้าน้อยเองก็เพิ่งจะมีเรื่องบาดหมางกับสตรีแสนจองหอง–ฉินอวี้โม่ผู้นั้น และกำลังต้องการจะเอาคืนในสิ่งที่นางทำผิดต่อพวกเรา และที่ข้ามาหาท่านก็เพราะต้องการถามว่าท่านลิ่วเยว่สนใจอยากจะร่วมมือกับพวกเราจัดการสตรีอวดดีหรือไม่ ?”
“ร่วมมือรึ ? ไหนลองว่ามาซิ ?!”
ลิ่วเยว่ถามออกไปด้วยความสนใจ
.
.
.
ตอนที่ 42 บุรุษไร้ยางอาย
อารามและวิหารแห่งความมืดจัดเป็นสองขุมกำลังที่ลึกลับของดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ พวกเขาเป็นขุมกำลังที่ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลจนผู้คนทั่วทั้งแผ่นดินต้องเกรงกลัว
กล่าวกันว่าทั้งสองขุมกำลังดังกล่าวนี้ล้วนมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัว ไม่ว่าจะเป็นสำนักต่าง ๆ หรือตระกูลใหญ่ต่างก็ยำเกรงพวกเขา แม้แต่ราชวงศ์ของจักรวรรดิใหญ่ก็ยังถือว่ามีอำนาจด้อยกว่าขุมกำลังทั้งสอง
ทั้งอารามและวิหารแห่งความมืดไม่ได้มีจำนวนสมาชิกมากมายนัก ทว่าสมาชิกแต่ละคนกลับล้วนเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง ทั้งสองขุมกำลังจัดเป็นมหาอำนาจแห่งดินแดนหวงหลิงนี้และไม่มีขุมกำลังใดเลยในแผ่นดินที่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเขา
ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีศิษย์หรือสาวกคนใดของอารามและวิหารแห่งความมืดเลยที่ไม่ได้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์อันสูงส่ง
ในครั้งนี้ ลิ่วเยว่ ผู้เป็นหลานชายของผู้อาวุโสแห่งอารามได้เดินทางมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองของเมืองเยว่กวาง ลิ่วเยว่ผู้นี้นั้น ในอารามเขานับเป็นมีพรสวรรค์ค่อนข้างดีผู้หนึ่ง เวลานี้อายุของเขาเพิ่งจะสิบแปดปี ทว่ากลับเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะเจ็ดดาราแล้ว เท่านั้นยังไม่พอเขายังครอบครองอสูรเทวะเจ็ดดาราเอาไว้อีกด้วย
ฉินอวี้โม่และแขกคนอื่น ๆ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำนั่งรอกันอยู่พักใหญ่ จากเฝ้ารอและพูดคุยกันตามปกติก็เริ่มหมดหัวข้อสนทนาและเปลี่ยนเป็นเบื่อหน่าย จนกระทั่งหลาย ๆ คนมีท่าทีให้เห็นว่าเริ่มหมดความอดทนแล้ว และเป็นตอนนั้นเองที่มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาภายในพื้นที่จัดเลี้ยงอย่างช้า ๆ
คนผู้นั้นเป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดสีน้ำเงิน และน่าจะมีอายุราว ๆ สิบแปดถึงสิบเก้าปี ถึงแม้จะเดินเข้ามาด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วกลับดูคล้ายเป็นผู้ที่ค่อนข้างเจ้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย หน้าตาของแขกผู้มาใหม่นี้ค่อนข้างหยาบกระด้างไม่ชวนมองเท่าไหร่นักอีกทั้งแววตาของเขาก็พร่ามัวไม่สดใส ดูจากภายนอกแล้วก็มิน่าใช่คนที่ชวนคบหาเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินตรงไปยังเก้าอี้ที่ถูกจัดเตรียมไว้สำหรับตัวแทนจากอารามก่อนจะนั่งลง ซึ่งการที่เขานั่งลงตรงตำแหน่งนั้นก็บ่งชี้ว่าเขาคงจะเป็นลิ่วเยว่ตัวแทนจากอารามที่ทุกคนกำลังนั่งรอกันอย่างแน่นอน
“ขออภัยที่มาสาย”
ลิ่วเยว่เอ่ยขออภัย ทว่าภายในน้ำเสียงกลับไม่มีความรู้สึกผิดอยู่เลย
เมื่อได้ยินคำพูดสั้นห้วนรวมถึงน้ำเสียงของลิ่วเยว่ บรรดาแขกของงานเลี้ยงต่างก็อดขมวดคิ้วไม่ได้… บุรุษที่มาจากอารามผู้นี้ช่างหยิ่งยโสมากจริง ๆ
“ท่านเจ้าเมืองหากมีอะไรจะกล่าวก็ขอให้รีบหน่อย เพราะข้าผู้นี้ยุ่งมาก”
ลิ่วเยว่กวาดสายตามองแขกเหรื่อทั้งหลายที่กำลังชักสีหน้าและใช้แววตาไม่พอใจจับจ้องมาที่ตัวเขา ทว่าบุรุษผู้มาจากขุมกำลังทรงอิทธิพลกลับไม่เห็นคนเหล่านั้นอยู่ในสายตา เขาหันหน้าไปมองท่านเจ้าเมืองอีกครั้งราวกับต้องการกดดันให้อีกฝ่ายรีบกล่าวเปิดงาน
ทว่าในระหว่างที่กำลังหันหน้ากลับไปนั้น สายตาของเขาก็สะดุดเข้ากับร่างอรชรของสตรีผู้หนึ่งที่ฝั่งตรงข้าม ลิ่วเยว่ที่บังเอิญเหลือบไปฉินอวี้โม่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปจ้องมองนางด้วยแววตาตกตะลึง
“ช่างเป็นสตรีที่งดงามยิ่งนัก !”
บุรุษผู้มาจากอารามมองดูฉินอวี้โม่พร้อมกับอุทานเสียงดังลั่นอย่างไม่คิดที่จะควบคุมตัวเอง
‘สวมอาภรณ์ยาวสีขาว…ผิวเรียบเนียนดุจไข่มุก…ขาวเปล่งปลั่งดั่งหิมะบนยอดเขา…ใบหน้าสดใสงดงามราวกับดอกท้อ…ดวงตาเนื้อทรายเป็นประกายเฉิดฉาย…และคิ้วเรียวรูปใบหลิวดูงามสง่า…อีกทั้งยังดูมีกลิ่นอายแห่งสตรีชั้นสูง…นางคือหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพเซียน’
ลิ่วเยว่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เกรงใจผู้ใดก่อนจะเดินตรงเข้าไปสตรีโฉมงามในความคิดของเขา
“แม่นางคนงามผู้นี้มีนามว่าอะไร ไม่ทราบว่าจะให้เกียรติผูกมิตรไมตรีกับข้าได้รึไม่ ?”
ถึงแม้วาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยจะราวกับกำลังอ้อนวอนร้องขอ ทว่าในความเป็นจริงแล้วมันคือคำสั่งที่ห้ามมีข้อแม้ คนผู้นี้คืออัจฉริยะที่มาจากอาราม หากเขาต้องการผูกไมตรี ไม่ว่าจะกับใคร คนผู้นั้นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธได้เพราะพวกเขาเองจะถือว่าอีกฝ่ายก็ควรจะต้องยินดีและมีความสุขที่ได้เป็นสหายกับคนจากอารามอย่างพวกเขา
ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่กำลังสนทนากับลั่วอวิ๋นอยู่ ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสได้ถึงสายตาประหลาดที่จ้องมองมาของชายผู้นี้แล้ว ทว่าในเวลานั้นนางไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะใจกล้าหน้าด้านลุกเดินมาหานางถึงที่เช่นนี้
ฉินอวี้โม่เงยหน้าขึ้นมามองลิ่วเยว่ที่แสร้งตีหน้าเป็นสุภาพบุรุษชั้นสูง นางอดไม่ได้ที่จะเกิดความรู้สึกเหมือนป่วยไข้ ….มากกว่านี้อีกนิด ‘เธอ’ ต้องอ้วกออกมาแน่ !
คนผู้นี้กำลังส่งสายตาหื่นกระหายออกมาอย่างไม่ปิดบัง เขาเป็นผู้ที่ไร้มารยาทอย่างมากราวกับไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน
“ขอโทษด้วย แต่ข้าไม่สนใจ”
ฉินอวี้โม่ไม่อยากจะเข้าใกล้คนประเภทนี้ หลังจากตอบกลับไปสั้น ๆ นางก็กลับมาสนทนากับลั่วอวิ๋นต่อเช่นเดิม
เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างแน่วแน่ ของฉินอวี้โม่ ลิ่วเยว่ก็อึ้งไปชั่วขณะ ทว่าแทนที่จะโกรธเคืองเขากลับยิ้มออกมา
‘ช่างเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจยิ่งนัก ถึงกับกล้าปฏิเสธข้าเชียวหรือ’
นางปฏิเสธเขาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่ผู้คนในงานนี้ทั้งหมดต่างก็รู้ถึงสถานะของเขาเป็นอย่างดี เขาเป็นศิษย์จากอารามซึ่งเป็นขุมกำลังที่มีอำนาจล้นฟ้า ทั้งชีวิตเขาเคยพบพานสตรีมามากมายและหลากหลาย สตรีหยิ่งยโสเขาก็เคยเจอมาไม่น้อย ทว่าก็ไม่มีผู้ใดใครกล้าปฏิเสธคำขอผูกไมตรีของเขาเช่นนี้มาก่อน และมาวันนี้เขากลับได้พบเจอสตรีจองหองผู้นี้ และนี่ทำให้ลิ่วเยว่เกิดความสนใจขึ้นมา
“ฮ่า ๆ น่าสนใจนี่ เจ้าคิดที่จะใช้การเมินเฉยมาเรียกร้องความสนใจจากข้าอย่างนั้นใช่หรือไม่ ถึงได้ปฏิเสธข้า ?”
ลิ่วเยว่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ยินดีด้วย เจ้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าเป็นสตรีที่น่าสนใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าสนใจเจ้าขึ้นมาจริง ๆ แล้ว”
เมื่อได้ยินวาจาหลงตัวเองอย่างหน้าไม่อายของลิ่วเยว่ ฉินอวี้โม่ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ตอนนี้ใบหน้าของงดงามแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในบัดดล
‘ไอ้โง่นี่มันไปเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนฮะ ! ตลกสิ้นดี !’ ฉินอวี้โม่ผู้เป็นอดีตมือสังหารระดับพระกาฬในชีวิตก่อนไม่เคยมีใครกล้าทำตัวสะเหล่อพูดจีบเธอ หน้าด้าน ๆ ด้วยคำพูดหลงตัวเองแบบนี้มาก่อน
“เหอะ เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน ? เจ้ากล้ามาเกี้ยวพานคุณหนูของข้า หัดดูสภาพตัวเองซะบ้างว่าเหมาะสมกับคุณหนูของข้าหรือไม่!”
เมื่อได้ยินคำพูดของบุรุษไร้ยางอาย เสี่ยวโร่วก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและชี้หน้า พ่นวาจาถากถางเข้าใส่
‘ชายผู้นี้ไร้ยางอายอย่างน่ารังเกียจ เขามาช้าที่สุดจนผู้อื่นต้องรอ ทำตัวไม่ให้เกียรติท่านเจ้าเมืองที่เป็นเจ้าภาพ หน้าตาก็ไม่งดงามมีสง่าราศี เขาไม่ดูตัวเองเลยแต่กลับกล้ามาจีบคุณหนูของนาง… ถ้าจะจีบคุณหนูอย่างน้อยก็ควรจะเป็นคนที่มีระดับและรู้จักวางอย่างคุณชายลั่วอวิ๋น หรืออย่างองค์ชายสามฉีอวี้ที่เจอกันก่อนหน้านี้ถึงจะคู่ควร’
ถ้าหากฉินอวี้โม่รู้ถึงสิ่งที่เสี่ยวโร่วกำลังคิดอยู่ นางก็คงจะรู้สึกหมดคำพูด…
“สาวน้อย เจ้ากล้าด่าข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว สีหน้าของลิ่วเยว่ก็เปลี่ยนไปทันที ทว่าในตอนนี้เมื่อมีฉินอวี้โม่อยู่ข้าง ๆ เขาก็ต้องพยายามควบคุมตัวเองและปั้นหน้ายิ้มแย้มเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าสตรีที่เขาหมายปอง ตอนนี้ศิษย์จากขุมกำลังมากอำนาจกำลังพยายามสยบความโกรธในหัวใจเอาไว้
“ข้าไม่รู้ ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือคนไร้ยางอายอย่างเจ้าไม่คู่ควรกับคุณหนูของข้า !”
เสี่ยวโร่วส่ายศีรษะ แท้จริงแล้วสาวใช้ตัวน้อยเองก็ไม่ทราบว่าคนจากอารามเป็นใครหรือมีความสำคัญอย่างไร ที่สำคัญต่อให้รู้จักอารามก็เถอะ แต่นางก็จะไม่ยอมให้คนเช่นนี้มายุ่งกับคุณหนูของนางอยู่ดี
เสียงของเสี่ยวโร่วค่อนข้างดังและฟังได้ชัดเจนในความเงียบ แขกทุกคนที่เข้ามาร่วมงานเลี้ยงจึงได้ยินที่นางพูดทั้งหมด ไม่ทราบเช่นกันว่าผู้ได้เป็นผู้ริเริ่มแต่ทว่าในตอนนี้ภายในสถานที่จัดเลี้ยงกำลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างขบขัน
ลิ่วเยว่ผู้นี้ไร้ยางอาย เรื่องนี้ทุกคนต่างก็เห็นด้วยตาและคิดตรงกันหมด ทว่าในที่แห่งนี้ก็คงมีแต่เพียงสาวน้อยชุดเขียวนามว่าเสี่ยวโร่วเท่านั้น ที่กล้าเอ่ยออกไปตรง ๆ
“เจ้าเด็กสกปรก เจ้า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี่ยวโร่ว ลิ่วเยว่ก็โกรธจนพูดไม่ออก
“ข้ามาจากอาราม เจ้ากล้าดียังไงถึงมาพูดกับข้าแบบนี้ ?”
ลิ่วเยว่มองเสี่ยวโร่วด้วยสายตาโกรธเคือง ครั้งนี้เขาโกรธมากจริง ๆ
“อาราม ?”
เมื่อเสี่ยวโร่วได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย นางก็อึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะรีบส่ายศีรษะ
“ข้าไม่รู้จักอารามของเจ้า ข้ารู้จักแต่วัดแถวบ้านข้า ยังไงเจ้าก็ไม่คู่ควรกับคุณหนู เจ้าไม่มีสิทธิ์มาเกี้ยวคุณหนูของข้า”
น้ำเสียงของเสี่ยวโร่วนั้นหนักแน่น นางต้องการประกาศเจตนาที่ชัดแจ้ง คุณหนูของนางงดงามราวเทพเซียน การที่ต้องถูกคนนิสัยแย่เช่นนี้มาเกี้ยวพาน … ดูอย่างไรก็ไม่ต่างจากคางคกอยากกินเนื้อหงส์
“ฮึ่มมม…”
ลิ่วเยว่แข็งค้างไป เขากำลังทั้งโมโหและงุนงงในคราวเดียวกัน ‘ในโลกนี้มีคนที่ไม่รู้จักอารามอยู่จริง ๆ อย่างนั้นรึ?’
เมื่อเห็นลิ่วเยว่นิ่งและหยุดพูดไป เสี่ยวโร่วก็นั่งลง อย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงจ้องมองเขาด้วยสายตาดุดันเพื่อป้องกันไม่ให้เขามายุ่งกับฉินอวี้โม่
“ฮ่า ๆ น่าสนใจ คุณหนูก็น่าสนใจ สาวใช้ยังไม่ธรรมดาอีก”
ลิ่วเยว่หัวเราะทว่ากลับเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูน่าขนลุก เขาจ้องมองฉินอวี้โม่และกล่าว
“เด็กน้อย เช่นนั้นลองถามความคิดเห็นคุณหนูของเจ้าดูก่อนดีไหม ?”
เมื่อเห็นว่าลิ่วเยว่ยังคงหน้าด้านหน้าทนไม่รู้จักความหมายของคำว่าถอย ฉินอวี้โม่ก็อดที่จะขมวดคิ้วอีกครั้งไม่ได้ ในตอนที่เสี่ยวโร่วพูด นางไม่ได้หยุดสาวใช้น้อยเพราะตัวนางเองก็ขี้เกียจเจรจากับคนประเภทนี้
หากเป็นชาติก่อน และมีคนแบบนี้กล้ามาเกี้ยวพานเธอ ในลักษณะนี้ อีกฝ่ายจะต้องจ่ายค่าตอบแทนความสะเหล่อในราคาแพงแน่ อย่างไรก็ตาม ชีวิตนี้เธอทำแบบนั้นไม่ได้ เธอยังต้องสนใจสายตาผู้คนที่จ้องมองมา อีกทั้งเธอยังไม่อยากจะกลายเป็นจุดสนใจโดยการมีเรื่องกับคนของอาราม
อารามถือเป็นขุมกำลังที่ขุมกำลังอื่น ๆ ในดินแดนนี้ต่างก็เกรงกลัว แม้ว่าลิ่วเยว่จะไม่ใช่คนใหญ่คนโต ทว่าหากฉินอวี้โม่ก็ทำอะไรเขาจริง ๆ ก็จะมีปัญหาตามมาไม่น้อย
ผิดกับเสี่ยวโร่วที่ไม่รู้ตัวตนของเขา ฉะนั้นนางจึงกล้าที่จะด่าอีกฝ่ายไปถึงสองสามประโยค และด้วยการที่อีกฝ่ายมีสถานะที่สูง เขาเป็นถึงตัวแทนจากอารามทำให้เขาเองก็ไม่กล้าจะแสดงอารมณ์ของตนอย่างออกหน้าออกตา ถึงจะหน้าหนาอย่างไร ลิ่วเยว่ก็ยังต้องกังวลต่อสายตาของแขกคนอื่นอยู่บ้าง
ฉะนั้นแล้วฉินอวี้โม่จึงไม่อยากจะกล่าวสิ่งใดอีก
อย่างไรก็ตามคำพูดของเสี่ยวโร่วไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขายอมถอยกลับไปเท่านั้น แต่ยังทำให้คนไร้ยางอายมีความมุ่งมั่นมากขึ้นไปอีก ชายผู้นี้ไม่ใช่เพียงแต่ไร้ยางอายในระดับธรรมดา แต่คงต้องถือว่าหน้าหนาเหมือนกำแพงเลยมากกว่า
“หน้าตาไม่ได้เรื่องยังพอว่า นี่ยังไม่รู้จักการวางตัว เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันทุเรศ ?”
ฉินอวี้โม่ยืนขึ้นอย่างช้า ๆ พลางกล่าวอย่างเย็นชา น้ำเสียงของนางไม่ได้เกรงใจอีกต่อไป
คนประเภทหนึ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือพวกไร้ยางอาย ไร้จิตสำนึก ทำตัวต่ำทรามไม่เห็นหัวใครอย่างลิ่วเยว่ผู้นี้นี่แหละ
เมื่อได้ยินวาจาเย็นชาของฉินอวี้โม่และได้เห็นแววตาอันแสนดูถูกเหยียดหยามของนาง สีหน้าของลิ่วเยว่ก็ดำคล้ำขึ้นมาเช่นกัน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดอยู่กับผู้ใด ?” ลิ่วเยว่มองฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงต่ำ
“ก็คงจะเป็นสุนัขขี้เรื้อนตัวหนึ่งกระมัง” ฉินอวี้โม่แดกดันกลับไปอย่างไม่เกรงกลัว
แท้จริงนางไม่ได้คิดจะต่อปากต่อคำกับลิ่วเยว่ผู้นี้ ทว่าในเมื่ออีกฝ่ายทำตัวน่ารังเกียจถึงเพียงนี้ นางเองก็สุดจะทนแล้วเช่นกัน
กับคนหน้าด้านนั้น การตอกกลับอีกฝ่ายอย่างรุนแรงที่สุดไปเลยจะเป็นวิธีการที่ได้ผลดีและรวดเร็วที่สุด มิฉะนั้นก็จะต้องวุ่นวาย ถูกรังควานไม่จบสิ้น
“เจ้ากล้าดียังไงมาว่าข้าเป็นสุนัข !”
เมื่อได้ยินวาจาถากถางของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของลิ่วเยว่ก็ขึ้นสีแดงก่ำ ศิษย์จากอารามกล่าวเสียงดังอย่างเดือดดาล
“ข้าเหรอว่าเจ้า ?” ฉินอวี้โม่ยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะเขินอายเกินไปที่จะยอมรับตัวตนของเองจนต้องมาถามข้า ข้าเลยพูดสิ่งที่ดูคล้ายคลึงกับเจ้าที่สุดออกไปเท่านั้น”
“ฮ่า ๆ ๆ !”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของฉินอวี้โม่ ทุกคนที่อยู่ภายในงานเลี้ยงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา พวกเขาได้แต่ชื่นชมฉินอวี้โม่ สตรีผู้นี้นอกจากจะงดงามมากแล้วยังกล้าหาญอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนพวกเขายิ่งชื่นชมนางมากขึ้นกว่าเดิม กล้าหาญ ไม่หวั่นเกรง นี่เป็นสิ่งที่เหล่าทหารรับจ้างทั้งหลายต่างก็เทิดทูน
เมื่อชื่อเซียวเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เขาก็ได้แต่สงสัยในตัวหญิงสาวผู้นี้เพิ่มมากขึ้นอีก …สตรีผู้นี้เป็นคนแบบไหนกันแน่ ?
“เจ้ารนหาที่ตาย !”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเเราะที่ดังสนั่นทั่วห้อง ลิ่วเยว่ก็รู้สึกหน้าชาราวกับถูกตบ เขายื่นมองออกไปหมายจะฟาดลงบนใบหน้านวลเนียนนั้น
แม้ว่จะแทบไม่เคยลงไม้ลงมือกับสตรี แต่วันนี้เขาก็ทนการหมิ่นเกียรติและเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่าจากหญิงสาวตรงหน้าเขานี้ไม่ไหวอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่เองก็พอจะมองระดับฝีมือของอีกฝ่ายออก แม้ว่าคนผู้นี้จะฝีมือสูงส่ง แต่ตัวนางเองก็เพิ่งจะบรรลุขอบเขตมายารัตนะมาเช่นกัน ดังนั้นสาวนักฆ่าในร่างคุณหนูจึงเชื่อว่าตนจะรับมือได้
ฉินอวี้โม่กลับไม่มีความคิดที่จะหลบเมื่อเห็นฝ่ามือที่พุ่งเข้าจู่โจมของอีกฝ่าย ทว่าในตอนที่กำลังจะรับฝ่ามือนั้น โฉมงามก็มองเห็นลั่วอวิ๋นลุกขึ้นมาและคว้าจับข้อมือของลิ่วเยว่ไว้
“กล้าลงมือกับสตรีเช่นนี้ยังคู่ควรเรียกตัวเองว่าบุรุษอีกหรือ ที่เขาว่ากันว่าคนจากอารามล้วนสูงส่งและองอาจคงจะเป็นเพียงข่าวลือสินะ !”
เมื่อลั่วอวิ๋นเห็นลิ่วเยว่ลงมือ เขาก็รีบลุกขึ้นมาและช่วยสกัดการโจมตีนั้นให้สหายผู้งดงามของเขาทันที
ถึงแม้จะทราบดีว่า สตรีเก่งกาจอย่างฉินอวี้โม่คงจะไม่เห็นฝ่ามืออ่อนหัดเช่นนี้อยู่ในสายตา แต่เขาก็ไม่ยินดีหากมือของนางต้องมาแปดเปื้อนคนตรงหน้า
“เจ้าเป็นใครถึงกล้ามายุ่งเรื่องของข้า ?!”
เมื่อเห็นว่าฝ่ามือของตนถูกคนผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ ลิ่วเยว่ก็หันไปมองคนผู้นั้นและตวาดอย่างเดือดดาลทันที เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนขวัญกล้าพุ่งเข้ามาขวางคนจากอารามอย่างเขา.
.
.
ตอนที่ 41 คนจากอาราม
หลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่ก็ไม่ได้ออกไปจากโรงเตี๊ยมแสงจันทร์เลย
นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูมุ่งเน้นการฝึกร่างกายของตนเองและขณะเดียวกันก็สอนทักษะการต่อสู้และการเคลื่อนไหวให้กับเสี่ยวโร่วไปด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ก็ทำให้สาวใช้ตัวน้อยได้ประโยชน์อย่างมาก
แม้ว่าพรสวรรค์ของเสี่ยวโร่วจะแสนธรรมดา ทว่านางเป็นเด็กฉลาดและมีไหวพริบ ภายใต้การชี้แนะของฉินอวี้โม่ เด็กสาวจึงก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ภายในห้าวันนางไม่เพียงทำให้ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ของตัวเองมั่นคงได้เท่านั้น แต่ยังเริ่มเห็นสัญญาณของการจะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นถัดไปแล้วด้วย
เวลาผ่านไปรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ในตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันจะถึงวันอสูรล้อมเมืองแล้ว ช่วงค่ำของวันนี้จะมีการจัดเลี้ยงที่จวนเจ้าเมือง
ฉินอวี้โม่ที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยออกมาจากโรงเตี๊ยมพร้อมกับเสี่ยวโร่วเพื่อมุ่งไปยังจวนเจ้าเมือง พวกนางทั้งสองเตรียมตัวตั้งแต่ช่วงเช้าเพื่อให้ดูสุภาพและเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพของงาน
หญิงสาวทั้งสองมิได้สวมชุดบุรุษเหมือนเช่นที่ผ่าน ๆ มาอีกแล้ว วันนี้พวกนางมาในชุดสตรีที่ดูเรียบร้อยและงดงาม
ฉินอวี้โม่สวมอาภรณ์ยาวสีขาวสะอาดตา ผมยาวสลวยและดำขลับถูกถักเปียและเก็บเป็นมวยไว้ครึ่งศีรษะอย่างประณีต และส่วนที่เหลือถูกปล่อยให้สยายยาวอยู่ด้านหลัง แม้จะไร้ซึ่งเครื่องประดับอย่างอิสตรีทั่วไปชื่นชอบสวมใส่ ทว่าด้วยใบหน้างดงาม เรือนร่างสมส่วน อีกทั้งผิวที่ผิวขาวเนียนละเอียดน่าทะนุถนอม เมื่ออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวสว่างเช่นนี้ก็ทำให้อดีตคุณหนูดูราวกับเป็นเทพธิดาลงมาจุติบนโลกมนุษย์
ส่วนเสี่ยวโร่ว วันนี้นางสวมสุดสีเขียวที่ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกนางเดินไปตามถนนก็เป็นที่สะดุดตาและเป็นจุดสนใจของคนไม่น้อย
…แม้นบุรุษใดในใต้หล้ามีวาสนายลโฉมนารี ดั่งมีมนต์สะกดต้อง จิตเลื่อนล่องหลุดลอย กาลเคลื่อนคล้อยมิล่วงรู้ ใจผูกอยู่เพียงขวัญตา แม้โลกาพินาศสิ้น แม้ชีวินล่วงลับดับหาย เพียงได้ใกล้นาถอนงค์ ใจปลดปลงลงแทบเท้านาง…
เหล่าบุรุษที่เดินผ่านถึงกับตกตะลึง พวกเขามองตามพวกนางจนเหลียวหลัง ความงดงามชวนให้หลงใหลจนหลงลืมไปสิ้นทุกสิ่งอย่าง ลืมแม้กระทั่งว่าตอนนี้ตนเองกำลังทำสิ่งใด เช่นว่า… ลืมมองทางข้างหน้า
— ตุบ ! —
เมื่อเห็นว่ามีบุรุษอีกคนแล้วที่เดินไปชนกับผู้อื่น เสี่ยวโร่วก็อดหัวเราะคิกคักออกมาไม่ได้
“คิกคิก คุณหนู ท่านช่างงดงามยิ่งนัก พอพวกเขาเห็นท่านก็แทบจะเดินต่อกันไม่ได้เลย นี่ก็คนที่สิบแล้วนะเจ้าคะ ที่เดินไม่ดูทางชนนู่นชนนี่จนล้มลงไปเช่นนั้น”
เสี่ยวโร่วหันไปมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเทิดทูนราวกับกำลังมองเทพเซียนจากแดนสวรรค์
ในวันนี้คุณหนูของนางงดงามกว่าผู้ใด เป็นความงามด้วยรูปโฉมดั้งเดิมที่สวรรค์สรรค์สร้างอย่างจริงแท้ ก่อนหน้านี้คุณหนูสี่ของนางเคยแต่งหน้าและสวมใส่เครื่องประดับยามได้ออกนอกจวนอยู่บ้าง แม้ว่านั่นจะดูสวยงามไม่แพ้ใคร ทว่าสาวใช้ตัวน้อยกลับคิดว่ามันดูฉูดฉาดและจงใจปรุงแต่งเกินไปมากกว่า
ตอนนี้เมื่อไม่ได้สวมเครื่องประดับใด ๆ และไร้ซึ่งอาภรณ์ชั้นยอดกลับทำให้คุณหนูดูงดงามมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เวลานี้ฉินอวี้โม่ดูมีสง่าราศีและน่าดึงดูดเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องสนใจพวกเขา เดินต่อเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางส่ายศีรษะและบอกให้เสี่ยวโร่วเดินต่อ
ตัวเธอเองก็คิดอยู่เสมอว่า ร่างของคุณหนูสี่–ฉินอวี้โม่ผู้นี้นั้นสวยมาก สวยทั้งในแบบของดินแดนนี้และในโลกใบเดิมที่เธอจากมา แต่เธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่า รูปลักษณ์นี้จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนได้มากขนาดนี้ แค่เดินถนนยังมีผู้ชายหลงจนเหลียวหลัง แบบนี้ก็ทำให้นักฆ่าสาวแอบตกใจและประหม่าอยู่บ้างเช่นกัน
เนื่องจากจวนเจ้าเมืองเยว่กวางนั้นมีขนาดใหญ่มาก อาณาเขตบริเวณภายในก็กว้างขวางใหญ่โตทำให้ถึงแม้กำแพงจวนจะติดต่อกับพื้นที่ส่วนต่างๆ ของเมืองอย่างหลากหลาย แต่การเดินไปให้ถึงยังประตูทางเข้าจะต้องใช้เวลากว่าครู่หนึ่ง
เมื่อเดินออกจากโรงเตี๊ยมมาตามถนนได้ไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็พบกับสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
เมื่อเห็นสหายใหม่ผู้แสนเก่งกล้า เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็มองดูอย่างตกตะลึง ก่อนจะหันมองหน้ากันไปมา และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย พวกเขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ค่ำวานนี้ที่ป่าแสงจันทร์ เป็นเพราะว่าฉินอวี้โม่สวมใส่ชุดบุรุษและรวบผมตึงดูทะมัดทะแมงจึงทำให้รูปโฉมงดงามของนางไม่ได้เฉิดฉายเท่ากับวันนี้ อีกทั้งพวกเขาทั้งหมดก็กำลังสนใจและชื่นชมในความแข็งแกร่งของสตรีผู้นี้มากกว่า จึงไม่ได้ใส่ใจกับรูปลักษณ์ของสหายผู้แสนเก่งกล้ามากนัก
ทว่าวันนี้ราวกับว่าพวกเขาได้เห็นเทพธิดาลงมาเดินอยู่บนโลกมนุษย์ จู่ ๆ สมองของพวกเขาก็ว่างเปล่าและกล่าวอะไรไม่ออก ทหารรับจ้างหนุ่มทั้งหลายได้แต่นิ่งอึ้งไม่รู้ว่าควรจะพูดสิ่งใดออกไปดี
การได้อยู่ใกล้ ๆ ฉินอวี้โม่เช่นนี้นับว่าพวกเขาโชคดีมาก และพวกเขาเองก็มีความสุขมากแล้ว
เมื่อได้มองดูรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ ชื่อเซียวก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นฉินอวี้โม่ที่บึงสายหมอกมาแล้ว ตอนนั้นเขาก็คิดว่านางงดงามมาก แต่เป็นเพราะเวลานั้นมีเรื่องราวมากมายหลายอย่างให้สนใจทำให้ไม่มีเวลาได้พินิจดูความงามของสตรีตรงหน้ามากนัก
ตอนนี้เมื่อได้มองดูชัด ๆ ใกล้ ๆ หัวใจของเขาก็อดที่จะสั่นไหวไม่ได้
ในฐานะที่เป็นหัวหน้าของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน เป็นธรรมดาที่ชื่อเซียวจะเคยพบปะกับผู้คนมาแล้วมากมาย และสตรีที่มีรูปโฉมงดงามเขาก็เคยเห็นมาไม่น้อย แม้แต่สตรีที่เป็นที่เล่าลือกันว่างดงามติดอันดับหนึ่งในสิบของแผ่นดินหวนหลิงเขาก็เคยเห็นมาบ้างแล้ว
ทว่าเมื่อได้มาเห็นฉินอวี้โม่ในวันนี้ ในหัวใจของบุรุษเลือดนักสู้ก็พลันคิดเอาว่า… โฉมนารีทั้งสิบคนนั้นคงจะเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ
ความงามของนางนั้นออกมาจากภายในและไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งหรือพึ่งพาเครื่องประดับ เป็นความงดงามที่ดูสูงส่ง มาดมั่น ภาคภูมิแต่ไม่หยิ่งยโส ในทางตรงข้าม นางก็เป็นบุคคลที่น่าคบหามาก ซึ่งนั่นก็ดึงดูดให้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็อยากจะเข้าไปชิดใกล้เพื่อทำความรู้จักกับสตรีผู้นี้ให้มากขึ้น
“ช่างบังเอิญยิ่งนัก แม่นางฉินก็มาเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารก่อนวันอสูรล้อมเมืองเหมือนกันใช่หรือไม่ ?” ชื่อเซียวหาเรื่องกล่าวทักทายโฉมสะคราญของเขาเพื่อที่จะหยุดนางไว้
เมื่อได้พบเจอชื่อเซียวและเหล่าสหายแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนระหว่างทางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่ก็ประหลาดใจเล็กน้อย สตรีผู้งดงามยิ้มทักทายพวกเขา
…และรอยยิ้มนั้นของเทพธิดาเดินดินก็ทำให้เหล่าทหารหาญแห่งกองทหารรับจ้างระดับหนึ่งหน้ามืดจนแทบจะเป็นลมล้มพับไป…
เดิมทีเพียงแค่รูปลักษณ์ของนางก็งดงามและมีเสน่ห์มากแล้ว ยิ่งเมื่อได้เห็นสาวงามส่งยิ้มมาให้กับพวกเขาเช่นนี้ก็ทำให้ทุกคนใจเต้นเร็วยิ่งกว่ารัวกลอง ลมหายใจก็ถี่กระชั้นเสียจนแทบจะเป็นลมเพราะความตื่นเต้น
“ใช่ พวกเราก็มาที่เพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จวนเจ้าเมืองเหมือนกัน” ฉินอวี้โม่ก้มหัวทักทายกลับ
เสี้ยวฮังกลืนน้ำลายก่อนที่จะรีบปรับสีหน้าและยิ้ม
“แม่นางฉิน ข้าขอแนะนำว่าแม่นางควรจะสวมผ้าปิดหน้าตอนออกมาข้างนอกหรือไม่ก็สวมใส่ชุดของบุรุษเช่นเดิม มิฉะนั้นแล้ว พวกเรารวมถึงนายน้อยก็อาจจะเขินอายเกินกว่าจะยืนข้างแม่นางได้ หากอยู่ใกล้แม่นางพวกเราคงพูดอะไรกันไม่ออก”
เสี้ยวฮังเป็นบุรุษผู้ตรงไปตรงมา เขาพูดในสิ่งที่คิดออกไปในทันที
การได้ยืนอยู่ใกล้เทพธิดาเช่นนี้จะให้พวกเขาสงบใจมิให้ละเมอเพ้อพกไปได้อย่างไรกัน !
“คิก ๆ ! หึ ๆ ๆ”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วหลุดขำออกมาพร้อมกัน เสี้ยวฮังผู้นี้เป็นคนตรง ๆ อย่างแท้จริง
เมื่อได้ยินคำพูดของเสี้ยวฮัง ชื่อเซียวก็อดหัวเราะไม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าเสี้ยงฮังพูดถูก หากนางยังท่องไปทั่วดินแดนด้วยสภาพนี้ เขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าบุรุษทั่วทุกสารทิศมาหลงใหลในตัวโฉมงามของเขามากมายเพียงใด
“เช่นนั้นพวกเราก็เดินไปจวนเจ้าเมืองพร้อมกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะเดินเข้าจวนเจ้าเมืองและมุ่งไปยังเรือนหลักของจวน
แท้จริงแล้วงานเลี้ยงอาหารค่ำก่อนวันอสูรล้อมเมืองที่ว่านั้นก็มิได้มีสิ่งพิเศษหรือกิจกรรมเพิ่มเติมอื่น ๆ มากมาย เพียงแต่ท่านเจ้าเมืองต้องการให้บรรดาแขกของท่านผู้มาเยือนยังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ได้ทำความรู้จักกันไว้ อีกทั้งยังเป็นการกระชับสัมพันธ์อันดีของทุกฝ่ายก่อนเทศกาลจะเริ่มต้นขึ้น
เมื่อเดินผ่านประตูเข้ามาภายในบริเวณอันกว้างใหญ่ของจวนเจ้าเมืองได้ ฉินอวี้โม่พบว่าลั่วอวิ๋นมายืนรอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว
ทันทีที่เห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา สีหน้าของลั่วอวิ๋นก็ไม่ได้แตกต่างจากชื่อเซียวก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย ทว่าบุตรชายของเจ้าเมืองเยว่กวางยังสามารถดึงหน้ากลับมาได้อย่างรวดเร็ว
“ฮ่าฮ่า แม่นางมาจริงๆ ด้วย”
ลั่วอวิ๋นหัวเราะแก้เขินพร้อมกับแจกรอยยิ้มมีไมตรีก่อนจะพากลุ่มของฉินอวี้โม่เดินตรงไปยังเรือนหลักของจวนซึ่งเป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้
“มะ… แม่นางอวี้โม่ เหตุใดวันนี้ถึงได้มาในอาภรณ์สตรีเช่นนี้เล่า ?”
ลั่วอวิ๋นมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาซับซ้อน เมื่อแรกที่ได้เจอแม่นางผู้นี้ที่ประตูเข้าเมือง เขาเองก็ทราบว่านางเป็นสตรีที่งดงามมากผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยชุดบุรุษที่นางสวมใส่จึงทำให้ความงามนั้นถูกจำกัดอยู่มาก ในตอนนั้นลั่วอวิ๋นจึงไม่ได้ตกตะลึงในรูปโฉมของนาง
แต่วันนี้นางเปลี่ยนมาสวมใส่ชุดสตรีซึ่งทำเอาบุตรชายเจ้าเมืองอย่างเขาหวั่นไหวจนถึงขึ้นพูดจาติดขัดไม่เป็นธรรมชาติ
แต่เรื่องนี้ก็จะโทษเขาไม่ได้ เพราะตราบใดที่ยังเป็นบุรุษอกสามศอกและไม่ได้นิยมการตัดแขนเสื้อ หากได้เห็นสตรีที่งามล้ำถึงเพียงนี้ก็ต้องเกิดอาการประหม่าเช่นที่เขาเป็นกันทั้งนั้น
“ทำไมกัน มันไม่สวยอย่างนั้นหรือ ?”
เมื่อเห็นท่าทางเขินอายและดูไม่ปกติของลั่วอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็อดจะหยอกล้อเขาเล่นไม่ได้
“ไม่ ๆ มันสวยมากเลยล่ะ”
ลั่วอวิ๋นส่ายศีรษะและรีบกล่าวออกมาอย่างตกใจ
“ถึงแม้ว่าชุดสตรีจะไม่สะดวกเท่าของบุรุษ แต่อย่างไรข้าก็ยังเป็นผู้หญิง ผู้หญิงต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำกับท่าทางของคุณชายตระกูลใหญ่แห่งเมืองเยว่กวาง
มาถึงตอนนี้ เธอก็อดคิดถึงชุดผู้หญิงสวย ๆ แถมยังใส่สะดวกของแฟชั่นยุคศตวรรษที่ 21 ที่เธอจากมาไม่ได้ ถ้าเกิดเธอได้ลองใส่ชุดแฟชั่นสมัยใหม่พวกนั้นมาเดินอวดโฉมในโลกมายาแห่งนี้ อดีตสาวนักฆ่าก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าปฏิกิริยาของเหล่าบุรุษทั้งหลายจะเป็นยังไง
“ข้าว่าวันหลังแม่นางสวมผ้าปิดหน้าอาจจะดีกว่า เอาที่เป็นแบบของสตรีก็ไม่เลวร้ายนัก”
ตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังถูกบรรดาแขกเหรื่อทุกคนที่มางานเลี้ยงมองดูคล้ายกับนางเป็นสัตว์หายากก็มิปาน และมิใช่เพียงภายในที่แห่งนี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตอนที่นางเดินอยู่ด้านนอกด้วย ไม่ว่าจะไปที่ใดสตรีเลอโฉมก็ถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง ยิ่งไปกว่านั้นสายตาของหลายคนยังแฝงร่องรอยแห่งความไม่ปรารถนาดีเอาไว้ทั้งหญิงและชาย
และการที่ลั่วอวิ๋นพูดเช่นนี้นั้นก็เป็นเพราะหวังดีกับสหายผู้งดงามรวมไปถึงตัวเขาเองด้วย… เดินข้างคนงามอย่างฉินอวี้โม่แล้วหัวสมองของเขามันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกอย่างแท้จริง !
“ไว้ข้าจะลองคิดดู”
วันนี้มีอีกคนหนึ่งแล้วที่พูดกับนางเช่นนี้ ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำด้วยรอยยิ้ม เธอเริ่มรู้สึกว่ารูปโฉมของร่างกายนี้เป็นเหมือนดาบสองคม ที่บางครั้งมันก็อาจจะนำภัยมาสู่ตัวได้
ขณะนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็เดินมาจนถึงสถานที่จัดงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เจ้าภาพของงานนี้คือลั่วชิงซานผู้เป็นเจ้าเมืองแห่งเมืองเยว่กวางและบิดาของลั่วอวิ๋น เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สำหรับเจ้าภาพหลักของงาน เมื่อท่านเจ้าเมืองวัยกลางคนเห็นว่าตอนนี้บรรดาแขกผู้มาร่วมงานทั้งหลายต่างก็หันไปมองยังทิศทางหนึ่งกันอย่างพร้อมเพรียงด้วยท่าทางที่ตื่นเต้นก็ทำให้เขาอดที่จะมองตามไปยังทิศทางนั้นไม่ได้
เมื่อมองออกไป ลั่วชิงซานก็เห็นบุตรชายของตัวเองเดินเคียงคู่มากับสาวน้อยรูปโฉมงดงามผู้หนึ่ง ทั้งสองกำลังมุ่งหน้าเข้ามาในส่วนที่เป็นพื้นที่จัดงาน
เมื่อบุรุษวัยกลางคนผู้ครองเมืองหน้าด่านแห่งจักรวรรดิใหญ่เห็นบุตรของตนกำลังสนทนากับสามงามอย่างออกรสและดูมีความสุขเป็นอย่างมาก เขาก็พยักหน้า… ‘ดูเหมือนเจ้าลูกชายคนนี้คงจะเติบใหญ่จนถึงวัยที่สมควรจะมีคู่ครองแล้วสินะ’
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้มองดูหญิงสาวผู้นั้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง เขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าท่านเจ้าเมืองเยว่กวางก็ยังคงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มชอบใจ
หญิงสาวผู้นี้นอกจากจะงดงามอย่างหาได้ยากแล้ว ยังมีฝีมือสูงส่งทั้งที่อายุยังน้อยซึ่งถือว่าหาได้ยากยิ่งกว่า ไม่ผิดเลยถ้าจะกล่าวว่าทั่วทั้งแผ่นดินหวนหลิง สตรีอย่างฉินอวี้โม่นั้นนับว่ายากที่จะค้นพบได้ ถ้าหากว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนชอบพอแม่นางผู้นี้ บิดาอย่างเขาก็พร้อมจะสนับสนุนเต็มที่
ลั่วชิงซานตัดสินใจเรื่องนี้ได้ในพริบตา … ก็แน่นอนล่ะ หากว่าจะทำให้ได้ลูกสะใภ้ที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้มา แล้วเหตุใดเขาจะไม่ชอบล่ะ ?
“คารวะท่านเจ้าเมือง”
ลั่วอวิ๋นพาฉินอวี้โม่ และกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมาถึงตรงหน้าลั่วชิงซานเรียบร้อยแล้ว ฉินอวี้โม่กล่าวทักทายกับผู้เป็นเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก แม่นางฉิน เจ้าเป็นสหายที่ดีของอวิ๋นเอ๋อร์ ฉะนั้นเรียกข้าว่าท่านลุงก็ได้”
ลั่วชิงซานยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาอย่างเป็นกันเอง
“แม่นางฉินอายุยังน้อย ทว่ากลับฝีมือสูงทั้งยังมีกิริยามารยาทงดงาม เป็นวาสนาของอวิ๋นเอ๋อร์แล้วที่ได้เป็นสหายกับเจ้า”
เรื่องที่ฉินอวี้โม่มอบผลหลิวหลีให้ ลั่วอวิ๋นไม่ได้ปกปิดผู้เป็นบิดา ด้วยเหตุนั้นทำให้ลั่วชิงซานรู้สึกชื่นชอบนางมากยิ่งขึ้นไปอีก หากเขาได้นางเป็นลูกสะใภ้ก็นับว่าบุญวาสนาที่ฟ้าประทานให้แล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่อลั่วชิงซานกล่าวเช่นนั้น นางก็ยินดีจะทำตาม นางคิดว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่งเพราะหายากนักที่ผู้ที่เป็นถึงเจ้าเมืองจะวางตัวเป็นกันเองได้ถึงเพียงนี้
ลั่วอวิ๋นมองบิดาของตัวเองด้วยความประหลาดใจ… เขารู้สึกว่าท่าทีของท่านพ่อในวันนี้ดูผิดปกติมากเกินไปแล้ว
ปกติบิดาของเขาเป็นบุรุษที่ทั้งเข้มงวดจริงจังและเจ้าระเบียบ การที่เขาดูเป็นกันเองกับคนรุ่นเยาว์อย่างนี้เป็นภาพที่หาได้ยากมาก ก่อนหน้านี้แม้ว่าเขาจะชื่นชมผู้ใดมากแค่ไหนก็ไม่เคยแสดงท่าทีที่ชัดเจนถึงเพียงนี้ออกมา
“อวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าต้องดูแลแม่นางฉินให้ดี อย่างได้ละเลยนาง เข้าใจหรือไม่ ?”
ลั่วชิงซานมองสบตาบุตรชายพร้อมกล่าวกำชับ
ลั่วอวิ๋นพยักหน้าก่อนจะพาฉินอวี้โม่ออกไปหาที่นั่งเหมาะ ๆ
ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกับการปรากฏตัวของฉินอวี้โม่ ยิ่งเมื่อได้เห็นท่าทีสนิทสนมเป็นกันเองที่ลั่วชิงซานและลั่วอวิ๋นมีต่อนางแล้ว พวกเขาต่างก็หันมามองหน้ากันพลางคิดไปว่าฉินอวี้โม่จะต้องเป็นบุตรีของตระกูลใหญ่สักตระกูลอย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาเองก็ควรจะปฏิบัติต่อคุณหนูผู้นี้อย่างนอบน้อมและให้เกียรติเช่นกัน
ชื่อเซียวเองก็กล่าวทักทายลั่วชิงซาน เขานำพาเหล่าสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนคารวะท่านเจ้าเมืองเยว่กวางอย่างพร้อมเพรียง ก่อนจะหาตำแหน่งที่นั่งของตนเองและคณะแล้วแยกย้ายกันนั่งที่
ท้องฟ้าเริ่มจะมืดลงบ้างแล้ว ตอนนี้แขกเขรื่อทั้งหลายต่างก็เริ่มทยอยเข้ามากันจนเกือบจะครบ ภายในเวลาไม่นานเก้าอี้ผู้ร่วมงานในเรือนใหญ่ของเจ้าเมืองก็ถูกจับจองกันจนแน่นขนัด
เหลือเพียงเก้าอี้ที่อยู่ติดกับที่นั่งของลั่วชิงซานเพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ยังคงว่างอยู่
“ตรงนั้นเป็นที่ของผู้ใดกัน ? เหตุใดถึงยังไม่มีใครมานั่ง…”
เมื่อเห็นว่าแขกทุกคนต่างก็มาถึงกันแล้วยกเว้นเพียงแต่แขกผู้ถูกจัดให้นั่งในตำแหน่งใกล้กับท่านเจ้าเมืองเท่านั้นที่ยังว่าง บรรดาแขกเหรื่อทั้งหลายจึงอดไม่ได้ที่จะหันมาพูดกันถึงเรื่องนี้
“นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยหรือ ให้ทุกคนมานั่งรอคนผู้นั้นเพียงคนเดียวเช่นนี้ !”
เริ่มมีคนแสดงความไม่พอใจออกมาแล้ว ในตอนนี้เห็นได้ชัดเลยว่าผู้มาร่วมงานเลี้ยงทั้งหลายกำลังไม่ชอบใจเจ้าของที่นั่งผู้มาสายจนทำให้การเริ่มงานเลี้ยงล่าช้ากว่ากำหนด
ฉินอวี้โม่เองก็เกิดความสงสัยอยู่บ้าง ทว่าเป็นตอนนั้นเองที่ลั่วอวิ๋นซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยตอบขึ้นมาประโยคหนึ่ง
“ตรงนั้นเป็นที่นั่งของแขกจากอาราม”
แขกจากอารามอย่างนั้นเหรอ ? ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
.
.
.
ตอนที่ 40 งานเลี้ยงอาหารค่ำ
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว ลั่วอวิ๋น และหน่วยที่หนึ่งแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเดินกลับไปยังเมืองเยว่กวางพร้อม ๆ กัน ซึ่งเมื่อมาถึงพวกเขาก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังยืนรอพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูเมือง
ฉินอวี้โม่มองเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของบุรุษผู้หนึ่ง ณ ประตูทางเข้าเมืองเยว่กวาง เขาคือคนที่เคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับนางที่บึงสายหมอก — ชื่อเซียว แห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
ชื่อเซียวและทหารในหน่วยที่หนึ่งมายืนรอรับเสี้ยวฮังและหน่วยที่สามของเขาที่หน้าประตูเมือง ทว่าเมื่อเห็นว่าในกลุ่มของพวกเขามีฉินอวี้โม่ร่วมเดินทางมาด้วย เขาก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“มาถึงแล้วเหรอขอรับ นายน้อย”
เมื่อเห็นชื่อเซียว เสี้ยวฮังก็เข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงยินดี
ชื่อเซียวตั้งใจทิ้งหน่วยที่สามไว้ที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้เพื่อติดตามข่าวเกี่ยวกับเทศกาลอสูรล้อมเมืองและรอเป็นตัวแทนเข้าร่วมในนามของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนในกรณีที่เขาไม่สามารถเดินทางกลับมาได้ทัน และในที่สุดตอนนี้พวกเขาทั้งหมดก็ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
ชื่อเซียวพยักหน้ารับคำทักทายของเสี้ยวฮัง ทว่าสายตาของบุรุษคนซื่อกลับจับจ้องไปยังสตรีงดงามที่อยู่ด้านหลังหัวหน้าหน่วยที่สาม
“แม่นางฉิน ช่างบังเอิญยิ่งนัก พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
ความจริงแล้ว ที่ชื่อเซียวเสียเวลาอยู่ที่เมืองหลิงซีนานหลายวันก็เป็นเพราะเขาเกิดความสงสัยในตัวฉินอวี้โม่ผู้นี้จึงรั้งรออยู่เพื่อสืบหาเรื่องราวความเป็นมาของนาง
ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับตัวนางที่เขาได้รับมากลับแตกต่างจากฉินอวี้โม่คนที่เขาได้เห็นอย่างสุดขั้วราวกับเป็นคนละคน ซึ่งนั่นก็ทำให้เขามึนงงไม่น้อยเลยทีเดียว
สิ่งที่เขาได้รู้มาก็คือ สตรีงามนามว่าฉินอวี้โม่นั้นคือคุณหนูสี่ผู้ไร้ค่าของตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซี
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ที่เขาพบวันนี้กลับเป็นผู้มีพรสววรรค์ระดับอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยทักษะที่เฉียบคม และยังมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากกว่าสตรีธรรมดาทั่วไป
ทว่าตามตำนานคนไร้ค่าแห่งเมืองหลิงซีที่เขาได้ฟังมานั้น คนในตระกูลฉินกลับปฏิบัติต่อคุณหนูผู้นี้อย่างเลวร้าย นางถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง และเพราะความไร้พรสวรรค์แต่กำเนิดจึงทำให้ไม่สามารถต่อต้านได้
แม้จะเที่ยวสืบเสาะหาข้อมูลอยู่หลายวันแต่ชื่อเซียวก็ไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมที่จะช่วยไขความกระจ่างให้ได้เลย ชื่อเซียวคิดว่าหากสืบต่อไปก็คงจะไม่ได้ความจึงตัดสินใจพาคนกลับมายังเมืองเยว่กวางก่อน และจนถึงตอนนี้ความสงสัยในตัวของสตรีตรงหน้าก็คงยังเต็มแน่นอยู่ในหัวของนายน้อยแห่งกองทหารชื่อเหยียน เขาไม่รู้เลยว่านางมีความลับใดที่กำลังเก็บซ่อนอยู่กันแน่
“บังเอิญจริง ๆ”
ฉินอวี้โม่ก้มหน้าให้ชื่อเซียวเล็กน้อยเป็นการทักทายแล้วกล่าวต่อ “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวกลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมก่อน ตอนนี้ข้ารู้สึกค่อนข้างอ่อนล้า”
“เช่นนั้น เชิญแม่นางฉินตามสบาย”
เสี้ยวฮังหันไปมองชื่อเซียวและพวกพ้องในกองทหารหน่วยที่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเพื่อบอกพวกเขาเป็นนัยว่าไม่ให้รบกวนฉินอวี้โม่อีก เรื่องราวที่ผ่านมาค่อนข้างหนักหนา และเขาเองก็รู้ดีว่าวันนี้นางเหน็ดเหนื่อยมากมายแค่ไหน
ชื่อเซียวพยักหน้าเป็นการบอกลาสตรีผู้ลึกลับ เขาเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะรั้งฉินอวี้โม่ไว้
ลั่วอวิ๋นนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้จึงส่งยิ้มอบอุ่นให้ฉินอวี้โม่แล้วเอ่ยขึ้นก่อนนางจะลาจาก “จริงสิ แม่นางอวี้โม่ คืนก่อนวันอสูรล้อมเมือง ที่จวนเจ้าเมืองจะมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ำ ท่านพ่อย้ำกับข้าว่าอย่างไรก็ต้องชวนแม่นางมาให้ได้ เจ้าอย่าปฏิเสธเลยนะ”
“ได้แน่นอนคุณชายลั่ว ข้าจะไปให้ได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับคำเชื้อเชิญ อดีตคุณหนูผู้เลอโฉมส่งยิ้มงดงามให้กับสหายทุกคนในที่แห่งนั้นก่อนจะหันหลังแล้วเดินจากไปพร้อมกับสาวใช้ตัวน้อย
ลั่วอวิ๋นหันไปทักทายกับชื่อเซียวและคนของเขาเล็กน้อยก่อนจะขอตัวกลับไปเช่นกัน
หลังจากสหายใหม่จากไปหมดแล้ว เสี้ยวฮังก็หันมาตั้งคำถามกับชื่อเซียว “นายน้อย ท่านรู้จักกับแม่นางฉินด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
ในตอนที่เขาได้ยินชื่อเซียวพูดกับฉินอวี้โม่ เขาก็อดสงสัยเรื่องนี้ไม่ได้ มันเหมือนกับว่าฉินอวี้โม่กับนายน้อยของเขาเคยพบเจอกันมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเซียวพูดถึงสหายผู้แสนมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน
“ก่อนหน้านี้พวกเราเคยร่วมมือทำภารกิจกันมาก่อน”
ชื่อเซียวพยักหน้า เขาไม่ได้คิดจะปิดบังคนในกองทหารของตัวเอง นายน้อยแห่งกองทหารระดับหนึ่งเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เมืองหลิงซีให้เสี้ยวฮังและคนในหน่วยที่สามได้ฟังอย่างคร่าว ๆ
“ว่าแต่เหตุใดพวกเจ้าถึงได้รู้จักแม่นางฉิน และกลับมาพร้อมกับนางได้ล่ะ ?”
ไม่ใช่เพียงแค่เสี้ยวฮังที่สงสัย ชื่อเซียวเองก็งุนงงไม่แพ้กัน
“นายน้อย เรื่องนี้ค่อนข้างยาว แต่หากไม่ใช่เพราะแม่นางฉิน ข้าเกรงว่าวันนี้กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนของเราคงจะถูกหยามเกียรติเป็นแน่ มีอีกเรื่องที่สำคัญ ตอนนี้มีกลุ่มทหารรับจ้างระดับสองกลุ่มหนึ่งกำลังจะเลื่อนขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งแล้ว”
เสี้ยวฮังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นภายในป่าแสงจันทร์ให้ผู้บังคับบัญชาของเขาได้รับรู้อย่างละเอียด
ถึงแม้ว่าในความจริงแล้วฉินอวี้โม่จะไม่มีน้ำใจมากมายถึงกับตั้งใจจะช่วยพวกเขาเอาคืนคู่แข่ง และสิ่งที่นางลงแรงทำไปก็เพียงเพื่อให้ได้ครอบครองผลหลิวหลีเท่านั้น แต่ทว่าเสี้ยวฮังและทหารรับจ้างทุกคนก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของนางมาก หากไม่ใช่เพราะนาง ผลหลิวหลีคงจะตกอยู่ในมือของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจไปแล้ว ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นกลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาก็จะเสียหน้าและเจ็บแค้นเป็นอย่างมาก
“นายน้อย นี่คือผลหลิวหลีที่พวกเราได้มาขอรับ”
เสี้ยวฮังส่งผลไม้วิเศษที่ได้รับมาจากฉินอวี้โม่ให้ชื่อเซียวอย่างไม่ลังเล
ในเรื่องนี้จะเห็นได้ว่าภายในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมีความสามัคคีกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอย่างมาก
“อาเสี้ยว ตอนนี้ข้ากำลังต้องการสิ่งนี้อยู่พอดี ฉะนั้นข้าขอไม่เกรงใจก็แล้วกัน แต่ข้ามอบสิ่งนี้ตอบแทนให้ พวกเจ้ารับมันไปเถอะ”
ตอนนี้ชื่อเซียวเองก็อยู่ในช่วงติดขัดมิอาจทะลวงเข้าสู่ขอบเขตถัดไปได้ หากเขาได้กินผลหลิวหลีนี้ บางทีมันอาจจะช่วยให้เขาทะลวงพลังและก้าวเข้าสู่ขอบเขตสูงขึ้นได้สำเร็จ ดังนั้นในเวลานี้ผู้เป็นนายน้อยแห่งกองทหารรับจ้างชื่อดังจึงต้องขอเสียมารยาทใช้มัน
อย่างไรก็ตาม ชื่อเซียวก็ไม่ใช่คนที่เห็นแก่ตัว เขาล้วงเอาโอสถของตนเองออกมาให้เสี้ยวฮังเป็นจำนวนมาก และแม้จะไม่อาจเทียบกับความล้ำค่าของผลหลิวหลีได้แต่เขาก็มั่นใจว่ามันมีประโยชน์ต่อหน่วยที่สามอย่างแน่นอน
“นายน้อย โอสถระดับสามมากมายขนาดนี้ มันราคาสูงเกินไป ข้าคงรับไว้ไม่ได้”
เมื่อเสี้ยวฮังเห็นโอสถที่ชื่อเซียวนำออกมาจากแหวนมิติ เขาก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที เพราะสิ่งที่นายน้อยมอบตอบแทนให้พวกเขานั้นถือว่ามีมูลค่าสูงยิ่ง
“อาเสี้ยว รับมันไว้เถอะ ไม่ต้องเกรงใจข้าหรอก”
ชื่อเซียวไม่ยอมเอาเปรียบลูกน้อง หากยึดเอาของที่พวกเขาต้องเหนื่อยยากหามาเช่นนี้ไป ตัวเขาเองก็คงจะไม่สบายใจเป็นแน่
เมื่อเห็นความตั้งใจของหัวหน้า เสี้ยวฮังจึงเลิกปฏิเสธ เขายื่นมือไปรับมันไว้แต่โดยดี
“จากที่เจ้าเล่ามา ตอนนี้แม่นางฉินมีอสูรเทวะอยู่ทั้งหมดสองตัว และจากที่เจ้าประเมินระดับพลังของนางน่าจะอยู่ที่ทิพย์มายาระดับเจ็ดอย่างนั้นใช่หรือไม่ ?”
เมื่อลองทบทวนเรื่องราวที่เสี้ยวฮังบอกเล่า ชื่อเซียวก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่อายุเพียงแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปี ทว่าตอนนี้ระดับพลังของนางกลับเข้าถึงขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราเป็นอย่างน้อยแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางยังมีอสูรเทวะในครอบครองอีกสองตัว ชื่อเซียวรู้สึกว่าสตรีผู้นี้เริ่มจะมหัศจรรย์ผิดมนุษย์มากขึ้นทุกที
ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องที่ผู้คนกล่าวหาว่านางเป็นขยะไร้ค่าแต่กำเนิด เพราะหากเทียบกับฉินอวี้โม่แล้ว เหล่าผู้ที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะของแผ่นดินนี้ก็คงเป็นเพียงขยะเท่านั้น
“ไม่เพียงเท่านั้นนะนายน้อย แม่นางฉินยังเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรที่เก่งกาจมากอีกด้วย ข้าคิดว่าระดับของนางคงจะสูงมากแน่ ๆ ซึ่งถ้าข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ข้านึกไม่ออกเลยว่าขุมกำลังใหญ่ทั้งหลายจะส่งคนไปทาบทามนางมากเพียงใด”
นางสามารถสยบอสูรมายาให้เชื่องได้นั่นแสดงว่านางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูร และเนื่องจากนางสามารถสยบอสูรมายาระดับเทวะได้ก็หมายความว่า อย่างน้อย ๆ นางก็ต้องเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรในระดับเดียวกันขึ้นไป
ผู้ฝึกสัตว์อสูรถือว่าเป็นอาชีพหนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะเพียงแค่การสยบอสูรมายาให้เชื่องก็ทำได้อย่างยากลำบากแล้ว การจะฝึกอสูรมายาให้เก่งได้จึงเป็นเรื่องที่ผู้ที่มีความแข็งแกร่งเพียงพอเท่านั้นจึงจะทำได้ อีกทั้งการมีผู้ฝึกสัตว์มายาอยู่ภายในกลุ่มก็จะช่วยเพิ่มศักยภาพของกลุ่มได้อย่างรวดเร็วและมหาศาลทำให้ผู้ฝึกสัตว์มายาเป็นที่เคารพยำเกรงและมีผู้นับหน้าถือตาทั่วทั้งแผ่นดิน และถ้าหากฉินอวี้โม่เป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรจริง ๆ ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะมีกี่ขุมกำลังที่ต้องการให้นางเข้าร่วม
เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเสี้ยวฮัง ชื่อเซียวก็ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจอย่างอดไม่ได้ ตอนนี้เขารู้สึกสับสน เขาไม่ทราบเลยว่าสตรีลึกลับผู้นี้จะยังมีความลับใดซ่อนเอาไว้อีกบ้าง
อย่างไรก็ตาม เขาก็คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคนดีและเป็นสหายที่น่าคบหา และเมื่อได้พบนางอีกเป็นครั้งที่สอง ชื่อเซียวก็มั่นใจแล้วว่าในใจของเขากำลังบังเกิดความรู้สึกหลงใหลในสตรีโฉมงามผู้นี้… และมันก็มากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเป็นเท่าทวี
“เอาล่ะ ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว ในคืนก่อนอสูรล้อมเมืองจะเริ่มต้น พวกเราทุกคนจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำที่จวนเจ้าเมืองกัน ข้าคิดว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองในปีนี้แม่นางฉินคงจะเป็นที่จับตามองของทุกคน”
ชื่อเซียวระบายยิ้มอ่อนเมื่อคิดว่าจะได้พบโฉมงามผู้ลึกลับของเขาอีกครั้ง นายน้อยแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเดินนำทุกคนกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก
เขาอยากจะรู้เหลือเกินว่า ฉินอวี้โม่จะแสดงผลงานได้ดีเพียงใดในวันอสูรล้อมเมือง
…..ทว่าตัวฉินอวี้โม่ผู้เป็นประเด็นหลักในหัวข้อสนทนาของเหล่าบุรุษในกองทหารกลับไม่ทราบเลยว่า ตอนนี้สถานะของนางในหัวใจของบุรุษคิดไม่ซื่อนามว่าชื่อเซียวกำลังไต่ระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ…..
นางพาเสี่ยวโร่วตรงกลับโรงเตี๊ยมและเตรียมจะช่วยสาวน้อยในการดูดซับพลังของผลหลิวหลี
“เสี่ยวโร่ว กินผลไม้นี่เข้าไปและนั่งลงตรงนี้ รวบรวมสมาธิให้ดี ไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น”
เสี่ยวโร่วอึ้งไปชั่วขณะ นางไม่อยากจะเชื่อเลยว่านายหญิงของตัวเองจะมอบสิ่งที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้ “คุณหนูจะให้ข้ากินจริง ๆ หรือเจ้าคะ ?”
“เด็กโง่ ข้าจะโกหกเจ้าทำไม เวลานี้เจ้าคือคนที่สำคัญที่สุดของข้า หากเจ้ายังอยากจะติดตามและอยู่เคียงข้างข้า เจ้าก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นให้เร็วที่สุด เข้าใจหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่บอกเล่าความในใจให้สาวใช้ตัวน้อยฟังในขณะที่ดึงให้เสี่ยวโร่วนั่งลง
ครั้งก่อนตอนที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกลักพาตัวไปนั้น ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนฉินอวี้โม่ไม่อาจตั้งรับได้ทัน และบทเรียนในเรื่องนั้นก็ทำให้อดีตนักฆ่าสาวตื่นตัวอย่างมาก นางต้องคิดทุกอย่างให้รอบคอบมากขึ้นและไม่กล้าประมาทอีกแล้ว
ไม่ว่านางจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม แต่นางก็ไม่สามารถอยู่ดูแลทุกคนรอบข้างได้ตลอดทุกเวลา มีวิธีเดียวที่ทำได้คือต้องทำให้คนที่นางรักมีพลังเพียงพอที่จะปกป้องตัวเองได้ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องพวกเขา
นอกเหนือจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแล้ว คนที่สำคัญที่สุดสำหรับนางในตอนนี้ก็มีเพียงเสี่ยวโร่ว
เสี่ยวโร่วเติบโตขึ้นมาพร้อมกับนางตั้งแต่ยังเล็ก ๆ เด็กน้อยผู้นี้ซื่อสัตย์ภักดีกับนางเสมอมา สาวใช้ตัวน้อยรักคุณหนูของนางจากหัวใจ ด้วยเหตุนี้ทำให้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจที่จะทุ่มเททุกอย่างเพื่อช่วยให้เสี่ยวโร่วแข็งแกร่งขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อให้เสี่ยวโร่วสามารถป้องกันตัวเองได้
นอกเหนือจากการให้เสี่ยวโร่วกินผลหลิวหลีแล้ว ฉินอวี้โม่ยังคิดจะถามซิวในครั้งต่อไปที่อีกฝ่ายปรากฏตัวด้วยว่า หากนางอยากจะมอบอสูรมายาที่สยบมาได้ให้กับเสี่ยวโร่วจะต้องทำอย่างไร นางจะได้โอนย้ายอสูรมายาที่แข็งแกร่งของตัวเองไปให้เสี่ยวโร่วได้ สาวน้อยของนางจะได้มีคู่หูที่แข็งแกร่งไว้คอยช่วยเหลือ
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น เมื่อได้ยินที่คุณหนูของนางพูด นางก็ยิ่งเทิดทูนคุณหนูผู้นี้มากขึ้นอีก นางหมายใจแล้วว่าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อไล่ตามคุณหนูให้ทัน ในอนาคตนางจะได้ช่วยเหลือคนที่นางรักมากผู้นี้ได้
เสี่ยวโร่วกลืนผลหลิวหลีเข้าไปตามคำสั่งของฉินอวี้โม่และเริ่มรวบรวมสมาธิ ในเวลาเดียวกันนางก็ใช้จิตสำนึกของตนคอยชักนำให้กระแสพลังจากผลหลิวหลีไหลไปทั่วร่าง
ฉินอวี้โม่นั่งลงข้าง ๆ เสี่ยวโร่ว นางรู้ดีว่าระดับพลังและความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วยังต่ำอยู่ การที่นางกินผลหลิวหลีเข้าไปทั้งลูกเช่นนี้ถือเป็นเรื่องอันตราย
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดผลแทรกซ้อนที่รุนแรง ทันทีที่เสี่ยวโร่วกลืนผลหลิวหลีลงไป นางจึงต้องใช้พลังมายาของตัวเองเข้าช่วยเสี่ยวโร่วเพื่อให้สาวน้อยคงสภาวะพลังและความสมดุลของร่างกายเอาไว้ให้ได้ การทำเช่นนี้เป็นวิธีการที่ปลอดภัยที่นางจะช่วยเสี่ยวโร่วได้มากที่สุด
ฉินอวี้โม่หวังว่าด้วยความช่วยเหลือนี้จะทำให้เสี่ยวโร่วดูดซับพลังของผลหลิวหลีได้ดีและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ในตอนนี้ภายในร่างกายของเสี่ยวโร่วยังหลงเหลือกระแสพลังจากผลหลิวหลีอยู่อีกประมาณกึ่งหนึ่ง มันแพร่กระจายอยู่ทั่วร่างของนางและค่อย ๆ ยอมให้นางดูดซับเข้าไป
“ฟู่~”
ฉินอวี้โม่ลืมตาขึ้นมา สตรีผู้ล่วงเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกก่อนจะลุกขึ้นยืน
เป็นตอนนั้นเองที่เสี่ยวโร่วค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ สาวน้อยสูดลมหายใจเข้าออกอยู่หลายครั้งก่อนจะเหยียดกายลุกขึ้นยืน และในทันทีที่ยืนขึ้นได้ แสงแห่งการเลื่อนระดับพลังก็ปรากฏขึ้นที่ฝ่าเท้าของนาง
ดวงดาราจากเดิมที่มีหกก็แปรเปลี่ยนเป็นเก้า จากเก้าดวงรวมเป็นดาราใหญ่หนึ่งเดียวก่อนที่ดาราดวงน้อยจะปรากฏเพิ่มขึ้นทีละดวงรวมเป็นหกดวงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งดาราดวงที่เจ็ดเปล่งประกายอย่างสมบูรณ์บนฝ่าเท้าของนางการเลื่อนระดับพลังจึงสิ้นสุดลง
หลังจากนั้นแสงจากดวงดาราทั้งเจ็ดก็หายวับไป ตอนนี้ลมหายใจของเสี่ยวโร่วถี่กระชั้นรุนแรงยิ่งกว่าตอนเริ่มกลืนผลหลิวหลีเสียอีก หัวใจดวงน้อยกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่ง
“คุณหนู ข้าเป็นผู้ใช้พลังมายาขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้ว ข้าไม่ได้ฝันไปใช่ไหมเจ้าคะ !”
เสี่ยวโร่วกำมือของฉินอวี้โม่อย่างแรงด้วยความตื่นเต้น นางรู้สึกราวกับว่าทุกอย่างเป็นเพียงความฝันเท่านั้น
พรสวรรค์ของนางนับว่าธรรมดามาก ก่อนจะกินผลหลิวหลีเข้าไปนางยังเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาหกดารา ทว่าตอนนี้กลับพัฒนาอย่างก้าวกระโดดจนขึ้นมาอยู่ในขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้ว
“ถึงแม้เจ้าจะขึ้นมาอยู่ขอบเขตทิพย์มายาเจ็ดดาราแล้วก็ตาม แต่สภาวะพลังของเจ้าก็ยังไม่มั่นคงนัก การพัฒนาที่รวดเร็วเกินไปจะทำให้พลังภายในของเจ้าค่อนข้างเรรวน ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมา เจ้าจะต้องฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้พลังเข้าที่”
เมื่อเห็นท่าทางที่ตื่นเต้นดีใจของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็กล่าวเตือนนาง
เสี่ยวโร่วพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น นางเข้าใจความหมายของฉินอวี้โม่ดี ไม่ว่าคุณหนูของนางจะพูดสิ่งใดสาวน้อยก็พร้อมปฏิบัติตาม
“เอาล่ะ วันนี้พักผ่อนกันเถอะ ในช่วงเวลาไม่กี่วันที่เหลืออยู่นี้ พวกเราจะอยู่แต่ที่โรงเตี๊ยม ข้าจะสอนวิชาการต่อสู้ให้เจ้าเอง เราจะเริ่มกันจากกระบวนท่าง่าย ๆ ก่อน”
ฉินอวี้โม่บอกสาวน้อยตรงหน้าแล้วไม่กล่าวอะไรอีก ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนล้าเป็นอย่างมากจึงล้มตัวลงบนที่นอนทันทีเพื่อพักผ่อน
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างเชื่อฟังก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงอีกหลังหนึ่งเช่นกัน
.
.
.
ตอนที่ 39 มายารัตนะ
ภายใต้แรงกดดันที่แข็งแกร่งของซิว เหยี่ยวปีกทองทำได้เพียงยอมสยบอยู่แทบเท้ามันเท่านั้น
“นายหญิง ท่านรีบทำพันธสัญญากับเจ้านี่เถอะ พลังจากการทำพันธสัญญาอาจจะทำให้ท่านสามารถพัฒนาไปสู่ขอบเขตถัดไปได้”
เงาร่างของซิวส่งเสียงเรียกฉินอวี้โม่ให้เข้าไปหาเหยี่ยวปีกทอง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและเดินเข้าไปใกล้จุดที่ซิวและเหยี่ยวปีกทองลอยอยู่
นางเอามือวางลงบนหัวของเหยี่ยวปีกทองอสูรมายาระดับเทวะสามดาราและเริ่มการทำพันธสัญญา
ผ่านไปชั่วครู่ก็เกิดแสงสว่างเจิดจ้าขึ้นมาวูบหนึ่ง พันธสัญญาสำเร็จลุล่วงแล้ว และแสงที่บ่งบอกถึงระดับพลังก็ปรากฏขึ้นตรงฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่
ตอนนี้ดวงดาราทั้งเก้าดวงที่อยู่บนฝ่าเท้าเล็กของนางหมุนวนและรวมตัวกันเป็นดาราดวงใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นดาราดวงที่สองและสามก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น จนกระทั่งดาราที่สามเติบโตจนสมบูรณ์แล้วแสงสว่างก็หายไป
เพียงแค่พลังจากการทำพันธสัญญากับเหยี่ยวปีกทองก็ทำให้ฉินอวี้โม่พัฒนาขึ้นไปอยู่ในขอบเขตมายารัตนะสามดาราแล้ว
ขณะเดียวกัน แสงแห่งการวิวัฒนาการก็ปรากฏขึ้นมาบนร่างของเหยี่ยวปีกทอง มันก้าวหน้าจากอสูรเทวะสามดาราเป็นไปหกดารา
ขนของเจ้าเหยี่ยวยักษ์ที่แต่เดิมถูกเพลิงเผาไหม้จนกลายเป็นสีถ่านก็ฟื้นฟูกลับมาทองอร่ามและเป็นประกายเงางามเช่นเดิม จากเดิมที่อยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ตาย เหยี่ยวระดับเทวะก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เมื่อระดับพลังของนายหญิงพัฒนา เสี่ยวเฮยก็เกิดการเลื่อนขั้นดาราตามนายของมันด้วยเช่นกัน เวลานี้ยูนิคอร์นสีนิลเปลี่ยนจากอสูรเทวะหนึ่งดาราไปเป็นสี่ดาราเรียบร้อยแล้ว
“นายหญิง นายหญิง ข้าเลื่อนขั้นแล้ว !”
เสี่ยวเฮยรีบวิ่งมาอยู่ข้างฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี อาชาเขาแหลมวิ่งวนไปรอบ ๆ ตัวเจ้านายสาวอย่างร่าเริงก่อนจะหยุดวิ่งและก้มลงไปใช้ปลายจมูกดุนมือนางเบา ๆ
“ยินดีกับเจ้าด้วย”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าชอบใจ นางหัวเราะกับท่าทางน่าเอ็นดูของเจ้าดำน้อยในร่างขนาดไม่น้อย แล้วใช้มือลูบหัวมันเพื่อแสดงความชื่นชม
“นายหญิง ข้าก็เลื่อนขั้นแล้ว”
เป็นเพราะได้ทำพันธสัญญาแล้วทำให้แรงกดดันที่ได้รับจางหายไปจนหมดสิ้น ตอนนี้เหยี่ยวปีกทองลุกขึ้นมายืนได้แล้ว และสายสัมพันธ์แห่งผู้เป็นนายกับอสูรมายาก็ก่อตัวขึ้นด้วยเช่นกัน
“นายหญิง ข้าต้องกลับก่อน การวิวัฒนาการของข้ายังไม่สมบูรณ์ ครั้งนี้เป็นเพราะข้าสัมผัสได้ว่าอันตรายร้ายแรงกำลังคุกคามตัวท่านจึงจำเป็นต้องฝืนออกมาช่วย ข้าอ่อนล้ามากแล้วต้องขอตัวก่อน แต่หลังจากนี้กว่าข้าจะวิวัฒนาการสำเร็จคงจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่ทีเดียว”
เงาร่างราง ๆ ของซิวทำท่าทางประหลาดคล้ายกำลังโค้งคำนับให้กับฉินอวี้โม่ และไม่กี่อึดใจต่อจากนั้นเงาเลือนรางก็เริ่มจางหายไปอย่างช้า ๆ
“ท่านไม่ต้องกังวล ระหว่างที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น ข้ากางเขตอาคมไว้แล้ว ทุกคนที่อยู่ภายนอกจะเห็นเพียงแค่ท่านทำพันธสัญญากับเหยี่ยวปีกทองเท่านั้น แต่พวกเขาจะไม่รู้ถึงการเลื่อนระดับพลังอสูรมายา ท่านอย่าได้กังวลว่าจะถูกผู้ใดสงสัย”
หลังจากคำพูดนั้นสิ้นสุดลง ร่างของซิวก็หายไปโดยสมบูรณ์
ดูเหมือนเรื่องเลวร้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว ฉินอวี้โม่ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ร่างบางหยุดนิ่งอยู่ชั่วครู่ ใบหน้างดงามฉายแววสงสัย เวลานี้นางกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
ร่างของคุณหนูสี่นี้มีความรู้อยู่ไม่น้อย แต่เพราะไม่เคยฝึกฝนวิชาและไม่ได้คลุกคลีใกล้ชิดกับเหล่าอสูรมายา นางจึงไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการทำพันธสัญญากับอสูรมายาจะทำให้เหล่าจอมยุทธ์สามารถเลื่อนระดับพลังได้
ทว่าเรื่องนั้นกลับไม่นับว่าประหลาดเลยสักนิด เมื่อเทียบกับเรื่องที่ว่าอสูรมายาเกิดการเลื่อนระดับพลังขึ้นหลังจากผูกพันธสัญญากับมนุษย์ ! เหมือนเช่นในตอนที่นางทำพันธสัญญากับเหยี่ยวปีกทองเมื่อครู่นี้ อันที่จริงเหตุการณ์ในลักษณะนี้ก็เกิดขึ้นเช่นกันเมื่อครั้งที่นางได้เสี่ยวเฮยมา นี่เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก มากเสียจนเรียกว่ามหัศจรรย์เลยก็ว่าได้ และเรื่องเช่นนี้ก็ไม่สมควรให้คนภายนอกได้รับรู้ เพราะถ้าหากมีผู้ใดล่วงรู้เรื่องนี้เข้า ก็เกรงว่าอาจจะมีผู้ไม่หวังดีเกิดความสงสัยในตัวฉินอวี้โม่และนำภัยมาให้ก็เป็นได้
“นายหญิง เงาที่ออกมาเมื่อครู่คืออะไร ?”
เหยี่ยวปีกทองเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แรงกดดันจากซิวทำให้มันหวาดกลัวและทุกข์ทรมานอย่างไม่สามารถต้านทานได้เลย ผู้ที่มีแรงกดดันอย่างมหาศาลที่ทำให้แม้แต่อสูรเทวะยังต่อต้านไม่ได้เช่นนี้จะทรงพลังและแข็งแกร่งมากเพียงใด ?!
“เงานั้นอาจจะเป็นอสูรมายาแห่งโชคชะตาของนายหญิงก็ได้ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่ามันอยู่ระดับไหน รู้แค่ว่าต่อให้มียูนิคอร์นสีนิลที่เหมือนข้าอีกสิบตัวร่วมกันรับมือก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่คู่ควร”
เสี่ยวเฮยนั้นเคยเป็นอสูรมายาที่ทำหน้าที่พิทักษ์ถ้ำที่อยู่ของซิวมาก่อน จึงเป็นธรรมดาที่มันจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายนั้นเป็นอย่างดี
แรงกดดันจากพลังของซิวทำให้มันขัดขืนและทำสิ่งอื่นใดที่เป็นการต่อต้านไม่ได้ เมื่ออยู่ต่อหน้าซิวหากขัดขืนจะมีเพียงผลลัพธ์เดียวที่รออยู่ นั่นก็คือความตาย
“โธ่ ถ้ารู้ว่าการทำพันธสัญญากับนายหญิงจะทำให้ข้าเลื่อนขั้นได้ ข้ายอมมอบผลหลิวหลีให้ท่านแต่โดยดีแล้วอยู่เฉย ๆ รอคอยให้ท่านทำพันธสัญญาจะดีกว่า ไม่น่าหาเรื่องเจ็บตัวเลย”
เหยี่ยวปีกทองกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ มันยังคงกลัวจับจิตเมื่อคิดถึงตอนที่เผชิญหน้ากับเงาร่างของซิว
เดิมทีที่เหยี่ยวยักษ์ต้องการผลหลิวหลีนั้นก็เพื่อจะทำให้มันเลื่อนขั้นดาราขึ้นไป หากมันรู้แต่แรกว่าเพียงแค่ทำพันธสัญญากับนายหญิงก็สามารถบรรลุเป้าหมายได้แล้ว มันก็คงจะยอมก้มหัวสวามิภักดิ์และส่งผลหลิวหลีให้นางไปในทันที จะได้ไม่ต้องโดนเผากลายเป็นเหยี่ยวย่างแบบเมื่อครู่ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่สามารถโทษมันได้ เพราะมีเพียงฉินอวี้โม่ผู้เดียวเท่านั้นที่มีความพิเศษเช่นนี้อยู่ ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่เหยี่ยวระดับเทวะอย่างมันก็คาดไม่ถึงจริง ๆ
เมื่อได้ยินที่เหยี่ยวปีกทองพูด ฉินอวี้โม่และเสี่ยวเฮยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“คุณหนู ท่านเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วรีบวิ่งเข้ามาหาก่อนจะจับมือฉินอวี้โม่และมองสำรวจตัวนางขึ้น ๆ ลง ๆ เมื่อมองเห็นรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนอาภรณ์ของผู้เป็นนาย สาวใช้น้อยก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ
“คุณหนูบาดเจ็บนี่ ขอข้าดูหน่อยว่าบาดเจ็บตรงไหน !”
เสี่ยวโร่วจับแขนของฉินอวี้โม่และเอ่ยขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
ฉินอวี้โม่เองก็เพิ่งสังเกตเห็นเลือดที่เปื้อนอยู่บนชุดยาวสีขาว มันคงจะเป็นรอยเลือดที่เกิดขึ้นตอนถูกเสือโคร่งสีประหลาดตัวนั้นเล่นงานจนได้รับบาดเจ็บ
อย่างไรก็ตาม นางกลับไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดใด ๆ อยู่อีกแล้ว และบาดแผลทั่วทั้งร่างบางก็ดูเหมือนจะหายดีหมดแล้วด้วย ต้องบอกเลยว่ากายเทพมายาของนางนี้เป็นร่างกายที่มหัศจรรย์อย่างแท้จริง
อดีตคุณหนูสี่ลูบหัวเสี่ยวโร่วอย่างเอ็นดูและเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เสี่ยวโร่ว เจ้าไม่ต้องกังวลไป เลือดพวกนี้แค่บังเอิญกระเด็นมาเปื้อนชุดข้าตอนที่สู้กับอสูรมายาเท่านั้น ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ลองจับดูสิ”
และเสี่ยวโร่วก็ลองสัมผัสดูจริง ๆ มือเล็ก ๆ แตะสำรวจจุดที่เปื้อนเลือดบนร่างคุณหนูของนางแล้วก็พบว่าไม่มีบาดแผลบนร่างกายนี้จริง ๆ สาวใช้ผู้ภักดีจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก ชีวิตนี้ของเสี่ยวโร่วไม่มีอะไรนอกจากคุณหนูและฮูหยิน นางเป็นเด็กผู้หญิงง่าย ๆ ไม่เคยอยากได้สิ่งใดทั้งนั้น ขอเพียงแต่นายหญิงทั้งสองของตัวเองปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว เวลานี้ฮูหยินหายไปก็ต้องเร่งตามหา ดังนั้นหากปล่อยให้คุณหนูเป็นอะไรไปนางคงยอมไม่ได้
“แม่นางฉิน ผู้อาวุโสที่ปรากฏตัวเมื่อครู่คือใครกัน ?”
“แม่นางฉิน ผู้อาวุโสที่ปรากฏตัวเมื่อครู่คือใครกัน ?”
ลั่วอวิ๋นเดินเข้ามาและเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
แน่นอนว่าลั่วอวิ๋นคาดไม่ถึงว่าซิวจะเป็นอสูรมายาประจำกายของฉินอวี้โม่ เขาจึงคาดเดาเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นผู้พิทักษ์หรือองครักษ์ของแม่นางผู้งดงามผู้นี้ที่จะคอยปรากฏตัวเมื่อนางมีภัยมากกว่า
ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ นับเป็นเรื่องปกติที่บรรดาลูกหลานของตระกูลใหญ่โตที่ออกมาหาประสบการณ์ภายนอกรั้วจวนจะมีผู้พิทักษ์คอยติดตามคุ้มกันอย่างเงียบ ๆ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นฉินอวี้โม่ ลั่วอวิ๋นก็คิดว่านางต้องเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่เป็นแน่ เพราะตอนนั้นเขามองเห็นอสูรมายาระดับเทวะเกาะอยู่ที่ไหล่ของนางอย่างชัดเจน
“ใช่ คุณชายเดาได้ถูกแล้วล่ะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางไม่ได้อธิบายสิ่งใดเพิ่ม อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูพอจะทราบว่าอีกฝ่ายกำลังสงสัยในตัวนางอยู่ แต่ก็ไม่คิดว่าลั่วอวิ๋นจะคาดเดาไปว่าซิวคือผู้พิทักษ์ของนาง อย่างไรก็ตามนี่ถือเป็นเรื่องดี
ลั่วอวิ๋นพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก
“แม่นางฉิน แม่นางเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรด้วยหรือนี่ !”
เสี้ยวฮังเดินเข้ามาพร้อมกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและเคารพยกย่อง ในดินแดนหวนหลิงนี้ ผู้ฝึกสัตว์อสูรจะเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพเป็นอย่างสูง
“ใช่แล้ว”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า นางเพิ่งจะทำพันธสัญญากับเหยี่ยวปีกทอง ซึ่งทุกคนในที่แห่งนี้ก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดังนั้นนางจึงยอมรับอย่างง่ายดายเพราะไม่มีคำอธิบายอย่างอื่นที่ดีกว่า
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่กำลังตกอยู่ในอันตรายก็ได้รับอานิสงส์จากการปรากฏตัวของซิวทำให้สามารถรอดไปได้
ทันทีที่ซิวปรากฏตัว อสูรมายาทุกตัวที่ล้อมพวกเขาอยู่ก็พากันหมอบลงกับพื้น กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจจึงใช้โอกาสนั้นหลบหนีออกไปได้
หลี่เปียวมองดูฉินอวี้โม่ด้วยความรู้สึกซับซ้อน สายตาโหดเหี้ยมของเขามีแววแห่งความเคียดแค้นและหวาดกลัวฉายอยู่อย่างชัดเจน
ในช่วงเวลาที่เห็นซิวปรากฏตัว เขาก็รู้สึกว่าสมองของตัวเองว่างเปล่าไปชั่วขณะ เขาย้อนกลับไปนึกถึงตอนที่เคยมีเรื่องกันที่สมาคมทหารรับจ้าง ถ้าในตอนนั้นผู้อาวุโสผู้นี้ปรากฏตัวออกมาเขาก็คงจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเข้ามาแย่งชิงผลหลิวหลีจนทำให้ภารกิจของพวกเขาล้มเหลวและพลาดโอกาสที่จะเลื่อนขึ้นไปเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่ง แต่ความแค้นทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็ยังพ่ายแพ้ให้กับความกลัวที่มีต่อนาง
และที่สำคัญที่สุดคือ หากไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของซิว ทุกคนก็คงต้องตายอยู่ที่นี่กันหมด หากว่ากล่าวกันด้วยเหตุและผลแล้วพวกเขายังต้องเข้าไปขอบคุณสตรีผู้นั้นเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม กลุ่มทหารรับจ้างที่หยิ่งทะนงและยิ่งใหญ่อย่างพวกเขาก็คงไม่บากหน้าเข้าไปอย่างแน่นอน
“ไปกันได้แล้ว!”
หลี่เปียวตะโกนสั่งและพากลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของเขาเดินทางจากไป
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ มองเห็นการจากไปของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจอย่างชัดเจน แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดจะเข้าไปขัดขวาง
วันนี้คนของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจถือว่าได้รับบทเรียนที่ไม่รู้ลืมไปแล้ว พวกเขาไม่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ภารกิจยังล้มเหลวอีกด้วย นั่นถือเป็นความเสียหายที่ค่อนข้างใหญ่หลวงเลยทีเดียว ต่อไปนี้คนพวกนั้นก็คงไม่กล้าวางท่าหยิ่งยโสอีกแล้ว
แท้จริงแล้วส่วนลึกในใจของฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้เกลียดชังคนกลุ่มนั้นถึงขนาดที่จะต้องฆ่าแกงกันหรืออยากให้ถึงตาย
“หัวหน้าเสี้ยว นี่ผลไม้ของพวกท่าน”
ฉินอวี้โม่หยิบเอาผลหลิวหลีออกมาจากแหวนมิติและส่งให้เสี้ยวฮัง
“พวกเรารับไว้ไม่ได้หรอก แม่นาง”
เสี้ยวฮังประหลาดใจเล็กน้อย เขารีบส่ายหน้าและกล่าว “ข้าบอกแม่นางไปแล้วว่าพวกเราไม่ต้องการผลไม้นี่”
“อย่าปฏิเสธเลย ท่านรับมันไว้เถิด มันมีอยู่ตั้งห้าผล และครั้งนี้ข้าก็ได้สิ่งที่ล้ำค่ามากกว่ามาแล้ว ผลไม้วิเศษนี่พวกท่านสมควรได้รับ”
ฉินอวี้โม่รับไว้คนเดียวทั้งหมดไม่ได้จริง ๆ นางยอมรับไม่ได้ หากว่ากลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะต้องกลับกันมือเปล่าทั้ง ๆ ที่พวกเขาก็เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายร่วมต่อสู้มาด้วยกัน
แม้ว่าผลหลิวหลีจะเป็นผลไม้ที่หายากและล้ำค่ามาก แต่นางก็ไม่ใช่คนละโมบ และเธอก็เชื่อว่าคุณหนูสี่คนก่อนก็เป็นผู้มีน้ำใจงาม เธอจะไม่ยอมสูญเสียความเป็นตัวเองไป และไม่ยอมให้ชื่อเสียงของคุณหนูสี่ที่ล่วงลับต้องแปดเปื้อนเพราะผลไม้แค่ไม่กี่ผลแน่
เดิมทีผู้ที่ค้นพบผลหลิวหลีก็คือกลุ่มหทารรับจ้างชื่อเหยียนอยู่แล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นคนมีน้ำใจจึงไม่อยากรับไว้ แต่นางก็ต้องมอบให้พวกเขาให้ได้
“ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็จะขอรับน้ำใจของแม่นางฉิน ขอบคุณแม่นางมาก”
เมื่อเห็นท่าทีที่ดึงดันของฉินอวี้โม่เสี้ยวฮังก็ยิ้มเจื่อน ๆ และรับผลหลิวหลีมาอย่างช่วยไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนชื่นชมฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภาพของสตรีงดงามผู้แข็งแกร่งและเก่งกล้าได้ติดตราตรึงอยู่ในใจของพวกเขาทุกคนแล้ว
“คุณชายลั่ว ผลไม้นี่เป็นของท่าน”
วันนี้ลั่วอวิ๋นเองก็พยายามอย่างหนัก เขาถือว่าเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมถึงที่สุด แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่สามารถละเลยความดีความชอบของเขาได้เลย
“เช่นนั้นข้าขอรับน้ำใจแม่นางไว้”
ลั่วอวิ๋นนั้นเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดในตอนที่เสี้ยวฮังปฏิเสธฉินอวี้โม่ เขาจึงรีบรับผลหลิวหลีไว้ทันที เพราะถ้าหากเขาปฏิเสธไปคุณหนูผู้เลอโฉมก็คงไม่ยอมอีกเป็นแน่ เขาได้ตัดสินใจล่วงหน้าไว้แล้วว่าหากฉินอวี้โม่มีสิ่งที่อยากมอบให้เขาในอนาคต ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไร เขาก็จะไม่ปฏิเสธนาง
ตอนนี้ยังเหลือผลหลิวหลีอยู่ทั้งหมดสามผล ฉินอวี้โม่กำลังครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับพวกมัน
แม่ว่าตอนนี้นางจะอยู่ขอบเขตมายารัตนะแล้ว และถ้าหากกินมันเข้าไปนางก็จะพัฒนาขึ้นไปได้อีกหลายขั้น ทว่าในตอนนี้ผู้ที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือเสี่ยวโร่ว เวลานี้สาวใช้ตัวน้อยอ่อนแอกว่านางมาก การให้ผลหลิวหลีกับเสี่ยวโร่วจะช่วยทำให้นางพัฒนาได้อย่างก้าวกระโดด สำหรับส่วนที่เหลือนางอยากจะเก็บเอาไว้ให้พวกฉีฉีเพราะที่เหล่าสหายผู้สูงศักดิ์ของนางต้องมาที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็เพื่อจะหาผลไม้ชนิดนี้
“เอาล่ะ เสี่ยวจิน (ทองน้อย) เจ้าให้อสูรพวกนี้ถอยกลับไปก่อนเถอะ”
เมื่อเหลือบไปเห็นฝูงอสูรมายาที่ยังคงพากันหมอบนิ่งอยู่กับพื้นไม่เคลื่อนไหว ฉินอวี้โม่ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวจินก็คือชื่อเล่นใหม่ของเหยี่ยวปีกทอง เนื่องจากนางขี้เกียจจะเรียกชื่อเต็มของมัน นางจึงตั้งชื่อที่เรียกและจำได้ง่ายขึ้นมา โดยใช้หลักการเดียวกับชื่อของเสี่ยวเฮย
เสี่ยวจินพยักหน้าตอบรับ และดูเหมือนว่ามันก็ไม่ได้คัดค้านเรื่องชื่อเล่นนี้
“แกว๊กก !”
ทันทีที่เสี่ยวจินส่งเสียงร้องออกมา อสูรมายาที่หมอบอยู่บนพื้นก็ลุกขึ้นมาทีละตัวสองตัวแล้วรีบวิ่งหนีหายลับไปจากสายตาของทุกคน
“ฟู่~ ครั้งนี้อันตรายเป็นบ้าเลย…”
เมื่อเห็นอสูรมายาไปกันหมดแล้ว ทุกคนก็โล่งอกขึ้นมาได้
“แม่นางฉิน แม่นางจะกลับไปที่เมืองเยว่กวางอีกใช่หรือไม่ ?”
เสี้ยวฮังเอ่ยถาม
ฉินอวี้โม่พยักหน้า วันนี้นางได้รับสิ่งล้ำค่ามามากมายหลายอย่าง การเดินสำรวจป่าแสงจันทร์ครั้งนี้ให้สิ่งตอบแทนที่เหนือความคาดหมายแก่นางแล้ว ถึงเวลาที่นางควรจะกลับไปได้เสียที อีกทั้งนางยังต้องไปช่วยเสี่ยวโร่วในการดูดซับพลังจากผลหลิวหลีด้วย
.
.
.
ตอนที่ 38 ตัวตนที่น่าเกรงขาม
การต่อสู้ระหว่างเหยี่ยวปีกทองกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจดูรุนแรงเป็นอย่างมาก
แม้ว่าเหยี่ยวปีกทองจะแข็งแกร่ง แต่ทว่าด้วยความที่กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจมีกำลังพลจำนวนมากทำให้พวกเขาไม่ได้ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสียทีเดียว
และในขณะที่กำลังต่อสู้กันอยู่นั้น พวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นสตรีโฉมงามบนหลังยูนิคอร์นสีนิลที่กำลังบินตรงเข้ามาเลย
ฉินอวี้โม่ที่นั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเฮยสั่งให้มันบินตรงเข้าไปภายในถ้ำทันที
ในตอนที่นางมองมันจากด้านล่าง นางคิดว่าถ้ำนี้มีขนาดเล็กและน่าจะพอให้คนคนหนึ่งเดินผ่านไปได้เท่านั้น ทว่าพอเมื่อได้มองดูใกล้ๆ เช่นนี้ นางกลับพบว่าแท้จริงแล้วถ้ำแห่งนี้มีขนาดใหญ่อย่างเหนือความคาดหมาย
ไม่ต้องพูดถึงคนเพียงคนเดียว เพราะต่อให้เข้าไปพร้อมกันเป็นสิบคนก็ยังเข้าได้อย่างไม่แออัด
เถาหลิวหลีพันเลื้อยอยู่ตรงส่วนเพดานถ้ำ ณ จุดที่ใกล้กับปากถ้ำ การที่จู่ๆ เหยี่ยวปีกทองก็โผล่ออกมาเล่นงานกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจนั้นแสดงให้เห็นว่า มันจะต้องอาศัยอยู่ภายในถ้ำแห่งนี้
ฉินอวี้โม่สั่งให้เสี่ยวเฮยบินโฉบเข้าไปอย่างไม่ลังเล ก่อนที่หญิงสาวจะยื่นมือไปคว้าเอาผลหลิวหลีมาอย่างว่องไว
แท้จริงแล้วผลหลิวหลีเป็นผลไม้ที่มีลักษณะที่พิเศษ มันดูใสและแวววาวราวกับแก้วมณี สมแล้วที่เป็นถึงผลไม้มายาแสนล้ำค่า
ทันทีที่เด็ดผลหลิวหลีออกมาได้ ฉินอวี้โม่ก็รีบเก็บมันใส่เข้าไปภายในแหวนมิติ จากนั้นนางและเสี่ยวเฮยก็รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ฉินอวี้โม่ฉวยโอกาสในช่วงเวลาที่เหยี่ยวระดับเทวะสามดารากำลังพัวพันอยู่กับการต่อสู้อันหนักหน่วงฉกชิงผลไม้วิเศษมา
แน่นอนว่า เมื่อผลหลิวหลีถูกใครบางคนชิงไปต่อหน้า เหยี่ยวปีกทองที่กำลังขับไล่กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“แกว๊กกกกกกก~ !!!!”
ปีกสีทองของเหยี่ยวขนาดยักษ์โบกสะบัดอย่างบ้าคลั่งในขณะที่มันปลดปล่อยแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวออกมา เพียงพริบตาเดียววังวนวายุก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวของมัน พายุหมุนขนาดใหญ่กว่าตัวเหยี่ยวพิโรธกวาดล้างต้นไม้และสรรพสัตว์บริเวณนั้นไปจนสิ้น
— ตูม ตูม ตูม! —
กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่กำลังล้อมเหยี่ยวปีกทองอยู่ถูกพายุหมุนซัดจนกระเด็นกระจัดกระจาย ก่อนที่บางคนจะหล่นกระแทกพื้นอย่างรุนแรง และมีบางคนที่ปลิวไปฟาดเขากับหินผาในบริเวณนั้น
“เจ้าพวกมนุษย์โสโครก พวกเจ้ารวมหัวกันหลอกลวงข้า!”
เมื่อเห็นว่าเหยี่ยวปีกทองมีท่าทีที่เปลี่ยนไป หลี่เปียวก็รีบเงยหน้าขึ้นดูและเขาก็ได้เห็นฉินอวี้โม่ที่กำลังนั่งอยู่บนหลังของเสี่ยวเฮยกำลังส่งรอยยิ้มเย้ยหยันมา
“เป็นนาง”
หลี่เปียวอุทานออกมาขณะหลบการโจมตีของเหยี่ยวปีกทองไปด้วย ในเวลาเดียวกันเขาก็กัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
“แกว๊กกก !”
ทันใดนั้นเหยี่ยวปีกทองก็ร้องคำรามอีกครั้ง ก่อนที่ทุกคนจะได้ยินเสียงและสัมผัสได้ว่ามีอสูรมายาจากรอบทิศทางกำลังมุ่งตรงมาทางพวกเขา
อสูรมายาระดับต่ำ ระดับภูตและแม้กระทั่งระดับศักดิ์สิทธิ์บางตัวก็ยังตรงมาทางนี้ด้วย!
ในตอนนี้แม้แต่ลั่วอวิ๋นและกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็ยังถูกพวกสัตว์มายาล้อมเอาไว้ด้วย
ทว่าทางด้านกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจนั้นคับขันกว่ามาก พวกเขาถูกอสูรมายาล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาราวกับจะปิดหนทางหนีทุกด้าน
“เสี่ยวเฮย ลงไปข้างล่าง”
เมื่อฉินอวี้โม่เห็นว่าเวลานี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก นางจึงรีบลงไปที่พื้นทันที
ในเดียวกันเหยี่ยวปีกทองก็เปลี่ยนเป้าหมายและพุ่งตรงไปจู่โจมมนุษย์ผู้ชิงผลไม้ไปได้แทน
“เจ้ามนุษย์ ส่งผลหลิวหลีคืนมา ไม่อย่างนั้นก็เตรียมตัวตายซะ!”
เหยี่ยวปีกทองคำรามก้องฟ้าขณะที่พุ่งตัวเข้าโจมตีฉินอวี้โม่
“เสี่ยวเฮย เจ้าหยุดมันได้หรือไม่?”
ฉินอวี้โม่มองดูเหยี่ยวปีกทองที่กำลังพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงแล้วหันไปถามยูนิคอร์นคู่ใจด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“ข้าต้านมันได้ชั่วครู่ แต่คงสู้กับมันได้ไม่นานนัก ข้าจะทำให้เต็มที่ นายหญิง”
เสี่ยวเฮยพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยต้านมันไว้สักครู่นะ ข้าจะหาหนทางให้พวกเราฝ่าออกไปให้ได้”
ฉินอวี้โม่สั่งการอสูรมายาผู้ภักดีพร้อมกับให้คำมั่น ขณะเดียวกันนางก็หันไปมองฝูงอสูรมายาที่มีทั้งระดับภูตและระดับศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะวิ่งตรงเข้าไปทางนั้น
อสูรมายาที่รุมล้อมพวกเขาอยู่มีมากเกินไป และมีตัวที่เป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์อยู่หลายตัว แม้จะว่าพวกมันจะอยู่ในขั้นดาราที่ไม่สูงนัก แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉินอวี้โม่และพวกพ้องของนางจะรับมือได้
อดีตนักฆ่าสาวไม่กล้าออมมืออีกต่อไป นางเข้าจู่โจมอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มกำลัง
ตอนนี้สิ่งที่พวกนางต้องทำก็คือหาทางฝ่าออกไปให้ได้เป็นอันดับแรก
โชคยังดีที่อสูรมายาส่วนมากไปรุมล้อมอยู่ในจุดที่กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจอยู่ และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่ขวางทางพวกเขาไว้
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่กำลังเผชิญหน้ากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ห้าดารา มันมีรูปลักษณ์เป็นเสือโคร่งที่มีสีสันสดใสและแพรวพราวอย่างประหลาด มันคืออสูรมายาที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอสูรทั้งหลายที่รุมล้อมพวกเขาอยู่ ส่วนตัวอื่นๆ ที่เหลือเป็นระดับต่ำกว่าเสือตัวนี้ทั้งหมด ซึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดคืออสูรศักดิ์สิทธิ์สองดารา
และตอนนี้อสูรตัวนั้นก็ถูกลั่วอวิ๋นสกัดเอาไว้แล้ว
ถัดออกไป กลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็กำลังปะทะกับอสูรมายาตัวอื่นๆ ขณะที่เสี่ยวโร่วชักกระบี่ออกมาและพุ่งเข้าใส่อสูรระดับต่ำที่อยู่ใกล้ๆ
อสูรศักดิ์สิทธิ์ห้าดาราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญหา เมื่อมันเห็นว่าฉินอวี้โม่กำลังวิ่งเข้ามาโจมตี มันก็เบะปากและใช้หางตามองอย่างดูถูก
‘มนุษย์เพศเมียในขอบเขตทิพย์มายาตัวน้อย กลับอาจหาญขวัญกล้ามาโจมตีมัน นั่นก็เท่ากับว่ารนหาที่ตาย!’
“โฮกกก ปิ๊บบบ!”
เสือโคร่งตัวนั้นสีสันแพรวพราวส่งเสียงคำรามออกมาอย่างดุร้ายและตะปบอุ้งเท้าเข้าใส่ฉินอวี้โม่
เจ้าเสือยโสที่คิดว่าตัวเองฉลาดหลงคิดไปว่าการตวัดเพียงอุ้งเท้าเดียวของมันจะทำให้มนุษย์ตัวน้อยตรงหน้าบาดเจ็บสาหัสได้ ทว่าอุ้งเท้าใหญ่นั้นกลับสัมผัสเข้ากลับความว่างเปล่า!
ร่างของฉินอวี้โม่หายไป ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งตรงหน้ามัน
“เจ้าแมวยักษ์โง่ ข้าอยู่นี่”
“โฮกกก ปิ๊บบบ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเสือใหญ่ผู้เป็นถึงอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์ห้าดาราก็รู้สึกศีรษะร้อนขึ้นมาทันที มันกระโดดตะครุบมนุษย์สาวตรงหน้า ทว่าฉินอวี้โม่ก็ใช้ความเร็วราวสายฟ้าของนางหลบหลีกออกไปได้อย่างทันควัน และทำให้มันตะครุบได้เพียงสายลมว่างเปล่าอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่หลบไปได้อย่างง่ายดาย เสือโคร่งสีสันสดใสก็ยิ่งหงุดหงิดเป็นเท่าทวี อีกฝ่ายเป็นแค่มนุษย์ตัวน้อยที่ดูไร้เรี่ยวแรงแต่กลับสามารถหลบกรงเล็บของมันได้
“โฮกกกกกกกกก!”
เจ้าเสือโคร่งคำรามลั่นด้วยความแค้นเคือง ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วกระโจนเข้าใส่ฉินอวี้โม่อีกครา
นักฆ่าสาวและเสือโคร่งมายาตะลุมบอนกันอยู่นาน ฝ่ายหนึ่งจู่โจมอีกฝ่ายก็ตั้งรับ ฝ่ายหนึ่งโจมตีอีกฝ่ายก็หลบหลีก ทั้งคู่ผลัดกันรุกผลัดกันหลบ และไม่สามารถหาผู้แพ้ชนะได้
ส่วนอีกด้านหนึ่ง ลั่วอวิ๋นก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อสกัดอสูรศักดิ์สิทธิ์สองดารา อย่างไรก็ตามสถานการณ์ทางฝั่งของเขาดูจะอันตรายกว่าฉินอวี้โม่มาก ถ้าไม่ใช่เพราะเขามีอสูรมายาคู่ใจคอยช่วยเหลือ เขาก็คงจะพ่ายแพ้ไปนานแล้ว
ขณะที่การต่อสู้ระหว่างกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียนกับฝูงอสูรมายาก็กำลังชุลมุนอย่างหนัก ในเวลานี้ไม่สามารถบอกได้เลยว่าฝ่ายที่ได้เปรียบหรือเสียเปรียบเป็นผู้ใด
ทว่าสถานการณ์ทางฝั่งของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าทางนี้มาก พวกเขาไม่มีอสูรมายาระดับสูงเป็นคู่หู และระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาเองก็ไม่ได้ดีนักด้วย ถึงแม้ในตอนที่รับมือกับเหยี่ยวปีกทองเพียงตัวเดียวพวกเขาจะพอต้านทานได้เพราะจำนวนคนที่มาก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฝูงอสูรมายาที่เข้ามารุมล้อมมากมายมหาศาล พวกเขาก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างหนัก
อย่างไรก็ตาม เป็นการต่อสู้ระหว่างเสี่ยวเฮยกับเหยี่ยวปีกทองต่างหากที่มีความรุนแรงมากที่สุดในขณะแห่งนี้
แม้ว่าเหยี่ยวปีกทองจะเป็นอสูรเทวะสามดารา ส่วนเสี่ยวเฮยเป็นเพียงอสูรเทวะหนึ่งดาราที่ห่างชั้นกับอีกฝ่ายถึงสองขั้นดารา แต่ทว่าในเวลานี้สถานการณ์ก็ยังดูจะสูสีกันอยู่
แม้ว่าเหยี่ยวปีกทองจะเป็นอสูรมายาประเภทบินได้ที่มีความเร็วสูง ทว่ายูนิคอร์นสีนิลเองก็จัดเป็นอสูรมายาที่ว่องไวเช่นกัน และความเร็วของมันก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหยี่ยวปีกทองมากนัก
เหยี่ยวปีกทองพยายามจะฝ่าการสกัดกั้นของยูนิคอร์นสีนิลอยู่หลายครั้ง ทว่าเจ้ายูนิคอร์นก็ยังขัดขวางอย่างสุดฤทธิ์เพื่อไม่ให้เหยี่ยวพิโรธเข้าไปหานายหญิงของมันได้
“เจ้ายูนิคอร์นโสโครก!”
เหยี่ยวปีกทองคำรามออกมา มันปลดปล่อยพลังทั้งหมดและกระพือปีกอย่างแรง ส่งพายุหมุนลูกใหญ่ที่ทรงพลังให้พุ่งเข้าหาเสี่ยวเฮย
“เจ้าเหยี่ยวหน้าโง่!”
เสี่ยวเฮยไม่เกรงกลัวแม้แต่นาย มันเองก็สะบัดปีกแล้วส่งพายุออกไปต้านทานพายุของเหยี่ยวปีกทองเช่นกัน
“เจ้ายูนิคอร์นโสโครก !”
เหยี่ยวปีกทองคำรามออกมา มันปลดปล่อยพลังทั้งหมดและกระพือปีกอย่างแรง ส่งพายุหมุนลูกใหญ่ที่ทรงพลังให้พุ่งเข้าหาเสี่ยวเฮย
“เจ้าเหยี่ยวหน้าโง่ !”
เสี่ยวเฮยไม่เกรงกลัว มันเองก็สะบัดปีกแล้วส่งพายุออกไปต้านทานพายุของเหยี่ยวปีกทองเช่นกัน
— ตูม ! —
เมื่อพายุหมุนสองลูกปะทะกันก็ทำให้เกิดระลอกคลื่นที่เกิดจากแรงปะทะอันหนักหน่วงกระจายออกไปรอบทิศ หน้าผาที่อยู่ไม่ไกลถูกแรงปะทะนั้นอัดเข้าใส่จนถึงกับถล่มครืนลงมา ต้นไม้บริเวณนั้นล้มระเนระนาดเป็นวงกว้าง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่มีเวลาสนใจการต่อสู้ของเสี่ยวเฮยและเหยี่ยวปีกทอง ตอนนี้สถานการณ์การต่อสู้กับเจ้าเสือโคร่งยังคงตึงมือ และเวลานี้เรี่ยวแรงของนางก็ลดลงไปพอสมควรทำให้นักฆ่าสาวกำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเล็กน้อยแล้ว
เสือโคร่งที่มีสีแพรวพราวจู่โจมฉินอวี้โม่อีกครั้ง ครั้งนี้อดีตคุณหนูผู้งดงามไม่หลบหลีกอีกต่อไป นางพุ่งเข้าปะทะกับกรงเล็บที่แหลมคมของเจ้าเสือร้ายตรง ๆ
— ปุบ ! —
อุ้งเท้าของเสือโคร่งตะปบถูกร่างบางอย่างจังจนทำให้นางกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าวก่อนจะกระอักเลือดออกมา
ทันทีที่ได้เห็นเช่นนั้น เจ้าเสือโคร่งสีประหลาดก็เริ่มได้ใจ มันผ่อนคลายความตึงเครียดลงไปมาก ขณะเดียวกันก็ลดระดับความระมัดระวังและเริ่มช้าลงเล็กน้อย เมื่อเห็นสภาพที่ดูน่าอนาถของคู่ต่อสู้ มันก็อดไม่ได้ที่จะเชิดหน้าขึ้นมองอย่างสาแก่ใจ
“ตอนนี้แหละ !”
เมื่อเห็นว่าเจ้าเสือโคร่งจอมยโสเริ่มประมาท รอยยิ้มอันเยือกเย็นก็ปรากฏบนใบหน้างามของนักฆ่าสาว ร่างบอบบางหายวับไปจากจุดเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งที่ด้านหลังของเสือใหญ่ผู้เริ่มโง่
“แอ่กกกก !”
เสือโคร่งสีสันแพรวพราวส่งเสียงร้อง *แอ่ก* ได้เพียงครั้งเดียวก็ล้มลงดิ้นทุรนทุรายอย่างทรมานก่อนจะแน่นิ่งไปในที่สุด ในตอนนี้ที่หัวของมันมีกริชระยิบระยับงดงามปักคาอยู่
บางครั้งการมีสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ ของอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นบ่อเกิดแห่งหายนะต่อตัวมันเอง เสือเทวะระดับสามดาราที่แข็งแกร่งจบสิ้นไปเพราะความประมาทของมันที่คิดว่าตนเหนือกว่าผู้อื่น
“ทุกคนช่วยกันฝ่าวงล้อมออกไป !”
ฉินอวี้โม่ตะโกนบอกกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียน ขณะที่ตัวเองก็กำลังพยายามเปิดทางฝ่าออกไป
ลั่วอวิ๋นและคนอื่น ๆ พยักหน้า อสูรศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นอสูรมายาของลั่วอวิ๋นพุ่งเข้าไปปะทะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เขารับมืออยู่ ขณะที่คนอื่นๆ ก็พยายามช่วยกันจัดการกับอสูรมายาตรงหน้าอย่างเต็มกำลังเพื่อเปิดทางออกไปให้ได้
“เจ้าพวกมนุษย์โสโครก !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ใกล้จะฝ่าวงล้อมอสูรออกไปได้แล้ว เหยี่ยวปีกทองที่กำลังต่อสู้กับเสี่ยวเฮยอยู่อย่างดุเดือดก็สบถคำรามเสียงดังลั่น ตอนนี้ความดุร้ายของมันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย
ทันใดนั้น เจ้าเหยี่ยวที่กำลังคลั่งก็อ้าปากกว้าง ก้อนแสงขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นก่อนจะถูกส่งให้พุ่งตรงเข้าใส่ยูนิคอร์นสีนิลคู่ต่อสู้ที่น่ารำคาญของมันอย่างรุนแรง
และเจ้าเหยี่ยวปีกทองก็ใช้โอกาสในช่วงเวลานั้นเอง ผละตัวออกจากเสี่ยวเฮยและพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
“นายหญิงระวัง !”
เสี่ยวเฮยรีบเบี่ยงตัวหลบก้อนแสงและบินโฉบเข้าหาฉินอวี้โม่
ทว่าโชคร้ายที่ความเร็วของเหยี่ยวปีกทองสูงเกินไปทำให้เสี่ยวเฮยที่เสียเวลาหลบก้อนแสงไล่ตามไม่ทัน อาชาสีดำผู้ภักดีจึงทำได้เพียงส่งเสียงตะโกนเตือนเจ้านายสาว
เมื่อได้ยินเสียงเตือนของเสี่ยวเฮย ฉินอวี้โม่ก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม เหยี่ยวปีกทองรวดเร็วจนเกินไป มันไม่มีทางที่นางจะหลบมันได้พ้น นักฆ่าสาวทำได้เพียงแค่สร้างระยะห่างให้มากที่สุดเพื่อเพิ่มพื้นที่ตั้งรับและรวบรวมพลังป้องกันการโจมตีของเหยี่ยวปีกทอง
ตอนนี้เหยี่ยวยักษ์อยู่ห่างจากนางไม่กี่ช่วงตัวแล้ว เหล่าทหารรับจ้างในกองทหารชื่อเหยียนถึงกับลืมการต่อสู้ตรงหน้าไปชั่วขณะและหันไปมองสตรีผู้เก่งกล้าด้วยความกังวลและหวาดหวั่น
เสี่ยวโร่วเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็กรีดร้องสุดเสียง
“คุณหนู !”
เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังจะสังหารคนตรงหน้าได้ เหยี่ยวปีกทองก็รู้สึกย่ามใจ ขอเพียงแค่มันจัดการกับมนุษย์ผู้นี้ได้ มันก็จะได้ผลหลิวหลีกลับคืนมา และหลังจากนี้มันก็จะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
ทว่าในตอนที่การโจมตีอันทรงพลังกำลังจะปะทะร่างบาง จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าเหยี่ยวปีกทองที่พุ่งตรงเข้ามาหยุดเคลื่อนไหวไปอย่างฉับพลัน
ในช่วงเวลาที่เหยี่ยวปีกทองใกล้เข้าไปจนเกือบจะถึงตัวมนุษย์ตรงหน้า จู่ ๆ มันก็รู้สึกถึงแรงกดดันอันรุนแรงบางอย่างพุ่งเข้ามาปะทะ แรงกดดันนั้นหนักหน่วงและน่าหวาดกลัวเสียจนทำให้มันชะงักค้าง เหยี่ยวระดับเทวะไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อีกต่อไป
“เจ้าพวกอสูรมายาต่ำต้อย หมอบลงไปซะ !”
เสียงที่ทรงพลังและฟังดูน่าเกรงขามดังขึ้น พร้อมกันนั้นทะเลเพลิงก็ปรากฏขึ้นในอากาศ เหล่าอสูรมายาที่กำลังไล่ต้อนเหล่ามนุษย์ต่างหยุดชะงักและคุกเข่าลงไปอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
ฉินอวี้โม่หันไปมองรอบ ๆ ทว่ากลับไม่พบเห็นร่างของผู้ใดเลย นางเห็นเพียงแค่เงาร่างที่พร่าเลือนลอยอยู่กลางอากาศเท่านั้น
“เหยี่ยวปีกทองที่ต่ำต้อย เจ้าคิดจะทำร้ายนายหญิงของข้าอย่างนั้นรึ ?”
เงานั้นจ้องมองเหยี่ยวปีกทองด้วยสายตาดูถูก
เหยี่ยวปีกทองมองดูเงานั้นด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต มันแทบจะหยุดหายใจและไม่สามารถส่งเสียงอะไรออกมาได้
“จะยอมแพ้หรือตาย จงเลือกเอา !”
เงานั้นกล่าวขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่สามารถสั่นประสาทเหล่าอสูรมายาอย่างถึงที่สุด
เหยี่ยวปีกทองพยายามอย่างยิ่งที่จะข่มความกลัวที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ มันกัดฟันและพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว “ทำไมข้าต้องยอมด้วย ?”
“ทำไมอย่างนั้นรึ ?”
ซิวเปล่งเสียงออกมาอย่างโกรธเคือง น้ำเสียงนั้นแฝงด้วยความเหยียดหยามเด่นชัด ทันใดนั้น เปลวเพลิงในอากาศก็พุ่งตรงเข้าเผาผลาญเหยี่ยวปีกทองอย่างรวดเร็ว
“แกว๊กกก !”
อสูรมายาระดับเทวะส่งเสียงร้องออกมาอย่างทุรนทุราย เพียงพริบตาเดียวมันก็เกือบจะกลายเป็นนกย่างไปเสียแล้ว
“จะยอมหรือจะตาย ?”
ซิวมองเหยี่ยวปีกทองที่กำลังถูกเปลวไฟแผดเผาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอีกครั้ง
เหยี่ยวปีกทองไม่พูดอะไรอีก มันก้มหัวลงต่ำอย่างยอมศิโรราบ หากไม่ยอมเปลวเพลิงแสนร้อนแรงของซิวจะต้องเผามันจนกลายเป็นเถ้าถ่านอย่างแน่นอน
แม้ว่ามันจะเป็นอสูรเทวะก็ตาม แต่ถ้าหากแกนชีวิตของมันถูกเผาจนหลอมละลาย ชีวิตนี้ของมันก็คงต้องจบสิ้นเป็นแน่
.
ตอนที่ 37 มุ่งหมายทำลายภารกิจ
เดิมทีหน่วยที่สามแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเข้ามาฝึกซ้อมอยู่ภายในป่าแสงจันทร์แห่งนี้เพื่อฆ่าเวลา พวกเขากำลังรอให้ชื่อเซียวและหน่วยอื่นๆ มาสมทบ
พวกเขาเริ่มต้นจากการล่าอสูรมายาระดับต่ำจากบริเวณชายป่า ก่อนจะค่อยๆ รุกเข้าไปในส่วนลึกของป่ามากขึ้นเรื่อยๆ และในตอนที่มาจนถึงยังบริเวณนี้ จู่ๆ พวกเขาก็ได้กลิ่นหอมหวานอันแสนประหลาด
มันเป็นกลิ่นหอมเย้ายวนที่หอมเกินกว่าจะต้านทานได้ และด้วยความใคร่รู้จนอดใจไม่ไหว เหล่าทหารรับจ้างผู้เก่งกล้าจึงเดินตามกลิ่นนั้นไปยังจุดที่เป็นต้นกำเนิดของมันโดยไม่ลังเล
ในตอนแรก ไม่มีผู้ใดในกลุ่มพวกเขารู้จักกลิ่นนั้นเลยและทุกคนก็ไม่ได้คาดคิดด้วยว่าต้นกำเนิดของกลิ่นหอมนั้นจะเป็นผลหลิวหลี จนกระทั่งพวกเขาได้เห็นมันกับตาและพบว่ากลิ่นนั้นมาจากผลหลิวหลีโตเต็มที่ลูกหนึ่ง
พวกเขาตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมากที่ได้พบสถานที่ที่มีผลไม้วิเศษชนิดนี้ขึ้นอยู่ ทว่าในเวลานั้นผลไม้วิเศษลูกโตยังไม่สุกอย่างเต็มที่จึงยังไม่เหมาะสมที่จะเด็ดดึงมาจากขั้ว
และเมื่อกวาดตามองโดยรอบ พวกเขาทั้งหมดก็พบว่า ณ บริเวณที่มีผลหลิวหลีอยู่นั้น มีอสูรมายาระดับต่ำอยู่รวมกันเป็นจำนวนมาก…ดูเหมือนพวกมันกำลังเฝ้ารอให้ผลหลิวหลีสุกและร่วงลงมา ดังนั้นหน่วยที่สามแห่งกองทหารชื่อเหยียนจึงพยายามกำจัดอสูรมายาเหล่านั้นออกไปให้มากที่สุดในขณะที่รอคอยเวลาที่ผลไม้จะสุกงอม
ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะมีคนจากกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่นำโดยหลี่เปียวเดินทางมาที่นี่
พวกเขาพบเสี้ยวฮังและสมาชิกหน่วยที่สามของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่เหมือนกำลังเฝ้ารอและคุ้มกันบางอย่างอยู่ หลี่เปียวที่พาคนมาเป็นจำนวนมากจึงเลือกที่จะซุ่มสังเกตการณ์อยู่ในมุมหนึ่ง
….จนในที่สุดเขาก็ได้รู้ หลี่เปียวไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะบังเอิญมาเจอผลหลิวหลีอย่างง่ายดายเช่นนี้…
ทว่าหลี่เปียวและกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของเขาเป็นพวกต่ำช้าไร้ยางอายอย่างที่สุด จากคำบอกเล่าของเสี้ยวฮัง กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจกำลังปฏิบัติภารกิจตามหาผลหลิวหลี และถ้าหากพวกเขาทำงานนี้ได้สำเร็จ กลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาจะเลื่อนขึ้นไปเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งทันที…
ผลหลิวหลีนั้นเติบโตอยู่ติดกับเพดานถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงส่วนไหล่เขาของทิวเขาที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขามองเห็นมันได้รางๆ จากเชิงเขาจุดที่ตรงกับปากถ้ำ และยังไม่แน่ใจนักว่าภายในถ้ำแห่งนั้นมีผลไม้วิเศษอยู่มากเพียงใด
แน่นอนว่ากลุ่มอันธพาลในคราบทหารรับจ้างของหลี่เปียวก็ใช้กำลังขับไล่คนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเพื่อที่จะชิงเอาผลหลิวหลีไปเป็นของตน
และก็แน่นอนเช่นกันว่า เหล่าทหารหาญแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนไม่ยอมพวกเขาง่ายๆ ทว่าชื่อเหยียนหน่วยที่สามนั้นมีคนน้อยกว่า พวกเขาจึงไม่สามารถสู้กับทหารอันธพาลของหลี่เปียวได้ อีกทั้งด้วยความที่หลี่เปียวโหดเหี้ยมอำมหิตเป็นอย่างมาก เขาลงมืออย่างป่าเถื่อนและหมายจะเอาชีวิต!! เสี้ยวฮังจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากต้องนำคนของเขาถอยออกมา
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่ได้ถอดใจออกไปจากป่าแห่งนี้เสียทีเดียว หน่วยที่สามแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนยังคงรั้งรออยู่เพราะต้องการจะดูว่าพอมีโอกาสอื่นอยู่อีกหรือไม่
พวกเขารู้ดีว่าผลหลิวหลีเป็นผลไม้ที่หายากมากและยังล้ำค่าอย่างไร้สิ่งทัดเทียม ไม่เพียงแต่มนุษย์เท่านั้นที่ต้องการมัน แม้แต่อสูรมายาเองก็หมายตามันด้วยเช่นกัน ดังนั้นเสี้ยวฮังและพวกพ้องจึงหมายใจจะรอดูว่าจะมีอสูรมายาบุกเข้าไปชิงมันบ้างหรือไม่
และต่อให้พวกเขาไม่ได้ผลหลิวหลีมาครอบครอง พวกเขาก็จะไม่ยอมให้กลุ่มทหารรับจ้างน่ารังเกียจนั่นได้มันไปแล้วใช้เป็นความดีความชอบเพื่อเลื่อนขึ้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งเป็นแน่
ตอนนี้ผลหลิวหลียังไม่สุกเต็มที่ พวกเขาจึงใช้เวลาในช่วงนี้ประชุมปรึกษาหารือและเตรียมการกันอย่างเคร่งเครียด และก็เป็นตอนนี้เองที่พวกเขาได้พบกับฉินอวี้โม่และสหายทั้งสอง
หลังจากได้ฟังคำบอกเล่าของเสี้ยวฮัง ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าอย่างนุ่มนวล
กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่โสมมอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้ที่สมาคมทหารรับจ้างในเมืองเยว่กวาง ฉินอวี้โม่ก็เพิ่งจะมีเรื่องกับคนพวกนี้มา ดังนั้นแล้วหากภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้ล้มเหลว…อดีตสาวนักฆ่าผู้ถูกหาเรื่องก็จะมีความสุขเป็นอย่างมาก
“ข้าเองก็มีความแค้นบางอย่างกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ ทำไมพวกเราไม่มาร่วมมือกันทำลายภารกิจของพวกเขาเลยล่ะ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยกับเสี้ยวฮังด้วยรอยยิ้มมาดหมาย
“หากเป็นเช่นนั้นได้ก็จะวิเศษไปเลย”
เสี้ยวฮังพยักหน้าและกล่าวต่อ “เอ่อ พวกข้าจะเรียกพวกท่านทั้งสามอย่างไรดี?”
“ข้าชื่อฉินอวี้โม่ คนนี้เสี่ยวโร่ว ส่วนคนผู้นั้นคือลั่วอวิ๋น พวกท่านไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก ระดับพลังของพวกเราก็ไม่ได้สูงส่งไปกว่าพวกท่านมากนัก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มพลางแนะนำตัว
“แม่นางช่างถ่อมตัวยิ่งนัก ที่ท่านกล่าวนั้นเพียงระดับพลังภายนอก ข้ารู้ดี แท้จริงแล้วพวกท่านทั้งสามแข็งแกร่งกว่ากองทหารของพวกเรามาก”
เสี้ยวฮังพูดจากใจจริง เขามองเห็นเสี่ยวเฮยที่เกาะอยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน
“แม่นางฉินอวี้โม่ พวกเขาไม่แน่ใจว่าพวกมันมีคนอยู่เท่าไหร่ กองทหารของเราเป็นผู้พบผลหลิวหลีก่อน ทว่าพวกมันกลับลอบโจมตีเรา คิดจะปล้นผลไม้วิเศษไปหน้าด้านๆ ตอนนี้พวกเราไม่สนใจจะครอบครองผลหลิวหลีอีกแล้ว ขอเพียงแม่นางสามารถทำลายภารกิจของพวกมันได้ ผลไม้วิเศษนั้นจะเป็นของแม่นางทันที!”
เวลานี้เสี้ยวฮังและเหล่าทหารรับจ้างแห่งกองทหารชื่อเหยียนหน่วยสามดูสงบเยือกเย็นกันมากขึ้นแล้ว อันที่จริงเวลาพวกเขาไม่ได้อยากได้ผลหลิวหลีอีกต่อไป แต่ด้วยเลือดแห่งชายชาตินักรบในกายที่กำลังเดือดพล่านเพราะไม่ยินยอมให้ผู้ใดมาหยามเกียรติ ทำให้พวกเขาไม่อาจทนดูกลุ่มทหารต่ำช้าที่ใช้กำลังขับไล่พวกเขาอย่างป่าเถื่อนได้ผลไม้วิเศษไปครอบครอง ขอเพียงทำให้คนเหล่านั้นไม่ได้ผลหลิวหลีไปและทำให้ภารกิจของพวกมันต้องล้มเหลวได้ คนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็พอใจมากแล้ว
“ขอบคุณพวกท่านมาก แต่ข้าคงรับน้ำใจทั้งหมดของพวกท่านไม่ได้”
ฉินอวี้โม่ค้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ นางเองก็ต้องการผลหลิวหลีเช่นกัน เมื่อได้เห็นทัศนคิตของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็ทำให้นางสบายใจและเตรียมจะทุ่มเทพลังทั้งหมดชิงมันมาให้ได้ ทว่าหากจะให้นางรับของล้ำค่าเช่นนั้นไว้ฝ่ายเดียวทั้งๆ ที่อีกฝ่ายก็ยากลำบากต่อสู้มาด้วยกัน ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกละอายใจเกินไป
“มิได้แม่นาง ผลหลิวหลีจะมีประโยชน์ต่อตัวแม่นางและสหายมาก”
เสี้ยวฮังยิ้มและกล่าวเน้นย้ำว่าพวกเขาไม่ต้องการ
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็รอคอยกันอย่างเงียบๆ ก่อน รอให้ผลหลิวหลีสุกเต็มที่ พวกเราจะร่วมกันลงมือ”
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็รอคอยกันอย่างเงียบๆ ก่อน รอให้ผลหลิวหลีสุกเต็มที่ พวกเราจะร่วมกันลงมือ”
เมื่อได้มองดูกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่อยู่ไกลออกไปแล้ว ฉินอวี้โม่ก็มั่นใจว่าผลหลิวหลีนั้นยังไม่สุก นางเห็นพวกเขายังคงนั่งรออยู่หน้าถ้ำ อดีตคุณหนูสี่จึงหาที่ว่างๆ และนั่งรอ
ลั่วอวิ๋นและเสี่ยวโร่วเองก็นั่งลงข้างๆ ฉินอวี้โม่เงียบๆ เช่นกัน
แม้ว่าคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะร้อนใจกันเป็นอย่างมาก แต่ยามนี้พวกเขาก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากต้องเชื่อใจสตรีผู้งดงามตรงหน้าและสหายของนาง พวกเขาพากันนั่งลงบ้างเพื่อรอคอยให้นางเริ่มลงมือ
“หัวหน้าเสี้ยวฮัง พวกท่านมาที่นี่เพื่อเข้าร่วมอสูรล้อมเมืองที่จะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้อย่างนั้นหรือ?”
ฉินอวี้โม่หันไปถามเสี้ยวฮังด้วยความสงสัย หากเป็นเช่นนั้นจริงก็หมายความว่านางอาจจะได้พบชื่อเซียวอีกครั้ง
“ไม่ใช่หรอกแม่นาง ที่จริงแล้วครั้งนี้เรามาเพื่อทำภารกิจ เมืองเยว่กวางแห่งนี้เป็นแค่ทางผ่าน แต่พอมาถึงพวกเราก็ได้ยินว่าอีกไม่กี่วันจะมีเทศกาลอสูรล้อมเมือง นายน้อยของพวกเราบอกว่าการเข้าร่วมอสูรล้อมเมืองถือเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งนายน้อยเห็นว่าการเดินทางด้วยคนจำนวนมากจะทำให้ชักช้า เขาจึงบอกให้พวกเราอยู่ที่นี่รอฟังข่าวแล้วค่อยออกเดินทางถ้าหากหน่วยหน้าต้องการกำลังเสริม และเขาก็อนุญาตให้พวกเราเข้าร่วมอสูรล้อมเมืองได้เลยในกรณีที่ภารกิจล่าช้ากว่ากำหนดหรือพวกเขากลับมาสมทบไม่ทัน”
เสี้ยวฮังอธิบายให้ฉินอวี้โม่ฟังด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำอธิบายของเสี้ยวฮัง ฉินอวี้โม่ก็พอจะเดาได้เลยว่าภารกิจที่พวกเขาพูดถึงกันก็คือภารกิจที่ชื่อเซียวและกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนหน่วยที่หนึ่งไปทำที่ป่าสายหมอกในเมืองหลิงซี
“แล้วตอนนี้นายน้อยของพวกท่านอยู่ที่ใดกัน?”
ฉินอวี้โม่ถามด้วยความสงสัย ตัวนางและเสี่ยวโร่วก็เดินทางมุ่งหน้าจากเมืองหลิงซีมายังเมืองเยว่กวางเช่นกัน ซึ่งในระหว่างนั้นพวกนางยังได้แวะพักล่าอสูรมายากันอีกถึงสามวัน หากชื่อเซียวและหน่วยทหารรับจ้างของเขาออกเดินทางจากหลิงซีมาที่นี่แล้วจริงๆ พวกเขาก็ควรจะมาถึงเร็วกว่าพวกนางจึงจะถูกต้อง
“นายน้อยน่าจะมาถึงในอีกวันถึงสองวัน”
เสี้ยวฮังกล่าว และเขาเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้ชื่อเซียวอยู่ที่ใด
“นายน้อยเป็นคนบอกให้พวกเรารออยู่ที่นี่ หากไม่มีการติดต่อขอกำลังเสริมจากหน่วยหน้านั่นแสดงว่าภารกิจที่เมืองหลิงซีเสร็จสิ้นอย่างราบรื่น และพวกเขาก็จะรีบกลับมาสมทบ ข้าคิดว่าตอนนี้คงอยู่ระหว่างทางกลับ”
เสี้ยวฮังกล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค นี่เป็นทั้งหมดที่เขารู้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและไม่ถามอีก เหมือนว่าหลังจากเสร็จภารกิจที่เมืองหลิงซี พวกเขาอาจจะแวะทำธุระอย่างอื่นก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่
“ดูนั่น ข้าว่าผลหลิวหลีเกือบจะสุกแล้ว!”
สมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนผู้หนึ่งสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าที่เปลี่ยนไป เขาคาดเดาว่าผลหลิวหลีน่าจะใกล้สุกแล้วจึงส่งเสียงร้องเตือนขึ้น
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และลั่วอวิ๋นลุกขึ้นยืนและมองออกไปในทิศทางนั้นทันที
พวกนางเห็นว่าตอนนี้กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่จากเดิมนั่งรอกันอยู่ลุกขึ้นมายืมและเดินไปรวมตัวกันด้านล่างของปากถ้ำที่มีผลหลิวหลีแล้ว
คนผู้หนึ่งในกลุ่มหมาป่าปีศาจเรียกอสูรมายาของเขาออกมา อสูรมายาของคนผู้นั้นมีรูปลักษณ์เป็นกริฟฟินขนาดใหญ่
“หัวหน้า ข้าจะเป็นคนไปเอาผลหลิวหลีนั่นมาเอง”
เมื่อกล่าวจบ ชายผู้ครอบครองกริฟฟินก็กระโดดขึ้นขี่หลังอสูรมายาของตัวเอง เขาบินตรงไปยังถ้ำไหล่เขาซึ่งเป็นจุดที่มีผลหลิวหลีอยู่
“พวกเขากำลังจะเก็บผลหลิวหลีกันแล้ว แม่นาง พวกเราควรทำอย่างไรดี?”
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของชายผู้นั้น เสี้ยวฮังก็หันไปมองฉินอวี้โม่พลางกล่าวอย่างร้อนใจ
“ไม่ต้องห่วง การจะเก็บผลหลิวหลีมันคงไม่ง่ายขนาดนั้น”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบางๆ นางดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างสงบ โดยไม่มีท่าทีเร่งร้อนให้เห็น
ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจากเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่บางกระซิบบอกนางเบาๆ ว่ามันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของอสูรมายาที่ทรงพลังอย่างไม่ได้ด้อยไปกว่ามันเลยจากภายในถ้ำไหล่เขาแห่งนั้น
ชายผู้ขี่กริฟฟินบินตรงไปยังเพดานถ้ำที่มีเถาของผลหลิวหลีขึ้นอยู่อย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นเถาหลิวหลีอยู่ตรงหน้าเขาก็ตะโกนเสียงดังอย่างตื่นเต้นยินดี “หัวหน้า ครั้งนี้พวกเราโชคดีจริงๆ มีผลหลิวหลีตั้งสี่ผล!”
กล่าวจบ เขาก็รีบยื่นมือออกไปหมายจะเด็ดคว้าผลหลิวหลีมาให้เร็วที่สุด
ทว่าก่อนที่มือของเขาจะได้สัมผัสกับผลหลิวหลี ใบหน้าของชายผู้นั้นก็ปรากฏแววตื่นตระหนกขึ้น!
ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งลมหายใจต่อจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงร้องที่ดูทุกข์ทรมานของเขาก่อนที่ชายผู้นั้นจะล่วงลงมาจากกลางอากาศ
— ปัง! —
ชายผู้นั้นพร้อมด้วยกริฟฟินคู่ใจตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง และหากไม่ใช่เพราะมีกริฟฟินเป็นเบาะรองรับ เขาก็คงจะบาดเจ็บถึงพิการได้เลย
“เจ้าสาม เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?!”
เมื่อเห็นลูกน้องของตนตกลงมาอย่างกะทันหัน อีกทั้งอสูรมายาคู่ใจก็มีสภาพปางตาย หลี่เปียวจึงตะโกนถามออกไป
“หัวหน้า วิ่งเร็ว!”
ชายที่ถูกเรียกว่าเจ้าสามเค้นแรงเฮือกสุดท้ายตะโกนออกมาก่อนจะหมดสติไป
กริฟฟินตัวใหญ่ อสูรมายาของเขาขาดใจตายไปแล้ว ส่วนเขาที่เป็นเจ้าของเองก็อาการสาหัสเช่นกัน
เมื่อหลี่เปียวได้ยินเช่นนั้น เขาก็เกิดความลังเล หัวหน้าทหารอันธพาลยังไม่กล้าเคลื่อนไหว แล้วก็เป็นตอนนั้นเองที่เขาได้ยินเสียงที่น่าขนลุกดังขึ้นมาจากบนฟ้าเหนือศีรษะของตน
“เจ้าพวกมนุษย์โสโครกน่ารังเกียจ กล้าดียังไงมาขโมยผลหลิวหลีของข้า!”
มันคืออสูรมายาที่มีรูปร่างคล้ายเหยี่ยว ทว่ากลับมีขนาดใหญ่และทรงพลังกว่าเหยี่ยวธรรมดามาก อีกทั้งขนของมันก็ยังเป็นสีทองอร่ามทั่วทั้งตัว ดูสง่างามเป็นอย่างมาก
“เจ้านี่คือเหยี่ยวปีกทอง อสูรเทวะสามดารา มันแข็งแกร่งกว่าข้าอีกนายหญิง”
เสียงของเสี่ยวเฮยดังขึ้นข้างหูของฉินอวี้โม่ มันบอกนางเกี่ยวกับชนิดของอสูรมายาตัวนี้
ฉินอวี้โม่พยักหน้า อสูรมายาตัวนี้แข็งแกร่งกว่าเสี่ยวเฮยเสียด้วยซ้ำ เห็นทีว่าคราวนี้กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจจะโชคร้ายเสียแล้ว
เมื่อหลี่เปียวเห็นเหยี่ยวปีกทองปรากฏต่อหน้าและยังเปล่งวาจาด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขามออกมาข่มขู่ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันธพาลก็หวาดกลัวจนขนหัวลุก
“หนี! เร็วเข้า หนี! มันคืออสูรเทวะ!”
เขาตะโกนออกมาอย่างแตกตื่น ผู้นำแสนป่าเถื่อนแห่งกลุ่มทหารรับจ้างอันธพาลหันหลังวิ่งหนีเป็นคนแรก
“เจ้าพวกมนุษย์โสโคก กล้ามาขโมยผลหลิวหลีของข้า พวกเจ้าต้องชดใช้!”
เหยี่ยวปีกทองตะโกนก้องอย่างโกรธแค้น ปีกคู่ขนาดใหญ่ของมันโบกสะบัดไปด้านหน้าอย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดกระแสลมแรงที่พัดเอาสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจที่กำลังออกวิ่งล้มกลิ้งระเนระนาดไม่สามารถหนีไปได้
“เพ่ย ปากดีนักนะไอ้นกยักษ์ พวกข้าจะเด็ดปีกเจ้าเอง ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเราที่มีตั้งหลายคนจะจัดการเจ้าไม่ได้!”
เมื่อเห็นว่าพวกตนไม่มีทางหนีไปไหนได้อีก หลี่เปียวก็ชักอาวุธรวมถึงเรียกอสูรมายาของตัวเองออกมา คนของเขาเองก็พากันเรียกอสูรมายาคู่กายออกมาด้วยเช่นกัน
มุมปากของฉินอวี้โม่กระตุกเป็นรอยยิ้มแสนเย็นชาขึ้นทันทีเมื่อเห็นหลี่เปียวและลูกน้องกำลังถูกเหยี่ยวปีกทองเล่นงาน…อดีตสาวนักฆ่ารู้ว่า ในตอนนี้โอกาสได้มาถึงแล้ว
“ทุกท่านโปรดฟัง ขอให้รออยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะเข้าไปเอาผลหลิวหลีมา”
ฉินอวี้โม่หันไปประกาศกับเหล่าทหารแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน พร้อมกันนั้นเสี่ยวเฮยตัวน้อยก็คืนร่างกลับมาสู่รูปลักษณ์แท้จริง
ยูนิคอร์นสีนิลอันสง่างามที่ปรากฏขึ้นข้างกายสตรีผู้อาสาบุกไปชิงผลไม้วิเศษ ทำให้สมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนหลายคนผงะไป
“เสี่ยวเฮย พาข้าเข้าไปเอาผลหลิวหลี”
ฉินอวี้โม่กระโดดขึ้นไปบนหลังของอาชาสีดำก่อนจะชี้ออกไปที่ผลหลิวหลี
เสี่ยวเฮยพยักหน้ารับแล้วสยายปีกบินตรงไปยังจุดนั้นทันที
.
.
ตอนที่ 36 ผลหลิวหลี
“เหตุใดท่านแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
เมื่อเห็นร่างอันสง่างามลงมาจากรถม้า ฉีอวี้และฉีฉีก็ยิ้มพร้อมกับรีบเดินออกไปต้อนรับ
“เด็กน้อย ไปเตรียมตัว ได้เวลาที่เราจะต้องกลับบ้านกันแล้ว”
เหวินหย่าเอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ทว่าคำพูดนั้นกลับทำให้ใบหน้าของฉีฉีและฉีอวี้ค้างแข็งไปชั่วขณะ
“กลับเหรอ? พวกเรายังไม่ได้เข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองกันเลยนะเจ้าคะ”
เมื่อได้ยินคำว่ากลับบ้าน ฉีฉีก็ถามออกมาเสียงดังด้วยความประหลาดใจ นัยน์ตาสุกใสของหนูน้อยมีแววดื้อดึง นางยังไม่อยากไปจากที่นี่ในตอนนี้
“อ่า เสด็จพ่อของเจ้าส่งข่าวมา บอกให้เรารีบกลับโดยเร็วที่สุด แม้จะยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พวกเราก็ไม่ควรชักช้า ดูแล้วพระองค์กำลังทรงร้อนพระทัยมาก”
สตรีผู้สง่างามถอนหายใจพลางกล่าวอย่างอ่อนโยน ในตอนที่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในโรงเตี๊ยม เหวินหย่าก็ได้พบกับลั่วชิงซานที่เร่งรีบเข้ามาพบ
จากนั้นท่านเจ้าเมืองก็ได้มอบจดหมายฉบับหนึ่งให้นาง เมื่อได้เห็นเนื้อความในจดหมาย นางก็ตัดสินใจจะกลับไป๋อวิ๋นทันที
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เมื่อได้ยินสิ่งที่เหวินหย่ากล่าวและยังเห็นท่าทางที่นอบน้อมของลั่วชิงซานลุงของเขา หลี่หลินผู้ยโสโอหังที่วางท่าสูงส่งไปเมื่อครู่ก็หวาดกลัวจนพูดไม่ออก
“เจ้าเดรัจฉาน ยังไม่รีบคุกเข่าขออภัยองค์ฮองเฮา องค์ชายสาม และองค์หญิงน้อยอีกเรอะ?!”
สิ่งที่ลั่วชิงซานได้ยินตอนที่เดินมานั้น เขาคิดว่าฮองเฮาเองก็คงได้ยินเช่นกัน สิ่งที่หลี่หลินกล่าวถือเป็นการลบหลู่เกียรติขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอย่างไม่น่าให้อภัย หากว่าสตรีผู้เป็นใหญ่จะคิดเอาผิด แม้ตัวเขาจะเป็นเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็คงปกป้องเจ้าหลานน่าตายเอาไว้ไม่ได้
— ตุบ! —
หลี่หลินเข่าอ่อน ร่างใหญ่ที่เคยวางท่าทรุดลงไปกับพื้นทันที
“องค์ฮองเฮา กระหม่อมสมควรตาย องค์ชายสาม องค์หญิง กระหม่อมสมควรตาย!”
ในตอนนี้เองที่หลี่หลินผู้ยโสโอหังอยากจะตบปากตัวเองแรงๆ สักร้อยครั้ง เมื่อครู่เขาเพิ่งจะแกว่งปากหาเรื่อง เอาคอไปพาดคมดาบ ตอนนี้หลี่หลินหวาดกลัวเป็นอย่างมาก หากเขารู้ว่าฉีฉีและฉีอวี้เป็นเชื้อพระวงศ์ เขาคงไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกไปแน่
“กระหม่อมจะสั่งสอนเจ้าเด็กไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคนนี้ให้ดีเอง ขอฮองเฮาโปรดเมตตาไว้ชีวิตเขาสักครั้ง”
ลั่วชิงซานรีบคุกเข่ากล่าวขอความเมตตา พลางจ้องมองหลี่หลินด้วยสายตาดุดันราวกับโกรธเกลียดหนักหนา
“เอาเถอะ เด็กน้อยคงไม่รู้ความ ท่านก็อย่าไปตำหนิเขานักเลย”
ฮองเฮาเหวินหย่ายิ้ม พระนางไม่ได้คิดถือสาหาความในเรื่องนี้
ฉีอวี้และฉีฉียิ้มออกมา พวกเขาเองก็ไม่ได้โกรธเคืองจนคิดจะเล่นงานหลี่หลินให้ถึงตายแต่อย่างใด
ฉินอวี้โม่เองก็เช่นกัน แค่นี้คนจองหองผู้นี้ก็คงจะหลาบจำไปอีกนานแล้ว เพราะหลังจากกลับไปท่านเจ้าเมืองก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่
— พรึ่บ! —
หลัวเจี๋ยกระโดดลงมาจากต้นไม้และเดินตรงเข้าไปหาองค์ฮองเฮา
“คารวะท่านหลัวเจี๋ย”
ลั่วชิงซานรีบเข้าไปทักทายหลัวเจี๋ย แม้อายุจะใกล้เคียง แต่ทั้งสถานะและความแข็งแกร่งของตัวเขาเองไม่ได้สูงเท่าเทียมกับอีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงเรียกหลัวเจี๋ยว่า ‘ท่าน’
“พวกเจ้าทำได้ดีมาก”
หลัวเจี๋ยพยักหน้าชมเชยให้กับหนุ่มสาวทุกคน แต่หันไปมองที่ฉินอวี้โม่
“ขอบท่านลุงหลัวเจี๋ยมาก”
ฉีอวี้และคนอื่นๆ ขอบคุณเขาอย่างสุภาพ
ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มแต่ไม่ได้กล่าวอะไร
“พี่อวี้โม่ จริงๆ แล้วพวกเราก็คือองค์ชายสามและองค์หญิงน้อยแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ส่วนท่านแม่ของข้าก็คือองค์ฮองเฮา และหลิงเฟิงเขามาจากตระกูลหลิงแห่งนครไป๋อวิ๋น”
ฉีฉีอธิบายเรื่องสถานะของทุกคนให้ฉินอวี้โม่ฟัง
“พี่อวี้โม่ นี่ข้ามอบให้ ถ้าพี่ได้ไปที่นครไปอวิ๋นในอนาคต ใช้มันเพื่อมาพบพวกเราได้ เราจะต้อนรับพี่อย่างดี”
องค์หญิงน้อยฉีฉีส่งป้ายหยกแสดงฐานะแผ่นหนึ่งให้ฉินอวี้โม่ พร้อมกับย้ำเตือนว่าเมื่อนางไปเยือนนครไป๋อวิ๋นก็ให้ไปพบพวกนางในวังหลวง
“พี่อวี้โม่ พี่ต้องไปให้ได้นะ พวกเราจะรออยู่ที่นครไป๋อวิ๋น”
ฉีฉีมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาที่คาดหวังพร้อมกับกำชับพี่สาวคนโปรด ก่อนจะหันหลังขึ้นรถม้าไป ในเวลานี้เหลือเพียงนางและหลิงเฟิงที่ยังรั้งรออยู่ด้านนอก
หลิงเฟิงเองก็พยักหน้าให้ฉินอวี้โม่แล้วขึ้นรถม้าตามองค์หญิงไปด้วย ส่วนหลัวเจี๋ยนั้นนั่งอยู่ด้านหน้ารถม้าแล้ว เขาทำหน้าที่เป็นผู้บังคับรถม้าด้วยตัวเอง
“แม่นางอวี้โม่ ข้าสงสัยจริงๆ ว่าเจ้าจะเติบโตไปถึงจุดไหนในตอนที่ไปถึงนครไป๋อวิ๋น ข้าจะรอดูเมื่อพบเจ้าอีกครั้ง”
หลัวเจี๋ยยิ้มใจดีให้ฉินอวี้โม่และบังคับรถม้าให้ออกเดินทาง
ฉินอวี้โม่โบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม นางมองดูฉีอวี้และฉีฉีที่ยังคงทอแววตาอาลัยอาวรณ์พร้อมกับโบกมือกลับมาให้ อีกไม่นานนางเองก็คงจะได้เดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเช่นกัน
ฉินอวี้โม่โบกมือให้พวกเขาด้วยรอยยิ้ม นางมองดูฉีอวี้และฉีฉีที่ยังคงทอแววตาอาลัยอาวรณ์พร้อมกับโบกมือกลับมาให้ อีกไม่นานนางเองก็คงจะได้เดินทางไปยังนครไป๋อวิ๋นเช่นกัน
“เจ้าเด็กสารเลว ถ้าข้ามาไม่ทัน หรือองค์ฮองเฮาไม่เมตตา ข้าก็อยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะมีจุดจบยังไง!”
ลั่วชิงซานจ้องมองหลี่หลินแล้วตวาดใส่อีกครั้งก่อนจะหันหน้าหนีและไม่มองเขาอีกเลย
“เจ้าคงจะเป็นคนที่อวิ๋นเอ๋อร์พูดถึงสินะ หญิงสาวอายุน้อยที่เป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตทิพย์มายา”
ลั่วชิงซานมองดูฉินอวี้โม่ เมื่อเขาสังเกตเห็นเสี่ยวเฮยบนไหล่ของนาง เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“อา~ ช่างเป็นหญิงงามที่มากความสามารถโดยแท้ อีกไม่กี่วันจะถึงเทศกาลอสูรล้อมเมืองแล้ว แม่นางฉินอวี้โม่ ข้าหวังว่าเจ้าจะอยู่รอจนถึงวันนั้น”
“ท่านเจ้าเมืองเอ่ยชมเกินไปแล้ว ส่วนเรื่องอสูรล้อมเมือง ข้าเองก็อยากจะเข้าร่วมให้ได้”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม นางค้อมหัวลงเล็กน้อยแต่ไม่กล้ารับคำชมเชยจากบุรุษผู้รั้งตำแหน่งเจ้าเมืองแห่งเมืองนี้
“ฮ่าฮ่า แม่นางฉินช่างถ่อมตัวยิ่งนัก ดีจริงๆ ”
ลั่วชิงซานยิ้มชอบใจพลางพยักหน้า
“ตอนนี้พวกเรากำลังจะกลับเมืองกันแล้ว แม่นางฉิน เจ้าอยากจะอยู่ชมป่าแสงจันทร์ต่ออีกสักหน่อย หรืออยากจะกลับพร้อมกับพวกเรา?”
ลั่วชิงซานรับหน้าที่คุ้มกันฮองเฮาเหวินหย่ามายังป่าแสงจันทร์แห่งนี้ เมื่อพระนางจากไปแล้ว ตอนนี้เขาเองก็ควรจะรีบกลับเช่นกัน
“ขอบคุณท่านที่เมตตา ข้าอยากจะเดินเล่นอยู่ในป่านี้ต่ออีกหน่อย”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและบอกปฏิเสธไป
“ท่านพ่อ ข้าเองก็อยากจะเดินชมป่าแสงจันทร์เช่นกัน ท่านพ่อกลับก่อนได้เลยขอรับ”
ลั่วอวิ๋นมองดูฉินอวี้โม่ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับลั่วชิงซาน
“ตามใจเจ้า แม่นางฉินดูแลตัวเองด้วย หากมีปัญหาขัดข้องสิ่งใดก็มาหาข้าที่จวนเจ้าเมืองได้”
ลั่วชิงซานกล่าวก่อนจะหันกลับไปตวาดใส่หลี่หลินที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น
“ส่วนเจ้า! คนสารเลว! เจ้ากลับไปพร้อมข้า ข้าจะไปพบแม่ของเจ้าและบอกให้นางสั่งสอนเจ้าให้หนัก!”
กล่าวจบลั่วชิงซานก็มุ่งหน้ากลับเข้าเมือง
หลี่หลินจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น ก่อนจะลุกขึ้นและพาคนของตัวเองกลับไปพร้อมกับลั่วชิงซาน พวกเขาทั้งหมดเดินลับหายไปจากสายตาของฉินอวี้โม่ในเวลาไม่นานนัก
“ข้าจะอยู่กับคุณหนูด้วย”
เสี่ยวโร่วกล่าวเสียงใส สาวใช้น้อยตัดสินใจไม่กลับไปยังโรงเตี๊ยมเพราะนางอยากจะอยู่กับฉินอวี้โม่และเดินชมสิ่งที่น่าสนใจในป่าแสงจันทร์แห่งนี้
“ตามใจเจ้า”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้
“แม่นางฉินจะรังเกียจหรือไม่ หากคนว่างงานจอมอู้อย่างข้าจะขอสมัครเป็นเพื่อนเที่ยวชมป่ากับท่าน”
ลั่วอวิ๋นกล่าววาจาติดตลกพลางยิ้มกลบเกลื่อน จริงๆ แล้วเขาเพียงแต่เป็นกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของฉินอวี้โม่และสาวใช้หากปล่อยให้สตรีทั้งสองอยู่กันตามลำพัง ถ้าเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเขาก็จะได้ช่วยนางรับมือได้
“จะรังเกียจได้อย่างไร ข้ายินดีเสียอีกที่จะได้คนมาช่วยอีกแรง”
ฉินอวี้โม่ยิ้ม ก่อนจะลงมือดึงเอาแก่นมายาและแกนชีวิตที่ยังคงเหลืออยู่จากซากของหมาป่าสายลมที่กองกระจัดกระจายบนพื้นออกมา หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อย นางและเสี่ยวโร่ว พ่วงด้วยสหายผู้เที่ยวชมป่าก็มุ่งหน้าเข้าไปยังป่าในส่วนที่ลึกขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรก็ยังเหลือเวลาอีกหลายวันกว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองจะเริ่มต้น ฉินอวี้โม่จึงอยากจะลองสำรวจสถานการณ์ในป่าเสียก่อน อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋นด้วย
ลั่วอวิ๋นยิ้มและติดตามไป ตอนนี้เขายิ่งสนใจฉินอวี้โม่มากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณหนู ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งมาก ข้าชื่นชมท่านจริงๆ”
เสี่ยวโร่วติดตามฉินอวี้โม่ไปและมองเจ้านายสาวด้วยสายตาชื่นชม ‘ตอนนี้คุณหนูสี่ของนางฝีมือสูงส่ง คุณหนูของนางไม่ใช่หญิงไร้ค่าแห่งเมืองหลิงซีอีกต่อไปแล้ว’
“เด็กโง่ เจ้าเองก็ตั้งใจฝึกฝนให้ดี เดี๋ยวเจ้าก็จะแข็งแกร่งขึ้นได้เหมือนข้า”
ฉินอวี้โม่ลูบหัวเสี่ยวโร่วและยิ้มอย่างเอ็นดู
“เจ้าค่ะ ข้าจะพยายาม”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าตอบรับหนักแน่น ตอนนี้สาวใช้น้อยมีความตั้งใจเต็มเปี่ยม แม้ว่าตัวนางจะไม่ได้มีร่างกายที่พิเศษหรือมีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ตราบใดที่ยังมีจิตใจมุ่งมั่นไม่ย่อท้อ นางก็ยังพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นได้เพื่อที่จะอยู่เป็นผู้ช่วยของคุณหนูไปได้อีกนานๆ และเพื่อที่จะตามหาตัวฮูหยินให้เจอด้วย ฉะนั้นนางจะต้องพยายามให้หนัก
ลั่วอวิ๋นมองดูเสี่ยวโร่วแล้วยิ้มตามอย่างอดไม่ได้ เมื่อได้ยินบทสนทนาของหญิงสาวทั้งสอง แม้แต่เขาเองก็ยังเกิดแรงจูงใจ ‘ฉินอวี้โม่ทำให้คนรอบตัวคล้อยตัวนางได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญคำพูดของนางมีแรงผลักดันในทางที่ดี….สตรีงดงามผู้นี้ช่างแตกต่างผู้อื่นยิ่งนัก!’
เนื่องจากยังไม่มีจุดมุ่งหมายที่แน่ชัด คณะเที่ยวชมป่าทั้งสามจึงเดินทางกันด้วยความเร็วไม่สูงมาก
และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน คนทั้งสามก็ได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้นจากจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก หนึ่งบุรุษสองสตรีหันมามองหน้ากันก่อนจะเคลื่อนที่ตรงไปยังทิศทางของเสียงอย่างช้าๆ
เมื่อมุ่งหน้ามาจนพ้นเขตของป่าทึบ เบื้องหน้าพวกเขาก็ปรากฏแนวของทิวเขาขนาดย่อม รอบๆ ทิวเขานั้นมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมการจะทำบางสิ่งบางอย่าง
ที่ตีนเขา มีคนนับสิบกำลังจับกลุ่มปรึกษากันอยู่ บ้างก็นั่งจับเจ่าอย่างคิดไม่ตก บ้างก็ยืนกอดอกครุ่นคิด แต่ทุกคนต่างมีแววตาขุ่นมัวไม่สบอารมณ์เช่นเดียวกัน และหลายคนก็แสดงสีหน้าแค้นเคืองหนักหน่วง
“บัดซบ เราอุตส่าห์รอกันตั้งนานเพื่อให้ผลไม้นั่นสุก แต่กลับมีเจ้าพวกต่ำช้ามาปล้นมันไปซะได้!”
บุรุษผู้หนึ่งกล่าวขึ้นอย่างโกรธเคือง พลางจ้องมองหินก้อนหนึ่งด้วยสายตาหงุดหงิดงุ่นง่านปนเดือดดาล คล้ายว่าเขาเคยถูกมันตกกระแทกนิ้วก้อยเท้ามาก่อน
“เป็นอย่างที่คนเขากล่าวกันไว้จริงๆ วิธีที่ดีที่สุดที่จะก้าวนำผู้อื่นได้เสมอก็คือต้องปล้นของผู้อื่น เพ่ย! เจ้าพวกนี้มันหน้าไม่อายจริงๆ!!”
ชายอีกคนเองก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความโกรธและไม่ยินยอมเช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดสวมชุดรัดกุมที่มีรูปแบบเดียวกัน ดูแล้วพวกเขาคงจะเป็นกลุ่มทหารรับจ้าง
“ถ้าไม่ใช่เพราะนายน้อยยังมาไม่ถึง มีหรือที่พวกมันจะกล้าทำกับเราแบบนี้? ไอ้พวกชาติชั่วนั่นยังกล้าเรียกตัวเองว่ากลุ่มทหารรับจ้างได้อีกรึ”
“เหอะ กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจของพวกมันคงจะเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นระดับหนึ่งเทียบเท่ากับพวกเราได้แน่หลังจากเอาผลไม้นั่นไป แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การกระทำของพวกมันก็น่ารังเกียจยิ่งนัก พวกสารเลว! พวกมันทำให้เกียรติของทหารรับจ้างต้องมัวหมอง!”
ชายอีกคนกล่าวขึ้นมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม จากบทสนทนาเหล่านี้ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังไม่พึงพอใจอะไรบางอย่าง
กลุ่มของฉินอวี้โม่ทั้งสามคนหันมามองหน้ากัน ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงเข้าไปหาคนกลุ่มนั้น
จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้อยากจะยุ่งเรื่องของผู้อื่น แต่ทว่าชื่อของบางสิ่งที่พวกเขาได้ยินทำให้ทั้งสามคนต้องชะงักไป–สิ่งนั้นก็คือผลหลิวหลี
เมื่อกลุ่มบุรุษชุดรัดกุมเห็นว่าจู่ๆ ก็มีคนสามคนโผล่ออกมาจากป่าทางด้านหลัง พวกเขาก็ผงะไปเล็กน้อย
“ขออภัย พวกท่านกำลังหมายถึงผลหลิวหลีกันใช่หรือไม่?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามขึ้นทันที นางจำได้ว่าก่อนหน้านี้ ฉีฉีก็เคยเล่าให้นางฟังว่าในป่าแสงจันทร์แห่งนี้มีผลไม้ที่วิเศษชนิดนี้อยู่ด้วย
“ถูกต้องแล้ว”
บุรุษผู้ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากลุ่มพยักหน้าและเดินเข้ามา
“ยินดีที่ได้พบท่านทั้งสาม พวกเราคือกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนสังกัดหน่วยที่สาม ข้าคือหัวหน้าหน่วยนามว่า–เสี้ยวฮัง ส่วนคนเหล่านี้คือสมาชิกของเรา”
เสี้ยวฮังก้าวออกมา และกล่าวแนะนำตัวเองและสมาชิก
ฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่ว และลั่วอวิ๋น แต่ละคนล้วนแต่งตัวดูดีท่าทางจริงจังน่าเชื่อถือ เสี้ยวฮังคิดว่าผู้ที่จะแต่งตัวดูดีเช่นนี้และยังอยู่ในเมืองเยว่กวางในช่วงเวลาใกล้ถึงเทศกาลอสูรล้อมเมืองได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีฐานะหรือไม่ก็มีฝีมือไม่น้อย เขาจึงเจรจากับฉินอวี้โม่ด้วยความนอบน้อม
ในดินแดนหวงหลิงแห่งนี้ ความแข็งแกร่งถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่าง สำหรับกลุ่มทหารรับจ้างที่เคร่งครัดด้านระเบียบวินัยอย่างกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนแล้ว เมื่อยังไม่แน่ใจอย่างชัดเจนในสถานะและความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายพวกเขาก็จะแสดงความเคารพยำเกรงไว้ก่อน
คำพูดแนะนำตัวอันนอบน้อมของเสี้ยวฮังทำให้ฉินอวี้โม่โค้งศีรษะกลับไปอย่างอ่อนน้อมเช่นกัน เมื่อได้ยินชื่อกลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มนี้อีกครั้ง นางก็อดนึกถึงบุรุษคนซื่อนามว่าชื่อเซียวผู้นั้นไม่ได้
นางได้ยินคนกลุ่มนี้พูดถึงนายน้อย นางจึงคิดว่าชื่อเซียวเองก็อาจจะมาที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้ด้วยก็ได้
แม้ว่าในอดีตคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจะไม่เห็นฉินอวี้โม่อยู่ในสายตา และในตอนนั้นเธอก็ไม่ชอบทัศนคติของพวกเขา ทว่าหลังจากที่พวกเขาได้ฟัง ‘สุนทรพจน์’ ของเธอไป พวกเขาก็ค่อยๆ สำนึกได้ ตอนนี้พวกเขาไม่มีความหยิ่งยโสในแบบผิดๆ เช่นนั้นกันอีกแล้ว ซึ่งนั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่มีความรู้สึกที่ดีกับกลุ่มทหารรับจ้างชื่อเหยียน
และชื่อเซียวเองก็เป็นสุภาพบุรุษที่อ่อนน้อม ก่อนหน้านี้เขาก็ยังกังวลเรื่องความปลอดภัยของนางตอนอยู่ในถ้ำยูนิคอร์น ฉินอวี้โม่จึงนับว่าชื่อเซียวเป็นบุคคลที่น่าคบหาคนหนึ่ง
“ข้าได้ยินว่าพวกท่านถูกปล้นบางอย่างไป พอจะบอกให้ข้าทราบได้หรือไม่ว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง?”
เนื่องจากอีกฝ่ายก็เป็นกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่มีไมตรีต่อนาง และพวกเขายังเกี่ยวข้องกับผลหลิวหลีที่นางสนใจ ฉะนั้นนักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูจึงอยากจะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย
ตอนที่ 35 ท่านลุงของข้าเป็นถึงเจ้าเมืองเชียวนะ
“บัดซบ ใครเป็นคนทำ ออกมาหาบิดาผู้นี้ซะดีๆ!”
เมื่อชายคนนั้นเห็นกระบี่ในมือถูกกระแทกจนกระเด็นไปตกอยู่บนพื้น เขาก็รีบหันขวับไปยังทิศทางที่ฉินอวี้โม่และคณะยืนอยู่แล้วขู่คำรามอย่างเดือดดาล
“เจ้าเรียกใครอย่างนั้นหรือ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและถามน้ำเสียงนุ่มนวล
“เรียกเจ้านั่นแหละ”
ชายคนนั้นตอบคำถามของฉินอวี้โม่ออกไปตรงๆ
“ดี แต่ข้าไม่ใช่ลูกเจ้า”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับไปด้วยวาจาเสียดสี
เมื่อได้ยินคำพูดของโฉมงามผู้มีฝีมือเก่งกาจ คณะนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้
ฉีอวี้และหลิงเฟิงไม่สามารถหยุดหัวเราะได้เลย ในขณะที่ฉีฉีนั้นหัวเราะตัวงอจนน้ำตาไหลออกมาแล้ว ราวกับว่าพวกเขาทั้งสามไม่เคยได้ยินอะไรที่ตลกขนาดนี้มาก่อน ต่างจากโจรชิงแก่นมายาปากดีที่ยืนนิ่งอย่างขบคิด
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ! ไหนลองพูดอีกครั้งสิ!”
ในที่สุดชายผู้นั้นก็คิดได้ เมื่อเข้าใจคำด่าทอของฉินอวี้โม่เขาก็รีบตอบโต้พลางชี้หน้าด้วยความเดือดดาล
“ของดีมีเพียงครั้งเดียว หากเจ้าอยากจะฟังอีกเป็นครั้งที่สอง เจ้าก็ต้องจ่ายแพงหน่อยนะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าววาจาเสียดสีต่อ
“เจ้า!!!…”
ด้วยวาจาเสียดสีของฉินอวี้โม่ ชายผู้นั้นจึงทนไม่ไหว เขาก้มลงเก็บกระบี่ที่พื้นแล้วตั้งท่าเตรียมพร้อมจู่โจม
“พอแค่นั้นแหละ!”
หลี่หลินที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งตะโกนขึ้นมาพลางจ้องหน้าผู้ติดตามของตนเพื่อสั่งให้เขาหยุดมือ
“เจ้ามาจากที่ใด เหตุใดถึงกล้ามาลบหลู่คนของข้า?”
หลี่หลินย่างสามขุมเข้ามาอย่างวางท่า ขณะเดียวกันเขาก็กล่าววาจาด้วยเสียงเนิบช้าพลางเชิดหน้าเล็กน้อย ท่าทางของเขาดูราวกับเป็นองค์ชายผู้สูงศักดิ์ก็มิปาน
“พวกข้าอยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่คนของเจ้าเองนั่นแหละที่ไร้ตา ถึงได้มองไม่เห็นพวกเรา”
ฉินอวี้โม่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย คนเหล่านี้มาถึงก็ลงมือชิงของผู้อื่น เห็นชัดว่าไม่คิดจะสังเกตดูพวกนางตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ
“แค่ก– เรื่องนั้นช่างมันก่อน แต่เหตุใดเจ้าถึงลบหลู่คนของข้า?”
หลี่หลินสำลักวาจาของฉินอวี้โม่ เพราะแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นสตรีผู้นี้และสหายของนางจริงๆ
“หึ หากมีคนมาปล้นแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า พวกเจ้าจะไม่เข้าไปขว้างอย่างนั้นหรือ?!”
หลินเฟิงกล่าวขึ้นมาด้วยความขุ่นเคือง พลางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก
“แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกเจ้า?”
หลังจากที่กวาดสายตามองคณะล่าหมาป่าของฉินอวี้โม่ หลี่หลินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
“อย่ามาตลกไปเลยหน่อยเลย แค่พวกเจ้าจะฆ่าอสูรมายามากมายถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?”
“อะแฮ่ม!”
หลังจากหยุดและส่งเสียงกระแอมออกมาครั้งหนึ่งเขาก็กล่าวต่อ “ที่สำคัญ ต่อให้พวกเจ้าฆ่าพวกมันจริงก็เถอะ แต่แก่นมายาในตัวหมาป่าเหล่านี้มีชื่อพวกเจ้าสลักเอาไว้งั้นหรือ ในเมื่อคนของข้าเป็นผู้มาพบมัน ถ้าหากว่าพวกเราจะเก็บก็เป็นสิทธิ์ของเรา”
วาจาของหลี่หลิงหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก เหมือนกับว่าเขาไม่สนใจว่าผู้ใดจะเป็นผู้ที่สังหารอสูรมายาเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องการจะเก็บเอาแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนี้ไป อีกอย่างเขาก็มั่นใจว่าไม่ว่าอย่างไรกลุ่มคนที่ดูกระจอกงอกง่อยกลุ่มนี้ก็คงจะขัดขวางพวกเขาไม่ได้แน่
ความคิดของหลี่หลินนับว่าไม่ผิด เขาพาคนติดตามมาด้วยเป็นมากมาย ดูเหมือนว่าฝ่ายพวกเขาจะแข็งแกร่งกว่าฝ่ายของฉินอวี้โม่มาก
เมื่อพิจารณาดูแล้ว มีเพียงฉินอวี้โม่คนเดียวที่อาภรณ์ยังคงอยู่ในสภาพดี ส่วนฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงนั้นเนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบโลหิต แม้ว่าบุรุษสองคนในกลุ่มอาจจะแข็งแกร่งอยู่บ้าง แต่ดูแล้วก็น่าจะเพิ่งผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงมา ไม่ต้องพูดถึงเด็กหญิงผมเปียตัวกะเปี๊ยกที่เห็นชัดว่าอ่อนแอที่สุดในกลุ่ม หากคนพวกนี้ต้องรับมือกับคนของเขาในตอนนี้แล้ว หลี่หลินก็เชื่อว่าฝ่ายตัวเองจะมีชัยอย่างแน่นอน
“เจ้าคนหน้าไม่อาย เจ้ากล้าเหรอ?”
เมื่อฉีฉีได้ยินสิ่งที่หลี่หลินกล่าวออกมา นางก็อดไม่ได้ที่จะชี้หน้าต่อว่าเขากลับไป
“เพ่ย ไม่เจียมตัว! เป็นแค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับกล้ามาขู่ข้าอย่างนั้นรึ?”
เมื่อได้ยินวาจาโอหังของฉีฉี สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ผู้เป็นหลานชายของเจ้าเมืองเยว่กวางเริ่มโกรธขึ้นมา
“เจ้าคนบ้า ข้าจะเล่นงานเจ้า”
ฉีฉีไม่ได้เกรงกลัว นางหยิบก้อนหินขึ้นมาและปาใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
ฉีฉีไม่ได้เกรงกลัว นางหยิบก้อนหินขึ้นมาและปาใส่อีกฝ่ายอย่างแรง
และเป็นเพราะหลี่หลินไม่คิดว่าเด็กตัวเล็กๆ จะขวัญกล้าทำอะไรคุณชายสูงส่งอย่างเขา เขาจึงไม่ทันได้เตรียมรับมือ ถูกก้อนหินที่ฉีฉีขวางมาอัดเข้าที่หน้าอกอย่างแรง บุรุษผู้คิดว่าตนสูงส่งรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก เจ็บกายไม่เท่าไหร่และเจ็บใจนั้นมากกว่า
หลี่หลินเอามือกุมบริเวณที่ถูกก้อนหินปะทะพลางมองฉินอวี้โม่และเหล่าสหายด้วยแววตาโกรธจัด เขาคิดไม่ถึงเลยว่าอีกฝ่ายจะโอหังไม่ไว้หน้าเขาถึงเพียงนี้ “หึ ตอนแรกข้าคิดจะไม่ถือสาหาความเรื่องที่พวกเจ้ามาหยามพวกเรา แต่ในเมื่อกล้ามาลงมือกับข้าเช่นนี้ เห็นทีข้าจะปล่อยพวกเจ้าไปไม่ได้แล้ว”
“บอกมาว่าใครคือหัวหน้าของพวกเจ้า?”
หลี่หลินจ้องมองคณะล่าหมาป่าเรียงคน ด้วยความเดือดดาล
“ข้าเอง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยปากรับอย่างไม่ลังเล นางกล่าวต่อเสียงเรียบ “มีอะไรจะชี้แนะข้าอย่างนั้นหรือ?”
“ฮ่าฮ่า ชี้แนะรึ? ใช่ข้ามีคำจะชี้แนะเจ้า!!” หลี่หลินแค่นเสียง
คุณชายผู้ว่าทางสูดลมหายใจเข้าลึกและผ่อนออกครั้งหนึ่งเพื่อควบคุมอารมณ์ เขาเดินวนไปวนมาก่อนจะหันมายิ้มเย็นพลางกล่าวต่อ “เจ้าเพิ่งจะหยามคนของข้าแล้วเด็กนั่นยังกล้าลงมือกับข้าอีก เรื่องนั้นทำให้ข้าไม่พอใจมาก ฉะนั้นถ้าวันนี้พวกเจ้าไม่มีคำตอบดีๆ ให้กับข้าล่ะก็ พวกเจ้าไม่ได้ออกไปจากที่นี่แน่”
“งั้นพูดมาว่าเจ้าต้องการอะไร?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่หลิน มุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันทันที นางรู้เจตนาของอีกฝ่ายตั้งแต่แรกแล้ว
“เนื่องเจ้าบอกว่าพวกเจ้าเป็นคนฆ่าหมาป่าสายลมพวกนี้ ข้าก็ไม่อยากจะขัดการโอ้อวดของพวกเจ้า ขอเพียงแค่พวกเจ้ามอบแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกหมาป่าทั้งหมดรวมถึงตัวหัวหน้านั่นมา ข้าก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป มิฉะนั้นแล้ว…”
หลี่หลินหยุดพูดแล้วเชิดหน้าขึ้นพร้อมกับดีดนิ้วเสียงดัง *เป๊าะ!* ซึ่งในทันทีที่เขาทำเช่นนั้น กลุ่มคนที่อยู่ด้านหลังของเขาก็พุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่และสหายทั้งสามคนเอาไว้
เมื่อครู่นี่เองที่หลี่หลินสังเกตเห็นว่า มีแก่นมายาและแกนชีวิตมากกว่าครึ่งหนึ่งถูกดึงออกไปจากซากหมาป่าแล้ว และในบรรดาหมาป่าสายลมทั้งหมดยังมีตัวที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นอยู่ด้วย ซึ่งแก่นมายาของมันก็ถูกดึงออกไปแล้วเช่นกัน หลี่หลินจึงเกิดความคิดที่จะบีบบังคับให้หนุ่มสาวสี่คนตรงหน้ายอมส่งพวกมันให้เขา
แต่เดิมหลี่หลินคิดเพียงว่าจะเอาแก่นมายาและแกนชีวิตจากซากของอสูรมายาที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น แต่เมื่อถูกอีกฝ่ายเล่นงานเช่นนี้ ก็ทำให้เขาคิดข้ออ้างอันแสนชอบธรรมในการบีบบังคับเอาแก่นมายาทั้งหมดขึ้นมาได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะโง่งมได้ถึงเพียงนี้”
ฉินอวี้โม่แย้มรอยยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะกล่าววาจาถากถาง
“อสูรมายากลุ่มนี้ พวกเราเป็นผู้สังหาร แก่นมายาและแกนชีวิตทั้งหมดจึงเป็นของพวกเรา ข้าเห็นพวกเจ้าบางคนแอบเอาพวกมันออกไป ข้าขอแนะนำให้พวกเจ้าส่งคืนมาแต่โดนดี ถ้าข้าโกรธขึ้นมา เรื่องไม่จบง่ายๆ แน่”
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวคำขู่ของหลี่หลินเลยแม้แต่น้อย ยิ่งเป็นเหล่าหนุ่มสาวจากนครไป๋อวิ๋นแล้ว ยิ่งไม่เห็นคนที่มีสถานะเป็นเพียงหลานเจ้าเมืองอย่างหลี่หลินอยู่ในสายตา!
ระดับพลังของหลี่หลินนั้นไม่ได้สูงส่งมากนัก ส่วนคนของเขาก็ไม่ได้น่ากลัวเลยเช่นกัน คนที่มีระดับพลังสูงสุดก็เป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาแปดดาราเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนมาก แต่ฉินอวี้โม่และคนทั้งสี่กลับรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่คู่ควรอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
หนุ่มสาวผู้เดินทางมาจากเมืองหลวงทั้งสามยังคิดเลยว่า แค่ฉินอวี้โม่เพียงผู้เดียวก็เพียงพอที่จะรับมือกับคนพวกนี้ทั้งหมดได้แล้ว
“ช่างกล้านัก!!!”
เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลี่หลินก็กัดฟันกรอดอย่างโกรธเคือง “ข้าบอกให้พวกเจ้ารีบส่งแก่นมายามา อย่างได้ชักช้า คนของข้ากำลังรีบ!!!”
“ส่งให้บิดาเจ้าสิ เจ้าพวกโง่!”
ฉินอวี้โม่ตวาดออกไป ทันใดนั้นร่างบางก็กระโจนไปอยู่ข้างกายหลี่หลินในพริบตา เวลานี้กริชน้ำแข็งที่งดงามแวววาวกำลังจี้อยู่ที่คอของคุณชายท่ามากอย่างน่าหวาดเสียว!
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าตัดศีรษะของเจ้าขาดได้ง่ายๆ ”
“เชื่อหรือไม่ว่าข้าตัดศีรษะของเจ้าขาดได้ง่ายๆ ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นขณะมองดูหลี่หลินที่กำลังกลัวจนตัวสั่นด้วยสายตาเย้ยหยัน
ยังไม่ทันที่คนของหลี่หลินจะตอบสนองก็ต้องพบว่าหัวหน้าของตนตกอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว การเคลื่อนไหวของสตรีอาภรณ์ขาวผู้นั้นรวดเร็วเสียจนพวกเขามองตามไม่ทัน สถานการณ์ในตอนนี้น่าวิตกยิ่งนักเพราะนางอาจจะฆ่าเขาได้ทุกเวลา!
“ปล่อยนายน้อยเดี๋ยวนี้นะ!”
คนของหลี่หลินรีบส่งเสียงออกมาอย่างกระวนกระวายแล้วตรงเข้าจู่โจมฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิง อย่างไม่ลังเล
“ข้าล่ะเชื่อพวกเจ้าจริงๆ”
ฉีอวี้หันไปสบตาหลิงเฟิง เขากลอกตาพลางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายก่อนจะเตะเข้าใส่กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามาจนร่วงลงไปกองกับพื้นทีละคนสองคน
“นี่พวกเจ้ามีสมองกันอยู่หรือไม่ พวกเจ้าอ่อนแอและไร้ความสามารถถึงเพียงนี้ แต่กลับกล้ามาที่ป่าแสงจันทร์ เท่านั้นยังไม่พอ ยังอาจหาญมาแย่งชิงของของพวกข้าโดยไม่ประมาณตัว ไม่กลัวตายกันรึยังไง?!”
ฉินอวี้โม่ดึงกริชของตัวเองกลับมาและจ้องมองหลี่หลินที่กำลังหน้าซีดเผือดตัวสั่นเทาด้วยสายตาดูถูก
“เหอะ จะ เจ้า! เจ้ากล้ามารังแกข้า กลับไปข้าจะไปรายงานท่านลุง รอให้ถึงตอนนั้นก่อนเถอะพวกเจ้าไม่รอดแน่”
แม้ว่าหลี่หลินจะหวาดกลัว แต่ปากของเขาก็ยังกล่าววาจาข่มขู่ ครั้งนี้เขาเอ่ยอ้างถึงท่านลุงเพื่อกดดันพวกฉินอวี้โม่
“ลุงของเจ้าเป็นใคร?”
ฉินอวี้โม่แสร้งทำเป็นใสซื่อและถามออกไปอย่างใคร่รู้
“ท่านลุงของข้าคือเจ้าเมืองเยว่กวาง ถ้าเขารู้ว่าพวกเจ้ากล้ารังแกข้า พวกเจ้าก็น่าจะพอคาดเดาผลลัพธ์ได้!”
หลี่หลินกล่าวอย่างภาคภูมิเมื่อพูดถึงลุงของตน พร้อมกันนั้นความกลัวของเขาค่อยๆ สลายไป
“หากพวกเจ้าขอโทษข้าและยอมส่งของมา ข้าจะยอมเมตตาไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้ง”
หลี่หลินกล่าววาจาโอหังราวกับตนเป็นผู้กุมชีวิตของอีกฝ่าย เขาคิดว่าที่แห่งนี้คือเมืองเยว่กวาง ฉะนั้นแล้วลุงของเขาคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด แม้ว่าฉินอวี้โม่และพวกพ้องจะแข็งแกร่ง แต่ก็ควรจะยอมขอโทษเขาหากได้ยินชื่อของท่านลุง
“พรวด ฮ่าฮ่าฮ่า!”
คำข่มขู่ของหลี่หลิน ทำให้ฉีอวี้ ฉีฉี และหลิงเฟิงขำพรวดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ราวกับได้ยินมุขที่ตลกเป็นอย่างมากอีกครั้ง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าลุงตัวเองเป็นเจ้าเมืองเยว่กวางแล้วจะวิเศษนักรึไง?”
ฉีฉีมองดูหลี่หลินด้วยสายตาดูถูกเป็นอย่างมาก “พวกเราเป็นถึงองค์หญิงและองค์ชายแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ทีนี้เจ้าลองบอกซิว่าสถานะของเจ้ากับสถานะของพวกเราใครสูงส่งกว่ากัน!”
แต่ทว่าทันทีที่หลุดปากเอ่ยออกไปเช่นนั้น ฉีฉีก็ฉุกคิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้
“พี่อวี้โม่ พอรู้สถานะของพวกเราแล้ว พี่จะไม่อยากเป็นเพื่อนกับพวกเราแล้วใช่หรือเปล่า?”
พวกนางไม่ได้ตั้งใจจะปกปิดสถานะของตนเองกับฉินอวี้โม่เลย ทว่าในโลกกว้างใหญ่ใบนี้มีผู้คนมากมาย อีกทั้งสถานะของพวกนางก็ไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าหากนางบอกสถานะที่แท้จริงออกไปแล้วอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร อีกฝ่ายอาจจะเกรงกลัวจนไม่กล้าที่จะคบหาด้วยเลยก็เป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเขาเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้กับฉินอวี้โม่แต่แรก
“เจ้าคิดมากไปแล้ว”
ฉินอวี้โม่บีบจมูกของหนูน้อยฉีฉีพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เรื่องสถานะของฉีฉีและพี่ชายนางพอจะดูออกมาตั้งนานแล้ว อย่างไรก็ตามถ้าอีกฝ่ายยังไม่ต้องการบอกให้รู้ นางเองก็ไม่กล้าเป็นฝ่ายถามก่อน และแน่นอนว่าฉินอวี้โม่จะไม่เปลี่ยนไปเพียงเพราะรู้เรื่องสถานะของสหายอย่างแน่นอน
“ฮ่าฮ่า ข้าก็คิดอยู่แล้วเชียว”
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ได้มีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากเดิม ฉีฉีก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตลกเป็นบ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นองค์หญิง องค์ชาย งั้นข้าก็เป็นจักรพรรดิแล้วล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
แน่นอนว่าหลี่หลินไม่เชื่อเรื่องนี้ เมื่อได้ฟังคุณชายจอมวางท่าก็หัวเราะขึ้นมาอย่างขบขัน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
เหล่าลูกน้องผู้ภักดีของเขาก็พากันหัวเราะ แม้ว่าบางคนจะลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นแล้วก็ตาม พวกเขาเองก็ไม่เชื่อคำพูดของฉีฉี
“หุบปาก!”
เมื่อได้ยินวาจาของหลี่หลิน กลุ่มหนุ่มสาวทั้งสามก็กล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธจัดของฉินอวี้โม่ หลี่หลินและลูกน้องก็พากันเงียบกริบในทันที พวกเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและบรรยากาศแห่งความตายจากกายของฉินอวี้โม่ ซึ่งมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
“หลี่หลิน คำพูดเมื่อครู่ของเจ้าถือว่ามีโทษ ฐานหมิ่นเบื้องสูง หากเจ้าเมืองทราบเรื่องนี้ เจ้าจะต้องถูกลงโทษสถานหนักแน่นอน”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาข่มขู่ หลี่หลินผู้นี้หยิ่งยโสจนน่าขันแถมยังโง่งมอย่างแท้จริง
“ฮ่าฮ่า หากท่านลุงของข้ารู้ว่ามีคนหน้าไม่อายแอบอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ ข้าเองก็อยากจะเห็นเช่นกันว่าใครกันแน่ที่จะถูกลงโทษฐานหมิ่นองค์จักรพรรดิ”
หลี่หลินยังคงหัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงกลัว
“เจ้าเดรัจฉาน หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลี่หลิน คนกลุ่มหนึ่งก็รีบตรงเข้ามายังจุดที่พวกเขาอยู่
ผู้ที่เดินนำขบวนเป็นชายวัยกลางคนที่กำลังทอแววตาเดือดดาล เขาผู้นี้ก็คือเจ้าเมืองเยว่กวาง–ลั่วชิงซาน ส่วนผู้ที่อยู่ข้างกายเขาและกำลังส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่อยู่ในขณะนี้ก็คือ ลั่วอวิ๋น
ตรงกลางของขบวนนั้น มีรถม้าหรูหราราคาสูงอยู่คันหนึ่ง ซึ่งผู้ที่นั่งอยู่ด้านก็คือเหวินหย่าและเสี่ยวโร่ว เมื่อเห็นตัวเห็นฉินอวี้โม่ เสี่ยวโร่วก็กระโดดลงจากรถม้าทันทีก่อนจะรับตัวนายหญิงเหวินหย่า แล้วพาเดินตรงมายังจุดที่หนุ่มสาวนักล่าหมาป่ารุ่นเยาว์ยืนอยู่
.
.
.
ตอนที่ 34 คิดจะปล้นชิง
“จ๊ากกกก~!”
เสียงของฉีฉีดังขึ้นมา ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะพุ่งตรงเข้ามาปิดล้อมเหล่าผู้เข้าแข่งขันในศึกชิงกริชน้ำแข็งเอาไว้
— ฉั้วะ! —
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นกลางฝูงหมาป่าในพริบตา สตรีโฉมงามดึงเอากริชออกมาและพุ่งเข้าใส่พวกมันทันที
“ไปกันเถอะ พวกเราจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้”
ฉีอวี้เอ่ยขึ้น หลิงเฟิง และฉีฉีบุกตะลุยเข้าหาฝูงหมาป่าพร้อมๆ กัน
ในตอนแรก พวกเขาก็รู้สึกเป็นกังวลที่เห็นฉินอวี้โม่บุกเข้าหาฝูงหมาป่าในทันทีเช่นนั้น
แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหลัวเจี๋ยที่ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พวกเขาก็ละทิ้งความกังวลเหล่านั้นลง เพราะตราบใดที่หลัวเจี๋ยยังอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครได้รับอันตรายอย่างแน่นอน
แม้ว่าฉีอวี้และหลิงเฟิงจะเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตทิพย์มายาเก้าดาราด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสฝึกการต่อสู้ในสถานการณ์จริงมาก่อนจึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนจะยังไม่กล้าพุ่งเข้าจู่โจมฝูงหมาป่าในทันทีเช่นเดียวกับที่ฉินอวี้โม่ทำ
ส่วนฉีฉีนั้น ระดับพลังของนางเพิ่งจะเข้าถึงขอบเขตทิพย์มายามาไม่นานและยังอยู่ในดาราที่ไม่สูงมาก แน่นอนว่าเด็กน้อยก็ยิ่งไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตราย
คนทั้งสามสู้พลางถอยพลาง พวกเขาพยายามจัดการกับหมาป่าทีละตัวๆ
แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอสูรมายา แต่การได้ลองสู้ในสนามจริงเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนได้รับประสบการณ์รวมถึงช่วยขัดเกลาวิชาการต่อสู้ที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ยิ่งเวลาผ่านไปศึกหมาป่าสายลมก็ดูเหมือนจะดุเดือดรุนแรงมากขึ้น
ฉินอวี้โม่เป็นนักฆ่าในชาติก่อน หลายวันมานี้เธอได้ลองต่อสู้ด้วยร่างกายใหม่นี้หลายครั้งทำให้เริ่มเกิดความคุ้นชินมากขึ้น รวมถึงยังได้ลองใช้ทักษะและวิชาเก่าๆ ในชาติที่แล้วด้วยร่างกายนี้ประยุกต์เข้ากับพลังมายาที่มี ทำให้ความแข็งแกร่งของตัวเธอในตอนนี้น่ากลัวกว่าในชีวิตก่อนมาก
ตัวเธอในอดีตชาติใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงมาโดยตลอด เดินทางอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความเป็นความตายมานักต่อนัก สำหรับเธอแล้วหมาป่าฝูงนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย
หลัวเจี๋ยนั่งกัดผลผิงกั่ว (แอปเปิล) อยู่บนกิ่งไม้ เขาจับตามองฉินอวี้โม่ที่กำลังเริงระบำอย่างงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า ทุกๆ การตวัดกริชหนึ่งครั้งของนางจะมีหมาป่าหนึ่งตัวที่ถูกฆ่าตายไป
หลังจากผ่านไปไม่นาน พื้นที่รอบตัวของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยซากศพชุ่มเลือดของหมาป่าสายลมกองทับถมกันจนสูงเกือบท่วมตัวนาง
ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้อาภรณ์สีขาวยาวของฉินอวี้โม่ไม่เปื้อนและไม่ยับแม้แต่น้อย มันยังคงมีสภาพเดิมเหมือนเช่นตอนที่นางใส่ออกมาจากโรงเตี๊ยมทุกประการ ราวกับว่าสตรีผู้ที่เพิ่งสังหารหมาป่าไปเกือบทั้งฝูงผู้นี้ไม่ได้จับมีดต่อสู้ แต่ออกมาเดินเล่นชมนกชมไม้เท่านั้น!
ตรงกันข้ามกับฉีอวี้ หลิงเฟิง และฉีฉี สามหนุ่มสาวแห่งนครไป๋อวิ๋นมีสภาพเหน็ดเหนื่อยสะบักสะบอม เนื้อตัวก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา ทว่าจำนวนหมาป่าที่พวกเขาจัดการไปแม้จะนำของสามคนมารวมกันก็ยังเทียบกับฉินอวี้โม่คนเดียวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
จำนวนหมาป่าสายลมที่เหลือรอดในตอนนี้ลดน้อยลงเรื่อยๆ จากที่มีเป็นร้อยตัวในตอนแรกกลับเหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบตัวแล้ว อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดก็ยังไม่มีท่าทีที่จะถอยหนี มันยังคงกระโจนเข้าหาฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ไม่หยุดยั้ง
ดูเหมือนจะมีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ยังคงรับมือกับหมาป่าได้อย่างสบายๆ ในตอนนี้คนอื่นๆ ล้วนถูกความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงาน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มติดขัด เห็นได้ชัดว่าร่างกายใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว
และในตอนนั้นเองที่สถานการณ์พลิกผัน เมื่อหมาป่าขนาดยักษ์ก้าวออกมา
หมาป่าสายลมตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ อย่างเห็นชัดได้ และยังดูมีพละกำลังมากกว่าหลายเท่า ที่สำคัญคมเขี้ยวขนาดใหญ่ของมันก็สามารถเขย่าขวัญผู้คนจนไม่อาจขยับตัวได้! ซึ่งในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น เจ้ายักษ์เขี้ยวคมก็กระโจนเข้าจู่โจมฉีฉีผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มในฉับพลัน!
“แย่แล้ว!”
เมื่อเห็นหมาป่ายักษ์พุ่งเข้าใส่ฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงที่อ่อนด้อยในประสบการณ์การต่อสู้ก็ได้แต่ชะงักค้างตัวแข็งทื่อ หลัวเจี๋ยที่เดิมทีนั่งกัดผลไม้อยู่เงียบๆ ก็หายวับไปจากจุดนั้นในพริบตา เขาพุ่งตรงเข้าหาฉีฉีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะขัดขวางการโจมตีของหมาป่ายักษ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อการต่อสู้ดุเดือดขึ้น เหล่านักฆ่าหมาป่าฝึกหัดที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบก็รุกคืบเข้าไปในฝูงหมาป่ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ออกห่างจากจุดที่หลัวเจี๋ยอยู่มากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าหลัวเจี๋ยจะแข็งแกร่งมาก แต่ครั้งนี้เห็นทีว่าความช่วยเหลือของเขาอาจจะไปถึงหนูน้อยฉีฉีได้ไม่ทันการณ์
ในตอนที่หมาป่ายักษ์กำลังจะขย้ำฉีฉี หลัวเจี๋ยก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้ามันเอาไว้
— ฉึก! —
ในตอนที่หมาป่ายักษ์กำลังจะขย้ำฉีฉี หลัวเจี๋ยก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้ามันเอาไว้
— ฉึก! —
เจ้ายักษ์เขี้ยวคมล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง ก่อนที่ลมหายใจของมันจะค่อยๆ แผ่วลงและหยุดไป หมาป่าสายลมขนาดยักษ์ถูกสังหารด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
หลัวเจี๋ยที่กำลังมุ่งหน้ามาเห็นเพียงกริชเล่มหนึ่งปักคาอยู่ตรงส่วนหน้าผากของหมาป่ายักษ์…มันเป็นการโจมตีที่เข้าจุดตายอย่างแม่นยำ!
เมื่อหมาป่าตัวอื่นๆ ในฝูง เห็นว่าหมาป่ายักษ์ตัวนั้นตาย พวกมันก็ส่งเสียงหอนดังลั่นป่าก่อนจะพากันวิ่งหนีกระจัดกระจายออกไป ดูแล้วหมาป่ายักษ์ตัวนี้ก็น่าจะเป็นจ่าฝูงของพวกมัน
“เฮ้อออ~ ข้านึกว่าจะต้องตายซะแล้ว”
ฉีฉีมองดูหมาป่าตัวใหญ่ที่สิ้นลมหายใจไปพลางเอามือลูบหน้าอกด้วยความขวัญเสีย
“พี่อวี้โม่ ขอบคุณจริงๆ”
ฉีฉีกอดแขนฉินอวี้โม่และกล่าวขอบคุณนาง
ฉินอวี้โม่ยิ้มส่งให้แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดตอบกลับ
“ฉีเอ๋อร์ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
หลังจากได้สติ ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็รีบวิ่งมาหา พวกเขามองฉีฉีขึ้นๆ ลง ๆ อยู่หลายครั้ง และเมื่อพบว่านางไม่เป็นอะไร ทั้งคู่จึงค่อยโล่งอกขึ้นได้
ฉีอวี้มองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาซาบซึ้ง “แม่นางอวี้โม่ ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ถ้าไม่มีเจ้าก็อาจจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับฉีเอ๋อร์ไปแล้ว”
“อย่างเกรงใจไปเลย ฉีเอ๋อร์เป็นเด็กที่น่ารัก ข้าทนเห็นนางบาดเจ็บไม่ได้หรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าพลางลูบผมที่ถักเป็นเปียของฉีฉี
“แม่นางอวี้โม่ ทำได้ดีมาก”
หลัวเจี๋ยกล่าวชมเชยฉินอวี้โม่ สาวน้อยผู้นี้มาถึงตัวฉีฉีได้ทันการณ์นั่นแสดงว่านางจับตาดูทุกคนอยู่ตลอดเวลาและยังรับรู้สถานการณ์ทั้งหมดอย่างกระจ่างชัด การฆ่าหมาป่าจำนวนมากไปด้วย อีกทั้งยังคอยจับตามองทุกคนเพื่อประเมินสถานการณ์ทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน นับว่าทำได้ยากยิ่ง หลัวเจี๋ยคิดว่าสตรีงดงามผู้นี้คงไม่ได้เป็นเพียงจอมยุทธ์ขอบเขตทิพย์มายาธรรมดาๆ เสียแล้ว
“เอาล่ะ มาจัดการต่อกันเถอะ ถึงแม้หมาป่าพวกนี้จะเป็นอสูรมายาระดับต่ำ แต่แก่นมายาและแกนชีวิตของมันก็ยังใช้แลกเป็นเงินได้”
ฉินอวี้โม่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาพลางหันไปมองซากหมาป่าสายลมที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นอย่างสดชื่น แววตาของนางเป็นประกายสุกใสราวกับได้เห็นเหรียญทองกองอยู่ก็มิปาน
ฉีฉีพยักหน้าตามอย่างตื่นเต้น นี่เป็นครั้งแรกที่นางสังหารอสูรมายาไปมากมายถึงเพียงนี้ และเมื่อพี่สาวที่นางชอบทำท่าทางดีใจถึงเพียงนี้ ฉีฉีจึงรู้สึกคึกคักเป็นอย่างมาก
“เอ่อ แต่ว่าพวกเราจะเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมาได้อย่างไร?”
เมื่อมองดูซากหมาป่าที่กองเกลื่อน ฉีฉีก็ทอแววตางุนงง นางไม่เคยเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาออกมาจากร่างของพวกมันมาก่อนเลย
ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ไม่ต่างกัน พวกเขาเองก็ไม่รู้วิธีการเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันออกมา
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ นางเอากริชออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปหาหมาป่าตัวหนึ่ง มือบางแทงกริชคมลงไปก่อนจะลากเป็นเส้นตรงในจุดที่มีแก่นมายาและแกนชีวิตของหมาป่าสายลมอยู่ หลังจากนั้นไม่นานนักพวกเขาก็มองเห็นผลึกแก้วกลมขนาดไม่ใหญ่ลอยขึ้นมาทันที แก่นมายาและแกนชีวิตของหมาป่าตัวนั้นถูกดึงออกมาแล้ว
“แก่นมายาและแกนชีวิตเต็มไปด้วยพลังมายา ขอเพียงแค่พวกเจ้าหาจุดที่มันอยู่ได้และเปิดช่องให้ พวกมันก็จะลอยออกมาได้เอง”
ฉินอวี้โม่อธิบายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะคว้าแก่นมายาและแกนชีวิตที่ลอยอยู่มาไว้ในมือ
“ฉีเอ๋อร์นี่ของเจ้า”
เมื่อมองเห็นสีหน้าที่อยากรู้อยากเห็นของฉีฉี ฉินอวี้โม่ก็ส่งแก่นมายาและแกนชีวิตพี่เพิ่งขุดออกจากร่างหมาป่าสายลมตัวนั้นให้นางไป
“ขอบคุณพี่สาวมาก”
ฉีฉียิ้มตื่นเต้นและรับเอาแก่นมายาและแกนชีวิตนั้นมาอย่างชอบอกชอบใจ
ส่วนฉีอวี้และหลิงเฟิงนั้นแยกออกไปทำตามวิธีที่ฉินอวี้โม่บอกเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาถือกระบี่เล่มยาวที่คมกริบ ใช้สายตาประเมินจุดที่อยู่ของแก่นมายาและแกนชีวิต กำหนดเป้าหมายก่อนจะใช้กระบี่เปิดช่องว่างขนาดใหญ่ หลังจากนั้นก็รอให้แก่นมายาและแกนชีวิตลอยออกมา
“ว้าว วิเศษจริงๆ!”
ฉีฉีเองก็ได้ลองนำเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมาด้วยตัวเองเช่นกัน ฉีฉีน้อยมองแก่นมายาและแกนชีวิตในมืออย่างตื่นเต้น การได้ล่าและเอาผลิตผลจากการล่าออกจากตัวอสูรมายามาด้วยตนเองเช่นนี้ทำให้นางอดภาคภูมิใจไม่ได้
เมื่อการล่าสิ้นสุดลงเหล่านักล่าก็เปลี่ยนมาเป็นนักขุดผลึก ในเวลานี้นักล่าหมาป่าทั้งหลายกำลังยุ่งอยู่กับการรวบรวมแก่นมายาและแกนชีวิตกันอย่างขะมักเขม้น
ผ่านไปไม่นานนักพวกเขาแต่ละคนก็มีแก่นมายาอยู่เต็มกำมือ ส่วนแกนชีวิตนั้นพบได้น้อยในอสูรมายาระดับต่ำๆ
“ถ้าเกิดว่านำทั้งหมดนี้ไปแลกที่สมาคมทหารรับจ้าง เราจะได้เงินมาเป็นร้อยๆ เหรียญทอง”
แม้ว่าฉีฉีและพี่ชายทั้งสองจะเกิดในตระกูลมั่งคั่งร่ำรวย แต่พวกเขาก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้เมื่อจินตนาการถึงเงินที่พวกเขาจะได้รับเป็นครั้งแรกจากการสังหารอสูรมายาด้วยตัวเอง
“ใช่ จากนั้นเราก็จะมีเงินมาซื้อของขวัญให้ท่านแม่”
ฉีฉีหัวเราะอย่างมีความสุขและวิ่งไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น
ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่รู้สึกว่ามีคนหลายคนกำลังมุ่งตรงมายังจุดที่พวกเขาอยู่
“มีบางคนกำลังมา โปรดระวังตัวกันด้วย”
“มีบางคนกำลังมา โปรดระวังตัวกันด้วย”
แม้ว่านางจะไม่ยังไม่แน่ใจว่ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นใครและจะมีเจตนาร้ายหรือไม่ แต่อดีตนักฆ่าสาวก็ยังต้องเอ่ยปากเตือนทุกคนออกไป
ฉีอวี้และคนอื่นๆ รู้ดีว่าฉินอวี้โม่มีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าพวกตนมาก ฉะนั้นในทันทีที่นางเอ่ยปากเตือน พวกเขาก็หยุดมือจากงานที่กำลังทำและเดินมารวมกลุ่มกันอย่างรวดเร็ว
หลัวเจี๋ยยิ้มออกมาและส่งกริชน้ำแข็งให้ฉินอวี้โม่
“ครั้งนี้เห็นชัดว่าผู้ชนะก็คือแม่นางฉินอวี้โม่ กริชน้ำแข็งเล่มนี้เป็นรางวัลของเจ้า รับไปสิ”
ฉินอวี้โม่รับกริชมาจากมือของหลัวเจี๋ยอย่างไม่เกรงใจ
“ส่วนเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นพวกเจ้าก็จัดการกันเองแล้วกัน ข้าจะไม่เข้าไปแทรกแซง”
เมื่อรู้สึกว่าคนกลุ่มนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว หลัวเจี๋ยก็ยิ้มมุมปากแล้วกระโดดกลับขึ้นไปนั่งกัดผลผิงกั๋วอยู่บนต้นไม้ตามเดิม
และทันทีที่หลัวเจี๋ยนั่งลงคนกลุ่มนั้นก็มาถึงอย่างพอดิบพอดี
“ดูนี่สินายน้อย มีซากหมาป่าตายเต็มไปหมดเลย”
คนผู้แรกที่มาเป็นบุรุษ เมื่อได้เห็นซากหมาป่าสายลมจำนวนมากที่ตายอยู่บนพื้น เข้าก็หันไปเอ่ยกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นผู้นำของกลุ่ม
“แบบนี้พวกเราก็รวยแล้วสิ?”
ชายอีกคนเอ่ยขึ้นมาพร้อมด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“นายน้อย ที่พวกเรากะว่าจะเข้ามาในป่าแสงจันทร์แห่งนี้เพื่อล่าอสูรมายาและนำแก่นมายาและแกนชีวิตกลับไป ตอนแรกก็คิดว่าจะกลับกันมือเปล่าซะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเข้ามาจะมาเจอกองสมบัติแบบนี้”
ชายที่มาถึงเป็นคนแรกกล่าวขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่ากำลังตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“เจ้าพวกซื่อบื้อ ยังไม่ไปเอาแก่นมายาและแกนชีวิตออกมากันอีกรึ มัวแต่ยืนเซ่อพูดมากอยู่ทำไม?”
ชายผู้เป็นหัวหน้าตวาดลูกน้องทั้งสองด้วยความขุ่นเคือง
เขาก็คือหลานชายของเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ มีนามว่าหลี่หลิน ครั้งนี้ที่เข้ามาที่นี่ก็เพื่อจะเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง แต่เนื่องจากเดินทางถึงที่นี่ล่วงหน้านานหลายวันทำให้เกิดความเบื่อหน่าย วันนี้เขาจึงพาคนเข้ามาในป่าแสงจันทร์หวังจะออกแรงล่าอสูรมายาแก้เบื่อ
อย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงป่าแห่งนี้แล้ว เขาก็พบว่าเหยื่อที่นี่หากไม่แข็งแกร่งจนเกินไปก็เป็นพวกระดับต่ำที่ไร้มูลค่า ทำให้การเดินทางออกมาล่าสัตว์ในวันนี้แทบจะสูญเปล่า พวกเขายังไม่ได้สิ่งใดติดไม้ติดมือกลับไปเลย
ทว่าในตอนที่เขากำลังจะพาคนกลับออกไปนั้น หลี่หลินก็บังเอิญได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นจากทางด้านนี้ ซึ่งทันทีที่มาถึงก็เห็นได้ซากของหมาป่าสายลมนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เช่นนี้แล้ว
แม้ว่าหมาป่าสายลมจะไม่ใช่อสูรมายาระดับสูงมากนัก แต่แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันก็พอจะมีมูลค่า และก็ยังดีกว่าที่จะเขาไม่ได้สิ่งใดกลับไปเลย
คณะผู้มาใหม่กวาดสายตามองหมาป่าสายลมที่ตายเกลื่อนอยู่ตามพื้นแต่กลับมองไม่เห็นฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
“ขอรับ พวกเราจะรีบเอานำแก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันออกมา”
ชายผู้เป็นลูกน้องของหลี่หลินก้มศีรษะครั้งหนึ่งเป็นการรับคำสั่ง ก่อนจะเดินตรงไปยังซากหมาป่าสายลมโดยไม่ลังเล
ทว่าทันทีที่เขาดังเอากระบี่ออกมาและเกือบจะเฉือนซากของหมาป่าสายลมนั้น เขาก็รู้สึกว่ามีก้อนหินก้อนหนึ่งพุ่งเข้ามากระแทกด้ามกระบี่อย่างแรงจนมันหลุดกระเด็นออกไปจากเมืองของเขา
“เฮ้ เฮ้ เห็นพวกเราเป็นตอไม้รึไง!”
ฉินอวี้โม่และพวกพ้องยืนอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มของหลี่หลิน พวกนางมีกันถึงสี่คน แต่ทว่าตั้งแต่เดินเข้ามาคนพวกนี้กลับไม่คิดที่จะมองพวกนางเลย เอาแต่สนใจซากของอสูรมายาที่พวกนางสังหารเท่านั้น
ที่สำคัญพวกเขาไม่เพียงแค่สนใจแต่ยังถึงกับคิดที่จะชิงเอาแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาเหล่านี้ไปด้วย
อันที่จริง ที่นี่มีซากของหมาป่าสายลมอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากว่าพวกเขาเข้ามาขอดีๆ อย่างมีมารยาท ฉินอวี้โม่ก็คงยอมใจดีแบ่งบางส่วนให้ได้อย่างไม่มีปัญหา
แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับเพิกเฉยต่อพวกนางราวกับไม่มีตัวตนและเข้าไปเอาแก่นมายาและแกนชีวิตจากซากหมาป่าเหล่านี้โดยไม่ได้รับอนุญาตหน้าตาเฉย และไม่คิดจะถามหาเจ้าของ แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูผู้ผันตัวมาทำกิจการล่าอสูร…ไม่มีวันยอม!
และผลลัพธ์ก็คือ….ฉินอวี้โม่ปาก้อนหินออกไปปะทะกระบี่ของชายที่กำลังจะชิงแก่นมายาและแกนชีวิตของนางจนมันปลิวหลุดจากมือ
.
.
.
ตอนที่ 33 การแข่งขัน
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่แลกเงินจากเจ้าหน้าที่หนุ่มในสมาคมทหารรับจ้างสำเร็จ คณะเดินทางของเหวินหย่าก็ออกจากอาคารสมาคมทันทีโดยไม่เข้าไปร่ำลาสหายใหม่ ทั้งนี้ก็เป็นเพราะไม่ต้องการจะรบกวนนาง
หลังจากออกมาจากสมาคมทหารรับจ้าง พวกเขาทั้งห้าก็ตรงไปยังโรงเตี๊ยมแสงจันทร์ที่ได้จองเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ในตอนที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นและออกจากห้องพักมาเพื่อเตรียมตัวรับประทานอาหาร พวกเขาก็ได้เห็นหนึ่งร่างบางในชุดสีดำล้วนและหนึ่งร่างเล็กในชุดสีเดียวกันดูคุ้นตากำลังจะเดินออกไปจากโรงเตี๊ยม
“พี่ฉินอวี้โม่~”
สาวน้อยฉีฉีวิ่งเข้ามาหาฉินอวี้โม่อย่างตื่นเต้นยินดีก่อนจะจับแขนเล็กของพี่สาวคนใหม่ไว้แน่น ในตอนที่พบกันเมื่อครู่ หนูน้อยสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นบางอย่างจากฉินอวี้โม่ นางถูกชะตาพี่สาวคนสวยคนนี้
“พวกพี่เองก็พักที่นี่ด้วยหรือ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มรับพลางลูบผมเปียยาวของฉีฉี
“ที่นี่เต็มแล้วใช่หรือไม่? แม่นางหาห้องว่างไม่ได้ใช่ไหม?”
เหวินหย่าเดินเข้ามาหา นางมองฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน
ฉินอวี้โม่พยักหน้าอีกครั้งและยิ้มตอบ นางชอบบุคลิกและบรรยากาศที่สัมผัสได้จากสตรีวัยกลางคนผู้นี้มาก กลิ่นอายจากตัวแม่นางเหวินหย่าทั้งอบอุ่นและอ่อนโยน เมื่อได้พูดคุยด้วยแล้วทำให้นางรู้สึกสบายใจราวกับได้พบมารดาอีกครั้งก็มิปาน
“ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา เราจะจัดการเรื่องห้องให้ คืนนี้ข้ากับฉีเอ๋อร์จะนอนห้องเดียวกัน ห้องที่ว่างก็จะให้แม่นางอวี้โม่กับสหายเข้าพักได้”
เหวินหย่ายิ้มอ่อนหวานและหันไปพูดกับฉีฉี
“อย่าลำบากพวกท่านเลยเจ้าค่ะ ข้าว่าข้าไปหาโรงเตี๊ยมอื่นดีกว่า”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าและกล่าวปฏิเสธ แม้ว่านางจะรู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความเมตตาและหวังดีต่อตัวนางจากใจจริง แต่หากเป็นไปได้นางก็ไม่อยากจะรบกวนพวกเขา
“ไม่ลำบากเลย ไม่ลำบากสักนิด ข้าเองก็ไม่ได้นอนกับท่านแม่มานานแล้วด้วย วันนี้ข้าจะได้ฟังนิทานก่อนนอนด้วย แล้วข้าเองก็ชอบพี่ฉินอวี้โม่มาก พี่สาวท่านอย่าปฏิเสธเลยนะ”
ฉีฉียิ้มส่งสดใสให้อย่างมีความสุข
นางชอบกลิ่นอายจากตัวพี่สาวคนใหม่มาก และนางก็อยากจะอยู่ใกล้ๆ พี่สาวคนนี้ให้นานขึ้นด้วย
“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอรับน้ำใจของพวกท่าน”
เมื่อได้เห็นรอยยิ้มแสนอบอุ่นของเหวินหย่าและความกระตือรือร้นของหนูน้อยฉีฉีแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ไม่อาจปฏิเสธพวกนางได้อีก อดีตนักฆ่าสาวจากศตวรรษที่ 21 ได้แต่พยักหน้ารับไมตรีนี้ด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยมที่สุด”
ฉีฉีกระโดดตัวลอยพร้อมกับพูดอย่างดีใจ
“ท่านแม่ไปสั่งอาหารก่อนได้เลย ข้าจะพาพี่ฉินอวี้โม่และพี่เสี่ยวโร่วไปที่ห้องพักก่อน”
ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่และพาเดินขึ้นไปชั้นบน หนูน้อยต้องการจะพาพี่สาวทั้งสองไปยังห้องพักก่อนเป็นอันดับแรก
“ได้สิ อย่าลืมพาอวี้โม่กับเสี่ยวโร่วลงมาทานอาหารด้วยล่ะ”
เหวินหย่าส่งเสียงตอบรับและกำชับเรื่องอาหารมื้อเย็นกับฉีฉีที่เดินจากไปแล้ว สตรีผู้อ่อนโยนส่ายหน้าอย่าระอา แต่ทว่าก็ไม่ได้คิดที่จะห้ามปรามบุตรสาวแต่อย่างใด
“ข้าเข้าใจแล้วท่านแม่”
ฉีฉีที่รีบพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วขึ้นไปจนเกือบจะถึงชั้นบนส่งเสียงดังตอบกลับมา
ห้องพักของคณะเดินทางทั้งห้าอยู่ที่ชั้นสาม ฉีฉีจูงมือฉินอวี้โม่ไม่ยอมปล่อย เด็กผู้หญิงผมเปียลากสตรีในชุดบุรุษเดินลิ่วๆ ตรงไปยังประตูห้องก่อนจะผลักเข้าไป
“พี่ฉินอวี้โม่ พี่เสี่ยวโร่ว คืนนี้พวกท่านนอนที่นี่นะ”
ห้องของฉีฉีในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นห้องที่ใหญ่โตและกว้างขวางอย่างมาก มันใหญ่กว่าห้องของฉินอวี้โม่ที่จวนตระกูลฉินถึงสองเท่า อีกทั้งภายในยังมีเครื่องเรือนของใช้ครบครันพร้อมสรรพ
“สวรรค์ นี่คือห้องพักของโรงเตี๊ยมงั้นเหรอเนี่ย?”
เสี่ยวโร่วตกตะลึงเมื่อเห็นห้องที่ตนและนายหญิงจะใช้พักคืนนี้ สาวใช้น้อยอุทานอย่างตื่นเต้น นางไม่เคยเห็นห้องแบบนี้มาก่อน นางจำได้ว่าแม้แต่ในเรือนใหญ่หลังงามของตระกูลฉินก็ยังไม่มีห้องที่หรูหราและกว้างขวางเช่นนี้ แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วไม่คิดว่าในโรงเตี๊ยมที่เมืองเยว่กวางจะมีห้องสวยๆ เช่นนี้อยู่
เมื่อได้เห็นท่าทางของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มอย่างเอ็นดู
“ไปกันเถอะ ลงไปทานมื้อเย็นกัน”
เมื่อพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วมาดูห้องพักแล้ว ฉีฉีก็ดึงมือฉินอวี้โม่ให้เดินลงไปชั้นล่าง
เมื่อพวกนางลงมาถึงก็พบว่าแม่นางเหวินหย่าและคนอื่นๆ จับจองโต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเอาไว้รอแล้ว ซึ่งในตอนนี้ทุกคนก็นั่งประจำที่อย่างเรียบร้อย และเหลือเพียงที่ว่างสามที่สำหรับสตรีสามนาง
โต๊ะสำหรับอาหารมื้อเย็นในวันนี้ของพวกนางถือเป็นโต๊ะที่ดีที่สุดของโรงเตี๊ยม เพราะตั้งอยู่ติดริมระเบียงในทำเลที่สามารถมองออกไปชมทิวทัศน์ของถนนหนทางในเมืองนี้ได้
ฉีฉีพาฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินมานั่งประจำที่เช่นกัน
ในตอนที่เสี่ยวโร่วออกมาจากเมืองหลิงซีพร้อมกับฉินอวี้โม่ นางมักจะแสดงความนอบน้อมและให้เคารพฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ซึ่งนั่นก็เป็นกิริยาที่บ่งบอกได้ชัดว่าทั้งคู่อยู่ในสถานะนายและบ่าว อย่างไรก็ตามฉินอวี้โม่ก็ได้บอกกับเสี่ยวโร่วแล้วว่านางอยากให้เด็กสาวปฏิบัติกับนางอย่างเป็นกันเองเหมือนพี่น้องมากกว่าและไม่อยากให้มีพิธีรีตองเมื่ออยู่ด้วยกัน
ดังนั้นแล้ว เสี่ยวโร่วจึงค่อยๆ ปรับกิริยาของตนเองทีละน้อย เวลานี้นางปฏิบัติกับฉินอวี้โม่คล้ายอยู่กับพี่สาวขึ้นมาได้บ้างแล้ว แม้ว่าจะยังติดปากเรียกฉินอวี้โม่ว่าคุณหนูและยังมองว่าอีกฝ่ายเป็นเจ้านายอยู่ตลอด แต่อย่างน้อยวิธีปฏิบัติของนางก็ผ่อนคลายขึ้นและไม่ได้มีกฎมากมายมาคอยกำกับไว้เหมือนที่ผ่านๆ มา
“แม่นางอวี้โม่ เจ้ามาที่นี่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองอย่างนั้นหรือ?”
หลัวเจี๋ยเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มใจดี แม้จะไม่คิดว่าฉินอวี้โม่เป็นคนเลวร้าย แต่ก็รู้สึกว่าตัวตนของสาวน้อยผู้นี้ค่อนข้างเป็นปริศนา องครักษ์วัยกลางคนจึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวนางอยู่เต็มไปหมด
“ไม่ใช่ ท่านลุง พวกเรามาจากเมืองหลิงซี เราอยากจะเดินทางไปที่นครไป๋อวิ๋นและที่ผ่านเข้ามาในเมืองเย่วกวางแห่งนี้ก็เป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น ข้าเองก็ได้ยินมาบ้างว่า อีกเจ็ดวันข้างหน้าจะมีอสูรบุกโจมตีเมืองและจะเปิดให้ยอดฝีมือมากมายแข่งขันกันสังหารอสูร ข้าเห็นว่าน่าสนใจดี จึงคิดจะอยู่รอเพื่อเข้าร่วม”
ฉินอวี้โม่รู้สึกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเหล่านี้นางไม่มีสิ่งใดต้องปิดบัง สตรีโฉมงามจึงบอกความตั้งใจของตนออกไปตรงๆ ยิ่งกว่านั้นเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญมากมายนัก อีกทั้งหากนางเดาไม่ผิดคนเหล่านี้น่าจะมาจากนครไป๋อวิ๋นและนางเองก็กำลังจะเดินทางไปยังนครแห่งนั้น บางทีหากชะตาต้องกันนางอาจจะได้พบกับพวกเขาที่นั่นอีกครั้งก็ได้
“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”
“จริงเหรอ? พี่ฉินอวี้โม่ พี่จะไปที่นครไป๋อวิ๋นอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฉีฉีได้ยินฉินอวี้โม่กล่าว รอยยิ้มยินดีก็ปรากฏบนใบหน้าไร้เดียงสาของนางอีกครั้ง หนูน้อยเอ่ยถามออกไปอย่างตื่นเต้นยินดี
ฉินอวี้โม่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเรามาจากนครไป๋อวิ๋น ลุงหลัวเจี๋ยบอกว่าจะพาพวกเรามาหาประสบการณ์ หลังจากเทศกาลอสูรล้อมเมืองจบลงพวกเราก็จะกลับนครไป๋อวิ๋นกันแล้ว หากแม่นางฉินไม่รังเกียจ พวกเจ้าสองคนเดินทางไปพร้อมกับพวกเราดีหรือไม่?”
ฉีอวี้ยิ้มและเอ่ยขึ้นมา ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่พยักหน้า แต่ไม่ได้รับปากหรือตอบอะไรกลับไปตรงๆ นางต้องการจะรอดูสถานการณ์หลังจากนี้ก่อน
“รีบกินกันเถิด หลังจากกินข้าวเสร็จ ลุงหลัวเจี๋ยจะพาพวกเราออกไปเดินชมป่าแสงจันทร์”
หลิงเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปมองและกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อร์ (บริกร) ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามา
“ก็ได้ ก็ได้ รีบกินแล้วก็ไปที่ป่าแสงจันทร์กันเถอะ”
ฉีฉีและฉีอวี้พยักหน้าก่อนจะหยุดบทสนทนาแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วไม่ได้กินอะไรดีๆ มาหลายวันแล้ว เมื่อเห็นอาหารร้อนๆ หอมกรุ่นหน้าตาน่ากินมากมายบนโต๊ะ พวกนางก็เริ่มกินอย่างมีความสุขโดยไม่เกรงใจ
หลังจากอาหารมื้อเย็นจบลง หลัวเจี๋ยก็ลุกขึ้นเป็นคนแรก
“แม่นางอวี้โม่ เจ้าสนใจจะไปที่ป่าแสงจันทร์กับเราหรือไม่?”
ฉินอวี้โม่ไม่ปฏิเสธคำชวนของหลัวเจี๋ย นางเองก็อยากรู้และอยากจะเห็นป่าแสงจันทร์ก่อนเทศกาลที่จะต้องสังหารอสูรสักครั้ง อีกทั้งหลังจากนี้นางก็จะต้องเดินทางผ่านป่าแห่งนี้ไปอยู่แล้ว เป็นการดีเสียอีกที่จะไปสำรวจด้วยตาตัวเองก่อน
“เสี่ยวโร่ว เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ ข้าจะตามพวกเขาไปที่ป่าแสงจันทร์แล้วจะรีบกลับมา”
ฉินอวี้โม่บอกกับสาวใช้ผู้เสมือนเป็นน้องสาว ตอนนี้ระดับความแข็งแกร่งของเสี่ยวโร่วนับว่ายังอ่อนแออยู่มาก ถ้าหากให้นางติดตามไปที่ป่าแสงจันทร์ด้วย ฉินอวี้โม่เกรงว่าสาวน้อยอาจจะได้รับอันตราย
“เจ้าค่ะ งั้นข้าจะขอขึ้นไปนอนพักสักครู่ แล้วจะตื่นมาเตรียมน้ำอุ่นไว้รอคุณหนูกลับมาอาบนะเจ้าคะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย และไม่ได้ตื๊อจะตามฉินอวี้โม่ไป
“ข้าเองก็ขอตัว ข้าไม่อยากจะเข้าไปขัดความสนุกของเด็กๆ”
แม่นางเหวินหย่าผู้อ่อนโยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ขอรับ งั้นท่านแม่ไปพักผ่อนเถอะ ขอรับ”
ฉีอวี้และฉีฉีก้มศีรษะให้เหวินหย่าเล็กน้อย ดูเหมือนเมื่อพวกเขารู้ว่าผู้เป็นมารดาจะไม่ไปด้วย สองพี่น้องก็คล้ายจะสนุกกันมากกว่าเดิม
“พวกเจ้าสองคนนี่นะ”
เหวินหย่าอดไม่ได้ที่จะส่ายศีรษะให้กับความรักสนุกเป็นเด็กๆ ของบุตรชายหญิง ทว่าใบหน้างามก็ยังคงมีรอยยิ้มละไม
“เสี่ยวโร่วงั้นเจ้าคอยดูแลนายหญิงเหวินหย่าด้วย ถ้ามีอะไรหรือนายหญิงต้องการออกไปเดินเล่นข้างนอก เจ้าก็ออกไปเป็นเพื่อนนางด้วย”
ฉินอวี้โม่เองก็รีบสั่งการให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่เป็นเพื่อนสตรีวัยกลางคนผู้ดูสูงศักดิ์
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย
หลัวเจี๋ยพาฉีอวี้ หลิงเฟิง ฉินอวี้โม่และฉีฉีออกไปจากโรงเตี๊ยมและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังที่ตั้งของป่าแสงจันทร์
ฉีฉีเกาะแขนของฉินอวี้โม่ไว้อย่างสนิทสนมและกุลีกุจอชี้ชวนนางดูสิ่งนั้นสิ่งนี้
ฉีอวี้และหลิงเฟิงเองก็ชวนฉินอวี้โม่คุยไปตลอดทางอย่างอบอุ่น
“พี่อวี้โม่ เหตุผลแรกที่เรามาที่เมืองเยว่กวางในครั้งนี้ก็เพื่อเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมือง และอย่างที่สองก็คือพวกเราตามหาผลไม้ชนิดหนึ่งที่จะปรากฏเฉพาะภายในป่าแสงจันทร์”
ฉีฉีเป็นหนูน้อยผู้ใสซื่อ นางไม่เคยปิดปกความลับใดๆ ขอเพียงชื่นชอบหรือมีความรู้สึกดีๆ ให้ใคร นางก็จะบอกอีกฝ่ายไปหมดทุกเรื่อง
ฉีอวี้ หลิงเฟิงและหลัวเจี๋ยเองก็รู้สึกดีกับฉินอวี้โม่ ฉะนั้นเมื่อได้ยินฉีฉีเอ่ยเรื่องนี้ออกไปพวกเขาจึงไม่ได้กล่าวห้าม
“พี่อวี้โม่ พี่รู้จักผลไม้แปลกๆ ที่เรียกว่าผลหลิวหลีไหม?”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า
ผลหลิวหลีคือผลไม้หายากจนถึงยากมาก ทว่าขณะเดียวกันสรรพคุณของมันก็นับว่าวิเศษมากด้วย
ถ้าหากว่ากินผลหลิวหลีเข้าไปก็จะทำให้ผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตมายารัตนะสามารถทะลวงพลังขึ้นไปสู่ดาราที่สูงกว่าได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาจะสามารถทะลวงผ่านเข้าสู่ขอบเขตมายารัตนะได้ทันที ซึ่งนั่นก็จะทำให้ความแข็งแกร่งของคนคนนั้นพุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วย อย่างไรก็ตามการกินผลหลิวหลีถือเป็นอันตรายต่อผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา เนื่องจากฤทธิ์ของผลไม้วิเศษชนิดนี้มีความรุนแรงมากเกินไป
“ท่านพี่ของข้ากำลังจะพัฒนาถึงระดับทิพย์มายาเก้าดารามาหลายวันแล้ว แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรเขาถึงทะลวงขึ้นไปสู่ขอบเขตมายารัตนะไม่ได้ ฉะนั้นพวกเราทั้งหมดเลยมาที่นี่เพื่อหาผลหลิวหลี ถ้าเราหามันพบ ท่านพี่ของข้าจะได้ทะลวงพลังขึ้นไประดับสูงขึ้นได้”
ฉีฉีบอกเล่าจุดประสงค์ที่พวกนางมายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ออกไปตรงๆ นางไม่คิดจะปิดบังสิ่งใดกับฉินอวี้โม่ แท้จริงแล้วผลหลิวหลีนี้เป็นผลไม้ที่หายากมาก การที่มีโอกาสได้ออกไปตามหาผลไม้ชนิดนี้ร่วมกันกับผู้ฝึกกายาระดับสูงอย่างหลั่วเจี๋ย รวมทั้งฉีอวี้และหลิงเฟิงที่น่าจะมีฝีมือสูงนับว่าเป็นผลดีกับฉินอวี้โม่มาก
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับทราบเมื่อได้ยินวาจาใสซื่อไม่คิดปิดบังสิ่งใดของฉีฉี ในขณะที่ฉีอวี้และหลิงเฟิงก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาทุกข์ร้อนต่อคำพูดเจื้อยแจ้วของหนูน้อยแต่อย่างใด พวกเขายังคงมุ่งหน้าเดินกันไปต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“อะแฮ่ม เด็กน้อยทั้งหลาย ข้าก็ไม่อยากจะขัดจังหวะการสนทนาของพวกเจ้าหรอกนะ แต่ตอนนี้มี ‘สหาย’ กลุ่มหนึ่งกำลังมุ่งตรงมาหาเรา ข้าคิดว่าพวกเรากำลังจะได้สนุกกันแล้วล่ะ”
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างบทสนทนาอันแสนเพลิดเพลินนั้น พวกเขาก็ก้าวเข้าสู่เขตแดนของป่าแสงจันทร์อย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังไม่ทันมุ่งหน้าไปได้ไกลนักเสียงเตือนของหลัวเจี๋ยก็ดังขึ้น
ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ขยับตัวเตรียมพร้อมในทันที ทุกคนไม่กล้าประมาท ตอนนี้หัวใจของพวกเขาเต้นรัวจนรู้สึกได้ คนทั้งหมดมองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากดังขึ้น ฝูงหมาป่ากลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งตรงเข้าใส่พวกเขา
“สวรรค์ พวกมันคือฝูงหมาป่าสายลม”
นี่เป็นการผจญภัยครั้งแรกของสาวน้อยฉีฉี การที่ได้เห็นฝูงหมาป่าวิ่งเข้าใส่แบบนี้จึงทำให้นางตื่นเต้นและประหม่าจนอุทานออกมาเสียงดังอย่างช่วยไม่ได้
“พวกเด็กๆ ที่ข้าพาพวกเจ้าออกมาในครั้งนี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าได้ประสบการณ์ และข้าก็อยากจะให้พวกเจ้าได้ออกแรงด้วยตัวเอง ถึงแม้ฝูงหมาป่าพวกนั้นจะค่อนข้างใหญ่ แต่ความแข็งแกร่งของพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ฉะนั้นครั้งนี้ข้าจะไม่ช่วย พวกเจ้าจงรับมือกับพวกมันด้วยตัวเอง ตั้งใจให้ดี อย่าได้ประมาท!”
กล่าวจบหลัวเจี๋ยก็กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ
“กริชเล่มนี้ถูกตีขึ้นมาโดยช่างหลอมอาวุธชื่อดังของนครไป๋อวิ๋น ชื่อของมันคือกริชน้ำแข็ง ข้าเองก็อยากจะเห็นว่าครั้งนี้ใครจะสามารถสังหารหมาป่าสายลมได้มากที่สุด กริชเล่มนี้คือรางวัลสำหรับผู้ชนะ ไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะกริชน้ำแข็งเล่มนี้จะตกเป็นของคนผู้นั้นในทันที”
หลัวเจี๋ยล้วงเอากริชเล่มหนึ่งที่มีใบมีดเปล่งประกายระยิบระยับงดงามออกมาจากแหวนมิติ จากนั้นผู้ฝึกกายาก็ตวัดมันเข้าใส่แผ่นเหล็กอีกแผ่นที่เขานำออกมาพร้อมๆ กันต่อหน้าฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ
กริชน้ำแข็งสามารถตัดเหล็กให้ขาดได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ ภาพนั้นทำให้ดวงตาของฉีอวี้และหลงเฟิงเป็นประกายขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
“กริชน้ำแข็งของลุงหลัวเจี๋ยเล่มนี้ถือเป็นสมบัติล้ำค่า ข้าเคยขอเขาหลายครั้งแล้วแต่ก็ถูกปฏิเสธตลอด ไม่คิดเลยว่าเขาจะนำมันออกมาเป็นรางวัลในครั้งนี้”
ฉีอวี้กล่าวขึ้นพร้อมกับจ้องมองกริชในมือหลั่วเจี๋ยตาไม่กะพริบ เขาสนใจกริชเล่มนี้เป็นอย่างมาก
ฉินอวี้โม่เองก็มองกริชน้ำแข็งอย่างพิจารณา มันเป็นกริชที่งดงามมากจริงๆ นางเองก็รู้สึกชอบมันเช่นกัน
ในตอนนี้ตัวนางก็ยังไม่มีอาวุธที่เหมาะสม ที่ผ่านมานางใช้เพียงกริชธรรมดาๆ รวมเข้ากับทักษะการต่อสู้ที่มีติดกายเท่านั้น หากได้อาวุธดีๆ ก็น่าจะช่วยให้นางพัฒนาฝีมือได้มาก ดังนั้นกริชเล่มนี้ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนาง
เมื่อเห็นแววตาเป็นประกายและสีหน้ามุ่งมั่นของเด็กๆ ทุกคน หลัวเจี๋ยก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
.
.
ตอนที่ 32 ผู้มาเยือนทั้งห้า
“เจ้าเป็นใคร กล้าดียังไงมาสอดเรื่องของข้า!?”
เมื่อเห็นว่ามีผู้มาขวางทางเข้าไว้ หลี่เปียวก็หยุดยั้งตัวเองและจ้องมองบุคคลผู้นั้นด้วยโทสะอันเดือดพล่าน แววตาดุร้ายของเขาแทบจะลุกเป็นไฟในตอนนั้น
“เจ้ามันหน้าไม่อาย ใช้สันดานโจรคิดจะแย่งชิงของผู้อื่นแล้วยังจงใจกล่าวหาคนบริสุทธิ์! พวกเจ้าต่างก็เป็นชายอกสามศอกแต่กลับรุมรังแกหนุ่มน้อยตัวเล็กๆ ไม่ละอายใจบ้างเลยรึ?!”
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอายุประมาณสิบเจ็ดย่างสิบแปดก้าวออกมาด้านหน้าพลางกล่าววาจาถากถางหลี่เปียว เขาคือหนึ่งในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เดินตามสตรีวัยกลางคนเข้ามา
“ใช่ ถูกแล้วล่ะ พี่ฉีอวี้กล่าวถูกที่สุด เจ้ามันหน้าไม่อาย”
สาวน้อยหน้าตาน่ารักที่มีผมถักเปียสองข้างอายุประมาณสิบสามปีเอ่ยเสียงแจ้วๆ พลางกระโดดไปยืนข้างๆ ฉินอวี้โม่
“พี่ชาย….” สาวน้อยเอ่ยขึ้นมา แต่กลับหยุดไปกลางคันเพราะในตอนนั้นเมื่อได้เข้ามาดูใกล้ๆ นางก็พบว่าคนร่างเล็กผู้สวมใส่ชุดบุรุษสีดำล้วนนี้แท้จริงแล้วเป็นสตรี เด็กหญิงจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ ไม่สิ ต้องเป็นพี่สาวถึงจะถูก”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ สาวน้อยผมเปียยิ้มให้นางอย่างน่ารักน่าชังจนทำให้ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบกลับไป
“พี่สาว ข้าชื่อ ฉีฉี นั่นคือพี่ชายของข้าชื่อว่า ฉีอวี้ แล้วคนผู้นั้นคือท่านแม่ของข้ามีนามว่า เหวินหย่า ส่วนนั่นก็คือสหายที่ดีของข้าเขาชื่อ หลิงเฟิง ” สาวน้อยนามว่าฉีฉีกล่าวแนะนำตัวเองและผู้ร่วมเดินทางทั้งหมดให้ฉินอวี้โม่ฟังอย่างกระตือรือร้น นางหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวต่อ “พี่สาวไม่ต้องกลัวไป ตราบใดที่เราอยู่ที่นี่ ชายคนนั้นไม่มีทางรังแกท่านได้”
เด็กหญิงผมเปียกล่าวขณะใช้มือลูบไหล่บางของฉินอวี้โม่เบาๆ เป็นการปลอบขวัญ อย่างไรก็ตามเพราะที่ส่วนสูงที่น้อยกว่าฉินอวี้โม่พอสมควร ทำให้สาวน้อยต้องเอื้อมมือจนสุดแขนเพื่อที่จะโอบรอบตัวฉินอวี้โม่และวางมือเล็กลงบนไหล่บางข้างหนึ่งให้ได้ คนตัวเล็กพยายามยกมือขึ้นและวางลง ยกขึ้นและวางลง ช้าๆ เบาๆ ให้อ่อนโยนที่สุดอยู่หลายครั้ง
เมื่อเห็นเช่นนั้นมุมปากของฉินอวี้โม่ก็กระตุกขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ นางพยายามอย่างยิ่งไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา…. ‘สาวน้อยคนนี้น่าสนใจจริงๆ’
อย่างไรก็ตามเมื่อได้มองดูเครื่องแต่งกายที่เรียบง่ายแต่หรูหราดูมีราคาของฉีฉีและฉีอวี้ รวมถึงเมื่อมองเห็นกิริยาท่าทางแสนสง่างาม และใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ของสตรีวัยกลางคนผู้ซึ่งฉีฉีกล่าวแนะนำว่าเป็นมารดาของนางแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่าตัวตนของคนเหล่านี้จะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่
ที่สำคัญ บุรุษวัยกลางคนที่ยืนเผชิญหน้ากับหลี่เปียวในตอนนี้ ไม่ว่าอย่างไรอดีตสาวนักฆ่าก็มองความแข็งแกร่งของเขาไม่ออกเลยจริงๆ
‘คนคนนี้ก็คงเป็นบุคคลที่ไม่ธรรมดาเหมือนกันสินะ!’
“ท่านแม่ ข้าไม่คิดเลยว่ากลุ่มทหารรับจ้างระดับสองจะทำตัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้ พวกเขาอาจหาญถึงขั้นกล้าก่อเรื่องขึ้นในสมาคมทหารรับจ้าง แล้วยังไม่มีใครในสมาคมนี้คิดจะจัดการกับพวกเขาอีก ข้าว่าเราน่าจะกลับไปบอกเรื่องนี้กับพี่จิ้งหงแล้วให้เขาเข้ามาจัดการนะขอรับ”
ฉีอวี้หันหน้าไปหาหญิงวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ และเอ่ยในสิ่งที่ทำให้ใบหน้าของหลี่เปียวต้องบิดเบี้ยวจนดูน่าเกลียดน่ากลัวออกมา
“บัดซบ! พวกเจ้าเป็นใครกัน ถึงกล้ามาหยามข้าในเมืองเยว่กวาง ไม่อยากมีชีวิตแล้วรึไง?”
หลี่เปียวตวาดเสียงดังอย่างเดือดดาล พร้อมกันนั้นเขาก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ลูกน้องของเขาเตรียมพร้อม เหล่าทหารรับจ้างในกลุ่มหมาป่าปีศาจเกือบสามสิบคนที่ยืนกระจัดกระจายอยู่ด้านหลังหัวหน้าของพวกเขาก้าวออกมาด้านหน้าครึ่งก้าวพลางจ้องมองฉินอวี้โม่และผู้มาเยือนทั้งห้าตาไม่กะพริบ
“เหอะ เป็นแค่กลุ่มทหารรับจ้างระดับสองกลุ่มเล็กๆ กลับยโสโอหัง ทำกร่างไปทั่ว ไม่ต้องพวกเจ้าหรอก ต่อให้เป็นกรรมการสมาคมมาเองพวกเราก็ไม่กลัว!”
ชายหนุ่มอีกคนที่มีนามว่าหลิงเฟิงซึ่งยืนนิ่งเงียบมาตลอดกล่าวขึ้นมาอย่างเย้ยหยัน
ซึ่งเรื่องนี้ฉินอวี้โม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง นางไม่คิดว่าสิ่งที่เขากล่าวออกมาจะเกินเลยแม้แต่น้อย ต่อให้ประธานสมาคมมาเอง พวกเขาก็คงไม่กลัว หรือบางทีอาจจะเป็นประธานสมาคมเองเสียด้วยซ้ำที่ต้องยำเกรงคนเหล่านี้
“ไสหัวไปได้แล้ว!”
บุรุษวัยกลางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลี่เปียวกล่าวขึ้นมาอย่างดุดัน ก่อนจะหันหลังกลับแล้วเดินตรงไปหาสตรีวัยกลางคน
เมื่อหลี่เปียวเห็นอีกฝ่ายหันหน้าหนี เขาก็กัดฟันด้วยความโกรธแค้นทันที เขาลงมือจู่โจมบุรุษผู้นั้นอย่างไม่ลังเล
— ปัง! —
เสียงหนึ่งดังขึ้นมา
ร่างของคนผู้นั้นไม่ได้มีท่าทีตั้งรับหรือหลบหลีกแม้แต่น้อย ทว่าหลี่เปียวกลับกระเด็นออกไปปะทะเข้ากับกำแพงอย่างแรง ร่างใหญ่โตไถลลงมาและกระอักเลือดคำโต สภาพย่ำแย่ไม่ต่างจากลูกน้องที่ถูกฉินอวี้โม่จัดการไปก่อนหน้านี้
“ผู้ฝึกกายา!”
“ผู้ฝึกกายา!”
หลี่เปียวชี้มือไปที่บุรุษวัยกลางคนผู้ลึกลักพลางอุทานออกมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ
‘ผู้ฝึกกายา’ เทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตนภมายาที่แข็งแกร่ง พวกเขาเป็นผู้ที่มุ่นเน้นฝึกฝนร่างกายจากภายนอกจนทำให้ร่างทางกายภาพของพวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าเหล่าผู้ฝึกกายาจะไม่สามารถทำพันธสัญญากับอสูรมายาได้ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็เป็นรองเหล่าผู้ฝึกพลังมายาในขอบเขตนภามายาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และถ้าหากฝึกฝนและบ่มเพาะร่างกายจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ในการต่อสู้แลกชีวิตกันผู้ฝึกกายาก็ไม่ได้เป็นรองผู้ใช้พลังมายาในขอบเขตนภามายาเลยแม้แต่น้อย
“ยังไม่ไปอีกรึ?”
บุรุษวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแววตากลับเย็นเฉียบจนน่าหวาดหวั่น
และสายตานั้นก็ทำให้หลี่เปียวถึงกับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อลุกขึ้นได้ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างอันธพาลก็หันหลังวิ่งหนีหายไปจากสายตาผู้คนทันที
“ลุงหลัวเจี๋ย สุดยอดที่สุด”
สาวน้อยนามว่าฉีฉีวิ่งเข้าไปหาบุรุษวัยกลางคนผู้มีนามว่าหลัวเจี๋ยผู้นั้น ด้วยท่าทางดีใจ นัยน์ตาใสกระจ่างเป็นประกายระยับ
“สาวน้อยที่น่ารัก”
หลัวเจี๋ยยิ้มพลางยื่นมือออกไปบีบจมูกเล็กของฉีฉีอย่างเอ็นดู
ฉินอวี้โม่พอจะคาดเดาตัวตนของผู้มาเยือนทั้งห้าได้บ้างแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้จักกับหลินจิ้งหงด้วย ที่สำคัญพวกเขายังมีผู้ฝึกกายาฝีมือสูงส่งเป็นองครักษ์คุ้มกัน ตัวตนของพวกเขาจึงพอจะคาดเดาได้ไม่ยากนัก
ถ้าหากความทรงจำของคุณหนูสี่คนเดิมไม่ผิดพลาด ตระกูลที่กุมอำนาจภายในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ในขณะนี้ก็คือ ‘ตระกูลฉี’
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ก็ไม่คิดจะทำตัวสอดรู้สอดเห็นในเรื่องนี้ นางปลดผ้าคลุมหน้าออกแล้วเดินเข้าไปโค้งคำนับสตรีวัยกลางคนนามว่าเหวินหย่าเล็กน้อยเพื่อกล่าวขอบคุณ “ขอบพระคุณนายหญิง ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ”
“สาวน้อยไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้น ข้ารู้ดีว่าต่อให้พวกข้าไม่มาช่วย เจ้าก็คงจะจัดการกับหลี่เปียวได้ไม่ยากอยู่แล้ว”
หลัวเจี๋ยกล่าว เขาจงใจหันไปมองเสี่ยวเฮยที่นอนขดอยู่บนไหล่ฉินอวี้โม่ ก่อนจะยิ้มแล้วกล่าวต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะหนูน้อยฉีฉีเป็นคนขอให้ข้าเข้ามาช่วย ข้าก็คงไม่เข้าไปก้าวก่ายการแสดงฝีมืออันยอดเยี่ยมของแม่นางแน่”
ฉินอวี้โม่ไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้ นางคาดเดาว่าเป็นเพราะเขามองเห็นตัวตนของเสี่ยวเฮยตัวน้อยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนาง ตัวนางเองก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าอสูรเทวะในร่างย่อส่วนนั้นจะมีม่านพลังลึกลับบางอย่างอำพรางกายเอาไว้ ผู้ที่มีระดับพลังไม่สูงมากนักหรือมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอจะไม่สามารถมองเห็นได้ หลัวเจี๋ยเป็นถึงผู้ฝึกกายา การที่เขามองเห็นเสี่ยวเฮยได้นับเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าหากเขามองไม่เห็นก็คงจะทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยแน่นอน
“ท่านลุงหลัวเจี๋ย ลุงทนเห็นคนมากรุมรังแกพี่สาวได้จริงๆ เหรอ?”
ฉีฉีมองหลัวเจี๋ยด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเดินมาจับมือของฉินอวี้โม่แล้วกล่าว “พี่สาว ข้าจะเรียกท่านอย่างไรดี?”
“ฉินอวี้โม่”
ฉินอวี้โม่ยิ้มหวานหยดให้เด็กน้อย นางไม่คิดจะปิดปังตัวตนกับฉีฉี
“พี่สาวฉินอวี้โม่ ดีจริงๆ”
ฉีฉียิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างมีความสุข
เมื่อเหวินหย่าได้ยินชื่อของฉินอวี้โม่ คิ้วเรียวได้รูปของนางก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ขณะเดียวกันดวงตาคู่งามภายใต้คิ้วบางก็เป็นประกายขึ้นทันที ทว่าทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพียงชั่วขณะก่อจะจางหายไป
“แม่นางอวี้โม่ ตัวตนของเจ้าช่างน่าสนใจยิ่งนัก ข้ามองไม่ทันด้วยซ้ำว่าเจ้าเล่นงานเขาเหล่านี้อย่างไร”
แม้ว่าหลัวเจี๋ยจะเป็นผู้ฝึกกายาที่แข็งแกร่ง แต่ตัวเขาเองก็ยังต้องยอมรับว่าเขาไม่สามารถมองเห็นการโจมตีของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจนได้ ความเร็วของสตรีร่างบางผู้นี้ราวกับสายฟ้า แม้จะฝึกร่างกายมานานแต่เขาก็ยังเห็นกระบวนท่าของนางเป็นเพียงเงารางๆ เท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นนางเตะบุรุษสามคนออกไปได้ด้วยการตวัดขาเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังทำให้พวกเขากระเด็นออกไปฟาดกับผนังไกลเกือบสามสิบจั้ง การจะทำเช่นนั้นได้ ย่อมแสดงว่าความแข็งแกร่งทางกายของสาวน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกกายาร่างใหญ่แม้แต่น้อย
“มันก็แค่ลูกไม้ตื้นๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าตกใจหรอกเจ้าค่ะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ ต่อหน้าของผู้ฝึกกายาระดับสูงเช่นนี้นางไม่กล้าอวดอ้างความสามารถหรือโอ้อวดว่าตนเองเก่งกาจ
“ไม่คิดเลยว่าแม่นางจะถ่อมตัวถึงเพียงนี้”
หลัวเจี๋ยยิ้มและไม่เอ่ยถามอะไรอีก
“แม่นางฉิน”
ฉีอวี้ที่เดินมาจากด้านหลังของฉินอวี้โม่ เอ่ยเรียกนาง
“คุณชาย มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“คุณชาย มีอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อฉินอวี้โม่หันกลับไปตอบรับนางก็พบกับฉีอวี้ผู้ที่กำลังหน้าแดงซ่าน
“นี่แก่นมายาและแกนชีวิตของแม่นาง”
ฉีอวี้ช่วยฉินอวี้โม่เก็บแก่นมายาและแกนชีวิตที่หล่นกระจายอยู่ตามพื้น ตอนนี้เขาเก็บมันได้ทั้งหมดแล้วและเอามาคืนให้นาง
แต่ทว่าเมื่อเห็นได้ใบหน้านวลอันแสนงดงามของนางชัดๆ ชายหนุ่มในอาภรณ์สง่างามก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้
“พี่ฉีอวี้ ทำไมต้องหน้าแดงด้วยเล่า?”
เมื่อได้เห็นใบหน้าและใบหูของพี่ชายกลายเป็นสีแดงเรื่อ ฉีฉีก็เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
“หะ นี่หน้าข้าแดงอย่างนั้นหรือ?”
ฉีอวี้แสร้งทำเป็นสงบเยือกเย็น และตีหน้าเรียบเฉย ทว่าหัวใจของเขากลับกำลังเต้นรัว
“คุณหนู แก่นมายาและแกนชีวิตถูกตรวจนับเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
ในตอนนั้นเองเสียงเรียกของเสี่ยวโร่วก็ดังขึ้น เสียงสตรีร่างเล็กอีกคนที่ดังมาทำให้ฉีอวี้ที่กำลังเขินอายโล่งใจไปเล็กน้อย
ในตอนที่สถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลง ฉินอวี้โม่ก็สั่งให้เสี่ยวโร่วช่วยตรวจนับแก่นมายาและแกนอสูร และเวลานี้นางก็นับเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้เหวินหย่าและคนอื่นๆ เป็นการบอกลาก่อนจะเอ่ยขอตัวและเดินตรงไปที่โต๊ะติดต่อ
“หนุ่มน้อย ตอนนี้เจ้าจะให้เงินข้าได้แล้วใช่ไหม?”
ฉินอวี้โม่ส่งยิ้มหวานหยดและเอ่ยเสียงนุ่มนวลใส่เจ้าหน้าที่หนุ่ม
“แน่นอนขอรับ เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”
เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเขาเองก็เห็นกับตา หญิงสาวตรงหน้าไม่ใชบุคคลที่เขาจะล้อเล่นได้ คนระดับนี้อย่าทำให้โกรธเสียจะดีที่สุด
หลังที่พูดจบ หนุ่มน้อยก็รีบนำตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“แม่นางมีแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรภูตระดับดาราสูง(หกดาราถึงเก้าดารา) ทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชิ้น และของอสูรภูตระดับดาราต่ำ(หนึ่งดาราถึงห้าดารา) ทั้งหมดหนึ่งพันสามร้อยหกสิบหกชิ้น ส่วนที่เหลือเป็นของอสูรมายาระดับต่ำทั้งหมดสามพันหกร้อนเก้าสิบแปดชิ้น รวมทั้งหมดแล้วแลกเป็นเงินได้ห้าหมื่นเก้าพันห้าร้อยเหรียญทอง แต่ทางเราขอจ่ายเป็นตั๋วเงินมูลค่าหกหมื่นเหรียญทองถ้วน เผื่อเอาไว้เป็นการขออภัยและเป็นค่าทำขวัญให้แม่นางทั้งสอง โปรดรับไว้ด้วยขอรับ”
หนุ่มน้อยยื่นตั๋วเงินให้ฉินอวี้โม่ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อแสดงถึงความเคารพนอบน้อม
ตั๋วเงินที่ฉินอวี้โม่ได้รับมานั้นหนึ่งใบจะมีค่าเท่ากับหนึ่งพันเหรียญทอง ซึ่งครั้งนี้ฉินอวี้โม่ได้มาทั้งหมดหกสิบใบ
เสี่ยวโร่วนับตั๋วเงินซ้ำแล้วซ้ำอีกด้วยความตื่นเต้น มันเป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางมีโอกาสได้เห็นเงินมหาศาลขนาดนี้
ฉินอวี้โม่มองสาวใช้ตัวน้อยยิ้มๆ โดยไม่ได้กล่าวสิ่งใด นางปล่อยให้เสี่ยวโร่วนับได้ตามใจ
หลังจากนับเสร็จแล้วเสี่ยวโร่วที่ดวงตาเป็นประกายก็ส่งตั๋วเงินคืนให้นายหญิงของตน ใบหน้าจิ้มลิ้มยังคงประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูมีความสุข
ฉินอวี้โม่เก็บตั๋วเงินใส่เข้าไปในแหวนมิติและพยักหน้าให้เจ้าหน้าที่เด็กหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขอบคุณและบอกลา
“ขอบคุณมาก”
“ด้วยความยินดีขอรับ แม่นางเดินระวังด้วย”
แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยไม่กล้ารับคำขอบคุณจากฉินอวี้โม่อยู่แล้ว เขารีบโค้งคำนับตอบอย่างนอบน้อม
ฉินอวี้โม่พยักหน้าให้อีกครั้งก่อนจะพาเสี่ยวโร่วออกไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อพักแรม
ซึ่งเมื่อนางหันกลับไปมองในทิศทางที่ผู้มาเยือนทั้งห้าอยู่อีกครั้ง ก็พบว่าพวกเขาเองก็จากไปแล้ว
ฉินอวี้โม่ไม่ใส่ใจมากนัก นางคิดว่าหากมีชะตาต้องกันก็คงจะได้พบกันอีกในวันข้างหน้า
อดีตคุณหนูสี่พาอดีตสาวใช้ที่ตอนนี้เป็นเสมือนน้องสาวออกมาจากสมาคมทหารรับจ้างและสอบถามทางกับคนแถวนั้น ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองเยว่กวาง
โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเยว่กวางมีชื่อว่า โรงเตี๊ยมแสงจันทร์ ตั้งอยู่ในย่านใจกลางเมือง ในจุดที่ถัดออกมาจากจวนของเจ้าเมืองไม่ไกลนัก ที่แห่งนี้เป็นโรงเตี๊ยมสุดหรูมีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่ว่าผู้ใดหากมีเงินสักหน่อยและเดินทางผ่านมาพักแรมยังเมืองเยว่กวางก็ต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมชื่อเดียวกับเมืองแห่งนี้
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วเดินมาตามทางที่มีผู้ชี้บอกไม่ไกลนักก็ได้เห็นตึกสามชั้นทรงสี่เหลี่ยมที่ดูใหม่เอี่ยมใหญ่โต ภายนอกตัวอาคารนั้นตกแต่งประดับประดาด้วยลวดลายไม้แกะสลักที่งดงามอ่อนช้อยดูหรูหราอลังการ
เมื่อเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมหญิงสาวทั้งสองก็พบกับความโอ่อ่ากว้างขวางและงดงามที่ไม่แพ้ภายนอก ทว่าเมื่อพวกนางเดินตรงไปที่ยังโต๊ะรับรองของโรงเตี๊ยมก็ต้องพบความผิดหวัง
“ต้องขอประทานโทษด้วย ขณะนี้โรงเตี๊ยมของเราเต็มแล้ว”
เจ้าของโรงเตี๋ยมกล่าวขออภัยฉินอวี้โม่
เป็นเพราะว่าเทศกาลอสูรล้อมเมืองที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วัน เวลานี้จึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศเดินทางเข้ามายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ โรงเตี๊ยมแสงจันทร์ของพวกเขาจึงถูกจองล่วงหน้าข้ามปีจนเต็มไปเรียบร้อยแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร ขอบคุณมาก”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วก้มศีรษะเล็กน้อย และเตรียมจะเดินออกไปหาโรงเตี๊ยมแห่งอื่น
ในตอนนั้นเอง พวกนางก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วที่คุ้นเคยดังขึ้น
.
.
.
ตอนที่ 31 สั่งสอนอันธพาล
บุรุษร่างใหญ่กลุ่มหนึ่งเดินมาหยุดตรงอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ สีหน้าและแววตาของพวกเขาดูไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย
เมื่อได้เห็นคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาด้วยท่าทางราวกับจะหาเรื่อง สีหน้าของเด็กหนุ่มผู้ทำหน้าที่เฝ้าโต๊ะก็เปลี่ยนไปทันที
เหล่าทหารรับจ้างที่อยู่รอบข้างต่างก็หันมามองฉินอวี้โม่ด้วยเช่นกัน พวกเขาเริ่มส่งเสียงซุบซิบกันอย่างออกรสในขณะที่มองดูหนุ่มน้อยในชุดดำสลับกับกลุ่มบุรุษร่างใหญ่ที่เดินเข้าไปหาเรื่อง ราวกับว่ากำลังมีละครฉากเด็ดให้ได้ดู
“จบแล้วล่ะ ข้าว่าหนุ่มคนนั้นคงจบแค่นี้แน่”
ผู้ลอบมองอยู่ต่างก็อดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ บางคนมองด้วยสายตาสมเพช บางคนมองด้วยสายตาเย้ยหยัน และมีบ้างที่ถอนหายใจออกมาด้วยความเวทนา ‘ไม่รู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นเป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้าเอา ‘สมบัติ’ มหาศาลอย่างนั้นมาแลกเงินที่นี่’
เรื่องนี้ทำให้ผู้คนโดยรอบต่างก็คิดไม่ตกว่าควรจะตกใจกับเรื่องที่เขาสามารถรวบรวมแก่นมายาและแกนชีวิตได้มากมายขนาดนี้ หรือควรจะตกใจเรื่องความไร้เดียงสาของเขามากกว่ากันดี
“อีกฝ่ายเป็นกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ คนพวกนี้ยิ่งกว่าอัธพาล หยิ่งยโสมาก ไม่เคยเห็นหัวใครเลยในสมาคม ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับพวกเขาหรอก”
เมื่อได้รู้ถึงตัวตนของกลุ่มชายร่างใหญ่ที่ปรี่เข้าไปหาเรื่อง คนจำนวนมากต่างก็ตกตะลึง พวกเขาทอดถอนใจอย่างแสนเสียดายและเริ่มรู้สึกเสียใจกับ ‘หนุ่มน้อย’ ชุดดำที่ชีวิตทหารรับจ้างต้องมาจบลงเพียงเท่านี้
บุรุษร่างใหญ่เหล่านี้หาใช่ใครอื่น พวกเขาคือ ‘กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ’ ผู้มีชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดของเมืองเยว่กวางแห่งนี้
กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับสอง ซึ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่กล่าวได้ว่าแข็งแกร่งและมีอิทธิพลสูงสุดในเมืองเยว่กวาง
หัวหน้าของพวกเขาคือยอดฝีมือระดับมายารัตนะเก้าดารา เขาเป็นจอมยุทธ์ฝีมือสูงส่งและเป็นหนึ่งในบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองแห่งนี้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจะมีบ่อยครั้งที่กองทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจทำเรื่องนอกกฎหมาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดในเมืองกล้าเอาเรื่องพวกเขา
“เฮ้ ! ข้าว่าทางที่ดีพวกเจ้าน่าจะเงียบเสียงลงหน่อยนะ ถ้าหัวหน้าของพวกมันได้ยินเข้า ระวังจะเจ็บตัวเอาได้” ใครคนหนึ่งกระซิบกระซาบเตือนขึ้นมาอย่างหวาดหวั่น
ในตอนนี้ทุกคนต่างก็หยุดมือในสิ่งที่กำลังทำอยู่จนหมดแล้ว และหันมาตั้งใจมองจุดที่กำลังเกิดเรื่องขึ้นอย่างเงียบ ๆ แทน ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา
ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองต้นเสียงช้า ๆ ก่อนจะเห็นชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำสูงใหญ่ หน้าตาของคนผู้นี้ดูนถมึงทึงน่าหวาดกลัว เขากำลังยืนจ้องมองนางด้วยแววตาหิวกระหาย ความโลภในดวงตาน่ากลัวนั้นชัดเจนอย่างไม่อาจปกปิด
“เจ้าหนุ่ม เมื่อครู่เจ้าเดินผ่านกลุ่มทหารรับจ้างมาป่าปีศาจและแอบล้วงเอาของของเราไปตอนเผลอ แล้วตอนนี้เจ้ายังกล้าเอาของที่เพิ่งขโมยมามาแลกเป็นเงินที่สมาคมอย่างเปิดเผยอีกเรอะ เจ้าไม่อยากอยู่ดูตะวันวันพรุ่งนี้แล้วรึไง ?!”
บุรุษสูงใหญ่รูปร่างกำยำผู้นี้ก็คือหัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจนามว่าหลี่เปียว เขาจ้องมองฉินอวี้โม่พร้อมกับหักนิ้วเป็นการข่มขู่
“จริงเหรอ ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้เลยล่ะ”
ฉินอวี้โม่จ้องมองหลี่เปียวอย่างไม่เกรงกลัว อีกทั้งยังกล่าววาจาด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าข้าเป็นคนขโมยมันมา งั้นข้าขอถามเจ้าสามข้อ ข้อแรก เจ้าไปได้แก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนมากขนาดนี้มาจากที่ใด ข้อสอง ในมือข้าตอนนี้มีแก่นมายาและแกนชีวิตทั้งหมดเท่าไหร่ และข้อสุดท้าย พวกมันมาจากอสูรชนิดไหนบ้าง ? หากของทั้งหมดนี่เป็นของเจ้า เรื่องเหล่านี้เจ้าก็ควรจะรู้”
คำพูดของฉินอวี้โม่ทำให้หลี่เปียวชะงักไปเล็กน้อย เดิมทีเขาก็แค่บังเอิญเห็นตอนที่เจ้าหนุ่มชุดดำนี่เทแก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนมากออกมาเท่านั้น และดูจากท่าทางใสซื่อไม่รู้ความแล้วก็ทำให้เขาคิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาไร้ผู้มีอำนาจสนับสนุน เพียงเขาข่มขู่ไปเล็กน้อยก็คงจะยอมได้โดยง่าย ฉะนั้น เขาจึงคิดจะชิงแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนั้นมา
ต้องทราบก่อนว่าหากนำแก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ไปแลกเป็นเงินแล้ว เงินที่ได้รับมาจะมหาศาลเสียจนสามารถนำเอาไปพัฒนากลุ่มทหารรับจ้างไม่ว่าจะกลุ่มใดให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้
“ใครมันจะไปสนใจนับแก่นมายาและแกนชีวิตที่มีกัน ?! ที่สำคัญ วัน ๆ พวกเราฆ่าอสูรมายานับไม่ถ้วน ใครมันจะไปจำได้วะ ?!”
หลี่เปียวไม่สนใจหาเหตุผลมาสู้กับหนุ่มน้อยตรงหน้า เขาคิดว่ามันไร้สาระและเสียเวลา อย่างไรเสียที่นี่ก็คือเมืองเยว่กวาง ในเมืองนี้มีไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้ามีปัญหากับทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจอย่างพวกเขา ถ้าพวกเขาต้องการแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนี้ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ต้องได้มันมา
“หึ ๆ ๆ ผิดแล้วพี่ชาย ในเมื่อเป็นถึงกลุ่มทหารรับจ้างก็ต้องมีระบบระเบียบเพราะต้องมีคนทำงานร่วมกันจำนวนมาก และแน่นอนว่าก็ต้องมีผู้ทำหน้าที่ตรวจนับและคัดแยกชนิดของแก่นมายาและแกนชีวิตอยู่แล้ว เผื่อในกรณีที่มีคนยักยอกจะได้รู้ได้และเพื่อให้ง่ายเวลานำไปขึ้นเงิน ในเมื่อเป็นกลุ่มทหารรับจ้างและยังเป็นกลุ่มใหญ่ภายในเมืองเยว่กวางแห่งนี้ แล้วเหตุใดกลุ่มของเจ้าถึงไม่มีการบริหารจัดการที่ดีเลยล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำ ‘ต้องการจะปล้นของของเธอไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ ! มีแค่ตัวเธอเท่านั้นที่มีสิทธิ์ปล้นคนอื่นได้ เธอคนนี้จะไม่ยอมถูกใครหน้าไหนปล้นอย่างเด็ดขาด… ถ้าแน่จริงนักก็ลองดู เธอจะทำให้รู้ว่าของจริงเป็นยังไง’
ฉินอวี้โม่ยิ้มขำ ‘ต้องการจะปล้นของของเธอไปอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ ! มีแค่ตัวเธอเท่านั้นที่มีสิทธิ์ปล้นคนอื่นได้ เธอคนนี้จะไม่ยอมถูกใครหน้าไหนปล้นอย่างเด็ดขาด… ถ้าแน่จริงนักก็ลองดู เธอจะทำให้รู้ว่าของจริงเป็นยังไง’
“ที่สำคัญ พวกเจ้าเป็นถึงกลุ่มทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเยว่กวางและยังเป็นถึงกลุ่มทหารรับจ้างระดับสอง แต่กลับปล่อยให้ข้าตัวคนเดียวขโมยของของพวกเจ้าไปได้ กลุ่มทหารรับจ้างของพวกเจ้ามีแต่คนตายรึไง ?!”
ยิ่งฟังคำพูดและเหตุผลที่ฉินอวี้โม่ยกมากล่าว เหล่าคนที่แอบฟังอยู่โดยรอบก็ยิ่งเชื่อว่า กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจกำลังพยายามใช้กำลังขู่เพื่อแย่งชิงของของผู้อื่น หนุ่มน้อยบ้านนอกถูกอันธพาลเมืองใหญ่หาเรื่องอีกทั้งยังจะปล้นเอาสมบัติมีค่าไป ตอนนี้ไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกสงสารหนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้
อย่างไรก็ตาม ความสงสารก็ยังพ่ายแพ้ให้กับความยำเกรงที่มีต่ออิทธิพลของกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจ และนั่นก็ทำให้ไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวอะไรออกมา
“เลิกพูดไหลวไหล ข้าบอกว่าเจ้าขโมยมันไป เจ้าก็คือขโมย ถ้ายังไม่รีบยอมรับก็อย่ามาตำหนิข้าเรื่องที่จะส่งตัวเจ้าไปให้ทางการลงโทษ !”
เมื่อได้ฟังคำพูดของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของหลี่เปียวก็ชาวูบขึ้นมา ไม่มีเหตุผลข้อใดที่เขาโต้แย้งได้เลย แถมเจ้าบ้านนอกนี่บังอาจเหน็บแนมพวกเขาว่าไร้ปัญญาเหมือนคนตายและอ่อนแอปวกเปียก หลี่เปียวจ้องหน้าฉินอวี้โม่อย่างเคียดแค้น ในเมื่อไม่สามารถโต้เถียงได้ หัวหน้ากลุ่มหมาป่าปีศาจจึงกล่าววาจาข่มขู่ออกไป
เขาต้องยอมรับเลยว่าคนหนุ่มตรงหน้าฉลาดหลักแหลม แต่สิ่งที่คนผู้นี้ยังไม่รู้ก็คือ ผู้ที่กล้ามาแหยมกับกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจก็เท่ากับมันผู้นั้นรนหาที่ตาย !
“เจ้าหนุ่ม ตัวเจ้าเองก็ดูไม่ได้แข็งแกร่งสักเท่าไหร่ แล้วทำไมถึงมีแก่นมายาและแกนชีวิตมากมายขนาดนี้ ถ้าเจ้าไม่ได้ขโมยมาแล้วไปได้มาอย่างไร ? อย่าบอกนะว่าเจ้าล่าพวกมันทั้งหมดด้วยตัวเอง ?”
หลี่เปียวยังคงกล่าววาจากดดันต่อไป เขาหวังจะให้ฉินอวี้โม่ยอมส่งแก่นมายาและแกนชีวิตมาแต่โดยดี เพราะอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็อยู่ในอาคารสมาคมที่มีคนจำนวนมากเฝ้าดู ถ้าเขาจะมือลงที่นี่ทันทีก็อาจจะมีปัญหาทีหลังได้
“ถ้าข้าบอกว่าข้าล่าพวกมันมาได้ล่ะ เจ้าจะว่ายังไง ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้เกรงกลัวหลี่เปียว นางตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แก่นมายาและแกนชีวิตเหล่านี้นางเป็นผู้ที่รวบรวมมันมาด้วยตัวเอง ในระหว่างที่ออกมาจากเมืองหลิงซีและกำลังเดินทางมุ่งหน้ามายังเมืองเยว่กวางแห่งนี้ นางสั่งให้เสี่ยวเฮยหยุดพักในจุดที่มีอสูรมายาที่ระดับไม่สูงมากมารวมตัวกัน อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูล่าอสูรมายาอยู่ที่นั่นหลายวัน และใช้ช่วงเวลานั้นปรับปรุงความแข็งแกร่งของตัวเอง เธอต้องการขัดเกลาทักษะที่ตนมีในชีวิตก่อนให้เข้าที่ และทำให้ตนเองเข้าใจกับวิธีการใช้พลังมายาของร่างใหม่ นอกจากนั้นเธอยังได้ทดสอบการผสานพลังมายาของร่างนี้เข้ากับวิชาโบราณที่เคยเรียนมาใช้ชีวิตก่อนด้วย
หลายวันผ่านไป แม้ว่าระดับพลังจะยังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของเธอและร่างใหม่นี้เริ่มจะเข้ากันได้ดียิ่งขึ้นจนเกือบจะใกล้คำว่าสมบูรณ์แบบ ทักษะต่าง ๆ ของเธอค่อย ๆ ฟื้นกลับมา และบางทีอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าชีวิตก่อนเลยด้วยซ้ำ
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะพลังวิญญาณและพลังชีวิตที่แฝงอยู่ในธรรมชาติของดินแดนแห่งนี้มีมากกว่าที่โลกใบเดิมของเธอในชีวิตก่อนอย่างเทียบกันไม่ได้ ความหนาแน่นของพลังในดินแดนนี้มากกว่าของโลกของเธอ หลายสิบเท่า จึงอาจจะไม่แปลกนักถ้าในดินแดนนี้เธอจะสามารถฝึกวิชาและทักษะต่าง ๆ ที่ในโลกก่อนไม่มีทางทำได้จนบรรลุถึงขีดสูงสุดได้
ฉินอวี้โม่ลองคำนวณอย่างคร่าว ๆ แล้วพบว่า ปริมาณแก่นมายาและแกนชีวิตที่นางได้มาทั้งหมดจากการเก็บเกี่ยวระหว่างการเดินทางของนางในครั้งนี้สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อย่างน้อย ๆ ก็หมื่นเหรียญทอง
นี่ยังไม่ได้คำนวณรวมกับมูลค่าเพิ่มของแกนชีวิตและแก่นมายาบางก้อนด้วย เพราะในบรรดาแก่นมายาและแกนชีวิตเหล่านั้น มีส่วนหนึ่งที่เป็นของอสูรมายาระดับภูตที่มีดาราสูง ๆ รวมอยู่ด้วย ดังนั้นเงินที่นางควรจะได้รับก็จะต้องเพิ่มมากขึ้นอีก
“เจ้าเนี่ยนะล่า ?”
หลี่เปียวจ้องมองฉินอวี้โม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยสายตาไม่เชื่อก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฮ่า ๆ ๆ เหลวไหลทั้งเพ เจ้าจะบอกว่าตัวเองล่าได้ก็เรื่องของเจ้าเถอะ แต่ข้ากลัวว่าอย่างเจ้า แค่หมาป่าสายลมตัวเล็ก ๆ ก็ไม่มีปัญญาเอาชนะมันแล้ว”
เดิมทีคนรอบ ๆ ที่กำลังมองดูเหตุการณ์อยู่ต่างก็รู้สึกเป็นกังวลและเป็นห่วงหนุ่มน้อยบ้านนอกที่น่าสงสาร แต่ทว่าเมื่อได้ยินสิ่งที่ฉินอวี้โม่กล่าว พวกเขาก็หันกลับมามองนางด้วยสายตาดูถูก ไม่มีผู้ใดคิดที่จะเชื่อคำพูดนั้น
‘เด็กหนุ่มตัวเล็ก ๆ กลับกล้าบอกว่าตนเองล่าแก่นมายาและแกนชีวิตทั้งหมดนี้มาได้ด้วยตัวคนเดียว ! มีแต่เด็กอมมือเท่านั้นที่จะเชื่อ เล่นตลกอยู่หรือไง โกหกทั้งเพ !’
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่เข้าใจวาจาเสียดสีของหลี่เปียวดี หมาป่าสายลมเป็นเพียงอสูรมายาระดับต่ำเท่านั้น การที่เขาบอกว่าฉินอวี้โม่ไม่สามารถเอาชนะมันได้จึงถือเป็นการดูถูกนางอย่างมาก
“เจ้าหนุ่ม เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้ายว่าเจ้าจะยอมส่งแก่นมายาและแกนชีวิตพวกนั้นมาหรือไม่ ถ้าเจ้าส่งมันมา ข้าจะยกโทษเรื่องที่เจ้าขโมยมันไปจากกลุ่มทหารรับจ้างของข้า และข้าก็จะไม่ถือสาเอาความเจ้า”
หลี่เปียวยื่นมือออกไปหาฉินอวี้โม่เพื่อแสดงเจตนาว่าเขาพร้อมที่จะให้อภัยหนุ่มน้อยผู้นี้
เมื่อเห็นมือของหลี่เปียวที่ยืนมา ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเหยียดหยาม นางไร้ซึ่งความกลัวคนพาลผู้นี้ สตรีผู้งดงามในชุดบุรุษเมินเฉยต่อมือสกปรกที่ยื่นมาและไม่คิดจะส่งแก่นมายาและแกนชีวิตให้ด้วย
เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มชุดดำตรงหน้าไม่ขยับตัว สีหน้าของหลี่เปียวก็เข้มขึ้นและเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้ง เขาตวาดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ไอ้หนู ข้ายื่นไมตรีให้ดี ๆ แต่เจ้ากลับต้องการคมดาบ คิดจะอวดดีกับข้าเรอะ ?!”
“ไสหัวไป อย่ามายุ่งกับการแลกเปลี่ยนของข้า !” อดีตคุณหนูสี่ในชุดบุรุษสวนกลับไปด้วยการตวาดไล่
“ไสหัวไป อย่ามายุ่งกับการแลกเปลี่ยนของข้า !” อดีตคุณหนูสี่ในชุดบุรุษสวนกลับไปด้วยการตวาดไล่
ตอนนี้ทั้งนางและเสี่ยวโร่วต้องการการพักผ่อน นางไม่ต้องการเสียเวลาเสวนากับอันธพาลไร้ค่าอย่างหลี่เปียวอีก นางหันหน้ากลับมาเพื่อจะดำเนินการแลกเปลี่ยนต่อให้เสร็จสิ้น
“น้องชาย รีบจัดการให้ข้าที เสร็จแล้วข้าจะได้ไปหาสถานที่เหมาะ ๆ เพื่อพักผ่อน”
ฉินอวี้โม่เพิกเฉยต่อหลี่เปียวอย่างสิ้นเชิง
“บังอาจ ! ไอ้เด็กจองหอง ในเมืองเยว่กวางไม่มีผู้ใดกล้าไล่หลี่เปียวคนนี้”
สีหน้าของหลี่เปียวดำคล้ำขึ้นมาทันที เขาหันไปสั่งคนที่อยู่ด้านหลัง
“ไปเอาแก่นมายาของพวกเราคืนมา และสั่งสอนเจ้าเด็กน้อยนั่นให้มันรู้จักที่ต่ำที่สูง !”
“ขอรับ”
บุรุษร่างกำยำที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่เปียวพยักหน้ารับ ท่าทางคนผู้นี้ก็ดูอันธพาลไม่แพ้หัวหน้าของเขา ชายกำยำค่อย ๆ เดินตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่อย่างคุกคาม
เมื่อเดินเข้าไปอยู่ข้าง ๆ เด็กหนุ่มชุดดำ เขากลับไม่เห็นหนุ่มผู้นี้มีปฏิกิริยาใด ๆ ชายผู้นั้นจึงยื่นมือออกไปหมายจะหยิบถุงที่เก็บแก่นมายาและแกนชีวิตที่ฉินอวี้โม่วางไว้บนโต๊ะ
ทว่า ในตอนที่มือของเขาสัมผัสกับถุงนั้นเอง ทุกคนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของชายร่างใหญ่ผู้นั้นดังขึ้น
“— กรี๊ดดดดด !–”
ชายกำยำดึงมือของตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงไม่ต่างจากสตรี ไม่มีผู้ใดมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ทุกคนเห็นเพียงแค่ว่ามือของชายกำยำดูคล้ายจะถูกอะไรบางอย่างเล่นงานก่อนที่เขาจะกรีดร้องเป็นสตรีตกใจ
“ไอ้เด็กเวร กล้าลงมือกับข้าเรอะ ?!”
ชายคนนั้นตะโกนอย่างโกรธแค้น เขายับยั้งความเจ็บปวดเอาไว้แล้วลงมือโจมตีเด็กหนุ่มชุดดำอย่างไม่ลังเล
“ข้าบอกให้ไสหัวไป !”
ฉินอวี้โม่เริ่มหมดความอดทนแล้ว เมื่อเห็นชายผู้นั้นโจมตีนาง เท้าเล็กก็ขยับอย่างรวดเร็วจนเห็นเป็นเพียงเงาเลือนรางก่อนจะฟาดเข้าที่หน้าท้องของชายผู้นั้น
— ปัง ! —
เกิดเสียง *ปัง* ดังขึ้นมา ชายเสียงแหลมถูกฉินอวี้โม่ถีบเข้าอย่างจังจนกระเด็นไปกระแทกเข้ากับผนังด้านหนึ่งของอาคารสมาคมทหารรับจ้างอย่างแรง
ร่างกำยำกระตุกอยู่สองสามครั้งก่อนจะกระอักเลือดออกมาแล้วสลบไป
“ซี๊ดดด…”
เหล่าผู้ชมที่ดูอยู่ต่างพากันตื่นตะลึง พวกเขาสูดหายใจเข้าลึกและซี๊ดปากอย่างอดไม่ได้ ทุกคนรู้สึกได้ถึงความรุนแรงจากฝ่าเท้าของฉินอวี้โม่ ถ้าไม่ใช่เพราะผนังของอาคารสมาคมแห่งนี้แข็งแกร่งมากก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายผู้นั้นคงจะกระเด็นทะลุออกไปด้านนอกแล้ว
หลี่เปียวอึ้งไปชั่วขณะ เมื่อเห็นว่าลูกน้องของตัวเองนอนสลบอยู่บนพื้นก็ทำให้เขาเดือดดาลยิ่งกว่าเดิม
“ไอ้สารเลว กล้าลงมือทำร้ายคนของข้า”
ฉินอวี้โม่จ้องมองหลี่เปียวอย่างเย็นชาพลางกล่าว “ข้าเตือนแล้วว่าให้เจ้าไสหัวไป แต่เจ้าไม่ฟังแถมยังให้คนเข้ามาปล้นของของข้า ! ข้าก็แค่สั่งสอนให้คนผู้นั้นรู้จักที่ต่ำที่สูง เหมือนที่เจ้าพูดไว้ไง”
หลังจากนั้นฉินอวี้โม่ในชุดบุรุษก็หันหน้ากลับไปพูดกับเจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยที่กำลังหวาดกลัวอยู่อีกครั้ง “เอ้า อย่ามัวแต่อึ้ง รีบ ๆ คำนวณเงินให้ข้าเร็วเข้า”
หนุ่มน้อยผู้นั้นรีบพยักหน้าและคำนวณอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้เขารู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกที่ไม่ได้ไปยั่วยุหรือหาเรื่องกับคนตรงหน้า หาไม่แล้วผู้ที่จะถูกเตะกระเด็นไปชนกำแพงอาจจะเป็นตัวเขาแทนก็ได้
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ไม่เห็นตนอยู่ในสายตา หลี่เปียวก็กล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าสามคน เข้าไปเอาของมาให้ข้า จากนั้นก็สั่งสอนเจ้านั่นซะ ให้มันได้รู้สำนึกว่าอย่าอาจหาญคิดกระตุกหนวดหมาป่าปีศาจอย่างเรา”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหลี่เปียว ชายร่างใหญ่อีกสามก็เดินออกมาจากด้านหลังของเขา แต่ครั้งนี้คนทั้งสามพุ่งตัวเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่อย่างรวดเร็ว
เมื่อได้เห็นสหายในกลุ่มถูกเล่นงานไป พวกเขาสามคนก็ไม่กล้าประมาทหนุ่มน้อยชุดดำผู้นี้ ทั้งสามจึงทุ่มสุดฝีมือตั้งแต่เริ่มต้น
ทว่าผลลัพธ์กลับไม่ต่างกัน…
— ตุ้บตั้บ ๆ ! —
ไม่มีผู้ใดมองตามการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่ได้ทัน พวกเขาได้ยินเพียงเสียงฝ่าเท้ากระทบร่างกายก่อนที่จะมองเห็นร่างของคนจากกลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจกระเด็นไปกระแทกกำแพงแล้วหมดสติไป
“สวรรค์…”
บางคนอุทานออกมาอย่างอดไม่ได้ ‘หนุ่มน้อยผู้นี้เป็นใครมาจากไหน เหตุใดจึงมีฝีมือถึงเพียงนี้ ?’
อย่างไรก็ตาม ผู้คนส่วนมากก็ยังไม่คิดว่าเด็กหนุ่มบ้านนอกจะรอดไปได้ในวันนี้ เพราะถึงอย่างไร กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจก็ยังมีหลี่เปียวที่เป็นถึงยอดฝีมือระดับมายารัตนะเก้าดารา และตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้วาดหมัดเลยสักกระบวนท่า ถ้าหากคนผู้นั้นลงมือเอง ชีวิตของหนุ่มน้อยผู้นั้นต้องจบสิ้นอย่างไม่มีข้อสงสัยแน่
หลี่เปียวเองไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสามคนของเขารับมือกับหนุ่มชุดดำนั่นไม่ได้แม้แต่น้อย เขาก็ไม่คิดจะส่งใครไปอีก
“เจ้าเด็กสามหาว กล้าลบหลู่กลุ่มทหารรับจ้างหมาป่าปีศาจครั้งแล้วครั้งเล่า วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าคนที่กล้ามีเรื่องกับพวกเราจะมีจุดจบยังไง”
กล่าวจบหลี่เปียวก็เปล่งเสียงคำรามดังลั่นแล้วพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่ทันที
ฉินอวี้โม่ยืนมองชายร่างใหญ่ที่พุ่งเข้ามาด้วยความสงบ อดีตนักฆ่าในร่างคุณหนูไม่มีท่าทีตื่นตระหนกแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วนางเองก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าระหว่างนางในตอนนี้กับยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะเก้าดาราจะห่างชั้นกันมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้ปะทะกัน ฉินอวี้โม่ก็พบว่าจู่ ๆ ร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นขวางทางหลี่เปียวเอาไว้
และถัดออกไปไม่ไกลในทิศทางเดินที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นพุ่งมา มีสตรีสาววัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินเข้ามาในอาคารสมาคมพร้อมกับคนวัยหนุ่มสาวอีกสามคน
.
.
.
ตอนที่ 30 ดูเหมือนว่าถาดใบนั้นมันจะไม่พอนะ
สมาคมทหารรับจ้างแห่งเมืองเยว่กวางตั้งอยู่ตรงย่านกลางเมืองเยว่กวาง
เป็นเพราะทำเลที่ยอดเยี่ยมของเมืองทำให้สมาคมทหารรับจ้างในเมืองนี้มีความคึกคักเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ สมาคมทหารรับจ้างแห่งเมืองเยว่กวางยังถือเป็นหนึ่งในสมาคมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ด้วย
ฉินอวี้โม่ที่เดินสำรวจเมืองไปตลอดทางในที่สุดก็มาถึงประตูทางเข้าของสมาคมทหารรับจ้าง และเมื่อมาถึง นางก็อดไม่ได้ที่จะต้องตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการของสมาคมทหารรับจ้างของเมืองเยว่กวางแห่งนี้
อาคารสมาคมถูกสร้างเป็นตึกสูงถึงสี่ชั้น เสาสองต้นหน้าอาคารมีขนาดใหญ่ถึงสองคนโอบ ตัวอาคารถูกทาด้วยสีทองที่เปล่งประกายเจิดจรัส
“คุณหนู ดูเหมือนว่าเมืองนี้จะเจริญกว่าเมืองของเราเยอะเลยนะเจ้าคะ ข้าว่าแค่เงินสร้างสมาคมทหารรับจ้างของที่นี่ก็น่าจะเยอะพอเอาไปสร้างเป็นสมาคมทหารรับจ้างของเมืองหลิงซีได้เป็นสิบ ๆ ที่แล้ว”
เสี่ยวโร่วมองดูตึกรามบ้านช่องอันแสนงดงามตระการตาของเมืองเยว่กวางด้วยความตื่นตาตื่นใจ สาวใช้น้อยพูดด้วยเสียงตื่นเต้นและชี้ชวนให้ฉินอวี้โม่ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้มาตลอดทาง นี่เป็นครั้งแรกของนางที่มีโอกาสได้เห็นเมืองใหญ่ขนาดนี้ อีกทั้งนางยังเป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบสี่ย่างสิบห้า หากจะให้กล่าวก็นับว่ายังไม่เข้าสู่วัยสาวเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นที่นางมีอาการตื่นเต้นขนาดนี้ก็นับว่าไม่แปลก
“เด็กโง่ นี่แค่เมืองเยว่กวางเท่านั้น ถ้าวันหนึ่งข้าพาเจ้าไปที่นครไป๋อวิ๋น เจ้าจะต้องตกใจจนเป็นลมไปแน่ ๆ”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเสี่ยวโร่ว ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มอย่างขบขันไม่ได้
ต่างจากผู้คนที่อยู่รอบ ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเด็กสาวเหล่านั้นก็หันมามองพวกนางด้วยสายตาดูแคลน
ในสายตาของพวกเขา บุรุษชุดดำร่างเล็กท่าทางประหลาดทั้งสองคนก็ไม่ต่างจากคนหลังเขาที่เพิ่งเคยเข้ามาเมืองใหญ่เป็นครั้งแรกและทำท่าทางตื่นเต้นกระดี๊กระด๊าน่ารำคาญ
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นโลกที่อยู่ตอนนี้หรือโลกที่เธอจากมา เรื่องเหยียดชนชั้นแบ่งวรรณะแบบนี้ก็มีให้ได้พบเจอจนเป็นปกติ ส่วนเสี่ยวโร่ว แม้ว่านางจะเยาว์วัยแต่ก็พอจะเข้าใจความหมายของสายตาเหล่านั้นอยู่บ้าง สาวใช้น้อยหันไปขมวดคิ้วมุ่นทำหน้ายุ่งใส่คนที่ลอบมองพวกนางทันที
“อย่าไปสนใจคนพวกนั้นเลย เราไปกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะก่อนจะดึงมือเสี่ยวโร่วเดินเข้าไปในสมาคมทหารรับจ้าง
เมื่อเข้ามาแล้ว พวกนางก็พบว่าภายในสถานที่แห่งนี้คับคั่งไปด้วยผู้คนมากมาย บ้างก็นั่งคุยกันเสียงดังจอแจ บ้างก็เดินไปเดินมาจนแทบจะเรียกได้ว่าแออัด ที่บริเวณโต๊ะติดต่อสอบถามเองก็เบียดเสียดไม่น้อย ผู้มาติดต่อจำนวนมากยืนรอเป็นแถวยาว และถึงแม้ว่าที่นี่จะจัดเจ้าหน้าที่สำหรับให้บริการเอาไว้ไม่น้อยแล้ว แต่ทุกคนก็มีงานล้นมือจนแทบจะจัดการไม่ทันเลยทีเดียว
“สหายหนุ่ม มีอะไรให้ช่วยไหม ?”
เมื่อโต๊ะติดต่อสอบถามตัวหนึ่งว่างลง ฉินอวี้โม่ก็เดินเข้าไปเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนแก่นมายาและแกนชีวิตเป็นเงิน บุรุษรูปร่างเล็กที่ยืนอยู่หลังโต๊ะตัวนั้นมองดูนางอยู่ชั่วครู่พลางกล่าว ก่อนจะก้มลงไปทำงานต่อ
ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะยังยุ่งมากและฉินอวี้โม่ก็ดูไม่คล้ายกับกลุ่มคนชั้นสูงหรือผู้มีฐานะมั่งคั่ง เขาจึงไม่ได้คิดจะอำนวยความสะดวกให้นางมากเท่าใดนัก
“น้องชาย ข้าสามารถเอาแก่นมายาและแกนชีวิตมาแลกเป็นเงินที่นี่ได้หรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้โกรธเคืองท่าทีของหนุ่มน้อยตรงหน้าเลยสักนิด นางเห็นว่าบนโต๊ะตัวนั้นยังมีแก่นมายาและแกนชีวิตอยู่มากมาย เด็กหนุ่มผู้นี้คงจะกำลังหัวเสียไม่น้อยกับงานยุ่ง ๆ ตรงหน้า เพราะเขากำลังนั่งคัดแยกมันไปด้วยขณะที่ยังต้องลงทะเบียนให้กับผู้ที่เข้ามาสมัครรับงานไปด้วย
“ถ้างั้นก็เอาแก่นมายาและแกนชีวิตที่เจ้ามีวางลงบนนี้ได้เลย ข้าจะประเมินราคาให้”
หนุ่มน้อยผู้นั้นพยักหน้าก่อนจะหยิบเอาถาดไม้ขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กออกมาและยื่นมันให้ฉินอวี้โม่เพื่อใช้วางแก่นมายาและแกนชีวิตที่จะแลกเปลี่ยน
“วางลงในนี้น่ะหรือ ?”
เมื่อมองดูขนาดของถาด ฉินอวี้โม่ก็อุทานออกมาอย่างอดไม่ได้
“ใช่ ตอนนี้ข้ากำลังยุ่งมาก ถ้าเจ้าอยากจะเอาของมาแลกก็ช่วยรีบหน่อย”
หนุ่มน้อยพยักหน้าและพูดตอบรับในขณะที่ยังคงหน้าก้มหน้าทำงานของเขาต่อไป
“ก็ได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับอย่างจำยอมพลางมองถาดไม้ใบนั้นอย่างยุ่งยากใจ อดีตนักฆ่าสาวไม่ได้มีปัญหากับท่าทางของเจ้าหน้าที่ต้อนรับหนุ่ม เพียงแต่นางกำลังกังวลว่าถาดเล็กๆ เช่นนี้จะไม่เพียงพอให้นางใส่แก่นมายาและแกนชีวิตที่รวบรวมมาได้ทั้งหมด
ทว่าในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น ฉินอวี่โม่ก็ต้องทำตาม สาวงามอดีตคุณหนูล้วงเอาถุงใบใหญ่จากภายในแหวนมิติของตัวเองออกมา ก่อนจะเปิดปากถุงและเทมันลงไปบนถาดไม้เจ้าปัญหาที่วางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า
ในตอนนั้นเอง โต๊ะทำงานของหนุ่มน้อยผู้นั้นก็เต็มไปด้วยแก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนกองสูงเป็นภูเขา ตอนนี้ถาดไม้ไม่เล็กไม่ใหญ่กลายเป็นเล็กไปทันทีเมื่อมันถูกภูเขาของแก่นมายาทับถมจนมิด ทว่าจนถึงตอนนี้ ในถุงผ้าของฉินอวี้โม่ก็ยังคงมีผนึกกลม ๆ หลากหลายสีหล่นลงมาจนทำให้มีบางอันถึงกับร่วงหล่นและกลิ้งไปตามพื้น
กริ๊ง ๆ ๆ ๆ !
“นี่…”
หนุ่มน้อยที่อยู่หลังโต๊ะตัวนั้นถึงกับอ้าปากค้างเบิกตากว้าง ใครจะไปคิดล่ะว่าบุรุษชุดดำดูประหลาดจะมีแก่นมายาและแกนชีวิตมากมายถึงเพียงนี้ !!!
“น้องชาย ดูเหมือนว่าถาดใบนั้นมันจะไม่พอนะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวพลางส่องดูแก่นมายาและแกนชีวิตที่ยังเหลืออยู่บางส่วนตรงก้นถุงผ้า นางหันไปมองหนุ่มน้อยผู้นั้นด้วยแววตาที่ไร้เดียงสาพร้อมกับยิ้มเจื่อน ๆ ส่งให้
ผู้คนในสมาคมทหารรับจ้างที่กำลังวุ่นวายอยู่กับงานของตัวเองเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งแปลก ๆ ทันทีที่ได้เห็นแก่นมายาและแกนชีวิตกองท่วมโต๊ะ พวกเขาก็หันขวับไปมองฉินอวี้โม่เป็นตาเดียว การได้เห็นแก่นมายาและแกนชีวิตจำนวนมากมายทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงเทศกาลอสูรล้อมเมืองนับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างมาก !
‘….. เจ้าหนุ่มคนนั้นมันไปปล้นรังอสูรมายามารึยังไง ?’
เจ้าหน้าที่หนุ่มน้อยตกตะลึงตาค้างไปชั่วครู่และเมื่อได้สติ เขาก็กำลังจะบอกให้ฉินอวี้โม่เก็บแก่นมายาและแกนชีวิตของนางกลับไปก่อน ทว่ายังไม่ทันที่จะได้อ้าปาก เขาก็เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสายตาโกรธเคือง
“รอเดี๋ยวก่อน แก่นมายากับแกนชีวิตพวกนี้เป็นของที่ถูกขโมยมา สมาคมทหารรับจ้างของเราคงรับมันไว้ไม่ได้”
สิ้นคำพูดไม่เข้าหู คนกลุ่มนั้นก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าท่าทางที่ไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย
.
.
.
ตอนที่ 29 ความรู้สึก
เมื่อได้ยินเสียงนั้น ฉินอวี้โม่ก็หันกลับไปมอง นางเห็นบุรุษในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังเดินตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม
บุรุษผู้นั้นมีอายุประมาณยี่สิบสี่ยี่สิบห้า และด้วยรอยยิ้มบาง ๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าอันหล่อเหลาทำให้เขาดูเป็นชายหนุ่มอ่อนโยนผู้มีจิตใจดี
“นายน้อย”
ดูเหมือนทหารเฝ้าประตูเมืองจะรู้จักกับชายหนุ่มใจดีผู้นี้ ทหารผู้นั้นโค้งทำความเคารพเขาอย่างนอบน้อม
“ให้พวกเขาเข้าไปเถอะ ข้ารับประกันให้เอง”
ชายผู้นั้นกล่าวและหันมาส่งยิ้มให้ฉินอวี้โม่ “ข้าลั่วอวิ๋น มีธุระที่เมืองนี้พอดี เราเข้าไปด้วยกันเถอะ”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายช่วยนางแก้ปัญหาหนักอกไปได้ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าลั่วอวิ๋นผู้นี้มีจุดประสงค์อย่างไร แต่ดู ๆ ไปแล้วเขาก็ไม่น่าจะใช่คนที่เลวร้ายนัก
ยิ่งกว่านั้น ทหารที่เฝ้าประตูยังเรียกเขาว่านายน้อย อีกทั้งเจ้าเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็ใช้แซ่ลั่ว สำหรับฉินอวี้โม่แล้ว ตัวตนที่แท้จริงของลั่วอวิ๋นผู้นี้จึงเห็นได้ชัดและคาดเดาได้ไม่ยาก
“ขอบคุณท่านมาก”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและเดินเข้าไปในเมืองเยว่กวางพร้อมกับลั่วอวิ๋น
หลังจากผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว อดีตคุณหนูสี่ก็ได้พบว่าภายในเมืองนี้รุ่งเรืองยิ่งกว่าภาพที่เห็นจากภายนอกเสียอีก ผู้คนมากมายเดินกันขวักไขว่ ตึกรามบ้านช่องโอ่อ่าใหญ่โต ทั้งยังดูหรูหราตระการตา ร้านรวงจำนวนมากถูกสร้างอยู่ในรูปแบบของอาคารสูงที่มีตั้งแต่สองชั้นไปจนถึงสี่หรือห้าชั้นตั้งเรียงรายแน่นขนัดอยู่เต็มสองข้างทาง ทว่าก็ยังคงดูเรียบร้อยเป็นระบบระเบียบ นอกจากนี้ ถนนหนทางของเมืองก็กว้างขวางสะอาดตาและมีโคมไฟสาธารณะขนาดใหญ่แขวนเอาไว้เพื่อให้แสงสว่างอยู่จนสุดทาง เมืองเยว่กวางนี้เป็นเมืองใหญ่ที่เจริญและครึกครื้นเป็นอย่างมาก
“แม่นางจะไปที่ไหนต่อ ?”
ดูเหมือนว่าลั่วอวิ๋นจะรู้อยู่แต่แรกแล้วว่าฉินอวี้โม่เป็นผู้หญิง เขาเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับรอยยิ้มใจดี
“ข้าอยากจะไปที่สมาคมทหารรับจ้างก่อน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวต่อ “ข้าชื่อฉินอวี้โม่มาจากเมืองหลิงซี…”
.
.
หลังออกจากจวนตระกูลฉินมาได้ อดีตคุณหนูผู้เพิ่งจะเผาเรือนศัตรูหัวใจของมารดาก็มุ่งตรงไปยังโรงหมอทันที นางไม่สนใจสายตาแสดงความประหลาดใจปนตกตะลึงของเสี่ยวโร่วตอนที่เห็นอาชาสีนิลบินได้และรีบพาสาวใช้ตัวน้อยขึ้นหลังเสี่ยวเฮยก่อนจะบินตรงมาที่เมืองเยว่กวางแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
แท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางของอดีตคุณหนูสี่ก็คือเมืองหลวงแห่งจักรวรรดิไป๋อวิ๋น — นครไป๋อวิ๋น
ตอนนี้นางไม่ทราบข้อมูลใด ๆ ที่จะใช้ตามหาผู้เป็นมารดา และไม่รู้เลยว่านางจะถูกพาตัวไปที่แห่งใด เบาะแสเพียงอย่างเดียวของนางก็คืออวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกยอดฝีมือที่มีฝีมือสูงส่งมากผู้หนึ่งพาตัวไป และสถานที่ที่จะมีโอกาสได้พบเจอเบาะแสอื่นหรือได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับยอดฝีมือเก่งกาจที่เดินทางมากับสตรีวัยกลางคนก็ต้องเป็นเมืองที่ใหญ่และเจริญมาก นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางต้องเดินทางไปตามเมืองใหญ่เพื่อเพิ่มโอกาสในการสืบหาข่าวของมารดา และนครไป๋อวิ๋นก็เป็นเมืองที่เจริญที่สุดในเขตนี้และยังเป็นสถานที่ตั้งของขุมกำลังซึ่งเป็นจุดรวมตัวของยอดฝีมือจำนวนมาก ฉินอวี้โม่จึงตัดสินใจออกเดินทางไปเยือนนครแห่งนั้น
ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากความทรงจำของคุณหนูสี่ตัวจริงไม่ผิดแล้วล่ะก็ ฉินเซียว บุตรชายคนโตแห่งตระกูลฉิน พี่ชายร่วมมารดาของนางตอนนี้ก็น่าจะอยู่ภายในนครไป๋อวิ๋นด้วย
.
.
เมื่อได้ฟังจนจบลั่วอวิ๋นก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “อ่อ แม่นางฉินตั้งใจจะเดินทางผ่านป่าแสงจันทร์เพื่อไปยังนครไป๋อวิ๋น”
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ลั่วอวิ๋นเป็นชายหนุ่มที่สุภาพมากอย่างแท้จริง เพราะแม้ว่านางจะเอ่ยเล่าเรื่องราวคร่าว ๆ อย่างคลุมเครือและดูจะเต็มไปด้วยปริศนาแต่เขากลับไม่ได้สอบถามสิ่งใดมากความให้นางอึดอัดแม้แต่น้อย ฉินอวี้โม่กำลังรู้สึกว่าชายผู้นี้คบหาได้ง่าย
“หึ ๆ แม่นางฉินผ่านมาที่เมืองเยว่กวางของเราโดยบังเอิญ ข้าว่าบางทีนี่อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต เช่นนั้นมันจะดีกว่าหรือไม่หากแม่นางอยู่ต่ออีกสักหน่อยเพื่อรอเข้าร่วมเทศกาลอสูรล้อมเมืองที่กำลังจะมาถึง”
“เทศกาลอสูรล้อมเมือง ?”
ฉินอวี้โม่เองก็เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน เป็นเพราะเมืองเยว่กวางแห่งนี้อยู่ติดกับป่าแสงจันทร์จึงมักจะถูกอสูรมายาบุกโจมตีอยู่บ่อยครั้งทำให้ต้องมีการรักษาความปลอดภัยของเมืองทั้งทางบกและทางอากาศ และในทุกห้าปีจะมีวันหนึ่งที่กองทัพของเหล่าอสูรมายาบุกเข้าล้อมเมือง ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุใด แต่ทุก ๆ ห้าปี วันที่กองทัพอสูรเหล่านั้นบุกเข้าโจมตีเมืองจะต้องตรงกันเสมอ
เมื่อวันนั้นมาถึง อสูรมายาจำนวนมหาศาลจะบุกออกมาจากป่าแสงจันทร์พร้อม ๆ กันแล้วพุ่งเข้าโอบล้อมโจมตีเมืองเยว่กวางจากแทบทุกทิศ โดยในกองทัพอสูรมายาเหล่านั้นจะมีตั้งแต่สัตว์อสูรที่อ่อนแอไปจนถึงสัตว์อสูรที่ทรงพลังและมีระดับสูง ชาวเมืองคุ้นชินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเช่นนี้และเรียกขานวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ‘วันอสูรล้อมเมือง’
ซึ่งเรื่องนี้ก็สามารถดึงดูดยอดฝีมือจำนวนมากให้เข้ามาในเมืองเพื่อต่อกรกับฝูงสัตว์อสูรได้ ผ่านมาเนิ่นนานหลายปีจากที่เพียงแค่เตรียมตัวตั้งรับก็แปรเปลี่ยนเป็นเริ่มแข่งขันกันสังหารอสูรมายาจนเกิดเป็น ‘เทศกาลอสูรล้อมเมือง’ เหมือนเช่นทุกวันนี้
และหากผู้ใดออกมาล่าและสังหารเหล่าอสูรมายาในวันนี้จะไม่ใช่แค่เพียงได้แก่นมายาและแกนชีวิตของพวกมันจำนวนมหาศาลเท่านั้น แต่ทางการของเมืองเยว่กวางก็จะมอบรางวัลให้กับผู้ที่มีผลงานโดดเด่นในการสังหารอสูรมายาอีกด้วย
“อีกเจ็ดวันนับจากวันนี้จะเป็นวันที่อสูรมายาบุกโจมตีเมือง ปีนี้ทางสำนักเจ้าเมืองได้เตรียมรางวัลสุดพิเศษไว้เรียบร้อยแล้ว”
ลั่วอวิ๋นยิ้มและเปิดเผยข้อมูลที่เขาได้รู้มาออกไปเล็กน้อย
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับ “ข้าจะลองคิดดูอีกที อย่างไรก็ขอบคุณท่านมาก คุณชายลั่วอวิ๋น”
ในตอนนี้ฉินอวี้โม่เพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดลั่วอวิ๋นผู้นี้ถึงได้ช่วยเหลือนางให้ผ่านเข้าเมืองได้ นั่นก็เป็นเพราะอีกฝ่ายมองเห็นเสี่ยวเฮยที่เกาะอยู่บนไหล่ของนาง และที่สาวอดีตนักฆ่ารู้เรื่องนี้ก็เพราะเห็นอีกฝ่ายลอบมองมันอยู่บ่อยครั้ง
“คุณชายลั่ว เหตุใดท่านถึงช่วยให้ข้าผ่านเข้าเมืองมา ? ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นคนไม่ดีหรือ ?”
แม้ว่าจะคาดเดาเหตุผลที่แท้จริงได้แล้ว แต่นางก็ยังอยากจะยืนยันให้มั่นใจจึงแกล้งถามลองเชิงบุรุษตรงหน้าออกไป เธอกำลังอยากรู้ว่าลั่วอวิ๋นคนนี้ คนที่เธอคิดว่าน่าคบหาจะตอบคำถามนั้นอย่างไร
“เพราะว่าความรู้สึก”
ลั่วอวิ๋นยิ้มละไมพลางกล่าวตอบ “ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนเลวร้ายอะไร เจ้ามีอสูรระดับนั้นเป็นผู้พิทักษ์อยู่แล้ว หากว่าเจ้าเป็นคนไม่ดีจริง ๆ ล่ะก็ เจ้าคงจะไม่เสียเวลาเจรจากับยามเฝ้าประตูเมืองและคงจะใช้กำลังฝ่าเข้ามานานแล้ว”
เมื่อได้ฟังคำตอบของบุรุษหนุ่มใจดี ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มไม่ได้ ลั่วอวิ๋นผู้นี้ดูจะเป็นคนดีไม่น้อยจริง ๆ
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวก่อน”
ฉินอวี้โม่โค้งศีรษะเล็กน้อยเป็นการขอบคุณก่อนจะหันหลังและเดินมุ่งหน้าตรงไปยังสมาคมทหารรับจ้างแห่งเมืองเยว่กวาง
“ลาก่อนแม่นาง”
หลังจากร่ำลากันแล้ว ลั่วอวิ๋นเองก็หันหลังและมุ่งหน้าไปยังทิศทางที่จวนของเจ้าเมืองตั้งอยู่
.
.
.
ตอนที่ 28 เมืองเยว่กวาง
ณ เมืองที่รุ่งเรืองและยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งตั้งอยู่ในจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเขตใต้ —— เมืองเยว่กวาง (นครแสงจันทร์)
ดินแดนหวนหลิงนั้นถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ตามแนวเหนือ-ใต้ โดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนามเขตเหนือหรือ ‘หวนหลิงเหนือ’ และเขตใต้หรือ ‘หวนหลิงใต้’ ซึ่งเมืองเยว่กวางแห่งนี้ก็ตั้งอยู่ ณ จุดกึ่งกลางเยื้องมาทางใต้เล็กน้อย
พื้นที่กึ่งกลางระหว่างเขตหวนหลิงเหนือและใต้นั้นเป็นที่ตั้งของอาณาจักรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งนามว่า ‘จักรวรรดิไป๋อวิ๋น’ จักรวรรดิแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลโดยมีอาณาเขตอยู่ในดินแดนหวนหลิงทั้งเขตเหนือและเขตใต้ ทิศเหนือของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นอยู่ในเขตหวนหลิงเหนือและอยู่ติดกับจักรวรรดิชิงเฟิงซึ่งเป็นอีกหนึ่งอาณาจักรที่มีความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจักรวรรดิไป๋อวิ๋น ส่วนเขตใต้ของจักรวรรดิไปอวิ๋นที่ซึ่งอยู่ในหวนหลิงใต้นั้นมีเขตติดต่อกับแคว้นเล็ก ๆ หลายแคว้น เช่น แคว้นชินซวี๋และมู่ซุ่ย ซึ่งทุกแคว้นล้วนแต่อ่อนแอกว่าจักรวรรดิไป๋อวิ๋นมาก
ที่ด้านนอกของเมืองเยว่กวางนั้น เป็นที่ตั้งของผืนป่ากว้างใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งถูกเรียกว่าป่าแสงจันทร์ ป่าแห่งนี้อยู่ติดกับพื้นที่เมืองเยว่กวางทางทิศเหนือและเป็นสถานที่ที่นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นจุดกั้นกลางที่ใช้สำหรับแบ่งแยกอาณาเขตของดินแดนหวนหลิงเหนือและใต้ออกจากกัน
ป่าแสงจันทร์มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก ว่ากันว่าการจะข้ามผ่านผืนป่าแห่งนี้จะต้องเดินทางเป็นระยะทางหลายพันลี้ ซึ่งหากเป็นนักผจญภัยธรรมดาทั่วไปแล้วเกรงว่ากว่าจะข้ามผืนป่าใหญ่นี้ไปได้ก็คงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งปี ยิ่งกว่านั้น ภายในป่าแสงจันทร์ยังเต็มไปด้วยอันตรายน่าหวาดหวั่นนานัปการทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ระดับมายารัตนะก็ยังไม่กล้าจะเดินทางข้ามผ่านไปโดยลำพัง
นอกจากอาณาเขตของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นจะกว้างใหญ่ไพศาลแล้ว อาณาจักรแห่งนี้ก็ยังมีเมืองเล็กเมืองน้อยที่อยู่ภายใต้การปกครองอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งเมืองหลิงซีเองก็เป็นหนึ่งในเมืองใต้การปกครองของไป๋อวิ๋นที่ซึ่งตั้งอยู่ในเขตหวนหลิงใต้ หลิงซีนั้นนับว่าเป็นเมืองไกลปืนเที่ยงอย่างแท้จริง เมืองเล็ก ๆ นี้อยู่ห่างไกลความเจริญมากเสียจนเพียงแค่จอมยุทธ์ระดับมายารัตนะยังหาได้ยาก
ต่างจากเมืองเยว่กวางแห่งนี้ เพราะเยว่กวางตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดีเยี่ยมและถือเป็นเมืองหน้าด่านของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นเขตใต้ จึงมีทั้งนักผจญภัย พ่อค้า ประชาชนทั่วไป รวมไปถึงจอมยุทธ์มากฝีมือเดินทางผ่านไป-ผ่านมา โดยเฉพาะเหล่าขุมกำลังจำนวนมากและหลากหลายที่ต่างก็เลือกใช้เมืองแห่งนี้เป็นที่ตั้งของฐานบัญชาการ ด้วยเหตุนี้เอง เมืองเยว่กวางจึงเป็นแหล่งรวมตัวของยอดฝีมือระดับสูง
—–
ปลายยามเซิน ณ ประตูทางเข้าเมืองเยว่กวาง
หญิงสาวในชุดบุรุษสีดำกำลังมองดูผู้คนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า
ตรงหน้านางตอนนี้เป็นกำแพงเมืองสูงหลายสิบจั้ง มันตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนฟ้าราวกับไร้ที่สิ้นสุด กำแพงเมืองนี้มีสีเทาเข้มทึบคล้ายยางมะตอย มันดูเรียบง่ายทว่ายังคงให้ความรู้สึกที่หนักแน่นแข็งแกร่ง เหนือขึ้นไปที่สุดขอบกำแพงด้านบนนั้น จะพบเห็นหอคอยพลธนูที่ยิ่งใหญ่จนดูคล้ายเป็นป้อมปราการขนาดย่อม ๆ กระจายอยู่ทั่วตัวกำแพง
เห็นได้ชัดว่าเมืองนี้มีการป้องกันที่แน่นหนามาก เพราะบริเวณหน้าประตูเมืองนั้นมีกองทหารถึงสองกองกำลังลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบอย่างขะมักเขม้น อีกทั้งบนท้องฟ้ายังมีกริฟฟินผลัดกันบินสำรวจตรวจตราจากทางอากาศอยู่ตลอดเวลา เมืองเยว่กวาง—- ที่แห่งนี้คือนครอันยิ่งใหญ่และน่าอัศจรรย์โดยแท้ !
“โอ้โห ! ไม่คิดเลยว่าจะมีเมืองที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้อยู่ด้วย”
ฉินอวี้โม่อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ในตอนนี้สตรีโฉมงามผู้เป็นอดีตคุณหนูกำลังสวมใส่ชุดของบุรุษสีดำล้วน ใบหน้าใสกระจ่างถูกผ้าปิดปากสีเดียวกับชุดปิดบังไปเกือบครึ่งเหลือไว้ให้เห็นเพียงตาเนื้อทรายหวานซึ้ง
ถึงแม้ดวงตาคู่งามจะหวานไปนิดและผิวเนียนละเอียดจะขาวไปหน่อย แต่ด้วยผมที่ถูกรวบตึงไว้ด้านหลังบวกกับคิ้วดกหนาที่คมดุจกระบี่ และยิ่งเมื่อรวมเข้ากับแววตาอันแสนมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวนั้นก็ทำให้นางดูไม่ต่างจากบุรุษมาดนิ่งแสนหล่อเหลา
ที่ข้างกายของนาง… ไม่สิ… เขา มีคนตัวเล็กและยังดูมีความเป็นเด็กยืนอยู่ใกล้ ๆ ไม่ต้องสงสัยเลย คนผู้นี้ก็คือเสี่ยวโร่ว
เพื่อความสะดวกในการเดินทางทั้งฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วจึงสวมชุดของบุรุษ เนื่องจากเสี่ยวโร่วยังไม่โตเต็มที่จึงทำให้นางดูเหมือนกับหนุ่มน้อยวัยละอ่อนในชุดบุรุษ ส่วนฉินอวี้โม่นั้นมีรูปร่างที่ดีกว่ามากซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในชุดของบุรุษเช่นนี้ก็ยังมิอาจปิดบังความสง่างามโดดเด่นของนางได้
ทว่าอดีตคุณหนูสี่ก็ไม่ได้คิดที่จะใส่ใจเรื่องนั้นนัก นางเพียงแค่คิดว่าชุดของบุรุษช่วยให้คล่องตัวและเคลื่อนไหวง่ายกว่าก็เท่านั้น ไม่ว่าคนภายนอกจะมองว่านางเป็นเพศอะไรก็ไม่มีความสำคัญมากมายนัก
บนไหล่ของฉินอวี้โม่มีเสี่ยวเฮยตัวน้อยกำลังเกาะอยู่ มันมองดูผู้คนในเมืองเยว่กวางด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น
ผู้คนมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมาต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองฉินอวี้โม่ ดูราวกับว่าพวกเขาอยากจะเห็นโฉมหน้าแท้จริงซึ่งซ่อนอยู่ภายใต้ผ้าปิดหน้าสีดำสนิทนั้นเสียเหลือเกิน
ภายในเมืองเยว่กวางแห่งนี้มียอดฝีมือที่เก่งกาจอยู่มากมายโดยแท้ ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าเหล่าคนที่เดินผ่านไปมามากมายนั้นมีทั้งผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายา ทิพย์มายา หรือแม้กระทั่งมายารัตนะ และมียังมีอีกจำนวนมากที่มีอสูรมายาเป็นของตัวเอง และอสูรมายาเหล่านั้นก็มีทั้งหมาป่าสายลม เสือเขี้ยวดาบ เสือชีตาร์ รวมถึงอสูรมายาที่นางไม่รู้จักอีกไม่น้อย
“ไปกันเถอะ”
หลังจากหยุดชมความอลังการของเมืองเยว่กวางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดพวกนางทั้งสองก็เดินตรงไปที่ประตูเมือง
“หยุด ผู้ที่ยังไม่ได้ยืนยันตัวตนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเขตเมืองเยว่กวาง”
ฉินอวี้โม่และเสี่ยวโร่วถูกทหารผู้หนึ่งหยุดเอาไว้ ซึ่งทหารผู้นี้นั้น ฉินอวี้โม่เห็นว่าเขาจ้องมองดูพวกนางมาแต่ไกลแล้ว
อดีตนักฆ่าสาวขมวดคิ้ว ‘แค่จะเข้าเมืองนี่ต้องยืนยันตัวตนด้วยเหรอ ?’
“พี่ชาย ข้ากับสหายมาจากเมืองหลิงซีอันห่างไกล ที่ผ่านมาถึงเมืองเย่วกวางแห่งนี้ได้ก็เพราะความบังเอิญ ข้าน้อยเห็นว่าเมืองแห่งนี้ทั้งยิ่งใหญ่และงดงามจึงอยากจะเข้าไปพักค้างแรมในเมืองสักสองสามวัน ข้าน้อยไม่รู้ว่าการยืนยันตัวตนที่ท่านว่าต้องทำอย่างไร ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นด้วยวาจาใสซื่อและแววตาที่ดูน่าสงสาร
“อ่อ ที่แท้เจ้าก็เป็นนักผจญภัยจากเมืองหลิงซีเองรึ ?”
ทหารผู้นั้นกล่าวพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ใบหน้าของเขาก็ดูจะผ่อนคลายขึ้นมา
“เมืองเยว่กวางของเราตั้งอยู่ทางใต้ของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นและยังเป็นเมืองชายแดนที่เชื่อมต่อกับรัฐอื่น ๆ อีกหลายรัฐ เพราะฉะนั้นการจะเข้าเมืองนี้เจ้าต้องมีป้ายผ่านทาง”
ทหารหนุ่มอธิบายกฎของเมืองเยว่กวางที่ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้ตั้งขึ้น พวกเขาเพียงทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
“ป้ายผ่านทาง ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ทหารอธิบาย ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วแน่น
“ข้าขอรับรองให้คนผู้นั้นเอง”
ทันใดนั้นเสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลังของสตรีในชุดบุรุษทั้งสอง !
.
.
.
ตอนที่ 27 ความช่วยเหลือจากยอดฝีมือลึกลับ
— ตุบ ! —
ฉินอวี้โม่ถีบร่างของฉินซือขวงอย่างแรงจนล้มหน้าคว่ำลงกับพื้น และดูเหมือนว่าคุณชายสองหน้าแห่งตระกูลฉินจะทนความเจ็บปวดไม่ไหวจึงหมดสติไปในที่สุด
“จริงอยู่ว่าข้าส่งคนไปจับตัวแม่เจ้าที่โรงเตี๊ยม แต่มาได้เพียงครึ่งทางกลับมีคนมาช่วยนางไปเสียก่อน”
เมื่อเห็นว่าฉินซือขวงหมดสติไปแล้ว เยี่ยเสี่ยวตี๋จึงรีบเปิดปากเล่าเรื่องทั้งหมดออกไปเพราะเกรงว่าจะเกิดเหตุที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้
หลังจากฉินอวี้โม่พามารดารวมทั้งสาวใช้ออกไปจากตระกูลฉิน เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ส่งคนสะกดรอยตามทั้งสามไปจนได้รู้ว่าพวกนางเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เยี่ยเสี่ยวตี๋จึงสั่งให้คนของนางซุ่มจับตามองอยู่ใกล้ ๆ โรงเตี๊ยมและรอคอยจนกระทั่งเห็นฉินอวี้โม่ออกไปข้างนอกจึงค่อยบุกเข้าไปจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
เดิมทีฮูหยินรองตระกูลฉินต้องการจะจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นมาเป็นตัวล่อแล้วใช้นางข่มขู่ฉินอวี้โม่ นางจะทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกเจ็บปวดทรมานเพื่อแก้แค้นที่ทำให้นางต้องขายหน้าจากการถูกเหยียดหยาม
เยี่ยเสี่ยวตี๋คิดว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่น
เพราะคนที่นางส่งไป บุกเข้าในโรงเตี๊ยม ทำร้ายเสี่ยวโร่ว และสามารถนำตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกมาได้อย่างไม่ยากเย็น
ทว่าในระหว่างทางที่กำลังพาอดีตฮูหยินใหญ่กลับมายังจวนตระกูลฉิน พวกเขากลับพบกับบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง
คนผู้นั้นสวมใส่ชุดสีดำทั้งตัวและปิดบังใบหน้าจนเกือบมิด ไม่มีผู้ใดได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
รู้เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นแข็งแกร่งมากและเป็นผู้มีฝีมือสูงส่ง กลุ่มคนที่เยี่ยเสี่ยวตี๋ส่งไปทั้งหมดไม่สามารถต้านทานได้เลย
นางคิดว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นคงจะถูกคนผู้นั้นช่วยชีวิตไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ว่าตอนนี้อดีตฮูหยินใหญ่ไปอยู่ที่ใดนั้นก็ไม่มีใครทราบได้
หลังจากได้ยินคำบอกเล่าของเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกกังวลเล็กน้อยแต่ก็เกิดความรู้สึกโล่งไปพร้อม ๆ กัน
ในเมื่อบุคคลผู้นั้นช่วยชีวิตอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไป ย่อมแสดงว่าเขาคงไม่คิดจะทำร้ายนาง แต่ว่ายอดฝีมือลึกลับคือผู้ใด เหตุใดต้องช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋น และตอนนี้เขาพานางไปที่ไหน ?
ในตอนนี้หัวใจของฉินอวี้โม่ทั้งสับสนและเต็มไปด้วยคำถามมากมาย
ชายลึกลับผู้นั้นสามารถช่วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้อย่างทันท่วงที แสดงว่าเขาจะต้องรู้ที่อยู่และความเคลื่อนไหวของพวกนางแน่
เมื่อลองตรึกตรองเรื่องนี้ดูแล้ว ฉินอวี้โม่ก็เชื่อมั่นว่าการเคลื่อนไหวทั้งหมดของพวกนางทั้งสามคนจะต้องอยู่ในสายตาของยอดฝีมือลึกลับผู้นี้ตลอดเวลา
ฉินอวี้โม่หยุดยั้งความคิดของนาง ยามนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะคาดเดาเรื่องนี้ได้ เพราะยิ่งคิดนางก็ยิ่งไม่เข้าใจและมีเรื่องที่น่าสงสัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนั่นก็จะทำให้นางต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่
ฉินอวี้โม่เชื่อว่าเยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่ได้กล่าวความเท็จเพราะฮูหยินรองคงไม่กล้าโกหกนางในตอนนี้แน่ ยิ่งกว่านั้นหากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในมือนางจริง สตรีน่ารังเกียจก็คงจะเอาอดีตฮูหยินใหญ่ออกมาต่อรองกับนางนานแล้ว นางคงไม่ปล่อยให้สถานการณ์ล่วงเลยมาจนเลวร้ายกับตัวนางถึงเพียงนี้
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ เจ้าฉวยโอกาสในตอนที่ข้าไม่อยู่เข้ามาจับตัวแม่ข้า และยังทำให้เสี่ยวโร่วบาดเจ็บ ที่สำคัญแม่ของข้ายังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ทั้งหมดข้าถือว่าเป็นความผิดของเจ้า !”
ฉินอวี้โม่มองเยี่ยเสี่ยวตี๋ด้วยสายตาดุจมัจจุราชที่กำลังจะลงทัณฑ์คนบาปพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หากไม่ใช่เพราะสตรีใจทรามผู้นี้ส่งคนไปจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋น มารดาของนางก็คงจะไม่หายตัวไปเช่นนี้และเสี่ยวโร่วก็จะไม่ต้องบาดเจ็บหนักแบบนี้ด้วย
ลึก ๆ แล้วฉินอวี้โม่ก็โทษตัวเองในเรื่องนี้เช่นกัน เธอเสียใจอย่างมากที่ไม่รอบคอบพอ เหตุการณ์จึงเป็นแบบนี้ไปได้… ‘ทำไมเธอถึงไม่ฆ่าเยี่ยเสี่ยวตี๋ไปเลยตั้งแต่แรกนะ ? ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษความบกพร่องของเธอด้วย’ นักฆ่าสาวคิดในใจอย่างเจ็บแค้น
“ข้าอยากจะฆ่าเจ้าซะ แต่ชีวิตของแม่ข้ายังไม่รู้ชะตากรรม ฉะนั้นข้าจะไม่ยอมให้เจ้าได้ตายง่าย ๆ !”
ฉินอวี้โม่ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเยี่ยเสี่ยวตี๋พลางกำกริชในมือแน่น ริมฝีบางปรากฏรอยยิ้มอันน่าขนลุก
“ฉินอวี้โม่ได้โปรด ปล่อยแม่ข้าไปเถอะ”
ฉินฉืออวี้หวาดกลัวฉินอวี้โม่จับจิต เมื่อเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามา นางก็กล่าวร้องขอชีวิตมารดาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ดวงตาสองข้างเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ข้าจะทำให้เจ้าต้องทุกข์ทรมาน อยู่ไม่สู้ตาย !”
“อ๊ากกก !”
กริชในมือของฉินอวี้โม่ถูกกวัดแกว่งอย่างรวดเร็วและทิ้งรอยบาดแผลไว้บนใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวตี๋
เมื่อมองดูใบหน้าที่เคยงดงามของเยี่ยเสี่ยวตี๋ในตอนนี้ นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูก็ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะหันไปสาดสายตาเย็นยะเยือกเข้าใส่ฉินฉืออวี้ หลังจากนั้นอดีตคุณหนูคนงามก็เดินไปหยุดอยู่ข้างตัวเสี่ยวเฮย
ในครั้งนี้นางใช้ประโยชน์จากสภาวะพลังที่แข็งแกร่งของเสี่ยวเฮยเพื่อสะกดไม่ให้เยี่ยเสี่ยวตี๋สามารถต่อต้านได้ก่อนจะใช้กริชในมือวาดตัวอักษรคำว่า 妾* ขนาดใหญ่ไว้บนหน้าของฮูหยินรองแห่งตระกูลฉิน
(*妾= อนุภรรยา/เมียน้อย)
อันที่จริงตัวเธอ ไม่ได้สนใจกับเรื่องเมียหลวงเมียน้อยมากนัก แต่ครั้งนี้เพราะต้องการจะสร้างความอับอายอย่างไม่รู้ลืมให้อีกฝ่าย เธอจึงเลือกใช้วิธีนี้ที่ดูเหมาะสมมากที่สุด !
ต่อไปนี้ใครก็ตามที่มองดูใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็จะเห็นคำว่า ‘เมียน้อย’ ปรากฏอยู่และระลึกได้ว่าสตรีผู้นี้คืออนุภรรยาของผู้นำตระกูลฉินทุกครั้งไป แล้วค่อยมาดูกันว่าต่อไปนี้ฮูหยินรองผู้นี้จะกล้าออกจากบ้านหรือไม่
หลังจากขึ้นไปบนหลังของเสี่ยวเฮยแล้ว ฉินอวี้โม่ก็จ้องมองฉินเทียนด้วยแววตาเย็นชาก่อนจะกวาดตามองทุกคนในตระกูลฉินที่ยืนอึ้งกันอยู่
“เสี่ยวเฮย เจ้าทำลายเรือนหลังนั้นได้หรือไม่ ?”
นางชี้ไปยังเรือนหลังใหญ่อันแสนงดงามที่เป็นของเยี่ยเสี่ยวตี๋ ไม่ถึงพริบตาหลังจากนั้นลูกไฟขนาดยักษ์ก็พุ่งออกไปจากปากของอาชาสีนิล
เรือนหลังงามของฮูหยินรองตระกูลฉินระเบิดออกไปเกือบครึ่งในทันทีก่อนที่ส่วนที่เหลือจะถูกไฟเผามอดไหม้อย่างรวดเร็ว
“ฉินเทียน มองดูเรือนหลังนั้นให้ดี นั่นคือคำเตือน ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับแม่ข้า ตระกูลฉินของเจ้าได้ถึงจุดจบแน่ !”
แม้ว่าตอนนี้นางจะตัดขาดกับคนพวกนี้โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่เพราะเห็นแก่บุญคุณที่เคยให้ที่ซุกหัวนอนนางกับมารดามานานหลายปี ฉินอวี้โม่จึงยังไม่ทำลายจวนตระกูลใหญ่แห่งนี้จนสิ้นซาก ส่วนเรื่องแซ่ ‘ฉิน’ นักฆ่าสาวไม่ได้คิดอะไรมากนัก และเธอเองก็ไม่กล้าเจ้ากี้เจ้าการตัดสินใจเปลี่ยนมันแทนคุณหนูสี่ตัวจริงผู้ล่วงลับอีกด้วย
หลังจากเจ้านายสาวของมันเอ่ยวาจาแสนเย็นชาออกไปแล้ว เสี่ยวเฮยก็สยายปีกทะยานขึ้นท้องฟ้าและบินหายไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
ตอนที่ 26 เสี่ยวเฮยแผลงฤทธิ์
“อ๊ากกก !”
เสียงกรีดร้องดังขึ้น กริชเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นที่บริเวณต้นขาของฉินซือขวง ปลายของมันฝังลึกลงไปในเนื้อของเขา ร่างกายของคุณชายรองตระกูลฉินทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นทันที
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ เจ้าจะบอกหรือไม่บอก ?!”
ฉินอวี้โม่กำกริชอีกเล่มในมือแน่นและมองเยี่ยเสี่ยวตี๋ด้วยสายตาแสนเย็นเฉียบและโหดเหี้ยมไร้ความปรานี
— ฉึก ! —
ในตอนที่เยี่ยเสี่ยวตี๋กำลังจะกล่าวยืนยันอีกครั้งว่านางไม่รู้ ฉินอวี้โม่ก็ปากริชที่อยู่ในมือเข้าใส่ต้นขาอีกข้างของฉินซือขวง
ในเมื่ออีกฝ่ายปากแข็งนัก อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูก็มีวิธีบีบบังคับให้นางต้องพูดออกมา
“ขะ… ข้าไม่ทราบ”
เมื่อมองไปที่ฉินซือขวงที่กำลังเจ็บปวดทรมาน เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็กัดฟันแน่นทว่านางก็ยังคงไม่ยอมบอกความจริงออกไป ด้วยสถานการณ์ของนางในตอนนี้และต่อหน้าสามีที่รัก สตรีผู้เป็นฮูหยินรองแห่งตระกูลฉินไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้จริง ๆ
“นังเด็กปีศาจ หยุดเดี๋ยวนี้นะ !”
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ใช้กริชแทงฉินซือขวงถึงสองครั้ง ฉินเทียนก็คำรามเสียงดังลั่นพร้อมกับชักกระบี่ออกมาแล้วพุ่งเข้าแทงเด็กสาวที่เขาให้กำเนิด
“เสี่ยวเฮย หยุดเขาไว้”
ฉินอวี้โม่ไม่คิดจะปกปิดความลับอะไรอีกแล้ว เพราะอย่างไรเสียหลังจากเหตุการณ์วันนี้ นางก็จะไม่อยู่ที่เมืองหลิงซีแห่งนี้อีก ทันทีที่หาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นพบ นางก็จะพาทั้งมารดาและสาวใช้ออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตให้ไกลจากคนต่ำช้าเหล่านี้
เสี่ยวเฮยบินลงจากไหล่เจ้านายสาวทันที และภายในพริบตาร่างขนาดเล็กก็ขยายใหญ่ขึ้นจนกลับเป็นยูนิคอร์นสีนิลขนาดปกติ อสูรมายาระดับเทวะยืนประจันหน้ากับฉินเทียนอย่างองอาจ
“หึ เจ้าหน้าโง่ อยู่แค่ขอบเขตมายารัตนะกลับกล้ามาคิดทำร้ายนายหญิงของข้า”
เสี่ยวเฮยเปิดปากเอ่ยวาจากับฉินเทียนอย่างเหยียดหยาม พร้อมกันนั้นมันก็ปลดปล่อยสภาวะพลังแห่งอสูรเทวะเข้ากดดันเขาอย่างรุนแรง บุรุษผู้เป็นถึงผู้นำตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลิงซีหวาดหวั่นจนถึงขั้นก้าวขาไม่ออก
ฉินเทียนมองดูเสี่ยวเฮยด้วยสายตาตื่นตะลึง ตัวเขาไม่ได้โง่ เขารู้ดีว่ามีเพียงอสูรมายาระดับเทวะขึ้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถพูดได้ นอกจากนั้นเขายังรู้สึกด้วยว่าอสูรมายาที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้มีรูปลักษณ์ที่คุ้นตาเป็นอย่างมาก
“อ๊ากกก !”
เสียงกรีดร้องของฉินซือขวงดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เขาถูกกริชแทงเข้าที่บริเวณน่องด้านขวา
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ จะพูดหรือไม่พูด !”
เมื่อมองดูเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฉินอวี้โม่ก็เห็นสีหน้าแสนเจ็บปวดและร่องรอยแห่งความกระวนกระวายใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสตรีน่ารังเกียจผู้นี้อย่างชัดเจน
‘ถ้าหากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นอยู่ในมือเยี่ยเสี่ยวตี๋จริง ๆ นางก็ควรจะนำตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกมาเพื่อต่อรองหรือข่มขู่ฉินอวี้โม่แล้วไม่ใช่หรือ ? แต่ทำไมในตอนนี้กลับยังไม่ยอมเปิดปากพูด แถมยังทอสีหน้ากระวนกระวายถึงขีดสุดแบบนั้น ?’
ข้ารับใช้ตระกูลฉินจำนวนมากรีบวิ่งตรงมาที่นี่เพื่อที่จะควบคุมสถานการณ์และให้ความช่วยเหลือเจ้านายทั้งสาม ทว่าแรงกดดันจากอสูรเทวะอย่างเสี่ยวเฮยนั้นรุนแรงเกินไปจนทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามายุ่ง พวกเขาทำได้เพียงยืนมองดูจากระยะไกลเท่านั้น
“สวรรค์ นั่นมันยูนิคอร์นสีนิลนี่ !”
เมื่อได้เห็นรูปร่างลักษณะของเสี่ยวเฮยที่กำลังยืนปกป้องฉินอวี้โม่อยู่ ก็มีบางคนที่จดจำอสูรมายาระดับสูงสุดแห่งบึงสายหมอกได้และอุทานชื่อของมันออกมา
“นั่นมันคุณหนูสี่นี่ คุณชายสองไปอยู่ในมือนางได้อย่างไร ?!”
เหล่าคนรับใช้ที่ยืนดูอยู่ต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าคุณชายรองผู้มีฝีมือสูงส่งเหตุใดจึงตกอยู่ในมือของคุณหนูสี่ผู้เป็นเพียงขยะไร้ค่าได้ ทั้งสถานการณ์ในตอนนี้ยังดูเหมือนว่าคุณชายไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้แต่เป็นเพียงเหยื่อของนางเท่านั้น
ฉินฉืออวี้ที่ได้ยินเสียงดังจากด้านนอกก็รีบใช้ให้บ่าวไพร่พยุงตัวนางออกมาจากห้องเพื่อมาดูด้วยเช่นกัน ทว่าเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นางก็เกิดอาการหน้ามืดและเกือบจะเป็นลมล้มพับไปจนบ่าวไพร่ต้องเข้ามาพยุง
เมื่อเห็นขาทั้งสองข้างที่อาบไปด้วยเลือดของพี่ชาย นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว
เมื่อวานนี้นางก็เพิ่งถูกฉินอวี้โม่เล่นงานจนมือและเท้าทั้งหมดใช้การไม่ได้ และถึงแม้ว่าฉินเทียนจะเร่งรีบหาหมอที่ดีที่สุดมารักษาให้ ทว่าอาการของนางก็ยังไม่ดีขึ้น
ท่านหมอพยายามอย่างเต็มที่จนเริ่มมีความหวังที่จะทำให้นางสามารถขยับตัวได้บ้างในอนาคต แต่เขาก็บอกให้นางล้มเลิกความคิดเรื่องการฝึกวิชาไปได้เลย ตลอดชั่วชีวิตนี้คุณหนูสามตระกูลฉินไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีกแล้ว !
เมื่อได้ยินเรื่องนั้น ฉินฉืออวี้ก็แทบจะเสียสติ ผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นอย่างนางต้องมากลายเป็นแบบนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะฉินอวี้โม่หญิงชั่วช้านั่นผู้เดียว ! นางเกลียดชังฉินอวี้โม่มาก ทว่าขณะเดียวกันในตอนนี้นางก็กลัวน้องสาวต่างมารดาของนางมากด้วย
ไม่ว่าพยายามคิดเท่าไหร่ นางก็คิดไม่ตกเลยว่าเหตุใดคนไร้ค่าเช่นนั้นถึงได้กลายมาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้ คุณหนูสี่ที่ถูกนางรังแกมาตลอดเหตุใดจึงเปลี่ยนไปจนราวกับเป็นคนละคนเช่นนั้น
แม้ว่าจะกลัวจนตัวสั่นแต่ฉินฉืออวี้ก็ยังสั่งให้คนรับใช้พยุงนางเข้าไปหามารดา
“ท่านแม่ ถ้าท่านรู้ว่าฮูหยินอวี๋อยู่ที่ไหนก็โปรดบอกนางไปเถอะ ตอนนี้ฉินอวี้โม่ถูกปีศาจร้ายสิงสู่ร่าง ถ้าท่านไม่รีบบอกนาง ท่านพี่จะต้องถูกทรมานจนตายแน่ !”
ฉินฉืออวี้เปิดปากเอ่ยกับมารดาอย่างกระวนกระวายใจ น้ำเสียงของนางสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัด และทันทีที่กล่าวจบ คุณหนูสามตระกูลฉินก็เห็นฉินอวี้โม่ผู้ที่ไม่ต่างจากปีศาจร้ายในสายตานางกำลังเอากริชแทงเข้าที่แขนของพี่ชาย
— ฉึก ! —
“กรี๊ดดด”
ตั้งแต่ยูนิคอร์นสีนิลปรากฏตัวก็ไม่มีผู้ใดหยุดยั้งฉินอวี้โม่ได้เลย ตอนนี้บนใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวตี๋ซีดขาวไร้สีเลือด เหงื่อมากมายผุดพรายขึ้นตามไรผมและใบหน้าของนาง จวนตระกูลฉินอยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่มีใครคาดคิดว่าฉินอวี้โม่จะน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้
ตอนนี้ถ้าหากนางยังไม่ยอมรับ เห็นทีว่าตระกูลฉินจะต้องพินาศย่อยยับแน่ ที่สำคัญนางเองก็ไม่อาจทนดูบุตรชายตายต่อหน้าต่อตาได้
“ฉินอวี้โม่ ! ขะ… ข้าจะบอกเจ้า ได้โปรดปล่อยลูกชายข้าไปเถอะ”
เยี่ยเสี่ยวตี๋มองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่ราวกับมองดูภูตผี นางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและตื่นตระหนก ในเวลานี้นางไม่มีความคิดที่จะยั่วยุหรือกลั่นแกล้งเอาคืนสิ่งใดกับอดีตคุณหนูสี่ผู้นี้อีกแล้ว
.
.
.
ตอนที่ 25 ทวงคืนมารดา
เมื่อส่งเสี่ยวโร่วไปยังโรงหมอแล้ว ฉินอวี้โม่ก็รีบออกมาและมุ่งหน้าเดินตรงไปยังจวนตระกูลฉินทันที !
ในเมื่อตอนนี้เสี่ยวโร่วอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้วนางจึงไม่ต้องกังวลว่าสาวใช้ของนางจะถูกคนต่ำช้าเหล่านั้นเล่นงานได้อีก
ณ จวนตระกูลฉิน
อดีตคุณหนูสี่ผู้มาเยือนตระกูลเดิมอีกครั้งเดินหน้าเข้าไปด้านในอย่างหยิ่งทะนงในทันทีโดยไม่สนใจพิธีรีตองใด ๆ ทั้งสิ้น เวลานี้นางไม่จำเป็นต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ลักลอบเข้าไปเหมือนเช่นที่เคยลอบออกจากจวนเมื่อครั้งยังอยู่ที่นี่อีก นางออกจากตระกูลนี้แล้ว มีเงินทอง มีพลังยุทธ์ และไม่ต้องเกรงกลัวอิทธิพลของผู้ใดทั้งสิ้น และถ้าหากได้ตัวมารดากลับมาแล้วนางก็สามารถออกไปจากเมืองหลิงซีแห่งนี้ได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมปรากฏบนใบหน้านวล ขณะที่ดวงตาคู่งามวาวโรจน์ด้วยความเดือดดาล นางก้าวเท้าเหยียบเข้ามายังที่แห่งนี้ในวันนี้เพื่อทวงคืนมารดาและ…คิดบัญชีกับพวกสุนัขน่ารังเกียจ !
“เหวย ๆ นั่นไม่ใช่คุณหนูสี่สตรีไร้ค่าที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉินหรอกหรือ ? อะไรกัน ? อยู่ข้างนอกไม่ไหวแล้วงั้นรึ ถึงได้แบกหน้ากลับมาแบบนี้ อยากจะมา ‘ขออาศัย’ อีกครั้งหรือขอรับ ?”
ชายผู้ทำหน้าที่เฝ้าประตูจวนมองเห็นฉินอวี้โม่เดินเข้ามาจึงคิดจะหยุดนางไว้ด้วยการกล่าวถ้อยคำเหยียดหยาม
“ไสหัวไปแล้วหยุดเห่า เจ้าสุนัขรับใช้ !”
ฉินอวี้โม่ต้องการหาตัวเยี่ยเสี่ยวตี๋ให้ได้โดยเร็วที่สุด นางไม่อยากเสียเวลากับสุนัขไร้ค่าเช่นนี้ ทันทีที่เสียงของอดีตคุณหนูของจวนสิ้นสุด ฝ่ามือของนางก็พุ่งออกไปและตวัดเข้าใส่หัวของยามเฝ้าประตูผู้นั้นอย่างรวดเร็วจนหน้าคว่ำลงไปกระแทกกับพื้น
— ป้าบ ! —
สุนัขรับใช้ปากเสียถูกตบจนหน้าจูบพื้นและสลบคาที่ในทันที นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูลงมือโดยไม่กะพริบตาก่อนจะก้าวข้ามร่างของเขาและไม่ชายตาแลคนผู้นั้นอีก
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ส่งตัวท่านแม่ของข้าคืนมา !”
นางเดินตัดผ่านลานใหญ่ของจวนไปอย่างรวดเร็วและรีบมุ่งเข้าสู่ลานกว้างหน้าเรือนของเยี่ยเสี่ยวตี๋ เมื่อมาถึง นางก็เห็นว่าฉินเทียนเองก็อยู่ที่นั่นด้วย และที่ข้าง ๆ สองสามีภรรยาน่าชังมีบุรุษอีกผู้หนึ่งยืนอยู่
คนผู้นั้นเป็นพี่ชายต่างมารดาของฉินอวี้โม่ เขาเป็นบุตรชายคนที่สองของผู้นำตระกูล–คุณชายรองแห่งตระกูลฉิน ‘ฉินซือขวง’
แม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายคนรอง แต่เขาก็เป็นที่รักและโปรดปรานของฉินเทียนมากจนถูกวางตัวเอาไว้ให้เป็นผู้สืบทอดและจะขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนถัดไปต่อจากฉินเทียน
ชายคนนี้มีนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบาย แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือรังแกฉินอวี้โม่บ่อยครั้งนัก แต่เขาคือผู้ที่คิดแผนกลั่นแกล้งมากมายให้กับฉินฉืออวี้ผู้เป็นน้องสาว คนผู้นี้เป็นพวกหน้าเนื้อใจเสือชอบใส่หน้ากากปั้นหน้าเสแสร้งอย่างแท้จริง
“แม่ของเจ้า ? หึ เจ้าไม่ได้เป็นคนพานางออกไปเมื่อวานนี้หรอกหรือ ?”
แม้ว่าเยี่ยเสี่ยวตี๋จะตอบกลับไปเช่นนั้น แต่ผ้าเช็ดหน้าในมือของนางก็เกือบจะถูกฉีกขาด เห็นได้ชัดว่านางกำลังกังวลใจเป็นอย่างมาก
“น้องสี่ ไม่ใช่เจ้าหรือที่ก่อเรื่องขึ้นจนถูกไล่ออกจากตระกูล และก็เป็นเจ้าเองที่พาฮูหยินอวี๋ออกไปเมื่อวานนี้ แล้วเหตุใดในยามนี้เจ้าถึงมาทวงถามกับแม่ของข้าในเรื่องนี้เล่า ?”
ฉินซือขวงนั้นมองดูผิวเผินคล้ายเป็นสุภาพบุรุษ ทว่าวาจาที่เขาใช้กับน้องสาวต่างมารดากลับเต็มไปด้วยเจตนาถากถาง… ซึ่งนั่นก็ช่วยเน้นย้ำให้ฉินอวี้โม่เข้าใจถึงบางสิ่ง
“หุบปาก หยุดการเล่นละครของเจ้าซะ !”
ฉินอวี้โม่จ้องมองฉินซือขวงอย่างเย็นชา นางไม่อยากจะเสวนามากความกับคนผู้นี้
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง แม่ของข้าอยู่ที่ไหน ?!”
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ข้าขอถามเจ้าอีกครั้ง แม่ของข้าอยู่ที่ไหน ?!”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่สามารถปกปิดความวอกแวกและร้อนรนในแววตาของตัวเองได้เลย เรื่องนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่ยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่านางคือผู้ที่ลักพาตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไป
“ฉินอวี้โม่ แม่ของเจ้าถูกเจ้าพาออกไปตั้งแต่เมื่อวาน แล้วข้าจะไปรู้เห็นได้อย่างไรว่านางอยู่ที่ใด อย่ามาแหกปากตะโกนโหวกเหวกโวยวายที่นี่ ตระกูลฉินของเราไม่ใช่ที่ที่เจ้าจะมาแสดงความป่าเถื่อนได้ !”
จู่ ๆ เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ขว้างผ้าเช็ดหน้าในมือทิ้งและจ้องมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดัน
‘ที่แห่งนี้คือจวนตระกูลฉิน ส่วนฉินอวี้โม่ก็เป็นเพียงแค่ขยะไร้ค่าที่ถูกขับไล่ออกไปแล้ว แถมเวลานี้นังเด็กนี่ยังตัวคนเดียว แล้วมันจะทำอะไรนางได้’
“เหอะ เยี่ยเสี่ยวตี๋ อย่ามาตีหน้าซื่อ !”
ฉินอวี้โม่มองเยี่ยเสี่ยวตี๋ด้วยแววตาเย็นยะเยือก ตอนนี้รังสีแห่งการฆ่าฟันอันเข้มข้นแพร่กระจายออกมาจากร่างบางอย่างรุนแรงจนไม่อาจปกปิด
“เจ้าลูกเดรัจฉาน กล้าดียังไงถึงมาเอะอะเสียงดังที่นี่ บุกรุกเข้ามาในตระกูลฉินของเรา ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ไม่มีสัมมาคารวะ ไม่มีคำทักทาย บุกเข้ามาถึงก็ตะโกนใส่แม่รองของตัวเอง นี่คือสิ่งที่แม่ของเจ้าสั่งสอนมารึ ?!”
ฉินเทียนเปิดปากด่าทอพลางมองดูบุตรสาวที่เขาขับไล่ออกจากจวนไปแล้วด้วยสายตาเดือดดาล
“หยุดปากซะ ข้ายังไม่ได้บอกให้เจ้าพูด ! และที่สำคัญ คนอย่างพวกเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าต้องกล่าวคำทักทาย !”
ฉินอวี้โม่ตวาดเสียงดังสวนกลับคำพูดของฉินเทียนอย่างฉับพลัน
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ถ้าเจ้าไม่บอกความจริงมา ก็อย่าได้ตำหนิหาว่าข้าอำมหิตก็แล้วกัน !”
สิ้นเสียงประกาศเย็นชา ร่างบางของฉินอวี้โม่ก็ราวกับหายวับไป นางพุ่งเข้าไปหาฉินซือขวงที่ยืนปั้นหน้าเป็นผู้ดีจอมปลอมอยู่ในขณะนี้ด้วยความเร็วที่ยากจะมองได้ทัน
ทว่าฉินซือขวงก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อย เขามองเห็นทันทีว่าฉินอวี้โม่เข้ามาจู่โจมตน และเมื่อเห็นเช่นนั้นสายตาของคุณชายรองก็เต็มไปด้วยความดูถูก บุรุษจอมเสแสร้งไม่สามารถปกปิดรอยยิ้มของตัวเองได้ ‘หึ ขยะไร้ค่ากล้าคิดจะชิงโจมตีเขาก่อน นี่มันไม่เท่ากับก้าวเข้าสู่ประตูนรกด้วยตัวเองเลยหรือ’ ในเมื่อนางกล้ากระทำการอาจหาญเช่นนี้ เขาก็จะสั่งสอนนางให้รู้สำนึกเอง
นั่นคือสิ่งที่ฉินซือขวงคิดอยู่ในหัว ทว่าในขณะกำลังจะชักกระบี่ออกมาเขาก็รู้สึกปวดแปลบที่ข้อมือ และทันใดนั้นร่างกายของเขาก็แข็งค้างไปทันทีก่อนที่เขาจะพบว่าตัวเองไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างใจนึกอีกแล้วเพราะร่างกายไม่ยอมตอบสนอง
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ รีบบอกมาว่าแม่ข้าอยู่ไหน ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา สายตาของนางจ้องเขม็งไปยังอนุภรรยาของบิดาบังเกิดเกล้า ขณะที่มือบางข้างหนึ่งจับอยู่ที่คอของฉินซือขวง
นางเริ่มหมดความอดทนแล้ว หากเยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่ยอมพูดอีก ก็อย่าหาว่านางทำเกิดกว่าเหตุก็แล้วกัน !
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้ แม่เจ้าไปอยู่ที่ไหนมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ยังคงไม่ยอมรับ… ไม่สิ… ต้องกล่าวว่านางไม่สามารถยอมรับออกมาได้ต่างหาก เรื่องที่นางส่งคนออกไปจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ผู้นำตระกูลอย่างฉินเทียนเองก็ยังไม่ทราบ ถ้าหากว่าสามีที่เชื่อใจนางมาตลอดรู้เรื่องนี้เข้า เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าสามีผู้แสนดีของนางจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
.
.
.
ตอนที่ 24 เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่
หลังจากกล่าวอำลาหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ก็มุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่มารดาและสาวใช้ตัวน้อยอาศัยอยู่
ยามนี้ตะวันได้ลับขอบฟ้าไปแล้ว และท้องฟ้าก็เริ่มจะมืด ฉินอวี้โม่ออกไปเกือบทั้งวันจึงเป็นกังวลว่าจะทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกับเสี่ยวโร่วเป็นห่วง
อดีตคุณหนูสี่ได้เงินมาเป็นจำนวนมาก แถมยังมีแก่นมายาอีกจำนวนหนึ่งและสมุนไพรอีกบางส่วน นางตัดสินใจที่จะนำมันออกไปขายในวันพรุ่งนี้ และจะนำเงินที่ได้มาซื้อที่ดินสักผืนเป็นอันดับแรกเพื่อที่พวกนางจะได้ไม่ต้องเช่าอยู่ภายในโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ
ฉินอวี้โม่ที่ใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าดังเดิมเร่งรีบเดินเข้าไปภายในโรงเตี๊ยมและตรงขึ้นไปยังห้องที่พวกเขาพักอาศัยอยู่
ขณะที่นางเข้าใกล้ประตูห้อง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง… ห้องของนางนั้นเงียบจนเกินไป… เงียบจนน่าประหลาด
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณแห่งนักฆ่าจึงทำให้นางเริ่มระวังภัยขึ้นมา อดีตคุณหนูผลักประตูเข้าไปอย่างเบามือ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเบา “ท่านแม่ เสี่ยวโร่ว ข้ากลับมาแล้ว”
ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองจากภายในห้องราวกับว่าไม่มีผู้ใดอยู่ หากเป็นยามปกติ มารดาและสาวใช้จะต้องชะเง้อคอรอคอยการกลับมาของนาง ดังนั้นเพียงผลักบานประตูพวกเขาจะต้องส่งเสียงหรือรีบเดินมาต้อนรับ แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่…
…..ยิ่งไปกว่านั้นฉินอวี้โม่ก็ยังได้กลิ่นเลือดจาง ๆ
หัวใจดวงน้อยบีบรัด อดีตคุณหนูรีบก้าวเข้าไปสำรวจภายในห้องทันทีก่อนจะเห็นว่าเสี่ยวโร่วนอนอยู่ที่พื้น เนื้อตัวของสาวใช้เต็มไปด้วยเลือด นางนอนแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว…
….ส่วนอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปแล้ว
“เสี่ยวโร่ว เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ?”
ฉินอวี้โม่ก้าวเข้าไปช้อนร่างของสาวใช้ขึ้นมาอุ้มอย่างรวดเร็วและพาร่างเล็ก ๆ ไปวางบนเตียงของมารดา ก่อนจะตรวจสอบชีพจร
หลังจากตรวจดูอย่างคร่าว ๆ นางก็พบว่าเสี่ยวโร่วได้รับความเจ็บปวดจากแผลภายนอกร่างกายเป็นส่วนมาก และแม้ว่าลมหายใจของนางจะอ่อนล้าแต่ก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิต
ฉินอวี้โม่ถ่ายปราณมายาเข้าไปในร่างกายของสาวใช้ ในขณะเดียวกันนางก็พยายามควบคุมจิตใจของตนเองไม่ให้ฟุ่งซ่านเรื่องอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปด้วยเพื่อไม่ให้ส่งผลต่ออาการของเสี่ยวโร่ว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสี่ยวโร่วก็ได้สติ สาวน้อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าซีดเซียวของเสี่ยวโร่วก็ยิ่งดูย่ำแย่ขึ้นไปอีก แววบางอย่างที่บ่งบอกความรู้สึกโกรธแค้นและไม่ยินยอมปรากฏอยู่ในดวงตาของนาง
“คุณหนู คุณหนู ฮะ ฮูหยินเจ้าค่ะ ฮูหยิน ได้โปรดไปช่วยฮูหยินด้วยเถอะเจ้าค่ะ” เสี่ยวโร่วพูดอย่างร้อนรนปนตื่นตระหนก ก่อนที่นางจะถ่ายทอดเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้คุณหนูของนางได้รับรู้
…หลังจากที่ฉินอวี้โม่ออกจากโรงเตี๊ยมได้ไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาภายในห้องที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วอยู่
คนเหล่านั้นทั้งแข็งแกร่งและโหดร้าย ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มเป็นถึงยอดฝีมือขอบเขตมายารัตนะ
ทันทีที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาก็แสดงเจตนาว่าต้องการจะจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปให้ได้
แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วย่อมไม่ยอมนิ่งเฉยยืนดูผู้บุกรุกนำตัวฮูหยินของนางไป สาวใช้พยายามถ่วงเวลาคนกลุ่มนั้นเอาไว้และบอกให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นวิ่งหนี
อย่างไรก็ตาม เพราะเหล่าผู้บุกรุกแข็งแกร่งกว่านางมาก เสี่ยวโร่วที่เป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาสองดาราตัวน้อย ๆ จึงไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาไว้ได้
คนกลุ่มนั้นลงมือกับเสี่ยวโร่วอย่างหนักหน่วงจนนางสลบไป หลังจากนั้นนางก็ไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นอีก เมื่อตื่นขึ้นมานางก็พบว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นหายตัวไปแล้ว นางจึงคิดว่าฮูหยินจะต้องถูกคนพวกนั้นจับตัวไปแน่ ๆ
อารมณ์ของเสี่ยวโร่วทั้งตื่นตระหนกและร้อนรน จิตใจของนางเต็มไปด้วยความกังวล
นางเป็นเด็กกำพร้า หากไม่ใช่เพราะอวี๋เสี่ยวอวิ๋นพานางกลับไปอยู่ด้วยที่ตระกูลฉิน นางก็อาจจะตายไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมานางไม่สามารถปกป้องอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินอวี้โม่ได้ นางจึงรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เมื่อถึงวันนี้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นยังถูกจับไปโดยที่นางไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้อีก มันทำให้นางยิ่งรู้สึกผิดและโทษตัวเองหนักยิ่งขึ้น
“เสี่ยวโร่ว สงบสติหน่อย”
หลังจากฟังเรื่องราวที่เสี่ยวโร่วเล่ามา ฉินอวี้โม่ก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย กลุ่มคนเหล่านั้นบุกมาที่นี่เพื่อจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉะนั้นแล้วนางจึงไม่น่าจะมีอันตรายถึงชีวิต เพราะถ้าหากเป้าหมายของพวกมันคือการสังหารอดีตฮูหยินใหญ่ตระกูลฉินตั้งแต่แรก คนพวกนั้นก็คงจะไม่ทำอะไรให้ยุ่งยากด้วยการพาตัวไปเช่นนี้อย่างแน่นอน หากมีคำสั่งฆ่าก็ควรรีบฆ่าทิ้งเสียเลยจะง่ายดายกว่า
ในเมื่อพวกมันจับตัวอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปเช่นนี้ พวกมันจะต้องมีจุดประสงค์บางอย่างอย่างแน่นอน ตั้งแต่เธอมาที่ดินแดนแห่งนี้ เธอก็ยังไม่เคยก่อเรื่องบาดหมางกับใครเลยนอกจากเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฮูหยินรองแห่งตระกูลฉิน
ตอนอยู่ตระกูลฉิน ฉินอวี้โม่เพิ่งจะเล่นงานเยี่ยเสี่ยวตี๋และเหยียดหยามนางไปอย่างหนัก …..ถ้าหากลองคิดว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่สั่งการให้จับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไปเพื่อกดดันให้ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวให้นางได้แก้แค้น… แบบนั้นดูจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด
หลังจากวิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็เริ่มคาดเดาบางอย่างได้
“คุณหนู เป็นความผิดของข้าเองที่ปกป้องฮูหยินไม่ได้”
เสี่ยวโร่วตำหนิตัวเองเป็นอย่างมาก ตอนนี้นางกำลังไอออกมาเพราะออกแรงเล่าเรื่องด้วยอารมณ์ในขณะที่ยังบาดเจ็บและมีจิตใจฟุ้งซ่านยุ่งเหยิงอยู่
“เจ้าไม่ต้องตำหนิตัวเอง เป็นข้าที่ไม่รอบคอบเอง”
ฉินอวี้โม่พยายามจะทำให้อารมณ์ของเสี่ยวโร่วสงบลงและพยายามทำให้นางเลิกโทษตัวเอง
ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือนำตัวท่านแม่กลับมาให้เร็วที่สุด !
“เสี่ยวโร่ว ข้าจะพาเจ้าไปโรงหมอก่อน หลังจากนั้นให้เจ้ากลับมารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปช่วยท่านแม่ ระหว่างนี้เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดีด้วยล่ะ เมื่อข้ากลับมาแล้ว พวกเราจะไปจากเมืองหลิงซีกัน”
ฉินอวี้โม่แบกร่างเสี่ยวโร่วขึ้นบนหลัง หลังจากทำแผลให้นางไปบางส่วนและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ให้นางแล้ว อดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็พาสาวใช้ของนางไปยังโรงหมอที่อยู่ใกล้ที่สุด
.
.
.
ตอนที่ 23 ค่าตอบแทนพิเศษ
“ยูนิคอร์นสีนิลไปไหนแล้ว ?”
เมื่อไม่เห็นแม้แต่เงาของยูนิคอร์นสีนิล ชื่อเซียวก็ถามขึ้นด้วยความสงสัย
‘ในเมื่อมันเป็นผู้ลักพาฉินอวี้โม่เข้ามาในนี้ แล้วตอนนี้เจ้าอสูรศักดิ์สิทธิ์นั่นมันหายตัวไปไหนเสียเล่า ?’
เขาไม่ทันได้สังเกตสิ่งมีชีวิตสีดำตัวน้อย ๆ ที่อยู่บนไหล่ของฉินอวี้โม่เลย แน่นอนว่าเขาต้องคิดไม่ถึงว่ายูนิคอร์นสีนิลที่น่าเกรงขามจะกลายเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่และกำลังนอนขดเป็นก้อนอยู่บนไหล่ของนาง
หานโม่ฉือมองดูสิ่งมีชีวิตตัวเล็กสีดำบนไหล่ของฉินอวี้โม่ด้วยสายตาครุ่นคิด และดูเหมือนว่าเขาจะพอจะคาดเดาอะไรบางอย่างได้
“ข้าไล่มันไปแล้ว”
หานโม่ฉือที่ไม่ค่อยพูดกล่าวขึ้นมา ในเมื่อผู้ที่ปกติแทบไม่เคยเปิดปากเอ่ยวาจาเป็นผู้กล่าวออกมาเองเช่นนี้ คนอื่นที่ได้ยินไม่ว่าผู้ใดก็ต้องเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง
เมื่อรู้ว่าหานโม่ฉือจงใจช่วยนางปกปิดเรื่องของเสี่ยวเฮย ฉินอวี้โม่ก็หันมาส่งยิ้มงดงามให้บุรุษมนุษย์น้ำแข็งและไม่เอ่ยสิ่งใด
“งั้นหรือ แต่ก็เอาเถอะ ขอเพียงแค่ทุกคนปลอดภัยก็ดีแล้ว”
ชื่อเซียวถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาหันไปสำรวจดูรอบ ๆ โถงถ้ำที่กำลังยืนอยู่ในตอนนี้ ทันใดนั้นเอง เขาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นต้นหญ้าขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่สองต้น รูปลักษณ์ของมันดูคุ้นตาเขาอย่างมาก
“เอ๊ะ นั่นมัน… หรือจะเป็นสมุนไพรที่ตระกูลอู๋ให้เราตามหา ?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชื่อเซียวก็รีบวิ่งเข้าไปถอนต้นหนึ่งขึ้นมา
ต้นไม้ทั้งสองมีหน้าตาเหมือนกับหญ้าสีเขียวธรรมดา ๆ ทุกประการ ถ้าหากชื่อเซียวไม่ได้เป็นคนพูดว่ามันเป็นสมุนไพรที่เขาตามหา ฉินอวี้โม่คิดว่าตัวนางไม่มีทางดูออกเลยว่าสิ่งนี้คือสมุนไพร
“เช่นนั้น เดี๋ยวข้าช่วยอีกแรง”
ฉินอวี้โม่ไม่พูดมากความ เมื่อกล่าวจบนางก็ลงมือถอนเอาต้นสมุนไพรอีกต้นหนึ่งขึ้นมา
แต่พอถอนขึ้นมานางกลับพบว่ามันเป็นสมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนสิ่งที่อยู่ในมือของหัวหน้ากองทหารรับจ้าง ต้นไม้นี้มีรูปร่างคล้ายคลึงกับโสมที่เธอเคยเห็นในศตวรรษที่ 21 ทว่าก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว
และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่สมุนไพรที่ชื่อเซียวต้องการ นางจึงนำพวกมันใส่ไว้ในแหวนมิติเผื่อเอาไว้สำหรับนำออกไปขายในภายหลังก่อนจะมุ่งหน้าค้นหาต้นไม้ที่หน้าตาเหมือนที่ชื่อเซียวถืออยู่และลงมือช่วยเขาเก็บสมุนไพรต่อ
“ขอบคุณเจ้ามาก”
ชื่อเซียวคำนับฉินอวี้โม่และกล่าวขอบคุณนาง
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก”
ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะ หากไม่เป็นเพราะชื่อเซียวพวกเขาก็คงไม่พบถ้ำที่อยู่ของยูนิคอร์นสีนิลได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ และนางเองก็จะไม่ได้เจอกับลาภก้อนใหญ่นั้นด้วย
แม้ว่าตอนนี้นักฆ่าสาวในร่างอดีตคุณหนูจะมีเรื่องราวที่สงสัยอยู่เต็มไปหัวหมด แต่เนื่องจากซิวกำลังนอนหลับอยู่ เธอจึงทำได้เพียงแค่รอคอยให้สหายประหลาดตื่นขึ้นมาเท่านั้น
“ไปกันเถอะ ในเมื่อพวกเราต่างก็บรรลุภารกิจแล้วเราก็ควรกลับกันได้แล้วล่ะ”
เวลานี้ผ่านมาหลายชั่วยามแล้วนับตั้งแต่ตอนที่นางออกมาจากเมืองหลิงซี ฉินอวี้โม่เกรงว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วจะเป็นกังวลที่นางจากมานาน
ทั้งชื่อเซียวกับหานโม่ฉือพยักหน้ารับ จากนั้นคนทั้งสามก็รีบเร่งเดินออกไปด้านนอก ในระหว่างทางที่กำลังเดินออกไปนั้น ฉินอวี้โม่ก็ทำทีเดินรั้งท้ายและแอบนำยูนิคอร์นตัวน้อยใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ต้องถือว่าโชคยังดีที่ชื่อเซียวผู้ตาเซ่อ มองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้
ทั้งชื่อเซียวกับหานโม่ฉือพยักหน้ารับ จากนั้นคนทั้งสามก็รีบเร่งเดินออกไปด้านนอก ในระหว่างทางที่กำลังเดินออกไปนั้น ฉินอวี้โม่ก็ทำทีเดินรั้งท้ายและแอบนำยูนิคอร์นตัวน้อยใส่ลงไปในกระเป๋าเสื้อเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ต้องถือว่าโชคยังดีที่ชื่อเซียวผู้ตาเซ่อ มองไม่เห็นมันก่อนหน้านี้
หลังจากเดินมาได้ไม่นานนัก พวกเขาทั้งสามก็พบกับหน่วยที่หนึ่งแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่อยู่ระหว่างทาง ชื่อเซียวถามไถ่อาการบาดเจ็บของลูกน้องในบัญชาจนมั่นใจว่าทุกคนปลอดภัยก่อนที่ทั้งหมดจะพากันเดินออกจากถ้ำ
ทันทีที่ออกมาจากถ้ำยูนิคอร์นได้ พวกเขาก็มองเห็นรอยเลือดและศพกระจายตัวอยู่เกลื่อนกลาดทั่วบริเวณ…
ศพเหล่านั้นคือซากของเหล่าอสูรมายาที่ทำหน้าที่เฝ้าทางเข้าถ้ำ ส่วนบุรุษในชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนต่างก็นั่งรอกันอยู่บนพื้นอย่างเบื่อหน่าย ขณะที่หลินจิ้งหงนั้น นั่งห้อยตัวอยู่บนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปและกำลังมองมายังปากทางเข้าถ้ำยูนิคอร์นเพื่อรอคอยการกลับมาหรือสัญญาณของความช่วยเหลือของสหายคณะสำรวจถ้ำ
และทันทีที่เห็นร่างบอบบางและใบหน้างดงามของฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็กระโดดลงจากต้นไม้และวิ่งเข้ามาหาพวกพ้องในทันที
“เป็นยังไงบ้างงานสำเร็จรึเปล่า หาจุดที่ยูนิอคร์นสีนิลอยู่เจอหรือไม่ ?”
หลินจิ้งหงส่งคำถามใส่เพื่อนเป็นชุด เขามองดูทั้งหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยความอยากรู้ คุณชายเจ้าสำอางอยากจะทราบว่ามีอะไรเกิดขึ้นด้านในถ้ำบ้าง
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเป็นการตอบคำถามเพียงหนึ่งครั้งโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดเพิ่มเติมและหันไปกล่าวอำลาชื่อเซียวแทน
“หัวหน้าชื่อ ถ้าไม่มีอะไรแล้วพวกเราขอตัวกลับก่อน”
ชื่อเซียวพยักหน้าและกล่าวตอบ “เชิญสหาย ไว้ในอนาคตหากพวกท่านมีเวลาว่างก็แวะไปเยี่ยมข้าที่กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนได้”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าและแย้มรอยยิ้ม
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมามองหน้ากันเป็นนัย ๆก่อนจะหันหลังและออกเดินทางกลับไปยังเมืองหลิงซีในทันใด
หลินจิ้งหงผู้ถูกทอดทิ้งยังคงยืนทำหน้างุนงงที่ถูกเพิกเฉยในคำถาม เขามองตามแผ่นหลังของหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ที่จากไปแล้วด้วยความประหลาดใจ… ‘เมื่อไหร่กันที่พวกเขาทั้งสองสนิทสนมจนถึงขั้นที่สามารถสื่อสารด้วยสายตาแบบนั้นได้ ? …แต่ เฮ้ ! รอข้าด้วย’
ทว่าเมื่อรู้ตัวคุณชายผู้ถูกทิ้งให้สงสัยก็เดินตามหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่กลับเมือง
“หลินจิ้งหง ภารกิจสำเร็จแล้ว ตอนนี้ข้าควรจะได้ค่าแรงรึยัง ?”
เพื่อป้องกันไม่ให้หลินจิ้งหงถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นภายในถ้ำยูนิคอร์น ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มหวานหยดส่งให้แล้วแสร้งเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นเชิงหยอกเย้า
“อะไรกัน ? เห็นข้าเป็นพวกที่ชอบเบี้ยวค่าแรงรึไง ?”
หลินจิ้งหงหันไปมองฉินอวี้โม่และยิ้มตอบก่อนจะดึงเอาถุงเงินถุงใหญ่ที่อัดแน่นด้วยเหรียญทองจำนวนมากออกมา
“เอาไป ทั้งหมดสี่ชั่วยามกว่า ๆ ข้าจ่ายให้เจ้าเป็นห้าชั่วยาม ช่วยสงเคราะห์สหายร้อนเงิน”
หลินจิ้งหงหยอกล้อกลับพร้อมกับส่งถุงเงินให้ ฉินอวี้โม่รับถุงเงินนั้นมาและส่องดูเหรียญที่อยู่ภายในอยู่ชั่วครู่ ทว่านางกลับไม่ได้นับแต่อย่างใด สาวน้อยทำเพียงแต่ชั่งน้ำหนักด้วยมือและพยักหน้าอย่างมีความสุข
“ขอบคุณมาก เงินรางวัลของภารกิจข้าไม่ขอรับ”
นางเอาถุงเหรียญทองใส่แหวนมิติและแย้มรอยยิ้มสดใสให้กับสหายทั้งสอง
เพราะในวันนี้นางได้รางวัลอันยิ่งใหญ่มาจากภารกิจนี้แล้ว และเป็นเพราะบุรุษสองคนตรงหน้า ฉินอวี้โม่ถึงได้มีโอกาสที่ดีเช่นนี้ ดังนั้นเพื่อความเท่าเทียม เงินรางวัลสำหรับภารกิจจึงสมควรยกให้พวกเขา เพียงค่าแรงที่นางได้มาก็เป็นเงินถึงห้าร้อยเหรียญทองแล้ว ที่สำคัญรางวัลอันยิ่งใหญ่ของนางนั้นก็พิเศษเกินกว่าจะประเมินค่าได้เลยด้วย
.
.
.
ตอนที่ 22 สยบอสูรมายา
หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการเพิ่มระดับพลัง ฉินอวี้โม่ก็พบว่าเปลวเพลิงที่อยู่รอบๆ ตัวได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เป็นเพียงภาพลวงตา
หากมิใช่เพราะในตอนนี้มีสิ่งแปลกประหลาดเข้ามาอยู่ในมิติเชื่อมอสูร และไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของตัวนางเองเพิ่มขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด บางทีนางอาจจะคิดว่าทุกอย่างเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น
‘นายหญิง ท่านเรียกข้าว่า ‘ซิว’ ก็ได้’
เสียงยังคงดังขึ้นจากภายในจิตของฉินอวี้โม่ ทว่าดูเหมือนมันจะอ่อนพลังลงมากและดูอ่อนระโหยมากกว่าเดิมเสียอีก
‘ยูนิคอร์นสีนิลตัวนี้คอยช่วยข้าดูแลที่แห่งนี้ มันแข็งแกร่งและยังมีศักยภาพที่ดี ตอนนี้นายหญิงยังอ่อนแออยู่มาก ท่านสามารถสยบมันและนำมันไปเป็นผู้ช่วยได้’
ฉินอวี้โม่มองดูยูนิคอร์นสีนิลที่เพิ่งจะปรากฏขึ้นตรงหน้า มันกำลังนอนหลับอยู่และดูไร้พิษสง แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ต้องอยากจะได้ผู้ช่วยดี ๆ ทั้งนั้น แต่นางไม่ใช่ผู้ฝึกสัตว์อสูร นางไม่รู้วิธีการที่จะทำให้อสูรมายาเชื่องหรือแม้แต่ยอมเชื่อฟัง
‘ผู้ฝึกสัตว์อสูรในโลกภายนอกจะมาเทียบกับนายหญิงได้อย่างไร ?’
เสียงลึกลับยังคงดังขึ้นมาภายในจิตของฉินอวี้โม่
‘นายหญิง ท่านลองวางมือลงบนหัวของยูนิคอร์นสีนิลสิ’
ฉินอวี้โม่ทำตามอย่างว่าง่าย
ทันทีที่นางวางมือลงบนหัวของยูนิคอร์นสีนิล นางก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังประหลาดสายหนึ่งถูกส่งออกจากมือบางลงไปสู่หัวของเจ้ายูนิคอร์น พลังนั้นทั้งรุนแรงและคลุ้มคลั่ง
ผ่านไปชั่วครู่ ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงที่ฟังดูเคารพยำเกรงดังขึ้นภายในจิตของตัวเอง
‘เสี่ยวเฮย (ดำน้อย) ยินดีที่ได้พบนายหญิง’
เสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้นในจิตของฉินอวี้โม่ ซึ่งนั่นเป็นตัวบ่งบอกว่าพันธสัญญาระหว่างทั้งสองสำเร็จลุล่วงอย่างสมบูรณ์แล้ว
เมื่อสิ้นเสียงของเสี่ยวเฮย แสงที่บ่งบอกถึงการพัฒนาขึ้นของระดับพลังก็ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของอดีตคุณหนูอีกครั้ง บัดนี้ ดาราจากที่มีสามดวงก็ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นเก้าดวงในทันที ตอนนี้นางกลายเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตทิพย์มายาเก้าดาราแล้ว
ขณะเดียวกันร่างกายของเสี่ยวเฮยที่อยู่ตรงหน้าร่างบางก็เปล่งประกายแสงอันเข้มข้นออกมา
ในตอนนั้นเองที่ฉินอวี้โม่มองเห็นว่ายูนิคอร์นสีนิลขยับปากและพูดว่า “นายหญิง ข้าวิวัฒนาการแล้ว”
เสี่ยวเฮยเองก็วิวัฒนาการจากระดับศักดิ์สิทธิ์เก้าดาราก้าวขึ้นเป็นอสูรเทวะแล้วเช่นกัน
‘นายหญิง ตอนนี้ท่านสามารถสยบอสูรมายาได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยความแข็งแกร่งของท่านในตอนนี้ ท่านจะทำได้เพียงสยบอสูรที่ระดับพลังไม่สูงนักและยินดีที่จะติดตามท่านเท่านั้น ท่านต้องจดจำให้ดี อย่าได้คิดจะสยบอสูรมายาที่ต่อต้านท่านเด็ดขาด โปรดจำไว้ด้วยนายหญิง โปรดจำเอาไว้ !….’
เสียงของซิวดังอู้อี้อยู่ในหัวของฉินอวี้โม่ คำพูดสุดท้ายของซิวเป็นคำเตือน และมันย้ำเตือนอยู่ถึงสองครั้งก่อนจะจางหายไปอย่างสมบูรณ์
ทันทีที่เสียงของซิวหายไป ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังวิ่งตรงมายังจุดที่นางอยู่ด้วยความเร็วสูง
“นี่เสี่ยวเฮย เหมือนข้าจะเคยได้ยินว่าอสูรเทวะสามารถย่อขนาดได้ด้วยนี่ เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ?”
“นี่เสี่ยวเฮย เหมือนข้าจะเคยได้ยินว่าอสูรเทวะสามารถย่อขนาดได้ด้วยนี่ เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า ?”
ตอนนี้เสี่ยวเฮยเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ เป็นธรรมดาที่นางจะต้องอยากพามันออกไปด้วย แต่ถ้าหากผู้หญิงตัวเล็ก ๆ พายูนิคอร์นสีนิลซึ่งเป็นถึงอสูรมายาระดับสูงสุดแห่งบึงสายหมอกที่ตอนนี้วิวัฒนาการเป็นระดับเทวะออกไปโต้ง ๆ นางก็คิดไม่ออกว่าจะอธิบายกับคนที่รออยู่ข้างนอกอย่างไร และนางเองก็เชื่อว่า ‘ซิว’ จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับกายเทพมายา ดังนั้นการปกปิดเรื่องนี้จึงจำเป็นอย่างมากต่อการรักษาความลับของนาง
จริงอยู่ที่ว่าผู้ฝึกสัตว์อสูรสามารถนำอสูรมายาของตัวเองเข้าไปอยู่ในมิติเชื่อมอสูรได้ ทว่าตอนนี้มิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่มีซิวจับจองไว้แล้ว และหากว่าอยากจะได้พื้นที่มิติเชื่อมอสูรเพิ่มมากขึ้นจะต้องรอให้นางพัฒนาขึ้นไปถึงระดับมายารัตนะเสียก่อน
ตอนนั้นเองที่ร่างกายของเสี่ยวเฮยมีแสงสว่างเจิดจ้าเปล่งออกมา ในชั่วพริบตา ฉินอวี้โม่ก็เห็นว่ามันแปรเปลี่ยนไปเป็นลูกม้าตัวน้อยน่ารักขนาดเล็กกะทัดรัด
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เวลานี้เสี่ยวเฮยเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ เมื่อนายหญิงของมันมีเรื่องหนักใจมันจึงรีบแก้ปัญหาให้ในทันที และทันทีที่สิ้นเสียงถามของเจ้านายสาว ร่างกายของเสี่ยวเฮยก็หดเล็กลงไปกลายเป็นม้าตัวน้อยที่มีเขาแหลมคมและปีกที่สวยงามซึ่งมีขนาดเท่ากับลูกแมวตัวหนึ่งเท่านั้น
ต้องยอมรับเลยว่ายูนิคอร์นเป็นสิ่งมีชีวิตที่งดงามอย่างแท้จริง ร่างกายจริงแท้ของมันดูสง่างาม ผ่าเผย ทรงพลัง และแข็งแกร่งน่าเกรงขาม ทว่าเมื่อมันอยู่ในร่างขนาดกะทัดรัดเช่นนี้กลับมีความน่ารักได้อย่างไม่น่าเชื่อ และก็สามารถทำให้ผู้คนโดยเฉพาะเหล่าสตรีหลงรักได้มากยิ่งขึ้น
เสี่ยวเฮยบินมาร่อนลงบนไหล่ของฉินอวี้โม่อย่างนิ่มนวล ตอนนี้มันไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวจิ๋วแสนน่าเอ็นดูเลยแม้แต่น้อย
และในตอนที่ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย หานโม่ฉือก็ปรากฏตัวขึ้น
เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือก็รีบปราดเข้ามาอยู่ข้าง ๆ ในทันที มนุษย์น้ำแข็งแสนเย็นชาใช้สายตาที่ไม่เย็นชามองนางขึ้น ๆ ลง ๆ อย่างร้อนรน ทว่าเมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนาง สีหน้าท่าทางของเขาก็กลับมาเยือกเย็นเช่นเดิม
ในตอนที่เห็นฉินอวี้โม่ถูกยูนิคอร์นสีนิลพาตัวไป หานโม่ฉือก็เป็นกังวลและร้อนใจมาก เขารีบตามมาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่างไรก็ตาม เพราะถูกอสูรบินได้จำนวนมากก่อกวนตลอดเส้นทางจึงทำให้ต้องเสียเวลาไปไม่น้อยกว่าจะมาถึงที่นี่
หากมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับฉินอวี้โม่ เขาก็คงจะรู้สึกผิดไปตลอดเป็นแน่
“ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้เจ้าเป็นห่วง”
เมื่อเห็นสีหน้าที่ร้อนรนของสหายผู้เคยเยือกเย็นเป็นน้ำแข็ง ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มและกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด
หานโม่ฉือไม่ตอบรับ และไม่กล่าวสิ่งใดกับสตรีตรงหน้า ทว่าตอนนั้นเองที่เขามองเห็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยสีดำสนิทเกาะอยู่บนไหล่ของนาง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาทำมีเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวถามสิ่งใดอีกเช่นเคย
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบเพียงชั่วครู่ จู่ ๆ ร่างของชื่อเซียวก็ปรากฏขึ้น เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ปลอดภัยเขาก็ดูจะโล่งอกไม่น้อย
เป็นเพราะเขาถูกโจมตีจนหานโม่ฉือต้องเข้ามาช่วย และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ฉินอวี้โม่ถูกยูนิคอร์นสีนิลจับไปได้ง่าย ๆ ถ้าหากนางเป็นอะไรไปจริง ๆ ชื่อเซียวคงต้องตำหนิตัวเองอย่างหนัก
.
.
.
ตอนที่ 21 ทำพันธสัญญา
— ฟึ่บ !–
ยูนิคอร์นสีนิลพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ในตอนที่นางไม่ทันได้ตั้งตัว สตรีโฉมงามไม่มีเวลาตอบสนอง ไม่มีแม้กระทั่งเวลาให้ตั้งสติเสียด้วยซ้ำ มันพานางขึ้นหลังไปดื้อ ๆ และวิ่งหายกลับเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่ตกตะลึงกับการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันของยูนิคอร์นสีนิล แท้จริงแล้วอดีตนักฆ่าสาวมีปฏิกิริยาตอบสนองที่ว่องไวเพียงพอ นางสามารถหลบหลีกการโจมตีของยูนิคร์อนสีนิลได้อย่างแน่นอน ทว่าในเสี้ยวลมหายใจที่เจ้าอสูรมายาตัวใหญ่เข้ามาใกล้ จู่ ๆ นางก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งก้องขึ้นในหัว
‘เจ้านายแห่งโชคชะตาของข้า โปรดตาม ‘เขา’ เข้ามาด้วยเถิด’
เสียงของผู้ชายที่ฟังดูอ่อนล้าดังเข้ามาภายในใจของฉินอวี้โม่ เสียงอ่อนระโหยนั้นไม่ดังไม่เบาแต่เจือแวววิงวอนอย่างเด่นชัด… เสียงนั้นเสมือนกำลังเรียกหานาง
และเป็นเพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเองทำให้ฉินอวี้โม่หยุดตัวเองเอาไว้และยินยอมขึ้นไปนั่งบนหลังของยูนิคอร์นสีนิลแต่โดยดี
เมื่อเห็นยูนิคอร์นสีนิลพาฉินอวี้โม่วิ่งเข้าไปในถ้ำด้วยความเร็วสูงสุด คิ้วของหานโม่ฉือก็กระตุกก่อนจะขมวดเป็นปมแน่น บุรุษมนุษย์น้ำแข็งพุ่งตามอสูรมายารูปร่างคล้ายม้าไปอย่างไม่ลังเล
ชื่อเซียวตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก หัวหน้ากองทหารรับจ้างถึงกับยืนนิ่งไปชั่วครู่
“ฝากพวกเจ้าเฝ้าตรงนี้ไว้ด้วย”
เมื่อเรียกสติคืนมาได้ ชื่อเซียวก็สั่งการลูกน้องก่อนที่เขาจะวิ่งตามไปด้วยอีกคน
ตอนนี้ฉินอวี้โม่อยู่บนหลังของยูนิคอร์นสีนิล มันพานางพุ่งลึกเข้าไปภายในถ้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเร็วสูง
และยิ่งเข้ามาในถ้ำลึกเท่าไหร่ ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งรู้สึกถึงความร้อนที่เพิ่มสูงขึ้น คล้ายกับว่าพวกนางกำลังตรงเข้าไปยังแกนกลางของภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นซึ่งอยู่ในส่วนลึกที่สุดของถ้ำแห่งนี้
ยูนิคอร์นสีนิลไม่มีท่าทีที่จะหยุดเลยแม้แต่น้อย มันพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
เวลาผ่านไปไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็มองเห็นกลุ่มแสงจาง ๆ ปรากฏอยู่เบื้องหน้า
และเมื่อม้าสีนิลยิ่งพานางเข้าไปใกล้ ฉินอวี้โม่ก็ยิ่งพบว่าแสงนั้นสว่างเจิดจ้ามากเสียจนทำให้ตาพร่า จนในที่สุด หญิงสาวผู้ถูกม้าพาตัวมาก็ต้องหลับตาลงเพราะไม่อาจต้านทานแสงนั้นได้
เมื่อรู้สึกตัวว่ายูนิคอร์นสีนิลหยุดเคลื่อนที่ ฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้า ๆ และในตอนนั้นเองที่นางพบว่าแสงแสบตาได้สลายหายไปหมดแล้ว
สิ่งแรกที่หญิงสาวมองเห็นหลังจากลืมตาทำให้นางอดที่จะตื่นตะลึงไม่ได้ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านางในตอนนี้เป็นฉากอันแสนแปลกประหลาด !
เพราะตอนนี้ตัวนางกำลังอยู่ในทะเลเพลิง ทว่านางกลับไม่รู้สึกถึงความร้อนร้ายแรงหรือรู้สึกว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บจากการถูกไฟเผาแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายูนิคอร์นสีนิลที่เป็นผู้พานางเข้ามาก็หายตัวไปแล้ว ฉินอวี้โม่รู้สึกราวกับว่าท่ามกลางทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาลจะมีแค่ตัวนางอยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น…
‘นายหญิง หลังจากการรอคอยอันแสนยาวนาน ข้าก็ได้พบท่านเสียที’
‘นายหญิง ข้ารอท่านอยู่ที่นี่มาเป็นพันปีแล้ว ในที่สุดข้าก็ได้พบท่าน’
ทันใดนั้นเสียงอ่อนระโหยก็คล้ายจะสั่นเครือเล็กน้อย น้ำเสียงนั้นเต็มแน่นไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ที่ฉินอวี้โม่พอจะจับใจความและเข้าใจได้ก็มีเพียงแค่ อีกฝ่ายกำลังรอนางอยู่ที่นี่ และเขารอมาเป็นพันปีแล้ว
‘นายหญิงของข้า ตอนนี้ข้ายังไม่สามารถตอบคำถามใด ๆ ได้ สหายของท่านใกล้เข้ามาแล้ว รีบทำพันธสัญญาก่อนเถิด !’
เสียงดังขึ้นในใจฉินอวี้โม่อีกครั้ง ทว่าครั้งนี้มันฟังดูจริงจังและร้อนรน ซึ่งในทันทีที่เสียงนั้นจบลง หญิงสาวก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย
มันคล้ายกับว่าร่างกายของนางถูกเปลวไฟแผดเผา ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่น่าอึดอัดอย่างมาก
หากตอนนี้มีผู้อื่นอยู่กับอดีตคุณหนูสี่คนงามที่นี่และมองดูตัวนางก็จะเห็นว่า ร่างกายบอบบางกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปทั่วทั้งร่าง อีกทั้งยังถูกเปลวเพลิงที่ดูร้อนแรงห่อหุ้มเอาไว้ !
‘ภายใต้นามแห่งท่าน พันธสัญญาถูกสร้างขึ้นแล้ว ไม่ว่าเป็นหรือตายก็มิอาจแยกจากกันได้ !’
เสียงบุรุษเสียงเดิมดังขึ้น ทว่าในครั้งนี้ไม่ได้อ่อนระโหยอีกแล้ว แต่กลับเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว หนักแน่น และทรงพลังอย่างยิ่ง ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าตอนนี้ความเจ็บปวดทั้งหมดที่ตัวนางได้รับหายไปหมดสิ้น และเวลานี้ภายในจิตของนางมีร่องรอยของการเชื่อมต่อพิเศษบางอย่างปรากฏขึ้นมา
โดยปกติแล้วภายในจิตของมนุษย์จะมีมิติพิเศษซ่อนเร้นอยู่ มิติพิเศษนี้มีไว้สำหรับเป็นที่อยู่ของอสูรมายาเรียกว่า ‘มิติเชื่อมอสูร’ ทว่าตอนนี้ในมิติเชื่อมอสูรของฉินอวี้โม่กลับมีบางสิ่งที่แสนแปลกประหลาดเข้ามาอาศัย รูปร่างของมันแปลกพิกลและดูคลุมเครือมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ในเวลาเดียวกัน ที่ใต้ฝ่าเท้าของนางก็ปรากฏเป็นดาราเจ็ดดวงขึ้น จากเดิมพื้นที่บริเวณนั้นมีดาราเพียงสองดวงในตอนนี้ก็กลายเป็นเก้าดวงดาราภายในครั้งเดียว
ดาราทั้งเก้าหมุนวนไปมาไม่หยุดนิ่ง ทันใดนั้นเอง พวกมันก็เคลื่อนที่เข้าหาและรวมตัวกันเป็นดาราขนาดใหญ่หนึ่งดวง เสี้ยวลมหายใจถัดมาดาราอีกสองดวงก็ปรากฏขึ้นเคียงคู่ จนตอนนี้มีดาวดวงใหญ่อยู่ทั้งหมดสามดวง
“ขอบเขตทิพย์มายาสามดารา !”
เมื่อเห็นพัฒนาการของตัวเองในตอนนี้ ฉินอวี้โม่ก็อุทานเสียงดังอย่างอดไม่ได้
ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตกตะลึง เพราะก่อนการพัฒนาครั้งนี้นางยังเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาสองดาราเท่านั้น ทว่าในตอนนี้กลับก้าวข้าม… ไม่สิ… ก้าวกระโดดขึ้นมามากมายหลายระดับจนกลายเป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตทิพย์มายาสามดาราแล้ว !!!
‘นายหญิง หลายปีที่ผ่านมาข้าสูญเสียพลังไปมาก แม้ว่าในที่สุดก็ได้พบท่านแล้วและได้ทำพันธสัญญาอีกครั้ง ทว่าข้าก็ยังจำเป็นต้องเข้าสู่ห้วงนิทราเป็นเวลาสั้น ๆ เพื่อฟื้นพลัง แต่ก่อนหน้านั้นมีบางอย่างที่ข้าต้องทำเพื่อท่าน’
.
.
.
ตอนที่ 20 ยูนิคอร์นสีนิลปรากฏกาย
“ย๊ากกก !”
“โฮกกกก !”
— ตู้ม ! —
เกิดเสียงดังขึ้น กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเข้าปะทะกับฝูงอสูรมายาที่กำลังเฝ้าอยู่ตรงทางเข้าถ้ำอย่างโกลาหล
“ระวังตัวกันด้วย”
หลินจิ้งหงมองตามหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ที่เดินหลบเลี่ยงออกไปซุ่มรอเตรียมตัวเข้าถ้ำด้วยสายตาที่ขมขื่นอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะวิ่งเข้าไปร่วมการต่อสู้อันแสนชุลมุน
หานโม่ฉือเพิ่งจะบอกกับเขาผ่านการสื่อสารทางสายตาว่าการดึงความสนใจของเหล่าอสูรมายาก็ถือเป็นหัวใจสำคัญของแผนการนี้ แน่นอนว่าหลินจิ้งหงเข้าใจความหมายของหานโม่ฉือ แต่เขาก็ยังรู้สึกแย่อยู่ดีที่ไม่สามารถเข้าไปด้วยได้
ด้วยเหตุนั้น ความโกรธและความอัดอั้นตันใจทั้งหมดของหลินจิ้งหงจึงไปลงกับอสูรมายาที่กระจัดกระจายกันอยู่หน้าถ้ำ
— ฟุบ ฟิ้ว~ —
— ตูม ! ตูม ! ตูม ! —
หากไม่ใช่เพราะอสูรมายาโง่เง่าน่ารำคาญพวกนี้ เขาก็คงไม่ต้องมาเสียเวลารับมือกับพวกมัน ต้องมาคอยระวังภัยอยู่ข้างนอกเช่นนี้
“โฮกปิ๊บ !”
— ตู้ม !–
เดิมทีหลินจิ้งหงก็เป็นจอมยุทธ์ที่นับว่าแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว และยิ่งเมื่อเขากำลังอยู่ในอารมณ์ขุ่นเคืองเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้แต่ละกระบวนท่าที่เขาใช้โจมตีเป็นการจู่โจมในระดับถึงตาย ! ซึ่งในทันทีที่ยอดฝีมือผู้โกรธแค้นเข้าถึงฝูงอสูรมายาได้ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงไม่ต่างจากการปล่อยเสือดุร้ายให้เข้าไปถล่มฝูงแกะน้อย
— บึ้ม ! —
….เหล่าอสูรมายาร่วงผล็อย ตายตกไปตาม ๆ กันทีละตัวสองตัวอย่างน่าเวทนา….
ภาพทั้งหมดอยู่ในสายตาของเหล่าบุรุษในชุดรัดกุมจากกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ความบ้าคลั่งของหลินจิ้งหงสะกดสายตาของพวกเขาทุกคนจนต้องหันไปมองและอดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน แค่ได้มองดูแม้แต่พวกเขาเองก็ยังขนลุกซู่… ‘คุณชายผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไปแล้ว’
โชคยังดีที่ตอนนี้ระหว่างพวกเขาและคุณชายน่ากลัวผู้นั้นไม่มีความแค้นเคืองหรือบาดหมางสิ่งใดต่อกันอีก และโชคดีกว่านั้นที่ก่อนหน้านี้หัวหน้าของพวกเขาช่วยห้ามทัพไว้ไม่ให้พวกเขาและฝ่ายนั้นมีเรื่องกัน หาไม่แล้วกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนอาจจะต้องสิ้นชื่อและไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้เป็นแน่
เมื่อตั้งสติได้ เหล่าชายชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนนับสิบคนก็เข้าร่วมมือกับหลินจิ้งหงต่อสู้กับอสูรมายาอย่างดุเดือด ทำให้ในตอนนี้ไม่มีคนผู้ใดหรืออสูรมายาตัวใดมีเวลาพอจะสนใจฉินอวี้โม่และสมาชิกคณะสำรวจถ้ำคนอื่นๆ
“ตอนนี้แหละ ไปได้ !”
เมื่อเห็นว่าเริ่มมีช่องโหว่ให้วิ่งผ่านเข้าไปยังปากทางเข้าถ้ำได้ ชื่อเซียวก็เปล่งเสียงดังเป็นการให้สัญญาณและรีบพุ่งตรงไปอย่างรวดเร็ว
ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือหันมองหน้ากันก่อนจะวิ่งตามหลังชื่อเซียวไปติด ๆ
หลังจากวิ่งทะลุผ่านปากทางเข้าถ้ำมาได้ ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ต่างก็ต้องตื่นตะลึงกับฉากอันงดงามภายในถ้ำ
หากมองจากด้านนอก ถ้ำแห่งนี้เป็นเพียงถ้ำมืด ๆ ดูแสนธรรมดา ทว่าเมื่อพวกเขาเข้ามาแล้วกลับพบว่าข้างในนี้มีแสงไฟส่องสว่างไปตลอดทาง สองข้างทางเดินยาวที่ทอดลึกเข้าไปยังพื้นที่ด้านในถ้ำนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่เรียงราย และทุกดวงถูกจุดให้แสงสว่างไสว
ถ้ำนี้ไม่กว้างเท่าไหร่นัก ทางเดินของถ้ำมีความกว้างเพียงพอแค่คนสองคนเดินเคียงคู่กันผ่านเข้าได้เท่านั้น แถมถ้ำก็มีความยาวมากเสียจนไม่สามารถมองเห็นสุดปลายทางได้
“หัวหน้าชื่อเซียว พวกท่านเข้ามาหาอะไรที่นี่อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถามชื่อเซียวขณะที่กำลังเดินตามอยู่ด้านหลัง
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเกิดเรื่องคลางแคลงใจต่อกัน แต่ความรู้สึกของชื่อเซียวที่มีต่อฉินอวี้โม่ก็ยังถือว่าดีมาก
“พวกเราได้รับการจ้างวานจากตระกูลอู๋ให้เข้ามาค้นหาสมุนไพรในสถานที่ที่ยูนิคอร์นสีนิลอาศัยอยู่”
ชื่อเซียวไม่ได้คิดจะปิดบัง เขาบอกฉินอวี้โม่ถึงจุดประสงค์แท้จริงที่พวกเขามาที่นี่ออกไปตรง ๆ
“ท่านถึงได้ขอให้ข้ายั้งมือไม่ให้ทำร้ายอู๋ชื่อสินะ ?”
เมื่อได้ฟังสิ่งที่ชื่อเซียวบอก ฉินอวี้โม่ก็เข้าใจขึ้นมาได้ในตอนนั้นเองว่าเพราะเหตุใดชื่อเซียวถึงได้ออกหน้าปกป้องคุณชายรองตระกูลอู๋
“แม่นางฉินฉลาดจริง ๆ”
ชื่อเซียวยิ้มจริงใจและไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้
ในระหว่างที่พวกเขากำลังสนทนากันอยู่ จู่ ๆ ชายผู้เป็นหัวหน้าของหน่วยที่หนึ่งแห่งกองทหารรับจ้างก็เปล่งเสียงอุทานออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ?!”
เมื่อได้ยินเสียงของหัวหน้าหน่วยที่หนึ่ง ชื่อเซียวก็รีบพุ่งตัวเข้าไปหาเขาและกล่าวถามอย่างเร่งร้อน
“หัวหน้าชื่อ ข้างหน้ามีเส้นทางสองสาย พวกเราควรจะไปทางไหนกันดีขอรับ ?”
บัดนี้ พื้นที่เบื้องหน้าของพวกเขาปรากฏเป็นทางแยกสองสายซ้ายและขวา ซึ่งพวกเขาเองก็ไม่ทราบเลยว่าควรจะมุ่งหน้าไปทางใด
ชื่อเซียวมองดูเส้นทางทั้งสองที่แทบไม่มีสิ่งใดแตกต่างกัน ทั้งสองทางมีความกว้างพอกัน มีแสงจากโคมไฟส่องสว่างอยู่สองข้างทางเช่นเดียวกัน และไม่มีทางสายไหนที่พวกเขาสามารถมองเห็นจนสุดปลายทางได้ ในตอนที่เขากำลังจะหันกลับไปเพื่อถามความเห็นของฉินอวี้โม่ สายลมวูบหนึ่งก็พัดมา
“ระวัง !”
สิ่งที่มาพร้อมกับสายลมมิใช่สิ่งใดอื่น มันคือยูนิคอร์นสีนิลที่ปรากฏกายขึ้นตรงหน้าหัวหน้ากองทหารรับจ้างชื่อเหยียน อสูรมายาตัวใหญ่ใช้เขาแหลมยาวที่เป็นเกลียวของมันพุ่งแทงเข้าใส่ชื่อเซียวในทันที
ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองของชื่อเซียวก็ถือว่ารวดเร็วเพียงพอ เขาก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าวในพริบตาเดียวและสามารถหลบหนีจากการโจมตีของเจ้ายูนิคอร์นดำมืดไปได้
“วู้~”
ยูนิคอร์นสีนิลที่ยืนอยู่ตรงทางแยกส่งเสียงขู่คำรามเข้าใส่กลุ่มมนุษย์ผู้บุกรุก
จากนั้นมันก็เบนสายตาไปหาสตรีเพียงผู้เดียวในกลุ่ม แววตาของอาชาสีดำมีร่องรอยแห่งความวิงวอนอยู่ในดวงตาสีนิลทั้งคู่ของมัน
ฉินอวี้โม่เองก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติของยูนิคอร์นสีนิลตัวนี้ ทว่านางก็ไม่เข้าใจความหมายของมัน ดังนั้นนางจึงไม่เร่งรีบบุ่มบ่ามลงมือหรือตอบสนองใด ๆ
“วู้~….!”
ทันใดนั้น ยูนิคอร์นก็ส่งเสียงคำรามยาวออกมาครั้งหนึ่ง ซึ่งเรียกให้สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลายร้อยตัวบินออกมาจากทางแยกทั้งสองที่อยู่ด้านหลังมัน สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นพุ่งเข้าจู่โจมฉินอวี้โม่และเหล่าสมาชิกคณะสำรวจถ้ำในทันที !
ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ รีบตั้งรับอย่างรวดเร็ว ทว่าในตอนนั้นเองที่พวกเขามองเห็นยูนิคอร์นสีนิลพุ่งเข้าจู่โจมชื่อเซียวที่อยู่ใกล้มันที่สุด
หานโม่ฉือเกิดความลังเลเล็กน้อย ร่างของเขาหายไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่และไปปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชื่อเซียวอย่างรวดเร็วเพื่อคุ้มกันเขา
ทว่าจู่ ๆ เหตุการณ์ก็เกิดพลิกผันเมื่อยูนิคอร์นสีนิลหันหลังกลับอย่างกะทันหัน มันเปลี่ยนเป้าหมายกลายเป็นพุ่งเข้าหาฉินอวี้โม่ด้วยความเร็วสูง !
.
.
.
ตอนที่ 19 ฝูงอสูรมายา
ในเวลานี้ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ อยู่ไม่ไกลจากถ้ำที่อยู่อาศัยของยูนิคอร์นสีนิลแล้ว
แท้จริงแล้วเหตุผลที่ทำให้คนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนค้นพบที่ซ่อนตัวของยูนิคอร์นสีนิลได้ก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มของฉินอวี้โม่ด้วยเช่นกัน
พวกเขามาเยือนบึงสายหมอกแห่งนี้และออกค้นหากันแทบพลิกผืนป่าแต่ก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ของเจ้าอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์นั้นเลย ทว่าในขณะที่กำลังค้นหากันอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่นั้น ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นว่าจู่ ๆ ยูนิคอร์นสีนิลก็บินออกมาจากทิศทางใดไม่ทราบและข้ามผ่านจุดที่พวกเขาอยู่ไป พวกเขาทุกคนดีใจเป็นอย่างมากและพยายามไล่ตามสุดฤทธิ์จนในที่สุดก็มาพบกับถ้ำแห่งนี้
ชื่อเซียวเดินนำอยู่หน้าสุด ขณะที่หลินจิ้งหงเดินตามเขาไปติด ๆ ส่วนหานโม่ฉือและฉินอวี้โม่ก็เดินเคียงคู่กันตามหลินจิ้งหงไป
“ฉินอวี้โม่ ข้าพบว่ายิ่งอยู่กับเจ้ามากเท่าไหร่ ข้าก็ยิ่งรู้จักเจ้ามากขึ้น และข้าก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ธรรมดาของเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ”
ในขณะที่หลินจิ้งหงเดินอยู่ เขาก็เอ่ยปากพูดกับฉินอวี้โม่ด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้หรือไม่ ความอยากรู้อยากเห็นฆ่าแมวตายมาหลายตัวแล้วนะ”
ฉินอวี้โม่ตอบกลับไปด้วยวาจาหยอกล้อ นางกำลังหลีกเลี่ยงเพราะไม่ต้องการตอบคำถามนั้นของหลินจิ้งหง
“ข้าไม่กลัว แม้ว่าข้าจะเป็นแมว แต่ก็เป็นแมวที่มีกรงเล็บแหลมคม ยิ่งกว่านั้นแมวมีถึงเก้าชีวิต ไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
หลินจิ้งหงโต้กลับ มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ ดูเหมือนว่าเวลานี้เขาจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ
….เมื่อได้ยินบทสนทนาเชิงหยอกเย้าของหลินจิ้นหงและฉินอวี้โม่ ใบหน้าเยือกเย็นของมนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือที่เดินอยู่ถัดจากฉินอวี้โม่ก็ดูเหมือนจะเย็นเฉียบมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม….
หลังจากเดินต่อไปอีกกว่าหนึ่งก้านธูป ชื่อเซียวที่อยู่ด้านหน้าก็เริ่มชะลอฝีเท้าลง
“ทุกคนระวังตัว เราเกือบจะถึงปากถ้ำนั่นแล้ว”
ชื่อเซียวกล่าวเตือนทุกคน
ฉินอวี้โม่เองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นลมหายใจที่เป็นเอกลักษณ์ของยูนิคอร์นได้จาง ๆ จากพื้นที่ด้านหน้า ห่างออกไปไม่ไกลนัก
“ฉินอวี้โม่ อย่าอยู่ห่างจากพวกเรา ครั้งนี้ยูนิคอร์นสีนิลอาจจะจู่โจมเจ้าอีกก็ได้”
หลินจิ้งหงเปลี่ยนมาเดินอยู่ด้านข้างสตรีเพียงผู้เดียวในกลุ่มอย่างเงียบ ๆ ตอนนี้ฉินอวี้โม่มีหลินจิ้งหงและหานโม่ฉืออยู่ขนาบซ้ายขวาโดยตัวนางนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง
พวกเขายังจำเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ดี ถ้าในตอนนั้นฉินอวี้โม่ไม่ไหวตัวทันหรือถ้าหากนางช้าเกินไปอีกเพียงก้าวเดียวล่ะก็ การลอบโจมตีครั้งนั้นของยูนิคอร์นสีนิลก็คงจะสำเร็จไปแล้ว
พวกเขาเดินกันต่ออีกไม่กี่ก้าว กลุ่มหมอกด้านหน้าก็เริ่มเบาบางลง ตรงหน้าของพวกเขา ณ จุดที่ห่างออกไปอีกไม่ไกลนักปรากฏให้เห็นเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง
และก็เป็นเช่นที่กองกำลังทหารรับจ้างชื่อเหยียนกล่าวไว้ไม่มีผิด พื้นที่หน้าถ้ำแห่งนั้นมีกลุ่มของอสูรมายาคอยเฝ้าเอาไว้ เมื่อเห็นมนุษย์กลุ่มใหญ่เดินใกล้เข้ามา พวกมันก็ลุกขึ้นยืนและส่งเสียงร้องคำรามเป็นการข่มขู่ทันที
พื้นที่บริเวณนั้นมีอสูรมายาอยู่หลายสิบตัว ตัวที่มีระดับสูงที่สุดเป็น ‘อสูรมายาระดับภูตเก้าดารา’ และตัวที่อ่อนแอที่สุดคือ ‘อสูรมายาระดับต่ำเจ็ดดารา’
พวกมันอยู่รวมกันไม่ซ้ำชนิดมีทั้ง เสือ สิงโต หมาป่า จระเข้ และอินทรี
พวกมันบางตัวกำลังบินอยู่บนฟ้า บางตัวก็วิ่งไปมาอยู่บนพื้น บ้างก็เกาะอยู่ตามกิ่งไม้ หรือแม้แต่โผล่ออกมาจากป่าที่อยู่โดยรอบ ตอนนี้อสูรมายานานาชนิดออกมายืนประจันหน้ากับกลุ่มของฉินอวี้โม่และเหล่าทหารรับจ้าง
“สหายชื่อ ดูเหมือนว่ามันจะมีเยอะอย่างที่ท่านว่าจริง ๆ ด้วย !”
เมื่อเห็นอสูรมายาหลายสิบตัว หลินจิ้งหงก็เกิดความตกตะลึงจนอดที่จะอุทานออกมาไม่ได้
‘นี่เป็นเรื่องประหลาด’ และเขาก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเหตุใดถึงได้มีอสูรมายามาเฝ้าอยู่หน้าถ้ำของยูนิคอร์นสีนิลอย่างมากมายได้ถึงเพียงนี้
“เยอะจริง ๆ ข้างในถ้ำนี้มีของล้ำค่าอะไรอยู่รึเปล่า ?”
ฉินอวี้โม่เอ่ยถาม ภาพที่ได้เห็นทำให้นางตื่นตะลึงไม่น้อย และในเรื่องนี้ก็ทำให้นางเกิดข้อสงสัยว่าอาจจะมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างอยู่ภายในถ้ำจึงนำพาให้เหล่าอสูรมายามารวมตัวกันมากมายขนาดนี้
“หึ ๆ มีอะไรอย่างนั้นหรือ ? แค่เข้าไปดูข้างในก็จะได้รู้เองนั่นแหละ”
หลินจิ้งหงชักขี้เกียจจะคาดเดา เขาพูดขึ้นอย่างใจกล้าก่อนจะหันไปมองเหล่าบุรุษในชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
เมื่อเห็นหลินจิ้งหงมองมา ชื่อเซียวก็พยักหน้าและกล่าวขึ้น “หน่วยที่หนึ่งตามข้ามา หน่วยอื่น ๆ อยู่ด้านนอกตรึงกำลังสกัดกั้นฝูงอสูรมายาไว้”
เพราะความเป็นมืออาชีพ และเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนจึงถูกแบ่งเป็นหน่วยย่อยอีกสิบหน่วย โดยแต่ละหน่วยจะประกอบด้วยทหารรับจ้างห้าคน ถ้ำแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่มากนักจึงไม่ควรจะนำคนเข้าไปพร้อมกันจำนวนมาก ชื่อเซียวแบ่งให้คนตามเขาเข้าไปในถ้ำห้าคน และให้คนอื่น ๆ ที่เหลือรับมือกับอสูรมายาอยู่ด้านนอก
“จิ้งหง เจ้ารออยู่ด้านนอก”
หานโม่ฉือผู้ที่ปกติจะพูดน้อยเสียจนคล้ายพูดไม่ได้ จู่ ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเย็นชา และคำพูดที่หลุดออกจากปากของเขาก็ทำให้หลินจิ้งหงถึงกับผงะไป
“ทำไม ?”
คำพูดของสหายมนุษย์น้ำแข็งทำให้หลินจิ้งหงรู้สึกไม่ยินยอม เขาเองก็อยากจะเข้าไปในถ้ำนั้นเพื่อให้ได้เห็นยูนิคอร์นสีนิลกับตาและอยากจะรู้ด้วยว่าด้านในมีสมบัติอยู่จริง ๆ หรือไม่
“ข้าไม่อยากรออยู่ที่นี่และรับมือกับพวกอสูรมายาปลายแถว”
หานโม่ฉือจ้องตาหลินจิ้งหงเขม็งขณะที่ฝ่ายคุณชายเจ้าสำอางก็จ้องตอบไม่ลดละเพราะอยากต่อต้าน ทว่าหลังจากสงครามสายตาผ่านไปเพียงชั่วครู่ หลินจิ้งหงก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แววตาของสหายมนุษย์น้ำแข็งทำให้คุณชายหลินหยุดถามและได้แต่พยักหน้าอย่างอับจนหนทาง
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่เข้าใจความหมายของสายตานั้น แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
หลังจากหารือกันเรียบร้อยแล้ว กลุ่มภาคีล่ายูนิคอร์นสีนิลก็เริ่มเปิดฉากบุกเข้าใส่ฝูงอสูรมายา
.
.
.
ตอนที่ 18 ร่วมมือกัน
“เฮ้ ว่าไงล่ะสหายชื่อเซียว บอกมาซิว่าตกลงเจ้าจะร่วมมือกับเราหรือว่าไม่รวมมือแล้วกันแน่”
หลินจิ้งหงแย้มยิ้มเริงร่าและพูดกับชื่อเซียวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
เมื่อชื่อเซียวได้ยินที่หลินจิ้งหงกล่าว เขาก็กระตุกยิ้มมุมปากในทันทีและกล่าวขึ้น “แน่นอน ต้องร่วมมือกันอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกท่านทั้งสามยินดี”
หลินจิ้งหงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง แม้ว่าสิ่งที่พวกเจ้าแสดงออกมาในวันนี้จะไม่ค่อยน่าพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะเกลียดชังพวกเจ้า”
สิ่งที่หลินจิ้งหงกล่าวทำให้หลาย ๆ คนในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนรู้สึกอับอาย แต่ก็ไม่มีใครพูดสิ่งใด พวกเขาเอาแต่ก้มหน้าอย่างสำนึกผิด
ชื่อเซียวยิ้มจริงใจ ตอนนี้เขาเริ่มจะคุ้นชินกับนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เขาไม่นึกถือสาคำพูดของคุณชายมาดดีผู้นี้อีก
“เนื่องจากตอนนี้เราตกลงร่วมมือกันแล้ว งั้นเรามาหารือเรื่องภารกิจกันเลยดีกว่า”
ทันใดนั้น ฉินอวี้โม่ก็กล่าวขึ้นมาเพื่อสลายบรรยากาศแสนกระอักกระอ่วนของทางฝ่ายกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนบ้าง นางเริ่มรู้สึกว่าคนกลุ่มนี้น่าคบค้าสมาคมขึ้นมาแล้ว
หานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่ และหลินจิ้งหงเดินเข้ามาใกล้กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนแล้วนั่งลงบนพื้นข้าง ๆ พวกเขา
ชื่อเซียวเองก็เดินเข้ามาหาและนั่งลงใกล้ ๆ พันธมิตรใหม่ทั้งสาม กลุ่มชายในชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนหันมองหน้ากันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพากันนั่งลงในที่สุด
“ในเมื่อทราบกันอยู่แล้วว่าพวกเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือถ้ำที่อยู่ของยูนิคอร์นสีนิล ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียเวลา ข้าว่าพวกเรามาหารือกันเกี่ยวกับแผนการเลยดีกว่า”
หลินจิ้งหงกวาดสายตามองคนทั้งหมดก่อนจะบอกเล่าถึงแผนของเขา
“ตามที่เจ้าว่า ยูนิคอร์นสีนิลรวบรวมอสูรมายาเป็นจำนวนมากเพื่อเฝ้าหน้าปากทางเข้าถ้ำไว้ ฉะนั้นแล้วการจะบุกเข้าไปตรง ๆ ก็คงไม่ง่าย ดังนั้นข้าขอแนะนำว่าควรแบ่งคนส่วนหนึ่งเข้าไปดึงความสนใจของเหล่าอสูรมายาและคอยกันพวกมันเอาไว้ ในระหว่างนั้นก็ส่งคนให้บุกเข้าไปภายในถ้ำ ซึ่งก็แน่นอนว่าผู้ที่จะรับหน้าที่เข้าถ้ำควรมีความแข็งแกร่งที่โดดเด่น”
ยูนิคอร์นสีนิลแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก หากพวกเขาต้องการจะรับมือกับมันให้ได้ การพาคนบุกเข้าไปในถ้ำพร้อมกันจำนวนมากอาจจะส่งผลเสียมากกว่าผลดีเพราะด้วยจำนวนคนที่มีมาก การต่อสู้ในถ้ำแคบ ๆ จะทำได้ยากลำบากขึ้น
และการจะพาคนเข้าไปทั้งหมดก็ต้องจัดการกับเหล่าอสูรมายาที่เฝ้าอยู่หน้าถ้ำให้หมด ซึ่งการทำแบบนั้นจะเสียเวลามาก และที่สำคัญ การกวาดล้างอสูรมายาอย่างจริงจังย่อมทำให้สูญเสียเลือดเนื้อไปมากกว่าการต่อสู้เพื่อถ่วงเวลาเฉย ๆ
เนื่องจากกำลังคนของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนถือว่ามีเพียงพอ พวกเขาจึงสามารถแบ่งคนออกเป็นสองกลุ่มเพื่อให้กลุ่มหนึ่งล่อลวงและถ่วงเวลาอยู่ด้านนอก ส่วนอีกกลุ่มเข้าไปด้านในเพื่อสำรวจถ้ำได้
“ที่พี่ชายว่ามาถือว่าเหมาะสม เอาตามนี้เลยก็ได้”
เมื่อชื่อเซียวลองคิดพิจารณาดูอย่างถ้วนถี่แล้ว แผนการของหลินจิ้งหงถือว่าสมเหตุสมผล เขาจึงพยักหน้าอย่างนุ่มนวลและทำการตัดสินใจ
“เอ่อ แล้วจะให้พวกข้าเรียกสหายทั้งสองอย่างไร ?”
เนื่องจากพวกเขาจะต้องร่วมมือกันหลังจากนั้น การรู้ชื่อแซ่ไว้จะทำให้เรียกขานได้สะดวกและทำงานได้ง่ายขึ้นด้วย
“เรียกข้าจิ้งหง เรียกเขาว่าโม่ฉือ”
ดูคล้ายว่าหลินจิ้งหงจะไม่อยากให้คนรู้ตัวตนของเขามากเกินไป ในครั้งนี้เมื่อเห็นว่ามีความจำเป็นจึงบอกชื่อไปแต่ก็ยังคงเลือกที่จะไม่บอกแซ่เพื่อไม่ให้มีผู้ใดจดจำเขาได้
อย่างไรก็ตาม ชื่อเซียวเองก็เป็นคนฉลาดที่ผ่านโลกมาพอสมควร เมื่อได้ยินคำพูดของหลินจิ้งหง เขาก็พอจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้
ทว่าสิ่งที่เขาทำก็มีเพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับและไม่เอ่ยถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องชื่ออีก
“ในเมื่อตกลงแผนการกันได้แล้ว พวกเราก็ไปกันเลยดีกว่า ไปดูสถานที่จริงจะได้สังเกตการณ์และประเมินระดับความแข็งแกร่งของอสูรมายาพวกนั้นแล้วค่อยมาคิดกันในภายหลังว่าจะทิ้งคนไว้ด้านนอกสักกี่คน”
ชื่อเซียวยืนขึ้นและออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังที่หมาย เหล่าสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนเองก็รีบตามเขาไปเช่นกัน
กลุ่มของหลินจิ้งหงที่มีสมาชิกเพียงสามคนก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมตัวออกเดินทาง ทว่าในขณะที่กำลังจะก้าวตามพวกเขาไป ฉินอวี้ก็เหลือบไปเห็นอู๋ชื่อที่กำลังลุกขึ้น นางจ้องมองคุณชายกุ้งเน่าแล้วกล่าวออกมาด้วยเสียงนุ่มนวล
“คุณชายอู๋จะมากับพวกเราหรือว่าจะรอพวกเราอยู่ที่นี่ ?”
เมื่ออู๋ชื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นขาวซีด เขาหันไปมองแผ่นหลังของชื่อเซียว เดิมทีเขาคิดเอาไว้ว่าจะติดตามกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนไปทุกที่ในภารกิจนี้ แต่เมื่อหันไปมองฉินอวี้โม่แล้ว เขาก็เกิดกลัวขึ้นมาและไม่อยากจะเดินทางต่อร่วมกับนาง
“เอ่อ พวกเจ้าสองคนอยู่กับคุณชายอู๋ที่นี่ ถ้าพวกเราปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะกลับมาและไปที่ตระกูลอู๋พร้อมกัน”
ชื่อเซียวมองอู๋ชื่อก่อนจะหันไปสั่งการลูกน้องสองคนที่เป็นจอมยุทธ์ในระดับจิตมายาเจ็ดดาราเพื่อให้อยู่คุ้มกันคุณชายอู๋ชื่อ
“ขอรับ หัวหน้า”
ทหารรับจ้างทั้งสองพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงและอยู่รอตามคำสั่ง
คนอื่น ๆ ที่เหลือรวมถึง หลินจิ้งหมิง หานโม่ฉือ และฉินอวี้โม่ติดตามชื่อเซียวไปต่อเพื่อเดินทางไปยังถ้ำซึ่งเป็นสถานที่ที่ยูนิคอร์นสีนิลอาศัยอยู่
.
.
ตอนที่ 17 ขออภัย
ในช่วงแรก คำพูดของฉินอวี้โม่ทำให้เหล่าสมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนโกรธเคือง อย่างไรก็ตาม เมื่อนางกล่าวจนจบ ร่องรอยแห่งความเกรี้ยวกราดบนใบหน้าของพวกเขาก็จางหายไปหมดสิ้น พวกเขาเริ่มครุ่นคิดบางอย่าง
พวกเขาคือสมาชิกแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนซึ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงในดินแดนแห่งนี้ พวกเขาทุกคนล้วนภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม
แต่แล้ว… พวกเขาทำสิ่งใดลงไป ?…
ยืนมองดูสตรีผู้หนึ่งถูกรังแกได้อย่างไม่ทุกข์ร้อน อีกทั้งยังหัวเราะครื้นเครงเห็นเป็นเรื่องสนุกสนาน แม้ว่านางจะเป็นขยะไร้ค่าในตำนาน แต่นางก็ไม่เคยทำอะไรผิด ไม่เคยก่อความเดือดร้อนหรือสร้างความเคียดแค้นชิงชังใด ๆ ให้พวกเขา
ในตอนนั้นเอง เหล่าบุรุษชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็บังเกิดความอับอายขึ้นมา
“แม่นางฉิน ข้าต้องขออภัยด้วย”
หลังจากได้ยินคำกล่าวของฉินอวี้โม่ ชื่อเซียวก็รู้สึกอึ้งไม่น้อย
เขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่รักในเกียรติและศักดิ์ศรี ถึงแม้เขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งตั้งแต่เด็ก เป็นผู้ที่เกิดมามีชีวิตสมบูรณ์แบบและเพียบพร้อมในทุกอย่าง แต่ทว่าเขาก็เป็นคนอ่อนโยนและสุภาพไม่เคยคิดข่มเหงรังแกผู้ใด
ชื่อเซียวเติบโตขึ้นมาในกลุ่มทหารรับจ้าง เขาติดตามเหล่าทหารรับจ้างไปทำภารกิจในที่ต่าง ๆ ทั้งง่ายและยาก พบเจอผู้คนมากมายหลายรูปแบบ บุกป่าฝ่าดงผจญภัยมาทั่วทุกสารทิศในดินแดนหวนหลิง
ทว่าเขาไม่เคยได้ยินนิยามเกี่ยวกับทหารรับจ้างที่เฉียบคมอย่างในวันนี้มาก่อน
…..หัวใจของทหารรับจ้างหนักแน่นดั่งขุนเขา พวกเขาไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค…..
ไม่ว่าจะเป็นจอมยุทธ์หรือทหารรับจ้างก็ควรจะเป็นเช่นนั้น
คนเราจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้อย่างไรหากไร้ซึ่งหัวใจที่เข้มแข็ง ?
แม้จะเห็นว่านางรับมือกับอู๋ชื่อได้ แต่ในฐานะบุรุษผู้ดำรงเกียรติแห่งทหารรับจ้างเขาก็ไม่ควรเพิกเฉยเมื่อเห็นสตรีถูกรังแกไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่เต็มอกแต่เขากลับหยุดยั้งตนเองไม่เข้าช่วยเหลือ
ชื่อเซียวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจในความลังเลของตนเองเมื่อครู่นี้ เขาจึงกล่าวขออภัยฉินอวี้โม่ออกไปด้วยความรู้สึกผิด
“แม่นางฉิน พวกเราขออภัย”
เสียงของกลุ่มบุรุษชุดรัดกุมแห่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ดูเหมือนว่าคำกล่าวของฉินอวี้โม่จะทำให้พวกเขาสำนึกได้เช่นกัน
วาจาของฉินอวี้โม่ถูกต้องแล้ว หากพวกเขายังเป็นเหมือนอย่างวันนี้ พวกเขาก็ไม่คู่ควรจะเป็นทหารรับจ้าง
เมื่อได้ยินคำขอโทษอย่างจริงใจจากคนในกองกำลังทหารรับจ้างชื่อเหยียน รวมถึงเห็นชื่อเซียวหัวหน้ากลุ่มโค้งคำนับเป็นการขออภัยจากใจจริง อดีตนักฆ่าสาวแห่งศตวรรษที่ 21 ก็นิ่งไป เธอพูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วขณะ…ไม่นึกไม่ฝันว่าคำพูดของเธอจะเปลี่ยนแปลงความคิดใคร หรือแม้แต่ทำให้ใครเชื่อได้มากมายขนาดนี้
ในชีวิตของการเป็นนักฆ่า การเจรจาไม่ใช่สิ่งจำเป็น เธอต่อว่าคนพวกนี้เพราะเธอไม่พอใจกับการกระทำของพวกเขา เธอปฏิญาณกับตัวเองแล้วว่าจะเอาคืนคนที่ทำร้ายคุณหนูสี่คนเดิม และเธอก็โกรธมากขึ้นเมื่อลองคิดว่าจะเป็นอย่างไรถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงนี้เวลานี้คือคุณหนูผู้อ่อนแอคนนั้น ไม่ใช่เธอ
ในตอนนี้ดูเหมือนว่าอดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินจะเป็นผู้เรียกสติของพวกเขาทุกคนให้กลับมา กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนกลับมามีหัวใจที่บริสุทธิ์และเข้มแข็งอีกครั้งหนึ่งแล้ว
พวกเขาจะปกปักรักษาเกียรติของทหารรับจ้างและยึดมั่นในความเชื่อเดิมของพวกเขา
“ไม่เป็นไร ข้าแค่หวังว่าเมื่อพวกท่านเป็นทหารรับจ้างก็ควรจะแสดงให้ทั้งโลกได้เห็นถึงเกียรติของทหารรับจ้าง แทนที่จะกระทำในสิ่งที่เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของตัวเองอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา”
ฉินอวี้โม่พูดอย่างแผ่วเบา กล่าวจบนางก็เดินไปอยู่ข้าง ๆ หานโม่ฉือโดยไม่พูดอะไร และไม่เข้าไปใกล้อู๋ชื่ออีก
ตอนนี้อู๋ชื่อไม่ต่างจากกุ้งเน่า ๆ ที่ไม่คู่ควรที่จะให้มือฉินอวี้โม่ต้องแปดเปื้อน
เมื่อได้ฟังคำพูดที่เฉียบขาดและทรงพลังของฉินอวี้โม่ เหล่าทหารรับจ้างแห่งกองกำลังทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็หันมามองหน้ากันก่อนจะพยักหน้า
ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็เกิดความรู้สึกอับอายและกระอักกระอ่วนกับสิ่งที่เพิ่งจะทำลงไป
ฉินอวี้โม่เป็นขยะไร้ค่าแล้วอย่างไร ฉินอวี้โม่ก็ยังเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แม้จะฝึกฝนไม่ได้แต่แล้วอย่างไร ?
นางคู่ควรที่จะได้รับคำสรรเสริญจากพวกเขา
แม้ว่าสีหน้าของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ทว่าในตอนที่สตรีตัวน้อยผู้เข้มแข็งผู้ซึ่งเพิ่งจะเรียกสติเหล่าทหารรับจ้างทั้งกลุ่มได้เดินมาหยุดอยู่ข้างเขา มันก็ทำให้หัวใจมนุษย์น้ำแข็งสั่นไหวเล็กน้อย
เมื่อครั้งพบกันครั้งแรก นางสังหารเหล่าคนถ่อยนับสิบที่คิดจะย่ำยีนางอย่างไม่กลัวเกรง เวลานั้น ด้วยรูปโฉมที่งดงามไร้ที่ติและการกระทำอันเด็ดเดี่ยวมันทำให้เขาคิดว่านางไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาเหมือนผู้อื่น
ในสมาคมทหารรับจ้าง เมื่อต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์จากคนจำนวนมาก ทว่านางก็สามารถตอกกลับไปได้อย่างเฉียบขาด ‘ไร้ค่าแล้วอย่างไร’ คำพูดประโยคนั้นยังวนเวียนอยู่ในหัวของเขาจนถึงตอนนี้
แล้ววันนี้ยังได้เห็นหญิงสาวผู้นี้กล่าวในสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของเขาอีกครั้ง ถึงแม้จะเป็นวาจาเสียดสีและน้ำเสียงดูหมิ่นแต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง นางทำให้บุรุษอกสามศอกหลายสิบชีวิตต้องก้มหัวขออภัย ฉินอวี้โม่ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงความองอาจและพลังอำนาจจากวาจาของสตรีตัวเล็ก ๆ ผู้หนึ่ง
…ในตอนนั้นเองที่มนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือรู้สึกได้ว่าหัวใจที่เย็นชาของตนเองกำลังเกิดความรู้สึกแสนประหลาด…
…เขารู้สึกว่าสตรีผู้นี้พิเศษ… นางพิเศษกว่าผู้ใด… และมันก็ทำให้เขาเกิดความคิดประหลาดบางอย่างขึ้น… เขากำลังอยากถอดวางหน้ากากแสนเย็นชาเพื่อทำความรู้จักกับแม่นางผู้นี้ให้ลึกซึ้ง…
หลินจิ้งหงเองก็เกิดความรู้สึกที่ซับซ้อน เขาคิดว่าตัวเขาเองเคยเห็นสตรีมามากมายทั้งที่เก่งกาจในเชิงยุทธ์และผู้ที่เก่งด้านการบ้านการเรือน แต่ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหญิงสาวที่เด็ดเดี่ยว หยิ่งทะนง และไม่หวั่นเกรงสิ่งใดถึงเพียงนี้
ที่เขาอยากจะเป็นเพื่อนกับนางก็เพียงเพราะว่าเขาเกิดความอยากรู้และสงสัยว่าเหตุใดสตรีตัวเล็ก ๆ ดูแสนบอบบางจึงสามารถสังหารชายร่างใหญ่จำนวนมากที่อยู่ในขอบเขตพลังเหนือกว่านางได้
และด้วยคำกล่าวของฉินอวี้โม่จึงทำให้สถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยความเงียบสงัดจนถึงขั้นที่ทุกคนสามารถได้ยินเสียงของสัตว์มายาที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลได้ชัดเจน
ทุกคนล้วนตกอยู่ในภวังค์แห่งความนึกคิดของตน จนกระทั่ง…
“ฮ่า ๆ ๆ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง จู่ ๆ หลินจิ้งหงก็หัวเราะขึ้นอย่างครื้นเครงทำลายบรรยากาศแห่งความเงียบสงบและซาบซึ้งใจไปหมดสิ้น
.
.
.
ตอนที่ 16 ทหารรับจ้าง
เหล่าบุรุษชุดรัดกุมที่ตอนนี้กำลังยืนล้อมวงดู ‘ฉากที่คุณชายรองตระกูลอู๋ ลงมือสั่งสอนคุณหนูไร้ค่าตระกูลฉิน’ อย่างสนอกสนใจต่างก็ต้องชะงักค้างไปทันทีเมื่อได้เห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่สามารถจับคว้าข้อมือของอู๋ชื่อได้ทันและยังหยุดยั้งการโจมตีของเขาได้ด้วย ชื่อเซียวผู้ที่เกือบจะพุ่งเข้าไปขวางก็รีบหยุดตัวเองเอาไว้
เขารู้ได้ในตอนนั้นเองว่าคุณหนูฉินอวี้โม่ผู้นี้ไม่ธรรมดา
“คุณชายอู๋ ไม่พูดว่าข้าเป็นขยะไร้ค่าแล้วหรือ ? เฉยอยู่ทำไมเล่าเจ้าคะ แสดงพลังสั่งสอนข้าซี่ ข้าเป็นแค่สตรีไร้ค่าจะไปสู้อะไรท่านได้ ! ลงมือสิ ! รังแกสตรีอ่อนแอท่านถนัดนักไม่ใช่หรือ ? ทำไมหยุดเคลื่อนไหวไปเสียได้ล่ะ ?”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาเย้ยหยัน นางปล่อยมือจากข้อมือของอีกฝ่ายพลางสาดสายตาดูแคลนจ้องมองเขา
ในตอนนี้ นางได้ทำลายกระดูกข้อมือบางส่วนของอู๋ชื่อไปเรียบร้อยแล้ว และต่อให้ตอนนี้เขารีบหาคนมารักษาในทันทีก็คงไม่มีทางที่จะใช้การได้ดีเหมือนเดิมอีกแล้ว
นี่คือหนึ่งในกระบวนท่าจากวิชาการต่อสู้ของยุคโบราณที่เรียกกันว่า——กรงเล็บหักกระดูก นักฆ่าสาวฉินอวี้โม่ได้เรียนรู้ศาสตร์นี้มาเมื่อครั้งยังอยู่ในศตวรรษที่ 21 ยิ่งกว่านั้นในตอนที่ใช้กระบวนท่านี้กับอู๋ชื่อ นางยังได้ใส่ปราณมายาเพิ่มเข้าไปทำให้พลังทำลายล้างของมันทวีความรุนแรงขึ้นด้วย
อู๋ชื่อเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาสี่ดารา ซึ่งเป็นขอบเขตพลังมายาที่ต่ำที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ระดับดวงดาราในขั้นอ่อนสุดแต่ก็นับว่าไม่ใช่ระดับที่สูงแต่อย่างใด ดังนั้นก็ย่อมแน่นอนว่าเขาไม่มีทางจะต่อต้านการโจมตีนี้ของฉินอวี้โม่ได้เลย
ในเวลานี้อู๋ชื่อหวาดกลัวเกินกว่าจะกล่าวอะไรได้ เขาก้าวถอยห่างจากนางไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว คุณชายรองตระกูลอู๋หน้าซีดเผือดในขณะที่ร่างกายของเขาก็กำลังสั่นน้อย ๆ
ฉินอวี้โม่มองดูใบหน้าไร้สีเลือดของอีกฝ่ายด้วยความสะใจ ริมฝีปากแดงระเรื่อปรากฏรอยยิ้มเยาะเย้ย นางค่อย ๆ ก้าวเดินเข้าไปหาคุณชายหน้าด้านอีกครั้งอย่างช้า ๆ
“แม่นางฉินอวี้โม่ โปรดยั้งมือสักครั้ง”
ในตอนนั้นเองเสียงร้องห้ามของชื่อเซียวก็ดังขึ้น เขารีบก้าวเข้ามาเอาตัวบังร่างอู๋ชื่อไว้
“แม่นางฉิน โปรดเห็นแก่หน้าข้า อย่าถือสาเขาเลย”
แม้ว่าชื่อเซียวเองจะไม่ชอบการกระทำของอู๋ชื่อ แต่ถึงอย่างไรกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนก็เคยติดค้างตระกูลอู๋มาก่อน แถมครั้งนี้พวกเขายังถูกตระกูลอู๋ว่าจ้างมา ในครั้งนี้ที่พวกเขาต้องมาเยือนเมืองหลิงซีและร่วมมือกับอู๋ชื่อก็เพื่อปฏิบัติภารกิจ ถ้าหากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับคุณชายอู๋ในขณะที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา ชื่อเซียวเกรงว่าเขาเองก็คงจะรับผิดชอบไม่ไหว
“หน้าท่าน ? ทำไมข้าต้องเห็นแก่หน้าท่านด้วยล่ะ ?”
เมื่อได้ยินสิ่งที่หัวหน้ากองทหารรับจ้างกล่าว ฉินอวี้โม่ก็เริ่มขุ่นเคือง นางกล่าววาจาท้าทายออกไปทันทีพร้อมกับจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน
“ในตอนที่ข้าถูกเขาจู่โจม ท่านมัวทำอะไรอยู่ ? เหตุใดถึงไม่เสนอหน้าออกมายืนอยู่ตรงหน้าข้าเหมือนตอนนี้บ้าง ?”
เมื่อได้ยินวาจาเหน็บแนมของฉินอวี้โม่ ชื่อเซียวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอับอาย เขาไม่สามารถโต้แย้งสิ่งที่นางกล่าวได้แม้แต่น้อย
“จองหองเกินไปแล้ว กล้าดียังไงมาพูดกับหัวหน้าของพวกเราแบบนี้ ?!”
หนึ่งในทหารแห่งกองทหารรับจ้างอดไม่ได้ที่จะเอ่ยแทรกขึ้นมา
“หุบปาก !”
ฉินอวี้โม่หันหน้าไปตวัดสายตามองพวกเขาอย่างเย็นชา “มาตอนนี้พวกเจ้าเพิ่งจะรู้ตัวว่ามีชีวิตกันรึไง ?”
“ตอนเห็นบุรุษอกสามศอกที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาสี่ดารารังแกสตรีตัวเล็ก ๆ ไร้ทางสู้ ไม่ใช่พวกเจ้าหรือที่เอาแต่นิ่งเฉยเป็นตอไม้ แถมยังดูชมอย่างสนใจ หัวเราะชอบใจเหมือนได้ดูการแสดงสนุกสนาน นี่พวกเจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าทหารรับจ้างได้อีกหรือ ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าสิ่งที่พวกเจ้าทำไม่ต่างจากคนถ่อยน่ารังเกียจเลยสักนิด”
“ทหารรับจ้างควรจะเป็นอาชีพที่มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ผู้ที่เป็นทหารรับจ้างจะต้องเป็นสุภาพบุรุษเพิ่อดำรงเกียรติยศของตน พวกเขาล้วนเป็นอิสระ เรียบง่าย และไม่เคยดูถูกเหยียดหยามผู้ใดเพราะข่าวลือโง่งมเหลวไหล ทหารรับจ้างเคารพผู้แข็งแกร่ง อ่อนโยนกับผู้อ่อนแอ หัวใจของพวกเขาหนักแน่นดั่งขุนเขา พวกเขาไม่เคยย่อท้อต่ออุปสวรรค์ ไม่เคยเกียจคร้านที่จะพัฒนาตนเอง”
“แค่เพราะฉินอวี้โม่เป็นขยะไร้ค่าที่ผู้คนร่ำลือ พวกเจ้าถึงได้ยืนมองนางถูกรังแกกันเป็นเรื่องสนุกสนาน ในสายตาของข้า พวกเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นทหารรับจ้างแม้แต่ข้อเดียว”
“จริงอยู่ที่ครั้งหนึ่งฉินอวี้โม่เคยเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่อาจจะฝึกยุทธ์ได้ แต่แล้วมันอย่างไรเล่า นางเกิดมามีชีวิตมีจิตใจเหมือนเช่นคนทั่วไป จิตใจของนางยังนับว่าแข็งแกร่งกว่าคนอีกมากมายเสียด้วยซ้ำ นางอดทนมีชีวิตอยู่มาหลายต่อหลายปีแม้จะไม่มีพรสวรรค์ไร้หนทางฝึกฝน ถูกเหยียดหยามกลั่นแกล้ง แต่นางก็ไม่เคยมีหัวใจที่ตกต่ำ ฉินอวี้โม่ไม่เคยดูถูกดูแคลนผู้ใด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นยาจกหรือขอทาน นางไม่เคยเกรงกลัวผู้อื่นแค่เพราะว่าพวกเขาแข็งแกร่งกว่า ในความคิดข้า ถ้าอย่างนางเรียกว่าขยะ พวกเจ้าก็คงไม่ดีไปกว่ากองอุจจาระแล้ว !”
ครั้งนี้ฉินอวี้โม่รู้สึกโกรธขึ้นมาจริง ๆ ในความคิดของนาง ในเมื่อพวกเขาเป็นทหารรับจ้างก็ควรจะมีจิตใจที่เป็นสุภาพบุรุษ นางไม่คิดเลยว่าตัวจริงของพวกเขาที่นางได้พบเจอจะเป็นเพียงกลุ่มคนที่ไม่ได้เรื่องเช่นนี้
พวกเขาก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาที่เชื่อข่าวลือ และบางทีอาจจะเชื่อยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
ในตอนที่อู๋ชื่อก้าวออกมาและเอ่ยวาจาดูถูกดูแคลนนาง ฉินอวี้โม่มองเห็นแววแห่งความสนุกสนานในสายตาของพวกเขา กลุ่มทหารรับจ้างตรงหน้านางนี้ขาดคุณสมบัติด้วยประการทั้งปวง
แปะ แปะ แปะ!
ทันทีที่ฉินอวี้โม่กล่าว ‘สุนทรพจน์’ จบ เสียงปรบมือชื่นชมของหลินจิ้งหงก็ดังขึ้นมาทันที
“พูดได้ดี พวกเจ้าทุกคนทำให้เกียรติของทหารรับจ้างต้องมัวหมอง”
หลินจิ้งหงเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ และยกนิ้วโป้งให้นาง เขาชื่นชมหญิงสาวตรงหน้าจากใจจริง
เขาไม่คิดเลยว่าสตรีผู้หนึ่งจะสามารถกล่าวสิ่งที่น่าตกใจเช่นนี้ขึ้นมาได้
ใช่แล้ว ทหารรับจ้างเป็นสุภาพบุรุษและเข้มแข็ง พวกเขามีหัวใจที่ไม่ย่อท้อ !
.
.
.
ตอนที่ 15 ไปขุดหลุมฝังศพตัวเองจะดีกว่า
“สตรีไร้ค่า เจ้าว่าผู้ใดหน้าด้านกัน !”
เมื่ออู๋ชื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ เขาก็จ้องมองนางด้วยสายตาดุร้าย
ชื่อของเขามีความหมายที่ดี เจตนาของบิดาที่ตั้งชื่อนี้ให้เขาก็เพราะหวังให้เขาวิ่งทะยานทั่วทั้งดินแดนเสมือนบุรุษที่แข็งแกร่งโดยไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดมาหยุดยั้งได้ ให้เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนการก้าวหน้าไม่มีสิ้นสุด
( 驰 (อ่านว่า ชื่อ) หมายถึง ก้าวหน้าเร็ว, พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว)
ทว่าไม่คิดเลยว่าเมื่อเอาคำว่า ‘ชื่อ’ มาร่วมกับแซ่ ‘อู๋’ และอ่านรวมกันแล้ว จะกลายเป็นคำที่ออกเสียงคล้ายกับคำว่าหน้าด้านไร้ยางอายไปเสียได้ เพราะเหตุนี้ทำให้ตั้งแต่เล็กจนโต อู๋ชื่อก็มักจะถูกล้อเลียนด้วยเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง
“ทำไมเล่า ก็ชื่อเจ้าเป็นแบบนั้น แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอะไร ?”
ฉินอวี้โม่ไม่สนใจสายตาที่ดุร้ายของอู๋ชื่อเลยแม้แต่น้อย นางไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
นางคือฉินอวี้โม่คนใหม่ ไม่ใช่คุณหนูผู้อ่อนแอบอบบางแห่งตระกูลฉินที่จะยอมถูกคนอื่นรังแกอีกต่อไปแล้ว อีกฝ่ายเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในขอบเขตจิตมายาสี่ดารา คนผู้นี้ไม่คู่ควรจะอยู่ในสายตาของนางสักนิด
“เพ่ย ! ข้ามีชื่อนั้นแล้วมันมีปัญหาอะไรกัน ? มันก็ดีกว่าขยะที่ไม่อาจฝึกยุทธ์ได้อย่างเจ้า สตรีขยะเน่าเหม็น เจ้าน่ะทำได้เพียงปั้นหน้าสวยไร้สาระไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ !”
อู๋ชื่อผู้เป็นถึงคุณชายตระกูลใหญ่ต่อว่าด่าทอสตรีเสียงดังลั่น เขาจ้องเขม็งไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเคียดแค้น
“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าถืงมีนามว่าอู๋ฉื่อ นั่นก็เพราะว่าเจ้าเป็นคนที่ไร้ยางอายจริง ๆ นั่นแหละ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเย้ยพลางมองอู๋ชื่อด้วยสายตาดูถูกและกล่าวเสียงเย้ยหยัน “ข้าขอแนะนำให้เจ้ากลับไปส่องกระจกดูตัวเองตอนที่กลับถึงบ้าน เจ้าจะได้เข้าใจว่าหน้าของตัวเองมันทำให้ผู้อื่นเขารังเกียจมากขนาดไหน”
แม้ว่าอู๋ชื่อจะไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่งดงามโดดเด่น แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าตนเองถึงกับย่ำแย่ขี้ริ้วขี้เหร่เสียทีเดียว แต่ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของฉินอวี้โม่กลับสื่อความว่าเขาเป็นบุรุษอัปลักษณ์ รูปลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวจนดูไม่ได้
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าท่านแม่ของข้าตอบว่าอย่างไรในตอนที่เจ้ามาสู่ขอข้าที่ตระกูลฉิน ?”
ฉินอวี้โม่มองอู๋ชื่อด้วยสายตาดูแคลน
‘คิดจะเล่นสงครามน้ำลายกับเธอน่ะเหรอ หึ ! ไปหาที่เหมาะ ๆ ขุดหลุมฝังศพตัวเองไว้รอเลยจะดีกว่า
“แม่ข้าบอกว่า เจ้าน่ะเป็นคางคกอยากจะกินเนื้อหงส์ ว่าง ๆ หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเองตัวเองซะบ้าง !”
ครั้งที่อู๋ชื่อส่งคนไปทาบทามสู่ขอคุณหนูสี่ที่ตระกูลฉิน ในตอนนั้นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปฏิเสธทันทีโดยไม่ลังเล แม้ว่าฉินอวี้โม่จะถูกมองเป็นคนไร้ค่าในสายตาคนมากมายแต่นางก็ไม่ใช่สิ่งของที่ไร้ชีวิตจิตใจ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นรักและสงสารบุตรสาวมาก นางเกรงว่าเมื่อห่างจากอกของตน บุตรสาวจะถูกรังแกหนักขึ้น อีกทั้งจะไม่มีผู้ใดคอยปกป้องดูแลและไม่มีผู้ใดเป็นที่พึ่งให้กับนาง ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินในตอนนั้นจึงไม่คิดจะยกบุตรสาวให้กับผู้ใดง่าย ๆ
แต่ทว่าคำพูดของอวี๋เสี่ยอวิ๋นในตอนนั้นใช้วาจาที่นิ่มนวลกว่านี้มาก ประโยคที่เพิ่งจะกล่าวไปนี้เป็นคำพูดที่ฉินอวี้โม่ปรุงแต่งขึ้นมาเองเพราะต้องการเสียดสีบุรุษไร้ยางอายที่เคยรังแกสตรีหรือก็คือ–อู๋ชื่อ ผู้นี้
เธอตั้งใจไว้แล้วว่า เธอจะเอาคืนผู้ที่เคยรังแกฉินอวี้โม่อย่างสาสม
ในเมื่อวันนี้คุณชายหน้าด้านก้าวออกมาชี้นิ้วด่าทอผู้อื่น หาเรื่องใส่ตัวด้วยตัวเอง ฉะนั้นก็อย่าได้ตำหนิหาว่าเธอหยาบคายไม่ไว้หน้าเลย
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ แม้แต่กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่อยู่ด้านหลังอู๋ชื่อก็ยังอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงหัวเราะเบา ๆ อย่างขบขัน หากไม่ใช่เพราะอู๋ชื่อมาในนามตัวแทนของผู้ว่าจ้าง พวกเขาก็คงฮาครืนเสียงดังอย่างไม่เกรงใจไปแล้ว แม้แต่ชื่อเซียวเองก็ยังอดไม่ได้ที่ยกมุมปากปรากฏเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมา… ดูก็รู้ว่าเขากำลังข่มรอยยิ้มไว้อย่างถึงที่สุด
หลินจิ้งหงที่อยู่ข้าง ๆ ฉินอวี้โม่หัวเราะร่าเสียงดังลั่นอย่างชอบอกชอบใจไปตั้งแต่ชื่อคุณชายหน้าด้านหลุดจากปากฉินอวี้โม่แล้ว
มีเพียงแค่หานโม่ฉือผู้เดียวเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งอยู่ด้วยสีหน้าเย็นชาเหมือนเช่นเคย
“สตรีไร้ค่า ! เจ้ารนหาที่ตายแล้ว”
เมื่อได้ยินวาจาถากถางของฉินอวี้โม่ อู๋ชื่อก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาพุ่งตรงเข้าใส่สตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่แห่งนั้นทันที
หลินจิ้งหงเห็นการกระทำของอู๋ชื่อก็คิดจะก้าวเข้าไปขัดขวาง ทว่าเขากลับถูกหานโม่ฉือที่อยู่ข้างหลังคว้าจับแขนไว้เสียก่อน สหายมนุษย์น้ำแข็งส่ายศีรษะอย่างต้องการจะห้าม
หลินจิ้งหงพยักหน้าเข้าใจในทันที เขาเองก็เกือบจะลืมไปว่าฉินอวี้โม่ไม่ใช่กระต่ายขาวตัวน้อยที่ผู้ใดจะเข้ามารังแกได้ง่าย ๆ
ใบหน้าของอู๋ชื่อบิดเบี้ยวและมืดมนเป็นอย่างมาก ร่องรอยความโกรธแค้นรุนแรงและเจตนาสังหารเข้มข้นปรากฏให้เห็นจากทั้งแววตาและบรรยากาศที่ร่างกายของเขาปลดปล่อยออกมา
ในหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าเขาจะรังแกฉินอวี้โม่อยู่เป็นประจำ แต่เนื่องจากกลัวว่าจะมีปัญหากับทางตระกูลฉิน เขาจึงไม่เคยลงมือหนักหรือทำให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งเลยสักครั้ง แต่เวลานี้ฉินอวี้โม่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลฉินแล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนั้นอีก
สตรีไร้ค่า ขยะน่ารังเกียจผู้นี้กล้ามาเหยียดหยามเขาต่อหน้าผู้คนมากมาย ถ้าวันนี้เขาไม่ได้สั่งสอนนางให้รู้สำนึก เขาก็คงไม่สมควรใช้นามอู๋ชื่ออีกต่อไป
— หมับ ! —
เสียงเบา ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น อู๋ชื่อรู้สึกได้ว่าข้อมือของเขาถูกคว้าจับเอาไว้ ฝ่ามือที่หมายจะซัดเข้าใส่ฉินอวี้โม่ถูกใครบางคนหยุดไว้ได้เสียก่อน
ทว่าเมื่อได้มองดูชัด ๆ คุณชายตระกูลอู๋จึงได้รู้ว่า ผู้ที่จับยึดข้อมือของเขาไว้มิใช่ใครอื่น แต่ก็คือฉินอวี้โม่สตรีไร้ค่าที่เขากล่าวหา นางมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของเขาได้อย่างไรไม่อาจทราบ ! สตรีผู้เคลื่อนไหวราวภูตผีกำลังมีรอยยิ้มเย้ยหยันเต็มใบหน้า
— กร๊อบ ! —
เกิดเสียง *กร๊อบ* เบา ๆ ขึ้นครั้งหนึ่ง มันเบามากเสียจนหากไม่อยู่ใกล้ในระยะหนึ่งจั้งก็ยากที่จะได้ยิน อู๋ชื่อไม่แม้แต่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวดใด ๆ เขารู้สึกเพียงแค่คล้ายกับว่าถูกฉินอวี้โม่หยิกเอาเท่านั้น ทว่าข้อมือข้างที่ถูกจับยึดเอาไว้นั้นกลับสูญเสียการควบคุมไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
“คุณชายอู๋ ทำไมหยุดเสียล่ะ ? ต่อเลยสิ”
ฉินอวี้โม่มองดูอู๋ชื่อ ดวงตาและใบหน้างดงามฉายแววสนุกสนานอย่างปิดไม่มิด พร้อมกันนั้นริมฝีปากอวบอิ่มก็ขยับ นางเอื้อนเอ่ยวาจาแสนเยือกเย็นด้วยเสียงหวานใส
เมื่อได้ยินเสียงหวานหยดและมองเห็นรอยยิ้มแสนสนุกของฉินอวี้โม่ รวมถึงมือที่ไร้ความรู้สึกไปแล้วของตัวเอง ใบหน้าของอู๋ชื่อก็ปรากฏความตื่นตระหนกขึ้นมาทันที !
.
.
.
ตอนที่ 14 ความเป็นปรปักษ์
“พวกเราเองก็มีดีไม่ด้อยไปกว่าผู้ใด ถ้าอยากจะร่วมมือกันจริง ๆ พวกเจ้าเองก็ควรจะแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้ามีดีอะไรบ้าง”
เสียงที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามดังมาจากกลุ่มคนในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่อยู่ด้านหลังชื่อเซียว
เมื่อหลินจิ้งหงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็เย็นชาขึ้นมาทันที รอยยิ้มที่เคยประดับใบหน้าอยู่เป็นนิจหายไปจนหมดสิ้นก่อนที่ใบหน้าอันหล่อเหลาของคุณชายแสนสุภาพจะค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวอย่างขุ่นเคือง ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเองก็ได้ยินเสียงนั้นด้วยเช่นกัน
แม้ว่าสีหน้าของหานโม่ฉือจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ทว่าฉินอวี้โม่ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักก็สัมผัสได้ว่าความรู้สึกอันแสนเย็นยะเยือกจากตัวเขาเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ถึงแม้อดีตนักฆ่าสาวในร่างคุณหนูผู้งดงามจะยืนอยู่ถัดจากหานโม่ฉือ แต่นางก็มั่นใจว่าตนเองอยู่ห่างจากมนุษย์น้ำแข็งร่างยักษ์พอสมควร ทว่าไม่ใช่แค่เพียงรับรู้ได้ถึงความหนาวเย็นที่แผ่ออกมาเท่านั้น แต่ความเย็นนั่นยังทำให้ร่างบางของนางถึงกับสั่นสะท้านขึ้นมาได้
ในขณะที่ลอบยกแขนขึ้นกอดตัวเองขับไล่ความหนาวเย็น ฉินอวี้โม่ก็หันมองไปยังทิศทางของเสียงพร้อมกันด้วย ที่ด้านหลังของบุรุษนามว่าชื่อเซียวนั้น นางมองเห็นความเป็นปฏิปักษ์ที่สมาชิกกองกำลังทหารรับจ้างชื่อเหยียนแสดงออกมาอย่างชัดเจน สายตาหลายคู่ของคนกลุ่มนั้นจ้องเขม็งมาอย่างกังขา พวกเขาบางคนลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมมีเรื่อง ดูเหมือนว่านอกจากชื่อเซียวที่ก้าวเข้ามาเจรจากับพวกนางแล้ว คนอื่น ๆ ในกลุ่มจะไม่ชอบใจพวกนางเท่าไหร่นัก
“หัวหน้าชื่อ สามคนนี้หยิ่งยโสเกินไป ข้าไม่เห็นว่ามีความจำเป็นอะไรที่เราจะต้องไปร่วมมือกับมัน”
“ขอเพียงพวกเรารวมพลังเป็นหนึ่งเดียวกัน ข้าว่าการจะบุกเข้าไปในถ้ำที่ยูนิคอร์นสีนิลอาศัยอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนักหรอก เพียงแต่พวกเราอาจจะต้องยอมเสียเลือดเนื้อบ้างก็เท่านั้น” หนึ่งในสมาชิกกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนที่ยืนขึ้นมากล่าวเสียงดุดัน
“ใช่แล้วหัวหน้าชื่อ คนพวกนั้นทำราวกับว่าไม่เห็นท่านอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แถมยังพูดจาจองหอง ทำเป็นวางมาดสูงส่ง ข้าว่าอย่าไปขอความร่วมมือจากพวกเขาเลยดีกว่า”
คนอื่น ๆ ในกลุ่มเองก็เห็นด้วย ท่าทีของคุณชายหลินทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจมากเกินไป
เหล่าทหารรับจ้างเป็นคนเรียบง่าย พวกเขานับถือผู้ที่แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่มีจุดยืน การได้เห็นท่าทางหยิ่งยโสของหลินจิ้งหงจึงทำให้พวกเขาแสดงความเป็นปฏิปักษ์ออกมา
ทว่าสิ่งที่พวกเขาไม่ทราบกันก็คือ นี่คือนิสัยแท้จริงของหลินจิ้งหง ตามปกติคุณชายผู้นี้ไม่ค่อยใส่ใจผู้ใดอยู่แล้ว เขาจะสนใจเฉพาะเป้าหมายของตนเองเป็นส่วนใหญ่และมีเพียงไม่กี่คนที่ทำให้เขารู้สึกสนใจได้ คนรอบข้างต่างรู้ดีว่าคุณชายหลินผู้นี้แม้จะดูสุภาพแต่ก็มักจะแสดงกิริยาสูงส่ง ยามเมื่อเผชิญหน้ากับคนไม่รู้จักและไม่จำเป็นหรือไม่ต้องการทำความรู้จัก เขาก็มักจะเป็นเช่นนี้เสมอ
สิ่งที่กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนมองเห็นนั้น ไม่ใช่เพราะหลินจิ้งหงมีเจตนาดูถูกกองทหารรับจ้างของพวกเขา แต่เป็นเพราะบุคลิกส่วนตัวของเขาเอง อีกทั้งในเวลานี้ยังอยู่ในระหว่างปฏิบัติภารกิจที่จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของกลุ่มให้มากที่สุดด้วย และการที่ในครั้งนี้หลินจิ้งหงไม่ได้เพิกเฉยต่อคำเชิญของชื่อเซียวก็นับว่าดีมากแล้ว
“เงียบ !”
ชื่อเซียวขมวดคิ้วและเปิดปากกล่าวอย่างเย็นชา
เขารู้ดีว่าสมาชิกทุกคนต้องการปกป้องเขา แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่คิดว่าความหยิ่งยโสของหลินจิ้งหงจะเป็นปัญหาสำคัญอะไรมากนัก เขาหยุดยั้งอีกฝ่ายไว้ในขณะที่พวกเขากำลังเร่งรีบจัดการภารกิจ ที่อีกฝ่ายแสดงท่าทีเช่นนั้นกลับมาก็ถือเป็นเรื่องปกติมาก
“หัวหน้าชื่อ ข้าไม่คิดว่าคนที่เป็นเพียงขยะไร้ค่าจะเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งไปได้ พวกเราควรจะพยายามกันเองดีกว่าที่จะนำเอาขยะมาร่วมมือด้วย”
ชายผู้หนึ่งค่อย ๆ ก้าวออกมาจากกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนพร้อมกล่าว สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ฉินอวี้โม่อย่างเหยียดหยาม
เมื่อฉินอวี้โม่มองเห็นชายคนนั้น นางก็จำเขาได้ในทันที ใบหน้างามของสตรีเพียงคนเดียวในที่แห่งนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเย็นชาฉับพลัน
อู๋ชื่อคือบุตรชายคนที่สองของตระกูลอู๋แห่งเมืองหลิงซี ตระกูลอู๋นี้นับเป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าตระกูลฉินเลย ทว่าพรสวรรค์ของคุณชายรองตระกูลอู๋ผู้นี้ไม่ได้สูงมากนัก ความสามารถของเขานั้นไม่มีความโดดเด่นมากเสียจนกล่าวได้ว่าธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
เพราะพรสวรรค์ธรรมดาเช่นนั้น เมื่ออยู่ภายในตระกูลเขาจึงมิได้เป็นที่โปรดปรานนัก แต่เป็นเพราะเขาเป็นบุตรในสมรสที่เกิดจากฮูหยินใหญ่ทำให้สถานะในตระกูลของเขาไม่ถือว่าต่ำต้อย
ตัวเขาไม่นับว่าเป็นคนรุ่นเยาว์แล้ว อายุของเขาในตอนนี้คือยี่สิบหกปี ก่อนหน้านี้เขาเคยลุ่มหลงในความงามของฉินอวี้โม่ ในเวลานั้นเขาไม่สนใจว่าเลยว่านางจะเป็นคนไร้ค่าเช่นที่ผู้อื่นครหา เขาถึงขั้นจัดส่งคนไปยังตระกูลฉินเพื่อทาบทามสู่ขอคุณหนูสี่มาเป็นภรรยา
ทว่าเหตุการณ์กลับไม่เป็นอย่างที่คาดคิด มารดาของคุณหนูสี่ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นปฏิเสธคำขอของตระกูลอู๋ในทันที ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาและมารดารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก… นางเป็นเพียงสตรีไร้ค่าแต่ยังกล้าปฏิเสธคุณชายตระกูลใหญ่แบบนี้ก็เรียกได้ว่ายิ่งกว่าเหยียดหยาม
ตั้งแต่นั้นมา เขาจึงเกลียดชังฉินอวี้โม่เข้ากระดูก และมีบ่อยครั้งที่เขาให้ความร่วมมือกับฉินฉืออวี้เพื่อรังแกนาง
ในวันนี้ เขาถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมทำภารกิจกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน และก็เป็นบิดาของเขาเองที่เป็นผู้ว่าจ้างให้กองทหารรับจ้างที่มีชื่อเสียงกลุ่มนี้เข้ามารับภารกิจที่บึงสายหมอก และเป็นเพราะพี่ชายคนโตของเขา–คุณชายใหญ่แห่งตระกูลอู๋อยู่ในระหว่างเก็บตัวฝึกวิชา เขาจึงถูกบิดาส่งมาเป็นตัวแทนเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้เหล่ายอดฝีมือจากกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
“หัวหน้าชื่อเซียว หญิงสาวผู้นี้คือคุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งเมืองหลิงซี ข้าคิดว่าท่านคงจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับนางมาบ้าง”
อู๋ชื่อชี้หน้าฉินอวี้โม่และกล่าวเสียงดังลั่น น้ำเสียงและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยามไม่ปิดบัง
เมื่อสมาชิกของกองทหารชื่อเหยียนได้ยินว่าสตรีงดงามตรงหน้าคือฉินอวี้โม่คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉิน ผู้เป็นขยะไร้ค่าในตำนานของเมืองหลิงซี สีหน้าของพวกเขาก็ปรากฏแววแห่งความดูถูก
พวกเขาต่างล้วนเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาบ้าง ว่ากันว่าร่างกายของนางไม่อาจฝึกฝนได้ถึงแม้จะได้เกิดในตระกูลใหญ่แต่ก็ไร้ค่าน่าเวทนา ไม่คิดเลยว่านางจะมีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้ แต่โฉมงามแล้วอย่างไร รูปโฉมหรือจะสามารถช่วยให้พวกเขาบรรลุภารกิจได้ !
ชื่อเซียวมองฉินอวี้โม่อยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาฉายแววตกใจเล็กน้อย ดวงตาหรี่ลงอย่างครุ่นคิดพลางลอบพิจารณาดรุณีตรงหน้าชั่วครู่ เขาไม่คิดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะเป็นขยะไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกฝนได้อย่างที่ผู้คนร่ำลือกัน เพราะสตรีอ่อนเยาว์และใบหน้างดงาม ผู้ที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขาในขณะนี้ ไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย
เมื่อได้ฟังสิ่งที่อู๋ชื่อกล่าว รวมถึงมองเห็นสายตาดูถูกของคนในกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มอย่างเย็นชาพลางกล่าว “ฮิ ๆ ๆ แหม ก็นึกว่าผู้ใดเอ่ยวาจาไม่น่ารัก ที่แท้ก็เป็นคุณชายสองแห่งตระกูลอู๋ อู๋ฉื่อ(หน้าด้าน)นั่นเอง !”
(*无耻 อู๋ฉื่อ มีความหมายว่า ไร้ยางอาย หรือ หน้าด้าน ชื่อของคุณชายอู๋นั้นจะเขียนเป็นอักษรจีนว่า 吴驰 อ่านว่า อู๋ชื่อ ซึ่งออกเสียงใกล้เคียงกับอู๋ฉื่อมาก ฉินอวี้โม่จึงเอามาล้อเลียน)
ฉินอวี้โม่จงใจกล่าวคำว่า อู๋ฉื่อ อย่างช้า ๆ และชัดเจน นางจงใจออกเสียงผิดจาก อู๋ชื่อ เป็น อู๋ฉื่อ จนชื่อของคุณชายรองตระกูลอู๋กลายเป็น ‘คุณชายหน้าด้านไป’
และแน่นอนว่าเมื่ออู๋ชื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาก็มืดมนลงในทันที
.
.
.
ตอนที่ 13 กองทหารรับจ้างชื่อเหยียน
ภายในบึงสายหมอก ณ จุดจุดหนึ่งที่มีหมอกบางเบา กลุ่มบุรุษในชุดรัดกุมกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงสนทนากันอยู่อย่างเคร่งเครียด ไม่ทราบเช่นกันว่าพวกเขากำลังหารือกันในเรื่องใด
ฉินอวี้โม่ติดตามหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงมาเรื่อย ๆ จนล่วงเข้ามายังจุดที่กลุ่มหมอกเบาบาง หญิงสาวมองเห็นเงาร่างเลือนรางของคนจำนวนหนึ่งและแว่วเสียงคนกลุ่มนั้นพูดคุยกันในม่านหมอก เมื่อภาพปรากฏชัด สิ่งที่สาวน้อยอดีตคุณหนูมองเห็นก็คือเหล่าบุรุษในชุดรัดกุม
เมื่อร่างของหนึ่งสตรีงดงามและสองบุรุษท่าทางสูงส่งปรากฏสู่สายตาของกลุ่มคนในชุดรัดกุม พวกเขาทั้งหมดก็หยุดบทสนทนาและจ้องมองมาในทันที
“ไปกันเถอะ”
เนื่องจากไม่ต้องการข้องเกี่ยวและไม่อยากเสียเวลาในการทำภารกิจ หานโม่ฉือจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา วาจาเพียงไม่กี่พยางค์ของเขาบ่งบอกเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่าต้องการเร่งเร้าให้สหายทั้งสองไปต่อ เขา หลินจิ้งหงพร้อมด้วยฉินอวี้โม่ ทั้งสามคนจึงเดินตัดผ่านเหล่าบุรุษในชุดรัดกุมกลุ่มนั้นไปเงียบ ๆ
“ท่านทั้งสามโปรดหยุดก่อน”
เป็นตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มส่งเสียงขึ้น เขาร้องเรียกพวกเขาทั้งสามพลางเดินตรงเข้ามาหา
ชายผู้นี้นับว่ามีรูปลักษณ์งดงาม ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย เขามีอายุประมาณยี่สิบสี่ย่างยี่สิบห้า ซึ่งดู ๆ ไปแล้วก็น่าจะเป็นคนดีที่น่าคบหาผู้หนึ่ง
“มีปัญหาอะไรหรือ ?”
หลินจิ้งหงเอ่ยปากถามเสียงนุ่มนวล บนใบหน้าสุภาพยังคงประดับด้วยรอยยิ้มใจดี ทว่าหากตั้งใจฟังให้ดี ๆ จะทราบได้ว่าน้ำเสียงของเขาเจือแววแห่งความยุ่งยากใจอยู่ไม่น้อย
“ขออภัยทุกท่านที่รบกวน ข้าน้อยคือหัวหน้าของ ‘กองทหารรับจ้างชื่อเหยียน’ มีนามว่าชื่อเซียว และคนเหล่านี้ก็คือสมาชิกของกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเรา”
บุรุษผู้มีนามว่า ชื่อเซียว แย้มยิ้มเป็นมิตรและแนะนำตัวอย่างสุภาพ
“อืม เข้าใจแล้ว”
หลินจิ้งหงเอ่ยคำตอบรับ เขาพยักหน้าและหยุดเพียงเท่านั้นโดยไม่แนะนำตัวกลับตามมารยาท และถ้าหากสังเกตให้ดี ๆ จะเห็นได้ว่ารอยยิ้มบนหน้าคุณชายแซ่หลินจืดจางลงไปไม่น้อย
“เอ่อ…”
คำตอบแบบห้วน ๆ ของหลินจิ้งหงทำให้ชื่อเซียวหน้าเสีย เขาถึงกับชะงักงันไปชั่วครู่เพราะไม่ทราบว่าควรจะกล่าวต่อไปอย่างไร
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกข้าขอตัวก่อน”
เมื่อเห็นชื่อเซียวไม่พูดสิ่งใดต่อ หลินจิ้งหงก็เอ่ยตัดบทและเตรียมจะเดินทางต่อไป
แน่นอนว่าหลินจิ้งหงรู้จักกองทหารรับจ้างชื่อเหยียน ความแข็งแกร่งของพวกเขานับว่าไม่ธรรมดา และตอนนี้กองทหารรับจ้างกลุ่มนี้ก็ถูกจัดอยู่ใน ‘ระดับหนึ่ง’ แล้วด้วย
ภายในดินแดนแห่งนี้ กลุ่มทหารรับจ้างนั้นมีอยู่ด้วยกันมากมายหลายกลุ่ม ทว่ากลับมีกลุ่มของทหารรับจ้างที่อยู่ในระดับหนึ่งเพียงสามกลุ่มเท่านั้น ซึ่งกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนนี้ก็เป็นหนึ่งในสามกลุ่มนั้น
การจะขึ้นเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่งได้นั้นจะต้องมีคุณสมบัติตามที่สมาคมทหารรับจ้างกำหนดไว้อย่างครบถ้วน และจะต้องผ่านการทดสอบอันเข้มข้นมากมายตามที่สมาคมจัดไว้ด้วย ดังนั้นการที่กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนสามารถผ่านข้อกำหนดเหล่านั้นของทางสมาคมและถูกจัดเป็นกลุ่มทหารรับจ้างระดับหนึ่ง ก็ชี้ให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่าพวกเขามีความแกร่งแข็งที่ยอดเยี่ยมมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม หลินจิ้งหงก็ยังไม่เห็นว่ามีจะเหตุผลใดที่ทำให้เขาและสหายต้องยอมเสียเวลาสนทนากับคนกลุ่มนี้
“สหายทั้งสาม ท่านมาที่นี่เพื่อค้นหายูนิคอร์นสีนิลอย่างนั้นใช่หรือไม่ ?”
เนื่องจากต้องก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งของผู้นำกลุ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ชื่อเซียวจึงมีประสบการณ์ผ่านโลกมามากพอสมควร ถึงแม้ว่าคำพูดของหลินจิ้งหงจะทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่ทำให้เขาเสียความตั้งใจ
“ถ้าใช่แล้วมีอะไร แล้วถ้าไม่ใช่แล้วมีอะไร ?”
หลินจิ้งหงหันมองชื่อเซียวเมื่อได้ยินคำถามก่อนจะยิ้มให้กว้างขึ้นแล้วเอ่ยตอบกลับไปด้วยคำถาม
“ฮ้าาา ถ้าคำตอบคือใช่ เช่นนั้น ข้าก็มีข่าวจะมาบอกท่านทั้งสาม และข้าก็อยากจะหารืออะไรบางอย่างกับพวกท่านด้วย”
ชื่อเซียวยิ้มเป็นมิตร เขาไม่รู้สึกทุกข์ร้อนกับคำพูดของหลินจิ้งหงเลยแม้แต่น้อย
แค่เห็นหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือ เขาก็รู้ได้ทันทีว่าบุรุษสองคนนี้ไม่ธรรมดา
กองทหารรับจ้างชื่อเหยียนของพวกเขาไม่ได้ประจำอยู่ที่เมืองหลิงซี สำหรับภารกิจที่ต้องมายังบึงสายหมอกในครั้งนี้ก็เป็นงานที่ถูกผู้อื่นจ้างวานมา
และเป้าหมายของพวกเขาในครั้งนี้ก็มิใช่สิ่งอื่นใด มันคือ ยูนิคอร์นสีนิล อสูรมายาผู้แข็งแกร่งที่สุดแห่งบึงหมอกหนาและป้าพรุที่น่ากลัวแห่งนี้ ทว่าหลังจากค้นหาที่อยู่ของเจ้ายูนิคอร์นสีนิลตัวนั้นจนพบแล้ว พวกเขาก็ประสบเข้ากับปัญหาใหญ่ จนต้องมานั่งจดจ่อ จับเจ่า จับเข่าคุยประชุมปรึกษาหารือกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ตรงนี้
ในตอนที่พวกเขากำลังถกกันอย่างเข้มข้นอยู่นั้น หลินจิ้งหง หานโม่ฉือ และฉินอวี้โม่ก็บังเอิญผ่านมาพอดี เขาเลยเกิดความคิดที่จะขอความร่วมมือจากทั้งสามคน
“เชิญพูดมา ถ้าเราเห็นว่านั่นเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ พวกเราทั้งสองกลุ่มก็สามารถหารือกันต่อได้”
หลินจิ้งหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม ทว่าในคำพูดนั้นก็สื่อเจตนาที่ชัดเจนว่า ‘จะไม่ยอมร่วมมือกับอีกฝ่ายง่าย ๆ อย่างแน่นอน’
“พวกข้าพบถ้ำที่ยูนิคอร์นสีนิลอาศัยอยู่แล้ว แต่ติดปัญหาอยู่ที่ยูนิคอร์นสีนิลค่อนข้างฉลาด มันรวบรวมอสูรมายาระดับต่ำจนถึงระดับภูตมาช่วยคุ้มกันอยู่หน้าถ้ำ ถ้าหากว่าบุกเข้าไปปะทะตรง ๆ ก็คงจะเจอปัญหาที่ยากอยู่ไม่น้อย”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชื่อเซียวกล่าว หลินจิ้งหงก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
เขาหันไปมองสหายผู้ร่วมภารกิจทั้งสองชั่วครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปเอ่ยถามชายหนุ่มผู้นำกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนอีกครั้ง
“แล้วที่ท่านกล่าวว่าต้องการหารือกับพวกเรา นั่นหมายถึง ท่านอยากจะให้พวกเราร่วมมือด้วยอย่างนั้นหรือ ?”
“ฮ้าาา คุณชายช่างฉลาดจริง ๆ ท่านเดาได้ถูกต้องแล้วล่ะ”
ชื่อเซียวยิ้มกว้างแล้วกล่าว “ที่พวกเรามาตามหาถ้ำที่อยู่ของยูนิคอร์นสีนิลในครั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่ยูนิคอร์นสีนิล แต่มาเพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่าง ถ้าหากว่านั่นไม่ขัดกับงานของพวกท่านทั้งสาม ข้าขอเสนอแนะให้พวกเราสองกลุ่มร่วมมือกัน”
ชื่อเซียวเผยจุดประสงค์ของตนออกมาตรง ๆ และตั้งหน้ารอคอยคำตอบของหลินจิ้งหงอย่างใจจดใจจ่อ
หลินจิ้งหงหันไปมองฉินอวี้โม่และหานโม่ฉืออีกครั้งคล้ายต้องการความคิดเห็น และเมื่อได้เห็นคนทั้งสองพยักหน้าเขาก็ตัดสินใจได้
ถ้าหากว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ชื่อเซียวกล่าวไว้จริง การร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นผลดีสำหรับพวกเขา
ทว่าในตอนที่คุณชายหลินกำลังจะพยักหน้าตกลงยอมรับความร่วมมือและเข้าร่วมเป็นภาคีล่ายูนิคอร์นสีนิลกับกองทหารรับจ้างชื่อเหยียนนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงคัดค้านดังมาจากด้านหลังชื่อเซียว
เสียงนั้นแสดงความไม่พอใจอย่างหนัก และก็ทำให้ใบหน้าของหลินจิ้งหงเย็นชาขึ้นมาทันที
.
.
.
(ตอนนี้ไรท์อยากจะตั้งชื่อว่า คนซื่อชื่อชื่อเซียว รีดลองอ่านซ้ำๆ เร็วๆ ดูนะคะ….รับรอง ลิ้นพันกันแน่นอนค่าาาา หยอกค่า หยอกๆ ….แหะๆ อ่านให้สนุกค่า)
ตอนที่ 12 ยูนิคอร์นสีนิล
อสูรมายาตัวนั้นมีรูปร่างคล้ายอาชาตัวใหญ่ทว่ามีเขาแหลมยาวเขาเดี่ยวที่มีรูปร่างเป็นเกลียวงอกขึ้นตรงส่วนที่เป็นหน้าผาก ร่างกายกำยำของมันมีสีดำทมิฬแต่กลับดูสูงส่งและสง่างาม มันมีปีกคู่หนึ่งซึ่งเป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ อยู่บนหลัง และมันมีกลิ่นอายที่ให้ความรู้สึกถึงความสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ เพียงลมหายใจที่ปลดปล่อยออกมาก็สะกดสายตาทุกคู่ได้ มันคือเป้าหมายหลักของภารกิจในครั้งนี้ สิ่งมีชีวิตที่พวกเขากำลังตามหา อสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เก้าดาราแห่งบึงสายหมอกในตำนาน—ยูนิคอร์นสีนิล
“ฮี้~!”
— กุบ กุบ กุบ —
ยูนิคอร์นสีนิลร้องและเตะพื้นไปมาอย่างต่อเนื่อง ดวงตาดำทมิฬจับจ้องอยู่ที่สตรีเพียงผู้เดียวในกลุ่มทหารรับจ้างด้วยสายตาแปลกประหลาด
ร่างอันปราดเปรียวพุ่งผ่านสายหมอกได้ในพริบตารวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ยูนิคอร์นสีนิลพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่ในทันที
ดูเหมือนว่าฉินอวี้โม่จะถูกยูนิคอร์นสีนิลเพ่งเล็งเข้าให้แล้ว ร่างกายของนางไม่สามารถเคลื่อนไหวได้คล้ายถูกตรึงไว้กับที่ อดีตนักฆ่าสาวได้แต่ยืนนิ่งมองยูนิคอร์นสีนิลที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด แม้ว่าสีหน้าจะไม่มีร่องรอยแห่งความกลัวปรากฏอยู่ แต่ทว่าในใจของนางเวลานี้กำลังตื่นตระหนกไม่น้อย
— ปัง ! —
ก่อนที่อสูรมายาระดับสูงสุดแห่งบึงสายหมอกจะเข้าถึงตัวนาง ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงดัง *ปัง* เกิดขึ้น ร่างหนาของบุรุษสูงใหญ่ปรากฏตัวตรงหน้านางและขวางทางยูนิคอร์นสีนิลที่กำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงไว้
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่น คนที่พุ่งปราดเอาตัวเข้ามาบังร่างของนางก็คือหานโม่ฉือ มนุษย์น้ำแข็งผู้เงียบขรึมพูดน้อย…
“เจ้าสัตว์ร้าย หลีกไปให้พ้น !”
หลินจิ้งหงเปล่งเสียงข่มขู่ดุดัน เขาปรากฏตัวขึ้นข้าง ๆ หานโม่ฉือและสาดสายตามองยูนิคอร์นสีนิลอย่างเย็นชา
— ชริ้ง ! —
จู่ ๆ หานโม่ฉือก็ชักกระบี่ออกมาจากฝัก ประกายแสงเย็น ๆ วาดผ่านอากาศให้เห็น
“วู้~…”
ยูนิคอร์นสีนิลคำรามใส่ฉินอวี้โม่อีกครั้งก่อนที่มันจะบินขึ้นฟ้าไปและหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในฐานะที่เป็นถึงอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เก้าดารา มันจึงมีสติปัญญาสูงส่ง
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง หากมันเลือกเข้ามาปะทะกับพวกเขาตรง ๆ แม้ว่าจะสามารถเอาชนะได้แต่ตัวมันเองก็คงจะบาดเจ็บมิใช่น้อย มันจึงเลือกหลีกเลี่ยงการต่อสู้และบินหนีไปแทน
ทว่าในใจของฉินอวี้โม่กลับรู้สึกแปลกประหลาด เพราะในขณะที่ถูกเจ้ายูนิคอร์นสีนิลตัวนั้นจ้องมอง นางก็ไม่สามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้ถึงเจตนาสังหารหรือจิตมุ่งร้ายจากตัวมันได้เลย ตรงกันข้ามแววตาของมันกลับดูคล้ายกำลังอ้อนวอน
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”
เมื่อยูนิคอร์นสีนิลหนีไปแล้ว หลินจิ้งหงก็เดินมาหยุดข้างกายฉินอวี้โม่ก่อนจะเอ่ยถามเสียงเครียด น้ำเสียงของเขาเจือแววแห่งความกังวลอยู่เล็กน้อย
“ข้าไม่เป็นไร”
ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าตอบผู้นำแห่งสมาคมทหารรับจ้าง และในตอนนั้นเอง อดีตคุณหนูคนงามก็เหลือบไปเห็นมนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือกำลังมองมาที่ตัวนางกับหลินจิ้งหงด้วยสายตาเรียบเฉย เย็นชา…… ‘มนุษย์น้ำแข็งจริง ๆ สินะ เย็นชาเสมอต้นเสมอปลายเลยจริง ๆ’
……..ทว่าสาวน้อยกลับไม่รู้เลยว่า เหตุผลที่อีกฝ่ายจ้องมองนางเป็นเพราะเขาเองก็เป็นห่วงนางไม่แพ้หลินจิ้งหงเช่นกัน……
หลินจิ้งหงพยักหน้าก่อนจะหันไปมองยังทิศที่ยูนิคอร์นสีนิลหนีหายไปและกล่าวขึ้น “น่าสนใจจริง ๆ ยูนิคอร์นสีนิลตัวนี้ ปกติแล้วจะยิ่งกว่าล่องหนเสียอีกนะ ยากมากที่จะมีผู้ใดหาตัวมันพบ ไม่คิดเลยว่าวันนี้ยังไม่ทันที่เราจะตามหาตัวมัน มันกลับปรากฏตัวออกมาให้เห็นก่อนแล้ว”
นักผจญภัยทั่วทั้งใต้หล้าไม่ว่าผู้ใดต่างก็ทราบดีว่ายูนิคอร์นสีนิลอาศัยอยู่ที่บึงสายหมอกแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีโอกาสได้เห็นตัวมันจริง ๆ กลับมีอยู่น้อยนิดซึ่งน้อยเสียจนสามารถนับด้วยนิ้วมือข้างเดียวได้ นอกจากนี้ ยูนิคอร์นสีนิลตัวนี้ก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ถ้าต้องเผชิญหน้ากับมันตรง ๆ ต่อให้มั่นใจในพลังของตัวเองมากแค่ไหนแต่หากยังอยู่ในขอบเขตที่ไม่สูงพอ หลายคนก็มักจะเลือกวิ่งหนีเอาตัวรอดมากกว่าพุ่งเข้าต่อสู้
“พอลองคิด ๆ ดูแล้ว ยูนิคอร์นสีนิลเป็นสัตว์เพศผู้… หรือว่ามันจะรู้ว่าวันนี้เราพาสาวงามมาด้วย มันก็เลยจงใจมาที่นี่เพื่อดูให้เห็นกับตา !”
หลินจิ้งหงเดินวนรอบตัวฉินอวี้โม่พลางแกล้งมองสำรวจทั่วทั้งตัวนางขึ้น ๆ ลง ๆ บุรุษหนุ่มหน้าตาสุภาพแต่กำลังทำท่าทางไม่สุภาพกล่าววาจาหยอกเย้านาง
“แต่ข้าคิดว่าบางทีอาจจะเพราะฮอร์โมนของหนุ่มสำอางอย่างเจ้ามากกว่าที่รุนแรงเกินไปเลยดึงดูดให้ยูนิคอร์นสีนิลเข้ามาหา”
ฉินอวี้โม่รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจหยอกล้อเพื่อทำลายบรรยายแห่งความตึงเครียดและตื่นกลัว ดังนั้นแล้วเมื่อรับรู้ได้ถึงความหวังดีนี้ นางจึงจงใจหยอกล้อเขากลับเช่นกัน
“ฮอร์โมนรุนแรงรึ ? ฮอร์โมนรุนแรงคืออะไร ? ข้าไม่เข้าใจความหมายของมัน”
หลิงจิ้งหงทอแววตางุนงง ‘ฮอร์โมนคือสิ่งใด เหตุใดเขาถึงไม่เคยได้ยินคำคำนี้มาก่อน… แล้วเขา ‘สำอาง’ งั้นหรือ ? เขาว่าหากเปลี่ยนเป็น ‘เจ้าสำราญ’ อาจจะถูกต้องมากกว่า’
เมื่อได้ยินคำถามและได้เห็นใบหน้าแสนงุนงงของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็รู้ตัวว่ากำลังเผลอใช้คำผิดไป ที่นี่ไม่ใช่ศตวรรษที่ 21 ที่เธอจากมา ดินแดนนี้ไม่ใช่โลกใบเดิมของเธออีกต่อไปแล้ว โลกทั้งสองใบนั้นแตกต่างกัน ถึงแม้ว่าที่นี่จะเต็มไปด้วยสิ่งมหัศจรรย์มากมายและมีพลังวิเศษที่เรียกกันว่าพลังมายา แต่ในโลกแห่งนี้ผู้คนไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็แตกต่างจากในศตวรรษที่ 21 ที่มีพลังมายาเพียงน้อยนิดบางเบา แต่มีพลังแห่งวิทยาศาสตร์เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์หลากหลาย ดังนั้นก็ไม่แปลกนักที่คนที่นี่จะไม่รู้จักคำว่าฮอร์โมน และเธอผู้มาจากศตวรรษที่ 21 ก็ตื่นตาตื่นใจกับเหล่าอสูรมายาและพลังมายาของมนุษย์ ถ้าหากไม่ใช่เพราะความทรงจำของคุณหนูสี่คนเดิม บางทีตอนที่ได้เห็นหลินจิ้งหงกับหานโม่ฉือปล่อยคลื่นพลังเข้าใส่อสูรมายาเธออาจจะตกใจจนเป็นลมไปเลยก็ได้
“มันหมายถึงเจ้าเป็นคนหล่อเหลาจนถึงขั้นที่ดึงดูดยูนิคอร์นสีนิลมาได้ไงล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของฉินอวี้โม่ หลินจิ้งหงก็พยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ แม้ว่าจะค่อนข้างชอบใจกับสิ่งที่หญิงสาวกล่าว แต่เขาก็ยังงุนงงกับความหมายของคำว่าฮอร์โมนอยู่ดี….. ‘หล่อเหลาเขาก็ชอบอยู่ หล่อเหลาแล้วดึงดูดใครต่อใครได้ก็ฟังดูดี แต่ เอ… เขาพลาดอะไรไปหรือไม่นะ ?’
“ไปตามทิศนี้ แล้วลองตามลมหายใจของมันไป พวกเราอาจจะหาตัวยูนิคอร์นสีนิลเจอก็ได้”
หานโม่ฉือกล่าวขึ้นมาก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังทิศทางที่ยูนิคอร์นสีนิลหายตัวไป ถึงแม้ยูนิคอร์นสีนิลจะหายตัวไปแล้ว แต่ก็ยังพอหลงเหลือกลิ่นลมหายใจบาง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของยูนิคอร์นอยู่ นี่เป็นร่องรอยเดียวที่จะช่วยให้พวกเขาติดตามมันได้
หลังจากเดินตามกลิ่นลมหายใจของยูนิคอร์นสีนิลมาได้ไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากป่าด้านหน้า
.
.
.
ตอนที่ 11 สัตว์ร้ายในสายหมอก
หลังจากก้าวเข้าสู่เขตของบึงสายหมอก ฉินอวี้โม่ก็เดินตามหลังหลินจิ้งหงและหานโม่ฉืออย่างระมัดระวัง นางไม่กล้าประมาทแม้แต่ก้าวเดียว
ถึงแม้ในเวลานี้กายเทพมายาจะถูกปลุกขึ้นมาแล้ว และตัวฉินอวี้โม่เองก็สามารถฝึกพลังมายาได้แล้วก็ตาม ทว่าระดับความแข็งแกร่งของนางก็ยังนับว่าด้อยกว่าหลินจิ้งหงอยู่มาก
แม้ว่าบึงสายหมอกจะเป็นแหล่งรวมของอสูรมายาระดับต่ำจำนวนมาก แต่ที่นี่ก็ยังมีอสูรมายาระดับสูงอาศัยอยู่อย่างนับไม่ถ้วนด้วยเช่นกัน การเข้ามายังที่แห่งนี้สำหรับฉินอวี้โม่จึงต้องตื่นตัวเสมอและคอยระมัดระวังในทุกฝีก้าว
หากลองเปรียบเทียบแล้ว ความแข็งแกร่งในตอนนี้ของฉินอวี้โม่น่าจะเพียงพอสำหรับการรับมือกับอสูรมายาระดับภูตสามดาราได้ แต่ถ้าหากต้องพบเจออสูรมายาที่แข็งแกร่งกว่านั้น สตรีผู้มีกายเทพมายาก็ยังต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน
ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกหวั่นเกรงมากที่สุดในบึงสายหมอกก็คือเหล่าบึงประกอบต่าง ๆ เพราะนางไม่เข้าใจเกี่ยวกับพลังและความน่ากลัวของบึงเหล่านี้ สิ่งที่ตำนานย้ำเตือนคือจงระวังจะพลาดพลั้งตกลงไปในบึง แต่ทว่ากลับไม่ได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทำให้ผู้พลัดตกลงไปในบึงไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้ จริงอยู่ว่าที่นี่มีหมอกปกคลุมหนาแน่นทำให้การเหยียบพลาดและพลัดตกลงน้ำเพราะมองไม่เห็นย่อมเป็นไปได้ แต่การขึ้นจากบึงไม่ได้จะต้องมีสิ่งที่น่ากลัวอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ ดังนั้นพึงระวังไว้ก่อนย่อมดีที่สุด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น แต่ระดับความเร็วในการเคลื่อนที่ของคนทั้งสามในตอนนี้ก็ไม่ได้ช้าลงจากก่อนหน้านี้เลย
ระหว่างทาง กลุ่มของพวกเขาได้พบกับอสูรมายาระดับต่ำอยู่บ้าง แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ลงมือ เพราะทันทีที่หลินจิ้งหงหรือหานโม่ฉือรับรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าพวกนั้น พวกเขาก็จะซัดคลื่นพลังมายาของตนออกไปโดยไม่ต้องมอง เพียงคลื่นพลังมายาลูกเล็ก ๆ ของพวกเขาก็สามารถปลิดชีวิตพวกมันได้แล้ว
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงไม่สนใจแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาระดับต่ำพวกนี้ ฉินอวี้โม่จึงเป็นผู้ลงมือคว้านเอาทั้งแก่นมายาและแกนชีวิตของเหล่าอสูรมายาออกมาทีละอันอย่างขะมักเขม้นก่อนจะบรรจงเก็บของเหล่านั้นไว้ภายในแหวนมิติซึ่งนางเก็บเกี่ยวมาจากเหล่าสุนัขหมู่ที่ได้จัดการไปเมื่อวาน
แหวนมิตินั้นเป็นอุปกรณ์ห้วงมิติสำหรับเก็บสมบัติและสิ่งของ ภายในแหวนมิติจะมีพื้นที่ของอีกมิติหนึ่งที่กว้างขวางจนสามารถเก็บของขนาดใหญ่หรือมีน้ำหนักมากเอาไว้ได้ สาวนักฆ่าผู้กำลังจะผันตัวมาเป็นแม่ค้าจะได้นำพวกมันไปขายได้ในหลังจากนี้ และตอนนี้ ภายในแหวนของนางก็มีแก่นมายาและแกนชีวิตของอสูรมายาอยู่หลายสิบชิ้นแล้ว
“ฉินอวี้โม่ เจ้ากำลังร้อนเงินหรือ ?”
เมื่อเห็นสิ่งที่อดีตคุณหนูตระกูลใหญ่ของเมืองกำลังทำ บวกกับข่าวลือที่ว่าฉินอวี้โม่ถูกขับไล่ออกมาจากตระกูลฉิน หลินจิ้งหงจึงเปิดปากถามด้วยความอยากรู้(อยากเห็น)
“ใช่ ข้ากำลังต้องการเงินมาก เจ้าอยากจะช่วยจ่ายค่าแรงให้ข้าเพิ่มอีกสักหน่อยไหมล่ะ ? หรือถ้าเจ้ายินดีจะช่วยบริจาคสงเคราะห์สตรีตัวเล็ก ๆ อย่างข้าก็ได้นะ จะน้อยจะมากตามกำลังศรัทธา แค่ไม่กี่ร้อยเหรียญเงินข้าก็ไม่รังเกียจเลยสักนิด”
ฉินอวี้โม่พูดขำ ๆ ก่อนจะยิ้มแฉ่งให้คู่สนทนา
หลินจิ้งหงหมดคำพูด… ฉินอวี้โม่ผู้นี้มีใบหน้าที่หนาไม่น้อยเลย
“ระวังตัว !”
ทันทีที่พวกเขาสามคนเข้ามาถึงพื้นที่บริเวณหนึ่ง หานโม่ฉือที่เดินนำหน้าก็เอ่ยปากเตือนขึ้นมา ณ บริเวณนั้นเป็นที่ราบเปิดโล่งและกินพื้นที่ค่อนข้างกว้าง
“ดูเหมือนว่าจะมีอสูรมายาจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาทางพวกเรา”
หลินจิ้งหงเองก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นจึงกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
“ดูเหมือนว่าจะมีอสูรมายาจำนวนมากกำลังมุ่งตรงมาทางพวกเรา”
หลินจิ้งหงเองก็รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวนั้นจึงกล่าวเตือนฉินอวี้โม่
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ตอนนี้ระดับพลังของนางยังต่ำเกินไปทำให้ไม่สามารถรับรู้ถึงเสียงหรือสัมผัสถึงกลิ่นอายของพวกมันได้ อีกทั้งเพราะหมอกที่ลงจัดทำให้นางไม่อาจมองเห็นเลยว่าในเวลานี้มีสิ่งอยู่ตรงหน้าในระยะไม่เกินยี่สิบจั้ง*
(* 1 จั้งมีความยาวประมาณ 1 ฟุต)
เมื่อหาจุดตั้งรับที่เหมาะสมได้แล้ว หลินจิ้งหงและหานโม่ฉือก็แสร้งตั้งท่าเตรียมพร้อม คนทั้งสองกำลังแกล้งทำให้ดูคล้ายตั้งใจปกป้องฉินอวี้โม่ที่อยู่ด้านหลัง
ภายในเวลาไม่นานนัก ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงคำรามดังลั่นอย่างชัดเจน เสียงนั้นก็กำลังใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนในที่สุดภาพของเหล่าอสูรมายากลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสาม
ราวกับว่าฝูงอสูรมายาวิ่งเข้าหากลุ่มของพวกเขาอย่างจงใจ เพราะเมื่อเห็นพวกเขาสามคน พวกมันก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดก่อนจะพุ่งเข้าใส่ในทันทีโดยไม่ยั้งคิด
จำนวนอสูรมายาฝูงนี้มีอยู่ราว ๆ หนึ่งร้อยตัว ซึ่งก็จัดว่าฝูงของพวกมันไม่ใช่ฝูงที่ใหญ่มากนัก
อย่างไรก็ตาม พวกมันเป็นเพียงอสูรมายาระดับต่ำซึ่งไม่จัดเป็นภัยคุกคามให้แก่กลุ่มของพวกเขามากเท่าใดนัก
“โฮกกกก !”
ทว่าฝูงอสูรมายาระดับต่ำกลับฝ่า ‘แนวป้องกัน’ ของหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือมาได้ พวกมันพุ่งตรงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ด้วยความเร็วสูง
เมื่อหานโม่ฉือและหลินจิ้งหงหันไปมองก็พบว่าสตรีงามผู้เคยสังหารหมู่บุรุษร่างกำยำหลายคนด้วยมือเปล่ากำลังพุ่งเข้าใส่ฝูงอสูรมายาอย่างรวดเร็ว ในมือข้างหนึ่งของนางถือกริชสีเงินเล่มหนึ่งไว้
— ฉึก ! —
เสียงเนื้อถูกเฉือนดังขึ้น กริชในมือฉินอวี้โม่เชือดเข้าที่คอของอสูรมายาที่พุ่งตรงเข้าใส่นางด้วยความเร็วสูง อสูรมายาตัวนั้นล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอย่างนิ่มนวล
ฉินอวี้โม่เคลื่อนไหวไม่หยุดยั้ง การขยับร่างกายของนางพลิ้วไหวอย่างเป็นธรรมชาติและสวยงามราวเทพธิดาเริงระบำ นางพุ่งตรงเข้าไปรับมือกับสัตว์มายาระดับต่ำร่วมกับหานโม่ฉือ การตวัดคมมีดของหญิงสาวรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
“เป็นท่วงท่าที่งดงามยิ่งนัก !” เมื่อได้เห็นฉินอวี้โม่ในชุดกระโปรงยาวพลิ้วไหวกำลังต่อสู้กับฝูงอสูรมายาด้วยท่วงท่าสง่างาม หลินจิ้งหงก็อดอุทานออกมาไม่ได้
ฉินอวี้โม่กำลังใช้วิชาการต่อสู้ของยุคโบราณผสมผสานกับทักษะการต่อสู้ระยะประชิดที่ได้เรียนรู้มาในชีวิตก่อนทำการสังหารเหล่าอสูรมายาอย่างดุเดือด
ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดการเคลื่อนไหวของหญิงสาวผู้เป็นอดีตนักฆ่าถึงได้รวดเร็วไม่ต่างจากสายฟ้า นั่นก็เป็นเพราะว่าเมื่อครั้งอยู่ในศตวรรษที่ 21 เธอเคยฝึกวิชาโบราณที่มีชื่อว่า—อสนีบาต
ว่ากันว่า ถ้าหากฝึกฝนวิชาอสนีบาตจนบรรลุถึงระดับสูงสุดแล้ว ผู้ฝึกจะสามารถเหาะเหินไปบนนภาหรือเดินทางอยู่กลางเวหาได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ตัวฉินอวี้โม่ในชาติภพก่อนจะมีพรสวรรค์สูงล้ำและร่างกายแข็งแรงโดดเด่น แต่ทว่าเพราะพลังมายาที่มีอยู่ในธรรมชาติของโลกและยุคที่เธอจากมานั้นแสนเบาบาง ทำให้คนที่นั่นยากที่จะฝึกฝนวิชาต่าง ๆ จนบรรลุถึงระดับสูงได้ ด้วยเหตุนั้นเอง โลกของมือสังหารสาวในศตวรรษที่ 21 จึงไม่มีคนที่เหาะเหินเดินอากาศได้ให้พบเห็น
ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ อสูรมายากว่าสามในสี่ก็ล้มตายภายใต้คมกริชของฉินอวี้โม่
หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงเองก็ลงมือสังหารพวกมันไปบ้างส่วนหนึ่ง แต่ยังถือว่าน้อยกว่าสตรีคนเดียวในกลุ่ม
และในตอนนั้นเอง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ถึงจิตสังหารที่พุ่งเข้าใส่ มีบางอย่างกำลังจ้องมองนางจากจุดจุดหนึ่งในกลุ่มหมอกหนา
อดีตนักฆ่าสาวก้าวถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณอย่างไม่รีรอ
ทันใดนั้น สายลมวูบหนึ่งก็พัดผ่านกายของหลินจิ้งหงกับหานโม่ฉือ ก่อนที่สิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งจะปรากฏขึ้น ณ จุดที่นางเคยยืนอยู่ก่อนหน้านี้
มันคืออสูรมายา ! ทั้งกลิ่นอายของพลังและรูปลักษณ์ของมันก็ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่ง
.
.
.
ตอนที่ 10 บึงสายหมอก
บึงสายหมอกจัดเป็นหนึ่งในสถานที่เร้นลับที่อยู่ใกล้กับอาณาเขตของเมืองหลิงซี ในทุกปี สถานที่แห่งนี้จะดึงดูดเอานักผจญภัยจำนวนมากจากทั้งภายในเมืองหลิงซีเองและจากเมื่องอื่น ๆ ทั่วดินแดนให้เข้ามาเยือน คนเหล่านี้ล้วนมาเพื่อตามหาประสบการณ์ท้าทายใหม่ ๆ และมีจำนวนไม่น้อยที่เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่บึงแห่งนี้
ตามตำนานเล่าขานกันว่า บึงแห่งนี้จะถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกหนาที่ขาวโพลนคล้ายก้อนเมฆตลอดทั้งปีทำให้แม้แต่ในเวลากลางวันที่ฟ้าใสและแดดจ้า แสงอาทิตย์ก็ยังไม่สามารถส่องผ่านม่านหมอกหนานั้นเข้าไปได้ ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของนามเรียกขานของบึงน้ำกว้างใหญ่นี้
ตำนานยังกล่าวไว้ด้วยว่า แท้จริงแล้วบึงสายหมอกเป็นชื่อเรียกโดยรวมของกลุ่มบึงขนาดยักษ์ ที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยบึงน้ำใหญ่น้อยจำนวนมากมาย บ้างก็ตื้นเขินจนมองเห็นก้นบึง บ้างก็ลึกจนสุดจะหยั่ง ทว่าจากคำเล่าขาน ว่ากันว่าหากผู้ใดพลัดตกลงไปในบึงเหล่านั้น คนผู้นั้นก็ยากจะเอาชีวิตรอดมาได้ บางคนเชื่อว่าที่เป็นเช่นนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะกลุ่มหมอกหนาจัดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ทำให้แม้แต่นักผจญภัยมากประสบการณ์ก็ยังพลาดพลั้ง
เนื่องจากไม่เคยมาเยือนบึงสายหมอกมาก่อน ทำให้ฉินอวี้โม่เองก็ไม่ทราบว่าตำนานดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่
แม้ว่าจะเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน แต่ที่แห่งนี้ก็มีอสูรมายาระดับต่ำอยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าหากมีโชคมากพอเหล่าผู้มาเยือนก็สามารถกอบโกยแก่นมายาหรือแม้กระทั่งจับอสูรมายาที่หายากได้ แต่แน่นอนว่าคนผู้นั้นก็จะต้องแข็งแกร่งเพียงพอที่จะหลบเลี่ยงหรือเอาชนะอสูรมายาระดับสูงได้ด้วย
บริเวณโดยรอบของบึงสายหมอกถูกห้อมล้อมด้วยพื้นที่ของป่าพรุที่หนาทึบและกว้างใหญ่ การจะไปถึงตัวบึงได้จึงต้องตัดผ่านป่าพรุนี้ไปให้ได้เสียก่อน
ในระหว่างทางที่กำลังเร่งติดตามหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือไป ฉินอวี้โม่ก็ใช้เวลาครุ่นคิดเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้ไปด้วย
…..เพราะว่าภารกิจที่พวกเขารับมานั้น มีความยากใน ‘ระดับพิเศษ’…..
ระดับความยาก-ง่ายของภารกิจในสมาคมทหารรับจ้างจะถูกแบ่งออกเป็นเจ็ดระดับนั่นก็คือ มือใหม่, ง่าย, ทั่วไป, ยาก, พิเศษ, เชี่ยวชาญ และระดับยอดฝีมือ
ภารกิจระดับมือใหม่นั้นง่ายที่สุดและรางวัลที่ได้รับก็จะเป็นรางวัลที่สุดแสนธรรมดา ส่วนระดับที่ยากที่สุดคือระดับยอดฝีมือซึ่งจะได้รับรางวัลที่เรียกได้ว่าล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
ถึงแม้จะประหลาดใจอยู่บ้างที่บุรุษสองคนนี้เชื้อเชิญเธอเข้าร่วมภารกิจระดับพิเศษที่ถือว่าค่อนข้างยาก และมีข้อสงสัยถึงระดับฝีมือของคนทั้งสอง แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังคงมุ่งหน้าติดตามพวกเขาสองคนไปอย่างไม่หวั่นเกรง
ในครั้งนี้ ภารกิจที่หานโม่ฉือและหลินจิ้งหงรับมาก็คือการค้นหาและระบุพิกัดของสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของอสูรมายาที่ทรงพลังที่สุดในบึงสายหมอกแห่งนี้—ยูนิคอร์นสีนิล
การที่ภารกิจนี้มีความยากแค่เพียงระดับพิเศษก็เป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาต้องทำมีเพียงการค้นหาตำแหน่งที่อยู่ให้เจอแต่ไม่ต้องลงมือสังหาร ซึ่งถ้าหากต้องฆ่ายูนิคอร์นสีนิลด้วย ความยากของภารกิจนี้จะถูกยกขึ้นเป็นระดับยอดฝีมือ
สิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกกดดันอยู่บ้างก็คงจะเป็นเรื่องที่ยูนิคอร์นสีนิลที่ว่านั้นเป็นถึงอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เก้าดารา ซึ่งใกล้ที่จะวิวัฒนาการณ์ไปเป็นระดับเทวะแล้ว
ในดินแดนแห่งนี้ ระดับของอสูรมายาจะถูกแบ่งออกเป็นระดับต่ำ, ภูต, ศักดิ์สิทธิ์, เทวะ, เทวะราชัน และระดับที่สูงกว่านั้น
ในแต่ละระดับจะถูกแบ่งย่อยออกไปอีกเก้าขั้นและถูกเรียกแทนในแต่ละขั้นด้วยจำนวนดวงดารา เริ่มต้นจากหนึ่งดาราไปจนถึงเก้าดาราซึ่งก็คล้ายกันกับรูปแบบของการจัดระดับขอบเขตพลังของมนุษย์
และหากต้องการจะรับมือกับอสูรมายาระดับศักดิ์สิทธิ์เก้าดารา ก็จะต้องใช้ยอดฝีมือในขอบเขตมายารัตนะระดับเก้าดาราเท่านั้นจึงจะมีพลังเพียงพอที่จะต่อสู้กับมันอย่างสูสีได้
ในทวีปนี้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูรมายาก็ล้วนแล้วแต่ต้องอาศัยพลังมายาในการบ่มเพาะร่างกาย ดังนั้น การแบ่งระดับพลังของทั้งมนุษย์และอสูรมายาจึงมีระบบที่คล้ายคลึงกันมาก
ขอบเขตพลังของมนุษย์ถูกจัดแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ อันได้แก่ จิตมายา, ทิพย์มายา, มายารัตนะ, นภมายา และระดับที่สูงยิ่งกว่า
สำหรับเมืองหลิงซี ยอดฝีมือในขอบเขตมายารัตนะถือเป็นตัวตนระดับแนวหน้าแล้ว พวกเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมือง ยังไม่มีผู้ใดในเมืองที่ก้าวถึงขอบเขตที่สูงกว่า การจะให้ตามหาถิ่นที่อยู่ของอสูรมายาที่มีระดับเทียบเท่ากับขอบเขตมายารัตนะนั้นจึงถูกจัดเป็นภารกิจยากระดับพิเศษนั่นเอง
เมื่อผ่านพ้นเขตป่าพรุไป ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าหมอกที่ดูบางเบาในตอนแรกเริ่มหนาขึ้นอย่างช้า ๆ
“คุณหนูฉิน ท่านต้องตามพวกเราอย่าให้ห่าง บึงสายหมอกแห่งนี้อันตรายมาก ถึงแม้ข้าจะทราบดีว่าท่านไม่ใช่ผู้ไร้พรสวรรค์อย่างที่คนเล่าลือกัน แต่อสูรมายาบางตัวที่อยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ท่านจะรับมือได้”
หลินจิ้งหงหันไปเตือนฉินอวี้โม่ แม้ว่าเขาจะต้องการทดสอบความแข็งแกร่งของคุณหนูสี่ผู้นี้ แต่ทว่าเขาก็ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ร่วมภารกิจทุกคนในกลุ่มก่อนเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในจุดที่มีอันตรายสูงในสถานที่ที่มีอันตรายรอบด้านเช่นนี้
ฉินอวี้โม่พยักหน้ารับทราบก่อนจะกล่าวเสียงเรียบ “คุณชายหลิน ท่านไม่ต้องเกรงใจถึงเพียงนั้นหรอก เรียกข้าว่าฉินอวี้โม่ก็พอแล้ว อย่าเรียกว่า ‘คุณหนู’ อีกเลย ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นคุณหนูของตระกูลไหนอีกต่อไปแล้ว”
เพราะคำว่า คุณหนู นั้นไม่เหมาะสมกับตัวนางในตอนนี้… หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือ มันไม่เหมาะกับเธอเลยเสียมากกว่า
แม้ว่าฉินอวี้โม่จะเป็นอดีตนักฆ่า แต่จริง ๆ แล้วพื้นฐานนิสัยของเธอไม่ใช่คนเย็นชาหรือโหดร้าย เธอเป็นผู้หญิงเรียบง่ายธรรมดา ๆ ที่อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะไปไหนมาไหนก็ได้ไป เธอให้อิสระเสรีกับชีวิตเสมอ มีเพียงแค่เวลาปฏิบัติภารกิจเท่านั้นที่เธอจะสวมใส่หน้ากากแห่งความเย็นชาเคลือบใบหน้าที่แท้จริงไว้
อย่างไรก็ตาม มันอาจจะเป็นเพราะงานที่ทำและสิ่งที่เป็น ทำให้ปกติแล้วฉินอวี้เป็นคนเข้าถึงยากและจะไม่ยอมเชื่อใจใครง่าย ๆ และนั่นก็ทำให้นักฆ่าสาวมีเพื่อนอยู่น้อยมาก แต่ใครก็ตามที่สามารถเอาชนะใจและทำให้เธอเชื่อใจได้ คนคนนั้นก็จะกลายเป็นเพื่อนแท้ที่รู้ใจและพร้อมจะปกป้องซึ่งกันและกันในที่สุด
“ก็ได้ งั้นเจ้าก็เรียกข้าว่าหลินจิ้งหง ไม่จำเป็นต้องเรียกว่าคุณชายหลิน”
หลินจิ้งหงพยักหน้าพลางแย้มรอยยิ้มที่ดูเป็นมิตรให้ก่อนจะหันไปมองหานโม่ฉือที่ยังไม่เคยเอ่ยปากพูดสิ่งใดออกมาแม้แต่คำเดียวตั้งแต่เข้ามาที่นี่ หลินจิ้งหงยักไหล่เล็กน้อยแล้วหันกลับมาพูดคุยกับสหายคนใหม่อีกครั้ง “สำหรับหานโม่ฉือ เจ้าจะเรียกเขาว่าอะไรก็ได้ เขาไม่ถือสาเจ้าหรอก”
เมื่อฟังวาจาของหลินจิ้งหงและหันไปมองหานโม่ฉือที่อยู่ข้าง ๆ เขา ฉินอวี้โม่ก็อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มขำ นางลอบพิจารณาคนทั้งสองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างถูกใจ
‘พวกเขาสองคนเป็นคนที่น่าสนใจจริง ๆ’
“เข้าไปกันเถอะ”
ทันใดนั้นหานโม่ฉือก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นและเดินตรงเข้าไปยังกลุ่มหมอกหนาที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคนแรก
.
.
.
ตอนที่ 9 เชื้อเชิญ
“มีปัญหาอะไรอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกของหลินจิ้งหง ฉินอวี้โม่ก็หันกลับไปถาม
นางเชื่อว่าหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือจดจำนางได้ ทว่านางก็ไม่แน่ใจในเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย ดังนั้นการเลือกไม่ข้องเกี่ยวกันก็น่าจะเป็นผลดีกับตัวนางมากที่สุด
“คุณหนูฉิน ท่าน สหายข้า–มนุษย์น้ำแข็งหานโม่ฉือ และตัวข้า เราสามคนมารวมกลุ่มกันเถอะ เราทั้งสองอยากจะชวนท่านมาร่วมทำภารกิจกับพวกเรา คุณหนูมีความคิดเห็นอย่างไร ?”
ในตอนที่ได้เห็นฉินอวี้โม่เมื่อวาน เขาไม่รู้สึกถึงพลังมายาจากร่างกายของนางเลย ทว่าดรุณีน้อยผู้นี้กลับสามารถสังหารคนถ่อยกลุ่มนั้นได้อย่างง่ายดายด้วยมือเปล่า เพราะความสงสัย หลินจิ้งหงจึงตัดสินใจเอ่ยปากชวนนางร่วมทำภารกิจ
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ สีหน้าของหานโม่ฉือที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หลินจิ้งหงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เขาไม่มีท่าทีประหลาดใจหรือออกปากคัดค้านเลยเมื่อสหายข้างกายเอ่ยเชิญชวนฉินอวี้โม่เข้าร่วมภารกิจราวกับรู้อยู่นานแล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ฉินอวี้โม่อมยิ้มน้อย ๆ เมื่อได้ยินคำที่หลินจิ้งหงใช้เรียกสหายของเขา จะว่าไปหานโม่ฉือผู้นี้ก็ดูเหมือนมนุษย์น้ำแข็งจริง ๆ อย่างที่ว่า แม้จุดที่นางยืนอยู่ตอนนี้จะไม่ได้อยู่ใกล้เขามากนัก แต่ฉินอวี้โม่กลับยังรู้สึกได้ถึงเค้าลางของความเย็นจากตัวเขา
“ทำไมต้องเป็นข้า ?”
ถึงเธอจะเป็นอดีตนักฆ่า แต่ฉินอวี้โม่ก็ยังคงเป็นสตรี การตกปากรับคำชวนของคนแปลกหน้าง่าย ๆ ไม่ใช่เรื่องสมควร ฉินอวี้โม่ครุ่นคิด นางจ้องมองหลินจิ้งหงแล้วถามต่อ “ข้าก็แค่ขยะไร้ค่า ส่วนพวกท่านสองคนดูดีมีฝีมือสูงส่ง ชวนข้าเข้าไปร่วมด้วยเช่นนี้จะไม่กลายเป็นว่ารับตัวถ่วงเข้ามาหรอกหรือ ?”
“หึ ๆ ๆ จะเป็นตัวถ่วงได้อย่างไรกัน ?”
หลินจิ้งหงหัวเราะน้อย ๆ แล้วกล่าว “มีสาวงามอยู่ในกลุ่มด้วยย่อมต้องช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับพวกเราได้ เช่นนั้นเราก็ย่อมต่อสู้ได้อย่างเต็มศักยภาพ คุณหนูฉิน เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราเถอะ”
ถึงแม้วาจาของหลินจิ้งหงจะฟังคล้ายกำลังหยอกล้อ ไม่จริงจังนัก แต่จากน้ำเสียงที่ได้ยิน ฉินอวี้โม่ไม่รู้สึกว่าเขากำลังล้อเล่นเลย
ถ้าหากนางไม่เคยพบเจอเขามาก่อนและรู้ว่าที่อีกฝ่ายชวนเพราะต้องการพิสูจน์ฝีมือของนาง อดีตคุณหนูสี่ก็คงคิดว่าคุณชายผู้นี้กำลังเล่นตลกกับนางอยู่จริง ๆ ก็ได้
หลังจากใคร่ครวญอีกสักพัก ฉินอวี้โม่ก็พยักหน้าพลางกล่าวเสียงสดใส “เช่นนั้นก็ตกลง”
“ให้ข้าร่วมมือด้วยมิใช่ปัญหา แต่… เอ่อ… ค่าตอบแทนที่ท่านจะต้องจ่ายให้ข้าน่ะ ไม่น้อยเลยนะ”
ไม่คิดให้มากมายก็รู้ได้ว่างานที่หลินจิ้งหงกับหานโม่ฉือกำลังจะทำต้องเป็นงานที่ไม่ธรรมดาแน่ และรางวัลของภารกิจนี้ก็คงจะยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ฉะนั้นขอเสนอนี้สำหรับนางมีแต่ได้กับได้
ในเมื่อหลินจิ้งหงตั้งใจชวนนาง ถ้านาง ไม่สิ ถ้าเธอ ไม่ถือโอกาสนี้ฉกฉวยผลประโยชน์จากเขาให้ได้มากที่สุด เธอก็ไม่ใช่ฉินอวี้โม่จากศตวรรษที่ 21 ตัวจริงแล้ว อย่างไรเสียตอนนี้เรื่องเงินกับปัญหาปากท้องก็เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องจัดการให้เร็วที่สุดอยู่แล้ว จะมัวแต่คิดสัพเพเหระก็ใช่ที่ ในเมื่ออีกฝ่ายเสนอมาแบบนี้ฉินอวี้โม่ผู้นี้ก็พร้อมน้อมรับ
“เรื่องนั้นวางใจได้”
หลินจิ้งหงพยักหน้าหงึกหงักพลางยิ้มอย่างยินดีแล้วกล่าวเสียงแจ่มใส “รางวัลของงานในครั้งนี้ไม่ใช่น้อย ๆ หากทำสำเร็จเราจะแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ยิ่งกว่านั้น พวกเราจะจ่ายให้คุณหนูฉินเพิ่มอีกร้อยเหรียญทองต่อชั่วยามเป็นค่าเหนื่อย เช่นนี้เป็นอย่างไร ?”
“ตกลง”
ฉินอวี้โม่พยักหน้าหงึกหงักอย่างแจ่มใสไม่แพ้กัน
นางไม่สามารถปฏิเสธรางวัลร้อยเหรียญทองต่อชั่วยามได้เลย
เมื่อได้ยินว่าหลินจิ้งหงใช้เงินจำนวนมากอย่างคาดไม่ถึงในการเชื้อเชิญฉินอวี้โม่ผู้ที่คนทั้งเมืองต่างก็เรียกขานว่าขยะให้เข้าร่วมกลุ่ม สีหน้าของเหล่าทหารรับจ้างที่นั่งตั้งใจฟังอยู่โดยรอบก็แปลกไปทันที
ฉินอวี้โม่เป็นผู้ไร้พรสวรรค์ แม้ว่าจะมีรูปโฉมงดงามไร้ที่ติ แต่มันก็เพียงเท่านั้น รูปโฉมเอามาใช้ทำงานไม่ได้ ซ้ำร้ายยังอาจจะทำให้ภารกิจของพวกเขาช้าลงไปด้วย… ‘คุณชายหลินคิดอะไรอยู่ ?!’
ทว่าเหล่าทหารทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดกล้าออกปากวิพากษ์วิจารณ์ คุณชายหลินจิ้งหงเป็นผู้นำของสมาคมทหารรับจ้างแห่งนี้ และหานโม่ฉือสหายสนิทของเขาก็มีฝีมือไม่ธรรมดา
‘…บางทีพวกเขาอาจจะเบื่อหน่ายเลยอยากจะเชิญสาวงามไปคุยเล่นแก้เหงาระหว่างทำงานจริง ๆ ล่ะมั้ง หรือบางทีเราอาจจะเข้าไม่ถึงความคิดของคนร่ำรวยถึงไม่เข้าใจก็เป็นไปได้… ทหารรับจ้างที่นิ่งอึ้งกับตัวเลขค่าตอบแทนของฉินอวี้โม่คาดเดาเรื่องนี้ในใจไปต่าง ๆ นานา
“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ สถานที่ของภารกิจในครั้งนี้คือบึงสายหมอก”
สิ้นเสียงของหลินจิ้งหง หานโม่ฉือก็หันหลังและเดินผ่านประตูออกไปอย่างไม่รีรอ
“คุณหนูฉินคนงาม ตามพวกเรามาให้ทันล่ะ”
ดูเหมือนว่าบุรุษทั้งสองจะจงใจทดสอบฝีมือของฉินอวี้โม่ตั้งแต่แรก หลินจิ้งหงและหานโม่ฉือเดินทางกันด้วยความเร็วที่สูงมาก
ฉินอวี้โม่ยิ้มสนุก นางติดตามฝีเท้าของพวกเขาไปอย่างง่ายดายไร้ซึ่งแรงกดดัน
อันที่จริงร่างกายของนางในตอนนี้ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แม้ว่าจะไม่เคยฝึกพลังมายาและไม่ได้ออกกำลังเลยตลอดหลายปี แต่ก็ยังถือว่ามีสภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง
ตัวเธอในชีวิตก่อน ฉินอวี้โม่เป็นนักฆ่าระดับแนวหน้าที่มีทักษะสูงส่ง เมื่อวานนี้กายเทพมายาของนางก็เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ตัวนางจึงสามารถดูดซับพลังมายาและฝึกฝนได้
ในตอนนี้สภาพร่างกายของนางนั้นถือว่าดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก
ดังนั้นการไล่ตามความเร็วของหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือตลอดทางสำหรับฉินอวี้โม่แล้ว นางไม่ได้รู้สึกว่ามันยากเย็นแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ตัวนางเองก็ดูออกว่าหลินจิ้งหงและหานโม่ฉือยังไม่ได้ใช้ความเร็วในระดับเต็มที่ของพวกเขา ซึ่งก็คงเป็นเพราะเกรงว่านางอาจจะตามไม่ทัน
ภายในครึ่งชั่วยาม คนทั้งสามก็มายังบริเวณป่าพรุซึ่งอยู่ส่วนรอบนอกของบึงสายหมอกเรียบร้อยแล้ว
ณ จุดหนึ่งในบริเวณนั้นมีร่องรอยของคราบเลือดหลงเหลืออยู่… นี่คือเลือดของพวก ‘สุนัข’ ที่ถูกฉินอวี้โม่เชือดทิ้งไปเมื่อวานนี้
ยามนี้ศพของพวกมันหายไปหมดแล้ว มีเพียงกระดูกกองย่อม ๆ หลงเหลืออยู่บนพื้น คาดว่าศพพวกนั้นคงจะกลายเป็นอาหารของอสูรมายาที่เดินผ่านมาแถวนี้และบางส่วนก็คงถูกลากไปกินที่อื่นแล้ว
“ดูเหมือนว่าคุณหนูฉินจะมิใช่ผู้ไร้พรสวรรค์อย่างที่เขาร่ำลือกันสินะ ?”
หลินจิ้งหงมองดูฉินอวี้โม่พร้อมทำหน้าราวกับครุ่นคิดบางอย่าง
“มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าข่าวลือคือเรื่องจริง ตรงกันข้ามกับผู้มีปัญญาที่มักค้นหาความจริงด้วยตนเอง”
ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจาด้วยเสียงหวานหยด นางไม่อยากอธิบายขยายความทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ให้มากนัก
แม้จะรู้ว่าสตรีตรงหน้ากำลัง ‘เหน็บแนม’ เขาอยู่อย่างชัดเจน แต่หลินจิ้งหงก็ไม่รู้สึกขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้ดูน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม
“ภารกิจของพวกเราครั้งนี้ไม่ง่ายเลย คุณหนูจะต้องติดตามพวกเราอย่างใกล้ชิด โปรดจำไว้ว่าอย่าไปไหนโดยพลการเด็ดขาด !”
หลินจิ้งหงกล่าวเรื่องจริงจังด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยก่อนจะส่งยิ้มใจดีให้ฉินอวี้โม่แล้วเริ่มอธิบายเกี่ยวกับเนื้องานของภารกิจนี้ หลังจากนั้น บุรุษทั้งสองก็หันหลังมุ่งหน้าเดินตรงเข้าสู่บึงสายหมอกทันที
ในตอนรับฟังเนื้องานของภารกิจ ฉินอวี้โม่ตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตาม นางพบว่าภารกิจนี้ค่อนข้างยากอยู่บ้าง
ทว่าอดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็เดินตามบุรุษทั้งสองไปโดยไม่ลังเล
.
.
ตอนที่ 8 ขยะแล้วอย่างไร ?
สมาคมทหารรับจ้างตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสกลางของเมืองหลินซี พื้นที่บริเวณนั้นเป็นศูนย์รวมที่ตั้งของสมาคมผู้ประกอบอาชีพที่มีอยู่อย่างหลากหลายภายในเมือง อาทิ เช่น สมาคมช่างหลอม สมาคมโอสถ และสมาคมผู้ฝึกสัตว์
ผู้ใดก็ตามที่ต้องการรับงานหรือภารกิจจากสมาคมทหารรับจ้าง ขั้นแรกจะต้องลงทะเบียนกับสมาคมเสียก่อนเพื่อให้ทางสมาคมจัดหางานที่ตรงตามระดับและเหมาะสมกับความสามารถของผู้รับงานได้
เมื่อมาถึงด้านหน้าอาคารที่มีป้ายขนาดใหญ่สลักอักษรงดงามว่า ‘สมาคมทหารรับจ้าง’ ฉินอวี้โม่ก็พาร่างบอบบางเดินลิ่วเข้าไปด้านในอย่างไม่ลังเล
สมาคมทหารรับจ้างค่อนข้างเป็นที่นิยม พื้นที่ภายในจึงคับคั่งไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ทว่านอกจากหญิงสาวที่ยืนอยู่หลังโต๊ะตัวยาวตรงจุดที่ใกล้กับทางเข้าแล้ว ที่แห่งนี้ก็ไม่มีสตรีคนอื่นอยู่เลย
ด้วยเหตุนั้น การปรากฏตัวของฉินอวี้โม่จึงกลายจุดสนใจของคนจำนวนมากในทันที
“แม่นางคนงาม ท่านมาที่นี่เพื่อมอบหมายงานอย่างนั้นหรือ ?” หญิงสาวผู้อยู่หลังโต๊ะยาวเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม นางมีนามว่าเสี่ยวอวี่ทำหน้าที่ประจำโต๊ะติดต่อสอบถาม
เนื่องจากฉินอวี้โม่สวมใส่ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าแท้จริงแล้วนางคือใคร แต่ด้วยรูปร่างบอบบางอรชร รวมทั้งกายแต่งกายและท่วงท่าการเดินที่สูงส่งสง่างามทำให้ผู้คนคาดเดาเอาว่านางคงจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์จากตระกูลใดสักตระกูลหนึ่ง ที่มาเพื่อมอบหมายงานให้กับสมาคมแห่งนี้
“มิได้ ข้ามาที่นี่เพื่อลงทะเบียนเป็นทหารรับจ้าง” ฉินอวี้โม่ส่ายหน้าก่อนจะกล่าวตอบเสียงนุ่มนวล
“สมัครเป็นทหารรับจ้าง ?!” หญิงสาวผู้มีนามว่าเสี่ยวอวี่เอ่ยถามอย่างประหลาดใจเพราะน้อยนักที่จะมีสตรีมาสมัครเป็นทหารรับจ้าง
“ทำไม ข้าสมัครไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวตรงหน้าเอาแต่ยืนมองดูนางอย่างงุนงงไม่ยอมขยับตัวดำเนินการสมัครให้ เท่าที่นางทราบมาดูเหมือนจะไม่มีกฎข้อใดระบุว่าห้ามสตรีสมัครเป็นทหารรับจ้าง
“มิได้ มิได้ ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายก็สมัครเป็นทหารรับจ้างได้ทั้งนั้น” เสี่ยวอวี่รีบเอ่ยตอบพร้อมส่ายศีรษะอย่างนอบน้อม
ไม่บ่อยนักที่จะมีสตรีมาสมัครขอรับงาน เพราะภารกิจทหารรับจ้างค่อนข้างอันตรายและมีความเสี่ยงสูงกว่าอาชีพอื่น ๆ เมื่อเห็นหญิงสาวรูปร่างบอบบางอีกทั้งยังดูมีสง่าราศีเช่นนี้มารับงาน เสี่ยวอวี่จึงคิดเอาว่าบุคคลตรงหน้าจะต้องเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากแน่
“ขออภัยแม่นาง ข้าขอทราบระดับพลังของแม่นางหน่อยจะได้รึไม่ ?” เสี่ยวอวี่แย้มยิ้มเป็นมิตรและสอบถามข้อมูลตามปกติ
การจะรับผู้ใดเข้ามาเป็นทหารรับจ้าง ทางสมาคมจะต้องทราบระดับพลังของคนผู้นั้นก่อนเพื่อที่จะได้จัดหางานหรือภารกิจที่เหมาะกับคนนั้น ๆ ได้
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ” ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วและส่ายศีรษะ ซึ่งนั่นก็ทำให้เสี่ยวอวี่รู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง
“ไม่รู้แม้กระทั่งระดับพลังของตัวเอง ? แต่ยังกล้ามาสมัครเป็นทหารรับจ้าง หัวของผู้หญิงคนนี้คงจะมีปัญหาแน่ ๆ”
“ข้าว่าไม่ใช่แบบนั้นหรอก แม้ว่าจะมีผ้าคลุมหน้า แต่ถ้ากล้ามาสมัครแบบนั้น ทั้งยังแต่งตัวดูดีท่าทางสูงส่ง ดูแล้วไม่น่าจะเป็นคนธรรมดา ๆ”
“ร่างของนางบอบบางแบบนั้นยังมาถามหางานต่อสู้ ข้าว่าถ้าไม่ใช่เพราะสติไม่ดี นางก็อาจจะมีฝีมือสูงส่งถึงขั้น ดาบเดียวล้างป่า แล้วที่นางบอกว่าไม่แน่ใจเรื่องระดับก็เพราะสูงส่งเกินไปจนประเมินไม่ได้ก็ได้”
“#$%^฿&*)(#%฿=!&@…”
เมื่อได้ยินคำตอบของฉินอวี้โม่ ผู้คนที่อยู่โดยรอบก็ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ในตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดต่างก็พากันมองดูสตรีผู้ปิดบังใบหน้าเป็นตาเดียว
ฉินอวี้โม่ขมวดคิ้วแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย “ทำไมกัน ถ้าไม่แน่ใจระดับพลังแล้วจะสมัครเป็นทหารรับจ้างไม่ได้อย่างนั้นหรือ ?”
“มิใช่เช่นนั้น แต่ถ้าพวกเราไม่ทราบระดับพลังของแม่นาง พวกเราก็ไม่สามารถจัดหางานที่เหมาะสมให้ได้”
เสี่ยวอวี่ตอบกลับด้วยท่าทางที่นอบน้อมน้อยลงกว่าเดิมเล็กน้อย
“งั้นลงทะเบียนให้ข้าเป็นระดับต่ำสุด”
ฉินอวี้โม่ไม่อยากจะก่อปัญหาขึ้นที่นี่ นางแค่จะมาสมัครเป็นทหารรับจ้างเพื่อรับงานและดูว่ามีงานที่ต้องการหรือไม่เท่านั้น นางไม่ได้สนใจว่างานที่จะได้รับจะเป็นระดับใด
“ถ้าเช่นนั้น โปรดถอดผ้าคลุมหน้าออกเพื่อแสดงตัวตนด้วย ข้าจะได้ลงทะเบียนให้ท่าน”
เสี่ยวอวี่บอกก่อนจะหันไปง่วนกับการเปิดสมุดเล่มใหญ่สำหรับลงทะเบียน เตรียมพู่กัน และยกขวดหมึกขึ้นมาตั้งบนโต๊ะ
ฉินอวี้โม่ปลดผ้าคลุมหน้าออกอย่างนุ่มนวล ใบหน้านวลใส เครื่องหน้างดงามไร้ที่ติเผยสู่สายตาของคนรอบข้าง
“เอ๊ะ ! เป็นเจ้าเหรอเนี่ย ?!”
เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่ เสี่ยวอวี่ก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจในทันที นางจำสตรีผู้นี้ได้
เหล่าทหารรับจ้างและผู้เข้ามาติดต่อมอบหมายงานที่นั่งกระจายกันอยู่ในที่แห่งนั้นต่างก็มองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาตกตะลึงไม่แพ้กัน
สมาคมทหารรับจ้างแห่งเมืองหลิงซีตกอยู่ในความเงียบไปชั่วขณะ !
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คำวิจารณ์เผ็ดร้อน คำติฉินนินทา คำด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ และแม้กระทั่งคำพูดติดตลกเชิงเสียดสี ‘คุณหนูสี่ตระกูลฉินผู้ไร้ค่า’ ก็ดังขึ้นแซงแซ่
“ถึงว่าทำไมถึงไม่รู้ระดับของตัวเอง ที่แท้ก็เป็นคุณหนูสี่ขยะไร้ค่าแห่งตระกูลฉินนี่เอง”
“น่าแปลกจริง ๆ ที่ขยะแบบนี้มาสมัครเป็นทหารรับจ้าง ถ้าจะให้นางทำงานสำเร็จนี่มันยากพอ ๆ กับให้ตะวันขึ้นทางทิศตะวันตกเลยนา”
“บางทีอาจจะเป็นเพราะว่านางถูกไล่ออกมาจากตระกูล คุณหนูผู้สิ้นไร้หนทางคงจะสิ้นหวังอยากตาย ถึงมาขอสมัครเป็นทหารรับจ้างเพื่อจะได้หาที่ตายเหมาะ ๆ ล่ะมั้ง”
“เปิดโต๊ะรับพนันดีไหม ข้าจะลงพนันข้างที่ว่านางตายภายในสามชั่วยาม ข้าว่างานนี้คงรวยอื้อซ่า”
“เจ้าโง่ ขยะอย่างนางจะได้งานเหรอ ใครเขาอยากจะเอาขยะไปทำงานกัน !”
“#$%^฿&*)(#%฿=!&@…”
เสี่ยวอวี่ที่จากเดิมกำลังจัดแจงเปิดสมุดเพื่อจะลงทะเบียนให้สตรีผู้มาสมัครรับงานรีบหยุดมือทันทีเมื่อได้เห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมนั้น สีหน้าและแววตาของนางเปลี่ยนเป็นขุ่นเคืองอย่างหนัก
“ฉินอวี้โม่ เจ้ากล้ามาเล่นตลกกับข้าอย่างนั้นรึ ?!”
แน่นอนว่าเสี่ยวอวี่เคยได้ยินเรื่องราวของฉินอวี้โม่ และนางเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ชอบคุณหนูสี่ของตระกูลฉิน อย่างไรก็ตาม เสี่ยวอวี่เคยเห็นคุณหนูผู้นี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นเมื่อนานมาแล้วตอนเดินเล่นอยู่ในตลาด อีกทั้งฉินอวี้โม่ก็ไม่เคยมาที่สมาคมทหารรับจ้างมาก่อน ดังนั้นหากหญิงสาวผู้รับลงทะเบียนแห่งสมาคมทหารรับจ้างจะจดจำคุณหนูสี่ตระกูลฉินที่ใส่ผ้าคลุมหน้าไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ที่สำคัญคือ เสี่ยวอวี่ไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะกล้ามาที่สมาคมทหารรับจ้าง อีกทั้งยังมาเพื่อขอสมัครเป็นทหารรับจ้างด้วย ! นี่มันเป็นการเล่นตลกครั้งใหญ่ใช่หรือไม่ ?!
“ข้าไม่ได้มาล้อเล่น และอย่างเจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรที่ทำให้ข้าต้องเล่นกับเจ้าด้วย !”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างเย็นชา อดีตคุณหนูสี่ไม่ได้สนใจคำเสียดสีหรือแววตาที่มองมาด้วยความดูถูกเหยียดหยามของผู้คนที่อยู่รอบข้างเลย
“ข้าบอกแล้วว่าข้ามาที่เพื่อสมัครเป็นทหารรับจ้าง โปรดลงทะเบียนสมัครให้ข้าด้วย เร็วเข้า !”
“ฮ่า ๆ ๆ ตลกเป็นบ้า ขยะอยากจะเป็นทหารรับจ้างอย่างนั้นรึ ? เจ้ามีแรงยกดาบหรือไง ? หรือว่าอยากตายถึงได้มาที่นี่”
เสี่ยวอวี่กล่าวก่อนจะยิ้มเย้ย วาจาถากถางปนข่มขู่ของนางมีเจตนาเหยียดหยามอย่างเด่นชัด
คำพูดของเสี่ยวอวี่ทำให้ฉินอวี้โม่มีสีหน้าเปลี่ยนไป นางจ้องคนตรงหน้าแล้วพูดอย่างเย็นชา “ขยะแล้วยังไง ? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีกฎข้อห้ามข้อไหนที่ไม่ให้ข้าสมัคร และที่สำคัญ ขอเพียงมีหัวใจที่แข็งแกร่ง ข้าไม่คิดว่าคนที่พวกเจ้าตราหน้าว่าขยะจะด้อยกว่าพวกที่เรียกตัวเองว่าผู้มีพรสวรรค์”
เสียงของฉินอวี้โม่เต็มไปด้วยพลังและความน่าเกรงขาม ความภาคภูมิและแรงกดดันที่ส่งออกมาจากคำพูดนั้นถึงกับทำให้ทหารรับจ้างบางคนเงียบเสียงลงไปทันทีอย่างหวาดหวั่น
ในดินแดนนี้ ทหารรับจ้างต่างก็เป็นผู้ที่อุทิศชีวิตเพื่อความแข็งแกร่ง แม้ว่าบางคนจะไร้พรสวรรค์และความสามารถ แต่พวกเขาก็มีหัวใจนักสู้ที่จะไม่ย่อท้อ นี่แหละคือคุณสมบัติของทหารรับจ้าง
สิ้นคำกล่าวของฉินอวี้โม่ เหล่าทหารรับจ้างที่อยู่ที่นี่ต่างก็เริ่มคิดได้ พวกเขาเริ่มเห็นว่า ขยะไร้ค่าในตำนานอย่างคุณหนูสี่ตระกูลฉินแท้จริงแล้วก็มิได้ย่ำแย่น่ารังเกียจ หรืออ่อนแอน่าเวทนาอย่างที่เคยเข้าใจ
แปะ แปะ แปะ!
สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ก็มีเสียงปรบมือดังขึ้นจากมุมมุมหนึ่ง
ทันใดนั้นก็มีบุรุษสองคนค่อย ๆ ปรากฏกายขึ้น พวกเขาเดินออกมาจากประตูห้องห้องหนึ่งที่อยู่ลึกเข้าไปด้านในสมาคมทหารรับจ้างแห่งนี้
เมื่อเห็นใบหน้าของบุรุษสองคนที่ก้าวออกมา ฉินอวี้โม่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอคิดในใจ ‘คนพวกนี้นี่เอง’
“แม่นางผู้นี้กล่าวถูกแล้ว สมาคมทหารรับจ้างไม่เคยมีกฎที่บอกว่าผู้ไร้พรสวรรค์ห้ามมาลงทะเบียนเป็นทหารรับจ้าง”
บุรุษมีใบหน้าสุภาพท่าทางสูงส่งเอ่ยขึ้นก่อนจะหันไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้ฉินอวี้โม่
“รับเงินเดือนของเดือนนี้ไป จากนั้นก็เก็บข้าวของออกไปจากที่นี่ซะ ! สมาคมทหารรับจ้างของเราไม่ต้องการผู้ที่ชอบดูถูกผู้อื่นมาเป็นพนักงานต้อนรับ”
ใบหน้าของเสี่ยวอวี่เปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มหน้าตาสุภาพกล่าว นางต้องการจะเอ่ยคัดค้าน แต่เมื่อเห็นความเด็ดขาดและแน่วแน่ในแววตาของคนผู้นั้น อดีตพนักงานต้อนรับสาวก็ล้มเลิกความคิดและตอบรับคำสั่งสั้น ๆ
“เจ้าค่ะ นายน้อย”
เสี่ยวอวี่หันมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาดุดันและเคียดแค้น นางกัดฟันกรอดพลางเดินออกไปด้วยความโมโห
“อาหลี่ เจ้ามารับช่วงต่อหน้าที่นี้ชั่วคราว แล้วรีบจัดการหาคนอื่นมาแทนให้เร็วที่สุด”
ชายหนุ่มผู้ถูกเรียกว่า ‘นายน้อย’ กล่าวกับชายวัยกลางคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา
“สวัสดีแม่นางฉินอวี้โม่ ข้าคือผู้ดูแลสมาคมทหารรับจ้างของเมืองนี้ ข้ามีนามว่าหลินจิ้งหง ยินดีอย่างยิ่งที่ได้พบแม่นาง”
ชายหนุ่มหน้าตาสุภาพกล่าวทักทายฉินอวี้โม่อย่างเป็นมิตรก่อนจะส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง
เมื่อวานนี้เขากับสหายนามว่าหานโม่ฉือเข้าไปในป่าและได้เห็นฉากการสังหารหมู่ด้วยมือเปล่าของสตรีตรงหน้ากับตาของตัวเอง ภาพในตอนนั้นติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา และมันก็ทำให้เขาติดใจสงสัยในตัวคุณหนูผู้นี้มาจนถึงตอนนี้
เขาไม่คิดเลยว่าสตรีเก่งกาจผู้นั้นจะเป็นคุณหนูสี่ผู้ไร้ค่าแห่งตระกูลฉินที่เขาร่ำลือกันจริง ๆ และยิ่งไม่คิดเลยว่าจะได้พบนางอีกครั้งที่สมาคมทหารรับจ้างแห่งนี้
ฉินอวี้โม่พยักหน้าเล็กน้อยให้บุรุษผู้นั้นเพื่อรับการทักทายก่อนจะกล่าวถามเสียงนุ่ม “คือว่า…ตอนนี้ข้าสามารถลงทะเบียนได้หรือยัง ?”
“แน่นอนว่าได้ ไม่มีปัญหา”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาลี่รีบจัดการลงทะเบียนให้ฉินอวี้โม่ และอำนวยความสะดวกให้นางอย่างนอบน้อม
ฉินอวี้โม่พยักหน้า ทว่าหลังจากที่ดูข้อมูลในสมุดรับมอบงานอย่างละเอียดถี่ถ้วนและพบว่าไม่มีงานที่นางต้องการ ฉินอวี้โม่จึงหันหลังเพื่อเตรียมตัวกลับออกไป
“คุณหนูฉิน โปรดรอสักครู่”
หลินจิ้งหงหยุดฉินอวี้โม่ไว้
.
.
.
ตอนที่ 7 ปัญหาเงิน ๆ ทอง ๆ
หลังจากเก็บของใช้จำเป็นไม่กี่ชิ้น ฉินอวี้โม่พร้อมด้วยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วก็พากันออกจากจวนตระกูลฉินโดยไม่มีเค้าลางของความโศกเศร้าอาลัยอาวรณ์
ยามนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว ผู้คนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนดูบางตาอย่างชัดเจน
“คุณหนู พวกเราจะไปที่ไหนกันดีเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วที่กำลังถือห่อสัมภาระเล็ก ๆ เอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าท่าทางกระวนกระวาย
“ไปหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างคืนกันก่อนเถอะ”
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามซวี*แล้ว และมันสายเกินกว่าจะหาบ้านพักได้ ดังนั้นทางเลือกเดียวของพวกนางในวันนี้คือหาโรงเตี๊ยมเพื่อค้างแรมไปก่อนสักหนึ่งคืน
(*ยามซวี หมายถึง เวลา 19.00-20.59)
หลังจากพบโรงเตี๊ยมเล็ก ๆ ที่มีห้องว่าง จัดแจงจ่ายค่าเช่า และเข้ามาในห้องพักเรียบร้อย สตรีทั้งสามก็นั่งลงอย่างเหนื่อยอ่อน
“ท่านแม่ โปรดอย่าตำหนิที่ข้าตัดสินใจเช่นนี้”
แท้จริงแล้วเหตุผลหลักที่ทำให้ฉินอวี้โม่ตัดสินใจออกจากตระกูลฉินก็คือการที่กายเทพมายาของนางถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เพราะการออกมาจากที่แห่งนั้นจะทำให้นางฝึกฝนบ่มเพาะร่างกายได้ง่ายและปลอดภัยมากขึ้น
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วคือคนสำคัญที่สุดของนางในดินแดนนี้ พวกนางทั้งสองนับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉินอวี้โม่มี แน่นอนว่านางย่อมไม่ต้องการให้คนทั้งคู่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตระกูลฉินต่อไปในขณะที่นางออกมาอยู่ภายนอก
“ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไร แม่จะขอสนับสนุนทุกอย่าง”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นลูบไล้มือบางของบุตรสาวอย่างแผ่วเบาเพื่อให้กำลังใจ
“คุณหนู ข้ารู้สึกว่าท่านเปลี่ยนไป ท่านดูต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน แต่รู้หรือไม่ว่าข้าชอบมันมาก”
เสี่ยวโร่วมองฉินอวี้โม่ด้วยสายตาเทิดทูน เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนตระกูลฉินวันนี้นางได้เห็นด้วยสองตาของตัวเอง สาวใช้ตัวน้อยรู้สึกชื่นชมในตัวคุณหนูของนางยิ่งนัก
คุณหนูคนก่อน แม้ว่าจะเข้มแข็งแต่ก็ไม่เด็ดขาดถึงเพียงนี้ และก็ไม่ฉลาดหลักแหลมขนาดนี้ ที่สำคัญคุณหนูคนก่อนไม่ได้มีทักษะหรือพลังยุทธ์ที่สูงส่งเหมือนอย่างเช่นคุณหนูคนใหม่คนนี้ด้วย
“พูดมากไปแล้วเจ้าตัวดี ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างไร ข้าไม่ใช่คุณหนูของเจ้าแล้วอย่างนั้นหรือ ?!”
ฉินอวี้โม่หยิกแก้มสาวใช้ประจำกายเป็นการหยอกล้อ
ถึงอย่างไรเสี่ยวโร่วในวัยสิบสี่ย่างสิบห้าก็ถือว่ายังเด็กมากหากเทียบกับเธอที่มีอายุยี่สิบห้าปีสมัยยังอยู่ในศตวรรษที่ 21
“โธ่ ท่านก็เป็นคุณหนูของข้าเสมอนั่นแหละเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วอุทธรณ์เสียงรั้น
“ท่านแม่ มีหลายเรื่องที่ข้าจะต้องอธิบายให้ท่านฟังแต่ข้าไม่สามารถพูดได้ในขณะนี้ สิ่งที่ข้าพูดได้ในตอนนี้มีแค่ว่า ขอท่านแม่จงเชื่อมั่น ลูกของท่านคนนี้ไม่ใช่ขยะที่จะให้ใครรังแกได้อีกต่อไปแล้ว”
เวลานี้เรื่องน่าหนักใจที่สุดที่ฉินอวี้โม่ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายหรือพูดอย่างไรให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วทำใจยอมรับได้ก็คือ ความตายของคุณหนูสี่และการมาอยู่ที่นี่ของเธอ
“เอาะเถอะ แค่เจ้ากลายเป็นคนเข้มแข็งได้ แม่ก็มีความสุขมากแล้ว”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้า นางไม่เอ่ยถามสิ่งใดมากความกับบุตรสาว
“ท่านแม่ พวกเราไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาจากตระกูลฉินเลย ข้าอยากทราบว่าตอนนี้พวกเรามีเงินอยู่เท่าไหร่หรือเจ้าคะ ?”
ในตอนที่ออกจากตระกูลฉิน พวกนางไม่ได้นำสมบัติมีค่าติดตัวมาด้วยเลย อันที่จริงหลายปีมานี้สองแม่ลูกก็ไม่ได้มีความเป็นอยู่ที่ดีนัก วัน ๆ หนึ่งขอเพียงมีอาหารกินได้ครบทุกมื้อก็นับว่าดีมากแล้ว จะหวังให้ได้รับทรัพย์สมบัติของมีค่านั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีสิ่งใดให้เอามาแต่แรกอยู่แล้ว
เมื่อถูกถามถึงเรื่องเงิน ใบหน้าของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วก็หม่นหมองลงในพริบตา
“นี่คือทั้งหมดที่เรามีตอนนี้เจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วนำถุงเงินโทรม ๆ ออกมาเทลงบนโต๊ะ นางเขย่าอยู่นานกว่าจะมีเหรียญเงินเก่า ๆ ร่วงหล่นลงมา
ภายในดินแดนนี้ สื่อที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนหลักๆ ก็คือ เหรียญเงิน เหรียญทอง และตั๋วเงิน
เมื่อเห็นเหรียญเงินจำนวนน้อยนิดที่กระจายอยู่บนโต๊ะ ฉินอวี้โม่ก็ต้องขมวดคิ้วด้วยความยุ่งยากใจ เพราะเหรียญเงินเพียงเท่านี้ใช้จ่ายค่าเช่าห้องของโรงเตี๊ยมที่พวกนางอยู่ได้ไม่ถึงเจ็ดวันด้วยซ้ำไป
“คุณหนู หลายปีมานี้ความเป็นอยู่ของพวกเราในตระกูลฉินย่ำแย่มาก และพวกเราก็แทบไม่มีเงินออมเลย นี่คือทั้งหมดที่เรามีแล้วเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วไม่มีทางเลือก ตลอดหลายปีมานี้ผู้ที่คุมการเงินของตระกูลก็คือเยี่ยเสี่ยวตี๋ ลำพังเพียงแค่จะจ่ายเงินมาแต่ละเดือนก็ขาดบ้างไม่ให้บ้าง แน่นอนว่าพวกนางย่อมไม่มีโอกาสจะเก็บเงินได้เลย
“ข้ายังมีเครื่องประดับอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้าพรุ่งนี้เราเอาไปจำนำคงจะพอได้เงินมาใช้”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นนำเครื่องประดับเก่าๆ ที่นางเคยได้รับสมัยเพิ่งแต่งเข้าตระกูลฉินของตนออกมาและสั่งให้เสี่ยวโร่วนำมันไปที่โรงรับจำนำในวันพรุ่งนี้
“เช่นนั้น วันนี้ท่านแม่กับเสี่ยวโร่วก็พักกันก่อนเถิด ส่วนเรื่องเงินพรุ่งนี้ข้าจะลองหาวิธีแก้เอง”
หลังจากคิดใคร่ครวญเรื่องอนาคตอยู่ครู่หนึ่ง ฉินอวี้โม่ก็ได้ข้อสรุปว่าเรื่องเงินถือเป็นปัญหาสำคัญและใหญ่ที่สุดสำหรับพวกนางที่ต้องจัดการให้ได้ในตอนนี้ !
วันรุ่งขึ้น หลังจากสั่งให้เสี่ยวโร่วคอยอยู่ดูแลอวี๋เสี่ยวอวิ๋น ฉินอวี้โม่ก็มุ่งหน้าออกจากโรงเตี๊ยมไปเพียงลำพัง
นางต้องการจะออกไปหาดูว่าพอจะมีวิธีดี ๆ ในการหาเงินบ้างหรือไม่
เพื่อปิดบังตัวตน ฉินอวี้โม่จึงออกจากโรงเตี๊ยมพร้อมผ้าคลุมหน้า นางไม่ต้องการให้ผู้ใดจดจำตนเองได้
ซึ่งในทันทีที่ออกมาด้านนอก อดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก็ได้ยินผู้คนพูดถึงข่าวเรื่องที่นางและมารดาออกมาจากตระกูล
“พวกเจ้าได้ยินเรื่องที่คุณหนูสี่กับฮูหยินใหญ่ตระกูลฉินถูกไล่ออกจากตระกูลเพราะทำผิดกฎร้ายแรงบ้างหรือไม่ ?”
“เจ้าโง่ ไปอยู่ที่ไหนมา ข่าวนี้แพร่ไปจนทั่วเมืองหลิงซีแล้ว มีใครบ้างที่ไม่รู้”
“พูดก็พูดเถอะ คุณหนูผู้นั้นน่าสงสารจริง ๆ เดิมทีก็เป็นสตรีไร้ค่าอยู่แล้ว นี่ยังถูกขับไล่ออกจากตระกูลอีก ต่อไปนี้นางจะมีชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้อย่างไร ? ข้าได้ยินมาว่ามีหลายตระกูลที่ไม่ถูกกับตระกูลฉิน คิดหรือว่าคนพวกนั้นจะไม่ตามรังควานพวกนางแม่ลูก ?”
“#&@฿&=$%~+#….”
เหล่าชาวเมืองต่างบอกเล่า ถกเถียง และวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้กันไปต่าง ๆ นานา ทว่าบนใบหน้าของคุณหนูสี่ผู้เป็นหัวข้อเรื่องกลับปรากฏเพียงรอยยิ้มเย็นเฉียบและสีหน้าที่ไม่ทุกข์ร้อน
ฉินอวี้โม่รู้ดีว่ามีคนมากมายที่ไม่ชอบนาง ซึ่งก็รวมถึงคุณหนูจากอีกสองตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลิงซี พวกนางต่างก็เป็นบุตรีของผู้นำตระกูล และมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉินอวี้โม่และฉินฉืออวี้ ทว่าหญิงสาวทั้งสองไม่ได้มีพรสวรรค์สูงส่งเท่ากับฉินฉืออวี้ และไม่มีรูปโฉมที่งดงามเหมือนฉินอวี้โม่ ทำให้พวกนางเกิดความริษยา แต่ในเมื่อพวกนางไม่สามารถรังแกฉินฉืออวี้ได้ด้วยความแข็งแกร่งที่ด้อยกว่า ผู้ที่ตกเป็นเป้าให้ถูกเล่นงานจึงกลายเป็นฉินอวี้โม่แทน
ทว่าฉินอวี้โม่ในตอนนี้ไม่กลัวแม้แต่น้อย หากผู้ใดกล้าท้าทายนาง นางก็ไม่รังเกียจที่จะทำให้คนเหล่านั้นรู้ว่าดอกไม้งามที่มีหนามแหลมคมเป็นเช่นไร
ขณะเดินไปตามท้องถนน ฉินอวี้โม่ก็เร่งคิดวิธีหาเงินอย่างร้อนใจ
ในตอนที่เดินผ่านตลาดในย่านที่มีแผงลอยตั้งเรียงรายเต็มถนน ฉินอวี้โม่ก็เหลือบไปเห็นผลึกกลมลูกเล็ก ๆ บนแผงลอยร้านหนึ่ง… ‘นี่สินะแก่นมายาของอสูรมายาในดินแดนนี้’
“น้องชาย แก่นมายาพวกนี้ขายยังไงหรือ ?”
ฉินอวี้โม่เดินตรงไปยังแผงลอยเล็ก ๆ ที่มีพ่อค้าเป็นเด็กชายรุ่นราวคราวเดียวกับเสี่ยวโร่วก่อนจะชี้ไปที่แก่นมายาสีเขียวลูกหนึ่งพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงหวานหยด
“อันนั้นคือแก่นมายาระดับหนึ่ง ราคาหนึ่งเหรียญทองขอรับ”
เมื่อพ่อค้าหนุ่มน้อยเห็นว่าผู้เข้ามาถามเป็นหญิงสาวจึงรีบตอบด้วยความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“หนึ่งเหรียญทอง ?”
‘แค่แก่นมายาระดับหนึ่งก็สามารถเอามาขายได้ในราคาถึงหนึ่งเหรียญทองแล้วหรือ’ ฉินอวี้โม่คิดอย่างตกตะลึง
‘เช่นนั้นก็แสดงว่าถ้าหากเป็นแก่นมายาในระดับที่สูงกว่านี้ มูลค่าของมันก็จะต้องมากกว่านี้เป็นเท่าทวีแน่ !’
คำตอบของพ่อค้าน้อยจุดประกายความคิดบางอย่างให้ฉินอวี้โม่… ‘นางสามารถออกไปล่าอสูรมายาและชิงเอาแก่นมายาของพวกมันมาได้ ด้วยวิธีนี้น่าจะได้ทั้งเงินและยังได้ทดสอบความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของตัวนางด้วย !’
หากพิจารณาจากความแข็งแกร่งของตัวนางในตอนนี้ การสังหารอสูรมายาระดับหนึ่งถึงระดับสองคงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นนัก… แผนกิจการล่าอสูรมายาเริ่มต้นขึ้นแล้ว !
หลังจากบอกลาพ่อค้าหนุ่มน้อย ฉินอวี้โม่ก็ตัดสินใจไปดู ‘สถานที่จริง’ และ ‘สินค้า’ สำหรับกิจการใหม่ของนางเพื่อเป็นการประเมินอีกครั้ง
ที่นี่คือดินแดนหวนหลิงที่มีรูปแบบใกล้เคียงกับโลกของเธอในยุคโบราณ ซึ่งในยุคนั้นก็มีอาชีพและวิธีที่สามารถทำเงินได้อยู่มากมายหลายรูปแบบ แต่ที่น่าจะทำรายได้ดีที่สุดก็คงจะเป็นอาชีพผู้หลอมโอสถ ช่างหลอมอุปกรณ์ หรืออื่น ๆ ที่ใกล้เคียง
อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยา รวมถึงวิธีการสร้างอาวุธหรือแม้แต่ความรู้เกี่ยวกับโลหะอยู่เลย หลังจากครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว นางจึงเปลี่ยนจุดหมายโดยเดินทางไปที่สมาคมทหารรับจ้างของเมืองหลิงซีก่อน
ตัวเธอในชาติก่อนมีอาชีพเป็นนักฆ่า ทักษะที่เธอช่ำชองมากที่สุดก็คือทักษะการสังหารทุกรูปแบบและการปล้นสมบัติ
และสมาคมทหารรับจ้างก็เป็นที่ที่มีความน่าจะเป็นสูงสุดที่จะมีงานเกี่ยวกับด้านนี้ให้นางทำได้ และงานอย่างเช่นการเข้าร่วมภารกิจล่าอสูรมายาก็เป็นงานที่ทำเงินได้ไม่น้อยด้วย
ฉินอวี้โม่ตัดสินใจไปยังสมาคมทหารรับจ้างเพื่อดูว่าพอจะมีงานที่เหมาะสมตามที่นางต้องการให้เลือกทำบ้างหรือไม่ ซึ่งในขณะที่ปฏิบัติภารกิจ นางก็จะได้สังหารอสูรมายาและเอาแก่นมายาของพวกมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้อีกด้วย !… อดีตคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินเดินออกจากตลาด มุ่งหน้าไปสู่จุดหมายด้วยรอยยิ้มสดใสและดวงตาแสนมุ่งมั่น
.
.
.
ตอนที่ 6 ตัดสัมพันธ์ตระกูลฉิน
“ท่านพ่อ ข้าขอถามท่าน ใครคือนายหญิงที่แท้จริงแห่งตระกูลฉิน ?”
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามนั้นของฉินอวี้โม่
เมื่อไหร่กันที่บุตรสาวคนเล็กเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนเช่นนี้ บุตรสาวที่เขาคิดเสมอว่าเป็นเพียงขยะไร้ค่าทว่าวันนี้กลับสามารถมายืนกล่าววาจาต่อหน้าเขาอย่างฉะฉาน ใบหน้าของนางสงบนิ่ง ดวงตาของนางแน่วแน่ อีกทั้งน้ำเสียงยังดุดันไม่กลัวเกรง
“แน่นอนว่าคือแม่เจ้า”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคือนายหญิงแห่งตระกูลฉินและเป็นฮูหยินของฉินเทียนอย่างถูกต้อง นางคือภรรยาคนแรก เข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกัน คำนับบิดามารดา ตบแต่งเข้ามาในตระกูลฉินตามธรรมเนียม อย่างไรก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เรื่องนี้ฉินเทียนไม่สามารถปฏิเสธได้
“เช่นนั้น ข้าขอถามอีก ระหว่างข้ากับฉินฉืออวี้ใครกันที่เป็นบุตรในสมรสของท่าน ผู้ใดที่เป็น ‘คุณหนูที่แท้จริงแห่งตระกูลฉิน’ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของบุรุษผู้ให้กำเนิด
“แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้า”
แม้ว่าเขาจะลังเลที่จะยอมรับ แต่นี่ก็เป็นเรื่องจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกัน
“ในเมื่อข้าเป็นบุตรีของฮูหยินใหญ่และเป็นบุตรตามกฎหมายอย่างถูกต้องของผู้นำตระกูล ฉะนั้นข้าก็คือผู้เป็น นาย คนหนึ่งแห่งตระกูลนี้ และหากข้าจะสั่งสอนฉินฉืออวี้ลูกอนุตอนนางทำผิด หรือการที่ท่านแม่ของข้าจะสั่งสอนอนุให้อยู่ในโอวาทมันจะมีความผิดได้อย่างไร ?!”
ฉินอวี้โม่กล่าววาจาด้วยดวงตาแข็งกร้าว น้ำที่เคยเสียงหวานใสส่งพลังน่าเกรงขาม
เมื่อฉินเทียนออกปากยอมรับว่าฉินอวี้โม่คือบุตรีในสมรสของตนอย่างถูกต้อง ผู้นำตระกูลฉินจึงสูญเสียเหตุผลทั้งหมดที่จะโต้แย้งเรื่องนี้ไปโดยปริยาย ตามธรรมเนียมและหลักปฏิบัติดั้งเดิมแล้ว ภรรยาหลวงสั่งสอนภรรยาน้อยนับว่าไม่ผิด และภรรยาคนอื่น ๆ รวมทั้งอนุทุกคนจะต้องเคารพเชื่อฟังภรรยาเอกของสามีผู้ซึ่งเป็นนายหญิงของบ้าน
ฉินเทียนน้ำท่วมปากเพราะจำนนต่อวาจาของฉินอวี้โม่ นายใหญ่แห่งตระกูลได้แต่มองบุตรสาวที่เขาคิดว่าไร้ค่าอย่างโกรธเคืองพร้อมกับแค่นเสียง
“ฉลาดพูดนี่ !”
“หึ ข้าก็แค่พูดเรื่องจริงเท่านั้น” ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงตอบกลับเย็นชา นางไม่ขอเกรงใจคนผู้นี้อีกต่อไปแล้ว
“บิดาที่รัก ข้าขอพูดอีกหน่อยก็แล้วกัน หลายปีมานี้ ด้วยสถานะของบิดาและสามี ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะไม่รู้ว่าฉินฉืออวี้และฮูหยินรองรังแกพวกเรา”
แม้ว่าน้ำเสียงจะอ่อนหวานสงบนิ่งแต่ถ้อยคำนั้นถากถางชัดเจน อีกทั้งสายตาที่นางใช้มองฉินเทียนก็เต็มไปด้วยความชิงชังและเหยียดหยาม… สำหรับเธอแล้ว ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าถือว่าน่ารังเกียจอย่างแท้จริง
“หุบปากซะ นังลูกชั่ว !”
ยิ่งฟังคำของฉินอวี้โม่ ฉินเทียนก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและตะโกนด่าทอบุตรสาวดังลั่นลานกว้าง
“เจ้าเกิดเป็นทายาทของตระกูลสูงศักดิ์ในเมืองนี้แต่กลับเป็นขยะไร้ค่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ทำให้ตระกูลฉินต้องขายหน้า ข้าอุตส่าห์ละเว้นไม่ไล่เจ้าออกจากตระกูลทั้งยังเมตตาให้ที่อยู่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ข้าถือว่าได้ทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังไม่สำนึก บังอาจทำนิสัยเลวทรามต่ำช้า กล้าลงไม้ลงมือกับฮูหยินรองและทำร้ายพี่สาวตัวเอง นังเด็กจองหอง ! เจ้าคิดหรือว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้า ?!”
“เพ่ย ! ฉินเทียน ยังกล้าพูดว่าได้ทำหน้าที่ของพ่ออีกนะ เมื่อไหร่กันที่ท่านเห็นข้าเป็นลูก ? ที่ข้าไม่ออกจากตระกูลไปก็เพราะกลัวว่าท่านจะเสียหน้า ถ้าไม่ใช่เพราะสติปัญญาของข้าที่ดิ้นรนมาได้จนทุกวันนี้ หลายปีมานี้ข้าคงตายไปเป็นร้อยครั้งแล้ว ข้าและมารดาถูกรังแกมากแค่ไหนก็ยังสู้อดทนอยู่ที่นี่ ตอนนี้ท่านต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำไป”
ฉินอวี้โม่แผดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย นางยังคงมองฉินเทียนด้วยสายตาดูแคลนและน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง… คนคนนี้คงคิดสินะว่าเธอคือฉินอวี้โม่คนเดิม ถ้าคิดว่าแค่พูดไม่กี่คำก็จะทำให้เธอซาบซึ้งได้ล่ะก็ ฝันไปเถอะ !
— เพี๊ยะ ! —
ทันทีที่สิ้นวาจาตอบโต้ของฉินอวี้โม่ เสียงฝ่ามือกระทบหน้าก็ดังขึ้น คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินรู้สึกถึงความชาซ่านบนใบหน้า
“ฉินเทียน ท่านกำลังทำอะไร ?!”
เมื่ออวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่ยืนอยู่ไม่ไกลมองเห็นฉินเทียนตบตีบุตรสาวของนาง แววแห่งความตกตะลึงในตอนที่เห็นฉินอวี้โม่เถียงผู้เป็นบิดาก็หายไปหมดสิ้นแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธแค้นขึ้นมาแทน
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าสอนลูกตัวดีของเจ้าอย่างไร ? เหตุใดถึงไม่ให้ความเคารพบิดา ทั้งยังมีกิริยาชั่วช้าเอ่ยวาจาสามหาวกับผู้อาวุโส มารดาสั่งสอนธิดาไม่ดี เจ้าเองก็มีความผิดด้วย !”
ฉินเทียนจ้องอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยสายตาดุดัน ความโกรธเคืองในดวงตาของเขาไม่ต่างจากทางฝั่งฮูหยินใหญ่นัก
“ท่านแม่ ท่านอยากจะออกจากตระกูลฉินแห่งนี้ไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ?”
“ท่านแม่ ท่านอยากจะออกจากตระกูลฉินแห่งนี้ไปพร้อมกับข้าหรือไม่ ?”
ฉินอวี้โม่จับมือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ได้แน่นอน มีเพียงลูกสาวอย่างเจ้าเท่านั้นที่อยู่เคียงข้างแม่ แม่จะสนับสนุนเจ้าเต็มที่ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางไหน”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าเห็นพ้องกับความคิดของบุตรสาว
ฉินอวี้โม่ยิ้มอ่อนโยนให้มารดาอย่างซาบซึ้ง นางสัมผัสได้ถึงความรักที่อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมีต่อนาง… ความรักของแม่… รักแท้ที่มั่นคงและมาจากก้นบึ้งของจิตใจอย่างแท้จริง
ฉินอวี้โม่หันหน้าไปมองฉินเทียนอีกครั้ง ครั้งนี้แววตาของนางเด็ดเดี่ยวจริงจังมากกว่าครั้งไหน ๆ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินจ้องมองบุรุษผู้ให้กำเนิดนิ่ง ๆ อยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงเรียบ
“ฉินเทียน ท่านกล่าวว่า ท่านถือว่าได้ทำหน้าที่พ่อแล้วด้วยการชุบเลี้ยงให้ที่พักอาศัย ข้าเองก็จะถือว่าฝ่ามือตบเมื่อครู่ของท่านเป็นการทดแทนบุญคุณทั้งหมดที่ท่านมีต่อข้า ! ข้าและมารดาจะไปจากที่นี่ ต่อไปนี้ข้าไม่ติดค้างอะไรท่านอีก นับตั้งแต่ตรงนี้เวลานี้ท่านไม่ใช่บิดาของข้าอีกแล้วและข้าก็ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตระกูลฉินของท่านอีก”
…ตอนนี้เธอถือว่าเธอใช้หนี้แทนฉินอวี้โม่คนเก่าหมดแล้ว หากว่าอีกฝ่ายยังกล้าตบหน้าเธออีก เธอก็จะสวนกลับไปสักป้าบหนึ่งอย่างแน่นอน…
แม้น้ำเสียงจะราบเรียบ แต่บางสิ่งบางอย่างขณะที่ฉินอวี้โม่เอ่ยวาจากลับให้ความรู้สึกที่เยียบเย็นถึงขีดสุดจนถึงขั้นทำให้ฉินเทียนผู้ผ่านโลกมามากยังต้องผงะไปด้วยความหวาดหวั่น
“ฉินอวี้โม่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ที่ยืนอยู่หลังฉินเทียนกล่าวขึ้นมา ทว่าแม้จะพูดเช่นนั้นออกไปแต่ในใจของนางกลับกำลังยิ้มระรื่นเบิกบาน ‘ขอเพียงฉินอวี้โม่ออกจากตระกูลนี้และพาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปด้วย ตำแหน่งฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินก็จะต้องว่างลง เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่านางจะได้ก้าวขึ้นไปเป็นฮูหยินใหญ่ เป็นนายหญิงแห่งตระกูลนี้แทน และบุตรสาวของนางก็จะได้เป็นบุตรฮูหยินใหญ่ผู้มีหน้ามีตาทัดเทียมคุณหนูตระกูลอื่น’
สิ่งที่อยู่ในใจเยี่ยเสี่ยวตี๋ตื้นเขินเสียจนไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมดูออก ฉินอวี้โม่หัวเราะอย่างดูถูก “ฮูหยินรอง นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการมิใช่หรือ ?”
“เสี่ยวโร่ว ไปเก็บเสื้อผ้า ข้าจะพาเจ้าออกไปพร้อมกับมารดาวันนี้ !”
สิ้นเสียงคำสั่งของคุณหนู เสี่ยวโร่วก็หันหลังแล้ววิ่งเข้าห้องไปทันที
“ฉินอวี้โม่ เจ้าคิดจะทรยศต่อตระกูลฉินอย่างนั้นรึ ?!”
อันที่จริงเมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้ ฉินเทียนเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน เป็นเรื่องจริงที่ว่าเขาเกลียดชังบุตรสาวคนเล็กและละเลยนางมาตลอด เพราะความอับอายเขาจึงพยายามทำตัวไม่รู้ไม่เห็นการมีตัวตนอยู่ของนาง ฉะนั้นการที่ฉินอวี้โม่ขอออกจากตระกูลฉินและตัดสายสัมพันธ์ทั้งหมดเช่นนี้ เขาก็ควรจะมีความสุข
อย่างไรก็ตาม การที่ฉินอวี้โม่ชิงเอ่ยปากตัดสายสัมพันธ์เสียก่อนมันทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก มันเสมือนว่าเขาถูกหมิ่นเกียรติและยั่วโทสะ ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำให้ใบหน้าของผู้นำตระกูลฉินชาวูบขึ้นมาทันที
“ฝันไปเถอะ เจ้าเกิดเป็นบุตรีตระกูลฉิน เจ้าก็ต้องตายเป็นผีตระกูลฉิน”
ฉินเทียนตวาดเสียงแข็งก่อนจะกล่าวต่อ “พวกเจ้า ! จับตัวนางไว้ วันนี้ข้าจะสั่งสอนนาง ข้าจะทำให้นางได้รู้ซึ้งถึงกฎของตระกูลฉิน !”
สิ้นคำสั่งของนายใหญ่แห่งตระกูล บ่าวรับใช้หลายคนที่อยู่ด้านหลังฉินเทียนก็พุ่งออกไปเพื่อจับตัวฉินอวี้โม่
“สั่งสอนรึ ? หึ ! ฉินเทียน เจ้าคนหน้าไม่อาย พอข้าอยากจะตัดสัมพันธ์พ่อลูกก็เพิ่งรู้ตัวรึว่ามีข้าเป็นบุตรสาว วันนี้ไม่ว่าอย่างไรข้ากับมารดาก็จะขอตัดขาดจากตระกูลนี้ ทำใจเสียเถิด…”
ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย นางกวาดสายตาเย็นชามองคนที่ก้าวเข้ามาใกล้ จิตสังหารอันเปี่ยมล้นแพร่กระจายออกจากร่างบางไม่หยุดยั้ง
“ท่านพี่ ข้าคิดว่าในเมื่อฉินอวี้โม่มีความต้องการเช่นนี้ แล้วฮูหยินอวี๋เองก็เห็นชอบด้วย แล้วเหตุใดท่านต้องขัดขวางพวกนางเล่า ?”
เมื่อเยี่ยเสี่ยวตี๋ได้ยินวาจาของฉินเทียน หัวใจของนางก็เต้นไม่เป็นจังหวะ คล้ายกับว่าตอนนี้สามีของนางทำท่าจะใจอ่อนเห็นอีกฝ่ายเป็นลูกขึ้นมาแล้ว นางจึงรีบกล่าวทัดทานเพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสทองที่จะได้ขึ้นเป็นฮูหยินใหญ่ไป
“ท่านพี่ ฉินอวี้โม่ไม่มีความสำคัญอะไร นางเป็นเพียงขยะไร้ค่า ให้อยู่ที่นี่ไปก็มีแต่จะสร้างความเสื่อมเสียแก่ตระกูล ปล่อยพวกนางไปเถอะเจ้าค่ะ แค่ท่านสั่งคนออกไปป่าวประกาศว่าท่านเป็นผู้ไล่พวกนางออกจากตระกูลด้วยตัวเองเพราะพวกนางละเมิดกฎร้ายแรง เพียงเท่านี้ท่านก็จะไม่ต้องเสียหน้าทั้งยังสร้างความอับอายให้พวกนางได้ด้วยนะเจ้าคะ”
เยี่ยเสี่ยวตี๋กระซิบข้างหูสามีด้วยวาจาที่อาบด้วยยาพิษ
‘ขอเพียงฉินอวี้โม่พาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นออกไปจากที่นี่ พวกนางก็จะไม่ได้รับการปกป้องอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนี้ก็ค่อยหานักฆ่ามือดีสักกลุ่ม จากนั้นก็… ฮิ ๆ’
ฉินเทียนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่ฟังคำพูดของภรรยารอง แต่เขาก็คิดว่ามันสมเหตุผลมิใช่น้อย
และเมื่อหันไปเห็นฉินอวี้โม่ที่มีใบหน้าสงบเรียบเฉยกับอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่ทอแววตาเย็นชาใส่ ฉินเทียนก็พยักหน้า
“หึ ! ในเมื่ออยากจะไป ข้าก็จะสงเคราะห์พวกเจ้า อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้ากับข้าตัดขาดกัน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเจ้าถูกไล่ออกจากตระกูลฉิน พวกเจ้าออกไปได้แล้ว แต่สิ่งของทั้งหมดของตระกูลฉินจะต้องอยู่ครบ !”
หลังจากประกาศประโยคไร้เยื่อใยนั้นแล้ว ฉินเทียนก็พาเยี่ยเสี่ยวตี๋เดินออกไปจากลานกว้าง
ฉินอวี้โม่ทำเพียงแค่ยิ้มเย้ยหยันมองตามหลังคนเหล่านั้น….นี่แหละคือสิ่งที่ เธอต้องการ
.
.
.
ตอนที่ 5 บุรุษน่ารังเกียจ
“อ๊ากก !”
เสียงที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างมากของเยี่ยเสี่ยวตี๋ดังลั่นไปทั่วลานกว้างหน้าเรือนของอวี๋เสี่ยวอวิ๋น
“หึ ! นี่ยังถือว่าน้อยไป”
เสียงของฉินอวี้โม่ฟังดูราวกับเสียงของปีศาจสาวที่กำลังกระซิบอยู่ข้างหูเยี่ยเสี่ยวตี๋ ก่อนที่เสียงต่อมาที่ฮูหยินรองแห่งตระกูลฉินจะได้ยินคือเสียง *กร๊อบ* ที่ฟังคุ้นหู… แขนอีกข้างของนางถูกฉินอวี้โม่หักจนหมุนได้รอบทิศเช่นกัน!!!
หลังจากบิดแขนเยี่ยเสี่ยวตี๋จนหัก ฉินอวี้โม่ก็เตะร่างอนุภรรยาของบิดาเต็มแรงจนนางล้มคะมำใบหน้าฟาดพื้น ก่อนจะกลิ้งหลุนๆ ไปไกล
เยี่ยเสี่ยวตี๋เจ็บจนพูดไม่ออก ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกเมื่อพบว่าในตอนนี้แขนทั้งสองข้างถูกทำลายจนใช้การไม่ได้แล้ว
ฉินอวี้โม่กวาดสายตามองไปทั่วลานกว้าง สายตาคู่งามมองเห็นคนของเยี่ยเสี่ยวตี๋พากันวิ่งเตลิดหนีตายออกไปจากลานแห่งนี้อย่างรวดเร็ว คุณหนูสี่ผู้มิใช่คนเดิมมองตามคนเหล่านั้นพลางยกมุมปากอย่างเย้ยหยัน ทว่านางกลับไม่คิดที่จะไล่ตามคนพวกนั้นไป
เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่เหลือคนที่จะทำร้ายพวกนางได้อยู่ในลานกว้าง คุณหนูผู้เลอโฉมก็รีบวิ่งเข้าไปหามารดาของตน
“ท่านแม่ไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ ?”
หลังจากมั่นใจว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดให้กังวล ฉินอวี้โม่ก็ประคองร่างของเสี่ยวโร่วที่ยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อปกป้องอวี๋เสี่ยวอวิ๋นขึ้นมา
โชคดีที่เสี่ยวโร่วเองก็ฝึกยุทธ์มาบ้าง แม้ว่านางจะไม่แข็งแกร่งนัก ทว่าก็ยังเพียงพอที่จะรับฝ่ามือของเยี่ยเสี่ยวตี๋ได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง
“คุณหนู รีบเก็บข้าวของและหนีกันเถอะเจ้าค่ะ ข้าจะหยุดคนพวกนั้นให้เอง”
เสี่ยวโร่วเห็นผู้ติดตามของเยี่ยเสี่ยวตี๋หลายคนพากันวิ่งหนีออกไป นางก็รู้ทันทีว่าคนเหล่านั้นคงจะรีบไปฟ้องนายท่านฉินเทียนเป็นแน่ แม้ว่าตอนนี้คุณหนูของนางจะไม่ใช่ขยะไร้ค่าอีกต่อไป แต่ฉินเทียนนั้นไม่ชอบหน้าฉินอวี้โม่บุตรสาวคนเล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เกิดเรื่องขึ้นครั้งนี้เห็นทีว่าเขาคงไม่ละเว้นนางแน่
นางมั่นใจว่าด้วยการชักจูงของฮูหยินรอง ผู้นำตระกูลฉินจะต้องลงโทษคุณหนูและฮูหยินของนางสถานหนักแน่
“ไม่ ไม่จำเป็นต้องวิ่งหรอก”
ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างใจเย็น นางพาเสี่ยวโร่วและฮูหยินใหญ่ตรงไปที่ม้านั่ง ก่อนจะประคองทั้งสองให้นั่งลง
เมื่อเห็นใบหน้าสงบ อีกทั้งแววตาอันเด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ของฉินอวี้โม่ ทั้งเสี่ยวโร่วและอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ไม่พูดอะไรอีก พวกนางตัดสินใจแล้วว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ พวกนางก็จะปกป้องหญิงสาวตรงหน้าด้วยชีวิต
“ฮูหยินรอง ตอนนี้ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ?”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่กองอยู่บนพื้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นจนหนาวเหน็บและแผ่วเบาสั่นประสาท
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามันตัวเดรัจฉาน ปีศาจตนไหนสิงสู่เจ้าอยู่กันแน่ ?!”
เยี่ยเสี่ยวตี๋รู้สึกขนลุกกับวาจาของฉินอวี้โม่ นางอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นอย่างตื่นกลัว ความแข็งแกร่งที่ฉินอวี้โม่แสดงออกมาอย่างกะทันหันนี้น่ามหัศจรรย์จนเกินมนุษย์และชวนให้ตื่นตระหนกได้อย่างแท้จริง !
เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น ขยะไร้ค่าอย่างคุณหนูสี่ตระกูลฉิน เหตุใดจู่ ๆ ถึงแข็งแกร่งขึ้นมาได้ หรือแท้จริงแล้วฉินอวี้โม่จะปิดบังความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนมาโดยตลอด ?
“ปีศาจรึ ? ฮ่า ๆ ๆ !”
ฉินอวี้โม่หัวเราะแล้วกล่าว “ฮูหยินรอง ข้าเพียงแค่กำลัง ‘คืน’ สิ่งท่านมอบให้ข้าในตลอดหลายปีมานี้ก็เท่านั้น น้ำใจท่านกว้างขวางนักคงต้องตอบแทนให้สาสม ! ฉะนั้น ข้าจึงคิดว่าจะค่อย ๆ คืน ‘สิ่งเหล่านั้นให้ท่าน’ เตรียมตัวให้ดีเถอะ เตรียมใจรับสิ่งที่ท่านทำไว้ในหลายปีมานี้ มันไม่จบง่าย ๆ แน่”
แม้ไม่มีใครทราบเลยว่าหลายปีมานี้ฉินอวี้โม่ต้องอยู่อย่างอัปยศอดสูมากเพียงใด ความเจ็บช้ำและคับแค้นใจที่นางได้รับไม่สามารถบรรยายออกมาให้หมดได้ ทว่าฉินอวี้โม่คนใหม่ที่ได้รับสืบทอดความทรงจำของนางมานั้นรู้ดี… และ ‘เธอ’ จะเป็นคนเอาคืนให้เอง !
เยี่ยเสี่ยวตี๋และฉินฉืออวี้ต่างก็อิจฉารูปโฉมงดงามและสถานะลูกฮูหยินใหญ่ของฉินอวี้โม่ พวกนางสองแม่ลูกข่มเหงรังแกหญิงสาวผู้มีศักดิ์สูงกว่ามาโดยตลอด ยิ่งกว่านั้น เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ไม่เคยเคารพยำเกรงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่เป็นภรรยาเอกเลย ตรงกันข้ามสิ่งที่นางทำยังเรียกได้ว่าหยามเกียรติฮูหยินใหญ่ของตระกูล ! แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและบุตรสาวจะอ่อนแอกว่าและไร้หนทางสู้ แต่เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยังคอยแต่จะหาเรื่องสองแม่ลูกมาโดยตลอด… ทั้งหมดนี้… ฉินอวี้โม่คนนี้จะคิดบัญชีแค้นให้เอง
“นังปีศาจ เจ้าไม่กลัวหรือว่าจะถูกบิดาเจ้าลงโทษที่ทำเช่นนี้ ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ตวาดลั่น การกล่าวออกไปเช่นนั้นเสมือนเป็นการเรียกขวัญกำลังใจให้นางเอง ซึ่งมันก็สร้างความกล้าให้นางได้ไม่น้อย
ในสายตาของเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฉินอวี้โม่ในตอนนี้คือปีศาจร้าย นางน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง คุณหนูสี่ สตรีไร้ค่า ขยะแห่งตระกูล ผู้ที่นางเคยข่มเหงรังแกอย่างสนุกสนานกำลังทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวจากก้นบึ้งของจิตใจ !
“หึ หึ เขาเคยเห็นข้าเป็นบุตรสาวตั้งแต่เมื่อใดกัน ? แล้วเมื่อใดกันที่คนผู้นั้นเคยทำหน้าที่ของผู้เป็นพ่อ ?!”
รอยยิ้มของฉินอวี้โม่เย็นเยียบชวนเหน็บหนาวเมื่อนึกถึงบิดาที่ไม่เคยมาเหลียวแลพวกนางแม่ลูก ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ไม่ว่ามารดาของนางจะมีชีวิตอยู่ดีหรือไม่ ฉินเทียนมิเคยมาสนใจไยดี
“นังลูกชั่ว ! เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?!”
“นังลูกชั่ว ! เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?!”
สิ้นเสียงของฉินอวี้โม่ เสียงอันเดือดดาลของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น ทันใดนั้นร่างสูงใหญ่ของฉินเทียนก็เดินผ่านประตูเข้ามายังลานกว้าง
ฉินเทียนคือผู้นำแห่งตระกูลฉิน เขาเป็นบิดาของฉินอวี้โม่ ความแข็งแกร่งของเขานับว่าอยู่แถวหน้าของเมืองหลิงซี เขาคือยอดฝีมือที่อยู่ขอบเขตมายารัตนะระดับห้าดารา ยิ่งกว่านั้นในหลายปีมานี้ เขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อพัฒนาตระกูลฉินให้ขึ้นไปอยู่แถวหน้าของเมือง แท้จริงแล้วอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้นำที่ดีเลิศคนหนึ่ง หากไม่เสียที่คนผู้นี้ใจดำอำมหิต ปล่อยปละละเลยภรรยาเอกและเหยียดหยามชิงชังบุตรสาวในอุทร
อย่างไรก็ตาม ในสายตาของฉินอวี้โม่ เขาไม่ดีพอที่จะให้เคารพนับถือ… ไม่ดีพอให้เรียกว่า ‘พ่อ’ เสียด้วยซ้ำ
ฉินเทียนโปรดปรานเพียงอนุ เขาละเลยอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นภรรยาเอกและสำหรับบุตรทั้งสองที่เกิดจากอวี๋เสี่ยวอวิ๋นนั้น เขาก็ไม่เคยทำหน้าที่ของผู้เป็นบิดาเลยสักครั้ง
มิใช่เพียงไม่รักแต่เขายังไร้เยื่อใยอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญที่สุดคือเขาเกลียดชังความไร้ประโยชน์ของฉินอวี้โม่
หลายต่อหลายปีที่ผ่านมา เขาปล่อยให้ภรรยารองข่มเหงรังแกอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นภรรยาเอกและลูกของนาง เขาไม่เคยลงโทษ ไม่เคยห้ามปราม ไม่เอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ยิ่งกว่านั้น ฉินเทียนแทบจะมิเคยเหยียบย่างเข้าไปในเรือนที่ฮูหยินใหญ่อยู่เลยสักครั้ง เรื่องนี้ทำให้สองแม่ลูกรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและผิดหวังในตัวคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
ในครั้งนี้ เหตุผลเดียวที่เขาต้องเข้ามายังอาณาเขตของเรือนเล็กหลังนี้ก็เป็นเพราะต้องการมาช่วยเยี่ยเสี่ยวตี๋ภรรยาคนโปรด
เมื่อเยี่ยเสี่ยวตี๋เห็นว่าสามีมาถึงแล้ว นางก็รู้สึกมีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด
ฮูหยินรองแห่งตระกูลฉินพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น นางใช้แขนสองข้างที่หมดสภาพปัดป่ายไปมาสะเปะสะปะก่อนจะถลาเข้าสู่อ้อมแขนของฉินเทียนได้ในที่สุด ผู้ที่เคยปากกล้าด่าทอและจงใจจะลงมือตีผู้อื่นให้ตายมา บัดนี้กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนแอและใบหน้าที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตาอย่างน่าสงสาร “ท่านพี่ ท่านต้องทวงความเป็นธรรมให้ข้าด้วย !”
เมื่อเห็นแขนสองข้างที่บิดเบี้ยวผิดรูปของเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฉินเทียนก็ขมวดคิ้วและเอ่ยถาม “เสี่ยวตี๋ เกิดอะไรขึ้นกับแขนเจ้า ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋กล่าวด้วยใบหน้าหมองเศร้า น้ำตายังคงรินไหลไม่หยุด “ท่านพี่ ฉินอวี้โม่เป็นคนทำร้ายข้า !”
จากนั้นสตรีผู้กำลังออดอ้อนสามีก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้กับสามีของนางฟัง และแน่นอนว่า เรื่องเล่า… ไม่สิ… บทละคร ฉบับที่นางใส่สีตีไข่และถ่ายทอดออกมานั้นแตกต่างไปจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงโดยสิ้นเชิง
นางบรรยายให้ฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นเป็นสองแม่ลูกที่ไร้เหตุผล ฉินฉืออวี้ไปเยี่ยมเยียนเรือนของฉินอวี้โม่อย่างเป็นมิตรในยามเว่ย ทว่ากลับถูกฉินอวี้โม่ทำร้ายจนมือเท้าใช้การไม่ได้ ส่วนตัวนางเองเพียงแค่จะมาถามไถ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับบุตรสาว ทว่ากลับถูกฮูหยินใหญ่และคุณหนูสี่รุมรังแกอย่างไร้เหตุผลไปอีกคน ส่วนแขนของนางที่หมดสภาพไปก็เป็นฝีมือของฉินอวี้โม่ด้วย
ยิ่งเล่า เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น ตอนนี้นางสะอึกสะอื้นเสียจนพูดไม่เป็นประโยคไปเสียแล้ว
“หยุดร้องเถอะเสี่ยวตี๋ เจ้าวางใจได้เลย ข้าจะต้องให้ความเป็นธรรมกับเจ้าแน่”
ฉินเทียนประคองเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่อยู่ในอ้อมแขนให้นั่งลง ก่อนจะหันไปมองอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและฉินอวี้โม่ด้วยสายตาที่โกรธจัด
“ตอนนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกแข็งแกร่งขึ้นแล้วสินะ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าพวกเจ้าสองคนไปทำอะไรมา !”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นมองฉินเทียนด้วยสีหน้าที่หม่นหมองลงเล็กน้อย เมื่อได้เห็นความรักที่ผู้ชายตรงหน้ามอบให้สตรีที่อยู่เคียงข้าง สภาพจิตใจของนางก็ย่ำแย่ลงยิ่งกว่าเดิม
ด้านฉินอวี้โม่นั้นรับรู้ได้ถึงความรู้สึกของผู้เป็นมารดา นางจับกุมมือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไว้อย่างนุ่มนวล
เมื่อเห็นกิริยาของบุตรสาว อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็คลี่ยิ้มบางส่งให้ เมื่อมีฉินอวี้โม่อยู่ข้าง ๆ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเพราะเหตุใดแต่นางกลับรู้สึกเบาใจขึ้นได้อย่างประหลาด ตอนนี้นางสนใจเพียงแค่ลูกของนางเท่านั้น ส่วนเรื่องของผู้อื่นมิใช่ธุระใด ๆ ของนางอีกแล้ว
ในที่สุดฉินอวี้โม่ก็เปิดปาก “‘บิดา’ ที่รักของข้า ท่านช่วยบอกข้าหน่อยสิว่าพวกเราทำได้ดีรึไม่ ?”
“เด็กสามหาว ! แค่เอาชนะพี่สาวและแม่รองของตัวเองได้ก็คิดว่าตัวเจ้าวิเศษมากแล้วอย่างนั้นรึ ?”
ฉินเทียนกล่าวอย่างเย็นชาพลางมองไปที่ฉินอวี้โม่ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นต้องการจะกล่าวบางอย่างทว่านางก็ถูกฉินอวี้โม่หยุดไว้เสียก่อน
“บิดาที่รักของข้า ข้ามีคำถามจะถามท่าน”
ฉินอวี้โม่จ้องมองฉินเทียนอย่างแข็งกร้าว ความรู้สึกในตอนนี้ทำให้นางยิ้มไม่ออก วันนี้นางตัดสินใจแล้วว่าจะสะสางความทั้งหมดกับบุรุษที่น่ารังเกียจผู้นี้ !
.
ตอนที่ 4 ก็แค่อนุภรรยา (1/2)
ตอนที่ 4 ก็แค่อนุภรรยา
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าสั่งสอนนังลูกตัวดีของเจ้ายังไงกัน ? ดูซิ นังเด็กเหลือขอนั่นทำอะไรกับลูกข้า !”
ณ ลานกว้าง มารดาของฉินฉืออวี้ หรือก็คือฮูหยินรองแห่งตระกูลฉิน–เยี่ยเสี่ยวตี๋ ถลึงตามองอวี๋เสี่ยวอวิ๋นด้วยสายตาเหยียดหยามและเปิดปากด่าทอฮูหยินใหญ่ของตระกูลอย่างโกรธเคือง
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ ลูกข้าทำอะไร ? เจ้าบอกข้าหน่อยได้รึไม่ ?”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นที่หน้าเรือน เมื่อนางออกมาดูก็มองเห็นเยี่ยเสี่ยวตี๋ภรรยาอีกคนของสามียืนตะโกนเรียกฉินอวี้โม่อย่างโกรธแค้นอยู่ในลานกว้าง ทันทีที่เห็นใบหน้าของสตรีผู้นั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา นางถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายก่อนจะออกไปต้อนรับ ‘ผู้มาเยือน’
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น เจ้าอย่ามาแกล้งโง่ ยามเว่ย*อวี้เอ๋อร์อุตส่าห์มีน้ำใจมาที่นี่เพื่อดูว่าฉินอวี้โม่กลับมารึยัง คิดไม่ถึงเลยว่าลูกข้าจะกลับเรือนด้วยสภาพที่มือเท้าอ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น ข้าเชิญหมอชื่อดังมาตรวจดูอาการของนาง ทว่าก็ยังไม่ทราบสาเหตุ เจ้าลองบอกข้าซิว่าถ้าไม่ใช่ฝีมือลูกเจ้าแล้วจะเป็นใคร !”
(*ยามเว่ย หมายถึง เวลา 13.00 – 14.59)
น้ำเสียงของเยี่ยเสี่ยวตี๋เต็มไปด้วยความเดือดดาล เมื่อนึกถึงสภาพที่น่าอนาถของบุตรสาว หัวใจนางก็รู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
อวี้เอ๋อร์ของนาง เป็นดรุณีอนาคตไกลและนับเป็นผู้มีพรสวรรค์สูงส่งผู้หนึ่งแห่งเมืองหลิงซี แต่ทว่าในตอนนี้ นางกลับทำไม่ได้แม้แต่จะขยับมือเท้า แล้วจะให้คนเป็นแม่อย่างนางอดทนดูอยู่เฉย ๆ ได้อย่างไร
ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ ความโกรธของเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยิ่งคุกรุ่นรุนแรง ฮูหยินรองแผดเสียงดังต่อไปอย่างไม่ไว้หน้า “ฉินอวี้โม่ นังเด็กชั่วช้า ทำไมยังไม่โผล่หัวออกมาอีก?”
“ฉินอวี้โม่! ได้ยินหรือไม่! ถ้าเจ้ายอมบอกความจริง ข้าจะยอมละเว้นให้สักครั้ง !”
“…………”
“ใครก็ได้เข้าไปลากตัวฉินอวี้โม่ออกมา วันนี้ข้าจะเค้นคอนางให้ได้ว่านางทำอะไรกับลูกข้า !”
เยี่ยเสี่ยวตี๋พาคนของนางมาด้วยจำนวนหนึ่ง เมื่อสิ้นคำสั่ง เหล่าคนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็เตรียมจะบุกเข้าไปในห้องนอนของฉินอวี้โม่ แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะก้าวเท้า เสียงตวาดก็ดังขึ้น
“หยุดนะ พวกเจ้ากล้าเหรอ ?!”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นแผดเสียงลั่นด้วยความโกรธ แม้ว่านางจะไร้ซึ่งพลังแต่นางก็ไม่เคยคิดจะยอมถอยให้เยี่ยเสี่ยวตี๋เลย
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น แม้แต่ฝึกยุทธ์เจ้ายังทำไม่ได้ แม้แต่ปกป้องตัวเองเจ้ายังไม่มีปัญญา แล้วเจ้ากล้าดียังไงถึงมาขวางทางข้า ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋มองดูสตรีอ่อนแอผู้ถูกเรียกขานว่าฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลด้วยสายตาเหยียดหยาม แม้ตาจะจับจ้องอยู่ที่ร่างบอบบางของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นแต่ปากเอ่ยสั่งความคนรับใช้ “ไปเอาตัวฉินอวี้โม่ออกมา วันนี้ข้าจะทำให้อวี๋เสี่ยวอวิ๋นได้รู้ว่า ใครกันแน่ที่เป็นใหญ่ในตระกูลฉิน !”
“ใครเป็นใหญ่นั้นข้าไม่ทราบ ข้าทราบแต่ว่าเจ้ามันก็เป็นแค่ ‘อนุภรรยา’!”
ในตอนนั้นเอง เสียงหวานล้ำของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้น เยี่ยเสี่ยวตี๋ได้ยินวาจาที่จงใจเสียดสีตัวนางเข้าเต็มหู ขณะเดียวกันประตูห้องนอนของฉินอวี้โม่ก็เปิดออก ร่างบางของคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินก้าวออกมา
“ฉินอวี้โม่ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไร ?!”
ใบหน้าของเยี่ยเสี่ยวตี๋ชาไปชั่วขณะหลังจากได้ยินคำพูดของฉินอวี้โม่ สตรีผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นเมียรองถามออกไปอย่างเดือดดาล
“ข้าบอกว่าเจ้าเป็นแค่อนุ ทำไม ข้ากล่าวผิดไปอย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้าง ๆ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้เป็นมารดา
“ท่านแม่เจ้าคะ ตรงนี้ปล่อยให้ข้าจัดการเองเถอะเจ้าค่ะ !”
เมื่อกล่าวจบคุณหนูผู้เลอโฉมก็ส่งสายตาเป็นสัญญาณบอกให้สาวใช้พามารดาของตนกลับไปพัก หญิงสาวยืนประจันหน้ากับเยี่ยเสี่ยวตี๋ที่กำลังโกรธจัดอย่างไม่กลัวเกรง
คำพูดของฉินอวี้โม่สร้างความเจ็บปวดให้เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่น้อย หลายปีมานี้ แม้ว่าฉินเทียนจะโปรดปรานนางมากจนยอมให้นางได้มีสิทธิ์มีเสียงเป็นใหญ่ในตระกูลนี้ และกระทั่งให้คนในตระกูลใช้คำเรียกขานนางว่า ‘ฮูหยิน’ แต่ทว่าในสายตาของคนภายนอก เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ยังคงเป็นได้เพียงภรรยารองที่มิอาจจะเทียบเคียงตำแหน่งภรรยาเอกได้อยู่ดี
แม้แต่ในดินแดนที่ให้ความเคารพนับถือต่อผู้ที่แข็งแกร่งเช่นแผ่นดินหวนหลิงแห่งนี้ ทว่าหากกล่าวถึงสถานะอย่างเรื่องภรรยาหลวงภรรยาน้อยก็ไม่ได้แตกต่างจากที่อื่น ๆ มากนัก อย่างไรเสีย ภรรยารองก็ยากที่จะได้รับการนับหน้าถือตาไม่ว่าสตรีผู้นั้นจะแข็งแกร่งหรือมีอำนาจมากเพียงใดก็ตาม
เหตุผลที่เยี่ยเสี่ยวตี๋เป็นที่รักใคร่โปรดปรานของฉินเทียนจนได้เข้ามาเป็นฮูหยินรองของตระกูลฉินนั่นก็เพราะว่า นางเป็นหญิงสาวที่ค่อนข้างเฉลียวฉลาด หากเป็นสตรีธรรมดาคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินวาจาทิ่มแทงใจของฉินอวี้โม่ก็อาจจะแค้นเคืองจนคุมสติไม่อยู่ไปแล้ว
เยี่ยเสี่ยวตี๋รู้ดีว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วยุ นางทำเพียงแค่สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งก่อนจะกล่าว
“ฉินอวี้โม่ ครั้งนี้เจ้ากล้ามาก ไม่คิดเลยว่าขยะอ่อนแออย่างเจ้าจะกล้าท้าทายข้า !”
ตอนที่ 4 ก็แค่อนุภรรยา (2/2)
“ฉินอวี้โม่ ครั้งนี้เจ้ากล้ามาก ไม่คิดเลยว่าขยะอ่อนแออย่างเจ้าจะกล้าท้าทายข้า !”
เยี่ยเสี่ยวตี๋พบว่า ฉินอวี้โม่ที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ดูแตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคน แต่ทว่านางกลับมองไม่ออกว่านังเด็กน่ารังเกียจนี่เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร
“ข้าแค่พูดเรื่องจริง ยิ่งกว่านั้น ข้าจำได้ว่าสถานะบุตรของฮูหยินใหญ่อย่างข้าสูงส่งกว่า ‘อนุภรรยา’ อย่างเจ้า !”
แม้ว่าในขณะที่กำลังเอื้อนเอ่ยวาจาใบหน้านวลของฉินอวี้โม่จะปรากฏรอยยิ้มน้อย ๆ อยู่ตลอด แต่ด้วยความหมายเชือดเฉือนในประโยคนั้นก็ทำให้เยี่ยเสี่ยวตี๋เดือดดาลยิ่งขึ้นกว่าเดิม
“ฮ่า ๆ ๆ ฉินอวี้โม่ ข้าไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับเจ้า” เยี่ยเสี่ยวตี๋กล่าวอย่างใจเย็น นางเผยรอยยิ้มงดงามแทนที่จะแสดงอาการโกรธเคือง “ข้ามาเพื่อจะถามว่าเจ้าทำอะไรกับอวี้เอ๋อร์ ?”
เยี่ยเสี่ยวตี๋จ้องหน้าสตรีผู้อ่อนวัยกว่าแล้วกล่าวต่อ “ทางที่ดีเจ้ารีบบอกความจริงมาดีกว่า มิฉะนั้นก็อย่ามาหาว่าข้ารังแกเจ้า”
เมื่อได้ยินถ้อยคำข่มขู่ของเยี่ยเสี่ยวตี๋ ฉินอวี้โม่ก็ยิ้มขำในทันที “ฮูหยินรองลืมไปแล้วหรือว่า ข้าเป็นแค่ขยะไร้ค่า ส่วนอวี้เอ๋อร์ของท่านเป็นถึงอัจฉริยะแห่งเมืองหลิงซี แล้วตัวข้าจะไปทำอะไรนางได้ ?”
ประโยคประชดประชันนั้นของฉินอวี้โม่ทำให้เยี่ยเสี่ยวตี๋ชะงักไป
ใช่แล้ว ฉินอวี้โม่ไร้ค่าไม่อาจฝึกยุทธ์ได้ เรื่องนี้ทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว คนอย่างฉินอวี้โม่ไม่สามารถทำอะไรอวี้เอ๋อร์ของนางได้อยู่แล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้เยี่ยเสี่ยวตี๋เองก็ทราบดี อย่างไรก็ตาม ก่อนมาที่นี่นางได้ถามบุตรสาวมาแล้ว ฉินฉืออวี้กัดฟันกล่าวว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่ทำร้ายนาง และเยี่ยเสี่ยวตี๋ก็เชื่อว่าบุตรสาวของตนไม่ได้พูดโกหก
“ฉินอวี้โม่ ไม่ต้องมาเฉไฉ อวี้เอ๋อร์มาหาเจ้าที่นี่ก่อนที่นางจะกลับออกไปด้วยสภาพนั้น รีบบอกมาว่าเจ้าใช้ลูกไม้อะไรกับนาง !”
“จุ๊ จุ๊ จุ๊ ไม่คิดเลยว่าท่านจะฉลาดขนาดนี้”
ฉินอวี้โม่ได้ยินก็แย้มยิ้มอีกครั้งแล้วกล่าว “ฮูหยินรองอยากจะรู้หรือไม่ว่าหลังจากนี้ฉินฉืออวี้จะเป็นอย่างไรต่อไป ?”
เมื่อเห็นรอยยิ้มร้ายแปลกประหลาดของฉินอวี้โม่ เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี แต่ถึงอย่างนั้น นางก็ยังอยากจะรู้สถานการณ์ของบุตรสาว นางกล่าวถามด้วยน้ำเสียงกังวล “เจ้าทำเรื่องชั่วร้ายอะไรลงไป ?!”
“อนุเยี่ย โอ๊ะ ! ไม่สิ ฮูหยินรอง ท่านก็กล่าวหาข้าเกินไป ข้าก็แค่ทำให้ฉินฉืออวี้ไม่อาจจะฝึกยุทธ์ได้อีกเท่านั้น มันก็เหมือนกับข้าก่อนหน้านี้นั่นแหละ ท่านไม่ต้องตื่นตระหนกไปนักหรอก” ฉินอวี้โม่ยิ้มเย้ยหยันเย็นชา ใบหน้างดงามของนางกำลังรื่นเริงอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะกล่าวต่อ “จริงสิ ! ดูเหมือนจะมีข้อแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย เพราะว่าฉินฉืออวี้ไม่ได้มีรูปลักษณ์ที่ดีนัก ดังนั้นถ้านางกลายเป็นขยะไร้ค่า ข้าเกรงว่าทั้งชีวิตนี้นางคงไม่มีโอกาสจะได้แต่งงาน”
วาจาของฉินอวี้โม่ถากถาง น้ำเสียงที่นางใช้ก็แสนเย้ยหยัน แต่ทว่าแววตาคู่งามกลับเต็มไปด้วยความสนุกสนาน นางกำลังสะใจที่ได้เห็นว่าใบหน้าที่กำลังโกรธจัดของเยี่ยเสี่ยวตี๋นั้นดูน่าเกลียดมากแค่ไหน
“ฉินอวี้โม่ เจ้ามันสัตว์เดรัจฉาน วันนี้ข้าจะทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ไม่สู้ตาย !”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ตะโกนอย่างโกรธแค้น เมื่อคิดถึงสภาพของบุตรสาวที่ตนแสนภูมิใจ นางก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ตอนนี้นางกำลังจะคลุ้มคลั่งแล้ว
แม้ว่าร่างกายของเยี่ยเสี่ยวตี๋จะไม่ได้นับว่าแข็งแกร่งมากนัก แต่นางก็ฝึกฝนจนเข้าถึง ‘ขอบเขตจิตมายาเจ็ดดารา’ และคนที่นางพามาด้วยก็ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตจิตมายาทั้งหมด ภายใต้คำสั่งของเยี่ยเสี่ยวตี๋ พวกเขาทุกคนก็พุ่งเข้าล้อมฉินอวี้โม่เอาไว้
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชา ก็แค่ขอบเขตจิตมายาไม่กี่คน นางไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
–ปัง !–
ทันทีที่คนของเยี่ยเสี่ยวตี๋คนแรกพุ่งเข้าไปถึงตัวฉินอวี้โม่ เสียงดัง *ปัง* สั้น ๆ ก็เกิดขึ้น ก่อนที่คนอื่น ๆ จะพบว่าคนผู้นั้นถูกฉินอวี้โม่เตะจนกระเด็นออกไปและล้มกลิ้งลงกับพื้น
ฉินอวี้โม่ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น นางฉวยโอกาสในตอนที่ทุกคนชะงักค้างด้วยความตกตะลึง ซัดฝ่ามือข้างหนึ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อีกคนที่อยู่ใกล้ ๆ
“ฉินอวี้โม่เป็นแค่ขยะไม่ใช่รึ ? เหตุใดถึงแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ !”
ตอนที่เห็นความเร็วในการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่นางก็ประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้จะยังไม่เร็วมากนักแต่สำหรับขยะอย่างฉินอวี้โม่ก็นับว่าแปลกประหลาดแล้ว ทว่าหลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายเล่นงานคนของนางให้หมอบลงไปได้อย่างง่ายดาย เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ในตอนนั้นเอง เยี่ยเสี่ยวตี๋ก็เหลือบไปเห็นอวี๋เสี่ยวอวิ๋นและเสี่ยวโร่วยืนหลบอยู่ตรงมุมหนึ่ง สตรีผู้กำลังอาฆาตแค้นก็พุ่งเข้าไปหมายจะเล่นงานพวกนาง
“นายหญิง หนีเร็ว !”
เมื่อเห็นเยี่ยเสี่ยวตี๋พุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยความเร็วระดับสูงสุด เสี่ยวโร่วก็รีบผลักร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นให้หลบออกไปก่อนที่ร่างของนางจะถูกเยี่ยเสี่ยวตี๋ซัดจนกระเด็นไปไกล
“อวี๋เสี่ยวอวิ๋น มอบชีวิตของเจ้ามาซะ !”
เยี่ยเสี่ยวตี๋ไม่หยุดมือ นางไล่ตามอวี๋เสี่ยวอวิ๋นต่อไป
“เยี่ยเสี่ยวตี๋ เป็นเจ้ามากกว่าที่ต้องมอบชีวิตมา !”
ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวตรงหน้าเยี่ยเสี่ยวตี๋ราวกับผีสาง ใบหน้างดงามเผยยิ้มเยือกเย็น นางยื่นมือออกมาและคว้าแขนของฮูหยินรองเอาไว้
— กร๊อบ ! —
เสียงกระดูกหักดังลั่นขึ้น แขนของเยี่ยเสี่ยวตี๋ถูกฉินอวี้โม่บิดจนหัก ตอนนี้มันกำลังห้อยต่องแต่งอยู่กับไหล่ของนางและดูเหมือนจะสามารถหมุนได้รอบทิศ !
.
.
.
ตอนที่ 3 กายเทพมายา
ตระกูลฉินเป็นตระกูลใหญ่ พื้นที่ภายในจวนจึงกว้างขวางใหญ่โต สองแม่ลูกฉินอวี้โม่และอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้รับการเหลียวแลจากผู้นำตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว ดังนั้นพื้นที่ส่วนตัวของพวกนางจึงตั้งอยู่ในจุดที่ห่างไกลจากเรือนใหญ่และหมู่เรือนอื่น ๆ มาก
ส่วนที่เป็นลานกว้างของตระกูลอยู่ในบริเวณที่ใกล้กับเรือนเล็กที่ฮูหยินใหญ่ใช้พำนักกับบุตรสาว เหล่าบริวารและคนรับใช้ของพวกนางก็มีอยู่เพียงน้อยนิดทำให้ในส่วนนี้ไม่ค่อยมีผู้ใดผ่านไปผ่านมา ดังนั้นในตอนนี้ แม้ว่าฉินฉืออวี้จะร้องตะโกนอย่างไรก็ยังไม่มีผู้ใดมาช่วย
ยิ่งเมื่อมองเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันระคนสมเพชของฉินอวี้โม่ รวมกับมือเท้าที่ไม่สามารถควบคุมได้ดังเดิมของตนเอง ใบหน้าของฉินฉืออวี้ก็ซีดเผือด
ในตอนนั้นเอง เสียงตะโกนดีใจเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของฉินอวี้โม่–เสี่ยวโร่ว ก็รีบรุดเข้ามาหา
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว”
เมื่อเห็นว่าคุณหนูของนางกลับมาแล้ว เสี่ยวโร่วก็รีบวิ่งมาหาด้วยความตื่นเต้นยินดี ก่อนหน้านี้นางเป็นกังวลและร้อนใจมาก นางไม่ทราบว่าเหตุใดวันนี้ตอนที่คุณหนูสี่ออกจากจวนไปจึงไม่เรียกนางออกไปด้วย เมื่อฮูหยินใหญ่ยังเห็นนางอยู่แต่ไม่พบบุตรสาวของตัวเองจึงใช้ให้นางออกไปตามหา
ทว่านางกลับหาฉินอวี้โม่ไม่พบ ในตอนที่กำลังกลับมารายงาน เสี่ยวโร่วก็เห็นคุณหนูของนางยืนอยู่ในลานกว้าง คนรับใช้สาวโล่งใจราวกับยกภูเขาออกจากอก
ทว่าเมื่อหันไปเห็นร่างของฉินฉืออวี้อยู่บนพื้น สีหน้าของเสี่ยวโร่วก็เปลี่ยนไปทันที นางวิ่งเข้ามายืนขวางหน้าฉินอวี้โม่ สาวใช้ผู้ซื่อสัตย์เอาตัวบังเจ้านายของตนไว้อย่างปกป้อง
“เสี่ยวโร่ว ส่งฉินฉืออวี้กลับไปที่เรือนของนางด้วย ถ้าหากฮูหยินรองเอ่ยถามอะไรมากความ เจ้าก็บอกให้นางมาถามข้าด้วยตัวเอง”
ฉินอวี้โม่สั่งสาวใช้ก่อนจะหันไปพยุงอวี๋เสี่ยวอวิ๋นให้ลุกขึ้น
“ท่านแม่กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด ถ้าหากมีอะไรที่ท่านสงสัย ลูกขออธิบายให้ฟังในภายหลังนะเจ้าคะ”
ฉินอวี้โม่กล่าวกับมารดาประโยคหนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ประคองนางกลับเข้าเรือน
…
ขณะกำลังนั่งสมาธิอยู่บนเตียงนอน ฉินอวี้โม่ก็ควบคุมจิตสำนึกของตนเข้าสู่กาย นางใช้จิตสมาธิเพ่งพินิจทุกส่วนทั่วสรรพางค์กาย นาง… ไม่สิ… เธอ ต้องการสำรวจร่างกายของฉินอวี้โม่คนเก่า
เป็นตอนนี้เองที่เธอได้เห็นอย่างแจ่มชัดว่าร่างกายของคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินผู้นี้ยุ่งเหยิงเพียงใด ยิ่งกว่านั้นกายยังทั้งร้อนทั้งเย็นไร้ซึ่งความสมดุล หญิงสาวผู้เคยเป็นมือสังหารแห่งศตวรรษที่ 21 จึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างขัดใจ
และทันทีที่นำจิตเข้าสู่จุดตันเถียน ฉินอวี้โม่ก็สัมผัสถึงแสงแพรวพราวที่พุ่งเข้าใส่ แสงนั้นสว่างเจิดจ้าจนเธอไม่สามารถมองได้และต้องหลับตาลง เมื่อหญิงสาวในห้วงจิตลืมตาขึ้นอีกครั้ง เธอก็ต้องพบว่าตอนนี้จิตของเธอไม่ได้อยู่ในจุดตันเถียนของฉินอวี้โม่อีกแล้ว
“ฮิ ๆ ๆ สาวน้อย ข้ารอเจ้าอยู่นานแล้ว”
ทันใดนั้นเสียงนุ่มนวลเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในขณะเดียวกันตรงหน้าของฉินอวี้โม่ก็ปรากฏเป็นเงามายาร่างหนึ่ง
แม้จะบอกได้ว่าเงาร่างนี้เป็นผู้หญิง แต่ฉินอวี้โม่กลับมองเห็นใบหน้าของนางได้ไม่ชัดนัก
“เธอเป็นใคร ? แล้วตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน ?”
ฉินอวี้โม่ถามอย่างใจเย็น เพราะในอดีตชาติเธอเป็นมือสังหารผู้เก่งกาจ ในสถานการณ์แบบนี้ หญิงสาวจึงไม่มีอารมณ์ความหวาดกลัวใด ๆ
“สาวน้อย เจ้าก็ยังอยู่ในตัวของเจ้า เพียงแต่เข้ามาอยู่ภายในผนึกที่ข้าเป็นผู้สร้างเอาไว้”
หญิงสาวผู้นั้นเปิดปากพูด น้ำเสียงของนางอู้อี้เล็กน้อย
“ผนึก ?” ฉินอวี้โม่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เป็นเพราะผนึกนี้สินะที่ทำให้ฉินอวี้โม่คนก่อนไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธ์ได้ ?”
“โอ้ ! ฉลาดนี่สาวน้อย”
หญิงสาวลึกลับเอ่ยชมจากใจก่อนกล่าวต่อ “สาวน้อย เจ้าอย่าถามอะไรให้มากความเลย ตอนนี้ข้ายังบอกเจ้าไม่ได้ ข้าบอกเจ้าได้เพียงแค่ว่า ‘ที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ก็เพราะโชคชะตา หาใช่เหตุบังเอิญ’”
เมื่ออดีตนักฆ่าสาวได้ฟังคำกล่าวของหญิงสาวผู้นั้นก็ชะงักไปเล็กน้อย ‘ดูเหมือนเรื่องนี้จะมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาบางอย่าง’
“ถ้างั้นฉันจะไม่ถามเรื่องนั้นก็แล้วกัน แต่ขอถามหน่อยว่าทำไมเธอต้องลงผนึกนี้ไว้ในร่างของคุณหนูสี่คนนี้จนคนภายนอกคิดว่านางเป็นขยะไร้ค่าด้วย ?”
ฉินอวี้โม่ถามสิ่งที่ตนสงสัยที่สุดในตอนนี้ออกไปตรง ๆ
“ฮิ ๆ ๆ ขยะไร้ค่ารึ ? หึ ๆ ฮะ ๆ ฮ่า ๆ ๆ ตลกเสียจริง”
จู่ ๆ หญิงสาวลึกลับก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น และเมื่อการหัวเราะยกใหญ่ผ่านไป นางก็สูดลมหายใจเข้าลึกครั้งหนึ่งเพื่อควบคุมสติก่อนจะพูดต่อ “สาวน้อย เป็นเพราะข้าลงผนึกนี้เอาไว้ถึงทำให้ฉินอวี้โม่มีชีวิตอยู่มาได้จนถึงวันนี้และทำให้เจ้ามาที่นี่ได้อย่างราบรื่น และเมื่อเจ้ามาอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว ผนึกนี่ก็จะคลายตัวออกเอง สิ่งสำคัญที่ข้าอยากจะบอกเจ้าก็คือ ร่างกายนี้มิใช่ขยะไร้ค่า !”
หลังจากฟังสิ่งที่หญิงสาวลึกลับอธิบายแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ยังคงสับสนอยู่ เธอยอมรับว่าไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าบอก คำพูดของหญิงสาวลึกลับผู้นี้เต็มไปด้วยปริศนาและดูเหมือนว่าจะมีความลับที่อยู่เบื้องหลังไม่น้อย
“สาวน้อย เจ้ารู้นามของดินแดนแห่งนี้หรือไม่ ?”
ตอนที่ 3 กายเทพมายา (2/2)
“สาวน้อย เจ้ารู้นามของดินแดนแห่งนี้หรือไม่ ?”
หญิงสาวลึกลับถามฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มใจดี
“ดินแดนหวนหลิง (ดินแดนมายา) ฉันรู้อยู่แล้ว” ฉินอวี้โม่ตอบเสียงนิ่ง เธอแทบจะหมดคำพูดไปในทันทีเพราะรู้สึกว่าหญิงสาวลึกลับคนนี้กำลังถามคำถามที่ดูโง่ ๆ
“ฮิ ๆ เจ้าจำได้สินะ จำไว้ให้ดี เจ้ามิใช่ขยะไร้ค่าแต่เป็นสมบัติล้ำค่า สิ่งที่ข้าผนึกเอาไว้แท้จริงแล้วมันก็คือ ‘กายเทพมายา !’ ”
หญิงสาวผู้ลึกลับเผยรอยยิ้มจริงจัง… ทว่าทันใดนั้นเอง แสงแพรวพราวเจิดจ้าก็พุ่งเข้าใส่ฉินอวี้โม่อีกครั้ง
ครั้งนี้ เมื่อฉินอวี้โม่ลืมตาขึ้น นางก็พบว่าจิตสำนึกของตนได้หลุดออกมานอกร่างกายเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม เสียงหวาน ๆ อันแผ่วเบาก็ยังดังขึ้นข้างหู
“สาวน้อยกายเทพมายาคือสิ่งมหัศจรรย์อย่างแท้จริง ตราบเท่าที่ความแข็งแกร่งของเจ้ายังคงพัฒนาไปทีละขั้น ผนึกที่ข้าวางเอาไว้ก็จะค่อยๆ คลายออกทีละน้อย… เรื่องกายเทพมายานี้ เจ้าจะต้องเก็บมันไว้เป็นความลับอย่าให้ผู้ใดล่วงรู้อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นข้ากลัวว่ามันจะนำพาเคราะห์ร้ายมาสู่ตัวเจ้า ข้อสงสัยทุกอย่างในใจเจ้าจะแก้ได้เองเมื่อเจ้าแข็งแกร่งถึงจุดหนึ่งแล้ว อย่าลืมล่ะ จงเก็บความลับไว้ให้ดี ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว หากชะตาฟ้าลิขิต บางทีพวกเราอาจจะได้พบกันอีก…”
‘กายเทพมายาคืออะไรกัน ?’
หลังจากที่ฉินอวี้โม่ค้นลึกลงไปในความทรงจำของฉินอวี้โม่คนเก่า ในที่สุดเธอก็พบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกายเทพมายา อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นข้อมูลนั้นแล้ว อดีตนักฆ่าสาวก็ได้แต่ตกตะลึง เธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมหญิงสาวลึกลับผู้นั้นถึงได้ย้ำเตือนนักหนาให้เธอเก็บเรื่องกายเทพมายาไว้เป็นความลับ
— กายเทพมายายากที่จะพบได้ในดินแดนหวนหลิงแห่งนี้ และไม่มีปรากฏให้ได้พบเห็นมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ตำนานกล่าวไว้ว่าผู้ใดก็ตามที่มีกายเทพมายาจะสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นตัวตนระดับสูงสุดในดินแดนมายาแห่งนี้ได้
‘เทพมายา’ ปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกเมื่อหลายพันปีก่อน เอกลักษณ์ของนางก็คือนางมีร่างกายที่มหัศจรรย์ดั่งที่ผู้คนเรียกขานกันว่า ‘กายเทพมายา’ ทว่า จู่ ๆ เทพีผู้มีกายมายาก็หายสาบสูญไปโดยไร้สาเหตุและไร้ร่องรอยใด ๆ หลังจากนั้น กายเทพมายาก็ไม่เคยปรากฏให้ผู้ใดได้พบเห็นอีกเลย–
…สืบเนื่องมาอีกหลายพันปีนับจากนั้น กายเทพมายาก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับปรากฏขึ้นในร่างขยะไร้ประโยชน์ ฉินอวี้โม่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน เรื่องราวในโลกใหม่ของเธอใบนี้มันช่างซับซ้อนและมหัศจรรย์มากเหลือเกิน
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามานั่งคร่ำครวญหรือทอดถอนใจ เธอในชาติก่อนตายไปแล้ว ในชาตินี้เธอคือคุณหนูสี่แห่งตระกูลฉิน จะโชคชะตานำพาฟ้าลิขิต เทพกำหนดอย่างที่ผู้หญิงลึกลับบอกหรืออะไรก็ช่าง ในเมื่อเข้ามามีชีวิตใหม่ในร่างกายนี้แล้ว เธอก็จะใช้ชีวิตของคุณหนูสี่ผู้นี้ให้ดีที่สุด เพื่อตัวเธอเองและเพื่อฉินอวี้โม่คนเดิมผู้ล่วงลับไปแล้วคนนั้นด้วย
ฉินอวี้โม่ผู้เป็นอดีตนักฆ่าสาวรู้ดีว่ามีความลับมากมายที่เธอต้องทำให้มันกระจ่าง และหากเชื่อตามคำพูดของผู้หญิงลึกลับคนนั้น ดูเหมือนหนทางเดียวที่มีอยู่ก็คือ… เธอจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเพื่อค้นหามัน !
เมื่อนำพาจิตเข้าสู่กายอีกครั้ง ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกว่าร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงไป
อวัยวะภายในที่เคยปั่นป่วนยุ่งเหยิงเริ่มเข้าที่เข้าทางอย่างที่ควรจะเป็น ยิ่งกว่านั้น จู่ ๆ ร่างกายของเธอก็ปรากฏสิ่งที่เรียกว่า ‘พลังมายา’ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้ใช้มันในการฝึกฝนพลังหรือบ่มเพาะร่างกายขึ้นมาแล้ว… และมันก็มิใช่น้อย ๆ เลยด้วย
เมื่อลองดูดซับพลังวิญญาณจากสิ่งแวดล้อมรอบกาย ฉินอวี้โม่ก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตัวของเธอดูดซับมันได้ด้วยอัตราเร็วที่น่าตกใจ !
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่เบาเลยนี่ นี่สินะ กายเทพมายา”
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มร้ายกาจก่อนจะชักนำจิตออกมาจากร่างกาย
ตอนนี้เธอมีความมั่นใจแล้วว่าจะทวงความเป็นธรรมกลับมาให้ฉินอวี้โม่คนก่อนได้ และยังมั่นอกมั่นใจอีกด้วยว่าในอีกไม่นานเธอจะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่ยกย่องในดินแดนแห่งนี้
หลังจากจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งเนื้อแต่งตัวด้วยชุดใหม่ที่สะอาดสะอ้านแล้ว ฉินอวี้โม่ก็ค้นพบว่าบาดแผลบนร่างกายกำลังสมานตัวเองอย่างช้า ๆ ตอนนี้รอยขีดข่วนเล็ก ๆ หายไปจนหมด ส่วนบาดแผลที่ใหญ่กว่าก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อได้มองดูตัวเองในกระจก อดีตสาวแห่งศตวรรษที่ 21 ก็ต้องยอมรับเลยว่าร่างใหม่ในตอนนี้ของเธอสวยงามแบบไร้ที่ติ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินเป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยทีเดียว
ซึ่งนี่ก็ถือว่าถูกใจเธอแล้ว เพราะถึงจะเป็นนักฆ่าแต่ฉินอวี้โม่ก็เป็นผู้หญิง ไม่ว่ายังไงก็ต้องรักสวยรักงามเป็นธรรมดา ถ้าติดสินบนสวรรค์เพื่อเลือกเกิดได้ไม่ว่าใครก็คงยอมจ่ายเพราะไม่มีหญิงสาวคนใดอยากเกิดใหม่ในร่างอัปลักษณ์… แบบนี้ถือว่าเธอโชคดีแล้ว
“ฉินอวี้โม่ ออกมาเดี๋ยวนี้ !”
เพิ่งแต่งตัวเสร็จเพียงครู่เดียว ฉินอวี้โม่ก็ได้ยินเสียงเรียกดังลั่นจากนอกห้อง น้ำเสียงนั่นฟังดูก็รู้ว่าโกรธมากแค่ไหน… ได้เวลาแล้วสิ !
ฉินอวี้โม่เผยรอยยิ้มเยือกเย็น ขณะที่ผลักประตูออกไป
.
.
.
ตอนที่ 2 เชือดไก่ให้ลิงดู
บ้านตระกูลฉิน, เมืองหลิงซี
“ฉืออวี้ เหตุใดอวี้โม่ไม่กลับมาพร้อมเจ้า ?”
สตรีวัยกลางคนท่าทางอ่อนแอยืนอยู่ในลานกว้างของบ้านตระกูลฉินอันมั่งคั่ง สายตาของนางจ้องมองไปยังหญิงสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้า–ฉินฉืออวี้ บุตรสาวอีกคนของสามีนางหรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือลูกเลี้ยงของนางเอง แววแห่งความกังวลปรากฏชัดในดวงตางดงามทั้งสอง
บ่ายวันนี้ นางเห็นอย่างชัดเจนว่าฉินอวี้โม่บุตรสาวออกจากบ้านไปพร้อมกับฉินฉืออวี้ แต่เหตุใดลูกเลี้ยงของนางถึงได้กลับมาเอาป่านนี้และยังไร้วี่แววของฉินอวี้โม่อีกด้วย
“ฮูหยินใหญ่ ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก น้องอวี้โม่งดงามถึงเพียงนั้น ไม่ว่านางจะไปที่ใดผู้คนย่อมรู้เห็น”
น้ำเสียงของฉินฉืออวี้ที่ใช้กับสตรีผู้มีศักดิ์สูงกว่าไม่มีความเคารพอยู่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังแฝงด้วยร่องรอยแห่งความดูถูกเหยียดหยาม
ฉินอวี้โม่ คุณหนูสี่แห่งตระกูลฉินเกิดมาอาภัพไม่ต่างจากสตรีพิการ ไม่ว่าผู้ใดต่างก็รู้ดีว่านางเกิดมาโดยไร้พลังอำนาจจึงไร้หนทางแห่งการฝึกฝน ทว่าสวรรค์มิไร้ใจยังบันดาลรูปโฉมอันงดงามให้เป็นการทดแทนและความงามที่เป็นเลิศของนางก็ทำให้หญิงสาวทั่วเมืองรู้สึกอิจฉาริษยา ในหลายปีที่ผ่านมาฉินฉืออวี้มักจะนำรูปลักษณ์ของตัวเองไปเปรียบเทียบกับฉินอวี้โม่อยู่เสมอ ทำให้นางเกลียดชังน้องสาวต่างมารดาอย่างมาก
ฉินฉืออวี้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์ที่นับว่าสูงส่งกว่าคนทั่วไปมาก ทว่ารูปโฉมของนางกลับไม่งดงามนัก ในขณะที่ฉินอวี้โม่รูปลักษณ์งดงามไร้ที่ติดแต่กลับไร้พรสวรรค์โดยสิ้นเชิง ทั้งคู่ถือเป็นพี่น้องที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
เนื่องจากฉินฉืออวี้เป็นอัจฉริยะแห่งเมืองหลิงซี พลังยุทธ์ของนางจึงเหนือชั้นจนเป็นที่ยกย่องเลื่องลือ ไฉนเลยฉินอวี้โม่ที่ไม่มีแม้แต่พลังสำหรับฝึกฝนจะเทียบเทียมนางได้ ดังนั้นหลายปีมานี้ฉินอวี้โม่จึงมักจะถูกอีกฝ่ายรังแกอยู่เรื่อยมา
แต่ในครั้งนี้… ฉินฉืออวี้ถึงขั้นล่อลวงฉินอวี้โม่ออกไปนอกเมืองและส่งคนไปไล่ล่าสังหารนาง…
‘ตอนนี้นังนั่นคงจะกลายเป็นศพไปแล้ว’ นี่คือสิ่งที่ฉินฉืออวี้กำลังคิดอยู่ในใจ
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นคือมารดาแท้ ๆ ของฉินอวี้โม่และยังเป็นภรรยาคนแรกของผู้นำตระกูลฉิน–ฉินเทียน นางจึงมีศักดิ์เป็นฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินอย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม ฉินเทียนกลับรักใคร่ชอบพอภรรยารองมากกว่า เขาปล่อยปละละเลยภรรยาหลวงกับบุตรสาวอีกทั้งไม่คิดเหลียวและไม่เคยไยดี หลายปีมานี้สองแม่ลูกจึงไม่ได้อยู่สุขสบายอย่างที่ควรจะเป็น
แท้จริงแล้วร่างกายของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นไม่ได้อ่อนแอมาตั้งแต่ต้น ทว่าเป็นเพราะเส้นชีพจรของนางได้รับความเสียหายในตอนที่ให้กำเนิดฉินอวี้โม่ การบ่มเพาะพลังของนางจึงต้องหยุดชะงักลง ตอนนี้นางจึงไม่ต่างจากคนธรรมดาผู้ไร้พลังยุทธ์คนหนึ่ง
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นรักฉินอวี้โม่เป็นอย่างมาก แต่เพราะว่านางเองก็ไร้ซึ่งพลังอำนาจทำให้มิอาจปกป้องบุตรสาวสุดที่รักได้ และเพราะเหตุนี้ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นที่รู้สึกผิดมาโดยตลอดจึงมักจะใจดีและคอยดูแลฉินอวี้โม่อย่างดีที่สุดเสมอมา
เมื่อได้ยินวาจาของฉินฉืออวี้ อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฉืออวี้ เกิดอะไรขึ้นกับอวี้โม่ ?”
“ฮ่า ๆ ฮูหยินใหญ่ ฉินอวี้โม่เป็นแค่ขยะไร้ค่า เหตุใดท่านต้องห่วงใยนางถึงเพียงนั้น ?!”
ฉินฉืออวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นชาก่อนจะเอ่ยต่อ “ก่อนหน้านี้ข้าเห็นแค่นางมุ่งหน้าออกไปจากเมืองเพียงลำพัง ข้าไม่รู้หรอกว่านางอยู่ที่ไหน… แต่การที่นางยังไม่กลับมา ข้าว่าคงจะเกิดเรื่องร้ายมากกว่าดี”
“ฉืออวี้ แม้ว่าอวี้โม่จะไร้พลังแต่นางไม่ใช่คนโง่ เจ้าต้องไปพูดอะไรกับนางแน่ นางถึงได้ออกจากเมืองไปเช่นนั้น !” อวี๋เสี่ยวอวิ๋นกล่าวกับลูกเลี้ยงด้วยน้ำเสียงโกรธจัด
นางรู้จักบุตรสาวของตัวเองดีและรู้ดีว่าแม้อวี้โม่จะไม่อาจฝึกฝนพลังได้ แต่นางไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน
“ฮ่า ๆ ๆ ‘ท่านป้า’ นี่ยังฉลาดไม่เปลี่ยนเลยนะ”
จู่ ๆ ฉินฉืออวี้ก็หัวเราะเสียงดังก่อนจะกล่าวต่อ น้ำเสียงของนางรื่นเริงอย่างน่ารังเกียจ “ใช่ ! นางออกไปเพราะข้าเอง ข้าก็แค่บอกนางว่าท่านอยู่นอกเมือง แล้วจากนั้นข้าก็จัดหาชายกำยำกลุ่มเล็ก ๆ มาแล้วบอกพวกเขาว่าให้ไล่ตามนางไป คนพวกนั้นไม่ใช่คนดีนัก บางทีพวกเขาอาจจะหลงรูปลักษณ์อันงดงามของฉินอวี้โม่ และคง —”
เพี๊ยะ !
ก่อนที่ฉินฉืออวี้จะพูดจบ นางก็ถูกฝ่ามือบางข้างหนึ่งฟาดเข้าที่ใบหน้าเสียก่อน
“ฉินฉืออวี้ เจ้ามันไม่ใช่คน !!!”
ยิ่งฟังคำของฉินฉืออวี้ หัวใจของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็ยิ่งเดือดดาลขึ้นเรื่อย ๆ นางทุกข์ร้อนแสนสาหัส แม้ว่าตอนนี้นางจะไร้ซึ่งพลังและมิได้แข็งแกร่งเช่นในอดีตแต่นางก็จะไม่ยอมให้ผู้ใดมาเหยียดหยามกระทำย่ำยีต่อบุตรสาวได้ ฉินฉืออวี้กล้าทำเรื่องบัดซบเช่นนี้กับผู้เป็นเสมือนดวงใจของนาง แม้ว่าจะต้องตาย นางก็ต้องทำให้สตรีผู้นี้ได้ชดใช้อย่างสาสม
เมื่อคิดได้ดังนั้น อวี๋เสี่ยวอวิ๋นก็พุ่งเข้าหาสตรีน่ารังเกียจที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะคว้าคอของนางในทันที
ฉินฉืออวี้ที่ยังคงตกตะลึงจากการถูกฝ่ามือของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นผู้อ่อนแอฟาดสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกว่าคอของนางกำลังถูกอีกฝ่ายบีบ… และนั่นก็ทำให้นางเดือดดาลขึ้นมา
ปัง !
ร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นถูกส่งให้กระเด็นถอยหลังไปด้วยฝ่ามือเดียว ร่างบอบบางอ่อนแอพุ่งชนเข้ากับกำแพงข้างหลังอย่างรุนแรง ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลฉินล้มลงไปกองกับพื้น
“นังแก่ ! เจ้ากล้าลงมือกับข้า” ฉินฉืออวี้ย่างเท้าเข้าหาอวี๋เสี่ยวอวิ๋นช้า ๆ น้ำเสียงของนางเย็นเฉียบและเต็มไปด้วยความคั่งแค้น
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นพ่นเลือดออกมาจากปาก นางพยายามลุกขึ้นยืนด้วยความยากลำบาก
“ฉินฉืออวี้ เจ้าฆ่าลูกข้า ข้าจะให้เจ้าชดใช้ด้วยชีวิต”
“เหอะ ! อยากจะได้ชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ ฝันไปเถอะ อยากล้างแค้นให้นังนั่นมากใช่ไหม ได้… ข้านี่แหละจะเป็นคนส่งเจ้าไปพบฉินอวี้โม่ในนรกเอง”
ฉินฉืออวี้ตวาดลั่น ถึงแม้ว่าใบหน้าของนางจะเกรี้ยวกราด แต่แววตานั้นกลับแฝงไปด้วยความสนุกสนาน คุณหนูผู้เป็นอัจฉริยะแห่งตระกูลฉินดึงกระบี่ออกมาแล้วแทงเข้าใส่สตรีตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เคร๊ง !
ยังมิทันได้เฉียดเข้าใกล้ร่างของอวี๋เสี่ยวอวิ๋นกระบี่ในมือของฉินฉืออวี้ก็ถูกหินก้อนเล็ก ๆ กระแทกเข้าใส่อย่างแรงจนปลิวตกลงบนพื้นเสียก่อน ร่างงดงามร่างหนึ่งค่อย ๆ เดินผ่านประตูที่เชื่อมต่อกับลานกว้างเข้ามา
“ฉินฉืออวี้ เจ้าถามหาข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ?”
“ฉินฉืออวี้ เจ้าถามหาข้าอยู่อย่างนั้นหรือ ?”
เสียงหวานล้ำแต่กลับเย็นชาดังขึ้น ฉินอวี้โม่เอ่ยปากถามขณะที่ก้าวเข้ามาในลานกว้าง ทั้งน้ำเสียงและท่าทางของนางดูน่าหวาดหวั่นราวกับทูตจากแดนนรก
ฆ่าฉินอวี้โม่คนเก่าไปยังไม่พอยังกล้ามาลบหลู่มารดาของฉินอวี้โม่อีก ในเมื่อเธอซึ่งเคยเป็นนักฆ่าได้มาเกิดใหม่ในร่างนี้แล้ว เธอจะขอล้างแค้นให้ฉินอวี้โม่คนเดิมเอง
“อวี้โม่”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นร้องเรียกบุตรสาวด้วยความตื่นเต้นยินดี หัวใจที่แตกสลายกลับมาเต้นอย่างเป็นสุขอีกครั้ง เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ย่างกายเข้ามา
“ท่านแม่ นั่งรอสักครู่เถิด ข้ากับฉินฉืออวี้มีเรื่องต้องสะสางกัน!”
น้ำเสียงของฉินอวี้โม้เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งทะนง ถึงแม้จะรู้ว่าบุตรสาวไม่สามารถใช้พลังมายาได้แต่เพราะน้ำเสียงเช่นนั้นและแววตาของนางทำให้ผู้เป็นมารดาอดไม่ได้ที่จะเชื่อมั่นในตัวนางและไม่คิดหยุดยั้งนางไว้
“ฮ่า ๆ ๆ น่าขำยิ่งนัก ฉินอวี้โม่ ขยะไร้ค่าอย่างเจ้าน่ะหรือจะมาสะสางความแค้นกับข้า ?”
แม้ว่าฉินฉืออวี้จะประหลาดใจอยู่บ้างที่เห็นว่าฉินอวี้โม่ยังไม่ตาย แต่นางก็ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก นางเพียงแต่คิดว่าอาจจะมีคนบังเอิญผ่านมาพบและช่วยชีวิตฉินอวี้โม่เอาไว้ด้วยความสงสาร
แม้แต่ในตอนที่ฉินอวี้โม่ขว้างหินก้อนเล็กใส่กระบี่ของตนนางก็ยังมิได้เอะใจ นางไม่คิดจะไตร่ตรองเสียด้วยซ้ำว่าเหตุใดสตรีอ่อนแอไร้พลังยุทธ์อย่างฉินอวี้โม่จึงทำเช่นนั้นได้
“ฉินฉืออวี้ เจ้าวางแผนล่อลวงข้าออกไปนอกเมือง ว่าจ้างคนมาย่ำยีและสังหารข้าแล้วยังคิดจะทิ้งร่างข้าไว้ในป่า หลายปีมานี้เจ้าทั้งดูถูกเหยียดหยามและกลั่นแกล้งข้าสารพัด เจ้าช่วยบอกข้าซิว่าบัญชีแค้นนี้ ข้าควรจะสะสางกับเจ้าอย่างไร ?!”
ฉินอวี้โม่ไม่ได้ใส่ใจรอคอยคำตอบของฉินฉืออวี้ หลังจากเอ่ยวาจาแสนเย็นชาออกมาแล้ว นางก็ก้าวเข้าไปหาสตรีชั่วช้าในทันที
“อย่างไรน่ะรึ ?”
ฉินฉืออวี้ตั้งรับอย่างไม่หวั่นเกรง นางตอบฉินอวี้โม่ด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “ฉินอวี้โม่เอ๋ย ในเมื่อไอ้เศษสวะพวกนั้นไม่มีปัญญาส่งเจ้าไปโลกหน้าได้ งั้นข้าจะลงมือเอง ภูมิใจไว้เถอะ นี่ถือเป็นเกียรติของขยะเน่า ๆ อย่างเจ้าแล้วที่ได้ตายด้วยคมกระบี่ของข้า !”
กล่าวจบ ฉินฉืออวี้ก็หยิบกระบี่ขึ้นมาจากพื้นก่อนจ้วงแทงเข้าใส่ฉินอวี้โม่ในทันที
“หึ ฉินฉืออวี้ เจ้าคิดว่าตัวเองมีความสามารถพอจะทำได้อย่างนั้นหรือ ?”
ฉินอวี้โม่แค่นเสียงใส่อย่างดูถูก นางยืนมองกระบี่ของฉินฉืออวี้ที่กำลังพุ่งเข้ามาโดยไม่หลบเลี่ยงแม้แต่น้อย
“อวี้โม่ระวัง !”
อวี๋เสี่ยวอวิ๋นลุกขึ้นมาจากพื้นในทันทีด้วยความหวาดหวั่น นางกลัวว่าบุตรสาวจะมีอันตราย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นางเห็นคือฉินอวี้โม่ใช้นิ้วสองนิ้วคีบกระบี่ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ของฉินฉืออวี้ไว้ได้
“ฉินฉืออวี้ หลายปีที่ผ่านมาเจ้าติดค้างข้ามามาก แต่ข้าฉินอวี้โม่ผู้นี้มีเมตตา ข้าจะค่อย ๆ เอาคืนเจ้าทีละนิดก็แล้วกัน”
ฉินอวี้โม่ยิ้มเยือกเย็น… รอยยิ้มนั้นสั่นประสาทของฉินฉืออวี้ไปชั่ววูบหนึ่งเพราะนางรู้สึกราวกับได้เห็น ‘รอยยิ้มของมารร้าย’ ไม่ทราบเหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อใด ทว่าในตอนนี้กระบี่ของฉินฉืออวี้ได้เปลี่ยนมาอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้ว
พริบตาถัดมามีเพียงเสียง ‘เอื้อก !’ เบา ๆ ดังขึ้นเท่านั้น ร่างของฉินฉืออวี้ทรุดลงกับพื้นอย่างนุ่มนวลโดยที่นางเองก็ไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกาย
“ฉินอวี้โม่ เจ้าจะทำอะไรข้า ?”
ฉินฉืออวี้พยายามอย่างหนักเพื่อลุกขึ้นจากพื้นให้ได้ แต่นางกลับพบว่าตนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้… ไม่อาจทำได้อีกแล้ว
“ฮ่า ๆ ข้าก็แค่ให้เจ้าได้ลองลิ้มรสของการเป็นคนไร้ค่าเท่านั้นเอง”
ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเยือกเย็นอีกครั้ง ทว่ารอยยิ้มของนางในครั้งนี้กลับทำให้ฉินฉืออวี้ที่อยู่บนพื้นหวาดกลัวจนตัวสั่นอย่างแท้จริง…
.
.
.
ตอนที่ 1 สลับวิญญาณ
กลางดึกคืนหนึ่ง ณ บริเวณชายป่าพรุอันแสนห่างไกลในดินแดนหวนหลิง
“พวกเจ้าต้องการอะไร?”
ดรุณีน้อยนางหนึ่งล้มกองอยู่บนพื้น นางมีใบหน้าที่งดงามหมดจดและรูปร่างบอบบางน่าทะนุถนอม ดวงตาหวานซึ้งราวกับตาของเนื้อทรายจับจ้องไปยังกลุ่มชายร่างใหญ่ที่กำลังย่างสามขุมเข้ามาใกล้ คนเหล่านั้นย่างเท้าก้าวเข้ามาหานางทีละก้าวทีละก้าวอย่างช้า ๆ แววตากักขฬะของพวกมันทั้งข่มขู่และคุกคามดูน่าหวาดหวั่น ทว่า…ในดวงตาของสตรีผู้งดงามนั้นกลับปราศจากความหวาดกลัวอย่างสิ้นเชิง นางมองเหล่าผู้คุกคามด้วยสายตาเย็นชา
“ฮ่า ๆ ฉินอวี้โม่ เหตุใดเจ้าจึงไม่หนีไปให้ไกลกว่านี้เล่า !” หนึ่งในกลุ่มผู้คุกคามเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน เขาเป็นชายร่างใหญ่โตที่มีรอยแผลเป็นเด่นชัดบนใบหน้าและดูคล้ายว่าจะเป็นผู้นำของคนกลุ่มนี้
“เหอะ เลิกพูดจาเหลวไหล พวกเจ้าต้องการอะไร ? ใครเป็นคนส่งพวกเจ้ามา ?”
“ฮ่า ๆ ๆ ไม่คิดเลยว่าคุณหนูสี่ของตระกูลฉินจะงดงามเลอโฉม น่ากินไปทั้งตัวขนาดนี้ ผู้ว่าจ้างสั่งให้ฆ่าเจ้าทิ้งทันที แต่ตอนนี้พวกเราเปลี่ยนใจแล้ว !” ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้ากล่าว เท้าทั้งสองยังคงก้าวเข้าไปหาฉินอวี้โม่ ขณะเดียวกันมันก็ใช้สายตาโสมมโลมเลียไปทั่วทั้งใบหน้าและเรือนร่างอันงดงามของหญิงสาวก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะชั่วช้าออกมาดังลั่น
“ฮ่า ๆ ๆ ข้าตัดสินใจแล้ว ข่มขืนก่อน แล้วค่อยฆ่าทีหลัง”
ทันทีที่สิ้นเสียงพูด ชายหน้าบากก็ตั้งท่ากระโจนเข้าหาฉินอวี้โม่ทันที
“หัวหน้า พวกข้าเองก็หิวเหมือนกัน ! ไหน ๆ นางก็จะตายแล้วให้พวกข้าได้ลิ้มรสร่างงาม ๆ ของนางด้วยคนเถอะนะจะได้ไม่เสียของ ฮ่า ๆ ๆ” ชายอีกคนในกลุ่มส่งเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้าย
“พวกเจ้ากล้าเหรอ ?!” ฉินอวี้โม่เปล่งเสียงตวาดดังลั่น นางขบฟันสีเงินแน่นพร้อมกล่าววาจาด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “ฝันไปเถอะ สตรีอย่างข้ายอมตายดีกว่ายอมให้คนเลวอย่างพวกเจ้าหยามเกียรติ !”
ฉินอวี้โม่เค้นเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกมา นางยันกายลุกขึ้นแล้ววิ่งเข้าใส่ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้าง ๆ
“หึ เจ้าคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์เลือกงั้นรึ ?!” ชายหน้าบากยิ้มเย้ย เขาเข้าถึงตัวนางแล้วจึงสามารถดึงร่างบางเข้ามาในอ้อมแขนได้อย่างง่ายดาย เขาพยายามจับตัวนางอย่างเบามือที่สุดเพื่อไม่ให้ผิวขาวนวลช้ำก่อนจะได้ลิ้มรส
— แควก ! —
เสียงฉีกขาดดังขึ้น ชายผู้มีแผลเป็นบนใบหน้าฉีกทึ้งอาภรณ์ของฉินอวี้โม่แล้วเหวี่ยงร่างบางจนล้มลงกับพื้นอีกครั้ง ก่อนจะกดร่างนั้นให้นอนราบ
ทว่าในขณะที่กำลังจะลงมือขั้นต่อไป ชายหน้าบากก็สังเกตเห็นว่าคุณหนูแห่งตระกูลฉินหยุดนิ่งไปแล้ว ดวงตาของนางปิดสนิท ใบหน้างามเขียวคล้ำและซีดเผือด ร่างบางแน่นิ่งไม่ไหวติง
“บัดซบ ! โชคร้ายเป็นบ้า ยังไม่ทันได้เริ่มก็ดันตายไปซะแล้ว” ชายหน้าบากหัวหน้ากลุ่มที่กำลังขึ้นคร่อมร่างของหญิงสาวบ่นอย่างไม่สบอารมณ์
“หัวหน้า ข้าว่าตัดหัวผู้หญิงคนนี้แล้วรีบกลับไปรายงานผู้ว่าจ้างกันดีกว่า”
ชายหน้าบากพยักหน้าก่อนจะดึงกระบี่ยาวออกมาและฟันลงไปที่ร่างสตรีบนพื้น เขาหมายตาจะฟันลำคอระหงให้ขาดในดาบเดียว
— เคร๊ง ! — ดาบฟันถูกหินบนพื้นเสียงดัง
ทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ร่างที่แน่นิ่งของฉินอวี้โม่ก็ม้วนตัวออกไปด้านข้างและหลบกระบี่ของชายผู้มีรอยบากบนใบหน้าได้อย่างหวุดหวิด ในเวลาเดียวกันนางก็กระโดดลุกกลับขึ้นมาแล้วจ้องมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง ดวงตาคู่งามเต็มไปด้วยรังสีแห่งการสังหารที่เปี่ยมล้น
“ศพนี่มัน…” รอยยิ้มของเหล่าชายโฉดทั้งหลายชะงักค้างไปในทันที พวกเขาสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกค้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นร่างของสตรีที่กลายเป็นศพไปแล้วกระโจนขึ้นจากพื้น
“หุบปาก!” ฉินอวี้โม่เริ่มเคลื่อนไหว นางตวาดลั่นแล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนที่ส่งพวกเจ้ามาก็คือฉินฉืออวี้สินะ ?!”
“โอ้ ! ฉลาดไม่เบาเลยนี่” ชายหน้าแผลเป็นยิ้มเย้ยก่อนจะกล่าวต่อ “ถึงเจ้าจะเดาถูกก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียวันนี้เจ้าก็ต้องตาย !”
“กรี๊ดดดดด !” เป็นตอนนี้เองที่ฉินอวี้โม่มองเห็นว่าเสื้อผ้าของตนถูกฉีกจนขาดวิ่น นางกล่าวอย่างเดือดดาล “พวกเจ้ากล้าฉีกเสื้อผ้าของข้า !”
“แล้วอย่างไร ?”
“ตายซะเถอะ !”
ทันทีที่ขยับตัว ร่างบอบบางแบบอิสตรีของฉินอวี้โม่ก็ไปปรากฏอยู่ตรงหน้าชายหน้าบากราวกับภูตผี หญิงสาวชิงกระบี่จากมือของอีกฝ่ายในชั่วพริบตาก่อนจะแทงทะลุอกคนผู้นั้น
น่าขำยิ่งนัก นางเป็นถึงมือสังหารระดับพระกาฬในชาติก่อนที่เชี่ยวชาญวิชาการต่อสู้แบบโบราณและศิลปะการต่อสู้ร่วมสมัย แม้ว่าร่างกายนี้จะอ่อนแอไปบ้าง แต่ถ้าแค่จะจัดการกับคนโง่พวกนี้เท่านี้ก็ถือว่าเกินพอ
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงช่วงเวลาที่มนุษย์ใช้กะพริบตาหนึ่งครั้งกระบี่ที่เคยอยู่ในมือก็เปลี่ยนเป็นเสียบคาอยู่ที่อก ภาพสุดท้ายที่ชายหน้าบากมองเห็นก็คือด้ามกระบี่ของตัวเองกับสตรีที่เขาต้องสังหาร ! และในเสี้ยวลมหายใจถัดมา เขาก็สิ้นลมลาโลกนี้ไปโดยสมบูรณ์
ฉินอวี้โม่ดึงกระบี่ออกมาจากอกชายหน้าบาก
โลหิตสด ๆ สาดกระจายออกมาและย้อมทาไปทั่วทั้งตัวฉินอวี้โม่ สีแดงฉานและกลิ่นคาวเลือดทำให้นางดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เหล่าชายคนอื่น ๆ ในกลุ่มนักฆ่าได้แต่ยืนนิ่งตกตะลึงกับภาพที่ได้เห็น
“ข้าให้พวกเจ้าเลือกว่าจะฆ่าตัวตายลบล้างความผิด หรือจะให้ข้าลงมือ ?!”
วาจาแสนเย็นเฉียบและดังก้องของฉินอวี้โม่ปลุกให้กลุ่มชายโฉดชั่วผู้รับจ้างฆ่าสาวงามได้สติขึ้นมา
หนึ่งในพวกเขาตะโกน “…สตรีผู้นี้ฆ่าหัวหน้าตาย ทุกคน ล้างแค้นให้หัวหน้าซะ !”
ทว่าในทันทีที่กล่าวจบ ชายผู้นั้นก็พบว่าบนหน้าอกของตนมีรูปรากฏขึ้นก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจแน่นิ่งไปอีกคน
ฉินอวี้โม่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น นางไล่แทงคนที่เหลือทีละคนทีละคนเป็นการตัดสินโทษความตายให้คนพวกนี้ราวกับทูตจากแดนนรก
แต่ช่างน่าประหลาดนัก เพราะทุกคนที่ล้มแน่นิ่งไปต่างก็ตายตาไม่หลับ พวกเขาไม่เข้าใจแม้แต่น้อย เห็นกันอยู่อย่างแน่ชัดว่าฉินอวี้โม่เป็นเพียงสตรีไร้ค่าที่ไม่สามารถฝึกพลังมายาได้ แต่แล้วเหตุใดพวกเขาที่อยู่ขอบเขตจิตมายาถึงไม่แม้แต่จะหลบหลีกหรือต้านทานนางได้
หลังการสังหารหมู่จบลง ฉินอวี้โม่ก็โยนกระบี่ชุ่มเลือดในมือทิ้งไป นางยืนนิ่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเดินไปคุ้ยศพบนพื้นและขโมยแหวนจากนิ้วของพวกเขา
— ถูกต้องแล้วล่ะ ฉินอวี้โม่คนนี้ไม่ใช่ฉินอวี้โม่คนเดิมอีกแล้ว —
นาง… ไม่สิ… เธอคือฉินอวี้โม่ผู้มาจากศตวรรษที่ 21 และเป็นมือสังหารระดับพระกาฬแห่งยุค
เมื่อครู่นี้เธอโชคร้ายต้องจบชีวิตลงเพราะกับดักแสนชั่วช้าของคนกลุ่มหนึ่ง ในเวลานั้นเอง จู่ๆ วิญญาณที่หลุดลอยออกจากร่างของเธอก็ได้เข้ามาสิงสถิตในร่างของหญิงสาวผู้นี้… คุณหนูสี่ตระกูลฉินแห่งดินแดนหวนหลิง ผู้ที่เพิ่งกัดลิ้นตัวเองจนสิ้นใจตาย
ฉินอวี้โม่มีรูปโฉมที่งดงามและสถานะสูงส่ง อย่างไรก็ตาม รูปลักษณ์ภายนอกไม่สามารถใช้ในการฝึกวิชาได้ทำให้ฉินอวี้โม่กลายเป็นสตรีไร้ค่าในสายตาผู้คน โดยเฉพาะในเมืองที่เน้นวิชาการต่อสู้อย่างเมืองหลิงซีแห่งนี้
ภายในดินแดนที่ให้ความเคารพนับถือแต่ผู้ที่แข็งแกร่งนั้น การไร้ซึ่งพลังในการต่อสู้จะนำพาแต่ความดูถูกเหยียดหยามมาให้
และเนื่องจากมีรูปโฉมงดงามกว่าผู้ใดทำให้บ่อยครั้งที่ฉินอวี้โม่ถูกสตรีคนอื่นอิจฉาริษยา และก็มีบ้างที่คนเหล่านั้นแอบลอบกลั่นแกล้งรังแกนางในบางครั้ง แต่ทว่าครั้งนี้ถึงกับมีคนต้องการสังหารนาง
อย่างไรก็ตาม เรื่องเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ในเวลานี้ มุมปากของฉินอวี้โม่เหยียดขึ้น รอยยิ้มเยือกเย็นปรากฏบนใบหน้านวล ดวงตาคู่งามเปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่และมั่นใจ !
สาวงามหันมองไปยังมุมมืดมุมหนึ่งของป่าที่อยู่ทางทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) นางเผยรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทางเมืองหลิงซีอย่างช้า ๆ…
“ช่างเป็นหญิงที่น่าสนใจยิ่งนัก ! ดูเหมือนนางจะเห็นพวกเราด้วย”
ชายสองคนกำลังยืนซุ่มอยู่ในมุมมืดของป่า หนึ่งในนั้นคือบุรุษหนุ่มรูปงามท่าทางสุภาพสูงส่ง ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูชั่วร้ายแต่กลับมีเสน่ห์อย่างเปี่ยมล้น
ส่วนชายอีกผู้หนึ่งสวมชุดสีดำทั้งตัว เขาดูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ดวงตาของเขาให้ความรู้สึกเหน็บหนาวอย่างไร้ที่สิ้นสุด
“ไปกันเถอะ อย่าไปมองนาง”
“โม่ฉือ หญิงสาวผู้นั้นทำได้อย่างไรกัน ข้าไม่รู้สึกถึงพลังมายาใด ๆ จากร่างของนางเลย” ชายหนุ่มท่าทางสุภาพสูงส่งเอ่ยถามด้วยความฉงน
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีร่องรอยของพลังมายาใด ๆ ปรากฏออกมาจากกายของสตรีผู้นั้นเลย แต่ทว่าเหตุใดฉินอวี้โม่ถึงมีทักษะการสังหารที่ว่องไวเฉียบคมมากถึงเพียงนั้น
บุรุษที่ดูเย็นชาไม่กล่าวตอบ ร่างของเขาหายไปจากจุดนั้นในพริบตา
“เฮ้ ! โม่ฉือ รอข้าด้วย ข้าว่าครั้งนี้พวกเราควรไปที่เมืองหลิงซีและหาโอกาสชวนหญิงสาวคนนั้นมาเป็นสหายให้ได้นะ”
ชายหนุ่มท่าทางสุภาพหายวับไปจากจุดนั้นตามเพื่อนของเขาไปเช่นกัน
หลังการจากไปของชายลึกลับทั้งสองไม่นาน ร่างอันงดงามของฉินอวี้โม่ก็ค่อย ๆ เดินเข้ามาจากจุดจุดหนึ่งที่ไม่ไกลนัก
หากเป็นเรื่องของการอำพรางกายและซ่อนลมหายใจ ถ้าฉินอวี้โม่บอกว่าเธอเป็นที่สองแล้วก็จะไม่มีผู้ใดกล้าอวดอ้างว่าตนเป็นที่หนึ่งได้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้นในระหว่างที่เธอกำลัง ‘จัดการสุนัขฝูงนั้น’ อย่างดุเดือด ซึ่งก็แน่นอนว่าการปรากฏตัวของพวกเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของมือสังหารอย่างเธอ เพียงแต่เธอเห็นว่าพวกเขาดูไม่ใช่คนเลวร้าย และความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ยากจะวัดได้ ฉะนั้นเธอจึงเลือกที่จะปล่อยผ่านและสังเกตการณ์เงียบ ๆ เท่านั้น
ฉินอวี้โม่มองไปยังจุดที่บุรุษลึกลับหายตัวไปพร้อมกับยิ้มเยือกเย็นก่อนจะมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลิงซี
.
.
.