ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 449 ระฆังสำริดใบใหญ่

ตอนที่ 449 ระฆังสำริดใบใหญ่

ในทางกลับกัน กิเลนมังกรมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เขากลายเป็นขยันขันแข็งกว่าเดิมเมื่อวิ่งแบกฉินมู่ตะบึงไป เขานั้นวิ่งเร็วราวสายฟ้า เร็วยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในทะเลทราย

แม้ว่าความคิดอ่านของเขาจะแยบยลอยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับของผู้คนอย่างเกอเคอ เมื่อเขาได้ยินฉินมู่กล่าวแก่บุตรชายของปรมาจารย์ว่าปรมาจารย์ยังไม่ตาย แต่ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า เจ้าอ้วนนี่ก็อดไม่ได้ที่จะรื่นเริงเฉลิมฉลองและตัดสินใจที่จะขยันขันแข็งมากขึ้น

ฉินมู่พบว่าการโกหกเขานั้นช่างยากต่อหัวใจจริงๆ

ในทะเลหมอกแห่งแดนยมโลก นักพรตหลิงจิ่งได้กลายเป็นคนเรือ ฉินมู่คิดในใจ จากเรื่องนี้ ปรมาจารย์ก็น่าจะอยู่ในยมโลกเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านให้เหรียญยมโลกแก่ข้าแปดเหรียญ ดังนั้นข้าจะต้องไปที่นั่นสักครั้ง และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง!

เขานำเอาแผนที่ภูมิประเทศที่เกอเคอมอบให้ขึ้นมาคลี่มองดูทั่วๆ สักพักหนึ่ง เขาก็พบตำแหน่งของตำหนักสวรรค์แท้และเมืองหอมเบ่งบาน เขาจึงเงยหน้าขึ้นกะตำแหน่งพิกัดของเขา จากนั้นรีบบอกกิเลนมังกรให้วิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้

ตรงหน้าพวกเขา ภูเขาใหญ่ยืดยาวไปสุดขอบฟ้า แต่มันค่อนข้างแปลกประหลาด มันเหมือนกับยักษ์ที่ยืนอยู่โดยมียอดเขาสองลูกอันห้อยตกลงมาเหมือนหัวไหล่ของมัน แต่ที่พิลึกกว่านั้นก็คือถัดจากยอดเขามาถึงตีนเขานั้นมันกลายเป็นแท่งกลมหนา ราวกับระฆังสองใบที่วางไว้เหนือพื้นดิน

เมื่อขี่ไปที่นั่น ฉินมู่ก็มีสองทางเลือก เขาสามารถเข้าไประหว่างระฆังสองใบ หรือเดินอ้อมภูเขารูปร่างประหลาดนี้ไป

เมื่อกิเลนมังกรวิ่งตะบึงเข้าไปใกล้ ฉินมู่ก็เงยศีรษะขึ้นและเห็นสตรีท่วงทีงามสง่าในชุดดำ ลอยเลื่อนอยู่เหนือภูเขา

นางลงเหยียบที่ยอดของมัน และมีกระดาษทองคำอันเหมือนยันต์ปิดผนึกใกล้ๆ นาง

ม่านตาของฉินมู่หรี่หด เมื่อเขาเห็นหญิงผู้นั้นฉีกกระดาษบนภูเขา!

“แย่แล้ว! มังกรอ้วน รีบวิ่งทะลุไป!”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น กระบี่ไร้กังวลก็พลันพุ่งออกจากฝักข้างหลังเขา ตัวกระบี่พุ่งหวีดหวิวผ่าอากาศและยิงตรงไปยังสตรีบนยอดเขา!

จะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้า ยักษ์ภูเขาตนนี้จะต้องอาศัยพลังวัตรของยอดฝีมือเพื่อให้มันยังคงทำงานอยู่ได้ ตราบเท่าที่หญิงผู้นั้นถูกสังหาร ฉินมู่ก็น่าจะสามารถหยุดการแปลงร่างของมันได้

สตรีนั้นหันกลับมามองเขาและยิ้มหยัน “ในเมื่อเจ้ากล้าสังหารศิษย์ตระกูลอวี้ของข้า แม้ว่าเจ้าจะเป็นบิดาจักรพรรดิ ข้าก็ไม่สน! ข้าจะส่งเจ้าตามนางไป!”

เมื่อยักษ์ภูเขายืนขึ้น ก้อนเมฆก็ลอยเรี่ยเอวมัน และยอดเขารูประฆังสองยอดก็ผงาดขึ้นไปด้วย ก้อนหินกลิ้งลงจากยอดเขาที่ลดหลั่นมา และเมื่อศิลาก้อนยักษ์พวกนี้โถมถล่มลงจากท้องฟ้า ไม่นานมันก็ถมทับขวางถนน

หญิงนั้นยังคงยืนอยู่บนหัวยักษ์ กระบี่ไร้กังวลพลันหมุนปั่นและแปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่เจาะ เพื่อพุ่งทะลวงเข้าไปในเมฆ

หญิงตระกูลอวี้รู้ว่าสถานการณ์ของนางย่ำแย่ นางจึงกู่ร้องออกมา และห่วงเหินหาวก็พุ่งออกไป พวกมันเข้าไปรัดพันกระบี่ไร้กังวล อันกำลังพุ่งฉกเข้าหานางจากทางด้านใต้!

ติง ติง ติง ติง

เสียงระเบิดถี่ยิบดังออกมาราวฝนหนัก ห่วงเหินหาวเข้าไปรับพันกระบี่ไร้กังวลและหดเล็กอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกมันพลันถูกสับเป็นชิ้นๆ จากกระบี่ที่หมุนเจาะ

วรยุทธของสตรีผู้นี้มิได้ต่ำต้อย แต่วิชาฝึกปรือของแผ่นดินตะวันตกมิได้เน้นไปในทางเสริมพละกำลังให้ตนเอง ในทางกลับกัน พวกเขาหยิบยืมทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าและดินเพื่อต่อสู้แทน ดังนั้นกำลังต่อสู้ส่วนตนของพวกเขาจึงอ่อนด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในขั้นวรยุทธเดียวกัน เมื่อเทียบกับฉินมู่ จ้าวลัทธิมารฟ้าผู้นี้ ที่สามารถบุกสังหารไปที่ใดก็ไร้ต่อต้าน นางก็ด้อยกว่ามากนัก

กระบี่ไร้กังวลเป็นกระบี่เทพเจ้า และความคมกล้าของมันนั้นไร้เทียมทาน หลังจากฉีกทึ้งห่วงทุกวงหมดแล้ว แรงถีบทะยานของมันก็ไม่ลดน้อยถอยลงไปสักนิด กระบี่แทงเข้าไปในขากรรไกรของนางและทะลวงออกมาที่หลังศีรษะ

รอยเลือดสายหนึ่งปรากฏบนยอดเขา

ฉินมู่เรียกกระบี่ไร้กังวลของเขากลับมา แต่ไม่ทันที่เขาจะถอนหายใจโล่งอก เขาก็เห็นหินภูเขากลิ้งลงมาจากยอดเขาลดหลั่นสองลูกนั้น มันเผยให้เห็นเนื้อสำริดของระฆัง ยอดเขาสองลูกนั้นเป็นระฆังจริงๆ และมิใช่ภูเขา มันเพียงแต่ถูกปกคลุมไว้ด้วยหินชั้นหนึ่ง!

แม้ว่าฉินมู่จะเคยเห็นอาวุธวิญญาณขนาดมหึมามาก็ไม่น้อย แต่พวกมันล้วนเป็นระดับสมบัติสืบทอดสำนักทั้งนั้น!

แม้ว่าอาวุธวิญญาณของแผ่นดินตะวันตกจะไม่ประณีตเพริศแพร้วเท่ากับอาวุธวิญญาณในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แต่สมบัติสืบทอดสำนักก็ยังนับว่าไม่ธรรมดา พวกมันคือสมบัติวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยความขะมักเขม้นใส่ใจของยอดยุทธฝีมือแกร่งตลอดทั้งชีวิตของเขา

กระดาษบนยอดเขานั้นน่าจะใช้ปิดผนึกยักษ์ภูเขานี้! มันน่าจะฟื้นตื่นมาเมื่อนานมา แต่แล้วก็ถูกเจ้าของสะกดข่มสมบัติล้ำค่าของตระกูลเอาไว้!

หางตาของฉินมู่กระตุก เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ยิ่งคับขันร้ายกาจยักษ์ภูเขานี้เงื้อระฆังใหญ่สองลูกเหวี่ยงแกว่งพวกมันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกมันกระทบกันไปมา และปากระฆังก็หันมาทางฉินมู่!

ยักษ์ภูเขามิได้เพิ่งตื่น แต่มันถูกปิดผนึกเอาไว้ก่อนหน้า มันมีจิตวิญญาณมาโดยตลอด นั่นก็เป็นสาเหตุที่ตระกูลอวี้ผนึกมันเอาไว้ที่นี่ เมื่อต้องการใช้สอย พวกเขาก็เพียงแต่ฉีกยันต์ปิดผนึก และสามารถขับเคลื่อนยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้!

ปัง!

ระฆังสองลูกกระทบกัน และคลื่นเสียงก็พวยพุ่งเข้ามา ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ถนนก็จะกระเพื่อมนูนขึ้นและโถมซัดใส่กิเลนมังกร

แต่ทว่าภัยคุกคามที่ร้ายกาจที่สุดก็มิใช่ถนนอันโถมซัด หากแต่เป็นเสียงระฆังเอง พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากการฟาดกระทบสมบัติสืบทอดสำนักสองชิ้น!

“ตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตกร้ายกาจจริงๆ มังกรอ้วน อย่าขยับ!”

ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมศัตรู เมื่อปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกไป อักษรรูนมากมายก็คลี่คลุมไปทั้งร่างเขา จากนั้นก็ไหลอาบรอบๆ กิเลนมังกร คลื่นเสียงทำลายล้างแผ่พุ่งมา แต่ไม่ทันที่พลังงานพิฆาตจะถึงตัวกิเลนมังกร รอยประทับอักษรรูนก็ก่อขึ้นมาเป็นวงจรพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกล ด้วยทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลทำงาน ฉินมู่ก็หายวับไปจากตรงนั้นพร้อมกับกิเลนมังกร

พริบตาถัดมา พวกเขาปรากฏที่อีกหนึ่งลี้ห่างออกไป หากว่าลำพังตัวฉินมู่ เขาคงเคลื่อนย้ายไปได้ไกลกว่าสามสิบลี้ หากว่าเขาพาคนไปด้วยหนึ่งคน เขาก็ยังไปได้ไกลสิบลี้ แต่ทว่า เมื่อนำสัตว์ยักษ์มหึมาอย่างกิเลนมังกรไปด้วย หนึ่งลี้นี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว

แต่ระยะหนึ่งลี้นี้นับว่าสั้นเกินไปสำหรับยักษ์ภูเขา เพียงแค่มันก้าวย่างไปหนึ่งก้าว ก็คงเดินทางได้เป็นสิบลี้!

ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นว่าจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่ปลิวกระจุย สะเทือนสะท้านอย่างรุนแรงราวกับผืนธงในพายุ ถัดไปนั้น ถนนก็แตกทำลายเป็นชิ้นๆ จากคลื่นเสียงอันรุนแรง

มันถึงกับทำลายถนนไปเป็นระยะยี่สิบลี้ กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างจนเหี้ยนเตียน!

“ยักษ์ภูเขาไม่มีพลังวัตร แต่เพียงแค่มันแกว่งทุบระฆังสองใบเข้าด้วยกัน มันก็สามารถปลดปล่อยพลานุภาพเกินจินตนาการ นี่ช่างน่าอัศจรรย์!”

ฉินมู่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมศัตรู กิเลนมังกรรีบถีบตัววิ่งต่อไปทันที ขณะที่ข้างหลังพวกเขาคือยักษ์ภูเขาที่หันกลับ และเงื้อเท้าก้าวไปก้าวแรก ฉินมู่พลันเห็นเหนือศีรษะมืดไปหมด เมื่อเขามองขึ้นไป เท้ามหึมาของยักษ์ภูเขาก็อยู่เหนือหัวพวกเขาแล้ว

ความเร็วของกิเลนมังกรพลันทวีทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทะลุความเร็วเสียงภายในไม่กี่อึดใจ พัฒนาการของเจ้าอ้วนนี้ทำให้ฉินมู่แตกตื่นอ้าปากค้าง เขาไม่รู้ว่ามังกรอ้วนมันไปกินยาวิญญาณอะไรมา ความเร็วของเขาถึงรุดหน้าเกินกว่าในอดีตไปหลายเท่าตัว!

ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ กิเลนมังกรไม่มีเวลาห่วงเรื่องการตบตาเจ้านายอาหารของเขาให้เพิ่มคุณภาพมื้ออาหาร เขาเพียงแต่คิดเรื่องจะหนีเอาชีวิตรอด และความเร็วที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นมหัศจรรย์อย่างยิ่ง

ตูม!

ข้างหลังพวกเขา เท้ามหึมาของยักษ์ภูเขาเหยียบลงไปบนพื้น สร้างทะเลสาบใหญ่ข้างใต้มัน ในพริบตาถัดมา มันก็เงื้อมือของมันขึ้นเพื่อฟาดเคาะระฆังสำริด

กิเลนมังกรโกยแน่บอย่างไม่คิดชีวิต และระฆังใหญ่ก็ร่วงลงมาข้างหลังเขา แต่ทว่า พลานุภาพของระฆังยักษ์นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด เมื่อคลื่นเสียงชอนไชเข้าไปในดิน ความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วกว่าในอากาศถึงห้าเท่า

ข้างหลังกิเลนมังกร พื้นดินระเบิดปังๆ และมันเป็นภาพอันชวนขนหัวลุก คลื่นเสียงมาจนถึงกิเลนมังกรและเป่าเขากระเด็นขึ้นไปบนอากาศ

เมฆอัคคีพลันพวยพุ่งขึ้นมาใต้เท้ากิเลนมังกร และเขาก็วิ่งตะบึงไปอีกครั้ง ข้างหลังเขา ยักษ์ภูเขาเหวี่ยงระฆังสำริดใหญ่อีกใบ และอีกอันนั้นก็เงื้อขึ้นสูงเพื่อให้พวกมันตีกระทบกันอีกครั้ง

หง่าง!

เสียงระฆังดังออกมา และมีคลื่นกระเพื่อมสองคลื่นออกมาจากคลื่นเสียงที่บีบอัดห้วงมิติให้กลายเป็นวัตถุสสาร เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่ไป ความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วมากขึ้น

ฉินมู่ขนหัวลุกชูชัน และเขารีบตีลังกากลับหลังและนำเนตรหยกจันทราออกมา มันจุดแสงและลำแสงก็ยิงตรงไปยังคลื่นเสียง

หวึ่ง

คลื่นเสียงทำลายล้างถูกผ่าแยกออกเป็นสองซีกจากลำแสง และสองคลื่นพลังงานอันน่าหวาดผวาก็พุ่งเฉียดผ่านกิเลนมังกรไป แรงสั่นสะเทือนที่หลงมาทำเอาหนังหัวฉินมู่ชาดิกไปหมด และเขาก็ตัวสั่นเทิ้มโดยที่อากาศไม่เย็น

หากว่าพวกเขาถูกคลื่นเสียงนั้นกระแทกเข้าใส่ เขา เสียงฉีเอ๋อ และแม้กระทั่งกิเลนมังกรก็คงแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสาบสูญไปจากโลก

“แผ่นดินตะวันตกก็มีความรู้ของมัน แต่ความรู้ชนิดนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกฝนฝึกปรือ”

ฉินมู่มองกลับไปข้างหลังและเห็นยักษ์ภูเขาถูกผ่าด้วยลำแสงจากเนตรหยกจันทรา ไหล่ของมันครึ่งหนึ่งร่วงหักลงมา และกิเลนมังกรก็เคลื่อนที่ไปไกลขึ้นและไกลขึ้นทุกทีจากมัน ด้วยความสามารถของยักษ์ภูเขา มันไม่มีทางโจมตีพวกเขาได้ด้วยคลื่นเสียงอีกต่อไป

ในตอนนั้นเอง ยักษ์ภูเขาก็พลันย่อตัวลงมา เมื่อฉินมู่เห็นเช่นนั้น หัวใจเขาก็เต้นโครมครามอย่างรุนแรง ยักษ์ภูเขาวิ่งตะบึงมาจริงๆ และความเร็วของมันก็เหลือเชื่อ!

“สวรรค์…นั่นไม่ใช่แล้ว มันจะต้องมีใครสักคนควบควบคุมยักษ์ภูเขา มิเช่นนั้นมันคงไม่สามารถเจาะจงไล่ตามข้าและกิเลนมังกรมาได้ ไล่ล่าอย่างกับคลุ้มคลั่ง!”

ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมา หญิงตระกูลอวี้ที่ขึ้นไปฉีกยันต์ผนึกนั้นถูกสังหารไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่ใช่นางเป็นแน่ ก็แปลว่าจะต้องมีอีกคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ไม่ไกล และวรยุทธของคนผู้นั้นก็สูงล้ำเช่นกัน มิเช่นนั้นพวกเขาจะควบคุมยักษ์ภูเขาที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้ได้อย่างไร

ขณะที่เขาคิดอยู่นั้น แสงกระบี่หนึ่งก็พลันพุ่งมาจากฟ้า และศีรษะมนุษย์หนึ่งก็ร่วงลงมาจากอากาศ ตามมาด้วยเศษชิ้นส่วนศพจำนวนหนึ่ง มันเป็นหญิงเฒ่าผมสีเทาเงินผู้ซึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือ ไม้เท้าของนางก็ถูกตัดออกเป็นสองซีก

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย เขามองไปที่ยักษ์ภูเขาอีกครั้ง และพบว่ามันพลันชะงักค้างอยู่กับที่ ไม่ไล่ล่าพวกเขาอีกต่อไป

ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าจะต้องเป็นหญิงแก่ผมขาวผู้นี้ที่ได้ควบคุมยักษ์ภูเขาอยู่ในที่ลับเพื่อโจมตีพวกเขา มิเช่นนั้นยักษ์ภูเขาจะโจมตีพวกเขาในทันทีที่ฟื้นตื่นขึ้นมาได้อย่างไร

“มังกรอ้วน หยุดก่อน!”

กิเลนมังกรหยุดวิ่งทันที แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ฉินมู่เปิดเนตรสวรรค์ชาด เพื่อมองดูยังยักษ์ภูเขา และเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนหัวของมัน นั่นก็คือเกอเคอ

แสงกระบี่พุ่งกลับลงมาจากก้อนเมฆและบินวนรอบเขาสองรอบ

เกอเคอโค้งคารวะเพื่อกล่าวลาพวกเขา “เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”

ฉินมู่เองก็โค้งคารวะร่ำลา “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”

เงาร่างนั้นพลันยกธงขึ้นคลี่สะบัด และหายวับไปจากยอดเขา

“ธงเคลื่อนย้ายระยะไกล ปรมาจารย์ก็ให้เขาไว้หนึ่งอัน” ฉินมู่แย้มยิ้ม “เขาเหมือนกับปรมาจารย์เลย ทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจไยดีกับโลกหล้า แต่จริงๆ แล้วพวกเขามีหัวใจอันอบอุ่น เกอเคอนี่เป็นบุตรชายของปรมาจารย์ไม่ผิดแน่ มังกรอ้วน ปรมาจารย์มีผู้สืบทอดแล้ว”

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท