ฉินมู่ลิงโลด เป้าหมายของการมาเยือนครั้งนี้ของเขาก็เพื่อแสวงประสบการณ์ เพื่อมาสัมผัสความแข็งแกร่งของผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และเรียนรู้จากจุดแข็งของพวกเขา เขาอยากที่จะเติบโตขึ้นเพื่อที่จะได้ต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ยอดฝีมือมารในสวรรค์ไท่หวงมีจำนวนมากมาย และพวกเขาก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ดีที่สุดในการทดสอบทักษะฝีมือของเขา!
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่อมีเสือเทพยดาขนดำอยู่ด้วย พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะหนีไปไม่พ้นหากว่าพบปะกับมารเทวะสักตน
ความเร็วของเสือเทพยดาขนดำนั้นว่องไวอย่างสุดขีดขั้ว ดังนั้นต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับมารเทวะสักห้าตน เขาก็ยังคงสามารถล่าถอยไปได้อย่างสบายๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยประโยคสุดท้ายของเทพเสือขนดำ หากว่าบังเอิญพวกเขาไปก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมา เทพเสือก็จะเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดเอง จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องไปเปลืองตัวเลยแม้แต่นิด
ซังฮั่วและอวี่เหอก็เบาใจลงไปเช่นกัน ด้วยเสือเทพยดาขนดำไปกับพวกเขาด้วย การเดินทางของพวกเขาก็จะไม่อันตรายเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆ คนเดินลงมาจากป้อมปราการเมือง อวี่เหอนั้นกล้าหาญและระมัดระวัง มีวุฒิภาวะมากกว่าซังฮั่ว ดังนั้นนางจึงเป็นคนแรกที่เสนอความเห็น ผู้อาวุโสเสือ ในเมื่อพวกเราจะไปยังเขตแดนของเผ่ามาร จะดีมากๆ หากว่าผู้อาวุโสไม่แผ่รัศมีของท่านออกไป มิเช่นนั้นมารเทวะก็จะปรากฏตัวมาหยุดยั้งพวกเราเอาไว้
จะยิ่งเยี่ยมยอดหากว่าท่านแสร้งปลอมตัวเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะธรรมดาๆ สาเหตุที่เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเรามาด้วยไม่ได้ ก็เพราะว่ามารเทวะเหล่านั้นมีสัมผัสเฉียบไวต่อการปรากฏตัวของพวกเทพเจ้า
เสือเทพยดาขนดำรั้งรัศมีของเขาเข้าไปในข้างในกายและกล่าวด้วยรอยยิ้ม ไม่ต้องห่วง ข้าไม่กระโตกกระตากจนมารเทวะพวกนั้นตามมาหรอก มันเป็นการฝึกฝนของพวกเจ้า ดังนั้นข้าจะเฝ้าดูอยู่ข้างๆ และไม่ยื่นมือเข้าไปขัดขวาง
ฝีเท้าของพวกเขาว่องไว ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธต่ำสักหน่อยก็ไม่อาจจะตามมาได้ทัน ในเมื่ออวี่เหอต้องการที่จะแทรกซึมเข้าไปในเขตแดนของเผ่ามาร ผู้คนที่นางนำมาด้วยล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิในกองทัพ พวกเขาล้วนแต่เคยผ่านประสบการณ์ต่อสู้ชิงเป็นชิงตายมาก่อน
เมื่อพวกเขาเข้าใกล้เป้าหมาย ท้องฟ้าก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นมืดดำ ขณะที่ร่องรอยของปราณมารลอยไปลอยมาอยู่ในป่า สถานที่นี้ดูเหมือนกับว่ามันถูกครอบงำไปด้วยหมอกเทา พวกเขาพอมองเห็นได้แต่ไม่ไกลนัก
หนึ่งในผู้ฝึกวิชาเทวะคิดจะใช้ทักษะเทวะเพลิงไฟเพื่อส่องสว่างเส้นทางเดิน แต่ฉู่เหยายับยั้งเขาเอาไว้ทันที นี่เป็นเขตแดนของเผ่ามาร เว้นแต่เจ้าจะตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน ห้ามมิให้ใครใช้ทักษะเทวะที่เปล่งแสงออกมา มิเช่นนั้นตำแหน่งของพวกเราก็จะถูกเปิดโปง! จำเอาไว้ เมื่อพวกเราพบพานศัตรู ให้กำจัดพวกเขาโดยฉับพลันและจบการต่อสู้ให้เร็วที่สุด พวกเราไม่อาจปล่อยให้การต่อสู้ลากยาว และเสี่ยงที่จะชักนำศัตรูมาเพิ่มอีกได้!
ทุกคนรีบรับคำของเขา
วิสัยทัศน์ของฉู่เหยาไม่เลวเลยทีเดียว ฉินมู่กล่าวชม จากนั้นหันไปทางซังฮั่ว เจ้าได้ไปที่เจดีย์สยบเทพหรือยัง
ซังฮั่วส่ายหัว เปียยาวๆ ของนางกระเด้งไปมาตรงหน้าอก ข้าไม่มีเวลา มันมีเรื่องราวมากมายเกินไปที่จะต้องทำในช่วงไม่กี่วันมานี้ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถปลีกตัวไปได้ ล่าสุดนี้แทบไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรจากฝั่งมารเลย และนี่ทำให้ข้าหวาดผวา ยิ่งไปกว่านั้น ครูบาสวรรค์ยังได้นำเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนไป และก็ไม่มีข่าวคราวใดๆ จากพวกเขา ข้ารู้สึกสังหรณ์ไม่ค่อยดี
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นักบุญคนตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับเทพเจ้ายี่สิบสี่ตน แต่ก็ยังไม่มีข่าวของศึกใหญ่ นี่ก็น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละ
ระวัง พวกเราเข้ามาในเขตแดนของเผ่ามารแล้ว! ติงอวิ๋น ไปสำรวจทางข้างหน้าด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า!
เมื่ออวี่เหอออกคำสั่ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็นั่งลงขัดสมาธิดอกบัว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ฉายส่องออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนจึงก้าวเข้ามาเพื่อแบกเขาไว้บนหลัง
พวกเขาส่วนใหญ่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นเจ็ดดาว และสามารถฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปได้ ทว่า เมื่อไม่ได้ประสบพบพานการปฏิรูปจิตวิญญาณดั้งเดิมในสันตินิรันดร์ จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็ไม่แข็งแกร่งเพียงพอและเหาะเหินไปได้ไม่ไกลนัก แต่ถึงอย่างไร มันก็สามารถใช้สำรวจเส้นทางข้างหน้าได้
ทุกคนเร่งรุดไปตามเส้นทางของตน ผ่านไปสักพักหนึ่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของติงอวิ๋นก็บินกลับมาและกล่าว ห่างจากที่นี่สองร้อยลี้ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่ง ข้างในนั้นมีผู้คนที่ถูกมารใช้เป็นทาสอยู่ราวๆ สองพันคน แต่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขากำลังถูกใช้แรงงานให้ก่อสร้างอะไรอยู่
และก็ยังมีหมู่บ้านอีกสี่ห้าแห่งใกล้ๆ ที่มีคนชราและคนหนุ่ม สตรีและเด็กเล็ก แต่ทว่ามันมีเจดีย์สังเกตการณ์อยู่ระหว่างทาง อันสูงเป็นอย่างยิ่ง ข้าไม่กล้าเข้าไปสำรวจดูอย่างละเอียดในเมื่อข้าเกรงว่าผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารจะตรวจจับจิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้
เจดีย์สังเกตการณ์เหล่านั้นอยู่ห่างกันสักเท่าไร อวี่เหอถาม
ติงอวิ๋นหน้าแดงไปครู่หนึ่งและพึมพำ วิชาคำนวณของข้าไม่ค่อยดี ข้าไม่เคยเรียนมาก่อน…
อวี่เหอขมวดคิ้ว พวกมารในเจดีย์น่าจะเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะในขั้นหกทิศไม่ก็เจ็ดดาว พวกเขาระวังไวเป็นอย่างยิ่ง และหากว่าพวกเราแหวกหญ้าให้พวกเขาตื่นและข่าวก็แพร่งพราายออกไป ที่จะมาหาพวกเรานั้นมิใช่เพียงแค่เศษทัพทหารเลว แต่จะเป็นยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์หรือไม่ก็ขั้นเป็นตายเลยด้วยซ้ำที่จะออกมารับหน้า!
ติงอวิ๋นส่ายหัว ที่อื่นก็มีเจดีย์สังเกตการณ์ และพวกมันก็มากมายเหลือคณา
ฉู่เหยาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าว ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็คงได้แต่ต้องลอบเร้นเข้าไปอย่างลับๆ และกำจัดพวกมารที่อยู่บนเจดีย์สังเกตการณ์ หากว่ามารตนไหนที่สังเกตเห็นพวกเราก่อนล่วงหน้า พวกเราจะต้องล่าถอยในทันที…
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถาม ปราณชีวิตของใครใช้ได้ยืนนานที่สุด แข็งแกร่งที่สุด
ทุกๆ คนมองไปที่เขา ปากอ้าหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร อวี่เหอและฉู่เหยาเองก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ปริปากเช่นกัน
หากว่าปราณชีวิตของคนผู้หนึ่งแข็งแกร่งพอ พวกเขาก็จะสามารถขับเคลื่อนไจกระบี่ได้จากระยะร้อยลี้ ด้วยวิธีนี้ พวกเราสามารถทำลายทหารมารบนเจดีย์สังเกตการณ์ได้โดยไม่เปิดโอกาสให้พวกเขาตั้งตัว!
ทุกๆ คนยังคงอ้าปากหวอ แต่พวกเขาไม่พูดอะไร
ฉินมู่งงงวย และเมื่อเขาคิดจะพูดอะไรต่อ ซังฮั่วผู้ซึ่งโผงผางกว่าคนอื่นก็กล่าว พี่ชายจ้าวลัทธินักฟาดฟ่อนข้าว นอกจากผู้อาวุโสเสือแล้ว ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าปราณชีวิตของเจ้านั้นใช้ได้ยืนนานที่สุด และแข็งแกร่งที่สุดหรอกหรือ
ทุกคนรีบผงกหัวหงึกๆ
พวกเราล้วนแต่ตราตรึงกับการที่จ้าวลัทธิได้สังหารยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารถึงสี่คนในการประลองชิงเมืองหลี ดังนั้นหากว่าเจ้ายังคงถ่อมตัวต่อไป นั่นก็จะจอมปลอมไปแล้ว ฉู่เหยากล่าวอย่างช่วยไม่ได้
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ตอนนี้เขาถึงเพิ่งจำได้ว่าเขาเหนือล้ำกว่าอวี่เหอและฉู่เหยาได้อย่างไร นอกจากทักษะเทวะเพลงกระบี่และจิตวิญญาณดั้งเดิมแล้ว อีกอย่างก็คือการฝึกปรือปราณชีวิต
ตกลง ข้าจะกวาดล้างเจดีย์สังเกตการณ์ ตามข้ามาให้ดี! ฉินมู่ลุกขึ้นและแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง
ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิม!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาพุ่งวาบและหายวับ
จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้!
ทุกๆ คนรวมทั้งอวี่เหอกระโดดโหยงด้วยความตกใจ จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ได้ถูกฝึกปรือจนกลายเป็นสสาร และไม่ด้อยไปกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นชาวสวรรค์ มันทรงพลังอย่างแท้จริง!
แม้ว่าข้าจะเป็นอันดับหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง และบรรลุมาตรฐานของเทพเที่ยงแท้เยาว์ในหลายด้าน แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าก็ยังด้อยกว่าของเขา สตรีผู้นี้ครุ่นคิด
ซังฮั่วเดินเข้าไปหมายจะแบกฉินมู่ขึ้นมา เพื่อที่พวกเขาจะได้รีบรุดไปตามทาง แต่นางกลับเห็นเขาเริ่มวิ่งไปข้างหน้า ความเร็วของเขาทวีมากขึ้นทุกที ทำให้นางอ้าปากค้าง
เทพเสือขนดำวิ่งตามไปข้างหลังฉินมู่ เลิกจ้องได้แล้ว นี่คือเวทมนตร์ควบคุมจิตวิญญาณ เวทมนตร์ของนายท่านของข้า เร็วเข้า รีบตามมา!
ทุกคนเร่งรีบไปตามที่บอก เมื่อพวกเขาตามฉินมู่ไปทัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็พลันบินกลับมาและคืนสู่ร่างเนื้อ เขาตบถุงเต๋าตี้ และไจกระบี่ลูกหนึ่งก็โบยบินออกมา มันหมุนติ้วและพลันพวยพุ่งขึ้นไปบนอากาศด้วยความเร็วยิ่งยวด
ฉินมู่พลันย่างเท้าไกลกว่าเดิมและบุกไปข้างหน้าอย่างดุเดือด ด้วยเสียงตูม เขาถึงกับวิ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง ไม่ปิดบังร่องรอยของตนอีกต่อไป
อวี่เหอและผู้วิชาเทวะคนอื่นๆ ขมวดคิ้ว ฉินมู่สามารถบุกจู่โจมโดยมิให้ศัตรูทันตั้งตัวได้ก็จริง แต่เสียงของเขาก็จะต้องเดินทางไปยังเจดีย์สังเกตการณ์อื่นเป็นแน่
เมื่อติงอวิ๋นล่วงหน้าไปสอดแนม นอกจากเจดีย์สังเกตการณ์หกหอระหว่างเส้นทางไปของพวกเขา ก็ยังมีเจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ ในละแวกใกล้เคียงที่ไม่ได้ขวางอยู่บนเส้นทางด้วย ฉินมู่ได้สร้างเสียงอึกทึกอันจะทำให้เจดีย์สังเกตการณ์อื่นๆ จับสังเกตได้และเผยตำแหน่งของคณะ ทำให้พวกเขาไม่มีทางอื่นนอกจากล่าถอย
อวี่เหอกัดฟันกรอด พวกเราตามไป!
ทุกๆ คนรีบเพิ่มพูนความเร็วของพวกเขาและวิ่งตะบึงไปอย่างดุเดือด ทวีความเร็วจนสุดขีดขั้ว เสียงระเบิดดังออกมาเมื่อความเร็วของพวกเขาเหนือกว่าความเร็วเสียง แต่ทว่า ผู้คนในคณะไม่ได้มีกำลังฝีมือเท่ากันทุกคน
อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังฮั่วคือพวกที่เร็วที่สุด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ ทั้งสามคนตามเขาไปทันและมองไปข้างหน้า ไจกระบี่ได้ไปถึงเจดีย์สังเกตการณ์แรกแล้ว!
ไจกระบี่นั้นยังคงอยู่ห่างออกไปสิบห้าวา กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนได้พรั่งพรูออกไปและพุ่งเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ กระบี่บินอีกสิบกว่าเล่มก็แยกตัวออกมา และพุ่งลงไปเลียดพื้น ในเวลาเดียวกันนั้น ที่เหลือก็กลับมารวมเข้าด้วยกันเป็นไจกระบี่ มันไม่หยุดชะงักแม้จังหวะเดียว และพุ่งต่อไปข้างหน้า
ฉินมู่เองก็กระทำเช่นเดียวกัน เมื่อเขาเห็นเจดีย์สังเกตการณ์ที่สองในชั่วจังหวะถัดมา มันก็มีทหารมารสองคนนั่งดื่มสังสรรค์กันใต้เจดีย์ ขณะที่มีอีกสองเฝ้าประจำการอยู่บนยอด
กระบี่บินสิบกว่าเล่มที่บินเลียดพื้นพุ่งปราดไปหา และมารสองตนที่ดื่มสุรากันอยู่นั้นก็ไม่ทันจะได้กะพริบตาเลยด้วยซ้ำ หัวของพวกเขาก็หลุดร่วง และกระบี่ก็วกพุ่งขึ้นไปข้างบนด้วยแสงโลหิต ปะทะเข้ากับไจกระบี่ที่บินออกมาจากเจดีย์สังเกตการณ์
ฟิ้ววว!
ฉินมู่เหาะเข้าไป และลมดุดันก็กวาดซัดใส่เจดีย์สังเกตการณ์ เขาพุ่งทะยานไปยังเจดีย์ที่สาม
อวี่เหอ ฉู่เหยา และซังเย่ตามเขาไปติดๆ และไปยังเจดีย์ที่สาม ฉินมู่พลันชะงักเท้า แต่ไจกระบี่ของเขาได้พุ่งไปยังเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่แล้ว
สองเท้าของฉินมู่ทั้งไม่ชิดและไม่ถ่าง ด้วยมือขวาของตั้งเป็นนิ้วกระบี่ ปราณชีวิตของเขาก็ไหลพล่านทั่วสรรพางค์กาย และเขาเซไปข้างหน้าเหมือนคนเมา นิ้วกระบี่ของเขาแทงเข้าไปในความว่างเปล่าทางนั้นทีทางนี้ที พลางรักษาการขับเคลื่อนโคจรเพลงกระบี่เอาไว้
ไจกระบี่ปะทะเข้าไปในเจดีย์สังเกตการณ์ และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทางราวกับปลาบิน พวกมันสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารทุกคนที่ยืนรักษาการณ์อยู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ไจกระบี่ก็พุ่งทลายผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่สี่ ห้า และหก
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ รีบรุดมาจนถึงสี่คนข้างหน้านี้ เมื่อพวกเขาหยุดเท้า ติงอวิ๋นก็ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาและวิ่งไล่ตามไจกระบี่ของฉินมู่ไป เขาเห็นว่าหลังจากที่มันพังถล่มเจดีย์สังเกตการณ์ที่หก มันก็แยกออกจากกัน และกระบี่บินแปดพันเล่มก็แยกออกเป็นสองกลุ่ม ก่อนที่จะก่อตัวเป็นไจกระบี่เล็กลงสองลูกอันคล้ายคลึงกันและโบยบินไปในทิศทางตรงกันข้าม
ติงอวิ๋นตกตะลึง แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็รีบไล่ตามไจกระบี่ลูกหนึ่งไป เขาพบว่ามันเคลื่อนไหวจู่โจมอย่างมีแบบแผน และเคลื่อนที่เป็นแนวโค้งด้วยความเร็วอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ มารทั้งหมดในเจดีย์สังเกตการณ์ล้วนแต่ถูกสังหารโดยไม่ทันได้ตั้งตัว
เมื่อไจกระบี่มาถึงยามสังเกตการณ์คนสุดท้าย ติงอวิ๋นก็พลันได้ยินเสียงตูมที่เกิดขึ้นมาจากการที่ไจกระบี่เหล่านั้นพุ่งไปด้วยความเร็วเหนือเสียง แต่มันไม่ได้ดังอึกทึกอีกต่อไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมารหลายตนโผล่หัวออกมาดู แต่ข้างหลังพวกเขา ไจกระบี่โบยบินเข้าไปในเจดีย์และระเบิดออกมาด้วยแสงกระบี่ ท่วมท้นถล่มใส่พวกเขา
ติงอวิ๋นรีบเรียกจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขากลับ และเมื่อเขาคืนสู่กายเนื้อ เขาก็เห็นไจกระบี่บินกลับมา และมีอีกลูกหนึ่งที่พุ่งหวีดหวือกลับมาเช่นกัน
ไจกระบี่สองลูกชนกันกริ๊งตรงหน้าฉินมู่ ก่อนจะหลอมรวมเป็นไจกระบี่ลูกใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย แล้วร่วงลงบนฝ่ามือของเขาอย่างแผ่วเบา
โชคดีที่ข้าไม่ล้มเหลวในภารกิจ ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและส่งยิ้ม
ทุกคนกำลังหอบหายใจ พวกเขาพลันชะงักเท้าและยังไม่ทันได้เหลียวมองดูบริเวณรอบๆ เลยด้วยซ้ำ
ฉู่เหยามองไปที่ติงอวิ๋นผู้ซึ่งพยักหน้า ในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้ หอสังเกตการณ์ใดที่ได้ยินเสียงอึกทึกของพวกเราก็ถูกทำลายไปทั้งสิ้นด้วยน้ำมือจ้าวลัทธิ สถานที่อันห่างไกลออกไป ไม่สามารถได้ยินเสียงถึงนี่
หนึ่งร้อยห้าสิบลี้?
อวี่เหอมีสีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ฉินมู่เพิ่งพูดถึงแค่หนึ่งร้อยลี้อยู่เมื่อครู่ แต่เขากลับทำลายเจดีย์สังเกตการณ์ตลอดรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบลี้เชียว ปราณชีวิตของเขาแข็งแกร่งเกินไปแล้ว
ดูเหมือนว่าเขาจะถ่อมตนจริงๆ นางลอบคิดในใจ
ไปกันเร็ว! จ้าวลัทธิ เจ้าควบคุมกระบี่มากมายขนาดนี้ จำเป็นต้องพักก่อนไหม ฉู่เหยาถาม
ฉินมู่ส่ายหัว ไม่ต้องห่วง ปราณชีวิตข้ายังเต็มเปี่ยม
ฉู่เหยากระโดดโหยงด้วยความตกใจ และอุทานกับตนเองว่าฉินมู่เป็นอัจฉริยะปีศาจ ทุกคนพุ่งไปข้างหน้าผ่านเจดีย์สังเกตการณ์ที่ถูกทำลายไปด้วยความรีบเร่ง ไม่นานนัก พวกเขาก็อยู่ไม่ห่างจากเมืองเล็กๆ อันติงอวิ๋นได้เอ่ยถึงก่อนหน้านี้
ตรงหน้าพวกเขา สถานที่นี้ไม่อาจเรียกได้ว่าเมืองเล็กๆ อีกต่อไป ในทางกลับกัน มันกลายเป็นแท่นสังเวยขนาดยักษ์ที่ไม่เล็กไปกว่าอันที่นักบุญคนตัดไม้ใช้เพื่อจุติลงมา!
มนุษย์แข็งแรงหลายพันคนกำลังก่อสร้างมันภายใต้การควบคุมกำกับของทหารมาร
แท่นสังเวยนี้ได้ถูกสร้างมาครึ่งหนึ่งแล้ว และผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารมากมายก็กำลังหิ้วถังเลือดสดมาเพื่อจารึกอักษรรูนลงไปบนนั้น
พวกมารได้เปิดทะลุม่านคุ้มกันของสวรรค์ไท่หวงแล้วไม่ใช่หรือ ม่านคุ้มกันโลกระหว่างสวรรค์ไท่หวงและโลกของมารไม่อาจยับยั้งการจุติลงมาของมารเทวะได้อีกต่อไป แล้วทำไมพวกเขายังต้องก่อสร้างแท่นสังเวย
ฉินมู่ฉงนใจ เขาพลันกล่าวด้วยเสียงต่ำ เว้นก็แต่เทพหรือมารที่พวกเขากะจะอัญเชิญมา มิใช่ผู้คนจากโลกมาร? หรือว่ามันจะเป็น…
เขาไพล่คิดถึงปูมหลังที่มาของเจ๋อหัวหลี และความไม่สบายใจก็เต็มปรี่หัวใจของเขา
เจ๋อหัวหลีเป็นศิษย์ของลั่วอู๋ชวง ผู้ซึ่งมาจากสถานที่ที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์แท้!
ตรงนั้นมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์! ทุกคนเบือนสายตาไป อย่าให้เขาสังเกตเห็นพวกเจ้า! ฉู่เหยารีบกล่าว
ทุกคนทำตามที่เขาบอก ข้างๆ แท่นสังเวย ยอดยุทธฝีมือแกร่งเผ่ามารมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงกว่าสิบห้าวายืนอยู่ข้างหลังเขา เขาทั้งสูงและแข็งแกร่ง และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ดูราวจะสัมผัสบางสิ่งได้ในเมื่อมันเหลียวมองไปรอบๆ แต่ถึงอย่างไร มันก็ไม่อาจตรวจจับสิ่งใดที่ผิดสังเกต
ฉินมู่นำกระจกบานหนึ่งออกมา และใช้มันเพื่อสะท้อนภาพรอบข้าง มารที่นี่มีจำนวนไม่มาก นอกจากยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั่นแล้ว คนอื่นๆ ก็คงรับมือไม่ยาก…
ในตอนนั้นเอง เขาก็เห็นเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากข้างในแท่นสังเวย และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง
ฟู่ยื่อลัว!
ฝ่ามือของฉินมู่สั่นพั่บๆ เมื่อฟู่ยื่อลัวในกระจกเดินออกมาจากแท่นสังเวย และเงยหน้าขึ้นมองตรงมาที่เขา
หนี… ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
ฟู่ยื่อลัวที่อยู่ในกระจก ก้าวอาดๆ ตรงเข้ามา และเดินออกจากกระจก ร่างกายของเขาใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ ราวกับฝันร้ายที่กำลังมาเยือน
หนีเร็วเข้า! ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด
………………
ฉินมู่ระบายลมหายใจยาว ได้เห็นราชครูสันตินิรันดร์อุ่นใจเหมือนได้เห็นสมาชิกครอบครัว ชายผู้นี้ถึงกับมายังสวรรค์ไท่หวงจากแดนโบราณวินาศ และได้ทดสอบการใช้งานได้ของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เขานั้นมาสนับสนุนได้อย่างทันเวลา!
ไม่เช่นนั้น ก็คงยากที่จะกล่าวว่า พวกเขาทั้งหลายจะแข็งทื่อกันอย่างนี้ไปอีกนานแค่ไหน
ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ไม่กล้าเข้าไปในสะพานด้วยตนเองเพื่อทดสอบดูว่ามันปลอดภัยหรือไม่ ทั้งเขาและเทพเสือขนดำกังวลว่าพวกเขาอาจจะถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ หากว่ามีความผิดพลาดในการออกแบบ
โชคดีว่า ราชครูสันตินิรันดร์มา
ความกังวลใหญ่หลวงของพวกเขาก็คือว่าพวกเขาได้ทำลายดวงตะวันไป และหากว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ใช้งานไม่ได้อีก ผู้ฝึกวิชาเทวะและทวยเทพทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวง หากว่าไม่กระทืบพวกเขาจนตาย ก็หยอดน้ำข้าวต้ม
โชคดีว่า ราชครูสันตินิรันดร์มาที่นี่
ดวงตะวันบนท้องฟ้า… ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวันที่แหว่งไปข้างหนึ่งและรีบเบือนหน้าหนีไป เขาตั้งสติตนเองก่อนจะถาม จ้าวลัทธิ ที่นี่คือที่ใด สหายเต๋าเหล่านี้คือ?
มาได้เวลาเลย ราชครู! ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง ทุกท่าน ให้ข้าแนะนำสักหน่อย! นี่คืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี ราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ให้พูดกันจริงๆ แล้ว สะพานเทวะในสมบัติเทวะของผู้คนแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ขาดสะบั้น และราชครูก็เป็นบุคคลแรกที่ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ เขานั้นยังเป็นผู้นำการปฏิรูปแห่งสันตินิรันดร์อีกด้วย! ราชครู นี่คือสวรรค์ไท่หวง สรวงสวรรค์แรกแห่งสามสิบสามสรวงสวรรค์ และบุคคลที่อยู่บนท้องฟ้าคือเทพเที่ยงแท้ผางอวี้!
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้และทวยเทพอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประทับใจ พวกเขารีบเหินลงมาและคารวะทักทายราชครูสันตินิรันดร์ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม ที่แท้ก็เป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์อันปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี! เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบกับเจ้า! ว่ากันตามจริงแล้ว ครั้งหนึ่งข้าก็เคยได้ยินตำนานของอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี แต่คิดไปว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าขานประหลาดๆ เท่านั้น ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบบุคคลจริง!
ราชครูสันตินิรันดร์คารวะกลับไปและกล่าวอย่างถ่อมตน พี่ทางเต๋าสุภาพเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงคนตัวเล็กตัวน้อยจากชนบทห่างไกลที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างมาก่อนเท่านั้น ที่เรียกๆ กันว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์อันปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีนั้น เป็นเพียงคำยกยอของผู้คนในประเทศเล็กๆ ของข้า
ผางอวี้หัวเราะร่าและส่ายหัว ราชครูเข้าใจผิดแล้ว! หากว่าโลกของท่านเป็นเพียงชนบทห่างไกล อย่างนั้นสวรรค์ไท่หวงของพวกข้าก็ยิ่งย่ำแย่ไปใหญ่ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ทั้งหมดล้วนแต่ตั้งอยู่บนสถานที่ที่พวกเจ้าอยู่ สาเหตุที่สวรรค์ไท่หวงได้ต่อสู้กับเผ่ามารอย่างเลือดตากระเด็นกว่าสองหมื่นปีนั้นก็เพียงเพื่อป้องกันโลกของพวกเจ้า
ราชครูสันตินิรันดร์สะท้านใจอย่างรุนแรง และสีหน้าของฉินมู่ก็ตะลึงงัน พวกเขาไม่คาดคิดว่าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้จะกล่าวอะไรเช่นนั้น
ในถ้อยคำของเขามีข้อมูลมากเกินไป และทั้งสองบุรุษก็ต้องอาศัยเวลาในการคิดใคร่ครวญมัน
สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ได้สถาปนาการเชื่อมต่อระหว่างสองโลก อันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสวรรค์ไท่หวงของพวกข้า หากว่าพวกเราไม่อาจต้านยันได้อีกต่อไป พวกเราก็จะถนอมกำลังทั้งหมดเพื่อมุ่งหน้าไปยังสภาสวรรค์
ผางอวี้โค้งกายคารวะแก่ฉินมู่และกล่าวอย่างจริงใจ ไม่ว่าสหายน้อยฉินจะหลอมสร้างดวงตะวันอีกสองดวงขึ้นมาใหม่ได้หรือไม่ สวรรค์ไท่หวงของข้าก็จะจดจำความกรุณานี้ของเจ้า!
ฉินมู่รีบคารวะกลับไปทันที เทพเที่ยงแท้สุภาพเกินไปแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ข้าพึงกระทำ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องจดจำใส่ใจ
ราชครูสันตินิรันดร์เหลียวคอไปรอบๆ และมองไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอันซับซ้อนพิสดารกับแท่นสังเวยนั้น เขาถอนหายใจด้วยความชื่นชม ย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ นี่เป็นสิ่งที่จ้าวลัทธิสร้างขึ้นมาจริงๆ ข้าเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า และที่พื้นดินก็เกิดผุดแท่นสังเวยมหึมาขึ้น สะพานแสงอันเหมือนกับปล่องไฟสองปล่องเชื่อมต่อกัน และข้าก็สงสัยไปว่ามารที่ไหนทะลุทะลวงมายังสันตินิรันดร์เพื่อก่อความวุ่นวาย
เมื่อข้ามาที่แท่นสังเวยและชมดู ข้าเห็นงานฝีมืออันมหัศจรรย์ พีชคณิตที่ใช้นั้นเหนือธรรมดา อาศัยการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณและการย้ายสลับพลังจิตวิญยาณ ข้าสงสัยใคร่รู้จึงเดินเข้ามาเพื่อชมดู และกลายเป็นว่าที่แท้ก็คือจ้าวลัทธิจริงๆ ที่มีความคิดอันเพริศแพร้วอัศจรรย์เช่นนี้
ฉินมู่พึงพอใจเป็นอย่างยิ่งและกล่าวอย่างถ่อมตน ราชครูชมข้าเกินไปแล้ว นี่จะต้องขอบคุณพี่เสือเสียมากกว่า
เขาแนะนำราชครูสันตินิรันดร์ให้แก่เทพเจ้าทั้งหมด และกล่าวอย่างมีนัยลึกล้ำ ราชครู นักบุญคนตัดไม้ก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ในสวรรค์ไท่หวง
นักบุญคนตัดไม้!
หัวใจของราชครูสะท้านสะเทือนด้วยความเร่งร้อน สาเหตุที่เขาริเริ่มการปฏิรูปนั้นก็เพราะว่าวลีหนึ่งจากลัทธินักบุญสวรรค์–เพื่อยังประโยชน์แก่กิจวัตรของผู้คนทั่วไป
มรรคาแห่งนักบุญคือสิ่งที่เขาไล่ตามเสาะแสวงมาตลอดทั้งชีวิต!
และเพื่อที่จะบรรลุเป็นนักบุญ เขาก็จะต้องสถาปนาคุณธรรม กุศล และความคิดในนิพนธ์ขึ้นมาเสียก่อน นั่นคือสิ่งที่เขาได้กระทำ
เขาหมายที่จะได้พบกับผู้อาวุโสอันชักนำเขามาสู้เส้นทางแห่งการปฏิรูป
ยากนักที่ฉินมู่จะได้เห็นเขาว้าวุ่นกระวนกระวาย และก็จึงแย้มยิ้มออกมา ตอนนี้นักบุญคนตัดไม้มิได้อยู่ที่นี่ แต่กำลังต่อสู้กับเผ่ามารพร้อมกับเทพอีกยี่สิบสี่ตน ราชครู เจ้าเพิ่งจะมาถึงและยังไม่เข้าใจสวรรค์ไท่หวง หลังจากที่ข้าบอกเล่าเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง เจ้าก็จะได้รู้ว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนี้มหัศจรรย์มากแค่ไหน
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริมอย่างมีนัย มรดกยุทธแห่งสวรรค์ไท่หวงในด้านมรรคาและวิชาไม่เคยขาดสะบั้น
อะไรนะ สีหน้าไม่เชื่อหูเกลื่อนกล่นไปทั้งใบหน้าของราชครูสันตินิรันดร์และเขาก็ร้องออกมา มรดกยุทธในด้านมรรคาและวิชาที่นี่ไม่เคยขาดสะบั้นอย่างนั้นหรือ เจ้าหมายความว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะได้รับการสืบทอดมาอย่างครบสมบูรณ์อย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! ดูที่ดวงตะวันบนท้องฟ้าสิ! มาตรฐานพีชคณิตระดับนี้ห่างชั้นจากพวกเราเป็นหมื่นลี้ มันแย่ยิ่งกว่าความสามารถของบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเสียอีก!
เทพเสือขนดำเม้มปากทำแก้มพองพลางครุ่นคิด นักบุญที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีผู้นี้ก็เป็นพวกที่ไม่ได้ฝึกปรือกรอบคิดจิตใจเหมือนกันสินะ เพียงแค่ข้อมูลกระผีกเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้เขาโลดเต้นไปมาขนาดนี้เสียแล้ว สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ทำให้ยากที่เขาจะควบคุมอารมณ์ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกๆ กันไม่เห็นจะสมชื่อเลย!
ด้วยรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ฉินมู่ก็พึมพำ นี่ก็นับว่าเป็นสิ่งระคายตาจริงๆ นั่นแหละ…
ราชครูสันตินิรันดร์ยิ้มหยันและกล่าว จะเรียกว่าแค่ระคายตาได้อย่างไร สิ่งที่ข้าอยากทำที่สุดคือควงมีดดาบขึ้นไปสับดวงตะวันให้ผ่าเป็นครึ่ง! หากว่าบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหลอมสร้างมหาสมบัติวิเศษที่หยาบกร้านขนาดนี้ออกมาล่ะก็ ข้าจะไล่เขาออกจากมหาลัยให้กลับไปฝึกมาใหม่ที่บ้านเกิด!
ในบริเวณรอบๆ เทพเจ้าทั้งหมดเต็มไปด้วยความอับอาย พวกเขาหันไปมองหน้ากันและกันอย่างอึ้งกิมกี่
ด้วยน้ำเสียงอันจนปัญญา ฉินมู่กล่าว ราชครูพูดเบาๆ หน่อย แม้ว่าพีชคณิตของสวรรค์ไท่หวงจะลดระดับลง แต่มรดกยุทธด้านมรรคานั้นไม่เคยขาดสะบั้น ด้วยกำลังฝีมือของข้า ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะในวรยุทะขั้นเดียวกัน ข้าเพียงจัดอยู่หนึ่งในสิบอันดับเท่านั้น
จ้าวลัทธิกำลังถ่อมตน ใช่ไหม ราชครูสันตินิรันดร์ถามอย่างตงิดใจ
ฉินมู่คิดอยู่นิดหนึ่งและกล่าวอย่างสัตย์ซื่อ ข้าก็ถ่อมตนนิดนึงจริงๆ นั่นแหละ แต่ทว่าสวรรค์ไท่หวงมีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่มีกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ ความเร็วของพวกเขาเร็วกว่าข้า พละกำลังก็เหนือกว่าข้า ปฏิกิริยาตอบสนอง พลานุภาพของทักษะเทวะและเนตรเทวะ แม้กระทั่งวิชาฝึกปรือของพวกเขาก็เหนือกว่าสันตินิรันดร์
ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึกและปลุกปลอบตนเอง
สาเหตุที่เขาร้อนรนขนาดนี้ก็เพราะว่ามันมีช่องว่างมหึมาในการมรดกยุทธด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์!
ช่องว่างมหึมานี้ได้ปรากฏขึ้นเมื่อสองหมื่นปีก่อน ในตอนนั้น มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้กลายเป็นหยาบกร้านอย่างเหลือแสน และไม่อาจก่อขึ้นมาเป็นระบบเลยสักนิด โถงกษัตริย์มนุษย์ สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม และลัทธินักบุญสวรรค์ได้ถ่ายทอดสิ่งที่พวกเขารู้ไปทุกหนทุกแห่ง แต่ด้วยข้อจำกัดของการกระทำ มรรคา วิชา และทักษะเทวะที่พวกเขาถ่ายทอดไปก็ไม่ครบสมบูรณ์
สำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำราม ได้ประสบการทำลายล้างในภัยพิบัติ ส่วนโถงกษัตริย์มนุษย์ก็มีผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นในแต่ละรุ่น ลัทธินักบุญสวรรค์ก่อตั้งขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์นั้น และเพียงเพิ่งเริ่มต้นถ่ายทอดมรรคาของมันออกไป
นครหยกน้อยก็ก่อตั้งขึ้นมาในเวลานั้นด้วยเช่นกัน แต่ในเมื่อมันไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก จึงไม่มีบรรพชนคนใดที่ลงไปท่องเดินในโลกหล้าเพื่อถ่ายทอดมรรคา
ด้วยเวลาที่ผ่านไป สำนักอื่นๆ ก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ และมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขาก็กล่าวได้ว่าสร้างสรรค์ขึ้นมาจากรากฐานที่ไม่มีอะไรรองรับเลยสักนิด หลังจากนั้นก็มีการต่อสู้กันระหว่างสำนัก ระหว่างฝ่ายเที่ยงธรรมและฝ่ายอธรรม อันได้โยนโลกแห่งสันตินิรันดร์ให้ตกลงไปในความโกลาหล สำนักต่างๆ ต่อสู้กันไปมาโดยไม่รู้จบ และสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เข้ามายับยั้งขัดขวาง พวกเขาอยู่แต่ตัวพวกเขาเอง ทำให้การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเขาเป็นเรื่องน่ากังวลอันใหญ่หลวง
ความโกลาหลดำรงอยู่ยาวนานจนกระทั่งราชครูสันตินิรันดร์ได้ช่วยเหลือสนับสนุนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงด้วยการปฏิรูป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาสิ่งต่างๆ จึงเปลี่ยนไป การต่อสู้ระหว่างสำนัก และการต่อสู้ระหว่างฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้แย่งชิงผลประโยชน์ระหว่างค่ายสำนักต่างๆ กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์
เมื่อฉินมู่ได้ขึ้นครองลัทธิมารฟ้า เขาก็นำแดนศักดิ์สิทธิ์ของเขามาสนับสนุนจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงอย่างสุดกำลัง และบดขยี้สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม กับกองกำลังกบฏทั้งหลาย ถึงตอนนั้นการต่อสู้จึงจบสิ้นไปอย่างแท้จริง ด้วยวิชาฝึกปรือทั้งหลายมาผนึกกำลังกัน มรรคา วิชา และทักษะเทวะของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมาก
จากนั้้นฉินมู่ก็เผยแพร่ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติเพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดมีโอกาสจะบรรลุเป็นเทพเจ้า และทำลายขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์
แต่แม้กระนั้น รากฐานของราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังคงอ่อนแออยู่ดี และระบบการฝึกปรือของเขาก็ไม่สมบูรณ์ พวกที่สามารถฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะได้ล้วนแต่เป็นคนส่วนน้อยแค่หยิบมือ และก็ไม่มียอดฝีมือระดับนั้นมากมายนัก!
การก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณของฉินมู่ ทำให้ราชครูสันตินิรันดร์มองเห็นการมาเยือนของยุคสมัยใหม่!
จ้าวลัทธิได้กระทำความดีอย่างใหญ่หลวงต่อผู้คนในสวรรค์ไท่หวง และก็ได้กระทำความดีอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ในสันตินิรันดร์ด้วย! ราชครูสันตินิรันดร์พลันโค้งคารวะจนจรดพื้นและกล่าวอย่างจริงใจต่อฉินมู่ ข้าขอขอบคุณเจ้าแทนสรรพชีวิตทั้งหลาย!
ฉินมู่รีบคารวะเขากลับไป ข้ามิกล้า เผ่ามารกำลังโจมตีสวรรค์ไท่หวง และที่นี่ก็ไม่อาจต้านยันได้อีกนานนัก เมื่อสวรรค์ไท่หวงถูกรุกราน มารพวกนี้ก็จะมีเป้าหมายยังแดนโบราณวินาศและสันตินิรันดร์ หากว่าพวกเราช่วยผู้คนที่นี่ พวกเขาก็จะสามารถยืนหยัดได้นานยิ่งขึ้น
ราชครูสันตินิรันดร์ยืดตัวตรงและกล่าวอย่างเคร่งขรึม หลังจากที่ข้ากลับไป ข้าจะต้องส่งฎีกาไปให้จักรพรรดิ เพื่อร้องขอให้เขาส่งกำลังสนับสนุนสวรรค์ไท่หวงเป็นแน่!
ฉินมู่แย้มยิ้มแก่เขา ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้ก็ให้เป็นธุระของราชครูและเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ พวกเจ้าสามารถตั้งกฎระเบียบต่อการที่ผู้คนจะเข้าและออกผ่านสวรรค์ไท่หวงได้ เจ้าน่าจะลองตัดสินใจดูว่าสันตินิรันดร์จะสามารถสนับสนุนสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร และจะแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะกันอย่างไร
ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว เจ้าก็จะล้างมือไปจากเรื่องนี้อีกหรือ
ฉินมู่ยืดเหยียดหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม พี่เสือและข้ายังไม่ได้พักเลยในช่วงหลายวันนี้ ดังนั้นพวกเราจะต้องหลับกันสักหน่อย ข้ายังต้องออกไปต่อสู้ฝึกฝนอีกด้วย เรื่องทำนองนี้ให้ราชครูจัดการจะเหมาะสมกว่า จริงสิ เรื่องดวงตะวัน ลองดูว่าเจ้าพอจะช่วยพวกเขาเรื่องนี้ได้ด้วยหรือไม่
ราชครูสันตินิรันดร์จึงได้แต่พยักหน้าและเบนสายตาไปยังเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ พี่ทางเต๋า แม้ว่าในสันตินิรันดร์ไม่มีระบบการฝึกวิทยายุทธที่ครบสมบูรณ์ แต่การปฏิรูปก็ได้ก่อผลสัมฤทธิ์มากมายในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ และสวรรค์ไท่หวงก็จะพบสิ่งที่สามารถเรียนรู้จากพวกข้าได้เช่นกัน ด้วยการแลกเปลี่ยนปฏิสัมพันธ์ระหว่างสองโลก ก็จะมียอดฝีมือกำเนิดขึ้นอีกมากมาย
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้สั่งการให้เทพเจ้าจำนวนหนึ่งคอยคุ้มกันสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณพลางแย้มยิ้ม ราชครู พวกเราไปที่เมืองหลีและปรึกษาเรื่องนี้อันอย่างละเอียดดีกว่า
เชิญ!
ฉินมู่ส่งพวกเขาออกไปและระบายลมหายใจโล่งอก ศิษย์พี่เสือ พวกเราไปพักผ่อนกันก่อนเถอะตอนนี้
ทั้งสองคนกลับไปที่ป้อมปราการเมือง และนอนแผ่กับพื้น หลับเป็นตายเหมือนไม้ซุง เมื่อฉินมู่ตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าข้างนอกก็สว่างโร่ และขณะที่เขาล้างหน้าล้างตาอยู่นั่นเอง เสือเทพยดาขนดำก็ตื่นมาด้วยเช่นกัน
ศิษย์พี่กินยาวิญญาณแบบไหนหรือ ให้ข้าเตรียมอาหารให้ท่านเถอะ เด็กหนุ่มกล่าว
ยาวิญญาณ? เทพเสือขนดำเลียอุ้งเท้าของเขาเพื่อทำความสะอาดใบหน้า และส่ายหัว ข้าไม่กินนั่นหรอก ดังนั้นเจ้าไม่ต้องวุ่นวายทำให้ ในเมื่อข้าเป็นเทพเจ้า ข้าก็เพียงแต่ต้องฝึกปรือทุกๆ วันโดยไม่จำเป็นต้องกินอาหาร อะไรก็ได้ที่กินแล้วอยู่ท้องก็ดีทั้งนั้น
ฉินมู่ตกตะลึง เขาหวนคิดถึงกิเลนมังกรและรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอีกครั้ง
หลังจากที่ทั้งสองคนทานอาหารเช้า ซังฮั่ว อวี่เหอ และคนอื่นๆ ก็มาเพื่อตามหาพวกเขา และอวี่เหอกล่าว จ้าวลัทธิ ราชครูสันตินิรันดร์ได้กลับไปแล้ว และเขากล่าวว่ากองทัพผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้าทั้งหลายแห่งสันตินิรันดร์จะมาที่นี่ในอีกไม่กี่วัน
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก มีข่าวคราวอะไรของครูบาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่
อวี่เหอส่ายหัว บัดนี้เมื่อสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณถูกก่อสร้างขึ้นมาแล้ว อาจารย์ของข้าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก็ได้สั่งให้ผู้คนธรรมดาล่าถอยออกไปจากสวรรค์ไท่หวง ราชครูสันตินิรันดร์จะจัดเตรียมกำลังทหารและเรือเหาะเพื่อรอรับพวกเขาในแดนโบราณวินาศ พวกเรามาตามหาจ้าวลัทธิ ก็เพราะว่าวางแผนที่จะแทรกซึมเข้าไปในดินแดนของเผ่ามารเพื่อช่วยเหลือผู้คนในนั้นให้อพยพออกมา
ฉินมู่หันไปมองยังเสือเทพยดาขนดำและถามหยั่ง ศิษย์พี่ ไปช่วยเหลือผู้คนในเขตแดนของเผ่ามารเพื่ออพยพออกมา ไม่นับว่าเป็นการก่อเรื่องวุ่นวาย ใช่ไหม
เสือเทพยดาขนดำส่ายหัว ขนาดดวงอาทิตย์พวกเราก็ยิงตกมาแล้ว ประสาอะไรกับการบุกเข้าไปในเขตแดนของเผ่ามาร เรียกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ยังเรียกไม่ได้เลย มีข้าอยู่ด้วย พวกเจ้าสบายใจได้ ข้ารับรองว่าต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน!
…………….
ข้าจัดการเรื่องนี้ได้ ข้าจัดการเรื่องนี้ได้! ฉินมู่ปลอบใจตนเองไม่หยุดขณะที่สีหน้าของเขาซีดเผือดสลับกับมืดคล้ำ ผู้เฒ่าในหมู่บ้านสอนข้าว่า หากข้าสามารถก่อเรื่องวุ่นวาย ข้าก็ต้องสามารถจัดการมันได้แน่ๆ ครั้งนี้ข้าก็จะต้องจัดการแก้ไขได้เหมือนกัน…
ถ้าไม่หลอกตัวเอง ครั้งนี้ข้าคงจัดการไม่ได้…
เรื่องวุ่นวายคราวนี้ใหญ่หลวงเกินไป
สวรรค์ไท่หวงไม่มีดวงตะวัน แต่เทพผู้สร้างตะวันได้นำพาผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายเพื่อก่อสร้างครึ่งซีกของมันด้วยความอุตสาหะให้มันลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า มันกลายเป็นความภาคภูมิใจของผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวง กระนั้นทั้งสองคนก็ได้ทำลายดวงตะวันนี้ไปโดยสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าฉินมู่ไม่คิดที่จะสร้างตะวันดวงใหม่ชดใช้คืนสวรรค์ไท่หวง แต่ว่าเพราะมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น การสร้างทรงกลมสมบูรณ์แบบไม่ใช่เรื่องยาก แต่ว่าจะเปลี่ยนให้มันเป็นดวงตะวันได้อย่างไรล่ะ
เทพสร้างตะวันเป็นพ่อครัวจากสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง ชายผู้ซึ่งควบคุมพลานุภาพของไฟเทวะ ดังนั้นต่อให้ฝีมือช่างเขาจะแย่ และเขาได้สร้างดวงตะวันที่มีรูปทรงระคายตา มันก็ยังสามารถส่องสว่างและให้ความอบอุ่นแก่สวรรค์ไท่หวงได้
ไฟเทวะเช่นนี้อาจจะมีระดับสูงส่งเสียยิ่งกว่าไฟหลี ดังนั้นการหาไฟที่ถูกประเภทมาหรือไม่จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในการสร้างดวงตะวันขึ้นมาใหม่
หลังจากแสงสีดำทำลายดวงตะวันครึ่งซีก มันก็แทงทะลุห้วงฟ้าอวกาศ ในพริบตาถัดมา คลื่นกระเพื่อมของห้วงอวกาศก็เห็นขึ้นมาได้ด้วยตาเปล่า พวกมันกระเพื่อมไปและแผ่ขยายไปยังทิศรอบข้าง
ตะวันอีกซีก!
เทพเสือขนดำสะท้านใจเมื่อเขามองไปยังคลื่นกระเพื่อมอันเดินทางไปยังสิ่งก่อสร้างอื่นบนท้องฟ้า
ข้างล่างแท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันแห่งสวรรค์ไท่หวงและเทพเจ้าที่ลอยเลื่อนอยู่บนนภาากาศต่างก็รู้สึกหัวใจกระดอนขึ้นมาถึงคอหอย พวกเขากำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว เล็บแทบจะจิกเข้าไปในเนื้อ
คลื่นนั้นกระเพื่อมและพุ่งไปยังดวงตะวันอีกซีก เมื่อพวกมันปะทะกัน ดวงตะวันก็ถูกบีบเค้นราวกับเป็นไข่แดงรูปทรงรี เมื่อส่วนโค้งของคลื่นกระเพื่อมซัดผ่านมัน ดวงตะวันก็ยืดยาวออกไปมากกว่าสิบเท่า
ทุกคนมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความหวาดผวา แต่หลังจากคลื่นซัดผ่านไป ดวงตะวันก็ยังคงห้อยอยู่บนท้องฟ้า ทุกคนที่ว้าวุ่นใจก็พากันระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก
ทันใดนั้น ดวงตะวันที่ดูครบสมบูรณ์ก็พลันลั่นดังเปรี๊ยะ และชิ้นส่วนใหญ่มหึมาก็ร่วงลงจากพื้นผิวของมัน
ชิ้นส่วนที่ร่วงลงมานั้นใหญ่เท่าภูเขา และทิ้งหางไฟเป็นทางยาวจากบนฟากฟ้า ควันโขมงคละคลุ้งไปหมดเมื่อมันร่วงตกลงในแนวดิ่งและถล่มลงใส่ที่ไหนสักแห่งอันห่างออกไป
เดิมทีดวงตะวันบนฟ้าก็ไม่กลมดิกอยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันดูเหมือนกับถูกปากอะไรกัดแหว่งไป
ศิษย์น้อง พวกเราหนีเอาชีวิตรอดกันไหม เสือเทพยดาขนดำถามด้วยด้วยเสียงแผ่ว
สุภาพชนทั้งหลาย ข้ามีข่าวดีสองเรื่องจะบอกกับพวกท่าน! ฉินมู่สะบัดแขนเสื้อเพื่อเช็ดเหงื่อเย็นเยียบของเขาออกไป พลางยืนนิ่งอยู่บนแท่นสังเวย เขาทำท่วงทีดูเที่ยงธรรมและมั่นอกมั่นใจก่อนที่จะกวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง ข่าวดีแรกก็คือสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณได้เชื่อมต่อแล้ว!
สะพานนี้เชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับสันตินิรันดร์ ดังนั้นทุกคนที่นี่จึงมีเส้นทางล่าถอย ต่อให้พวกเราต้านการรุกรานของเผ่ามารไม่สำเร็จ พวกเราก็สามารถล่าถอยไปยังสันตินิรันดร์ เพื่อกอบกู้ผู้คนของพวกเราเอาไว้!
ข้างใต้แท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันคนยังมีสีหน้าตะลึงงัน และหันกลับมามองเขาอย่างยากลำบาก
หลังจากที่ฉินมู่ประกาศข่าวดีแรกเสร็จสิ้น เขาก็รอสักพักหนึ่งให้ทุกคนสามารถย่อยข้อมูลนี้ได้
นี่เพื่ออวดความสำเร็จของเขา
สวรรค์ไท่หวงไม่เคยมีเส้นทางล่าถอยมาก่อน หากว่าเทพเจ้าและผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายพ่ายแพ้ ผู้คนที่นี่ก็มีแต่จะต้องกลายเป็นอาหารของเผ่ามาร แต่บัดนี้ฉินมู่ได้ก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ เขาได้สร้างเส้นทางล่าถอยให้แก่ทุกๆ คนในสวรรค์ไท่หวง เพื่อรักษามรดกของเผ่าพันธุ์เอาไว้
ความดีความชอบนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน
ฉินมู่เลือกที่จะโอ้อวดมันออกไปเพราะว่ามันยิ่งใหญ่อย่างมหัศจรรย์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะและทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงจะโกรธเกรี้ยว แต่พวกเขาก็จะไม่รุมกระทืบเขาและเทพเสือจนถึงตาย
ผางอวี้เป็นเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ได้สติกลับมา เขาผงกหัวอย่างเชื่องช้า สหายน้อยฉินและพี่เสือขนดำได้สร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม เพื่อให้ผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเราได้มีเส้นทางล่าถอย นี่นับว่าเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง!
เทพซังเย่และคนอื่นๆ ก็ผงกหัวเช่นกัน ความสำเร็จนี้ยิ่งใหญ่อย่างเหลือล้นจริงๆ
นอกจากเชื่อมต่อสองโลกและสร้างเส้นทางล่าถอยแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ยังสามารถส่งกำลังเสริมเข้ามา เพื่อช่วยให้สวรรค์ไท่หวงต้านยันเอาไว้ได้นานยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเอง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ตะกุกตะกัก ตะ-แต่ว่าดวงตะวันบนท้องฟ้า…
ฉินมู่ใบหน้าแจ่มใสเต็มไปด้วยชีวิตชีวา และเขาก็หัวเราะร่า นี่คือข่าวดีอีกข่าวหนึ่งที่ข้ากำลังจะพูด ข่าวอันควรรื่นเริงยินดี! เสียงของเขาดังกึกก้องไปทั่วทุกหู ทุกท่าน ดวงตะวันของท่านทั้งเก่าและซอมซ่อ แต่บัดนี้พวกเราสามารถเปลี่ยนดวงตะวันทั้งสองดวงใหม่ได้แล้ว! ดวงตะวันอันกลมดิก ดวงตะวันอันสมบูรณ์แบบ!
รอบข้างเงียบงัน
ทันใดนั้น ซังฮั่วก็ตื่นเต้นขึ้นมาและชูสองมือขึ้นสูง เย้!
เสียงโห่ร้องนี้ฟังบาดหู และไม่นานเสียงของนางก็แผ่วลงๆ ในที่สุดเด็กสาวเปียยาวก็ตระหนักถึงสถานการณ์รอบๆ และกระแอมไอสองทีเพื่อแก้ขวย นางไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป
ไม่ต้องพูดอะไร เทพเที่ยงแท้ผางอวี้รักษารอยยิ้มแข็งทื่อของเขาไว้บนใบหน้าพลางกล่าวกับเทพตนอื่นๆ ด้วยเสียงเบา ยิ้มเข้าไว้ รักษาท่าทีเข้าไว้ อย่าเผยรังสีเข่นฆ่า ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นลูกศิษย์ของครูบาสวรรค์ ดังนั้นเราจะต้องรักษาหน้าเอาไว้ก่อน
พวกเขาจะช่วยเราสร้างดวงตะวันใหม่จริงหรือ เทพตนหนึ่งถามด้วยเสียงเบาพลางรักษารอยยิ้มบนใบหน้า
ข้าไม่รู้เหมือนกัน เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม หากว่าพวกเขาไม่สร้างใหม่ พวกเราก็จะไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปจากสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ดูจากสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ พวกเขาอาจจะสามารถทำได้
ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้ามากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงซึ่งมีสีหน้าดำคล้ำ และเหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจนโซมหลัง ราวกับว่ามีอุทกภัยที่กำลังจะทลายเขื่อนอยู่ที่นั่น
ศิษย์น้อง พวกเขาดูไม่ค่อยสบอารมณ์เลย หรือว่าพวกเขารู้ว่าพวกเราไม่รู้วิธีการสร้างไฟเทวะสำหรับจุดดวงตะวัน เสือเทพยดาขนดำถามด้วยเสียงเบา
ศิษย์พี่หุบปาก ฉินมู่ยิ้มแข็งทื่อเอาไว้ และพูดผ่านฟันที่ขบแน่น รักษารอยยิ้มของท่านเข้าไว้ และทำท่าเหมือนกับว่าพวกเราสามารถสร้างดวงตะวันได้
เทพเสือขนดำทำตามที่เขาบอก และพูดลอดไรฟัน นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเรากระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม ดังนั้นพวกเราไม่รู้ว่ามันจะสามารถเชื่อมต่อกับแท่นสังเวยในแดนโบราณวินาศได้จริงไหม หากว่ามันไม่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะนับหนี้ไปสองกระทงและรุมกระทืบพวกเราจนตายไหมน่ะ
ศิษย์พี่ หุบปาก! ฉินมู่แทบรักษารอยยิ้มบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ตอนนี้สะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็ติดตั้งเสร็จแล้ว พวกเราสามารถเข้าแดนโบราณวินาศจากที่นี่ได้ไหม
หากว่ามีอะไรผิดพลาดระหว่างพวกเราข้ามสะพาน พวกเราก็อาจจะถูกป่นเป็นชิ้นๆ และส่งกลับไปเป็นเนื้อบดที่อีกฟากหนึ่ง เทพเสือขนดำเบาอย่างแผ่วเบา
ลมเย็นเยือกพัดผ่านความเงียบรอบข้าง
ในแดนโบราณวินาศ ท้องฟ้ากำลังจะมืด
ยักษ์หินหลายตนกำลังเดินดุ่มผ่านป่าพลางยกค้อนหินยักษ์ฟาดทุบลงไปบนพื้น พวกมันกำลังบดอัดพื้นให้ราบเรียบ ระหว่างการเดินทาง ต้นไม้สูงลิ่วก็ถอนรากออกมาด้วยตนเอง และมีกิริยาราวกับมนุษย์ พวกมันเปิดเส้นทาง และฝังรากปลูกตนเองเข้าไปใหม่ที่สองข้างถนน ก่อเป็นทิวแถวพฤกษาสองแถว
หลังจากที่ยักษ์หินกรุยทางไป หญิงสาวหลายพันคนก็เดินผ่านถนน พวกนางแตกต่างในเสื้อผ้าสีสันต่างๆ นานา อันทำให้ดูสวยสะพรั่งราวมวลบุปผา พวกนางพูดคุยสัพเพเหระกันไปมาระหว่างที่แผ่นหินสีเหลี่ยมลอยผ่านท้องฟ้าและร่วงลงมาปูเบื้องหน้าโดยอัตโนมัติ
ข้างหลังพวกนาง ยักษ์ต้นไม้กำลังใช้ค้อนไม้เพื่อตอกแผ่นหินปูทางให้เข้าร่องเข้ารอย เชื่อมต่อกันอย่างเป็นระเบียบ และปรับพื้นถนนให้ราบเรียบ
ข้างหลังยักษ์ต้นไม้ หัวหน้าโถงวิศวกรรมได้นำผู้ฝึกวิชาเทวะในโถงของตนจำนวนมากมายตามมาประทับรอยอักษรรูนลงไป แต่ละแผ่นหินจะมีรอบประทับอักษรรูนอันทำให้ถนนแข็งแกร่งทนทานขึ้น ถนนจะไม่ถล่มยุบลงไปแม้ว่าจะมีรถศึกหรือสัตว์ยักษ์สัญจรบนนั้น
การใช้แผ่นหินปูถนนทำให้ง่ายต่อการซ่อมแซมในอนาคต พวกเขาเพียงแต่ต้องนำเอาแผ่นที่ชำรุดออกไปและใส่แผ่นใหม่แทน
ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่เดินเคียงข้างกัน พวกเขากำลังเสาะหารูปสลักหินและเคลื่อนย้ายพวกมันมาที่สองฝั่งถนน ยิ่งพวกเขาเจอหมู่บ้านก็ยิ่งดี เพราะพวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายหมู่บ้านและผู้คนในนั้นให้เข้ามาใกล้ถนน และจะได้กลายเป็นเมืองเล็กๆ ในอนาคต
ก่อนที่พวกเขาจะเคลื่อนย้ายรูปสลักหินใดๆ พวกเขาจะต้องจุดธูปเทียนบูชาเสียก่อน อันเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง มันเป็นสิ่งที่ฉินมู่บอกแก่ราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นความเร็วในการปูถนนจึงล่าช้ากว่าที่ฉินมู่คาดการณ์เอาไว้เล็กน้อย
ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ มีงานล้นมือมาเป็นเวลานาน พวกเขาได้ปูลาดถนนตลอดทางมาจนถึงเขตแดนโบราณวินาศแล้วในตอนนั้น และในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้า พวกเขาก็จะไปถึงเมืองเขตมังกร และเมื่อเวลานั้นมาถึง พวกเขาก็จะเข้าใกล้จักรวรรดิสันตินิรันดร์
ฉินมู่รู้จักผู้คนมากมายในแผ่นดินตะวันตก และมีมิตรไมตรีกับตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหมด การถางทางปูถนนไปยังแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นโครงการมหึมา แต่ตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้สนับสนุนแนวคิดนี้และส่งผู้ฝึกวิชาเทวะค่อนข้างมากมาเสริมกำลังช่วยเหลือ
พวกเราพักกันก่อน! ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ท้องฟ้าและกล่าวด้วยเสียงอันดัง ความมืดกำลังจะมาถึงแล้ว ดังนั้นรีบไปที่รูปสลักหิน อย่าเถลไถลออกไปข้างนอกในตอนกลางคืน!
ทุกคนทำตามที่เขาบอก และเริ่มก่อกองไฟเพื่อหุงหาอาหาร พวกสาวๆ สนทนากันอย่างออกรสออกชาติถึงหนุ่มๆ แห่งสันตินิรันดร์ พวกนางชม้อยตามองผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งโถงวิศวกรรมและหัวเราะคิกคัก ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นหน้าแดงเขินและไม่กล้าพูดจา
ราชครูสันตินิรันดร์จ้องมองไปยังอาทิตย์อัสดง แม้ว่าฉินมู่จะโยนความรับผิดชอบและงานหนักทั้งหลายมาให้เขาขณะที่ตัวเองออกไปเที่ยวเล่น เขาก็ไม่ปริปากบ่น
ตอนที่ไปยึดครองแผ่นดินตะวันตก เขาเองก็ได้โยนงานหนักทั้งหมดให้แก่ฉินมู่เช่นกัน และเด็กหนุ่มก็ทำออกมาได้สวย
ในตอนนั้นเอง ท้องฟ้าสั่นสะท้าน และลำแสงสีดำก็พวยพุ่งลงมาจากนภากาศ มันหมุนติ้วอย่างรุนแรงและพุ่งปะทะกับพื้นดิน
สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเขามองตรงไปยังสถานที่ที่แสงดำนั้นร่วงตกลงมา
ตูม!
มันยิงลงปะทะพื้น และแผ่นดินก็สะท้านหวั่นไหว แรงสั่นสะเทือนส่งกระทบกระทั่งแทบเท้าของพวกเขา มันดูราวกับว่ามีสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงกลัวบางตัวที่กำลังจะฉีกพื้นพิภพพุ่งออกมา!
ราชครู! ลำแสงสองลำพุ่งออกมาจากดวงตาของหัวหน้าโถงวิศวกรรม ขณะที่เขามองไปยังการเปลี่ยนแปลงอันผิดประหลาด สีหน้าเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง และเขาตะโกนด้วยเสียงอันดัง มันมีการเปลี่ยนแปลงในปรากฏการณ์บนฟากฟ้า! พื้นดินปูดโปนขึ้นมากลายเป็นภูเขาใหญ่ อันอาจจะเป็นฝีมือของพวกมาร!
ราชครูสันตินิรันดร์ลุกขึ้นและกล่าวอย่างเคร่งขรึม พวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปดูเอง
ความมืดพวยพุ่งเข้ามา แต่ราชครูสันตินิรันดร์เดินฝ่ามันไปจนกระทั่งเขามาถึงยังตำแหน่งที่สีทมิฬนั้นตกลงมา พลังงานของมันเหือดแห้งแล้ว และลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากพื้นสวนขึ้นไปบนท้องฟ้า แทงทะลุห้วงอวกาศ แสงสีฟ้าก่อช่องทางเดินอันเป็นแสงไหลรี่
สิ่งที่ปลดปล่อยแสงสีฟ้าออกไปคือแท่นสังเวยขนาดใหญ่พอๆ กับภูเขาลูกหนึ่ง ในตอนนี้ อักษรรูนทั้งหมดบนตัวมันจุดแสงติดไปตามๆ กัน
ราชครูสันตินิรันดร์สำรวจตรวจตราดูแท่นสังเวยที่พลันผุดโผล่ขึ้นมา เขาพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่จะเดินขึ้นไป และเข้าไปในแสงสีฟ้า
ในสวรรค์ไท่หวง รอยยิ้มของฉินมู่และเสือเทพยดาขนดำเย็นเฉียบ ในท้องฟ้า รอยยิ้มของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และเทพตนอื่นๆ ก็แข็งทื่อไม่ต่างกัน ทุกคนได้นิ่งขึงไม่กระดิกมาสักระยะหนึ่งแล้ว
ในตอนนั้นเอง จากลำแสงที่ตรงกลางแท่นสังเวย เงาร่างอันเฉื่อยชาของชายกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมา เขามองไปรอบๆ ด้วยความพิศวงงงวย จากนั้นสายตาของเขาก็ไปตกที่ฉินมู่
ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน คราวนี้เจ้าทำเรื่องยิ่งใหญ่อะไรอีกล่ะ และที่นี่คือที่ไหน
…………………….
ฉินมู่นั้นยังคงรู้สึกไม่สบายใจและวางแผนที่จะคิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างใหม่อีกครั้งเพื่อตรวจสอบดูว่าเขาคำนวณผิดพลาดตรงไหนหรือไม่ นี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจเสือเทพยดาขนดำ แต่เพราะว่าการเชื่อมต่อสองโลกมิติและการสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน หากว่ามีบางอย่างผิดพลาดไป เขาก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น ยาวิญญาณชนิดใหม่ๆ ที่ฉินมู่หลอมสร้างขึ้นมาเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ ทุกๆ ครั้งมันก็จะมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงอันแปลกประหลาด เขาสามารถแก้ไขบรรเทาได้หากว่ามันเป็นปัญหาเรื่องวิชาแพทย์ แต่ว่าเขาจะแก้ไขบรรเทาได้อย่างไรหากว่าสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เชื่อมระหว่างสองโลกมีอันผิดพลาดไป
เสือเทพยดาขนดำเก็บรวบรวมพิมพ์เขียวทั้งหลายอย่างรวดเร็ว และพุ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น เร็วเข้า เร็วเข้า! ข้าอดใจรอที่จะทดสอบมันไม่ไหวแล้ว!
ฉินมู่ได้แต่ตามเขาออกไปจากป้อมปราการเมือง ระหว่างทางเขาถามซังฮั่ว น้องสาวฮั่ว มีธุระอะไรหรือเปล่า
เมืองหลีได้รับการบูรณะเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าบริเวณโดยรอบยังมีความเคลื่อนไหวของเผ่ามาร มารพวกนี้ใช้เลือดเนื้อและดวงวิญญาณของผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงของพวกเราเพื่อฝึกวิทยายุทธ และมันนับว่าเป็นอันตรายใหญ่หลวง เด็กสาวตอบไป พวกเราตามหาตัวเจ้าอยู่พักใหญ่แล้ว เพื่อจะชวนออกไปฝึกฝนด้วยกัน พวกเราหมายที่จะกำจัดผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารที่เพ่นพ่านอยู่ข้างนอกนั่น
เมื่อฟู่ยื่อลัวอยู่ในเมืองหลี เขาได้ควบคุมมารพวกนั้นไม่ให้ทำอันตรายผู้คนใดๆ แต่บัดนี้เมื่อเขาจากไปแล้ว มารที่เหลือก็ยับยั้งชั่งใจไม่ได้อีกต่อไป สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์อย่างเราๆ คืออาหารและวัตถุดิบในการฝึกวิชากับหลอมสร้างสมบัติวิเศษ อวี่เหอกล่าว
นั่นจึงเป็นเหตุให้ในช่วงไม่กี่วันมานี้ หมู่บ้านในบริเวณรอบๆ หลายหมู่บ้านถูกทำลายจนราบคาบ ศิษย์น้องซังฮั่วเดิมทีอยากจะไปเจดีย์สยบเทพ แต่ตอนนี้นางไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเลื่อนออกไปก่อน
ฉินมู่ขมวดคิ้วและถาม ฟู่ยื่อลัวควบคุมมารพวกนั้นไม่ให้ทำร้ายผู้คน? ทำไมเขาถึงออกคำสั่งเช่นนั้น
เพื่อเอาชนะใจคน ฉู่เหยากล่าวด้วยสีหน้าเครียดขรึม เมืองอาจจะถูกรุกราน จักรวรรดิอาจจะล่มสลาย เทพเจ้าก็อาจจะตกตายในการศึก แต่กระนั้นหัวใจของผู้คนก็เป็นสิ่งที่ยากที่สุดที่จะช่วงชิงมันมา ฟูยื่อลัวเป็นมารเทวะที่มีความทะเยอทะยานสูงส่ง ดังนั้นวิธีการเข้ายึดครองของเขาก็ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน
หากว่าเขาไม่ทำร้ายผู้คน ผู้คนเหล่านั้นก็จะไม่สู้กลับ ต่อให้เขาขูดรีดพวกเขามากขึ้น เปลี่ยนพวกเขาให้เป็นทาสแรงงานในเหมืองแร่และไร่สมุนไพรทั้งหลาย พวกเขาก็จะยังคงเชื่องอยู่
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะทำให้มารชั้นเลวทั้งหลายสามารถจดจ่อกับการต่อสู้ได้ ศัตรูที่สามารถโจมตีไปที่หัวใจได้เช่นนี้ นับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุด
ฉินมู่ผงกหัว และความประทับใจของเขาที่มีต่อฟู่ยื่อลัวก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
ฟู่ยื่อลัวไม่ใช่คนมุทะลุบุ่มบ่ามที่รู้จักแต่เข้ายึดครองเมืองและแย่งชิงดินแดน เขาเข้าใจวิธีการปกครอง และรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กับเผ่ามารได้มากที่สุด
มารชั้นเลวมีศักดิ์ฐานะต่ำต้อย และฉินมู่ก็ได้เห็นมารชั้นเลวเหล่านั้นในสนามรบแล้ว พวกเขาเป็นตัวป้อนกระสุนปืนในสนามรบ หากว่าก่อนที่จะใช้เป็นไพร่พลป้อนกระสุน แต่ใช้สอยให้เป็นทาสแรงงานก่อน ก็คงยากที่จะปกครอง
เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวการณ์นั้น ฟู่ยื่อลัวได้ทำให้มนุษย์เป็นทาสแรงงาน เพื่อให้มารชั้นเลวได้รับการรับใช้ปรนนิบัติอย่างสุขสบาย จากนั้นพวกเขาก็จะเข้าไปสู้ศึกในสนามรบด้วยชีวิตเป็นเดิมพันโดยไม่ต้องพะวงทำเรื่องอื่น และการปกครองของเขาก็จะมั่นคงสถาวร
ฟู่ยื่อลัวเป็นผู้เปี่ยมความสามารถอันใหญ่หลวงผู้หนึ่ง มิน่าล่ะครูบาศักดิ์สิทธิ์ถึงระแวงระไวเขานัก ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว จากสนามรบคงจะมีอาวุธวิญญาณเผ่ามารที่เก็บรวบรวมมาได้มากมายเลยสินะ? พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรกับพวกมันล่ะ
เพราะว่าอาวุธพวกนั้นเปี่ยมไปด้วยสันดานมารและปราณมาร พวกมันจึงจะต้องถูกทำลายเพื่อมิให้เผ่ามารมีโอกาสแย่งชิงพวกมันกลับไปได้ อวี่เหอกล่าว
ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่นาง พี่เสือและข้ากำลังจะก่อตั้งสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเราจึงต้องการทองคำทมิฬและเหล็กดำจำนวนมาก ในเมื่ออาวุธวิญญาณของมารไม่มีประโยชน์ใช้สอย พวกเจ้าให้พวกข้ายืมได้หรือไม่ สันดานมารและปราณมารที่อยู่ในนั้นก็พอดีว่าเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการ!
อวี่เหอยิ้มกลับไปให้เขา อาจารย์ของข้าสามารถนำอาวุธวิญญาณเผ่ามารมาได้มากมาย ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิต้องการมากเท่าใด
ยิ่งมากก็ยิ่งดี! ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม ขอบคุณที่เจ้าเป็นธุระให้ หัวหน้าโถงอวี่!
เมื่อหันกลับไป นางก็กล่าว จ้าวลัทธิสุภาพเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรของเผ่ามารพวกนั้นก็ไร้ประโยชน์ พวกเจ้าไปกันก่อนเถอะ อาจารย์ของข้าและข้าจะมาจัดส่งอาวุธเหล่านั้นภายหลัง
ฉินมู่มองไปที่ซังฮั่วและคนอื่นๆ และเขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง น้องสาวฮั่ว พี่เสือและข้าต้องใช้เวลาสักพักในการจัดตั้งสะพาน ดังนั้นพวกเจ้าไปฝึกฝนกันก่อนเถอะ ค่อยกลับมาอีกทีในอีกสิบวันให้หลัง ตอนนั้นพวกเราน่าจะทำเสร็จแล้ว และข้าก็ยังอาจจะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักสหายใหม่จำนวนหนึ่งด้วย
นอกจากมาชวนเจ้าไปฝึกฝนด้วยกัน พวกเรายังมีจุดมุ่งหมายอื่นอีก พวกเราอยากที่จะเข้าร่วมลัทธิของเจ้า ซังฮั่วกล่าวด้วยเสียงเบา
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ แห่งสวรรค์ไท่หวงรีบพยักหน้า
ฉินมู่จ้องไปยังฉู่เหยาด้วยความตะลึงใจ
หลังจากที่จ้าวลัทธิบอกเล่าถึงหลักปรัชญาของลัทธินักบุญสวรรค์ ศิษย์พี่อวี่เหอและข้ารู้สึกว่ามันโน้มน้าวให้คล้อยตาม ดังนั้นพวกเราจึงเข้าร่วมและกลายเป็นหัวหน้าโถง ภายหลัง ข้านั้นพูดมากเกินไปและบอกสหายต่างๆ ของข้าเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของลัทธิ และพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีงามเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาก็จึงมาเพื่อขอเข้าร่วมด้วย
ฉินมู่ลิงโลดอย่างสุดๆ แต่เขาไม่เผยออกมาทางสีหน้า ลัทธินักบุญสวรรค์นั้นทั้งเที่ยงธรรมและโดดเด่นเหนือธรรมดาในสันตินิรันดร์ ดังนั้นไม่ใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเข้าร่วมได้ แต่ทว่าข้ารู้สึกตื้นตันใจที่เห็นพวกเจ้าทุกๆ คนต่อสู้กับเผ่ามารอย่างไม่พะวงชีวิตของตนเอง และรู้ว่าทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นบุคคลอันเที่ยงธรรม พวกเรามีจิตใจที่คล้ายๆ กัน ดังนั้นข้าจะไม่กีดขวางสร้างความลำบากไม่ให้พวกเจ้าเข้าร่วมหรอก
แต่ทว่า การที่จะได้เป็นหัวหน้าโถงนั้น เจ้าจะต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง ลัทธิศักดิ์สิทธิของข้ามีโถงทั้งหมดสามร้อยหกสิบเอ็ดโถง อันเป็นตัวแทนของวิชาชีพทั้งหมดสามร้อยหกสิบเอ็ดวิชาชีพ ดังนั้นจึงไม่ได้ขึ้นกับว่าเจ้ามีกำลังฝีมือมากเท่าใด
ซังฮั่วและคนอื่นๆ มีสีหน้าผิดหวัง แต่ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่พวกเขา แต่ทว่า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เพิ่งก่อตั้งสาขาในสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นจึงมีเรื่องต้องทำหลายสิ่ง พวกเราจำเป็นต้องจัดการกับเรื่องเร่งด่วนด้วยความฉับไว จึงไม่จำเป็นต้องเคร่งครัดนัก นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกเจ้าทุกคนจึงจะได้เป็นหัวหน้าโถงแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ไท่หวง
ซังฮั่วดีใจ พวกเราจำเป็นต้องปาดเลือดที่ริมฝีปากตามพิธีบูชายัญโลหิตและสาบานว่าจะไม่ทรยศลัทธิไหม
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ เขาส่ายหัวและกล่าว ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราไม่ใช่ลัทธิมารที่มีชื่อเสียงย่ำแย่ ดังนั้นพวกเราจึงไม่ทำเรื่องอย่างป้ายเลือดใส่ตนเองหรอก และก็ไม่มีใครต้องมาเคารพบูชาจ้าวลัทธิด้วยเช่นกัน เจ้าเพียงแต่ต้องคารวะทักทายข้า ไม่มีพิธีรีตองคุกเข่า จ้าวลัทธิเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์ มิใช่จักรพรรดิ
ตอนนี้ข้ากำลังรีบเร่งไปก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสนทนา ค่อยกลับมาใหม่ในอีกสิบวันให้หลัง เมื่อสองโลกเชื่อมต่อกัน ข้าจะให้พี่น้องจากลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในสันตินิรันดร์มาอธิบายทุกอย่างโดยละเอียด
ซังฮั่วและคนอื่นๆ พึงพอใจ และจากไปพร้อมกับฉู่เหยา
ก่อตั้งลัทธิในสวรรค์ไท่หวงนั้นง่ายดายกว่าที่ข้าคิดเสียอีก ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน จากนั้นสายตาของเขาก็วูบวาบเมื่อปรายตามองไปยังเทพเสือขนดำข้างๆ เขา ไม่ทราบว่าพี่เสือต้องการเข้าร่วมลัทธิด้วยไหม
เทพเสือขนดำกลอกตาแล้วยิ้มหยัน นายท่านของข้าไม่เคยรับรองลัทธินักบุญสวรรค์ของเจ้า อย่ามาเสียแรงเปล่าและรีบไปสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณจะดีกว่า
หนึ่งคนและหนึ่งเสือมาถึงหน้าแท่นบูชามหึมาในเวลาไม่นาน อันสูงลิ่วราวกับภูเขา มันมีขั้นบันไดที่ทอดสูงไปยังท้องฟ้าอันบนนั้นจะมีแท่นเวทีกว้างใหญ่ อักษรรูนสังเวยเลือดถูกฝังประทับอยู่รอบๆ มัน และซากศพจำนวนนับไม่ถ้วนของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงถูกก่ายกองอยู่บนพื้น และเพราะมีเครื่องสังเวยเหล่านั้น จึงมีรูปสลักหินและจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งหลายถูกอัญเชิญมาจากแดนโบราณวินาศ
อักษรรูนของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่ฉินมู่และเทพเสือขนดำได้ออกแบบมาจากรากฐานแท่นสังเวย ดังนั้นจึงต้องปรับเปลี่ยนอักษรรูนเดิมบนแท่นสังเวยไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หนึ่งคนและหนึ่งเสือรีบลงมือเพื่อทำตามที่ตั้งใจไว้โดยพลัน
สักพักหนึ่ง เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ก็นำอวี่เหอและอาวุธวิญญาณมารมากมายก่ายกองที่สุมกันเท่าภูเขามา เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม สหายน้อย นี่เพียงพอสำหรับเจ้าไหม หากว่าไม่ ยังมีอีกนะกองใหญ่กว่านี้ในเมืองนวลอาภา
ฉินมู่แย้มยิ้มด้วยความยินดี นี่เพียงพอแล้ว ขอบคุณท่านมาก เทพเที่ยงแท้!
มีตรงไหนอีกไหมที่เจ้าต้องการความช่วยเหลือของพวกเรา เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ถาม อวี่เหอเองก็อดใจรอไม่ไหวที่จะได้ช่วยอีกแรง
เสือเทพยดาขนดำกำลังจะตกปากรับการช่วยเหลือ แต่ฉินมู่รีบส่ายหัว ไม่ต้องหรอก! เทพเที่ยงแท้ท่านมีธุระมากมาย และศิษย์พี่หญิงอวี่เหอก็ยังต้องออกไปฝึกฝนฝีมือ ข้าไม่บังอาจรบกวนท่านทั้งสอง!
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้นั้นติดพันกับธุระปะปังมากมายจริงๆ ดังนั้นเขาจึงกล่าวลาพร้อมกับอวี่เหอ และจากไป
มีหลายชิ้นส่วนที่จำเป็นจะต้องหลอมสร้างมาประกอบเป็นสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ และพวกเราสองคนทำเองก็จะใช้เวลานาน ทำไมเจ้าไม่ให้พวกเขาช่วยล่ะ เทพเสือขนดำบ่นพึม
ศิษย์พี่ มองขึ้นไปบนท้องฟ้าสิ
เสือเทพยดาขนดำเงยศีรษะขึ้นมอง และพลันกระจ่าง พวกเราปล่อยให้เทพแห่งสวรรค์ไท่หวงมาช่วยไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางรู้ว่าพวกเขาจะนำความฉิบหายแบบไหนมา!
หนึ่งคนและหนึ่งเสือเริ่มหลอมละลายอาวุธมารทั้งหลาย วัตถุดิบสำหรับสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณไม่จำเป็นต้องสกัดสันดานมารออก ดังนั้นพวกเขาจึงแค่หลอมละลายมันและหลอมสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาใหม่
พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่เป็นมืออาชีพด้านการตีเหล็กและเชี่ยวชาญการคำนวณ ดังนั้นแต่ละชิ้นส่วนจึงถูกผลิตออกมาอย่างแม่นยำเป็นที่สุด รอยประทับอักษรรูนบนทุกๆ สิ่งจำเป็นจะต้องมีสัดส่วนถูกต้องและแม่นย่ำจนถึงทศนิยมชุ่นซี พวกเขามุ่งผลสมบูรณ์แบบ
ผู้สร้างตะวันได้หลอมสร้างดวงตะวันบิดเบี้ยวก็เพราะว่าการออกแบบของเขา เขามิได้มุ่งให้ทุกส่วนประกอบของเขาแม่นยำถนัดถนี่ ในข้อสันนิษฐานของฉินมู่ แบบแปลนของดวงตะวันครึ่งซีกอย่างมากก็ถูกคำนวณถึงจุดทศนิยมฮูไม่ก็เวย อันเป็นผลให้ผลลัพธ์สุดท้ายบิดเบี้ยว และระคายตา
การที่จะให้ดวงตะวันบนท้องฟ้าดูกลม ทศนิยมจำเป็นจะต้องคำนวณถึงซูอวี๋หรือชุ่นซีเป็นอย่างต่ำ
ดวงตะวันครึ่งซีกนั้นใหญ่กว่าแท่นสังเวยยักษ์หลายสิบเท่า ดังนั้นอัตราความแม่นยำที่ฉินมู่ต้องการจึงสูงลิบลิ่ว ทุกส่วนประกอบจำเป็นต้องคำนวณถึงทศนิยมชุ่นซี ในเมื่อเขาไม่อาจทนดูดวงตะวันบนท้องฟ้าอันอุบาทว์ตาเสียเหลือเกิน
นักบุญคนตัดไม้เป็นยอดฝีมือในเชิงคำนวณและหลอมสร้าง ดังนั้นเขาก็ไม่สามารถทนมองดูดวงตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวงได้
สิบวันถัดมา ซังฮั่ว ฉู่เหยา และคนอื่นๆ รีบรุดมาพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะหลายร้อยคน พวกเขามาพบฉินมู่และเทพเสือขนดำกำลังกระตุ้นการทำงานของสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ
ฉินมู่และเทพเสือขนดำยังคงวุ่นวายไปมาบนแท่นสังเวย ทำการทดสอบและปรับแต่งต่างๆ มากมาย พวกเขาไม่กล้าที่จะเผลอไผลเลยแม้แต่น้อย มากกว่าสิบวันที่ผ่านมา พวกเขาได้งีบหลับเพียงแค่สองสามครั้ง และเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด แต่จิตวิญญาณของพวกเขายังคงคึกคักแจ่มใส
ไม่นานนัก เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ เทพซังเย่ และทวยเทพอื่นๆ ที่เหลือก็มาพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะอีกนับพัน พวกเขามองไปที่แท่นสังเวยอันเต็มไปด้วยส่วนประกอบต่างๆ มากมายอันใหญ่มหึมาและเป็นสีดำเมี่ยมหลอมรวมเข้าไปในแท่นนั้น พวกมันมีขนาดที่แตกต่างกันและดูเหมือน ทวน ง้าว มีด กระบี่ ที่ถูกหลอมละลายไปครึ่งหนึ่ง และทั้งหมดนั้นก็ชี้ตรงไปยังท้องฟ้า
พวกมันถูกปกคลุมในอักษรรูนที่ลึกล้ำอันยากจะเข้าใจ ส่วนใหญ่แล้วอยู่ใกล้พื้นดิน ส่วนฐานล่างสุดของแท่นสังเวยแทบจะถูกกวาดให้เหี้ยนด้วยฉินมู่และเทพเสือขนดำ และก็มีชิ้นส่วนประกอบใหญ่โตมากมายติดตั้งไว้แทน ทุกอย่างดูซับซ้อนอย่างสุดๆ
ช่องทางมากมายถูกขุดผ่านตลอดแท่นสังเวย และทุกช่องทางสร้างขึ้นจากส่วนประกอบจำนวนนับไม่ถ้วน มีอักษรรูนเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนเหล่านั้น
ทั้งแท่นสังเวยนั้นมองจากข้างนอกเป็นชิ้นเดียว แต่โครงสร้างภายในของมันซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกวิชาเทวะหลายพันและเทพเจ้าทั้งหลาย ยืนห้อมล้อมบริเวณนั้นหลายรอบวง พลางอุทานด้วยความชื่นชม ฉินมู่และเทพเสือขนดำได้เผยให้เห็นความงามที่มหาสมบัติวิเศษโลหะขนาดมหึมาสามารถมีได้!
ความงามเช่นนี้มิได้เป็นความงามแบบสมมาตร เงาต่างๆ ทอดตกลงมาอย่างสะเปะสะปะขณะที่ชิ้นส่วนโลหะและอักษรรูนก็เผยแสดงความงามอันแสนประหลาด
ฉินมู่และเทพเสือขนดำติดตั้งชิ้นส่วนสุดท้ายและเชื่อมต่อมันเข้ากับแท่นสังเวยในอีกโลกมิติ ทั้งสองคนหันมามองหน้ากันและเห็นความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย
เจ้าพร้อมหรือยัง
เทพเสือขนดำเลิกคิ้ว ข้าพร้อมที่จะกระตุ้นพลานุภาพของอักษรรูนแล้ว!
ฉินมู่ผงกหัวอย่างหนักแน่น และลำแสงของพลังเทพชีวาก็พวยพุ่งออกมาจากเทพเสือขนดำเพื่อกระตุ้นการทำงานของอักษรรูน แสงเจิดจ้าค่อยๆ กล้ำกรายไปข้างหน้า จุดแสงอักษรรูนเพิ่มขึ้นอีก ราวกับว่ามันจะเชื่องช้าเกินไป สายเส้นแสงก็แยกออกเป็นสอง และพวยพุ่งไปตามอักษรรูนต่างๆ ราวกับน้ำไหล!
เสียงหึ่งฮัมดังออกมาเมื่อแสงเข้มข้นไหลเข้าไปข้างในแท่นสังเวย และเล็ดลอดออกมาตามขั้นบันไดต่างๆ ค่อยๆ จุดแสงรอยประทับอักษรรูนทั้งหมด
ท้ายที่สุด มันก็ไหลไปถึงส่วนฐานและรวมรวมกันอยู่ตรงนั้น
ตึง!
การสั่นสะเสือนรุนแรงกึกก้องไปมา และขั้นบันไดต่างๆ ของแท่นสังเวยก็ลอยขึ้นไปบนฟากฟ้า พวกมันแยกตัวออกเป็นชั้นต่างๆ มากกว่าเก้าร้อยชั้น แต่ละชิ้นส่วนหมุนวนไปในทิศทางอันแตกต่างกัน และหลังจากที่หมุนวนไปแต่ละรอบ อักษรรูนบนแต่ละชั้นก็จะมาเชื่อมต่อกันดังคลิกๆ กระบวนการที่ดำเนินไปนั้นดูเพริศแพร้วประณีตเป็นอย่างยิ่ง!
ฉินมู่และเทพเสือขนดำที่ยืนอยู่บนขั้นบันไดหนึ่งเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงข้างใต้แท่นสังเวย และทวยเทพทั้งหลายที่ยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้าก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
ภาพของมหาสมบัติโลหะขนาดยักษ์ที่ถูกกระตุ้นให้ทำงานนั้นอลังการเสียเหลือเกิน!
แท่นสังเวยหมุนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง และทุกๆ การหมุนไปได้เศษหนึ่งส่วนสี่รอบ มันก็จะมีคลื่นพลังจิตวิญญาณแผ่ออกมา พวกมันคือปราณมารและสันดานมานที่ซ่อนอยู่ในอาวุธอันถูกกระตุ้นให้ทำงาน
จากการคำนวณอย่างรอบคอบของฉินมู่และเทพเสือขนดำ ตราบใดที่พวกเขาสามารถฝ่าทะลุม่านคุ้มกันระหว่างสองโลกมิติ และก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณในรูปปล่องได้ พลังงานระหว่างสองโลกก็จะรักษาเสถียรภาพเอาไว้ และช่องทางก็จะไม่พังทลายลงไปโดยง่าย ปราณมารและสันดานมารในอาวุธทั้งหมดก็จะเหือดแห้งไปในพริบตาที่เกิดการเชื่อมต่อ
ชั้นต่างๆ ของแท่นสังเวย หมุนไปนับครั้งไม่ถ้วน เมื่อปริมาณพลังงานมหาศาลถูกสะสมเข้าไป ลำแสงสีดำก็พวยพุ่งไปยั้งท้องฟ้า พลานุภาพอันไร้ประมาณสร้างเสียงอึงอลอันสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!
ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันและทวยเทพ เช่นเดียวกับฉินมู่และเทพเสือขนดำ เงยศีรษะของพวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นก็พลันชะงักค้างบนใบหน้า
ข้างบนนั้น ลำแสงสีดำอันกร้าวแกร่งไร้ต่อต้านยิงพุ่งเข้าไปปะทะกับดวงตะวันครึ่งซีก วัตถุอัปลักษณ์นั้นพลันระเหิดหายไปในพริบตา
หูของเทพเสือขนดำที่แต่เดิมตั้งตรงแหน็วพลันลู่ราบไปข้างหลัง และปากของเขาก็อ้าหวอ พวกเราตายแน่…ศิษย์น้อง นี่คือการก่อเรื่องวุ่นวายหรือการก่อเรื่องใหญ่ล่ะ?
เหงื่อเย็นเยียบขนนาดเท่าลูกปัดร่วงตกจากขอบตาซ้ายของเขาและร่วงลงไปยังแก้ม จากนั้นเหงื่อก็ไหลโซมลงมาจากหน้าผากของเขาราวกับน้ำตกก่อนที่จะก่อเป็นสองเส้นทางจากสองหางตาของเขา
ฉินมู่เบือนหน้ากลับไปอย่างยากลำบากมองไปยังคู่หูสมคบคิดของเขา เทพเสือขนดำที่มีรูปลักษณ์เยาว์วัยนั้นก็ยิ่งมีเหงื่อร่วงลงมาท่วมหน้ามากกว่าเขาเสียอีก และเสื้อของเขาก็เปียกไปหมด
ศิษย์พี่ หันไปมองสีหน้าของผู้คนที่อยู่ข้างล่างหน่อยไหม ฉินมู่เสียงแหบพร่า พลางพยายามควบคุมความดังเสียงของตน
เจ้าดูเองเถอะ ข้าไม่กล้า ข้ากลัวว่าพวกเขาคงจะอดใจไม่ไหวที่จะมากระทืบพวกเราให้ตาย…เจ้าคิดว่าพวกเขาจะกระทืบพวกเราให้ตายไหม
…………………….
บนแท่นสังเวยเหล่านั้น รูปสลักหินกำลังฟื้นคืนชีพมาด้วยความเร็วอันคงที่ วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ และเขาเพ่งสายตาไปด้วยความสงสัยอยู่เล็กน้อย
เทวรูปเหล่านั้นล้วนแต่มีลักษณะพิเศษเฉพาะ หนึ่งนั้นเป็นเทพเจ้าหลังเต่า และอีกหนึ่งเป็นเทพเจ้าหางเสือดาว บ้างก็เป็นเทพหัวนก และบ้านก็เป็นเทพหัวมังกร กับอย่างอื่นๆ อีกมากมาย มีแท่นสังเวยทั้งหมดยี่สิบสี่แท่น และมีร่างเทวาที่แตกต่างกันทั้งหมดยี่สิบสี่ร่าง
แต่ทว่า ฉินมู่รู้สึกเหมือนกับเคยเห็นเทพเจ้าพวกนี้ที่ไหนมาก่อน
รูปสลักหินในแดนโบราณวินาศ! เขาระลึกได้ในที่สุด รูปสลักที่เขารู้สึกคุ้นตาเหล่านี้มาจากแดนโบราณวินาศ!
นี่หมายความว่า พวกมันทั้งหมดก็น่าจะมาจากที่นั่น!
รูปสลักหินกำลังจะกลายเป็นเทพเจ้า และมันหมายความว่ารูปสลักหินทั้งหมดในแดนโบราณวินาศอาจจะสามารถฟื้นคืนชีพมาได้ พวกเขาสามารถกลับมาเป็นเทพเจ้าตัวเป็นๆ อันยืนยันข้อสันนิษฐานก่อนหน้าของเขา!
รูปสลักหินยี่สิบสี่รูปเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง ดังนั้นมันก็จะมีเทพเจ้ายี่สิบสี่ตนที่มาช่วยเสริมกำลังให้แก่พวกเขา เทพเหล่านั้นน่าจะเป็นสหายของนักบุญคนตัดไม้ และกำลังฝีมือพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา
กระนั้นนักบุญคนตัดไม้ก็ยังกล่าวว่าพวกเขามิอาจป้องกันการรุกรานของเผ่ามารได้ ทำได้เพียงถ่วงเวลาไปสักระยะเท่านั้น
เช่นนั้นเผ่ามารนี่มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่
ทำไมพวกเขาถึงมีกำลังความสามารถอันน่าสะพรึงกลัวขนาดนี้
เมื่อเขาเอ่ยคำถามพวกนี้ออกไป นักบุญคนตัดไม้ก็มองไปที่รูปสลักหินทั้งหลาย และนิ่งขรึมไปพักหนึ่ง
ที่มาที่ไปของเผ่ามารพวกนี้ลึกลับเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ข้าเองก็ไม่กระจ่างชัด แต่ทว่า มีคำร่ำลือกันว่าพวกมันมาจากแดนใต้พิภพ เป็นสิ่งมีชีวิตของที่นั่น กล่าวกันว่าพวกมันแยกตัวมันเองออกมา แต่ข้าไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เผ่ามารมีโลกมิติในครอบครองหลายโลกมิติ และกำลังฝีมือของพวกเขาก็ล้วนแต่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาว่าสวรรค์ไท่หวงไม่สามารถป้องกันพวกมันได้
ฉินมู่หัวใจสะท้านเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นมีความสัมพันธ์อะไรระหว่างมารพวกนี้กับสภาสวรรค์เที่ยงแท้ที่ว่าๆ กัน อันได้ทำลายกวาดล้างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เจ๋อหัวหลีมาจากสถานที่นั้น และอาจารย์ของเขาลั่วอู๋ชวงก็เป็นถึงผู้นำของทัพหลิงซิ่วแห่งสภาสวรรค์ เขาได้ส่งศิษย์ของตนลงมาฝึกฝนท่ามกลางเผ่ามาร ดังนั้นเห็นได้ชัดว่าสองอิทธิพลอำนาจนี้มีความเกี่ยวข้องกัน
พวกเขาเกี่ยวข้องกัน และมิใช่ในฐานะนายเหนือหัวและผู้อยู่ใต้บัญชา นักบุญคนตัดไม้รู้เรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่เขาไม่อธิบายโดยละเอียด ความสัมพันธ์ของพวกเขาเหมือนกับคนสองคนที่ต่างใช้ประโยชน์จากกันและกัน สภาสวรรค์ที่ว่าๆ กันนั้นมักจะใช้สอยเผ่ามารให้ทำเรื่องที่พวกเขาไม่สะดวกจะทำ และเพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ เผ่ามารก็ยินดีที่จะถูกใช้สอย จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าได้ท่องเที่ยวไปในจักรวาลมาหลายต่อหลายปีเพื่อเสาะหาที่มาที่ไปของสภาสวรรค์ แต่ข้าไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์เลย
เขาเหยียบขึ้นไปบนอากาศ และเดินตรงไปยังแท่นสังเวย ในเมื่อเจ้าอยู่ในสวรรค์ไท่หวงแล้ว งั้นก็จงอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝนสักหน่อย ข้ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องทำ
ฉินมู่กำลังจะวิ่งไล่ตามไป แต่เขาเห็นนักบุญคนตัดไม้ก้าวห่างไปๆ ทุกที ห้วงอวกาศที่ย่างก้าวหนึ่งของเขาข้ามไป ดูเผินๆ ปกติธรรมดา แต่จริงๆ แล้วกว้างไกลอย่างยิ่ง ทำให้เขาไม่มีทางไล่ตามทัน ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้ายังมีเรื่องที่อยากถาม!
แต่ทว่า นักบุญคนตัดไม้ได้จากไปยังทิศไกลๆ แล้ว และวรยุทธของฉินมู่ก็ไม่เพียงพอที่เสียงเขาจะเดินทางไปได้ไกลขนาดนั้น
เสือน้อย อยู่กับเขา เสียงของนักบุญคนตัดไม้ดังมาจากไกลๆ อย่าปล่อยให้เขาก่อเรื่องวุ่นวายไปทุกหนทุกแห่ง
เทพเสือขนดำรับคำและมายังข้างหลังฉินมู่ เงามหึมาของมันทอดคลุมเด็กหนุ่มเอาไว้
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว นักบุญคนตัดไม้ตัดสินคนได้ไม่แม่นยำเอาเสียเลย ข้าเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์และไม่ใช่เด็กๆ เช่นนั้นข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายได้อย่างไร
เทพเสือขนดำมองลงไปที่เขาด้วยสีหน้าดำมืด เจ้าไม่ตระหนักตัวเองเลยหรือเรื่องที่เจ้าก่อเรื่องไปทุกหนทุกแห่งน่ะ
ฉินมู่เงยหน้าขึ้น เสือเทพยดาขนดำนั้นสูงจนเกินไป ทำให้เวลาคุยกับเขานั้นเมื่อยคอเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์พี่เสือ ท่านย่อหดตัวเองลงได้ไหม
ศิษย์พี่? สีหน้าของเสือเทพยดาขนดำพลันเปลี่ยนเป็นแช่มชื่น หูสองหูเขาตั้งขึ้นมาทันที ทำให้เขาดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม เห็นแก่ที่เจ้าเรียกข้าว่าศิษย์พี่ ข้าจะไม่ยืนค้ำหัวเจ้าสูงขนาดนี้ เจ้าก็เห็นด้วยใช่ไหมว่า ข้าไม่ใช่เพียงแค่สัตว์ขี่ของนายท่านเท่านั้น แต่ยังเป็นศิษย์ของเขาอีกด้วย ดังนั้นในด้านอาวุโสแล้ว เจ้าก็ควรจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่จริงๆ นั่นแหละ
ร่างของเขาค่อยๆ ย่อหดลง และผ่านไปสักพัก ความสูงของเขาก็กลับมาไล่เลี่ยกับฉินมู่ และเขาดูเหมือนกับเด็กหนุ่มที่มีหัวเป็นเสือ เพียงแต่ว่าหูของเขานั้นคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง และคอยแต่กระดิกไปกระดิกมาตลอดเวลา
ศิษย์พี่เสือ ครูบาศักดิ์สิทธิ์บอกว่าอย่าก่อเรื่องวุ่นวาย แต่ไม่ใช่ว่าอย่าก่อเรื่องใหญ่ การก่อเรื่องวุ่นวายและการก่อเรื่องใหญ่นั้นมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก อันไม่อาจนับรวมกันได้ ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจัง
เทพเสือขนดำไม่หลงลมเขา และส่ายหัว นายท่านบอกให้ข้าจับตาดูเจ้า ดังนั้นข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าเล็ดลอดสายตาไป
ฉินมู่ปวดหัวตึบ แต่ก็ได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายติดตามเขาไป พลางครุ่นคิด ข้ากะว่าจะให้ครูบาศักดิ์สิทธิ์ช่วยข้าออกแบบสะพานโลกาที่เชื่อมต่อระหว่างสันตินิรันดร์กับสวรรค์ไท่หวง แต่เขามีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นดูเหมือนว่าข้าคงได้แต่ต้องลงมือทำเองคนเดียวเสียแล้ว
เมืองหลีกลายเป็นพลุกพล่าน และเขาไม่รู้จักใครสักคน ดังนั้นเขาจึงได้แต่ปักหลักอยู่ที่ป้อมปราการเมือง เขานำกองกระดาษและเครื่องมือคำนวณออกมาเพื่อเริ่มคำนวณและออกแบบสะพานโลกา
เสือเทพยดาขนดำยืนอยู่ข้างหลังเขา และมองอยู่เป็นเวลานาน เมื่อความสงสัยสะกิดใจเขาจนทนคันไม่ไหว เขาก็ถามในที่สุด เจ้ากำลังคำนวณอะไร
ฉินมู่ตอบโดยไม่เงยหน้า ข้ากำลังคำนวณสมการการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณ และอีกสมการที่ใช้ในการเคลื่อนย้ายมัน ข้าต้องการรู้อัตราแลกเปลี่ยนของพลังจิตวิญญาณสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะจากโลกที่ต่างกัน เช่นเดียวกับอัตราแลกเปลี่ยนของการย้ายสลับระหว่างสองโลกมิติ
สิ่งที่เขากล่าวนั้นค่อนข้างลึกซึ้ง แต่เทพเสือขนดำก็เข้าใจมัน เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม สมการในการแลกเปลี่ยนพลังจิตวิญญาณคือวิธีบูชายัญโลหิต และสมการสำหรับการย้ายสลับพลังจิตวิญญาณก็คือวิธีการทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ใช่หรือไม่
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองเขาด้วยความไม่เชื่อสายตา
สองสมการนี้ต้องอาศัยการคำนวณที่มากมายมหาศาล และเกี่ยวพันกับวิชาความรู้มากมายสารพัน อันรวมถึงการแลกเปลี่ยนดวงวิญญาณ กายเนื้อ และพลังงาน นี่ยังคงรวมไปถึงการเคลื่อนย้ายข้ามห้วงอวกาศ และการคำนวณย้ายสลับ หากว่านี่เอาไปให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงชมดู พวกเขาก็คงงงเป็นไก่ตาแตกหลังจากที่ฟังทั้งหมดนั่น แต่ทว่า เทพเสือขนดำสามารถค้นพบและกล่าวประเด็นสำคัญออกมาได้ภายในประโยคเดียว!
จริงสิ เขาเป็นสัตว์ขี่ของครูบาศักดิ์สิทธิ์ และคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของครูบาก็มีวิธีการคำนวณอันลึกล้ำ เขาคงจะได้เรียนมาสักหน่อยหลังจากที่ฟังมันอยู่ซ้ำๆ
ฉินมู่จึงถามหยั่ง ความสำเร็จเชิงคำนวณของพี่เสือเป็นอย่างไรหรือ
เสือเทพยดาขนดำหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากพื้นและกล่าว ข้าสังเกตว่ามีความผิดพลาดในการคำนวณของเจ้าอยู่จุดหนึ่ง ตรงนี้แหละที่ผิด
ฉินมู่มองไปที่กระดาษ และรีบใช้เครื่องมือคำนวณต่างๆ ของเขาเพื่อคำนวณใหม่อีกครั้ง มันมีข้อผิดพลาดอยู่จริงๆ
เด็กหนุ่มประทับใจ การคำนวณของพี่เสือทั้งลึกล้ำ รวดเร็ว และแม่นยำเสียยิ่งกว่าข้า น้องชายโง่เขลาผู้นี้ประทับใจเป็นอย่างยิ่ง สมการทั้งสองนี้ค่อนข้างยาก และมีหลายประเด็นที่ต้องไขและแก้ พี่เสือท่านช่วยข้าได้หรือไม่
เสือเทพยดาขนดำยิ้มให้แก่เขา ตราบเท่าที่เจ้าไม่ก่อเรื่องวุ่นวาย ช่วยเจ้าไปก็ไม่มีปัญหา แล้วเหตุผลที่เจ้าคิดคำนวณนี้ล่ะ? เจ้าต้องการจะสร้างอะไรขึ้นมาจากสมการ
ฉินมู่บอกเขาเกี่ยวกับสะพานโลกาที่เขาวางแผนว่าจะก่อสร้าง และนำเอาแท่นสังเวยกับธงเคลื่อนย้ายระยะไกลที่เขาออกแบบออกมาแสดงให้ดู ข้าใช้วิธีนี้และแทนตัวแม่ทัพมารตนหนึ่งเพื่อมายังสวรรค์ไท่หวง แต่ทว่า ในตอนนี้ข้าต้องการก่อสร้างสะพานโลกาเพื่อเชื่อมต่อสันตินิรันดร์กับสวรรค์ไท่หวงเข้าด้วยกัน สะพานนี้จะต้องเสถียรมั่นคงมากๆ เพื่อให้บุคคลสามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองโลกได้
เทพเสือขนดำพึมพำกับตนเองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว นั่นก็จะเป็นสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณข้ามมิติ มันสามารถออกแบบเป็นปล่องช่องทางได้ หลังจากที่มันเปิดออก พลังจิตวิญญาณของทั้งสองโลกก็จะไหลผ่านกันไปมาในทันที หากว่าผู้คนจากสวรรค์ไท่หวงต้องการไปยังสันตินิรันดร์ สันตินิรันดร์ก็จะต้องสูญเสียพลังงานไปจำนวนหนึ่ง ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน…เจ้านับว่ามีความคิดไม่เลวเลย ศิษย์น้อง!
เขาตบบ่าฉินมู่อย่างแรง และสีหน้าของเด็กหนุ่มบิดเบี้ยว เขาต่อไหล่ที่หลุดกึ๊กของเขาอย่างเงียบเชียบ และยอมแพ้ราบคาบต่อเทพเสือขนดำ
ความคิดหนึ่งพุ่งวาบมาในจิตคิดของเทพเสือขนดำ และเขาปรบมือเปาะ ข้ามีความคิดหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องออกแบบแท่นสังเวยใหม่ ในเมื่อนายท่านมีอันใหญ่มหึมาที่พร้อมใช้อยู่แล้ว และมันก็ยังมีแท่นสังเวยที่คล้ายคลึงกันในแดนโบราณวินาศ อันเป็นเส้นทางถอยที่นายท่านได้ทิ้งเอาไว้ให้ตนเอง หากว่าสวรรค์ไท่หวงถูกรุกรานจนต้านไม่อยู่ เขาก็จะใช้เพื่อถอยกลับไป
แท่นสังเวยทั้งสองใช้เพื่ออัญเชิญเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นมันจึงสามารถใช้เชื่อมต่อสะพานโลกาได้ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าพลังงานจะติดขัดและสะพานก็จะพังทลาย ปัญหาเดียวก็มีเพียงแค่การคิดคำนวณสองสมการนี้เท่านั้น!
ฉินมู่ตื่นเต้น ไม่เพียงแต่เสือเทพยดาขนดำจะวิ่งได้เร็ว แต่ความสำเร็จของเขาในเชิงคำนวณยังลึกล้ำอย่างไม่คาดคิดอีกด้วย ขนาดฉินมู่เองก็ไม่เก่งเท่ากับเขา ด้วยความช่วยเหลือของเขาสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณที่เชื่อมข้ามสองโลกมิติก็สามารถก่อสร้างขึ้นมาได้เร็วขึ้นกว่าเดิม และเชื่อมต่อสวรรค์ไท่หวงกับสันตินิรันดร์!
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงกิเลนมังกรขึ้นมา และรู้สึกรวดร้าวใจอย่างบอกไม่ถูก พวกเขาทั้งคู่เป็นสัตว์ขี่ แต่กระนั้น พี่เสือก็ยังวิ่งได้เร็วกว่า ขั้นวรยุทธเขาสูงกว่าด้วย แถมเขายังไม่เลือกกินอาหารและความเชี่ยวชาญการคำนวณของเขาก็ลึกล้ำยิ่งกว่าข้า…
ไม่นานเขาก็ละทิ้งความเปรี้ยวฝาดในหัวใจ และทุ่มเทพลังทั้งหมดในการคิดคำนวณทุกสิ่งทุกอย่างกับเสือเทพยดาขนดำ
ความเร็วการคิดคำนวณของอีกฝ่ายนั้นน่าตื่นตระหนกอย่างยิ่ง ฉินมู่จำเป็นต้องใช้แผ่นไท่จี่ แผ่นผังแปด และอาวุธวิญญาณสำหรับการคำนวณอื่นๆ เพื่อก่อสร้างขึ้นมาเป็นเครื่องมือคำนวณมหึมาเพื่อให้ตามเขาทัน
ในท้ายที่สุด เขาก็ได้แต่ยกอาวุธวิญญาณเครื่องมือคำนวณให้เทพเสือ และปล่อยให้ฝ่ายนั้นคิดคำนวณ ส่วนเขาเป็นคนป้อนความคิด
เครื่องมือการคำนวณที่เจ้าเตรียมเอาไว้มันน้อยเกินไป เดี๋ยวข้าจะสร้างเพิ่มอีก!
เมื่อเสือเทพยดาขนดำกล่าวเช่นนั้น เขาก็หลอมสร้างอาวุธวิญญาณคำนวณขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นควบคุมช่วงใช้เครื่องมือการคำนวณขนาดใหญ่หกชิ้นพร้อมๆ กัน
มังกรอ้วนก็ไม่รู้วิธีการหลอมสร้างอาวุธวิญญาณเหมือนกัน… ฉินมู่รู้สึกเปรี้ยวฝาดขึ้นมาอีกครั้ง
เขาบอกความคิดของเขาเกี่ยวกับสมการ และเทพเสือขนดำก็ขานคำตอบกลับไปโดยพลัน ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด
หนึ่งเสือและหนึ่งคนไม่พักผ่อนนอนหลับ คิดคำนวณอย่างไม่หยุดพักในป้อมปราการเมืองหลีฝั่งประตูทิศตะวันออก หลังจากนั้นแปดวัน ในป้อมปราการก็เต็มไปด้วยปึกกระดาษตั้งอยู่เป็นกองๆ
ทันใดนั้น เสียงของซังฮั่วก็ดังมา พี่ชายนักฟาดฟ่อนข้าว พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ที่นี่
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมาจากกองกระดาษ ดวงตาของเขาแดงซ่านจากความเหนื่อยอ่อน เขาเห็นซังฮั่ว อวี่เหอ ฉู่เหยา และผู้ฝึกวิชาเทวะเยาว์จำนวนหนึ่ง พวกเขามองไปรอบๆ ด้วยความสงสัยใคร่รู้
ทุกคนตื่นตะลึงจากที่ได้เห็นกระดาษเขียนข้อมูลที่ตั้งสูงท่วมหัวคน และพวกมันก็ถูกจัดเรียงไว้เป็นแถวๆ อย่างเป็นระเบียบ ที่ใจกลางกองตั้งกระดาษ ฉินมู่และเทพหัวเสือมีถุงใต้ตาดำคล้ำภายใต้ดวงตาอันแดงซ่าน หนวดเคราของฉินมู่ได้กลายเป็นตอชี้โด่ชี้เด่ไปเรียบร้อยแล้ว แต่เขาไม่สนใจรูปโฉมของตนในตอนนี้เลยสักนิด
ที่แท้ก็คือพวกเจ้านี่เอง ฉินมู่เบือนสายตาไปและเขียนบนกระดาษต่อ พวกเจ้ารอสักครู่ พี่เสือและข้าเพิ่งสิ้นสุดการคำนวณสมการทั้งสองและกำลังใช้มันเพื่อคิดคำนวณอักษรรูนย้ายสลับพลังจิตวิญญาณห้วงมิติ พวกเรากำลังออกแบบโครงรูปสิ่งก่อสร้างของสะพานโลกา
อวี่เหอ ฉู่เหยา และผู้ฝึกวิชาเทวะที่เหลือมองมาที่เขาด้วยสายตางงงัน ผ่านไปสักพัก ฉู่เหยาก็ถามอย่างกระมิดกระเมี้ยน ศิษย์น้องซังฮั่ว เจ้าเข้าใจที่เขาพูดสักอย่างไหม
เด็กสาวส่ายหัวด้วยสีหน้าว่างเปล่า
ฉินมู่และเทพเสือขนดำแปรเปลี่ยนปราณชีวิตของพวกเขาให้เป็นตราชั่งอันละเอียดประณีตอย่างถึงที่สุด และวาดแปลนอยู่สักพักหนึ่งบนกระดาษ หลังจากที่พวกเขาบันทึกค่าจากจุดต่างๆ ของตราชั่งแล้ว พวกเขาก็ลุกขึ้น
ไปกันเถอะ ไปสร้างสะพานโลกานี้ดูและทดสอบว่ามันจะเชื่อมต่อระหว่างสองโลกมิติได้ไหม! เทพเสือขนดำกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ครูบาศักดิ์สิทธิ์บอกข้าว่าอย่าก่อเรื่องวุ่นวาย สะพานโลกานี้ยังไม่ได้ผ่านการตรวจสอบทดลองดี หากว่าเราสร้างมันขึ้นมาในตอนนี้ ข้าเกรงว่า…
เสือเทพยดาขนดำตื่นเต้นยิ่งกว่าเขาเสียอีก และตบหน้าอกตนเองปึกๆ พลางกล่าวด้วยความห้าวหาญทะยานฟ้า นี่ไม่ใช่การก่อเรื่องวุ่นวาย อย่างมากก็เป็นแค่การก่อเรื่องใหญ่ ไม่ต้องห่วง ถ้ามีปัญหาอะไรขึ้นมา ข้าจะรับผิดชอบเอง!
………………
แม้ว่าฉินมู่จะดึงจี้หยกออกมา แต่เขาก็ไม่ถอดมันออก เขากล่าวด้วยความลังเล ท้าวยมราชกล่าวว่า จี้หยกนี้ใช้สยบสันดานมารในร่างของข้า และข้าไม่อาจแสดงให้ผู้อื่นเห็นได้โดยง่าย หากว่าจี้หยกนี้ออกไปห่างไกลจากร่างกายของข้า ก็จะเกิดเรื่องร้ายขึ้นมา
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหน้า มีข้าอยู่ใกล้ๆ จะเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมาได้ มันก็คงเป็นแค่ลูกไม้ตุกติกเล็กน้อยอย่างคำสาปบางอย่าง หรือสายฟ้าฟาด อันไม่นับเป็นอะไรสำหรับข้า
ฉินมู่กัดฟันและถอดจี้หยกออกมา ในอดีต ข้าได้ถอดจี้หยก และแสดงให้คนอื่นๆ ในหมู่บ้านชมดู เขาก็ได้เผยมันให้น้องสาวจิ่งดูเช่นกันและไม่เห็นเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นมา คราวนี้ก็ไม่น่าจะเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน
นักบุญคนตัดไม้รับจี้หยกมา เขาเพ่งสายตาลงไปบนนั้นและผงกหัว มันเป็นจี้หยกของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งจริงๆ เอ๋ แต่นี่ดูเหมือนไม่เหมือนกับอันอื่นๆ มันมีวงจรพยุหะปิดผนึกซ่อนอยู่ลึกๆ ข้างใน หรือว่ามันจะเป็นวงจรพยุหะที่ใช้ปิดผนึกสันดานมารของเจ้า
มีใครบางคนได้นำข้าออกมาจากแดนใต้พิภพมายังแดนโบราณวินาศ และท่านยายซีก็เก็บข้าได้ ข้างๆ ตัวข้ามีตะกร้า ผ้าอ้อม และจี้หยกนี้เท่านั้น บุคคลที่ส่งข้ามาได้ตายไปจากอาการบาดเจ็บสาหัสแล้ว…
ฉินมู่สีหน้าหมองลงและกล่าวต่อ ท่านยายซีเป็นธิดาเทพแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า และก็เป็นนางที่เลี้ยงข้ามาจนเติบใหญ่ จี้หยกอันนี้ติดตัวข้ามาโดยตลอด ท่านยายซีและคนอื่นๆ ไม่พบประโยชน์ใช้สอยอื่นของมันนอกจากขับไล่ความมืดของแดนโบราณวินาศให้ล่าถอยไป แต่ทว่ามันใหญ่พอแค่จะปกป้องทารกคนหนึ่งเท่านั้น
หลังจากนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็ได้ค้นพบว่าจี้หยกนี้มีความสามารถที่จะนำทางพวกเราไปยังหมู่บ้านไร้กังวล ทว่ามันเป็นเพียงแค่กับดัก จี้หยกได้นำทางพวกเราไปยังแดนยมโลก และพวกเราก็ปะทะเข้ากับมารเทวะที่ดักซุ่มรออยู่ข้างนอกเมืองยมโลก
มันมีความลับซ่อนอยู่อีกจริงๆ นักบุญคนตัดไม้พลิกจี้หยกไปมาจนกระทั่งสายตาของเขาผิดประหลาด จี้หยกนี้มิได้เพียงแค่สามารถนำทางเจ้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล แต่ยังสามารถนำทางเจ้าไปยังแดนใต้พิภพ ก็ในเมื่อมันถูกหลอมสร้างขึ้นมาที่นั่น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่หลอมสร้างมันยังแข็งแกร่งอย่างมหันต์ แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าข้า แปลกจริง ผนึกที่แข็งแกร่งขนาดนี้ มันกำลังพยายามจะปิดผนึกอะไรเอาไว้
สายตาของเขาวูบไหวเมื่อความสงสัยทวีขึ้นมา เมื่อข้าสะกดข่มพยุหะปิดผนึกในจี้หยกนี่ได้ ข้าก็จะได้รู้ว่าอะไรที่ถูกปิดผนึกเอาไว้…
ฉินมู่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เมื่อท้าวยมราชพยายามทำแบบเดียวกันนี้ เขาได้สิ้นสติไป และไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น
เขานั้นก็สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าจี้หยกนี้ปิดผนึกสิ่งใดไว้กันแน่ และจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากคลายผนึก
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่สีหน้าของเขา และพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาจึงยัดจี้หยกกลับใส่ในมือฉินมู่
เด็กหนุ่มงุนงง
บุคคลที่หลอมสร้างจี้หยกนี้ทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นหนึ่งในตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในแดนใต้พิภพ อันเป็นดินแดนลึกลับที่น้อยคนนักจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือมากเท่าไรที่เร้นกายอยู่ในแดนใต้พิภพ นักบุญคนตัดไม้กล่าว
การที่จี้หยกนี้อยู่ติดกายเจ้ามันจะต้องมีเหตุผลอยู่เป็นแน่ ข้าคิดว่าพวกเราไม่หยั่งเข้าไปดูจะดีกว่า ในเมื่อท้าวยมราชบอกว่าอย่าให้จี้หยกนี้ออกไปห่างจากตัวเจ้า เจ้าก็จงทำตามที่เขาบอก
เขาอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่เขาสยบพยุหะปิดผนึกในจี้หยกแล้ว แต่เขาทนข่มมันเอาไว้
ฉินมู่จึงได้แต่รับจี้หยกของตนกลับมา และห้อยมันไว้ที่คอเหมือนเดิม
ในตอนนั้น ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงที่เข้ามาในเมืองหลี และซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างทั้งหลาย ก่อสร้างสิ่งป้องกันเมือง ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นอาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน
แม้ว่ากำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะแข็งแกร่งสุดๆ และเหนือกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ระดับชั้นหนึ่ง แต่พีชคณิตของพวกเขาอ่อนแอเป็นอย่างมาก อาวุธอย่างปืนใหญ่เทวะยิงตะวัน ต้องอาศัยความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง ดังนั้นผู้คนพวกนี้จึงไม่สามารถหลอมสร้างพวกมันขึ้นมาได้
ต่อให้ฉินมู่วาดพิมพ์เขียวและมอบให้แก่พวกเขา พวกเขาก็คงจะไม่สามารถหลอมสร้างมันขึ้นมา มีก็แต่จักรวรรดิสันตินิรันดร์อันพรักพร้อมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญเชิงพีชคณิตเท่านั้นถึงจะทำมันได้
เจ้ามายังสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร นักบุญคนตัดไม้ถาม
ฉินมู่บอกเล่าเขาอย่างสังเขปว่าเขาได้เปรียนวิธีการบูชายัญโลหิตและแลกเปลี่ยนตัวเขากับแม่ทัพมารตนหนึ่ง ขนส่งตัวเขาเข้ามาในสวรรค์ไท่หวง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว บุ่มบ่ามจริงๆ ไปแลกเปลี่ยนตัวเจ้าเองกับบุคคลในค่ายทัพศัตรู เจ้าไม่กลัวตายบ้างหรืออย่างไร
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม เพื่อเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก มันคุ้มค่าที่จะเสี่ยง! ครูบาศักดิ์สิทธิ์สอนข้าได้หรือไม่ ในวิธีการฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์
นักบุญคนตัดไม้อึ้งไปเล็กน้อย เจ้าต้องการจะฝึกปรือเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ และเอาชนะคนหนีทัพผู้นั้นแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์งั้นรึ
ฉินมู่ผงกหัวอย่างเคร่งขรึม
นักบุญคนตัดไม้แย้มยิ้ม เจ้าไม่รู้ปูมหลังที่มาของเขาสินะ?
ฉินมู่หน้าเซ่อ
เจ้าและเขาเหมือนๆ กัน พวกเจ้าทั้งคู่แซ่ฉิน และต่างก็เป็นศิษย์ของข้า ฟู่ยื่อลัวเรียกข้าว่าครูบาสวรรค์อันหมายถึงครูบาที่กระทำการสอดคล้องกับกฎสวรรค์ และยังเป็นครูบาของโอรสสวรรค์อีกด้วย ทว่าจริงๆ แล้วข้าเป็นเพียงครูคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อครั้งกระโน้น ด้วยคำบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าสั่งสอนองค์ชายมากมาย และหนึ่งในองค์ชายเหล่านั้นคือคนหนีทัพแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์
นักบุญคนตัดไม้เดินตรงไปยังประตูทิศตะวันออกของเมืองหลีพลางหวนรำลึกถึงอดีต สายตาของเขาดูขมุกขมัว
องค์ชายผู้นี้มีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา และปฏิภาณของเขาก็สูงลิ่ว แต่ทว่า เมื่อภัยพิบัติปะทุขึ้นมา และสภาสวรรค์ก็จมปลักลงไปในการสงคราม องค์ชายนี้หวาดกลัวความตายและหลบหนีไป ด้วยความบังเอิญหรือฟ้าลิขิตก็ตาม เขาได้ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนหนึ่ง และได้รับการยกย่องให้เป็นกษัตริย์มนุษย์
ข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเขาจึงมาขอเข้าพบข้าหลายต่อหลายครั้ง แต่ข้าไม่ต้องการพบเขา หลังจากนั้นข้าก็จำศีลแปลงเป็นรูปสลักหินขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของข้าท่องไปทั่วโลกหล้าเพื่อค้นหาคำตอบต่างๆ ดังนั้นข้าจึงมิได้พบเห็นเขาอีก เจ้าคิดจะเอาชนะเขา คงจะยากมากๆ
ฉินมู่กำหมัดแน่นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง แต่ถึงอย่างไร ครูบาศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องมีหนทางใช่ไหม
นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นไปบนกำแพงเมืองสูง ในเมื่อพวกเขาจำเป็นต้องป้องกันการรุกรานของเหล่ามาร ป้อมปราการเมืองทั้งหมดก็ถูกปลูกสร้างไว้อย่างสูงลิ่ว ดังนั้นการปีนขึ้นไปบนป้อมสักป้อมก็ไม่ต่างอะไรกับการปีนขึ้นภูเขา
ข้าเคยสอนเขามาก่อน และพรสวรรค์กับปฏิภาณของเขาล้ำเลิศที่สุดท่ามกลางองค์ชายทั้งหมดที่ข้าได้สอนสั่งมา เขาสามารถสำเร็จทักษะเทวะใดๆ ได้แม้เพิ่งเรียนรู้มัน และปฏิภาณความเข้าใจหนึ่งของเขาก็เทียบได้กับร้อยคน เขาเคารพครูของเขา และให้ความสำคัญกับการสั่งสอน แม้ว่าข้าจะหมิ่นแคลนที่เขาหนีทัพ แต่ข้าก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง หากว่าเจ้าต้องการจะเอาชนะเขา การหวังพึ่งให้ข้าสอนแต่อย่างเดียวก็คงจะไร้ประโยชน์
นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นบันไดไปทีละขั้นๆ ราวกับปุถุชนธรรมดา โดยไม่ใช้ทักษะเทวะใด ข้าเป็นครูของจักรพรรดิก่อตั้ง และมีชื่อเสียงว่าครูบาสวรรค์ ในแง่ของกำลังการต่อสู้แล้ว ข้ามิใช่คนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคนั้น ในทางตรงข้าม กำลังการต่อสู้ของข้านับได้เพียงชั้นกลางๆ เท่านั้น หากว่าข้าสอนเจ้า เจ้าก็จะไม่สามารถเหนือล้ำกว่าคนหนีทัพไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขาแย้มยิ้ม ไม่ใช่ว่าข้าก็สอนเจ้าไปแล้วหรอกหรือ
ฉินมู่ตกตะลึง ความหมายของเขาก็คือการสั่งสอนบนอาสนะหิน ดังนั้นถ้าพูดตามเหตุตามผล นักบุญคนตัดไม้ก็ได้สอนเขาไปแล้ว แต่ทว่า ฉินมู่ก็ยังขัดเคืองกับการที่นับอันนั้นเป็นการสั่งสอน
นักบุญคนตัดไม้มีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้นชัดๆ ในสนามรบ ฉินมู่ได้พบกับฟู่อวี่เซียวและเกือบถูกฝ่ายตรงข้ามสังหาร หากว่าไม่เพราะนักบุญคนตัดไม้ขับเคลื่อนกระบวนท่าให้ฉินมู่เรียนรู้และสามารถหลบหนีจากอันตรายไปได้
ในเมื่อเขามีทักษะเทวะที่ทรงพลังมากกว่านั้น ทำไมเขาถึงไม่ยินดีที่จะสอนสั่ง
ฉินมู่อยากเรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ทำให้เขาสามารถกลายเป็นเทพเจ้าเยาว์ได้ เขาอยากที่จะร้อยรัดกายเนื้อให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อก้าวล้ำไปกว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกในขั้นวรยุทธเดียวกัน เพื่อซัดให้คว่ำจมโคลน หักกระดูกเขาและทำให้เขากระอักเลือดออกมา เขาอยากจะกระทืบอีกฝ่ายจนกระทั่งต้องคุกเข่าลงกับพื้นและวิงวอนขอความเมตตา จนกว่าบรรพชนแรกจะโขกศีรษะและกล่าวขออภัยต่ออดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย!
หากข้าสอนทักษะเทวะของข้าแก่เจ้า เจ้าก็จะไม่เค้นสมองตรึกตรองเข้าใจกระบี่ภัยพิบัติ กระบี่ริเริ่มภัยพิบัติเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง แต่ข้าไม่อาจสอนเจ้าในสิ่งนั้นได้
นักบุญคนตัดไม้ขึ้นไปบนป้อมปราการเมืองและนั่งลง เขาตบลงกับขั้นบันไดข้างๆ ตนและเรียกฉินมู่ให้เข้ามานั่งด้วยเช่นเดียวกัน
ฉินมู่นั่งลงบนพื้นผิวอันเย็นเฉียบราวน้ำแข็งนั้น
เขาหันกลับไปและเห็นเสือเทพยดาขนดำยืนอยู่ข้างใต้ป้อมปราการเมือง มิได้ขึ้นมาด้วย
ทักษะเทวะทั้งหมดที่ข้ารู้ล้วนแต่ซ่อนเอาไว้ในคัมภีร์ เจ้าเพียงแต่ต้องใช้หัวใจของเจ้าตรึกตรองมันออกมา และเจ้าก็จะสามารถเรียนรู้พวกมันได้ คัมภีร์เหล่านั้นจักรพรรดิก่อตั้งสอนข้ามาอีกที
สิ่งที่ข้าเรียนรู้นั้นมากมายและหลากหลายอย่างเหลือแสน ดังนั้นต่อให้ข้าได้รับสุดยอดวิชาของจักรพรรดิก่อตั้งมา ข้าก็ยังไม่อาจรุดหน้าไปอีกขั้นได้ ข้ายังคงนับว่าเป็นเพียงเทพและมารที่มีฝีมือระดับกลางๆ เท่านั้น นักบุญคนตัดไม้อธิบาย ในเวลาไม่นาน ข้าก็ตระหนักว่าการเรียนรู้หลายสิ่งมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ดี มาสิ มาดูดวงอาทิตย์ขึ้นกัน
ดวงอาทิตย์ขึ้น?
หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อเขามองไปยังท้องฟ้า ดวงตะวันแตกๆ หักๆค่อยๆ ส่องแสงสีแดงเรื่อออกมา รูปร่างพิกลพิการของมันบาดตาเขาเป็นอย่างยิ่ง
ใบหน้าเขามืดดำทันที และเขาก็รีบเบือนหน้าหนี เขารีบสะกดความอยากทุบทำลายในหัวใจเอาไว้ ข้างๆ เขา นักบุญคนตัดไม้ก็สีหน้ามืดดำ และก้มหน้าลง
ดวงอาทิตย์ขึ้นของสวรรค์ไท่หวงได้ทำให้ทั้งคู่รู้สึกเหมือนกับนั่งบนพรมเข็ม พวกเขาล้วนแต่รู้สึกทุรนทุราย
ฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า และเชี่ยวชาญเชิงพีชคณิต เขาเรียนวิชาช่างไม้จากเฒ่าหม่าและหวังความสมบูรณ์แบบจากงานฝีมือทุกชนิด แม้แต่เครื่องเรือนที่ท่านยายซีทำมากระโดกกระเดก ฉินมู่ก็ตามแก้ให้จนหมด แล้วดวงตะอาทิตย์อันอัปลักษณ์จนเกินจะทนดูนี่เขาจะปล่อยไปได้อย่างไร
ลัทธิมารฟ้าก็มีโถงงานฝีมือ และโถงวิศวกรรมอันล้วนแต่มีมาตรฐานที่เข้มงวดในการรังสรรค์ชิ้นงาน ทั้งสองโถงนั้นมาจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอันแตกแขนงออกมาจากวิชาในการคำนวณและหัตถการต่างๆ ในคัมภีร์ คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตได้รับถ่ายทอดมาจากนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสำเร็จอันน่าตื่นตะลึงในเชิงพีชคณิตด้วยเช่นกัน
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งว่าดวงตะวันบนฟากฟ้านั้นหลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเทพเจ้าของพวกเขา แต่สำหรับสองคนนี้ ดวงตะวันเป็นสิ่งอุบาทว์สายตา
บนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์อีกซีกก็ส่องสว่างขึ้นมาด้วยเช่นกัน และดวงตะวันทั้งสองดวงก็แขวนห้อยอยู่ตรงนั้นโดยไม่กระดุกกระดิก
หางตาของนักบุญคนตัดไม้กระตุก และเขาพยายามฝืนตัวเอาไว้ไม่ให้เงยหน้าขึ้นไปมอง พวกที่อยู่ในสวรรค์ไท่หวงลืมวิชาช่างงานฝีมือทั้งหมดเสียแล้ว!
เทพที่หลอมสร้างดวงตะวันนี้ เรียกว่าผู้สร้างตะวัน ฉินมู่กล่าวด้วยใบหน้าก้มลง
บ๊ะ! ผู้สร้างตะวันอะไร ข้ารู้จักหมอนั่น! เขาก็เป็นแค่พ่อครัวคนหนึ่งในสภาสวรรค์!
ฉินมู่ตะลึง
นักบุญคนตัดไม้ลุกขึ้นยืนและกล่าว เจ้าจะต้องตรึกตรองเข้าใจวิธีการในการกลายเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ด้วยตนเอง มันจะดีกว่าให้ข้าสอนเจ้า สิ่งที่ข้าสอนถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแค่ของข้า แต่สิ่งที่เจ้าตรึกตรองเองมันจะเหมาะสมกับตัวเจ้าที่สุด ข้าจะพาเจ้าไปที่ประตู แต่เจ้าจะต้องเดินเส้นทางที่เหลือทั้งหมดด้วยตัวเจ้าเอง
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ไกลๆ ทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตกของเมืองหลียังคงมีปราณมารลอยคละคลุ้ง ราวกับว่ามีฝาหม้อใหญ่ครอบทับฟ้าและดินเอาไว้ ข้ามาที่สวรรค์ไท่หวงในคราวนี้เพียงเพื่อจะหยุดยั้งเหล่ามารมิให้บูชายัญสวรรค์ไท่หวง ฟู่ยื่อลัวเป็นแม่ทัพที่ปรีชาสามารถ และถอยทัพไปเพราะว่าเขาไม่มีพละกำลังมากพอที่จะรับมือกับการมาเยือนโดยฉับพลันของข้าได้ ในครั้งถัดไปที่เขามาอีก เขาก็จะจู่โจมด้วยฤทธานุภาพสะท้านฟ้าดิน!
ฉินมู่หัวใจสะดุ้งด้วยความแตกตื่นและรีบถาม สวรรค์ไท่หวงจะขัดขวางมันเอาไว้ได้ไหม
ตูม!
พื้นดินสั่นสะเทือน และฉินมู่รีบมองไปยังที่มาเสียง ในสนามรบที่ห่างไกลออกไป ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงกำลังสุมกองซากศพของมารและมนุษย์ที่ตกตายลงในการศึก เปลี่ยนพวกมันให้เป็นภูเขาซากศพ
ทันใดนั้น พื้นดินก็แยกออกจากกัน และแท่นสังเวยยักษ์ก็ค่อยๆ ผุดโผล่ขึ้นมาจากนั้น แสงเรืองของการบูชายัญเลือดสาดส่อง และลำแสงสีแดงฉานก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้างในนั้น ปรากฏรูปสลักหินขึ้นมา
ตูม ตูม คลื่นสะเทือนรุนแรงส่งมาถึงพวกเขาเมื่อสนามรบสะท้านสะเทือนอย่างไม่หยุดนิ่ง ยิ่งปรากฏแท่นสังเวยมากขึ้นและมากขึ้น
บนแท่นสังเวยเหล่านั้น ลำแสงสีแดงที่เหมือนกับหอคอยสูงพวยพุ่งขึ้นสู่เวหา และรูปสลักหินก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นบนแท่นสังเวย!
ความหมายมาดมุ่งหวังท่วมท้นฉินมู่ และเขามองไปที่นักบุญคนตัดไม้ คาดหวังคำตอบ
พวกเราขัดขวางไม่ได้ นักบุญคนตัดไม้เหมือนกับราดน้ำเย็นเฉียบลงบนหัวฉินมู่ พวกเราเพียงแค่ถ่วงเวลาได้สักระยะหนึ่งเท่านั้น
…………..
เจ๋อหัวหลีแบกศพของเจี่ยงอี้และติดตามไปข้างหลังฟู่ยื่อลัว เมื่อเขาผ่านไปทางฉินมู่ เขาก็เบือนหน้ามามอง
ฉินมู่กำลังหลอมปรุงยา แต่เขาก็ผงกหัวเป็นการทักทาย ศิษย์พี่เจ๋อหัวหลี ถ้ามีโอกาสก็ไว้พบกันใหม่
เจ๋อหัวหลีจากไปพร้อมกับฟู่ยื่อลัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เสือเทพยดาขนดำกระโดดลงจากราชวัง และปรายตามองฉินมู่ ก่อนที่จะปรายตามองนักบุญคนตัดไม้ ขวานยักษ์ของเทพผู้นี้ถูกเก็บไปไว้ที่ไหนสักแห่งแล้ว ขณะที่ตัวเขากำลังสังเกตการณ์วิชามือที่ฉินมู่ใช้ในการหลอมปรุงยา
เทพอื่นๆ ก็กระโดดลงมา และรวมตัวมุงรอบๆ พวกเขา ทุกคนมีสิ่งที่อยากจะพูด ในเมื่อมีคำถามมากมายอัดอก แต่ทว่า พวกเขาหุบปากเอาไว้ก่อน
ก่อนที่นักบุญคนตัดไม้จะกล่าวอะไร ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยนำ
เทพซังเย่รีบไปดึงซังฮั่วกลับมา เขาอยากจะดุด่าธิดาสาวของตนอย่างเฉียบขาด แต่ในเมื่อไม่มีใครพูดอะไร ก็คงไม่ดีที่จะเป็นคนทำลายความเงียบ
ฉินมู่นั้นอยู่ในจังหวะสำคัญในการหลอมปรุงยาวิญญาณ กำลังเพ่งสมาธิจดจ่อและไร้ความคิดวอกแวก เขามิได้ให้ความสนใจแก่คนอื่นๆ ที่อยู่รอบตัว แต่ด้วยสายตาของเทพเจ้าทุกตนที่จ้องมาที่เขา ทำให้แม้แต่เขาก็ยังรู้สึกกดดัน และเหงื่อเม็ดหนึ่งก็ปรากฏบนหน้าผากของเขา ถูกรีดเร้นออกมา
ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็สิ้นสุดการหลอมปรุงยาวิญญาณ และบดมันเบาๆ เขาตักน้ำมาเล็กน้อย ละลายยาที่บดแล้วลงไปในนั้น ก่อนที่จะหยอดสารละลายดังกล่าวลงไปในดวงตาและใบหูของอวี่เหอและฉู่เหยา
เขาสังเกตดูการงอกเงยของม่านตาและแก้วหูของทั้งสองคน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารีบคุ้ยหาสมุนไพรจำนวนหนึ่งจากถุงเต๋าตี้ และผสมขี้ผึ้งยาตำรับหนึ่งมาอย่างรวดเร็ว เขาค่อยทามันลงไปตรงจุดที่บาดเจ็บอย่างระมัดระวัง
ทำไมเจ้าถึงใส่ยาไปตั้งสองครั้ง นักบุญคนตัดไม้ถามด้วยความฉงน ครั้งแรกนั้นเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกกลับมา แต่ยาตัวที่สองมีพิษอยู่เล็กน้อย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น
ฉินมู่เพ่งพิศดูดวงตาของอวี่เหอและฉู่เหยา จากนั้นก็ไปส่องดูรูหูของพวกเขาอีกครั้ง เสร็จแล้วเขาจึงอธิบาย ขี้ผึ้งนี้มิใช่ยาพิษ แต่เป็นยาวิญญาณที่ใช้สะกดข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ยาวิญญาณตัวแรกที่ข้าใช้นั้นเพื่อรักษาม่านตาและแก้วหูของพวกเขาที่ได้รับความเสียหาย แต่ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าหลอมปรุงยาทำนองนี้ ปริมาณที่ข้าใช้จึงไม่เหมาะนัก และฤทธิ์พลังยาก็รุนแรงเกินไป
หากว่าข้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ม่านตาและแก้วหูของพวกเขาก็จะหนา และส่งผลประทบต่อสายตาและการได้ยินของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงต้องใช้ยาตัวที่สองที่ข่มการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ เขาบิดยืดเอวแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม บัดนี้ พวกเขาก็เกือบจะหายดีแล้ว สายตาและการได้ยินของพวกเขาจะไม่ด้อยไปกว่าแต่ก่อน
ในบริเวณรอบๆ เทพเจ้าทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อวี่เหอและฉู่เหยาเป็นยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวที่แข็งแกร่งที่สุดในสวรรค์ไท่หวง พวกเขาก็ยังเป็นชนรุ่นเยาว์ที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ หากว่าพวกเขากลายเป็นหนวกหรือบอด ก็คงจะเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของสวรรค์ไท่หวง
ความตายของหวงเยว่และคนอื่นๆ ในโลกจำลองศึกทราย ก็ได้กรีดเนื้อหลั่งเลือดพวกเขาไปมาแล้ว
ฉินมู่กล่าวคารวะไปยังนักบุญคนตัดไม้ ศิษย์ขอน้อมคารวะประมุขลัทธิ
นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปและพยุงเขาลุกขึ้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม เจ้าน่าจะได้รับคำสั่งสอนที่ข้าถ่ายทอดเอาไว้ ในเมื่อเจ้าได้รับการสั่งสอนจากข้าโดยตรง เจ้าก็เป็นศิษย์ของข้า และไม่มีความจำเป็นที่ต้องเรียกข้าว่าประมุขลัทธิ
ฉินมู่ประหลาดใจแกมยินดี หากว่าเขากลายเป็นศิษย์ของนักบุญคนตัดไม้ ลำดับอาวุโสของเขาก็จะพุ่งพรวดพราด หากว่าเขาไปพบกับอดีตเจ้าลัทธิมารฟ้าทั้งหลายอีกครั้ง ไอ้เฒ่าพวกนั้นก็ลืมไปได้เลยว่าจะใช้ลำดับอาวุโสมากดดันเขา!
เขาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามหยั่ง ครูบาสวรรค์ ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธินักบุญสวรรค์ไหม
ลัทธินักบุญสวรรค์? ด้วยความงุนงง นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน
ฉินมู่สีหน้าซีดเผือด และกลายเป็นห่อเหี่ยว
นักบุญคนตัดไม้ไม่เคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์จริงๆ ด้วย!
เขายังไม่ยินยอมพร้อมใจกับข้อเท็จจริงนี้ และถามหยั่งอีกครั้ง ถ้าเช่นนั้น ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ครูบาศักดิ์สิทธิ์ทิ้งเอาไว้ กับก้อนหินนักบุญและรอยขวาน มันมีความหมายที่ลึกล้ำไปกว่านี้หรือเปล่า
ต้นหวยแก่นั่นยังไม่ตายอีกรึ นักบุญคนตัดไม้ตกตะลึง เขาคำนวณอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว ต้นไม้นั่นน่าจะอายุสองหมื่นปีเห็นจะได้ ใช่ไหม ข้าเอาขวานจามมันมาตั้งหลายครั้งหลายหน แต่มันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ ไม่ช้าไม่นานมันคงจะกลายเป็นปีศาจได้
ฉินมู่ตะกุกตะกัก คะ..ครูบาศักดิ์สิทธิ์ หินนักบะ..บุญนั่น…
หินนักบุญอะไร โอ เจ้าหมายถึงหินที่ข้านั่งระหว่างถ่ายทอดคำสั่งสอนน่ะหรือ แล้วมันมีอะไร
ราวกับว่าฉินมู่ถูกสายฟ้าฟาดจนจิตกระเจิดกระเจิงไปหมด เขาพึมพำ ทุกครั้งที่พวกเรามีงานเฉลิมฉลองใหญ่ ลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเราก็จะไปคุกเข่าโขกศีรษะที่หน้าหินนักบุญและต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีแต่จ้าวลัทธิทั้งหลายและผู้อาวุโสที่ได้กระทำคุณงามความดีเท่านั้น ที่จะมีสิทธิ์ได้ฝังเถ้าอังคารเอาไว้ใต้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์…
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว พิธีเยอะขนาดนี้เชียวหรือ ข้าชังพิธีรีตองเป็นที่สุด หรือลัทธินักบุญสวรรค์จะถูกก่อตั้งโดยศิษย์ของข้า พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ได้เรียนรู้วิชาฝีมือทั้งหมด แต่กลับไปตั้งกฎเกณฑ์มากมายขึ้นมาแทน ด้วยการเพ่งความสำคัญไปที่กฎ เขาก็ได้สูญเสียเป้าสำคัญของความหมายของข้าในการถ่ายทอดคำสั่งสอนให้แก่เขา ช่างไม่เอาไหนเสียเลย ไม่เอาไหนเลยจริงๆ!
‘ศิษย์’ และ ‘พี่ใหญ่’ ที่เขาพูดถึงนั้นคือบรรพจารย์ก่อตั้ง ซึ่งเป็นบุคคลอันไร้ร่องรอยที่ฉินมู่มิได้พบเจอในยมโลก
ชายผู้นั้นไม่เคยไปที่ยมโลก ดังนั้นฉินมู่จึงไม่รู้ว่าเขาหายไปไหน
กระนั้นสีหน้าเขาก็ซีดเผือดสลับมืดคล้ำ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์และอาสนะหินนักบุญที่ทุกคนในลัทธิมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่ากลับกลายเป็นของไร้ราคาในสายตาของนักบุญคนไม้!
หากว่าข้อเท็จจริงนี้แพร่ออกไป ทุกคนในลัทธินักบุญสวรรค์ รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายในยมโลก ก็คงจะสติหลุดกันแน่!
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่สภาวะจังงังของเขา และอ้าปาก แต่ทว่าเขาก็ยับยั้งตนเองไว้ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ และเพียงแค่คิดในใจ นายท่านเอาแต่ดุด่าข้า และไม่เชื่อว่าไอ้เด็กนี่กรอบคิดจิตใจไม่ดีเลยสักนิด เพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เด็กนี่ก็เปลี่ยนสีหน้าไปมากกว่าสิบอารมณ์…
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้เดินเข้ามา และตรวจดูดวงตาและใบหูของอวี่เหอ เขาก็ไปตรวจดูฉู่เหยาด้วยเช่นกัน เมื่อเขาเห็นว่าทั้งสองหายดี สหายน้อยฉินได้ช่วยชีวิตพวกเจ้าเอาไว้ ไฉนพวกเจ้ายังไม่รีบไปขอบคุณเขาอีก สาเหตุที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถออกมาจากโลกจำลองศึกทรายได้นั้นก็เพราะว่าเขาเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อหลอกล่อศัตรูเข้ามา กำจัดศัตรูไปสามคนตั้งแต่แรก
อวี่เหอและฉู่เหยาสะท้านใจอย่างรุนแรง และร้องออกมา เขากำจัดยอดฝีมือถึงสามคนด้วยตนเองเชียวหรือ
นับเจี่ยงอี้ด้วยก็เป็นสี่ ผางอวี้ถอนหายใจและกล่าว ในบรรดาสิบยอดฝีมือเผ่ามาร สี่ได้ตายในน้ำมือของเขา มันเกือบจะครึ่งหนึ่งในพริบตา หากว่าเรานับรวมยอดฝีมือมารที่เด็กสาวจากตระกูลซังเย่กำจัดไปด้วยแล้วล่ะก็ ทั้งสองคนก็ได้ชิงความดีความชอบไปครึ่งหนึ่ง ส่วนคนอื่นๆ รวมทั้งพวกเจ้าทั้งสองกำจัดศัตรูได้เพียงสี่คน เผ่ามารก็ยังคงไม่อาจดูแคลน กำลังฝีมือของพวกเขายังคง…
เขาส่ายหัวและไม่กล่าวอะไรต่อ
เผ่ามารตายไปเก้าคน และฉินมู่ก็ได้ลงมือกำจัดไปสี่ด้วยตนเอง ขณะที่ซังฮั่วก็ได้กำจัดไปหนึ่ง นี่นับว่าเป็นความดีความชอบที่มากกว่าครึ่งจริงๆ
ในขณะเดียวกัน อวี่เหอและฉู่เหยา ต่างก็กำจัดยอดฝีมือมารไปได้คนละหนึ่ง และร่วมมือกันเพื่อกำจัดไปอีกหนึ่ง นี่หมายความว่ายอดฝีมืออีกหกคนที่ตายไป รวมกันแล้วแลกชีวิตเพื่อกำจัดยอดฝีมือมารได้เพียงคนเดียว
พลังการต่อสู้ของพวกมารเหล่านี้นับว่าแข็งแกร่งกว่ามนุษย์อย่างแท้จริง หากว่ามิใช่เพราะการเข้ามาสมทบอย่างเกินคาดหมายของฉินมู่ พวกเขาก็คงจะประสบกับการถูกฆ่าล้างบางทั้งสิบยอดฝีมือเยาว์!
อวี่เหอและฉู่เหยาระบายลมหายใจสะท้าน พวกเขามายังฉินมู่ที่ดูห่อเหี่ยวและเหม่อลอย พลางกล่าวขอบคุณ
ฉินมู่รีบคารวะกลับไปด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม เมื่อก่อนหน้า ข้าได้พะวงอยู่กับการเพิ่มพูนพลานุภาพกระบี่บินของข้า และมิได้แนะนำตัวข้ากับศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายทั้งสอง ชื่อของข้าคือฉินมู่ ฉินจากคำว่าฟาดฟ่อนข้าว และมู่จากคำว่าคนเลี้ยงวัว ข้าคารวะศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา
เสือเทพยดาขนดำเห็นเขาเปลี่ยนสีหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีดของเขาให้กลายเป็นรอยยิ้มแจ่มจ้าภายในเสี้ยวพริบตา และอดไม่ได้ที่จะแค่นเสียงเย็นชา นายท่านมองไม่เห็นเลยสักนิดว่าเจ้าเด็กนี่มันเปลี่ยนสีหน้าได้รวดเร็วขนาดไหน!
อวี่เหอและฉู่เหยารีบคารวะทักทายกลับไปทันที และฉู่เหยากล่าวอย่างขออภัย พวกเราได้เย้ยหยันศิษย์พี่ฉินไปตั้งหลายครั้งหลายหน และเรียกท่านว่านักฟาดฟ่อนข้าวและนักตีเหล็ก ข้าหวังว่าท่านคงจะไม่เคืองใจ
ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นคง วิธีการเขียนตัวอักษรฉินนั้นมาจากคำว่าคนสองคนถือสากยาวฟาดฟ่อนข้าวอยู่ และข้าไม่ได้ล้อเล่น อันที่จริงแล้ว น้องชายผู้นี้ได้เรียนการอ่านอักษรทุกชนิดจากอาจารย์ของข้า รวมทั้งเรียนภาษาทุกชนิด อย่างภาษามาร มังกร พุทธ แดนใต้พิภพ แม้กระทั่งภาษาเทพบางส่วน บางครั้งข้าก็ชอบจำแนกแยกแยะองค์ประกอบย่อยของตัวอักษร ดังนั้นนี่มิใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด
สีหน้าของไอ้เด็กนี่เปลี่ยนไปอีกแล้ว! เทพเสือขนดำกัดฟันกรอด แต่นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น!
ศิษย์พี่อวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยา สีหน้าเคร่งขรึมของฉินมู่หายไป และรอยยิ้มของเขาก็ราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องลัทธินักบุญสวรรค์ไหม ว่ากันตามตรงแล้ว น้องชายผู้นี้เป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ มันก่อตั้งขึ้นมาโดยอาจารย์ของข้า ซึ่งก็คือครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าก็ได้เห็นแล้วว่าเขาทั้งทรงปัญญา ห้าวหาญ และเป็นคนพูดน้อย แต่ทว่า คำสั่งสอนของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรานั้นดีเยี่ยมและมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง มรรคาแห่งนักบุญที่ว่ากันนั้นก็มิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการยังประโยชน์ให้แก่กิจวัตรประจำวันของผู้คน…
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ระบายลมหายใจสะท้าน และยิ้มแฉ่งไปให้แก่อวี่เหอและฉู่เหยาผู้ซึ่งเพิ่งเข้าร่วมลัทธิของเขา เขาคิดในใจ ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ของข้าเพิ่งก่อตั้งสาขาเข้าไปในสวรรค์ไท่หวง โชคของข้าวันนี้ไม่เลวนัก สามารถเสาะหาหัวหน้าโถงคนใหม่สองคนอันมีศักยภาพที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้า! ต่อให้นักบุญคนตัดไม้ไม่ยอมรับว่ารู้จักลัทธินักบุญสวรรค์ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เขาไม่ปริปากทักท้วง นั่นก็ดีพอแล้วล่ะ จริงสิ ยังมีน้องสาวฮั่วอีก!
เทพเสือขนดำบิดหูของเขาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย นายท่านยังคงมองไม่เห็น…
ฉินมู่มุ่งไปหาซังเย่และซังฮั่ว แต่เขาถูกยับยั้งไว้โดยเทพเจ้ามากมาย พวกเขากล่าวชื่นชมเขากันทีละคน และฉินมู่ก็ต้องกล่าวตอบรับอย่างถ่อมตน ด้วยการชื่นชมของเทพเจ้ามากมาย ความมั่นใจของเขาก็ทะยานสูงขึ้น และเขาก็ลิงโลดอย่างสุดๆ
นายท่านก็ยังคงมองไม่เห็น… เสือเทพยดาขนดำพลิกหูหนึ่งไปข้างหน้า และอีกหูไปข้างหลังพลางพึมพำในใจ
ฉินมู่นั้นติดแหง็กอยู่กับเทพเจ้ามากมาย และเมื่อทุกคนแยกย้าย เทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงก็รีบออกเดินทางไปควบคุมกองทัพเข้ามาตั้งกำลังในเมืองหลีเพื่อมิใช้พวกมารบุกกลับมายึดคืนได้ในภายหลัง ซังฮั่วก็ถูกซังเย่พาจากไป อันทำให้ฉินมู่ได้แต่ถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ตามข้ามา ข้ามีบางอย่างอยากจะถามเจ้า นักบุญคนตัดไม้กล่าว
ฉินมู่รีบตามเขาไป เสือเทพยดาขนดำอยากจะตามไปด้วยเช่นกัน แต่นักบุญคนตัดไม้หันกลับมาจ้องเขา เขาก็เลยชะงัก เสือเทพยดาขนดำหันหน้าเสไปมองทางอื่น
เจ้าเป็นมารหรือเป็นมนุษย์ ฉินมู่ได้ตามนักบุญคนตัดไม้ไปยังที่เงียบสงบและถูกยิงคำถามเป็นสิบๆ แม้ว่าเจ้าจะได้เรียนรู้วิชาของข้า และสืบทอดมรดกยุทธของข้า แต่ยังคงมีพลานุภาพประหลาดในร่างกายของเจ้าอันเป็นของเผ่ามาร จู่ๆ เจ้าก็ปรากฏขึ้นมาในสนามรบ ท่ามกลางหมู่มารทั้งหลาย ดังนั้นพฤติการณ์ของเจ้าจึงน่าสงสัย บอกข้า เจ้ามาจากที่ไหนกันแน่
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว หมู่บ้านไร้กังวล
นักบุญคนตัดไม้หันขวับ และจ้องหน้าเขาเขม็งราวกับว่าจะดูว่าเขาโกหกหรือพูดความจริง
ฉินมู่มีสีหน้าสงบขณะที่กล่าว ข้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แม่ของข้ากำลังตั้งท้องข้าอยู่ตอนที่พ่อและแม่ของข้าออกไปจากที่นั่น พวกเขาประสบกับศัตรูระหว่างการเดินทาง และในที่สุดนางก็ให้กำเนิดข้าในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชแห่งยมโลกกล่าวว่า เพราะข้าถือกำเนิดที่นั่น บางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ก็เกิดขึ้น ทำให้สันดานมารแห่งแดนใต้พิภพเข้าไปในร่างกายของข้า
นายท่าน ท่านจ้องหน้าเขาขนาดนี้ก็ยังไม่เห็นสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาของเขาได้อีกหรือ! ไกลออกไป เสือเทพขนดำเดือดดาลจนแทบจะโลดเต้น
เจ้าบอกว่ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่เจ้ามีสิ่งสัญลักษณ์ใดหรือไม่ นักบุญคนตัดไม้ถาม
ฉินมู่รีบถอดจี้หยกออกมาจากคอ
………….
เจ๋อหัวหลีตะโกนด้วยเสียงอันดังและสืบเท้าอีกก้าวเข้าไปหาฉินมู่
ยอมแพ้เสีย! จากเหนือชั้นฟ้า เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาราวอสุนีบาต เพลงมีดของเจ้าแม่นยำ เหมาะสม และเต็มไปด้วยการคำนวณ แต่ทว่า กรอบคิดจิตใจของเจ้าในตอนนี้กำลังปั่นป่วน ดังนั้นเจ้าจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว และยิ่งตายเร็วกว่า! สหายรักของเจ้าสิ้นชีวิตแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องอยู่แก้แค้นให้พวกเขา หากว่าเจ้าไม่อยู่รอล้างแค้นและโยนชีวิตทิ้งไปเสียอย่างนี้ เจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับพวกบ้าบิ่นไร้สมอง!
สีหน้าของเจ๋อหัวหลีบิดเบี้ยว และเขาพลันดึงดาบออกมาด้วยมือซ้าย
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย ฟู่ยื่อลัวขมวดคิ้ว และเขามิได้ลงมือเพื่อยับยั้งเจ๋อหัวหลีในโลกจำลองศึกทราย
โลกมิตินั้นสร้างขึ้นมาโดยเขาและนักบุญคนตัดไม้ ดังนั้นหากเขายื่นมือเข้าไป นักบุญคนตัดไม้อีกฟากฝั่งก็จะขัดขวางด้วย หากว่าเป็นเช่นนั้น เรื่องราวก็จะยิ่งเละเทะเข้าไปใหญ่ และเขาไม่อาจมั่นใจในโอกาสสำเร็จ
นักบุญคนตัดไม้เพิ่งถูกอัญเชิญมาจากโลกอื่นในตอนกลางวันก่อนหน้านี้ และได้ขัดจังหวะแผนการณ์และยุทธศาสตร์ของเขาทั้งหมด ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัว นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาได้แต่ตั้งการเดิมพันนี้ขึ้นมา เขาไม่อาจทำลายกฎกติกาที่ตัวเขาเองวางเอาไว้ มิเช่นนั้นเขาก็จะสูญเสียทุกอย่างโดยสิ้นเชิง
เขาต้องการเวลา
แม้ว่าเขาจะชื่นชมเจ๋อหัวหลี และเด็กหนุ่มก็มีอาจารย์ของเขาเอง เขาก็ยังมองว่าเจ๋อหัวหลีเป็นผู้สืบทอดของเขา แต่ทว่าเพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของเผ่ามาร เขาได้แต่กัดฟันข่มความรวดร้าวและยอมเสียเขาไป ไม่ว่าเขาจะชื่นชมเด็กหนุ่มผู้นี้มากแค่ไหน
หางตาของเจ๋อหัวหลีกระตุก และดวงตามารบนด้ามดาบมารของเขาก็ยิ่งมายิ่งประหลาด ตำแหน่งที่มันจ้องมองกลับไม่ใช่ฉินมู่ แต่เป็นแขนขวาของเจ๋อหัวหลี
เจ๋อหัวหลียกแขนขวาขึ้นมาพร้อมๆ กับดาบ
ฉินมู่กล่าวถูก เขาไม่มีทางร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้อย่างสมบูรณ์แบบ หากว่าเขาต้องการทำเช่นนั้น เขาจะต้องตัดแขนขวาของตนเอง ไม่อย่างนั้น มันก็จะกลายเป็นภาระของเขา
เป้าหมายของเขาที่ลงมายังแดนต่ำใต้ นั้นเพื่อแสวงหาหนทางที่จะใช้เพลงมีดด้วยมือสองข้าง เขาต้องการให้เพลงมีดของเขาบรรลุเขตขั้นมรรคาเต๋า และเดินออกไปจากเงาของลั่วอู๋ชวง
เมื่อครู่ กระบี่ของฉินมู่น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ และเขารู้สึกว่าแม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถหลบหลีกมันได้ มีก็แต่สะบั้นแขนออกไปข้างหนึ่งเท่านั้น เขาจึงจะสามารถปลดปล่อยเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงจนถึงที่สุดได้
แต่ทว่า หากเขาตัดแขนออกไปข้างหนึ่ง เขาก็จะไม่มีวันเดินออกพ้นจากเพลงมีดของลั่วอู๋ชวง และไม่มีวันเสาะหามรรคาเต๋ามีดของตนได้ นี่ก็เท่ากับการสะบั้นมรรคาเต๋าตน
สีหน้าของเจ่อหัวหลีเดี๋ยวซีดเดี๋ยวคล้ำ เต็มไปด้วยอารมณ์ต่างๆ นานา ทันใดนั้น แสงมีดของเขาก็ฟันลงไปบนพื้น
ข้าแพ้แล้ว
เขาทรุดตัวลงและคุกเข่าลงกับพื้น แต่เขามิได้คุกเข่าให้แก่ฉินมู่ หรืออวี่เหอและคนอื่นๆ เขาคุกเข่าให้แก่ศพของเจี่ยงอี้
เจ๋อหัวหลีค้อมตัวคารวะและลุกขึ้น เขาอุ้มศพของเจี่ยงอี้และเบือนหน้ากลับไป ข้าได้เห็นเพลงกระบี่ของเจ้าแล้ว แต่ข้าจะไม่ให้อาจารย์ของข้าได้เห็น เพราะว่าข้าต้องการปลิดชีวิตเจ้าด้วยน้ำมือของข้าเอง เพื่อล้างแค้นให้กับเพื่อนรักของข้า!
ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม หากว่าวันนั้นมาถึง ข้าตายก็คงไม่ย้อนเสียใจ
เจ๋อหัวหลีเดินตรงไปยังกำแพงไฟ ดาบมารของเขาโบยบินขึ้นไปและผ่ามันแหวกออกเป็นสอง สร้างเส้นทางเดินออก เจ๋อหัวหลีอุ้มเจี่ยงอี้ออกไป และร่างของพวกเขาก็หายลับ
หางตาของฉินมู่กระตุก พฤติการณ์ของเจ๋อหัวหลีทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ไม่ดี
เจ๋อหัวหลีนั้นไม่ด้อยไปกว่าเขา และเพลงมีดที่เขาใช้ผ่าแหวกทะเลไฟนั้นเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงขีดสุด กายเนื้อ พลังวัตร จิตวิญญาณดั้งเดิม และแม้กระทั่งเพลงมีดของเขาอันแสดงว่าความสำเร็จของเขาในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ไม่ด้อยไปกว่าฉินมู่เลย กายเนื้อของเขายังเหนือกว่าอีกมากด้วยซ้ำ
เจ๋อหัวหลีในตอนนี้เหมือนกับฉินมู่หลังจากที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้ทำลายความมั่นใจของเขาอย่างไร้ปรานี เขานั้นหมิ่นเหม่อยู่ระหว่างการพังทลายและการเปลี่ยนแปลง
หากว่าเขาหลุดพ้นออกมาได้ ค้นพบมรรคาเต๋าของตนเอง เขาก็จะเหมือนกับฉินมู่ผู้ซึ่งคิดค้นกระบวนท่าแรกของกระบี่ภัยพิบัติของตน เจ๋อหัวหลีก็จะคิดค้นเพลงมีดของตนเช่นกัน และเดินออกมาจากเงื้อมเงาของเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงในระหว่างเส้นทางการล้างแค้นของเขา
ตอนที่เขาหันหลังเดินจากไปผ่านกำแพงไฟ หากว่าข้าฟันเขาสักหนึ่งกระบี่ ก็คงจะกำจัดเขาไปได้แล้วแท้ๆ…หากว่าเป็นท่านปู่เป๋ เขาจะต้องทำแบบนี้ในวินาทีนั้นโดยปราศจากความลังเล! ฉินมู่สีหน้าซีดเผือดสลับดำคล้ำไปมาไม่หยุด
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เสือเทพยดาขนดำมองจับสีหน้าของเขาได้และพลันตื่นเต้นขึ้นมา นายท่าน นายท่าน! ท่านเห็นไหม หางตาของไอ้เด็กนั่นกระตุกบ่อยครั้ง ทั้งสีหน้าของเขายังแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง เดี๋ยวก็ซีดเดี๋ยวก็หมอง เขาถึงกับอุทานด้วยความตื่นเต้นเป็นระยะ! กรอบคิดจิตใจของเขาย่ำแย่ชัดๆ!
นักบุญคนตัดไม้จ้องเขา และเสือเทพยดาขนดำก็สีหน้าแปรเปลี่ยน เขารีบหลุบหูลู่ลง
นักบุญคนตัดไม้ยื่นมือออกไปคว้าจับด้ามขวานเทวะ ในเวลาเดียวกัน ฟู่ยื่อลัวก็ยื่นมือออกไปเพื่อคว้าจับทวนมารของเขา ทั้งคู่ดึงอาวุธของตนกลับมา
ฉินมู่ผู้อยู่ในโลกจำลองศึกทรายพลันพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ห้วงอวกาศพลันพังทลายเริ่มจากจุดที่ขวานและทวนเคยไขว้กันอยู่ ทุกอย่างหดเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลืนกินภูเขาอันยิ่งยงทั้งหลาย!
ไปเร็วเข้า! ฉินมู่ดึงซังฮั่วไปโดยไม่อธิบายมากมาย และอักษรรูนอันสวยงามก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ตัวเขา พวกมันหมุนวนไปขณะที่เขากล่าว ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา รีบมาทางข้าเร็วเข้า!
อวี่เหอและฉู่เหยายังคงยืนอยู่ด้วยความตะลึงงันและมองมาที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า พวกเขาดูเหมือนจะยังไม่ได้สติสตัง
ห้วงมิติที่พังทลายเข้ามาใกล้พวกเขาขึ้นเรื่อยๆ และฉินมู่กัดฟันกรอดขณะที่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขา แสงจ้าสว่างมาวาบหนึ่ง และเขาก็หายวับไปพร้อมกับซังฮั่ว
ก็ตอนนั้นเองที่อวี่เหอและฉู่เหยาได้สติ และหันกลับไปมอง สีหน้าของพวกเขาแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างระงับไว้ไม่อยู่ อวี่เหอตะโกนออกไป ศิษย์น้องฉู่เหยา มาร่วมมือกันทำลายกำแพงไฟและแหวกฝ่าออกไปจากสถานที่นี้!
ความเร็วของพวกเขาเร็วอย่างยิ่งยวด แต่เมื่อพวกเขายกขาขึ้น พวกเขาก็ตระหนักว่าได้ดูเบาภยันตรายนี้เกินไปแล้ว พวกเขาเร็วจนทะลุความเร็วเสียง เร็วยิ่งกว่าฉินมู่ตอนที่อีกฝ่ายนั้นวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด กระนั้นความเร็วของห้วงมิติพังทลายก็ยังเหนือกว่า!
กำแพงไฟอยู่ตรงหน้าพวกเขาชัดๆ แต่ทว่าไม่ว่าพวเขาจะวิ่งเร็วเท่าใด ก็ไม่อาจเข้าไปใกล้มันได้
ไม่เพียงแค่นั้น ระยะห่างระหว่างพวกเขากับกำแพงยิ่งขยายถ่างออก และพวกเขาก็ยิ่งถูกดึงเข้าไปใกล้กับห้วงมิติที่กำลังพังย่อยยับมากขึ้นทุกที!
เหงื่อเย็นเยียบผุดออกจากหน้าผากของอวี่เหอและฉู่เหยา ข้างในห้วงอวกาศที่กำลังพังทลายนั้นซ่อนมหิทธานุภาพการปะทะกันระหว่างขวานเทพของนักบุญคนตัดไม้กับทวนมารของฟู่ยื่อลัว พลานุภาพนี้ได้เสกสรรโลกจำลองศึกทรายเมื่อก่อนหน้า เปลี่ยนแปลงจัตุรัสที่กว้างสามร้อยสิบคืบ ยาวห้าร้อยคืบ ให้กลายเป็นขุนเขาดารดาษในโลกมิติอันกว้างไกลกว่าพันลี้
แต่บัดนี้โลกแห่งนี้ได้ระเบิดปะทุและย่อหดเข้าไปย่อยยับพังทลาย มันก็ย่อมปลดปล่อยมหิทธานุภาพเมื่อขวานเทวะและทวนมารปะทะกัน
มหิทธานุภาพระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะสามารถต้านทานได้ เกรงว่าก็คงมีแต่จะถูกกวาดล้างจนระเหิดหายเป็นไอ แหลกสลายแม้กระทั่งดวงวิญญาณ!
ฉินมู่นักตีเหล็กเพียงเรียกพวกเราไปเมื่อครู่นี้ กะจะพาพวกเราออกไปด้วยกันใช่ไหม
พวกเขาพลันนึกย้อนเสียใจ พวกเขาตกตะลึงจากรังสีแสงอันเจิดจ้าของกระบี่ฉินมู่เมื่อครู่ และได้ตะลึงงัน ไม่ทันฟังอย่างถนัดถนี่ว่าฉินมู่กำลังกล่าวอะไร เมื่อสะดุ้งจากภวังค์ขึ้นมาก็สายไปเสียแล้ว
ในตอนนั้น ก็มีแสงวาบมาอีกครั้ง และเงาร่างของฉินมู่ก็ปรากฏขึ้นข้างๆ พวกเขาในทันที จากนั้นอักษรรูนมากมายก็หมุนวนพลุ่งพล่านในอากาศรอบๆ ร่างกายพวกเขา ลำแสงระเบิดออกมาและอวี่เหอกับฉู่เหยาก็มึนงง เมื่อตั้งหลักได้อีกครั้ง ลืมตาขึ้นมาดู ก็พบว่าพวกเขาอยู่นอกจัตุรัสแล้ว
ไปเร็ว!
ฉินมู่ตะโกนบอก และโลดโจนทะยานไปข้างหน้า ไปซ่อนข้างหลังโถงวัง!
อวี่เหอและฉู่เหยาตามเขาไปอย่างเร่งรีบ ทั้งสามคนวิ่งอ้อมโถงวังใหญ่ข้างหลังอย่างเร็วรี่ ซังฮั่วซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ทั้งสี่คนเพิ่งมาถึงจุดนี้ ฉินมู่ก็นั่งหมอบลงไป ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้ ซังฮั่วเห็นเช่นนั้นก็รีบนั่งหมอบ ปิดตา อ้าปาก และปิดหูเอาไว้เช่นกัน
อวี่เหอและฉู่เหยายังไม่ทันได้สติดี คลื่นกระเพื่อมอันร้ายกาจก็ระเบิดออกมาจากจัตุรัส รังสีแสงเข้มข้นเจิดจ้าพวยพุ่งออกมาจากทั้งสองฝั่งฟากของโถงวังหลัก แสงวาบนั้นวูบมา ดวงตาของพวกเขาทั้งสองไม่อาจจะมองเห็นสิ่งใดได้ เมื่อพวกเขาหลับตาลง สองตาก็หลั่งน้ำตาโลหิตออกมา!
คลื่นกระเพื่อมนั้นส่งมาจากการที่ห้วงมิติพังทลายลงไปโดยสิ้นเชิง อวี่เหอและฉู่เหยาถูกยืดร่างออกอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นมนุษย์เส้นหมี่สองคน
เสียงอันกัมปนาทสะท้านฟ้าดังมา หูของพวกเขาก็ดับไปในพริบตานั้น กลายเป็นเงียบสงัดอย่างผิดธรรมดา!
เลือดที่ไหลจากหูทั้งสองของพวกเขาทำให้รูหูอุ่นไปหมด
ในโถงวังใจกลาง ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงต่างก็แผดพลานุภาพอันไร้เทียบทานของพวกตน ประกอบกันเป็นกำแพงแสงเทวะ ป้องกันพลังงานที่เกิดจากห้วงมิติย่อยยับทำลายพวยพุ่ง แม้จะทำเช่นนั้น พวกเขาก็ยังคงถูกโยนจากคลื่นกระแทกและถ่อยร่นตุปัดตุเป๋
แต่ฉินมู่และซังฮั่วที่หมอบอยู่นั้นไม่เป็นอะไรมาก เมื่อรังสีแสงโรยราลงไป และคลื่นกระแทกก็พุ่งห่างไปที่ไกลๆ ทั้งสองคนจึงหุบปากลง ลืมตาและลุกขึ้นยืน
อวี่เหอและฉู่เหยาจากบนอากาศ ร่วงลงพื้นปังๆ นอนแน่นิ่งไม่ไหวติง เมื่อคลานไต่ไปดูพวกเขา ก็พบว่าทั้งสองคนมีแต่เลือดโซมหน้า
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็ยังไม่อาจได้ยินเสียง มองอะไรไม่เห็น
ศิษย์พี่ทั้งสองนี้ยังคงอ่อนเยาว์เกินไป ไม่เคยมีประสบการณ์พบพานเรื่องแบบนี้
ฉินมู่ส่ายหัว ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยทั้งสองคนตรวจดูอาการ ข้าเคยพบพานเรื่องทำนองนี้มาก่อน และรู้ว่าถ้าอยู่ข้างๆ ยามที่เทพและมารสู้รบปรบมือกันจะเกิดอะไรขึ้น…พวกเขาไม่บาดเจ็บสาหัสเท่าไร ข้าจะหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่งมาให้ทีหลังเพื่อให้ม่านตาและแก้วหูของพวกเขางอกขึ้นมาใหม่
ซังฮั่ววิตก เกิดอะไรขึ้น
ม่านตาของพวกเขาถูกเผาไหม้ และแก้วหูของพวกเขาก็ฉีกขาด มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ฉินมู่คุ้ยหาในถุงเต๋าตี้เพื่อค้นดูสมุนไพรประกอบยา หากว่าดวงตาของพวกเขาระเบิดและกระดูกในหูของพวกเขาแตกหัก ข้าก็คงจะรักษาไม่ได้เพราะว่าในตอนนั้นสมองของพวกเขาคงสุกไปหมด แต่ว่าม่านตาของพวกเขาไม่ได้ถูกเผาไปโดยสิ้นเชิง และแก้วหูของพวกเขาก็มีรูทะลุเล็กๆ ดังนั้นพวกมันจึงสามารถงอกกลับมาดี
กายเนื้อของศิษย์พี่หญิงอวี่เหอ และศิษย์พี่ฉู่เหยานับว่าแข็งแกร่งอย่างแท้จริง แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้า หากว่าเป็นข้า ม่านตาของข้าคงถูกเผาไหม้ไปจนหมด
ซังฮั่วลอบแลบลิ้น และมองไปรอบๆ นางพบว่าสิ่งปลูกสร้างกว่าครึ่งหนึ่งในเมืองหลีถูกทำลายไป ทุกหนทุกแห่งมีแต่บ้านเรือนที่พังพินาศและเก๋งศาลาอันพังทลาย เผ่ามารมากมายล้มคว่ำอยู่กับพื้น และกลิ้งเกลือกไปมาด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ฟู่ยื่อลัวชักทวนมารของเขาออก และใบหน้าทั้งสามของเขาก็ตะโกนออกไปเป็นเสียงเดียว เมื่อกล้าพนันก็ต้องยอมรับผลแพ้ชนะ! มารทั้งหมด จงฟังคำสั่งและละทิ้งเมืองนี้! ศิษย์น้องสวีโม่ นำไพร่พลทั้งหมดออกไปจากเมืองหลี!
มารเทวะทั้งหลายรับคำบัญชาของเขา และเข้าไปควบคุมจัดเตรียมกองกำลังมารของแต่ละคนเพื่อล่าถอยออกไปจากเมือง
ครูบาสวรรค์ วันนี้ไม่ใช่วันดีที่จะประมือกับเจ้า ไว้พวกเราค่อยต่อกันวันหลัง
ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา
ฟู่ยื่อลัวกระโดดลงไปจากราชวัง และพาทุกคนของฝ่ายเขาออกไป ในตอนนั้นฉินมู่กำลังหลอมปรุงยาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของอวี่เหอและฉู่เหยา เมื่อเขาเหลือบไปเห็นฟู่ยื่อลัวกำลังเดินออกไป เขาก็รีบมองไปที่อีกฝ่าย และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เขาพบว่าข้างหลังศีรษะของฟู่ยื่อลัวมีเส้นผมหยิกขอดหนาทึบ และไม่มีใบหน้าที่สี่ ในทางกลับกัน มีใบหูแหลมสองข้างอยู่ตรงนั้น อันตั้งตรงขึ้นมาเป็นพิเศษ
เขามีแค่สามหน้านี่นา
และด้วยฉะนี้ ฉินมู่ก็ไขปริศนาที่คันใจเขาอยู่ ตั้งแต่เมื่อที่เขาได้เห็นฟู่ยื่อลัว เขาก็เอาแต่สงสัยว่ามารตนนี้มีใบหน้ากี่หน้ากันแน่ เขาเอาแต่ขบคิดเรื่องนี้ และในที่สุดก็ได้คำตอบ
ฟู่ยื่อลัวสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา และบิดคอไปเพื่อเผยให้เห็นใบหน้าใบที่มีรอยยิ้ม เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน ชื่อของเจ้าคือฉินมู่หรือ ฉินมู่นักตีเหล็ก?
เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบไป แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งก็พุ่งวูบเข้ามาตรงหน้าของเขา และนักบุญคนตัดไม้ก็ปรากฏตัวกั้นกลาง ขัดขวางสายตาของฟู่ยื่อลัว
ฉินมู่ยังคงโผล่หัวของเขาออกจากข้างหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้ว ชื่อของข้าคือฉินมู่ ข้าขอน้อมคารวะมารเทวะวัชรา
เจ้าเข้าใจภาษามารด้วย? ฟู่ยื่อลัวแปลว่าวัชราจริงๆ นั่นแหละ ฟู่ยื่อลัวผงกหัวและกล่าวด้วยความนัยอันลึกล้ำ เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นพวกเราจะได้พบกันอีก
เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หันกลับและเดินจากไป เจ๋อหัวหลี ตามมา
………..
นักบุญคนตัดไม้ฉวยโอกาสที่จะลงมาจากเวทีและรักษาหน้าของตนเอาไว้ได้ แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีกำลังขี่หลังเสือและไม่อาจลงมาได้
เหงื่อเย็นเยียบแตกจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม และเขามองไปที่แขนขวาของเขา ลั่วอู๋ชวงไม่มีแขนข้างนี้และควงมีดด้วยแขนซ้าย ดังนั้นแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดก็ขึ้นอยู่กับสิ่งนี้
หากเจ๋อหัวหลีต้องการร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงโดยไร้จุดอ่อน เขาก็จะต้องตัดแขนขวาของตน!
เหงื่อเย็นเยียบผุดจากหน้าผากของเขามากขึ้นทุกที เขาแค้นใจเหลือเกิน!
ยังไม่ทันที่เขาจะได้ปะทะฝีมือกับฉินมู่ เขาก็ต้องตัดแขนไปข้างแล้วหรือ ใครจะทนอะไรแบบนี้ได้ ใครจะยินยอมพร้อมใจ
แต่ทว่าหากเขาไม่ยอมตัดแขนขวา เพลงมีดของเขาย่อมจะไม่สมบูรณ์แบบเท่ากับของอาจารย์เขาลั่วอู๋ชวง และเขาก็คงรู้สึกย่ำแย่ที่จะร่ายรำเพลงมีดอันไม่สมบูรณ์แบบให้ฉินมู่ชมดู
กรอบคิดจิตใจมิได้กระทบต่อกำลังฝีมือมากมายอย่างที่เจ้าคิด
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลัง และทำให้เจ๋อหัวหลีที่กำลังตกอยู่ในปัญหาอันแก้ไม่ตกสะดุ้งขึ้นมา
ฉินมู่เลิกคิ้วและและมองไปที่อสุราคนหนึ่ง ตั้งแต่มายังเมืองหลีเขามัวแต่ตีเหล็ก จึงไม่รู้จักเจี่ยงอี้
ชายหนุ่มผู้นี้ร่างโชกไปด้วยเลือด และยากที่จะบอกได้ว่าเป็นเลือดของเขาหรือของศัตรู แต่ทว่า จากที่เห็น อาการบาดเจ็บของเขาไม่เบาเลยทีเดียว
เขานั้นเหมือนกับปลาที่ถูกสับฟันอย่างสุ่มๆ ด้วยรอยแผลเป็นร้อยๆ ทั้งยังถูกราดน้ำร้อนลวกทับลงไปอีก
กระนั้น ด้วยรอยแผลหนักหนาสาหัสเหล่านั้น จิตหาญสู้ของเขาก็ยังคงเจิดจ้า และรัศมีของเขาก็เข้มข้น เลือดและปราณของเขาพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และในพริบตาที่เขาเดินเข้ามา กลิ่นเลือดและศพเน่าก็ลอยมาเตะจมูกฉินมู่ ราวกับว่าเขาชักนำทะเลซากศพติดตัวมาด้วย
สายตาของเจี่ยงอี้เบนไปจากเจ๋อหัวหลีและจ้องจับที่ฉินมู่ กรอบคิดจิตใจมิใช่ส่วนหนึ่งของกำลังฝีมือตน กำลังฝีมือเกิดมาจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ กรอบคิดจิตใจมีผลน้อยนิดต่อกำลังฝีมือ ผู้ชมดูวงนอกย่อมมีสายตากระจ่างชัด เจ๋อหัวหลี เจ้าได้ตกลงในกับดักของเขา เจ้ายังไม่กระโดดออกมาอีกหรือ
เจ๋อหัวหลีดวงตาเป็นประกาย และลมหายใจของเขาก็สงบลง
เจี่ยงอี้นั้นเป็นเพื่อนรักที่หาได้ยากยิ่งของเขาในสวรรค์ไท่หวง และทั้งคู่ก็มักแลกเปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาอยู่บ่อยครั้ง พวกเขาเป็นสหายสนิทกอดคอกัน และสาบานว่าจะเป็นตายร่วมกัน ในสนามรบ เจี่ยงอี้ได้ช่วยชีวิตเขามาก่อน และเขาเองก็ได้ช่วยชีวิตเจี่ยงอี้เช่นกัน
ที่ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือมากที่สุดคือกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม มรรคา วิชา และทักษะเทวะ เจ๋อหัวหลี กายเนื้อของเจ้าและข้าแข็งแกร่งกว่าเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้า ดังนั้นย่อมก็ต้องแข็งแกร่งกว่าเขา
ส่วนมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เพลงมีดของเจ้าร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง และเจ้าก็เรียนวิชาฝึกปรือมารจากมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว เจ้านั้นเชี่ยวชาญทั้งสองฝั่งฟาก ดังนั้นแล้วมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเจ้าจะอ่อนแอกว่าได้อย่างไร เขานั้นแม้แต่จะฝึกปรือกายเนื้อให้ถึงระดับเทพเที่ยงแท้ก็ยังไม่สำเร็จเลย ดังนั้นกำลังฝีมือเขาจะสูงสักเท่าไรเชียว
ความมั่นใจของเจ๋อหัวหลีกลับมาทันที และจิตใจของเขาก็ผ่อนคลายลง เขาแย้มยิ้มและกล่าว บางครั้ง ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็ควรต้องมีอาจารย์ที่ดี และสหายที่ช่วยเหลือกันได้ เจี่ยงอี้ เจ้าคือสหายที่ช่วยเหลือข้าเอาไว้!
หลังจากได้ยินถ้อยคำของเจี่ยงอี้ เขาก็ได้ความมั่นใจกลับมาในที่สุด และกรอบคิดจิตใจของเขาก็หวนกลับมายังจุดสูงสุดโดยไม่รู้ตัว
กำลังฝีมือของเขาได้เพิ่มพูนไปอย่างมาตั้งแต่เมื่อเขาสำเร็จกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมระดับเทพเที่ยงแท้เยาว์
แม้ว่าเพลงมีดของเขาจะยังไม่บรรลุถึงขั้นมรรคาเต๋า เขาก็ไม่เคยกริ่งเกรงใครหน้าไหนในโลกจำลองศึกทรายในด้านของกำลังฝีมือ!
ข้อได้เปรียบของเขาก็คือกายเนื้อของเทพเที่ยงแท้เยาว์ และด้วยประเด็นนี้ เขาก็ย่อมเหนือล้ำกว่าฉินมู่อย่างแน่นอน นี่ก็จะให้ความได้เปรียบแก่เขาในด้านของความเร็ว กำลังกาย ปฏิกิริยาตอบสนอง และพลานุภาพ
ข้อได้เปรียบที่สองก็คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันแข็งแกร่งเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะไม่อาจรีดเร้นพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่การใช้สอยมันอย่างเหมาะสมก็มักจะเป็นกุญแจไปสู่ชัยชนะ
เจ๋อหัวหลีมีอาจารย์สองคน ลั่วอู๋ชวงและฟู่ยื่อลัว ฝ่ายหลังนั้นเป็นนามที่มีความหมายในภาษามาร และมันหมายถึงเพชรหรือวัชรา จิตวิญญาณดั้งเดิมของฟู่ยื่อลัวแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และเจ๋อหัวหลีก็ได้เรียนวิชาจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับมัน เพื่อพัฒนาจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนไปอีกขั้น
จากเรื่องเหล่านี้ เขาก็มั่นใจว่าฉินมู่มิใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ข้อได้เปรียบที่สามของเขาก็คือเพลงมีดและดาบมารของเขา มันเป็นอาวุธวิญญาณที่ลั่วอู๋ชวงหลอมสร้างให้แก่เขาโดยเฉพาะ เพลงมีดของเขาก็ได้รับการสั่งสอนจากดาบเทวะ และกว่าที่เพลงมีดนี้จะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ อาจารย์เขาก็เขาก็ได้พากเพียรมากกว่าสี่หมื่นปี!
จุดอ่อนของเขามีเพียงกรอบคิดจิตใจ แต่ทว่ามันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำลังฝีมือของเขามากนัก
การที่กรอบคิดจิตใจของเขาด้อยกว่าฉินมู่นั้นไม่มีทางเป็นกุญแจแพ้ชนะระหว่างพวกเขา!
เจี่ยงอี้แย้มยิ้มด้วยความยินดี กำลังฝีมือของเจ้ายังเหนือล้ำกว่าข้าเสียอีก เพียงแต่ว่าเจ้าถูกคำพูดของเขาทำให้ไขว้เขว้ จึงตกลงไปในกับดัก
เจ๋อหัวหลีก็แย้มยิ้มเช่นกัน ด้วยสหายเช่นนี้ เขายังจะต้องการอะไรอีก
เมื่อมีเพื่อนตายเช่นนี้ เพียงคนเดียวก็เกินพอ!
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ๋อหัวหลีเพียงคนเดียวก็ทำให้เขารู้สึกไม่วางใจแล้ว นี่ยังมีเจี่ยงอี้อีกคน เขานับว่าไม่มีโอกาสเอาชนะเลยจริงๆ
ทันใดนั้น ซังฮั่วก็โผล่หัวออกมา เปียสองข้างของนางห้อยแกว่งอยู่ นางจึงโบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้นมายังเขา เด็กฟาดฟ่อนข้าว! ไม่ต้องห่วง ข้าอยู่นี่! มีแค่พวกเราที่นี่หรือ ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา และศิษย์พี่หวงเยว่อยู่ที่ไหน หรือพวกเขาจะตายไปในการต่อสู้
เมื่อนางพูดอยู่นั่นเอง อวี่เหอก็เดินออกมาด้วยสีหน้าอับจนปัญญา ฉู่เหยาเองก็ขมวดคิ้วและตามมาข้างหลังนาง
ศิษย์พี่อวี่เหอ ศิษย์พี่ฉู่เหยา พวกท่านไปซ่อนแอบอยู่ในภูเขาทำไม พวกเรามีกันสี่คน ดังนั้นนี่มันพอยิ่งกว่าพอที่จะใช้จัดการพวกเขาทั้งสอง! ศิษย์พี่หวงเยว่ล่ะ? หรือว่าเขาก็ซ่อนตัวอยู่ในภูเขากับพวกท่านด้วย
สีหน้าของอวี่เหอยิ่งดูจนปัญญา และคิ้วของฉู่เหยาก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น
ทั้งสองคนได้ซ่อนตัวในที่ลับ พร้อมที่จะลอบสังหารเจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี แต่ทว่าเมื่อพวกเขาถูกเด็กสาวผู้นี้เรียกออกมา ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากเดินออกไป นี่ทำให้พวกเขาดูเหมือนกับคนที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ไม่มีศักดิ์ศรี
ข้าค้นพบเจ้าตั้งนานแล้ว ก็ในเมื่อพวกเจ้าไม่อาจซ่อนเจตจำนงสังหารที่อยู่ในหัวใจได้ ส่วนหวงเยว่นั้น ข้าได้สังหารเขาด้วยดาบของข้า เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างไม่ยี่หระ
ศิษย์น้องซังฮั่ว พวกเราเพิ่งเห็นศพของศิษย์น้องหวงเยว่ ส่วนคนอื่นๆ นั้น พวกเขาก็ตายกันหมดแล้ว มีแต่พวกเราที่ยังเหลืออยู่ พวกเขาตายอย่างสมเกียรติศักดิ์ศรีหลังจากที่ได้ต่อสู้กับพวกมารมากมาย พวกเขาเสียสละชีวิตตนเองเพื่อลากมารเหล่านั้นให้ตกตายไปด้วยกันกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงได้เปรียบด้านจำนวน อวี่เหอกล่าว
นางรู้สึกจนปัญญาเมื่อคิดถึงลูกสาวของเทพซังเย่ผู้นี้ ซังฮั่วได้ชี้จุดซ่อนตัวของพวกนางอย่างชัดเจน และทำให้แผนการไม่บรรลุผล
ยิ่งไปกว่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนได้เปรียบด้านจำนวนคน แต่มันก็ไม่มีประโยชน์มากมายนัก
กำลังฝีมือของซังฮั่วต่ำ และนางก็ยังไม่เคยผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพเสียอีก โดยปราศจากพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ นางย่อมไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง อวี่เหอแทบจะมั่นใจว่าซังฮั่วได้ซ่อนตัวมาโดยตลอดหลังจากที่เข้าสู่สนามรบ เด็กสาวใสซื่อผู้นี้ไม่ได้พบกับศัตรูเลยสักคน จึงเป็นเหตุให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างยาวนาน
ฉินมู่ก็เป็นเด็กหนุ่มที่รู้จักแต่หลอมสร้าง เขาทำตัวบุ่มบ่าม และเอาแต่ตีเหล็กอยู่คนเดียวตั้งแต่ก่อนเข้ามาในโลกจำลองศึกทราย เขาไม่ติดต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมฝ่ายหรือจะสำรวจดูศัตรูก็ไม่
สาเหตุที่ฉินมู่ยังคงมีชีวิตอยู่ก็คงจเพราะว่าเขาก็เป็นไอ้โคตรโชคดีเหมือนกับซังฮั่ว ยอดฝีมือมารที่มาสังหารเขาน่าจะถูกสกัดขัดขวางโดยยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงระหว่างทางมา พวกเขาต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก และผลของมัน ทำให้เด็กนักตีเหล็กนี้ยังคงรอดชีวิตอยู่
ในความคิดของอวี่เหอ แม้จะมีฉินมู่และซังฮั่ว แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับไม่มีความช่วยเหลือจากพวกเขา ถ้าจะเอาชนะเจ๋อหัวหลีและเจี่ยงอี้ นางคงได้แต่หวังพึ่งแรงของฉู่เหยา
หวังว่าเจ้าบื้อสองคนนี้จะไม่ก่อเรื่องยุ่ง… นางคิดในใจ
ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ ขมวดคิ้วนิดหนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างอบอุ่น ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว เจ้าไม่ตีเหล็กต่อแล้วหรือ
ฉินมู่ยิ้มไปให้ทั้งสองคนเป็นการทักทาย และรอยยิ้มบนใบหน้าอวี่เหอก็จางหาย ฉู่เหยาเองก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งใดทั้งสิ้น ในทางกลับกัน ซังฮั่ววิ่งเขามาหาอย่างตื่นเต้นพลางถาม กระบี่ของเจ้าเสร็จแล้วหรือ
ฉินมู่ผงกหัวและแย้มยิ้มอย่างอบอุ่นให้กับนาง น้องสาวฮั่ว กระบี่ของข้าเสร็จแล้ว
ดวงตาของนางลุกวาว พลังของมันเป็นอย่างไร
เมื่อครู่นี้ เจ๋อหัวหลีกล่าวว่าอาจารย์ของเขาสั่งให้เขาร่ายรำเพลงมีดให้ข้าดู ดังนั้นข้าจึงยังไม่ทันมีเวลาทดสอบกระบี่ ข้าไม่รู้ว่าพลังของมันเป็นอย่างไร
ทั้งคู่กระซิบกระซาบกันไปมาว่าจะทดสอบกระบี่อย่างไรดี อวี่เหอรู้ว่านางกำลังเผชิญกับศัตรูอันยิ่งใหญ่ และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสงบจิตใจลง เพื่อมิให้เงี่ยหูไปฟังที่พวกเขาพูดคุยกัน
สายตาของนางจับจ้องไปที่เจี่ยงอี้และเจ๋อหัวหลี และนางกล่าวด้วยเสียงต่ำ ศิษย์น้องฉู่เหยา เจ้าจงไปรับมือกับเจี่ยงอี้ ส่วนข้าจะเผชิญหน้ากับเจ๋อหัวหลี ข้าไม่คิดว่าข้าจะเอาชนะเขาได้ แต่อาการบาดเจ็บของเจี่ยงอี้หนักหนาสาหัสกว่า ดังนั้นรีบๆ กำจัดเขาและมาช่วยข้า!
ฉู่เหยาสูดลมหายใจลึกและกล่าวอย่างเคร่งขรึม ศิษย์พี่หญิง ไม่ต้องห่วง ปล่อยให้ข้าจัดการเจี่ยงอี้เอง!
สายตาของเจ๋อหัวหลีไหววูบ และเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ ศิษย์พี่เจี่ยงอี้ เจ้าจะเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งหรือที่อ่อนแอ
ใช้อ่อนแอพัวพันแข็งแกร่งเอาไว้ และใช้แข็งแกร่งโจมตีอ่อนแอ นี่คือพิชัยยุทธ!
เจี่ยงอี้หัวเราะ และความห้าวหาญของเขาก็พวยพุ่งไปถึงชั้นเมฆ ข้าจะไปขัดขวางผู้แข็งแกร่ง และเจ้าก็จะไปสังหารผู้อ่อนแอ หลังจากนั้น พวกเราสองเฮียตี๋ก็จะสามารถเอาชัยชนะมาได้!
เจ๋อหัวหลีมีสีหน้าเศร้าโศก อาการบาดเจ็บของเจ้าหนักหนาสาหัส เจ้าอาจจะตาย
อย่าดูเบาข้าไป ข้าร่ำเรียนกับมารเที่ยงแท้สวีโม่ และยังไม่ทันได้ขับเคลื่อนวิชาบูชายัญมารฟ้าของข้า เจี่ยงอี้หัวเราะร่า ไม่ต้องห่วง ข้าจะรอดกลับมาแน่นอน!
เขาก้าวอาดๆ ไปยังฉินมู่
อวี่เหอและฉู่เหยาตกตะลึง เจี่ยงอี้พูดอยู่ชัดๆ ว่าเขาจะไปพัวพันศัตรูที่แข็งแกร่งเอาไว้ และให้เจ๋อหัวหลีใช้ช่วงเวลานั้นสังหารผู้อ่อนแอ แล้วทำไมเขาถึงเดินตรงไปยังฉินมู่
หรือว่ามารพวกนี้บ้าไปแล้ว และคิดไปว่าฉินมู่คือผู้แข็งแกร่ง ส่วนพวกนางคือผู้อ่อนแอ?
ระวังลูกไม้ตบตา อวี่เหอกระซิบด้วยเสียงเบา
ฉู่เหยาผงกหัวและมองไปยังเจ๋อหัวหลีที่เดินตรงเข้ามา
อีกฟากหนึ่ง ฉินมู่มองไปเจี่ยงอี้และขมวดคิ้วเล็กน้อย น้องสาวฮั่ว รอสักประเดี๋ยว ให้ข้าทดสอบกระบี่สักหน่อย
ซังฮั่วก้าวถอยออกไป และฉินมู่ก็แตะนิ้วลงที่หว่างคิ้วของตนเอง ไจกระบี่ลอยขึ้น และเข้ามายังใกล้ๆ หน้าผากของเขา
ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมาจากนอกอวกาศ และก้องสะท้อนไปทั่วโลกจำลองศึกทราย พวกเราแพ้แล้ว ยอมสละเมืองหลี พวกเจ้าหยุดมือก่อน!
ไม่ว่าจะในหรือนอกโลกจำลองศึกทราย ทุกคนก็ตกตะลึง แม้แต่ทวยเทพแห่งสวรรค์ไท่หวงก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี
สีหน้าของเจี่ยงอี้เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาเงยหน้าขึ้นตะโกนไป ข้ายังไม่ทันถูกสังหาร แล้วทำไมท่านถึงกล่าวว่าพวกเราแพ้แล้ว ฟู่ยื่อลัว ข้าไม่ยอมรับคำสั่งของท่าน!
ที่นอกอวกาศเหนือชั้นฟ้า ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวเข้ามาปิดเต็มทั้งท้องฟ้า และมองลงมายังเขาอย่างเย็นเยียบ เด็กร้ายกาจ เจ้าไม่รู้จักดีชั่วสำหรับตัวเจ้าเอง สวีโม่ จัดการลูกศิษย์เจ้าด้วย ให้เขารีบเอ่ยปากยอมแพ้ จะได้เอาตัวออกมา!
มารเที่ยงแท้สวีโม่ขมวดคิ้วและกล่าว เจี่ยงอี้ นับเสียว่าเราพ่ายแพ้ในรอบนี้ เอ่ยปากยอมแพ้พร้อมกับเจ๋อหัวหลีซะ
เจี่ยงอี้ไม่อาจควบคุมโทสะของตนเองได้และตะโกนออกไป พี่น้องของพวกเราสละชีวิตไปตั้งมากมายกว่าจะยึดครองเมืองหลีนี่ได้ และท่านจะให้ข้าผละจากไปเสียแบบนี้หรือ อาจารย์ ท่านอาจจะยินยอม แต่ข้าทำใจไม่ได้!
สวีโม่จนปัญญาและกล่าวกับฟู่ยื่อลัว ศิษย์พี่ ข้ารู้ว่าปัญญาญาณของท่านไร้ปานเปรียบ แต่จะยอมแพ้และละทิ้งเมืองหลีไปเสียอย่างนี้คงจะไม่ดีหรอก จริงไหม
ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นชา ละทิ้งเมืองหลียังดีกว่าละทิ้งชีวิตของศิษย์ของพวกเรา พวกเราได้พ่ายแพ้ในศึกนี้แล้ว…
บูชายัญมารฟ้า! เจี่ยงอี้คำราม และพลังวัตรทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป ในพริบตา ทะเลเลือดในโลกจำลองศึกทรายก็สั่นสะเทือน ศพเน่าเปื่อยมากมายพลันก่ายกองขึ้นมาก่อเป็นแท่นสังเวยยักษ์ที่กอปรจากเลือดและเนื้อ เจี่ยงอี้ยืนอยู่บนนั้นก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าใส่ฉินมู่พลางตะโกนไปอย่างดุดัน ข้าไม่มีทางตาย เผ่ามารไม่มีวันพ่ายแพ้!
แสงกระบี่พุ่งกรีดอากาศ ทำให้ผู้ชมดูตะลึงลาน มันฉีกผ่านทะเลโลหิต และพุ่งวาบผ่านหว่างคิ้วของมารหนุ่ม แสงกระบี่คลี่คลุมนภากาศในรัศมีสิบลี้
ฉินมู่ลดนิ้วกระบี่ของเขาลงจากหว่างคิ้ว และแสงกระบี่เหล่านั้นก็หดกลับมาเป็นไจกระบี่อันโบยบินคืน
เจ๋อหัวหลี กระบวนท่านี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถนำศพนี้กลับไปให้อาจารย์ของเจ้าชมดูเพลงกระบี่ของข้า
เจ๋อหัวหลีมองซากร่างที่ร่วงลงมาจากแท่นสังเวย ความเกลียดแค้นระเบิดออกมาในดวงตาของเขา และน้ำตาโลหิตสองสายก็หลั่งไหลลงมาอาบแก้ม รัศมีของเขากลายเป็นเดือดพล่านเช่นกัน เส้นผมของเขากระพือขึ้นไปด้วยความโกรธจัด และเขาหยุดกรีดร้องไม่ได้
ยอมแพ้เสีย! เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากนอกโลก เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสี่คนนี้!
……………….
ทันใดนั้นซังฮั่วก็ดูเหมือนจะสัมผัสถึงบางอย่างและชะงักเท้า มารสาวตรงหน้านางก็รู้สึกถึงอันตรายและรีบหยุดทันที มีภูเขาที่ไม่สูงแต่ชันเป็นอย่างยิ่งกั้นกลางพวกนางเอาไว้ พวกนางขับเคลื่อนทักษะเทวะ มันเกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆ กัน แต่ละคนฟาดเข้าไปยังภูเขาตรงหน้าตนเอง
ทักษะเทวะอันกร้าวแกร่งของสตรีสองนางเข้าปะทะกัน และหลังจากชั่วขณะของความเงียบงัน ภูเขาก็พังทลายและฝุ่นผงก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวหมอกควัน
ข้างในนั้น รอยประทับอักษรรูนเริ่มจะแหลกสลาย และพวกมันเปลี่ยนเป็นจุดแสงระยิบระยับเจิดจ้า ราวกับว่าเป็นดอกไม้ไฟ สตรีทั้งสองมิอาจมองเห็นซึ่งกันและกัน และไจกระบี่กับไจมีดของพวกนางก็พุ่งออกไปจากแขนเสื้อเพื่อลอยวนไปรอบๆ ร่างกายอันสวยสะคราญ กระบี่บินละเอียดยิบและมีดโค้งพร่างพรมไปรอบๆ เสื้อผ้าราวกับหิ่งห้อยที่เริงระบำอยู่บนฟากฟ้า
ซังฮั่วเรียนวิทยายุทธจากบิดาของนาง เทพซังเย่ ดังนั้นที่นางรู้จักก็คือวิชากระบี่ มารสาวอีกฝั่งหนึ่งนั้นเป็นศิษย์ของมีดมารฝูลัวถัว ดังนั้นนางจึงฝึกวิชามีด
พวกนางสัมผัสซึ่งกันและกันในพริบตา และก็คล้ายกับผีเสื้อสองตัวที่บินไปรอบๆ อีกฝ่ายขณะที่ไจมีดและไจกระบี่หมุนปั่น มีดและกระบี่อันละเอียดยิบปะทะกัน ส่งประกายไฟพุ่งออกมา
เพลงกระบี่ของเทพซังเย่ เจ้าคือซังฮั่ว!
เพลงมีดของมีดมารฝูลัวถัว เจ้าคือปี้อี๋!
เด็กสาวทั้งสองพลันจดจำวิชาของแต่ละฝ่ายได้ ท่ามกลางแสงมีดและเงากระบี่ สองสาวโฉมสะคราญก็ปลดปล่อยทักษะเทวะใส่กันในระยะเผาขน แสงมีดพุ่งทะลวงทักษะเทวะ และแสงกระบี่ก็กวาดผ่านเรือนผม แสงเจิดจ้าอันส่องออกมาจากลูกกลมศาสตราอันหมุนติ้วก็สาดแสงใส่ดวงตาพวกนาง และฉายส่องลงบนเรือนร่าง
แม้ว่าร่างกายของพวกนางจะดูบอบบาง แต่กลับครอบครองพลังงานอันอาจจะเหนือล้ำกว่าฉินมู่เสียอีก เมื่อพวกนางเห็นซึ่งกันและกัน ร่างของพวกนางก็ตอบโต้ไปก่อนที่จะทันได้คิดเสียอีก ด้วยฝ่ามือ ข้อศอก หัวไหล่ ขา และเข่า พวกนางโจมตีศัตรูราวกับพายุคลั่ง!
สองสาวครางกระอัก และบาดเจ็บจากกระบวนท่าของฝ่ายตรงข้าม ร่วงลงมาจากดอกไม้ไฟบนฟ้า พวกนางกลิ้งลงจากภูเขาราวกับกระสอบข้าวผุๆ และหยุดลงต่อเมื่อกลิ้งไปได้หกเจ็ดลี้
เมื่อพวกนางกำลังจะกลิ้งสุดแรงผลัก ไจกระบี่และไจมีดที่แต่ละฝ่ายใช้โจมตีฝั่งตรงข้าม ก็ลอยเหนือหัวของพวกนาง เหล่ากระบี่และฝูงมีดถล่มลงมา และในพริบตานั้น มีดโค้งหลายร้อยและกระบี่หลายร้อยก็โปรยปราย
สองสาวพลิกตัวและตีลังกา ซังฮั่วปลดธนูบนหลังนางออกมา และกลิ้งไปรอบๆ ราวกับแมวป่าลายหินอ่อน ด้วยการพลิกตัวแต่ละครั้ง ก็จะมีลูกศรยิงออกไปมากกว่าสิบดอก ในขณะเดียวกันนั้น ที่ระยะห่างออกไปราวสามสิบลี้ ปี้อี๋ก็เอาธนูมารของนางออกมาโจมตีสวนกลับไป
ข้างหลังพวกนาง แสงมีดและแสงกระบี่ยังคงถล่มลงมา
เด็กสาวทั้งสองสะกิดเท้าไปรอบๆ ภูเขา และต่อสู้กันข้ามภูเขา แรงสั่นสะเทือนของสายธนูสร้างเสียงดังสดใสขณะที่ภูเขาถูกยิงทะลุ เกิดรูขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วน
ขณะที่ทั้งคู่วิ่งตะบึงไปด้วยความเร็วสูงเพื่อหลบหลีกลูกศร กระบี่ และมีดของแต่ละฝ่าย ซังฮั่วก็พลันเห็นขวานใหญ่และทวนยักษ์ พวกนางได้สู้กันจนกลับมาถึงจุดที่สองอาวุธมหึมาขัดไขว้อยู่
เด็กสาวคนหนึ่งวิ่งตะบึงขึ้นไปบนขวานใหญ่ ขณะที่อีกคนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนทวนดำ พวกนางเคลื่อนไหวราวกับงูระหว่างที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามไปมา และเมื่อพวกนางสัประยุทธ์กันจนถึงยอดของเทพศาสตราทั้งสองในที่สุด เด็กทั้งสองก็พลันร่วงตกลงมาราวกับดาวตกหลังจากที่ขับเคลื่อนกระบวนท่าทุกชนิดกลางอากาศ
ซังฮั่วรีบมองไป และเห็นปี้อี๋ร่วงลงไปในกับดักที่นางเตรียมไว้ก่อนหน้า นางรีบกระตุ้นการทำงานของพยุหะไจกระบี่ที่ฝังเอาไว้!
อ๊าาา–
ในฐานะลูกสาวคนเดียวของเทพซังเย่ ซังฮั่วสามารถได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา ถึงแม้ว่านางจะไม่สามารถหลอมสร้างไจกระบี่เหมือนกับฉินมู่ได้ แต่นางก็ไม่เคยขาดแคลนไจกระบี่
นางได้ฝังไจกระบี่ทั้งหมดเจ็ดเม็ดในค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงคร้านเกินกว่าที่จะฝึกฝนพีชคณิต ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการที่ง่ายที่สุด และนั่นคือการคัดลอกผังค่ายกลกระบี่ที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้ ด้วยการหลอมสร้างสมบัติตามวิธีการอันถูกทิ้งไว้จากยุคสมัยก่อน พวกเขาก็จะสามารถประหยัดเวลาในการฝึกปรือ
ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวนั้นก็คือพยุหะดังที่ว่ามา
ค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวมิได้ซับซ้อนมากนัก และผู้ฝึกวิชาเทวะส่วนใหญ่ก็เพียงแค่คัดลอกผังค่ายกลกระบี่มา พลานุภาพของมันไม่รุนแรงมาก แต่ด้วยไจกระบี่ถึงเจ็ดลูก มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน
ในการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ต่อให้ชะงักงันไปเพียงชั่วแวบ ก็เพียงพอที่จะตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขา ยิ่งตกลงไปในกับดักนี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ซังฮั่วกระทำล่วงหน้าความคิด ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ธนูโค้งยิงแสงศรจำนวนนับไม่ถ้วนลงไปในค่ายกลกระบี่ ปี้อี้ป้องปัดซ้ายและขวา ป้องกันการโจมตีอย่างสุดกำลัง แต่ในพริบตาถัดมา ไจกระบี่จากมือของซังฮั่วก็โบยบินไป และกระบี่บินจากในนั้นก่อขึ้นเป็นเส้นสาย เล่มแรกแทงทะลุผ่านหว่างคิ้วของมารสาว จากนั้นก็เล่มที่สอง ที่สาม…กระบี่บินหลายร้อยเล่มพรั่งพรูเรียงร้อยกันออกมาจากท้ายทอยของนาง
ร่างของปี้อี๋แข็งทื่อ เมื่อนางถูกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนอันระเบิดออกมาจากค่ายกลกระบี่เจ็ดดาว
ข้าชนะ?
ซังฮั่วตกตะลึง และความมั่นใจของนางก็เพิ่มพูนขึ้นมาเป็นอย่างมาก นางเก็บแผนภาพค่ายกลกระบี่เจ็ดดาวและไจกระบี่ทั้งหลายของนางกลับไป ผละไปจากตำแหน่งที่ขวานกับทวนไขว้กันเพื่อไปตามหาศัตรูคนอื่นๆ
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เทพซังเย่เหงื่อร่วงพราวราวห่าฝน เขานั้นเป็นเทพเจ้าและมีประสบการณ์ชีวิตมากมาย ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าบุตรสาวของตนเอาชนะได้เพราะโชคช่วย
ซังฮั่วอาจจะฝ่าการต่อสู้ฆ่าฟันและได้ฝึกปรืออย่างขะมักเขม้นมาเป็นเวลานาน พร้อมกับผ่านประสบการณ์เป็นตายมาก็หลายหน แต่นางก็ยังคงด้อยกว่าเมื่อเทียบกับปี้อี๋ ยอดฝีมือเผ่ามารผู้นี้ที่ผ่านศึกมาเป็นร้อยๆ สนาม ประสบการณ์ของซังฮั่วเมื่อเทียบกับนางแล้วก็เหมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทร
เอาชนะปี้อี๋นั้นเป็นเหตุการณ์โชคอำนวย แต่นางไม่อาจชนะด้วยโชคไปตลอด หากว่านางประจันหน้ากับยอดฝีมือมารคนอื่นๆ มิใช่ว่าครอบครัวคนสุดท้ายของเขาจะถูกปลิดปลงลงไปต่อหน้าต่อตาเขาหรอกหรือ
ทันใดนั้น เทพซังเย่ก็นิ่งขึง ตกตะลึงเมื่อกวาดตามองไปรอบๆ โลกจำลองศึกทราย
ข้างในนั้น การต่อสู้อีกหลายตำแหน่งได้จบลง และจำนวนของยอดฝีมือมารก็หดหายลงไปอย่างมีนัยสำคัญ มีเหลือเพียงสองคนเท่านั้น คือเจ๋อหัวหลีศิษย์ของฟู่ยื่อลัว และศิษย์อีกคนของมารเที่ยงแท้สวีโม่ นามเจี่ยงอี้
ยอดฝีมือเยาว์แห่งสวรรค์ไท่หวงเหลืออยู่ก็คือฉินมู่ อวี่เหอ ซังฮั่ว และฉู่เหยา อวี่เหอได้ไปพบเจอกับฉู่เหยา และทั้งคู่ก็ร่วมมือกันเพื่อสังหารยอดยุทธเผ่ามารด้วยอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า
แน่นอนว่า ศัตรูส่วนใหญ่ก็ยังคงตกตายในน้ำมือของฉินมู่ เด็กฟาดฟ่อนข้าว
เพราะว่าเขาได้สังหารยอดฝีมือมารสามคนในรวดเดียว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่จึงสามารถถือครองความได้เปรียบ
กำลังฝีมือของเจี่ยงอี้นั้นสูงล้ำ แต่อาการบาดเจ็บของเขาก็หนักหนาสาหัสหลังจากต่อสู้ปะทะซึ่งหน้ากับศัตรู ดังนั้นกำลังการต่อสู้ที่เหลืออยู่ของเขาจึงไม่สูงนัก บางทีนี่อาจจะเพียงพอให้ซังฮั่วรอดชีวิตออกมาได้
แต่ทว่า อวี่เหอและฉู่เหยาดูจะบาดเจ็บ…
เทพซังเย่หัวใจตกวูบอีกครั้ง เขาเฝ้ามองลูกสาวของตนเองวิ่งไปยังทิศทางของไอ้เด็กช่างตีเหล็ก
ในขณะเดียวกันนั้น ที่ขอบแดนของโลกจำลองศึกทราย เจ๋อหัวหลีได้แบกมีดมารมาราวกับหลวงจีนธุดงค์ ก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวๆ เขามิได้ใช้ทักษะเทวะใดๆ ดังนั้นความเร็วของเขาจึงไม่เร็วมากนัก ฝีเท้าของเขาราวกับถูกวัดไว้ด้วยไม้บรรทัด และแต่ละก้าวที่เขาก้าวไปก็ยาวหนึ่งคืบอย่างพอดิบพอดี ไม่สั้นไปหนึ่งนิ้วและไม่ยาวไปหนึ่งนิ้ว
นี่คือกฎเกณฑ์ของเพลงมีดของเขา
ยอดฝีมือของเผ่ามารมักโอ่อ่าผ่าเผย และกระบวนท่าของพวกเขาทั้งตระการตาและใหญ่โต ไม่สนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ พวกเขามักจะพุ่งทะลวงไปด้วยพละกำลังการต่อสู้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่เจ๋อหัวหลีร่ำเรียนมาจากดาบเทวะลั่วอู๋ชวง ตัวตนที่ได้รับการเรียกว่าว่าเทพเจ้าแห่งดาบ เพลงมีดของลั่วอู๋ชวงนั้นเชี่ยวชาญในด้านการคำนวณ และเขามีการฝึกปรืออันโอ่อ่าน่าเกรงขาม ตำแหน่ง พละกำลัง ท่าย่างเท้า การเคลื่อนไหวร่าง และการขยับของแต่ละมัดกล้ามเนื้อถูกมาตรวัดเอาไว้อย่างเข้มงวด ไม่มีช่องว่างให้กับความผิดพลาด
ปราณชีวิตโคจรลึกลงไปอีกระดับ การขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม เจตจำนง และแก่นพลังชีวิต ล้วนแต่ต้องเป็นตามเงื่อนไขนี้ด้วยเช่นกัน
เจ๋อหัวหลีเติบโตภายใต้การสั่งสอนเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงแตกต่างไปจากผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ในการเรียนเพลงมีดของลั่วอู๋ชวง เขาจำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในเชิงคำนวณ แถมว่า เขายังต้องมีความสำเร็จอันสูงล้ำในศาสตร์นี้อีกด้วย
แม้ว่าเขาจะได้ลงมายังสวรรค์ไท่หวงภายใต้การบัญชา และฝากตัวเป็นศิษย์ต่อฟู่ยื่อลัว เขาก็มิได้เรียนรู้ความห้าวหาญทะยานจิตอย่างไร้พันธาการใดๆ จากอาจารย์คนใหม่ เขายังใช้กฎเกณฑ์ที่เขาเรียนรู้จากลั่วอู๋ชวงมาจำกัดคำพูดและการกระทำของตน กระทำการอย่างหมดจดเหมาะสมอยู่ตลอดเวลา
เขามายังกำแพงไฟแห่งโลกจำลองศึกทราย และเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าเขาคือแผ่นหลังของฉินมู่ เด็กหนุ่มกำลังชูกระบี่ขึ้นมาสำรวจงานฝีมือของตนเองท่ามกลางแสงเพลิง
ตรงข้ามกับความระมัดระวังของเจ๋อหัวหลี เด็กหนุ่มผู้นี้มีความห้าวหาญไร้สิ่งพันธนาการแบบฟู่ยื่อลัว
เงาร่าของเขาขณะที่ยกกระบี่ขึ้นมาดูองอาจห้าวหาญอย่างบอกไม่ถูก การชื่นชมกระบี่ตรงหน้ากองไฟนั้นเป็นอารมณ์วีรชนที่ใครก็ไม่อาจเรียนรู้ได้
เจ๋อหัวหลีอดไม่ได้ที่จะหัวใจเต้นรัวขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ทว่าเขารีบสงบใจลงอย่างรวดเร็ว ในจังหวะนั้น เด็กหนุ่มกับกระบี่ก็ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจเขาเปลี่ยนจังหวะเต้น ในเมื่อเขาก้มหัวลงและปรายตามองเขาด้วยหางตา
แต่ทว่า ไม่นานเจ๋อหัวหลีก็ตระหนักว่าเด็กหนุ่มมิได้ชำเลืองมองมาที่ตนจากหางตา ในทางกลับกัน เขามองไปที่กระบี่ของเขา และใช้ใบกระบี่อันมันวาวราวกระจกเพื่อมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหลังเขา
เหตุผลที่เขาแสร้งทำให้ดูเหมือนว่าเขากำลังชำเลืองมองข้าจากหางตานั้นก็เพื่อปั่นป่วนวิจารณญาณของข้า หากว่าข้าฉวยโอกาสในการลงมือ วิจารณญาณของข้าก็จะผิดพลาด และเขาก็จะเป็นฝ่ายชิงชัยได้เปรียบ
เจ๋อหัวหลีเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หากว่ายอดฝีมือเช่นพวกเขามีวิจารณญาณผิดพลาดต่อการเคลื่อนไหวร่างกายแม้เพียงกระเบียดนิ้วของศัตรู ศัตรูก็จะไม่มีทางปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นเล็ดลอดไป
บางครั้ง แพ้ชนะก็มาจากความผิดพลาดที่พื้นฐานสามัญที่สุด!
เขาดูมีประสบการณ์มาก จนไม่สมกับอายุ
เจ๋อหัวหลีสูดลมหายใจลึก และยืดไหล่ของเขาขึ้นมาดุจเดิม เป็นเด็กหนุ่มผู้นี้เองที่ดาบเทวะลั่วอู๋ชวงไม่อาจลืมเลือนได้ เขาคือบุคคลที่แม้แต่ลั่วอู๋ชวงก็ต้องมาแสดงเพลงมีดให้ดูชม!
เจ๋อหัวหลีพลันค้อมกายคารวะแก่ฉินมู่และกล่าวอย่างเคร่งขรึม อาจารย์ของข้าคือลั่วอู๋ชวง
ฉินมู่หันกลับมาและวางกระบี่ในมือของตนบนโต๊ะตีเหล็ก ข้ารู้ ข้าจำเขาได้
เจ๋อหัวหลียังไม่ลุกขึ้นยืนตรงจากท่าคารวะและกล่าวต่อไป อาจารย์ของข้ากล่าวว่าหากข้าพบเจ้า ข้าจะต้องร้องขอให้เจ้าชมดูเพลงมีดที่เขาคิดค้น!
เมื่อเขาโค้งคารวะ ดวงตามารบนดาบมารข้างหลังเขาก็พลันเปิดออกมา และแก้วตาสีแดงเลือดอันเป็นขีดตั้งก็กลอกไปรอบๆ สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่ม
ฉินมู่แย้มยิ้ม และวางฝ่ามือของเขาลงบนโต๊ะตีเหล็ก กระบี่บินทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาเขาราวกับเม็ดทรายละเอียด และรวบรวมเข้าด้วยกันใต้ฝ่ามือของเขา ก่อขึ้นมาเป็นทรงกลมสมบูรณ์แบบที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือ
ข้าเองก็อยากจะเห็นเพลงมีดของเขาเป็นอย่างยิ่ง ฉินมู่ถือไจกระบี่ในมือแล้วกล่าว เจ้าจะต้องร่ายรำเพลงมีดของเขาแทนตัวเขา ดังนั้นเจ้าจึงคารวะข้าแต่นั่นเพราะเจ้าเคารพเขาแต่มิใช่เคารพข้า นั่นใช่หรือไม่
เจ๋อหัวหลีลุกขึ้นยืนตรงและผงกหัว
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ เขาร่ายรำเพลงมีดของเขาด้วยแขนข้างเดียว เช่นนั้นเจ้าเรียนเพลงมีดของเขาด้วยแขนเดียวหรือสองแขน
ม่านตาของเจ๋อหัวหลีหรี่แคบ
ฉินมู่ไม่พลาดการเปลี่ยนแปลงแม้สักนิดบนสีหน้าของเขา และสังเกตปฏิกิริยาของเขาได้ในทันที เจ๋อหัวหลี เจ้าสามารถร่ายรำเพลงมีดของเขาให้ข้าดูได้ล่ะ
เจ๋อหัวหลีพลันรู้สึกถึงแรงกดดันอันมองไม่เห็นที่กดทับลงมายังจิตเต๋าของเขา
ฉินมู่ถามเขาว่า เขาสำเร็จเพลงมีดนี้มาแบบหนึ่งแขนหรือสองแขน และนี่สร้างแรงกดดันแก่จิตเต๋าของเขาอย่างมหาศาล นี่ก็เพราะว่าลั่วอู๋ชวงคือดาบเทวะแขนเดียว!
หากว่าเขาสำเร็จเพลงมีดมาด้วยแขนเดียว นั่นก็แปลว่าแขนอีกข้างของเขาก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์ หากว่าเขามิได้ใช้แขนนั้นในการต่อสู้ ไม่ว่าทักษะเทวะใดที่เขาร่ายออกไป มันก็จะไม่มีทางสอดคล้องกับเพลงมีดของเขา ถ้าอย่างนั้น เขาก็จะมีช่องโหว่ขนาดใหญ่
หากว่าเขาสำเร็จวิชามาด้วยสองแขน มันก็หมายความว่าเขามิได้รำเรียนเพลงมีดของดาบเทวะแขนเดียวลั่วอู๋ชวง การร่ายรำเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงด้วยสองแขนก็หมายความว่าเขาไม่มีทางร่ายรำมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นั่นก็คือเขาจะไม่สามารถสำเร็จถึงแก่นแท้!
นอกจากทำความปรารถนาของลั่วอู๋ชวงให้สำเร็จแล้ว เจ๋อหัวหลีก็ยังลงมาที่แดนต่ำใต้เพื่อแสวงหาวิธีการที่จะให้เพลงมีดของเขาสมบูรณ์แบบจากฟู่ยื่อลัว มันคือการซ่อมแซมความขาดพร่องของเขาผ่านประสบการณ์และการศึก เพื่อรุดหน้าไปอีกก้าวหนึ่งในการบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้เยาว์ในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ
และบัดนี้ เพียงพบหน้ากัน เขาก็ถูกศัตรูมองทะลุปรุโปร่ง ไม่ว่าเขาจะร่ายรำเพลงมีดหรือไม่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหยุดกลางคัน!
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย ดวงตาของนักบุญคนตัดไม้ลุกวาบ และเขาปรายตามองเสือเทพยดาขนดำที่อยู่ข้างๆ พลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม กรอบคิดจิตใจของเขาสูงส่งอย่างเหลือเชื่อ กดดันเจ๋อหัวหลีในวินาทีแรกที่พบหน้า ไฉนเจ้าถึงบอกว่ากรอบคิดจิตใจของเขาอ่อนแอ
เทพเสือขนดำหูลู่ปิดลงมาและพึมพำด้วยความขัดเคือง กรอบคิดจิตใจของเขาอ่อนแอจะตาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างสุดโต่ง…จริงสิ นายท่านก็บอกไม่ใช่หรือว่าเขามีอารมณ์คึกกระโดดไปมา และการฝึกปรือกรอบคิดจิตใจของเขาก็อ่อนแอ
นักบุญคนตัดไม้สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน ข้าเปล่า อย่าพูดจาเหลวไหล เจ้าฟังผิดแล้ว
เสือเทพยดาขนดำทำแก้มตุ่ยร้องเฮ้อ จนเส้นเลือดปุดๆ ขึ้นมาบนหน้าผากนักบุญคนตัดไม้ เสือเทพยดาขนดำรีบก้มหน้าลงและหัวเราะ เป็นเสือน้อยๆ ผู้นี้เอง ที่ได้ยินมาผิดพลาด
……………….
เมฆไอน้ำเหนือศีรษะหวงเยว่เดือดเป็นควัน ภาพปรากฏการณ์นี้ก่อขึ้นมาจากการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาสูดเอาปราณชีวิตเข้าและออก ในตอนนั้น สายตาของเขาจับจ้องลงบนบุคคลบนภูเขาและเมฆไอน้ำก็ยิ่งขยายพอง มันขยายใหญ่เป็นครึ่งไร่
ปราณชีวิตในเมฆไอน้ำควบแน่นเป็นหยาดฝนที่ร่วงลงไปสู่พื้น เมื่อพวกมันร่วงตกใส่ศีรษะของชายหนุ่ม พวกมันก็ระเหยเป็นไอและกลับไปเป็นเมฆไอน้ำอีกครั้ง วัฏจักรนี้โคจรซ้ำไปมารอบแล้วรอบเล่า
ภูเขาถูกยกขึ้นมาด้วยอักษรรูนปราณชีวิตของนักบุญคนตัดไม้กับฟู่ยื่อลัว และมิได้สร้างขึ้นมาด้วยการเสกสรรอันเที่ยงแท้ ดังนั้นมันจึงไม่สูงมาก หวงเยว่ปีนเขาขึ้นไป มาถึงยอดเขาภายในไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงจุดที่เขาห่างจากเจ๋อหัวหลีไปร้อยห้าสิบวา
เมื่อข้าพบเจ้าในสนามรบ ข้าเกือบตกตายในน้ำมือของเจ้า
รัศมีของหวงเยว่พวยพุ่งขึ้นมาอย่างดุเดือด และจิตหาญสู้ของเขาก็พลุ่งพล่าน ต่อให้เขาเคยพ่ายแพ้มาก่อน เขาก็ไม่กริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน จิตหาญสู้อันไร้ขอบเขตของเขาถูกจุดสันดาป!
เขาคือคนคลั่งยุทธที่ไร้ความกลัว!
ข้าได้ตามหาเจ้ามานานเพื่อล้างแค้นสำหรับความพ่ายแพ้ในหนก่อน หวงเยว่ฮึกเหิมจนเนื้อเต้น ศิษย์พี่จะให้โอกาสนี้แก่ข้าได้หรือไม่
เจ๋อหัวหลีหันกลับมา และสายตาก็ตกลงมาที่เขา แต่กระนั้น ดวงตามารบนด้ามดาบมารข้างหลังเขาก็ไม่เปิดออก
เท้าซ้ายของเขาพลันเปลี่ยน และปลายเท้าของเขาก็ชี้ไปทางขวาง เท้าของเขามิได้เรียงต่อกัน ในเมื่อเขาชี้ปลายเท้าซ้ายไปยังหวงเยว่ และปลายเท้าขวาไปยังสตรีอีกคนที่กำลังไต่ปีนขึ้นมาบนภูเขา นางปรากฏตรงหน้าพวกเขาในชั่วขณะถัดมา
หวงเยว่สีหน้าตกวูบ และเขากล่าวอย่างเย็นชา ฉานเยี่ยน อย่ามาขัดจังหวะธุระของข้า มิเช่นนั้น ข้าจะสังหารเจ้าด้วยเช่นกัน!
ฉานเยี่ยนก็เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง หวงเยว่และคนอื่นๆ เดิมทีได้รีบรุดไปยังจุดที่ขวานกับทวนไขว้กันในตอนที่พวกเขาเข้ามาในโลกจำลองศึกทราย แต่ทว่าเมื่อทุกคนมุ่งหน้าไปตรงนั้น สถานที่ดังกล่าวก็สูญเสียความหมายของมันไป ดังนั้นพวกเขาจึงเปลี่ยนไปซ่อนตัวแทน
เพียงผู้เดียวที่ไม่ซ่อนตัวก็คือฉินมู่
เขาได้วิ่งตะบึงไปอย่างบ้าคลั่งกลางอากาศ และด้วยความเร็วสูงของเขา เขาก็ได้ทิ้งร่องรอยของเมฆขาวเอาไว้ตลอดเส้นทางจนถึงขอบของโลกจำลองศึกทราย นำทางผู้อื่นไปหาเขา
ถัดไปนั้น ฉินมู่ก็ยังไม่สนใจจะซ่อนตัวและเริ่มใช้ค้อนของเขาตีเหล็ก ล่อยอดฝีมือเผ่ามารมากมายให้เข้าไปพยายามล่าหัวเขา
ขณะที่ยอดฝีมือมารกำลังง่วนอยู่ ยอดฝีมือแห่งสวรรค์ไท่หวงก็มีโอกาสอันหายากที่จะไปล่าหัวยอดฝีมือมารอันอยู่ตามเส้นทาง
ฉานเยี่ยนตระหนักถึงเรื่องนี้ จึงคอยเฝ้าดักตรงเส้นทางที่จะนำไปยังฉินมู่ นางค้นพบเจ๋อหัวหลีที่ยืนอยู่บนยอดเขา ทั้งยังเห็นหวงเยว่ด้วยความยินดี นางรีบปีนขึ้นภูเขามา หมายที่จะร่วมมือกับหวงเยว่ ยอดยุทธฝีมือแกร่งอันดับสาม เพื่อกำจัดยอดฝีมือเผ่ามารคนนี้
ศิษย์พี่หวงเยว่ เจ้าและศิษย์พี่หญิงอวี่เหอล้วนแต่เป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ ดังนั้นเจ้าพึงรู้ว่าสถานการณ์ใหญ่นั้นสำคัญกว่า
ฉานเยี่ยนมองไปที่เจ๋อหัวหลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด นางกล่าวเสริมอย่างเคร่งขรึม การประลองนี้ไม่ได้เกี่ยวพันแค่ความแค้นส่วนตัวหรือเป็นโอกาสที่ให้เจ้าไล่ล่าสุดขีดขั้วของมรรคา วิชา และทักษะเทวะเท่านั้น มันยังเกี่ยวพันกับความเป็นเจ้าของเมืองหลีและชะตากรรมของสวรรค์ไท่หวงของพวกเรา ไม่ว่าจะเป็นข้าหรือเจ้า ก็ยากอยู่ที่จะรับมือกับคนผู้นี้ แต่หากว่าพวกเราร่วมมือกัน ก็จะสามารถล้มเขาได้!
ข้าไม่ร่วมมือกับเจ้า ถอยไปเสีย หวงเยว่มีสีหน้ามั่นคงและส่ายหัว เห็นแก่ที่พวกเราเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่เหมือนกัน ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่หากว่าเจ้าฉวยโอกาสสังหารศิษย์พี่เจ๋อหัวหลีระหว่างที่พวกเราต่อสู้กัน ก็อย่าหาว่าข้าไร้ใจ
สายตาของเขามั่นคง และจ้องมองไปยังเจ๋อหัวหลี ความปรารถนาของเขาที่จะเสาะแสวงเต๋านั้นเข้มข้นเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็หัวเราะในคอ หากว่าข้าชนะ เขาก็จะตายในน้ำมือข้า แต่หากว่าข้าพ่ายแพ้ เขาก็จะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นกัน เจ้าสามารถฉวยโอกาสลงมือได้ในตอนนั้นและไม่เป็นการล้อเล่นกับชะตาของเมืองหลี! เจ้าเพียงแค่ต้องคอยดู มิเช่นนั้น ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ปรานี!
ฉานเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่นางก็ถอยไปหนึ่งก้าว
หวงเยว่คลั่งขึ้นมาและรัศมีของเขาก็เข้มข้นขึ้น เจ๋อหัวหลี โปรดชี้แนะข้า!
เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เทพเที่ยงแท้เยาว์ที่ว่าๆ กันในสวรรค์ไท่หวงเป็นเรื่องขำขันในสายตาข้า เจ๋อหัวหลีมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย พวกเจ้าไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของการเป็นเทพเที่ยงแท้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้องบรรลุเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอนเพียงเพราะแค่กายเนื้อบรรลุไปถึงขั้นเทพเที่ยงแท้เยาว์ เจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่ายังคงห่างไกลนัก มีสามประการที่เป็นเงื่อนไขของเทพเที่ยงแท้เยาว์ และพวกมันคือกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิม และมรรคาเต๋า พวกเจ้าสำเร็จเพียงแค่ประการเดียว แต่ข้าแตกต่างออกไป
ดาบมารบนหลังเขาสั่นเทิ้มแต่เบาๆ และส่งเสียงหึ่ง เขากล่าวอย่างแช่มช้า ก่อนที่ข้าจะลงมายังแดนต่ำใต้ ข้าได้สำเร็จสองประการแล้ว เพียงแต่มรรคาเต๋าของข้าเท่านั้นที่ยังขาดพร่อง ข้าจุติลงมาเพื่อคารวะฟู่ยื่อลัวเป็นอาจารย์ในการนำทางข้าเสาะหามรรคาเต๋าของตน หวงเยว่ เจ้ายึดติดลุ่มหลงกับมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ดังนั้นเจ้าก็กำลังจะสำเร็จเงื่อนไขที่สอง ข้านับถือความตั้งใจมั่นนี้ของเจ้า ดังนั้นจงเข้ามาพร้อมๆ กันเถอะ อย่าได้สูญเสียชีวิตไปโดยเปล่าดาย
อย่าดูแคลนข้า หรือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของข้า! ปราศจากการทำลาย ย่อมไม่มีการเสกสรรใหม่! ผู้หนึ่งย่อมแข็งแกร่งขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาเผชิญกับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้น! ภูเขาทลายกองทัพ!
หวงเยว่กู่ร้องและวิ่งตะบึงไปอย่างเกรี้ยวกราด เมื่อเขาทำเช่นนั้น ก็ปลดปล่อยการโจมตีออกไป และเพลงหมัดของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นทักษะเทวะ ในชั่วพริบตานั้น รูปเงาของหมัดจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏและรวบรวมเข้าด้วยกันเป็นภูเขาลูกหนึ่ง ในพริบตาถัดมา พวกมันก็เหมือนกับหมู่ดาวที่กำลังทำลายล้างกองทัพให้ราพณาสูร!
หมัดของเขาหนักหน่วงขนาดที่ว่าลมอันพุ่งออกมาจากมันสามารถบีบอัดอากาศ และส่งคลื่นการระเบิดออกไปราวกับสายฟ้ากำลังคะนอง
กระบวนท่าของหวงเยว่ได้แสดงถึงความสำเร็จอันน่าแตกตื่นในวิชาหมัดของเขา เมื่อเขาได้ต่อสู้กับเจ๋อหัวหลีในสนามรบ เขาได้ตระหนักถึงสิ่งที่เขาขาดพร่องไป และเมื่อเขาพบเจ๋อหัวหลีในบัดนี้ ภายใต้แรงกดดันของศัตรูอันแข็งแกร่ง เขาก็ถึงกับสามารถรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่งได้ ทักษะเทวะของเขาภูเขาทลายกองทัพนั้นกำลังจะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ
ที่แผ่นหลังของเจ๋อหัวหลี ดาบมารพลันลืมดวงตาขึ้นมาและหมุนวน ขยายใหญ่ขึ้นและมีสีแดงฉานราวโลหิต
เจ๋อหัวหลีเอื้อมมือไปชักดาบของเขาออกมาและฟันไปยังภูเขาทลายกองทัพ พริบตานั้นแสงมีดพวยพุ่งออกไปและปะทะเข้ากับรูปเงาหมัด แสงมีดสะท้อนกระดอนไปมา และดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นแสงมีดนับหมื่นในพริบตา ก่อนขึ้นมาเป็นดาบภูเขาอันฟาดทำลายภูเขาทลายกองทัพ!
แสงมีดนับหมื่นพลันหลอมรวมกัน กลายเป็นหนึ่งมีดที่ฟันมายังศีรษะของหวงเยว่
เขาประกบสองมือรับมันเอาไว้ แต่ดาบมารก็พลันแยกเป็นสอง ทำให้สีหน้าของหวงเยว่แปรเปลี่ยน เลือดเนื้องอกเงยออกมาใต้รักแร้ของเขา และอีกสองแขนก็ยกขึ้นมาประกบต้านแสงมีดเล่มที่สอง
ไม่ทันที่เขาจะได้ระบายลมหายใจโล่งอก ดาบมารสองเล่มก็แยกตัวออกมาเป็นสี่
หวงเยว่ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด และเลือดเนื้อก็กระดุบกระดิบใต้รักแร้ของเขา แขนอีกสี่ข้างงอกเงยออกมาเพื่อคว้าจับแสงมีดอันฟาดฟันเข้ามา
จากนั้น เขาก็เบิกตากว้างด้วยความสิ้นหวัง เมื่อแสงมีดทั้งสี่แยกตัวเป็นแปดฟาดฟันเขา
ฉึก ฉึก ฉึก
แสงมีดใหม่เฉือนฟันลงมา และหวงเยว่ก้มหน้าลง มองดูแสงมีดเหล่านั้นที่หายวับลงไปในพื้น บาดแผลสี่รอยทั้งยาวเหยียดและตรงแหน็วปรากฏที่ใบหน้าของเขา ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
เจ๋อหัวหลีสะบัดดาบมารของเขาและเสียบมันกลับเข้าฝักที่หลังของเขาแต่เบามือ ขณะที่หวงเหย่ฉีกขาดออกเป็นชิ้นๆ
เขาจึงมองไปจากฉานเยี่ยนผู้ซึ่งมีสีหน้ามืดครึ้มและกำลังถอยกลับอย่างเชื่องช้า
ไปซะ ข้าไม่สังหารสตรี เจ๋อหัวหลีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
ฉานเยี่ยนยังคงไม่คลายใจและยังเดินถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อนางห่างออกไปได้หนึ่งลี้นางก็หันหลังและวิ่งตะบึงไปอย่างไม่คิดชีวิต ในจังหวะนั้น กล้ามเนื้อของเจ๋อหัวลีเกร็งแน่น ด้วยเสียงระเบิดดัง เขาพุ่งไปทะลุความเร็วเสียงและชักดาบของเขาออกด้วยสองมือ ฟาดฟันไปข้างหน้า!
ดาบนั้นพลันไปถึงแผ่นหลังของฉานเยี่ยนในพริบตา นางหันกลับมาในอากาศ เหวี่ยงไจกระบี่ออกไปอันขยายตัวพองขึ้น ไม่ทันที่กระบี่บินจะยิงออกไป ดาบนั้นก็ผ่านางแยกกลางจากยอดกระหม่อม!
เจ๋อหัวหลีหยุดยั้งและรั้งมีดกลับ หันกายผละไป
ข้าจะต้องให้ชายในภาพวาดผู้นั้นเห็นเพลงดาบของอาจารย์ ดังนั้นข้าไม่อาจได้รับบาดเจ็บ จำต้องลอบสังหารเจ้าจากข้างหลัง ด้วยสีหน้าอันเยือกเย็น เขาเอียงหูฟังเสียงที่มาของค้อนตีเหล็ก สตรี ในพริบตาที่เจ้าหันหลัง จุดอ่อนของเจ้าก็จะเผยออกมาใหญ่ที่สุด อย่าได้เผยแผ่นหลังให้แก่ข้าเด็ดขาด
ข้างหลังเขา ฉานเยี่ยนร่วงลงไป
อีกฟากหนึ่ง ภูเขาพังทลายเมื่อสองเงาร่างต่อสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางเทือกเขา ขุนเขาที่มีสันเขาแหลมคมประดุจดาบถูกแทงทะลุและแหลกละเอียดเป็นอักษรรูน หายวับไปในอากาศ
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว และอวี่เหอแตะรอบแผลบนใบหน้าของนาง ศัตรูของนางตายไปแล้ว แต่เขาก็ยังสามารถทำให้นางบาดเจ็บได้
นางเงยศีรษะขึ้นและมองไปยังแสงมีดอันพุ่งวาบและหายวับไปบนท้องฟ้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว
เจ๋อหัวหลี เจ้าและช่างตีเหล็กล้วนแต่เปิดเผยอวดโอ่พอๆ กัน แต่ข้าไม่มีความมั่นใจเต็มร้อยที่จะเอาชนะเจ้าได้! นางหันกายจากไป ข้าจะต้องไปตามหาศิษย์น้องหญิงและชายคนอื่นๆ ก่อนที่จะมากำจัดเจ้า!
โลกจำลองศึกทรายกว้างใหญ่ ทำให้ยากที่จะเสาะหาคนอื่นๆ
มีการต่อสู้ปะทุขึ้นมาบนภูเขาหลายลูก ผู้ฝึกวิชาเทวะได้พบประจันกับยอดฝีมือเผ่ามาร และพวกเขาย่อมทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสังหารฝ่ายตรงกันข้าม
นั่นจึงเป็นเหตุให้ หลังจากสองคนใดก็ตามจากคนละฝักฝ่ายมาเผชิญหน้ากัน การต่อสู้ก็มักจะสิ้นสุดลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกวิชาเทวะมักจะมีจุดจบที่ความตาย ไม่ก็พิการ อันทำให้สถานการณ์ค่อนข้างหดหู่
แต่ทว่า แม้เพียงการต่อสู้เพียงระยะเวลาอันสั้น แต่ก็นานพอที่พวกเขาจะสัประยุทธ์กันไปเป็นระยะทางกว่าสิบลี้ ไม่ว่าพวกเขาผ่านไปที่ใด ภูเขาก็จะถูกตัดและพังทลาย ความวินาศสันตะโรที่พวกเขาก่อนั้นน่าดูน่าชมเลยทีเดียว
และยังมีบางคนที่ใช้ทักษะเทวะมหึมาเพื่อทำลายล้างอาณาบริเวณกว้างใหญ่ถึงร้อยลี้ ซึ่งน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดๆ
แน่ล่ะ ที่นี่คือโลกจำลองศึกทราย มิใช่โลกภายนอก แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะไม่อ่อนแอ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีพลังทำลายล้างสูงขนาดนี้ที่ข้างนอกนั่น
สถานที่อันขวานและหอกไขว้กัน เป็นที่หนึ่งอันเงียบสงบ
ซังฮั่วติดตั้งกับดักของนางอย่างตื่นเต้น และซุ่มรอโจมตี นางรอให้ศัตรูตกลงมาในกับดักสังหารของนางอย่างเงียบกริบ
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลังจากสองชั่วโมง เด็กสาวคนนี้ก็โผล่หัวขึ้นมาจากที่ซ่อนของนาง ด้วยเปียยาวๆ สองเปียที่ห้อยลงมา
ผ่านไปอีกสองชั่วโมง และซังฮั่วก็ไปนั่งอยู่บนหัวขวาน นางนั่งเท้าคางและแกว่งขาไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
ผ่านไปอีกสองชั่วโมง ซังฮั่วนอนแผ่ไปบนสันขวาน นางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางฉงนฉงาย ทุกคนอยู่ที่ไหนกัน
นางพลันลุกขึ้น ดูบ้าคลั่งเล็กน้อย พวกเขาหายไปไหนกันหมด ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ทุกคนจะต้องมาเพื่อสู้กันเป็นแน่หรอกหรือ ไม่ว่าจะมิตรหรือศัตรู ใครก็ได้มาที่นี่สักหน่อยเถอะ!
ข้างนอกโลกจำลองศึกทราย เทพและมารมองไปที่การต่อสู้ข้างในทั้งด้วยความยินดีทั้งด้วยความกระวนกระวาย มันผ่านไปไม่นานเท่าไร แต่ก็เปิดศึกปะทะกันขึ้นมาหลายครั้ง
เมื่อฉินมู่ได้สังหารเผ่ามารสามคนและนอนแผ่กับพื้นแสร้งเป็นศพเพื่อล่อศัตรูคนที่สี่ออกมา มารเทวะทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวาย พวกเขาล้วนแต่ผุดเหงื่อเย็นเยียบออกมาด้วยกังวลถึงมารสาวที่ซ่อนอยู่บนยอดเขาใกล้ๆ
โชคดีที่ว่านางไม่ถูกหลอก และเพียงแค่หันกายจากไป มารเทวะเกือบทั้งหมดจึงระบายลมหายใจโล่งอก
นายท่าน เขาเป็นผู้สืบทอดท่านจริงๆ ด้วย! เสือเทพยดาขนดำร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
นักบุญคนตัดไม้สีหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่ฟู่ยื่อลัวแย้มยิ้ม สายตาของพวกเขามาประสานกัน ก่อนที่จะผละออกไป
เมื่อทุกคนเห็นเจ๋อหัวหลีสังหารยอดฝีมือเยาว์สองคน หวงเยว่และฉานเยี่ยน ด้วยเพียงสองดาบ เทพเจ้าเกือบทั้งหมดแห่งสวรรค์ไท่หวงก็ผุดเหงื่อเย็นเยียบออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ พวกเขากังวลถึงผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ แห่งสวรรค์ไท่หวงอย่างแท้จริง
แต่ทว่าที่กังวลที่สุดก็ยังคงเป็นบิดาของซังฮั่ว เทพซังเย่ เขากำหมัดแน่น ฝ่ามือของเขาชื้นเหงื่อไปหมด
ลูกสาวคนดี อย่าออกมาเลยนะ นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบเสงี่ยมเถอะ…
เทพซังเย่จ้องเขม็งไปยังจุดที่ขวานและทวนไขว้กันอยู่และเห็นซังฮั่วกระโดดลงมาจากขวาน สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนไปอย่างระงับไม่อยู่ และเขาภาวนากับตนเอง อย่าออกไป อย่าออกไปเด็ดขาด
ซังฮั่ววิ่งออกไป
อย่าพบศัตรู อย่าพบศัตรู…
มารสาวคนหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปทางนาง
เทพซังเย่แทบจะเป็นลม นางกำลังจะตาย…
…………………..
เจ้าวิ่งได้ช้าที่สุดบนท้องฟ้า และยังลงมาหยุดอยู่ที่นี่ ในเมื่อเจ้าเผยตำแหน่งแห่งที่เช่นนั้น มันก็ย่อมดึงดูดนักล่า ยอดฝีมือมารมองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้นอย่างระแวดระวัง แต่สีหน้าของเขาค่อนข้างผ่อนคลาย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าดูเหมือนจะรังแกง่ายที่สุดในกลุ่มคน งั้นทำไมข้าถึงจะไม่มาล่ะ แต่ทว่า กำลังฝีมือของเจ้านั้นค่อนข้างเหนือความคาดหมายของข้า…
เขามองไปยังเศษหินแตกหักบนพื้น และม่านตาของเขาก็หรี่แคบลงเล็กน้อย เขาค่อยๆ ปลดปล่อยรัศมีของตนเองทีละเล็กละน้อย เจ้าดูซื่อๆ ง่ายต่อการรังแก แต่กำลังฝีมือของเจ้านั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด แม้ว่าเจ้าไม่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่ความสามารถของเจ้าก็ถึงขั้นนั้นไปแล้ว เจ้าไม่อ่อนแอไปกว่าฉู่เหยา หวงเยว่ และคนอื่นๆ เลยสักนิด ข้าปรารถนาจริงๆ ที่จะรู้ว่าเจ้ายังคงเหลือกำลังฝีมือสักกี่มากน้อยหลังจากการต่อสู้กับฉือฉวนซง ลูกท้อนี้ข้าจะเด็ดมาง่ายดายหรือไม่
บนพื้นดิน กระบี่บินลอยขึ้นมาอย่างนิ่มนวล และฉินมู่ก็หยัดตัวลุกขึ้นยืนตรงพลางสูดลมหายใจลึก ทันใดนั้น ลมหายใจของเขาก็กลับมาเป็นปกติและแย้มยิ้ม ตั้งแต่เมื่อข้าได้กลายเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าข้าดูรังแกง่ายอีกเลย หากว่าเจ้าต้องการเด็ดลูกท้อนี้ ทำไมเจ้าไม่เข้ามาลองดูสักหน่อยล่ะ
เมื่อครู่เขายังหอบหายใจอย่างยากลำบากอยู่เลย แต่บัดนี้ราวกับว่าตัวเขาไม่มีอะไรผิดปกติ
ยอดฝีมือมารยิ้มเล็กน้อย กำลังฝีมือของฉือฉวนซงนั้นสูงล้ำแข็งแกร่ง ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ข้าก็ยังต้องขยาดเกรงอยู่หลายส่วน หลังจากการต่อสู้ชิงเป็นชิงตายกับเขา อาการบาดเจ็บของเจ้าไม่มีทางเบาบางหรอก เจ้าสะกดข่มลมหายใจของเจ้าเอาไว้ได้ แต่เจ้าไม่มีทางซ่อนอาการบาดเจ็บของตนเองได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกังวล หากว่ากำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งพอที่จะเป็นภัยต่อข้า ข้าก็จะรีบสะบัดหน้าผละไป และหาเหยื่อคนอื่นแทน
เขาสอดส่ายสายตามองไปรอบๆ และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน เพราะถึงอย่างไร ในป่าแห่งนี้ก็ซุ่มซ่อนไว้ด้วยศัตรูตั้งไม่รู้กี่คน ดังนั้นข้าย่อมต้องออมกำลังเอาไว้เพื่อจัดการพวกเขา ใช่ไหมล่ะ
เสียงของเขามีสำเนียงมารแฝงซ่อนเอาไว้ราวกับว่าเขาเป็นพี่ชายใจดีข้างบ้านผู้กำลังกังวลห่วงใยผู้อื่นอย่างแท้จริง แต่ทว่าจิตของฉินมู่ยังคงกระจ่าง
เขานั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า แม้ว่าเขาจะเรียกตัวเองบ่อยครั้งว่าจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ แต่ก็มียอดฝีมือมากมายที่เชี่ยวชาญในมรรคามารในลัทธิมารฟ้า คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นพิสดารพันลึก และสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตามหัวใจผู้ฝึก
หากว่าในหัวใจมีสันดานมาร คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็จะเต็มไปด้วยวิชามาร แต่หากว่ามีสันดานเทพในหัวใจ พวกมันก็จะเป็นวิชาเที่ยงธรรม
ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่หาใช่ชนชั้นที่ถูกเล่นตลกได้ด้วยเสียงมารแค่นี้
เขาไม่เชื่อเลยสักคำที่ยอดฝีมือมารผู้นี้กล่าว!
คำพูดพวกนั้นมีเพื่อให้ฉินมู่ละวางการป้องกัน เรื่องเหลวไหลที่บอกว่าพร้อมจะผละจากไปและมีศัตรูจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ซุ่มซ่อนอยู่ หากว่าเขาไปเชื่อจริงๆ จังๆ เขาก็จะตาย!
ฉินมู่ยืนนิ่ง ไม่ขยับ กระบี่บินแปดพันเล่มถูกจัดวางไว้อย่างสุ่มๆ ในอากาศ และลอยละล่องอยู่รอบๆ ตัวเขา พวกมันรออยู่ในกระบวนพยุหะศึกของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์เพื่อที่จะปลดปล่อยพลานุภาพ
ยอดฝีมือมารพลันเคลื่อนไหว พุ่งตรงมายังฉินมู่ พลังงานอันระเบิดจากกายเนื้อของมารเที่ยงแท้เยาว์ผู้นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือล้น เมื่อกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่ถูกปลดปล่อย เขาก็พร้อมที่จะพุ่งทะลวงผ่านพวกมัน
ฉินมู่ตะโกนออกไป และกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ก็ยังคงกักตัวของเขาเอาไว้ได้ ยอดฝีมือมารจึงดึงธงใหญ่ออกมาและโบกสะบัดมันไปยังแสงกระบี่ ภาพกระบี่ขุนเขาและแม่น้ำพลันหายโหว่ไปก้อนใหญ่
ยอดฝีมือพยุหะ!
ฉินมู่ตื่นตระหนก ธงใหญ่ปักลงไปบนพื้นอันมันคลี่ผืนออก และเผยให้เห็นรอยประทับมารมากมาย พวกมันหมุนเป็นเกลียวรอบๆ และก่อรูปเป็นดวงตาหนึ่ง
ยอดฝีมือมารถอยกลับ และกระโดดเข้าไปในนั้น หายวับไปโดยไร้ร่องรอย กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ระเบิดออก แต่มันทำอะไรธงมารผืนนั้นไม่ได้เลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าธงมารผืนนี้เป็นสมบัติวิเศษอันเหนือธรรมดา
ฉินมู่กำลังจะเรียกใช้กระบี่ไร้กังวลเข้าไปสะบั้นมัน แต่ทันใดนั้นยอดฝีมือมารก็ปรากฏตัวข้างหลังเขา ฉินมู่สะบัดกระบี่ไปที่นั่น แต่ธงใหญ่อีกผืนพลันปรากฏ ยอดฝีมือมารกระโดดเข้าไปในธงนั้นและหายวับอีกครา ทำให้การโจมตีของเขาพลาดเป้า มีก็แต่ธงผืนใหญ่ปักอยู่บนพื้น
ไม่นาน ก็มีธงแปดผืนปักอยู่ล้อมรอบฉินมู่ พวกมันคลี่ออก และปลายผืนธงแต่ละผืนมาเชื่อมต่อซึ่งกันและกัน สร้างเป็นค่ายกลแปดเหลี่ยมอันมีขนาดเท่าสนามกีฬา ตรงใจกลางของธงแต่ละผืน ปรากฏดวงตามารที่อ้าเปิด
ฉินมู่ขมวดคิ้วเมื่อเส้นสายปราณมารพุ่งยิงออกมาจากเนตรมา ถล่มโจมตีเขา
ปราณชีวิตรอบตัวเขาลุกฮือขึ้น แปรเปลี่ยนเป็นระฆังยักษ์ที่กึ่งจริงกึ่งลวง รอบๆ ผนังระฆัง รอยประทับอสุนีบาตมากมายม้วนพันกัน เขากำลังใช้ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!
เก๊ง เก๊ง เก๊ง!
เสียงระเบิดกัมปนาทดังออกมาเมื่อฉินมู่ซัดออกไปข้างนอกจากใจกลางระฆัง ต่อสู้กับเส้นสายปราณมารเหล่านั้น ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีประเดี๋ยวก็ใหญ่ประเดี๋ยวก็เล็ก บางครั้งก็แข็งแกร่ง บางครั้งก็อ่อนแอ
ในระหว่างเวลานั้น ธงมารสะบัดบิดอย่างต่อเนื่อง และปราณมารที่ยิงจากเนตรมาร บางครั้งก็หนา บางครั้งก็บาง นี่ทำให้ระฆังลั่นเป๊งๆ อย่างไม่หยุดหย่อน ปั่นป่วนเลือดและลมของฉินมู่
เขาเคลื่อนไหว และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีก็เคลื่อนไหวไปพร้อมกับเขา แต่ทว่า พวกธงมารข้างนอกก็เคลื่อนไหวตามเขาไปไม่ปล่อย
ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีเป็นสุดยอดวิชาของบรรพชนห้าอันผสมผสานทักษะเทวะกายเนื้อเข้ากับทักษะเทวะอัสนี ห้าอัสนีก็คือห้ามหาเมฆอัสนี และเขาใช้กายเนื้อที่แข็งแกร่งเพื่อขับเคลื่อนมันก่อตัวขึ้นเป็นรอยประทับระฆัง แต่ละกำปั้นแต่ละลูกเตะก็จะทำให้อสุนีบาตห้าสายแผ่กระจายออกไป และระฆังก็จะหดลงก่อนจะขยายตัวขึ้นมาใหม่ พลานุภาพของเมฆอัสนีทั้งห้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างยิ่ง ดังนั้นมันจึงเหมาะสมที่สุดในการใช้ทำลายวิชามาร
ทว่าในตอนนี้ ฉินมู่กลับไม่สามารถทำลายมันได้
เขาพลันใช้เทวะจำแลงแปลงร่างเป็นเทพครองดาวเสาร์ ประตูน้อมสวรรค์ปรากฏข้างหลังเขาและเหวี่ยงหมุนไปรอบๆ กวาดซัดผ่านธงใหญ่ทั้งแปดผืน แต่ไม่นานนักมันก็ถูกลำแสงปราณมารยิงทำลายไป
ประตูน้อมสวรรค์ไม่อาจบีบร่างจริงของยอดฝีมือมารให้ปรากฏตัวได้
เนตรปลุกพลัง!
ชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ และเขามองไปรอบๆ ตัว ไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหน เขาก็ไม่อาจค้นพบยอดฝีมือมารคนนั้น เขาเห็นเพียงแต่เงาร่างวูบวาบที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างรวดเร็วระหว่างธงราวกับว่าพวกมันคือภูตพราย
ข้างในค่ายกล ระฆังใหญ่ที่ถูกฟาดใส่ด้วยปราณมารมิอาจสลายมันไปได้ ในทางกลับกัน พวกมันเคลื่อนที่ไปเป็นเส้นละเอียดเล็กที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เส้นสายพวกนั้นจัดวางอยู่ในห้วงอวกาศและเฉือนตัดมันออกเป็นหลายกระบิ แต่ละห้วงอวกาศทรงลูกบาศก์มีอักษรรูนแห่งมรรคามารก่อตัวขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งข้างในนั้น
มารผู้นี้เป็นยอดฝีมือพยุหะ การโจมตีก่อนหน้านั้นเป็นเพียงแค่ตัวเบี่ยงเบนความสนใจ ในขณะที่เป้าหมายอันแท้จริงของเขาคือการกักฉินมู่เอาไว้ในพยุหะสังหาร และป่นเขาให้เป็นจุณ!
ด้วยวิธีนี้ เขาก็จะสามารถออมกำลังไว้ไปจัดการกับบุคคลอื่นๆ
เขานั้นกะที่จะใช้พละกำลังน้อยนิดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อกำจัดฉินมู่
พลังวัตรของเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้เหนือล้ำกว่ารุ่นเดียวกันไปไกล และทักษะเทวะของเขาก็ทั้งโอหังและดุดัน มีผู้คนมากมายที่บีบให้ฉินมู่ระวังป้องกันได้ แต่มีเพียงยอดยุทธฝีมือแกร่งไม่กี่คนอย่างเช่นผู้ใหญ่บ้าน หรือกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ที่สามารถสยบเขาในขั้นวรยุทธเดียวกัน แต่ทว่า ยอดฝีมือมารที่เขากำลังเผชิญ ก็นับว่าเป็นหนึ่งในยอดยุทธฝีมือแกร่งเหล่านั้น
บรรพชนแรกและผู้ใหญ่บ้านเป็นยอดฝีมือที่บรรลุมรรคาเต๋า ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่พวกเขาจะกระทำเช่นนั้นได้ แต่ทว่า ยอดฝีมือมารผู้นี้เป็นรุ่นเยาว์ จากประเด็นนี้เพียงถ่ายเดียว ก็สามารถเห็นได้ว่าความสำเร็จเชิงพยุหะของเขานั้นลึกล้ำปานใด
วิชาพยุหะ?
ฉินมู่พลันสลายระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนี และยื่นมือออกไปคว้าจับไจกระบี่ด้วยมืออันกำแน่น กระบี่บินละเอียดยิบมากมายหลั่งไหลออกมาประดุจสายน้ำและแปรเปลี่ยนเป็นทวนใหญ่
หากว่าใครมองดูมันอย่างละเอียด พวกเขาก็คงจะเห็นได้ว่ามันถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากกระบี่บินละเอียดยิบจำนวนมากที่กำลังเคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ละกระบี่กำลังร่ายรำท่วงท่ากระบี่เกลียว และปลายคมทวนนั้นก็คือกระบี่ไร้กังวลอันคมกล้าไร้เทียมทาน
ในขณะเดียวกัน อักษรรูนก็ปรากฏขึ้นมารอบกายฉินมู่ พวกมันมิใช่รอยประทับของทักษะเทวะอันทรงพลัง แต่เป็นสัญลักษณ์ของของพีชคณิตและคณิตศาสตร์ ผังไท่จี่ ผังอู๋จี่ อักษรรูนสุริยันจันทรา อักษรรูนห้าธาตุ ค่ายกลหกทิศ ค่ายกลผังแปด ค่ายกลผังหกสิบสี่ พวกมันแปรเปลี่ยนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อสร้างขึ้นมาเป็นระบบแบบหนึ่งที่กำลังคำนวณห้วงมิติเรขาคณิต
อักษรรูนแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ถูก ประมวลผลโครงสร้างของพยุหะที่ก่อขึ้นมาจากธงมารทั้งแปดผืน อักษรรูนจำนวนนั้นไม่ถ้วนกระเด้งกระดอนไปทั่ว และความเร็วในการคำนวณนั้นก็เร็วจี๋เกินกว่าจะมองทัน
ฉินมู่เพ่งสายตา และร่างกายของเขาก็เคลื่อนที่ไปพร้อมกับทวน มันพุ่งทะลวงออกไปราวกับมังกรที่ห่อหุ้มไปด้วยแสงเงิน แต่ละลำแสงปราณมารถูกมันโจมตีใส่และแหลกทำลาย
ทันใดนั้น ธงทั้งแปดก็โอนเอนและถูกชักกลับไป ค่ายกลพยุหะของยอดฝีมือมารถูกทำลาย ร่างที่แท้จริงของเขาพลันปรากฏ เขาม้วนธงขึ้นและรีบพุ่งหนีไปทันที เขาหัวเราะและกล่าว ยากนักที่จะได้พบยอดฝีมือเชิงคำนวณ! กำลังฝีมือของเจ้าแข็งแกร่งจริงๆ ลาก่อน!
ธงคลี่คลุมเขา และเขาก็หายวับในพริบตา
ฉินมู่ปักทวนใหญ่ลงกับพื้น จิตวิญญาณของเขายังคงเกร็งเขม็ง ไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย
ทว่าหลังจากครู่หนึ่ง รัศมีเขาก็โรยราลง และกระอักเลือดออกมากำใหญ่ เขาหอบหายใจและทรุดตัวลงนั่งจ้ำเบ้า
ในจังหวะนั้นเอง ยอดฝีมือมารก็ปรากฏข้างหลังเขาเหมือนภูตพราย และแทงธงใหญ่ของเขาเข้ามาเหมือนกับทวนยังฉินมู่ เขาหัวเราะอีกครั้ง เจ้าไม่มีพละกำลังเหลือแล้วจริงๆ ข้าเลยย้อนกลับมาอีกครั้ง!
รอยยิ้มประหลาดปรากฏบนใบหน้าฉินมู่ เขากำลังนั่งหันหลังให้กับมารหนุ่มผู้นั้นขณะที่ทวนใหญ่ในมือของเขาแยกออกจากกันกลายเป็นมีดเล่มยาวสองเล่ม ถือมีดข้างหนึ่งด้วยการจับปกติ และอีกข้างด้วยการจับย้อน เขาซ่อนเล่มหนึ่งไว้ข้างหลังเพื่อป้องกันธงใหญ่อันแทงมาตำแหน่งหัวใจ มีดอีกเล่มซ่อนอยู่เบื้องหน้าหน้าอกของเขา
ฉินมู่หมุนตัวไปและเฉือนผ่าด้วยมีดยักษ์อันเขาถือไว้ข้างหน้าตัวใส่ธงใหญ่นั้น
ยอดฝีมือมารตื่นตระหนก และธงในมือของเขาก็ส่ายไปมาจนแขนทั้งสองข้างชาดิก
เจ้ารู้จักกระบวนท่าสังหารของสำนักวิชาบู๊ไหม
ทั้งสองคนกำลังเอนตัวเข้าใกล้กัน และฉินมู่กระซิบใส่ใบหูของอีกฝ่าย เท้าของเขาลอยขึ้นมาจากพื้น แต่เขายังลงนั่งอยู่ ราวกับว่ากระบวนท่าของมารนั้นได้ปัดให้เขาหมุนไปราวลูกข่าง
มันเป็นกลเม็ดที่คนแล่เนื้อมักจะเล่นกับฉินมู่ ก็ในเมื่อเขาไม่มีขาทั้งสองข้าง มันใช้เพื่อทดสอบกระบวนท่าของเขา–เสยมีดจากที่ลับ
มันคือกระบวนท่าที่อันตรายที่สุดท่ามกลางเพลงมีดของคนแล่เนื้อ!
ยอดฝีมือมารเคลื่อนไหวไปอย่างยากจะคาดเดา และร่างกายของเขาก็วูบวาบประดุจเงาผี แต่เขามิอาจสลัดฉินมู่หลุดได้ ความเร็วของเขาเร็วกว่า แต่ฉินมู่ตามติดหลังเขาราวกับว่าร่างของทั้งสองฝ่ายทากาวติดไว้ด้วยกัน
เงาร่างของยอดฝีมือมารเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างต่อเนื่อง และวิชาตัวเบาของเขาก็ประหลาดพิสดารยากจะคาดเดาอย่างถึงที่สุด ไม่นาน เขาก็สามารถสลัดฉินมู่หลุดได้และลิงโลดใจ ในที่สุดเขาก็จะได้จัดการอีกฝ่ายซึ่งๆ หน้า
ในตอนนั้น เสียงของฉินมู่ดังมาที่หูของเขา เจ้าชื่ออะไร
ชื่อของข้าคือ…
แสงมีดฉายส่อง และฉินมู่เสยใบมีดของเขาด้วยการจับย้อน ยอดฝีมือมารไม่ทันสิ้นสุดคำตอบของเขา พลานุภาพของกระบวนนี้ก็แผ่พุ่งออกไป
ขอโทษด้วย ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าพูดจบหรอก
ฉินมู่ดึงมีดกลับ พวกมันไหลลงจากมือของเขาราวกับทรายดูด แปรเปลี่ยนกลับไปเป็นไจกระบี่
ท้องของยอดฝีมือมารถูกผ่าแหวะออก และกายเนื้อของเขาก็ล้มคว่ำลงกับพื้น
ฉินมู่ระบายลมหายใจสั่นสะท้าน และสลัดหัว เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าจะต้องตายแน่นอน
เขาเอียงคอฟังเสียงดู แต่ไม่มีสรรพสำเนียงใดๆ ในภูเขาที่ล้อมรอบเขาอยู่ ผ่านไปสักพัก เขาก็กล่าวซ้ำด้วยเสียงอันแผ่วระโหย เจอยอดฝีมืออีกคน ข้าต้องตายแน่นอน
ภูเขาอันยิ่งยงรอบๆ ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
แหวะ–
ฉินมู่อ้าปากและอาเจียนเลือดออกมา ก่อนที่จะล้มคว่ำลงกับพื้น เขาบิดกระตุกสองที เตะขาดิ้นเร่าก่อนจะขาดลมหายใจไป
ภูเขาในบริเวณรอบๆ ยังคงเงียบสงัด ไร้ความเคลื่อนไหว
ใบหน้าของฉินมู่กลายเป็นเขียวคล้ำ และร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ เลือดและเนื้อของเขาเกร็งไม่กระดิก แต่ก็ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวจากรอบๆ ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็ลุกขึ้นและเดินกลับไปที่กำแพงไฟเพื่อหลอมสร้างกระบี่บินของเขาต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
สตรีเผ่ามารบนยอดเขาหนึ่งเงยหน้าของนางขึ้นและเฝ้ามองเด็กหนุ่มจากที่สูง นางพลันหันกายกลับไป และเดินไปจากที่นั่นโดยไม่ลังเล
ไอ้เด็กตีเหล็กนี่มันมารร้ายยิ่งกว่าข้าเสียอีก ข้าไม่อาจตอแยเขา!
ในตอนนั้นเอง หวงเยว่ก็ชะงักและเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาหนึ่ง ตรงนั้นมีบุคคลที่กำลังแบกดาบยาวยืนตรงอยู่
เจ๋อหัวหลี!
………….
สะเอวของเด็กสาวยั่วยวนผู้นี้อ่อนพลิ้วราวกับว่ามันเป็นกิ่งหลิวต้องลม นางยักซ้ายย้ายขวาระหว่างที่เดินตามมายังฉินมู่และหัวเราะระริก เจ้าแข็งแค่ไหนกันหรือ ข้าเพิ่งเห็นเมื่อครู่นี้ว่าความเร็วของเจ้านั้นเชื่องช้าที่สุด แม้ว่ามันจะไม่ได้ช้ากว่ามากนัก แต่มันก็แสดงว่าความสำเร็จด้านกายเนื้อของเจ้านั้นด้อยกว่าเล็กน้อย แต่กระนั้นความแตกต่างเล็กน้อยนี้ก็ทำให้กำลังฝีมือต่างกันคนละโลก
เท้าของนางหยุดยั้งตรงหน้ากระบี่บินที่ซ่อนล้อมวงรอบตัวเขา
กระบี่บินที่ฉินมู่ฝังไว้ใต้ดินนั้นเป็นกระบวนท่าแรกของภาพกระบี่ กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ เด็กสาวนี้เพียงแต่ต้องย่างเท้าเข้ามาอีกก้าว และกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ก็จะระเบิดออกมาทันที ฉีกนางออกเป็นชิ้นๆ นางจะกลายเป็นน้ำตกโลหิตในภาพของภูเขาและแม่น้ำ
แต่ทว่า การที่นางยั้งเท้าก่อนจะถึงกับดัก นางน่าจะสังเกตเห็นอะไรผิดปกติ
หางตาของฉินมู่กระตุก และเขาเอ่ยชม ฉลาดอะไรอย่างนี้ น้องสาวคนดี เจ้าชื่ออะไรหรือ
ชื่อของข้าคือท่าผอเซียงอวิ๋น เป็นศิษย์ของมารเที่ยงแท้เฉียนท่าผอ หญิงผู้นี้พิศวงกับพฤติการณ์ของเขา เมื่อผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงพบพานกับเผ่ามาร พวกเขาก็เอาแต่ตะโกนมายังพวกเราด้วยความโกรธเกรี้ยวและไม่เคยเผยยิ้มให้ เจ้าจะเป็นหนึ่งในพวกเขาได้อย่างไร เรียกข้าว่าน้องสาวคนดีทันทีที่พบหน้า? หากว่าทุกผู้คนแห่งสวรรค์ไท่หวงเหมือนกับเจ้า ข้าคงไม่ต้องสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะตั้งมากมายขนาดนี้ ข้านั้นสงสัยเอาจริงๆ เจ้ามีที่มาอย่างไร
ฉินมู่อ้าปากจะตอบ แต่ท่าผอเซียงอวิ๋นกระทืบพื้นในจังหวะนั้น แผ่นดินสั่นสะเทือน และกระบี่บินพลันพุ่งทะลวงพื้นผิวขึ้นมา!
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และเขายื่นมือขึ้นไปคว้าจับพวกมัน กระบี่บินทั้งหมดเข้ามารวบรวมในฝ่ามือของเขา และแปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่ที่กำลังจะร่วงตกถึงมือ
ขณะที่เขาดึงกระบี่มาเก็บ ท่าผอเซียงอวิ๋นก็พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ช้าไปกว่ากระบี่บินของเขา ไม่ทันที่ไจกระบี่ของฉินมู่จะก่อเป็นลูก ขาแมงมุมก็พลันปรากฏข้างหลังสตรีนางนี้ และแทงไปข้างหน้า ซัดให้ไจกระบี่กระจัดกระจายออกไป
หญิงผู้นี้ชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง และขาแมงมุมของนางก็ระดมโจมตีราวพายุ ทำลายไจกระบี่เพื่อมิให้ฉินมู่เหลือโอกาสใดๆ!
เจ้านี่อ่อนแอที่สุดจริงๆ และข้าจะเป็นผู้พิชิตเลือดหยดแรก!
ท่าผอเซียงอวิ๋นระเบิดหัวเราะเบาๆ เมื่อหนามกระดูกอันคมกริบพลันปรากฏในมือของนาง นางแทงพวกมันไปยังหน้าอกฉินมู่
เอ๋?
ขณะที่นางทำเช่นนั้น นางก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางเห็นรอยยิ้มของฉินมู่กลายเป็นแข็งทื่อ และร่วงหล่นลงเป็นกองน้ำหมึก
แต่เขามิใช่คนเดียวที่แปรเปลี่ยน แม้แต่ไฟหลีและไฟมารข้างหลังเขาก็กลายเป็นน้ำหมึก
ท่าผอเซียงอวิ๋นรีบหันกลับไปมอง และพบว่านางอยู่ในกรอบรูป ข้างนอกนั้น ฉินมู่อีกคนกำลังเดินเข้ามาหานางอย่างเยือกเย็น
ตอนนั้นเองนางถึงตระหนักว่าตนเองได้หลุดเข้ามาในภาพเขียน และนางก็กระโจนขย้ำใส่เขา!
นี่คือภาพวาด? ทำไมภาพวาดถึงสามารถเคลื่อนไหวได้ แถมยังพูดได้? ทำไมข้าถึงมองไม่เห็นพิรุธเลย
ท่าผอเซียงอวิ๋นแตกตื่น นางกระโดดขึ้น หมายที่จะกระโจนออกไปจากภาพวาด แต่นางยังคงถูกกักเอาไว้ข้างใน ทุกอย่างเป็นสีดำนอกเสียจากหมึกบนพื้นที่ยังไม่ทันแห้ง
หญิงสาวหวีดร้อง และกรงเล็บทั้งแปดข้างหลังนางก็แทงไปอย่างอำมหิตสู่ภายนอก
ฉึก ฉึก ฉึก ขาแทงมุมแทงทะลุภาพวาด และท่าผอเซียงอวิ๋นก็ลิงโลดใจ นางหมายที่จะฉีกทึ้งภาพนี้และกระโจนออกไป
กระนั้นในจังหวะนี้ ฉินมู่ก็เป่าลมออกไปหอบใหญ่ และภาพเขียนนี้ก็ปลิวไป ร่วงตกลงบนกำแพงไฟที่อยู่ในทิศทางนั้น
ในไฟหลีและไฟมารอันเข้มข้น เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังออกมาเมื่อภาพวาดนั้นถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน พวกมันก่อเป็นรูปร่างของสตรีแมงมุมซึ่งยังคงดิ้นปัดๆ ในเวลาไม่นาน นางก็ร่วงลงในกองไฟและไม่กระดุกกระดิกอีกต่อไป
น้องสาวเซียงอวิ๋น ข้าอยากยิ่งนักที่จะต่อสู้กับเจ้าอย่างขาวสะอาด แต่มียอดฝีมือมากมายเกินไป และข้าจำเป็นต้องออมแรงเอาไว้จัดการศัตรูที่กล้าแข็งกว่านี้ ฉินมู่กล่าวอย่างขอโทษขอโพย เจ้านั้นนับว่าแข็งแกร่งจริงๆ นั่นล่ะ แต่ก็ยังไม่ใช่คู่มือของข้าอยู่ดี…
ทันใดนั้น พื้นดินใต้เท้าฉินมู่ก็ยกสูงขึ้นและซัดเขาลอยขึ้นไป
รอยเท้ายักษ์ปรากฏขึ้นบนพื้นดินที่เคลื่อนไหว และจังหวะที่ฉินมู่ถูกเตะขึ้นไป หนามหินอันคมกริบไร้ที่ติก็ยิงพุ่งจากพื้นเข้าสู่เขา!
ขณะที่เขาอยู่กลางอากาศ ไจกระบี่ของเขาก็โบยบินเข้ามา และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็หมุนเป็นเกลียววนเพื่อฉีกทำลายหนามหินทั้งหลาย ขณะที่เขากำลังจะระบุตำแหน่งแห่งที่ของศัตรูนั่นเอง พื้นดินก็ระเบิดออกมาอีกครั้งและมือใหญ่มหึมาอันก่อขึ้นมาจากหินหลอมเหลวก็คว้าจับเขา
ฉินมู่ต่อยลงไป ด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง ภูเขาไฟยักษ์ก็ผงาดขึ้นและระเบิดปะทุ พลานุภาพของหมัดนั้นพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างเท่าทวีคูณ
กำปั้นและมือใหญ่ปะทะกัน และหินหลอมเหลวก็พลันแตกทำลาย พวกมันกระจัดกระจายไปอย่างสะเปะสะปะ และกลิ้งหลุนๆ ไปหลายตลบเพื่อเข้ามาเกาะรวมกันอีกครั้งก่อขึ้นมาเป็นฝ่ามือ
มันกำเข้าด้วยกันเป็นหมัด เมื่อไฟมารแผดเผาอยู่ระหว่างร่องหิน
ยักษ์แมกม่าจากฝูงมารฟ้า?
เมื่อฉินมู่กระเด็นขึ้น แขนของเขาเกือบจะหัก เขามองลงไปเพื่อที่จะเห็นแผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ฝูงมารฟ้าตนนี้ได้แปลงร่างเป็นแมกม่าที่ระเบิดออกมาจากผืนแผ่นดิน
เมื่อคนผู้นี้ร่วงลงมาบนพื้น เขาก็คำรามอย่างกึกก้อง และร่างของฉินมู่อันลอยอยู่บนอากาศก็ถูกคลื่นเสียงอันแน่นจนเป็นสสารกระแทกเข้าให้ พวกมันผลักเขาเข้าไปยังกำแพงไฟ
ไก่ดินปั้น–
ยักษ์แมกม่ายิ้มหยัน กำลังจะผละไป แต่ความสงสัยผุดขึ้นมาในหัวใจของเขา และเขาก็เหลียวหลังกลับไปดู ข้างบนนั้น ฉินมู่ลอยอยู่ในกำแพงไฟ แต่ทว่าในตอนนี้เขาได้กลายเป็นครึ่งคนหัววัวที่มีหางหนาใหญ่
พี่ชายคนดีผู้นี้ เจ้าพูดสำนวนนั้นให้จบก่อนจะไปได้หรือไม่
ฉินมู่เดินออกจากกำแพงไฟ ไฟมารและไฟหลีพวยพุ่งออกมาจากกำแพงพร้อมกับเขา และแปลงเปลี่ยนเป็นมังกรอัคคีสองตัวให้เขาเหยียบยืน
ฉินมู่สีหน้าเย็นเยียบ มันไม่ใช่ไก่ดินปั้นเฉยๆ แต่เป็นไก่ดินปั้นและหมากระเบื้อง!
เทพครองดาวอังคารแห่งดาวธาตุไฟ? ยักษ์แมกม่ามองไปที่เขาด้วยความฉงน เทพครองดาวอังคารสามารถควบคุมไฟ แต่เพียงแค่ไฟเทวะเท่านั้น เจ้าควบคุมไฟมารได้อย่างไร มนุษย์มีวิชาที่เพริศแพร้วพิสดารเช่นนั้นจริงๆ หรือ นี่ไม่ใช่แล้ว เจ้ากำลังใช้วิชาฝึกปรือของมรรคามาร! เจ้าก็เป็นเผ่ามาร?
ยิ่งขุดคุ้ยมากขึ้นเขาก็ยิ่งสับสน ฉินมู่ได้แปรเปลี่ยนเป็นลูกผสมระหว่างวัวและมนุษย์ เทวาจำแลงเทพครองดาวอังคารมีร่างของเทพเจ้าอยู่ชัดๆ แต่กลับมีไฟมารพวยพุ่งออกมาจากกายาของเขาระหว่างที่เขาควบคุมไฟมาร
ยิ่งไปกว่านั้น มันมีรอยประทับดอกไม้อัคคีบนฉินมู่ที่ดูเหมือนไฟกำลังแผดเผาอยู่ และหนึ่งในมังกรอัคคีใต้เท้าของเขาก็เป็นมังกรมาร!
มีก็แต่เผ่ามารเท่านั้นที่สามารถควบคุมทักษะเทวะอันเพริศแพร้วขนาดนี้ได้!
เหนือท้องฟ้าขึ้นไป นักบุญคนตัดไม้และเสือเทพยดาขนดำมองเห็นภาพนี้ และฝ่ายหลังมีความสงสัยเปี่ยมในแววตา เขาถามด้วยเสียงเบา นายท่าน ท่านสัมผัสนั่นได้หรือไม่
นักบุญคนตัดไม้พยักหน้าน้อยๆ ข้าสัมผัสมันได้ รูปลักษณ์ก่อกำเนิดจากหัวใจ ขณะที่มารก็ก่อกำเนิดจากหัวใจ รูปลักษณ์มารของเขาจึงเกิดจากที่หัวใจของเขาก่อเกิดมาร
เสือเทพยดาขนดำฉงนฉงาย แต่ข้ารู้สึกว่ามีอะไรผิดแผกเกี่ยวกับร่างกายของเขาอยู่ชัดๆ เขาดูเหมือนจะเป็นมารอยู่ส่วนหนึ่ง มิใช่มนุษย์เลือดบริสุทธิ์…นายท่าน ท่านโกหกอีกแล้ว ใช่ไหม
นักบุญคนตัดไม้ขมวดคิ้วเล็กน้อย และตะโกนใส่เขา ข้าเคยโกหกตอนไหน
เสือเทพยดาขนดำอ้าปากจะพูด แต่แล้วก็หุบปากลงเมื่อเห็นทวยเทพทั้งหลายแห่งสวรรค์ไท่หวงที่ยืนอยู่ข้างหลังพวกเขา ข้ายังต้องรักษาหน้าให้ตาแก่ขี้โกหกนี่อยู่บ้าง…
นักบุญคนตัดไม้สายตาวูบวาบ และคอยแต่เบือนไปจ้องมองที่ตัวฉินมู่ ความคิดของเขายากจะหยั่งคาด
เขาละสายตาออกและมองไปยังฟู่ยื่อลัวที่อยู่อีกฟาก มารเทวะนี้ก็กำลังจ้องมองฉินมู่ ดูสนอกสนใจไม่เบา
ลูกครึ่งมาร? พลังวัตรของเขาแข็งแกร่งอย่างแท้จริง ถึงกับคู่คี่สูสีกับฉือฉวนซงศิษย์แห่งสวีโม่ได้ เขาใช้พลังวัตรของเขาเพื่อชดเชยความด้อยกว่าในพละกำลังและร่างเนื้อ ฟู่ยื่อลัวแย้มยิ้มและกล่าว ครูบาสวรรค์ ผู้สืบทอดของเจ้านี่เป็นคนหนุ่มที่น่าสนใจจริงๆ ครึ่งมาร…
นักบุญคนตัดไม้ตื่นตระหนก แต่เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย มารอะไรกัน เขาเป็นมนุษย์ที่เพียงแค่ฝึกวิชาฝึกปรือแห่งมรรคามารเท่านั้น ใครจะรู้จักวิชาพวกนั้นดีไปกว่าข้า
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะเบาๆ และไม่กล่าวอะไรอีก
ยักษ์แมกม่าสูดลมหายใจลึกและร่างกายของเขาก็ขยายออกไปทีละเล็กทีละน้อยระหว่างที่เขาพุ่งตรงไปยังฉินมู่
เจ้าก็ยังเป็นแค่ไก่ดินปั้นและหมากระเบื้องอยู่ดี! กายเนื้อของเจ้ายังไม่บรรลุถึงขั้นเทพเจ้าเยาว์ ต่อให้เจ้าได้ฝึกปรือเทวาจำแลงของเทพครองดาว เจ้าก็ยังคงร่วงในหมัดเดียว!
ปราณชีวิตของฉินมู่รุนแรงเดือดพล่าน เมื่อมังกรสองตัวใต้เท้าของเขาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ดวงดาวเข้ามารวมตัวกันข้างหลังเขา เปล่งประกายเจิดจรัส พวกมันก่อขึ้นมาเป็นดาราจักรอันดาวแต่ละดวงเชื่อมต่อซึ่งกันและกันด้วยเส้นแสงสีเงิน
หากว่าสายตาของใครกระจ่างมากพอ พวกเขาก็จะมองเห็นได้ว่าบนดาวแต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนตระหง่านอยู่บนนั้น
แสงดาวเชื่อมต่อพวกมันคือรังสีแสงที่พวยพุ่งจากเทพเจ้าเหล่านั้น
พวกมันถักทอและก่อขึ้นมาเป็นเขตพลังอันพิสดาร
มันคือทักษะเทวะที่หลี่เทียนซิงสร้างขึ้นมาหลังจากที่ตรึกตรองเข้าใจวิชาร้อยรัดแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!
ในด้านของทักษะเทวะ ฉินมู่ยังไม่เคยเห็นใครที่เพริศแพร้วกว่าเขาในบรรดาพวกที่ยังไม่บรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้!
ยักษ์แมกม่ายิ้มหยัน และกำปั้นมหึมาของเขาก็ซัดตรงไปยังฉินมู่ ด้วยเสียงตูมดังสนั่น หินภูเขาก็แหลกทำลาย และฉินมู่ร่วงลงมา เขาพลิกร่างตีลังกา พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง
ยักษ์แมกม่าคำรามอย่างเกรี้ยวกราด และไฟมารบนร่างกายของเขาก็ยิ่งเผาผลาญอย่างรุนแรงมากขึ้น เขาพลันก้าวทะยานไปยังฉินมู่ และพวกเขาก็ปะทะกันอีกครั้ง มังกรคู่ใต้เท้าฉินมู่ถูกบดกระแทกเป็นชิ้นๆ จากแรงปะทะ และเขาก็ร่วงกระเด็นไป
ก้อนหินร่วงกราวลงทุกทิศทุกทางจากร่างของยักษ์แมกม่า แต่ในพริบตาถัดมา กระแสสายไฟมารก็ชักนำพวกมันคืนกลับ ไฟมารอันไหลผ่านแขนขาของเขาก็เหมือนกับโลหิตของเขา และก็ยังเหมือนกับเส้นเอ็น มันพิสดารพันลึกอย่างยิ่ง
แต่ทว่า ในชั่วจังหวะนั้น ไจกระบี่ก็บินมาและหลอมรวมเข้าไปในร่างแมกม่าของเขาพร้อมกับก้อนหินเหล่านั้น
ฟิ้ว!
กระบี่แปดพันเล่มระเบิดออก เฉือนตัดผ่านก้อนหินมากมายและไฟมาร ในเสี้ยววินาที พวกมันไหลไปทั่วร่างของยักษ์แมกม่าราวกับน้ำในแม่น้ำ และตัดสะบั้นข้อต่อของเขาทุกๆ จุด
ยักษ์แมกม่าชะงักงันไปอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะล้มครืนไปกับพื้น
ฉินมู่ก็ล้มคว่ำไปด้วยเช่นกัน แต่เขารีบพลิกตัวหงายในทันที โลหิตไหลย้อยออกจากมุมปากของเขา แต่เขาก็ยังคงพุ่งทะลวงเข้าไปอย่างดุเดือด และร่ายรำบนอากาศด้วยกระบี่ทั้งแปดพันเล่ม เมื่อเขาวิ่งไป เขาก็แตะจิ้มซ้ำๆ อย่างบ้าคลั่งด้วยนิ้วกระบี่ของตน
บนพื้น ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนและไฟมารกำลังกลิ้งไปมาหมายที่จะก่อตัวขึ้นเป็นขาอันหนาใหญ่สองข้าง พวกมันผสมผสานกับไฟมารเพื่อลอยขึ้นไปและเข้าจับตัวด้วยกันอย่างต่อเนื่อง สะเอวของมันก่อตัวอย่างรวดเร็ว และร่างกายของยักษ์แมกม่าก็กำลังจะถูกประกอบสร้างขึ้นมาใหม่
พลังชีวิตของเขาแสนประหลาด เขานั้นเป็นหนึ่งในไม่กี่เผ่าพันธุ์ที่สามารถประกอบสร้างร่างของตนขึ้นมาใหม่ได้
กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!
กระบี่แปดพันเล่มพลันก่อตัวขึ้นเป็นภูเขาและแม่น้ำแห่งแสง ในจังหวะที่ยักษ์แมกม่าประกอบร่างขึ้นมาใหม่จนถึงคอ เขาก็ถูกภูเขาและแม่น้ำกลืนกินเข้าไป และถึงจุดจบด้วยการกลายเป็นเศษหินแตกหักมากมาย
ฉินมู่ตะบึงเข้าไปอย่างเกรี้ยวกราด ด้วยมือซ้ายของเขาเป็นหยิน และมือขวาของเขาเป็นหยาง เขาไขว้พวกมันด้วยด้วยกันและกดประทับลงบนภาพกระบี่อันก่อรูปขึ้นมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์
มือหยินหยางพลิกสวรรค์ มือซ้อนมือ!
พลังฝ่ามือที่ซ้อนทับกันของหยินและหยางระเบิดออก ปราณหยางพิสุทธิ์และปราณหยินพิสุทธิ์หลอมรวมเข้ากับภาพกระบี่ อัสนีหยางและอัสนีหยินระเบิดออก ส่งเศษหินแตกหักพวกนั้นกระจัดกระจายไปทั่วทิศ ในที่สุดไฟมารกระจุกสุดท้ายก็มอดดับไป
ฉินมู่ทรุดย่อลงจับเข่าตัวเองเอาไว้และกระอักเสมหะเลือดออกมากำหนึ่ง เขาเอียงหัวมองและเห็นยอดฝีมือมารอีกคนเดินออกมาจากภูเขายังเบื้องข้าง เขาจึงบ่มพึมอย่างโมโห อีกคนเรอะ? ข้าเพิ่งสู้ไปสองรอบ เจ้าไปหาคนอื่นท้าสู้ไม่ได้หรืออย่างไร
ยอดฝีมือมารคนนั้นเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ใครใช้ให้เจ้ามานั่งตีเหล็กโดยไม่มีสาเหตุล่ะ
ฉินมู่หน้าดำทะมึนเหมือนก้อนเหล็ก
………………
แขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกเจ้าตัดไป?
ทุกคนในบริเวณรอบๆ พบว่านี่มันเหลวไหลเกินไปแล้ว ขนาดฉู่เหยาที่มั่นคงที่สุดก็ยังอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ตั้งใจตีเหล็กของเจ้าไปเถอะ
ฉินมู่เบือนสายตาไป และสีหน้าของเขากลายเป็นเคร่งเครียดอย่างประหลาด ทันใดนั้น อวี่เหอ หวงเยว่ ฉู่เหยา ซังฮั่ว และคนอื่นๆ ก็ผงะถอยออกห่างจากฉินมู่ไปก้าวหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
ในเสี้ยววินาทีนั้น พวกเขารู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่กำลังตีเหล็กข้างๆ พวกเขาจู่ๆ ก็กลายเป็นกระบี่ที่กำลังจะถูกชักออกจากฝัก รังสีแสงกำลังจะระเบิดออกมาในทุกทิศทาง จิตวิญญาณอันเฉียบขาดของเขาคุกคามร้ายกาจ แต่ทว่ามันถูกเก็บไว้ในฝักกระบี่โดยมิได้ถูกชักออกมา
คนหนุ่มสาวทั้งหลายผงะไปเพราะสัญชาติญาณของพวกตน หลีกเลี่ยงจิตหาญสู้และจิตสังหารอันน่าสะพรึงกลัว
เคร้ง เคร้ง
เสียงของเหล็กถูกฟาดทุบดังมาเมื่อฉินมู่เดินกลับไปที่โต๊ะตีเหล็ก จดจ่อกับการตีเหล็กกระบี่บินของตนเอง
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเป็นประสาทสัมผัสพวกเขาที่พลุ่งพล่านไปเองเมื่อครู่นี้หรือเปล่า
ในขณะเดียวกันนั้น อีกฟากหนึ่ง มารสาวข้างๆ เจ๋อหัวหลีมองปราดหนึ่งและกล่าวอย่างตกตะลึง บุคคลในภาพวาดของเจ้า เหมือนกับไอ้เด็กที่กำลังตีเหล็กฝั่งนั้นเลย!
เจ๋อหัวหลีม้วนภาพวาดของเขาและเก็บมันไป เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย อาจารย์ของข้าตามหาเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขากล่าวว่าเหตุผลที่วิชามีดของเขาบรรลุถึงระดับขั้นนี้ก็มาจากตัวคนผู้นี้นั่นล่ะ ตาเฒ่าร่ายรำเพลงมีดของเขาให้ข้าดู ก่อนที่ข้าจะลงมายังแดนต่ำใต้และให้ภาพวาดนี้กับข้า เขาต้องการให้ข้าเสาะหาตัวคนผู้นี้และร่ายรำเพลงกระบี่แสดงแก่เขา
มารสาวอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นพลางหัวเราะคิกคัก อาจารย์ของเจ้าดูเหมือนจะใส่ใจเขามากทีเดียว คำสั่งของเขานั้นให้เจ้าแสดงพลานุภาพของเพลงมีดเขาให้ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นดู ข้าสัมผัสได้ถึงความเกลียดแค้นในหัวใจอาจารย์เจ้า แต่มันก็มีวี่แววของความยกย่องนับถือด้วยเช่นกัน แต่ทว่า ไอ้เด็กตีเหล็กนั่นเป็นเพียงคนหนุ่มอายุเยาว์ เช่นนั้นเขาจะไปจับความสนใจของอาจารย์เจ้าได้อย่างไร
นี่ ข้าก็ไม่รู้ สายตาของเจ๋อหัวหลีจับลงบนฉินมู่ เพียงไม่กี่เดือนก่อนนี้ อาจารย์ถึงกับติดต่อข้าข้ามพิภพ กล่าวว่าบุคคลที่เขาต้องการตามหาได้ปรากฏตัวแล้ว เขาบอกให้ข้าเดินทางไปยังโลกใบนั้นเพื่อแสวงหาตัวคนผู้นั้น แต่ทว่าด้วยศึกใหญ่ที่กำลังมา ทำให้ข้าไม่มีเวลาเดินทางไปยังโลกมิตินั้น ไม่คิดฝันเลยจะได้พบพานเขาที่นี่
เขาระบายลมหายใจขาดห้วงและเสริมด้วยเสียงต่ำ การที่ดาบเทวะให้ความสำคัญแก่เขาอย่างสูงส่ง ข้าก็อยากจะเผชิญกับเขานัก!
ฉินมู่ผู้ซึ่งกำลังหลอมสร้างไม่เผยอารมณ์ใดๆ และเพียงแต่หลอมตีกระบี่บินของเขาไปอย่างไม่อนาทรสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ทว่าเจ๋อหัวหลีสัมผัสได้ว่าสายตาของเขาทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นรู้สึกไม่สบายตัว
เมื่อสายตาของเขาจ้องลงไปยังร่างของฉินมู่ เขาเห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ปรับเปลี่ยนท่าทาง
เจ๋อหัวหลีแย้มยิ้ม ไม่อาจจะระงับความตื่นเต้นของเขาได้ ดวงตาบนดาบมารของเขาก็ตื่นเต้นอย่างสุดๆ และกลอกไปมาสองสามรอบ ขยายขนาดขึ้นมาทั้งกลายเป็นแดงฉานด้วยเลือด
ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังมา ครูบาสวรรค์ ในเมื่อทุกคนมากันพร้อมพรักแล้ว พวกเราก็เริ่มกันเถอะ
พวกเราควรตั้งกฎกติกาอะไรไหม
กฎกติกา? มีกฎกติกาใดสำหรับการต่อสู้หมายชีวิต
ฟู่ยื่อลัวหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และในสนามจัตุรัส ทวนดำก็สั่นเทิ้ม จัตุรัสแตกร้าว และระเบิดดังมาจากใต้พื้นดินเมื่อเกิดรอยแยกแผ่ขยายไปทั่วสารทิศ
ฉินมู่และคนอื่นๆ พลันกลายเป็นยืนไม่มั่น พวกเขารีบเร่งเร้าปราณชีวิตของตน
นักบุญคนตัดไม้เลิกคิ้ว และขวานยักษ์ก็สั่นสะเทือนเช่นกันเพื่อต่อสู้กับทวนมาร การปะทะกันของสองเทพศาสตราพลันฉีกทำลายห้วงอวกาศในใจกลางจัตุรัสและแผ่ขยายมันออกไป!
ท่ามกลางเสียงระเบิดสะท้านโลก สีหน้าของฉินมู่และคนอื่นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง พื้นดินใต้เท้าของพวกเขาพลันยกตัวสูงขึ้น พวกเขาไม่อาจยืนอยู่ได้ด้วยสองขาหากว่ายังคงต้องการขาทั้งสอง แต่จะต้องกระโดดไปอีกฝั่งหนึ่งก็เพราะว่าแผ่นดินกำลังขยายตัวออกไป
ภูมิประเทศของลานจัตุรัสใต้เท้าของพวกเขาเปลี่ยนแปลง ในพริบตานั้น ขุนเขาผุดขึ้นมา และระยะห่างระหว่างพวกเขาก็ยิ่งขยายออกไปอย่างมากมาย
พลานุภาพของสองเทพศาสตราปะทะกันและถึงกับยืดขยายจัตุรัสนี้ราวกับว่ามันมีพลานุภาพอันไร้ประมาณที่เสกสรรภูเขามากมายขึ้นมาจากความว่างเปล่า!
หุบเหวตัดกันไปมา และภูเขาก็งอกเงยขึ้นแผ่ขยายทอดยาวไปยังทิศไกลๆ พลานุภาพอันยิ่งใหญ่ตระการนี้ทำให้พวกหนุ่มสาวได้แต่ชมดูด้วยความทึ่งอัศจรรย์ใจ
ฉินมู่มองไปที่การเปลี่ยนแปลงตรงหน้าเขาด้วยความตื่นตระหนก จัตุรัสอันแบนราบเมื่อครู่ราวกับทะเลครามเปลี่ยนเป็นทุ่งหม่อน มันผ่านการเปลี่ยนแปลงที่สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผ่านระยะเวลาเป็นแสนๆ หรือล้านๆ ปีเท่านั้น และเกิดขึ้น ณ บัดนี้ภายในเวลาแสนสั้น!
นี่คือฤทธานุภาพของเทพและมาร ฤทธานุภาพที่ปุถุชนไม่มีวันบรรลุได้!
มีก็แต่ตอนนี้แหละที่เขาได้ประจักษ์ว่าเทพและมารถือครองพลังอำนาจมากแค่ไหน มันเป็นฤทธานุภาพที่ซิงอ้าน เทพเจ้าอันปะเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ไม่มีทางคิดฝันว่าจะครอบครอง!
การที่ฟู่ยื่อลัวสามารถสกัดขัดขวางนักบุญคนตัดไม้ได้ กำลังฝีมือของเขานับว่าไม่ธรรมดา
ฉินมู่หัวใจสะท้านเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงกระบี่บินของเขา ยังมีพวกมันบางส่วนที่เอาไปเผาในไฟหลีและไฟมาร และเขาไม่ได้เรียกพวกมันกลับมาอย่างทันท่วงที
เขารีบเรียกพวกมันด้วยตนเอง และกระบี่บินก็เหินทะยานขึ้นจากที่ไกลๆ มันอยู่ห่างจากเขาไปยี่สิบลี้ แต่เขาพลันเห็นภาพอันแปลกประหลาด
ความเร็วของกระบี่บินนั้นว่องไวอย่างยิ่งยวด แต่ระยะห่างระหว่างเขากับกระบี่กลับยิ่งขยายถ่างออก!
เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากการเสกสรรโลกมิติของเทพและมาร ความเร็วการขยายตัวของห้วงอวกาศนั้นเหนือล้ำกว่าความเร็วการเคลื่อนที่ของกระบี่บิน!
ตูม!
ทันใดนั้น ห้วงอวกาศสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง และภูเขาก็หยุดงอกเงย ห้วงอวกาศก็คงที่เสถียร
กระบี่บินพวกนั้นพุ่งเข้ามา และฉินมู่ยกมือของเขาขึ้น กระบี่บินทั้งหลายก็ปะทะซึ่งกันและกัน ก่อนจะกลายร่างเป็นไจกระบี่ที่หมุนติ้วๆ อยู่บนอากาศ
เขาระบายลมหายใจโล่งอกและมองไปรอบๆ เขาไม่อาจมองเห็นซังฮั่วและคนอื่นๆ ได้อีกต่อไป
ในบริเวณโดยรอบ มีภูเขามากมายนับไม่ถ้วน แต่มันไม่ได้สูงลิ่วเป็นพิเศษ พวกมันเหมือนกับภูเขาที่โลกภายนอก เพียงแต่ย่อขนาดลงไปสิบเท่า ฉินมู่เฉือนตัดก้อนหินมากระหยิบหนึ่งและตรวจดูมันอย่างละเอียด จากนั้นเขาก็บดมันเป็นผง
พริบตาถัดมา หินนี้ก็กลายเป็นรอยประทับอักษรรูนละเอียดยิบ ที่เปล่งแสงสุดท้ายออกมา ก่อนที่จะสลายไปกับสายลมและหายสาบสูญไปโดยสิ้นเชิง
พวกมันไม่ใช่ของจริง จริงๆ ด้วย
ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและมองไปรอบๆ ภูเขาทั้งหลายที่ลดหลั่นซับซ้อนไปยังทิศไกลๆ น่าจะก่อสสารขึ้นมาโดยอักษรรูนของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้ กำลังฝีมือของพวกเขาดูจะยังไม่ถึงขั้นที่สามารถเสกสรรสสารอันแท้จริงออกมาได้
ทันใดนั้น เสียงของฟู่ยื่อลัวก็ดังกัมปนาทราวกับสายฟ้าจากนอกอวกาศ ในการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ไม่มีกฎใดๆ! โต๊ะจำลองศึกทรายนี้จะเป็นสนามรบของพวกเขา และทั้งสองฝั่งจะมีฝั่งละสิบคน ฝ่ายที่ชนะเอาชัยมาได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ! อย่างนี้เป็นเช่นไร
ฉินมู่หัวใจสั่นสะท้าน โต๊ะจำลองศึกทราย?
เขาเงยหน้าขึ้นมองยังทิศทางเสียง และเห็นใบหน้าอันใหญ่มหึมาไร้ปานเปรียบของฟู่ยื่อลัวและนักบุญคนตัดไม้เหนือท้องฟ้า พวกเขาดูเหมือนกับดาวเคราะห์บนห้วงอวกาศนอกพิภพ
นี่หมายความว่า ถึงแม้จัตุรัสจะดูขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า แต่มันก็น่าจะมีขนาดเท่าเดิมเมื่อมองจากข้างนอกสินะ
ฉินมู่ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ เรื่องทำนองนี้นับว่าเหนือจินตนาการของเขาจริงๆ!
ระหว่างที่เข้ามา เขาก็ได้คำนวณขนาดของจัตุรัสแล้ว
มันมีราชวังอยู่สองฝั่ง โดยดูเหมือนว่าจะตั้งอยู่ระหว่างหยินซ้ายและหยางขวา
ฉินมู่ได้เดินตลอดทางมาตามถนนเส้นหลัก จากนั้นก็ขึ้นบันไดมายังสนามจัตุรัส มันมีความกว้างสามร้อยสิบคืบ และมีความยาวห้าร้อยคืบ แต่ละด้านมีบันไดไปยังราชวังที่ติดกัน
หากมองจากท้องฟ้า สองราชวังใหญ่และจัตุรัสน่าจะจัดเรียงในแบบผังทำนายหลี ดังนั้นไฟหลีจึงเกิดขึ้น
บัดนี้ พื้นที่ภายในของจัตุรัสได้ขยายออกไม่ไม่รู้กี่เท่า แต่สำหรับโลกภายนอกแล้ว มันยังคงดูกว้างสามร้อยสิบคืบและยาวห้าร้อยคืบดุจเดิม มันยังคงเป็นผังทำนายหลีอันประกอบกับโถงวังใหญ่ทั้งสอง
ในสายตาของนักบุญคนตัดไม้ ฟู่ยือลัว ผางอวี้ กับเทพและมารตนอื่นๆ ฉินมู่ตั้งอยู่บนโต๊ะจำลองศึกทรายเล็กๆ การเคลื่อนไหวทั้งหมดของเขาถูกเห็นได้อย่างชัดเจนราวกับเส้นบนฝ่ามือ
ฉินมู่หรี่ตา ตอนนี้เขามีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือการถอยกลับไปที่ข้างราชวังใหญ่แห่งหนึ่งและยังคงใช้ไฟหลีขัดเกลากระบี่ของเขาต่อ อีกทางหนึ่งคือมุ่งหน้าไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย
สถานที่นั้นเป็นจุดที่ขวานของนักบุญคนตัดไม้ และทวนของฟู่ยื่อลัวปักอยู่ แทนที่จะไปเสาะหารอบๆ ก็ไปยังจุดที่ทุกๆ คนรู้ว่าแต่ละฝ่ายก็จะไปที่นั่นเช่นกันจะดีกว่า
ตราบเท่าที่พวกเขามีหัวคิด พวกเขาก็จะรู้ทันทีว่าผู้ใดที่ไปถึงสถานที่อันขวานกับทวนไขว้กันเป็นคนแรก ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบ นั่นเพราะว่าการล่วงหน้าไปถึงก่อนก้าวหนึ่ง ทำให้พวกเขาสามารถจัดตั้งกับดักและพยุหะค่ายกล พลางรอให้คนอื่นๆ มามอบชีวิตให้เอง!
ข้าขัดเกลากระบี่เสร็จไปสามร้อยสิบหกเล่ม นั่นเพียงพอแล้ว
ฉินมู่ขยับ เพิ่มพูนความเร็วของเขาอย่างรวดเร็วเพื่อพุ่งทะยานไปยังจุดศูนย์กลางของโลกจำลองศึกทราย ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ถูกขับเคลื่อนจนถึงขีดสุด และเขาก็ว่องไวประดุจแสงอันพริบพราย!
ตูม!
ความเร็วของเขาเหนือเสียง และกำแพงอากาศตรงหน้าเขาก็ระเบิดประดุจเมฆขาว ไอน้ำซัดผ่านใบหน้าของเขาเมื่อเขาพุ่งผ่านมันไป
ในตอนนั้น ฉินมู่ได้ยินเสียงระเบิดดัง และมองไปยังทิศทางเสียง เงาร่างในที่ไกลๆ ก็ได้ทะลุความเร็วและทิ้งเมฆไอน้ำไว้ท่ามกลางภูเขา
เมฆไอน้ำวงกลมค่อยๆ แผ่กระจายออกไปอย่างสะดุดตา
มันมีเมฆวงกลมทั้งหมดสิบเก้าวง และพวกมันชี้ตำแหน่งของยอดฝีมือสิบเก้าคนที่มีกายเนื้ออันกล้าแข็งอย่างอัศจรรย์ จนสามารถทะลุความเร็วเสียงได้ในเวลาพร้อมๆ กัน!
เห็นได้ชัดว่า พวกเขาล้วนตระหนักว่า หากพวกเขาไปถึงก่อนคนอื่นสักหนึ่งก้าว ยังจุดที่ขวานไขว้กับทวนอยู่ พวกเขาก็จะได้เปรียบเป็นอย่างมาก และเหนือล้ำกว่าผู้อื่น!
เส้นเลือดปูดขึ้นมาบนหน้าผากฉินมู่ปุดๆ ถึงตอนนี้เขาเพิ่งตระหนักว่าตัวเขาคือผู้ที่เชื่องช้าที่สุดในบรรดายี่สิบคนในโลกจำลองศึกทราย!
แม้แต่ความเร็วของซังฮั่วก็ยังเร็วกว่าเขาอยู่นิดหน่อย!
ยอดฝีมือทั้งสิบเก้าล้วนแต่เป็นผู้คนที่เทียบเท่ากับเทพเที่ยงแท้เยาว์ วิชาฝึกปรือที่พวกเขาฝึกมาทำให้ร่างกายของพวกเขารุดหน้าจนเหนือล้ำกว่าฉินมู่!
แบบนี้ ความเร็วที่ฉินมู่ภูมิใจนักหนาก็พ่ายแพ้แก่ยอดฝีมือคนอื่นๆ ในขั้นวรยุทธเดียวกันในที่สุด!
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็หยุด และหันกายกลับ ทุกคนมุ่งหน้าไปยังจุดที่ขวานกับหอกไขว้กัน ดังนั้นสถานที่ดังกล่าวจะต้องกลายเป็นสถานที่อันตรายที่สุดไปแทน ไม่มีใครสามารถทิ้งห่างใครได้ในแง่ความเร็ว ดังนั้นผลลัพธ์ของการมุ่งหน้าไปที่นั่นก็จะกลายเป็นการปะทะฆ่าฟันของผู้ฝึกวิชาเทวะยี่สิบคน ในท้ายที่สุด มันก็จะกลายเป็นการตะลุมบอนที่เละตุ้มเป๊ะ
ในสถานการณ์โกลาหลเช่นนั้น ง่ายที่จะเกิดอุบัติเหตุ ต่อให้เขามีกำลังฝีมือดีกว่า เขาก็อาจจะถูกกลุ้มรุมและสังหารเอาได้
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาไม่ไปที่นั่นจะดีกว่า
ในพริบตาถัดมา เงาร่างสิบเก้าเงาร่างที่กำลังพุ่งทะยานไปยังจุดที่ขวานกับทวนไขว้กันอยู่ก็พลันล่องหนและหายวับไป เขามองไม่เห็นว่าพวกเขาหายไปไหน
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และสีหน้าของเขากลายเป็นเครียดขรึม ผู้ที่รอดชีวิตมาเป็นเวลานานในสวรรค์ไท่หวงนับว่าไม่มีใครโง่เขลาเลยจริงๆ และล้วนแต่ฉุกคิดในสิ่งเดียวกันขึ้นมา น่าสนใจ ในที่สุดข้าก็ได้พบคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อ…ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะไม่ไปตามหาพวกเจ้า แต่รอให้พวกเจ้าเสาะหาข้า!
ร่างของเขาพลันพุ่งทะลวงอากาศและวิ่งตะบึงไปยังเขตขอบของโลกจำลองศึกทราย ตรงนั้นมีกำแพงไฟอันสูงยี่สิบลี้และโถงวังไหม้ไฟอันก่อขึ้นมาระหว่างไฟหลีและไฟมาร
ผ่านไปสักพัก เสียงของการตีเหล็กก็ดังมาจากโลกจำลองศึกทราย มันถึงกับดังไปไกลยี่สิบลี้
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็เห็นบุคคลแรกเข้ามา มันเป็นเด็กสาวทรงเสน่ห์ที่มีท่วงท่าอันยั่วยวน
สิบผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงล้วนแต่ทรงพลัง แต่เจ้านั้นอ่อนแอที่สุด เด็กสาวยั่วยวนมองไปที่ฉินมู่และหัวเราะคิกคัก ข้าไม่มีความมั่นใจที่จะจัดการกับคนอื่นๆ ดังนั้นข้าจึงได้แต่มารับความดีความชอบแรก
น้องสาว ฉินมู่หันกลับไปยิ้มสดใสให้แก่นาง ดูเหมือนเจ้าจะเตะโดนหินแข็งเข้าแล้วนะ
………………..
นักบุญคนตัดไม้มองไปยังฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีมารเทวะจำนวนหนึ่งนำพาศิษย์อันเป็นเป็นที่ภูมิใจของพวกเขามา ยอดฝีมือมารรุ่นเยาว์เหล่านั้นล้วนแต่เต็มไปด้วยรัศมีอันกร้าวแกร่งดุดัน แต่ละคนล้วนร่างเนื้ออันน่าแตกตื่นและแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคือยอดฝีมือที่ได้ผ่านความเป็นตายมาแล้ว
เขาได้ต่อสู้กับพวกมารมาก่อน และรู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเผ่าพันธุ์นี้ เมื่อดูจากกายเนื้ออย่างเดียว แม้ว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ แต่พวกเขาก็ยังคงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยว่ามีศึกสงครามบนสวรรค์ไท่หวงอย่างไม่หยุดหย่อน จนยากที่พวกเขาจะก่อตั้งโรงเรียนและสถาบันการศึกษาอย่างที่สันตินิรันดร์กระทำ พวกเขายังมิอาจก่อตั้งสำนักขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกด้วย ดังนั้นส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นเทพเจ้าทั้งหลายที่ไปเสาะหาผู้เยาว์ที่โดดเด่นเพื่อมาสั่งสอนพวกเขาด้วยตนเอง
การทำเช่นนั้นมีทั้งข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบ ข้อได้เปรียบนั้นก็คือว่า ด้วยการสั่งสอนโดยตรงของเทพและมาร ศิษย์ทุกๆ คนก็จะเป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิที่มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งอย่างสุดขีด ไม่มีช่องโหว่ในการสืบทอดมรรคา วิชา และทักษะเทวะในสวรรค์ไท่หวง แม้แต่วิชาฝึกปรือระดับเทพเจ้าก็ยังสามารถส่งต่อสืบทอดได้ อย่างเช่นซังฮั่ว นางนั้นได้รับการสั่งสอนจากบิดาของนางซังเย่โดยตรง
ข้อเสียเปรียบก็คือว่าบุคคลหนึ่งสามารถเรียนรู้ได้เพียงสิ่งที่อาจารย์ของตนมีสั่งสอน และก็เพียงเท่านั้น พวกเขาพบว่าการไปเรียนสุดยอดวิชาของผู้อื่นกลายเป็นเรื่องยากสุดๆ ยกตัวอย่างเช่น ซังฮั่วฝึกปรือวิชาและทักษะเทวะของซังเย่ ดังนั้นนางจึงไม่เคยเรียนรู้ทักษะเทวะที่เขาไม่มีในครอบครอง ต่อให้นางเรียนรู้มัน อีกฝ่ายก็ไม่อาจสั่งสอนนางอย่างตั้งใจได้เท่ากับซังเย่
โดยมิได้เรียนรู้วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของผู้อื่น ก็ย่อมเชี่ยวชาญแต่ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น แต่ผลพวงที่ตามมาก็คือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสวรรค์ไท่หวงไม่เกิดความคืบหน้าพัฒนาเลยแม้แต่น้อย พวกมันล้วนแต่ด้อยกว่าวิชาและทักษะในสันตินิรันดร์มาก
ฉินมู่สามารถมองเห็นประเด็นนี้ นักบุญคนตัดไม้ก็ย่อมมองเห็นเช่นกัน
เขามองไปที่เด็กหนุ่มที่ยังคงหลอมสร้างอาวุธอยู่และอดไม่ได้ที่จะสงสัยตนเอง เมื่อข้าเห็นเขาตกอยู่ในอันตรายที่สนามรบ ข้าขับเคลื่อนทักษะเทวะที่เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจได้ และเขาเรียนรู้มันโดยทันที ที่ถูกแล้วผู้สืบทอดของข้าควรจะมีพรสวรรค์อันไร้ผู้ต่อต้าน และได้ฝึกปรือวิชาที่ข้าถ่ายทอดไปจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้เขาสามารถตรึกตรองเข้าใจทักษะเทวะของข้าได้ในพริบตา แต่ทว่าทำไมตอนนี้ เขากลายเป็นดูไว้วางใจไม่ได้ไปเสียแล้ว หรือว่าวิจารณญาณของข้าจะผิดพลาด
ในตอนนั้นเอง เทพตนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาและโค้งคารวะ ครูบาสวรรค์ ยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวแห่งสวรรค์ไท่หวงอยู่ที่นี่แล้ว!
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่พวกเขาและพยักหน้าอย่างเบาๆ ให้พวกเขาเข้ามา
ซังฮั่วมองไปรอบๆ และดวงตาของนางพลันลุกวาบ เด็กฟาดฟ่อนข้าว หญิงสาวคนนั้นคืออวี่เหอ! เป็นอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาว!
ฉินมู่ดึงกระบี่ออกมาจากกำแพงไฟและเพ่งพิศตรวจตรามัน ความร้อนของมันยังไม่ได้ที่ เขาจึงยัดมันกลับเข้าไปใหม่
ซังฮั่วนั้นยิ่งกว่าตื่นเต้น นางกล่าวกับฉินมู่ อวี่เหอเป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้ และได้ผ่านการทดสอบของเจดีย์สยบเทพ นางได้สังหารยอดฝีมือมารระดับมารเที่ยงแท้เยาว์ไปถึงสามคน และได้รับการยกย่องให้เป็นอันดับหนึ่งในขั้นเจ็ดดาว! คนนั้นนั่นแหละ หญิงสาวที่เกล้าผมเป็นมวลไม้สูงจนดูเหมือนเจดีย์เล็กๆ นางสวยเหลือเกิน!
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่เด็กสาวนามว่าอวี่เหอผู้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชา นางปลดต่างหู กำไล และจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง เห็นได้ชัดว่านางพร้อมที่จะผจญศึกชิงเป็นชิงตาย
นางนับว่าเป็นยอดฝีมือที่ไม่เลว เสือเทพยดาขนดำกล่าวชม นางถอดเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นออกจากร่างกายเพื่อมิให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัด นางกล่าวได้ว่าผ่านศึกมาร้อยสนาม
เด็กฟาดฟ่อนข้าว ดูสิ ดูสิ! ทั้งสิบอันดับสุดยอดผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวอยู่ที่นี่กันหมด…ช้าก่อน นี่ไม่ถูก มีคนหายไปสองคน หรือว่าพวกเขาได้ตายไปในศึก
ฉินมู่เพ่งสมาธิกับการหลอมสร้างและสั่นเทิ้มร่างกายเพื่อเทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวอังคาร เขาดึงเอาไอน้ำเย็นมาเพื่อหล่อเย็นให้กับกระบี่ จากนั้นเขาก็จับกระบี่บินเล่มนั้นและถ่ายเทพลังวัตรลงไป ถูๆ ไปมาในมือ เขาเปลี่ยนกระบี่อันสุกสกาวให้กลายเป็นเม็ดกลมๆ
จากนั้นเขาก็ผงกหัวด้วยความพึงพอใจ
ซังฮั่วตื่นเต้นอย่างสุดๆ ดูสิ นั่นคือฉู่เหยา! อาจารย์ของเขาคือเทพเที่ยงแท้เอี๋ยนชั่ว แต่เขาน่าเสียดายนักที่ได้ตกตายไปในการต่อสู้กับฟู่ยื่อลัว…แต่ถึงอย่างไร ฉู่เหยาก็แข็งแกร่งอย่างอัศจรรย์ เขามีท่วงทีของปรมาจารย์และวิชาฝึกปรือของเขาก็เขื่องโของอาจ ขณะที่ทักษะเทวะของเขาก็ดุดัน มรรคาที่เขาเดินคือมรรคาของกายเนื้อบรรลุเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์!
เสือเทพยดาขนดำมองไปยังฉู่เหยาและพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มีท่วงทีอันสงบนิ่ง ไม่แตกตื่นแม้ฟ้าจะถล่มลงมา ต่อให้ตอนนี้เขาเผชิญกับเทพและมารมากมาย เขาก็ไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยสักนิด
เขานั้นมั่นคงกว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวที่ชูคอชะแง้ชะเง้อไปทั่วตลอดเวลาจริงๆ ฉู่เหยาผู้นี้คือยอดฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน เทพเสือขนดำชมเปาะ
ผู้คนอีกจำนวนหนึ่งข้างๆ เขาก็ไม่ธรรมดาอย่างสุดๆ แต่ละคนนั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหนุ่มหรือเด็กสาว พวกเขาก็มีรัศมีฆ่าฟันอันเข้มข้นล้อมรอบตัว พวกเขาทั้งหมดน่าจะเพิ่งมาจากสนามรบ
ซังฮั่วตื่นเต้นจนเต็มเหยียด ผู้คนเหล่านี้ที่สามารถเดินออกมาจากเจดีย์สยบเทพล้วนแต่เป็นยอดฝีมือเยาว์ และพวกเขาทุกคนก็ล้วนแต่เป็นตำนาน! นั่นคือหวงเยว่ เขาได้ผ่านศึกใหญ่มานับครั้งไม่ถ้วน และเป็นที่โด่งดังจากความดีความชอบในสนามรบของเขา! เขานั้นก็เป็นศิษย์ของเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เช่นกัน และเป็นผู้ที่ผ่านด่านทดสอบเจดีย์สยบเทพได้รวดเร็วที่สุด เพียงแต่ว่าอันดับของเขาค่อนข้างจะต่ำ เพียงแค่อันดับสาม
ฉินมู่เก็บกระบี่บินทั้งหมดที่เขาเอามาขัดเกลาเสร็จแล้ว ระหว่างที่เอาพวกที่ยังไม่ได้ทำยัดเข้าไปในไฟหลี และทำงานของตนต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่หวงเยว่ผู้ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นคนคลั่งยุทธ แม้แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้นเขาก็ยังฝึกปรือ เขาไม่ลืมที่จะโคจรวิชาฝึกปรือของตนแม้ขณะที่เดินเหิน และก็มีเมฆหมอกลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
วิชาฝึกปรือของเขาพิสดารเป็นอย่างยิ่ง และเขาได้ฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไปแล้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่อาจฉายแสดงมันออกมาได้ เขาก็สามารถให้มันสูดปราณชีวิตเข้าและออกได้แล้ว
เมฆหมอกเหนือหัวของเขาคือภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากจิตวิญญาณดั้งเดิมควบแน่นปราณชีวิต
พลังวัตรของคนผู้นี้เข้มข้นอย่างสุดๆ! เทพเสือขนดำดวงตาเป็นประกาย และเขากล่าวชม คนคลั่งยุทธอีกคนล่ะ แต่ว่าความคิดของเขาบริสุทธิ์อย่างยิ่ง เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากจะต้องแข็งแกร่งขึ้นไป ดังนั้นกรอบคิดจิตใจของเขาย่อมต้องล้ำเลิศ! เด็กฟาดฟ่อนข้าวและเด็กสาวเปียยาว เจ้าทั้งสองควรเรียนรู้จากเขา
ซังฮั่วรู้ว่าเขากำลังชี้แนะ จึงรีบผงกหัว
เทพเสือขนดำมองไปที่ฉินมู่ซึ่งกำลังนำกระบี่บินอีกชุดหนึ่งมายัดเขาไปในไฟ เขาฟาดค้อนทุบลงไปบนกระบี่อีกเล่มเพื่อขัดเกลาไล่มลทินออกไปจากข้างในนั้น
สีหน้าของเทพเสือขนดำกลายเป็นดำสนิท
อวี่เหอมองมาและสายตาของนางก็ทอดลงมาจับยังฉินมู่ผู้ซึ่งง่วนกับการหลอมสร้างกระบี่ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามซังฮั่ว ศิษย์น้องหญิงซังฮั่ว คนผู้นี้คือ?
ซังฮั่วมองไปที่นางด้วยความเลื่อมใสชื่นชม และตอบด้วยรอยยิ้ม นี่คือฉินมู่ เขามาจากโลกอื่น ชื่อฉินของเขามาจากฉินของการฟาดฟ่อนข้าว ศิษย์พี่หญิง ท่านได้กลายเป็นยอดฝีมือโด่งดังระดับโลกในการศึกที่เมืองชือ…
อวี่เหอสีหน้าหมองลง แต่ทว่าเมืองชือก็ยังคงตกลงไปในเงื้อมมือของศัตรู กำลังฝีมือของมารพวกนี้นับว่าแข็งแกร่งกว่าพวกเราจริงๆ แต่ทว่าผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงของข้าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกมารที่อาศัยจำนวนคนมากเข้ากลุ้มรุม!
ฉู่เหยาเดินเข้ามาและส่งยิ้มละไมมาให้ น้องสาวซังฮั่ว เจ้ายังมิได้เข้าไปในเจดีย์สยบเทพ ใช่ไหม ข้าเห็นว่ากำลังฝีมือของเจ้าก็เหนือธรรมดา และได้เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมากหลังจากที่เราพบกันในครั้งก่อน เจ้าจะต้องผ่านการทดสอบในเจดีย์สยบเทพได้อย่างแน่นอน
ซังฮั่วยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่และขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาถามด้วยเสียงต่ำ นี่คือ?
ฉินมู่ เด็กฟาดฟ่อนข้าว
อวี่เหอรู้สึกจนปัญญา เขามาจากต่างโลก และนิสัยใจคอของเขาค่อนข้างประหลาด เขาดั้นด้นมาถึงที่นี่เพื่อที่จะตีเหล็ก
ซังฮั่วหน้าแดงฉานและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว ฉินมู่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขามีประตูที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ว่าประตูนี้จะผ่านไปที่ใด ก็ไม่มีใครรอดชีวิต เขาสังหารยอดฝีมือเผ่ามารมากมาย เขายังมีเนตรหยกจันทราที่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ในปราดเดียว ความสำเร็จในเชิงพีชคณิตของเขาก็เก่งกาจ แต่ฝีมือวิชาแพทย์ของเขายิ่งล้ำเลิศกว่า วิชาหลอมสร้างของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าพีชคณิต…
ฟู่อวี่เซียวศิษย์ของฟู่ยื่อลัวถูกเขาสังหารหรือ
ทุกคนตื่นตระหนก และล้วนแต่มองไปยังฉินมู่ เพื่อที่จะเห็นว่าเขาก็ยังคงตีเหล็กอยู่ อวี่เหอกล่าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สมบัติของศิษย์พี่ฉินนับว่าเหนือธรรมดา
คนอื่นๆ ผงกหัว ฟู่อวี่เซียวนั้นโด่งดังท่ามกลางชนรุ่นเยาว์แห่งวรยุทธขั้นชาวสวรรค์ การที่ฉินมู่สามารถสังหารฟู่อวี่เซียวได้ คงจะต้องเป็นเพราะพลานุภาพของสิ่งที่เรียกว่าเนตรหยกจันทรานั่นเป็นแน่
นี่มิใช่เพราะสมบัติวิเศษเพียงอย่างเดียว ในเมื่อมันสำเร็จได้ก็เพราะว่าเด็กฟาดฟ่อนข้าวมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง เขากล่าวว่าเขาอาศัยพีชคณิตเพื่อคำนวณก้าวถัดไปของฟู่อวี่เซียว เพื่อที่จะสามารถยิงโดนเขา…
ขณะที่กล่าวเช่นนั้น ซังฮั่วก็รู้สึกความมั่นใจถดถอยลงไปทุกที
พีชคณิต?
ทุกคนส่ายหัว และหวงเยว่กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย พีชคณิตมีประโยชน์อะไร ไม่เพียงแต่มันไม่เพิ่มพูนพลังการต่อสู้ แต่มันยังแย่งชิงเวลาในการฝึกวิทยายุทธอีก
เสือเทพยดาขนดำกระแอมไอและกล่าวอย่างเคร่งขรึม ทุกคน ไปสงบจิตใจของพวกเจ้าก่อน เดี๋ยวก็จะต้องไปต่อสู้อย่างดุเดือดแล้ว! นายท่านของข้าได้ต่อสู้กับฟู่ยื่อลัวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ผลแพ้ชนะไม่อาจชี้ขาดได้ ดังนั้นความคิดใหม่จึงผุดขึ้นมา ให้ชนรุ่นเยาว์เป็นผู้ต่อสู้เพื่อชี้ชะตาความเป็นเจ้าของเมืองหลี! พวกเราต้องอาศัยกำลังฝีมือของพวกเจ้าหากว่าต้องการแย่งชิงเมืองหลีกลับคืนมา!
ฉู่เหยามองไปที่ฉินมู่ที่ยังคงตีเหล็กไม่หยุดและกล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกเราจะสงบจิตใจได้อย่างไรเมื่อศิษย์พี่ผู้นี้ยังคงตีเหล็กอยู่ตรงนั้น
คนอื่นๆ ล้วนพยักหน้า
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่พวกเขาด้วยความจนปัญญา โปรดอย่าใส่ใจเขา กรอบคิดจิตใจของเขาไม่เหมือนกับพวกเจ้า ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยการตีเหล็กเพื่อสงบจิตใจ
ทันใดนั้น สายตาของหวงเยว่ก็จ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้าม และเสียงของเขาแหบพร่าขึ้น เจ๋อหัวหลี ศิษย์เอกของฟู่ยื่อลัว! ข้าได้พบกับเขาในสนามรบ และในความมืด ข้าเกือบตายในน้ำมือของเขา โชคดีที่กำลังเสริมมาทัน
ฉู่เหยาเองก็จ้องไปยังยอดฝีมือเยาว์ฝ่ายมาร มีดบนหลังเขาสั่นเทิ้ม ส่งเสียงร้องของมีด ยอดฝีมือเยาว์จึงกล่าวด้วยเสียงต่ำ ข้าเองก็ได้แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากับเขาและพ่ายแพ้ บางทีอาจจะมีเพียงศิษย์พี่หญิงอวี่เหอเท่านั้นที่สามารถเอาชนะเขาได้…
สายตาของอวี่เหอไปจับจ้องที่เจ๋อหัวหลีและนางก็ส่ายหัว ข้าเพิ่งพบกับเขาในสนามรบล่าสุดนี้ แม้ว่าพวกเราจะถูกขัดขวางด้วยพยุหะกระบวนทัพหลังจากประมือได้สองท่า แต่ก็เพียงพอที่ข้าจะตัดสินกำลังฝีมือของเขา ข้านั้นไม่มั่นใจเต็มร้อยที่จะเอาชนะเขาได้…พวกเจ้าจะต้องระวังให้ดีตอนที่ต่อสู้กับเขา!
เสือเทพยดาขนดำมองไปที่ยอดฝีมือเยาว์แห่งเผ่ามารและอึ้งไปเล็กน้อย ตรงหน้าเขานั้นคือเด็กหนุ่มที่สุภาพและเต็มไปด้วยสง่าราศี ดูจากรูปลักษณ์ของเขาแล้ว มองไม่ออกเลยว่าเขาเป็นมาร
ไม่ใช่สิ! เขาไม่ใช่มาร! เขาคือมนุษย์! เสือเทพยดาขนดำหัวใจสั่นสะท้าน และเขาพลันตระหนักถึงปูมหลังความเป็นมาของเจ๋อหัวหลี เขากล่าวด้วยเสียงเบา เขามิใช่เพียงแค่ศิษย์ของฟู่ยื่อลัว แต่ยังเป็นผู้คนที่มาจากแดนเบื้องบน!
อวี่เหอ ฉู่เหยา และหวงเยว่ล้วนแต่ตกตะลึง พวกเขาหมายจะซักถามรายละเอียด แต่เทพเสือขนดำกระโจนขึ้นไปบนท้องฟ้า เขากล่าวแก่นักบุญคนตัดไม้ นายท่าน ที่มาของเจ๋อหัวหลีผิดสังเกต เขามิใช่เผ่ามาร ดังนั้นเขาน่าจะมาจากแดนเบื้องบน!
นักบุญคนตัดไม้พยักหน้าและมองไปยังฝั่งตรงข้าม เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม ฟูยื่อลัว ดูเหมือนว่าเจ้าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรียกๆ กันว่าสภาสวรรค์ ศิษย์ของเจ้าผู้นี้มาจากแดนเบื้องบน ข้าสงสัยเสียจริงว่าเขาเป็นศิษย์ของเทพสูงส่งตนใด
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน เจ๋อหัวหลีมีรากฐานอันมั่นคง และวิชามารของเขาก็ด้อยกว่าเพียงแค่ข้า กำลังฝีมือเขาโดดเด่นล้ำเลิศ และเขาเป็นศิษย์ที่ข้าชื่นชมที่สุด แต่ทว่า การคาดเดาของเจ้านั้นก็ไม่ผิด และปูมหลังความเป็นมาของเขาก็ยิ่งใหญ่ เขามีอาจารย์อีกคนหนึ่ง และเจ้าก็รู้จักเขาเช่นกัน บุคคลผู้นี้คือดาบเทวะผู้ซึ่งเรียกตนเองว่าอู๋ชวง เจ้าเคยแลกเปลี่ยนกำลังฝีมือกับเขามาก่อน
สีหน้าของนักบุญคนตัดไม้เคร่งเครียด และเขาผงกหัว ดาบเทวะลั่วอู๋ชวง แม่ทัพสูงสุดแห่งทัพหลิงซิ่ว เขานั้นนับว่าเป็นสหายเก่าจริงๆ ไม่เคยคิดเลยว่าเจ้านั้นจะเกี่ยวข้องกับเขา
ทัพหลิงซิ่ว ลั่วอู๋ชวง
อวี่เหอกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย อาจารย์ของข้าเทพเที่ยงแท้ผางอวี้เคยกล่าวถึงเขา ลั่วอู๋ชวงเป็นดาบเทวะแขนขาดแห่งยุคโบราณ เทพเที่ยงแท้ที่มีเพลงมีดอันทรงพลังอย่างยิ่ง! เขามีแขนเพียงข้างเดียว แต่เพลงมีดของเขาได้บรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ!
ฉินมู่ตกตะลึง เขาพลันหวนระลึกถึงค่ำคืนเมื่อสี่หมื่นปีก่อน และลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วที่เขาได้พบพาน
ในคืนนั้น เขายืนอยู่บนหีบเพื่อป้องกันเส้นทางหลบหนี และสะบั้นแขนของลั่วอู๋ชวงไปหนึ่งข้าง
หรือว่าลั่วอู๋ชวงทั้งสองนี้จะเป็นคนคนเดียวกัน
ฉินมู่รีบมองไปที่เจ๋อหัวหลี และฉู่เหยาก็แย้มยิ้มพลางถามไถ่ ศิษย์พี่ฉินนักฟาดฟ่อนข้าว ทำไมเจ้าไม่ตีเหล็กแล้วล่ะ
ฉินมู่ไม่ตอบ และเจ๋อหัวหลีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันรู้สึกถึงสายตาของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมา และเมื่อสายตาทั้งคู่สบกัน สายตาของฉินมู่ก็เลยไปมองยังข้างหลังของเจ๋อหัวหลี อันเขามองเห็นมีดยาวที่ดูเป็นมารและชั่วร้ายอย่างยิ่ง บนด้ามของมันมีดวงตาอยู่
ดวงตานั้นพลันเปิดออกและจ้องไปยังฉินมู่
เจ๋อหัวหลีเห็นใบหน้าของฉินมู่และตะลึงไป สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อสายตา และเขานำเอาม้วนกระดาษออกจากอกเสื้อ เขาเพ่งพิศดูมาและหันมามองฉินมู่ ก่อนที่จะพลันแย้มยิ้มออกมาด้วยความเบิกบาน
สายตาของฉินมู่จ้องเขม็งที่มีดมารพลางกล่าวอย่างเคร่งขรึม น้องสาวซังฮั่ว หากข้าบอกเจ้าว่าแขนของดาบเทวะลั่วอู๋ชวงถูกข้าเป็นคนตัดไปเอง เจ้าจะเชื่อไหม
…………………………
ซังฮั่วกระวนกระวายอย่างหนัก เทพเสือขนดำนำพวกเขาเข้าไปในรังศัตรู หรือว่าเขาจะเปลี่ยนฝ่าย
แต่ทว่า เขาเป็นเทพเจ้า ไม่มีความจำเป็นต้องโกหกพวกเรา หากว่าเขาต้องการสังหาร ก็แค่เหวี่ยงพวกเราลงไป หรือกินพวกเราเข้าไปเสีย
แม้ว่าความคิดมีเหตุผลจะกล่าวเช่นนั้น แต่นางก็ยังรู้สึกกระวนกระวายในหัวใจอยู่ดี
เพราะถึงอย่างไร พวกเขาทั้งหมดก็อยู่ในค่ายทัพของศัตรู!
เผ่ามารได้ดำรงอยู่ในสวรรค์ไท่หวงมาราวๆ สองหมื่นปี และในความทรงจำของนาง พวกเขาล้วนแต่ดุร้ายและชั่วช้าอย่างถึงที่สุด หากว่าผู้ใดตกอยู่ในกำมือของพวกเขา อาจจะพบกับชะตาอันน่าอนาถเสียยิ่งกว่าตาย!
และบัดนี้ พวกเขาอยู่ในค่ายทัพของเผ่ามาร
นางมองไปรอบๆ และเห็นไพร่พลมารจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมายังพวกเขา มารฟ้าทั้งหลายทำให้นางหนาวเยือกถึงสันหลัง พวกเขาดูเหมือนกับสัตว์ร้ายหิวโหยที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด พร้อมที่จะกระโจนขย้ำและฉีกทึ้งพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ!
ฝ่ามือของซังฮั่วเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ สายตาของนางตกลงไปยังมารเทวะตนหนึ่ง และนางไม่อาจเบือนสายตาออกไปได้
ชายผู้นั้นท่อนบนเปลือยเปล่า แต่ใบหน้าของเขาดูไม่เหมือนมนุษย์ปกติ มันมีรอยประทับอัคคีที่ปรากฏพร้อยไปทั่วร่างของเขา
ดวงตาของเขาประหลาดพิสดาร ที่กะพริบวูบวาบในเบ้าตานั้นเหมือนกับลูกไฟสองลูก เมื่อเขาเห็นพวกเขา เขาก็แย้มยิ้ม สาวน้อย ข้าเคยเห็นเจ้ามาก่อน ครอบครัวของเจ้าตายใต้น้ำมือของข้า ใช่ไหม
ซังฮั่วกำหมัดจิกเล็บแน่น แต่นางไม่กล่าวอะไร
ฉินมู่มองไปยังมารเทวะตนนั้น และม่านตาของเขาก็หรี่แคบ เขาจำได้ว่าครั้งแรกที่เขาพบกับซังฮั่ว ฝูงมารฟ้ามาโจมตีเมืองนั้น และบิดาของซังฮั่วก็ออกไปป้องกันอันทำให้เขาถูกล้อมเอาไว้ มารเทวะตนหนึ่งได้บุกตะลุยเข้ามายังบ้านตระกูลของซังฮั่วและสังหารผู้คนเกือบทั้งหมด
ในครั้งกระโน้น ภาพที่เห็นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของซังฮั่ว เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดกลัวและโทสะของนาง
ฉินมู่ได้วิ่งหนีไปทุกหนแห่งพร้อมกับนาง และนั่นนางจึงรอดพ้นมาได้โดยไม่เป็นอันตราย
ในครั้งก่อนนั้น ฉินมู่และซังฮั่วอยู่ในโลกที่แตกต่างกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มองเห็นใบหน้าของมารเทวะตนนั้นได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อดูจากสีหน้าของซังฮั่วแล้ว เขาสามารถมั่นใจได้ว่ามารเทวะที่ท่อนบนเปลือยเปล่านี้ก็คือผู้ที่ฆ่าล้างครัวของนาง
สิ่งปลูกสร้างที่นี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกับในแดนโบราณวินาศของพวกข้า ข้าได้เห็นซากโบราณมากมายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และพวกมันคล้ายคลึงกับตำหนักราชวังที่นี่ ฉินมู่พลันแย้มยิ้ม น้องสาวซังฮั่ว สวรรค์ไท่หวงของเจ้าอาจจะเกี่ยวพันกับแดนโบราณวินาศของพวกข้า
เขาอยากที่จะเบี่ยงเบนความสนใจของนาง แต่นางจ่อมจมกับความคิดในหัวใจจึงมิได้ใส่ใจเขา
เสือเทพยดาขนดำกล่าวตอบไปแทน สวรรค์ไท่หวงเป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง มันเป็นส่วนหนึ่งของสวรรค์แรกแห่งสามสิบสามสรวงสวรรค์ ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่สิ่งปลูกสร้างจะดูคล้ายคลึงกัน
สวรรค์ไท่หวงมาจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งหรือ ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง และเขาร้องออกมา สามสิบสามสรวงสวรรค์เป็นสถานที่แบบไหนกัน ไม่ใช่ว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปแล้วหรอกหรือ
เสือเทพยดาขนดำงุนงง ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจบแล้วหรือ มันจะจบได้อย่างไรก็ในเมื่อจักรพรรดิก่อตั้งยังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่จักรพรรดิก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็จะไม่มีวันถึงจุดจบ!
ฉินมู่ว้าวุ่น และหัวใจเขาเต้นโครมครามอย่างหนัก ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังไม่สิ้นสุด!
ข่าวนี้น่าแตกตื่นเกินไปแล้ว!
เขาพลันคิดถึงประสบการณ์ของเขาในแดนโบราณวินาศและในยมโลก ว่ารูปสลักราชาสวรรค์ได้ปฏิบัติตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง และขี่กิเลนมังกรออกไปสังหารราชามังกร และว่าท้าวยมราชแห่งยมโลกได้กล่าวว่าจักรพรรดิก่อตั้งเดินทางไปยังหมู่บ้านไร้กังวล
ทั้งสองเรื่องนี้คือสัญญาณอันชัดเจนว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังไม่สิ้นสุด!
แต่ถึงอย่างไร เมื่อเสือเทพยดาขนดำกล่าวออกจากปากเอง นี่ก็ยังคงทำให้ฉินมู่แตกตื่นอย่างรุนแรง
กรอบคิดจิตใจของเจ้าไม่มั่นคง นั่นจะเป็นผลร้ายกับการต่อสู้ของเจ้าในภายหลัง เทพเสือขนดำกล่าวอย่างเข้มงวด และเสียงของเขาก็ดังลั่น ความสำเร็จของเจ้าในกรอบคิดจิตใจเดิมทีก็ไม่ได้สูงส่งอยู่แล้ว ทำไมอย่างน้อยเจ้าก็ไม่รักษาจิตใจให้มั่นเสียหน่อยล่ะ
ฉินมู่งุนงง เขาถามด้วยความฉงน การต่อสู้อะไร
พวกเรามาแล้ว!
เทพเสือขนดำพลันหยุด และร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ผลักฉินมู่และซังฮั่วให้ลงจากหลัง เสือเทพยดาขนดำพลันแปลงร่างกลับเป็นเทพหัวเสือ เขามองลงไปและขมวดคิ้วให้แก่บุคคลทั้งสอง
เขาจึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง นายท่าน สองคนนี้ไร้ประโยชน์ จิตใจของพวกเขาล้วนแต่ว้าวุ่นไม่มั่นคง! พวกเขาคงจะพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถหากว่าท่านส่งไปต่อสู้!
ซังฮั่วได้เห็นมารเทวะที่เกือบจะฆ่าล้างตระกูลนางและจิตใจของนางก็พลุ่งพล่าน ทำให้ยากที่นางจะข่มระงับตนเองเอาไว้ได้ จิตใจฉินมู่ก็สั่นสะท้าน แต่สะท้านด้วยข้อมูลที่เสือเทพยดาขนดำบอกเขา เขายังคงเหม่อลอย ดังนั้นไม่ว่าใครก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีในตอนนี้
แต่ทว่า หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเสือเทพยดาขนดำ ทั้งสองคนก็ฟื้นสติกลับมาใหม่ และมองไปข้างหน้าพวกเขา ภาพที่เห็นทำให้ตื่นตระหนก
หมู่ปราสาทราชวังข้างหน้าตั้งอยู่ในทิวทัศน์อันโกลาหลและประหลาดพิสดารอย่างยิ่ง บ้างก็อาบย้อมอยู่ในกองไฟ แต่ไม่ถูกทำลายลงมา เพลิงไฟดูเหมือนจะเปล่งออกมาจากราชวังเอง แม้ว่ามันจะเกือบโปร่งแสงจากความร้อนแผดเผารุนแรง เด็กหนุ่มสามารถมองเห็นภาพข้างในปราสาทได้จากภายนอก
แสงสว่างจุดติดไปทั่วทั้งเมืองราวกับเวลากลางวัน!
บนท้องฟ้าเหนือราชวัง เทพและมารกำลังประจันหน้าซึ่งกันและกัน และฉินมู่พลันเห็นนักบุญคนตัดไม้ เขาก็เห็นเทพเจ้ามากมายยืนอยู่ข้างหลังเขา ท่ามกลางพวกเขาก็คือบิดาของซังฮั่ว
ตรงข้ามเหล่าเทพเจ้าคือมารเทวะตนหนึ่งที่ดูไม่เหมือนมารอสูร แต่กลับดูสูงส่งและสง่างาม ปัญหาเดียวของเขาคือไม่มีใบหู
ตรงจุดที่ควรจะเป็นหูซ้ายของเขา เป็นใบหน้าอีกใบหน้าหนึ่ง และมันก็เป็นเช่นเดียวกับตรงจุดที่ควรจะมีใบหูขวาของเขาด้วย
ฉินมู่มองไม่เห็นหลังของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าจะมีใบหน้าอยู่ที่ข้างหลังศีรษะด้วยหรือไม่
ทันใดนั้น เสาสีดำที่หนาหลายวาก็ผุดขึ้น มันเหมือนกับเจดีย์สีดำที่แทงขึ้นสู่ฟ้าจากลานราชวังอันกว้างใหญ่
ขวานใหญ่มหึมาเกินจินตนาการก็ถูกส่งเข้าไปในลานจัตุรัสนั้นด้วย ขวานนั้นก็ใหญ่หนาพอๆ กับเสาดำ
จนบัดนี้ฉินมู่ถึงเพิ่งสังเกตว่ามันมิใช่เสาสีดำ หรือเจดีย์สีดำ แต่เป็นทวนใหญ่มหึมา
มันไขว้กับขวานของนักบุญคนตัดไม้ และตั้งตระหง่านอยู่ในจัตุรัสใหญ่
ทั้งสองอาวุธวิญญาณมโหฬารเป็นอย่างยิ่ง และรอยแยกก็ปรากฏขึ้นมาบนพื้นจากแรงกดดัน
เข้าจัตุรัสสิ เสือเทพยดาขนดำเร่งเร้าเขา เมื่อคนข้างหน้าตาย ก็จะถึงตาเจ้า
ฉินมู่และซังฮั่วเดินตรงไปยังขอบสนามจัตุรัส มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายอยู่ข้างใน พวกเขาล้วนแต่โชกไปด้วยเลือด และกำลังปรับลมหายใจของตนเองขณะที่ยืนอยู่ในชุดเกราะ พวกเขาน่าจะเพิ่งมาจากสนามรบ
อีกฝั่งหนึ่ง ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะเยาว์อีกกลุ่มเช่นกัน แต่พวกเขาเป็นเผ่ามาร และก็น่าจะเพิ่งมาจากสนามรบด้วย ในเมื่อบางคนมีบาดแผลอยู่ พวกเขาทั้งหมดล้วนดูดุดันและห้าวหาญ
นายท่าน พวกเขามาแล้ว เสือเทพยดาขนดำโค้งคารวะนักบุญคนตัดไม้บนท้องฟ้าข้างบน
ทำไมจิตใจของพวกเขาถึงไม่สงบ
เสือเทพยดาขนดำรีบตอบทันที การฝึกปรือกรอบคิดจิตใจของพวกเขานั้นอ่อนแอเกินไป เมื่อเขาได้ยินว่าตอนนี้ยังคงเป็นยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งอยู่ วิญญาณของเขาก็เหมือนจะลอยออกไปจากร่าง
นักบุญคนตัดไม้ถลึงตาจ้องเขา และหูยาวๆ สองข้างของเขาลู่กลับไปติดหัว เขากลายเป็นเชื่องเหมือนแมวหง่าวและไม่กล้าพูดจา
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ ซึ่งกำลังพลิกคุ้ยถุงเต๋าตี้ก่อนที่จะนำก้อนเหล็กดำออกมาจำนวนหนึ่ง เขาจึงจิ้มนิ้วไปที่ไฟอันแผดเผาออกมาจากราชวัง
จิตไม่สงบและมีอารมณ์คึกไปทั่ว ข้าสงสัยว่าเขาจะมีประโยชน์ไหม หรือว่าข้าจะมีสายตาตัดสินผิดพลาด ตอนที่เขาอยู่ในสนามรบยังไม่อยากรู้อยากเห็นและกระโดดไปมาขนาดนี้…
ก้อนเหล็กดำในมือฉินมู่พลันถูกกระทบด้วยความร้อนและติดไฟลุกกลายเป็นคบเพลิง ฉินมู่โยนมันทิ้งไปโดยไม่ลังเล เปลวไฟบนก้อนเหล็กยังไม่ทันดับดีเมื่อมันกลายเป็นกองเหล็กหลอมเหลว
มันยังคงติดไฟอยู่ และไม่ทันชั่วอึดใจหนึ่ง ก็กลายเป็นขี้เถ้า
มิน่าล่ะเมืองนี้ถึงเรียกว่าเมืองหลี ที่แท้นี่ก็คือไฟหลี!
นักบุญคนตัดไม้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ขณะที่รุ่นเยาว์ข้างหลังเขาร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ทำลายความเงียบในราชวัง
ไม่เพียงแต่ยังมีไฟหลี แต่ถึงกับมีไฟมารอีกด้วย! ฉินมู่อุทาน
เสือเทพยดาขนดำอดไม่ได้ที่จะอธิบาย สถานที่นี้ถูกเผ่ามารยึดครองและไฟของพวกเขาซ่อนอยู่ในไฟหลี อันเป็นแผนการร้าย! อย่าไปแตะมัน เดี๋ยวก็เผาตัวเจ้าเองจนตายหรอก จริงสิ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีไฟมารแฝงอยู่ในไฟหลี
ไฟหลีมีความร้อนสูงและดีเยี่ยมยอดสำหรับการตีเหล็ก ในเมื่อมันสามารถหลอมละลายเหล็กดำได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีทางเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน ฉินมู่อธิบาย ไฟมารนั้นมีคุณสมบัติกัดกร่อนสูงมาก แต่อุณหภูมิของมันไม่สูงนัก ที่หลอมละลายเหล็กดำคือไฟหลี ส่วนที่เผามันจนเป็นจุณนั้นคือไฟมาร
ทันใดนั้น ดวงตาเขาก็เป็นประกาย และเสือเทพยดาขนดำก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ
ไฟมารสามารถใช้ขัดเกลาอาวุธวิญญาณ ขณะที่ไฟหลีนั้นเป็นไฟเทวะที่ดียิ่งกว่า! มาครั้งนี้เยี่ยมเหลือเกิน ไจกระบี่ของข้าสามารถพัฒนาไปอีกขั้นแน่! ฉินมู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
เฒ่าใบ้สอนแง่อัศจรรย์ในการหลอมสร้างให้แก่เขา และเขารู้ประโยชน์ใช้สอยของไฟทุกชนิด บัดนี้เมื่อเขาได้มาเห็นไฟหายากสองชนิด เขาก็อดไม่ได้ที่จะเนื้อเต้นลิงโลด เขารีบนำเอาแผ่นเหล็กและทั่งออกมาก่อนที่จะดึงค้อนเหล็กดำออกมาด้วย
พี่เสือ ท่านไม่รู้หรอก แต่ไจกระบี่ของข้าได้ถูกบ่มเพาะจนถึงขั้นที่มีความยืดหยุ่นม้วนพันไปรอบๆ นิ้วได้แล้ว อีกก้าวหนึ่งเท่านั้นมันก็จะเหมือนกับน้ำไหล ตลอดเวลามานี้ ข้าไม่อาจเสาะหาไฟคุณภาพสูง แต่บัดนี้ ในที่สุดข้าก็พบพวกมันแล้ว!
ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาออกมาและมองไปยังเสือเทพยดาขนดำที่อึ้งจนอ้าปากค้าง เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม ไฟมารสามารถเผาผลาญเหล็กดำ แต่ไม่อาจเผาผลาญแก่นทองคำทมิฬได้ กระบี่ของข้าสร้างขึ้นมาจากแก่นทองคำทมิฬพร้อมด้วยโลหะเทวะผสมข้างในนั้น โดยการเคี่ยวหลอมมันด้วยไฟมาร ข้าก็จะสามารถรีดไล่มลทินของมันออกมาได้
เทพและมารในบริเวณโดยรอบตกตะลึง พวกเขาเห็นฉินมู่จัดตั้งโต๊ะตีเหล็กขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะนำเอาผ้ากันเปื้อนสีดำหนักมารัดไว้รอบสะเอว เขาโยนกระบี่บินลงไปบนโต๊ะ จากนั้นหยิบหนึ่งในนั้นใส่เข้าไปในไฟ
เคร้ง!
เสียงของการฟาดตีเหล็กขับไล่บรรยากาศอันเคร่งขรึมออกไป ฉินมู่ฟาดทุบอาวุธวิญญาณแต่ละชิ้นของเขาอย่างจริงจัง แต่ละการฟาดทุบของเขาเต็มไปด้วยสมาธิ
เด็กฟาดฟ่อนข้าว! ซังฮั่วเรียกเขาเบาๆ เจ้ารู้วิธีหลอมสร้างสมบัติด้วยได้อย่างไร
ฉินมู่ตอบไปอย่างถ่อมตนโดยไม่เงยหน้า ข้าได้เรียนรู้มันมาก่อนสิบปี ดังนั้นข้าค่อนข้างเชี่ยวชาญมันมากกว่าพีชคณิต
ซังฮั่วแลบลิ้นออกมาและมองไปที่การตีเหล็กของเขา หัวใจของนางพลันสงบลงจากสภาวะว้าวุ่นสับสนเมื่อครู่
เมื่อบิดาของนางเห็นนางมาด้วย เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย และอ้าปาก แต่ทว่าเขาก็ฝืนไม่กล่าวอะไร
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ฉินมู่ตีเหล็กอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีเทพและมารมากกว่าสิบตนอยู่รอบๆ เสียงเดียวที่ปรากฏก็คือเสียงของเขาตีเหล็ก มันทำให้ทุกคนรำคาญใจอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น มารเทวะตรงข้ามนักบุญคนตัดไม้ก็หันหน้ามาเผชิญกับเขาด้วยใบหน้าอีกหน้าหนึ่ง เขากล่าวอย่างแช่มชื่น ในที่สุดฟู่ยื่อลัวก็ได้พบพานครูบาสวรรค์แห่งสภาสวรรค์ปลอมในกาลครั้งนั้น ได้ยินกิตติศัพท์นับว่าไม่เท่ากับได้พบหน้าจริงๆ ผู้สืบทอดของเจ้าผู้นี้น่าสนใจแท้ๆ แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะให้เขามาสู้ให้แก่เจ้า
นักบุญคนตัดไม้มีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย
ฝึกบำเพ็ญใจก็เหมือนการตีเหล็ก เมื่อครู่นี้หัวใจของเขาว้าวุ่น ดังนั้นเขาจึงเพียงแค่ใช้การตีเหล็กเพื่อสยบอารมณ์อันพลุ่งพล่านและให้หัวใจข้างในของเขาสงบลง นี่คือวิธีการฝึกบำเพ็ญใจที่ลึกซึ้งแบบหนึ่ง ฟู่ยื่อลัว เจ้ามองไม่เห็นหรือ
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ฉินมู่เงื้อค้อนขึ้นและทุบลงไปที่ใบมีดอย่างไม่หยุดยั้ง เขาดูไม่เหมือนว่ากำลังฝึกบำเพ็ญใจเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกัน เขาดูเหมือนกำลังตีเหล็กสร้างของอยู่จริงๆ เสียมากกว่า
หางตาของนักบุญคนตัดไม้กระตุกบิดเบี้ยว และเขาแทบจะไม่อาจทำหน้าตายได้อีกต่อไป ทำไมเขายังทุบตีเหล็กอยู่อีก
ข้างล่างนั้น ฉินมู่เก็บกระบี่ที่เคี่ยวกรำขัดเกลาเสร็จแล้ว และนำเอากระบี่ออกมาอีกกองใหญ่เพื่อเอาไปเผาไล่มลทินในไฟ
เส้นเลือดผุดปุดๆ ขึ้นมาบนหน้าผากของนักบุญคนตัดไม้ แต่เขาก็บังคับให้หายไปในทันที
ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดัง เจ้าจะกำจัดข้าก็ยาก และข้าเองก็ไม่อาจกำจัดเจ้าได้ ถ้าเช่นนั้น ให้พวกผู้เยาว์เหล่านี้สู้กันแทนพวกเรา! ครูบาสวรรค์ หากว่าฝ่ายของข้าชนะ เจ้าก็จงไสหัวกลับไปกอดหมอนนอนฝันหวานต่อเถอะ แต่ถ้าฝ่ายเจ้าชนะ ข้าจะถอนตัวจากเมืองหลีให้แก่เจ้า!
นักบุญคนตัดไม้ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และเสียงเคร้งๆ ก็ดังมาถึงหูเขาอีกครั้ง ฉินมู่ยังคงตีเหล็กอย่างขะมักเขม้น
ใกล้ๆ นั้น เจ้าเมืองนวลอาภากล่าวด้วยเสียงต่ำ ครูบาสวรรค์ ไม่ต้องกังวล สวรรค์ไท่หวงของข้าก็มียอดฝีมือรุ่นเยาว์ พวกเขาแล้วแต่เป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ และพวกเขาไม่มีทางด้อยไปกว่าบรรดาศิษย์ของฝู่ยื่อลัว
นักบุญคนตัดไม้มองไปที่ฉินมู่ซึ่งยังคงตีเหล็กต่อ และเขาก็ได้แต่พยักหน้า
………………………….
เพียงแค่เพลงกระบี่นี้ยังไม่เพียงพอที่ข้าจะใช้เอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ฉินมู่เก็บกระบี่ของเขาและมองไปที่สวรรค์ไท่หวงที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด เมื่อเขาทำเช่นนั้น แสงกระบี่อันน่าแตกตื่นสะท้านโลกบนท้องฟ้าก็ปลาสนาการไป
บนสนามรบ ไฟฟอนยังคงแผดเผาเปรี๊ยะปร๊ะและยังไม่ดับมอด กลิ่นฉุนของเนื้อที่ถูกเผาไหม้ลอยอบอวลไปทั่ว
ฉินมู่ได้ระบายอารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดของเขาในกระบี่เมื่อครู่ และได้บรรลุถึงจุดสูงส่งอันเขามิเคยก้าวไปถึงมาก่อน แต่ทว่าก็ยังคงมีความห่างชั้นระหว่างกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกับเขาอยู่มาก
ถึงอย่างนั้น หากว่าปราศจากแรงกดดันจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และโดยปราศจากการพบพานในแดนมืด ก็คงยากที่เขาจะก้าวมาถึงขั้นนี้ เดินออกไปจากภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน และออกจากเพลงมีดของคนแล่เนื้อ
เมื่อเขาแทงกระบี่นั้นออกไป มันก็ไม่ใช่เพียงแค่ว่าเขาได้คิดค้นเพลงกระบี่ที่เป็นของตน แต่เขายังได้โจมตีไปยังเมฆทะมึนที่คลี่คลุมหัวใจเขาอยู่ในช่วงนี้
ซังฮั่วมองไปที่แผ่นหลังของเขา การฝึกกระบี่ของเด็กหนุ่มได้ตราประทับลงไปในหัวใจของนางอย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนท่าสุดท้ายของเขา เมื่อเขาแตะที่หว่างคิ้วของตนเองแล้วจึงแทงกระบี่ออกไป อารมณ์ที่แฝงอยู่ในนั้นได้ปลดปล่อยออกมาอย่างกว้างขวาง ทันใดนั้นนางก็แทบจะมองเห็นภาพของโลกหล้าอันเปลี่ยนแปลงไปด้วยการปฏิรูป ผู้คนทะเยอทะยานมากมายต่อสู้กันในลมร้ายและฝนโลหิต พุ่งไปข้างหน้าตามหลังใครคนหนึ่ง
ในเพลงกระบี่ที่ฉินมู่ร่ายรำออกไปเมื่อครู่ ความเพริศแพร้วของมันได้เป่าจิตวิญญาณกระเจิดกระเจิง แม้ว่ากระบี่ย่างไปในทิวทัศน์จะยิ่งใหญ่เกรียงไกรและมีจิตวิญญาณของเทพสวรรค์ที่ก้าวย่างไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ แต่มันก็บรรยายเพียงแค่ภูเขาและแม่น้ำ
กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต เต็มไปด้วยรังสีฆ่าฟันและเขื่องโขดุดัน มีพรสวรรค์ของกระบี่เทวะ แต่เจตจำนงกระบี่ในนั้นหวนรำลึกถึงมรณสักขีทั้งหลาย ยังคงยึดติดกับอดีต
ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งเต็มไปด้วยความโศกเศร้า บรรยายถึงการตายจากของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
เพลงกระบี่ทั้งสามนี้มีจุดเด่น แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีจุดด้อย
ในด้านจิตวิญญาณแล้ว ซังฮั่วรู้สึกว่าพวกมันล้วนแต่ด้อยกว่ากระบวนท่าสุดท้ายของฉินมู่ ส่วนว่ากระบวนท่าไหนจะใช้งานได้ดีกว่าในการศึก นางก็บอกไม่ได้ชัดเจน
เพลงกระบี่ล้ำเลิศ นางยืนขึ้นและเดินมายังข้างกายฉินมู่ นั่นคือเพลงกระบี่อะไรหรือ
กระบี่ภัยพิบัติ
ฉินมู่เหลียวหน้ากลับไปและเห็นนางเดินเข้ามาหา นางจึงเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศไกลๆ
ทันใดนั้น ลมพายุหอบหนึ่งก็พัดมาปะทะหน้าพวกเขา และแปรเปลี่ยนเป็นเสืออันดูองอาจหล่อเหลาตัวหนึ่ง มันมีหนังสีเหลืองและลายพาดกลอนสีดำ อันขยับเยื้องไปมาตามการเคลื่อนไหวของขนและดูน่าประทับใจเหนือธรรมดา กระจุกขนอ่อนงอกเงยในหูของเขาเช่นกัน สามารถหมุนไปมาได้ทุกองศา
เพลงกระบี่ล้ำเลิศ! เพลงกระบี่นั้นนับว่าน่าประทับใจจริงๆ!
เสือเทพยดาเดินลงมาตามขั้นบันไดหินของแท่นสังเวย เท้าของเขายกขึ้นจากพื้นเมื่อเขาแปลงกายเป็นเทพเจ้าหัวเสือที่เดินตรงมายังฉินมู่ เสียงของเขาสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อเขากล่าววาจา ทำไมมันถึงเรียกว่ากระบี่ภัยพิบัติ
เสือเทพยดานี้เป็นสัตว์ขี่ของนักบุญคนตัดไม้ ซึ่งถูกอัญเชิญมายังโลกใบนี้พร้อมกับนายของเขา เขาได้แบกนักบุญคนตัดไม้เข้าไปในการศึกและกล้าหาญชาญชัยเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่หัวใจเคลื่อนเล็กน้อย เสือเทพยดาขนดำกลับมาจากแนวหน้านั้นหมายความว่านายของเขาได้ปราบปรามมารเทวะที่แนวหน้าหมดแล้ว การเปลี่ยนแปลงของฟ้าและดินหมายถึงภัยพิบัติอันยิ่งใหญ่! ฟ้าและดินอาจเปลี่ยนแปลงมิใช่เพียงแค่ภัยธรรมชาติ การรุกรานของมารฟ้า หรือว่าการที่ผู้คนตายไปเพราะอัคคีและอุทกภัย การเปลี่ยนแปลงในฟ้าและดินยังเป็นการเปลี่ยนแปลงในความคิดของผู้คนและการปฏิรูปทักษะเทวะ เปลี่ยนแปลงทักษะวิชาให้เป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่
เสือเทพยดาหันมาหาเขาและยิ้มหยันขณะที่เขาเดินขึ้นมา เปลี่ยนหัวหัวใจผู้คน ทักษะเทวะ กฎเกณฑ์ มรรคา เป็นถ้อยคำอันจองหองอะไรอย่างนี้! เพียงแค่เพลงกระบี่ของเจ้าโดยลำพัง สามารถเปลี่ยนแปลงโลกนี้ เปลี่ยนแปลงจักรวาลนี้ เปลี่ยนแปลงความคิดของสรรพชีวิตได้หรือ เพลงกระบี่ของเจ้านั้นไม่เลว แต่หัวใจเจ้าทะเยอทะยานเกินไป!
สายตาของฉินมู่กลายเป็นบ้าบิ่น และน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หากว่าหัวใจผู้คนเปลี่ยนแปลง พวกเขาก็จะไม่กลัวเทพเจ้าอีกต่อไป และเมื่อผู้คนไม่กลัวเทพเจ้า เทพเจ้าก็จะไม่มีอิทธิพลอำนาจ เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้น ทักษะเทวะก็จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างอิสระ ด้วยวิธีนั้น กฎเกณฑ์จะเปลี่ยนแปลง และเช่นเดียวกับมรรคา แบบนี้ ฟ้าและดินก็จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน!
ซังฮั่ว มองไปที่เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งเต็มไปด้วยจิตวิญญาณอันมีชีวิตชีวา แม้แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับเสือเทพยดาขนดำอันมีรัศมีเหนือธรรมดา เขาก็ไม่กริ่งเกรงเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ยกมือขึ้นชี้ไปยังสนามรบที่น่าสังเวชในความมืด เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อย แต่ในยามราตรีเช่นนั้นมันก็บีบคั้นหัวใจคน
ดูสิ! นี่คือภัยพิบัติที่เทพและมารโยนมาใส่พวกเรา เพื่อให้ผู้คนยังคงยำเกรงเทพและมารทั้งหลาย เพื่อให้หวาดกลัวและเคารพนบนอบ บูชาพวกเขา! กระบี่ภัยพิบัติของข้าจะริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงทักษะเทวะและมรรคาเต๋า จากที่นั่น ข้าจะเปลี่ยนแปลงโลกหล้า!
เขายิ่งดื่มด่ำเข้าไปอีก แม้ว่าซังฮั่วจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เขากำลังกล่าว แต่นางก็สัมผัสได้ถึงแรงบันดาลใจอันเร่าร้อนที่แผดเผาอยู่ในหัวใจของเขา!
เด็กหนุ่มผู้นี้ดูเหมือนจะมีเสน่ห์อันแพร่ติดต่อไปยังผู้อื่นได้ และทำให้ผู้คนต้องรับฟังเขา ไม่อาจต้านทานที่จะถูกอารมณ์ของเขาโน้มน้าวส่งผล
เสือเทพยดาขนดำมองลงไปยังฉินมู่ก่อนที่จะแย้มยิ้มด้วยหนวดของเขาที่แยกออกจากกัน ข้ารู้ว่าเจ้านั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา ข้าไม่เข้าใจที่เจ้าพูดทั้งหมดดี แต่ข้ารู้สึกว่ามันเป็นถ้อยคำที่ทรงพลัง กระบวนท่านี้ของเจ้ามีชื่อว่าอะไร
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไปมองที่เขาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม เพลงกระบี่นี้เรียกว่า ริเริ่มภัยพิบัติ!
เสือเทพยดาขนดำอึ้งไปเล็กน้อย ริเริ่มภัยพิบัติเพื่อเปลี่ยนแปลงหัวใจผู้คน? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในทักษะเทวะ? เพื่อการเปลี่ยนแปลงในมรรคาเต๋า? ชื่อที่ยอดเยี่ยม!
ซังฮั่วก็เข้าใจบ้างเป็นบางส่วน เด็กหนุ่มข้างๆ นางซึ่งมาจากโลกมิติอื่นกำลังจะส่งภัยพิบัติไปยังเทพและมารที่ทำให้ชีวิตของพวกนางยับเยินทนทุกข์ และเช่นนั้นเพลงกระบี่จึงเรียกว่าริเริ่มภัยพิบัติ
มันดำเนินไปตามแนวทางแห่งการปฏิรูป พัฒนาวิถีทางแห่งอดีต และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเทพแลมาร
กระบี่ภัยพิบัติของเจ้ามีกี่กระบวนท่า เสือเทพยดาขนดำถาม
ฉินมู่หน้าแดงและพึมพำ ถึงตอนนี้ก็มีเพียงหนึ่งท่า ข้ารู้สึกว่าข้าได้ใช้สอยความรู้ทั้งหมดของข้าไปจนสิ้นเพียงเพื่อสรรค์สร้างกระบวนท่านี้…
นั่นก็สมควรแล้ว เจ้าไม่มีทางสั่งสมได้มากมายขนาดนั้นหรอกที่อายุของเจ้าน่ะ หนวดของเสือลายติดอยู่ที่ใบหน้าของเขา ที่อายุเท่าเจ้า สามารถคิดค้นเพลงกระบี่นั้นก็นับว่าโดดเด่นเหนือธรรมดาแล้ว ข้ามาตามบัญชาของนายท่านเพื่อรับตัวเจ้าไป เขากำลังจะไปแลกหมัดกับใครบางคนและต้องการตัวเจ้า ตามข้ามา
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา นักบุญคนตัดไม้ต้องการพบข้าหรือ
เสือเทพยดาขนดำแปลงกลับร่างที่แท้จริงและกล่าว เจ้าได้ยินไม่ชัดหรือ เขากำลังต่อสู้กับใครบางคน และจู่ๆ เขาก็นึกถึงเจ้าขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงต้องการให้เจ้าไปหา ขึ้นมาบนหลังข้า บนเส้นทางนี้ยังคงมีอันตรายด้วยมารทั้งหลายยังเพ่นพ่านกันอยู่ ดังนั้นเจ้าคงไปสถานที่นั้นด้วยตนเองไม่ได้หรอก
นักบุญคนตัดไม้กำลังต่อสู้กับใครบางคน…บ๊ะ หากว่าเขากำลังต่อสู้ แล้วเขาจะต้องการข้าที่นั่นทำไม
ฉินมู่ฉงนฉงาย แต่เขาก็ยังคงกระโดดขึ้นไปบนหลังของเขา ซังฮั่วรีบกระโดดขึ้นไปด้วยเช่นกันพลางกล่าว พ่อของข้าก็อยู่ที่แนวหน้า ข้าอยากจะไปตามหาเขา!
เสือเทพยดาผู้งดงามในสีดำและสีเหลืองวิ่งตะบึงไปยังแนวหน้าสนามรบ ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด
แม้ว่าร่างกายของเขาจะใหญ่มหึมา แต่เขาก็เต็มไปด้วยมัดกล้ามและยามที่วิ่งไปก็เงียบกริบไร้สุ้มเสียง
เร็วกว่ามังกรอ้วนเยอะ!
ฉินมู่กำหมัดแน่นและพลันรู้สึกรวดร้าวใจ แม้ว่ากิเลนมังกรจะเร็วกว่าเดิมมาก แต่ฝีเท้าของเขาก็ยังคงหนักหน่วง และถึงกับเหยียบหินภูเขาแตกเมื่อเขาวิ่งไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ซังฮั่วมองไปยังราตรีอันมืดมิด กังวลเล็กน้อย พวกเขาได้ผละจากสนามรบและกระโดดผ่านไปยังแนวหน้า พวกเขามุ่งหน้าไปยังเมืองหลีอันเหล่ามารตั้งค่ายทัพอยู่ มารเทวะมากมายรวมตัวกันที่นั่น และท่ามกลางพวกเขาก็ยังมีมารเที่ยงแท้ฟู่ยื่อลัว!
กลับไปเมื่อตอนที่เมืองหลีถูกรุกราน ก็เป็นฟู่ยื่อลัวนี่แหละที่โจมตีด้วยตนเอง เขาขับเคลื่อนวิชามารของตนเพื่อสังหารผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองนี้ แม้แต่เทพเที่ยงแท้แห่งสวรรค์ไท่หวงก็ถูกเขาสังหาร นับว่าเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
เสือเทพยดาขนดำกระโดดข้ามกองทัพและมุ่งตรงไปยังเมือง กระทำเช่นนี้มิใช่รนหาที่ตายหรอกหรือ
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงระบุได้อย่างไรว่าบุคคลใดมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ ฉินมู่นึกขึ้นได้และถามเด็กสาวข้างๆ เขา พวกเจ้าฝึกปรือกันอย่างไร
ซังฮั่วข่มระงับความว้าวุ่นในหัวใจและกล่าว อันดับแรกเราจะดูที่พรสวรรค์แต่กำเนิด กายาวิญญาณที่มีพรสวรรค์แห่งราชันย์ย่อมไม่มีพรสวรรค์ที่ย่ำแย่ หากว่าพวกเขาฝากตัวกับอาจารย์ที่มีชื่อเสียง กายเนื้อของพวกเขาก็จะบรรลุไปถึงขั้นของเทพเที่ยงแท้เยาว์ นอกจากนั้นแล้ว สวรรค์ไท่หวงของพวกเรายังมีการทดสอบที่เรียกว่าเจดีย์สยบเทพ พวกที่สามารถผ่านออกมาจากเจดีย์ได้จะได้รับการรับรู้ว่าเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้
ฉินมู่กะพริบตาแก่นาง เจดีย์สยบเทพ? มันคืออะไรหรือ
ไม่ทันที่ซังฮั่วจะตอบ เสียงของเสือเทพยดาขนดำก็มาถึงพวกเขา เจดีย์สยบเทพนั้นเป็นสมบัติวิเศษจากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และใช้เพื่อทดสอบความสำเร็จในกายเนื้อ หากว่าผู้ใดสามารถผ่านการทดสอบของมันไปได้ มิได้หมายความว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เพียงแต่ว่ากายเนื้อของผู้นั้นพอจะผ่านเกณฑ์เทพเที่ยงแท้เยาว์อย่างเฉียดฉิว
ท่ามกลางผู้ที่ผ่านเจดีย์สยบเทพในสวรรค์ไท่หวง อย่างมากก็ครึ่งหนึ่งที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ การบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้นั้นยากยิ่งกว่ายาก ดังนั้นเอาเหตุผลที่ไหนมาบอกว่าใครก็ตามสามารถกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ได้เพียงแค่ฝึกวิชาฝึกปรือของเทพเที่ยงแท้อย่างขะมักเขม้น
ซังฮั่วก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย ผู้อาวุโส ถ้าเช่นนั้น แบบไหนถึงจะนับได้ว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้
พรสวรรค์ที่แท้จริงย่อมไม่อยู่เพียงแค่ด้านกายเนื้อเท่านั้น แต่ยังอยู่ในจิตวิญญาณดั้งเดิมอันแยกออกเป็นดวงจิตและดวงวิญญาณ ทารกวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง ดวงวิญญาณของเจ้าได้บรรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้หรือยัง
นอกจากจิตวิญญาณดั้งเดิม ยังมีกรอบคิดจิตใจ แต่ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะบรรลุถึงเขตขั้นเทวะ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะกลายเป็นเทพเที่ยงแท้ เพราะยังมีอย่างอื่นอีก ได้แก่ทักษะเทวะและมรรคา เสือเทพยดาขนดำอธิบาย
ผู้ฝึกวิชาเทวะที่พวกเจ้าถือกันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้นั้นยังคงห่างไกลนักจากการเป็นเทพเที่ยงแท้จริงๆ! ยกตัวอย่างเช่น…เจ้าหนุ่ม เจ้าชื่ออะไร
ชื่อของข้าคือฉินมู่! เขาจึงรีบเสริม จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน
จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์? ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ฉินมู่สีหน้ามืดดำทันที ตั้งแต่เมื่อลัทธิมารฟ้าก่อตั้งขึ้นมา ทุกคนก็มองว่านักบุญคนตัดไม้ว่าเป็นประมุขสูงสุดและครูบาศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่มีทางคิดฝันเลยว่าสัตว์ขี่ของนักบุญจะไม่เคยได้ยินถึงพวกเขาเลยสักนิด!
เสือขนดำจึงกล่าวต่อ ยกตัวอย่างเช่นฉินมู่ กำลังฝีมือของเขาไม่อ่อนด้อย แต่ในสายตาของพวกเจ้า ร่างเนื้อของเขาไม่ได้บรลุถึงพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กระนั้นด้วยกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งของเขา เขาสามารถต่อสู้ปะทะกับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ว่ากันว่ามีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ได้
นั่นเพราะว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน! ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น
กายาจ้าวแดนดิน? ไม่เคยได้ยินมาก่อน เสือเทพยดาขนดำวิ่งตะบึงฝ่าราตรีไปพลางพูดจา วิชากระบี่ของเจ้าเกือบจะเข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋า ดังนั้นปฏิภาณความเข้าใจของเจ้าในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก็เกือบจะถึงขั้นพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ กรอบคิดจิตใจของเจ้าอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ไม่แข็งแกร่งเพียงพอ
ส่วนจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้า มันทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และนับได้ว่าเป็นชั้นหนึ่งท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะในรุ่นปัจจุบัน นั่นจึงเป็นเหตุที่เขามีพละกำลังพอที่จะต่อสู้กับยอดฝีมือเยาว์ผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้…พวกเรามาถึงเมืองหลีแล้ว!
ตรงหน้าพวกเขา เพลิงไฟพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า เมืองอันยิ่งใหญ่มลังเมลืองอาบย้อมอยู่ในแสง บนยอดเมืองนั้นมีมารเทวะมากมายและมารอสูรจำนวนนับไม่ถ้วนยืนตระหง่าน
ซังฮั่วมองไปยังภาพนี้ด้วยความผงะ กระนั้นมารเทวะและไพร่พลมารเหล่านั้นก็ไม่ยับยั้งเสือเทพยดาขนดำ ปล่อยให้พวกเขาเข้าไปในเมืองโดยไม่ปริปาก
………………………
ซังฮั่วลุกขึ้นและหันหลังให้ฉินมู่ นางปลดกระดุมเสื้อเพื่อดูบาดแผลของนางที่ใต้คออันขาวสล้าง นางนำเอาขวดหยกออกมา และรีดไล่เลือดคั่งในบาดแผลออก ก่อนที่จะทายาลงไปให้ตนเอง
“คืนนั้นข้าบอกเจ้าไปตั้งหลายอย่าง จนข้าเองก็จำพวกมันไม่ได้อีกต่อไป” ใบหูของนางเป็นสีแดงขึ้นเล็กน้อย
อันที่จริงแล้ว ในคืนนั้นที่นางรู้สึกว่าอาจจะหลบหนีไม่ได้อีกต่อไป นางบอกฉินมู่หลายสิ่งหลายอย่าง และถ้อยคำเหล่านั้นแม้แต่เด็กหนุ่มรับฟังก็คงต้องหน้าแดง แต่ทว่านางพูดอย่างกล้าหาญชาญชัยก็เพราะว่าถึงอย่างไรฉินมู่ก็ไม่มีทางได้ยินอยู่ดี
โดยไม่คาดคิด นางรอดผ่านค่ำคืนนั้นมาได้ และเมื่อนางคิดว่าคงจะไม่มีโอกาสได้พบกับฉินมู่อีกครั้ง คำพูดเหลวไหลที่นางพูดในคืนนั้นก็ได้กลายเป็นอีกอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งในความทรงจำ นางไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นเด็กหนุ่มในความมืดอีกครั้ง ผู้ซึ่งนางได้แบ่งปันความคิดมากมายอันคั่งค้างอยู่ในใจ
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองดวงตะวัน และพอกัดฟันอดใจไว้ไม่ให้เหาะขึ้นไปทุบทำลายดวงตะวันนี้ให้เป็นผุยผง เขาจึงเดินอ้อมเด็กสาวไป และยื่นมือไปช่วยนางทายา
ซังฮั่วรีบปิดเนื้อตัวเอาไว้ “ชายและหญิงไม่ควรสัมผัสกัน…”
“ข้าเป็นหมอยา และข้าเพียงแต่ต้องการช่วยเจ้าทายาเท่านั้น ข้าปฏิบัติต่อคนไข้ราวกับบิดามารดาพึงกระทำ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ”
ตอนนี้ซังฮั่วถึงเพิ่งจำได้ที่เขาบอกว่าเขาเป็นหมอยาที่มีชื่อเสียงโด่งดัง นางจึงค่อนคลายใจลง นางมองไปอย่างสนใจใคร่รู้ถึงวิธีการที่เขาทายาให้แก่นาง พบว่าวิชามือของเขานั้นได้ฝึกปรือมาเป็นอย่างดี นางถามอย่างฉงนใจ “ความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็สูงล้ำแล้ว ทำไมเจ้ายังมีความเชี่ยวชาญในด้านการเยียวยาอีก”
ฉินมู่ตรวจดูบาดแผลบนหน้าอกของนางอย่างละเอียด “ข้าได้ร่ำเรียนศาสตร์แห่งการเยียวยามาสิบกว่าปี ขณะที่ข้าศึกษาพีชคณิตมาเพียงแค่สามปี หากว่าจะพูดแล้ว ข้าเก่งด้านการเยียวยามากกว่า”
“เจ้าจะมองดูอีกนานแค่ไหน” ซังฮั่วกล่าวอย่างโกรธขึ้งและยกมือขึ้นเพื่อปิดบังเอาไว้
ฉินมู่รีบหยุดนางเอาไว้ และค่อยๆ ปลดเสื้อของนางมาถึงหัวไหล่ เขากล่าว “ข้ารักษาคนไข้เหมือนบิดามารดาพึงทำ อืม ผิวเจ้าขาวดีจริงๆ แถมหัวไหล่เจ้าก็เนียนยิ่งนัก…ช้าก่อน!”
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย บาดแผลของซังฮั่วนั้นเกิดจากน้ำมือของยอดฝีมือมาร และมันมีทักษะเทวะและปราณมารอยู่ข้างในนั้น กัดกร่อนเลือดเนื้อและปราณชีวิตของนาง
ยากอย่างยิ่งที่จะห้ามเลือดจากบาดแผลเช่นนี้ และก็ยิ่งยากที่จะกำจัดปราณมารออกไปด้วยเช่นกัน ขี้ผึ้งยาที่ทาลงไปบนแผลนั้นได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นสีดำไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าฤทธิ์พลังยาของมันถูกปราณมารแปดเปื้อน
ฉินมู่บีบไล่ขี้ผึ้งที่กลายเป็นสีดำออกและดมฟุดฟิด เขาส่ายหัว
ขี้ผึ้งยาเช่นนี้ไม่มีผล
“โอ๊ย! ขี้ผึ้งนี้ใช้เพื่อดึงพิษออก หลังจากทาลงไปแล้ว มันจะรวบรวมปราณมารเข้ามาและเปลี่ยนสีไป” ซังฮั่วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด และนำขวดขี้ผึ้งยาออกมาอีกหลายขวด “สำหรับบาดแผลเช่นนี้ ข้าก็จะต้องทามันซ้ำๆ ไปกว่าสิบหนเพื่อดึงเอาพิษออกมาให้หมด…สายตาของเจ้าเอาแต่คอยแอบมองดู ให้ข้าทำเองดีกว่า!”
ฉินมู่นำส่วนผสมของตัวยาออกมาจากถุงเต๋าตี้ และใช้วิธีการหลอมปรุงยาของเขาเพื่อหลอมปรุงยาจำนวนหนึ่ง “พิษมารนั้นมิใช่พิษ ปัญหานั้นอยู่ในการที่ปราณชีวิตในมรรคาเทพที่เจ้าฝึกปรือนั้นไปปะทะกับวิชามรรคามาร ขี้ผึ้งที่เจ้าใช้มิใช่ขี้ผึ้งสำหรับดูดพิษออกมา แต่เป็นสิ่งที่แปรผันไปจากยาเม็ดวิญญาณอันมิได้ถูกหลอมปรุงจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ดังนั้นมันจึงอยู่ในรูปของขี้ผึ้ง ขี้ผึ้งชนิดนี้ก็มีแต่จะแปดเปื้อนปราณมารเท่านั้น ดังนั้นจึงหมดเปลืองไปเปล่าๆ ที่จะใช้มันดูดซับปราณมารออกมา”
ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เตาหลอมยาอันก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตของเขาก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือและเขาก็หลอมปรุงยาวิญญาณข้างในนั้น เขาย้อนพลิกน้ำและไฟ ผสมผสานพวกมัน และใช้วิธีหลอมปรุงยาอีกมากมายอันละลานตาซังฮั่ว
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินมู่ก็สลายปราณชีวิต และยาเม็ดกว่าสิบเม็ดก็ร่วงลงมาใส่อุ้งมือของเขา
เขาบดหนึ่งเม็ดให้เป็นผงและทามันลงไปบนบาดแผลของซังฮั่ว “ในโลกของข้า ข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์อันถูกเรียกว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าโดยผู้คน ข้ามีความเข้าใจอันเลิศล้ำต่อมรรคามาร มารนั้นกำเนิดขึ้นมาในหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือมาร ก็ล้วนแต่กำเนิดขึ้นในหัวใจ ถึงอย่างไร ข้าก็มีประสบการณ์ในการรักษาบาดแผลอันเกิดจากทักษะเทวะของมรรคามาร”
ไม่นานนัก ซังฮั่วก็รู้สึกว่าบาดแผลของนางเริ่มรู้สึกเย็น และปราณมารก็ถูกดึงออกไปทั้งหมด บาดแผลนางเริ่มที่จะคันยิบๆ อันเป็นสัญญาณว่ามันเริ่มจะสมานฟื้นฟู
“แผลของข้าหายเร็วขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าเพิ่งบอกไปว่าเจ้าแค่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในโลกของเจ้าไม่ใช่หรือ” ซังฮั่วจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง ก่อนที่จะลอบนำเปียของนางมาปิดบังหน้าอกเอาไว้ นางถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “หมอยาที่มีชื่อเสียงนิดหน่อยสามารถหลอมปรุงยาเพื่อต่อต้านปราณมารได้เร็วขนาดนี้เลย”
ฉินมู่ยื่นยาวิญญาณที่เหลือให้แก่นางและยิ้มแฉ่ง “ข้าถ่อมตนอย่างไรเล่า จริงๆ แล้วข้าไม่ได้มีชื่อเสียงนิดหน่อย แต่โด่งดังอย่างสุดๆ ในโลกนั้น แต่เจ้าคงไม่ข้าใจมันได้จากเพียงแค่คำพูดของข้าหรอก จริงไหม” เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจในตนเอง “คนส่วนใหญ่ไม่อาจจะได้ยินมัน!”
ซังฮั่วฉงนฉงาย “เจ้าไม่ช่วยข้าทายาแล้วหรือ”
ฉินมู่เดินไปยังคนอื่นๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา “เมื่อครู่นี้ข้าเพียงแต่จะตรวจดูบาดแผลเท่านั้น เจ้าทายาเองได้ คนอื่นก็ต้องได้รับการช่วยชีวิตเช่นกัน”
ซังฮั่วดึงเสื้อของนางขึ้นและมองไปที่เขารีบวิ่งไปทางนั้นทีทางนี้ที นางคิดในใจ เขาปฏิบัติต่อคนไข้เหมือนที่บิดามารดาพึงทำจริงๆ และไม่มีความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ บุคคลนี้เป็นสุภาพบุรุษที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าสายตาของเขาชอบสอดส่ายไปทั่วเท่านั้น…
ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายบนแท่นสังเวย ก่อนที่จะมองลงไปยังผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน และทหารฝูงมารฟ้ามากมายที่นอนก่ายกองในสนามรบ มีผู้คนที่ออกมาเคลื่อนย้ายคนเจ็บ และมีบางกลุ่มที่มาปลิดชีวิตพวกมารที่ยังคงไม่ตายสนิท
สนามรบกว้างใหญ่เต็มไปด้วยเพลิงไฟอันหลงเหลือจากทักษะเทวะ พวกมันเผาไม้รถศึก ซากร่างที่ล้มร่วง ธง และอาวุธวิญญาณอันปักตั้งอยู่กับพื้น
ไกลออกไปลิบๆ การสังหารเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อ
โลกที่ฉินมู่ได้เข้ามานี้ช่างโหดร้ายทารุณอย่างประหลาด แม้ว่าเขาจะเคยผ่านสนามรบมาแล้วหลายแห่ง แต่ภาพตรงหน้าเขาก็ยังคงทำให้เขาสะท้านใจ
“ศาสตร์วิชาแพทย์มิอาจกู้โลกแห่งนี้ได้หรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว การรักษาเยียวยาของเขาสามารถช่วยชีวิตคนได้เพียงไม่กี่คน หากว่าเขาต้องการจะช่วยเหลือทุกคนที่บาดเจ็บในสนามรบแห่งนี้ เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนๆ ที่นี่มีศึกเล็กทุกสามวันและศึกใหญ่ทุกห้าวัน เขาไม่มีความสามารถที่จะรักษาเยียวยาทุกๆ คนได้ทัน
เขาเงยหน้าขึ้นมาท้องฟ้า ดวงตะวันอันพิกลพิการมืดมัวลงและกลายเป็นสีแดง
ดวงตะวันสองดวงคาอยู่กับที่และไม่เคลื่อนไหว มันคงจะถูกตั้งเวลาเอาไว้ว่าทุกๆ กี่ชั่วโมงมันจะเริ่มหรี่แสง
‘เทพเจ้าที่สร้างดวงตะวันมีความคิดสร้างสรรค์ที่ดี แต่ความสำเร็จเชิงพีชคณิตของเขาไม่ค่อยสูงเท่าไร… ฉินมู่เบือนสายตาออกไปไกล รู้สึกเหมือนดวงตะวันนี้กำลังเผาดวงตาของเขา น่าเกลียดเหลือเกิน! หากว่าข้ายังมองพวกมันอยู่ ข้าคงอดไม่ได้ที่จะขึ้นไปซ่อมพวกมัน…
เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ แท่นสังเวย พลางโคจรปราณชีวิตของเขาเพื่อขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมกันเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม หลอมรวมจิตวิญญาณและร่างเนื้อเข้าเป็นหนึ่งเดียว
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหยียบอยู่บนแท่นวิญญาณ และผสานทิศทั้งหก ด้วยดวงตะวันและจันทราเหนือหัวของเขา ปราณชีวิตก็เคลื่อนคล้อย ไหลผ่านทุกส่วนของร่างกาย เส้นผมเขาปลิวไสวขึ้นมาเล็กน้อย
ในการต่อสู้ เขาได้เห็นสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ผ่านประสบการณ์เป็นตายบนสนามรบ ได้เปลี่ยนกรอบคิดจิตใจของเขาให้ดีขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ตั้งแต่การต่อสู้กับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เขาก็ได้หดหู่ซึมเศร้ามาตลอด เมื่อต่อสู้ เขาถึงกับไม่สามารถร่ายรำกระบวนท่าออกไปได้ และถูกคนแล่เนื้อดุด่าอย่างหนัก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าออกกระบวนท่าไป เขาเพียงแต่รู้สึกว่าไม่ว่ากระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดที่เขาใช้ออกมา มันก็ผิดไปทั้งหมด
สาเหตุที่มันผิดไปทั้งหมดนั้นมิใช่เพราะว่าความมั่นใจของเขาสูญเสียไปจากการเผชิญหน้ากับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ปัญหาอยู่ที่ว่าการปะทะกันครั้งนั้นได้ถ่างขยายขอบฟ้าวิสัยทัศน์และนำเขาไปอยู่บนจุดที่มองลงมาสูงกว่าที่เคยจะคิดฝัน
เมื่อมองลงมาจากบนนั้นดูทักษะเทวะและกระบวนท่าที่เขาได้เรียนมาก่อน เขาก็เห็นแต่ช่องโหว่เต็มไปหมด!
ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาสูง แต่รากฐานของเขาไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองและก้าวย่างไปสู่เขตขั้นถัดไป ดังนั้นเขาจึงไม่อาจร่ายรำกระบวนท่าหรือทักษะเทวะใดๆ เขารู้สึกว่ามันก็จะถูกทำลายไปอยู่ดี และเขาก็คงจะตายในพริบตาถัดมา
เขาได้ถือเอาคู่ต่อสู้เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก อันทำให้เขามีความรู้สึกเช่นนี้
กระนั้นเมื่ออยู่บนสนามรบ ฉินมู่ไม่มีเวลามาคิดเรื่องทั้งหมดนั่น สถานการณ์ที่นั่นเปลี่ยนแปลงไปทุกๆ เสี้ยววินาที ดังนั้นเขาจึงไม่อาจมัวมาใส่ใจว่ากระบวนท่าของเขาจะมีช่องโหว่หรือไม่ เขาได้แต่ขับเคลื่อนมันออกไปเพื่อสังหารศัตรูที่ทรงพลังหรือเช่นนั้นก็จะต้องตาย
หลังจากการต่อสู้ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาได้ย่างสู่เขตริมขอบที่กำลังจะไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ตราบเท่าที่เขาผ่านประตูนั้นไป เขาก็จะมองเห็นท้องฟ้าผืนใหม่อย่างแน่นอน ถนนสายกว้างรออยู่ตรงหน้าเขา!
ร่างกายของเขาเริ่มเปล่งแสงสุกสกาวของดวงอาทิตย์เมื่อปราณชีวิตเคลื่อนคล้อยไปข้างในตัวเขา เชื่อมต่อทารกวิญญาณ ห้าธาตุ และหกทิศ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายเปล่งแสงจำรัสออกมาส่องสว่างสมบัติเทวะ เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นมนุษย์แสง
แม้แต่สมบัติเทวะชาวสวรรค์ของเขาก็ฉายโชนจนกระทั่งมองเห็นประตูของมัน
ในขณะเดียวกันนั้น ข้างใต้สมบัติเทวะหกทิศ ประตูอันลึกล้ำและมืดมิดก็มองเห็นอยู่ลางเลือน มันคือประตูแห่งขั้นวรยุทธเป็นตายที่เชื่อมโยงไปยังแดนใต้พิภพ
ฉินมู่เดินไปด้วยฝีเท้าอันมั่นคง ในนครหยกน้อย เขาได้สังเกตดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ฉินชงหมิง แห่งนครหยกน้อยเป็นเวลานาน
จากนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เริ่มต้นยกเครื่องสมบัติเทวะของเขา และซ่อมปะในสิ่งที่เขาบกพร่อง
โฮกกก!
ปราณชีวิตในร่างกายของเขาเขย่าและส่งเสียงคำรามมังกรออกมาระลอกหนึ่ง ปราณมังกรกระหวัดพันรอบกายเขา มุดเข้าและออกเพื่อเคี่ยวกรำบ่มเพาะมัน ทันใดนั้น ด้วยฝ่ามือของเขาต่างมีด ฉินมู่ก็โจมตีระหว่างที่เดินไปรอบๆ ขอบแท่นสังเวย
ลมเริ่มพัดอื้ออึง และมีดก็ร่วงกราวลงมาราวห่าฝน ลมฝนราตรีทลายเมือง!
ดวงตะวันโผล่ขึ้นและกระโดดออกมาจากผิวมหาสมุทร ตะวันทะเลบูรพา คลื่นซัดพันระลอก!
มีดทองประดับด้วยหยกขาว แสงวาบวาวเสียดราตรีทะลุบานเกล็ด ชายวัยห้าสิบไร้ความสำเร็จ ด้วยใจเด็ด…แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน!
หลังเผชิญวิกฤตการณ์อันกริ่งเกรง ความหวังคนย่อมมาเองและผลิบาน เหลียวมองดูน่านฟ้าทะเลไกล การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เป็นเพียงควัน!
ในสนามรบอันกว้างใหญ่และนองเลือด เพลงมีดของคนแล่เนื้อพลันกลายเป็นพลุ่งพล่านและเปี่ยมชีวิตชีวา สะท้อนภัยพิบัติในโลกหล้า
เพลงมีดของฉินมู่เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ทันใดนั้น แสงมีดทั้งหมดก็หายวับ ลม ฝน ดวงตะวัน มหาสมุทร ทั้งหมดหายสาบสูญไปเช่นกัน ฉินมู่คีบนิ้วเป็นกระบี่ และปราณชีวิตของเขาก็สั่นสะเทือนเพื่อก่อขึ้นมาเป็นเส้นด้ายกระบี่ เขาพลิกและเฉียดมันเบาๆ เพลงกระบี่ของเขาเพริศแพร้วอย่างอัศจรรย์ ทันใดนั้น พวกมันก็เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ในพริบตาเดียว กระบี่ยาวของเขาก็กรีดพุ่งผ่านอากาศและเริงระบำบนเวหาเหนือแท่นสังเวยราวกับมังกรไร้เขาสีเงินตัวหนึ่ง
ฉินมู่เดินไปรอบๆ แท่นสังเวยขณะที่แสงกระบี่ของเขากวาดซัดผ่านอากาศ กลายเป็นว่องไวขึ้นและว่องไวขึ้น เร่งร้อนขึ้นและเร่งร้อนขึ้น
ภัยพิบัติของสวรรค์ไท่หวงทำให้เขาได้รับมรรคผลบางอย่าง และเขาก็ปลดปล่อยอารมณ์ทั้งหมดออกไปโดยไม่รู้คัว เขาเรียนรู้มันผ่านเพลงกระบี่ของเขา ผ่านปราณชีวิตของเขา
กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง
กระนั้นเมื่อภัยพิบัติมาถึงจุดที่ร้ายกาจดุดันที่สุด ฉินมู่ก็พลันสลายแสงกระบี่ทั้งหมด และนิ้วกระบี่ของเขาก็พลันแตะไปที่หว่างคิ้วของตนเอง มันไม่เพียงแต่แตะลงไปยังตำแหน่งทางกายภาพของร่างกายเขาเท่านั้น แต่ยังแตะลงไปบนหว่างคิ้วของทารกวิญญาณเขาอีกด้วย
จิตวิญญาณทั้งหมดของเขา และปราณกระบี่ทั้งหมดเข้ามารวบรวมอยู่ในนิ้วของเขา
เขาได้ตรึกตรองเข้าใจแล้วว่าภัยพิบัติหมายถึงอะไร
ภัยพิบัติหมายถึงภัยอันตรายอันแผ่กว้างที่ผู้คนต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด อันเหมือนกับแสวงหาความหวังในขุมนรก วีรบุรุษอย่างคนแล่เนื้อใช้มีดของเขาเพื่อสลักเสลาความหวังออกมาให้แก่ผู้คน กษัตริย์มนุษย์อย่างผู้ใหญ่บ้าน แบกรับความยากลำบาก และภาระความรับผิดชอบให้แก่ทุกคนมาตลอดทั้งชีวิต และยังมีการดิ้นรนต่อสู้ของผู้คนที่อยู่ข้างหลังวีรชนเหล่านี้อีกด้วย
มันคือชีวิตที่ต้องกลบฝังให้แก่ญาติมิตรของตนเองในทุกๆ วัน
สองนิ้วกระบี่ของฉินมู่แทงไปข้างหน้า และกระบี่พรรณรายดุจสายรุ้งก็พวยพุ่งไปไกลกว่าสิบลี้
บนนภากาศ ดวงตะวันครึ่งซีกหนึ่งหรี่มัวลง มีก็แต่แสงกระบี่ที่ปรากฏ
ระหว่างที่แสงกระบี่สาดส่องอยู่บนฟากฟ้า ฉินมู่ก็ยืนอยู่บนแท่นสังเวยด้วยความตะลึงงัน กระบวนท่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าเขาเสาะพบมรรคาของตนเอง
…………..
ร่างสองซีกของแม่ทัพมารฟ้าร่วงลงมาจากเวหาก่อนที่เขาจะได้หายใจเฮือกสุดท้ายเสียอีก เมื่อเขาร่วงลงมาเขาก็บิดกระตุกอีกสองสามที
เขาเป็นยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์และมีหัวงอกเงยขึ้นมาทั้งสี่หัว ฉินมู่ได้ใช้เนตรหยกจันทราเพื่อเฉือนตัดเขาออกครึ่งหนึ่ง แต่ด้วยพลังชีวิตอันทรงพลังของเขา เขาก็ไม่ได้ตายไปในทันที
หัวทั้งสี่ของเขาจ้องไปที่ฉินมู่อย่างอาฆาตดุดัน แต่ไม่นานเขาก็หมดพลังงานและก็ตายจากไป
ในบริเวณโดยรอบ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งสวรรค์ไท่หวงไม่อาจลบความตื่นตระหนกออกจากสีหน้า พวกเขาจ้องมองไปด้วยสายตาว่างเปล่าไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังง่วงคำนวณเรื่องของตนเองอยู่ท่ามกลางสนามรบอันนองเลือด
แม่ทัพมารฟ้าอันดุร้ายน่ากลัวได้เป็นยอดฝีมือสูงล้ำแห่งขั้นชาวสวรรค์ ทั้งยังเป็นยอดฝีมือเยาว์ที่โด่งดังท่ามกลางเผ่ามาร กำลังฝีมือของเขาทั้งลึกล้ำและไร้ปรานี ดังนั้นหากว่าเขาได้ลงมือโจมตี ผู้คนนับร้อยก็คงตกตายบนแท่นสังเวยนี้ ทว่าเขาถูกหยุดยั้งไว้ได้
“นี่คือใคร” ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงผู้หนึ่งถามด้วยเสียงเบา
ข้างๆ เขา บางคนกล่าว “เขาคือศิษย์ของมารเทวะฟู่ยื่อลัว และท่ามกลางยอดฝีมือมารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เขาจัดอยู่ในอันดับที่เจ็ด เขามีชื่อเสียงว่าเป็นผู้ฝึกปรือฝีมือแกร่งที่จะเติบโตเป็นมารเที่ยงแท้ ศิษย์รักที่สุดของฟู่ยื่อลัว…”
“ไม่ ข้าหมายถึงเขา”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน…”
…
เด็กสาวเปียยาวดึงฉินมู่ให้ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเพิ่งสังหารฟู่อวี่เซียว เจ้าหมอนี่มีตำแหน่งอันสูงส่งท่ามกลางเหล่ามารแห่งขั้นชาวสวรรค์ เจ้าได้ทำความชอบอันยิ่งใหญ่!”
ฉินมู่ปรายตามองศพนี้ด้วยความตื่นตระหนก “ตำแหน่งเขาสูงหรือ มิน่าล่ะเขาถึงแข็งแกร่งนัก หากว่าข้ามิได้เรียนกระบวนท่าหนึ่งจากนักบุญคนตัดไม้ ข้าก็คงไม่สามารถแม้แต่จะต้านรับกระบวนท่าเดียวจากเขาได้”
เขานั่งยองๆ ลงอีกครั้งและคำนวณต่อ
เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เนตรหยกและถามอย่างสงสัย “เจ้าสังหารเขาอย่างไร ลูกตานี้…”
“มันถูกสร้างโดยเทพเจ้าในยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง พวกเขาก่อสร้างวงจรพยุหะบนดวงจันทร์เพื่อใช้พลังงานของมัน” ฉินมู่กล่าวก่อนที่จะมุ่งสมาธิกับการคำนวณของเขาอีกครั้ง “ฟู่อวี่เซียวมีสี่หัวซึ่งใช้ควบคุมร่างกายพร้อมๆ กัน นี่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันของสำนึกรู้ แต่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับบางอย่างหัวทั้งสี่ของเขาก็ไม่ควบคุมร่างกายแยกจากกัน”
“ปฏิกิริยาตอบโต้ของเขานั้นน่าจะเป็นความทรงจำกล้ามเนื้อ ข้าเพียงแต่ต้องคิดคำนวณมันตามทักษะเทวะและกระบวนท่าของเขา ว่ากล้ามเนื้อของเขาจะเคลื่อนที่อย่างไรเมื่อตกอยู่ในอันตราย หลังจากที่รู้เช่นนั้น ข้าก็กระตุ้นการทำงานของเนตรหยกจันทรานี้ เมื่อเขากระโดดขึ้นไปบนอากาศ เขาก็จะปะทะเข้ากับรังสีแสง และเอาตัวมาตายเอง”
เด็กสาวเปียยาวมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง ความตื่นตระหนกฉายชัดบนใบหน้าของนาง เขาจะกระโจนเข้าไปใส่การโจมตีและเอาตัวมาตายเอง?
การคำนวณสามารถใช้เช่นนั้นได้ด้วยหรือ เขาคำนวณมันออกมาได้อย่างไร
“เจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตอยู่ที่นี่ไหม” ฉินมู่เปิดถุงเต๋าตี้ของเขา และอาวุธวิญญาณสำหรับการคำนวณก็บินกลับเข้าไปข้างใน เขาขมวดคิ้วและกล่าว “เพื่อสร้างสะพานโลก จำต้องอาศัยการคำนวณเป็นจำนวนมาก หากว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่ทำ ข้าคะเนว่าคงต้องอาศัยเวลาครึ่งปีถึงจะคำนวณสมการสำหรับการแปรรูปและการเปลี่ยนผ่านของพลังงานเซ่นสังเวย ถึงตอนนั้นข้าจึงจะค่อยเริ่มสร้างตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติสำหรับสะพานที่ทอดยาวข้ามระหว่างสองโลกได้”
รอบข้างเงียบกริบ
ผ่านไปสักพัก เด็กสาวเปียยาวก็ถามด้วยเสียงอันขมขื่น “เจ้าพูดว่าอะไรนะ สมการ?”
“สมการ สมการคณิตศาสตร์ใช้เพื่อค้นหาค่าของตัวแปร…ตัวแปร? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตัวแปรคืออะไร ตัวแปรคือของที่เราไม่รู้ ในพีชคณิต มันคือค่าที่เราไม่รู้”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นและมองไปยังสีหน้าของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์จักพรรดิไท่ ผู้คนเหล่านั้นมองมาที่เขาราวกับกำลังรับฟังคัมภีร์สวรรค์
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีและถามหยั่ง “พวกเจ้าไม่มีสิบตำราคำนวณที่นี่หรอกหรือ เก้านิพนธ์พื้นฐานที่สุดสำหรับการคำนวณล่ะ? ก็ไม่เคยเรียนพวกมันเหมือนกันหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าได้เรียนตำราคำนวณสตรีพื้นเมืองหรือเปล่า อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้เรียนสมการวงโคจรหมู่ดาวใช่ไหม นี่คือการคำนวณที่แพร่หลายไปในด้านการคำนวณปราฏการณ์บนฟากฟ้านะ!”
ทุกคนในบริเวณรอบๆ ส่ายหัวด้วยความเหม่อลอย
เด็กสาวเปียยาวกล่าว “เรียนคำนวณไปมีประโยชน์อะไร”
คนอื่นๆ ก็ผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเราต่อสู้บนสนามรบตลอดเวลา แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปเรียนเรื่องพวกนั้น วิธีการที่รวดเร็วที่สุดในการเพิ่มพูนกำลังฝีมือคือฝึกฝน เรียนทักษะเทวะ และตรึกตรองทำความเข้าใจพวกมัน!”
ฉินมู่มองไปที่พวกเขาด้วยความขัดเคือง “พวกเจ้าไม่คำนวณปรากฏการณ์บนฟากฟ้ากันหรอกหรือ อย่างน้อยพวกเจ้าก็น่าจะได้คำนวณวงโคจรของดวงดาวทั้งหลายบนฟากฟ้าสิ ใช่ไหม”
สีหน้าของทุกคนแปลกประหลาด และฉินมู่ก็งุนงงกับเรื่องนี้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งก็กล่าว “บนท้องฟ้าไม่มีดาวสักดวง ทำไมพวกเราจะต้องคำนวณด้วย”
ฉินมู่ตกตะลึงและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงนั้นเป็นสีดำสนิทโดยปราศจากดวงดาวใดๆ มีก็แต่ดวงตะวันสองครึ่ง
ฉินมู่มองเห็นสิ่งก่อสร้างใหญ่มหึมาบนพื้นผิวดวงตะวันนั้น แต่พวกมันไม่สมบูรณ์ ครึ่งหนึ่งของดวงตะวันถูกหลอมสร้างขึ้นมา แต่อีกครึ่งหนึ่งก่อขึ้นมาตามธรรมชาติ!
สิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ดีก็คือว่า อีกครึ่งหนึ่งของดวงตะวันแม้จะเป็นทรงกลมก็ไม่เป็น!
เมื่อเขามาที่นี่ในครั้งก่อน เขามองไม่เห็นดวงตะวันก็เพราะว่ามาในเวลากลางคืน มีแต่ก็คราวนี้ที่เขาได้เห็นว่าดวงตะวันของสวรรค์ไท่หวงได้สร้างขึ้นมาจากสองซีกที่แยกจากกัน และไม่ว่าซีกไหนก็ไม่เป็นทรงกลม! ซีกหนึ่งนั้นดูค่อนข้างคล้ายลูกบาศก์ และอีกซีกก็ดูเป็นทรงรี และทั้งสองนั้นบิดเบี้ยวในพื้นที่เดียวกัน!
ฉินมู่คันไม้คันมือสุดๆ อยากจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำลายดวงตะวันทั้งสองซีกนั้นเสีย!แม้ว่าปรากฏการณ์บนฟากฟ้าของสันตินิรันดร์จะเป็นของปลอม แต่พวกมันทั้งหมดคือกระบวนพยุหะ และเทพกับมารทั้งหลายที่ก่อสร้างพวกมันขึ้นมาเพื่อตบตาผู้คนก็จริงจังในการสร้างมันเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นดวงตะวันหรือดวงจันทร์ พวกมันก็กลมดิกไร้ที่ติ
แม้แต่ดวงดาว จักรราศี และดาราจักรบนท้องฟ้าก็ถูกสร้างขึ้นมาอย่างแจ่มชัด ซ่อนธรรมชาติปลอมของมันจากนักพรตทั้งหลายแห่งสำนักเต๋ามาได้ถึงสองหมื่นปี อันเป็นผลให้จิตเต๋าของเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนพังทลายลงไปครู่หนึ่งหลังจากที่ได้รับรู้ความลับนี้
แต่ที่สวรรค์ไท่หวงนั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ดวงตะวันสองครึ่งของพวกเขาถูกสร้างขึ้นมาอย่างส่งๆ ขอไปที!
ด้วยจิตใจโล่งว่าง ฉินมู่สลัดหัว ผลกระทบจากภาพที่เขาเห็นนั้นรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือตะวัน แน่ล่ะการเห็นเรือตะวันทำให้เขาตกตะลึงจากงานฝีมือวิศวกรรมประสิทธิ์ ขณะที่อันนี้เป็นความตกตะลึงจากความชุ่ยของช่างฝีมือ!
“ไม่มีดาวเลยสักดวง นับว่าพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้สมการวงโคจรหมู่ดาวอย่างแท้จริง…”
ฉินมู่ผงกหัวหงึกๆ และเขาก็นึกถึงกิเลนมังกรขึ้นมา ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกใบนี้ไม่มีความสำเร็จสูงส่งเชิงพีชคณิต หากเพียงแต่ว่าข้าได้พามังกรอ้วนมาด้วย เรื่องก็คงจะง่ายกว่านี้…
ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกแห่งนี้ต่อสู้ทุกวี่วันก็เพราะการรุกรานของเผ่ามารอสูร หากว่าพวกเขาต้องการมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะต้องเพิ่มพูนกำลังฝีมืออย่างไม่หยุดยั้ง วิธีที่ดีที่สุดก็คือการฝึกทักษะเทวะของพวกเขา เสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย และหลอมสร้างอาวุธวิญญาณที่ดีกว่าเดิม
สำหรับพวกเขาพีชคณิตมิได้สลักสำคัญอะไร และมันยังเป็นสิ่งที่แห้งแล้งและชืดชาอีกด้วย มันไม่ได้ช่วยเพิ่มพูนกำลังฝีมือให้พวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อสืบผ่านมารุ่นต่อรุ่น ความสำเร็จของพวกเขาในเชิงพีชคณิตก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปทุกที
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงขึ้นมาบนแท่นสังเวยมากขึ้นทุกที และมองลงไปข้างล่าง พวกเขาล้วนแต่นำธนูยาวออกและน้าวสายธนูเพื่อยิงไป แสงลูกศรพุ่งทะลวงผ่านสนามรบและสังหารมารอสูรมากมาย
และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่เงื้อไจกระบี่กับไจมีดขึ้นเพื่อโจมตีศัตรูจากระยะไกลเช่นกัน
ฉินมู่พลันนึกถึงบางสิ่งขึ้นมา และถามอย่างเร่งร้อน “แล้วพวกเจ้าหลอมสร้างแท่นสังเวยนี้ขึ้นมาได้อย่างไร”
เด็กสาวเปียยาวเองก็เชี่ยวชาญในวิชาธนูและกำลังน้าวสายธนูเพื่อยิงใส่ปรปักษ์ “แท่นสังเวยนี้มีมาอยู่ตั้งนานแล้ว ข้าได้ยินจากพ่อของข้าว่ามันถูกทิ้งไว้ในสวรรค์ไท่หวง เพื่อไว้เป็นไม้ตายสุดท้ายตอนที่พวกเราอาจจะสิ้นเผ่าพันธุ์ ในตอนนั้น พวกเราสามารถอัญเชิญเทพเจ้าครูบาศักดิ์สิทธิ์ผู้ซึ่งจะออกหน้ามาช่วยเหลือพวกเรา”
“บัดนี้สวรรค์ไท่หวงกำลังจะล่มสลาย ดังนั้นทวยเทพแห่งเมืองนวลอาภาจึงติดตั้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ที่ใจกลางสนามรบ ด้วยความตายของทุกๆ คนที่ต่อสู้กันที่นี่ พวกเขาก็จะเซ่นสังเวยเลือดและเนื้อมากเพียงพอ…”
สีหน้าของนางตกวูบ ผู้คนมากมายที่มาเซ่นสังเวยก็เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง
“แท่นสังเวยที่ถูกทิ้งไว้เมื่อสองหมื่นปีก่อน” ฉินมู่มองไปยังนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งกำลังต่อสู้อยู่ไกลๆ ตรงนั้น การต่อสู้ยิ่งดุเดือดเลือดพล่าน นักบุญคนตัดไม้เข้าไปถล่มฐานทัพศัตรู!
“นักบุญคนตัดไม้น่าจะเป็นผู้ทิ้งแท่นสังเวยนี้เอาไว้ให้แก่สวรรค์ไท่หวง เพื่อใช้อัญเชิญเขามาเมื่อที่นี่มิอาจต้านทานการโจมตีได้อีกต่อไป ถ้าเช่นนั้น เป้าหมายของเขาก็น่าจะเป็นการยืดเวลาให้แก่สันตินิรันดร์…”
ฉินมู่ติดตั้งเนตรหยกจันทราและปรับทิศทางของมัน รังสีแสงพุ่งออกไปและสังหารยอดฝีมือหลายคนแห่งเผ่ามาร
ระยะโจมตีของเนตรหยกจันทรานั้นยิ่งไกลกว่าธนูเสียอีก และพลานุภาพของมันก็เหนือล้ำกว่าเช่นกัน เขาสังหารยอดฝีมือแห่งเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และฉินมู่ก็เล็งโจมตีมารระดับแม่ทัพเป็นส่วนใหญ่ เมื่อแม่ทัพเหล่านั้นตาย เหล่ามารก็จะสูญเสียผู้นำและขาดการบัญชาการ ทำให้พวกเขายากที่จะรุกคืบไปข้างหน้าต่อ
แม้กระนั้น ก็ยังคงมีมารฟ้ามากมายที่ไหลบ่ามาทางแท่นสังเวย ผู้คนไม่มีเวลาที่จะยิงแต่มารอันอยู่ไกลๆ และจำเป็นต้องยิงอะไรก็ได้อยู่ข้างใต้พวกเขา
ข้างใต้แท่นสังเวย ซากศพก่ายกองเป็นภูเขา แต่ฝูงมารคลาคล่ำเป็นคลื่นดำก็ยังคงซัดโถมมาใส่พวกเขา พวกมารเหล่านั้นเกือบจะบุกมาถึงยอดแท่นสังเวยแล้ว
ฉินมู่เก็บเนตรหยกจันทรากลับไปและคว้าไจกระบี่ของตนมาเพื่อป้องกันแท่นสังเวยเอาไว้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดบนยอดแท่นสังเวย
ฝูงมารฟ้านั้นห้าวหาญอย่างอัศจรรย์ ทหารของพวกเขาไม่เกรงกลัวความตาย และหากว่ามิใช่เพราะกำลังฝีมืออันเลิศล้ำเหนือธรรมดาของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวง ก็คงยากที่จะต่อต้านการโจมตีของฝูงมาร
ข้างๆ ฉินมู่และเด็กสาวเปียยาว ผู้ฝึกวิชาเทวะล้มตายไปทีละคนสองคน แม้แต่สถานการณ์ของฉินมู่และเด็กสาวเปียยาวก็ย่ำแย่ พวกเขาเฉียดตายไปตั้งหลายหนจากการโจมตีของศัตรู
พวกเดียวกันกับเขาเหลือน้อยลงทุกทีบนแท่นสังเวย และไม่นานนักก็เหลือเพียงยี่สิบสามคน ทันใดนั้น เสียงตะโกนเลื่อนลั่นสะท้านโลกก็ดังมาจากที่ไกลๆ และมารทั้งหลายที่บุกฮือกันมายังแท่นสังเวยได้ยินข่าวสารที่ส่งมา พวกเขาก็รีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่ายกภูเขาออกจากบ่าของทุกๆ คนบนแท่นสังเวย พวกเขาสูดลมหายใจและทรุดลงไปนั่งกับพื้น ทุกคนล้วนแต่ตัวโชกไปด้วยเลือด
ข้างหลังพวกเขา เสียงเพรียกอันกังวานไกลของแตรเขาสัตว์ดังมา กองทัพนับหมื่นพุ่งออกมาจากเมืองนวลอาภาเพื่อไล่ล่ากองทัพมารอันหลบหนี
เด็กสาวเปียยาวดิ้นรนลุกขึ้น หมายจะไล่ล่าตามมารแตกทัพไปเช่นกัน แต่ขาของนางอ่อนปวกเปียก และก็ได้แต่นั่งลงไปอีกครั้ง
ฉินมู่มองไปที่กองทัพแห่งเมืองนวลอาภาที่กำลังพุ่งไปในทิศไกลๆ เมื่อเขาทำเช่นนั้น ก็พลันนึกขึ้นมาได้ “พวกเราผ่านความเป็นความตายมาด้วยกันถึงสองครั้งสองหน แต่ข้าก็ยังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย ข้าชื่อฉินมู่ แล้วเจ้าล่ะ?”
เด็กสาวเปียยาวนอนแผ่อยู่ในกองเลือด พลางมองไปที่ครึ่งตะวันที่บิดเบี้ยวครึ่งหนึ่ง นางผ่อนลมหายใจและกล่าว “ชื่อของข้าคือซังฮั่ว ในวันนั้น ข้าพูดกับเจ้าตั้งหลายอย่าง แต่เจ้าไม่ได้ยินอะไรเลย ข้าโชคดีที่มีเจ้าอยู่ข้างๆ และเพราะอย่างนั้นข้าจึงอดทนกัดฟันสู้ศึกมาได้ มิเช่นนั้นข้าคงยืนหยัดได้มานานขนาดนั้นหรอก ลองเดาดู!” นางหันกลับมาด้วยลักยิ้มสองข้างบนแก้ม “ลองเดาดูสิ ว่าข้าพูดกับเจ้าว่าอะไร”
ฉินมู่ส่ายหัว “ระหว่างเรามีโลกสองโลกคั่นกลาง ข้าไม่อาจได้ยินอะไรเลย”
ซังฮั่วมองไปที่ท้องฟ้า “ดูสิ ดวงตะวันใหญ่ขนาดนี้ สวรรค์จักพรรดิไท่ของเราไม่มีดวงตะวัน แต่สองดวงนั้นถูกพวกเราสร้างขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือของเทพตนหนึ่ง พวกเราเรียกเขาว่า ผู้สร้างตะวัน แต่ไม่ทันที่เขาจะสร้างมันเสร็จสิ้น เทพสร้างตะวันก็ถูกพวกมารเทวะสังหาร…ดวงตะวันพวกนี้ยิ่งใหญ่อลังการ ใช่ไหม”
“เอ้อ ยิ่งใหญ่อลังการ…” ฉินมู่พูดเออออขัดกับมโนสำนึกของเขา ก่อนที่จะคันในหัวใจอยากรู้ขึ้นมา “งั้นเจ้าพูดอะไรกับข้าล่ะในคืนนั้น”
………….
“เจ้าคือ…เด็กสาวเปียยาว!” ขณะที่ฉินมู่เพ่งพิศเด็กสาวสองเปียนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเด็กสาวที่เขาพบในความมืด เขาถามด้วยความยินดี “นี่คือเจ้าจริงๆ หรือ”
เด็กสาวที่เขาพบในครั้งนั้นมีเปียถักยาวสองเปีย แต่เพราะว่าพวกเขาอยู่กันคนละโลกมิติ พวกเขาจึงมิอาจสนทนากันหรือแม้แต่เห็นใบหน้าซึ่งกันและกัน พวกเขาทำได้เพียงแต่จดจำรูปร่างของแต่ละฝ่ายเอาไว้เท่านั้น
พวกเขาได้ผ่านราตรีอันยาวนานด้วยกันมาก่อน และหลบหนีการไล่ล่าของฝูงมารฟ้าไปด้วยกัน แต่ดวงอาทิตย์ขึ้นมาขับไล่ความมืดให้ล่าถอย เด็กสาวก็หายวับไปพร้อมๆ กับแดนมืด
เด็กสาวผู้ที่ยืนอยู่บนบ่าของเทพเจ้าตรงหน้าของฉินมู่ ก็มีเปียอันยาวถึงสะเอวของนางเช่นกัน
เมื่อนางได้ยินเขาพูดถึงเด็กสาวเปียยาว นางก็อดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี นางรีบกระโดดลงจากบ่าของเทพเจ้า และมายังฉินมู่ด้วยการก้าวย่างไม่กี่ก้าว บนแก้มของนางพลันผุดลักยิ้มขึ้นมาสองจุด “เจ้าคือเด็กหนุ่มเงาคนนั้น! ท่านพ่อ เขาคือเด็กหนุ่มเงาที่ในตอนหลังก็หายไป!”
เทพเจ้าก้มหัวลงมาดูที่ฉินมู่ เขาถามอย่างสงสัย “หากว่าเจ้าคือเงา แล้วตอนนี้เจ้ามีกายเนื้อได้อย่างไร ข้าเห็นเจ้าต่อสู้เมื่อครู่นี้ และมันก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พวกเรากำลังสงสัยอยู่พอดีเลยว่ายอดฝีมือเช่นนี้โผล่มาจากที่ไหน! เจ้าอยู่ในวรยุทธขั้นเจ็ดดาวอย่างนั้นหรือ การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวจะประสบความสำเร็จเหมือนเจ้านั้นหายากนักในสวรรค์ไท่หวง เจ้าเป็นเด็กหนุ่มที่เก่งกาจเกินคนจริงๆ!”
ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย “มีผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาวที่นี่ที่แข็งแกร่งกว่าข้าด้วยหรือ พวกเขาคือกายาจ้าวแดนดินหรือ”
“กายาจ้าวแดนดิน?” เทพเจ้ายกพวกเขาขึ้นและพาแบกไปข้างหน้าพลางถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า “กายาจ้าวแดนดินคืออะไร ข้าไม่เคยได้ยินมันมาก่อน พวกเขาที่เจ้าถามนั้นเป็นคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เป็นราชันย์ท่ามกลางหมู่กายาวิญญาณทั้งหลาย พวกเขากำเนิดมาอย่างเหนือธรรมดาและมิใช่กายาจ้าวแดนดิน”
“ราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณทั้งหลาย?”
ฉินมู่กะพริบตา เขาไม่เคยได้ยินราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณทั้งหลายมาก่อน และจิตใจเขาว่างเปล่าไปครู่หนึ่ง แต่ทว่า ความตื่นเต้นผุดขึ้นมาในหัวใจของเขาอีกครั้ง ราชันย์ท่ามกลางกายาวิญญาณ คนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้–เขาคิดถูกแล้วที่มายังโลกแห่งนี้!
เขาได้ใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเคลื่อนย้ายร่างกายมายังโลกแห่งนี้ ในสนามรบ เขาได้สังเกตพบจุดเด่นไม่ธรรมดาของฝูงมารฟ้า กำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และหากว่าไม่ใครก็คนหนึ่งในพวกเขาถูกเอาไปไว้ที่สันตินิรันดร์ พวกเขาก็ล้วนจะเป็นผู้คนที่ไม่ด้อยไปกว่าผานกงสั่ว แน่ล่ะ ในด้านฝีมือการหลบหนีนั้น ผานกงสั่วก็ยังคงไร้เทียมทานอยู่ดี
สวรรค์ไท่หวงได้ผ่านการเคี่ยวกรำของศึกสงครามมาสองหมื่นปี มรรคา วิชา และทักษะเทวะของที่นี่จะต้องรุดหน้าไปด้วยความเร็วดุจเทพยดา ที่นี่ ข้าอาจจะค้นพบหนทางในการเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!
มือของเขากำขึ้นเป็นหมัดแน่น เอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้กลายเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา ในเมื่อเขาไม่อาจค้นพบความหวังในการเอาชนะเขาได้ในสันตินิรันดร์ ก็เลยน่าจะลองมาหาดูในสวรรค์ไท่หวง!
ต่อให้เขาหาไม่พบ การเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะเพิ่มขึ้นอีกก็จะช่วยเขาในการพัฒนาตนเอง
ทันใดนั้นเทพเจ้านี้ก็พุ่งเข้าไปในสนามรบ ปล่อยพวกเขาเอาไว้ข้างหลัง “พวกเจ้ารอที่นี่!”
ห่างไกลออกไป ห้วงอวกาศมีรอยฉีกขาด และมือดำสนิทหกมือก็โผล่ออกมา พวกมันจับเอาขอบของรอยแยกห้วงอวกาศและดึงมันเปิดให้กว้างขึ้นอีก
เทพเจ้าพุ่งตัวไปและชักกระบี่ของเขาออกเพื่อตัดมือเหล่านั้น แต่ขณะที่เขาสะบั้นไปได้สองมือ ค้อนใหญ่ก็พลันพุ่งเข้ามาและซัดเขากระเด็นไป มารเทวะตนหนึ่งเข้ามาขัดขวางเขา
เด็กสาวเปียยาวมองไปที่สนามรบเขม็งเป็นระยะเวลาหนึ่ง นางค่อยระบายลมหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าบิดาของนางปลอดภัยดี และได้วกกลับไปสังหารมารเทวะที่โจมตีเขาเมื่อครู่
“เฮ้ พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่แต่แรกนี่นา แล้วทำไมพวกเจ้าถึงปรากฏตัวที่นี่ได้”
เขานั้นก็สับสนเล็กน้อย สถานที่ที่เขาพบกับเด็กสาวคือส่วนลึกของแดนโบราณวินาศที่ห่างจากเมืองเขตมังกรไปถึงสองหมื่นสามหมื่นลี้ ที่ถูกแล้ว นางน่าจะไม่ได้อยู่แถวๆ นี้
สีหน้าของเด็กสาวเปียยาวตกวูบ “หลังจากที่เจ้าหายไป เมืองของพวกเราก็ถูกรุกราน และผู้คนมากมายก็ตกตาย ท่านพ่อเป็นคนที่ช่วยเหลือพวกเราและนำพวกเรามายังเมืองนวลอาภาแห่งนี้…”
นางพุ่งไปข้างหน้า และฉินมู่ก็ติดตามนางไปอย่างเร่งร้อน “เมื่อข้าหายไป มันก็เพราะว่ากลางคืนได้กลับมาเป็นกลางวัน เช่นนั้นฝูงมารในสวรรค์ไท่หวงของเจ้าก็ไม่ได้หายไปด้วยหรอกหรือ”
เด็กสาวเปียยาวฉงน “ทำไมพวกเขาถึงจะหายไปล่ะ”
ฉินมู่ตะลึง
เขาเคยคิดว่าสวรรค์ไท่หวงนั้นเหมือนกับแดนโบราณวินาศและกำลังเผชิญกับการรุกรานของความมืดเช่นกัน เมื่อเขาได้เดินผ่านมันและความมืดล่าถอยไป เขาก็ได้ออกไปจากสวรรค์ไท่หวงด้วย แต่จากที่เห็นในตอนนี้ สถานการณ์ในสวรรค์ไท่หวงแตกต่างจากของแดนโบราณวินาศ มารพวกนี้ไม่หายตัวไปหลังจากดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ยังคงอยู่ที่นี่โดยไม่มีข้อจำกัดใด
ดูเหมือนว่าราชามารตู้เถียนจะพูดถูก ม่านคุ้มกันโลกของสวรรค์ไท่หวงและโลกแห่งมารได้ถูกบีบอัดและแตกทำลาย ฉินมู่ตกตะลึง ในเมื่อการสันนิษฐานของเขาแม่นยำเป๊ะๆ การคาดเดาอื่นๆ ของเขาก็อาจจะเป็นความจริงด้วยเช่นกัน หลังจากที่มารพวกนี้ได้ยึดครองสวรรค์ไท่หวงแล้ว พวกเขาก็จะบูชายัญมัน เพื่อนำโลกของมารพุ่งเข้าชนกับโลกสันตินิรันดร์! แต่ว่าข้าจะยับยั้งเรื่องนี้ได้อย่างไร
เด็กสาวเปียยาวพุ่งลงไปยังแท่นสังเวยพลางกล่าวอย่างเร็วปรื๋อ “เจ้าได้สู้ศึกมาสักพักแล้ว ดังนั้นเจ้าน่าจะไปที่เมืองนวลอาภาเพื่อพักผ่อนก่อน ข้ายังคงจะต้องไปสู้รบพร้อมกับกองทัพ”
“บาดแผลเล็กน้อยพวกนี้ไม่นับว่าเป็นอะไร” ฉินมู่ตามนางไปและกล่าว “ข้าก็เป็นหมอยาด้วยเช่นกัน และค่อนข้างโด่งดังในโลกของข้า ข้าได้รักษาตัวเองไปเมื่อครู่นี้ ข้ามาที่นี่เพื่อเสาะหาทักษะวิชาที่แข็งแกร่งขึ้น ในเมื่อทักษะวิชาต่างๆ มากมายในโลกของข้าได้สูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว”
แท่นสังเวยใหญ่เท่าภูเขาได้ถูกยึดครองโดยฝูงมารฟ้า ใต้การนำของแม่ทัพใหญ่มารฟ้าผู้ซัดฉินมู่กระเด็นไปสิบลี้ ทหารหลายร้อยแห่งฝูงมารฟ้ากำลังต่อสู้กับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงบนแท่นสังเวยนั้น สถานการณ์ของฝ่ายหลังดูจะย่ำแย่
แม่ทัพมารซึ่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุดของแท่นสังเวยกำลังร่ายทักษะเทวะ ในท้องฟ้า กระจุกสายฟ้าดำทมิฬม้วนกลิ้งมาและกระจายไปทั่วพื้น ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด เลือดเนื้อของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงก็จะหลอมละลาย กลายเป็นโครงกระดูกที่วิ่งได้
ฉินมู่หรี่ตา ความดุร้ายและความพิลึกกึกกือในทักษะเทวะของเผ่ามารนั้นยังสูงล้ำกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะที่ฝึกวิชามารในลัทธิมารฟ้าเสียอีก!
เด็กสาวเปียยาวพุ่งขึ้นไปบนแท่นสังเวย “ท่านพ่อและข้าได้เห็นเรื่องนั้นแล้วตอนที่พวกเราเฝ้าสังเกตการณ์ศึกในเมืองนวลอาภา แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พลังวัตรของเจ้าร้ายกาจอย่างเหลือเชื่อ ความสำเร็จในทักษะเทวะก็สูงล้ำเกินพรรณนา แต่วิชาฝึกปรือของเจ้าเหมือนจะมีปัญหา เจ้าไม่เผยแสดงวิชาฝึกปรือในเขตขั้นเทวะเลยแม้แต่นิด และท่านพ่อกล่าวว่าอารยธรรมของเจ้ามีช่องว่างที่ขาดหายไป”
เด็กสาวเผชิญกับไพร่พลฝูงมารฟ้าอันเป็นเผ่าอสุราซึ่งมีกำลังฝีมือและกายเนื้ออันกล้าแข็ง การโจมตีของเขาว่องไวอย่างเหลือแสนเมื่อเขาพลันร่างสั่นเทิ้ม เผยให้เห็นรอยประทับอักษรรูนทุกชนิดราวกับว่าพวกมันถูกสักเข้าไปในผิวหนัง
แต่ทว่าร่างเนื้อของเด็กสาวเปียยาวก็แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อเช่นกัน ทั้งสองคนต่อสู้กันด้วยความเร็ว ซ่อนทักษะเทวะของแต่ละฝ่ายเอาไว้ระหว่างฝ่ามือและนิ้ว เช่นนั้น ผลลัพธ์การต่อสู้จึงตัดสินกันในพริบตา
เด็กสายเปียยาวบดขยี้หัวใจของศัตรูนางด้วยการจี้ไปที่หว่างคิ้วของอสุรา ศีรษะของเขาระเบิดออก และศพก็ร่วงลงกับพื้น กลิ้งลงไปจากบันไดแท่นสังเวย
หางตาของฉินมู่กระตุก เขาพบว่าทักษะเทวะของเด็กสาวผู้นี้ไม่ได้เพริศแพร้วพิสดารไปกว่าเขา–อันที่จริงแล้ว พวกมันหยาบกร้านเป็นอย่างยิ่ง–แต่วิชาฝึกปรือของนางมีหลายจุดที่เลิศล้ำเหนือธรรมดา
เด็กสาวเปียยาวต่อสู้บุกตะลุยขึ้นไปบนแท่นสังเวยพลางสนทนากับเขา “ท่านพ่อกล่าวว่าร่างกายของเจ้าหลายส่วนมิได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาเทวะผู้มีพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ ยกตัวอย่างเช่น มือ หัวใจ ตันเถียน ขา และดวงตา ได้บรรลุความสำเร็จอันสูงล้ำเรียบร้อยแล้ว”
“แต่ทว่ามือของเจ้ายังคงเป็นมือ ขาก็ยังเป็นขา หัวใจก็ยังเป็นหัวใจ ตันเถียนก็ยังเป็นตันเถียน เมื่อแยกมองเดี่ยวๆ ความสำเร็จของเจ้าสูงล้ำอย่างสุดขีดขั้ว แต่กายเนื้อของเจ้าไม่ร้อยรัดสิ่งเหล่านั้นเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นเจ้าจึงไม่บรรลุพรสวรรค์ระดับเทพเที่ยงแท้ เทียบกับเทพเที่ยงแท้เยาว์แล้ว เจ้ายังด้อยกว่าเล็กน้อย”
ระหว่างที่นางพูด นางก็ได้สังหารมารฟ้าไปหลายคนด้วยความดุดัน นางรุกคืบไปทีละก้าวทีละก้าวมุ่งหน้าไปยังจุดยอดของแท่นสังเวย
ด้วยมีนางบุกทลายกระบวนรบ ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ ก็ฟื้นฟูกำลังใจขึ้นมา และลุกไปยังยอดแท่นสังเวยด้วยความบ้าบิ่น กระนั้นฝูงมารฟ้าอีกมากก็ยังคงท่วมท้นเข้าใส่เพื่อขัดขวางพวกเขา ถ่วงรั้งความเร็วและการรุกคืบ
ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์และซัดประตูน้อมสวรรค์ไปข้างหน้า ไพร่พลฝูงมารฟ้าที่ถูกประตูจับเอาได้พลันสูญเสียดวงวิญญาณและร่วงล้มลงไป
เขามองไปรอบๆ และพยักหน้า เด็กสาวเปียยาวพูดถูกต้อง ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสวรรค์ไท่หวงนับว่ามีความได้เปรียบเหนือผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์จริงๆ
ทักษะเทวะของพวกเขาไม่เพริศแพร้วพิสดาร และพลานุภาพรุนแรงกว่า การเปลี่ยนแปลงในกระบวนท่าของพวกเขาไม่อาจเทียบกับพวกในสันตินิรันดร์ได้ แต่เพราะกายเนื้อที่แข็งแกร่งของพวกเขา พลานุภาพของกระบวนท่าจึงยิ่งใหญ่กว่ามาก
นี่น่าจะเป็นผลจากวิชาฝึกปรือของพวกเขา
แม้แต่ผู้คนที่แข็งแกร่งอย่างคนแล่เนื้อ เฒ่าใบ้ เฒ่าเป๋ ท่านยายซี เฒ่าบอด และคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่มีเพียงสิ่งเดียวที่พวกเขาเชี่ยวชาญและฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ พวกเขาไม่อาจบรรลุสูงล้ำระดับนั้นได้ในทุกๆ ด้าน
แม้แต่อัจฉริยะปีศาจอย่างราชครูสันตินิรันดร์ อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี เขาเองก็ไม่สามารถบรรลุเขตขั้นเทวะในทุกๆ ด้านได้
กระนั้นวิชาฝึกปรือของผู้ฝึกวิชาเทวะในสวรรค์ไท่หวงนั้นก็สูงล้ำกว่าหนึ่งระดับชั้น ดังนั้นทุกส่วนในร่างกายของเขาจึงได้รับการฝึกฝน พวกเขาพัฒนาในทุกๆ ด้าน ทำให้พลังการต่อสู้ของพวกเขายิ่งเลิศล้ำกว่า!
มิน่าล่ะ เหล่าผู้ฝึกวิชาเทวะและเหล่ามารในสวรรค์ไท่หวงจึงแข็งแกร่งนัก!
ฉินมู่พลันมีความรู้สึกเหมือนกับเมฆมืดดำแยกแหวกออกและท้องฟ้าก็กลายเป็นกระจ่าง เป้าหมายในการเดินทางของเขาครั้งนี้ก็เพื่อค้นหาวิธีการในการเอาชนะกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และบัดนี้เขาก็ได้เห็นแสงแห่งอรุณแล้ว
“แต่ทว่า พลังวัตรของเจ้าแข็งแกร่ง และทักษะเทวะก็เพริศแพร้วพิสดาร ดังนั้นต่อให้เจ้าขาดพร่องไปบ้าง เจ้าก็ยังคงยืนหยัดสู้ในสนามรบได้ ที่สวรรค์ไท่หวง คงมีไม่กี่คนที่แข็งแกร่งกว่าเจ้าในขั้นวรยุทธเดียวกัน”
เด็กสาวเปียยาวสนทนาต่อด้วยเสียงดัง บอกเล่าถึงความคิดเห็นของบิดานางที่มีต่อฉินมู่ “วิชาฝึกปรือของเจ้ากระจัดกระจายเกินไป เมื่อเจ้าฝึกปรือดวงตา เจ้าก็ฝึกแต่ดวงตา เมื่อเจ้าฝึกปรือมือ เจ้าก็ฝึกแต่มือ และเมื่อเจ้าฝึกปรือหัวใจ เจ้าก็ฝึกแต่หัวใจ เจ้าฝึกทุกสิ่งทุกอย่างแยกจากกัน”
“หากว่าเจ้าร้อยรัดทุกส่วนในร่างกายเป็นหนึ่งเดียว และสามารถฝึกปรือร่างเนื้อ พลังวัตร จิตวิญญาณดั้งเดิม อีกทั้งทักษะเทวะไปด้วยกันได้ เจ้าก็จะมีพลานุภาพก้าวหน้าขึ้นไปอย่างใหญ่หลวง! แต่ทว่า ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เพราะว่าวิชาฝึกปรือของเจ้ากระจัดกระจายมากเกินไป หากว่าเจ้าต้องการที่จะร้อยรัดทุกอย่างเป็นหนึ่งในตอนนี้ มันก็คงจะยากเย็นอย่างสุดๆ”
ฉินมู่ระบายลมหายใจขาดห้วง เด็กสาวเปียยาวเพียงแค่ส่งผ่านความคิดเห็นของบิดานาง ในเมื่อนางมิได้มีสายตาตัดสินและความรู้ระดับนี้ด้วยตัวนางเอง แต่นางได้ชี้ไปยังจุดอ่อนของฉินมู่อย่างแม่นยำจริงๆ หรืออันที่จริงแล้ว จุดอ่อนของทั้งสันตินิรันดร์
ตามประวัติศาสตร์ของแดนดิน ตราบเท่าที่ผู้ฝึกวิชาเทวะประสบความสำเร็จในด้านใดด้านหนึ่ง ก็เพียงพอที่จะให้พวกเขายืนอยู่บนจุดสุดยอดของโลกหล้า แต่ทว่า ในเมื่อพวกเขามิได้ร้อยรัดความสำเร็จทั้งหมดเหล่านั้นเข้าด้วยกัน วิชาฝึกปรือจึงไม่เคยกลายเป็นระบบครบวงจร
นี่ก็เพราะว่าพวกเขาล้วนแต่เป็นชนรุ่นหลังของผู้คนที่หลบหนีภัยพิบัติมาเมื่อสองหมื่นปีก่อน และก็มีช่องว่างที่หายไปในมรดกยุทธของพวกเขา พวกเขาได้ฝึกปรือมาอย่างหนักและอุทิศปัญญาในการศึกษาค้นคว้าทักษะเทวะ แต่พวกเขาไม่มีทางทลายฝ่าขีดจำกัดของวิชาฝึกปรือได้
ในที่สุด ทั้งคู่ก็ต่อสู้ตะลุยไปถึงยอดแท่นสังเวย ผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนร้อยต่อสู้ปะทะกับฝูงมารฟ้าที่โจมตีลงมาจากเบื้องล่าง ในขณะที่พวกที่เหลือเข้าไปกลุ้มรุมแม่ทัพมารฟ้า
“ก็แค่พวกหมาไม้และไก่กระเบื้อง!” แม่ทัพมารฟ้าหัวเราะด้วยเสียงอันดังและมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอันพวยพุ่งด้วยเพลิงไฟยืนอยู่เบื้องหลังเขา ศีรษะทั้งสี่ของเขามองไปรอบทิศขณะที่ธงข้างหลังลอยขึ้นไปบนอากาศ เขายิ้มหยันและกล่าว “สังหารพวกเจ้าง่ายแค่พลิกฝ่ามือ!”
เด็กสาวเปียยาวและคนอื่นๆ มองไปที่เขาด้วยสีหน้ามืดครึ้ม กำลังฝีมือของแม่ทัพมารฟ้านั้นสูงล้ำเหลือเกิน แม้แต่ฉินมู่ก็ไม่กล้ารับการโจมตีของเขาตรงๆ มารสี่หัวนี้อาจจะสามารถคร่าชีวิตพวกเขาไปได้ด้วยการโจมตีเดียว
ดูเหมือนว่าการปฏิรูปขั้นต่อไปของสันตินิรันดร์น่าจะต้องจัดการเรื่องวิชาฝึกปรือ…
ข้างๆ เด็กสาวเปีย ฉินมู่ดูจะจมในห้วงคิดเมื่อเขานำดวงตาหยกลูกใหญ่ออกมาจากถุงเต๋าตี้ มือของเขาบิดกลไกข้างหลังมันเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าข้าจะสามารถสร้างสะพานเพื่อเชื่อมต่อสันตินิรันดร์เข้ากับสวรรค์ไท่หวงได้หรือไม่” ฉินมู่ถาม “ข้าต้องการให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มาที่นี่เพื่อแสวงประสบการณ์และเปิดโลกทัศน์ขอบฟ้า”
เด็กสาวเปียยาวกระวนกระวายอย่างยิ่ง และเหงื่อเย็นเยียบก็ร่วงลงจากหน้าผากของนาง นางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าถามอะไรมากมายนัก เลิกคิดเรื่องอื่นได้แล้วตอนนี้! มีศัตรูอยู่ตรงหน้าพวกเรา หากว่าพวกเราไม่สังหารเขา…”
แสงสาดส่องจากเนตรหยก และแม่ทัพมารฟ้ากระโดดขึ้นไป กระนั้นเขาก็ถูกผ่าเป็นสองเสี่ยงกลางอากาศ
ฉินมู่ปิดเนตรหยกและนำเอาเครื่องมือในการคำนวนมากมายออกมาพร้อมกับปึกกระดาษ ก่อนที่จะนั่งยองๆ กับพื้นเพื่อจดบันทึกสัญลักษณ์คณิตศาสตร์จำนวนหนึ่ง ถัดไปนั้นเขาก็นำเอาอาวุธวิญญาณสำหรับใช้วัดมาตราส่วนออกมา และเริ่มวาดภาพ
เขาไม่เงยหน้าเลยด้วยซ้ำระหว่างที่กล่าว “ข้าต้องการสร้างสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างสองโลก แต่ทว่า นั่นจำเป็นต้องอาศัยการคำนวณปริมาณมหาศาล เจ้ามีผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณมากไหม ข้าคิดว่าหากพวกเราสามารถรักษาสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลกเอาไว้ได้ มันก็น่าจะเป็นไปได้…เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเจ้ามองข้าแปลกๆ อย่างนั้นล่ะ”
……………….
ทำไมนักบุญคนตัดไม้ถึงปรากฎตัวที่นี่ แท่นสังเวยที่เขาใช้ดูเหมือนจะถูกตระเตรียมเอาไว้เนิ่นนานแล้ว หรือว่าจะเป็นผู้คนในโลกแห่งนี้ที่อัญเชิญเขามา
ฉินมู่จิตกระเจิดกระเจิง แท่นสังเวยได้ถูกฝังเอาไว้ใจกลางสนามรบ ดังนั้นเมื่อกองทัพสองฝ่ายปะทะกัน เลือดและเนื้อก็จะกระตุ้นให้มันทำงาน อัญเชิญนักบุญคนตัดไม้มา
เห็นได้ชัดว่านี่คือแผนที่ตระเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า!
ฉินมู่พลันระลึกได้ถึงที่ผู้สันโดษชิงโยวบอกว่านักบุญคนตัดไม้ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน และออกไปพร้อมกับขวานของเขา นักบุญคนตัดไม้คงจะได้รับข่าวคราวบางอย่าง อันทำให้เขาฟื้นตื่นขึ้นมาจากการการหลับใหลเพื่อใช้พิธีบูชายัญเพื่อจุติลงมายังโลกใบนี้
ฉินมู่ขัดขวางการโจมตีของศัตรูจากข้างหลังเขา และประตูน้อมสวรรค์ก็พลันขยายใหญ่ขึ้น ร่างของเขาปั่นหมุน และประตูน้อมสวรรค์ก็ปั่นหมุนตามไปด้วย พลันส่งดวงวิญญาณมากมายเข้าไปในแดนใต้พิภพก่อนที่พวกเขาจะพลันได้ร้องสักแอะ
ฟึ่บบบ!
เสือเทพยดาที่กำลังแบกนักบุญคนตัดไม้กระโดดลงมาจากแท่นสังเวยและมุ่งตรงไปยังฐานทัพศัตรู เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยความตกตะลึง และเสียงอันกึกก้องสะท้านโลกก็ดังมา “นายท่าน นั่นดูเหมือนจะเป็นชนรุ่นหลังของท่านนะ!”
จากบนหลังเสือ นักบุญคนตัดไม้มองกลับไปและเห็นฉินมู่ต่อสู้กับฝูงมารฟ้าด้วยประตูน้อมสวรรค์ สายตาของเขาเป็นประกายแสง และส่องสว่างพื้นที่รอบๆ แท่นสังเวย
“แปลกจริง เขามายังสวรรค์ไท่หวงได้อย่างไร….”
นักบุญคนตัดไม้ละสายตาไป ไม่ว่าเสือเทพยดาจะผ่านไปที่ใด ฝูงมารและม้าศึกก็จะถูกซัดกระเด็น เมื่อเสือเทพยดาคำราม คลื่นเสียงก็พุ่งซัดไปข้างหน้า เป่ามารจำนวนมากให้กระเด็นไปบนอากาศ เมื่อฉินมู่เห็นภาพนี้ พุงใหญ่โตเกินเหตุของกิเลนมังกรก็พุ่งผ่านความคิดของเขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉานักบุญคนตัดไม้ เสือเทพยดานี้เรียกเขาว่านายท่าน ดังนั้นก็น่าจะเป็นสัตว์ขี่ของเขา เขานี่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ!
บนหลังเสือ นักบุญคนตัดไม้เงื้อขวานในมือ และผ่าทักษะเทวะของมารเทวะที่พวยพุ่งเข้ามาใส่เขา ด้วยการกระโจนขึ้นลงไม่กี่ที เสือเทพยดาก็พาเขาเข้ามาถึงฐานทัพของศัตรู
จากระยะเวลาที่เสือเทพยดากระโจนลงไปจากแท่นสังเวยถึงตอนที่เขาไปถึงค่ายทัพศัตรู นั้นเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ
นักบุญคนตัดไม้เงื้อขวานยักษ์ของเขา และด้วยการตวัดมือขึ้นลง ศีรษะทั้งสี่ของมารเทวะในค่ายทัพศัตรูก็ปลิวกระเด็นไปก่อนที่อีกฝ่ายจะทันลุกขึ้นมาเสียอีก
“ฮา ติ ลา!”
มารเทวะอื่นๆ พุ่งเข้ามาและเข้าล้อมเสือเทพยดา นักบุญคนตัดไม้ซึ่งนั่งอยู่บนหลังของมันเงื้อขวานยักษ์ขึ้น แสงของมันพวยพุ่งออกไปราวน้ำหลาก
คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต! ไม่สิ ที่เขาขับเคลื่อนอยู่นั้นน่าจะเป็นวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะฉบับสมบูรณ์!
ฉินมู่ถูกฝูงมารฟ้ารุกไล่ถอยไปอย่างต่อเนื่อง และจำต้องถอยขึ้นไปบนแท่นสังเวย ขณะที่ทำเช่นนั้น เขาก็สังเกตเห็นการโจมตีของนักบุญคนตัดไม้จากหางตา ปฏิภาณความเข้าใจของเขาต่อวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ เหนือล้ำกว่าข้ามากมายนัก!
นักบุญคนตัดไม้มิได้เพียงแค่กวัดแกว่งขวาน มืออีกข้างของเขายังร่ายทักษะเทวะทุกชนิดจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่ทว่ามันมิใช่เพียงแค่ทักษะเดียว แต่เป็นการประกอบกันของทักษะเทวะที่แตกต่าง เหมือนกับพลังฝ่ามือดาวสวรรค์คลุมนภาของหลี่เทียนซิง หลังจากตรึกตรองเรียนรู้ทักษะเทวะเป็นร้อยชนิดสำเร็จ เขาก็ประกอบเข้าด้วยกับเป็นทักษะเทวะแบบนั้น
หากว่าเป็นผู้อื่น คงไม่มีทางมองออกว่าทักษะเทวะของเขาคือคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่ทว่าในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่ย่อมจดจำมันได้ในทันที
รอบๆ นักบุญคนตัดไม้ เขตพลังลึกลับมากมายพวยพุ่งออกมาและเป่ามารเทวะทั้งหลายกระเด็นไป ในพริบตานั้น ขวานยักษ์ของเขาพลันพุ่งเข้าใส่มารเหล่านั้นและสะบั้นศีรษะของพวกเขาทั้งหมด พละกำลังการต่อสู้ของมันร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่อยากจะสังเกตดูทักษะเทวะของนักบุญคนตัดไม้อย่างละเอียด แต่ทว่าฝูงมารฟ้าเข้ามาห้อมล้อมเขาไว้มากขึ้นทุกที หลังจากที่นักบุญคนตัดไม้ถูกอัญเชิญมา เขาก็บุกทะลวงเข้าไปในค่ายทัพศัตรูและสังหารมารเทวะทั้งหมด เขาเมินเฉยกองทัพฝูงมารฟ้าที่เหลือ ดังนั้นไพร่พลมารมากมายจึงยังไหล่บ่าเข้ามาในสนามรบและสังหารอริศัตรู
ในตอนนั้น ฝูงมารฟ้ายังท่วมท้นเข้ามาอีก แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะข้างหลังแท่นสังเวยก็ถูกผลักให้รุกไปข้างหน้าเช่นกัน เสียงอึกทึกของการต่อสู้ดังสะท้านพิภพ
ในการต่อสู้ขนาดใหญ่ของทักษะเทวะ พลังของคนผู้เดียวไม่สลักสำคัญ หากว่าใครวอกแวกเสียสมาธิ พวกเขาก็อาจจะตกตายใต้การโจมตีของศัตรูในเมื่อใดก็ได้
ฉินมู่ไม่อาจเสียเวลาไปมากกว่านี้ และละทิ้งความกังวลทั้งหมดเพื่อต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่ตนมี
กำลังฝีมือของฝูงมารฟ้าแข็งแกร่งอย่างน่าประหลาด วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะระหว่างเหล่ามารและสันตินิรันดร์นั้นแตกต่างกันคนละขั้ว ฝ่ายแรกนั้นอาจจะขาดความเพริศแพร้วพิสดารในกระบวนท่า แต่พวกเขาโดดเด่นเหนือธรรมดาในด้านพลังวัตร ฝูงมารฟ้ามีเอกลักษณ์โดดเด่นตรงนี้
กายเนื้อของพวกเขาแตกต่างจากเผ่ามนุษย์ เผ่าทั้งแปดของพวกเขาเป็นเช่นนี้ กบเกล็ดปลา ยักษ์แมกม่า เด็กหนุ่มหล่อเหลา สตรีหางแมงป่อง สตรีแปดกรงเล็บ สัตว์ประหลาดแปดหนวดราก และสัตว์ประหลาดมืออสรพิษ
มารเหล่านี้มีสายเลือดสูงชั้นกว่า และย่อมเป็นเครื่องจักรสังหารที่มีพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่ง ผู้ที่อยู่รอบๆ ฉินมู่ล้วนแต่เป็นมารชั้นเลิศและไม่มีใครที่อ่อนแอไปกว่าเขาสักคน
ฝูงมารฟ้ากรูกันเข้ามาบนแท่นสังเวยมากขึ้นทุกที และก็มีมากถึงสิบกว่าคน พวกเขาเห็นว่าประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังฉินมู่นั้นพิสดารอย่างเหลือแสนจึงหลบเลี่ยงมันพลางประสานกำลังกลุ้มรุมโจมตี
ฉินมู่ต่อสู้กับพวกเขาด้วยพละกำลังทั้งหมด และกระบี่แปดพันเล่มก็พุ่งฉวัดเฉวียนไปมา แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนท่วมท้นเข้าไปเมื่อกระบี่บินพุ่งกรูกันไปราวฝูงแมลงร้าย ในเสี้ยวพริบตา ภูเขาและแม่น้ำก็ปรากฏ ก่อขึ้นมาเป็นกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์
บนแท่นสังเวย ภูเขามากมายเหยียดยาวไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด น้ำตกร่วงลงมา และแม่น้ำสายยาวก็ไหลรี่ การต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวเมื่อครู่หายวับไปโดยไร้ร่องรอย
กระนั้นในพริบตาถัดมา โลหิตก็หลั่งไหลออกมาจากภาพภูเขาและแม่น้ำเหล่านี้ อาบน้ำทิวทัศน์ให้เป็นสีแดงฉาน
จากนั้นพวกมันก็แหลกทำลาย และยักษ์แมกม่าก็เหวี่ยงค้อนของมันหลังจากทะลวงผงาดขึ้นมาจากภูเขาและแม่น้ำ
ฉินมู่ล่าถอยพลางยกมือขึ้นสูง กระบี่ไร้กังวลลอยพุ่งไป และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มที่พุ่งตามมา ในพริบตานั้นพวกมันทั้งหมดหลอมรวมเข้ากับกระบี่ไร้กังวล
ยักษ์แมกม่าฟาดลงมาด้วยค้อนของเขา และกระแสอากาศอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งออกไปทุกทิศทาง กวาดซัดซากศพจำนวนไร้ประมาณรอบๆ แท่นสังเวยขึ้นไปบนอากาศ
ฉินมู่ถือกระบี่ด้วยสองมือต่อต้านค้อนของยักษ์แมกม่าอันปั่นหมุนด้วยความเร็วประดุจพายุ มีเพียงเสียงเคร้งๆ ดังมาไม่หยุดหย่อนจากการปะทะของพวกเขา แต่ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มอย่างแรงเมื่อเขาถูกซัดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศ
ในจังหวะนั้น ยักษ์แมกม่าถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงพร้อมกับค้อนของตน!
ไม่ทันที่ฉินมู่จะตกลงถึงพื้น เขาก็เห็นสตรีแปดกรงเล็บอ้ากรงเล็บของนางกว้าง ศพบนอากาศถูกระเบิดแยกออกจากกัน และโลหิตกระเซ็นท่วมรอบทิศทาง ถล่มทับเด็กหนุ่ม
ฉินมู่สะบัดกระบี่ไร้กังวล และมันก็แยกตัวออกจากกัน กระบี่แปดพันเล่มเข้ามาประกอบใหม่เป็นมีดยาวสองเล่มอันไขว้กันอยู่ แสงมีดสร้างบางสิ่งอันดูคล้ายดวงจันทร์บนท้องฟ้า
รังสีมีดแสงจันทร์หลอมรวมเป็นหนึ่งและพลันระเบิดออก รัศมีแสงพุ่งลงมาราวดาวตก
ฟิ้ววว!
หมอกเลือดถูกผ่าออก และสตรีแปดกรงเล็บก็เห็นแสงดาว กรงเล็บของนางแตะลงไปบนแสงดาวนั้น เสียงโลหะปะทะดังมา แสงจันทร์และแสงดาวทะลวงผ่านร่างของนาง แยกร่างนั้นเป็นชิ้นๆ
กระบวนท่าที่หกแห่งเพลงมีดเชือดของคนแล่เนื้อ มีดยาวห้อยใต้แสงจันทร์สกาว ท่ามกลางหมู่ดาวม้าสวรรค์ตื่นตระหนก
ฉินมู่คลายมือที่จับกระบี่และมีดยาวสองเล่มก็ลอยขึ้นไปแยกตัวออกเป็นกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่บินวนรอบตัวเขาเพื่อปัดป้องมีดมารนับหมื่นอันยิงพุ่งมาทางเขา
พลิกฝ่ามือเพื่อโจมตีด้วยมุทรา ยอดฝีมือมีดดาบแห่งเผ่ามารที่ถูกโจมตีครางเสียงหนักก่อนระเบิดเป็นชิ้นๆ
ตูม ตูม ตูม
สายฟ้าครืนครันและระเบิดตลอดระยะสิบลี้ ไม่ว่ามือหยินหยางพลิกสวรรค์ของฉินมู่จะไปที่ใด ผู้คนและม้าศึกก็จะถูกพลิกกระเด็น
ด้วยมุทราอีกอย่างจากมือหลักของเขา น้ำแข็งก็แช่เย็นแผ่นดินกว่าสิบลี้ นิ้วชี้แตะลงไปที่ใจกลางหว่างคิ้ว และกระบี่บินก็พุ่งไปตามเส้นทางของมือหยินหยางพลิกสวรรค์เป็นเกลียวตรงไปข้างหน้าและทำให้เลือดไหลนองเป็นท้องธาร!
ท่วงท่ากระบี่เกลียว!
ทันใดนั้น งูเหลือมยักษ์สองตัวก็เลื้อยพันรอบร่างของฉินมู่และบีบรัดอย่างบ้าคลั่ง สตรีอสรพิษกระโดดขึ้นไปบนอากาศและเหวี่ยงซัดใส่เขาด้วยมือของนางที่เป็นงูเหลือม
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้น และรังสีแสงสองเส้นยิงออกจากดวงตาของเขา รูเปิดทะลุที่หน้าอกของสตรีอสรพิษ ปลิดชีพนาง แต่แขนงูเหลือมของนางก็ยังคงซัดเขาขึ้นไปบนอากาศด้วยเช่นกัน
ข้างใต้เขา สตรีอัปลักษณ์พลันกระแทกน้ำเต้าข้างหลังนาง และจุกน้ำเต้าก็เปิดออก ด้วยเสียงฟู่ ปราณมารสีแดงเลือดก็พวยพุ่งออกมาและยิงไปยังฉินมู่
“กายามังกรแท้เจ้าแดนดิน!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างดุดัน และดิ้นหลุดออกจากแขนงูเหลือม ด้วยมุทราหนึ่ง รูปเงาของภูเขาไฟก็พลันปรากฏข้างหลังเขา มันตั้งตระหง่านและพลันปะทุพวยพุ่ง!
ฝ่ามือไฟนรกสนามแม่เหล็กคลั่ง!
เขาฟาดฝ่ามือลงไปในทิศทางใต้ตัว และปราณมารสีแดงเลือดก็ถูกแผดเผาเป็นจุณพร้อมกับสตรีอัปลักษณ์นั้น
“ทักษะเทวะอัศจรรย์! ท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นเจ็ดดาว เจ้าสามารถจัดอยู่ในสิบอันดับได้!”
ฉินมู่ตกตะลึงเมื่อเขาได้ยินเสียงแข็งทื่อ เขามองลงไปข้างล่างและเห็นแม่ทัพใหญ่แห่งฝูงมารฟ้าวิ่งขึ้นมาบนแท่นสังเวยด้วยใบหน้าที่เงยขึ้นมามองเขา
แม่ทัพใหญ่มารฟ้าตนนั้นมีธงใหญ่ปักไว้ที่หลัง ระหว่างที่พุ่งทะยานขึ้นมา ร่างกายของเขาพลันสั่นเทิ้ม และศีรษะทั้งสี่ พร้อมกับแขนทั้งแปดก็ผุดโผล่ขึ้นมา เขาถือมีดยาวหลายเล่มอันไขว้ซึ่งกันและกัน ฝีเท้าของเขาแปรเปลี่ยนไปมาอย่างคาดเดาไม่ได้เมื่อเขาสังหารผู้ฝึกวิชาเทวะที่กีดทางมา
“ฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิม!”
แม่ทัพใหญ่มารฟ้าตบหลังมีดเข้ากับศีรษะของตนเอง และจิตวิญญาณดั้งเดิมอันสูงสิบห้าวาก็กระโจนออกจากร่างกายของเขา มันร้องคำรามไปยังท้องฟ้า และยกมือของมันขึ้นเพื่อผนึกมุทราซัดไปยังฉินมู่ มันใหญ่เกือบจะครึ่งไร่ ด้วยรอยประทับต่างๆ ที่ไขว้ขัดสลับไปมาและเผยแสดงรอยประทับมารทุกชนิดที่ฉายแสงโชนก่อนที่จะหรี่ลงไปเป็นระยะ
รอยประทับมารเต้นเร่า แต่ไม่ทันที่มันมาถึงตัวเขา อักษรรูนมารอันดูเหมือนโซ่ปรากฏขึ้นมารอบๆ เขาและรัดพันร่างเขาเอาไว้
กระนั้นเขาก็คงไม่อาจต้านทานรับพลังของฝ่ามือได้!
กระบี่ไร้กังวลและกระบี่บินเล่มอื่นๆ กำลังบินกลับมา แต่พวกมันอยู่ห่างไกลเกินกว่าที่จะช่วยชีวิตเขา
ในจังหวะนั้น ฉินมู่เห็นห้านิ้วของนักบุญคนตัดไม้รวบเข้าด้วยกัน และทักษะเทวะทุกประเภทจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง พลานุภาพของมันแผ่พุ่งออกไป และเป่ามารเทวะตนหนึ่งให้กระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
แรงบันดาลใจพุ่งเข้าชนฉินมู่ และเขาก็รวบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกันเช่นกัน
วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของเขาพลันโคจรในแบบแผนอันแปลกประหลาด ทารกวิญญาณและดวงวิญญาณของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ธาตุทั้งห้าฉายแสงส่องอย่างเจิดจ้า หกทิศรวมเป็นหนึ่ง เจ็ดดาวเหินสู่นภากาศ และสุริยันจันทราก็เคลื่อนคล้อยโคจร
ปัง ปัง ปัง!
พลังงานอันไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของฉินมู่และฉีกสะบั้นโซ่รอยมารที่รัดพันรอบๆ ตัวเขา จากนั้นเขาก็เงื้อมือขึ้นต้านรับฝ่ามืออันเกรี้ยวกราดจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพใหญ่มารฟ้า
ฉินมู่ครางหนักๆ เมื่อกระเด็นขึ้นไปบนท้องฟ้าอันทักษะเทวะและเทพศาสตรา มารศาสตราจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังอาละวาด หากว่าเขากระเด็นขึ้นไปสูงกว่านี้ จะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน!
อักษรรูนมากมายปรากฏรอบตัวเขาและหมุนวนเป็นเกลียว ขณะที่ฉินมู่กำลังจะลอยลิ่วไปถึงเขตต้องห้ามบนท้องฟ้า เขาก็หายวับ
ปัง!
เขาร่วงลงมาอีกสิบลี้ห่างออกไป พลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพใหญ่มารฟ้าได้ทำให้เขากลิ้งกระเด็นตีลังกาไปหลายตลบ และปะทะเข้ากับกลุ่มผู้ฝึกวิชาเทวะที่กำลังพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ฉินมู่กลิ้งหกคะเมนไปสิบกว่าตลบก่อนที่จะตั้งตัวลุกขึ้นมาได้
ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งผ่านเขาไป ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็ยกอาวุธวิญญาณทุกประเภทลอยขึ้นไปบนอากาศ ก่อนจะส่งมันถล่มลงมายังดินราวกับห่าฝน ครอบคลุมพื้นดินตรงหน้าพวกเขาทั้งหมด ยากที่จะกล่าวว่ามีไพร่พลมารมากมายแค่ไหนที่ตายจากการระดมยิงอาวุธวิญญาณรอบนี้
ข้ายังมีชีวิตอยู่?
ฉินมู่รีบตรวจดูเนื้อตัวของเขาและพบว่าแม้เขาจะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่กระบวนท่าพิฆาตจากแม่ทัพใหญ่มารฟ้ามิได้ทำอันตรายเขา เขาอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจแกมยินดี
กระบวนท่าของนักบุญคนตัดไม้มรพลานุภาพจนเกินจินตนาการ! หรือว่าเขาจะรู้ว่าข้ากำลังตกที่นั่งลำบากจึงจงใจขับเคลื่อนกระบวนท่านี้เพื่อให้ข้าเรียนรู้และเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ต้องตาย
เขายื่นมือออกไปคว้าจับอากาศ กระบี่ไร้กังวลพากระบี่บินเล่มอื่นๆ บินกลับมาก่อนที่พวกมันจะเปลี่ยนกลับเป็นไจกระบี่ลงบนฝ่ามือของเขา
ทันใดนั้นเสียงกังวานสดใสก็ดังมาจากข้างหลัง “ข้าเหมือนจะเคยเห็นเจ้ามาก่อน!”
ฉินมู่หันกลับไปและเห็นเทพเจ้าสูงตระหง่านข้างหลังเขา บนบ่าของเทพนั้นคือเด็กสาวผู้มีเปียถักสองข้าง นางก้มหัวลงมาเล็กน้อยเพื่อเพ่งพิศดูฉินมู่
………………….
กิเลนมังกรตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเกิดตระหนักขึ้นมา ฉินมู่ได้ใช้วิธีการบูชายัญเพื่อเปลี่ยนตัวเขาให้เป็นเครื่องเซ่นสังเวย ด้วยวิธีนี้เขาก็ย้ายตนเองไปยังโลกอื่น ขณะที่การดำรงอยู่ของเขาถูกแทนที่ด้วยแม่ทัพมารแห่งโลกอื่นเพื่อธำรงดุลยภาพระหว่างสองโลก!
การคำนวณของจ้าวลัทธิบรรลุขั้นลึกซึ้งระดับนั้นแล้วหรือนี่ เขาคำนวณมันได้อย่างไรกัน
กิเลนมังกรจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง หลังจากติดตามปรมาจารย์เยาว์มาหลายปี เขาก็มีความสำเร็จเชิงคำนวณอันสูงส่ง หากว่าไม่ใช่เพราะความขี้เกียจของเขา เขาก็คงจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการคำนวณระดับหัวกะทิของโลกหล้า
แต่ถึงอย่างนั้น วิธีในการคำนวณของฉินมู่ก็ทำให้แม้แต่เขายังต้องอ้าปากค้าง
เขารู้จักทฤษฎี แต่เมื่อคิดว่าจะประยุกต์ใช้พวกมันอย่างไร จิตคิดของเขาก็โล่งว่างเหมือนกระดาษขาว
วิธีบูชายัญเปลี่ยนเลือดและเนื้อให้กลายเป็นพลังงาน ส่งพวกมันผ่านไปยังโลกมิติอื่น เพื่อไปแทนที่สิ่งมีชีวิตจากโลกใบนั้น แต่ทว่า ฉินมู่มิได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นพลังงาน แต่ส่งผ่านตัวเขาเองในสภาพครบสมบูรณ์ไปยังโลกอื่น การทำเช่นนี้มีข้อต้องคิดคำนึงมากมาย อันเกินกว่าขอบเขตและขอบฟ้าของกิเลนมังกร
ฉินมู่ไม่เพียงแต่ใช้วิชาคำนวณ แต่ยังผนวกรวมกับวิธีบูชายัญของราชามารตู้เถียน เช่นเดียวกับวิธีการวัดห้วงอวกาศ การเคลื่อนย้ายระยะไกล ทั้งหมดนั้นจำต้องมีความรู้ปริมาณมหาศาลจนน่าแตกตื่น เพียงแค่ส่วนใดส่วนหนึ่งของวิธีการของเขาก็เพียงพอที่ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายจะต้องใช้เวลาศึกษาไปชั่วชีวิต
จ้าวลัทธิใช้ตนเองเป็นเครื่องสังเวยเพื่อเคลื่อนย้ายตนเองไปยังโลกอื่นในคราวนี้ แต่ว่าเขาจะกลับมาอย่างไร กิเลนมังกรพลันนึกได้ถึงประเด็นสำคัญและมองไปที่แม่ทัพมารซึ่งยังตะลึงงัน เขาพลันตะโกนไป “ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าขยับ!”
แม่ทัพมารยังคงงงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อครู่เขากำลังบุกตะลุยไปข้างหน้าอยู่ชัดๆ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่บนสถานที่แห่งนี้ เขาก้มหน้าลงและเห็นสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนลูกผสมระหว่างหมูและมังกรอันมีเกล็ดปกคลุมไปทั้งตัว กับหีบประหลาดใบหนึ่ง เป็นสัตว์ประหลาดที่อ้วนฉุอย่างเหลือเชื่อนั่นแหละที่เป็นผู้พูด
แม่ทัพมารมองไปรอบๆ ตนอันไม่มีสิ่งใดนอกจากความมืดแสนเข้มข้น เขาพึมพำ “เย เคอ ฮา เอ (ที่นี่คือที่ไหน)”
กิเลนมังกรยกหีบขึ้นและโยนมันไปใส่แม่ทัพมาร มารตนนี้แค่นเสียงเฮอะและยกมือขึ้นเพื่อคว้าสิ่งอันลอยเข้าใส่ ในพริบตาถัดมา หีบก็เปิดอ้าออกและกลืนเขาเข้าไปในคำเดียว!
ปัง
หีบร่วงลงมาวางบนแท่นสังเวยพร้อมกับที่แม่ทัพมารกำลังอาละวาดปึงปังอยู่ในนั้น เขาทำให้หีบโยกกระดอนไปมาทั้งซ้ายและขวาจากการฟาดทุบ กระโดดขึ้นและลงในนั้นอย่างสะเปะสะปะ
จังหวะที่กิเลนมังกรเหวี่ยงหีบออกไป เขาก็ได้ทะยานขึ้นไปบนอากาศเมื่อหีบร่วงลงมา เขาก็กระโดดลงไปทับมันเอาไว้อย่างแน่นหนา แม่ทัพมารในหีบแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ และเกือบทำให้เขากระเด็นกระดอนออกไป
เขารีบกล่าว “พวกเราปล่อยเขาออกมาไม่ได้เด็ดขาด! ไม่ว่าจะอย่างไร พวกเราก็ปล่อยเขาออกมาไม่ได้! พวกเราจะต้องเก็บเขาเอาไว้ เพื่อให้เมื่อจ้าวลัทธิอยากจะกลับมา เขาก็จะสามารถบูชายัญหมอนี่ได้อีกครั้ง! แต่ยาวิญญาณที่จ้าวลัทธิให้ข้าไว้คงเป็นเสบียงได้ไม่นาน…ช้าก่อน ยาวิญญาณของข้าทั้งหมดอยู่ในหีบ!”
กิเลนมังกรร้องโหยหวน
…
เสียงของแตรเขาสัตว์ดังกังวานขึ้นและกังวานขึ้น ราวกับว่าเครื่องเป่านี้ถูกเป่าอยู่ข้างหูฉินมู่ เกือบจะทำให้เขาหูหนวกไปเลย เขาหันกลับไปมอง และกระแสอากาศรุนแรงก็ซัดเข้ามา คลื่นเสียงสยบมันเอาไว้ ทำให้ผิวของเขากระเพื่อมเป็นคลื่นๆ
ข้างหลังเขาคืองาช้างยาวมหึมา อันยาวกว่าสิบห้าวาและเต็มไปด้วยมีดเหล็ก
ช้างยักษ์สามตัวอันมีรอยประทับมารไปทั่วตัวของพวกมันกำลังลากรถเมฆาทลายเมือง งาของมันกวัดแกว่งไปซ้ายและขวา เสียบปักมารเป็นสิบๆตัวไว้บนมีดเหล็กของพวกมัน เมื่อถูกปักติดเข้าไป ผู้คนเหล่านั้นก็ได้แต่ถูกแกว่งไปมาตามจังหวะงา
บนรถเมฆาทลายเมืองคือเขาของสัตว์พิสดารอันหนาใหญ่เสียยิ่งกว่างาช้างเสียอีก มันถูกเจาะให้กลวงและเปลี่ยนเป็นแตรเขาสัตว์อันปากแตรทั้งสองข้างใหญ่กว้างขนาดที่ผู้คนสองถึงสามคนเข้าไปยืนอยู่ได้ เสียงอันกึกก้องจนหูอื้ออึงดังมาจากแตรเขาสัตว์นี้
บนรถศึก ยักษ์มารตนหนึ่งกำลังเร่งเร้าปราณชีวิตของตนเพื่อเป่าแตรเขาสัตว์ เสียงของมันดังสนั่นจนแพร่กระจายไปทั่วทั้งสนามรบ
รถเมฆาทลายเมืองอันใหญ่โตมโหฬารไร้ปานเปรียบไม่สนใจมิตรและศัตรู บดขยี้ทุกสิ่งที่ขวางทางมันด้วยคชสารยักษ์และล้อรถ มันบดทับฝูงมารมากมายที่บุกตะลุยไปข้างหน้าจนเลือดและเนื้อสาดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง!
รอบข้างฉินมู่เต็มไปด้วยทหารมารที่สวมใส่เกราะดำและกวัดแกว่งอาวุธของพวกเขา โดยไม่คิดอะไรมาก เขาเริ่มต้นวิ่งตะบึงไปในทิศทางเดียวกับพวกนั้น คือมุ่งไปยังสนามรบ
“อา ผู เกา เนิน ฮาม (เจ้าคือใคร)” มารตนหนึ่งพลันตระหนักว่าฉินมู่มิใช่พวกเดียวกันกับพวกตนจึงส่งสายตาพิศวงไป
พริบตาถัดมา ศีรษะของเขาก็ปลิวกระเด็น
ไจกระบี่พวยพุ่งออกมาจากถุงเต๋าตี้ของฉินมู่ และร่วงลงมาในมือของเขา กระบี่มากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกมาจากสองฟากกำปั้น พวกมันสร้างภาพลวงของกระบี่วาวสองคม อันด้านทั้งสองแหลมทั้งคู่ มีด้ามจับตรงกลาง และใบกระบี่ยาวถึงยี่สิบวา
ฉินมู่เหวี่ยงหมุนกระบี่ของเขาเป็นวงกลมและกวาดมันไปรอบทิศทาง ทหารมารทั้งหมดที่กระโจนเข้ามาใส่เขาพลันกลายเป็นชิ้นส่วนอวัยวะที่ร่วงกราวลงมาจากท้องฟ้า คชสารยักษ์ที่พุ่งตะบึงเข้าใส่ก็ถูกสะบั้นขาหน้าทั้งสอง และล้มหน้าปักพื้น ทำให้งาของมันหัก
ข้างหลัง รถเมฆาก็กระเด็นขึ้นไปบนอากาศ และพลิกคว่ำลงเหนือศีรษะฉินมู่
มารตัวยักษ์บนรถศึกจ้องมองไปทางเขาขณะที่ปลิวหัวพลิกคว่ำไปกับรถ เมื่อเขาเห็นฉินมู่ ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ถัดมา กระบี่เล่มหนึ่งก็แทงทะลุหัวเขา ปักเอาไว้คารถศึก
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกหลังจากที่จัดการอันตรายอันจะถูกช้างยักษ์และรถศึกพุ่งชนเอาได้ เขามองไปข้างหลัง และขนหัวก็ลุกจนหนังหัวชาดิก
ข้างหลังเขาคือคชสารยักษ์จำนวนมากที่ชักลากรถเมฆาทลายเมืองอันขับเคลื่อนด้วยเหล่ามารตรงไปยังสนามรบฝั่งตรงข้าม
เสียงกึกกักอึกทึกของเท้ามหึมามากมายอันเหยียบย่ำลงไปบนพื้นซ้ำๆ ราวกับสายฟ้าอันฟาดเปรี้ยงปร้างข้ามสมรภูมิ
ข้างหลังรถเมฆายักษ์ ก็มีสัตว์พิสดารจำนวนมากมายอันใหญ่โตเสียยิ่งกว่าช้างมหึมาเสียอีก พวกมันวิ่งตะบึงด้วยความบ้าคลั่งพร้อมกับมารเทวะหน้าตาถมึงทึงที่ยืนอยู่บนหลังของมันพร้อมกับมารเทวะศาสตราในมือของพวกเขา
อาวุธเหล่านั้นแผ่พลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวและกวาดซัดไปบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ ส่งเสียงหึ่งฮัมเมื่อพวกมันพุ่งยิงไปยังเทพเจ้าทั้งหลายที่ฝั่งตรงข้าม
คลื่นกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่ตระการตา และในขณะเดียวกันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน สร้างความปั่นป่วนบนท้องฟ้าเหนือสนามรบ พลานุภาพของเทพศาสตราและมารศาสตราปะทะกันและบิดเบี้ยวห้วงมิติ
แสงรังสีทุกประเภทเริงระบำอยู่บนท้องฟ้า คมมีดสะท้านโลกทุกสีสันกวาดซัดไปๆ มาๆ บนนภากาศ คลื่นกระเพื่อมแผ่ไปทุกทิศทาง ทำให้ใครที่อาจหาญบินขึ้นไปต้องตายอย่างแน่แท้!
ฉินมู่รีบประเมินสถานการณ์ และสีหน้าของเขาก็กลายเป็นเครียดขรึม จุดที่เขาอยู่นั้นอยู่ตรงหน้าทัพมารพอดี!
ทหารที่อยู่ตรงนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นทหารเลวชั้นต่ำที่สุด เป็นตัวป้อนปืนที่ใช้ให้พุ่งทะลวงไปยังฐานของศัตรูเพื่อหยั่งทดสอบการป้องกันของฝ่ายนั้น!
ในเมื่อฉินมู่อยู่ท่ามกลางทหารเลวป้อนปืน และกำลังจะเข้าไปปะทะกับผู้คนของศัตรู ก็มีโอกาสสูงที่ว่าเขาก็จะกลายเป็นเหยื่อกระสุนไปด้วยเช่นกัน
“อา พูเกา นาน หาน?”
เสียงตะโกนดังมาจากรถศึกข้างหลังเมื่อมารยักษ์หลายตนมองมาทางเขาด้วยความสงสัย
“คู เตอะ เก่ย ลั่ว (เป็นพวกเดียวกับเจ้า)!” ฉินมู่รีบตะโกนกลับไปหาพวกเขา
ทหารมารจำนวนมากกระโดดลงจากรถศึก แต่ไม่เหมือนก่อนหน้า พวกเขาเป็นทหารชั้นยอดของเผ่ามาร พวกเขากรูกันเข้ามาราวกับน้ำบ่า พุ่งเข้ามายังฉินมู่อย่างบ้าคลั่งพลางตะโกน “ฮา ติ ลา (ฆ่า)!”
ฉินมู่ไม่ลังเลอีกต่อไปและหันกายวิ่งหนี เขานั้นกำลังงุนงงอยู่ ข้าก็บอกว่าข้าเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาชัดๆ ทำไมพวกเขายังจะฆ่าข้าอีก
ทหารชั้นยอดเหล่านั้นมิใช่มารชั้นเลวที่พุ่งไปข้างหน้าเป็นทัพหน้า ผู้คนเหล่านี้มีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่งและอยู่ในบรรดาฝูงมารฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยต่อสู้กับเผ่าพันธุ์นี้ในแดนเป็นของคนตาย และจึงรู้ว่ากำลังฝีมือของพวกเขานั้นน่าแตกตื่น
ฝูงมารฟ้าซ่อนอยู่ข้างหลังรถเมฆาทลายเมือง และจะออกมาโจมตีก็ต่อเมื่อมารชั้นเลวในทัพหน้าไปบุกทะลวงเข้าไปในพยุหะกระบวนทัพของศัตรูและทำให้เสียกระบวนแล้ว
ในตอนนี้ ผู้คนมากมายจากฝูงมารฟ้าวิ่งไล่ล่าฉินมู่ไป หมายที่จะขจัดผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามนุษย์ผู้นี้ซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากที่ใดไม่ทราบ
เสียงตะโกนดังมาจากข้างหลังและมารชั้นเลวก็ได้รับคำสั่งให้โจมตีฉินมู่ซึ่งกำลังวิ่งหนีไปเช่นกัน
“แปดพันกระบี่!” เขาตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด และกระบี่ยักษ์ในมือของเขาก็พลันพวยพุ่งออกไป แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปั่นหมุนอย่างบ้าคลั่ง และทัพหน้าก็พลันถูกหั่นเฉือนเป็นเศษเนื้อ กระบี่แปดพันเล่มราวกับลูกบอลแสงขนาดยักษ์ที่กลิ้งไปมาท่ามกลางเหล่าทัพหน้า ปั่นขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทาง
ฟิ้ววว!
ลูกบอลแสงกลิ้งไปบดขยี้ทัพมารจนกระทั่งยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ท่ามกลางมารชั้นเลวคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น กล้ามเนื้อปูดโปนก็พองทะลุเสื้อผ้าและชุดเกราะของเขา เขาขยายร่างจนสูงใหญ่ถึงสิบห้าวา และเหวี่ยงฟาดตะบองของเขาไปทุกทิศทางกำจัดมารชั้นเลวที่ขวางทางเขา
ตะบองของเขาหลอมสร้างขึ้นมาโดยใช้วิชาลับ และสามารถแยกออกเป็นสามสิบหกท่อน แต่ละท่อนเชื่อมต่อกันและหมุนปั่นกันคนละทิศละทาง บดขยี้ผู้คนของเขาให้กลายเป็นเศษเนื้อ
นายกองมารผู้นั้นกวาดล้างทุกคนออกไป จากนั้นเงื้อตะบองของเขาฟาดใส่ฉินมู่ เขาสามารถได้ยินเสียงเคร้งๆ ไม่รู้จบของกระบี่แปดพันเล่มที่รวบรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วก่อขึ้นมาเป็นโล่ใหญ่ ป้องกันการโจมตีของเขา
ร่างของนายกองมารนั้นโงนเงน และเสียงปังอีกสองเสียงดังออกมาเมื่อแขนอีกสองข้างผุดขึ้นมาจากใต้รักแร้ของเขา พวกมันจับโล่ยักษ์ให้อยู่กับที่ และอีกสองแขนเดิมก็เงื้อตะบองขึ้นสูงเพื่อฟาดลงไปอีกครั้ง
ฉินมู่เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์ ข้างหลังเขา ประตูน้อมสวรรค์อันสูงเป็นสิบวาก็ปรากฏขึ้นและเปิดออก ประตูนี้ป้องกันข้างหลังเขาโดยคร่าดวงวิญญาณของมารมากมายที่พุ่งมาทางข้างหลังเขาเข้าไปในแดนใต้พิภพ
ตูม!
เขาเงื้อมือขึ้นและส่งฝ่ามือไปปะทะกับนายกองมาร พลังวัตรของทั้งคู่แผ่พุ่งออกไปพร้อมกับทักษะเทวะของแต่ละฝ่าย ไม่ทันที่ตะบองของนายกองจะฟาดลงมาถึง ร่างของเขาก็ถูกซัดกระเด็นขึ้นไปบนอากาศด้วยฝีมือของฉินมู่ และพุ่งเข้าไปปะทะกับฝูงมาร พวกมารชั้นเลวบางคนถึงกับคอหักตายคาที่
แต่ในตอนนั้น ฝูงมารฟ้าที่ว่องไวที่สุดก็มาถึงตัวเขาแล้ว ไจมีดโบยบินมาจากท้องฟ้า พุ่งตรงไปใส่หน้าของฉินมู่
“หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่!” ฉินมู่ตะโกนออกไป และฝ่ามือของเขาก็ผลักไปข้างหน้า
หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ของคณบดีป้าซานนั้นถูกขับเคลื่อนออกไปอย่างง่ายดาย และดวงดาวก็แผ่ออกไปราวกับเม็ดหมากล้อม ดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาวธาตุทั้งห้าเป็นเจ็ดดาวหลัก พวกมันดวงใหญ่ที่สุดและแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงแสงที่จับเอามีดโค้งไว้กลางอากาศ
ถัดจากนั้น หน้าผาสวรรค์ดาวหมีใหญ่ก็แตกทำลาย
ฉินมู่ร้องกระอักเสียงหนักและเซถอยหลัง บุคคลแรกจากฝูงมารฟ้าที่เร่งรุดมาถึงเป็นเด็กหนุ่มหล่อเหลาแห่งเผ่าอสุราจากเผ่าทั้งแปดแห่งมารฟ้า เขายื่นมือออกไป และมีดโค้งนับไม่ถ้วนก็โบยบินกลับมาก่อรูปเป็นไจมีดในมือของเขา
อสุรานั้นเหวี่ยงซัดมือ และไจมีดของเขาก็ส่งเสียงหึ่งพลางก่อขึ้นมาเป็นมีดยาวสองเล่ม ในเวลาเดียวกันนั้น มีดโค้งเล่มอื่นๆ ในไจมีดก็กลายเป็นละเอียดยิบ และไหล่ผ่านง่ามมือของเขาไปก่อขึ้นมาเป็นเม็ดทรายที่ไหลรี่ไปรอบๆ ตัวเขา
อสุรานี้เงื้อมีดโค้งในมือและโจมตีฉินมู่ราวกับพายุหมุน
เคร้ง!
ทั้งสองคนปะทะกัน และฉินมู่ก็เคลื่อนที่ไปเพื่อสลัดเอาพลานุภาพในการปะทะออก
กำลังมากอะไรอย่างนี้!
อสุรานั้นก็ถูกซัดกระเด็นไปเช่นกัน เขาใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อตั้งตัวใหม่ จากนั้นพุ่งทะยานตรงไปยังฉินมู่ด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม
ฉินมู่สืบเท้าไปหนึ่งก้าวและผลักฝ่ามือไปข้างหน้า แสงตรงหน้าเขากระเพื่อมสั่นไหว และปราณชีวิตของเขาก็เปลี่ยนเป็นคำตรึง ร่างของอสุรานั้นถูกตรึงไว้ชั่วแวบหนึ่ง แต่เมื่อเขากำลังจะขยับอีกครั้ง กระบี่ของฉินมู่ก็กวาดผ่านเขา และหัวใจก้อนหนึ่งก็ปลิวกระเด็นขึ้นไปบนฟ้า
“ต่อให้เจ้าแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ยังด้อยกว่าข้าอยู่ดี”
ฉินมู่หรี่ตาลงเมื่อผู้คนจากฝูงมารฟ้าเข้ามาใกล้เขาอีกหลายคน แต่ละคนนั้นไม่ด้อยไปกว่าอสุราเมื่อครู่ อันทำให้เขาขนหัวลุก
แต่ทว่า ในตอนนั้นเอง เสียงกัมปนาทสะท้านโลกก็ดังมาจากสนามรบ มันเป็นการปะทะกับของทัพสองทัพ ในพริบตานั้น เลือดและเนื้อปลิวกระจายไปในอากาศ
ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดมิด และที่ใจกลางสนามรบ แท่นสังเวยหนึ่งก็ผงาดขึ้นมาท่ามกลางความนองเลือด แผ่นดินที่ยกตัวสูงขึ้นมาเหวี่ยงฉินมู่และฝูงมารฟ้าและกระเด็นกระจัดกระจาย
ฉินมู่รีบมองไป และหัวใจของเขาก็กระโดดโครมครามด้วยความตื่นตระหนก แท่นสังเวยนั้นใช้เพื่อการสังเวยโลหิต และคล้ายคลึงกับอันที่เขาใช้เคลื่อนย้ายตนเองมายังโลกนี้
เป้าหมายหลักของแท่นสังเวยใหญ่นี้ก็เพื่อจะใช้เลือดและเนื้อในการสงครามเพื่ออัญเชิญตัวตนอันทรงพลังมาจากโลกอื่น
แท่นสังเวยนี้ใหญ่กว่าที่ข้าสร้างเป็นร้อยๆ เท่า…ใครกันที่ฝังมันเอาไว้ที่นี่
เมื่อเขาลงเหยียบพื้น เขาก็ถูกฝูงมารฟ้ากรูเข้ามาโจมตีจนไม่มีเวลาคิดวอกแวก
แท่นสังเวยจุดแสงติดขึ้นมาในเวลานั้น และอักษรรูนจำนวนมากก็หมุนเป็นเกลียววนรอบๆ มัน ส่องแสงสว่างไปทุกทิศทาง แสงเลือดสาดส่องข้ามท้องฟ้า พวยพุ่งไปเป่ารูทะลุในชั้นเมฆ
ตูม!
ขวานใหญ่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ตามมาด้วยพยัคฆ์ร้ายที่สวยงามและดุดัน ร่างของมันห้อมล้อมไปด้วยรอยประทับเทวะทุกชนิด
“นายท่าน!”
พยัคฆ์ดุคำรามลั่น และเงาร่างที่คุ้นตาก็ปรากฏบนหลังของมัน ฉินมู่มองไปด้วยสีหน้าว่างเปล่า เพราะว่าความเผลอไผลชั่วแวบนั้น เขาเกือบถูกฝูงมารฟ้ากระซวกเอา
บนแท่นสังเวย เขาได้เห็นบุคคลที่คุ้นเคยถือขวานอยู่พลางขี่เสือเทพยดา
นั่นคือนักบุญคนตัดไม้ผู้ซึ่งถ่ายทอดคำสั่งสอนของเขาบนก้อนหิน
…………………..
“รูปสลักหินของนักบุญคนตัดไม้ฟื้นคืนชีพ?” ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขารีบถาม “เขาอยู่ที่ใด”
“เขาจากไปเช่นกัน หากว่าท่านมาถึงก่อนหน้านี้สักหลายวัน คงจะได้พบกับเขา นักบุญตัดไม้ได้จากไปพร้อมกับขวานของเขา เมื่อเขาตื่นขึ้นมา ข้าก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ พิศวงว่าทำไมตัวตนระดับนี้ถึงสองคนถึงตื่นขึ้นมาตามๆ กัน” ผู้สันโดษชิงโยวกล่าว “ส่วนว่าเขาไปที่ไหน ข้าไม่รู้”
ฉินมู่ตั้งสติ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ และนักบุญคนตัดไม้แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ตื่นขึ้นมาตามกันติดๆ นี้นับว่าประหลาดนัก เหตุใดถึงเกิดเรื่องแบบนี้
นักบุญคนตัดไม้ไปยังที่ใด
เขามิใช่ผู้ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ แต่เป็นบรรพจารย์ก่อตั้ง นักบุญคนตัดไม้เพียงแต่ต้องการส่งต่อมรดกยุทธของเขาเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่น่าที่จะไปยังลัทธินักบุญสวรรค์
แต่นอกจากที่นั่นแล้ว เขาจะไปยังที่ใดได้อีก
หวางมู่หรันและคนอื่นๆ มิได้อยู่ในนครหยกน้อย ในเมื่อพวกเขาไปยังเมืองเขตมังกร ดังนั้นจึงเหลือเซียนเฒ่าอยู่ไม่กี่คนบนภูเขา ผู้สันโดษชิงโยวเพ่งพิศฉินมู่และกล่าว “สภาวะของกษัตริย์มนุษย์ฉินดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง ท่านต้องการที่จะเข้าไปในโถงแห่งห้าปราณจริงๆ น่ะหรือ ท่านดูเหม่อลอยมากในตอนนี้”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “ไม่ทราบว่าผู้สันโดษชิงโยวจะช่วยเปิดโถงแห่งห้าปราณ โถงแห่งหกทิศ และโถงแห่งเจ็ดดาวได้หรือไม่ ข้าอยากจะเข้าไปชมดู”
ผู้สันโดษชิงโยวลังเลไปครู่หนึ่ง เขาไม่ค่อยวางใจนักกับสภาพปัจจุบันของเด็กหนุ่ม “หากกษัตริย์มนุษย์ยืนกรานที่จะเข้าไป นครหยกน้อยของข้าก็ย่อมจะทำให้ดีที่สุดตามความปรารถนาของท่าน แต่ทว่า สภาวะของท่านดูไม่สู้ดีนักในตอนนี้ และการบุกเข้าไปด้วยกำลังดิบก็จะไม่ดีต่อตัวท่าน เพราะถึงอย่างไรท่านก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียว”
“ผ่านการทลายด่านห้าปราณ ทลายด่านหกทิศ และทลายด่านเจ็ดดาวย่อมจะช่วยเพิ่มพูนรากฐานของท่านจนสูงลิ่วอย่างแน่นอน ดังนั้นอย่าทำให้โอกาสนี้เสียเปล่าเลย และมาใหม่เถิดเมื่อท่านในสภาวะที่ดีที่สุด”
ฉินมู่ยิ้มให้แก่เขา “ข้าเพียงแต่ต้องการไปข้างในและมองดู มิได้เข้าไปท้าทาย”
ผู้สันโดษชิงโยวจนปัญญา “โปรดตามข้ามา” เขานำฉินมู่ไปยังโถงสามกำเนิดพลางกล่าว “ท่านผ่านการทลายด่านสามกำเนิดแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ท่านเข้าไปในโถง ก็จะเข้าสู่โถงห้าปราณโดยอัตโนมัติ หากว่าท่านเดินผ่านที่นั่นก็จะเป็นโถงแห่งหกทิศ และหลังจากนั้นก็จะเป็นโถงแห่งเจ็ดดาว จากสภาพของท่านที่ดูไม่ถูกต้อง เพื่อป้องกันท่านสร้างความผิดพลาดใดๆ ข้าจะนำทางด้วยตนเอง”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและเดินเข้าไปในโถงแห่งสามกำเนิด ก่อนที่เขาจะได้ตั้งตัวติด ภาพทิวทัศน์เบื้องหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลง และดวงดาวมหึมาห้าดวงก็ลอยผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้า เปล่งแสงสีทอง สีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง และสีเหลือง แต่ละดวงนั้นมีราชวังตั้งอยู่
ฉินมู่เพ่งสมาธิ และข้างๆ ดาวทั้งห้า เขาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้า แต่ทว่ามันอยู่ห่างไกลลิบลับจากเขาราวกับว่ามีโลกใบหนึ่งคั่นกลาง
ดาวทั้งห้าบนท้องฟ้าใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ แต่พวกมันอยู่ที่ความห่างต่างๆ กันไป บ้างก็ใกล้ บ้างก็ไกล ในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้า เทพเจ้าผู้ประจำดวงดาวทั้งห้าก็ยืนอยู่
ทันใดนั้น เสียงของผู้สันโดษชิงโยวก็ดังมาแต่ไกล
“ศิษย์พี่หญิงหยิ่งเหอ ให้ข้ามาแทนตำแหน่งท่านในด่านนี้”
เทพเจ้าลำตัวงูผู้มีเส้นผมสีแดงลุกขึ้น และแปรเปลี่ยนเป็นธารแสงอันพุ่งจากไปในที่ไกลๆ
รังสีแสงอีกลำพุ่งเข้ามา และเหยียบไปบนราชวังศักดิ์สิทธิ์ ผู้สันโดษชิงโยวแปลงกายเป็นเทพเจ้าลำตัวงูผมแดงและกล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉิน โถงแห่งห้าปราณแบ่งเป็นการทลายด่านทอง ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ท่านต้องการเลือกธาตุใด”
ฉินมู่ส่ายหัว “การมาเยือนของข้าในครานี้นั้นเพื่อมองดูสมบัติเทวะของเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นผู้สันโดษชิงโยวโปรดผ่อนปรนข้าด้วย”
ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้ว เช่นเดียวกันกับผู้อมตะอีกสี่คน หนึ่งในนั้นกล่าว “ผู้ก่อตั้งของนครหยกน้อยของข้าได้ทิ้งโถงแห่งสามกำเนิดเอาไว้เพื่อใช้สอนอนุชนรุ่นหลัง และเติมเต็มในสิ่งที่พวกเขาขาดพร่อง นี่ไม่ใช่เพื่อให้เราไปพิจารณาสมบัติเทวะของเขา”
หญิงเฒ่าผู้หนึ่งขมวดคิ้ว “ผู้คนที่มาเพื่อท้าทายไม่เคยมีใครร้องขออะไรประหลาดแบบนี้มาก่อน ศิษย์พี่ชิงโยว…”
“กษัตริย์มนุษย์ฉินมิใช่คนนอก” ผู้สันโดษชิงโยวครุ่นคิดก่อนที่จะกล่าว “เขาแบ่งปันวิธีการบรรลุเทพให้แก่โลกหล้า และพวกเราก็ล้วนแต่ได้รับความกรุณาของเขา นครหยกน้อยควรที่จะตอบสนองคำร้องขอของเขา ยิ่งไปกว่านั้น บรรพชนที่ทิ้งด่านทดสอบนี้ไว้ก็ยังมีแซ่ฉิน”
ผู้อมตะทั้งสี่จึงไม่กล่าวท้วงอีกต่อไป
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ท่านมีโอกาสเดียวที่จะท้าสู้พวกเรา และหากว่าท่านสำเร็จ ท่านจะได้รับปราณเทวะแห่งห้าปราณ นี่ก็จะสามารถเสริมความบกพร่องในการฝึกปรือสมบัติเทวะห้าธาตุของท่าน ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าท่านเพียงต้องการแต่มองดูสมบัติเทวะของเทพเจ้านี้”
ฉินมู่โค้งคารวะ “ให้ปลาแก่คนย่อมทำให้เขาอิ่มท้องไปหนึ่งวัน แต่สอนเขาจับปลา ท่านก็จะป้อนให้เขาท้องอิ่มไปชั่วชีวิต ข้ายินดีที่จะละทิ้งปราณเทวะแห่งห้าปราณ”
ผู้สันโดษชิงโยวจึงคลี่ยิ้มออกมา “ตกลง ข้าคิดว่ากรอบคิดจิตใจของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นไม่มั่นคงและกังวลว่าท่านจะสูญเสียปัญญาและพ่ายแพ้การต่อสู้ แต่ความเด็ดขาดของท่านทำให้ข้าชื่นชมยิ่งนัก ถ้าเช่นนั้น ขึ้นมา!”
แสงสีเขียวของเขาร่วงลงไปยังพื้น และฉินมู่ถูกมันยกขึ้นมา ขึ้นไปเหยียบบนดาวธาตุน้ำ เทพร่างงูเกศาแดงที่ผู้สันโดษชิงโยวได้แปลงมานั้นนำพาเขาเข้าไปในโถงวังศักดิ์สิทธิ์ “กษัตริย์มนุษย์ฉิน เชิญท่านชมดูตามสบาย ตอนนี้ก็ขึ้นกับความสามารถของท่านแล้วว่าจะตรึกตรองเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและสำรวจทุกสิ่งทุกอย่างโดยละเอียด เขาเฝ้าสังเกตรอยประทับอักษรรูนบนผนังทั้งสี่แห่งโถงศักดิ์สิทธิ์ เพ่งพิศดูอย่างใกล้ชิด
บนดาวทั้งห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุ ล้วนแต่มีโถงวังศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ และพวกมันก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
ผู้ฝึกวิชาเทวะทุกๆ คนที่ฝึกปรือมาจนถึงขั้นนี้ก็จะหลอมสร้างดวงดาวทั้งห้าในสมบัติเทวะห้าธาตุของตน ดาวทั้งห้าดวงก็จะตอบสนองต่อห้าธาตุ
ดวงดาวพวกนี้ก่อขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ และราชวังศักดิ์สิทธิ์บนดวงดาวเหล่านี้ก็ก่อขึ้นมาโดยธรรมชาติเช่นกัน แต่ทว่าวิชาฝึกปรือที่แตกต่างกันก็จะก่อรูปขึ้นมาเป็นรอยประทับอักษรรูนที่แตกต่างกัน พวกมันก็จะมาประกอบกันกับปราณชีวิตและกลายเป็นเทพเจ้าในโถงวัง
ในสมบัติเทวะห้าธาตุของผู้ฝึกวิชาเทวะคนใดๆ เมื่อเทพเจ้าแห่งห้าธาตุเป่าลมหายใจปราณชีวิตออกมา คุณสมบัติธาตุของปราณชีวิตก็จะเปลี่ยนแปลง นั่นจึงเป็นที่มาของนามว่า ห้าปราณ
สมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ได้ฝึกปรือบ่มเพาะจนถึงสุดขีดขั้วแล้ว ดังนั้นจึงยากที่เขาจะรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แต่ทว่า การต่อสู้ระหว่างเขากับบรรพชนแรกทำให้เขาได้ตระหนักว่าขีดจำกัดของเขานั้น มิใช่ขีดจำกัดของทุกคน
เขาสังเกตดูอย่างละเอียด และผู้สันโดษชิงโยวก็ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง ยืนคอยเขาอยู่ตลอดเวลานั้น
ยากที่จะบอกว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ฉินมู่จึงหลับตาลง ได้ศึกษาจนเพียงพอแล้ว
เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็มองไปยังผู้สันโดษชิงโยว “ข้ามีคำขอร้องที่เกินเลยอยู่ประการหนึ่ง”
ผู้สันโดษชิงโยวเข้าใจความนัย และแปรเปลี่ยนเป็นแสงสว่างพุ่งจากไปเหลือก็แต่ฉินมู่อยู่ตามลำพังในโถงศักดิ์สิทธิ์ รอยประทับอักษรรูนบนผนังพลันสว่างขึ้นมา และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนไปโดยที่เขามิได้จงใจ แปลงร่างเขาเป็นเทพเจ้าเกศาแดงผู้มีลำตัวงู
ผ่านไปนาน ฉินมู่ได้สลายเทวาจำแลงของตนและออกมาจากโถงวังศักดิ์สิทธิ์ เขาไปยังดาวดวงอื่นๆ และศึกษารอยประทับอักษรรูนที่นั่น
หลังจากสิบกว่าวัน เขาก็พลันเดินสำรวจครบทั้งห้าดวงดาวและไปยังสมบัติเทวะหกทิศที่ไม่มีใครอยู่ประจำการ
เขาใช้เวลาสิบกว่าวันอยู่ที่นั่นต่อก่อนที่จะเข้าไปยังสมบัติเทวะเจ็ดดาว เวลาผ่านไปอีกหลายวัน หลังจากนั้น เขาก็ไม่อาจไปข้างหน้าต่ออีกก็ในเมื่อสมบัติเทวะชาวสวรรค์และสมบัติเทวะเป็นตาย ไม่มีคนพอเปิดมัน
เมื่อฉินมู่เดินออกจากโถงแห่งสามกำเนิดด้วยสภาพอันอิดโรยและมีหนวดเคราเป็นตอๆ ผู้สันโดษชิงโยวก็รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้มิได้นอนหลับมาตลอดเวลาที่ผ่าน เขารู้สึกเจ็บปวดแทนอีกฝ่ายและถาม “กษัตริย์มนุษย์ฉินได้สิ่งที่ท่านต้องการหรือไม่”
ฉินมู่ดูจะมีจิตใจแจ่มใสขึ้น ความคืบหน้าของเขาในสมบัติเทวะห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาว ได้ให้ประโยชน์แก่เขาอย่างมาก เติมเต็มความมั่นใจของเขาขึ้นมาใหม่ เขากล่าวขอบคุณ “ขอบคุณเหล่าเซียนทั้งหลายมากๆ ส่วนว่าข้าได้พบสิ่งที่ข้าต้องการแล้วหรือไม่ ข้ายังต้องไปทดสอบยืนยันอีกที ข้าถามได้หรือไม่ เมื่อเทียบกันระหว่างผู้ก่อตั้งนครหยกน้อยกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ กำลังฝีมือของใครสูงล้ำกว่ากัน”
“ข้าไม่อาจพูดได้จริงๆ ว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน ก็ในเมื่อทั้งสองท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสที่บรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้เมื่อสองหมื่นปีก่อน และข้าไม่เคยเห็นพวกเขาต่อสู้กันมาก่อน แต่ทว่า นครหยกน้อยมีม้วนบันทึกจำนวนหนึ่งที่กล่าวว่าครั้งหนึ่งบรรพชนได้ไปค้นหากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่ง เขาต้องการจะให้อีกฝ่ายลงจากภูเขามากู้สถานการณ์ของโลกหล้า แต่เขาก็ต้องกลับมาด้วยความท้อถอยหดหู่จากการพ่ายแพ้ และต้องเยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเป็นเวลาหลายเดือน”
“ม้วนบันทึกระบุไว้ว่ากษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่งได้ใช้พลังวัตรอันเกินจะหยั่งของเขาขับเคลื่อนเศษซากของสภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง และนั่นกำลังฝีมือของเขาก็แข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นใหญ่กว่านครหยกน้อยเป็นร้อยเท่า และเป็นที่รู้กันดีว่ามันน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด”
“ข้าคิดว่าเหล่าบรรพชนแห่งนครหยกน้อยได้สู้ยิบตาเพื่อป้องกันพวกตนเองเท่านั้น ขณะที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้นำผู้คนจากเผ่าพันธุ์มากมายทะลวงฝ่าสมรภูมิรบตลอดทางมา จากข้อนั้น ก็คงไม่ยากที่จะคาดเดาว่าใครมีกำลังฝีมือสูงกว่ากัน”
ฉินมู่สีหน้าซีดราวขี้เถ้า ผ่านไปเนิ่นนาน เขาก็โค้งคารวะ “ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณผู้สันโดษเป็นอย่างยิ่ง”
ผู้สันโดษชิงโยวขมวดคิ้วและรู้สึกว่ากรอบคิดจิตใจของเด็กหนุ่มย่ำแย่กว่าตอนที่เขามาเสียอีก “ท่านไม่ได้นอนมามากกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ดังนั้นท่านพักผ่อนก่อนเสียเถอะ”
ฉินมู่ตกลง
ผู้สันโดษชิงโยวจัดแจงห้องให้แก่เขา และให้เขาได้นอนหลับ
หลังจากนั้นสิบกว่าวันฉินมู่จึงตื่นขึ้นมา แต่สีหน้าของเขาก็ยังไม่สู้ดี เขายืนกรานที่จะจากไป และผู้สันโดษชิงโยวก็ไม่อาจรั้งเขาไว้ได้ต่ออีก “หากว่านักบุญคนตัดไม้กลับมา ข้าจะไปบอกข่าวท่านได้ที่ใด”
“ข้าคงต้องขอรบกวนผู้สันโดษให้ไปยังเมืองเขตมังกร ข้าอาจจะอยู่ที่นั่น”
ผู้สันโดษชิงโยวส่งเขาออกไปพลางครุ่นคิดอย่างฉงน ก่อนนั้นที่กษัตริย์มนุษย์ฉินมาที่นี่เป็นครั้งแรก เขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ตอนนี้ทำไมเขาจึงดูท้อแท้นัก
ฉินมู่นั่งอยู่บนหีบที่พาเขาจากไป เขาเทยาวิญญาณเพลิงฉานปนๆ กับยาชีวาเทพธาตุไฟลงไปจนเต็มอ่าง ให้แก่กิเลนมังกรที่ประหลาดใจแกมยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็กระวนกระวายไปด้วย ทำไมจ้าวลัทธิถึงใจดีนักวันนี้ เพราะว่าข้าอดอาหารมากว่าเดือนหนึ่งหรือเพราะว่าเขาขุนข้าไว้สำหรับเตรียมเชือดขึ้นโต๊ะ? ไม่ว่าจะอย่างไร กินก่อนก็แล้วกัน!
หลังจากเขากินหมดอ่างหนึ่ง ฉินมู่ก็เทให้เขาอีกรอบ
กิเลนมังกรลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนก้มลงมองอ่านอันเต็มไปด้วยยาวิญญาณ เขาพลันเริ่มร้องไห้โฮอย่างน่าสงสารพลางก้มหัวลงกินเข้าไปอีก
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยความฉงน “เจ้าจะร้องไห้ทำไม”
“ถ้าตายก็ขอตายเป็นผีอิ่มท้อง!”กิเลนมังกรพูดทั้งที่อาหารเต็มปากพลางปาดป้ายน้ำตา “อย่างน้อยข้าก็จะได้ไปสู่ปรโลกด้วยพุงเต็มๆ จ้าวลัทธิ โปรดให้ข้าไปอย่างรวดเร็วไม่เจ็บปวด!”
ฉินมู่ส่ายหัวพลางกล่าว “ข้าได้ทำให้เจ้าอดอาหารมาช่วงหลายวันนี้ ดังนั้นข้าจึงชดเชยให้ ไม่ได้กะว่าจะฆ่าเจ้าเอาเนื้อมากินเสียหน่อย”
กิเลนมังกรลิงโลดยินดีและกินยาวิญญาณทั้งหมดในอ่าง
เมื่อพวกเขาผ่านเมืองหนึ่ง ฉินมู่ก็หยุดเพื่อซื้อสมุนไพรสำหรับทำยา เขาไปยังเมืองอีกหลายเมืองและหลอมปรุงยาวิญญาณเพลิงฉานและยาชีวาเทพธาตุไฟอีกหลายหม้อ อันเขายัดเอาไว้ในหีบ กิเลนมังกรรู้สึกตื้นตันจากเรื่องนี้ จ้าวลัทธิดีต่อข้าจริงๆ!
ฉินมู่ซื้อเหล็กดำและทองคำทมิฬมาหลอมตีเป็นอาวุธวิญญาณประหลาดพิสดารในระหว่างทาง
กิเลนมังกรไม่เข้าใจว่าเขากำลังจะทำอะไร เขาเห็นบางสิ่งที่ฉินมู่หลอมตีขึ้นมาว่ามันคือธง แท่นสังเวยจำนวนหนึ่ง และบ้างก็เป็นเครื่องมือการคำนวณอย่างผังแปดทิศ ไท่จี่ ลูกคิด และยันต์ห้าธาตุ
ผ่านไปหลายวัน พวกเขาก็มาถึงเมืองเขตมังกร แต่ไม่เข้าไปข้างใน
ฉินมู่ใช้แท่นผังแปดทิศ ผังไท่จี่ และเครื่องมือการคำนวณต่างๆ นานาเพื่อคิดคำนวณประมวลผล พลางมองไปในบริเวณรอบๆ เขาไปปักหลักตรงภูมิประเทศหนึ่งและใช้ไม้บรรทัดวัดภูเขาในละแวกนั้น จากนั้นเขาก็บันทึกอักษรรูนมากมายไว้บนกระดาษ กิเลนมังกรเดินเข้าไปมองดูแต่เขาไม่เข้าใจอะไรสักสิ่ง
การคำนวณนี้ดำเนินไปจนดวงอาทิตย์ใกล้จะตก และความมืดก็กำลังจะปกคลุมลงมา
เมื่อฉินมู่คำนวณเสร็จในที่สุดเขาก็ตั้งแท่นสังเวยอันมีธงปักอยู่รอบๆ จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ท่ามกลางมัน หลังจากที่ให้กิเลนมังกรและหีบถอยออกห่างแล้ว
“จ้าวลัทธิ นี่เอาไว้ทำอะไรหรือ” กิเลนมังกรถามจากข้างๆ หีบ
ฉินมู่ขับเคลื่อนธงและมองไปยังความมืดในบริเวณโดยรอบ โลกมิติอื่นกำลังจะปรากฏขึ้นมา และไม่นานก็จะซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ ในโลกนั้น มารจำนวนมากเคลื่อนที่ไปมารอบๆ ด้วยร่างกายอันดุจควันขณะที่พวกมันพรั่งพรูออกมาจากรูอวกาศ
ในสายตาของฉินมู่ ผู้คนแห่งโลกมิติอื่นกำลังต่อสู้ต้านฝูงมารพวกนั้น เขานั้นกำลังเผชิญกับสนามรบขนาดใหญ่ที่กว้างไกลไพศาลอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ
“มังกรอ้วน ข้าได้เตรียมยาวิญญาณพอให้เจ้าใช้อยู่ได้เป็นเวลานานล่ะ อยู่กับหีบไปก่อนสักหลายๆ วัน ส่วนข้านั้นกะว่า…” สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังแม่ทัพมารบนสนามรบ บนแท่นสังเวย อักษรรูนจำนวนมากเปล่งแสงเรือง และธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็โบกสะพัด “ไปยังต่างโลก!”
ตูม!
เสียงระเบิดรุนแรงดังออกมา และฉินมู่กับธงเคลื่อนย้ายระยะไกลก็หายวับ แทนที่เขาบนแท่นสังเวย แม่ทัพมารตนหนึ่งอันสูงใหญ่กำยำพลันปรากฏตัวและจ้องมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง
หวูด หวูด!
เสียงแตรเขาสัตว์ดังยาวนาน และธงจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวไสว ฉินมู่พลันปรากฏที่ใจกลางสนามรบอันไพศาล ซึ่งมีไพร่พลนับล้านของกองทัพมารกำลังบุกตะลุยไปข้างหน้า
พวกเขากวาดผ่านฉินมู่ไปในการบุกตะลุย
ตรงหน้าพวกเขาคือเมืองอันโอฬารตระการตาที่มีเรือเหาะยักษ์ลอยอยู่บนท้องฟ้า เทพเจ้ามากมายยืนตระหง่านอยู่ที่นั่นพร้อมด้วยเทพศาสตราในมือพวกเขา และกวาดล้างกองทัพมารกับม้าศึกจำนวนนับไม่ถ้วนที่พุ่งเข้ามาด้วยการฟาดฟันแต่ละที
ฉินมู่ใช้เวทมนตร์บูชายัญและพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลเพื่อเข้ามาในโลกของเด็กสาวในความมืด!
…………………..
หลิงอวี้จิวส่งฉินมู่ไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์ก่อนที่จะกลับไปยังเมืองหลวงในสองวัน อันนางจะต้องรอการจัดแจงของจักรพรรดิ
เมื่อจักรพรรดิต้องการที่จะเปิดสี่สถาบันใหญ่แห่งใหม่ให้กลายเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงสุดอันเป็นรองเพียงแค่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ หัวหน้าโถง ผู้อาวุโส และเทวราชทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้า ก็ต่อสู้ต่อรองกันยิบตาในสภาราชสำนัก ความพยายามของพวกเขาก่อผล และสถาบันนักบุญสวรรค์ก็ได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งขึ้นมา มันใช้คฤหาสน์ของท่านยายซีเป็นที่ตั้ง และหลังจากการต่อสู้กับซิงอ้าน ท่านยายซี เฒ่าใบ้ เฒ่าบอด และนักปรุงยาก็อาศัยอยู่ที่นี่
มีสาวกลัทธินักบุญสวรรค์มากมายในสภาราชสำนัก ที่สูดสุดก็คือราชครูและเจ้านครเว่ย ส่วนต่ำสุดก็คือทหารและตำรวจในทั่วทุกท้องที่ ดังนั้นฉินมู่จึงไม่จำเป็นต้องต่อสู้ให้กับสถาบันของตนเอง ในเมื่อมีคนอื่นจัดการให้ในนามของเขา
ท่านยายซี เฒ่าใบ้ และเฒ่าบอด กลายเป็นครูผู้สอนแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ สอนบรรยายความรู้เป็นครั้งคราว ส่วนครูผู้สอนคนอื่นๆ ส่วนมากจะเป็นหัวหน้าโถงแห่งลัทธินักบุญสวรรค์
เมื่อฉินมู่มาที่นี่ ก็ได้เวลาเรียนกันพอดี แต่เขามองไม่เห็นใครในสถาบัน มีก็แต่ฝูงมังกรไร้เขาที่โดดโลดเต้นกันอยู่ในทะเลสาบ พอพวกมันเห็นฉินมู่ ตอนแรกพวกมันก็ตกตะลึง จากนั้นก็รีบกระโดดขึ้นมาบนฝั่งอย่างกระตือรือร้น
ฉินมู่พลันรู้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่และรีบหันหลังวิ่งหนี ไม่ใช่ว่ามังกรไร้เขาพวกนี้ธิดาเทพเซี่ยงเอาไว้เลี้ยงไว้บนภูเขานักบุญเยือนหรือไร ทำไมพวกมันถึงมาที่สถาบันนักบุญสวรรค์
“มาฮา! มาฮา! มาฮา!”
ฝูงมังกรไร้เขาพุ่งผ่านกิเลนมังกรและหีบ สักครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็ถูกฝูงมังกรไร้เขาจับเอาไว้ได้ หลังจากนั้น เขาก็ได้แต่ลากร่างเหนื่อยอ่อนของตนไปข้างหน้าพร้อมกับมังกรไร้เขาสิบกว่าตัวที่ถูไถหัวของพวกมันกับตัวเขาอย่างไม่หยุดหย่อน เขาของพวกมันเสียดสีคอเขาจนถลอกเป็นแผล
“มาฮา…” มังกรไร้เขาตัวเล็กเกาะเกี่ยวห้อยบนตัวเขาด้วยดวงตาหรี่ปรือราวกับว่ากำลังจะหลับ
ฉินมู่ร่างเปียกโชกราวกับว่าเขาเพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
กิเลนมังกรระบายลมหายใจแห่งความโล่งอก และมังกรไร้เขาพวกนั้นก็หันมาทางเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน กิเลนมังกรตระหนักว่าเขากำลังจะโดนมั่งแล้ว เลยรีบหันกายแล้ววิ่งหนีไป
“มาฮา! มาฮา! มาฮา!”
ฝูงมังกรไร้เขาวิ่งผ่านหีบไป และผ่านไปสักพักฉินมู่ก็เห็นกิเลนมังกรคลานกระดืบๆ กลับมาอย่างยากลำบาก คอ ร่างกาย และขาทั้งสี่ล้วนแต่เกาะเต็มไปด้วยมังกรไร้เขา
“มาฮา” มังกรไร้เขาถูไถไปมากับเนื้อตัวกิเลนมังกรจนเจ้าอ้วนนี่โชกเลือด
“มาฮา?” ฝูงมังกรไร้เขาโงหัวขึ้นมองหีบด้วยความสนใจใคร่รู้
หีบก้าวตามไปข้างหลังฉินมู่ แต่ทันใดนั้นมันก็ตระหนักว่ากำลังจะแย่ เลยรีบวิ่งหนีไปเช่นกัน
ฝูงมังกรไร้เขาไต่ไถลลงจากกิเลนมังกรและพุ่งตามหีบไปพลางร้องด้วยความลิงโลดดีใจ “มาฮา! มาฮา! มาฮา!”
กิเลนมังกรระบายลมหายใจแห่งความโล่งอกและนอนแผละลงกับพื้น ผ่านไปสักพักหนึ่ง หีบก็วิ่งกลับมา ทำให้ฉินมู่และกิเลนมังกรจ้องมองไปที่มันด้วยดวงตาเบิกกว้าง มันไม่มีมังกรไร้เขาอยู่บนหีบเลยแม้แต่ตัวเดียว
“มาฮา–” หีบอ้าออก และมังกรไร้เขาสิบกว่าตัวก็โผล่หัวออกมา พวกมันร้องเป็นเสียงเดียวกัน สนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง
นี่ดูเหมือนกับหีบที่ปลูกดอกคุณนายตื่นสายเอาไว้ทุกสีสันชูช่อประชันกันออกมา
หีบนั้นดูจะชอบใจกับเรื่องนี้และตามพวกเขาไปราวกับว่ามังกรไร้เขาพวกนี้ไม่หนักอึ้งเลยแม้แต่น้อย
“มู่เอ๋อกลับมาแล้วหรือ”
เมื่อระฆังดังเป็นสัญญาณเลิกคาบเรียน ท่านยายซีก็เดินออกมาจากโถงใหญ่ นางเห็นฉินมู่และรีบก้าวเข้ามาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ได้เจอเจ้าสักพักหนึ่งแล้ว เจ้านี่นับว่าเป็นอธิการบดีที่โบกมืออย่างเดียวและไม่ทำอะไรเองสักนิด เจ้าโยนบัณฑิตพวกนี้มาไว้ที่นี่และลื่นไหลหนีออกไปขณะที่ให้พวกเราต้องคอยดูแลพวกเขาแทนเจ้า…”
ฉินมู่กอดนางแน่น และน้ำตาก็ไหลพรากอย่างกลั้นไม่อยู่ “ท่านยาย!”
ด้วยความตกตะลึง ท่านยายซียิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน “เจ้าโดนรังแกมาหรือ จ้าวลัทธิผู้ยิ่งใหญ่จะร้องไห้ขี้แยแบบนี้ได้อย่างไรกัน เจ้านั้นยังเป็นอธิการบดีของสถาบันนักบุญสวรรค์อีกต่างหาก ดังนั้นหยุดร้องเถอะ ให้พวกบัณฑิตมาเห็นเจ้าแบบนี้ไม่ดีหรอก บอกยายสิว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วยายจะไปจัดการทวงคืนให้เจ้าเอง”
ฉินมู่รู้สึกตนเองสงบใจลงและปล่อยนาง เขาส่ายหัวและกล่าว “เกิดอะไรขึ้นกับมังกรไร้เขาพวกนี้ ไม่ใช่ว่าพวกมันถูกส่งไปที่ภูเขานักบุญเยือนแล้วหรือ”
“แม่สาวเซี่ยงก็จะส่งพวกมันไปที่ภูเขานักบุญเยือนอยู่หรอก แต่นางรำคาญที่พวกมันกินเป็นแต่ยาวิญญาณ และไม่ใช่แค่ชนิดเดียวด้วย มันสิ้นเปลืองจนเกินไป ดังนั้นนางจึงส่งพวกมันกลับมา” ท่านยายซีอธิบาย
“แม่สาวเซี่ยงขี้ตืดจริงๆ และนางเอาแต่เฝ้าจ้องเงินทองของลัทธินักบุญสวรรค์เอาไว้ตาไม่กะพริบ แต่ถึงอย่างไร เอาพวกมันมาไว้ที่สถาบันก็ดีเหมือนกัน เมื่อบัณฑิตเรียนรู้วิธีการหลอมปรุงยาจากท่านปู่นักปรุงยาของเจ้า ยาวิญญาณที่พวกเขาหลอมปรุงก็ใช้ป้อนมังกรไร้เขาพวกนี้ได้พอดีเลย”
“จริงๆ แล้วเจ้าตัวเล็กพวกนี้ค่อนข้างโด่งดังในสถาบันของพวกเรา เมื่อบัณฑิตหมายจะวาดภาพมังกร หลอมสร้างอาวุธวิญญาณรูปทรงมังกร หรือฝึกปรือทักษะเทวะแนวๆ มังกร พวกเขาก็ต้องการพวกมัน”
“แต่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า ใครตอแยเจ้างั้นหรือ เฒ่าเป๋! นักปรุงยา! เฒ่าบอด! มานี่สิ มู่เอ๋อถูกคนอื่นรังแกมา!”
ปัง!
มีเสียงระเบิดขนาดใหญ่ และเฒ่าเป๋ก็พลันปรากฏข้างกายฉินมู่ เขาถามด้วยความฉงน “ใครรังแกมู่เอ๋อของพวกเรา มันรำคาญชีวิตนักหรืออย่างไร”
“เป็นกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก เทพเที่ยงแท้ตนหนึ่ง ท่านปู่เป๋…” ฉินมู่กล่าว
เฒ่าเป๋ตัวสั่นเทิ้มและหันกายผละไป เฒ่าบอดรีบคว้าตัวเขาเอาไว้และถามด้วยรอยยิ้ม “เฒ่าเป๋ เจ้ากลัวหรือ”
“ข้ากลัวบ้าบออะไรกัน!” เฒ่าเป๋พึมพำ “ก็แค่ซิงอ้าน ไอ้วายร้ายนั่นที่ไม่ถึงขั้นเทพเที่ยงแท้ แต่ก็ยังทุบตีพวกเราจนหมดสภาพ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเป็นเทพเที่ยงแท้ตัวเป็นๆ ดังนั้นหากว่าพวกเราไปตอแยเขา มิใช่จะรนหาที่ตายหรอกหรือ”
นักปรุงยาเดินเข้ามา และครุ่นคิด “กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก? เทพเที่ยงแท้? จัดการเขาด้วยยาพิษไม่ได้หรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าอยากจะเอาชนะเขาซึ่งๆ หน้าอย่างขาวสะอาดต่อสู้กับเขาที่ขั้นวรยุทธเดียวกัน ข้าต้องการกำจัดเขาด้วยมือตนเอง”
นักปรุงยาตัวสั่นเทิ้มก่อนจะยักไหล่ “วิชาฝีมือของข้าไร้ประโยชน์ในเรื่องนี้”
เฒ่าเป๋ถอนหายใจ “ข้าเองก็ไม่มีอะไรเสนอ แล้วเฒ่าใบ้ไปไหน”
“เขาเผ่นออกไปเมื่อหลายวันก่อน” คนแล่เนื้อพาดเสื้อมาบนบ่า เดินเข้ามาพลางกล่าวด้วยเสียงกัมปนาท “เจ้าหมอนั่นชอบกะล่อนไปทางนั้นทีทางนี้ที ไปที่ที่มีแต่สวรรค์เท่านี้ที่จะรู้ มู่เอ๋อ กำลังฝีมือของเทพเที่ยงแท้เป็นอย่างไร”
“เขาแข็งแกร่งกว่าข้าในทุกๆ ด้าน เขาวิ่งเร็วกว่าข้า พละกำลังของเขายิ่งใหญ่กว่าข้า ดวงจิตและร่างกายของเขารวมเป็นหนึ่ง เนตรเทวะเขาก็เหนือล้ำกว่าเนตรเทวะข้า พละกำลังในหมัดของเขาน่าตื่นตระหนก และมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเขาก็ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งกับกายเนื้อ”
ฉินมู่สีหน้ามืดมน “เข้าได้บรรลุเขตขั้นเต๋าในทุกๆ ด้าน ดังนั้นสิ่งเดียวที่ข้าแข็งแกร่งกว่าก็มีเพียงพลังวัตร”
เฒ่าบอดขมวดคิ้วแล้วถาม “เขายังแข็งแกร่งกว่าเนตรเทวะข้าหรือ”
ฉินมู่ผงกหัวน้อยๆ
คนแล่เนื้อที่ไม่เคยกริ่งเกรงฟ้าและดินก็ยังต้องขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพัก เขาถาม “เพลงมีดของข้า…”
“ถูกเขาทำลายไปอย่างง่ายดาย”
เฒ่าหนวกเดินเข้ามา “แล้วเต๋าแห่งภาพวาดล่ะ?”
“ไม่มีโอกาสได้แสดง”
“แล้วทักษะเทวะของลัทธินักบุญสวรรค์?” ท่านยายซีถาม
ฉินมู่ส่ายหัว ทุกๆ คนนิ่วหน้ากันหมด
“เจ้าได้ลองวิ่งดูไหม” เฒ่าเป๋ถามด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย
“เขาวิ่งทันข้า”
“พิษ… ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ” นักปรุงยาโบกไม้โบกมือและกล่าว “ข้ามีความมั่นใจที่จะวางยาพิษเทพทั่วไป แต่กับเทพเที่ยงแท้ที่ไร้จุดอ่อนใดๆ ข้าไม่คิดว่าจะทำได้”
ฉินมู่ยิ้มให้แก่พวกเขา “พวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องข้านี้ ข้าได้ขบคิดเกี่ยวกับมันมาหลายวันแล้ว และข้าตระหนักบางสิ่ง แม้ว่าเขาจะดูแข็งแกร่งไร้เทียมทาน แต่เมื่อกาลครั้งนั้นเขาได้หนีไปจากสนามรบ อันแปลว่าจะต้องมีบุคคลที่แข็งแกร่งกว่าเขาอีกเป็นแน่ เขามิได้ไร้เทียมทาน ดังนั้นข้าจะต้องหาวิธีก้าวล้ำเขาไปได้อย่างแน่นอน”
ท่านยายซีแย้มยิ้มและกล่าว “นานทีกว่าเจ้าจะได้กลับมา ดังนั้นอยู่ที่สถาบันนักบุญสวรรค์สักพักเถอะ ให้พวกเราช่วยเจ้าคิดวิธีแก้ไข”
ฉินมู่ผงกหัวและเดินเข้าไปเพื่อวางสัมภาระของตน
ยายเฒ่าซี คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด และคนอื่นๆ มาสุมหัวกันและมองไปที่แผ่นหลังของเขา คนแล่เนื้อขมวดคิ้วและกล่าว “นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินมู่สูญเสียความมั่นใจ แต่ก่อนเขาไม่เป็นอย่างนี้ เต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง แต่บัดนี้…” เขาส่ายหัว
เฒ่าบอดหรี่ตา “เทพเที่ยงแท้ พวกนั้นมันน่ากลัวขนาดนั้นจริงๆ น่ะหรือ เหนือล้ำกว่าเนตรเทวะของข้าเชียว? ข้าไม่เชื่อ!”
“ในเมื่อเขามาที่นี่ พวกเราก็ควรฝึกฝนให้เขา!” เฒ่าหนวกพลันกล่าว “เรียนโดยไม่คิดคือตาบอด คิดโดยไม่เรียนคือนิ่งเฉย เขานั้นอยู่ในขั้นของการเรียนรู้และขบคิด การต่อสู้ของมู่เอ๋อกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิใช่เพียงแค่การต่อสู้ของวรยุทธเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้ของจิตเต๋า”
“หากว่าเขาผ่านสิ่งนี้ไปได้ มันก็อาจจะเป็นความก้าวหน้าอันยิ่งใหญ่ในจิตเต๋าของเขา แต่ถ้าเขาผ่านไปไม่ได้ ข้าเกรงว่ากายาจ้าวแดนดินจะกลายเป็นกายาไร้ประโยชน์ ช่วยกันฝึกเขาให้ดีๆ เถอะ เพื่อให้เขาไม่กลายเป็นไร้ประโยชน์!”
ทุกคนผงกหัว
หลังจากที่ฉินมู่ลงหลักพักที่นี่ดีแล้ว ก็ราวกับว่าเขาได้กลับไปยังหมู่บ้านพิการชรา คนแล่เนื้อ เฒ่าบอด เฒ่าหนวก เฒ่าเป๋ และท่านยายซีก็จะเรียกเขาไปซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อป้อนกระบวนท่าให้แก่เขา พลิกฟ้าคว่ำดินในสถาบันจากการต่อสู้
บัณฑิตส่วนใหญ่ในสถาบันมาจากลัทธินักบุญสวรรค์ ส่วนที่เหลือๆ มาจากแหล่งศึกษาอื่นๆ เพื่อมาแสวงหาความรู้ที่นี่ ในช่วงเวลาถัดไปหลายวันนี้ได้เปิดหูเปิดตาพวกเขาเป็นอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาได้ประจักษ์วิชาฝีมือระดับตำนานของครูผู้สอนทุกคน
หลังจากหลายๆ วัน ท่านยายซีและคนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ขมวดคิ้ว ฉินมู่นั้นกริ่งเกรงและกระสับกระส่าย ไม่กล้าที่จะโจมตี อันเป็นผลให้เขาถูกพวกเขาต่อยตีจนยับเยิน ที่แย่ที่สุดก็คือ แม้ว่าบางครั้งบางหนที่เขาโจมตี กระบวนท่าเขาจะเพริศแพร้วพิสดารอย่างถึงที่สุด แต่เขาก็จะขับเคลื่อนพวกมันไปเพียงครึ่งทางแล้วก็หยุด
คนแล่เนื้อโกรธเกรี้ยว และต่อยทุบเขาพลางดุด่าอย่างขึงขัง “ทำไมเจ้าไม่ร่ายกระบวนท่าจนสุด”
ฉินมู่ไม่ตอบโต้และได้แต่ส่ายหัว “มันผิดไปหมด…”
“เจ้าก็ต้องใช้มันจนสุดสิ ต่อให้มันผิด!”
ท่านยายซีรีบดึงคนแล่เนื้อออกมาและกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “จิตใจเขาไม่ค่อยปกติดี เลิกทุบตีเขาได้แล้ว! หากว่าเจ้าทำให้เขาเอ๋อไปทั้งๆ แบบนั้นล่ะ?”
เฒ่าหนวกผงกหัวและกล่าว “ในสมองของเขามีสิ่งมากมายก่ายกองเต็มไปหมด และเขาก็ครุ่นคิดมากเกินไป เขาได้ขุดตัวเขาลึกจนถึงทางตันและไม่อาจออกมาได้ ดังนั้นเจ้าทุบตีเขาแบบนี้ต่อไปก็ไม่ได้อะไรหรอก เมื่อเขาเสาะหาหนทางของตนเองออก เขาก็จะกลายเป็นปรมาจารย์”
คนแล่เนื้อจ้องไปที่เขา “หากว่าเขาหาหนทางออกมาไม่ได้ล่ะ?”
ทุกคนเงียบกริบ
“มู่เอ๋อ เจ้าคงเรียนอะไรจากที่สถาบันนี่ไม่ได้สักอย่างหรอก ดังนั้นเจ้าออกไปเดินท่องเที่ยวโดยไม่สนใจกังวลใดจะดีกว่า” ท่านยายซีกล่าว
ฉินมู่ผงกหัวและเก็บสัมภาระ ออกไปจากสถาบันด้วยหัวอันมึนงง
เฒ่าเป๋ตามเขาไปสักระยะหนึ่ง ทว่าเห็นก็แต่ฉินมู่เดินสะเปะสะปะอย่างสุ่มๆ เมื่อพบว่าฉินมู่มิได้ตกอยู่ในอันตราย เขาก็คลายใจลงและกลับไปยังสถาบัน
วันหนึ่ง ฉินมู่มายังแม่น้ำหย่งและนั่งอยู่ที่ชายฝั่ง แทบจะทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงจากข้างหลังเขา “ไอ้เด็กแซ่ฉิน!”
ฉินมู่หันกลับไปและเห็นเด็กหนุ่มในชุดหรูหรายืนอยู่ข้างหลังเขาด้วยความแตกตื่นผวา พร้อมที่จะหลบหนีไปในทุกเมื่อ
“โอ ที่แท้ก็ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่หันกลับไปจ้องแม่น้ำต่อ
ผานกงสั่วยืดตัวขึ้นด้วยขาคนหนึ่งข้างและขากวางหนึ่งข้าง เขาหมายจะหลบหนีไปทันทีที่เด็กหนุ่มผู้นี้โจมตีใส่เขา แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายยังคงนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำโดยไม่มีเจตนาโจมตี เขาจึงใจกล้าขึ้น ขยับเข้าไปใกล้และถาม “จ้าวลัทธิฉินดูเหมือนจะมีความยุ่งยากอะไรอยู่หรือ เจ้าและข้าเป็นสหายเก่ากัน เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่บอกข้าถึงสิ่งที่กัดกินใจเจ้าอยู่เสียหน่อยล่ะ บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าไขปัญหานั้นได้”
ฉินมู่นั้นเบื่อจนแทบตายและโยนก้อนหินเข้าไปในแม่น้ำ “ข้ากำลังคิดว่า ข้าจะเอาชนะเทพเที่ยงแท้ในวรยุทธขั้นเดียวกันได้อย่างไร แต่ข้าไม่พบคำตอบ ผู้สูงศักดิ์ เจ้าสอนข้าได้หรือไม่”
ผานกงสั่วตาเป็นประกายวาบ และเขาเข้าไปใกล้ทุกขณะๆ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่างนี้นี่เอง เจ้าคงจะยุ่งยากใจมากๆ เลยตอนนี้สินะ? เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไร้ประโยชน์มากๆ เลยสินะ? ว่าชีวิตนั้นไม่น่าสนใจเอาเสียเลย? ถ้าอย่างนั้น จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม ให้ข้าช่วยเจ้าสิ้นสุดความกังวล ฮี่ๆ…”
ครืน
แม่น้ำกระเพื่อมสูงนูนขึ้นมา และศีรษะขนาดยักษ์ของเทพครองแดนเลี้ยงมังกรก็ผงาดลอยราวขุนเขา หนวดของเขาแกว่งไกวไปในอากาศข้างๆ ผานกงสั่ว
เด็กหนุ่มผู้นี้พลันตัวแข็งทื่อ และใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเหลือง เขารีบหันกายจากไป “ขออภัยที่รบกวน ลาก่อน!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หายไปโดยไร้ร่องรอย
เทพครองแดนเลี้ยงมังกรจ้องมองเขาจากไปและส่ายหัว “ไอ้เด็กนี่มันกะล่อนยิ่งกว่าปลาไหล ฝ่าบาท ข้าไม่อาจไขปัญหาให้ท่านได้ แม้ข้าจะเป็นเทพ แต่ก็ไม่มีพลังอำนาจที่จะสามารถกำจัดเทพเที่ยงแท้”
ฉินมู่ถอนหายใจขณะที่ภูเขาข้างหลังเขา เทพป๋ายซี่บิดหางกระดุกกระดิกไปมาด้วยความรำคาญใจ “ข้าไม่มีความสามารถนั้นเช่นกัน! ฝ่าบาท ข้าเปลี่ยนภูเขาได้ไหม ลูกนี้มันเล็กเกินไป และวิหารของข้าก็เตี้ยแค่นี้เอง! ข้ายัดเท้าเข้าไปแม้แต่กีบเดียวก็ยังไม่ได้!”
ฉินมู่ลุกขึ้นและขี่กิเลนมังกรจากไป
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ท่านได้มายังนครหยกน้อยของข้าเพื่อบุกทลายด่านห้าปราณและด่านหกทิศหรือ” ผู้สันโดษชิงโยวรีบเข้ามาต้อนรับเขาด้วยรอยยิ้ม
“สักพักแล้วที่นครหยกน้อยของข้าไม่มีอาคันตุกะ โถงแห่งห้าปราณและโถงแห่งหกทิศได้รอการมาเยือนของกษัตริย์มนุษย์ จริงสิ มีอีกอย่างที่ข้ายังไม่ได้บอกท่าน เมื่อสองสามเดือนก่อน รูปสลักหินของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกของท่านดูเหมือนจะกลับมามีชีวิต เขาออกไปจากนครหยกน้อย ข้าไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด”
หางตาของฉินมู่กระตุก และเขากล่าว “ข้าได้พบเขาแล้ว”
บนใบหน้าของผู้สันโดษชิงโยวมีวี่แววของความตื่นตระหนก “ท่านได้พบเขาแล้วหรือ ถ้าอย่างนั้น ท่านก็รู้ด้วยหรือไม่ว่ารูปสลักหินของนักบุญคนตัดไม้ก็ได้กลับมามีชีวิตและออกไปจากนครหยกน้อยเช่นกัน”
……………..
ฉินมู่ลงเหยียบพื้นพร้อมกับโคลนอันกระเด็นพุ่งไปรอบๆ ตัวเขา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด และหยาดหยดของมันก็เข้าไปผสมกับโคลนเหล่านั้น เส้นผมของเขาลุกโพลงปลิวไปมาจากความพิโรธเมื่อเขาก้าวไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งเพิ่งลุกขึ้นมายืน
“เจ้ามันก็แค่ทหารหนีทัพของสมรภูมินี้ เจ้าไม่มีสิทธิที่จะดูถูกเหยียดหยามใคร!” ฉินมู่ร้องคำรามและพุ่งเข้าใส่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
แม้ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะสาหัส แต่รัศมีของเขาก็ดูจะดุร้ายยิ่งกว่าเก่า และพลานุภาพในกระบวนท่าของเขาก็ยิ่งน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
โทสะอัดแน่นเต็มอกเขา เมื่อบรรพชนแรกกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสอง เขาก็รู้สึกว่ากับว่าเลือดในอกทั้งหมดจะระเบิดออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาหลอมรวมเข้ากับกายเนื้อจากจุดที่มันยืนอยู่บนแท่นวิญญาณใจกลางสมบัติเทวะของเขา ขณะที่จิตวิญญาณดั้งเดิมใช้ศีรษะค้ำยันฟ้า และเท้าเหยียบหยัดอยู่บนดิน เขาก็ท่วมท้นไปด้วยไอหมอกแห่งหกทิศอันไหล่บ่ามาจากทุกทิศทาง
ปราณชีวิตของฉินมู่หลอมรวมเข้ากับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาอันได้หลอมรวมเข้ากับกายเนื้อไปแล้ว และปราณชีวิตก็พุ่งแผ่ไปทั่วสรรพางค์กาย
ทันใดนั้น เขาก็ตรึกตรองเข้าใจประเด็นสำคัญที่สุดของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของบรรพชนแรกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
การโคจรวิชานั้นอาศัยเวลา ทักษะเทวะจึงจะสามารถแผ่พุ่งพลานุภาพออกไปได้ ความแตกต่างนั้นอยู่แค่ว่า ระยะเวลาดังกล่าวจะยาวสั้นแค่ไหน อันนำไปสู่พลานุภาพอันแข็งแกร่งและอ่อนแอ
ด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิมตั้งมั่นอยู่ในสมบัติเทวะทั้งหลาย ปราณชีวิตก็จะเข้ามาในร่างกายเขาผ่านทางสมบัติเทวะทั้งหลายโดยตรง ประหยัดเวลาที่ต้องใช้ในการโคจรปราณชีวิต
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และไม่เพียงแค่เพราะว่าทุกส่วนในร่างกายของเขาบรรลุเขตขั้นเทวะ แต่ด้วยการใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมผสานเข้ากับร่างเนื้อ
ในจังหวะนั้น ดาวห้าดวงในสมบัติเทวะห้าธาตุของฉินมู่ก็สอดคล้องกับอวัยวะทั้งห้า หัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตอันคือไฟ ไม้ ดิน ทอง และน้ำตามลำดับ เทพครองดาวทั้งห้าเคลื่อนที่เข้าไปในหัวใจ ตับ ม้าม ปอด และไตของเขา แต่ละอวัยวะในอวัยวะทั้งห้าของเขามีเทพเจ้าสถิตอยู่ในนั้น!
หัวใจของเขานั้นคือสถานที่ที่เทพครองดาวอังคารหัววัวเคลื่อนที่เข้าไป
ตับเป็นสถานที่ที่เทพครองดาวพฤหัสบดีหัวนกเข้าไปครองตำแหน่ง ม้ามคือสถานที่ที่เทพครองดาวเสาร์หัวคนร่างงูเลื้อยเข้าไป ปอดคือที่ซึ่งเทพครองดาวศุกร์หัวเสือเข้าไปนั่ง และไตนั้นคือที่ซึ่งเทพครองดาวพุธผู้มีเกศาสีแดงและร่างงูเข้าไปอยู่
ห้าธาตุและกายเนื้อส่งเสริมซึ่งกันและกัน และพละกำลังของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นทีละน้อย อันทำให้เขามีพละกำลังพอที่จะซัดบรรพชนแรกซึ่งกำลังจะทำลายโครงกระดูกของบรรพชนสองกระเด็นไปได้ในหมัดเดียว!
“ใช่ พวกเขาแพ้ พวกเขาพ่ายแพ้อย่างน่าสังเวช!”
ฝ่ามือของฝ่ามือปะทะกัน และพละกำลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่ง หมอกขาวในบริเวณรอบๆ เกิดเสียงหวีดเฉือน เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกันและก่อเป็นคลื่นอากาศ
พลังฝ่ามือราวกับมีดอันคมกล้าไร้ใดเปรียบอันเฉือนตัดหมอกเป็นสองฟากยาวไกลถึงร้อยห้าสิบวา
“พวกเขาได้ทำมัน แต่เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์พวกเขา”
ฉินมู่คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว และปราณชีวิตทั้งหมดของเขาก็แผ่พุ่งไป เส้นเอ็นของเขาขยับอย่างดุเดือดใต้ผิวหนังและผลักปะทะกับบรรพชนแรก ปัง ปัง ปัง ปัง ภายใต้เท้าของพวกเขา พื้นดินระเบิดออกมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมันมีพื้นที่โล่งว่างรอบตัวพวกเขารัศมีร้อยห้าสิบวา อันไร้ซึ่งมวลหมอก
ถึงอย่างไร มันก็คือพลังอันกดอัดจากการซัดฝ่ามืออันรุนแรงของฉินมู่ หมอกทั้งหลายจึงไปรวบอัดกันข้างหลังมัน ซึ่งก็คือข้างหลังบรรพชนแรกในตอนนี้
“นอกจากก่อตั้งโถงกษัตริย์มนุษย์ เจ้าได้ทำอะไรอีก” ฉินมู่ถาม และภูเขาไฟก็ระเบิดมาข้างหลังเขา อัคคีพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกมันมาจากเพลงหมัดของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอันรวบรวมเพลิงหฤทัยมาเป็นพลังการระเบิด
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสีหน้าแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย พละกำลังในฝ่ามือของฉินมู่พลันเพิ่มพูนไปหลายเท่าตัว และซัดเขากระเด็นไป
“เจ้าไม่ได้ทำอะไรเลย!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังอยู่บนอากาศ และพลันเห็นฉินมู่เงื้อขาข้างหนึ่งขึ้นมา ร่างของเขาตวัดเตะเป็นวงกลมขณะที่ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธวิญญาณทุกชนิดเข้าไปถล่มเป้าหมาย!
มันคือเวทมนตร์ขัดเกลาอาวุธวิญญาณของกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่!
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกวาดแขนเสื้อขึ้นและทำลายอาวุธวิญญาณทั้งหมด แต่ไม่ทันที่เขาจะร่วงลงถึงพื้น เขาก็เห็นฉินมู่ยกนิ้วขึ้นมาทางเขา ภูเขามากมายพลันโผล่ขึ้นมาและโถมทับใส่เขาทั้งหมด
“เชื่อมกำแพงแตะขุนเขาน้ำเงิน!”
“หากว่าพวกเขาด้อยกว่าเจ้า ก็สอนพวกเขาสิ! เจ้าสามารถสอนพวกเขาได้!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหักฝ่ากระบวนท่านี้ด้วยกำลังเถื่อน แต่เขายังไม่ทันตั้งตัว ระฆังยักษ์ก็พุ่งเข้ามาใส่เขา ฉินมู่มาตรงหน้าเขาและโจมตีใส่ระฆัง หมัดและลูกเตะของเขาซัดลงไปบนผนังระฆัง
ระฆังสั่นสะท้าน และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจดุดันมากขึ้นทุกที บางครั้งมันก็เอียง บางครั้งมันก็คว่ำ บางครั้งก็หงาย และบางครั้งปากระฆังก็จ่อตรงไปยังบรรพชนแรก
ระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีของบรรพชนห้า!
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกถอยไปอย่างต่อเนื่องขณะที่ฉินมู่พูดใส่เขาอย่างเดือดดาลผ่านเสียงเหง่งหง่างของระฆัง “บรรพชนสองตายอย่างไร จากความชรา!”
ตูม!
ฝีเท้าของกษัตริย์บรรพชนแรกเริ่มพลาดจังหวะ
“บรรพชนสามตายอย่างไร จากความชรา!”
“บรรพชนสี่ตายอย่างไร จากความชรา!”
“พรสวรรค์และปฏิภาณของกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดด้อยกว่าเจ้าหรือ หากว่าเจ้าทำไม่ได้ เจ้าก็ควรถ่ายทอดวิชาในการบรรลุเทพให้พวกเขากระทำมันสิ! ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้พวกเขาตายจากความชรา”
ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่คนที่เขาได้ร่ำเรียนมาในยมโลก กษัตริย์มนุษย์ทั้งสามสิบสี่ได้ทดสอบพรสวรรค์และปฏิภาณของเขาด้วยทักษะเทวะพวกนี้ แต่ว่าพวกเขามิได้ถ่ายทอดวิชาเต็มๆ หวังให้เขาไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อรับสืบทอดวิชาคำสอนของพวกเขาที่ครบสมบูรณ์
พวกเขาสอนฉินมู่แต่เพียงคร่าวๆ และมิได้คาดหวังว่าเขาจะเรียนอะไรไปได้มากมายนัก แต่กระนั้นทักษะเทวะของพวกเขาในมือของฉินมู่ก็เปล่งอานุภาพอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ทำให้บรรพชนแรกต้องถอยกรูดๆ
“เจ้ามีวิชาสำหรับฝึกให้บรรลุเทพอยู่ชัดๆ ดังนั้นเจ้าก็ควรจะสอนพวกเขา! ทำไมเจ้าไม่สอนพวกเขา”
“พวกเขาได้อะไรไปจากเจ้าบ้าง นอกจากลัญจกรผุพังนี่! นอกจากภาระและความรับผิดชอบ พวกเขาไม่ได้อะไรเลย!”
“พวกเขาไม่ได้เรียนรู้วิชาและทักษะเทวะของเจ้า แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังช่วยเจ้าแบกรับภาระที่เจ้ายกเองไม่ไหว ดิ้นรนและต่อสู้กับศัตรูที่เจ้าหวาดกลัว! กระนั้นเจ้าก็ยังมาทำลายความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา และยังหวังที่จะทำลายซากสังขารอีก! พวกเขาละอายเกินกว่าจะสู้หน้าเจ้าหลังจากที่พวกเขาตายไป ละอายที่ไม่อาจประสบความสำเร็จ!”
“กระนั้นเจ้าก็ยังอยากจะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเหลือเอาไว้! เจ้ามีหน้าอะไรไปเรียกพวกเขาว่าไร้ประโยชน์ เรียกพวกเขาว่าไร้ความสามารถ”
ฉินมู่ปลดปล่อยกระบวนท่าสุดท้ายของเขา แต่บรรพชนแรกพลันยื่นมือออกมาคว้าหมัดของเขาเอาไว้และเหวี่ยงเขาขึ้นไปก่อนที่จะจับเขาฟาดลงกับพื้นอย่างหฤโหด
ฉินมู่กระโดดขึ้นมา และบรรพชนแรกก็โจมตีตอบโต้ด้วยเพลงหมัด วิชาตัวเบา เพลงกระบี่ และวิชาพยุหะ แต่ละอย่างนั้นมหัศจรรย์อย่างเหลือแสน เขาทำลายฝ่ากระบวนท่านของฉินมู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย และซัดฉินมู่จนต้องตกไปเป็นฝ่ายป้องกันอีกครั้ง
เขานั้นแข็งแกร่งอย่างไร้ใดเปรียบ และการล่าถอยของเขาเมื่อครู่นี้ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงการถอยเพื่อหลอกล่อให้ฉินมู่อ่อนแรงลง บัดนี้เขาหมายจะทำลายอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง บดขยี้ความมั่นใจและร่างกายไปพร้อมๆ กัน!
ประสบการณ์การต่อสู้ของเขามีมากจนเหลือล้น และกายเนื้อของเขาก็อยู่ในสภาพอันสมบูรณ์แบบที่สุดตลอดเวลา การควบคุมปราณชีวิตของเขาก็บรรลุถึงเขตขั้นอันเกินจินตนาการ ฉินมู่ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึก และโถมดิ่งตัวเองเข้าไปในการปลดปล่อยทักษะเทวะ ขณะที่บรรพชนแรกสามารถควบคุมอารมณ์ของเขาได้อย่างไร้ที่ติ และไม่เสียพลังงานโดยเปล่าประโยชน์ในการปลดปล่อยอารมณ์
ปัง ปัง ปัง
ฉินมู่ถูกซัดด้วยหมัด ลูกเตะ และทักษะเทวะจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับร่างกายของเทพเที่ยงแท้เยาว์ที่บรรพชนแรกมีแล้ว เขาก็ยังบอบบางเกินไป
กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของเขาไม่อาจขับเคลื่อนได้อีกต่อไป และนิ้วของบรรพชนแรกที่จี้มาถึงหว่างคิ้วของเขาก็ได้ทำลายมัน
ฉินมู่ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปสูงลิ่วก่อนที่จะร่วงลงมาเหมือนกระสอบข้าวผุๆ ตรงหน้ากระท่อมฟางซอมซ่อของบรรพชนสอง
เขาพยายามดิ้นรนจะลุกขึ้น แต่ไม่อาจลุกขึ้นได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาด้วยสีหน้าอันเย็นเยียบ เขามายังข้างๆ ฉินมู่และกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าพูดมากมายขนาดนี้ แล้วมันมีประโยชน์หรือ หากว่าเจ้าทำได้ ก็เอาชนะข้าสิ ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ไม่มีทางแบกรับตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์เอาไว้ได้ เมื่อเจ้ารับมันเอาไว้ ศัตรูที่เจ้าจะต้องเผชิญจะยิ่งแข็งแกร่งและเหี้ยมโหดยิ่งกว่าข้าอีกหลายเท่า!”
ฉินมู่จ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่อีกฝ่ายเดินไปยังกระท่อมฟางของบรรพชนสองและหิ้วโครงกระดูกนั้นขึ้นมา
“อย่า…” ฉินมู่คลานไปข้างหน้าอย่างยากลำบากจนกระทั่งเขาคว้าข้อเท้าของบรรพชนแรกเอาไว้ ด้วยเสียงเจือสะอื้น เขาวิงวอน “ข้าขอร้องเจ้า!”
แกรกๆ
โครงกระดูกของบรรพชนสองแหลกละเอียดและร่วงลงไปบนพื้น
บรรพชนแรกยกเท้าขึ้นและกระทืบหลังเขาไปสองที จากนั้นกล่าวอย่างเย็นชา “หากเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็ไม่มีวันเอาชนะพวกเขาได้ นี่คือครั้งแรกที่เจ้ามีโอกาสเผชิญหน้ากับข้า ดังนั้นเจ้ายังมีโอกาสอีกสามสิบสี่ครั้ง”
ฉินมู่ทัศนวิสัยรางเลือนขณะที่แก้มของเขาเย็นเฉียบราวน้ำแข็ง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกหิ้วตัวเขาขึ้นและโยนเขาขึ้นไปบนหีบ เขากล่าวอย่างเย็นเยียบ “ทุกครั้งที่เจ้าพ่ายแพ้ข้า ข้าก็จะทำลายโครงกระดูกของกษัตริย์มนุษย์คนหนึ่ง หากว่าเจ้ายังคงแพ้ต่อไปเรื่อยๆ โครงกระดูกของพวกล้มเหลวนี่ก็จะสาบสูญหมดสิ้น ไปซะ!”
กิเลนมังกรอ้าปากคำรามใส่เขา แต่ปากของเขายังคงถูกปิดผนึกอยู่ เขาไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขา และกิเลนมังกรก็ก้มหน้าลง เขาพาหีบอันมีฉินมู่กองอยู่บนหลังกลับไปในทางที่พวกเขาจากมา
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” เสียงของฉินมู่ดังมาจากข้างบนหีบ “ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกร่างสั่นเทิ้ม แต่เขาไม่หันกลับไป กิเลนมังกรพาหีบและฉินมู่ออกไปจากเศษซากโบราณแห่งสภาสวรรค์นี้
“ข้าขอโทษ…”
ตึง
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าลงไปตรงหน้ากระท่อมฟางของบรรพชนสองจนฝุ่นธุลีลอยขึ้นมา “ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะทำลายซากสังขารของเจ้า ข้าขอโทษ…”
“ข้าให้อภัยท่านไปแล้ว”
ผีตนหนึ่งผุดขึ้นมาจากซากกระดูก มันมีรูปเงารางเลือนของบรรพชนสองที่ส่งยิ้มไปให้ “ข้าได้ให้อภัยท่านมาตั้งนานแล้ว ข้ารู้ความคิดของท่าน ท่านอยากจะให้เขาเติบโตขึ้นเร็วกว่านี้เพราะว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน ใช่ไหม เขาสามารถแบกรับภาระที่พวกเราไม่สามารถทำได้ ใช่ไหม ข้าได้อภัยท่านแล้ว ดังนั้นกลับมาที่ยมโลกเถอะ พวกเขาก็จะให้อภัยท่านด้วยเช่นกัน…”
ในกระท่อมฟางอันเก่าพัง โครงกระดูกทั้งหลายเงยหน้าขึ้นมาและมองไปยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่คุกเข่าอยู่อย่างเงียบงัน
“พวกเราล้วนแต่ให้อภัยท่าน…”
พวกเขามองไปยังบรรพบุรุษของตน กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมิได้ถ่ายทอดวิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพให้แก่พวกเขา แต่เขาได้ถ่ายทอดจิตวิญญาณหนึ่งอันยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด จิตวิญญาณอันไม่มีวันตายและไม่ยอมพ่ายแพ้
“ข้าไม่อาจยกโทษให้ตัวเองได้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกคุกเข่าอยู่ที่พื้น และร่างกายของเขาค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรูปสลักหินเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาจากไปในที่ไกลแสนไกล
หีบส่งเสียงก๊อกแก๊กขณะที่วิ่งไป แบกฉินมู่ผ่านภูเขามากมาย ตรงหน้ามันนั้น กิเลนมังกรมองไปข้างหน้าอย่างระวังระไว เผื่อว่าสัตว์พิสดารในแดนเถื่อนจะโจมตีพวกเขา
สองวันถัดมา พวกเขามาถึงเมืองเขตมังกร ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อรีบมารับฉินมู่ไปรักษาพยาบาล ผ่านไปสามสี่วัน เขาก็ฟื้นฟูกลับมาและเยียวยาตนเองจนกลับมาแข็งแรง
“ข้าจะฆ่าเขา” ดวงตาฉินมู่ชืดชาขณะที่เขานั่งอยู่บนหัวเสามังกรในเมือง “ข้าจะต้องฆ่าเขาแน่นอน ข้าไม่มีวันยกโทษให้เขา…” เขาบอกฮู่หลิงเอ๋อที่พาเขาขึ้นมาที่นี่
นางมองไปยังฉินมู่ที่ท้อถอยไร้ชีวิตชีวาในช่วงหลายวันมานี้ นางไม่รู้ว่าจะปลอบโยนเขาได้อย่างไร ดังนั้นนางจึงพาเขามายังสถานที่นี้อันพวกเขาได้ละเล่นด้วยกันในครั้งกระโน้น ด้วยหมายที่จะปัดเป่าเมฆดำในหัวใจเขาออกไปไม่มากก็น้อย
“ท่านพ่อเรียกตัวข้ากลับไป เขาบอกว่าจะส่งข้าไปยังแผ่นดินตะวันตก” หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “แม้ว่าแผ่นดินตะวันตกจะสวามิภักดิ์ต่อพวกเรา แต่ก็ไม่มีอิทธิพลอำนาจของสภาราชสำนักอยู่ที่นั่น เจ้าอยากจะตามข้าไปเดินท่องเที่ยวในแผ่นดินตะวันตกไหม อย่ามัวแต่คิดเรื่องนี้อยู่ตามลำพังเลย มันน่ากลัวนะ…บอกเล่าข้าออกมาสิ เผื่อข้าจะมีความคิดดีๆ!”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยสีหน้าอันแข็งทื่อ ดวงตาของเขาปราศจากชีวิตชีวา หนวดหร็อมแหร็มของเขาที่เขาชอบจะทึ้งถอนออกมาตอนนี้ได้กลายเป็นตอใหญ่ๆ มากมายหลังจากที่ไม่ได้แตะพวกมันมาหลายวัน เขาถามอย่างชืดชา “ข้าจะเอาชนะเทพเที่ยงแท้ได้อย่างไร”
หลิงอวี้จิวอึ้งไป
ฉินมู่เอนตัวลง “ไปแผ่นดินตะวันตกเถอะ จักรพรรดิบอกเจ้าให้ไปที่แผ่นดินตะวันตกและรัชทายาทอวี้ชู้ไปที่แดนเหนือที่เพิ่งยึดครองมาได้ ดังนั้นหากว่าเจ้าปกครองแผ่นดินตะวันตกได้ดีกว่าเขา เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งรัชทายาทมาแทน หากว่าเจ้าต้องการ ข้าช่วยเจ้าได้ ข้ามีผู้คนอยู่ในแผ่นดินตะวันตก แต่ข้าไปกับเจ้าด้วยไม่ได้ ข้าต้องคิดอะไรบางอย่างให้ตก”
หลิงอวี้จิวเอนกายลงข้างๆ เขาและใช้มือของนางหนุนหัวต่างหมอนพลางมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาว่างเปล่า “เมื่อไม่กี่ปีก่อนที่พวกเรานอนแผ่อยู่ที่นี่ด้วยกัน ทุกๆ อย่างช่างไร้กังวล ข้าชอบเจ้า เจ้าก็ชอบข้า เช่นนั้นทำไมหลังจากที่พวกเราเติบโตขึ้นมา จู่ๆ ก็มีความกังวลมากมาย ข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน…”
“นั้นอาจจะเพราะว่าพวกเราโตขึ้น” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบาหลังจากที่หลับตาลงไป
หลิงอวี้จิวพลิกตัวและมองเขาจากด้านข้าง นางดึงเส้นหนวดยาวของเขาออกมาเส้นหนึ่งและถาม “เจ้ายังเป็นเจ้าคนเดิมหรือเปล่า”
ฉินมู่ตกตะลึง “ซิงอ้านกล่าวว่าร่างกายของบุคคลหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิงในทุกๆ เจ็ดปี นี่ก็ผ่านมาได้สามสี่ปีแล้ว ข้าคงจะเหลือตัวข้าคนเดิมอีกแค่ครึ่งตัว”
หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มและดึงเอาหนวดของเขาออกมาอีกสองเส้นอย่างโหดร้ายพลางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “เจ้าหลอกข้าให้กลัวอีกแล้ว! เจ้าไม่มีทางเป็นซิงอ้าน!” นางเอียงหัวของนางพลางครุ่นคิด “หากว่าเจ้าไม่ต้องการให้ข้าไปแผ่นดินตะวันตก ข้าอยู่กับเจ้าก็ได้นะ”
“เจ้าอยากไปไหม” ฉินมู่ถาม
“ข้าอยาก!” หลิงอวี้จิวลุกขึ้นยืนและมองลงไปยังภูเขาและแม่น้ำแห่งแดนโบราณวินาศจากที่สูงพลางกล่าวด้วยจิตใจอันฮึกเหิม “ข้าอยากที่จะเป็นจักรพรรดิหญิงและเอาชนะพ่อของข้าได้! ข้าอยากจะทำให้เขารู้ว่าข้าดีกว่าและแข็งแกร่งกว่าบุตรชายของเขาทั้งหมด!”
ประกายแสงวูบวาบพุ่งไปมาในดวงตาของฉินมู่ เขารู้สึกถึงแรงบันดาลใจที่เอ่อล้นมาท่วมเขาหลังจากได้ประจักษ์วาทะอันหาญกล้าของนาง และชีวิตชีวาก็คืนกลับเข้ามาในร่างเขา ราวกับว่าเขาได้ฟื้นคืนชีพ
……………….
หนังสืออีกจำนวนหนึ่งถูกทำลาย และโทสะของฉินมู่พุ่งปรี๊ดถึงจุดเดือด กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกไม่เห็นว่าความพยายามของอดีตกษัตริย์มนุษย์นับเป็นอะไร ความพยายามของผู้ใหญ่บ้าน ของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง และคนอื่นๆ ถูกทำลายราวกับว่ามันคือสิ่งไร้ค่าในมือของเขา!
ปราณชีวิตของฉินมู่สั่นไหวและพลันระเบิดออก ปราณชีวิตสีแดงสดแปรเปลี่ยนเป็นทะเลโลหิตที่มีซากศพของเทพและมารมากมายล่องลอยอยู่ในนั้น
กระบวนท่าที่สองภาพกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต!
เพลงกระบี่ของเขาแตกต่างออกไปจากของผู้ใหญ่บ้าน เขาได้ผนวกรวมเอาท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดลงไปในกระบวนท่านี้แทนที่จะมีเพียงสิบสี่ นอกจากอารมณ์กระบี่ที่ต่ำต้อยกว่าและช่องโหว่บางจุดแล้วพลานุภาพของเพลงกระบี่เขาก็ได้เหนือล้ำกว่าของผู้ใหญ่บ้านไปมาก
เพียงแค่เขาร่ายรำมันออกมา ร่างของบรรพชนแรกก็ทะยานขึ้นจากทะเลโลหิต เพลงกระบี่ของเขาฝ่าแยกทะเลโลหิตออกเป็นสองฟาก สร้างทางเดินให้แก่เขา ศพของเทพและมารลุกเต้นขึ้นมาและกลายเป็นตัวช่วยของเขาเมื่อพวกมันกระโจนขย้ำเข้าใส่ฉินมู่
ปัง ปัง ปัง!
รอยเลือดไหลเป็นทางยาวบนร่างของฉินมู่ เมื่อเขากระเด็นไปข้างหลัง พวกมันมาจากอาการบาดเจ็บที่มาจากการแทงของบรรพชนแรก
เขาพุ่งไปปะทะกับฝังโถงกษัตริย์มนุษย์อย่างรุนแรง ก่อนที่จะร่วงไถลลงมากองกับพื้น
กิเลนมังกรโกรธเกรี้ยวและคำรามสะเทือนเลื่อนลั่น จากนั้นก็กระโจนขย้ำใส่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
นิ้วทั้งห้าของชายผู้นี้เคลื่อนไหว เมื่อพวกมันกางออกมา อักษรรูนก็พวยพุ่งออกไป แต่ก่อขึ้นมาเป็นอักษรรูนปิดผนึกที่ขนาดใหญ่ราววาครึ่ง และปิดผนึกปากกว้างๆ ของกิเลนมังกร
ไฟแท้กิเลนในปากของกิเลนมังกรถูกขัดขวางเอาไว้ในทันที และเขาก็ถูกซัดกระเด็นไปติดผนังด้วยการสะบัดแขนเสื้อเพียงคราเดียว
หีบพุ่งเข้าไป อ้าปากเปิดออก หมายที่จะกลืนกินชายผู้นี้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเคาะหีบด้วยเท้าของเขา และเตะมันกระเด็นไปยังกิเลนมังกรที่กำลังไถลร่วงลงมาจากผนังของโถงกษัตริย์มนุษย์ และกลิ้งหลุนๆ ลงไปตามบันได
“เจ้าน่าจะได้เห็นแล้ว กายาจ้าวแดนดินของเจ้า สายเลือดแห่งจักรพรรดิก่อตั้งของเจ้า พวกมันไม่เป็นอะไรไปมากกว่านามอันว่างเปล่า”
บรรพชนแรกโบกมือของเขา และชั้นหนังสือก็ปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้า หนังสือในนั้นร่วงออกมา และด้วยการวาดชายแขนเสื้อหนึ่งครา ความพยายามของอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมด ก็กลายเป็นผีเสื้อกระดาษอันบินว่อนไปทั่วฟ้า
บรรพชนแรกมีสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “หนังสือพวกนี้ก็เหมือนกับเจ้า ไม่นับเป็นตัวอะไรเลยสักนิด ไม่ว่าเจ้าจะขวนขวายมากแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์ เช่นนั้นทำไมยังต้องดิ้นรนอีกล่ะ ทำไมถึงยังคงกระเสือกกระสน ต่อสู้เพื่อความฝันอันน่าหัวเราะเยาะของเจ้าอยู่อีกล่ะ”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืน และนิ้วทั้งสิบของเขาก็ขยับขึ้นลง เคาะลงไปบนบาดแผลรอบๆ ร่างกายของเขาเพื่อปิดผนึกพวกมันเอาไว้ จากนั้นเขาก็พุ่งไปยังบรรพชนแรกอีกครั้ง “หากว่าเจ้าทำบางอย่างไม่สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่าข้าจะทำมันไม่ได้เหมือนกัน! ผนึก!”
“ห้าม!”
“ตรึง!”
“นที!”
“บรรพต!”
เขาพุ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง และขับเคลื่อนเวทมนตร์ถ้อยคำของกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียน คำผนึกปรากฏข้างใต้เท้าของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และคำห้ามดึงเขาเข้าไป คำตรึงปรากฏตรงหน้าของใบหน้าเขา และคำนทีก็ราวกับมังกรไร้เขาอันกระหวัดพันรอบกายเขา ท้ายที่สุดคือคำบรรพตที่กดทับลงมาเหนือศีรษะเขา
เวทมนตร์ถ้อยคำสามารถใช้คำได้ห้าคำพร้อมๆ กัน และมันเป็นวิชามหัศจรรย์ที่กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนสร้างสรรค์ขึ้นมา
กระนั้นคำทั้งห้าก็แตกสลายไปตามๆ กัน ฝ่ามือของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกดูราวกับจะพลิกฟ้าคว่ำดินในบริเวณรอบๆ เมื่อเขาฟาดมันลงมา
ฉินมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด กิริยาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้าย เส้นเอ็นของเขาราวกับมังกรยักษ์ที่ม้วนกระหวัดรัดรอบกระดูกของเขา ขณะที่กระดูกสั่นหลังนั้นก็ราวกับมังกรแท้เหินหาว
กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!
เขาได้ฝึกปรือวิชานี้จากรังมังกรแท้ หลังจากที่หลอมรวมมันเข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ มันได้ทำให้กายเนื้อของเขารุดหน้าไปถึงเขตขั้นอันไม่เคยพบเห็นมาก่อน
มันคือทักษะเทวะกายเนื้อที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา
ด้วยมือขวาที่พลิกหงายเป็นหยาง และมือซ้ายที่พลิกคว่ำเป็นหยิน ใจกลางฝ่ามือของเขาก็ขยับเพื่อเผชิญหน้ากับฟาดฝ่ามือของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
มือหยินหยางพลิกสวรรค์!
มันเป็นวิชาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนสาม แต่เขาได้สอนฉินมู่เพียงรูปแบบเบื้องต้นพื้นฐานของมือหยินหยางพลิกสวรรค์ ทว่าฉินมู่ได้ตรึกตรองเข้าใจวิธีการใช้ฝ่ามือซ้อนทับกันด้วยตนเอง
ในจังหวะนั้น เขาซ้อนพลังฝ่ามือหยินพิสุทธิ์เข้ากับพลังฝ่ามือหยางพิสุทธิ์ ด้วยหยินและหยางระเบิดออกไปในเวลาเดียวกัน การผสานของพลังงานทั้งสองก็ทำให้พลานุภาพของมันทวีคูณขึ้นไปเป็นหลายเท่า!
ตูม!
ฉินมู่เซถอยแซ่ดๆ มือซ้ายของเขาเคยเป็นหยาง และมือขวาของเขาเคยเป็นหยิน แต่เมื่อเขาซ้อนทับมันเข้าด้วยกันก่อนปะทะกับฝ่ามือของบรรพชนแรก พลังงานของมันได้ทำลายหยินและหยางของเขาเสียก่อนที่เขาจะได้ปลดปล่อยการโจมตี เขาถูกเป่ากระเด็นไปด้วยอาการเช่นนั้น!
“กษัตริย์มนุษย์บรรพชนสามก็เป็นความล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้นเจ้าถูกตราไว้แล้วว่าจะต้องล้มเหลวหากว่าใช้กระบวนท่าของเขา”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกฟาดพื้นลงไปด้วยลมจากฝ่ามือ และฉินมู่ที่เพิ่งร่วงตกก็ลอยขึ้นไปอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้จากแรงสั่นสะเทือน ถัดมานั้นเขาก็ถูกมุทราหนึ่งฟาดเข้า และคลานหมอบอยู่บนพื้นอีกครั้ง
เคร้ง
รังสีแสงเทวะสองเส้นยิงออกไปจากดวงตาของเขาและปะทะใส่ฉินมู่ สายตาอันทรงอานุภาพดูราวกับพร้อมที่จะทำให้หลังของเขาหัก และพื้นดินในบริเวณรอบๆ ก็พลันแดงฉานจากความร้อนระอุ
ฉินมู่พลิกตัวขึ้นและวิ่งตะบึงหลบหลีกสายตาของเขา เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ โถงราวเหินบินขณะที่แสงเทวะก็รวบรวมขึ้นในดวงตาของเขา รังสีแสงสองลำยิ่งออกไปจากดวงตาเขาและปะทะเข้ากับสายตาของบรรพชนแรก
ปัง!
เนตรเทวะของเขาฝ่ายแพ้ และเขาถูกปักเอาไว้คาผนัง
“เจ้าได้พบเขาแล้วหรือ”กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกรั้งสายตาของเขากลับมาและเดินไปยังชั้นหนังสือของบรรพชนสาม เขานำหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง อันมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากวิชาของบรรพชนสาม “ตอนนี้เจ้าคงรู้แล้วว่าวิชาที่เขาใช้ทั้งชีวิตของตนเองเพื่อขัดเกลามันให้สมบูรณ์แบบนั้นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง และควรจะโยนทิ้งลงไปในหลุมส้วมตั้งนานแล้ว! หนังสือที่เขาเขียน แม้แต่จะใช้เป็นกระดาษเช็ดก้นก็ยังไม่คู่ควร!”
ฉินมู่ไถลร่วงลงมาจากผนังด้วยเลือดที่หยดติ๋งๆ จากมุมปาก เขามองไปที่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งกำลังฉีกหนังสือ และรู้สึกจุกในหัวอกจากความพ่ายแพ้จนปัญญา
เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ บรรพชนแรกใช้ขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขา ดังนั้นพวกเขาจึงต่อสู้กันด้วยสมบัติเทวะเจ็ดดาว ความแตกต่างมีเพียงแค่สมบัติเทวะเจ็ดดาวของฉินมู่ได้หลอมรวมเข้ากับสมบัติเทวะหกทิศแล้ว และไม่มีม่านกั้นระหว่างพวกมัน ขณะที่สมบัติเทวะของบรรพชนแรกยังคงมีม่านกั้นระหว่างเขตขั้นวรยุทธ
จากจุดนี้เพียงจุดเดียว ปราณชีวิตของฉินมู่ก็เหนือล้ำกว่าบรรพชนแรกไปมา แต่เมื่อพวกเขาต่อสู้กัน ผลลัพธ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
บรรพชนแรกเป็นบุคคลที่ไร้จุดอ่อน เขามิได้หลอมรวมสมบัติเทวะ แต่กายเนื้อของเขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ไปหลายขุม
เขานั้นเหมือนกับเทพเจ้าเยาว์ หมัด ขา กล้ามเนื้อ ผิวหนัง เส้นขน กระดูก และเส้นเอ็น ล้วนแต่บรรลุไปถึงเขตขั้นเหนือล้ำกว่าฉินมู่ไปไกล!
อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาก็ยกระดับขึ้นมาอย่างผิดธรรมดา และหัวใจของเขาอันสูบฉีดเลือดหล่อเลี้ยงร่างกายก็แข็งแกร่งยิ่ง มันเหมือนกับระฆังใหญ่ที่ดังเหง่งหง่างและส่งปราณกับโลหิตไปยังทุกส่วนของร่างกายเขาในพริบตา และทำให้พลังวัตรของเขายิ่งรวดเร็วไปใหญ่ลมหายใจของเขาก็ยาวนาน เมื่อเขาหายใจ ลมและเมฆก็จะปัดเป่าผ่านมา ทำให้ปอดของเขาบรรจุอากาศได้มากขึ้น ไตของเขาขับเคลื่อนพลังงานของร่างเนื้อทั้งหมด และทำให้ร่างกายอยู่ในสภาวะอันคงเสถียรภาพอย่างสุดๆ ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน
อวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกของเขาสอดคล้องสนองโดยตรงกับธาตุทั้งห้าและทิศทั้งหกของเขา หลอมรวมเข้ากับสมบัติเทวะของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
ดวงตาของเขาประดุจสุริยันและจันทรา หลอมรวมเข้าอย่างสมบูรณ์แบบกับห้าธาตุและหกทิศ แปรเปลี่ยนเป็นเจ็ดดาว
ความเข้าใจของเขาต่อเขตขั้นวรยุทธนั้นไปบรรลุถึงจุดสูงลิ่วอันฉินมู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน!
ตันเถียนของเขาแผดเผาร้อนแรงราวกับเตาหลอมขนาดยักษ์ คล้ายกับของเฒ่าใบ้ มันเหมือนกับดวงตะวันอันเจิดจ้าสุกใส ที่เป็นแหล่งพลังงานอันขับเคลื่อนกายเนื้อ และทำให้กายเนื้อธำรงประสิทธิภาพสูงสุดตลอดเวลา
สภาวะของกายเนื้อเช่นนี้เหมือนกับของซิงอ้าน–ไร้ที่ติ อันที่จริงแล้ว มันยิ่งแข็งแกร่งกว่าของซิงอ้านเสียอีก!
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ได้บรรลุถึงระดับชั้นที่ไม่อาจจะเข้าใจได้
จิตวิญญาณดั้งเดิมคือทารกวิญญาณ เป็นดวงจิตแห่งปราณชีวิต ฉินมู่นั้นภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ก็ในเมื่อมันแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และดวงวิญญาณของเขาก็หนักแน่นมั่นคงกว่าคนอื่นๆ มากเช่นกัน เขาสามารถให้จิตวิญญาณดั้งเดิมท่องนภาตั้งแต่ยังอยู่ในวรยุทธขั้นหกทิศ ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ
เขานั้นถึงกับได้ฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมและคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม หลังจากฝึกปรือในขั้นหกทิศมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ถูกเสริมแกร่งมากขึ้น และท่ามกลางผู้ฝึกวิชาเทวะระดับเดียวกัน เขาไร้เทียมทาน แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของซวีเซิงฮวาก็ยังด้อยกว่าเขาหนึ่งเส้นด้าย
กระนั้นเมื่อเทียบกับของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาด้อยกว่ามาก
จิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นหลอมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวของใจเขาก็นำไปสู่การโจมตีของร่างเนื้อ และการเคลื่อนไหวของดวงจิตก็กลายเป็นปราณชีวิตทักษะเทวะ การเคลื่อนไหวของเจตจำนงก็จะหลอมรวมการโจมตีทั้งสองเข้าเป็นหนึ่ง
นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมการโจมตีของบรรพชนแรกถึงรวดเร็วอย่างมหันต์ ถึงขั้นที่ว่าฉินมู่ไม่อาจต้านรับมันได้เลยแม้แต่น้อย พวกมันถล่มเข้ามาหาเขาราวพายุบุแคม!
ไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือทักษะเทวะของบรรพชนแรก พวกมันก็ล้วนแต่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์แบบ เขาคือผู้ฝึกวิชาเทวะที่สมบูรณ์แบบ
เขานั้นคือร่างหนุ่มเยาว์ของเทพเที่ยงแท้!
กระนั้นตัวตนอันแข็งแกร่งปานนี้ก็ได้กลายเป็นทหารหนีทัพเมื่อภัยพิบัติและสงครามปะทุขึ้นมาในช่วงปีท้ายของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!
แม้แต่ตัวตนอันแข็งแกร่งปานนี้ที่ดูเหมือนว่าไม่มีทางสยบกำราบได้ ก็ยังได้กลายเป็นผู้หนีศึก หวาดกลัวที่จะตกตายไปพร้อมกับสหายร่วมรบ ดังนั้นศัตรูของเขาจะต้องแข็งแกร่งสักเพียงไหน
“หยุดฉีก…” ฉินมู่หอบหายใจ
บรรพชนแรกยังคงฉีกทำลายหนังสือเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ความพยายามทั้งหมดของบรรพชนสามกลายเป็นเศษซาก เขาจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จะเก็บพวกมันเอาไว้ทำไม ผู้คนที่เขียนหนังสือพวกนี้มีแต่ไร้ประโยชน์ พวกมันก็มีแต่จะเปลืองพื้นที่ เช่นนั้นฉีกพวกมันทิ้งไปเสียจะไม่ดีกว่าหรือ และเจ้าก็ไม่ต่างกัน เจ้าจะกลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์เหมือนพวกเขาในอนาคต ด้วยว่าต่อให้เจ้าฝึกฝนถึงระดับของข้า เจ้าก็จะยังคงไร้ประโยชน์อยู่ดี”
สีหน้าของเขาเย้ยหยันหนักยิ่งขึ้น และเขาเดินไปที่ชั้นหนังสือของบรรพชนสอง จากนั้นหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาฉีกเป็นชิ้นๆ เขายิ้มหยัน “พวกเขาถือว่าเหนือฟ้าเป็นคู่แข็งของตนเอง ฮี่ๆ เหนือฟ้า? เหนือฟ้ามันก็เป็นแค่สุนัข! ขนาดสุนัขพวกเขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ ประสาอะไรจะมาคุยกันเรื่องการโจมตีตอบโต้ เจ้าเองก็เป็นคนไร้ประโยชน์ ขนาดข้าเจ้าก็ยังเอาชนะไม่ได้ เช่นนั้นความทะเยอะทะยานผายลมอะไรของเจ้า ความฝันผายลมอะไรของเจ้า รีบไสหัวกลับบ้าน หาเมียและมีลูกเสียเถอะ…”
ฉินมู่ขย้ำเข้าไปพลางกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด ทารกวิญญาณในหว่างคิ้วของเขาหลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณเพื่อก่อขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม เขาประสานจิตวิญญาณดั้งเดิมเข้ากับกายเนื้อให้เป็นหนึ่ง ก็เมื่อเขาได้สังเกตเห็นเหตุผลว่าทำไมบรรพชนแรกจึงแข็งแกร่งขนาดนี้ และรีบใช้วิธีนี้เพื่อตนเอง
“ข้าบอกเจ้าว่าอย่าฉีก!”
ความเร็วของเขาเพิ่มพูนอย่างมหันต์ และพลังฝ่ามือของเขาก็กลายเป็นไร้ขอบเขตและน่าสะพรึงกลัว แต่ทว่าในพริบตาถัดมาเขาก็ถูกบรรพชนแรกซัดกระเด็นออกไปอีกครั้ง
“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
ฉินมู่กระโจนเข้าไปอีกครั้ง ตูม! เขาถูกเป่ากระเด็นมา
ปัง
ปัง ปัง
เสียงซัดทึบหนักดังมาจากโถงกษัตริย์มนุษย์เป็นระยะ พวกมันหยุดดังลงไปหลังจากผ่านไปสักพักหนึ่ง
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งโงนเงนยันกายขึ้นมาอย่างยากลำบากและส่ายหัว “เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ เจ้านั้นแตกต่างจากกษัตริย์มนุษย์คนก่อนๆ พวกเขาถูกอาจารย์ของตนโกหกหลอกลวง และไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากมาเป็นกษัตริย์มนุษย์ หากว่าพวกเขาได้รับคำอนุญาตจากข้าให้ไม่ต้องเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกต่อไป พวกเขาคงจะลิงโลดและละทิ้งตำแหน่งนี้ไปด้วยความปรีดา แต่เจ้าล่ะ? เจ้าก็ถูกโกหกหลอกลวงมาเช่นกัน ใช่หรือไม่”
ฉินมู่ยืนขึ้นด้วยแข้งขาสั่นและปิดผนึกบาดแผลบนร่างกาย เขาปาดเลือดที่มุมปากออกพลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง “ผู้ใหญ่บ้านไม่ได้โกหกข้า เขาบอกข้าก่อนแล้วว่าการเป็นกษัตริย์มนุษย์ไม่มีผลประโยชน์อะไร และข้าอาจจะถูกไล่ล่า กลายเป็นเป้าเข่นฆ่าของทุกๆ คน และต้องเผชิญกับอันตรายร้ายกาจ…”
“เช่นนั้นทำไมเจ้ายังลุกขึ้นยืน” บรรพชนแรกพิศวง “ทำไมเจ้าไม่ยอมแพ้ ทำไมเจ้าถึงจะมาทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ต่อตนเอง เจ้าปัญญาอ่อนหรือ”
ฉินมู่ฉีกยิ้ม ฟันของเขาย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด “หากว่าไม่มีใครทำมัน มิใช่ว่าจะไม่มีความหวังไปตลอดกาลหรอกหรือ หากว่าเจ้าไม่ต้องการทำมัน ทำไมไม่ให้ข้าลองทำดูล่ะ”
“เพราะเจ้าโง่เขลาเบาปัญญา!”
บรรพชนแรกโจมตีเขา การซัดแต่ละครั้งของเขายิ่งทวีความหนักหน่วงจากก่อนหน้า เขาตะโกนไปอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคือคนโง่เง่าที่ไม่รู้ว่าควรจะล้มเลิก! เจ้ามีก็แต่จะเอาชีวิตไปทิ้งเท่านั้น! ในอนาคตจะมีศัตรูที่เหมือนกับข้าอีกนับไม่ถ้วน และหากว่าเจ้าสู้กับข้าก็ยังไม่ได้ แล้วเจ้าจะไปสู้กับพวกเขาได้อย่างไร ความผิดพลาดของข้าไม่ควรเกิดขึ้นอีกในชนรุ่นหลัง! ล้มเลิกเสีย!”
ตูม!
ฉินมู่รับการซัดนั้นไปตรงๆ และกลิ้งกระเด็นไป การโจมตีของบรรพชนแรกโถมถล่มลงมาราวพายุ แต่ละการซัดตีนั้นหนักหน่วงราวขุนเขา และคมกล้าดุจดาบ “ล้มเลิก! ล้มเลิก! เจ้าล้มเลิกไปตอนนี้จะดีกว่า!”
ฉินมู่กลิ้งไปหลายตลบออกจากโถงกษัตริย์มนุษย์ เมื่อเขากำลังจะลุกขึ้น บรรพชนแรกก็ได้มายังข้างกายเขา เขาไขว้มุทราสวรรค์และมุทราพิภพเข้าด้วยกัน และเหวี่ยงฉินมู่กระเด็นไปอีกครั้ง
เมื่อฉินมู่ร่วงตกลงระหว่างหลุมศพสองหลุม บรรพชนแรกก็พลันปรากฏขึ้นมาเหยียบหน้าอกของเขาไว้ “เจ้ายอมล้มเลิกหรือยัง”
ฉินมู่คว้าข้อเท้าของเขา และผลักเขาไป เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้งพลางกระโจนเข้าใส่และร้องคำราม “ตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์มิใช่สิ่งที่เจ้าให้กับตนเอง แต่เป็นสิ่งที่เจ้าได้รับมอบมาจากทุกเผ่าพันธุ์! เจ้าเอามันคืนไปไม่ได้!”
“กษัตริย์มนุษย์เป็นเรื่องจอมปลอม! มาให้ข้าทำลายมายาภาพในหัวใจเจ้า!”
ด้วยสายตาเย็นเฉียบ บรรพชนแรกยื่นมือออกไปคว้าคอของฉินมู่ และยกเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ ฉินมู่คว้าจับมือของเขาด้วยกำลัง และกระหวัดพันรอบมือนั้นราวงูเหลือมเพื่อพลิกอีกฝ่ายไป
ปัง!
เขาถูกเป่าลอยขึ้นไปบนอากาศจากน้ำมือของบรรพชนแรก และร่วงลงมาอีกครั้ง
บรรพชนแรกเหยียดกายตรงและเดินไปยังกระท่อมฟาง เขายิ้มหยันและกล่าว “มันก็คือพวกผู้คนที่ไร้ประโยชน์เหล่านี้ที่สร้างมายาภาพว่ากษัตริย์มนุษย์ควรจะสละชีพและดิ้นรนเพื่อผู้คนทั้งหลาย และทำให้เด็กรุ่นเลือดร้อนอย่างเจ้าถูกบันดาลให้ทำเรื่องมุทะลุ ให้ข้าทำลายซากร่างของพวกเขา เปลี่ยนโครงกระดูกของผู้คนที่กระหายชื่อเสียงพวกนี้ให้กลายเป็นฝุ่นธุลี!”
เขาบุกเข้าไปในกระท่อมฟางที่ใกล้ที่สุด และบดขยี้หินป้ายหลุมศพของบรรพชนสองให้เป็นผุยผง จากนั้นเขาก็คว้าโครงกระดูกของบรรพชนสองขึ้นมา
“เจ้าบังอาจ!”
ลมหอบหนึ่งพวยพุ่งมาเมื่อฉินมู่คำรามอย่างเกรี้ยวกราด บรรพชนแรกหันกลับไปและยกฝ่ามือของเขาเพื่อต้านรับหมัดอันซัดพุ่งมาใส่ มันเป็นกำปั้นอาบเลือด กำปั้นอันเต็มไปด้วยโทสะไร้ประมาณและมีนิ้วอันสั่นระริก
ตูม!
เปลวสายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดใส่หน้าของบรรพชนแรก เป่าเขากระเด็นไป
กระท่อมฟางระเบิดออก และชายร่างโชกเลือดก็คว้าโครงกระดูกของบรรพชนสองเอาไว้ได้เพื่อวางมันไว้อย่างเหมาะสม ก่อนที่จะโค้งสักการะ จากนั้นเขาก็พุ่งออกไปราวกับเกาทัณฑ์หลุดจากแล่ง ตามบรรพชนแรกที่อยู่กลางอากาศไป
“หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ก็ให้ข้าทำ! ข้าทำได้!”
เสียงปะทะกันหนักแน่นตึบๆ ดังมาจากที่ไกลๆ เมื่อเมฆเทาพวยพุ่งขึ้นไปบังท้องฟ้า
ตรงหน้านั้นคือเงาร่างที่สูงและแข็งแกร่ง ฉินมู่เดินขึ้นไปบนขั้นบันไดของโถงศักดิ์สิทธิ์อันมีหีบส่งเสียงก๊อกแก๊กตามหลังเขามา ฉินมู่ยกมือห้าม และหีบก็หยุดอยู่ข้างนอก มันหดขาทั้งสี่กลับไปและตั้งวางอยู่กับพื้น
หีบส่งเสียงเอี๊ยดเมื่อฝาข้างบนของมันเปิดขึ้นมา ในช่องเปิดนั้น กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และเห็นหลุมศพอยู่ทุกหนทุกแห่ง เขาลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจปีนไต่ออกมาอย่างลำบากยากเย็น เขาเดินย่องๆ หมอบๆ จนพุงเรี่ยพื้นขณะที่เดินตามฉินมู่ด้วยหางอันลู่หลุบ แต่ก็ไม่ถึงขั้นตกลากพื้น เขาไม่กล้าส่งเสียงเลยสักนิด
ทันใดนั้น กิเลนมังกรก็รู้สึกถึงบางอย่างที่เหยียบลงมาบนหางของมันและหวีดร้องเสียงแหลม ขนและเกล็ดทั้งตัวเขาชี้ชันขึ้น
ฉินมู่หันกลับไปดูและเห็นกิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าหน้าทั้งสองยัดเข้าไปในปากตนเอง นั่นแหละเขาถึงหยุดตนเองไม่ให้ส่งเสียงได้
เมื่อเขาหันกลับไป ก็เห็นหีบที่เดินเขย่งย่องตามมาข้างหลัง เป็นสิ่งนี้นี่เองที่เหยียบโดนหางของเขาและทำให้เขาตกใจจนแทบฉี่ราด
ฉินมู่เริ่มปวดหัวตึ้บและอยากจะตะโกนไล่ไอ้เจ้าสองตัวนี้ให้ออกไปไกลๆ แต่เขารู้สึกว่าทำเช่นนั้นก็ไม่สมกับบรรยากาศอันเคร่งขรึมและศักดิ์สิทธิ์ของที่นี่ เขาจึงได้แต่ปลอบขวัญตนเองและปล่อยให้พวกเขาตามตนมา “หากว่าพวกเจ้าทั้งสองเล่นอะไรเลอะเทอะอีกละก็ ข้าจะเปลี่ยนเจ้าตัวหนึ่งให้เป็นไม้ฟืน ส่วนอีกตัวข้าจะเอาไปย่างเป็นมื้อเย็น!”
เมื่อเขาเข้ามาถึงข้างหลังเงาร่างนั้น เขาถึงตระหนักว่าตนเองเตี้ยกว่าคนผู้นั้นไม่เท่าไร เขาซึ่งยังเป็นเด็กหนุ่มเตี้ยกว่าคนผู้นั้นเพียงหนึ่งนิ้ว
แต่ทว่า ความประทับใจที่เงาร่างนี้ส่งมายังเขาคือเป็นบุคคลอันสูงตระหง่าน มันเป็นผลกระทบจากรัศมีและท่วงทีของคนผู้นี้อันมีต่อหัวใจของเขา เงาร่างนี้เป็นของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกอันเคยเป็นรูปสลักหินที่ฉินมู่พบเห็นในนครหยกน้อย
“เจ้าคงจะเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่สามสิบหกสินะ?”
บรรพชนแรกเบือนหน้ากลับมามองไปที่เขา เขาเป็นชายที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยราวๆ สามสิบ เขามีหนวดเคราเต็มไปหมด และดูบึกบึนกำยำ แผ่รัศมีกลิ่นอายของความพึ่งพิงได้
“ข้าคือรุ่นที่สามสิบเจ็ด” ฉินมู่แก้เขาให้ถูกต้อง “ผู้ใหญ่บ้านเป็นอาจารย์ของข้าและเป็นผู้ที่รับข้าเข้ามา แต่นี่ก็ยังคงเป็นครั้งแรกที่ข้ามาที่นี่”
เขามองไปข้างหน้าและตะลึงไปเล็กน้อย เขาเพิ่งตระหนักว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกำลังมองอะไรอยู่
มันคือชั้นหนังสือเป็นแถวๆ ที่มีหนังสืออยู่มากมายนับไม่ถ้วน โถงกษัตริย์มนุษย์ใหญ่โตโอ่โถง แต่มันไม่มีหยกและทองประดับเหมือนดังที่ฉินมู่คาดหมายเอาไว้ มันไม่มีเทวรูปอันสูงเยี่ยมยืนยงหรือสิ่งหรูหราใดเลยสักนิด มีก็แต่ชั้นหนังสือหลายต่อหลายชั้น
เขาเดินเข้าไปและหยิบหนังสือ ถ้อยคำที่เขียนไว้บนนั้นไม่คุ้นเคย แต่กลับมีเจตจำนงกระบี่ที่เขาคุ้นเคยแฝงอยู่ในนั้น
มันคือหนังสือที่ผู้ใหญ่บ้านเขียน
ข้างในนั้น เขากล่าวถึงวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพดาวเฉียวแห่งเหนือฟ้า เขาได้เขียนจุดอ่อนมากมายของวิชาและทักษะเหล่านั้นเพื่อศึกษาช่องโหว่
ฉินมู่คืนหนังสือกลับไปที่ชั้น และหยิบเอาอีกเล่ม บนนั้นเขียนไว้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งมากมายของวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของเทพครองแดนหยก เขาพลิกดูหนังสือเล่มอื่นๆ และส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการบอกเล่าประสบการณ์การเผชิญหน้ากับวิชาและทักษะของทวยเทพแห่งเหนือฟ้า
ฉินมู่ยังค้นเจอภาพกระบี่อีกด้วย อันมีม้วนกระดาษจำนวนมากมายก่ายกองที่บันทึกว่าผู้ใหญ่บ้านฝึกปรือภาพกระบี่ของเขาอย่างไร มรรคาเต๋าและอารมณ์ของแต่ละเพลงกระบี่ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาตระเตรียมสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทายาทรุ่นหลัง
เด็กหนุ่มมายังชั้นหนังสือที่สองอันถ้อยคำเต็มไปด้วยบรรยากาศยิ่งใหญ่ไพศาล มันมีแรงขับดันราวกับภูเขาไฟระเบิด ดังนั้นหนังสือที่นั่นน่าจะเป็นงานเขียนของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง
งานเขียนของเขาส่วนใหญ่ก็เกี่ยวกับวิชาของเทพแห่งเหนือฟ้า เช่นเดียวกับวิธีเผชิญหน้ากับพวกนั้นที่เขาคิดคำนวณ นอกจากนั้น ที่เหลือก็เป็นวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง
แต่ทว่า เขาได้เอ่ยไว้ในนั้นว่า ใครก็ตามที่คิดจะฝึกวิชาของเขาล้วนแต่โง่เขลาเบาปัญญา เขานั้นไม่เคยเอาชนะเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าได้เลย ดังนั้นการฝึกปรือวิชาของเขาก็มีแต่จะทำให้ตกลงไปในหนทางเดียวกับเขา ในถ้อยคำเหล่านั้นมีวี่แววของความผิดหวัง
มิน่าล่ะ กษัตริย์มนุษย์ทุกๆ คนถึงไม่ฝึกปรือวิชาของอาจารย์ตน แต่กลับยืนกรานที่จะคิดค้นวิชาใหม่ๆ ฉินมู่พลันเข้าใจความรู้สึกของอดีตกษัตริย์มนุษย์
พวกเขาล้วนแต่เป็นความล้มเหลว และไม่ต้องการให้ศิษย์ของตนเดินซ้ำรอยเดิม สาเหตุที่พวกเขาทิ้งวิชาของพวกตนเองไว้ก็คงเพราะว่าพวกมันคือความพากเพียรชั่วชีวิตของพวกเขา พวกเขาอยากที่จะมีผู้สืบทอด แต่ก็ไม่อาจเป็นศิษย์ของตนได้
นี่อาจจะเป็นความเสียใจอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา
“หนังสือเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการปราบปรามเหนือฟ้า” กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเดินเข้ามาและลูบไล้หนังสือบนชั้นวาง “พวกเขามองเหนือฟ้าเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด และใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อล้มล้างพวกนั้น แต่ทว่า น่าเวทนานักที่พวกเขาทั้งหมดล้มเหลว เจ้าสามารถอยู่ที่นี่เพื่อศึกษาสักระยะหนึ่ง มันจะช่วยให้เจ้าเสาะหามรรคาเต๋าของตนพบ”
ฉินมู่ส่ายหัว “เทพแห่งเหนือฟ้าตายกันเกือบหมดแล้ว และเทพครองแดนทั้งสี่ก็สิ้นชื่อ ตอนนี้เหนือฟ้ามิใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป หนังสือบนชั้นหนังสือพวกนี้ไม่มีประโยชน์มากมายแล้ว เป้าหมายของข้ามิใช่ทวยเทพแห่งเหนือฟ้า หรือการเข้าไปยึดครองสถานที่นั้น”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง “เป้าหมายของเจ้าคืออะไร”
ฉินมู่มองตรงไปยังบรรพชนและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เป้าหมายของข้าคือการฉีกทึ้งท้องฟ้าจอมปลอม เพื่อปฏิวัติโลกอันไม่ยุติธรรม เพื่อแสวงหาความก้าวหน้าจากการปฏิรูป เพื่อสรรค์สร้างยุคสมัยอันรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่ที่มิได้เป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง!” สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นบ้าบิ่นและถามกลับไปด้วยเสียงอันดัง “บรรพชนแรก นี่ก็เป็นเป้าหมายของท่านด้วยเช่นกัน ใช่ไหม”
“เปล่า” สายตาของบรรพชนแรกมืดมัวลง และเขาส่ายหัว “อุดมคติของข้ามิได้ทะเยอทะยานเท่ากับเจ้า ข้านั้นถูกกัดเซาะโดยกาลเวลาและศัตรูมากมาย เจ้านั้นยังเยาว์และมีแรงขับดัน ส่วนข้านั้นเป็นตาแก่ที่ท้อถอยหมดกำลังใจ วันใดวันหนึ่งเจ้าก็จะถูกศัตรูของเจ้าบ่อนเซาะให้ท้อรันทดเช่นกัน”
“เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าก็จะมาที่โถงกษัตริย์มนุษย์และทิ้งหนังสือของเจ้าเอาไว้เหมือนกับกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ เจ้าจะเขียนบันทึกความล้มเหลวของเจ้า และหวังว่าทายาทของเจ้าจะกระทำในสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้”
เสียงของเขาเย็นชาขึ้นและโหดร้ายขึ้นทีละเล็กทีละน้อยในทุกๆ คำพูด “เจ้าคือความล้มเหลว เหมือนกับพวกเขา เจ้าจะสร้างกระท่อมหญ้าฟางอย่างเงียบงันและนั่งอยู่ในนั้นด้วยความหวังทั้งหมดที่สูญสิ้น เจ้าจะไม่อยากให้มีใครเดินซ้ำรอยของเจ้า แต่ความรับผิดชอบของกษัตริย์มนุษย์จะทำให้เจ้าไร้ทางเลือกอื่นนอกเสียจากไปเสาะหาทายาท ในกระท่อมฟาง เจ้าจะปาดป้ายน้ำตาย้อนเสียใจ เจ้าจะเกลียดอาจารย์ที่เจ้าเคารพ และเจ้าจะสลักป้ายหินหลุมศพของตัวเจ้าเองอันจะบันทึกความล้มเหลวของเจ้าเอาไว้”
เขายิ้มหยันและกล่าว “เจ้าจะรู้สึกว่าไม่ควรค่าแก่การมีหลุมศพ ไม่มีหน้าสู้บรรพบุรุษ จากนั้นเจ้าก็จะหายใจเฮือกสุดท้าย และกลายเป็นเหมือนกับโครงกระดูกโครงอื่นๆ ในกระท่อมฟาง!”
ฉินมู่จ้องมองด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง เต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู ภาพลักษณ์อันห้าวหาญและทรงปัญญาของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกพลันย่อยยับลงไปในหัวใจของเขา!
“เจ้ายังอยากจะเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกหรือ ให้ข้าบอกความจริงอันโหดร้ายกับเจ้า โลกนี้ไม่มีกษัตริย์มนุษย์เลยสักคน!” เสียงของเขาเย็นชาจนถึงที่สุด “เมื่อครั้งนั้น เมื่อข้าช่วยชีวิตคนของข้าจากมหาภัยพิบัติ ข้าก็ได้รู้แล้วว่าข้าคือความล้มเหลว! ข้าช่วยพวกเขาก็เพราะว่าข้าอ่อนแอ และข้าไม่อาจทนดูผู้คนธรรมดาตกตายเบื้องหน้าข้าได้ แต่ทว่า นั่นทำให้ข้าเป็นทหารหนีทัพ!”
เขาหัวเราะร่าและชี้ไปยังหลุมศพมากมายในหมอกข้างนอกโถงกษัตริย์มนุษย์ “ข้าคือทหารหนีศึก เมื่อหลบหนีไป ทุกอย่างที่ข้าคิดก็มีแต่ว่าจะออกไปจากนรกนี่ได้อย่างไร! ดังนั้นข้าจึงหลบหนี! ข้าไม่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา แต่วิ่งหนีมาตามลำพัง! ข้าได้คิดเรื่องนี้เป็นล้านๆ ครั้ง หากว่าข้ายังอยู่กับพวกเขาในตอนนั้นล่ะ? มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น ก็คือข้าก็จะกลายเป็นซากศพอันเย็นชืดเหมือนกับพวกเขา!”
เขาหัวเราะเหมือนคนเสียสติ “ใช่แล้ว พวกเขาตาย ส่วนข้ายังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นกษัตริย์มนุษย์ในหัวใจของผู้คนทั้งโลกหล้า! ผู้คนเคารพนับถือข้าเพราะว่าข้าพาพวกเขามายังสถานที่ที่จะมีชีวิตต่อไปได้ แต่แล้วอย่างไร ข้าเพียงเปลี่ยนเขาเป็นผู้ถูกคุมขัง แม้แต่ท้องฟ้าก็ยังปลอมในกรงใหญ่มหึมานี้ คุกอันไม่มีทางหลบรอด! ทุกคนเป็นเพียงแค่นักโทษในคุกแห่งนี้! ข้าไม่ได้นำพวกเขาออกไป แต่กลับส่งพวกเขาเข้าไปในคุกของเทพเจ้า!”
“กษัตริย์มนุษย์? ฮ่าๆ กษัตริย์มนุษย์! มันไม่มีกษัตริย์มนุษย์ที่ว่าอยู่ในโลกนี้!”
ผมของเขาถูกเป่ากระเจิงขึ้นไปบนข้างบนจากความเกรี้ยวกราด และเขาสืบเท้าไปข้างหน้า เมื่อเขาเข้าใกล้ฉินมู่ รัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็บีบให้เด็กหนุ่มถอยกรูดๆ ไปอย่างต่อเนื่อง “โยนความฝันอันน่าขำของเจ้าทิ้งไปเสีย และปล่อยภาระลงจากบ่าของเจ้า เจ้าไม่ใช่กษัตริย์มนุษย์ ตั้งแต่ต้นจนจบ กษัตริย์มนุษย์เป็นเพียงเรื่องลวงโลก เป็นเพียงฆาตกรที่ส่งผู้คนในโลกหล้าเข้าไปในกรงขังของเทพเจ้า!”
รัศมีของเขาทำให้ฉินมู่หายใจไม่ออก เขาไม่มีทางเลือกจึงได้แต่ใช้ปราณชีวิตของตนสู้กลับไป
“เช่นนั้นท่านกลับมาทำไม” หน้าอกของฉินมู่ถูกกดเข้าไปจนแทบราบ และเขาสูดลมหายใจอย่างกระเสือกกระสน แต่กระนั้นก็ยังตะโกนออกไป “แล้วทำไมท่านถึงกลับมาตั้งป้ายหินหลุมศพให้กับผู้คนที่ตายไปในการศึก ทำไมท่านถึงกลบฝังพวกเขา ทำไมท่านถึงวางอาวุธที่พวกเขาใช้เอาไว้ใต้หินหลุมศพ”
รัศมีของบรรพชนแรกพลันสงบลง และเขาก้มหัวลงไป “ข้ากลับไป กลับไปยังสนามรบเพื่อกลบฝังพวกเขา เพราะว่าข้ามีความสำนึกผิดในใจ ข้ารู้ว่าข้าไม่คู่ควรแก่การเป็นกษัตริย์มนุษย์ ดังนั้นข้าจึงมาเพื่อไถ่บาป”
ฉินมู่พบว่ายากที่จะเชื่อ “นี่ท่านไม่มีสักเสี้ยวความหวังในหัวใจเลยหรือ”
บรรพชนแรกสีหน้าเรียบนิ่ง “ไม่ คนหนุ่ม จงวางความฝันในหัวใจของเจ้าเสีย เรื่องกษัตริย์มนุษย์เหลวไหลนี่ควรจะจบลงไปได้ตั้งนานแล้ว”
ฉินมู่ก้มหน้าลง แต่หลังจากครู่หนึ่ง เขาก็เงยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มเจิดจ้าแบบที่เด็กโข่งอย่างเขามีประดับหน้าอยู่เสมอ “ท่านล้มเหลว พวกเขาล้มเหลว แต่ข้าไม่เคยล้มเหลวมาก่อน ในเมื่อท่านเป็นกษัตริย์มนุษย์ไม่ได้ ข้าก็จะเป็นเอง”
บรรพชนแรกยิ้มหยันแก่เขา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “เจ้าคิดแบบไหนถึงนึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้”
“ข้าแซ่ฉิน และบรรพบุรุษของข้าคือจักรพรรดิก่อตั้ง ข้ามีสายเลือดของตระกูลฉินแห่งหมู่บ้านไร้กังวล และข้าก็ยังเป็นกายาจ้าวแดนดิน! มันมีปัญหาตรงไหน” ฉินมู่ถามด้วยเสียงตะโกน
บรรพชนแรกเอียงคอ สีหน้าเย้ยหยันก็ยังอยู่ตรงนั้น “เจ้ามีตำแหน่งฐานะเยอะเหลือเกิน และก็มีเกียรติยศศักดิ์ศรีในหัวใจมากจนเกินไป แล้วจะอย่างไรต่อให้เจ้าเป็นสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง เขาเองก็พ่ายแพ้และไม่เผยโฉมหน้าออกมาเป็นเวลาสองหมื่นปี แล้วกายาจ้าวแดนดินหนึ่งคนจะทำอะไรได้ ข้าได้ยินเกี่ยวกับตำนานของมัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินถึงผลงานความสำเร็จของมัน เจ้ามันก็แค่เด็กชายผู้โง่เขลา เป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม…ให้ข้าทำลายมายาภาพของเจ้า!”
เขาสะบัดแขนเสื้อและโจมตีทันที
ด้วยความตระหนก ฉินมู่รีบป้องกัน แต่ทว่าเขาพบว่าพลานุภาพในการโจมตีนั้นมิได้รุนแรง ดังนั้นเขาจึงตะลึงไปอย่างช่วยไม่ได้
พลานุภาพของบรรพชนแรกแผ่พุ่งไป และคลื่นกระเพื่อมของทักษะเทวะก็เหวี่ยงหนังสือบนชั้นกระเด็นไปบนอากาศ
“อย่าทำลายหนังสือพวกนี้!” ฉินมู่ตะโกนไปยังเขาอย่างเดือดดาล และซัดหมัดออกไป ข้างหลังเขา พุทธรูปใหญ่ปรากฏ และสรวงสวรรค์สิบสี่ชั้นอันมีเทวดาและพุทธเจ้าต่างๆ ห้อมล้อมเขา แปรเปลี่ยนเป็นรังสีแสงสิบสี่รังสี
“วิชาแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม ลูกไม้กระจอก” บรรพชนแรกทำลายมันอย่างง่ายดาย และต่อยฉินมู่เข้าที่หน้าอกพลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เพียงแค่นี้ เจ้าก็ปกป้องตัวเองไม่ได้แล้วอย่าว่าแต่ปกป้องหนังสือ”
ฉินมู่ถูกซัดกระเด็น ร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงา เกาะวูบไปกับพื้น บรรพชนแรกเคาะพื้นด้วยเท้าของเขา และเขย่าฉินมู่ออกมา ด้วยปราณชีวิตของเขาเป็นกระบี่ เขาก็แทงไปยังหว่างคิ้วของฉินมู่
“มีกำลังฝีมือต่ำต้อยแค่นี้ อนาคตข้างหน้าของเจ้าก็มีแต่ความตาย!” บรรพชนแรกยิ้มหยัน “เจ้าเองก็เป็นความล้มเหลว”
ฉินมู่พิโรธเดือดดาล และรวบรวมปราณของเขาเป็นกระบี่ เมื่อเขาชี้นิ้วไป กระบี่ปราณชีวิตก็ปะทะและส่งเสียงหึ่ง การปะทะกันนั้นดังออกมาอย่างไม่รู้จบ และหนังสือที่ร่วงลงมาเรื่อยๆ ก็ถูกฉีกให้ขาดวิ่นด้วยปราณกระบี่
ฉินมู่จ้องไปที่เศษหนังสือด้วยความเกลียดชังอันเผาผลาญอยู่ในดวงตาของเขา “อย่าทำลายเลือด เหงื่อ และน้ำตาของพวกเขา!”
“ก็มาหยุดข้าสิ” บรรพชนแรกหัวเราะในคอ “หากว่าเจ้าเอาชนะข้าไม่ได้ เจ้าก็เป็นแค่กองขยะกองหนึ่ง!”
……………….
“กษัตริย์มนุษย์พวกนั้นทำอะไรกันอีกแล้ว ทำไมมันถึงอึกทึกนัก” ในยมโลก ท้าวยมราชยืนอยู่หน้าท้องพระโรงราชาฉินและมองเข้าไปในเมือง เขาสามารถมองเห็นราชวังต่างๆ ถล่มลงมาตามๆ กัน และถามอย่างสงสัย “นี่คือศิษย์ต่อยตีอาจารย์อีกแล้วหรือ การต่อยตีรอบนี้ดูจะไม่ปรานีเลยสักนิด…”
นกยักษ์บินมา และลงจอดที่พื้นเพื่อแปลงกลายเป็นเทพหัวนกฉือซิ่ว ขาไซ้ขนของตนเองและส่ายหัว “ท้าวยมราชเดาผิดแล้ว นี่มิใช่ศิษย์ต่อยตีอาจารย์ แต่เป็นอาจารย์และบรรพชนทั้งหลายร่วมกันกลุ้มรุมประชาทัณฑ์ศิษย์คนท้ายสุด กษัตริย์มนุษย์ซูกลับเมืองมา และถูกต่อยตีโดยอาจารย์ของเขา อาจารย์ปู่ และบรรพชนทั้งหมด เขาถูกทุบตีจนยับเยินน่าสังเวช แต่เขาตายไม่ได้ต่อให้อยากตายก็ตาม”
ท้าวยมราชตื่นตระหนกเล็กน้อย “พวกเขาเปลี่ยนกฎกติกาหรือ”
“ข้าก็ไม่ทราบ แต่ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน กษัตริย์มนุษย์ซูนำจารึกโบราณมาและกล่าวว่ามีตำนานเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินปรากฏเมื่อสี่หมื่นปีก่อน บรรพชนสองและคนอื่นๆ รับฟังด้วยรอยยิ้ม แต่หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าล้อมและรุมประชาทัณฑ์”
เทพฉือซิ่วหยุดไปครู่หนึ่ง “หลังจากนั้น เมื่อกษัตริย์มนุษย์ซูต่อต้าน เขาก็ถูกทุบตีหนักกว่าเก่า พวกเขาพูดกันว่าเขาได้หลอกลวงอาจารย์และบรรพชน ว่าเขาได้วางแผนเพทุบายให้กษัตริย์มนุษย์น้อยมาทุบตีพวกเขา ข้าได้ยินแค่เศษๆ เสี้ยวๆ พวกนี้ แต่กษัตริย์มนุษย์ซูดูจะถูกรุมตีจนน่าอนาถ”
“เทพและมารคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะเข้าไปห้ามศึก จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ก็ถึงกับออกมาโห่ร้องสนับสนุนอย่างคึกคัก และหวังให้โลกนี้ยิ่งปั่นป่วนโกลาหล ข้าควรไปหยุดพวกเขาหรือไม่”
ท้าวยมราชอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไม่ต้องทำเช่นนั้น หากเจ้าเข้าไปห้ามพวกเขา พวกเขาจะรุมตีเจ้าแทน”
ในรัตติกาลอันดึกดื่น ความมืดของแดนโบราณวินาศก็ยังคงคึกคัก สัตว์ประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวเมื่อซิงอ้านเดินผ่านพวกมันไป แสงเทวะรอบกายเขาได้ขับไล่การรุกรานของสสารมืดขณะที่เขามุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่หลิงอวี้จิวระบุเอาไว้
จิตของเขาสั่นสะท้านเมื่อพบเห็นเขตปิดผนึกใหญ่มหึมา ผืนป่ามีอยู่ทั้งข้างบน ข้างล่าง ซ้าย และขวาของลูกบาศก์ขนาดยักษ์ ห่อหุ้มมันไว้ทุกทิศทาง ในขณะเดียวกันนั้น ในเขตปิดผนึก ก็มีเรือใหญ่โตมโหฬารที่ใหญ่ยิ่งกว่าเรือตะวันและเรือจันทราไปหลายๆ เท่า!
มันเป็นเรือยักษ์ที่หลอมสร้างขึ้นมาด้วยฝีมือเผ่าเทพวิศวกรรมแห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านไร้กังวล มหานาวาปารมิตา!
เรือนี้ยับเยินขาดวิ่น อันแสดงให้เห็นว่ามีการต่อสู้อันนองเลือดเกิดขึ้นที่นี่ นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เรือถูกทำลายและไม่อาจแล่นต่อไปได้!
ซิงอ้านเล็งเห็นอันตราย และเขาลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ยังคงก้าวไปข้างใน
เขาคือตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกปัจจุบันนี้ ดังนั้นต่อให้เขาเล็งเห็นอันตราย แต่ก็ยังมั่นใจว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างราบรื่น!
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ ในป่า และซิงอ้านก็จิตใจสั่นสะท้าน เขาได้เห็นภาพวาดอันคล้ายคลึงกับจี้หยกจริงๆ “องค์หญิงน้อยแห่งตระกูลหลิงมิได้โกหกข้า!”
ในตอนนั้น เขาก็พบว่าเขาไม่ใช่เพียงคนเดียวที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้
ประตูของลานเรือนถูกเปิดออก และเขามองเห็นเงาหลังผู้คนอยู่ไวๆ
นี่คือคนที่ข้ากำลังตามหาหรือ
ซิงอ้านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขานำเอากระจกออกมาและส่องไปยังบุคคลผู้นั้น ชายผู้นั้นหันกลับมา เผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขายิ้มแก่ซิงอ้าน “อา อา!”
ซิงอ้านตะลึงไปเล็กน้อย มันเป็นผู้เฒ่าและมิใช่บุคคลที่เขากำลังเสาะหา ผู้เฒ่าคนนี้กำลังแบกหีบใบหนึ่งและมีเตาหลอมเหล็กอยู่ใกล้ๆ
“เจ้าแข็งแกร่งมาก” ซิงอ้านหันไปเผชิญกับเขาด้วยสีหน้าเยือกเย็น “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกถึงความเริงใจที่ได้พบเจอเหยื่อ เมื่อข้าสังเกตเห็นพลังงานอันไร้ขีดจำกัดในกายของเจ้า มันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดๆ! เจ้าอาจจะเป็นศัตรูที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบในช่วงหลายปีล่าสุดนี้”
“อา อา!” ใบหน้าของผู้เฒ่าเหี่ยวย่นราวกับเปลือกส้ม เขายิ้มอย่างเริงร่าและส่งภาษามือสองสามครั้ง
ซิงอ้านไม่เข้าใจ และยังคงพูดกับตนเอง “ข้าอยากจะสะสมเจ้าจริงๆ เผยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งของเจ้าสิ ให้ข้าดูกำลังฝีมือเจ้าเสียหน่อย”
ตูม!
เตาหลอมข้างกายผู้เฒ่านี้แผดอัคคีโหมไหม้ออกมา และเพลิงไฟก็พวยพุ่งขึ้นไปสิบลี้บนท้องฟ้า ซิงอ้านพลันรู้สึกว่าห้วงอวกาศรอบๆ ถูกแผดเผา และที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดมิใช่เตาหลอม ภัยคุกคามมาจากข้างในร่างกายของผู้เฒ่าคนนี้
ตันเถียนของเขาพลันแผ่พุ่งออกมาด้วยแสงเจิดจ้า ราวกับดวงตะวันดวงเล็กที่ระเบิดปะทุพลังงานอันไร้เทียมทาน!
ซิงอ้านตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสะพานเทวะข้างหลังผู้เฒ่าทอดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้า บนนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาที่เป็นเทพหัวนกอันมีพลังงานความร้อนร้ายกาจเปล่งออกมาจากกายของมัน จิตวิญญาณดั้งเดิมกระโดดขึ้นและข้ามสะพานไป เข้าไปยังปราสาทสวรรค์ข้างบนนั้น
ตูม!
พลังวัตรของผู้เฒ่าระเบิดออกมาอย่างรุนแรงอีกครั้ง และความร้อนแผดเผาสามารถบิดเบี้ยวห้วงอวกาศได้ ทันใดนั้น หีบก็เปิดออกมาเอง และเม็ดกลมสีเงินเล็กๆ มากมายก็หลั่งไหลออกมาราวธารน้ำ พวกมันห่อหุ้มร่างกายของผู้เฒ่าและพลันแปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นแม่ทัพในชุดเกราะสีเงิน แสงเงินสองกระแสกลายเป็นค้อนยักษ์สองอัน ซึ่งฟาดเข้าไปใส่ซิงอ้าน!
เมื่อค้อนฟาดโดนเขา ซิงอ้านรู้สึกราวกับตนเองเป็นก้อนเหล็กบนทั่ง เขานั้นถูกหลอมตีให้เป็นรูปร่างตามแต่ผู้เฒ่าจะต้องการ!
“แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! ตันเถียนของเจ้าแข็งแกร่งกว่าตันเถียนขั้นเทวะที่ข้าได้เก็บสะสมมาจากยอดฝีมือคนอื่นๆ!”
ซิงอ้านตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่น เขายกมือขึ้นและเกิดคลื่นกระเพื่อมหมุนวน รูปเงาของทะเลใหญ่ไพศาลปรากฏข้างหลังเขา และเสียงคลื่นลมก็พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เขาต้านรับการโจมตีตรงๆ และถูกเป่ากระเด็นออกจากหมู่บ้านน้อยเแห่งนั้น ผู้เฒ่าพุ่งตามเขาไป ค้อนใหญ่ของเขาเงื้อขึ้นและฟาดลงโจมตี
ทั้งสองคนต่อสู้กันท่ามกลางขุนเขาและพงไพร ทะยานขึ้นลงไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง ซิงอ้านหัวร่อด้วยเสียงอันดัง
“ร่างกายอันเยี่ยมยอด ตันเถียนอันเยี่ยมยอด! ข้าจะต้องเพิ่มเจ้ามาไว้ในของสะสมข้าอย่างแน่นอน! หยินอย่างเดียวหรือหยางอย่างเดียวไม่อาจทำให้อายุวัฒนะยืนนาน มรรคาเต๋าที่เจ้าเดินนั้นคือมรรคาแห่งหยางพิสุทธิ์อันดุร้ายและกร้าวแกร่ง แต่ว่ามันยากที่จะดำรงอยู่ได้นาน! พละกำลังของเจ้าส่งผลร้ายต่อร่างกายของเจ้ามากเกินไป อันทำให้เจ้าดูแก่เฒ่าขนาดนี้”
“เว้นก็แต่ว่าเจ้าได้บ่มเพาะร่างเนื้อจนถึงเขตขั้นเทวะ มิเช่นนั้นเจ้าก็จะไม่อาจทานทนเทวานุภาพแห่งตันเถียนเตายักษ์ได้ หากว่าเจ้ายังคงต่อสู้เช่นนี้ เจ้าก็จะต้องไปเกินขีดจำกัดร่างกายอย่างแน่นอน เจ้าไม่มีทางชนะ!”
ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าก็พบว่าตนเองต่อสู้เช่นนี้ต่อไปไม่ไหว เขารีบรั้งค้อนกลับ และเกราะเงินก็ไหลร่วงลงมาที่ขาของเขาเพื่อกลายเป็นม้าสีเงิน อันเขาขี่มันหนีไป
ซิงอ้านรีบไล่ตาม แต่เท้าของเขาพลันเหยียบเข้าไปในความว่างเปล่า พวกเขาได้เข้าไปในห้วงมิติของมหานาวาปารมิตาแล้ว และทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยชิ้นส่วนแตกหักของมหานาวาอันใหญ่มหึมานี้
ซิงอ้านเห็นว่าความเร็วของม้าสีเงินที่ผู้เฒ่านั้นขี่อยู่ช้าลงไป และหยั่งทราบว่าตันเถียนของอีกฝ่ายมีพลังมากแค่ไหน มันได้ทำร้ายร่างกายของบุรุษผู้นี้ และเขาก็ไม่อาจทานทนไปได้นานนัก
ซิงอ้านไล่ล่าไปอีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก เหงื่อเย็นเยียบก็ไหลจากหน้าผากของเขา เขาพลัดหลงกับเบาะแสร่องรอยของผู้เฒ่าคนนั้น และพบว่าตนเองถูกกักเอาไว้ในสถานที่อันตราย เวทปิดผนึกอยู่เต็มไปหมดทุกหนแห่ง และมันทำให้เขายากจะเดินไปรอบๆ
ทันใดนั้น ผู้เฒ่าก็ปรากฏตัวอีกครั้ง นั่งอยู่บนกราบเรือสีเงินลำเล็กๆ บนหัวเขาก็สวมหมวกไม้ไผ่สานที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ไหนสักแห่ง
ซิงอ้านตั้งสติขณะที่หางตาของเขากระตุกบิดเบี้ยว เขาอยากจะพุ่งเข้าไป แต่เขาถูกเวทปิดผนึกที่ลอยอยู่ในห้วงอวกาศกีดขวางเอาไว้
ผู้เฒ่าฉีกยิ้มให้แก่เขา เผยให้เห็นปากอันไร้ลิ้น เขาทำท่าปาดคอตนเอง และเรือสีเงินลำเล็กๆ ก็ลอยจากไป
ซิงอ้านโกรธจนเต้นเร่า แต่เขาพลันรู้สึกว่ารอยยิ้มของผู้เฒ่านี้คุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก เขาดูเหมือนจะเคยเห็นมันที่ไหนสักแห่ง
รอยยิ้มนี้ ข้าต้องเคยเห็นมันมาก่อน ต้องเคยเห็น…
เขาสงบใจลงและโยนรอยยิ้มของผู้เฒ่านั้นทิ้งไปจากความคิด เขาเพ่งสมาธิกับการเสาะหาเส้นทางออก แต่ขณะที่เขากำลังจะไขยันต์ผนึกแรก รอยยิ้มของฉินมู่ก็พลันปรากฏวาบในจิตของเขาและซ้อนทับกับรอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้ เขาพลันว้าวุ่นและถูกยันต์ผนึกตบกระเด็นไป
รอยยิ้มของฉินมู่และผู้เฒ่าใบ้ซ้อนทับกันเกือบจะไร้ที่ติ ความแตกต่างเดียวก็คือรอยยิ้มฉินมู่ให้ความรู้สึกสัตย์ซื่อจริงใจ ขณะที่รอยยิ้มของผู้เฒ่าใบ้นั้นมีความกลอกกลิ้งซุกซน!
“ข้า…” โลหิตเทวะของซิงอ้านกระอักขึ้นมาในคอ แต่ก็ถูกเขาฝืนข่มมันลงไป “ข้าจะไม่โกรธ ข้าจะไม่มีโทสะ ข้าจะต้องไม่ปล่อยให้เขาทำลายจิตเต๋าของข้า ข้า–อ๊อก”
เขาฝืนไม่ไหวอีกต่อไปและกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ด้วยสีหน้าอันซีดเทาพ่ายแพ้ เขาก็แผดเสียงร้องคำรามด้วยความเดือดดาล “หมอเทวดาฉิน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด!”
ฉินมู่ตามแสงอันนำทางเขาและเดินออกไปจากแดนโบราณวินาศ ระหว่างการเดินทางของเขา เขาไปยังชายแดนทางใต้ของสันตินิรันดร์ ที่นั่นมีแมลงและงูพิษมากมาย และผู้คนก็บางตา ยิ่งเขาเดินไปไกลเท่าไร ก็ยิ่งรกร้างมากขึ้นเท่านั้น
ในที่สุด หลังจากรุ่งเช้ามาได้สักหน่อย แสงนำทางก็ก่อขึ้นมาเป็นบานประตูอันไม่ใหญ่มากมายตรงหน้าเขาบนยอดเขาแห่งหนึ่ง
มันไม่มีประตูแสงอื่นๆ บนยอดเขาเล็กแห่งนั้น ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นแต่ภูเขาร้างและแดนเถื่อน ไม่มีผู้คนอยู่ที่นี่ มีแต่ภูมิประเทศอันว่างเปล่า
กิเลนมังกรโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ เมื่อเขาเห็นพระอาทิตย์ขึ้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะลิงโลดขึ้นมา “จ้าวลัทธิ เช้าแล้ว ได้เวลาอาหารล่ะ…”
ฉินมู่ผลักประตูเปิด และมันเปิดขึ้นด้วยแสงสว่างที่ส่องมาจากข้างใน เขาเดินเข้าไปในแสงสว่างนั้น
กิเลนมังกรรีบรุดตามเขาไป เงาร่างของพวกเขาหายวับ และประตูแสงก็หรี่มัวลงไปทุกที จนกระทั่งจางหายไปในที่สุด
สักพักหนึ่ง ฉินมู่ก็ปรากฏบนดินแดนอันเถื่อนร้าง ทิวทัศน์ว่างเปล่าที่เขาเห็นเมื่อครู่ไม่อาจเทียบกับสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ได้
ตรงหน้าเขาคือโถงวังศักดิ์สิทธิ์อันพังถล่มลงมาโดยมีหมอกคลี่คลุมทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ซ่อนอยู่ในหมอกคือป้ายจารึกนามอันมีหลุมศพอยู่ข้างหลังพวกมัน กำแพงพังและผนังผุกร่อนได้ทำให้ฉินมู่สะท้านถึงขั้วหัวใจ
ในที่ไกลๆ มีราชวังหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเดี่ยวในหมอก
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าพลางมองไปรอบๆ พื้นที่นี้กว้างใหญ่ไพศาล แต่ทิวทัศน์เดียวในโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์ก็มีแต่หลุมศพ
เขาไปยังหลุมศพแรกและมองไปที่ป้ายหินหลุมศพ บนนั้นเขียนไว้: แม่ทัพประจิมแห่งสภาสวรรค์เว่ยหมิง ข้างๆ ป้ายหลุมศพคือโล่อันอาบย้อมไปด้วยเลือด
ฉินมู่ไปยังหลุมศพที่สองอันมีข้อความ: นายพันหน่วยองค์รักษ์พยัคฆ์กล้าแห่งสภาสวรรค์ติ่งอวิ๋นเหอ ข้างใต้ป้ายหลุมศพคือหมวกเกราะ
เขาเดินต่อไปด้วยความเงียบ แม้แต่กิเลนมังกรที่ร่ำร้องถึงอาหารเช้าก็ไม่กล้าส่งเสียง เขาหดหางจุกตูด และแอบแง้มฝาหีบเปิดเพื่อมุดหลบเข้าไปในนั้น ไม่กล้าจะโผล่หน้าออกมา
ฉินมู่ตรวจดูป้ายหินหลุมศพไปทีละอันๆ แต่หลายป้ายนั้นแม้แต่จะจารึกนามไว้ก็มิได้จารึก บุคคลที่ปักป้ายหลุมศพพวกนี้อาจจะไม่ทราบของพวกเขา
หลุมศพอันมีชื่อและไม่มีชื่อ สร้างเส้นทางอันนำไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในหมอก
ยากที่จะกล่าวว่าฉินมู่ใช้เวลานานเท่าไรถึงมาใกล้มันในที่สุด ข้างหน้าเขา มีกระท่อมหญ้าฟางสร้างเอาไว้อยู่ ข้างในนั้นคือโครงกระดูกแห้งผากที่นั่งคอตกห้อย ข้างๆ เขาคือหลุมศพที่พังลงไป แม้ว่าจะเหลือเพียงแค่กระดูก ฉินมู่ก็มองเห็นได้ว่าบุคคลผู้นี้มีร่างกายสูงใหญ่กำยำ กระดูกข้อนิ้วบนมือของเขาทั้งหนาและใหญ่ ดังนั้นเขาน่าจะเชี่ยวชาญในวิชามุทรา ฝ่ามือ และหมัด
ฉินมู่ปัดฝุ่นออกจากหลักจารึกหินและอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
ถ้อยคำบนนั้นคือ: กษัตริย์มนุษย์ฉีคัง พบว่าตนไม่สำเร็จสิ่งใดในชีวิต ข้าจึงละอายเกินกว่าที่จะตั้งป้ายหินหลุมศพให้ตนเองและละอายเกินกว่าจะไปพบหน้าบรรพชน ข้าจะตายในกระท่อมฟางนี้และไม่กลบฝังกระดูกสังขาร
ฉินมู่เปิดหีบออก และนำเอาเทียน เงินกระดาษ และเครื่องเซ่นไหว้ออกมา เขาจุดธูปและเครื่องเซ่นไหว้ทั้งหลายให้แก่กษัตริย์มนุษย์ฉีคังด้วยความเคารพ
เขาเดินออกไปจากกระท่อมฟาง และเห็นอีกกระท่อมอยู่ใกล้ๆ ข้างในนั้นมีแขนขาที่ถูกตัดอยู่จำนวนหนึ่งใกล้ๆ กับป้ายหลุมศพที่ร่วงล้ม บนนั้นมีแค่คำว่าซูที่ขีดเขียนไว้ด้วยกระบี่ มันถูกเขียนไว้ได้เพียงครึ่งเดียวก่อนที่กระบี่หักจะปักคาทิ้งไว้ในป้ายหินหลุมศพ ปล่อยให้ตัวอักษรนั้นค้างคา
ฉินมู่มองไปที่แขนและขาขาดเหล่านั้น ที่จุดถูกตัด มันคือรอยแผลกระบี่ และหางตาของเขาก็สั่นระริก เขาจึงสักการะเซ่นไหว้
“ผู้ใหญ่บ้าน”
เขารู้ว่าผู้ใหญ่บ้านได้มาที่นี่ครั้งหนึ่งและต้องการจบชีวิตของตนเอง แต่ในเมื่อเขายังมิได้ส่งมอบลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ต่อไป เขาจึงหักใจทำไม่ได้ เพราะเช่นนั้น เขาจึงฝังเอาไว้เพียงแค่แขนและขาที่ขาดของเขา
เขาถึงกับไม่กล้าเขียนชื่อของตนเอวไว้ ในเมื่อเขายังมิได้ส่งต่อมรดกยุทธต่อไปในตอนที่จารึก
ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สาม และพบเห็นโครงกระดูกอันสูงเพียงห้าคืบ นั่นคือกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน
บนป้ายหลุมศพ มีคำง่ายๆ ไม่กี่คำ
กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน พ่ายแพ้ให้แก่เหนือฟ้า ข้าไม่มีหน้ากลบฝังตนเองและไปพบอาจารย์ของข้า ชนรุ่นหลังไม่จำเป็นต้องสักการะเซ่นไหว้ข้า
ฉินมู่มายังกระท่อมฟางหลังที่สี่อันเขาพบโครงกระดูกอีกโครง มันถือตะกร้าดอกไม้ไว้ในมือ
กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ ข้าไม่ประสบความสำเร็จใดเลยในชีวิต และข้าละอายที่ล้มเหลวต่อการสั่งสอนของอาจารย์ข้า…
ฉินมู่เข้าไปยังกระท่อมฟางทุกๆ หลังเพื่อเซ่นไหว้สักการะ เขาได้ประจักษ์ประวัติศาสตร์สองหมื่นปีของโถงกษัตริย์มนุษย์ เขาได้พบกับกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดในยมโลกอันพวกเขาล้วนแต่ด่าทอและทุบตีอาจารย์ของตน ดูจะไม่ชอบขี้หน้ากันนัก แต่ทว่า ที่นี่ในกระท่อมหญ้าฟางเหล่านี้ ฉินมู่มองเห็นความเคารพต่ออาจารย์ และความพิไรรำพันต่อความล้มเหลวของพวกเขา
เขามายังสุดทางโถงกษัตริย์มนุษย์และเห็นแผ่นหลังคนผู้หนึ่ง
…………………..
“ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสาม” ฉินมู่ตอบไปอย่างซื่อสัตย์ “ข้าได้เสียเวลายี่สิบสามปีและก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ข้าอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างท้อแท้ไม่รู้จบ และปาดป้ายน้ำตาในความเงียบงัน”
“หมอเทวดาฉินอายุยี่สิบสามปีก็ได้ประสบความสำเร็จมากมากแล้ว นี่นับว่าเหนือธรรมดา” ซิงอ้านหันกลับไป และยกกระจกในมือของเขาขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็อุทานด้วยความทึ่งอย่างจริงใจ “ไม่เพียงแต่เจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าอันควบคุมบัญชาผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านที่อายุยี่สิบสามปี เจ้ายังมีตำแหน่งสูงส่งอื่นๆ อีกอย่างเช่นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์และกษัตริย์มนุษย์”
“เจ้าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหล้า และมีเครือข่ายมิตรสหายอันกว้างขวาง มีสักกี่คนที่จะประสบความสำเร็จเช่นเจ้าในอายุยี่สิบสามขวบปี มีแต่เจ้าเท่านั้น!”
เขายกกระจกขึ้นเพื่อส่องหาเด็กหนุ่ม แต่เขากลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย ด้วยความตะลึง เขาได้ยินเสียงฉินมู่ดังมาจากไกลๆ “มังกรอ้วน มังกรอ้วน! บอกผู้ฝึกวิชาเทวะที่มาถึงพวกนั้นว่าอย่าออกไปข้างนอกตอนกลางคืน ที่นี่คือแดนโบราณวินาศ พวกเขาจะตายเอา! พวกที่มีเสียงดัง มานี่ ตะโกนบอกผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนี้ว่าอย่าออกนอนกเมืองเวลากลางคืน!”
ซิงอ้านเก็บกระจกและเดินตามเขาไป เมื่อฉินมู่หยุดไปครู่หนึ่ง เขาก็นำกระจกออกมาเพื่อจับเอาภาพสะท้อนของเขา แต่กระนั้นก็ไม่ปรากฏเงาร่างของฉินมู่ในกระจกอีกครา
เสียงของเด็กหนุ่มดังมาจากที่ไกลๆ “อวี้จิว เจ้าไปตามจิตรกรจากวังหลวงมาสักจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ พี่ซิงอ้านให้รูปภาพข้ามาอันจำเป็นต้องคัดลอกพันฉบับเพื่อส่งไปยังทุกแว่นแคว้นของจักรวรรดิ”
ซิงอ้านเลิกคิ้วสูงและคิดในใจ หากว่าบุคคลที่ลู่หลีต้องการเสาะหาคือเขา เขาคงจะไม่สำรวจตรวจตราภาพวาดของจี้หยกนั้นอย่างละเอียด หรือว่าข้าจะขี้ระแวงจนเกินไป แต่ทว่า ทำไมเขาถึงพยายามหลบหลีกข้า
เขาตามทันฉินมู่อีกครั้ง และประกายตาของเขาก็วูบวาบ หากว่าเขาหนีไปอีกรอบ ข้าจะตรึงเขาไว้กับที่ด้วยพลังวัตร!
ในตอนนั้นเอง เด็กสาวผู้อวบอึ๋มแห่งตระกูลหลิงก็เหลือบมองเห็นภาพวาดและกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “จี้หยกอันนี้ ข้าดูเหมือนจะเคยเห็นมาก่อน!”
ซิงอ้านสะดุดสนใจขึ้นมา และเขาหยุดตามตอแยฉินมู่ทันที เขารีบไปถาม “องค์หญิงแห่งตระกูลหลิง เจ้าเคยเห็นนี่มาก่อนจริงๆ น่ะหรือ”
หลิงอวี้จิวนั้นเป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ศึกที่ชายแดนเหนือ ดังนั้นผิวของนางจึงขาวสล้างจากการบ่มบำรุงของที่ราบหิมะ นางก็กำลังแตกเนื้อสาวด้วย ใบหน้าของนางจึงเรียวขึ้น ดูบอบบางและสะคราญมากขึ้น แต่ทว่าทรวดทรวงองค์เอวก็ยังอึ๋มอั๋นอยู่ดี
เมื่อนางกลับไปยังเมืองหลวงเพื่อรายงาน ฉินมู่ก็ได้ติดตั้งระหว่างเป็นตาย ดังนั้นนางจึงฉวยโอกาสมายังเมืองเขตมังกร นอกจากจะมาท่องเที่ยวกับคนรักของนางแล้ว นางก็ยังมาที่นี่เพื่อฝึกฝนอีกด้วย
“ข้าเคยเห็นมันมาก่อน” หลิงอวี้จิวผ่านการฝึกของกองทัพ ดังนั้นนางจึงมีวุฒิภาวะมากกว่าแต่ก่อน แต่กระนั้นนางก็ยังคงแต่งกายเป็นชายและดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง “ข้าเคยเห็นมันในซากโบราณแห่งหนึ่งแห่งแดนโบราณวินาศ”
“แดนโบราณวินาศ!” ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาถามด้วยความเร่งร้อน “คนผู้นั้นเป็นเด็กหนุ่มหรือ”
“ไม่เชิง ข้าเพียงแต่เห็นภาพวาดเช่นนี้ในซากโบราณ มันมีผ้าอ้อมและม้าไม้ของเล่นอยู่ที่นั่นด้วย ดังนั้นจึงดูเหมือนว่ามีเด็กอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน”
ฉินมู่มองไปยังซิงอ้านผู้ซึ่งเงียบงันไปอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังสื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา
เขามองไปยังกระจกในมือซิงอ้านด้วยความสนใจใคร่รู้ ซิงอ้านเอาแต่คอยส่องกระจกมาใส่เขา อันเป็นสาเหตุให้เขาคอยแต่จะหลบหลีกมัน
“ศิษย์พี่ซิงอ้าน ท่านก็ชอบพกกระจกติดตัวด้วยหรือ หรือว่ากระจกบานนี้เป็นสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง” ฉินมู่ตาเป็นประกาย และเขายื่นมือไปจับกระจก “ท่านให้ข้ายืมหน่อยได้หรือไม่ ข้าคิดว่าบนหน้าข้ามีสิวอยู่เม็ดหนึ่ง ข้าอยากจะลองดู–”
เพี๊ยะ!
ซิงอ้านตบมือเขากระเด็นไป และเก็บกระจกเข้าไปในถุงเต๋าตี้พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “อย่ามาแตะต้องของของข้า เจ้าน่ะมีพิษสงมากเกินไป องค์หญิงหลิง สถานที่ที่เจ้าเคยไปนั้นอยู่ที่ไหน เจ้าพาข้าไปที่นั่นได้หรือไม่”
เขาได้สื่อสารกับดวงตาประหลาดในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา ดังนั้นมันอาจจะเป็นดวงตาประหลาดนั้นที่ต้องการให้เขาไปดู
หลิงอวี้จิวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ข้ายังมีธุระต้องเดินทางไปยังยมโลก ดังนั้นข้าไม่มีเวลาพาท่านไป แต่ทว่า ข้าจดจำเส้นทางได้ ดังนั้นข้าเขียนแผนที่ให้กับท่าน”
ซิงอ้านกล่าวขอบคุณ
หลิงอวี้จิวขอพู่กันและหมึกจากฉินมู่และวาดแผนที่ภูมิประเทศ ซิงอ้านจึงถามอย่างเยือกเย็น “ที่นั่นมีอันตรายอะไรไหม”
หลิงอวี้จิวส่งยิ้มให้เขา “หากว่ามันมีอันตราย ข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร ใครกันที่จะแข็งแกร่งที่สุดในโลก นอกเสียจากผู้อาวุโสซิงอ้าน”
ซิงอ้านยิ้มกลับไป “หากว่าเจ้าสามารถรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าก็ย่อมทำได้เช่นกัน หมอเทวดาฉิน มากับข้า”
ฉินมู่ลังเล “ศิษย์พี่ ทำไมท่านถึงต้องพาข้าไปด้วยในเมื่อท่านเพียงแค่เข้าไปในแดนโบราณวินาศเพื่อตามหาคน ข้าเองก็ได้ช่วยท่านตามหาเขาแล้ว และข้าก็ยังช่วยท่านแขวนภาพนี้ไว้ทั่วแว่นแคว้นของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ตราบใดที่มีข่าวคราว ข้าก็จะรายงานท่าน ท่านสามารถไปเสาะหาร่องรอยของจี้หยกในขณะที่ข้าก็จะไปโถงกษัตริย์มนุษย์เพื่อปัดกวาดหลุมศพ หากว่าข้าเอาแต่ชักช้า อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็คงจะแช่งชักหักกระดูกข้าให้ตายตามพวกเขาลงไปไวๆ”
ซิงอ้านมองไปยังแผนที่ภูมิประเทศที่หลิงอวี้จิววาดให้เขาและกล่าวอย่างจริงจัง “องค์หญิงหลิง หากว่าข้าไม่พบอักษรบนจี้หยกอยู่ที่นั่น เจ้าก็คงรู้ผลลัพธ์ของมันนะ ตระกูลหลิงของเจ้าจะถูกทำลายล้างไปจากโลก!”
หลิงอวี้จิวตัวสั่นเทิ้มพลางเค้นรอยยิ้ม “ข้าไม่ได้โกหกท่าน…”
ซิงอ้านหันกายเดินจากไป
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวถอนหายใจอย่างโล่งอก หลิงอวี้จิวปาดเหงื่อบนหน้าผากและกำลังจะอ้าปากพูด แต่ฉินมู่ยกมือห้ามนางจึงรีบปิดปาก
พวกเขารู้ใจกันดี และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาออกจากร่างเคลื่อนที่ไปไกล
หลังจากหลายหมื่นลี้ที่ห่างจากเมืองเขตมังกร จิตวิญญาณดั้งเดิมของหลิงอวี้จิวก็ถาม “เด็กเลี้ยงวัว นั่นมันคือที่ไหน มันอันตรายหรือไม่ ความเป็นตายของตระกูลหลิงขึ้นอยู่กับเรื่องนี้นะ!”
สาเหตุที่นางพูดไปอย่างนั้นก็เพราะว่าฉินมู่ฉวยโอกาสตอนที่ซิงอ้านไม่ทันระวังเพื่อใช้คลื่นสมองแห่งเผ่าขนนกสวรรค์สื่อสารกับนาง บอกนางให้วาดภาพและแผนที่
ระหว่างเผ่าขนนกสวรรค์ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูด พวกเขาอาศัยคลื่นสมองเพื่อสื่อสารซึ่งกันและกัน โดยปราศจากเสียง และเพียงแค่เคลื่อนสำนึกรู้ของตนเอง พวกเขาก็สามารถบอกกล่าวกับอีกฝ่ายได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาสามารถกระทำการใดไปโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้คล่องตัวเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าการสื่อสารผ่านสำนึกรู้จะมีช่องโหว่ใหญ่โต แต่วิธีการเช่นนั้นมีประโยชน์ในการรักษาความลับ
“ไม่ต้องกังวล ทุกสิ่งที่เจ้าบอกซิงอ้าน เขาจะไปพบมันที่นั่นทั้งหมด แต่ทว่าเขาจะไม่ได้เบาะแสอันเป็นประโยชน์จากที่นั่น” จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่กล่าว “หลังจากที่เขาไปที่นั่น หากว่าเขารีบกลับไปในทันที ก็จะยังคงสามารถเดินออกมาได้ แต่หากว่าเขาดึงดันที่จะบุกเข้าไปข้างในต่อเพื่อเสาะหาเบาะแสเพิ่ม ก็จะขึ้นกับสติปัญญาของเขาแล้วว่าจะเดินออกมาได้หรือไม่”
“เมื่อครั้งนั้นที่ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าคนอื่นๆ ได้บุกเข้าไป พวกเขาเกือบไม่รอดกลับมา หลังจากซิงอ้านกลับมาเขาจะไม่สังหารเจ้าเพราะเรื่องนี้ ในเมื่อเจ้าไม่ได้โกหกเขาเลยสักคำ”
สถานที่อันซิงอ้านกำลังไปนั้นคือสถานที่อันพวกเขาเคยสงสัยว่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล มันคือเรือใหญ่มหึมาอันถูกหลอมสร้างโดยเผ่าเทพวิศวกรรม แต่พวกเขาไม่สามารถเดินทางไปถึงหมู่บ้านไร้กังวลได้ พวกเขาถูกดักซุ่มโจมตีจากศัตรูและติดกับอยู่ในลูกบาศก์ใหญ่มหึมาพร้อมๆ กับเรือ
เผ่าเทพวิศกรรมได้ใช้ผู้คนหลายรุ่นต่อหลายรุ่น และสละชีวิตคนร่วมเผ่ามากมายเพื่อให้ในท้ายที่สุดก็ส่งเด็กผู้หนึ่งเดินออกจากเขตปิดผนึกได้ ฉินมู่สงสัยว่าเฒ่าใบ้น่าจะเป็นเด็กผู้นั้น
เพราะถึงอย่างไร ผู้ใหญ่บ้านและคนอื่นๆ ก็ต้องอาศัยเฒ่าใบ้ให้นำทางพวกเขาออกมา
หากว่าซิงอ้านก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นและหันกลับมาโดยพลัน เขาก็จะยังพอบุกออกมาได้ แต่ทว่า ถ้าเขาเข้าไปลึก ก็จะถูกกักตัวเอาไว้โดยเขตปิดผนึก
หลิงอวี้จิวถอนหายใจโล่งอกและถาม “ทำไมซิงอ้านถึงตามหาตัวเจ้า จี้หยกนั่นเป็นของเจ้านี่”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ แต่ทว่ามันมีตัวตนอันทรงพลังร้ายกาจซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของเขา และมันน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ซิงอ้านจะต้องถูกมันข่มขู่บังคับ ข้าเพียงแต่เห็นดวงตาของมันแต่มิใช่ร่างกาย ถึงอย่างไร การที่ซิงอ้านร่วงลงไปในแดนใต้พิภพและกลับมาได้ทั้งยังเป็นๆ ดวงตาในสมบัติเทวะของเขาจะต้องเป็นของมารเทวะแห่งแดนใต้พิภพสักตนหนึ่ง”
หลิงอวี้จิวขมวดคิ้ว “หากว่าซิงอ้านหนีออกมาได้?”
ฉินมู่ส่ายหัว “มันน่าจะกักขังเขาเอาไว้ได้อย่างน้อยก็ครึ่งปี หลังจากที่เขาหลุดออกมา พวกเราก็จะช่วยเขาตามหาเด็กหนุ่มที่มีจี้หยกนั้นต่อ” สายตาของเขากลายเป็นแปลกพิลึกพลางกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อเขาออกมา เขาก็จะพบว่าไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินภาคกลาง แผ่นดินตะวันตก ทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง หรือแดนโบราณวินาศ จี้หยกนี้ก็จะถูกพบได้ในทุกหนทุกแห่ง ลองเดาดูสิว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
หลิงอวี้จิวกลอกตาใส่เขา “ข้ารู้ว่าเจ้าเก่งกาจ หยุดคุยโม้ได้แล้ว!”
ฉินมู่หัวเราะ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็คืนกลับไปยังร่างเนื้อ ท้องฟ้าข้างนอกได้กลายเป็นมืดดำเรียบร้อย ข้างๆ แม่น้ำในระหว่างเป็นตาย เรือสำราญกำลังจะออกจากท่า ฮู่หลิงเอ๋อและซีอวิ๋นเซี่ยงให้ผู้คนที่จ่ายเงินแล้วขึ้นไปนั่ง และพวกเขาก็เดินทางผ่านแม่น้ำบนท้องฟ้าไปยังยมโลก หลิงอวี้จิวก็ขึ้นเรือไปด้วย
ข้างนอกเมือง ฉินมู่เดินออกไปในความมืด ตามไปโดยกิเลนมังกรที่นั่งไปบนหีบอันเต็มไปด้วยข้าวของอย่างผลไม้และเครื่องเซ่นไหว้ หีบนั้นไม่ชอบใจกับของพวกนี้ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้เมื่อฉินมู่บังคับยัดของพวกนี้เข้าไปในพุงของมัน
โถงกษัตริย์มนุษย์ก็เหมือนกับนครหยกน้อย เป็นชิ้นส่วนแตกหักของปราสาทสวรรค์แห่งจักรพรรดิก่อตั้ง
ฉินมู่ประกายตาวูบวาบเมื่อเขาเดินผ่านความมืดพลางถือก้อนสีดำไว้ในมือ เขาคิดในใจ บรรพชนสองและคนอื่นๆ ไม่บอกข้าว่าจะต้องไปที่ไหน เพียงแต่ข้าต้องกระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ แต่ทว่ามันจะใช้ตามหาโถงกษัตริย์มนุษย์ได้อย่างไร…
ปราณชีวิตของเขาไหลบ่าเข้าไปในลัญจกร และมันก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย มันแตกต่างจากครั้งที่เขากระตุ้นการทำงานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์เมื่อคราวก่อน ครั้งก่อนนั้น เขาได้เห็นเดือนปีอันเหนื่อยยากของเผ่าพันธุ์มนุษย์หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สำนึกรู้ที่ซ่อนอยู่ในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้พุ่งออกไปในทุกทิศทางและแพร่กระจายไปทั่วโลก
แต่ทว่า ผู้ใหญ่บ้านและกลุ่มยอดฝีมือในตอนนั้นได้ช่วยเขา บัดนี้มีเพียงแค่ฉินมู่โดยลำพัง ดังนั้นเขาย่อมมิอาจปลดปล่อยการเพรียกขานของลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ได้ด้วยเพียงแค่สำนึกรู้ของตนคนเดียว
ฉินมู่ใช้ปราณชีวิตเพื่อหยั่งทดสอบ และหัวใจของเขาก็พลันสะท้าน ปราณชีวิตของเขาได้แตะเข้ากับรอยประทับในลัญจกรกษัตริย์มนุษย์
ในพริบตาถัดมา ลัญจกรกษัตริย์มนุษย์ก็สั่นไหวเบาๆ และรังสีแสงก็สาดส่องออกไป กระทบกับดวงตาของฉินมู่ จากนั้นแสงดังกล่าวก็หายวับ
ฉินมู่สลัดศีรษะไปมาและลืมตาขึ้นมอง แสงสาดส่องจากที่ใดสักแห่ง และตกลงมาใต้เท้าของเขา
ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่หันกลับไปมอง “มังกรอ้วน เจ้ามองเห็นแสงไหม”
กิเลนมังกรกำลังหลับอยู่ แต่เขาก็รีบโงหัวขึ้นมามองไปรอบๆ “แสงอะไรหรือ”
มีแต่ข้าที่เห็นแสงนี้หรือ
ฉินมู่นำกระจกออกมาและส่องเข้าหาตนเอง เขาพบว่ามีอักษรรูนประหลาดอยู่ในดวงตา และเขาคะเนว่ามันจะต้องเป็นสาเหตุที่เขามองเห็นแสงนั้น!
ที่แท้นี่ก็คือวิธีการไปโถงกษัตริย์มนุษย์! ฉินมู่ตามแสงไป
ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็กลับไปยังยมโลกอันกำลังคึกคัก มันมีแม่น้ำสายยาวและสะพานหนึ่งพาดผ่านท้องฟ้าเหนือเมือง สะพานนั้นเต็มไปด้วยเทพและมาร ขณะที่มีกลุ่มโครงกระดูกยืนอยู่บนเรือสำราญข้างล่าง
เกิดอะไรขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึง เขาพลันเห็นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังบนสะพาน และดวงตาของเขาก็ลุกวาบ เขาโบกไม้โบกมือและตะโกนเรียก “ตาแก่ฉีคัง ทางนี้! ข้ากลับมาแล้ว! ข้ามีข่าวอันน่าแตกตื่น บางอย่างเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน! ฮี่ๆ เจ้าคงไม่เชื่อเรื่องนี้แน่ๆ เมื่อสี่หมื่นปีก่อน ถึงกับมีปรากฏกายาจ้าวแดนดินตัวเป็นๆ! ลงมาเร็วเข้า ข้าเอาคัดลอกหลักศิลาจารึกนั้นมาด้วย!”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกระโดดลงจากสะพาน และชี้ไปยังผู้ใหญ่บ้าน “อย่าขยับ! อย่าขยับ! ข้าจะไปเรียกบรรพชนสองและคนอื่นๆ มา!”
ผู้ใหญ่บ้านยิ้มให้เขา “เจ้าไม่มาดูจารึกก่อนหรือ”
“เสพสุขสำราญแต่ลำพังไม่ดีเท่ากับแบ่งปันระหว่างผองเพื่อน รอให้กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ มาถึงก่อน แล้วพวกเราค่อยอ่านด้วยกันทั้งหมด” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังมองไปที่เขาด้วยความจริงใจในแววตา
ผู้ใหญ่บ้านงงงวย รอยยิ้มของผายลมเฒ่านี่ดูคุ้นตาจริงๆ ทำไมเขาถึงสุภาพกับข้าขนาดหนักในวันนี้…
………………………
มันมีบันทึกอาลักษณ์จากฤดูเหมันต์ของปีที่สิบเจ็ดจากรอบหกสิบปี มันบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ภูเขาหยกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทรุดจมลงไปยี่สิบแปดวาเมื่อมีเพลงไฟสีแดงฉานพวยพุ่งออกมาจากหลุมยุบที่ใจกลางอันมีรัศมีแปดร้อยลี้ อันเป็นภาพที่ตระการตาอย่างประหลาด
แต่ทว่า อาลักษณ์มิได้บันทึกสาเหตุของปรากฏการณ์ เขาเพียงแต่ใช้ถ้อยคำอ้อมค้อมอันมีความหมายลึกซึ้งกล่าวถึงอธิการบดีฉินแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ที่ได้ละเลยการสอนของเขาและถูกจักรพรรดิลงโทษให้งดเบี้ยหวัดเงินเดือนเป็นเวลาสองปี ตำแหน่งขุนนางของเขาก็ถูกลดระดับจากชั้นสี่มายังชั้นห้าขั้นต่ำ
จากปากคำของผู้คนในวังหลวง มันเป็นเวลาเช้าตรู่ของวันนั้นเมื่อจักรพรรดิตื่นตระหนกจากเสียงระเบิดดังกึกก้อง เขารีบเหาะขึ้นไปเพื่อมองดูและเห็นว่าจุดที่เกิดระเบิดคือทะเลสาบมังกรหยก ปลามังกรมากมายนับไม่ถ้วนถูกกระแทกและลอยอยู่เต็มผิวทะเลสาบ ทะเลสาบมังกรหยกเองก็ขยายกว้างกว่าเดิมหลายเท่า ทั้งยังลึกขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
จักรพรรดิโลดเต้นด้วยความเดือดดาล
จากรายงาน มีบาดแผลอยู่ที่มือของจักรพรรดิ ขณะที่เขาร้องโวยวายจะตัดหัวใครบางคน
ในเวลานั้น จักรพรรดิแบกมีดและเดินพล่านไปทั่วภูเขา แต่เขาหาตัวใครบางคนที่ว่านั่นไม่พบ เขาไปสะดุดเจอกิเลนมังกรและหีบ เขายืนป้องกันอยู่ข้างๆ ทั้งสองตัวนั้นอยู่ถึงบ่าย แต่ก็ยังไม่เห็นเงาร่างผู้คนคนนั้น เขาจึงยอมเลิกในที่สุด
ข่าวลือว่า บุคคลผู้นั้นได้หลบหนีไปเป็นพันๆ ลี้ตั้งแต่เช้าตรู่ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาบ่าย กิเลนมังกรซึ่งเพิ่งตื่นก็ขี่หีบไปเป็นเวลาสองวันสองคืนถึงตามทัน
และยังมีข่าวลืออื่นอีกว่า จักรพรรดิได้ไปยังค่ายทหารและป้วนเปี้ยนแถวๆ ปืนใหญ่เทวะยิงตะวันอยู่ครึ่งค่อนวัน ก่อนที่จะถอนหายใจในท้ายที่สุด “ความดีความชอบของเขาก็ยังมากกว่าเรื่องที่เขาก่อ ดังนั้นโทษเขายังไม่ถึงตาย ข้าควรเพียงแค่ลดตำแหน่งเขา และงดเบี้ยหวัดเงินเดือน” หลังจากนั้น เขาก็เก็บดาบใหญ่ และจากไป
แน่นอนว่า เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นคำร่ำลือ และไม่มีทางพิสูจน์ได้ อาลักษณ์แห่งสภาราชสำนักไม่มีทางจดบันทึกข่าวลืออันไม่มีหลักฐานยืนยัน
หลังจากนั้นมากกว่าสิบวัน ฉินมู่ตั้งระหว่างเป็นตายในเมืองเขตมังกรแห่งแดนโบราณวินาศ แม่น้ำสายยาวทอดผ่านท้องฟ้า เมืองเขตมังกรได้กลายเป็นสถานที่อันเชื่อมต่อกับยมโลก และมันก็คึกคักคับคั่งเป็นระยะเวลาหนึ่ง
แต่เดิมเมืองเขตมังกรเป็นทรัพย์สมบัติของแซ่ฉิน และร้านรวงส่วนใหญ่ก็เป็นของลัทธินักบุญสวรรค์ สันตินิรันดร์จะขนส่งสินค้ามาที่นี่เพื่อขายให้กับแดนโบราณวินาศ และสินค้าของแดนโบราณวินาศก็จะถูกส่งผ่านที่นี่ไปยังสันตินิรันดร์
เมืองนี้เป็นสถานีแรกก่อนที่จะเข้าไปในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะจึงมักจะเลือกที่นี่เพื่อลงหลักปักฐาน หลังจากที่ฉินมู่มาถึง จำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะในเมืองเขตมังกรก็ยิ่งเพิ่มพูน และราคาสิ่งต่างๆ ก็ถีบทะยานสูงปรี๊ด ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อลิงโลดดีใจจนยิ้มกว้างถึงใบหู
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ก็มีเสนาบดีกระทรวงงบประมาณมาที่แดนโบราณวินาศหมายจะเก็บภาษี และถูกฉินมู่โจมตีด้วยฝีปากจนย่อยยับอัปราชัย เขาจึงกลับไปร้องเรียนต่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงผู้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร่ำไห้ “แดนโบราณวินาศไม่ใช่ส่วนหนึ่งของสันตินิรันดร์ ดังนั้นเขาไม่สังหารเจ้าตอนที่เจ้าไปเก็บภาษีก็นับว่าไว้หน้าข้าอย่างมากแล้ว ตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ เจ้าควรถูกตัดหัว อย่าไปตอแยเลย แดนโบราณวินาศไม่ใช่แผ่นดินของพวกเรา”
“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินหาเงินได้ดุเดือดจนเกินไป และเศรษฐกิจในเมืองเขตมังกรก็เป็นธุรกิจใหญ่มหึมา!” เสนาบดีกระทรวงงบประมาณประท้วง “ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทยังต้องสร้างถนนอันเชื่อมต่อระหว่างแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์ และมันจะต้องผ่านเมืองเขตมังกร! ถนนสองเส้นที่อธิการบดีฉินวางแบบแปลนเอาไว้จะต้องผ่านที่นั่น!”
“เมืองเขตมังกรจะต้องกลายเป็นเมืองที่สำคัญทางยุทธศาสตร์อันดับหนึ่งในแดนโบราณวินาศ และความมั่งคั่งของมันก็จะเลิศล้ำในโลกหล้า! กระหม่อมคิดว่าอธิการบดีจะต้องมีเจตนาอันเห็นแก่ตัวอย่างแน่นอน หยิบยืมเงินทองของสภาราชสำนักเพื่อกรุยถนนสร้างหนทางให้แก่บ้านเกิดของเขา!”
ด้วยความรู้สึกจนปัญญา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองลึกเข้าไปในดวงตาของเขา จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างมีความนัยลึกซึ้ง “แผ่นดินตะวันตกเป็นเขาที่ไปยึดครองมา ช่วยประหยัดเงินทองและเสบียงที่จะต้องใช้ในการยาตราทัพ เขายังช่วยรักษาชีวิตทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจากการตกตายในสงครามอีกด้วย”
“แต่ถึงอย่างไร ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหมดที่ไปยังเมืองเขตมังกรก็ล้วนแต่เป็นพสกนิกรแห่งสันตินิรันดร์ของพวกเรา และหากว่าพวกเขาใช้จ่ายเงินทองที่นั่นโดยไม่อาจถูกเก็บภาษีได้ สถานที่นั้นก็จะเป็นประเทศภายในประเทศ และความมั่งคั่งของสันตินิรันดร์พวกเราก็จะไหลรั่วออกไปอย่างแน่แท้! หากว่านี่ยังดำเนินต่อไป มันจะน่ากลัวสักแค่ไหน สันตินิรันดร์ของพวกเราจะไม่มีเงินทองไว้ใช้สอย!” เสนาบดีผู้นั้นกล่าว
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “นักพรตเหยียนเฟิง เจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านพีชคณิตแห่งลัทธิเต๋า ทำไมเรื่องนี้เจ้าถึงไม่เข้าใจ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มให้แก่เขา “ผู้ฝึกวิชาเทวะที่ไปยังเมืองเขตมังกรใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขของสันตินิรันดร์ข้า หากว่าพวกเขาต้องการใช้จ่ายเงิน พวกเขาก็ยังต้องไปหาเงินมาจากในสันตินิรันดร์ข้า ดังนั้นมันก็ย่อมจะย้อนกลับมา”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณขมวดคิ้ว “แต่หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าไปวนเวียนในแดนโบราณวินาศและไม่กลับมายังสันตินิรันดร์ล่ะ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแย้มยิ้ม “หากว่าเหรียญสมบูรณ์พูนสุขสามารถเข้าไปแทนที่ทองคำ แร่เงิน และสมบัติที่ใช้จ่ายในแวดวงของแดนโบราณวินาศ นั่นก็จะยิ่งดีวิเศษ! คิดดูสิ คือสภาราชสำนักมิใช่หรือที่เป็นผู้ผลิตเหรียญ ด้วยวิธีนี้ มิใช่ว่าแดนโบราณวินาศจะตกอยู่ในควบคุมของสภาราชสำนักหรอกหรือ ไม่ใช่ว่าสภาราชสำนักเอาแต่พูดถึงความมั่งคั่งที่มีอยู่ในแดนโบราณวินาศมาตลอดหรอกหรือ”
“เมื่อเหรียญสมบูรณ์พูนสุขเข้าทดแทนทองคำและเงิน สภาราชสำนักก็จะสามารถใช้เหรียญสมบูรณ์พูนสุขซื้อเหมืองและแม่น้ำ ด้วยเหรียญสมบูรณ์พูนสุขกระจายไปทุกหนทุกแห่ง การรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นก็อยู่ไม่ไกล!”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจนด้วยคำพูด
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโยนฎีกาของเขาออกไปและยืนขึ้นมองออกไปข้างนอกด้วยสายตาลึกล้ำ “โดยมิต้องใช้กำลังทหาร ใช้เพียงแค่เหรียญสมบูรณ์พูนสุขเพื่อได้มาซึ่งแผ่นดินอันมั่งคั่งอย่างแดนโบราณวินาศ กำไรดีๆ แบบนี้เรายังจะไปหาจากที่ไหนได้อีก เจ้านั้นยังคิดทื่อๆ เถรตรงเกินไป คิดว่าการที่เงินทองหลั่งไหลเข้าไปในแดนโบราณวินาศเป็นเรื่องแย่ เจ้าไม่รู้วิธีการใช้เงินตราเพื่อรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น อันเป็นการรุกรานที่เปี่ยมศิลปะที่สุด”
“เพื่อปกครองประเทศ ผู้ปกครองมิอาจกังวลเพียงแค่การได้เสียเล็กๆ น้อยๆ แต่จะต้องมองออกไปไกลๆ หลายสิบปีและหลายร้อยปีในอนาคต เมื่ออธิการบดีต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นเงินเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ เมื่อข้าต้องการแสวงหาเงินทอง มันเป็นภูเขาและแม่น้ำ เป็นการที่ไม่มีโลหิตติดกระบี่ของไพร่พล เป็นการช่วยเหลือไพร่ฟ้า และเป็นการรวบรวมเศรษฐกิจให้เป็นปึกแผ่น!”
เสนาบดีกระทรวงงบประมาณจึงยอมศิโรราบ “ถ้อยคำของฝ่าบาทสามารถใช้สั่งสอนไปถึงอนุชนรุ่นหลัง”
ในเมืองเขตมังกร ฉินมู่มองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่แออัดจอแจไปทั่วหัวมุมถนน และพ่อค้ามากมายที่ไปๆ มาๆ ไม่หยุดหย่อน ผู้คนแห่งสันตินิรันดร์เหล่านี้ได้ทำให้เมืองเขตมังกรมีชีวิตชีวาขึ้นมาหลายเท่าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“หากว่าราชครูสามารถนำผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมากรุยถนนและเปิดเส้นทางระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ ผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะไม่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากแค้นอีกต่อไป”
ฉินมู่คิดคำนวณ เวลาผ่านไปเกือบจะหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่เมื่อราชครูสันตินิรันดร์ได้นำผู้คนจากโถงวิศวกรรมไปยังแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นพวกเขาน่าจะได้พลิกทะเลทรายให้กลายเป็นทุ่งขจีไปแล้ว
โดยใช้ลูกแก้วมังกรเขียวแห่งแผ่นดินตะวันตก พวกเขาก็สามารถสำเร็จสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้น พวกเขาก็จะต้องสร้างธารน้ำโดยการชักนำน้ำมาจากหิมะบนภูเขา เข้าไปในทะเลทรายเพื่อให้พืชพรรณอันดกดื่นยังชีวิตอยู่ได้และงอกงามต่อไป
หากว่าโถงวิศวกรรมสามารถเจาะอุโมงค์เข้าไปในภูเขาไปยังทิศใต้ของทะเลทราย พวกเขาก็จะสามารถชักนำไอน้ำเหนือทะเลใต้มายังฟากเหนือ ด้วยวิธีนั้น ทะเลทรายก็จะไม่ขาดแคลนน้ำ และก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาฝนและหิมะมาจากที่ไหน
ภายในเวลาไม่กี่ปี ทะเลทรายเพลิงโหมก็จะเหลือแค่ชื่อ
หลังจากที่ถนนถูกถางเปิด แผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และสันตินิรันดร์ก็จะเชื่อมต่อกันด้วยถนนอันราบเรียบไร้สิ่งกีดขวาง พ่อค้าก็จะเดินทางผ่านเมืองใหญ่น้อยในแดนโบราณวินาศ และผู้คนในแดนโบราณวินาศก็จะมั่งมีขึ้นมาเช่นกัน
“หมอเทวดาฉิน ข้าได้ยินว่าเจ้าคือคนจากแดนโบราณวินาศ” ซิงอ้านที่ยืนข้างหลังเขาขัดจังหวะความคิด “เจ้าเป็นบุคคลแห่งแดนโบราณวินาศ แต่ก็ยังชักนำอิทธิพลอำนาจของจักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามาที่นี่ เจ้าคือคนบาป”
“ในแดนโบราณวินาศไม่มีประเทศ ข้าจะเป็นคนบาปได้อย่างไร” ฉินมู่ฉงนฉงาย “ผู้คนในแดนโบราณวินาศใช้สอยทรัพยากรที่นี่เป็นอย่างดีโดยปราศจากเจ้าเหนือหัว ต่อให้จักรวรรดิสันตินิรันดร์เข้ามา ผู้คนจากที่นี่ก็ยังคงเป็นผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศอยู่ดี อาคันตุกะไม่อาจมาเป็นเจ้าบ้านได้ ก็ในเมื่อพวกเขาต้องทำตามกฎกติกาของแดนโบราณวินาศ นั่นคือหนทางเดียวที่จะมีชีวิตรอดที่นี่ ไม่ใช่การปฏิบัติตามกฎของจักรพรรดิ”
ซิงอ้านส่ายหัว “ข้ามิได้ปฏิสัมพันธ์กับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมากมาย แต่ก็ยังพอเห็นว่าเขามีความสามารถและแผนการอันเยี่ยมยอด เขาจะรวบรวมแดนโบราณวินาศให้เป็นปึกแผ่นในอนาคต เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้าจะต้องเสียใจ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “หากว่าจักรพรรดิบังอาจลงมือกับแดนโบราณวินาศ เขาก็จะนั่งบนบัลลังก์ได้ไม่นาน เจ้าก็รู้ว่าแดนโบราณวินาศนั้นน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน รูปสลักหินเหล่านี้…” เขากล่าวพลางชี้ไปยังวิหารทั้งหลายในเมืองเขตมังกร
“พวกเขากำลังรอเสียงเพรียกขานให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เมื่อพวกเขาฟื้นขึ้นมา โลกก็จะพลิกคว่ำ สันตินิรันดร์ไม่มีวันได้เป็นเจ้าของแดนดินแห่งนี้ ในเมื่อมันเป็นของผู้อื่น”
สายตาของเขาวูบวาบด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งขับไล่เสนาบดีกระทรวงงบประมาณกลับไป และจักรพรรดิก็ยังคงไม่มาหาเรื่องข้า ดังนั้นข้าจึงมองเห็นแผนการของเขาได้แจ่มชัด เพียงแต่ว่าความคิดและแผนการของเขาเป็นสิ่งที่เปล่าดายไร้ประโยชน์ หากว่าจักรพรรดินี้สามารถเหนือล้ำไปกว่าจักรพรรดิก่อตั้งได้ แผนของเขาก็อาจจะกลายเป็นจริง ไม่เช่นนั้นมันก็เป็นไปได้เพียงแค่มายาภาพ ข้ากำลังจะไปปัดกวาดหลุมศพ ศิษย์พี่ซิงอ้านจะไปด้วยหรือไม่”
ซิงอ้านปรายตามองหีบที่งอกเงยขาออกมา จากนั้นก็เบือนสายตาไป “ข้าจะตามไปทุกๆ ที่ที่เจ้าไป ข้าจะผละไปก็ต่อเมื่อค้นพบตัวบุคคลที่ข้าตามหาเท่านั้น”
ฉินมู่ขมวดคิ้ว “เช่นนั้นข้าค่อยไปปัดกวาดสุสานหลังจากที่ท่านจัดการธุระเสร็จแล้ว”
โถงกษัตริย์มนุษย์นั้นเป็นความลับที่มีแต่อดีตกษัตริย์มนุษย์เท่านั้นจะล่วงรู้ได้ เมื่อมีซิงอ้านอยู่ข้างๆ เขาย่อมมิอาจมุ่งหน้าไปยังโถงกษัตริย์มนุษย์ มิเช่นนั้นตำแหน่งที่ตั้งของมันก็จะถูกเปิดโปง และชักนำเรื่องยุ่งยากที่ไม่จำเป็น
อีกอย่าง ใครจะรู้ว่าซิงอ้านอาจจะนึกคึกขุดเอาศพของอดีตกษัตริย์มนุษย์ขึ้นมาสะสม?
อีกสิบกว่าวันให้หลัง สภาราชสำนัก ลัทธินักบุญสวรรค์ สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม และกลุ่มอำนาจอื่นๆ ก็ได้รวบรวมข้อมูลของบุคคลที่ถือกำเนิดในเวลาที่ซิงอ้านระบุมา มีผู้คนมากมายถึงสามหมื่น
ขุนนางที่มาส่งข้อมูลข่าวสารกล่าว “ข้อมูลจากทุ่งหญ้า ที่ราบน้ำแข็ง และแผ่นดินตะวันตก ยังรวบรวมไม่แล้วเสร็จดี”
ซิงอ้านมองไปที่ม้วนกระดาษกว่าสามหมื่นและอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงน้ำหนักอันกดทับลงมาบนบ่า ผ่านไปสักพัก เขากล่าว “บุคคลที่ข้าตามหาเป็นบุรุษ ดังนั้นแยกผู้หญิงออกจากผู้ชาย”
ขุนนางนั้นรีบออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บัญชา และเมื่อทุกอย่างถูกคัดแยกเรียบร้อย เขาก็กล่าว “มีบุรุษทั้งหมดหนึ่งหมื่นเจ็ดพันคน และมีเพียงแปดพันคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนใหญ่แล้วตายในการต่อสู้และภัยพิบัติ”
ผ่านไปสักพัก ซิงอ้านกล่าว “คัดแยกพวกที่ไม่ใช่ผู้ฝึกวิชาเทวะออกไป”
ขุนนางออกคำสั่งอีกครั้ง และใช้ขุนนางทั้งหลายแห่งกระทรวงงบประมาณจัดจำแนกข้อมูลอีกครา ผ่านไปสักพัก เขาก็รายงาน “มีผู้ฝึกวิชาเทวะสี่ร้อยคนที่ยังเหลืออยู่”
ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “ตรวจสอบดูว่าตอนที่ผู้คนสี่ร้อยคนนี้ถือกำเนิด มีปรากฏการณ์ผิดธรรมดาหรือไม่ ข้ากำลังมองหาผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีจี้หยก”
ขุนนางนั้นจึงสั่งให้ตรวจสอบชายทั้งสี่ร้อยคน
ฉินมู่เฝ้ามองกระบวนการด้วยความสงสัยที่ทวีขึ้นมาในหัวใจ ทุกครั้งที่ซิงอ้านออกคำสั่ง เขาลังเลราวกับว่าไม่ใช่เขาที่กำลังออกคำสั่งนั้น เหมือนกับว่าเขากำลังรับฟังคำพูดของคนอื่นอีกทอด
จริงสิ เขากระโดดลงไปจากสะพานแห่งความจนปัญญาและจมลงไปในแดนใต้พิภพ อันยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่ายมโลก สัตว์ประหลาดที่ท่วมท้นไปด้วยความอาฆาตแค้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่งที่นั่น แล้วอย่างนั้น เขากลับมาได้อย่างไร หรือว่า…
ประกายตาของเขาวูบไหว และประตูน้อมสวรรค์พลันปรากฏข้างหลังเขา เมื่อมันก่อตัวขึ้นมา ฉินมู่ก็จำแลงเป็นเทพเจ้าหัวคนร่างงู และดวงตาตั้งขวางก็เปิดขึ้นมาที่ใจกลางหว่างคิ้ว
ซิงอ้านสังเกตพบทันที และหันกลับมาเผชิญหน้าเขา ดวงตาของเขาเข้มข้นไปด้วยแสงเทวะ อันกีดขวางสายตาของฉินมู่ เขาจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หมอเทวดาฉิน บางสิ่งบางอย่างเจ้าไม่รู้จะดีกว่า”
ฉินมู่หัวเราะและสลายเทวาจำแลงเทพครองดาวเสาร์ แต่ข้างใน เขาแตกตื่นอย่างหนัก เมื่อเขามองไปยังซิงอ้านขณะที่ชายผู้นี้เผลอไผล เขาก็ได้เห็นดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสนซ่อนอยู่ในสมบัติเทวะเป็นตายของอีกฝ่าย!
ในตอนนั้น ดวงตาอันน่าสะพรึงกลัวก็สังเกตเห็นเขา และกำลังจะมองมายังเขา แต่ทว่า มันถูกซิงอ้านขัดจังหวะเอาไว้พอดี!
ขุนนางจึงมากล่าวรายงาน “พวกเราไม่พบผู้ฝึกวิชาเทวะคนที่ไหนที่สวมใส่จี้หยกมาตั้งแต่กำเนิด เพราะถึงอย่างไร การเกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปากนั้นเป็นเรื่องในตำนาน”
“คนผู้นั้นมิได้เกิดมาโดยคาบหยกไว้ในปาก” ซิงอ้านนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนนำรูปภาพออกมา “จี้หยกของเขาใช้เพื่อสะกดข่มสันดานมารของเขา นี่คือภาพของจี้หยก ในเมื่อเจ้าไม่อาจค้นพบผู้ฝึกวิชาเทวะที่เกิดมาในเวลาอันระบุเอาไว้ เช่นนั้นก็จงแขวนภาพจี้หยกนี้เอาไว้ทุกๆ เมือง และเสาะหาตำแหน่งของมัน! หมอเทวดาฉิน ให้คนของเจ้าไปคัดลอกภาพนี้มาหนึ่งพันฉบับ!”
ฉินมู่รับภาพวาดมา และสายตาของเขาตกต้องลงไปยังภาพของจี้หยก
ซิงอ้านเห็นเขามองไปที่มันอย่างละเอียดจึงถาม “หมอเทวดาฉินเคยเห็นจี้หยกเช่นนี้มาก่อนหรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน”
ซิงอ้านสายตาวูบวาบ และเขาก็นำกระจกออกมา “ข้าลืมถามเลย แต่หมอเทวดาฉินอายุเท่าไรแล้วปีนี้”
…………………
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงลุกขึ้นด้วยความเดือดดาล ในสายตาของเขามีประกายวูบวาบ “คืนสุราให้ข้า!”
ซิงอ้านนั่งนิ่งขณะที่มือของเขาจับปากไหสุรา จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยื่นฝ่ามือออกไป แต่มันดูเคลื่อนที่อย่างยากเย็น ในระยะทางเพียงสั้นๆ เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูป
ข้างๆ กองไฟ ฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และคนอื่นๆ จ้องไปที่ฝ่ามือของพวกเขาอย่างไม่ปริปาก
ฝ่ามือของซิงอ้านมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง และแขนของเขาที่ยกไหสุราอยู่นั้นไม่ไหวติงสักนิด แต่ทว่า แขนของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงที่ยื่นออกมา สั่นเทิ้มเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าของเขาสั่นระริกอย่างไม่หยุดนิ่ง แรงกระทบของแต่ละคลื่นกระเพื่อมอันส่งไปยังฉินมู่และคนอื่นๆ นั้นยากจะบรรยาย
ทุกครั้งที่นิ้วทั้งห้าของเขาสั่นไหว ก็เท่ากับการขับเคลื่อนทักษะเทวะหนึ่ง ปราณชีวิตอันเข้มข้นสูงปรากฏให้เห็นรางๆ อันก่อรูปขึ้นมาเป็นมังกรไร้เขาตัวเล็กละเอียดที่อยู่ระหว่างเส้นชีพจรของแขนและฝ่ามือของเขา!
ภายใต้ผิวหนัง มันดูราวกับจะมีมังกรแท้ที่ขดตัวไปมาและรวบรวมพละกำลังเอาไว้ แต่ทว่าพลานุภาพของมันไม่ได้อยู่ในสภาพเกรี้ยวกราดดุดันตลอดเวลา มันมีทั้งเขม็งเกร็งและคลายตัว
ที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงฝึกปรือคือวิชาเก้ามังกรราชันย์อันครั้งหนึ่งเขาเคยถ่ายทอดให้กับฉินมู่ ในภายหลังเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ตรึกตรองเข้าใจวิชาเก้ามังกรราชันย์อีกรูปแบบ อันเขาก็ได้ถ่ายทอดให้แก่หลิงอวี้จิวผู้ซึ่งส่งมันต่อให้กับบิดาของนางเช่นกัน
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นยอดอัจฉริยะไร้ปานเปรียบ เดิมทีวิชาเก้ามังกรราชันย์ของเขามิได้โดดเด่นสักเท่าไร แต่เขาได้พัฒนามันไปอย่างไม่หยุดยั้ง และยกระดับพลานุภาพของมันจนถึงสุดขีดขั้ว ทำให้ท้ายที่สุดแล้วกลายเป็นวิชาอันเลิศล้ำเหนือธรรมดา ขนาดที่ว่าสามารถประชันขันแข่งกับสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์
หลังจากได้รับวิชาจากรังมังกรแท้ เขาก็ลบและอุดช่องโหว่ทั้งหมดที่ซ่อนเร้นอยู่ และสมบัติเทวะของเขาก็ได้กลายเป็นแข็งแกร่งกว่าที่เคยเป็นมา ความแข็งแกร่งทนทานของสมบัติเทวะของเขาก็ได้รับความชื่นชมจากซิงอ้านว่าดูเหมือนจะบรรลุถึงเขตขั้นเทวะแล้ว!
มาบัดนี้เมื่อเขาข้ามพ้นสะพานเทวะและย่างกรายเข้าสู่เขตขั้นเทวะ พลังวัตรของเขาก็ยิ่งหนาแน่นกว่าเก่าก่อน
เมื่อฉินมู่และหลิงอวี้จิวเห็นพลานุภาพของมังกรแท้ภายใต้ผิวหนังของเขาที่เขม็งเกร็งและคลายตัวเป็นแบบแผน จิตใจของพวกเขาก็สั่นสะท้าน และเกิดความคิดและความตระหนักรู้ขึ้นมามากมาย
วิชามังกรเก้าราชันย์ที่ฉินมู่ได้ถ่ายทอดแก่หลิงอวี้จิวมิใช่วิชาฝึกปรือมังกรแท้อันครบสมบูรณ์ ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถอ่านนิพนธ์เผ่ามังกรในนั้นได้ทั้งหมด หลังจากความช่วยเหลือของพี่ชายน้องสาวตระกูลป๋าย เขาก็เรียนรู้ความหมายของนิพนธ์นั้นมากขึ้นไปอีก และยกระดับวิชาฝึกปรือไปอีกระดับชั้น แต่ทว่าหลังจากที่กลับมายังสันตินิรันดร์ เขาก็ยังไม่มีโอกาสที่จะถ่ายทอดวิชาอันครบสมบูรณ์กว่าเดิมให้หลิงอวี้จิว
การที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสามารถฝึกปรือมาได้จนถึงระดับนี้โดยใช้เพียงวิชาฝึกปรืออันไม่สมบูรณ์ วิชาเก้ามังกรราชันย์นับว่าเหลือเชื่อเกินจะคิดฝัน! เขาได้ฝึกปรือมันราวกับว่ามีมรรคาเต๋าของมันทั้งหมดอยู่ในมือ
แต่ถึงแม้ว่าทักษะเทวะมังกรแท้ของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจะบรรลุเขตขั้นเต๋า ก็ยังยากที่เขาจะเคลื่อนที่ตรงหน้าซิงอ้านอยู่ดี
การเคลื่อนที่ไปแต่ละนิ้ว เป็นความท้าทายต่อเขา แม้ว่าเขาจะซุกงำการเปลี่ยนแปลงของทักษะเทวะทุกชนิดเอาไว้เป็นอย่างดี แต่พวกมันก็ยังคงด้อยกว่าฝ่ามือของซิงอ้านอันมั่นคงดุจขุนเขา
ท้ายที่สุด จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็คว้าถึงปากไหสุรา แต่ซิงอ้านพลันดีดนิ้วใส่ฝ่ามือของเขา
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดีดนิ้วขึ้นไปเช่นกัน และนิ้วของพวกเขาปะทะกัน สายลมเบาดังมาหวึ่งๆ เคลื่อนไหวไปมาในไหสุราราวกับว่ามันถูกกวนปั่นด้วยการเคลื่อนไหวนิ้วของพวกเขา
ที่ปากไห นิ้วสองนิ้วรวดเร็วดุจเงา ซัดใส่กันไปมาด้วยความเร็วสูง
กร๊อบ
สีหน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงแปรเปลี่ยนเมื่อนิ้วกลางของเขาหัก
เขากัดฟันข่มความเจ็บและปล่อยฝ่ามือของเขาออกไปด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เขาค่อยๆ ถอยและกล่าว “ในเมื่อศิษย์พี่ชมชอบสุรานี้มากขนาดนั้น ข้าก็จะมอบให้แก่ท่าน”
ซิงอ้านวางไหสุราลงไปอย่างไม่สะทกสะท้านและกล่าว “ข้าเมาง่าย และตอนนี้ข้าก็พอแล้ว”
เมื่อเขาวางไหสุราลง พยาธิสุราในท้องฮู่หลิงเอ๋อก็ร้องจ๊อกๆ และนางก็เดินเข้าไปดมกลิ่นสุราฟุดฟิด “ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการดื่ม เช่นนั้นข้าชิมสักหน่อย”
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินเสียงสายลมหวึ่งเบาจากข้างในไหสุรา และก้มมองดู สุราในไหปั่นติ้วๆ อยู่ในนั้นราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวไปมาและต่อสู้กันอยู่
นางก้มหัวเล็กๆ ลงไปใกล้ปากไห หมายจะเพ่งพิศดูอย่างละเอียด แต่ทันใดนั้นก็มีคนคว้าคอเสื้อนางและหิ้วตัวขึ้น
ฉินมู่ดึงนางกลับมา แล้วจับวางลงข้างๆ กองไฟ เขาส่ายหัวและกล่าว “อย่าไปดู มันอันตราย หากว่าเจ้าต้องการสุรา ข้าจะให้อวี้จิวไปเอามาให้เจ้าอีกสามสี่ไห”
“คุณชาย ข้างในไห…”
“มันน่ากลัวสุดๆ” ฉินมู่ลอบเหลือบตามองรอบๆ ก่อนจะพูดเสียงกระซิบ “ตอนนี้มีผู้คนอยู่เยอะแยะเกินไป ข้าจะเจาะไหนี่ให้เจ้าดูทีหลัง มันจะต้องตื่นตาอย่างแน่นอน”
ฮู่หลิงเอ๋อไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นของนางเอาไว้ได้ แต่เอาแต่ชายตาแลมองไหสุรา
ลมข้างในนั้นดังอึงคะนึงมากยิ่งขึ้น อันมีแต่เร้าความสงสัยใคร่รู้ของนางเข้าไปใหญ่ นางเอาแต่แหงนคอคอย แทบจะรอไม่ไหว
กลิ่นหอมจากไหสุราก็ดูราวกับจะหนาแน่นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกลับไปที่งานเลี้ยง และจอมทัพแผนสวรรค์ก็มาหาเขาและถาม “ฝ่าบาท ได้เวลาลงมือหรือยัง”
จักรพรรดิเลิกคิ้วเล็กน้อย “เจ้าก็สัมผัสได้หรือ”
จอมทัพแผนสวรรค์ผงกหัว “บุคคลที่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ฝ่าบาทปะทะกับเขาอย่างนั้นหรือ เดี๋ยวข้าจะไปเรียกเจ้านครเว่ยมา”
ในตอนที่เขากล่าวเช่นนั้น เจ้านครเว่ยก็ปรากฏตัวข้างหลังเขาและและเริ่มกล่าวด้วยเสียงเบา “เมื่อฝ่าบาทลงมือ กระหม่อมก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอันผิดธรรมดาจากพื้นดิน ทักษะเทวะของท่านได้เขย่าสายแร่ที่อยู่ข้างใต้ บุคคลนั้นจะต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งแน่นอน ฝ่าบาท…”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่ายหัว “ไม่ต้องทำอะไรหรอก บุคคลนั้นคือซิงอ้าน และในช่วงระยะสั้นๆ นี้เขาก็ยังไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่ทว่า…” เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “คงจะต้องลำบากขุนนางฉิน ผู้ซึ่งเป็นข้าราชบริพารอันจงรักภักดีอย่างแท้จริง เพื่อที่จะถ่วงซิงอ้านเอาไว้ เขาถึงกับสละตัวเองและเก็บชายผู้นั้นไว้ข้างๆ ตัว ข้าไม่คิดเลยว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะองอาจและห้าวหาญขนาดนี้”
เขาถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก
“จ้าวลัทธิบอกว่ามีธุรกิจใหญ่งั้นหรือ” ซีอวิ๋นเซี่ยงถามพลางกะพริบตาปริบๆ ไปยังฉินมู่ “พวกเราจะร่ำรวยได้ไหม”
ฮู่หลิงเอ๋อเอาแต่สนอกสนใจไหสุราอันส่งกลิ่นหอมยวนใจนางออกมาตลอดเวลา แต่ทว่าเมื่อนางได้ยินคำว่าจะร่ำรวย หัวของนางไม่ขยับ แต่ทั้งตัวของนางหันขวับ นางจึงค่อยๆ บิดหัวเล็กๆ ของนางกลับมาด้วย “ธุรกิจใหญ่? จะร่ำรวย? คุณชาย ธุรกิจอะไรกันหรือ”
“การเดินทางไปยมโลกกับศิษย์พี่ซิงอ้านในรอบนี้ทำให้ข้าได้สมบัติวิเศษที่เรียกว่าระหว่างเป็นตาย มันสามารถเชื่อมยมโลกเข้ากับโลกแห่งคนเป็นได้”
ฉินมู่ปรายตามองซิงอ้าน สีหน้าของบุรุษที่ดูเยือกเย็นตลอดเวลาพลันแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว ดูท่าว่าเขาคงจะหวนระลึกถึงประสบการณ์แสนอัปยศในยมโลก
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าว “ธุรกิจที่ข้าจะทำนั้นอยู่ในโลกแห่งคนเป็น ข้างในยมโลกนั้นมีจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพและมารมากมายซึ่งอาจจะเป็นคนตายก็จริงอยู่ แต่ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่ในยมโลก เทพและมารบางตนมีความปรารถนาที่ยังไม่ได้รับการเติมเต็ม แต่ติดแหง็กอยู่ในยมโลกและไม่อาจผละออกมาได้ เพราะเช่นนั้น พวกเขาส่วนใหญ่จึงยินดีที่จะจ่ายเป็นราคาแพงเพื่อให้ผู้คนในโลกแห่งคนเป็นไปทำธุระตามที่พวกเขาจะใช้สอย”
“ข้าเองมีเรื่องต้องทำหลายอย่าง ดังนั้นข้าจึงไม่มีเวลามากมายนัก นี่จึงเป็นเหตุให้ข้าต้องการใช้สมบัติชิ้นนี้เพื่อเปิดเส้นทางให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ไปรับภารกิจมาจากคนตาย นี่คือการฝึกฝนและเช่นเดียวก็เป็นการบ่มเพาะบำเพ็ญ พวกเขาก็ยังสามารถร่ำรวยจากเรื่องนี้ได้อีกด้วย”
เขาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างใจเย็น “เทพและมารแห่งยมโลกยังสามารถถ่ายทอดวิชาและทักษะเทวะให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะผู้ซึ่งสำเร็จความปรารถนาให้แก่พวกเขา หรืออาจจะจ่ายผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นเป็นเหรียญทองคำเพื่อใช้เข้าไปในยมโลก ส่วนสำหรับข้า ข้ากะว่าจะเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางจากผู้ฝึกวิชาเทวะที่เข้าไปในระหว่างเป็นตาย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายของข้า”
“วิชาและทักษะเทวะของเทพและมาร?” สีหน้าของทุกๆ คนข้างกองไฟแปรเปลี่ยนไปพร้อมๆ กันทั้งหมด และพวกเขาก็ล้วนแต่ใจสั่นสะท้าน
พึงรู้ว่าคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตคือวิชาฝึกปรือที่สามารถทำให้ผู้ฝึกบรรลุเทพหรือมารได้ และวิชาเช่นนี้คือคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธิมารฟ้า
กระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า และพระสูตรมหายานยูไลก็เป็นวิชาฝึกปรืออันสามารถเปลี่ยนผู้ฝึกให้เป็นเทพหรือพุทธเจ้าได้ อันเป็นสาเหตุให้พวกเขากลายเป็นมหาแดนศักดิสิทธิ์
ต่อให้วิชาและทักษะเทวะของเทพและมารในยมโลกจะด้อยกว่าของพวกสามมหาแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ยังมิใช่เรื่องเล่นๆ อยู่ดี!
“ตั้งแต่เมื่อจ้าวลัทธิฉินได้คิดค้นตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ และเผยแพร่เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพยดาข้ามพ้น สะพานเทวะก็มิใช่อุปสรรคอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการบรรลุเป็นเทพอีกต่อไป” หลงอวี๋กล่าว
“การไม่มีวิชาฝึกปรือในเขตขั้นเทวะต่างหากที่เป็นอุปสรรคอันแท้จริง! พูดกันตามตรงแล้ว ในช่วงหลายวันนี้ มีผู้อาวุโสเฒ่าหลายต่อหลายคนที่มายังนครหยกน้อยเพื่อเสาะหาวิชาฝึกปรือ แต่พวกเรามีในนครหยกน้อยอย่างมากก็เป็นวิชาฝึกปรือในขั้นสะพานเทวะ ไม่มีวิชาฝึกปรือที่เหนือไปกว่านั้น”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนผงกหัวและกล่าว “สำนักเต๋าของเราก็ไม่มีวิชาระดับเทพเจ้าของวิชาฝึกปรือเซียนเถียนบรมปริศนา ถ้อยคำจากจ้าวลัทธิฉิน ทำให้ใจของข้าเคลื่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง”
ปัญหาใหญ่ที่สุดของยอดฝีมือในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็คือหลังจากที่กรุยทางอันไม่เคยผ่านไปได้มาก่อนสำเร็จแล้ว พวกเขาก็ไม่มีวิชาใดๆ ที่จะใช้ฝึกปรือต่อ และไม่รู้ว่าจะเดินทางต่อไปอย่างไร
หากว่าฉินมู่สามารถใช้ระหว่างเป็นตาย เพื่อเชื่อมโยงโลกทั้งสองเข้าด้วยกันได้จริง และช่วยให้พวกเขาสามารถได้รับวิชาฝึกปรือของขั้นวรยุทธอันเหนือล้ำขึ้นไป มันก็จะกลายเป็นคุณงามความกุศลอันยิ่งใหญ่ ไม่ว่าเขาจะเรียกเก็บเงินเท่าไร ก็จะคุ้มค่าควรจ่ายอย่างแน่นอน!
แม้แต่ซิงอ้านก็ยังค่อนข้างหวั่นไหว แต่ทว่า เมื่อคิดถึงการที่ยมโลกได้สะกดข่มเขามา เขาก็ได้แต่ละวางความคิด
ผู้เยาว์พวกนี้ หากว่าพวกได้รับวิชาฝึกปรือหลังจากเขตขั้นเทวะมา ก็คงยากที่จะบอกได้ว่าข้าจะเป็นฝ่ายแย่งชิงชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขา หรือว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายทำลายดวงวิญญาณของข้าไปแทน
สายตาเขาวูบวาบ ในชั่วจังหวะนั้น จิตคิดฆ่าฟันของเขาก็ตื่นขึ้นมาชั่ววินาทีหนึ่ง แต่ทว่า เขาก็ยังเป็นชนชั้นปรมาจารย์คนหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงสยบความคิดเอาไว้ในเวลาไม่นาน
ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อหายใจกระฟืดกระฟาด และดวงตาของนางสุกใสเป็นประกาย ความคิดเดียวกันผุดขึ้นในหัวของพวกนาง พวกเรากำลังจะรวยแล้ว! จะร่ำรวยเทียบเท่าจักรวรรดิ! เมื่อจัดตั้งระหว่างเป็นตายสำเร็จ แม้แต่จักรพรรดิก็คงห้ามใจตนเองไม่ให้ไปยมโลกไม่ได้หรอก!
ฮู่หลิงเอ๋อยกหูขนปุยทั้งสองของนางตั้งขึ้นมา และกระดิกมันไปหน้าไปหลังด้วยความตื่นเต้น “คุณชาย พวกเราควรคิดเงินกับจักพรรดิเท่าไร”
ซีอวิ๋นเซี่ยงเองก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น “เซียนเฒ่าแห่งนครหยกน้อย หลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม นักพรตเฒ่าแห่งสำนักเต๋า พวกนี้ล้วนแต่เป็นแกะอ้วนๆ รอให้พวกเราเชือด!”
หลวงจีนหมิงซิ่น นักพรตหลินเสวียน หวางมู่หรัน และหลิงอวี้จิวหน้าเขียวหน้าดำ ไม่ทันที่พวกเขาจะได้ทักท้วง ซีอวิ๋นเซี่ยงและและฮู่หลิงเอ๋อก็หันไปมองตากัน ก่อนจะตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว “คุณชาย หากว่าพวกเราเก็บค่าธรรมเนียมจากโลกแห่งคนเป็น แล้วโลกแห่งคนตายล่ะ พวกเราก็สามารถไปเก็บเงินที่นั่นได้นะ!”
“มืดบอดด้วยความโลภ! เจ้าไม่มีจิตใจเอื้อเฟื้อเลยแม้แต่นิด! ปล่อยรายได้บางส่วนให้คนอื่นเขาบ้าง!” ฉินมู่กล่าวพลางส่ายหัว “ข้าได้มอบการเก็บค่าธรรมเนียมที่นั่นให้แก่เหล่าอดีตกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ เงินรายได้เป็นของพวกเขา ดังนั้นพวกเจ้าลืมไปได้เลย”
ซีอวิ๋นเซี่ยงและฮู่หลิงเอ๋อค่อนข้างผิดหวัง หางของฮู่หลิงเอ๋อที่ตั้งขึ้นอยู่เมื่อครู่ก็ตกลู่ แต่ทว่าเมื่อนางคิดว่ากำลังจะร่ำรวยแล้ว หางของนางก็ชี้ตั้งขึ้นมาอีกครั้ง
ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาว และงานเลี้ยงก็เลิกรา
ฉินมู่รอให้ทุกๆ คนบนภูเขากลับไป ก่อนที่จะดึงฮู่หลิงเอ๋อวิ่งออกไปห่างจากไหสุรา จากนั้นเขาก็โยนก้อนหินใส่มัน
ก้อนหินนั้นหล่นลงไปในไหสุรา แต่ชั่วอึดใจหนึ่งมันก็ยังไม่มีปฏิกิริยา
ฮู่หลิงเอ๋อสงสัยขึ้นมา “คุณชาย หรือว่าท่านเข้าใจผิด”
ฉินมู่ส่ายหน้า และหันไปมองยังซิงอ้านที่อยู่ข้างๆ เขา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ไหนี่…”
“ถูกข้าสะกดข่มเอาไว้” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเจ้าหมายจะปลดปล่อยพลังงานในนั้น ข้าก็ทำตามที่เจ้าปรารถนาได้นะ เพียงแต่ว่ามีภูเขาหยกเช่นนี้สักกี่ลูกกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิของเจ้า”
“อย่าปล่อยมันออกมา!” ในจังหวะที่ฉินมู่อ้าปากพูดเช่นนั้น ซิงอ้านก็ปลดปล่อยพลังวัตรของเขาและมองไปที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มประหลาด “ยอดหมอเทวดาฉิน ข้าก็เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกันนะ”
ฉินมู่รู้สึกขนหัวทุกเส้นลุกเต็มเหยียดและรีบฉุดฮู่หลิงเอ๋อวิ่งหนีเตลิด “พวกเราอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้แล้ว จักรพรรดิจะต้องตัดหัวข้าแน่ๆ ไปเร็วเข้า เดี๋ยวนี้เลย!”
………………..
“นี่คือซิงอ้าน อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนราชครู” ฉินมู่แนะนำซิงอ้านแก่ทุกคนโดยสังเขป พวกเขากระวนกระวาย โดยเฉพาะพวกผู้หญิง ซีอวิ๋นเซี่ยง ฮู่หลิงเอ๋อ และหลิงอวี้จิวเคยเห็นซิงอ้านมาก่อน และรู้ว่าเขาทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวมากแค่ไหน
พวกนางเห็นเขาในการต่อสู้ที่คฤหาสน์ท่านยายซี สถานที่อันปัจจุบันนี้คือสถาบันนักบุญสวรรค์ ยอดฝีมือขั้นสุดเกือบครึ่งหนึ่งของโลกหล้าได้รับบาดเจ็บในน้ำมือของซิงอ้าน รวมทั้งจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง!
เขานับว่าได้ต่อยตียอดฝีมือทั้งหลายจนหมอบราบคาบ แม้ว่าจะมียอดฝีมือมากมายเข้ากลุ้มรุม แต่ก็ไม่มีใครจัดการซิงอ้านได้เลย ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องพึ่งพิงยาบำรุงขนานนั้นของฉินมู่ เพื่อที่จะบีบให้ซิงอ้านล่าถอยอย่างไร้ทางเลือกอื่น
และบัดนี้ บุคคลร้ายกาจโหดเหี้ยมก็มานั่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ดังนั้นจะไม่ให้พวกเขากระวนกระวายก็คงเป็นไปไม่ได้ แม้ว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะรวบรวมตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสันตินิรันดร์เอาไว้ และก็มีสองสามคนที่ซ่อมแซมสะพานเทวะแล้วในหมู่ขุนนางชั้นหนึ่ง ซิงอ้านก็ยังคงเป็นตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า!
หากว่าเขาต้องการสังหารพวกเขา ก็ไม่มีใครยับยั้งเขาได้ ไม่แม้แต่เทพเจ้าในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ในฐานะอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี ซิงอ้านนั้นเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่ง และก็เป็นเรื่องดีที่จะอยากจะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพันธมิตรสวรรค์ของเรา ทุกๆ คน ไม่ต้องกระวนกระวายไปหรอก”
แม้เขาจะกล่าวเช่นนั้น สีหน้าของฉินมู่ก็ซีดขาวราวกระดาษ เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเองนี่แหละที่ว้าวุ่นอย่างสุดๆ
เป้าหมายของซิงอ้านคือตัวเขาชัดๆ ในฐานะยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคก่อนหน้า ซิงอ้านมีหลักการของตนเองในการกระทำเรื่องราวต่างๆ และเขาไม่เคยลงมือกับชนรุ่นเยาว์ แม้ว่าเขาอยากจะทำ เขาก็จะรอให้รุ่นเยาว์เหล่านั้นเติบโตจนไปถึงเขตขั้นเทวะในด้านใดด้านหนึ่งเสียก่อน ถึงค่อยลงมือเพื่อช่วงชิงชิ้นส่วนอวัยวะนั้น
แต่ฉินมู่เป็นข้อยกเว้น ในเมื่อได้ล่วงเกินเขาไปหลายครั้งหลายหน
ครั้งแรก ก็เป็นการศึกที่สถาบันนักบุญสวรรค์ที่ซึ่งฉินมู่ใช้ยาบำรุง อันทำให้เขาหนีเปิดเปิงจากการไล่ล่าของคนแล่เนื้อ ซิงอ้านถูกบีบให้หนีเข้าไปในแดนโบราณวินาศและใช้เวลาที่นั่นอยู่นานเพื่อเยียวยาอาการบาดเจ็บ
ครั้งที่สอง ชิ้นส่วนสะสมของเขาหลายชิ้นฉินมู่แย่งชิงไป ซึ่งนั่นคือประเด็นที่กวนใจซิงอ้านที่สุดในศึกนั้น
หลังจากนั้น ก็เป็นการต่อสู้ที่วัดน้อยฟ้าคำราม อันฉินมู่ถึงกับขโมยหีบทั้งใบของเขาไป และปล้นชิงทรัพย์สินทั้งหมดของเขา!
หากว่านั่นยังไม่พอ ฉินมู่ยังได้นำเขาเข้าไปในยมโลก และทำให้เขาเสียหน้าโดยสิ้นเชิงภายใต้อิทธิพลแดนเป็นของคนตาย เขาเกือบจะเอาชีวิตกลับมาไม่รอด
ทั้งหมดนั่นย่อมนับไว้บนหัวของฉินมู่!
นี่ก็เหลือเชื่อเกินคาดแล้วที่เขาไม่เด็ดหัวฉินมู่โดยไม่พูดพล่ามทำเพลงตั้งแต่แรก
ใครก็คงจะต้องทึ่งในความสำเร็จของการขัดเกลากรอบคิดจิตใจของเขา ที่ทำให้ซิงอ้านสามารถรักษากิริยาอันสง่างามเอาไว้ได้แม้แต่หลังจากที่พบกับฉินมู่ การเดินทางไปยมโลกได้บดขยี้จิตเต๋าของเขา และกรอบคิดจิตใจของเขาก็เปราะบางเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้น มันก็ยังเหนือล้ำกว่าผู้คนมากมากที่อยู่ตรงนี้
ฉินมู่ หวางมู่หรัน ซวีเซิงฮวา และเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียน ช่วยกันอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง บรรยายว่าพวกเขาได้คำนวณปรากฏการณ์บนฟากฟ้าได้อย่างไร และคำนวณว่าความหนาของท้องฟ้ามีเท่าใด รอบข้างกองไฟตกลงไปในความเงียบ แม้แต่ซิงอ้านก็อึ้งไม่พูดจาพลางจ้องมองไปยังกองไฟ
กองไฟนั้นย่างราชาปลามังกรแดงจนน้ำมันปลาตกลงไปในเพลิงเสียงดังฉี่ๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปในอากาศ ทำให้พวกเขาน้ำลายสอมากขึ้น
“ขุนนางฉินที่รัก เจ้ามาที่นี่เพื่อลงโทษพวกเขาให้เข็ดหลาบจริงน่ะหรือ ทำไมเจ้าก็มาร่วมวงกินอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ เจ้ามีโทษที่เพ็ดทูลเท็จแก่ผู้ครองแผ่นดินของเจ้า เอาเจ้าไปตัด–”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเดินเข้ามาพร้อมกับไหสุรา เสียงของเขามีกลิ่นอายของความเมามาย แต่เมื่อเขาเห็นซิงอ้านที่นั่งอยู่ตรงข้ามฉินมู่ เขาก็สร่างเมาทันทีและหันกายเดินกลับไป!
ซิงอ้านมองไปที่เขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “จักรพรรดิ นั่งลงสนทนากันสักหน่อยจะดีกว่านะ ไม่เช่นนั้นชีวิตของอธิการบดีและองค์หญิงของเจ้าคงดับวูบ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถือไหสุราและปลุกปลอบใจตนเองเพื่อหันกายกลับมา เขาจึงนั่งลงข้างๆ กองไฟและเค้นรอยยิ้ม “พี่ซิงอ้าน เจ้านั้นได้จากไปอย่างเร่งร้อนในคราวก่อน และข้านอนติดเตียงอยู่เกือบยี่สิบวัน”
ซิงอ้านสีหน้านิ่งสงบ “ข้านอนซมอยู่สี่เดือน”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงส่งไหสุราไปให้เขา ประกายตาของเขาวูบวาบ “แต่ถึงอย่างไร หลายวันที่ไม่ได้พบพาน ข้าได้ข้ามพ้นสะพานเทวะและบรรลุเป็นเทพเจ้า พี่ซิงอ้านคงยังไปไม่ถึงขั้นนั้นหรอกใช่ไหม”
ซิงอ้านรับไหสุรามาและกล่าว “ข้าได้ซุ่มตัวอยู่ในเรือนบันทึกสวรรค์ ศึกษาตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของยอดหมอเทวดาฉินซ้ำแล้วซ้ำอีก การฝึกปรือบรรลุเป็นเทพนั้นมิใช่ปัญหาสำหรับข้า แต่ก็ยังต้องใช้เวลาสักปีหนึ่ง”
เขาเงยหัวขึ้นดื่มสุราขณะที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจ้องมองไปที่คอหอยของเขาเขม็ง เขาอยากจะโจมตี แต่เขาไม่พบโอกาสเลยสักนิด
ฉินมู่และคนอื่นๆ ตกตะลึง ซิงอ้านได้ซ่อนตัวอยู่ในเรือนบันทึกสวรรค์ในช่วงเวลาสองวันมานี้ แต่ไม่มีใครสังเกตพบ นี่ทำให้พวกเขาหลั่งเหงื่อเย็นเหยียบออกมาเต็มหน้าผาก
ซิงอ้านวางไหสุราลงและกล่าว “แต่ทว่า ฝ่าบาทจะฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะหรือไม่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า แม้ว่าเจ้าจะฝึกไปถึงขั้นเทวะ ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี และเป็นเพียงแต่เทพปลอม อย่างมากพลังวัตรของเจ้าก็คงเข้มข้นกว่าแต่ก่อน แต่เจ้าไม่มีความรุดหน้าในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ”
“หากว่าเรียกขุนนางบุ๋นและบู๊ของเจ้ามา เจ้านครเว่ย และจอมทัพแผนสวรรค์ผู้ซึ่งบรรลุเป็นเทพเจ้า เจ้าก็ยังพอมีโอกาสต่อกรกับข้าได้บ้าง แต่ถ้าทำเช่นนั้น มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและเมืองหลวงของเจ้าก็คงถึงจุดจบ”
เส้นเลือดผุดปุดๆ ขึ้นที่หน้าผากจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก่อนจะจางหายไป เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “แล้วพวกเจ้ากำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่”
“พันธมิตรสวรรค์” ซิงอ้านกล่าว “พวกเขาค้นพบว่าท้องฟ้าสูงหมื่นห้าพันลี้ และหนาหมื่นห้าพันวา ดังนั้นจึงก่อตั้งพันธมิตรสวรรค์ขึ้นมา พวกเขากะที่จะไขปริศนาและแทงทะลุท้องฟ้าจอมปลอมผืนนี้”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงดุด่าพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “เล่นคะนองไปทั่ว พวกเจ้าล้วนแต่เป็นเด็กซุกซนที่ชอบก่อเรื่อง ข้าก็รู้เรื่องนี้เมื่อหัวซานลิ่งได้รายงานแก่ข้า เมื่อข้าได้ยินคำว่าพันธมิตรสวรรค์ ข้าก็เกือบกระโดดโหยงด้วยความตกใจ คิดว่าพวกเจ้าจะล้มล้างบัลลังก์ข้า!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
เสียงของเขาส่งไปได้ไม่ไกล มันกลับก้องสะท้อนไปมาในพื้นที่รอบข้าง ๆ และทำให้ปราณและโลหิตของทุกๆ คนรอบกองไฟแล่นพล่าน
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตกตะลึงและรีบหยุด เขากะที่จะใช้เสียงหัวเราะของเขาเพื่อเรียกจอมทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ มา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าแม้หลังจากที่เขาฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะ พลังวัตรของซิงอ้านก็ยังคงเหนือล้ำกว่าเขามากขนาดนี้ และสามารถสร้างอาณาเขตพลังพิสดาร เสียงหัวเราะของเขาถูกกักเอาไว้ในพื้นที่แคบๆ ทำให้เขายากจะส่งเสียงใดออกไปข้างนอก
วรยุทธของเขาเข้มข้นมหาศาล ดังนั้นเสียงหัวเราะของเขาเพียงอย่างเดียวก็ได้เขย่าฉินมู่และหลิงอวี้จิวจนกระทั่งพวกเขากระอักเลือดออกมา เขาจึงต้องหยุด
ซิงอ้านปรายตามองไปที่หลิงอวี้จิวและกล่าว “จักรพรรดิอย่าเพิ่งลำพองใจเร็วไปนัก อย่างที่ว่าใต้ตะเกียงย่อมมีเงามืด องค์หญิงของเจ้าเป็นผู้ห้าวหาญและผูกมิตรไปทั่ว เป็นผู้นำท่ามกลางชนรุ่นเยาว์จากค่ายสำนักและตระกูลต่างๆ นางจะกลายเป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลอำนาจในแดนดิน”
“จ้าวลัทธิมารฟ้า เจ้าสำนักเต๋า เหนือฟ้า นครหยกน้อย ลัทธิพุทธ–ผู้นำในอนาคตเหล่านี้ล้วนแต่เป็นสหายกับนาง และเมื่อใดที่อิทธิพลอำนาจของนางเข้าที่ลงตัว ท่านก็จะมองเห็นแต่โลกข้างนอก แต่ไม่มองเห็นนางซึ่งอยู่ข้างกาย”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่ยี่หระ “ศิษย์พี่โปรดลืมไปได้เลยถ้าจะยุแยงให้พวกเราสองพ่อลูกร้าวฉาน ว่าแต่ศิษย์พี่ซิงอ้านสนใจในพันธมิตรสวรรค์หรือ”
ซิงอ้านส่ายหัว และกล่าว “ข้าเพียงแต่สนใจในท้องฟ้าที่หนาเพียงหนึ่งพันห้าร้อยวา มิได้สนใจพันธมิตรสวรรค์”
“ถ้าเช่นนั้น หรือว่าศิษย์พี่ซิงอ้านมาที่นี่เพื่อสังหารข้า” ฉินมู่ถาม
ซิงอ้านส่ายหัวอีกครา “เดิมทีแล้ว ข้าก็ต้องการจะปลิดชีวิตยอดหมอเทวดาฉินอยู่หรอก ก็ในเมื่อข้าได้เจ็บช้ำจากน้ำมือของเจ้ามาซ้ำแล้วซ้ำอีก หีบของข้าถูกขโมย ทรัพย์สินของข้าถูกปล้นชิง และแน่นอนว่าข้าก็เกลียดเจ้าจนเข้ากระดูกดำ แต่ทว่า เมื่อข้าได้อ่านหนังสือในเรือนบันทึกสวรรค์ เห็นตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของเจ้า ได้ยินเจ้าบรรยายความรู้ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเมื่อเจ้าถ่ายทอดเพลงกระบี่ของตนเอง และถึงกับคิดค้นเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมภายในเวลาไม่กี่วัน จู่ๆ ข้าก็หมดความตั้งใจที่จะฆ่าเจ้า ในทางกลับกัน ข้ารู้สึกนับถือเจ้าขึ้นมาบ้าง”
สายตาของเขาสว่างกระจ่างราวหิมะ และสีหน้าของเขาก็สงบนิ่ง เขาจ้องตรงไปยังฉินมู่ขณะที่เอ่ยปากชม “ทุกคนที่นี้ล้วนแต่เป็นวีรชนผู้กล้า และมรรคา วิชา ทักษะเทวะอันคิดค้นขึ้นมาในช่วงเวลาไม่กี่วันนี้กลับเหนือล้ำยิ่งกว่าความรุดหน้าของมรรคา วิชา และทักษะเทวะตลอดระยะเวลาหลายร้อยปีก่อน ข้าคิดถนอมพรสวรรค์ของเจ้า ดังนั้นข้าจะปล่อยให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ โลกในกาลข้างหน้าจะต้องน่าสนใจมากอย่างแน่นอน ข้าลุ้นรอดูพวกเจ้าเติบโต แล้วข้าค่อยไปไล่ล่าพวกเจ้าในตอนนั้น นั่นถึงจะค่อยมีความหมายหน่อย”
สีหน้าของซวีเซิงฮวา หวางมู่หรัน และคนอื่นๆ วูบไหว
หวางมู่หรันจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผู้อาวุโสซิงอ้านดูจะมองตัวเขาสูงส่งอยู่นะ และเห็นพวกเขาเป็นสิ่งของในครอบครองของเขา แต่ภายใต้วรยุทธขั้นเดียวกัน เจ้าก็มีแต่จะต่ำต้อยกว่าพวกเรา! ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีกึ๋นกล้าพอที่จะสู้กับพวกเราในวรยุทธขั้นเดียวกันหรือไม่?”
สายตาของซิงอ้านประหลาดพิกล แต่เขาก็ส่ายหัว “ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น พวกเจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าในวรยุทธขั้นเดียวกัน บางทีคงมีแต่ยอดหมอเทวดาฉิน และซวีเซิงฮวาแห่งเหนือฟ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ นอกจากทั้งสองคนแล้ว อีกผู้เดียวที่สามารถทัดเทียมข้าในขั้นวรยุทธเดียวกันในสันตินิรันดร์ ก็มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากราชครูสันตินิรันดร์”
สีหน้าของหวางมู่หรันกลายเป็นซีดเผือด
ราชครูสันตินิรันดร์เป็นคู่ต่อสู้ที่เขาหมายจะเอาชนะ และชำระแค้นให้แก่ความตายของอาจารย์ เมื่อเขาได้ยินซิงอ้านกล่าวว่า มีเพียงสามคนเท่านั้นที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขา และหวางมู่หรันมิได้อยู่ในสามคนนั้น ความสิ้นหวังอันช่วยไม่ได้ก็แผ่ขยายขึ้นมาในหัวใจ
ในทางกลับกัน ฉินมู่กลับโล่งใจ แม้ว่าซิงอ้านจะประหลาดพิกล และนิสัยใจคอของเขาไม่มีเหตุผล เขาก็ยังคงรักษาคำพูด อันควรแก่การนับถือยิ่ง เมื่อเขากล่าวว่าจะไม่ลงมือ ตราบใดที่ไม่มีใครไปตอแยเขา เขาก็จะไม่ลงมือ ชีวิตของฉินมู่ปลอดภัยแล้ว
“หรือว่าศิษย์พี่ซิงอ้านคิดจะขึ้นไปบนท้องฟ้าเพื่อดูสักหน่อย” ฉินมู่ถาม “ท่านปู่คนแล่เนื้อของข้าเคยขึ้นไปครั้งหนึ่ง แต่เขาไปที่นั่นอย่างรีบร้อน จึงได้แต่เหลือบแลมองกระบวนพยุหะต่างๆ และทวยเทพเท่านั้น ศิษย์พี่ ชิ้นส่วนอวัยวะที่ท่านสะสมมาไม่สามารถเอากลับคืนและหล่นหายไปในยมโลก ทั้งในหีบก็ไม่มีชิ้นส่วนใดอีกต่อไป แต่ทว่า บนท้องฟ้านั่นยังมีเทพเจ้าอีกมากมาย ดังนั้นท่านสามารถขึ้นไปเก็บสะสมแขนขาได้”
ซิงอ้านไม่หวั่นไหว “ข้าจะต้องไปบนท้องฟ้าไม่ช้าก็เร็ว แต่ข้ามิได้มาเพื่อสรวงสวรรค์แต่มาเพื่อบุคคลหนึ่ง ลัทธิมารฟ้า สำนักเต๋า ลัทธิพุทธ นครหยกน้อย เหนือฟ้า และกระทั่งสภาราชสำนักสันตินิรันดร์–พวกเจ้าทุกคนมีอิทธิพลกว้างขวางดังนั้นพวกเจ้าจะต้องช่วยข้าตามหาตัวคนผู้นั้นได้”
เขาไม่ปล่อยให้ผู้อื่นมีโอกาสปฏิเสธและกล่าวต่อ “บุคคลที่ข้าต้องการหานั้นเกิดในวันที่แปดเดือนจันทรคติที่สิบสองเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน เป็นปีแรกของรอบหกสิบปี เดือนสุริยคติที่สิบสองเวลาเที่ยงคืน ด้วยความสามารถของทุกคน โดยเฉพาะจักรพรรดิ มันคงไม่ยากที่จะสืบหาและเลือกเฟ้นกลุ่มคนที่ตรงตามเงื่อนไข ใช่ไหม? เมื่อทุกคนตกลงที่จะทำเรื่องนี้ให้ข้า ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครตาย”
เขายิ้มและฉีกเนื้อปลาออกมาอีกชิ้น เอามันไปแกว่งในไหสุราก่อนที่จะยกขึ้นมาใส่ปาก เขากล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น “มิเช่นนั้น ก็คงยากที่จะบอกว่าจะมีคนเหลือรอดสักกี่คนในเมืองหลวง ข้าไม่สังหารทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ แต่ชีวิตของคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิและเมืองหลวงก็จะขึ้นอยู่กับความจริงใจของทุกๆ คน”
เหงื่อเย็นเยียบไหลลงมาจากหน้าผากของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และเขากล่าว “ตกลง! ข้าจะช่วยเจ้าตามหาทุกๆ คนในจักรวรรดิที่ถือกำเนิดมาในช่วงเวลานั้น! หลังจากเรื่องนี้เสร็จสิ้น ข้าหวังใจว่าศิษย์พี่ซิงอ้านคงจะอยู่เงียบๆ ไม่ข้องเกี่ยวกับพวกเราสักพัก!”
ซิงอ้านมองไปรอบๆ และยิ้มน้อยๆ “นอกจากจักรพรรดิ คนอื่นๆ ไม่คิดจะพยายามอย่างดีที่สุดหรอกหรือ”
ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ลัทธินักบุญสวรรค์ก็จะช่วยศิษย์พี่ซิงอ้านตามหาตัวคนผู้นั้น”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนผงกหัวแล้วกล่าว “สำนักเต๋าของข้าจะรับผิดชอบอาณาเขตที่อยู่ภายใต้สำนักเต๋า”
ลิงยักษ์อสูรก็ไม่เบื้อใบ้ “เยี่ยม!”
ซวีเซิงฮวาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าว “ในเมื่อแผ่นดินตะวันตกถูกผนวกเข้าเป็นดินแดนสันตินิรันดร์ ข้าก็สามารถกลับไปที่เหนือฟ้าเพื่อดูๆ สักหน่อย แต่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ข้าไม่อาจรับประกัน”
ซิงอ้านปรบมือและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น เรื่องก็คงจะง่ายขึ้น จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ หากว่าเจ้าไม่มีอะไรทำ ทำไมเจ้าไม่คอยอยู่ข้างๆ ข้าและช่วยบำรุงร่างกายข้าเสียล่ะ”
ฉินมู่เหงื่อตก และเขารีบกล่าว “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ! ข้าต้องไปทำธุรกิจใหญ่!”
ซิงอ้านไม่ใส่ใจและยังคงแย้มยิ้ม “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ตามติดเจ้าก็ได้เหมือนกัน ฝ่าบาท เจ้ากลับไปได้แล้วตอนนี้”
……………………
“ตำราพิชัยยุทธก็จะต้องเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง!” เจ้านครเว่ยกล่าวอย่างสะทกสะท้อน
จอมทัพแผนสวรรค์และคนอื่นๆ ผงกหัวหงึกๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา
ฉินมู่และบัณฑิตนับหมื่น เช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาเทวะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้ละเล่นกันและเปิดการเรียกรวมทัพจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขากำลังสนุกสนานและพบว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ แต่ความตื่นตระหนกที่มายังเหล่าแม่ทัพทั้งหลายอันนำกองกำลังออกศึกนั้นใหญ่หลวงอย่างยิ่ง
ตั้งแต่เมื่อสมัยโบราณ สถานการณ์ในสนามรบเปลี่ยนแปลงไปในชั่ววินาที การติดต่อสื่อสารระหว่างกองทัพ การส่งกำลังเสริม การส่งเสบียง และคำบัญชาของจักรพรรดิ นั้นล้วนแต่เป็นปัญหาใหญ่ ในอดีต ราชครูสันตินิรันดร์ได้หลอมสร้างเรือเหาะและยวดยาน ทั้งยังสร้างถนนเพื่อให้การสัญจรเป็นไปอย่างรวดเร็ว
นอกจากการทำให้ผู้คนสามารถไปมาหาสู่กันได้ง่าย ยังทำให้ข่าวสารส่งออกไปได้รวดเร็วยิ่งขึ้น และเพราะว่าใช้ทั้งทางบกและทางอากาศ ก็สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่
กระนั้นอาณาเขตของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็ยังคงขยายออกไป ระยะเวลาในการส่งข่าวสารจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งก็ยิ่งยาวนานมากขึ้น ระยะเวลาที่กองทัพจะเดินทางไปยังชายแดนก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
แม้ว่าเตาหลอมยาที่ฉินมู่พัฒนายกระดับจะสามารถเพิ่มความเร็ว แต่จำนวนหินยาที่เผาผลาญไปในการเดินทางเที่ยวเดียวก็มหาศาลนัก
หากว่าเรือเหาะออกบินจากเมืองหลวงและมุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์แท้ในแผ่นดินตะวันตก มันก็จะใช้เวลาหลายวัน และหินยาอันถูกเผาผลาญไปก็จะพอๆ กับที่ใช้การศึกขนาดย่อม
หากว่าจะออกศึกใหญ่และเคลื่อนกำลังพลไป พวกเขาก็จะต้องใช้สัตว์พิสดารเป็นพาหนะที่ช่วยให้พลทหารราบเดินทางไปได้ การใช้เรือเหาะเพื่อขนย้ายทหารราบนั้นสิ้นเปลืองเกินไป
แต่ด้วยการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม พวกเขาก็จะสามารถส่งข่าวสาร และควบคุมการศึกอันอยู่ห่างไปถึงสองร้อยลี้
วิธีการนี้หากอยู่ในมือของแม่ทัพ มันก็จะเป็นสิ่งที่ชี้ชะตาแพ้ชนะในสงคราม!
“ฝ่าบาท อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม เขามีจิตคิดกบฏ!” ขุนนางเฒ่าผู้หนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “มหาสมาคม มีแต่มหาสมาคมราชสำนักมาตลอด และมหาสมาคมที่ว่านี้ก็คือหมายถึงการเรียกรวมขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เข้าไปในสภาราชสำนัก อธิการบดีฉินใช้คำว่ามหาสมาคม แสดงถึงหัวใจทะเยอทะยานของเขา! ฝ่าบาทโปรดรับสั่งให้ประหารเขาด้วยเถิด!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพูดไม่ออก และแม่ทัพทั้งหลายก็ตะคอกด่าขุนนางเฒ่าผู้นี้อย่างเดือดดาล ขุนนางเฒ่าจึงคุกเข่าลงโขกหัวลงกับพื้นด้วยเสียงอันดังเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดี
ผ่านไปครู่หนึ่ง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็โบกมือและกล่าวอย่างสงบนิ่ง “มหาสมาคมมิได้มีใช้แค่ในสภาราชสำนัก ผู้อาวุโสอวี้เก๋อความรู้อาจจะพร่องไปบ้าง การเข้าประชุมสภาราชสำนักก็อาจจะหมายถึงมหาสมาคมสภา แต่มันก็สามารถใช้ในทางอื่นได้อีก”
“เมื่อในอดีตนั้น ดาบสวรรค์ได้เขียนโคลงกลอนอันเริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า มหาสมาคมกับสหายปลายแม่น้ำเหวย ดาบสวรรค์เป็นวีรชนด้านอักษรและกวี และความรู้ของเขาย่อมเหนือล้ำกว่าเจ้าเป็นร้อยเท่า งานเขียนของเขายังคงเป็นที่นับหน้าถือตาอยู่จนทุกวันนี้ เขามิใช่จักรพรรดิ แต่ข้าก็ไม่เคยเห็นใครบอกว่าเขามีจิตคิดกบฏเพียงเพราะใช้คำว่ามหาสมาคม”
จักรพรรดิประคองผู้อาวุโสอวี้เก๋อขึ้นและบอกเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ผู้อาวุโสอวี้เก๋อ เจ้าชรามากแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่ประหารเจ้า ข้าอนุญาตให้เจ้ากลับไปบ้านเกิดได้”
ขุนนางคนอื่นๆ ฉงนฉงาย วันนี้ฝ่าบาทดูจะอารมณ์ดี เขาถึงกับไม่ตัดศีรษะอวี้เก๋อ และผู้อาวุโสอวี้เก๋อก็เพียงสูญเสียตำแหน่ง แต่ไม่สูญเสียศีรษะ โชคดีเหลือเกิน!
“ทุกท่าน หยุดพูดกันก่อน เงียบลงเดี๋ยวนี้!” เสียงของฉินมู่ดังกึกก้องมา “ให้ข้ายืนยันดูก่อนว่าพวกเราสามารถสื่อสารผ่านจิตวิญญาณดั้งเดิมได้หรือไม่! พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม”
ในโถงบรมศึกษา ผู้คนมากมายกล่าวขึ้นมา “ได้ยิน! พวกเราได้ยินท่านพูดชัดเจน!”
“ขับเคลื่อนวิชาของเจ้า และลองดูว่ารู้สึกไม่สบายในจิตวิญญาณดั้งเดิมตรงไหนหรือไม่” เขาออกคำสั่งในเวลานั้น
จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมาย ทำสิ่งต่างๆ อย่างอึกทึกวุ่นวายในโถงบรมศึกษา ทันใดนั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนหนึ่งหายวับดังปุ๊บ แต่ก็ปรากฏขึ้นมาใหม่ในไม่กี่อึดใจ อันน่าสยองไม่เบา
และยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมบางพวกที่เลือนหายไปเป็นระยะๆ ขณะที่บางกลุ่มก็ลอยไปมารอบๆ เสียงหัวเราะดังอึงอลในโถงบรมศึกษาอันโกลาหลไปหมด ทุกคนเริ่มปวดหัวจากเสียงระเบ็งเซ็งแซ่
ฉินมู่บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นและปรบมือ
“เอาล่ะ แยกย้ายได้!”
ทุกคนดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนกลับไป และหายวับไปจากโถงบรมศึกษา มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่งก็สิ้นสุดไปในอาการเช่นนั้น
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันกลับไปมองที่ราชอาลักษณ์ข้างหลังเขา “เจ้าได้จดลงไปหรือยัง”
ราชอาลักษณ์ที่ถือม้วนกระดาษหนาลังเล “ฝ่าบาท มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้เป็นเพียงการเล่นสนุกของใต้เท้าฉินและบัณฑิตกลุ่มหนึ่งเท่านั้น รวมแล้วพวกเขาเพียงกล่าวคำพูดไม่กี่ประโยค และส่วนใหญ่ก็เป็นข้อความที่ไม่มีสาระ ข้าน้อยจะต้องจดมันลงไปด้วยหรือ”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจและตบปุหนักๆ ลงไปยังม้วนกระดาษที่เขาใช้ในการบันทึกเหตุการณ์สำคัญทั้งหมดในสภาราชสำนัก เขาจึงกล่าวอย่างจริงใจและหนักแน่น “หากว่าอีกพันปีให้หลังชนรุ่นใหม่ของสันตินิรันดร์ค้นหาทั่วบันทึกประวัติศาสตร์ทั้งหมดและไม่พบบันทึกถึงมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง พวกเขาจะไปถองกระดูกสันหลังของเจ้าและด่าทอเจ้า! ไม่เพียงแต่เจ้าต้องบันทึกมัน เจ้ายังต้องวาดภาพมันเอาไว้ด้วย มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้!”
เหงื่อเย็นเหยียบผุดออกมาจากหน้าผากของอาลักษณ์ เขารีบบันทึกเหตุการณ์มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง และประโยคไม่กี่ประโยคที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ได้กล่าวไว้ระหว่างมหาสมาคม เขารู้สึกรันทดใจเป็นอย่างยิ่งขณะที่ทำเช่นนั้น ถ้อยคำพวกนี้มีแต่ไม่มีเนื้อหาสาระ ทำไมชนรุ่นหลังถึงต้องมาด่าทอข้าด้วยกับเรื่องเล็กๆ แค่นี้ แต่ทว่า หากว่าข้าไม่บันทึกพวกมัน ฝ่าบาทก็จะเอาตัวข้าไปตัดหัว!…
สองชั่วโมงผ่านไป และฉินมู่ก็กลับมาจากสถานที่อันห่างไกลหนึ่งพันลี้ บัณฑิตคนอื่นๆ ก็กลับมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเช่นกัน พวกเขาเริ่มคุยกันจอแจทันทีที่มาถึง ทำให้สถานที่นี้คึกคักยิ่งกว่าเดิม ฉินมู่เรียกรวมผู้เชียวชาญด้านพีชคณิตและคิดคำนวณจุดที่ขาดพร่องไปในวิชา อันเห็นได้จากอาการประหลาดๆ ที่เขาได้บันทึกไว้ระหว่างมหาสมาคม
ไม่นานนัก วิชานี้ก็เข้าใกล้ขั้นสมบูรณ์แบบ และไม่มีสัญญาณของการที่จิตวิญญาณดั้งเดิมกระเด้งกระดอนไปทั่วทุกทิศทาง
ฉินมู่ปีนขึ้นไปบนโถงบรมศึกษาเพื่อแก้ไขรอยประทับอักษรรูนที่ผิดพลาด และหลังจากง่วนอยู่ครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็เดินทางกระจายออกไปอีกครั้งเพื่อทดสอบอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มันไม่มีอาการประหลาดเกิดขึ้นกับจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งหลาย
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงไม่แวบออกไปเลยสักนิด เฝ้ามองกระบวนการทุกอย่างอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งราตรีมาถึง เมื่อจักรพรรดิไม่ขยับเขยื้อน ขุนนางน้อยใหญ่ก็ย่อมไม่กล้าผละไปเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอยู่ที่นั่นทั้งหมด
หลังจากที่ฉินมู่เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ให้บรรณาลับแห่งเรือนบันทึกสวรรค์มาบันทึกวิชาและรอยประทับอักษรรูนเหล่านี้ ถึงตอนนั้นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงก้าวออกมาและกล่าว “อธิการบดีฉินได้กระทำความดีความชอบครั้งใหญ่ให้ประเทศชาติ ดังนั้นข้าควรจะให้รางวัลเจ้าอย่างไรดี”
ฉินมู่ยืดหลังขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากฝ่าบาทอยากจะให้รางวัลข้า เช่นนั้นก็ให้รางวัลแก่ทุกๆ คนในมหาวิทาลัยจักรวรรดิด้วยมื้อเย็นเถิด วิชานี้ข้าไม่ได้เป็นผู้คิดค้น แต่เกิดขึ้นมาจากการรวบรวมปัญญาญาณของทุกคนที่นี่”
“ตกลง!” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงบัญชา “เชิญต้นห้องทั้งหลายจากครัวหลวง และให้พวกเขานำวัตถุดิบมาด้วยเช่นกัน ข้าต้องการที่จะให้รางวัลแก่บัณฑิตทุกคนที่นี่ รวมทั้งนักพรตและหลวงจีนทั้งหมดในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแห่งนี้ ด้วยอาหารและเครื่องดื่ม! หากว่าขาดกำลังคน ขุนนางทั้งหลาย จงไปเชิญพ่อครัวแม่ครัวในครอบครัวของพวกเจ้ามาด้วยเช่นกัน! ข้าก็จะทานมื้อเย็นที่นี่ รับประทานอาหารร่วมกับพวกเขาด้วย!”
โคมไฟในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิส่องแสงจ้าจนสว่างราวกลางวัน และคนครัวมือดีทั้งหลายในเมืองหลวงก็ถูกเชิญมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแทบหมดเมืองเพื่อประกอบอาหารจานที่พวกเขาเก่งกาจที่สุด วิชาครัวทุกชนิดประเภทถูกช่วงใช้ และสร้างภาพอันละลานตาราวกับว่าทักษะเทวะมากมายถูกปลดปล่อยออกไปประชันกัน
กลิ่นหอมของอาหารปลุกความตะกละในตัวทุกคน และจักรพรรดิก็สั่งให้คนไปนำเอาสุราดีมาจากวังหลวง
“วิชาของเจ้านี้มีชื่อหรือไม่” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหันไปถามในงานเลี้ยง
ฉินมู่ส่ายหัว และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็แย้มยิ้ม “เต๋ากำเนิดหนึ่ง หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม และสามกำเนิดสรรพสิ่ง ไฉนพวกเราถึงไม่เรียกว่าวิชานี้ว่า เคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม เสียล่ะ ขุนนางฉินที่รักเจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
ไม่ทันที่ฉินมู่จะอ้าปากตอบ กู่ลี่หนวนก็นำคณะขุนนางจำนวนหนึ่งเข้ามาและกล่าวยกย่องความคิดนี้ “ฝ่าบาทช่างเปี่ยมพรสวรรค์ และขุนนางผู้ต่ำต้อยนี้ได้แต่ต้องศิโรราบด้วยความชื่นชม!”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และปักใจมั่นแน่กับชื่อวิชานี้ จากนั้นเขาก็ถาม “ขุนนางฉินที่รัก พวกอักษรรูนที่เจ้าประทับไว้ในโถงบรมศึกษาคืออะไรหรือ”
“ฝ่าบาท อักษรรูนเหล่านั้นคือตัวเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิม ความเร็วของพวกมันเร็วจนเกินไป สามารถเดินทางหมื่นลี้ได้ในพริบตา ด้วยอักษรรูนเหล่านี้ พวกเราก็จะสามารถรวบรวมจิตวิญญาณดั้งเดิมมาไว้ที่สถานที่อันแน่นอนแห่งหนึ่งได้”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงขมวดคิ้ว “อักษรรูนที่สามารถดึงดูดจิตวิญญาณดั้งเดิมได้พวกนี้จะไม่ถูกใช้โดยศัตรูหรอกหรือ หากว่าพวกเขาใช้มันเพื่อเหนี่ยวนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของแม่ทัพนายกองของข้า เพื่อจับพวกเขาไปในการเหวี่ยงแหเพียงครั้งเดียว สันตินิรันดร์ของข้าจะไม่ถูกทำลายล้างอย่างง่ายดายหรอกหรือ”
ขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหลายรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจและต่างก็ผงกหัวด้วยกัน
ซวีเซิงฮวาก้าวเข้ามาและกล่าว “ฝ่าบาท ท่านอาจจะยังไม่ทราบ แต่อักษรรูนที่พวกเราออกแบบนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงสลับไปมาได้ มันมีวิธีการจัดเรียงอักษรรูนที่แตกต่างกันมากมายเพื่อให้มันยังคงสามารถเข้ากันได้กับเคล็ดลับสามมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม มันมีรูปแบบการประกอบจัดเรียงมากกว่าพันล้านรูปแบบ ดังนั้นการจะไขรหัสชุดอักษรรูนที่ซับซ้อนพวกนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน
นักพรตผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาและเหลือบมองฉินมู่ จากนั้นปลุกปลอบตนเองเพื่อจะกล่าว “ฝ่าบาท มีจิ้งจอกตัวหนึ่งกับหมูตัวใหญ่และหีบยักษ์ เข้าไปใกล้ทะเลสาบ พวกเขาจับราชาปลามังกรแดงสองตัวและกำลังย่างมันอยู่ น่าเดือดแค้นอะไรอย่างนี้!”
“เรื่องแบบนี้ฟังคุ้นหูข้าเสียจริง” จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางฉินที่รัก ของเจ้าหรือ”
ฉินมู่สีหน้าแดงขึ้นมา และเขารีบกล่าว “ฝ่าบาท โปรดให้ข้ารีบรุดไปเพื่อจะได้ลงโทษพวกเขาอย่างหนักหน่วง! เล่นเลอะเทอะอะไรกันแบบนี้!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ลุกขึ้นและออกไป
เมื่อเขามาที่ทะเลสาบ ฮู่หลิงเอ๋อก็กำลังดุด่าหีบ “เจ้าดูสิ คลื่นที่เจ้าทำมันใหญ่เกินไปจนทำให้นักพรตเฝ้าทะเลสาบรู้ตัว! เจ้าไปรอกินกระดูกปลาทีหลังคนอื่นเลย! มังกรอ้วน ลดไฟลงหน่อย อย่าทำมันไหม้…”
ฉินมู่เดินเข้าไปและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหลือให้ข้าบ้างสักหน่อย”
ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องยินดี ก่อนจะรีบหรี่เสียงลงอย่างรวดเร็ว “คุณชาย ข้ารู้ว่าท่านชอบกินปลาชนิดนี้ ข้าก็เลยให้มังกรอ้วนไปจับมาเพิ่มอีกสองตัว แต่ทว่า หีบนี่ช่างทำตัวน่าผิดหวัง ระหว่างที่มันกำลังจะซ่อนปลาเข้าไปในท้องของมัน มันก็ถูกนักพรตเฝ้าทะเลสาบจับได้”
ฉินมู่ถูมือไปมาและกล่าวกลั้วหัวเราะ “ข้าอยากจะกินปลาพวกนี้อีกมาตั้งนานแล้ว แต่อายเกินกว่าที่จะลักกิน”
เมื่อปลาสุก ฮู่หลิงเอ๋อก็ควบคุมมีดลมของนางเพื่อเฉือนเนื้อ นางให้กิเลนมังกรส่วนหนึ่ง ฉินมู่อีกส่วน และส่วนสุดท้ายสำหรับตัวเอง หีบใหญ่หมอบอยู่ข้างๆ และรอให้พวกเขากินเสร็จเพื่อจะได้เก็บสะสมก้างปลา
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังมา “หอมอะไรอย่างนี้! นี่มันหอมยิ่งกว่าอาหารจากครัวหลวงเสียอีก! จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างเป็นผู้ช่ำชองในเต๋าแห่งการกินเสียจริง เหลือให้ข้าด้วย!”
ฉินมู่หันไปมองและเห็นหลวงจีนหนุ่มกับลิงยักษ์อสูร หลวงจีนหนุ่มผู้นั้นมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากหมิงซิ่นที่กำลังน้ำลายสอจากกลิ่นอาหาร
ฮู่หลิงเอ๋อให้เนื้อปลาเขาไปก้อนหนึ่ง และฉินมู่ก็ถามด้วยความฉงนฉงายเมื่อเห็นหมิงซิ่นกินเข้าไปอย่างตะกราม “หลวงจีนก็กินปลาด้วยหรือ”
หมิงซิ่งไม่เสียเวลาเงยหน้า “หลังแยกจากจ้าวลัทธิฉินไปในครั้งนั้น ในสภาวะภัยพิบัติรุมเร้า แม้แต่เปลือกไม้ข้าก็ยังแทะกิน อย่าว่าแต่ปลา ข้าถึงกับจับหนอนมากิน เมื่อข้าอดอยากหนักๆ ข้าก็เฉือนเนื้อตัวเองมากินประทังชีวิต…”
เขาเลิกจีวรขึ้นเผยให้เห็นแผลเป็นบนหน้าอกของเขา เขาจึงยิ้ม “จากนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ตรึกตรองเข้าใจพระสูตรของตนเอง สรรพชีวิตมิได้หมายถึงเพียงแค่มนุษย์และปีศาจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพืชและหนอน แต่ทว่าสรรพชีวิตนั้นเป็นเพียงการเวียนว่ายตายเกิด ข้ากินมัน และหลังจากที่ข้าตาย มันก็กินข้า–ก็เพียงเท่านั้น เมื่อบุคคลต้องดิ้นรนอยู่ในทะเลทุกข์ สิ่งที่คนผู้นั้นแสวงหามิใช่พุทธเจ้าแต่เป็นอีกฟากฝั่งหนึ่งในหัวใจตน และข้าได้มองเห็นฟากฝั่งนั้นแล้ว”
ฉินมู่ผงกหัวต่อคำพูดของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยอดเยี่ยม ตอนนี้กรอบคิดจิตใจของเจ้ากระจ่างแจ้งอย่างอัศจรรย์”
ฮู่หลิงเอ๋อเฉือนเนื้อปลาอีกก้อนให้ลิงยักษ์อสูรผู้ซึ่งส่ายหัว “กินเจ แข็งแกร่ง!”
“เขาไม่ต้องการ แต่ข้าจะรับเอาไว้เอง!” มือหนึ่งยื่นออกมาจากข้างๆ และฉวยเนื้อปลาไป
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนนั่งลงข้างๆ ลิงยักษ์อสูรและยิ้มกล่าว “ปลานี้หอมเสียยิ่งกว่าสำรับของครัวหลวง!”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าเป็นนักพรตในลัทธิเต๋า แต่ก็ยังกินเนื้อด้วยหรือ”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนกินปลาเข้าไปคำใหญ่พลางกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “ขนาดท้องฟ้ายังปลอมเลย ประสาอะไรกับนักพรต”
“เด็กเลี้ยงวัว เจ้ามากินปลาของพ่อข้าอีกแล้วนะ!”
ลมหอมหอบหนึ่งลอยมาแตะจมูกเมื่อหลิงอวี้จิวเบียดผ่านฮู่หลิงเอ๋อผู้ซึ่งอยู่ข้างๆ ฉินมู่และนั่งลงไป นางปัดสองมือไปมา ก่อนจะฉีกเนื้อปลาชิ้นหนึ่งและกัดเคี้ยวมันโดยไม่ไยดีว่ามันจะลวกปาก นางสูดลมหายใจเร่งร้อนเข้าไปหลายเฮือกและเอ่ยชม “อร่อยมาก อร่อยจริงๆ!”
“องค์หญิงจิว รอข้าด้วย!”
ซีอวิ๋นเซี่ยงก็วิ่งเข้ามาและนั่งลงข้างกองไฟ นางอยากจะผลักฮู่หลิงเอ๋อไปข้างๆ เช่นกัน แต่จิ้งจอกน้อยแปลงร่างเป็นเด็กหญิงหกเจ็ดขวบในผลุบเดียว และกอดอกมอง นางนั่งจุ้มปุ๊กระหว่างหญิงสาวทั้งสองและไม่ยอมลุกขึ้นหลีกทางไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซีอวิ๋นเซี่ยงที่ละอายเกินกว่าจะผลักนางออกไป ก็ได้แต่ปล่อยให้นางนั่งอยู่ตรงนั้น
ทุกๆ คนพูดคุยเฮฮากันพลางแบ่งปันราชาปลามังกรแดง ไม่นานนัก หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ หลงอวี๋ และซวีเซิงฮวาก็หาที่นี่พบ หวางมู่หรันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชาปลามังกรแดงตัวใหญ่ขนาดนี้ พวกเจ้ากินกันไม่หมดหรอก ให้พวกข้าช่วยกินจะดีกว่า ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า!”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่เหล่าผู้นำของพันธมิตรสวรรค์จะมาพบเจอกัน ดังนั้นวันนี้พวกเราอย่าเพิ่งกลับบ้านจนกว่าจะเมากันเถอะ!”
“พันธมิตรสวรรค์คืออะไรหรือ” หลิงอวี้จิวฉงนและรีบถาม “หรือว่ามันคือพันธมิตรเพื่อที่จะล้มล้างบัลลังก์ท่านพ่อของข้า หากว่าใช่ ข้าเข้าด้วย!”
ซวีเซิงฮวา หลินเสวียน และหวางมู่หรันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายดีหรือไม่
ฉินมู่จึงกล่าว “ที่นี่ไม่มีคนนอก ดังนั้นพูดไปตามจริงเถอะ แต่ทว่า เมื่อพวกเราพูดเรื่องนี้แล้ว พวกเจ้าทั้งหมดก็จะต้องกลายเป็นสมาชิกพันธมิตรสวรรค์ของข้า มีใครที่ไม่ต้องการจะฟังหรือไม่”
กิเลนมังกรรีบลุกขึ้นและงับหีบลากมันออกไปก่อนที่มันจะทันได้เก็บก้างปลา
“ยิ่งรู้น้อยเท่าไร ก็ยิ่งอายุยืนมากเท่านั้น!” มังกรอ้วนสอนหีบ
ทันใดนั้น กองไฟก็กะพริบวูบ และตรงข้ามของฉินมู่ ปรากฏเด็กหนุ่มคนหนึ่งยื่นมือออกมาแกะเนื้อปลาไปหนึ่งก้อน จากนั้นเขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ข้าก็อยากจะรู้เกี่ยวกับพันธมิตรสวรรค์เช่นกัน ไม่ทราบว่ายอดหมอเทวดาฉินจะชี้ทางกระจ่างให้แก่ข้าได้หรือไม่”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเยียบ และเขารีบหันไปมองที่ยอดเขาแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ
“ทั้งสภาราชสำนักไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า จักรพรรดิของเจ้ามิได้อ่อนแอ และข้าคะเนว่าเขาคงบ่มเพาะสะพานเทวะของตนแล้ว” เด็กหนุ่มกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “แต่ทว่าก่อนที่พวกเขาจะมาถึง พวกเจ้าก็คงกลายเป็นศพกันหมด ยอดหมอเทวดาฉิน อย่าวู่วาม มาสิ บอกเล่าข้าเรื่องพันธมิตรสวรรค์เสียหน่อย”
………………………..
[1] ดวงดาว หมายถึงคำว่า ซิง ในซิงอ้าน
ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิดเรื่องนี้ดู หลังจากที่เขาถูกฉินมู่บังคับให้มาเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ เขาก็ดูเหมือนไม่ได้ทำอะไรมากมายในบทบาทหน้าที่ของตน มีแต่ฉินมู่และลัทธินักบุญสวรรค์ที่คอยช่วยเขาตลอดโดยไม่มีกั๊ก
อุดมการณ์ของลัทธินักบุญสวรรค์และของเขาไม่ขัดแย้งกัน ในเมื่อเขาได้รับความอนุเคราะห์จากลัทธิ เขาก็ย่อมต้องควรตอบแทนไป
“ตกลง ข้าจะมุ่งหน้าไปยังแผ่นดินตะวันตกพร้อมกับผู้อาวุโส เทวราช และหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งเพื่อชักนำผู้มีพรสวรรค์เข้ามาในลัทธิ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่งเขาออกไปจากเคหาสน์ แต่แล้วก็ยั้งเขาเอาไว้ “จ้าวลัทธิฉิน ในฐานะจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์เจ้ายังใช้เวลากับลัทธิไม่มากเท่าใดนัก เจ้านั้นเอาแต่เที่ยวเล่นอยู่ข้างนอกและขนาดเวลาฝึกปรือวิทยายุทธก็ยังไม่มี”
“อย่าลืมที่จะไม่ถ่วงรั้งความก้าวหน้าของตนเองในการฝึกปรือ ในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้เปลี่ยนแปลงไป และเห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่นานมานี้เมื่อข้ากลับมายังสันตินิรันดร์ ข้าก็ยังได้ร่ำเรียนมรรคาวิชา และทักษะเทวะใหม่ ๆ ที่ปรากฏขึ้นที่นี่ และหากว่าเจ้าไม่เรียนรู้ เจ้าก็จะล้าหลัง จ้าวลัทธิ โปรดใส่ใจเรื่องนี้ด้วย”
ฉินมู่สะท้อนใจเล็กน้อย และเขาถาม “เจ้าบรรลุเป็นเทพไปแล้ว แต่ก็ยังต้องเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ อีกหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “ท่ามกลางยอดฝีมือเยาว์ในรุ่นเดียวกับจ้าวลัทธิ ไม่ขาดแคลนผู้คนที่มีความคิดใหม่ๆ สำหรับเพลงกระบี่นั้น ข้าได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามท่วงท่าที่ข้าคิดค้นขึ้นมา และยังได้ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดอันจ้าวลัทธิคิดค้นไปอีกด้วย”
“เพียงแค่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานใหม่ทั้งสี่นี้ก็เพียงพอที่จะสร้างกระบวนท่ากระบี่จำนวนนับไม่ถ้วน หลังจากวิธีการบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศถูกเผยแพร่ออกไป ก็ยิ่งมีความเปลี่ยนแปลงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะเพิ่มขึ้นอีก ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงแต่ระบบวิชากระบี่ ขณะที่การเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือนั้นใหญ่โตกว่ามาก”
ฉินมู่เห็นด้วยกับเขาอย่างสุดใจ การคิดค้นเพลงกระบี่นั้นยากเย็น แต่มันยิ่งยากเข็ญเมื่อจะเปลี่ยนแปลงฐานราก เมื่อฐานรากเปลี่ยนแปลง ผู้คนจำนวนไร้ประมาณก็จะมีโอกาสในการสรรค์สร้างสิ่งใหม่ๆ และนี่คือโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา
ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมอันเปลี่ยนแปลงฐานรากของการฝึกปรือ เมื่อมันเปลี่ยนแปลง ก็จะปรากฏความเป็นไปได้ใหม่ๆ จำนวนนับไม่ถ้วน และผู้คนมากมายก็ขับเคลื่อนความรู้ของตนเพื่อคิดค้นบนฐานรากใหม่นี้ ทำให้มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ก้าวกระโดดไปอย่างมหาศาล เช่นนั้น ปรมาจารย์มากมายก็จะถือกำเนิดขึ้น!
ถึงอย่างไร ฉินมู่ก็ยังต้องไปเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ เหล่านี้
“ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและสี่สถาบันใหญ่ อยู่ในแต่ละสถาบันเป็นระยะหนึ่งและแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับผู้คนรุ่นเยาว์ที่นั่น” ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “มรรคา วิชา และทักษะเทวะรุดหน้าไปอย่างเร็วรี่ทุกเมื่อเชื่อวัน และความคิดบรรเจิดของผู้เยาว์ก็ไร้สิ้นสุด”
“ในเพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือน ข้าก็ได้แก่ชราและล้าหลังตกสมัย ต้องไปเรียนรับความรู้จากผู้เยาว์ ในอนาคตก็จะยิ่งมีชนรุ่นเยาว์ที่สามารถฝึกปรือจนถึงเขตขั้นเทวะได้มากทุกที!”
“สองวันก่อนที่เจ้าจะมาถึงเมืองหลวง เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนได้นำเอาศิษย์สำนักหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ อันข้าก็ได้เปิดหูเปิดตาเช่นกัน เมื่อสนทนากับเขา ข้าได้ความคิดและความรู้สึกอย่างมากมาย เมื่อวานนี้ ยูไลหม่าก็ได้นำหลวงจีนและปีศาจจำนวนมากมายมาที่นี่เพื่อโต้วาทีกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ทว่าข้าไม่มีเวลาไปชมดู”
“ผู้เฒ่าหม่าก็อยู่ในเมืองหลวงหรือ” ฉินมู่ปีติยินดี เขาจึงถาม “ราชครู ในสันตินิรันดร์มีเทพเจ้ากี่ตนแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “ทำไมเจ้าถึงถามเรื่องนี้”
ฉินมู่บอกเล่าเขาถึงสิ่งที่เห็นในแดนโบราณวินาศ และแบ่งปันข้อสันนิษฐานของราชามารตู้เถียน “การชนกันของสองโลกมิติอาจจะเกิดขึ้นในอีกหมื่นปีข้างหน้า แต่มันก็อาจจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงต้องจัดแจงตระเตรียมเอาไว้ ยิ่งมีเทพเจ้าในสันตินิรันดร์มากเท่าไร ก็จะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น มิเช่นนั้นเราจะไม่สามารถต่อต้านฝั่งตรงข้ามได้!”
ราชครูสันตินิรันดร์พึมพำกับตนเองอย่างไม่แน่ใจ ก่อนที่จะถามอย่างไม่เชื่อหู “เจ้าสามารถเข้าไปในความมืดได้หรือ”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกความจริงกับเขา “ข้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย ข้าเดาว่าเขาคงจะหมายถึงว่าข้าอาจจะเป็นลูกครึ่งมารปีศาจจากแดนใต้พิภพ”
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากและกล่าว “หากว่าสวรรค์หมายที่จะทำลายล้างสันตินิรันดร์ของข้า ก็ไม่มีอะไรที่ข้าจะทำได้ ส่วนในตอนนี้ จักรพรรดิได้ข้ามสะพานเทวะแล้ว และยังมีเทพเจ้ามากกว่าสิบตนอยู่ตามชายแดน”
“ข้าบอกกับจักรพรรดิว่า เทพเจ้าทุกตนต้องมีประวัติบันทึก และเขาก็ได้ทำเช่นนั้นแล้ว เพียงแต่การต่อสู้กับโลกมิติของมารร้ายดูจะเป็นเรื่องอันตรายอักโข สันตินิรันดร์คงไม่มีแสนยานุภาพขนาดนั้นภายในเวลาหลายสิบปี หากว่าวันนั้นมาถึงจริงๆ…” เขาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างนิ่งสงบ “ข้าก็จะส่งต่อความรับผิดชอบทั้งหมดให้แก่เจ้า”
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง ในเมื่อเขารู้ดีว่าข้างในถ้อยคำนั้นคือจิตมุ่งมั่นที่จะสละชีวิตเพื่อจักรวรรดิ “มารพวกนั้นได้โจมตีโลกในความมืดมามากกว่าสองหมื่นปี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่พวกมันจะเอาชนะได้ในวันพรุ่งนี้ ราชครูไม่ต้องกังวลเรื่องนี้หรอก การบุกเบิกถนนนั้นสำคัญกว่า”
ทั้งสองคนจึงกล่าวลาจากกัน
ฉินมู่นำกิเลนมังกรและหีบไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อันคึกคักพลุกพล่านมากกว่าแต่ก่อน มีผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากที่มาจากทั่วโลกหล้า แม้แต่จากทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็ง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงได้บัญชาให้สี่สถาบันใหญ่แบ่งเบาภาระของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นสถาบันสุสานแม่น้ำ สถาบันแม่น้ำหย่ง สถาบันแม่น้ำหลี่ และสถาบันนักบุญสวรรค์จึงรุ่งเรืองคับคั่งด้วยเช่นกัน สถาบันเหล่านั้นมากล้นไปด้วยบัณฑิต แต่เมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว ก็ยังขาดพร่องอยู่บ้าง
“จ้าวลัทธิฉิน!”
“อธิการบดีฉิน!”
ข่าวการมาถึงของฉินมู่ได้แพร่กระจายออกไปทั่วมหาวิทยาลัยจักรวรรดิโดยทันที และเจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนก็พานักพรตมากมายเข้ามา เฒ่าหม่าเองก็พาหลวงจีนของเขามา ขณะที่กู่ลี่หนวนก็พาคณะบัณฑิตจักรวรรดิมาต้อนรับ สหายของฉินมู่ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็ออกมาเช่นกัน ฉินมู่รีบคารวะทักทายทุกๆ คนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอันคับคั่ง
“อธิการบดีฉินเป็นบัณฑิตที่มาจากบัณฑิตนิเวศน์พวกเรา และแม้แต่ตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่าเขาจะต้องเลิศล้ำเหนือธรรมดาและผงาดขึ้นไปเป็นมังกรฟ้าอย่างแน่นอน!” ใบหน้าของกู่ลี่หนวนเปล่งปลั่งขณะที่เขาแย้มยิ้ม “ใครจะไปคิดว่าบัณฑิตฉินจะกลายเป็นอธิการบดีแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์ มาคิดๆ ดูแล้ว ข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติเช่นกัน!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ใต้เท้ากู่ ข้ามาเพื่อแสวงหาความรู้ใหม่อีกครั้ง ดังนั้นข้ายังคงเป็นบัณฑิตตัวเล็กๆ ของท่าน!”
กู่ลี่หนวนซาบซึ้งใจอย่างหนัก “ใต้เท้าฉิน โปรดอย่ากล่าวเช่นนั้น! มาคิดดูแล้ว พวกเรานั้นเป็นสหายเก่า ครั้งก่อนนั้นที่ข้าได้พบกับท่านในวังมังกรแม่น้ำหย่ง ข้าก็รู้แล้วว่าท่านน่ะไม่ธรรมดา ไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่ยกกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ให้ท่านหรอก นี่เรียกว่ามีสายตาเฉียบแหลมเล็งเห็นพรสวรรค์ กำนัลกระบี่ล้ำค่าให้แก่วีรบุรุษ วาสนาระหว่างข้าและใต้เท้าฉินได้เริ่มต้นที่วังมังกรแม่น้ำหย่ง! ฮ่าๆๆๆๆ!”
ทุกคนครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่น้อมคารวะยูไลหม่าและหลินเสวียน ก่อนที่จะทักทายเว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และคนอื่นๆ ลิงยักษ์อสูรก็มาด้วยเช่นกัน และทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยชีวิตชีวา
เว่ยหยง เฉินหว่านอวิ๋น และคนอื่นๆ ได้ไปฝึกฝนในกองทัพระหว่างช่วงสองปีมานี้ และวรยุทธของพวกเขาก็เพิ่มพูนไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้เติบโตมาเป็นบุคคลอันสามารถรับผิดชอบหน่วยกองได้ และฉินมู่ก็ดีใจแทนพวกเขา
ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆ ในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ที่ได้พบความสำเร็จมานานแล้ว และเดินทางไปยังสถานที่อื่นเพื่อเป็นแม่ทัพนายกอง
แต่การที่ลิงยักษ์อสูรปรากฏตัวที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้น เป็นเรื่องนอกเหนือความคาดหมายของฉินมู่
เมื่อซิงอ้านสร้างความโกลาหลในวัดน้อยฟ้าคำราม ยูไลน้อยไม่อาจต้านรับการสักการะของเทพหมอผีขุย และดวงวิญญาณของเขาก็แตกสลาย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงได้นำหลวงจีนทั้งหลายแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำรามตามคำสั่งเสียของยูไลน้อย การเดินทางลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อพวกเขาไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม การมาเยือนของหลวงจีนปีศาจมากมายก็สร้างความอลหม่านเป็นอย่างหนัก
ในฐานะศิษย์ของยูไลน้อย ลิงยักษ์อสูรจ้านคงนับว่าอยู่ในรุ่นอาวุโสเดียวกับเฒ่าหม่า หนึ่งมนุษย์และหนึ่งปีศาจถกเถียงกันเรื่องธรรมะบนยอดเขาทองคำแห่งเขาพระสุเมรุ โดยมีหลวงจีนนับไม่ถ้วนยืนสดับอยู่ข้างล่าง
คำพูดของลิงยักษ์อสูรมีไม่มาก แต่ทุกคำของเขามีค่าราวไข่มุกราวทองคำ ประโยคหนึ่งของเขามีแค่สามถึงห้าคำ แต่ว่าแต่ละคำนั้นน่าสะท้านขวัญและทำให้ผู้คนต้องเอาไปขบคิดอย่างลึกซึ้ง เขาทำให้ไต้ซือทั้งหลายบนเขาพระสุเมรุอึ้งจนพูดไม่ออก ถึงขั้นที่ว่าไม่อาจจะโต้วาทะได้อีกต่อไป
นี่ยาวนานถึงสามวันสามคืน จนกระทั่งหลวงจีนทั้งหมดถอยร่นไปด้วยความพ่ายแพ้ โชคดีที่ว่ามีแม่ทัพหนวดเฟิ้มผู้หนึ่งแห่งสันตินิรันดร์ขึ้นมาบนภูเขา เมื่อเขาขึ้นไปยังยอดเขาทองคำและถอดเกราะของเขาออก เขาเรียกตนเองว่าหลวงจีนหมิงซิ่น และโต้วาทีกับลิงยักษ์อสูรไปอีกหลายวัน นั่นแหละวัดใหญ่ฟ้าคำรามจึงกู้หน้ากลับมาได้บ้าง
หลวงจีนหมิ่งซิ่นไม่กล่าวยืดยาด และสิ่งที่เขาสนทนาทั้งหมดเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน เขาไม่ได้พูดถึงคัมภีร์หรือพระธรรมคำสอน แต่ทว่าถ้อยคำของเขามีความหมายอันลึกล้ำและทำให้ทุกคนรู้สึกว่าที่เขากล่าวนั้นคือธรรมะในศาสนาพุทธ อันทั้งเลิศปัญญาและหลากหลาย
การโต้วาทีนี้ได้สะท้านสะเทือนโลกหล้า
เฒ่าหม่ากล่าวชมหลวงจีนทั้งสอง สำหรับการโต้วาทีที่ลื่นไหลและไร้ข้อจำกัด จากนั้นก็รับปิฎกพระสูตรปีศาจจากลิงยักษ์อสูร และรับเอาหลวงจีนปีศาจทั้งหมดให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหญ่ฟ้าคำราม สองสำนักก็ได้หลอมรวมเข้าด้วยกัน
เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องใหญ่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และแพร่กระจายออกไปทั่วแดนศักดิสิทธิ์และสถาบันทั้งหลาย มันเป็นที่รู้จักในนามว่า การถกเต๋าบนยอดเขาทองคำ และกลายเป็นเรื่องอันโด่งดั่งที่ผู้คนพูดถึงทั่วหัวมุมถนนไปพักหนึ่ง
ในช่วงเวลานั้น ฉินมู่กำลังวิ่งหนีจากซิงอ้าน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปเป็นประจักษ์พยานต่อสิ่งที่เกิดขึ้นบนเขาพระสุเมรุ ส่วนว่าเรื่องจริงนั้นจะสมกับตำนานเล่าขานหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน
ในครั้งนี้ เฒ่าหม่าพาลิงยักษ์อสูรและหลวงจีนหมิงซิ่นกับหลวงจีนอื่นๆ จำนวนหนึ่งมาด้วย ซึ่งก็เป็นเรื่องราวอันทำให้ทั้งเมืองหลวงตื่นตระหนก และเมื่อเจ้าสำนักเต๋านำนักพรตมากมายมาด้วยเช่นกัน นี่ก็กลายเป็นวโรกาสอันยิ่งใหญ่!
หลังจากความวุ่นวายไปพักหนึ่ง ทุกคนก็เข้าไปนั่งในโถงบรมศึกษา เมื่อฉินมู่กล่าวว่ามาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะแตกตื่น และเมื่อครู่นั้นกู่ลี่หนวนก็คิดว่าเขาเพียงแต่พูดไปตามมารยาทเท่านั้นเอง ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะมาที่นี่เพื่อแสวงหาความรู้จริงๆ
กู่ลี่หนวนจึงรีบเชิญผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกโถงในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาเพื่อพูดถึงความเข้าใจในวิชาใหม่ๆ ของแต่ละคน นักพรตและหลวงจีนแห่งสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำรามก็ก้าวออกมาเพื่อพูดถึงความสำเร็จในปัญญาของตนเองด้วยเช่นกัน ในช่วงเวลานั้น ทักษะเทวะ มรรคา และวิชาอันไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน ก็ท่วมท้นอยู่เต็มห้องโถง แม้แต่ฉินมู่ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ เขานั้นอัศจรรย์ใจต่อความคิดสร้างสรรค์ของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้
หลังจากสองวัน หลิงอวี้จิวและหลิงอวี้ชู้ก็มายังเมืองหลวงเพื่อซักไซ้ไต่ถาม และเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาก็เข้าร่วมการอภิปรายการปฏิรูปและความก้าวหน้าใหม่ๆ ในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ
หลังจากเวลาสี่ห้าวัน ชนรุ่นเยาว์จากสถาบันใหญ่ทั้งสี่ก็รีบรุดมา บัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์นำมาโดยซีอวิ๋นเซี่ยง บัณฑิตแห่งสถาบันสุสานแม่น้ำนำมาโดยฉินเฟยเยว่ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของราชครูสันตินิรันดร์ และเป็นครูผู้สอนของสถาบันสุสานแม่น้ำ
อวี้เหยียนชูอวี่นำบัณฑิตแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งมา และสำหรับสถาบันแม่น้ำหลี่ อธิการบดีของพวกเขาคือป้าซาน แม่น้ำหลี่นั้นอยู่ห่างไกลที่สุด และต้องใช้ผู้มีความสามารถสูงในการก่อตั้งสถาบันการศึกษาขึ้นมา ดังนั้นจักรพรรดิจึงแต่งตั้งให้ป้าซานไปดำรงตำแหน่งนั้น
ชนรุ่นเยาว์แห่งสี่สถาบันใหญ่มารวมตัวกันในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และมันกลายเป็นคับคั่งมากยิ่งขึ้น ด้วยความประหลาดใจของทุกคน หวางมู่หรัน มู่ชิงไต้ และหลงอวี๋แห่งนครหยกน้อยก็เร่งรุดมาหลังจากนั้นไม่กี่วันด้วยเช่นกัน
ไม่ทันที่ทุกคนจะนั่งกันครบ พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ “ในวินาทีที่ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิมายังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้าก็รีบเร่งมา แต่ดูท่าก็ยังคงล่าช้า!”
ฉินมู่รีบลุกขึ้นต้อนรับผู้มาใหม่ด้วยรอยยิ้ม “พี่ซวี นับแต่จากกันมาที่วัดน้อยฟ้าคำรามหวังว่าท่านคงจะสบายดีนะ?”
ซวีเซิงฮวานำจิงเอี้ยนมาด้วย “ข้าไม่ได้ยินข่าวคราวของจ้าวลัทธิเป็นเวลานาน และเห็นเจ้าก็ยังสบายดีอยู่ทำให้ข้าโล่งอก”
ทุกคนนั่งลง และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เต็มไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะจากทุกค่ายสำนักพูดถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของตน การฝึกปรือและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน ทุกความคิดประหลาดพิสดารถูกกล่าวออกมา พวกเขาได้ทำให้แม้แต่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและขุนนางราชสำนักก็สนอกสนใจและรีบรุดมารับฟังด้วยเช่นกัน
ฉินมู่ หลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง นักพรตหลินเสวียน ลิงยักษ์อสูรจ้านคง หมิงซิ่น ซวีเซิงฮวา และหวางมู่หรัน ต่างได้รับเชิญให้ขึ้นไปบนเวทีเพื่อสนทนาถึงมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเขา การปะทะสังสรรค์กันของความคิดทุกรูปแบบทำให้ผู้ชมข้างล่างลุ่มหลงเคลิบเคลิ้ม
พวกเขาล้วนแต่มีความสำเร็จอันเป็นเอกลักษณ์ในจิตวิญญาณดั้งเดิม และด้วยการแบ่งปันความคิดพิสดารอัศจรรย์ทั้งหมดของแต่ละคนออกมา พวกเขาทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก
“ข้ามีความคิดหนึ่ง!” ฉินมู่พลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สันตินิรันดร์กลายใหญ่กว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆ อันทำให้ยากต่อการติดต่อสื่อสารเมื่อพวกเรากระจัดกระจายไปอยู่ยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมสามารถเดินทางได้รวดเร็วและเคลื่อนไปได้เป็นล้านๆ ลี้ภายในชั่วพริบตา หากว่าพวกเราสามารถติดต่อสื่อสารกันด้วยจิตวิญญาณดั้งเดิม นี่จะไม่ช่วยพวกเราประหยัดเวลาการเดินทางเพื่อมาพบปะกันหรอกหรือ”
ข้อเสนอแนะของเขาพลันได้รับการสนับสนุนจากคนหนุ่มสาวมากมายในทันที ทุกคนเริ่มที่จะระดมสมองเพื่อคิดหาวิธีให้จิตวิญญาณดั้งเดิมอันแตกต่างกันสามารถมาติดต่อสื่อสารกันได้ และออกความคิดเห็นของพวกเขาโดยไม่ตะขิดตะขวง
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและเจ้านครเว่ยหันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ เจ้านครเว่ยกล่าว “เมื่อครู่พวกเขายังพูดกันมีสาระอยู่ดีๆ แต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มพูดเหลวไหล จิตวิญญาณดั้งเดิมเคลื่อนที่เร็วเกินไป ข้ามระยะทางล้านๆ ลี้ได้ในพริบตา ดังนั้นจึงยากที่จะเอามันมาพบปะกัน มันยากที่จะควบคุมจิตวิญญาณดั้งเดิมให้แม่นยำ ต่อให้รู้เป็นมั่นเหมาะว่าจะส่งมันไปที่ไหน ดังนั้นจะพูดถึงเรื่องการติดต่อสื่อสารกันได้อย่างไร”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงยิ้มกล่าว “มาลองรอดูกันเถอะ”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้านครเว่ยและคนอื่นๆ ก็จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง อึ้งจนพูดไม่ออก ที่หน้าโถงบรมศึกษาขณะที่ทุกคนอภิปรายว่าจะดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมที่แตกต่างกันเข้ามาด้วยกันได้อย่างไร วิชามากมายก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างง่ายดาย นี่ทำให้เจ้านครเว่ย จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และชนรุ่นอาวุโสทั้งหลายต่างก็ต้องอุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ
ในระหว่างนั้นฉินมู่ก็กำลังจัดระเบียบความคิดเห็นใหม่ๆ เหล่านั้น และหลังจากเวลานานอยู่ เขาก็สร้างสรรค์วิชาฝึกปรือใหม่ขึ้นมาบนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม
เขาถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้แก่ทุกๆ คนอันทำให้พวกเขาทั้งหลายเต็มไปด้วยความตื่นเต้น พวกเขารีบรื้อสร้างโถงบรมศึกษาขึ้นมาใหม่ และเพิ่มรอยประทับอักษรรูนมากมายข้างในอาคาร
“ทุกท่าน พวกเราไปยังทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก หนึ่งพันลี้จากที่นี่กันเถอะ และเริ่มการมหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิม!” ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น
บัณฑิตหมื่นคนในโถงบรมศึกษาลุกขึ้นพร้อมกับเสียงอึงคะนึงและเร่งรุดจากไปในทิศไกลๆ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิพลันว่างเปล่า มีก็แต่จักรพรรดิและขุนนางทั้งหลายเหลืออยู่ มองไปยังโถงอันโล่งว่าง
หลังจากสองชั่วโมง จิตวิญญาณดั้งเดิมของฉินมู่ก็พลันปรากฏ ร่างของมันใหญ่มหึมา สำนึกรู้ของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อยเมื่อเขาประกาศ “มหาสมาคมจิตวิญญาณดั้งเดิมครั้งที่หนึ่ง เริ่มได้!”
ปัง ปัง ปัง!
จิตวิญญาณดั้งเดิมมากมายพลันปรากฏในโถงบรมมศึกษา มารวมตัวกัน
จิตวิญญาณดั้งเดิมหมื่นตน นั่งอยู่กลางอากาศ
ข้างนอกนั้น จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและคนอื่นๆ อึ้งจนพูดไม่ออกเป็นเวลานาน จ้องไปข้างหน้าพวกเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
…………….
หลังจากการเดินทางยาวนานในตอนกลางวัน มันก็ถึงเวลากลางคืนอีกครั้ง คราวนี้ฉินมู่ไม่ได้เสาะหาซากโบราณเพื่อพักผ่อนระหว่างทาง ในทางกลับกัน เขาให้หีบแบกกิเลนมังกรไปในค่ำคืน ส่วนเขาเดินในความมืดตามหลังพวกนั้น
เขาเห็นสิ่งประหลาดมากมายในระหว่างราตรี ด้วยการปรากฏตัวของความมืด เมืองต่างๆ มากมายและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก็พลันปรากฏขึ้นมา มันมีสงครามศึกใหญ่อันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยพบเห็นระหว่างการติดตามผู้ใหญ่บ้านเข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปใกล้แสงจากหีบ เขาก็จะไม่สามารถมองเห็นว่ามีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ในความมืด แสงเทวะของหีบพาเขากลับเข้าไปในโลกดั้งเดิมของเขา
ที่น่าแปลกก็คือ เขาไม่รู้สึกถึงม่านคุ้มกันระหว่างโลกเลยสักนิด
นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
โลกสองโลกใดๆ ก็จะมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเสมอ ทำให้การเดินทางข้ามไปมาจะทำให้ผู้เดินทางต้องทานทนรับการบีบเค้นระหว่างสองโลก ยิ่งผู้เดินทางแข็งแกร่งมากแค่ไหน การบีบเค้นนั้นก็จะรุนแรงมากเท่านั้น
กระนั้นระหว่างแดนมืดและโลกจริงกลับไม่มีท่านคุ้มกันระหว่างกัน อันพิลึกเหลือเกิน
ฉินมู่เดินเข้าไปในแสงของหีบ และขึ้นไปนั่งบนนั้นเพื่อจมไปสู่ภวังค์คิด พักหนึ่ง ดวงตาของเขาก็ลุกวาบ และเขาแย้มยิ้ม ข้ารู้จักผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ดังนั้นเรียกเขามาสักหน่อยก็น่าจะดีไหม
ด้วยความตื่นเต้น เขาให้หีบหยุดเดินทาง เขากระโดดลงไปและนำเอาแท่นสังเวยกระดูกขาวออกมาจากถุงเต๋าตี้ บนแท่นสังเวย เขาวางเทวรูปมารเทวะสี่เศียรแปดกรลงไป
ฉินมู่นำเอาพู่กันผงชาดออกมาและวาดอักษรรูนต่างๆ นานาบนเทวรูปมารเทวะ จากนั้นเขาก็ใช้ปราณชีวิตของตนกระตุ้นการทำงานอักษรรูนเพื่อร่ายเวทมนตร์ ขับเคลื่อนอักษรรูนบัญชาผีย้ายเทพเคลื่อน
ผ่านไปสักพัก เวทมนตร์ของเขาก็สิ้นสุด แต่เทวะรูปมารเทวะไม่กระดุกกระดิก
มันทำให้ฉินมู่สงสัย เขาร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง แต่เทวรูปมารเทวะก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยา
“พี่ใหญ่ตู้เถียน น้องชายอัญเชิญท่านมาด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง ถวายเนื้อและอาหารโอชารสมากมาย ขอพี่ใหญ่โปรดเมตตาข้าและมาปรากฏตัว” ฉินมู่ภาวนาต่อ “หากว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนไม่มา น้องชายผู้นี้จะสวดภาวนาวันละร้อยหนจนกว่าพี่ใหญ่จะยอมจุติมา พี่ใหญ่…”
“หุบปาก! ใครคือพี่ใหญ่เจ้าหา”
เทวรูปมารเทวะพลันลืมตาขึ้นมาบนใบหน้าหนึ่ง ลูกตาของมันกลอกไปมาอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งตู้เถียนพบว่าเขาไม่ได้ถูกล่อลวงเข้ามาในกับดักเขาจึงส่งเส้นกระแสสำนึกรู้เส้นหนึ่งลงมา ใบหน้าอีกสามหน้าพลันลืมตาตื่น และเขาอ้าปากเปล่งวาจา
“ข้าไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับเจ้า ดังนั้นอย่ามาพูดจาตีสนิทแบบนี้ พวกเราไม่คุ้นเคยกันสักนิด! หากว่าเจ้าภาวนาถึงข้าวันละร้อยหน ข้าได้รำคาญจนคลั่งตายแน่! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าอัญเชิญข้ามามีธุระอะไร”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ข้ามีสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ” เขาอธิบายสิ่งที่เขาพบเห็นในความมืดและถาม “ทำไมเมื่อโลกสองโลกซ้อนทับกันถึงไม่มีม่านคุ้มกันระหว่างโลกหรือแรงต่อต้านเมื่อผ่านไปมาระหว่างมิติทั้งสอง”
เทวรูปมารเทวะไม้ลุกขึ้นยืนจากแท่นสังเวยและดึงเอากระดูกขาวแท่งหนึ่งออกมากินราวกับว่ามันคือแท่งลูกกวาด “ข้าคิดว่าเจ้าอัญเชิญข้ามาด้วยมีแผนร้ายเสียอีก ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ”
ฉินมู่คารวะด้วยพีธีรีตองของศิษย์และถาม “ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ตู้เถียนจะไขความกระจ่างให้ข้าได้หรือไม่”
ราชามารตู้เถียนรู้สึกเลือดในกายเย็นเฉียบ “อย่าสุภาพมาก! เมื่อเจ้าทำตัวสุภาพขนาดนี้ ข้าอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าเจ้ากำลังจะก่อเรื่องให้กับข้าหรือเปล่า! ที่เจ้าพูดนั้นจริงๆ แล้วเกี่ยวข้องกับพลังงานในโลกมิติ อันคงที่ตายตัวตลอดเวลา การเกิด การฝึกวิทยายุทธ และการตายของคนคนหนึ่งไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของพลังงานในโลก มันคือกฎพื้นฐานที่สุด!”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “การเกิด การฝึกวิทยายุทธและการตายของคนผู้หนึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพลังงาน ต่อให้พวกเขาบรรลุเป็นเทพ มาร กลายเป็นผู้อมตะไม่มีวันตายอย่างนั้นหรือ”
“แม้ว่าจะมีผู้บรรลุเป็นเทพหรือมาร มันก็ไม่เปลี่ยนพลังงานคงที่ในโลกใบนั้น มันไม่ทำให้พลังงานในโลกมากขึ้นหรือลดลง” ราชามารตู้เถียนกล่าว “พลังงานในโลกคงที่และการเปลี่ยนแปลงของมันจำกัดเมื่อบุคคลผู้หนึ่งเดินทางไปยังโลกอื่นจากโลกนี้ โลกนี้ก็จะสูญเสียพลังงานของบุคคลหนึ่ง ขณะที่อีกโลกหนึ่งจะได้รับพลังงานของอีกคน นี่ส่งผลให้ต้องเผชิญกับการบีบเค้นสองครั้งจากพลังงานของตน ดังนั้นการเดินทางข้ามโลกจึงยากเย็นและจำต้องใช้การเซ่นสังเวยเลือด”
ฉินมู่พบว่าทุกสิ่งทุกอย่างพลันมีเหตุมีผล “หลักการของการสังเวยเลือดคือบูชายัญสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ไปยังโลกอื่น กลายเป็นพลังงานของโลกอื่น!”
ราชามารตู้เถียนผงกหัว “ในขณะเดียวกัน มารและเทพผู้ได้รับเครื่องสังเวยก็จะเป็นเครื่องสังเวยอีกอย่าง ที่จุติลงไปยังโลกใหม่จากโลกมิติของตน ทดแทนพลังงานที่สูญเสียไปจากการเซ่นสังเวยเป็นผลให้รักษาสมดุลของพลังงานระหว่างสองโลก ยกตัวอย่างเช่น แท่นสังเวยของเจ้านี้ พลังงานในกระดูกถูกเจ้าสังเวยไปและส่งไปยังโลกตู้เถียนของข้า และในการแลกเปลี่ยน ข้าก็จุติลงมาในโลกแสนอันตรายร้ายกาจของเจ้า”
ฉินมู่ดวงตาเป็นประกายและกล่าว “ข้าเข้าใจล่ะ และตอนนี้ ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงขีดจำกัดของพลังงานได้”
“การสังเวยเลือดสร้างสะพานที่เชื่อมผ่านระหว่างสองโลก ข้าสามารถขโมยพลังงานได้จำนวนหนึ่งและนำเข้ามันมาผ่านทางสะพาน อันไม่ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยสมดุลพลังงาน” ราชามารตู้เถียนแย้มยิ้ม “ครั้งล่าสุดที่เจ้าอัญเชิญข้า พลังงานสังเวยนั้นน้อยนิด ดังนั้นข้าจึงต้องขับเคลื่อนพลังงานปริมาณมหาศาลเพื่อจุติลงมาในโลกนี้ นั่นเทียบเท่ากับดึงดันบีบเค้นตนเองเข้ามา แต่ทว่า พลังงานที่ใช้ในการบีบเค้นตัวข้าเข้ามานั้นทำให้ข้าต้องต้านทานแรงกดดันจากทั้งสองโลก ดังนั้นพลังงานที่ข้าบีบเค้นเข้ามาจึงจำกัดจำเขี่ย ไม่นานมันก็จะเกินขีดจำกัดของข้า พลังงานที่ลักลอบนำเข้ามานั้นขึ้นกับความสามารถของผู้สังเวย”
หลังจากที่กระจ่างในเรื่องนี้ ฉินมู่ก็ยังคงขมวดคิ้ว “แต่ทว่าในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ ไม่ปรากฏมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกเมื่อสองโลกมิติซ้อนทับกัน ท่านจะอธิบายว่าอย่างไร”
ราชามารตู้เถียนหัวเราะในคอ “หากว่าพลังงานที่ถูกบีบเค้นเข้ามามันเกินกว่าขีดจำกัดที่โลกนี้จะต้านทานรับได้ล่ะ”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง “ท่านหมายความว่า…”
“การสังเวยเลือดครั้งใหญ่โตมโหฬารอันก่อสร้างสะพานเป็นแสนๆ ให้เทพและมารนับแสนลักลอบเข้ามาและถ่ายเทพลังงานของพวกเขาเข้าไปในโลกนั้น!” ราชามารตู้เถียนยิ้มอย่างชั่วร้าย “มันก็จะฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกใบนั้น! หลังจากที่ม่านคุ้มกันของโลกหายไป มันก็ไม่มีสิ่งกีดขวางอีกต่อไป และโลกอื่นก็จะสามารถส่งกำลังพลเข้ามาเข่นฆ่าได้โดยไร้อุปสรรค!”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ และเขาตัวสั่นเทิ้มสองสามหน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อหู และเขาก็ร้องออกมา “ท่านหมายถึงว่าโลกในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศ คือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลายไปแล้วหรือ”
“มันอาจจะไม่ใช่โลกในความมืดที่ม่านคุ้มกันฉีกทำลาย” ราชามารตู้เถียนกล่าวพลางยิ้มกว้างให้แก่เขา “เจ้าไม่คิดหรือว่า อาจจะเป็นโลกของเจ้าก็ได้ที่ไม่มีม่านคุ้มกันของโลก”
ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่าโลกนี้ไม่มีม่านคุ้มกันจริง ท่านก็คงจุติลงมาตั้งนานแล้ว โลกที่ข้าเห็นในความมืดมีรูห้วงอวกาศจำนวนมากที่เปิดขึ้นมาโดยเหล่ามารเทวะเพื่อนำพาไพร่พลของพวกเขาเข้าโจมตี เห็นได้ชัดว่ามันคือโลกที่ม่านคุ้มกันถูกฉีกทำลาย”
ราชามารตู้เถียนนั่งลงบนหีบและอ้าปากหาวพลางแกว่งขาไปมา แล้วจึงกล่าว “ที่เจ้าบรรยายถึงโลกในความมืดอันซ้อนทับกับโลกแสนอันตรายใบนี้ เตือนให้ข้านึกถึงความเป็นไปได้อันน่าสยดสยอง–เซ่นสังเวยโลก!”
รอยยิ้มอันชั่วร้ายเหลือแสนปรากฏบนใบหน้าทั้งสี่ และเทวรูปนี้ก็แทบจะโดดโลดเต้นด้วยความปรีดา “เซ่นสังเวยโลก คือการบูชายัญโลกมิติหนึ่งทั้งใบ ด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวที่ถล่นลงไปใส่โลกใบอื่น เทพและมารนับล้านๆ ก็จะสามารถจุติลงมาพร้อมๆ กันเพื่อทำลายโลกใบนั้น! นี่คือแผนการอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่ตระการ!”
“พวกเขาจะทำลายโลกใบนั้นหรือ” ฉินมู่ถามด้วยความฉงน
เทวรูปมารเทวะไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเมื่อหัวของมันหันไป ดวงตาทั้งสี่คู่จ้องจับมาที่เด็กหนุ่ม
ฉินมู่ขนหัวลุกจนสุดเหยียดและร่ำร้อง “ท่านกำลังหมายถึงว่า หลังจากที่มารเทวะนับแสนที่ฉีกทำลายม่านคุ้มกันของโลกมิตินั้นในความมืด วางแผนที่จะบูชายัญโลกใบนั้นเพื่อจุติลงมาที่นี่?”
ศีรษะของราชามารตู้เถียนหมุนไปรอบๆ คอสองสามที เมื่อเขาปรบมือพลางกล่าวชม “ฉลาดมาก! เมื่อแดนโบราณวินาศซ้อนทับกับโลกใบนั้น พวกเขาก็จะบูชายัญโลกใบนั้น พลังงานรวมทั้งหมดจะมหาศาลขนาดที่จะทำให้โลกอันเต็มไปด้วยเหล่ามารสามารถจุติลงมาในแดนโบราณวินาศได้! เมื่อเวลานั้นมาถึง ภาพอันน่าสะพรึงกลัวของการพุ่งชนกันของโลกมิติสองใบก็จะปรากฏ และชีวิตนับล้านๆ ก็จะตายดับ แค่คิดข้าก็ตื่นเต้นสุดๆ แล้วเนี่ย!”
ฉินมู่มีสีหน้าว่างเปล่า เขาพลันส่ายหัวแล้วกล่าว “เป็นไปไม่ได้ นั่นมันเป็นไปไม่ได้! ความมืดได้ดำรงอยู่มานานถึงสองหมื่นปี นี่ไม่ได้แปลว่าการศึกสงครามในโลกนั้นดำเนินไปอย่างยาวนานถึงสองหมื่นปีหรอกหรือ มันจะมีสงครามที่ยาวนานขนาดนั้นได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้!”
ราชามารตู้เถียนกระโดดลงจากหีบและกล่าว “หากว่าข้าเป็นเจ้า ข้าก็คงจะอพยพไปโลกอื่นตั้งนานแล้ว วิญญูชนย่อมไม่ยืนอยู่ใกล้กำแพงใกล้จะพัง เมื่อรังนกแตกทำลาย ก็ไม่มีไข่ในรังที่เหลือดี โลกนี้อันตรายเกินไป ดังนั้นข้าจะกลับไปล่ะ! อีกอย่าง อย่ามากวนข้าบ่อยนัก ข้ากลัวเจ้า!”
ก่อนที่จะกระโจนเข้าไปในความมืดเพื่อให้ดวงวิญญาณเขากลับไปยังโลกตู้เถียน เขาก็ตะโกนออกมา “เมื่อโลกในความมืดถูกทำลาย ก็จะเป็นวันที่โลกของเจ้าเข้าชนกับโลกของมารเทวะเหล่านั้น และนั่นก็จะเป็นวันสิ้นโลกของเจ้าเช่นกัน!”
เขาจึงพุ่งเข้าไปในความมืดและถูกมันรุกรานทันที ฉินมู่รีบวิ่งตามเขาเข้าไป แต่เห็นเพียงรูปสลักไม้ที่แตกหักเป็นชิ้นๆ
เขาขมวดคิ้วและกลับไปยังข้างๆ หีบ พลังงานในแท่นสังเวยกระดูกขาวก็แห้งเหือดไปหมดแล้ว ดังนั้นมันจึงแตกพัง
คำพูดราชามารตู้ถียนเชื่อได้แน่หรือ เจ้าหมอนั่นดูไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไรเลย และเขาก็บรรยายบางอย่างที่มันน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้น…
ฉินมู่ปลุกปลอบตอนเอง คำพูดของราชามารตู้เถียนน่าสะพรึงกลัวเกินไป อย่างนั้นเขาจะเชื่อได้สักเท่าไร
แต่ทว่า เมื่อเขามาคิดๆ ดูแล้ว กมลสันดานของราชามารตู้เถียนคือการเริงร่าจากภัยพิบัติและลิงโลดดีใจต่อความวินาศสันตะโร เขาหวังให้ทั้งโลกตกในความปั่นป่วนวุ่นวาย ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องโกหกฉินมู่
สันตินิรันดร์อ่อนแอเกินไป ฉินมู่ระบายลมหายใจสะท้านและคิดตามลำพัง แต่ทว่าโลกในความมืดได้ต่อสู้กับเผ่ามารมาเป็นเวลาสองหมื่นปีและยังคงยืนหยัดอยู่ได้จนบัดนี้ พวกเขาคงไม่มาพ่ายแพ้เอาตอนนี้ และถูกใช้โลกทั้งใบเป็นเครื่องเซ่นสังเวยหรอกใช่ไหม นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมสันตินิรันดร์จึงยังมีเวลาอีกมากก่อนที่จะต้องไปเผชิญกับโลกมารใบนั้น ดังนั้นไม่ต้องกังวลมากเกินไป…ฮี่ๆๆ ข้าเกือบตกใจจนฉี่ราดจากที่ราชามารตู้เถียนขู่ข้าให้ผวา ความกลัวอันเหลวไหล นี่จะต้องเป็นความกลัวอันเหลวไหลแน่ๆ!
ผ่านไปหลายวัน ในที่สุดฉินมู่ก็เดินทางออกมาจากแดนโบราณวินาศ และกลับไปยังสันตินิรันดร์ เขารีบขึ้นเรือด่วนจากด่านวารีลับเพื่อมุ่งตรงไปยังเมืองหลวง เขาเขียนฎีกาแก่จักรพรรดิและถวายลูกแก้วเต่าดำที่เสียงซีอวี่มอบให้เขาเป็นเครื่องบรรณาการ เขายังเขียนไปถึงเรื่องที่จะกรุยถนนสร้างทางอีกด้วย
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเรียกขุนนางบุ๋นและบู๊ทั้งหมดมาปรึกษาหารือ และราชครูสันตินิรันดร์ก็อยู่ท่ามกลางขุนนางเหล่านั้น ขุนนางมากมายคัดค้านการสร้างถนน แต่ราชครูสันตินิรันดร์โต้เถียงกับพวกเขา ยืนยันที่จะเห็นต่างจากคนส่วนใหญ่ มีก็แต่เมื่อจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่าจะประหารคนที่คัดค้านให้หมด เรื่องการสร้างถนนถึงได้ข้อสรุป
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงมอบหมายเรื่องนี้ให้แก่กระทรวงการงานและให้ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ควบคุมจัดการ ฉินมู่มาพบเขาในภายหลังและกล่าว “ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นเหมาะกับลัทธิของพวกเราเป็นอย่างยิ่ง เทวราชช่วยพาผู้อาวุโสและหัวหน้าโถงจำนวนหนึ่งของพวกเราไปเสาะหาผู้มีพรสวรรค์หน่อย”
ราชครูสันตินิรันดร์ฉงน “จ้าวลัทธิฉิน ให้ข้าจัดการเรื่องนี้จะเหมาะสมหรือ”
“เจ้าเป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ดังนั้นเจ้าย่อมจะต้องเป็นผู้จัดการเรื่องนี้”
เส้นเลือดผุดขึ้นมาที่หน้าผากราชครูสันตินิรันดร์ปุดๆ และเขาก็กล่าวด้วยเสียงทื่อ “แล้วจ้าวลัทธิล่ะ?”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ข้าจะไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรเพื่อทำธุรกิจและแสวงหาเงินทอง”
………………
ฉินมู่หดหัวกลับไปและมองดูรอบๆ หากว่าเขาไม่ได้ละเมิดกฎแดนโบราณวินาศและถูกสัตว์พิสดารพวกนั้นขับออกมา เขาก็คงมิได้บุกเข้ามาในความมืดหรอก
เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่เขาสามารถย่างกรายเข้าไปในความมืดได้ด้วยตนเอง มันแตกต่างโดยสิ้นเชิงจากการพึ่งพิงการพิทักษ์คุ้มกันของรูปสลักหินหรือหีบ
เขารู้สึกว่าเขาคล่องแคล่วอยู่ในความมืดราวกับปลาอยู่ในน้ำ มันเหมือนกับว่าเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืด
ในดวงตาของเขา มันมิได้เป็นสีดำสนิทอีกต่อไป แต่คล้ายกับหมอก
นี่ไม่ใช่ความมืดจริงๆ แต่เป็นสสารแบบหนึ่ง
ฉินมู่ตกตะลึง เขานั้นคอยแต่สงสัยเรื่อยมาเกี่ยวกับความมืดในแดนโบราณวินาศ แต่วรยุทธของเขานั้นต่ำเกินกว่าที่จะเข้าไปในความมืด กระนั้นต่อให้มีพลังอำนาจสูงล้ำพอที่จะบุกเข้าไปในความมืดได้ เขาก็แน่ใจว่าเขาคงไม่อาจพบแง่อัศจรรย์ของความมืดได้ เพราะว่ายอดยุทธฝีมือแกร่งอย่างผู้ใหญ่บ้านหรือซิงอ้านจะใช้พลานุภาพของตนเองขับไล่ความมืดให้ออกห่างไปไม่ให้กล้ำกรายมาถึงตัว
การขับไล่ความมืดออกห่างทำให้พวกเขายากที่จะค้นพบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมัน
แต่ทว่า ฉินมู่ได้รวมเป็นส่วนหนึ่งกับความมืด ดังนั้นจึงง่ายที่เขาจะค้นพบมัน
ครั้งหนึ่งผู้ใหญ่บ้านเคยคาดคะเนว่าความมืดแห่งแดนโบราณวินาศมิใช่ความมืดที่แท้จริง ในทางกลับกัน มันคือโลกมิติอื่นที่ซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ และเขาตั้งชื่อมันว่าแดนมืด
ในภายหลังผู้ใหญ่บ้านจึงพบว่า ไม่ได้มีแดนมืดเพียงแดนเดียวในแดนโบราณวินาศ แต่มีหลายแดน
เขาก็ยังเรียกยมโลกว่าแดนมืดด้วย
แต่ทว่า เมื่อความเข้าใจของฉินมู่ที่มีต่อยมโลกเพิ่มพูนขึ้น เขาก็ค้นพบความลับอีกอย่าง ยมโลกอาจจะเรียกได้ว่าแดนมืด แต่มันเป็นแค่มุมหนึ่งเท่านั้น อันเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ
สถานที่นั้นคือหนึ่งในแดนมืดอันซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศ
แดนใต้พิภพและยมโลกเคลื่อนที่และเปลี่ยนตำแหน่งอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นพวกมันจึงมิได้ครอบคลุมไปตลอดทั่วแดนโบราณวินาศ อันที่ครอบคลุมทั้งดินแดน น่าจะเป็นแดนมืดอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อฉินมู่ก้าวเข้าไปในความมืด เขาค้นพบข้อเท็จจริงอีกข้อแห่งแดนโบราณวินาศ–ความมืดคือสสารประหลาดชนิดหนึ่ง
เมื่อข้าเข้าไปในโลกอื่นผ่านหน้าผาขาด และตระหนักว่ากลางวันและกลางคืนของโลกใบนั้นสลับตรงกันข้ามกับแดนโบราณวินาศ ข้าก็มีข้อคาดเดาอันเหลือเชื่อ
ฉินมู่สายตาวูบไหว เขาจำได้ถึงสิ่งที่เขาเห็นและคาดคะเนในทะเลทรายสีทอง
โลกมิตินั้นคือมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง อันเป็นสถานที่ที่เขาเข้าไปเพื่อหลบหลีกซิงอ้าน ที่นั่นก็มีทิวาและราตรี และพวกมันก็สลับตรงกันข้ามกับทิวาราตรีในแดนโบราณวินาศ
เพราะอย่างนั้น ฉินมู่จึงเดาว่าความมืดไหลบ่ามาจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อดวงอาทิตย์ตก ความมืดก็ไหลออกมาจากรอยแยกและไปยังมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง จากมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่งเริ่มต้นวันใหม่ มหาซากโบราณจักรพรรดิก่อตั้งก็กลายเป็นกลางคืน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นที่แดนโบราณวินาศ ความมืดก็ไหลบ่ากลับไปยังมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่ง
สองมหาซากโบราณได้ก่อรูปเป็นนาฬิกาทราย และความมืดคือทรายที่อยู่ข้างใน ไหลสลับฝั่งไปมา
นี่คือข้อสันนิษฐานของฉินมู่
แต่ทว่าในตอนนั้นเขากำลังหนีเอาชีวิตรอดจากซิงอ้าน ทั้งยังมีผานกงสั่วอยู่ใกล้ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่เอ่ยข้อสันนิษฐานนี้แก่ใครๆ
เมื่ออยู่ในความมืดตอนนี้ เขาค้นพบว่ามันคือสสารประหลาด อันช่วยยืนยันการคาดเดาของเขา
หากว่าไปอุดรอยแยกบนผนังหน้าผาอันเหยียดยาวจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ เราจะสามารถปิดผนึกความมืดเอาไว้ในมหาซากโบราณจักรพรรดิสูงส่งได้หรือไม่ จากนั้นเป็นต้นไป ก็จะไม่มีการรุกรานของความมืดในยามค่ำคืนหรือเปล่า
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ พบว่าเหตุผลนี้ก็ฟังดูน่าจะเป็นจริง แต่ทว่า เขาไม่รู้ว่าจะกระทำสำเร็จหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น หน้าผาขาดใหญ่มหึมาและมีรอยแยกมากมาย ดังนั้นมันก็คงจะเชื่อมต่อกับโลกมากกว่าหนึ่งโลก การจะไปอุดปิดรอยแยกพวกนั้นก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่ง
อุดเอาไว้มิใช่ทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา ทางที่ดีที่สุดคือการพยายามทำความเข้าใจความมืดที่สามารถกลืนกินผู้คนพวกนี้ให้มากที่สุดต่างหาก
ฉินมู่ศึกษาสสารมืดอันราวกับหมอกอย่างละเอียดลออ ฝุ่นดำนี้มีรูปร่าง แต่มันไม่มีเนื้อกายภาพในเมื่อมันสามารถร่วงผ่านผิวหนังของเขาได้
สสารประหลาด!
ฉินมู่ตกตะลึง เขาขับเคลื่อนเส้นสายปราณชีวิตหนึ่งเส้น และใช้มันเพื่อตรึงสสารสีดำจำนวนหนึ่งเอาไว้กับที่ ฝ่ามือของเขาวาดผ่านมันไปโดยไม่รู้สึกถึงแรงต้าน เขาก็ไม่รู้สึกว่าได้แตะโดนสิ่งใดเช่นกัน
นี่มันสสารอะไรกันแน่ มันมีคุณสมบัติอะไรกัน
ขณะที่ฉินมู่กำลังครุ่นคิด เสียงกระวนกระวายของกิเลนมังกรก็ดังมาจากในซากโบราณ “จ้าวลัทธิ ท่านยังมีชีวิตอยู่ไหม”
เสียงนั้นเหมือนกับดังมาจากที่ไกลแสนไกล ราวกับว่ามันส่งผ่านกำแพงหนา “ไม่ต้องห่วง ข้ายังอยู่ดี แล้วเดี๋ยวข้าให้อาหารเจ้าตอนเช้า” ฉินมู่ร้องกลับไป
“ได้เลย” กิเลนมังกรรับคำในคอ จากนั้นก็โต้แย้ง “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องอาหาร แต่กังวลความปลอดภัยของจ้าวลัทธิต่างหาก แต่ในเมื่อจ้าวลัทธิสบายดี เช่นนั้นข้าก็จะได้นอนหลับ จ้าวลัทธิ เมื่อท่านเล่นเสร็จแล้วก็กลับมานะ พรุ่งนี้ยังต้องรอนแรมอีกยาวไกล”
ฉินมู่ศึกษาบริเวณรอบๆ อีกสักพัก แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าสสารมืดพวกนี้คืออะไร ในตอนนั้นเอง ขณะที่เขากำลังจะกลับไป เขาก็เห็นสัตว์ประหลาด
เสียงกระซิบดังมาจากรอบข้างเขา มันมีสัตว์ประหลาดมากมายซุ่มซ่อนอยู่ในความมืด เงาของก้อนหินและในป่าจ้องมองมายังเขาอย่างเงียบเชียบ เสียงแกรกกรากแว่วมาเป็นระยะๆ เมื่อเงาดำเคลื่อนไหวไปรอบๆ ราวกับภูตผี กระโดดจากกองความมืดหนึ่งไปยังอีกกองหนึ่งด้วยความเร็วสูง ฉินมู่พบว่ายากที่จะมองเห็นการเคลื่อนไหวของพวกมัน ต่อให้เขาใช้เนตรเทวะของตนก็ตาม
ทันใดนั้น เขาก็เห็นเงาจริงๆ เงาหนึ่งเดินดุ่มมาท่ามกลางความมืด
รูปร่างนั้นดูเหมือนจะอยู่ระหว่างความว่างเปล่าและความเป็นจริง และมันไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นมนุษย์!
นั่นคือเงาของมนุษย์!
ทำไมถึงมีผู้คนอยู่ในความมืด
ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง และเขารีบวิ่งพุ่งเข้าไป นอกจากเขาแล้ว บุคคลอื่นที่สามารถเดินไปในความมืดได้ก็คือตัวตนอันมีกำลังฝีมือเทียบเท่าเทพเจ้า อย่างเช่น ผู้ใหญ่บ้าน ซิงอ้าน หรืออาจจะเป็นของบางสิ่งที่สามารถปลดปล่อยแสงเทวะออกมา เช่นหีบของซิงอ้านอันทำมาจากกระดูกและผืนหนังเทวะของเต๋าตี้
เมื่อพวกเขาเข้าไปในความมืด พวกเขาก็จะเปล่งแสงเทวะออกมาและขับไล่ความมืดให้ถอยห่าง
แต่เงาในความมืดนี้มิได้ขับไล่ความมืดออกไป พวกมันเหมือนกับฉินมู่ หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้น เงาพวกนี้ดูเหมือนจะก่อขึ้นมาจากความมืด!
ฉินมู่วิ่งตามเงานั้นไป อันดูเหมือนกับว่าก็กำลังสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับเขาเช่นกัน มันหยุดเดินและดูเหมือนจะรอให้เขามาใกล้
ฉินมู่พุ่งเข้าไปและเพ่งพิศดูเงามืดตรงหน้าเขาอย่างสนอกสนใจ มันมีเปียถักสองข้างห้อยออกมาจากไหล่ ขณะที่มันก็กำลังเพ่งพิศเขาเช่นกัน
ตรงหน้าเขาคือเด็กสาวคนหนึ่ง แม้ว่าเขาจะเห็นแค่เงาร่างของนาง เขาก็คาดเดาได้ว่านางยังเยาว์อยู่
นางยื่นฝ่ามือออกมา ราวกับทดลองจะแตะเขาดู และฉินมู่ก็ยื่นมือออกไปเช่นกัน หากแต่ว่า ฝ่ามือของพวกเขาผ่านทะลุของแต่ละฝ่ายราวกับว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น
เด็กสาวในเงาดูจะตื่นตะลึงและกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ทว่าถ้อยคำของนางเป็นเพียงเสียงกระซิบไม่ได้ศัพท์ที่แว่วมาใกล้ๆ หูฉินมู่
แปลกจริง! ฉินมู่ฉงนและเกาหัวแกรกๆ
“เจ้าได้ยินที่ข้าพูดไหม”
เด็กสาวผู้นั้นดูจะไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไร เสียงของพวกเขาถูกบิดเบี้ยวไปด้วยพลานุภาพอันแปลกประหลาด ทันใดนั้น เด็กสาวก็นั่งยองๆ ลง เปียของนางกระดอนขึ้นมาจากการเคลื่อนไหว นางยื่นมือออกมาและเขียนอะไรบางอย่างบนพื้น
ฉินมู่ก้มลงมา แต่เขาเห็นเพียงแต่แสงสีดำที่ไหลรินอยู่ข้างล่าง ไม่มีอะไรปรากฏขีดเขียนอยู่บนพื้น
เขาเองก็เขียนประโยคหนึ่ง แต่สาวในเงาส่ายหัวของนาง แสดงสัญญาณว่านางก็มองไม่เห็นสิ่งที่เขาเขียนเช่นกัน
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของฉินมู่ เขาดึงกระบี่ออกมา ร่ายรำกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ แต่เด็กสาวก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง แสดงว่านางไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอะไร
ฉินมู่นึกอะไรไม่ออกอีก
ทันใดนั้น เด็กสาวเงาดำก็วิ่งไปข้างหน้า และหยุดหลังจากวิ่งไปได้สองสามก้าวเพื่อกวักมือเรียกเขา
ฉินมู่ตามนางไป และทั้งสองคนก็วิ่งไปสักพักหนึ่ง ผ่านไปครู่ เด็กสาวเงาดำก็หยุด แต่ฉินมู่หยุดไม่อยู่และพุ่งทะลุผ่านตัวนางไป การเคลื่อนไหวของเขาผลักเขาไปยังหน้าผาชะโงกอันสูงกว่าหมื่นห้าพันวา
เด็กสาวพยายามจะจับมือเขา แต่นางจับมือเขาไว้ไม่ได้ โชคดีที่ว่า ฉินมู่ตั้งตัวทันและไม่ไถลตกจากหน้าผา
เด็กสาวชี้ไปข้างหน้า และหัวใจของฉินมู่สั่นสะท้านอย่างรุนแรงจากภาพที่เห็น ข้างใต้เงื้อมผานั้นคือเมืองอันยิ่งใหญ่อลังการ อันให้ความรู้สึกต่างดินแดนแก่เขา ฉินมู่ไม่เคยเห็นสิ่งก่อสร้างอันกว้างใหญ่ไพศาลและตระการตาขนาดนี้มาก่อนในแดนโบราณวินาศ!
แปลกมาก เมืองนี้ไม่มีอยู่ในแดนโบราณวินาศ หรือว่ามันจะเป็นแดนมืดที่ซ้อนทับกับแดนโบราณวินาศจริงๆ
ฉินมู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย หากว่าสสารมือสามารถไหลไปมาระหว่างซากโบราณแห่งจักรพรรดิสูงส่งและซากโบราณแห่งจักรพรรดิก่อตั้งได้ หรือว่าแดนมืดนี้ก็อาจจะมีอยู่ในซากโบราณแห่งจักรพรรดิสูงส่งเช่นกัน
เขาจะสามารถขัดขวางโลกทั้งโลกเอาไว้ด้วยการอุดปิดรอยแยกในหน้าผาขาดได้หรือ
ความมืดแห่งแดนโบราณวินาศซับซ้อนยิ่งกว่าที่ข้าคิดมากนัก ข้าเกรงว่า คงไม่สามารถอุดกั้นมันเอาไว้ได้…
ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น สาวเงาก็กระโดดลงไปจากหน้าผา นางวิ่งตะบึงในแนวตั้งลงจากอากาศราวกับว่านางกำลังเดินบนพื้นราบ พลางเคลื่อนที่ลงไปยังเมืองข้างล่าง
ฉินมู่ก็กระโดดไปราวเหินบินและตามติดรอยเท้านางไป สักพักหนึ่ง ทั้งคู่ก็มาถึงเมืองใหญ่ และฉินมู่มองไปรอบๆ สถานที่รอบตัวเขานั้นรุ่งเรืองเป็นอย่างนิ่ง มีผู้คนมากมายเดินขวักไขว่ ทว่าในสายตาเขา พวกเขาเหล่านั้นเหมือนกับก้อนเงา
หากว่าเปลี่ยนพวกเขาเป็นมนุษย์ปกติ นี่ก็คงจะเป็นเมืองอันรุ่งโรจน์อันสุดขีด
เขายังเห็นเทพและมารในความมืด อันยืนอยู่บนสิ่งก่อสร้างสูงและมองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง
ฉินมู่ตกตะลึง เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
เขาเคยเห็นภาพเช่นนี้มาก่อน
ในเมืองร้อยมั่งคั่งจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เทพและมารก็ยืนอยู่บนป้อมปราการมองระวังภัยไปรอบๆ เช่นนี้ แต่ทว่า เทพและมารในห้วงเวลานั้นเฝ้าระวังภัยจากความมืดนอกเมือง!
ถ้าเช่นนั้น เมืองในความมืดนี้กำลังระวังป้องกันอะไร
เด็กสาวเงานำฉินมู่เดินไปรอบๆ เมือง และเงาดำทุกเงาบนถนนก็เหลียวมองดูพวกเขา ในสายตาของคนพวกนั้น รูปลักษณ์ของฉินมู่คงจะประหลาดพิลึกมาก ในเมื่อพวกเขาอดไม่ได้ที่จะมองตามหลังเขาอย่างเนิ่นนาน
ทั้งสองคนผ่านตรอกซอกซอยมากมาย ก่อนที่จะมาถึงคฤหาสน์อันก่อสร้างด้วยรูปทรงอันเหนือธรรมดา ที่นั่น มีเงาร่างสูงตระหง่านค่อยๆ ลุกขึ้นและกางแขนทั้งสี่ออกมาเพื่อปกป้องสิ่งปลูกสร้าง การมาถึงของฉินมู่ดูเหมือนจะทำให้เทพเจ้าแตกตื่นและลุกขึ้นมาปกป้องสถานที่แห่งนี้
เด็กสาวเงากระโดดขึ้นไปบนฝ่ามือเทพตนนั้น นางกระโดดไปมารอบๆ ราวกับว่ากำลังเหินบินจนกระทั่งนางขึ้นมาถึงบ่าของเทพเจ้าและกล่าวบางอย่างกับเขา
เทพเจ้านั้นก้มหัวลงมาและเพ่งพิศดูฉินมู่ เขาอ้าปากเปล่งวาจา แต่คำพูดของเขาเป็นเพียงเสียงระงมไม่ได้ศัพท์ เขาไม่เข้าใจความหมายเลยสักคำ
ผ่านไปสักพัก เทพเจ้าก็ลดฝ่ามือลงมา และบุ้ยใบ้ให้ฉินมู่ขึ้นไปยืนบนนั้น ฉินมู่ลังเลอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเขาก้าวขึ้นไป เขากลับเหยียบไม่โดนอะไรเลย เขาเกือบจะร่วงตกเมื่อพยายามทำเช่นนั้น เขาจึงรีบขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อลอยขึ้นไปเหนือฝ่ามือ
เทพนี้ตื่นตระหนก และเขายกมืออีกข้างขึ้นมาลองจิ้มฉินมู่ดู นิ้วของเขาผ่านทะลุร่างราวกับว่ามีแต่ความว่างเปล่า
เทพเงามืดเกาหัวแกรก ไม่รู้ว่านี่คือปรากฏการณ์อะไร
นี่แปลกเกินไปแล้ว ฉินมู่สะท้านใจอย่างแรง ขนาดเทพเจ้าผู้มากฤทธิ์ก็ยังไม่อาจแตะต้องโดนข้า!
ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็พลันปั่นป่วนอึงอล และเทพมืดก็วางเด็กสาวเงาลงไป เขารีบเหาะขึ้นบนท้องฟ้า และพุ่งทะยานไปยังประตูเมือง
ฉินมู่รีบตามเด็กสาวเงาไปยังที่สูง ห้วงอวกาศข้างนอกเมืองสั่นสะเทือน เมื่อพลันมีหลุมดำปรากฏขึ้นมา เทพและมารอันหน้าตาน่าสยองปีนไต่ออกมาจากในนั้น นำพาไพร่พลจำนวนนับไม่ถ้วนกรูเข้ามายังนครอันยิ่งใหญ่ไพศาล
การศึกขนาดมหึมาปะทุขึ้น
ไม่นานนัก เมืองก็ถูกรุกราน และมารจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าผ่านถนนต่างๆ อันทุกๆ คนก็ต่อสู้
ฉินมู่ตามเด็กสาวเงาไปซ่อน ขณะเมืองตกอยู่ในความโกลาหล ทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณพวยพุ่งออกไปด้วยพลานุภาพอันระเบิดกระจายไปทั่ว บ้านเรือนและราชวังมากมายพังย่อยยับ
มันเป็นราตรีอันยาวนานจนกระทั่งเสียงไก่ขันแว่วผ่านอากาศ หัวใจของฉินมู่สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงในห้วงเวลานั้น ความมืดไหลบ่าไปพร้อมกับเมือง มารเทวะก็ถอยกลับไปอย่างบ้าคลั่งพร้อมๆ กับสัตว์ประหลาดทั้งหลาย หายเข้าในรูห้วงมิติอันสาบสูญไปโดยไร้ร่องรอย
ร่างของฉินมู่โงนเงนไปมาจากมวลมืดที่เคลื่อนไป เขากำลังจะคว้าจับเด็กสาวเงาข้างๆ เขาแต่นางก็หายวับไปพร้อมๆ กับมหานคร!
แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาและให้แสงสว่างแก่บริเวณโดยรอบ ฉินมู่มองไปและเห็นขุนเขาสูงตระหง่านและหน้าผาชัน อันปราศจากวี่แววของเมืองใหญ่ที่ดำรงอยู่ในสถานที่แห่งนี้
“จ้าวลัทธิ! จ้าวลัทธิ!”
กิเลนมังกรร้องมาจากที่ไกลๆ ฉินมู่มองตรงไปยังที่มาของเสียงและเห็นซากโบราณอันพวกเขาเข้าพำนักเมื่อวานนี้ กิเลนมังกรคาบอ่างของเขามาพลางวิ่งตะบึงมาวางอ่างลงตรงหน้า เขากระดิกหางไปมาและกล่าวกลั้วหัวเราะ “จ้าวลัทธิ ได้เวลาอาหารแล้ว ท่านก็รู้ว่านี่เริ่มจะสายล่ะ…”
ฉินมู่มองไปรอบๆ รู้สึกราวกับว่าเหตุการณ์เมื่อคืนนี้เป็นเพียงความฝัน
แดนโบราณวินาศช่างประหลาดพิสดาร เมื่อคืนนี้ข้าได้เข้าไปในโลกอื่นจริงๆ น่ะหรือ
…………………
ซิงอ้านลืมตาขึ้นมาเพื่อมองไปรอบๆ ร่างกายเขายังคงมีชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ นานางอกเงยออกมาอยู่ ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนปลาหมึกยักษ์เกาะอยู่ที่หลังของเขา หนวดของมันแข็งแรงและม้วนพันรัดเขาไว้แน่นพลางบีบเข้าอย่างไม่หยุดหย่อน
เขาหมดสติไปจากการบีบรัดของสัตว์ประหลาดนี้
“ใครกำลังพูด” เขาถามอย่างอ่อนแรง
“มนุษย์จากโลกแห่งคนเป็น สิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจ ซิงอ้าน หลังจากที่ตกมาถึงสภาพนี้แล้ว เจ้ายังอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็นอีกไหม”
เจ้าของเสียงวนอ้อมไปรอบๆ ตัวเขา บางครั้งคำพูดก็ดังมาจากทางซ้าย บางครั้งก็มาจากทางขวา บางครั้งมาจากข้างบน และบางครั้งก็มาจากข้างล่าง มันดูเหมือนกับมัจฉาที่แหวกว่ายไปในความมืด
“เจ้าคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี แต่กระนั้นก็ยังต้องตกในสภาพเช่นนี้ นี่ทำให้ข้าต้องถอนหายใจด้วยความเสียดายจริงๆ เจ้าจะพบหน้าผู้คนในโลกหล้าด้วยสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร”
แขนขาของซิงอ้านถูกสัตว์ประหลาดรัดพันเอาไว้และเขามิอาจขยับได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่หายใจเท่านั้น ก่อนหน้านี้ เขาได้ถูกทรมานอย่างเกินจินตนาการและทุกข์ทุรนมากที่สุดเท่าที่เคยพบในชีวิต เขาไม่เคยน่าอนาถและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ขนาดนี้มาก่อน
ทว่าในบัดนี้ เขาก็ยังไม่อาจคลายใจได้อยู่ดีเมื่อเขาอยู่ในแดนใต้พิภพ
หลังจากที่เขากระโดดลงไปในแม่น้ำเขาถึงพบว่าเขาได้หล่นลงมาที่ไหน นั่นคือสถานที่อันคนตายจ่อมจมลงไป
เขาสิ้นหวัง แดนใต้พิภพคือสถานที่ที่ภูติบดีปกครอง และเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครรอดชีวิตมาได้หลังจากเข้าไปในแดนใต้พิภพ
เขาได้บุกเข้าไปในยมโลกและบัดนี้ก็บุกเข้าไปในแดนใต้พิภพ ทำไมสวรรค์ถึงทำร้ายเขาซ้ำๆ ซากๆ
“เจ้าคือตัวอะไรกันแน่ ทำไมถึงมาเย้ยหยันข้า”
ซิงอ้านระบายลมหายใจสะท้าน เขาอยากที่จะดิ้นรนออกจากการรัดพันของสัตว์ประหลาด แต่ไม่อาจรีดเร้นพลังงานใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาสามารถหลุดออกมาได้ ชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆ ก็จะกระด้างกระเดื่องและทุบตีเขา ด่าทอเขา
เขาไม่มีพละกำลังหลบหนีไปจากสัตว์ประหลาด ต่อให้เขาหลุดเป็นอิสระจากชิ้นส่วนร่างกายบนเนื้อตนของตนได้ อายุขัยของเขาก็ไม่ยาวนาน และหากว่ามันมาถึงจุดจบ เขาก็คงจะตายในแดนใต้พิภพ
“ชื่อของข้าคือลู่หลี” เสียงนั้นกล่าว ไม่ขยับเคลื่อนที่อีกต่อไป “เสวียนหมิงคือซ้าย หานเหลยคือขวา ลู่หลีคือข้างหน้า และเจว้หวงคือข้างหลัง”
ซิงอ้านหอบหายใจ “ลู่หลี? เจ้าถามข้าว่าข้าอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็นใช่หรือไม่ ข้าอยากกลับไปโลกแห่งคนเป็น!”
“เจ้าไม่รู้ความหมายของบทกวีนี้หรอกหรือ” น้ำเสียงของมันดูค่อนข้างผิดหวังพลางถอนหายใจ “ยอดฝีมือขั้นสุดแห่งโลกแห่งคนเป็นนี่ช่างโง่เขลาไร้ความรู้เสียเหลือเกิน ถึงกับไม่รู้จักเสวียนหมิง หานเหลย ลู่หลี และเจว้หวง พวกเจ้าตกต่ำขนาดนี้เชียว? เอาเถอะ ข้าจะไม่รังแกความโง่เขลาของเจ้า ข้าสามารถทำให้เจ้ากลับไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ ทั้งยังแก้ไขอันตรายของร่างเนื้อเจ้าอีกด้วย ข้ายังสามารถลบบันทึกความตายของเจ้า และทำให้เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะตายจากความชรา”
ซิงอ้านสีหน้าผ่อนคลายลง และเขาถาม “ข้าต้องทำอะไร”
“คุยกับคนฉลาดช่างน่ารื่นรมย์” ลู่หลีกล่าว “เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีเด็กคนหนึ่งถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และดูซับปราณแห่งแดนใต้พิภพ ก่อนที่จะถูกนำตัวจากไป เขานั้นถูกส่งออกไปจากที่นี่ และข้าต้องการให้เจ้าส่งเขากลับมา ร่างเนื้อของข้าแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นข้าจึงไม่อาจผ่านม่านคุ้มกันระหว่างแดนใต้พิภพและโลกแห่งคนเป็นได้ ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเดินทางไปที่นั่นและทำงานให้ข้า!”
“ข้าจะหาเด็กคนนั้นได้อย่างไร” ซิงอ้านถาม
“ง่ายมาก เขามีจี้หยกอยู่อันหนึ่ง บนจี้มีอักษรรูนอันเป็นเอกลักษณ์อยู่ ทั้งยังมีคำว่าฉินสลักอยู่บนนั้น ดังนั้นเจ้าจะจดจำมันได้ทันทีที่เห็นมัน” ลู่หลีอธิบาย “ตอนนี้เขาน่าจะอายุสิบเจ็ดปี เกือบจะสิบแปด ข้าได้เขียนข้อมูลการเกิดของเขาและรูปร่างของจี้หยก เขาเกิดขึ้นในวันที่แปดเดือนจันทรคติที่สิบสอง ปีแรกแห่งรอบหกสิบปี เดือนสุริยคติที่สิบสอง เวลาเที่ยงคืน”
ภาพโบยบินออกมา และสัตว์ประหลาดแปดหนวดที่รัดพันซิงอ้านอยู่พลันละออกไป หายลับในความมืด
ในเวลาเดียวกันนั้น ชิ้นส่วนอวัยวะบนร่างกายของซิงอ้านก็เริ่มเน่าเปื่อย และศีรษะ แขน ขา และร่างมากมายก็ร่วงหลุดออกไป ซิงอ้านสะท้านหัวใจอย่างรุนแรง เมื่อเขาพบว่าร่างกายของเขากลายเป็นของเขาอีกครั้ง เขารีบยื่นมือคว้าภาพวาด
เสียงของลู่หลีดังข้างๆ หูเขาในตอนนั้น “ตามหาเด็กคนนี้ เจ้าจะจับเป็นหรือจับตายก็ได้ แต่ไม่อาจทำให้ดวงวิญญาณของเขาแตกสลายเป็นอันขาด ข้าต้องการให้เจ้าส่งดวงวิญญาณที่ครบสมบูรณ์ของเขามายังแดนใต้พิภพ! ถ้าเขาเสียหายแม้แต่เส้นผมเดียว เจ้าจะต้องตายอย่างน่าอนาถ!”
เมื่อมันกล่าวคำสุดท้าย แขนขาก็พลันงอกเงยขึ้นมาจากร่างของซิงอ้าน
เสียงหัวเราะคิกคักของลู่หลีลอยไปมารอบๆ ขณะที่ร่างกายของซิงอ้านกลับมาเป็นปกติ เหงื่อเย็นเยียบผุดออกมาจากหน้าผากของเขา
“ข้าจะให้กระจกเจ้าไปบานหนึ่ง หลังจากที่เจ้าหาตัวเขาพบ เจ้าสามารถใช้กระจกนี้เพื่อยืนยันตัวตนของเขา” กระจกบานหนึ่งพลันปรากฏออกมาความมืดและร่วงลงไปในมือซิงอ้าน ลู่หลีกล่าวแกมหัวเราะ “กระจกนี้สามารถสะท้อนตัวตนของเขาได้ แต่เจ้าจะต้องไม่ส่องกระจกไปที่เขาตอนที่เจ้าหันหน้าไปหาเขา เจ้าเข้าใจไหม”
“ต้องไม่ส่องกระจกไปที่เขาตอนที่ข้าหันหน้าไปหาเขา?” ซิงอ้านจ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังวัตถุที่ลอยอยู่ตรงหน้า ในเมื่อเขาไม่รู้ว่าสิ่งประหลาดที่กำลังสนทนากับเขาอยู่หมายความว่าอย่างไร
“ใช่แล้ว ตอนที่เจ้าใช้กระจกส่องสำรวจเขา เจ้าจะต้องหันหลังให้กับเขา!” น้ำเสียงของลู่หลีกลายเป็นเฉียบขาด “จำเอาไว้ เมื่อหันหน้าเข้าหาเขา เจ้าส่องกระจกไปที่เขาไม่ได้โดยเด็ดขาด! เจ้าจะต้องไปหันหน้าไปมองเขา!”
“ข้าเข้าใจแล้ว! ไม่ต้องย้ำหลายครั้งหรอก แค่เรื่องเล็กๆ….”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน!” ลู่หลียิ้มหยัน “หากว่าเจ้าส่องกระจกไปที่เขาระหว่างที่หันหน้าไปทางเขา เจ้าจะสร้างปัญหาใหญ่ ปัญหาใหญ่มากๆ! ข้าสามารถยืดอายุขัยเจ้าได้สามสิบปี ดังนั้นเจ้ามีเวลาสามสิบปีที่จะทำเรื่องนี้ให้แก่ข้า เจ้าไปได้แล้ว!”
“ช้าก่อน!” ซิงอ้านแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “พวกเรายังไม่ได้พบหน้ากันสักครั้ง แต่ในเมื่อกระจกนี้สามารถส่องมองผู้คนได้ มันก็น่าจะสะท้อนภาพของเจ้าได้เช่นกัน ใช่หรือไม่” เขาพลิกกระจก และส่องมันไปข้างหลังเขา
“เจ้า…”
เขาจ้องมองไปที่กระจกและเห็นเงาสะท้อนของสตรีโฉมงามไร้ผู้ทัดเทียม เสียงของลู่หลีเป็นของบุรุษ แต่กระจกกลับส่องออกมาเป็นภาของสตรี!
สาวงามผู้นั้นดีดนิ้ว และซิงอ้านก็หมุนปั่นติ้วๆ ราวกับว่าเขาร่วงหล่นลงไปในวังน้ำวนยักษ์ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ตระหนักว่ากำลังอยู่บนก้อนหินยาวใต้ต้นสนโบราณราวกับว่าเขาได้ผล็อยหลับและใช้เวลาค่ำคืนอยู่กลางแจ้งนี้
บริเวณโดยรอบมีเสียงนกร้องและมวลดอกไม้หอมกรุ่น เช่นเดียวกับบ่อน้ำพุและน้ำตก และยังมีฝูงลิงจำนวนหนึ่งแกว่งโยนตัวเองไปมาระหว่างพงไพร ก่อนที่จะหยุดเพื่อเด็ดกล้วย พวกมันปอกเปลือกกล้วยและกินอย่างเอร็ดอร่อยพลางมองมาที่เขาด้วยความระแวดระวัง
ด้วยความตกตะลึง ซิงอ้านมองไปรอบๆ ตอนนี้ทำไมเขาถึงไม่ได้อยู่ที่หน้าผาขาดแห่งแดนโบราณวินาศล่ะ ตรงหน้าเขามีมหาสมุทรอยู่!
“ที่นี่คือที่ไหน” เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ที่นี่คือทะเลใต้” ลิงนั้นปาเปลือกกล้วยมาโดนหัวของเขา
“ทะเลใต้?”
ซิงอ้านลุกขึ้นทันที ด้วยความงุนงง ตอนนี้เขาอยู่ที่อาณาเขตทางใต้สุดแห่งแดนโบราณวินาศอันอยู่ห่างจากจุดที่เขาเข้าไปในยมโลกถึงสามหมื่นสี่หมื่นลี้!
“เจ้าคือสัตว์พิสดารในแดนโบราณวินาศ แต่สามารถพูดได้ ดูท่าเจ้าจะเป็นพันธุ์ผสมประหลาดๆ ที่ปลุกสติปัญญาขึ้นมา”
ซิงอ้านหยิบเปลือกกล้วยขึ้นมา ดีดมันออกไป “เห็นแก่ที่เจ้าชี้ตำแหน่งสถานที่ให้กับข้า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่โทษทัณฑ์เล็กน้อยยังต้องมี”
ลิงนั้นกระโดดขึ้น และเมื่อมันเหยียบลงมา เปลือกกล้วยก็ปรากฏใต้เท้าของมัน ทำให้มันลื่นล้ม ลิงนี้โมโหเดือด แต่เมื่อมันปีนขึ้นมา หมายที่จะแก้แค้นซิงอ้าน อีกฝ่ายก็หายสาบสูญไปแล้ว
“ใจแคบจริงๆ!” ลิงรู้สึกคั่งแค้นและกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้อีกต้น ทว่าด้วยความประหลาดใจ ที่มันคว้าจับได้กลับเป็นเปลือกกล้วย ทำให้มันร่วงตึงลงมาจากต้นไม้
เปลือกกล้วยดูเหมือนว่าจะตามติดลิงตัวนี้ไปตลอด ตราบใดที่มันกระโดดขึ้น เปลือกกล้วยก็จะลอยไปที่มือหรือเท้าของมัน ทำให้มันลื่นและร่วงอย่างหมดท่า
ลิงเดือดดาล คว้าหินมาทุบเปลือกกล้วยจนแหลกละเอียด
ในตอนนั้น ซิงอ้านก็จากไปแล้วและพึมพำ “แม้ว่าลู่หลีจะไม่ธรรมดา แต่นางก็ไม่อาจเข้าในโลกแห่งคนเป็น ข้า ซิงอ้าน จะถูกนางชักใยบงการได้หรือ นางให้อายุขัยข้ามาสามสิบปี และคิดจะควบคุมข้าด้วยของเพียงเท่านั้น? ไม่ง่ายนักหรอก! หมอเทวดาฉินกล่าวว่าเขาได้คิดค้นตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ และเผยแพร่มันไปในวงกว้าง ข้าจะไปที่สันตินิรันดร์ และด้วยปฏิภาณกับพรสวรรค์ของข้า ข้าก็จะสามารถกลายเป็นเทพเจ้าได้ภายในปีสองปี และหลุดพ้นจากการควบคุมของนาง!”
ทันใดนั้น เสียงของลู่หลีก็ดังมาข้างหูเขา “วายร้าย ข้าจะหักอายุขัยเจ้าออกไปสิบห้าปี”
ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรงและหันไปมองดูรอบๆ ทว่าไม่อาจพบร่องรอยของลู่หลี
นี่คือโลกคนเป็น และนางไม่สามารถมาที่นี่ได้! ข้าจะต้องหลอนไปเองแน่!
ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขาก็พลันสำเหนียกขึ้นมา และรีบเปิดสมบัติเทวะเป็นตายของตน เขาพบว่ามันเชื่อมต่อกับแดนใต้พิภพอันมืดมนและขมุกขมัว ดวงตาคู่หนึ่งวาววามอยู่ในความมืดนั้น จับจ้องมาที่เขา
ซิงอ้านเลือดในกายเย็นเฉียบ เขารู้แล้วว่าเขาไม่อาจหลุดพ้นไปได้ ต่อให้เขากลายเป็นเทพเจ้า ก็ยากที่จะหลุดเงื้อมมือของสตรีนางนี้อยู่ดี!
บุคคลที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพคือใครกัน
ซิงอ้านขมวดคิ้ว มีผู้คนมากมายที่อายุสิบเจ็ดปี ดังนั้นเขาจะไปเสาะหาคนผู้นี้ได้ที่ไหน
…
“มังกรอ้วน เร็วเข้า ท้องฟ้าจะมืดแล้ว!” ฉินมู่เร่งเร้า “พวกเราจะต้องหาซากโบราณหรือหมู่บ้านก่อนกลางคืนจะมาถึง!”
ความมืดท่วมท้นมาจากทิศตะวันตกขณะที่ฉินมู่นำกิเลนมังกรและหีบวิ่งเข้าไปในซากโบราณอันเต็มไปด้วยสัตว์พิสดารแห่งแดนโบราณวินาศ พวกมันล้วนแต่อยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข
หีบขุดเอาหลักจารึกหินแตกหักขึ้นมาจากใต้ดินและหมายจะงาบมันเข้าไปในท้อง แต่หลักจารึกนั้นใหญ่เกินไปมันจึงยัดไม่เข้า
ฉินมู่ก้าวเข้าไปและปัดฝุ่นออกจากหลักจารึกแตกหัก แล้วอ่าน–สวรรค์พิสุทธิ์แสงมืดแห่งเทพมารดรเจ็ดดาว นี่คือสภาสวรรค์ของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง สถานที่อันเทพมารดรเจ็ดดาวพำนักอยู่งั้นหรือ เทพมารดรเจ็ดดาวนี้น่าจะเป็นเทพนารีที่แข็งแกร่งตนหนึ่ง แต่น่าเสียดายว่าขนาดสถานที่เช่นนี้ก็ยังกลายเป็นซากปรักหักพัง…
เขาลุกขึ้นยืนและไปยังที่ทางเข้าตำหนักของเทพมารดรเจ็ดดาว และมองเข้าไปยังความมืดภายในนั้น
ความมืดดูเหมือนจะถูกขวางกั้นไว้โดยม่านแสงที่ทางเข้าตำหนัก มันแบ่งแยกชัดเจนระหว่างแสงและมืด
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นหัวแม่มือออกไป เล็บของเขาเข้าใกล้ความมืดเข้าไปทุกที
“จ้าวลัทธิ อย่าตายนะ–”
กิเลนมังกรกระโจนเข้าไป และกัดขาเขาเพื่อลากเขากลับมา ทำให้เขาถูกลากคลุกฝุ่นเต็มไปหมด และฉินมู่ก็ลุกขึ้นมาอัดกิเลนมังกรให้น่วมเมื่อเขาลุกขึ้นมาได้
โฮกกก!
ในซากโบราณพลันปั่นป่วนวุ่นวาย สัตว์พิสดารและสัตว์ร้ายระดับจ้าวครองแคว้นหลายตัวโกรธเกรี้ยว และพวกมันร้องคำรามพร้อมๆ กันพลางเดินรุกคืบเข้ามาหาฉินมู่
หน้าผากของเขาแตกเหงื่อออกมา และเขาค่อยๆ ถอยหลัง เขามองไปยังสัตว์พิสดารนับพันที่กำลังเข้าใกล้เขาและพยายามอธิบาย “ทุกคนฟังข้านะ ข้าไม่ได้ตั้งใจละเมิดกติกาของแดนโบราณวินาศ เป็นเจ้ามังกรอ้วนต่างหากที่ทำข้าก่อน…”
เขาถอยไปที่ประตูและหลังชนเสาหินต้นหนึ่ง สัตว์พิสดารบางตนก็ทุบอกปึ้กๆ บางตนก็ขู่คำรามในคอ และบางตนก็แยกเขี้ยว บ้างก็ลับเล็บของพวกมัน และบ้างก็เตรียมทักษะเทวะ พร้อมที่จะสังหารไอ้เจ้าคนละเมิดกติกาแดนโบราณวินาศ
ฉินมู่กัดฟันกรอด และพลันหันหลัง เขาถลันไปหนึ่งช่วงหัว และศีรษะของเขาก็ดันเข้าไปในความมืด
สัตว์พิสดารเกือบทั้งหมดตกตะลึง กิเลนมังกรร้องโหยหวนและรีบงับขากางเกงของฉินมู่เพื่อดึงเขากลับมา สัตว์พิสดารตัวอื่นๆ ปิดหน้าของพวกมันเมื่อพวกมันรู้ว่าโครงกระดูกอันไร้เลือดเนื้อจะถูกดึงออกมาจากในนั้น ไม่ว่าจะทั้งหัวถูกตัดไปจนเกลี้ยง หรือไม่ก็เละเป็นเลือด!
“มังกรอ้วน ไปไกลๆ” ฉินมู่เตะทีหนึ่ง และสัตว์พิสดารทุกตัวก็ขนลุกซู่เต็มเหยียด โลหิตของพวกมันเย็นเฉียบ!
“ศะ-ศะ-ศพ…” สัตว์พิสดารจ้าวครองแคว้นตนหนึ่งตะกุกตะกัก และเสียงของเขาก็สูงขึ้นเป็นตะโกน “ศพขยับได้!”
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่ก็เข้าไปในความมืดในผลุบเดียว ไม่ทันที่สัตว์พิสดารทั้งหลายจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ศีรษะหนึ่งก็ผลุบกลับเข้ามาจากในความมืด
ตึง!
สัตว์พิสดารตนหนึ่งล้มคว่ำ เป็นลมไปจากความตกใจ
…………………
ฉินมู่ตื่นตะลึง เขาหันไปมองฉือซิ่ว แต่เทพตนนั้นหดหัวเข้าไปในขนนกของตนเอง เสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรสักนิด
การที่ฉือซิ่วเป็นผู้ใต้บัญชาคนสนิทของท้าวยมราช ชื่อเสียงของเขามิใช่ได้มาเพราะโชคช่วยจริงๆ เขานั้นมั่นคงเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่มองดูสภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช อันเป็นวิธีการที่ชาญฉลาดในการปกป้องตนเอง หากว่าเป็นบุคคลอื่น คนพวกนั้นก็อาจจะรีบเข้าไปในซากปรักหักพังเพื่อช่วยท้าวยมราชออกมา
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ไปช่วยท้าวยมราชนั่นก็แสดงได้ว่าตนจงรักภักดี แต่คนผู้นั้นก็จะได้ประจักษ์สภาพอันน่าสังเวชของท้าวยมราช ทำให้เกิดความเสียหายแก่ภาพลักษณ์อันทรงพลังและเปี่ยมปัญญา มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ในนั้น แต่ในเมื่อไม่มีใครรู้ว่าข้อดีหรือข้อเสียอันไหนมีน้ำหนักมากกว่ากัน วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเสแสร้งว่ามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น เพียงแค่โถงวังถล่มลงมามิอาจทำอันตรายแก่ท้าวยมราชได้ ดังนั้นจะดีที่สุดหากว่าไม่แสดงความจงรักภักดีด้วยการรี่เข้าไปช่วยเขา
ท้าวยมราชบอกว่าข้าสามารถเดินผ่านความมืดของแดนโบราณวินาศได้โดยไม่เป็นอันตราย นี่มันจริงหรือเปล่านะ
ฉินมู่ลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะว่าการเข้าไปในความมืดนั้นเกี่ยวพันถึงความเป็นตายของตนเอง หากว่ามันไม่จริง เมื่อเขาออกไปเขาก็จะต้องตาย ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทดลอง ตั้งแต่เมื่อยังเยาว์ เขาได้รับการสั่งสอนจากผู้เฒ่าทั้งหลายแห่งแดนโบราณวินาศว่าในความมืดมีสิ่งร้ายน่าสยดสยองอยู่มากเพียงใด และเขาจะต้องไม่เดินเข้าไปในนั้นไม่ว่ากรณีใดๆ ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่ฉินมู่เติบโตขึ้นมา เขาก็ได้ประจักษ์ความน่าสยดสยองของความมืด เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ความมืดจะไม่แตะต้องเขา
เขาได้บุกเข้าไปในความมืดหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกๆ ครั้งเขาก็พึ่งพิงสมบัติวิเศษหรือยอดฝีมือที่ราวกับเทพยดาให้ช่วยปกป้องเขาจากความมืด เขาได้ใช้หีบของซิงอ้าน การปกป้องของผู้ใหญ่บ้าน หรือการปกป้องของเทพครองแดนเลี้ยงมังกร เพื่อให้ตนเองไม่เป็นอันตราย
เขานั่นยังคงกริ่งเกรงการทดลองเข้าไปในความมืดโดยไม่มีสิ่งใดป้องกัน
“ไปกันเถอะ” ฉือซิ่วเร่งเขา “หลังจากส่งเจ้าออกไป ข้าจะได้พักสักที”
“เทพฉือซิ่ว ข้ายังคงต้องไปยังย่านพำนักของลัทธินักบุญสวรรค์เพื่อไปรับกิเลนมังกรและหีบ”
ฉือซิ่วจึงได้แต่นำเขาไปยังย่านพำนักของอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ประตูทั้งหมดถูกปิดลั่นดาลไว้สนิท และกิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เยาว์ทิ้งไว้นอกประตู เขานั้นกำลังกระดิกหางไปมาและพูดจาออดอ้อนปรมาจารย์ให้เปิดประตู
ปรมาจารย์เยาว์ไม่รับเขาไม่ว่าจะอย่างใด เพียงแต่ตะโกนมาจากข้างใน “ในการเดินทางของความเป็นและความตาย ข้าได้ตายไปแล้วส่วนเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นพวกเราอยู่ด้วยกันไม่ได้ ตามจ้าวลัทธิออกไปเสียเถอะ!”
กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าตะกุยประตูและร้องไห้ด้วยเสียงอันดัง
ปรมาจารย์เยาว์ก็สะอื้นอยู่ในคอขณะที่พยายามกลั้นน้ำตา เขาอยากจะเปิดประตู แต่เขากลัวว่าเจ้าหมอนี่จะเข้ามาถูไถเขาอีกครั้ง ดังนั้นจึงได้แต่ทำใจแข็ง
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกรมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “มังกรอ้วน ไม่ต้องเศร้าไปหรอก ปรมาจารย์ใช้ชีวิตที่นี่ดีอยู่แล้ว และพวกเราก็มีชีวิตเป็นๆ อยู่ข้างนอก พวกเราสามารถแวะมาหาเขาได้ตลอดในกาลข้างหน้า”
กิเลนมังกรเดินเข้ามา เมื่อเขาสัมผัสเข้ากับไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เลือดเนื้อก็งอกเงยขึ้นมาบนร่างกายของเขา ดวงอาทิตย์ใหญ่มหึมากำลังลอยสูงขึ้นกลางฟ้าในตอนนั้น และกลายเป็นใหญ่โตราวกับว่าจะร่วงตกลงมาใส่ได้ทุกขณะจิต
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมอง และเห็นว่าโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายบนดวงอาทิตย์สร้างขึ้นมาจากทองคำ เทพและมารหน้าโถงเหล่านั้นที่เห็นเงารูปอยู่รางๆ ยังคงรัวตีกลองอย่างดุเดือด พวกเขาใช้ไฟแท้หยางพิสุทธิ์เพื่อเคี่ยวกรำยมโลก
ดวงตะวันเข้ามาใกล้พวกเขาจนฉินมู่เริ่มระแวงว่าเทพและมารบนนั้นจะลงมือโจมตีเมื่อใดก็ตาม
“พวกเขาไม่กล้าโจมตีหรอก” เทพฉือซิ่วไซ้แต่งขนของตนเองอย่างใจเย็น ไม่อนาทรร้อนใจท่ามกลางความอลหม่าน “นี่คือยมโลก อันเป็นส่วนหนึ่งของแดนใต้พิภพ พวกเขาดูเหมือนจะใกล้ แต่อันที่จริงแล้วกลับอยู่ห่างไกล มันมีม่านคุ้มกันระหว่างโลกกั้นขวางพวกเราเอาไว้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อก่อนพวกเราก็ต่อสู้กันอยู่หลายครั้ง และพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อยู่เสมอ พวกเขาได้แต่ซ่อนตัวอยู่ในดวงอาทิตย์และตีกลองเท่านั้น”
ฉินมู่ฉงนเรื่องนี้ ดังนั้นเขาจึงถาม “ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้านี้แตกต่างจากดวงที่อยู่ในสันตินิรันดร์ เช่นนั้นดวงอาทิตย์นี้…”
“มันคือดวงอาทิตย์ของแดนโบราณวินาศ เป็นของจริง” เทพฉือซิ่วกล่าว “ดวงอาทิตย์ในสันตินิรันดร์เป็นของปลอม”
ฉินมู่นิ่งอึ้งไป ดวงอาทิตย์ตรงหน้าเขาน่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว โชคดีที่ว่าพวกเขาอาศัยอยู่ใต้ม่านปลอมของดวงตะวัน ดวงจันทร์ และดวงดาว มิเช่นนั้น หากผู้คนแห่งสันตินิรันดร์ได้มองเห็นดวงอาทิตย์อันน่าสยดสยองนี้ แม้แต่จักรพรรดิก็คงจะต้องเสียสติ
“ปรมาจารย์ ท่านมีเงินไหม” ฉินมู่ถามผ่านรอยแยกในประตู “เข้าแดนยมโลกต้องใช้เหรียญทองและข้ามีเพียงแค่สามเหรียญตอนที่มาที่นี่ ข้าต้องการเหรียญเอาไว้ขึ้นเรือ”
ปรมาจารย์ยัดเหรียญทองจำนวนหนึ่งผ่านช่องประตู “ข้าเพิ่งตายมา ดังนั้นจึงไม่มีเงินมาก เจ้าใช้มัธยัสถ์หน่อยนะ”
ฉินมู่รับคำและเดินไปเคาะประตูของจ้าวลัทธิคนอื่นๆ “สหายจ้าวลัทธิ หากว่าพวกท่านไม่ยอมจ่าย ข้าจะไม่ส่งเครื่องเซ่นมาและรื้อป้ายบูชาบรรพชนของท่านออก”
“เจ้าวายร้าย รังแกได้แม้แต่บรรพบุรุษเลยหรือ นี่มันก็แค่เรื่องเงินเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ เอาไปเสีย!”
ฉินมู่เคาะประตูทุกบานและรีดไถมาได้ราวๆ สองร้อยเหรียญยมโลก จากนั้นเขาก็ไปยังย่านพำนักของกษัตริย์มนุษย์และถามสัตว์พิสดารตรงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง “บรรพชนแรกกลับมาหรือยัง”
สัตว์พิสดารทั้งสองวิ่งเข้าไปในโถงและลากเต๋าตี้โยนออกมา “นายผู้เฒ่ายังไม่กลับ”
เต๋าตี้ร่วงลงกับพื้นและถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผาไหม้ ด้วยเสียงปังๆ ไม่กี่ครั้ง มันก็กลายร่างกลับเป็นหีบใหญ่ที่เดินตามกิเลนมังกรไปอย่างเชื่องเชื่อ
“จ้าวลัทธิฉิน ได้เวลาออกไปแล้ว!” ฉือซิ่วเร่งรัดเขา
“เทพฉือซิ่ว โปรดรอสักครู่”
ฉินมู่เดินไปยังบ้านของบรรพชนสองผู้ซึ่งเปิดประตูและไม่เดินออกมา ด้วยเขากังวลว่าจะถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์เผา “สองแขนเสื้อของข้ามีมีแต่ลมและอากาศ ข้าไม่มีเงินเลยสักนิด เลยได้แต่ไปกินฟรีที่บ้านอาจารย์”
ฉินมู่นำเหรียญทองยมโลกออกมาจำนวนหนึ่งและแย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าท่านมีนิสัยใจคออันสูงส่ง และบูรณภาพอันไม่ต้องสงสัย ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมอบเหรียญทองจำนวนหนึ่งให้ท่านใช้ประทังไปในช่วงเวลานี้ เมื่อข้ากลับไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ ข้าจะเผาเงินทองมาให้บรรพจารย์สักหน่อย”
บรรพชนสองลิงโลดยินดีและรีบรับเหรียญทองเหล่านั้นมา “เจ้านั้นกตัญญูกว่าซูน้อยนัก ซูน้อยยังไม่กลับมา เมื่อเขากลับมา พวกข้าจะต้องมีของให้เขาประหลาดใจ”
“บรรพชนสอง อย่าลืมบอกผู้ใหญ่บ้านว่าข้ามาที่นี่”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะบอกเขาแน่นอน!” บรรพชนสองพูดผ่านฟันที่ขบกันกรอดๆ
ฉินมู่ลังเลก่อนจะกล่าว “บรรพชนสอง ข้าขอยืมระหว่างเป็นตายของบรรพชนแรกได้หรือไม่ ข้าอยากที่จะทำธุรกิจ…”
บรรพชนสองฉงนใจ “เจ้าจะใช้ระหว่างเป็นตายไปทำธุรกิจได้อย่างไร”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “มีเทพและมารมากมายในยมโลกที่ไม่อาจไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ระหว่างเป็นตายเพื่อเป็นสะพานเชื่อมต่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะจากโลกแห่งคนเป็นเพื่อแลกเปลี่ยนกับพวกเขา ผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถรับเหรียญทองหรือเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะของเทพและมารเหล่านั้นได้ เพื่อเป็นค่าจ่ายสำหรับให้คนเป็นเหล่านั้นไปทำตามความหวังของเทพและมารให้สำเร็จ ข้าคิดว่านี่จะต้องเป็นกิจการใหญ่ได้อย่างแน่นอน! ข้าวางแผนที่จะกรุยถนนหนทางผ่านแดนโบราณวินาศ ดังนั้นข้าจึงต้องการเงินทองจำนวนหนึ่งเพื่อไปใช้อุดหนุน”
บรรพชนสองยังฉงนฉงาย และถาม “แล้วเงินทองจะมาจากที่ไหน”
“ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อใช้สอยระหว่างเป็นตาย และข้าก็จะได้เงินทองมากมายจากการนี้”
บรรพชนสองพลันกระจ่างแจ้งและด่าทอเขาด้วยรอยยิ้ม “ไอ้เด็กเจ้าเล่ห์”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ระหว่างเป็นตายสามารถเชื่อมต่อยมโลกเข้ากับโลกแห่งคนเป็น ดังนั้นบรรพชนสองก็สามารถเก็บเงินค่าธรรมเนียมจากเทพและมารที่นี่ได้เช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ท่านก็จะสามารถหาเงินได้ก้อนใหญ่ ต่อให้ข้าไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้มา พวกท่านก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ภายในเวลาไม่กี่ปี พวกท่านก็จะกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ในยมโลก!”
บรรพชนสองตะลึงงันและร้องออกมา “เก็บเงินจากทั้งสองฝั่ง? ธุรกิจดีงามแบบนี้เชียวหรือ ผู้คนจะไม่โจมตีและด่าทอพวกเราหรอกหรือ”
“ระหว่างเป็นตายอยู่ในมือของพวกเรา และมีก็แต่เส้นทางนี้ที่สามารถเชื่อมโยงโลกแห่งคนตายและโลกแห่งคนเป็นเข้าด้วยกันได้ ต่อให้พวกเขาสบถด่า พวกเขาก็ยังคงไม่มีทางเลือก แต่ต้องใช้เส้นทางนี้และจ่ายเงินพวกเรา”
บรรพชนสองรีบวิ่งออกไป ลุยฝ่าไฟแท้หยางพิสุทธิ์ เพื่อไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางของบรรพชนแรก เขาไม่สนใจไฟที่ลุกติดตามเนื้อตัวของเขาขณะที่วิ่งกระโจนเข้าไปในโถงเพื่อหยิบฉวยระหว่างเป็นตายมา
สัตว์ยักษ์เฝ้าประตูสองตัวปากบิดเบี้ยวกระตุกเมื่อพวกมันกล่าว “บรรพชนสอง นายผู้เฒ่ามีสมบัติอยู่เพียงเท่านี้ เดี๋ยวท่านก็สูบเลือดเขาแห้งตายในไม่ช้าไม่นาน!”
บรรพชนสองส่งยิ้มให้พวกมัน “อาจารย์ข้ายังจะถือข้าเป็นคนนอกหรือ เมื่อข้าร่ำรวย พวกเจ้าก็จะได้อานิสงส์ด้วยเช่นกัน”
ฉินมู่รับระหว่างเป็นตายมา อันเป็นแม่น้ำเล็กๆ ที่ยาวประมาณวาครึ่ง มันมีสะพานและเรืออยู่ในนั้น
บรรพชนสองแนะนำเขา “ขัดเกลาระหว่างเป็นตายนี่ก่อน เมื่อเจ้าทำพิธีกรรม ก็จะสามารถสัมผัสถึงมันที่นี่ได้ จำไว้ว่า ต้องทำพิธีในตอนกลางคืน หากว่าเจ้าทำพิธีในตอนกลางวัน เจ้าก็จะเห็นภาพอย่างที่เจ้าเห็นในตอนนี้ เทพเจ้าบนดวงอาทิตย์จะเอาไฟไล่เผาพวกเราจนไม่เป็นอันทำธุรกิจ“
ฉินมู่รับคำและแขวนห้อยแม่น้ำสายยาวนี้ไว้บนหลัง “บรรพชนสอง โปรดรอข่าวจากข้า”
บรรพชนสองสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนนั้น และกล่าวทันที “ธุรกิจเป็นเรื่องเล็กน้อย อย่าอุทิศกำลังลงไปมากนักและมุ่งเน้นที่การฝึกปรือของตนเองดีกว่า ปล่อยให้เรื่องการเก็บเงินทองเป็นหน้าที่คนอื่น”
ฉินมู่ผงกหัวและกล่าว “ข้าเข้าใจ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำเหรียญทองยมโลกออกมาอีกจำนวนหนึ่ง “บรรพชนสอง โปรดส่งเหรียญพวกนี้ไปให้บรรพชนคนอื่นๆ เพื่อใช้ประทังชีวิตในช่วงนี้ก่อน”
“กษัตริย์มนุษย์ฉินช่างมีแก่ใจคิดถึง”
ฉินมู่กล่าวลา และเทพฉือซิ่วก็ส่งเขาไปที่หินปักปันเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย “หลังจากเดินออกไปจากที่นี่ก็จะไม่มีไฟแท้หยางพิสุทธิ์อีกต่อไป เจ้าแค่นั่งเรือก็ออกไปได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ หลังจากเดินออกจากแดนเป็นของคนตาย กายเนื้อของเขาก็กลับมาเป็นปกติ เขาโบกมือให้กับเทพฉือซิ่วที่กระพือปีกบินจากไป
ท่าเรืออยู่ใกล้ๆ และฉินมู่ก็เรียกเรือโดดเดี่ยวกลางทะเลหมอก โครงกระดูกนักพรตหลิงจิ่งคัดท้ายเรือมา บรรทุกเขา กิเลนมังกร และหีบขึ้นไปส่งยังอีกฝั่งฟาก
เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ฉินมู่ก็ลงจากเรือและนำเอาเหรียญทองสามเหรียญจ่ายค่าโดยสาร นักพรตหลิงจิ่งตื่นตะลึงและรีบกล่าว “พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นไม่ต้องจ่าย”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “นักพรตโปรดรับไปเถอะ”
นักพรตหลิงจิ่งรีบรับค่าโดยสารของเขาและถามหยั่ง “กษัตริย์มนุษย์ฉินไปร่ำรวยอะไรมา”
ฉินมู่หัวเราะฮาๆ “ข้ากำลังจะรวยแล้ว! นักพรต ลาก่อน”
นักพรตหลิงจิ่งใช้สายตาส่งเขาไป และเก็บเหรียญทองเอาไว้อย่างดีพลางครุ่นคิดกับตนเอง อีกไม่กี่ร้อยปี ข้าก็จะสามารถซื้อบ้านในยมโลกได้เหมือนกัน…
เทพฉือซิ่วกลับไปยังท้องพระโรงราชาฉินและเห็นว่าสิ่งก่อสร้างอันถล่มพังลงมานั้นได้กลับเป็นปกติแล้ว เขาเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังและเห็นท้าวยมราชยืนอยู่ที่ปลายสุดโถง มองไปยังเพลิงไฟข้างหลังประตู
“อาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล น่าสนใจจริงๆ” ท้าวยมราชพลันกล่าว”แม้ว่าเขาจะมิได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่สายเลือดของเขาก็ยังคงเป็นของจักรพรรดิก่อตั้ง เขานั้นไม่ธรรมดา เพียงการพบกันระยะสั้นๆ ข้าก็มีความคาดหวังมหาศาลต่อตัวเขา หากว่าเป็นบิดาของเขาที่มา ความคาดหวังของข้าคงยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นข้าก็คงจะหดหู่ใจหลังจากนั้นอยู่ดี ทว่าในตอนนี้ แม้ว่าข้าจะผิดหวังในตอนแรกที่เขามาถึง แต่ความกระตือรือร้นคาดหวังของข้ากลับยิ่งขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ”
เทพฉือซิ่วไม่เข้าใจ “จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉินผู้นี้ มีอารมณ์ที่กระโดดเพ่นพ่านไปทั่ว ไฉนท้าวยมราชจึงมีความคาดหวังต่อตัวเขา เขาอยู่ในยมโลกแค่ครึ่งวันก็ไปต่อยตีกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดจนน่วม ทุบทำลายโถงวังของจ้าวลัทธิจู่หยาง และอัดอดีตจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหมดจนยับเยิน เขายังไปรีดไถเงินทองจากอดีตจ้าวลัทธิ ทั้งยังไปขอระหว่างเป็นตายมา วางแผนที่จะเชื่อมโลกแห่งคนตายและโลกคนเป็นเข้าด้วยกันเพื่อทำธุรกิจ! นี่ไม่ใช่เล่นอะไรไร้สาระหรอกหรือ”
ท้าวยมราชหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “ยมโลกนั้นเย็นเยือกและไร้ชีวิตชีวามากเกินไป ดังนั้นปล่อยให้เขาเล่นบ้าไปเถอะ เผื่อว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอันคาดไม่ถึงขึ้นมา ข้าไม่เคยเห็นคนที่น่าสนใจกับความคิดแผลงๆ แบบนี้มาก่อน บางทีเขาอาจจะทำสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความลับเกี่ยวกับตัวเขาก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เขาคิด นี่ทำให้ข้ายิ่งลุ้นรอดูกาลข้างหน้าของเขามากยิ่งขึ้นไป…”
เทพฉือซิ่วตกตะลึง “ท้าวยมราชจะอนุญาตให้เขาเชื่อมต่อยมโลกกับโลกแห่งคนเป็นเพื่อทำธุรกิจจริงๆ น่ะหรือ”
ท้าวยมราชโบกมือ และไม่กล่าวอะไรอีก
แม้ว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นมาแล้ว ความมืดก็ยังคลี่คลุมแดนใต้พิภพ ที่นี่ไม่มีท้องฟ้า แผ่นดิน ดวงตะวัน ดวงจันทร์ หรือดวงดาว
ซิงอ้านล่องลอยไปในความมืด แต่ในจังหวะนั้น ก็มีเสียงเลือนลางแว่วมา ปลุกเขา
“ซิงอ้าน ตื่นขึ้นมา…”
………………..
แม้แต่ท้าวยมราชฟังแล้วก็ยังต้องตื่นตระหนก เขาพลันหันไปมองยังฉินมู่ และผ้าคลุมดำของเขากระพือไหวเป็นลูกคลื่นราวกับว่ามันถูกกระแสลมเป่า “แดนใต้พิภพ? เจ้าไม่ได้เกิดในหมู่บ้านไร้กังวล แต่เกิดในแดนใต้พิภพ?”
ฉินมู่ยังคงมองไม่เห็นใบหน้าใต้ผ้าคลุมและได้แต่ผงกหัว “บิดามารดาของข้าได้มุ่งหน้ามายังแดนโบราณวินาศจากหมู่บ้านไร้กังวล แต่ว่าพวกเขาถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง พวกเขาสูญเสียอย่างหนัก และผู้ที่โชคดีรอดออกมาได้ก็หลบหนีเข้าไปในแดนใต้พิภพ ข้าถือกำเนิดที่นั่น”
เขาได้ค้นพบชาติกำเนิดของตนในหุบเขาภูตผี และจากร่องรอยกาลเวลาในเรือเหาะนั้น มารดาของเขายังอุ้มท้องเขาอยู่ เรือสมบัติได้ผจญกับการโจมตีของเทพและมาร ร่วงตกลงมายังก้นบึ้งของหุบเขาภูตผี ปักคาเข้าไปในผนึกระหว่างสองโลก
เพื่อหลบหนีพวกมารนอกโลก มารดาของเขาได้นำผู้คนจากเรือไปเสาะหาที่ลี้ภัยในแดนใต้พิภพ ฉินมู่น่าจะถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ แต่เขาไม่รู้ว่าเขาถูกนำมายังแดนโบราณวินาศได้อย่างไรหลังจากที่เกิดมาแล้ว ทั้งยังลอยน้ำมาตามแม่น้ำหย่งจนถึงหมู่บ้านพิการชรา
ท่านยายซีได้ยินเสียงร้องของทารก และเก็บเขาขึ้นมา นำไปยังหมู่บ้าน
เขาเกิดในแดนใต้พิภพ อย่างไม่มีข้อสงสัย
“เจ้าเกิดในแดนใต้พิภพ…” น้ำเสียงของท้าวยมราชมีความผิดหวังอยู่หลายส่วน “ข้าคิดว่าจะเป็นนกนางแอ่นตัวเก่าที่ย้อนคืนกลับมาเพื่อนำพวกเราเข้าเผชิญศึก สิ้นสุดในสิ่งที่ยังไม่เสร็จสิ้น ไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะได้เห็นนกนางแอ่นตัวใหม่ ซึ่งก็พอได้เหมือนกัน แต่ในท้ายที่สุด นี่ก็ไม่ใช่นกนางแอ่นตัวใหม่ เป็นเพียงลูกเจี๊ยบตัวหนึ่ง ฮี่ๆ จักรพรรดิก่อตั้ง ท่านนั้นช่างไร้กังวลอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวล ลืมไปเรียบร้อยแล้วว่าท่านยังมีผู้คนมากมายรออยู่ในโลกแห่งนี้ให้ท่านหวนกลับมาอีกครั้ง!”
น้ำเสียงของเขามีโทสะเล็กน้อย “หมู่บ้านไร้กังวลไม่ใช่หมู่บ้านอันอ่อนเยาว์ หรือหมู่บ้านที่มิอาจเคลื่อนย้าย มันคือสถานที่ที่ให้ท่านตั้งตัวย้อนกลับมาสู้ใหม่ มิใช่สถานที่ให้ท่านจมเข้าไปในความหลงลืมไร้คิด! ในแดนโบราณวินาศ ยังคงมีเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยังคงรอท่านอย่างไม่ปริปากบ่นให้ย้อนกลับมา พวกเขารอให้ท่านชูธงศึกและเข้าสู้ต่อ!”
ผ้าคลุมเขายังคงกระพือสะบัด มีก็แต่ตอนที่หัวใจของเขาพลุ่งพล่านหรือเมื่อจิตฮึดสู้ของเขาเห่อเหิมขึ้นมา นั่นแหละผ้าคลุมของเขาจึงจะสะท้านไหวอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น รัศมีของเขาก็อ่อนราลงไป และเขาก็กลายเป็นหดหู่ลง “ข้าไม่เชื่อว่าจักรพรรดิคนหนึ่งที่ก่อตั้งยุคสมัยทั้งยุคสมัยจะยินยอมรับความพ่ายแพ้และกลายเป็นเงียบงัน กระนั้น ข้าก็ได้รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปีแล้ว และรูปสลักหินของแดนโบราณวินาศอีกทั้งภูตผีในยมโลก ต่างก็รอมาเป็นเวลาสองหมื่นปี ทำไมท่านถึงยังไม่กลับมา…”
ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างเงียบงัน ไม่รู้ว่าจะกล่าวอะไร
ท้าวยมราชได้คาดหวังการมาเยือนของอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล และคาดหวังข่าวคราวของจักรพรรดิก่อตั้งมาตลอดเวลาสองหมื่นปี
กระนั้นที่เขาได้พบเจอก็เป็นเพียงฉินมู่ บุคคลซึ่งเกิดในแดนใต้พิภพ ถึงแม้ว่าจะมีสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้งก็ตาม
ฉินมู่มิใช่บุคคลที่เขารออยู่ หากว่าเป็นฉินหานเจิน อย่างน้อยก็จะยังพอช่วยปลุกกำลังใจให้เขาและนำข่าวคราวจากหมู่บ้านไร้กังวลมา
ทว่าฉินมู่ผู้ซึ่งถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ ไม่รู้อะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล
ศักดิ์ฐานะของทายาทจักรพรรดิก่อตั้งไม่เพียงพอที่จะปลอบขวัญกำลังใจแก่ทหารผู้จงรักภักดีซึ่งรอคอยมาสองหมื่นปี
ผ่านไปนานอยู่ ลมหายใจของท้าวยมราชก็กลับมาเป็นปกติ ดวงตาใต้ผ้าคลุมดำเปลี่ยนมามองยังฉินมู่และกล่าว “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และมันก็เหมือนกับแดนยมโลก–ทั้งสองแดนล้วนแต่เป็นโลกแห่งคนตาย ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาในโลกแห่งคนตาย ให้ข้าดูสักหน่อยว่ามีอะไรผิดปกติในตัวเจ้าหรือไม่”
ฉินมู่จ้องด้วยสายตาว่างเปล่า ไม่เข้าใจความหมายของเขา
ทันใดนั้น ท้าวยมราชก็เดินวนไปรอบๆ ตัวเขาและพูดด้วยเสียงอันเคร่งขรึม “มีผู้คนอยู่ในแดนใต้พิภพน้อยนิด แต่สัตว์ประหลาดทั้งหลายสามารถถือกำเนิดในแดนใต้พิภพได้ พวกมันเป็นการรวมกันเข้าระหว่างดวงจิตดวงวิญญาณและสันดานมารในแดนใต้พิภพ เจ้าได้เห็นสัตว์ประหลาดข้างใต้สะพานแห่งความจนปัญญาแล้วสินะ พวกมันมาจากแดนใต้พิภพ เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพนั้นแตกต่างจากวิธีการถือกำเนิดของสัตว์ประหลาดอันก่อขึ้นมาจากความอาฆาตแค้นแห่งฟ้าและดินกับสันดานมาร เจ้าเกิดออกมาจากครรภ์ แต่เจ้าอาจจะแปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ”
“แปดเปื้อนสันดานมารแห่งแดนใต้พิภพ?” ฉินมู่ถามหยั่ง “ท่านหมายถึง?”
เขานั้นตะลึงไปเล็กน้อย ครั้งหนึ่งมารเทวะตนหนึ่งเคยกล่าวว่าฉินมู่นั้นก็เป็นมารเหมือนกับเขา หากว่ามารเทวะไม่ได้โกหก และอันที่จริงแล้วเขามีสันดานมารอยู่ในตัวล่ะ?
และเขามีมันมาตั้งแต่วินาทีที่ลืมตาดูโลก?
ท้าวยมราชไม่พูดอะไรต่อ ในทางกลับกัน เขาเลิกผ้าคลุมสีดำออกและเผยใบหน้าข้างใต้นั้น
ไม่ทันที่ฉินมู่จะได้เห็นใบหน้า ดวงตาทั้งสองก็ราวกับวังน้ำวนหมุนที่ดูดกลืนจิตรู้ของเขาเข้าไปข้างใน
“ไม่ต้องกลัว ข้าเพียงแต่สำรวจดวงวิญญาณของเจ้าเพื่อดูว่ามันแตกต่างจากมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาในโลกปกติหรือไม่”
ฉินมู่รู้สึกว่าโลกของเขาหมุนติ้วราวกับว่าถูกจับไปไว้ตรงกลางระหว่างดวงตาทั้งสอง พวกมันเป็นสีแดงฉานราวโลหิตและใหญ่โตอย่างพิลึกพิสดาร แก้วตาคู่นั้นมองไปที่เขาจากทางซ้ายและขวาระหว่างที่เขาปั่นหมุนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ร่วงลงไปไม่ถึงก้นบึ้ง!
เขารู้สึกราวกับว่ากำลังร่วงลงไปในความมืดอันไร้สิ้นสุด อันมีความรู้สึกถ่วงจมที่ไม่รู้จบ
เมื่อท้าวยมราชเอ่ยวาจา เสียงของเขาก็ดูจะห่างไกลลิบลับจากฉินมู่ ไกลเสียยิ่งกว่าสวรรค์เก้าอันสูงส่ง “ไม่เคยมีมนุษย์คนไหนที่ถือกำเนิดในแดนใต้พิภพมาก่อน และข้าไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อมีมนุษย์เกิดขึ้นมาในแดนใต้พิภพ แต่ทว่า ข้าสามารถคาดเดาได้ว่า ตอนที่เจ้าเกิด บางอย่างที่น่าสยดสยองอย่างสุดขีดขั้วได้ปะทุขึ้นมา”
“สันดานมารและดวงวิญญาณอันร่อนเร่ไปทั่วแดนใต้พิภพก็คงจะพยายามเข้าไปในร่างกายของเจ้า มารดาของเจ้าน่าจะสามารถต่อสู้ป้องกันดวงวิญญาณร่อนเร่ในแดนใต้พิภพได้ แต่นางอาจจะไม่สามารถกีดกันสันดานมารออกไป ข้าอยากจะดูว่าแดนใต้พิภพได้ทำอะไรกับเจ้า…”
ฉินมู่พยายามที่จะตั้งจิตให้มั่นคง และจี้หยกที่คอของเขาก็พลันลอยขึ้นมา เกิดแสงและเสียงหึ่งฮัมเมื่อมันสาดส่องออกไปข้างหน้าราวกับว่ากำลังป้องกันเขาไว้จากดวงตาโลหิตของท้าวยมราช
ดวงตาโลหิตทั้งสองขยายใหญ่ขึ้น และแสงจากจี้หยกก็ยิ่งเจิดจ้าขึ้น กระนั้นในท้ายที่สุด เนตรโลหิตทั้งสองของท้าวยมราชก็สะกดข่มแสงจากจี้หยก
ฉินมู่พยายามจะดิ้นรน แต่เขารีดเร้นพละกำลังออกมาไม่ได้เลยสักนิด เขาได้แค่ปล่อยให้ดวงตาสีเลือดคู่นี้อันดูราวกับฝันร้ายน่าสยองยังคงจ้องลึกเข้ามาเค้นหาความลับและสะกดข่มเขาเอาไว้
เขารู้สึกว่ากายเนื้อของเขาไม่มีเรี่ยวแรงใดๆ ราวกับว่ามันแยกออกไปจากดวงวิญญาณ
ราวกับเขากำลังจมน้ำและไม่อาจหายใจได้อีกต่อไป ดวงวิญญาณของเขาค่อยๆ ลอยออกมาจากร่างเนื้อ
ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่ก็พลันหยุดหมุนติ้ว และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังมาจากรอบข้าง ราวกับว่ามีมารร้ายนับไม่ถ้วนที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดอันไร้ขอบเขต กำลังกระซิบไปมาด้วยเสียงแผ่วเบา
เสียงกระซิบเหล่านั้นใกล้เข้ามา ยิ่งดังขึ้นและดังขึ้น อึงอลขึ้นและอึงอลขึ้น สุดท้ายแล้วพวกมันก็กลายเป็นเสียงนับไม่ถ้วนที่โหมถล่มเขาด้วยถ้อยคำแตกต่างกันในภาษาต่างๆ มากมาย ทำให้เขาปวดหัวจนแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มันดังอึงอลถึงขนาดที่ว่าความคิดและสำนึกรู้ของเขากลายเป็นกระจัดกระจายและสะเปะสะปะ!
ในที่สุดแล้ว สรรพสำเนียงทั้งหลายก็ซ้อนทับกันและหลอมรวมเป็นเสียงเดียว!
มันคือภาษามารแห่งแดนใต้พิภพ!
“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนออกไปอย่างเกรี้ยวกราด แต่สิ่งที่ออกจากปากของเขามิใช่ภาษามนุษย์ มันเป็นภาษามารแดนใต้พิภพ
ทันใดนั้น พลังงานน่าสะพรึงกลัวก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และมันพลันเคลื่อนไหวได้ เขายังคงลอยอยู่ที่ระหว่างดวงตาโลหิตทั้งสอง ยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโดดเดี่ยว ข้างหลังเขาคือความมืดอันไร้ขอบเขต แต่ปรากฏรอยแยกปริออกมาระหว่างความมืดนั้น!
มันเปิดออก และเสียงกระซิบกระซาบก็ดังระงมอีกครา รอยแยกนั้นขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น จนกระทั่งแสงสว่างไหลออกมา ด้วยเสียงหึ่งฮัม ลูกตาดวงมโหฬารก็ปรากฏข้างหลังเขาและกลอกไปซ้ายขวา
ดวงตานั้นเผยแก้วตาประหลาดอันดูเหมือนมีแก้วตาสามอันเบียดอัดเข้าหากัน พวกมันยังหมุนติ้วพลางเปลี่ยนทิศทางไปมา!
แสงมารสาดส่องจากดวงตาราวกับว่ามีปีกผีเสื้อสีดำที่แผ่สยายออกจากทั้งสองข้าง มันทั้งสวยงามและน่าหลงใหล กระนั้นก็พิลึกกึกกืออย่างถึงที่สุด
“หุบปาก!” ฉินมู่กอดหัวของเขาเอาไว้พลางตะโกนออกไปอย่างโมโหร้าย “อย่าส่งเสียงหนวกหู!”
ตึงงง!
ห้วงมิติรอบๆ สั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับกระจกที่แตกร้าว
ท้าวยมราชตกตะลึงกับพลานุภาพในเสียงคำรามนั้น และได้แต่จ้องไปด้วยสายตาว่างเปล่ายังดวงตาอันน่าลุ่มหลงหลอกหลอนข้างหลัง เขาพึมพำ “เจ้าถือกำเนิดในแดนใต้พิภพ และได้รับผลกระทบจากสันดานมารของแดนใต้พิภพจริงๆ มันอยู่ข้างในร่างกายของเจ้า แต่มันถูกจี้หยกนี้สยบเอาไว้ บัดนี้เมื่อข้าสะกดข่มจี้หยก ข้าก็ได้ปลดปล่อยสันดานมารของเจ้าออกมา…”
“เลิกพล่ามเสียที!”
ภาษามารแดนใต้พิภพจากปากของฉินมู่ไหลออกมาอย่างลื่นคล่องแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และเมื่อเสียงของเขาดังออกไป ห้วงอวกาศรอบๆ ข้างก็แตกสลาย กาลและอวกาศอันสร้างขึ้นมาจากเนตรโลหิตของท้าวยมราชพังทลายลงไป
ข้างหลังเขา รอยแยกอีกรอยปรากฏขึ้นมา เมื่อดวงตาอีกดวงกำลังจะเปิดออก
ท้าวยมราชขนหัวลุกเต็มเหยียด ราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่ตรงหน้าสัตว์ร้ายมหึมาอันน่าสยดสยอง ซึ่งกำลังจะลืมตาตื่น
“สันดานมารร้ายกาจอะไรแบบนี้! ข้าปล่อยเจ้าออกมาไม่ได้เด็ดขาด!”
เขาลงมือทันที และดวงตาโลหิตทั้งสองก็ถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ผ้าคลุมของเขาสะบัดกระพือและเข้าคลี่คลุมฟ้าและดิน ห่อหุ้มทั้งท้องพระโรงราชาฉินเอาไว้ เขาขับเคลื่อนพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อสะกดข่มสันดานมารในร่างของฉินมู่
เสียงอันเต็มไปด้วยสันดานมารดังออกมาจากท้องพระโรงราชาฉินด้วยภาษาแดนใต้พิภพอันคล่องแคล่ว “เป็นแค่ผีตัวเล็กๆ แต่เจ้ากล้าจะสะกดข่มข้า?”
ตูม!
ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านไหวอย่างรุนแรง และเสียงเปรี้ยงปร้างอีกระลอกดังออกมา ท้องพระโรงราชาฉินสะท้านสะเทือนอีกหลายครั้ง และเสาทั้งหลายโดยรอบก็ไหวเอนไปซ้ายและขวา หลังคาโถงวังพลันฉีกแยก และทั้งโถงวังก็สั่นเทิ้มราวกับว่ามันพร้อมจะพังย่อยยับลงไปได้ทุกขณะ
ไม่นานนัก ท้องพระโรงก็กลับมาสงบอีกครั้ง
ฉินมู่ลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง ตรงหน้าเขา เสาใหญ่มากมายแตกหักราวกับว่ามันถูกกรงเล็บคมกล้ากรีดตัดจนขาดครึ่ง มันยังมีอีกหลายเสาที่บิดงอไปราวกับว่าถูกฟาดทุบ
ไฟแท้หยางพิสุทธิ์จำนวนหนึ่งไหลเข้ามาข้างในจากรอยแยกของท้องพระโรงราชาฉิน แผดเผาเนื้อไม้ด้วยลิ้นเพลิงของมัน
ดูราวกับว่าที่นี่เพิ่งผ่านศึกสงครามเมื่อมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังมาจากหลังคา ผงคลีกลุ่มใหญ่และอิฐหินร่วงลงมาเป็นระยะ
“เกิดอะไรขึ้น” ฉินมู่งงสนิท
“เจ้าไม่รู้หรือว่าเกิดอะไรขึ้น” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากในความมืด
ฉินมู่รีบมองไปยังทิศทางเสียง และเห็นท้าวยมราชถูกฝังเข้าไปในใจกลางเสาอันบิดงอ ราวกับว่าเขาถูกอัดกระแทกด้วยพลานุภาพอันร้ายกาจน่ากลัว
ฉินมู่อ้าปากค้างและรีบเดินเข้าไปหมายจะช่วยเขา แต่ท้าวยมราชโบกมือไล่และดิ้นรนออกมาจากเสาด้วยตนเอง “เจ้าไม่รู้จริงๆ น่ะหรือว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้น”
ฉินมู่ส่ายหัว เขานั้นไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เขาจำได้ก็แต่ตอนที่ดวงตาของท้าวยมราชมองมาที่เขาขณะที่เขาจมลงไปในนั้นเรื่อยๆ
“ก็ดีเหมือนกันที่เจ้าไม่รู้ จงเก็บจี้หยกหมู่บ้านไร้กังวลนี้ไว้กับตัวตลอดเวลา เจ้าถอดมันออกไม่ได้เด็ดขาด จำเอาไว้เลยว่า ไม่ว่าจะอย่างไรก็ถอดมันออกไปไม่ได้โดยเด็ดขาด” ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านออกมาและกล่าวอย่างเยือกเย็น “จี้หยกนี้เป็นสิ่งของที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้า หากว่าเจ้าทำมันหาย สิ่งน่าสยดสยองจะเกิดขึ้น”
ฉินมู่เก็บจี้หยกกลับเข้าไปใต้เสื้อของเขาและถาม “ข้าเอาจี้หยกให้คนอื่นดูได้ไหม”
ท้าวยมราชตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และเขากล่าวอย่างเฉียบขาด “อย่าทำจะดีกว่า!”
ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “แต่ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอาจี้หยกให้คนอื่นดูมาตั้งหลายครั้งนะ”
ท้าวยมราชระบายลมหายใจสะท้านอีกรอบ “นั่นคือโชคของพวกเขา และพวกเขาควรยินดีที่ยังรอดชีวิตมาได้ เจ้าไปได้แล้ว ฉือซิ่ว ส่งเขาออกไป!”
เทพฉือซิ่วชะโงกหัวเข้ามาข้างใน มองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ เมื่อเขาเห็นสภาพอันยับเยินของท้องพระโรงราชาฉิน เขาก็หดคอกลับไปและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน ตามข้ามา”
ฉินมู่มีความกังขา เขารีบเดินออกไปจากท้องพระโรงราชาฉินและถามเทพฉือซิ่วด้วยเสียงเบา “เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ข้าไม่รู้” เทพฉือซิ่วส่ายหัวและกล่าว “ดูเหมือนจะมีตัวตนที่น่าสะพรึงกลัวบางตัวตนเข้าโจมตีท้องพระโรงราชาฉิน อย่าพูด เจ้ามีกลิ่นของมนุษย์…”
“อีกอย่าง!” เสียงของท้าวยมราชดังมาจากข้างหลัง “เจ้าสามารถเดินเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ และมันจะไม่ทำอันตรายเจ้าเลยแม้แต่น้อย หากว่ามีโอกาส เจ้าก็ควรลองไปเยือนแดนใต้พิภพดูสักหน”
ฉินมู่ตะลึง และหันกลับไปร้องออกมา “ข้าสามารถเข้าไปในความมืดของแดนโบราณวินาศ?”
ไม่ทันที่ท้าวยมราชจะได้ตอบกลับ เสียงครืนครันบาดหูก็ดังมาจากข้างหลังพวกเขา และท้องพระโรงราชาฉินก็ถล่มลงทับจ้าวผู้ครองแห่งแดนยมโลก!
…………….
“ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าหรือ เจ้าไปทำอะไรมา” ในโถงเหวินเหยียน อดีตเจ้าลัทธิทั้งหลายขมวดคิ้วอย่างหนัก และจ้าวลัทธิจู่หยางก็ถาม “สิ่งที่เจ้าทำ มันเรื่องใหญ่หรือเล็ก? หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมพวกเราไม่ก่อกบฏกันเสียเลยล่ะ”
จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และเริ่มวางแผนว่าจะปฏิวัติและปลุกระดมคนตายคนอื่นๆ ในยมโลกกันอย่างไร พวกเขาถึงกับช่วยกันคิดหาคำขวัญในการปฏิวัติจำนวนหนึ่ง
ฉินมู่รีบกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องก่อกบฏ ในการต่อสู้ที่พวกเราสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าบนเทือกเขาเทพทำลาย ข้าได้แย่งชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้คนจำนวนหนึ่งอันตกตายในการต่อสู้ออกจากเงื้อมมือของยมโลก และฟื้นคืนชีพพวกเขา”
อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายเงียบไป สักพักหนึ่ง จ้าวลัทธิหูจุ่นก็ตบเข่าฉาดแล้วกล่าว “พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ ใช่ๆ ธงที่จะใช้สำหรับการปฏิวัติ! ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะใช้ธงเทพสงคราม…”
ฉินมู่ยิ้มและกล่าว “เพียงแค่เรื่องเล็กๆ…”
“เรื่องเล็ก? แย่งชิงผู้คนไปจากยมโลกเป็นเรื่องเล็ก?” จ้าวลัทธิมากมายหันมามองที่เขาด้วยโทสะในดวงตาและยิ้มหยัน “แย่งชิงผู้คนที่สะพานแห่งความจนปัญญานั่น แม้แต่พวกข้าก็ยังต้องตกใจจนขวัญบิน พวกเราคิดว่าแดนใต้พิภพมาโจมตีเสียอีก! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน และท้าวยมราชจะต้องตัดหัวเจ้า!”
“หากว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ พวกเราก็คงปล่อยให้ท้าวยมราชเอาตัวเจ้าไป ให้เขาฟาดก้นเจ้าสักสองทีก่อนจะปล่อยตัว แต่นี่คือเรื่องใหญ่ที่เป็นภัยคุกคามทั้งแดนยมโลก ดังนั้นการก่อกบฏจึงเป็นหนทางเดียว!” ซีเหยียนเว่ยกล่าว
ข้างนอกโถง เสียงของเทพฉือซิ่วดังมาอีกครั้งและดูอดรนทนไม่ไหวมากกว่าเดิม “จ้าวลัทธิฉิน หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปล่ะ!”
ปรมาจารย์เยาว์โพล่งขึ้นมา “จ้าวลัทธิฉิน ทำไมท้าวยมราชถึงไม่ลงโทษเจ้าโดยทันที และปล่อยให้เจ้าเดินเที่ยวไปทั่วเมืองอย่างอิสระ หากว่าอาชญากรรมของเจ้าหนักหนาสาหัสจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะถูกคุมตัวเอาไว้ในคุกอย่างแน่นหนาหรอกหรือ”
เมื่อเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็พลันสำเหนียกขึ้นมาทันที–ฉินมู่ดูไม่เหมือนนักโทษต้องขังเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรในยมโลกได้อย่างอิสระ ทั้งยังมาต่อยตีพวกเขาจนน่วมอีกต่างหาก
“ก่อนที่ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้า เขาเรียกใครเข้าพบก่อนหรือไม่”
ฉินมู่ผงกหัว “เขาจัดการกับซิงอ้านและเทพหมอผีขุย ซิงอ้านได้รับการปล่อยตัว และเทพหมอผีขุยถูกเทพภูตผีจำนวนมากชำแหละศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพของเขา ท้าวยมราชเองก็หมายที่จะศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพ เขาจึงปล่อยข้าออกมาก่อน”
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าอาชญากรรมของซิงอ้านนั้นใหญ่หลวงแค่ไหน แต่ท้าวยมราชก็ยังปล่อยตัวเขาไป เทพหมอผีขุยเป็นเทพเจ้าแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นสิ่งที่เขากระทำนั้นยิ่งร้ายแรงกว่า ในเมื่อพวกเขาถูกลงโทษก่อน นี่แปลว่าบาปผิดของพวกเขานั้นเหนือกว่าเจ้า บาปผิดของเจ้านั้นเล็กน้อยกว่าพวกเขามากนัก จงตามเทพฉือซิ่วไปเถอะ ท้าวยมราชจะไม่หาเรื่องเจ้าหรอก”
จ้าวลัทธิทั้งหลายพยักหน้าแล้วกล่าว “ไปเถอะ หากว่าท้าวยมราชจะสังหารเจ้า พวกเราก็จะบุกชิงลานประหารและเส้นทางเกิดใหม่!”
ฉินมู่คลายใจและเดินออกไปจากโถงเหวินเหยียน เทพฉือซิ่วยืนอยู่บนหัวสิงโตหินพลางไซ้แต่งขนของตนเอง เมื่อเขาเห็นฉินมู่เดินออกมา เขาก็ดึงจะงอยปากออกมาจากขนของตนและกล่าว “ตามข้ามา”
ฉินมู่เดินเข้าไปพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสฉือซิ่ว ท้าวยมราชเรียกตัวข้า–”
“ไม่ต้องพูด เจ้ามีกลิ่นของคนเป็น” ฉือซิ่วกล่าว “ข้าเกลียดคนที่ยังมีลมหายใจ หากว่าเจ้าหมดลมหายใจไปแล้ว คำพูดของเจ้าถึงจะน่าฟังมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท้าวยมราชไม่ได้เรียกตัวเจ้าไปเข้าพบ เขาจะไต่สวนเจ้า”
พวกเขามายังท้องพระโรงราชาฉิน และฉินมู่มองไปยังหน้าโถง มันมีกองก้อนเนื้อที่กำลังต่อสู้และดิ้นรนไปมา ก็ในเมื่อซิงอ้านยังคงไม่อาจยอมละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายของคนอื่นๆ ไปเห็นได้ชัดว่าเขายังคงอิดออดที่จะยอมล้มเลิกมรรคาเต๋าของตน
แม้แต่ผู้ทรงปัญญาอย่างซิงอ้านก็ยังยากที่จะยอมละทิ้งผลประโยชน์อันกำไว้ในมือ ทำให้ในที่สุดแล้ว เขาก็ต้องตาบอดด้วยความละโมบ
เขาส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อลังเลใจอยู่เช่นนี้ ซิงอ้านก็ได้แต่ถ่วงเวลาชีวิตของตน แต่นั่นไม่น่าแปลกใจ เขาได้สะสมชิ้นส่วนร่างกายผู้อื่นอย่างขยันขันแข็งมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อยึดครองพวกมันเป็นของตน การที่จะให้เขาละทิ้งพวกมันในตอนนี้ก็เท่ากับทำให้เขาละทิ้งมรรคาเต๋าและปฏิเสธชีวิตทั้งชีวิตของเขา นี่ย่อมยากที่จะยอมรับได้
ยิ่งมีความสำเร็จและจิตมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งยากที่คนผู้นั้นจะเปลี่ยนตัวตนและความเข้าใจของเขา ยิ่งยากที่เขาจะยอมรับความผิดพลาดของตน
“ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง!”
ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากเมืองยมโลก และฉินมู่รีบหันไปมองดู เขาเห็นสัตว์ยักษ์ที่กำลังเกาะอยู่บนหลังคาโถงวังและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกู่ตะโกน “ทุกเมืองและทุกบ้านจงระวัง! ท้องฟ้ากำลังสว่าง!”
ในเมืองยมโลก ดวงวิญญาณว่อนไปทั่วฟ้าเมื่อพวกมันกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศทาง บนพื้นดิน เทพและมารอันน่าเกรงขามทั้งหลายก็วิ่งหัวซุกหัวซุนไปทั้งซ้ายและขวา พยายามหาที่หลบซ่อน
ฉินมู่ตกตะลึงไปและถาม “เทพฉือซิ่ว เมื่อท้องฟ้าสว่างจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”
เทพฉือซิ่วไม่ใส่ใจมากมาย “ดวงอาทิตย์กำลังจะออกมา พวกเขาต้องหาที่ซ่อน มิเช่นนั้นไฟหยางพิสุทธิ์จากท้องฟ้าจะแผดเผาพวกเขา ดวงอาทิตย์นี้แตกต่างจากที่เจ้าเห็นข้างนอก”
ฉินมู่ฉงนฉงาย ทันใดนั้นความมืดก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว และเมืองยมโลกอันขมุกขมัวก็กลายเป็นเจิดจ้าแสบตา!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองนี้ในยามกลางวัน และเขาพบว่าถนนหนทางอันเคยคับคั่งไปด้วยเทพและมาร กลับกายเป็นเย็นเยียบไร้ผู้คน ประชากรในเมืองทั้งหลายได้ปิดประตู และดวงวิญญาณอันเร่ร่อนไปทั่วก็มุดลงไปในเหวลึก สัตว์ยักษ์บนหลังคาวังทั้งหมดก็เข้าไปซ่อนอยู่ข้างใน และทั้งแดนยมโลกก็กลายเป็นเงียบกริบโดยฉับพลัน
ถัดไป แสงสีขาวก็กลายเป็นแดงฉานเมื่อดวงอาทิตย์อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบอันลุกโหมด้วยเพลิงไฟลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า ในพริบตานั้น เพลิงไฟโหมพุ่งมาจากทิศตะวันตก อาบท่วมเข้ามาราวกับทะเลถล่มที่โถมซัดท่วมฟ้าและกลบกลืนผืนแผ่นดิน ทุกถนนท่วมท้นไปหมด และทุกโถงวังและบ้านเรือนก็ถูกกลบกลืน
ไฟร้อนแรงแห่งหยางพิสุทธิ์กลืนกินเมืองทั้งหลายแห่งยมโลก ความร้อนอันแผดเผาแทบจะทำให้ห้วงมิติบิดเบี้ยว!
ฉินมู่อาบอยู่ในไฟหยางพิสุทธิ์ และพบว่าเนื้อ เลือด และเส้นชีพจรของเขาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนร่างโครงกระดูกของตน เมื่อมองลงไปเขาถึงกับมองเห็นอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกอยู่ในช่องใจกลางกระดูกซี่โครง!
ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อเขามองเข้าไปในหน้าต่างของโถงวังอันเทพและมารหลบซ่อนอยู่ เลือดและเนื้อของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน!
ไฟหยางพิสุทธิ์ไม่มีอันตรายกับเขา แต่ร่างเนื้อของเทพและมารแห่งแดนยมโลกอาจจะถูกเผา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็จะมอดไหม้เป็นขี้เถ้า!
ในทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์มหึมาร้อนขึ้นและร้อนขึ้นจนกระทั่งมันกลายเป็นสีแดงจัดจ้า โถงวังใหญ่อลังการปรากฏอยู่รางๆ ในดวงตะวัน และตรงหน้าโถงวังนั้นคือกลองใหญ่มหึมา เทพและมารห้าวหาญกำลังฟาดตีกลองนั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ส่งไฟแท้หยางพิสุทธิ์จากดวงอาทิตย์ลงมายังยมโลก
บนดวงตะวัน มันมีโถงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นโถง กลองหนึ่งหมื่นใบ และยักษ์หนึ่งหมื่นตนที่กำลังรัวกลองอย่างเกรี้ยวกราด ไฟแท้ถูกพ่นออกมาและท่วมถมแดนยมโลก!
“นี่คือ…”
ฉินมู่จิตใจไหวสะท้าน เขาพลันได้ยินเสียงหวีดร้องและหันกลับไปดู เขาเห็นลูกกลมก้อนเนื้อที่คือซิงอ้านถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์แผดเผา ใบหน้ากว่าสิบนั้นบิดเบี้ยวทุรนทุรายและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
ร่างกายมากมายเหือดหายไปหลังจากถูกไฟแท้แผดเผา เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของซิงอ้าน
ซิงอ้านเองก็กำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในตอนนั้น เขาพลันกระโดดขึ้นมา และกระโจนลงไปในแม่น้ำแห่งความจนปัญญา หมอกหนาในแม่น้ำใต้สะพานกระเพื่อมขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดเคลื่อนเข้ามาฮุบเขากลืนหายไป
“ซิงอ้าน?”
ฉินมู่รีบมายังริมแม่น้ำ หมอกเริ่มหนาขึ้นๆ เพื่อป้องกันเพลิงไฟสุริยัน ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ ของซิงอ้าน
“เขาร่วงลงไปในแดนใต้พิภพ” เทพฉือซิ่วกระพือปีก ไฟแท้หยางพิสุทธิ์ไม่มีผลใดต่อเขา แต่เขาก็ยังคงเร่งเร้าฉินมู่ “เร็วหน่อย ท้าวยมราชยังรอเจ้าอยู่นะ!”
ฉินมู่ตั้งหลักและติดตามเขาเข้าไปในท้องพระโรงราชาฉิน
ข้างในนั้น ท้าวยมราชยังคงอยู่ในผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าและร่างกายของเขาปิดซ่อนอยู่ในความมืด ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเทพภูตผีตนอื่นใด
“ฉือซิ่ว เจ้าออกไปได้แล้ว” ท้าวยมราชนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงราชาฉิน ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังมาจากที่สูง
“รับบัญชา” เทพฉือซิ่วออกไปจากท้องพระโรงราชาฉิน
บนบัลลังก์ ท้าวยมราชพลิกเปิดหนังสือจนมีเสียงกระดาษ มีก็แต่เขาและฉินมู่ที่ยังอยู่ และเขาดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านจากดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมา
ฉินมู่กระสับกระส่าย แต่ทำอะไรไม่ได้ สักพักหนึ่ง ท้าวยมราชก็ลุกขึ้นยืน และแสงสว่างในท้องพระโรงราชาฉินก็มืดมัวลง ฉินมู่พลันรู้สึกราวกับว่าถูกความมืดเข้าคลี่คลุม
“เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวลงั้นหรือ ใครคือบิดาของเจ้า”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายจึงถามเช่นนั้น “บิดาของข้าคือฉินหานเจิน บ้านเกิดบรรพชนของข้าน่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล แต่ข้าไม่ได้เกิด–”
“ฉินหานเจิน?” ท้าวยมราชจ้องไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “นี่มาถึงรุ่นหานแล้วหรือ อวี้ เต๋อ ชาง หมิง หาน เฟิง ฮวน เจิน ตระกูลฉินในรุ่นของเจ้าน่าจะมากกว่ารุ่นที่ร้อยแล้ว”
เขาหยิบสมุดที่เขากำลังอ่านขึ้นมาและไล่มองหาคำว่าหาน “หานคือรุ่นที่หนึ่งร้อยหก เฟิงคือรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ด นามเดิมของเจ้าไม่ใช่ฉินมู่ ในเมื่อมันควรจะต้องมีคำว่าเฟิงในชื่อของเจ้า”
ฉินมู่ผงกหัว แต่เขาไม่กล่าวชื่อดั้งเดิมของตน
หลังจากได้พบกับผู้สูงศักดิ์ เขาก็ตระหนักว่าการบอกนามที่แท้จริงของตนออกไปนั้นอันตรายมากแค่ไหน ยิ่งกับบุคคลเช่นท้าวยมราชที่ควบคุมแดนยมโลก ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่
“ถูกต้องแล้วที่เจ้าไม่บอกนามแก่ข้า โลกนี้นับว่าอันตรายอย่างผิดธรรมดาจริงๆ” ท้าวยมราชกล่าว “ข้าก็มีแซ่ฉินเช่นกัน แต่เป็นแซ่ที่ได้รับมอบมา ข้าเข้าตระกูลแบบบุญธรรม แต่เดิมนั้นข้าไม่นับว่าเป็นตัวอะไรเลยสักนิด เป็นเพียงเด็กกำพร้าอันปราศจากที่พึ่งพิง ฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าเข้าไปในปูมบันทึกวงศาคณาญาติของตระกูลฉิน ดังนั้นนามของข้าจึงอยู่ในนั้น”
ฉินมู่เข้าใจ เขากล่าวว่าเดิมทีแล้วเขามิได้มาจากตระกูลฉิน แต่เขาได้รับมอบแซ่ฉินมา และถือเป็นบุตรบุญธรรม
“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบเห็นอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล” ท้าวยมราชเดินลงมายังเขาที่หน้าโถงวัง มองไปยังยมโลกอันอาบท่วมไปด้วยเพลิงไฟ เขากล่าว “เดิมทีข้าคิดว่าฝ่าบาทจะออกมาจากหมู่บ้านไร้กังวลมายังสถานที่นี้ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่า แม้จะรอจนถึงสองหมื่นปี แต่ก็ยังมิอาจพบเห็นเขา มีก็เพียงแต่ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดมา เมื่อเจ้าใช้เวทมนตร์แดนใต้พิภพเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งไปจากข้า ข้าสังเกตพบว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าคล้ายคลึงกับฝ่าบาท อันเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าจึงไม่ยับยั้งเจ้า”
ฉินมู่ยังคงมีความกังขาและถามหยั่ง “ท่านหมายความว่าจักรพรรดิก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ”
ใบหน้าของท้าวยมราชถูกผ้าคลุมแห่งความมืดปกคลุม และแม้แต่เพลิงไฟอันร้อนแรงที่สุดก็ไม่อาจสาดส่องเข้าไปในนั้นได้ “ฝ่าบาทยังคงมีชีวิตอยู่ หลังจากบุกเบิกเปิดหมู่บ้านไร้กังวล เขาก็นำทวยเทพกลุ่มสุดท้ายออกไปจากโลกนี้ รักษาพละกำลังของเขาไว้เพื่อโต้กลับ ฝ่าบาทนั้นทรงพลังและเปี่ยมปัญญา ดังนั้นเขารู้ว่าอันตรายได้คืบคลานเข้ามาตั้งแต่ก่อนที่มันจะมาถึง ดังนั้นเขาจึงบัญชาให้ข้าบุกเบิกสร้างแดนยมโลก สร้างสถานที่ให้สำหรับเทพเจ้าที่ไม่อาจออกไปจากโลกนี้ได้ทันเวลาจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราจะลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง การรอคอยนี้ยาวนานถึงสองหมื่นปี…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวลใช่ไหม แล้วเจ้าเกิดที่ใด”
ฉินมู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงขื่น “แดนใต้พิภพ”
………………………
“ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าปณิธานและความสามารถของเหวินเหยียนเหนือล้ำกว่าพวกเราจ้าวลัทธิทั้งหลายไปไกล” ในสวนหลังโถงเหวินเหยียน อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่นี่ และซีเหยียนเว่ยก็ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน นางพลันจดจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และไต่ถาม “ตอนนั้นทำไมข้าถึงรับเจ้ามาเป็นศิษย์กันนะ ข้าพลันรู้สึกว่าสายตาของข้าก็ดีไม่ใช่เล่นนี่นา!”
ปรมาจารย์เยาว์หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “เมื่ออาจารย์รับข้ามาเป็นศิษย์ ท่านบอกว่าข้าหน้าตาหล่อดี และพรสวรรค์ของข้าก็ไม่เลว แน่ล่ะ ส่วนที่สำคัญก็ยังคงเป็นหน้าตาของข้า”
ฉินมู่สำรวจตรวจตราดูรอบๆ และผู้คนรอบๆ เขามีแต่หนุ่มหล่อสาวสวยทั้งนั้น อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้า รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์ ไม่มีใครหน้าตาน่าเกลียดเลยสักนิด
ซีเหยียนเว่ยก็หน้าแดงซ่านเช่นกันและแย้มยิ้ม “ข้าจำได้ละ ข้ารับเจ้ามาเป็นศิษย์เพื่อหมายใช้เจ้าทำลายจิตเต๋าของข้าด้วยเรื่องชู้สาว คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของข้าฝึกปรือเรื่องจิตใจเป็นหลัก และข้าได้ทำลายจิตเต๋าของอาจารย์ ด้วยวิธีนี้ข้าจึงแย่งชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิมาได้”
“ข้าต้องการบุคคลที่สามารถทำลายจิตเต๋าของข้าได้ โดยปราศจากการทำลายย่อมไม่มีการสรรค์สร้าง หากว่าเจ้าสามารถทำลายจิตเต๋าของข้า เจ้าก็จะกลายเป็นจ้าวลัทธิ แต่หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะสามารถรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง และอาจจะบรรลุเป็นเทพหรือมาร แต่ทว่า ในเมื่อข้าเอาแต่ระวังป้องกันเจ้า จ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็ฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอไม่สนใจเขา เพื่อลอบสังหารข้า”
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนมีน้ำเสียงกระหยิ่มใจเมื่อเขากล่าว “อาจารย์เอาแต่คอยระวังเรื่องรักใคร่จากศิษย์น้องเล็ก แต่ไม่รู้เลยว่ายากที่จะระวังป้องกันการโจมตีของศัตรูในที่ลับ ศิษย์น้องอายุเท่าไรกันเชียวในตอนนั้น ท่านเอาแต่พะวงเรื่องของเขา หากว่าท่านไม่มีความคิดเช่นนั้นและระวังป้องกันข้ามากกว่านี้ ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กคงได้เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว”
ฉินมู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คำว่ามารในลัทธิมารฟ้าน่าจะเกี่ยวข้องกับประเพณีอันสืบต่อกันมาระหว่างอาจารย์และศิษย์
ขนบที่อาจารย์เปิดโอกาสให้ศิษย์ลอบสังหารตนเองนั้นไม่อาจจะเรียกได้ว่าชั่วร้าย มันเหมือนกับหลี่เทียนซิงตอนที่เขาถูกท่านยายซีลอบสังหาร นางมีวรยุทธเพียงแค่ขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นนางย่อมมิอาจใช้กำลังฝีมือของนางสังหารหลี่เทียนซิงที่อยู่ในขั้นสะพานเทวะได้
แต่กระนั้นหลี่เทียนซิงก็ยังให้โอกาสนาง
การต่อสู้ระหว่างอาจารย์และศิษย์แห่งลัทธิมารฟ้าน่าจะมีที่มาจากบรรพจารย์ก่อตั้ง ผู้ซึ่งตั้งใจหมายจะให้รุ่นถัดไปยิ่งแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงได้ตรากฎเกณฑ์ว่าเมื่อศิษย์เอาชนะอาจารย์ของตนได้ พวกเขาก็จะสามารถขึ้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า
แต่ทว่ากฎเกณฑ์แบบนี้มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพิลึกกึกกือของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต มันย่อมง่ายที่จะก่อให้เกิดสันดานมารขึ้นมา ผลลัพธ์ก็คือ กฎเกณฑ์ที่ดูดีบนกระดาษได้เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน
ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้มและกล่าว “หากว่าข้าได้ขึ้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็คงไม่แตกต่างจากทุกๆ ท่าน เอาแต่กังวลเรื่องผลประโยชน์ของลัทธินักบุญสวรรค์มิได้กังวลถึงผู้คนในโลกหล้า การที่ไม่ได้เป็นจ้าวลัทธิกลับเติมเต็มข้าให้สมบูรณ์”
อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายผงกหัวอย่างเห็นด้วย
“สำหรับจ้าวลัทธิฉินนั้น…” ซีเหยียนเว่ยหันไปมองที่ฉินมู่และยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง “พวกเราจะไม่โต้แย้งว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยไม่เหมาะสมล่ะ หลังจากที่เจ้าขึ้นครองลัทธิ เจ้าทำได้ดี แต่หากว่าเป็นพวกเรา พวกเราก็คงทำได้ดีเหมือนกัน”
ฉินมู่ถ่อมตน “แน่นอนอยู่แล้ว อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดล้วนแต่เป็นหงส์เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ดังนั้นหากว่าพวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้า พวกเจ้าย่อมสามารถทำได้ดีกว่าข้า เพียงแค่ว่าตอนที่พวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้าจริงๆ พวกท่านไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”
ใบหน้าของจ้าวลัทธิทุกคนบิดกระตุก และสีหน้าของพวกเขาเดี๋ยวก็มืดคล้ำเดี๋ยวก็ซีดเผือด ราวกับว่ากำลังข่มใจไม่ให้ลงมือกำจัดมัน
ไอ้เด็กนี่มันไม่กลัวอะไรเลย แต่เขาก็เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาแบกรับความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งในการส่งต่อตำแหน่งและการสั่งสอนบนก้อนหิน ดังนั้นถ้าพวกเขากำจัดหมอนี่เสีย ลัทธิมารฟ้าก็คงจะจบเห่
“ก่อนหน้านี้ข้าหยาบคายไปหน่อย ในเมื่อข้ารู้สึกแค้นเคืองใจที่คนรุ่นอาวุโสอย่างพวกท่านใช้กฎเกณฑ์อันผิดพลาดและล้าหลังมาจำกัดชนรุ่นหลัง ดังนั้นข้าจึงได้ล่วงเกินพวกท่านทุกคน บัดนี้ข้าจึงกล่าวขออภัยอดีตจ้าวลัทธิทุกท่าน” ฉินมู่กล่าว
สีหน้าของจ้าวลัทธิทั้งหลายอ่อนลง และจ้าวลัทธิจู่หยางก็รีบพยุงเขาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยฉินได้ทำในสิ่งที่พวกเรามิได้ทำ และนั่นทำให้พวกเราชื่นชมเจ้าอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางเหล่าอดีตจ้าวลัทธิแล้ว ต่อให้เจ้าอาจจะไม่สามารถอยู่ในสามอันดับแรก แต่ต้องไม่พลาดห้าอันดับแรกอย่างแน่นอน ผู้คนกล่าวว่าหลังจากตายไปทุกๆ อย่างก็ว่างเปล่า และพวกเราคงไม่ผูกใจเจ็บเพียงเพราะการทะเลาะถกเถียงเล็กๆ นี่หรอก”
จ้าวลัทธิหูจุ่นแย้มยิ้มและกล่าว “นอกจากชื่นชมความสำเร็จในการฝึกปรือของเจ้าแล้ว พวกเรายังกังวลมากกว่าว่าถ้าหากเจ้ากลับไป เจ้าจะไม่ยอมให้สาวกลัทธิเผาเครื่องเซ่นไหว้มาให้พวกเราทุกๆ ปีใหม่และเทศกาล!”
“เจ้าพูดถูก พูดถูกมากๆ!”
ทุกคนหัวเราะและกล่าว “พวกเราไม่อยากจะกลายเป็นเหมือนยาจกสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างพวกจากโถงกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาไม่มีใครเผาของเซ่นไหว้มาให้เลยแม้แต่คนเดียว!”
“กษัตริย์มนุษย์คนปัจจุบันแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ช่างอกตัญญูเสียจริง เขาไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้ลงมาเลยสักนิด ดูสิว่าตอนมีชีวิตอยู่กษัตริย์มนุษย์พวกนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกันมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ยากจนสักเท่าไร พวกเขาจะเหมือนพวกเราได้อย่างไร ทั้งโอ่อ่ามากยศตอนมีชีวิต ตายแล้วก็ยังโอ่อ่ามากยศอยู่ดี!”
ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงดังสนั่น และปรมาจารย์เยาว์ก็ผสมโรงหัวเราะไปสองสามที แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฉินมู่ขึ้นมาได้ และรีบปรายตามองเขา
ฉินมู่หัวเราะแห้งๆ สองสามที โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่มีใบหน้า ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงแดงฉาน
อดีตจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้าไม่รู้ศักดิ์ฐานะอีกอย่างของเขาว่าเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบัน และที่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยากจนขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาไม่เผาของเซ่นไหว้ไปให้เลยสักนิด
หลังจากกลับสันตินิรันดร์ ข้าจะต้องแวะไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ และช่วยให้อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ปล่อยให้พวกเขายากจนแบบนี้ไม่ได้หรอก! เขาตั้งใจเป็นมั่นเหมาะ
“จ้าวลัทธิฉิน” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าได้มาพบข้าแล้ว ดังนั้นหลังจากกลับไปยังโลกแห่งคนเป็นเจ้าจะทำอะไรต่อ”
เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง และทุกคนก็มองไปที่เขาเพื่อดูว่าจะตอบอย่างไร
ฉินมู่เคร่งขรึมอยู่พักหนึ่งก่อนจะแย้มยิ้ม “หลังจากกลับไปยังสันตินิรันดร์ อย่างแรกข้าก็จะสร้างถนน”
“สร้างถนน?” ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้วและกล่าว “จริงอยู่ว่าถนนและการคมนาคมจะช่วยให้ผู้คนเดินทางไปมาได้สะดวก แต่ค่าใช้จ่ายนั้นสูงเกินไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ผ่านการศึกสงครามหลายครั้งและท้องพระคลังก็ว่างเปล่า เจ้าถือชีวิตของผู้คนธรรมดาสามัญเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไฉนจึงคิดสร้างถนนก่อน ถนนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นดีอยู่แล้ว ดังนั้นหากว่าเจ้าสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังทรัพย์หรอกหรือ”
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “นี่ก็เพราะว่าข้าเพิ่งเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันตกได้สำเร็จ!”
ปรมาจารย์เยาว์หัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และเขาร้องออกมา “เจ้านำกองทัพรุกรานแผ่นดินตะวันตกหรือ แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าเข้ายึดครองได้อย่างไร”
จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ก็ร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เมื่อพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ
“ด้วยตัวข้าเอง พร้อมกับกิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อ ข้าก็ได้เอาชนะแผ่นดินตะวันตก” ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ “แผ่นดินตะวันตกได้เข้าร่วมกับสันตินิรันดร์แล้ว แต่ระยะห่างจากแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นแสนลี้ ดังภาษิตว่าหากว่าแส้หวดไปไม่ถึง จักรพรรดิก็ควบคุมไม่ได้ แผ่นดินตะวันตกจะสงบเสงี่ยมเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่หากว่าถนนลำบากและยากจะคมนาคม เมื่อเวลาผ่านไป แผ่นดินตะวันตกก็จะเริ่มปั่นป่วนอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องการจะทำคือการเปิดเส้นทางคมนาคมระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับแผ่นดินภาคกลาง!”
ปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายมิอาจเชื่อคำพูดของเขาได้ เมื่อพวกเขาเดินไปมาพลางกุมหน้าผาก ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งก็หยุดเดินและถามอย่างเคร่งขรึม “แผ่นดินตะวันตกและแผ่นดินภาคกลางมีแดนโบราณวินาศและทะเลทรายเพลิงโหมกั้นกลาง ระยะทางใกล้ที่สุดก็ยังเป็นแสนลี้! เจ้าหมายที่จะสร้างถนนหนึ่งเส้นอันยาวถึงแสนลี้เชียวหรือ”
“ไม่ใช่หนึ่งเส้น แผนของข้าคือสอง ถนนใหญ่สองเส้นอันราบเรียบอย่างถึงที่สุดเพื่อให้รถและม้าเดินทางสัญจรด้วยความเร็วสูงสุดได้ ขนาดที่ว่าสามารถใช้สัตว์พิสดารลากรถตะบึงไปด้วยระยะหมื่นลี้ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน!”
“ผิดแล้ว!” จ้าวลัทธิผู้นั้นตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด “เจ้ามีเงินมากขนาดนั้นหรือ จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีเงินมากขนาดนั้นหรือ การสร้างถนนหนทางต้องอาศัยเงินทองและทักษะเทวะ มันหมดเปลืองชีวิตผู้คน! แม้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิของข้าจะมีโถงวิศวกรรม แต่หากว่าเจ้าใช้พวกเขาไปกรุยถนนหนทาง นี่ไม่เพียงแต่เงินทองเป็นล้านๆ ถูกเผาผลาญไป แม้แต่ศิษย์โถงวิศวกรรมของพวกเรามากมายก็จะเหนื่อยล้าขาดใจตาย!”
ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่ใช่ เมื่ออยู่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าได้เห็นถนนที่นั่น และมันล้ำหน้ายิ่งกว่าของสันตินิรันดร์มากนัก ทักษะเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้สามารถใช้กรุยถนนหนทาง และข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าสามารถร้องขอให้จ้าวตำหนักสวรรค์แท้นำคณะผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตะวันตกมาช่วยสร้างถนน พวกนางสามารถกรุยถนนหนทางไปได้พันลี้ภายในวันเดียว ดังนั้นเส้นทางยาวแสนลี้ก็จะต้องอาศัยเวลาเพียงหนึ่งร้อยวัน ค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงจนเกินไป”
ดวงตาของจ้าวลัทธิผู้นั้นลุกวาบ เขาแย้มยิ้มและถอยกลับไป จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ยังคนยืนล้อมรอบฉินมู่อยู่ และทันใดซีเหยียนเว่ยก็พลันหยุดเพื่อถาม “แล้วทะเลทรายเพลิงโหมล่ะ? มันกว้างหลายหมื่นลี้ ทั้งยังแห้งผากไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย หากว่าเจ้าสร้างถนนและถูกทรายกลบทับ ก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง! เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้คนบนเส้นทางก็จะเหนื่อยล้าและท้อแท้ ทั้งอาจจะทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น!”
“เมื่อราชครูสันตินิรันดร์สังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ทะเลทรายเพลิงโหมก็มอดดับ และเพียงแค่ใช้ลูกแก้วเต่าดำก็จะสามารถดึงน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงทะเลทราย ลูกแก้วมังกรเขียวสามารถใช้เพื่อปลูกพืชพรรณเปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นป่าเขียว ที่ราบทางตอนเหนือมีภูเขาหิมะอันสามารถใช้เป็นธารน้ำ ข้าจะชักนำมันมาจากที่นั่นและสร้างทะเลสาบในทะเลทราย แก้ปัญหาชลประทาน!”
ซีเหยียนเว่ยแย้มยิ้มและถอยออกไปเช่นกัน
จ้าวลัทธิอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาและถาม “เส้นทางที่สั้นที่สุดต้องผ่านแดนโบราณวินาศ มันสงบเงียบในระหว่างกลางวัน และเมื่อกลางคืนมาถึง สัตว์ประหลาดและความมืดก็จะรุกรานเข้ามา เจ้าจะปกป้องผู้สัญจรได้อย่างไร”
“ข้าไม่อาจรับประกันได้ แต่ข้าสามารถเคลื่อนย้ายรูปสลักหิน รวบรวมพวกมันมาเพื่อป้องกันความมืด และก็จะมีเมืองเล็กทุกๆ หนึ่งพันลี้ เมืองใหญ่ทุกๆ หมื่นลี้ เมืองเล็กและเมืองใหญ่จะอยู่ระหว่างถนนสองเส้นเพื่อให้ผู้สัญจรมีสถานที่พักเท้าของตน ด้วยเมืองเล็กและใหญ่พวกนี้ สินค้าก็จะเดินทางไปมาระหว่างแผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และแผ่นดินภาคกลาง เป็นผลให้เศรษฐกิจและการค้ารุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างแน่นอน”
“เจ้ายังไม่ได้อธิบายว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินทองอย่างไร!”
“เมื่อสร้างถนนสำเร็จ ธุรกิจและการค้าเดินทางสัญจร เงินทองก็ย่อมไหลมาเอง!”
“แดนโบราณวินาศมิใช่เส้นทางราบเรียบ มีปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารมากมาย เจ้าจะทำให้ภูเขาและแม่น้ำทั้งหลายราบเรียบได้อย่างไร”
“เมื่อพบภูเขาก็เจาะเข้าไปในภูเขา เมื่อพบแม่น้ำก็สร้างสะพาน และเมื่อพบเทพเจ้าก็น้อมสักการะเทพเจ้า!”
“ถนนกว้างเท่าใด”
“กว้างหกสิบวา มีแปดช่องทางให้ยวดยานและสี่ช่องทางสำหรับไพร่พล”
“ความกว้างช่องทางสำหรับยวดยานม้าในแผ่นดินตะวันตกแตกต่างจากสันตินิรันดร์ เจ้าจะควบคุมการสัญจรในช่องทางให้ราบรื่นได้อย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้น ก็สร้างเส้นทางให้คล้ายคลึงกัน!”
“สภาวการณ์และขนบธรรมเนียมพื้นถิ่นของแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เหมือนกัน!”
“ตัวอักษรแตกต่างกัน ทักษะเทวะก็แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้น ก็เผยแพร่ระบบตัวอักษรเดียวกันออกไป และเปิดโรงเรียนให้การศึกษา!”
…
ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิยี่สิบแปดคนก็หัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน และพวกเขาก็โค้งคารวะแก่ฉินมู่ “จ้าวลัทธิสามารถถูกเรียกขานว่านักบุญได้! ท่านนั้นสมกับตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์! พวกเราทดสอบท่านแทนจ้าวลัทธิหลี่ และท่านก็ผ่านการทดสอบ!”
ฉินมู่คารวะกลับไปและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณจ้าวลัทธิทุกท่านมากที่ถามคำถามข้าและให้แสงสว่างทางปัญญา! หลังจากที่กลับไปยังโลกคนเป็น ข้าก็จะมีวิถีทางในการดำเนินการปฏิรูปต่อไป หากว่าการปฏิรูปสำเร็จไปถึงระดับหนึ่งและแปรเปลี่ยนอุปสรรคสวรรค์ให้เป็นถนนราบ พวกท่านก็จะมีส่วนในคุณงามความดีด้วย!”
ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและลุกขึ้นยืน
ปรมาจารย์เยาว์รู้สึกดีใจแทนพวกเขา ตอนแรกฉินมู่ได้ฉีกหน้าแตกหักกับอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย แต่บัดนี้ความบาดหมางทั้งมวลก็ถูกปัดเป่าไป และเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เสียงของเทพหัวนกฉือซิ่วก็ดังมาถึงพวกเขา “จ้าวลัทธิฉิน ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าด้วยตนเอง เจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือ”
……………….
โถงเหวินเหยียนเป็นสถานที่ของปรมาจารย์ยาว์ และมันซอมซ่อกว่าโถงของจ้าวลัทธิทั้งหลายมากนัก นี่คงเป็นเพราะว่าปรมาจารย์ไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และศักดิ์ฐานะของเขานั้นต่ำกว่าจ้าวลัทธิทั้งหลายเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าในสายตาของฉินมู่แล้ว มันก็เพราะปรมาจารย์ไม่เคยได้เป็นจ้าวลัทธิเช่นกัน ที่ทำให้เขาวางหลายๆ อย่างลงได้ และสำเร็จในสิ่งที่จ้าวลัทธิเหล่านั้นไม่เคยกระทำ
ปรมาจารย์เยาว์และราชครูสันตินิรันดร์เป็นอาจารย์และศิษย์อยู่ครึ่งตัว เมื่อราชครูสันตินิรันดร์มาเยือนเขา เขาก็ริเริ่มเสนอให้ราชครูได้ชมดูคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ทั้งยังบอกเขาถึงหลักการใหญ่ของมรรคาแห่งนักบุญ จากนั้นเขาก็เขียนจดหมายด้วยตนเองเพื่อแนะนำชายหนุ่มผู้นี้ไปยังสำนักเต๋าและวัดใหญ่ฟ้าคำราม
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของราชครูสันตินิรันดร์เกี่ยวข้องกับเขาเป็นอย่างมากเช่นกัน
หลังจากนั้นเมื่อสันตินิรันดร์เริ่มการปฏิรูป เขาก็ยังคงเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์เยาว์ แม้แต่การก่อตั้งสถาปนามหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็เกี่ยวพันกับเขาอย่างลึกล้ำ
เขานั้นเป็นอธิการบดีคนแรกแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และเมื่อราชครูสันตินิรันดร์ผลักดันการปฏิรูปต่อไป ก็มักจะมาขอความคิดเห็นจากเขา
ในการปฏิรูปของสันตินิรันดร์มียักษ์ใหญ่ที่สำคัญอยู่สามคน สองยักษ์ใหญ่คือ ราชครูและจักรพรรดิ อยู่ในที่เปิดเผย ขณะที่ปรมาจารย์เยาว์คือยักษ์ใหญ่คนที่สามอันซ่อนอยู่ข้างหลังฉาก
เพียงแค่ความสำเร็จพวกนี้ ตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเพียงสองสามคนเท่านั้นที่มีความสำเร็จทัดเทียมกับปรมาจารย์เยาว์ได้
และกระนั้นก็เพราะว่าเขามิใช่จ้าวลัทธิ เขาจึงไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่ากับจ้าวลัทธิ ทำให้ฉินมู่รู้สึกรันทดใจแทนเขา
“เจ้ายังไม่เปลี่ยนอารมณ์ร้อนของเจ้าอีก”
ปรมาจารย์เยาว์นำฉินมู่เข้าไปในโถง ขณะที่กระดูกมหึมาและเกล็ดของกิเลนมังกรถูไถตัวเขาไปมาตลอด ถึงขนาดที่ว่าเสื้อผ้าของปรมาจารย์เยาว์ขาดวิ่นและขาของเขาก็แดงเถือก
กระนั้นเขาก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวกับฉินมู่ “แล้วตอนนี้เป็นอย่างไร อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดถูกเจ้าอัดจนน่วม! เจ้าคิดว่าพวกเขาถือศีลกินเจกันหรืออย่างไร พวกเขาคือผู้มีอิทธิพลในยมโลก! หลังจากที่เจ้าแก่ตายลงมา เจ้าจะอยู่อย่างไรในยมโลก…”
“ปรมาจารย์…” ฉินมู่พลันกอดเขาแน่น ขณะที่เสียงของเขาสั่นเล็กน้อย เขาไม่ปล่อยอีกฝ่ายหลุดไปแม้ว่าจะกอดไว้เนิ่นนาน “ข้าคิดถึงท่าน”
โครงกระดูกเด็กหนุ่มหมายที่จะปาดป้ายน้ำตา แต่มันไม่มีน้ำตาให้ปาด เขาสำลักสะอื้นและกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าท่านไปสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าในแดนโบราณวินาศ และเพียงแต่ได้ยินจากซีอวิ๋นเซี่ยงในภายหลัง ผู้อาวุโสคุมกฎนำเถ้ากระดูกของท่านกลับมา แต่ข้าไม่มีโอกาสได้พบท่านเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นข้าจึงมาเจอท่านที่นี่ในตอนนี้! ข้าปิดบังจากมังกรอ้วนเอาไว้ตลอด ไม่กล้าบอกเขา แต่ข้าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว…”
ปรมาจารย์เยาว์ตะลึงงัน เขาตบหลังเด็กหนุ่มเบาๆ และถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้าเพียงแต่ไปมีชีวิตอยู่ที่อื่นเท่านั้น ดูสิ ข้ายังมีเลือดและเนื้อ ในสายตาของข้า พวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนตาย หรือข้าต้องตีอกชกหัวร้องไห้รำพันเช่นกันล่ะ นี่ นี่ จ้าวลัทธิฉินออกจะดุร้ายตอนที่ด่าทอและทุบตีบรรพชนทั้งหลาย แต่ทำไมตอนนี้เจ้าทำตัวเป็นเด็กเล็กๆ…พอแล้ว กิเลนมังกร ขาข้าโดนเจ้าถูจนเลือดไหลแล้ว! เจ้ายังถูไถข้าไม่พอหรืออย่างไร”
กิเลนมังกรหมายจะแลบลิ้นออกมาเพื่อช่วยเขาเลียบาดแผล แต่พลันนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่มีลิ้น เขาจึงถอยไปอย่างอิดออด แต่สักพักหนึ่ง เขาก็อดใจไม่ไหว เข้าไปถูไถขาของปรมาจารย์เยาว์อีกครั้ง
ปรมาจารย์เยาว์อึ้งกิมกี่ เขาไม่ได้พบกิเลนมังกรมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเมื่อพบกันทีแรก พวกเขาก็กอดคอกันร้องไห้อย่างมากด้วยเพราะความสนิทกันมาก่อน แต่เมื่อมังกรอ้วนนี่ถูขาเขาไม่หยุด เขาก็เริ่มจะรำคาญ และอยากเสียยิ่งกว่าอะไรที่จะโยนเจ้านี่ทิ้งไปไกลๆ
“ข้าอยากจะพบกับนักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสอนของเขาบนก้อนหิน อีกทั้งบรรพจารย์ก่อตั้ง เช่นเดียวกับกษัตริย์ทั้งสาม” ฉินมู่กล่าว “ปรมาจารย์ พวกเขาอยู่ในยมโลกด้วยไหม”
“เจ้าไม่มีทางได้เห็นสามกษัตริย์อีกต่อไป ดวงวิญญาณของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยความเศร้า “พวกเขาตายในการศึก แต่ก็ยังรีดเร้นตนเองให้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหินไปยังจ้าวลัทธิคนถัดไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถป้องกันดวงวิญญาณของตนเองและเข้ามาในยมโลกได้ ข้าคิดว่าข้าน่าจะได้พบบรรพจารย์ก่อตั้งที่นี่เช่นกัน แต่ข้าไม่เคยเห็นเขา นักบุญคนตัดไม้ก็ไม่อยู่ที่นี่เช่นกัน”
ฉินมู่ตกตะลึง นอกจากยมโลกแล้ว มีที่ไหนอีกที่นักบุญคนตัดไม้และบรรพจารย์ก่อตั้งจะไป
รูปสลักหินของร่างเนื้อนักบุญคนตัดไม้ยังคงยืนอยู่ในนครหยกน้อย มองตรงไปยังแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาออกไปจากร่างและเดินทางไปยังสถานที่อื่น หลังจากที่บรรพจารย์ก่อตั้งได้ก่อตั้งลัทธิของเขาและสถาปนาความคิดลงในข้อเขียนนิพนธ์ เขายังมิได้สถาปนากุศล ดังนั้นเขาจึงยังไม่สำเร็จเป็นนักบุญ เขาก็น่าจะยังไม่บรรลุเป็นเทพเจ้าเช่นกัน ดังนั้นเขาก็น่าจะตายไปจากความชรา แต่ตอนนี้เขาหายไปที่ไหนกันนะ
ปรมาจารย์เยาว์ลังเลและกล่าว “เจ้าทุบตีอดีตจ้าวลัทธิ…”
“ปรมาจารย์ ข้าเป็นจ้าวลัทธิ พวกเขาก็เป็นจ้าวลัทธิ เช่นนั้นทำไมข้าต้องลดตัวต่ำกว่าพวกเขาด้วยล่ะ ข้ายังเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกด้วย ดังนั้นศักดิ์ฐานะของข้ายิ่งเหนือกว่าพวกเขา หากว่าท่านต้องการให้ข้าพูดพินอบพิเทาพวกเขา ข้าทำไม่ได้หรอก” ฉินมู่กล่าว
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอาวุโสต่ำสูง และผู้ที่ค้นพบสัจจะควรจะเป็นครูบา แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอดีตเจ้าลัทธิ พวกเขาก็มีความหัวแข็งในแบบต่างๆ กันไป หากว่าข้าไม่ทุบตีพวกเขาให้น่วม พวกเขาก็คงจะเอาแต่พูดว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของข้าได้มาอย่างไม่เหมาะสม หลังจากทุบตีพวกเขา ถึงจะค่อยหุบปาก ยิ่งไปกว่านั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในมือของพวกเขาไม่มีความสำเร็จใดๆ และมรรคาเต๋าก็กลายเป็นแปดเปื้อนต่ำช้า ดังนั้นพวกเขาสมควรแล้วที่จะถูกทุบตี”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจแล้วถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “เจ้าไม่มีกายเนื้อ แล้วเจ้าใช้พลังวัตรของเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าเคยมาที่นี่กับผู้ใหญ่บ้านหนึ่งครั้ง และในตอนนั้นที่ข้าตระหนักว่า การที่ข้าเปลี่ยนแปลงเป็นโครงกระดูกนั้นเป็นเพียงภาพมายา กายเนื้อของข้าที่หายไป และการที่พวกท่านฟื้นคืนชีพ นั้นก็เป็นภาพมายาเช่นกัน เนตรเทวะของท่านปู่บอดทำให้ข้าสามารถมองทะลุได้ทุกสิ่งในยมโลก และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ข้าก็สามารถใช้พลังวัตรและทักษะเทวะในยมโลกได้ ข้าสามารถสัมผัสถึงกายเนื้อของตนได้ ปรมาจารย์ ท่านคงไม่รู้เรื่องนี้ แต่สายตาของข้า…”
ความเศร้าโศกอันไร้ประมาณโถมท่วมหัวใจของเขา และเขาไม่พูดต่อ
เบื้องหน้าเนตรเทวะของเขา ปรมาจารย์ผู้ดูเหมือนจะมีชีวิตมีลมหายใจเป็นเพียงแค่โครงกระดูก
เมื่อฉินมู่ก้าวเข้ามาในยมโลก นั่นคือทั้งหมดที่เขาเห็น
ผู้คนอันเดินขวักไขว่ไปมาในเมืองแห่งยมโลกอันคับคั่ง ล้วนแต่เป็นโครงกระดูกและภูตผี มีก็แต่เขาเท่านั้นที่เดินทางผ่านเมืองด้วยกายเลือดเนื้อ นั้นเป็นวิญญาณอันโดดเดี่ยว แยกขาด และลำพัง
แม้เมื่อเขาสนทนาอย่างคึกคักกับอดีตกษัตริย์มนุษย์ในโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง เขาก็เพียงแค่ได้สนทนากับโครงกระดูกหลายสิบโครง
มีแต่ก็ในอาณาเขตของระหว่างเป็นตาย ที่เขาจะได้เห็นอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดมีเลือดเนื้อเดิม
นั่นคือภาพที่ฉินมู่เห็นเมื่อเขาใช้เนตรเทวะอันเฒ่าบอดถ่ายทอดให้แก่เขา
สายตาของเขาแตกต่างไปจากสายตาของพวกผีทั้งหลายในยมโลก
ในแดนเป็นของคนตาย ความเป็นและความตายพลิกผัน แต่ปรมาจารย์ อดีตกษัตริย์มนุษย์ และอดีตจ้าวลัทธิ ก็ยังคงเป็นคนตายอยู่ดี
ฉินมู่ไม่กล่าวทั้งหมดนี่ เขานิ่งงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้ม “ปรมาจารย์ ท่าน ราชครู และจักรพรรดิ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหลักในการปฏิรูป บัดนี้เมื่อท่านมาอยู่เสียที่นี่ แล้วการปฏิรูปจะเดินต่อไปได้อย่างไร”
ปรมาจารย์เดินไปข้างๆ เขาเพื่อป้องกันไม่ให้กิเลนมังกรมาเดินวนพันรอบๆ ตัวเขาอีกครั้ง เขาแย้มยิ้มและกล่าว “เส้นทางแห่งการปฏิรูปได้เริ่มต้นแล้ว และจะไม่จบสิ้น สิ่งที่ราชครูได้ปฏิรูปนั้นคือประเพณี สันดานทาส และการต่อสู้ระหว่างสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะในโลกหล้าไม่ต้องมาต่อสู้เพื่อสำนักของตนอีกต่อไป และเผาผลาญพลังงานของพวกเขาเพื่อความว่างเปล่า นี่ก็เพื่อเปลี่ยนแปลงกรอบคิดของสำนักแต่ละสำนัก เพื่อให้ผู้ฝึกวิชาเทวะทำงานเพื่อผู้คนและรับใช้พวกเขา นี่คือความคิดและโครงการอันยิ่งใหญ่”
เขามายังสวนข้างหลังโถงเหวินเหยียนและส่งกรรไกรหนึ่งเล่มให้กับฉินมู่ เขาเองก็มีกรรไกรเล่มหนึ่งเหมือนกัน และตัดแต่งกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาอย่างพิถีพิถัน “สิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิรูปคือการเปลี่ยนความเคยชินแย่ๆ ในหัวใจของผู้คน ผลักเทวรูปข้างในพวกเขาให้ล้ม การทำลายเทพเจ้าในหัวใจผู้คนนั้นมิใช่สิ่งที่ผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องกระทำ แต่เป็นสิ่งที่ทั้งโลกหล้าต้องร่วมแรงกระทำ หากว่าใครสามารถทำลายเทพและพุทธในหัวใจตนได้ นั่นก็จะเป็นการสั่งสมความรุ่งเรืองให้แก่โลก”
ฉินมู่ช่วยตัดแต่งต้นไม้ และเปลี่ยนกอดอกไม้กอหนึ่งให้กลายเป็นแม่ไก่มังกรที่โล้นเลี่ยนไร้ขน เมื่อปรมาจารย์เยาว์กล่าวจบ เขาก็หยุดใคร่ครวญถ้อยคำของเขาก่อนจะพยักหน้า “ผู้คนในโลกหล้าสวดภาวนาต่อเทพเจ้าและพุทธองค์เพื่อขอลม ขอฝน และการเก็บเกี่ยวที่อุดม เพื่อให้ครอบครัวของพวกเขารุ่งเรืองและมีลูกหลานมากมาย หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะสามารถทำให้คำภาวนาของพวกเขาเป็นจริงได้ มันก็ย่อมจะช่วยทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจพวกเขาอย่างแน่นอน”
ปรมาจารย์เยาว์มองไปยังไม้ใบและไม้ดอกที่เขาตัดแต่งจนยุ่งเหยิงไปหมด และละสายตาออกไปครู่หนึ่ง “ข้าได้กล่าวเช่นนี้กับราชครูมาก่อน นั่นก็คือการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ อย่างแรกเขาต้องปฏิรูปเศรษฐกิจ มันจะช่วยยกระดับผลผลิตของจักรวรรดิและส่งเสริมผู้คน เมื่อเศรษฐกิจถูกเปิดออก ความรู้ของผู้คนก็จะเปิดหงายเช่นกัน พูดให้เรียบง่ายแล้ว เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะใช้ทักษะเทวะของพวกเขาเพื่อช่วยชาวนาเก็บเกี่ยวผลผลิต ชาวนาก็จะจ่ายเงินทองให้เขา และด้วยเงินที่ได้รับมา เขาก็จะใช้มันซื้ออาหารและทรัพยากรสำหรับการฝึกวิทยายุทธ”
“เงินนี้ก็จะไหลกลับไปถึงมือผู้คน พวกเขาก็จะต้องจ่ายภาษีให้กับจักรวรรดิ เพื่อให้จักรวรรดิมั่งคั่งขึ้น เมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง มันก็จะสามารถเปิดการคมนาคมและการชลประทานได้มากมาย อันเพื่อความสะดวกและเพื่อประโยชน์แก่ผู้คนทั่วไป ดังนั้นเมื่อจักรวรรดิมั่งคั่ง ผู้คนก็มั่งคั่ง เมื่อผู้คนมั่งคั่ง ทรัพยากรก็ดกดื่น ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะสามารถซื้อหาทรัพยากรได้ทุกชนิดทุกแบบ และวรยุทธของพวกเขาก็จะรุดหน้าไปกว่าเก่าก่อน ผู้คนจะกลายเป็นแข็งแกร่ง และจักรวรรดิก็จะกลายเป็นแข็งแกร่ง”
ฉินมู่กำลังดื่มดำ แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เมื่อเขาหันกลับไปมอง เขาก็เห็นจ้าวลัทธิจู่หยาง จ้าวลัทธิอวี้เหลียน จ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย และคนอื่นๆ เข้ามาในโถงเหวินเหยียนด้วยจิตสังหารอันคุกรุ่น
อดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายมิได้ลงมือ แต่กลับหยุดเท้าและเงี่ยหูรับฟัง
“สามัญชนได้กลายเป็นทาสของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลมาเนิ่นนาน และบัดนี้พวกเขาก็มีนิสัยสันดานของความเป็นทาส เมื่อเจ้าคุกเข่าลงครั้งหนึ่ง ก็ยากที่จะลุกขึ้นมาอีก ตอนนี้ราชครูกำลังทำให้ผู้คนลุกขึ้นยืน แต่นี่ต้องอาศัยเวลา กระนั้น การปฏิรูปก็กำลังเคลื่อนไปอย่างแช่มช้า ผู้คนเดี๋ยวนี้ไม่คุกเข่าให้กับผู้ฝึกวิชาเทวะอีกต่อไปแล้ว”
ความคิดของปรมาจารย์เยาว์เต็มไปด้วยการปฏิรูป และเขาไม่สำเหนียกของการมาเยือนของอาคันตุกะ เขาหวนรำลึกถึงอดีต “ข้าเคยเห็นสถานการณ์ก่อนการปฏิรูป ในตอนนั้น สำนักและลัทธิทั้งหลายมีมากมาย และชาวนาทั้งหลายก็ถูกโบยตีด้วยชีวิต พวกเขาจะต้องคุกเข่าและเรียกค่ายสำนักเหล่านั้นว่านายผู้เฒ่า บรรณาการพวกเขาด้วยเนื้อและธัญญาหาร เพื่อเปลี่ยนแปลงสันดานทาสเช่นนี้ ราชครูและข้าใช้เวลาราวๆ สองร้อยปี เมื่อผู้คนลุกขึ้นได้ ก็ยากที่พวกเขาจะคุกเข่าลงไปใหม่เช่นกัน”
ฉินมู่จดจำได้ถึงภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนมากมายคุกเข่าลงตรงหน้ารูปสลักหินที่ผุดโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน “พวกเขายังคงคุกเข่าให้กับเทวรูป”
ปรมาจารย์เยาว์มีสีหน้าประหลาด “ราชครูกล่าวว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารนั้นง่ายกว่าการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ แต่สำหรับข้า การทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารก็ไม่ง่ายเช่นกัน ข้าเคยทำการทดลองเล็กๆ หนหนึ่งเพื่อทดสอบหัวใจของผู้คน ข้าสร้างวิหารเล็กๆ เอาไว้ที่นอกเมืองหลวง และเปิดสติปัญญาของหมาขี้เรื้อนสกปรกหนึ่งตัว จากนั้นให้มันนั่งอยู่บนวิหาร เจ้าเดาออกหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อ”
เขาถอนหายใจและกล่าว “ภายในไม่กี่วัน วิหารหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยธูปเทียนบูชา และยังมีผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากมายถวายเครื่องเซ่น กล่องบริจาคข้างหน้าหมาขี้เรื้อนก็เต็มไปด้วยเงินทอง หากว่าเจ้าวางคางคกไว้ในวิหาร มิใช่หมาขี้เรื้อน ผู้คนก็ยังคงใส่เงินทองให้มันจนเต็มปรี่และนำธูปเทียนมาจุดเซ่นไหว้”
ฉินมู่หัวเราะ แต่ไม่เท่าไรเขาก็หัวเราะไม่ออกอีกต่อไป
“นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมเราต้องเปิดเศรษฐกิจ และทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น เมื่อนั้นพวกเราถึงจะสามารถทุบทำลายเทพเจ้าในวิหารและเทพเจ้าในหัวใจ” ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “และเพื่อทำให้ผู้คนฉลาดขึ้น พวกเราก็ต้องการพวกเจ้าให้ดำเนินการปฏิรูปต่อ และเพิ่มพูนจำนวนของผู้ฝึกวิชาเทวะ ให้พวกเขากลายเป็นดาษดื่นมากยิ่งขึ้นและบรรลุเป็นเทพเจ้า”
“เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะที่บรรลุเป็นเทพเจ้ายังคงรับใช้ผู้คนธรรมดาสามัญ ผู้คนทั้งหลายก็จะไม่สวดภาวนาต่อเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป ด้วยสติปัญญาใหม่ ก็จะมีแต่เพิ่มจำนวนผู้ฝึกวิชาเทวะขึ้นไปอีก”
จากนั้นเขาก็กล่าวเสริม “เปิดเศรษฐกิจ ทำให้ผู้คนฉลาดขึ้นนั้นล้วนแต่เป็นส่วนหนึ่งในมรรคาแห่งการปฏิรูป สิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่ในตอนนี้ดีแล้ว ทักษะเทวะจะต้องใช้เพื่อประโยชน์ของผู้คน แต่ยังต้องอาศัยเวลาสักหน่อยเพื่อให้ผู้คนบ่มเพาะสติปัญญาและไม่คุกเข่าให้กับเทพเจ้าในวิหารอีกต่อไป การเดินทางนี้เหนื่อยยาก และอันดับแรกมันก็จะไปแตะต้องผลประโยชน์สำนักต่างๆ ก่อนที่จะไปแตะต้องผลประโยชน์ของเทพสูงส่ง”
“เหนือฟ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ของเทพสูงส่งทั้งหลาย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ภยันตรายอันร้ายกาจกว่านี้จะซุ่มซ่อนอยู่เบื้องหลัง” เขาตัดแต่งกิ่งอันชี้โด่เด่และกล่าว “การปฏิรูปของราชครูได้เพิ่มท่วงท่ากระบี่เข้าไปอีกสามท่วงท่า และเริ่มการเปลี่ยนแปลงของมรรคาและวิชาในฟ้าและดิน เจ้าเผยแพร่วิชาฝึกปรือในการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปด้วยการเชื่อมต่อสะพานเทวะ ได้ผลักดันการปฏิรูปไปอีกก้าว”
“ซีอวิ๋นเซี่ยงได้จุดธูปและภาวนาถึงข้า บอกข้าว่าเจ้าและองค์หญิงอวี้จิวได้ก่อตั้งวิชาในการปลุกจิตวิญญาณดั้งเดิมขั้นหกทิศ ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ร่วมกันสานต่อบนรากฐานนี้และสรรค์สร้างวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะมากมาย นั่นก็ล้วนแต่เป็นเรื่องอันดีงาม”
เขายืนหลังตรง “ด้วยมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่รุดหน้าไปทุกวี่วัน ก็จะยิ่งมีเทพเจ้าในจักรวรรดิสันตินิรันดร์มากขึ้นทุกที ในเวลาไม่นาน เทพเจ้าในวิหารก็จะถูกทุบทำลาย และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น พวกเราก็คงไม่ห่างไกลจากการทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจ!”
ฉินมู่จิตไหวสะท้าน และเขาโยนกรรไกรลง จากนั้นโค้งคารวะจนแทบจรดพื้น “ปรมาจารย์ ท่านเป็นครูบาศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า!”
ปรมาจารย์เยาว์ก็รีบโยนกรรไกของเขาทิ้งและพยุงตัวเขาขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิเรา ดังนั้นเจ้าจะมาเรียกข้าว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ลุกขึ้นเร็วเข้า!”
ในตอนนั้นเอง อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดในบริเวณโดยรอบก็โค้งคารวะแทบจรดดินและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ครูบาศักดิ์สิทธิ์!”
ปรมาจารย์เยาว์ถึงเพิ่งสังเกตเห็นพวกเขา และตอนนี้ก็ตะลึงงัน
“ครูบาศักดิ์สิทธิ์คือนักบุญผู้เป็นครูสั่งสอน จ้าวลัทธิในอดีตทั้งหลายไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ มีก็แต่ท่านที่สมควรแก่คำเรียกหานี้และคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!”
ปรมาจารย์เยาว์ว้าวุ้น อารมณ์หลากหลายเอ่อท้นขึ้นมาในหัวใจของเขา เขาข่มน้ำตาที่หลั่งไหลอาบหน้ามิได้
เขานั้นไม่เคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน และมักจะถูกกีดกันออกนอกวงอำนาจในลัทธินักบุญสวรรค์ เขานั้นเพียงแต่เข้ามาแบกรับภาระของลัทธินักบุญสวรรค์ในสภาวะคับขันเท่านั้น
นั่นจึงเป็นเหตุให้เขาไม่เคยคิดฝันว่า เขาจะได้เป็นเหมือนกับนักบุญคนตัดไม้ ได้รับความเคารพนับถือจากอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด!
ผู้เดียวอันคู่ควรแก่ความเคารพของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหมด มีก็แต่นักบุญคนตัดไม้ผู้ถ่ายทอดคำสั่งสอนบนก้อนหิน
……………………
สีหน้าฉินมู่มืดดำ แต่แผล็บเดียวเขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่มีใบหน้าให้เปลี่ยนเป็นมืดคล้ำ
ประเพณีของลัทธิมารฟ้าดูจะแตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ ไม่เพียงแต่ไม่มีโทษทัณฑ์สามมีดหกรูสำหรับการลอบสังหารจ้าวลัทธิแล้ว มันยังเป็น ‘คุณธรรม’ ตามประเพณีแบบหนึ่ง จ้าวลัทธิทั้งหลายถือเอาการลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อนเพื่อชิงตำแหน่งเป็นพฤติการณ์เกียรติยศ!
“ข้าไม่เคยลอบสังหารใคร ข้าถูกปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เลือกขึ้นมาเพื่อแต่งตั้งเป็นจ้าวลัทธิ” ฉินมู่กล่าวพลางข่มกลั้นอารมณ์
“อาจารย์! อาจารย์!” จ้าวลัทธิอวี้เหลียนโบกมือไปยังเด็กสาวผู้หนึ่ง “จ้าวลัทธิน้อยอยู่ที่นี่แล้ว และเขาบ้ามากๆ! เขาถึงกับไม่ได้ลอบสังหารจ้าวลัทธิคนก่อน แต่ย่างเท้าขึ้นไปเป็นจ้าวลัทธิเลย!”
เด็กสาวเดินออกมาจากวังของตนเองและมุ่งหน้ามายังพวกเขา นางกล่าวด้วยความแตกตื่น “มีเหตุการณ์แบบนี้ด้วยหรือ เจ้าไม่ได้ยั่วยวนอาจารย์ของตน ทำลายจิตเต๋าของเขา หรือทำให้เขาพ่ายแพ้เจ้าในการต่อสู้หรือ”
ฉินมู่ส่ายหัว “เปล่าเลย ปรมาจารย์นักบุญสวรรค์เป็นผู้ตัดสินใจและส่งต่อตำแหน่งมาให้ข้า”
“ทำลายประเพณีของลัทธินักบุญสวรรค์ข้า!” เด็กสาวนั้นทรงเสน่ห์ ด้วยต่างหูเงินคู่ใหญ่ระยิบระยับอยู่บนหูของนาง แต่สายตาของนางที่มองไปยังฉินมู่มีวี่แววของความเหยียดหยามอยู่เล็กน้อย พลางกล่าว “ต่อสู้ขับเคี่ยวกันด้วยมันสมองกับสองหมัดเป็นประเพณีอันดีงามของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเรา และเจ้าถึงกับทอดทิ้งประเพณีนี้! น่าเบื่อจริงๆ! หากว่าเจ้าไม่ท้าทายอาจารย์ ชนรุ่นต่อไปจะแข็งแกร่งเท่ากับรุ่นก่อนได้อย่างไร ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้ามิได้รับมาด้วยวิธีการอันถูกต้อง!”
ฉินมู่อ้าปากค้างและไม่รู้จะพูดอะไร
เด็กสาวผู้นี้น่าจะมาจากตระกูลซี และตามลำดับของอดีตจ้าวลัทธิแล้ว นางน่าจะเป็นจ้าวลัทธิซีเหยียนเว่ย บรรพชนคนหนึ่งของตระกูลท่านยายซี
ตระกูลซีน้อยครั้งนักที่จะเป็นจ้าวลัทธิ แต่ก็ยังมีหนึ่งหรือสอง ซีเหยียนเว่ยเป็นหนึ่งในนั้น
“เดิมทีข้าเป็นธิดาเทพแห่งลัทธิศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วข้าก็ทำให้จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นตกหลุมรักข้าอย่างบ้าคลั่ง และบ่อนเซาะจิตเต๋าของเขา จ้าวลัทธิฝูอวิ๋นจึงถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อนและกล่าวว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์จะต้องแข็งแกรงกว่ามากในมือของข้า ดังนั้นเขาจึงถ่ายทอดปฏิภาณและพลังวัตรให้แก่ข้าทั้งหมด แต่เจ้ากลับพึ่งพาความช่วยเหลือของปรมาจารย์เพื่อได้ตำแหน่งจ้าวลัทธิมา ดังนั้นเจ้านับว่าขึ้นครองลัทธิโดยไม่ชอบด้วยกฎเกณฑ์!”
จ้าวลัทธิจู่หยางยิ้มหยัน “อาจารย์ย่า คนที่ถ่ายทอดตำแหน่งให้เขาก็คืออาจารย์อาเล็กของจ้า ตอนนี้ท่านคงรู้แล้วใช่ไหมว่าการจะถ่ายทอดตำแหน่งให้อาจารย์อาเล็กนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมากแค่ไหน อาจารย์อาเล็กได้ทำลายประเพณีอันสืบทอดมาอย่างยาวนานของลัทธินักบุญสวรรค์พวกเราหลังจากที่เขาขึ้นเป็นปรมาจารย์นักบุญสวรรค์! จ้าวลัทธิน้อยผู้นี้มิได้กำจัด แม้แต่ทำให้จ้าวลัทธิคนก่อนบาดเจ็บก็ยังไม่ได้ทำ เขายังมีหน้ามาพบพวกเราอีก!”
ซีเหยียนเว่ยหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย “ข้ารู้สึกว่าเหวินเหยียนน้อยนั่้นค่อนข้างหล่อเหลาและจะต้องทำลายจิตเต๋าของข้า ช่วงชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิไปจากข้า ดังนั้นข้าไม่คิดเลยว่าอาจารย์ของเจ้าจะเป็นผู้ลอบสังหารข้าแทน แต่ถึงอย่างไร เหวินเหยียนก็ได้ทำให้หัวใจข้าร้าวรานไปแล้วจากการทำเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขาตายไปแล้วหรอกหรือ พวกเราสามารถเรียกเขามาสอบถาม…อาจารย์หูจุ้น ท่านเห็นเหวินเหยียนไหม”
ชายที่หล่อเหลาจนชวนลุ่มหลงเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม “ข้าเพิ่งเห็นเขาเมื่อครู่ เขากำลังถูกโครงกระดูกมหึมาโครงหนึ่งรบกวนให้วุ่นวาย โดยบอกว่ามาจากโลกแห่งคนเป็น มันม้วนพันรอบตัวเขาและคร่ำครวญ ทำให้เขาก็ร่ำไห้โฮไปด้วยไม่น้อย เขาน่าจะไปหลบสั่งน้ำมูกของเขาที่ไหนสักแห่ง นี่คือ…”
“จ้าวลัทธิคนใหม่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา” ซีเหยียนเว่ยกล่าวอย่างไม่กระตือรือร้น “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเขาได้มาอย่างไม่ถูกต้อง! มันไม่ได้มีการต่อสู้แย่งชิง แต่เป็นการส่งต่อ! น่าอับอายขายหน้าชะมัด!”
“เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นจริงๆ น่ะหรือ” จ้าวลัทธิหูจุ้นสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาและยิ้มหยัน “แน่ล่ะ แต่ละยุคสมัยนำอัจฉริยะมาสู่แดนอันสูงส่งนี้ แต่ว่าแต่ละรุ่นก็ถดถอยไปจากรุ่นก่อน! บุรุษในปัจจุบันเสื่อมถอยไปอย่างน่าเศร้า แม้แต่ตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่มีใครต่อสู้แย่งชิงมัน นี่เจ้าจะปกครองจักรวรรดิของตนเองได้มั่นอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ยังคงอดทน “สหายจ้าวลัทธิทั้งหลาย ข้านั้นได้รับการสนับสนุนโดยหัวหน้าโถงทั้งสามร้อยหกสิบโถง รวมทั้งทูตซ้ายขวาและเทวราชทั้งสี่ นั่นล่ะข้าถึงขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิ ให้พูดกันตามตรงแล้ว ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้นในมือของข้า และเหนือล้ำกว่าอดีตไปหลายขุม…”
“คุยโว!” จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งก็ยิ้มหยันเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น “รุ่งเรืองยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น? ข้าได้ยินว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เป็นผู้ถือกุมอำนาจนำในโลกแห่งคนเป็นในตอนนี้ มันได้ยึดครองทั่วโลกหล้า แล้วอย่างนี้เจ้าจะทำให้ลัทธิรุ่งเรืองยิ่งขึ้นได้อย่างไร หรือเจ้าจะทรยศลัทธิเพื่อแสวงหายศถาบรรดาศักดิ์ ปล่อยให้จักรพรรดิมาเป็นจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่ข่มโทสะเอาไว้และแย้มยิ้มไป “นี่คือใคร”
ชายหน้าตาดีผู้นั้นคลี่พัดจีบของเขาและกล่าว “เจ้ายังไม่ได้ไปที่โถงเยว่กวงบนภูเขานักบุญเยือนของข้าอย่างนั้นหรือ ข้าคือจ้าวลัทธิเยว่กวง!”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าว “ข้าไม่เคยไปเคารพคารวะไม้ผุพังในโถงทั้งหลายมาก่อน บนภูเขานักบุญเยือน ข้าเพียงแต่เคารพคารวะคนตัดไม้ บรรพจารย์ก่อตั้ง และสามกษัตริย์เท่านั้น จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ในสายตาของข้าก็เป็นเพียงแมลงวันและแมลงหวี่ ไม่คู่ควรแก่ความเคารพของข้า”
“บังอาจ!”
จ้าวลัทธิอีกจำนวนหนึ่งเดินเข้ามา และฉินมู่กวาดตามองดู ผู้คนทั้งหมดนั้นล้วนแต่เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดจากโถงแห่งกษัตริย์มนุษย์
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนหน้าตาอย่างไร ทุกคนก็ล้วนเป็นกษัตริย์มนุษย์ได้ทั้งสิ้น ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจรูปร่างหน้าตา ปล่อยให้เนื้อหนังสังขารของพวกเขาชราไปตามวัย พวกเขาน้อยนักที่จะรักษาความเยาว์เอาไว้
แต่จ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์แตกต่างออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมีเจ็ดนิพนธ์เสกสรร และการฝึกปรือพวกมันจะทำให้ผู้ฝึกสามารถรักษารูปโฉมโนมพรรณของตนเองได้ชั่วนิรันดร์ พวกมันถึงกับสามารถใช้ย้อนหน้าตากลับไปยังสมัยเมื่อหนุ่มแน่นได้อีกด้วย
ฉินมู่มองไปที่เหล่าจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มหญิงสาวที่รุ่มรวยด้วยรูปโฉม แม้แต่ปรมาจารย์เยาว์ก็ดูหนุ่มแน่น และให้ความใส่ใจกับรูปลักษณ์ของตน
“จ้าวลัทธิน้อยก็คงจะไม่เคารพคารวะข้า เฟิงเชียนกู่ในโถงเชียนกู่เช่นกันใช่หรือไม?” จ้าวลัทธิเชียนกู่เดินออกมาและยิ้มหยัน “ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าเพียงได้สืบทอดมา และมิได้ช่วงชิงด้วยกำลังของตนเอง ที่มาของเจ้านั้นไม่เหมาะสม แต่เจ้าก็ยังกล้าพูดว่าพวกเราคือแมลงวันแมลงหวี่อันไม่คู่ควรแก่การเคารพ แล้วเจ้ามีอะไรที่คู่ควรแก่การเคารพของพวกเรา”
“ใช่แล้ว เจ้าสืบทอดตำแหน่งมาอย่างผิดกฎเกณฑ์ แล้วเจ้ายังมีหน้ามาเยี่ยมเยือนพวกเราและเข้าพบบรรพชนได้อย่างไร”
“เจ้ายังไม่เคารพกฎเกณฑ์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์และไม่แสดงความเคารพต่อพวกเราเลยด้วยซ้ำ นี่เจ้าหลอกลวงอาจารย์และทำลายบรรพชนตั้งแต่อายุยังน้อยเท่านี้เชียวหรือ”
“จ้าวลัทธิน้อย…”
นี่ดำเนินต่อไปพักใหญ่
“หุบปาก!” ฉินมู่ตะโกนด้วยความเดือดดาลเมื่อเขารับไม่ไหวอีกต่อไป
รอบข้างกลายเป็นเงียบกริบ
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและม้วนแขนเสื้อขึ้น กล่าวประกาศด้วยเสียงกึกก้อง “เมื่อข้าสืบทอดตำแหน่ง สาวกทั้งหลายแทบจะพลัดพรายหายถิ่น และเต็มไปด้วยธุระปะปังที่ค้างคาอีกจำนวนมาก นี่คือความเละตุ้มเป๊ะที่จ้าวลัทธิคนก่อนหลี่เทียนซิงทิ้งเอาไว้ให้ข้า หลังจากข้าขึ้นครองตำแหน่ง ข้าก็ปฏิรูปรางวัลและทัณฑ์โทษ จับมือร่วมกันกับสันตินิรันดร์เพื่อขับไล่ลัทธิพุทธและสร้างความเสียหายย่อยยับแก่สำนักเต๋า ทำให้สองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ต้องยอมแพ้ศิโรราบ”
“ข้าเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และกรุยมรรคา ขยายคำสั่งสอน ก่อตั้งโถงโรงเรียน ก่อตั้งสถาบันนักบุญสวรรค์ รวบรวมมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสำนักและลัทธิทั้งหมดมา เพื่อชำระชื่อเสียงด่างพร้อยของลัทธิข้า!”
“ข้าได้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และก่อตั้งจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกทิศ”
“ผู้คนในลัทธิของข้าตอนนี้มีทั่วทุกหัวระแหง ตลอดทั่วหมื่นลี้จากตะวันออกไปตะวันตก สาวกขั้นสูงสุดคือราชครูสันตินิรันดร์ และขั้นต่ำสุดคือสามัญชนและไพร่ทาส ในทุกชนชั้นสังคม ล้วนแต่มีผู้คนของลัทธิข้า!”
“ด้วยวรยุทธของข้าเพียงขั้นเจ็ดดาว ข้าได้ประสบความสำเร็จระดับนี้!” เขามองไปรอบๆ ยังพวกจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ทั้งหลายและยิ้มหยัน “แล้วพวกเจ้าเล่า?”
“ภายใต้น้ำมือพวกเจ้า ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ได้ตกลงไปในมรรคามาร และถูกเรียกว่าลัทธิมารฟ้า ถูกทุกผู้คนด่าทอและขับไล่ไสส่ง!”
“มรรคาแห่งนักบุญมิใช่ใดอื่นนอกเสียจากการอำนวยประโยชน์ให้แก่กิจวัตรของสามัญชน แต่กระนั้นพวกเจ้ากลับนำมรรคานักบุญอันดีงามไร้ที่ตินี้ไปย่ำยี กระทำชำเราให้มันกลายเป็นมรรคาแห่งมารร้าย กลายไปเป็นลัทธิมาร นักบุญจะต้องสถาปนาคุณธรรม กุศล และความคิดของเขาในข้อเขียนนิพนธ์ แล้วพวกเจ้าได้ทำอะไรบ้าง”
“ข้าเคารพนับถือนักบุญคนตัดไม้เพราะการถ่ายทอดคัมภีร์ของเขาบนอาสนะหิน เพื่อส่งต่อวิชาให้แก่ทุกยุคสมัย”
“ข้าเคารพนับถือบรรพจารย์ก่อตั้งเพราะการขยับขยายปัญญาญาณของนักบุญโบราณ ก่อตั้งลัทธิ และสถาปนาความคิดของเขาเป็นข้อเขียนนิพนธ์”
“ข้านับถือจ้าวลัทธิทั้งสามแห่งโถงสามกษัตริย์ ผู้ซึ่งสียสละตนเองในห้วงเวลาคับขันเพื่อสืบทอดมรดกต่อไป”
“แต่พวกเจ้าเล่า?” ฉินมู่ยิ้มหยัน “กุศลใดที่พวกเจ้าได้สถาปนา คุณธรรมใด ความคิดใด มีแต่ตีความคำสอนผิด ฝึกปรือวิชามาร ทำให้ลัทธินักบุญสวรรค์ต้องแบกรับความอัปยศของลัทธิมาร! พวกเจ้ามีหน้าอะไรไปพบกับบรรพชน กุศลที่พวกเจ้าสถาปนาขึ้นมันใหญ่เท่าปลายนิ้วก้อยของข้าหรือเปล่า พวกเจ้าคู่ควรกับคำว่าจ้าวลัทธิไหม คู่ควรกับคำว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์ไหม ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อพบพวกเจ้า ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหลายมีแต่ธรรมดาสามัญ ไม่มีหน้าพอที่จะมาพบข้าด้วยซ้ำ!”
รอบข้างกลายเป็นเงียบงัน
จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์แห่งลัทธินักบุญสวรรค์มีจำนวนมากมายกว่ากษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ แต่พวกเขาส่วนใหญ่ตายอย่างน่าอนาถดังนั้นวรยุทธของพวกเขาจึงไม่สูงพอที่จะเข้ามาในยมโลก ดังนั้นจำนวนของจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ในยมโลกจึงมีไม่มากนัก
แม้กระนั้น ที่รอบๆ นี้มีจ้าวลัทธิรวมตัวกันอยู่เกือบสามสิบคน และพวกเขาคืออิทธิพลอำนาจใหญ่ในยมโลกอันน้อยคนนักจะกล้าท้าทาย
คำพูดเหยียดยาวของฉินมู่ได้เป่าจิตใจทุกคนกระเจิดกระเจิงไปหมด และสถานการณ์ก็กลายเป็นเย็นยะเยียบ
ทันใดนั้น เสียงของปรมาจารย์เยาว์ก็มาถึงพวกเขา “เกิดอะไรขึ้น ทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว! ข้ามาสาย ข้ามาสาย!”
ฉินมู่มองไปและเห็นเหงื่อเย็นเยียบบนหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ เขานั้นเร่งรุดมากับโครงกระดูกมหึมาของกิเลนมังกรที่วิ่งตามเขามาติดๆ
ปรมาจารย์เยาว์รีบเข้ามาและเบียดฝ่าฝูงชน เหงื่อบนหน้าผากของเขายิ่งผุดมากขึ้นเมื่อเขาหัวเราะเบาๆ “จ้าวลัทธิทั้งหลาย ไฉนการพูดคุยสัพเพเหระถึงกลายเป็นการโต้เถียงกันไปได้ นี่คือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์คนปัจจุบัน ผู้เปี่ยมพรสวรรค์เลิศล้ำโดดเด่นแห่งยุคสมัยที่ถือครองคำสั่งสอนบนก้อนหิน จ้าวลัทธิฉินมาที่นี่เพื่อตามหาข้า ดังนั้นพวกเราไปกันไป ไปๆ ไปนั่งคุยกันที่สถานที่ของข้า ศิษย์ลัทธิมารฟ้ามากมายได้เผาของเซ่นไหว้มาให้ข้า ของดีๆ ทั้งนั้น”
จ้าวลัทธิมารฟ้าที่ล้อมวงอยู่ไม่ขยับเขยื้อน
เหงื่อเย็นเฉียบร่วงลงจากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ขณะที่เขากระตุกแขนเสื้อของฉินมู่ เขากัดฟันและกล่าว “คำพูดของเจ้าดุเดือดเกินไป ก้มหัวแล้วกล่าวขอโทษบรรพชนเร็วเข้า…”
“ขอโทษงั้นหรือ ไม่จำเป็นหรอก” จ้าวลัทธิจู่หยางหัวเราะด้วยเสียงอันดังและกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ร่างเล็กๆ ของจ้าวลัทธิฉินกลับสามารถระเบิดถ้อยคำอันน่าแตกตื่นเช่นนี้ออกมาได้ดังสนั่นขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน พวกเราล้วนแต่ตกตะลึง”
ปรมาจารย์เยาว์สีหน้าแปรเปลี่ยน จ้าวลัทธิจู่หยางดูท่าจะโกรธจัด ยิ่งเขายิ้มแช่มชื่นมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงว่าไฟโทสะของเขาร้อนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิจู่หยางคงมีความนัยอะไรที่อยากจะเอ่ย ไฉนเขาจึงไม่พูดออกมาตามตรงเลยล่ะ”
ปรมาจารย์เยาว์กระสับกระส่ายเป็นที่สุด ขณะที่จ้าวลัทธิจู่หยางเพียงแค่ยิ้ม “จ้าวลัทธิแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ควรจะเก่งด้านฝีมือมิใช่แค่ฝีปาก ตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยมิชอบ แต่ในเมื่อหลี่เทียนซิงตายไปแล้ว ทำไมพวกเราผู้เฒ่ากระดูกผุทั้งหลายถึงไม่มาเป็นตัวแทนเขาเพื่อทดสอบเจ้าดูล่ะ มาลองดูว่าเจ้าจะมีศักดิ์และสิทธิ์พอที่จะเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์หรือไม่!”
ปรมาจารย์เยาว์รีบกระตุกชายเสื้อฉินมู่เพื่อส่งสัญญาณให้เขาปฏิเสธ
“สู้กันในวรยุทธขั้นเดียวกันหรือ อันที่จริงแล้ว ข้าเพิ่งต่อยตีทุกๆ คนในโถงกษัตริย์มนุษย์จนน่วมมาเมื่อครู่” ฉินมู่ผลักมือเขาออกอย่างแผ่วเบาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์เป็นตัวตนระดับสุดยอด และการต่อสู้กับพวกเขานั้นก็เหน็ดเหนื่อย แต่สำหรับสหายอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย หากว่าพวกเราจะสู้กันในขั้นวรยุทธเดียวกัน…” เสียงของเขากลายเป็นไร้อารมณ์ “ก็ลุยเข้ามาพร้อมกันให้หมด”
เหงื่อไหลพรากๆ จากหน้าผากของปรมาจารย์เยาว์ราวห่าฝน
สีหน้าของอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และจ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็หัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉินนี่ช่างกระตือรือร้น แต่จะให้พวกเราทั้งหมดดาหน้าออกไปพร้อมกัน เจ้าไม่ยโสโอหังเกินไปหน่อยหรือ อย่างเช่น ให้ข้าลองทดสอบวิธีการของจ้าวลัทธิฉินก่อนเสียหน่อย”
ฉินมู่สายหัว “เขตขั้นของเจ้าไม่สูงส่งพอ หนึ่งขั้นนั้นเท่ากับหนึ่งชั้นสวรรค์ หนึ่งกรอบคิดเท่ากับหนึ่งด่านภูเขา ข้ายืนอยู่เหนือด่านภูเขาขณะที่มองไปยังพวกเจ้าทั้งหมด เห็นทุกสิ่งทุกอย่างกระจ่างชัด ข้าบอกให้พวกเจ้าลุยเข้ามาพร้อมกันทั้งหมด นั่นก็เพราะเคารพคนแก่เฒ่า หากจ้าวลัทธิอวี้เหลียนคิดจะสู้กับข้าเพียงลำพัง เจ้าไม่ประเมินตัวเองสูงไปหน่อยหรือ”
ปรมาจารย์เยาว์หายใจเฮือก และสูดลมหายใจลึก ก่อนที่จะกล่าวอย่างเคร่งขรึมสำรวม “จ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย พวกท่านจะต้องกระทำตามที่พวกท่านออกปากเอาไว้ ทุกท่านโปรดปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ส่วนว่าพวกท่านจะสู้คนเดียวหรือสู้พร้อมกันทั้งหมด นั่นก็แล้วแต่ เพราะถึงอย่างไรข้าก็ไม่ใช่จ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเชิญพวกท่านตามสบาย”
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนเป็นคนแรกที่ปิดผนึกสามมหาสมบัติเทวะของเขา และสืบเท้าออกไปข้างหน้า ด้วยเสียงตะโกน วิชามารของเขาแผ่พุ่งออกไป คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของเขาดำเนินไปตามมรรคามาร และเขานั้นนับว่าเป็นปรมาจารย์แห่งเต๋ามาร เขาได้ตรึกตรองเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจนถึงสุดขีดขั้วแห่งเต๋ามาร ก้าวออกไปหนึ่งก้าวก็มีเงาภูตผีพร่าพราย!
คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเป็นเพียงแค่นิพนธ์อันไม่ครบสมบูรณ์ เพียงส่วนหนึ่งของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะของข้า แต่กระนั้นมันก็ถูกเจ้าขัดเกลาจนกลายเป็นเต๋ามาร
ฉินมู่หรี่ตาและฟาดฝ่ามือออกไป เขานั้นรวดเร็วราวสายฟ้าเมื่อโจมตีใส่เงาภูตเหล่านั้น “พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
ตูม!
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนกระเด็นกลับไป และสร้างรูรูปมนุษย์ที่ผนังโถงจู่หยาง จากนั้นก็มีเสียงครืนครันดังมาจากในโถงอย่างต่อเนื่อง จ้าวลัทธิอวี้เหลียนถูกซัดทะลุกำแพงมากกว่าสิบกำแพง ในท้ายที่สุด ก้อนเมฆรูปดอกเห็ดก็ปรากฏที่ระยะห่างออกไปสิบลี้ มันยากที่จะบอกได้ว่าเขาไปชนกับอะไรตั้งเท่าไรกว่าจะหยุดกระเด็น
ทุกคนยังไม่ทันจะตื่นจากภวังค์ ฉินมู่ก็ขยับและเคลื่อนมาข้างหลังจ้าวลัทธิจู่หยาง ปฏิกิริยาตอบสนองของชายผู้นี้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง และเขากระโจนไปข้างหน้า แปรเปลี่ยนเป็นเงาหนึ่งที่แปะติดลงไปกับพื้น
ฉินมู่กระทืบพื้น และผืนดินก็ปริแยกออก สร้างร่องลึกใหญ่ ร่างแท้จริงของจ้าวลัทธิจู่หยางถูกเขย่ากระเด็นออกมาจากร่างเงา และมีดหนึ่งก็ฟันลงไปตรงหน้าเขา เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด และกายเต่าดำก็ปรากฏ โล่ใหญ่ถูกผ่าออกเป็นสองเสี่ยงเมื่อเผชิญกับมีด และเขาถูกเป่ากระเด็นไปพร้อมกับโล่หักครึ่ง
ฉินมู่พุ่งเข้าไปในกลุ่มของอดีตจ้าวลัทธิและเคลื่อนไหวไปมารอบๆ ราวกับเงาภูตพราย ทุกคนแตกตื่น แต่พวกเขาไม่เสียเวลาอื่น และรีบลงมือโจมตีตอบโต้โดยอาศัยสัมผัสการจู่โจมของเขา
ปัง ปัง ปัง เสียงระเบิดเป็นชุดดังออกมาเมื่อทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเยว่กวงโจมตีโดนร่างของเฟิงเชียนกู่ และกระบี่มารของเฟิงเชียนกู่ก็แทงเข้าไปในหน้าอกของซีเหยียนเว่ย ในเสี้ยววินาที ทุกคนโกลาหลไปหมด
ปรมาจารย์เยาว์รีบถอยออกไปเพื่อมิให้โดนลูกหลง เขาจึงพลันเห็นพื้นดินปริร้าวและแตกทำลาย ทั้งโถงจู่หยางหักพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยภายใต้การโจมตีของทักษะเทวะมากมาย และชิ้นส่วนโถงวังแตกหักก็ปลิวว่อนเต็มฟ้า ทุกคนกระโดดไปมาตามเศษซากอาคาร บางครั้งพวกเขาก็กระโดดขึ้น บางครั้งก็กระโดดลง บางทีพวกเขาก็กลายเป็นเงาของบางต้นเสา และบางทีพวกเขาก็แปลงร่างเป็นสัตว์ปีกไม่ก็สัตว์กระโดด!
“ที่เจ้าใช้คือกระบี่เต๋าของสำนักเต๋า คนทรยศ!” อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวเมื่อเขาเสียท่าให้กับกระบี่นับร้อย จากนั้นเขาก็ร่วงหัวปักพื้น
“ไอ้เด็กวายร้าย นี่มันวิชาของวัดใหญ่ฟ้าคำราม!”
“นี่มันทักษะเทวะของนครหยกน้อย!”
“เพลงกระบี่นี่มันอะไร”
ปัง ปัง ปัง!
ร่างผู้คนมากมายร่วงลงมา ขณะที่ชิ้นส่วนโถงวังลอยขึ้นไปสูงขึ้นและสูงขึ้น บนกระเบื้องและขื่อสีชาด ฉินมู่และจ้าวลัทธิหูจุ่นพุ่งเฉียดร่างกันและกัน ฉินมู่ใช้เคล็ดลับคำผนึกเพื่อปิดผนึกประสาทสัมผัสทั้งห้าของศัตรู จากนั้นเขาก็หันกลับไปและใช้มือหยินหยางพลิกสวรรค์ ด้วยการยกขึ้นและวาดลงของฝ่ามือเขา เขาก็ทำให้จ้าวลัทธิหูจุ่นร่วงลงไปพร้อมกระอักเลือด
หลังคากระเบื้องเคลือบสีของโถงใหญ่แตกแยกออกจากกันเมื่อจ้าวลัทธิเอี้ยนจีขึ้นมา แต่สิ่งที่ต้อนรับเขาคือทักษะเทวะมหึมาจากฉินมู่ ถ้ำสรวงและทางช้างเผือกห้อยจากสวรรค์หยก!
ดวงดารานับหมื่นนำเอาพลังฝ่ามืออันน่าสะพรึงกลัวลงมาจากฟากฟ้า ทำลายล้างทักษะเทวะของจ้าวลัทธิเอี้ยนจีราวกับว่ามันคือไม้ผุ ฝ่ามือของฉินมู่ฟาดเขาร่วงลงไปอย่างอำมหิตด้วยทางช้างเผือก
ตูม!
ในอากาศ ผนังแตกกำแพงพังทั้งหลายร่วงลงมา และพื้นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าทั้งหลายร่วงไปที่ใด ตรงนั้นก็จะมีรอยฝ่ามืออันกว้างใหญ่เป็นไร่ๆ
“โจรเฒ่ากระจอก ต้านรับไม่ได้แม้แต่หวดเดียว” ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นดินและปัดฝุ่นออกจากเสื้อผ้าของเขา เขามองไปที่ปรมาจารย์เยาว์ที่อ้าปากค้างตาถลน และแย้มยิ้ม “ปรมาจารย์ พวกเราไปหาที่สนทนากันเถอะ”
………………
ผู้ใหญ่บ้านรู้สึกราวกับถูกสายฟ้าฟาด และยืนตะลึงอยู่หน้าหลักศิลา ตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดิน? จากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน?
ไม่ใช่ว่ากายาจ้าวแดนดินคือเรื่องที่เขากุขึ้นมาเพื่อหลอกฉินมู่และผู้คนในหมู่บ้านหรอกหรือ
โลกนี้มีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริงๆ น่ะหรือ
ไม่ๆ! มันต้องมีอะไรผิดพลาด! บางทีกายาจ้าวแดนดินจากสี่หมื่นปีที่แล้ว อาจจะไม่เหมือนกายาจ้าวแดนดินที่ข้าอธิบายเอาไว้!
หัวใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ และความคิดทุกอย่างมากมายก็ท่วมท้นเขา แต่ผู้ใหญ่บ้านก็คือผู้ใหญ่บ้าน ดังนั้นไม่นานเขาก็ทำใจปลอดโปร่งได้ บางที นี่อาจจะเป็นกายาวิญญาณชนิดหนึ่ง และในเมื่อมันแข็งแกร่งจนเกินไป มันถึงถูกผู้คนเรียกว่ากายาจ้าวแดนดิน กายาจ้าวแดนดินนี้ก็จะต้องแตกต่างจากกายาจ้าวแดนดินที่ข้ากุขึ้นมาโดยสิ้นเชิง!
เขาปลุกปลอบตนเองและมองไปยังหลักศิลา
จารึกบนนั้นเขียนไว้โดยใช้ภาษาของเผ่ามังกร ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านจึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากบรรพชนแรก “มันเขียนว่าอย่างไรหรือ ภาษาของเผ่ามังกรนั้นลึกล้ำและยากจะเข้าใจ ทั้งข้ายังมิเคยได้เรียนมันมาก่อน”
บรรพชนแรกมิได้ถือตัวและกล่าว “ที่เขียนไว้ก็คือก่อนจักรพรรดิสูงส่งจะถูกล้มล้าง ตระกูลป๋ายแห่งเผ่ามังกรได้พบกับเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่ากายาจ้าวแดนดิน เขานั้นมีพรสวรรค์ในศาสตร์สาขาหลากหลายและสามารถทำสิ่งที่ผู้อื่นมิอาจกระทำได้ เขานั้นไร้เทียมทานในรุ่นเดียวกัน เขามีความเจิดจ้าทรงเสน่ห์ และพรสวรรค์ของเขาก็ไร้ผู้ต่อต้าน ไม่ว่าจะเป็นเพลงกระบี่หรือทักษะเทวะ พวกมันก็เหนือล้ำกว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งไปอย่างก้าวกระโดด”
“ดังนั้น พวกเขาจึงถามเขาว่าอะไรคือกายาจ้าวแดนดิน เด็กหนุ่มจึงอธิบายว่ากายาจ้าวแดนดินนั้นไร้ผู้ต่อต้าน ก่อนที่ทารกวิญญาณจะตื่นขึ้นมา มันก็จะดูเหมือนกายธรรมดา แต่เมื่อมันตื่นขึ้น มันก็จะได้รับพลานุภาพอันมหัศจรรย์ และเลิศล้ำเหนือรุ่นเดียวกัน ทั้งยังมีพรสวรรค์อันเหนือธรรมดา”
หางตาของผู้ใหญ่บ้านกระตุก ฉินมู่นั้นแตกต่างจากกายาวิญญาณอื่นๆ เพราะว่าเขามิใช่กายาวิญญาณเลยสักนิด กายาวิญญาณนั้นจะมีสมบัติทารกวิญญาณที่ถูกปลุกเปิดขึ้นมาแต่กำเนิดแล้ว แต่สมบัติเทวะทารกวิญญาณของฉินมู่ถูกปิดเอาไว้!
สมบัติเทวะทารกวิญญาณของคนธรรมดาสามัญจะถูกปิดเอาไว้ ดังนั้นพวกเขาไม่อาจฝึกวรยุทธได้
ในทางตรงข้าม ภายใต้คำโกหกของผู้ใหญ่บ้าน และการร่วมแรงของสมาชิกหมู่บ้าน ฉินมู่ก็ได้เปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณอันไม่อาจถูกเปิดออกมาได้ จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็พัฒนารุดหน้าไปด้วยความเร็วปานเทพยดา และเผยการพัฒนาที่ไวอย่างยิ่งยวด!
สถานการณ์เช่นนี้กลับคล้ายคลึงกับที่เขียนไว้บนหลักจารึกหินเข้าจริงๆ!
มันจะต้องเป็นเรื่องบังเอิญ
ผู้ใหญ่บ้านตั้งตัวและฟังที่บรรพชนแรกกล่าวต่อไปอีกครั้ง
“…เมื่อกายาจ้าวแดนดินฝึกวรยุทธ มันก็จะก้าวล้ำนำหน้ากายาวิญญาณอื่นๆ ไปอย่างใหญ่หลวง ปฏิภาณความเข้าใจของกายานี้โดดเด่นไม่ธรรมดา สามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้โดยพลัน และตรึกตรองผ่านการเทียบเคียง อนุมานหลักการมากมายจากกรณีเดียว กายาจ้าวแดนดินไร้เทียมทาน แต่ก็ยังคงมีศัตรูอยู่ในโลก เป็นสิ่งที่เรียกว่ากายาจ้าวแดนดินปลอม”
ผู้ใหญ่บ้านสลัดหัวและโพล่งออกมา “อะไรนะ”
“ที่เขียนไว้บนนี้คือว่า แม้กายาจ้าวแดนดินจะไร้เทียมทาน แต่ก็ยังมีกายาจ้าวแดนดินปลอมที่เป็นศัตรูของมัน” บรรพชนแรกอธิบายอย่างใจเย็น “มันเขียนไว้ว่ากายาจ้าวแดนดิน และกายาจ้าวแดนดินปลอมต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงโชคชะตา พวกเขามีความเชื่อมโยงเร้นลับระหว่างกัน กายาจ้าวแดนดินปลอมจะต่อสู้กับกายาจ้าวแดนดินแท้ เพื่อช่วงชิงชะตาวาสนา ทำให้พวกมันกลายเป็นกายาจ้าวแดนดินแท้”
“พิสดารอะไรอย่างนี้ ทำไมถึงมีกายาที่มหัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อแบบนี้ได้ ข้าละอายที่จะกล่าว แต่เมื่อข้าได้ยินเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินในอดีต ข้ามองว่ามันเป็นเพียงตำนานเล่าขาน ไม่เคยคิดว่าตำนานเล่าขานนี้จะเป็นเรื่องจริง”
ผู้ใหญ่บ้านความคิดกระเจิดกระเจิง แต่ผ่านไปสักพัก เขาก็กลับมาได้สติและพูดตะกุกตะกัน “บะ-บรรพชนแรก ท่านเคยได้ยินตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดินมาก่อนหรือ”
บรรพชนแรกผงกหัว “ข้าเคยได้ยินมาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่ข้าไม่เคยเห็นกายาจ้าวแดนดินเลย ดังนั้นข้าจึงคิดว่ามันเป็นเพียงตำนาน” สีหน้าของเขาพิลึกประหลาด “แต่กลับมีกายาจ้าวแดนดินตัวเป็นๆ ที่โดดเด่นขนาดนี้อยู่จริงๆ ด้วย”
ผู้ใหญ่บ้านเงียบกริบ เขาพลันรู้สึกว่าว่าโลกนี้สะพรั่งไปด้วยอุบายและแตกต่างจากที่เขาเข้าใจ
หรือว่ากายาจ้าวแดนดินที่เขากุขึ้นมานั้นดำรงอยู่จริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น หรือว่ามันจะเหมือนกับคำโกหกที่เขาใช้อธิบายแก่ฉินมู่อย่างไม่มีผิดเพี้ยน!
นั่นมันจะไม่เหลือเชื่อเกินไปหรอกหรือ
ก่อนนั้น เพื่อปลอบโยนพวกชาวบ้าน เขาได้กล่าวคำโกหกแรกเกี่ยวกับว่าฉินมู่คือกายาจ้าวแดนดิน ผ่านมาหลายปีเขาก็ต้องเพิ่มคำโกหกใหม่ๆ เพื่อกลบเกลื่อนอันเก่า และเขาได้สร้างระบบอันครบสมบูรณ์ของกายาจ้าวแดนดิน
กระนั้นด้วยสาเหตุใดก็ไม่ทราบ คำบรรยายถึงกายาจ้าวแดนดินในหลักศิลาจารึกนั้นเหมือนกันกับระบบกายาจ้าวแดนดินของเขาไม่มีผิด เขาได้ใช้ถ้อยคำเดียวกันนั้นเพื่อโกหกคนอื่นๆ แต่บัดนี้เมื่อเขาอ่านมันบนหลักจารึกหิน เขาก็เริ่มจะเชื่อมันเองเข้าเสียแล้ว
ศิลาจารึกอยู่ตรงหน้าเขา และเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเชื่อมัน
กระนั้นผู้ใหญ่บ้านก็ยังคงดิ้นรน เขาคิดถึงประเด็นสำคัญขึ้นมาและถามอย่างเร่งร้อน “หากว่ามีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริง ทำไมยุคจักรพรรดิสูงส่งถึงยังถูกทำลายล้าง”
“มันไม่ได้เขียนเอาไว้” บรรพชนแรกมองไปด้วยความเศร้าโศก “ตรงหน้าของลมกระหึ่ม พลังคนเพียงคนเดียวนั้นไม่สลักสำคัญเลยสักนิด ฮี่ๆ แล้วอย่างไรถ้าเขาจะเป็นกายาจ้าวแดนดิน เขายังจะสามารถปราบปรามความไม่สงบในจักรวาล และนำสันติสุขมาสู่โลกทั้งหลายได้หรือ กายาจ้าวแดนดินนี้อาจจะถูกสังหารไปเสียก่อนที่จะเขาจะเติบโตเสียอีก”
“หรือว่าโชคชะตาของเขาถูกกายาจ้าวแดนดินปลอมแย่งชิงไป หรือว่าเขาอาจจะทอดทิ้งตนเองในความสิ้นหวังที่ไร้พลังอำนาจในช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ซ่อนตัวในความขมขื่นและกลายเป็นเต่าหดหัวในกระดองเหมือนข้า มีความเป็นไปได้มากมายสารพัน คนผู้หนึ่งนับว่าเล็กน้อยจนเกินไปเมื่ออยู่เบื้องหน้าประวัติศาสตร์…”
เมื่อพูดถึงกายาจ้าวแดนดินจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เขาก็ดูเหมือนกำลังพูดถึงตนเอง เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ถอนหายใจและไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป
ผู้ใหญ่บ้านสำรวจตรวจตราหลักศิลาจากทั้งสองด้าน ก่อนที่จะตื่นเต้นขึ้นมา เขานำหมึกกับกระดาษออกมาเพื่อบันทึกนิพนธ์บนหลักศิลา
บรรพชนแรกเลิกคิ้ว และผู้ใหญ่บ้านแย้มยิ้มและกล่าว “ข้าจะจดพวกนี้กลับไป นำไปให้กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ชมดู กายาจ้าวแดนดินที่แท้จริง ข้าได้รับกายาจ้าวแดนดินที่แท้จริงมาเป็นศิษย์เพื่อสืบทอดตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์ของข้า…เพียงแค่มองดูศิลาจารึกนี้ ข้าก็สุขใจจนเหลือล้น!”
บรรพชนแรกมองเพ่งพิศเขาด้วยความแตกตื่น ก่อนที่จะพูดเรื่องของตนเองต่อ “จากหลักศิลานี้ แดนหลบภัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้างหลังจากที่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดลง ข้าอดไม่ได้ที่จะวิตกเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวลเช่นเดียวกัน”
ผู้ใหญ่บ้านรีบติดตามการสนทนาและถาม “บรรพชนแรกหมายถึง…”
“ข้าวิตกเกี่ยวกับหมู่บ้านไร้กังวล” บรรพชนแรกกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้รับข่าวคราวของหมู่บ้านไร้กังวลมาเป็นเวลานาน แม้ว่ามันจะส่งข้อความมาบ้าง และถ่ายทอดบัญชาจักรพรรดิก่อตั้งมาสองสามหน แต่ข้าสงสัยว่ามันคงจะไม่องอาจห้าวหาญและทะเยอทะยานอย่างยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเดิมอีกต่อไป ไร้กังวล ไร้กังวล ฮี่ๆ ใครก็ตามที่ไม่ใส่ใจปัญหาระยะยาว ก็จะพบว่าความทุกข์ทนอยู่ไม่ห่างตัว! พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลนานเกินไปแล้ว! ก่อนหน้านั้นข้าต่อต้านการก่อสร้างมันขึ้นมา และอยากที่จะต่อสู้จนถึงที่สุด!”
ผู้ใหญ่บ้านพึมพำอย่างตกลงใจไม่ได้ก่อนที่จะถาม “เช่นนั้นเป้าหมายของบรรพชนแรกก็คือเสาะหาผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งหรือ ยุคจักรพรรดิสูงส่งได้สิ้นสุดนานเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยังเหลือซากทัพอยู่จนถึงบัดนี้”
“ไม่! ยังมีผู้คนที่มีชีวิตอยู่!” บรรพชนแรกมองไปรอบๆ “แดนหลบภัยจักรพรรดิสูงส่งนี้ได้รวบรวมซากทัพและผู้รอดชีวิตแห่งยุคจักรพรรดิสูงส่ง และผ่านเดือนปีแห่งการสั่งสมพัฒนา แสนยานุภาพของพวกเขาไม่เล็กน้อย และไม่ด้อยไปกว่าหมู่บ้านไร้กังวลในปัจจุบันเลย ในภายหลังสถานที่นี้ถูกศัตรูเข้ารุกราน และข้าค้นจากจากบันทึกที่กระจัดกระจายในซากโบราณข้างนอกว่ายังมีผู้คนที่รอดชีวิตไป สร้างเมืองเกิดขึ้นมาใหม่ ข้าหมายที่จะตามหาพวกเขาเพื่อเชื่อมพันธมิตรระหว่างพวกเขากับหมู่บ้านไร้กังวล เผื่อว่าพวกเราจะกระทำการใหญ่!”
ผู้ใหญ่บ้านเคร่งขรึมสำรวมไปครู่หนึ่ง “หากว่าช่วงเวลาอันรุ่งเรืองที่สุดของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งยังมิอาจล้มล้างสรวงสวรรค์ ดังนั้นต่อให้ท่านค้นพบซากทัพของจักรพรรดิสูงส่ง โอกาสของท่านก็จะด้อยกว่าในช่วงที่จักรพรรดิก่อตั้งยังรุ่งเรือง หากว่าท่านไม่เสาะหาพวกเขาเพื่อเชื่อมสัมพันธมิตรเสียตั้งแต่ตอนที่ยังแข็งแกร่งที่สุด การไปเสาะหาพวกเขาในตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”
สีหน้าของบรรพชนแรกกลายเป็นรวดร้าว และเขากล่าวอย่างขมขื่น “ข้ารู้! แต่ข้าก็รู้อีกเช่นกันว่า หากว่าพวกเขายังคงเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านไร้กังวลและไม่ทำอะไรเลย ก็จะไม่มีความหวังไปชั่วนิรันดร์! ข้าต้องทำอะไรสักอย่าง หาธุระเข้ามือ หากว่าข้าเก็บตัวเงียบ ความคิดของข้าคงพลุ่งพล่าน ข้าเห็นสหายร่วมรบตกตายต่อหน้าข้า ข้าเห็นภัยพิบัติที่กวาดล้างผู้คนทั้งหมด ข้าเห็นราษฎรทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในสถานที่อันน่าสะพรึงกลัวราวขุมนรก ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง…”
เขานั้นดึงดันและเต็มไปด้วยความยึดติด แต่ทว่าผู้ใหญ่บ้านเข้าใจความรู้สึกและอารมณ์คิดของเขา “ข้าจะไปกับท่าน”
เมื่อฉินมู่มาถึงย่านพำนักของอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ในยมโลก เขาก็มองไปรอบๆ และเห็นผีส่งสารกับผีรับใช้เดินกันขวักไขว่ ทำให้เห็นได้ว่าอดีตจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ได้รับของเซ่นไหว้จากลัทธินักบุญสวรรค์ พวกเขาไม่เหมือนอดีตกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ผู้ซึ่งเพราะว่ามีคนในมรดกยุทธน้อยเกินไปจึงไม่มีใครไปปัดกวาดและเซ่นไหว้หลุมศพ และได้แต่ใช้ชีวิตอย่างยากจนข้นแค้น
มีก็แต่บรรพชนแรก ผู้ซึ่งร่างเนื้อของเขากลายเป็นหิน และยืนตระหง่านในนครหยกน้อย ยังคงได้รับของเซ่นไหว้อยู่บ้างเป็นครั้งคราว ดังนั้นจึงมีอาหารอยู่ในบ้านของเขา เพียงพอที่จะบรรเทาความอดอยากแก่บรรพชนสอง บรรพชนสาม และคนอื่นๆ ที่เหลือ
หมู่ปราสาทราชวังแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ตั้งอยู่เรียงรายเป็นแถวๆ ด้วยหลังคากระเบื้องสีและขื่อสีชาด พวกมันถูกประดับประดาอย่างหรูหราและมีป้อมหอคอยกับเก๋งศาลารายล้อมอยู่เป็นชั้นๆ ระหว่างราชวังทั้งหลายคือค่ายกลพยุหะมากมายก่อเป็นซุ้มทางเดินยาวที่เชื่อมต่อราชวังต่างๆ เข้าด้วยกัน ผีน้อยจำนวนมากแบกเอาเครื่องจัดเลี้ยงและถาดผลไม้เดินไปมาตลอดเวลา ทั้งสถานที่นี้เต็มไปด้วยกิจกรรมอันพลุกพล่าน
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ผู้คนที่นี่กลายเป็นผีกันหมดทั้งนั้น แต่ชีวิตกลับเหลื่อมล้ำต่างกันมาก
เขาเข้าไปในโถงวังหนึ่งและเงยหน้าขึ้นมอง สถานที่นี้เรียกว่าโถงจู่หยาง ดังนั้นเขาจึงคิด หรือว่านี่จะเป็นโถงวังของจ้าวลัทธิจู่หยาง
จ้าวลัทธิจู่หยางนั้นเป็นจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์รุ่นก่อนหน้าหลี่เทียนซิง ฉินมู่ไม่รู้มากมายนักเกี่ยวกับความสำเร็จในอดีตของเขา เพียงแค่ว่าภูเขานักบุญเยือนมีโถงจู่หยาง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีโถงนี้ในยมโลกด้วยเช่นกัน
ตรงหน้าโถงมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังแกะสลักสิงโตหินด้วยสิ่ว ข้างๆ เขาผีน้อยจำนวนหนึ่งคอยเก็บเศษหินที่แตกร่วง
ฉินมู่กำลังจะเข้าโถง แต่เด็กหนุ่มนั้นพลันเอ่ยถาม “เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าว “ข้ามาที่นี่เพื่อพบจ้าวลัทธิจู่หยาง”
เด็กหนุ่มนั้นมองเขาขึ้นๆ ลงๆ ก่อนที่จะวางค้อนและสิ่วของเขา ข้างๆ นั้นผีน้อยตนหนึ่งยกถาดหยกมารองรับ ผีน้อยอีกตนนำอ่างหยกมาให้เขาล้างมือ ขณะที่อีกตนก็ส่งผ้าเช็ดมือให้กับเขา
เด็กหนุ่มทำความสะอาดมือของตนและถามด้วยความตกตะลึง “เจ้าไม่เคยเห็นจ้าวลัทธิจู่หยางมาก่อนหรือ”
“ท่านคือจ้าวลัทธิจู่หยาง?” ฉินมู่ถามด้วยความตกใจ
เด็กหนุ่มพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้ว ข้าเห็นว่าเจ้ามีแต่โครงกระดูก ดังนั้นเจ้าคงจะเป็นคนเป็น แต่ที่น่าแปลกก็คือเจ้ามิใช่หลี่เทียนซิง เขาเป็นศิษย์ของข้าดังนั้นไม่มีทางที่ข้าจะลืมเขา เจ้าคือจ้าวลัทธิคนถัดไปงั้นหรือ” ความสนใจของเขาถูกสะกิดขึ้นมาและถามอย่างตื่นเต้น “เจ้ากำจัดหลี่เทียนซิงใช่ไหม”
ฉินมู่รีบส่ายหัวและกล่าว “ดวงวิญญาณของจ้าวลัทธิหลี่แตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว เขาเสี่ยงชีวิตเข้าต่อสู้กับซิงอ้าน แต่ไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ แม้ว่าข้าจะรับพฤติกรรมของจ้าวลัทธิหลี่ไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงรู้จักที่จะกลับตัวไถ่บาปก่อนที่จะตาย นับว่าน่ายกย่อ–”
“ดวงวิญญาณของเขาแตกสลายงั้นหรือ ยอดเยี่ยมมาก!” จ้าวลัทธิจู่หยางปรบมือหัวเราะร่า “ตายได้ดี! ในช่วงปีท้ายๆ ของข้า ข้าไม่อยากจะปล่อยตำแหน่ง ดังนั้นไอ้เด็กตัวเหม็นนั่นถึงฉวยโอกาสที่ข้ากำลังฝึกปรือวิชาปริศนาเก้าแห้งเหือดเก้าเบ่งบาน และท้าทายข้าตอนที่ปราณและโลหิตของข้าอยู่ในช่วงแห้งเหือด เขาทำให้ข้าบาดเจ็บสาหัส และแย่งชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิ! ข้าบาดเจ็บอย่างรุนแรง แต่เมื่อชีวิตของข้าสิ้นสุดลง ไอ้เด็กวายร้ายนั่นก็ยังคงมาปาดป้ายน้ำตาจระเข้อยู่หน้าหลุมศพข้า…”
ฉินมู่อ้าปากค้าง สักพักหนึ่ง เขาก็ถาม “ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ ปรมาจารย์นักบุญสวรรค์อยู่ที่ใด”
“ใครคือปรมาจารย์นักบุญสวรรค์”
จ้าวลัทธิจู่หยางตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะตระหนักขึ้นมา “เจ้ากำลังพูดถึงอาจารย์อาเล็กของข้าใช่หรือไม่ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของอาจารย์ปู่ของข้า เขาได้รับศิษย์มาคนหนึ่ง อาจารย์อาเล็กของข้านั้นมิเคยเป็นจ้าวลัทธิมาก่อน ทั้งยังอายุน้อยกว่าข้า หลังจากที่ข้าได้ทุบตีอาจารย์จนตาย เขาก็ต่อว่าติเตียนข้า ทำให้ข้าคิดอยากจะกำจัดเขาเช่นกัน”
“แต่ทว่า ข้ากลัวผู้คนในลัทธิจะประท้วง ดังนั้นข้าจึงแต่งตั้งตำแหน่งลอยๆ ไร้อำนาจให้เขาเป็นปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์ ส่งเขาไปที่ไกลแสนไกล…อาจารย์ มาทางนี้! จ้าวลัทธิน้อยแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกเขามาเยี่ยมพวกเราที่นี่!”
ชายชุดดำเดินออกมาจากราชวังข้างๆ เขาก็มีรูปลักษณ์อันหล่อเหลาและดูอายุอานามราวๆ สามสิบสี่สิบปี เขามีเค้าหน้าอันน่าเกรงขามและหล่อหมดจดอย่างเหนือธรรมดา เมื่อเขาได้ยินคำพูด เขาก็เดินเข้ามาและถามด้วยความตระหนก “จ้าวลัทธิน้อย? ลัทธินักบุญสวรรค์ของเราเปลี่ยนจ้าวลัทธิอีกแล้วหรือ เจ้าตายอย่างไร”
จ้าวลัทธิจู่หยางแย้มยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยนี้ยังไม่ทันตาย ดูสิ เขาอยู่ในร่างโครงกระดูก เขามาที่นี่เพื่อตามหาศิษย์น้องของท่าน อันเป็นอาจารย์อาเล็กของข้า”
ชายในชุดดำเดินเข้ามาเพ่งพิศดูฉินมู่ เขาจึงแย้มยิ้ม “เจ้ายังไม่ตายจริงๆ ด้วย เจ้าได้รับศิษย์ไว้หรือยัง?”
ฉินมู่รีบคารวะทักทายเขาและกล่าว “คารวะจ้าวลัทธิอวี้เหลียน ข้านั้นยังไม่ทันได้รับศิษย์”
“อย่ารีบรับศิษย์เร็วเกินไปนัก ยิ่งเจ้ามีศิษย์เร็วเท่าไร ก็ยิ่งจะตายเร็วเท่านั้น ดูสิ ข้าถูกศิษย์แสนดีของข้าลอบสังหาร” จ้าวลัทธิอวี้เหลียนหันหลังและแสงกระบี่ที่ปักข้างหลังเขาให้ดู จากนั้นเขาก็ย้ำคำเตือนด้วยเจตนาดี “ดูสิ ศิษย์รักของข้าปักกระบี่เอาไว้ตรงนี้”
จ้าวลัทธิจู่หยางภาคภูมิใจในตนเองและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ ท่านยังมีหน้ามาปักกระบี่อันนั้นเอาไว้อีกหรือ แล้วท่านพูดอะไรบ้างตอนที่ท่านลอบสังหารอาจารย์ย่าน่ะ”
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนหัวเราะในคอด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม “อาจารย์ย่าของเจ้าหมายจะส่งต่อตำแหน่งให้กับศิษย์น้องเล็ก ดังนั้นหากข้าไม่ลอบสังหารนาง ข้าจะกลายเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แล้วเจ้าจะได้ลอบสังหารข้าเพื่อขึ้นเป็นจ้าวลัทธิได้อย่างไร จริงสิ แล้วจ้าวลัทธิน้อยลอบสังหารใครล่ะถึงได้ขึ้นมาเป็นจ้าวลัทธิครูบาศักดิ์สิทธิ์”
…………………
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นมีสีหน้าประหลาด และพวกเขาก็เงียบกริบ
ถัวอวี่นั้นนับว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือได้มากที่สุดในบรรดาพวกเขา และความสำเร็จของเขาในพีชคณิตเป็นที่รู้กันว่าไร้เทียมทานในโลกหล้า แต่กระนั้นเมื่อใช้ต่อต้านกายาจ้าวแดนดินฉิน ก็เกิดความผิดพลาดขึ้นมา แม้ด้วยระดับความสำเร็จเชิงพีชคณิตเช่นเขา
เมื่อเผชิญกับ ‘กายาจ้าวแดนดิน’ อย่างฉินมู่ ความผิดพลาดใดๆ ก็จะนำมาซึ่งความอับอายขายขี้หน้า!
เพื่อกันเอาไว้ก่อน พวกเขาจึงไม่เชื่อการคำนวณของกษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่เอาไว้จะดีกว่า
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่โมโห และกระโดดลงไปจากสะพาน “พวกเจ้าไม่เชื่อใจข้างั้นหรือ ข้ายังจะคำนวณผิดอีกหรือ ข้าจะลงไปและตีไอ้เด็กนี่ให้ขาหัก เพื่อให้พวกเจ้าทุกคนได้เห็น!”
“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
…
บนสะพาน บรรพชนสองกล่าวอย่างใจเย็น “ดูสิ ข้าบอกแล้วว่าการคำนวณของเขาผิดพลาด ใช่ไหมล่ะ ตอนนี้เขาลอยน้ำมา หากว่าพวกเราเชื่อเขา ที่ลอยอยู่ในแม่น้ำคงเป็นพวกเรา”
บรรพชนสามและอดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ มีความรู้สึกทำนองเดียวกัน กษัตริย์มนุษย์ชิงหนิงโผล่หัวออกมาและเริงร่ากับความโชคร้ายของผู้อื่น “อาจารย์ ทีนี้ท่านคำนวณผิดตรงไหนล่ะ”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่หมดอาลัยตายอยากและกล่าวด้วยสีหน้าชืดชา “จิตวิญญาณดั้งเดิม ข้าคำนวณจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาผิดพลาด มันแข็งแกร่งเกินกว่าการคาดคะเนของข้า…แต่ข้ารู้สึกว่าตอนนี้ข้ามองเขาทะลุปรุโปร่งแล้ว!”
เขากระโดดขึ้นมาจากน้ำ และเหยียบยืนบนสะพานด้วยตัวเปียโชกไปหมด เขามีรอยยิ้มลิงโลด “คราวนี้การคำนวณของข้าจะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจะต้องบอกพวกเจ้าถึงจุดอ่อนของเขาได้อย่างแน่แท้! เชื่อข้าครั้งเดียวนี้ก็พอ!”
อดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ อ้าปากหาว ขณะที่กษัตริย์มนุษย์ชิงหนิงสายตาวูบวาบ “ในเมื่ออาจารย์มองทะลุถึงจุดอ่อนของเขาแล้ว อาจารย์สามารถลงไปอีกรอบและเอาชนะเจ้าเด็กตัวเหม็นนั่นให้ได้ พวกเราจะโห่ร้องให้กำลังใจอาจารย์เอง!”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่นำอาวุธวิญญาณลูกคิดของเขาออกมา และใช้มันฟาดหัวกษัตริย์มนุษย์ชิงหนิง “เจ้าเป็นศิษย์ นอกจากไม่สนับสนุนอาจารย์ เจ้ายังสมน้ำหน้าข้าอีก! ข้าสอนอะไรเจ้าไป หา? ข้าสอนเจ้ามรรคาเต๋าแห่งการคิดคำนวณ แต่เจ้าก็ไปเรียนดนตรี! ลงไป แล้วไปอัดเขาจนน่วมให้ข้า!”
ชิงหนิงหันหน้าไปมองที่กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนที่กำลังลิงโลดยินดี และเตะเขาลงไปจากสะพาน “ข้าสอนดนตรีเจ้า แต่เจ้าก็ไปฝึกปรือเวทมนตร์ถ้อยคำ? ลงไป แล้วไปอัดเขาจนน่วมให้ข้า!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนเห็นฉินมู่พุ่งเข้ามา และรีบโบกไม้โบกมือพลางส่ายหัวทันที “กษัตริย์มนุษย์ฉินนี้เป็นกายาจ้าวแดนดินอย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องสู้กันแล้ว”
ฉินมู่หยุดทันทีและแย้มยิ้ม “ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่ชอบเรื่องต่อยตีนัก ข้าเพียงแต่รู้สึกว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของบรรพจารย์และอาจารย์ปู่ทั้งหลายยังสามารถพัฒนายกระดับไปได้อีก แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งอยู่แล้วก็ตาม หากว่าพวกท่านสามารถพัฒนาพลานุภาพของพวกมันต่อไปได้ พวกท่านก็จะเหนือล้ำกว่าตัวตนเดิมของตนเอง โดยเฉพาะเวทมนตร์ถ้อยคำของบรรพจารย์ข่งเสียนนั้นเหนือธรรมดาอย่างถึงที่สุด มันเป็นทักษะเทวะที่มหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็น!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนปีติยินดีและไม่อาจระงับความดีใจของตนเอาไว้ได้ “เจ้าก็คิดว่าทักษะเทวะข้าเหนือธรรมดาหรือ”
ฉินมู่ผงกหัว และสองมือเขาขยับไประหว่างที่เดินบนแม่น้ำ เขาทำท่วงท่าผนึกและกล่าว “เมื่อข้าเห็นบรรพจารย์ท่านโจมตีบรรพจารย์ชิงหนิง ท่านใช้กระบวนท่านี้เพื่อปิดผนึกบรรพจารย์ชิงหนิงไปตรงๆ ข้าสงสัยว่า นั่นคือทักษะเทวะอะไร”
“นี่คือเคล็ดลับคำผนึก!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตื่นเต้นจนหยุดไม่อยู่เมื่อเขาพูดคุยเกี่ยวกับทักษะเทวะของตนเอง เขาสอนฉินมู่ด้วยตนเองถึงวิธีการขับเคลื่อนปราณชีวิตสำหรับเคล็ดลับคำผนึกและว่าเขาควรเปล่งเสียงอย่างไร “หัวใจสำคัญของเวทมนตร์ถ้อยคำอยู่ที่ทักษะเทวะคลื่นเสียงและทักษะเทวะยันต์ ผสานกับท่าร่าง ท่าย่างเท้า และวิชาฝึกปรือเข้าเป็นหนึ่ง จากนั้นก็เสริมพยุหะของอักษรรูนปราณชีวิต เมื่อครบถ้วนเท่านั้นเจ้าถึงจะสามารถขับเคลื่อนมันได้! ดูนี่!”
เขาใช้ปราณชีวิต และเท้าของเขาเคลื่อนเป็นวงกลมสองวงขณะที่มือของเขาขัดกากบาทกัน ด้วยปราณชีวิตแผ่พุ่งออกไป เขาตะโกน “ผนึก!”
ด้วยการตะโกนของเขา ปราณชีวิตเขาก่อรูปเป็นคำว่าผนึกภายใต้เท้าของเขาราวกับหมึก และทัศนวิสัยของฉินมู่พลันกลายเป็นสีดำ เขาไม่อาจได้ยินเสียงใดๆ–ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเขาถูกปิดกั้นไว้โดยสิ้นเชิง แม้แต่ปราณชีวิตของตนเขาก็ไม่อาจสัมผัสได้
ในพริบตาถัดมา ความรู้สึกที่ประสาทสัมผัสทั้งห้าถูกปิดผนึกก็หายไป
“สุดยอดทักษะเทวะ!”
ฉินมู่ตื่นเต้นอย่างสุดๆ และปรึกษาขอคำชี้แนะจากกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนอีกครั้ง พักหนึ่งหลังจากนั้น เขาก็ลองดูด้วยตนเอง ขับเคลื่อนเคล็ดลับคำผนึก “ผนึก!”
คำว่าผนึกใหญ่มหึมาพลันปรากฏบนแม่น้ำข้างใต้เท้าเขา!
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตกตะลึง เขาเรียนรู้ได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ เขาเรียนยอดวิชาทั้งชีวิตของข้าได้ด้วยการลองครั้งแรกเลย หรือว่าโลกนี้จะมีกายาจ้าวแดนดินจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องกุขึ้นมาของเจ้าซูน้อยหรอกหรือ
เขานั้นยังคงไม่มั่นใจ หลังจากที่ผู้ใหญ่บ้านเข้ามาในยมโลก เขาก็ทำราวกับว่าการโกหกฉินมู่เรื่องกายาจ้าวแดนดิน คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และไม่ปิดบังจากอดีตกษัตริย์มนุษย์คนใดๆ
อาจจะกล่าวได้ว่า กษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดทุกคน ยกเว้นก็แต่ฉินมู่ รู้ว่ากายาจ้าวแดนดินเป็นเรื่องโกหก มีก็แต่เด็กหนุ่มผู้นี้ที่ไม่รู้อยู่คนเดียว
แต่กระนั้น กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ กลับรู้สึกว่า ฉินมู่อาจจะเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ
“ให้ข้าสอนเจ้าอีกอัน เคล็ดลับคำพลัง”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนสายตาวูบวาบ และเขาถ่ายทอดเคล็ดลับคำพลังให้แก่ฉินมู่ เด็กหนุ่มเรียนสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้นอีกครั้ง และเมื่อเขาขับเคลื่อนมัน คำว่า ‘พลัง’ อันก่อขึ้นมาจากอักษรรูนก็ปรากฏข้างหลังเขา ด้วยการส่งเสริมของจังหวะดนตรีในคำว่า ‘พลัง’ พลานุภาพของอักษรรูนก็ถูกกระตุ้นขึ้นมา และพละกำลังของกายเนื้อของเขาก็ทวีคูณขึ้นไปหลายเท่า!
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนตกตะลึงจนพูดไม่ออก เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ถ้อยคำสำเร็จในระยะเวลาสั้นเท่านี้ เมื่อเขารังสรรค์ทักษะเทวะนี้ขึ้นมา เขาก็ย่างเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว เขาได้ติดตามฝึกวิชากับกษัตริย์มนุษย์ชิงหนิง และมีความสำเร็จอันน่าแตกตื่นในดนตรีการ แต่ต้องการจะฉีกเป็นอิสระออกมา เขาจึงได้ศึกษาค้นคว้าเป็นอย่างหนัก และประสบความสำเร็จอันสูงส่งในอักษรวิจิตร อักษรรูน พยุหะ วิชาตัวเบา ท่าเท้า และเพลงหมัดด้วยเช่นกัน
เขาได้ใช้เวลาหลายสิบปีในชีวิตเพื่อหลอมรวมทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเรียนรู้ และตอนนั้นเขาถึงสามารถสร้างสรรค์สุดยอดทักษะ เวทมนตร์ถ้อยคำ ออกมาได้ สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์มนุษย์ และรับช่วงต่อลัญจกร สำนักทั้งหลายในยุทธภพต่างก็เคารพนับถือเขา
การที่ฉินมู่สามารถเรียนรู้เวทมนตร์ถ้อยคำของเขาด้วยเวลาสั้นๆ นี่มิได้แปลว่าเขาก็มีความสำเร็จอันสูงส่งในอักษรวิจิตร อักษรรูน พยุหะ วิชาตัวเบา ท่าเท้า และเพลงหมัดด้วยหรอกหรือ
แม้ว่าเขาจะมีความสำเร็จสูงส่งในศาสตร์สาขาเหล่านี้ แต่การเรียนรู้สุดยอดวิชาที่เขาได้ใช้เวลาหลายสิบปีในการหลอมรวมมันขึ้นมาในช่วงเวลาสั้นๆ ก็น่าแตกตื่นสะท้านขวัญอยู่ดี!
จากนั้นฉินมู่ก็เรียนเคล็ดลับคำตรึงที่จะแผ่พุ่งออกมาจากฝ่ามือ คำว่าตรึงปรากฏตรงหน้าของเขา และมันก็สำเร็จโดยง่ายดายเหมือนกับคำอื่นๆ
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนยิ่งแตกตื่นมากขึ้นทุกที
ทันใดนั้น บรรพชนสามก็พูดออกมา “ฉินน้อย มาเรียนกระบวนท่านี้จากข้าดูสิ!”
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนได้สติขึ้นมาจากความแตกตื่นและมองไปรอบๆ ถึงตอนนี้เขาจึงเพิ่งสำเหนียกว่ากษัตริย์มนุษย์มากมายได้ลงมาจากสะพานสักพักหนึ่งแล้ว และรวมตัวมุงรอบๆ พวกเขา แม้แต่หลันโพ่ อี้ซาน ฉีคัง และคนอื่นๆ ที่ลอยน้ำไปก็ปรากฏตัวด้วย พวกเขาล้วนแต่จ้องมองไปยังฉินมู่ด้วยสายตาประหลาด
กษัตริย์มนุษย์ข่งเสียนฉงนและขยับหลบไปข้างๆ
บรรพชนสามยกฝ่ามือขึ้นมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “กระบวนท่าของข้านี้เรียกว่า มือหยินหยางพลิกสวรรค์ ฝ่ามือคือหยินและหลังมือคือหยาง ซ้ายและขวาสามารถเสริมส่งซึ่งกันและกัน หรือเจ้าก็ยังสามารถใช้หยินคู่หรือหยางคู่ พลิกสรวงสวรรค์ด้วยหยินและหยาง”
เขาอธิบายเส้นทางโคจรของวิชาฝึกปรือของเขา และด้วยการพลิกมือ หยางพิสุทธิ์ก็พวยพุ่งออกมาราวสายฟ้า สร้างเสียงระเบิดปังๆ เป็นชุดบนแม่น้ำ อันระเบิดต่อเนื่องกันถึงร้อยครั้ง ตลอดทั่วสิบลี้ พลังฝ่ามือหยางพิสุทธิ์ปะทุออกมา และคลื่นก็ถูกซัดให้โถมสูงหลายสิบวา
ฝ่ามือของบรรพชนสามพลิก และไม่ทันที่น้ำในแม่น้ำจะร่วงลงมา มันก็พลันจับตัวแข็ง และแปรเปลี่ยนเป็นปฏิมากรรมน้ำแข็งอันสุกสกาว
“ลองดู” บรรพชนสามกล่าวแก่ฉินมู่ และก้าวถอยออกไป
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะสืบเท้าไปข้างหน้าโดยพลัน เมื่อเขาพลิกคว่ำมือเป็นหยาง เสียงระเบิดเป็นชุดๆ ก็ดังขึ้นมาบนแม่น้ำ แผ่ไปไกลตลอดสิบลี้ ถัดไป เมื่อเขาหงายฝ่ามือเป็นหยิน พลังฝ่ามือก็พวยพุ่งออกมา น้ำในแม่น้ำถูกแช่แข็งอยู่กลางอากาศ
บรรพชนสามเลิกคิ้วสูงแต่ไม่กล่าวอะไร
“เจ้าเด็กฉิน เรียนท่านี้จากข้า!” บรรพชนห้าเดินไปหาเขาและกล่าว “กระบวนท่านี้ของข้าเรียกว่าระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนี และมันเป็นการหลอมรวมวิชาอสุนีบาตเข้ากับเพลงหมัด!”
เขาต่อยออกไป ทันใดนั้น เสียงระฆังก็ดังกึกก้อง และอสุนีบาตก็ม้วนพันรอบๆ ร่างเขา ก่อขึ้นมาเป็นระฆังโปร่งแสงที่ดังเหง่งหง่างอยู่ในอากาศ
บรรพชนห้าเคลื่อนไหวไปอย่างคล่องแคล่ว หมัดและขาของเขาโจมตีตรงเป้าและรวบรัด การโจมตีของเขาเรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าหมัดใดหรือลูกเตะใดก็สามารถทำให้ระฆังสั่นสะเทือน และระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีรอบกายเขาก็ขยายใหญ่เป็นบางครั้งและหดเล็กลงเป็นบางครา มันสั่นส่งเสียงอย่างต่อเนื่อง พลานุภาพของมันแผ่พุ่งออกมาบางครั้งก็เป็นเสียงเหง่ง บางทีก็เป็นเสียงหง่าง มันมีบรรยากาศอันเปี่ยมไปด้วยศิลปะและมนตร์เสน่ห์ในแบบหนึ่ง
เขาถ่ายทอดระฆังยกสวรรค์ห้าอัสนีให้ฉินมู่ผู้เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
เด็กหนุ่มพึมพำกับตนเองอย่างไม่ได้ศัพท์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพลันยกมือของเขาขึ้นสูง สายฟ้าเข้ามาห่อหุ้มเขาจากข้างบน และแต่ละหมัดแต่ละลูกเตะของเขาก็มีพลานุภาพอันยิ่งใหญ่และหนักหน่วงเกินจะหยั่ง เสียงเหง่งหง่างของระฆังดังกึกก้องไปมาอย่างไร้สิ้นสุด เมื่อระฆังยกสวรรค์ห้าอสนีสั่นสะเทือนอย่างไม่รู้จบ พลานุภาพที่ไหลผ่านกำปั้นและขาของเขาจู่โจมออกไปทั่วทิศทาง
“เหมือนไม่มีผิด!” บรรพชนห้าหรี่ตาและระบายลมหายใจขาดห้วง
“มาสิ เรียนกระบวนข้าจากข้าหน่อย!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานก้าวออกไปและกล่าว “ทักษะเทวะของข้าเข้าคู่กับวิชาฝึกปรือ เส้นทางโคจรปราณชีวิตที่แตกต่างออกไป สามารถแปรเปลี่ยนทักษะเทวดา ดังนั้นเมื่อมันแผ่พุ่งออกไป มันก็จะมีพลานุภาพอันน่าแตกตื่น กระบวนท่าของข้านี้เรียกว่า ถ้ำสรวงและทางช้างเผือกห้อยจากสวรรค์หยก!”
…
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ฉินมู่ก็ได้เรียนทักษะเทวะไปหนึ่งหรือสองกระบวนท่าจากกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมดสามสิบสี่คน เขาสามารถเรียนรู้มันสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น และขับเคลื่อนมันออกมาได้เหมือนของต้นฉบับ ในวรยุทธขั้นเดียวกันแล้ว พลานุภาพที่เขาเปล่งออกมาไม่แพ้ต้นฉบับเลยแม้แต่น้อย
บรรพชนสองมีสีหน้าเครียดขรึม เขามองไปที่บรรชพสาม บรรพชนสี่ และพวกเขาทั้งหลายก็ลอบพยักหน้าให้แก่กัน
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ไปเดินเล่นรอบๆ เมืองเถอะ” บรรพชนสองกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้ยินจากซูน้อยว่าเจ้านั้นก็เป็นจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้าด้วยเช่นกัน ยากนักที่เจ้าจะมีโอกาสมาที่นี่ ดังนั้นทำไมเจ้าไม่ไปพบกับจ้าวลัทธิในอดีตของลัทธิมารฟ้าเสียหน่อยเล่า”
ฉินมู่ปีติยินดี “ข้าก็กะจะทำเช่นนั้น!”
บรรพชนสองเก็บระหว่างเป็นตายกลับไป แม่น้ำมหึมา สะพานสายยาว และเรือสำราญก็ไหลกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเขา และฉินมู่พลันแปรเปลี่ยนจากร่างกายอันมีเลือดและเนื้อกลายเป็นโครงกระดูกที่สวมใส่เสื้อผ้า เขาไต่ถามเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งอันพวกจ้าวลัทธิในอดีตของลัทธิมารฟ้าพักอาศัยอยู่ แล้วกล่าวขอตัวจากกษัตริย์มนุษย์ทั้งหมด จากนั้นเขาถึงกลับไปที่เมืองและเดินจากไป
บรรพชนสองและอดีตกษัตริย์มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดกลับไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง และมองไปยังกันและกันอย่างหนักอึ้ง ก่อนที่จะหลุบตาลงต่ำ
“มันมีกายมนุษย์ธรรมดาแบบนี้ด้วยหรือ ข้าไม่เชื่อหรอก!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังระบายลมหายใจขาดห้วง และส่ายหัว “ข้าไม่มีทางเชื่อ ต่อให้กระทืบข้าให้ตายก็ตาม!”
“ข้าก็ไม่เชื่อ” กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่เผยสีหน้าไม่เชื่อถือและกล่าว “พวกเราล้วนแต่ดื้อรั้นเหมือนกับลา และไม่ยินดีที่จะเรียนวิชาจากอาจารย์ของตน หมายแต่จะกรุยมรรคาเต๋าของตนเองไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาก็คือ โถงกษัตริย์มนุษย์ของเราจึงไม่เคยมีสุดยอดวิชาที่สืบทอดต่อๆ กันไปอย่างที่เขาทำกัน เพราะใครๆ ต่างก็อย่างจะสร้างสรรค์ของตัวเองขึ้นมา! วิชาฝึกปรือที่แตกต่าง ทักษะเทวะที่แตกต่าง ดังนั้นหากว่ามีใครหมายจะเรียนวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกเรา นั้นมันจะแปลกเอาจริงๆ!”
“แต่เขาสามารถเรียนรู้พวกมันทั้งหมดได้ ซ้ำยังในเวลาไม่นานอีกด้วย ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่พวกเราอยู่บนแม่น้ำ เขาได้เรียนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราสอนเขา และสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนาราวกับว่าเขาฝึกวิชาเหล่านั้นอย่างพากเพียรมาเป็นร้อยปี”
บรรพชนสองถอนหายใจและกล่าว “ข้าสงสัยว่าเขาอาจจะเป็นกายาจ้าวแดนดินจริงๆ ซูน้อยอาจจะบังเอิญระบุถูก เด็กน้อยที่เขาประเมินต่ำไปตั้งแต่ยังเล็ก กลับเป็นกายาจ้าวแดนดินเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า”
ทุกคนล้วนแต่สงสัย และกษัตริย์มนุษย์ฉีคังก็กล่าว “ท่านคิดว่า ไอ้เด็กตัวเหม็นแซ่ซูเล่นตลกกับพวกเราหรือเปล่า เขาน่าจะรู้ว่าเด็กแซ่ฉินมันเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่จงใจพูดว่าเขาโกหกเขา ขณะที่อันที่จริงแล้ว เขากำลังโกหกพวกเราเพื่อทำให้พวกเราอับอาบขายหน้า”
“มีความเป็นไปได้นี้อยู่!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานตบเข่าฉาดและตะโกนออกมา “นั่นมันแนวเจ้าเลย ไอ้เด็กผี! เขาเป็นศิษย์ของเจ้า ดังนั้นเขาต้องเหมือนกับเจ้า โกหกผู้คนโดยไม่กะพริบตา!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานกำหมัดเสียงกรอบแกรบและยิ้มหยัน “ไอ้เด็กนี่มันไปตามหาบรรพชนแรก เมื่อเขากลับมา คอยดูสิว่าข้าจะสั่งสอนมันอย่างไร!”
“เป็นว่าพวกเราจะสั่งสอนมันอย่างไรต่างหาก!” ทุกคนยิ้มหยันพร้อมๆ กัน
ในตอนนั้นเอง ในอาณาเขตเร้นลับในส่วนลึกของแดนโบราณวินาศ มีแสงเลือนลางอยู่ในความมืด ผู้ใหญ่บ้านล่องลอยผ่านซากโบราณ มายังโลกอันมหัศจรรย์อีกแห่งหนึ่ง หลังจากเดินไปสักพัก เขาก็คลี่ยิ้มออกมา
ตรงหน้าของเขามีหมู่สิ่งก่อสร้างโบราณที่มีความสง่างามอันวิจิตและน่าสนใจของแดนอื่น อันยุคสมัยนี้ไม่มีอยู่
เขาค้นหาอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดก็พบกับบุคคลที่เขาตามหา
ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลักศิลาจารึกข้างราชวัง กำลังอ่านข้อความที่จดจารอยู่บนนั้น
“บรรพชนแรกกำลังทำอะไรหรือ” ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความใคร่รู้
“นี่คือซากโบราณแห่งสุดท้ายของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง ผู้รอดชีวิตที่หลงเหลือก็หนีตายมาที่นี่ และก่อตั้งแดนหลบภัยแห่งจักรพรรดิสูงส่งขึ้นมาใหม่ สถานที่นี้คล้ายคลึงกับหมู่บ้านไร้กังวลของพวกเขา แต่มันก็ถูกกวาดล้างไปในภายหลัง ข้ากำลังมองหาประวัติศาสตร์ของพวกเขา” บรรพชนแรกไม่หันกลับมามอง “บันทึกที่พวกเขาทิ้งไว้นั้นน้อยเกินไป แต่ข้าพบนี่”
ผู้ใหญ่บ้านอึ้งไปเล็กน้อย พลางมองไปยังแท่งจารึกหิน “บันทึกอะไรเอาไว้หรือ”
“ตำนานแห่งกายาจ้าวแดนดินจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน!”
………………..
บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายมีสีหน้าพิลึก ผู้ใหญ่บ้านบอกพวกเขาว่า เขาได้กุเรื่องกายาจ้าวแดนดินขึ้นมาเอง อันเป็นคำโกหกด้วยความหวังดีเพื่อกระตุ้นปลุกใจฉินมู่ กายธรรมดานี้ ให้พากเพียรขวนขวาย และอดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็เชื่อเขา
แต่ที่ขั้นวรยุทธเดียวกัน กษัตริย์มนุษย์ฉีคังถึงกับเสียเปรียบตั้งแต่กระบวนท่าแรก หลังจากนั้นเขาก็ถูกอัดจนน่วมถึงขั้นที่ว่าไม่น่าจะเป็นเพียงกายธรรมดาที่ขวนขวายพากเพียร!
เป็นไปได้อย่างไรที่เพียงแค่กายธรรมดาอันขวนขวายพากเพียรจะสามารถทุบตีกษัตริย์มนุษย์คนหนึ่งให้น่วมขนาดนี้ได้
เพราะอย่างนี้ แม้แต่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่ากายาจ้าวแดนดินอาจจะมีอยู่จริงๆ ในโลก
บนสะพาน ปราณชีวิตของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานแปรเปลี่ยนเป็นมือมหึมาและจิ้มกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอันกำลังลอยไปตามน้ำ ด้วยนิ้วอันขาวสล้างเหมือนกับหยก
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังนอนแผ่แขนอ้าออกและจ้องไปที่ท้องฟ้าด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาไม่กระดุกกระดิก และหลังจากที่ถูกจิ้ม เขาก็จมลงไปในน้ำ ก่อนที่จะลอยขึ้นมาใหม่
“ศิษย์รัก เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้หรือยังที่ถูกศิษย์หลานของตนเองอัดจนน่วมน่ะ” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานถามพลางกลั้นหัวเราะ
“ตาเฒ่าที่น่าตาย อย่าจิ้มข้า ปล่อยให้ข้าอยู่สงบๆ บ้าง” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าเพียงแค่ยังไม่หายงงจากการถูกทุบตี ไม่ใช่ว่าข้ายอมรับความพ่ายแพ้! ข้าเพียงต้องการเวลาคิดใคร่ครวญว่าทำไมข้าถึงพ่ายแพ้…”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานระเบิดหัวเราะและเริงร่าในความโชคร้ายของศิษย์ “ยังพูดอีกหรือว่าเจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้น่ะ”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพลิกตัวคว่ำ และลอยไปบนน้ำโดยหงายก้นขึ้นมา ปล่อยให้กระแสน้ำพัดเขาไปไกล
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงและตะโกนไป “อาจารย์ปู่ ระวังจะสำลักน้ำนะ!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหัวเราะ “ไอ้เด็กนี่มันก็เป็นเสียอย่างนี้เมื่อเขาพ่ายแพ้ ไม่ต้องสนใจเขา เขานั้นกำลังปาดป้ายน้ำตา และไม่อยากให้เจ้าเห็น”
ฉินมู่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เขาได้ทุบตีอาจารย์ปู่ของเขาจนต้องไปร่ำไห้อยู่ในแม่น้ำ การทำเช่นนี้ไม่สุภาพเอาเสียเลย สำหนับเด็กหนุ่มที่ได้รับการสอนสั่งจากหมู่บ้านพิการชรา เขานั้นมักจะเคารพนับถือผู้เฒ่าผู้แก่ แต่แน่ล่ะว่า เฒ่าเป๋และเฒ่าใบ้ก็เคยโดนเขาอัดจนน่วมในขั้นวรยุทธเดียวกันมาไม่น้อย
“ข้าอาจจะลงมือหนักเกินไป อาจารย์ปู่ เพลงหมัดของข้าจริงๆ แล้วด้อยกว่าท่าน เพียงแต่ข้าอาศัยพลังวัตรที่เข้มข้นกว่ามาท่วมท้นท่าน ดังนั้นอย่าเสียใจไปเลย!”
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหัวสะพานและชะโงกไปจากราวสะพาน เพื่อตะโกนไปยังฉีคังซึ่งลอยห่างออกไป “ข้าไม่ได้กะจะลงมือหนักขนาดนั้น! ข้าเห็นว่ากำลังฝีมือของอาจารย์ปู่แข็งแกร่งเหนือธรรมดา ดังนั้นจิตใจชอบแข่งขันของข้าจึงปลุกขึ้นมา และข้าก็เลยใช้พละกำลังเต็มที่ไปตั้งแต่ต้น นานทีข้าถึงจะทำเช่นนั้นยามที่ข้าพบกับยอดฝีมือในขั้นวรยุทธเดียวกัน”
เขานั้นดูอ้างว้างและเศร้าใจ “เพราะถึงอย่างไร ข้าก็เป็นกายาจ้าวแดนดิน ข้าคิดว่าข้าคงได้พบพานกับยอดฝีมือขั้นวรยุทธเดียวกัน ผู้ซึ่งสามารถเป็นคู่มือของข้าได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่ากำลังฝีมือของอาจารย์ปู่จะค่อนข้างอ่อนด้อย แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านนะ!”
บนสะพาน กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายรั้งข่มโทสะของพวกตนเอาไว้ เมื่อเห็นกษัตริย์มนุษย์หนุ่มเผยสีหน้าอันโดดเดี่ยวเพราะไร้เทียมทานระหว่างที่เขามองไปยังฉีคังผู้ซึ่งลอยไปยังปลายแม่น้ำ “หากว่าบรรพจารย์และอาจารย์ปู่ทั้งหลายสามารถมาอยู่ร่วมยุคสมัยของข้า ก็คงจะเยี่ยมยอดมาก”
“หากว่าพวกเราเกิดร่วมสมัยเดียวกัน พวกท่านก็คงพัฒนารุดหน้าไปพร้อมกับข้า และเป็นคู่ต่อสู้ให้กับข้า น่าเสียดายที่พวกท่านมีชีวิตอยู่เมื่อนานมาแล้ว และไม่อาจตามทันยุคสมัยของข้าและราชครูสันตินิรันดร์เมื่อพวกเราขับเคลื่อนการปฏิรูป ในท้ายที่สุด มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกท่านก็เลยล้าหลังตกยุค”
บรรพชนทั้งหลายกำหมัดกรอบแกรบ และกัดฟันรั้งตัวเองเต็มที่ไม่ให้ระเบิดออกมา
กษัตริยมนุษย์หลันโพ่หุบยิ้มของนางพลางกัดฟันกรอด เสียงขบกรามของนางฟังดูน่าตื่นตระหนก
แม้ว่าคำพูดของไอ้เด็กผีนี่จะถ่อมตนเป็นอย่างยิ่ง แต่ทุกๆ ประโยคของเขาสามารถทำให้คนเป็นๆ คั่งแค้นจนตาย และคนตายก็คั่งแค้นจนลุกคืนชีพได้ นี่ทำให้อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายอยากที่จะจับเขากดแล้วรุมสกรัมกันทั้งวง!
“กายาจ้าวแดนดินฉิน เจ้าเพียงแค่เอาชนะเจ้าเด็กฉีคังนั่นเท่านั้น แต่ก็กล้าพูดแล้วหรือว่ามรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเราล้าหลังตกยุค นั่นไม่โอ้อวดเกินไปหน่อยหรือ” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานน้ำเสียงทื่อตึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะแช่มชื่น “มาสิมา ให้ข้าสอนเจ้าว่าทักษะเทวะมันเป็นอย่างไร!”
ฉินมู่เผยสีหน้าลำบากใจเมื่อเขาหันกลับมามองยังอาจารย์ทวดผู้นี้ ซึ่งสูงเพียงห้าคืบ “บรรพจารย์ มรรคาที่ท่านดำเนินคือมรรคาแห่งทักษะเทวะ และพวกมันก็แข็งแกร่งจริงๆ นั่นแหละ แต่มาอยู่ใกล้ข้าขนาดนี้ ท่านได้ตายไป หนึ่ง สอง สาม สี่…สิบหก สิบเจ็ดครั้ง”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานแทบจะระงับความเดือดดาลเอาไว้ไม่อยู่และยกลูกบอลสายฟ้าในมือ พลางข่มกลั้นความคิดที่อยากจะทุบให้เด็กนี้ให้ตายไปเสีย
“เมื่ออยู่ใกล้ แม้แต่ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ก็ไม่อาจต้านทานรับแม้แต่กระบวนท่าเดียวจากข้า”
ฉินมู่พึมพำกับตนเองโดยไร้อารมณ์ “ที่บรรพจารย์ฝึกปรือนั้นคือทักษะเทวะ แต่ทว่าการฝึกปรือทักษะเทวะนั้นหมายความว่าท่านขาดพร่องในด้านกายเนื้อ ในเมื่อพวกเราอยู่ใกล้ เพียงแค่ชั่วเวลาหนึ่งประโยคที่บรรพจารย์พูด นั่นก็เพียงพอให้ข้าสังหารท่านไปยี่สิบสามสิบครั้ง”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานแทบจะกระอักเลือด และสีหน้าเขาก็ดำคล้ำ เขากระโดดออกไปจากสะพาน และมีเมฆลอยขึ้นมารองรับร่างเตี้ยม่อต้อของเขาขึ้นมา พลางกล่าวอย่างโมโหเดือด “เด็กตัวเหม็นพูดเขื่องโขเชียวนะ! ให้ข้าถอยไประยะหนึ่งก่อนแล้วค่อยสู้ละกัน!”
เมฆใต้เท้าเขายกตัวเขาขึ้นและลอยขึ้นไปทางเหนือน้ำอย่างเร่งร้อน หลังจากห้าหกลี้ กษัตริย์มนุษย์อี้ซานก็รู้สึกว่าระยะกำลังเหมาะ
แต่ทว่าเขาพลันระลึกได้ความเพลงกระบี่ของฉินมู่รวดเร็วเพียงใด และรู้สึกว่าระยะห่างเท่านี้ก็ยังไม่ปลอดภัยพอ ดังนั้นเขาถึงถอยไปอีกสามลี้ เมื่อเขาระลึกได้ว่าความเร็วการเคลื่อนไหวของฉินมู่รวดเร็วเพียงใด และตามฉีคังทันได้ง่ายดายเพียงใด เขาก็ถอยไปอีกสองลี้
ข้าถอยไปอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะคิดว่าข้ากลัวที่จะแพ้ให้ศิษย์เหลนของข้า…
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานมองกลับไปและในเมื่อระยะห่างนั้นไกลขนาดนี้ สะพานจึงกลายเป็นเส้นตรงบางๆ และฉินมู่ก็เป็นจุดบนเส้นตรงนั้น
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหน้าแดงฉาน วิ่งถ่างระยะออกไปไกลขนาดนี้ นับว่าเป็นความขี้ขลาดจริงๆ
“มาสิ!” กษัตริย์มนุษย์อี้ซานมีจังหวะหัวใจที่มั่นคง และเสียงของเขาก็ทรงพลัง เขาดูเหมือนกับกษัตริย์มนุษย์ฉีคังไม่มีผิด
บนสะพาน บรรพชนสองตะโกนไป “อี้ซาน เจ้าลืมปิดผนึกสมบัติเทวะ!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานหน้าแดงฉานอีกครั้ง เขานั้นกระวนกระวายเกินไปและทำให้ลืมที่จะปิดผนึกสมบัติเทวะ เขารีบปิดผนึกมหาสมบัติเทวะทั้งสามของเขา และตะโกนออกไปด้วยความฮึกเหิม “มาสิ!”
ตึง
ฉินมู่กระโดลงไปในแม่น้ำ
“เชื่อมกำแพงแตะขุนเขาน้ำเงิน!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานลงมือกระบวนท่าแรก และในแขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขา นิ้วสั้นทู่ทั้งห้าของเขาก็ขยับขึ้นๆ ลงๆ ในพริบตานั้น พื้นที่แม่น้ำในรัศมีกว่าสิบลี้ใต้เท้าเขาก็ระเบิดออก และมวลน้ำก็ก่อขึ้นมาเป็นขุนเขาสีน้ำเงินมากมาย สันและยอดเขาก่ายกองสลับกันเป็นเทือกเขาพลางสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างดุดัน
แม่น้ำมหึมาได้แปรเปลี่ยนเป็นขุนเขาน้ำเงินอาจจะดูสวยงาม แต่นี่คือทักษะเทวดาที่แอบแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร!
ทักษะเทวะของอี้ซานได้บรรลุถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า ทว่าแตกต่างจากทักษะเทวะของคนอื่น ของเขานั้นมิได้ระเบิดพลังออกมาหากว่ามันมิได้กระตุ้นให้ทำงาน มีก็แต่เมื่อผู้คนอยู่ในทักษะเทวะของเขา การเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเดียวก็จะกระตุ้นการทำลายล้างอย่างวินาศสันตะโร!
ขุนเขาสีน้ำเงินผงาดสูงขึ้นมาอย่างดุร้าย และมาถึงข้างกายของฉินมู่ในพริบตา เขาเองนั้นอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นขนาดที่ว่าปราณชีวิตของเขาทุกหยดสั่นสะเทือน คึกคักยิ่งกว่าปกติ!
นี่คือแหล่งที่มาของกระบวนท่าแรกของผู้ใหญ่บ้าน! กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของผู้ใหญ่บ้านมาจากกระบวนท่าของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานนี้ แปรเปลี่ยนจากทักษะเทวะเป็นเพลงกระบี่ ผู้ใหญ่บ้านเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง!
ฉินมู่ตื่นเต้นจนเกินพิกัด และอดไม่ได้ที่จะกู่ร้องออกมา “กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!”
สุดยอดเกินไปแล้ว!
เขาได้พ่ายแพ้ภายใต้กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของผู้ใหญ่บ้านมานับครั้งไม่ถ้วนเมื่อตอนที่เขาเรียนรู้กระบวนท่านี้เป็นครั้งแรก ในเวลานั้น เขาพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือผู้ใหญ่บ้านนับครั้งไม่ถ้วน บัดนี้เมื่อวิสัยทัศน์ขอบฟ้าและความรู้ของเขามิได้เหมือนก่อน เมื่อพบกับแหล่งที่มาของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับว่าได้ต่อสู้ประลองกับผู้ใหญ่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
เขาตื่นเต้นจนขับเคลื่อนกายามังกรแท้จ้าวแดนดินอย่างลืมตัว ปราณชีวิตของเขากลายเป็นไร้ขอบเขต และทุกเส้นสายของมันที่ไหลรินออกจากร่างกายของเขาก็เผยให้เห็นมังกรรูปร่างต่างๆ กัน
กายามังกรแท้จ้าวแดนดินนั้นเป็นทักษะเทวะกายเนื้อที่เขาตรึกตรองเข้าใจโดยการผสานวิชาฝึกปรือแห่งเผ่ามังกรจากรังมังกรแท้ เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ปราณชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนเป็นพลังชีวามังกรอันสั่นสะเทือนห้วงอวกาศโดยรอบ ก่อรอยประทับรูปทรงมังกรอันแปลกพิสดารทุกชนิดทุกประเภท พวกมันดูเหมือนอักษรรูนและยันต์เมื่อเรืองแสงสว่างขึ้นมาทั่วร่างของเขา!
เขาใช้ทักษะเทวะกายเนื้อ เพื่อต่อสู้กับทักษะเทวะเวทมนตร์!
ฉินมู่พุ่งตะลุยเข้าไปตรงๆ เขาเหยียบไปบนภูเขาพลางวิ่งตะบึงไปยังกษัตริย์มนุษย์อี้ซานผู้ซึ่งอยู่ห่างไปสิบลี้
ตูม ตูม ตูม!
หมัดและขาของเขาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว มังกรแท้หลายร้อยตัวร่ายรำอยู่รอบๆ ตัวเขาและส่งเสียงคำรามอย่างทรงฤทธิ์อำนาจ ฟาดทำลายภูเขาและแม่น้ำให้กลายเป็นผุยผง เขาปล่อยให้ทักษะเทวะของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานโถมถล่มเข้าใส่เขา แต่มันไม่อาจทลายฝ่าการป้องกันของกายามังกรแท้จ้าวแดนดินได้
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เจ้าหมอนี่ทรงพลังถึงขนาดที่ว่าเขาสามารถใช้กายเนื้อบุกทำลายทักษะเทวะได้เชียวหรือ อี้ซานพลันรีบเปลี่ยนทักษะเทวะของเขา และจู่โจมไปอย่างบ้าคลั่งพลางคิดกับตนเอง ดูสิว่าเจ้าจะบุกทำลายอันนี้ได้ไหม! ถ้าเจ้าบุกมาถึงนี่เจ้าต้องน่วมแน่นอน!
ขุนเขาทั้งหลายถล่มลงไป และแปรเปลี่ยนเป็นคลื่นสูง บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายสัมผัสได้ถึงจิตวิญญาณต่อสู้อันเดือดพล่านที่แผ่ออกมาจากกายเนื้อของฉินมู่ อันซัดมาถึงใบหน้าของพวกเขาด้วยกระแสลมแรงที่เป่าเสื้อผ้าสะบัดกระพือไปหมด
“ทักษะเทวะกายเนื้อเช่นนี้ ถึงกับแข็งแกร่งกว่าของบรรพชนสอง” บรรพชนสามกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ถัวอวี่ เจ้าเชี่ยวชาญในการคำนวณกระบวนพยุหะและความสำเร็จของเจ้าในพีชคณิตก็ไร้เทียมทานในโลกหล้า ดังนั้นเจ้าสามารถคำนวณหาจุดอ่อนของเขาได้หรือไม่”
ในดวงตาของกษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ พยุหะจำนวนมากจุดแสงขึ้นมาสลับกับหรี่มัวเมื่อเขาคิดคำนวณการจัดเรียงรอยประทับมังกรรอบๆ ร่างกายของฉินมู่อันเคลื่อนไปไม่หยุดยั้ง จากที่เห็นเขาคิดคำนวณการเปลี่ยนแปลงของรอยประทับมังกรบนผิวหนัง จากตรงนั้น เขาคำนวณการโคจรปราณชีวิตในร่างกายของเขา การเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ และการขับเคลื่อนพละกำลัง
จากนั้นเขาคิดคำนวณเส้นทางการประมวลของวิชาฝึกปรือฉินมู่ และเส้นทางโคจรของปราณชีวิตในสมบัติเทวะของเขา
ปริมาณสิ่งที่เขาต้องคำนวณมีมากเกินไป และพวกมันก็ล้วนแต่ซับซ้อน แต่กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่นั้นไม่ย่อท้อ และยังคงมีพละกำลังหลงเหลือ
เขาเป็นยอดฝีมือด้านพยุหะที่แข็งแกร่งที่สุดของยุคสมัย และความสำเร็จของเขาในพีชคณิตก็ถึงกับเอาชนะเจ้าสำนักเต๋าในยุคนั้น เมื่อเขาไปโต้วาทีกับสำนักเต๋า ก็ไม่มีใครที่ไม่ยอมรับนับถือ!
จนถึงตอนนี้ อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายก็มองเห็นแล้วว่าฉินมู่แข็งแกร่งเพียงใด และคาดคะเนได้ว่าหากสู้กันด้วยขั้นวรยุทธเดียวพวกเขาคงเป็นได้แค่กระสอบทราย การพ่ายแพ้นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความเสียหน้าที่ตามมานั้นเป็นเรื่องใหญ่
นั่นจึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่คิดคำนวณจุดอ่อนของฉินมู่เสียก่อน เพื่อที่พวกเขาจะได้มีโอกาสเอาชนะ
นี่คือการกระทำที่จนตรอก
“เขามีจุดอ่อน”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ดวงตาลุกวาว ในขณะเดียวกันนั้นที่ข้างล่าง ฉินมู่ราวกับมีดร้อนอันเฉือนผ่านก้อนเนย เมื่อเขาวิ่งตะบึงตรงไปยังกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “จุดอ่อนของเขาอยู่ที่จุดศูนย์กลางกาย ช้าก่อน มันเลื่อนไปแล้ว ตอนนี้มันอยู่ที่หัวไหล่ซ้าย ไม่ ตอนนี้มันอยู่ที่หลัง…”
“มันอยู่ตรงไหนกันแน่” กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ถามด้วยความโมโห “อาจารย์ทวด ท่านคำนวณได้จริงหรือไม่”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่กำลังจะพูด ในตอนนั้นกษัตริย์มนุษย์อี้ซานข้างล่างนั่นก็ขับเคลื่อนทักษะเทวะที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา อันคือนิ้วผนึกเทพยดา มันดึงดูดสายตาของทุกๆ คน
นิ้วผนึกเทพยดาจะปิดผนึกปราณชีวิตและจิตวิญญาณดั้งเดิมโดยการโจมตีดวงวิญญาณ นี่คือทักษะเทวะที่กษัตริย์มนุษย์อี้ซานใช้ต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า และถึงกับประสบความสำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า!
เมื่อเขาจิ้มไปด้วยนิ้วของตน คลื่นก็ไม่กระเพื่อมและลมก็ไม่กระพือ ฉินมู่ได้มายังเบื้องหน้าของเขาแล้ว และทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงหนึ่งลี้เท่านั้น แต่ทว่าการโจมตีนั้นมาถึงหว่างคิ้วของฉินมู่ในพริบตา ไม่ให้เวลาเขาตั้งตัว!
“ยอดเยี่ยม!” ทุกคนบนสะพานเอ่ยชมเป็นเสียงเดียวกัน “นิ้วจากเทพเจ้า! มาดูกันว่ากายาจ้าวแดนดินน้อยผู้นี้จะหยิ่งผยองไปได้อีกกี่น้ำ!”
ในตอนนั้นเอง หว่างคิ้วของฉินมู่ก็แยกออกและทารกวิญญาณเล็กๆ ก็ปรากฏ มันหลอมรวมเข้ากับดวงวิญญาณของเขาและแปลงกายเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม ชั้นวงจรพยุหะหมุนวนอย่างดุเดือดในดวงตาของเขาขณะที่ทางช้างเผือกอันพัวพันอยู่รอบๆ ดวงตะวันระเบิดพลังออกมา ลำแสงสองลำยิงออกไปด้วยเสียงหึ่งฮัม หนึ่งนั้นทะลวงผ่านิ้วผนึกเทพยดาของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานอย่างง่ายดายราวกับฟาดใส่ไม้ผุ!
จิตวิญญาณดั้งเดิมที่แข็งแกร่งปานนี้ทำให้ทุกๆ คนบนสะพานจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง พวกเขาเห็นลำแสงอีกลำหนึ่งยิ่งตรงไปยังหน้าอกของกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ทะลุผ่านทักษะเทวะป้องกันตัวของเขา ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นมา!
“กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!”
ปราณชีวิตรอบกายฉินมู่อันเดือดพล่านประดุจมังกรพิโรธพลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนที่ซัดถล่มกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ภูเขาและแม่น้ำอันโอ่อ่าตระการก่อขึ้นมาจากกระบี่นับหมื่น สะเทือนเลื่อนลั่นและแทงกษัตริย์มนุษย์อี้ซานไปทั่วร่าง ส่งให้เขาร่วงหักปักแม่น้ำ
“กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต!”
ทันใดนั้นกระบี่นับหมื่นหลอมรวมเข้าด้วยกัน และแม่น้ำสายยาวพลันดูราวกับว่าถูกอาบย้อมไปด้วยโลหิต ศีรษะของเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมา สร้างภาพน่าสะพรึงกลัวของบ่อเลือด
ฉินมู่ขยับไปด้านข้างและฟันลงไปข้างล่างด้วยกระบี่ของเขา กษัตริย์มนุษย์อี้ซานลอยขึ้นมาจากทะเลเลือดและไหลไปทางปลายน้ำ
ไม่กี่อึดใจ ภาพปรากฏการณ์ก็จางหาย และน้ำในแม่น้ำก็ใสกระจ่างดุจเดิม ฉินมู่มองไปที่สีหน้าขมขื่นของกษัตริย์มนุษย์อี้ซานที่ไหลลอยไป ผู้เฒ่าร่างม่อต้อผมขาวจ้องมาที่เขาด้วยสายตาของผู้ที่ตายตาไม่หลับ
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ และอ้าปาก “บรรพจารย์อี้ซาน…”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานทำน้ำกระเซ็นเมื่อเขาพลิกตัวคว่ำหน้าปล่อยให้ก้นเขาชี้ฟ้าและลอยไปอย่างเงียบเชียบ
พบแล้ว!
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ตาลุกวาบ และเขากล่าวด้วยความยินดี “จุดอ่อนของเขาอยู่ในตันเถียน จุดที่สามนับจากปลายก้นกบ! นั่นคือแหล่งที่มาของจุดอ่อนเขา!”
“ข้าจะไปอัดไอ้เด็กตัวเหม็นนี่ให้น่วม!” หลันโพ่เต็มไปด้วยแรงทะยานใจเมื่อนางหิ้วตะกร้ากระโดดลงไปจากสะพาน นางวิ่งตรงไปยังฉินมู่ด้วยรอยยิ้ม “ฉินน้อย ให้ยายดวลอาวุธวิญญาณกับเจ้าหน่อย!”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกราวกับว่าเขาพลาดอะไรบางอย่างไป ทันใดนั้น เขาก็ตบหัวตัวเองและร้องออกมา “ข้าพลาดแล้ว! เขามีสมบัติเทวะเพียงแค่สาม มิใช่สี่! เขาได้หลอมรวมสมบัติเทวะหกทิศเข้ากับสมบัติเทวะเจ็ดดาวให้เป็นหนึ่ง! ข้าคิดคำนวณจากเส้นทางโคจรของสมบัติเทวะสี่ชิ้นดังนั้นจุดอ่อนที่คำนวณออกมา อยู่ห่างจากจุดอ่อนที่แท้จริงเป็นพันๆ ลี้…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว!”
แม่น้ำคลั่งสงบลง และข้างใต้สะพาน กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ลอยมาพร้อมด้วยอาวุธวิญญาณหลากชนิดจากตะกร้าของนางที่กระจัดกระจายไปทั่ว นางกัดฟันกรอดพลางกล่าว “ไม่ต้องพูดแล้ว อาจารย์ทวด ในวินาทีที่ข้าลงมือ ข้าก็รู้ว่าท่านคำนวณผิด!”
กษัตริย์มนุษย์ถัวอวี่สีหน้าแดงฉ่า และเขามองไปที่กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ บนสะพาน “ข้าไม่คำนวณผิดแล้วตอนนี้…ทำหน้าอะไรแบบนั้น ตอนนี้ข้าไม่คำนวณผิดแล้วจริงๆ!”
…………….
อดีตกษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ผงกหัว มีความรู้สึกทำนองเดียวกัน
แม้ว่ากษัตริย์มนุษย์ทุกๆ คนจะดูน่ากระทืบในสายตาอาจารย์ของพวกเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบกษัตริย์มนุษย์ที่น่าลงสหบาทาโดยพวกเขาทุกคนอะไรอย่างนี้
กษัตริย์มนุษย์ในอดีตทุกคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือระดับหัวกะทิของยุคสมัย มันไม่ใช่แค่ศักดิ์ฐานะของพวกเขาเท่าที่นั้นทำให้ค่ายสำนักต่างๆ เคารพนบนอบ แต่กำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงพอ กวาดล้างทุกๆ คนในรุ่นเดียวกันจนไร้ผู้ต่อต้าน!
กษัตริย์มนุษย์คนไหนที่ไม่ได้สู้กับเทพแห่งเหนือฟ้าสักสามสี่รอบ ก็จะอับอายเกินกว่าที่จะมาพบหน้าบรรพชนหลังความตาย แต่ผู้คนเช่นนั้นจะมีสักกี่คนกันเล่า
กระนั้น ฉินมู่ ตรงหน้ายอดคนแห่งยุคมัยแต่ละสมัยอย่างพวกเขา ถึงกับกล้าบอกว่ากลัวจะพลั้งมือทำให้พวกเขาบาดเจ็บ เขายังพูดอีกว่า วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกเขาได้ล้าหลังตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว อย่างนี้จะให้ทนไหวได้อย่างไร
บรรพชนสามเข้ามาใกล้พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “กษัตริย์มนุษย์ในอดีตล้วนแต่หยิ่งผยอง และทุกคนก็ยังพกความหยิ่งผยองลงมาด้วยหลังจากที่ตายไปแล้ว อยากจะทุบนั่นต่อยนี่ แต่ทว่า เจ้าก็ยังคงเป็นคนแรกที่พูดว่าพวกเรานั้นล้าหลังตกยุค! กษัตริย์มนุษย์ฉิน น่าทึ่งอะไรอย่างนี้้”
“ลูกศิษย์อัดอาจารย์จนน่วมนั้นเป็นเรื่องธรรมดา อย่างข้า ข้าก็อัดผายลมเฒ่านี่มาก่อนแล้ว แต่ทว่า ถึงกับคิดจะอัดตาเฒ่าทั้งหลายเหล่านี้จนน่วมให้หมด น้ำเสียงของกษัตริย์มนุษย์ฉินไม่ใช่เล่นๆ ข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้ามีความสามารถที่ว่าหรือไม่!” บรรพชนสี่กล่าวอย่างราบเรียบไร้อารมณ์
บรรพชนสามถลึงตาจ้องเขา
บรรพชนสี่มีสีหน้าดุดันเปี่ยมอำนาจเมื่อเขากล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นเป็นคนเป็นๆ ดังนั้นพวกเราจะสู้กันอย่างไรนั้นก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง แต่ทว่า บรรพชนแรกมีสมบัติวิเศษที่ยังน่าจะอยู่แถวๆ นี้ มันเรียกว่าระหว่างเป็นตาย อันน่าจะเหมาะสมที่สุดในการใช้แลกหมัดกัน”
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายขมวดคิ้ว “บรรพชนแรกไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นพวกเราจะใช้ระหว่างเป็นตายได้อย่างไร”
บรรพชนสองแย้มยิ้มและกล่าว “ในฐานะศิษย์ของบรรพชนแรก เมื่อเขาไม่อยู่ ข้าก็เป็นเจ้าของโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง ดังนั้นข้าย่อมใช้สอยมันได้ จุ๊ๆ เงียบเข้าไว้ ข้าคุ้นเคยกับที่นี่สุดๆ คุ้นเคยยิ่งกว่าบ้านของข้าอีก รอข้าสักเดี๋ยว ให้ข้าไปหยิบระหว่างเป็นตายมา”
ทุกๆ คนสงสัยใคร่รู้ พวกเขาได้ยินคำเล่าลือถึงระหว่างเป็นตาย แต่ไม่เคยได้เห็นสมบัติชิ้นนี้มาก่อน พวกเขาได้ยินว่าเพราะบรรพชนแรกคิดถึงภรรยาของตน เขาจึงหลอมสร้างมันขึ้นมาเพื่อสร้างเส้นทางไปยังแดนใต้พิภพ และเขาจะสามารถพบกับนางที่นั่นได้
แต่ทว่า สมบัติของเขาไม่ได้มีประโยชน์หรือพลานุภาพมากมายนัก ดังนั้นผู้คนที่หลอมสร้างสมบัติเช่นนี้จึงมีจำนวนน้อยยิ่งกว่าน้อย หากแต่กว่าการใช้ระหว่างเป็นตายมาให้คนเป็นต่อสู้กับคนตายได้นับว่าเป็นความคิดอันชาญฉลาดจนไม่รู้ว่าจะเฉียบแหลมกว่านี้ไปได้อย่างไร
ไม่นานนัก บรรพชนสองก็กลับมา และทุกๆ คนพบว่ามือของเขาว่างเปล่า พวกเขาอดไม่ได้ที่จะฉงนฉงายและถามอย่างสงสัย “บรรพชนสอง ไหนล่ะระหว่างเป็นตาย”
“นี่คือระหว่างเป็นตาย!”
บรรพชนสองสะบัดแขนเสื้อ และแม่น้ำสายยาวก็ไหลออกมาจากแขนเสื้อของเขา แม่น้ำยักษ์ไหลออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางและกลายเป็นกว้างขึ้นและกว้างขึ้น มันเหยียดยาวไกลหลายร้อยลี้ และลอยอยู่บนอากาศเหนือเมืองยมโลก
ทุกคนเดินออกไปจากโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง เมื่อพวกเขาเห็นแม่น้ำสายยาวลอยล่องอยู่บนท้องฟ้า แถมมันยังมีสะพานเหินหาวลอยอยู่เหนือแม่น้ำอีกด้วย ในแม่น้ำ มีเรือสำราญที่ประดับประดาไว้อย่างสวยงาม จอดอยู่ใต้สะพาน
ทุกคนโห่ร้องและอุทาน “เพื่อพบกับภรรยา บรรพชนแรกถึงกับอุทิศพลังวัตรมหาศาลเกินจะหยั่งเพื่อหลอมสร้างสมบัติชิ้นนี้เชียว! ไปๆ ไปขึ้นสะพานกันเถอะ!”
ฉินมู่เองก็ตามคณะขึ้นไป ในวินาทีที่พวกเขาย่างเท้าแตะสะพาน บางอย่างที่ประหลาดก็เกิดขึ้น ฉินมู่พบว่ามีเลือดและเนื้องอกเงยขึ้นมาบนร่างของเขา!
เมื่อมาถึงแดนเป็นคนของคนตาย คนตายก็จะฟื้นคืนชีพ ส่วนคนเป็นจะถูกเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก กระนั้นแม่น้ำและสะพานก็ถึงกับทำให้เขาฟื้นฟูเลือดและเนื้อกลับมาได้ มันประหลาดพิสดารเหลือเกิน!
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยืนอยู่บนสะพาน แต่พวกเขามิได้สูญเสียเลือดและเนื้อไป พวกเขายังคงมีร่างเนื้อที่ครบสมบูรณ์ จากนั่น เห็นได้ชัดว่านี่คือพลานุภาพอันมหัศจรรย์ของระหว่างเป็นตาย
เมื่อข้าควบคุมเรือจันทราเพื่อกลายเป็นผู้พิทักษ์จันทรา ข้าจะต้องทานทนแรงกดดันจากแดนเป็นของคนตายเพื่อรักษาร่างเลือดเนื้อเอาไว้ ดูเหมือนว่ากำลังฝีมือของบรรพชนแรกจะแข็งแกร่งกว่าของผู้พิทักษ์ตะวันเป็นแน่แท้! ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ
กำลังฝีมือของกษัตริย์มนุษย์รุ่นแรกนั้นลึกล้ำเป็นปริศนา เขานั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นจากยุคจักรพรรดิก่อตั้งไม่ผิดแน่!
แต่ทว่า ระหว่างเป็นตายของเขามิได้ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกัน มันมีประโยชน์ใช้สอยอย่างมหันต์!
เขากะพริบตาปริบ หัวใจก็เต้นตึกตัก เขาพลันนึกถึงวิธีใช้สอยอันล้ำเลิศของระหว่างเป็นตาย อันทำให้ยมโลกสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกของคนเป็นได้ เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกจริง!
ระหว่างเป็นตายสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกแห่งคนเป็น และทำให้ทวยเทพแห่งยมโลกสามารถจุติลงไปยังโลกของคนเป็นได้ แม้ว่าพื้นผิวแม่น้ำจะไม่กว้างใหญ่มาก แต่ก็ยังคงเหนือธรรมดา!
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว เทพและมารในยมโลกมีมากกว่าหลายหมื่น หากว่าพวกเขาจุติลงไปยังโลกมนุษย์ ใครจะต่อต้านพวกเขาได้
หากว่าใช้ระหว่างเป็นตายอย่างเหมาะสม มันก็จะกลายเป็นอาวุธทรงพลานุภาพร้ายกาจ!
ฉินมู่ยืนอยู่ที่หัวสะพานและมองไปยังแม่น้ำอันไหลตรงไปยังแดนใต้พิภพ เขามองเห็นความมืดของอีกฝั่งได้รางๆ แม่น้ำนั้นมหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามันมิได้ธรรมดาสามัญเลยแม้แต่น้อย
ในเมืองยมโลก เทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วนเงยหัวขึ้นมองดูแม่น้ำยักษ์อันไหลล่องอยู่บนท้องฟ้า กระแสของมันเอื่อยช้าและดูสง่างามอย่างสุดขีด
“กษัตริย์มนุษย์พวกนั้นอีกแล้ว!” เทพตนหนึ่งก้มหน้าลงเบือนสายตาไป จากนั้นเขาก็กล่าวกับทุกๆ คนในบริเวณรอบๆ “ตั้งแต่เจ้าพวกนี้มาที่ยมโลก ก็มีพวกเดียวกันโผล่มามากขึ้นทุกที และพวกเขาก็ยิ่งเขื่องโขโอหังเข้าไปใหญ่ พวกเขาเป็นกลุ่มอิทธิพลของยมโลกเรา แต่ข้าเกรงว่ามีก็แต่มารร้ายพวกนั้นที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ไม่ต้องมองแล้ว แยกย้าย ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไปจนลืมทุกอย่างเถอะ”
“บรรพชนแรกพบภรรยาของเขาโดยส่งเรือสำราญนี้เข้าไปในแดนใต้พิภพเพื่อนำทางดวงวิญญาณของภรรยาออกมา จากนั้นพวกเขาก็จะมาพบกันบนสะพาน” บนสะพานระหว่างเป็นตาย สีหน้าของบรรพชนสองหดหู่ลง “หลังจากที่การพบปะกันของพวกเขาถูกแดนใต้พิภพค้นพบ ดวงวิญญาณของภรรยาอาจารย์ก็ถูกผู้นำทางความตายนำจากไป บรรพชนแรกกลับไม่รู้ถึงเรื่องนี้ และยังคงยืนอยู่บนสะพานเพื่อรอนาง แต่เขาไม่เห็นหรือได้ยินข่าวคราวจากนางมาเป็นสิบๆ ปี ในตอนนั้นข้ายืนอยู่ข้างๆ แม่น้ำและเห็นเขาแก่เฒ่าไปในทุกๆ วัน…อย่าพูดเรื่องนี้เลย!”
เขาปลุกปลอบใจตนและมองไปยังฉินมู่ เขาหัวเราะในคอและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตรงนี้ยังมีกายาจ้าวแดนดินที่บอกว่าพวกเราทั้งหมดล้าหลังตกยุค ได้เวลาที่จะให้ชนรุ่นเยาว์รู้ว่าฟ้าสูงแค่ไหน แผ่นดินต่ำเพียงใด!”
ฉินมู่ตกตะลึงอย่างไม่รู้จบ “อาจารย์ปู่ บรรพจารย์ พวกท่านก็รู้หรือ ว่าข้าคือกายาจ้าวแดนดิน”
บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทุกคนเผยรอยยิ้มประหลาด และกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน “ทำไมพวกเราจะไม่รู้ ไอ้ผีน้อยแซ่ซูนั่นบอกพวกเราจนหมดแล้ว พวกเรารู้ทุกอย่าง!”
ฉินมู่มองไปที่รอยยิ้มมีเลศนัยของพวกเขา และฉงนฉงาน หรือว่าพอผู้คนตายไป ก็จะกลายเป็นพิลึกประหลาดกันหมด
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังยิ้มอย่างเปรมปรีดิ์และหัวเราะคิกคัก “ไอ้ผีน้อยแซ่ซูกล่าวว่าเขาได้ค้นพบกายาจ้าวแดนดินมาเป็นศิษย์อันแข็งแกร่งมากฝีมือ ไร้เทียมทานในโลกหล้า เมื่อพวกเราได้ยินเช่นนี้ พวกเราก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าจะต้องมาตื้บเขาจนตายหลังจากที่เจ้าตายลงมาแล้ว และทำให้เขาตายเป็นรอบที่สอง”
ฉินมู่ฉงน “ทำไมข้าถึงจะตื้บผู้ใหญ่บ้านจนตายด้วยเล่า”
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ กลัวว่าฉีคังจะปากสว่างจึงรีบกระแอมไอซ้ำๆ กษัตริย์มนุษย์ฉีคังเข้าใจความนัยและแย้มยิ้ม “กายาจ้าวแดนดินฉิน จ้าวบอกว่าพวกเราแก่เฒ่า ไร้ประโยชน์ ล้าหลัง ตกยุค สู้ไม่ได้ ดังนั้นได้เวลาที่พวกเราจะทวงความยุติธรรม!”
“อาจารย์ปู่ ข้าเพียงแต่กล่าวว่าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกท่านนั้นล้าหลังและตกยุค ส่วนที่เหลือข้าไม่ได้พูดเลย…” ฉินมู่รีบกล่าวทันที
“เพ่ย!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ตะโกน และกระโดดลงจากสะพาน เขาเหยียบไปบนผิวแม่น้ำและเงยหน้าขึ้นหัวเราะร่า “เลิกพูดมาก มาสู้กันได้แล้ว!”
รัศมีของเขาแผ่พุ่งไปและเสียงระเบิดเจ็ดครั้งดังออกมาอย่างต่อเนื่อง สมบัติเทวะทั้งเจ็ดของเขาพลันเปิดออกตามๆ กัน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาทรงพลังอย่างไม่อาจหาใดเปรียบ และกำลังยืนตระหง่านอยู่บนสะพานเทวะ ดวงดาวพุ่งหวีดหวือและรวมเข้าด้วยกันก่อขึ้นมาเป็นทางช้างเผือกอันหมุนวนรอบกายของเขา ข้างใต้สะพานเทวะก็คือแดนใต้พิภพอันมืดมิด และระหว่างฟ้าและดิน ก็มีดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวธาตุทั้งห้า พวกมันรวมกันเป็นเจ็ดดารา แต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนตระหง่านอยู่บนนั้น!
ข้างใต้ดาวเจ็ดดวงคือพื้นปฐพีที่ก่อขึ้นมาจากแท่นวิญญาณ และทิศทั้งหกก็ถูกสถาปนา!
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังดูเขื่องโขโอหังอย่างไม่อาจเปรียบปาน เขายกมือขึ้นเพื่อปิดผนึกสมบัติเทวะสะพานเทวะ อันค่อยๆ หายวับไป จากนั้นก็ปิดผนึกสมบัติเทวะเป็นตาย แดนใต้พิภพจางหาย และจากนั้นก็ปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์ ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาหายไป
รัศมีของเขาอ่อนแอลง แต่ความหยิ่งผยองของเขายังคงดูพยศร้ายอยู่เช่นเดิม เมื่อเขายืนอยู่บนผิวแม่น้ำ ภาพปรากฏการณ์ของภูเขาไฟระเบิดก็ก่อรูปเงาขึ้นมาข้างหลังเขา!
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังยื่นมือขวาของเขาออกไป และกำขึ้นมาเป็นหมัดแน่น เขากวักเรียกฉินมู่ด้วยนิ้วชี้ “กายาจ้าวแดนดินฉิน มาสิ!”
ฉินมู่หัวใจเริ่มเต้นตึกตัก ราวกับว่าเขากำลังลิงโลดที่ได้เห็นเหยื่อ เขาไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นของเขาได้ แต่เขาก็ยังคงลังเล “บรรพชนสอง บรรพชนสาม สายเลือดกษัตริย์มนุษย์ของพวกเราไม่มีการลงโทษสามมีดหกรูสำหรับการทุบตีบรรพจารย์จนน่วมใช่ไหม”
อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายแย้มยิ้ม “พวกเราไม่ใช่สำนักมารอย่างลัทธิมารฟ้า ดังนั้นจะมีการลงโทษสามมีดหกรูได้อย่างไรล่ะ ไปเถอะน่า!”
ฉินมู่คลายใจและก้าวออกหนึ่งก้าว ลงไปยังผิวแม่น้ำ เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ปู่ หากว่าข้าล่วงเกินท่าน…”
“จะสู้ก็สู้เลย!” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ร้องและก้าวไปข้างหน้าด้วยกำปั้น ภาพเงาของภูเขาไฟระเบิดข้างหลังเขาพลันปะทุพวยพุ่ง เพลิงไฟโหมไหม้ และควันดำกับเถ้าถ่านก็ถูกพ่นออกไปบนท้องฟ้า พวกมันคลุมท้องฟ้าจนขมุกขมัว และแม่น้ำก็เริ่มเดือดพล่าน!
คลื่นกระเพื่อมจากพลังหมัดและเจตจำนงหมัดของเขาทำให้มวลน้ำในแม่น้ำรอบกายฉินมู่ผงาดขึ้นมา พวกมันแยกกระจายออกเป็นหยดละอองอันร้อยต่อเป็นเส้นยาว สะเทือนแผ่วเบาพลางลอยลิ่วขึ้นสู่นภากาศ
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพุ่งเข้าไปในมวลน้ำอันลอยขึ้นมา ด้วยหมัดของเขาที่ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น กลายเป็นเขื่องโขโอหังมากขึ้นทุกที รัศมีของเขาก็ยิ่งดุเดือดรุนแรง!
วงจรพยุหะหมุนติ้วในดวงตาของฉินมู่ และทางช้างเผือกในเนตรของเขาก็ห่อหุ้มไปรอบๆ ดวงตะวัน เขาสามารถมองเห็นใบหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังที่ปะทะเข้ากับหยดน้ำ และการระเบิดของหยดน้ำบนใบหน้าของเขาก่อนจะกระจายออกไปได้อย่างชัดเจน
วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าของเฒ่าบอด!
ตูม!
คลื่นกระเพื่อมรุนแรงส่งออกมาจากผิวแม่น้ำ และหมัดของฉินมู่ก็ปะทะกับหมัดของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง เสื้อผ้าของพวกเขาปลิวไปข้างหลัง หินหนืดและเพลิงไฟจากภูเขาไฟของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง ดูราวกับว่ามันขาดสะบั้นเมื่อพวกมันลอยพุ่งขึ้นไปบนฟ้า พวกมันถูกเป่ากระเด็นโดยลมพายุหมุน!
สีหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารู้สึกถึงความรู้สึกอันยากจะทานทนในหัวอก “ปราณชีวิตร้ายกาจอะไรอย่างนี้…”
น้ำในแม่น้ำที่ลอยขึ้นไปบนอากาศพลันหยุดชะงัก และหมัดของฉินมู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นฝ่ามือพร้อมด้วยปราณชีวิตของเขาอันบ้าคลั่ง!
“แปดพันกระบี่!”
หยดน้ำในท้องฟ้าถูกดึงเข้ามาและแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ละเอียดยิบ กระบี่ทั้งแปดพันเล่มร่ายรำท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ด แปรเปลี่ยนไปมาอย่างมิอาจคาดเดาได้เพื่อโจมตีกษัตริย์มนุษย์ฉีคังไปพร้อมๆ กัน
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาทะยานขึ้นไปบนอากาศเพื่อล่าถอย ร่างของเขาร่วงลงมาอย่างอิสระ ราวกับว่าเขาคือห่านป่าที่บินเฉียดผิวแม่น้ำ เขากระโดดขึ้นลงสามครา วิชาตัวเบาของเขานั้นประหลาดพิสดารอย่างถึงที่สุด เขาหลบเลี่ยงการเปลี่ยนแปรและการโจมตีทั้งหลายในกระบี่แปดพันเล่มซ้ำแล้วซ้ำอีก!
ฉินมู่สืบเท้าไปข้างหน้า ความเร็วของเขานั้นเกินจินตนาการ เขายกสองมือขึ้น และหยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่ร่วงลงมาระหว่างพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาวอันฝ่าลงไป
ฟิ้ว!
แสงกระบี่นับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกจากกระบี่ของเขา และกระบี่บินทั้งหลายก็ราวกับพายุบุแคมที่ซัดถล่มคู่ต่อสู้
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังกู่ร้องคราหนึ่ง และทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เขาสะบัดมือ และรูปเงาของฝ่ามือเขาก็เกลื่อนเต็มห้วงเวหน ทันใดนั้นเสียงของกระบี่พุ่งแหวกอากาศก็ดังมา เมื่อกระบี่ทั้งหลายอันฉินมู่ควบแน่นจากหยดน้ำ หมุนเกลียวและเฉือนเปิดฝ่ามือของเขา ในพริบตานั้น ฝ่ามือทั้งสองก็พรุนเป็นรังผึ้ง
“ฮ่า!”
เท้ามหึมาของฉินมู่กระทืบลงไปบนผิวแม่น้ำ และกระแสมวลน้ำก็ผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับมังกรวารี ฉินมู่ยื่นมือออกไปคว้าจับมัน และใช้มังกรวารีต่างทวนเล่มหนึ่ง เคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กับมัน เงาทวนจำนวนไร้ประมาณแทงเข้าไปยังกษัตริย์มนุษย์ฉีคังที่อยู่กลางอากาศ
เขานั้นถูกห้อยไว้ที่ปลายทวนก่อนจะถูกฉินมู่ตวัดเหวี่ยงฟาดลงไปอย่างไร้ปรานีบนผิวแม่น้ำ มันระเบิดกัมปนาท
ทวนมังกรวารีในมือของฉินมู่สลายไป และเขายกมือขึ้นสูงสู่ท้องฟ้า ฟ้าแลบและอสุนีบาตก็พลุ่งพล่านแปลบปลาบ ก่อรูปเป็นมังกรอัสนีที่ฟาดลงไปยังจุดที่กษัตริย์มนุษย์ฉีคังร่วงตก!
“พลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา!”
ฉินมู่เงื้อของเขาขึ้น ซัดมุทราออกไป และข้างหลังเขาคือดวงดาวที่พรายพราวอยู่เต็มฟากฟ้า ก่อขึ้นมาเป็นเขตพลังทักษะเทวะคลุมนภาอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ รูปเงาของเทพเจ้าสามร้อยหกสิบตนปรากฏอยู่ในเขตพลังนี้ และทุกตนก็ต่างซัดฝ่ามือจู่โจม
การจู่โจมนี้ไร้เสียง
แม่น้ำใหญ่สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรงและบิดเบี้ยวไปมาในอากาศ นี่มาจากพลังฝ่ามือที่แตกต่างกันสามร้อยหกสิบชนิดอันระเบิดปะทุขึ้นมาพร้อมๆ กัน สร้างเขตพลังอันบิดเบือนห้วงมิติ
ฉินมู่รั้งมือของเขากลับ และในอึดใจถัดมา กษัตริย์มนุษย์ฉีคังก็ลอยขึ้นมาบนผิวแม่น้ำ จากนั้นไหลไปตามกระแสน้ำ ผ่านข้างใต้สะพานระหว่างเป็นตาย
บนสะพาน อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยื่นคอออกไปดู จากนั้นพวกเขาก็หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่ง บรรพชนสี่ก็กล่าวด้วยเสียงแผ่ว “เกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดิน หรือว่าซูน้อยมันโกหกพวกเรา หรือว่าโลกนี้มีกายาจ้าวแดนดินอยู่จริงๆ”
…………….
ฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียงและเห็นชายร่างสูงกำยำอันพาดเสื้อชั้นนอกของเขาไว้ที่ไหล่ เขาดูเกียจคร้านเล็กน้อย และเสื้อบนเนื้อตัวเขาก็ดูหลุดลุ่ยปล่อยตัวอยู่หน่อย เขาเผยกลิ่นอายอันมีเอกลักษณ์เฉพาะ
“ที่แท้ก็เป็นกษัตริยมนุษย์ฉีคัง” เทพฉือซิ่วกล่าว “ข้ากำลังปฏิบัติหน้าที่ กษัตริย์มนุษย์ฉินได้ใช้เวทมนตร์แดนใต้พิภพเพื่อแย่งชิงตัวผู้คนกลับไป และแม้แต่ท้าวยมราชก็ยังต้องแตกตื่น หัวใจของภูตผีทั้งหลายแห่งยมโลกหวั่นไหวไม่มั่นคง กลัวว่าจะถูกเพรียกขานไปยังแดนใต้พิภพ และจมดิ่งลงไปที่นั่นตราบชั่วนิรันดร์ เพราะอย่างนี้ ท้าวยมราชจึงหมายที่จะลงโทษเขา ข้าไม่ใช่ต้นเหตุ”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังจับเสื้อนอกที่พาดไว้บนไหล่และแย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าทำตามหน้าที่ ดังนั้นข้าจะไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า ข้าเพียงแต่จะมาเอาตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินไปเท่านั้น ส่วนเจ้าก็แค่ไปบอกท้าวยมราชสักหน่อยก็พอ”
เทพฉือซิ่วส่ายหัวและกล่าว “นั่นคงจะไม่ได้ ท้าวยมราชยังคงต้องการลงโทษเขาด้วยตนเองในภายหลัง ดังนั้นข้าย่อมไม่อาจปล่อยให้เจ้าเอาตัวเขาไป…”
ในตอนนั้นเอง เสียงเฒ่าชราก็ดังมา “ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์เหลนของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”
เทพฉือซิ่วสีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อเขาเห็นผู้เฒ่าผมขาวเดินเข้ามา นั่นมิใช่ใครอื่นนอกเสียจากอาจารย์ของกษัตริย์มนุษย์ฉีคัง เขารีบอธิบายทันที “ที่แท้ก็เป็นกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน เรื่องของกษัตริย์มนุษย์ฉินนั้นข้าไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ในเมื่อเป็นท้าวยมราชที่ต้องการจะลงโทษเขาจากการก่อความวุ่นวายในยมโลก ข้าไม่อาจทำอะไรได้ กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน โปรดอย่าโทษข้า”
“ข้าไม่เห็นว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตอะไร” ผู้เฒ่าผมขาวมีร่างเตี้ยเล็ก และเคราขาวโพลงของเขาชี้ชันขึ้นจากสองข้าง เสียงของเขาดังเหมือนระฆังใหญ่เมื่อเขาหัวร่อออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าตัดสินใจเองไม่ได้ ดังนั้นข้าก็จะไม่ให้เจ้าตัดสินใจ เดี๋ยวข้าเป็นคนตัดสินใจเอง ข้าจะนำตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินไป!”
“เจ้าทำไม่ได้นะ!” เทพฉือซิ่วกระวนกระวายและกล่าว “ท้าวยมราชต้องการลงโทษเขาด้วยตนเอง กษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ข้าตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้…”
“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์ลื่อของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”
อีกเสียงหนึ่งดังมา และเทพฉือซิ่วก็อดไม่ได้ที่จะร่ำร้องหาความช่วยเหลือในใจ เขาเห็นหญิงสาวในชุดสีน้ำเงินถือตะกร้าไม้ไผ่สานเดินเข้ามา “ที่แท้ก็เป็นกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ เกี่ยวกับเรื่องนี้…”
“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์หลานของศิษย์เหลนของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”
“ฉือซิ่ว ข้าได้ยินว่าศิษย์เหลน…”
“ฉือซิ่ว!”
…
ผู้คนเข้ามาห้อมล้อมรอบตัวเทพฉือซิ่วมากขึ้นทุกที เขาแทบจะระเบิดดังปัง เขาคิดในใจ นี่ข้าไปตอแยรังแตนเข้าหรือ กษัตริย์แห่งโถงกษัตริย์ล้วนแต่เป็นฝูงแตน ใช่หรือไม่ ปกติแล้วเจ้าไม่ค่อยเห็นพวกเขาโผล่หัวออกมาหรอก แต่เมื่อไหร่ที่เจ้าตอแยสักตัวหนึ่ง ทั้งรังก็จะบินกันออกมาหมด!
เขารู้สึกว่าเขามิอาจตอแยผู้คนเหล่านี้ได้ เมื่อกษัตริย์มนุษย์ที่น่าตายเหล่านี้โผล่ออกมามากขึ้นทุกที เขาได้แต่กล่าว “ทุกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นตัวตนอันเลื่องชื่อลือนาม แล้วไฉนจะต้องมาบีบบังคับข้าด้วยล่ะ อย่ามาหาเรื่องวุ่นวายให้ข้าเลย ข้าสามารถส่งตัวกษัตริย์มนุษย์ฉินให้พวกเจ้าก่อนได้ แต่เขามิอาจออกไปจากยมโลก ข้าจะต้องส่งตัวเขาให้ท้าวยมราช…”
“ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่หาเรื่องใส่หัวเจ้าแน่นอน!”
ทุกคนกล่าวระเบ็งเซ็งแซ่
ฉินมู่มองไปรอบๆ ด้วยความเหม่อลอยและพูดติดๆ ขัดๆ “เทพฉือซิ่ว ท่านบอกว่าข้ามีผู้คนหนุนหลัง…”
“ใช่แล้ว!” ฉือซิ่วพยายามเบียดออกมาจากฝูงชนขณะที่กล่าวอย่างเดือดดาล “พวกกษัตริย์มนุษย์แห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ล้วนแต่เป็นนักเลงหัวไม้และคนคุมถิ่น และพวกเขาก็คือกลุ่มอิทธิพลในยมโลกที่ไม่อาจตอแยได้! จิ้มเข้าไปทีหนึ่ง ต่อแตนทั้งรังก็จะบินกรูกันออกมา แล้วข้าจะมาตามตัวเจ้าใหม่ทีหลัง!”
เขาเบียดออกมาจากกลุ่มคนและโบกปีกกระพือ บินหนีไป
ฉินมู่มองไปยังเหล่ากษัตริย์มนุษย์ในบริเวณรอบๆ งงงวยเล็กน้อย ทุกๆ คนแย้มยิ้มขณะที่สำรวจตรวจดูเขา ท่ามกลางผู้คนเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชาย เยาว์และชรา สูงและเตี้ย อ้วนและผอม หล่อสวยและหน้าเถื่อน สุภาพและแข็งแกร่ง และก็ยังมีคนที่ดูอ่อนแออีกด้วย
ฉินมู่มองไปยังกลุ่มคน แต่ไม่พบผู้ใหญ่บ้านในนั้น เขาพลันกระแอมไอและคารวะทักทาย “ผู้เรียนน้อยและไม่ผิวเผินฉินมู่ กษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบันขอน้อมพบอาจารย์ปู่ อาจารย์ทวด อาจารย์เทียด อาจารย์ปู่เทียด….”
“ไม่ต้องมากพิธีรีตองขนาดนั้นหรอก!”
ทุกคนออกันเข้ามาและห้อมล้อมเขา โครงกระดูกเล็กๆ ตนนี้ เอาไว้ตรงกลาง ทำให้กระดูกเขาสั่นเกรียวกราวจนแทบจะร่วงหลุดจากกัน พวกเขารวบตัวรอบๆ และพาเขาตรงไปยังใจกลางเมืองด้วยรอยยิ้ม “ยากนักที่จะมีคนเป็นๆ มาเยี่ยมพวกเรา ดังนั้นมาฉลองกันให้ครึกครื้นสักหน่อยดีกว่า!”
“เจ้าไม่ได้เผากระดาษเงินกระดาษทองมาให้พวกเราเลย หากว่าไม่เพราะเจ้าผีน้อยแซ่ซูตายลงมาที่ยมโลก พวกเราก็นึกว่าโถงกษัตริย์มนุษย์คงขาดผู้สืบทอดไปแล้ว!”
“ทำไมเจ้าไม่ช่วยกวาดหลุมศพให้พวกเรา หากว่าเจ้าไป พวกเราก็คงรู้ว่ามีผู้สืบทอด พวกเราถึงกับทิ้งสมบัติเอาไว้ให้เจ้าในโถงกษัตริย์มนุษย์”
…
มีคำถามมากมายเกินไป ดังนั้นฉินมู่จึงได้แต่ตอบไปตามสัตย์ “จนถึงบัดนี้ ข้าก็ยังไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนโถงกษัตริย์มนุษย์เลย ผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่บอกข้าว่ามันอยู่ที่ไหน…”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังเดือดดาลขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไอ้ผีน้อยแซ่ซูมันทำงานประสาอะไรของมัน ถึงกับยังไม่พาเจ้าไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์! เจ้าลูกเต่านี่ เมื่อมันกลับมา ข้าจะสั่งสอนมันแน่นอน!”
กษัตริย์มนุษย์อี้ซานเตะก้นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังอย่างรุนแรง และเป่าหนวดตนเองพลางถลึงตาจ้อง ก่อนที่จะตะโกน “เจ้าสอนศิษย์อย่างไรของเจ้า ใช้วิธีทุบตีศิษย์จะสั่งสอนศิษย์ดีๆ ออกมาได้อย่างไร! เพราะว่าการสั่งสอนของคนอย่างเจ้า กษัตริย์มนุษย์ฉินเลยไม่ได้ไปกวาดหลุมศพให้พวกข้า!”
หลังจากเขาเตะกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน หัวของเขาก็โดนกษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ต่อยเข้าไปจั๋งหนับ และเขาก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บ กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่กล่าวอย่างเดือดดาล “อี้ซาน ข้าสอนเจ้าแบบนี้หรือ เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงมีหน้ามาพูดใส่ฉีคังว่า ‘เจ้าสอนศิษย์อย่างไรของเจ้า’”
“หลันโพ่ เด็กสาวหัวรุนแรง ทำข้าอับอายขายหน้าไปหมด!”
“ข่งเสียน เจ้ากล้าดีอย่างไรมาทุบตีศิษย์หลานข้า เจ้ารำคาญชีวิตแล้วใช่หรือไม่!”
…
พวกผู้เฒ่าเหล่านี้เริ่มต่อสู้กันในเมือง และพวกเขาชุลมุนกันจนแยกออกมาไม่ได้ ฉินมู่พบประเด็นประหลาดในเรื่องนี้ กษัตริย์มนุษย์ในอดีตจะช่วยศิษย์หลานของพวกเขารุมสกรัมลูกศิษย์ของตนเอง
ดูเหมือนศิษย์ทุกๆ คนไม่ค่อยเป็นมิตรกับอาจารย์ตัวเองเท่าใดนัก
แต่ถึงอย่างไร กำลังฝีมือของกษัตริย์มนุษย์ในอดีตเหล่านี้นับว่าน่าแตกตื่น โดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกเขาทุกคนคือตัวตนที่ได้ฝึกปรือจนถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า กระนั้นก็น่าแปลกอีกก็คือแต่ละคนล้วนมีความเชี่ยวชาญเป็นของตนเอง กำลังฝีมือของศิษย์และอาจารย์แต่ละคู่นั้นล้วนชำนาญในทางต่างๆ กัน กษัตริย์มนุษย์ฉีคังนั้นเป็นอาจารย์ของผู้ใหญ่บ้านและผู้ใหญ่บ้านชำนาญที่สุดในเชิงกระบี่ เขาเป็นที่รู้จักในนามกระบี่เทวะ กระนั้นกษัตริย์มนุษย์ฉีคังกลับเชี่ยวชาญในวิชาหมัดและมุทรา
พวกเขาทั้งแข็งแกร่งและเขื่องโข วิชามุทราของเขายิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าวิชาหมัดแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามเสียอีก
กระนั้นอาจารย์เขาซึ่งก็คือกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน ผู้เชี่ยวชาญด้านทักษะเทวะ อาจารย์ของเขา กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ เชี่ยวชาญด้านอาวุธวิญญาณ และสำหรับกษัตริย์มนุษย์ข่งเสียน เขานั้นเชี่ยวชาญในด้านทักษะเทวะเวทมนตร์ถ้อยคำ
ดูเหมือนว่าแต่ละคนเกลียดขี้หน้าอาจารย์ของตนเองเป็นอย่างยิ่ง และได้สาบานว่าจะไม่ดำเนินตามมรรคาของอาจารย์ ดึงดันที่จะบุกเบิกหนทางของตนเอง
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และมองไปโดยรอบ กษัตริย์มนุษย์ที่กำลังต่อยตีกันวุ่นวายนั้นได้ถล่มถนนพังพินาศไปหลายถนนในชั่วไม่กี่อึดใจ มีก็แต่เมื่อโถงวังและบ้านเรือนมากมายถูกทำลายราบ พวกเขาถึงหยุดสู้กัน
เทพและมารในเมืองหุบปากเงียบด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงสักแอะ พวกเขาล้วนแต่หยุดทำธุระของตนเองและมองเข้ามา
โถงวังของพวกเขาจำนวนหนึ่งถูกทำลาย แต่พวกเขาไม่พูดอะไรสักนิด พวกเขาได้แต่คร่ำครวญอยู่ในใจขณะที่ผีน้อยจำนวนมากมายก้าวเข้ามาช่วยพวกเขาซ่อมแซมโถงอาคาร
เทพฉือซิ่วบอกว่า โถงกษัตริย์มนุษย์ของพวกเรานั้นเป็นกลุ่มอิทธิพลในยมโลก ดูเหมือนว่าเขาจะพูดถูก ฉินมู่คิดในใจ อดีตกษัตริย์มนุษย์เหล่านี้ทุบทำลายไปสองสามหัวมุมถนน แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปยุ่งกับพวกเขา ผู้ใหญ่บ้านคงใช้ชีวิตอย่างสุขีที่นี่แน่นอน ไปที่ไหนก็ไม่มีใครกล้าหือ เขาอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นลูกหลานผู้มีอิทธิพลแห่งยมโลก ว่าแต่ เขาหายไปที่ไหนกันนะ
ใบหน้าของกษัตริย์มนุษย์ฉีคังฟกช้ำไปหมดเมื่อเขาคลานออกมาจากข้างใต้เท้าของกษัตริย์มนุษย์อี้ซาน “เจ้าจะต้องไปโถงกษัตริย์มนุษย์ให้ได้นะ อดีตกษัตริย์มนุษย์ทุกคนได้ทิ้งสุดยอดวิชาของตนเองเอาไว้ที่นั่น หวังว่าใครบางคนในรุ่นต่อๆ ไปจะสามารถทลายเขตขั้นในมรรคาของเขาต่อ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังต้องไปกวาดหลุมศพ และทุกๆ ปีใหม่กับเทศกาลอื่นๆ เจ้าจะต้องเผาข้าวของเซ่นไหว้พวกเราลงมาด้วย”
อี้ซานหัวเราะในคอ “เจ้าจะเผาศัตรูมาให้พวกเราสักหลายๆ คนก็ได้นะ จะได้เอาไว้เล่นสนุก ยมโลกนี่ดีทุกอย่าง ยกเว้นก็แต่ไม่ค่อยมีอะไรให้เล่นสนุก ตอนนี้พวกเรามาถึงหน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางของบรรพชนแรก ดังนั้นไปที่นั่นกันเถอะ!”
“บรรพชนแรก?”
ฉินมู่จิตใจสะท้านอย่างรุนแรง บรรพชนคนแรกนั้นคือกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่ง เทพเที่ยงแท้ผู้ได้เปิดต้นสายมรดกยุทธแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ เขามีกำลังฝีมืออันเลิศล้ำไม่ธรรมดา และฉินมู่ก็อยากที่จะพบกับยอดคนในอดีตผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง!
เขาได้เห็นรูปสลักหินของกษัตริย์มนุษย์รุ่นที่หนึ่งในนครหยกน้อย และผู้สันโดษชิงโยวก็กล่าวว่า บรรพชนคนแรกของกษัตริย์มนุษย์นั้นได้กลายเป็นรูปสลักหินก็เพราะความสิ้นหวังอันท่วมท้น หลังจากนั้น ฉินมู่ก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขา
“บรรพชนแรกได้ออกจากยมโลกไปสักพักหนึ่งแล้ว เขากล่าวว่าเขาจะไปจัดการธุระบางอย่างที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง อาจารย์ของเจ้าไปตามหาเขา และเขาก็ยังคงไม่กลับมา อาจารย์ของเจ้านั้นแปลกเสียจริง เขาดูเหมือนว่าจะยังไม่หยุดหายใจไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงสามารถเดินออกจากยมโลกได้ ในทางกลับกัน พวกเราสิ้นลมหายใจไปโดยสิ้นเชิงแล้ว” ฉีคังกล่าว
ทุกคนกรูกันเข้ามา และทำให้สัตว์พิสดารตัวยักษ์สองตัวที่พิทักษ์หน้าโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยางต้องกระโดดโหยงด้วยความตกใจ สัตว์พิสดารที่เป็นปักษาหน้าคนทางด้านซ้ายรีบไต่ถาม “กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลาย พวกท่านมาที่บ้านนายผู้เฒ่าเพื่อหาของกินอีกแล้วหรือ ของที่นี่ถูกพวกท่านกินไปจนแทบจะเกลี้ยงเกลาแล้ว ทำไมพวกท่านไม่ไปที่บ้านของบรรพชนสองแทนเล่า”
“หุบปาก!” กษัตริย์มนุษย์เฒ่าทั้งหลายตะโกนเป็นเสียงเดียวกัน “บ้านของบรรพชนสองก็ถูกกินจนเกลี้ยงเกลาแล้ว เช่นเดียวกับบ้านของบรรพชนสาม! ท่ามกลางเหล่ากษัตริย์มนุษย์ก็มีแต่บ้านของเจ้านี่แหละที่ยังพอมีของเหลืออยู่บ้าง!”
ปักษาหน้าคนรีบหุบปาก และทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้พวกเขาบุกเข้ามา
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรและหีบรออยู่นอกโถงวัง “รออยู่ที่นี่ ข้าจะเข้าไปสนทนากับบรรพบุรุษ”
กิเลนมังกรทำตามที่เขาบอก และเพ่งพิศสัตว์ยักษ์ทั้งสอง เขาพลันถามขึ้นมา “พวกเจ้าเคยเห็นปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์หรือไม่ เขาดูเหมือนเด็กหนุ่ม และหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง”
ปักษาหน้าคนนั้นพูดจาง่ายกว่าและกล่าว “ปรมาจารย์ลัทธินักบุญสวรรค์งั้นหรือ เจ้าควรไปที่รังของลัทธินักบุญสวรรค์ จ้าวลัทธิในอดีตทั้งหลายพักอยู่ที่นั่น แต่พวกเขาส่วนมากดูชั่วช้าและดุร้าย พวกเขามิอาจตอแยได้”
กิเลนมังกรลิงโลดทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขาและรีบถามต่อ “ขอเรียนถามให้พี่ชายท่านนี้ชี้ทางให้ข้าที”
ในโถงห้าหยาง ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน กษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายเหมือนกับฝูงโจรที่เข้าไปในหมู่บ้าน ไม่เกรงใจเจ้าของบ้านเลยแม้แต่น้อย ขนาดว่าพวกเขายังไม่ทันจะนั่ง กษัตริย์มนุษย์หลันโพ่ก็เรียกผีน้อยจำนวนหนึ่งมาและสั่งความพวกเขา “กษัตริย์มนุษย์ฉินจากโลกแห่งคนเป็นอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นรีบไปเตรียมอาหารดีๆ มารับรองเขา!”
หนึ่งในผีน้อยหน้าเขียวรวบรวมความกล้ากล่าวออกไป “นายผู้เฒ่า คนเป็นๆไม่สามารถทานอาหารของยมโลกได้ ดูสิ กษัตริย์มนุษย์ฉินเป็นโครงกระดูกที่ไม่มีเลือด เนื้อ และเครื่องใน เขากินไม่ได้หรอก”
“พูดมาก! แน่ล่ะว่าเขาไม่ใช่คนที่จะกิน และพวกเราต่างหากที่จะกิน! ข้าเป็นศิษย์ของบรรพชนแรก และข้าจะกินอาหารที่นี่ไม่ได้งั้นหรือ รีบไปจัดเตรียมมา เร็วๆ!” กษัตริย์มนุษย์รุ่นที่สองตะโกน
ผีน้อยหน้าเขียวที่มีเขี้ยวจำนวนมากวิ่งพล่านไปหมดเพื่อจัดเตรียมอาหาร ฉินมู่มองสำรวจดูพวกเขาและฉงนฉงาย พวกนี้ดูคล้ายคลึงกับเทพภูตผีในท้องพระโรงราชาฉิน สิ่งมีชีวิตที่มิได้มาจากโลกของคนเป็น หรือว่าพวกเขาจะเป็นสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ
“ช่วงหลายปีมานี้ไม่มีใครส่งของเซ่นไหว้มาให้พวกเราเลย ดังนั้นพวกเราจึงหิวโหยจนแทบจะเป็นเปรตอยู่แล้ว! ตั้งเก้าอี้!”
บรรพชนสองใช้วิชามุทราของเขา และทันใดนั้นก็มีดอกบัวเบ่งบานขึ้นมาในโถงศักดิ์สิทธิ์ห้าหยาง พวกมันงอกสูงขึ้นและสูงขึ้น ยกร่างพวกเขาขึ้นไป
ผีน้อยมากมายทำอาหารเสร็จและแบกพวกมันมา อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายไม่มัวมารักษาท่าทีและกินดื่มอย่างตะกละตะกราม กวาดทุกอย่างจนเรียบวุธ ถึงจะค่อยพอใจสบายท้อง
ฉินมู่จ้องไปยังภาพที่เห็นด้วยดวงตาเบิกกว้าง อดีตกษัตริย์มนุษย์เหล่านี้เหมือนกับอดอาหารมาเป็นร้อยๆ ปี ไหนเลยจะมีความโอ่อ่าผยองหลงเหลืออยู่
อาหารตรงหน้าเขาไม่ถูกแตะต้องเพราะว่าเขาเป็นแค่โครงกระดูกและไม่อาจกินอะไรได้
“หากกษัตริย์มนุษย์ฉินไม่ลงมา ข้าก็คงยังไม่ได้กินอาหารเต็มมื้อ อาจารย์ของเจ้าคงชังข้ามาก ดังนั้นเขาจึงไม่ไปปัดกวาดสุสาน ทำให้ข้าต้องอดอาหารมาหลายร้อยปี”
กษัตริย์มนุษย์ฉีคังถอนหายใจและมองไปที่ฉินมู่ “ผีน้อยแซ่ซูชมเจ้าเลิศลอยไปถึงสวรรค์ บอกว่าศิษย์ของเขาบรรเจิดและมีอนาคตไกลยิ่งกว่าศิษย์ของข้า มาดูสิว่าศิษย์ของเขาดีกว่าศิษย์ของข้าจริงหรือเปล่า”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ ไม่ใช่ว่าศิษย์ของอาจารย์ปู่ฉีคังก็คือผู้ใหญ่บ้านหรอกหรือ
กษัตริย์มนุษย์คนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นทันที พวกเขากล่าว “กติกาเดิม มาสู้กันก่อน!”
ฉินมู่ลุกขึ้นและโค้งคารวะไปรอบๆ ทิศทาง “อาจารย์ปู่ บรรพชน ข้านั้นอยู่เพียงขั้นเจ็ดดาว ข้าคิดว่าพวกเราล้มเลิกเรื่องต่อสู้ดีหรือไม่”
ฉีคังแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่รังแกเจ้าหรอก แน่นอนว่า พวกเราจะต่อสู้กับเจ้าในวรยุทธขั้นเดียวกัน พวกเราก็จะไม่ทำให้เจ้าบาดเจ็บด้วย ในเมื่อพวกเราเพียงแต่อยากเห็นการฝึกปรือของเจ้าและชี้แนะวิชาฝีมือเท่านั้น”
ฉินมู่มีสีหน้าลำบากใจ “ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องประลองกันหรอก ข้าไม่อยากรังแกอาจารย์ปู่และบรรพจารย์ทั้งหลาย ทำให้พวกท่านบาดเจ็บคงจะไม่ดีแน่ๆ พูดกันตามตรงแล้ว วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพวกท่านล้าหลังตกยุคไปเกือบหมดแล้ว…”
รอบข้างเงียบกริบ
“ข้าพลันรู้สึกอยากอัดไอ้ผีน้อยนี้ให้น่วมแล้วล่ะ…” กษัตริย์มนุษย์ฉีคังพึมพำเบาๆ
………………………….
ในกระจกสามชีวิตเวลาไหลกลับ ย้อนไปเรื่อยถึงคืนวันที่ดึกดำบรรพ์มากขึ้น จากนั้น อีกโลกหนึ่งก็ปรากฏ เทพหมอผีขุยกับเทพและมารจำนวนนับไม่ถ้วน ได้รับบัญชาให้จุติลงไปยังแดนต่ำใต้เพื่อก่อศึกกับสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง!
เมื่อเห็นภาพนั้น แม้แต่ท้าวยมราชก็ระงับความพลุ่งพล่านไว้ไม่ได้ และผุดลุกขึ้นเข้าไปมองกระจกสามชีวิตใกล้ๆ เขาอยากจะเห็นว่าใครเป็นผู้ออกคำสั่งให้ทำลายล้างสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง!
ความทรงจำของเทพหมอผีขุยถูกแสดงมุมมองของเขา มันเป็นสิ่งที่ดวงตาของเขาเห็นมา ทัศนวิสัยของเขากว้าง และมันเผยให้เห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ไพศาลของสภาสวรรค์ที่แท้จริง มารและเทพจำนวนนับไม่ถ้วน กล่าวสัตย์สาบานตรงหน้ากองทัพของพวกเขาเพื่อร่วมการยกทัพจับศึก หมายที่จะทำลายล้างสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง
ภาพเช่นนี้ทำให้จิตใจพลุ่งพล่าน แต่ในขณะเดียวกันก็เต็มไปด้วยความกลัว!
เพราะถึงอย่างไร ที่นั่น แม้แต่ตัวตนระดับเทพหมอผีขุยก็เป็นเพียงแค่ไพร่พลอันไม่สลักสำคัญท่ามกลางเทพและมารมากมายแห่งสภาสวรรค์แท้!
ภาพในกระจกค่อยๆ ยกมุมสูงขึ้นเมื่อเทพหมอผีขุยลอยขึ้นไป มองเหล่าเทพเที่ยงแท้ทั้งหลายจากที่สูง ร่างมหึมาของตัวตนอันน่าเกรงขามมีขนาดไร้ประมาณ เทพเจ้ามากมายห้อมล้อมร่างนั้นราวกับดาราราย
เทพหมอผีขุยมองไปที่ตัวการใหญ่ ที่ว่ากันว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งสภาสวรรค์
ท้าวยมราชไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นของเขาเมื่อเทพหมอผีขุยพุ่งสายตาไปยังใบหน้าอันน่าเกรงขามอย่างไร้ทัดเทียม แต่กระจกพลันบิดเบี้ยว!
เทพหมอผีขุยกลายเป็นแข็งทื่อว่างเปล่า ราวกับว่าความทรงจำของเขาถูกลบล้างไปโดยพลานุภาพมิอาจบรรยายได้!
ท้าวยมราชตกตะลึงและกดมือของเขาลงไปบนกระจก!
“เคล็ดลับกำเนิดแสง!”
บนกระจก ภาพนั้นกลับมาเสถียร แต่ในพริบตาถัดมา ดวงตามหึมาก็ปรากฏข้างในนั้น กระจกดูราวกับสามารถดูดกลืนแสงทั้งหมดได้ ทำให้ความทรงจำทั้งหมดของเทพหมอผีขุยถูกลบล้าง
ท้าวยมราชตะโกน ผ้าคลุมแห่งความมืดยาวเหยียดของเขาหมุนวน และแสงกระบี่พุ่งออกมาจากในนั้น ตัดฟันเข้าไปข้างในกระจก
ในกระจกสามชีวิต กาลเวลาไหลกลับต่อไป เผยประสบการณ์ในอดีตสมัยแรกๆ ของเทพหมอผีขุย แต่ตอนนั้น ทุกความทรงจำที่เกี่ยวกับสภาสวรรค์แท้ก็ถูกลบหายไปสิ้น ราวกับว่าไม่เคยมีมันมาก่อน!
“มีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีดขั้วที่สัมผัสได้ถึงการที่เราหยิบยืมความทรงจำของเทพหมอผีขุยมองดูเขา ดังนั้นเขาจึงลบความทรงจำของเทพหมอผีขุยที่เกี่ยวกับเขา” เสียงของเขาทั้งเน้นหนักและกึกก้อง เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “การที่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเทพหมอผีขุยกำลังหวนระลึกถึงเขา และส่งพลังวัตรของตนเองข้ามกาลอวกาศมา เขานั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่อาจเปรียบปาน!”
ในท้องพระโรงราชาฉิน เทพภูตผีเหล่านี้ตัวสั่นเทิ้ม สามารถสัมผัสได้เพียงแค่มีคนระลึกถึงเขา และสามารถลบล้างความทรงจำได้ด้วยอย่างนั้นหรือ
ทักษะเทวะแบบนี้มันเกินความคิดฝันไปแล้ว!
ฉินมู่เองก็ตกตะลึง กระจกสามชีวิตสามารถแสดงชีวิตของคนผู้หนึ่งได้ทั้งชีวิต และมันก็เกินจินตนาการไปแล้ว ราวกับเรื่องนิยายเพ้อฝัน แต่กระนั้นก็ยังมีใครบางคนที่สามารถหยั่งสัมผัสคนอื่นที่พยายามจะมองดูเขาผ่านวิธีนี้ และสามารถลบล้างความทรงจำของผู้ที่เคยพบเห็นเขาได้ ทักษะวิชาเช่นนี้ มันน่าหวาดกลัวเกินกว่าจะจินตนาการไปถึง!
ในเมื่อพวกเขาได้พยายามที่จะสอดแนมเข้าไปในสภาสวรรค์แท้ หรือว่าคนที่ลบความทรงจำของเทพหมอผีขุยจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์แห่งสภาสวรรค์แท้กันนะ ฉินมู่ลอบสงสัยในใจ
เศษซากความทรงจำของเทพหมอผีขุยปรากฏในกระจกสามชีวิต เขาเพิ่งกลับมาจากแดนใต้พิภพอันเขาได้เรียนรู้เวทมนตร์และทักษะเทวะจากที่นั่น เทพภูตผีมากมายอยู่กับเขาเพื่อสังเกตทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียด บ้างก็ถือพู่กันและหมึก บันทึกทักษะเทวะ มรรคา และวิชาที่เทพหมอผีขุยได้ร่ำเรียนมาในแดนใต้พิภพ
ในความทรงจำของเทพหมอผีขุย สภาสวรรค์ได้ส่งผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายอันมีพรสวรรค์เลิศล้ำไม่ธรรมดาเข้าไปศึกษาเรียนรู้ในแดนใต้พิภพ หลังจากนั้น ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดก็มีความสำเร็จอันเหนือธรรมดา
นี่แสดงว่าสภาสวรรค์มีสายสัมพันธ์ชิดใกล้กับแดนใต้พิภพ
ฉินมู่หัวใจสั่นสะท้าน และเขาก็อยากที่จะไปเรียนมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแดนใต้พิภพด้วยเช่นกัน
สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดล้วนเลิศล้ำ เขาเคยได้เรียนเพียงนำทางวิญญาณของสำนักเก้าภูตผี แต่มันเป็นวิชาอันไม่สมบูรณ์ กระนั้นมันก็ยังเลิศล้ำเหนือธรรมดา สามารถเพรียกขานดวงวิญญาณของนักปรุงยา ท่านยายซี และคนอื่นๆ กลับมาได้!
เมื่อเทพหมอผีขุยสักการะผู้อื่นจนถึงตาย ที่เขาพึ่งพิงก็คือมรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพ
หากว่าฉินมู่สามารถเรียนรู้สิ่งเหล่านั้น มิเท่ากับว่าเขาจะมีวิธีการต่อสู้ที่ทรงพลังอีกวิธีหนึ่งหรอกหรือ
แต่ทว่า เทพภูตผีมากมายได้ยืนห้อมล้อมกระจกสามชีวิตจนฝ่าเข้าไปไม่ได้ เขานั้นยังเป็น ‘อาชญากร’ ดังนั้นจึงไม่อาจเบียดเสียดผ่านพวกเขาไปได้
ทันใดนั้น ท้าวยมราชก็มองมาที่เขา และสายตาภายใต้ผ้าคลุมดำก็วูบวาบ
ด้วยความแตกตื่น ฉินมู่ลองถามหยั่ง “ท้าวยมราช อายุขัยของข้าก็ยังไม่ทันสิ้นสุดเช่นกัน…”
“เรื่องที่เจ้าได้ทำลงไปนั้นใหญ่หลวงนัก ดังนั้นอย่าคิดจะหนี! เจ้าร่ายเวทมนตร์ของแดนใต้พิภพ และแย่งชิงผู้คนของข้าไปจำนวนหนึ่ง ฝ่าฝืนกฎยมโลกของข้า กรรมชั่วของเจ้านั้นร้ายแรงยิ่งกว่าซิงอ้าน และเจ้ายังคิดว่าจะรอดไปได้หรือ ท้าวยมราช จะจัดการเขาอย่างไรดี” เทพฉือซิ่วถาม
“ฝ่าฝืนกฎของยมโลก แม้แต่องค์ชายก็ต้องรับโทษเท่าสามัญชน ดังนั้นเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน การไขมรรคา วิชา และทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยต้องอาศัยเวลาสักหน่อย ดังนั้นเอาตัวเขาไปที่อื่นก่อน แล้วข้าจะลงโทษเขาด้วยตนเอง!”
เทพฉือซิ่วตื่นตระหนก ท้าวยมราชจะลงโทษเขาด้วยตนเองงั้นหรือ
พึงรู้ว่า แม้แต่ซิงอ้านและเทพหมอผีขุยก็ยังไม่ต้องถูกท้าวยมราชลงโทษด้วยตนเองเลย!
แม้ว่าฉินมู่จะทำเรื่องใหญ่ แต่ว่าเรื่องนี้จะใหญ่ก็ได้หรือจะเล็กก็ได้ กฎเกณฑ์ในยมโลกนั้นแตกต่างจากแดนใต้พิภพ พวกเขาไม่เข้าไปยุ่งกับธุระกงการของโลกแห่งคนเป็น
สำหรับคนเป็นๆ แล้ว ยมโลกก็เหมือนกับแดนใต้พิภพ พวกเขาทั้งคู่ล้วนแต่เป็นโลกแห่งคนตาย หากว่าโลกแห่งคนตายเข้าไปขัดจังหวะโลกแห่งคนเป็น ก็คงเกิดผลพวงอันมิอาจคาดเดา
นี่เป็นสามัญสำนึก
แดนยมโลกไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกคนเป็น และแดนใต้พิภพก็เช่นกัน
และมันก็เป็นเหตุผลหลักที่ว่าทำไมเทพหมอผีขุยกล่าวว่า พวกเขาทำอะไรเขาไม่ได้หรอก ท้าวยมราชไม่อาจลงโทษจิตวิญญาณดั้งเดิมของบุคคลที่อายุขัยอันถูกลิขิตเอาไว้ยังไม่สิ้นสุดไป
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ก็ยังเป็นกษัตริย์มนุษย์อีกด้วย ดังนั้นเทพฉือซิ่วจึงคิดว่าท้าวยมราชจะรักษาหน้าให้กับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อนๆ เสียหน่อย ยกเขาขึ้นมาสูงแล้วค่อยวางลงเบาๆ จบเรื่องราวด้วยการติเตียนพอหอมปากหอมคอ
แต่จากที่เห็นแล้ว ดูเหมือนว่าเขาพร้อมจะตัดหัวฉินมู่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู!
“ตามข้ามา” เทพฉือซิ่วพาฉินมู่ออกไป เมื่อพวกเขาอยู่นอกโถงวัง เขาก็กล่าวอย่างแผ่วเบา “เมื่อพบกับท้าวยมราชใหม่อีกหน ก็แค่ขออภัยเขาเสีย ไม่ต้องห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเจ้าหรอก ในเมื่อเจ้ามีใครบางคนหนุนหลัง”
ฉินมู่ค่อยวางใจและครุ่นคิด หน้าของผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างใหญ่โตเลยทีเดียว จะว่าไปแล้ว เขาก็เพิ่งตายไปได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นผีใหญ่ผีโตที่นี่แล้วหรือ
ข้างนอกโถง ซิงอ้านนั้นเหมือนกับลูกบอลใหญ่ที่เต็มไปหัวและชิ้นส่วนร่างกายอื่นๆ พวกมันกลิ้งไปรอบๆ ด่าทอ และต่อสู้กัน เขานั้นถูกทรมานจนน่าสังเวชจากแขนขาบนร่างกายของตนเอง
ทันใดนั้น ซิงอ้านก็เห็นฉินมู่ถูกพาตัวออกมาจากท้องพระโรงราชาฉิน เขายิ้มหยันและกล่าว “หมอเทวดาฉิน ดูท่าสิ่งที่เจ้ากระทำคงจะเลวร้ายเสียยิ่งกว่าอาชญากรรมของข้า ข้านั้นถูกปล่อยตัวมาแล้ว แต่เจ้ายังถูกคุมตัวอยู่ เจ้าทำกรรมชั่วมากเกินไป ดังนั้นก็สมควรแล้วที่จะโดนแบบนี้!”
ฉินมู่หยุดเท้าและถาม “ซิงอ้าน อายุขัยของเจ้าจะสิ้นสุดเมื่อไหร่”
ซิงอ้านอึ้งไปเล็กน้อย แต่แล้วก็ยิ้มหยัน “ข้าคือเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นอายุขัยของข้าจึงไม่มีวันสิ้นสุด! จะมีลิขิตจุดจบอายุขัยที่ไหนกัน”
ฉินมู่ส่ายหัว “ที่ข้าถามคือ อายุขัยที่เจ้ายังคงมีในร่างกายแต่เดิมของเจ้า ในยมโลก เจ้าเหลืออายุขัยเพียงเท่ากับร่างกายเดิมของตนเอง หากว่าอายุขัยของเจ้าสิ้นสุด เจ้าก็จะถูกนับว่าตายไปแล้ว”
ซิงอ้านสะท้านใจอย่างรุนแรง
เทพฉือซิ่วกระพือปีกและกล่าวอย่างเกียจคร้าน “เมื่ออายุขัยสิ้นสุดลง ก็จะเป็นขวบปีแห่งความตาย อายุขัยนั้นเป็นของร่างเนื้อของเจ้า ส่วนขวบปีแห่งความตายนั้นเป็นดวงวิญญาณเจ้า ไม่ต้องห่วง เมื่ออายุขัยของเจ้าสิ้นสุดลง เจ้าสามารถอยู่ที่นี่ได้ชั่วนิรันดร์”
ซิงอ้านหวาดผวา เขาพยายามตะเกียกตะกายจะออกไปจากยมโลก แต่ผู้คนที่ตายภายใต้เงื้อมมือเขาจะยอมปล่อยเขาไปได้อย่างไร
ซิงอ้านไม่สามารถขยับไปแม้แต่ก้าว แต่กลับถูกลากตรงไปยังเมืองโดยความอาฆาตแค้นของคนตาย
“ท้าวยมราช เจ้าไม่ใช่คนรักษาคำพูด!” ซิงอ้านกล่าวอย่างดุดัน “เจ้าหมายจะกักตัวข้าไว้ที่นี่ และเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของข้า!”
“เขาปล่อยเจ้าไปแล้ว เพียงแต่เจ้าไม่สามารถจากไปได้เอง” ฉินมู่ส่ายหัวแล้วกล่าว “ศิษย์พี่ซิงอ้าน เจ้ายังไม่เข้าใจความหมายของท้าวยมราชอีกหรือ หากว่าเจ้าต้องการเดินออกไปจากยมโลก มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้นก็คือการละทิ้งชิ้นส่วนของบุคคลอื่นไปเสีย โดยใช้เฉพาะร่างกายของเจ้าเองเท่านั้น เจ้าถึงจะสามารถเดินออกไปได้ มิเช่นนั้น เจ้าก็จะแก่ตายอยู่ที่นี่!”
ซิงอ้านหัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
จะให้เขาละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายของบุคคลอื่นๆ นั้นไม่ต่างอะไรกับการปฏิเสธสิ่งที่เขาไล่แสวงหามาทั้งชีวิต มันจะทำให้อุดมคติและความพากเพียรของเขาที่จะทำให้กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนแข็งแกร่งเทียบเท่าเทพเจ้าเที่ยงแท้กลายเป็นไร้ประโยชน์!
“เจ้ายินดีที่จะตายด้วยความชราอยู่ที่นี่ หรือว่าเจ้าจะเสี่ยงชีวิตดูสักตั้ง” ฉินมู่ถาม “ตั้งแต่เมื่อเจ้าตระหนักว่า เจ้าไม่มีความหวังที่จะบรรลุเป็นเทพได้ เจ้าก็สูญเสียจิตหาญสู้ใช่หรือไม่ จากนั้นเป็นต้นมา เจ้าก็มิใช่อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีอีกต่อไป แต่เป็นเพียงแค่แมลงน้อยๆ ที่น่าเวทนา หมายแต่จะชิงชิ้นส่วนร่างกายผู้อื่นเพื่อเอามายกระดับตนเอง แต่เจ้ากลับไม่รู้ว่าทุกสิ่งที่ทำมันเปล่าดายหลังจากที่เจ้าตายไป! ความอุตสาหะของเจ้า หลังจากที่เจ้ามาที่นี่ เป็นเพียงแค่สิ่งที่เจ้าได้แต่มองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัสได้ มันไร้คุณค่าและเป็นได้เพียงแค่อุปสรรคขัดขวาง สิ่งที่มิใช่ของเจ้า จะอย่างไรมันก็ไม่มีวันเป็นของเจ้า!”
จิตเต๋าของซิงอ้านสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แม้เมื่อจ้าวลัทธิหลี่เทียนซิงได้ใช้จิตเต๋าของเขาโจมตีจิตเต๋าของซิงอ้าน ซิงอ้านก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ทว่าในตอนนี้ เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของฉินมู่ก็ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้นในจิตเต๋าของเขา!
สิ่งที่เขาคิดว่ามันเป็นของเขา กลับกลายเป็นว่ามันไม่ใช่ของเขาในท้ายที่สุด–นี่คือการฟาดหวดที่รุนแรงที่สุดต่อเขา!
“มรรคาแห่งเทพเจ้า ข้าได้ปูลาดมันไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว” ฉินมู่ยืนตรงหน้าเขาในร่างโครงกระดูก อันดูไม่สลักสำคัญ แต่ทว่าเขามีท่วงทีอันทำให้ซิงอ้านต้องเงยคอตั้งเพื่อมองดูเขา เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าเจ้าละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายที่มิได้เป็นของเจ้า และนำร่างกายของเจ้ากลับคืนมา เจ้าก็จะยังคงสามารถบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ และสร้างมรรคาเดินของตนเอง หีบ ในท้องของเจ้ายังมีชิ้นส่วนอวัยวะไหนอีกไหมที่ยังไม่กลายเป็นมนุษย์”
เต๋าตี้ข้างหลังเขาปิดปากแน่น แต่กิเลนมังกรง้างปากมันขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขายื่นหัวเข้าไปมองในพุงของเต๋าตี้และกล่าว “จ้าวลัทธิ ยังมีชิ้นส่วนร่างกายอยู่อีกจำนวนหนึ่งจริงๆ!”
“ชิ้นส่วนร่างกายทั้งหมดได้กลายเป็นมนุษย์ในแดนยมโลก ยกเว้นชิ้นส่วนของเจ้า เจ้ายังไม่ตาย” ฉินมู่กล่าว “หีบ คายมันออกมาแล้วคืนให้แก่เขา ให้เขาเดินออกไปด้วยแขนขาของตนเอง”
เต๋าตี้จะยอมทำแบบนั้นได้อย่างไร
เสียงอู้อี้ของกิเลนมังกรดังมาจากท้องเต๋าตี้ “จ้าวลัทธิ ข้าถูกกินเข้าไปอีกแล้ว!”
ฉินมู่โมโหเดือด ทั้งต่อยและเตะเต๋าตี้ “คายเขาออกมานะ คายเขาออกมาเดี๋ยวนี้!”
เต๋าตี้ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่อีกครู่หนึ่ง มันก็คายกิเลนมังกรและชิ้นส่วนร่างกายเหล่านั้นออกมาอย่างอิดเอื้อน
กิเลนมังกรรีบวิ่งไปซ่อนข้างหลังฉินมู่ทันที หีบได้ทำให้เขาสะพรึงกลัวจนขวัญบิน
ฉินมู่โยนชิ้นส่วนร่างกายเหล่านั้นใส่หน้าซิงอ้านและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ปล่อยพวกเขาไป เอาร่างกายของเจ้ากลับคืน และเจ้าจะรอดชีวิต มิเช่นนั้น เจ้าจะตาย มังกรอ้วน หีบ ไปกันเถอะ ปล่อยให้เขาคิดเอง”
ซิงอ้านนิ่งเงียบ แขนขาหลายสิบของเขาเริ่มทุบตีเขาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง พยายามที่จะฉีกทึ้งเขาเป็นชิ้นๆ และลากเขาไปตาย แต่กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดี
จะปฏิเสธความอุตสาหะตลอดชั่วชีวิตของเขาและยอมรับว่าเขาทำผิดไป–เขาก็ยังทำไม่ได้
กระนั้นเขาก็ยังรู้เกี่ยวกับการทรมานหัวใจผู้คนแทนที่จะตัดเฉือนร่างกายของพวกเขา แม้ว่าวรยุทธและกำลังฝีมือของฉินมู่จะห่างไกลจากเขามาก แต่เขาก็ได้เอาชนะซิงอ้านในการต่อสู้ของจิตเต๋า ฉินมู่ได้บดขยี้จิตเต๋าของเขาโดยสิ้นเชิง และเขาก็ไม่อาจสู้กลับไปได้อีกต่อไป!
“จ้าวลัทธิ ซิงอ้านจะยอมละทิ้งชิ้นส่วนอวัยวะเทวะเหล่านั้นหรือเปล่า” กิเลนมังกรถามเมื่อเขาเหลียวหลังกลับไปมอง
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “นั่นก็ต้องขึ้นกับความกล้าหาญของเขาแล้ว หากว่าเขากลับไปยังร่างเนื้อเดิม เขาก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่กี่ปี และก็ยากที่จะกล่าวได้ว่าเขาจะสามารถบรรลุเป็นเทพเจ้าได้สำเร็จในระหว่างช่วงเวลาเพียงเท่านั้นหรือไม่ แต่หากว่าเขาไม่เปลี่ยนกลับไปเขาก็จะตายด้วยความชราอยู่ที่นี่ ข้าเองก็ไม่รู้–”
ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะกึกก้องก็ดังกังวานมา “ฉือซิ่ว ข้าได้ข่าวว่าศิษย์หลานของข้าถูกเจ้าจับตัวมาใช่ไหม”
……………………………
ฉินมู่และกิเลนมังกรมีสีหน้าตะลึงลาน พวกเขาเงยศีรษะขึ้นมองดูสัตว์ยักษ์ข้างๆ พูดอะไรไม่ออก
เต๋าตี้นี้ยืนข้างๆ พวกเขาราวกับแพะภูเขาที่ใหญ่เท่าภูเขา ขาหน้าสองข้างของมันแข็งแกร่ง และขาก็ทั้งหนาและสั้นเต่อ ขนบนร่างกายของมันมีลวดลายทองแดง ม้วนขดเป็นวงๆ
สัตว์ยักษ์นี้มีใบหน้ามนุษย์ แต่เค้าโครงหน้าประหลาดพิสดารอย่างสุดๆ ดวงตาของมันอยู่ใต้รักแร้ ตรงจุดที่ขาหน้าเชื่อมต่อกับหน้าอก ปากของมันเป็นสี่เหลี่ยมและอ้ากว้าง เต็มไปด้วยเขี้ยวเสือ เขาแพะของมันชี้ชันออกไปราวกับหนาม ดูดุร้ายเป็นพิเศษ!
หีบของซิงอ้านทำมาจากหนังเต๋าตี้ อันถูกใช้ที่พื้นผิวภายนอกของหีบ และกระดูกอันใช้ขึ้นรูปเป็นโครง
พึงรู้ว่าฉินมู่ก็มีถุงเต๋าตี้สองใบ แต่จำนวนหนังที่ใช้ทำมันขึ้นมานั้นกว้างอย่างมากก็หนึ่งตารางคืบ กระนั้นพื้นผิวภายนอกหีบนี้กลับใช้หนังของเต๋าตี้ทั้งตัว!
หากว่านับกระดูกเต๋าตี้ที่ใช้ค้ำยันพื้นที่ข้างในแล้ว หีบนี้อาจกล่าวได้ว่าหรูหราอย่างไม่มีใครทัดเทียมได้!
ถุงเต๋าตี้ของฉินมู่ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าพื้นที่ภายในของมันมิได้เชื่อมต่อกับโลกภายนอก ในทางกลับกัน หีบนี้ได้กลายร่างเป็นเต๋าตี้ก็เพราะว่าพื้นที่ภายในของมันเชื่อมต่อกับโลกภายนอก!
การแปลงร่างของหีบนั้นค่อนข้างช้ากว่าคนอื่นๆ ก็เพราะว่าพื้นที่ภายในนั้นนับเป็นโลกมิติหนึ่งในตนเอง เมื่อมันพ่นทุกๆ คนที่อยู่ในท้องออกมา หีบก็ได้เปิดอ้าออก อันส่งผลให้พื้นที่ภายในของมันเข้ามาสัมผัสกับยมโลก ดังนั้นหีบจึงได้รับผลกระทบจากแดนเป็นของคนตาย
ฉินมู่ละสายตาของเขาออกไป และรีบคว้าจับถุงเต๋าตี้ที่สะอาด คิดในใจ ถุงเต๋าตี้ข้าต้องเก็บไว้ดีๆ ข้าไม่อาจเปิดมันออกโดยเด็ดขาด มิเช่นนั้นไม่ที่เอวข้าจะไม่ได้สะพายถุงเต๋าตี้ แต่จะเป็นเต๋าตี้สองตัวแทน…
เต๋าตี้ตัวเท่าภูเขาสองตัวเหน็บอยู่ที่สะเอวของเขาและบีบเขาเอาไว้ตรงกลางนั้น คงมิใช่อะไรที่น่าดูชม ไม่ว่าจะถูกเบียดเค้นหรือถูกชน เขาก็คงจะตายอย่างน่าอนาถ!
เต๋าตี้ที่แปลงร่างออกมาจากหีบยกอุ้งเท้าของมันขึ้น ยังงุนงงว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนแปลงไปเช่นนี้
แต่ทว่า มันก็ไม่ได้คิดอะไรมากมาย และออกตัวพุ่งไปไล่ตามผู้คนที่วิ่งหนีไปทางยมโลกทันที มันอ้าปากกว้างด้วยความเริงร่าและพยายามจะกลืนพวกเขาเข้าไปทั้งหมด
แม้ว่ามันจะได้รับผลกระทบจากแดนเป็นของคนตาย แต่จิตใจของมันก็ยังคงเรียบง่ายไม่ซับซ้อน เพราะถึงอย่างไร มันก็เป็นหีบที่ถูกปลุกวิญญาณโดยฉินมู่
คนตายที่ถูกมันไล่ตามมาตื่นตกใจจนขวัญบิน ถึงขนาดที่ว่ามือไม้อ่อนเปลี้ย
เต๋าตี้นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายที่โด่งดังในเรื่องว่ามันจะสวาปามทุกสิ่งทุกอย่าง มันไม่เคยเลือกกิน ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกที่ทุกๆ คนจะหนีพล่านไปทั่วทุกที่ด้วยความตื่นกลัว
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและเรียกสัตว์ยักษ์ตัวนี้กลับมา หีบเต๋าตี้วิ่งกลับมาและมองไปยังพวกที่วิ่งหนีด้วยสายตาละห้อย เมื่อมันเห็นกิเลนมังกร มันก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจและอ้าปากอันกว้างขวางอย่างผิดธรรมดา
กิเลนมังกรขนลุกชูชันและเขารีบกล่าว “เจ้ากินข้าไม่ได้นะ! ข้านับเจ้าเป็นสหายรัก แต่เจ้ากลับคิดจะกินข้า คุณธรรมน้ำมิตรอยู่ที่ไหนกัน”
ฉินมู่ปลอบโยนเขา “ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้คิดจะกินเจ้าหรอก มันแค่ชอบเก็บสะสมกระดูก มือ และขา…คายข้าออกมานะ รีบคายข้าออกมาเร็วเข้า! ไอ้หีบที่น่าตาย ไอ้หีบโง่ ถึงกับกินข้าเลยหรือ! รีบคายข้าออกมาเดี๋ยวนี้…”
…
ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงเมืองเทพยดาแห่งที่หนึ่งในยมโลก ที่สถานที่แห่งนี้ ฉินมู่เห็นผู้คนแปลกประหลาดต่างๆ นานา บางคนก็ไม่มีหัว บ้างก็มีรูโหว่ที่หน้าอก และบ้างก็แขนขาดขาขาด
แต่ทว่า ก็ยังมียอดฝีมือหลายคนที่ตายตามปกติธรรมดา ดังนั้นแขนและขาของพวกเขาจึงยังอยู่ดี
มีผู้คนมามากอยู่ในเมืองเทพยดาแห่งที่หนึ่ง และก็ยังมีสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ลอยไปมาในอากาศ พวกมันดูไม่เหมือนคนตาย แต่ดูเหมือนพรายวิญญาณ
“นั่นเป็นดวงวิญญาณที่แตกซ่านของยอดฝีมือ ดวงวิญญาณที่ไม่ครบสมบูรณ์ของพวกเขาลอยไปลอยมาแถวๆ นี้ แต่ทว่าแม้ในแดนยมโลก เขาก็ไม่มีร่างเนื้อเป็นของตนเอง” เทพหัวนกฉือซิ่วกล่าว “อย่าไปมองพวกเขา ระวังจะโดนสิง”
ฉินมู่เบือนสายตาออกไป แต่ทว่าความอยากรู้อยากเห็นของเขาถูกกระตุ้นขึ้นมา แทนที่เขาจะมองไปยังดวงวิญญาณขาดแหว่งอันลอยวนเวียน เขาก็สำรวจตรวจตราดูคนอื่นๆ
ไม่นานนักเขาก็พบสิ่งประหลาด นอกจากดวงวิญญาณขาดแหว่งบนท้องฟ้าแล้ว ก็ยังมีผู้คนที่ปราศจากร่างเนื้อด้วยเช่นกัน!
มีผู้คนหลายคนที่ไม่มีร่างเนื้อเลยสักกระผีก เหลือก็แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา!
แต่กระนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว เพียงแต่ว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขามีรูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากร่างมนุษย์ พวกเขามักจะมีรูปลักษณ์แบบสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย
จิตวิญญาณดั้งเดิมที่พบได้บ่อยที่สุดก็จะเป็นสี่มหากายาวิญญาณ อันได้แก่เทพหงส์แดง เทพเต่าดำ เทพมังกรเขียว และเทพพยัคฆ์ขาว
แต่ถึงอย่างไร ก็ยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมที่เป็นอย่างอื่นนอกจากนี้ หลายตนนั้นมหัศจรรย์พันลึกเสียเกินกว่าจะบรรยาย มีเทพเจ้าหน้าอสูรอันมีใบหน้าสีเขียวและเขี้ยวยักษ์อสูรที่โผล่ออกมาจากปาก เทพหัววัวที่มีเขาบนหัวและมีเพลิงไฟห่อหุ้มรอบร่างกาย เทพหัวมนุษย์และร่างงู เทพที่มีสามหัวหกแขน และเทพอื่นๆ ทุกรูปแบบ
ผู้คนเหล่านี้มิใช่ดวงวิญญาณอันขาดแหว่ง จิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาครบสมบูรณ์ พวกเขามาจากที่ไหน ในเมื่อพวกเขามีจิตวิญญาณดั้งเดิมแต่ไม่มีร่างเนื้อที่นี่ หรือว่ากายเนื้อของเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่
ฉินมู่พลันจับสังเกตประเด็นสำคัญ
กายเนื้อของจิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้ยังคงมีชีวิตอยู่!
เขาจ้องไปด้วยดวงตาเบิกกว้าง มีจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกรูปลักษณ์อยู่ในเมือง เพียงแค่ชั่วระยะเวลาที่เขาเดินเข้าเมืองมา เขาก็ได้เห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านี้มากกว่าสองร้อยตน นี่มิได้แปลว่ามีเทพเจ้ามากกว่าสองร้อยที่ยังมีชีวิตอยู่หรอกหรือ
พวกเขาเหล่านี้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ใดในโลกหล้า
ไม่เพียงเท่านั้น ตัวเลขสองร้อยนี้ยังนับเท่าที่เขาเห็นระหว่างการเดินเข้าเมืองมา นี่หมายความว่าในเมืองแห่งนี้ยังมีจิตวิญญาณดั้งเดิมอยู่อีกมาก
อีกอย่าง เมืองแห่งนี้ยังเป็นเพียงหนึ่งในบรรดาเมืองเทพยดาในยมโลก จากที่เขาเคยไปเมื่อคราวก่อนที่มาเยือนยมโลก มันน่าจะมีเมืองยมโลกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เห็นสถานที่นี้ มันน่าจะมีเก้าเมืองหรือสิบเมือง และแต่ละเมืองก็กว้างใหญ่ไพศาล!
ถ้าอย่างนั้น ในโลกหล้ายังมีเทพเจ้าอาศัยอยู่อีกจำนวนเท่าใดกันแน่
ทำไมเทพเจ้าเหล่านี้จึงละทิ้งร่างเนื้อของตนเองและเข้ามาในยมโลก ร่างเนื้อของพวกเขาอยู่ที่ไหน…ช้าก่อน!
ฉินมู่จิตกระเจิดกระเจิง และปราณและโลหิตก็แล่นพล่านเข้าไปในหัวสมองของเขา ทำให้หูเขาอึ้งอึงไปหมด
ในโลกนี้มีเทพเจ้าอยู่มากมาย!
เพียงแต่ว่าพวกเขาได้กลายไปเป็นรูปสลักหิน!
มีรูปสลักหินมากมายที่ปกป้องพิทักษ์ผู้คนในแดนโบราณวินาศ!
นี่ก็แปลว่าพวกเขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอดเวลาและกลับมาเป็นเทพเจ้า มิใช่หรือ
การคาดเดานี้น่าตื่นตระหนกจนเกินไป!
เหตุการณ์ประหลาดพิสดารมากมายในแดนโบราณวินาศได้รบกวนจิตใจของฉินมู่มาช้านาน แต่หากว่าการคาดเดาของเขาถูกต้อง เขาก็จะสามารถอธิบายความแปลกพิสดารนี้ได้ส่วนหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่วิหารราชาสวรรค์อันรูปสลักหินราชาสวรรค์ได้ขี่กิเลนมังกรออกไปสังหารราชามังกรในยามค่ำคืน!
ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ที่รูปสลักเทพค้างคาวขาวฟื้นคืนชีพ!
และยกตัวอย่างเช่น เมื่อเขาและผู้ใหญ่บ้านท่องตระเวนไปในค่ำคืนของแดนโบราณวินาศและพบเห็นการต่อสู้ระหว่างเทพและมาร!
แน่นอนว่า ก็ยังคงมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้อีกมากมาย ในเหตุการณ์การสังหารราชามังกร ราชาสวรรค์แห่งวิหารราชาสวรรค์ได้ออกไปตามบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง เพื่อประหารราชามังกรอันก่อกบฏ แล้วบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้งมาจากที่ใด
ในเหตุการณ์ของรูปสลักเทพค้างคาวขาว ทำไมถึงมีเทพเจ้าที่ดูเหมือนจะเป็นกายาจ้าวแดนดิน แข็งเป็นหินอยู่ในส่วนลึกของหุบเขาภูตผี ทำไมถึงมีช่องทางเข้าไปยังแดนใต้พิภพอยู่ที่นั่น
ระหว่างการต่อสู้ระหว่างเทพและมาร ใครคือฝ่ายที่ต่อสู้กับเทพเจ้าแห่งแดนโบราณวินาศ
ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าทั้งหลายแห่งยมโลกก็ไม่สามารถอธิบายภาพของการซ้อนเหลื่อมกันของห้าโลกมิติที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง พวกเขาก็ยังไม่สามารถใช้อธิบายได้ว่าฉินมู่ย้อนเวลาไปยังสมัยโบราณได้อย่างไร
ภาพพิสดารในแดนโบราณวินาศนี่ยังกับทะเลหมอก หลังจากกวาดหมอกออกไปหอบหนึ่ง ก็ยังมีหมอกอีกข้างหน้า ทำให้ยากจะมองเห็นข้อเท็จจริง ฉินมู่คิด
พวกเขามาถึงแม่น้ำอันกว้างใหญ่ในเมือง มันมีสะพานเหินหาวที่เชื่อมต่อระหว่างสองฟากฝั่ง ฉินมู่เดินไปที่ราวสะพานและก้มลงมองดู แต่เขาเห็นเพียงหมอกหนาที่กระเพื่อมขึ้นลงแทนที่จะเป็นมวลน้ำ และในบางครั้ง เขาก็มองเห็นเงาร่างที่ลื่นเมือกเลื้อยว่ายอยู่ในนั้น
“สถานที่นี้เชื่อมต่อกับทะเลหมอกหรือเปล่า” เขาไต่ถาม
“ไม่ อีกฟากของหมอกหนานี้คือแดนใต้พิภพ พวกเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ” เทพหัวนกฉือซิ่วกล่าว
“สิ่งมีชีวิตจากแดนใต้พิภพ?” ฉินมู่จิตใจงุนงงไปหมด เขาพึมพำ “ยมโลกและแดนใต้พิภพเชื่อมต่อกันอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นแดนใต้พิภพไม่โจมตีที่นี่หรือ”
เทพฉือซิ่วไม่อธิบาย เขาพาพวกเขาเดินข้ามสะพานแห่งความจนปัญญา และมายังโถงวังศักดิ์สิทธิ์ มันถูกเรียกว่าท้องพระโรงราชาฉิน เมื่อฉินมู่มองเห็นคำเหล่านี้บนป้ายขวางเหนือประตู เขาก็อดไม่ได้ที่จะอึ้งไป
ทำไมโถงวังศักดิ์สิทธิ์นี้ถึงเรียกว่าท้องพระโรงราชาฉิน หรือว่าเจ้าของโถงวังก็แซ่ฉินเช่นกัน
เขาฉงนฉงาย แต่เทพหัวนกได้นำตัวพวกเขาเข้าไปในโถง ในตอนนั้นเอง ท้องพระโรงก็ถูกจุดสว่างไปหมด แต่แสงที่ส่องออกมาให้ความรู้สึกว่างเปล่า มันเหมือนกับว่านี่มิใช่เปลวไฟอันแท้จริง แสงของมันขมุกขมัว
บนสองข้างท้องพระโรง มีรูปสลักอันเคร่งขรึมน่าเกรงขามของเทพเจ้าภูตผี พวกเขาทั้งสูงตระหง่านและมีรูปลักษณ์อันพิลึกกึกกือ ส่วนต่างๆ ของร่างกายพวกเขาแตกต่างไปจากผู้คนโดยทั่วไป ที่เอวของพวกเขาคาดสายห้อยอาวุธต่างๆ มากมาย และถือในมือด้วย อย่างเช่นมีด หอก กระบี่ ง้าวโล่ ตรา และแม้กระทั่งงูยักษ์
ฉินมู่หยุดตรงหน้ารูปสลักหนึ่งเพื่อเพ่งพิศดู หมายจะศึกษารอยประทับอักษรรูนบนร่างของมัน แต่ทันใดนั้นลูกตาของรูปสลักเทพภูตผีก็กลอกมามองเขาด้วยความสนใจใคร่รู้
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และผงะถอยไปหนึ่งก้าว ลูกตาของรูปสลักเทพภูตผีก็กลอกกลับไปมองตรงเหมือนเดิม ทำให้เขาคิดว่าตาฝาดไป
พวกนี้ไม่ใช่รูปสลัก แต่เป็นเทพภูตผีตัวจริง!
ฉินมู่พลันกลายเป็นเจี๋ยมเจี้ยมเรียบร้อย และเดินตามเทพฉือซิ่วไป
ในท้องพระโรงใหญ่ เทพเจ้าที่สวมผ้าคลุมหลังสีดำนั่งตรงตระหง่านและไม่ไหวติง กำลังอ่านฎีกาอย่างเคร่งเครียด
เทพฉือซิ่วโค้งคารวะและกล่าว “ท้าวยมราช อาชญากรฉินมู่ ซิงอ้าน และเทพหมอผีขุยได้ถูกจับกุมมาแล้ว รอรับคำสั่งของท่าน!”
เทพชุดดำผู้นี้วางพู่กันผงชาดในมือลงและยกมมือขึ้น ใบหน้าของเขาภายใต้ผ้าคลุมมิอาจมองเห็นได้ถนัดถนี่ มีก็แต่แสงเลือนสองจุดเท่านั้นที่เห็นอยู่ลางๆ
“อายุขัยตามลิขิตของซิงอ้านนั้นยังไม่สิ้นสุด และเขาก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การกำกับของยมโลกของข้า ดังนั้น ปล่อยเขาไป”
เทพฉือซิ่วตะลึงไปเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงทำตามคำสั่งและปล่อยซิงอ้านไป
“ซิงอ้าน แม้ว่าเจ้าก่อกรรมทำชั่วมามาก แต่ยมโลกไม่จัดการกับผู้คนที่ยังไม่ตาย” ท้าวยมราชกล่าว “เจ้าสามารถไปได้”
ซิงอ้านประหลาดใจระคนดีใจ เขายิ้มหยันแล้วกล่าว “ที่แท้ยมโลกก็ยังเป็นสถานที่อันมีเหตุมีผลอยู่บ้าง ยอดเยี่ยม ข้าลาก่อน!”
เขากำลังจะขยับ แต่ร่างกายยี่สิบสามสิบร่างในตัวเขาไม่ยินยอม พวกเขาเหล่านั้นทำให้ซิงอ้านก้าวออกไปไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!
ซิงอ้านทั้งตื่นตระหนกทั้งเดือดดาล ร่างกายเหล่านี้กำลังดิ้นรน หวีดร้องและสาปแช่ง หมายที่จะตอบแทนเขาอย่างสาสม!
“ท้องพระโรงราชาฉินจะให้ผู้คนมาอึกทึกโวยวายได้อย่างไร?” เสียงของท้าวยมราชกลายเป็นไม่พอใจ “โยนเขาออกไป”
ทันใดนั้น ‘รูปสลัก’ เทพภูตผีสองตนก็ขยับ เทพภูตผีทั้งสองนั้นถือสามง่ามเข้ามาแทงซิงอ้าน และโยนเขาออกไปจากท้องพระโรง
“ไหนเจ้าว่าจะให้ข้าออกไป ทำไมพวกเจ้ายังเก็บข้าเอาไว้ในยมโลก” ซิงอ้านถามด้วยความโมโห
เทพฉือซิ่วยิ้มหยัน “เจ้าจะโทษคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าเดินออกไปเองไม่ได้ โง่เง่า”
ท้าวยมราชมองไปที่เทพหมอผีขุยผู้ซึ่งไม่หวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขายิ้มหยันและกล่าว “อายุขัยของข้าก็ยังไม่สิ้นสุดเช่นกัน ตาเฒ่าฉิน เจ้าก็ควรปล่อยข้าไปด้วยมิใช่หรือ”
ตาเฒ่าฉิน? หัวใจฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรง ท้าวยมราชก็มีแซ่ฉินอย่างงั้นหรือ เขาคือใครกันแน่
ท้าวยมราชมองไปด้วยสายตาอันไม่ยินดียินร้าย “ยมโลกของข้าจะคร่าชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยาก เจ้าได้ก่อกรรมทำชั่วมากมาย และมีผู้คนในยมโลกที่ตายไปในน้ำมือของเจ้า ดวงวิญญาณของพวกเขากระเจิดกระเจิงจากการสักการะของเจ้า เจ้าจะตายไปก็ไม่มีใครเวทนา”
เทพหมอผีขุยไร้ความกลัวและหัวเราะในคอ “แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้ ยมโลกของเจ้าก็เป็นเพียงที่ดินอันแย่งชิงมาจากแดนใต้พิภพ ยมโลกเป็นเพียงสถานที่ที่พวกซากทัพมารวมตัวกัน ก่อสร้างขึ้นมาเลียนแบบแดนใต้พิภพ พยายามอย่างไร้ประโยชน์ที่จะล้มล้างสรวงสวรรค์! มรรคา วิชา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพที่เจ้าใช้สอย นั้นก็เป็นเพียงแค่ของเล่นหยาบกร้านอันไม่สะดุดตาข้าเลยด้วยซ้ำ เมื่อเทียบกับทักษะเทวะแดนใต้พิภพแห่งสภาสวรรค์ เจ้านั้นอยู่ห่างชั้นเป็นหมื่นลี้”
“ข้าได้รับมอบแดนครองและบรรดาศักดิ์จากสรวงสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงไม่อยู่ใต้กำกับของแดนใต้พิภพ ข้าสามารถตกตายในเงื้อมมือของใครก็ได้ แต่จะไม่เป็นอันตรายจากมรรคา และทักษะเทวะของแดนใต้พิภพ! เจ้าสังหารข้าไม่ได้!”
ท้าวยมราชยังไม่หวั่นไหว และน้ำเสียงของเขาเยือกเย็น “สาเหตุที่พวกเราจับตัวเจ้าแทนที่จะสังหารเจ้านั้นก็เพื่อจะเข้าใจศัตรูของพวกเราผ่านตัวเจ้า ไปนำกระจกสามชีวิตมา และค้นหามรรคา วิชา และทักษะเทวะ รวมทั้งประสบการณ์ชีวิตของเขา รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง!”
เทพภูตผีในท้องพระโรงราชาฉินเดินลงมาจากแท่นเวทมนตร์และก้าวมายังเบื้องหน้าเทพหมอผีขุย ราชาผีตนนี้มีผิวหนังสีเขียวและมีปีกเล็กอย่างน่าเวทนาสองปีก บนหัวของเขามีเขาหลายเขา และในปากก็มีเขี้ยวงางอกออกมา ทำให้ปากของเขาดูกว้างเป็นพิเศษ
มันพลันเปิดอ้าออก และกว้างมากเสียยิ่งกว่าร่างกายของเขา ปากนั้นใหญ่มหึมาขนาดที่ว่าทำให้ผู้ชมดูต้องขนหัวลุกสุดเหยียด!
ปากของเขาราวกับประตูอันมีแสงเข้ามารวบรวมกันเพื่อก่อรูปขึ้นมาเป็นกระจกบานใหญ่อันฉายส่องลงไปบนเทพหมอผีขุย
จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยหวีดร้องโหยหวน และพลันแปรเปลี่ยนเป็นเปลวไอสีเขียวที่ถูกดูดซับเข้าไปในกระจก
จากตอนนั้นภาพที่เห็นในกระจกจึงเริ่มเปลี่ยน มันแสดงชีวิตทั้งชีวิตของเทพหมอผีขุยในทางย้อนกลับ นับตั้งแต่วินาทีที่เทพฉือซิ่วจับตัวเขา เวลาไหลกลับ ย้อนทวนทิศทางถอยหลัง
ภาพทุกภาพบนกระจกถูกแสดงออกมาเพียงชั่วแวบ ซิงอ้านสยบเทพหมอผีขุย เขาถูกผู้สูงศักดิ์แทงข้างหลัง เขาใช้บันทึกเป็นตายเพื่อสักการะชีวิตนับพันล้านให้สิ้นสุด สังหารแม่ทัพของศัตรู ย้อนกลับไปจนถึงการต่อสู้แห่งสภาสวรรค์จักรพรรดิก่อตั้ง เวลาในกระจกย้อนไปในยุคโบราณ และประสบการณ์ของเขาก็เผยแสดงออกมาโดยไม่มีซ่อนเร้น!
ฉินมู่หนังหัวชาวูบ หากว่าใครถูกกระจกสามชีวิตจับเอาไว้ได้ จะเหลือความลับที่ไหนอีกล่ะ
……………..
เทพหัวนกเอียงคอและกระพือปีก เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะไม่รู้เรื่องที่ตัวเองทำได้อย่างไร คิดอีกที! ประเดี๋ยวท้าวยมราชก็จะตัดหัวเจ้า แล้วค่อยให้เจ้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงตาย”
ฉินมู่งงงวย เขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ว่าจะทำให้เขาไปสะกิดต่อมเคืองของท้าวยมราชเข้า
หรือเพราะว่าข้าขับเรือจันทราจากไป แต่เรือจันทราไม่ได้เป็นของยมโลก เป็นของเผ่านักต้อนตะวันต่างหาก ท้าวยมราชดูแคลนพฤติกรรมของผู้พิทักษ์จันทรา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ การขับเรือจันทราไป ไม่น่าจะใช่อาชญากรรม ใช่ไหมนะ
เขาเข้ามาในยมโลกเพื่อค้นหาผู้ใหญ่บ้าน และตรวจสอบดูว่าปรมาจารย์เยาว์ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ แม้ว่าเทพหัวนกจะบอกว่าเขาทำอะไรไม่ดีไปบางอย่าง แต่ฉินมู่ก็ไม่กังวลเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกันเขากลับรู้สึกคาดหวังเล็กๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาอยากหนี เขาก็หนีไปไหนไม่ได้
ทันใดนั้น เสียงคำรามของซิงอ้านก็ดังมา “หมอเทวดาฉิน เจ้าทำอะไรข้า”
ฉินมู่หันกลับไปมอง ตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า บัดนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป เขานั้นมีชิ้นส่วนร่างกายทุกชนิดโผล่ห้อยออกมาทั่วตัวเขา บางหัวก็เป็นของชาย บางหัวก็เป็นของหญิง มีทั้งหนุ่มและแก่ แต่ไม่มีอันไหนสักอันที่เป็นของเขาแต่เดิม
เมื่อมาถึงแดนเป็นของคนตาย สำนึกรู้เดิมของชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ ก็ฟื้นคืนกลับมา และแขนขาที่เคยขาดหายก็ฟื้นฟูมาใหม่ แย่งชิงชิ้นส่วนร่างที่เคยเป็นของพวกเขา เมื่อเทียบกันแล้ว สำนึกรู้ของซิงอ้านนั้นมิได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกที่กำลังยึดครองร่างเขาอยู่ในขณะนี้
เขาไม่อาจควบคุมร่างกายอันพิลึกกึกกืออันเต็มไปด้วยอวัยวะแบบนี้อีกต่อไป!
“ซิงอ้าน เจ้าทำอะไรพวกข้า” หัวยี่สิบสามสิบหัวนั้นถามระเบ็งเซ็งแซ่ และเริ่มต่อสู้กันและกัน มันเหมือนกับลูกบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมารอบๆ
“ซิงอ้าน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าทำเจ้า แต่เป็นสิ่งที่เจ้าทำกับพวกเขา เจ้าขโมยชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ อันสร้างเป็นตัวเจ้าในปัจจุบัน ในแดนเป็นของคนตายแห่งนี้ คนเป็นก็จะตาย และคนตายก็จะมีชีวิต ดูที่ข้าและกิเลนมังกรสิ และเจ้าก็จะเข้าใจคำพูดของข้า” ฉินมู่กล่าวอย่างเศร้าใจ
ซิงอ้านขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีก็แต่แขนขาของคนอื่นๆ ที่กระทำได้ เขาได้ขโมยชิ้นส่วนร่างกายจากผู้อื่นมามากเกินไป และผลที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่เป็นของเขาจริงๆ ก็มีเพียงสามดวงวิญญาณในร่างของเขา
แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิม เขาก็แย่งชิงมาจากคนอื่น!
เทพหัวนกเอียงคอมองไปที่เขา “ซิงอ้าน ท้าวยมราชก็อยากเจอเจ้าเช่นกัน เจ้าได้จิตวิญญาณดั้งเดิมอันทำให้เขาสนใจมา ทุกคน ตามข้ามา”
ลูกชิ้นก้อนมหึมา อันก่อขึ้นมาจากซิงอ้านร้องคำราม และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะออกไปจากโลกนี้ แต่กระนั้นชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ ก็ไม่ฟังเขา ในทางกลับกัน พวกมันคลานไต่ไปทางยมโลก
“ปล่อยข้าไป!”
เสียงของซิงอ้านมีวี่แววของความกลัว เป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกถึงความกลัว
ครั้งแรกนั้นคือเมื่อเขาได้เปิดสมบัติเทวะเป็นตาย เขาสังเกตพบว่าชีวิตของเขามีจุดจบ เมื่ออายุขัยของเขาสิ้นสุดลง แดนใต้พิภพข้างใต้เขตขั้นเป็นตายก็จะกลืนกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ส่งเขาเข้าไปในความมืดมิดชั่วนิรันดร์!
มันเป็นความน่าสยดสยองครั้งยิ่งใหญ่ ที่เขายอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด!
หลังจากเปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ เขาก็ตระหนักว่ามันขาดอยู่ และด้วยสติปัญญาของเขา เขาก็ไม่อาจซ่อมแซมมันได้ ดังนั้นซิงอ้านจึงเลือกหนทางอื่นไปสู่ความอมตะ
เขาแย่งชิงชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น
ในเมื่อเขาไม่อาจเป็นเทพเจ้าได้ด้วยตนเอง และกายเนื้อของเขาก็จะชราไป เขาจึงเพียงแต่ต้องแย่งชิงร่างกายของผู้อื่น เพื่อแทนเข้าไปในกายเนื้อของเขาที่กำลังเสื่อมอายุขัย
เขานั้นหยิ่งผยอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะเป็นเทพเจ้าอีกแบบหนึ่ง และพวกที่สะดุดสายตาของเขาก็ล้วนแต่เป็นตัวตนขั้นสุดยอดในโลกหล้า ตัวตนที่ได้บรรลุเขตขั้นเทวะในทางใดทางหนึ่ง
แม้ว่าเขาจะไม่ได้สังหารแพะแกะพวกนี้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังตายเพราะเขา
บัดนี้พวกเขาฟื้นคืนชีพ และกลายเป็นเขาที่ตายแทน ผู้คนเหล่านั้นกำลังฉีกกระชากร่างกายเทพเที่ยงแท้ที่เขาได้ขัดเกลามาด้วยความอุตสาหะ หมายจะฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ!
เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจอีกครั้ง ความกลัวสูญเสียชีวิตของตน!
เทพหัวนกขยับเท้าของเขาเล็กน้อยเพื่อหาองศาที่สบายตัวกว่าเดิม เขาพลันหดคอกลับและนั่งจับเจ่าอยู่บนยอดเขา “ซิงอ้าน กรรมชั่วที่เจ้าก่อก็ถูกเปิดโปงขึ้นมาแล้ว แต่ผู้ที่ท้าวยมราชต้องการตัวมิใช่เจ้า–มันคือซากทัพแห่งสภาสวรรค์ที่อยู่กับเจ้า”
“ฮี่ๆๆๆ…” เสียงหัวเราะเย็นเยียบชั่วร้ายดังมาจากข้างในร่างของซิงอ้าน “ท้าวยมราชเหลวไหลอะไร เขานั้นก็แค่ซากทัพจากยุคเก่าก่อน! พวกเจ้ากำลังตามหาข้าสินะ”
“เทพหมอผีขุย!”
ฉินมู่ตกตะลึง เขาเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยขยายพองขึ้นมาจากร่างกายซิงอ้านอันเต็มไปด้วยอวัยวะ และก่อขึ้นมาเป็นสิ่งใหญ่มหึมาอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญที่สูงตระหง่านกว่าร้อยห้าสิบวา มันทั้งใหญ่โตและอลังการเสียยิ่งกว่าภูเขา ดวงตาทั้งสองเหมือนกับปากปล่องภูเขาไฟสองปล่องที่พ่นเพลิงพวยพุ่ง รอบๆ ตัวมันนั้นคือความมืดอันดิบดำ
เขามองจากที่สูงลงมายังเทพหัวนกบนภูเขา ยิ้มหยันและกล่าว “เจ้าก็เป็นซากทัพจากยุคเก่าก่อนเช่นกัน ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน ผู้ตระเวนราตรีแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้ามันก็แค่นกแสกที่คอยคุมวิญญาณของพวกอาชญากรในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เทพเจ้าที่สามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างแดนใต้พิภพและโลกจริงได้ และนามของเจ้าก็คือฉือซิ่ว! ฉือซิ่ว รับการสักการะของข้า!”
เขาโค้งสักการะ แต่เทพหัวนกยืนอยู่อย่างมั่นคงบนภูเขา ไม่กระดุกกระดิกสักนิด
เพทหมอผีขุยตกตะลึงและโค้งคำนับอีกครั้ง เทพหัวนกยกกรงเล็บของมันขึ้นมา เพื่อลับกับจะงอยของตน
เทพหมอผีขุยสะท้านหัวใจไปหมด และเขารีบหันกายเพื่อจากไป วิ่งตะบึงออกจากแดนเป็นของคนตายอย่างไม่คิดชีวิต
เขายังไม่ทันตาย กายเนื้อของเขายังถูกสะกดเอาไว้ในภูเขาหยางในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นเขาจึงไม่ฟื้นร่างกายกลับมาในยมโลก และมีก็แต่จิตวิญญาณดั้งเดิม ความเร็วของเขานั้นไร้เทียมทาน เร็วเสียยิ่งกว่าขาเทวะข้างไหนๆ
เขาเคลื่อนที่และข้ามทะเลหมอกในพริบตา แทบจะออกไปจากแดนยมโลก
แต่ในจังหวะนั้น เทพหัวนกฉือซิ่วก็โบกปีก และสายลมก็พุ่งผ่านฉินมู่กับคนอื่นๆ!
เขาเงยศีรษะขึ้นมองและเห็นมนุษย์หัวนกที่มีปีกสยายบังตะวัน ด้วยกรงเล็บของเขา เขาจับเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมอันใหญ่โตมโหฬารของเทพหมอผีขุย!
ในพริบตาถัดมา เทพหัวนกก็โบกปีกและวกกลับ เขากดเทพหมอผีขุยเอาไว้กับพื้นและแต่งไซ้ปีกขนของตนเองพลางจับเจ่าอยู่บนยอดเขา
ฉินมู่ตัวสั่นเทา กระดูกในร่างเขากระทบกันไปมาและส่งเสียงกรอกแกรก
เผชิญกับความเร็วระดับนี้ อย่าว่าแต่เขา แม้แต่เฒ่าเป๋ก็ไม่อาจหลบหนีไปได้ทันเวลา!
รูปร่างของเทพหัวนกฉือซิ่วนั้นแปลกพิสดารอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาบินออกไปเมื่อครู่ เขาได้แปรเปลี่ยนจากร่างเนื้อกลายเป็นสภาวะจิตวิญญาณดั้งเดิมโดยบริสุทธิ์ ดังนั้นความเร็วของเขาถึงเหนือล้ำกว่าความเร็วใดๆ เร็วกว่าแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย มันก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงสามารถติดตามไปทันอย่างง่ายดายและจับตัวกลับมาได้
ระหว่างที่เขาบินกลับมา เขาก็แปลงร่างกลับสู่สภาวะกายเนื้อ วิชาฝึกปรือที่ทำให้เขาแปลงสลับไปมาระหว่างสิ่งที่จับต้องไม่ได้และสิ่งที่จับต้องได้นี้ พิสดารอย่างเหลือล้น
มิน่าล่ะ เทพหมอผีขุยถึงกล่าวว่าเขาสามารถเดินทางเข้าออกแดนใต้พิภพได้อย่างอิสระ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ในใจ
เทพหมอผีขุยถูกโซ่พันธนาการเอาไว้ระหว่างที่เขาดิ้นรนไม่หยุด แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจเป็นอิสระจากพวกมันได้
แม้แต่เทพเจ้าดุร้ายที่ทั้งกร้าวแกร่งและชั่วช้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ยังคงจนปัญญาในชั่ววินาทีนี้ เมื่อเขาเห็นว่าไม่อาจเป็นอิสระ เขาก็เงียบลงและยิ้มหยัน “ฉือซิ่ว ชีวิตของข้าเป็นของสวรรค์ และมิใช่ของท้าวยมราช! ต่อให้เจ้าจับตัวข้าไว้แล้วก็แล้วอย่างไร”
เทพหัวนกกระพือปีก และโซ่อีกเส้นก็บินเข้าไปมัดซิงอ้าน มันถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกขาวและดูเหมือนจะเป็นกระดูกสันหลัง ยากที่จะบอกว่ามีข้อต่อบนนั้นทั้งหมดกี่ชิ้น
โซ่โครงกระดูกขาวมัดรอบๆ ซิงอ้าน ก่อนที่จะตวัดมามัดมือฉินมู่
ฉินมู่ฉงนใจเล็กๆ “ข้าหนีไปไม่ได้หรอก ทำไมศิษย์พี่ฉือซิ่วต้องลำบากด้วย”
“อย่าพูด ข้าเกลียดชังกลิ่นของมนุษย์ตัวเป็นๆ”
เทพหัวนกขยับ และโซ่กระดูกขาวก็มัดโยงฉินมู่เข้ากับเทพหมอผีขุย ลากพวกเขาไปยังยมโลก ฉินมู่รีบกล่าวทันที “ข้ายังมีหีบและกิเลนมังกร”
“น่ารำคาญจริงๆ”
ฉือซิ่วหัวนกปลดโซ่และกล่าว “ปลุกกิเลนมังกรของเจ้าและรีบเดินเข้า อย่าพยายามจะหนี เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”
ฉินมู่เตะกิเลนมังกรให้ตื่น แต่มันก็ยังไม่ฟื้นสติขึ้นมา ฉือซิ่วจึงเด็ดขนนกของเขาออกมาเส้นหนึ่งและโบกมันเหนือหน้าผากของกิเลนมังกรเบาๆ เท่านั้นแหละเจ้าอ้วนนี่ถึงตื่นขึ้นมาได้ และตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดผวา
ฉินมู่ปลอบใจเขา “มังกรอ้วน อย่ากลัวไปเลย ปรมาจารย์อาจจะอยู่ที่นี่ บัดนี้เมื่อพวกเราเข้ามาในยมโลก พวกเราก็อาจจะสามารถพบกับเขาได้”
กิเลนมังกรจิตกระเจิดกระเจิง และเขาตะกุกตะกัก “ทะ-ท่านบอกข้าไม่ใช่หรือว่าปรมาจารย์ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า”
ฉินมู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ปรมาจารย์ได้กลายเป็นเทพเจ้าในยมโลก”
กิเลนมังกรนิ่งงัน และยกอุ้งเท้าของเขาเพื่อปาดป้ายเบ้าตา ตอนนี้เขาไม่มีร่างเนื้อ ดังนั้นเขาก็ไม่มีน้ำตาเช่นกัน
“ข้าว่าแล้วว่าท่านต้องโกหกข้าในตอนนั้น…” เขาคอตก
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ดูสิ ในโลกนี้ ข้าและเจ้าเป็นคนตาย แต่ปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ดี ในโลกของพวกเรา พวกเรามีชีวิต แต่ปรมาจารย์ตายไป บางทีความเป็นและความตายมิใช่สิ่งที่เจ้าคิดเข้าใจ และหลังจากความตาย มันก็อาจจะเป็นเพียงการดำรงชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก”
กิเลนมังกรเงยศีรษะขึ้นมาและกล่าวอย่างจริงจัง “แต่หลังจากวันนี้ ท่านต้องไม่โกหกข้าอีกนะ”
ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้ ก็เลย…”
“ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ข้ารับได้” น้ำเสียงของกิเลนมังกรนิ่งสงบและกล่าวต่อ “ข้าพอใจมากแล้วล่ะที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ได้…จ้าวลัทธิ กระดูกก้นกบของท่านทำให้ข้าเจ็บ”
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเหยียบไปบนหัวของเขา กิเลนมังกรติดตามเทพหัวนกผ่านประตูนรกตรงไปยังเมืองยมโลก
ข้างหลังพวกเขา หีบติดตามมาพลางส่ายโงนแงน มันเซซ้ายเซขวา ราวกับว่ากำลังมึนเมา ฉินมู่หันกลับไปและฉงนฉงาย แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ แย่แล้ว ในหีบนั้นมีแขนและขาเต็มไปหมด!
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ หีบใหญ่ของซิงอ้านก็ไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป มันอ้าเปิดออก อาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น
ผู้คนมากมายอันทั้งประหลาดและพิลึก และยังมีฝูงโครงกระดูกที่ลิงโลดจนโดนเต้นไปมา ถูกพ่นขึ้นไปบนอากาศ
“พวกเราอยู่ในยมโลกแล้ว!”
โครงกระดูกเหล่านั้นงอกเลือดเนื้อขึ้นมาในอากาศและร่วงลงกับพื้น กลายเป็นชายและหญิงทั้งหลายที่ร่างกายเปลือยเปล่า พวกเขาดีใจจนเนื้อเต้นและวิ่งตะบึงตรงไปยังยมโลก!
ในขณะเดียวกันนั้น ผู้คนที่ถูกพ่นออกมาจากหีบก็ไม่ครบสมบูรณ์ บางคนก็ขาดแขน และบางคนก็ขาดขา มีกระทั่งผู้คนที่มีรูโหว่ใหญ่กล่างหน้าอก หัวใจของเขาหายไป
บางคนก็ซี่โครงหาย บ้างก็ไม่มีดวงวิญญาณ และบ้างก็ขาดสมบัติเทวะ สิ่งที่พวกเขาขาดหายไปล้วนแต่ประหลาดและพิลึกกึกกือ
คนเหล่านี้ยืนงุนงง พวกเขาคือชิ้นส่วนอวัยวะที่ซิงอ้านได้เก็บสะสม
หีบวิ่งตามผู้คนที่วิ่งหนีไปอย่างไม่ลดละ หมายที่จะจับพวกเขากลับมาเป็นของสะสมของมันใหม่อีกครั้ง
ฉินมู่รีบเรียกมันกลับมาและกล่าว “ผู้คนพวกนั้นได้ฟื้นคืนชีพมาแล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บสะสมพวกเขาอีกต่อไป ข้าจะให้สมบัติเจ้าหลายๆ ชิ้น แค่เอาพวกมันเก็บไว้ในท้องเจ้าแทนละกัน…”
ปัง ปัง ปัง
เสียงโครมครามดังมาจากหีบ และมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ผ่านไปพักหนึ่ง มันก็แปลงร่างเป็นสัตว์ยักษ์มหึมาเบื้องหน้าพวกเขา ฉินมู่อ้าปากด้วยความตื่นตระหนก ขากรรไกรของเขาเกือบร่วงลงพื้น เขารีบคว้ากระดูกขากรรไกรของตัวเองเอาไว้
ขากรรไกรล่างของกิเลนมังกรก็ตกแทบจะถึงพื้นเมื่อเขาอ้าปากกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตา
หีบสัตว์ประหลาดของพวกเขาได้กลายเป็นเต๋าตี้ตัวมหึมา!
………………………..
ฉินมู่ หีบ และกิเลนมังกร เช่นเดียวกับโครงกระดูก และชิ้นส่วนกระดูกที่ปลิวว่อนไปทั่วฟ้าก็ร่วงลงมา ฉินมู่ใจหล่นตุ้บลงสู่ความสิ้นหวัง เขาไม่ต้องการจะสร้างเสียงใดๆ เพื่อมิให้ซิงอ้าน เจ้าวิปริตนั่นได้ยิน แต่ทว่าแผนการสวรรค์เหนือกว่ามานะคน แผนการของเขาทั้งหมดเรียกได้ว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
ปัง ปัง ปัง พวกเขาตกลงไปในกองกระดูก
โครงกระดูกมากมายโดยรอบ ร้องระงมจนหนวกหู ถกเถียงกันว่าใครไปทำกระดูกแขนหรือกระดูกขาของใครหัก บางตนถึงกับแย่งชิงซี่โครงของตนอื่น เสียงของพวกเขาระเบ็งเซ็งแซ่
ทันใดนั้น พวกโครงกระดูกก็เริ่มต่อสู้กัน ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเอาไม้ตะบองกระดูกมาจากที่ไหน แต่พวกเขาก็ใช้มันเหวี่ยงซัดตะลุมบอน ทุบกะโหลกของคนอื่นดังโผละเผละ
ก็มีแต่ถ้าซิงอ้านหูหนวกเท่านั้นแหละ เขาถึงจะไม่ได้ยินความโกลาหลอึกทึกนี้!
ฉินมู่ยืนขึ้นด้วยแข้งขาสั่น และมองไปรอบๆ ด้วยความเหม่องง หมอกหนาเมื่อครู่เจือจางลงไปมาก และก็มีแสงสว่างรอบข้างเยอะขึ้น
เขามองไปยังทิศตะวันออก และอดไม่ได้ที่จะตะลึงงัน
ในหมอกของแม่น้ำหย่ง โลกแห่งโครงกระดูกอันไพศาลและลึกลับก็ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันปรากฏขึ้นในใจกลางของแดนโบราณวินาศและเข้าซ้อนทับกัน!
“เจ้าเหยียบข้าอยู่นะ…” เสียงอ่อนแรงหนึ่งดังมาจากใต้หีบ มันกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แต่เมื่อมันพบว่าสิ่งที่กำลังพูดอยู่นั้นเป็นกระดูกกองหนึ่ง หีบก็ดีใจจนเนื้อเต้น มันอ้าฝาด้วยความลิงโลดและ ‘กลืน’ กองกระดูกพูดได้นั้นเข้าไป
หลังจากที่พรายวิญญาณของมันถูกฉินมู่ปลุกให้ตื่น มันก็ชอบที่จะสะสมของแปลกๆ
“ผี—”
กิเลนมังกรขนและเกล็ดลุกซู่ และร่างกายเขาแข็งทื่อ เมื่อเขาเห็นทั้งภูเขาเต็มไปด้วยกระดูกผี เจ้าอ้วนนี้ก็หงายหลังตึงเท้าชี้ฟ้า
เมื่อหีบเห็นว่ากิเลนมังกรล้มตายหงายหลัง มันก็หมายจะกลืนเขาเข้าไปด้วยเช่นกัน มันเริ่มงับจากทางหางจนถึงก้นของเขา กิเลนมังกรดีดเท้าถีบมันออกไปและกล่าวด้วยเสียงต่ำที่เต็มไปด้วยความฉิว “อย่าวุ่นวายสิ ข้ากำลังแกล้งตาย…”
“ยมโลก ที่นี่คือเขตรอบนอกแดนยมโลก…”
ฉินมู่มองไปยังโลกที่เคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมันซ้อนทับกับความเป็นจริง ภูเขาทั้งหลายในโลกจริงก็ดูจะหายไป มันประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ
หัวใจเขาเคลื่อนเล็กน้อย และเขาเตะกิเลนมังกรหนึ่งที “มังกรอ้วน ลุกขึ้น ฝีมือแกล้งตายของเจ้าไม่ได้ขี้เล็บของหลิงเอ๋อ หากว่าเจ้ายังไม่ลุก กระดูกผีพวกนี้มันจะมากินเนื้อเจ้านะ”
“เนื้อ เนื้อ!” ข้างใต้กิเลนมังกร โครงกระดูกหนึ่งได้กลิ่นหอมของเนื้อ และยิ้มจนหุบไม่อยู่ มันอ้าปากและกอดขากิเลนเพื่องับลงไปบนนั้น
“เนื้อ! เนื้อ!”
ในทะเลโครงกระดูก พวกนี้จำนวนนับไม่ถ้วนตื่นเต้นขึ้นมาทันที และวิ่งพล่านเข้ามาอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกมันทำเช่นนั้น พวกมันก็สร้างเป็นคลื่นโครงกระดูกที่สูงกว่าร้อยห้าสิบวา
ฟิ้ววว
โครงกระดูกร่วงลงมา และกระดูกผีจำนวนนับไม่ถ้วนกลิ้งไปด้วยกัน รวมตัวเป็นยักษ์โครงกระดูกที่วิ่งตะบึงเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความเร้าใจที่จะได้กินเนื้อ
“ข้าไม่มีเนื้อ ให้เนื้อเจ้ากับข้า!”
“ทิ้งผืนหนังไว้ให้ข้า หนังของข้าเน่าเปื่อยหมดแล้ว!”
กิเลนมังกรรีบพลิกตัวขึ้นมาและบดขยี้โครงกระดูกที่กระโจนเข้าใส่เข้าให้เป็นผุยผง เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็เกือบจะเป็นลมอีกรอบ
แสงพุทธธรรมฉายส่องรอบกายฉินมู่อย่างเจิดจรัส และข้างหลังเขาก็ปรากฏรูปเงาของพุทธรูปหยกขาว ยักษ์โครงกระดูกที่วิ่งรี่เข้ามาก็พลันพังทลาย และกระดูกผีก็หนีพล่านไปทุกทิศทุกทาง
“ไม่อร่อย นี่มันไอ้ลาโล้นน้อยเมื่อครั้งก่อน! หนีเร็ว–”
ฉินมู่อึ้งกิมกี่ เขานำเอาเหรียญทองออกมาและฉายส่องมันเข้าไปในทะเลหมอก เรือโดดเดี่ยวกำลังแล่นมาทางนี้
“ไสหัวไปให้หมด!”
เสียงของซิงอ้านดังมาแต่ไกล เขานั้นได้นำลูกตาของตนเองกลับมาแล้ว และกำลังพุ่งติดตามมายังทิศทางเสียงอึกทึก เมื่อเขาเข้ามาใกล้ เขาก็บดขยี้โครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนที่กระโจนเข้ากลุ้มรุมเขา เขาบุกตะลุยมาทางฉินมู่ด้วยมหาพลานุภาพและความหยิ่งผยอง
ฉินมู่ได้ทำให้เขาเพลี่ยงพล้ำเสียทีซ้ำแล้วซ้ำอีก และนี่ทำให้เขาต้องจุดไฟโทสะอันแท้จริงขึ้นมาในหัวใจจนได้ ที่เขาต้องการยิ่งกว่าอะไรในตอนนี้ก็คือการกำจัดไอ้หมอนี่ ผู้ซึ่งทำเขาเป็นตัวตลกครั้งแล้วครั้งเล่า!
ฉินมู่รีบขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล และคลี่คลุมหีบอันกำลังเก็บสะสมโครงกระดูกและกิเลนมังกรที่ตัวสั่นงันงกอยู่ข้างๆ ไว้ในรัศมีทักษะเทวะ เขาเคลื่อนย้ายตรงไปยังเรือน้อยที่มองเห็นอยู่เลือนรางในทะเลหมอก!
“เจ้าคิดจะใช้วิธีเดิมซ้ำสองครั้งหรือ ลงมา!”
หนึ่งในดวงตาของซิงอ้านเหาะเข้ามาและสายแสงโชนในอากาศ ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของฉินมู่พลันถูกตัดขาด และเขาก็ปรากฏออกนอกห้วงมิติพร้อมกับหีบและกิเลนมังกร พวกเขาตกลงไปยังทะเลหมอกข้างล่าง
ในทะเลแห่งมวลหมอก สัตว์ประหลาดมากมายเคลื่อนไหว และพวกมันตื่นเต้นอย่างที่สุด ในจังหวะนั้นเอง เรือโดดเดี่ยวก็พลันวิ่งไปยังจุดที่ฉินมู่และคนอื่นๆ ตกลงมา รับพวกเขาเอาไว้
“ศิษย์พี่ซิงอ้าน ไม่พบกันนานคงสบายดีสินะ” คนเรือที่กำลังคัดท้ายเรือยกหมวกไผ่สานของเขาขึ้น และเผยกรอบหน้าอันมีแต่กระดูกของเขา ยิ้มเย็นเยียบน่าสยอง
ซิงอ้านที่กำลังไล่ล่าพวกเขาไปยังฝั่ง ก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขาชะงักเท้า ไม่อาจจดจำอีกฝ่ายได้ เขาถามด้วยความสงสัย “เจ้าคือใคร”
“ศิษย์พี่ซิงอ้านจดจำนักพรตหลิงจิ่งผู้นี้ไม่ได้แล้วหรือ ก่อนหน้านั้นเจ้าไล่ล่าข้าไปทุกหนทุกแห่งเพียงเพื่อแย่งชิงโลหิตเทวะของข้า แต่สุดท้ายเจ้าก็ลืมทุกอย่างเกี่ยวกับข้าไปหมด ทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจอะไรอย่างนี้”
คนเรือขยับไม้พายไผ่ของเขาและคัดท้ายเรือไปยังที่ไกลๆ พลางแย้มยิ้ม “ที่นี่คือแดนยมโลก และศิษย์พี่ซิงอ้านเป็นคนเป็น ดังนั้นโปรดกลับไปเสียเถอะ นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะย่างกรายเข้ามาได้”
ซิงอ้านถอนสายตากลับมา และย่างเท้าเข้าไปในทะเลหมอก มันพลันกระเพื่อมขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดในนั้นเริ่มจะวุ่นวายอยู่ไม่สุข
สัตว์ประหลาดในหมอกนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ซิงอ้านก็ไม่หวาดกลัวพวกมันเลยแม้แต่น้อย เขายังคงไล่ตามเรือโดดเดี่ยวไปพลางกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “หากว่าคนเป็นไม่สามารถย่างกรายเข้าไปได้ ทำไมพวกเขาถึงโดยสารเรือได้ นักพรตหลิงจิ่ง เจ้าและข้าอย่างน้อยก็รู้จักกัน จะมาโกหกกันแบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง หรือเจ้าคิดว่าอย่างไร”
ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และแม้แต่ในทะเลหมอกอันพิลึกประหลาด เขาก็ก้าวอาดๆ เหมือนเดินเล่นในสวน เรือน้อยไม่สามารถสลัดหลุดเขาไปได้ ในทางกลับกัน ระยะห่างกลับยิ่งหดสั้นลงไปทุกที
“เจ้ามีเงินไหมล่ะ” นักพรตหลิงจิ่งถามอย่างไม่รีบร้อน “มีเงินใช้ผีให้พายเรือได้ เด็กหนุ่มผู้นี้เขามีเงินจ่ายค่าโดยสาร ดังนั้นเขาย่อมนั่งเรือของข้าและเข้าไปยังยมโลกได้ เจ้าไม่มีเงิน ก็จงกินลมเหนือแทนข้าวไปเถอะ กลับไปซะ ยมโลกมิใช่สถานที่ที่เจ้านึกอยากจะมาก็มา ที่นั่นมีตัวตนมากมายอันเจ้าไม่สามารถตอแยได้”
ซิงอ้านแค่นเสียงเฮอะเย็นชา และก้าวไปข้างหน้าต่อ แต่ทันใดนั้น สัตว์ประหลาดตัวมหึมาก็ผงาดขึ้นจากทะเลหมอก และลากเขาลงไป
ในเรือโดดเดี่ยว กิเลนมังกรแตกตื่นจนตาตั้ง เขารีบไปที่กราบเรือและก้มลงมองดู นักพรตหลิงจิ่งยกไม้เท้าไผ่ของเขาและกดหัวเขากลับลงมาเบาๆ เขายิ้มและกล่าว “เจ้าโง่ ตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวข้างล่างนั้น ไม่มีเหตุมีผลหรอกนะ ระวังเถอะเดี๋ยวพวกมันก็งับหัวเจ้าเอาหรอก”
ไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ทะเลหมอกก็สะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงคำรามของสัตว์ประหลาดดังออกมา และขุนเขาสูงตระหง่านในหมอกก็โยกคลอนอย่างรุนแรง ที่ก่อขึ้นมาเป็นภูเขาก็คือกองกระดุกขาวมากมาย อันก่อตัวขึ้นใหม่เป็นยักษ์โครงกระดูกและหนีไปในตอนนั้น
กิเลนมังกรรีบหมอบลงตรงท้องเรือและปิดตาของเขาด้วยอุ้งเท้าหน้าทั้งสอง แต่เขาก็ยังแอบมองไปข้างนอกผ่านง่ามอุ้งเท้าของตนเอง
การต่อสู้ในทะเลหมอกยิ่งเข้มข้นดุเดือดมากขึ้นทุกที สร้างคลื่นกระเพื่อมอันน่าแตกตื่น และแม้กระทั่งดีดเรือที่พวกเขานั่งอยู่ให้ลอยกระเด็นขึ้นไป ก่อนจะร่วงลงตกลงมาที่ยอดคลื่น
ฉินมู่ขับเคลื่อนเนตรสวรรค์อาภาและทำได้เพียงแค่พอมองเห็นรางๆ ว่ามีสัตว์ประหลาดมากกว่าหนึ่งตัวที่กำลังต่อสู้กับซิงอ้านในทะเลหมอก ด้วยภาพที่เห็นนั้น หัวใจเขาก็สะท้านอย่างรุนแรง และเขาก็ระบายลมหายใจขาดเป็นห้วง “ซิงอ้านไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!”
นักพรตหลิงจิ่งผู้ซึ่งตอนนี้เป็นโครงกระดูกก็ใช้ไม้ไผ่พายเรือต่อพลางยิ้มอย่างน่าสยอง “แน่นอนว่าเขาต้องเหนือธรรมดา แต่ทว่า เขาทำอะไรมากมายที่นี่ไม่ได้หรอก ทะเลหมอกนี้ก่อตัวควบแน่นขึ้นจากความอาฆาตของผู้ที่ตายในช่วงสิ้นสุดยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง หลังจากทุกๆ คนตายไป พวกเขามิอาจไปสู่สุคติ ดังนั้นพวกเขาจึงควบแน่นความอาฆาตแค้นเคืองเหล่านั้นและกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ขัดขวางทุกๆ คนซึ่งบังอาจบุกตะลุยไปยังยมโลก ระหว่างช่วงสิ้นสุดยุคสมัยจักพรรดิก่อตั้ง ผู้คนในแดนโบราณวินาศได้ล้มตายกันเป็นเบือจนนับไม่หวาดไม่ไหว ดังนั้นกำลังฝีมือของสัตว์ประหลาดเหล่านี้จึงเทียบเท่ากับเทพเจ้า”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย “โครงกระดูกพวกนี้คือผู้คนที่ตายในช่วงมหาภัยพิบัติแห่งยุคจักรพรรดิก่อตั้งงั้นหรือ แล้วทำไมพวกเขาไม่ได้เข้าไปในยมโลกล่ะ”
“ยมโลกรับก็แต่ดวงวิญญาณที่มีประโยชน์” ในกะโหลกของนักพรตหลิงจิ่ง มีไฟภูตผีสองดวงจุดแสงอยู่แทนดวงตา “พวกเขาไร้ประโยชน์ และไม่เข้ากับเงื่อนไข ผู้ที่สามารถเข้าแดนยมโลกได้นั้น พวกเขาจะต้องมีกำลังฝีมือเทียบเท่ากับเทพเจ้า แม้แต่ข้าเองก็นับว่าพอผ่านแบบฉิวเฉียด ดังนั้น ผู้คนเหล่านี้จึงได้แต่รวมตัวกันอยู่ในเขตรอบนอก แต่ไม่ข้ามทะเลหมอก…”
ฉินมู่มีสีหน้าประหลาด หากว่าเป็นความอาฆาตของโครงกระดูกเหล่านี้ที่ได้ก่อทะเลหมอกขึ้นมา และแปรเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นสัตว์ประหลาด ถ้านั้นก็เป็นพวกเขาเองที่ขัดขวางพวกเขานั่นแหละไม่ให้เข้าไปข้างใน!
นี่มันช่างวกวนย้อนกลับมาที่เดิม
“เดิมทีท้าวยมราชคิดที่จะขจัดพวกเขาไป แต่ยมโลกนั้นเล็กจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องคอยระวังป้องกันแดนใต้พิภพอีก…”
เห็นได้ชัดว่านักพรตหลิงจิ่งรู้ความลับต่างๆ มากมาย แต่เขาไม่ประสงค์ที่จะกล่าวมากไปกว่านี้ เขานั้นก็เป็นบุคคลที่ตายไปแล้วและสามารถมีชีวิตอยู่ได้แต่ในยมโลกเท่านั้น ตกอยู่ในสถานการณ์ประหลาดอันไม่ใช่ทั้งเป็นและตาย
ฉินมู่มองไม่ออกว่าเขาตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่
หากว่าเขาตาย เลือดเนื้อของเขาก็จะงอกกลับขึ้นมาใหม่เมื่อเขาเข้าไปในแดนเป็นของคนตาย แต่หากว่าเขายังมีชีวิต เขาก็จะตายและสิ้นสุดการดำรงอยู่ทันทีที่ไปจากยมโลก
ความเคลื่อนไหวใต้ทะเลหมอกยิ่งรุนแรงมากขึ้นทุกที เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ระหว่างซิงอ้านและสัตว์ประหลาดเหล่านั้ยิ่งทวีความดุเดือด เป็นภาพที่มองไปก็ทำให้หัวใจเต้นระรัว
อาจจะกล่าวได้ว่าซิงอ้านนั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว แม้ว่าจะต้องเผชิญกับสัตว์ประหลาดอันก่อขึ้นมาจากความอาฆาต เขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้อย่างไม่ลดราวาศอก!
“เจ้าวิปริตนี่…”
นักพรตหลิงจิ่งมองไปยังทะเลหมอกและเห็นซิงอ้านกับสัตว์ประหลาดมากมายต่อสู้ทะลวงฟันมาจนถึงผิวทะเล สัตว์ประหลาดพวกนี้มายังเมฆหมอก และถึงกับใหญ่มหึมายิ่งกว่าภูเขาโครงกระดูกและเกาะต่างๆ โดยรอบ พลังจู่โจมของพวกมันก็น่าสะพรึงกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่ซิงอ้านก็ยังน่าสะท้านขวัญกว่า
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน รีบขึ้นไปบนฝั่ง”สายตาของนักพรตหลิงจิ่งนั้นดีกว่า และเขากล่าว “เขากำลังจะสลัดหลุดออกมาในเวลาไม่นาน อีกอย่าง เจ้าติดค้างข้าสี่เหรียญยมโลก ดังนั้นรวมกับครั้งนี้ก็จะเป็นทั้งหมดห้าเหรียญ”
ฉินมู่นำเอาเหรียญยมโลกออกมาห้าเหรียญ และนักพรตหลิงจิ่งก็รับมันไป เขายืดหลังและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มีผู้หนุนหลัง และสามารถเสพสุขได้ทันทีที่เข้าไปในยมโลก แต่ข้ากลับยังต้องมาหาเงินทอง เมื่อข้ามีเงินพอ ข้าถึงจะเข้าไปข้างในเมืองยมโลกได้ หากว่าข้าต้องการที่อยู่ในยมโลก ข้าก็ยังต้องจ่ายอีกก้อนใหญ่…”
เขาพายเรือจากไปในที่ไกลๆ หายลับสู่ทะเลหมอก กระนั้นเสียงของเขาก็ยังดังมา “ยมโลกนั้นสนใจคนที่ยังมีชีวิตอยู่แบบเจ้า หากว่าเจ้าช่วยคนตายทำธุระไหว้วาน พวกเขาก็จะให้เหรียญยมโลกแก่เจ้าเป็นรางวัล แบบนี้ เจ้าก็จะกลับมาที่ยมโลกได้บ่อยๆ และนั่นคือสิ่งที่ข้าทำในอดีต…”
ฉินมู่รีบพากิเลนมังกรและหีบมุ่งหน้าไปยังยมโลก
ไม่นานนัก เขาก็มาถึงหินปักปันเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย เมื่อเห็นมัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจโล่งอก
ในจังหวะนั้น เสียงปังกัมปนาทก็ดังมาจากข้างหลังเขา ซิงอ้านหลุดพ้นออกมาจากการพัวพันของสัตว์ประหลาดเหล่านั้นจนได้ และพุ่งทะยานออกมาจากทะเลหมอก เขาขึ้นมาเหยียบบนท่าเรือ
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนไป และเขารีบพุ่งเข้าไปในแดนเป็นของคนตาย วิ่งหน้าตั้งอย่างไม่คิดชีวิต
กิเลนมังกรก็โกยแน่บ และเมื่อเขาทำเช่นนั้น เขาก็พบว่าเจ้านายอาหารของตนเองได้หายไป ข้างกายเขากลายเป็นกระดูกผีที่กำลังวิ่งอยู่อย่างบ้าคลั่ง!
โครงกระดูกนั้นสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าของฉินมู่!
กิเลนมังกรขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขาก็หวีดร้องเสียงหลง ในตอนนั้นเองเขาก็พบว่าตัวเขาก็กลายเป็นโครงกระดูกเช่นกัน
แข้งขาของกิเลนมังกรอ่อนเปลี้ย และเขาก็เป็นลมตาเหลือกไป คราวนี้เขาไม่ได้แกล้งทำ
ฉินมู่ชะงักและหมายที่จะยกตัวเขาขึ้นเพื่อวิ่งหนีต่อ แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นซิงอ้านพุ่งเข้าไปในอาณาเขตแห่งแดนเป็นของคนตาย
ปัง!
บนคอของซิงอ้าน อีกหัวหนึ่งเบียดมุดขึ้นมา และข้างใต้แขนของเขาก็เกิดอีกแขนที่ผุดออก จากนั้นขาเขาก็งอกเงยขึ้นมาอีกสี่ข้าง!
ฉินมู่ตกตะลึง และซิงอ้านเองก็ตระหนกไม่แพ้กัน ยังมีเสียงเป๊าะๆ ดังออกมาไม่หยุด และร่างกายอื่นๆ ก็งอกเงยออกมาจากร่างกายของเขา มีหัวอีกมากมายที่งอกออกมารอบๆ หัวของเขา ยากที่จะกล่าวได้ว่ามีร่างกี่ร่างที่พยายามจะเบียดเสียดออกมาจากตัวเขา เขางอกเงยแขนออกมามากกว่าสิบ ขามากกว่าสิบ หัวยี่สิบสามสิบ และแม้กระทั่งร่างกายที่งอกออกมาติดกันเป็นช่อ!
ตึง
ซิงอ้านล้มคะมำลงกับพื้นด้วยแขนมากมายที่คว้าไต่หาอย่างสุ่มๆ ไปทั่วทิศทาง หัวทั้งหลายของเขาก็ดิ้นรนและคำรามราวกับว่าพวกมันอยากจะคลานออกมาจากร่างกายของเขาที่ดูเละเทะยุ่งเหยิง
เห็นได้ชัดว่าสำนึกรู้ของแต่ละอวัยวะต่างไม่เหมือนกัน และไม่ได้เป็นของบุคคลคนเดียวกัน มีสำนึกรู้ของผู้คนในนั้นถึงยี่สิบสามสิบคน และแต่ละคนก็หมายอยากจะมุดแยกออกไป!
“แดนเป็นของคนตาย แดนเป็นของตาย…”
ฉินมู่ล้มเลิกความคิดจะหลบหนีและพึมพำ “ที่แท้นี่ก็คือวิธีการจัดการกับซิงอ้าน ร่างกายของเขาต่อเข้าด้วยกันจากชิ้นส่วนร่างกายของยอดฝีมือที่เข้าใกล้เขตขั้นเทวะมากมาย เมื่อเข้ามาในโลกแห่งนี้ ชิ้นส่วนที่ขาดหายไปก็จะปรากฏขึ้นมาใหม่…”
ทันใดนั้น นกยักษ์ก็โบยบินมาจากความมืด และลงมาจับบนภูเขาข้างหน้าพวกเขา เขาเอียงคอมองดูคณะเดินทางอย่างเพ่งพิศ
“ผู้ที่มาคือกษัตริย์มนุษย์ฉินใช่ไหม”
นกยักษ์กระพือปีกของมัน และแปลงร่างเป็นเทพเจ้าหัวนก เขาหุบปีกของตนเองและกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “อาชญากรรมของเจ้าถูกเปิดโปงแล้ว และท้าวยมราชก็หาตัวเจ้ามานาน!”
ฉินมู่ตกตะลึง “ข้าเคยทำอะไรด้วยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย”
…………………….
ภายใต้หน้าผา ประตูสองบานอันนำไปสู่โลกมิติที่แตกต่างกันสองโลกได้เปิดออก และแต่ละฝ่ายต่างก็มีข้อจำกัดของตนเอง
นี่มิใช่ครั้งแรกที่ทั้งสองคนนี้ได้พบเจอกัน และมิใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้ปะทะประมือ พวกเขาได้ต่อสู้กันในอดีต ในช่วงเวลาที่ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งกำลังจะถูกกลบฝัง
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้ต่อสู้กันอีกหลายต่อหลายครั้ง แต่มันได้เกิดขึ้นในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!
ที่หน้าผาภูเขา พวกเขาได้ต่อสู้กันนับครั้งไม่ถ้วน
ทั้งสองคนได้จากโลกมิติอันแห้งแล้งนี้ไปแล้ว และก็เป็นเพียงแต่รูปเงาของพวกเขาที่ต่อสู้กัน วรยุทธของพวกเขาสูงล้ำจนเกินไป และหากไม่มีโอกาสวาสนา ร่างที่แท้จริงของพวกเขาก็ไม่อาจเข้ามาในโลกนี้ได้
โลกแห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ และก็ไม่มีใครที่สามารถมีชีวิตรอดที่นี่
มันคือมหาซากโบราณแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
สถานที่อันร้ายกาจทารุณเสียยิ่งกว่าแดนโบราณวินาศของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง
ที่แดนโบราณวินาศ อย่างน้อยก็ยังมีรูปสลักหินของทวยเทพทั้งหลายเพื่อคอยปกป้องผู้คน ให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ รอดอยู่ได้ แต่ทว่า ที่นี่มีเพียงทะเลทราย และเมื่อความมืดรุกรานเข้ามาในยามราตรี ก็ไม่มีที่ใดให้พักพิง
ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มาตั้งสามหมื่นสี่หมื่นปีแล้ว มีก็เพียงเทพเจ้า
ในช่วงต้นรัชสมัยของจักรพรรดิก่อตั้ง เทพเจ้าทั้งหลายได้จากที่นี่ไปทีละคนสองคน พวกเขาเดินทางไปยังโลกมิติอื่น และสองคนที่กำลังสู้กันอยู่ในตอนนี้ก็คือเทพเจ้าสองตนสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลือ
“หญิงตระกูลป๋ายจากเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เจ้ามาถามหาบุคคลที่ทิ้งถ้อยคำเหล่านี้เอาไว้อย่างนั้นหรือ”
เทพเจ้าแขนเดียวมีร่างสูงตระหง่าน และมีดยาวที่สะพายหลังของเขาก็ส่งเสียงหึ่งฮัม เจตจำนงมีดูราวกับว่าจะแทงทะลุผ่านกาลอวกาศออกมาได้ เฉือนตัดเข้าไปยังโลกมิติอื่น เขายิ้มหยันและกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้าก็ได้ข่าวว่าเขาถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว ข้ารู้มานานแล้วว่าเพลงกระบี่ของเจ้ามีอะไรพิกล พวกมันเหนือล้ำกว่ายุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง และแม้แต่ก้าวหน้าไปกว่ายุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ข้าไม่เคยคิดใคร่ครวญเลยว่าเจ้าจะมีสายสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับจ้าวลัทธิมารฟ้า!”
ร่างกายของสตรีในแสงเทวะสั่นเทิ้ม และความปีติยินดีอาบไปทั่วทั้งหัวใจของนาง นางไม่สนใจความแค้นอาฆาตที่เผยออกมาของเขาเลยสักนิด “เขามาจริงๆ หรือ เขาที่เดินทางข้ามเวลาได้ปรากฏขึ้นที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”
“เจ้าไม่มีทางขวางข้าได้!” เทพเจ้าแขนเดียวในซุ้มประตูหินกล่าวอย่างจองหองสุดๆ “ข้าหมายจะสังหารเขา และเจ้าก็หมายจะหยุดยั้งข้า พวกเราได้ต่อสู้กันมาตั้งหลายปี แต่มันก็ไม่เคยมีผลลัพธ์ชัดเจน เจ้าและข้าต่างก็ทำอะไรกันไม่ได้ สาเหตุที่ข้าทิ้งให้แขนของข้าขาดหายไปดุจเดิมไม่เปลี่ยนแปลงนั้นก็เพื่อจะได้ต่อสู้กับเขาในวันหนึ่ง และชำระแค้นให้แขนขาดของข้า เพื่อทวงความแค้นที่เขาได้ทำให้มรรคาเต๋าของข้าด่างพร้อย”
“หากว่าข้ามิอาจทำลายเพลงกระบี่ของเขาด้วยเพลงมีดของข้า ข้าก็คงไม่อาจอยู่เป็นสุข ไม่อาจผลักดันให้เต๋ามีดของข้าก้าวขึ้นไปอีกระดับ! และในวันนี้ ข้าก็ได้รอมานานเกือบจะสี่หมื่นปีแล้ว!”
หญิงสาวในแสงเทวะของหน้าผาเดินออกจากรัศมีและยืนอยู่บนทะเลทราย นางเป็นเพียงรูปเงาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เจ้าจะพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์ หากว่าเจ้าเข้ามาในโลกแห่งนี้ไม่ได้”
เทพแขนเดียวหันกายกลับไป และผ้าคลุมหลังสีแดงโลหิตของเขาก็ไหวกระเพื่อมเพื่อปิดคลุมทั้งประตู ทันใดนั้น ที่ซึ่งผ้าคลุมกระเพื่อมไหวไปมา แสงมีดหนึ่งก็พุ่งออกมาเฉือนผ่าม่านคุ้มกันระหว่างสองโลก!
เจตจำนงมีดไร้ประมาณ และน่าสะพรึงกลัวอย่างถึงที่สุด มันถึงกับสามารถเฉือนเปิดม่านคุ้มกันระหว่างสองโลกได้!
แสงมีดแผ่พุ่งมาและทะยานออกจากประตูหิน สองคลื่นทรายถูกยกขึ้นไปบนอากาศ ตรงใจกลางนั้นคือกำแพงชันอันถูกยกเชิดขึ้นสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยวา และมันก็เหยียดยาวไปไกลหลายร้อยลี้!
แต่เมื่อบุรุษผู้นี้พยายามจะก้าวเข้ามาในโลก พลังอันไร้ตัวตนจากฟ้าและดินก็ดีดเขากลับไป
เด็กสาวเดินกลับเข้าไปในแสงเทวะและหายวับเข้าไปในหน้าผา “ด้วยพละกำลังของเจ้า ร่างที่แท้จริงของเจ้าไม่มีทางผ่านเข้ามาได้ ล้มเลิกความคิดเถอะ”
เทพแขนเดียวในประตูหินรั้งมีดของเขากลับมาและหันกายเดินจากไป ประตูหินค่อยๆ พังทลายลง “ข้าจะกลับมาที่โลกแห่งนี้ เพียงแค่ม่านคุ้มกันระหว่างโลก ไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า!”
กิเลนมังกรแบกฉินมู่และหีบไปยังก้อนเมฆ เมื่อครู่นี้ยังเป็นกลางวันอยู่ชัดๆ แต่ในเสี้ยววินาทีที่พวกเขาผ่านก้อนเมฆเข้าไป ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดทมิฬ เสียงน้ำปะทะถั่งโถมดังมาในราตรีอันมืดมิด และฉินมู่มองไปยังทิศทางเสียง เขาเห็นแสงกระจัดกระจายของหน้าผา ส่องสว่างอยู่ในยามกลางคืน
พวกเขาได้กลับมายังแดนโบราณวินาศ มาที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง
มันยังคงเป็นร่องเหวสวรรค์ที่เหยียดยาวจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกของแดนโบราณวินาศ และหน้าผาที่เกิดขึ้นจากชั้นแผ่นดินยกและทรุดต่างกันราวฟ้าและดิน อันแบ่งแยกแดนโบราณวินาศออกเป็นฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก นี่ก็ยังเป็นแหล่งธารต้นน้ำของแม่น้ำหย่งอีกด้วย อันคือน้ำตกที่พรั่งพรูลงจากหน้าผา แหล่งกำเนิดของน้ำพวกนี้ควรแก่การคิดใคร่ครวญ
มวลน้ำในแม่น้ำหย่งอาจจะมาจากโลกอื่น และอาจจะเข้าไปยังโลกอื่นผ่านรอยแยกพวกนี้ บางทีที่นี่อาจจะมีเรื่องราวอันผิดแผกแตกต่าง…
ฉินมู่มองไปยังหน้าผาขาด และหัวใจเขาพลันเต้นพลาดจังหวะ เขามองเห็นมนุษย์ไร้หัวยืนอยู่ที่รอยแยก!
ซิงอ้าน!
ขนหัวเขาลุกเต็มเหยียด ซิงอ้านได้ยืนป้องกันทางเข้าไปยังโลกมิติที่เขาเพิ่งจากมา และรอให้เขาเดินเข้าไปประจันหน้า!
โลกแห่งทะเลทรายเหลือนั้นเป็นโลกมิติที่สิ้นไร้สิ่งมีชีวิต โลกที่ตายดับไปอย่างสิ้นเชิง
เจ้าหมอนี่ถึงกับดึงหัวของตนเองออกไป และให้ร่างกายที่ไร้ศีรษะยืนป้องกันอยู่ที่นี่ เมื่อฉินมู่คิดดูแล้ว หัวและดวงตาของอีกฝ่ายคงยังเหาะไปอย่างสุ่มๆ ทั่วทะเลทรายสีเหลืองเพื่อตามหาตัวพวกเขา!
กิเลนมังกรก็สังเกตเห็นเรื่องนี้เช่นกัน และลงจอดกับพื้นอย่างเงียบเชียบ หีบส่องแสงเรืองออกมาขับไล่ความมืดออกไป ปกป้องพวกเขา
เมื่อกิเลนมังกรมาถึงพื้นดิน ฉินมู่ก็ปีนลงจากหลังของเขาอย่างไร้สุ้มเสียง หมอบต่ำเอาไว้ กิเลนมังกรก็หดย่อร่างกายตนเองให้เล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปีนขึ้นไปบนหีบ ฉินมู่เองก็ขึ้นไปบนหีบเช่นกัน อันมันก้าวอาดๆ เข้าไปใกล้แม่น้ำ
น้ำในแม่น้ำที่นี่เป็นต้นธารของแม่น้ำหย่ง เพราะว่าท้องน้ำไม่กว้างนัก กระแสน้ำจึงไม่ไหลเชี่ยวสักเท่าไร เรียกได้ว่าเป็นต้นน้ำ
หีบเข้าไปในแม่น้ำ และขาของมันก็ถีบพุ้ยน้ำแหวกว่ายไปทางปลายน้ำอย่างเงียบๆ
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก ซิงอ้านได้ทิ้งศีรษะของตนเอาไว้ในโลกมิตินั้น ดังนั้นเขาจึงสูญเสียความสามารถที่จะสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวเขา ทำให้ฉินมู่และคณะลอบหลบหนีไปได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ตราบเท่าที่พวกเขาไปได้ไกลกว่านี้ โอกาสที่ซิงอ้านจะตามหาตัวพวกเขาเจอก็จะยิ่งริบหรี่
ในตอนนั้นเองก็มีเสียงกึงเมื่อหีบเข้าไปชนกับแก่งหิน เสียงนี้ไม่ได้ดังมากมาย แต่กลับฟังบาดหูในยามดึกสงัด
พวกเขายังไปได้ไม่ไกลจากทั้งน้ำตกและซิงอ้าน
ฉินมู่หันกลับไปดูและเห็นซิงอ้านผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงรอยแยกไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จังหวะเต้นของหัวใจเขาสงบลงไป และเขาแย้มยิ้ม ข้าระวังตัวเกินไป และลืมไปว่าศีรษะของซิงอ้านไม่ได้อยู่ที่นี่ โดยปราศจากหูและตา ต่อให้พวกเราเดินเฉียดหน้าเขา เขาก็คงไม่อาจมองเห็นหรือได้ยินพวกเราได้
กิเลนมังกรก็ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “เสียงน้ำตกดังจะตาย เช่นนั้นทำไมเราต้องกลัวเขาจะได้ยินพวกเราด้วยล่ะ…จ้าวลัทธิ”
ฉินมู่สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ในรอยแยกของหน้าผา ร่างกายของซิงอ้านพลันหันกลับมา และคอของเขาดูจะยาวเป็นพิเศษ ทั้งสองข้างคอมีใบหูอยู่ข้างละอัน
กายเนื้อของเขานั้นราวกับเทพเจ้า ดังนั้นมันจึงเปล่งแสงเทวะอันสะดุดตาในความมืด
ซิงอ้านได้ตัดหูของเขาออกและปลูกถ่ายมันลงบนคอของตนเอง!
ในจังหวะนั้น สองหูของเขาสั่นสะเทือนในสายลมและขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมหึมาเสียยิ่งกว่าช้างทองคำที่โหรวหลัน!
ฉินมู่หักใจเด็ดเดี่ยวและใช้สำนึกรู้ของเขาถ่ายทอดเสียง “หนี! อย่าใช้ทางน้ำ! ขึ้นฝั่งไป!”
ความเร็วของหีบที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำนั้นช้ากว่าบนบกมาก ในความมืด พวกเขาจำเป็นต้องอาศัยหีบในการพิทักษ์คุ้มกันจากความมืด ดังนั้นหีบเร็วเท่าไร พวกเขาก็เร็วเท่านั้น
ในรอยแยกของหน้าผา ร่างไร้ศีรษะพลันเหาะขึ้นมา และกระโจนขย้ำเข้าไปยังตรงจุดที่ฉินมู่และคณะเคยอยู่!
ในเวลาเดียวกัน ลูกตาลูกหนึ่งก็รีบเหาะออกมาจากในรอยแยกอย่างรวดเร็ว เมื่อมันทำเช่นนั้น มันก็หยุดอยู่กลางอากาศ แสงเทวะสาดส่องออกจากลูกตา และให้แสงสว่างแก่บริเวณโดยรอบ เพื่อให้มันสามารถจำแนกแยกแยะสภาพแวดล้อมได้
เสาแสงจึงส่องลงมาจากเนตรเทวะและสาดส่องบริเวณหลายสิบไร่พลางเคลื่อนที่ไปข้างหน้า!
“บัดซบ…”
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ หีบสามารถป้องกันการรุกรานจากความมืดได้ แต่ความเร็วของมันไม่เร็วมากนัก บัดนี้เมื่อมันอยู่ในน้ำและมิได้อยู่บนบก ความเร็วของมันก็ยิ่งช้าเข้าไปใหญ่ แต่พวกเขาก็ทิ้งมันหนีไปไม่ได้!
ตึง!
ซิงอ้านที่ไร้หัวลงมาเหยียบบนน้ำ ไม่ไกลไปจากพวกเขา เขาเอียงหูที่คอของตนเองและยืนอยู่อย่างไม่ไหวติง หูทั้งสองข้างของเขายิ่งขยายใหญ่เข้าไปอีก
ทันใดนั้น แสงสว่างจากบนท้องฟ้าก็สาดส่องลงมาราวกับเสาแสง อาบลงบนร่างไร้ศีรษะของซิงอ้าน จากนั้นมันก็กวาดไปข้างหน้า และตกต้องร่างของฉินมู่และกิเลนมังกรซึ่งลอยน้ำอยู่บนหีบ พวกเขาดูว้าวุ่นอย่างสุดๆ
ฉินมู่ยิ้มสู้เสือ และหีบใต้เท้าเขาก็หยุดเช่นกัน อยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ซิงอ้าน หากว่าข้าช่วยท่านให้หลุดพ้นจากความป่วยไข้อันแฝงเร้นของท่านได้ ท่านจะปล่อยข้าไปหรือไม่”
บนคอของซิงอ้าน หูของข้าพลันโบกสะบัด และดวงตาที่อยู่กลางอากาศก็ลอยเข้ามา
“ความไร้ยางอายของเจ้าทำให้แม้แต่ข้าก็ยังแตกตื่น เจ้ายังมีหน้ามาพูดถึงเรื่องนี้อีกหรือ”
เมื่อเสียงของซิงอ้านดังมา ศีรษะหนึ่งก็ลอยออกมาจากความมืดข้างหลังร่างกายของเขา และลงไปต่อบนคอ
ในเวลาเดียวกันนั้น หูสองข้างก็ลอยขึ้นมาและไปปักเข้าที่รูหูของเขา
ดวงตาอีกดวงลอยมา แต่มันไม่ได้เข้าไปในเบ้าตา มันลอยอยู่ในอากาศเหนือฉินมู่ คอยเฝ้าระวังความเคลื่อนไหวของเขา
ซิงอ้านเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ตอนนี้ข้าบอกเจ้าได้เลยว่าไม่ ยอดหมอเทวดาฉินนั้นกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์จนเกินไป เมื่อข้าเผลอแวบเดียว เจ้าก็ถึงกับขโมยหีบของข้า ข้าเกรงว่าหากปล่อยให้เจ้ารักษาข้า แม้แต่ชีวิตก็คงถูกเจ้าขโมยไปเหมือนกัน! บุคคลที่กลอกกลิ้งชั่วร้ายเช่นนี้ มีก็แต่เปลี่ยนเจ้าให้เป็นศพข้าถึงจะสบายใจ”
บนแม่น้ำ คลื่นของหมอกพลันโหมเข้ามายังพวกเขา ไอน้ำที่นี่หนาแน่นอย่างสุดๆ และหมอกหนาก็มันแผ่ขยายออกมาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น
ฉินมู่มองไปที่หมอกหนา และหัวใจเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “พี่ซิงอ้านระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว อันที่จริง ท่านก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เพียงแต่ยึดติดกับความอมตะมากเกินไป ช่วงนี้ท่านไม่ได้ไปที่สันตินิรันดร์เลยสินะ? ข้าได้ซ่อมแซมสะพานเทวะและก่อตั้งตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของมัน ตราบใดที่ท่านฝึกปรือมัน ท่านก็จะสามารถซ่อมแซมสะพานเทวะได้โดยสมบูรณ์ อันที่จริงแล้ว ทุกๆ คนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์รู้เรื่องนี้ ยกเว้นก็แต่ท่านที่ยังคงแสวงหาวิธียืดอายุขัยด้วยการพึ่งพิงชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น”
ซิงอ้านนั้นกำลังจะลงมือกำจัดเขา แต่เขาตกตะลึงจากสิ่งที่ได้ยิน เขายิ้มหยันและกล่าว “เจ้ากำลังโกหก! หากว่าเจ้ามีวิชาฝึกปรือแบบนี้จริงๆ ทำไมเจ้าถึงไม่เก็บมันเอาไว้เอง แต่กลับเผยแพร่ออกไปแทนล่ะ เจ้านั้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นเจ้าย่อมต้องถ่ายทอดวิชาฝึกปรือนี้ให้กับสาวกลัทธิแทน เพิ่มพูนแสนยานุภาพของลัทธิของเจ้า! ยิ่งไปกว่านั้น ผู้สูงศักดิ์ก็อยู่กับข้ามาตั้งหกเจ็ดวัน ทำไมเขาไม่พูดถึงเรื่องนี้กับข้าเลยสักนิด”
ฉินมู่หัวเราะและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์หมายจะยืมมือท่านมากำจัดข้า และยังอยากที่จะให้ท่านกับเทพหมอผีขุยย่อยยับกันไปทั้งสองฝ่ายอีกด้วย ดังนั้นเขาจะบอกท่านเรื่องนี้ได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น จะให้เก็บมันไว้กับข้าเพียงคนเดียวงั้นหรือ…ท่านประเมินกรอบคิดจิตใจของข้าต่ำเกินไปแล้ว”
“หากว่าท่านแสวงหาความเป็นอมตะ ท่านสามารถโยนทุกสิ่งทุกอย่างในหีบ และละทิ้งชิ้นส่วนอวัยวะของบุคคลอื่นไปโดยสิ้นเชิง ท่านเพียงแต่ต้องเรียนวิชาฝึกปรือจากข้าสามประเภท เคล็ดลับสะพานนกกางเขน เคล็ดลับนำทางปริศนา และเคล็ดลับเทพข้ามพ้น เมื่อใดที่สะพานเทวะของท่านก่อรูปขึ้นมา ท่านก็จะสามารถข้ามมันและเข้าไปในปราสาทสวรรค์ได้ กลายเป็นเทพเจ้าผู้ไม่มีวันตาย ว่ากันตามตรงแล้ว ตอนนี้มีผู้ที่นำหน้าท่านไปก้าวหนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ได้บรรลุเป็นเทพเจ้าแล้ว”
หมอกยิ่งมายิ่งหนาหนัก ท่วมทับทั้งสองคน
ดวงตาของซิงอ้านยังคงอยู่บนท้องฟ้า และลอยเข้ามาใกล้อีก พวกมันจ้องเขม็งไปที่ฉินมู่ และแม้ว่าจะมีหมอกหนาทึบ ก็ยังคงเห็นได้อย่างกระจ่างชัด
เสียงของซิงอ้านดังมาจากหมอกหนาเมื่อเขาถอนหายใจและกล่าว “มีจิตใจกว้างขวางเช่นนี้นับว่าเจ้านั้นไม่ธรรมดา ข้าได้ดูแคลนเจ้าจนเกินไป แต่ทว่า เจ้าก็ดูแคลนข้าที่คิดว่าข้าช่วงชิงชิ้นส่วนของผู้อื่นเพียงเพื่อความอมตะ เป้าหมายของข้านั้นคือการบรรลุเป็นเทพเที่ยงแท้ ดังนั้นข้าก็จะสังหารสิ่งคนที่ข้าต้องสังหาร และข้าก็จะยังคงแย่งชิงชิ้นส่วนของคนอื่นๆ ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติสะพานเทวะของเจ้านั้นมีประโยชน์ต่อข้ามาก ดังนั้นข้าขอขอบคุณ แต่ในเมื่อเจ้าได้ถ่ายทอดมันให้กับทุกๆ คนไปแล้ว…”
ลำแสงส่องออกมาจากดวงตาของฉินมู่ และร่างกายของเขาพลันจมลงไปในน้ำ ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกมา และแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วน ห่อหุ้มตัวเขากิเลนมังกร และหีบ!
“แล้วเก็บเจ้าไว้จะมีประโยชน์อะไร”
แสงสาดส่องเจิดจ้าจากดวงตาของซิงอ้าน และเฉือนตัดอักษรรูนรอบๆ ฉินมู่ กระนั้นเด็กหนุ่มก็ยังคงแย้มยิ้มและชักมีดของเขาออกมา กวัดแกว่งมันเหมือนกับพายุ ด้วยแต่ละมีด อักษรรูนแต่ละตัวที่ถูกทำลายจากการบีบอัดของห้วงอวกาศก็จุดแสงขึ้นมาอีกครั้ง
แสงมีดห้อมล้อมตัวเขาจากทุกทิศทาง และแม้แต่ซิงอ้านก็อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “ความสามารถเจ้าไม่เลวเลยสักนิด ไม่ด้อยกว่าข้าในอดีตเลย”
กายเนื้อของเขาถลันเข้าไปจะโจมตี แต่ขณะที่เขาจะฟาดซัดฉินมู่นั่นเอง ทั้งโลกก็หมุนติ้ว และสีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว “บัดซบ!”
พึ่บบบ!
ดวงตาทั้งสองดวงของเขาหายไป กายเนื้อของเขาพึ่งพิงดวงตาในการมอง แต่บัดนี้พวกมันถูกฉินมู่เคลื่อนย้ายระยะไกลไปลิบลับ ภาพที่ซิงอ้านมองเห็นผ่านตาหมุนเหวี่ยงหวือราวกับข้ามโลกข้ามมิติ!
“อุแหวะ–”
ซิงอ้านอ้าปากอ้วก พลางใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองเพื่อสะกดข่มทัศนวิสัยอันสับสน เขารู้สึกเหมือนกับร่างทั้งร่างหมุนเป็นลูกข่าง แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพียงประสาทสัมผัสลวงที่นำมาจากทัศนวิสัย!
“ในอดีตงั้นหรือ ซิงอ้าน จะให้เจ้าถือรองเท้าให้ข้าก็ยังไม่คู่ควร!” ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และอักษรรูนก็จุดแสงสว่างรอบตัวเขาอีกครั้ง ซิงอ้านได้ยินเสียงของเขา และรีบพุ่งเข้าไป ในจังหวะที่เขาเคลื่อนไหว เขาก็พลันพบว่านี่เป็นความคิดที่ผิดพลาด เสียงปังดังสนั่นออกมาในจังหวะถัดมาที่เขาพุ่งไปหลายสิบลี้เข้าไปในหน้าผา!
เนตรเทวะได้ให้ทัศนวิสัยแก่เขา ฉะนั้นเมื่อตอนนี้มันหมุนติ้วอย่างไม่หยุดยั้ง การกะคะเนพื้นที่ของเขาก็หายไป และทำให้เขาไม่อาจกำหนดทิศทาง!
ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งขึ้นมา และอักษรรูนปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล และหายวับไปพร้อมกับหีบและกิเลนมังกร
ข้าสามารถเคลื่อนย้ายระยะไกลดวงตาของซิงอ้านไปได้เกือบร้อยลี้ แต่เมื่อข้านำกิเลนมังกรและหีบไปด้วย ข้าก็เคลื่อนย้ายพวกเราไปได้แค่สี่ลี้เป็นอย่างมาก แต่ตราบเท่าที่ข้าไม่สร้างสุ้มเสียง ข้าก็คงจะสามารถหลบหนีเข้าไปในใต้แม่น้ำ และเล็ดรอดไปได้…
ฉินมู่ซึ่งยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายระยะไกล พลันได้ยินเสียงชนอึกทึกกึกก้อง ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเขาล้มเหลว และเขาชนเข้ากับภูเขาโครงกระดูกอันพลันปรากฏขึ้นมาจากที่ใดก็ไม่ทราบได้ กระดูกมากมายปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าจากการพุ่งชน
นี่ทำให้ฉินมู่ตกตะลึง อึ้งจนพูดไม่ออก
โครงกระดูกที่ร่วงตกจากภูเขา ร่วงผ่านเขาไปพลางร้องออกมา “นี่เจ้าตาบอดหรืออย่างไร”
…………………..
ฉินมู่วางแผนการเป็นมั่นเหมาะ และเขาหยุดที่ระยะห่างออกไปหนึ่งร้อยลี้ หีบและกิเลนมังกรอยู่ติดกันข้างๆ เขา
หนึ่งร้อยลี้นั้นไกลเพียงพอ ถึงแม้ว่าพลานุภาพของกับดักนี้จะร้ายกาจ แต่มันก็คงยากที่จะคุกคามชีวิตของพวกเขาจากระยะห่างขนาดนี้
ฉินมู่กอบทรายเหลืองขึ้นมากำหนึ่งและเป่าออกไปเบาๆ ทรายพวกนี้ก็ก่อตัวกันขึ้นมาเป็นมนุษย์ทรายขนาดสามนิ้วที่ยืนอยู่กับพื้น
‘ยักษ์ทราย’ นี้อ้าปากของมันร้องคำรามออกไปอย่างเกรี้ยวกราด ทรายเหลืองรอบๆ ร่างท่อนล่างของมันปั่นหมุนเป็นเกลียววน และยักษ์ทรายตัวเล็กก็พุ่งตรงไปยังหน้าผาภูเขาอันอยู่ห่างไปหนึ่งร้อยลี้ เต็มไปด้วยจิตสังหารดาลเดือด
กิเลนมังกรเต็มไปด้วยความคาดหวังตื่นเต้น แต่เมื่อผ่านไปครู่หนึ่ง ความคาดหวังของเขาก็เหือดหายไป เขายังคงจ้องมองไปยังที่ไกลๆ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหน้าผา
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหัวของเขาและมองยังที่ไกลๆ อัน ‘ยักษ์ทราย’ ตัวเล็กจิ๋วหลิวกำลังกลิ้งข้ามเนินทรายและพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไปยังหน้าผา
กิเลนมังกรอ้าปากหาวและปลุกปลอบจิตใจตนขึ้นมา “จ้าวลัทธิ มันไปเกือบจะถึงแล้วใช่ไหม”
ฉินมู่คิดคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกล่าว “ประมาณหนึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น มันจึงจะไปถึงที่นั่น”
กิเลนมังกรหมอบลงไปและพึมพำ “เช่นนั้นข้าขอนอนหลับสักประเดี๋ยว เรียกข้าด้วยนะตอนที่มันไปถึงแล้ว”
ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ฉินมู่ก็เตะสัตว์ยักษ์ตัวนี้ให้ตื่นขึ้นมา และกิเลนมังกรก็รีบลุกขึ้นพลางถามอย่างตื่นเต้น “มันไปถึงแล้วหรือ”
“มันจะไปถึงในเวลาครึ่งก้านธูป!” ฉินมู่ยิ้มกล่าว “พวกเราเหาะขึ้นไปบนอากาศกันเสียก่อน หากว่าเกิดอะไรขึ้นมา จะได้หนีกันได้ง่ายๆ!”
หีบไต่ขึ้นมาบนหลังกิเลนมังกรเช่นกัน เจ้าอ้วนนี้พลันเหยียบขึ้นไปบนเมฆอัคคีเพื่อเหาะเหินสู่ห้วงเวหา พลางมองไปยังทิศไกลๆ จากระยะหนึ่งร้อยลี้ สามารถมองเห็นสิ่งเล็กจิ๋วที่รีบเร่งเดินทางไปยังหลักจารึกหินพลางร้องคำรามอย่างดุร้าย หากว่าไม่เพราะสายตาที่ดีของเขาเขาก็คงอาจแยกแยะมันกับทรายรอบๆ ไม่ออก
ในทางกลับกัน ฉินมู่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ยักษ์ทรายตนนี้คำรามอยู่ครึ่งค่อนวัน และในที่สุดก็ไปถึงโคนหลักศิลาจารึก และยังคงเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา
จากนั้น มันก็พยายามอย่างเต็มกำลังที่จะโกยทรายออกไปพลางร้องโฮกๆ
ฉินมู่พูดอะไรไม่ออก กิเลนมังกรอ้าปากหมายจะกล่าวอะไรสักอย่าง แต่เขาก็หุบปากลงไปและรออย่างเงียบกริบ เขาคิดอยู่กับตนเอง หากว่าข้าไม่ระวังไวและกล่าวถึงเรื่องนี้ ข้าเดาว่าพรุ่งนี้ข้าอาจจะไม่มีอะไรกิน
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยักษ์เนินทรายก็ขุดทรายจนเป็นหลุมเล็กๆ และถ้อยคำข้างใต้หลักศิลาก็เผยออกมาในที่สุด ไม่ทันที่ฉินมู่จะมองเห็นว่ามันเขียนไว้อย่างไร ผืนทรายก็เผยอกระเพื่อมในหลุมทรายราวกับสายรุ้งที่พุ่งผงาด ถล่มท่วมยักษ์ทรายตัวน้อย
ไม่เพียงแต่มันจะถูกกลืนเข้าไป พื้นที่ในรัศมีหลายสิบลี้โดยรอบก็แปรเปลี่ยนเป็นสนามสังหารอันน่าสะพรึงกลัว ทรายเหลืองโหมเห่อขึ้นมาและคลี่คลุมทั้งทะเลทรายราวกับโดมดินเหลือง จากข้างในโดมดินเหลืองนี้มีเสียงของมีดมากมายร้องคำราม!
ขนและเกล็ดของกิเลนมังกรชี้ชูชันทั่วทั้งตัวจากความตื่นตระหนก แม้แต่ฉินมู่ก็รู้สึกขนหัวลุกเต็มเหยียด
กับดักนี้ถึงกับน่าสยดสยองเสียยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้ โชคยังดีที่เขาระวังตัวเอามากๆ และคะเนว่าควรจะออกไปห่างสักร้อยลี้ก่อนค่อยกระตุ้นการทำงานของมัน
ในโดมทรายเหลือง แสงมีดโบยบินไปทั่วทุกทิศทาง ตัด ฟัน ผ่า และเฉือน การเปลี่ยนแปลงทุกชนิดทุกแบบเติมเต็มไปทั้งพื้นที่รัศมีหลายสิบลี้นี้!
“เพลงมีดแบบนี้…”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาพลันมีสังหรณ์ร้าย ราวกับว่าเขาเคยเห็นของแบบนี้มาก่อน!
แต่มิได้เห็นในสันตินิรันดร์ มันเป็นเมื่อคืนนี้ ค่ำคืนของห้วงเวลาเมื่อสามสี่หมื่นปีก่อน เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มนามลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่วของสภาสวรรค์!
เพลงมีดที่ลั่วอู๋ชวงได้ร่ายรำออกมา มีความคล้ายคลึงกับแสงมีดในหลุมทราย!
“ไอ้หนุ่มแขนเดียวนั่นยังมีชีวิตอยู่หรือ ไหนผู้สูงศักดิ์ว่าไอ้เด็กนั่นคงไม่รอดชีวิตนานขนาดนี้หรอก และข้าไม่จำเป็นต้องกังวล…”
ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ แต่รอยยิ้มของเขาค่อยๆ แข็งทื่อ ไม่นานสีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ
กับดักทักษะเทวะที่ลั่วอู๋ชวงจัดวางเอาไว้ที่นี่ทรงพลังอย่างยิ่ง มันทรงพลังอย่างเหลือเชื่อขนาดที่ว่าซิงอ้านอาจจะยังไม่มีพลังวัตรอันไร้ประมาณระดับนี้
นี่หมายความว่าไม่เพียงแต่ลั่วอู๋ชวงจะยังคงมีชีวิตอยู่ เขายังมีชีวิตที่ดีอีกด้วย เขาดูเหมือนจะกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างสุดๆ เป็นเทพเจ้า!
เขาคงจะเก็บความแค้นที่โดนสะบั้นแขน และเมื่อครั้งหนึ่งมาเจอกับหน้าผานี้เข้าหลังจากที่บรรลุเป็นเทพเจ้าแล้ว เมื่อเขาเห็นลายมือของฉินมู่ เขาก็ได้ทิ้งหลักหินจารึกเอาไว้
หากว่าฉินมู่เสาะหาที่นี่พบ เขาก็คงจะต้องอยากรู้อยากเห็นว่าบนหลักจารึกนี้มีอะไรเขียนเอาไว้ และจะต้องประสบเภทภัยจากการโจมตี!
ข้าไม่น่าพูดชื่อจริงเลย น่าจะใช้ชื่อปลอมมากกว่า…แต่ถึงอย่างไร เรื่องดีๆ ก็คือพวกเราสองคนสามารถแบกรับเคราะห์ร้ายร่วมกัน ลั่วอู๋ชวงนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นเกินไป ผู้สูงศักดิ์ก็โดนข้าตัดขา และตัดขาข้างเดียวกันซ้ำถึงสองครั้ง แต่เขาไม่เห็นจะว่าอะไรข้า
ทักษะเทวะที่ลั่วอู๋ชวงทิ้งเอาไว้มิได้คงอยู่นานนัก และไม่นานพลานุภาพของมันก็กระจัดกระจายไป ทรายเหลืองบนท้องฟ้าก็ถูกเฉือนป่นจนป็นฝุ่นละอองอันคลุ้มไปในอากาศ ล่องลอยไปทั่วทิศทางตามแต่ลมจะโบกโบยไป
ฉินมู่หรี่ตา ลอบตื่นตระหนก
เมื่อค่ำวานนี้ เมื่อเขาและลั่วอู๋ชวงปะทะกัน แม้ว่าเพลงมีดของลั่วอู๋ชวงจะเพริศแพร้วพิสดาร แต่มันก็ยังคงต่ำชั้นกว่าเขา
ลั่วอู๋ชวงใช้เพลงมีดแยกร่าง หนึ่งแยกเป็นสอง สองเป็นสี่ สี่เป็นแปด ฯลฯ เมื่อเพลงมีดเช่นนี้แยกเป็นครั้งที่สิบ มันก็จะเกิดหนึ่งพันยี่สิบสี่แสงมีด เมื่อมันแยกไปจนถึงครั้งที่สิบสี่ มันก็จะมากถึงหนึ่งหมื่นหกพัน
กระนั้นเพลงมีดนี้ก็มีช่องโหว่อันใหญ่หลวง และนั่นก็คือพลังวัตรของลั่วอู๋ชวงมีขอบเขตจำกัด ยิ่งแสงมีดแยกร่างออกไปมากเท่าไร พลานุภาพของแต่ละรังสีก็ยิ่งลดทอนลงไปมากเท่านั้น ยิ่งแยกมากไปเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังคุกคามน้อยลงไปเท่านั้น
ลั่วอู๋ชวงสามารถแสดงความเขื่องโขต่อหน้ายอดฝีมืออื่นๆ แต่เมื่อต้องเผชิญกับผู้คนเช่นฉินมู่ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเชิงกระบี่และเชิงมีดในเวลาเดียวกัน เขาก็ยากจะเอาชัยได้เปรียบ
เพราะเช่นนั้น ถึงแม้ว่าพลังวัตรของฉินมู่จะแทบเหือดแห้งไปหมดแล้ว และก็กำลังบาดเจ็บ ฉินมู่ก็ยังคงสามารถสะบั้นแขนของเขาไปข้างหนึ่งได้
แต่ในตอนนี้ ฉินมู่พบว่ามีดของลั่วอู๋ชวงได้ยกระดับขึ้นมาถึงเขตขั้นอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
ในรัศมีหลายสิบลี้ ทรายเหลืองปลิวว่อนไปทั่วฟ้า แต่อันตรายที่แท้จริงอยู่ในแสงมีดที่ซุ่มซ่อนในเม็ดทราย
ราวกับว่าทุกหนทุกแห่งในเขตรัศมีหลายสิบลี้มีแสงมีดอยู่เต็มไปหมด แต่ก็ดูราวกับว่ามีเพียงมีดเล่มเดียว หาใช่หลายต่อหลายมีดอย่างเช่นที่เขาพบพานตอนที่ปะทะกับเพลงมีดแยกร่าง
เมื่อแสงมีดเฉือนตัดเม็ดทรายทั้งหลาย มันคงจะสะท้อนและกระเด้งออกไป เพราะความเร็วของมันสูงล้ำจนเกินเหตุ มันจึงสร้างภาพลวงตาว่าเกิดแสงมีดเต็มไปหมดทุกหนทุกแห่ง กระนั้นจริงๆ แล้ว ลั่วอู๋ชวงได้ฟันมีดไปเพียงครั้งเดียว!
ฉินมู่เดาว่าหลังจากที่ลั่วอู๋ชวงบรรลุเป็นเทพเจ้าและได้มาที่นี่ เขาได้เห็นถ้อยคำที่ฉินมู่ทิ้งเอาไว้บนกำแพงหิน จากลายมือ เขาจดจำเพลงกระบี่ของฉินมู่ได้ และตัดสินใจที่จะตั้งหลักจารึกหินเอาไว้
ระหว่างที่ยืนหน้าหลักศิลา เขาคงจะฟันมีดฝังลงไปในทรายเหลือง ซ่อนเจตจำนงและทักษะเทวะของมันเอาไว้ในทะเลทราย!
หลายปีต่อมา เมื่อฉินมู่มาถึงสถานที่นี้และกระตุ้นการทำงานของมัน พวกมันก็จะระเบิดออกมาด้วยพลานุภาพอันร้ายกาจ!
หางตาของฉินมู่กระตุก และเขาเดินเข้าไปในฝุ่นคลีอันคลุ้งตลบ เขาฝ่าอากาศอันยากจะหายใจและเดินตรงไปยังหน้าผา
เพลงมีดของลั่วอู๋ชวงได้บรรลุถึงเขตขั้นมรรคาเต๋า และเหมือนกับราชครูสันตินิรันดร์ เขานั้นเป็นตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวในเขตขั้นเต๋า!
สามารถบรรลุเต๋าด้วยมีด ปฏิภาณความเข้าใจของเขาในเต๋าแห่งมีดจะต้องไม่ด้อยไปกว่าคนแล่เนื้อ ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือพลังวัตรของเขาย่อมเข้มข้นและเหนือล้ำกว่าคนแล่เนื้อไปหลายต่อหลายขุม!
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย หน้าผาตรงหน้าเขายังอยู่ที่นี่ และถ้อยคำที่เขาเขียนเอาไว้ก็ยังอยู่ดี หน้าผาไม่ได้รับความเสียหายเลยแม้แต่นิด มันดูราวกับว่าทักษะเทวะของลั่วอู๋ชวงจงใจหลีกเลี่ยงมัน
ฉินมู่ไม่คิดอะไรมากความ และมองไปที่หลักศิลาจารึก
ถ้อยคำบนหลักจารึกเผยออกมา แต่ที่ตามมามิใช่ ‘กลบฝังไว้ที่นี่’ ดังที่ฉินมู่คาดเดา มันกลับเป็นประโยคอื่นๆ ที่เขียนไว้ด้วยลายมืออันคล้ายคลึงกัน
“เจ้าคิดว่านี่คือกับดัก เจ้าคิดว่าเพลงมีดของข้าที่นี่มีไว้เพื่อสังหารเจ้า งั้นหรือ ผิดแล้ว ต่อให้เจ้ายืนอยู่ตรงนี้ เจ้าก็จะไม่เป็นอะไรแม้รอยขีดข่วน”
“ข้ารอเจ้าอยู่ จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ข้าได้ผ่านกาลเวลาสองหมื่นปี ตลอดทั้งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง กระนั้นข้าก็ไม่เคยพบร่องรอยของลัทธินักบุญสวรรค์ นั่นจนกระทั่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไป”
“ซากทัพแห่งจักพรรดิก่อตั้งได้สถาปนาลัทธินักบุญสวรรค์ขึ้นมา และถึงตอนนั้นข้าจึงเพิ่งจะตระหนักได้ว่าบุคคลที่ข้ารออยู่นั้นมิได้มีตัวตนอยู่ในอดีต แต่ดำรงอยู่ในอนาคต!”
“ลัทธินักบุญสวรรค์มีคำว่า ‘นักบุญ’ แต่อันที่จริงแล้วกลับเดินไปในมรรคามาร จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ ที่แท้แล้วก็คือจ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่!”
“เมื่อใดที่เจ้ากระตุ้นกับดักของข้า ทักษะเทวะนี้ก็จะบอกเตือนข้าว่าเจ้าอยู่ที่นี่! ข้าได้รอเจ้ามาตั้งนานแล้ว…”
ฉินมู่สีหน้าเคร่งเครียดทันทีและระบายลมหายใจสะท้าน เขากระโดดขึ้นหลังกิเลนมังกรและตะโกน “ไปเร็วเข้า! พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว!”
กิเลนมังกรรีบวิ่งตะบึงออกไป และหีบก็ตามพวกเขาไปด้วยราวกับว่ากำลังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด
ใบหน้าของฉินมู่กลายเป็นเยือกเย็นและสงบนิ่ง
มันไม่ใช่กับดัก
แม้ว่ามันจะดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่กับดักนั้นก็เพียงแค่ว่าลั่วอู๋ชวงจะสัมผัสได้ถึงการกระตุ้นเร้าทักษะเทวะของเขา และก็จะรู้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าได้มาถึงแล้ว มันก็เพียงเท่านั้น!
ลั่วอู๋ชวงเป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมานานสามสี่หมื่นปี และคิดแค้นฉินมู่ที่สะบั้นแขนของเขามาตั้งแต่ช่วงเวลาอันยาวนานนั้น สำหรับฉินมู่ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ แต่สำหรับเขา มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามสี่หมื่นปีก่อน!
เขาเก็บงำความแค้นมานาน แต่กับดักที่เขาวางเอาไว้มิได้ใช้เพื่อสังหารฉินมู่ หากแต่บอกเตือนเขาถึงการปรากฏตัวเท่านั้น ลั่วอู๋ชวงน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
เขาสร้างกับดักนี้ขึ้นมาเพียงเพื่อว่าเขาจะได้มาเก็บเกี่ยวชีวิตของฉินมู่ด้วยมือตนเอง!
ฉินมู่นำหีบหลบหนีไปไกลตลอดทั้งบ่าย ขณะที่ดวงตะวันร่วงลงไปทางทิศตะวันตกมากขึ้นทุกที ดวงตะวันในทะเลทรายไม่เหมือนกับในสันตินิรันดร์ และทั้งโลกแห่งนี้ก็ดูไม่เหมือนกัน
พวกเขาวิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิตผ่านทะเลทราย แต่ดูเหมือนมันทอดยาวไกลไม่รู้จบ มองไม่เห็นขอบฟ้า มองไม่เห็นเขตสิ้นสุด
ฉินมู่ไม่อาจเสาะหาพบแม้แต่รอยแยกที่พวกเขามุดเข้ามา
เหงื่อหยาดหยดจากหน้าผากของเขา หากว่าเขาเดินออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เขาก็คงจะตายในสถานที่ผีสางนี่เสียก่อนที่ลั่วอู๋ชวงจะมาคร่าชีวิตเขาเสียอีก!
เขาอาจจะตายจากความกระหาย ความหิว หรือกลายเป็นเสียสติจากความโดดเดี่ยว หรือแม้แต่ตายจากความชรา
อย่าแตกตื่น อย่าแตกตื่น คิดสิ…
เขาทำใจให้สงบและคิดย้อนถึงเส้นทางที่พวกเขาได้เข้ามา ในทะเลทรายกว้างใหญ่เส้นทางที่พวกเขาเข้ามาได้สาบสูญไปนานแล้ว แม้ว่าเขาจะเจอมันเขาก็ไม่อาจย้อนรอยไปได้อยู่ดี
ซิงอ้านตามพวกเรามาไม่ทัน ดังนั้นเขาจะต้องไปดักรอที่ทางเข้ารอยแยกอย่างแน่นอน หมายที่จะให้ข้าส่งตัวเองป้อนเข้าปากเขา ฉินมู่ประกายตาวูบวาบ และเขาเงยศีรษะขึ้น ที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง อันมีหน้าผาขาดทอดเหยียดยาวจากทิศตะวันออกถึงตะวันตกของแดนโบราณวินาศ ข้าเห็นท้องฟ้าห้าชั้นซ้อนทับกัน! นี่หมายความว่ามีเส้นทางออกทางอื่นอยู่ในโลกนี้ และข้าก็จะสามารถกลับไปยังแดนโบราณวินาศผ่านเส้นทางเหล่านั้นได้!
ชั้นต่างๆ ของวงจรพยุหะปรากฏหมุนวนในดวงตาของเขา เมื่อเขาขี่ไปโดยไม่ควบคุมบังคับ ปล่อยให้กิเลนมังกรวิ่งไปทางทิศตะวันตกระหว่างที่เขาจ้องมองขึ้นไปบนท้องฟ้า
เมื่อราตรีมาถึง กิเลนมังกรไม่กล้าออกหน้า ดังนั้นเขาจึงกระโดดขึ้นไปบนหีบ โดยมีฉินมู่ขี่อยู่บนหลังของเขาอีกที เด็กหนุ่มยังคงมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดสนิท หีบได้เดินทางข้ามเนินทรายลูกแล้วลูกเล่าและเดินทางต่อไปยังทิศไกลๆ
เมื่อทิวาผันเวียนกลับมาใหม่อีกครั้ง ฉินมู่ก็ดูทรุดโทรมเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ดวงตาของเขาแดงซ่านไปหมด แต่เขาก็ยังคงจ้องมองท้องฟ้าโดยไม่ละสายตาไปแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดเขาก็เห็นก้อนเมฆ
โลกมิติที่พวกเขากำลังอยู่นี้คือทะเลทรายอันไร้สิ้นซึ่งไอน้ำ แต่กระนั้นกลับมีเมฆก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ตอนแรกมันดูเล็กๆ แต่มันขยายใหญ่มากขึ้นทุกทีๆ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้!
ฉินมู่จิตใจฟ่องฟูขึ้นมา และเขากระโดดขึ้นๆ ลงๆ พลางหัวเราะร่า “สวรรค์ไม่เคยปิดกั้นหนทางผู้คน มีก็แต่ผู้คนที่ปิดกั้นหนทางตนเองโดยละทิ้งความหวัง! ข้าไม่เคยยอมแพ้ ดังนั้นข้าจึงสามารถหาทางรอดได้!”
เขาวางหีบไว้บนหลังกิเลนมังกรผู้ซึ่งเหินทะยานขึ้นไปยังก้อนเมฆ
เมื่อพวกเขาทำเช่นนั้น แสงเทวะก็สาดส่องมาจากหน้าผา อีกฝั่งหนึ่งของมันคือโลกอันเปี่ยมไปด้วยสีสันและเต็มไปด้วยพืชพรรณอันสูงตระหง่าน และมวลดอกไม้อันสดสี
แสงเทวะไหลบ่าออกมาจากผนังผาราวกับน้ำตก เชื่อมต่อสองโลกเข้าด้วยกัน
รูปเงาของเด็กสาวผู้หนึ่งก้าวเดินมาบนบุปผาจากโลกอื่นและมองไปยังถ้อยคำบนหน้าผาพลางพึมพำกับตนเอง “อีกสองร้อยปีก็จะครบสี่หมื่นปี แต่เจ้าน่าจะถือกำเนิดขึ้นมาแล้วสินะ? ข้ายังรอเจ้าอยู่”
ใบหน้าของนางมีวี่แววของความข่มขื่นที่ซ่อนงำเอาไว้ระหว่างที่กล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าได้มีชีวิตอยู่ต่อแล้ว แต่ตลอดเกือบสี่หมื่นปีมานี้ ข้าไม่เคยลืมเจ้าเลย…ข้าไม่กล้าที่จะเติบโตไปจากเดิม ด้วยกลัวว่าเจ้าจะจำข้าไม่ได้…”
ทันใดนั้น หลักศิลาจารึกข้างๆ ก็ลอยขึ้นมาและเกิดเสียงสะท้อน เมื่อก้อนหินแตกแยกออกจากกัน ก่อขึ้นเป็นซุ้มประตูโค้ง
“จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่ การรอคอยของข้าสิ้นสุดลงเสียที!” เงาร่างคนผู้หนึ่งที่มีแขนข้างเดียวปรากฏที่อีกฝั่งประตูโค้งด้วยมีดยาวที่สะพายอยู่กลางหลัง ชายผู้นั้นหัวเราะ แต่ดูเหมือนกำลังร่ำไห้คร่ำครวญเสียมากกว่า
เมื่อสายตาของเด็กสาวในแสงเทวะ และชายแขนเดียวมาสบกัน ทั้งสองฝ่ายก็สะท้านใจอย่างรุนแรง
“ซากทัพจากยุคจักรพรรดิสูงส่ง!”
“มารร้ายนอกโลก!”
……………………
กาลเวลากวาดผ่านภูเขาและแผ่นดิน นำผู้คนในอดีตจากไป เหลือก็แต่ความทรงจำและประวัติศาสตร์อันถูกลืมเลือนทิ้งเอาไว้
กาลเวลาประดุจบทเพลง และยังคงเป็นเพลงเศร้า
ฉินมู่ยืนอยู่บนหีบขณะที่กอดเด็กสาวเมื่อแสงตะวันสาดส่องลงมาบนร่างพวกเขาราวกับกระแสเวลา ยามที่รังสีอาบไล้พวกเขา เด็กสาวในอ้อมกอดของเขาก็กลายเป็นละอองทรายที่ปลิ่วว่อนและไหลรี่กลับไปยังความมืด
แสงอาทิตย์แยงตาได้พร่างพรมทะเลทรายสีทองและสาดส่องลงไปบนเนินทรายรูปเกล็ดอันดารดาษ สถานที่นี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นหุบเขา แม้ว่าภูเขาทั้งหลายรอบๆ จะไม่สูงตระหง่าน แต่ก็สร้างทิวทัศน์อันน่าหลงใหล
กระนั้นการผันเวียนของกาลเวลาก็ทิ้งไว้เพียงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยทรายเหลือง
ฉินมู่กระโดดลงจากหีบ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ก็ยากที่จะระงับความหดหู่ใจ
หีบเปิดฝาออกมา และโยนกิเลนมังกรออกไป หีบเองก็ดูสับสนงงงวย เมื่อครู่นี้มันยังมีผู้คนหลายร้อยอยู่ในท้องชัดๆ แต่บัดนี้คนเหล่านั้นหายไปกันหมด
กิเลนมังกรทั้งหวาดผวาและว้าวุ่น เขานั้นเชื่อเรื่องโชคลางเอามากๆ และกลัวผีอย่างสุดๆ บัดนี้เขาแตกตื่นจนถึงขั้นเอาหัวมุดเข้าไปในทราย
ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและมองไปยังหน้าผาเปลือยตรงหน้าเขาอันตั้งโดดเดี่ยวท่ามกลางทะเลทรายสีเหลือง หลังจากผจญพายุทรายเป็นเวลาหลายหมื่นปี มันก็ยังคงไม่ถูกกัดเซาะหรือพังทลายลงมา
บนหน้าผา มันยังมีข้อความที่เขาเขียนทิ้งเอาไว้เมื่อหลายหมื่นปีก่อน
“ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!”
ฉินมู่ตกตะลึง เขาได้ทิ้งร่อยรอยอันเป็นของเขาไว้ในประวัติศาสตร์
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อค่ำคืนนี้มิใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์ หรือแม้กระทั่งความฝัน เขาไม่อาจเข้าใจประสบการณ์มหัศจรรย์ที่เขาได้พบพานในค่ำคืนนี้ได้ ไม่สามารถอธิบายว่าทำไมเขาถึงได้ย้อนกลับไปยังห้วงเวลาสามสี่หมื่นปีก่อน และทำไมเขาถึงได้เผชิญกับการรุกรานของความมืดร่วมกับผู้คนแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง
เขายังไม่สามารถอธิบายได้อีกว่า ทำไมเขาถึงได้ย้อนเวลากลับมาสู่ปัจจุบัน และทำไมยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถึงลับลาไปในความมืด
กระนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ!
เขาได้ต่อสู้ร่วมกับผู้คนเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ได้ประจักษ์มรณสักขีและความทุกข์ทนที่พวกเขาเผชิญ เขายังได้เห็นสภาสวรรค์อีกแห่งหนึ่งที่กำลังจะทำลายล้างสภาสวรรค์แห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง อีกทั้งความตายและความพินาศที่มันก่อขึ้นมา
“ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งถูกทำลายล้าง และยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกทำลายล้างเช่นกัน นี่เป็นสภาสวรรค์กลุ่มเดียวกันหรือเปล่าที่ทำเรื่องนี้”
เขามีการคาดเดาในใจ แต่เขาไม่มีหลักฐานมั่นคงที่จะพิสูจน์มัน
บางทีพวกที่อยากจะทำลายสันตินิรันดร์ก็อาจจะเป็นสภาสวรรค์เดียวกัน? ถ้าเช่นนั้น พวกเขามาจากไหน
ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วลอบออกมาอย่างเงียบเชียบและเงยศีรษะขึ้นมองดูหน้าผาโดดเดี่ยวกลางทะเลทราย เขาเพ่งพิศถ้อยคำบนนั้นและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าคงจะผิดหวังและเศร้าโศกมากสินะ ตอนนี้? บางทีเด็กสาวจากตระกูลป๋ายนั้นชมชอบเจ้า และเจ้าเองก็อาจจะชมชอบนางเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน แต่นางรู้ว่าเจ้าจะต้องจากไป ดังนั้นนางจึงไม่พูดมันออกมา กาลเวลาช่างอำมหิตเสียจริง…”
สายตาของเขาวูบไหว และน้ำเต้าข้างหลังเขาก็พลันเปิดออกมาเพื่อให้ก้อนโลหิตลอยขึ้นมาอย่างเงียบเชียบ โดยไม่กระโตกกระตาก
ผานกงสั่วจ้องแผ่นหลังฉินมู่เขม็ง ก้อนโลหิตบนท้องฟ้านั้นราวกับงูพิษที่บิดเอี้ยวไปมา เสียงของเขาก็เหมือนกับอสรพิษร้ายที่ชอนไชเข้าไปในหัวใจของฉินมู่ กัดแทะดวงวิญญาณของเขาและทำลายจิตเต๋า นี่ทำให้เด็กหนุ่มเผยช่องโหว่
“หากว่าเจ้ายังคงรั้งอยู่ในยุคสมัยนั้น ชีวิตของเจ้าคงแตกต่างจากตอนนี้มาก”
ผานกงสั่วค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้า พลางปรับลมหายใจของเขา ทำให้เสียงของเขายิ่งหลอกล่อเป่าหู เขาบอกอีกฝ่ายถึงความเป็นจริงอันแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
“พวกเจ้าทั้งสองอาจจะได้ตกลงไปในแม่น้ำแห่งความรัก อาจจะมีบุตรธิดามากมาย เจ้าอาจจะได้เผชิญกับความเพลี่ยงพล้ำและอันตรายเป็นจำนวนมาก แต่ชีวิตของเจ้าคงจะตื่นเต้นน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม การผันผ่านของประวัติศาสตร์ก็จะเต็มไปด้วยสีสันตระการ ที่พวกเจ้าผัวเมียหนุ่มสาวได้ประสบพบพาน… น่าเสียดาย”
น้ำเสียงของเขาพลันเปลี่ยนแปลง ราวกับอาบไปด้วยพิษร้าย “น่าเสียดายที่พวกเจ้าต้องแยกจากกัน แยกจากกันเป็นหมื่นๆ ปี ไม่ว่าจะเป็นความรักหรือความชอบ ไม่ว่าอนาคตใดๆ ก็ล้วนแต่จะกลายเป็นทรายเหลืองอันกระจัดกระจายไปในกระแสกาลเวลา แปรเปลี่ยนเป็นเรื่องหลอกลวง!”
เขาเผยรอยยิ้มประหลาด และเสียงของเขาก็ยิ่งบิดเบี้ยวไปมารับกับรอยยิ้มพิลึกกึกกือของเขา “เด็กสาวตระกูลป๋ายอาจจะตายไปนานแล้ว หลังจากที่เจ้าจากไป นางคงจะตกตายในน้ำมือของผู้ไล่ล่า! แม้ว่านางจะหนีไปได้ นางก็คงจะตกแต่งกับคนอื่น ให้กำเนิดบุตรธิดา และกลายเป็นหญิงเฒ่า มีก็แต่เมื่อความงามของนางเริ่มจางลงไป บางครั้งบางครานางถึงจะจดจำได้ถึงเด็กหนุ่มที่พลันปรากฏตัวขึ้นมาและประคองหน้านางขึ้นมาดู! จ้าวลัทธิฉิน เจ้ามีความเศร้าโศกในหัวใจไหม มันได้กัดแทะและแพร่พิษในก้อนเนื้อตรงอกของเจ้าหรือเปล่า”
ผานกงสั่วเข้าใกล้เขามากขึ้นทุกที เสียงของเขาพิลึกกึกกือ ราวกับว่าราชามารกำลังกระซิบกระซาบจากนอกอวกาศ ล่อลวงคนผู้หนึ่งให้ตกต่ำเสื่อมถอย “นางได้ตายจากไป กลายเป็นฝุ่นผง สามสี่หมื่นปีก่อนในทะเลทรายแห่งนี้ที่เก็บซ่อนประวัติศาสตร์เอาไว้ นอกจากเจ้า เด็กหนุ่มอ่อนไหวคนนี้ ก็ไม่มีใครอื่นที่จะจดจำนางได้อีกต่อไป ก็แบบนั้นแหละ นางถูกท่วมจมลงในฝุ่นผงแห่งประวัติศาสตร์ และถูกกลบฝังไว้ใต้ทรายเหลืองอันปลิวไป”
เขาหัวเราะเบาๆ และกล่าว “เมื่อยังเยาว์ เจ้าไม่รู้ความเศร้าใจและพิไรรำพัน และก็หลงลอยไปด้วยความรักความชอบ ไปจนถึงยอดฟ้าวิมาน ความรักของเจ้าจะเทียวไป! บัดนี้ความเศร้าใจและพิไรรำพันที่เจ้าได้ลิ้มรส ทั้งความขมขื่น หดหู่ใจ ได้กระซิบบอกเจ้า ถึงความคาดหวัง ที่เจ้าก็อกหักลงมา! จ้าวลัทธิฉิน ส่วนลึกของหัวใจเจ้านั้นเปราะบาง ให้ข้าช่วยจบมันให้…”
เขากำลังจะลงมือ แต่ข้างหลังเขา กิเลนมังกรร่างขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น เขาพลันเงื้อกรงเล็บมหึมาตะปบเขาลงกับพื้น
ผานกงสั่วรีบลุกขึ้น แต่ก็โดนตะปบลงไปอีกครั้ง กิเลนมังกรใช้อุ้งเท้าฟาดเขาลงไปซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้เขากระอักเลือด “พูดอีกสิ แน่จริงก็พูดอีกสิ!”
ผานกงสั่วโมโหขึ้นมาทันที “ไอ้หมูอ้วน เจ้าคิดว่าข้ากลัวเจ้านักหรืออย่างไร”
กรงเล็บของกิเลนมังกรที่คมกริบราวมีดดาบพลันโผล่ออกมา เตรียมที่จะแหวะพุงเขาอีก
ทันใดนั้น เสียงอันเงียบสงบของฉินมู่ก็ดังมา “มังกรอ้วน ไม่จำเป็นต้องทุบตีเขาหรอก ปล่อยเขาไป”
กิเลนมังกรตะลึงไปเล็กน้อย เขาถามด้วยความฉงน “จ้าวลัทธิ เจ้าหมอนี่มันชั่วร้ายสุดๆ เขานั้นเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งด้านหนีเอาชีวิตรอด และเขายังคิดจะทำร้ายท่านอีกด้วย! หากว่าพวกเราปล่อยเขาไปตอนนี้ ก็จะยิ่งยากที่จะจับตัวเขาอีกครั้งในอนาคต!”
“พวกเราต่อสู้ร่วมกัน และเขาก็ยังมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการกอบกู้ชีวิตผู้คนเหล่านั้น เขาสมควรจะได้รับโอกาสมีชีวิตต่ออีกสักครั้ง” ฉินมู่เอามือไพล่หลังและมองไปยังถ้อยคำบนหน้าผา สีหน้าของเขาสงบนิ่ง “ผู้สูงศักดิ์ ข้าจะไม่สังหารเจ้า ดังนั้นจงไปเสียเถอะ ครั้งหน้าที่พวกเราพบกัน ข้าค่อยเด็ดหัวเจ้า”
ผานกงสั่วปีนลุกขึ้นมายืนและปัดฝุ่นทรายออกจากเนื้อตัว ประกายตาของเขาวูบไหวและกล่าว “เจ้าแน่ใจหรือที่จะปล่อยข้าไปในครั้งนี้ ไม่ได้โกหกข้า? เจ้าคงไม่สังหารข้าตอนที่ข้าหันหลังกลับไป ใช่ไหม”
ฉินมู่มองไปที่เขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา มีผู้คนตกตายไปมากพอแล้ว และข้าไม่ต้องการสังหารใครอีกในวันนี้”
ผานกงสั่วหันกายกลับไป และเคลื่อนไหวไปทีละก้าวๆ เขาจ้องการเคลื่อนไหวของฉินมู่เขม็งพลางครุ่นคิด แม้ว่าประสบการณ์ครั้งนี้จะเต็มไปด้วยอันตรายและต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดแบบเฉียดเส้นยาแดงผ่าแปด แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่ได้ประโยชน์ใดเลย อย่างน้อยข้าก็ได้ขาเทวะสองข้าง…ช้าก่อน ขาเทวะสองข้าง…
ดวงตาของเขาลุกวาวเมื่อตระหนักว่าฉินมู่ยังคงยืนหันหลังให้แก่เขา เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ด้วยขาสองข้างนี้ ข้ายังต้องกลัวไอ้เด็กเปรตนี่อีกหรือ ข้ามีขาเทวะและความสามารถในการหลบหนีของข้าก็เป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า หากว่าข้าเอาชนะเขาไม่ได้ ก็เพียงแค่วิ่งหนีไป! ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความเร็วของข้าเป็นอันดับหนึ่งในโลก พลังการต่อสู้ของข้าก็จะพุ่งทะยานชี้ขึ้นเป็นเส้นตรง ข้าสามารถกำจัดเขาได้!
เขานั้นตื่นเต้นสุดๆ ขนาดที่ว่าหัวใจเขาเต้นโครมคราม แสงเย็นเยียบสาดส่องในดวงตาของเขา และขณะที่เขากำลังจะหยุดชะงักและลงมือนั่นเอง เขาก็พลันรู้สึกบางอย่าง และรีบกระโจนขึ้นไปบนอากาศ
แสงกระบี่พุ่งขึ้นมาจากทะเลทราย และตัดสะบั้นขาขวาเขาจากโคน!
ผานกงสั่วร้องกระอักด้วยความเจ็บ พลางตะโกนอยู่กลางอากาศ “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่รักษาคำพูด!”
ฉินมู่หันกลับไปและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ารักษาคำพูด ข้าตัดขาเจ้าไปเพียงข้างเดียวเมื่อครั้งก่อน ดังนั้นข้าก็จะคืนให้เจ้าหนึ่งข้าง แต่ถึงอย่างไร ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้ามีขาเทวะถึงสองข้างได้ ผู้สูงศักดิ์ ขออภัยที่ไม่ส่ง”
ข้างล่างนั่น แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏวูบวาบราวกับเข็มเงินมากมายที่ร้อยสนไปมา ปกป้องขาเทวะข้างนั้นเอาไว้ พวกมันคือกระบี่แปดพันเล่มจากไจกระบี่ของฉินมู่ เห็นได้ชัดว่าระหว่างที่เขาพยายามล่อลวงฉินมู่ เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ลอบส่งไจกระบี่ของเขาเข้าไปในผืนทรายเหลืองแล้ว
ผานกงสั่วรู้ทันทีว่าเขาพลาดโอกาส และกัดฟันกรอด ดอกบัวอันสูงเท่าตัวคนปรากฏข้างหลังเขา
เขาถอยเข้าไปในดอกบัว และทั้งเขาและดอกบัวก็หายวับไปด้วยกัน
“จ้าวลัทธิฉิน ครั้งหน้าที่พบกัน ข้าจะเด็ดหัวเจ้า!” เสียงของเขาดังมาจากที่ห่างไกลและห่างไกลขึ้นทุกที ก่อนที่จะหายลับไปในส่วนลึกของแดนทรายสีเหลืองทอง
“ผู้สูงศักดิ์กลายเป็นกล้าหาญและรู้จักคว้าโอกาสมากขึ้นทุกที” ฉินมู่หันกลับไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็โบยบินออกมาจากในทะเลทราย ส่งขาเทวะเข้าไปในหีบ “นี่เป็นเรื่องดี ในเมื่อเขามีความกล้าหาญและการรู้จักคว้าโอกาส ในครั้งหน้าจะสังหารเขาก็คงไม่เปลืองแรงเท่าที่เคย”
หีบตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง และรีบอ้าฝาเพื่อรับขาข้างนั้นเข้าไปเป็นของสะสม
ฉินมู่มองไปที่ถ้อยคำบนหน้าผาและกล่าวด้วยเสียงเบา “หากว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะมาตามหาข้าหรือเปล่า หลายหมื่นปีที่เผชิญกับบทพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดจะลงเอยด้วยความตายของหญิงสาวโฉมสะคราญ กลายเป็นโครงกระดูกสีชมพูหรือเปล่า…”
เขารออย่างเงียบงันที่ใต้หน้าผา ไม่จากไป
ภูเขาทั้งหลายในบริเวณโดยรอบถูกกัดเซาะไปจนหมด แต่ทำไมลูกนี้ถึงยังยืนยง
ความหวังในหัวใจของเขายังไม่ตาย
“จ้าวลัทธิ มีแท่นหลักจารึกหินแท่งอยู่ข้างๆ ภูเขา” ทันใดนั้นกิเลนมังกรก็เกิดค้นพบขึ้นมา
ฉินมู่หัวใจวูบไหว และเขารีบรุดเข้าไปชมดู กิเลนมังกรยืนอยู่ใกล้ๆ ศิลาจารึกแท่งหนึ่ง และมันอยู่ที่ตีนเขาดังนั้นจึงยากจะค้นพบ หากไม่เข้าไปดูอย่างละเอียด
หลักหินนี้ดูราวจะมีพลังอำนาจอันลึกลับที่ป้องกันมันจากลมและทราย ทำให้มันไม่ถูกกัดกร่อน
บนนั้นมีถ้อยคำอยู่จำนวนหนึ่ง
ฉินมู่มองดูและอึ้งไปเล็กน้อย ลายมือที่เขียนดูดุร้ายคุกคาม และเขียนไว้ว่า: ‘จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่ ผู้สูงศักดิ์วังทองโหรวหลัน ถูกกลบฝัง…’
ข้อความข้างล่างยากที่จะอ่าน ในเมื่อพวกมันจมอยู่ใต้ทรายเหลือง กิเลนมังกรกำลังจะก้าวเข้าไปและโกยทรายออก แต่ฉินมู่รีบบอกเตือนเขาทันที “มังกรอ้วน มันเป็นกับดัก! อย่าแตะต้องทรายบนหลักหิน!”
เมื่อกิเลนมังกรได้ยินคำว่ากับดัก เขาก็รีบถอยกลับมาทันที และไม่กล้าอยู่ใกล้แม้แต่วินาทีเดียว
ฉินมู่ยิ้มหยันและกล่าว “ใช้วิธีทำนองนี้เพื่อวางกับดักเอาไว้ นับว่าดูแคลนข้าเกินไปจริงๆ ข้อความข้างใต้หลักหินน่าจะเป็นว่า ถูกกลบฝังไว้ที่นี่ หากว่าข้าแตะต้องทราย มันก็จะกระตุ้นการทำงานของกับดัก และข้าก็จะตายอย่างไร้ที่กลบฝัง!”
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มและกล่าว “หากว่าเป็นชื่อของข้าอยู่บนนั้น ข้าก็คงจะต้องเข้าไปดูอย่างแน่นอน…”
ฉินมู่มองดูรอบๆ ไปทั่วทิศทางและเห็นว่าทะเลทรายเหลืองนี้รกร้างอย่างแท้จริง นอกจากพวกเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีใครแอบซุ่มรออยู่ใกล้ๆ
“ว่ากันตามตรงแล้ว ข้าก็ค่อนข้างอยากรู้อยู่หน่อยๆ”
สายตาของเขาวูบวาบ และเขามองหลักหินที่ถูกฝังไว้ใต้ทรายเหลืองขึ้นๆ ลงๆ กิเลนมังกรพลันสังหรณ์ไม่ดีและรีบกล่าว “จ้าวลัทธิ อย่าทำอะไรโง่ๆ นะ!”
ฉินมู่รีบถอยไปอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากจะดูว่าบุคคลที่วางแผนร้ายใส่ข้ากับผู้สูงศักดิ์จะทิ้งนามเอาไว้หรือไม่ เขาเป็นคนหยิ่งผยองขนาดนี้ ดังนั้นเขาจะต้องจารึกชื่อตนเองเอาไว้อย่างแน่นอน พวกเราถอยไปหนึ่งร้อยลี้กันเถอะ แล้วข้าจะร่ายเวทมนตร์เพื่อขยับทรายออกไปจากโคนของหลักหินนี้!”
…………….
ลั่วอู๋ชวงหันกายจากไป และเสียงของเขาดังมาจากที่ไกลๆ “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน เมื่อข้าประสบความสำเร็จมากกว่านี้ในอนาคต ข้าจะต้องตอบแทนพวกท่านทั้งสองอย่างสาสม ชำระแค้นให้แก่แขนขาดของข้า อย่ารีบตายเสียเล่า!”
จากนั้นเขาก็หายลับไปในความมืดอันดิบดำ
ฉินมู่ยังคงยืนตรงดุจเดิม ด้วยกระบี่ไร้กังวลที่หมุนวนไปรอบๆ ตัวเขา
เขาไม่ผ่อนการระวังและยังคงจ้องไปในความมืด ผ่านไปสักพัก เขาถึงระบายลมหายใจโล่งอก
สีหน้าของผานกงสั่วกลายเป็นขมขื่นและเขาบ่นอย่างขุ่นใจ “จ้าวลัทธิฉิน ทำไมเจ้าจะต้องประกาศนามของพวกเราด้วยล่ะ แล้วแบบนี้พวกเราจะทำอย่างไร”
“หากว่าพวกเราไม่บอกนามออกไป เขาก็อาจจะไม่ยอมถอย” รัศมีของฉินมู่พลันอ่อนราลง และเขาก็ร่วงลงไปกองในท่านั่ง กระบี่ไร้กังวลหล่นลงไปกับพื้น และเขาไม่มีกำลังจะกระดิกกระเดี้ยอีกแม้แต่น้อย “ถ้าหากว่าเขายังรั้งอยู่เพื่อสู้จนสุดใจขาดดิ้น พวกเราก็ไม่อาจจะเอาชนะเขาได้ มีก็แต่ได้ยินนามของพวกเราเท่านั้นเขาถึงจะยอมล่าถอย”
ผานกงสั่วตะเกียกตะกายลุกขึ้นและมองไปที่อีกฝ่ายด้วยสายตากะคะเน โลหิตก้อนหนึ่งผุดขึ้นมาจากน้ำเต้ารอยโลหิตระหว่างที่เขากำลังคิดคำนวณว่าจะอาศัยโอกาสนี้แสร้งทำเป็นโกรธและโจมตีฉินมู่ดูดีไหม “เจ้าก็พูดชื่อปลอมก็ได้นี่!”
ฉินมู่เลิกคิ้ว และกระบี่ไร้กังวลที่หล่นอยู่ตรงเท้าของเขาลอบเชิดปลายขึ้นเล็กน้อย ระหว่างที่เขากล่าวอย่างอ่อนแรง “เมื่อข้ากระทำการใด ข้าไม่เคยกล่าวชื่อเท็จ ยิ่งไปกว่านั้น นี่พวกเราย้อนเวลามาตั้งสามสี่หมื่นปี เขาจะตามหาพวกเราพบได้อย่างไร”
ไฟโทสะลุกโหมในหัวใจของผานกงสั่วขณะที่เขากัดฟันกรอด “จ้าวลัทธิฉิน นามฉินมู่จะเป็นชื่อจริงของเจ้าได้อย่างไร เจ้าไม่เคยพูดชื่อปลอมแน่หรือ เจ้าไร้ยางอายขนาดไหนถึงกล้ากล่าวแบบนั้น”
โลหิตไหลออกมาจากน้ำเต้ารวบรวมเป็นก้อนใหญ่ขึ้นอย่างเงียบเชียบ
เขาหรี่ตาลงและเปลี่ยนสีหน้าอื่น เขากล่าวอย่างหน้าชื่น “แต่ถึงอย่างไร จ้าวลัทธิก็พูดมีเหตุผล ใครจะรู้ แม้ว่าไอ้เด็กต่ำช้าลั่วอู๋ชวงจะมีฝีมืออยู่บ้าง แต่เขาหยิ่งจองหองเกินไป ดังนั้นเขาจะต้องไม่รอดชีวิตยาวนานถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีหรอก บางทีเขาอาจจะตายไปเรียบร้อยแล้วในการศึก จ้าวลัทธิฉิน เจ้าอยากให้ข้าพยุงเจ้าลุกขึ้นมาไหม”
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าอันสัตย์ซื่อ “ดี ร่างกายของข้าอ่อนเปลี้ยไปหมด หากว่าเจ้าไม่ช่วยพยุงข้า ข้าก็คงลุกไม่ขึ้น”
ผานกงสั่วพลันตัวสั่นเทิ้ม และรีบถอยออกไปพลางหัวเราะในคอ “บุรุษไม่ควรสัมผัสมือกัน จะดีที่สุดหากว่าพวกเรารักษาระยะห่างเพื่อมิให้มีคำติฉินนินทา”
ฉินมู่นั้นไม่ยี่หระ และยันตัวลุกขึ้นด้วยกระบี่ไร้กังวล “ลั่วอู๋ชวงล่าถอยไปแล้ว ดังนั้นพวกเราจะต้องจากไปให้เร็วที่สุดเหมือนกัน เขาอาจจะชักนำกองกำลังของทัพหลิงซิ่วมา พวกเราไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน”
กิเลนมังกรดึงเอาเกล็ดมังกรของเขากลับไป และคลานออกมาจากพื้นที่ของหีบ เขาได้ยินเสียงปังสามสี่ที และหีบก็ปิดลงไปอีกครั้ง กลายเป็นหีบขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก
กิเลนมังกรปีนขึ้นไปบนหีบพลางหอบหายใจจากความหมดแรง ฉินมู่เองก็ปีนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก่อนจะหันหลังกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ ขึ้นมาข้างบนด้วยสิ”
ผานกงสั่วส่ายหัวของเขาและมุดเข้าไปข้างใต้หีบ กอดขาข้างหนึ่งของมันเอาไว้ “ข้าอยู่ที่นี่ดีแล้ว”
ฉินมู่เตะกิเลนมังกรและระเบิดหัวเราะออกมา “เจ้าระวังตัวเกินไปแล้ว พวกเราลงหีบร่วมกันและมีศัตรูเดียวกัน กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่ในศึกเป็นตาย เจ้าคิดจริงๆ หรือ ว่าข้าจะยังลงมือกับเจ้าน่ะ”
กิเลนมังกรเงื้ออุ้งเท้าหน้าของเขาอันมีเล็บคมกรมราวมีดดาบ ในจังหวะที่ผานกงสั่วปีนขึ้นมา เขาก็จะถูกแทงให้ตาย
“ขอบคุณมาก จ้าวลัทธิ สำหรับความอารีอันยิ่งใหญ่ของเจ้า แต่ข้านั้นคุ้นเคยกับการระวังตัว ดังนั้นข้าจึงไม่เชื่อใจใครทั้งสิ้น เจ้าลัทธิสามารถบอกมังกรอ้วนให้เก็บกรงเล็บของเขาไปเถอะ”
หีบนี้เริ่มเดินทางผ่านความมืดไปอีกครั้ง ฉินมู่หลับตาลงเพื่องีบหลับสักหน่อยพร้อมด้วยกระบี่ในมือของเขา ขณะที่ผานกงสั่วลืมตาโพลง พยายามสุดความสามารถที่จะไม่หลับ เขาลอบนำเอายาวิญญาณออกมาหลายเม็ดและยัดมันเข้าไปในปากเพื่อฟื้นฟูพลังวัตรให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ผ่านไปสักพัก เขาก็รู้สึกว่าปราณชีวิตของเขาฟื้นฟูกลับมา และประกายตาของเขาก็วูบไหว เขาลอบขับเคลื่อนน้ำเต้ารอยโลหิต เจ้าหมอนี่มันบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นนี่คือเวลาที่ดีที่สุดที่จะกำจัดเขา…
ทันใดนั้นเขาก็ได้กลิ่นตัวยา และละทิ้งความคิดที่จะจู่โจมทั้งหมดไป
ฉินมู่ยื่นมือหนึ่งเข้าไปในถุงเต๋าตี้และลอบหลอมปรุงยาวิญญาณสามสี่หม้ออันเขายัดเข้าไปในปากตนเองเป็นระยะ จากนั้นเขาก็หลอมปรุงอีกสองสามหม้อสำหรับกิเลนมังกรให้เขาได้ลอบกลืนเข้าไปเช่นกัน โดยไม่ทำเสียงกระโตกกระตาก
แต่ทว่ากลิ่นยาก็ยังคงมิอาจซ่อนไปจากจมูกผานกงสั่วได้
จะวางแผนลอบทำร้ายเขา คงจะยากอยู่สักหน่อย เขาคิดในใจ
ในที่สุด ก็มองเห็นแสงสว่างอยู่ไกลๆ พวกเขาได้มาถึงสถานีชายแดน
ที่นั่นมีเทพเจ้าอยู่ ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่พักพิงอยู่ในนั้น ป๋ายฉวีเอ๋อมองไปรอบๆ อย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งนางเห็นหีบเปื้อนเลือดอันแบกเด็กหนุ่มและกิเลนมังกรตัวอ้วนกลมมาในที่สุด
หีบก้าวอาดๆ และข้ามภูเขามาโดยไม่รีรอ
ป๋ายฉวีเอ๋อหัวใจเต้นตึกตักด้วยอารมณ์ความรู้สึกใหม่ นางรีบออกไปต้อนรับพวกเขาพลางอุ้มบุตรชายของป๋ายชิงฝู่ ฉินมู่กระโดดลงจากหีบและยืดเหยียดร่างกาย ให้กระดูกในร่างเขาลั่นกรอบแกรบ และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ทำไมพวกเจ้ายังไม่จากไปอีกล่ะ”
“ทุกคนเดินทางต่อไปไม่ไหวแล้ว ผู้คนเหล่านี้มีวรยุทธไม่มาก และก็ถูกถ่วงให้ช้าด้วยครอบครัวของพวกเขา ส่วนใหญ่แล้วมีแต่คนชราและคนอ่อนแอ” ป๋ายฉวีเอ๋อสะกดข่มความรู้สึกในหัวใจของนาง และกล่าวด้วยเสียงค่อย “เทพเจ้าในสถานีชายแดนมิได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป ดังนั้นข้าคาดคะเนว่าพวกเขาคงไปหนุนช่วยเมืองร้อยมั่งคั่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเป็นอย่างไรกันบ้าง จึงมีแต่พวกเราเท่านั้นที่อยู่ในสถานีชายแดน”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นผู้คนมากมายนอนหลับอยู่บนพื้น บางคนก็ไม่หลับ และภายใต้แสงเรืองของลูกแก้วมังกรเทวะ ดวงตาของพวกเขาบางครั้งก็มืดมน บางครั้งก็สว่าง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เงียบกริบ
ผู้คนส่วนใหญ่ที่หลบหนีมากับพวกเขาเป็นคนธรรมดาสามัญ พวกคนร่ำรวยในเมืองร้อยมั่งคั่งได้หลบหนีไปเร็วกว่า ดังนั้นคนพวกนั้นจึงได้ไปกับเทพเจ้าเฝ้าประตูทิศเหนือก่อนหน้านี้ กลุ่มนั้นอาจจะถูกขจัดกวาดล้างไปหมดแล้วก็เป็นได้
ผู้คนธรรมดามีวรยุทธต่ำต้อย ดังนั้นพวกเขาจึงหลบหนีได้ล่าช้า และมาพร้อมกับพวกเขา
“พวกเราอยู่ที่นี่นานไม่ได้หรอก” ฉินมู่พึมพำ “พวกเราเอาพวกเขาเข้าไปในหีบของข้าไหมล่ะ เพื่อให้ข้าพาพวกเขาจากไปไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ป๋ายฉวีเอ๋อตะลึงไปเล็กน้อย และนางมองไปที่หีบ “อีกคนหนึ่งที่ไปกับเจ้าด้วยอยู่ที่ไหนหรือ เขา…”
“ข้าอยู่นี่” ผานกงสั่วโผล่ขึ้นมาจากใต้หีบและหัวเราะ “โชคดีที่ไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง และยังมีชีวิตอยู่ดี ขอบคุณที่เป็นห่วง”
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรกระโดดลงมาและกล่าว “น้องสาวฉวีเอ๋อ ปลุกพวกเขาขึ้นมาเถอะ พวกเราอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ในเมื่อไม่มีเทพเจ้าคอยปกป้องพวกเรา พวกเราก็จะต้องเคลื่อนย้ายเพื่อมิให้ผู้ไล่ล่าตามมาทัน”
ป๋ายฉวีเอ๋อผงกหัวและไปปลุกทุกคนให้ตื่นขึ้นมา ฉินมู่เปิดหีบแผ่ออกเพื่อให้พวกเขาเข้าไปได้ ผานกงสั่วต้องการเข้าไปในหีบเช่นกัน แต่ฉินมู่ส่ายหัว “หากว่ามีผู้ไล่ล่าตามมาทันหีบนี้ และไม่มีใครคอยป้องกัน พวกเราก็จะถูกกำจัดกันทั้งหมด พวกเราอยู่ข้างนอกกันเถอะ”
แม้ว่าหีบของซิงอ้านจะแข็งแกร่งทนทาน แต่มันไม่อาจจู่โจมได้และไม่มีพลังโจมตี หากว่าทุกๆ คนซ่อนอยู่ข้างใน และพวก ‘มารนอกโลก’ ตามมาทัน พวกเขาทั้งหมดก็จะตกตายอย่างน่าสังเวช
ผานกงสั่วกัดฟันข่มโทสะและยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเราทำอย่างที่เจ้าพูด นี่ก็จะยิ่งทำให้ยากจะมีชีวิตรอดในโลกอันโกลาหลแห่งนี้! พวกเราต้องหนีเอาชีวิตรอดจากซิงอ้าน และไม่มีเวลาไปช่วยชีวิตคนอื่น!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และส่ายศีรษะ
“ผู้สูงศักดิ์ ข้าเพียงแต่อยากจะรักษาความไร้เดียงสาและความเมตตาสักน้อยนิดเอาไว้ในห้วงเวลาแห่งความโกลาหล”
ผานกงสั่วแค่นเสียงและมุดเข้าไปใต้หีบ พลางกล่าวอย่างโกรธขึ้ง “ศัตรูมาค่อยเรียกข้าละกัน!”
ป๋ายฉวีเอ๋อก็อยู่ข้างนอก นางนั่งบนหีบเคียงข้างฉินมู่ กิเลนมังกรก็กระโดดขึ้นมาเช่นกันและหมอบลงอย่างเงียบเชียบ สักพักหนึ่งเขาก็หลับปุ๋ย
“ทำไมผู้สูงศักดิ์ถึงชอบเข้าไปอยู่ใต้หีบ” ป๋ายฉวีเอ๋องงงวย
“เขากำลังป้องกันพวกเราจากทักษะเทวะที่จะมาจากใต้ดิน” ฉินมู่อธิบาย
ป๋ายฉวีเอ๋อเข้าใจในที่สุดและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ช่างรอบคอบเสียจริง”
หีบเดินตรงไปทางทิศตะวันออกด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา และฉินมู่มองไปที่เด็กสาวข้างๆ เขา ป๋ายฉวีเอ๋อได้ประสบการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ กลายเป็นระหกระเหและไร้บ้าน ก่อนหน้านี้นางทั้งเยาว์และอ่อนต่อโลก แต่ในเวลาเพียงค่ำคืนเดียว ประกายแห่งเจตจำนงแน่วแน่อันมิอาจโยกคลอนก็ปรากฏในดวงตาของนาง และสายตาของนางก็กระจ่างเจิดจ้า นางได้โยนความอ่อนแอเก่าก่อนของตนทิ้งไป
ถึงตอนนี้ฉินมู่จึงเพิ่งจะสังเกตเห็นว่านางไม่เหมือนกับมนุษย์ปกติสักเท่าใด แต่มีลักษณะบางอย่างของมังกร ที่ซ่อนอยู่ในเส้นผมของนางคือเขามังกรเล็กๆ อันถูกปกคลุมด้วยเรือนเกศาอันงดงามที่ปักไว้ด้วยปิ่นสองเล่ม
เขานั้นเคยกอบใบหน้านางดูมาก่อนในครั้งแรกที่พบหน้า แต่เขามิได้สังเกตเห็นเขาเล็กๆ คู่นี้
บนใบหน้าของนางมีวี่แววแห่งความวิตกที่ยังไม่มลายหายไป นางอยากจะหาคนพึ่งพิง แต่ก็ได้แต่บีบเค้นตนเองให้แข็งแกร่งยืนหยัด
นางมิใช่เด็กสาวแบบที่ฉินมู่ชมชอบ ตั้งแต่เขายังเล็ก ผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชราได้สอนเขาว่า เด็กสาวต้องอวบๆ สักหน่อยถึงจะเรียกว่างาม ผู้ใหญ่บ้าน นักปรุงยา และคนแล่เนื้อล้วนแต่บอกเขาว่า เด็กสาวต้องมีใบหน้ากลม เอวหนา และสะโพกใหญ่
ป๋ายฉวีเอ๋อไม่เข้ากับคำนิยามเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ทว่า ภาพของนางที่ค้นพบความแข็งแกร่งในความอ่อนแอของตนเองนั้นได้ปั่นป่วนหัวใจของเขา
“เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า” ฉินมู่เป่าไล่ความคิดของเขาออกไปและกล่าว “หากว่าเจ้าเหนื่อย ก็พิงข้าและพักผ่อนสักพักก็ได้นะ”
ป๋ายฉวีเอ๋อผงกหัวแล้วเอนพิงไหล่เขาอย่างอ่อนโยน เสียงกรนเบาๆ ของกิเลนมังกรดังมาจากข้างหลังพวกเขา
กระนั้นนางก็หลับไม่ลง เมื่อนางหลับตา ภาพที่เห็นก็เป็นการทำลายล้างของเมืองร้อยมั่งคั่ง เป็นภาพของมารดาและลุงทั้งหลายของนางต่อสู้กับมารนอกโลก การศึกในความมืด ผู้คนมากมายที่ตายอย่างน่าอนาถ และยังมีภาพของพี่ชายและพี่สะใภ้ของนางที่เหลียวหลังส่งยิ้มกลับมาเมื่อพวกเขาจากไปเพื่อต่อสู้กับมารเหล่านั้น บางครั้งบางคราวก็เห็นภาพของสิ่งชั่วร้ายในความมืดที่ปรากฏในฝันร้ายของนาง
“จริงสิ ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย เมื่อพวกเราพบกันครั้งแรก เจ้าบอกว่าเจ้าเดินทางข้ามเวลามาที่นี่” ป๋ายฉวีเอ๋อลืมตาขึ้นและถามด้วยเสียงอันเข้มแข็ง “มันจริงหรือ”
ฉินมู่พยักหน้า
“แล้วเจ้ามาจากที่ไหน อดีตหรืออนาคต? สถานที่นั้นสงบสุขหรือเปล่า”
“ไกลแสนไกลในอนาคต ประมาณสามหมื่นสี่หมื่นปีข้างหน้า ที่นั่น มันยังคงสงบสุข แต่ยากที่จะบอกว่าสันติภาพจะดำรงอยู่ได้นานแค่ไหน”
“สามหมื่นสี่หมื่นปี?” เด็กสาวเอนพิงหัวไหล่ของเขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “ข้าไม่รู้ว่าข้าจะมีชีวิตอยู่ได้นานขนาดนั้นไหม วันเวลาที่นี่ช่างข่มขื่น ขมขื่นเสียจนยากที่จะฝ่าฟันมีชีวิตอยู่ต่อไป…”
“เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อ ผู้คนในหีบนี้ยังต้องการเจ้าอยู่” ฉินมู่ยิ้มให้กับนางและกล่าวด้วยเสียงนุ่ม “เจ้านั้นแข็งแกร่งกว่าที่ข้านึกฝันนัก ผู้คนมากมาย แม้กระทั่งบุรุษ คงจะพังทลายไปแล้วเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ข้ารู้ว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปมันเป็นเรื่องยาก แต่เจ้าจะต้องแบกความหวังของผู้คนต่อไปข้างหน้า เช่นเดียวกับความหวังของพี่ชายและพี่สะใภ้ของเจ้า รวมทั้งบุตรของพวกเขาด้วย”
ป๋ายฉวีเอ๋อตัวสั่น จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
“เจ้าจะเดินร่วมทางไปพร้อมกับข้าไหม” นางถาม
ฉินมู่นิ่งไปพักหนึ่ง
“ท้องฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว” เขามองตรงไปยังทิศตะวันออก เพราะว่าการกรำศึกมาตลอดทั้งคืน เสียงของเขาจึงแหบพร่า และมีความเป็นชายที่พิเศษเฉพาะอยู่ในนั้น “หลังจากตะวันรุ่ง ข้าก็อาจจะหายไป ข้าได้มาที่นี่เพราะโอกาสวาสนาอันมหัศจรรย์ แต่ข้าไม่รู้ความหมายของมัน เจ้าอาจจะต้องนำทางพวกเขาต่อไปตลอดการเดินทาง มีชีวิตต่อไปนะ…”
ป๋ายฉวีเอ๋อเงยหน้าขึ้นมองไปยังท้องฟ้าที่มีแสงเงินแตะทางทิศตะวันออก
ฉินมู่ลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องสาวคนดี ข้าอาจจะช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นเจ้าคงต้องเดินบนเส้นทางที่เหลือด้วยตนเอง”
หัวใจของป๋ายฉวีเอ๋อมีความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมด นางลุกขึ้นยืนด้วยความเหม่อลอย และมองไปยังบุตรของป๋ายชิงฝู่ที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง น้ำตาของนางไหลร่วงลงจากแก้ม
ฉินมู่กอบหน้านางขึ้นมา และใช้รอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่สุดของเขาเพื่อให้กำลังใจนาง “ต้องรอด เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป!”
ป๋ายฉวีเอ๋อหัวใจสับสนไปหมด นางกอดเขาไว้แน่นด้วยมือข้างหนึ่งพร้อมกับร่างกายอันสั่นเทิ้ม “อย่าไปนะ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่สามารถทานทนได้นานพอ…”
“ร่องรอยทุกอย่างของข้าอาจจะถูกลบเลือนไปในยุคก่อนประวัติศาสตร์นี้ และไม่มีสิ่งใดที่ข้านำมาด้วยจะเหลือทิ้งเอาไว้ แต่ทว่า ข้าสามารถทิ้งวลีอันเคยกระตุ้นเร้าหัวใจของข้ามาครั้งหนึ่ง”
ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นทุกขณะ และแสงแรกแห่งตะวันก็จุดแสงที่ขอบฟ้าตะวันออก แสงสว่างสาดส่องลงบนภูเขา และความมืดรอบๆ พวกเขาก็ล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉินมู่ใช้มือหนึ่งโอบกอดสาวน้อย และอีกมือหนึ่งวาดชี้ไปยังหน้าผา กระบี่ไร้กังวลบินออกไปและเคลื่อนไหวราวกับหงส์ร่อนมังกรรำ ทิ้่งรอยคำของเขาเอาไว้ในหิน
กระบี่วิเศษบินกลับมา ฉินมู่กอดเด็กสาวที่กำลังจะต้องไปเผชิญอันตรายในโลกหล้าเอาไว้แน่น ก่อนที่แสงตะวันจะมาถึงเขา ป๋ายฉวีเอ๋อก็กอดเขาไว้ไม่ปล่อย ราวกับว่านางจะสามารถพึ่งพิงเขาไว้แบบนี้ไปชั่วนิรันดร์
รังสีแสงอาทิตย์พร่างพรมลงมา และฉินมู่ที่อยู่ในอ้อมกอดนางก็หายวับไปราวกับไอควัน
หีบก็หายไปด้วย ทิ้งผู้คนจำนวนมากที่ยืนงงงันอยู่
ป๋ายฉวีเอ๋อตกตะลึง นางรีบเหลียวกลับไปมองยังหน้าผา และเห็นถ้อยคำที่ถูกขีดเขียนเอาไว้ด้วยกระบี่ไร้กังวลของฉินมู่
ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!
ป๋ายฉวีเอ๋อพลันรู้สึกถึงน้ำหนักอันเกินจะหยั่งจากวลีนี้ ความหวังของผู้คนทั้งหลายที่อยู่รอบตัวนางหล่นลงมายังบ่าของตน และสายตาอันเปี่ยมหวังของพวกเขาก็กลายเป็นแรงกดดันมหาศาล และในขณะเดียวกันก็เป็นแรงขับเคลื่อนให้กับนาง
“ตามข้ามา!” นางยกมือขึ้นและกล่าวอย่างกึกก้องพลางอุ้มเด็กไว้อีกมือหนึ่ง “ข้าจะพาพวกเจ้าไปให้พ้นจากสถานการณ์อันสิ้นหวัง และแสวงหาที่ที่พวกเราจะมีชีวิตรอดต่อไปได้!”
ความหวังจุดขึ้นมาใหม่ในหัวใจของทุกๆ คน และพวกเขาก็ติดตามนางไปยังทิศไกลๆ
เจ้ามาจากอนาคตสามสี่หมื่นปีอย่างงั้นหรือ ป๋ายฉวีเอ๋อหันไปมองหน้าผาที่ฉินมู่ทิ้งถ้อยคำของเขาเอาไว้ ก่อนที่จะเบือนหน้ากลับไปอีกครั้ง นางพาทุกคนมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตะวันกำลังเบิกอรุณ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อ และจะไปตามหาเจ้า! รอข้าก่อน! ข้าจะ…มาพบพานกับเจ้าใหม่ที่นี่
การพบพานใหม่ครั้งนี้คงจะข้ามเวลาเป็นหมื่นปี ดังนั้นจงรอข้า เมื่อเจ้าจากไป ข้าไม่ทันได้กล่าวว่าข้าชอบเจ้า ดังนั้นเมื่อพวกเราพบกันใหม่ ข้าหวังว่าข้าจะไม่เหลือเรื่องที่นึกเสียใจย้อนหลังอีกต่อไป
……………..
หีบเงียบลงไป ถึงขั้นที่ไร้เสียง ไม่แม้กระทั่งแว่วเสียงลมหายใจ
ฉินมู่สามารถเคลื่อนไหวไปมาอย่างอิสระในความมืด อย่างเงียบเชียบด้วยเช่นกัน
เหงื่อหยดหนึ่งร่วงหล่นลงไปในกองเลือดด้วยเสียงแผ่วเบา เจ้าของเหงื่อรีบเคลื่อนหนี แต่พลันเจ็บแปลบแล่นเข้ามาที่หัวใจ มันดูท่าจะถูกไม้เท้าไผ่เสียบทะลุ
ฉินมู่ดึงเอาไม้เท้าไผ่ออก และเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างเงียบกริบ เสียงของศพล้มครืนดังมาจากข้างหลังเขา
มันพลันชักนำปฏิกิริยาตอบโต้อย่างรุนแรงจากบริเวณโดยรอบ มารนอกโลกเหล่านั้นรุมโจมตีเข้ามา ระเบิดปะทุไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณอันเจิดจ้า ยังพื้นที่บริเวณที่เสียงดังมา
ท่ามกลางแสงวาบของทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณ ฉินมู่ก็เคลื่อนที่ข้างในหีบราวกับเงาภูตผีและผู้ฝึกวิชาเทวะก็ร่วงตายไปทีละคนสองคนด้วยน้ำมือเขา เมื่อแสงหายวับไป ความมืดก็กลับมาใหม่อีกครั้งพร้อมกับซากศพของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นอันโงนเงนและร่วงหล่น
รอบข้างกลับสู่ความสงบอีกครา
พื้นที่ภายในหีบมีรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบวาอันเป็นพื้นที่หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดไร่
หากว่าผู้คนหลายร้อยคนยืนกระจัดกระจายกันในพื้นที่ขนาดนี้ พวกเขาไม่น่าจะรู้สึกแออัด แม้ว่าผู้นั้นจะเป็นสัตว์ยักษ์มหึมาอย่างกิเลนมังกร กระนั้นสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ พื้นที่รอบๆ เหมือนกับอัดแน่นเต็มไปหมด
ทักษะเทวะสามารถพุ่งไปถึงใครก็ตามได้ในพริบตา และบางทักษะที่แข็งแกร่งหน่อยก็สามารถกวาดซัดไปได้ทั้งพื้นที่
เมื่อฉินมู่ดึงพวกเขาทั้งหมดเข้าไปในหีบ ทุกคนก็ตื่นตระหนก และเริ่มลงมือต่อสู้กันทันที อันทำให้ตอนแรกนั้นหีบสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ความมืดได้นำความโกลาหลมายังกลุ่มคน และเพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนก็โจมตีใครก็ตามที่อยู่ใกล้ เพราะอย่างนั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีฝีมือแข็งแกร่งก็ตกตายด้วยน้ำมือพวกพ้องไปหลายคน
ความโกลาหลคงอยู่ไม่นาน ในเมื่อมีผู้นำของพวกเขาที่อยู่ในวรยุทธขั้นชาวสวรรค์สั่งให้พวกเขายืนนิ่งๆ
ยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์นั้นชาญฉลาด แต่เขาถูกฉินมู่สังหารในพริบตาถัดมา และความปั่นป่วนก็หวนคืนกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ใช้ไม้เท้าไผ่ของเขาเพื่อสังหารผู้คน และแม้แต่ยอดยุทธขั้นชาวสวรรค์ก็ไม่อาจจะรอดชีวิตจากการต่อสู้ประชิดตัวกับเขาได้
หลังจากที่สถานการณ์สงบลงบ้าง ก็มีบางคนพยายามแง้มหีบเปิดเพื่อให้แสงส่องเข้ามา แต่เขาก็ถูกฉินมู่แทง
ในช่วงเวลานั้น มีการต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในหีบต่างก็ตกอยู่ในความหวาดผวา หวั่นเกรงอันตรายต่อชีวิตตน พวกเขาสะกดข่มลมหายใจ หัวใจเต้น และแม้กระทั่งบาดแผลของตนเองเอาไว้ พวกเขาไม่ต้องการให้เลือดไหลร่วงลงมาและทำให้ฉินมู่รู้ตำแหน่งที่อยู่
พวกเขาถึงกับหลับตาลงด้วย เพื่อมิให้มันเผยพิรุธตำแหน่งแห่งที่ของตนเองในความมืด
สำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะ ทุกๆ คนมักจะฝึกทักษะเทวะเนตรที่จะส่องแสงออกมา จุดแสงในโลกมืดย่อมกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของฉินมู่!
เขานั้นเหมือนกับค้างคาวในถ้ำไร้แสง ปรากฏและหายวับไปอย่างคาดเดาไม่ถูก เสียงใดที่เกิดขึ้นก็จะจับความสนใจของเขา และนำความตายมาสู่เจ้าของเสียง
ในความมืดอันแทบหายใจหายคอไม่ออกนี้ มีราชามารซุ่มตัวอยู่ อันพร้อมจะคร่าชีวิตใครไปเมื่อใดก็ตาม!
เมื่อหีบเปิดออกและพ่นศพออกไปอีก แสงส่องมาจากข้างบนและทุกคนก็รู้สึกโลหิตในร่างเย็นเฉียบ พวกเขาทั้งหมดเคลื่อนที่ ไม่กล้าที่จะอยู่ตรงจุดเดิมอีกต่อไป ผ่านไปสักครู่หนึ่ง เสียงของทักษะเทวะปะทะกันและซากศพที่ร่วงหล่นก็ดังมา มีคนตายในความโกลาหลอีกครั้ง
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!”
ในที่สุด ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งก็ไม่อาจทานทนบรรยากาศอันสยองขวัญนี้อีกต่อไปและสติขาดผึง เขาซัดทักษะเทวะทุกอย่างพร้อมกับอาวุธวิญญาณทุกประเภทออกไปทุกทิศทางพลางตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ตายซะ! พวกเจ้าตายกันไปให้หมด!”
พลานุภาพของการจู่โจมเหล่านั้นร้ายกาจและสามารถครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยห้าสิบวาได้อย่างง่ายดาย อาวุธวิญญาณของเขาก็คมกล้าอย่างเหนือธรรมดา กวาดซัดไปรอบทิศ บีบให้ผู้คนในความมืดต้องป้องกันตนเอง
ในหีบ เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้ง และเสียงตะโกนดุเดือดก็ดังไปทั่วทุกหนแห่ง อาวุธวิญญาณและทักษะเทวะมากมายแล่นพล่านไปหมดอย่างสะเปะสะปะ
นานพอดู ผู้ฝึกวิชาเทวะที่สติหลุดก็หอบหายใจอย่างรุนแรงและหยุดมือ ไม่มีเสียงอื่นๆ อีกในความมืดนอกจากเสียงหอบหายใจของเขา
“ตาย?” ชายผู้นั้นตกตะลึง เขานั้นทั้งประหลาดใจและยินดีเมื่อหัวเราะร่า “พวกเจ้าตายกันหมดแล้ว! ตายกันทั้งหมด! ข้ารอดชีวิต ข้ายังมีชีวิตอยู่!”
ฉึก!
ไม้เท้าไผ่แทงเข้าไปในปากของเขาและทะลุออกที่ท้ายทอย
หีบเปิดออกมา และด้านทั้งสี่ก็แผ่ออก แสงสว่างส่องลงมาบนพื้นที่หนึ่งร้อยห้าสิบวานี้ ทว่าข้างในนั้น มีเพียงฉินมู่ ผานกงสั่วที่สีหน้าซีดเผือด และกิเลนมังกรอันตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่ง
เขาได้ย่อหดร่างกายเหลือแค่วาครึ่งและซ่อนอยู่ท่ามกลางกองหิน หนังเหนียวๆ เนื้อหนาๆ ของเขายังอยู่ดี แต่อาวุธวิญญาณทุกขนาดติดอยู่เต็มตัวเขา ท่ามกลางของเหล่านั้น ถึงกับมีกระบี่จำนวนหนึ่งที่เป็นของฉินมู่อยู่ชัดๆ เห็นได้ว่ามีการโจมตีจำนวนไม่น้อยที่ซัดมาโดนเขาในความมืด
เขาตัวใหญ่โต แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะหดย่อร่างลงไป แต่ก็ยังไม่ขาดลูกหลงที่ซัดมาโดนเขา
ทั้งพื้นนี้เกลื่อนไปด้วยซากศพ แต่ละร่างก็ตายด้วยวิธีต่างๆ กันไป บ้างก็ถูกไม้เท้าไผ่แทง บ้างก็ศีรษะถูกมีดผ่าแยก บ้างก็ถูกแขวนเอาไว้ในภาพวาดและถูกลบศีรษะออก มีกระทั่งวัวและแพะจำนวนหนึ่ง กับผู้ฝึกวิชาเทวะที่ถูกกระบี่รุมแทงจนเป็นเม่น และยังมีผู้ที่ถูกไจกระบี่บดขยี้ หรือถูกรังมังกรแท้บดทับ
แต่ทว่า ส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาตกตายในน้ำมือของพวกเดียวกัน
สถานการณ์มันปั่นป่วนชุลมุนจนเกินไป เพื่อปกป้องตนเอง ทุกคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสังหารซึ่งกันและกัน พวกที่ตายในเงื้อมมือของฉินมู่ ผานกงสั่ว และกิเลนมังกรนับว่าเป็นส่วนน้อย ประมาณสามในสิบส่วน
ผานกงสั่วเช็ดรอยเลือดที่เปื้อนบนใบหน้า และยังคงหวาดผวาไม่หาย
ในความมืดอันดิบดำ ฉินมู่ได้ปะทะกับเขาหนึ่งครั้ง และหากว่าเขามิได้ใช้สุดยอดวิชาของวังทองโหรวหลันเพื่อให้อีกฝ่ายตระหนักว่าเป็นเขา เขาก็คงถูกลบหายไปจากโลกด้วยฝีมือฉินมู่
ในความมืดเขาได้รับบาดเจ็บมากมายและกำจัดคู่ต่อสู้ไปก็มาก แต่ช่วงเวลาอันตรายคับขันที่สุดก็ตอนที่ฉินมู่มาประชิดตัวเขา
ตอนนั้นเขาเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้ง!
แม้ว่าผานกงสั่วจะรอดจากกระบวนท่าพิฆาตของฉินมู่มาได้ แต่กลางท้องของเขาก็ยังมีรูแผลเลอะเลือนอันเกิดจากไม้เท้าไผ่ นี่มาจากที่เขาหลบหลีกการแทงเข้าไปในตำแหน่งหัวใจ คอของเขาก็ถูกบีบให้บิดไปเป็นองศาที่น่ากลัวเพื่อหลบเลี่ยงมีดเชือดหมู
ฉินมู่อาจจะมิได้โจมตีเขาซ้ำอีกหนหลังจากที่จดจำทักษะเทวะของเขาได้ แต่ผานกงสั่วก็ยังสงสัยว่าไอ้เด็กเวรนี่มันรู้ว่าเป็นเขามาตั้งแต่แรก หมอนี่คงคิดจะฉวยโอกาสกำจัดเขาไปด้วยเสียเลย
แน่นอนว่าผานกงสั่วไม่มีหลักฐานใดๆ ดังนั้นเขาจะยกขึ้นมาพูดก็ไม่เหมาะ
ฉินมู่ร่างเปรอะเปื้อนไปด้วยโลหิต เขาลากศพโยนออกไปจากหีบจนหมด เขาเองก็ได้รับบาดแผลมากมายและได้ตกในสภาวะการณ์อันคับขันร่อแร่ เขานั้นเกือบจะตายภายใต้การโจมตีที่ส่งซัดไปรอบทิศทาง
ท่ามกลางคู่ต่อสู้ทั้งหลาย มียอดฝีมือแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในขั้นชาวสวรรค์ ทักษะเทวะของพวกนั้นยิ่งแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ และการโจมตีจากจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าถูกโจมตีไปแม้แต่ครั้งเดียว ต่อให้ใช้กายามังกรแท้จ้าวแดนดินเขาก็คงจะสิ้นชีวิต
ถึงอย่างไรเขาก็ยังถูกโจมตีด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณมากมาย หากไม่เพราะว่า ‘มารนอกโลก’ คนหนึ่งเกิดเสียสติขึ้นมา ก็คงยากที่เขาจะเหลือรอดยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย
ผานกงสั่วก้าวเข้ามา และทั้งคู่ก็โยนซากศพออกไปในความืดอย่างเงียบงัน
ไม่นานนัก หีบก็ถูกเก็บกวาดหมด ฉินมู่มิได้โยนอาวุธวิญญาณของ ‘มารนอกโลก’ พวกนี้ทิ้งไป แต่เก็บพวกมันไว้ในถุงเต๋าตี้ของเขา หลังจากนั้นเขาก็เรียกอาวุธวิญญาณที่เขาทิ้งไปในระหว่างการต่อสู้กลับมา
ฉึก ฉึก ฉึก
เลือดพุ่งออกมาเป็นสายจากร่างของกิเลนมังกร เมื่อกระบี่บินจำนวนหนึ่งดึงตัวมันเองออกมา และบินกลับไปรวมกับไจกระบี่ของฉินมู่
กิเลนมังกรมองไปยังบาดแผลที่ถูกเปิดอันมีเลือดไหลกระฉูดอยู่ ก่อนที่จะมองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ ท่านแทงข้าหรือ”
“ข้าเปล่า อย่าพูดอะไรเหลวไหลสิ มันเป็นอุบัติเหตุ” ฉินมู่ปฏิเสธหน้าตาย
ผานกงสั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาฉวยโอกาสที่กิเลนมังกรกำลังเลียแผลตนเองเพื่อขับเคลื่อนไจกระบี่ของเขา มีดสี่ห้าเล่มหลุดออกจากก้นของกิเลนมังกรกลับเข้าไปรวมกับไจมีด
กิเลนมังกรโมโหเดือด “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าก็แทงข้าเหมือนกัน?”
ผานกงสั่วไอออกมาเป็นเลือด และมองไปยังฉินมู่ที่แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “อุบัติเหตุ มันต้องเป็นอุบัติเหตุ…” เขาลังเลแวบหนึ่งแล้วกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เจ้ายังมีน้ำลายมังกรเหลืออยู่ไหม ให้ข้าสักหน่อยสิ ข้าก็บาดเจ็บเหมือนกัน”
ฉินมู่คุ้ยถุงเต๋าตี้ของเขาและนำเอาน้ำลายมังกรออกมาสองสามขวด ผานกงสั่วลังเล แต่ก็ไม่กล้าจะรับมันมา เขาเกาหัวแกรกๆ “ข้าพลันรู้สึกขนพองสยองเกล้าที่จะใช้น้ำลายมังกรของจ้าวลัทธิฉินมู่รักษาบาดแผล ข้าไม่มีทางแน่ใจได้ว่าแผลของข้าจะหาย หรือชีวิตของข้าจะหายไปจากยาพิษกันแน่”
“ไม่อยากใช้ก็ไม่ต้องใช้” ฉินมู่เปิดขวดน้ำลายมังกรและทามันบนบาดแผลของเขา
ผานกงสั่วมองไปที่กิเลนมังกรซึ่งกำลังพ่นเพลิงกิเลนเพื่อหลอมละลายอาวุธวิญญาณที่ยังเหลือปักคาอยู่บนร่างของเขา เมื่อกิเลนมังกรเห็นเขาเดินเข้ามาอย่างหน้าไม่อาย เขาก็พลันเดือดดาลและหันตูดไปทางเขา เผยรอยแผลลึกบนนั้น “เลียแผลมันสนุกหรือ เจ้าอยากให้ข้าเลียแผลเจ้างั้นหรือ เช่นนั้นมาเลียแผลให้ข้าก่อนแล้วกัน!”
ผานกงสั่วสีหน้ามืดดำราวกับถ่าน และเขากล่าวอย่างเจี๋ยมเจี้ยม “ข้าอยากจะหยิบยืมน้ำลายมังกรสักนิดหนึ่ง มิได้ขอให้เจ้ามาเลียหรอก หากว่าเจ้าจะสงสารข้าสักหน่อย…”
กิเลนมังกรใจอ่อน เขาหักใจปฏิเสธไม่ลงและพ่นน้ำลายมังกรออกมากำลัง “เลียเองนะ!”
ผานกงสั่วกอบมันขึ้นมาและทาที่บาดแผลของเขา
พวกเขาเยียวยาตนเองและฉินมู่ก็นำน้ำลายมังกรอีกจำนวนหนึ่งมาทาบาดแผลที่ก้นของกิเลนมังกร แต่หลังจากที่พวกเขาพักอยู่อีกสักหน่อย ขาของพวกเขาก็ยังปวดไปหมดอยู่ดี
ในความมืด มีเสียงฝีเท้าเดินมาถึงพวกเขา และฉินมู่ดิ้นรนลุกขึ้นยืน เขาขับเคลื่อนเนตรสวรรค์ชาด และเงาร่างที่สวมใส่ผ้าคลุมสีแดงโลหิตก็ปรากฏขึ้นมาในความมืด
ผานกงสั่วก็ลุกขึ้นยืนด้วยแข้งขาสั่นพั่บๆ และเปิดขวดน้ำเต้าข้างหลังเขา น้ำตกโลหิตหลั่งไหลออกมาและพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
กิเลนมังกรพยายามที่จะยันตัวลุกขึ้น แต่แข้งขาอ่อนเปลี้ยของเขาไม่อาจค้ำพยุงร่างตนเองได้ เขารู้สึกว่าหมอบต่อไปจะดีกว่า ก็เลยพ่นไฟแท้ออกมาจากท่านั่งหมอบ
แขนของฉินมู่ห้อยเปลี้ย ไม่อาจจะยกไจกระบี่ขึ้นมา เขาทำได้แค่ดีดนิ้วเพื่อให้กระบี่ไร้กังวลบินออกมาลอยอยู่ใกล้ๆ ปลายนิ้วของเขา มันเล็กละเอียดอย่างถึงที่สุด
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับมีดยาวที่กลางหลัง แต่ทว่า เขาไม่ได้เดินมาจนสุดทางถึงพวกเขา ในทางตรงข้าม เขาหยุดและมองดูซากศพหลายร้อยเหล่านั้นอย่างพินิจพิเคราะห์
ในความมืด สัตว์ประหลาดทั้งหลายไม่สนใจเขา ราวกับว่าสิ่งร้ายในความมืดจะมีผลก็แต่เฉพาะผู้คนในโลกใบนี้ แต่กับอาคันตุจากนอกโลกอย่างเขา พวกมันไม่เป็นอันตรายใดๆ
“สามารถสังหารกองสอดแนมของทัพหลิงซิ่วแห่งสภาสวรรค์ของข้าได้ เจ้านี่แข็งแกร่งจริงๆ!” เด็กหนุ่มแบกมีดยาวสลัดผ้าคลุมอันเต็มไปด้วยโลหิตสด เขามองไปยังฉินมู่ข้ามความมืด และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ข้าน้อยคือลั่วอู๋ชวงแห่งทัพหลิงซิ่ว ไม่ทราบว่าท่านที่นับถือกล้าป่าวประกาศนามหรือไม่”
ผานกงสั่วหัวเราะคิก “ลั่วอู๋ชวง ทัพหลิงซิ่ว? ไม่เคยได้ยินมาก่อน เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เจ้าก็ดูมีฝีมืออยู่บ้าง รีบไสหัวมารับความตาย!”
เด็กหนุ่มเจ้าของมีดยาวไม่ยินดียินร้าย “ข้านับถือฝีมือของทุกคนที่นี่ ถึงกับสามารถสังหารยอดฝีมือมากมายโดยใช้เพียงสองคนและหมูหนึ่งตัว กำลังฝีมือของพวกท่านต้องไม่อ่อนด้อยเลยถึงทำเช่นนี้ได้ แต่ว่าพวกเขาก็เป็นเพียงกองสอดแนมเท่านั้น ทัพหลิงซิ่วเป็นกองทัพอันเลือกสรรสุดยอดหัวกะทิจากเหล่ายอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งสภาสวรรค์ และมิใช่สิ่งที่จะใช้กองสอดแนมมาเทียบเคียงได้”
“พวกท่าน ด้วงมูลควายแห่งจักรพรรดิสูงส่ง สามารถมีกำลังฝีมือระดับนี้ได้นับว่าควรแก่การเลื่อมใส ดังนั้นข้าจึงได้ถามนามของพวกท่านเพื่อให้ชื่อเสียงของพวกท่านยังคงดำรงอยู่ต่อไปหลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ในเมื่อพวกท่านไม่ต้องการเช่นนั้น…”
เขาชักมีดออกมา และฟันลงท่ามกลางสายลมแสงมีดดูราวกับว่ามันจะถูกฝึกฝนมาเป็นพันๆ ครั้ง เมื่อมันพุ่งมาท่ามกลางกระแสอากาศ มันขยายจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ เป็นแปด เป็นสิบหก ทวีคูณไปเรื่อยๆ และเมื่อทั้งหมดนั้นแล่นมาถึงเบื้องหน้าฉินมู่และคณะ มันก็กลายเป็นท้องฟ้าอันเกลื่อนกล่นไปด้วยแสงมีด!
ผานกงสั่วกู่ร้องอย่างเกรี้ยวกราด และประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน น้ำตกโลหิตพลันแปรเปลี่ยนเป็นพุทธรูปโลหิตอันเข้าเผชิญกับแสงมีด แต่ก็แตกทำลายไป ถึงอย่างไรด้วยแรงปะทะของพุทธรูปโลหิต แสงมีดก็โยกคลอนไม่เสถียรไปครู่หนึ่ง
กระนั้นผานกงสั่วก็ทรุดนั่งลงกับพื้นและหอบหายใจอย่างรุนแรง เขาไม่มีพลังวัตรเหลืออีกต่อไป
ฉินมู่ดีดนิ้วขึ้น และกระบี่ไร้กังวลพุ่งโบยบิน แทงเข้าไประหว่างตาข่ายมีดและวาบไปประชิดเด็กหนุ่มผู้นั้นในเสี้ยวพริบตา
เขาพยายามใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายเพื่อขับเคลื่อนกระบวนท่ากระบี่ของเขา ในเมื่อเขาไม่มีกำลังที่จะป้องกันตนเองอีกต่อไป กิเลนมังกรร้องคำราม และเกล็ดทั่วร่างของเขาก็บินออกไป พวกมันเหมือนกับโล่ใหญ่นับหมื่นที่ยกขึ้นป้องกันตรงหน้าฉินมู่
เด็กหนุ่มเคลื่อนไหวไปอย่างคาดเดาไม่ได้เพื่อหลบเลี่ยงแสงกระบี่ และเขาก็ยกมีดขึ้นมาปัดป้อง เพลงมีดของเขาได้บรรลุถึงขั้นไร้ที่ติ และมันมีความยิ่งใหญ่อลังการแฝงอยู่
ฉินมู่ใช้พละกำลังหยดสุดท้าย และปราณชีวิตของเขาก็เคลื่อนเรือนกระบี่ ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดแปรเปลี่ยนไปอย่างซับซ้อนเกินจะหยั่ง และเมื่อกระบวนท่าสุดท้ายถูกร่ายรำออกไป เด็กหนุ่มคนนั้นก็ครางเสียงหนัก แขนของเขาที่ถือมีดอยู่ถูกตัดสะบั้นออกไป
เขาใช้อีกมือคว้าแขนตนเอาไว้และรีบล่าถอย สะกิดเท้าพุ่งห่างออกไปหนึ่งลี้ในพริบตา
“เจ้าเป็นใคร ประกาศนามของเจ้ามา!” เขาตะโกนด้วยเสียงดุดัน
ฉินมู่คะเนว่าปราณชีวิตของเขากำลังแห้งเหือด และไม่อาจไปถึงระยะหนึ่งลี้นั้นได้ ดังนั้นเขาจึงเรียกกระบี่กลับมา กระบี่ไร้กังวลพุ่งวนเวียนไปรอบๆ ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ดูเหมือนว่าเขายังคงมีพละกำลังอยู่
“จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ฉินมู่” เขาแย้มยิ้มและกล่าวเสริมอย่างไม่เร่งร้อน “ข้างๆ ข้าคือผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน”
ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน
…………………….
ป๋ายฉวีเอ๋อยกลูกแก้วมังกรเทวะสูงขึ้นพลางอุ้มบุตรของป๋ายชิงฝู่และหันกายพาคณะหลบหนีเดินทางเข้าไปในความมืด
ลูกแก้วมังกรเทวะเปล่งแสงนุ่มนวลอันขับไล่ความมืดจากไป พวกเขาจำเป็นต้องรีบเร่งไปยังสถานีชายแดนข้างหน้า เพื่อขอพึ่งพิงเทพเจ้าที่อยู่ที่นั่น
ข้างๆ หีบ กิเลนมังกรร้องฮื่อในคอเสียงต่ำเพื่อปลุกปลอบขวัญตนเอง ฉินมู่โยนกระถางยักษ์คืนให้ผานกงสั่ว เมื่อฝ่ายหลังพบว่าขาข้างหนึ่งของมันหักไป เขาก็ส่ายหัวและกล่าว “กระถางนี่พังเสียแล้ว พลังของมันอ่อนแอลง ดังนั้นอาจจะไม่สามารถปกป้องพวกเราได้ โชคดีว่า ข้ายังมีสมบัติชิ้นอื่นๆ”
เขาเก็บกระถางยักษ์กลับเข้าถุงเต๋าตี้และนำน้ำเต้าออกมาลูกหนึ่ง เขาพยายามคาดมันเอาไว้ที่รอบตัวเองพลางหัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉิน นี่คืออาวุธวิญญาณของชาติภพแรกของข้า มันเรียกว่าน้ำเต้ารอยโลหิต และมันเป็นสมบัติชิ้นที่สร้างชื่อเสียงให้แก่ข้า นานมาแล้วที่ข้ามิได้ใช้มัน ข้าคอยคิดเสมอถึงวิธีการทลายขั้นวรยุทธเทวะและหลอมรวมสิ่งที่ข้าเรียนรู้ทั้งหมดมากกว่าหนึ่งหมื่นปีเข้าด้วยกันเพื่อขัดเกลาน้ำเต้ารอยโลหิตของข้า แต่ทว่า ข้ามิอาจหลอมรวมวิชามากมายขนาดนั้นเข้าด้วยกันได้”
เขาสะพายน้ำเต้านี้ไว้ที่หลังในเมื่อมันสูงสามคืบ แต่ทว่าเขาไม่มีขาดังนั้นภาพทั้งหมดจึงดูแปลกประหลาด
“ผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะเป็นคนที่มีปณิธานทะยานจิต”
ฉินมู่นำเอาฝักมีดออกจากถุงเต๋าตี้ของเขา และสะพายมันไว้ที่หลัง จากนั้นเขาก็นำมีดเชือดหมูสองเล่มออกมา และเสียบมันเอาไว้ข้างใน “น่าเสียดายที่เจ้าเปลี่ยนไปเมื่อพบว่าเจ้าไม่อาจบรรลุเป็นเทพเจ้าได้ และหันไปเดินทางผิด”
ผางกงสั่วมองไปที่ถุงเต๋าตี้ของเขาและยิ้มหยัน “เจ้าคิดว่าถ้าเจ้าเป็นข้าแล้วจะไม่เปลี่ยนไปงั้นหรือ นั่นมันถุงเต๋าตี้ของข้า!”
“ข้าเก็บมันได้จากวังทองโหรวหลัน”
ฉินมู่นำเอาค้อนเหล็กยักษ์ออกมาและเหวี่ยงมันเบาๆ ค้อนยักษ์ส่งเสียงหึ่ง และหัวค้อนขยายออกไปเรื่อยๆ มันขยายใหญ่จนกระทั่งยาวถึงแปดคืบ ด้วยที่จับตรงกลางวงค้อน
เมื่อฉินมู่หยุดใช้พลังวัตร ค้อนยักษ์ก็หดกลับลงไปเป็นขนาดเดิม
ฉินมู่เสียบค้อนเอาไว้ในถุงหนังข้างๆ ฝักมีด เก็บมันไว้ที่นั่น จากนั้นเขาก็นำไม้เท้าไผ่ออกมาและกวัดแกว่งมันเบาๆ เช่นกัน สร้างภาพติดตาซ้อนๆ กัน เขาเก็บมันไว้ที่หลังด้วย
ผานกงสั่วสะดุ้ง เขาเห็นหมอนี่เอาพู่กัน หมึกและกระดาษ อันเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ และกระทั่งปักม้วนกระดาษจำนวนหนึ่งไว้ในถุงมีดด้วยเช่นกัน ผานกงสั่วอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะ “จ้าวลัทธิฉินผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าจะไปเล่นกายกรรมคณะละครสัตว์หรืออย่างไร หลังเจ้ามีข้าวของเต็มไปหมดแล้ว!”
ฉินมู่นำถุงยาพิษและไจกระบี่ออกมา มันแยกออกเป็นกระบี่แปดพันเล่ม และเขาก็นำเอาขวดขนาดต่างๆ กันมากมายออกจากถุง เขาทาพิษลงบนกระบี่แต่ละเล่มๆ พลางกล่าว “เตรียมให้พร้อมก็ไม่เสียหายอะไร ครั้งแรกที่ข้าเดินทางออกจากแดนโบราณวินาศ ข้าก็แต่งตัวแบบนี้แหละ แม้ว่ามันจะดูหยาบกร้าน แต่มันก็ใช้ประโยชน์ได้ดี เมื่อข้ามีสถานะหน้าตา ข้าก็ต้องหยุดทำตัวหยาบกร้านเช่นนี้ แต่ทว่า ในเมื่อนี่เป็นการต่อสู้ชิงเป็นชิงตาย ก็ย่อมที่จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ผานกงสั่วก็นำเอาธงออกจากถุงเต๋าตี้ของตนมาเจ็ดผืนและปักมันบนพื้นรอบๆ ตัว จากนั้นเขาก็นำเอากระจกทองแดงที่มีสายรัดคาดเอาไว้ที่แขนซ้าย มันดูเหมือนโล่
จากนั้นเขานำเอามีดบินจำนวนหนึ่งออกมา และห้อยมันเอาไว้ข้างในเสื้อทั้งสองข้าง
ฉินมู่ตะลึง ผานกงสั่วจึงนำเอากล่องกระบี่ออกมาจำนวนหนึ่งและตั้งมันไว้ใกล้ๆ ขา และยังมีอาวุธอันดาษดื่นสามัญที่สุดในทุ่งหญ้าอันก็คือไจมีดหลายลูก
แต่ทว่า ไจมีดของผานกงสั่วนั้นไม่ธรรมดา คุณภาพของมันเหนือล้ำกว่าที่ยอดฝีมือทั้งหลายแห่งท้องทุ่งหญ้าใช้กัน
เขายังนำเอาแผ่นไท่จี่และวิหารพุทธรูปที่มีพุทธรูปเล็กๆ อยู่ข้างในออกมาด้วย จากนั้นเขาก็นำเอาเสาแท่งหนาที่มีรอยประทับอักษรรูนเรืองรองและตั้งตระหง่านขึ้นมาด้วยตนเอง
“ผู้สูงศักดิ์ ทรัพย์สินของเจ้านี่ช่างมั่งคั่งจนน่าแตกตื่นเสียจริง” ฉินมู่ชมเปาะ “ราชครูและข้าปล้นสะดมวังทองของเจ้าตั้งหลายครั้งหลายหน แต่เจ้าก็ยังคงมีสมบัติล้ำค่ามากมายขนาดนี้!”
ผานกงสั่วยิ้มหยันและกล่าว “เมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่เกินหมื่นปี สิ่งของที่เจ้าสะสมคงจะมากกว่าข้าเสียอีก! พวกเขามาที่นี่แล้ว เนตรปลุกพลัง!”
ดวงตาเขาส่องแสงเจิดจ้า และเขาขับเคลื่อนเนตรสวรรค์ของลัทธิพุทธ และถัดจากนั้น ระหว่างรังสีแสงพุทธธรรม เนตรเต๋าของสำนักเต๋าก็ก่อตัวขึ้นมาและแปรเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์หยินหยาง!
ผานกงสั่วมองเข้าไปในความมืดและเห็นเงาร่างอันวูบวาบ
“ปลุกพลัง!” ฉินมู่กู่ร้องเสียงต่ำ และขับเคลื่อนวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า
แสงดาวปรากฏในแก้วตาของเขา และดวงอาทิตย์ก็จุดสว่างท่ามกลางทางช้างเผือก จากนั้นชั้นต่างๆของวงจรพยุหะก็ก่อตัวขึ้นมา เฒ่าบอดได้หลอมรวมวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าของเขาเข้ากับเนตรเทวะอันดับหนึ่งแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งอันเป็นของเทพจื่อชิง ดังนั้นพลานุภาพของมันจึงยิ่งใหญ่ไปกว่าเดิม และทักษะเทวะของเนตรก็ยิ่งทรงพลัง หากแต่ว่าเนตรเทวะเช่นนี้ก็ย่อมเผาผลาญพลังวัตรมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ดังนั้นฉินมู่จึงพอฝืนเปิดได้ถึงเนตรสวรรค์อาภาอันรวมเป็นห้าสรวงสวรรค์
เพราะอย่างนั้น เขาจึงยังใช้เพียงแค่เนตรสวรรค์ชาด
ความมืดตรงหน้าพวกเขาหนาทึบเกินไป ทำให้แม้แต่เนตรสวรรค์ชาดก็มองไปได้ไม่ไกลนัก ดังนั้นเขาจึงขับเคลื่อนเนตรสวรรค์อาภา
กิเลนมังกรเบิกตากลมโตมองไปรอบๆ แต่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง “จ้าวลัทธิ ท่านมองเห็นอะไรหรือ”
ผานกงสั่วก็มองไปได้ไม่ไกลเช่นกัน ทั้งหมดที่อยู่ในทัศนวิสัยของเขาคือเงาร่างสิบกว่าเงาที่เดินดุ่มมาในความมืด “จ้าวลัทธิ มีพวกเขาสิบกว่าคนใช่ไหม”
ฉินมู่มองตรงไปในความมืดและผงกหัวด้วยรอยยิ้ม “มีผู้ฝึกวิชาเทวะเพียงสิบกว่าคน ไม่ต้องกังวล”
ผานกงสั่วถอนหายใจโล่งอกและหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ข้าคิดว่าข้าจะต้องตายเหมือนป๋ายชิงฝู่และภรรยาของเขาเสียอีก เหมือนกับพวกสวะนั่น ข้ามิได้สูงส่งอะไรนักหนา ดูเหมือนว่าการติดตามจ้าวลัทธิมาจะเป็นตัวนำโชค ข้าคงไม่ตายแล้ว!”
กิเลนมังกรก็ระเบิดหัวเราะออกมาเหมือนกัน “จ้าวลัทธิมักจะพลิกเคราะห์ภัยให้กลายเป็นโชควาสนา!”
หีบของซิงอ้านก็อ้าๆ หุบๆ ฝาปิดของมัน หัวเราะในแบบฉบับของตนเอง
ฉินมู่เช่นกันและชี้นิ้วออกไป หีบอ้าออกและร่วงลงกับพื้น
หีบของซิงอ้านใช้วัสดุอย่างผืนหนังและกระดูกของเต๋าตี้ กระดูกใช้เป็นโครงสร้างส่วนหนังเอาไว้ห่อหุ้มรอบๆ
บัดนี้เมื่อหีบเปิดหงายอ้าซ่า พื้นที่โดยรอบในรัศมีร้อยห้าสิบวาก็กลายเป็นเขตปลอดภัย
ยืนอยู่ข้างในเขตนี้ พวกเขาก็จะมีแสงเทวะจากหีบส่องออกมาปกป้องและทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องความมืด
ผานกงสั่วจัดวางสมบัติของเขาทั้งหมดไว้อย่างเหมาะสม ขณะที่กิเลนมังกรมองไปที่ชั้นหิ้งภายในหีบด้วยความหวาดกลัว มีชิ้นส่วนร่างกายมากมายแขวนอยู่บนหิ้งเหล่านั้น และเมื่อฉินมู่ไม่ทันมอง ผานกงสั่วก็แอบเอาขาติดพิษของเขาไปแขวนเอาไว้ ก่อนที่จะฉวยเอาสองข้างที่ดีๆ ออกมาแล้วยัดเข้าถุงเต๋าตี้ของตนเอง
ฉินมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น และเพียงแต่มองออกไปข้างหน้า ด้วยเนตรสวรรค์อาภาของเขา เขาก็มองเห็นกองทัพของ ‘มารนอกโลก’ หลายร้อยกำลังพลข้างหลังเงาร่างสิบกว่าร่างนั้น!
พวกเขายืนอยู่อย่างเงียบเชียบขณะที่เงาร่างสูงโปร่งหนึ่งกำลังขี่สัตว์พิสดารอันใหญ่โตกำยำนำหน้า เขาผู้นั้นกำลังมองไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะที่ส่งออกไปสอดแนม
ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ถูกใช้เพียงเพื่อทดสอบกำลังฝีมือของพวกเขา!
ฉินมู่เก็บสิ่งที่เห็นเอาไว้ในใจ และสูดลมหายใจลึกยาว ไจกระบี่ของเขาไหลออกมาจากแขนเสื้อ และกลิ้งอยู่อย่างเงียบงันอยู่ที่ขอบหีบ ที่นั่น มันขุดคุ้ยพื้นและมุดลงไปใต้ดิน ส่งกระบี่บินทั้งหลายให้แผ่กระจายออกไปในรัศมีหนึ่งร้อยห้าสิบวานี้
“ตอนนี้ล่ะ!”
ฉินมู่กู่ร้อง และมีดเชือดหมูสองเล่มของเขาก็ออกมาจากฝักให้มือของเขาคว้าจับเอาไว้
ในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกวิชาเทวะสิบกว่าคนก็พุ่งทะยานเข้ามา และกิเลนมังกรก็อ้าปากของเขาเพื่อร้องคำราม ไฟแท้อันโหมไหม้แปรเปลี่ยนเป็นเสาเพลิงอันยิงไปข้างหน้า เมื่อมันระเบิด เงาร่างเหล่านั้นก็รีบหลบหลีกและพุ่งเข้าไปโจมตีกิเลนมังกร
กิเลนมังกรขยับหันศีรษะ และเสาอัคคีก็กวาดไปทั่วทิศทาง หนึ่งในคนพวกนั้นกดฝ่ามือลงไป และแผ่นดินก็ควรจะถูกยกผงาดขึ้นมา แต่ทว่าภายใต้การสะกดทับของหีบ มันก็ยกไม่ขึ้นเลยแม้แต่น้อย
อีกคนหนึ่งใช้แสงมีดอันเป็นเพลงมีดเลิศล้ำมหัศจรรย์ พวกมันหมุนวนอย่างดุเดือดไปรอบๆ เสาอัคคี และตัดสะบั้นมันขาดจากกันเป็นชิ้นๆ ฉินมู่จึงคว้ามีดของเขาและพุ่งทะยานไปยังบุคคลผู้นั้น
ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขารู้ว่าความเป็นและความตายห่างกันเพียงเส้นผมคั่นเมื่อผู้ฝึกวิชาบู๊เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขา เขามองเห็นก็แต่เพลงมีดและท่าเท้าของอีกฝ่าย
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวและหมุนวนไปมาอย่างเร็วจี๋ราวลูกข่าง ในเสี้ยวพริบตาที่แสงมีดตวัดขึ้นและลง ผลแพ้ชนะก็ชี้ขาด
“เพลงมีดเลิศล้ำ!”
ศีรษะของคนผู้นั้นปลิวกระเด็น และร่วงลงไปในความมืดระหว่างที่เขาเอ่ยชม
ขณะที่ศพของเขาล้มลงไป ฉินมู่ก็ถูกฝ่ามือของผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนฟาดเข้าใส่หน้าอก แต่ทว่า ร่างกายของเขาม้วนขดประดุจมังกรไร้เขา และปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมังกรอีกตัวที่กระหวัดพันรอบแขนของคู่ต่อสู้ มีดคู่จึงฟันตามมาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ซัดแสงมีดจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อเฉือนตัดศัตรู!
“เพลงมีดเลิศล้ำอย่างแท้จริง!” คนผู้นั้นเอ่ยชมเมื่อความมืดเข้ากลบกลืนดวงตาของเขา เขามิอาจมองเห็นมีดของฉินมู่ได้
ตึง
ศีรษะของเขาร่วงลงกับพื้นและกลิ้งไปสองตลบ ดวงตาของเขายังคงเบิกกว้างเมื่อสำนึกรู้ของเขาค่อยๆ เลือนหายไป “สามารถตายภายใต้เพลงมีดเช่นนี้…”
ไจมีดของผานกงสั่วลอยขึ้นไปบนอากาศ และเขาโจมตีพร้อมๆ กับฉินมู่ ไจมีดของเขาพุ่งซิกแซก และแสงมีดจำนวนมากก็เคลื่อนเลียดพื้นฟันออกไป ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงหวีดหวือก็ดังมาจากน้ำเต้ารอยโลหิต เมื่อน้ำตกโลหิตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กวาดซัดผู้ฝึกวิชาเทวะคนที่กระโดดขึ้นไปเพื่อหลบเลี่ยงมีดเลียดพื้นของเขา
ในน้ำตกนั้นมีแมลงทุกชนิดทุกประเภท อันรุมทึ้งกัดกินเขาจนสิ้นซาก!
เสียงของการปะทะฉาดฉานดังมา เมื่อผู้ฝึกวิชาเทวะอีกคนลงมือระหว่างที่เหยียบไปบนมีดเหล่านั้น และพุ่งทะยานเข้าใกล้ผานกงสั่ว เขายกฝ่ามือขึ้น และแสงเทวะก็พุ่งออกไปข้างหน้า
ผานกงสั่วรับมือด้วยความเร็วดุจสายฟ้าและตวัดแขนเสื้อของเขาขึ้น มีดบินจำนวนนับไม่ถ้วนพรั่งพรูออกไปเป็นกระแสเชี่ยว แทงเข้าไปในใบหน้าของคนผู้นั้นจนเต็มไปด้วยมีด
กิเลนมังกรคำรามอย่างเกรี้ยวกราด เผยร่างที่แท้จริงอันสูงหกสิบวา ตอบโต้ศัตรูด้วยการใช้อุ้งเท้าตบและกัดให้ตาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็สังหารศัตรูคนสุดท้ายและเตะศพของเขาออกไป เขาถ่มเลือดและเสมหะที่อยู่เต็มปากของเขา วรยุทธของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นมิได้สูงมาก เพียงแค่ขั้นหกทิศและเจ็ดดาว และยังมียอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์คนหนึ่งที่กิเลนมังกรรับมือเอาไว้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของคนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก และเกือบจะงัดกิเลนมังกรปลิวกระเด็นเข้าไปในความมืด
มีก็แต่เมื่อฉินมู่และผานกงสั่วร่วมมือกับกิเลนมังกร พวกเขาจึงสามารถสังหารศัตรูนี้ได้ในระยะขอบเขตร้อยห้าสิบวา
ผานกงสั่วถูกทักษะเทวะจำนวนหนึ่งโจมตี และใบหน้าเขาก็เปรอะเปื้อนไปหมด เขาไม่ใส่ใจจะซ่อนจากฉินมู่อีกต่อไปและเชื่อมต่อขาเทวะทั้งสองข้างเข้ากับร่างตน
ฉินมู่ทำเป็นไม่เห็นและหัวเราะ “ผู้สูงศักดิ์ ไวๆ เข้าหน่อย ศัตรูไม่ให้เวลาเรามากหรอกนะ”
“ศัตรู?” ผานกงสั่วหัวเราะ “ไม่ใช่ว่าพวกเราฆ่าไปหมดแล้วหรือ”
เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปในความมืด และอดไม่ได้ที่จะตกตะลึงเมื่อเห็นเงาร่างดำๆ พุ่งทะยานฝ่าความมืดมา เขารีบหันกลับไปตั้งท่าจะวิ่งหนี แต่ความมืดอยู่ข้างหลังพวกเขา เขาจึงขยับไม่ได้
“ไม่มีทางรอด!” ผานกงสั่วหันหน้ากลับและร่ำร้อง “จ้าวลัทธิฉิน นี่ไม่มีทางรอดแล้ว! ข้าจบเห่ไปด้วยก็เพราะเจ้า!”
ฉินมู่ยืนอยู่ใจกลางของเขตแสงสว่างและเสียบมีดคู่ของเขากลับไป เนตรหยกตะวันร่วงลงมาวางข้างเขา และเขาก็ร้องตะโกน “ข้ามเขตเข้ามา พวกเจ้าจะต้องตาย!”
“อวดดีจนไร้ยางอาย!”
ผู้ฝึกวิชาเทวะของฝ่ายมารนอกโลกพุ่งเข้ามา และแสงกระบี่ก็พลันยิงออกมาจากใต้ดิน มันพุ่งเฉียดอกของเขาและแทงเข้าไปในหัว
ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้วิ่งไปอีกสิบกว่าก้าว ก่อนจะล้มครืนตรงหน้าฉินมู่
เด็กหนุ่มยิ้มและทวนคำพูดเดิมแต่มารนอกโลกหลายร้อยคนที่อยู่ข้างนอก “ข้ามเขตเข้ามา พวกเจ้าจะต้องตาย!”
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ยักษ์ตนหนึ่งควงโล่ใหญ่ในมือของเขาและกระโจนขึ้นมาเหวี่ยงโล่เอาไว้ใต้เท้าเพื่อป้องกันแสงกระบี่อันท่วมท้นขึ้นมาใส่เขา ในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด และร่างกายของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเทพเจ้าหลังเต่าที่มีงูยักษ์กระหวัดพันรอบกาย เขาก้าวลงไปเหยียบในเขตพื้นที่รอบหีบและเหวี่ยงกำปั้นเข้ามา งูเหินหาวร้องฟ่อๆ และกระหวัดพันรอบหมัดของเขา
ฉัวะ ฉัวะ!
แสงมีดสองเส้นเฉือนกากบาทขนานและตั้งฉาก ยักษ์นี้ถูกผ่าออกเป็นสี่เสี่ยง
ฉินมู่สะบัดเลือดให้หลุดออกจากมีดคู่ และฉีกยิ้ม “ข้ามเขตเข้ามา เจ้าจะต้องตาย!”
“พวกเจ้าแค่สองคนและหมูตัวหนึ่งสกัดกั้นพื้นที่ร้อยห้าสิบวา และหมายจะขัดขวางกองทัพของข้างั้นหรือ”
สัตว์พิสดารเดินเข้ามา บนนั้น หัวหน้ากลุ่มมารนอกโลกก็ถอดหน้ากากออกและมองลงมายังฉินมู่ เขายิ้มหยันและกล่าว “ดูเจ้ามีวรยุทธไม่เลวและยังมีความกล้าหาญ ข้าจะให้เจ้าตายโดยซากร่างที่สมบูรณ์! ทหารทั้งหลายจงฟัง ทุบเข้าไปเหยียบพวกมันให้ราบ!”
มารนอกโลกดาหน้ากันเข้ามาและหลั่งไหลเข้ามาเต็มพื้นที่ร้อยห้าสิบวานี้
กระบี่แปดพันเล่มพุ่งแหวกอากาศ และแปรเปลี่ยนเป็นกระบวนท่าแรกของภาพกระบี่ กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ พวกมันส่งทุกๆ คนในพื้นที่ร้อยห้าสิบวานี้เข้าไปในภาพกระบี่!
ผู้นำกำลังหัวเราะเย็นชา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ทะยานขึ้นไปบนอากาศ พลังวัตรของเขาแผ่พุ่งออกไป และเป่ากระบี่บินทั้งหมดให้กระจุย ทำลายกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์!
ผานกงสั่วหน้าซีดเผือดขณะที่เขามองไปยังตัวตนผู้นี้อันสามารถทำลายภาพกระบี่ได้อย่างง่ายดาย หัวใจเขาสิ้นหวังและเขาก็พึมพำ “แม้แต่แม่ทัพในวรยุทธขั้นเป็นตายก็อยู่ที่นี่ ดังนั้นพวกเราไม่มีทางรอดแล้วจริงๆ ข้าไม่มีทางหนีไปไหนได้…”
“มีทางสิ!” ฉินมู่ตะโกนออกไป และแสงเจิดจ้าก็พวยพุ่งออกมา แทงเข้าไปในดวงตาของแม่ทัพ ในพริบตาที่เขาจัดการกับภาพกระบี่ แสงของเนตรหยกตะวันก็แทงเข้าไปในหว่างคิ้วของเขาและทะลุออกมาที่หลังศีรษะ!
ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นพุ่งเข้ามายังฉินมู่และกลุ้มรุมเขา เนตรหยกตะวันก็เป่าผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนให้กระจุยกระจายไปสองข้าง
ความหวังถูกจุดขึ้นมาใหม่ในหัวใจของผานกงสั่ว และเขาก็ต้อนรับผู้คนหลายร้อยด้วยสีหน้าอันเหี้ยมโหม “ตายซะ!”
“ตายซะ!” กิเลนมังกรคำรามออกมา และเกล็ดของเขาก็ชี้ชัน ยิงพุ่งออกไปจากร่าง
ปัง ปัง ปัง!
พื้นที่ร้อยห้าสิบวาพลันหดม้วนเข้าไปอย่างรวดเร็วและปิดงับ มารนอกโลกหลายร้อยคนถูกเก็บเข้าไปในกล่องพร้อมๆ กับผานกงสั่ว ฉินมู่ และกิเลนมังกร
ท่ามกลางความมืด หีบส่องแสงเลือนลาง ขณะที่ข้างในนั้นมืดสนิท ปราศจากแสงสว่างโดยสิ้นเชิง เสียงปะทะกันดังสนั่นอยู่ข้างในหีบราวกับว่ามีบางสิ่งที่กำลังฟาดตีใส่กันอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง
เสียงอันน่าสะพรึงกลัวของการต่อสู้ดังออกมาจากในหีบ มีดดาบทั้งหลายฟาดเฉือนเลือดเนื้อของผู้ฝึกวิชาเทวะให้เละกระจุย เลือดสดๆ หลั่งรินออกมาจากในหีบ
สักพักใหญ่ หีบจึงกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
ปัง!
มือโซมเลือดผลักหีบเปิดออก และศีรษะหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา เจ้าของหัวผู้นี้หมายจะปีนออกไปข้างนอก แต่ในพริบตาถัดมาเขาก็ถูกไม้เท้าไผ่เสียบทะลุจากหว่างคิ้ว ก่อนจะถูกดึงกลับเข้าไป
หีบพ่นศพนั้นออกมา
ความเงียบกลับมาเยือนอีกครั้ง ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงทึบต่ำก็ดังออก หีบเปิดฝาและพ่นศพออกมาอีกศพ
“เมื่อสู้กันในโลกแห่งความมืด ใครที่ตาบอดย่อมได้รับชัยชนะ!” ฉินมู่ยืนอยู่กับไม้เท้าไผ่ของเขาในความมืดอันไร้แสง “อาจารย์ของข้าบังเอิญว่า–เป็นคนตาบอด!”
ทุกคนในงานเลี้ยงสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แรงกระแทกจากบางสิ่งนั้นรุนแรงเสียจนสิ่งปลูกสร้างมากมายพังถล่มลงมา และแม้กระทั่งหลังคาของราชวังเบื้องหลังพวกเขาก็ถูกดีดกระดอนและปลิวหายไป
ที่ปลิวไปพร้อมกับหลังคาก็คืองานเลี้ยงทั้งหมด ไม่ว่าจาน ชาม สุรา และโต๊ะหยก ทุกอย่างถูกกวาดซัดขึ้นไปบนอากาศจากกระแสลมอันเกรี้ยวกราด!
ฟิ้ว!
ต้นไม้ใหญ่หักโค่นที่กลางลำและปลิวขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางหมุ่นปั่นติ้วๆ ผู้คนจำนวนหนึ่งนอกจวนก็ถูกซัดให้เท้าลอยจากพื้นและตะกุยตะกายอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้กลางอากาศ พวกเขากอดต้นไม้เอาไว้ และในพริบตาถัดมา พวกเขาก็หายสาบสูญไปหลังจากที่เหวี่ยงกระเด็นอีกทอดด้วยคลื่นกระเพื่อมของพลังงานที่รุนแรงร้ายกาจกว่าเดิม
วรยุทธของฉินมู่และผู้คนในงานเลี้ยงนั้นไม่ธรรมดา พวกเขาจึงสามารถยืนได้มั่น
ป๋ายชิงฝู่ยกมือของเขาขึ้น และลูกแก้วมังกรก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เขาตะโกนไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ตรึง!”
ในท้องฟ้าเหนือจวนเจ้าเมือง วัตถุสิ่งของและผู้คนที่ถูกเป่ากระเด็นก็พลันถูกตรึงอยู่กันที่ แต่ถึงอย่างไร บ้านเรือนและต้นไม้ที่นอกจวนก็ถูกถอนรากถอนโคนและปลิวป่วนปั่นไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ดังนั้นป๋ายชิงฝู่จึงมิอาจต้านรับแรงกดดันนี้ได้
ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และเขากระทืบเท้าด้วยกำลังแรง จิตวิญญาณดั้งเดิมมังกรแท้ก็ผงาดขึ้นมาข้างหลังเขา อันทำให้ลูกแก้วมังกรเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นไปอีก แต่ทว่า เขาก็ยังรับมือกับแรงกดดันไม่สำเร็จอยู่ดี
“ชิงฝู่!” หญิงผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยและนำยอดฝีมือมากมายจากจวนตระกูลป๋ายตรงมา แต่ละคนนั้นขับเคลื่อนลูกแก้วมังกรของตนเอง และป๋ายชิงฝู่ก็พลันรู้สึกว่าแรงกดดันบนตัวเขาเบาบางลง
“ท่านแม่ ท่านอา ท่านน้า และท่านลุงทั้งหลาย ทำไมพวกท่านถึงอยู่ที่นี่” เขาถามอย่างเร่งร้อน
“พวกเราได้รับข่าวว่าดาวปากวาฬปลาใต้แตกพ่ายแล้ว!” หญิงผู้นั้นกล่าว “กองกำลังบุกทะลวงของพวกมารนอกโลกเข้าโจมตี และเมืองร้อยมั่งคั่งก็ไม่อาจรักษาไว้ได้อีกต่อไป ดังนั้นรีบล่าถอยออกไปจากเมือง และเร่งเดินทางไปสภาสวรรค์! พวกเรา รุ่นผู้ใหญ่จะสกัดขัดขวางพวกมันเอาไว้ที่นี่! ตามผู้คนในเมืองออกไป แล้วพวกเราจะรีบตามไปในภายหลัง!”
ชายหนุ่มและหญิงสาวคนอื่นๆ ล้วนแต่ตกตะลึง “ดาวปากวาฬปลาใต้แตกพ่ายแล้วหรือ พวกเราทำอย่างไรกันดี พวกเรารีบกลับไปที่เคหาสน์ของตนและแจ้งข่าวประมุขดีกว่า!”
“ไม่ต้องทำเช่นนั้น!” หญิงคนนั้นตะโกนออกไปยังผู้คนที่ว้าวุ่นเพื่อทำให้พวกเขาสงบลง นางส่งเด็กชายตัวน้อยลงในอ้อมแขนของป๋ายฉวีเอ๋อ และนำเอาลูกแก้วมังกรอีกลูกส่งให้ พลางตะโกนไปอย่างเฉียบขาด “ผู้เฒ่าของพวกเจ้าได้รับการแจ้งข่าวแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลาทำเรื่องนี้! รีบออกไปจากเมืองโดยทันทีและไปยังสภาสวรรค์! ไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของสัมภาระ ไปเดี๋ยวนี้! ลูกแก้วมังกรในมือของฉวีเอ๋อ สามารถช่วยพวกเจ้าขับไล่ความมืดได้!”
ป๋ายชิงฝู่เข้าใจความหนักหนาของเรื่องราว และรีบมองไปยังฉินมู่ “พี่ที่นับถือฉิน ตามพวกเราไปด้วยเถอะ!”
ฉินมู่หัวใจสะเทือนวูบ และหีบก็ลุกขึ้นมา ผานกงสั่วรีบกระโดดขึ้นไปบนนั้น กิเลนมังกรเต็มไปด้วยพลังงาน และเขาก็กระโดดขึ้นไปบนหีบเช่นกัน
พวกเขาวิ่งตะบึงออกไปทางประตูหลัง และเมื่อพวกเขาไปถึงที่นั่น ก็ได้ยินเสียงปังสนั่นหวั่นไหวเมื่อเทพเจ้าที่พิทักษ์ประตูเมืองทิศใต้ถูกเป่ากระเด็นขึ้นท้องฟ้าในทิศทางของพวกเขา
หลังจากที่เขาถูกเป่ากระจุย ยักษ์หัววัวที่มีโซ่คล้องพันรอบๆ กายก็ปรากฏขึ้นที่นอกเมือง ร่างกายใหญ่มหึมาของเขาสูงเสียยิ่งกว่าหอคอยปราการเมือง เขาชักโซ่อันมีลูกกลมเหล็กสีดำใหญ่เท่าภูเขาที่ปลายโซ่ แล้วเหวี่ยงไปทางเทพเจ้าที่กำลังร่วงลงมา!
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเยียบ หากว่าลูกกลมเหล็กนั้นซัดใส่เทพเจ้า มันก็จะร่วงตกลงมาใกล้ๆ พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง เสียงคำรามมังกรอันไพเราะก็ดังมาจากจวนตระกูลป๋ายเมื่อหญิงคนก่อนหน้านั้นและยอดฝีมือทั้งหลายแห่งจวนตระกูลป๋ายเผยร่างแท้ที่จริงของตน พวกเขาแปรเปลี่ยนเป็นมังกรแท้ที่เหาะเหินไปในนภากาศ ต้อนรับการโจมตีของลูกกลมเหล็ก
ในเวลาเดียวกันนั้นยอดฝีมือคนอื่นๆ ในเมืองร้อยมั่งคั่งก็พุ่งทะยานออกมาและโจมตีไปติดๆ กัน ทุกคนล้วนแต่รีบรุดมายังประตูทิศใต้
ยักษ์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่เรือนกายมหึมาและกำยำกำลังถล่มกำแพงเมืองอันปริร้าวตกลงมาด้วยเสียงอึกทึก ‘มารนอกโลก’ จำนวนนับไม่ถ้วนกรูกันเข้ามาในเมือง และกลืนกลบตึกแล้วตึกเล่า จนกระทั่งพุ่งเข้าใส่กองกำลังต่อต้าน!
“รีบไปเร็ว!”
ฉินมู่ ป๋ายชิงฝู่ และคนอื่นๆ พุ่งไปยังประตูเมืองทิศเหนือ อันแออัดไปด้วยผู้คนที่กำลังหนีเอาชีวิตรอด พวกเขาสร้างฝูงชนอันคับคั่งไร้ที่เดินผ่าน ผู้คนเหยียบซึ่งกันและกัน และมีเพียงไม่กี่คนที่หลุดออกไปได้
บนป้อมปราการเมือง เทพเจ้าที่พิทักษ์เมืองก็แปรเปลี่ยนพลังวัตรของเขาให้เป็นมือมหึมา และคว้าจับผู้คนที่พยายามเบียดเสียดกันส่งออกไปข้างนอก ระหว่างที่ทำเช่นนั้น เขาก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ยืนอยู่ในเขตแสงนอกเมือง อย่าเดินออกไปนอกแสง!”
ฉินมู่และคนอื่นๆ เหาะออกมาจากเมืองและเห็นผู้คนมากมายที่พุ่งถลาเข้าไปในความมืดพลางร้องลั่น พวกเขาทั้งหลายกลายเป็นโครงกระดูก เลือดเนื้อหายไปจนสิ้น
เทพเจ้านั้นได้ย้ายผู้คนออกไปข้างนอกหลายหมื่นคน แต่กระนั้นก็ยังคงมีผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่หลั่งไหลมายังประตูทิศเหนือ ร้องครวญอย่างหนาหู ในเวลาเดียวกันนั้น กองทัพของมารนอกโลกก็ได้บุกทะลวงเข้ามาทางนี้แล้ว
เทพเจ้านั้นกัดฟันกรอดและเหาะออกไปจากเมือง “ทุกคนมาอยู่รอบๆ ตัวข้า ข้าจะพาพวกเจ้าไปที่สภาสวรรค์! ตามข้ามา! พวกที่แข็งแกร่งให้รั้งท้าย เพื่อต่อสู้ขัดขวางพวกมารนอกโลก!”
สำหรับผู้คนที่ยังคงไหลบ่ามาจากทั่วเมือง เขาก็ไม่อาจคิดคำนึงอะไรได้มากมายอีกต่อไป เขาทำได้แค่ปกป้องพวกที่ออกมาข้างนอกแล้ว
ฉินมู่และคณะลงจอดกับพื้น ป๋ายชิงฝู่รีบนำทุกๆ คนติดตามเทพเจ้านั้นเข้าไปในความมืด แต่ผานกงสั่วหยุดยั้งพวกเขา เขาตะโกนอย่างดุเดือด “ทุกคน กลับมา! หากว่าเจ้ายังรักชีวิต อย่าตามเทพตนนั้นไป!”
ป๋ายชิงฝู่มองไปที่บุคคลไร้ขาผู้นี้อย่างตกตะลึง ส่วนป๋ายฉวีเอ๋อที่อุ้มเด็กเอาไว้ในมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างชูลูกแก้วมังกรเพื่อให้แสง นางถามด้วยความฉงน “ทำไมพวกเราถึงไม่ควรตามเขาไปเล่า”
เด็กในมือนางเริ่มร้องโยเย และพี่สะใภ้ของนางก็เข้ามาช่วยปลอบ
นั่นคือบุตรชายของป๋ายชิงฝู่ และเขายังไม่ทันจะหย่านม
ฉินมู่สีหน้าเคร่งขรึม “เทพเจ้านั้นปกป้องผู้คนหลายหมื่น ดังนั้นเขาเหมือนกับแปะคำว่าเป้าหมายใหญ่เอาไว้ที่กลางหน้าผาก และจะต้องถูกโจมตีอย่างแน่นอน! ทุกคน หมอนี่พูดถูก ผู้สูงศักดิ์นี้เป็นบุคคลที่ล้ำเลิศที่สุดในด้านการหลบหนีเอาชีวิตรอด ความสามารถในการหนีตายของเขานั้นไร้เทียมทานในโลกหล้า! ผู้สูงศักดิ์ เจ้ามีประสบการณ์มากที่สุด ดังนั้นชี้ทางพวกเราว่าควรจะไปทางไหน!”
“ทางไหนที่จะไปสภาสวรรค์” ผานกงสั่วถามอย่างเร่งร้อน ป๋ายชิงฝู่ยกมือขึ้นและชี้ไปทางทิศตะวันตกของดาวปากวาฬปลาใต้ ผานกงสั่วจึงรีบกล่าวทันที “พวกเราจะไปทิศตะวันออก! เร็วเข้า!”
เทพเจ้านั้นได้พาผู้คนเดินทางไปใกล้ในความมืด เพราะว่ามีแสงสว่างรอบๆ ฉินมู่และคณะ ผู้คนราวร้อยคนก็มารวมตัวกันรอบๆ พวกเขา และยังมีอีกมากที่ถูกแสงสว่างนี้ดึงดูดมา
“ไปเร็วเข้า สังหารพวกที่จะเป็นตัวถ่วงให้หมด!” ผานกงสั่วกล่าวอย่างอำมหิต
“พวกเราจะสังหารผู้คนของพวกเราได้อย่างไร” ทุกคนโมโหเดือด ป๋ายชิงฝู่เองก็หยุดชะงักและตระเตรียมที่จะนำผู้คนไปมากขึ้นอีก
เหงื่อเย็นเยียบไหลลงจากหน้าผากของผานกงสั่ว และเขาตะโกนออกไป “ทุกคนอยากจะตายกันที่นี่หรือ พวกเจ้ายังรักชีวิตอยู่ไหม หากว่าพวกเจ้าใจอ่อนแบบนี้ ก็ลืมไปได้เลยเรื่องจะหลบหนีรอดน่ะ!”
‘มารนอกโลก’ พุ่งออกมาจากประตูทิศเหนือและมุ่งไปยังพวกที่หลบหนี ฆ่าฟันทุกๆ คนที่พวกมันพบ
ป๋ายชิงฝู่กัดฟันและกล่าว “ไม่ต้องรอแล้ว พวกเราไป!”
พวกเขารีบเร่งเข้าไปในความมืดพร้อมกับหีบที่เปล่งแสงลางเลือนออกมา นี่มันน่าจะสร้างความแตกตื่นแก่ผู้คน แต่ไม่มีใครมีเวลามาใส่ใจไต่ถาม
ข้างหลังพวกเขา มารนอกโลกนั้นราวกับฝูงฉลามที่ได้กลิ่นเลือด พวกมันไล่ตามพวกเขามา ดังนั้นป๋ายชิงฝู่และคนอื่นๆ ต้องคอยรั้งท้ายเพื่อป้องกันเส้นทางหลบหนีของพวกเขา ต่อสู้และล่าถอยไปพร้อมๆ กัน
“ความเร็วของพวกเราช้าจนเกินไปเพราะนำภาระพวกนี้มาด้วย!” ผานกงสั่วกัดฟันกรอด และมองอย่างดุร้ายไปยังผู้คนของเมืองร้อยมั่งคั่งรอบๆ พวกเขา รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าของเขา “พวกสวะพวกนี้มีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ ทำไมพวกเราไม่สังหารพวกเขาเสียให้หมดล่ะ มีก็แต่แบบนี้ถึงจะมีโอกาสหนีรอด! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็เห็นด้วยกับข้าใช่ไหม”
ฉินมู่มองไปที่ป๋ายฉวีเอ๋อและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฉวีเอ๋อ มอบลูกแก้วมังกรให้แก่พวกเขา ข้าสามารถพาพวกเจ้าออกไปได้ด้วยความช่วยเหลือของหีบข้าหากว่าพวกเจ้าต้องการโอกาสมีชีวิตรอด พวกเราจะถูกคนพวกนี้ลากถ่วงจริงๆ นะ!”
ป๋ายฉวีเอ๋อส่ายศีรษะของนาง “ข้าจะทอดทิ้งทุกๆ คนเพียงเพราะรักตัวกลัวตายได้อย่างไร ตระกูลป๋ายของพวกเราไม่มีผู้คนเช่นนั้น! พี่มู่ สภาสวรรค์แห่งจักรพรรดิสูงส่งนั้นถูกสถาปนาเพื่อผู้คนธรรมดาทั้งหลาย เพื่อให้เทพเจ้าอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้คน จักรพรรดิสูงส่งก็ได้ประกาศิตว่าชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์!”
แม้ว่าเสียงของนางจะนุ่มนวล แต่มันก็ปลุกเร้าความฮึกหาญของผู้คนที่เย็นชาที่สุดได้ “หากว่าพวกเรามิอาจปกป้องผู้คนของพวกเรา แล้วจะมีเทพเจ้าเอาไว้ทำไม จักรพรรดิสูงส่งกล่าวว่า เบื้องหน้าชีวิตมนุษย์ เทพเจ้าทั้งหลายจงถอยไปให้หมด”
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง “ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์?”
ผานกงสั่วหัวเราะด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตนเอง มิเช่นนั้นฟ้าและดินจะมาทำลายเจ้า! ชีวิตคนสูงส่งกว่าสวรรค์งั้นหรือ ในสายตาของข้า หากว่าจักรพรรดิสูงส่งเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ต้องหลบหนีเอาชีวิตรอดก่อน!”
ป๋ายฉวีเอ๋อส่ายศีรษะ “จักรพรรดิสูงส่งไม่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
มารนอกโลกตามมาจากข้างหลัง และฉินมู่เองก็ขยับไปที่ท้ายขบวนเพื่อจัดการกับมารเหล่านั้นพลางป้องกันเส้นทางถอยของคณะ
ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้เห็น ‘มารนอกโลก’ เหล่านั้นในที่สุด แต่พวกมันเป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเขา ไม่แตกต่างกันเลยสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะสงสัย “พวกเขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกันหรือ”
ทั้งสองฝ่ายไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ใช้กระบวนท่าคร่าชีวิตที่ร้ายกาจที่สุดของตนเองในพริบตาแรกที่เผชิญหน้า พวกเขาต่อสู้ซึ่งกันและกันอย่างดิ้นรนดุเดือด ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งไป และเขาขับเคลื่อนไจกระบี่เพื่อโจมตี ‘มารนอกโลก’ เหล่านั้น กระบี่บินเหาะเหินขึ้นไปและแปรเปลี่ยนอย่างมิอาจคาดเดาได้ในท่วงท่ากระบี่ทุกประเภท สังหารศัตรูไปตามๆ กัน
“ฆ่าไอ้พวกกบฏ!” หนึ่งใน ‘มารนอกโลก’ ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “สำเร็จภารกิจและรีบกลับไปสภาสวรรค์ให้เร็วที่สุด!”
การต่อสู้นี้นองเลือด ป๋ายชิงฝู่และคณะฆ่าฟันอย่างไม่หยุดยั้ง แต่ยิ่งมีมารนอกโลกพรั่งพรูกันมามากขึ้นทุกที ทุกคนได้รับบาดเจ็บ
ทันใดนั้น ก็มีบางคนถูกผลักเข้าไปในความมืดและถูกสัตว์ประหลาดในนั้นกัดกินไป กลายเป็นโครงกระดูกขาว ฉินมู่รู้สึกเศร้าใจอย่างแรงในวินาทีนั้น บุคคลดังกล่าวคือหนึ่งในหญิงสาวที่แลกเปลี่ยนวิชาฝีมือกับฉินมู่ที่จวนตระกูลป๋าย
พวกเขาต่อสู้พลาง ล่าถอยไปพลาง และเมื่อมารนอกโลกตนสุดท้ายถูกสังหาร รอบข้างก็เงียบสงัด มีก็แต่เสียงกระซิบกระซาบของสัตว์ประหลาดในความมืดที่ยังคงอยู่
ฉินมู่รักษาอาการบาดเจ็บของทุกๆ คน และป๋ายชิงฝู่ยิ้มกล่าว “พี่ที่นับถือฉินก็รู้ศาสตร์วิชาแพทย์ด้วยหรือ เจ้านี่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์จริงๆ”
แขนซ้ายของเขาถูกตัดออกไปแต่ก็ยังคงยิ้มได้ นับว่าน่านับถือเป็นอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องรักษาข้า” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เคยท้าสู้ฉินมู่กล่าว บนหน้าอกของเขามีรูโหว่รูใหญ่ ลมหายใจของเขาอ่อนระโหย และเขาก็ชันคอขึ้นมาส่งยิ้ม “ข้าไม่รอดแล้วล่ะ ข้ารู้สึกได้ว่าดวงวิญญาณของข้ากำลังแตกสลาย ข้านั้นละโมบเกินไป และอยากที่จะสังหารคู่ต่อสู้ จนได้แต่รับการโจมตีจากเขาแทน ไม่ต้องนำศพข้าไปด้วย ทิ้งมันไว้ที่นี่ ข้าไม่ต้องการเป็นภาระแก่พวกเจ้า…”
ฉินมู่ตรวจอาการเขา แต่ไม่ทันที่เขาจะสิ้นสุดการวินิจฉัย ชายหนุ่มผู้นี้ก็สิ้นลมหายใจ
คณะเดินทางต่อไปข้างหน้าผ่านค่ำคืนอันยาวนานเป็นพิเศษ เสียงการต่อสู้ดังมาจากความมืดรอบตัวพวกเขา อันหมายความว่ากลุ่มอื่นๆ ที่กำลังหลบหนีนั้นถูกโจมตี
พวกเขาเองก็เผชิญกับผู้ไล่ล่า ไล่ตามพวกเขามาในความมืดยังกับฝูงหมาป่า และบางครั้งก็ตามมาทัน
ฉินมู่พันแผลให้แก่แผลแขนขาดของป๋ายชิงฝู่ ขณะที่ชายหนุ่มผู้นี้อุ้มไกวลูกชายของตนด้วยมือข้างขวา ปลอบให้เขาหลับใหล เขาส่งบุตรของตนให้แก่ภรรยาและกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้างหน้านั้นมีสถานีชายแดนอันมีเทพเจ้าที่จะคุ้มกันปกป้องพวกเจ้าได้ พี่ที่นับถือฉิน เจ้าให้ข้ายืมหีบได้หรือไม่”
เสียงตะโกนอย่างดุร้ายดังมาจากข้างหลังพวกเขา อันเป็นของคณะไล่ล่าที่เกือบจะตามมาทัน
“ให้ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“ไม่ต้องหรอก” ป๋ายชิงฝู่ฉีกยิ้ม และสีหน้าของเขาก็อ่อนโยนลง “เจ้านั้นเพียงแค่ขั้นหกทิศ ส่วนข้าอยู่ในขั้นชาวสวรรค์ ข้าสามารถกลับมาได้ แต่เจ้าไม่สามารถ รอข้าอยู่ที่นี่เถอะ ช่วยดูแลบุตรชายข้า…”
เขาหันกายและจากไปพร้อมกับหีบ
ฉินมู่ก็หันกลับและเดินต่อไปข้างหน้าพร้อมกับคณะ ป๋ายฉวีเอ๋อและพี่สะใภ้ของนางมองตามเงาหลังของป๋ายชิงฝู่ที่หายลับไปในความมืดพร้อมกับหีบ
ไม่นานนัก หีบก็ไล่ตามกลับมาหาพวกเขา ข้างนอกหีบเต็มไปด้วยรอยเลือด
ภรรยาของป๋ายชิงฝู่ปลอบโยนเด็กทารกที่ตื่นขึ้นมาให้หลับต่อ
“พี่ที่นับถือฉิน พวกที่สู้ได้เหลืออยู่ไม่มากแล้ว” ภรรยาของป๋ายชิงฝู่ส่งทารกให้แก่ป๋ายฉวีเอ๋อและปาดปอยผมของนางที่ร่วงลงมา นางแย้มยิ้ม “ยังต้องมีคนคอยสกัดขัดขวางผู้ไล่ล่า ดังนั้นให้ข้ายืมหีบหน่อยเถอะ แต่ข้าอาจจะคืนหีบให้ท่านไม่ได้”
“ฮูหยินของพี่ป๋าย ให้พวกเราตามท่านไปด้วย” ชายหนุ่มและหญิงสาวจำนวนหนึ่งที่แขนขาขาดหายก็ลุกขึ้น
ฉินมู่ผงกหัวและให้ยืมหีบแก่พวกเขา ป๋ายฉวีเอ๋ออ้าปาก แต่ไม่พูดอะไรออกมา
คณะเดินทางมุ่งหน้าต่อไป
ไม่นานนัก หีบก็กลับมาหาพวกเขาอีกครั้ง และมีเสียงตะโกนดุดันดังมาจากข้างหลัง
ฉินมู่แย้มยิ้มและกระโดดขึ้นไปบนหีบ “มังกรอ้วน มานี่ ตาของพวกเราแล้ว ผู้สูงศักดิ์ ไปกับพวกเขาต่อเถอะ”
“มารดาเจ้าสิ!” ผานกงสั่วยันตัวลุกขึ้นและเดินไปยังหีบพลางสบถด่า “ข้ามาที่นี่กับเจ้า หากว่าเจ้าตาย แล้วข้าจะกลับอย่างไรหา ข้าไม่เคยทำเรื่องดีๆ มาก่อน ดังนั้นถือเสียว่านี่เป็นครั้งยกเว้น…มารดามันเอ๊ย!”
“ไม่นะ…” ป๋ายฉวีเอ๋อมองไปที่พวกเขาและระเบิดน้ำตาออกมา
………………
ฉินมู่นำหีบเดินตามป๋ายชิงฝู่ ป๋ายฉวีเอ๋อ และคนอื่นๆ ไปยังจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง ระหว่างทาง จิตใจเขาครุ่นคิดแต่คำพูดของผานกงสั่ว และก็รู้สึกร้อนรนใจ
แม้ว่าผานกงสั่วจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตของเขา แต่เขาก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมาเป็นหมื่นปี ความรู้ของเขากว้างใหญ่ไพศาล และคำพูดของเขาก็มีเหตุผลในแง่มุมหนึ่ง
ยุคสมัยที่พวกเขาเหยียบยืนอยู่นี้ ได้จบสิ้นไปแล้วอย่างน้อยก็สามหมื่นปีก่อน ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งได้อยู่ปากเหวที่กำลังพังทลาย ดังนั้นจึงเป็นสถานการณ์อันกอบกู้ไม่ได้ พวกเขาได้มายังสถานที่นี้บนหลังหีบของซิงอ้านด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่หากว่าพวกเขาได้กระทำบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ มิใช่ว่าประวัติศาสตร์ทั้งเล่มจะถูกลิขิตใหม่หมดหรอกหรือ
หรือว่าประวัติศาสตร์ถูกลิขิตใหม่ แล้วยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งจะดำรงอยู่หรือไม่ แล้วสันตินิรันดร์จะมีขึ้นมาไหม
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือ แล้วพวกเราจะยังดำรงอยู่ไหม
การเปลี่ยนแปลงใดๆ แม้เพียงเส้นผมก็สามารถส่งผลให้เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโลกาสำหรับ ‘ชนรุ่นหลัง’!
“พี่ฉิน พี่ผาน ไม่ต้องกังวล ดาวปากวาฬปลาใต้นั้นห้อมล้อมและคุ้มกันสรวงสวรรค์เอาไว้ ดังนั้นแสนยานุภาพของพวกเขาจึงแข็งแกร่งอย่างสุดขีดขั้ว และแสนยานุภาพของสภาสวรรค์ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว ด้วยมีจักรพรรดิสูงส่งบัญชาการศึกด้วยตนเอง มันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”
ป๋ายชิงฝู่เชิญพวกเขาไปนั่ง และโคมไฟทั้งหลายก็ถูกจุดสว่าง ลูกแก้วมังกรลอยเลื่อนอยู่กลางเวหา และสาดแสงลงมายังสถานที่นี้ราวกับเวลากลางวัน
ป๋ายชิงฝู่เห็นฉินมู่สีหน้าไม่สู้ดีจึงคาดเดาว่าเขากำลังวิตกเรื่องความปลอดภัยของแนวหน้า เขาจึงกล่าวปลอบใจ “ดาวปากวาฬปลาใต้ได้ต่อสู้กับพวกมันมานับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นพวกเขาย่อมไม่ปล่อยให้ศัตรูบุกฝ่ามาได้ แม้ว่ามารร้ายนอกโลกจะมาจากอิทธิพลอำนาจใหญ่แห่งหนึ่ง แต่เมืองร้อยมั่งคั่งของพวกเราก็มิใช่ว่าจะตอแยได้โดยง่าย ดาวปากวาฬปลาใต้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาคือหนึ่งในสี่กองทัพใหญ่แห่งสภาสวรรค์”
ฉินมู่หวนรำลึกถึงโครงกระดูกของเทพเจ้าทั้งหลายแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ในทะเลทรายทองคำ และยิ่งวิตกกังวล ทวยเทพแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ได้ตายในการสู้รบขณะที่กำลังปกป้องมาตุภูมิ
ใครจะรู้ว่าศึกที่ว่านั้น คือศึกที่กำลังดำเนินไปในขณะนี้หรือไม่
บางที พวกเราอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ไปแล้ว ดังนั้นไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร สิ่งที่จะต้องเกิด ก็จะเกิดขึ้นมาอยู่ดี
ฉินมู่พลันมีความคิดหนึ่ง บางทีข้าอาจจะอยู่ในปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารของแดนโบราณวินาศ ข้าเคยประสบเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์มาแล้ว หรือว่านี่จะเป็นเสียงสะท้อนแห่งกาลและอวกาศ ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของผู้สูงศักดิ์ไม่มีทางแข็งแกร่งเพียงพอที่จะส่งพวกเราข้ามเวลาหลายหมื่นปีได้หรอก
บางทีนี่อาจจะเป็นเพียงแค่เสียงสะท้อนของกาลอวกาศอันเกิดจากปรากฏการณ์ประหลาดในแดนโบราณวินาศ กาลและอวกาศในอดีตสะท้อนไปยังอนาคต ลงบนร่างกายของพวกเรา หลังจากที่อรุณรุ่งมาถึง ทุกอย่างก็จะหายไป และไม่ว่าพวกเราจะทำอะไร ประวัติศาสตร์ก็จะยังคงวิ่งไปตามเส้นทางของมัน
หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้ เขาก็สงบนิ่งลง เหมือนยกภูเขาออกจากบ่า เขาสนทนาอย่างรื่นเริงกับพี่ชายน้องสาวคู่นี้ แลกเปลี่ยนฝีมือและความคิดเกี่ยวกับเพลงกระบี่กับพวกเขา
สองพี่น้องแตกตื่นอย่างระงับไม่อยู่ ป๋ายชิงฝู่ร้องออกมา “หลังจากสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ยังคงมีอีกสี่ท่วงท่ากระบี่หรือ ใครเป็นคนคิดค้นมัน ใครมีพรสวรรค์และแรงทะยานใจขนาดนั้น”
ฉินมู่พึมพำกับตนเองครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินที่จะบอกไปตามตรง “ผู้ที่คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบห้า สิบหก และสิบเจ็ดนั้นคืออัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี พรสวรรค์และแรงทะยานใจของเขาสูงส่งถึงขนาดที่ว่าข้าก็ชื่นชมเขาอย่างไม่รู้จบ”
“อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี?”
ป๋ายฉวีเอ๋อฉงนใจและถาม “พี่มู่ มีเรื่องราวเบื้องหลังอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีไหม”
ฉินมู่เองก็ไม่รู้มากมายนัก “ข้าได้ยินว่าทุกๆ ห้าร้อยปีในโลกแห่งนี้ จะมีอัจฉริยะที่เต็มปริ่มไปด้วยพรสวรรค์ฟ้าประทาน เขาก็จะก่อตั้งคุณธรรม กุศล และความคิดของเขาในนิพนธ์ข้อเขียน และกลายเป็นนักบุญศักดิ์สิทธิ์ นั่นจึงเป็นเหตุที่เขาจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี ส่วนว่าคำเล่าขานพวกนี้จะมาจากที่ใด ข้าไม่ทราบชัด”
“ที่แท้ก็แบบนี้”
พี่ชายและน้องสาวพลันกระจ่างแจ้งขึ้นมา ภรรยาของป๋ายชิงฝู่แย้มยิ้มและกล่าว “เมืองร้อยมั่งคั่งของพวกเรานั้นเล็ก และไม่สามารถเข้าร่วมอันดับของเมืองเทพยดาได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่รู้เกี่ยวกับคำเล่าขานนี้ พี่ที่นับถือฉินคงจะมาจากเขตแคว้นใหญ่ และรู้เรื่องต่างๆ มากมาย”
ป๋ายฉวีเอ๋อพลันกระวนกระวายและกระซิบถาม “พี่สะใภ้ เขาจะรังเกียจข้าไหมที่ข้าเป็นคนในเขตแคว้นเล็กๆ”
ภรรยาของป๋ายชิงฝู่หัวเราะเบาๆ “แม้ว่าเมืองร้อยมั่งคั่งจะเป็นเขตแคว้นเล็ก แต่ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลป๋าย ดังนั้นสถานะเจ้าสูงส่งพอ ไม่ต้องห่วงหรอก ยิ่งไปกว่านั้น มีนิสัยใจคอเข้ากันได้นั้นสำคัญยิ่งกว่าการมีสถานะทางสังคมทัดเทียมกัน”
ป๋ายฉวีเอ๋อฟังแล้วค่อยสบายใจขึ้น
ป๋ายชิงฝู่สงสัยใคร่รู้ “พี่ที่นับถือฉินกล่าวว่าสามท่วงท่ากระบี่นั้นถูกคิดค้นขึ้นมาโดยอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นใครเป็นผู้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด”
ฉินมู่หน้าแดงเขินและกล่าว “ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ถูกข้าคิดค้นขึ้นมาโดยบังเอิญ”
ทุกคนสะท้านใจอย่างรุนแรง แม้แต่ใบหน้าซีดเผือดของผานกงสั่วก็เต็มไปด้วยความชื่นชมระคนความริษยา ไอ้เด็กแซ่ฉินนี่มันเก่งกาจจริงๆ ถึงกับสามารถคิดค้าท่วงท่ากระบี่พื้นฐานได้และเปลี่ยนมรรคาและวิชาแห่งฟ้าและดิน…พวกเราจบเห่ จบเห่แน่นอน ไอ้เด็กบ้าดีเดือดนี่มันถ่ายทอดเพลงกระบี่ของชนรุ่นหลังให้กับคนรุ่นก่อนหน้าและเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ พวกเราทั้งหมดจะต้องหายไป…
ฉินมู่และคนอื่นๆ สนทนากันด้วยความรื่นรมย์และไหวพริบ สักพักหนึ่งเขาก็นำรังมังกรแท้ออกมา และเชิญป๋ายชิงฝู่กับป๋ายฉวีเอ๋อเข้าไปข้างใน เพื่อที่จะขอให้พวกเขาช่วยถอดความในนิพนธ์ แม้ว่าเขาจะถอดความไปได้หลายส่วนแล้ว แต่ก็ยังมีนิพนธ์มังกรจำนวนมากที่เขายังไม่เข้าใจความหมายของมัน
ป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อเป็นเผ่ามังกร เมื่อป๋ายชิงฝู่แลกหมัดกับเขาก่อนหน้านี้ เขาได้ใช้ทักษะเทวะของมังกร เห็นได้ชัดว่าสายเลือดของเขาสูงส่งบริสุทธิ์เป็นอย่างมาก
“นี่คือสายแร่มังกรของจ้าวแห่งมังกรแท้หรือ” สองพี่น้องเข้าไปในรังมังกรแท้และตื่นตะลึงอย่างสุดๆ ป๋ายชิงฝู่กล่าว “น่าเสียดายที่จ้าวแห่งมังกรแท้ตนนั้นถูกใครบางคนขัดเกลาไปเป็นสมบัติเสียแล้ว มิเช่นนั้นมันก็สามารถกลายเป็นราชามังกรโดยดูดซับพลังอำนาจของสายแร่มังกรเส้นอื่นๆ! นำมาขัดเกลาเป็นห่วงหยกนี้ช่างน่าเสียดาย”
ป๋ายฉวีเอ๋อก็กล่าวอย่างเสียดาย “บรรพบุรุษมังกรแห่งสภาสวรรค์ก็ถือกำเนิดจากสายแร่มังกรแห่งเจ้าแห่งมังกรแท้ กำลังฝีมือของเขานั้นทรงอิทธิฤทธิ์อย่างที่สุด และเขาเป็นคนใหญ่โตคนหนึ่งในสภาสวรรค์ พลังอำนาจของกำลังฝีมือเขานั้นหายากนักในโลกหล้า แม้แต่จักรพรรดิสูงส่งก็ยังต้องเคารพเขาอยู่สามส่วน…”
มันมิใช่สมบัติที่ฉินมู่จะสามารถขัดเกลาขึ้นมาเองได้ ดังนั้นป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อจึงไม่คิดอะไรมากมาย
สองพี่น้องช่วยเขาชี้ทางกระจ่างในนิพนธ์บนสายแร่มังกร และป๋ายชิงฝู่ก็ตื่นเต้นจากงานของพวกเขา “พี่ที่นับถือฉิน กล่าวได้ว่าพวกเราได้รับประโยชน์จากเจ้า เมื่อดูกันจริงๆ แล้ว ตระกูลป๋ายต่างหากที่ได้เปรียบจากเจ้าไปอย่างมาก! พวกเราเรียนเพลงกระบี่ของเจ้า แถมยังเรียนนิพนธ์มังกรจากรังมังกรแท้ของเจ้าแห่งมังกรแท้อีกต่างหาก สำหรับเจ้าแล้ว ภาษามังกรอาจจะไม่ได้ทำให้ฝีมือรุดหน้าไปมากนัก แต่มรรคผลที่พวกเราได้รับนั้นเกินธรรมดา!”
ที่เขากล่าวคือข้อเท็จจริง ฉินมู่มิใช่เผ่ามังกร ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถฝึกปรือวิชาของจ้าวแห่งมังกรแท้ได้รวดเร็วเท่ากับพวกเขา เมื่อฉินมู่เชื้อเชิญพวกเขาเข้ามาในรังมังกรแท้เพื่อถอดความนิพนธ์มังกร พวกเขาก็ได้รับผลประโยชน์ยิ่งใหญ่อันเหนือล้ำไปกว่าที่ฉินมู่ได้รับเสียอีก
ป๋ายฉวีเอ๋อก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น และคิดในใจด้วยความสุขสันต์ หากว่าเขานำภาษามังกรในรังมังกรแท้นี้เป็นสินสอด พ่อของข้าจะต้องดีใจจนเนื้อเต้นและยอมยกข้าให้กับเขาแน่ๆ เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วหรือยังนะ…แต่ถึงแต่งแล้วก็ไม่เป็นไร!
ป๋ายชิงฝู่และป๋ายฉวีเอ๋อถอดความภาษามังกรในรังมังกรทีละเล็กทีละน้อยและสอนมันให้แก่ฉินมู่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีบางนิพนธ์ที่พวกเขาไม่เข้าใจ
“หากว่าท่านพ่ออยู่ที่นี่ สายเลือดของเขาสูงส่งกว่า และเขาจะต้องสามารถถอดความนิพนธ์มังกรทั้งหมดได้อย่างแน่นอน” ป๋ายฉวีเอ๋อสายตาวิบวับและแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “พี่มู่ อยู่ในเมืองร้อยมั่งคั่งต่ออีกสักหลายวันสิ จนกว่าพ่อของข้าจะกลับมา”
ฉินมู่ผงกหัว เขานั้นพอใจกับมรรคผลที่ได้เป็นอย่างยิ่งแล้ว
สองพี่น้องได้ถอดความแง่อัศจรรย์มากมายในนิพนธ์มังกร ถึงจุดที่ว่ามีเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้นที่ยังไม่ถูกไขปริศนา วิชาฝึกปรือแห่งมังกรแท้ ทะยานรุดหน้าไปอย่างใหญ่หลวง และยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก!
ป๋ายชิงฝู่ทดลองขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือมังกรแท้ และเขาพบว่าพลังวัตรของเขาเพิ่มพูนไปอย่างเร็วจี๋ รากฐานของเขานั้นก็ยิ่งหนาแน่นมั่นคง ซ่อมปะสิ่งที่เขาขาดพร่องมาก่อน นี่ทำให้เขาต้องอุทานด้วยความยินดี “พี่ที่นับถือฉิน หากว่าข้าฝึกปรือวิชาในรังมังกรแท้นี้เสร็จ เจ้าก็อาจจะไม่สามารถเอาชนะข้าได้ในขั้นวรยุทธเดียวกัน!”
เมื่อทั้งสามคนเดินออกมาจากรังมังกรแท้ ฉินมู่ก็เก็บมันกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ เขาแย้มยิ้มและส่ายหน้า “ต่อให้พี่ป๋ายฝึกวิชาของจ้าวแห่งมังกรแท้ เจ้าก็อาจจะยังไม่สามารถเอาชนะข้าได้อยู่ดี ข้านั้นคือกายาจ้าวแดนดิน ยากนักที่ข้าจะพบพานคู่ต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกัน”
ป๋ายฉวีเอ๋อจ้องเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง และป๋ายชิงฝู่ก็อึ้งจนสีหน้าว่างเปล่า
“กายาจ้าวแดนดิน? พี่ที่นับถือฉิน อะไรคือกายาจ้าวแดนดิน” ป๋ายชิงฝู่ขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตน “ส่วนมากข้าจะท่องเที่ยวไปในบริเวณโดยรอบของเมืองร้อยมั่งคั่ง และเพียงได้ไปยังสภาสวรรค์ไม่กี่ครั้งในอดีตเมื่อได้ยินว่าผู้อาวุโสเทพเที่ยงแท้ที่นั่นถ่ายทอดมรรคาของพวกเขา ดังนั้นข้าจึงไม่รู้เรื่องราวมากมาย ข้านั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดเกี่ยวกับกายาจ้าวแดนดินนี้ ดังนั้นพี่ที่นับถือฉินคงจะได้เดินทางท่องเที่ยวอย่างกว้างขวาง และรอบรู้อย่างมากมาย ขอพี่ที่นับถือฉินช่วยสั่งสอนข้าเรื่องนี้ได้หรือไม่”
ฉินมู่นั้นกำลังจะอธิบาย แต่พลันได้ยินเสียงหัวร่อฮาๆ “ชิงฝู่ แขกผู้ทรงเกียรติมายังบ้านตระกูลป๋ายของเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกพวกข้าสักนิด”
“ชิงฝู่ ข้าเห็นเจ้าถูกอัดจนน่วม! ใครใช้ให้เจ้าอวดโอ่โอหังอยู่ทุกวี่วันเล่า คราวนี้เจ้าถูกหวดกระเด็นต่อหน้าผู้คนทั้งเมืองเลยไหมล่ะ”
ฉินมู่มองไปยังที่มาของเสียงและเห็นชายหนุ่มหญิงสาวจำนวนมากเดินเข้ามา พวกเขาล้วนแต่มีจิตวิญญาณอันฮึกเหิม และมีรูปโฉมอันทรงเสน่ห์เหนือธรรมดา
ป๋ายชิงฝู่กล่าวทันที “พวกเขาคือยอดฝีมือรุ่นเยาว์แห่งเมืองร้อยมั่งคั่งของข้า และมาที่นี่เพื่อหัวเราะเยาะข้า พี่ที่นับถือฉิน ให้ข้าแนะนำพวกเขาสักหน่อย”
จากนั้นเขาก็ทำตามที่กล่าว เมื่อแนะนำทุกคนเสร็จ เขาก็พูดถึงเรื่องที่ฉินมู่ได้คิดค้นท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด และเรื่องที่ว่าเขาคือกายาจ้าวแดนดิน ทุกคนล้วนแต่แตกตื่น
ชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมา ด้วยจิตฮึดสู้ที่เข้มข้นดุเดือด และตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “กายาจ้าวแดนดินฉิน เจ้าบอกว่ากายาจ้าวแดนดินของเจ้าแข็งแกร่งขนาดที่ว่าสยบทุกผู้ที่ต่อต้าน และไร้เทียมทานในขั้นวรยุทธเดียวกัน แต่ข้าไม่เชื่อเจ้า มาชี้ทางกระจ่างแก่ข้าหน่อยซิ!”
ฉินมู่ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็หมายจะแลกเปลี่ยนคำชี้แนะกับทุกคนที่นี่เช่นกัน!”
ชายหนุ่มคนนั้นร่างสั่นเทิ้มและแปรเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่มีหัวเป็นนก เขาผงาดบินขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางโบกกระพือปีกสีทองของตน ฉินมู่ก็เหาะขึ้นไปบนอากาศ ผู้คนที่อยู่ข้างล่างรู้สึกละลานตาและโห่ร้องเสียงอึงอล
เพียงไม่กี่อึดใจ เพลงกระบี่เด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามก็ถูกทำลาย และเขาร่วงลงมา
“ให้ข้าลองเจอกับกายาจ้าวแดนดินฉินหน่อย!”
หญิงสาวผู้หนึ่งอดทนไม่ไหวอีกต่อไป และพุ่งเข้าโจมตี นางเองก็เป็นเผ่ามังกร และมีความเชี่ยวชาญในทักษะเทวะเวทมนตร์ของเผ่านาง สามารถทำให้ทักษะเทวะระเบิดพลานุภาพอันน่าแตกตื่นระหว่างนิ้วและฝ่ามือของนางได้
ฉินมู่ขับเคลื่อนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ด้วยพลังฝ่ามือหมู่ดาวสวรรค์คลุมนภา ทักษะเทวะกว่าสามร้อยชนิดก็แผ่พุ่งออกไปราวกับนภาประดับดาว เป่าหญิงสาวผู้นั้นกระเด็นลงมา
“ทักษะเทวะล้ำเลิศ!”
เสียงชื่นชมดังมาจากข้างล่าง และชายหนุ่มอีกคนก็พุ่งขึ้นมากลางอากาศ หลังจากต่อสู้กันสองสามกระบวนท่า เขาก็ถูกมีดของฉินมู่ฟันตกลงมา
ทุกคนดาหน้าออกไป แต่พวกเขาทั้งหมดพ่ายแพ้จนสิ้น
ป๋ายฉวีเอ๋อตื่นเต้นสุดๆ และถามด้วยเสียงเบา “พี่สะใภ้ ท่านว่าเขาเป็นอย่างไร”
“โดดเด่นเหนือธรรมดา ช่างโดดเด่นเหนือธรรมดาอย่างแท้จริง” ภรรยาของป๋ายชิงฝู่เผยรอยยิ้มขื่นและกล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าเริ่มจะกังวลเกี่ยวกับเจ้าแทนล่ะตอนนี้”
ป๋ายฉวีเอ๋อเองก็ว้าวุ่นวิตกขึ้นมาเหมือนกัน
“กายาจ้าวแดนดิน สมแล้วกับที่เป็นกายาจ้าวแดนดิน!”
ป๋ายชิงฝู่หัวเราะร่าและเชิญฉินมู่กลับมานั่งอีกครั้ง เขากวาดตามองรอบๆ และถามด้วยเสียงอันดัง “พวกเจ้าคิดว่าพี่ที่นับถือฉินสามารถต่อสู้ฟันฝ่าขึ้นไปยังสภาสวรรค์ และสั่งสอนไอ้พวกหยิ่งจองหองบนนั้นได้หรือไม่”
ทุกคนหัวเราะและกล่าวเป็นเสียงเดียว “ได้แน่นอน!”
หญิงสาวคนหนึ่งในนั้นยิ้มแล้วกล่าว “ข้ารู้สึกว่าวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของพี่ฉินนั้นราวกับจะก้าวหน้าเกินยุคสมัย มันทั้งแปลกพิสดารและมหัศจรรย์ เช่นเดียวกับท้าทายกรอบคิด ราวกับว่ามีความเป็นไปได้อันไม่รู้จบที่ถูกสร้างขึ้นมาจากมรรคา วิชา และทักษะเทวะของพี่ฉิน วิวัฒน์จากมรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคจักรพรรดิสูงส่งจนถึงสุดขีดขั้ว!”
คนอื่นๆ ก็ผงกหัวและยิ้มรับ “พวกเราก็มีความรู้สึกทำนองนี้เช่นกัน!”
ป๋ายชิงฝู่จึงเสนอ “พี่ที่นับถือฉิน หลังจากากรต่อสู้แห่งดาวปากวาฬปลาใต้สิ้นสุดลง พวกเราไปที่สภาสวรรค์ด้วยกันเถอะ และซัดไอ้พวกจองหองที่นั่นให้กระจุยกันไปเลย! ทุกคน เห็นด้วยหรือไม่”
“แน่นอน!” เสียงหัวเราะของทุกคนดังก้องไปถึงท้องฟ้า
ฉินมู่เองก็หัวเราะอย่างสาสมใจและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านมรรคา วิชา และทักษะเทวะ เขาไม่มีความคิดเรื่องว่าเขาอาจจะเปลี่ยนประวัติศาสตร์
ที่มุมหนึ่งของงานเลี้ยง ผานกงสั่วใบหน้าซีดราวขี้เถ้า เขามองไปยังกิเลนมังกรที่กำลังเขมือบอาหาร และหีบอันซ่อนอยู่ในความมืด เขาคิดในใจ นี่จะนับว่าเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้อย่างไร นี่มันเป็นการแทงประวัติศาสตร์ให้รั่วหลายๆ รูชัดๆ! พวกเราจบเห่ จบเห่แน่นอน พวกเรากลับไปไม่ได้อีกแล้ว พวกเราอาจจะจางหายไปเลยดื้อๆ ก็ได้…
เขารู้สึกหวาดผวาจับจิต แม้แต่ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ไอ้เด็กวายร้ายนี่ก็สอนให้พวกเขา ฟ้าและดินกำลังจะพลิกคว่ำโกลาหล! ให้สวรรค์สาปเถอะไอ้เด็กแซ่ฉิน ข้าจะตกกะไดพลอยโจนตายไปด้วยกับเจ้า!
ในงานเลี้ยง ทุกคนหัวเราะและสนทนา แม้กระทั่งเมามายจนสลบเหมือดก็มี เซไปซ้ายไปขวา ป๋ายฉวีเอ๋อรวบรวมความกล้าของนางดึงฉินมู่ออกไปเต้นรำ ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และเขาไม่อาจสลัดหลุดจากการคว้าจับของนางได้ เขาจึงได้แต่เต้นรำกับนาง ทำให้ทุกๆ คนหัวเราะกันดังสนั่น
ในตอนนั้นเอง เสียงระเบิดกัมปนาทก็ดังมาจากที่ไกลๆ ราวกับว่าสรวงสวรรค์ร่วงหล่น ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ความมืดและกระแสอากาศก็โถมซัดเข้ามา และถล่มเข้าใส่เมืองร้อยมั่งคั่ง ทำให้มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
……………………………..
“วันคล้ายวันสมภพของจักรพรรดิสูงส่งปีที่สองหมื่นหกพัน?”
ฉินมู่ตกตะลึง ปีที่เขาเกิดนั้นคือสองหมื่นปีหลังจากการสิ้นสุดของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง อันยุคนั้นก็กินระยะเวลานานกว่าหมื่นถึงสองหมื่นปีอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ว่าพวกเขาย้อนเวลากลับมาถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีหรอกหรือ
การเคลื่อนย้ายระยะไกลเพียงครั้งเดียวของผานกงสั่ว ได้ส่งพวกเขาย้อนเดือนปีมาไกลขนาดนี้เชียว?
ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วเองก็อึ้งกิมกี่ ความรู้สึกพิลึกยากจะบรรยายก่อรูปขึ้นในหัวใจของเขา เขานั้นเพียงแต่ขับเคลื่อนธงเคลื่อนย้ายระยะไกลด้วยพลังวัตรเฮือกสุดท้ายของตนก่อนที่มันจะหมดเกลี้ยง เช่นนั้นเขาจะเคลื่อนย้ายระยะไกลกลับมาถึงสามหมื่นสี่หมื่นปีก่อนได้อย่างไร
นี่จะต้องเป็นความฝันแน่นอน!
เขานั้นกำลังจะหยิกตัวเอง แต่ทันใดนั้นความเจ็บแปลบก็แล่นมาจากขาของเขาที่ถูกตัด และเขาก็ร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด
ฉินมู่ดึงกระบี่ยาวที่เขาใช้แทงเข้าไปในขาของผานกงสั่วและพึมพำ “มันเจ็บแฮะ แปลว่านี่ไม่ใช่ความฝัน หรือว่าพวกเรากำลังประสบเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์อีกครั้ง พวกเราอยู่ในปรากฏการณ์แบบนี้หรือนี่”
เด็กสาวคนนั้นเห็นเขาแทงเด็กหนุ่มที่ขาขาดข้างใต้หีบและโกรธขึ้นขึ้นมาทันที “นี่เจ้า เจ้าไปรังแกคนพิการได้อย่างไร หน้าตาดีๆ อย่างเจ้าจะมีประโยชน์อะไรถ้าเจ้าทำตัวแบบนี้ คนโหดร้าย!” เมื่อนางกล่าวจบ นางก็หันกายจะหนีไป
“น้องสาวคนดี รอก่อนสักประเดี๋ยว!” ฉินมู่รีบกล่าวและยับยั้งนางเอาไว้
เมื่อเด็กสาวได้ยินเขาพูด นางก็หักใจปฏิเสธเขาไม่ลง นางหยุดและหันกลับมาเพื่อเห็นเขาเข้ามาใกล้ใช้สองมือกอบหน้านางเอาไว้
เด็กสาวหน้าแดงฉานและดิ้นไปมาใต้สัมผัสของเขา “เจ้าทำอะไรน่ะ พวกเราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แล้วจะมาใกล้ชิดกันขนาดนี้ได้อย่างไร และเจ้าเองก็พิลึกคนมากๆ ด้วย เจ้ามีทั้งหีบประหลาดและหมูตัวใหญ่ ทั้งยังรังแกคนพิการ พ่อและพี่ชายของข้าจะไม่ชอบเจ้าแน่ๆ…พ่อของข้าแข็งแกร่งมากเลยนะ พี่ชายของข้าก็เหมือนกัน และเขาก็จะทุบตีเจ้าให้ตาย อย่าทำแบบนี้สิ…”
ฉินมู่อึ้งไป จิตเขากระเจิดกระเจิงราวกับว่าสายฟ้าสวรรค์ฟาดลงกลางศีรษะ “มันเป็นเรื่องจริง! เจ้าเป็นคนที่มีชีวิต ที่มีเลือดเนื้อจริงๆ! นี่ไม่ใช่เสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์! พวกเราได้ย้อนกลับมาในอดีตจริงๆ กลับมายังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง…หรือว่าการเดินทางข้ามเวลาจะเป็นไปได้”
เด็กสาวงุนงงกับคำพูดของเขา และถามทวน “เจ้าพูดอะไรน่ะ อะไรคือเสียงสะท้อนของประวัติศาสตร์ อะไรคืออดีต อะไรคือการเดินทางข้าม–”
ไม่ทันที่นางจะถามทุกอย่างที่สงสัย สามีภรรยาหนุ่มสาวก็เดินเคียงกันเข้ามา ชายหนุ่มในคู่นั้นกล่าวถามด้วยความประหลาดใจ “ฉวีเอ๋อ นี่คือ?”
เด็กสาวหน้าแดงเรื่อและกล่าวด้วยเสียงเบา “พี่ชาย ข้าว่าข้ามีคนที่ข้าชอบแล้วล่ะ…”
ผานกงสั่วที่กำลังคลานออกมาจากใต้หีบ กะว่าจะล่อหลอกกิเลนมังกรให้เลียแผลบนขาขาดของเขา แต่ทันใดก็ตะลึงลานจากคำพูดของเด็กสาว เขาถ่มน้ำลายลงกับพื้น แค่นี้ก็ชอบเขาแล้ว? ต่อให้หมอนี่หน้าตาดีแล้วจะอย่างไร เขานั้นดีแค่หน้า อย่างอื่นไม่เอาอ่าว…
ฉินมู่เหม่อลอย เมื่อชายหนุ่มคนนั้นเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว เขากระซิบบอกเด็กสาวที่นามว่าฉวีเอ๋อ “คนผู้นี้ดูเหม่อลอยไร้จิตวิญญาณฮึกหาญใดๆ มีเด็กหนุ่มที่เปี่ยมพรสวรรค์มากมายในโลกหล้า ทำไมเจ้าถึงไปชอบเขา”
หญิงสาวข้างๆ เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “น้องสาว ไม่ต้องไปฟังพี่ชายของเจ้าหรอก เขานั้นก็ชอบแต่จะแนะนำพวกผู้เปี่ยมพรสวรรค์ที่ว่าให้แก่เจ้า และไม่ได้สนใจจริงจังว่าเจ้าจะชอบใคร นั่นทำให้ข้านึกขึ้นได้ พวกเจ้าสองคนรู้จักกันนานแค่ไหนแล้วล่ะ”
เด็กสาวก้มหน้างุดและกล่าวอย่างเอียงอาย
“ก็เพิ่งเมื่อครู่…”
หญิงผู้นั้นฟังแล้วก็ใช้แขนเสื้อปิดปากตนเอง พูดอะไรไม่ออก
“เพิ่งพบแล้วเจ้าก็ชอบเขาแล้วหรือ”
ชายหนุ่มหัวเราะจากความโมโหอย่างสุดๆ และมองฉินมู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “ธิดาของตระกูลป๋ายพวกเราควรชมชอบวีรบุรุษแห่งยุคสมัย เจ้าคิดว่าเจ้าควรคู่กับน้องสาวของข้าหรือ” เขาตะโกนออกไป
รัศมีของเขาแผ่พุ่ง และมันน่าแตกตื่นสะท้านโลก รังสีแสงเจิดจ้าสาดส่องมาจากข้างหลังเขา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของมนุษย์หัวมังกรและหางมังกรก็ค่อยๆ ผงาดขึ้นมา มันแผดรังสีอันบีบรัดหัวใจ
ผานกงสั่วอ้าปากหวอและมองด้วยความตื่นตระหนก “จิตวิญญาณดั้งเดิมมังกรแท้! ไม่น่าใช่เลยนะ มันไม่ใช่จิตวิญญาณดั้งเดิมมังกรเขียวหรอกหรือ เขาไม่ใช่หนึ่งในสี่มหากายาวิญญาณ แล้วมันเป็นไปได้อย่างไร…เขาร้องออกมา”
ฉินมู่ฟื้นจากภวังค์และมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของชายหนุ่มผู้นั้นเช่นกัน หัวใจเขาสั่นสะท้านเมื่อครุ่นคิด แน่ล่ะ โลกนี้มิได้มีเพียงแค่สี่มหากายาวิญญาณ ยังมีกายาแบบอื่นๆ อยู่อีก
ชายหนุ่มยื่นมือออกไป อันผสมไปด้วยกรงเล็บมังกรและการเขย่า เพื่อคว้าจับฉินมู่ สายฟ้าพันบิดไปรอบๆ มือของเขา “มา ให้ข้าทดสอบกำลังฝีมือของเจ้า!”
เมื่อกรงเล็บของเขาเคลื่อน พื้นผิวของร่างเนื้อเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยประทับอักษรรูนทุกชนิดทุกแบบ ในการจู่โจมเพียงครั้งเดียว ก็ถึงกับมีการเปลี่ยนแปรเป็นร้อยชนิดของทักษะเทวะที่ซ่อนอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหวนิ้ว การโจมตีของเขานั้นเลิศล้ำเกินกว่าทักษะเทวะกายเนื้อระดับสุดยอด!
ฉินมู่รีบถอยออกไปและหลบเลี่ยงการโจมตี ชายหนุ่มขยุ้มปลายนิ้วทั้งห้าของเขาด้วยกันอย่างแผ่วเบา และห้วงอวกาศรอบตัวฉินมู่ก็ระเบิดไปด้วยเสียงคำรามของอสุนีบาต เป่าเขากระเด็นสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
ชายหนุ่มทะยานขึ้นไปและวิ่งตะบึงตรงไปยังฉินมู่
ผานกงสั่วเงยหน้าขึ้นมาด้วยความแตกตื่น “คนแซ่ป๋ายผู้นี้มาจากเผ่ามังกร! มิเช่นนั้นเขาคงจะฝึกฝนทักษะเทวะกายเนื้อของมังกรไปจนถึงขั้นอันเพริศแพร้วระดับนี้ไม่ได้หรอก! อายุของเขาไม่มาก แต่ได้ฝึกปรือจนถึงขั้นชาวสวรรค์แล้ว หรือว่าผู้คนแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งล้วนแต่แข็งแกร่งทรงพลัง”
ถึงอย่างไร ผานกงสั่วก็เป็นตัวประหลาดเฒ่าที่มีชีวิตอยู่เป็นหมื่นปี เขาได้ท่องเที่ยวข้ามคาบสมุทรและพบพานกับยอดฝีมือเผ่ามังกร เขารู้ว่าพวกเขานั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน และสำหรับบุคคลที่สามารถฝึกปรือถึงขั้นชาวสวรรค์ได้ตั้งแต่อายุเยาว์เพียงนี้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง
เด็กสาวฉวีเอ๋อตื่นตระหนกและกล่าวอย่างร้อนใจ “พี่ชาย หยุดทำร้ายเขานะ!”
ข้างๆ นาง หญิงสาวหยุดนางเอาไว้และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายของเจ้าทำเพื่อประโยชน์ของเจ้าเอง เพื่อดูว่าเด็กหนุ่มคนนั้นคู่ควรกับเจ้าหรือไม่ ถ้าพี่ชายของเจ้ายอมรับเขาเมื่อไหร่ พ่อของเจ้าก็จะไม่หยุดยั้งพวกเจ้า แต่หากว่าให้พ่อเจ้าเป็นผู้ลงมือ คนรักหนุ่มของเจ้าอาจจะลงเอยด้วยการกระดูกหักไปอย่างนับชิ้นไม่ถ้วน”
ป๋ายฉวีเอ๋อพลันตระหนักขึ้นมาและแย้มยิ้ม “พี่สะใภ้ชาญฉลาดจริงๆ แต่ทว่า…” นางมีสีหน้าวิตก “พี่ชายนั้นแข็งแกร่งเหลือเกิน หากว่าเขาพลั้งมือทำร้ายคนนั้นขึ้นมา…”
หญิงสาวแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ต้องกังวล พี่ชายของเจ้ามีวรยุทธกล้าแข็งและรู้จักลงมืออย่างเหมาะสม เขาจะใช้วรยุทธขั้นเดียวกันกับคนรักหนุ่มของเจ้า ดังนั้นจะไม่ทำร้ายอย่างแน่นอน”
ในอากาศ ฉินมู่วิ่งไปทางนั้นทีทางโน้นที แต่กำลังฝีมือของชายหนุ่มผู้นี้แข็งแกร่งเกินไปจนน่าสะพรึงกลัว ด้วยการสั่นสะเทือนของนิ้วและฝ่ามือของเขา ทักษะเทวกายเนื้อที่แผ่พุ่งมาก็แข็งแกร่งกว่าทักษะเทวะเวทมนตร์ รัศมีการโจมตีของเขาก็ไกลถึงร้อยห้าสิบวา และการจู่โจมเหล่านั้นยังรวดเร็วอย่างยิ่งยวด บีบให้เขาต้องเปิดสมบัติเทวะทั้งหมดอย่างเร็วด่วน
ปัง ปัง ปัง!
เสียงระเบิดสามเสียงดังออกมาจากในร่างกายของเขา และชายหนุ่มผู้นั้นก็เผยสีหน้าผิดหวังเมื่อเขาส่ายศีรษะ “ขั้นหกทิศหรือ วรยุทธของเจ้าอ่อนแอเกินไป ก็ได้ ข้าจะสู้กับเจ้าในวรยุทธขั้นหกทิศ เพื่อดูพรสวรรค์และปฏิภาณของเจ้า!”
เขาปิดผนึกสมบัติเทวะชาวสวรรค์และเจ็ดดาวของตน จิตวิญญาณดั้งเดิมข้างหลังเขาพลันหายวับ แต่ถึงอย่างนั้น พลังการต่อสู้ของเขาก็ยังคงน่าแตกตื่น เมื่อเขาโจมตีใส่ฉินมู่ การเปลี่ยนแปลงระหว่างนิ้วและฝ่ามือของเขาก็ยากจะคาดเดา
ผานกงสั่วมองเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความแตกตื่น ชายหนุ่มตระกูลป๋ายผู้นี้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างสุดขีด และทักษะเทวะร่างเนื้อของเขาก็เหนือกว่าข้า เมื่อต่อสู้กันในวรยุทธขั้นเดียวกัน ข้าก็คงไม่อาจเอาชนะเขาได้…แต่ทว่า ไอ้เด็กร้ายกาจฉินนั่นไม่ใช่ขั้นเจ็ดดาวหรอกหรือ
ขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เสียงระเบิดสะท้านโลกก็ดังขึ้นมากลางอากาศ และชายหนุ่มแซ่ไป๋ก็ถูกฉินมู่ซัดกระเด็นราวกับผีพุ่งใต้ หางแสงพุ่งกรีดฟ้าพาดผ่านนครอันยิ่งใหญ่ตระการ
ผานกงสั่วมองเห็นภาพนี้ด้วยท่าทีราวกับว่าไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด และคิดอย่างแค้นเคืองในใจ ไอ้เด็กแซ่ฉิน ไอ้วายร้ายนี่อยู่ในขั้นเจ็ดดาว และข้าเองก็อยู่ในขั้นเจ็ดดาว หากว่าข้าต้านทานรับหมัดเขาตรงๆ แม้แต่กระดูกของข้าก็คงแตกหัก กระนั้นอัจฉริยะอย่างเจ้าก็ถึงกับเผชิญเขาด้วยวรยุทธขั้นหกทิศ? ดูสิว่ากลายเป็นยับเยินขนาดไหน
ชายหนุ่มกลับมาด้วยความเร็วที่ยิ่งขึ้นกว่าเดิม และตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยว “ขั้นหกทิศไม่มีทางมีพลังวัตรและกายเนื้อที่กล้าแข็งขนาดนี้! เจ้าจะต้องอยู่ในขั้นเจ็ดดาวแน่นอน ดังนั้นข้าจะสู้กับเจ้าด้วยวรยุทธขั้นเจ็ดดาว!”
ตูม!
ชายหนุ่มปลิวกระเด็นไปอีกครั้ง และเทพเจ้าที่กำลังยืนตระหง่านอยู่บนหอคอยก็ยื่นมือออกมารับเขาเอาไว้ เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเมืองน้อยชิงฝู่ถูกเป่ากระเด็นมาอีกแล้ว หรือว่าท่านพบคู่ต่อสู้สมน้ำสมเนื้อสักที”
ชายหนุ่มป๋ายชิงฝู่เดือดดาลจนหัวเราะร่า เมื่อเขากระเด็นออกไปจากฝ่ามือ และพุ่งทะยานไปหาฉินมู่ “ต่อให้พลังวัตรเจ้ากล้าแข็งแล้วอย่างไร ดูทักษะเทวะข้าหน่อยเป็นไร!”
เขาวิ่งตะบึงกลับไป และเพลงหมัดของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างยากจะคาดเดา โจมตีฉินมู่ด้วยกรงเล็บมังกรอันเกลื่อนฟ้า
สายลมและอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงใส่หน้าฉินมู่ และเสื้อผ้าของเขาก็ปลิวสะบัดไปตามลม เขารู้สึกถึงบางอย่างที่ดุดันเกรี้ยวกราดกำลังขย้ำเข้าใส่ เขาจึงรีบโยนความคิดวอกแวกทิ้งทันทีและโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ดวงตาของเขาลุกวาบ และเขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น “มรรคา วิชา และทักษะเทวะของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งจะเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับของรุ่นหลัง มาตัดสินกันให้เด็ดขาดไปเลยดีกว่า พายุสายฟ้าเก้ามังกร!”
ทั้งสองคนปะทะกัน และคลื่นกระเพื่อมก็พลันแผ่ออกไป กระแสอากาศรูปทรงมังกรปลิวกระจายไปทั่วสารทิศด้วยความเร็วสูงลิ่ว
“โฮกกก—”
ทันใดนั้นพลังงานรูปมังกรก็โถมซัดไปทุกทิศทาง และมังกรนับหมื่นตัวคำรามพร้อมๆ กัน พลังงานมังกรกระจัดกระจายในอากาศและต่อสู้กันและกัน
ทั้งสองคนเหยียบไปบนมังกรเหล่านั้น และพุ่งผ่านเทพเจ้าผู้ยิ่งยงทั้งหลายในเมือง ทวยเทพเฝ้ามองการต่อสู้ด้วยรอยยิ้ม อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ
ในเมืองข้างล่าง คนผ่านทางมากมายไร้คณาหยุดเดินเงยหน้าขึ้นมองดูสิ่งที่เกิดขึ้น และก็มีผู้คนจำนวนมากที่เหาะขึ้นไปบนอากาศเพื่อดูให้ชัดถนัดตา
เทพเจ้าตนหนึ่งแย้มยิ้มและกล่าว “พวกเจ้าที่เหลือเหาะลงไปก่อน อย่าไปกีดขวางพวกเขา ให้ข้าจุดแสงให้พวกเขาล่ะกัน พวกเจ้าจะได้มองเห็นทั้งคู่นั้นชัดขึ้น” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของเขาก็ส่องแสงโชน และเสาลำแสงหนาใหญ่สองลำก็ตกลงไปบนฉินมู่และป๋ายชิงฝู่
ทันใดนั้น เทพเจ้าอีกตนก็เดินเข้ามา รูปลักษณ์ของเขาทรงมหิทธานุภาพน่าเกรงขาม ดวงตาของเขาเป็นเนตรมังกร เปี่ยมด้วยพลังอำนาจและเหนือธรรมดา
“เจ้าเมืองป๋าย” เทพเจ้าส่วนใหญ่คารวะทักทายเขา
เทพตนนี้โบกมือและมองไปที่ฉินมู่ “เด็กหนุ่มผู้นี้โดดเด่นเหนือธรรมดา แม้ว่าวิธีการของเขาจะมาจากลัทธิพุทธ แต่ทว่า พลังวัตรของเขากล้าแข็งขนาดนั้นเชียวหรือ วิชาฝึกปรือของเขาก็มีกลิ่นอายรัศมีของเผ่ามังกรของข้า แปลก แปลกจริงๆ…” เขากล่าวด้วยความตื่นใจ
ป๋ายชิงฝู่ต่อสู้เป็นเวลานาน แต่ก็ไม่ได้เปรียบสักที “ประกระบี่ปะทะอาวุธวิญญาณ!” เขาตะโกนออกไป
ปราณชีวิตรูปมังกรโบยบินออกไปพร้อมกับลูกแก้วมังกรที่หมุนวนอยู่ในนั้น กระบี่คมกล้านับไม่ถ้วนพลันโบยบินออกไปจากลูกแก้วมังกรและโจมตีฉินมู่ราวกับฝูงมังกร!
ฉินมู่ได้รั้งพลังวัตรของเขาไว้ส่วนหนึ่ง ด้วยเจตนาของเขาคือการได้เห็นมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เพราะอย่างนั้นเขาจึงมิได้ใช้กำลังอย่างเต็มที่ แต่ทว่า กระบี่มังกรของป๋ายชิงฝู่นั้นคมกล้าเกินธรรมดา เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากขับเคลื่อนพลังอย่างเต็มพิกัด
แม้ว่าเพลงกระบี่ของเขาจะเพริศแพร้วพิสดาร แต่มันมีเพียงสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานเท่านั้น เขายังมิได้กระโดดออกไปจากแง่อัศจรรย์ของสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน
ฉินมู่มองปราดเดียวก็หยั่งถึงสายสนกลในของป๋ายชิงฝู่ เขาตบถุงเต๋าตี้และไจกระบี่ของเขาก็โบยบินขึ้นมา เขาคว้าจับมัน และกระบี่บินแปดพันเล่มก็พรั่งพรูออกจากง่ามนิ้วของเขาราวกับเม็ดทรายที่ไหลรี่!
กลางอากาศ เพลงกระบี่ปะทะกัน และป๋ายชิงฝู่ครางเสียงหนัก เขาได้รับบาดเจ็บจากแผลกระบี่มากกว่าหนึ่งพันและร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ฉินมู่เหยียดนิ้วออกไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินกลับมา รวมเข้าด้วยกันกลางอากาศเหนือปลายนิ้วของเขา จากนั้นพวกมันก็แปรเปลี่ยนไปเป็นไจกระบี่มันหมุนวน
“เพลงกระบี่เลิศล้ำ!”
เสียงโห่ร้องดังมาจากรอบทิศทาง และฉินมู่มองไปรอบๆ ก็เห็นเทพเจ้านับร้อยมารวมตัวกัน ร่างอันยิ่งใหญ่ตระหง่านของพวกเขากะพริบวูบวาบตัดกับท้องฟ้าราตรี
ด้วยความตระหนกใจ ฉินมู่คารวะไปรอบๆ
เสียงหัวเราะดังสนั่นแล่นมา เมื่อชายกลางคนผู้หนึ่งก้าวอาดๆ มาบนอากาศราวกับว่ากำลังเดินบนพื้นราบ เขามายังข้างๆ ฉินมู่ ผู้ซึ่งฝืนเงยหน้าขึ้นมาองเขา
“อัจฉริยะย่อมปรากฏในรุ่นเยาว์ที่แท้จริง!” ชายกลางคนหัวเราะร่า “เจ้าเป็นศิษย์ของใครอย่างนั้นหรือ กำลังฝีมือของเจ้านั้นน่าประทับใจและดูเหมือนว่าเจ้าได้ฝึกปรือวิชาฝีมือของเผ่ามังกรของข้า”
ความคิดของฉินมู่แล่นพล่านไปทั่วตัวเลือกต่างๆ ก่อนที่เขาจะรีบกล่าว “ข้าคือฉินมู่ และข้ามายังสถานที่นี้โดยบังเอิญ ข้าได้รับรังมังกรที่มีนิพนธ์ของเผ่ามังกรจารไว้อยู่ ดังนั้นข้าจึงได้ฝึกปรือวิชาของเผ่ามังกร”
ป๋ายชิงฝู่เหาะขึ้นมาและเอ่ยชมเขาอย่างจริงใจ “กำลังฝีมือเลิศล้ำอย่างแท้จริง เจ้าสามารถโดดเด่นเป็นดาวได้แม้แต่ในสภาสวรรค์ พี่ที่นับถือฉิน นี่คือบิดาของข้า ป๋ายอวี้ถิง เจ้าเมืองแห่งเมืองร้อยมั่งคั่งแห่งนี้”
ฉินมู่รีบคารวะทักทายเขา
ทันใดนั้นเสียงของกลองศึกก็ดังมาจากความมืดข้างนอก สีหน้าของป๋ายอวี้ถิงพลันมืดมัว และเขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “มันมาจากดาวปากวาฬปลาใต้! พวกมารจากนอกโลกบุกเข้ามาอีกแล้ว จงเหลือทหารไว้สี่คนเพื่อคุ้มกันประตูทั้งสี่ ส่วนที่เหลือติดตามข้าไปเผชิญกับศัตรู!”
พวกเขานำเทพเจ้าทั้งหมดทะยานไปยังที่ไกลๆ
ฉินมู่ตะลึงไป ดาวปากวาฬปลาใต้? ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกเทวะที่ข้าปลุกขึ้นมานั่นคือนายกองของดาวปากวาฬปลาใต้หรอกหรือ
เขามองไปยังทิศทางที่ป๋ายอวี้ถิงและคนอื่นๆ เหาะจากไปและเห็นโคมไฟสว่างจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากความมืด ก่อเป็นเส้นสีเงิน มันคือดาวปากวาฬปลาใต้ เมืองเทพยดาบนฟากฟ้า
“ตั้งแต่เมื่อท้องฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นความมืด มารชั่วร้ายก็มักจะรุกรานเข้ามา แต่ไม่จำเป็นต้องวิตก” ป๋ายชิงฝู่กล่าว “เพลงกระบี่ของพี่ที่นับถือฉินนั้นถึงกับเหนือล้ำกว่าเพลงหมัดของข้า ไม่ทราบว่าท่านจะสอนข้าได้หรือไม่”
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่เขา “ข้ามีนิพนธ์มังกรจำนวนหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจดีนัก และอยากจะรบกวนพี่ป๋ายให้ช่วยสอนข้าเช่นกัน”
เมื่อพวกเขาลงไปเหยียบที่พื้น ผานกงสั่วก็สีหน้าแปรเปลี่ยนเมื่อได้ยินที่ทั้งสองคนนั้นสนทนากัน เขารีบส่ายหน้าไปมาแก่ฉินมู่และถ่ายทอดเสียงไปด้วยความกระวนกระวาย “ระวังการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะกลับไปไม่ได้!”
………………………………………
“นี่…”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถปลุกสำนึกรู้ของโครงกระดูกเทพเจ้านี้ได้ด้วยความเชื่อเหลือของลูกแก้วเต่าดำนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ นั่นก็เพราะว่ามีสำนึกรู้ที่ยังหลับใหลหลงเหลืออยู่ โครงกระดูกจึงสามารถพูดจาและฟื้นฟูความทรงจำของตนเองได้
โครงกระดูกอื่นๆ อาจจะไม่มีสำนึกรู้หลงเหลืออยู่ แม้ว่าเขาปลุกจิตวิญญาณพวกเขาขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นมากไปกว่ากองกระดูกที่เดินได้
ยิ่งไปกว่านั้น การปลุกพรายวิญญาณของโครงกระดูกเทวะต้องอาศัยพลังวัตรปริมาณมหาศาล แม้ว่าจะมีลูกแก้วเต่าดำ ฉินมู่ก็อาจจะไม่สามารถปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ได้
ด้วยความปฏิภาณความเข้าใจของเขาที่มีต่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อย่างมากเขาก็สามารถเรียกใช้ ‘ยักษ์’ ทราย ที่สูงไม่เกินวาครึ่ง ตัวสูงใหญ่ไปกว่านั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา
ด้วยลูกแก้วเต่าดำ เขาสามารถเพิ่มพูนปฏิภาณความเข้าใจในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ และเสริมส่งสัมผัสหยั่งรู้ของเขา แต่กระนั้นการปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายในเวลาเดียว ก็คงจะรีดเค้นพลังวัตรออกจากเขาไปอย่างไม่รู้จบ และยังอาจจะอันตรายอีกด้วย
โครงกระดูกเทพเจ้านี้ ‘มอง’ ไปที่เขาด้วยเปลวเพลิงรางๆ ในเบ้าตา เต็มไปด้วยความคาดหวัง นั่นเป็นความคาดหวังของนักรบโบราณที่จะได้พบกับสหายร่วมรบอีกครั้งหนึ่ง นี่ทำให้ฉินมู่มิอาจหักใจปฏิเสธเขา
เขายิ้มกว้าง “ข้าจะลองดู”
สักพักหนึ่ง โครงกระดูกยักษ์หนึ่งโครงก็ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง และเทพเจ้าเที่ยงแท้นี้ก็ลิงโลดอย่างระงับไม่อยู่ เขาเข้าไปกอดโครงกระดูกของสหายศึกของเขาและหัวเราะกับร่ำไห้ไปในเวลาเดียวกัน
“แม่ทัพ” โครงกระดูกนี้ดูมึนงงและไม่ค่อยมีค่อยมีสติปัญญามากนัก เขาพูดได้เพียงแค่คำคำเดียว
แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว เทพเที่ยงแท้ก็ซาบซึ้งใจ ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
ยิ่งฉินมู่ปลุกโครงกระดูกมากขึ้นเท่าไร สีหน้าเขาก็ยิ่งซีดเผือดมากยิ่งขึ้น มันดูเหมือนจะมีเสียงอึงอลมากมายไร้ประมาณในหัวของเขา อันทำให้เขายากที่จะตั้งสมาธิ
เทพเที่ยงแท้ตนนี้ยกทรายขึ้นมาพร้อมกับโครงกระดูกที่ปลุกพรายวิญญาณทั้งหลาย และใช้พลังวัตรเฮือกสุดท้ายของเขาเพื่อขับเคลื่อนไฟแห่งเทพเที่ยงแท้ หลอมละลายผืนทราย
มันแปรเปลี่ยนเป็นลาวาอันเดือดพล่าน ก่อนที่จะจับตัวแข็งเป็นก้อนหินมากมาย
เทพเที่ยงแท้นี้ก่อสร้างสุสานของเขา ในขณะที่โครงกระดูกทั้งหลายใช้หินเพื่อก่อสร้างหลุมศพของตนเอง
เมื่อฉินมู่ปลุกโครงกระดูกโครงสุดท้าย เขาก็นอนหอบด้วยความหมดแรง
บนทะเลทราย โครงกระดูกสูงมากมายได้สร้างสุสานสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขายืนตระหง่านตรงหน้าหลุมศพของตนเอง และรอฟังคำพูดสุดท้ายของแม่ทัพ
เทพเที่ยงแท้เผาผลาญพลังวัตรกระผีกสุดท้ายเพื่อยกธงอันแหว่งวิ่นขึ้นและมองไปยังสหายทั้งหลายที่ร่วมตายไปกับเขา
ลมพัดธงแหว่งวิ่นนี้
มันสะบัดเสียงพึ่บๆ ราวกับว่าจะฟื้นชีวิตของช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต
“หากว่าชาติหน้ามีจริง” เทพเที่ยงแท้มิได้อ้าปาก แต่ว่าเกิดเสียงราวกับเหล็กกระทบกับเหล็กและเสียงกลองศึก “หากว่าชาติหน้ามีจริง พวกเราจงมารวมกันและต่อสู้กับสวรรค์และพิภพอีกครั้งเถอะ!”
เสียงของเขากึกก้องไปในทะเลทราย เมื่อเขาตะโกนไปยังทหารของเขา สหายร่วมรบของเขา “จักรพรรดิสูงส่งจะกลับมา และนำพวกเราไปต่อสู้กับศัตรูอีกครั้ง! และบัดนี้ ทหาร พักผ่อนได้!”
“แม่ทัพ พบกันอีกครั้งชาติหน้า!” โครงกระดูกทั้งหลายตะโกนกลับไป
โครงกระดูกเหล่านั้นเดินเข้าไปในหลุมศพของตนเอง และวางอาวุธอันหักพังของตนที่ข้างกาย ก่อนที่จะเอนตัวนอนลงไป พวกเขาดูเหมือนว่าเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงแตรเขาสัตว์ประกาศศึก
เปลวเพลิงในเบ้าตาของเทพเที่ยงแท้กะพริบวูบวาบ และแผ่นพื้นใหญ่มหึมาก็ลอยข้ามมาในอากาศ ปิดผนึกประตูทางเข้าสุสาน
อักษรรูนหลั่งไหลออกจากผนังทั้งสี่ และด้วยการปิดทับของแผ่นหินใหญ่ กระบวนพยุหะอันปกป้องคุ้มกันสุสานเทพเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเงยศีรษะมองไปยังโครงกระดูกเทพเที่ยงแท้ข้างๆ เขา “ผู้อาวุโส ท่านก่อสร้างสุสานให้กับพวกเขา แล้วทำไมท่านถึงไม่เข้าไปด้วย”
โครงกระดูกเทพอันสูงตระหง่านนั่งลงพลางถือธงของเขา เขานั่งตัวตรงเหมือนกับสันหลังของเขา และพวกเขาทั้งสองหันไปทางสุสานเหมือนๆ กัน
“ข้าเป็นแม่ทัพของพวกเขาแต่ก็ไม่อาจพาพวกเขากลับบ้านได้ ข้าไม่คู่ควรที่จะมีหลุมศพของตนเอง” เทพเที่ยงแท้นั่งอยู่อย่างเงียบงันขณะที่ธงโบกสะบัดไปในสายลม “ข้าจะต้องปกป้องพวกเขาและเป็นผู้พิทักษ์สุสานแห่งนี้ ข้าเห็นได้ว่าไม่มีพวกเขาคนไหนที่ฟื้นดวงจิตขึ้นมาจริงๆ เป็นเจ้าที่พูดแทนให้กับพวกเขา”
เขาก้มหน้าลงมามองที่ฉินมู่ “ขอบคุณมาก”
ฉินมู่อึ้งไป “ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกว่าเหลือเพียงตัวเองลำพัง ดังนั้นข้า…”
เทพเที่ยงแท้เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นเจ้า แต่ข้าก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ข้าไม่มีความเสียใจย้อนหลังอีกต่อไป”
จากเบ้าตาว่างเปล่าของเขา ริ้วแสงสองเส้นพุ่งทะยานออกมาราวกับมังกรคู่ และโบยบินเข้าไปในดวงตาของฉินมู่ สถิตอยู่ในนั้น
มันเป็นปราณหยางพิสุทธิ์และปราณหยินพิสุทธิ์ริ้วสุดท้ายในสมบัติเทวะของเขา มันคือของกำนัลที่มอบให้
“ความมืดกำลังมา จงไปที่นั่น!” โครงกระดูกยกมือขึ้นและชี้ไปยังที่ไกลๆ
ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปมองและเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน มันเกือบจะจมลงไปในทะเลทรายแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าความมืดกำลังมา” ฉินมู่ถาม “หรือว่าราตรีที่นี่ก็ยังต้องเผชิญกับการรุกรานของความมืด ผู้อาวุโส…”
โครงกระดูกเทพเจ้านิ่งงัน และไม่กล่าววาจาอีกต่อไป มันไม่มีลมหายใจหลงเหลือ เจตจำนงของมันเงียบสงัดและกระจัดกระจาย ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงโครงกระดูกอันชี้แขนไปยังที่ไกลๆ
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนโดยไม่กล่าววาจา และเรียกหีบกับกิเลนมังกรที่หมอบตัวสั่นระริกอยู่บนหีบเข้ามา “ไปที่นั่นกัน”
หีบตามเขาไปยังทิศทางที่เทพเที่ยงแท้ชี้ไป
กิเลนมังกรรวบรวมความกล้าและถาม “จ้าวลัทธิ โครงกระดูกยักษ์นั่นหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเป็นท่าน”
“เวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณของข้ามิอาจปลุกดวงจิตเดิมของเหล่าเทพที่ตกตายในสงคราม โครงกระดูกที่ข้าปลุกขึ้นมาไม่มีสำนึกรู้ และทำได้แต่ตามคำสั่งของข้า เขาสามารถมองทะลุเรื่องนี้ จึงกล่าวเช่นนั้น”
กิเลนมังกรฉงนฉงาย “แต่ข้าได้ยินโครงกระดูกพวกนั้นสามารถพูดจาได้และเรียกเขาว่าแม่ทัพ”
“พวกเขาพูดจาได้เพราะว่าข้าพูดผ่านปากของพวกเขา ข้าไม่อยากให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าตนเองถูกทิ้งไว้เพียงผู้เดียวจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”
ฉินมู่หันกลับไปและมองไปยังโครงกระดูกเทพเจ้าที่นั่งอยู่กับธงศึกและปกปักพิทักษ์สุสาน เขาจึงเบือนสายตาไปพลางกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่ทว่าเขาสังเกตเห็นมัน แม้ว่าเขาจะไม่เปิดโปงมันออกมา จริงๆ แล้วในหัวใจของเขา ก็ยังมีความหวังริบหรี่ที่ว่าผู้ที่พูดจากับเขาจะเป็นสหายร่วมรบของเขาจริงๆ และไม่ใช่ข้า”
กิเลนมังกรไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เขาจึงได้แต่หมอบงีบหลับอยู่บนหีบพลางพึมพำ “ข้ากลัวของพวกนี้เป็นที่สุด ครั้งนั้นตอนที่พวกเราไปตระกูลหลิ่ว ข้าฝันร้ายไปตั้งหลายวัน…”
ท้องฟ้ามืดค่ำลงไปทุกที ฉินมู่เร่งฝีเท้าของเขาขณะที่ดวงตะวันจมลงไปในทะเลทราย
ความมืดพลุ่งพล่านมาจากทิศตะวันตก และตามติดมาถึงพวกเขาในพริบตา
ฉินมู่ตะตะลึง โลกทั้งโลกถูกความมืดกลืนกินไป เหมือนกับแดนโบราณวินาศอีกแห่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือในแดนโบราณวินาศเป็นเวลากลางวัน แต่ที่นี่เป็นเวลากลางคืน
ทันใดนั้นหัวใจของฉินมู่ก็ไหวสะท้าน ข้าเข้าใจ! ข้าเข้าใจแหล่งที่มาของความมืด!
เสียงแกรกกรากดังมาจากใต้หีบ และฉินมู่ก็หยุดเพื่อมองดูใต้หีบ เขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้ขาทั้งสองข้ากำลังกอดขาของหีบเอาไว้
“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าเชื่อว่าเจ้าคงสบายดีนะช่วงนี้?”
ผานกงสั่วสีหน้าซีดเทาราวขี้เถ้าและพ่นออกไป “ไอ้เด็กแซ่ฉิน โลกผีสางนี่มันเล่นตลกกับข้า จะฆ่าข้า ตัดเนื้อเถือหนังข้า อยากทำอะไรกับข้าก็เชิญ!”
ฉินมู่แย้มยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน “ทำไมข้าจะต้องตัดเนื้อเถือหนังเจ้าด้วยล่ะ ฆ่าไปเสียง่ายกว่ามานั่งตัดและเถือ”
แสงเจิดจ้าพลันฉายส่องในความมืด มันคือแสงเทวะที่สามารถพุ่งผ่านความมืดได้
ฉินมู่หัวใจแทบกระดอนหลุดออกมาทางปาก และเขารีบกระโดดขึ้นไปบนหีบ ร่างของเขากดมันลงไป ทำให้ทั้งหีบและผานกงสั่วที่อยู่ข้างใต้ดำลงใต้ผืนทราย
“เจ้าจะทำอะไร” ผานกงสั่วร้องด้วยความแตกตื่น
“หุบปาก ดวงตาของซิงอ้านได้เข้ามาในที่นี้แล้ว!” ฉินมู่ตะคอกกลับไปด้วยเสียงต่ำ
ลำแสงจากลูกตากวาดผ่านทะเลทราย หาสิ่งใดไม่พบ มันเหาะไปข้างหน้า
ไม่นานนัก ลูกตาอีกลูกก็ลอยมา และสองลูกตาใหญ่ก็พบกับบนท้องฟ้า พวกมันหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แสงรางๆ อีกก้อนพลันลอยลิ่วมาจากที่ไกลๆ และค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ มันคือศีรษะของเด็กหนุ่ม
ศีรษะนี้ไม่มีลูกตา แต่ลูกตาสองลูกที่ลอยอยู่นั้นไม่นานก็มุดกลับเข้าไปในเบ้าตาของเขา
“พวกเจ้าอยู่ใกล้ๆ นี่!” ศีรษะบนท้องฟ้าหัวเราะอย่างเย็นเยียบและกล่าว “หมอเทวดาฉิน ผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้าขโมยหีบของข้าและหมายที่จะหนีพ้นมือข้าไปได้งั้นหรือ พวกเจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว!”
ทันใดนั้น ทรายเหลืองบริเวณรอบๆ พลันแข็งตัวขึ้น และฉินมู่รู้สึกว่ามันบีบรัดพวกเขามากขึ้นทุกที เขารู้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่และรีบขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโดยพลัน ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งไปรอบๆ ร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนอันวิจิตรที่ร่วงลงไปในวงจรพยุหะภายใต้ผืนทราย
ผานกงสั่วโลหิตเย็นเยียบและเขาร้องลอดไรฟัน “เจ้าจะใช้ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลในสถานที่แบบนี้หรือ เจ้ารนหาที่ตาย แต่ข้ายังไม่อยากตาย…”
“ที่นั่น!” หัวของซิงอ้านที่ลอยอยู่กลางอากาศหวีดร้อง และสองตาของเขายิงลำแสงเทวะที่กวาดไปทั่วพื้น!
หึ่ง
สถานที่อันฉินมู่อยู่พลันถล่มลงไปและกลายเป็นหลุมใหญ่ ถัดมาลำแสงเทวะทั้งสองก็ยิ่งเข้าไปในหลุมใหญ่และระเหิดทรายเหลืองมวลมหึมาให้กลายเป็นไอ
ผานกงสั่วหนังหัวชาตึ้บเมื่อเขาถูกเคลื่อนย้ายระยะไกลออกไปพร้อมกับหีบด้วยฝีมือฉินมู่ จากนั้นเขาก็ตะโกน “จ้าวลัทธิฉิน ฝีมือเจ้าตกไปนะ พวกเราเคลื่อนย้ายไปกันไม่ไกลเลย!”
“หุบปาก! ก็เพราะมังกรอ้วนมันหนักเกินไปตะหาก!”
ฉินมู่กัดฟันกรอดและขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง แสงอักษรรูนสาดส่องเจิดจ้า ข้างหลังนั้น หัวหนึ่งลอยตามมาพร้อมกับลำแสงสองลำที่ส่องข้ามทะเลทราย เผาทุกอย่างให้เป็นไอตามเส้นทางที่มันผ่าน!
ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลจนเขาหมดพลังวัตร จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ มุ่งหน้าไปทางนั้น!”
ผานกงสั่วรีบรับช่วงต่อ เขานำเอาธงผืนเล็กออกจากถุงเต๋าตี้อันประทับไว้ด้วยอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกล เมื่อกระตุ้นให้มันทำงาน ธงก็โบกสะบัดและคลี่คลุมพวกเขา พวกเขาหายวับไปก่อนที่แสงจากดวงตาซิงอ้านจะยิงมาถึง
ในชาติหนึ่งนั้น ผานกงสั่วเคยเข้าลัทธิมารฟ้าและเกือบจะได้เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้า
เขาเคลื่อนย้ายคณะเดินทางไปซ้ำแล้วซ้ำอีก และพลังวัตรของเขาก็เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผาก “จ้าวลัทธิฉิน พลังวัตรของข้าจะหมดแล้ว! พวกเรายังไม่ถึงอีกหรือ”
เขารีดเร้นหยดสุดท้ายของพลังวัตรและเคลื่อนย้ายทุกคนไปอีกครั้ง เมื่อวงจรพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลจางหายไป แสงก็สาดส่องเข้าตาพวกเขาอย่างสว่างไสว และก็พบว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง
กำแพงนั่นตระการตา ประดับไปด้วยโคมไฟและธงหลากสี ทั้งสองคนแหงนขึ้นมองดูและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากหวอ บนยอดตึกและหอคอยของเมืองนี้ในความมืด มีเทพเจ้าที่สูงร้อยห้าสิบวายืนอยู่ พวกเขามีสี่เศียรแปดกร ไม่ก็สามเศียรหกกร และยังมีพวกที่มีศีรษะเป็นนก หรือสัตว์ป่าอื่นๆ เทพเจ้าบางตนก็ดูเหมือนเต่าดำ หงส์แดง พยัคฆ์ขาว หรือมิเช่นนั้นก็มังกรเขียว
พวกเขาเปล่งแสงเทวะอันเข้มข้นที่ขับไล่ความมืดออกไป
เมืองแห่งนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินไปเดินมา
ดูราวกับว่าจู่ๆ ผู้คนเหล่านั้นก็ปรากฏ พวกเขาเดินเบียดเสียดผ่านฉินมู่และหีบใหญ่ไปด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ถูกต้อง…สถานที่นี้เป็นทะเลทรายชัดๆ แล้วทำไมถึงมีเมือง หากว่ามีผู้คนที่นี่มากมายจริงๆ ทำไมจึงไม่มีใครไปกลบฝังโครงกระดูกของเทพเจ้าเหล่านั้น และทำไมที่นี่ถึงมีเทพเจ้าอยู่มากมาย”
ฉินมู่คิดจนปวดหัว และเขาพลันคว้าจับข้อมือของเด็กสาวที่เดินผ่าน เด็กสาวผู้นั้นเห็นว่าเขาหน้าตาไม่เลวก็เลยหัวเราะพรืด “คนเจ้าชู้ จับมือข้าไปทำไม”
“น้องสาวคนดี ปีนี้ปีอะไรหรือ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าซีดเผือด
เด็กสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เจ้านี่ช่างมีแนวทางในการเกี้ยวพาผู้คนจริงๆ ปีนี้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นศักราชจักรพรรดิสูงส่งปีที่ 24000 และวันนี้ก็มิใช่วันอื่นใด นอกเสียจากวันคล้ายวันสมภพของจักรพรรดิสูงส่งปีที่สองหมื่นหกพัน!”
……………………………
รอยแยกนั้นกว้างวาครึ่ง และหีบก็แบกฉินมู่และคนอื่นๆ เข้าไปข้างใน เข้าไปได้แค่สองก้าว พวกเขาก็ติดแหง็ก ฉินมู่รีบผลักพุงกิเลนมังกรเข้าไปข้างใน แต่ถึงอย่างไรหีบก็ขยับไม่ได้ ผานกงสั่วผู้อยู่ข้างใต้หีบก็ร้องกระอักด้วยการถูกเบียดทับ
“เงียบ!” ฉินมู่ตวาดด้วยเสียงเบา และให้หีบถอยออกมาสักหน่อย หนึ่งในเนตรเทวะของซิงอ้านเข้ามาใกล้ในจังหวะนั้น แสงเทวะหนาเท่าเสากวาดผ่านรอยแยกนั้น
ฉินมู่รีบให้หีบใหญ่ซ่อนข้างหลังก้อนหินมหึมาที่ยื่นออกมา ความเร็วของเนตรเทวะซิงอ้านนั้นว่องไวอย่างสุด และแสงของพวกมันก็กวาดวูบมาในเสี้ยววินาที
โชคดีที่ดวงตาของซิงอ้านไม่ใช่ดวงตาของท่านปู่บอด ไม่เช่นนั้นหินใหญ่ก้อนนี้คงซ่อนพวกเราไว้ไม่ได้
เขาระบายลมหายใจโล่งอกและเปิดหีบ จากนั้นก็คว้าคอกิเลนมังกรและยัดเจ้าอ้วนนี้เข้าไปข้างใน
“จ้าวลัทธิ…” กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มอยู่ในหีบ “ข้างในนี้มีชิ้นส่วนอวัยวะเต็มไปหมด หัวก็มี! มีหัวใจด้วย! มือกับนิ้วยั้วเยี้ย!”
ฉินมู่ปิดหีบและส่งมันเข้าไปในรอยแยก โดยไม่มีกิเลนมังกรจ้ำม่ำ มันก็ราบรื่นยิ่งขึ้น หีบรุดหน้าเข้าไปยังส่วนลึก ขณะที่แสงเบื้องหน้าพวกเขาแรงกล้ามากขึ้นทุกที
ฉินมู่เอนอยู่กับหีบและมองตรงไปข้างหน้า ที่สุดรอยแยก เขากลับมองไม่เห็นทุ่งเขียวและฟ้าใส แต่มันกลายเป็นทะเลทรายสีเหลืองทอง มันแตกต่างจากภาพที่เขาเห็นก่อนหน้า
หรือว่าโลกในรอยแยกนี้แตกต่างจากโลกในรอยแยกก่อนหน้า
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น แสงเทวะก็พลันสาดส่องมาข้างหลังพวกเขา ทำให้ฉินมู่แตกตื่น คราวนี้ไม่มีที่หลบซ่อนตัวได้ เขาจึงได้แต่เร่งเร้าให้หีบคืบคลานไปข้างหน้า
โชคดีที่ว่า พวกเขาอยู่ไม่ไกลจากโลกมิติในรอยแยกแล้ว และหีบก็คลานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กลิ้งหลุนๆ เข้าไปยังทะเลทรายสีทอง หลังจากกลิ้งไปสองตลบ หีบก็ยืนขึ้นใหม่อีกครั้ง
ฉินมู่หันกลับไปและเห็นลำแสงเทวะยิ่งผ่านเข้ามาในรอยแยก ก่อนที่จะหายวับไป เขาไม่รู้ว่ามันมองเห็นพวกเขาหรือไม่
หัวใจเขาวูบไหว และเขารีบกระโดดลงมองไปที่ใต้หีบอย่างเร่งร้อน เงาร่างของผานกงสั่วหายไปเรียบร้อยแล้ว
เจ้าหมอนี่มันลื่นหายไปไวจริงๆ!
ฉินมู่ระเบิดหัวเราะออกมา ผานกงสั่วคงจะฉวยโอกาสหลบหนีไปตอนที่พวกเขาร่วงลงในทะเลทรายสีทอง นั่นเพื่อรักษาหนังหัวของเขาเอาไว้จากการจะถูกฉินมู่ลอบสังหารอย่างเลือดเย็น
ก่อนหน้านี้พวกเขาอยู่ในความมืดของแดนโบราณวินาศโดยมีซิงอ้านไล่ล่ามาติดๆ จึงต้องร่วมแรงกัน แต่ในเมื่อไม่มีความมืดในบริเวณรอบข้างแล้ว ผานกงสั่วก็ย่อมหลบหนีไป
เขาไม่มีขา และไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินมู่ หากว่าเขาหนีไปช้ากว่านี้สักนิด ก็คงไม่มีโอกาสหนีรอด
“ผู้สูงศักดิ์นี่เจ้าเล่ห์จริงๆ” ฉินมู่ชมเปาะ
ฉินมู่เปิดหีบ และกิเลนมังกรก็กระโดดออกมาด้วยสีหน้าหวาดผวา เขาไม่กล้าเข้าใกล้หีบอีกต่อไป
ฉินมู่มองเข้าไปในหีบและพบว่ามันยังเหมือนก่อน กระดูกเต๋าตี้ได้ก่อโครงของมันและผิวหนังเต๋าตี้ก็หุ้มไว้รอบๆ ข้างในนั้น มีตู้ชั้นต่างๆ มากมายเหมือนที่เคยเห็น แต่จำนวนชิ้นส่วนมนุษย์น้อยลงไปมาก
เขายังเห็นส่วนของหีบที่ถูกเฉือนตัดออกจากกันและถูกเย็บเข้าไปใหม่ มันเป็นผลงานของสองมีดคนแล่เนื้อที่ได้ทิ้งความเสียหายเอาไว้
หลังจากซิงอ้านหนีไปจากมีดของคนแล่เนื้อ เขาก็คงจะเย็บซ่อมหีบนี้
หากว่าข้าสามารถเรียกพรายวิญญาณในมือ ขา ดวงจิต และศีรษะเทวะเหล่านี้ และปลุกส่วนต่างๆ ของร่างกายให้มีชีวิตได้ ก็อาจจะรับมือกับซิงอ้านได้
ฉินมู่สายตาวูบไหว และปิดหีบลงก่อนที่จะเริ่มวิ่งไปท่ามกลางทะเลทรายสีเหลืองทอง หีบวิ่งตามเขามาราวกับว่ากำลังเหินบิน ตามเขามาด้วยความเร็วคงที่ กิเลนมังกรคอยแต่เหลือบมองหีบเป็นระยะๆ ด้วยความหวาดผวา
ผ่านไปสักพัก กิเลนมังกรก็เอาชนะความกลัวของเขาได้ และกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนหีบเพื่อให้มันวิ่งแบกเขา
กิเลนมังกรได้บรรลุเขตขั้นใหม่แห่งความเกียจคร้านซะแล้ว! ฉินมู่คิดขณะที่เขาหันหลังกลับไปมองเจ้าอ้วน
ทะเลทรายในที่ไกลๆ นั้นเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ดังนั้นฉินมู่กับหีบจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง แต่ทันใดนั้น เขาก็หยุดลงตรงหน้าโครงกระดูกใหญ่มหึมาที่เอนกายอยู่บนเนินทราย ครึ่งหนึ่งของมันถูกกลบฝังภายใต้มวลทราย
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและพลันสัมผัสได้ถึงรัศมีเทพ เขารีบหยุดเท้าทันที และหีบข้างหลังเขาก็ชะงักกึก กิเลนมังกรผู้ซึ่งงีบหลับไปได้แผล็บเดียวก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ แล้วร้องออกมา “ซิงอ้านตามมาถึงหรือ”
“ไม่ใช่!”
ฉินมู่ตรวจตราดูโครงกระดูกเทวะที่ถูกกลบฝังใต้ผืนทราย ซี่โครงเหล่านั้นใหญ่มหึมาและขยายออกไปข้างนอก ข้างใต้มันนั้นคือช่องโพรงในอกอันสามารถมีผู้คนเข้าไปยืนได้สิบกว่าคน
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง และหีบก็เดินย่องเขย่งตามมาข้างหลังเขา
ฉินมู่ยื่นฝ่ามือออกไป แต่พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขานำเอากระถางยักษ์ของผานกงสั่วออกมา และค่อยๆ เข้าไปใกล้โครงกระดูกเทพเจ้า
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคร้ง และเขาเองก็ครางหนักๆ ง่ามมือระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งของเขาฉีกขาดเลือดโซม ขากระถางข้างหนึ่งก็ถูกตัดออกไป!
กระถางใหญ่นี้ถูกผานกงสั่วหลอมสร้างขึ้นมาในชาติภพก่อนเมื่อเขาเป็นยอดฝีมืออันเข้าใกล้เขตขั้นเทวะ กระถางยักษ์นี้ย่อมต้องเป็นสมบัติระดับสืบทอดสำนัก!
แม้จะใช้ไจกระบี่ ฉินมู่ก็ยังทำอันตรายมันไม่ได้ นี่คือหลักฐานที่เพียงพอจะชี้ให้เห็นว่ากระถางนี้แข็งแกร่งแค่ไหน
กระนั้นตรงหน้าโครงกระดูกเทพ มันก็ไม่ต่างอะไรกับดินปั้น ขาของมันถูกเฉือนตัดไปเสียแบบนั้น
ฉินมู่ข่มกลั้นความเจ็บและปิดผนึกบาดแผล เขาหยิบขากระถางขึ้นมาจากพื้น และพบว่าตรงพื้นผิวรอยตัดนั้นแบนราบราวกับว่ามีมีดล่องหนอันคมกล้าไร้ประมาณเฉือนผ่ามันไป
เมื่อแตะต้องกับพื้นผิวที่ถูกตัด เขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนฉ่า
“นี่คือ…ปราณหยางแห่งสองปราณหยินหยาง พวกมันถูกเจ้าของซากร่างนี้บ่มเพาะจนกลายเป็นพลังชีวาเทพเพื่อปกป้องร่างกายของเขา”
ฉินมู่เก็บกระถางยักษ์และขาที่หักออกมาของมันกลับไป ขณะที่กิเลนมังกรมองไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง เขาถามด้วยความใคร่รู้ “จ้าวลัทธิ อะไรทำให้กระถางหักหรือ”
“สมบัติเทวะของเทพตนนี้”
ฉินมู่กอบทรายเหลืองขึ้นมากำหนึ่ง และเป่ามันไปข้างหน้าอย่าแผ่วเบา เมื่อเม็ดทรายเข้าไปใกล้ บางสิ่งอันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็เกิดขึ้น!
ข้างในร่างของโครงกระดูกเทพเจ้าอันล้มพังพาบอยู่ในทราย มันมีสมบัติเทวะที่ครบสมบูรณ์เจ็ดอัน!
เดิมทีพวกมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่เมื่อทรายเข้าไปใกล้ แสงเทวะหลากสีก็ฉายส่องออกมา จุดแสงขึ้นในสมบัติเทวะเหล่านั้น!
ศพเทพเจ้านี้ใหญ่โต แต่สมบัติเทวะไม่ใหญ่มาก สมบัติเทวะทารกวิญญาณที่หว่างคิ้วของโครงกระดูกนั้นมีขนาดแค่หนึ่งตารางนิ้ว สมบัติเทวะห้าธาตุใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย สมบัติเทวะหกทิศตั้งอยู่ที่ตันเถียน ขณะที่สมบัติเทวะเจ็ดดาวตั้งอยู่ระหว่างศีรษะ หัวใจ และปอด
สมบัติเทวะชาวสวรรค์อยู่ที่กระดูกหลัง และสมบัติเทวะเป็นตายก็อยู่ต่ำกว่าเอว ส่วนสมบัติเทวะสะพานเทวะนั้นมันก็จะพุ่งเหินออกมาจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ตรงออกไปจากศีรษะ
สมบัติเทวะเหล่านี้มิได้ใหญ่โต แต่น่าแปลกที่ว่าเมื่อมองเข้าไปใกล้ๆ พวกมันก็ดูเหมือนจะมีพื้นที่อันกว้างเป็นล้านไร่อยู่ในนั้น มันกว้างใหญ่ไพศาล ฉินมู่ถึงกับมองเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่อับแสง เช่นเดียวกับทางช้างเผือกและจักรราศีอันแตกหัก!
ที่ใจกลางสมบัติเทวะทารกวิญญาณ มันมีทารกวิญญาณของเทพตนนี้ มันน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา แต่ดวงวิญญาณของโครงกระดูกนี้ได้ลับลาไปนานแล้ว แต่กระนั้นทารกวิญญาณก็ยังคงไม่สูญสลาย
เขาตายจากอาการบาดเจ็บของจิตวิญญาณดั้งเดิม
วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่ขณะที่เขากำลังเพ่งสายตาลงบนสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ทารกวิญญาณของเทพตนนี้ถูกแทงทะลุหน้าอก กระบี่นั้นถึงกับทิ้งรอยเงาเอาไว้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการจู่โจมดังกล่าวน่ากลัวเพียงใด!
ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ที่แตกหักโคจรรอบๆ ทารกวิญญาณ และแสงสว่างเจิดจ้าส่องลงมาจากพวกมัน มันคือหยินหยางสองปราณ
สิ่งที่ตัดสะบั้นขาหนึ่งของกระถางยักษ์คือปราณหยางพิสุทธิ์สายหนึ่ง
“หลังจากที่เขาตาย เลือดและเนื้อของเขาเน่าเปื่อยไป แต่เขายังคงรักษาสมบัติเทวะอันสมบูรณ์แบบเอาไว้ได้ ทารกวิญญาณก็ยังคงอยู่ที่นี่ และเศษซากของพลังชีวาเทพของเขาก็ยังทรงอานุภาพ ตัดสะบั้นสมบัติสืบทอดสำนักได้อย่างง่ายดาย”
ฉินมู่พึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ เทพเจ้าธรรมดาไม่มีทางมีความสามารถเช่นนี้หลังจากที่เขาตาย ครั้งหนึ่งเขาเคยได้พิจารณาดูซากศพของอาจารย์ของซวีเซิงฮวา เทพครองแดนหยกผู้ซึ่งถูกปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่เขาหลอมสร้างเป่าร่วงลงจากฟากฟ้า และตายอย่างน่าสังเวช
แม้ว่าศพของเทพครองแดนหยกจะยังมีรัศมีเทพอันเข้มข้น แต่มันก็ไม่ทัดเทียมกับโครงกระดูกเทวะนี้
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เทพครองแดนหยกตายไป สมบัติเทวะของเขาก็พังทลาย
“นี่คือเทพเที่ยงแท้ เทพเจ้าที่แท้จริง!” ฉินมู่มีสีหน้าเคร่งขรึมเมื่อเขาพลิกหาดูถุงเต๋าตี้และนำลูกแก้วเต่าดำออกมา เขาพึมพำ “ทำไมเทพเที่ยงแท้ถึงตายอยู่ที่นี่”
เขานำเอาลูกแก้วเต่าดำออกมา และยืมพลานุภาพของมันเพื่อร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณของโครงกระดูกเทวะ
กระดูกลั่นโกร่งกร่าง
ซากร่างนี้พลันบิดเอี้ยว และกิเลนมังกรก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เกล็ดของเขาชี้ชันไปหมด แม้แต่หางของเขาก็สั่นริกริก
ฉินมู่ขับเคลื่อนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อันเหมาะแก่การฝึกปรือของสตรี ความคิดของเขาซับซ้อนเกินไป และเขาไม่อาจฝึกปรือมันจนถึงขีดสุดได้ แต่ถึงอย่างไร เขาก็พอจะช่วงใช้มันได้ผ่านลูกแก้วเต่าดำ
มือกระดูกขาวมหึมาค่อยๆ ยกขึ้นจากทราย และโครงกระดูกก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง กะโหลกของมันก้มลงมา ราวกับว่ามันกำลังสำรวจฉินมู่และกิเลนมังกร ทรายเหลืองร่วงลงจากมันเป็นน้ำตกจากรูเบ้าตาและปากของมัน
“สู้ศึก!” โครงกระดูกยืนขึ้นและหยิบธงขาดวิ่นออกมาจากเนินทราย เขาโบกมันไปมาพร้อมกับขากรรไกรที่อ้าขึ้นและหุบลง พลังวัตรที่ยังหลงเหลือในสมบัติเทวะของเขาสั่นสะเทือนอากาศ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่มีเลือดและเนื้อ แต่เขาก็ยังคงพูดได้ด้วยเสียงอันก้องสะท้านพิภพ “รับราชโองการ! ข้างหลังคือมาตุภูมิของเรา ดังนั้นพวกเราไม่มีทางถอยออกต่อไป! สู้! พวกเราทำได้แค่สู้ศึก!”
ฉินมู่อ้าปากหวอ และเขาเกาหัวแกรกๆ พรายวิญญาณที่เขาเรียกมานี้น่าจะเป็นดวงจิตใหม่ แต่จากที่เห็น สำนึกรู้ส่วนหนึ่งของโครงกระดูกดูจะหลับใหลอยู่ในนั้น และถูกปลุกขึ้นมาโดยวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ
“การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงไปหลายปีแล้ว ผู้อาวุโส!” ฉินมู่ตะโกนออกไป “บ้านเกิดของท่านอยู่ที่ไหน ทำไมท่านถึงมาตายที่นี่ แล้วท่านต่อสู้ตามคำสั่งของใคร ใครคือศัตรูของท่าน”
โครงกระดูกก้มศีรษะลงมองดูเขาและเสียงของเขาสะท้านสะเทือน “พวกเราเป็นข้าราชบริพารของจักรพรรดิสูงส่ง นายกองแห่งดาวปากวาฬปลาใต้ รับพระบัญชามาป้องกันสถานที่นี้ ผู้เยาว์ เจ้ามาจากไหน ที่นี่คือสนามรบ รีบถอยไปเร็วเข้า! พี่น้องของข้าอยู่ที่ใด”
โครงกระดูกเทวะกวัดแกว่งธงผืนใหญ่และกระโดดขึ้น พุ่งตัวไปยังยอดเนินทรายสูง จากนั้นเขาก็ชะงักค้าง เพียงแต่ยืนอยู่ตรงนั้น
ยุคจักรพรรดิสูงส่ง? นั่นมิใช่สิ่งที่มาจากหลายหมื่นปีก่อนหรอกหรือ
ฉินมู่อ้าปากค้าง เขารีบวิ่งตามไปพร้อมกับหีบ เมื่อเขามาถึงยอดเนินทราย เขาก็อดจะตกตะลึงไม่ได้ ทะเลทรายตรงหน้าเขา มีโครงกระดูกมากมายเรียงรายอยู่
พวกมันก่ายกองเต็มไปหมดทั้งผืนทรายสีเหลืองทอง โครงกระดูกมหึมาบางโครงไม่อาจถูกทรายกลบมิด และบางส่วนของพวกมันก็โผล่ออกมาจากใต้พื้น
เทพศาสตรามากมายดารดาษไปทั่วทะเลทราย พร้อมกับรถศึกอันหักพัง และยังมีเรือรบพุ่งทะลวง และแผ่นเหล็กกลมอันสูงกว่าร้อยห้าสิบวา
ฉินมู่ตกตะลึง ก่อนหน้านี้เขาเคยพบเห็นสมรภูมิรบของเทพและมารมาก่อน พวกเขานับหมื่นๆ ได้ตกตายไป แต่ไม่มีใครที่ถูกกลบฝัง
“ปีนี้คือปีอะไร” ข้างๆ เขา เทพเจ้าก้มหัวลงและถาม “จักรพรรดิสูงส่งอยู่ที่ใด ไฉนซากร่างของพี่น้องข้าถึงถูกทิ้งไว้เปิดเปลือยในที่ร้าง ไฉนนักรบเหล่านี้จึงมิได้รับการเคารพที่สมควรหลังจากที่พวกเขาตายไป…”
“ผู้อาวุโส ยุคจักรพรรดิสูงส่งได้สิ้นสุดลงไปเนิ่นนานแล้วและกลายเป็นตำนาน ไม่เพียงแต่จักรพรรดิสูงส่ง แม้แต่ยุคจักรพรรดิก่อตั้งก็ได้สิ้นสุดไป…” ฉินมู่กล่าวด้วยความเศร้า
“จักรพรรดิสูงส่งก็ตายไปในการศึกด้วยหรือ” เทพเจ้าก้มหน้าลง เขาดูเหมือนกำลังร่ำไห้ แต่ไม่มีน้ำตาหยดลงมา เขาเดินตรงไปยังสมรภูมิ และหยิบกระดูกขาวขึ้นมาท่อนหนึ่ง “พี่น้องของข้า สหายร่วมเป็นตายในสมรภูมิ ยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่งมิได้มีอยู่อีกต่อไป แต่ข้ามิอาจปล่อยให้พวกเขานอนระเนระนาดอยู่ที่นี่โดยปราศจากที่พำนักพักพิง…น้องชาย”
เขาหันไป ‘มอง’ ที่ฉินมู่ “เจ้าสามารถปลุกจิตวิญญาณของพี่น้องของข้าได้หรือไม่ พวกเราจะกลบฝังตนเอง และพักผ่อนชั่วนิรันดร์”
………………..
เสี้ยววินาทีแรกเสียงของซิงอ้านดังมาจากยอดเขาพระสุเมรุ แต่เสี้ยววินาทีถัดมา เสียงของเขาก็ดังต่ำลงมาอีก เขากำลังไล่ล่าตามพวกเขา
เขาไม่สนใจเรื่องว่าจะสังหารศัตรูได้หรือไม่ แต่หีบของเขานั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โทสะในน้ำเสียงของเขาปิดบังเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเขาหัวเราะ “เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วพึมพำเสียงกระซิบ “ไอ้เด็กร้ายกาจนี่มันขวัญกล้าที่สุดแล้วล่ะ…”
“เจ้าถึงกับกล้าสมคบคิดกับผู้แซ่ฉินเพื่อขโมยหีบของข้า! ผู้สูงศักดิ์ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”
เสียงของซิงอ้าน บางครั้งก็มาจากทางซ้าย บางครั้งก็มาจากทางขวา เห็นได้ชัดว่าภายใต้การรุกรานของความมืด เขาไม่อาจหาตัวฉินมู่และตำแหน่งของหีบได้ ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปทางโน้นและทางนี้ ถึงอย่างไร ด้วยความเร็วของเขา การค้นหาในรัศมีหนึ่งพันลี้นั้นไม่ใช่ปัญหา
ตามหาฉินมู่และหีบใหญ่พบหรือไม่ขึ้นกับเวลาเท่านั้น
“เจ้าคิดว่าข้าจะไม่ฆ่าเจ้าหรือ เจ้ามันตื้นเขินเกินไป!” เมื่อซิงอ้านเริ่มต้นพูด เสียงของเขาดังมาจากหนึ่งร้อยลี้ทิศตะวันตก แต่เมื่อกล่าวจบ เขาก็มาจากหนึ่งร้อยลี้ทิศใต้
สีหน้าผานกงสั่วเขียวคล้ำ และเขากัดฟันกรอด “นี่จะเป็นความผิดข้าได้อย่างไร ข้าไม่ได้ร่วมมือกับเขาขโมยหีบของเจ้า ข้าแค่ฉวยโอกาสนี้หลบหนีไปด้วยเท่านั้น!”
บนหีบ ฉินมู่ตื่นตระหนก ซิงอ้านสามารถขจัดเทพหมอผีขุยได้เร็วขนาดนี้เชียว? กำลังฝีมือของเขาน่าสะพรึงกลัวสุดๆ!
ข้างใต้หีบ ผานกงสั่วพึมพำกับตนเอง “อาจารย์ของข้านับว่าเฒ่าเพราะอยู่นานแต่ไร้ประโยชน์จริงๆ…แต่ทว่าซิงอ้านจะยังไม่สามารถขจัดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเพื่อให้กลายเป็นของสะสมได้ในเวลาอันสั้น จ้าวลัทธิฉิน ข้ามีความคิดดีๆ ที่จะกำจัดทั้งอาจารย์ของข้าและซิงอ้านไปได้ในเวลาเดียวกัน!”
ฉินมู่กล่าวมาจากบนยอดหีบ “ข้ารู้ว่าเจ้าหมายถึงอะไร เจ้ากะจะไปที่ภูเขาหยางในทิศใต้ของแดนโบราณวินาศเพื่อคลายผนึกกายเนื้อของเทพหมอผีขุย ซิงอ้านนั้นยังไม่ทันขัดเกลาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ดังนั้นข้าคะเนว่าเขาจะต้องแยกทารกวิญญาณออกจากดวงวิญญาณ และสะกดข่มเอาไว้คนละแห่ง”
“ถึงอย่างไรเทพหมอผีขุยก็เป็นเทพเจ้าตนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อเขาได้ร่างเนื้อกลับคืนมา เขาก็อาจจะสามารถเป็นอิสระจากการสะกดข่มของซิงอ้านได้ เทพหมอผีขุยที่มีร่างครบสมบูรณ์คงไม่อ่อนด้อยไปกว่าซิงอ้าน แต่จะแข็งแกร่งกว่า ข้าพูดถูกหรือไม่”
ผานกงสั่วผงกหัวเหมือนไก่จิกข้าวเปลือก ก่อนจะตระหนักว่าฉินมู่มองไม่เห็นกิริยาของเขา
“จ้าวลัทธิฉินสมแล้วกับที่เป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ของข้า!” เขาเอ่ยชม “จ้าวลัทธิ มีศัตรูอย่างเจ้าแม้แต่เวลานอนข้าก็คงจะฝันร้าย”
“จ้าวลัทธิ ข้าว่าเขาด่าทอท่านแน่ะ” กิเลนมังกรบอก
“มันเป็นคำชมใหญ่โตต่างหาก แต่ทว่าหากซิงอ้านไม่อาจต่อสู้กับเทพหมอผีขุยที่มีร่างครบสมบูรณ์ได้ อันตรายที่ทุกคนเผชิญก็จะใหญ่หลวงเกินคะเน และนั่นจะน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขั้ว แต่หากว่า…”
เขาอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวล หากซิงอ้านเพิ่มจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยเอาไว้ในของสะสมของเขา นั่นก็จะเป็นมหันตภัยเช่นกัน
หากว่าซิงอ้านสามารถขัดเกลาจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยให้เป็นของตนได้ มิใช่ว่าเขาจะฆ่าใครก็ได้ดั่งใจหรอกหรือ แน่ล่ะ ซิงอ้านก็มีหลักการของเขา เขาไม่แตะต้องผู้คนที่ไม่สะดุดตาเขา อย่างผู้คนที่ไม่มีความเชี่ยวชาญใดๆ เข้าเขตขั้นเทวะ!
ด้วยงานอดิเรกของเขา ยอดฝีมือทั้งหมดที่ไปถึงเขตขั้นเทวะก็คงถูกเขาสักการะดวงวิญญาณจนตายไป เพื่อให้เขาได้ตัดชิ้นส่วนอวัยวะเทพเจ้าออกมาอย่างราบรื่น
นี่ก็จะต้องเป็นภัยพิบัติอย่างแน่นอน และผลกระทบต่อมรรคา วิชา และทักษะเทวะก็คงจะเกินจะคาดหยั่ง
“หากว่าทั้งสองคนนี้สามารถตกตายไปด้วยกันได้ นั่นก็คงดีเยี่ยม…”
ฉินมู่ถอนหายใจและยอมรับแผนการของผานกงสั่ว เขาเร่งให้หีบวิ่งตะบึงไปทางทิศใต้
“พวกเจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”
เสียงของซิงอ้านบางครั้งก็ใกล้ บางครั้งก็ไกล ความมืดของแดนโบราณวินาศยามค่ำคืนนั้นมืดทึบเสียขนาดที่ว่าด้วยกำลังฝีมืออันเลิศล้ำอย่างเขา ก็ยังไม่อาจเสาะหาร่องรอยของคณะหลบหนีได้
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็มองเห็นเงาของร่องเหวสวรรค์ตรงหน้าหีบ เสียงน้ำดังซู่ซ่ามาจากความมืด และจากเสียงเหล่านั้น เขาก็คะเนได้ว่ามันมีน้ำตกมากกว่าหนึ่ง
พวกเขาอยู่ตรงหน้าหน้าผาอันตรายร้ายกาจ
“เอ๊ะ นี่มันคือหน้าผาขาดที่แหล่งธารแม่น้ำหย่ง!”
ฉินมู่ให้หีบไปที่ขอบหน้าผาเพื่อให้พวกเขามองลงไปได้ จากที่นั่น เขาเห็นแสงเจิดจ้าส่องออกมาจากผนังผา เขาไม่รู้ว่ามันส่องออกมาจากอะไร
หัวใจของเขาสั่นสะเทือนเล็กน้อย ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่ เขาได้พาเสียงซีอวี่กับบุตรสาวของนางมาด้วย ในตอนนั้น เขาได้เห็นร่องเหวสวรรค์แยกเขตตะวันออกและตะวันตกของแดนโบราณวินาศออกเป็นสองเสี่ยง ความสูงของหน้าผานั้นสูงกว่าพันห้าร้อยวา
มันเป็นหน้าผาที่ก่อขึ้นมาจากแผ่นดินไหวอันน่าสะพรึงกลัว ที่ได้ฉีกทั้งแดนโบราณวินาศแยกออกจากกัน สร้างรอยร้าวฉานมหึมาที่พาดยาวจากทิศเหนือไปทิศใต้
ต้นธารของแม่น้ำหย่งนั้นเป็นน้ำตกจำนวนมากอันตกลงมาจากหน้าผาขาด น้ำตกพวกนั้นรวบรวมเข้าด้วยกันเพื่อก่อเป็นแม่น้ำอันยิ่งใหญ่ที่เหยียดยาวไปไกลหลายหมื่นลี้ ยาวไปถึงจักรวรรดิสันตินิรันดร์อันเป็นแม่น้ำที่มีกระแสเชี่ยวกรากที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินมู่ก็ได้ประสบเหตุการณ์ประหลาด
เมื่อเขากับเสียงซีอวี่พบกับหมอกบนแม่น้ำ พวกเขาก็มองเห็นทะเลทรายและเทพเจ้ามากมายที่กำลังหลอมสร้างปราสาทราชวังให้กับเทพสูงส่ง พวกเขาล้วนแต่เป็นเทพเจ้าแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง ผู้ซึ่งได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิสูงส่งให้เปลี่ยนทะเลทรายกลายเป็นที่ราบลุ่ม หลังจากนั้น พวกเขาก็เห็นทวยเทพแห่งยุคจักรพรรดิสูงส่งกรุยดินสร้างทางเดินแม่น้ำหย่ง
แต่ทว่า ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือเมื่อพวกเขาเห็นจุดจบของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เทพเจ้าอีกกลุ่มจากอีกยุคสมัยก็ก้าวออกมาจากมวลหมอก
พวกเขาคือจักรพรรดิก่อตั้งและข้าราชบริพาร ซึ่งกำลังประสบกับหมอกประหลาดขณะที่พวกเขาสำรวจพื้นที่นี้ และก็ได้ทอดถอนใจต่อการสิ้นสุดของยุคสมัย
นี่นับว่าเป็นประสบการณ์ประหลาดพิสดารที่สุดที่ฉินมู่เคยพบเห็น
เสียงสะท้อนจากประวัติศาสตร์สองช่วงเวลาซ้อนทับกันที่ต้นธารแม่น้ำหย่ง และก่อขึ้นมาเป็นภาพอันยากจะเข้าใจ
ในเวลานั้นฉินมู่ได้อนุมานว่าอาจจะมีทางเข้าไปยังโลกมิติอื่นในบริเวณนี้ และแม้กระทั่งได้เห็นกับตาว่ากาลและอวกาศของห้าโลกมิติกำลังซ้อนทับกันอยู่
ข้าสงสัย จะเกิดสิ่งประหลาดอะไรขึ้นเมื่อยามกลางคืนมาถึงต้นธารแม่น้ำหย่ง
เขานั้นกระสับกระส่าย แต่ในขณะเดียวกันก็นึกอยากรู้อยากเห็น เขาให้หีบของซิงอ้านเดินลงไปจากหน้าผา และผานกงสั่วที่อยู่ใต้หีบก็รีบคว้าจับขาหีบเอาไว้ข้างหนึ่งทันทีเพื่อมิให้ร่วงลงไป
ในเวลาเดียวกันนั้น บนยอดเขาทองคำเขาพระสุเมรุน้อยแห่งวัดน้อยฟ้าคำราม ยูไลน้อยนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัวขณะที่หลวงจีนทั้งหมดห้อมล้อมเขาด้วยความเศร้าโศกเปื้อนใบหน้า ลิงยักษ์อสูรคุกเข่าอยู่ด้วยดวงตาอันลืมโพลง ทันใดนั้น น้ำตาก็เริ่มหลั่งไหลจากแก้มของเขาร่วงเปาะๆ ลงกับพื้น
“ข้าได้กบฏและออกมาจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพราะอาจารย์ของข้าไม่ยุติธรรม เลือกศิษย์พี่ของข้าสืบทอดตำแหน่งยูไลแทนที่จะเป็นข้า ในเมื่อสรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ทำไมมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่จะได้ยูไล มิใช่ปีศาจ ในเมื่อธรรมะล้วนเท่าเทียมกัน ทำไมยูไลจึงเป็นได้แต่บุรุษ มิใช่สตรี”
รังสีแสงส่องบนใบหน้าของยูไลน้อยเมื่อเขาแย้มยิ้ม “วรยุทธของข้ามิได้ด้อยไปกว่าศิษย์พี่ และข้าก็ไม่ชมชอบธรรมะของเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นหนักหนา ดังนั้นข้าจึงแค้นเคือง ข้าต้องการที่จะสร้างแดนศักดิ์สิทธิ์ให้แก่เผ่าปีศาจ ข้าต่อสู้ฆ่าฟันออกมาจากวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพื่อก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำราม ฟ้าคำรามใหญ่ ฟ้าคำรามน้อย–ก็ล้วนแต่เสียงสายฟ้า”
“แม้ว่าทั้งสองจะอรรถาอธิบายธรรมะอย่างแตกต่างกัน แต่ทั้งคู่ก็เป็นธรรมะ เทพหมอผีขุยได้สักการะดวงวิญญาณข้าจนตาย และข้าไม่มีความสามารถระดับซิงอ้าน ดังนั้นดวงวิญญาณของข้าจึงกำลังจะแตกสลาย จ้านคง นำไม้เท้าขักขระมา”
ลิงยักษ์อสูรคุกเข่าลงด้วยไม้เท้าขักขระที่เขาชูสูงขึ้นมาด้วยมือทั้งสองข้าง
“ศิษย์พี่ของข้าถ่ายทอดพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เจ้าเพราะไม้เท้าขักขระ และเพราะว่าเขา ข้าจึงได้รับเจ้ามาเป็นศิษย์ วัดใหญ่ฟ้าคำราม วัดน้อยฟ้าคำราม เพราะตัวเจ้า ทั้งสองจึงจะเกี่ยวพันกันอีกครั้ง”
ยูไลน้อยยกมือขึ้น และไม้เท้าขักขระก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ “เจ้าเป็นศิษย์น้องของยูไลหม่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม หลังจากที่ข้าตายไป จงนำหลวงจีนทั้งหมดบนภูเขาไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยูไลหม่าจะรับพวกเจ้าเอาไว้ทั้งหมด”
เขาถอดผ้ากาสาวพัสตร์และพระสูตรเล่มหนึ่งออกมา หลังจากที่วางพระสูตรไว้บนกาสาวพัสตร์ เขาก็ยกมันให้แก่ลิงยักษ์อสูร ไม้เท้าพลันร่วงลงมาและทับลงไปบนพระสูตร
“บอกยูไลหม่าเช่นนี้ สรรพชีวิตล้วนเท่าเทียมกัน ไฉนรูปสลักของเผ่าปีศาจในวิหารจึงเป็นเพียงสัตว์ขี่ของพุทธเจ้าและโพธิสัตว์อยู่เสมอ ไม่ใช่ว่าเผ่าปีศาจเราก็เท่าเทียมกันหรอกหรือ”
ดวงจิตและดวงวิญญาณของยูไลน้อยเริ่มแตกแยกออกจากกันและล่องลอยออกไป “จากนั้นถามเขา หากว่าเผ่าปีศาจล้วนเท่าเทียม ทำไมธรรมะถึงถูกเขียนโดยมนุษย์เท่านั้น ปีศาจไม่สามารถเขียนธรรมะได้หรือ”
“หลังจากนั้น ถามเขาอีก ช่วยชีวิตมนุษย์เป็นกุศลผลบุญ ดังนั้นการช่วยชีวิตปีศาจไม่นับว่าเป็นกุศลผลบุญเช่นกันหรือ”
“ถามเขา หากกินมนุษย์เป็นการพรากชีวิต แล้วการกินปีศาจนับเป็นการพรากชีวิตเช่นกันหรือไม่ พืชพันธุ์ พฤกษา พวกมันล้วนแต่สามารถกลายเป็นปีศาจ ดังนั้นกินพวกมันไปนับเป็นการพรากชีวิตเช่นกันไหม”
“หากว่าเขาตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ มอบพระสูตรนี้ที่ข้ายูไลปีศาจเป็นผู้เขียนให้แก่เขา เขาก็จะรับพวกเจ้าเข้าไปทั้งหมด”
ยูไลน้อยประนมมือเข้าด้วยกันและกล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “หลังจากที่ข้านิพพาน นำเอากายเนื้อนี้ของข้าไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ถามยูไลหม่าว่าข้าสามารถเข้าเจดีย์หมื่นพุทธด้วยได้หรือไม่” เมื่อเขากล่าวจบ ดวงวิญญาณของเขาก็กระจัดกระจายไป
“ปีศาจ อาจารย์!”
ลิงยักษ์อสูรหมอบลงกับพื้น และหลวงจีนทั้งหมดก็ท่องมนตร์มหากรุณาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“ยูไลน้อยก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำรามด้วยกำลังของเขาเอง และได้ทำให้มันกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวแห่งเผ่าปีศาจ” ซวีเซิงฮวากล่าวด้วยเสียงเบา “ไม่มีเผ่าปีศาจในธรรมะ แต่กระนั้นเขาก็ทำให้เผ่าปีศาจมีธรรมะเป็นของพวกเขาเองได้ กรอบคิดจิตใจเช่นนี้จะไม่เป็นยูไลได้อย่างไร เอี้ยนจื่อ ข้าอยากจะไปพบเห็นพุทธเจ้าของเผ่ามนุษย์และพุทธเจ้าของเผ่าปีศาจ”
“ข้าจะตามท่านไปวัดใหญ่ฟ้าคำราม ในเมื่อเจ้าตัวใหญ่จะพาหลวงจีนปีศาจทั้งหมดเดินทางข้ามแดนโบราณวินาศ การจาริกของพวกเขาคงเต็มไปด้วยอันตราย พวกเราก็จะสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้” จิงเอี้ยนกล่าว
“ในวัดน้อยฟ้าคำรามมียอดฝีมือมากมายเต็มไปหมด ดังนั้นการจาริกข้ามแดนโบราณของพวกเขาคงไม่อันตรายเท่าใดนัก แต่ผู้ที่ตกอยู่ในอันตรายจริงๆ น่าจะเป็นจ้าวลัทธิฉิน เขาขโมยหีบของซิงอ้านและถึงกับพาผู้สูงศักดิ์ไปด้วย จ้าวลัทธิฉินผู้นี้…”
เส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาบนหน้าผากของเขา ส่วนจิงเอี้ยนนั้นเพียงแค่แย้มยิ้ม “ท่านอิจฉาเขามากๆ ใช่ไหม อิจฉาที่เขาได้ใช้ชีวิตอย่างน่าสนใจ?”
ซวีเซิงฮวาพยักหน้า “แต่ทว่า ข้านั้นไม่เหมือนกับเขา แม้ว่าข้าจะอิจฉาเขา แต่ข้าก็ไม่หวังใจที่จะต้องฟันฝ่าไปในชีวิตแบบนั้น ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้”
หีบใหญ่ส่องแสงลางเลือน ขณะที่มีสิ่งเล็กๆ มากมายที่เรืองแสงอยู่บนหน้าผาเช่นกัน ความมืดครอบงำทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ในสถานที่นี้กลับมีแสงสว่าง อันทำให้ฉินมู่ต้องเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง
หีบหยุดไต่ลงหน้าผาเมื่อมันมาถึงจุดที่มีแสงส่องออกมา ฉินมู่เพ่งพิศดูอย่างละเอียด และอดไม่ได้ที่จะเผยความตื่นตระหนกออกมาบนใบหน้า
ลูกกลมแสงนี้มิได้เปล่งออกมาจากสิ่งมีชีวิตหรือสมบัติใดๆ สิ่งที่ฉายส่องออกมาจากรอยแยกในหน้าผานั้นกลับเป็นแสงอาทิตย์จริงๆ!
ฉินมู่เอนเข้าไปใกล้รอยแยกและพยายามที่จะส่องเข้าไปข้างใน เขาเห็นที่ราบลุ่มสีเขียวท้องฟ้ากระจ่าง และดวงตะวันอันแรงกล้าที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ผานกงสั่วก็มองไปยังอีกรอยแยกหนึ่งและแตกตื่นอย่างพูดไม่ออก
เมื่อกิเลนมังกรเห็นเช่นนั้น เขาก็ไปมองดูเช่นกัน จากนั้นก็ถามด้วยความงงงวย “มีโลกมิติอื่นซ่อนอยู่ในหน้าผาขาดนี่หรือ”
“ไม่ใช่ว่ามีโลกซ่อนอยู่หรอก แต่รอยแยกในหน้าผาขาดนั่นต่างหากที่เชื่อมต่อไปยังอีกโลกหนึ่ง” ฉินมู่พยายามส่องในมุมต่างๆ กัน แต่ก็ไม่อาจเห็นอะไรเพิ่มเติม “ข้ารู้ว่าสถานที่นี้ต้องพิสดารพันลึก ในเมื่อมีโลกมิติห้าแห่งซ้อนทับกัน…ชู่ว!”
ทันใดนั้น ลำแสงอันหนาใหญ่สองลำก็ยิงตรงลงมาจากยอดผา ส่งเสียงหึ่งฮัมเมื่อเฉียดผ่านพวกเขาไป ลำแสงทั้งสองนั้นไม่สังเกตเห็นพวกเขาที่เกาะอยู่บนผนังผา
ดวงตาของซิงอ้าน!
ฉินมู่ระบายลมหายใจออกมาเมื่อสองลำแสงพลันแยกออกจากกันราวๆ ร้อยลี้ิ ลำแสงนั้นส่องไปบนหน้าผาและค่อยๆ ค้นหาไปที่ละส่วน!
ฉินมู่ตกตะลึง “ซิงอ้านควักดวงตาของเขาออกมา และตอนนี้พวกมันกำลังบินอยู่บนท้องฟ้าเพื่อค้นหาตำแหน่งของพวกเรา!”
ขนหัวเขาลุกจนหนังหัวชา และเขาก็สั่นเทิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
“จ้าวลัทธิฉิน ตรงนั้นมีรอยแยกใหญ่!” ผานกงสั่วกล่าว
ฉินมู่รีบเคลื่อนหีบไปยังจุดที่เขาชี้ และพวกเขาก็มุดเข้าไปในรอยแยกใหญ่นั้น
…………………
“เป็นไปได้อย่างไร ข้าสักการะดวงวิญญาณเจ้าจนตกตายไปแล้วชัดๆ เจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร” เทพหมอผีขุยมองไปยังซิงอ้านผู้ซึ่งลุกขึ้นนั่งและถามด้วยความสงสัย “หรือว่าชื่อของเจ้าจะไม่ใช่ซิงอ้าน แต่นั่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะดวงวิญญาณของเจ้าเพิ่งแหลกสลายไปจากการสักการะของข้าเมื่อครู่นี้อยู่ชัดๆ ในเมื่อดวงวิญญาณของเจ้าแหลกสลาย เจ้าก็จะมีชีวิตอยู่ไม่ได้! เจ้าใช้วิธีอะไรถึงทำให้ดวงวิญญาณอันกระจัดกระจายกลับมารวมกันอีกครั้ง ทักษะเทวะของเจ้านับว่า…”
เขาเดินอ้อมรอบๆ ซิงอ้านด้วยสีหน้าครุ่นคิด “ข้ารู้สึกได้ถึงการแหลกสลายของดวงวิญญาณเจ้าเมื่อครู่ และมีอีกดวงหนึ่งออกมาจากหีบของเจ้าเพื่อเข้ามาในศพ ฟื้นคืนชีพเจ้าขึ้นมา แต่ข้ามีข้อสงสัย หากว่าดวงวิญญาณเจ้าตายไป ต่อให้ใส่ดวงใหม่เข้าไปในร่าง เจ้าก็จะไม่เป็นเจ้าคนเดิมอีกต่อไป เจ้ารักษาสำนึกรู้เดิมเอาไว้ได้อย่างไร”
ซิงอ้านลุกขึ้นยืนและมองไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยด้วยสายตาประหลาดพิกล อันเคลื่อนไหวตามไปด้วยเช่นกัน
เทพหมอผีขุยเดินวนรอบตัวเขา และเขาก็เดินวนอ้อมเทพหมอผีขุย วงกลมหนึ่งใหญ่ วงกลมหนึ่งเล็ก ราวกับว่าพวกเขาคือดาวสองดวงที่โคจรรอบๆกันและกัน
ซวีเซิงฮวามองไปยังฉินมู่และหวนรำลึกถึงว่าเขาพ่ายแพ้ไปครั้งหนึ่งได้อย่างไร ในตอนนั้นฉินมู่ได้ใช้ปราณชีวิตเพื่อนำทางเขา รัศมีของเขาสะกดข่ม และการเปลี่ยนแปลงในวิชาตัวเบาขณะที่เคลื่อนไหวไปก็รีดเร้นพละกำลังของเขาจนเหน็ดเหนื่อย
ในตอนนั้น ซวีเซิงฮวาพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า และไม่ทันที่พวกเขาจะได้ประมือกันสักครั้ง ซวีเซิงฮวาก็กระอักเลือดและร่วงลงไปกับพื้น หลังจากนั้นก็เป็นฉินมู่คนเดียวกันที่มารักษาอาการบาดเจ็บและทำให้เขาติดค้างเงินทองก้อนใหญ่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปตีเหล็กหลอมสร้างมาหาเงินชดใช้
บัดนี้วิธีการของเทพหมอผีขุยและซิงอ้านนั้นคล้ายคลึงกับฉินมู่ แต่ยิ่งลึกล้ำกว่า
ซิงอ้านจ้องไปที่เทพหมอผีขุย สายตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “มหัศจรรย์จริงๆ เทพหมอผีขุย เจ้านั้นเป็นชิ้นงานศิลปะอันมหัศจรรย์! เจ้าจะต้องเป็นผลงานชิ้นเอกในของสะสมของข้า!”
“สะสมข้า?” ทั้งสองคนได้เดินขึ้นไปบนอากาศจากพื้นดิน เทพหมอผีขุยยิ้มหยันและกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าคือเทวรูปที่ปั้นขึ้นมาจากโคลนอย่างงั้นหรือ พลังวัตรของข้าลึกล้ำเกินจะหยั่งและพละกำลังของข้าก็ไร้เทียมทาน ข้านั้นมิใช่เทพปลอมจากสภาสวรรค์อันเทียมเท็จ แต่เป็นเทพเที่ยงแท้ที่มาจากสภาสวรรค์อันแท้จริง!”
“ข้าได้กวาดล้างรัชสมัยเก่าของสภาสวรรค์เท็จและตัวตนอันทรงอำนาจมากมาย ไม่ว่าข้าจะผ่านไปที่ใด ซากศพก็ก่ายกองเต็มภูเขา และทะเลโลหิตก็ไหลนองไม่รู้จบสิ้น! เจ้านั้นเป็นเพียงแค่มดปลวกที่ฝึกปรือวิชาแปลกประหลาด และเดินร่อนไปทั่วทำเป็นวางมาดเพื่อหลอกหลวงผู้คน เหมือนกับนักต้มตุ๋นที่เทียวไปในยุทธจักร”
“แต่ข้ารู้เล่ห์กลของเจ้า ที่บินออกมาจากหีบเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงเจ็ดจิต และไม่มีสามวิญญาณ วิญญาณของเจ้ายังคงเป็นของเดิม แต่เจ้าได้แย่งชิงจิตทั้งเจ็ดมาจากผู้อื่น”
ฉินมู่สีหน้าแปรปลี่ยนเล็กน้อย แหล่งชีวิตของซิงอ้านคือวิญญาณทั้งสามของเขาอย่างงั้นหรือ เขาได้บ่มเพาะวิญญาณทั้งสามถึงขีดขั้นเทวะ? ถ้าเช่นนั้นวิญญาณทั้งสามของเขาก็อาจจะไม่ได้ซ่อนอยู่ในหีบ
สีหน้าของซิงอ้านก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน “มหัศจรรย์มาก เทพหมอผีขุย เจ้าทำให้ข้ายิ่งชื่นชมเจ้าเข้าไปอีก เมื่อเจ้าได้สักการะข้าจนตายไปเมื่อครู่ แง่อัศจรรย์ของวิชาเจ้าก็ถูกข้ามองจนทะลุ เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณที่ว่านั้นมิได้ย่อยสลายดวงวิญญาณของคู่ต่อสู้ แต่แยกดึงเอาจิตทั้งเจ็ดออกจากกัน”
“ผู้คนที่ถูกสักการะจนตายนั้นยังมีวิญญาณอยู่ เพียงแต่พวกเขาจะถูกเจ้าควบคุมด้วยกำลัง มิเช่นนั้นไฉนจึงมีวิญญาณไม่ผุดเกิดมากมายที่วนเวียนไปรอบๆ ตัวเจ้าล่ะ เวทมนตร์หมอผีของเจ้ามันก็แค่ทักษะเทวะที่แข็งแกร่งขึ้นมาหน่อยเท่านั้น!”
ร่างกายของยูไลน้อยสั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงเบา “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลวงจีนปีศาจมากมายที่พิทักษ์เขาเอาไว้พลางสะกดดวงวิญญาณและดวงจิตอันอาจจะแหลกสลายไปได้ทุกขณะ เมื่อพวกเขาได้ยินที่ซิงอ้านกล่าว พวกเขาก็พลันกระจ่างแจ้งขึ้นมาราวกับมองเห็นแสงสว่างทางปัญญา
มรรคา วิชา และทักษะเทวะของลัทธิพุทธนั้นแตกต่างจากแนวทางทั่วไป เนตรพุทธสามารถทำให้พวกเขามองเห็นวิญญาณไม่ผุดเกิดได้ และพวกเขาก็ได้มองเห็นดวงวิญญาณมากมายที่พัวพันรอบๆ เทพหมอผีขุยนานแล้ว เพราะอย่างนั้น พวกเขาจึงรู้สึกว่าหากเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่หมอผีขุย ก็จะกลายเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ที่จะใช้ในการเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบแห่งพุทธเกษตร เพื่อให้พวกเขาได้กลายเป็นพุทธองค์
เพียงแค่รู้ชื่อแซ่ เทพหมอผีขุยก็สามารถสักการะฝ่ายตรงข้ามเพื่อเป่าสลายดวงจิตของพวกเขา เวทมนตร์หมอผีเขานั้นทรงพลังอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่พวกเขากลับไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงระหว่างดวงวิญญาณที่พัวพันเขาอยู่กับมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ
ฉินมู่จิตเต้นตุบๆ ซิงอ้านนั้นเลิศล้ำไม่ธรรมดา!
เทพหมอผีขุยได้สักการะเขาสองครั้ง ครั้งแรกนั้นเป็นผานกงสั่วที่ช่วงใช้เวทมนตร์หมอผี และไม่อาจสักการะเขาจนถึงตายได้ ครั้งที่สองนั้นก็คือการสักการะเมื่อครู่นี้ อันได้ ‘สังหาร’ ซิงอ้านไปโดยพลัน
หลังจากได้พบพานทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยเพียงสองครั้ง เขาก็สามารถมองทะลุแง่อัศจรรย์ของมันได้!
พรสวรรค์และปฏิภาณระดับนี้ นับว่าเลิศล้ำไม่ธรรมดา!
พรสวรรค์และปฏิภาณของเขาไม่ด้อยไปกว่าราชครู! น่าเสียดายที่บุคคลผู้ทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดในการเสาะหายอดฝีมือที่เข้าใกล้เขตขั้นเทพเจ้า รวบรวมสะสมชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น หากว่าเขาทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการฝึกปรือ…เอ้อ เขาก็คงจะตายจากความชราไปก่อน เพราะถึงอย่างไร สะพานเทวะก็ขาดสะบั้น…ช้าก่อน!
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้ม และความประหลาดใจเป็นล้นพ้นก็ปรากฏฉายในแววตา
ราชครูสันตินิรันดร์เป็นตัวตนอันมีปฏิภาณและพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็น ความกล้าหาญเฉียบขาดของเขานั้นไร้เทียมทาน และเขานั้นเลื่องชื่อกระเดื่องดังในโลกมาเสียก่อนที่จะทำการปฏิรูปเสียอีก เขานั้นได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี โดยน้ำคำของยูไลเฒ่าและเจ้าสำนักเต๋าเฒ่า!
ราชครูสันตินิรันดร์นั้นกำลังอยู่ในช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ของเขา ดังนั้นจะต้องมีใครบางคนที่ถูกขนานฉายาเช่นนี้มาก่อนเขา
มันคงไม่ใช่…
สีหน้าฉินมู่พิลึกประหลาด พรสวรรค์ของซิงอ้านนั้นสูงส่งขนาดที่ว่ามีแต่ราชครูสันตินิรันดร์เท่านั้นจึงจะทัดเทียมกับเขาได้ นี่มิได้แปลว่าอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีในยุคสมัยของผู้ใหญ่บ้าน ก็คือซิงอ้านหรอกหรือ
เป็นไปได้สูงมาก! ราชครูสันตินิรันดร์ก็มีงานอดิเรกเก็บสะสมชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่นเหมือนกัน!
ฉินมู่กำหมัดแน่น ก่อนหน้านั้นราชครูสันตินิรันดร์ได้เก็บสะสมขาของเฒ่าเป๋มาก่อน!
ที่กลางอากาศเทพหมอผีขุยพลันเริ่มต่อสู้กับซิงอ้าน และท้องฟ้าเหนือเขาพระสุเมรุน้อยก็ถูกฉีกทึ้งจากทักษะเทวะ แม้ว่าเทพหมอผีขุยจะมิอาจสักการะเขาจนถึงตาย เขาก็ยังคงเป็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้า เขามีพลังวัตรและทักษะเทวะอันไร้ต่อต้าน พวกมันส่วนใหญ่เป็นทักษะเทวะดวงวิญญาณและเวทมนตร์ชนิดอื่นๆ
พลานุภาพของเวทมนตร์ทักษะเทวะของเขานั้นแข็งแกร่งไร้ใดเปรียบถึงกับสามารถฉีกความมืดให้ขาดออกจากกัน เผยใบหน้าอันพิลึกกึกกือข้างในนั้น
การที่เวทมนตร์ทักษะเทวะรุดหน้ามาถึงขั้นนี้ได้โดยปราศจากร่างเนื้อ พละกำลังการต่อสู้ของเขาสูงล้ำกว่ายูไลน้อยไปลิบลับ
กระนั้นก็ไม่มีทักษะเทวะใดของเขาที่แตะต้องซิงอ้านได้
ความเร็วของบุรุษผู้นี้ว่องไวเกินไป เขานั้นเหมือนกับแสงวิบวับและเงาที่พริบพราย ความเร็วของเขาทัดเทียมกับเฒ่าเป๋!
เมื่อเผชิญกับความเร็วระดับนี้ แม้แต่ทักษะเทวะของเทพหมอผีขุยก็ตามไม่ทัน!
ความเร็วของเฒ่าเป๋นั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า หากว่าเขาลองหลบหนีไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ก็ไม่มีใครตามเขาทัน เขาเพลี่ยงพล้ำเพียงสองครั้งเท่านั้นในชีวิต ครั้งแรกนั้นก็เมื่อเขาถูกราชครูสันตินิรันดร์พบเข้าตอนที่กำลังขโมยห่วงหยกจักรพรรดิ ขาของเขาถูกสะบั้นออกไปเสียก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วถึงขีดสุด
ครั้งที่สองนั้นก็เมื่อเขาพบกับซิงอ้าน
แม้ว่าเฒ่าเป๋จะมีความเร็วจนเหลือล้น แต่พลังวัตรของเขามิได้เข้มข้นเท่ากับของซิงอ้าน เขาถูกไล่ล่าติดกันหลายวันจนกระทั่งพลังวัตรของเขาเหือดแห้งในที่สุด และขาทั้งสองข้างของเขาก็ถูกตัดออกไป
ด้วยความเร็วระดับนี้ จึงยากที่เทพหมอผีขุยจะตีโดนเขา!
ตูม!
ที่กลางอากาศเทพหมอผีขุยรับการโจมตีแรกของซิงอ้าน และร่างของเขาสั่นสะท้าน ทารกวิญญาณของเขาแทบถูกซัดกระเด็นออกไปจากจิตวิญญาณดั้งเดิม และเขาก็เผยสีหน้าว้าวุ่นออกมาอย่างข่มไว้ไม่อยู่
เสียงปังมหึมาตามมาอีกเมื่อเขาถูกการจู่โจมที่สอง ริ้วเส้นของไฟแท้พวยพุ่งออกมาจากดวงตา จมูก ปาก และรูหูของเขา ระดับการแยกจากกันระหว่างทารกวิญญาณกับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายิ่งกว้างขวางขึ้น
ปัง ปัง ปัง
เสียงโจมตีถี่ยิบดังมาจากในอากาศ และทารกวิญญาณในจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยก็โงนเงนไปทั่วทิศ ภาพลวงตาปรากฏขึ้นมา และใบหน้าเหล่านั้นก็บิดเบี้ยวพลุ่งพล่าน
เทพหมอผีขุยไม่มีกำลังที่จะโต้กลับไปจริงๆ
ราชครู อัจฉริยะวายร้ายนั่น ก็อาจจะไม่สามารถเป็นคู่มือของซิงอ้านในตอนนี้ได้ ฉินมู่ตกตะลึงเมื่อมองไปยังหีบของซิงอ้านอันอยู่ไม่ห่างไกล
ซิงอ้านวางมันไว้กับพื้น ไม่แบกติดตัวอีกต่อไป
ข้างๆ หีบ ผานกงสั่วนอนหดหัวกอดขาเทวะข้างหนึ่งเอาไว้อยู่
เขาจบเห่แน่…อาจารย์ของข้าจบเห่แน่ๆ เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซิงอ้าน ข้ากะจะมาจับปลาในน้ำขุ่น แต่จากที่ดูแล้ว ข้าคงไม่ได้ปลาสักตัว…
เขานำถุงเต๋าตี้ออกมาและยัดขานั้นเอาไว้ข้างใน ซิงอ้านนั้นทั้งฉลาดและกลอกกลิ้ง เขาจะต้องบังคับให้ข้าเชื่อมต่อขาข้างนี้ และหากว่ามันถูกจ้าวลัทธิฉินวางยาพิษเอาไว้ ข้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ต่อให้ขานี้ไม่มีพิษ ซิงอ้านก็จะตัดมันออกไปและไม่เหลือมันเอาไว้ให้ข้า ถ้าอย่างนั้น ทำไมข้าไม่ฉวยโอกาสนี้ลอบหนีออกไปเลยล่ะ…
ระหว่างที่คิดเช่นนั้น เขาก็พลันเห็นฉินมู่ถือลูกแก้วอันมีขนาดเท่ากำปั้นเขาดูเหมือนกำลังท่องสวดเวทมนตร์บางประเภท
แต่ทว่า ซิงอ้านนั้นกำลังง่วนอยู่กับการต่อยตีเทพหมอผีกุ่ยดังนั้นเขาจึงไม่ได้ยินว่าไอ้เด็กเปรตนี่กำลังร่ายเวทมนตร์อะไร
“ลูกแก้วเต่าดำ!”
ผานกงสั่วจ้องด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาจดจำลูกแก้วในมือฉินมู่ได้ มันคือลูกแก้วเต่าดำ หนึ่งในสี่มหาสมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่ทว่า แม้แต่ในชาติภาพก่อนๆ ที่เขาเป็นผู้สูงศักดิ์ เขาก็ได้แต่เห็นลูกแก้ว แต่ไม่เคยสัมผัสมันสักครั้ง
ไอ้เด็กร้ายกาจนี่มันโชคดีจริงๆ เขาถึงกับอาศัยช่วงชุลมุนขโมยลูกแก้วเต่าดำออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ได้!
ท่วงท่ามือของฉินมู่แปรเปลี่ยนไปอย่างยากจะคาดเดา ภาพลวงตาปรากฏข้ามท้องฟ้าเบื้องบน และในท้ายที่สุดก็แปรเปลี่ยนเป็นเพลงกระบี่อันแตะลงไปบนลูกแก้วเต่าดำอย่างแผ่วเบา
กระบวนท่าของวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ!
ผานกงสั่วหัวใจเต้นโครมคราม ทันใดนั้น หีบข้างๆ เขาก็สั่นไหวเล็กน้อย เขารู้สึกขนหัวลุกเต็มเหยียด ที่ก้นหีบขยับไปมาสองสามครั้ง และทันใดนั้นก็มีขาผุดออกมาจากข้างใต้!
ผานกงสั่วแทบจะร้องออกมาเมื่อเห็นขาอีกจำนวนหนึ่งงอกออกจากก้นหีบ และมันเขย่าตัวเอง หีบก็ลุกขึ้น
ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะกลับมาได้สติ ฉินมู่ก็กระโดดขึ้นไปบนหีบอันเริ่มวิ่งตะบึงลงจากภูเขา ที่กลางทาง กิเลนมังกรย่อหดร่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อหีบวิ่งผ่านหน้าเขาก็กระโดดขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น
ผานกงสั่วตกตะลึง เมื่อเขามองไปยังซวีเซิงฮวา เขาก็เห็นเจ้านั่นจูงมือจิงเอี้ยนพลางโบกมือลาฉินมู่ที่อยู่บนหีบ เห็นได้ชัดว่าฝ่ายนั้นก็รู้กัน
กลอกกลิ้ง! เจ้าหมอนี่ถึงกับกล้าขโมยหีบของซิงอ้าน!
ผานกงสั่วกำลังจะร้องบอกซิงอ้าน แต่พลันเปลี่ยนใจ และรีบวิ่งลงจากภูเขาด้วยสองมือของตน
ความเร็วของหีบรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้าไปในความมืดนั่นเอง ผานกงสั่วก็กระโดดขึ้นไปคว้าที่ท้ายหีบ เขานั้นถูกลากเข้าไปในความมืดพร้อมๆ กับหีบอันวิ่งตะบึง
หีบนี้เต็มไปด้วยชิ้นส่วนร่างกายเทวะ ดังนั้นความมืดรอบข้างจึงถูกผลักให้ถอยห่าง และขาทั้งสี่ของมันก็วิ่งไปด้วยความเร็วฝ่าความมืด
“ที่แท้ก็เป็นผู้สูงศักดิ์”
ฉินมู่หันไปดูและเห็นผานกงสั่วห้อยต่องแต่งอยู่ที่ท้ายหีบ เขาฉีกยิ้มและชักกระบี่ออกมา ผานกงสั่วนำขาติดพิษข้างนั้นออกมาต้านรับ และเสียงเคร้งคร้างก็ดังมาจากการปะทะ
“จ้าวลัทธิฉิน ช้าก่อน!” ผานกงสั่วรีบตะโกนออกมา “หากเจ้าโจมตีอีกครั้ง ข้าจะร้องโวยวายล่ะนะ! แล้วมาดูสิว่าเจ้าจะหนีไปอย่างไร!”
ฉินมู่เก็บกระบี่กลับ ใบหน้าเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์พูดอะไรอย่างนั้น พวกเราตอนนี้เป็นสหายเก่าแก่ ดังนั้นข้าจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร ผู้สูงศักดิ์เจ้าอยู่ท้ายหีบก็ได้แต่กินฝุ่นเท่านั้น ทำไมไม่ให้ข้าช่วยดึงเจ้าขึ้นมาล่ะ”
เขาแอบเตะกิเลนมังกรหนึ่งที และกิเลนมังกรก็เข้าใจความนัยของเขา จึงอ้าปากเพื่อรวบรวมไฟแท้ เตรียมที่จะเป่าผานกงสั่วเข้าไปในความมืดหลังจากที่ฉินมู่ดึงเขาขึ้นมาแล้ว จากนั้นความมืดก็จะช่วยกำจัดหมอนี่ให้
ผานกงสั่วหดหัวกลับไปและจัดท่าทางให้สบายตัวขึ้นข้างใต้หีบ “ข้ารู้สึกขอบคุณต่อความกังวลของจ้าวลัทธิ แต่ข้าชอบกินฝุ่น ดังนั้นอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
ในตอนนั้นเอง เสียงโกรธเกรี้ยวของซิงอ้านก็ดังก้องไปบนอากาศเหนือเขาพระสุเมรุน้อย “ยอดหมอเทวดาฉิน ข้าอยากรู้นักว่าหัวใจของเจ้ามันดำแค่ไหน!”
“ดำสุดๆ” ผานกงสั่วพึมพำจากข้างใต้หีบ
…………………….
เหนือภูเขารอบๆ เมฆปีศาจเห่อเหิมขึ้นมาจากวิหารทั้งหลาย หลวงจีนปีศาจชั้นสูงทั้งหมดเหาะขึ้นไปบนเมฆของพวกเขามุ่งไปยังยอดเขาทองคำ คุกรุ่นไปด้วยจิตสังหาร
รัศมีของซิงอ้านนั้นแข็งแกร่งพอที่หลวงจีนเกือบทั้งวัดน้อยฟ้าคำรามจะรับรู้การมาเยือนของเขา
ซิงอ้านยืนอยู่บนยอดเขาทองคำของวัดน้อยฟ้าคำรามราวกับว่าเขามาพิชิตแดนรกร้าง เขาไม่สนใจหลวงจีนปีศาจทั้งหลายที่กรูกันเข้ามาและฉีกยิ้ม “ทำไมใครๆ ก็รนหาที่ตาย คนเดียวที่จะต้องตายบนภูเขานี้ก็มีเพียงยอดหมอเทวดาฉิน พวกเรามาสะสางความแค้นกันก่อนดีกว่า”
ผานกงสั่วดีใจจนเนื้อเต้นและก้าวข้างหน้าไปสองก้าวด้วยมือของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมาและกล่าวอย่างดุร้าย “หมอเทวดาฉิน ศิษย์พี่ซิงอ้านเรียกหาเจ้า ทำไมเจ้ายังไม่รีบไสหัวมาตาย”
จิงเอี้ยนมองไปที่ซวีเซิงฮวาและกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “คุณชาย…”
ซวีเซิงฮวาขมวดคิ้ว เขาก็นึกอะไรดีๆ ไม่ออกในสถานการณ์เช่นนี้ ยูไลน้อยคงมิอาจเสียสละยอดฝีมือทั้งหมดของวัดน้อยฟ้าคำราม ดังนั้นคงไม่ช่วยอย่างแน่นอน ส่วนตัวเขานั้นวรยุทธต่ำกว่าซิงอ้านไปมาก และไม่อาจช่วยเหลือได้โดยสิ้นเชิง
ฉินมู่ยกมือขึ้นและยับยั้งลิงยักษ์อสูรที่กำลังจะพุ่งถลันเข้าไป เขาก้าวออกไปข้างหน้าและถามหยั่ง “ศิษย์พี่ซิงอ้าน หากว่าข้าสามารถช่วยให้ท่านพ้นจากอาการป่วยไข้แฝงเร้นของท่านได้ ข้าจะสามารถรอดชีวิตได้หรือไม่”
ผานกงสั่วราวกับได้ยินเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลกและระเบิดหัวเราะออกมา “ไอ้เด็กผีแซ่ฉิน เจ้านั้นฝันกลางวั–”
“ตกลง” ซิงอ้านยินดีเป็นอย่างยิ่งและกล่าว “หากว่าเจ้าทำให้ข้าเป็นอิสระจากความป่วยไข้นี้ได้ ปล่อยเจ้าไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
ผานกงสั่วอ้าปากค้าง เขาหันกลับไปและตะกุกตะกัก “ศิษย์พี่ซิงอ้านล้อเล่น ชะ…ใช่ไหม”
ซวีเซิงฮวาก็อ้าปากค้าง สักพักเขาถึงค่อยได้สติ
“ข้าไม่จำเป็นต้องสังหารเขาจริงๆ นี่ สำหรับข้าแล้ว เป็นเรื่องปกติที่เหยื่อจะสู้กลับ ผู้คนของเขาได้ต่อสู้โต้กลับมาและทำให้ข้าบาดเจ็บ บีบให้ข้าไร้ทางเลือกอื่นนอกจากล่าถอย ว่ากันตามจริงแล้ว ข้าก็นับถือคนพวกนั้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ตาม หากว่าหมอเทวดาฉินไม่ต้องการจะตาย เขาก็จะต้องคืนชิ้นส่วนอวัยวะทั้งหมดให้กับข้า” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“ตกลง! แต่บางชิ้นส่วนข้าได้คืนไปให้กับเจ้าของเดิมแล้ว” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำรังมังกรแท้ออกมา และนำชิ้นส่วนร่างกายทั้งหมดที่เขาครอบครองอยู่ออกมากอง
“ไม่มีปัญหา ในเมื่อเจ้าคืนไปแล้ว ข้าก็แค่ต้องไปฉวยมาใหม่จากพวกเขาเท่านั้น”
ซิงอ้านเดินตรงไปและตรวจตราดูมันทีละชิ้นๆ เมื่อเขาตรวจมาถึงขาข้างที่ฉินมู่แพร่พิษเอาไว้ เขาก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้ามองฉินมู่ ประกายตาของเขาก็วูบวาบ “ขาข้างนี้ดูจะแตกต่างออกไปจากเมื่อก่อน หมอเทวดาฉิน ข้าเองก็เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ และขาข้างนี้จะต้องมีเล่ห์กลอะไรอย่างแน่นอน”
ฉินมู่ก้าวเข้าไปดูและเกาหัวแกรกๆ “ข้าได้ต่อขานี้เข้ากับใครบางคนมาก่อน ดูสิ ข้าทำรอยบากไว้ตรงนี้”
ซิงอ้านหรี่ตาและสำรวจดูสีหน้าของเขา แต่ไม่พบพิรุธใดๆ แต่กระนั้น เขาก็ยังคงขยาดความสามารถในวิชาชีพหมอของฉินมู่
“ผู้สูงศักดิ์ ข้ายังติดข้างเจ้าอยู่หนึ่งขา ดังนั้นเชื่อมต่อข้างนี้กลับไปก่อนล่ะกัน” เขาโยนขาข้างที่มียาพิษไปให้ผานกงสั่วผู้ซึ่งหน้าซีดเหลือง “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าวางยาพิษไว้ในขาใช่ไหม บอกข้ามาอย่าโกหก! ศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าไม่รับขานี้ได้หรือไม่ ถ้าข้าต่อมันข้าจะต้องตายอย่างแน่แท้! อย่าพูดถึงรอยบากเลย ข้าไม่ต้องการอะไรทั้งนั้นที่เขาเฉียดมือเข้าใกล้!”
ซิงอ้านรับขากลับไปและกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้ายกให้เจ้า แต่เจ้าไม่ต้องการมัน เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็ติดข้างเจ้าอีกแค่ข้างเดียว”
ผานกงสั่วครางหนัก ขัดแย้งในใจ จากนั้นเขาก็กล่าว “ยกให้ข้าละกัน ให้ข้าดูก่อนว่ามันมีพิษหรือเปล่า…”
ซิงอ้านโยนขาให้กับเขาและเปิดหีบอันเขากวาดชิ้นส่วนร่างกายที่เหลือทั้งหมดเข้าไป จากนั้นเขาก็มองไปยังฉินมู่ ตามด้วยซวีเซิงฮวา และสุดท้ายก็ลิงยักษ์อสูร สายตาเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม “ทุกคนที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ เช่นนั้นหากข้ามาเก็บเกี่ยวหลังจากที่พวกเจ้าประสบความสำเร็จแล้ว นั่นจะไม่น่าสนุกหรอกหรือ ผู้สูงศักดิ์ เจ้าก็ต้องขยันฝึกปรือเช่นกัน อย่าปล่อยให้ชนรุ่นหลังขี่หัวเจ้าเอาได้”
ผานกงสั่วมีเพลิงโทสะสุมเต็มอก แต่ไม่มีที่ระบาย เขาได้แต่รับคำเสียงชืดชาและหุบปากเงียบ
ซิงอ้านมองไปยังบาตรทองคำอันถูกนำออกมาจากภาพวาดของฉินมู่แล้วโดยยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ มันแขวนห้อยอยู่กลางอากาศอันมีเทพหมอผีขุยยืนอยู่บนเมฆมารเล็กๆ เขากอดอกยืน ร่างท่อนล่างของเขาเป็นเมฆทะมึนอันถูกสะกดข่มเอาไว้ในบาตร
เทพหมอผีขุยมองไปที่ซิงอ้านและยิ้มหยัน
“เทพหมอผีขุย ครั้งหนึ่งผู้สูงศักดิ์ได้ใช้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าเพื่อมาสักการะข้า” ซิงอ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง ลองสักการะข้าดูอีกที ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้าจะสังหารข้าด้วยการสักการะดวงวิญญาณได้หรือไม่”
“ชื่อที่แท้จริงของเจ้าปรากฏออกมาแล้ว จะสักการะเจ้าให้ตกตายไปมันก็ไม่ยากเท่าไร แต่ทว่า ข้าไม่มีอารมณ์จะรีบร้อน ข้ายังอยากเห็นเจ้ากระโดดไปๆ มาๆ และเผยความอัปลักษณ์ทั้งหมดของเจ้าเสียก่อน ทุกคนบนภูเขาหนีคงยากจะรอดชีวิตออกไป ดังนั้นทำไมข้าต้องร้อนรนด้วย”
ซิงอ้านยิ้มน้อยๆ และมองไปยังยูไลน้อย “อาหารจานหลักควรทานท้ายสุด ส่วนยูไลเหยียนติ้งนั้นเป็นจานเรียกน้ำย่อย ยูไล เจ้าจะสู้กลับหรือไม่”
ยูไลน้อยประนมมือเข้าด้วยกันและกล่าว “ศิษย์พี่ซิงอ้านได้กล่าวชื่อทางธรรมของข้าต่อหน้าเทพหมอผีขุย ดังนั้นข้าชะตาข้าย่อมถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าจะต้องมุ่งหน้าไปแดนสุขาวดี หากว่าข้าไม่ตายภายใต้น้ำมือของศิษย์พี่ซิงอ้าน ข้าก็ยังคงจะต้องตายภายใต้การสักการะดวงวิญญาณของเทพหมอผีขุย สำหรับภิกษุแล้ว ธาตุทั้งสี่เป็นเพียงความว่างเปล่า ดังนั้นท่านจะนำวรยุทธของช้าไปก็มิใช่เรื่องใหญ่ เพียงแต่ว่าหากข้าตายลงไป วัดน้อยฟ้าคำรามก็คงจะถูกขจัดกวาดล้าง ข้ามิอาจทนดูเผ่าปีศาจของข้าถูกทำลายล้างไปเช่นนี้ ดังนั้นศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญลงมือเถอะ”
รัศมีของเขาพลันแผ่พุ่งอย่างดุเดือด และร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม แสงพุทธธรรมฉายฉานจากด้านหลังของเขา ก่อขึ้นมาเป็นวงแหวนอันมีสวรรค์ยี่สิบชั้นอยู่ในนั้น
ในเวลานี้ รัศมีของยูไลน้อยราวกับขุนเขาอันเต็มไปด้วยของวิเศษพุทธอันหนักอึ้งอย่างอัศจรรย์ ข้างหลัง จิตวิญญาณดั้งเดิมทะยานออกมา มันมีศีรษะใหญ่โตและเรือนกายเล็ก บนหัวของมันมีก้อนเนื้อโหนกนูนเต็มไปหมด และมีดวงตากลมดิกเป็นประกายเจิดจ้าจ้องเขม็งออกมา มันยังมีเขาแพะเดี่ยวที่ม้วนบิดขึ้นไปบนหน้าผากของเขาอีกด้วย
จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้มีกีบเท้าแพะ แต่หัวของเขากลับดูเหมือนกิเลน มันเคร่งขรึมสำรวมและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ แผ่กลิ่นอายอันเหนือธรรมดา
เมื่อพบสายตาของมัน หัวใจของทุกคนก็เต็มไปด้วยความสำนึกบาป และไม่กล้าสบตาเขาตรงๆ
เขายาวนั้นเหยียดตรงและคมกล้าอย่างมหันต์ เมื่อผานกงสั่วมองเห็นมัน สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรงจากความกลัวที่ท่วมท้นขึ้นมาในจิตใจ เขารีบหลบไปจากสายตาของจิตวิญญาณดั้งเดิมนี้
เขาได้ก่อกรรมทำชั่วมามาก และรู้สึกราวกับว่าจะถูกเขานั้นเสียบได้ตลอดเวลา
“ที่แท้ไต้ซือก็คือสัตว์ในตำนานเซี่ยจื้อที่บรรลุเต๋า” ซิงอ้านแช่มชื่นยินดีเมื่อมองเห็นเหยื่อของเขาและกล่าวชม “มิน่าล่ะวรยุทธของเจ้าถึงแข็งแกร่งนัก! เจ้านับได้ว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่ง! แม้ว่าข้าจะมีของสะสมกว้างขวาง แต่ข้าก็ไม่เคยครอบครองปีศาจศักดิ์สิทธิ์เช่นเจ้ามาก่อน”
ยูไลน้อยกู่ร้องตะโกนและปราณชีวิตของเขาก็ระเบิดออกมา สายฟ้ารวบรวมกันในนภากาศและระเบิดปะทุท่ามกลางเมฆปีศาจที่เหิมขึ้น ก่อเป็นสะพานเทวะอันส่องประกายด้วยรังสีแสงอันอาบย้อมไปทั่วทั้งเทือกเขา
จิตวิญญาณดั้งเดิมเซี่ยจื้อของเขาทะยานขึ้นไป และไปยังปลายสุดสะพานเทวะเพื่อยืนอยู่ท่ามกลางเมฆปีศาจ สายฟ้าอาบทั่วกายของมัน ดังนั้นมันจึงดูเหมือนครึ่งพุทธเจ้าและครึ่งเซี่ยจื้อ ราวกับว่ามันคือเซี่ยจื้อเทพยดา จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้ขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ หัวของมันก้มลงมาก็ครอบงำไปครึ่งเขาพระสุเมรุน้อยแห่งนี้
ซิงอ้านไม่เคลื่อนไหวร่างกายเมื่อสะพานเทวะของเขาพาดข้ามนภากาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก้าวไปบนสะพานเทวะและพุ่งทะยานไปยังจิตวิญญาณดั้งเดิมพุทธเจ้าอันใหญ่มหึมากลางอากาศ
หางตาของฉินมู่กระตุก จิตวิญญาณดั้งเดิมของซิงอ้านเปลี่ยนแปลงไปอีกแล้ว มันแตกต่างจากอันที่เขาใช้ในการต่อสู้ที่สถาบันนักบุญสวรรค์
ในคราวนี้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเป็นนักพรตหลังเต่าที่มีงูเหินหาวกระหวัดพันรอบๆ กาย
ตูม!
สายฟ้านับหมื่นฟาดลงมา และจิตวิญญาณดั้งเดิมทั้งสองก็ปะทะกันกลางอากาศ สายฟ้าขาวเจิดจ้าราวหิมะฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วสารทิศ แต่ละการโจมตีสร้างตาข่ายอสุนีบาต อันมีคุณสมบัติธาตุแตกต่างกันชัดเจนสองฝั่งฝ่าย
ความมืดนั้นเป็นเงาของเงื้อมเขา ต้นไม้ และโถงวังต่างๆ ส่วนความสว่างนั้นเป็นแสงของสายฟ้า
ยูไลน้อยลงมือ และซิงอ้านก็ไม่งอมือรับฝ่ายเดียว สะพานเทวะทั้งสองในท้องฟ้าได้เคลื่อนคล้อยไปตามพวกเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ขยับเปลี่ยนตำแหน่งไปมา
สักครู่หนึ่ง เสียงระเบิดกึกก้องก็เลื่อนลั่นมา และเซี่ยจื้อเทพยดาก็ร่วงลงมาจากสะพานเทวะ ตกลงปะทะกับยอดเขาทองคำ กระแสอากาศน่าสะพรึงกลัวซัดถล่มไปทั่วทิศทางและเขย่าทุกๆ คนให้ยืนไม่มั่น
โลหิตหลั่งไหลจากมุมปากยูไลน้อย และเขาเขย่าจีวรของตนเพื่อดึงลมเหล่านั้นกลับเข้าไปในแขนเสื้อ มิให้หลวงจีนปีศาจทั้งหลายบนภูเขาได้รับบาดเจ็บ
“ข้าพ่ายแพ้ ศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญนำพลังวัตรข้าไป”
ยูไลน้อยดึงเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมและสะพานเทวะของเขากลัวไป ใบหน้าของเขาซีดเผือด และหลวงจีนปีศาจในวิหารก็รีบเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า และกรูกันไปยังยอดเขาทองคำด้วยจิตสังหารอันเดือดพล่าน
ยูไลน้อยนั่งในท่าขัดสมาธิดอกบัว และกายเนื้อของเขาก็พลันขยายใหญ่ขึ้นมาเพื่อยับยั้งทุกๆ คนเอาไว้ “ศิษย์น้องทั้งหลาย หลังจากที่สมบัติเทวะของข้าถูกนำออกไปแล้ว ก็คงยากที่ข้าจะหลบหนีจากความตาย หลังจากที่ข้าสิ้นชีวิต ไปยังวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยูไลหม่าแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามเป็นศิษย์หลานของข้า เขามีจิตใจเปิดกว้างและจะรับพวกเจ้าไปอย่างแน่นอน”
หลวงจีนปีศาจทั้งหลายรู้สึกเศร้าสลดและสะอึกสะอื้นด้วยความขมขื่น พลางโยนตัวหมอบร่ำไห้อยู่กับพื้น
ซิงอ้านดึงจิตวิญญาณดั้งเดิมและสะพานเทวะของของเขากลับไปพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ทำไมทุกคนต้องเศร้าโศกกันด้วย ข้าไม่ได้ชมชอบการฆ่า ข้าเพียงแต่จะนำพลังวัตรของยูไลเหยียนติ้งไปเท่านั้น มิใช่ชีวิตของเขา ดังนั้นไม่ต้องเศร้าใจไปหรอก ยิ่งไปกว่านั้น ข้าก็จะนำจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยไปด้วย ไม่ต้องกังวล ยูไลของเจ้าไม่ตายหรอก ยูไลเหยียนติ้ง โปรดเปิดสมบัติเทวะของเจ้าด้วย”
ยูไลน้อยน้อยนิ่งสงบขณะที่ร่างกายของเขาไหวสะท้านอย่างต่อเนื่องเมื่อเสียงครืนครันดังมาจากจากในร่างของเขา สมบัติเทวะเปิดออกมาตามๆ กัน และแสงสมบัติอันเจิดจ้าบาดตาก็แผ่พุ่งออกมาจากร่างกาย ส่องสว่างไปทั่วทั้งภูเขา เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่ซิงอ้าน เชิญนำมันไปเถอะ”
เมื่อซิงอ้านเดินไป ท้องฟ้าก็เริ่มกลายเป็นสีดำเมื่อความมืดท่วมท้นมาจากทิศตะวันตก มันโถมซัดมายังภูเขาอันสูงตระหง่านและหน้าผาอันถากชัน กลืนกินแดนโบราณวินาศ
ซิงอ้านมองไปยังความมืดเหนือวัดน้อยฟ้าคำรามและกล่าว “แดนโบราณวินาศนี่ช่างลึกลับเสียจริง”
เขาเดินไปข้างหน้าด้วยมือของเขาที่ดึงไปข้างๆ อย่างแผ่วเบา แสงกระบี่พุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาและกำลังจะเฉือนตัดสมบัติเทวะของยูไลน้อย แต่ทันใดนั้นเทพหมอผีขุยก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง “เหยียนติ้ง รับการสักการะของข้า!”
เมฆมารเล็กๆ เหนือบาตรทองคำพลันแปรเปลี่ยนเป็นแท่นสังเวย จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยพลันโค้งกายน้อมคำนับ
ยูไลน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง ส่วนซิงอ้านยิ้มหยัน “คิดจะฆ่าเขาต่อหน้าข้างั้นหรือ ฝันเฟื่อง!”
แสงกระบี่ในมือของเขาตัดลงไป และร่างของยูไลน้อยพลันถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยริ้วแสงอันลึกลับ มันก่อขึ้นมาเป็นชั้นของเวทปิดผนึก และอักษรรูนจำนวนนับไม่ถ้วนก็แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งปิดกั้นยูไลน้อยเอาไว้
เมื่อเทพหมอผีขุยโค้งสักการะบนแท่นสังเวย ยูไลน้อยก็ครางกระอัก แม้ว่าจะมีผนึกของซิงอ้าน แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็เกือบจะถูกสักการะออกไปจากร่าง จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาแตกร้าวเป็นรอยแยก และดวงวิญญาณเขาก็แทบกระเจิดกระเจิด
ซิงอ้านสีหน้าแปรเปลี่ยน เขาผลักฝ่ามือไปข้างหน้าและฟาดลงบนแท่นสังเวย
เทพหมอผีขุยหัวร่อด้วยเสียงอันดังและผงาดลอยขึ้นมาเพื่อสักการะเขา จิตวิญญาณดั้งเดิมของซิงอ้านสั่นเทิ้ม และดวงวิญญาณของเขาแหลกสลายไปอย่างรวดเร็ว เขาล้มคว่ำลงไปกับพื้นโดยปราศจากลมหายใจ
บาตรทองคำแตกเปรี้ยะกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยกระโดดออกมาพลางหัวเราะร่า “พวกมนุษย์ต่ำชั้น เป็นแค่ไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง ทนรับการโจมตีสักครั้งก็ยังไม่ได้เลย เจ้าคิดว่าข้าหมายจะสังหารเหยียนติ้งเพื่อตบหน้าเจ้า แต่จริงๆ เป็นเจ้าต่างหากที่ข้าต้องการจะสังหาร! ศิษย์รัก ไสหัวมานี่!”
ผานกงสั่วกอดขาข้างที่เขาได้รับมาและตัวสั่นเทา
ในตอนนั้นเอง หีบของซิงอ้านก็ขยับ และดวงตาของเขาลืมขึ้นมา เขาลุกขึ้นยืนตัวตรงด้วยรอยยิ้ม “เวทมนตร์หมอผีเลิศล้ำจริงๆ!”
………………………..
ซิงอ้านแบกหีบของเขามาเหมือนที่เคย เขายังอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มในชุดขาว เหมือนซิงอ้าน คนที่ฉินมู่พบในป่าผลไม้ กระนั้นทั้งสองคนนี้ก็ดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ราวกับว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันเลยสักนิด
ฉินมู่สะท้านใจ นอกจากราชครูสันตินิรันดร์แล้ว บุคคลเดียวในโลกที่เขาอาจจะเกรงกลัว ก็คือซิงอ้าน
ราชครูสันตินิรันดร์เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีหลักการของเขาในการกระทำสิ่งต่างๆ ผู้คนที่ขัดขวางมรรคาของเขาก็จะถูกกำจัด แต่ตราบใดที่ไม่ไปขวางทางเขา เขาก็จะยังเป็นสหายที่ดีต่อไป
ซิงอ้านนั้นแตกต่าง
เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของเขาคือการเก็บสะสม มันคือการเก็บสะสมชิ้นส่วนร่างเนื้อของยอดยุทธฝีมือแกร่งที่บรรลุเขตขั้นเทวะในด้านใดด้านหนึ่งอันกระตุ้นเร้าความอยากของเขา!
งานอดิเรกของเขาคือการแย่งชิงสิ่งที่เขาต้องการจากคนผู้อื่น แต่เขาจะไม่สังหารผู้คนเหล่านั้น กลับจะเลี้ยงเอาไว้เผื่อว่าจะมาเก็บเกี่ยวในคราวหลัง
เขาแข็งแกร่งจนเกินจินตนาการ
ลัทธินักบุญสวรรค์นั้นยังมิใช่ลัทธินักบุญสวรรค์เมื่อครั้งเก่าก่อน แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้าได้มารวมตัวกันที่นั่น กล่าวได้ว่ายอดฝีมือขั้นหัวกะทิแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ครึ่งหนึ่งได้มารวมตัวกันที่นั่นในเวลานั้น แต่กระนั้นพวกเขาทั้งหลายก็ประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับภายใต้น้ำมือของบุรุษเพียงผู้เดียว ในท้ายที่สุดก็ต้องอาศัยยาบำรุงที่ฉินมู่หลอมปรุงขึ้นมาถึงสามารถพลิกชนะมาได้
ถึงแบบนั้น หลี่เทียนซิ่ง จ้าวลัทธิคนก่อนแห่งลัทธิมารฟ้า ก็ยังคงตกตายในการต่อสู้ เหลือแต่ยายเฒ่าซีเพียงผู้เดียว
หลังจากการต่อสู้ ผู้คนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ต้องนอนแซ่วบนเตียงคนป่วยอยู่มากกว่าสิบวัน
กำลังการต่อสู้ของซิงอ้านเป็นสิ่งที่ฉินมู่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ยิ่งไปกว่านั้นซิงอ้านยังเต็มไปด้วยพรสวรรค์ และได้ตรึกตรองเข้าใจมรรคา วิชา และทักษะเทวะทั้งหลายทั้งมวลถึงสุดขีดขั้ว วิชาเสกสรรของเขานั้นเรียนรู้มาจากผานกงสั่วอีกทอด แต่กลับสูงล้ำถึงขั้นที่ฉินมู่ไต่ไปไม่ถึง!
ตัวตนเช่นนี้น่าสะพรึงกลัวจนเกินไป
ฉินมู่หันกลับไปมองยังยอดเขาทองคำ และมองเห็นแสงพุทธธรรมที่สาดส่องขึ้นไปบนฟากฟ้า หลวงจีนปีศาจมากมายบนภูเขาอยู่ในกิริยาและปางต่างๆ กัน พวกเขานั่ง ไม่ก็หมอบ และบางคนก็ยืนขาเดียว ปีกกางออกมา ส่วนใหญ่แล้วจะมีท่วงท่าและสีหน้าอันไม่ซ้ำกัน พวกเขานั้นกำลังขับเคลื่อนวิชาพุทธะพร้อมกับยูไลน้อยเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่เทพหมอผีขุย
บนท้องฟ้าเหนือยอดเขาทองคำ แสงพุทธได้ควบแน่นเป็นสสารที่จับต้องได้ ราวกับน้ำหลากสีทอง มันรวบรวมเข้าก่อขึ้นเป็นแท่นบัวสีทองอร่าม บนนั้น สรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นปรากฏอยู่พร้อมกับพุทธเจ้าและเทวะทุกชนิดขนาด พวกเขาล้วนแต่น่าเกรงขามและสำรวม ธรรมะแผ่ไพศาล การเคลื่อนไหวน่าแตกตื่น และเสียงพุทธก็กึกก้องสะท้อนไปมาไม่หยุดหย่อน!
ธรรมะอันเกริกไกรและน่าเกรงขามเช่นนี้ ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเบื้องหน้าซิงอ้าน ฉินมู่คิดในใจ
ในเมื่อยอดฝีมือแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามกำลังสะกดข่มและแสดงธรรมเปิดดวงตาให้แก่เทพหมอผีขุย พวกเขาก็ไม่มีเวลาจะมาใส่ใจซิงอ้าน และต่อให้พวกเขาหันมาจัดการ ก็มิใช่คู่มือของเขาอยู่ดี
แม้ว่าวัดน้อยฟ้าคำรามจะมีจอมปีศาจในขั้นจ้าวลัทธิอยู่จำนวนหนึ่ง แต่เผื่อต้องเผชิญกับตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างซิงอ้าน พวกเขาก็คงทำได้เพียงถ่วงเวลาเท่านั้น จากนิสัยใจคอของยูไลน้อย เขาอาจจะไม่ยื่นมือช่วยข้าเลยด้วยซ้ำ ฉินมู่ตั้งสติ คนเดียวที่ข้าพึ่งพาได้ก็คือตัวข้าเอง พิษ วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ข้าไม่รู้ว่าพวกมันจะสามารถใช้จัดการเขาได้ไหม…
เขาไม่ค่อยมั่นใจเลย
ซวีเซิงฮวาและลิงยักษ์อสูรเองก็พบว่าเกิดอะไรขึ้นจึงรีบเหาะเข้ามา
“คนที่แบกหีบนั่นมาคือใคร” ซวีเซิงฮวาถามด้วยเสียงเบา “แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาเป็นเทพเจ้าหรือ”
ฉินมู่มีสีหน้าเคร่งขรึม “เขานั้นรับมือยากยิ่งกว่าเทพเจ้าเสียอีก ทุกส่วนบนร่างกายของเขาบรรลุเขตขั้นเทวะ นั่นรวมถึงโลหิต จิตวิญญาณดั้งเดิม และปราณชีวิต อีกอย่างข้ายังหาแหล่งชีวิตของเขาไม่เจอ…”
ซวีเซิงฮวาสะดุ้งโหยง “เทพเที่ยงแท้?”
“ไม่ แต่ก็ใกล้มาก” ฉินมู่กัดฟันแน่น
ซิงอ้านเดินขึ้นภูเขาอย่างไม่ช้าไม่เร็วพลางแบกหีบไปด้วย ผานกงสั่วได้สกัดจุดปิดเส้นเลือดที่ขาของเขา และกำลังวิ่งตะบึงขึ้นมาด้วยสองแขนตามเขาขึ้นมา
ส่วนขากวางสองข้างนั้น เขาไม่ไปหยิบมัน
“พี่ที่นับถือซิงอ้าน ตอนนี้ท่านก็รู้แล้วใช่ไหมว่าข้าไม่ได้โกหก” ผานกงสั่วแย้มยิ้มและกล่าว “ข้าสัมผัสได้ถึงตัวตนของเขาจากที่นี่ ดังนั้นลาหัวโล้นพวกนี้คงจะไปลักพาตัวจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้ามา ดูที่แสงพุทธธรรมพวกนั้นสิ ไอ้พวกไร้ขื่อแปพวกนี้คงจะหมายป่นทำลายอาจารย์ของข้า”
ซิงอ้านส่ายหัว “พวกเขาไม่ได้พยายามป่นทำลายเขา แต่เปิดดวงตาเห็นธรรมให้เขา ยูไลน้อยเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่มีวรยุทธใช้ได้เลยทีเดียว ทัดเทียมกับนักพรตหลิงจิ่ง เมื่อข้าไล่ตามหลิงจิ่งเพื่อโลหิตเทวะของเขา เขาก็กล่าวว่ายูไลน้อยได้ฝึกปรือปราณชีวิตจนเทียบเท่าเทพเจ้า”
“ข้ารู้สึกว่ายูไลน้อยนี้ก็ควรค่าแก่การสะสมด้วยเช่นกัน แต่ทว่าตอนนั้นอาการป่วยไข้แฝงเร้นของข้าได้ปรากฏขึ้นมาในร่างกาย ดังนั้นข้าจึงไม่ได้แตะต้องเขา”
ผานกงสั่วเดินไปด้วยสองแขนข้างหลังเขา แม้ว่าย่างเท้าของซิงอ้านจะดูไม่รวดเร็ว แต่กลับเดินทางไปได้ไกลในพริบตา นี่ทำให้ผานกงสั่วเหนื่อยจนลิ้นห้อย
เขายิ้มแห้งๆ แล้วกล่าว “หลังจากท่านได้จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าและสังหารยอดหมอเทวดาฉินเพื่อล้างแค้นแล้ว ท่านจะทำตามที่รับปากไว้ใช่ไหม”
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะให้เจ้าในสิ่งที่ข้าสัญญาไว้อย่างแน่นอน” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย หลังจากที่เขาต่อขาสองข้างแล้ว ข้าก็จะตัดมันออกอีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ ก็จะไม่เป็นการผิดสัญญา
แสงพุทธธรรมเรืองรองยิ่งกว่าเดิมบนยอดเขาทองคำ และดอกบัวทั้งหลายก็ดูราวจะถูกยกชันขึ้นไปด้วยพละกำลังอันเกินหยั่งคะเน แสงพุทธภายใต้บัลลังก์บัวนั้นสาดส่องออกไปทั่วทิศราวกับน้ำหลาก สร้างเสียงกระหึ่มของคลื่นอันซัดเข้าหน้าผาฝั่งทะเล!
“ไอ้ลาหัวโล้น ยอดฝีมือร้ายกาจมาที่ตีนเขาแล้ว ข้าไม่ว่างมาละเล่นกับพวกเจ้าแล้ว!”
เสียงกึกก้องสะท้านพิภพของเทพหมอผีขุยดังออกมา และปราณมารอันเดือดพล่านของเขาก็ลอยคลุ้มฟ้า ปราณสีดำทมิฬเป่าไล่รังสีแสงพุทธธรรม และดอกบัวอันปกคลุมไปทั่วภูเขาทองคำก็สะท้านหวั่นไหวจากแรงกระแทก ข้างบนนั้น สรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบชั้นก็สะเทือนโยกคลอนและรูปเงาของเทวดาและพุทธเจ้าทั้งหลายในสวรรค์ก็กะพริบวูบวาบราวกับว่าจะดับหายไปได้ทุกขณะจิต
“คุมกระบวนพยุหะไว้ให้มั่น!” คำบัญชาของยูไลน้อยดังมาจากใต้ดอกบัว หลวงจีนปีศาจแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามสวดภาวนาด้วยเสียงพุทธอันกังวาน แสงพุทธธรรมสาดส่องจากบริเวณรอบๆ กลายเป็นเจิดจ้ายิ่งขึ้น
แสงพุทธธรรมควบแน่นขึ้นเป็นห่วงรัดอันลอยตรงไปยังดอกบัวทองคำ ร่องรอยของแสงพุทธเหล่านั้นราวกับรากของดอกบัว ปลิวสะบัดจากยอดเขาทองคำและยอดอื่นๆ ใกล้เคียง
เทพหมอผีขุยตะโกนด้วยความเดือดดาลด้วยภาษามารอันซับซ้อน มันเป็นเสียงที่ฟังแล้วกระอักกระอ่วน แต่ก็มีความพิสดารในนั้น ทำให้ฉินมู่อึ้งไป นี่มันไม่ใช่ภาษามารที่ข้าเคยเรียนมาก่อน การออกเสียงนี่คล้ายกับภาษาแดนใต้พิภพ! หรือเทพหมอผีขุยจะมาจากแดนใต้พิภพจริงๆ!
เขารู้อะไรมากมายเกี่ยวกับภาษาแดนใต้พิภพ เขาเคยเรียนมาแค่ประโยคเดียวเท่านั้น อันราชามารตู้เถียนเป็นผู้สอน ส่วนว่าที่ออกมาจากปากของเทพหมอผีขุยจะเป็นภาษาแดนใต้พิภพหรือไม่ เขาก็ไม่ทราบแจ้ง
เสียงมารจากปากของเทพหมอผีขุยยิ่งกึงก้องกังวานและชั่วร้ายมากขึ้นทุกที ทันใดนั้นก็มีประตูปรากฏขึ้นมาข้างๆ บัลลังก์บัว ร่องรอยของแสงมืดไหลรั่วออกมาและต่อสู้ขับเคี่ยวกับสวรรค์ยี่สิบชั้น
แอ๊ด
เสียงเสียดสีบาดหูดังมาเมื่อประตูแง้มออกมาจริงๆ แต่ทันใดนั้น เสียงพุทธก็พุ่งเข้ามาถล่มและปิดประตูนั้นเอาไว้
ตูม!
ร่างของเทพหมอผีขุยพลันขยายออก และผงาดขึ้นมาจากบาตรทองคำ เขายกบัลลังก์บัวขึ้นและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “หากไม่ใช่เพราะศิษย์ข้าวางแผนร้ายใส่และฉีกกระชากจิตวิญญาณดั้งเดิมและกายเนื้อของข้าออกจากกัน ข้าจะถูกลาหัวโล้นอย่างพวกเจ้าสยบเอาไว้ได้หรือ!”
ทั้งสองฝ่ายคัดง้างกันอย่างติดพัน ทันใดนั้นยูไลน้อยตะโกนออกมา และสารีริกธาตุเม็ดหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหว่างคิ้วของเขา มันทะยานไปยังรูปเงาของสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้น
พวกมันเป็นแค่รูปเงา แต่สารีริกธาตุกลับบินไปข้างในเป็นระยะทางอันยาวไกล
ในรูปเงาของสรวงสวรรค์ พุทธเจ้าตนหนึ่งพลันยื่นมาออกมาคว้าสารีริกธาตุและถือไว้ในมือของเขา จากนั้นเขาก็ปล่อยมันไป และสารีริกธาตุก็ลอยขึ้นบนอากาศ ภายใต้แสงเรืองรองของมัน บัลลังก์บัวและสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบก็ดูจะก่อขึ้นมาเป็นวัตถุกายภาพ
เสียงพุทธอันดังมาจากสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นกลายเป็นกังวานแซ่ซ้องและทำให้เทพหมอผีขุยต้องคุกเข่าลง
ซิงอ้านตาเป็นประกายและลมหายใจของเขาก็ฟืดฟาดเร่งร้อน เขาเอ่ยชม “ผู้สูงศักดิ์ อาจารย์ของเจ้าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ คุณภาพจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขานั้นล้ำเลิศอย่างสุดๆ ข้าต้องการมัน! หลวงจีนนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน ดูเหมือนว่าปราณชีวิตของยูไลน้อยจะเป็นดังที่นักพรตหลิงจิ่งบอกและได้บรรลุถึงเขตขั้นเทวะ พลังธรรมะของเขาเข้มข้นถึงขนาดที่ว่าเกือบจะเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบได้แล้ว”
ผานกงสั่วสะท้านใจ และเขาร้องออกมา “ศิษย์พี่ซิงอ้าน ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่ายูไลน้อยกำลังจะเปิดสรวงสวรรค์ชั้นที่ยี่สิบ”
“ครั้งหนึ่งข้าเคยบุกเข้าไปในวัดใหญ่ฟ้าคำรามเพื่อจับยูไลเฒ่าเป็นตัวประกันและแย่งชิงเจดีย์หมื่นพุทธอันมีกายสังขารของยูไลมากมายอันบรรลุเขตขั้นเทวะอยู่ในนั้น”
ซิงอ้านเดินไปยังยอดเขาทองคำ ไม่สนใจฉินมู่ ซวีเซิงฮวา และลิงยักษ์อสูร เขาเงยศีรษะขึ้นมองไปยังบัลลังก์บัวและเทพหมอผีขุยพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “แต่ถึงแม้ว่า ยูไลเฒ่าจะไม่ใช่คู่มือของข้า แต่เขาใช้การสั่นพ้องของพลังธรรมะเพื่อกระตุ้นเร้ากายสังขารของยูไลรุ่นก่อนๆ เขาหักเข้าไปในพุทธเกษตรสรวงสวรรค์ชั้นยี่สิบด้วยกำลัง”
“จุ๊ๆ นั่นก็แข็งแกร่งสุดๆ และทำให้ข้าแทบจะหนีออกไปไม่รอด วัดใหญ่ฟ้าคำรามและสำนักเต๋านั้นเหนือธรรมดาและมีรากฐานอันแน่นหนา ดังนั้นจึงยากที่จะบุกเข้าไป แม้ว่าวรยุทธของยูไลน้อยจะสูงส่ง แต่เขาไม่มีเจดีย์หมื่นพุทธ มีเพียงภูเขาอันเต็มไปด้วยหลวงจีนปีศาจ เขาย่อมไม่สามารถเปิดสรวงสวรรค์ยี่สิบชั้นแห่งพุทธเกษตรได้ แต่ทว่าเขาได้ส่งสารีริกธาตุของตนเองเข้าไปยังพุทธเกษตรและเหนี่ยวนำเอามหิทธานุภาพของพุทธเจ้าเที่ยงแท้เข้ามา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
ฉินมู่ทักทายซิงอ้านและกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “วัดใหญ่ฟ้าคำรามมีวิธีการเช่นนั้นด้วยหรือ”
ซิงอ้านลูบเบาๆ และเฉือนตัดเอาเส้นแสงพุทธธรรมข้างใต้ดอกบัว ดอกบัวพลันเหี่ยวเฉา และสรวงสวรรค์ทั้งยี่สิบชั้นก็ค่อยๆ จางลงและหายไปในที่สุด
ยูไลเฒ่าและคนอื่นๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจและหันมามองซิงอ้านเป็นสายตาเดียวกัน ยูไลน้อยลุกขึ้นและให้สัญญาณหลวงจีนปีศาจว่าอย่าลงมือโดยพละการ ขณะที่เขาเดินตรงเข้ามา
ซิงอ้านนั้นไม่สะทกสะท้านและหันหน้าไปทักทายฉินมู่ “ถูกต้องแล้ว ยอดหมอเทวดาฉิน”
แม้ว่าเขาจะมีความแค้นลึกล้ำกับฉินมู่ แต่ก็ยังคงสุภาพและไม่ลืมมารยาท ฉินมู่ชื่นชมเขาเป็นอย่างยิ่ง
ผานกงสั่วเองก็มายังยอดเขาทองคำ ใช้มือยันร่างตนเองเดินขึ้นมา เขาแย้มยิ้ม “พี่ที่นับถือฉิน ข้าเชื่อว่าเจ้าคงสบายดีสินะ หลังจากครั้งล่าสุดที่เพิ่งเจอกันมา?”
“ขอบคุณสำหรับคำอวยพร ข้าสบายดี” ฉินมู่กล่าว “ผู้สูงศักดิ์ อาจารย์ของเจ้า เทพหมอผีขุยนั่นอยู่ตรงนั้น และแมลงวิญญาณในตัวเขาถูกป่นทำลายจนเกือบหมดแล้ว ดวงตาเขาก็แทบลุกเป็นไฟราวกับกำลังเผชิญศัตรูคู่อาฆาต เจ้าไม่กลัวหรือว่าอาจารย์เจ้าจะสักการะเจ้าให้ตายน่ะ”
ผานกงสั่วยืนอยู่บนพื้นด้วยขาขาดสองข้างของเขา และทักทายกลับไปด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์จะมาสักการะลูกศิษย์ เรื่องเหลวไหลอย่างนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ใช่ไหม ท่านอาจารย์?”
เสียงกัดฟันกรอดดังมาจากปากเทพหมอผีขุย
ยูไลน้อยเดินเข้ามา และซิงอ้านก็คารวะทักทายเขา “ซิงอ้านน้อมพบยูไลเหยียนติ้ง”
ยูไลน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาคารวะตอบกลับไป “ศิษย์พี่ซิงอ้านมาที่นี่เพื่อเอาชีวิตข้างั้นหรือ”
“หามิได้ ข้ามาเพียงเพื่อเอาชีวิตหมอเทวดาฉิน จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย และการฝึกปรือปราณชีวิตของยูไลเหยียนติ่ง น้อยครั้งนักที่ข้าจะสังหาร นอกจากไอ้เด็กต่ำช้าที่จะต้องตายนี่แล้ว คนอื่นๆ เชิญมีชีวิตกันต่อได้ ตราบเท่าที่ไม่โจมตีตอบโต้” ซิงอ้านกล่าวอย่างน่าชื่นตาบาน
ฉินมู่ปิดปากแน่นด้วยความเดือดดาล
………………………………
“หลังจากที่ได้เรียนนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็ได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมาก นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นวิชาฝึกปรืออันอัศจรรย์มิอาจคาดหยั่ง มันเปิดเผยความเป็นไปได้อื่นๆ มากมายในอนาคต!”
ซวีเซิงฮวา ฉินมู่ ลิงยักษ์อสูร และคนอื่นๆ นั่งอยู่ในวิหารหนึ่งบนยอดเขาทองคำและสนทนากันถึงนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่ฉินมู่และหลิงอวี้จิวได้คิดค้นขึ้นมา แม้แต่อาคันตุกะจากเหนือฟ้าผู้นี้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มด้วยความเริงใจ เขานั้นคึกคักแจ่มใสและปรบมือด้วยความชื่นชม
“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมได้ผลักดันสิ่งที่สามารถกระทำได้ในขั้นเจ็ดดาวลงมาไปยังขั้นหกดาว ในแง่ว่าจะบ่มเพาะและปลดปล่อยพลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมในขั้นหกดาวอย่างไรนั้น ยังคงเป็นกระดาษเปล่าอยู่ มีหลายอย่างที่สามารถกระทำได้ อย่างเช่น สรรค์สร้างทักษะเทวะจิตวิญญาณดั้งเดิมทุกชนิด แต่ละทักษะเทวะที่ถูกรังสรรค์ออกมานั้นก็จะเป็นความก้าวหน้าอันใหญ่หลวงในมรรคา วิชา และทักษะเทวะ นี่ก็จะส่งผลกระทบต่อไปยังวรยุทธขั้นที่เหนือกว่าทั้งหมด อย่างชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ! และจุดนี้คือประเด็นที่ข้าชื่นชมมากที่สุดในผลงานของจ้าวลัทธิ!”
หลังจากกล่าวเช่นนั้น แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปด้วยความเลื่อมใส “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิและองค์หญิงจิว สามารถทำให้พวกเจ้ากลายเป็นอาจารย์ของผู้คนทั้งโลกหล้า! นับว่าสมกับฉายานามกษัตริย์มนุษย์! ข้าเลื่อมใสเจ้า แต่ในขณะเดียวกันก็หวาดผวา เจ้าและข้าล้วนเป็นกายาจ้าวแดนดิน แต่เจ้ากลับสำเร็จเรื่องราวระดับนี้ขึ้นมาได้ เช่นนั้นข้าจะต้องทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกเจ้าทิ้งไว้ข้างหลัง”
ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเจ้าได้สร้างความเป็นไปได้มากมายนับไม่ถ้วนให้แก่มรรคา วิชา และทักษะเทวะ ดังนั้นข้าจึงเลือกสิ่งที่ท้าทายที่สุด และมันก็คือการหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวเข้ากับขั้นหกทิศ”
“หลอมรวมสองขั้นวรยุทธเป็นหนึ่งนั้นเกี่ยวพันกับสิ่งต่างๆ มากมาย เท่ากับว่าทำลายไปหนึ่งเขตขั้น เจ้าทำได้อย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างเคร่งขรึม
“สมบัติเทวะมีทั้งหมดเจ็ดชิ้น ทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ เจ็ดดาว ชาวสวรรค์ เป็นตาย และสะพานเทวะ ท่ามกลางสมบัติเทวะเหล่านั้น ทารกวิญญาณได้ปลุกพลังจิตวิญญาณ ทำให้ทารกวิญญาณสามารถก่อรูปขึ้นมาเป็นแกนหลักสำคัญในการเปิดฟ้าและดิน”
“เมื่อทารกวิญญาณถูกตั้งไว้เป็นแกนกลางบนแท่นวิญญาณ ห้าธาตุก็ก่อกำเนิด ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ดาวธาตุทั้งห้าเหล่านี้ก็จะโคจรรอบๆ แท่นวิญญาณ”
“จากนั้นเมื่อมันให้กำเนิดผืนแผ่นดิน ก็จะมีทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเบื้องบน และทิศเบื้องล่าง สิริรวมหกทิศ”
“เมื่อทิศทั้งหกมีขึ้นมา ดวงตะวันและดวงจันทร์ก็จะถือกำเนิด อันเพิ่มพูนจำนวนดาวให้เป็นเจ็ด”
“ด้วยดวงดาวเจ็ดดวงและทารกวิญญาณครบสมบูรณ์ พวกมันก็จะกลายเป็นชาวสวรรค์”
“จิตวิญญาณดั้งเดิมของชาวสวรรค์นั้นแข็งแกร่งพอที่จะเชื่อมต่อความเป็นและความตาย ความตายคือแดนใต้พิภพอันอยู่ใต้เท้าของจิตวิญญาณดั้งเดิม ซ่อนอยู่ภายใต้ผืนแผ่นดินของแท่นวิญญาณ เมื่อแดนใต้พิภพก่อกำเนิด นั่นก็คือขั้นเป็นตาย”
“ความเป็นนั้นจึงหมายถึงสะพานเทวะ อันทอดยาวเหนือจิตวิญญาณดั้งเดิมและนำไปสู่ปราสาทสวรรค์ หลังจากที่เข้าไปในนั้นได้ คนผู้นั้นก็จะหลุดพ้นจากการควบคุมของแดนใต้พิภพ และไม่มีอายุขัยอันจำกัดอีกต่อไป”
ขณะที่ซวีเซิงฮวาอธิบายแง่อัศจรรย์ของเจ็ดขั้นวรยุทธใหญ่ ฉินมู่ก็ผงกหัวหงึกๆ ความเข้าใจของเขาต่อแต่ละขั้นวรยุทธนั้นก็คล้ายคลึงกับของซวีเซิงฮวา หากแต่ว่า มีความแตกต่างกันไปเล็กน้อยในขั้นเจ็ดดาว
ดวงตะวันและดวงจันทร์ในสมบัติเทวะของฉินมู่ได้ก่อตัวขึ้นมาตั้งนานแล้ว ก่อนขั้นเจ็ดดาวเสียอีก จุดนี้ดูจะแตกต่างจากการฝึกปรือโดยทั่วไป แต่ฉินมู่ถือว่ามันคือเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกายาจ้าวแดนดินและมิได้เก็บมาใส่ใจ
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าหลอมรวมหกทิศและเจ็ดดาวให้เป็นหนึ่งได้อย่างไร” เขาถามด้วยความจริงใจ
ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้มและกล่าว “อนุมานย้อนกลับ”
ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้มและระบายลมหายใจขาดห้วง “ฉลาดจริงๆ!”
“ข้าจินตนาการตนเองว่ากำลังยืนอยู่ที่ประตูสวรรค์ทักษิณแห่งปราสาทสวรรค์ มองลงไปยังเจ็ดมหาขั้นวรยุทธข้างล่าง จากมุมสูงระดับนั้น เจ็ดมหาขั้นวรยุทธในที่สุดแล้วก็คือหนึ่งเดียว” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
“เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็เป็นเพียงสมบัติเทวะหนึ่งเดียวที่ถูกแยกออกเป็นเจ็ด หากว่าใครแข็งแกร่งมากเพียงพอ พวกเขาก็จะสามารถทำให้สมบัติเทวะทั้งเจ็ดกลายเป็นหนึ่ง เปิดมันทั้งหมดพร้อมๆ กัน โดยการเปิดสมบัติเทวะเพียงครั้งเดียว และเข้าไปในปราสาทสวรรค์ตรงๆ ในอึดใจเดียว! แต่ทว่า ไม่มีใครที่มีพลังอำนาจน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นมาแต่กำเนิด แต่ถึงอย่างไร นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมที่จ้าวลัทธิและองค์หญิงจิวคิดค้นขึ้นมา ก็ทำให้การหลอมรวมขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศนั้นเป็นไปได้”
“เรื่องนี้พูดง่ายแต่ทำยาก ระหว่างสมบัติเทวะที่แตกต่างกันมีเขตขั้นและม่านคุ้มกันที่กีดขวางแยกพวกมันออก การหลอมรวมสมบัติเทวะเท่ากับการหลอมรวมขั้นวรยุทธและทลายม่านคุ้มกันนั้น แล้วเจ้าทำอย่างไรถึงสามารถทลายม่านคุ้มกันระหว่างสองสมบัติเทวะนี้และทำให้มันกลายเป็นหนึ่งได้” ฉินมู่กล่าว
“ในการหลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะให้เป็นหนึ่งและทลายม่านคุ้มกันไว้ล่วงหน้า ผู้ฝึกจะต้องอาศัยทารกวิญญาณของตนเป็นหลักเพื่อบังคับให้มหาสมบัติเทวะทั้งสองหลอมรวมเข้าด้วยกัน ในการนี้ ข้าได้คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ บนรากฐานของนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ”
เขาขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และรัศมีอันเกรี้ยวกราดรุนแรงก็แผ่พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ปราณชีวิตของเขาก่อเป็นภาพปรากฏการณ์
ดอกบัวเบ่งบานใต้เท้าของซวีเซิงฮวา และทารกวิญญาณของเขาก็ปรากฏขึ้นมาบนนั้น ดอกบัวคือแท่นวิญญาณ มันหมุนและคลี่กลีบบาน แปรเปลี่ยนเป็นแดนดงบัวในชั่วพริบตา
ในเวลาเดียวกัน ห้าธาตุของเขาก็ลอยออกมา และดวงดาวทั้งห้าก็โคจรไปรอบๆ แดนบัว เทพเจ้าห้าตนยืนอยู่บนดาวห้าดวง และพวกเขาล้วนแต่มีหน้าตาต่างๆ กันไป
ปราณแห่งหยินและหยางก็จึงแปรเปลี่ยนเป็นดวงตะวันและดวงจันทร์อันลอยเลื่อนขึ้นสู่เวหา เมื่อพวกมันเข้าไปรวมกับห้าธาตุ ก็กลายเป็นเจ็ดดาว
ทารกวิญญาณขยายใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ขณะที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือแดนดงบัว แสงฉัพพรรณรังสีสาดส่องมาจากดอกบัวและเชื่อมต่อกับธาตุทั้งห้าจากดวงดาวทั้งเจ็ด!
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขายืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าและดิน ด้วยมันเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อ ปราณชีวิตก็เคลื่อนที่ไปในทิศทางอันแปลกพิสดาร และม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหลายก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกต่อไป!
ที่ซวีเซิงฮวากระทำนั้นคือการเปิดการเชื่อมต่อระหว่างฟ้าและดิน!
เจ็ดดาวและหกทิศนั้นเป็นมหาสมบัติเทวะที่แยกออกจากกัน แต่วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ได้เชื่อมต่อสวรรค์และพิภพ ทั้งทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดินไปโดยสิ้นเชิง!
ฉินมู่ผุดลุกขึ้น และปราณชีวิตของเขาพลุ่งพล่านพร้อมกับตะโกนออกไป “พี่ซวี มาให้ข้าดูหน่อยว่าวรยุทธของเจ้าเพิ่มพูนไปมากแค่ไหนหลังจากหลอมรวมสองขั้นวรยุทธ!”
เขาซัดกำปั้นท่าสายฟ้าวสันต์ในทะเลบูรพาของเพลงหมัดฟ้าคำรามแปดจู่โจม ทะเลคลั่งและคลื่นกระหน่ำโหม ขณะที่สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็ฟาดเปรี้ยงลงมาและกึกก้องไปทั่วเทือกเขา
ซวีเซิงฮวายกมือขึ้นต้านรับกระบวนท่านี้ และทั้งคู่ก็ร่างสั่นเทิ้ม ฉินมู่ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยดวงตาเบิกกว้างเพราะความแตกตื่น
ความเข้มข้นปราณชีวิตของซวีเซิงฮวานั้นเคยด้อยกว่าเขาอยู่หนึ่งเส้นด้าย แต่หลังจากหลอมรวมสองมหาขั้นวรยุทธเข้าด้วยกัน เขาก็ถึงกับสูงกว่าฉินมู่หนึ่งเส้นด้าย!
ผู้ที่หลอมรวมสองขั้นวรยุทธ นับว่าเหนือธรรมดาจริงๆ!
ซวีเซิงฮวาสลายภาพปรากฏการณ์และอธิบายวิชาฝึกปรือที่เขาคิดค้น
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน วิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้น พึ่งพิงทารกวิญญาณเป็นหลัก การหลอมรวมทารกวิญญาณเข้ากับดวงวิญญาณ ก็จะแปรเปลี่ยนมันให้เป็นจิตวิญญาณดั้งเดิม
จากนั้นจิตวิญญาณดั้งเดิมก็จะกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสี่มหาสมบัติเทวะและเชื่อมต่อเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกัน ขับเคลื่อนพลังงานทั้งหมดในสี่มหาสมบัติเทวะ อันจะใช้พลังงานพวกนั้นป่นทำลายม่านคุ้มกันระหว่างฟ้าและดิน หลอมรวมสองขั้นวรยุทธให้เป็นหนึ่ง
ถ้าเช่นนั้น ม่านคุ้มกันระหว่างสมบัติเทวะทั้งหมดก็สามารถถูกทำลายได้สินะ เมื่อมาถึงขั้นสมบัติเทวะสะพานเทวะ เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะกลายเป็นหนึ่ง…
ฉินมู่เหม่อในภวังค์คิด
นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเป็นจุดเริ่มต้น และวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศของซวีเซิงฮวานั้นเป็นการก้าวออกมาจากจุดนั้นไปอีกสองสามก้าว ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาต่อไปคือความเป็นไปได้อันไม่รู้จบ ในเมื่อขั้นเจ็ดดาวและขั้นหกทิศมิใช่เพียงแค่กลุ่มขั้นวรยุทธที่หลอมรวมกันได้เพียงเท่านั้น แม้แต่ม่านคุ้มกันระหว่างทารกวิญญาณและห้าธาตุก็สามารถถูกขจัดออกไปได้!
ชาวสวรรค์ เป็นตาย สะพานเทวะ–ม่านคุ้มกันของเขตขั้นเหล่านี้ก็สามารถถูกกำจัด!
หากว่าผู้ใดฝึกปรือถึงขั้นสะพานเทวะ และหลอมรวมขั้นชาวสวรรค์เพื่อสร้างช่องทางไปสู่ขั้นเป็นตาย เจ็ดมหาสมบัติเทวะก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง และก็จะไม่มีความแตกต่างระหว่างขั้นวรยุทธต่างๆ อีกต่อไป!
ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็จะนำไปสู่การปฏิวัติครั้งมโหฬาร!
กำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งโลกหล้าก็จะเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างมหาศาล!
และการเปลี่ยนแปลงที่ตามมาหลังจากการเพิ่มพูนกำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“หากจะทลายม่านคุ้มกันทั้งหมด นั่นอาจจะต้องใช้เวลาหลายสิบหรือหลายร้อยปีในการทุ่มเทค้นคว้า แต่ทว่า บัดนี้พวกเราได้เป็นประจักษ์พยานต่อรุ่งอรุณ พี่ซวี เจ้าได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา…” ฉินมู่พึมพำ
“หากมิใช่เพราะนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมของจ้าวลัทธิ ข้าก็คงก้าวมาไม่ถึงขั้นนี้ จ้าวลัทธิ เป็นเจ้ากับองค์หญิงจิวต่างหากที่ได้กระทำสิ่งอันน่าจดจำเหนือธรรมดา” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างถ่อมตน
ฉินมู่หัวร่อด้วยเสียงอันดัง ซวีเซิงฮวาไม่รู้เลยสักนิดว่าสาเหตุที่เขาสามารถตรึกตรองคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมขึ้นมาได้ นั้นก็เพระว่าการพบพานบนเรือสำราญ เมื่อทั้งคู่พบกันเป็นครั้งแรก พวกเขาได้ปะทะกับเพื่อทดสอบความสามารถของอีกฝ่าย ก็ต่อเมื่อจิตใจของเขาพลุ่งพล่านจากการพบพานนั้น ฉินมู่จึงสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวได้
จากเรื่องนี้ เท่ากับว่าซวีเซิงฮาก็เป็นผู้มีส่วนโดยอ้อมในการคิดค้นนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม
ทันใดนั้น เสียงฟ้าคำรามก็ดังมาจากข้างๆ เมื่อร่างกายของลิงยักษ์อสูรขยายออก เขาข่มการเผยร่างที่แท้จริงของตนเอาไว้ไม่ได้ แปรเปลี่ยนเป็นลิงยักษ์ดุสีดำสนิทที่ตัวใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ!
หลังจากที่ซวีเซิงฮวาอธิบายวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศ ลิงยักษ์อสูรก็ได้ขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมของตน และโคจรมันไปตามวิชาฝึกปรือนั้น
ทุกคนกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบถอยออกห่าง เฝ้ามองจิตวิญญาณดั้งเดิมของลิงยักษ์อสูรที่สร้างเสียงครืนครันกัมปนาท วิชาฝึกปรือของซวีเซิงฮวาถูกเขาขับเคลื่อนอย่างราบรื่น และเขาก็กำลังหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว!
ซวีเซิงฮวาสะท้านใจ และเขามองไปยังฉินมู่ “จ้าวลัทธิ พรสวรรค์ของศิษย์พี่จ้านคงจะไม่ล้ำเลิศไปหน่อยหรอกหรือ”
ฉินมู่ข่มระงับความแตกตื่นใจและเงยศีรษะขึ้นมาดูร่างอันใหญ่เกินธรรมดาของลิงยักษ์อสูร “ความคิดเขาบริสุทธิ์ไร้มลทิน ในอดีตนั้น เขาก็ยังเรียนรู้ฟ้าคำรามแปดจู่โจมแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำรามได้เร็วกว่าข้ามาก เพราะว่าความคิดของเขาจดจ่อเป็นหนึ่งเดียว ความรุดหน้าในวรยุทธของเขาจึงรวดเร็วและรุนแรง”
“หรือว่าเขาก็เป็นกายาจ้าวแดนดินด้วยเช่นกัน” ซวีเซิงฮวาถามด้วยความสงสัย
กายเนื้อของลิงยักษ์อสูรแข็งแกร่งและพลังวัตรของเขาก็เข้มข้น เมื่อขับเคลื่อนจิตวิญญาณดั้งเดิม เขาก็ดูทั้งห้าวหาญดุดันและเขื่องโขน่าเกรงขามไปพร้อมๆ กัน
เขาได้รับการสั่งสอนจากยูไลเฒ่าผู้ซึ่งสอนพระสูตรมหายานยูไลให้แก่เขา จากนั้นเขาก็ติดตามยูไลน้อยไปฝึกบำเพ็ญ นับว่าได้รับการสอนสั่งจากสองสุดยอดปรมาจารย์แห่งลัทธิพุทธ ดังนั้นรากฐานวรยุทธของเขาจึงลึกล้ำ
แต่ถึงแม้ว่าความคิดของเขาจะบริสุทธิ์ไร้มลทิน แต่ก็ยังด้อยกว่าฉินมู่และซวีเซิงฮวาในด้านการคิดค้นสิ่งใหม่ ความคิดของฉินมู่นั้นซับซ้อนเจือไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย แต่เขาก็สามารถตรึกตรองคิดค้นสิ่งใหม่ๆ โดยการเทียบเคียงสิ่งต่างๆ และค้นพบวิธีการฝึกปรือใหม่ๆ อยู่เสมอ
ซวีเซิงฮวามีความคิดอันหนักแน่นเป็นปึกแผ่นมากกว่า แต่สิ่งที่เขาเรียนนั้นมีเรื่องหลากหลายแตกต่างกันจนเหลือล้น จิตวิญญาณอันไม่ยอมพ่ายแพ้ของเขาก็ถูกฉินมู่รีดเร้นออกมา ดังนั้นเขาจึงสามารถคิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนเองจากรากฐานที่ฉินมู่สร้างเอาไว้ได้
ส่วนลิงยักษ์อสูรนั้น เขาไม่มีปฏิภาณคิดค้นแบบนี้ แต่เขาสามารถเรียนรู้วิชาฝึกปรือของผู้อื่นได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งสามฝึกปรือบ่มเพาะตนเองในวิถีทางที่แตกต่างกัน
ลิงยักษ์อสูรนั้นเพียงแต่เรียนรู้ไม่เสาะหาความเข้าใจ ตราบใดที่เขาฝึกปรือได้ เขาก็จะฝึกปรือทันที ซวีเซิงฮวาแสวงหาความเข้าใจเพื่อที่จะได้ความเข้าใจในเรื่องเก่าให้มากยิ่งขึ้น ส่วนฉินมู่นั้น เป็นผู้กรุยทาง หากว่าข้างหน้าไม่มีหนทาง เขาก็จะเปิดเส้นทางขึ้นมาใหม่
ฉินมู่เองก็มีจุดอ่อน หลังจากกรุยทางแล้ว เขาก็จะวอกแวกไปทำเรื่องอื่นแทนที่จะบุกต่อไปยังเส้นทางนั้นๆ เพราะอย่างนี้ ผู้ที่คิดค้นวิชาฝึกปรือจิตวิญญาณดั้งเดิมเจ็ดดาวหกทิศจึงเป็นซวีเซิงฮวาและไม่ใช่เขา
วิชาฝึกปรือและทักษะเทวะที่ฉินมู่และซวีเซิงฮวาคิดค้นขึ้นมา ลิงยักษ์อสูรเรียนรู้ได้เร็วที่สุด ไม่ทันที่ฉินมู่จะเริ่มฝึกปรือวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม จ้านคงก็ได้เริ่มทลายม่านคุ้มกันระหว่างเขตขั้นแล้ว
ฉินมู่รีบละทิ้งความคิดวอกแวก และเพ่งสมาธิกับการฝึกวิชาจิตวิญญาณดั้งเดิม ขวนขวายที่จะทลายม่านคุ้มกันระหว่างขั้นหกทิศและขั้นเจ็ดดาว
สองวันถัดมา เขาก็ทลายม่านคุ้มกันสำเร็จ เมื่อเขาลืมตาขึ้น เขาก็เห็นซวีเซิงฮวาและลิงยักษ์อสูรต่อสู้กันท่ามกลางภูเขาด้วยกระบวนท่าอันเกรี้ยวกราดเหนือธรรมดา ข้างๆ พวกเขา มีหลวงจีนปีศาจทั้งสูงเตี้ยใหญ่เล็กยืนล้อมวงดูและโห่ร้องสนับสนุน
ฉินมู่กำลังจะรีบรุดเข้าไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังมาจากตีนเขา “วัดน้อยฟ้าคำราม บังอาจอะไรอย่างนี้! กล้าดีอย่างไรถึงมาขโมยจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า ฟังเอาไว้ ไอ้พวกลาหัวโล้นบนภูเขา ส่งจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าคืนกลับมา มิเช่นนั้นข้าจะทำลายล้างทั้งสำนักพวกเจ้า!”
ฉินมู่มองลงไปและเห็นผานกงสั่วเดินขึ้นมาบนภูเขาด้วยขาที่งอคู้ไปข้างหลัง ท่าเดินครึ่งบิดครึ่งยองของเขานั้นสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
ไอ้เด็กเปรตนี่ ข้าตัดขาเขาไปแค่ข้างเดียวไม่ใช่หรือ ทำไมขาอีกข้างเขาก็เปลี่ยนเหมือนกัน
ฉินมู่ลิงโลดที่ได้เห็นเขา และส่งกระบี่บินออกไปโดยไม่บอกกล่าว มันพุ่งหวีดหวิวข้ามระยะหลายสิบลี้ไปยังเป้าหมาย
ผานกงสั่วเพิ่งจะต่อขากวาง ดังนั้นเขาจะรับมือไม่ทันกาล เมื่อเขาเห็นแสงกระบี่และหมายที่จะหลบเลี่ยง มันก็ช้าไปเสียแล้ว หลังจากวิ่งไปได้สองก้าว เขาก็พบว่าแสงกระบี่ได้มาถึงหลังเขา
เขารีบหันกลับไปมองและเห็นขากวางสองขาวิ่งตะบึงล่วงหน้าเขาไป
“ไอ้เวรเอ๊ย!”
ผานกงสั่วร่างร่วงลงกับพื้น และดูเตี้ยกว่าเดิมไปมาก เขาเงยหน้าขึ้นมองและตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้าและข้าไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน!”
“โลกมันกลมจริงๆ!” ฉินมู่เรียกกระบี่ของเขากลับยังยอดเขาทองคำที่เขายืนกอดอกอยู่ เขาหัวเราะร่าและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์สุภาพเกินไปแล้ว ถึงกับนำขากวางสองข้างมาเลี้ยงอาหารข้า น้องชายผู้นี้จะหักใจปฏิเสธท่านได้อย่างไร ก็มีแต่ต้องรับเอาไว้!”
ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่แบกหีบมาก็เดินเข้าทางประตูภูเขา และเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่ยอดเขาทองคำ บนใบหน้าไร้มลทินของเขาประดับด้วยรอยยิ้ม
“ยอดหมอเทวดาฉิน โลกนี้มันกลมจริงๆ นั่นแหละ”
………………………………….
สีหน้าของยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว พวกเขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าหนังสือเล่มนั้น
มันเป็นวัตถุที่หลวงจีนบนภูเขานี้พบเข้าโดยบังเอิญ ด้วยว่าพวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นสมบัติประเภทใดและต้องใช้อย่างไร หลวงจีนผู้นั้นจึงมอบให้แก่ทางวัด ยูไลน้อยและคำอื่นๆ ก็ไม่รู้วิธีใช้สอย รู้แต่ว่ามันครอบครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ มีดวงวิญญาณมากมายไร้ประมาณล่องลอยไปรอบๆ หนังสือ ดังนั้นพวกเขาจึงสะกดข่มหนังสือนี้เอาไว้ในเจดีย์
พวกเขาไม่เคยคาดคิดเลยว่ามันจะเป็นสิ่งของของเทพหมอผีขุย และมีนามว่าบันทึกเป็นตาย
เมื่อมือของหลวงจีนคนหนึ่งแตะเข้ากับบันทึกเป็นตาย มันก็เริ่มเน่าเปื่อยในทันที ขณะที่หลวงจีนนั้นรีบชักมือกลับ หลวงจีนอื่นๆ ก็ตระหนักถึงสถานการณ์ พวกเขาแต่ละคนขับเคลื่อนทักษะเทวะเพื่อขัดขวางหนังสือเล่มนี้ แต่ไม่มีใครสามารถยับยั้งมันเอาไว้ได้ หนังสือทะลุผ่านแต่ละชั้นของทักษะเทวะพุ่งตรงไปยังบาตรทองคำ
ยูไลน้อยยกบาตรทองคำขึ้น พลางผนึกมุทราด้วยมืออีกข้าง นิ้วทั้งห้าของเขาพลันประดุจขุนเขาอันก่อขึ้นมาจากอสุนีบาตอันถล่มทับใส่บาตรทองคำ ยูไลน้อยหมายที่จะสังหารเทพหมอผีขุย
แต่ในจังหวะนั้น บันทึกเป็นตายก็พุ่งเข้ามาและฝ่ามือของยูไลน้อยก็เริ่มแก่ชราไปอย่างรวดเร็ว
ด้วยความตื่นตระหนก เขาโยนบาตรทองคำทิ้งไป และบันทึกเป็นตายก็บินตามไปด้วย
“พี่ซวี!”
ฉินมู่สะกิดเท้า คว้าจับบาตรทองคำด้วยความเร็วอันสุดขีดขั้ว ที่กลางอากาศนั้น เขาแตะนิ้วไปมา และอักษรรูนก็พลันไหลบ่า พวกมันก่อขึ้นจากปราณชีวิต และฉายแสงเจิดจ้าอยู่ในอากาศพลางกะพริบไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง
ในเวลาเดียวกันนั้น ซวีเซิงฮวาก็พุ่งเข้าไปเช่นกัน และความเร็วของเขามิได้ด้อยไปกว่าฉินมู่ มือของเขาเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว และมันก็มีปราณชีวิตพวยพุ่งออกมาแปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนจากปลายนิ้วของเขาด้วยเช่นกัน แต่ทว่าของเขานั้นเป็นภาษาเทพ
แม้ว่าพวกมันจะเป็นคำเดียวกัน แต่วิธีการเขียนแตกต่างกัน
ฉินมู่ก้าวออกไปอีกก้าว และชี้ไปข้างหน้าด้วยมืออีกข้าง เขาจิ้มไปทุกๆ สี่ก้าว และหลังจากจิ้มแตะครั้งที่สี่ อักรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลก็ผสานเข้าด้วยกันเพื่อก่อเป็นทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ผนึกบาตรทองคำเอาไว้ในนั้น
บันทึกเป็นตายพุ่งหวือเข้ามาใกล้บาตรทองคำ และถูกทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลรวบจับ อันส่งมันไปยังสถานที่ห่างออกไปยี่สิบลี้
อีกด้านหนึ่งซวีเซิงฮวาพลิกฝ่ามือของเขาขึ้น และนิพนธ์เทพเป็นร้อยก็เข้าห่อหุ้มบาตรทองคำ แต่ละนิพนธ์สะกดคำเดียวกันคือคำว่า ผนึก
คำนี้แตกต่างไปจากคำของเผ่ามนุษย์โดยสิ้นเชิง มันมีพลานุภาพอันแปลกประหลาดอยู่ข้างในนั้น เพราะถึงอย่างไรซวีเซิงฮวาก็เป็นผู้สืบทอดของเทพครองแดนหยก ชายผู้นั้นเป็นเทพเจ้า เขาย่อมมีวิชาอันมหัศจรรย์ที่แดนต่ำใต้ไม่อาจสัมผัส
ซวีเซิงฮวาคลุมบาตรทองคำเอาไว้ด้วยผนึกกว่าร้อย สะบั้นการเชื่อมต่อระหว่างเทพหมอผีขุยและบันทึกเป็นตาย
ฉินมู่นำพู่กันออกจากถุงเต๋าตี้และดึงเอาม้วนกระดาษออกมาโยนไปให้ซวีเซิงฮวา เด็กหนุ่มคว้าจับมันเอาไว้และพบว่ามันเป็นเพียงกระดาษขาว
ฉินมู่ยกพู่กันขึ้น และปลายของมันเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็ว เขารีบวาดพายุลมและสายฟ้าจากนั้นก็โยนบาตรทองคำเข้าไปข้างใน
มันจึงปลิวว่อนไปทั่วกลางพายุและสายฟ้า
ถัดไป ฉินมู่ส่งพู่กันให้ซวีเซิงฮวา ผู้ซึ่งยกพู่กันขึ้นจรดและเขียนคำว่าผนึกในภาษาเทพรอบๆ ลมและสายฟ้าเหล่านั้น
จากนั้นฉินมู่ก็นำตราผนึกของตนเองออกมาจากถุงเต๋าตี้และประทับลงไปที่มุมภาพวาด
ซวีเซิงฮวานำตราผนึกของตนออกมาเช่นกัน และประทับไว้ข้างๆ กัน
ฉินมู่ม้วนกระดาษกลับ และทั้งสองคนก็ระบายลมหายใจโล่งอก ในที่ไกลๆ นั้น ลิงยักษ์อสูรเหาะเข้ามาและคว้าจับสมบัติอันเรียกว่าบันทึกเป็นตาย
บนยอดเขาทองคำ ยูไลน้อยและหลวงจีนอื่นๆ หันไปมองกันและกันด้วยความหนักอึ้ง ฉินมู่และซวีเซิงฮวาวรยุทธไม่เท่าไร แต่การร่วมมือจู่โจมของพวกเขานั้นไร้ที่ติ
หนึ่งคนเคลื่อนย้ายบันทึกเป็นตายออกไปไกลๆ ส่วนอีกคนปิดผนึกบาตรทองคำเพื่อสะบั้นการเชื่อมต่อ จากนั้นฉินมู่ก็ใช้พู่กันวาดรูปส่วนซวีเซิงฮวาช่วยเขาคลี่ม้วนกระดาษ ฝ่ายหลังวาดอักษรผนึก และทั้งคู่ก็ประทับตราผนึกลงไปบนนั้น
การร่วมมือประสานนี้ราวกับว่าพวกเขาได้ฝึกซ้อมกระบวนการนี้ร่วมกันมาเป็นพันๆ ครั้ง ไหลลื่นราวกับสายน้ำ
“ไอ้เจ้าคนแซ่ฉิน เจ้ากล้าบอกชื่อจริงข้าไหมล่ะ” เทพหมอผีขุยถามมาจากภาพวาด
ฉินมู่เมินเขาและกล่าวแก่ยูไลน้อย “กำลังฝีมือของเทพหมอผีขุยนั้นยากจะคาดหยั่ง เมื่อใดที่เขารู้ชื่อของใคร เขาจะสามารถสักการะเพื่อทำลายดวงวิญญาณของท่านไปได้ ยูไลไม่รู้อิทธิฤทธิ์ของเขาจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเสียที ข้าวางแผนที่จะกำจัดมารเฒ่าตนนี้โดยเดินทางไปที่ภูเขาหยิน และเขาก็เกือบจะหลุดรอดจากการสะกดข่มของยูไลไปได้ พวกเราควรรีบกำจัดเขาโดยเร็วที่สุดเพื่อป้องกันเภทภัยในอนาคต! กำจัดเขาทิ้งนั้นก็เป็นกุศลอันยิ่งใหญ่เช่นกัน”
ยูไลน้อยลังเล “เทพหมอผีขุยถูกวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายนับไม่ถ้วนพัวพันอยู่ และหากว่าข้าสามารถแสดงธรรมให้เขารู้แจ้งได้ มันก็ย่อมจะเป็นสุดยอดกุศลผลบุญ แต่หากว่าข้าเพียงแต่ฆ่าเขา ข้าเกรงว่า…”
ฉินมู่ขมวดคิ้วใส่เขา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าใหญ่ และน้อย แตกต่างกันอย่างไร”
ยูไลน้อยเลิกคิ้วสูง “จ้าวลัทธิฉิน โปรดคืนบาตรทองคำให้แก่ข้า หลวงจีนเฒ่าผู้นี้จะนำหลวงจีนทั้งหมดบนภูเขามาร่วมกันแสดงธรรมชำระใจเขา ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะยังดึงดันต่อไปได้”
ฉินมู่ยื่นม้วนภาพวาดให้แก่เขา ซวีเซิงฮวากระแอมไอ แต่ฉินมู่ส่ายหน้า พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะบุกตะลุยออกไปจากวัดน้อยฟ้าคำรามด้วยม้วนภาพนี้ พยายามที่จะบุกฝ่าออกไปด้วยกำลังมีแต่จะนำความอดสูมาสู่ตนเองเท่านั้น
ซวีเซิงฮวาจึงได้แต่ละความคิดและกล่าว “ศิษย์พี่จ้านคง ช่วยส่งบันทึกเป็นตายให้ข้าดูหน่อย”
ลิงยักษ์อสูรส่งบันทึกให้แก่เขา และซวีเซิงฮวาก็อึ้งไปเล็กน้อย บันทึกเป็นตายมิใช่หนังสือ แต่เป็นแผ่นกระดาษบางเฉียบ มันแปลกพิสดารและมันวาวราวกับโลหะ มันกระจ่างใสอย่างสุดขีด สะท้อนแสงได้
แต่ที่น่าแปลกไปกว่านั้นก็คือ ในบันทึกเป็นตายนี้ไม่มีอักษรหรือรูปภาพใดๆ
สายตาของซวีเซิงฮวาจับจ้องลงไปยังความว่างเปล่า และเขาถึงกับมองเห็นผู้คนตรงหน้าผ่านกระดาษอันดุจกระจกได้
“บันทึกประหลาดอะไรอย่างนี้…”
หัวใจของซวีเซิงฮวาสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ข้างหลังบันทึกเป็นตายคือจิงเอี้ยน และเหนือร่างของนางก็มีถ้อยคำอยู่บรรทัดหนึ่ง มันเขียนว่าจิงเอี้ยน
ซวีเซิงฮวาขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขารีบหันไปทางฉินมู่ จิงเอี้ยนหายวับไป แทนที่ด้วยรูปของฉินมู่ และชื่ออันปรากฏขึ้นมามิใช่ฉินมู่ แต่เป็นฉินเฟิงชิง!
“จ้าวลัทธิฉิน”
สีหน้าของซวีเซิงฮวากลายเป็นเคร่งขรึม เขาส่งบันทึกเป็นตายให้แก่ฉินมู่ผู้ซึ่งไม่นานก็พบวิธีใช้มัน หัวใจของเขาสะท้านอย่างรุนแรง
ไม่ใช่แค่นามของเขาเท่านั้นที่ถูกบันทึกนี้เปิดเผยออกมาได้ เหล่าหลวงจีนปีศาจบนภูเขาก็เช่นกัน ตราบเท่าที่พวกเขามีชื่อ มันก็จะปรากฏอยู่บนกระดาษแผ่นนี้!
ใครจะป้องกันตัวจากวัตถุแบบนี้ได้!
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ สมบัติวิเศษชิ้นนี้เผยชื่อกำเนิดของบุคคล นามที่แท้จริง!
หลวงจีนวัดน้อยฟ้าคำรามส่วนใหญ่แล้วเป็นปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีชื่อของตนเองก่อนที่จะเกิดมีสติปัญญาขึ้นมา แต่เมื่อพวกเขามีสติปัญญาขึ้นมาเมื่อไหร่ พวกเขาก็กลายเป็นหลวงจีนและจะต้องมีชื่อ
ชื่อทางธรรมของพวกเขาจึงลงเอยด้วยการเป็นนามอันแท้จริง
ที่บันทึกเป็นตายเผยแสดงคือชื่อทางธรรมของพวกเขา!
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อฉินมู่ยังเด็ก เพื่อนรักของเขาลิงยักษ์อสูรไม่มีชื่อ และเรียกว่าลิงยักษ์อสูรเท่านั้น ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อเรียกเขาบ่อยๆ ว่าเจ้าตัวใหญ่ หลังจากที่เขาเข้าร่วมวัดน้อยฟ้าคำราม เมื่อนั้นเขาถึงได้ชื่อทางธรรม จ้านคง
ในบันทึกเป็นตาย ชื่อของลิงยักษ์อสูรคือจ้านคง
ฉินมู่ชี้บันทึกเป็นตายไปที่ยูไลน้อย และเขาก็มีชื่อทางธรรมเช่นกัน คือเหยียนติ้ง
“ด้วยสมบัติชิ้นนี้ เทพหมอผีขุยมิใช่ว่าอยากจะฆ่าใครก็ได้หรอกหรือ อย่าว่าแต่เทพหมอผีขุย แม้แต่ไอ้สารเลวผานกงสั่วก็จะกลายเป็นไร้เทียมทาน!”
ฉินมู่หัวใจสั่นเทิ้ม และเขาส่องบันทึกเป็นตายไปยังกิเลนมังกร เกิดสองคำข้างบนตัวอีกฝ่าย–หลงพี
มังกรอ้วนมีชื่อด้วยหรือนี่
ฉินมู่ตกตะลึง กิเลนมังกรถูกปรมาจารย์เก็บมาเลี้ยงจากในแดนโบราณวินาศหลังจากที่อดโซมาหลายวัน เพราะว่าปรมาจารย์ให้อาหารเขา เขาจึงตามติดปรมาจารย์อย่างสลัดไม่หลุด กระนั้นกิเลนมังกรก็มีชื่อด้วยเหมือนกัน ฉินมู่ไม่รู้ว่าเป็นปรมาจารย์หรือแม่ของเขาที่ตั้งชื่อนี้ให้
วัตถุนี้ต้องทำลายทิ้ง!
ฉินมู่พยายามที่จะฉินทำลายมันโดยไม่พูดจา ซวีเซิงฮวาก้าวเข้าไปช่วย และทั้งสองคนก็ดึงคนละข้างของบันทึกเป็นตาย แต่พวกเขาก็ยังคงฉีกมันออกจากกันไม่ได้
“พวกเจ้าสองคนทำอะไร” หลวงจีนคิ้วเหลืองคนหนึ่งตะโกนออกมา
ฉินมู่นำไจกระบี่ของเขาและดึงกระบี่ไร้กังวล แต่แม้กระบี่ไร้กังวลก็ยังไม่อาจทำอะไรบันทึกสมบัตินี้ได้ เส้นสายของอักษรรูนอันอัดแน่นปรากฏขึ้นเหนือบันทึกและขัดขวางกระบี่เอาไว้
อักษรรูนเหล่านั้นพิลึกกึกกือเป็นอย่างยิ่ง และฉินมู่เห็นมันแค่แวบหนึ่งเท่านั้นก่อนที่มันจะหายไป
พวกมันดูเหมือนถ้อยคำแดนใต้พิภพ! หรือว่าสมบัติชิ้นนี้จะมาจากแดนใต้พิภพ
หนังหัวเขาชาวูบ กระบี่ไร้กังวลเป็นสมบัติวิเศษของบิดาเขา ฉินหานเจิน และเขานั้นแข็งแกร่งสักเพียงไร แม้แต่เทพครองดาวเสาร์ก็ยังถูกเขาโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส แต่กระบี่ของเขากลับไม่สามารถทำอะไรบันทึกเป็นตายได้!
นี่หมายความว่า อย่างน้อยมันจะต้องเป็นสมบัติของเทพและมารที่อยู่ในระดับเดียวกับกระบี่ไร้กังวล หรืออาจจะสูงส่งกว่าเลยด้วยซ้ำ!
ถ้าเช่นนั้น ก็กล่าวได้ว่าวรยุทธของเทพหมอผีขุยก็สูสีทัดเทียมกับฉินหานเจินหรืออาจจะเหนือกว่าด้วย!
กำลังฝีมือของเขาต้องเหนือล้ำกว่าราชครูสันตินิรันดร์ เทพเจ้าผู้บรรลุมาใหม่ๆ!
หลวงจีนคิ้วเหลืองก้าวเข้ามาและยื่นมือคว้าบันทึกเป็นตาย “จ้าวลัทธิฉิน สมบัติวิเศษชิ้นนี้เป็นของวัดน้อยฟ้าคำราม ดังนั้นโปรดคืนให้แก่พวกเรา”
ฉินมู่กวาดบันทึกเป็นตายยัดเข้าไปในถุงเต๋าตี้ จากนั้นลอบโยนมันเข้าไปในรังมังกรแท้ เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ยูไลน้อย เมื่อท่านกำลังเทศนาให้เทพหมอผีขุยเกิดดวงตาเห็นธรรม ไม่กลัวว่าเขาจะเรียกบันทึกเป็นตายมาอีกหรอกหรือ ให้ข้าเก็บไว้จะดีที่สุด”
ยูไลน้อยมองที่เขาด้วยสายตาลึกล้ำและเรียกหลวงจีนคิ้วเหลืองกลับมา “ให้จ้าวลัทธิฉินเก็บไว้เอาสักสามสี่วัน พวกเราจะสำเร็จสุดยอดบุญกุศลและบรรลุเหนือเขตขั้นนี้ขึ้นไป จะไม่มีเกิดแก่เจ็บตาย และพวกเราก็จะสำเร็จเป็นพุทธเจ้า เรื่องสำคัญอยู่ตรงหน้า ดังนั้นศิษย์น้องทั้งหลาย โปรดตามข้ามาเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่ศิษย์พี่”
“สาธุ!” หลวงจีนทั้งหมดกล่าวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ยูไลน้อยและหลวงจีนทั้งหลายนำเอาวัตถุโบราณวิเศษออกมามากมายและแขวนมันเอาไว้โดยรอบ อันดับแรกพวกเขาจัดตั้งภาพวาดของฉินมู่เอาไว้กับที่ และวางชั้นกระบวนพยุหะเอาไว้เพื่อปิดกั้นประสาทสัมผัสต่างๆ ของเทพหมอผีขุย จากนั้นพวกเขาก็เริ่มสวดภาวนาเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมแก่เขา
ซวีเซิงฮวาสายตาวูบไหวไปมา และเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราควรจากไปหรือไม่”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าไปไม่ได้หรอก หากว่าเทพหมอผีขุยยังไม่ชำระล้างกลับใจ ข้าก็ไม่มีวันเป็นสุข”
ลิงยักษ์อสูรผงกหัว “ตาย เป็นสุข”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้าตัวใหญ่พูดถูกต้อง! แต่ทว่ายูไลน้อยนั้นยืนกรานที่จะชำระล้างจิตใจเขาให้มองเห็นธรรม ทว่าจากที่ข้าดูแล้ว มันคงจะยากลำบาก”
ซวีเวิงฮวาลุกขึ้นและกล่าวกับจิงเอี้ยน “จ้าวลัทธิกังวลถึงสถานการณ์ของโลกหล้า แต่พวกเรานั้นเป็นเพียงเมฆที่ไหลลอยไป ไม่มีความจำเป็นที่พวกเราจะต้องอยู่ที่นี่”
จิงเอี้ยนผงกหัวและทั้งสองคนก็เดินลงไปจากภูเขา
“ข้าฝึกปรือท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปด ส่วนเจ้าได้หลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาว เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ของข้าหรือ ข้าก็อยากเรียนรู้ว่าเจ้าหลอมรวมขั้นหกทิศเข้ากับเจ็ดดาวเป็นหนึ่งได้อย่างไรเหมือนกัน” ฉินมู่กล่าวอย่างไม่รีบร้อน
ซวีเซิงฮวายั้งเท้าและหันหน้ากลับมาด้วยรอยยิ้ม “ข้านึกว่าจ้าวลัทธิจะไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้เสียอีก ในเมื่อท่านเป็นคนที่หยิ่งยโส สายตาสูงส่ง และไม่สนใจเกียรติยศชื่อเสียง หากว่าเจ้าต้องการเรียน ข้าก็จะสอน!”
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่เขา “เจ้าไม่อยากเรียนท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดของข้าหรือ”
“ข้าไม่!” ซวีเซิงฮวาตอบอย่างขวานผ่าซาก “เพลงกระบี่ของข้ามิได้สูงส่งเลิศล้ำขนาดนั้น และการโจมตีหลักของข้าก็ไม่ได้ขึ้นกับกระบี่”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำทันที
……………………………..
ฉินมู่มองไปรอบๆ ในวัดน้อยฟ้าคำรามและพบว่าการประดับประดาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับวัดใหญ่ฟ้าคำราม เพราะถึงอย่างไรวัดน้อยฟ้าคำรามก็เพิ่งก่อตั้งมาได้ไม่กี่ร้อยปี โดยปราศจากรากฐาน พวกเขาก็ได้แต่ต้องลอกเลียนแบบ
แต่ถึงอย่างไร ก็มีหลวงจีนปีศาจอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก และพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าหลวงจีนแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม วัดน้อยฟ้าคำรามนี้อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงหนึ่งเดียวในแดนโบราณวินาศ เมื่อปราศจากคู่แข่งและมีจำนวนสัตว์พิสดารมากมายอย่างยิ่ง วัดน้อยนี้ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก
หลวงจีนปีศาจมากมายเดินไปมาขวักไขว่ พวกเขานุ่งห่มอย่างเรียบร้อยและสุภาพ ฉินมู่เห็นแม้กระทั่งมังกรไร้เขาที่ขดตัวอยู่ในวิหาร ถ่ายทอดปิฎกและคำเทศนาแก่สัตว์ปีศาจที่ยังไม่สามารถแปลงร่างได้ ในวิหารอื่นๆ ก็มีหลวงจีนชั้นสูงเผ่าปีศาจที่เทศนาแสดงธรรมแก่หลวงจีนปีศาจมากมาย สอนทักษะเทวะให้แก่พวกเขา และแม้กระทั่งถ่ายทอดวิชาหลอมสร้างสมบัติวิเศษด้วย
“สถานที่นี้ดูเหมือนเป็นแหล่งอารยธรรมของเผ่าปีศาจ”
ฉินมู่ชื่นชมที่นี่ หากไม่นับพฤติกรรมส่วนตัวของยูไลน้อยแล้วล่ะก็ วัดน้อยฟ้าคำรามอันพัฒนามาได้ถึงระดับนี้นับว่าควรแก่การนับถือ
ยูไลน้อยและยูไลเฒ่าเป็นศิษย์น้องศิษย์พี่กัน อายุของพวกเขาเกือบจะเท่าๆ กัน แต่อายุขัยของยูไลเฒ่ามาถึงจุดจบ และเขาได้สละชีวิตไปในการต่อสู้บนเทือกเขาเทพทำลาย แต่ทว่ายูไลน้อยนั้นเป็นจอมปีศาจที่สำเร็จเต๋า ดังนั้นอายุขัยของเขาจึงยาวนานเป็นอย่างยิ่ง
มีเขาอยู่ วัดน้อยฟ้าคำรามก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองเข้าไปอีก
ทันใดนั้น จอมปีศาจสองตนก็พุ่งทะยานมาราวกับเหินบินระหว่างที่ต่อสู้กันไปมา บางครั้งพวกเขาก็เหาะขึ้นไปบนเมฆ และบางครั้งก็มุดเข้าไปในหุบเขา การโจมตีของพวกเขารวดเร็วอย่างยิ่งยวด กระบวนท่าก็เกรี้ยวกราดดุดัน ทั้งคู่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว
“กำลังฝีมือของศิษย์พี่ทั้งสองนี้ไม่เบาเลย” ซวีเซิงฮวากล่าวด้วยความตื่นตกใจเมื่อเขาเงยศีรษะขึ้นมองดู
“เจ้าตัวใหญ่!” ฉินมู่ตะโกนออกไปด้วยความยินดี
หนึ่งในจอมปีศาจนั้นคือหลวงจีนปีศาจร่างกำยำล่ำสันที่มีเส้นขนสีดำบนใบหน้าและฝ่ามือ เขาควงไม้เท้าพระในการต่อสู้ เมื่อเขาได้ยินฉินมู่ เขาก็รีบซัดคู่ต่อสู้กระเด็นไป จากนั้นก็ร่วงลงมาเหยียบพื้นด้วยเสียงตึง เขากล่าวด้วยความตกใจ “เจ้าตัวจ้อย! หัวล้าน ที่ไหน”
คำพูดนั้นถามยูไลน้อยซึ่งโกรธจนโลดเต้นและตบหัวเขาฉาดหนึ่ง “ใครมันเรียกอาจารย์ของตนเองว่าลาหัวล้านกันหา ข้าไม่ใช่ลาที่บรรลุเต๋า”
ลิงยักษ์อสูรจ้านคงรีบคลำหัวป้อยๆ แล้วพึมพำ “น้อย ที่ไหน”
ยูไลน้อยไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ข้าพบเขาที่ตีนเขา ดังนั้นจึงเชิญเขาขึ้นมาด้วย”
ลิงยักษ์อสูรยิ้มกริ่มและหมายที่จะเข้าไปกอดฉินมู่ แต่เขาพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ตัวเตี้ยจนเกินไป ฉินมู่ได้โตขึ้นมาสักหน่อยแล้ว และมีความสูงพอๆ กับคนแล่เนื้อ เพียงแต่เตี้ยกว่านักปรุงยาอยู่หน่อย แต่ร่างกายของลิงยักษ์อสูรนั้นสูงตระหง่านจนเกินไป ในอดีต เมื่อเขายังไม่โตเต็มที่ เขาก็สูงเท่ายอดไม้ไปแล้ว
บัดนี้เมื่อเขาเติบโต หากว่าเขาเผยร่างที่แท้จริงออกมา ก็คงไม่เล็กไปกว่ากิเลนมังกรสักเท่าไร
ขนาดว่าเขาแปลงร่างเป็นมนุษย์ ความสูงของเขาก็ยังเกือบยี่สิบคืบ
ปีศาจใหญ่ที่เขาต่อสู้ด้วยกระโจนเข้ามา หมายที่จะประลองฝีมือต่อ เขาร่ำร้อง “ศิษย์พี่จ้านคง มาสู้กันเถอะ!”
ลิงยักษ์อสูรเดือดดาล และยื่นมือออกไปคว้าคอของหลวงจีนปีศาจตนนั้น ชายผู้นั้นหายหัวร้อนในทันที และแขนขาของเขาก็ห้อยตกลงมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ หางอันโผล่มาจากก้นก็ลู่ตกและกวัดแกว่งไปมาราวกับจะประจบ
ลิงยักษ์อสูรวางเขาลงตรงหน้าฉินมู่ พลางกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เนื้อ แขก!”
ฉินมู่มองตรงไปยังหลวงจีนปีศาจหัวล้านผู้ซึ่งยืนตัวสั่นเทาอยู่บนพื้น เขารีบส่ายหัวทันที “ในเมื่อเขาเป็นศิษย์น้องของเจ้า ข้าย่อมไม่อาจกินเขาได้ ต่อให้เจ้ายกให้ข้าก็ตาม”
ลิงยักษ์อสูรเกาหัวแกรกๆ และมองไปที่ยูไลน้อยซึ่งอยู่ข้างๆ เขา ไขมันบนใบหน้าของยูไลน้อยบิดเบี้ยวไปมาระหว่างที่กัดฟันข่มโทสะ “ศิษย์ข้า นี่เจ้ากะจะใช้อาจารย์ของเจ้ามาเป็นอาหารเย็นให้เพื่อนแสนดีของเจ้าแล้วหรือ”
ลิงยักษ์อสูรรีบส่ายหัวไปมา
ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “พวกเราไม่ได้เจอกันนาน แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดจะเลี้ยงเนื้อแก่ข้าหรอก เมื่อเข้าถิ่นไหน ข้าก็จะทำตามธรรมเนียมถิ่นนั้น ข้าจะกินเจก็แล้วกัน เพราะข้าคงกินผู้ที่แข็งแกร่งขนาดยูไลไม่ได้หรอก”
ลิงยักษ์อสูรลิงโลดดีใจ “กินเจ แข็งแกร่ง!”
“ทำไมศิษย์พี่จ้านคงถึงรวบรัดคำเวลาพูด” จิงเอี้ยนถามอย่างสงสัย
“จ้านคงมีสันดานพุทธอันยิ่งใหญ่ และถนอมคำพูดของตนราวกับทองพันชั่ง แต่ละคำล้วนมีความหมายลึกล้ำ เมื่อข้าเห็นคุณสมบัตินี้ในตัวเขา ข้าก็รับเขามาเป็นศิษย์” ยูไลน้อยกล่าว
จิงเอี้ยนฉงนใจ นางเห็นได้ว่าเขาถนอมคำพูดดั่งทองพันชั่ง แต่นางก็มองไม่เห็นสันดานพุทธในตัวเขา
สันดานพุทธแบบไหนกันที่ทำให้คนผู้นี้คิดจะจับเอาศิษย์น้องของตนเองไปแล่เนื้อมาทำอาหารให้แขกเหรื่อ
ลิงยักษ์อสูรตามพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา เมื่อคณะทั้งหลายเดินมาถึงยอดเขา ฉินมู่ก็มองลงไปและพบว่าสถานที่นี้คล้ายคลึงกับยอดเขาทองคำแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม แต่ทว่า ที่นี่มีรูปสลักหินเยอะกว่ามากนัก อันคงจะถูกใช้เพื่อป้องกันพื้นที่นี้จากความมืด
มีเจดีย์พุทธหลายเจดีย์และหลวงจีนที่ฝึกปรืออยู่บนนั้นก็มากมายบนยอดเขา พวกเขาส่วนใหญ่มีศีรษะของสัตว์ป่า และสวมใส่ผ้ากาสาวพัตรสีเหลือง สีหน้าของพวกเขาเคร่งขรึมและเคารพนบนอบ
หลวงจีนเหล่านี้น่าจะเป็นจอมปีศาจที่ได้บรรลุเต๋าในแดนโบราณวินาศ ในเมื่อพวกเขาฝึกปรือมาจนถึงระดับนี้ ศักดิ์ฐานะของพวกเขาจะต้องไม่ธรรมดา
หางตาของฉินมู่กระตุก วรยุทธของจอมปีศาจพวกนี้ล้วนแต่แข็งแกร่งอย่างสุดขั้ว และปราณปีศาจรอบกายพวกเขาก็หนาแน่นอย่างสุดๆ เขาค่อนข้างตื่นตระหนกเมื่อพบว่าหลวงจีนปีศาจบางตนนั้นถึงกับเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ!
ทั้งยังมีแสงโลหิตฉายส่องออกมาจากปราณปีศาจ อันหมายความว่าผู้คนเหล่านี้ได้เข่นฆ่ามามากมายในอดีต!
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว! ห้ามกินเนื้อแถมยังต้องมาสวดภาวนาถึงพุทธเจ้าทุกวัน นี่มันมีประโยชน์มารดามันอะไร เมื่อไหร่มันจะจบสิ้น”
ทันใดนั้น หลวงจีนหัวนกก็กระโดดขึ้นมาและฉีกจีวรเหลืองของเขาออก เมื่อเขากวัดแกว่งหัว ขนนกสีทองก็งอกเงยออกจากคอเขาอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของเขาขยายออกไป และหัวนกอีกหลายหัวก็ผุดขึ้นมาจากในขนนก รวมแล้วได้เก้าหัวพอดี เมื่อเขาสยายปีกออกไป มันก็กินพื้นที่เกือบไร่!
“ในแดนโบราณวินาศ ข้าทำอะไรได้ตามใจและกินทั้งคนและสัตว์จำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ตัวข้าพัวพันไปด้วยบาปกรรมมาตั้งนานแล้ว เช่นนั้นจะมีประโยชน์อะไรที่ข้าจะต้องมางดกินเนื้อและสวดภาวนาถึงพุทธองค์แบบนี้” นกเก้าหัวอันดูเหมือนนกยูงกระพือปีกของเขาเพื่อเหินทะยานขึ้นไป “บาปของข้าอย่างไรก็ล้างไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกินให้เปรมปรีดิ์ดีกว่า”
หลวงจีนตนอื่นๆ รีบเหาะขึ้นตามไปบนท้องฟ้า และฉินมู่เห็นว่าบางคนก็เป็นมนุษย์ พวกเขาร่วมมือกันสยบกำราบนกยูงเก้าหัวเอาไว้พลางกล่าว “ศิษย์พี่หมิง ท่านถูกมารจิตเข้าควบคุมอีกแล้ว ได้สติเร็วเข้า!”
“อย่าปล่อยให้การฝึกบำเพ็ญกว่าพันปีของท่านไร้ประโยชน์ด้วยก้าวพลาดเพียงก้าวเดียว!”
…
หลวงจีนทั้งหลายร่วมมือกันจนกระทั่งพวกเขาสยบนกยูงเก้าหัวนั่นได้ในที่สุด แต่ทว่ามันยังคงจองหองและดื้อรั้น ร่ำร้องแต่ว่าจะเข่นฆ่าผู้คน
ยูไลน้อยเดินไปข้างหน้าและพลันเลิกจีวรของตนขึ้น เขานำมีดเล่มหนึ่งออกมาและเฉือนเนื้อก้อนหนึ่งออกจากพุงของเขา แล้วโยนไปให้นกยูงเก้าหัวนั้น “เจ้าอยากจะกินเนื้อหรือ กินสิ!”
นกยูงเก้าหัวแผ่รัศมีอันเกรี้ยวกราดออกมา และอ้าปากงับเนื้อของยูไลน้อย กลืนมันเข้าไป หัวอีกแปดจึงเริ่มร้องระเบ็ง “ยูไล เจ้าจะต้องตอบสนองความปรารถนาของพวกเราทุกๆ หัว เนื้อแค่ก้อนเดียวจะไปพออะไร อีกแปดปากท้องยังไม่ได้กินและยังคงหิวโหยอยู่!”
ยูไลน้อยจึงเฉือนเนื้อของตนเพิ่มอีกแปดชิ้นและโยนมันไป หัวทั้งแปดแต่ละหัวก็อ้าปากงับชิ้นหนึ่ง และกลืนมันลงคอ
ลิงยักษ์อสูรเผยสีหน้าลิงโลดและกล่าวด้วยเสียงเบา “น้อย เนื้อ แขก!”
ยูไลน้อยถลึงตาจ้องเขา และลิงยักษ์อสูรก็เกาหัวแกรกๆ
แม้ว่านกยูงเก้าหัวจะได้กินเนื้อไปเก้าชิ้น แต่มันก็ไม่อาจย่อยเนื้อเหล่านี้ได้เและเริ่มต้นไอ ผ่านไปสักพัก มันก็อ้าปากไอนกยูงตัวเล็กออกมา จากนั้นก็สำรอกอีกตัวออกมา
นกยูงเก้าหัวไอเก้าครั้งติดๆ กัน และนกยูงเก้าตัวก็มุดออกมาจากท้องของเขา พวกมันเริ่มปีนไต่เตาะแตะไปทั่ว ทันใดนั้น พวกมันก็เข้ามารวมกันและกัน แปลงกายเป็นนกยูงเก้าหัว เมื่อมันนั่งลง ขนที่ปลายก้นของมันก็แผ่ออกมาราวกับพัด
นกยูงเก้าหัวมองไปที่นกยูงตัวเล็กบนพื้น และหัวใจของมันก็สะท้านอย่างข่มไม่อยู่ สันดานมารของมันจางหายไปในทันที และมันก็แปลงกายกลับเป็นหลวงจีนหัวนกอีกครั้ง เมื่อเขานั่งลงในท่าขัดสมาธิดอกบัว แสงพุทธธรรมก็สาดส่องออกมาจากใบหน้าของเขา “วันนี้ข้าถึงเพิ่งได้เรียนรู้ว่าทุกชีวิตก็เหมือนกับข้า ศิษย์พี่ยูไล ขอบคุณมาก”
“ยอดเยี่ยม” ยูไลน้อยปิดจีวรของเขาและกล่าว “ศิษย์พี่หมิง นั่งแต่บนภูเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อการฝึกบำเพ็ญ ดังนั้นนำบุตรชายของเจ้าลงจากภูเขาและเข้าไปฝึกปรือในโลกหล้าเถอะ”
นกยูงเก้าหัวยืนขึ้น และนำนกยูงน้อยลงจากภูเขา
ฉินมู่เห็นพ่อลูกคู่นี้เดินจากไป และส่ายหัวไปมาด้วยความงุนงง
ยูไลน้อยได้เฉือนเนื้อของตนเพื่อป้อนนกยูงเก้าหัว แต่ทำไมเขาถึงสำลักไอเอานกยูงน้อยเก้าตัวออกมา ทำไมมันถึงเป็นบุตรชายของเขา
หรือว่านี่คือวิชาเสกสรร
หรือว่าเป็นเวทมนตร์ทักษะเทวะแบบอื่นๆ
ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนเองก็งงงัน ซวีเซิงฮวาจากนั้นกล่าวด้วยเสียงเบา “วิชาฝึกปรือของวัดน้อยฟ้าคำรามดูแตกต่างจากวัดใหญ่ฟ้าคำราม ดูท่าว่าพวกเขาคงจะดูดซับเอาวิชาฝึกปรือประหลาดพิสดารจากแดนโบราณวินาศเข้ามา”
ฉินมู่พยักหน้า เวทมนตร์พิสดารเช่นนี้ไม่มีในวัดใหญ่ฟ้าคำราม ยิ่งไปกว่านั้น หลวงจีนแห่งวัดน้อยฟ้าคำรามโดยส่วนใหญ่ก็เป็นสัตว์พิสดารที่เกิดมีสติปัญญาขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาย่อมมีความสามารถอันผิดธรรมดา
สัตว์พิสดารบางตนถึงกับประสบโชควาสนาและได้ฝึกวิชาประหลาดจากแดนโบราณวินาศ หลังจากพวกเขาเข้าร่วมวัดน้อยฟ้าคำรามพร้อมกับวิชาประหลาดของตน พวกเขาก็ทำให้วิชาฝึกปรือของวัดน้อยฟ้าคำรามประหลาดพิสดารไปด้วย และทำให้เกิดการแปรเปลี่ยนแตกแขนงวิชามากไปกว่าในวัดใหญ่ฟ้าคำราม
“เชิญพวกท่านทั้งสามนั่งลงและชมดูพวกข้าแสดงธรรมแก่มารเทวะตนนี้เพื่อที่พวกเราจะได้บรรลุเป็นพุทธะจากความเพียรและปัญญาญาณ”
บนยอดเขาทองคำ ยูไลเฒ่าเชิญพวกเขาทั้งสามนั่งบนอาสนะ หลวงจีนจีวรเหลืองมากมายก็นั่งบนอาสนะของตนเอง ส่วนยูไลเฒ่านำบาตรทองคำออกมา เขาแกว่งมันไปมาเบาๆ และบาตรทองก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ที่ใจกลางบาตรนั้นคือแท่นสังเวยอันกักขังจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนหนึ่งเอาไว้อยู่ มันกำลังดิ้นรนและตะโกนไปมา เขย่าโซ่แสงพุทธธรรมให้ดังโกร่งกร่าง
มารเทวะบนแท่นสังเวยเป็นสีแดงโลหิตราวกับว่าเขาคือทะเลเลือดอันมีวิญญาณมิได้ผุดเกิดพัวพันไปมารอบๆ ตัวเขา
หลวงจีนจีวรเหลืองทั้งหลายเริ่มสวดภาวนาพระสูตรด้วยเสียงกึกก้อง และเสียงพุทธก็ก้องสะท้อนไปทั่วเมื่อพวกเขาตระเตรียมที่จะเปิดดวงตาเห็นธรรมให้แก่มารเทวะ
“สัตว์เถื่อนกินเลือดอย่างพวกเจ้าก็ยังกล้าคิดจะชำระล้างข้างั้นหรือ” มารเทวะนี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพหมอผีขุย และเขานั้นไม่สะทกสะท้านจากเสียงพุทธเลยแม้แต่น้อย เขาดิ้นรนไปมาต่อไป พยายามจะที่สลัดหลุดจากโซ่ พลางแย้มยิ้ม “เมื่อข้าหลุดออกไปได้ พวกเจ้าทุกคนจะกลายเป็นอาหารของข้า!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อยและลุกขึ้นเพื่อบอกเตือนหลวงจีนทั้งหลายอย่างเร่งรีบ “ยูไล มารเทวะตนนี้มาจากเผ่าภูตผี ดังนั้นดวงวิญญาณของเขาจึงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เขานั้นเป็นมารเทพอันมากฤทธิ์เดช ดังนั้นพวกท่านไม่มีทางเปิดดวงตาเห็นธรรมให้เขาได้! เขายืมมือพวกท่านในการชำระล้างแมลงวิญญาณในร่างเพื่อที่จะเป็นอิสระจากเวทปิดผนึกอันหลงเหลือไว้จากฝีมือของผู้สูงศักดิ์แห่งวังทอง!”
หลวงจีนทั้งหลายงงงัน และหันไปมองที่ยูไลน้อยอันหยุดสวดคาถา
บนแท่นสังเวย เทพหมอผีขุยหันหน้ากลับมามองฉินมู่อย่างดุร้าย “ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน ศิษย์ไร้ประโยชน์ของข้าพยายามจะสักการะเจ้าอยู่หลายครั้ง แต่เขาทำไม่สำเร็จ เจ้าเข้ามาสอดมือยุ่งอีกแล้วนะ แต่คราวนี้เจ้านั้นประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”
สีหน้าของยูไลน้อยและหลวงจีนคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เทพหมอผีขุยผู้อยู่ในแท่นสังเวย อ้าปากของเขาออกมาและพ่นแมลงวิญญาณอันหวีดร้องเสียงแหลม เมื่อพวกมันเข้าปะทะกับแสงพุทธ พวกมันก็สลายกลายเป็นเปลวควันสีเขียว
เมื่อพวกมันหายไปจนหมด เทพหมอผีขุยก็ระเบิดรัศมีอันเกรี้ยวกราดออกมาทันที กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไป และพืชพันธุ์ทั้งหลายบนภูเขาก็พลันเหี่ยวเฉา สิ่งมีชีวิตทั้งหลายสูญเสียชีวิต และหลวงจีนปีศาจมากมายที่มีวรยุทธต่ำก็หงายหลังตึงลงไป ตายอย่างน่าสังเวช!
ยูไลน้อยรีบดึงบาตรทองคำของเขากลับ และครอบทับแท่นสังเวย พยายามจะสยบเทพหมอผีขุยเอาไว้
“ศิษย์น้องโพ่อิง สะกดมารเทวะตนนี้เอาไว้ใต้เจดีย์ผนึกสวรรค์!”
หลวงจีนจีวรเหลืองคนหนึ่งเดินมาข้างหน้าและกำลังจะนำเอาบาตรทองคำไป แต่ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเทพหมอผีขุยก็ดังออกมา “เจ้าชื่อโพ่อิงหรือ รับการสักการะของข้า!”
หลวงจีนจีวรเหลืองหงายหลังไป ดวงวิญญาณของเขาแหลกสลาย!
ในชั่วเวลานั้น ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปใกล้
“ฮี่ๆๆ ข้าสัมผัสได้ถึงบันทึกเป็นตายของข้าอยู่ใกล้ๆ นี้ พวกเจ้าคงจะไปเจอมันเข้าและเก็บซ่อนเอาไว้ใช่ไหม นับว่าสวรรค์เสริมส่งข้าแท้ๆ!”
เทพหมอผีขุยหัวเราะร่า และเจดีย์หลังหนึ่งพลันสั่นสะท้านและแตกทำลาย หนังสือเล่มหนึ่งปลิวออกมาจากในนั้น เหาะตรงไปยังบาตรทองคำ!
……………………………
“ซิงอ้าน!” ผานกงสั่วตัวสั่นเทิ้มและเค้นรอยยิ้มออกมา “พี่ที่นับถือซิงอ้าน ไม่ได้พบกันนานเลยนะ พวกเราล้วนแต่เป็นสหายเก่า และครั้งสุดท้ายที่ท่านถามถึงตำแหน่งที่อยู่ของฉินมู่ ข้าก็ถึงกับวาดภาพให้ท่าน มันดีมากเลยใช่ไหมล่ะ ด้วยมิตรภาพของพวกเรา ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่มีเจตนาร้ายต่อข้าใช่ไหม”
ซิงอ้านนั่งลงบนหีบของเขาและยิ้มหยัน “ฉินมู่! ฉินมู่อีกแล้ว!”
เขากัดฟันกรอด และจิตสังหารก็พลุ่งพล่านไปทั่วทั้งซากโบราณ ทำให้สัตว์พิสดารทั้งหลายหวาดผวาจนซุกหัวหมอบกับพื้น
ผานกงสั่วหัวใจไหวสะท้านอย่างรุนแรง “พี่ซิงอ้านเองก็โดนเขาเล่นงานมาเหมือนกันหรือ”
“โดนเล่นงาน?” ซิงอ้านหัวเราะ “ข้าจะโดนเขาเล่นงานได้อย่างไร เขามีผู้อาวุโสที่บ้านมากเกินไป ข้าคำนวณผิดพลาด และลงเอยด้วยการถูกล้อมกลุ้มรุม ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะล่าถอยและหลบเลี่ยงการเข้าชนกับน้ำเชี่ยว”
ผานกงสั่วเหลือกตา เห็นได้ชัดว่าซิงอ้านก็เพลี่ยงพล้ำเสียที เขาถูกผู้อาวุโสทั้งหลายของฉินมู่ไล่มา และไม่มีทางอื่นนอกจากหลบหนีเข้ามาซ่อนตัวในสถานที่ใกล้ๆ กับแผ่นดินตะวันตก ไม่กล้าเผยตัวตนในยุทธจักร
เขาไม่รู้ว่าซิงอ้านมิได้อ่อนแออย่างที่เขาจินตนาการ อีกฝ่ายนั้นมีฝีมือแข็งแกร่งไร้ต่อต้าน และได้ทำให้เฒ่าบอด เฒ่าหนวก เฒ่าเป๋ ยายเฒ่าซี จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และยอดฝีมือคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส ผู้คนมากกว่าสิบที่เป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิบาดเจ็บอย่างรุนแรงจากเพียงกระบวนท่าเดียวของเขา หากว่ามิใช่เพราะฉินมู่วางยาพิษ พวกเขาทั้งหมดก็คงถูกสังหารไปสิ้น!
แม้แต่เมื่อเขาต้องพิษและได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาก็ยังสามารถหลบหนีมาจากคนแล่เนื้อ เตลิดมาตลอดทางจากสันตินิรันดร์จนถึงที่ที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้ ความทนทายาดของเขานั้นเหนือล้ำเสียยิ่งกว่าเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า!
“ส่วนชิ้นส่วนร่างผู้สูงศักดิ์ ข้าไม่มีความสนใจ” ซิงอ้านมองเขาแวบหนึ่งแล้วส่ายหัว “ไว้เจ้าฝึกปรือกายเนื้อหรือจิตวิญญาณดั้งเดิมจนถึงเขตขั้นเทวะ ข้าอาจจะสนใจเจ้าบ้างนิดหน่อย ถึงอย่างไรเจ้าและข้าก็เป็นสหายกัน และเจ้ายังเคยมอบแขนให้ข้าสองข้างเป็นของกำนัลมาก่อน ข้าไม่แตะต้องเจ้าหรอก เกิดอะไรขึ้นกับขาของเจ้า แผลกระบี่นี้…”
เขาพลันคว้าจับขาของผานกงสั่ว และบิดมันเบาๆ ขากวางที่เพิ่งเชื่อมต่อเข้าไปก็ถูกปลิดออกมา
ผานกงสั่วกัดฟันกลั้นความเจ็บ ไม่กล้าปริปากประท้วง
ซิงอ้านมองดูอย่างระมัดระวัง “แผลกระบี่นี้เกิดจากเพลงกระบี่ของฉินมู่นั่น! เจ้าจะต้องได้พบกับยอดหมอเทวดาฉินมู่ และถูกเขาตัดขามาสินะ”
เม็ดเหงื่อหยาดหยดลงจากหน้าผากของผานกงสั่ว และเขาก็เค้นรอยยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ข้าถูกฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ไล่ล่ามา ตอนที่ข้าไม่ทันระวัง ไอ้เด็กแซ่ฉินก็มาเฉือนตัดขาข้าไปครึ่งหนึ่ง พี่ที่นับถือซิงอ้าน หากว่าท่านต้องการจะแก้แค้นไอ้เด็กแซ่ฉิน ข้ามีโอกาสดีๆ เสนอให้ท่าน”
“แก้แค้นกับเจ้านั่น ข้าต้องใช้เจ้าด้วยหรือ” ซิงอ้านส่ายหัว “หากว่าข้าต้องการฆ่าเขา ก็ไม่มีใครในโลกที่ปกป้องเขาได้! เขาอยู่ที่ไหน ข้าได้ยินว่าราชครูสันตินิรันดร์ก็เป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง ดังนั้นข้าก็จะสามารถเอาของสักสองสามอย่างจากร่างกายเขาได้ด้วยเช่นกัน”
ผานกงสั่วแย้มยิ้ม “ข้าไม่รู้ว่าไอ้เด็กแซ่ฉินอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้ แต่ข้ารู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน เขาวางแผนว่าจะไปภูเขาหยินเพื่อตามหาจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า ราชครูสันตินิรันดร์ก็ตามเขาไปติดๆ ดังนั้นก็คงจะมาด้วยเช่นกัน”
ซิงอ้านสนใจขึ้นมาทันที “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้า? ครั้งหนึ่งเจ้าเคยสักการะดวงวิญญาณข้าและเกือบปลิดชีวิตข้าไปได้ รูปเงาของเทพเจ้านั่นคือจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้าอย่างนั้นหรือ”
ผานกงสั่วหัวใจบีบรัด และเขารีบกล่าว “ตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก เหมือนกับภาษิตที่ว่า ‘หากไม่ต่อยตี ก็คงไม่รู้จักกัน’ หากว่าข้ามิได้ต่อสู้กับพี่ที่นับถือซิงอ้านสักครั้ง ข้าจะมีโอกาสรู้จักพี่ท่านได้อย่างไร”
ซิงอ้านแย้มยิ้ม “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้า ข้าอยากเก็บสะสมยิ่งนัก”
ผานกงสั่วกำลังคิดที่จะล่อเขาเข้าสู่อันตราย และให้เขาต่อสู้กับราชครูสันตินิรันดร์ เพื่อที่ทั้งคู่จะได้บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย “หากว่าพี่ที่นับถือซิงอ้านชมชอบมัน ก็เชิญเอามันไปได้ เพียงแต่ว่า…พี่ที่นับถือ ขานี้ของข้า ไม่ทราบว่าท่าน…”
ซิงอ้านกระโดดเข้าไปในหีบของเขา “ยอดหมอเทวดาฉินได้แย่งชิงของสะสมข้าไปค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเหลืออยู่ไม่เยอะ ตอนนี้เจ้าใช้ขากวางไปก่อน เมื่อข้าสังหารหมอเทวดาฉินและราชครูแล้ว จะให้ขาเทวะเจ้าสักข้างก็คงไม่มีปัญหา”
ผานกงสั่วได้แต่หยิบขากวางขึ้นมาและต่อมันเข้าไปใหม่ คราวนี้เขากระทำอย่างพิถีพิถันเพื่อป้องกันไม่ให้มีอาการบาดเจ็บแฝงเร้น ซิงอ้านนั้นขี้เหนียวใจแคบ และอาจจะไม่ยอมยกขาเทวะให้ข้าเมื่อเวลามาถึง แต่ทว่า หากเขาและราชครูต่อสู้กัน ของสะสมของเขาก็จะเป็นของข้า!
กิเลนมังกรแบกฉินมู่กลับมายังแดนโบราณวินาศด้วยความเร็วปานสายฟ้า หลังจากสองวัน พวกเขาก็เห็นสัตว์พิสดารในบริเวณรอบๆ ค่อยๆ บางตาลง ในทางกลับกันมีหมู่บ้านและหลวงจีนที่เดินทางไปมาปรากฏมากขึ้น
เมื่อพวกเขาเห็นฉินมู่ขี่กิเลนมังกรวิ่งเข้ามา พวกเขาก็ล้วนหยุดชะงักและมองไปด้วยสายตาแปลกประหลาด
“จ้าวลัทธิ ทำไมพวกเขามองมาที่พวกเราแบบนี้ล่ะ” กิเลนมังกรฉงนใจ
วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขามองลงไปยังหลวงจีนเหล่านั้น พวกนี้จะยังเป็นหลวงจีนอีกหรือ ในสายตาฉินมู่ พวกเขาเป็นปีศาจใหญ่ท่าทางน่ากลัวชัดๆ!
เขามองไปยังหมู่บ้านที่ข้างเส้นทาง หมู่บ้านเหล่านั้นมีประชากรหนาตา และก็ยังคงเป็นปีศาจใหญ่ทุกชนิดทุกรูปแบบ
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ได้ยินเสียงระฆังดังมาจากไกลๆ มันมีเสียงไพเราะเสนาะหู
ฉินมู่หัวใจเคลื่อนไหวทันที “พวกเราอยู่ใกล้วัดน้อยฟ้าคำราม”
เขากระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร และเริ่มเดินด้วยเท้าของตนเอง พวกหลวงจีนที่จ้องเขาอย่างไม่วางตาเมื่อครู่ จึงถอนสายตาออกไป
กิเลนมังกรสงสัยหนักกว่าเดิม “จ้าวลัทธิ ทำไมพวกเขาไม่มองพวกเราแล้วล่ะ”
“ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน” ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงเบา
กิเลนมังกรก็ยังฉงน “ข้าแบกจ้าวลัทธิเป็นการทำงานแลกอาหาร หากว่าทุกชีวิตเท่าเทียมกัน แล้วใครจะมาหลอมปรุงยาวิญญาณให้ข้ากินล่ะ”
ฉินมู่หัวเราะพรืด ผ่านไปสักพัก พวกเขาก็มาถึงใกล้ๆ วัดน้อยฟ้าคำราม และฉินมู่ก็อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ
วัดน้อยฟ้าคำรามนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยยูไลน้อยผู้ซึ่งเป็นหลวงจีนปีศาจจากวัดใหญ่ฟ้าคำราม เป็นศิษย์ยูไลในสมัยนั้น ขั้นวรยุทธของเขานั้นสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง และกำลังฝีมือก็เลิศล้ำไม่ธรรมดา แต่เขาก็มิได้ขึ้นเป็นยูไลแห่งวัดใหญ่ฟ้าคำราม เขาขุ่นเคืองใจและได้บุกตะลุยออกมาเพื่อก่อตั้งวัดน้อยฟ้าคำรามของเขาในแดนโบราณวินาศ
ความหรูหราของวัดน้อยฟ้าคำรามนั้นไม่ด้อยไปกว่าวัดใหญ่ฟ้าคำรามเลย และอันที่จริงแล้ว อาจจะเหนือล้ำกว่าเสียด้วยซ้ำ มันมียอดเขาแปลกประหลาดและเทือกเขาสูงส่งเสียดฟ้ากับหน้าผาตั้งชันราวมีดถาก บนยอดเขาทั้งหลาย มีรูปสลักหินมากมายตั้งอยู่และแปะไว้ด้วยทองคำเปลว วิหารและอุโบสถมากมายทุกขนาดเต็มไปด้วยธูปเทียนเซ่นไหว้ และก็มีศาสนิกชนชาวพุทธที่เดินทางมากราบไหว้พุทธรูปจากทั่วทุกแหล่ง
ควันของธูปเทียนลอยกรุ่นอยู่ในท่ามกลางภูเขา เต็มท้องฟ้าด้วยก้อนเมฆควันธูป
ฉินมู่มาที่นี่เป็นครั้งแรก และเขารู้ตัวดีว่าครั้งหนึ่งเขาเคยผลักพุทธรูปของยูไลน้อยตกน้ำ ดังนั้นเขาจึงกะที่จะเดินอ้อมที่นี่ไป แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “ไฉนจ้าวลัทธิฉินถึงอยู่ที่นี่เล่า”
ฉินมู่มองไปยังผู้พูดและตกตะลึงอย่างกลั้นไม่อยู่ เขาแย้มยิ้ม “พี่ซวีก็อยู่ที่นี่เช่นกันหรือ บังเอิญอะไรอย่างนี้!”
ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยนต่างก็แบกสัมภาระหลังและเดินตามหลวงจีนร่างอ้วนใหญ่มา ฉินมู่ตื่นตระหนก ร่างกายของหลวงจีนอ้วนนั้นสูงใหญ่อย่างผิดธรรมดา เขามิใช่ใครอื่นนอกเสียจากยูไลน้อยแห่งวัดน้อยฟ้าคำราม!
เขาเคยพบเห็นยูไลน้อยครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งแดนโบราณวินาศ ตอนที่ยูไลน้อยได้เชื้อเชิญนักพรตหลิ่งจิงไปต่อสู้ พวกเขาประมือกันอย่างดุเดือดในยามราตรี และฉินมู่ก็อยู่ข้างๆ พวกเขาในตอนนั้น!
ยูไลน้อยมีใบหน้าอ้วนกลมและหูใหญ่ยาน รูปลักษณ์ของเขาเหนือธรรมดา และเขานั้นสุภาพเป็นอย่างยิ่งต่อซวีเซิงฮวา เขานั้นได้เชื้อเชิญคนทั้งสองให้มาเป็นอาคันตุกะ และเมื่อเขามองไปยังฉินมู่ ฉินมู่ก็รู้สึกแต่แสงอันขาวโพลนราวหิมะ ซึ่งก็คือสายตาของยูไลน้อย
“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน” เสียงของยูไลเฒ่ากึกก้องราวฟ้าลั่น “ท่านเป็นอาคันตุกะจากแดนไกล ดังนั้นแม้ว่าจ้าวลัทธิฉินกับข้าจะมีความบาดหมางระหว่างกัน แต่ข้าก็ยังจะต้องเอื้ออารีกับท่าน จ้าวลัทธิ เชิญขึ้นมาสนทนากันบนภูเขา”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “ศิษย์พี่สุภาพเกินไปแล้ว ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องกระทำ ดังนั้นข้าจะต้องเดินทางไปยังภูเขาหยิน…”
จิงเอี้ยนแย้มยิ้ม “คุณชายฉินก็จะไปที่ภูเขาหยินเช่นกันหรือ พวกเราเพิ่งกลับมาจากที่นั่น คุณชายของข้าและไต้ซือท่านนี้ได้พบกันในภูเขาหยิน ทั้งยังได้เก็บเกี่ยวมรรคผลอันยิ่งใหญ่อีกด้วย”
ฉินมู่ตกตะลึงและมองไปทางซวีเซิงฮวา เด็กหนุ่มพยักหน้าและกล่าว “เอี้ยนจื่อและข้าท่องเที่ยวไปทั่วจนกระทั่งพวกเรามาถึงภูเขาหยิน พวกเราเห็นไต้ซือท่านนี้กำลังกำราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนหนึ่ง เขานั้นตกอยู่ในสภาวะติดพันคับขัน และข้าจึงก้าวเข้าไปช่วยเหลือและกำราบมันได้โดยบังเอิญ ไฉนจ้าวลัทธิฉินถึงจะไปยังภูเขาหยินล่ะ”
ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาก็ร้องออกมา “พวกเจ้ากำราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะในภูเขาหยินอย่างนั้นหรือ จิตวิญญาณดั้งเดิมนี้เรียกตัวมันเองว่าเทพหมอผีขุยหรือไม่”
ยูไลน้อยตะลึงไป “แผนสวรรค์ยุทธศาสตร์เทพยดาของจ้าวลัทธิฉินเลิศล้ำถึงขนาดนี้แล้วหรือ หลวงจีนเฒ่าผู้นี้ได้พบกับมารร้ายอันถูกกักขังไว้ในภูเขาหยิน เมื่อข้าเห็นดวงวิญญาณไม่ได้ผุดเกิดจำนวนไร้ประมาณที่พัวพันรอบๆ ตัวเขา ข้าก็รู้ว่านี่คือภารกิจของข้า และจิตตรัสรู้ของข้าก็เคลื่อนขึ้นมาทันที ดังนั้นข้าจึงได้ลงมือ แต่หารู้ไม่ว่า แม้มารร้ายตนนี้จะถูกใครบางคนปิดผนึกเอาไว้อยู่ แต่เขาก็ยังคงมีกำลังฝีมืออันเหนือธรรมดา แทบจะดูดกลืนข้าเข้าไปตั้งหลายหน โชคยังดีที่คุณชายซวีผ่านทางมาและใช้เวทมนตร์แห่งเหนือฟ้ามาช่วยเหลือข้า”
ฉินมู่พลันหัวร่อฮาๆ ด้วยเสียงอันดัง “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องไปภูเขาหยินล่ะ พูดกันตามตรงแล้ว ข้าก็วางแผนจะไปปราบจิตวิญญาณดั้งเดิมของมารเทวะตนนั้น ในเมื่อยูไลเชื้อเชิญข้า ข้าก็จะไปเป็นอาคันตุกะ ขออภัยที่รบกวนท่าน!”
ยูไลน้อยมองไปที่เขาและถาม “ทุกๆ คนเรียกข้าว่ายูไลน้อย ไฉนจ้าวลัทธิฉินไม่เติมคำว่าน้อยเข้าไปล่ะ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ยูไลคือเขตขั้น เมื่อท่านบรรลุไปถึง ก็ไม่แบ่งแยกใหญ่หรือน้อย”
ไต้ซือผู้นี้พึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง “จ้าวลัทธิมีจิตพุทธะ หากว่าท่านเปลี่ยนมานับถือพุทธ ท่านก็จะสำเร็จเป็นยูไลในอนาคตอย่างแน่นอน เชิญ”
ฉินมู่ตามพวกเขาขึ้นไปบนภูเขา มองไปที่ซวีเซิงฮวาและจิงเอี้ยน เขาแย้มยิ้มและกล่าว “สามีภรรยาคู่นี้นับว่ารู้จักใช้ชีวิต เดินทางท่องโลกชมวิวทัศน์ตระการตา ไม่เหมือนกับข้า ใช้ชีวิตทำงานหนักราวกับวัวควาย วิ่งไปซ้าย วิ่งไปขวา ไม่ทราบว่าทั้งสองได้ฝึกปรือนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมหรือยัง”
จิงเอี้ยนสีหน้าแดงเรื่อ และนางผงกหัวเล็กน้อย
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
“นำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม จ้าวลัทธิเป็นผู้คิดค้นใช่ไหม มันช่วยให้ข้ารุดหน้าไปอย่างน่าตื่นตระหนกจริงๆ จากนำทางจิตวิญญาณดั้งเดิม ข้าได้ค้นพบวิชาฝึกปรือขั้นหกทิศอันครบสมบูรณ์ และรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง บัดนี้ข้าได้กรุยทางระหว่างขั้นหกทิศและขั้นเจ็ดดาว มหาสมบัติเทวะทั้งสองนี้ แปรเปลี่ยนพวกมันให้เป็นสมบัติเทวะเดียวกัน” ซวีเซิงฮวากล่าวอย่างไม่รีบร้อน
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง และเขามองไปที่ซวีเซิงฮวา ผ่านไปสักพัก เขาก็ระบายลมหายใจขาดห้วง และกล่าวชม “สมแล้วกับที่เป็นกายาจ้าวแดนดินปลอม เจ้านั้นด้อยกว่าข้าแค่นิดเดียวเท่านั้น”
ซวีเซิงฮวาแย้มยิ้ม “ความเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินจากการหลอมรวมสมบัติเทวะเจ็ดดาวและหกทิศเข้าด้วยกันคงไม่ด้อยไปกว่านำทางจิตวิญญาณดั้งเดิมนั่นหรอกใช่ไหม จ้าวลัทธิ กายาจ้าวแดนดินของเจ้าอาจจะเป็นแค่ตัวสำรอง”
ฉินมู่ยิ้มที่มุมปาก และกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “แม้ว่าข้าจะไม่ได้หลอมรวมสองมหาสมบัติเทวะเข้าด้วยกัน แต่ข้าก็ได้รังสรรค์ท่วงท่ากระบี่ที่สิบแปดขึ้นมาในระหว่างช่วงเวลานี้”
ซวีเซิงฮวาม่านตาหรี่แคบทันใด
ยูไลน้อยมองไปที่บุรุษทั้งสอง และจิตของเขาก็สะท้านสะเทือน “ไม่นานมานี้ หลวงจีนเฒ่าได้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดินสองครั้ง หรือว่าจะเป็นเพราะประสกทั้งสอง”
…
ในภูเขาหยิน แสงกระบี่พุ่งวาบ และผานกงสั่วก็ร่วงลงกับพื้น เขากุมขาซ้ายของเขาและกลิ้งไปรอบๆ ด้วยความเจ็บปวดขณะที่เหงื่อก็ร่วงพราวจากคิ้วของเขาราวห่าฝน
“นี่คือราคาที่เจ้าโกหกข้า” ซิงอ้านกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์เจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไปหาขากวางอีกข้างมาต่อ แล้วจงเดินคุดคู้แบบนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!”
ผานกงสั่วส่งเสียงลอดไรฟันพลางสะกดกลั้นความเจ็บ “จิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้าถูกคนอื่นแย่งชิงไป! แต่ทว่า มันคงอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ตราบเท่าที่ข้าร่ายเวทมนตร์หมอผี ข้าก็จะสามารถสัมผัสถึงทิศทางของมันได้!”
……………………………….
หลังจากพายุ ฉินมู่ปีนออกจากเนินทรายสูงและมองไปรอบๆ ในสายตาของเขามีแต่ทะเลทรายอันรกร้างและเงียบสงัด มีก็แต่เนินทรายอันเรียงกันเป็นรูปเกล็ดที่หลงเหลืออยู่จากพายุอันซัดถล่มไปเมื่อครู่
เรือตะวันนั้นแตกเป็นชิ้นๆ พินาศยับเยิน เห็นได้ชัดว่าการโจมตีทั้งสุดท้ายของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด นางมีใจคิดที่จะลากราชครูสันตินิรันดร์ไปตายพร้อมๆ กับนางเมื่อลงมือจู่โจมครั้งสุดท้ายนั้น ผลพวงของมันก็คือเรือตะวันพินาศย่อยยับไปด้วย
เพลิงไฟในทะเลทรายปลาสนาการ แม้ว่าทรายจะยังคงเป็นสีแดง เพลิงไฟอันแผดเผาผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศไม่ปรากฏอยู่อีกต่อไป
ฉินมู่มองไปยังที่ไกลๆ แต่มองไม่เห็นพวกมันที่ไหนเลยสักแห่ง
ทะเลทรายเพลิงโหมมอดดับไปแล้ว
เขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ และรีบยกมือขึ้นดู รอยประทับอัคคีบนผิวหนังของเขาก็หายไปเช่นกัน
เขานำกระจกออกมาสามสี่บาน ยกมันขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่เห็นรอยประทับอัคคีตรงไหน
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สิ้นชีวิตแล้ว!
หัวใจของฉินมู่เต้นตึกตักอย่างรุนแรง มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้วางเพลิงไฟอันใช้มุ่งโจมตีผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศโดยเฉพาะ รอยประทับอัคคีพวกนั้นจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกที่ย่างกรายเข้ามาในทะเลทราย และยิ่งมีสายเลือดสูงส่งบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดรอยประทับอัคคีมากขึ้นเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น รอยประทับอัคคีของฉินมู่ลุกลามไปทั้งร่างกายของเขา
แต่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้ตกตายลงไป ดังนั้นเพลิงไฟในทะเลทรายจึงหายวับไปเช่นกัน รอยประทับอัคคีบนผู้คนที่ถูกละทิ้งก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป!
“แค่ก แค่ก!”
เนินทรายอีกเนินที่ไกลๆ แตกออกมา และกิเลนมังกรก็ปีนออกมาจากในนั้น พลางพ่นทรายในปากของเขาออก ฉินมู่เรียกเขาจากที่ไกลๆ และเดินกะเผลกๆ เข้าไปหา
อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ามันมิได้มาจากการต่อสู้กับผานกงสั่ว มันเกิดจากลูกหลงของการโจมตีครั้งสุดท้ายของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ อันทำให้เขาบาดเจ็บอย่างหนัก
กิเลนมังกรพุ่งเข้ามาหาฉินมู่และหลุบหางลง ฉินมู่เหยียบขึ้นไปทางปลายหางของเขา และกิเลนมังกรก็ยกหางขึ้นเพื่อให้เขาไถลลงมาที่หลัง
กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไปข้างๆ เรือตะวัน
ฉินมู่นั่งลงและตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “ราชครู เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”
“ข้าอยู่นี่”
เสียงของราชครูสันตินิรันดร์มาจากใกล้ๆ และฉินมู่มองตรงไปที่แหล่งที่มา เขาเห็นราชครูสันตินิรันดร์อยู่ใต้เงาของหินก้อนใหญ่ ฉินมู่ไกลลงมาจากหลังของกิเลนมังกรด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบาดเจ็บอีกแล้ว?”
“ไม่ร้ายแรงเกินไปหรอก อาการบาดเจ็บครั้งนี้ยังสาหัสน้อยกว่าครั้งก่อน” ราชครูสันตินิรันดร์หลับตาลงราวกับว่าเขาผล็อยหลับไป จากนั้นเขาก็ลืมตาข้างหนึ่งและมองไปข้างหลังพลางกล่าวอย่างอ่อนแรง “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นแข็งแกร่งจริงๆ ด้วยการยืมพลังอำนาจของเรือตะวัน นางก็เหนือล้ำเสียยิ่งกว่าเทพเจ้าจากเหนือฟ้า”
ฉินมู่มองไปยังทิศทางเดียวกับเขา แต่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ถึงจะฉงนฉงาย แต่เขาก็เริ่มรักษาเยียวยาตนเองก่อน หลังจากนั้น เขาหมายจะเข้าไปเคลื่อนย้ายตัวราชครู แต่พบว่ามิอาจกระทำได้
“จ้าวลัทธิ เจ้ายกเทพเจ้าไม่ได้หรอก” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้มจืดจาง
ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขา และเข้าไปรักษาเขากับที่แทน “ราชครูยังคงตั้งใจที่จะไปยังเหนือฟ้าอีกหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้เปรียบด้านชัยภูมิเมื่อพวกเราต่อสู้กันที่นี่ และข้าก็เกือบจะพ่ายแพ้ หากว่าข้าไปยังเหนือฟ้า ก็ยังคงมีเทพเจ้าอยู่ที่นั่นจำนวนหนึ่ง และมันเป็นดินแดนของพวกเขา คงจะยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่าที่ข้าเผชิญอยู่ที่นี่ ข้าเพียงแต่ต้องรอสักพัก ให้จักรพรรดิและตัวตนระดับจ้าวลัทธิคนอื่นๆ บรรลุเป็นเทพเจ้าเช่นกัน”
มียอดฝีมือในขั้นสะพานเทวะมากมายในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ อันติดชะงักอยู่ที่วรยุทธขั้นนี้มาชั่วนาตาปี การเผยแพร่ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติในการซ่อมแซมสะพานเทวะของฉินมู่ ได้มอบความหวังแก่พวกเขาในการบรรลุเป็นเทพเจ้า
“เจ้าปล่อยผู้สูงศักดิ์ไปหรือ” ราชครูสันตินิรันดร์ถาม
ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจังระหว่างที่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา “ข้าได้ทำข้อตกลงว่าจะไม่คร่าชีวิตเขา แต่มันยากที่จะรั้งเขาเอาไว้โดยไม่ทุ่มสุดตัวเพื่อสังหารหมายชีวิต ความสามารถของผู้สูงศักดิ์ในวิชาหลบหนีนั้นไร้เทียมทานในโลกหล้า ข้าไม่เคยพบเห็นบุคคลที่ลื่นไหลขนาดนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างไร ข้าก็โชคดีได้ขาเขามาครึ่งหนึ่ง”
“ปล่อยเขาเพ่นพ่านอย่างอิสระนั้นจะก่อเภทภัยมากมายในอนาคต แม้แต่ข้าก็ไม่อาจต้านทานเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณของเขาได้ มีผู้คนน้อยนักที่รู้ชื่อจริงของข้า แต่หากว่าเขาไปที่สุสานแม่น้ำเพื่อตรวจสอบ เขาก็จะสามารถค้นพบ นามของจักรพรรดิเองก็ถูกสืบเสาะได้เช่นกัน” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม
ฉินมู่นำเอาเข็มเงินมากมายออกมาปัก จนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเม่น ระหว่างที่ปักเข็มเล่มสุดท้ายเข้าไปตรงหว่างคิ้ว เขาก็ยิ้มกล่าว “สำหรับข้า ผู้สูงศักดิ์มิใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป เทพเจ้าข้างหลังเขาเรียกว่าเทพหมอผีขุย เขาพ่ายแพ้แก่ผู้สูงศักดิ์และถูกฉีกร่างเนื้อกับจิตวิญญาณดั้งเดิมแยกออกจากกัน ผู้สูงศักดิ์ซ่อนกายเนื้อของเขาเอาไว้ในภูเขาหยางแห่งแดนโบราณวินาศ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไว้ในภูเขาหยิน ตราบเท่าที่พวกเรากำจัดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย พวกเราก็จะสามารถทำลายเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณของผู้สูงศักดิ์”
ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองเขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าผู้สูงศักดิ์ล่วงหน้าก่อนเจ้าไปก้าวหนึ่ง และย้ายสถานที่เก็บซ่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยล่ะ?”
ฉินมู่ตกตะลึง จากนั้นตบต้นขาของราชครูอย่างแรง จนทำให้คนโดนน้ำตาไหลจากความเจ็บปวด ฉินมู่รีบดึงมือของเขาออก และหลอมปรุงยาวิญญาณอีกสองเตา “วิชาแพทย์ของผู้สูงสูงศักดิ์ยอดเยี่ยมนัก ด้อยกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเสียขาไปครึ่งหนึ่งก็คงไม่ตายหรอก รอที่นี่เถอะ ข้าจะเดินทางไปภูเขาหยิน! อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วยล่ะ!”
ราชครูสันตินิรันดร์นำลูกแก้วเต่าดำออกมาและโยนไปให้เขา “เอามันไป เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น!”
ฉินมู่ทิ้งน้ำและอาหารไว้จำนวนสามสี่ถุงหนังก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกรและจากไปอย่างเร่งร้อน
ราชครูสันตินิรันดร์เอนพิงก้อนหินใหญ่และคิดอยากที่จะลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องทรุดลงไปนั่งใหม่ เขาหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและยิ้มขื่น “ข้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้อีกแล้ว…โชคยังดี เมื่อจ้าวลัทธิ ไอ้เด็กแสบนี่ ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ นางไม่ลงมือโจมตี ไม่อย่างนั้นข้าคงตายจากการเล่นคะนองของเขา…”
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวาติดแน่นในจิตใจ
ฉินมู่ได้วางลูกแก้วเต่าดำและลูกแก้วมังกรเขียวเข้าไปในมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทดสอบนาง แต่ทว่าเขามิได้คิดคำนึงเลยว่าราชครูสันตินิรันดร์อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เขาคาดหมายเอาไว้
เจ้าหมอนั่นมันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวราชครู เสียยิ่งกว่าที่ราชครูมีต่อตนเอง ระหว่างการเดินทางเคียงข้างฉินมู่ อันตรายก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
โชคดีที่ไอ้เด็กแสบหายไปแล้ว ภูเขาหยินอาจจะอันตราย แต่อยู่ใกล้ๆ เขานี่อันตรายกว่ามาก
ราชครูสันตินิรันดร์เอนกายลงเพื่อฟื้นฟูตนเอง ในขณะนั้น ข้างหลังก้อนหินใหญ่ที่เขาพิงอยู่ มวลทรายก็หมุนเป็นเกลียวอย่างเงียบงันและรวบรวมขึ้นมาก่อเป็นยักษ์ทราย
ราชครูสันตินิรันดร์ดูราวจะไม่สำเหนียกอะไร และเสียงกรนก็ดังมาจากคอของเขา แต่ทว่าดวงตาเขาค่อยๆ เปิดออกมา
เขาลอบยกมือขึ้นและดึงเอาเข็มเงินที่ฉินมู่ปักไว้บนหว่างคิ้วออก
มันมิใช่เข็มเงิน แต่เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง–กระบี่ไร้กังวล
ราชครูสันตินิรันดร์ถือมันไว้ด้วยดวงตาที่หรี่แคบ จากนั้นพลันแทงเข้าไปในก้อนหินข้างหลังเขา
ยักษ์ทรายกำลังแย้มยิ้มอยู่ในตอนนั้น พร้อมที่จะขย้ำเข้าใส่ กระบี่ไร้กังวลแทงทะลุหัวใจของมัน ด้วยเสียงปัง แสงกระบี่แปดพันเล่มยิงออกมาจากทุกทิศทาง ระเบิดออกจากในร่างของยักษ์ทราย!
กระบี่ไร้กังวลสั่นสะเทือน และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็บินกลับมาพร้อมกับมีโลหิตเทวะหยาดหยดจากปลายของพวกมัน กระบี่ทั้งหลายก่อตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นไจกระบี่อันมีขนาดเท่าผลส้ม
ราชครูสันตินิรันดร์เอนพิงก้อนหินต่อ ขณะที่ไจกระบี่นั้นลอยอ้อมก้อนหินวกกลับมาหาเขา
“ขอบใจ”
ราชครูสันตินิรันดร์แย้มยิ้มและดีดลูกกลมนั้นหนึ่งที มันพุ่งหวีดหวือและหายไปยังทิศไกลๆ
ข้างหลังก้อนหินใหญ่ ยักษ์ทรายนั้นค่อยๆ พังทลายลงขณะที่โลหิตเทวะหลั่งไหลอกจากมัน เลือดเริ่มนองย้อมพื้นมากขึ้นทุกทีๆ
กิเลนมังกรกำลังวิ่งตะบึงไปทางทิศตะวันออก พลันฉินมู่ก็ยื่นมือขึ้นและกวักเรียก ไจกระบี่พุ่งหวือมาวางอยู่บนมือของเขา กิเลนมังกรพลันทรุดยวบและเซแซ่ดๆ ไปสามสี่ก้าว
ฉินมู่ใส่ไจกระบี่ของเขาเข้าไปในถุงเต๋าตี้และแย้มยิ้ม “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตายสนิทในที่สุด”
ด้วยความตกตะลึง กิเลนมังกรร้องออกมา “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังมีชีวิตอยู่หรือ รอยประทับอัคคีบนร่างของท่านหายไป และเพลิงไฟในทะเลทรายก็มอดดับแล้วมิใช่หรือ แล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”
“นางกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ และทำเช่นนั้นเพื่อให้พวกเราคิดว่านางตายไปแล้ว ดังนั้นราชครูจึงเล่นไปตามบทราวกับว่าเขาก็คิดว่านางตายไปแล้ว แต่ทว่าเขาปรายตาเป็นสัญญาณบอกเตือนข้า ดังนั้นตอนที่ข้ารักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ได้แปรเปลี่ยนกระบี่ไร้กังวลให้เป็นเข็ม และปักมันไว้บนหว่างคิ้วของเขา”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “สาเหตุที่ราชครูมอบลูกแก้วเต่าดำให้แก่ข้าก็เพราะว่าเขากลัวว่ามันจะตกไปอยู่ในมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ทำให้นางรับมือยากเข้าไปใหญ่ บัดนี้นางตายสนิทแล้วจริงๆ หากว่าเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองหันกลับไปดู”
กิเลนมังกรรีบหันกลับไป และเห็นทะเลสีแดงฉานค่อยๆ แผ่ขยายออกมาด้วยความเร็วอันยิ่งยวด มันก่อขึ้นมาจากโลหิตเทวะและกำลังกลืนกินทะเลทราย พุ่งเข้ามาทางพวกเขา ภาพที่เห็นนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด!
กิเลนมังกรวิ่งหนี หลังจากแผ่มามากกว่าร้อยลี้ ทะเลแดงก็ไม่ขยายตัวอีกต่อไป
กิเลนมังกรถาม “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เลือดไหลเยอะขนาดนี้เลยหรือ”
“โลหิตเทวะของนางกลายกลับมาเป็นเลือดของปุถุชน ดังนั้นจึงย่อมมีมากมายเนืองนอง”
ฉินมู่ก็หันกลับไปดูและเห็นแสงตะวันหลากสีที่สาดส่องอยู่เหนือทะเลแดงฉาน บนชายฝั่งทะเล พืชพันธุ์วรรณาทั้งหลายต่างก็งอกงามอย่างบ้าคลั่ง เพราะถึงอย่างไร ต่อให้ที่รกร้างอย่างทะเลทรายก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาดอยู่
“มนุษย์ก็เหมือนกัน ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะร้ายกาจแค่ไหน พวกเขาก็จะค้นพบวิธีการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป!”
เขาเปิดเนตรสวรรค์ชาดเพื่อมองไปที่ไกลๆ เรือตะวันอันแตกพังเป็นชิ้นๆ ได้กลายเป็นเกาะที่ใจกลางทะเลแดง ราชครูสันตินิรันดร์ได้ปีนขึ้นไปบนนั้นและไม่จมลงไปในทะเลเลือด
“อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลานะ” ฉินมู่โบกมือให้เขา จากนั้นก็ให้กิเลนมังกรเดินทางจากไป
ผานกงสั่วห้ามเลือดของตนเองขณะที่นั่งอยู่บนกองหญ้าหางแมวอันถูกลมหอบเหาะข้ามฟ้าไป เมื่อเขามาถึงแดนโบราณวินาศ นั่นก็ผ่านมาสามวันแล้ว และท้องฟ้าก็กำลังจะมืด
ระหว่างช่วงสามวันนี้ เขาได้เยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่ทว่าขาขวาท่อนล่างของเขาถูกฉินมู่ตัดสะบั้นไป การเคลื่อนไหวของเขาจึงยากลำบาก
ผานกงสั่วมองไปรอบๆ และสายตาของเขาก็เป็นประกาย เขาเดินตามฝูงสัตว์พิสดารและมายังซากโบราณแห่งหนึ่งก่อนที่ความมืดจะร่วงลงมา
ฉัวะ!
ผานกงสั่วเงื้อมือขึ้นตัดขาของกวางตัวหนึ่ง สัตว์พิสดารนี้ร้องคำรามออกมา ส่งเสียงข่มขู่
ผานกงสั่วเปิดถุงเต๋าตี้ของเขา และฝูงแมลงวิญญาณก็บินออกมา เขายิ้มหยัน “พวกเจ้ากล้ารังแกข้าหรือ ไอ้พวกสัตว์เถื่อน ข้าทำอะไรไอ้เด็กแซ่ฉินไม่ได้ แต่จะฆ่าพวกเจ้าให้หมดนั้นง่ายนิดเดียว!”
สัตว์พิสดารตัวอื่นๆ มองไปที่แมลงวิญญาณอันบินว่อนไปทั่วและไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามดาหน้าออกมา
“ผู้สูงศักดิ์นี่ช่างเขื่องโขเสียจริง” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากซากโบราณ กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “การที่ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันต้องมาตกต่ำถึงขั้นเบียดเบียนรังแกฝูงสัตว์พิสดาร น่าขำอะไรอย่างนี้”
“เจ้าเป็นใคร”
ผานกงสั่วรีบต่อขากวางนั้นเข้ากับขาที่ขาดไปของตนเอง โดยไม่ใส่ใจจะพิถีพิถัน เขารีบลุกขึ้นยืนและเห็นหีบใบหนึ่งลอยออกมาจากส่วนลึกของซากโบราณ
ปัง
หีบนั้นเปิดออก และขาสองข้างวิ่งออกมาจากข้างในนั้น พวกมันตามมาด้วยแขนสองข้าง และส่วนลำตัวอันประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเป็นร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่ง
มันเดินตรงไปยังหีบและนำหัวหนึ่งมาวางต่อที่คอของมัน
“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าจดจำสหายเก่าไม่ได้หรือ” ร่างอันพิลึกกึกกือนั้นหันกลับมา และมันก็คือเด็กหนุ่มหล่อเหลาหน้าขาวปากแดง บนเรียวปากของเขามีรอยยิ้มชวนลุ่มหลงประดับอยู่
ผานกงสั่วสีหน้าซีดเผือดราวขี้เถ้า
………………………….
ผานกงสั่วพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้ ข้อเสนอของฉินมู่นั้นนับว่าจริงใจ แต่ก็ซ่อนเงื่อนอันร้ายกาจไว้เช่นกัน หากว่าผานกงสั่วผิดคำสาบาน ก็จะเท่ากับทำให้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณของเขากลายเป็นไร้ประโยชน์
หากว่าเขาร่ายมัน เขาก็จะตายในทันที
เมื่อวิชานี้ไร้ประโยชน์ กำลังฝีมือของเขาก็จะไม่น่าสะพรึงกลัวอีกต่อไป ทักษะเทวะของเขาก็จะกลายเป็นสาบสูญ ในเมื่อไม่มีใครสามารถใช้มันได้อีก
ตัวตนและระดับภัยคุกคามของผานกงสั่วก็จะลดลงเป็นอย่างมาก
อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ฉินมู่สามารถเป็นคู่ต่อสู้กับผานกงสั่ว และต่อยตีเขาเสียน่วมยับเยินได้ นั่นก็เพราะว่าเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณไม่มีผลต่อเขา
หากว่าผานกงสั่วเผชิญหน้ากับคนอื่น แม้ว่าคนผู้นั้นจะมีขั้นวรยุทธที่สูงกว่าหนึ่งหรือสองขั้น พวกเขาก็ยังจะต้องตายภายใต้วิชานี้ ไม่มีผลลัพธ์อื่น!
มีก็แต่คนที่ใช้ชื่อปลอมอย่างฉินมู่ที่สามารถต้านทานการโจมตีอันร้ายกาจที่สุดของผานกงสั่วได้ และบีบให้อีกฝ่ายต้องสู้กับเขาด้วยตนเอง
“ตกลง!” ผานกงสั่วกล่าวโดยไม่ลังเล “พวกเรามาทำสัตยาบันต่อเทพหมอผีขุย!”
เขาพลันขับเคลื่อนเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณ และก็ปรากฏแท่นสังเวยเบื้องหลังเขา บนนั้นคือรูปเงาของเทพหมอผีขุย
ทั้งคู่รีบกระทำสัตยาบันเทพหมอผีขุยโดยพลัน แต่ละฝ่ายต่างก็วิเคราะห์คำสาบานของฝ่ายตรงข้ามว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง พวกเขาพลันพบว่าอีกฝ่ายนั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เหลือช่องโหว่ทิ้งเอาไว้มากนัก และช่องโหว่ที่ทิ้งเอาไว้ก็เป็นกับดัก
จิ้งจอกเฒ่า จิ้งจอกน้อย ทั้งสองคนต่างก็ด่าทออีกฝ่ายในใจ
ผานกงสั่วระบายลมหายใจสั่นสะท้านและกล่าว “ข้าซ่อนร่างเนื้อของเทพหมอผีขุยเอาไว้ในภูเขาหยางอันตั้งอยู่ที่สุดทิศใต้ของแดนโบราณวินาศ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาถูกสะกดเอาไว้ที่ภูเขาหยินอันตั้งอยู่ที่สุดทิศเหนือ หากว่าเจ้าไปยังสองสถานที่นี้ ก็จะสามารถพบเจอได้ เขาเงยหน้าขึ้นมองฉินมู่นอกกระจก “จ้าวลัทธิฉิน เจ้าควรจะทำตามข้อตกลง”
“เจ้าน่าจะวางเวทปิดผนึกเอาไว้เยอะอยู่สินะ? ทำไมไม่บอกเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยล่ะ”
ผานกงสั่วยิ้มให้แก่เขาในแบบที่ไม่เชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิ สัตยาบันระหว่างเราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้ข้าบอก เจ้าก็จะเชื่อข้าหรือ”
ฉินมู่อ้าปากหาว ใบหน้ายังเต็มด้วยรอยยิ้ม “ข้าย่อมไม่กล้าเชื่อ แต่ข้าบอกว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า ก็ไม่ได้หมายความว่าราชครูสันตินิรันดร์จะไม่สังหารเจ้า”
ผานกงสั่วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง และพลันแปลงกายเป็นเงาดำที่มุดออกมาจากกระจก และแปลงกลับเป็นร่างเดิม เขาแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ราชครูสันตินิรันดร์ยังต่อสู้ติดพันกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และทั้งสองคนก็กำลังขับเคี่ยวคับขัน กำลังฝีมือของพวกเขาทัดเทียมกัน ยากจะตัดสินแพ้ชนะ”
เขาเดินวนอ้อมฉินมู่สองรอบ จากนั้นพลันโจมตีพลางหัวเราะในคอ “จ้าวลัทธิฉิน สัตยาบันของพวกเราระบุว่าเจ้าจะปล่อยข้าไปและไม่สังหารข้า แต่ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าข้ามิอาจฉวยโอกาสนี้โจมตีเจ้า!”
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยพลัน เขารีบล่าถอยอย่างรวดเร็ว ผานกงสั่วโจมตีอย่างบ้าคลั่ง พลางหัวเราะด้วยเสียงอันดัง กระบวนท่าและรูปร่างของเขาถูกช่วงใช้ตามใจปรารถนา และความอัปยศอดสูก่อนหน้าก็หายวับไปราวปลิดทิ้ง
ฉินมู่พบว่ายากที่จะป้องกัน ความแตกต่างระหว่างทั้งคู่ไม่มากเท่าไร ดังนั้นหากว่าผานกงสั่วโจมตีต่อไปเรื่อยๆ และเขาก็ยังป้องกันต่อไปเรื่อยๆ ผานกงสั่วก็จะชิงชัยได้เปรียบ และความได้เปรียบนี้ก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นทุกที!
ในท้ายที่สุด ฉินมู่ก็อาจจะตกตายในน้ำมือของเขา!
“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่พลันชักกระบี่ของเขาออกมา และโต้กลับไปด้วยรอยยิ้ม “สัตยาบันของข้าระบุว่าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่มิได้หมายความว่าข้าจะไม่สะบั้นแขนขาเจ้าสักสองสามข้าง! ไม่ต้องห่วง น้องชาย ข้าเชี่ยวชาญในวิชาเยียวยาอย่างสุดๆ ต่อให้ข้าตัดหัวเจ้าออกไป ข้าก็ยังสามารถรักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ได้แน่นอน อย่างมากข้าก็เอาหัวเจ้าไปต่อกับสุกร!”
ผานกงสั่วแทบโดนตัดแขนไปข้าง และรีบล่าถอยออกไปทันที โทสะพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเขา “ไอ้ลูกเต่า!”
“ไอ้ลูกเต่า!” ฉินมู่เองก็โมโหเดือด “เจ้าเองก็แอบซ่อนเพทุบาย รอประทุษร้ายข้าเหมือนกันไม่ใช่หรืออย่างไร”
ผานกงสั่วหลบทางนั้นทีทางนี้ทีด้วยความร้อนรน จากนั้นก็ตบถุงเต๋าตี้ของเขา อันยิงกล่องกระบี่ออกมา กระบี่บินพรั่งพรูขึ้นไปบนท้องฟ้าและแปรเปลี่ยนเป็นนิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า
เจ็ดบัวทองวิจิตรพิสดาร รัชสมัยอันกระจ่างและรื่นรมย์!
นี่คือเพลงกระบี่ในวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของกระบี่เต๋าแห่งสำนักเต๋า กระบี่ทั้งหลายบินเข้าไปในดวงดาวทั้งเจ็ด พวกมันแปรเปลี่ยนเป็นดอกบัวเจ็ดดอก อันรองรับธาตุทั้งห้าและสุริยันจันทรา ทักษะนี้มีพลานุภาพรุนแรงอย่างผิดธรรมดา
ฉินมู่ตะโกนออกไปและใช้นิพนธ์ที่หกแห่งกระบี่เต๋า เพลงกระบี่ทั้งสองปะทะกันส่งให้ผานกงสั่ว กระเด็นไปข้างหลัง เขาพลันมุดเข้าไปในดิน และฉินมู่ก็พุ่งไปข้างหน้าพลางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มังกรอ้วน เดี๋ยวข้าจะทำให้มันบาดเจ็บ แล้วเจ้าไปฆ่ามัน!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น ก็มุดดำดินตามไปด้วย
ที่ไกลๆ นั้น กิเลนมังกรคอยดูอยู่ห่างๆ โดยมิได้เข้ามาใกล้ เมื่อเขาได้ยินคำสั่งของฉินมู่ เขาก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยหน้าตาตื่น
แต่เมื่อเพิ่งมาถึงจุดที่ฉินมู่และผานกงสั่วหายไป ทะเลทรายก็ระเบิดตูมห่างออกไปสิบลี้เมื่อมีเงาร่างทั้งสองพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ขณะที่กิเลนมังกรวิ่งไปถึงจุดนั้น ทั้งสองคนก็มีอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกลกะพริบรอบร่าง และก็หายวับ
เมื่อทั้งคู่ปรากฏขึ้นมาใหม่ พวกเขาก็อยู่ห่างออกไปอีกสิบลี้อีกครั้ง และกระบี่ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกเขาปะทะประมือกัน
“สองคนนั่นหนีเอาชีวิตเก่งจนจะเป็นภูตผีอยู่แล้ว เช่นนั้นข้าจะไปตามพวกเขาทันได้อย่างไร” กิเลนมังกรบ่นพึม
ขณะที่เขากำลังจะไล่ตามไปอีกครั้ง เงาร่างของฉินมู่และผานกงสั่วก็หายวับ กระบี่ปะทะกันส่งประกายไฟกระเด็นไปทั่วฟากฟ้า ทำให้แสงโลหิตกระจายออกไปทั่วทิศ
“จ้าวลัทธิ หยุดวิ่งได้แล้ว!” กิเลนมังกรมองตรงไป และสีหน้าเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาตะโกน “นั่นมันเป็นสนามต่อสู้ของราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์แท้!”
ฉินมู่ไล่ล่าผานกงสั่วซึ่งคิดแต่จะหนีเอาชีวิตรอด เขากัดฟันบุกเข้าไปในพายุทราย
ฉินมู่ก็เข้ามายังที่อันลมพัดกระหึ่ม เป่าเม็ดทรายให้ปั่นป่วนเป็นพายุอันน่าสะพรึงกลัว ฟ้าแลบพุ่งแปลบปลาบและฟ้าคำรามก็กึกก้องในพายุทราย ขณะที่เม็ดทรายทั้งหลายราวกับอาวุธวิญญาณชิ้นเล็กๆ แทบจะเฉือนเข้าไปผิวหนังของเขา มันเจ็บแสบเป็นอย่างยิ่ง
“กายามังกรแท้จ้าวแดนดิน!” ฉินมู่ตะโกนออกไป
เขาเผยผลลัพธ์ของการหลอมรวมวิชาเก้ามังกรราชันย์เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ ปราณชีวิตของเขาประดุจมังกรตัวหนึ่งที่กระหวัดรัดพันรอบๆ ร่างกายของเขา เส้นเลือดของเขามีโลหิตไหลเชี่ยวมาอย่างไม่หยุดยั้ง กล้ามเนื้อของเขาระเบิดออกไปข้างนอกราวกับฟ้าแลบและฟ้าร้องเมื่อมันเคลื่อนไหวไป
ทรายในกระแสลมปะทะกับร่างกายเขาและกระเด็นออก เขาไม่รู้สึกเจ็บมากมายอีกต่อไป
ลำแสงสองลำพวยพุ่งออกจากดวงตา และไม่ทันที่เม็ดทรายจะเข้ามาถึงดวงตาของเขา มันก็ระเหิดหายไปจากแสงเทวะ
ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่สายตาของเขามองไปได้ไม่ไกล ถึงกระนั้น ผานกงสั่วก็อยู่ไม่ไกล ฉินมู่พุ่งไปโจมตีเขาทันที ข้างใต้เท้าผานกงสั่วนั้นเป็นโล่ใหญ่อันมีรอยประทับรูปเต่า พวกมันเปล่งแสงขึ้นมา และลวดลายกระดองเต่าอันยิ่งใหญ่อลังการก็ปรากฏขึ้นรอบๆ กายของเขา ป้องกันเขาเอาไว้เป็นชั้นๆ
จำนวนสมบัติวิเศษที่เขามีไว้ในครอบครอง นับว่าเกินจินตนาการ
เมื่อราชครูสันตินิรันดร์รุกรานวังทองโหรวหลัน ผานกงสั่วคงจะได้ขนย้ายสมบัติวิญญาณส่วนใหญ่อันเขารวบรวมเอาไว้ตลอดกว่าหมื่นปีออกมา เห็นได้ชัดว่าโล่ลายกระดองเต่านี้เป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
บุรุษทั้งสองพบว่าท่ามกลางพายุทรายอันดุเดือดเช่นนี้ พวกเขายากที่จะทรงตัว และร่างกายของเขาพวกเขาถูกซัดกวาดไปรอบๆ ด้วยกระแสลมรุนแรง แม้แต่อาวุธวิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถบินออกไปได้ไกล มิเช่นนั้นมันจะถูกเป่าหาย
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงในทะเลทรายลงมาระหว่างพวกเขาทั้งสอง ทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวได้กวาดซัดมา และทั้งสองก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่จะถูกดีดกระเด็นขึ้นไป มันมีการกระเพื่อมไหวในห้วงมิติที่บางครั้งก็สูง บางครั้งก็ต่ำ ร่างกายของพวกเขาบางทีก็ถูกยืดออก และบางทีก็ถูกบีบอัดเข้าไป แปรเปลี่ยนจากสูงสิบแปดคืบ เป็นเตี้ยห้าคืบ ยากจะทานทน
ฟิ้ววว!
ดวงตะวันสีดำกลิ้งผ่านพวกเขาไป ยังคงพวยพุ่งไปด้วยความร้อนมหาศาล เผาทรายและพายุลมในบริเวณรอบๆ เปลวเพลิงพลันเปลี่ยนเป็นพายุหมุนอัคคีที่ทั้งรวดเร็วทั้งเกรี้ยวกราด
ฉินมู่และผานกงสั่วไม่อาจยืนได้มั่น และถูกกวาดซัดเข้าไปในนั้น พายุหมุนไฟอันหนาแน่นอย่างไร้ที่เปรียบ หมุนติ้วอย่างรวดเร็วสุดกู่ และซัดพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า
ติง ติง ติง
เสียงกระบี่ปะทะกันมากกว่าร้อยครั้ง จนกระทั่งการผ่าขนานพื้นของกระบี่หนึ่งสามารถเฉือนผ่าพายุหมุนอัคคีได้ ร่างของฉินมู่และผานกงสั่วหมุนอย่างเร็วจี๋ แต่ไม่ทันที่พวกเขาจะตั้งหลัก งูทรายอันหนากว่าร้อยห้าสิบวาก็อ้าปากคำรามจนหูอื้ออึง ก่อนที่จะอ้าปากฉกใส่พวกเขา
ฉินมู่วิ่งตะบึงอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่ผานกงสั่วกลิ้งตลบๆ ไปในอากาศอีกข้างหนึ่ง เขาหลบงูทรายตัวหนาใหญ่นี้ได้อย่างเฉียดฉิว และได้ยินเสียงครืนครันเมื่ออสรพิษทรายมุดเข้าไปในใต้ดิน ทำให้ทั้งสองคนกระอักเลือดจากแรงสั่นสะเทือน
การสัประยุทธ์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้และราชครูสันตินิรันดร์นั้นดุเดือดจนเกินไป เด็กหนุ่มทั้งสองไม่อาจทานทนแรงสะเทือนปลายหางที่เกิดจากเทพเจ้าทั้งสองตนนี้ และอาจจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ทุกเมื่อในพายุทราย
ผานกงสั่วพุ่งออกไปจากพายุทรายหลังจากที่หลบหลีกงูทรายตัวนั้น แต่ทว่า ในพริบตานั้น เสียงฝีเท้าอันดังสนั่นหวั่นไหวก็ก้องมา ฉินมู่และผานกงสั่วได้แต่ยืนตะลึง
แผ่นดินใหญ่มหึมากำลังเคลื่อนที่ไปในทะเลทราย ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ห้วงมิติก็จะหดรัดและสร้างคลื่นกระเพื่อมจากการสั่นสะเทือน
อวกาศนั้นมิอาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อมันถูกเรือตะวันบีบอัดเข้าไป ผู้คนก็จะสามารถมองเห็นคลื่นกระเพื่อมของอวกาศได้อย่างชัดตา!
“หนี–” ผานกงสั่วกรีดร้อง แต่เสียงของเขาถูกกลบหายในพายุทราย
ฉินมู่พยายามจะวิ่งหนี แต่ถึงแม้ว่าเขาจะใช้ขาเทวะขโมยสวรรค์ของเฒ่าเป๋ เขาก็มิอาจวิ่งได้เร็ว สายลมนั้นรุนแรงจนเกินไป
รัศมีเทวะอันกล้าแกร่งไร้เทียมทานแผ่พุ่งออกมา และทั้งสองคนก็กระอักเลือดจากแรงกระแทก แม้แต่กายามังกรแท้จ้าวแดนดินของฉินมู่ และโล่กระดองเต่าของผานกงสั่วก็ไม่อาจต้านทานได้
พึงรู้ว่าวรยุทธของทั้งสองคนอยู่ที่ระดับสุดขีดขั้วของขั้นเจ็ดดาว พวกเขาขาดอีกหนึ่งก้าวก็จะเข้าสู่ขั้นชาวสวรรค์ แต่รัศมีเทวะจากพายุทรายก็ยังแข็งแกร่งเกินจะรับไหว
ปัง ปัง
ฉินมู่ติดไปกับเท้าข้างหนึ่งของเรือตะวันและหลุดออกไปไม่ได้ ใบหน้าเขาย่นยู่ไปหมดจากกระแสลมรุนแรง และการยืดขยายของห้วงอวกาศก็ทำให้ร่างของเขาเหยียดยาวกว่ายี่สิบคืบ ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าสมองของเขากลายเป็นละเอียดและแหลมคม แม้กระทั่งจักษุผัสสะก็กลายเป็นแปลกประหลาด
ข้างๆ เขาคือผานกงสั่วที่ถูกยืดเป็นบะหมี่เส้นยาวด้วยเหมือนกัน และอีกฝ่ายนั้นก็คว้าจับขาอีกข้างของเรือตะวันด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
หลังจากคลื่นระลอกนี้ พลังลมก็ลดถอยลงไป และร่างกายของพวกเขาก็กระเด้งกลับ ฉินมู่ยกกระบี่ด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อให้มันหมุนเกลียวอย่างรวดเร็ว เฉือนฟันไปตามขาของเรือตะวันไปยังศัตรูของเขา
ผานกงสั่วเหยียบขึ้นไปบนโล่กระดองเต่าและยกกระบี่ขึ้นมาปัดป้อง เขาครางเสียงหนักและเกิดรอยแผลตัดลึกที่ขาของเขา
ตูม!
คลื่นกระเพื่อมมาจากเรือตะวันอีกครั้ง และคราวนี้มันแผ่พุ่งออกไปข้างนอก สะท้อนทั้งสองคนให้กระเด็นออกไป จากนั้นก็บีบอัดทั้งคู่ให้เป็นลูกกลมๆ สองลูก
ในเวลานั้น ฉินมู่เห็นแสงกระบี่พุ่งเฉือนผ่านพายุทราย ราชครูสันตินิรันดร์เดินขึ้นไปบนเรือตะวันท่ามกลางแรงสะเทือนอันร้ายกาจ และแสงกระบี่ของเขาก็สะบั้นศีรษะของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ปักหลักอยู่ใจกลางเสาทั้งสี่ แต่ทว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็เผยยิ้มโหดเหี้ยมออกมาในจังหวะนั้น และดวงตะวันดำมหึมาก็ฟาดลงมาจากด้านหลังของราชครู
ดวงตะวันดำบดขยี้แทบจะทุกสิ่งทุกอย่างบนเรือตะวัน และกลิ้งไปจนสุดเรืออีกฟาก พลิกแกว่งเรือตะวันให้สะดุดเซไปหลายก้าว ก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด
ฉินมู่ถูกพายุอันสะท้านขวัญนี้ยกลอยขึ้นไป อันมันก็ยังพวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง กวาดซัดและกลบกลืนทะเลทรายเพลิงโหมมากขึ้นทุกที แม้แต่กิเลนมังกรก็ถูกเป่าขึ้นไปและดิ้นรนอย่างไร้ผล ไม่นานนักเขาและฉินมู่ก็ได้แต่ยอมจำนนชะตาและปล่อยให้พายุเป่าพวกเขาไปยังทิศไกลๆ
…………………………………..
ผานกงสั่วยืนอยู่ใจกลางกระจก เขาเห็นพื้นผิวร้าวและแตกหักทั้งหมดราวกับแผ่นดินโปร่งใสอันแตกร้าวไปทั่วซึ่งมีช่องว่างระหว่างกันห่างไกลอันมิอาจข้ามไปได้
กระจกของเขาเป็นสมบัติแปลกพิสดารที่เขาได้มาจากแดนโบราณวินาศ โลกข้างในกระจกสามารถซ้อนทับกับโลกจริง และไม่มีใครค้นพบมันได้ ข้อเสียเดียวของมันก็คือ ไม่สามารถใช้ทักษะเทวะข้างในนั้นได้
ในอดีต ผานกงสั่วใช้สมบัติเป็นเครื่องมือในการหลบหนีอยู่เสมอ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาลงเอยด้วยการติดกับอยู่ในกระจก
ตอนนี้เขาไม่อาจหลบหนีได้อีกต่อไป ฉินมู่ได้สะบั้นเชือกของเขา ดังนั้นทางเดียวที่เหลือก็คือกระโดดออกไปจากกระจก แต่หากว่าเขาพยายามทำเช่นนั้น เขาก็จะถูกแทงทะลุหัวใจตายคาที่
“จ้าวลัทธิฉินไม่ได้มาที่นี่เพื่อสังหารข้า แต่มาเพื่อสนทนาอย่างนั้นหรือ” ผานกงสั่วละความคิดที่จะหลบหนีและลองถามหยั่งเชิง “ทำไมเจ้าไม่พูดให้ไวกว่านี้เล่า”
ฉินมู่มองไปยังผานกงสั่วในกระจกและไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “ข้ามีโอกาสพูดเมื่อไหร่ล่ะ ในพริบตาที่เจ้าเห็นข้า เจ้าก็ทำเป็นดุดันและพยายามสังหารข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ต้องป้องกันตนเอง อันที่จริงแล้ว ตอนที่เราพบกันเมื่อครู่นี้ ข้าก็พูดนี่ว่า สหายจากแดนไกลมาจากเยือนเจ้า นี่ไม่น่ารื่นรมย์หรอกหรือ ใช่ไหม เจ้าก็น่าจะฟังแล้วรู้ว่าข้ามาเพื่อรำลึกความหลังกับเจ้า ไม่ได้มาเพื่อเข่นฆ่า แล้วเจ้าจะดิ้นรนไปมากมายอย่างนี้เพื่ออะไร”
ผานกงสั่วแทบจะกระอักเลือดตาย ไอ้เด็กเปรตนี่พูดอยู่ชัดๆ ว่า สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย เขาพูดคำว่ารื่นรมย์เมื่อไหร่กัน
แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมาถกเถียงเรื่องการใช้คำ ในเมื่อชีวิตของเขาตกอยู่ในกำมือของไอ้เด็กร้ายกาจนี่ ทำตามใจเขาก็คงจะดีที่สุด
“จ้าวลัทธิฉินนั้นสูงส่ง เปี่ยมเมตตา และมีจิตใจกว้างขวาง อันข้าชื่นชมมาตลอด น้องชายผู้นี้เพียงแต่หยอกเย้ากับท่านเล่นเมื่อครู่ ข้าเพียงแต่อยากได้ประจักษ์ถึงทักษะและพลานุภาพของจ้าวลัทธิเท่านั้น ท่านนั้นเลิศล้ำเหนือธรรมดา ข้ายอมรับทั้งกายและใจ” ผานกงสั่วเช็ดเลือดที่ย้อยออกมาจากมุมปาก และนั่งลงด้วยรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิอุตส่าห์เดินทางไกลมาถึงนี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดจะปรึกษาหารือ”
“เทพตนนั้นที่อยู่ข้างหลังเจ้า” ฉินมู่ยกกระจกขึ้นมาด้วยใบหน้าเกลื่อนยิ้ม “ราชครูและข้าอยากไปจะไปพบกับเขาและน้อมคารวะผู้อาวุโสรุ่นก่อนอันศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่แน่ใจว่าผู้สูงศักดิ์จะมอบโอกาสล้ำค่านั้นให้พวกเราได้หรือไม่”
ผานกงสั่วสีหน้าแปรเปลี่ยน
เทพข้างหลังเขานั้นมิใช่ใดอื่น นอกเสียจากเทพเจ้าที่ปรากฏขึ้นมาเมื่อเขาขับเคลื่อนเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ!
ฉินมู่ถามตำแหน่งที่อยู่ของเทพเจ้านั้นย่อมมิใช่การตามไปคารวะอย่างแน่นอน เขาเตรียมที่จะรวบรวมกำลังทั้งหลายมาเพื่อกำจัดเทพนั้น!
“จ้าวลัทธิฉิน กษัตริย์มนุษย์ฉิน ข้าจะไปรู้จักกับตัวตนเช่นนั้นได้อย่างไร” ผานกงสั่วหัวร่อออกมาทันที “ท่านก็รู้ว่าฝีมือความสามารถของข้าเป็นอย่างไร ตัวตนอันต่ำต้อยอย่างข้า จ้าวลัทธิใช้มือข้างเดียวก็ตบข้าได้ทีละสองคน แล้วอย่างนั้นข้าจะไปรู้จักเทพเจ้าที่ไหนกันเล่า ส่วนตำแหน่งที่ตั้งของเขา นั่นก็เป็นสิ่งที่มดปลวกอย่างข้าไม่อาจจะล่วงรู้ได้ จ้าวลัทธิโปรดพิจารณา!”
ฉินมู่ถือกระจก และใช้กระบี่ของเขาแทงไปยังทรายรอบๆ เขากล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ผู้สูงศักดิ์กล่าวว่าเขาไม่รู้จักเทพเจ้าตนใดๆ แต่นี่มันคือเรื่องโกหกอย่างชัดเจน หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใด และเจ้าจะเชื้อเชิญผู้คนจากเหนือฟ้ามาจัดการข้าได้อย่างไร เจ้าจะล่อซวีเซิงฮวาออกมาได้อย่างไร หากว่าเจ้าไม่รู้จักเทพตนใดๆ เจ้าจะจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้อย่างไร”
“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าและข้าก็ไม่ใช่เด็กๆ กันแล้ว ดังนั้นอย่าพูดอ้อมค้อมกันเลยดีกว่า ตัวเจ้าเองไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ที่จะรู้จักเทพเจ้าใดๆ ก็จริง แต่ผู้ที่หนุนหลังเจ้าอยู่มีศักดิ์และสิทธิ์นั้น ทั้งเจ้าก็ยังใกล้ชิดกับเขา เงารูปของเทพเจ้าที่ปรากฏเบื้องหลังเจ้าตอนที่เจ้าสักการะดวงวิญญาณ เทพตนนั้นน่าจะเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือมิเช่นนั้นก็เป็นปรมาจารย์ของเจ้า ใช่หรือไม่”
ผานกงสั่วมองไปที่กระบี่ซึ่งแทงปักลงมาบนทราย และสีหน้าของเขาเดี๋ยวก็ซีดเผือดเดี๋ยวก็มืดคล้ำ ทันใดนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปๆ มาๆ ในกระจกระหว่างที่เขากำลังตัดสินใจในเรื่องอันยากเย็น
ทุกผู้คนกล่าวว่าเขาคือผู้ก่อตั้งวังทองโหรวหลัน แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีอีกบุคคลหนึ่งที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วย ในครั้งกระโน้น เมื่อเทพเจ้าอันเขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งได้ก่อตั้งวังโหรวหลันขึ้นมา และมันก็ตกมาถึงมือเขาด้วยเหตุโอกาสอื่นๆ
ในอดีตนั้นมีเรื่องน่าอดสูมากมาย
“เขาเป็นอาจารย์ของข้า” ผานกงสั่วหยุดเดินและเงยศีรษะขึ้นมองฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก “เจ้าเดาถูก สาเหตุที่ข้ามีเส้นสายกับเหนือฟ้าและสามารถจดจำมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้นั่นก็เพราะว่าเขาผู้นั้น แต่ทว่า ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าไปตอแยเขาจะดีกว่า เขานั้นชั่วร้ายจนเกินไป!”
หางตาของเขากระตุกอย่างรุนแรงเมื่อเขากล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิน่าจะรู้ว่า ตัวข้านั้นนับได้ว่าเป็นคนชั่วคนหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้วข้าจืดไปเลย ข้าเป็นศิษย์ของเขา แต่ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ ข้าก็ต้องหยิบยืมพลังของเขา เจ้ารู้ใช่ไหม ทุกๆ ครั้งที่ข้าใช้มนตร์หมอผีนี้ ข้าก็จะสูญเสียอายุขัยไปจำนวนหนึ่ง! ฮี่ๆ หากว่าแม้แต่ศิษย์เขาก็ยังทำเช่นนี้ แล้วกับคนอื่นๆ ล่ะ? นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าไม่ค่อยจะอยากใช้ทักษะเทวะหมอผีดังกล่าว”
สีหน้าฉินมู่แปรเปลี่ยนไปโดยพลัน ผานกงสั่วถึงกับเรียกคนอื่นว่าชั่วร้ายได้? นี่นับว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันเกินจินตนาการที่ผู้คนไม่อาจเชื่อหู!
ในด้านความชั่วของทั้งโลกหล้านี้ มีใครเหนือล้ำกว่าผานกงสั่วผู้ซึ่งวางยาพิษใส่ทุ่งหญ้า และสังหารชาวเผ่าเร่ร่อนผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนได้
“ข้าเองก็ไม่รู้ชื่อจริงของเขา ข้ารู้แต่ฉายา” ผานกงสั่วกล่าว “คนอื่นๆ เรียกเขาว่าเทพหมอผีขุย ข้าคิดว่าเขาน่าจะมีแซ่ขุย แต่ผู้คนในสายวิชาของพวกเราน้อยนักที่จะเผยชื่อและแซ่อันแท้จริง ดังนั้นแซ่ของเขาก็อาจจะไม่จริงเช่นกัน”
“เทพหมอผีขุย?”
ฉินมู่ตะลึงไป ขุยนั้นเป็นแซ่แซ่หนึ่งจริงๆ แต่ขุยในเทพหมอผีขุยอาจจะไม่ใช่แซ่ ขุยโดยความหมายของมันสามารถแปลว่าใบหูหรือภูตผีก็ได้ หรือว่ามันจะไม่ใช่แซ่แต่เป็นนามของเผ่าพันธุ์
หากว่าเป็นเช่นนั้น เทพหมอผีขุยน่าจะเป็นภูตผีตนหนึ่ง
“ถึงอย่างไร เจ้าลัทธิจะไปค้นหาตัวเขาก็คงจะเป็นไปไม่ได้” ผานกงสั่วกล่าว “เขามาจากโลกอื่นและจากไปแต่เนิ่นๆ ในชาติภพแรกของข้า”
ฉินมู่สังเกตสังกาใบหน้าของผานกงสั่วในกระจก อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับโกหก “จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นต้องสงสัยข้า ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม ความเป็นตายของข้าอยู่ในกำมือของเจ้า ดังนั้นข้าโกหกเจ้าไปก็ไม่ได้อะไรหรอก”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วแย้มยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าโกหกข้าอีกแล้วนะ”
“ข้าไปโกหกเจ้าเมื่อไหร่” ผานกงสั่วยิ้มฝืนอย่างจนปัญญา
“หากว่าเขาจากไปแล้วจริงๆ ทำไมเจ้ายังร่ายเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณได้อีกล่ะ รูปเงาข้างหลังเจ้า นั่นมิใช่รูปเงาของจิตวิญญาณดั้งเดิมเขาหรอกหรือ” ฉินมู่ยิ้มกริ่ม “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือว่าเขามีความสามารถที่จะฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมของตนมาจากโลกอื่นได้ หากว่าเขามีความสามารถเช่นนี้ ทวยเทพในแดนเบื้องบนก็คงไม่ต้องลำบากลำบนโดยส่งร่างที่แข็งเป็นหินของพวกเขามาก่อน เพื่อให้เทพเจ้าจากเหนือฟ้าไปกระตุ้นการทำงานของโบราณวัตถุเทวะทำลายล้างโลกหรอก”
ผานกงสั่วสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
ฉินมู่มองไปยังเด็กหนุ่มที่อายุน้อยยิ่งกว่าเขา และกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงการอัญเชิญของเจ้าและฉายส่องรูปเงาของเขามาเพื่อสังหารผู้อื่นโดยการสักการะ ข้าไม่คิดว่าเทพที่ไหนจะมีเวลาว่างขนาดนี้ และข้าก็ไม่คิดว่าเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณควรถูกร่ายออกมาเช่นนี้ด้วย หากว่าวันไหนเขาอารมณ์ไม่ดี และตัดสินใจที่จะไม่ฉายส่องรูปเงาของเขามา เจ้าจะไม่เพลี่ยงพล้ำเสียทีไปหรอกหรือ ผู้สูงศักดิ์ พวกเราก็ล้วนแต่เป็นคนฉลาด ดังนั้นบอกความจริงข้ามา แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้ารอดชีวิต”
ผานกงสั่วสีหน้าวูบวาบ จากนั้นเขาก็พลันหัวร่อด้วยเสียงอันดัง และปรบมือเข้าด้วยกัน “สมแล้วที่เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้ามองเป็นศัตรูตามจองล้าง จะหลอกเจ้าน่ะไม่ง่ายเลยสักนิด ใช่แล้ว เขามิได้จากไป เขากะว่าจะจากไป แต่ข้าได้วางแผนร้ายใส่เขา และทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่จะชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไป!”
ฉินมู่เบิกตากว้างจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก
รอยยิ้มของผานกงสั่วเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง “อาจารย์เป็นอย่างไร ศิษย์ก็เป็นเช่นนั้น สิ่งใดที่เขาสอนข้า ข้าเรียนรู้มันทั้งหมด และถึงกับเหนือล้ำกว่าเขา! กระนั้นไอ้กระดูกผุนั่นก็ไม่ยอมถ่ายทอดวิธีบรรลุเทพเจ้าให้แก่ข้า ในตอนนั้น ข้าแก่ชราลงไปแล้ว และกำลังจะตายในอีกไม่กี่ปี แต่เขาไม่เคยเห็นแก่สายสัมพันธ์ของพวกเราฉันท์อาจารย์ศิษย์เลย”
“ฮึ่ม ในเมื่อเขาอยากให้ข้าตายนัก ข้าก็จะให้เขาตายก่อน! ดังนั้นเมื่อเขาเตรียมพร้อมที่จะออกไปจากโลกนี้ และแดนเบื้องบนก็ได้ฉายแสงเทวะส่องลงมาเพื่อรับเขาขึ้นไป ข้าก็ได้ลงมือ”
ฉินมู่หนาวเยือกขึ้นมาในใจ
ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ข้าใช้ทักษะเทวะที่เขาสอนข้าเพื่อขัดจังหวะแสงเทวะรับตัว แยกมันออกเป็นสอง! จ้าวลัทธิฉิน เจ้าก็เชี่ยวชาญในทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล ดังนั้นเมื่อทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของเจ้าแยกเป็นสอง เจ้าจะมีจุดจบเช่นไร”
ฉินมู่ใจเต้นแทบจะชนกระดูกซี่โครง “ข้าก็จะถูกผ่าเป็นสองด้วย”
“แสงเทวะรับตัวนั้นไม่ต่างอะไรจากทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล แตกต่างกันก็แค่การแยกกันระหว่างกายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิม”
ผานกงสั่วภูมิใจในตนเองอย่างถึงที่สุดเมื่อเขากล่าวอย่างไม่อนาทร “ข้าใช้เวทมนตร์หมอผีเพื่อบูชายัญศิษย์ของข้าและผ่าแยกแสงเทวะรับตัวเป็นสองเสี่ยง กายเนื้อและจิตวิญญาณดั้งเดิมของอาจารย์ข้า พลันฉีกแยกออกจากกัน และร่วงลงมาจากแสงเทวะรับตัว มันเหมือนกับเขวี้ยงหินก้อนเดียวได้นกสองตัว”
“ศิษย์ของข้าได้รอให้ข้าตายอย่างใจจดใจจ่อมานานแล้ว เพื่อที่จะได้ขึ้นแทนตำแหน่ง ดังนั้นข้าจึงจัดการพวกเขาทั้งคู่เสียพร้อมๆ กัน โดยปราศจากกายเนื้อ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยจึงถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย เมื่อข้าฝังแมลงวิญญาณลงไปในนั้น!”
ฉินมู่ขนหัวลุกเต็มเหยียด และเขาถอนหายใจ
“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าบอกว่าเทพหมอผีขุยนั้นชั่วร้าย แต่ในสายตาข้า เขาอาจจะไม่ชั่วร้ายเท่ากับเจ้า”
ผานกงสั่วส่ายหัว “เจ้าประเมินข้าสูงเกินไป ข้าไม่อาจทัดเทียมกับเขาได้ เขานั้นคือความชั่วร้ายอย่างแท้จริง แม้ว่าจะถูกกักเอาไว้มาช้านาน แต่กายเนื้อของเขาก็ยังไม่ตาย และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็ยังคงอยู่ดี มันแทบจะทลายฝ่ามนตร์ปิดผนึกของข้าก็หลายครั้ง หลังจากที่ข้าใช้มันเพื่อก่อตั้งเวทมนตร์หมอผีสักการะดวงวิญญาณ”
“จ้าวลัทธิคงไม่คาดคิดหรอกใช่ไหม ในชาติภพแรกของข้า ข้าเป็นหนึ่งในตัวตนระดับสุดยอดของโลกหล้า ยอดยุทธฝีมือแกร่งที่เข้าใกล้เขตขั้นเทวะ บางทีอาจจะเพราะข้ากลับชาติมาเกิดหลายครั้งจนเกินไป และความปรารถนาที่จะก้าวหน้าต่อไปของข้าก็เหือดหาย แต่กระนั้น ความห้าวหาญทะยานจิตของข้าในครั้งนั้น ก็ไม่ด้อยไปกว่าจ้าวลัทธิฉินเลย”
ฉินมู่ผงกหัว “นั่นก็จริง ความสามารถของผู้สูงศักดิ์นั้นไม่ธรรมดา แม้ว่าเจ้าจะเรียนวิชาฝึกปรือของค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มากมาย แต่เวทมนตร์หมอผีก็ยังคงเป็นวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของเจ้า พวกมันสั่งสมมาจากชาติภพแรก และวิชาอื่นๆ ที่เจ้าเรียนในชาติต่อๆ มานั้นเป็นเพียงสิ่งประดับประดาลงไปยังของอันสมบูรณ์แบบอยู่แล้ว พวกมันมีประโยชน์แก่เจ้าเพียงน้อยนิด หากว่าเจ้าทุ่มเทการศึกษาค้นคว้าทั้งหมดไปที่เวทมนตร์หมอผีของเจ้า ความสำเร็จในวันนี้ก็คงไม่เป็นเช่นที่เป็นอยู่”
ผานกงสั่วมีสีหน้าชืดชา และน้ำเสียงของเขาก็ทื่อลง “แล้วจะอย่างไรต่อให้ข้าสามารถฝึกปรือเวทมนตร์หมอผีจนถึงสุดขีดขั้ว ข้าก็ยังไม่อาจกลายเป็นเทพเจ้าได้อยู่ดี หลังจากที่ข้าตระหนักเรื่องนี้ ข้าก็เริ่มเดินหนทางอื่น หาวิถีทางที่จะบรรลุเป็นเทพเจ้าในค่ายสำนักและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ”
“น่าเสียดายว่าพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่มีวิถีทาง ทั้งยังไม่สามารถตรึกตรองเข้าใจสิ่งที่ข้าเรียนมาในหลายชั่วชีวิตได้อย่างเต็มที่ ในท้ายที่สุด ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน บุรุษที่ข้าถือเป็นศัตรูอันยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ได้เผยแพร่วิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้าออกไปสู่สาธารณะ ให้ความหวังข้าที่จะสามารถไปถึงขั้นนั้นได้ในที่สุด ทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจอย่างไม่รู้จบ จนด้วยวาจาจะกล่าว”
เขาจมลงไปในภวังค์คิด และทันใดนั้นก็กล่าว “หากว่าข้าพบเจ้าในชั่วชีวิตแรก พวกเราก็อาจจะไม่ได้เป็นศัตรูกัน อาจจะเป็นสหายกันด้วยซ้ำ”
ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและหัวเราะ “ผู้สูงศักดิ์ อย่าล้อเล่นอะไรแบบนั้น ข้าน่ะไม่ชั่วร้ายเลยสักนิด จะคบเจ้าเป็นสหายได้อย่างไร เจ้าซ่อนกายเนื้อของเทพหมอผีขุยไว้ที่ไหนล่ะ และสะกดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไว้ที่ใด”
“หากว่าข้าบอก เจ้าจะไม่ฆ่าข้า และปล่อยข้าไปตามทางไหมล่ะ”
“ข้าสามารถทำสัตยาบันภูติบดี!” ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นเหมาะ
ผานกงสั่วส่ายหัว “จ้าวลัทธิ โปรดอย่าล้อเล่น”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือ “หากว่าเจ้าไม่ต้องการจะกระทำสัตยาบันต่อภูตบดี เช่นนั้นพวกเราก็มาทำสัตยาบันต่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยกันเถอะ หากว่าเจ้าผิดคำสาบานและให้ตำแหน่งที่ตั้งเท็จแก่ข้า เจ้าก็จงตายในทันทีที่พบกับเขา! สำหรับข้าก็เหมือนกัน หากว่าข้าไม่ปล่อยเจ้าให้รอดชีวิต ข้าก็จงตายในทันทีที่พบเขา!”
……………………………….
ทันใดนั้น ก้อนหินก็ปลิวไปทั่วทิศทาง ผานกงสั่วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งโกรธทั้งอาย และโยนกระถางยักษ์ขึ้นไปเหนือหัว
มันลอยอยู่กลางอากาศด้วยปากที่คว่ำครอบลงมา และในพริบตานั้น ทราย หิน เสาหัก กำแพงพัง และผนังปริแตก ก็ล้วนแต่ถูกดูดเข้าไปในนั้น
กระถางใหญ่ราวกับถูกอันแน่นด้วยไฟแท้สมาธิจนเดือดพล่าน มันอาจจะมีไม่มาก แต่ไฟแท้เหล่านี้ก็ราวกับทะเลเดือดอันน่าสะท้านขวัญ สิ่งใดที่เข้าไปในกระถางก็จะถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน
นี่แปลว่ามันมิใช่อาวุธที่ผานกงสั่วเพิ่งสร้างขึ้นมา!
กระถางใหญ่นี้จะต้องถูกหลอมสร้างขึ้นมาในชีวิตชาติก่อนหน้าของเขา มันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก็ในเมื่อมันเป็นสมบัติสืบทอดสำนักที่หลอมสร้างขึ้นโดยตัวตันอันบรรลุเข้าใกล้เขตขั้นเทวะ แต่ทว่า เนื่องจากวรยุทธที่ยังต่ำชั้นอยู่ของเขา ผานกงสั่วจึงมิอาจปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของมันได้
อาวุธวิญญาณมีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง และพวกมันถูกจำแนกตามขั้นวรยุทธ หากว่าใครก็ตามได้ครอบครองกระบี่วิเศษที่คุณภาพล้ำเลิศ ก็ไม่ได้หมายความว่ากำลังฝีมือของคนผู้นั้นจะคูณเข้าไปหลายเท่าโดยทันที มันยังคงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรีดเร้นพลังออกมาจากอาวุธได้มากแค่ไหน
ยกตัวอย่างเช่น กระบี่ไร้กังวลของฉินมู่เป็นกระบี่เทพยดาที่มีพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว แต่ในขณะนี้ ฉินมู่มิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของกระบี่เทพเล่มนี้ได้ เขาได้แต่อาศัยความคมกล้าของมันเป็นหลัก
ผานกงสั่วก็เช่นเดียวกัน ด้วยวรยุทธของเขาในปัจจุบัน เขามิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของอาวุธวิญญาณที่เขาได้หลอมสร้างขึ้นมาในชาติก่อน แต่กระนั้น ด้วยว่ากำลังฝีมือของเขาไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดดาว เขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของกระถางยักษ์นี้ออกมาได้หนึ่งในสิบส่วน
ทรายปลิ่วว่อนในซากโบราณ ขณะที่กำแพง เสา และชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังก็ถูกฉีกทำลายจากแรงดูด และลอยเข้าไปใส่ปากกระถาง
ทั้งซากโบราณนี้กำลังแหลกสลายอย่างรวดเร็ว และลอยลิ่วขึ้นไปกลางอากาศ
“ไอ้เด็กแซ่ฉิน ทีนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน กำลังฝีมือมันไม่ได้อยู่ที่วรยุทธอย่างเดียว!” ผานกงสั่วตีลังกาและเหยียบอยู่บนกระถางใหญ่ด้วยรอยยิ้มหยัน “ต่อให้พลังวัตรของเจ้าเข้มข้นกว่าข้า แล้วอย่างไร สมบัติของข้าดีกว่าเจ้า ดังนั้นข้าใช้มันทุบเจ้าทีเดียว เจ้าก็จะตายเหมือนแมลงวัน!”
แต่เมื่อเขาก้มมองลงไป เขาก็ตกตะลึง เขาเห็นฉินมู่ยืนอยู่ใต้กระถางนี้อย่างไม่ไหวติง ไม่ว่าแรงดูดจะร้ายกาจแค่ไหน พยายามดึงเขาขึ้นไปมากแค่ไหน ร่างกายเขาก็ไม่กระดิกเลยสักนิ้วสักหุน
“มันเป็นไปได้อย่างไร”
ผานกงสั่วเบิกตากว้างจ้องดูจนกระทั่งเขาตระหนักว่าฉินมู่กำลังถือลูกกลมเหล็กอันขนาดใหญ่เท่าผลส้ม ลูกกลมนั้นพลันเคลื่อนที่และไหลไปราวกับน้ำหรือไม่ก็เม็ดทราย
“ไจกระบี่!”
ผานกงสั่วเข้าใจทันทีว่าทำไมกระถางใหญ่นี้จึงไม่สามารถดูดฉินมู่เข้าไปได้ น้ำหนักไจกระบี่ของเขานั้นหนักหน่วงอย่างมหัศจรรย์ ถ่วงน้ำหนักเขาเอาไว้จนกระทั่งแม้แต่กระถางยักษ์ที่เขาหลอมสร้างในชาติก่อนก็ยังไม่สามารถยกขึ้นมาได้!
“ไจกระบี่เขาไม่ใช่ลูกใหญ่สองคืบหรอกหรือ หากว่าข้าจับเจ้าเข้าไปไม่ได้ ข้าก็แค่ต้องฆ่าเจ้าเท่านั้น!”
ผานกงสั่วพลันพุ่งตัวดิ่งลงมา เมื่อเขาฟาดฝ่ามือเข้ากับกระถางยักษ์ เสียงเคร้งก็ดังอึงคะนึงและทะเลเพลิงก็พวยพุ่ง ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ทุกอย่างก็หลอมละลาย หินและทรายกลายเป็นลาวาอันเดือดปุดๆ ตลอดทั่วทั้งซากโบราณ
ฉินมู่จับไจกระบี่ กระบี่บินละเอียดยิบจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินออกไป และด้วยกระบี่ไร้กังวลเป็นมารดา พวกมันก็หลอมเข้าด้วยกัน
มือทั้งสองของเขาจับกระบี่ ฉินมู่ผ่าฟันแยกทะเลเพลิงอันโจนทะยานเข้ามาหาเขา!
ไม่ว่ากระบี่เขาจะผ่านไปที่ใด เพลิงไฟก็จะมอดดับโดยพลัน ทั้งสองฟากทะเลทรายหลอมละลายจากความร้อน แต่สถานที่อันพลังกระบี่พุ่งผ่าน ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดทรายสีแดง
หางตาของฉินมู่กระตุก เพลิงแท้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจอย่างสุดๆ เขาไม่รู้ว่านี่มันคือไฟผีสางอะไร
ผานกงสั่วตะโกนกึกก้อง และการเปลี่ยนแปลงอันผิดธรรมดาก็ปรากฏแก่ร่างเนื้อของเขา ปีกงอกเงยออกมาจากสะบักหลัง และขาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บนก เพลิงไฟไหลบ่าออกมาปกป้องเขาจากกระถางใหญ่ข้างบนหัว
ปีกของเขาเป็นสีทอง และขนนกก็ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกมันเสียดสีกันตอนที่เขาสยายปีก ขนนกทองคำยิงไปยังฉินมู่ด้วยการสั่นสะเทือนปีก ขนนกคมกล้าราวกระบี่เหล่านั้นโหมพายุและสายฟ้าไปเมื่อมันแหวกเฉือนตัดอากาศ
สองมือของฉินมู่ไขว้ขวางกัน และกระบี่ไร้กังวลก็พลันแยกตัวเป็นชิ้นๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินแปดพันเล่ม ที่เริงระบำราวกับแม่น้ำสายยาว และเสียงสดใสกังวานของโลหะก็ดังมาอย่างไร้สิ้นสุด หลังจากการปะทะกัน ผานกงสั่วร้องออกมาอย่างแตกตื่นเมื่อเขายืนเปลือยเปล่าและมีขนนกกระบี่ที่ร่วงกราวอยู่เต็มพื้น
ขนนกของเขาถูกสะบั้นไปทั้งหมดโดยฉินมู่ และมีก็แต่ปีกเปลือยไร้ขนที่กระพือไปมาข้างหลังเขา
เพลิงไฟอันร่วงลงมาปกป้องเขาจากกระถางยักษ์นั่นค่อนข้างเลื่องชื่อ มันเรียกว่าอัคคีเทวะโหมคลุม พลังป้องกันของมันน่าตื่นตระหนกและสามารถย้ายพลังโจมตีของศัตรูไปยังกระถางยักษ์ได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น พลังโจมตีของอัคคีเทวะโหมคลุมก็ยิ่งร้ายกาจ อาวุธวิญญาณขั้นต่ำใดๆ ที่เข้าใกล้ก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน
กระนั้นฉินมู่ก็สามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุม ทั้งยังสะบั้นขนนกทั้งหมดของเขาได้!
หมอนี่มันสามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุมของข้า เช่นนั้นเขาก็คงแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่เล็กน้อย ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!
เมื่อผานกงสั่วตระหนักขึ้นมา เขาก็ไม่ลังเลสักนิดและกระโจนทะยานขึ้นไป เขาฉวยหยิบกระถางใหญ่ ผลักมันลงไปในพื้น และดำดินหนีไปทางนั้น
แต่ไม่ทันที่เขาจะมุดหายเข้าไปในทราย ฉินมู่ก็จับขากระถางแล้วยกมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าจะไปไหนหรือ”
ผานกงสั่วแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำเพื่อหนีข้ามผืนทราย
ฉินมู่โยนกระถางใหญ่ทิ้งไป และร่างกายของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเงาอันเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้น
สักครู่หนึ่ง ก้อนทรายก็กระจุยขึ้นมาบนอากาศ เมื่อทั้งคู่มุดทลายพื้นขึ้นมาจากจุดที่ห่างไปร้อยห้าสิบวา ผานกงสั่วก้าวอย่างไม่คิดชีวิตไปสองก้าว ปีกงอกออกมาจากหลังของเขาพร้อมกับขนนกที่ฟื้นฟูกลับมา เขาจึงกระพือปีกแล้วเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า
“แข่งความเร็วกับข้าหรือ”
ฉินมู่ขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์ และเขาไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรือทักษะเทวะใดก็สามารถก้าวขึ้นไปบนเวหาได้ หนึ่งคนและหนึ่งนกไล่ล่ากันกลางอากาศ ผ่านไปพักหนึ่ง นกยักษ์ก็ถูกต่อยตีทึ้งขนจนกลายเป็นไก่โล้นๆ แล้วร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะเหยียบลงบนพื้น เสียงช้างก็ดังแปร๋นมาจากปากของเขา กล้ามเนื้อบนศีรษะและใบหน้างอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่คอของเขาปริออกมาเผยหัวอีกสองหัวที่งอกขึ้น แปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเทวรูปสามเศียรอันเศียรทั้งสามเป็นคชสาร
กายเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้น จนสูงเป็นสิบวา เขาเหวี่ยงหมัดด้วยพละกำลังอันไร้ประมาณ ซัดไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งไล่ตามเขามา เขาตะโกนออกไปด้วยเศียรทั้งสาม “ไอ้เด็กแซ่ฉิน ตายซะ!”
ตูม!
หมัดของพวกเขาประสานกัน และพลังของทักษะเทวะร่างเนื้อก็ปะทุพวยพุ่ง เปลวลมอันเหมือนมีดดาบซัดพุ่งไปรอบๆ พวกเขา เป่าทรายและหินปลิวกระเด็นขึ้นท้องฟ้า
มนุษย์ช้างสามหัวกระอักเลือด และร่างของเขาก็กระเด็นไปข้างหลัง
ฉินมู่ไล่ตามไป แต่ไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงตัวผานกงสั่ว ก็เห็นผานกงสั่วตัวสั่นเทิ้มและกลับคืนสู่ร่างเดิม
ผานกงสั่วกระโดดขึ้นไปบนอากาศในตอนนั้น และดอกบัวดอกหนึ่งก็เบ่งบานข้างใต้เขา ดอกบัวใหญ่เกือบสองวา ผานกงสั่วกระโดดไปบนดอกบัวนั้น และฉินมู่พบว่าดอกบัวหุบกลีบของมันก่อนที่จะหายวับไปพร้อมกับคนข้างใน
ฉินมู่ตกตะลึง “วิชาเคลื่อนย้ายระยะไกล? แต่ดูไม่เหมือนกันเท่าไร…”
ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั่นเอง ดอกบัวหนึ่งก็ผุดขึ้นมาบนทะเลทรายห่างจากที่นี่ไปกว่าสิบลี้ และคลี่กลีบออกมาอย่างเงียบเชียบ
ฉินมู่พุ่งไปทันทีด้วยปราณชีวิตของเขาที่แผ่พุ่งออกไป ด้วยการดีดคราเดียว ไจกระบี่ของเขาก็พุ่งหวือไปข้างหน้า
เมื่อนิ้วของเขาแกว่งหมุน ไจกระบี่ตรงหน้าเขาก็แตกกระจายออก แปรเปลี่ยนเป็นกระแสกระบี่อันเชี่ยวกรากที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด เข้าประชิดดอกบัวนั้นก่อนเขาหนึ่งก้าว
ท่วงท่ากระบี่เกลียว!
ความเร็วของแสงกระบี่รวดเร็วอย่างสุดขีด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ซึ่งบึ่งมาอย่างเต็มกำลัง มันไปถึงดอกบัวนั้นในเสี้ยววินาที
ดอกบัวบานออก และผานกงสั่วกระโดดออกมาจากดอกไม้นี้ เขานำเอาผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาอย่างเร่งร้อน หลังจากที่เขาสะบัดผ้า เขาก็กระโดดเข้าไปในผ้านั้น
กระบี่บินมากมายไร้ประมาณฉีกทึ้งดอกบัวออกเป็นเสี่ยงๆ และโถมถล่มผ้าสีดำผืนนั้น แต่แม้ว่ามันก็จะแหลกเป็นชิ้นซากเหมือนกัน ผานกงสั่วก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง
ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นและมองไปรอบๆ เหนือศีรษะเขาคือกระบี่บินแปดพันเล่มที่แหวกว่ายไปมาเป็นวงกลมโดยมีปลายคมของพวกมันชี้ออกไปข้างนอก ไม่ว่าผานกงสั่วจะโผล่หัวออกมาทางไหน เขาก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุด!
กระนั้นทะเลทรายก็สงบเงียบ หลังจากที่ผานกงสั่วมุดเข้าไปในผ้า เขาก็ดูเหมือนจะสาบสูญไปจากโลก
ในที่ไกลๆ พายุทรายโหมคลั่ง เรือตะวันและมังกรทรายจำนวนนับไม่ถ้วนซุ่มซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าแลบและฟ้าร้องข้างในพายุนั้น ดวงอาทิตย์ดำถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ด้วยฤทธานุภาพสะท้านพิภพ ฟาดผ่านพายุทรายเป็นระยะ คลื่นพลังงานจากมาถึงฉินมู่เป็นครั้งเป็นคราว และก่อเกลียวลมหมุนที่ซัดดูดทรายขึ้นไปบนนภากาศ ทำให้ทัศนวิสัยยากที่จะมองไปได้ไกล
ตรงหน้าพายุทรายคือร่างอันเล็กจิ๋วของราชครูสันตินิรันดร์
แต่ฉินมู่ไม่ใส่ใจการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนั้น เขาพลันกระทืบเท้าอย่างรุนแรงลงกับพื้น และทะเลทรายก็สะท้านหวั่นไหว ลมหมุนเล็กๆ จำนวนมากกวาดซัดทรายไปเพื่อก่อขึ้นมาเป็น ‘ยักษ์’ ทรายอันสูงราวๆ สี่ห้าคืบ
ฉินมู่ก็ได้เรียนรู้วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมาเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเท่ากับศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้
“ผานกงสั่วอยู่ที่ไหน” เขาถาม
ยักษ์ทรายตัวเล็กจุ๋มจิ๋มนี้ยกมือของมันชี้ไปยังจุดหนึ่ง ฉินมู่มองตามไป แต่เขามองไม่เห็นอะไร
“เนตรสวรรค์ชาด!”
วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของเขา และมองเขามองไปจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาสามารถเห็นเส้นตรงอันลางเลือนในอากาศที่เคลื่อนที่ไปกับสายลมด้วยความเร็วไม่สูงนัก
ลมและทรายรอบๆ นั้นบ้าคลั่งปั่นป่วน แต่เส้นตรงบางๆ นั้นไม่บิดไปเลยแม้แต่น้อย มันค่อนข้างน่าแปลก
ฉินมู่เพิ่มพูนความเร็วและมายังเส้นบางๆ นั้น เขาพบว่ามันไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นกระจกอันบางเฉียบจนแทบจะไม่มีความหนา มันสูงพอๆ กับตัวมนุษย์
ผานกงสั่วได้ใช้วิชาเงามายาแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อแปลงร่างเป็นเงาดำหายเข้าไปในกระจก!
ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาคว้ากระบี่บินมาเล่มหนึ่งเพื่อแทงไปยังกระจก พลางเอ่ยชม “ผู้สูงศักดิ์ มิน่าล่ะเจ้าถึงยังรอดชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”
ผานกงสั่วเห็นเขา และสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เขาเหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากข้างในกระจก และไต่ปีนขึ้นมาด้วยเชือกนั้น
กระบี่ของฉินมู่แทงเข้าไปในกระจก ทำลายมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ทว่าผานกงสั่วได้ปีนออกมาด้วยเชือกอันเพิ่งจะหายวับไป
“นี่มันทักษะเทวะอะไรกัน”
ฉินมู่ตรวจตราดูรอบๆ ด้วยเนตรสวรรค์ชาดของเขา แต่ไม่พบร่องรอยของผานกงสั่ว ทันใดนั้น หัวใจเขาก็ไหววูบ และเขาหยิบเอาเศษกระจกชิ้นหนึ่งมาส่องมองไปรอบๆ เขาจึงเห็นผานกงสั่วอีกครั้ง
เขาเห็นผานกงสั่วได้ปีนขึ้นไปถึงกลางอากาศ ที่ปลายสุดของเชือกเป็นตะขออันใช้เกี่ยวคาไว้บนก้อนเมฆ จากที่ดูๆ แล้ว ผานกงสั่วคงคิดจะไปซ่อนตัวในก้อนเมฆ
กระนั้นที่น่าแปลกก็คือเขาและเชือกดังกล่าวดูจะล่องหนและซ่อนอยู่ในห้วงมิติประหลาดในกระจก อันซ้อนทับกับโลกจริงอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เชือกสามารถแขวนห้อยเชื่อมต่อกับโลกจริงภายนอก แต่ว่าขนาดเนตรสวรรค์ชาดก็ไม่อาจมองเห็นมัน
“ผู้สูงศักดิ์นับว่ากลายเป็นเชี่ยวชาญอย่างที่สุดในเรื่องการหนีเอาชีวิตรอด” ฉินมู่อุทาน เขาถือกระจกในมือข้างหนึ่ง ขณะที่ดีดนิ้วด้วยมืออีกข้าง กระบี่ไร้กังวลโบยบินไปพุ่งสู่ท้องฟ้า เฉือนตัดเชือกล่องหนที่ใต้เมฆขาว
ฉินมู่โยนกระจกอีกอันออกไปรอตรงที่ผานกงสั่วตกลงมา ด้วยเสียงตึง เขาก็ร่วงลงไปในนั้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก
“ผู้สูงศักดิ์ พวกเราจะสนทนากันได้หรือยัง” ฉินมู่หยิบกระจกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม
……………………………….
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่ซากโบราณ ดูราวกับกำลังกังวลความปลอดภัยของฉินมู่ ความวิตกของเขาทำให้เขาเสียกระบวน และเผยช่องโหว่ออกมาในที่สุด
ช่องโหว่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เสาะหามานานอยู่ตรงหน้านางนี่เอง!
“อี้ย้าาาาา—”
เสียงหวีดร้องประหลาดดังออกมาจากปากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มันทั้งแหลมคม ยาวนาน และบาดหู พลังวัตรพวยพุ่งออกจากร่างกายของนาง และกล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างก็ปูดพองขึ้นมา ในพริบตานั้น ผิวหนังของนางปริแตกจนหมด
กล้ามเนื้อของนางขยายออกมาข้างนอกอย่างบ้าคลั่ง และมันเผยให้เห็นว่าร่างเนื้อของเถียนซืออวี่มิใช่ร่างดั้งเดิมของนางเลยแม้แต่น้อย เมื่อนางปลดปล่อยพลังวัตรทั้งหมดออกมา รัศมีเทวะของนางก็แผ่พุ่งออกไป และฉีกทึ้งร่างกายที่นางสิงสู่อยู่เป็นชิ้นๆ
ในเวลาเดียวกันนั้น ทะเลทรายเพลิงโหมก็เหมือนกับจะมีชีวิตขึ้น เม็ดทรายไหลเข้ามาจากรัศมีร้อยลี้ ทรายใต้เท้าราชครูสันตินิรันดร์หมุนเป็นเกลียววนต่อขึ้นมาเป็นปากใหญ่มหึมาที่พยายามจะฮุบกลืนเขา!
ปากใหญ่นั้นเหมือนกับเหวลึกอันมีพลังดูดน่าสะพรึงกลัว ทรายก่อขึ้นมาเป็นเส้น แล้วก็กลายเป็นกระบี่อันแทงเข้าใส่ราชครูสันตินิรันดร์ผู้ถูกทรายดูดเข้าไป
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังกรีดร้องไม่หยุดเมื่อร่างเนื้อของนางขยายใหญ่ไปถึงหนึ่งร้อยห้าสิบวา ราวกับว่านางคือยักษ์อสูรเกรียงไกรผู้พวยพุ่งไปด้วยรัศมีเทวะ
นางได้เตรียมการลอบโจมตีนี้มาเนิ่นนานแล้ว และการลงมือของนางก็ท่วมท้นไปด้วยความเกรี้ยวกราดดุดัน นางดูแตกต่างไปคนละขั้วจากเถียนซืออวี่ผู้อ่อนโยนนุ่มนวล และดูแลปรนนิบัติคณะตลอดการเดินทาง
ความเกรี้ยวกราดดุดันมักจะเป็นคุณศัพท์ที่ใช้บรรยายบุรุษ แต่ในแผ่นดินตะวันตก สตรีเป็นผู้ถือครองอำนาจ ดังนั้นใช้บรรยายพวกนั้นย่อมถูกต้องเหมาะสมกว่า
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยกมือของนางขึ้น และทะเลทรายรอบตัวนางก็กระเพื่อมโยนตัวขึ้นมา ก่อเป็นกำแพงหนาสองชั้นอันตบเข้าไปหาราชครูสันตินิรันดร์!
“ตายเสีย!”
ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตวาดออกมานั่นเอง แสงกระบี่ก็ทะลวงทะลุท้ายทอยและโผล่ออกไปทางหว่างคิ้วของนาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตกตะลึง และทะเลทรายอันกระเพื่อมรอบตัวก็พลันแน่นิ่ง กำแพงทรายหนาหนักที่สูงหลายร้อยวาก็พังทลายลงมา แปรเปลี่ยนเป็นมวลทรายไหลรี่อันโถมท่วมราวกับน้ำหลาก
ข้างใต้เท้าของราชครูสันตินิรันดร์ ปากใหญ่อันอ้าปากก็หยุดหมุนเกลียวและกลายเป็นพื้นทรายนิ่งสงบ กระบี่ทรายรอบๆ ตัวเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า
“เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ” ราชครูสันตินิรันดร์เบือนหน้ากลับมาและมองไปยังมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ผู้ยิ่งยง เสียงของเขากล่าวอย่างนุ่มนวล “ในภาพจิตรกรรม เทพนารีที่ถูกฉินมู่เตะได้กล่าวประโยคนี้อันมีทั้งหมดยี่สิบคำ”
“ตลอดการเดินทาง จ้าวลัทธิฉินได้สนทนาคำเหล่านี้อย่างน้อยก็ครั้งหนึ่ง เขานั้นชาญฉลาดเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าหากเขาบอกให้เจ้าพูดประโยคนี้ทั้งประโยค เจ้าก็จะต้องเปลี่ยนน้ำเสียงและวิธีการพูดทันที แต่ทว่าหากเขาแยกคำทั้งยี่สิบคำนี้ออกไปไว้ในประโยคต่างๆ มากมาย เจ้าก็จะไม่ทันระวังตัว”
“ที่แท้พวกเจ้าก็ไม่ได้เชื่อข้ามาตั้งแต่แรก?” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่นางด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางส่ายหัว “จ้าวลัทธิฉินนั้นบ้าดีเดือด ถึงกับวางลูกแก้วเต่าดำไว้ในมือเจ้า ข้าเองก็ตื่นตระหนก หากว่าเจ้าโจมตีในตอนนั้นและขับเคลื่อนพลานุภาพของลูกแก้วเต่าดำ ข้าก็อาจจะทำอะไรเจ้าไม่ได้ เขาประเมินความสามารถของข้าสูงเกินไป และข้าก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเสแสร้งเป็นปกติธรรมดา แต่นี่เป็นเพราะไอ้เด็กเปรตทำตามอำเภอใจ หัวใจข้าแทบจะหยุดเต้นในตอนนั้น เจ้าพลาดโอกาสไปหลายครั้ง”
“เด็กต่ำช้านี่อีกแล้ว…” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถอนหายใจ และรอยแผลกระบี่ที่หว่างคิ้วนางก็พลันพวยพุ่งออกมาด้วยโลหิต นางแย้มยิ้มและกล่าว “แต่ทว่า หากเจ้าคิดว่าจะสามารถจัดการกับข้าได้ด้วยเพียงเท่านี้ เจ้านั้นตื้นเขินจนเกินไป…”
สีหน้าราชครูสันตินิรันดร์แปรเปลี่ยนเล็กน้อย ที่ไหลออกมาจากหว่างคิ้วของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ มิใช่โลหิตแต่เป็นทราย
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แย้มยิ้ม และรอยแผลนั้นก็ขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทรายไหลออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง นางหัวเราะคิกคัก “เจ้าไม่รู้หรือว่า วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ข้าเป็นผู้สร้างขึ้นมา ทะเลทรายนี้ข้าก็เป็นคนสร้าง พยายามสังหารข้าในสถานที่อันเป็นงานรังสรรค์ของข้า? ฝันเฟื่อง!”
ร่างของนางถล่มลงไป และเสียงของนางพลันกึกก้องมาจากทั่วทิศทาง “ข้าได้ต่อสู้กับเรือตะวันและเรือจันทราเป็นสิบๆ ลำที่นี่ สังหารผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรามากมาย เจ้าคิดว่าชื่อเสียงของข้าได้มาโดยเปล่างั้นหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และวิ่งตะบึงตรงไปยังเรือตะวันอันตะแคงกระเทเร่อยู่บนทะเลทราย ด้วยมือของเขาแตะกระบี่ แสงกระบี่ของเขาก็ราวกับรัตติกาลอันนิรมล เมื่อใครมองเห็นเงา พวกเขาก็มิอาจมองเห็นแสง เมื่อใครมองเห็นแสง พวกเขาก็มิอาจมองเห็นรูปลักษณ์!
ด้วยมีเงา จึงปราศจากแสง ด้วยมีแสง จึงปราศจากรูปลักษณ์!
ไม่ทันที่เขาจะไปถึงเรือตะวัน มันก็ดูเหมือนจะมีชีวิตขึ้นมา ยกเหยียดขายืนขึ้น โซ่ดังโกร่งกร่าง และดวงอาทิตย์สีดำก็ถึงกับลอยขึ้นไปข้างบน ทรายอันคลุมกลบมันอยู่ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์สีดำกลิ้งไปบนนภากาศและสร้างเสียงกัมปนาทสะท้านพิภพระหว่างที่มันบีบอัดห้วงมิติรอบๆ เปลวอสุนีบาตฟาดเปรี้ยงปร้างไปทั่วทิศทางในทะเลทราย!
เรือตะวันพุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์ เมื่อสิ่งมหึมานี้แล่นตะบึงผ่านทะเลทรายอันรกร้าง มันก็ให้ความรู้สึกไม่น่าเชื่อและพิลึกกึกกือ
“นี่คือผลงานชิ้นเอกของกระทรวงวิศวกรรมในสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง! พวกเขารังสรรค์อาวุธที่มีพลานุภาพเทียบเท่าเทพสวรรค์ด้วยน้ำมือของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ปุถุชนสามารถยืนหยัดทัดเทียมกับเทพเจ้าได้!”
ที่ใจกลางเรือตะวัน ระหว่างเสาทั้งสี่ สตรีนางหนึ่งอันประดุจดั่งเทพสวรรค์ลุกขึ้นมา แขนสี่ข้างของนางยื่นเหยียดไปจับเสาทั้งหลาย นางหัวเราะอย่างลำพองใจ “แต่กระนั้น ก็กลายเป็นว่าสร้างอาวุธมามอบให้ข้า! พวกมันถูกกวาดล้างไปทั้งหมด ตายจนสิ้นซากในน้ำมือของข้า!”
พึ่บบบ
งูเหินหาวอันก่อขึ้นมาจากทราย ผงาดขึ้นมาในทะเลทราย ด้วยร่างอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบของพวกมัน มันก็ชอนไชไปทั่วทิศทางในทะเลทราย พุ่งไปยังราชครูสันตินิรันดร์!
“เจ้าสัมผัสได้ไหมล่ะ เจ้ารู้สึกไหมว่าพลังวัตรของข้ากำลังพุ่งทะยานขึ้น” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สั่งให้เรือวิ่งตะบึงไปข้างหน้าอย่างดุเดือด และเหวี่ยงดวงอาทิตย์ดำฟาดลงใส่ราชครูสันตินิรันดร์พลางหัวเราะ “ให้ข้าเผยให้เจ้าเห็นว่าความสิ้นหวังหน้าตาเป็นอย่างไร! อี๊ย้าาาาาาา—”
เสียงหวีดร้องแหลมบาดหูก้องสะท้อนไปในทะเลทราย ที่ตามมาก็คือเรือเคลื่อนที่อันใหญ่มโหฬารซึ่งกวัดแกว่งดวงอาทิตย์สีดำ และงูตัวหนาใหญ่อันเข้าห้อมล้อมมนุษย์ตัวเล็กๆ
ภาพนี้น่าแตกตื่นสะท้านขวัญ
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ร่างกายของนางใหญ่มหึมา ใหญ่เสียยิ่งกว่าเรือตะวัน เมื่อเทียบกันแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ดูเล็กราวมดปลวก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เลือกที่จะใช้เรือตะวันเพื่อท่วมท้นเขา แต่ละการโจมตีของนางนั้นเกินจินตนาการ การจู่โจมของนางแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง และมหาสมุทรแห่งเม็ดทรายก็เดือดพล่าน ทั้งทะเลทรายคือร่างกายของนาง อาวุธของนาง!
ราชครูสันตินิรันดร์ล่าถอยไปอย่างต่อเนื่อง ทำลายการโจมตีของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ซ้ำแล้วซ้ำอีก แม้ว่าเขาจะถอยกรูด แต่ระยะห่างระหว่างเขาและเรือตะวันกลับยิ่งร่นสั้นเข้าไปทุกที
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มว้าวุ้น แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะดูเหมือนเสียเปรียบ และเรือตะวันที่ทะยานเข้าไปใกล้เขาก็ดูเหมือนจะได้เปรียบ แต่จริงๆ แล้วมิได้เป็นเช่นนั้น นางไม่ได้ชัยเหนือกว่าเขาเลยสักนิด และสัมผัสได้ถึงภยันตรายใหญ่หลวงตรงหน้า
หากว่านางและราชครูสันตินิรันดร์เข้าไปใกล้กันมากขึ้นทุกที ที่รอนางอยู่เมื่อพวกเขาเข้าไปยังระยะห่างที่แน่นอนระยะหนึ่งก็คือการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุดของชายกลางคนผู้นี้ เข้าไปหาตัวเขานั้นจะต้องนำไปสู่ความตายของนางอย่างแน่นอน!
แต่ว่าจะหยุดแค่กลางคันนั้นก็เป็นไปไม่ได้ มีก็แต่หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันเท่านั้น นางจึงจะมีพลังวัตรมาพอที่จะสยบเขา แต่การณ์นี้ก็มีข้อเสียเปรียบอยู่ อันก็คือนางจะต้องยืนอยู่ระหว่างเสาทั้งสี่และจับมันเอาไว้ตลอดเวลา
มันจำกัดการเคลื่อนไหวร่างกายของนาง หากว่าราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้ามาใกล้ นางก็คงได้แต่ต้องถวายหัว
แต่หากว่านางมิได้หยิบยืมพลังวัตรจากเรือและลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่ พลังการต่อสู้ของนางก็จะด้อยกว่าราชครูสันตินิรันดร์
นี่หมายความว่านางจะต้องรักษาระยะห่างจากราชครูสันตินิรันดร์ และสังหารเขาก่อนที่เขาจะเข้ามาถึงตัว!
ยิ่งระยะสั้นเท่าไร นางก็ยิ่งใกล้ความตายมากเท่านั้น
พลังวัตรของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งเดือดพล่านมากขึ้นทุกที และการโจมตีของนางก็ยิ่งถี่ยิบ นางเข้าไปประชิดทีละก้าวๆ ส่วนราชครูสันตินิรันดร์นั้นถูกบีบให้ล่าถอยต่อไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ไกลพอ ทุกเส้นยาแดงที่เฉียดผ่านก็คือความเฉียดใกล้มรณะ
เสียงกรีดร้องของมารดาเฒ่าสวรรค์ยิ่งดังอึงอลมากขึ้นทุกที ขณะที่หยาดเหงื่อหลั่งไหลมาโซมหลังเต็มไปหมด
เรือตะวันและราชครูสันตินิรันดร์ออกไปจากซากโบราณ ปล่อยฉินมู่และผานกงสั่วยืนอยู่ตรงข้ามคนละฝั่งของโถงวังอันพังภินท์
เมื่อครู่ที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้โผล่ขึ้นมาลอบโจมตี และราชครูสันตินิรันดร์ก็ได้สังหารนางในกระบี่เดียว ได้สร้างความปั่นป่วนโกลาหลเป็นอย่างยิ่ง และทำให้ผานกงสั่วหวาดกลัวจนขวัญบิน เกือบจะทำให้เขาหนีเตลิดไปอีกครั้งหนึ่ง
ราชครูสันตินิรันดร์แข็งแกร่งแค่ไหน?
การต่อสู้ที่ตำหนักสวรรค์แท้ได้ทำให้ผานกงสั่วลืมเลือนไปจนหมดสิ้นถึงแผนการที่จะต่อสู้ช่วงชิงกับเหล่าวีรบุรุษแห่งปัจจุบันสมัย ตอนนี้เขาอยากแต่จะแค่บ่มเพาะสะพานเทวะของตน และสังหารผู้คนอื่นๆ ด้วยวิชาสักการะ
แต่ทว่า เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หนีไปได้ และที่ราชครูสันตินิรันดร์แทงเข้าไปนั้นเป็นเพียงยักษ์ทราย เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก และโยนความคิดที่จะหนีเตลิดทิ้งไป
เมื่อเขาเห็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปยึดครองเรือตะวันและสะกดข่มราชครูสันตินิรันดร์เอาไว้ เขาก็ลิงโลดใจ
ผานกงสั่วแย้มยิ้มแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “การคิดคำนวณของจ้าวลัทธิฉินอันยอดเยี่ยมเสียจริง เจ้าได้ช่วงใช้ทั้งราชครูและมารดาเฒ่าสวรรค์มาตามหาข้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร ไม่ต่างจากเขวี้ยงหินหนึ่งก้อนได้นกสองตัว ราชครูสันตินิรันดร์จะลอบโจมตีและสังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ส่วนเจ้าก็จะใช้โอกาสที่ข้ากำลังตื่นตระหนกเพื่อสังหารข้า เป็นแผนการที่เหนือชั้นสุดๆ แต่แผนการคนหรือจะสู้ลิขิตสวรรค์ เจ้าคงไม่คาดคิดว่ากำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้จะแข็งแกร่งขนาดนี้สินะ นี่คือความผิดพลาดแรกของเจ้า”
เขายืนไพล่หลังและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ความผิดพลาดประการที่สองของเจ้าก็คือประเมินข้าต่ำเกินไป เจ้าคิดว่าข้าเหมือนกับผู้ฝึกวิชาเทวะทั่วๆ ไปสินะ และนั่นคือข้อผิดพลาดอันร้ายแรงที่สุดของเจ้า ข้าได้ผ่านการกลับชาติมาเกิดมากกว่าสิบหน และความเร็วในการฝึกปรือของข้าก็เกินเจ้าจะคิดฝัน ความเร็วที่ข้าพัฒนาไป นั้นเกินเจ้าจะจินตนาการ!”
รัศมีเขาแผ่พุ่งออกมา และปราณชีวิตก็บิดเบี้ยวอากาศโดยรอบ ก่อขึ้นมาเป็นพายุหมุนในโถงวังอันทรุดโทรม พวกมันหอบเอาก้อนอิฐและแม้กระทั่งกวาดซัดเสาหนาใหญ่ขึ้นไป ภาพที่เห็นนั้นน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ!
“เจ้าจะมีปัญญามาเผชิญหน้ากับข้าได้อย่างไร” ผานกงสั่วถามด้วยเสียงตะโกน พลังอำนาจของพลังวัตรเขาเพิ่มพูนอย่างน่าสะพรึงกลัวเมื่อเทียบกับที่เคยพบกันครั้งก่อนนี้ในทะเลทราย เรียกได้ว่าเขารุดหน้าไปด้วยความเร็วประหนึ่งเทพยดา!
ผานกงสั่วก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า และภาพเงาของเทพก็ปรากฏเบื้องหลังเขา ก่อขึ้นมาเป็นชั้นสรวงสวรรค์มากมาย ร่างกายของเขาเป็นทองดำประดุจดั่งพุทธรูปเมื่อเขาขับเคลื่อนพระสูตรมหายานยูไลและบรรลุถึงสวรรค์ชั้นสุรัสวดี!
ผานกงสั่วยกมือของเขาขึ้นเพื่อปลุกเร้าพายุลมและสายฟ้า อย่างหลังนั้นคำรามกัมปนาทเมื่อฝ่ามือซัดลงมายังฉินมู่ราวกับห่าฝนมาลาสวรรค์!
ตูม!
โถงพังไปครึ่งหนึ่ง และผานกงสั่วเดินลงมาพร้อมกับชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังอันถล่มร่วงกับพื้น
ฉินมู่กระทืบเท้า โถงครึ่งที่เหลือก็พังตามไป และหลุมใหญ่ปรากฏขึ้นข้างใต้เขา ผานกงสั่วโดนกระทืบลึกเข้าไปในทราย
ฉินมู่เอียงคอเล็กน้อยและเอ่ยถาม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
……………………………….
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เริ่มปวดหัวตึ้บเมื่อฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือนางอีกครั้ง หากว่านี่เป็นการสะกดหาร่องรอยใครบางคน ไยต้องใช้สมบัติวิเศษขนาดนี้ด้วยล่ะ
นี่มันเป็นการหยั่งเชิงอีกครั้งชัดๆ!
ไอ้เด็กต่ำช้านี่เป็นจิ้งจอกหรืออย่างไร เขาได้ทดสอบข้าไปห้าหกครั้งแล้ว และก็ยังคงทดสอบอีก!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้คืนลูกแก้วเต่าดำให้ฉินมู่ด้วยสายตาอันอบอุ่นและแย้มยิ้ม “หากว่าเพียงแค่สะกดร่องรอยของบุคคล ไม่จำเป็นต้องใช้สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ จ้าวลัทธิฉินมีภาพวาดของผู้สูงศักดิ์หรือไม่”
ฉินมู่ราวกับคนตาบอด ไม่ใส่ใจความสวยสะคราญและรอยยิ้มอันยั่วยวนของนาง เขารีบวาดภาพของผานกงสั่วและมอบให้นาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดทนเป็นอย่างยิ่ง นางร่ายเวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณเพื่อปลุกก้อนเมฆ ภูเขา ต้นไม้ขึ้นมา และหลังจากที่ไต่ถามพรายวิญญาณเหล่านั้นทั้งหมด นางก็พบที่อยู่ของผานกงสั่วได้ในเวลาไม่นาน
“เวทมนตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ไม่เลวเลยจริงๆ หากว่าตำรวจคนไหนมีเวทมนตร์พวกนี้ในมือ เขาก็คงกลายเป็นมือหนึ่งในวิชาชีพได้อย่างแน่นอน”
ราชครูสันตินิรันดร์ครุ่นคิด “บางทีเราอาจจะให้ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้เข้ามาเป็นตำรวจที่สันตินิรันดร์”
“มุมมองของราชครูนั้นเหนือธรรมดาจริงๆ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวอย่างนุ่มนวล
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีสีหน้าอื่นใด “เป็นแค่ความคิดคร่าวๆ เท่านั้น ไม่คู่ควรแก่การเอ่ยอ้าง”
ระหว่างทางมารดาเฒ่าสวรรค์แท้คอยดูแลปรนนิบัติฉินมู่และราชครูในเรื่องอาหารการกินและสถานที่พักผ่อน นางรินชาให้กับทั้งคู่ ซักเสื้อผ้าให้ บนใบหน้าของนางมีรอยยิ้มละไมตลอดเวลา ทำให้นางดูเฉลียวฉลาด อ่อนหวาน และเข้าอกเข้าใจผู้อื่น
แต่ทว่าฉินมู่และราชครูมองราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมดา และฉินมู่ยังถึงกับให้นางเลี้ยงอาหารกิเลนมังกร เจ้าอ้วนยักษ์ตัวนี้
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิเคยปริปากบ่นเลยสักคำ ยังคงรักษาบุคลิกอันอ่อนโยนและเข้าอกเข้าใจไว้ตลอดเวลา แต่ทว่านางไม่แน่ใจ
ฉินมู่ดูเหมือนพวกที่มีนิสัยเจ้าชู้ตามธรรมชาติ ด้วยปากของเขาหวานราวกับทาน้ำผึ้ง เจอสาวๆ ที่ไหนก็เรียกพี่สาวไปหมด แต่ทว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง ไม่ว่านางจะยั่วยวนเขาเท่าใด เขาก็ไม่รู้ประสาและโง่เขลา ไม่ตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ราชครูสันตินิรันดร์นั้นยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ เขาดูเหมือนว่าอารมณ์ความรู้สึกแม้สักน้อยก็ไม่มี เขาทำแต่สิ่งที่เขาต้องทำ และไม่หวั่นไหวด้วยเสน่ห์ของนางเลยสักนิด
ส่วนกิเลนมังกรนั้น เขาเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุด เขานั้นจ้องอ่างอาหารของตนเองเขม็งและนับยาวิญญาณทุกเม็ดอย่างถี่ถ้วน น้อยไปเม็ดหนึ่งก็ไม่ยอม
เมื่อเขาไม่กิน เขาก็จะมัวแต่กังวลเรื่องหนังและเส้นขนที่ไม่งอกกลับมา และเกล็ดของเขาอันเต็มไปด้วยรูสีดำเล็กๆ อันเกิดจากสายฟ้าและไม่หายเป็นปกติเสียที เขาจะพร่ำบ่นแต่ว่าเขาไม่หล่อเหลาเหมือนเดิมอีกแล้ว จากนั้นก็จะพึมพำหาวิธีต้มตุ๋นเอาอาหารจากมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้มากขึ้นไปอีก เขานั้นแทบจะทำให้หัวของนางปลิวกระเด็นไปด้วยการพูดจ้อไม่หยุดปาก
ข้าจะต้องฆ่าพวกมัน!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หมายที่จะลงมือ แต่เมื่อเผชิญกับราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่มีโอกาสสักนิด
เขาไม่เคยเผยช่องโหว่ แม้เมื่อราตรีมาถึง เขาก็ไม่หลับไหล และเพียงแต่นั่งด้วยดวงตาอันลืมโพลง
ผ่านไปสักพัก มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยิ่งพบข้อเท็จจริงที่น่าแตกตื่นกว่านั้น ซึ่งก็คือเมื่อราชครูสันตินิรันดร์รับประทานอาหาร เขาก็ขับเคลื่อนเพลงกระบี่ของตนไปด้วยระหว่างใช้ตะเกียบคีบอาหาร ในท่วงท่าที่เขายื่นมือออกไปและชักกลับมา เจ้าคนวิปริตนี่ถึงกับร่ายรำเพลงกระบี่ไปเป็นร้อยๆ ชนิด!
ที่น่าสะพรึงกลัวกว่านั้นก็คือ ในกิริยาของการคีบผักก็ยังถึงกับผสานการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นทั่วทั้งร่างกายของเขา เช่นเดียวกับการแปรเปลี่ยนไปของปราณชีวิต เขานั้นอยู่ในสภาวะอันพร้อมเต็มที่ตลอดเวลา และสมบูรณ์แบบจนไร้ช่องโหว่
ในทางกลับกัน ฉินมู่นั้นเต็มไปด้วยช่องโหว่ และนางสามารถสังหารเขาให้ตายอย่างน่าอนาถเมื่อใดก็ได้ ไม่ต้องลำบากอะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า หากว่านางยังไม่กำจัดราชครูสันตินิรันดร์และลงมือกับฉินมู่ก่อน คนที่ตายเป็นอันดับถัดมาก็จะต้องเป็นนาง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไม่กล้าลงมือ และได้แต่รอคอยโอกาสอย่างอดทน
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะสมบูรณ์แบบขนาดนี้ได้ตลอดเวลา เขาจะต้องเผยช่องโหว่ออกมาแน่นอน! ในโลกนี้ แม้แต่เทพเจ้าก็ยังมิอาจไร้ช่องโหว่!
ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ปรึกษาราชครูสันตินิรันดร์ในเรื่องเพลงกระบี่อย่างต่อเนื่อง และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็รับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ หวังว่าจะสามารถหาช่องโหว่ในเพลงกระบี่ของเขาได้ แต่ไม่นาน นางก็พบว่านางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังสนทนาอยู่เลยสักนิด
ความสำเร็จในเต๋ากระบี่ของราชครูเพิ่มพูนไปด้วยความเร็วราวเทพยดา และความสำเร็จในเพลงกระบี่ของฉินมู่เองก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นทั้งสองคนจึงเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษในศาสตร์นี้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีความสำเร็จสูงสุดขั้นในด้านธรรมชาติเสกสรร แต่ปฏิภาณความเข้าใจของนางในด้านเพลงกระบี่นั้นด้อยกว่าหลายขุม
ทั้งคู่แลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันกลางอากาศอยู่บ่อยครั้ง ฉินมู่จะโจมตีใส่ราชครูซึ่งก็จะยืนไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา ด้วยกระบี่ในมือข้างเดียว เขาก็สามารถปัดป้องการโจมตีของฉินมู่ได้อย่างง่ายดาย
พวกเขาทั้งดุเดือดและเปลี่ยนแปรไปมาอย่างไม่สิ้นสุด เทียบกันแล้วเพลงกระบี่ของราชครูเรียบง่ายอย่างสุดขีดขั้ว และสิ่งที่เขาใช้ก็เป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน กระนั้นเขาก็สามารถทำลายเพลงกระบี่อันสลับซับซ้อนได้ทั้งหมด
ฉินมู่เหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้ ดังนั้นเขาจึงหยุดพัก เขาจมจ่อมในการใคร่ครวญว่าจะพัฒนาเพลงกระบี่ของตนอย่างไร ราชครูสันตินิรันดร์ไม่กล่าวอะไรทั้งสิ้น ปล่อยให้เขาคิดอย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ “เพลงกระบี่ของราชครูนั้นราวกับเทพยดา ไฉนท่านไม่ชี้แนะเขาสักหน่อยเล่า”
“ข้าไม่สามารถ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว “เขาได้บรรลุถึงสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่แล้ว ดังนั้นจะได้ปฏิภาณความเข้าใจอะไรใหม่ๆ มาก็ต้องขึ้นกับตัวเขาเองเท่านั้น”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็ไม่อาจให้คำชี้แนะแก่ฉินมู่ได้อีกต่อไปแล้วหรือ
“ทำไมราชครูท่านไม่ปิดผนึกสมบัติเทวะเพื่อต่อสู้ในขั้นวรยุทธเดียวกันกับเขาล่ะ” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ชม้อยตาและถามต่อ
“ข้ามิกล้า” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พลังวัตรของเขากล้าแข็งเกินไป ในวรยุทธขั้นเดียวกันนั้น ข้าได้แต่อาศัยพลานุภาพในเต๋ากระบี่ ถึงจะสามารถเสี่ยงชีวิตกับเขาได้ ความเข้มข้นของพลังวัตรของเขาสามารถสังหารข้าได้ในกระบวนท่าเดียว”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ฉินมู่และครุ่นคิดในใจ บรรลุถึงเขตขั้นอันสูงส่งเพียงนี้ด้วยอายุเยาว์ ไอ้เด็กนี้ปล่อยให้มีชีวิตไว้ไม่ได้หรอก! ไม่อย่างนั้น ใครจะมาปราบเขาได้
ขณะที่นางคิดเช่นนั้น นางก็ได้ยินเสียงระเบิดกึกก้องสะท้านพิภพดังมาจากร่างกายของฉินมู่ เป่าเมฆขาวในบริเวณรอบๆ กระจัดกระจายไป มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง และสีหน้าของนางก็แปรเปลี่ยนเป็นไม่เชื่อสายตา
มันคือเสียงของกำแพงสมบัติเทวะถูกพังทลาย แต่ความเข้มข้นของมันดูราวกับการทลายสมบัติเทวะชาวสวรรค์!
ปัง ปัง ปัง
แสงสว่างสาดส่องจากร่างของฉินมู่และแปรเปลี่ยนเป็นดาวเจ็ดดวงที่หมุนวนรอบๆ เขา มันประกอบไปด้วยปราณหยางพิสุทธิ์อันราวกับดวงตะวันอันเจิดจ้า ปราณหยินพิสุทธิ์อันราวกับดวงจันทร์อันนวลใย และยังมีดาวอังคาร ดาวเสาร์อันเปล่งรัศมีสีเหลืองดิน ดาวศุกร์ที่พริบพรายด้วยรังสีแสงสีขาว ดาวพุทธอันห่อหุ้มไปด้วยไอน้ำ และดาวพฤหัสบดีที่พวยพุ่งไปด้วยปราณมังกรเขียว พวกมันทั้งหมดถูกห้อมล้อมไปด้วยประกายไฟฟ้า
บนดาวแต่ละดวงมีเทพเจ้ายืนอยู่บนนั้น พวกเขาล้วนแต่มีรูปลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆ นานา หนึ่งนั้นมีกายมนุษย์และศีรษะวัว อีกหนึ่งมีสามขาและศีรษะนก และอีกหนึ่งก็มีศีรษะพยัคฆ์และหางเสือดาว เทพครองดาวใหญ่ทั้งเจ็ดมีรูปลักษณ์พิสดารต่างๆ กันไป
ร่างของฉินมู่สั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ และจิตวิญญาณดั้งเดิมที่สูงแปดวาก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา มือทั้งสองของเขายกขึ้นมาเหนือหัวราวกับว่ากำลังแบกอะไรสักอย่าง และดวงดาวทั้งเจ็ดก็ขึ้นไปลอยวนอยู่เหนือฝ่ามือของเขา
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ร้องออกมาด้วยความแตกตื่น “จิตวิญญาณดั้งเดิมแข็งแกร่งอะไรอย่างนี้ เขาบรรลุขั้นชาวสวรรค์ แต่ทำไมเกิดภาพปรากฏการณ์ของเจ็ดดาวล่ะ”
“เจ้าเห็นไหมล่ะว่าเสียงกัมปนาทของการทลายขั้นวรยุทธของเขาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน” ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสะท้าน ขณะที่สายตาของเขาก็ระโหยแล้ง “ข้าคิดมาตลอดว่าข้าคือเส้นตรง และไม่มีจุดอ่อนใดๆ บัดนี้ข้าถึงรู้ว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น เขาเป็นเส้นตรง ส่วนข้าเป็นสามเหลี่ยม กายาจ้าวแดนดิน มันสามารถแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียวหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้งงงวย นางตกตะลึงกับภาพปรากฏการณ์การทลายขั้นเจ็ดดาว ในเมื่อความอึกทึกที่เกิดขึ้นนั้นไม่ควรที่จะน่าแตกตื่นขนาดนี้
แต่ทว่าที่ทำให้นางตกตะลึงที่สุดก็ยังคงเป็นกายาจ้าวแดนดิน
นางไม่เคยได้ยินกายาชนิดนี้มาก่อน!
“ราชครู อะไรคือกายาจ้าวแดนดินที่ท่านว่า” มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ปรึกษาเขาอย่างจริงใจ หมายที่จะได้รับแสงสว่างแห่งปัญญา
“กายาจ้าวแดนดินมาจากตำนานโบราณ” ราชครูสันตินิรันดร์จิตวิญญาณฟ่องฟูขึ้นมา “เรื่องนี้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งบอกเล่าแก่ข้า ดังนั้นให้ข้าบอกเล่าเจ้าต่อโดยละเอียด ตำนานกล่าวว่าสามารถมีกายาจ้าวแดนดินได้เพียงหนึ่งในโลกหล้า…”
พวกเขาไล่ตามร่องรอยของผานกงสั่วมาราวๆ ห้าวัน อันฉินมู่ใช้ในการปรับรากฐานวรยุทธขั้นเจ็ดดาวของเขาให้มั่นคง พลังวัตรของเขานั้นเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้นไปทุกที ในเวลาเดียวกันนั้น เมื่อเขาเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ห้าธาตุ หกทิศ และเจ็ดดาวขึ้นมาพร้อมๆ กัน พลานุภาพของพลังวัตรของเขาก็แทบจะเท่ากับกิเลนมังกร
เจ้าอ้วนนี่เริ่มกระวนกระวาย และรู้สึกผวาอย่างสุดๆ แย่ล่ะ วรยุทธของจ้าวลัทธิไล่ตามข้ามาติดๆ แล้ว ข้ากำลังจะไร้ประโยชน์! อย่างนี้ข้าจะไปหาเจ้านายอาหารที่ล้ำเลิศเช่นจ้าวลัทธิฉินได้จากไหนกันล่ะ
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ระบายลมหายใจโล่งอกและแย้มยิ้ม “ตอนนี้พวกเราอยู่ไม่ไกลจากผู้สูงศักดิ์แล้ว”
ฉินมู่มองขึ้นไปรอบๆ พวกเขา ต้องประหลาดใจที่พบว่าทะเลทรายเพลิงโหมอยู่ข้างหน้า “ผานกงสั่วคงจะวิ่งหนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตกเรียบร้อยแล้ว เขาสมกับเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่มีใครทัดเทียมเขาได้ในเรื่องความสามารถในการหลบหนี หากว่าไม่ใช่เพราะพี่สาวซืออวี่ เขาก็คงหนีรอดไปได้อีกตามเคย”
เพลิงไฟข้างหน้าพวกเขาลุกไหม้สูงลิ่ว ในจังหวะที่พวกเขาเข้าใกล้มัน รอยประทับประหลาดพิลึกมากมายก็ปรากฏบนร่างของฉินมู่ คืบไต่ไปทั่วตัวเขา
หางตาของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้กระตุก และนางถามด้วยความกังวล “จ้าวลัทธิฉิน รอยประทับบนร่างของท่านพวกนี้…”
“ข้าเดาว่ามันน่าจะเป็นคำสาปแบบหนึ่ง” ฉินมู่ไม่ใส่ใจมัน “ครั้งล่าสุดที่ข้ามาที่นี่ รอยประทับนี้ปรากฏทั่วทั้งร่างของข้า ตลอดไปจนถึงใจกลางฝ่าเท้า และไม่ว่าข้าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขจัดมันไปได้ มีก็แต่เมื่อข้าเดินออกไปจากทะเลทรายเพลิงโหมเท่านั้น พวกมันจึงจะจางหายไปเอง”
“แม้กระทั่งใจกลางฝ่าเท้าหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จิตสั่นสะท้าน และนางเกือบจะร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
ราชวงศ์! เขาคือสมาชิกราชวงศ์!
นางได้สังหารชนชั้นสูงมากมายจากเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ แต่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่เป็นผู้สืบสายเลือดของจักรพรรดิก่อตั้ง นางมิเคยได้สังหารผู้คนเช่นนี้มาก่อน!
เขามิใช่แค่ชนชั้นสูงแห่งแดนโบราณวินาศ เขาคือราชวงศ์!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลดยินดี และความรู้สึกอัปยศอดสูจากช่วงหลายวันที่ผ่านมาก็หายวับเป็นปลิดทิ้ง นางได้เดินทางไปไกลและไพศาลเพื่อจะหาราชวงศ์สักหนึ่งคน แต่เขากลับเดินมาหานางด้วยตนเอง! พวกเบื้องบนนั้นกังวลที่สุดก็คือราชวงศ์ และหากว่านางสามารถกำจัดเขาได้ นางก็จะประสบความสำเร็จไต่เต้าไปได้อย่างสูงลิ่ว และพ้นจากโลกรูหนูนี่เพื่อไปใช้ชีวิตเริงรื่นที่แดนเบื้องบน!
สายตาของนางวูบไหว แม้ว่าไอ้เด็กสำส่อนนี่จะฆ่าง่ายกว่า แต่เขากลับมีความสำคัญที่สุด! ชีวิตของเขามีค่ามากกว่าราชครูสันตินิรันดร์ไปเป็นร้อยๆ เท่า! แต่ก่อนที่จะกำจัดเขา ข้าก็จำเป็นต้องกำจัดราชครูสันตินิรันดร์ไปเสียก่อน! จะจัดการกับเขาโดยปกติธรรมดานั้นยากเย็น แต่หลังจากที่เข้าไปในทะเลทรายแล้ว ข้าก็จะมีวิธีการ! ผู้สูงศักดิ์ คงต้องรบกวนเจ้าแล้ว!
นางร่ายเวทมนตร์เพื่อรวบรวมทราย ปลุกยักษ์ทรายขึ้นมาเพื่อถามเขาเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของผานกงสั่ว
กิเลนมังกรเพิ่มพูนความเร็วของเขาเมื่อวิ่งไปยังที่ไกลๆ
ในเช้าวันถัดมา กิเลนมังกรก็ไปถึงซากโบราณที่ยังสภาพดีอยู่ในทะเลทราย ข้างๆ มันนั้นมีเรือตะวันและดวงตะวันที่ถูกฝังไว้ครึ่งหนึ่ง
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ด้วยเรือตะวันนี้ ผานกงสั่วก็คงยากที่จะหลบหนีไปได้ ต่อให้เขาต้องการหนีมากแค่ไหนก็ตาม”
ฉินมู่จิตใจฮึกเหิม แย้มยิ้มออกมา “ราชครู พี่สาวซืออวี่ โปรดรอที่นี่เพื่อเฝ้าต้นทาง อย่าปล่อยให้เขาหนีไปได้อีก ข้าจะไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่น!”
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปที่เขา “ต้องการความช่วยเหลือจากข้าไหม”
“ไม่จำเป็น!” ฉินมู่เร่งความเร็วของเขา และไม่นานเขาก็ลงไปเหยียบที่โถงวังอันพังยุบลงมาในซากโบราณ เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “ผานกงสั่ว สหายจากแดนไกลมาเยือนเจ้า ไฉนเจ้ายังไม่รีบไสหัวออกมาตาย”
“ไอ้เด็กแซ่ฉิน เจ้ามันตามหลอกหลอนข้าไม่เลิก!” ร่างหนึ่งทะยานจากผืนทรายขึ้นไปบนท้องฟ้า ด้วยเสียงตึบ มันเหยียบลงตรงสุดอีกด้านของโถงวังนี้ มันคือเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง และไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากผานกงสั่ว เขานั้นเต็มไปด้วยความอาจหาญลำพองและหัวเราะด้วยเสียงกึกก้อง
“เจ้ามาได้เวลาพอดี ในช่วงนี้พลังวัตรของข้าเพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาล และในที่สุดข้าก็จะได้สำเร็จความปรารถนาอันหมายมาดไว้เนิ่นนาน ก็คือสับเจ้าเป็นชิ้นๆ และให้เจ้าคุกเข่าลงต่อหน้าข้า!”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้จ้องไปที่แผ่นหลังราชครูสันตินิรันดร์อยู่ตลอดเวลา และในขณะนั้น นางก็เห็นช่องโหว่ของเขา!
……………………………………..
เทพนารีที่หลบหนีออกมามิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเทพนารีที่ถูกฉินมู่แย่งชิงสุราออกไปจากถาดและถูกเตะกระเด็น นางวิ่งไปที่มุมห้องหนึ่ง ผ่านฉากกั้นไป และเมื่อออกมา ก็กลายเป็นสตรีที่มีรูปลักษณ์ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
นางสวมใส่เครื่องประดับวงกลมที่ศีรษะและเสื้อคลุมสั้นสีดำ รองเท้าส้นสูงปลายแหลมงอนประดับเท้าของนาง ภูษาอาภรณ์ไม่แตกต่างจากสตรีแผ่นดินตะวันตกโดยทั่วไป
เกือบไปแล้ว ร่างที่แท้จริงของข้าเกือบถูกเตะจนเผยออกมาโดยไอ้ผู้คนที่ถูกละทิ้งนั่น! แต่ถึงอย่างไร ข้าก็เผยไต๋ไป เทพและมารทั้งหมดที่นั่นพูดได้แต่วลีง่ายๆ อย่างฆ่ามัน หรือสัตว์ร้ายชั่วช้า ส่วนข้าพูดประโยคเต็มๆ
หญิงผู้นี้รีบมุ่งออกไปจากโถงใหญ่แห่งตำหนักสวรรค์แท้ แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าสะสวยของนาง และนางก็ก้มหน้าพลางครุ่นคิด ทั้งสองคนนั้นอาจจะยังไม่รู้ตัว แต่ถ้าพวกเขาย้อนคิด ก็จะต้องค้นพบเรื่องนี้อย่างแน่นอน! ข้าจะต้องรีบออกจากที่นี่ไปโดยด่วน หรือว่าข้าควรจะไปเอาลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่มาก่อนดี…
ฝีเท้าของนางทั้งเบาและเร่งร้อน ตรงหน้าของนางคือฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นนางจึงผ่อนความเร็วลง นางทำตัวตามปกติและแย้มยิ้มให้แก่พวกเขาราวกับว่านางคือศิษย์ธรรมดาสามัญแห่งตำหนักสวรรค์แท้
“แย่แล้ว!” ทันใดนั้น สีหน้าฉินมู่ก็เปลี่ยนแปลงไป และกำหมัดแน่นพลางร้องออกมา “ข้ารู้แล้วว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ไปซ่อนอยู่ที่ไหน!”
ราชครูสันตินิรันดร์เองก็ชาญฉลาดอย่างยิ่ง และคิดถึงประเด็นสำคัญออกโดยทันที “ใช่แล้ว ในภาพจิตรกรรมที่มุมหายไปมุมหนึ่ง! เทพนารีที่ถือถาดสุรา!”
เขาหันกลับไปและวิ่งไปยังโถงใหญ่ กล่าวอย่างรวดเร็ว “พวกเราสังหารจักรพรรดิสวรรค์ในภาพจิตรกรรม แต่กระทั่งจักรพรรดิสวรรค์ก็ยังพูดเต็มประโยคไม่ได้ มีก็แต่เทพนารีผู้นี้ที่ทำเช่นนั้น!” แต่ไม่นานเขาก็เดินออกมาจากโถงวัง พลางส่ายหัว “เทพนารีที่ถือถาดสุราไม่อยู่ในภาพวาดแล้ว”
ฉินมู่เลียนน้ำเสียงของเทพนารีผู้นั้นและกล่าว “เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์ศักดิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ ประโยคนี้ซับซ้อนเกินไปสำหรับผู้คนในภาพวาด จิตรกรของภาพนี้ยังไม่บรรลุถึงขั้นนั้น ดังนั้นมีแต่เทพนารีที่สามารถพูดจาได้เท่านั้นที่เป็นมารดาเฒ่าสวรรค์แท้! ร้ายลึกจริงๆ ถึงกับไปซ่อนตัวในภาพวาด ข้าประเมินนางต่ำไป”
หญิงสาวผู้นั้นเดินมายังข้างๆ ทั้งสองคนและคารวะทักทายฉินมู่ “จ้าวลัทธิฉิน”
ฉินมู่ประกายตาวูบไหว แต่เขาก็แย้มยิ้มให้นาง “ทำไมพี่สาวไม่คารวะทักทายราชครูล่ะ”
“ราชครู? ข้าไม่เคยพบเขามาก่อน หรือว่าเขาคือยอดฝีมือที่สังหารป้าโก่ว”
สีหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และนางรีบคารวะทักทายราชครูสันตินิรันดร์ นางมองเข้าไปในดวงตาเขาด้วยกิริยาปฏิพัทธ์เอียงอาย ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “ไม่ใช่นาง หลังจากที่ข้ามายังแผ่นดินตะวันตก ข้าไม่เคยเผยโฉมหน้าออกมา ดังนั้นสตรีเกือบทั้งหมดของแผ่นดินตะวันตกจึงไม่รู้จักหน้าข้า”
ฉินมู่ผงกหัวแล้วกล่าวกับหญิงผู้นั้น “เจ้าได้เห็นใครเดินออกมาจากโถงนั้นหรือเปล่า”
นางส่ายหัวไปมา “ข้าไปกับประมุขเพื่อแย่งชิงลูกแก้วหงส์ไฟ และเดินผ่านมาที่นี่่ แต่ข้าไม่เห็นใครเลย”
ฉินมู่พึมพำอยู่ครู่หนึ่ง และโบกมือไล่ให้นางไป หญิงนางนั้นมองไปยังราชครู จากนั้นก้มหน้างุดเดินผ่านพวกเขา แต่ฉินมู่พลันยุดชายเสื้อของนางเอาไว้ และมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็หนังหัวชาวูบ นางเกือบจะหยุดตัวเองที่จะโจมตีออกไม่ได้
ฉินมู่แย้มยิ้มแก่นาง “ข้าจะเรียกพี่สาวว่าอย่างไรได้หรือ และพี่สาวมาจากตระกูลไหน ใครคือประมุขของท่าน”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สีหน้าแปรเปลี่ยน และนางคุกเข่าลงกับพื้นโดยทันที ร่างของนางสั่นเทาไปหมด นางโขกศีรษะแล้วกล่าว “ข้าเป็นศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ จ้าวลัทธิ อย่าฆ่าข้าเลยนะ! หากว่าผู้คนรู้ว่าข้าเป็นศิษย์ตำหนัก ข้าก็จะต้องตายอย่างแน่นอน! จ้าวลัทธิ โปรดไว้ชีวิตข้า!”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวกับราชครูสันตินิรันดร์ “ข้าดันไปคิดว่านางคือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เสียอีก ถึงอย่างไรนางก็เป็นเทพเจ้า นางจะมาคุกเข่าให้มนุษย์ธรรมดาได้อย่างไร นางเป็นศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ที่กำลังพยายามหนีเอาชีวิตรอดจริงๆ นั่นแหละ”
ราชครูสันตินิรันดร์โบกมือของเขาและกล่าว “เจ้าจัดการนางเถอะ”
ฉินมู่ช่วยพยุงมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ให้ลุกขึ้นและกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่สาว อย่ากลัวไปเลย อย่าไปเชื่อคำคนอื่นพูด พวกเขาเรียกข้าว่าจ้าวลัทธิมารฟ้า จริงๆ แล้วเพราะว่าข้ามาที่นี่แต่ลำพัง ข้าไม่ค่อยมั่นใจในตนเองก็เลยเรียกตัวเองว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าเพื่อข่มขวัญผู้คน อันที่จริงข้าคือจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ ลัทธิของเรามีเมตตาเป็นที่สุดและไม่ทำร้ายผู้คน ดูสิ แม้แต่ราชครูก็ยังเป็นหนึ่งในสี่เทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้า จริงสิ เจ้าชื่ออะไรหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ดูไม่ค่อยเชื่อคำพูดเขา “ชื่อของข้าคือเถียนซืออวี่ ท่านไม่ส่งตัวข้าไปแน่หรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์เหมือนจะเพิ่งนึกอะไรได้ “ข้าจะไปประกาศราชโองการ ดังนั้นไม่มีเวลาอยู่ที่นี่ต่อ”
ฉินมู่ตามราชครูสันตินิรันดร์ไปพลางจูงมือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ “ข้าอยากจะหาใครสักคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่ชื่อว่าผานกงสั่ว และอีกชื่อว่าผู้สูงศักดิ์ เขานั้นเป็นประมุขแห่งวังทองโหรวหลัน และได้มายังตำหนักสวรรค์แท้ของเจ้าครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าพี่สาวเคยเห็นเขาบ้างไหม”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถูกดึงไปด้วยกันกับเขา เมื่อใดก็ตามที่นางมองไปยังราชครูสันตินิรันดร์ นางก็ไม่กล้าดิ้นรน “ข้าเคยเห็นเขามาก่อน ข้ารู้แต่ว่าเขาเรียกว่าผู้สูงศักดิ์ และเป็นสหายแนบใจของผู้อาวุโสอวี้ชิงฉาน แต่ทว่า เขานั้นมิได้อยู่ในตำหนักแล้ว เมื่อเขาเห็นจ้าวลัทธิฉินมาโจมตีตำหนักสวรรค์แท้ เขาก็วิ่งหนี”
“สมกับเป็นผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่ถอนหายใจ จากนั้นก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง “พี่สาวซืออวี่ จริงสิ วิชาสะกดรอยของแผ่นดินตะวันตกของเจ้านี่นับว่าไร้เทียมทานในโลกหล้า ใช่หรือไม่ ข้าจะช่วยปกป้องเจ้าไม่ให้เป็นอันตราย และเจ้าต้องช่วยข้าสะกดรอยผานกงสั่ว แบบนี้เป็นอย่างไร”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลิงโลด “ได้เลย! ตกลงแน่ใช่ไหม”
ฉินมู่หัวเราะและกล่าว “ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไม ตกลงแน่สิ! ราชครู อ่านราชโองการแล้วมากับข้าไปไล่ล่าผานกงสั่วกันหน่อย”
“ได้ ข้าก็อยากรู้ว่าใครคือเทพเจ้าตนที่อยู่เบื้องหลังผานกงสั่ว และเขาไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
สีหน้าของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางคิดว่าฉินมู่จะไปกับนางตามลำพังเพื่อไล่ล่าผานกงสั่ว เมื่อทั้งสองคนอยู่ตามลำพัง ก็จะง่ายที่นางจะสังหารเชื้อสายสูงส่งท่ามกลางเหล่าผู้คนที่ถูกละทิ้งผู้นี้ แต่ไอ้เด็กต่ำช้านี่กลับเชื้อเชิญราชครูสันตินิรันดร์ไปด้วย!
มีราชครูอยู่ด้วย มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็จะอยู่ในอันตราย เพียงแค่เผลอหลุดนิดเดียว นางก็จะถูกไอ้คนไร้ใจนี่สังหารทันที!
เมื่อนางและเขาอยู่ใกล้กัน หากว่าราชครูสันตินิรันดร์โจมตีมา นางก็จะไม่อาจป้องกันตนเองได้!
แต่ราชครูสันตินิรันดร์ตามไปด้วยก็ดีเหมือนกัน กลายเป็นให้โอกาสข้ากำจัดเขามากขึ้น ถึงอย่างนั้นข้าก็ต้องการลูกแก้ววิญญาณทั้งสี่ เมื่อข้าได้พวกมันมา จากขจัดราชครูให้หายไปจากโลกก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น…
ตระกูลใหญ่แผ่นดินตะวันตกปราบปรามตำหนักสวรรค์แท้จนสงบราบคาบในที่สุด และสังหารไม่ก็จับเป็นยอดฝีมือตระกูลอวี้ทั้งหลาย ตระกูลเหล่านั้นได้พร้อมใจเลือกเสียงซีอวี่ให้เป็นเจ้าตำหนักและไหน่ขุยอีกครั้ง นางจูงมือเสียงฉีเอ๋อและรับการคารวะจากทุกๆ คน
ราชครูสันตินิรันดร์อ่านราชโองการของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง และเสียงซีอวี่รีบน้อมรับมันทันที ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็ไปดึงตัวเสียงฉีเอ๋อมาและขอลูกแก้วมังกรเขียวกับลูกแก้วเต่าดำออกมาเล่น
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มองไปที่ลูกแก้ววิญญาณทั้งสองในมือของเขาและพยายามข่มระงับความอยากที่จะแย่งชิงมันมา
เด็กทั้งสองไม่ได้ฟังราชโองการ แต่กลับละเล่นกับลูกแก้วไปๆ มาๆ ดีดสมบัติวิญญาณทั้งสองไปทางโน้นที ทางนี้ที ทำให้เสียงฉีเอ๋อหัวเราะคิกคักไม่หยุด
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ยัดลูกแก้วมังกรเขียวเข้าไปในมือนางแล้วแย้มยิ้ม “พี่สาวซืออวี่ มาเล่นกับฉีเอ๋อสักครู่หนึ่งสิ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ถือลูกแก้วมังกรเขียวในมือ พลางมองไปยังใบหน้าเกลื่อนยิ้มของฉินมู่ด้วยความตะลึงงัน นางค้นไม่พบเลยสักนิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ากำลังคิดอะไรอยู่!
ลูกแก้วมังกรเขียวอยู่ในมือข้าแล้ว และมันสามารถปะทุพลานุภาพอันแข็งแกร่งที่สุดออกมาได้ หากว่าข้าลงมือตอนนี้ ทุกคนในตำหนักสวรรค์แท้ก็จะแข็งค้างและกลายเป็นไม้!
สายตาของนางแทบลุกเป็นไฟ แต่ขณะที่นางจะลงมืออยู่นั่นเอง นางก็เห็นเสื้อผ้าของราชครูสันตินิรันดร์เคลื่อนไหวโดยปราศจากลม และนางก็รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่
เด็กต่ำช้ากับราชครูสันตินิรันดร์ล้วนแต่เป็นจิ้งจอกเฒ่า พวกเขากำลังทดสอบข้า!
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้หนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง และนั่งลงอย่างสงบเสงี่ยมเพื่อเล่นดีดลูกแก้วกับเสียงฉีเอ๋อ
ไม่นานนัก ราชครูสันตินิรันดร์ก็อ่านราชโองการของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเสร็จ และฉินมู่ก็มาขอลูกแก้วมังกรเขียวกลับคืนไปไว้ในมือเสียงฉีเอ๋อ หลังจากพาทุกๆ คนน้อมรับราชโองการแล้ว เสียงซีอวี่ก็เรียกเสียงฉีเอ๋อมา นางหยิบลูกแก้ววิเศษสองลูกและโค้งคารวะ
“ข้าขอบรรณาการลูกแก้ววิเศษสองลูกนี้แต่ฝ่าบาท และจะไม่ทรยศเป็นอันขาด”
สีหน้าของเหออีอี มู่ยิ่งเสว่ และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป เสียงซีอวี่รู้ดีว่าการปกครองแผ่นดินตะวันตกคงเป็นเรื่องยากสำหรับนาง ขนาดว่าลูกแก้วอีกสองลูกก็ยังถูกแย่งชิงไป ดังนั้นนางจึงเพียงแค่มอบสองลูกที่เหลือให้แก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง มันเป็นวิธีการเรียบง่ายที่ใช้ถ่วงดุลตระกูลใหญ่ทั้งหลาย!
ราชครูสันตินิรันดร์รับมาเพียงลูกแก้วเต่าดำ “เจ้าตำหนักยังคงต้องการสมบัติวิเศษเพื่อใช้พิทักษ์ปกป้องแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นเก็บลูกแก้วมังกรเขียวไว้เถอะ”
เสียงซีอวี่กล่าวขอบคุณและดึงเสียงฉีเอ๋อลุกขึ้น
หลังจากพิธี ราชครูสันตินิรันดร์ก็เร่งฉินมู่ “เจ้าทิ้งรอยรักไปทั่วหมดทุกแห่ง แต่เจ้าต้องไม่อุทิศตนให้กับเรื่องพวกนั้น ระวังเถอะว่าจะสูญเสียชื่อเสียงแบบราชาพิษหน้าหยกและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องเฉือนตัดใบหน้าของตนเองออกไป รีบไปบอกตัดเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของเจ้าเร็วเข้าเถอะ แล้วจะได้ไปตามหาตัวผู้สูงศักดิ์”
“ข้าไม่ใช่คนเจ้าชู้…” ฉินมู่กล่าวพลางปลุกปลอบขวัญตนเองเพื่อไปบอกลาสตรีทั้งหลาย
เหออีอีมองไปที่เขาด้วยแววตาอันล้ำลึก “จ้าวลัทธิไม่อยู่ต่ออีกสามสี่วันหรือ ยังมีบางเรื่องที่พวกเรายังไม่ได้ทำกันเลย”
มู่ยิ่งเสว่กล่าวอย่างโผงผาง “หนุ่มน้อย กลับไปได้เลยตามสบาย แต่รอเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปปีนหน้าต่างห้องเจ้าที่แผ่นดินภาคกลาง!”
เสียงซีอวี่นำเสียงฉีเอ๋อมาบอกลาอย่างอิดเอื้อนไม่อยากให้ไป “หากว่าพวกเรามิได้พบกับจ้าวลัทธิ พวกเราก็คงตายไปนานแล้ว ศพพวกเราคงแห้งซากอยู่ที่ไหนสักแห่งในป่าชัฏ จ้าวลัทธินั้นเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของตระกูลเสียง หากว่าวันใดท่านปรารถนาสิ่งใด ตำหนักสวรรค์แท้ก็จะไม่อิดออดเป็นอันขาด”
ฉินมู่แย้มยิ้มให้แก่นาง “ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าต้องจดจารไว้ในใจขนาดนั้น ในเมื่อข้าเพียงแต่กระทำตามความเชื่อของข้าเท่านั้น ไม่ต้องการฝืนธรรมชาติของข้า ไหน่ขุย ฉีเอ๋อ ลาก่อน”
ทุกความรู้สึกพลุ่งพล่านขึ้นมาในหัวใจของเสียงซีอวี่ เมื่อนางเห็นเขาออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้ นางพลันตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง
“ผู้เที่ยงธรรม!”
ฉินมู่อึ้งไป จากนั้นเขาก็หันกลับไปด้วยรอยยิ้มและโบกมือลา
คำนี้มิใช่สาเหตุที่เขาช่วยชีวิตสองแม่ลูก เขาเพียงแต่มิอาจทนดูเสียงฉีเอ๋อตกตายในน้ำมือของตำหนักสวรรค์แท้ แต่ทว่า ในบัดนี้ เขาสมควรแก่คำเรียกขานนี้แล้ว
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกรและดึงเอามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ขึ้นมา “ราชครู แผ่นดินตะวันตกเป็นดินแดนที่เปี่ยมมนตร์เสน่ห์ จักรพรรดิจะปฏิบัติต่อที่นี่อย่างไรหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ก้าวไปบนอากาศอย่างแช่มช้า พลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “เขาก็จะปฏิบัติต่อที่นี่ประดุจที่ปฏิบัติต่อเจ้า เขามีจิตใจกว้างขวาง ข้าได้ประกาศแก่จักรพรรดิแล้วว่าข้าต้องการเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันตก แต่มิใช่ด้วยกำลัง สาเหตุที่ข้ามิได้เคลื่อนกองทัพมาก็ด้วยเกรงว่าจะทำความสันติสุขที่นี่”
“สตรีที่นี่งดงามเป็นอย่างยิ่ง และข้าไม่ต้องการให้มีเหตุการณ์อย่างการข่มขืนหรือการปล้นชิงเกิดขึ้น นั่นจึงทำให้ข้ากล่าวแก่จักรพรรดิว่า ข้าจะไม่นำกองทัพที่มีไพร่พลเรือนล้านมา แต่จะแนะนำบุรุษผู้หนึ่งมีเทียบเท่ากับยอดฝีมือนับล้าน และบุรุษผู้นี้…” เขาเหลียวกลับไปมองที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้ม “ก็คือเจ้า ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ มีแต่จ้าวลัทธิฉินเท่านั้นที่สามารถกวาดล้างทั้งแผ่นดินตะวันตกด้วยตัวคนเดียวได้”
ฉินมู่ตะลึงไป จากนั้นก็หัวเราะขำ “ราชครูยกยอข้าแล้ว! พี่สาวซืออวี่ เจ้าไม่คิดว่าชมกันเกินไปหรอกหรือ”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีรอยยิ้มแปะบนใบหน้า แต่นางไม่กล่าววาจา
ฉินมู่ยัดลูกแก้วเต่าดำเข้าไปในมือนาง “พี่สาวซืออวี่ ร่ายเวทมนตร์เถอะ พวกเรารีบไปตามหาไอ้เด็กเปรตผานกงสั่วนั่นกัน”
มารดาเฒ่าสวรรค์แท้กำลูกแก้วเต่าดำแน่น จากนั้นปรายตามองราชครูสันตินิรันดร์ ชายกลางคนผู้นี้มีมือไพล่หลังข้างหนึ่งที่กำลังใช้เคล็ดลับกุมกระบี่
วิสัยทัศน์เบื้องหน้าราชครูสันตินิรันดร์พลันแปรเปลี่ยนไป เมื่อแสงสว่างกลับมา พวกเขาก็ได้เข้าไปในปราสาทสวรรค์ พวกมันยิ่งใหญ่อลังการ และภูเขาศักดิ์สิทธิ์ก็ทอดตัวออกไปในที่ไกลๆ แสงเทวะสาดส่องลงในโลกอันไร้ขอบเขต
“นี่คือโลกในภาพวาดหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์แตกตื่นอย่างสุดขีด หากว่าพวกเขาอยู่ในโลกในภาพวาดจริงๆ นี่มันไม่กว้างใหญ่ไพศาลไปหน่อยหรือ
เขามองไปยังที่ไกลๆ แต่หมู่ปราสาทสวรรค์อันสลับซับซ้อนเหล่านั้น มีมากมายอย่างสุดลูกหูลูกตา!
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยทวยเทพ บ้างก็น่าเกรงขาม บ้างก็สูงส่งศักดิ์สิทธิ์ บ้างก็เลิศล้ำเหนือโลก แต่ทว่าเทพส่วนใหญ่เดินไปๆ มาๆ ตามหาและเรียกขานสหายของพวกเขา พลางแลกเปลี่ยนกันชนจอกสุราและร่วมวงดื่มกันเป็นกลุ่มใหญ่
ฉินมู่ได้นำราชครูเข้าไปในภาพวาด และเข้าไปในงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ มีโถงทางเดินยาวรอบๆ ตัวพวกเขาอันดูราวกับสะพานยาวเหยียด รุ้งเหินหาว ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ ลอยอยู่เหนือเก๋งศาลา และโคมไฟอันมีปักษาเทวะอัคคีข้างในก็ทำประหนึ่งเป็นเทียนไขที่ส่องสว่างและให้ความอบอุ่น
และยังมีเทพธิดาที่กำลังเล่นเครื่องสายและเครื่องเป่าอันวิลิศมาหรา สตรีบางนางก็กำลังร่ายรำอยู่บนใบบัว ขณะที่ฝนมาลาสวรรค์โปรยปรายลงมารอบๆ กายพวกนาง
เทพบางพวกที่กำลังเมามายก็เซไปซ้ายขวา ยกไหสุราของพวกเขาขึ้นพลางกระเซ้าเย้าเทพนารีที่หลบเลี่ยงพวกเขาด้วยความอาย
ราชครูสันตินิรันดร์ละลานตาจนเกินกว่าจะมองอะไรจนครบถ้วน พวกเขาอยู่ที่ใจกลางงานเลี้ยง อันมีเทพเจ้านับไม่ถ้วนอยู่รอบๆ ในที่ห่างไกล แสงสว่างจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ฉายส่องมา
ภูติบดีอยู่ไม่ห่างไกลจากพวกเขา และบนหัวของเขานั้นคือเขาที่มีเก้าบิด เขานั่งนิ่งไม่ไหวติงโดยมีเพลิงไฟโหมไหม้เป็นรัศมีรอบกายราวกับนรกภูมิ
ยังมีตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวอย่างมหันต์อยู่สูงขึ้นไปอีก ใบหน้าของพวกเขารางเลือน แต่ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามที่พวกเขาเปล่งออกมานั้นมิใช่เรื่องเล็กน้อย
“ราชครู ตอนนี้เจ้าเหมือนบ้านนอกเข้าเมืองไม่มีผิด เหมือนกับข้าตอนที่เข้าเมืองเขตมังกรเป็นครั้งแรกเลย!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และพลันฉวยไหสุราออกมาจากเทพนารีนางหนึ่งข้างๆ เขา เขายกมันขึ้นมากรอกใส่ปากของตนจนสาแก่ใจ
เทพนารีนั้นโกรธเกรี้ยวขึ้นมาและตะโกนออกไป “เด็กต่ำช้านี่มาจากที่ไหน นี่คือสุราศักดิ์สิทธิ์สำหรับเทพสูงส่ง เจ้าจะมาแตะต้องได้หรือ”
“หญิงน่ารำคาญ!”
ฉินมู่ง้างเท้าเตะเทพนารีนั้นออกไป เขาคว้าเอาไหสุราอีกไหที่กระเด็นขึ้นมาจากถาด และยัดใส่มือของราชครูสันตินิรันดร์ จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะหยกตรงหน้าเทพเจ้าอันลอยอยู่สูงส่งขึ้นไป พลางดื่มมันจนสมใจ
เทพเจ้านั้นเดือดดาลและเงื้อฝ่ามือขึ้นฟาดตบเขา แต่ฉินมู่ยกมือเขาขึ้นมาและชักกระบี่ออกมาตัดแขนของอีกฝ่าย
เขาหัวร่อด้วยเสียงอันดัง คว่ำโต๊ะหยกให้ระเนระนาดพลางตะโกน “บทกวีตะวันและจันทรา พร้อมด้วยสุราของผู้อมตะ วีรบุรุษจากแดนไกล เหาะเหินขึ้นไปสวรรค์ชั้นเก้า!”
ฉึก!
ศีรษะของเทพสูงส่งนั้นถูกบั่นออก และฉินมู่ก็บุกเข้าไปในอีกโถง สร้างความโกลาหลขึ้นบนสรวงสวรรค์ เทพเจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนโกรธเกรี้ยวและโจมตีเขา แสงกระบี่พุ่งวูบวาบในมือของฉินมู่ และเขาต่อสู้กับเทพสูงส่งทั้งหลาย เขาตัดศีรษะเทพยดาเหล่านั้นให้กลิ้งหลุนๆ ไปข้างกายภูตบดี
ฉินมู่แขวนห้อยศีรษะเทพไว้บนเขาของภูติบดีและหัวเราะ “เนรเทศจากเกาะเผิงไหลอันสูงส่ง แขวนเสื้อตำแหน่งไว้หน้าโถงหยกแห่งฝางจ่าง!”
ภูติบดีระเบิดโทสะ และร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม แปรเปลี่ยนเป็นร่างเทวะอันสูงเป็นร้อยวา เพลิงศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งออกมาจากใต้เท้าของเขา
ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ของตน และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มที่พุ่งไปรอบๆ ภูติบดี พวกมันหมุนเป็นเกลียววนเพื่อเชื่อมต่อกันเป็นท่วงท่ากระบี่เกลียว อันเฉือนตัดเทพสูงส่งผู้นี้ให้กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ฉินมู่เช็ดมือของเขา และกระบี่บินก็กวาดล้างออกไปทั่วสารทิศราวกับมังกรยาวเหยียด ความตื่นเต้นของเขาพลุ่งพล่านเมื่อเขาเข่นฆ่าและเอื้อนโคลงกลอน “พบพานมังกรยาวพันวา ยังคงแบหลาในชั้นขนหงส์ไฟ!”
เทพเจ้ามากมายโถมพุ่งเข้าใส่เขาราวกับน้ำหลากที่คุกคามหมายจะกลบกลืน
แสงเทวะสาดส่องถึงยอดฟ้า และฉินมู่ก็พุ่งออกมาจากทะเลของแขนขาที่ถูกเฉือนบั่น เขาดีดนิ้วเคาะกระบี่และขับร้อง ปลดปล่อยความนำพาทั้งหมด “บุรุษนับหมื่นจนหนทางไปต่อ ทวยเทพต้องระย่อกับพลังท้าทายสวรรค์! ราชครู ให้ข้าทุบทำลายเทพในหัวใจเจ้า!”
ราชครูสันตินิรันดร์หัวร่อฮาๆ ความระทดท้อใจเมื่อครู่หายไปเป็นปลิดทิ้ง จิตวิญญาณแจ่มจ้าขึ้นเป็นร้อยเท่า เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง “เทพเจ้าในหัวใจข้า ไยต้องลำบากเจ้ามาทำลายให้”
เขาก้าวเท้าออกไป ในมือแสงกระบี่วูบวาบ พละกำลังเขาเหนือล้ำกว่าฉินมู่ ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด ทวยเทพก็ล้มตายเป็นผักปลา
ที่ตำหนักชิดฟ้า เทพและมารจำนวนไร้ประมาณโถมพุ่งบุกโจมตีพวกเขา
ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์ยืนเคียงข้างกัน เข่นฆ่าทุกผู้คนที่อยู่หน้าประตูสวรรค์
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ซากศพของเทพและมารก็ก่ายกองเต็มภูเขา กระนั้นก็ยังคงมีเทพเจ้ามากมายนับไม่ถ้วนไหลบ่ามายังพวกเขาตะโกนฆ่า ตะโกนฟัน
“พวกเรายังต้องสังหารพวกเขาอีกมากเท่าไร” ราชครูสันตินิรันดร์ถามด้วยเสียงตะโกน “ป้องกันประตูเอาไว้ ข้าจะเข้าไปสังหารจักรพรรดิสวรรค์!”
ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งเข้าไปในตำหนักชิดฟ้า อันซากศพของเทพเจ้าเกลื่อนกล่นอยู่เต็มพื้น
ตูม!
ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นถอยหลัง ฟาดเข้าใส่ผนังราชวังข้างหลังฉินมู่ และเด็กหนุ่มก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เทพเจ้ารอบๆ นั้นมีแต่อ่อนฝีมือชัดๆ ดังนั้นจิตรกรที่วาดพวกเขาย่อมต้องมีฝีมือขาดพร่อง ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ฉินมู่สามารถฆ่าล้างทวยเทพพวกนี้ได้
แต่ทว่าราชครูสันตินิรันดร์ถึงกับกระเด็นออกมาจากจักรพรรดิสวรรค์!
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และตระหนักทันทีว่าสถานการณ์ของพวกเขาย่ำแย่ จิตรกรคนนี้จะต้องประจบสอพลออย่างแน่นอน เขาใช้ฝีไม้ลายมือที่ดีที่สุดในการวาดจักรพรรดิสวรรค์ ดังนั้นเขาจึงแข็งแกร่งและทรงพลังยิ่งกว่าทวยเทพอื่นๆ ในภาพ
ฉินมู่กระจ่างแก่ใจว่าภาพวาดสามารถแข็งแกร่งได้มากแค่ไหน ในเมื่อเขาได้เรียนรู้มาจากเฒ่าหนวก
พลังอำนาจของภาพวาดมิได้มาจากฝีมือของจิตรกรเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับว่ามันถูกทุ่มเทใช้ตรงไหนก็จะมีพลังอำนาจสูงสุดตรงนั้น
ยิ่งฝีมือเชิงวิจิตรศิลป์แข็งแกร่งมากแค่ไหน ภาพวาดก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น แน่ล่ะ นี่ก็ขึ้นกับความอุตสาหะของจิตรกรด้วย
ผู้ที่วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังนี้ได้วาดเทพและมารคนอื่นๆ อย่างไม่พิถีพิถัน ไม่ทุ่มเทความพยายามลงไปกับพวกมัน ดังนั้นพวกเทพและมารเหล่านั้นจึงไม่แข็งแกร่งเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ตัวตนระดับภูติบดีก็ยังมีฝีมืองั้นๆ
แต่ประเด็นสำคัญคือ ภาพวาดนี้มีเป้าหมายวาดใคร
ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเฒ่าหนวกวาดภาพผู้ใหญ่บ้านตอนหนุ่มๆ ภาพของกระบี่เทวะแบกกระบี่ของเขากลับอันแน่นไปด้วยพลานุภาพอันน่าแตกตื่น!
เมื่อจิตรกรวาดภาพฝาผนังได้วาดจักรพรรดิสวรรค์ เขาคงจะต้องทุ่มเทความพยายามทั้งหมดที่จะจับเอาความสง่างามของจักรพรรดิสวรรค์ลงไปในภาพ ดังนั้นมันจึงแข็งแกร่งถึงขนาดที่เป่าราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมา!
ฉินมู่กังวล เขาได้พาราชครูสันตินิรันดร์เข้ามาในภาพวาด เพื่อทำลายความหวาดกลัวของเขา แต่หากว่าแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาด เขาก็ยังเอาชนะไม่ได้ มันอาจจะกลายเป็นทำลายความมั่นใจของเขาอย่างย่อยยับแทน!
สักครู่หนึ่ง ราชครูสันตินิรันดร์ก็กระเด็นกลับมาอีกครั้ง ฉินมู่ส่งกระบี่แปดพันเล่มของเขาก็ออกไปเพื่อฆ่าล้างทวยเทพอันโถมพุ่งเข้ามา และมองไปยังราชครูอันอยู่บนกำแพง เขาเห็นใบหน้าของราชครูทั้งบวมช้ำและเลอะเลือด
เออะ นี่มันแย่จริงๆ พลังอำนาจของจักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดอาจจะสูงล้ำกว่าเทพเจ้าธรรมดานอกภาพวาดเสียอีก…
ขณะที่เขาคิดอยู่เช่นนั้น ราชครูสันตินิรันดร์ก็โถมพุ่งเข้าไปใหม่
ปัง
ราชครูสันตินิรันดร์กระเด็นกลับมาอีกครั้ง
นี่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก
ตรงหน้าตำหนักชิดฟ้าคือประตูสวรรค์ ซากศพของเทพและมารก่ายกองเป็นภูเขา กระนั้นราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังบุกตะลุยเข้าไปยังจักรพรรดิสวรรค์ที่ประทับอยู่บนยอดตำหนักชิดฟ้า เขาถูกทุบตีกลับมานับครั้งไม่ถ้วน หน้าตาของเขายิ่งเละเทะดูไม่ได้ทุกครั้งที่กระเด็นมา
ฉินมู่ประกายตาวูบไหวขณะที่เขาตระเตรียมหม้อห้าอสุนีบาตพลางครุ่นคิดในใจ ต่อให้ข้าต้องเสี่ยงทำลายสถานที่แห่งนี้ ข้าก็ไม่อาจยอมให้จักรพรรดิสวรรค์ในภาพวาดยัดเยียดความปราชัยให้กับราชครูอย่างสิ้นเชิงได้…
ราชครูสันตินิรันดร์พุ่งทะยานเข้าไปอีกครั้ง และทันใดนั้นเสียงตะโกนให้ฆ่าฟันก็หยุดชะงัก สีหน้าของทวยเทพทั้งหลายนอกตำหนักชิดฟ้าก็เต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว และพวกเขาก็หันกายหนีกระจายพล่านไปหมด
ฉินมู่ตกตะลึง เขาหันกลับไปมองและเห็นราชครูสันตินิรันดร์ยืนข้างหลังเขาพร้อมด้วยเศียรของจักรพรรดิสวรรค์
แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเต็มไปด้วยบาดแผล แต่รอยยิ้มของเขาในตอนนั้นบริสุทธิ์จริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ทั้งสองคนมองตากันแล้วหัวเราะด้วยเสียงอันดัง
ราชครูสันตินิรันดร์ยกมือขึ้น และโยนหัวจักรพรรดิสวรรค์ออกไปจากตำหนักชิดฟ้า “เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะกษัตริยามาในมือ ดาบสวรรค์นี่ช่างมีใจห้าวหาญทะยานจิต ข้าพลันตรึกตรองเข้าใจมโนทัศน์ของเพลงมีดและเต๋ามีดของเขา!”
ฉินมู่นั้นปวดเมื่อยไปทั่วทั้งตัว แต่ก็เดินออกมาจากโถงตำหนักด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่มันอัจฉริยะปีศาจจริงๆ และปฏิภาณความเข้าใจก็ใหญ่เกินคน ท่านปู่คนแล่เนื้อสอนข้ามาหลายต่อหลายปี กว่าข้าจะเข้าใจแง่อัศจรรย์ของเพลงมีดของเขาได้ เจ้าเดินไปตามมรรคาเต๋ากระบี่ แต่กระนั้นก็ยังสามารถคว้าจับความเข้าใจในมโนทัศน์ของเต๋ามีดของเขา ปฏิภาณของข้าด้อยกว่าเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์หันกลับไปและกล่าวอย่างจริงจัง “ปฏิภาณความเข้าใจของผู้คน จะเพิ่มพูนขึ้นก็ต่อเมื่อวิสัยทัศน์ขอบฟ้าและประสบการณ์เติบโตขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับปัญญาญาณ เมื่อเจ้ามาถึงเขตขั้นของข้า เจ้าก็จะสามารถมองเห็นความลึกล้ำทั้งหมดได้เอง ในอนาคต เจ้าไม่เพียงแต่จะไม่ด้อยไปกว่าข้า ทั้งยังจะเหนือล้ำกว่าอีก เจ้าสามารถคิดถึงวิธีการใช้งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์เพื่อทุบทำลายเทพเจ้าในหัวใจของข้า เพื่อให้ข้าสามารถไตร่ตรองได้จนปรุโปร่ง แต่ข้ากลับคิดวิธีนี้ไม่ได้ ไฉนจ้าวลัทธิถึงจะต้องถ่อมตนด้วย”
ฉินมู่มายังบัลลังก์ของจักรพรรดิสวรรค์และผลักร่างไร้ศีรษะของเขาไปข้างๆ ก่อนที่จะนั่งลงบนบัลลังก์ “ราชครูเชื่อว่าข้าจะเหนือล้ำกว่าเจ้าได้หรือ เส้นตรงอย่างเจ้าเนี่ยนะ?”
“เจ้าคือชนรุ่นต่อไป หากว่าเจ้าไม่อาจเหนือล้ำกว่าชนรุ่นก่อน โลกนี้จะไม่น่าเศร้าไปหน่อยหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังเป็นกายาจ้าวแดนดินอีกด้วย”
ฉินมู่เต็มไปด้วยความมั่นใจและพยักหน้า “นั่นสินะ ข้าเป็นกายาจ้าวแดนดิน ดังนั้นข้าย่อมแข็งแกร่งกว่าเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์สีหน้ามืดดำทันที
ฉินมู่กระเถิบไปเว้นที่ว่างบนอาสน์
“มาสิ มาลองนั่งบนที่ที่มีแต่จักรพรรดิสวรรค์จะนั่งได้สิ”
ราชครูสันตินิรันดร์ลังเลย “นี่…คงไม่ดีหรอกกระมัง ใช่ไหม”
“มาเถอะ แค่นั่งลง ทิวทัศน์จากตรงนี้ดีเยี่ยมมากๆ!”
“ก็ได้” ราชครูสันตินิรันดร์ขึ้นมานั่งข้างๆ และพวกเขาสองคนก็มองออกไปยังททิวทัศน์นอกตำหนักชิดฟ้า ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ราชครูก็กล่าว “โลกกว้างใหญ่อยู่ภายใต้สายตาพวกเรา บนตำแหน่งนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ครอบครองสิทธิราชย์อันไร้ประมาณ ความตายของโลกหล้าและชีวิตใดๆ ก็เป็นไปเพียงแค่ใจคิด จ้าวลัทธิ เจ้าเคยปรารถนาถึงอำนาจเช่นนี้หรือไม่”
ฉินมู่มองไปที่เขาและถามด้วยท่าทีสบายๆ “หากข้าตอบว่าใช่ เจ้าจะกำจัดข้าทันทีเพื่อมิให้เป็นเภทภัยในอนาคตต่อจักรพรรดิหรือเปล่าล่ะ”
สายตาของพวกเขามาประสานกัน และราชครูสันตินิรันดร์ก็เบือนสายตาออกไป “ข้าไม่ทำเช่นนั้น ข้าเพียงแต่จะคอยระวังป้องกันเจ้าเท่านั้น”
เขายืนขึ้นและมีท่วงทีอันเยือกเย็นอีกครั้ง มันไม่ยินดียินร้ายถึงขั้นที่ไม่มีอะไรโยกคลอนเขาได้อีกต่อไป และฉินมู่รู้ดีว่า หลังจากประสบพบพานงานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์ จิตเต๋าของราชครูก็ได้เข้าสู่เขตขั้นอันแม้แต่ภูตเทพก็มิอาจคาดเดา
จิตเต๋าของเขากลายเป็นแข็งแกร่งไม่อาจถูกทำลาย
ราชครูสันตินิรันดร์ไม่มีช่องโหว่ในจิตเต๋าของเขาอีกต่อไป
ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากภาพวาด ดูราวกับว่าจะได้มรรคผลของตนเองด้วยเช่นกัน มีก็แต่ทำลายความสิ้นหวังในหัวใจของตนเองเท่านั้น ถึงจะสามารถรุ่มร้อนไปด้วยความหวังและจิตหาญสู้อันแข็งกล้ากว่าเดิม
ทั้งสองคนเดินออกมาจากจิตรกรรมฝาผนังและเหยียบลงบนพื้นแข็งข้างนอก
ราชครูสันตินิรันดร์มองไปภาพจิตรกรรมและพบว่าปราสาทราชวังต่างๆ ยังคงตั้งตระหง่าน แต่ทว่ามีซากศพของเทพและมารก่ายกองไปทั่วทุกหนแห่ง มีกระทั่งเทพและมารบางตนที่ตัวสั่นงันงกซุกหลบอยู่ในซอกหลืบด้วยสีหน้าหวาดกลัว
ฉินมู่ก้าวเข้าไปและลบรอยพู่กันจำนวนหนึ่งที่เขาวาดเอาไว้ และภาพจิตรกรรมนี้ก็กลับเป็นปกติ
เขาเกาผ้าโพกหัวของตนเองและกล่าวด้วยความฉงน “จิตรกรที่วาดภาพนี้มีความสำเร็จอันสูงล้ำ แต่ทว่าทำไมภาพวาดของเขาถึงแหว่งหายไปมุมหนึ่ง ด้วยความสำเร็จของเขา เขาน่าจะสามารถมอบชีวิตให้แก่ผู้คนในภาพเขียน และทำให้ผู้คนในงานเลี้ยงสามารถเคลื่อนไหวไปมาและสนทนาโต้ตอบได้ แต่ทว่า เมื่อหายไปมุมหนึ่ง โลกข้างในก็ตายไร้ชีวิต”
“มันน่าจะถูกแงะออกไป” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวพลางเดินออกจากโถงวัง “การต่อสู้ข้างนอกน่าจะสิ้นสุดลงแล้วสินะ? ได้เวลาที่จะให้เสียงซีอวี่ขึ้นครองตำแหน่งเจ้าตำหนักใหม่อีกครั้ง และให้แผ่นดินตะวันตกมาอยู่ภายใต้ปีกของจักรวรรดิสันตินิรันดร์”
ฉินมู่เดินตามเขาไปด้วยรอยยิ้ม “หากว่าเจ้ามีโองการของจักรพรรดิติดตัวมาด้วย และเอาออกมาอ่านในจังหวะนี้ ประกาศมอบตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ให้แก่เสียงซีอวี่ ผลลัพธ์ก็จะยอดเยี่ยมกว่าเดิมมาก”
ราชครูสันตินิรันดร์นำม้วนราชโองการออกมาและกล่าว “ก่อนข้าจะออกเดินทางมา ข้าก็ขอให้จักรพรรดิเขียนราชโองการมาแล้ว”
“จักรพรรดิก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าอีกตัว” ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน
หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปจากโถงใหญ่ เทพนารีนางหนึ่งก็พลันขยับในภาพวาด นางมองไปรอบๆ และเมื่อนางพบว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นแล้วจริงๆ นางก็ลอบวิ่งออกมาจากภาพจิตรกรรม
ฉินมู่มีความรู้สึกหวาดสยองขึ้นมา หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังคงซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้จริงๆ ก็แปลว่านางอยู่ในที่มืดและพวกเขาอยู่ในที่สว่าง หากว่ามารดาเฒ่าสวรรค์แท้ลอบโจมตีพวกเขา ใครจะขัดขวางนางได้
ฉินมู่ไม่รู้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะสามารถป้องกันนางได้หรือไม่ แต่ตัวเขาเองกระทำมิได้แน่นอน!
ต่อให้มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สังหารราชครูไม่สำเร็จ แต่ต้องสังหารเขาสำเร็จอย่างแน่นอน
เป้าหมายของนางคือเขาหรือว่าข้า?
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ ราชครูเป็นภัยคุกคามมากกว่าเดิมเมื่อเขาได้ฝึกปรือบ่มเพาะสะพานเทวะแล้ว เขาได้กำจัดป้าโก่วและร่างปลอมของนาง ตามหลักเหตุผล เขาน่าจะเป็นเป้าหมายของนาง
แต่ในทะเลทรายเพลิงโหม มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้ลงมือกับฉินมู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งไปกว่านั้น การรุกรานตำหนักสวรรค์แท้ก็เป็นฝีมือของเขาเสียมาก เมื่อเทียบกับราชครูแล้ว ความเกลียดชังที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีต่อเขาน่าจะลึกล้ำกว่า!
ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็จะต้องอยู่ข้างๆ ราชครูเอาไว้ ถอยห่างจากเขาก้าวเดียวก็ไม่ได้เด็ดขาด!
ราชครูสันตินิรันดร์ยื่นมือออกไป และวาดไปข้างๆ หญิงสาวมากมายบนกำแพงก็เลื่อนไปข้างๆ ด้วยและเผยภาพจิตรกรรมฝาผนังภาพที่สี่
มันบันทึกการต่อสู้ระหว่างมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ เรือตะวัน และเรือจันทรา
การต่อสู้นั้นเริ่มขึ้นโดยมารดาเฒ่าสวรรค์แท้เข้าไปโจมตีแดนโบราณวินาศ มันได้ดึงดูดเรือตะวันและเรือจันทรามา จากนั้นนางก็ถอยกลับเข้าไปในทะเลทรายเพลิงโหม อันเป็นสถานที่ที่นางทำลายกองเรือเหล่านั้น
ภาพการต่อสู้บนจิตรกรรมฝาผนังนั้นยิ่งใหญ่อลังการ เรือแผ่นดินขนาดมหึมาลากเอาดวงตะวันและจันทรามาในนภากาศ ผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรายืนอยู่บนเรือใหญ่ด้วยร่างอันสูงตระหง่าน แต่ใบหน้าของพวกเขาแสยะบิดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าเป็นพวกคนชั่ว
กระนั้นก็ไม่ได้มีเพียงแต่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ต่อสู้กับพวกเขา มันยังมีเทพเจ้าอื่นๆ บนท้องฟ้าอีก แต่ทว่าบนจิตรกรรมฝาผนัง เทพเหล่านั้นถูกวาดไว้เล็กจิ๋ว ขณะที่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ทั้งดูฮึกหาญและแข็งแกร่ง ด้วยจิตวิญญาณอันเกริกไกร เทพเจ้าอื่นๆ เป็นเพียงได้เพียงแค่ทารกต่อหน้านาง!
“มารดาเฒ่าสวรรค์แท้แข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ” ฉินมู่อดสงสัยไม่ได้เมื่อเขาเห็น
“ให้ข้าเล่าสักเรื่อง เผื่อเจ้าจะได้เข้าใจว่าจริงๆ แล้วมารดาเฒ่าสวรรค์แท้มิได้แข็งแกร่งเลย วันหนึ่ง จักรพรรดิได้พาข้าและขุนนางคนอื่นๆ ออกไปล่าสัตว์ เมื่อพวกเราจับเหยื่อได้ จักรพรรดิก็สั่งให้จิตรกรวาดภาพขึ้นมา และจิตรกรผู้นั้นก็ได้วาดภาพจักรพรรดิใหญ่ขนาดนี้แหละ” ราชครูกล่าว
เขายกมือซ้ายขึ้นคีบนิ้วชี้และนิ้วโป้งห่างสักหน่อยเพื่อแสดงขนาดของเขาในภาพวาด “และข้าก็เล็กแค่นี้ จักรพรรดินั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกร ส่วนข้ากับขุนนางทั้งหลายเล็กจิ๋ว ท่ามกลางพวกเขาทุกคน ตัวข้านั้นเล็กที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจิตรกรวาดภาพข้า เขาก็วาดหน้าข้าให้บิดเบี้ยวดุดัน ด้วยสีหน้าอันกลอกกลิ้งและชั่วร้าย จักรพรรดิไม่พึงพอใจจึงสั่งให้จิตรกรวาดขึ้นมาใหม่ แต่มันก็ลงเอยแบบเดิม ดังนั้นจักรพรรดิจึงไล่เขาออกและให้เขาไสหัวกลับบ้านเกิด”
ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขาและแย้มยิ้ม “บุคคลที่วาดจิตรกรรมนี้ คงจะประจบสอพลอมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ นางไม่น่าที่จะแข็งแกร่งไปกว่าท่าน มิเช่นนั้นนางคงไม่ใช้ร่างปลอมไปโจมตีท่าน”
“กำลังฝีมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้น่าจะแข็งแกร่งมาก แต่วิชาของนางน่าจะมีจุดอ่อนอันใหญ่หลวง พลังวัตรของนางแกร่งอย่างถึงที่สุด แต่เวทมนตร์ของนางยังอยู่ในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่านางไม่เผยตนออกมา ข้าก็คงทำอะไรไม่ได้ แต่หากว่านางโผล่ออกมา นางจะต้องตาย”
ราชครูสันตินิรันดร์เต็มไปด้วยความมั่นใจ แต่ทันใดเขาก็เปลี่ยนเรื่อง เขากล่าวในเชิงบอกเตือนฉินมู่ “ข้างกายจักรพรรดิมีพวกประจบสอพลอ เช่นนั้นผู้มีอำนาจอื่นๆ จะขาดคนพวกนี้ได้อย่างไร แต่ทว่าผู้คนเหล่านี้มิได้น่ากลัว ความคิดของพวกเขาต่างหากที่น่ากลัว”
“จิตรกรวาดภาพข้าและขุนนางอื่นๆ ให้ตัวเล็กจิ๋วนั้นก็พอเข้าใจได้ แต่เขาไม่ควรวาดภาพข้าให้ดูชั่วร้ายกลอกกลิ้ง เพราะนั่นคือการเจือปนความเกลียดชังส่วนตัวเข้าไป เขาหมายที่จะใช้โอกาสนี้ในการสอพลอจักรพรรดิ และโน้มนำมุมมองของจักรพรรดิที่มีต่อข้า ให้จักรพรรดิคิดว่าข้านั้นทั้งกลอกกลิ้งและชั่วร้าย เขาหมายจะใช้มันเพื่อกำจัดข้าและหยุดยั้งการปฏิรูป การรวมทั้งประจบสอพลอเข้ากับการแทงข้างหลังนั้นมันมากเกินไป”
เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยรอยยิ้มอันมิเชิงยิ้ม “จ้าวลัทธิมีตำแหน่งอันสำคัญและแม้แต่จักรพรรดิก็มีอาญาสิทธิ์ไม่ทัดเทียมกับเจ้าในบางกรณี เจ้าจะต้องระวังผู้คนที่ซ่อนดาบไว้หลังผายลมของพวกมัน”
ฉินมู่ก้ำกึ่งระหว่างหัวเราะกับร่ำไห้ ซ่อนดาบไว้หลังผายลม…ราชครูทั้งมากวรรณศิลป์และหยาบคายในเวลาเดียวกัน
เมื่อเขามีวรรณศิลป์ เขาสามารถร่วมเสวนากับเฒ่าหนวกและคนแล่เนื้อได้ แต่เมื่อเขาหยาบคาย เขาก็สามารถกล่าวประโยคอย่างซ่อนดาบหลังผายลม
แต่ทว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ไม่ยากเลยที่ชีวิตหนึ่งจะได้พบกับผู้ที่แทงข้างหลังคู่ต่อสู้ด้วยคำยกยอปอปั้นระหว่างที่ซุกซ่อนเจตนาอื่นเอาไว้ข้างหลัง คำเตือนของราชครูสันตินิรันดร์ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
“บนภาพวาด มารดาเฒ่าสวรรค์แท้มีเทพเจ้าอื่นๆ สนับสนุน แต่ว่าพวกเขามาจากที่ไหน”
ฉินมู่ตรวจตราดูภาพวาดและพิจารณาเทพตนอื่นๆ ในนั้น พยายายามที่จะจำแนกแยะแยะใบหน้า เขาพลันมองเห็นบุคคลผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตา “นั่นเทพครองแดนหยก! หรือว่าคนอื่นๆ ก็เป็นเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้า ไม่สิ พวกเขาไม่น่าจะเป็นเทพแห่งเหนือฟ้าเสียทั้งหมด!”
เขาจดจำอีกใบหน้าได้
เขานำเอาม้วนภาพออกมาจากถุงเต๋าตี้และคลี่มันออกมาอย่างแผ่วเบา เขาทาบมันไว้ข้างๆ เพื่อเปรียบเทียบ และตรวจดูเทพเจ้าในจิตรกรรมอีกครั้ง
ราชครูสันตินิรันดร์อึ้งไปเล็กน้อย “นี่คือภาพวาดการสักการะดวงวิญญาณที่จ้าวลัทธิวาดมิใช่หรือ”
“ใช่แล้ว” ฉินมู่เงยหน้าขึ้นเพ่งมองภาพจิตรกรรม “ทักษะเทวะสักการะดวงวิญญาณที่ผานกงสั่วใช้นั้นแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง รูปเงาของเทพเจ้าปรากฏอยู่เบื้องหลังเขา ข้าวาดมันไว้ตรงนี้ ราชครู โปรดช่วยดูให้ที เทพในภาพวาดของข้าเหมือนกับเทพในจิตรกรรมไหม”
ราชครูสันตินิรันดร์มองสลับไปมาอยู่หลายครั้งก่อนจะผงกหัว
ความฉงนปรากฏบนใบหน้าของฉินมู่ และเขาก็จ่อมจมลงไปในความคิด “เทพเจ้าของผานกงสั่วครั้งหนึ่งเคยปรากฏในโลกแห่งนี้ และเป็นพวกเดียวกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ หนึ่งนั้นก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ และอีกหนึ่งก่อตั้งวังทองโหรวหลัน ถ้าอย่างนั้น เขายังอยู่ในโลกนี้หรือไม่ หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่…”
ความหนาวยะเยือนแล่นไปทั่วแผ่นหลังของเขาแม้ว่าอากาศจะไม่หนาวเหน็บ
ทักษะเทวะของผานกงสั่ว สังหารผู้ใดก็ตามที่เขาสักการะ หากว่าเทพเจ้าตนนั้นช่วงใช้วิชาเองล่ะ ใครจะไปต้านทานการสักการะของเขาได้
“จิตรกรรมฝาผนังที่นี่บันทึกไว้เพียงแต่ประวัติศาสตร์ของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ และมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ” ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหัว และเดินออกไปจากโถงจำหนัก “หากว่าตำหนักสวรรค์แท้เป็นส่วนหนึ่งของสภาสวรรค์จริงๆ มันก็น่าจะมีประวัติศาสตร์อันดึกดำบรรพ์กว่านี้ที่บันทึกเอาไว้บนบนภาพจิตรกรรม อันมิใช่เพียงแค่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้! มันจะต้องมีโถงวังที่บันทึกประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่านี้!”
ฉินมู่ตามเขาออกไป และตอนนั้นพวกสตรีตระกูลอวี้ถึงค่อยร่วงลงกับพื้น สามารถขยับเขยื้อนได้
การต่อสู้ข้างนอกยังคงดำเนินไป และสถานการณ์ก็วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง ตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่อสู้กับลูกแก้วหงส์แดง พวกนางต่างขัดแข้งขัดขาซึ่งกันและกัน เล่นสกปรกต่างๆ
พลานุภาพของลูกแก้งหงส์แดงนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง และมิได้ด้อยไปกว่าลูกแก้วมังกรเขียวเลย มันเป็นหนึ่งในสี่มหาสมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ดังนั้นมันจึงกระตุ้นเร้าให้ผู้คนต่อสู้แย่งชิงมัน
แม้ว่าหญิงสาวจะเป็นผู้ถือกุมอำนาจในแผ่นดินตะวันตก แต่ความขัดแย้งภายในและการดิ้นรนชิงอำนาจของพวกนางก็มิได้ด้อยไปกว่าสันตินิรันดร์
ฉินมู่ตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังโถงหลักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และพบว่าจิตรกรรมฝาผนังที่นั่นแตกต่างไปจากราชวังอื่นๆ
ราชครูสันตินิรันดร์ยืนอยู่ตรงหน้าภาพจิตรกรรมหนึ่งและมองไปที่มันอย่างเยือกเย็น ทันใดนั้นหางตาของเขาก็กระตุก และความหวาดกลัวก็แผ่ไปทั่วสีหน้าของเขา
ฉินมู่มองไปที่ภาพจิตรกรรมและเห็นสภาสวรรค์อันยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีบุคคลอันแต่งกายคล้ายจักรพรรดิสวรรค์กำลังเชื้อเชิญทวยเทพทั้งหลายให้มาเข้าร่วมงานเลี้ยง และมีเทพเจ้ามากมายที่เข้ามาร่วมงาน!
“ภูติบดี!”
หัวใจฉินมู่สะท้านอย่างรุนแรงเมื่อเขาเห็นภูติบดีผู้ซึ่งมีเขาคู่อยู่บนศีรษะท่ามกลางเทพเจ้าทั้งหลาย!
ในภาพจิตรกรรมนี้ ตำแหน่งของภูติบดีสูงเป็นอย่างยิ่ง แต่กระนั้นใบหน้าของเขาก็ลางเลือนไม่ชัดเจน และมิใช่เขาคนเดียวที่เป็นเช่นนั้น!
นี่หมายความว่า ยังมีตัวตนอีกมากมายที่ศักดิ์ฐานะทัดเทียมกับภูติบดี
ในภาพวาด เทพเจ้าทั้งหลายยืนค้างอยู่ในท่วงท่าต่างๆ กัน ภาพจิตรกรรมนี้แจ่มชัดเป็นอย่างยิ่ง จนดูราวกับว่าพวกเขาจะก้าวออกมาและมีชีวิตได้ นี่แสดงว่าจิตรกรที่วาดภาพนี้ฝีมือล้ำเลิศไม่ใช่น้อย
สายตาของฉินมู่กวาดผ่านทวยเทพทั้งหลาย แต่เขาไม่พบวี่แววของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้หรือแม้แต่ป้าโก่ว “หรือว่าในกาลครั้งนั้น มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ก็ยังไม่เกิด”
หางตาของราชครูสันตินิรันดร์ยังคงสั่นกระตุก ขณะที่เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “นี่คือปราสาทสวรรค์ที่แท้จริง สภาสวรรค์ที่แท้จริง…มิน่าล่ะ มิน่าล่ะว่าทำไมแม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งก็ยังถูกทำลายล้าง…”
ฉินมู่จับมือของเขา และพบว่ามันสั่นเทิ้มอยู่ ความกลัวและลังเลใจปรากฏอยู่ในห้วงลึกของดวงตาอันว่างเปล่าของชายกลางคนผู้นี้!
“ราชครูกลัวกับแค่ภาพวาดอย่างนั้นหรือ” ฉินมู่หัวเราะ
ราชครูสันตินิรันดร์ดิ้นรนดึงมือที่ถูกยุดเอาไว้ออก แต่เสียงของเขาก็ยังคงแหบพร่า “เจ้าไม่กลัวหรือ เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีเทพเจ้ามากมายแค่ไหนที่อยู่ในสภาสวรรค์แห่งนี้ เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าความพินาศของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งเกิดขึ้นมาจากทวยเทพในสภาสวรรค์แห่งนี้”
ความสิ้นหวังฉายอยู่บนใบหน้าของเขาขณะที่เขาหัวเราะขื่น “ข้าเคยคิดว่าข้าจะสามารถกำจัดคนชั่วช้าและสามารถเปลี่ยนโลกหล้าให้เป็นฟ้าและดินอันกระจ่างสดใส ข้าหมายที่จะป้องกันมิให้ผู้คนถูกหลอกลวงอีกต่อไป และทำลายเทพเจ้าทั้งหลายในวิหารและในหัวใจของพวกเขา เพื่อให้พวกเขามีความกล้าหาญที่จะต่อสู้กับสรวงสวรรค์ แต่นี่มิใช่เพียงแค่เรื่องตลกหรอกหรือ จ้าวลัทธิฉิน เจ้าไม่เข้าใจอะไรสักนิด! หากว่าข้ายังคงปฏิรูปอีกต่อไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะมีจุดจบแบบเดียวกัน ปฏิรูป เหอเหอ…”
เขานั้นถอดใจอย่างถึงที่สุด และจมลงไปในความเหม่อลอย เขาโบกมือไปมาพลางกล่าว “ข้าไม่ไปเหนือฟ้าอีกต่อไปแล้ว เมื่อข้ากลับไปที่สันตินิรันดร์ ข้าจะพาฮูหยินของข้าไปซ่อนตัวเร้นกาย จ้าวลัทธิ เจ้า… จงเป็นจ้าวลัทธิต่อไปเถอะ ส่วนเรื่องการปฏิรูป อย่าได้แตะมันอีกต่อไป”
เขาหันกายเพื่อเดินออกไปจากโถงวังด้วยสีหน้าอันแห้งแล้ง เขาสูญเสียความกล้าหาญในการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น
“เทวราช เจ้าถามข้าว่าข้าเข้าใจเรื่องนี้หรือไม่ ให้ข้าตอบเจ้าสักคำ!”
ราชครูสันตินิรันดร์ชะงักเท้า
“ข้ารู้” รอยยิ้มของฉินมู่แจ่มจ้ากว่าที่เคย “ข้านั้นยังพัวพันลึกล้ำยิ่งกว่าเจ้า จักรพรรดิก่อตั้งนั้นก็มีแซ่ฉิน และเด็กกำพร้าแห่งจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งที่ถูกทำลายล้างไปก็ยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์ตัวสั่นเทิ้ม เขาหันกลับมามองยังเด็กหนุ่มคำพูดของเขาตะกุกตะกัก “เจ้า–เจ้า…”
ฉินมู่ยิ้มกว้างจนเห็นฟัน “ชื่อของข้าอาจจะเป็นชื่อไม่จริง แต่แซ่ของข้านั้นมิใช่เทียมเท็จ ฉินของจักรพรรดิก่อตั้งคือฉินของข้า หากว่าข้ายังไม่กลัว แล้วเจ้าจะกลัวไปทำไม เทวราช ข้านึกอะไรดีๆ ออก ช่วยข้าฝนหมึกหน่อย”
ราชครูสันตินิรันดร์ยังคงแตกตื่นจากคำพูดของเขา และไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ฉินมู่นำพู่กันออกมาและโยนแท่นฝนหมึกให้กับเขา เขามองไปยังภาพจิตรกรรมอันได้สั่นคลอนราชครูอย่างรุนแรงด้วยความสนอกสนใจ ผ่านไปสักครู่ ประกายตาเขาก็ลุกวาบเมื่อเขาพบประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ เขาถามด้วยรอยยิ้ม “หมึกเตรียมพร้อมหรือยัง”
ราชครูสันตินิรันดร์นิ่งงัน แทบจะรับแท่นหมึกไม่ทัน ฉินมู่แย้มยิ้มและกล่าวอีกครั้ง “เทวราช นี่ไม่สมเป็นท่านเลย อัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปีหายไปไหนแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึก โยนความคิดทุกอย่างทิ้งไป และเพ่งสมาธิกับการฝนหมึก
ฉินมู่จุ่มพู่กันให้ดูดน้ำหมึกเข้าไปอย่างเต็มที่ และตวัดวาดสองสามเส้นไปที่มุมขวาของภาพจิตรกรรม หลังจากที่เขาทำเสร็จ เขาก็แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ช่วยข้าล้างพู่กันหน่อย”
“เจ้า!” ราชครูสันตินิรันดร์แทบจะกลั้นโทสะไว้ไม่อยู่ “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งสิ้นสุดไปเมื่อสองหมื่นปีแล้ว และทายาทรุ่นที่ร้อยๆ ของจักรพรรดิก่อตั้งก็อาจจะไม่ได้สูงส่งไปกว่าชาวนา! หากว่าเจ้าเล่นตลกกับข้า ข้าจะจัดการเจ้าแบบที่เจ้าจะต้องจดจำไปจนวันตาย”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ แล้วกล่าว “พวกเราค่อยกลับไปหลังจากที่เจ้าล้างพู่กันแล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์ล้างพู่กันด้วยความพิถีพิถัน เขานั้นจริงจังในทุกๆ เรื่องที่เขาทำ และไม่เคยเลินเล่อ
ฉินมู่เก็บพู่กันและแท่นฝนหมึกของตนเอง ก็จะคว้ามือของชายกลางคนผู้นี้ เขาลากอีกฝ่ายตรงไปยังภาพจิตรกรรมด้วยรอยยิ้ม “ให้ข้าพาเจ้าไปพบปะสังสรรค์ งานเลี้ยงแห่งสภาสวรรค์!”
ทั้งสองคนโยนตัวเองเข้าไปใส่ภาพจิตรกรรม และหายวับเมื่อพวกเขาหลุดเข้าไปในนั้น
ฉินมู่เหาะขึ้นไปบนอากาศและพบว่าคลื่นกระเพิ่มจากหม้อห้าอสุนีบาตค่อยๆ หยุดลง ฝูอวิ๋นซีและหญิงสาวมากมายแห่งตระกูลฝูกำลังเหนี่ยวนำสายฟ้าในบริเวณรอบๆ ออกไปไกลๆ
“จ้าวลัทธิ กระบี่ของท่าน!” ฝูอวิ๋นซีตะโกนออกมา
ฉินมู่เรียกกระบี่บินของเขา และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็เข้ามารวมตัวกันเป็นไจกระบี่อันมีขนาดเล็กเท่าผลส้ม
“ทำไมไจกระบี่หดลงเยอะขนาดนี้”
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะคว้าไจกระบี่ พวกสาวๆ สี่ห้าคนจากตระกูลฝูก็เหาะเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย “จ้าวลัทธิฉิน อย่าขยับ!”
ฉินมู่ชะงักค้าง ขณะที่สาวๆ พึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ เปลวสายฟ้าพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา ถูกพวกสาวๆ ชักนำออกมา
“ยังคงมีอสุนีบาตอยู่ในร่างกายของท่าน เพราะว่าท่านยังไม่ได้เข้าไปแตะต้องสัมผัสกับใคร มันก็เลยยังไม่ระเบิดปะทุออกมา” หนึ่งในเด็กสาวกล่าว “หากว่าท่านไปแตะต้องกับอะไรเข้า พลังงานก็จะระเบิดออกไป สายฟ้าในขวดน้ำเต้ายักษ์นี้เป็นสายฟ้าเทพยดาอันมีพลานุภาพร้ายกาจน่ากลัว บัดนี้เมื่อพวกเราเหนี่ยวนำสายฟ้าออกไปแล้ว ท่านสามารถขยับได้ล่ะ”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสี้ยงเปรี้ยงอึกทึกครึกโครม เขามองไปยังที่มาของเสียงและพบว่ากิเลนมังกรซึ่งกำลังเหยียบอยู่บนเมฆอัคคีเพื่อลงสู่พื้นดิน แต่ไม่ทันได้แตะพื้น พลังสายฟ้าในร่างกายของเขาก็พลันระเบิดออกมา
สายฟ้าที่ไหลพล่านออกมาจากร่างกายกิเลนมังกร ฟาดเปรี้ยงปร้างไปรอบทิศทางและทำลายล้างทุกอย่างรอบๆ เขา เจ้าอ้วนยักษ์นี้เหมือนลูกบอลสายฟ้า กระเด้งขึ้นกระเด้งลง ในพริบตานั้น กิเลนมังกรดำเมี่ยมไปหมด
พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูรีบเข้าไปช่วยเหลือขณะที่ฉินมู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เขายื่นมือไปจับไจกระบี่แทน น้ำหนักของมันยังคงเดิม แต่มีขนาดเล็กลงมาก มันพอเหมาะพอกำไว้ในฝ่ามือ และง่ายที่จะควบคุมมากกว่าเก่า
เขาดีใจจนออกนอกหน้า โดยการยืมพลังของหม้อห้าอสุนีบาตเพื่อขัดเกลาไจกระบี่ข้าจนถึงขั้นนี้ ข้าก็คงไม่ไกลจากขั้นที่จะบ่มเพาะกระบี่จนกลายเป็นวารีแล้ว!
“จ้าวลัทธิ ไหนท่านบอกข้าว่าจะไม่เจ็บตัวสักนิดเลยอย่างไร” ควันพวยพุ่งออกจากปากกิเลนมังกรเมื่อเขาประท้วง
ฉินมู่ทำเป็นไม่ได้ยิน และเก็บหม้อห้าอสุนีบาตกลับเข้าไปในรังมังกรแท้ ก่อนที่จะรีบรุดไปยังตำหนักสวรรค์แท้
“จ้าวลัทธิ!”
กิเลนมังกรหมายจะไล่ตามเขา แต่พวกสาวๆ แห่งตระกูลฝูล้อมเขาเอาไว้ “หยุดขยับได้แล้วเจ้าอ้วน ร่างของเจ้าใหญ่โตเกินไป ทั้งยังเป็นคนที่แบกขวดน้ำเต้ายักษ์นั้นด้วย ดังนั้นเจ้าจึงมีสายฟ้าในร่างกายมากที่สุด ระวังเถอะ เดี๋ยวก็ถูกไฟช็อตจนตายหรอกหากว่ายังวิ่งเพ่นพ่านอยู่น่ะ!”
กิเลนมังกรรีบยืนนิ่งและแย้มยิ้ม “พี่สาวทั้งหลาย ข้าไม่ได้เสียโฉมใช่ไหม เกล็ดมังกรของข้าทั้งสวยงามและยิ่งใหญ่ที่สุด ดังนั้นมันจะมาเสียหายไม่ได้นะ!”
“นี่…” พวกสาวๆ มองไปที่เขามีสีหน้าลำบากใจ
กิเลนมังกรตงิดใจขึ้นมาและหมายที่จะเอี้ยวกลับไปดูร่างกายของเขา แต่ทว่า เพราะเขาอ้วนพีจนเกินไปและคอเขาก็หนาเป็นสัน ทำให้เขาเอี้ยวตัวกลับไปไม่ได้
ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นคนแรกที่ขึ้นไปเหยียบตรงหน้าประตูตำหนักสวรรค์แท้ ที่นั่นมีทั้งร่างไหม้เกรียมและหลุมใหญ่มากมายที่เกิดจากสายฟ้าฟาดทั่วทุกหนทุกแห่ง และยังมีบางที่ที่มีไฟลุกไหม้อยู่
เจ้าตำหนักสวรรค์หมอบฟุบอยู่กับพื้น เมื่อนางมองไปยังบุรุษที่กำลังก้าวเดินเข้ามาหานาง นางก็วิงวอนด้วยเสียงอันเบาหวิว “ข้ากำลังตั้งท้อง เห็นแก่เด็กในท้องของข้า อย่าฆ่าข้าเลย…”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินไปข้างๆ นางๆ และกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ไม่ว่าเจ้าจะตั้งท้องอยู่หรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่มีความบาดหมางกับเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่จงใจทำร้ายเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการตำหนักสวรรค์แท้แห่งนี้ แผ่นดินตะวันตกแห่งนี้”
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง
เสียงซีอวี่พาเสียงฉีเอ๋อมายังหน้าราชวัง และหางตาของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็กระตุก “ไหน่ขุย ข้าตั้งท้อง…”
“ตอนที่เจ้าฆ่าล้างตระกูลเสียง สตรีมากมายก็ตั้งท้องอยู่”
ความเกลียดชังอันลึกล้ำฉายลึกในแววตาของเสียงซีอวี่ เมื่อนางแย่งดึงเอาลูกแก้วเต่าดำจากหญิงที่นอนช่วยตัวเองไม่ได้ ก่อนที่จะหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากมือของเสียงฉีเอ๋อเช่นกัน นางกระซิบเสียงเบาและกล่าว “เจ้าเคยปรานีหญิงเหล่านั้นไหม”
ลูกแก้วมังกรเขียวสาดส่องลงไปบนร่างของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ นางดิ้นรนหมายจะหนีไป แต่ร่างกายและจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางถูกธรรมชาติไม้เข้าแทรกซึมอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตา นางก็กลายเป็นรูปสลักไม้ที่ดูดิ้นรนตะกุยตะกาย
เสียงซีอวี่ระบายลมหายใจสะท้านและพาเสียงฉีเอ๋อออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้ “ข้าจะไม่สังหารเจ้า แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยเจ้าไปเพียงเพราะกำลังตั้งครรภ์ จงกลายเป็นรูปสลักไม้ที่หน้าประตูตำหนัก และคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไปชั่วนิรันดร์!”
หญิงสาวมากมายแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหลายกรูกันเข้าไปในตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อเข่นฆ่าสมาชิกที่เหลือของตระกูลอวี้
ฉินมู่ก็เข้ามาด้วยและเห็นว่าตำหนักแห่งนี้โอ่โถงเป็นอย่างยิ่ง และมีตรอกซอกซอยมากมาย อันมีสมาชิกตระกูลอวี้หลบซ่อนอยู่ไปทั่วทุกแห่ง
ยอดฝีมือที่เหลืออยู่จำนวหนึ่งของตระกูลอวี้ใช้ลูกแก้วหงส์แดงและลูกแก้วพยัคฆ์ขาวเพื่อสู้กัน พลานุภาพของลูกแก้วสองลูกนี้แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าแม้วรยุทธของผู้ที่ควบคุมลูกแก้วจะไม่สูงส่ง แต่ก็ปลดปล่อยพลานุภาพอันน่าแตกตื่นได้
ฉินมู่ฟันผ่าบุกตะลุยเข้าไปในราชวังพร้อมกับทุกๆ คน พลางครุ่นคิด ผานกงสั่วน่าจะอยู่ในตำหนัก ใช่ไหม ไม่ว่าจะอย่างไร คราวนี้ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เขารอดไปแล้ว!
ทันใดนั้น แสงทองคำก็ฉายส่องออกมาเมื่อหญิงนางหนึ่งชูลูกแก้วโปร่งแสงสีทองขึ้นสูง ข้างในนั้นคือดวงวิญญาณของพยัคฆ์ขาว เมื่อแสงทองสาดส่องจากลูกแก้ว ผู้คนที่ต้องแสงก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ!
ฉินมู่ขับเคลื่อนไจกระบี่ออกอย่างเร่งรีบ และกระบี่บินทั้งแปดพันเล่มก็ห้อมล้อมเขา เสียงอึงอลจากการปะทะต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ แต่เขาถูกกระแทกให้ถอยร่นไปพร้อมกระบี่ของเขาจากแสงทองนั้น
ฉินมู่กลิ้งไปหลายตลบก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด เขาพบว่าเขากระเด็นมาไกลกว่าสิบวา
“ลูกแก้วพยัคฆ์ขาว!”
เขาหลบเข้าไปในโถงใหญ่ แต่ทันใดนั้น แสงทองก็ถั่งโถมเข้ามาราวน้ำหลาก ผ่านประตูที่เขาเพิ่งหนีเข้ามาเมื่อครู่ ฉินมู่เพ่งสายตามองและเห็นว่าไม่ว่าแสงทองจะผ่านไปที่ใด ปราณธาตุทองก็ฟุ้งกระจายไปด้วย พวกสตรีที่ตกตายภายใต้แสงทองเหล่านี้ ถูกทำร้ายโดยปราณทองอันคมกล้าไร้ใดเปรียบ!
ฉินมู่กอดเสามหึมาเอาไว้ และขับเคลื่อนพละกำลังจากเอวของเขา หมายที่จะยกมันขึ้นมาและใช้มันฟาดทุบยอดฝีมือตระกูลอวี้ที่กำลังควบคุมลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่
เสาใหญ่นั้นไม่สะเทือนเลยแม้แต่น้อย
ฉินมู่ครางเสียงหนักและรีดเร้นพละกำลังให้มากกว่าเดิม แต่เสาก็ยังไม่ขยับอยู่ดี
“จ้าวลัทธิฉิน ที่นี่คือตำหนักสวรรค์แท้” ทันใดนั้นฉินมู่ก็ได้ยินเสียงของหลิ่วเจินชิง เขาอึ้งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นโลงสีดำจำนวนหนึ่งช่วยกันแบกโลงทองคำมาระหว่างกลาง สองแม่ลูกตระกูลหลิ่วนั่งมาบนฝาโลงศพของพวกนาง เด็กหญิงน้อยวางพุทราเชื่อมลงด้วยรอยยิ้มและกล่าว “ตำหนักสวรรค์แท้! ปราสาทสวรรค์ของจริง!”
ฉินมู่ตกตะลึง ร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า?”
“ปราสาทสวรรค์นี้ร่วงลงมาจากสรวงสวรรค์ มันมิใช่ของเทียมเลียนแบบ”
หลิ่วเจินชิงกระโดดลงมาจากโลงของนางหลังจากที่ปักก้านลูกอมพุทราเชื่อมไว้ข้างในนั้น นางปีนขึ้นไปบนโลงศพทองคำและแกะยันต์ออกจากบนนั้นทีละอันๆ “รีบหลบไป ตัวร้ายเฒ่ากำลังจะออกมาแล้ว! จับโซ่เอาไว้ให้ดีๆ”
ระหว่างที่นางกล่าว โลงศพทองคำก็เปิดผลัวะออกมาและรัศมีเทพเจ้าก็พวยพุ่งพร้อมกับเสียงตะโกนอันสะท้านหัวใจ ร่างใหญ่น่าเกรงขามพุ่งตรงไปยังแสงทองคำ
ตูม!
เสียงระเบิดกึกก้องดังมาจากหลังตำหนักและเสียงเคี้ยวกรุบๆ ก็ดังมา
หลิ่วเจินชิงดูกระวนกระวายสุดๆ และสั่งการผู้คนตระกูลหลิ่ว “ดึงโซ่กลับมาเร็วเข้า เร็วกว่านี้อีก ลากตัวร้ายเฒ่ากลับมา! ไม่ต้องกลัว ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวอยู่ในปากของมัน ดังนั้นมันก็จะถูกสะกดข่มเอาไว้ เร็วอีก! เร็วอีก!”
โซ่ดังโกร่งกร่างเมื่อยอดฝีมือตระกูลหลิ่วทั้งหลายรีบดึงมันกลับมาจากโลงศพสีดำมากมาย สักครู่หนึ่ง ศพอันสูงใหญ่กำยำของเทพเจ้าก็ถูกลากกลับมา
มันดิ้นรนอย่างสุดกำลัง พยายามจะหนีให้เป็นอิสระ หลิ่วเจินชิงและหลิ่วหรูยินก้าวไปข้างหน้าและรีดเร้นพละกำลังทั้งหมดเพื่อดึงศพเทพเจ้ากลับเข้าไปในโลง
หลิ่วเจินชิงปีนขึ้นไปบนหัวของศพเทวะและต่อยเข้าไปที่จมูกของมันอย่างดุร้ายด้วยกำปั้นเล็กๆ ของนาง พลางร้องตะโกน “คายออกมา รีบคายมันออกมา!”
แก้มของศพเทพเจ้าป่องตุง เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ข้างใน
ศพเทพมองไปยังเด็กหญิงผู้นี้ราวกับว่าอยากจะงาบหัวนาง แต่ทว่าแขนขาทั้งสี่ของมันถูกพันธนาการเอาไว้ มันขยับไม่ได้
วัตถุในปากของศพก็คือลูกแก้วพยัคฆ์ขาวที่ถูกกลืนเข้าไปพร้อมๆ กับยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ที่ถือมันเอาไว้ แต่ทันทีที่ลูกแก้วมังกรขาวหลุดเข้าไปในปากของมัน มันก็ตระหนักทันทีว่าของสิ่งนี้อันตรายเพียงใด ลูกแก้วพยัคฆ์ขาวไม่เพียงแต่ไม่ยอมร่วงเข้าไปในคอ แต่พลังของมันยังเริ่มแทรกซึมเข้าไปในศพเทพเจ้า
หลิ่วเจินชิงต่อยจมูกของศพจนเละไปหมด ในที่สุดศพเทพเจ้าก็ต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป และอ้าปากเพื่อคายลูกแก้วพยัคฆ์ขาวออกมาพร้อมกับกระไอพิษศพอีกหอบหนึ่งใส่หลิ่วเจินชิง
ปัง
โลงศพปิดไป และหลิ่วเจินชิงรีบแปะยันต์กลับก่อนที่จะหยิบลูกแก้วพยัคฆ์ขาวขึ้นมาจากพื้น นางยิ้มกว้างด้วยความดีใจแล้วกระโดดกลับไปยังโลงศพเล็กๆ ของนาง ดึงเอาพุทราเชื่อมมาเลียอีกที นางส่งยิ้มไปให้ฉินมู่และกล่าว “พี่ชายฉิน พวกเรากำลังจะกลับไป ไปเล่นกับพวกเราที่หุบเขาฝังเทพยาดาเมื่อเจ้าว่างนะ!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ และโบกมือให้นาง
“ไปกัน!” ฝาโลงพลิกปิดดังปัง เก็บเด็กหญิงไว้ข้างใน เสียงทึบๆ ของหลิ่วเจินชิงดังคงดังออกมาข้างนอก เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ “ไม่ต้องสู้แล้ว กลับไปหุบเขาฝังเทพยดา! ตระกูลหลิ่วพวกเรามิได้มาที่นี้เพื่อแตกส่วนอำนาจตำหนักสวรรค์แท้ ด้วยลูกแก้วพยัคฆ์ขาว ตระกูลหลิ่วของเราสามารถกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก!”
โลงศพดำมากมายอารักขาโลงทองคำระหว่างที่ล่าถอยออกไปจากตำหนักสวรรค์แท้
น้องสาวหลิ่วเจินชิงนั้นโดดเด่นไม่ธรรมดา และอาจจะสามารถก่อตั้งแดนศักดิ์สิทธิ์ศพขึ้นมาก็เป็นได้ ฉินมู่ยังคงมุ่งหน้าต่อไปข้างในตำหนักสวรรค์แท้พลางครุ่นคิดในใจ แต่ทว่า ข้าไม่ควรเรียกนางว่าน้องสาว ก็ในเมื่ออายุของนางน่าจะใกล้เคียงกับมารดาหลิ่วหรูยิน พวกนางน่าจะอายุสี่ห้าร้อยปี
ในส่วนลึกของตำหนักสวรรค์แท้ มีสมบัติวิญญาณอันพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ลูกแก้วหงส์แดงแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างที่ไฟแท้ของมันพุ่งผ่านไป มีก็แต่ตัวตำหนักราชวังแห่งตำหนักสวรรค์แท้เท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง
มีผู้คนจากตระกูลใหญ่มากมายที่โถมพุ่งไปยังพลานุภาพของลูกแก้วหงส์แดง เห็นได้ชัดว่าพวกนางหมายจะไปคว้ามันมาครอบครองก่อนที่เสียงซีอวี่และบุตรสาวจะมาเก็บมันกลับ
“ที่แท้ก็เป็นจ้าวลัทธิฉิน”
จากโถงใหญ่อีกโถง ราชครูสันตินิรันดร์เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่หาดูได้ยาก เขาผงกหัวให้กับฉินมู่เป็นการทักทาย
ฉินมู่เดินเข้าไปและถามด้วยความสงสัย “ราชครู ด้วยกำลังฝีมือของท่าน จะแย่งชิงลูกแก้ววิเศษทั้งสามลูกคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่กระนั้นท่านก็ไม่สนใจสมบัติวิเศษแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ท่านกำลังค้นหาสิ่งใดกันแน่”
“ประวัติศาสตร์” ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในราชวังอีกหลังพลางกล่าวอย่างไม่รีบร้อน “สมบัติของตำหนักสวรรค์แท้เป็นของแผ่นดินตะวันตก และข้าก็จะไม่ต่อสู้แย่งชิงมัน สำหรับข้าแล้ว แม้ว่าสมบัติเหล่านี้จะดึงดูดใจไม่ใช่น้อย แต่ประวัติศาสตร์ของตำหนักสวรรค์แท้ต่างหากคือความมั่งคั่งที่แท้จริง จ้าวลัทธิฉิน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องต่อสู้แย่งชิงสิ่งของและอำนาจ ตามข้ามาและไปประจักษ์ประวัติศาสตร์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ด้วยกัน”
เจตนาของเขาคือต้องการให้เด็กหนุ่มไปด้วย
“ความคิดอ่านของราชครูนั้นเหนือธรรมดา หากข้ายังมัวแต่ละโมบสมบัติแห่งตำหนักสวรรค์แท้ มิใช่ว่าจะเป็นที่ดูแคลนของท่านหรอกหรือ” ฉินมู่กล่าว
เขาติดตามราชครูสันตินิรันดร์ไปยังสถานที่อื่น
ตำหนักสวรรค์แท้นั้นทั้งโอฬารและยิ่งใหญ่ แม้ว่าสงครามจะยังคงดำเนินไปด้วยทักษะเทวะและอาวุธวิญญาณทุกชนิดอันลอยเกลื่อนฟ้า แต่ภาคพื้นนั้นก็ยังคงดีอยู่ไม่บุบสลาย
“สำนักเต๋า วัดใหญ่ฟ้าคำราม นครหยกน้อย ล้วนแต่เป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงบันทึกประวัติศาสตร์ แล้วเช่นนี้ผู้ชนะจะไม่จดจารประวัติศาสตร์แห่งชัยชนะของตนในกาลอันนิรันดร์ได้อย่างไร”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้าไปในโถงวังหนึ่งอันมีศิษย์ตระกูลอวี้มากมายซ่อนตัวอยู่ พวกเขาโจมตีใส่ทันที แต่ราชครูสันตินิรันดร์เพียงโบกมือเบาๆ พละกำลังอันร้ายกาจดุดันของพวกเขาก็กลายเป็นสายลมเบาหวิว พวกเขากระเด็นไปปะทะกับกำแพงวัง ไม่อาจจะขยับเขยื้อน
“ข้าได้เห็นประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้โดยสำนักเต๋า นครหยกน้อย และวัดใหญ่ฟ้าคำรามแล้ว บัดนี้ข้าอยากที่จะเห็นประวัติศาสตร์ที่ถูกเขียนโดยผู้ชนะ”
ราชครูสันตินิรันดร์วาดมืออีกครั้ง และหญิงสาวมากมายที่ถูกพลังอำนาจของเขากดทับไปกับกำแพง ก็ถูกผลักให้เลื่อนถอยไปข้างๆ เผยภาพวาดฝาผนังข้างหลังพวกนาง
ฉินมู่มองที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังและเห็นว่าเป็นภาพวาดของเทพเจ้าที่ลงมาจากท้องฟ้าและหมู่ปราสาทราชวังมากมาย เทพเจ้านี้ดูค่อนข้างคล้ายคลึงกับป้าโก่ว
ในภาพวาดที่สอง ป้าโก่วมาพบกับเทพนารีนางหนึ่งที่มีสถานะทัดเทียมกับเขา และถูกวาดไว้เป็นคู่แข่ง
“นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากผู้ก่อตั้งตำหนักสวรรค์แท้ มารดาเฒ่าสวรรค์แท้” สีหน้าของราชครูสันตินิรันดร์ดูใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง “ในเมื่อนางสามารถยืนในศักดิ์อันทัดเทียมกับป้าโก่วได้ นางก็ไม่น่าจะถูกข้าสังหารในกระบวนท่าเดียว…นี่มันแปลกอยู่นะ”
ฉินมู่เองก็อึ้งไป เมื่อเขาหวนนึกถึงเทวรูปไม้ที่พบพานในทะเลทราย หน้าตาของรูปสลักนั้นคล้ายคลึงกับมารดาเฒ่าสวรรค์แท้
เขามองไปยังภาพถัดไป แต่ไม่มีเงาร่างของป้าโก่วปรากฏอีก ภาพวาดที่สามนั้นเป็นภาพของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ใช้ลูกแก้วหงส์แดงแปรเปลี่ยนพื้นพิภพให้กลายเป็นทะเลทรายอันมีเพลิงโหมไหม้
“ทะเลทรายเพลิงโหม!”
ฉินมู่หรี่ตา ปริมาณพลังวัตรที่ต้องใช้ในการแปรเปลี่ยนพื้นที่รัศมีหลายหมื่นลี้ให้กลายเป็นทะเลทรายเพลิงโหมนั้น น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
“จ้าวลัทธิ คิดหรือว่าใครบางคนที่มีกำลังฝีมือระดับนางจะถูกข้าสังหารได้ในกระบี่เดียว” ราชครูสันตินิรันดร์ถาม
ฉินมู่ตัวสั่นเทา “นางยังไม่ตาย!”
ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ที่ข้าสังหารในกระบี่เดียวนั้น อย่างมากก็เป็นเพียงเทวรูป เต๋าของนางในการเสกสรรธรรมชาติ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นพัน และนางถึงกับสามารถปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาในภูเขาและแม่น้ำ ให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ลุกขึ้นเดินได้ ดั้งนั้นการสร้างร่างปลอมขึ้นมา สำหรับนางแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร หรือว่านางจะอยู่ใกล้ๆ แถวๆ นี้”
ในพริบตาที่กระบี่บินแปดพันเล่มแทงไปยังหม้อห้าอสุนีบาต โลกทั้งโลกก็พลันเงียบงัน ปราศจากสรรพสำเนียงใดๆ แม้แต่กระบี่บินก็ไร้เสียง
จากนั้น พื้นที่เหนือหม้อห้าอสุนีบาตก็ระเบิดออก และเปลวสายฟ้าพุ่งออกมา
สายฟ้าสีดำทมิฬยิงขึ้นข้างบนและระเบิดกัมปนาท พวยพุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้า
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ผู้ยืนอยู่หน้าประตูตำหนักเห็นสายฟ้าสีดำอันดูราวกับมังกรไร้เขากำลังแสยะเขี้ยวอวดเล็บ จากนั้นมันก็แตกระจายออก กลายเป็นสายฟ้าสว่างเจิดจ้าอันดูราวกับฝูงมังกรไร้เท้าทะยานขึ้นไปบนเวหา
ในเสี้ยววินาทีนั้น ก็มีสายฟ้านับหมื่นที่พวยพุ่งขึ้นไปบนห้วงนภา แต่กระนั้นในเสี้ยววินาทีถัดมา มันก็มันก็แยกกระจายออกเป็นมังกรไร้เขานับร้อยล้านตัว
เมฆแสงเจิดจ้าบาดตาก่อขึ้นมาตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ และหม้อห้าอสุนีบาตก็ลอยเลื่อนขึ้นไปบนอากาศ ปลดปล่อยเปลวสายฟ้าอันฟาดเปรี้ยงปร้างขึ้นไปสู่เมฆอสุนีบาตอย่างไม่หยุดยั้ง
ในเวลาเดียวกันที่ข้างหลังเมฆสายฟ้า ฝูอวิ๋นซีนำหญิงสาวนับหมื่นแห่งตระกูลฝูขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกนาง ผลักดันเมฆสายฟ้าไปทางตำหนักสวรรค์แท้
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และนางคว้าลูกแก้วเต่าดำที่ผู้อาวุโสตระกูลอวี้คนหนึ่งกำลังใช้อยู่มา
ไม่ทันที่นิ้วของนางจะกำรอบมันได้ เมฆสายฟ้าอันน่าสยองขวัญก็มาถึงตำหนักสวรรค์แท้แล้ว ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ภาพเงาอันก่อขึ้นมาจากลูกแก้วพยัคฆ์ขาว ลูกแก้วหงส์แดง และลูกแก้วเต่าดำก็ล้วนแตกสลายไป ทะเลระเหยแห้ง เพลิงไฟมอดดับ และภูเขาทองคำก็พังทลาย
ตูม!
อสุนีบาตสายแรกฟาดลงมา และพุ่งตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้ เสียงกัมปนาทสะเทือนกึกก้องเมื่อมันฟาดไปยังเทวรูปตนหนึ่ง
เปลวฟ้าสายแรกราวกับสะเก็ดไฟที่ร่วงลงไปในหม้อน้ำมัน พลันจุดสันดาปทุกๆ อย่างที่อยู่ในนั้น มันราวกับฝนหยดแรกจากเมฆฝนทะมึน และที่ตามมาก็คือเปลวอสุนีบาตนับพันๆ ล้านอันฟาดเปรี้ยงฉีกฟ้า ถล่มลงไปยังตำหนักสวรรค์แท้!
“โล่เทวะเต่าดำ!” เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ตะโกนออกไป ดิ้นรนสุดชีวิตที่จะกระตุ้นเร้าการทำงานของลูกแก้วเต่าดำ โล่เต่าดำใหญ่มหึมาพลันขยายตัวออก คลี่คลุมด้านหน้าของตำหนักสวรรค์แท้
ตูม!
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดปะทุเมื่อพวกมันฟาดลงไปกระทบโล่เต่าดำ และพื้นผิวของโล่เทวะนี้ก็ยุบลงไปจากแรงกระแทกที่กดอัดเข้ามา เจ้าตำหนักสวรรค์แท้กระอักโลหิตเมื่อนางดิ้นรนสุดชีวิตที่จะป้องกันผู้คนของนางเอาไว้
โล่เทวะเต่าดำทานทนสายฟ้าได้ไม่นานก็ไม่สามารถป้องกันศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ไว้ได้อีก ทะเลอสุนีบาตซัดเข้ามา และหญิงสาวมากมายก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน!
แม้แต่รูปปั้นเทวะอันมีรัศมีทัดเทียมเทพยดาก็ไม่ต้านทานพายุสายฟ้าเอาไว้ได้ เมื่อพวกมันพุ่งขึ้นไปต่อสู้กับทะเลสายฟ้า แขนขาของพวกมันก็หลอมละลาย กลายเป็นทองดำและทองแดงหลอมเหลว!
เมื่อเสียงฉีเอ๋อมองไปยังตำหนักสวรรค์แท้จากที่ไกลๆ นางก็พบว่ามันได้กลายเป็นทะเลอสุนีบาตไปเรียบร้อยแล้ว สายฟ้าจำนวนมากผ่าเปรี้ยงปร้างไม่หยุดหย่อน ทำให้สถานที่นั้นสว่างจ้าแสบตา
ก่อนหน้านั้น ลูกแก้วมังกรเขียวของนางต้องไปต่อสู้กับสามมหาสมบัติวิญญาณ แต่เมื่อเมฆสายฟ้าเข้าไปทำลายพลังของพวกมัน แรงกดดันบนตัวเด็กหญิงน้อยก็ลดถอยลงไปอย่างยิ่ง ในที่สุดนางก็มีเวลาพักหายใจ
“ฉีเอ๋อ คุณสมบัติธาตุของลูกแก้วมังกรเขียวคือสายฟ้า” เสียงซีอวี่พลันปรากฏเบื้องหลังนางและกล่าวอย่างนุ่มนวล “พวกเราใช้ลูกแก้วมังกรเขียวส่งศัตรูพวกนี้ไปสู่สุคติกันเถอะ”
“ท่านแม่!” เสียงฉีเอ๋อทั้งประหลาดใจและยินดี เสียงซีอวี่เผยรอยยิ้มและกอบมือของเด็กหญิงเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง พวกนางประคองลูกแก้วมังกรเขียวด้วยกัน และกล่าวด้วยเสียงเบา “ชีวิตที่ตกตายของตระกูลเสียง ต้องชดใช้ด้วยชีวิตของศัตรู!”
แสงสีเขียวอันไร้ขอบเขตพวยพุ่งออกจากลูกแก้วมังกรเขียว และแปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวที่พุ่งทะยานเข้าไปในเมฆสายฟ้า พลานุภาพของสายฟ้าพลันเพิ่มพูนขึ้นอย่างน่าแตกตื่น
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้เห็นเช่นนั้น และหัวใจของนางก็พลันท่วมท้นไปด้วยความสิ้นหวัง ตระกูลอวี้จบสิ้นแล้ว…
โล่เทวะเต่าดำระเบิดระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และพายุสายฟ้าอันไร้ประมาณก็กลืนกินนางและศิษย์อวี้ข้างหลัง
ในพริบตานั้น แสงกระบี่หนึ่งก็ยิงฝ่าพายุอสุนีบาต และพุ่งตรงไปยังเสียงซีอวี่ แสงกระบี่ของเขาดูราวกับสมบูรณ์แบบ กวาดล้างทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้แต่พายุสายฟ้าก็ยังถูกฉีกทำลาย!
เพลงกระบี่และเต๋ากระบี่ของเขาได้ไปถึงขั้นสมบูรณ์แบบ แม้แต่พายุสายฟ้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้
แสงกระบี่นั้นเร็วอย่างยิ่งยวด ราวกับว่ามันพุ่งมาจากนอกอวกาศ สายฟ้ากลายเป็นผุยผงและไม่อาจกลบบังแสงสว่างที่พวยพุ่งออกมาจากกระบี่!
แต่ทว่า ก่อนที่มันจะมาถึงหน้าของเสียงซีอวี่และธิดาของนาง แสงกระบี่อีกแสงก็พลันปรากฏขึ้นมา และขัดขวางกระบี่นั้นด้วยเสียงเคร้ง
“ราชครูสันตินิรันดร์?” ป้าโก่วแย้มยิ้ม “ข้ารู้มาตั้งนานแล้วว่าเจ้าอยู่ในแผ่นดินตะวันตก แต่เจ้ามีนิสัยสันดานอันต่ำช้า คอยแต่มุดหัวซ่อนอยู่ในที่มืด แต่ทว่าเจ้าหาโอกาสโจมตีข้าไม่ได้เลยใช่ไหมล่ะ ในท้ายที่สุด ก็ยังคงเป็นข้าที่บีบเจ้าให้โผล่หัวออกมา”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินเข้ามา เหยียบไปบนอากาศราวกับว่ามันคือพื้นราบ เขาสวมใส่ชุดเขียวและสีหน้าราบเรียบ กระบี่อยู่ในมือขวาและมือซ้ายของเขาก็ไพล่หลังอยู่ กำมือด้วยเคล็ดลับกุมกระบี่
ป้าโก่วสวมใส่ชุดขาว แต่เขาก็มีมือหนึ่งซ่อนไว้ข้างหลังใช้เคล็ดลับกุมกระบี่อยู่เช่นกัน
เงาร่างทั้งสองเคลื่อนที่ไปๆ มาๆ ท่ามกลางพายุสายฟ้า แม้ว่าเสียงของสายฟ้าจะสะท้านโลกา แต่มันก็มิอาจกลบทับเสียงปะทะกันของกระบี่ได้ เสียงเคร้งๆ ราวกับไข่มุกร่วงลงไปในถาดหยก ดังมาอย่างต่อเนื่อง
ข้างใต้หม้อห้าอสุนีบาต ฉินมู่นั้นถูกดึงเข้าไปโดยพลังงานสายฟ้าอันเข้มข้น พลังดึงดูดของมันได้ดึงเขาและกิเลนมังกรเข้าไปยังเปลวสายฟ้า แม้แต่กิเลนมังกรตัวอ้วนหนักก็ยังดูเบาหวิวราวกระดาษ เขาดิ้นไปดิ้นมาอย่างช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถคว้าจับเอาไว้
ฉินมู่ก็รู้สึกทันทีว่าเขากลายเป็นไร้น้ำหนัก เส้นผมของเขาสยายกระจายไปทุกทิศทาง ท่ามกลางเส้นผม ก็มีประกายสายฟ้าแล่นพล่านไปมาพลางส่งเสียงแตกเปรี๊ยะปร๊ะ!
เขาถึงกับรู้สึกว่าเส้นขนทั้งหมดบนร่างกาย เต็มไปด้วยสายฟ้าเล็กละเอียดเมื่อพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวเข้ามาฟาดใส่ร่างของเขา
มันรู้สึกราวกับว่าเขาถูกเข็มของเซียนขาวปักเข้าไปทั่วทั้งร่าง ไม่มีจุดไหนเลยที่ไม่เจ็บปวด
ฉินมู่รีดเร้นพลังงานทั้งหมดของเขาเพื่อปลุกเนตรสวรรค์เก้า และรังสีแสงอสุนีบาตก็เกลื่อนกล่นเต็มตา
เขามองเห็นกิเลนมังกรเพียงรางๆ เท่านั้น แม้กระทั่งแผงขนคอและเกล็ดของเขาก็พุ่งชี้ชัน มีสายฟ้าแล่นพล่านไปมาตามขนและเกล็ดเหล่านั้น
ฉินมู่นำรังมังกรแท้ออกมา น้ำหนักของมันทับร่างของเขาลงไป จนเขาครางหนักออกมาด้วยความจุก แต่ถึงอย่างไร เขาก็หยุดยั้งแรงดึงของสายฟ้าได้ในที่สุด และร่างของเขาก็ร่วงลงจากท้องฟ้า ระหว่างทางที่ร่วงลง เขาพุ่งลงไปชนกับกิเลนมังกรและพาอีกฝ่ายลงไปข้างล่างด้วยเช่นกัน
ด้วยสองมือกอดรังมังกรแน่ เขาใช้น้ำหนักของมันหลบหนีจากแรงดึงดูดของอสุนีบาต เมื่อหนีพ้นมาได้ไกลพอสมควร เขาก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟากฟ้า
หม้อห้าอสุนีบาตลอยอยู่ที่นั่น ยกสูงขึ้นและสูงขึ้น กระบี่บินแปดพันเล่มของเขาดูเหมือนจะถูกหยุดเวลาเอาไว้ และลอยไปมารอบๆ หม้อห้าอสุนีบาต สายฟ้าพุ่งผ่านพวกมันราวกับว่าพวกมันคือสายล่อฟ้า อันเอาไว้ดึงดูดฟ้าผ่าโดยเฉพาะ
กระบี่บินกลายเป็นแดงฉานจากพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวและฉินมู่ก็กังวลว่าพวกมันอาจจะไม่สามารถทนทานสายฟ้าเทพยดาจากหม้อห้าอสุนีบาตได้
เขาสลัดหลุดจากแรงดึงดูดสายฟ้า และเห็นแสงสีเขียวฉาบทอนภากาศ เขาเงยหน้าขึ้นมองดูลูกแก้วมังกรเขียวที่เร้าแรงระเบิดของเมฆอสุนีบาต
“ตระกูลอวี้จบสิ้นแล้ว…” เขาพึมพำ
สายฟ้าเหล่านั้นกึกก้องเสียจนตัวเขาก็ไม่ได้ยินเสียงพูดของตนเอง
จากนั้นเขาก็เป็นป้าโก่วพุ่งเข้ามา และราชครูโผล่มาขัดขวางเขา แสงสีขาวและสีเขียวต่อสู้กันอย่างดุเดือดท่ามกลางเมฆสายฟ้า
“เพทุบายเฒ่า!” ฉินมู่สบถออกมาและเฝ้ามองการต่อสู้ของสองสุดยอดฝีมือ เขาพบว่าทั้งคู่มิได้ใช้ทักษะเทวะเพลงกระบี่ แต่กลับถือกระบี่ในมือซ้าย และมือขวาซ่อนข้างหลังด้วยเคล็ดลับกุมกระบี่
การเคลื่อนไหวของพวกเขารวดเร็วอย่างสุดขั้วยากที่จะจำแนกแยกแยะ เคล็ดลับกระบี่ข้างหลังพวกเขาแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง ราวกับว่ากำลังคำนวณบางอย่าง
ฉินมู่ค่อนข้างประหลาดใจ การเปลี่ยนแปลงในเคล็ดลับกุมกระบี่ของทั้งสองนั้นรวดเร็วจนเขามองไม่ถนัด เขาได้แต่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะจดจำการเปลี่ยนแปลงของสัญลักษณ์มือเหล่านั้น ในเมื่อเขารู้สึกว่าเคล็ดลับกุมกระบี่ของสองสุดยอดฝีมือนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนการต่อสู้ระหว่างราชครูสันตินิรันดร์และป้าโก่ว ได้ไปถึงเขตขั้นสูงสุดคืนสู่สามัญ เพลงกระบี่ของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันเพริศแพร้วและมันเป็นเพียงท่วงท่ากระบี่พื้นฐานไม่กี่ท่วงท่า แต่ทว่า แต่ละการโจมตีจะทำให้ห้วงมิติรอบๆ กระบี่สะท้านสะเทือน ทักษะเทวะของพวกเขาสามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าซ่อนเร้นอยู่เบื้องหลังคลื่นกระเพื่อมเหล่านั้น เต๋ากระบี่ที่ซ่อนอยู่มิใช่สิ่งที่ฉินมู่จะสามารถตรึกตรองเข้าใจได้
สมแล้วกับที่เป็นอัจฉริยะวายร้ายที่ปรากฏขึ้นมาทุกๆ ห้าร้อยปี ความสำเร็จของเขาในเต๋ากระบี่รุดหน้ารวดเร็วขนาดนี้เชียว!
ฉินมู่พยายามอย่างที่สุดที่จะจดจำเคล็ดลับกุมกระบี่เหล่านั้น แต่ทันใดเทวรูปทั้งหลายก็ทะลวงผ่านสายฟ้าเทพยดาและพุ่งเข้าไปในพายุอสุนีบาต พวกมันระเบิดรัศมีเทวะอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญออกมาพร้อมๆ กัน เพื่อปัดเป่าเมฆสายฟ้าออกไปอย่างรวดเร็ว เปลวฟ้าจำนวนมายพลันพวยพุ่งกระจัดกระจาย และฟาดเปรี้ยงไปทั่วทิศทาง
เทวรูปทั้งแปดสภาพยับเยิน ไม่มีอันไหนเหลือดี แต่พวกมันก็ยังคงพวยพุ่งไปด้วยพลังการต่อสู้และพยายามที่จะเข้าไปใกล้ราชครูสันตินิรันดร์
ชายผู้นี้ดูราวจะไม่สำเหนียกเลยแม้แต่น้อย และยังคงต่อสู้กับป้าโก่ว ขณะที่เสียงซีอวี่พาเสียงฉีเอ๋อเข้าไปใกล้ พวกนางยกลูกแก้วมังกรชูขึ้นให้แสงสีเขียวพวยพุ่งไปข้างหน้า มันทำให้รูปปั้นเทพเจ้าทั้งหลายกลายเป็นไม้และแข็งค้างอยู่บนอากาศ
ทันใดนั้นรูปปั้นหนึ่งที่กลายเป็นไม้ก็เอี้ยวคอไปรอบๆ และรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยก็ปรากฏขึ้นมาบนเทวรูปนั้น มันยื่นมือออกไป และลูกแก้วมังกรเขียวในมือเสียงฉีเอ๋อก็ลอยออกไปโดยที่นางไม่ยินยอม พุ่งไปยังมือของเทวรูปนั้น “สาวน้อย ขอบใจมาก!”
เสียงฉีเอ๋อตกตะลึงและสูญเสียการควบคุมลูกแก้วมังกรเขียว ขณะที่เสียงซีอวี่รู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลัง “ระวัง! นั่นคือเทพเจ้าแห่งตำหนักสวรรค์แ–”
ไม่ทันที่นางจะกล่าวจบ แสงหลากสีก็สาดส่องเปล่งจำรัสออกมาจากศีรษะของราชครูสันตินิรันดร์ สะพานเหินหาวพุ่งทะลวงผ่าอากาศ และดูเหมือนมันจะเหยียดยาวไปยังสถานที่อันไกลสุดหยั่ง แสงเทวะอันไร้ประมาณราวกับว่าสาดส่องมาจากจุดสิ้นสุดแห่งกาลและอวกาศและเติมเต็มสรวงสวรรค์ทั้งเก้าชั้น ที่ปลายสุดสะพานคือหมู่ปราสาทราชวังสวรรค์ที่มองเห็นอยู่รางเลือน
จิตวิญญาณดั้งเดิมของราชครูสันตินิรันดร์พุ่งออกมาจากปราสาทสวรรค์อันเลือนรางนั้น และก้าวขึ้นมาเหยียบบนสะพานเทวะ กระบี่ของเขาพุ่งออกไป ราวกับไม่สนใจอวกาศและระยะทาง แสงกระบี่พวยพุ่งผ่านกาลเวลา และในพริบตาที่เทวรูปนี้คว้าจับลูกแก้วมังกรเขียวเอาไว้ได้ จิตวิญญาณดั้งเดิมของราชครูก็ทะลวงทะลุหว่างคิ้วของมัน คมกระบี่แทงไปโผล่ที่ท้ายทอย
โลหิตหลั่งไหลลงจากหน้าผากของ ‘เทวรูป’ และมันมีเลือดกับเศษสมองที่ไหลออกมาจากข้างหลังศีรษะด้วยเช่นกัน การเสียหายที่เกิดขึ้นดูเหมือนไม่ใช่เกิดกับเทวรูป แต่เกิดกับสิ่งมีชีวิต!
ใบหน้าอันไร้อารมณ์ของราชครูคลี่คลายออกมาเป็นรอยยิ้มในที่สุดเมื่อจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาเหาะเหินกลับไปขึ้นไปบนอากาศ เขายืนไพล่หลังข้างหนึ่งและอีกมือก็ถือกระบี่ เดินอ้อมป้าโก่วไป “เจ้าไม่เคยใช่เป้าหมายของข้าเลย”
ฉึก ฉึก ฉึก!
เขากับจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาโจมตีประสานกันจากสองฝั่ง และแสงกระบี่ก็พุ่งวาบไปเมื่อมันเฉือนตัดแขนขาของป้าโก่ว จากนั้นเขาก็ยกกระบี่ขึ้นเพื่อบั่นศีรษะของคู่ต่อสู้
“สะพานเทวะ!” ฉินมู่ร้องออกมาอย่างแตกตื่น และความกระวนกระวายใจของเขาก็สงบราบคาบในที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมราชครูสันตินิรันดร์จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี เพียงผ่านไปครึ่งปีหลังจากที่ฉินมู่และคณะได้ก่อตั้งตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติของสะพานเทวะ แต่เขากลับสามารถบ่มเพาะสะพานเทวะออกมาได้ในที่สุด!
เพทุบายเฒ่า เจ้าซ่อมแซมสะพานเทวะเสร็จและเข้าไปในปราสาทสวรรค์ ดังนั้นจึงกลายเป็นเทพเจ้าไปแล้ว แต่กระนั้นก็ยังซ่อนในมุมมืดและคอยวางแผนร้ายเป่าอุบายใส่ผู้คน…
ฉินมู่ลอบด่าทอเขาในใจ ขณะที่ข้างหลังเขาคือเสียงตะโกนของสตรีจำนวนมาก ภายใต้การนำของประมุขตระกูลต่างๆ ทั้งหลาย ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลใหญ่ก็โจมตีตำหนักสวรรค์แท้
มู่ยิ่งเสว่เดินผ่านมาทางฉินมู่และกล่าวด้วยเสียงเบา “หนุ่มน้อย หากว่าราชครูสันตินิรันดร์ยังมีชีวิตอยู่ อย่าก่อกบฏเด็ดขาด เล่ห์เหลี่ยมเจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก!”
เหออีอีก็เข้ามาอีกข้างและกระซิบที่หู “หากว่าเจ้าก่อกบฏ เจ้าจะตายอย่างไม่รู้ตัว! ราชครูสันตินิรันดร์นั้นกลอกกลิ้งเกินไป!”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ พลางคิดในใจ ข้าไม่เคยคิดเรื่องก่อกบฏเลยสักนิด แต่ทว่า ราชครู หมอนี่มันเจ้าเล่ห์เพทุบายเสียเหลือเกิน…
ค่ายกลหินใหญ่มหึมาแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วนจัดเรียงและประกอบเข้าด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ ก่อขึ้นมาเป็นพยุหะศิลาที่ลอยเลื่อนอยู่กลางอากาศและพุ่งเข้าไปยังสนามรบ
ฉินมู่ยืนอยู่บนหินก้อนใหญ่ที่ยกขึ้นและลง เขาเฝ้ามองลูกบาศก์ทุกขนาดที่เคลื่อนที่ไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน บางครั้งพวกมันก็ก่อเป็นกำแพง บางครั้งพวกมันก็กระจัดกระจายไปราวกับควัน
ความสำเร็จวิชาพยุหะของเหออีอีนั้นสูงล้ำเป็นอย่างยิ่ง เมืองต้นไผ่เข้าร่วมการรบภายใต้การควบคุมของนาง และเปิดเส้นทางให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลเหอที่อยู่ข้างหลัง
ครืน
ยักษ์ภูเขาถลันเข้ามาพร้อมกับอาวุธของมันอันดูพิลึกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง มันเป็นตะบองหนาที่มีรูปลักษณ์ของภูเขาและมีระฆังสำริดทุกชนิดขนาดอยู่บนนั้น แต่ทว่าแม้ระฆังใบที่เล็กที่สุดก็ยังใหญ่จนน่าแตกตื่น
ยักษ์ภูเขาฟาดไม้ตะบองลงไปยังกระบวนพยุหะเมืองต้นไผ่ ในทันใดนั้น ระฆังที่ห้อยอยู่ก็ดังเหง่งหง่าง และคลื่นเสียงอันน่าสะพรึงกลัวก็ถล่มเข้าใส่เมืองต้นไผ่ บดขยี้ก้อนหินมากมายให้แหลกเป็นชิ้นๆ
เหออีอีรีบแปรเปลี่ยนกระบวนพยุหะของนางทันที และหินก้อนใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนก็เข้าไปเกาะติดกับตะบองนั้น ในเสี้ยววินาที อาวุธอันน่าสะพรึงกลัวก็ถูกห่อหุ้มไปจนหมด และเสียงเหง่งหง่างของระฆังก็ระงับดับไป
ยักษ์ภูเขาพยายามอย่างหนักเพื่อจะเงื้อตะบองขึ้น แต่ไม่ทันที่มันจะได้เหวี่ยงซัด มันก็เห็นก้อนหินใหญ่จำนวนมากร่วงลงจากตะบองไปที่แขนของมัน
เหออีอีขับเคลื่อนกระบวนพยุหะ และพลานุภาพของมันก็แผ่พุ่งออกไป บีบทำลายแขนของยักษ์ภูเขาจนแตกหัก
ยักษ์ภูเขาตนนั้นดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกรู้สา ก็ในเมื่อมันเอื้อมมืออีกข้างคว้าจับเข้ามาในกระบวนพยุหะ มันพยายามจะจับตัวเหออีอี แต่แขนข้างนี้ก็ถูกก้อนหินใหญ่ห่อหุ้มในเวลาไม่นาน กลายเป็นหนาหนักขึ้นทุกทีๆ
“วิชาพยุหะของตระกูลเหอ เหนือธรรมดาจริงๆ!” ฉินมู่ออกปากชม และพลันกระโดดออกไปจากค่ายกลเมืองต้นไผ่ เขาขึ้นไปเหยียบบนแขนของยักษ์ภูเขา และกระโดดไปมารอบๆ ราวกับเหินบิน พุ่งไปยังศีรษะของมัน
บนยอดเขา มีสนามรบอีกแห่งหนึ่ง อันผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายแห่งตำหนักสวรรค์แท้เผชิญหน้ารับมือกับผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลกง ทั้งสองฝ่ายต่างก็สู้กันอย่างดุเดือดบนยอดเขา แต่ก็ติดพันกันไปมาโดยไม่มีผู้ใดได้เปรียบ
ฉินมู่ทะยานเข้าไป และลูกกลมแสงสีเงินก็ระเบิดออกด้วยการโบกมือเพียงวูบเดียวของเขา มันคือไจกระบี่อันมีเส้นผ่านศูนย์กลางสองคืบ มันผงาดขึ้นไปบนท้องฟ้าและหมุนปั่นอย่างรวดเร็ว กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากข้างในนั้น พวกมันกลายเป็นแสงกระบี่ และยิงทะลวงผ่านฝูงคนที่กำลังตะลุมบอน
ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ดถูกปลดปล่อยออกมา และแต่ละท่วงท่าก็มีการเปลี่ยนแปลงนับร้อยนับพัน กระบี่แปดพันเล่มและการเปลี่ยนแปลงสิบเจ็ดท่วงท่าก็กลบกลืนยอดฝีมือสตรีทุกคนที่อยู่บนยอดเขา ฉินมู่กระโดดลงจากภูเขา กระบี่แปดพันเล่มเบื้องหลังเขาก็ราวกับลมอันเป่าก้อนเมฆ ตามเขามาติดๆ พวกมันส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อไหลบ่ากลับเข้าไปในไจกระบี่เหนือศีรษะเขา
บนยอดเขา ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้ทั้งหมดล้มคว่ำลงไปและเสียชีวิต มีก็แต่ผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลกงที่ยังเหลือรอด
ครึ่งทางลงจากภูเขา มังกรตฤณชาติก็เหาะออกมา และรับฉินมู่เอาไว้ ประมุขซีแห่งตระกูลซียืนอยู่บนหัวของมัน และข้างๆ นาง เถาวัลย์เขียวมากมายก็โจนทะยานไปราวกับฝูงมังกรไร้เขา
พวกมันงอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ผลิดอกและออกผล เถาวัลย์เขียวจำนวนนับไม่ถ้วน แบกเอาผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลซีไต่ขึ้นไปบนร่างกายของยักษ์ภูเขา พลางหยั่งรากของมันเข้าไปในระหว่างก้อนหินภูเขา
ผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกนางเพื่อทำให้ต้นหญ้า ต้นไม้ และเถาวัลย์งอกขึ้นมาบนร่างกายของยักษ์ภูเขาและแยกชิ้นส่วนพวกมันออกจากกัน
ทันใดนั้น คลื่นกระเพื่อมอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ออกมาจากลูกแก้วหงส์แดง และนกหงส์แดงตัวใหญ่มหึมาก็กระพือปีกของมัน ทะเลเพลิงอันโหมไหม้โถมพุ่งเข้าใส่ซีอวี่ถิงที่อยู่ท่ามกลางภูเขา
นางยืนอยู่บนหัวของมังกรตฤณชาติและร่ายเวทมนตร์ แสงสีเขียวห่อหุ้มนางและก่อขึ้นมาเป็นลูกบอลต้นหญ้าขนาดใหญ่เพื่อเผชิญกับทะเลไฟ
ในพริบตาถัดมา มันก็ถูกเผาผลาญโดยเพลิงไฟอันเกรี้ยวกราด และเมื่อทะเลเพลิงผ่านไปแล้ว ก็เหลือหญ้าที่มาประกอบเป็นลูกบอลหญ้าเพียงแค่พอเห็นเป็นโครง
จากนั้นมันก็ปริเปิด และซีอวี่ถิงก็พาฉินมู่ทะยานสูงขึ้นไปๆ บนท้องฟ้า ด้วยความช่วยเหลือจากเถาวัลย์เขียวที่นางยืนอยู่
ฉินมู่กระโดดลงมาจากมันและสะกิดเท้าพุ่งปราดผ่านอากาศ เขายื่นมือออกไปคว้าจับสิ่งที่อยู่บนหัวเขา และดึงกระบี่ไร้กังวลออกมาจากไจกระบี่
กระบี่ไร้กังวลขยายขนาดออกไป และกระบี่หลายพันเล่มนั้นก็ทยอยเข้าไปรวมกับมันอย่างต่อเนื่อง
ฉินมู่ตกลงไปอย่างรวดเร็วขึ้นทุกทีๆ และรัศมีของเขาก็ทรงพลังมากขึ้นและมากขึ้น ในพริบตาถัดมา เสียงระเบิดดังกึกก้องเมื่อร่างของเขาร่วงลงปะทะกับยอดเขา ยักษ์ภูเขาอันใหญ่โตมโหฬารที่เป็นเจ้าของยอดเขานั้นก็เซแซ่ดๆ จากแรงกระแทก
เมื่อฉินมู่ลงถึงพื้น แรงกระแทกอันแตกตื่นสะท้านขวัญก็สร้างวงแหวนแรงกดดันที่เป่าศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้เกือบทั้งหมดกระเด็นไป เหลือไม่กี่คนที่อยู่ในขั้นเจ็ดทิศและชาวสวรรค์ ซึ่งยังพอหยัดยืนได้อยู่
แต่คลื่นเสียงอึงอลอันเกิดจากแรงระเบิดนั้นไม่มลายไป ห้วงมิติสั่นสะท้านและครางหึ่ง มันเกิดจากการที่กระบี่ไร้กังวลเฉือนตัดลงไปผ่านยักษ์ตนนั้น
ตูม!
จังหวะถัดมา เสียงแตกเปรี๊ยะลั่นออกมาจากศีรษะของยักษ์ภูเขา รอยร้าวใหญ่มหึมาแผ่ขยายไปจากใจกลางหัวของมัน แม้ว่าฉินมู่จะมิได้ผ่าหัวมันแยกเป็นสองเสี่ยง แต่พลานุภาพของกระบี่เขามิใช่น้อยๆ
เมื่อกระบี่ไร้กังวลฟาดฟันลงไปอีกครั้ง กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกจากในตัวมัน และเฉือนตัดไปข้างหน้า ในเสี้ยววินาที กระบี่บินแปดพันเล่มก็เฉือนแหวกอากาศจากยอดเขาหนึ่งไปยังอีกยอดเขาหนึ่ง
แขนขาฉีกขาดร่วงกราวลงมา และไม่ทันที่พวกมันจะร่วงลงถึงพื้น ฉินมู่ก็ไปทะยานไปข้างหน้า แสงกระบี่พุ่งวูบวาบและเฉือนไประหว่างยอดฝีมือสองคนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ซึ่งมีวรยุทธขั้นชาวสวรรค์
สตรีทั้งสองนางตั้งตัวไม่ติด และก็ได้รับบาดแผลจำนวนมาก เมื่อเขาเข้ามาประชิด ทั้งสองก็ว้าวุ่นร้อนรนราวกับผีเสื้อที่บินพั่บๆ
แต่ถึงอย่างไร สองสตรีนี้ก็เป็นยอดฝีมือแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แม้ว่าพวกนางจะไม่เชี่ยวชาญในการต่อสู้ระยะประชิด และถูกฉินมู่โจมตีจนบาดเจ็บ พวกนางก็ยังเหนือกว่าในด้านความเข้มข้นของพลังวัตร อันเลิศล้ำกว่าฉินมู่ไปหลายขุม ไม่นาน พวกนางก็เริ่มตั้งตัวได้
จิตวิญญาณดั้งเดิมของหญิงทั้งสองเหาะออกมา และขณะที่พวกมันจะขยายตัวขึ้นไปกลางฟากฟ้า พร้อมที่จะขย้ำใส่ฉินมู่ มังกรตฤณชาติก็พลันทะลวงมาจากเบื้องล่าง และขยายตัวใต้เท้าของพวกนาง รัดพันเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ขณะที่ประมุขซีอวี่ถิงกระโดดลงไปเหยียบบนหัวยักษ์ภูเขา ฉินมู่ก็กระโดดขึ้นไป ที่หว่างคิ้วของยอดฝีมือทั้งสองนั้นพลันมีรอยแดงปรากฏ ร่างเนื้อของพวกนางถูกกระบี่ไร้กังวลเสียบแทง และสมองก็ถูกทำลาย
ซีอวี่ถิงลงมาช้ากว่าฉินมู่ไปเพียงก้าวเดียว แต่เขาก็ได้ขจัดกวาดล้างผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้บนยอดเขานี้จนหมดสิ้น มีแต่เพียงสองยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ที่ยังหลงเหลือ
นางรู้ว่าหากยอดฝีมือทั้งสองนี้สามารถปลดปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมออกมาได้ ฉินมู่ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกนางและอาจจะถูกสังหารแทน ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะพันธนาการร่างเนื้อของทั้งสองเอาไว้ก่อน
แต่ถึงอย่างไร นางก็ไม่คาดคิดเลยว่าฉินมู่จะปิดฉากการต่อสู้ด้วยรวดเร็วเพียงนี้ นางเพิ่งจะลงมาเหยียบแตะยอดเขา แต่ฉินมู่ก็ได้สังหารยอดฝีมือขั้นชาวสวรรค์ทั้งสองไปเรียบร้อยแล้ว
ซีอวี่ถิงมองไปและเห็นเขาวิ่งทะบึงข้ามเวหา กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงหวีดหวือเมื่อมันพุ่งไปข้างหน้า เรียงรายเป็นเส้นทางใต้เท้าของเด็กหนุ่มเพื่อพาเขาบุกไปยังทิศไกลๆ
“จ้าวลัทธิมารฟ้าเหนือธรรมดาจริงๆ!” ซีอวี่ถิงอุทาน
ฉินมู่พุ่งถลันไปยังยักษ์ภูเขาตนอื่น และบัดนี้ก็พลันมีรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ ยอดยุทธฝีมือแกร่งของตำหนักได้เข้ามาร่วมศึกในสมรภูมิ
จำนวนยอดฝีมือในตำหนักสวรรค์แท้มิใช่น้อยๆ เลย คราวนี้น่าจะเป็นชนชั้นผู้อาวุโสที่ลงมือแล้วสินะ? เป้าหมายของพวกนางน่าจะเป็นประมุขของตระกูลต่างๆ!
ขณะที่ฉินมู่คิดเช่นนั้น เขาก็เห็นมู่ยิ่งเสว่บนเมฆขาวกำลังเผชิญกับยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ ข้างหลังนางคือฝูอวิ๋นซีที่กำลังขับเคลื่อนทักษะเทวะควบคุมก้อนเมฆจากข้างหลัง
ฉินมู่เก็บกระบี่ของเขา และขับเคลื่อนวิชาขาเทวะขโมยสวรรค์เพื่อตะบึงไปหาอย่างไม่คิดชีวิต เขาตามมู่ยิ่งเสว่ทันภายในไม่กี่อึดใจ และเหยียบลงข้างๆ กายนางบนก้อนเมฆ
“เจ้าแพร่พิษ! ข้าจะเสริมบำรุง!”
ทั้งสองคนหันไปมองตากันและกันด้วยรอยยิ้ม
พวกเขาเผชิญกับยอดยุทธฝีมือแกร่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ผู้อาวุโสหลายคนในวรยุทธขั้นเป็นตายผู้ซึ่งกำลังปลดปล่อยจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกนางออกมา จิตวิญญาณดั้งเดิมเหล่านั้นมีรูปลักษณ์ของเทพยดาแห่งกายาวิญญาณทั้งสี่ และพุ่งทะลวงเข้ามายังฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่
พวกเขาทั้งสองดีดนิ้วออกไป หนึ่งแพร่พิษ และอีกหนึ่งเสริมบำรุง ฝ่ายหลังนั้นสนับสนุนโดยเพิ่มพูนความเป็นพิษเข้าไปอีกทบทวี และเมื่อพวกเขาทั้งของขับเคลื่อนวิชาของตน ทะเลเมฆก็กวาดซัดผ่านพวกเขาไป พาเอาพิษเหล่านั้นไปยังเหล่าผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ มันเป็นการโจมตีของฝูอวิ๋นซี
ทะเลเมฆโถมซัดและกลืนกินผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พร้อมๆ กับจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกนาง
พวกนางล้วนแต่เลิศล้ำไม่ธรรมดา และขับเคลื่อนกระบวนท่าทุกชนิดประเภทเพื่อทำลายทะเลเมฆ แต่ทันใดนั้น สีหน้าของหญิงสาวทั้งหลายก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เมื่อเนื้อหนังของพวกนางเริ่มจะละลายเป็นน้ำหนอง และจิตวิญญาณดั้งเดิมก็กำลังแหลกสลาย ไม่นานนัก พวกนางก็แปรเปลี่ยนเป็นกองกระดูกแห้งที่ร่วงกราวลงไปกับพื้น
เมื่อยอดฝีมือวิชาพิษอันดับสามและอันดับสี่แห่งโลกหล้าร่วมมือกัน แม้แต่เทพเจ้าก็ไม่อาจรับมือได้ อย่าว่าแต่เพียงแค่ผู้อาวุโส!
ฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่แยกจากกัน และพุ่งไปยังยักษ์ภูเขาตนอื่น
ตึงๆๆ
ยักษ์ภูเขาถล่มลงไป และร่างกายใหญ่มหึมาของมันก็ร่วงกระจายลงกับพื้น ทำให้เกิดแผ่นดินสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงโห่ร้องยินดีดังมาจากพวกผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลเหอ และตามด้วยเสียงครืนครันอีกครั้ง ยักษ์อีกตัวได้ล้มลงไปตามติดๆ
ตระกูลใหญ่ทั้งหลายร่วมมือกัน และสองตาพวกนางก็แดงฉานจากการเข่นฆ่า หลังจากล้มยักษ์ภูเขาทั้งหลายได้แล้ว ตระกูลฟางก็แยกชิ้นส่วนพวกมันเพื่อเปลี่ยนเป็นยักษ์เนินเขาขนาดเล็กลงเป็นร้อยตนเพื่อดำเนินศึกต่อ เมื่อผนวกกับพยุหะค่ายกลของตระกูลเหอ การโจมตีภูมิอากาศของตระกูลฝู ต้นหญ้าและต้นไม้ของตระกูลซี แม่น้ำสายยาวและเชี่ยวกรากของตระกูลกง พิษของตระกูลมู่ และเพลงกระบี่ของตระกูลลัว แสนยานุภาพของกองกำลังปฏิวัติก็ยิ่งเพิ่มพูนเข้าไปทุกขณะจิต
ไม่ช้านาน การต่อสู้ก็ค่อยๆ เงียบลง ในเมื่อมีเพียงแต่ยักษ์เนินเขาสองสามพันตนที่ยังเหลืออยู่เท่านั้น ผู้ฝึกวิชาเทวะจากตระกูลต่างๆ มากมายยืนหอบหายใจท่ามกลางก้อนหินต่างๆ ระเกะระกะ ยักษ์ภูเขาของตำหนักสวรรค์แท้ถูกพวกนางกำจัดไปจนหมดสิ้น
ผู้ฝึกวิชาเทวะสตรีเป็นหมื่นคนเงยหน้าขึ้นไปมองยังตำหนักสวรรค์แท้อันอยู่สูงเหนือหัวพวกนาง
ในที่สุดพวกนางก็สำเร็จแผนการขั้นแรก พวกนางได้เผชิญหน้ากับแดนศักดิ์สิทธิ์ และกำลังจะย่างเท้าเข้าไปในสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์เทวาสิทธิราชแห่งแผ่นดินตะวันตก!
แม้ว่าพวกนางจะได้เสียสละพี่สาวน้องสาวไปมากมาย การล้มล้างตำหนักสวรรค์แท้ก็ยังคงเป็นความสำเร็จอันเลิศล้ำเกินจะหยั่งที่การเสียสละของมรณสักขีทั้งหลายควรค่าแก่มัน!
ตำหนักสวรรค์แท้เงียบงัน ทันใดนั้น เสียงของทองคำและโลหะเสียดสีกันก็ดังออกมา รัศมีเทพค่อยๆ แผ่พุ่ง ทรงพลังยิ่งขึ้นและยิ่งขึ้น ด้วยตำหนักสวรรค์แท้เป็นศูนย์กลาง รัศมีเทวะก็กำจรไปทั่วทุกทิศทาง สะกดข่มผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งทุกแซ่ตระกูล พวกนางพบว่าแม้แต่จะหายใจก็ยังยากเย็น
เสียงเคร้งคร้างของโลหะดังมากขึ้นทุกทีๆ และในท้ายที่สุด รูปปั้นทองคำก็ก้าวเดินออกมาจากประตูราชวังด้วยดวงตาที่ปิดสนิท ร่างของมันแข็งแกร่ง และสูงกว่าสิบห้าวา อักษรรูนบนร่างของรูปปั้นกะพริบไปมาด้วยแสงวูบวาบ
เทวรูปลืมตาขึ้นมา และแสงเทวะก็ฉายขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะกวาดลงมายังพื้นดิน เทวรูปนี้ดูราวกับเทพเจ้าที่มีชีวิต!
ในอึดใจถัดมา เทวรูปอีกตนก็เดินออกมา ตามมาด้วยตนที่สาม สี่ ห้า…
รูปปั้นเทพเจ้าเจ็ดตนก้าวออกมาจากตำหนักสวรรค์แท้ และยืนอยู่ที่หน้าประตู แสงเทวะจากดวงตาของพวกมันส่องสว่างไปทุกหนทุกแห่ง
พวกมันคือเทวรูปที่ถูกปลุกขึ้นมาโดยวิชาปลุกพรายวิญญาณ พวกมันผ่านการปลุกเสกยาวนานตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี จนกระทั่งกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างผิดธรรมดา ราวกับเทพเจ้าที่แท้จริง
เสียงโกร่งกร่างดังมาจากตำหนักสวรรค์แท้ และผู้ฝึกวิชาเทวะกว่าหมื่นคนจากตระกูลอวี้ก็พากันเดินออกมา เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ ปรากฏขึ้นที่ใต้ประตูตำหนัก มองลงไปยังนักรบทั้งหลายที่กำลังเตรียมจู่โจมตำหนักของนาง บนใบหน้าเจ้าตำหนักมีแววเย้ยหยันปรากฏ
โลหิตในกายของทุกคนเย็นเฉียบ ผู้คนเป็นหมื่นล้มตายหรือไม่ก็บาดเจ็บเพียงเพื่อแค่กำจัดยักษ์ภูเขาที่เฝ้าประตูตำหนักเท่านั้น กระนั่นมันก็ยังเป็นเพียงแสนยานุภาพผิวเผินของตำหนักสวรรค์แท้ พละกำลังใจกลางของตำหนักยังคงอยู่ดี และยิ่งน่าสะพรึงกลัวกว่าเดิม!
เทวรูปทั้งเจ็ดนั้นอาจเพียงเพียงพอที่จะกวาดล้างตระกูลใหญ่ทั้งหมดได้!
ผนวกกับผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนหมื่นของตระกูลอวี้ กองกำลังกบฏคงมีแต่หนทางตายเพียงสายเดียว!
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นความสิ้นหวังฉายชัดบนใบหน้าของทุกๆ คน ไม่เว้นแม้แต่เหออีอี ฟางไฉ่ตี และลัวอิ๋นอวี้
เขาเดินไปยังข้างๆ ฝูอวิ๋นซีและเอ่ยถาม “พี่สาวอวิ๋นซี ท่านสามารถควบคุมปรากฏการณ์ภูมิอากาศได้ แล้วท่านควบคุมอสุนีบาตได้หรือไม่”
ฝูอวิ๋นซีผงกหัวและกล่าวด้วยความเศร้า “ตระกูลฝูของข้าเชี่ยวชาญในการควบคุมปรากฏการณ์ภูมิอากาศในแผ่นดินตะวันตก แต่ดูท่าว่าพวกเขากำลังจะพ่ายแพ้…”
ฉินมู่ยิ้มกล่าว “พวกท่านสามารถควบคุมอสุนีบาตได้มากแค่ไหนหรือ”
ฝูอวิ๋นซีตะลึงไปจากคำพูดของเขา และหันไปมองหน้าฉินมู่
ฉินมู่นำรังมังกรแท้ออกมาและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “มังกรอ้วน มานี่!”
กิเลนมังกรรีบวิ่งเข้ามาทันที และฉินมู่กระโดดขึ้นขี่หลังของเขา เขานำเอาหม้อห้าอสุนีบาตออกมา และวางมันไว้บนหัวกิเลนมังกร
มังกรอ้วนรู้สึกหนาวเยือกถึงกระดูกสันหลังและรีบหัวเราะฝืดๆ “จ้าวลัทธิ กษัตริย์มนุษย์ นายท่านฉิน! ท่านจะทำอะไรน่ะ? สัตว์เลี้ยงน้อยๆ ของท่านทั้งเนื้อหนังบอบบางกระดูกก็เปราะ ข้าจะทนสายฟ้านับหมื่นผ่าใส่โดยไม่ตกตายไปได้อย่างไร”
“มียอดฝีมือตระกูลฝูอยู่ เจ้าจะไม่เจ็บตัวสักนิดแน่นอน ลุกขึ้นแล้วบินไปข้างหน้า” ฉินมู่ปลอบโยนเขา
กิเลนมังกรตัวสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่ เขาเหยียบเมฆอัคคีแล้วเหาะเหินขึ้นไป
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “พี่สาวอวิ๋นซี ให้ศิษย์ตระกูลฝูทุกคนตามข้ามา!”
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ฉีกยิ้มเมื่อนางเห็นกิเลนมังกรแบกฉินมู่เข้ามา เขาแสยะยิ้มกลับไปให้นาง และทันใดก็ซัดไจกระบี่ขึ้นไป มันปริกระจายออก และกระบี่แปดพันเล่มที่แทงไปยังหม้อห้าอสุนีบาตอย่างพร้อมเพรียงกัน!
ชายในผ้าโพกหัวปักลายสลายพลังวัตรของเขา และศพของผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงแห่งตระกูลมู่ผู้นั้นก็ร่วงลงมาจากท้องฟ้า “เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเท่านี้ แต่กลับมีความฝันเหลวไหลเพ้อเจ้อเหมือนกับกษัตริย์มนุษย์คนก่อน”
แม้ว่ากระบี่ของเขาจะตัดแขนของยอดฝีมือหญิงแห่งตระกูลมู่ไปเพียงข้างเดียว แต่เจตจำนงกระบี่ของเขาได้แล่นพล่านไปทั่วสรรพางค์กายนาง กัดกร่อนและลบล้างจิตวิญญาณดั้งเดิมของนาง
ด้วยความสำเร็จของเขาในเต๋ากระบี่ เขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายศัตรูโดยตรง เพียงแต่เจตจำนงกระบี่ของเขาก็เพียงพอที่จะบดขยี้จิตวิญญาณดั้งเดิมของคู่ต่อสู้แล้ว
มู่ยิ่งเสว่กำหมัดแน่น แต่บังคับตนเองให้ระงับโทสะเอาไว้ นางไม่ระเบิดออกมาโดยทันที
ผู้ที่ตายเป็นคนในตระกูลของนาง แต่เมื่อเผชิญกับป้าโก่วอันลึกลับผู้นี้ นางก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ
ชายในผ้าโพกหัวปักลายกวาดตามองไปทั่วประมุขตระกูลทั้งหลาย ขณะที่เบื้องหลังเขาคือขุนเขาอันยิ่งยงและตำหนักสวรรค์แท้อันมีบรรยากาศเลิศเลอ เขากล่าวอย่างไม่รีบร้อน “ประมุขตระกูลแห่งแผ่นดินตะวันตกทั้งหลาย พวกเจ้าเลือกที่จะต่อต้านขัดขืนอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้ แต่พวกเจ้าไม่รู้เลยสักนิดว่าอำนาจเหล่านั้นมีที่มาจากข้า ข้าจะให้ทางถอยแก่พวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปในตอนนี้ และบั่นศีรษะของกษัตริย์มนุษย์ฉินเพื่อส่งไปยังตำหนักสวรรค์แท้ เรื่องที่ผ่านมาก็จะแล้วกันไป”
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มเมื่อเห็นประมุขหลายคนดูหวั่นไหว
กองทัพแห่งแผ่นดินตะวันตกที่เขาดึงมานั้นมิใช่แผ่นเหล็กอันเป็นหนึ่งเดียว แต่มัดรวมกันไว้อย่างหลวมๆ ด้วยผลประโยชน์ แม้ว่าประมุขทั้งหลายจะสะคราญโฉมประดุจดอกไม้ และฉินมู่ก็มีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพวกนางหลายคน แต่พวกนางก็ไม่ต่างอะไรกับเจ้าสำนักและจ้าวลัทธิในสันตินิรันดร์ สาวงามพวกนี้วางผลประโยชน์ของตระกูลตนเองเอาไว้เหนือสิ่งอื่นใด
อารมณ์ความรู้สึกส่วนตัวมิอาจบิดเบือนจิตคิดอันมีเหตุผลของพวกนางได้
หากว่าพวกนางถอยกลับไปเพราะคำพูดของชายผู้นี้ ฉินมู่ก็คงไม่ประหลาดใจนัก
ทันใดนั้น มู่ยิ่งเสว่ก็สั่นกระดิ่งที่ข้อมือนางติงตังในความเงียบด้วยเสียงอันกังสดาล จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าทั้งหมดสามารถถอนตัวไปได้ แต่ตระกูลมู่ของข้าไม่สามารถ สิ่งที่ตระกูลมู่ข้าติดค้างตระกูลเสียงเอาไว้ ก็ต้องคืนกลับไป มิเช่นนั้น มโนสำนึกของข้าคงมิอาจเป็นสุข!”
เหออีอีมองไปที่ผู้อื่นอย่างไม่ยินดียินร้าย “อวี้ป๋อชวนตกตายในเมืองต้นไผ่ของข้า และคงยากที่ข้าจะรอดพ้นจากโทษทัณฑ์ เช่นนั้นทำไมข้าจะไม่ลองล้มล้างการปกครองของตระกูลอวี้ล่ะ ตระกูลเหอของข้าก็ไม่ถอยกลับไปเช่นกัน”
หลิ่วหรูยินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่หลิ่วเจินชิงซึ่งอยู่บนโลงศพเล็กๆ ข้างๆ นางและกำลังเลียลูกกวาดอย่างจริงจัง เมื่อสังเกตเห็นสายตา เด็กหญิงจึงเงยหน้าขึ้นมาและแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “เหมือนกับที่จ้าวลัทธิฉินกล่าว เขาเป็นเพียงแค่ร่างแยกของเทพเที่ยงแท้ และไม่ยากที่จะเข่นฆ่าสังหาร มีก็แต่เมื่อเทพเที่ยงแท้ลงมายังแดนต่ำใต้เท่านั้นมันจึงจะยากจนเกินไป ท่านแม่ ข้าได้รับกำนัลลูกกวาดพุทราเชื่อมจากฉีเอ๋อแล้ว ดังนั้นข้าจึงต้องทำบางอย่างให้กับตระกูลเสียง ยิ่งไปกว่านั้น…”
รอยยิ้มของนางยิ่งหวานกว่าเดิม “ใครจะรับประกันได้ว่าตระกูลอวี้จะไม่ตอแยหาเรื่องพวกเราอีกหลังจากเหตุการณ์นี้ พวกเขามีแต่พวกใจแคบ หากว่าพวกเราขจัดพวกเขาไปได้ แม่ลูกตระกูลเสียงก็จะปกครองตำหนักสวรรค์แท้ และยังต้องพึ่งพิงตระกูลหลิ่วของพวกเรา ผลประโยชน์นั้นสูงล้ำกว่าความเสี่ยง ทำไมจะไม่ลองดูล่ะ”
ฉินมู่ค่อยคลายใจ
แม้ว่าหลิ่วเจินชิงจะดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย แต่จริงๆ แล้วนางเป็นจิ้งจอกเฒ่า ถ้อยคำของนางดูเหมือนจะไร้พิษสง แต่นางได้กล่าวจี้ใจดำของทุกๆ คน
ด้วยประโยคของนาง ตระกูลใหญ่อื่นๆ ก็ตกลงใจมั่นเหมาะ และป้าโก่วก็มิอาจเปลี่ยนความตั้งใจของพวกนางได้อีกต่อไป!
ท่ามกลางประมุขทั้งหลาย อาจจะมีเพียงมู่ยิ่งเสว่ที่ต้องการช่วยเหลือเสียงซีอวี่และเสียงฉีเอ่ออย่างจริงใจ ในเมื่อนางต้องการไถ่บาปของตนเอง คนอื่นๆ นั้นกังวลกับผลประโยชน์ของตนเองไม่มากก็น้อย แต่สำหรับฉินมู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว
ชายในผ้าโพกหัวยิ้มกล่าว “นกตายเพราะอาหาร คนตายเพราะทรัพย์สมบัติ แม้แต่สตรีที่ชัดเจน สะคราญ และงามสง่าอย่างพวกเจ้าก็ยังโง่เขลาและทำตัวไม่สมกับร่างกายอันสูงส่งของตนเอง ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็คงได้แต่ส่งพวกเจ้าไปตามทาง”
เขานั้นกำลังจะหันกายกลับไป แต่เหออีอีพลันแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ในเมื่อป้าโก่วมาที่นี่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องกลับไป!”
หินก้อนใหญ่จำนวนไร้ประมาณข้างหลังนางพุ่งโถมไปข้างหน้า ยังชายผู้นั้น
ในเวลาเดียวกันนั้น ประมุขแทบจะทุกคนก็ขับเคลื่อนกำลังฝีมือของพวกนาง ยักษ์ภูเขาเบื้องหลังฟางไฉ่ตีใช้ยอดเขาต่างอาวุธเพื่อฟาดลงไปยังชายในผ้าโพกหัว
ลัวอิ๋นอวี้ชักกระบี่ของนางแทงออกไป และกระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนก็ตามไปอย่างติดๆ หลังกระบี่คมกล้าของนางอันยิงเลียดไปพร้อมกับยอดเขาที่กำลังโจมตีชายผู้นั้น
มู่ยิ่งเสว่ดีดนิ้ว และฝูอวิ๋นซีก็กดฝ่ามือลงไปอย่างหนักหน่วง สายฟ้าพุ่งทะยานออกไป และพายุก็กวาดซัดเอาพิษที่มู่ยิ่งเสว่โยนเข้าเพื่อถล่มใส่ชายคนนี้!
หลิ่วหรูยินและหลิ่วเจินชิงปลดโซ่บนโลงศพทองคำ และพวกนางก็ทะยานขึ้นไปราวกับมังกรไร้เขาสีดำทมิฬ
ผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกไม่ใส่ใจในกฎเกณฑ์ของยุทธจักร พวกนางพุ่งเข้ากลุ้มรุมต่อสู้พร้อมๆ กันโดยไม่มีการบอกเตือน หมายที่จะสกัดขัดขวางมิให้ป้าโก่วกลับไปยังกองทัพได้ ไม่ว่าจะต้องทำอย่างไรก็ตาม!
ฉินมู่พยักหน้าเงียบๆ “เยี่ยมมาก”
ชายในผ้าโพกหัวเดินตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้ และแสงกระบี่ก็กะพริบวูบวาบข้างหลังเขา เฉือนตัดการโจมตีของทุกๆ คน
ไม่ทันที่พยุหะของเหออีอีจะล้อมปิดเอาไว้ได้ เสาภูเขาก็ถูกเฉือนตัดด้วยแสงกระบี่อันสมบูรณ์แบบ และพายุก็ถูกขัดขวางเอาไว้ด้วยกระบี่อันกรีดฟ้า โซ่ถูกสะกิดด้วยปลายกระบี่และกระดอนกลับไป
“เพลงกระบี่ที่ยอดเยี่ยม! เพียงแค่เพลงกระบี่ของเขาเพียงอย่างเดียว ก็ไม่มีใครในแผ่นดินตะวันตกที่เป็นคู่มือของเขาได้! เขานับว่ามีเพลงกระบี่ที่ล้ำเลิศไม่ใช่เล่น!”
สีหน้าของฉินมู่เคร่งขรึม เพลงกระบี่ของชายในผ้าโพกหัวปักลายผู้นี้ได้ไปถึงเขตขั้นอันสมบูรณ์แบบ และลึกลับขนาดที่ภูตผีและเทพเจ้าก็มิอาจคาดเดา
“ฉีเอ๋อ รีบใช้งานลูกแก้วมังกรเขียว!”
เสียงฉีเอ๋อขับเคลื่อนลูกแก้วมังกรเขียว และแสงสีเขียวก็เปล่งออกมาอย่างเจิดจ้า เสียงคำรามมังกรดังออกมา และทั้งท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยแสงมรกตอันพวยพุ่งไปทางตำหนักสวรรค์แท้
ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ทุกๆ สิ่งก็จะถูกธรรมชาติไม้แทรกซึม แม้แต่ยักษ์ภูเขารอบๆ ตำหนักสวรรค์แท้ก็กลายเป็นแข็งทื่อ แสงสีเขียวสาดส่องจากร่างพวกมัน เมื่อมีเถาวัลย์เขียวจำนวนนับไม่ถ้วนงอกงามขึ้นทั่วทั้งตัวอย่างบ้าคลั่ง
พวกสตรีที่อยู่บนบ่าและศีรษะของยักษ์ภูเขา ก็ตกภายใต้การควบคุมของลูกแก้วมังกรเขียวในพริบตานั้น เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ ยอดไม้อ่อนพลันผลิออก และดอกไม้ก็เบ่งบานบนใบหน้าของพวกนาง!
ลูกแก้วมังกรเขียว หนึ่งในสี่สมบัติวิญญาณแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ได้สาดส่องออกไปด้วยพลานุภาพอันสะท้านขวัญด้วยน้ำมือของเด็กหญิงผู้นี้ ชายในผ้าโพกหัวเองก็พลันแข็งทื่อเมื่อแสงสีเขียวทาบทอบนร่างของเขา ร่างกายเขาก็ดูเหมือนจะเริ่มกลายเป็นไม้ด้วยเช่นกัน!
พลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียวนั้นเกินจินตนาการ!
ในตอนนั้นเอง จากราชวังเหนือทะเลเมฆ หญิงสาวสามสี่คนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ก็เดินออกมา ในมือพวกนางแต่ละคน ลูกแก้ววิเศษก็ลอยเลื่อนขึ้นไป
ลูกแก้ววิเศษทั้งสาม ทะยานขึ้นไปบนนภากาศ เปล่งแสงเจิดจรัสมากขึ้นทุกที ลูกหนึ่งนั้นมีดวงวิญญาณของเต่าและงู อีกลูกมีวิญญาณของพยัคฆ์ขาว ส่วนลูกสุดท้ายแผดเพลิงไฟออกมา และมีปักษาเทพยดาเหาะเหินอยู่ในนั้น
ลูกแก้ววิเศษทั้งสามพวยพุ่งไปด้วยรังสีแสง และรัศมีของพวกมันก็เข้าไปปะทะกับแสงจากลูกแก้วมังกรเขียว เสียงคำรามมังกรพลันกึกก้องไปทั่วทิศ เมื่อมังกรเขียวเหาะเหินออกมาจากลูกแก้ววิเศษ ในจังหวะที่มันทำเช่นนั้น มันก็ขยายร่างขึ้นมาอย่างมหึมาหาที่สุดไม่ได้ มังกรนี้จึงทะยานเข้าไปกระหวัดพันรอบขุนเขาอันยิ่งใหญ่ตระการ สร้างภาพอันน่าตื่นตะลึงอย่างเหลือล้ำ
ตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ แสงของอาวุธวิญญาณทั้งสามยิ่งลุกโชนมากขึ้นทุกที พยัคฆ์ขาว เต่าดำ งูเหินหาว และหงส์แดงก็เหาะเหินออกมาจากลูกแก้ววิเศษด้วย พยัคฆ์ขาวขึ้นไปหมอบอยู่บนยอดเขาและผงาดหัวคำรามขึ้นสู่ท้องฟ้า หงส์แดงกู่ร้องด้วยเสียงดังยาวนานและกระพือปีกของมันเพื่อแผ่ขยายทะเลเพลิงออกไป เต่าดำเหยียบลงไปบนท้องทะเล และท้องน้ำนั้นก็สะท้านสะเทือนใต้เท้าของมัน ก็จะโถมซัดขึ้นสู่ท้องฟ้า ขณะที่งูเหินหาวบินฉวัดเฉวียนไปมาในระหว่างนั้น
สตรีทั้งสามแห่งตำหนักสวรรค์แท้ได้กระตุ้นการทำงานของสมบัติวิญญาณทั้งสามเพื่อต่อสู้กับเสียงฉีเอ๋อ พวกนางร่วมมือกันเป็นแรงเดียวเพื่อสยบพลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียว
ร่องรอยของการกลายเป็นไม้ของชายผู้นี้จางหายไปอย่างรวดเร็ว และเขาก็ยกยิ้มน้อยๆ กระบี่บินข้างหลังเขาลอยกลับเข้ามาเสียบในฝัก และชายผู้นี้ก็ถอยกลับเข้าไปในตำหนักสวรรค์แท้
“กำจัดพวกมัน” เขากล่าวมาจากข้างใน
ธรรมชาติไม้ที่แทรกซึมเข้าไปในสตรีบนยักษ์ภูเขาทั้งหลายก็ถูกถอนออกไปเมื่อพลานุภาพของลูกแก้วมังกรเขียวถูกสะกดข่ม ดังนั้น พวกนางก็หนีไปได้เช่นกัน
แสงสีมรกตบนร่างของยักษ์ภูเขาก็จางหายไป พวกมันเคลื่อนไหวร่างกายมหึมา และเหวี่ยงยอดเขารูปกระบี่คมกล้าเข้าโจมตีตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตก
เหออีอีตะโกนไปอย่างดุดัน และเครื่องยิงหินใหญ่มหึมาก็ยิงออกไป พวกมันดีดคานยาวและส่งมนุษย์หินทะยานข้ามฟ้า พวกมันเล็กจิ๋วหลิวเมื่อเทียบกับยักษ์ภูเขา แต่ยังใจกล้าบุกเข้าไปต่อกรกับพรายวิญญาณจากศิลาแบบเดียวกัน
เพลิงไฟปะทุขึ้นมากลางอากาศและมนุษย์หินพวกนั้นก็ถูกทุบจนแหลกก่อนที่จะทันได้ลงเหยียบพื้น พวกมันถูกทำลายภายใต้การโจมตีของอาวุธมหึมาของยักษ์ภูเขา
สมบัติสืบทอดสำนักแผ่พุ่งพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวออกไปในมือของยักษ์ภูเขา เปลี่ยนให้มนุษย์หินพวกนั้นกลายเป็นผุยผง พวกมันโปรยร่วงเกลื่อนพื้นเป็นชั้นธุลี
กระนั้นก็ยังมีมนุษย์ศิลาหลายตนที่เข้าถึงตัวยักษ์ภูเขาได้ และไต่ขึ้นไปบนร่างของคู่ต่อสู้
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้รีดเร้นทักษะเทวะของพวกนางออกจนถึงขีดจำกัดราวกับว่ากำลังเผชิญหน้าศัตรูคู่อาฆาต พวกนางดึงเอาพรายวิญญาณออกจากร่างของศัตรู ทำให้มนุษย์ศิลาหลายตนกลายเป็นแค่กองหินที่กลิ้งร่วงตกลงสู่พื้นดิน
ฟิ้ววว!
ฝนหนักเริ่มโปรยปรายลงมา และหยาดฝนสีเขียวก็ร่วงพรำๆ พร้อมกับที่มีฟ้าแลบและฟ้าร้องกึกก้องไปในอากาศ มันคือพายุพิษที่ก่อขึ้นมาจากฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะตระกูลมู่และตระกูลฝู
ข้างในนั้น แม้แต่ฟ้าแลบที่แปลบปลาบไปมาก็ยังเป็นสีเขียวและมีพิษร้ายแฝงอยู่ อสุนีบาตปะปนกับสายฝนและฟาดเปรี้ยงปร้างลงทุกบนยอดเขาของยักษ์ภูเขา!
สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้เหาะออกมามากขึ้นอีก และอาวุธวิญญาณมากมายก็พวยพุ่งไปข้างหน้า พวกมันเป็นกำไลเงินและกำไลทองทุกชนิดทุกขนาด ที่กระจายออกไปทั่วทั้งขุนเขาทั้งหลาย
กำไลเงินและทองอันหมุนติ้วๆ ได้ดึงดูดสายฟ้าและน้ำฝน รัดพันพวกมันเอาไว้ข้างในก่อนจะส่งมันลงไปข้างๆ ภูเขา
เมฆทะมึนบนเวหาสั่นสะเทือน และพายุหมุนก็โถมถล่มลงมา บิดเอี้ยวร่างของพวกมันเมื่อกวาดซัดไปยังกำไลเงินกำไลทอง
พวกสตรีที่ควบคุมลูกแก้วเต่าดำกระตุ้นเร้ามัน และทะเลก็โถมซัดเข้าใส่เมฆมืด กลืนพวกมันหายเข้าไปพร้อมกับพายุหมุนและสายฟ้า!
“ฆ่ามัน!”
เสียงตะโกนดังมาจากฝั่งฉินมู่ และเครื่องดีดหินก็แล่นมาเป็นะระยะหลายลี้ก่อนที่จะตั้งกับที่อีกครั้ง หญิงสาวมากมายกระโดดขึ้นไปบนโครงมหึมาของพวกมัน และถูกดีดเข้าไปร่วมการต่อสู้ด้วยเครื่องดีดหินเหล่านั้น
ยักษ์ภูเขามากมายเข้าไปปะทะกับยักษ์ภูเขาพวกที่ป้องกันตำหนักสวรรค์แท้ ศิษย์ตระกูลใหญ่นับหมื่นยืนอยู่บนพวกยักษ์และอาวุธวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนก็พรั่งพรูออกไปต่อสู้กับพวกศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้
เถาวัลย์ยั้วเยี้ยยืดยาวออกมาจากท้องฟ้าและกวาดตวัดไปยังยักษ์ภูเขา หญิงสาวตระกูลซีเหยียบขึ้นไปบนเถาวัลย์และเดินทางข้ามขุนเขา โจมตีพวกผู้หญิงจากตำหนักสวรรค์แท้ พลางให้เถาวัลย์กระหวัดรัดรอบๆ ภูเขา
ครืนครืน…
ภูเขารูปทรงเจดีย์กดทับลงมา และบดขยี้สตรีตระกูลซีจำนวนมาก แต่ทว่าไม่มีใครมีเวลามาเศร้าโศก พวกที่ยังรอดชีวิตก็เข้าไปควบคุมแม่น้ำสายยาวอันประดุจมังกรไร้เขาและส่งพวกมันขึ้นไปบนภูเขา พวกมันฟาดฟันกับน้ำตกและแม่น้ำอันหลั่งไหลจากบนยอดเขา มียักษ์วารีมากมายที่ยืนขึ้นมาจากแม่น้ำใหญ่ด้วย แกว่งมีดควงดาบอันก่อขึ้นมาจากน้ำแข็งลึกลับ กลุ่มพรายวิญญาณเหล่านี้เข้าปะทะกับเหล่าศิษย์หญิงตรงหน้า
ดินแดนตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ได้กลายเป็นสนามรบอสุราอันนองเลือด และนักรบในนั้นก็ล้วนแต่เป็นโฉมสะคราญ
“มังกรอ้วน ปกป้องฉีเอ๋อ”
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนก้อนหินของเหออีอีที่กำลังลอยอยู่บนอากาศ เมืองไม้ไผ่อันใหญ่มหึมาได้แยกออกเป็นชิ้นๆ และกลายเป็นทะเลก้อนหินอันลอยเกลื่อนอยู่กลางท้องฟ้า
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองราชวังบนฟากฟ้าอันมีสตรีมากมายเหาะเหินออกมา พวกนางลงไปหยุดอยู่บนยอดเขาต่างๆ ตำหนักสวรรค์แท้น่าจะได้รับข่าวว่าฉินมู่รวบรวมตระกูลใหญ่ทั้งหลายมาเข้าโจมตีตั้งนานแล้ว และเตรียมตัวต้านรับศึก
ปัง!
ยอดเขาใหญ่มหึมาพลันระเบิดออก และก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนก็กระจุยกระจายไปทั่วทิศ ขณะที่บางส่วนกลิ้งหล่นลงไปข้างๆ ยอดเขาเหล่านั้นจู่ๆ ก็กลายร่างเป็นยักษ์อันน่าเกรงขาม
มันย่อตัวลงดึงขาออกจากพื้นดิน เขย่าสลัดอย่างไม่หยุดยั้ง
เหออีอียกมือของนางขึ้น และเมืองต้นไผ่อันใหญ่มหึมาก็หยุดการเคลื่อนไหว
ยักษ์ภูเขาข้างหน้าพวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ฝ่ามือใหญ่ยักษ์ของมันกว้างขวางเป็นสิบๆ ไร่ และเมื่อมันตบฟาดฝ่าท้องฟ้ามา ลมรุนแรงก็หวีดหวิวกระพือ ฝ่ามือนั้นพลันคว้าจับยอดเขารูปทรงกระบี่
เสียงเอี๊ยดเสียดหูดังมา เมื่อยอดเขารูปกระบี่ถูกยักษ์ภูเขาตนนั้นชักขึ้นมาจากพื้น!
ก้อนหินกลิ้งหล่นไปทั่วทิศทางเมื่อมันทำเช่นนั้น เมื่อยักษ์ภูเขายกกระบี่ขึ้นมา ดินและหินที่ปกคลุมมันอยู่ก็ร่วงออกไปจนหมด เผยให้เห็นวัตถุสีสนิมข้างใน
มันคือกระบี่ยอดเขาใหญ่!
สีหน้าของฉินมู่เคร่งขรึมเมื่องเขามองไปยังกระบี่มโหฬารและยักษ์ภูเขาผ่านหมอกอันขมุกขมัวนั้น
ปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้นั้นลึกล้ำจนเกินไป กระทั่งอาจจะเหนือล้ำกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินภาคกลางเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นสำนักเต๋าหรือวัดใหญ่ฟ้าคำราม หรือแม้กระทั่งลัทธิมารฟ้า ก็ไม่มีภูมิหลังอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญขนาดนี้
ปัง ปัง
เสียงระเบิดกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นมาและเขาทั้งหลายก็แปรเปลี่ยน ขณะที่ป่าทั้งหลายก็กลายเป็นยักษ์ต้นไม้อันสูงกว่าหนึ่งพันห้าร้อยวา พวกมันคว้าจับอาวุธอันมีขนาดใหญ่มหึมาเกินจินตนาการ!
พวกมันล้วนแต่เป็นผู้พิทักษ์ของตำหนักสวรรค์แท้
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้มากมายยืนอยู่บนบ่าหรือไม่ก็บนศีรษะของยักษ์ภูเขาพวกนี้ โขยกขึ้นลงตามจังหวะย่างก้าวของสิ่งที่แบกพวกนางมา และเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันอันคละคลุ้ง
ฉินมู่มองไปยังมู่ยิ่งเสว่ หากว่านางมิได้วางยาพิษใส่ตระกูลเสียง ตระกูลอวี้ก็คงพบว่ายากที่จะบุกยึดตำหนักสวรรค์แท้ และช่วงชิงอำนาจของตระกูลเสียงมา
เพียงแค่ยักษ์ภูเขาพวกนี้ก็เป็นแสนยานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว ที่เหนือล้ำกว่าแสนยานุภาพของกองทัพอันมีไพร่พลนับล้าน!
“จัดแถวเข้าพยุหะ!” เหออีอีตะโกนด้วยเสียงอันดัง และสตรีแห่งตระกูลเหอในเมืองก็เดินออกมา แต่ละนางนำธงพยุหะอันสะบัดพริ้วในสายลมออกมา ในพริบตานั้น อาวุธวิญญาณของวิชาพยุหะก็ร่วงลงมาจากธงพยุหะ
สตรีแห่งตระกูลเหอรีบประกอบพวกมันเข้าด้วยกัน และฉินมู่ก็ได้เห็นภาพอันน่าตื่นตระหนก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลเหอถึงกับใช้อาวุธวิญญาณสำหรับวิชาพยุหะมาประกอบเข้าด้วยกันเป็นรถดีดหินอันสูงถึงร้อยห้าสิบวา พวกมันตั้งตระหง่านอยู่ข้างหลังเมืองต้นไผ่ และสายชักดีดของมันก็ถูกขันให้เครียดเขม็ง!
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฟางร่ายทักษะเทวะของพวกเขา และก้อนหินก็ร่วงลงมาจากยักษ์ภูเขาข้างหลังพวกอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันประกอบขึ้นเป็นก้อนหินใหญ่ที่กลิ้งขึ้นไปบนเครื่องดีดหินเองโดยอัตโนมัติ
ผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงมากมายแห่งตระกูลซีโปรยเมล็ดพืชที่งอกเงยขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งไปทั่วทั้งภูเขา ก่อเป็นทะเลสีเขียวขจี พวกมันรุกรานไปอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับที่มียักษ์ต้นไผ่ผงาดขึ้นมาและบุกไปข้างหน้า
อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้เงื้อกระบี่ของนางขึ้น และเสียงฟึ่บก็ดังไปในอากาศเมื่อสตรีหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวชักกระบี่ออกมาเช่นเดียวกัน พวกนางทุกคนเต็มไปด้วยความฮึกหาญทะยานจิต
“พี่สาวตระกูลฝู!” มู่ยิ่งเสว่พลันตะโกน
ฝูอวิ๋นซีออกคำสั่ง และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูก็เรียกเมฆดำทะมึนออกมา พวกมันก่อเป็นทะเลเมฆ คลี่คลุมรัศมีเป็นพันลี้ พายุหมุนอันหนาใหญ่ไร้ใดเปรียบก่อตัวขึ้น แต่ทว่าพวกมันหมุนบิดเบี้ยวไปมารอบๆ แต่ไม่พวยพุ่งไปข้างหน้า ก็เนื่องจากว่าถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลฝูควบคุมเอาไว้
มู่ยิ่งเสว่ก้าวออกไปพร้อมกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตระกูลมู่ และโยนเอาพิษร้ายแรงมากมายที่พวกนางมีเข้าไปในลมหมุน พายุหมุนพวกนั้นดูดสารพิษเข้าไปในก้อนเมฆดำ อันแปรเปลี่ยนสีสัน ให้กลายเป็นสีเขียวแสนอันตราย
แม้กระทั่งสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบ ก็มีประกายเขียวเจือปนในนั้น
ทั้งชั้นเมฆเต็มไปด้วยพิษคร่าชีวิตที่ร้ายกาจที่สุดของตระกูลมู่
ลมรุนแรงพัดพุ่งออกมาจากข้างหลังเด็กหนุ่มบนหอคอยปราการ สะบัดเสื้อผ้าเขาไปมา
ลมนี้เย็นเยือก หอบเอาความร้อนส่วนเกินจากร่างกายของเขา
โลหิตของเขาระอุอุ่นเกินไป
ผู้ฝึกวิชาเทวะสตรีเหล่านี้ได้สร้างบรรยากาศสนามรบอันแตกต่างไปจากเหล่าบุรุษแห่งสันตินิรันดร์ แต่มันก็ทำให้เลือดในกายเขาเดือดพล่านเฉกเช่นกัน!
สตรีนั้นทัดเทียมกับบุรุษ แม้ว่าพวกนางจะสวยสะคราญ แต่ก็ยังคงเป็นนักรบที่แกร่งกล้าในสมรภูมิ!
บรรยากาศรอบข้างทั้งอึมครึมและแห้งแล้ง
ตรงหน้าตำหนักสวรรค์แท้ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเครียดเขม็ง เมฆดำที่หมายจะเข้ามาถล่มเมืองถูกรั้งเอาไว้ในควบคุม โดยมีแค่เสียงลมเท่านั้นที่ดังมา แรงกดดันเช่นนี้สามารถทำให้ผู้คนเสียสติได้
ในตอนนั้นเอง เงาร่างหนึ่งก็เหาะออกมาจากราชวังท่ามกลางทะเลเมฆ และพุ่งทะยานผ่านยักษ์ภูเขาที่ไม่หืออืออะไร
“ป้าโก่ว!”
สีหน้าของเหออีอี มู่ยิ่งเสว่ ฝูอวิ๋นซี และคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไป พวกนางมิได้เผยความขยาดกลัวเมื่อเผชิญกับยักษ์ภูเขาทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่เมื่อพวกนางมองเห็นหน้าตาของเงาร่างที่เหาะเหินมาทางนี้ สีหน้าพวกนางก็เปลี่ยนไป
เหออีอีกู่ร้องด้วยเสียงเบา และเมืองต้นไผ่ก็แยกชิ้นส่วนออกจากกัน ก้อนหินมากมายลอยขึ้นไปบนอากาศ และก่อขึ้นมาเป็นพยุหะป้องกันอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องศิษย์ตระกูลเหอข้างหลังนาง
ตัวนางเองก็ถูกหินก้อนหนึ่งยกลอยขึ้นไปเบื้องหน้ากระบวนพยุหะ
ทันใดนั้นก็มีผู้คนอีกหนึ่งมาปรากฏข้างๆ นาง นั่นคือฉินมู่ หัวใจของนางพลันเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“พรายกระบี่ ทหารสวรรค์!” ลัวอิ๋นอวี้ตะโกนออกไป และผู้ฝึกวิชาเทวะหญิงหลายหมื่นคนแห่งตระกูลลัวก็ยกอาวุธของพวกนางไปด้วยปราณ กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงเคร้งและทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นพยุหะกระบี่ใหญ่มหึมา แม้ว่าคมกระบี่เหล่านั้นจะมากมายเหลือพรรณนา และดูเหมือนพุ่งฉวัดเฉวียนไปทั้งซ้ายและขา แต่พวกมันก็ไม่เสียกระบวนเลยแม้แต่น้อย
“แปดเสาสวรรค์!” ฟางไฉ่ตีตะโกนออกไป และยักษ์ภูเขามากมายข้างหลังนางก็พลันก่อกันเป็นเสากลมใหญ่มหึมาที่สามารถค้ำยันฟ้าและดิน ยักษ์ภูเขาแปดตนก้าวออกไปข้างหน้า และดึงเอาเสาทั้งแปดนี้ออกมาพาดบ่าด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า
ตระกูลอื่นๆ ก็ขับเคลื่อนกระบวนท่าของตนเองพลางจับจ้องไปยังเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความกระวนกระวาย แม้แต่หลิ่วหรูยินและหลิ่วเจินชิงก็ยังเต็มไปด้วยความวิตก พวกนางมายังเบื้องหน้าโลงศพทองคำ พร้อมที่จะปลดปล่อยศพข้างในนั้นออกมาเมื่อใดก็ตาม
ฉินมู่สะท้านใจ เพียงแค่ป้าโก่วเพียงผู้เดียวก็แทบจะกดดันให้ตระกูลใหญ่ทั้งหลายงัดไม้ตายของพวกนางออกมาทั้งหมด เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมความน่าเกรงขามของป้าโก่ว!
ชายแซ่อวี้จากเหนือฟ้าผู้นี้ ทำให้ทุกตระกูลใหญ่ในแผ่นดินตะวันตกกระสับกระส่ายขนาดนี้ได้อย่างไร ราวกับว่าพวกเขาพบเจอศัตรูอันยิ่งใหญ่!
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะพิศวงสงสัย ในแผ่นดินตะวันตก มีค่ายสำนักไม่มากเท่ากับในสันตินิรันดร์ และส่วนใหญ่แล้วค่ายสำนักพวกนั้นก็ถูกปกครองโดยตระกูลใหญ่มากอิทธิพลเหล่านี้ กำลังฝีมือของสิบสุดยอดตระกูลนั้นมิใช่เรื่องเล่นๆ และตระกูลเหล่านี้ทั้งหมดก็มีความเลิศล้ำเป็นของตนเอง อย่าว่าแต่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้า ต่อให้เทพเจ้าลงมาเอง เหล่าตระกูลใหญ่ก็ไม่น่าจะระวังไวขนาดนี้
ป้าโก่วจะต้องมิใช่เพียงแค่อาคันตุกะของเหนือฟ้าอย่างแน่นอน
เมื่อเงาร่างนั้นเข้ามาใกล้พอ ฉินมู่ก็ตระหนักว่าป้าโก่วมิได้มีหน้าตาดุร้ายถมึงทึงอย่างที่เขาจินตนาการเอาไว้ ในทางกลับกัน เขาเป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์อันเหนือธรรมดา ร่างของเขาสูงและแข็งแกร่ง ขณะที่เครื่องหน้าของเขาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง
เสื้อผ้าที่เขาใส่ทำจากวัสดุปริศนาที่พาดไปพาดมา แต่ละเส้นใยผ้าดูราวกับจะถักทอขึ้นมาจากอักษรรูน และเป็นครั้งเป็นคราวนั้น ก็มีมีประกายแสงอันแทบจะจับต้องไม่ได้ปรากฏขึ้นมาจากเส้นใย
เสื้อผ้าของเขาเข้ารูปเหมาะตัว และแสดงให้เห็นว่าเขาไม่มีไขมันส่วนเกิน
การแต่งกายของเขาเป็นไปตามธรรมเนียมของบุรุษจากแผ่นดินตะวันตก ด้วยผ้าขาวที่โพกไว้บนศีรษะ และโซ่ทองอันห้อยโยงไปมาบนผ้าโพกนั้น แต่ทว่าไม่เหมือนกับชายคนอื่นๆ เขามีเครื่องประดับเพียงน้อยชิ้น
สันจมูกเขาโด่ง แต่สายตาเขาอ่อนโยน ให้ความรู้สึกแช่มชื่นแก่ผู้แรกพบเขา
เมื่อฉินมู่มองดูเขา เขาก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ครั้งหนึ่งฉินมู่เคยได้เห็นซากสังขารของบุคคลที่ว่ากันว่าเป็นชายที่งดงามสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาจะถูกจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงสังหารไปแล้ว แต่รูปโฉมของเขาก็ยังเลิศล้ำเหนือธรรมดา
อารมณ์บรรยากาศของเขาดูคล้ายกับซวีเซิงฮวา
ฉินมู่เพ่งพิศดูและค่อนข้าตกตะลึง เขาพบว่ากิริยาท่วงทีของป้าโก่วก็ยังคล้ายคลึงกับราชครูสันตินิรันดร์อีกต่างหาก!
กิริยาท่วงทีของซวีเซิงฮวานั้นคือทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหล้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา เขาได้เข้ามาในโลกปุถุชนจากแดนเบื้องบนขึ้นไป และโลกียวิสัยย่อมมิอาจแปดเปื้อนเขา นี่ก็เกี่ยวกับวิชาที่เขาฝึกปรือด้วย แม้ว่าฉินมู่ได้ลากเขาลงมายังแดนปุถุชนแล้ว เรื่องราวทางโลกทั้งหลายก็ยังคงยากที่จะเปลี่ยนแปลงเด็กหนุ่มอันพิเศษเหนือธรรมดาผู้นั้น เขายังคงดูเหมือนว่าจะสามารถละวางเรื่องทางโลกและจากไปได้ตลอดเวลา
ในทางกลับกัน ราชครูสันตินิรันดร์ ดูเย็นชาและเคร่งเครียดจริงจังทั้งในคำพูดและการกระทำ มันเป็นทัศนติไร้เทียมทานของการมองลงมายังภูเขาลูกย่อมกว่าจากเบื้องบน หลังจากที่ได้ปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดแล้ว
เขาเป็นปรมาจารย์ผู้มีความสำเร็จเลิศล้ำเกินธรรมดา และเป็นผู้ที่มีแต่การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงในหัวใจเท่านั้น เรื่องอื่นๆ ในโลกหล้าถูกเขาโยนทิ้งไปทั้งหมด และสิ่งที่กีดขวางการปฏิรูปของเขาก็เป็นแค่ก้อนหินไร้ค่าที่กีดขวางทาง เขาจะใช้วิธีการอันเฉียบขาดดุดันในการจัดการกับพวกมันทั้งหมด
ป้าโก่วแห่งเหนือฟ้าถึงกับมีอารมณ์บรรยากาศของซวีเซิงฮวา และกิริยาท่วงทีของราชครูสันตินิรันดร์ในเวลาเดียวกัน
“ประมุขเหอ” ชายที่โพกผ้าปักลายผู้นี้เหาะเข้ามาและคารวะทักทายเหออีอีและคนอื่นๆ “ประมุขมู่ ประมุขหลิ่ว ประมุขฟาง…”
แม้ว่าเขาและพวกนางจะเป็นศัตรูกัน แต่ทุกคนก็คารวะทักทายตอบ “ป้าโก่ว”
ชายในผ้าโพกหัวปักลายมองมายังฉินมู่ ยิ้มจนเห็นฟันเมื่อกล่าวทักทายเขา “กษัตริย์มนุษย์ฉิน”
ฉินมู่สะท้านใจเมื่อเขาคารวะตอบกลับไป “ป้าโก่ว เรียนถามได้หรือไม่ว่าท่านรู้จักตัวตนอันต่ำต้อยไร้ความสำคัญอย่างข้าได้อย่างไร”
“กษัตริย์มนุษย์ฉิน ไม่มีความจำเป็นที่เจ้าจะต้องถ่อมตนจนเกินควร” ชายในผ้าโพกหัวกล่าว “ข้านั้นคอยให้ความสนใจแก่กษัตริย์มนุษย์ที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นเสมอ สำหรับกษัตริย์มนุษย์รุ่นก่อน ข้าถึงกับลงมายังแดนต่ำใต้ด้วยตนเอง เจ้าน่าจะได้เห็นแล้วใช่ไหมว่าแขนขาทั้งสี่ของเขาเป็นอย่างไร”
เขายื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และสตรีนางหนึ่งแห่งตระกูลมู่ก็ลอยไปหาเขาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นางพยายามดิ้นรน แต่ก็ไร้ผล
ชายในผ้าโพกหัวปักลายชักกระบี่ของเขาออกมา และแขนที่ถูกตัดสะบั้นก็ร่วงลงมาข้างหนึ่ง เขาโบกมือของเขาอย่างแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม และแขนที่ถูกตัดข้างนั้นก็ลอยตรงไปหาฉินมู่ “จ้าวลัทธิฉิน โปรดชมดู”
หางตาของฉินมู่กระตุกเมื่อปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกศึกษาพิจารณารอยแผลนั้นอย่างถี่ถ้วน คิ้วของเขาขมวด และเขาก็ร้องด้วยเสียงพร่า “แผลกระบี่แบบเดียวกันไม่มีผิด”
“เป็นข้าเอง” ชายในผ้าโพกหัวยิ้มอบอุ่นให้แก่เขา “ดูเหมือนว่าเขาไม่ซ่อนแผลกระบี่จากสายตาเจ้า”
ข้างหลังพยุหะสังหารของตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่กำลังซ่อนตัวอยู่ ไม่เข้ามาใกล้ แต่ทว่าเมื่อราชครูสันตินิรันดร์เห็นแสงกระบี่ของชายในผ้าโพกหัวปักลาย สีหน้าเขาก็แปรเปลี่ยนบิดเบี้ยว และเสียกระบวนทันที “แย่ล่ะ! ข้ารู้ที่มาของป้าโก่วคนนี้! เร็วเข้า ตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกจะต้องถอยทัพ!”
เสียงซีอวี่ส่ายหัว “ลูกธนูได้น้าวขึ้นสายไปแล้ว และไม่มีทางอื่นใดนอกจากปล่อยมันออกไป พวกเราถอยไม่ได้แล้วต่อให้อยากจะทำก็ตาม ทำไมจู่ๆ ราชครูก็พลันเสียกิริยาท่าทีล่ะ”
ราชครูสันตินิรันดร์สูดลมหายใจลึกยาวและประกายตาเขาก็วูบวาบ “ข้าจดจำเพลงกระบี่นี้ได้ เต๋ากระบี่นี้! มันคือเพลงกระบี่ที่สะบั้นแขนขาทั้งสี่ของกษัตริย์มนุษย์เฒ่า ชายผู้นี้มิได้มาจากตระกูลอวี้แห่งเหนือฟ้า แต่เป็นเทพเที่ยงแท้จากแดนเบื้องบน!”
ตรงหน้ากระบวนพยุหะ ฉินมู่พลันผ่อนคลายและแย้มยิ้มโดยไร้วี่แววของความว้าวุ้น “ร่างจริงของเจ้าคงลงมาในแดนต่ำใต้ไม่ได้สินะ? หากว่าลงมาได้ เจ้าจะยังซ่อนตัวเหมือนแมลงวันแมลงหวี่ในแผ่นดินตะวันตกอยู่หรือ เช่นนั้นในเมื่อนี่มิใช่ร่างที่แท้จริงของเจ้า…” เขายื่นมือออกไป สีหน้าของเขาพลันป่าเถื่อนดุร้าย “กระทืบเจ้าให้ตายก็คงจะไม่ลำบากอะไร!”
“พวกเราจะตามไปห่างๆ และซ่อนตัวให้ดีๆ” ราชครูสันตินิรันดร์เห็นกองทัพสตรีของฉินมู่เคลื่อนพลไปและกล่าวอย่างใจเย็น “รอให้ป้าโก่วและเทพเจ้านั้นลงมือ จ้าวลัทธิฉินจะช่วยพวกเราจัดการเรื่องราวทุกอย่างให้เอง”
เสียงซีอวี่ซึ้งใจอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้ที่นางขอความช่วยเหลือจากฉินมู่ในแดนโบราณวินาศ นางไม่คิดว่าเด็กโข่งผู้นี้ที่ได้ช่วยชีวิตพวกนางเอาไว้จะมีความสามารถอันแตกตื่นสะท้านขวัญ เขานั้นสามารถเรียกลมเรียกฝนมหึมาได้ในแผ่นดินตะวันตก
เดิมทีนางคิดว่าเขาเป็นเพียงศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่พอมีฝีมือความสามารถบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ทว่ายิ่งนางเข้าใจเขามากเท่าไร นางก็ยิ่งประทับใจในความเลิศล้ำเหนือธรรมดาของเขามากขึ้นเท่านั้น
เมืองต้นไผ่อันใหญ่มหึมาวิ่งตะบึงผ่านดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล ขณะที่ฉินมู่และประมุขตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตกทั้งหลายยืนอยู่บนยอดของป้อมปราการเมือง ตระเตรียมกองทัพของพวกเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเหยียบกันขัดกันขึ้นมา
ศิษย์ของตระกูลใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดินตะวันตก มิใช่กองกำลังที่ถูกฝึกมือ ดังนั้นจึงต้องอาศัยความพยายามอยู่ไม่น้อยในการจัดระเบียบพวกเขา
โชคดีที่มีเหออีอี ผู้เชี่ยวชาญด้านพยุหะผู้ซึ่งใช้วิชาพยุหะเพื่อจัดแจงศิษย์แห่งตระกูลใหญ่ทั้งหลาย ด้วยการสนับสนุนของนาง ทุกอย่างจึงค่อยราบรื่นและเรียบง่าย
“อาจารย์กระบี่แห่งแผ่นดินตะวันตก ลัวอิ๋นอวี้ น้อมคารวะจ้าวลัทธิฉินแห่งแผ่นดินภาคกลาง”
ฉินมู่มองไปยังเด็กสาวผมยาวอันเดินตรงมายังเขา และสีหน้าตื่นตระหนกก็เผยขึ้นมา เขารีบคารวะนางกลับไป
แผ่นดินตะวันตกมีอาจารย์สามคน อาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ อาจารย์พยุหะเหออีอี และอาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ ฉินมู่นั้นคุ้นเคยกับมู่ยิ่งเสว่และเหออีอีเป็นอย่างยิ่ง ก็มีแต่อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ที่แปลกหน้าแปลกตาสำหรับเขา
นางนั้นแตกต่างจากสตรีอื่นๆ แห่งแผ่นดินตะวันตก อันพวกนางล้วนแต่ชอบประดับด้วยเครื่องเงินเครื่องทอง อย่างมงกุฎ สร้อยคอ และกำไลมากมายที่ข้อมือและข้อเท้า แต่บนร่างของอาจารย์กระบี่ ไม่พบเครื่องประดับเลยสักชิ้น
เสื้อผ้าของนางก็เรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง นางสวมเพียงเสื้อคลุมยาวอันเรียบง่ายแต่สง่างาม โดยไม่มีสีสันมากไปกว่านั้น
เรือนผมของนางไร้การประดับประดา มีเพียงเชือกเส้นหนึ่งที่ใช้ในการรวบมัดเอาไว้ เพียงเพื่อมิให้มันยุ่งเหยิงเท่านั้น
เรือนผมดำขลับของนางยาวจนถึงเอวเหมือนกับสตรีคนอื่นๆ และตัดกันอย่างโดดเด่นกับเสื้อผ้าสีขาว
สาเหตุที่นางแต่งกายอย่างเรียบง่ายเช่นนี้ก็เพราะว่านางนั้นเหมือนกับกระบี่อันมิอาจมีมลทินใดเจือปน เครื่องประดับประดาก็ล้วนแต่เป็นสิ่งแปลกปลอมสำหรับนาง
นางคือสตรีที่ไม่รู้รสชาติรื่นรมย์อื่น นอกเสียจากกระบี่ของนาง อันนางคงได้วิวาห์กับมันไปเรียบร้อยแล้ว
เมื่อฉินมู่เห็นนาง เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีกระบี่เล็งมายังเขา เมื่อนางโค้งคารวะ แสงกระบี่ก็สาดส่องอย่างเจิดจ้า มันคมกล้าอย่างยากจะหาใดเปรียบ และแทงตรงมายังจิตเต๋าของเขา!
ฉินมู่โค้งเพื่อคารวะทักทายนางกลับไป พลางป้องกันเจตจำนงกระบี่ของนางได้อย่างง่ายดาย
อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ยืดตัวตรงด้วยความรู้สึกพิลึกประหลาดที่ฉายในแววตาของนาง “จ้าวลัทธิฉินก็เป็นยอดฝีมือเชิงกระบี่ด้วยหรือ”
ฉินมู่ค้อมหัวเล็กน้อยด้วยกิริยาอันถ่อมตน “ข้ามิกล้ากล่าวเช่นนั้น มียอดฝีมือเชิงกระบี่อยู่ในโลกนี้ตั้งมากมายเท่าไร ในแง่ของกำลังฝีมือแล้ว มียอดฝีมือมากมายที่เหนือล้ำไปกว่าข้า แต่ทว่าในด้านความสำเร็จเชิงกระบี่ ข้าก็ดูเหมือนว่าจะสามารถจัดในอันดับได้เช่นกัน”
อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ยิ่งสนอกสนใจมากยิ่งขึ้น และกล่าว “ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยือนแผ่นดินภาคกลางมาตั้งนานแล้ว เพื่อชมดูระดับชั้นของกระบี่ที่นั่น ในเมื่อจ้าวลัทธิฉินเป็นยอดฝีมือกระบี่จากแผ่นดินภาคกลาง ท่านแนะนำข้าได้หรือไม่ว่าผู้ใดที่เหนือล้ำกว่าท่านในเชิงเพลงกระบี่”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและส่ายหัว “”น่าจะมีคนไม่กี่คนที่เหนือล้ำกว่าข้าในเพลงกระบี่ แต่มีบางคนที่ได้เข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋ากระบี่ไปแล้ว และข้าไม่กล้ายืนยันว่ามีพวกเขาเหล่านั้นกี่คน แต่ทว่า ราชครูสันตินิรันดร์นั้นเหนือกว่าข้าอย่างแน่นอน และยังมีผู้ใหญ่บ้านของครอบครัวข้า เขาสอนเพลงกระบี่ข้าสามกระบวนท่า และความสำเร็จของเขาในเต๋าแห่งกระบี่ก็เลิศล้ำเหนือธรรมดา ส่วนยอดฝีมือคนอื่นๆ ในขั้นเต๋ากระบี่นั้น ข้าไม่รู้เกี่ยวกับพวกเขามากมายนัก จึงมิกล้ากล่าวถึง”
“เต๋ากระบี่แห่งเพลงกระบี่?” ลัวอิ๋นอวี้สีหน้าผิดหวังพลางพึมพำ “มีคนที่ย่างเข้าสู้เขตขั้นมรรคาเต๋ากระบี่ด้วยหรือ ข้าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อตามล่าสุดสายปลายทางแห่งเพลงกระบี่มาตั้งหลายปี แต่ไม่เคยไปถึงมรรคากระบี่ มีผู้คนที่เข้าถึงเขตขั้นอันมหัศจรรย์ด้วยจริงๆ หรือนี่”
ฉินมู่สามารถเข้าใจความผิดหวังของนางได้ ลัวอิ๋นอวี้นั้นอยู่ในขั้นไล่ติดตามความรู้ไปถึงที่สุด เสาะหาปฏิภาณความเข้าใจอย่างสุดขีดขั้วแห่งเพลงกระบี่ นางนั้นน่าจะสำเร็จขั้นสุดขีดขั้วในเชิงเพลงกระบี่แล้วแต่นางไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเต๋ากระบี่ อันทำให้นางมิอาจก้าวเข้าไปในนั้นได้
การที่ฉินมู่บอกนางว่ามียอดฝีมือขั้นเต๋ากระบี่หลายคนในแผ่นดินภาคกลาง ทำให้นางผงะไปอย่างรุนแรง
เพลงกระบี่และเต๋ากระบี่อาจจะผิดแผกกันเพียงคำเดียว แต่ความแตกต่างของทั้งสองอย่างนั้นราวกับสวรรค์และพิภพ
ไม่ว่าเพลงกระบี่ของคนผู้หนึ่งจะวิเศษเพียงใด พวกเขาก็อ่อนแอไร้ค่าเบื้องหน้ายอดฝีมือเต๋ากระบี่
ฉินมู่ฉุกใจสงสัยและเขากล่าว “ข้าไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกของเจ้ามาก่อนเลย ดังนั้นข้าสงสัยว่ามันจะแตกต่างจากของแผ่นดินภาคกลางของข้าหรือไม่ ก่อนหน้านี้พวกเรามีสิบสี่ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน แต่ในภายหลังราชครูสันตินิรันดร์ก็คิดค้นเพิ่มอีกสามท่วงท่า ทำให้จำนวนนับนี้เป็นสิบเจ็ด แต่เมื่อไม่นานมานี้ ข้าก็เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่งท่วงท่า ทำให้กลายเป็นสิบแปดท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน แล้วเพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกมีกี่ท่วงท่าล่ะ”
ลัวอิ๋นอวี้ดวงตาเบิกกว้างด้วยความแตกตื่น “ในแผ่นดินภาคกลางมีท่วงท่าพื้นฐานถึงสิบแปดท่วงท่าแล้วหรือ แผ่นดินตะวันตกของข้ามีเพียงสิบสี่ท่วงท่า หากแต่ว่า เพลงกระบี่ของพวกเรามีรากฐานบนพรายวิญญาณกระบี่ และมุ่งเน้นพละกำลัง ที่พวกเราใช้อาจจะแตกต่างจากเพลงกระบี่ของพวกเจ้า”
ฉินมู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาได้ค้นคว้าเกี่ยวกับพรายวิญญาณกระบี่ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีความคืบหน้าอะไรนัก เขาคอยแต่รู้สึกว่ามีเรื่องมากมายที่ต้องศึกษาค้นคว้า แต่ไม่มีเวลาเพียงพอ ยากนักที่เขาจะได้พบกับยอดฝีมือเชิงกระบี่อย่างลัวอิ๋นอวี้จากแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นเขาย่อมต้องขอคำชี้แนะจากนาง
ทั้งสองคนปรึกษาปัญหานี้โดยละเอียด และทั้งคู่ต่างก็เก็บเกี่ยวมรรคผลไปอย่างใหญ่หลวง
เพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันใช้พรายวิญญาณเพื่อกวัดแกว่งกระบี่ อันเพิ่มพูนพลานุภาพของมันอย่างมหาศาลแทบจะเป็นสองเท่า ในสายตาของฉินมู่ เพลงกระบี่ของแผ่นดินตะวันตกค่อนข้างขาดพร่องในด้านความตื่นเต้นดุดัน และเพริศแพร้วพิสดารน้อยกว่าพวกในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แม้แต่ลัวอิ๋นอวี้ ยอดฝีมือกระบี่ ก็ยังด้อยกว่าเมื่อเทียบกับความสำเร็จเชิงกระบี่ของค่ายสำนักมากมายในแผ่นดินภาคกลาง
กระนั้นพรายวิญญาณกระบี่ก็สามารถเพิ่มพูนพลานุภาพของเพลงกระบี่ถึงระดับขั้นที่ยอดฝีมือแห่งแผ่นดินภาคกลางได้แต่มองตาละห้อย เมื่อนางร่ายรำท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ทุกการเคลื่อนไหวและทุกท่าทางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลานุภาพอันน่าเกรงขามซึ่งเพิ่มพูนขึ้นไปอย่างอัศจรรย์ มันมีบรรยากาศของวีรชนที่ทำให้ผู้คนมิกล้าปะทะซึ่งๆ หน้า
ลัวอิ๋นอวี้เห็นจุดสำคัญอันเหนือธรรมดาที่การปฏิรูปในแผ่นดินภาคกลางได้นำมา เพลงกระบี่ที่นั่นกลอกกลิ้งร้ายกาจและเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง ทำให้ผู้ใช้สร้างความเป็นไปได้อันไร้สิ้นสุด!
ลัวอิ๋นอวี้ลองใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียว ท่วงท่ากระบี่ขด ท่วงท่ากระบี่เจาะ และท่วงท่าที่สิบแปดที่ฉินมู่ค้นพบ นางใคร่ครวญเกี่ยวกับพวกมัน จากนั้นจึงกล่าว “มีอะไรบางอย่างแปลกๆ ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานสิบสี่ท่าจากแผ่นดินภาคกลาง นั้นไม่แตกต่างอะไรจากของแผ่นดินตะวันตกข้า แต่ทว่า ที่น่ากังวลเกี่ยวกับกระบวนท่าทั้งสี่อันเพิ่มเข้ามา แม้ว่ามันจะเป็นท่วงท่าพื้นฐานด้วย แต่ยิ่งผู้ฝึกฝึกมันไปไกลเท่าไร ก็ต้องอาศัยพลังวัตรในการขับเคลื่อนมากยิ่งขึ้น มันเห็นได้ชัดอย่างถึงที่สุดเมื่อมาถึงท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่จ้าวลัทธิฉินคิดค้นขึ้นมา ในเมื่อการร่ายรำมันออกไปเพียงครั้งเดียว ก็แทบจะเผาผลาญพลังวัตรของข้าไปครึ่งหนึ่ง! หากว่าคิดค้นท่วงท่าที่สิบเก้าขึ้นมา มิใช่ว่ามันจะเผาผลาญพลังวัตรของผู้ฝึกวิชาเทวะมือกระบี่ไปจนหมดสิ้นหรอกหรือ เมื่อถึงท่วงท่าที่ยี่สิบ จะยังมีผู้คนที่ร่ายรำมันออกมาได้หรือไม่”
ฉินมู่หัวใจสะท้านอย่างรุนแรง และเขาพลันรู้สึกราวกับว่าได้พบกับสหายทางวิญญาณ สายตาของเขาเร่าร้อนขึ้นมาทันที “เจ้าก็รู้สึกได้ถึงท่วงท่าที่สิบเก้าหรือนี่”
ลัวอิ๋นอวี้มองไปที่เขาด้วยความยินดี “เจ้าก็รู้สึกถึงมันเหมือนกัน?”
ทั้งสองคนหันไปมองตากันและเผยยิ้มรู้ความนัย
“หลังจากที่ข้าคิดค้นท่วงท่าที่สิบแปด ข้าก็รู้สึกถึงความปรารถนาที่จะผลักดันมันต่อไป” ฉินมู่รู้สึกถูกรบกวนหัวใจ และเขากล่าวทุกอย่างที่อยู่ในความคิด “ในตอนนั้น ข้ารู้สึกว่ามันยังจะต้องมีท่วงท่าที่สิบเก้าต่อไปอีก แต่ทว่าข้ากำลังต่อสู้อยู่กับพี่สาวอีอี ดังนั้นมิกล้าวอกแวกเสียสมาธิ ข้าจึงมิได้สืบสวนไตร่ตรองลงไปในเชิงลึกถึงรากเหง้าของความรู้สึกดังกล่าว แต่ทว่า ท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้าจะต้องมีอยู่อย่างแน่นอน อันหมายความว่าความรู้สึกของข้านั้นไม่ผิดพลาด”
ลัวอิ๋นอวี้ผงกหัว “ท่วงท่ากระบี่ที่สิบเก้า น่าจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะทำให้พวกเราย่างเข้าสู่เต๋ากระบี่โดยทันที!”
ทั้งสองคนตื่นเต้นขึ้นมา
“จะว่าไปแล้ว จักรวรรดิสันตินิรันดร์อยู่ติดทะเลชัดๆ ทำไมเจ้าถึงเรียกมันว่าแผ่นดินภาคกลางล่ะ” ฉินมู่ไต่ถาม
ลัวอิ๋นอวี้ส่ายหัวของนาง “ข้าก็ไม่เข้าใจเรื่องราวภายนอกมากเท่าไรเหมือนกัน ในเมื่อเวลาส่วนใหญ่ของข้าอุทิศให้กับการตรึกตรองเข้าใจกระบี่”
ข้างๆ นั้น ประมุขฟางไฉ่ตีแห่งตระกูลฟางแย้มยิ้มและกล่าาว “จ้าวลัทธิฉิน นามแผ่นดินภาคกลางนั้นมีมานานแล้ว มันใช้เรียกหาแดนโบราณวินาศและฝั่งตะวันออกของมัน ทะเลตะวันออกข้างๆ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ของท่าน ในตอนนั้นเรียกว่าแผ่นดินตะวันออก”
ทั้งสองหนุ่มสาวอยู่ร่วมกันเพื่อศึกษาค้นคว้าเพลงกระบี่และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากให้มาสังเกตการณ์ ฉินมู่และลัวอิ๋นอวี้เป็นปรมาจารย์ในเพลงกระบี่ และแม้ว่าจะมีผู้คนที่วรยุทธเหนือล้ำกว่าพวกเขา คนเหล่านั้นก็ได้แต่อุทานด้วยความทึ่งอยู่ข้างๆ
ฉินมู่ฟังแล้วก็ฉงนฉงาย “ทะเลตะวันออกไม่มีแผ่นดิน ทำไมมันถึงถูกเรียกว่าแผ่นดินตะวันออกล่ะ”
ฟางไฉ่ตีไม่สามารถเสาะหาความลับเบื้องหลังเรื่องพิสดารนี้เช่นกัน จึงได้แต่ส่ายหัวของนาง “นี่ข้าไม่ทราบ”
“แต่ก่อนนั้นทะเลตะวันออกเคยเป็นแผ่นดิน มันจึงถูกเรียกว่าแผ่นดินตะวันออก” ประมุขฝูอวิ๋นซีแห่งตระกูลฝูกล่าว “ในหนังสือเมฆาของตระกูลฝูพวกข้า พวกข้าได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับแผ่นดินตะวันออกและแผ่นดินภาคกลางเอาไว้ มันบันทึกไว้ว่าแผ่นดินภาคกลางและแผ่นดินตะวันออกมิได้ปักปันแบ่งแยกตามภูมิประเทศปัจจุบัน แต่เป็นไปตามภูมิประเทศเมื่อครั้งโบราณนานกาลมาแล้ว”
ฉินมู่หัวใจเต้นตึกตักอีกหลายครั้ง และเขาพลันนึกถึงวิหารภูเขาบิด มันได้ตั้งอยู่บนขุนเขายิ่งใหญ่ตระการอันจมลึกลงไปใต้ก้นทะเลตะวันออก วิหารนั้นอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลถึงสองพันหกร้อยวา
ที่ตีนเขานั้นก็ยิ่งอยู่ลึกต่ำกว่าระดับน้ำทะเลลงไปอีก
นี่หมายความว่าทะเลตะวันออกแต่เดิมเคยเป็นผืนแผ่นดินใหญ่ อันเป็นที่รู้จักในนามแผ่นดินตะวันออก!
แต่ทว่า ฝูอวิ๋นซีกล่าวว่าแผ่นดินตะวันออกและแผ่นดินภาคกลางแบ่งแยกตามภูมิประเทศเมื่อครั้งโบราณนานกาล นั่นน่าจะเป็นสมัยก่อนยุคจักรพรรดิก่อตั้งด้วยซ้ำ อันคือยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง!
ยุคจักรพรรดิสูงส่งน่าจะตั้งอยู่บนแผ่นดินตะวันออกใช่ไหม ตอนนี้มันกลายเป็นทะเลตะวันออกไปแล้ว กระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่คือภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่ง นี่น่าจะเกี่ยวพันกับยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
ฉินมู่จมลงไปในห้วงคิด ภาพกระบี่มีกระบวนท่าอันคิดค้นขึ้นมาโดยผู้ใหญ่บ้าน และภัยพิบัติจักรพรรดิสูงส่งก็เป็นกระบวนท่าที่สามของภาพกระบี่ ถ้าเช่นนั้น ผู้ใหญ่บ้านก็น่าจะมีความเข้าใจถึงประวัติศาสตร์บางส่วนของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง
ผู้ใหญ่บ้าน ข้าจะต้องไปช่วยเหลือท่านที่ยมโลกอย่างแน่นอน! เด็กหนุ่มตั้งเป้าหมายอย่างหนักแน่นในใจ
ทันใดนั้น เสียงกึกก้องของเหออีอีก็ดังมาถึงหูเขา “พวกเราเกือบจะถึงตำหนักสวรรค์แท้แล้ว! ทุกคน เตรียมป้องกัน!”
อาจารย์กระบี่ลัวอิ๋นอวี้ลุกขึ้นโดยพลัน และเดินตรงไปยังตระกูลลัว ฝูอวิ๋นซี ฟางไฉ่ตี มู่ยิ่งเสว่ และหลิ่วหรูยินต่างก็กลับไปยังกองทัพของตระกูลพวกนาง
ฉินมู่ยืนบนหอคอยปราการ มองตรงไปข้างหน้าด้วยหัวใจอันสั่นสะท้าน เขาเห็นขุนเขาอลังการที่ตั้งตระหง่านอย่างสลับซับซ้อนราวกับยักษ์เงียบงันที่สูงกว่าร้อยห้าสิบวา อันดำรงอยู่ท่ามกลางฟ้าและดิน
ภูเขาเหล่านั้นคล้ายคลึงกับยักษ์ที่ฉินมู่ประสบพบเจอใกล้ๆ เมืองหอมเบ่งบาน เพียงแต่ใหญ่โตกว่าและอันตรายกว่า ข้างๆ พวกมันก็คือยอดกระบี่ อันก็คือยอดเขาซึ่งคมกล้าดุจกระบี่!
และยังมียอดระฆัง อันเหมือนกับระฆังใหญ่
ยอดหม้อน้ำ ที่รูปลักษณ์เหมือนหม้อน้ำ
ยอดเจดีย์ ที่รูปร่างเหมือนเจดีย์
ยอดเรือนตึก ที่ราวกับตึกอันสูงหลายต่อหลายชั้น
ยอดเขาทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณที่มีทุกชนิดและขนาด!
ข้างๆ พวกมันนั้น ก็มีแม่น้ำสายยาวที่ใต้ภูเขาอันหลั่งไหลอย่างเชี่ยวกรากผ่านเก้าบิดและแปดโค้ง และยังมีน้ำตกสายรุ้งที่ถั่งโถมลงมาจากที่สูงเป็นหมื่นวา ทะเลเมฆลดหลั่นอยู่ลางเลือนบนอากาศ อันมีทั้งฟ้าแลบฟ้าผ่าแปลบปลาบไปหมด
ในทะเลเมฆ หมู่ปราสาทราชวังปรากฏอยู่ที่นั่น เรืองรองราวกับอาบย้อมด้วยแสงทอง
พวกมันคือตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก!
แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตกดูยากจะรับมือยากยิ่งกว่าที่ฉินมู่เคยจินตนาการเอาไว้
มู่ยิ่งเสว่ซึ่งอยู่ในชุดดำ ตะลึงไป นางกำถุงหอมในมือไว้อย่างแน่นแฟ้น จากนั้นก็พลันระเบิดน้ำตาออกมา
นางและฉินมู่เป็นเพียงคนแปลกหน้าที่พบพานกันโดยบังเอิญ การที่จะกล่าวถึงความรู้สึกลึกล้ำอะไรนั่นเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ ในตอนนั้น นางเพียงแค่มีความประทับใจแง่บวกต่อเขาเท่านั้น และรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตาของเขาก็ไม่เลว เขายังมีบุคลิกลักษณะอันสง่างามที่สอดคล้องกับรสนิยมของนางอีกด้วย
สำหรับอาจารย์พิษแล้ว ยากนักที่จะหาชายซึ่งมีวาสนาผูกพันกับนางได้ ส่วนใหญ่แล้วก็จะกลัวนางจนแทบตาย หรือไม่ก็ตายเพราะถูกนางวางยาพิษไปหมด
แต่ฉินมู่เป็นผู้ที่สามารถรับตัวตนของนางได้
ผู้คนแห่งแผ่นดินตะวันตก เคารพนับถืออาจารย์พิษ แต่ไม่มีใครกล้ารักพวกนาง
มีอาจารย์พิษรุ่นก่อนๆ จำนวนไม่น้อยที่แก่ตายอย่างเดียวดาย พวกนางมีนิสัยใจคอประหลาด และวิธีการก็อำมหิต ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้ารักใคร่พวกนาง
ฉินมู่ได้เก็บรักษาถุงหอมที่นางมอบให้เขา ถั่วแดงกำนั้น และได้นำมันติดตัวมาด้วยเมื่อมายังเมืองขุนเขาสายฟ้าแห่งแผ่นดินตะวันตกเพื่อตามหานาง มู่ยิ่งเสว่ได้กล่าวว่านางรู้ว่าเขามิได้มาหานาง แต่เมื่อนางมองไปยังถุงบรรจุถั่วแดงพวกนั้น ด้านที่อ่อนแอในเบื้องลึกหัวใจนางก็ถูกแตะต้อง
คนแปลกหน้าอาจพบพานโดยบังเอิญ มีความคะนึงหากันและกันโดยไม่รู้ตัว
ฉินมู่มิได้มายังแผ่นดินตะวันตกเพียงเพราะแผนการของจักรพรรดิและราชครู แต่ก็เพราะเขามีนางในหัวใจด้วย
เด็กโง่ เดินทางหมื่นลี้เพื่อคนแปลกหน้า มันคุ้มค่าแล้วหรือ
แต่ทว่า ฉินมู่ดูจะเป็นคนเช่นนั้น เขาและเสียงซีอวี่เป็นคนแปลกหน้าที่พบพานกันโดยบังเอิญ แต่เขาก็ยังไล่ตามทวงความยุติธรรมให้กับนางโดยไม่มีความคิดเป็นอื่น เขาช่วยชีวิตแม่ลูกคู่นี้ไว้โดยไม่ลังเลที่จะผลักตนเองเข้าไปในอันตราย
ธุระเรื่องราวของเสียงซีอวี่และธิดาไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังกระทำมัน เขาถึงกับพาเสียงฉีเอ๋อกลับมายังแผ่นดินตะวันตก เพื่อทวงถามความเป็นธรรมให้พวกนาง
แม้ว่ามันจะเป็นความคิดของจักรพรรดิและราชครูที่ปะปนมาด้วย แต่มู่ยิ่งเสว่มั่นใจว่าเป้าหมายของเด็กโง่งมผู้นี้นั้นก็เพื่อตามหาความยุติธรรมให้สองแม่ลูก
การตัดสินใจอันทื่อมะลื่อในสายตาของคนอื่น เป็นจรรยาบรรณของเด็กโข่งผู้นั้น และเป็นหลักการอันมิอาจฝ่าฝืน
การศึกษาหลักการเบื้องหลังเพื่อแสวงหาความรู้ นั้นก็คือการที่ความรู้และการกระทำเป็นหนึ่งเดียว
โดยการศึกษาบางอย่างหรือบางวิชาชีพไปจนถึงที่สุด นั้นก็คือการศึกษาหลักการเบื้องหลังเพื่อแสวงหาความรู้
แต่ทว่า มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาจากหัวใจของคนคนนั้น
หัวใจและจิตคิดเป็นหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นที่จะแตกต่างไปจาก ความรู้และการกระทำเป็นหนึ่ง
มันคือสัญญาณของผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์
มู่ยิ่งเสว่ตกตะลึง
ครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน พวกเขาเป็นศัตรูที่ชื่นชมความสามารถซึ่งกันและกัน นางได้พ่ายแพ้ไปในตอนนั้น วิชาพิษของนางพ่ายแพ้ให้แก่ของเขา และนางก็ชื่นชมเด็กโข่งผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่านางจะกำนัลถั่วแดงและขโมยจูบของเขา แต่นั่นก็ยังมิใช่ความรัก
แต่ในการพบกันคราวนี้ มิใช่วิชาพิษที่นางมองเห็น แต่เป็นนิสัยใจคอของเขา
นิสัยใจคอของฉินมู่ได้เอาชนะหัวใจของนาง
เรื่องราวของตระกูลเสียงมีสาเหตุมาจากนาง มันเป็นยาพิษของนางที่ได้ล้มยอดฝีมือมากมายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และบ่อนทำลายวรยุทธของพวกเขา นั่นแหละตระกูลอวี้จึงสามารถเข้ายึดครองตำหนักสวรรค์แท้ได้สำเร็จในรวดเดียว
โดยปราศจากเสาหลักทั้งหลายของตระกูลเสียง พวกเขาก็พ่ายแพ้ ความตายอันน่าสังเวชของผู้คนมากมายในเวลานั้น ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับนาง
เรื่องราวของตระกูลเสียงเกิดขึ้นจากข้า ดังนั้นข้าไม่อาจปล่อยให้หนุ่มน้อยของข้าไปแบกรับความรับผิดชอบแทนข้าได้!
มู่ยิ่งเสว่เงยหน้าขึ้น และความมั่นใจก็ไหลบ่าเข้ามาในตัวนางอีกครั้งเมื่อนางเผยยิ้ม “ในแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา ผู้หญิงดูแลกิจการทั้งหลายทั้งปวง เหตุไฉนข้าจึงจะปล่อยให้หนุ่มน้อยของข้าต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมที่ข้าก่อด้วยล่ะ พี่สาวน้องสาวแห่งเมืองขุนเขาสายฟ้า!” เสียงของนางก้องกังวานไปด้วยความอ่อนหวานและความฮึกหาญไปพร้อมๆ กัน “เตรียมสัมภาระของพวกเจ้า และพร้อมเข้าสู้ศึก!”
ในเมืองขุนเขาสายฟ้า ผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนนับไม่ถ้วนที่เชี่ยวชาญในวิชาพิษ ก็เก็บข้าวของสัมภาระ และไม่นานก็มารวมตัวกัน พวกเขามองไปที่ประมุขของตนและเห็นว่านางนั้นเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ใบหน้าอันสะคราญของนางเอิบอาบเปล่งประกายราวกับไข่มุก นางดูน่าลุ่มหลงเป็นอย่างยิ่ง
“พี่สาว พวกเราจะไปที่ใด” หญิงผู้หนึ่งเอ่ยถาม
มู่ยิ่งเสว่กระโดด และเถาวัลย์เขียวก็เลื้อยเข้ามาจากในอากาศ ลงมาช้อนรับเท้าของนางเพื่อยกร่างนางขึ้นไป เสียงของนางเต็มไปด้วยเสน่ห์และสรวล นางกล่าว “แน่นอนว่าพวกเราก็จะต้องไล่ตามพี่เขยของพวกเจ้าไป และยัดถุงถั่วแดงคะนึงหานี้คืนใส่มือเขาน่ะสิ พวกเราจะต้องทำให้แน่ใจว่าเขาจะเก็บถุงนี้ไว้อย่างถูกต้องเหมาะสม และไม่ลืมเลือนการคะนึงหานี้ หรือข้า มู่ยิ่งเสว่!”
“ได้เลย!” เด็กสาวคนอื่นๆ หัวเราะกันอย่างอึงอล “รีบๆ ออกไปกันเร็วเข้า! พี่เขยดีๆ แบบนี้ พวกเราปล่อยให้นังเท้ากีบน้อยที่ไหนคว้าไปไม่ได้นะ! พวกเรารีบไปแย่งชิงพี่เขยกลับมา!”
“แย่งชิงพี่เขยกลับมา!”
ฉินมู่กลับไปยังหุบเขาฝังเทพยดาแห่งตระกูลหลิ่ว โลงศพสีดำสนิทมากมายเข้ามาร่วมทางกับเขา งอกขาออกมาและวิ่งตามไปเป็นขบวน
บนท้องฟ้า มีโลงศพลอยเลื่อนอยู่อีกมากหลาย ครึ้มราวกับเมฆฝน
ท่ามพลางพวกมัน ก็มีโซ่ลากที่โลงศพทองคำอันใหญ่มหึมาและสะดุดตาเป็นอย่างยิ่งไปด้วย และฉินมู่ก็พิศวงสุดๆ ว่าทำไมหลิ่วหรูยินถึงยืนกรานที่จะนำสิ่งอันตรายเช่นนี้ไปด้วย แต่ทว่า เมื่อเขาได้ยินว่าเป็นความคิดของธิดานาง เขาก็ไม่ตั้งคำถามอีกต่อไป
เด็กหญิงน้อยผู้นี้ หลิ่วเจินชิง ทั้งชาญฉลาดและกลอกกลิ้ง ในเมื่อนางต้องการนำโลงศพทองคำไปด้วย มันก็จะต้องมีประโยชน์ใช้สอยอย่างแน่นอน
ขณะที่ฉินมู่นำกองกำลังตระกูลหลิ่วตรงไปยังหุบเขาแม่น้ำกระบี่ เตรียมที่จะเข้ารวมกลุ่มกับเหออีอีและกลุ่มอื่นๆ เขาก็พลันได้ยินเสียงดังกังวานมาจากข้างหลังพวกเขา “หนุ่มน้อย รอข้าด้วย!”
ฉินมู่หันกลับไปมอง และตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งเมืองขุนเขาสายฟ้าพากันนั่งมาบนหลังสัตว์พิษและแมลงพิษทุกชนิดทุกประเภท รีบรุดตะบึงมาอันเต็มไปด้วยความคึกคักจอแจ มีทั้งแมงมุม ตะขาบ คางคก งู นกพิษ สัตว์เถื่อน ตัวต่อ และพวกมันก็มืดฟ้ามัวดินไปหมด
และยังมีพืชพิษมากมายที่ถูกปลุกพรายวิญญาณโดยผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลาย และมนุษย์ต้นไม้พิษร้ายแรงที่ก้าวอาดๆ ไปข้างหน้า ยังมีเถาวัลย์เรียวบางกับดรุณีบุปฝาจากดอกไม้พิษที่กระพือกลีบดอกอันบอบบางของพวกนางมา และถึงกับมีปลาพิษร้ายที่งอกเงยขาเพื่อวิ่งตะบึงมาบนแผ่นดิน
นำหน้าพวกเหล่านั้นมาทั้งหมดคือมู่ยิ่งเสว่ผู้ซึ่งดูมีชีวิตชีวาเป็นพิเศษ และนางก็ถลาเข้ามาหาเขาผ่านเส้นทางที่กองทัพโลงศพเปิดเอาไว้ให้ โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง นางกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร และยัดถุงหอมเข้าไปในมือของเขา ก่อนที่จะกอดเขาเพื่อประทับจูบอย่างหนักหน่วงลงไปที่ข้างแก้ม
ฉินมู่งงงัน และเด็กสาวผู้นี้ก็ยืดอกผยองกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าต้องการให้เจ้าเก็บถุงหอมคะนึงหานี้ไว้ติดตัวเจ้าตลอดไป และไม่มีวันโยนมันทิ้ง ไม่มีวันลืมข้าไปตลอดชีวิต เจ้าทำได้หรือไม่”
ด้วยความฮึกหาญอัดอก ฉินมู่ประกาศก้อง “ทำได้!”
มู่ยิ่งเสว่หันกลับไปและโบกมือแก่พวกสาวๆ แห่งเมืองขุนเขาสายฟ้า “เขาบอกว่าทำได้! พี่สาว น้องสาว ป้าและน้าๆ พวกเราไปถล่มตำหนักสวรรค์แท้ และเปลี่ยนแปลงโลกหล้ากันเถอะ!”
เสียงโห่ร้องกึกก้องมาจากข้างหลังพวกเขา
ข้างๆ กิเลนมังกร โลงดำเล็กๆ โลงหนึ่งเปิดฝาออก และหลิ่วเจินชิงก็โผล่หัวของนางขึ้นมา นางกอดอกและทำแก้มป่องอย่างไม่สบอารมณ์
“นังเท้ากีบน้อย” นางบ่มพึมพำเมื่อปรายตามองมู่ยิ่งเสว่
โลงศพของหลิ่วหรูยินลอยมาข้างๆ และประมุขตระกูลหลิ่วผู้นี้ก็กระซิบกระซาบ “อย่าไปสนใจนังเท้ากีบน้อยนี่เลย ตอนนี้ทำเป็นผยองไปเถอะ เมื่อนางตาย พวกเราค่อยทำให้นางกลายเป็นคนตระกูลหลิ่ว!”
“ฮึ่ม!”
ธงทิวปลิวสะบัดในหุบเขาแม่น้ำกระบี่ และฉินมู่ตกตะลึงในจำนวนของตระกูลใหญ่มากอิทธิพลแห่งแผ่นดินตะวันตกที่มารวมตัวกันและตั้งค่ายอยู่ในบริเวณรอบๆ
มันน่าจะเป็นครั้งแรกที่แผ่นดินตะวันตกมีเรื่องใหญ่ที่ผู้คนมารวมตัวคับคั่งขนาดนี้ ธงของตระกูลเหอ ตระกูลฟาง ตระกูลกง ตระกูลซี และตระกูลฝู ล้วนแต่ถูกชักขึ้นสูง และยังมีตระกูลน้อยใหญ่อื่นๆ ที่เหออีอีได้เชื้อเชิญมาอีก
ตระกูลใหญ่ทั้งหลายล้วนแต่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ กัน ตระกูลเหอเชี่ยวชาญด้านพยุหะค่ายกล ตระกูลฟางเชี่ยวชาญด้านควบคุมภูเขา ตระกูลกงเชี่ยวชาญด้านควบคุมแม่น้ำ ตระกูลซีเชี่ยวชาญด้านควบคุมต้นไม้ใบหญ้า ขณะที่ตระกูลฝูเชี่ยวชาญในการควบคุมลมฟ้าอากาศ
ตระกูลทรงอิทธิพลอื่นๆ ก็มีความเชี่ยวชาญเฉพาะที่แตกต่างกันไป
ผู้คนที่มารวมตัวกันเกือบทั้งหมดเป็นสตรี จำนวนของพวกนางนั้นนับว่าน่าตระหนก
กองทัพของสตรีนับแสนได้ทำให้ฉินมู่ตกตะลึง
แม้ว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์จะค่อนข้างเปิดกว้าง และสตรีสามารถเป็นขุนนางเจ้าหน้าที่เพื่อเข้าร่วมกองทัพได้ แต่ก็นับได้เพียงสองส่วนจากสิบส่วนเท่านั้น บุรุษยังคงเป็นคนกลุ่มใหญ่ แต่กระนั้นในแผ่นดินตะวันตก สตรีในกองทัพมีถึงแปดส่วน ขณะที่บุรุษมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ชายก็จะทำแต่งานระดับล่างในกองทัพ
นี่เป็นโอกาสอันหาได้ยากของตระกูลใหญ่ทั้งหลายในแผ่นดินตะวันตก หากว่าสามารถล้มล้างตระกูลอวี้ได้ ความเสื่อยถอยของตระกูลเสียงก็จะเท่ากับว่าพวกนางก็จะเป็นอิสระจากตำหนักสวรรค์แท้มากกว่าเดิม นี่จึงเป็นเหตุให้พวกนางมาที่นี่เพื่อปฏิวัติ
ฉินมู่สูดลมหายใจลึกและกำหมัดแน่นเมื่อเขามองไปยังทิศทางของตำหนักสวรรค์แท้
ในการเดินทางมายังแผ่นดินตะวันตก เขาได้นำมาเพียงแต่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อ มีเพียงแค่เขา หนึ่งสัตว์ขี่ และเด็กหญิงอ่อนแอคนหนึ่ง โดยปราศจากกำลังทหารใดๆ กระนั้นเขาก็สามารถรวบรวมกองทัพเป็นแสนๆ คนของเหล่าสตรีที่ตระเตรียมจะเข้าโจมตีสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินตะวันตก ตำหนักสวรรค์แท้!
เมื่อเขาคิดมาถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นจนกระดูกสั่นเกรียวกราว และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็แทบบินหลุดออกจากร่าง!
เขาจูงมือเสียงฉีเอ๋อ เดินเข้าไปในเมืองต้นไผ่พร้อมกับมู่ยิ่งเสว่ หลิ่วหรูยินและธิดาของนาง ประมุขของตระกูลใหญ่ทรงอิทธิพลทั้งหลายต่างมารวมตัวกันที่นี่ และกำลังรอการมาถึงของเขาอย่างใจจดใจจ่อ!
ฉินมู่โค้งคารวะจนแทบหัวจรดพื้นและกล่าวด้วยเสียงอันกึกก้อง “จ้าวลัทธิมารฟ้าฉินมู่แห่งแผ่นดินภาคกลาง ขอน้อมคารวะพี่สาวทั้งหลาย!”
หญิงเหล่านั้นมากมายรีบโค้งคารวะกลับไป “จ้าวลัทธิ ไม่ต้องมากพิธีหรอก”
ฉินมู่กระตุกมือเสียงฉีเอ๋อ และนางก็รีบโค้งคารวะเช่นกัน
“ฉีเอ๋อขอน้อมคารวะท่านน้าและท่านป้าทั้งหลาย!”
ทุกๆ คนรีบคารวะกลับไป “พวกเรามิกล้า องค์หญิงน้อย โปรดลุกขึ้นเถิด!”
ฉินมู่ยืดตัวตรงและแย้มยิ้มอย่างกว้างขวางไปยังพวกนาง “สตรีมากมายได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่เด็ดขาด อันกล้าที่จะจุดดวงตะวันและจันทราขึ้นมาบนฟ้าใหม่! พี่สาวทั้งหลาย น้องชายผู้นี้ได้เดินทางรอนแรมมาจากแผ่นดินภาคกลาง และหมายที่จะเป็นกำลังความสามารถของพี่สาวทุกท่านที่ตำหนักสวรรค์แท้! พี่สาวอีอี พวกเราออกเดินทางได้หรือยัง”
เหออีอีเรียกเมืองต้นไผ่ และมันก็ลุกขึ้นยืน ในเวลาเดียวกันนั้นประมุขตระกูลทั้งหลายก็ถ่ายทอดคำสั่งลงไป พื้นดินสะเทือนเลื่อนลั่น และมวลเมฆก็พวยพุ่งไปข้างหน้า กองทัพสตรีหลายแสนไพร่พลก็ยาตรามุ่งหน้าไปยังตำหนักสวรรค์แท้
กิเลนมังกรเหลียวหลังกลับไปมอง และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน ปรมาจารย์ไม่ดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรขนาดนี้เลยในครั้งกระโน้น จ้าวลัทธิอย่างไรก็เป็นจ้าวลัทธิ เขามาแผ่นดินตะวันตกแค่แผล็บเดียว ก็จีบสาวๆ ได้เป็นแสนคน…
ห่างไกลออกไปบนท้องฟ้า ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ยืนอยู่บนก้อนเมฆและมองลงไปยังภาพอันยิ่งใหญ่อลังการจากที่ไกลๆ
เสียงซีอวี่อึ้งสุดๆ อึ้งจนพูดไม่ออก
ราชครูสันตินิรันดร์ก็จนด้วยวาจาเช่นกัน
“ราชครู ท่านคาดหวังผลลัพธ์นี้มาตั้งแต่แรกหรือเปล่า” ในที่สุดเสียงซีอวี่ก็ได้สติ และหันไปมองชายกลางคนข้างๆ นางอย่างพินิจพิเคราะห์ “แม้แต่ข้า ไหน่ขุยคนก่อนก็ยังไม่มีความสามารถและพลังอำนาจเหมือนกับจ้าวลัทธิฉิน เขาถึงกับสามารถรวบรวมไพร่พลเรือนแสนได้ด้วยการเพรียกขานเพียงครั้งเดียว นี่จ้าวลัทธิฉินจะไม่น่ากลัวไปหน่อยหรอกหรือ”
ราชครูสันตินิรันดร์ระบายลมหายใจสั่นสะท้านและพึมพำ “ข้ารู้ว่าเขาจะต้องก่อเรื่องวุ่นวาย และดึงดูดความสนใจของตำหนักสวรรค์แท้เป็นแน่ แต่ข้าไม่รู้ว่าเขาจะทำได้ดีขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์แท้จะต้องรู้สึกระแวงภัยจากเรื่องนี้ และที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ป้าโก่วก็จะไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะเผยตัวออกมา หลังจากที่เขาเพลี่ยงพล้ำเสียที เทพเจ้าที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้ก็จะต้องเผยตัวออกมา และทำให้ข้ามีโอกาสจู่โจมสังหารเขา…”
เขามองไปยังกองทัพสตรีอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรและอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทิ้ม พลางส่ายหน้าไปมา “น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว ความเป็นหนึ่งเดียวนี้น่าสะพรึงกลัวเกินไปจริงๆ แต่ทว่า พรสวรรค์ของจ้าวลัทธิฉินก็คือเรื่องนี้นี่เอง เพราะถึงอย่างไร แม้แต่ข้าก็ยังถูกเขาหลอกให้ไปเข้าร่วมลัทธินักบุญสวรรค์ หากว่าเจ้าเด็กร้ายกาจนี่คิดจะก่อกบฏล่ะก็…”
วิชาพิษของพี่สาวมู่ได้ประกอบชิ้นส่วนเข้าด้วยกันอย่างพิสดารแล้ว เข้าสู่เขตขั้นอันแม้แต่ภูตผีและเทพก็มิอาจทำนายได้
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความทึ่ง ความสำเร็จของมู่ยิ่งเสว่ในเต๋าแห่งพิษนั้นได้เหนือล้ำไปกว่าเขาแล้ว และเขาก็ต้องยอมรับว่านางมีปฏิภาณความเข้าใจอันเหนือล้ำในศาสตร์สาขานี้ นางมีกระบวนความคิดอันเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เหมาะแก่การตรึกตรองเต๋าแห่งพิษ
หลังจากการต่อสู้กับเขา นางน่าจะได้ดูดซับเอาแนวคิดอุดมการณ์ส่วนหนึ่งของนักปรุงยา และค้นพบมรรคาเต๋าของตนเอง จึงสามารถเอาชนะอวี้ชิงฉานได้อย่างง่ายดาย
ความสำเร็จของนักปรุงยาในเต๋าแห่งพิษนั้นเลิศล้ำเกินธรรมดา แต่ฉินมู่เชี่ยวชาญด้านการเยียวยาและช่วยชีวิตผู้คนเป็นหลัก เขามิได้วิจัยเข้าไปในวิชาพิษอย่างลึกซึ้งเท่าใด ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่เขาจะถูกมู่ยิ่งเสว่แซงหน้าไปได้
หากว่าเป็นเขาที่ต่อสู้กับอวี้ชิงฉานบนเวทีประลองโดยอาศัยเพียงแค่สารพิษที่อยู่บนแท่นเวที เขาก็จะต้องใช้วิชาเสกสรรจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อแปรเปลี่ยนความเป็นพิษเหล่านั้น แม้ว่ามันจะค่อนข้างคล้ายกับแนวคิดอุดมการณ์ของมู่ยิ่งเสว่ แต่เขาจะต้องใช้เวลามากกว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เดียวกัน
เขาสามารถเอาชนะอวี้ชิงฉานได้ แต่คงไม่ง่ายดายเหมือนที่มู่ยิ่งเสว่กระทำ
แน่ล่ะว่า ฉินมู่ฝึกปรือทั้งยารักษาและยาพิษด้วยกัน ใช้ยารักษาเพื่อเสริมส่งยาพิษ อันให้ผลลัพธ์เกินคาดหมาย หากว่าเป็นการต่อสู้หมายชีวิตกันจริงๆ ก็ยากที่จะบอกได้ว่าเขาและนางใครที่จะมีชัยเอาชนะ
มู่ยิ่งเสว่กระโดดลงมาจากเวทีประลอง แต่นางไม่ทันแตะพื้น เถาวัลย์ก็งอกขึ้นมาจากดินและผลิใบออกมารองรับเท้าของนาง
นางยื่นมือมาหาฉินมู่ ซึ่งรับมือนั้นและถูกดึงขึ้นไปบนใบไม้
เถาวัลย์เขียวข้างใต้เท้าพวกเขางอกสูงขึ้นและสูงขึ้น ชูพวกเขาขึ้นไป มู่ยิ่งเสว่โบกมือให้กับทุกคนรอบๆ ลานประลอง เต็มไปด้วยความปีตียินดีและภาคภูมิใจ “ดูสิ ขนาดหมอพิษอย่างพวกเราก็ยังหาสามีในฝันได้ หนุ่มน้อยของข้า จ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง เขาแข็งแกร่งสุดๆ เลยนะ!”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังมาจากเบื้องล่าง
เด็กสาวบางหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “อาจารย์พิษ ท่านพบพานสามีในฝันหลังจากแวะไปแผ่นดินภาคกลางแค่รอบเดียว เมื่อไหร่ท่านจะพาพวกเราทั้งหมดไปแผ่นดินภาคกลางบ้าง”
มู่ยิ่งเสว่มองไปยังพวกนางข้างล่างด้วยสีหน้าตื่นเต้น “หลังจากธุระของหนุ่มน้อยของข้าเสร็จสิ้น ข้าจะพาพวกเจ้าไปแผ่นดินภาคกลางเพื่อเป็นเภทภัยหายนะแก่พวกผู้ชายที่นั่น!”
“ข้าได้ยินว่าที่แผ่นดินภาคกลาง ผู้ชายสถานะสูงส่งกว่าผู้หญิง นั่นมันดินแดนล้าหลังป่าเถื่อนอะไรอย่างนี้ ไปสั่งสอนพวกเขาให้กลับทำนองคลองธรรมกันเถอะ!”
“ใช่แล้วๆ! ไปสั่งสอนพวกเขา!”
เด็กสาวอีกคนแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ง่ายเลยที่อาจารย์พบจะพบบุคคลที่นางพึงใจ ดังนั้นพวกเราต้องฉลอง!”
เสียงหัวเราะระรื่นของสตรีจำนวนมากยังสะท้อนก้องไปมาบนท้องถนน และทันใดก็มีกลุ่มหนึ่งกรูกันออกมาจากที่ไหนไม่ทราบ พวกนางตีกลองที่เอวและกระทืบเท้าเป็นจังหวะทำนอง เต้นรำและขับร้องเพลง
เมืองขุนเขาสายฟ้าพลันกลายเป็นคับคั่งครึกครื้น และชายหนุ่มหญิงสาวมากมายก็จับมือกัน ขับร้องเพลงพื้นถิ่นของแผ่นดินตะวันตกไปด้วยกัน
ผู้ฝึกวิชาเทวะบางคนได้ขับเคลื่อนวิชาเทวะของแผ่นดินตะวันตก และเถาวัลย์เขียว ดอกไม้พิษ เช่นเดียวกับหญ้าชนิดต่างๆ ก็งอกงามออกมาอย่างรวดเร็ว ชายและหญิงที่ฝึกวิชาพิษเดินไปมาท่ามกลางดงดอกไม้เหล่านั้นและร้องเพลงคลอกันไปมา บางคนถึงกับยืนอยู่บนใบเถาวัลย์ที่สั่นระริก และเริงระบำไปกับคู่ที่หมายตา
ฆ้องและกลองอึกทึก และท่วงทำนองเพลงดังกังวานก็ซ่านไปในอากาศ
ฉินมู่ผู้ซึ่งยืนอยู่บนใบไม้ มองลงไปข้างล่างและเห็นคางคกเขียวตัวใหญ่ที่มีพุงขาวผ่องเดินออกมาจากสุดถนนหนึ่ง แทบจะพองเต็มถนน ตัวฟู่ฉู่[2]หูใหญ่โอ้อวดเกล็ดอันเป็นมันวาวเหมือนโลหะของพวกมัน ข้างๆ มันก็มีพรายวิญญาณคางคกที่ร้องคร๊อกๆ ประกอบจังหวะ
พรายวิญญาณคางคกดีดลิ้นของพวกมันออกมาประทบกับเกล็ดของตัวฟู่ฉู่ สร้างเสียงเคร้งๆ กังวาน
และยังมีพรายวิญญาณคางคกอีกมากมายที่เต้นรำและตีฆ้องและกลอง บ้างก็เป่าขลุ่ยสั้นด้วยนิ้วทั้งสี่ของพวกมัน ตะขาบยักษ์สี่ห้าตัวกระดุกกระดิกไปมาตามทำนองเพลง
บางครั้งบางคราว ก็จะมีตะขาบกระโดดขึ้นไปชนแก้มพองๆ ของพรายวิญญาณคางคก ทำให้มันร้องคร๊อก
บนศีรษะของคางคกเขียวตัวใหญ่ หญิงสาวสะสวยคนหนึ่งก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เสื้อผ้าสีดำของนางแกว่งไกวไปมาระหว่างที่นางร้องเพลง
…
ฉินมู่ดื่มด่ำกับเสียงเพลงเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าเถาวัลย์เขียวจะยกขึ้นสูงลิ่วแล้ว แต่ภาพอันตระการตาของเมืองอันเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองก็ยังคงอยู่ในสายตาของเขา เสียงร้องเพลงไพเราะกังวานทั้งหมดก็ล้วนลอยมาถึงหูของเขา
อารมณ์อันเร่าร้อนของดรุณีแห่งแผ่นดินตะวันตกโถมซัดใส่เขาราวคลื่นใหญ่ โอบรัดเขาเป็นชั้นๆ และถั่งโถมเข้าไปในหัวใจ
เถาวัลย์เขียวพลันยอบตัวลง ส่งฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่ลงต่ำ พาพวกเขาผ่านถนนสายหนึ่งไปยังอีกสายหนึ่ง มีผู้คนที่กำลังร้องเล่นเต้นรำอยู่ทั่วไป ด้วยพรายวิญญาณประหลาดพิสดารและสัตว์พิษนานาชนิด ทุกคนโอ้อวดท่าเต้นอันพิสดารตระการตา และท่าเต้นอันสับสนงงงวย ก่อนที่จะยื่นมือออกไปแตะกับมือของมู่ยิ่งเสว่และฉินมู่ที่ยื่นออกมา
ทำนองเพลงอันกึกก้องไปทั่วเมืองขุนเขาสายฟ้าพลันกลายเป็นกังวานและเร่าร้อน สุขสันต์และคึกครื้น ฉินมู่รู้สึกราวกับว่าเขาได้มายังอาณาจักรในตำนานเล่าขาน ที่ซึ่งเถาวัลย์เขียวยักษ์พาเขาและสาวน้อยข้างกายท่องเที่ยวผ่านทุกหัวมุมถนนอันเต็มไปด้วยผู้คนที่เริงรื่น
เถาวัลย์เขียวพาพวกเขากลับไป ยกพวกเขาขึ้นและลงไปตามทาง หญิงสาวบนต้นไม้ต่างๆ เดินเหยียบใบไม้เพื่อห้อยพวงมาลัยดอกไม้บนคอพวกนาง
ยังมีเด็กสาวมากมายที่นอนอยู่บนยอดไม้ กระดิกเท้าเล็กๆ ของพวกนางระหว่างที่ดูสองคนนี้ลอยลิ่วสูงขึ้นไป พวกนางป้องปากตะโกนเพลงรักหวานฉ่ำอันสะกิดเส้นในหัวใจ ขณะที่ฝูงแมลงก็พุ่งเข้าไปเคาะกับฆ้องเล็กด้วยขาหลังของพวกมันเป็นจังหวะประกอบ
เถาวัลย์เขียวยืดยาวไปยังใจกลางเมือง และลอยเหนือถนนอันคลาคล่ำด้วยผู้คน ข้ามเหนือบ้านเรือนอันโค้งกลมและมายังโถงวังของมู่ยิ่งเสว่
ที่เพดานของราชวังนี้มีหน้าต่างเปิดเอาไว้อยู่ และเถาวัลย์เขียวก็ส่งชายหนุ่มหญิงสาวบนใบของมันเข้าไปในห้อง
ฉินมู่และมู่ยิ่งเสว่ยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง และเฝ้าชมดูฝูงชนอันคับคั่งที่เคลื่อนขบวนผ่านถนนข้างล่าง ร้องรำทำเพลงกันต่อไป
พวกเขายังคงเฉลิมฉลองโอกาสอันสำเริงสำราญ ที่อาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ได้พบกับสามีในฝันของนาง
“น่าอายจริงๆ” มู่ยิ่งเสว่ปิดหน้าของตนเองและฮึ่มฮั่ม “พวกเขาเฉลิมฉลองกันยังกะว่าชาตินี้ข้าคงหาสามีในฝันไม่ได้แล้ว พวกเขาคงรอกันไม่ไหวแล้วสิที่จะส่งข้าไปวิวาห์เยือนน่ะ!”
ฉินมู่มองไปที่นางและพบว่าเด็กสาวตรงหน้าเขา ผู้ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งด้านเต๋าพิษแห่งแผ่นดินตะวันตก ไม่มีวี่แววของความเอียงอายเลยสักนิด ในทางกลับกัน นางดูใจกล้าและเร่าร้อน ละลายความเอียงอายของนางด้วยความปรารถนาอันร้อนระอุ
ความปรารถนาของดรุณีแผ่นดินตะวันตกนั้นหนักหนาเกินกว่าที่ฉินมู่จะย่อยกลืนลงไปได้ และเสียงครวญครางอันช่วยให้ลุ่มหลงของเมืองขุนเขาสายฟ้า ก็ทำให้เขาราวกับต้องมนตร์
ความคิดของเขากระเจิดกระเจิง และเขาก็งมงายไปในอารมณ์
การเฉลิมฉลองนั้นยังเป็นเพียงเรื่องแรก เมื่อถึงเวลาบ่าย มู่ยิ่งเสว่ก็ไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นของนาง นางเอียงศีรษะไปซบบ่าของฉินมู่และดูอิ่มเอมใจ
กิเลนมังกรเดินมาท่ามกลางดงดอกไม้พิษอย่างระมัดระวัง พลางมองไปที่สองหนุ่มสาวอันยังคงยืนเคียงกันตรงหน้าหน้าต่าง และบ่มพึมพำเบาๆ “ก่อนหน้านั้น ปรมาจารย์ก็กลายเป็นเสเพลเพราะอย่างนี้แหละ ทุกๆ ปี ตาเฒ่าลามกนั่นจะต้องทิ้งข้าเพื่อมาที่แผ่นดินตะวันตก…”
ในที่สุดฉินมู่ก็ตื่นจากห้วงฝันและกล่าว “พี่สาวมู่ พวกเรายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องจัดการ”
มู่ยิ่งเสว่สีหน้าแดงเรื่อ และนางกระตุกชายเสื้อของเขา “วิวาห์เยือนต้องรอตอนกลางคืน ทำไมเจ้าอดรนทนไม่ไหวอย่างนี้ รออีกหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร แต่ทว่า ถ้าเจ้ารีบด่วนจริงๆ ข้า…ถึงยังงั้นข้าก็ทำไม่ได้! ข้ายอมตามใจเจ้าไม่ได้หรอก! ที่นี่ ผู้หญิงเป็นใหญ่นะ ผู้ชายต่างหากที่ต้องตามใจผู้หญิง!”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และรออย่างอดทนให้นางพูดจนจบ “พี่สาว สาเหตุที่ข้ามาแผ่นดินตะวันตกในคราวนี้ นั่นก็เพราะว่าข้ากำลังพยายามช่วยเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนางช่วงชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้กลับคืนมา และนั่นเป็นสาเหตุให้ข้าก่อความวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้ อันที่จริงนี้นี่น่าจะเป็นกิจการภายในของแผ่นดินตะวันตกของพวกเจ้า แต่ครั้งก่อนนั้นที่ตระกูลเสียงถูกตระกูลอวี้ล้มล้าง และมีผู้คนมากมายตกตายไป เจ้าก็ได้มีส่วนเกี่ยวพันด้วย”
มู่ยิ่งเสว่ผงกหัวและสั่งให้คนของนางไปเชิญกิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อเข้ามาข้างใน ระหว่างที่นางยังคงคลอเคลียอยู่กับฉินมู่ “ในครั้งนั้นเมื่อตระกูลอวี้ลงมือกับตระกูลเสียง ข้าก็ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงใหญ่จริงๆ นั่นแหละ ตระกูลอวี้มีป้าโก่วอันปูมหลังความเป็นมาน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ดังนั้นข้าจึงถูกบังคับให้ตกลงช่วยตระกูลอวี้วางยาพิษใส่ตระกูลเสียง พิษของข้ามิได้คร่าชีวิตคน แต่เจ้าก็รู้”
ฉินมู่ผงกหัว พิษของมู่ยิ่งเสว่คือไหมรัดพันอันทำลายพลังวัตรของผู้ต้องพิษ แต่ไม่ทำอันตรายร่างกายผู้คน เมื่อฉินมู่ได้พบเสียงซีอวี่ ที่นางประสบอยู่คือพิษไหมรัดพันอันได้ทำลายพลังวัตรของนางไปอย่างรุนแรง เพราะอย่างนั้น นางถึงถูกไล่ล่าโดยอวี้ป๋อชวนจนตกอยู่ในสภาพอันยับเยินน่าสังเวช
สีหน้าของมู่ยิ่งเสว่มืดคล้ำไประหว่างที่นางกล่าว “ข้าไม่คิดเลยว่าตระกูลอวี้จะอำมหิตถึงเพียงนี้ ฆ่าล้างถอนโคนตระกูลเสียงทั้งหมด…แต่ทว่า ถึงแม้ข้าจะรู้ล่วงหน้าว่าตระกูลอวี้จะทำเช่นนั้น ข้าก็ยังคงจะช่วยพวกเขาอยู่ดี”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความฉงน
มู่ยิ่งเสว่ถอนหายใจ “ความเป็นตายของทุกคนในตระกูลมู่ของข้าและในเมืองขุนเขาสายฟ้าอยู่บนบ่าของข้า และหากว่าข้าไม่ยอมทำตาม ตระกูลอวี้ก็จะยื่นมือเข้ามาจัดการกับผู้คนของข้า ในฐานะอาจารย์พิษ ข้าจำเป็นต้องคำนึงถึงผู้คนตระกูลมู่เอาไว้ก่อน ไหน่ขุยคงเกลียดชังข้ามากสินะ?”
ความละอายฉายขึ้นมาบนใบหน้าของนาง แต่นางก็กลบเกลื่อนมันไปอย่างรวดเร็ว นางกลับมาเป็นสีหน้าเย็นชาตามปกติแล้วกล่าว “ถึงนางจะเกลียดชังข้า ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ ข้าไม่อาจเสี่ยงความเป็นความตายของครอบครัวข้าเพื่อนาง”
“พี่สาวน่าจะรู้เป้าหมายของข้าที่มา ใช่ไหม”
มู่ยิ่งเสว่เป็นผู้นำตระกูลมู่ และเครือข่ายของนางทั้งกว้างขวางและรวดเร็ว นางผงกหัวแล้วกล่าว “ข้ารู้ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจ้าย่างเท้าเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก และตำหนักสวรรค์ได้ออกประกาศจับเจ้า ข้าก็รู้ทันทีว่าเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร จ้าวลัทธิมารฟ้า เจ้ามีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ และเจ้าคงไม่เสี่ยงชีวิตมาที่นี่เพียงเพื่อความรักฉันท์ชายหญิง เจ้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อข้า และไม่ได้มาเพื่อวิวาห์เยือน แต่มาเพื่อขับเคลื่อนแผนการใหญ่”
อากาศรอบกายนางพลันแปรเปลี่ยน และกลายเป็นเย็นยะเยือก “เจ้าหมายที่จะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินตะวันตก เปลี่ยนแปลงมันไปราวพลิกฝ่ามือ! ความทะเยอทะยานของเจ้าอยู่ที่การยึดครองแผ่นดินตะวันตกให้อยู่ใต้ปกครองของจักรวรรดิสันตินิรันดร์! และวิธีที่รวดเร็วที่สุดก็คือการสนับสนุนเสียงซีอวี่ให้ขึ้นไปเป็นเจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้! นางไม่เหลืออะไรแล้วในโลกนี้ นอกจากการล้างแค้นเท่านั้น ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมทำตามเงื่อนไขของเจ้าและจักรพรรดิสันตินิรันดร์ และเมื่อนางได้กลับไปเป็นเจ้าตำหนักอีกครั้ง ตำหนักสวรรค์ก็จะประกาศตัวหลอมรวมเข้ากับสันตินิรันดร์”
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน หลังจากมายังแผ่นดินตะวันตก เขาได้พบกับสตรีที่เหนือธรรมดามากมาย มีเหออีอีที่เรียบง่ายแต่ทรงปัญญา และแม่ลูกตระกูลหลิ่วที่กลอกกลิ้งอย่างเหลือร้าย พวกนางทั้งหมดล้วนแต่เลิศล้ำโดดเด่น และวิสัยทัศน์ของพวกนางก็ยาวไกลอย่างน่าทึ่ง
มู่ยิ่งเสว่ตรงหน้าของเขานั้น ก็นับว่าเป็นยอดคน
“ข้าติดค้างตระกูลเสียงไว้มากเกินไป แต่ข้าก็ไม่อาจโยนชีวิตของผู้คนในตระกูลข้าทิ้งไปเพียงเพราะว่าข้าติดค้างพวกนั้น! เจ้ายังไม่เคยพบกับป้าโก่วและไม่รู้ความสามารถของเขา แต่ข้าได้พบแล้ว ข้ารู้ว่าเขาน่าสะพรึงกลัวขนาดไหน และข้ายังรู้อีกด้วยว่ามีเทพเจ้าตนหนึ่งอาศัยอยู่ในตำหนักสวรรค์แท้ ไม่ว่ากองกำลังของพวกเจ้าจะแข็งแกร่งสักเพียงไหน และจะรวบรวมยอดฝีมือแผ่นดินตะวันตกได้มากเพียงใด เจ้าก็เอาชนะไม่ได้หรอก เจ้าเพียงแต่ส่งตัวเองไปสู่ความตายเท่านั้น!”
“ข้าไม่ควรมาเลย” ฉินมู่กล่าวด้วยความเศร้าใจและลุกขึ้นยืน
มู่ยิ่งเสว่หัวใจสั่นสะท้านเมื่อนางก็ผุดลุกขึ้นเช่นกัน “ข้าอยากให้เจ้าอยู่ และไม่ตายไป หากว่าเจ้าต้องการจะไป ข้าก็ไม่ขัดขวางเจ้า สตรีแห่งแผ่นดินตะวันตก ไม่ยื้อยุดบุรุษที่ยืนกรานจะจากไป!”
ฉินมู่โค้งกาย “พี่สาวมู่ ลาก่อน” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็หันกลับไปและเดินออกจากเรือนตึก
“เจ้า!” มู่ยิ่งเสว่กัดฟันกรอดและตะโกนไล่หลังเขา “เจ้าจะตายนะ เจ้ารู้ตัวไหม”
ฉินมู่หันกลับไปส่งยิ้มให้นาง “ครั้งนั้นที่ข้าช่วยเหลือพวกเขา ข้าก็รู้ว่าถ้ายื่นมือออกไปช่วย ชีวิตของข้าก็อาจจะปลิดปลิว แต่ข้าก็ยังคงทำมัน พี่สาว ข้าจะไม่บังคับเจ้าให้ทำอะไรเพื่อข้า”
มู่ยิ่งเสว่กระวนกระวายและกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “ต่อให้เจ้าตาย ข้าก็จะไม่คิดถึงเจ้า!”
ฉินมู่หัวเราะและหันไปหากิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อผู้ซึ่งกำลังปีนขึ้นไป
“เมืองอันแสนอบอุ่นนี้ ข้าก็ได้มาเยือนแล้ว มังกรอ้วน พวกเราไปกันเถอะ!”
กิเลนมังกรงุนงง แต่เขาก็ยังคงวิ่งออกไปจากเรือนตึก แบกพวกเขาออกไปจากเมือง
“พี่เขย?” ในถนนเส้นหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่แผ่นหลังของฉินมู่ที่กำลังเร่งรุดจากไป
ฉินมู่โยนถุงหอมให้กับนางและเอื้อนบทกวี “วันยุ่งยากย่อมมีหนทางผ่านพ้นไป นิสัยข้าโง่เขลาและยากจะแปรเปลี่ยน! พี่สาว ถือเสียว่าข้ามิได้มา!”
มู่ยิ่งเสว่มองไปที่เขาอันออกจากเมืองขุนเขาสายฟ้าจนกระทั่งลับตาไป
นางเดินออกจากเรือนตึกและเห็นเมืองขุนเขาสายฟ้าเละเทะไปหมด ทุกหนแห่งมีเศษซากที่หลงเหลือจากการเฉลิมฉลองในตอนเช้า พรายวิญญาณคางคกกำลังทำความสะอาดอย่างเชื่องช้า ลากผู้คนที่เมามายออกไป
ที่มุมหนึ่งของถนน เด็กสาวจำนวนหนึ่งมองมาที่หนึ่ง และหนึ่งในนั้นรวบรวมความกล้ากล่าว “พี่สาว พี่เขยเขา…”
“เขาไปแล้ว” มู่ยิ่งเสว่ได้ยินเสียงของนางกล่าวด้วยน้ำเสียงอันไม่คุ้นหูนางเลยสักนิด “เขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว…”
นางแตะใบหน้าของนาง และพบว่ามันเปียกชื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“พี่เขยส่งนี้มาให้ข้า มันน่าจะเป็นของพี่สาว” เด็กสาวที่ฉินมู่พบพานเดินเข้ามา ในมือของนางคือถุงหอมที่ปักลายนกเป็ดน้ำคู่สีทอง
มู่ยิ่งเสว่เปิดถุงหอม และนำถั่วแดงแห่งความคะนึงหาออกมา
………………………..
[1] ต้นหวย – คือต้นวิสทีเรีย เป็นต้นไม้ดอกที่พิษร้ายแรงแต่มีความสวยงาม
[2] ฟู่ฉู่ หรือโอพอสซัม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู
ในตอนเช้าตรู่ เมืองขุนเขาสายฟ้าได้กรุ่นอวลไปด้วยกลิ่นยาสมุนไพรแล้ว ฉินมู่สูดจมูกฟุดฟิดในอากาศและรู้ว่านั่นคือหมอกพิษที่ปลดปล่อยสารพิษออกมามากมาย เขารีบหลอมปรุงยาหลบพิษไม่กล้ำกรายจำนวนหนึ่งให้แก่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋ออมเอาไว้ในปาก
เมืองของอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่แตกต่างไปจากเมืองทั่วๆ ไป ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยหญ้าพิษ ดอกไม้พิษ รวมทั้งแมลงพิษมากมาย พวกมันถูกเพาะปลูกในสวนโดยชาวเมืองขุนเขาสายฟ้า ส่วนแมลงพิษทั้งหลายก็คลานไปตามพื้น บางคนก็ถึงกับเลี้ยงนกพิษและสัตว์เถื่อนพิษที่ตระเวนไปทั่ว บ้านเรือนก็ปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์พิษอันมีงูเขียวโผล่ขึ้นมาแลบลิ้นแฉกส่งเสียงฟ่อๆ ใส่ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา
ตัวฟู่ฉู่[1]หูใหญ่มีเกล็ดฝูงหนึ่งวิ่งผ่านกิเลนมังกรไปอย่างไม่ยี่หระ ไล่ตามตะขาบใหญ่สามสี่ตัวที่ยาวราวๆ สามคืบ
ยามเช้าของเมืองขุนเขาสายฟ้าคึกคักเป็นอย่างยิ่ง และเสียงตะโกนก็ดังมาจากท้องถนนเป็นระยะๆ
“ให้สวรรค์สาปเถอะ นี่มันตัวต่อพิษของใคร หน้าข้าบวมฉึ่งไปหมดแล้ว รีบเอายาถอนพิษมาเร็วเข้า!”
“คนใจไม้ไส้ระกำที่ไหนเทเศษยาทิ้งลงกลางถนน ขาข้าทั้งชาทั้งดำปี๋.. มันเกือบจะเน่าอยู่แล้ว! ใครมันเทเศษยาทิ้งไม่ดูที่ทางวะ! ไอ้ลูกเต่า ข้าจะวางยาพิษเจ้าให้ตาย”
…
ฉินมู่เดินไปตามถนนกลางเมืองขุนเขาสายฟ้า และมีพ่อค้ามากมายพอดูที่กำลังขายยาพิษอันพวกเขาหลอมปรุงขึ้นมาอย่างเปิดเผย เสียงตะโกนโฆษณาสินค้าของพวกเขาดังมาอย่างไม่รู้จบ
“เมืองขุนเขาสายฟ้าของพี่สาวมู่ ดูคึกคักรุ่งเรืองจริงๆ”
ขณะที่ฉินมู่มองไปรอบๆ นั่นเอง เขาก็เห็นสมุนไพรล้ำค่าจำนวนมาก อันเขาเข้าไปซื้อหาจำนวนหนึ่ง ยาพิษเม็ดที่พ่อค้าแผงลอยขายก็มีคุณภาพดี และสามารถใช้เป็นยาพิษพื้นฐานในการหลอมปรุงยาพิษที่ร้ายแรงกว่านั้นได้ เขาจึงซื้อหามาด้วยเช่นกัน
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เขาก็มาถึงใจกลางเมืองขุนเขาสายฟ้า อันเป็นที่คับคั่งเป็นพิเศษ ที่นั่นมีสังเวียนต่อสู้วงกลมจำนวนมาก และมีผู้ฝึกวิชาเทวะนักปรุงพิษก็กำลังต่อสู้กันในนั้น
ฉินมู่หยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง และเห็นว่าผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านั้นต่อสู้กันด้วยวิธีที่แตกต่างจากการต่อสู้ของชาวยุทธทั่วไป รอบตัวพวกเขามีไหมากมาย และยังมีใบไม้เขียว ดอกไม้ และหญ้าอีกหลากหลายละลานตา
ผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งสองจะร่ายเวทมนตร์ของตนเอง และบังคับให้แมลงพิษหรือสัตว์พิษอื่นๆ ฆ่ากันและกันในไห ผู้ชนะก็จะไต่ออกมากจากไห่ ออกมากัดกินใบไม้เขียวและวิวัฒนาการ จากนั้นผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะฝังเมล็ดข้างในตัวมัน กระตุ้นเร้าด้วยเวทมนตร์ประหลาด ให้มันเติบโตอย่างรวดเร็วและออกดอกผลมา
ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะใช้รากเห็ดหรือผลไม้ไปป้อนแมลงพิษของตนเอง และทักษะเทวะของทุกสิ่งมีดวงจิตก็จะทำให้พวกมันเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พ่นหมอกพิษหรือเพลิงพิษออกไปยังฝ่ายตรงกันข้าม แมลงพิษทั้งสองก็จะต่อสู้กันอย่างดุเดือด ขณะที่ผู้ฝึกวิชาเทวะก็จะหลบหลีกการโจมตีพลางหลอมปรุงยาถอนพิษไปด้วย
ต่อสู้ในสังเวียน บีบให้พวกเขาต้องหลอมปรุงยาพิษอย่างปัจจุบันทันด่วน และเช่นเดียวกับการเลี้ยงแมลงพิษกับการปลูกสมุนไพร แต่นั่นก็ยุติธรรมกับทั้งสองฝั่ง เพียงแต่ว่ากำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะเหล่านี้ยังอ่อนด้อย และไม่มีอะไรให้ดูมากมายนัก
ฉินมู่มุ่งหน้าต่อไปจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นเมื่อสังเวียนต่อสู้ปริแยกออก สิ่งมีชีวิตมหึมาตัวหนึ่งโผล่ขึ้นมา และกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งสังเวียน มันเป็นแมงมุมตัวใหญ่ที่ร่างท่อนบนของมันเป็นสาวงาม มันหวีดร้องเสียงแหลมและสั่นเทิ้มร่างกาย กลืนเมฆพ่นหมอกเพื่อขับไล่ให้ผู้คนที่มุงดูรอบๆ ให้ต้องถอยห่างออกไป
ฉินมู่ชมดูด้วยความตื่นตะลึง “สามารถใช้หญ้า ดอกไม้ และแมลงพิษมากมายเพื่อเพาะเลี้ยงสัตว์พิษเช่นนี้ขึ้นมาได้ กำลังฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย!”
หญิงสาวในชุดดำลุกขึ้นยืนจากหลังของแมงมุมพิษ แต่ผ้าม่านโปร่งดำปิดบังใบหน้าของนางอยู่ หากแต่ว่าจากผิวที่นางเผยออกมา นางจะต้องมีหูดพิษเกลื่อนไปทั้งใบหน้าราวกับคางคก นางตะโกนไปอย่างดุดัน “มู่ยิ่งเสว่ ข้ากลับมาแล้ว! รีบไสหัวเจ้ามาที่นี่ ข้าจะได้จัดการสั่งสอนเจ้าให้รู้ว่าใครเก่งกว่าใคร!”
ฉินมู่พลันตื่นเต้นขึ้นมาทันที และมายังใต้สังเวียนนั้นเพื่อรอชมการต่อสู้ ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นๆ แห่งเมืองขุนเขาสายฟ้าก็กรูกันเข้ามา สร้างฝูงชนที่แออัดยัดเยียดรอบๆ เวทีท้าประลอง
หญิงผู้หนึ่งร้องอย่างตื่นเต้น “อาจารย์พิษกำลังจะลงมือแล้ว!”
หญิงอีกคนหนึ่งก็คึกคักเต็มสูบ “นานมาแล้วที่ไม่ได้เห็นอาจารย์พิษลงมือ! ลือกันว่าตั้งแต่เมื่ออาจารย์พิษพบกับจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง อันก็เป็นยอดฝีมือล้ำเลิศในเต๋าแห่งพิษเช่นกัน ทั้งสองคนก็ได้ตกหลุมรักแรกพบ ประสานตาซึ่งกันและกัน พวกเขาถึงกับมีสัมพันธ์ชู้สาวอันยากจะบรรยาย หลังจากที่อาจารย์พิษกลับมา กำลังฝีมือของนางในเต๋าแห่งพิษก็เพิ่มพูนอย่างน่าแตกตื่น และรุดหน้าไปในมรรคาแห่งพิษยิ่งกว่าเดิม เข้าไปถึงเขตขั้นอันแม้แต่ภูตผีและเทพเจ้าก็ไม่อาจทำนายได้! ใครจะกล้าท้าทายนาง”
“เจ้าจำหญิงผู้นี้ไม่ได้หรือ นางมิใช่ใครอื่น นอกเสียงจากยอดฝีมือวิชาพิษแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ชิงฉาน นางนั้นก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือหัวกะทิในเต๋าแห่งพิษ ครั้งหนึ่งนางเคยต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งอาจารย์พิษและพ่ายแพ้ไป และใบหน้าของนางก็ถูกทำลายจากน้ำมือของอาจารย์พิษ!”
…
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ เขาและมู่ยิ่งเสว่มีสัมพันธ์ชู้สาวอันยากจะบรรยายตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
เขานั้นต่อสู้กับนางด้วยยาพิษชัดๆ และทั้งคู่ก็ดิ้นรนสุดฝีไม้ลายมือที่จะทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นสิ่งอัปลักษณ์ผิดรูป นั่นไม่เห็นจะหวานซึ้งชวนฝันตรงไหน แต่สามารถมองได้ว่าเป็นการชื่นชมความสามารถซึ่งกันและกันได้อยู่
แต่นางก็จูบข้า
เมื่อเด็กหนุ่มจำเรื่องนี้ได้ หัวใจเขาก็เต้นตึกตักอย่างรุนแรง และอารมณ์ความรู้สึกอันผิดแผกแตกต่างจากไปก็เอ่อท้นขึ้นมาในตัวเขา เขาพลันฟื้นจากภวังค์ด้วยความตื่นตระหนก แย่ล่ะ! หัวใจข้าเต้นถี่ขึ้น และเลือดที่ไหลขึ้นมาที่ใบหน้า ลมหายใจข้าก็กระชั้นสั้น และมีความรู้สึกอุ่นๆ ในก้อนหัวใจเมื่อข้านึกถึงนาง หรือว่านี่จะเป็นพิษคะนึงหาที่พี่สาวมู่ฝังไว้ในตัวข้าเกิดกำเริบขึ้นมา แต่ทว่ายาพิษนี้ดูไม่เห็นเป็นอันตรายอะไร เอ้อ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล…
เขาเสความคิดไปนึกถึงหลิงอวี้จิว ซีอวิ๋นเซี่ยง เหออีอี และเด็กสาวคนอื่นๆ ความรู้สึกอุ่นๆ ในอกก็พลันหายวับ
ดูเหมือนว่ารับมือกับพิษคะนึงหาก็ไม่ได้ยากสักเท่าไร เด็กหนุ่มตั้งตัวใหม่
“มู่ยิ่งเสว่ เจ้าไม่กล้าโผล่หน้ามาหรืออย่างไร” หญิงในชุดดำยิ้มหยัน “เจ้าไม่ใช่คนหน้าตัวผู้ ซุกหางไว้หว่างขาแล้ววิ่งหนีไป ไม่น่าใช่แนวทางของเจ้านี่!”
ในตอนนั้นเอง เสียงหัวเราะเบาๆ ก็ดังมา และเถาวัลย์เขียวพลันงอกเงยอย่างเร็วจี๋ในที่ไกลๆ พวกมันเริ่มต้นที่คฤหาสน์ใจกลางเมือง และขยายลำใหญ่มหึมาขึ้นเรื่อยๆ จนดูราวกับมังกรเขียวมากมาย ใบไม้เขียวมหึมาผลิออกมาอย่างรวดเร็ว และเถาวัลย์พวกนั้นก็ยาวเหยียดมากขึ้นทุกที
ในไม่กี่อึดใจ เถาวัลย์ก็ยาวพาดผ่าระยะทางสามสี่ลี้ และมายังเหนือแท่นสังเวียนนี้
เป๊าะ
เสียงเป๊าะเบาๆ ดังออกมา เมื่อดอกตูมขนาดยักษ์งอกออกมาจากเถาวัลย์เขียว มันเบ่งบานออกมาเผยให้เห็นดรุณีสาวผู้มีผิวขาวสล้างกระโดดดอกจากดอกไม้ ก่อนที่นางจะลงเหยียบถึงพื้น เมล็ดพันธุ์บนพื้นก็งอกเงยขึ้นมาและมีดอกไม้ใหญ่อีกดอกเบ่งบานรอ
มู่ยิ่งเสว่เหยียบลงไปบนเกสรดอกไม้ด้วยเท้าอันเปลือยเปล่าแทนที่จะเหยียบลงแตะพื้น นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อวี้ชิงฉาน ครั้งก่อนนั้นเจ้าพ่ายแพ้แก่ข้าและยังไม่ทันได้ถอนซากพิษที่ข้าทิ้งไว้ในกายเจ้าเลย ใบหน้าที่เคยสะสวยของเจ้า ตอนนี้เต็มไปด้วยหูด เจ้ามาที่นี่คราวนี้ ไม่เรียกว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ”
อวี้ชิงฉานหัวเราะเบาๆ “ฮี่ๆๆ เจ้าคิดว่าฝีมือข้าไม่รุดหน้าเลยหรือ ในเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้? หลังจากที่ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าและเสียโฉม ชายที่ไหนจะกล้ามองดูใบหน้าของข้า คู่วิวาห์เยือนของข้าก็หายไปกันหมด”
มู่ยิ่งเสว่รู้สึกเสียใจไปด้วยกับนาง “พวกเราผู้ซึ่งหลอมปรุงพิษนี้นับว่ามีชายไม่กี่คนกล้าเข้าหาจริงๆ เพราะถึงอย่างไร หากพลาดพลั้งไปสักนิด พวกเขาก็จะถูกยาพิษจนถึงตาย พี่สาวชิงฉาน พวกเราล้วนแต่ร่วมเคราะห์นี้ด้วยกันทั้งนั้น และควรที่จะเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน แต่ทว่า…”
นางเผยยิ้มออกมา และสีหน้าของนางก็แช่มชื่นเบิกบานอีกครั้ง “ข้าได้พบกับรักแท้เพียงหนึ่งเดียวของข้าแล้ว! เขาก็เป็นยอดฝีมือวิชาพิษ อันดับสามในโลกหล้า! รักแท้เพียงหนึ่งเดียวของข้าก็ได้เข้ามายังแผ่นดินตะวันตกเพื่อตามหาข้าแล้ว ดังนั้นพี่สาวชิงฉาน โปรดให้อภัยน้องสาวผู้นี้ที่ไม่สามารถไปร่วมขึ้นคานกับเจ้าได้!”
ฉินมู่กลั้นยิ้มไม่ไหว มู่ยิ่งเสว่ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งแปลกคนแบบนี้เสมอ แต่ทว่าเขามิได้เข้าแผ่นดินตะวันตกมาเพื่อตามหานางเพียงเรื่องเดียว
อวี้ชิงฉานหัวเราะคิกๆ และกล่าว “เจ้ามีเพื่อนผู้รู้ใจ และโชคดีที่ข้าก็มีเหมือนกัน เพื่อนชายของข้านั้นดีกว่าของเจ้าเป็นร้อยเท่า เขามิใช่ใครอื่นนอกเสียจากผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน ผู้ซึ่งมีวิชาฝีมือในเต๋าแห่งพิษอันเลิศล้ำเหนือธรรมดา! ด้วยการชี้แนะของเขา ข้าได้ฝึกปรือเต๋าแห่งพิษของข้าจนถึงเขตขั้นดวงวิญญาณ มู่ยิ่งเสว่ นังโสเภณีน้อย ข้าจะไม่เพียงให้เจ้าถอยลงไปจากตำแหน่งอาจารย์พิษ แต่จะให้เจ้าตายโดยไร้ที่กลบฝังด้วย!”
สีหน้ามู่ยิ่งเสว่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย “ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลัน? ผู้สูงศักดิ์นั้นเป็นที่เลื่องลือในด้านพิษหมอผี และพิษดวงวิญญาณใช่ไหม มิน่าล่ะพี่สาวถึงกล้ามาท้าทายข้าถึงในเมืองขุนเขาสายฟ้า ผู้สูงศักดิ์นั่นคงพอมีฝีมืออยู่บ้าง”
อวี้ชิงฉานยิ้มหยันใส่นาง “ตอนนี้เจ้าคงกลัวแล้วสินะ นังโสเภณีน้อย วันนี้ข้าจะท้าพนันกับเจ้า!”
มู่ยิ่งเสว่แย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ถึงกับกลัว ตั้งแต่ข้าได้ต่อสู้กับคนรักหนุ่มของข้า เต๋าแห่งพิษของข้าก็ได้รุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด และข้ามิใช่คนเก่าฝีมือเดิมๆ อีกต่อไป อย่าว่าแต่เจ้า ต่อให้ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันมาตามหาข้า ข้าก็ยังแพร่พิษเขาให้ตายดับไปด้วยเพียงดีดนิ้ว แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็อุตส่าห์ดั้นด้นมาท้าทายข้า จะไม่รับคำท้าก็คงไม่ถูกต้องนัก แล้วเจ้าต้องการพนันอะไรล่ะ”
“พวกเราจะพนันด้วยผู้ชายของเจ้า!” อวี้ชิงฉานพลันยกนิ้วของนางขึ้นมาชี้ลงไปข้างล่างแท่นสังเวียน ตรงไปยังฉินมู่ พลางหัวเราะคิกๆ “ชีวิตของผู้ชายของเจ้า!”
รอบกายของฉินมู่พลันโล่งว่าง เมื่อทุกคนแตกฮือออกไป มิให้ตนเองเข้าไปโดนลูกหลง เขายืนแต่เพียงลำพังตรงจุดเดิม แม้แต่เสียงฉีเอ๋อก็ถูกกิเลนมังกรพาโดดหนีไปแล้ว
ฉินมู่ค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเขามองไปที่เวทีและยิ้มอย่างจนปัญญาไปให้หญิงสาวบนแท่นสังเวียนนั้น พลางครุ่นคิดในใจ วิชาสะกดรอยของแผ่นดินตะวันตกนี้ล้ำเลิศจริงๆ ข้าไม่เคยหลบหนีไปได้เลย
มู่ยิ่งเสว่จิตใจฟ่องฟูขึ้นมาและอยากที่จะกระโดดลงไปจากแท่นเวที แต่นางก็พลันชะงัก
ในเมื่อนางขึ้นมายืนบนลานประลองแล้ว การกระโดดลงไปก็หมายความว่านางยอมแพ้ และลงจากตำแหน่งอาจารย์พิษ นั่นจะเป็นการปราชัยโดยมิได้ต่อสู้
“ก็ได้ พวกเราจะเดิมพันกันด้วยผู้ชายของข้า!” ด้วยความตื่นเต้น มู่ยิ่งเสว่หันกลับไปแย้มยิ้มแก่คู่ต่อสู้ “เจ้าหลอมรวมพิษดวงวิญญาณเข้ากับเวทมนตร์แผ่นดินตะวันตกของเราในการปลุกพรายวิญญาณ และใช้สารพิษทั้งหลายบนแท่นสังเวียนนี้เพื่อหลอมปรุงออกมาเป็นสิ่งมีชีวิตมหึมา อันนับว่าไม่ธรรมดา กำลังฝีมือของเจ้าได้เพิ่มพูนขึ้นมาจากเมื่อก่อนเป็นอย่างมาก แต่ข้าก็สามารถใช้สารพิษบนลานประลองนี้เพื่อจัดการมันได้”
เท้าเปลือยเปล่าของนางแตะกับเกสรดอกไม้อย่างแผ่วเบา และดอกไม้พิษก็เบ่งบานออกมาพร้อมกับหญ้าพิษ แมลงและคางคกพิษทั้งหลาย “พี่สาวชิงฉาน เจ้านั้นอยู่แค่ขั้นวิชาพิษ แต่ข้าได้เข้าสู่เขตขั้นมรรคาเต๋าแล้ว กระจ่างแจ้งถึงทุกสิ่งทุกอย่างอันเหนือความเข้าใจในเต๋าแห่งพิษ เจ้าคิดว่าเจ้าได้ลงมือกับข้าล่วงหน้าก่อนหนึ่งก้าว และชิงความได้เปรียบมา แต่เจ้าไม่รู้ตัวเลยว่า ความได้เปรียบของเจ้าน่ะ มันไม่มีมาตั้งแต่แรกแล้ว”
สิ่งพิสดารอัศจรรย์พลันเกิดขึ้น และดอกไม้พิษ หญ้า แมลง และคางคกพิษทั้งหลายก็เริ่มแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ เปลี่ยนจากสิ่งหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง วิวัฒน์จากพิษชนิดหนึ่งไปยังอีกชนิด เวทมนตร์เสกสรรของนางนับได้ว่าทั้งพิสดารและลึกลับ
ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่งใจไม่รู้จบ ตั้งแต่เมื่อมู่ยิ่งเสว่พ่ายแพ้ให้แก่เขา ความสำเร็จของนางในทุกสิ่งมีดวงจิตได้เติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีขีดจำกัด แม้แต่วิชาเสกสรรของนางก็กลายเป็นลึกลับและพิสดาร
อวี้ชิงฉานตวาดออกมาด้วยเสียงดุดัน และแมงมุมใหญ่ใต้เท้าของนางก็กวัดแกว่งกรงเล็บของมัน สังเวียนนี้ไม่ใหญ่ไม่โต ดังนั้นเมื่อแมงมุมพิษอันใหญ่จนกินพื้นที่ครึ่งสังเวียนเริ่มลงมือ ก็มีพื้นที่ให้มู่ยิ่งเสว่หลบหลีกได้ไม่มาก!
ไข่พิษข้างใต้ท้องแมงมุมพิษปริออกมาและแปรเปลี่ยนเป็นแมงมุมตัวเล็กๆ นับหมื่นที่เกลื่อนไปทั่วเวทีประลอง และกรูกันเข้าไปหามู่ยิ่งเสว่
แต่กระนั้น ไม่ทันที่สัตว์พิษพวกนี้จะไปถึงตัวนาง พวกมันก็พลันชะงักค้างและแตกสลาย แมงมุมยักษ์เองก็หวีดร้องโหยหวน ก่อนจะแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ
อวี้ชิงฉานเหินขึ้นไปบนอากาศอย่างร้อนรน พลางตะโกนไปอย่างดุดัน “แล้วข้าจะมาล้างแค้นใหม่คราวหน้า!”
“พี่สาว ไว้ชาติหน้าค่อยมา”
มู่ยิ่งเสว่สะบัดแขนเสื้อ และอวี้ชิงฉานก็ร่วงลงมากลายเป็นกองเลือด
……………………………
[1] ฟู่ฉู่ หรือโอพอสซัม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคล้ายหนู
“สารเลว!”
ในพริบตาที่อวี้หรูอี้เสียชีวิต ทั้งตระกูลหลิ่วก็ตื่นตระหนก และโลงดำมากมายเปิดออกมาดังปังๆๆ อย่างต่อเนื่อง เงาร่างอันแข็งแกร่งเหาะขึ้นไปบนอากาศตามๆ กัน!
และยังมีโลงศพจำนวนหนึ่งที่เปิดออกมาโดยไม่มีผู้ใดอยู่ในนั้น ในทางกลับกัน มีคลื่นสะเทือนอันน่าสะพรึงกลัวมาจากข้างใน และมีแสงเทวะคุกรุ่นอยู่ แม้ว่าจะไม่มียอดยุทธฝีมือแกร่งโผล่หน้ามา แต่มันก็ยังน่าแตกตื่น!
แม้ว่าตระกูลหลิ่วจะไม่เผยแสนยานุภาพทั้งหมดของพวกเขา แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นกำลังความสามารถของพวกเขาจึงมิใช่เรื่องเล่นๆ!
หุบเขาฝังเทพยดานั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลหลิ่ว ดังนั้นเมื่อฉินมู่ลงมือสังหารอวี้หรูอี้ในอาณาบริเวณนี้จึงไปแตะต้องข้อห้ามของตระกูลหลิ่ว ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ที่ตายยังเป็นยอดฝีมือจากตำหนักสวรรค์แท้ อันทำให้ตระกูลหลิ่วอันเป็นผู้เหย้าต้องบันดาลโทสะ
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
เงาร่างต่างๆ ปรากฏล้อมฉินมู่เอาไว้ และสายลมพลันเต็มไปด้วยความเย็นเยียบชั่วร้าย ร่างเหล่านั้นวูบวาบราวกับว่าพวกเขายืนอยู่ในเมฆมืด ไม่อาจมองเห็นใบหน้าได้ ยากที่จะบอกว่าเป็นคนหรือภูตผี
ขณะที่เงาร่างหนึ่งจะฉีกทึ้งเด็กหนุ่มที่จองหองอวดดีผู้นี้เสีย มันก็เห็นลูกแก้วมังกรเขียวในมือเสียงฉีเอ๋อและชะงักไป ไม่กล้าเข้าไปใกล้
“ทุกคนหยุดก่อน!” หลิ่วหรูยินสั่งด้วยสีหน้าอันว้าวุ่นและขุ่นเคือง “พวกเจ้าทั้งหมดอย่าขยับ!”
นางหันกลับไปมองฉินมู่ และเห็นเขายัดเนตรหยกลูกใหญ่นั้นกลับเข้าไปในถุงเต๋าตี้ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทาริกาของนางปรบมือหัวเราะร่าด้วยความเบิกบาน อยากให้ฉินมู่เล่นกลเมื่อครู่อีกครั้ง
หลิ่วหรูยินรู้สึกปวดหัวจี๊ด เมื่อนางมองไปยังซากร่างของอวี้หรูอี้ข้างๆ นาง ศีรษะนางก็ปวดหัวยิ่งกว่าเดิม
เจตนาแรกของนางคือหมายจะให้ฉินมู่และอวี้หรูอี้พบปะกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเจรจาสันติภาพกันได้หรือจะต่อสู้กัน ก็ให้ไปทำนอกแดนของตระกูลหลิ่ว
นางเพียงแค่ต้องระวังป้องกันมิให้อวี้หรูอี้ลงมือสังหารเด็กหนุ่มเท่านั้น ส่วนฉินมู่ เจ้าเด็กโข่งผู้นี้ก็เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ นางไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด
นางไม่คิดเลยว่าแผนการอันเรียบง่ายเช่นนี้ จะต้องมีอันสะดุดติดขัด!
เพียงแค่อวี้หรูอี้ปรากฏตัวออกมา นางก็ถูกผ่าเป็นสองแล่งโดยฉินมู่ ไอ้วายร้ายนี่ และเขายังทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น นี่มันน่าชังแท้ๆ!
ผ่าอวี้หรูอี้เป็นสองเสี่ยงนี่ก็พอทำเนา แต่ประเด็นสำคัญคือมันเกิดขึ้นในหุบเขาฝังเทพยดา อันทำให้ตระกูลหลิ่วดูเหมือนจะเป็นผู้ทรยศ
หากว่าตำหนักสวรรค์แท้ตัดสินใจที่จะลงโทษพวกเขา ตระกูลหลิ่วจะแบกรับไหวหรือ
อย่างไรก็ดี ส่งไอ้วายร้ายนี่ไปยังตำหนักสวรรค์แท้ ก็คงจะพอช่วยให้พวกเรารอดพ้นโทษทัณฑ์ได้ หลิ่วหรูยินกะพริบตาปริบ พลางมองไปข้างหน้า แต่ทว่า ลูกแก้วมังกรเขียวอยู่ในมือขององค์หญิงน้อย ดังนั้นมิอาจตอแยนาง…
ในตอนนั้นเอง ก็มีกลิ่นหอมอันหอมหวนพัดมา และหญิงอื่นๆ จากตำหนักสวรรค์แท้ก็ลอยเข้ามา เมื่อพวกนางเห็นศพของอวี้หรูอี้บนพื้น พวกนางก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด และตะโกนไปด้วยเสียงอันเฉียบขาด “หลิ่วหรูยิน นี่มันอะไร”
หลิ่วหรูยินปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งกว่าเดิม “นี่เป็นการกระทำของจ้าวลัทธิฉินจากแผ่นดินภาคกลาง ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลหลิ่วของข้า…”
หนึ่งในหญิงพวกนั้นตะโกนใส่หน้านางอย่างดุดัน “ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิ่วของเจ้า? หลิ่วหรูยิน เจ้าพูดง่ายดายเหลือเกินนะ แต่ผู้ที่ตายนี้เป็นผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ของข้า ตระกูลหลิ่วของเจ้า ลืมไปได้เลยที่จะซุกหัวหนีความรับผิดชอบ!”
หญิงอีกคนก้าวออกมาอย่างดุร้าย “ประมุขหลิ่ว หากว่าตระกูลหลิ่วของเจ้ายังอยากมีชีวิตรอด ก็รีบจัดการไอ้เด็กแซ่ฉินและส่งมันไปให้ตำหนักสวรรค์แท้ เจ้าตำหนักสามารถเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อนและไม่ทำให้พวกเจ้าลำบากมากนัก มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลหลิ่วก็อาจจะถูกทำลายล้างและลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์พร้อมกันทั้งหมด!”
ขณะที่หลิ่วหรูยินกัดฟันกรอดๆ เสียงของฉินมู่ก็ลอยมาถึงหูนาง มันเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น “พี่สาวหรูยิน ไหนท่านว่ามีแต่อวี้หรูอี้ที่มาจากตำหนักสวรรค์แท้ไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่านางอยู่คนเดียวเสียอีก แล้วพี่สาวพวกนี้เป็นใครกัน”
หลิ่วหรูยินถลึงตาจ้องเขาหนักๆ จากนั้นยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน ข้าพูดแค่ว่ามีคนที่ชื่ออวี้หรูอี้มาจากตำหนักสวรรค์แท้เท่านั้น แต่ข้าไม่ได้พูดว่านางมาตามลำพัง ข้ายังบอกว่ามีศิษย์พี่หญิงจำนวนหนึ่งมาจากตำหนักสวรรค์แท้ด้วยนี่ มิใช่หรือ”
ฉินมู่พลันกระจ่างขึ้นมาและแย้มยิ้ม “ข้านั้นวู่วามเกินไป ข้าคิดว่าสังหารพี่สาวคนเดียวก็น่าจะพอแล้ว”
หลิ่วหรูยินโกรธจนโลดเต้นและกล่าวอย่างเย็นเยียบ “จ้าวลัทธิฉิน บัดนี้เจ้าได้สังหารผู้อาวุโสแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และทำลายความความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลิ่วของข้าและตำหนักสวรรค์แท้ มาสั่งสอนขนาบข้าเช่นนี้ ข้าควรทำอย่างไรล่ะ”
ฉินมู่ลุกขึ้นและแย้มยิ้มแก่นาง “พี่สาวหรูยิน ข้าเพิ่งมาจากตระกูลเหอ และพี่สาวอีอีก็กำลังวางแผนที่จะรวมกำลังตระกูลใหญ่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน เพื่อหารือว่าจะล้มล้างเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ที่ขึ้นสู่อำนาจด้วยการก่อกบฏอย่างไร นางเอาแต่ก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้สวรรค์พิโรธและผู้คนเดือดดาล”
“เมื่อใดที่ตระกูลอวี้แข็งแกร่งขึ้นกว่านี้ ตระกูลหลิ่วของท่านก็เป็นเพียงอาหารที่ตั้งไว้บนโต๊ะ เพียงแค่อวี้หรูอี้และพี่สาวสามสี่คนนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลหลิ่วของท่านเชื่องหงอ ในเมื่อตระกูลอวี้สามารถฆ่าล้างโคตรตระกูลเสียงได้เหลือเพียงแค่แม่ลูกอยู่สองคน พวกท่านไม่กังวลเลยหรือไร”
หลิ่วหรูยินตื่นตระหนก คำพูดของฉินมู่มีเหตุมีผล ในเมื่ออวี้หรูอี้ตกตายในกลางแดนตระกูลหลิ่ว ตำหนักสวรรค์แท้ย่อมไม่ปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ เป็นแน่ ตระกูลหลิ่วจะต้องถูกพัวพันเข้าไปด้วยแน่นอน และต่อให้พวกเขาไม่ตกตาย พวกเขาก็ยังต้องบรรณาการสมบัติวิเศษมากมายให้แก่ตำหนักสวรรค์แท้เพื่อไถ่ถอนโทษ
และสมบัติวิเศษที่สุดของตระกูลหลิ่ว ก็คือร่างศพของพวกเขา
แต่ทว่า ฉินมู่ ไอ้วายร้ายนี่มีจิตคิดคด และจงใจลากเอาตระกูลหลิ่วไปกับเขาด้วยเพื่อต่อสู้กับตำหนักสวรรค์แท้ด้วยกัน
แต่กระนั้น เขาก็กล่าวว่าเหออีอีกำลังรวบรวมตระกูลใหญ่ทั้งหมดเพื่อปรึกษาหารือ และนี่ทำให้หลิ่วหรูยินหวั่นไหวเป็นอย่างยิ่ง
ตระกูลอวี้ไม่มีจิตเมตตาต่อใคร และเมื่อจัดการตระกูลเสียงพวกเขาก็อำมหิตอย่างถึงที่สุด แทบจะสังหารไม่เหลือทั้งไก่และสุนัข
แม้ว่าตระกูลเสียงจะปักหลักยึดครองตำแหน่งเจ้าตำหนักอยู่เสมอ และทำให้ตระกูลอื่นอิจฉาริษยา แต่ก็นับว่ามีการจัดการเรื่องต่างๆ อย่างเป็นธรรม
แต่ทว่า ตระกูลอวี้นั้นแตกต่างออกไป ตระกูลเสียงมีประชากรเรือนล้านและครอบครองอิทธิพลอำนาจอย่างใหญ่หลวง แต่ตระกูลอวี้ถึงกับขจัดกวาดล้างพวกเขาทั้งหมดสิ้น เหลือก็แต่เสียงซีอวี่และธิดาของนางที่หนีออกไปจากแผ่นดินตะวันตก คนอื่นๆ ล้วนแต่ถูกเข่นฆ่า
นั่นแค่คำว่าอำมหิตคงบรรยายไม่เพียงพอ
หากว่าพวกเราสามารถฉวยโอกาสนี้เพื่อล้มล้างตระกูลอวี้…
หลิ่วหรูยินมองไปที่ฉินมู่และลังเล ยอดฝีมือคนอื่นๆ ในตระกูลยังคงเดือดดาลอยู่ แต่ก็มีหลายคนที่ใคร่ครวญข้อเสนอของฉินมู่อย่างจริงจัง
เขาแย้มยิ้มและกล่าว “พี่สาวหรูยิน ตระกูลเสียงเหลือเพียงแค่แม่ม่ายและธิดากำพร้า แม้ว่าเสียงซีอวี่จะทวงคืนตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับมาได้ แต่พวกนางเพียงสองคนจะปกครองทั้งแผ่นดินตะวันตกได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าพวกนางก็ต้องยืมอิทธิพลอำนาจของตระกูลใหญ่ของพวกท่านหรอกหรือ”
“หากว่าตระกูลอวี้ยังคงเป็นประมุขแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกท่านก็ย่อมไม่มีทางเข้าไปมีเอี่ยวกับผลประโยชน์พวกนี้ แต่ทว่า ในวันที่ตระกูลเสียงยึดตำแหน่งกลับมา ก็จะเป็นวันที่ตระกูลใหญ่ของพวกท่านทั้งหมด เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักสวรรค์แท้”
หลิ่วหรูยินตกลงใจได้และมองไปยังเด็กหญิงข้างๆ ฉินมู่ “แก้วตา เจ้ามีความเห็นอย่างไร”
เด็กหญิงน้อยผู้นั้นแย้มยิ้มและกล่าว “ในเมื่อท่านแม่ตกลงใจมั่นเหมาะแล้ว ทำไมต้องถามข้าด้วย ท่านแม่สามารถตัดสินใจได้เลย”
ฉินมู่มองไปที่เด็กหญิงน้อยอันดูอายุอานามพอๆ กับเสียงฉีเอ๋อ และแตกตื่นสะท้านขวัญ เขารีบดึงเสียงฉีเอ๋อเข้าไปในอ้อมแขนและขยับถอยห่างออกจากนาง
เด็กหญิงผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน หลิ่วหรูยินมิได้ถามความคิดเห็นของผู้อาวุโสทั้งหลายแห่งตระกูลหลิ่วหรือโลงศพอันเปล่งแสงเทวะออกมา แต่กลับไปถามความคิดเห็นของเด็กหญิงน้อย นี่แสดงว่าเด็กหญิงผู้นี้จะต้องเป็นบุคคลอันกลอกกลิ้งร้ายกาจ ซึ่งอาจจะเป็นมันสมองของตระกูลหลิ่ว!
นางส่งยิ้มหวานให้แก่เขา “เดิมทีข้าก็ติดขัดลังเลอยู่ว่าจะกบฏต่อต้านตระกูลอวี้ดีหรือไม่ และจ้าวลัทธิก็ช่วยข้าได้มากในการตัดสินใจนี้”
ข้างๆ นั้น หลิ่วหรูยินมองไปยังพวกสตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และหัวเราะร่า “ศิษย์พี่หญิงทั้งหลายไม่ต้องกังวลไป หลังจากที่พวกท่านตายไปแล้ว พวกเราก็จะปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาในร่างพวกท่าน ส่วนพวกท่านจะยังเป็นคนเดิมหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาหรือไม่ ข้าบอกพวกท่านได้เลยว่า มันจะไม่ใช่พวกท่านคนเดิมอย่างแน่นอน ทุกท่าน ช่วยส่งศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้พวกนี้ไปสู่สุคติ!”
สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้สบถด่าและพยายามสู้กลับ แต่ต่อให้กำลังฝีมือของพวกนางจะไม่ธรรมดา ก็ยังยากที่พวกนางจะหลบหนีความตายในหุบเขาฝังเทพยดาไปได้ ผู้อาวุโสคนหนึ่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้พยายามที่จะคลายผนึกบนโลงศพเทพยดาทองคำ หมายที่จะใช้ซากศพในนั้นมาต่อสู้กับยอดฝีมือตระกูลหลิ่ว แต่ขณะที่นางเพิ่งปลดไปได้หนึ่งผนึก แสงเทวะก็พลันพวยพุ่งออกมาจากโลงหนึ่ง และหลั่งไหลเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของนาง จิตวิญญาณดั้งเดิมของนางพลันละลายหายไป และเหลือแต่ซากศพที่ล้มตึง
ฉินมู่ตัวสั่นเทิ้มอย่างกลั้นไม่อยู่
กำลังฝีมือของตระกูลหลิ่วนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างเหลือแสน หากว่าไม่ใช่เพราะลูกแก้วมังกรเขียวของเสียงฉีเอ๋อ ก็คงยากที่จะสยบพวกเขา
และที่น่าสยองเข้ากระดูกไปกว่านั้นก็คือเด็กหญิงอันดูไร้พิษสงผู้นี้ หลิ่วหรูยินบอกให้นางอยู่เป็นเพื่อนเขานั้นดูคล้ายจะเป็นการพูดตามสถานการณ์ แต่จริงๆ แล้วเป็นแผนที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้า หากว่าเด็กหญิงน้อยพลันลงมือพิฆาต ฉินมู่และเสียงฉีเอ๋อคงตายโดยไร้ที่กลบฝัง
สาเหตุที่หลิ่วหรูยินสามารถนั่งบนเก้าอี้ประมุขได้ เด็กหญิงผู้นี้ก็คงมีส่วนไม่น้อย
ฉินมู่ไม่สนใจสถานการณ์ภายนอกและถามด้วยรอยยิ้ม “แก้วตา เจ้าชื่อว่าอะไรหรือ”
เด็กหญิงเงยศีรษะขึ้นมาและส่งยิ้มหวานให้เขา “จ้าวลัทธิฉิน นามของข้าคือหลิ่วเจินชิง”
“หลิ่วเจินชิง”
ฉินมู่ผงกหัว ยิ้มไร้เดียงสาของนางสามารถสูสีคู่คี่กับยิ้มใสซื่อของเขาได้ ทั้งคู่สามารถทำให้ผู้คนคลายการระวังป้องกัน และเขาจึงรู้ว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยถ้าจะไปตอแยนาง
เด็กหญิงน้อยแห่งแผ่นดินตะวันตกมิอาจดูแคลน
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง สตรีจากตำหนักสวรรค์แท้ก็ถูกยอดฝีมือตระกูลหลิ่วสังหารอย่างหมดจด และขณะที่ฉินมู่พาหลิ่วเจินชิงและเสียงฉีเอ๋อไปทางข้างๆ นั้น เขาก็เห็นผู้อาวุโสตระกูลหลิ่วคนหนึ่งเอารากไม้ออกมาและแตะลงบนศพยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ ศพของพวกนางก็พลันลุกขึ้นยืน
มันน่าจะเป็นเวทมนตร์ของตระกูลหลิ่วที่ปลุกพรายวิญญาณขึ้นมา และมันเป็นสาขาหนึ่งของวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติที่ฉินมู่ก็ได้ฝึกปรือ แต่การที่ได้เห็นพรายวิญญาณถูกปลุกขึ้นมาในศพ ก็ยังน่าแตกตื่นสะท้านขวัญอยู่ดี
“จ้าวลัทธิฉิน พรายวิญญาณที่ฟื้นขึ้นมาในศพ มิใช่ดวงวิญญาณเดิมของเจ้าของร่าง” หลิ่วเจิงชิงมองไปยังหลิ่วหรูยินที่อยู่ห่างออกไปและกระซิบ “นางมิใช่หลิ่วหรูยิน และข้าก็มิใช่ทาริกาของนาง”
ฉินมู่ตะลึงและฉงน “แต่เจ้าก็ยังเรียกนางว่าแม่และนางก็เรียกเจ้าว่าแก้วตา”
“ตระกูลหลิ่วไม่มีความสัมพันธ์ของครอบครัวและไม่มีการสืบทอดสายเลือด โลหิตของพวกเราเย็นเฉียบ” หลิ่วเจินชิงกล่าวด้วยสีหน้าหมอง “เมื่อข้าเรียกนางว่าท่านแม่ ข้ารู้สึกอุ่นขึ้นมานิดๆ ในร่างศพของข้า ราวกับว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ นางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน”
ฉินมู่มองไปยังหลิ่วหรูยินที่เดินตรงมาทางพวกเขาด้วยรอยยิ้ม พรายวิญญาณที่ก่อกำเนิดขึ้นมาจากซากศพอาจจะมีเลือดในกายเย็นเยียบ แต่พวกเขามีอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ ช่างเป็นสิ่งที่ผิดไปสุดขั้วกับผู้คนที่อาจจะมีเลือดอุ่นๆ ในร่าง แต่ไม่มีเยื่อใยความเป็นมนุษย์เลยสักนิด
“จ้าวลัทธิฉิน ท่านพอใจหรือยัง” หลิ่วหรูยินมองไปที่เขาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เชิงยิ้ม
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ แล้วโค้งจนแทบหัวจรดพื้น “พี่สาวหรูยิน ยกโทษให้ข้าด้วย แต่ท่านเองก็วางแผนใส่ข้าเหมือนกันมิใช่หรือ ที่ปล่อยเจินชิงไว้ข้างๆ ข้า”
หลิ่วหรูยินโค้งคารวะตอบและถอนหายใจ “กระนั้นข้าก็ยังไม่เด็ดขาดดุดันเท่ากับเจ้า”
“ข้าไม่มีทางเลือก มิเช่นนั้นข้าคงมิอาจร่วมพันธมิตรกับพี่สาวได้” ฉินมู่มองสำรวจโลงศพเทพยดาและถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ในโลงศพเทพนั้นมีใครอยู่หรือ ทำไมเขาถึงถูกผนึกเอาไว้ ข้าเห็นแสงเทวะพุ่งออกมาจากโลงศพจำนวนหนึ่ง หรือพวกเขาก็เป็นเทพและมารเช่นเดียวกัน”
หลิ่วหรูหยินส่ายหัว “ผู้อาวุโสที่ตายลงไป และถูกปลุกวิญญาณขึ้นมาใหม่เป็นสิบๆ หน ก็ได้ขัดเกลาร่างเนื้อของพวกเขาจนเป็นร่างเทวะ แต่ถึงอย่างไร พวกเขาก็แตกต่างจากเทพเจ้าในโลงศพทองคำนี้ ศพเทพยดาในนั้นคือเทพเที่ยงแท้”
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ และอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองดูอีกหลายรอบ
หลิ่วเจินชิงพลันกระแอมไอ และหลิ่วหรูยินก็เข้าใจความนัย นางกล่าวอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ท้องฟ้าก็มืดค่ำแล้ว เช่นนั้นทำไมจ้าวลัทธิฉินไม่ค้างที่นี่สักคืนก่อนล่ะ แล้วค่อยเร่งรุดเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ จ้าวลัทธิฉินสามารถพักอยู่ที่นี่ได้ในค่ำคืนนี้ โลงศพของข้า…จะเปิดฝาแง้มเอาไว้เล็กน้อย”
ฉินมู่ขนหัวลุก และหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง เขารีบกล่าวอย่างขึงขังทันที “ข้าได้สัญญากับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่เอาไว้ว่าจะไปพบนาง และข้าก็ถ่วงเวลาเนิ่นช้ามาเกือบปีแล้ว เวลากำลังไหลไปทุกขณะ ดังนั้นฉีเอ๋อและข้าจึงต้องรีบรุดไปตามทาง! ลาก่อน! ไม่ต้องไปส่งข้า!” หลังจากที่เขากล่าวจบ เขาก็ดึงมือเล็กๆ ของเสียงฉีเอ๋อ และเรียกกิเลนมังกรมา พวกเขาหนีไปจากหุบเขาฝังเทพยดาฝ่าความมืดข้างนอก
ฉินมู่ฟาดตูดกิเลนมังกรอย่างแรง และพวกเขาก็หนีไปด้วยความแตกตื่น
หลิ่วหรูยินพาธิดาของนางไปดูพวกเขาที่หนีหายไปในทิศไกลๆ และพวกนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังขุ่นเคือง
“ทำไมหาท่านพ่อมนุษย์ตัวอุ่นๆ นี่ช่างยากเย็นเหลือเกิน…” หลิ่วเจินชิงกล่าวอย่างท้อแท้
“ไม่ต้องห่วง แม่จะหาพ่อดีๆ ให้เจ้าเอง” หลิ่วหรูยินปลอบใจนาง
เสียงฉีเอ๋อกอดลูกแก้วมังกรเขียว ในเมื่อมันค่อนข้างลูกใหญ่ ขนาดเท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ นางนั้นอายุเยาว์เกินไป และต้องประคองมันไว้ด้วยความพยายามอยู่หน่อยๆ
ฉินมู่เห็นปฏิกิริยาของหลิ่วหรูยิน และรู้ทันทีว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง ลูกแก้วมังกรเขียวนี้จำเป็นต้องใช้เด็กหญิงอันบริสุทธิ์ไร้เดียงสามาปลดปล่อยพลานุภาพของมันจริงๆ
มิน่าล่ะ แผ่นดินตะวันตกถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยนัก
หลิ่วหรูยินปิดหน้าของนางไว้ด้วยแขนเสื้อ เผยดวงตาเพียงข้างเดียว มันเป็นสีขาวผีสางและมีแก้วตาดำเล็กจิ๋วเท่าเม็ดถั่วเหลืองอยู่ตรงกลางอันดูพิลึกประหลาด
“จ้าวลัทธิ โปรดอย่าเข้าใจผิด”
ข้างหลังหลิ่วหรูยิน เสียงระเบิดดังมาอย่างต่อเนื่องไม่รู้จบ เมื่อ ‘ศพ’ ทั้งหลายที่ไม่รู้เป็นหรือตายร่วงกลับลงไปในโลงที่ปิดกลับเข้าไปเองโดยอัตโนมัติ
หลิ่วหรูยินก็กระโดดกลับเข้าไปในโลงของนางพลางหัวเราะคิกๆ “พวกเราเพียงแต่มาดูว่าองค์หญิงน้อยสบายดีหรือไม่ บัดนี้พวกเราพบว่าองค์หญิงปลอดภัยดี หรูยินก็ค่อยหายห่วง ลาก่อน!”
โลงนั้นงอกขาออกมาอีกครั้ง และวิ่งกลับไปทางหน้าผา
“ผู้นำตระกูลหลิ่ว โปรดรอสักประเดี๋ยว” ฉินมู่กล่าวทันที
หลิ่วหรูยินผู้ซึ่งกำลังจะปิดฝาโลงของนางก็ชะงักเมื่อได้ยินเขากล่าว นางยืดตัวขึ้นมาและเค้นรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิเหลือทางรอดให้พวกเราบ้าง อย่าอำมหิตนัก”
เสียงของนางสั่นเทิ้ม และดูเหมือนกับว่านางหวาดผวาอย่างเป็นที่สุด
ฉินมู่ฉงนฉงาย นี่มันก็แค่ลูกแก้วมังกรเขียวไม่ใช่หรือ
เสียงฉีเอ๋อถือมันอยู่ และแม้ว่านางจะสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของมันได้ แต่มันก็ไม่น่าจะน่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นนี่นา…ทำไมหลิ่วหรูยินและคนอื่นๆ ถึงต้องแตกตื่นขนาดนั้น
“ผู้นำตระกูลหลิ่ว พวกเจ้ามาตามคำสั่งของตำหนักสวรรค์แท้ใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ในเมื่อมันเป็นคำสั่ง ก็ต้องมียอดฝีมือแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ในตระกูลเจ้าสินะ? ข้าอยากจะพบพวกเขาเสียหน่อย ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลจะแนะนำให้ข้ารู้จักได้หรือไม่”
หลิ่วหรูยินตะลึงไปเล็กน้อย สีหน้าของฉินมู่ดูอบอุ่นราวสายลมฤดูใบไม้ผลิเมื่อเขาแย้มยิ้ม “ผู้นำตระกูลหลิ่วอาจจะยังไม่ทราบ แต่ข้าไม่มีจิตเจตนาร้ายต่อแผ่นดินตะวันตก ข้ามาที่นี่เพื่อเที่ยวชมทิวทัศน์และวัฒนธรรมพื้นถิ่นเท่านั้น สาเหตุที่ข้าพาองค์หญิงน้อยมาด้วย นั่นก็เพียงเพราะว่านางเป็นคนของแผ่นดินตะวันตกและคุ้นเคยกับภูมิประเทศมากกว่าข้า”
“คุ้นเคยกับภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตก?” หลิ่วหรูยินกะพริบตาใส่เขา
เสียงฉีเอ๋อนั้นอายุเพียงราวๆ หกขวบ และอาศัยอยู่แต่ในตำหนักสวรรค์แท้ตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งเดียวที่นางน่าจะคุ้นเคย ก็คงจะเป็นภูมิประเทศในเขตรั้วบ้านนาง อย่างนั้นนางจะมีความทรงจำภูมิประเทศของแผ่นดินตะวันตกได้อย่างไร ปล่อยให้เสียงฉีเอ๋อนำทาง ไม่แตกต่างอะไรจากปล่อยให้คนตาบอดคลำช้าง
จ้าวลัทธิฉินจากแผ่นดินภาคกลางผู้นี้ ช่างมีวิธีโกหกจริงๆ
คำพูดต่อไปของหลิ่วหรูยินจึงเลือกสรรเป็นอย่างดี “จ้าวลัทธิฉิน มังกรข้ามแม่น้ำไม่อาจสู้งูเจ้าถิ่น แม้ว่าปูมหลังความเป็นมาของท่านจะยิ่งใหญ่ แต่ตระกูลหลิ่วของข้าก็มิอาจตอแยได้โดยง่ายเช่นกัน โปรดระวังการดิ้นรนที่เอาชีวิตเป็นเดิมพันของพวกเรา”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความตื่นตระหนก “ผู้นำตระกูลหลิ่วพูดอะไรน่ะ ข้าเพียงแต่ต้องการพบกับศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เพื่อคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างข้ากับพวกเขา ข้ามิได้คิดอะไรไม่ดีเลย หากว่าข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ ข้าคงบอกให้องค์หญิงน้อยกระตุ้นการทำงานของลูกแก้วมังกรเขียวไปแล้ว และท่านคิดหรือว่าพวกท่านจะหนีรอดไปได้”
สีหน้าของหลิ่วหรูยินเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ แต่ทว่าฉินมู่ใจเย็นเป็นอย่างยิ่ง เขาเพียงแต่ยืนอยู่ที่นั่นและรอคำตอบของนาง
เขามิได้พูอะไรสักคำ และ ‘ศพ’ ทั้งหลายในโลงก็มิกล้าลงมือใดๆ
ผ่านไปสักพักหนึ่ง หลิ่วหรูยินก็หัวเราะคิกคัก และกล่าว “ในเมื่อจ้าวลัทธิฉินกล่าวเช่นนั้น ข้าจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร จ้าวลัทธิ โปรดเข้ามาในโลงศพของข้า และให้ข้าพาท่านไปยังตระกูลหลิ่วเพื่อพบปะศิษย์พี่หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ ข้าไม่รู้ว่าจ้าวลัทธิจะมีขวัญกล้าพอหรือไม่”
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แก่นาง “จะยากอะไรล่ะ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดลงจากหลังกิเลนมังกร เดินมายังข้างๆ โลงศพของหลิ่วหรูยิน
เมื่อเขามองไปข้างใน ก็อดสะท้านหวั่นไหวไม่ได้ โลงศพนี้เมื่อมองจากข้างนอกดูไม่ใหญ่โต แต่พื้นที่ข้างในนั้นน่าตระหนก ความกว้างและความยาวของมันมากกว่าสิบห้าวา และมีความลึกถึงเจ็ดแปดวาอีก มันเหมือนกับบ้านใหญ่หลังหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีโต๊ะ เก้าอี้ และกระทั่งเตียงหยก มันแบ่งออกเป็นหลายห้อง และมีทั้งครัวและห้องนั่งเล่น กระทั่งมีที่ให้คนรับใช้พักอาศัย ทำให้มันดูไม่ต่างอะไรไปจากราชวังประณีตและเล็กจิ๋วหลังหนึ่ง
ฉินมู่เดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อหลิ่วหรูยินกระโดดออกมาจากโลงศพ เขาก็กระโดดโหยงด้วยความตกใจ เขานึกว่าผีดิบได้กระโดดออกมา ไม่นึกเลยว่าอันที่จริงแล้วเป็นสถานที่พักอาศัยของนาง
เขามองไปยังโลงดำหลังอื่นๆ และครุ่นคิดสงสัย หรือว่าพวกมันทั้งหมดจะเป็นแบบเดียวกันนี้ เป็นสถานที่ที่ศิษย์ตระกูลหลิ่วพักอาศัย โลงศพเหล่านั้นงอกขาออกมาและเดินไปด้วยตนเอง แม้ว่าจะใช้วิธีการอันแตกต่างจากพี่สาวอีอีในการเสกเมืองให้เคลื่อนไหวได้ แต่ก็มหัศจรรย์และได้ผลลัพธ์ทำนองเดียวกัน
“มังกรอ้วน เจ้าก็เข้ามาด้วยสิ!” ฉินมู่หันไปส่งยิ้มให้กับเขา
กิเลนมังกรดูลังเลเล็กน้อย และส่ายหัว “จ้าวลัทธิ ข้านั้นถือโชคลางอยู่หน่อยๆ ดังนั้นข้าขอไม่เข้าไปดีกว่า”
ฉินมู่ด่าเขาด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ จากนั้นพาเสียงฉีเอ๋อเข้าไปในโลงศพ ทิ้งกิเลนมังกรไว้ข้างนอกหลิ่วหรูยินปิดโลงด้วยเสียงปัง และพวกเขาก็รีบจากไปพร้อมกับโลงศพอันวิ่งไปข้างหน้า บางโลงก็ลอยไปในอากาศ คุ้มกันหลิ่วหรูยินข้ามภูเขา
กิเลนมังกรตามไปข้างหลังพวกเขา และหลังจากข้ามเขาไปหลายลูก โลงดำของตระกูลหลิ่วมากมายก็ลอยว่อนไปมาราวกับเรือดำบนฟากฟ้า พวกมันก่อขึ้นมาเป็นแถวขบวนเมื่อเข้าไปในปากสุสานใหญ่มหึมา
กิเลนมังกรตัวสั่นเทาพลางบ่นพึมในใจ แต่ทว่า เขาก็ยังคงฝืนใจกล้าเข้าไปในสุสานนั้นพร้อมกับขบวนโลงศพ
ในโลง ฉินมู่นั่งพร้อมกับอุ้มเสียงฉีเอ๋อเอาไว้บนตัก หลิ่วหรูยินนั่งตรงกันข้ามกับเขา และทั้งสองฝ่ายมองซึ่งกันและกันอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศเคร่งขรึมเงียบงัน
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “ผู้นำตระกูลหลิ่ว ใครคือประมุขของพวกท่านหรือ”
แก้วตาดำเล็กเท่าเม็ดถั่วในดวงตาหลิ่วหรูยินหมุนเกลียววน ก่อนจะหดกลับมาเท่าเดิม นางส่งยิ้มกลับไปให้เขา “จ้าวลัทธิฉินเป็นคนนอก ดังนั้นท่านอาจจะไม่รู้เรื่องตระกูลหลิ่วของข้า ข้าเป็นประมุขของที่นี่”
ฉินมู่ตกตะลึง “ถ้าเช่นนั้น ข้าเรียกท่านว่าผู้นำตระกูลหลิ่วก็ถูกต้องแล้วสิเนี่ย พี่สาวหรูยิน วิชาตระกูลหลิ่วของท่านแปลกประหลาดเสียจริง เมื่อข้าเห็นพวกท่านเมื่อครู่นี้ ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งหมดเป็นซากศพเสียอีก! ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าทำไมจึงทำเช่นนี้”
หลิ่วหรูยินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ และตวัดตามองเขาด้วยความยินดีที่ปิดไม่มิด “ปากของเจ้าหวานจริงๆ ผู้คนของเผ่าพันธุ์ข้า โดยเฉพาะพวกผู้ชาย มีคนไหนบ้างที่กล้าปากหวานอย่างนี้เวลาเจอข้า แค่พวกเขาไม่ขวัญหนีดีฝ่อตายก็บุญขนาดไหนแล้ว! ผู้ชายตัวเหม็นบางพวกฉี่ราดด้วยความหวาดผวา และบางพวกก็วิญญาณกระเจิดกระเจิงหลุดจากร่าง ในทางกลับกัน จ้าวลัทธิกลับสามารถสนทนากับข้าอย่างแช่มชื่นและเรียกข้าว่าพี่สาวได้”
เสียงฉีเอ๋องุนงงและคิดในใจ ดูเหมือนพี่ชายจะเรียกผู้หญิงทุกคนที่เขาพบปะว่าพี่สาว…
ปราณศพรอบกายหลิ่วหรูยินกลายเป็นเบาบางลงเมื่อนางเผยยิ้ม “วิชาฝึกปรือของตระกูลหลิ่วพวกข้านั้นแตกต่างจากทั่วไป เมื่อพวกเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่มีใครที่แซ่หลิ่ว มีแต่หลังจากตายไปแล้วถึงกลายเป็นคนแซ่หลิ่ว”
ฉินมู่สะท้านใจและเขาร้องออกมา “พวกท่านทั้งหมด!”
“ตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันออกของพวกข้ามีที่มาอันโบราณกาลเป็นอย่างยิ่ง อันเริ่มต้นขึ้นเมื่อมีพรายวิญญาณกำเนิดขึ้นมาในซากศพ เล่าขานกันว่าบรรพชนตระกูลหลิ่วถูกกลบฝังไว้ใต้ต้นหลิว แต่ไม่นานนักก็เกิดพรายวิญญาณขึ้นมาในศพ และเขาก็ตั้งแซ่ของตนว่าหลิ่ว”
“เพราะว่าพวกเราถือกำเนิดจากศพ กายเนื้อของพวกจึงตายไปแล้ว และไม่อาจให้กำเนิดทายาท แต่ทว่าพวกเรายังคงมีอายุขัย เมื่อดวงจิตของพวกเราสิ้นอายุขัย ดวงวิญญาณพวกเราก็จะกระจัดกระจายไป ผู้คนข้างนอกกล่าวว่าตระกูลหลิ่วของพวกเรานั้นพิลึกกึกกือ และไม่ติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่พวกเขาเข้าใจผิด มิใช่ว่าพวกเราไม่อยากจะติดต่อกับผู้คนภายนอก แต่เพราะว่าพวกเราล้วนแต่เป็นพรายวิญญาณที่ก่อเกิดจากซากศพ ดังนั้นพวกเราจึงกริ่งเกรงว่าจะถูกจับไปทำเป็นอาวุธวิญญาณ”
“เมื่อยอดฝีมือตำหนักสวรรค์แท้ขอให้ท่านจัดการกับข้า และพวกท่านตกลง หรือว่าตำหนักสวรรค์แท้มีความสามารถที่จะทำลายล้างตระกูลหลิ่ว และหลอมสร้างพวกท่านให้เป็นอาวุธวิญญาณใช่หรือไม่” ฉินมู่ถามด้วยเสียงเย็นเยียบ
หลิ่วหรูยินสีหน้าแปรเปลี่ยน
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดังและสีหน้าของเขาก็กลับมาชื่นมื่นเหมือนเดิม เขาแย้มยิ้ม “พี่สาวหรูยิน การที่ท่านเป็นผู้นำตระกูลหลิ่วได้ วรยุทธของท่านต้องเหนือล้ำกว่าข้าไปไกล เช่นนั้นท่านจะยังหวาดกลัวข้าอยู่ได้อย่างไร น้องชายผู้นี้เพียงแต่อวดโอ่ขึงขัง และรู้จักแต่ข่มขวัญผู้คนเท่านั้น จริงๆ แล้วข้าไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย”
หลิ่วหรูยินถอนหายใจโล่งอกและยิ้มกลับไป “เจ้าทำให้พี่สาวผู้นี้ตกใจจริงๆ แล้ววรยุทธของจ้าวลัทธิฉินอยู่ขั้นใด”
“ข้านั้นอยู่เพียงแค่ขั้นหกทิศ พี่สาววางใจได้หรือยัง” ฉินมู่กล่าวไปตามตรง
หลิ่วหรูยินคลายใจลงจริงๆ แต่นางก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับลูกแก้วมังกรเขียวในมือของเสียงฉีเอ๋อ
วัตถุชิ้นนั้นเป็นไม้เบื่อไม้เมาที่ร้ายกาจที่สุดต่อตระกูลหลิ่ว เมื่อพลานุภาพของลูกแก้วมังกรนี้ขับเคลื่อนออกไป ไม่ว่ายอดฝีมือตระกูลหลิ่วจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกเขาก็ไม่มีวันต่อต้านมันได้!
สาเหตุที่ตระกูลหลิ่วยอมสยบต่อตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะลูกแก้วมังกรเขียว
“พี่สาวหรูยิน ใครคือคนที่มาจากตำหนักสวรรค์แท้หรือ วรยุทธของพวกเขาเป็นอย่างไร”
“คนที่มาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้หรูอี้” หลิ่วหรูยินกล่าว “ยอดฝีมือตระกูลอวี้นี้มีวรยุทธขั้นเป็นตาย และนางก็ไม่ธรรมดา”
ฉินมู่ผงกหัวน้อยๆ ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกมิได้มองเห็นว่าขั้นวรยุทธเป็นสิ่งสำคัญมากนัก ในเมื่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมิได้อิงอยู่กับวรยุทธเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้าม ในทางกลับกันมันอิงอยู่กับการตรึกตรองเข้าใจธรรมชาติและฟ้าดิน ยิ่งมีความคิดอันบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็ยิ่งจะสามารถสื่อสารกับฟ้าและดินได้ง่ายมากขึ้นเท่านั้น
แน่ล่ะว่ายิ่งมีวรยุทธสูงมากเท่าไร ทักษะเทวะเสกสรรของพวกเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น วรยุทธยังสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อกำลังความสามารถของผู้ฝึก แต่สำหรับผู้คนแผ่นดินตะวันตกแล้ว สัมผัสและปฏิภาณความเข้าใจต่อธรรมชาตินั้นสำคัญที่สุด
“พี่สาวหรูยินน่าจะวางใจได้แล้วสินะ?” ฉินมู่กล่าว “พี่สาวคนนั้นอยู่ในขั้นเป็นตายส่วนข้านั้นเพียงขั้นหกทิศ หากว่าพี่สาวหรูอี้หมายจะฆ่าข้า ท่านต้องช่วยปกป้องข้านะ”
หลิ่วหรูยินมีสีหน้าลำบากใจ และกล่าวอย่างอิดออด “อวี้หรูอี้และข้าเป็นสหายกันและข้าเพียงสามารถรับประกันว่านางจะไม่แตะต้องเจ้าในหุบเขาฝังเทพยดาเท่านั้น ส่วนข้างนอก ข้าไม่อาจรับประกันความปลอดภัยของจ้าวลัทธิ”
ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอกและกล่าวขอบคุณ “ต้องรบกวนพี่สาวแล้ว ว่าแต่หุบเขาฝังเทพยดาที่พวกท่านอาศัยอยู่เป็นสถานที่เช่นไรหรือ”
หลิ่วหรูยินแย้มยิ้ม “พวกเราอยู่ข้างในหุบเขาฝังเทพยดาแล้วตอนนี้ จ้าวลัทธิฉิน เชิญออกจากโลงศพ!”
โลงเปิดฝาออก และหลิวหรูยินก็พาเขาออกไปข้างนอกเพื่อมองไปรอบๆ พวกเขาอยู่ในโลกใต้ดินอันแผ่ขยายออกไปทุกทิศทาง มันมีทั้งดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวบนท้องฟ้าแห่งสุสาน และในบริเวณรอบๆ ก็มีเส้นทางนำไปสู่โถงเก็บศพทุกชนิดทุกขนาด ทั้งยังมีโลงศพมากมายเดินเข้าๆ ออกๆ ดูพลุกพล่าน
โลงศพเล็กโลงหนึ่งเหาะมา และฝาของมันก็พลิกเปิด เผยให้เห็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ในนั้น นางนั่งอยู่ที่ขอบโลงและกล่าว “ท่านแม่ ผู้นี้คือใคร”
ฉินมู่มองไปยังหลิ่วหรูยินด้วยความสงสัย นางมองไปที่เด็กผู้นี้ด้วยแววตาเศร้าโศก จากนั้นกล่าวอย่างนุ่มนวล “นี่คือทาริกานานนานของข้า นางตายพร้อมกับข้า และพวกเราทั้งคู่ก็ถูกผู้อาวุโสปลุกขึ้นมา ดังนั้นพวกเราจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่…อย่าพูดเรื่องนี้เลย เจ้าบอกว่าอยากพบกับอวี้หรูอี้มิใช่หรือ ให้ข้าไปเรียกนางมาแนะนำให้เจ้ารู้จักเถอะ ข้าอาจจะช่วยคลี่คลายความเข้าใจผิดระหว่างพวกเจ้าได้ นานนาน อยู่ที่นี่กับพี่ชายคนนี้ไปก่อนนะ”
เด็กหญิงรับคำด้วยเสียงหวาน และเพ่งพิศมองฉินมู่ด้วยความสนใจใคร่รู้
ฉินมู่ไม่กล้าดูแคลนนาง แม้ว่าเด็กหญิงน้อยจะเป็นธิดาของหลิ่วหรูยิน แต่พวกนางถูกปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาพร้อมๆ กัน ดังนั้นวรยุทธของนางก็น่าจะทัดเทียมกับหลิ่วหรูยิน พวกนางล้วนแต่เป็นยอดฝีมือในขั้นเป็นตาย หรือไม่ก็สะพานเทวะ!
เขามองไปยังใจกลางหุบเขาฝังเทพยดา และเห็นโลงศพทองคำตั้งตระหง่านอยู่ที่นั่น มันถูกรัดพันไปด้วยโซ่หนาใหญ่เต็มไปหมด และมียันต์กระดาษเหลืองแปะไปทั่ว อักษรรูนทุกประเภทถูกวาดเอาไว้บนยันต์เหล่านั้น
“ใครอยู่ในโลงนั้นหรือ ทำไมมันถึงถูกลั่นดาลเอาไว้ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยความใคร่รู้
“ท่านแม่บอกว่ามีเทพเจ้าตนหนึ่งที่ศพของเขาได้กลายเป็นพรายวิญญาณ นอนอยู่ข้างในนั้น แต่ทว่า ทุกๆ คนกลัวว่าเขาจะออกมาก่อกรรมทำเข็ญ จึงได้ลั่นดาลเขาเอาไว้”
“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่แย้มยิ้มแล้วมองลงไปข้างล่าง “นานนาน ให้ข้าเล่นกลให้เจ้าดู” หลังจากที่เขากล่าว เขาก็นำเนตรหยกลูกใหญ่ขึ้นมา “เนตรนี้ของข้าสามารถเปล่งแสงได้”
เด็กหญิงมองไปที่เขาด้วยความตื่นเต้น “มันจะเปล่งแสงได้อย่างไรหรือ”
ในตอนนั้นเอง เสียงของหลิ่วหรูยินก็มาถึงพวกเขา “หรูอี้ นั่นคือจ้าวลัทธิฉิน หากว่าพวกเจ้ามีความเข้าใจผิดอะไร ข้าก็ไม่เกี่ยงที่จะเป็นคนกลางไกล่เกลี่ย…”
เสียงของเด็กสาวอีกคนดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะคิกคัก “คลี่คลายความบาดหมาง? เยี่ยมเลย เขาเพียงแค่ต้องส่งองค์หญิงน้อยมาให้ข้า จากนั้นความบาดหมางทุกอย่างก็จะคลี่คลาย”
ในตอนนั้นเอง แสงสีขาวผุดผาดราวหิมะก็พลันฉีกทำลายความมืดสลัวในหุบเขาฝังเทพยดาก่อนที่จะหายวับไปในพริบตา
เสียงหัวเราะของฉินมู่ดังก้องในโลกใต้ดิน “เป็นอย่างไรบ้าง มันส่องแสงได้จริงไหมล่ะ”
หลิ่วหรูยินตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นนางก็เห็นอวี้หรูอี้ที่ยืนข้างๆ นาง มีรอยตัดขวางเหนือท้องน้อย อันผ่านางออกเป็นสองเสี่ยงในพริบตาถัดมา
ในคืนนั้น ยามดึกสงัด เหออีอีได้ยินเสียงเคาะที่หน้าต่าง และกลายเป็นว้าวุ่น นางรีบไปเปิดหน้าต่างออกและเห็นฉินมู่อยู่ข้างหลังบานหน้าต่างด้วยรอยยิ้มแฉ่ง “พี่สาวอีอี ข้าปีนมาที่นี่ตอนที่มั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้”
เหออีอีหัวใจเต้นตึกตักเมื่อเห็นภาพของคนรักนางภายใต้แสงเทียน หัวใจของนางโลดเต้นไปมาราวกับลิงกัง และจิตก็โลดทะยานราวม้าวิ่ง
และจากนั้น พวกเขาก็สนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันตลอดทั้งคืน
ก่อนที่ดวงตะวันจะแย้มพ้นขอบฟ้าขึ้นมา ฉินมู่ก็ลอบมุดออกไปทางหน้าต่าง ในเมื่อเขารู้ว่านี่คือกติกาของแผ่นดินตะวันตก พวกที่ไปวิวาห์เยือนจะต้องไม่พบเข้ากับครอบครัวของฝ่ายหญิง
แต่ฉินมู่ยังไม่ทันลงบันไดไปชั้นล่าง ก็ไปเจอกับหญิงสาวสองสามคนที่ตื่นแต่เช้า พวกนางรีบหันหน้าไปทางอื่น และแสร้งเป็นว่าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น หลังจากเมื่อฉินมู่เดินไปไกลแล้ว พวกนางถึงหัวเราะคิกคัก
เมื่อดวงอาทิตย์ลอยสูงขึ้นไปบนฟากฟ้า เหออีอีก็อิดออดที่จะแยกจากฉินมู่และส่งเขาออกไปจากหุบเขาแม่น้ำกระบี่ “เพียงแค่ตระกูลเหอของพวกเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำอะไรตำหนักสวรรค์แท้ได้ ดังนั้นจ้าวลัทธิควรจะไปหาอาจารย์พิษ ส่วนข้าไปพบปะกับผู้นำตระกูลใหญ่คนอื่นๆ แห่งแผ่นดินตะวันตก เพื่อปรึกษาหารือสถานการณ์สำคัญด้วยกัน”
ฉินมู่กล่าวลานางและจากไป
เหออีอีส่งเขาไปด้วยสายตาละห้อย
เด็กสาวข้างกายนางหัวเราะแผ่วเบา “พี่สาวได้ทำเรื่องนั้นกับพี่เขยฉินหรือไม่ มีหลายคนเลยนะที่เห็นเขาปีนเข้าทางหน้าต่าง และก็หลายคนเลยที่เห็นเขาปีนลงบันไดเมื่อเช้านี้”
เหออีอีตาปรือ และเรี่ยวแรงก็ดูไม่ค่อยจะมี นางกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ทำเรื่องอะไรเล่า พวกเราคุยกันแต่วิชาพยุหะตลอดทั้งคืน”
เด็กสาวอีกคนเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วยรอยยิ้ม “คุยกันเรื่องวิชาพยุหะ นั่นคือข้ออ้างของท่านหรือ เมื่อวานนี้ราตรียาวนาน และพวกท่านก็คงเหมือนกับนกเป็ดน้ำคู่หนึ่งที่เหินบินไปด้วยกัน!”
เหออีอีกัดฟันกรอดจนเสียงดังออกมา
พวกสาวๆ กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ท่านคุยแต่เรื่องวิชาพยุหะกับพี่เขยตลอดทั้งคืนจริงๆ น่ะหรือ”
เหออีอีมองไปที่พวกนางด้วยความจนปัญญา “ก็เขาน่ะตื่นเต้นสุดๆ ข้าจะทำอะไรได้ล่ะ ขืนใจเขาหรือ ตระกูลพวกเรายังต้องการหน้าอีกไหม หากว่าข้าใช้กำลังขืนใจเขาจริงๆ พวกเราไม่ทำลายตึกรามบ้านช่อง และฉีกทึ้งเมืองต้นไผ่ไปหมดหรอกหรือ”
“ข้าได้แต่สนทนากับเขาเรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืน แต่โชคดีว่าความรู้และประสบการณ์ของเขาเลิศล้ำเหนือธรรมดาอย่างสุดๆ พวกเราจมจ่อมลงไปในการสำรวจวิชาพยุหะถึงขั้นที่ข้าลืมเผยความรักใคร่ของข้า และพบว่าราตรีนั้นสั้นเกินไป เมื่อคิดๆ ดูตอนนี้แล้ว ข้าว่าพวกเราน่าจะทำอะไรต่อมิอะไรก่อน แล้วค่อยดำดิ่งในมรรคาแห่งพยุหะและแลกเปลี่ยนความรู้กัน”
พวกสาวๆ หันไปมองซึ่งกันและกันด้วยความหนักใจ หนึ่งหญิงหนึ่งชายในเวลาค่ำคืนร่วมกันในห้องรโหฐาน แต่พวกเขากลับสนทนากันแต่เรื่องวิชาพยุหะตลอดทั้งคืนหรือ “เลวร้ายสุดๆ…เขาเลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เถื่อน!”
“อย่างนั้นทำไมพี่สาวถึงปล่อยให้พี่เขยฉินออกไปตามหาอาจารย์พิษ แม่เท้ากีบน้อยนั่นล่ะ” เด็กสาวคนอื่นถามอย่างอาจหาญ “หากว่ามู่ยิ่งเสว่ไม่เก็บอาการแบบพี่สาว และแย่งชิงพี่เขยไป ท่านจะทำอย่างไร”
เหออีอียิ้มหยัน “เว้นแต่แม่สาวแซ่มู่นั่นจะใช้กำลัง ใครก็ลืมไปได้เลยที่จะได้ตัวเขา ตั้งแต่ที่แม่สาวแซ่มู่นั่นพ่ายแพ้ให้แก่เขา นางก็ลืมเขาไม่ได้เลยสักนิด และความรักใคร่ลุ่มหลงของนางก็หยั่งรากลึกเข้าไปทุกที นางชอบต่อสู้ชิงดีกับข้า หากว่านางพบว่าข้าพ่ายแพ้ นางจะต้องมาเย้ยหยันข้าแน่ๆ เช่นนั้นทำไมข้าไม่ปล่อยให้นางประสบความปราชัยแบบเดียวกัน เพื่อปิดปากของนางเสียล่ะ”
พวกสาวๆ ชื่นชมแผนการของนาง “พี่สาวช่างทรงปัญญา!”
ฉินมู่นำเสียงฉีเอ๋อไปยังหลังกิเลนมังกร และพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังเมืองขุนเขาสายฟ้า ที่ซึ่งอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่พำนักอยู่
“พี่ชาย พวกเราไม่ไปตำหนักสวรรค์แท้หรือ” เสียงฉีเอ๋อถามด้วยความสงสัย
“ข้าก็วางแผนจะไปที่นั่น แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวของราชครูและแม่ของเจ้า ข้าสงสัยว่า…” หางตาของฉินมู่กระตุกไปมาและเขาก็ยิ้มหยัน “ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่าเจ้าเล่ห์นั่น ไม่โผล่หัวออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ และตอนนี้ข้าเห็นแล้วว่าเขาต้องการทำอะไร! เขาจะต้องรอให้ข้าก่อความวุ่นวายใหญ่ๆ เพื่อดึงดูดความสนใจของกองกำลังหลักตำหนักสวรรค์แท้แน่ๆ”
“จากนั้นเขาก็จะเข้าไปคว้าชัยชนะมาท่ามกลางความโกลาหล! นักเพทุบายเฒ่านั่น…ข้าคิดอยู่แล้วเชียวว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลตอนที่เขาอุตส่าห์วิ่งมาถึงสถาบันนักบุญสวรรค์ด้วยตนเอง เพื่อเชื้อเชิญแม่ของเจ้าไปยังแผ่นดินตะวันตก แล้วทำทีเป็นชวนข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน”
เขาเงยศีรษะขึ้น และมองสำรวจไปรอบๆ มีเมฆสองสามก้อนที่ตามพวกเขามาในท้องฟ้า และเขากล่าวแก่กิเลนมังกรโดยพลัน “มังกรอ้วน พวกเราถูกสะกดรอยอีกแล้ว”
กิเลนมังกรแตกตื่น และรีบวิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม
ความเร็วของเมฆขาวเหล่านั้นก็เพิ่มพูนขึ้นมา แต่ไม่นานกิเลนมังกรก็ทิ้งให้พวกมันกินฝุ่น
ฉินมู่พบว่าไม่เพียงแต่เมฆขาวเท่านั้นที่ไล่ตามพวกเขา แม้แต่น้ำในแม่น้ำกระบี่ก็ไล่ทวนกระแส คลื่นน้ำเคลื่อนไปราวกับมังกร แต่พวกมันก็ไม่สามารถตามพวกฉินมู่ได้ทันอยู่ดี
ฉินมู่มองไปที่มันด้วยความฉงน ผู้ฝึกวิชาเทวะนี้น่าจะเป็นยอดยุทธฝีมือแกร่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ วิธีการสะกดรอยของเขานั้นนับว่าล้ำเลิศไร้ใดเปรียบ และหากว่าพวกเขาถูกพบเห็นเข้าแล้ว ก็คงยากที่จะสลัดหลุด
กระนั้นทำไมราชครูสันตินิรันดร์ นักเพทุบายเฒ่านั่น ถึงรู้ว่าเขาจะดึงดูดความสนใจมากมายหลังจากที่เข้ามาในแผ่นดินตะวันตกล่ะ หรือแม้แต่สามารถดึงดูดกองกำลังตำหนักสวรรค์แท้ได้
เขานั้นรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัว และไม่ทำอะไรโฉ่งฉ่างชัดๆ ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของตำหนักสวรรค์แท้
“ราชครูคือจิ้งจอกเฒ่า…”
ฉินมู่มองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และรู้โดยพลันว่าใครคือเป้าหมายที่แท้จริง
จากความเข้าใจของเขาที่ได้รับมาในช่วงวันเวลาเหล่านี้ แผ่นดินตะวันตกให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อองค์หญิงน้อย และตำหนักสวรรค์แท้ก็ต้องการองค์หญิงน้อยหนึ่งคน เพื่อที่จะดำรงตำแหน่งอย่างมั่นเหมาะ ในเมื่อฉินมู่พาองค์หญิงน้อยเสียงฉีเอ๋อเดินทางมาด้วยกับเขา นี่จะไม่ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดไปได้อย่างไร
เสียงซีอวี่ปลอดภัยไร้กังวล ขณะที่เสียงฉีเอ๋อนั้นเป็นเป้าโจมตีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้!
ในครั้งกระโน้น เป้าหมายที่อวี้ป๋อชวนไล่ล่าไปมิใช่เสียงซีอวี่ แต่เป็นเสียงฉีเอ๋อ!
ฉินมู่ยังคงจดจำได้ว่าทำไมเขาถึงช่วยเหลือเสียงซีอวี่สองแม่ลูก นั่นก็เป็นเพราะว่าอวี้ป๋อชวนรังแกเด็กผู้หญิงอายุสี่ห้าขวบอย่างเสียงฉีเอ๋อ เขามิอาจทนดูได้ จึงเสี่ยงชีวิตไปช่วยพวกนาง
แต่เมื่อเขามาคิดดูแล้ว ที่อวี้ป๋อชวนต้องการสังหารเสียงฉีเอ๋อนั้นมิใช่ไร้สาเหตุ
ทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงให้ความสำคัญกับองค์หญิงน้อยมากขนาดนั้นนะ
เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพิศวงงงงวย และนั่งยองๆ ลงไป เขาจับไหล่ของเสียงฉีเอ๋อ และหมุนนางดูรอบๆ สองสามที แต่เขาก็ไม่พบว่านางมีอะไรพิเศษ นี่ทำให้เขายิ่งงุนงงมากกว่าเดิมเสียอีก
ไหน่ขุยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ และชื่อเรียกหานั้นหมายความว่ามารดาขององค์หญิง ส่วนบิดานั้นเรียกว่าป้าโก่ว สองนามนี้มีที่มาจากองค์หญิงน้อย อันเผยให้เห็นว่าตำหนักสวรรค์แท้ให้คุณค่าแก่องค์หญิงน้อยมากเพียงใด มันจะต้องมีเหตุผลสำหรับเรื่องนี้สิ!
เสียงฉีเอ๋อมองไปที่เขาด้วยดวงตากลมโต กะพริบปริบๆ อย่างใสซื่อ นางดูไม่เหมือนจะมีความสามารถพิเศษพิสดารอะไร
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็เพ่งความสนในไปที่เป้หลังเล็กๆ ของนางและตะลึงไปครู่หนึ่ง เสียงฉีเอ๋อแบกมันติดตัวตลอดเวลา ตลอดทางจากสถาบันนักบุญสวรรค์จนถึงที่นี่ เขาคิดมาตลอดว่ามันคงบรรจุเสื้อผ้าของนางเอาไว้และไม่ได้ใส่ใจมาก่อน
บัดนี้เขาสงสัยขึ้นมาว่ามีอะไรอยู่ในเป้หลังเล็กๆ นั่น
“ฉีเอ๋อ ในเป้หลังของเจ้ามีอะไรอยู่หรือ” ฉินมู่ถาม
เสียงฉีเอ๋อปลดมันออก และเปิดมัน ทำให้แสงสีเขียวทาบทอใบหน้าฉินมู่
เขาถอนหายใจ “อย่างที่คิดไว้เลย ราชครู ไอ้นักเพทุบายเฒ่านั่น…”
ลูกแก้วมังกรเขียววางนิ่งอยู่ในเป้หลังของเด็กหญิง มันเขียวราวกับหยก ทั้งส่องประกายและโปร่งแสง ดวงวิญญาณมังกรแหวกว่ายในนั้นอย่างนุ่มนวล
เมื่อฉินมู่แตะลูกแก้วมังกร ดวงวิญญาณมังกรก็มองเขาอย่างเหยียดหยาม แต่เมื่อเสียงฉีเอ๋อแตะมัน ดวงวิญญาณมังกรเขียวก็มองไปที่นางอย่างเป็นมิตร มันแตะเข้ากับมือของนางจากข้างในลูกแก้วอย่างอ่อนโยน
“ความไร้เดียงสาของเด็กๆ คือวัตถุดิบที่ดีที่สุดในการฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ”
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน สาเหตุที่ว่าทำไมตำหนักสวรรค์แท้ถึงต้องการองค์หญิงน้อยนั้นก็เพราะว่าความไร้เดียงสาของนาง โดยปราศจากความคิดไม่บริสุทธิ์ใดๆ นางก็จะสามารถควบคุมสมบัติวิเศษอย่างลูกแก้วมังกรเขียว และปลดปล่อยพลานุภาพของมันจนถึงสุดขีดขั้ว
ในตำหนักสวรรค์แท้ ยังมีสมบัติวิเศษอีกสามชิ้นที่เป็นสัญลักษณ์แทนเต่าดำ หงส์แดง และพยัคฆ์ขาว บุคคลที่สามารถปลดปล่อยพลานุภาพของสมบัติพวกนี้ทั้งหมด ก็มีแต่องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!
ผู้ที่กำลังฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในแดนศักดิ์สิทธิ์นี้ มิใช่ไหน่ขุยหรือยอดฝีมือคนอื่นๆ แต่เป็นองค์หญิงน้อยที่ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะฆ่าไก่สักตัว
ราชครูสันตินิรันดร์และเสียงซีอวี่ล่วงหน้าไปแผ่นดินตะวันตก แต่กลับทิ้งลูกแก้วมังกรเขียวไว้ให้เสียงฉีเอ๋อ ย่อมไม่ใช่ความคิดของเสียงซีอวี่อย่างแน่นอน แต่จะต้องเป็นความคิดของราชครูสันตินิรันดร์
เสียงซีอวี่ไม่อาจไว้วางใจในตัวราชครู นางจึงร้องขอให้ฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อไปด้วยกับเขา แต่นางไม่มีทางคาดคิดว่าจะตกในแผนเล่ห์เพทุบายของราชครูสันตินิรันดร์ และปล่อยให้ฉินมู่กับเสียงฉีเอ๋อกลายเป็นเป้าหมายหลักของตำหนักสวรรค์แท้ และเวลาเดียวกันนั้น ราชครูและนางก็จะสามารถหยิบยืมการกำบังที่พวกเขาสร้างให้ และดำเนินแผนการในสถานที่ลับ
ราชครูนี่ต้องโดนฟาดตูดสักที เขานั้นเป็นเทวราชแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ของข้าชัดๆ แต่เขากล้าวางแผนร้ายแม้แต่กับจ้าวลัทธิของเขาได้อย่างไร
ฉินมู่ถอนหายใจและปลุกปลอบใจขึ้นใหม่ ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็หยุดชะงัก เขากล่าว “จ้าวลัทธิ มีบางอย่าง”
ฉินมู่มองไปข้างหน้าและเห็นภูเขามากมายยาวเหยียดไปที่ไกลๆ โลงศพดำห้อยลงมาจากหน้าผา พวกมันแทบจะปกคลุมหน้าผาไปหมด ทำให้ทั้งภูเขากลายเป็นสีดำ
เขารีบนับโลงศพพวกนี้ และพบว่ามีจำนวนถึงสี่พันห้าพันโลงเลยทีเดียว
“นี่คือ…แดนเลี้ยงศพ!”
เขาเปิดเนตรสวรรค์ชาดเพื่อมองดู และพลันเห็นลมชั่วร้ายพัดเป่าเป็นระลอก และมีเมฆดำคลี่คลุมอยู่เหนือเทือกเขา
สถานที่นี้นับว่าเหมาะแก่การเลี้ยงศพจริงๆ
จากแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในชนบทต่ำใต้ที่อยู่ห่างจากเมืองขุนเขาสายฟ้าไปราวๆ แปดพันลี้ ชนบทต่ำใต้นั้นเป็นดินแดนอาณาเขตของตระกูลหลิ่วแห่งแผ่นดินตะวันตก
แดนเลี้ยงศพนี้อยู่ในอาณาเขตของตระกูลหลิ่ว? หรือว่าพวกเขาจะเป็นเจ้าของที่นี่
ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาว่าซากศพนั้นไม่มีทั้งดวงจิตและดวงวิญญาณ เช่นนั้นมันจะไม่เป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกให้ปลุกพรายวิญญาณขึ้นมาหรอกหรือ ร่างกายของผู้ฝึกวิชาเทวะที่ต่างไปนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวของชีวิต และเหนือล้ำกว่าอาวุธวิญญาณไปลิบลับ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีแขนขาสี่ข้าง และอาจจะสามารถขับเคลื่อนทักษะเทวะในการต่อสู้ได้อีกด้วย ดังนั้นพวกเขายิ่งมีประโยชน์กว่าอาวุธวิญญาณไปหลายเท่า
“ลุกขึ้น และร่ำรวย!”
ทันใดนั้นเสียงตะโกนก็ดังมา และฉินมู่มองไปยังแหล่งที่มาเสียง เขาเห็นชายจำนวนหนึ่งโพกด้วยผ้าคาดหัวปักลายกำลังท่องสวดประโยคนั้นพลางขับเคลื่อนทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตก โลงศพดำโลงหนึ่งพลันงอกขาขึ้นมาและถีบทะยานออกไปจากหน้าผาราวเหินบิน จากนั้นลงมาจอดที่พื้นด้วยเสียงตึง
แกรก
โลงศพเปิดออกมา และมีหญิงนางหนึ่งโผล่ขึ้น คอของนางเหลียวไปรอบๆ อย่างแข็งทื่อ จากนั้นนางก็มองไปยังฉินมู่ “หรือว่าเจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลาง”
ฉินมู่ตะลึงไป เขาบอกไม่ได้เลยจริงๆ ว่าหญิงสาวจากโลงศพนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว
“นั่นคือข้าเอง ไม่ทราบว่าท่านคือใคร”
“หลิ่วหรูยินแห่งตระกูลหลิ่ว”
หญิงนั้นก้าวออกมายืนที่พื้น “ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิได้นำองค์หญิงน้อยมายังแผ่นดินตะวันตก นางอยู่ที่ใด”
ฉินมู่ยกมือเสียงฉีเอ๋อขึ้นชูและแย้มยิ้ม “องค์หญิงน้อยอยู่ที่นี่”
หลิ่วหรูยินมองไปยังเสียงฉีเอ๋อ และแสงในดวงตาของนางลุกวาบ กลิ่นเน่าเหม็นพลันคละคลุ้งไปทั่วฟ้า และโลงศพมากมายก็งอกขาออกมาเพื่อวิ่งตะบึงลงมาจากหน้าผา มีกระทั่งโลงศพที่ลอยมาในอากาศ พลางเปิดออกส่งเสียงเอี๊ยดอ้าดเต็มไปหมด ‘ศพ’ มากมายในสภาวะเป็นตายที่ฉินมู่ระบุไม่ได้ก็ลุกขึ้น และพุ่งเข้ามายังเสียงฉีเอ๋อ
ฉินมู่ยื่นมือเข้าไปหยิบลูกแก้วมังกรเขียวจากเป้หลังของเด็กหญิง และวางเข้าไปในมือนาง พลางกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “หลิ่วหรูยิน ตระกูลหลิ่วของเจ้าดูเหมือนไม่ได้มาดีสินะ”
เมื่อหลิ่วหรูยินเห็นลูกแก้วมังกรเขียว นางก็ปิดหน้าของตนเองไว้อย่างข่มไม่อยู่ หวีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว “อย่าเพิ่งวู่วาม!”
ครืน ครืน
เมืองต้นไผ่มหึมาเคลื่อนไปข้างหน้าขณะที่ฉินมู่และเหออีอียืนเคียงกันอยู่บนหอคอยปราการ แม้ว่าเขาจะเคยเห็นภาพอันแสนพิลึกพิลั่นของเมืองที่เคลื่อนที่ไปด้วยตนเองมาแล้ว ฉินมู่ก็ยังพบว่านี่มันเหลือเชื่ออยู่ดี
แม้ว่าทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกจะไม่รุดหน้าไปเลยในช่วงหมื่นปี แนวคิดอุดมการณ์ว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณก็ยังคงเหนือธรรมดา
เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ในเมือง ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง
หลังจากอาจารย์พยุหะเหออีอียอมแพ้ นางก็เพรียกขานผู้คนแห่งเมืองต้นไผ่ และผู้คนเรือนแสนก็กลับเข้ามาในเมือง ภาพของเมืองหนึ่งที่พาประชากรมากมายขนาดนี้ข้ามขุนเขาและเทือกภูไปนั้นช่างเกินจินตนาการ แต่มันปรากฏตรงหน้าเขาแล้วในบัดนี้
“การล้มล้างเจ้าตำหนักอวี้แห่งตำหนักสวรรค์แท้มิใช่เรื่องง่าย” เหออีอีกล่าว “นอกจากตระกูลเหอของข้าแล้ว พวกเรายังต้องการแรงสนับสนุนจากตระกูลใหญ่อื่นๆ อีก ในแผ่นดินตะวันตก ตระกูลเสียงและตระกูลอวี้เป็นสองตระกูลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด และกำลังความสามารถของพวกเขาก็สูงล้ำที่สุด แต่ตระกูลเสียงได้ล่มสลายไปแล้ว และตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ก็ถูกตระกูลอวี้แย่งชิงไป”
“แต่ทว่า ยังคงมีตระกูลมู่ของอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ตระกูลลัวของอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้ ตระกูลฟาง ตระกูลหลิ่ว ตระกูลกง ตระกูลซี ตระกูลฝู รวมทั้งหมดสิบตระกูลใหญ่ นอกจากนั้นก็ยังมีตระกูลใหญ่รองลงมาอย่างที่เป็นของเกอเคอ เหม่าชือ เซียงข่า ซึ่งล้วนแต่มีกำลังความสามารถไม่ใช่น้อย”
ฉินมู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ทำไมตระกูลเสียงถึงสืบทอดตำแหน่งจ้าวตำหนักสวรรค์แท้ ตระกูลใหญ่อื่นๆ มีสิทธินี้ด้วยหรือไม่”
“ที่ตระกูลเสียงสามารถสืบทอดตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้นั้นก็เพราะว่าเจ้าตำหนักสวรรค์แท้รุ่นที่หนึ่งเป็นแซ่เสียง” เหออีอีกล่าว “ทำให้เจ้าตำหนักคนถัดๆ มาก็มักจะเป็นพวกเสียง แม้ว่าจะมีบางสถานการณ์ที่คนแซ่อื่นมาเป็นเจ้าตำหนัก แต่ตระกูลเสียงก็จะกลับมายังตำแหน่งเจ้าตำหนักในเวลาไม่นาน ว่ากันว่า…”
เด็กสาวมองไปยังเสียงฉีเอ๋อที่อยู่ข้างๆ ฉินมู่ “ว่ากันว่าบรรพชนของตระกูลเสียงได้รับการหนุนหลังจากเทพเจ้าตนหนึ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงยึดครองเก้าอี้เจ้าตำหนักไว้อยู่เสมอ แต่ทว่า คราวนี้มันต่างออกไป กล่าวกันว่าเทพตนนั้นไม่พอใจไหน่ขุย และไปติดต่อตระกูลอวี้แทน จึงเป็นเหตุให้ตระกูลเสียงถูกขุดรากถอนโคนได้อย่างง่ายดาย”
เทพเจ้า? หรือว่าจะเป็นเจ้าของเทวรูปไม้ที่ข้าพบในทะเลทรายเพลิงโหม
ฉินมู่ยังค่อนข้างงุนงง ดังนั้นเขาจึงถาม
“ในเมื่อเทพตนนี้สนับสนุนตระกูลเสียงมาตลอด ไฉนเขาถึงเปลี่ยนไปยังตระกูลอวี้เล่า”
“นั่นก็เพราะป้าโก่ว” เหออีอีตอบ “ปูมหลังที่มาของป้าโก่วนี้ไม่ธรรมดา ลือกันว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่มาจากดินแดนเบื้องบน เชื่อกันว่าเป็นเขานั่นแหละที่เชื่อมการติดต่อระหว่างตระกูลอวี้และเทพตนนั้น”
“ป้าโก่ว?”
ฉินมู่กะพริบตา ป้าโก่วนั้นเป็นคำเรียกหายกย่องเหมือนไหน่ขุย อันหลังนั้นหมายถึงมารดาขององค์หญิง ส่วนป้าโก่วหมายถึงบิดาขององค์หญิง แต่ทว่า จากความเข้าใจของฉินมู่ แม้ว่าองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นเสียงฉีเอ๋อ แต่บิดาของนางได้ตายในการสู้รบไปแล้ว ดังนั้นป้าโก่วที่เหออีอีกล่าวถึงย่อมมีแต่สามีของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้จากตระกูลอวี้
แต่ถึงอย่างไร เจ้าตำหนักสวรรค์แท้ยังมิได้ให้กำเนิดธิดา เช่นนี้จะเหมาะสมได้อย่างไรที่จะเรียกเขาว่าป้าโก่ว
“ป้าโก่วผู้นี้ต้องการศักดิ์ฐานะอันเหนือธรรมดาเพื่อติดต่อกับเทพเจ้านั่น” เหออีอีกล่าว “เขาลึกลับเป็นปริศนาอย่างยิ่ง และก็ลือกันว่าเขามาจากดินแดนเบื้องบนและเป็นอาคันตุกะของเหนือฟ้า เขาได้ร่วมอภิรมย์กับเจ้าตำหนักสวรรค์แท้แล้ว และว่ากันว่านางกำลังตั้งครรภ์ ป้าโก่วแพร่ข่าวออกไปว่าเด็กในท้องของนางจะต้องเป็นหญิงอย่างแน่นอน ซึ่งก็จะเป็นองค์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”
การให้กำเนิดธิดาคือการทำให้ตำแหน่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มั่นคง อันเป็นกฎหนึ่งที่ฉินมู่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ทว่าแผ่นดินตะวันตกยกย่องสตรี และธรรมเนียมสังคมของพวกเขาก็ค่อนข้างแตกต่างไปจากสันตินิรันดร์
ยิ่งไปกว่านั้น ตราบเท่าที่ฝึกปรือเนตรเทวะ ก็ไม่ยากเลยที่จะมองหยั่งเห็นว่าเด็กในครรภ์เป็นหญิงหรือชาย
ในเมื่อป้าโก่วยืนยันว่าเด็กในครรภ์ของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้เป็นเด็กผู้หญิง เขาย่อมไม่ผิดพลาดแน่ เจ้าตำหนักสวรรค์แท้จะต้องให้กำเนิดธิดาอย่างแน่นอน และนั่งอย่างมั่นคงบนเก้าอี้ของนาง
“ป้าโก่วผู้นี้มีแซ่อะไร”
“อวี้”
ฉินมู่ตะลึงไป “เขาก็แซ่อวี้เหมือนกันหรือ เขามีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลอวี้”
เหออีอียิ้ม แต่ไร้ความอบอุ่นในแววตาของนาง “พวกเราทุกคนก็อยากรู้ความสัมพันธ์ระหว่างป้าโก่วกับตระกูลอวี้เหมือนกัน มีข่าวลือมากมายในแผ่นดินตะวันตก บ้างก็กล่าวว่าป้าโก่วเป็นบรรพบุรุษของตระกูลอวี้ บ้างก็กล่าวว่าเขาเป็นบุตรชายของเทพครองแดนหยก และตระกูลอวี้ก็สืบเชื้อสายมาจากที่นั่นเช่นกัน มีข่าวลือหลากหลาย แต่ข้อเท็จจริงยังจับต้องไม่ได้”
ฉินมู่มองนางด้วยสีหน้าพิลึก
“บ้างก็กล่าวว่าเป็นเพราะเสียงซีอวี่ขาดความสามารถ นางไม่แข็งแกร่งพอ เป็นได้แค่เจ้าผู้ปกครองมีเมตตา ดังนั้นตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางจึงถึงตระกูลอวี้แย่งชิงไป กระนั้นในสายตาของข้า แม้ว่าเจ้าตำหนักเสียงจะขาดพรสวรรค์ความสามารถก็จริง แต่ผู้บงการอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นป้าโก่ว”
ฉินมู่ผงกหัว
เสียงฉีเอ๋ออยู่ข้างๆ เขา แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมรับว่าที่เหออีอีกล่าวนั้นถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือแผนการ มารดาของเด็กหญิงผู้นี้ก็ดูไม่เหมือนแบบที่ผู้นำแดนศักดิ์สิทธิ์พึงจะมี
นางไม่เคยประสบเล่ห์เพทุบายและการต่อสู้นองเลือดมาก่อนที่จะขึ้นครองตำแหน่งจ้าวตำหนักด้วยอายุน้อย ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่นางจะไม่สามารถต่อสู้กับตระกูลอวี้และป้าโก่วได้
แม้ว่าฉินมู่ก็ได้ขึ้นครองตำแหน่งจ้าวลัทธิมารฟ้าด้วยอายุน้อย แต่ผู้คนที่สั่งสอนเขาคือเก้าผู้อาวุโสแห่งหมู่บ้านพิการชรา ตั้งเมื่อเขายังเล็ก เขาถูกสั่งสอนถึงเล่ห์กลและเพทุบายมากมาย ทำให้เขาทั้งชั่วร้ายและกลอกกลิ้ง แต่ถึงอย่างไร ผู้อาวุโสทั้งเก้าก็ยังพบว่าเขานั้นซื่อสัตย์จนเกินไปอยู่ดี
เพราะการอบรมสั่งสอนทั้งหมด ฉินมู่จึงสามารถนั่งอย่างมั่นคงบนตำแหน่งจ้าวลัทธิ ด้วยทุกคนในลัทธิยอมรับนับถือเขาอย่างหมดใจ
เมืองต้นไผ่วิ่งตะบึงไปท่ามกลางเทือกเขาและแดนร้าง มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก มันไม่มุ่งตรงไปยังตำหนักสวรรค์แท้
พวกเขากำลังไปยังถิ่นบรรพชนของตระกูลเหอ หุบเขาแม่น้ำกระบี่ ที่ซึ่งศูนย์บัญชาการใหญ่ของพวกเขาตั้งอยู่
ในฐานะหนึ่งในสิบตระกูลใหญ่ ตระกูลเหอมีอิทธิพลเป็นของตนเอง แม้ว่าจะด้อยกว่าตระกูลอวี้และตระกูลเสียง แต่ก็ยังคงเป็นพลังอำนาจอันมิอาจดูแคลนได้
หลังจากที่เมืองต้นไผ่วิ่งไปครึ่งค่อนวัน พวกเขาก็มาถึงหุบเขาแม่น้ำกระบี่ในที่สุด ฉินมู่มองไปไกลๆ และเห็นว่าแม่น้ำใหญ่ไหลตรงเฉียบไปข้างหน้าราวกับกระบี่ ที่ด้ามของมันมีเมืองหนึ่งปลูกสร้างเอาไว้ มีภูเขาขนาบสองข้าง ขณะที่กำแพงถูกสร้างไปตามแม่น้ำกระบี่เพื่อป้องกันสองฟากฝั่ง
เมืองนี้น่าตื่นตาตื่นใจและน่าตระหนกเป็นอย่างยิ่งสำหรับฉินมู่ เมื่อเมืองต้นไผ่มาถึงมัน ภูเขาใหญ่ก็ลุกขึ้นหลีกเผยเส้นทางหนึ่ง สะพานยาวเหยียดอันก่อขึ้นมาจากหินก็ผุดขึ้นมาจากก้นแม่น้ำเช่นกัน และมันก็คือยักษ์หินหลายตัวโค้งหลังต่อกันเพื่อให้เมืองต้นไผ่เหยียบไปบนหลังเพื่อข้ามแม่น้ำกระบี่
“มหัศจรรย์เหลือเกิน โลกแห่งแผ่นดินตะวันตกเต็มไปด้วยภาพฝันอันเกินจินตนาการอย่างแท้จริง” ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม
สายตาของเหออีอีราวกับน้ำใสฤดูใบไม้ร่วงเมื่อนางแย้มยิ้มอย่างนุ่มนวล “หากจ้าวลัทธิฉินชอบที่นี่ ท่านก็ไม่ต้องกลับไปหรอก ท่านอยู่ที่นี่ได้ตลอด และอีอีจะพาท่านไปเที่ยวชมทิวทัศน์มหัศจรรย์ต่างๆ ของโลกหล้า”
ฉินมู่ดีใจ “หากว่ามีสาวงามอย่างพี่สาวอีอีร่วมทางไปกับข้า นั่นจะสุขสันต์ขนาดไหนกันนะ แต่ทว่า ข้ามีธุระทางโลกมากมายที่รัดพันตัว หลังจากที่แก้ไขเรื่องราวในแผ่นดินตะวันตกแล้ว ข้าก็ยังต้องไปเยือนเหนือฟ้าเพื่อขจัดอันตรายในภายภาคหน้าอีก ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีเรื่องราวมากมายที่ต้องกระทำในสันตินิรันดร์…ทำไมไม่เอาอย่างนี้ล่ะ!”
เขากล่าวด้วยความตื่นเต้น “หลังจากที่เที่ยวเล่นในแผ่นดินตะวันตกสักพัก ทำไมท่านไม่มากับข้ายังสันตินิรันดร์ เพื่อให้ข้าพาท่านเที่ยวดูที่นั่น เพื่อไปพบกับความโดดเด่นเหนือธรรมดาของสันตินิรันดร์ บางทีท่านอาจจะตกหลุมรักมันก็ได้นะ!”
เหออีอีมีสีหน้าสนอกสนใจ แต่แล้วก็ส่ายศีรษะ “ข้าเกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้หรอก ตระกูลเหอยังต้องการข้าอยู่ ข้ามิอาจทอดทิ้งพวกเขา”
เมืองต้นไผ่เข้าไปในหุบเขาแม่น้ำกระบี่และหยุดยั้ง
ในตอนนั้นเอง แสงสว่างในเมืองใหญ่น้อยทั้งหมดแห่งหุบเขาแม่น้ำกระบี่ก็เปล่งแสงเจิดจ้า และดูวิจิตรตระการเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ภูเขาและแม่น้ำก็ส่องสว่างขึ้นมา
“ไปที่โถงราชวังหลักกันเถอะ” ก้อนหินใหญ่ลอยขึ้นยังระดับเท้าของเหออีอี และพานางกับพวกฉินมู่ทั้งสามเข้าไปยังโถงราชวังหลัก
“พวกชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอจะมาเยือนในเวลาไม่นานนี้ และข้าจำเป็นต้องเตรียมตัว”
ไม่นานนัก ชนชั้นผู้นำของตระกูลเหอก็มาถึง มีทั้งหญิงและชาย แต่หญิงจะมีจำนวนมากกว่ามาก และพวกเขาก็มาน้อมคารวะเหออีอี
นางเชิญให้ชนชั้นผู้นำแห่งตระกูลเหอมากมายเหล่านั้นนั่งลง พลางมีฉินมู่อยู่ข้างๆ นาง “ทุกท่าน นี่คือจ้าวลัทธิฉินแห่งลัทธิมารฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในแผ่นดินภาคกลาง”
ทุกคนในโถงส่งเสียงอื้ออึงทันที และหญิงเฒ่าผู้หนึ่งก็กล่าวชมด้วยเสียงสั่นเทิ้ม “อาจารย์พยุหะไม่ธรรมดาจริงๆ ถึงกับสามารถสยบจ้าวลัทธิมารผู้นี้ได้ ตอนนี้พวกเราก็ไปขอขึ้นรางวัลกับตำหนักสวรรค์แท้ได้แล้ว!”
“ขอขึ้นรางวัลงั้นหรือ” เหออีอีระเบิดหัวเราะ และส่ายหัว “เจ้าตำหนักอวี้เป็นเพียงแค่โสเภณีน้อยที่วางแผ่นต่ำช้าและแย่งชิงบัลลังก์ ดังนั้นควรค่าต้องสยบจ้าวลัทธิฉินเพื่อนางหรือ ขออภัยที่พูดตรงๆ หากมิใช่เพราะป้าโก่วสนับสนุนนาง นางจะมีวันได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักหรือ ครรภ์ของนางล้มเหลวน่าผิดหวังและให้กำเนิดได้แต่บุตร นางจะให้กำเนิดธิดายังทำไม่ได้เลย เช่นนั้นนางจะเลิศเลอสักแค่ไหนเชียว”
ทุกคนในโถงหันไปมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง
เหออีอีปรายตามองฉินมู่ เขาแย้มยิ้มกุมมือเสียงฉีเอ๋อ และกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ศิษย์พี่หญิงแห่งตระกูลเหอทั้งหลาย นี่คือองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้!”
เหออีอียิ้มและกล่าวเสริม “องค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นเจ้าตำหนักเสียงย่อมอยู่ไม่ไกล หากว่าตระกูลเหอของข้าสามารถช่วยเจ้าตำหนักเสียงกำจัดโสเภณีน้อยนั้นไปได้ และช่วยนางยึดตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา นั่นจะเหนือล้ำกว่าเงินค่าหัวของจ้าวลัทธิไปร้อยเท่า มิใช่หรือ ทุกท่าน พวกท่านล้วนแต่เป็นผู้อาวุโสของตระกูล มีความเห็นเช่นไร”
ทุกคนในโถงกลายเป็นเงียบกริบ บุรุษในตระกูลไม่กล้าปริปาก แต่พวกสตรีทั้งใจกล้าเป็นอย่างยิ่ง นางหนึ่งกล่าวประท้วง “อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองใหม่อีกสามครั้ง! บัดนี้ตระกูลอวี้รุ่งเรืองถึงขีดสุด ตระกูลเหอจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ป้าโก่วก็กำลังหนุนหลังนางอยู่!”
“กล่าวได้ดี” เหออีอีหัวเราะในคอ “นั่นจึงเป็นเหตุที่พวกเราจะเป็นพันธมิตรกับลัทธิมารฟ้า ด้วยการสนับสนุนของลัทธิ ไฉนเราต้องหวาดกลัวตระกูลอวี้ หากว่าพวกท่านยังคิดว่านี่ไม่เพียงพอ พวกเรายังจะร่วมมือกับตระกูลมู่และตระกูลลัว ข้าเชื่อว่าพวกเขาก็มีใจอันถูกต้องเหมาะสม เที่ยงธรรม และทรงศักดิ์ศรีเช่นกัน และจะไม่มีทางยอมรับตระกูลอวี้ไปได้นาน!”
หญิงวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งพลันลุกขึ้นมาและกล่าวด้วยความโกรธา “บัดนี้ตระกูลอวี้ควบคุมตำหนักสวรรค์แท้อยู่ พวกเขาจะทรงอำนาจมากสักแค่ไหน อาจารย์พยุหะ ต่อให้ท่านเป็นประมุขของตระกูลนี้ ข้าว่าท่านเสียสติไปแล้ว!”
“อาจารย์พยุหะ ไตร่ตรองอีกสามครั้งก่อนตัดสินใจ” หญิงเฒ่าอีกคนยืนขึ้นด้วยไม้เท้าของนาง “อย่าเอาชะตาของตระกูลเหอพวกเราไปเดิมพันในสนามพนัน”
หลังจากนาง อีกคนหนึ่งก็กล่าวมั่นใจในความชอบธรรมของตน “รากฐานกว่าหมื่นปีของตระกูลเหอพวกเรา ต้องไม่ถูกทำลายในพริบตา! หากว่าอาจารย์พยุหะยังยืนกรานเช่นนี้ ดังนั้นก็ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมาเถอะ!”
“ใช่แล้ว ส่งมอบตำแหน่งประมุขตระกูลคืนมา!”
…
เหออีอี มองไปรอบๆ และกล่าวด้วยสีหน้าแช่มชื่น “มีผู้อาวุโสท่านอื่นอีกไหมที่มีความเห็นเช่นนี้ เชิญท่านพูดออกมาได้ตามสบายด้วยว่านี่คือกิจการภายในของตระกูลเรา และพวกท่านก็ล้วนแต่เป็นท่านป้า ท่านยาย และท่านทวดของข้าทั้งนั้น ข้าเป็นชนรุ่นหลังจึงควรต้องล้างหูน้อมรับฟังเรื่องนี้”
ผู้อาวุโสอีกจำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาติเตียนนาง
เหออีอีรออีกสักพัก เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคนอื่นออกมาต่อต้านอีก จากนั้นก็แย้มยิ้ม “ดูเหมือนว่าทุกๆ คนจะลืมไปแล้วว่า ข้าขึ้นมาเป็นอาจารย์พยุหะ และประมุขแห่งตระกูลนี้ด้วยวิธีอะไร”
สีหน้าของทุกคนที่ลุกขึ้นยืนแปรเปลี่ยน ไม่ทันที่พวกเขาจะวิ่งหนีออกไปจากโถงใหญ่ กรงเหล็กก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นของเมืองต้นไผ่ จับตัวเอาทุกคนที่พูดจาเป็นปฏิปักษ์ต่อเหออีอีเอาไว้ทั้งหมด จากนั้นกรงพวกนั้นก็จมเข้าไปในพื้นดิน
เหออีอีปัดมือไปมาพลางแย้มยิ้ม “หลังจากที่ข้ากำจัดตระกูลอวี้แล้ว ข้าค่อยปล่อยพวกท่านออกมา ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสท่านอื่นมีความเห็นใดหรือไม่”
ทุกคนในโถงลุกขึ้นยืนและโค้งคารวะ พลางกล่าวเป็นเสียงเดียว “พวกเราจะน้อมตามการชี้นำทางของอาจารย์พยุหะ!”
เหออีอีมองไปที่ฉินมู่และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิธีการของข้าเป็นอย่างไรบ้าง จ้าวลัทธิฉิน?”
เขาส่งยิ้มกลับให้นาง “พี่สาวอีอีเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดา”
สายตาของเหออีอีส่ายไปมา และมีความเอียงอายในน้ำเสียงของนางขณะที่นางกล่าวอย่างแผ่วเบา “คืนนี้ ข้าจะไม่ปิดหน้าต่าง หากว่าท่านปีนเข้ามา พวกเราสามารถสนทนากันเรื่องวิชาพยุหะกันได้ตลอดคืน และเรื่องที่ลึกล้ำยิ่งไปกว่านั้น…”
แม้เหออีอีจะกล่าวไปว่านางไม่สนใจกับการเป็นอันดับสาม แต่นางก็อดจะสงสัยใคร่รู้ไม่ได้ ในแผ่นดินตะวันตก นางเป็นรู้จักกันดีในฐานะอาจารย์พยุหะ อันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ แต่ทว่านางมิได้ยืนกรานว่าตนคืออันดับหนึ่งในทั่วโลกหล้า
ถึงอย่างไร เป็นอันดับหนึ่งมาหลายปี นางก็ยังคงมีด้านที่ไม่อยากจะยอมแพ้ใคร
ในฐานะจ้าวลัทธิมารฟ้า ฉินมู่นั้นมีประสบการณ์และรอบรู้มากกว่า ดังนั้นนางจึงต้องการที่จะเรียนรู้ว่าใครคืออันดับหนึ่งและใครคืออันดับสองในสายตาของเขา
“พี่สาวอีอีอาจจะยังไม่ทราบแต่ว่าข้ามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศ” สีหน้าของฉินมู่สัตย์ซื่อจริงใจเมื่อกล่าวเช่นนั้น “อันดับหนึ่งของโลกหล้าในวิชาพยุหะมิใช่ใครอื่น นอกเสียจากท่านปู่บอดของข้า”
เหออีอีจ้องเขาด้วยดวงตาดำขลับ เขามาจากตระกูลอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะแห่งแดนโบราณวินาศหรอกหรือ
และอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะเป็นชายตาบอด?
“ไม่ทราบว่าจ้าวลัทธิฉินมีความเข้าใจผิดอะไรเกี่ยวกับวิชาพยุหะหรือไม่” เหออีอีถามอย่างนิ่งสงบ “วิชาพยุหะดำเนินไปตามมรรคาพีชคณิต และที่เรียบง่ายที่สุดคือราชวังหกโถง ข่าน คุน เจิ้น จง ซุ่น เฉียน ตุ้ย เกิน และหลี่ อันแทนตัวเลขเก้าตัวที่ไม่ซ้ำกันและผลรวมทั้งหมดของมันคือสี่สิบห้า”
“ที่ยากขึ้นมาอีกนิดหนึ่งก็จะเป็นผังแปดทิศ เปลี่ยนจากเลขฐานแปด เป็นฐานหกสิบสี่ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ ที่เหนือไปกว่านั้นก็จะเป็นห้าธาตุ และห้าธาตุแปดทิศก็จะมีระบบฐานสี่ ฐานแปด และฐานหกสิบสี่”
“ผังไท่จี่และผังอู๋จี่ยิ่งยากไปกว่านั้น มีสภาวการณ์อันไร้ขีดจำกัด แต่ไม่ว่าการคำนวณจะเพริศแพร้วพิสดารแค่ไหน ก็ยังคงมีจุดอ่อนอยู่ดี ดังนั้นคนตาบอดจะมีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่งได้อย่างไร”
“พี่สาว มองเข้ามาในตาข้าสิ” ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม
เหออีอีไม่เข้าใจความนัยของเขา แต่ก็เพ่งพิศดูแก้วตาของเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อนางทำเช่นนั้นจิตของนางก็สะท้านหวั่นไหวอย่างแรง
นางเห็นรอยประทับพยุหะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้า แปรเปลี่ยนเป็นสวรรค์ชั้นที่หนึ่ง การเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ภายในนั้นทำให้นางลุ่มหลง
แต่ไม่ทันที่นางจะตรึกตรองเข้าใจมันได้ สวรรค์ชั้นที่สองก็ก่อตัวขึ้นมา และการเปลี่ยนคณิตศาสตร์ของมันก็ยิ่งลึกล้ำซับซ้อน
ถัดไป ก็เป็นสวรรค์ชั้นที่สาม ชั้นที่สี่ จนกระทั่งมาถึงสวรรค์ชั้นที่ห้า วิชาพยุหะในดวงตาของฉินมู่จึงหยุดชะงัก
เพียงแค่สวรรค์ชั้นแรกของวงแหวนชั้นที่หนึ่งนั้นก็อัดแน่นไว้ด้วยความสำเร็จเชิงพีชคณิตที่เลิศล้ำสมบูรณ์แบบ!
พลังวัตรฉินมู่ในตอนนี้เพียงพอที่เขาจะขับเคลื่อนสรวงสวรรค์ชั้นที่ห้าในวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้า แต่การเปลี่ยนแปลงในดวงตาของเขายังไม่จบแค่นั้น ดวงอาทิตย์และดวงดาวก็ก่อเกิดขึ้นมาในเนตร หมู่ดาวก่อตัวเป็นทางช้างเผือก เคลื่อนคล้อยโคจรไปรอบๆ ดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง
ในทางโถงใหญ่ ผู้นำตระกูลกว่าร้อยคนหันมองกันไปมาด้วยความหนักอึ้ง
เหออีอีแทบจะนาบหน้าเข้าแนบกับฉินมู่ ทั้งสองคนยืนจ้องตากันราวกับว่าเป็นคู่รักที่มิอาจละสายตาอันรักใคร่ลุ่มหลงจากกันไปได้
“แค่กแค่ก”
หญิงเฒ่าผมขาวผู้หนึ่งจึงกระแอมไอขึ้นมาในที่สุด เพื่อบอกเตือนเจ้าเมืองให้ตระหนักถึงสถานการณ์
เหออีอีตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในตอนนั้น และใบหน้าของนางก็แดงสดใส นางรีบก้าวถอยออกไปและกล่าวอย่างมั่นคง “ท่านปู่บอดผู้นี้ นับได้ว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในโลกหล้าด้านวิชาพยุหะจริงๆ ข้านั้นละอายกับความความอ่อนหัดของตนเอง”
ฉินมู่เองก็หน้าแดงเรื่อ การเข้ามาชิดใกล้ของเหออีอี ทำให้หัวใจเขาเต้นระรัว
“ในอดีตนั้นเมื่อข้าได้เรียนวิชาปลุกเนตรจากท่านปู่บอด ข้ามิได้มุ่งแสวงความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะ เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกมายา ห้วงมิติ พยุหะ และการเปลี่ยนแปลงในวิชาฝึกปรือ จนกระทั่งหลังจากที่ข้าได้เรียนพีชคณิตของสำนักเต๋า ข้าถึงเพิ่งเข้าใจการเปลี่ยนแปลงคณิตศาสตร์ข้างในนั้น”
“สำนักเต๋าใช้พีชคณิตเพื่อทำความเข้าใจสรรพสิ่งในโลกหล้า และเข้าใจว่าจักรวาลดำเนินไปอย่างไร ดังนั้นเหตุผลที่เนตรเทวะของท่านปู่บอดสามารถมองทะลุทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เพราะว่าพีชคณิตคือสัจจะสากลของจักรวรรดิ ดังนั้นข้าจึงมาเข้าใจได้ว่า ท่านปู่บอดนั้นเป็นอันดับหนึ่งด้านวิชาพยุหะ”
เหออีอีข่มระงับความคิดอื่นๆ และกล่าวอย่างมั่นเหมาะ “หากว่าเขาหมายจะทลายฝ่าพยุหะในเมืองต้นไผ่ของข้า ก็คงทำได้อย่างง่ายดาย เขาสมกับชื่อเสียงเกียรติคุณของอันดับหนึ่ง อย่างนั้น ใครล่ะคือยอดฝีมืออันดับสองในโลกหล้า”
ฉินมู่ยิ้มให้นางอย่างเขินๆ
เหออีอีจ้องไปที่เขาด้วยดวงตาอันดำขลับและเบิกกว้าง จากนั้นก็ร้องออกมา “เจ้าหรือ ยอดฝีมือพยุหะอันดับสอง?”
ฉินมู่หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “ตอนแรกข้าก็ไม่กล้าเรียกตนเองว่าอันดับสอง แต่หลังจากเห็นวิชาพยุหะของพี่สาวอีอีแล้ว ข้าก็คิดว่าข้าพอจะเป็นอันดับสองได้”
หัวใจของเหออีอีเดือดดาลไปหมด แต่นางก็กัดฟันข่มเอาไว้ นางกล่าว “ข้าไม่กล้าต่อสู้แย่งชิงอันดับหนึ่ง แต่ข้าไม่ยินยอมรับตำแหน่งอันดับสาม จ้าวลัทธิฉินประกาศว่าเขาคืออันดับสามในวิชาพิษและเอาชนะมู่ยิ่งเสว่ ทำให้หญิงผู้นั้นถึงกับออกปากยอมรับด้วยตนเองว่าเป็นเพียงอันดับสี่ในโลกหล้า”
“มาบัดนี้ท่านก็อ้างว่าวิชาพยุหะของท่านก็เป็นอันดับสองเช่นกัน นี่ไม่น่าแปลกไปหน่อยหรือ พวกเรามาประลองกันดีกว่า”
“ประลองกันอย่างไร” ฉินมู่ถามอย่างสนอกสนใจ
เหออีอีพึมพำกับตนเองอย่างตกลงใจไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแย้มยิ้มให้แก่เขา “ก็ยังคงเกี่ยวกับเมืองต้นไผ่แห่งนี้ ท่านจะอยู่ข้างนอก ส่วนข้าจะอยู่ข้างใน ยืนอยู่ที่นี่โดยไม่ขยับเขยื้อน หากว่าท่านสามารถเข้ามาในเมืองและหาตัวข้าพบ ข้าก็จะยอมรับว่าฝีมือด้อยกว่าและยินยอมอยู่ในอันดับสาม”
“ไม่เพียงเท่านั้น นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลเหอและผู้คนของพวกเราก็จะรับท่านเป็นผู้นำทางเพียงผู้เดียว หากว่าท่านหมายที่จะสนับสนุนไหน่ขุยให้ชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางกลับมา ตระกูลเหอของข้าก็จะสนับสนุนท่านอย่างสุดตัว!”
ฉินมู่หัวร่อฮาๆ จากนั้นหันกายเดินออกไปจากเมือง
ในโถงวัง ยอดฝีมือร้อยคนแห่งเมืองต้นไผ่หันไปมองกันและกันด้วยความหนักใจ หญิงชราผู้หนึ่งอ้าปากจะกล่าววาจา และเหออีอีโบกมือห้ามนางไว้ “ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอื่นแล้ว ข้าจะอาศัยโอกาสนี้เพื่อสังเกตการณ์ความสำเร็จเชิงพยุหะของสันตินิรันดร์”
“หากว่าพยุหะของข้าพังทลาย เมืองต้นไผ่ก็จะล่มสลายอยู่ดีเมื่อสันตินิรันดร์บุกเข้ามาในภายหลัง ดังนั้นทำไมเราไม่ยอมสวามิภักดิ์ไปล่วงหน้าล่ะ หากว่าจ้าวลัทธิฉินไม่สามารถทลายฝ่าวิชาพยุหะของข้าได้ พวกเราก็จะยังสามารถต่อสู้เมื่อวันทำศึกมาถึง ถอยไปเถอะ จ้าวลัทธิฉินและข้าจะประลองกันเพื่อตัดสินชะตาของเมืองต้นไผ่ และอาจจะเป็นชะตาของแผ่นดินตะวันตกด้วย!”
ทุกคนจึงได้แต่ถอยออกไปจากเมืองต้นไผ่
ประตูเมืองเปิดอ้ากว้าง
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรนำเสียงฉีเอ๋อออกไป จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในเมือง และมันก็พลันแปรเปลี่ยน สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดจมหายลงไปในดิน ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิด ก้อนหินจำนวนมากลอยขึ้นไปบนอากาศ วิวัฒน์เป็นกระบวนพยุหะ
รูปลักษณ์ของเมืองต้นไผ่แปรเปลี่ยนไปราวกับพลิกหลังมือ และในสายตาของผู้อื่น การเห็นก้อนหินลอยขึ้นไปสลับตำแหน่งบนอากาศนั้นเป็นเพียงเรื่องแปลกประหลาด คนส่วนมากแล้วจะพบว่าไม่อาจเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของพยุหะได้จากการชมดูก้อนหินที่เคลื่อนไหวไปมา แต่ฉินมู่เข้าใจมัน ในสายตาของเขา พวกมันทั้งน่าตื่นตาและหลากหลาย
ทุกการเคลื่อนไหวของหินลูกบาศก์ทำให้เขารู้สึกประทับใจตระการตา แต่ละอักษรรูนเชื่อมต่อกัน และโครงสร้างใหญ่ก็ร้อยรัดประสาน เผยให้เห็นภาพอันน่ารื่นรมย์ตรงหน้า
ไม่ว่าจะเป็นม่านคุ้มกันหรือพยุหะสังหาร พวกมันก็ล้วนแต่เป็นตรรกะเหตุผลคณิตศาสตร์
วงจรพยุหะปรากฏขึ้นในแก้วตาของฉินมู่ และเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว บางครั้งเขาก็จะหยุดเพื่อยกพู่กันขึ้นมาเปลี่ยนวงจรพยุหะ และในบางครั้งเขาก็จะก้าวไปข้างหน้า หรือไม่ก็เซถอยหลังไปสามก้าวเหมือนกับคนเมา และก็ยังมีตอนที่เหมือนกับเท้าของเขาติดสปริง ทำให้เขาสามารถกระโดดไปมาท่ามกลางก้อนหินที่เคลื่อนไหว
เขาดูเหมือนกับกำลังเหินบินอย่างสง่างามผ่านม่านคุ้มกันจำนวนหนึ่ง และบางครั้งเขาก็ดูเหมือนบุกตะลุยเข้าไปด้วยกำลังเถื่อนที่ม่านคุ้มกันอีกพวก มันดูเหมือนว่าเขาเสี่ยงชีวิตพุ่งเอาหัวโขกม่านคุ้มกัน แต่เสี้ยววินาทีที่หัวเขาจะชน กำแพงหินก็จะเปิดแยกออก ปล่อยให้เขาผ่านไป
ขณะที่เขาเดินดุ่มมาอย่างไม่รีบร้อนพลางไขโจทย์ปัญหาพีชคณิตยากๆ เขาก็เข้ามาใกล้ใจกลางเมืองต้นไผ่เข้าไปทุกที
ทุกอย่างในนั้นเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้กระทั่งโถงวังใหญ่ก็แยกออกจากกันและหายสาบสูญ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตำแหน่งแห่งที่ของเหออีอี
นางยืนอย่างเงียบเชียบที่เสาหินไม่ขยับเขยื้อน นางกำลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงมากมายในเมืองต้นไผ่ และปรับเปลี่ยนพยุหะทุกชนิดเพื่อยับยั้งฉินมู่
ทว่า สถานการณ์รอบนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ในตอนนั้นฉินมู่ถูกซุ่มโจมตีและถูกกักเอาไว้ในเมือง จึงไม่นับว่าเป็นสถานการณ์ที่ยุติธรรม
บัดนี้เขาได้บุกฝ่าพยุหะด้วยจังหวะของเขาเอง มันทดสอบความสำเร็จเชิงวิชาพยุหะว่าใครเหนือกว่าใคร
ผ่านไปสักพัก เหออีอีก็เห็นเงาร่างของฉินมู่เข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ และอดไม่ได้ที่จะว้าวุ่น นางขับเคลื่อนหินก้อนใหญ่อย่างร้อนใจเพื่อจัดวางพยุหะใหม่ๆ แต่ฉินมู่ก็ยังคงรุกคืบเข้ามาด้วยความเร็วอันมั่นคง
ที่ที่เหออีอียืนอยู่นั้นเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองต้นไผ่ และยังเป็นดวงตาของพยุหะในเมืองต้นไผ่ ฉินมู่อยู่ห่างออกไปเพียงกว่าสิบห้าวา และกระบวนพยุหะชั้นสุดท้ายก็อาจจะขัดขวางเขาไม่ได้
เหออีอีพลันกัดฟันกรอด และเมืองต้นไผ่พลันสั่นสะท้าน วิชาพยุหะตรงหน้านางพลันกระตุ้นเร้าการทำงาน และมันกลายเป็นสภาวการณ์พิฆาต พยุหะสังหารต่างๆ เชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และพลังของมันก็เพิ่มพูนอย่างบ้าคลั่งไปหลายเท่าตัวเมื่อมันพุ่งตรงไปยังตำแหน่งยืนของเหออีอี
นางกระตุ้นการทำงานของพยุหะไม้ตายสุดท้าย อันไม่สนมิตรและศัตรู ไม่ว่าจะเป็นฉินมู่หรือนาง ทั้งคู่ก็จะถูกกลืนกินโดยพยุหะสังหาร!
ในฐานะอาจารย์พยุหะแห่งแผ่นดินตะวันตก เหออีอีได้สืบทอดเกียรติภูมิของตระกูลเหอ และไม่อาจปล่อยให้ชื่อเสียงของตระกูลนางด่างพร้อยได้ ด้วยสูญเสียตำแหน่งอันดับหนึ่งวิชาพยุหะ ไม่ว่านางจะต้องตาย นางก็จะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลเหอ!
ฉินมู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาเข้ามายังข้างกายเหออีอีก่อนที่พยุหะสังหารจะมาถึงพวกเขา คว้าข้อมือของนางด้วยมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งยกพู่กันขึ้นตวัดวาดบนอากาศ
เหออีอีหลับตาลง เมื่อพยุหะสังเข้ามาถึงและกลืนกินพวกเขา!
แต่แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้น นางลืมตาขึ้นมาและพบว่ามิได้อยู่ในเมืองต้นไผ่อีกต่อไป ในทางตรงข้าม พวกเขาซ่อนอยู่ในส่วนลึกของห้วงมิติของเมือง แต่ทว่า เมื่อพยุหะสังหารเด็ดขาดระเบิดออกมา มันก็ฉีกทึ้งเข้าไปในโลกในภาพวาด และพุ่งเข้าใส่พวกเขา
โลกในภาพวาดที่พวกเขาอยู่ในตอนนั้น กำลังจะพังทลายและถล่มหายไป
ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม พู่กันของฉินมู่เคลื่อนไหวราวมังกรและอสรพิษ เปี่ยมไปด้วยความเปลี่ยนแปลงนับพันนับหมื่น ทันใดนั้น เหออีอีก็รู้สึกถึงแรงฉุดที่ข้อมือ และนางก็ถูกดึงเข้าไปในภาพวาดอีกภาพ
พวกเขาพุ่งเข้าไป และเหออีอีก็เห็นภูเขาและแม่น้ำอันงดงาม และมีมวลดอกไม้ที่เบ่งบานอย่างน่างหลงใหล ทิวทัศน์ที่นี่ทำให้ผู้ชมดูเบิกบานสราญตา
กระนั้นในจังหวะถัดมา พยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ก็ถล่มเข้ามาในโลกแห่งนี้ พลานุภาพอันทำลายล้างทุกสิ่งทุกอย่างพวยพุ่งเข้ามาหาพวกเขา
“ท่านมิได้ใช้วิชาพยุหะเพื่อไขวิชาพยุหะของข้า” เหออีอีมองไปที่เด็กหนุ่มข้างกายนางอย่างขึงขังและจริงจัง “ต่อให้ท่านหลบหนีไปจากพยุหะสังหารของเมืองต้นไผ่ได้ ข้าก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้”
“เจ้าเป็นอันดับสองในวิชาพยุหะ และข้าก็จะไม่สู้กับเจ้าแล้ว ตกลงไหม”
ฉินมู่หัวเราะด้วยเสียงอันดัง และสาดหมึกออกไปราวกับบัณฑิตที่งมงายในตนเอง วาดเขียนอักษรทั่วไปหมด ก่อนที่พยุหะสังหารอันร้ายกาจที่สุดในเมืองต้นไผ่จะสามารถทำลายล้างโลกในภาพวาด เขาก็พาเหออีอีเข้าไปยังโลกถัดไป
ท้องฟ้าที่นั่นระยิบพริบพราวไปด้วยทะเลดาว พวกมันเหมือนกับอัญมณีอันเปล่งแสง ส่องสว่างแก่ความมืด
ฉินมู่พาเหอีอีไปยังหมู่ดาวพวกนั้นและเริ่มต้นวิ่งไปท่ามกลางนภาประดับดาว พู่กันของเขาไม่หยุดยั้งเลยสักชั่วขณะ และเขาก็วาดทางช้างเผือกไปด้วย ข้างหลังพวกเขาคือวิชาพยุหะพิฆาตที่รุกไล่ แต่เขาไม่สนใจมันและกระโดดลงไปในแม่น้ำดวงดาว จากนั้นลอยล่องไปยังที่ไกลๆ
ทางช้างเผือกไหลไปยังปลายน้ำ และฉินมู่ก็คว้าข้อมือเหออีอีอย่างแน่นหนาเพื่อป้องกันมิให้นางถูกกระแสดาวซัดปลิวไป
เมื่อนางสามารถหยั่งเท้าได้ นางก็ยังคงเหม่อลอยอยู่ นางเห็นฉินมู่สะบัดพู่กันไปรอบๆ และดึงนางให้แนบชิดเข้าไปขณะที่เขากระโจนขึ้นไปบนอาชาสวรรค์ที่เพิ่งวาดขึ้นมาใหม่
มันวิ่งตะบึงออกไปจากภาพวาด และกลายเป็นสสารจริง มันตะกุยกับๆ พลางกางปีกกระพือเพื่อเพิ่มความเร็ว และพวกเขาก็ออกมาจากพยุหะสังหารไปได้ค่อนข้างไกล
ฉินมู่ยกพู่กันขึ้นอีก และสาดหมึกเข้าไปมากมายตามใจคิด ประตูหนึ่งปรากฏตรงหน้าพวกเขา และเมื่อพวกเขาเปิดมันออก แสงเจิดจ้าก็ส่องออกมาจากสถานที่อีกด้าน อาชาสวรรค์พุ่งทะยานผ่านประตูนั้น เหออีอีตกตะลึงเมื่อนางตระหนักว่าพวกเขาอยู่บนยอดเขานอกเมืองต้นไผ่
ฉินมู่คว้าข้อมือนาง พานางกระโดดลงจากอาชาสวรรค์ มันทะยานขาหน้าขึ้นสูงและร้องหนึ่งครา ก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นหมึกที่ร่วงลงกับพื้น
จากที่ไกลๆ ผู้นำตระกูลมากมายแห่งตระกูลใหญ่ในเมืองต้นไผ่รีบวิ่งมาทางพวกเขา
ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เหออีอีก็แย้มยิ้มและกล่าวอย่างอ่อนโยน “ข้าพ่ายแพ้ วิชาพยุหะของจ้าวลัทธิฉินเป็นอันดับสองในโลกหล้า ตระกูลเหอของข้าและทุกๆ คนในเมืองต้นไผ่จงติดตามเขาด้วยใจทั้งหมดของพวกเรา!”
ฉินมู่มองไปที่นางด้วยความงงงวย
ในสายตาของเหออีอี ร่องรอยอารมณ์อันนุ่มนวลก็ค่อยก่อตัวขึ้นมา และดวงตาของนางก็ประดุจน้ำใสในฤดูใบไม้ร่วง
สีหน้าอวี้ป๋อชวนแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง และเขารีบถลันถอยออกไปพลางร้องตะโกน “หมอนี่มันแกล้งตาย! ศิษย์แห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเราสังหารเขาได้ด้วยการทำลายภาพวาด!”
หญิงสาวมากมายรอบกายเขาพลันก้าวเข้าไปและโจมตีภาพวาด ในจังหวะเดียวกันนั้น แสงกระบี่ก็พวยพุ่งออกมา มันสะเทือนเลื่อนลั่น และการเปลี่ยนแปรอันอัศจรรย์ก็ประจักษ์แก่สายตาผู้ชมดูทั้งหลาย มันมิใช่แสงกระบี่อีกต่อไป แต่เป็นภูเขาและแม่น้ำที่ลอยเข้ามาปะทะใส่หน้าพวกเขา
ศิษย์หญิงกว่าสิบคนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ถูกทิวทัศน์ท่วมท้นกลบมิดทันที ร่างอันระหงงดงามของพวกนางดูราวจะแข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะแหลกสลายไปเหมือนเม็ดทราย
ความเร็วของภูเขาและแม่น้ำที่ท่วมท้นเข้ามานั้นเร็วอย่างสุดกู่ และกลบกลืนรถสมบัติในพริบตา ท่วมทับอวี้ป๋อชวนที่อยู่ข้างหลัง
อาจารย์พยุหะเหออีอีไม่ขยับ แต่สีหน้าแตกตื่นปรากฏขึ้นมาบนใบหน้านาง “สุดยอดเพลงกระบี่อย่างแท้จริง เขาไม่ด้อยไปกว่าอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้สักเท่าไรเลย”
ข้างหลังนาง ยอดฝีมือเกือบทั้งหมดจากตระกูลใหญ่เมืองต้นไผ่กำลังพลุ่งพล่าน พร้อมที่จะเข้าไปกลุ้มรุมสังหารฉินมู่ แต่เหออีอียกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องช่วย นายน้อยอวี้เพียงแค่เชิญพวกเรามาจัดวางกระบวนพยุหะเพื่อกักขังจ้าวลัทธิฉินแห่งแผ่นดินภาคกลาง เขาร้องขอพวกเราเพียงเท่านี้ ดังนั้นเราไม่มีหน้าที่ที่จะต้องช่วยเหลือเขาอีก”
ทุกคนจึงต้องหยุดอยู่กับที่
กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ของฉินมู่นั้นมิได้ท่วมซัดมาทางพวกเขา และเหออีอีก็กล่าวด้วยเสียงเบา “เขาก็เผยการยั้งมือที่เหมาะสม…”
พลานุภาพของกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ได้สังหารสาวงามนับสิบแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนตัวสั่นเทิ้มอย่างหยุดไม่อยู่และตะโกนออกไป “จ้าวลัทธิฉิน พวกเราไม่สนทนากันหน่อยหรือ”
เสื้อผ้าเขาสะบัดพลิ้ว แม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษ แต่ก็มีเครื่องประดับมากมายบนร่างกาย มันมีทั้งกำไลเงิน หยก และโซ่ จี้หยก แหวน สร้อยคอ ปิ่นปักผม แม้กระทั่งจี้อายุวัฒนะที่พรั่งพรูออกไปทั้งหมด
พวกมันล้วนแต่เป็นอาวุธวิญญาณของเขา และพลานุภาพของมันยิ่งใหญ่ แต่สุดท้ายแล้ว พวกมันมิได้เป็นผลงานของอวี้ป๋อชวน แต่เป็นสมบัติที่ผู้อาวุโสของเขามอบให้เพื่อความปลอดภัย
อาวุธวิญญาณเหล่านี้มีพลานุภาพน่าแตกตื่นสะท้านขวัญ ปิ่นปักผมมังกรเขียวสั่นเทิ้มอย่างแผ่วเบา และแปรเปลี่ยนเป็นมังกรเขียวเสียงคำรามของมันครั่นครื้นไปในอากาศ และรูใหญ่ก็ถูกเป่าทะลุท่ามกลางภูเขาและแม่น้ำ
อวี้ป๋อชวนลิงโลด และรีบกระโดดออกไปผ่านรูนั้น แต่ทันใดนั้น เขาก็สูญเสียการเชื่อมต่อกับปิ่นมังกรเขียว
ถัดมา เขาก็สูญเสียสัมผัสกับสมบัติชิ้นอื่นๆ และความสยองขวัญก็ถั่งโถมเข้ามาในใจเขา เพลงกระบี่อันเพริศแพร้วอย่างที่สุดของฉินมู่ได้สะบั้นการเชื่อมต่อปราณชีวิตระหว่างเขากับสมบัติวิเศษ นี่ทำให้เขามิอาจใช้สอยสมบัติใดแม้ว่าจะมีมันอยู่มากมาย
เพลงกระบี่อันมหัศจรรย์เช่นนี้น่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง!
ขณะที่เขากระโดดออกมาจากกระบี่ย่างไปในทิวทัศน์นั่นเอง เขาก็เห็นกิเลนมังกรคว้าจับเขาด้วยกรงเล็บ เขารีบถอดเสื้อผ้าชั้นนอกของเขาออก และพวกมันก็ลอยขึ้นทวนกระแสลม พวกมันขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นราวกับว่าเป็นเมฆก้อนหนึ่ง
กรงเล็บกิเลนมังกรตะปบโดนเสื้อผ้า แต่พวกมันอ่อนนุ่มและดูเหมือนจะว่างเปล่า และกิเลนมังกรก็ร่วงจมลงไปในเสื้อผ้าเหล่านั้นลึกขึ้นทุกที
อวี้ป๋อชวนหันกายวิ่งหนีไปด้วยท่อนบนเปลือยเปล่า แต่เขาได้ยินเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากกิเลนมังกรข้างหลังเขา เพลิงไฟพวยพุ่งออกมา และเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านในพริบตา
“อาจารย์พยุหะ ช่วยข้าด้วย!” อวี้ป๋อชวนตะโกนออกไป “หากว่าข้าตายในเมืองต้นไผ่ของเจ้า พวกเจ้าไม่มีทางหลีกหนีความรับผิดชอบได้!”
เมื่อเขาร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ยอดฝีมือนับร้อยข้างหลังอาจารย์พยุหะก็พากันขมวดคิ้ว
หญิงผู้หญิงกระซิบกล่าว “ถึงอย่างไรนายน้อยอวี้ก็เป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ หากว่าเขาตายที่นี่พวกเราย่อมไม่อาจหลีกหนีความรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์ หรือป้าโก่ว ก็ล้วนแต่เป็นตัวตนที่ยากจะรับมือ! อาจารย์พยุหะ โปรดไตร่ตรองอีกสามครา!”
เหออีอีส่ายหัว “ไม่ต้องช่วย”
ทุกคนมองกันและกันด้วยความหนักอึ้งในใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกระทำเช่นนั้น
“ข้าไม่สามารถสังหารจ้าวลัทธิมารฟ้าแห่งแผ่นดินภาคกลาง แต่ข้าได้พยายามลงมือกับเขาและ และความบาดหมางก็ก่อเกิด หากว่าข้าไปขัดขวางและช่วยชีวิตนายน้อยอวี้ ความแค้นระหว่างข้ากับจ้าวลัทธิฉินก็จะไม่มีทางคลี่คลายไปได้” เหออีอีกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่า สันตินิรันดร์แห่งแผ่นดินภาคกลางกำลังอยู่ระหว่างการปฏิรูป พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นทุกคืนวัน และได้ยึดครองทุกๆ สิ่งในหกทิศทาง และกวาดล้างทั้งแปดแดนเถื่อน ทุ่งหญ้าและที่ราบน้ำแข็งก็ล้วนแต่ตกอยู่ในเงื้อมมือของสันตินิรันดร์ อย่างไรก็ตามเป้าหมายต่อไปนั้นมิใช่แดนโบราณวินาศ แต่เป็นแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา หากว่าตำหนักสวรรค์พ่ายแพ้ให้แก่สันตินิรันดร์ ลัทธิมารฟ้าก็จะเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก และนั่นก็จะกลายเป็นจุดจบของพวกเรา”
ทุกคนเลือดในกายเย็นเฉียบ
แต่เหออีอียังกล่าวไม่จบ “ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะนายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ อวี้ป๋อชวนจะไม่มีกลเม็ดในการป้องกันชีวิตของเขาได้อย่างไร นายน้อยอวี้ได้ไล่ล่าไหน่ขุยจนแทบต้อนให้นางตกตาย อันมิใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะสามารถทำได้”
ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น เข็มขัดหยกก็พุ่งออกมาจากเอวของอวี้ป๋อชวน และแปลงร่างเป็นงูใหญ่ที่รัดพันกิเลนมังกรอันกระโจนขย้ำเข้าใส่เขา
อวี้ป๋อชวนหนีตายอย่างหัวซุกหัวซุน แต่แสงกระบี่พลันพุ่งวาบมาสามครา ร่างของอวี้ป๋อชวนแยกออกเป็นสี่ส่วนกลางอากาศ ขาของเขายังวิ่งตะบึงไปข้างหน้า แต่ศีรษะค้างนิ่งอย่างตกตะลึง
หน้าอกเขาก็ถูกผ่าออกเป็นสองแล่ง
ฉินมู่รั้งกระบี่ของเขากลับมา ในจังหวะนั้น อวี้ป๋อชวนที่ถูกผ่าสี่ก็ร่วงลงมาจากอากาศกลายเป็นก้อนไม้สี่ก้อน
“วิชาตัวตายตัวแทนอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่ตะลึงไป เขายกมือขึ้นคว้าจับไจกระบี่ที่ลอยลิ่วออกมาจากถุงเต๋าตี้ของเขา จากนั้นขว้างมันไปอย่างดุดัน
ไจกระบี่ขนาดสองคืบ ส่งเสียงหวีดหวือและปั่นหมุนไปข้างหน้า ข้างในนั้นคือแสงอันเย็นเยียบที่ยิงไปลงไปในพื้นดิน และทะลวงลึกเข้าไปในนั้น!
เงาร่างมนุษย์หนึ่งทะลวงขึ้นมาจากใต้ดิน อันไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากอวี้ป๋อชวน ข้างหลังเขาคือแสงกระบี่อันมุดเข้าใต้ดินเพื่อขับไล่เขาออกมาและไล่ล่าเขาอย่างไม่ยอมให้พักหายใจ
อวี้ป๋อชวนเงยศีรษะขึ้นมาและเห็นไจกระบี่พุ่งมายังศีรษะของเขา และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยน หากว่าเขาถูกโจมตีโดยไจกระบี่อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบนั่นล่ะก็ ใบหน้าเขาคงยุบเข้าไปในกะโหลก หรือแม้แต่ทั้งหัวเขาก็คงยุบเข้าไปในอก
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็แปลงเป็นดิน และร่วงลงมาจากฟากฟ้า
รอยชั้นพยุหะปรากฏในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขาจ้องมองลงไปยังพื้น สายตาของเขาเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วและพลันสั่นเทิ้ม เขาพุ่งทะยานเลียดดินออกไปจากเมืองต้นไผ่ และซัดใส่กองหินภูเขาที่หน้าเมือง กองหินนั้นพลันระเบิดออก และร่างของอวี้ป๋อชวนก็ปรากฏท่ามกลางหินที่แหลกละเอียด!
“อาจารย์พยุหะ ข้าจะสังหารเขานอกเมือง ถือว่าข้าให้ช่องทางที่ท่านจะเจรจาได้!”
เมื่อเสียงของฉินมู่ดังก้องไปทั้งเมือง เหออีอีก็ขมวดคิ้ว นางเงยศีรษะขึ้นมองไปที่ไกลๆ และเห็นฉินมู่ยื่นมืออกไปคว้าจับมีดของเขา มีดเชือดหมูลอยขึ้นมาเอง และเขาจับด้วยท่าจับย้อน
ร่างของเด็กหนุ่มทั้งสองเฉียดผ่านกันในอากาศราวกับลูกข่างที่หมุนติ้วสองลูก ซัดหมัดแลกมีดกันไปมา
ฉัวะ…
แสงโลหิตฉายส่อง และฉินมู่ร่วงลงเหยียบพื้นดินด้วยศีรษะในมือของเขา โลหิตยังคงหยดติ๋งๆ จากมีดในมืออีกข้าง
ข้างหลังเขา ศพของอวี้ป๋อชวนร่วงลงกับพื้นและกระดอนไปสองตลบ
ข้างในเมือง สีหน้าของอาจารย์พยุหะเหออีอีและยอดฝีมือคนอื่นๆ กลายเป็นเหม่อค้าง เมื่อพวกเขามองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังถือหัวขาด
เสยมีดจากที่ลับ หิ้วศีรษะราชามาในมือ!
เพลงมีดของคนแล่เนื้อ ก็ดุดันโอหังเหมือนกับบทกวีของเขา!
ในตอนนั้น ฉินมู่ก็ทั้งโอหังและดุดัน เขาได้สังหารอวี้ป๋อชวน ผู้ซึ่งเหออีอีคิดว่าจะหนีรอดไปได้!
“นายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ตายไปแล้ว…”
หางตาของทุกๆ คนกระตุกบิดเบี้ยว และอารมณ์ของพวกเขาก็หนักอึ้งอย่างถึงที่สุด
จ้าวลัทธิฉินนำมาเพียงกิเลนมังกรและองค์หญิงน้อย แต่กล้าหาญชาญชัยบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตก พลางเข่นฆ่าทุกคนที่ขวางทางเขา หลังจากที่เขาเงื้อมีดและสังหารกระทั่งบุตรชายแห่งเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ เขานั้นก็เหมือนเสือโหยที่เต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน สมกับชื่อเสียงกิตติศัพท์ของจ้าวลัทธิมารฟ้า!
กล่าวกันว่าลมปั่นป่วนเป็นสัญญาณของพายุภูเขา
เจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วมีนายน้อยอวี้เป็นบุตรเพียงคนเดียว แต่เขาตายที่นอกเมืองต้นไผ่ จ้าวลัทธิมารฟ้าจากแผ่นดินภาคกลางนั้นนับว่าอำมหิตและเฉียบขาดอย่างแท้จริง ตราบเท่าที่เขาพบโอกาสเพียงน้อยนิด เขาก็จะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือและไม่ปล่อยให้ศัตรูมีความหวังสักนิด!
อยากที่จะหลบหนีจากเงื้อมมือของเขานั้นยากยิ่งกว่ายาก มีแต่ปลาไหลเรียกทวดอย่างผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันเท่านั้นที่สามารถลอดผ่านง่ามมือเขาไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ความสามารถในการหลบหนีของอวี้ป๋อชวนนั้นเห็นได้ชัดว่าด้อยกว่าตัวประหลาดเฒ่าที่ดำรงชีวิตมาเป็นหมื่นปีมาก ต่อให้เขาเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักสวรรค์แท้และป้าโก่วก็ตาม
เหออีอีเดินออกไปจากเมืองและเห็นฉินมู่วางศีรษะของอวี้ป๋อชวนลงไป เขานำไหสุราออกมาและรินสุราจอกหนึ่งเพื่อวางไว้ข้างๆ ศพของศัตรู
“เจ้าชอบมีบทสนทนากับศพที่เจ้าเพิ่งสังหาร” ฉินมู่เงยศีรษะขึ้นและกลืนสุราเข้าไปอึกใหญ่ จากนั้นวางไหลงข้างๆ หัวของอวี้ป๋อชวน พลางกล่าวอย่างเรียบเรื่อย “แต่ข้าไม่ชอบ ไม่มีอะไรคุย ลาก่อน” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังเหออีอี
“จ้าวลัทธิฉิน” เหออีอีคราวะทักทาย
ฉินมู่คารวะตอบด้วยสีหน้าแช่มชื่น “พี่สาวอาจารย์พยุหะ ข้าควรจะเรียกท่านว่าอย่างไร”
เหออีอีมองไปที่เขาด้วยสีหน้าแปลกๆ “จ้าวลัทธิไม่ทราบนามของข้าหรอกหรือ ข้าแซ่เหอ นามอีอี เหอนั้นเป็นแซ่ตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตก และข้าได้เป็นผู้เชี่ยวชาญวิชาจากการสั่งสอนของบิดามารดา”
“ที่แท้ก็อย่างนี้” ฉินมู่กล่าว “ความสำเร็จของพี่สาวอีอีในวิชาพยุหะไม่เลวเลย แม้แต่ข้าก็ยังไม่อาจไขมันออกได้ในระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้โลกในภาพวาดเพื่อหลบหนี ที่แท้พี่สาวอีอีก็ได้รับสืบทอดมรดกยุทธจากตระกูลอันเลื่องชื่อของนาง ตระกูลเหอของท่านนั้นนับว่าเหนือธรรมดาในด้านวิชาพยุหะ ดังนั้นท่านนับได้ว่าเป็นอันดับสามในโลกหล้า”
ข้างหลังเหออีอี ทุกคนค่อนข้างมีโทสะ วิชาพยุหะของตระกูลเหอนั้นเป็นอันดับหนึ่งในโลกหล้า อันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ทราบกันดี กระนั้นเมื่อออกมาจากปากฉินมู่ พวกเขากลายเป็นอันดับสาม นี่จะไม่ให้มีโทสะได้อย่างไร
เหออีอีมองไปที่เสียงฉีเอ๋อและดูราวจะจดจำนางได้ นางแย้มยิ้มและกล่าวถาม “ข้าไม่สนใจว่าจะเป็นอันดับหนึ่งหรืออันดับสาม จ้าวลัทธิฉินนำองค์หญิงน้อยไปยังตำหนักสวรรค์แท้นั้นดูค่อนข้างมีแผนการสมคบคิด ในสายตาของข้า ดูราวกับว่าจ้าวลัทธิเพียงเอาชีวิตไปทิ้งเล่นๆ ด้วยการดั้นด้นไปตำหนักสวรรค์แท้ แต่ท่านดูไม่เหมือนผู้คนที่จะทิ้งชีวิตตนเอง ท่านช่วยไขปริศนานี้ได้หรือไม่”
“พี่สาวอีอี ท่านต้องการสนทนาที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”
เหออีอีจึงเชิญเขาเข้าไปในเมือง และเข้าไปในโถงวังหลัก ฉินมู่นั่งลงที่นั่นและกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “อาจารย์พยุหะน่าจะรู้ว่าเหตุใดข้าจึงมาที่นี่ จริงไหม”
เหออีอีสะท้านใจเล็กน้อย และนางร้องออกมา “ท่านวางแผนว่าจะช่วยไหน่ขุยชิงตำแหน่งเจ้าตำหนักกลับคืนมา! ไหน่ขุยก็อยู่ที่นี่! นางเพียงซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่ง!”
ฉินมู่หัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหัว
“พี่สาวอีอีดูแคลนข้าไปแล้ว การเดินทางครั้งนี้ของข้าอยู่ใต้บัญชาของจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิ!”
ในโถงนั้น ยอดฝีมือทั้งหลายจากทุกสาแหรกตระกูลแห่งเมืองต้นไผ่มองกันไปมา ใต้บัญชาจักรพรรดิ เพื่อมารับแผ่นดินตะวันตกเข้าร่วมจักรวรรดิอย่างนั้นหรือ
ฉินมู่เพียงแค่คนเดียวเนี่ยนะ?
เหออีอีสายตาวูบไหว “น้ำเสียงของจ้าวลัทธิฉินจะไม่โอหังไปหน่อยหรือ ท่านมีคุณสมบัติอะไรถึงจะมายึดครองแผ่นดินตะวันตก”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าคือจ้าวลัทธิมารฟ้า และนั่นก็เป็นคุณสมบัติในตนเอง ลัทธิมารฟ้าของข้ามีผู้ฝึกวิชาเทวะเรือนล้าน และด้วยการโบกมือของข้าคราวเดียว คนเรือนล้านนี้ก็จะมารวมตัวกัน ด้วยการชี้นิ้วของข้า กองทัพผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายก็จะถล่มทุกสิ่งที่ขวางทางให้ราบเป็นหน้ากลอง”
“แผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นสันติสุขมาช้านาน หัวเมืองและแว่นแคว้นต่างๆ ก็มิได้อยู่กันเป็นปึกแผ่น อย่าว่าแต่แสนยานุภาพของจักรพรรดิ แม้เพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะนับล้านของลัทธิมารฟ้าข้าก็เห็นพวกท่านเป็นแค่ไก่กระเบื้องและสุนัขดินเผาที่ไม่อาจทนทานการโจมตีแม้เพียงหวดเดียว!”
เขายืนขึ้นด้วยมือไพล่หลัง “ข้าได้หลอมสร้างปืนใหญ่เทวะยิงตะวันที่ยิงปลิดชีวิตของเทพครองแดนหยกแห่งเหนือฟ้า ข้าได้สยบเทพครองแดนเลี้ยงมังกรและสั่งให้เขาพิทักษ์รักษาแม่น้ำหย่ง จากนั้นก็สยบเทพป๋ายซี่แห่งเหนือฟ้า สั่งให้เขาปกปักษ์ขุนเขาร้อยปี”
“สันตินิรันดร์ของข้าทำศึกที่เทือกเขาเทพทำลาย และขจัดกวาดล้างเทพทุกตนแห่งเหนือฟ้า!” สายตาของเขาประดุจสายฟ้าเมื่อเขากวาดมองไปยังทุกๆ คน “หากว่าข้าหมายจะทำลายล้างแผ่นดินตะวันตกของพวกท่าน ลำบากเพียงแค่ดีดนิ้ว!”
ทุกคนสีหน้าซีดขาวราวกระดาษ
ฉินมู่จึงแย้มยิ้ม “แต่ข้าไม่ปรารถนาให้ผู้คนแห่งแผ่นดินตะวันตกถูกกวาดล้าง แม้แต่ทำลายสันติสุขที่นี่ข้าก็ไม่ยินดี หากว่าไหน่ขุยได้ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางคืนมา นางก็จะนำตำหนักสวรรค์แท้ไปสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ ทหารก็จะไม่ถูกเกณฑ์ไปสักคนเดียว และไม่มีชีวิตใดที่จะถูกทำลาย ดังนั้นข้ามาเสี่ยงชีวิตที่นี่จะเสียหายอะไร ความปลอดภัยของข้ามิได้สำคัญเท่ากับชีวิตของผู้คนทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตกเลยแม้แต่น้อย พี่สาวอีอี ท่านจะยื่นมือช่วยเหลือข้าหรือไม่”
เหออีอีมองไปที่ยอดฝีมือจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายแห่งเมืองต้นไผ่ และพบว่าพวกเขาล้วนแต่สะพรึงกลัว
นางขมวดคิ้ว จากนั้นก็มีรอยยิ้มคลี่ออกมาประดับริมฝีปาก “จ้าวลัทธิฉินกล่าวว่าวิชาพยุหะของข้าเป็นอันดับสามในโลกหล้า ดังนั้นข้าขอถามได้หรือไม่ว่าผู้ใดคืออันดับหนึ่ง และผู้ใดคืออันดับสองด้วยเช่นกัน อีอีใคร่จะล้างหูรับฟังเรื่องนี้”
กิเลนมังกรมองไปรอบๆ ด้วยความวิตก กลัวว่าตึกราม บ้านช่อง และราชวังจะลุกขึ้นมาโลดเต้นอีกครั้ง
แต่เมืองต้นไผ่เงียบสงัด ทั่วทุกแห่งมองไม่เห็นเงาร่างผู้คน เมืองต้นไผ่นั้นน่าจะเป็นเมืองใหญ่อันมีประชากรนับแสน แต่พวกเขาทั้งหมดเหมือนกับจะหายสาบสูญไปในอากาศธาตุ
การที่ทำให้คนทั้งเมืองออกจากบ้านของตนเองไป คนผู้นั้นจะต้องมีอิทธิพลอำนาจอันเกินจินตนาการ
เมืองต้นไผ่โล่งว่าง แต่สำหรับฉินมู่และคณะ เมืองที่ดูคับคั่งเมื่อครู่กลับตายลงไปอย่างฉับพลัน
แต่ยิ่งมันเงียบสงัดมากเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกสยองขวัญพรั่นพรึงมากเท่านั้น
ทันใดนั้น ทั้งเมืองก็เริ่มสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และพื้นดินใต้เท้าของพวกเขาก็นูนโป่งขึ้นมา ตึกราม บ้านช่อง และราชวังก็จมลงไปข้างล่าง และทั้งเมืองต้นไผ่กลับกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า
กิเลนมังกรรีบเหาะเหินขึ้นไปบนอากาศโดยเหยียบเมฆอัคคีขึ้นไป เสียงฉีเอ๋อกำแผงขนคอของเขาเอาไว้แน่น มองลงไปข้างล่างด้วยความกระสับกระส่าย
เมืองข้างล่างมันผ่าแยกออก และหินจัตุรัสก็ยกตัวขึ้นมาจากพื้น พวกมันซ้อนทับกันชั้นแล้วชั้นเล่าก่อตัวเป็นแท่งเสาจัตุรัสอันสูงเสียดฟ้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วอึดใจเดียว ป่าดงแท่งเสาจัตุรัสก็ปรากฏห้อมล้อมฉินมู่และคณะเอาไว้!
พวกเขากลายเป็นเล็กกระจ้อยร่อยเมื่อเทียบกับสภาพโดยรอบ
เสาพวกนี้จริงๆ แล้วกำลังเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว แต่ความเปลี่ยนแปลงในกระบวนพยุหะถูกซ่อนเอาไว้ ทุกครั้งที่เสาเคลื่อนขยับ พวกมันก็จะสูงขึ้น หรือไม่ก็หดสั้นลง หินจัตุรัสก็จะเคลื่อนที่แนวขนานหรือไม่ก็แนวตั้ง เข้าไปประกอบกับเสาแท่งอื่น
และยังมีเสาพาดขวางที่ห้อยลงมาจากเสาต้นอื่นๆ เหมือนกับคาน แต่ความยาวของคานพวกนั้นก็เปลี่ยนแปรไปตลอดเวลา บางครั้งมันก็หดสั้น บางครั้งมันก็ยืดยาว บางทีก็ดูเหมือนจะมีเส้นทางเดินข้างหน้ากลุ่มฉินมู่ แต่ในเสี้ยววินาทีถัดมา เสาหินพวกนั้นก็จะมาเชื่อมต่อเข้าด้วยกันกลายเป็นกำแพงตัน
เมืองต้นไผ่ดูจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แต่มันแตกต่างไปจากเมืองที่ไล่กัดกินทุกสิ่งเมื่อครู่อย่างลิบลับ ตอนนี้มันดูเหมือนห้วงอวกาศสามมิติที่เปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา
ก่อนหน้านี้ เมืองต้นไม่เป็นวัตถุใหญ่มหึมาที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง และดูอันตรายร้ายกาจ แต่ก็กลายเป็นเพียงแค่หมาเห่าแต่ไม่กัด ไม่มีภัยคุกคามร้ายแรงอะไร แต่ทว่า หลังจากที่มันกลายเป็นพื้นที่สามมิติ และเริ่มจะเคลื่อนไหวไปในแบบแผนของพยุหะ อันตรายของมันก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด!
ผนังทั้งหกด้านของจัตุรัสได้ตราประทับได้ด้วยรอยอักษรรูนต่างๆ กัน แม้ว่าหินพวกนั้นจะหมุนปรับสลับเปลี่ยนไปมา แต่อักษรรูนก็จะยังเชื่อมต่อกันเป็นวงจรอย่างสมบูรณ์แบบกับก้อนอื่นๆ ที่อยู่ติดกัน
และที่ประหลาดที่สุด การประกอบเข้ากันใหม่ไปมาของหินสี่เหลี่ยมเหล่านั้นก็เป็นเพียงภาพภายนอกเท่านั้น ภัยซ่อนเร้นที่แท้จริงแฝงอยู่ในอักษรรูนที่แยกออกและต่อเข้าด้วยกันใหม่เหล่านั้น
การจัดเรียงแบบแผนอักษรรูนที่แตกต่างกันก็ย่อมหมายถึงกระบวนพยุหะที่ต่างกัน ในเมืองนี้มีก้อนหินมากมายนับไม่ถ้วน และอักษรรูนบนหินแต่ละก้อนก็ไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงมีวิธีการไม่จำกัดในการประกอบพวกมัน และการเปลี่ยนแปลงในพยุหะก็จะไร้ที่สิ้นสุด!
ฉินมู่มองทะลุมันโดยพลัน หากว่าพวกเขานั่งนิ่งอยู่กับที่ข้างใน แทนที่จะเคลื่อนไหว พวกเขาก็จะไม่กระตุ้นการทำงานของพยุหะ แต่ว่าเมื่อใดที่พวกเขากระดุกกระดิกแม้สักน้อย พลานุภาพในกระบวนพยุหะพวกนี้ก็จะกระตุ้นเร้าขึ้นมา!
ทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก น่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ! ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชมอยู่ในใจ ทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกอาจจะไม่เน้นพลังทำลายล้างแบบสันตินิรันดร์ แต่ความพิลึกพิสดารของมันและความไพศาลของมันทำให้เขานับถือชื่นชมอย่างเป็นที่สุด!
เขาได้เรียนวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ แต่เขามิเคยได้ทุ่มเทกายใจเข้าไปสำรวจมันอย่างลึกซึ้ง แต่ทว่าในบัดนี้ เมืองต้นไผ่ได้เผยให้เขาเห็นภูมิปัญญาของผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนไร้ประมาณในแผ่นดินตะวันตก
พื้นที่ว่างเริ่มเล็กลงๆ ทุกที มันบีบอัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และหากว่าเมืองนี้ยังทำเช่นนี้ต่อไป มันก็อาจจะกลายเป็นลูกบาศก์สามมิติขนาดใหญ่ หากฉินมู่ เสียงฉีเอ๋อ และกิเลนมังกรฝ่าออกไปไม่ได้ พวกเขาก็จะถูกบีบจนแหลกเละข้างใน
กิเลนมังกรก็สามารถมองเห็นความน่าสะพรึงกลัวของเมืองต้นไผ่ และรีบเริ่มลงมือคำนวณเส้นทางรอดชีวิตทันที ในเมื่อพวกเขากำลังเผชิญกับพยุหะค่ายกล มันก็จะต้องมีแบบแผนกระบวนการที่แน่นอน และในแบบแผนกระบวนการนั้นก็จะมีหนทางรอด
การเปลี่ยนแปลงแห่งเมืองต้นไผ่อยู่บนการเปลี่ยนตำแหน่งของก้อนหิน ดังนั้นนั่นคือจุดเดียวที่คณะเดินทางจะเสาะหาทางรอดได้
แต่ทว่าการไขพยุหะนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ เส้นทางที่ดูเหมือนว่าจะใช้หลบหนีได้ ในไม่ช้าก็ปรากฏว่าเป็นทางตัน หากว่าคณะหนีไปในเส้นทางนั้น พวกเขาก็จะมีแต่ต้องตกตายอย่างน่าสังเวช!
“กรงลูกบาศก์แห่งเมืองต้นไผ่ บรรจุไว้ด้วยการเปลี่ยนแปลงเชิงพีชคณิตที่ซับซ้อนอย่างสุดขั้ว!”
กิเลนมังกรมองไปรอบๆ และลูกตาเขาก็กลอกไปมาราวกับโคมไฟกระดาษหมุน ระหว่างที่เขาพยายามคำนวณการเคลื่อนไหวของลูกบาศก์ทุกลูกในพยุหะใหญ่มหึมานี้ ไม่นานนักเขาก็น้ำลายฟูมปากจากความเหนื่อยล้า เขารีบกล่าวทันที “หากว่าข้ามีเวลามากพอ ข้าก็จะสามารถคำนวณเส้นทางหลบหนีเอาชีวิตรอดได้! แต่ทว่า ข้าเกรงว่าก่อนที่ข้าจะคำนวณสำเร็จ พวกเราก็คงจะถูกบีบเค้นจนตายไปเสียก่อน! จ้าวลัทธิ ท่านมีวิธีการคำนวณทางออกหรือไม่”
ฉินมู่ประกายตาวูบวาบ และเขากล่าวด้วยความยินดี “จู่ๆ ข้าก็มีความคิดดีๆ ใช้จัดการกับซิงอ้าน! หากว่าแขนขาของเขาถูกปลุกให้เป็นพรายวิญญาณ ไม่ใช่ว่ามันจะหลุดพ้นการควบคุมหรอกหรือ นี่จะทำให้สังหารเขาได้ง่ายดายยิ่งขึ้น!”
กิเลนมังกรทั้งว้าวุ่นทั้งคลั่งใจ “จ้าวลัทธิ พวกเราจะตายกันอยู่แล้ว แต่ท่านยังมีเวลาคิดเรื่องแบบนี้อีกหรือ”
ฉินมู่แย้มยิ้ม “บุคคลที่ควบคุมเมืองต้นไผ่มีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันสูงส่ง และไม่ด้อยไปกว่าข้า หากว่านี่เป็นการสู้อย่างยุติธรรมซึ่งๆ หน้า ข้าก็สามารถเอาชนะเขาได้ แต่ในเมื่อเขาวางแผนร้ายใส่ข้าและชิงลงมือก่อนในโอกาสอันดี มันก็ยากที่ข้าจะไขพยุหะนี้ออกไปได้ ในเวลาที่ข้าไขปัญหาออก พวกเราก็คงจะเละเป็นมะเขือเทศคั้นไปแล้ว”
กิเลนมังกรสิ้นหวัง แต่ฉินมู่ดูไม่เหมือนจะสิ้นหวังตามไปด้วย เขาตะโกนออกไปทันที “ศิษย์พี่อวี้ ไม่เจอกันนานเลยนะ เจ้าไม่คิดจะสนทนากันหน่อยหรือ ก่อนที่ข้าจะตายน่ะ”
“ข้าไม่คิด ข้ากลัวว่าถ้าข้าพูดมากเกินไปจะตายเสียเอง” ฉินมู่บอกไม่ถูกว่าเสียงของอวี้ป๋อชวนดังมาจากที่ไหน แต่น้ำเสียงนั้นดูกระหยิ่มใจอย่างปิดไม่มิด “เมื่อรับมือกับบุคคลเช่นจ้าวลัทธิฉิน ทางที่ดีที่สุดคือรีบส่งท่านให้ไปตายโดยไว ข้าไม่อาจเสี่ยงให้ท่านตายช้าไปแม้อึดใจเดียว มีแต่จ้าวลัทธิฉินที่ตายแล้ว ถึงจะเป็นจ้าวลัทธิฉินที่ผู้คนสามารถไว้วางใจ”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำเหมือนก้อนถ่าน
“แต่พี่ฉินไม่ต้องกังวลไป หากว่าข้าพบศพของเจ้า ข้าก็จะนั่งลงและบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับข้าให้เจ้าฟังอย่างแน่นอน” อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยความรื่นเริง “น้องชายผู้นี้มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง คือข้าจะต้องพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปลิดชีวิตศัตรูเมื่อข้าสู้กับพวกเขา มีก็แต่เมื่อศัตรูตายไปแล้ว ข้าถึงจะเริ่มพูดคุยเจรจา และมีบทสนทนาอันสนุกสนานกับศพของพวกเขา บอกเล่าว่าทำไมพวกเขาถึงพ่ายแพ้ให้แก่ข้า ข้าคงยกเว้นให้จ้าวลัทธิฉินเป็นกรณีพิเศษไม่ได้หรอก”
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “เป็นนิสัยที่ดีอะไรอย่างนี้ ข้าถูกกักเอาไว้ข้างในและถูกลิขิตไว้ว่าจะต้องตายในเงื้อมมือของเจ้าเป็นแน่ กระนั้นเจ้าก็ยังคงระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง นับว่าเป็นศัตรูอันมหัศจรรย์จริงๆ นี่สินะที่เรียกว่าได้พบกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ข้าอยากจะวาดภาพให้เจ้าเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงมิตรภาพอันก่อเกิดขึ้นมาจากการชื่นชมพรสวรรค์ซึ่งกันและกัน”
ความเคลื่อนไหวของกำแพงหินยิ่งเข้มข้นมากขึ้นทุกที และกรงลูกบาศก์อันก่อขึ้นมาจากเมืองต้นไผ่ก็แปรเปลี่ยนไปไวยิ่งยวด แต่ละการเคลื่อนไหวของมันอัดแน่นไปด้วยโครงสร้างคณิตศาสตร์อันลึกล้ำ
พวกมันกลายเป็นโครงสร้างพยุหะ และหินลูกบาศก์ที่ชั้นนอกก็ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ในเมื่อพวกมันกลายเป็นพยุหะสังหารไปเรียบร้อยแล้ว กักขังผู้ที่อยู่ข้างใน ไม่นานนัก ลูกบาศก์หินที่ชั้นในก็เริ่มหยุดเคลื่อนไหว กลายเป็นพยุหะสังหารเช่นเดียวกัน
เมื่อแต่ละชั้นห่อหุ้มแต่ละชั้น มันก็ยิ่งทำให้ทั้งสามคนยากที่จะหลบหนีมากขึ้นไปทุกที เมื่อพยุหะสังหารสุดท้ายถูกจัดวางลง ก็ไม่มีเส้นทางหนีอีกต่อไป
หากว่าฉินมู่และพรรคพวกขยับ พวกเขาก็จะตาย หากว่าพวกเขาไม่ขยับ พวกเขาก็จะตายอยู่ดี
ฉินมู่เลือกที่จะยืนนิ่ง เขายกพู่กันขึ้นมาและสาดหมึกจำนวนหนึ่ง จากนั้นเริ่มต้นวาดภาพด้วยพู่กันที่ตวัดไปอย่างรวดเร็ว
เสาหินเริ่มขยับเข้ามาใกล้พวกเขา และกระบวนพยุหะก็แปรเปลี่ยนไปอย่างไม่หยุดยั้ง ในท้ายที่สุด พวกมันก็มาถึงจุดที่พวกเขาอยู่
เมื่อมันวิวัฒน์ไปจนถึงขั้นสุดท้าย มันก็กลายเป็นกำแพงหกด้านที่บีบอัดเข้ามายังใจกลาง กำแพงหินหกด้านนี้กดดันไปข้างหน้าด้วยเสียงตูมกัมปนาท
ท้ายที่สุด กำแพงทั้งหกด้านก็มาบรรจบกันและพลานุภาพอันเกินจะหยั่งก็พวยพุ่งออกมา วงจรพยุหะในลูกบาศก์ชั้นนอกกระตุ้นการทำงาน และอักษรรูนบนลูกบาศก์จำนวนนับไม่ถ้วนก็เปล่งแสงจ้า ส่งพลังให้ผนังทั้งหกด้านมีกำลังบดขยี้อันน่าสะพรึงกลัว ลูกบาศก์เมืองต้นไผ่ทั้งลูกสั่นสะท้านจากการกระแทกชน!
การกระแทกระดับนี้ต่อให้ยอดยุทธขั้นสะพานเทวะก็ยากจะรอดชีวิตมาได้ อย่าว่าแต่พวกอย่างฉินมู่และกิเลนมังกร!
“เยี่ยมมาก วิเศษจริงๆ!” อวี้ป๋อชวนปรบมือและหัวเราะร่า “อาจารย์พยุหะสมกับเป็นอาจารย์พยุหะ กระบวนพยุหะนี้นับว่าไร้เปรียบปานในโลกหล้า และไม่มีใครทัดเทียมได้ แม้ว่าจ้าวลัทธิมารฟ้าจะเต็มไปด้วยเล่ห์กล แต่เขาก็จนปัญญาเมื่อเผชิญกับกระบวนพยุหะของอาจารย์พยุหะ เขาตายก็คงตายตาหลับ”
เสียงของสตรีนางหนึ่งตอบเขาอย่างชืดชา “คุณชายอวี้ชมข้าเกินไปแล้ว ข้าได้ยินว่าจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่ ผู้มีสายตาสูงส่งเหนือศีรษะแต่ก็พ่ายแพ้ให้แก่เขา นี่แสดงว่ามีบางอย่างที่เหนือธรรมดาในตัวเขา แต่เขามุ่งใส่ใจในเรื่องพิษมากเกินไป และความสำเร็จเชิงพีชคณิตและพยุหะของเขานั้นด้อยกว่าข้ามาก ดังนั้นข้าจึงสามารถกักขังเขาไว้ได้ จ้าวลัทธิฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเอาหัวมาถวายและถูกประหารตายไป”
อวี้ป๋อชวนหัวร่อฮาๆ “เขาคิดว่าเมืองต้นไผ่นั้นมุ่งจะเอาชนะเขาด้วยกำลังเถื่อน ดังนั้นเขาจึงรี่เข้าไปเพื่ออวดโอ้ทักษะวิชาอันน่าประทับใจของเขา แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่ามันจะเป็นเพียงเหยื่อล่อที่อาจารย์พยุหะจัดวางเอาไว้เท่านั้น และลงเอยด้วยการตกเข้าไปในกับดัก อาจารย์พยุหะ อาจารย์พิษ และอาจารย์กระบี่ คือสามสุดยอดอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกของพวกเรา พวกเจ้าทั้งหมดล้วนแต่เลิศล้ำเหนือธรรมดา อาจารย์พยุหะ โปรดคลี่คลายกระบวนพยุหะนี้ ข้าอยากจะชมดูภาพวาดที่จ้าวลัทธิฉินหลงเหลือเอาไว้ให้ข้า”
เสียงของกระบี่กระทบกันเคร้งคร้างดังมา และกระบวนพยุหะมหึมาแห่งเมืองต้นไผ่ก็ค่อยๆ คลี่ออกมาด้วยตนเอง ก้อนหินใหญ่มากมายจมหายลงไปในดิน และบ้านเรือนกับราชวังก็ค่อยๆ ยกขึ้นมาจากใต้ดิน ไม่นานนัก เมืองต้นไผ่ก็หวนคืนกลับสู่สภาพเดิม และบนกำแพงจุดที่ฉินมู่และคณะเคยยืนอยู่นั้น มีภาพวาดแผ่นหนึ่งแขวนไว้ที่นั่น
อวี้ป๋อชวนมีรอยยิ้มเกลื่อนหน้าเมื่อเขานั่งรถสมบัติขับตรงไปยังกำแพง ข้างหลังเขาติดสอยห้อยตามด้วยฝูงยอดฝีมือแห่งแผ่นดินตะวันตก และผู้ที่นำพวกเขานั้นเป็นสตรีนางหนึ่ง นางมีรูปโฉมอันบอบบางและงดงาม ในมือของนางมีลูกบาศก์โลหะ
มันแตกออกจากกันกลายเป็นลูกบาศก์โลหะขนาดต่างๆ มันกลิ้งแกรกๆ แล้วก็ประกอบเข้าด้วยกันใหม่
หญิงผู้นี้คืออาจารย์พยุหะเหออีอี อันมีชื่อเสียงกระเดื่องดังร่วมกับอาจารย์พิษมู่ยิ่งเสว่และอาจารย์กระบี่ลัวอิ่นอวี้
สามอาจารย์แห่งแผ่นดินตะวันตกล้วนแต่เป็นเด็กสาว และพวกนางก็มีสุดยอดวิชาอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ที่ทำให้พวกนางสามารถสถาปนาอิทธิพลอำนาจของตนเอง
อาจารย์พยุหะเหออีอีปกครองเมืองต้นไผ่ และได้มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะวิชาพยุหะของนางอันไร้ต่อต้านในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครทัดเทียมนางได้ในวิชาพยุหะ
แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งแผ่นดินตะวันตก อาจารย์ทั้งสามก็มีจุดแข็งเป็นของตนเอง และมิใช่ผู้ใต้บัญชาของอำนาจใด แต่ทว่า เนื่องมาจากอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้ อาจารย์ทั้งสามก็ยังต้องกริ่งเกรงอยู่สองสามส่วน หากว่าแดนศักดิ์สิทธิ์มีข้อขอร้องใด พวกนางก็จะช่วยเหลือ
ข้างหลังเหออีอีคือยอดฝีมือแห่งเมืองต้นไผ่ พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้นำตระกูลใหญ่มากอิทธิพลในเมืองต้นไผ่ และกำลังฝีมือของพวกเขาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้คนในเมืองหอมเบ่งบาน การที่สามารถสร้างเขตอิทธิพลอันเป็นอิสระขึ้นมาได้ พวกเขาย่อมไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย
อวี้ป๋อชวนขับรถสมบัติมายังกำแพงหิน เขาเพ่งพิศดูภาพวาดและเห็นว่าข้างในนั้นมีฉินมู่ กิเลนมังกร และเสียงฉีเอ๋อ พวกเขาดูละเอียดประณีตสมจริง
“แจ่มชัด และมีชีวิตชีวา!” อวี๋ป๋อชวนหน้าบานแฉ่งและหัวเราะให้แก่ศิษย์สาวๆ แห่งตำหนักสวรรค์แท้ “แจ่มชัดและมีชีวิตชีวาอย่างแท้จริง! ภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินนั้นล้ำเลิศอย่างไม่น่าเชื่อ หากว่าเขาเอาดีทางขายภาพ เขาก็จะต้องไม่อดตายอย่างแน่นอน! ฮ่าๆๆๆ”
หญิงสาวในรถสมบัติพากันหัวเราะ “น่าเสียดายที่เขาตายไปแล้ว นายน้อย ดูสิ จ้าวลัทธิฉินในภาพวาดยังคงยิ้มอยู่เลย!”
หญิงสาวแห่งตำหนักสวรรค์แท้อีกคนแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ได้ตายในน้ำมือของอาจารย์พยุหะ และได้พบเห็นพยุหะอันไร้ที่ติของนาง นี่คงจะควรค่าแก่การแย้มยิ้มโดยไม่ย้อนเสียใจสินะ”
อวี้ป๋อชวนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและเดินออกไปจากรถสมบัติ มือของเขาไพล่หลังเอาไว้พลางเพ่งพิศภาพวาดบนกำแพงหิน จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างไม่รีบร้อน “จ้าวลัทธิฉิน มาคุยกันสักหน่อยปะไร”
“เยี่ยม!” ฉินมู่ในภาพวาดพลันเอี้ยวมองไปรอบๆ พลางยิ้มแฉ่ง “ข้าเองก็กำลังคิดอยากสนทนากับพี่อวี้! กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์–”
กิเลนมังกรหันกลับแล้ววิ่งหนีพลางตะโกนไปด้วยความคั่งแค้นใจ “พวกผู้ฝึกวิชาเทวะแดนตะวันตกมันบ้ากันไปหมดแล้ว! จ้าวลัทธิ พวกเขาต้องบ้ากันแน่ๆ! ใครมันจะปลุกทั้งเมืองขึ้นมาและใช้ต่างอาวุธ”
ข้างหลังพวกเขา ทุกหนทุกแห่งที่เมืองต้นไผ่วิ่งผ่านก็ราบเป็นหน้ากลอง
เมืองใหญ่นี้ราวกับสิ่งมีชีวิตมีเลือดเนื้อที่ก้าวอาดๆ ไล่กวดพวกเขา มันพลิกสันเขาให้กระเด็นไปด้วยความเร็วอันร้ายกาจ ทุกอย่างที่มันผ่านก็กลายเป็นแบนราบไปหมด
เมืองนี้ราวกับปากอันน่าสะพรึงกลัวที่สามารถกลืนกินและบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เพียงเท่านั้น ยักษ์หลายพันตนในเมืองยังเหวี่ยงร่างของพวกมันราวกับค้อนใหญ่ และทุกอย่างที่ถูกเมืองกัดเคี้ยวเป็นชิ้นๆ เมื่อหลุดเข้าไปในเมืองก็ถูกยักษ์พวกนั้นฟาดทุบเป็นผุยผง
นั่นยังไม่พอ ข้างหลังเมืองนั้นคือคลื่นฝุ่นผงที่กลิ้งออกไปของทุกสิ่งที่พวกมันกัดทึ้งและทุบทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฝุ่นผงแผ่ขยายออกไปในรัศมีร้อยลี้ ปิดบังทัศนวิสัยทั้งหมด
เมืองนี้เคี้ยวกัดไปข้างหน้าและพ่นทิ้งไปข้างหลัง ใครก็ตามคงนึกออกว่าตนเองจะเป็นอย่างไรหากว่าหลุดเข้าไปในปากของมัน
ฉินมู่รีบเร่งหนีไปอย่างไม่หยุดยั้ง และกิเลนมังกรก็รีดเร้นพละกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อวิ่งหนีตาย แม่น้ำใหญ่พลันสะบัดเหวี่ยงออกมาจากในเมืองไม้ไผ่ราวกับแส้ยาว
กิเลนมังกรกระโดดหลบทันที แต่แม่น้ำใหญ่นั้นคล่องแคล่วเป็นอย่างยิ่ง มันเคลื่อนที่ไปมาซ้ายขวา บีบให้กิเลนมังกรต้องหลบไปทั่วสารทิศ ความเร็วของเขาตกลง และเมืองต้นไผ่ก็ค่อยๆ ตามพวกเขามาทัน
“พี่ชาย…”
เสียงของเสียงฉีเอ๋อสั่นระริกเมื่อนางเหลียวหลังกลับไปมองด้วยความหวาดผวา พื้นดินสะท้านสะเทือนและก้อนหินอันใหญ่เท่าตัวมนุษย์ก็ถูกซัดขึ้นไปบนอากาศ เมืองต้นไผ่อ้าประตูของมันกว้างและเคี้ยวกัดเข้าไปด้วยเขี้ยวคมกริบที่รอท่าอยู่แล้ว
“ไม่ต้องห่วง น้องสาวฉีเอ๋อ ไม่ต้องกลัวไปนะ”
ฉินมู่หันกลับไป และไจกระบี่ของเขาก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ เคลื่อนไปบังเบื้องหน้ากายของเขา กิเลนมังกรถูกแม่น้ำมหึมาไล่ให้หลบซ้ายหลีกขวา และหากว่าเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่นานพวกเขาก็จะถูกเมืองต้นไผ่กัดกิน
“ใครสกัดขัดขวางพวกเรา”
ฉินมู่มองไปยังสิ่งที่ไล่ตามมา ประตูเมืองและกำแพง อ้างับขึ้นๆ ลงๆ ทำให้หอกคมจำนวนมากดูเหมือนกับฟัน มันทำให้เด็กหนุ่มสงสัยเป็นอย่างยิ่ง
จำเป็นต้องใช้ขบวนยิ่งใหญ่อลังการขนาดนี้เชียวหรือเพียงเพื่อจะไล่สังหารผู้ฝึกวิชาเทวะขั้นหกทิศ? ผานกงสั่วกับเครือข่ายของเขาไม่น่าที่จะขับเคลื่อนสมบัติวิเศษชิ้นมหึมาอย่างเมืองต้นไผ่ได้ เช่นนั้นใครกันที่กำลังพยายามกำจัดข้า
เขาพลันนึกถึงคนคนหนึ่ง และแย้มยิ้มพลางพึมพำกับตนเอง “จะต้องเป็นหมอนั่น นายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เหยื่อของเขาถูกชิงไปใต้จมูกตอนที่ข้าช่วยเหลือเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เช่นนั้นเขาและข้าก็เรียกได้ว่าเป็นสหายเก่ากัน หรือว่าเขากะจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่อันน่าประหลาดใจแก่ข้ากันนะ”
ในตอนนั้นเอง กิเลนมังกรก็ร้องโหยหวน “จ้าวลัทธิ นี่ไม่ใช่ของขวัญเลยสักนิด! นี่มันเรื่องน่าสยอง! แย่แล้ว…”
แม่น้ำใหญ่อีกสายฟาดออกมาจากปากของเมืองต้นไผ่และกระหวัดพันรอบหางของกิเลนมังกรพลางลากเขาไปยังปากใหญ่นั้น กิเลนมังกรตะกุยตะกายอย่างไม่คิดชีวิตด้วยเท้าทั้งสี่ แต่เขาก็ยังมิอาจป้องกันตนเองให้โดนลากไปสู่ความหายนะได้
“มังกรอ้วน ตัดหางเจ้าทิ้งเหมือนนักรบใจเด็ดไปเลยสิ!” เสียงฉีเอ๋อกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเสียงอันสดใส
น้ำตาไหลพรากอาบแก้มกิเลนมังกร “น้องสาวฉีเอ๋อ ต่อให้ข้าตัดหางออกพวกเราก็หนีไม่รอด ปล่อยให้ข้าตายโดยมีซากร่างที่สมบูรณ์เถอะ…แม้ว่าข้าจะคิดว่านั่นก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน…”
ประตูเมือนคล้ายปากใหญ่ อ้าขึ้นงับลงไปมา กัดทุกอย่างที่เข้าใกล้ดังกร้วมๆ อะไรที่รอดจากมันไปได้ ก็จะเข้าไปเจอกับยักษ์มากมายอันแปลงกายมาจากสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งทุบฟาดไปมารอบๆ ตามอำเภอใจ ดังนั้นจะตายแบบมีซากร่างครบสมบูรณ์นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!
แสงเย็นเยียบส่องวูบวาบบนปลายหอกทุกเล่ม อันหนาเท่ากับปากขวด พวกมันเหมือนกับแท่งเหล็กที่อยู่เหนือกำแพงเมือง ปลายของมันคมราวกับกระบี่ ส่วนด้านแบนนั้นเต็มไปด้วยรอยประทับประหลาด เห็นได้ชัดว่าหอกแต่ละเล่มคืออาวุธวิญญาณ!
หากว่าใครหลุดเข้าใกล้ประตูเมือง ก็จะเท่ากับว่าถูกอาวุธวิญญาณสิบกว่าเล่มทิ่มแทงใส่กายเนื้อ สร้างรูโหว่เท่าชามข้าวอันนองเลือดไปทั่วร่ายกายพวกเขา
เมื่อผนวกกับพละกำลังอันรุนแรงในการกัดเคี้ยวของประตูเมืองและกำแพง พวกเขาก็จะต้องกลายเป็นก้อนเนื้อแหลกเหลวในชั่วพริบตา
ฉินมู่กล่าวทั้งที่ยังเหม่อเล็กน้อย “สมแล้วที่เป็นนายน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้ แต่ลำพังตัวเขาไม่น่าจะมีความสามารถที่จะปลุกเมืองต้นไผ่ให้เป็นพรายวิญญาณหรอก จริงไหม วรยุทธของเขาอาจจะสูงกว่าข้า แต่อย่างมากเขาก็อยู่ในขั้นเจ็ดดาว…”
“จ้าวลัทธิ!” กิเลนมังกรยังคงถูกลากเข้าไปยังปากของเมืองต้นไผ่
ฉินมู่สะบัดหน้าไล่ความประหลาดใจของตน ไจกระบี่ของเขาพลันพวยพุ่งออกไป และแสงกระบี่นับไม่ถ้วนก็ปะทุออก กระบี่แปดพันเล่มร่ายรำท่วงท่ากระบี่สะบัดในเวลาเดียวกัน มันเป็นภาพอันยิ่งใหญ่ตระการ
ด้วยกระบี่วิเศษที่เกลื่อนกล่นราวเมฆา สะบัดเหวี่ยงไปรอบๆ หอกคมกล้าของเมืองนี้ เขี้ยวมากมายของเมืองต้นไผ่ก็ถูกเฉือนตัดออกไปทันที
ประตูเมืองยังกัดกร้วมลงมาอย่างหนักหน่วง และเพียงแค่กำลังกัดอันน่าแตกตื่น ก็สามารถทำให้สิ่งใดก็ตามเละตุ้มเป๊ะได้
ฉินมู่ยื่นมือออกไปคว้าจับกระบี่ของเขา เขาอาจจะไม่สามารถปลดปล่อยเทวานุภาพของกระบี่ไร้กังวลออกมาได้ แต่เพียงความคมกล้าของมันก็สามารถทำให้เขาเฉือนตัดทุกอย่างที่ขวางทาง!
กระบี่ไร้กังเวลเปล่งแสงขึ้นมาในมือเขา หนึ่งจุดข้ามเวิ้งว้าง หยินหยางผันแปรสองรูปลักษณ์!
พลานุภาพจากกระบวนท่าแรกของกระบี่เต๋าระเบิดออกไป และแสงกระบี่ก็แยกออกเป็นหยินหยางสีขาวและดำที่พลุ่งพล่าน หมุนไปมารอบกันและกันเพื่อสร้างเป็นผังไท่จี่ แต่ทว่านี่เป็นเพียงภาพปรากฏการณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากเพลงกระบี่เท่านั้น
เพลงกระบี่นี้จริงๆ แล้วกำลังขับเคลื่อนความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันเลิศล้ำ สิ่งที่ประกอบเป็นจุดและเส้นในผังไท่จี่นั้นได้ผ่านการคำนวณอย่างละเอียดยิบ และการเคลื่อนไหวของแสงกระบี่ทุกริ้วแสงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยการคำนวณพีชคณิตที่ซับซ้อนเกินจินตนาการ มันเป็นแง่อัศจรรย์ของสำนักเต๋าในการไขอธิบายจักรวาล
เมืองต้นไผ่กัดเข้าไปใส่มันด้วยกำลังเถื่อน และส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองก็หายไป แทนที่ไปด้วยแสงกระบี่อันมีสีขาวและสีดำผันแปรสลับไปมา
ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และเงื้อกระบี่ไร้กังวลขึ้นเหนือศีรษะ เขาใช้พลังวัตรของตนเพื่อรั้งกระบี่ให้กระบี่ทั้งแปดพันเล่มโบยบินกลับมา ซ้อนทับกับมัน ด้วยกระบี่ลูกที่หลอมรวมเข้ากับกระบี่แม่ กระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็หลอมรวมเป็นหนึ่ง และฉินมู่ก็พลันรู้สึกว่ากระบี่ในมือหนักอึ้งเกินบรรยาย
มันคือรูปลักษณ์ที่สองของไจกระบี่ของเขา
มันมีสองรูปลักษณ์ หนึ่งนั้นคือเม็ดกลมๆ และอีกหนึ่งนั้นคือการผสานเข้าไปในกระบี่แม่
น้ำหนักหลังจากการผสานเข้าไป ทำให้กระบี่ไร้กังวลหนักอึ้งขนาดที่ว่าเขามิอาจใช้พลังวัตรของตนเพื่อขับเคลื่อนพลานุภาพของเพลงกระบี่
ฉินมู่เงื้อกระบี่ขึ้นสูง และในตอนนั้นเขาสามารถทำได้เพียงท่วงท่าเดียว
ผ่า!
ผ่ามันลงไป!
ตรงหน้าของเขาและเป็นข้างหลังก้นกิเลนมังกร มันคือเมืองต้นไผ่ มันได้ลากพวกเขาผ่านปากของมัน จากนั้นก็ดึงกิเลนมังกรไปตามถนน
สองฟากถนนนั้น ยักษ์สิ่งก่อสร้างมากรายเรียงรายรอที่จะฟาดทุบเขาให้เป็นเนื้อบด
ที่ใจกลางเมืองต้นไผ่ แม้กระทั่งราชวังอันกุก่องตระการก็ลุกขึ้นยืน พวกมันมิได้สร้างขึ้นมาจากไม้หรือหิน แต่ถูกรังสรรค์อย่างพิถีพิถันจากทองคำทมิฬ เหล็กดำ และทองแดงทมิฬ
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมิได้พยายามเสริมสร้างให้ตนเองแข็งแกร่งในตัว พวกเขาหยิบยืมพลังอำนาจจากฟ้าและดิน และเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ รวบบรวมทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬเพื่อหลอมสร้างอาวุธวิญญาณของพวกเขา ยิ่งอาวุธเหล่านั้นแข็งแกร่งมากเท่าไร เมื่อปลุกขึ้นมาเป็นพรายวิญญาณ พวกมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น
ราชวังในเมืองต้นไผ่นั้นเป็นอาวุธวิญญาณ หลอมสร้างขึ้นโดยผู้ฝึกวิชาเทวะที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นฤทธิ์เดชของมันจึงเป็นคนละระดับเลยเมื่อเทียบกับบ้านไม้และบ้านหิน
ยักษ์ราชวังลุกขึ้นยืนเพื่อขวางทางที่สุดสายปลายถนน และคละคลุ้งไปด้วยจิตสังหาร
ภาพนี้อย่าว่าแต่จะเคยได้เห็น แม้แต่ได้ยินก็ไม่เคย!
ฉินมู่ผ่าลงไปด้วยกระบี่ของเขา และแรงสั่นสะเทือนที่มาจากกระบี่ไร้กังวลอันหนักมหาศาลก็ได้ฉีกทำลายแม่น้ำใหญ่ที่กระหวัดพันรอบๆ หางกิเลนมังกรเอาไว้
มันเหมือนกับงูใหญ่ที่ถูกตัดหาง และมันบิดสะบัดไปมา ดิ้นพล่านไปรอบๆ เมือง
เมื่อปลายกระบี่ไร้กังวลแตะเข้ากับถนน พละกำลังอันไร้ต่อต้านของมันก็ระเบิดออกไป และแผ่นปูศิลาแลงบนพื้นถนนก็พลิกกระเด็นไปอย่างต่อเนื่อง ปลิวขึ้นไปบนอากาศ รอยแยกอันน่าแตกตื่นปรากฏบนถนน และมันระเบิดออกแผ่ขยายออกอย่างบ้าคลั่งไปข้างหน้า แผ่นหินศิลาแลงอีกมากมายก็ถูกพลิกขึ้นและระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลางอากาศ!
ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!
กระบี่บินมากมายพรั่งพรูออกไปจากปลายกระบี่ไร้กังวล และปราณชีวิตอันเถื่อนคลั่งของฉินมู่ก็ไหลบ่าเข้าไปในพวกมัน พวกมันหมุนเป็นเกลียววน และเฉือนตัดทุกสิ่งทุกอย่างในบริเวณถนน ด้วยกระบี่แปดพันเล่มที่เฉือนซัดตัดฟันทุกสิ่งที่ขวางทาง ไม่ว่าพวกมันจะผ่านไปที่ใด ยักษ์เหล่านั้นก็จะถูกสับเป็นชิ้นๆ
เมื่อกระบี่แปดพันเล่มรวมกันเป็นหนึ่ง ฉินมู่ไม่อาจจับเคลื่อนพลานุภาพในกระบี่แต่ละเล่มได้ แต่เมื่อพวกมันแยกจากกัน เขาก็ควบคุมบังคับได้ทันที
แสงกระบี่มากมายไร้ประมาณหมุนเป็นวงกลมราวกับการเคลื่อนที่ของกงล้อ พลางพุ่งทะยานไปยังสุดสายปลายถนนบุกผ่ากองไม้และเศษหิน ในพริบตานั้น พวกมันก็เฉือนตัดเข้าไปด้วยรอยลึกใส่ยักษ์ราชวัง และแทงเสียบมันเข้าไป
แขนของฉินมู่สั่นเทิ้ม เมื่อกระบี่แทบจะทำให้กล้ามเนื้อเขาฉีกขาดไปหมด กระดูกของเขาเกือบทุกชิ้นแทบจะแตกหัก และเส้นเอ็นทุกเส้นก็แทบจะขาดผึง พลังวัตรของเขาก็เหือดแห้งไปครึ่งหนึ่ง!
สาเหตุที่เขาใช้กระบวนท่าแรกของกระบี่เต๋า มิใช่กระบวนท่าแรกของภาพกระบี่ในตอนที่เมืองต้นไผ่กำลังจะกลืนกินพวกเขานั้น ก็เพราะว่าเพื่อออมพลังวัตรเอาไว้ ปริมาณพลังวัตรที่กระบี่ย่างไปในทิวทัศน์ต้องการนั้นสูงกว่ามาก
กระนั้นการฟันผ่าของเขาก็ได้เผาผลาญพลังวัตรของเขาไปครึ่งหนึ่งโดยฉับพลัน!
ถึงอย่างไร ผลลัพธ์ก็งดงาม เขากวาดล้างทั้งถนนให้พังราพณาสูรภายในการฟันฉัวะเดียว เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะสามารถครอบครองพลังทำลายล้างระดับนี้ได้
ฉินมู่ปล่อยกระบี่ไร้กังวลในมือ และใช้ปราณชีวิตที่เหลือของเขา กระบี่ไร้กังวลสั่นเทิ้ม และกระบี่บินเล่มอื่นๆ ก็โบยบินกลับมาจากสุดถนน
คราวนี้ ฉินมู่มิกล้าใช้รูปลักษณ์ที่สองของไจกระบี่ ในทางตรงกันข้าม เขาเก็บกระบี่ทั้งแปดพันเล่มกลับมาเป็นลูกกลมโลหะ
เขาเปิดถุงเต๋าตี้และเก็บไจกระบี่กลับไป จากนั้นเขาก็เหม่อคิดอีกครั้ง ข้าดูเหมือนจะค้นพบท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่วงท่ากระบี่นี้มิได้มีในท่วงท่ากระบี่สิบเจ็ดท่วงท่า…
ท่วงท่าที่เขาใช้ฟันฟาดลงไปข้างล่างเมื่อก่อนหน้านี้ ได้ทำให้กระบี่มากมายไร้ประมาณหมุนปั่นราวกงล้อ เมื่อพวกมันพุ่งวูบวาบออกไปจากกระบี่ไร้กังวล อันได้เผาผลาญพลังวัตรของเขาไปครึ่งหนึ่งในพริบตา ท่วงท่ากระบี่ประเภทนี้ที่หมุนปั่นราวกงล้อนั้นแตกต่างจากท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งสิบเจ็ดที่เคยมีมาก่อน ที่คล้ายคลึงที่สุดก็คงจะเป็นท่วงท่ากระบี่สะบัด แต่อันนั้นจะอาศัยข้อมือเพื่อวาดกระบี่เป็นวงกลมจากปลายกระบี่
ท่วงท่ากระบี่ที่ฉินมู่ใช้ออกไปโดยมิได้ตั้งใจนั้น กลับหมุนปั่นราวกงล้อที่มีพลานุภาพของกระบี่ผ่า เทคนิควิธีของกระบี่ป้อง และความว่องไวของกระบี่สะบัด
นี่คือท่วงท่ากระบี่พื้นฐานที่สิบแปด!
ข้างในเมืองต้นไผ่ ยักษ์ไม้ได้วิ่งตะลุยเข้ามา และที่สุดถนนนั้น ยักษ์ราชวังอันพังแหล่มิพังแหล่ก็ยกวังหนึ่งอันเป็นทรงโค้งกลมและมีสีเหลืองขึ้นต่าง ‘ค้อน’ เพื่อทุบลงไปยังผู้บุกรุก
แม่น้ำมหึมาในเมืองก็โถมซัดขึ้นมาและรวมตัวเข้าด้วยกัน แปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่มังกรวารีกระหวัดพันกาย มันเงื้อหมัดขึ้น และซัดต่อยลงมา
ฉินมู่ยังคงอยู่ในภวังค์คิด เพียงแต่ว่าท่วงท่ากระบี่นี้เผาผลาญพลังวัตรอย่างบ้าคลั่งมากเกินไป ไม่เพียงเท่านั้น มันยังดูเหมือนจะต้องใช้เงินทองเป็นจำนวนมาก เพราะมีก็แต่คนร่ำรวยเท่านั้นที่จะหลอมสร้างกระบี่บินได้มากมายขนาดนี้ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ กระบี่บินที่ใช้จะต้องมีปลายคมทั้งสองด้านเพื่อรีดเร้นพลานุภาพให้มากยิ่งไปกว่านี้
กิเลนมังกรคำรามอย่างโกรธเกรี้ยวและพ่นไฟพวยพุ่งออกจากปาก เสาเพลิงเผาท้องถนนของเมืองต้นไผ่ให้ลุกโหม และยักษ์ไม้ทั้งหลายก็เริ่มติดไฟ ยักษ์น้ำรีบรุดไปดับไฟทั่วทุกแห่ง และน้ำก็เดือดฉี่ๆ จากความร้อน นี่ทำให้ยักษ์น้ำทั้งหลายเริ่มมีขนาดที่เล็กลง
ฉินมู่ยังคงเหม่อลอย แต่เมื่อมาคิดดูแล้ว ข้าก็มีเงินทองอยู่มาก
กิเลนมังกรไร้ความปรานี เขาพ่นไฟออกไปทั่วทิศทาง และเผาทั้งเมืองให้ติดไฟไหม้พรึ่บ เขาถูกไล่ล่าจนหัวซุกหัวซุน และยังโดนลากเข้ามาในเมือง คราวนี้เขาเลยล้างแค้นด้วยความเดือดพล่านเป็นสองเท่า
ทันใดนั้น เมืองไม้ไผ่ก็สะท้านอย่างรุนแรง และกลายเป็นแน่นิ่ง ยักษ์บ้าน ยักษ์ตึก และยักษ์ราชวังต่างก็ชะงักหยุดการเคลื่อนไหวโดยพลัน กลับลงไปที่พื้นและกลายร่างกลับเป็นตึกรามและราชวัง ยักษ์น้ำก็ร่วงกลับลงไปในแม่น้ำ กลายเป็นน้ำไหล
เมืองไม้ไผ่เงียบลงไปทันใด ในถนนอันหักพังเละเทะ มีก็แต่ฉินมู่ เสียงฉีเอ๋อ และกิเลนมังกรที่ยังหลงเหลืออยู่
กิเลนมังกรเหยียบเมฆอัคคีมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ สำนักมณฑลสวรรค์อยู่ตรงหน้าพวกเขา และภูเขาสองลูกข้างหน้าก็ราวกับประตูภูเขา ข้างบนนั้นมีราชวังทุกรูปแบบปลูกสร้างเอาไว้
เยว่ชิงซานกำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักมณฑลสวรรค์ แต่ทันใดเขาก็สังหรณ์บางอย่างและหันกลับไปเห็นกิเลนมังกรแบกฉินมู่มาบนหลัง
เยว่ชิงซานกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบหยุดทันที เขาเร็วเกินไปแล้ว! หากว่าข้ากลับไปที่สำนักและฟ้องเรื่องของเขา เขาอาจจะสังหารข้าเสียที่นี่!
กิเลนมังกรหยุดวิ่งและฉินมู่ก็ทักทายเขา เยว่ชิงซานคารวะทักทายกลับ
“ไฉนพี่เยว่ไม่อยู่ร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่กลับมาที่สำนักมณฑลสวรรค์ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
เยว่ชิงซานคลี่ยิ้มแก่เขาทันที “ข้านั้นหน้าตาน่าเกลียด และคงยากที่จะทำให้สาวงามพอใจได้ ดังนั้นเข้าร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
รอยยิ้มของฉินมู่ยิ่งอบอุ่นขึ้น “พี่เยว่จะหน้าตาน่าเกลียดได้อย่างไร ท่านหล่อเหลามีความสามารถและจะต้องเอาชนะใจสาวงามได้อย่างแน่นอน ท่านกลับไปร่วมงานเทศกาลภูเขาดอกไม้จะดีที่สุด”
เยว่ชิงซานขนหัวลุกเต็มเหยียด ครั้งสุดท้ายที่ฉินมู่พูดอะไรทำนองนี้ก็เมื่อเขาร่ายรำกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต และสังหารสี่ยอดฝีมือตายคาที่!
บัดนี้เมื่อเขาทวนวลีคล้ายเดิม หากว่าเยว่ชิงซานไม่รู้จักโอนอ่อนและยืนกรานที่จะกลับไปยังภูเขา ที่รอเขาอยู่ก็คงเป็นกระบี่คร่าชีวิต!
“ขอบคุณจ้าวลัทธิฉินสำหรับคำอวยพร”
เยว่ชิงซานกล่าวขอบคุณแล้วหันกายมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหอมเบ่งบาน
ฉินมู่ใช้สายตาส่งเขาไป ก่อนให้กิเลนมังกรเร่งรุดไปตามทาง อ้อมสำนักมณฑลสวรรค์ไป
เยว่ชิงซานเห็นเมืองหอมเบ่งบานอยู่ไกลๆ และหันหลังกลับไปมอง คิดในใจ ตำหนักสวรรค์แท้ได้ประกาศจับเขา ดังนั้นหากว่าสำนักของข้าสามารถสยบเขาเอาไว้ได้ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข้ากับตำหนักสวรรค์แท้แน่นแฟ้นขึ้น ตำแหน่งของข้าในสำนักก็จะสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เขากะจะวกกลับไปอีกครั้ง แต่พลันมองเห็นภูเขาใหญ่มหึมาที่เป็นรูปทรงยักษ์อยู่ท่ามกลางที่ราบรกร้าง มันทำให้เขาตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นถนนอันพังพินาศและการทำลายล้างที่หลงเหลือจากคลื่นเสียง
ยอดฝีมือมากมายจากตระกูลอวี้เหาะมายังแขนขาของยายทวดแห่งตระกูลอวี้พลางร่ำไห้โฮๆ
ยายทวดแห่งตระกูลอวี้ก็ตายเหมือนกันหรือ
เยว่ชิงซานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เดินตรงไปยังเมืองหอมเบ่งบาน ขนาดยายทวดแห่งตระกูลอวี้ใช้ภูเขามหึมาก็ยังหยุดเขาไม่ได้เลย เช่นนั้นย่อมยากที่สำนักมณฑลสวรรค์ของข้าจะจับตัวเขา หลบเลี่ยงเรื่องร้ายเกินจำเป็น แล้วพบกับสาวงามมากมายจะดีกว่า
“เมืองต้นไผ่อยู่ข้างหน้า”
สองวันถัดมา ฉินมู่ยืนอยู่บนหัวกิเลนมังกร พร้อมด้วยแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตกอยู่ในมือ เขาตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและเทียบมันกับปรากฏการณ์บนฟากฟ้า จากนั้นก็กล่าวอย่างดีใจ “หลังจากที่ไปถึงเมืองต้นไผ่แล้ว พวกเราก็อยู่ไม่ไกลจากตำหนักสวรรค์แท้ล่ะ มังกรอ้วน ล่าสุดนี้เจ้าขยันหมั่นเพียรสุดๆ วิ่งได้อย่างเร็วจี๋เลยคราวนี้”
สองวันที่ผ่านมา กิเลนมังกรไม่ขี้คร้านและทำงานอย่างขยันขันแข็ง ด้วยกำลังขาของเขา เดินทางไปกว่าสองหมื่นลี้ต่อวัน พวกเขาก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งวันเป็นอย่างมากก็จะไปถึงตำหนักสวรรค์แท้
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับเรื่องตอแยจำนวนไม่น้อย ด้วยประกาศจับจากตำหนักสวรรค์แท้ ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่เสาะหาร่องรอยของเขา และก็ทำให้มีการต่อสู้อันดุเดือดหลายครั้งทีเดียว
แต่ทว่า การต่อสู้อันร้ายกาจคับขันเหมือนกับยักษ์ภูเขาตระกูลอวี้แกว่งระฆังนั้นมิได้เกิดขึ้นซ้ำอีก พลังโจมตีของยักษ์แกว่งระฆังนั้นน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป และผู้ที่ครอบครองสมบัติวิเศษระดับนี้ก็ย่อมเป็นตระกูลใหญ่มากอิทธิพล เวลาที่ใช้ในการจัดเตรียมอาวุธประเภทนี้ก็ยาวนานเกินไปนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปลุกจิตวิญญาณของยักษ์ภูเขาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือไม่ก็ใช้สิ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้
ความเร็วของกิเลนมังกรนั้นไวอย่างยิ่งยวด ดังนั้นหากว่าไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตระเตรียมการสกัดขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้า
ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ได้ประสบพบพานความพิสดารของมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก นอกจากใช้ภูเขาและแม่น้ำเป็นอาวุธแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกยังเลี้ยงสัตว์ประหลาดอีกด้วย
พวกเขาจะมอบความรู้คิดและปลุกจิตวิญญาณแก่สัตว์พิสดาร โดยนำมาเลี้ยงตั้งแต่พวกมันยังเล็กๆ พวกเขาจะทำให้พวกมันจงรักภักดีอย่างสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์พิสดารก็ยังเป็นอาวุธวิญญาณของพวกเขาด้วย พวกเขาสามารถใช้มันต่างอาวุธ เมื่อเทียบกับพรายวิญญาณภูเขา และพรายวิญญาณดิน สัตว์ประหลาดพวกนี้ทั้งคล่องแคล่วและใช้สอยได้หลากหลายกว่า
มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกที่ทุกสิ่งมีดวงจิตนั้น นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
กิเลนมังกรตะบึงไป และพวกเขาเข้าใกล้เมืองไม้ไผ่มากขึ้นทุกที ข้างหน้ามันส่วนมากจะเป็นพื้นที่ภูเขา และพวกเขาก็จะพบเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่พุ่งวาบผ่านฟ้ามาเป็นระยะ ส่วนใหญ่แล้วก็จะนั่งสัตว์ปีกพิสดารบินมา
ฉินมู่เลิกคิ้วไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะแผ่นดินตะวันตกมากมายเหล่านั้นที่เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเขา
พวกเราถูกลอบติดตามอีกแล้ว ดูเหมือนว่าคงจะเข้าเมืองต้นไผ่ไม่ได้หรอก จะต้องมีกับดักวางรอข้าที่นั่นแน่นอน! พวกเราคงต้องไปตามเส้นทางป่าเขาแทน
สำนึกรู้ของฉินมู่ส่งคลื่นกระเพื่อมเมื่อเขาใช้วิธีการสื่อสารของขนนกสวรรค์เพื่อบอกเตือนกิเลนมังกร จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกอันอัดแน่นเต็มเข้าไปในอก
เขาเป่าอากาศทั้งหมดออกไป และในชั่วพริบตา หมอกก็แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ครอบคลุมท้องฟ้าในรัศมีกว่าสิบลี้
กิเลนมังกรรีบมุดลงไปในป่าข้างล่างทันที ผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนั้นพุ่งเข้าไปในหมอกเพื่อค้นหา แต่เมื่อหมอกกระจัดกระจายไปแล้ว ฉินมู่และคณะก็หายตัวไป
“นายน้อยมาที่นี่!” ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งประกาศด้วยความกระวนกระวาย
รถสมบัติแล่นมา โดยมีหงส์เพลิงเทียมรถลาก ในรถนั้นมีเด็กหนุ่มที่ดูเตี้ยแต่ไม่อ้วน ข้างๆ เขานั้นมีหญิงสาวมากมายห้อมล้อมติดตาม
ที่น่าแปลกก็คือ ในแผ่นดินตะวันตก สตรีมีสถานะทางสังคมสูงกว่าชัดๆ แต่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวแห่งตำหนักเหนือฟ้าได้แต่พินอบพิเทา และไม่กล้าโอหัง
ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายกล่าวทักทายเขา “นายน้อยอวี้!”
นายน้อยอวี้สำรวจบริเวณรอบๆ และแย้มยิ้ม “เขายังหนีไปได้อีกหรือ ไม่แปลกหรอก เมื่อครั้งนั้นข้าพาทุกคนไปไล่ล่าไหน่ขุย เขาก็มาขัดขวางและทำให้ไหน่ขุยหนีไปได้ นั่นคือในแดนโบราณวินาศและมิใช่แผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าจึงมิอาจบุ่มบ่ามมากเกินไป แต่บัดนี้พวกเราอยู่ในแผ่นดินของข้า มันจะอ่อนหัดไปหน่อยหรือไม่ถ้าเขาคิดว่าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้”
เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากอวี้ป๋อชวนผู้ซึ่งได้ไล่ล่าเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เขานั้นเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และแม้ว่าเขาจะเยาว์วัย แต่วิธีการของเขานั้นอำมหิต ทั้งยังกลอกกลิ้งในหลายๆ แง่
เสียงซีอวี่เคยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มาจนกระทั่งนางถูกล้มล้างโดยตระกูลอวี้ วรยุทธของอวี้ป๋อชวนไม่นับว่าวิเศษวิโส แต่เขาก็ยังสามารถนำคณะไล่ล่านาง ผู้ซึ่งเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ และเกือบจะต้อนนางไปสู่ความตายหลังจากที่สังหารยอดฝีมือข้างกายนางไปทีละคนๆ นี่แสดงให้เห็นความสามารถของอวี้ป๋อชวน
แผนการของเขาลึกล้ำและเหนือธรรมดา
อวี้ป๋อชวนพยักหน้า และหญิงสาวนางหนึ่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ก็เหาะขึ้นไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะของนาง ทันใดนั้นเมฆขาวบนท้องฟ้าก็สั่นระริกบิดไปมา และแปรเปลี่ยนเป็นรูปลูกศรที่ชี้ลงมายังเบื้องล่าง
รถนี้ขับไปยังป่าข้างใต้ และหญิงสาวอีกคนก็กระทืบเท้า หินมากมายกลิ้งเข้ามารวมตัวเข้าด้วยกันและก่อขึ้นมาเป็นยักษ์หินอันชี้ไปยังทิศทางที่ฉินมู่หนีไปพลางกล่าว “คนที่ขี่สัตว์เถื่อนตัวยักษ์วิ่งไปทางนั้น”
หญิงนี้สลายทักษะเทวะของนาง และยักษ์หินก็พังทลายลงกลายเป็นกองหิน
นกหงส์เพลิงลากรถไปข้างหน้า ขณะที่อวี้ป๋อชวนนั่งในนั้นด้วยรอยยิ้ม “ในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครหลบหนีพ้นการสะกดรอยของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราได้ ไหน่ขุยคนก่อนไม่สามารถ และจ้าวลัทธิฉินนี้ก็ยิ่งทำไม่ได้”
“นายน้อย ในคราวนี้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองที่มาบอกข่าวแก่พวกเรา ร้องขอให้ผู้อาวุโสปี้ออกประกาศจับจ้าวลัทธิฉิน”
หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นแย้มยิ้มอย่างยั่วยวน “ผู้อาวุโสปี้และผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองมีสายสัมพันธ์เก่า ดังนั้นการประกาศจับจึงเกิดขึ้น ผู้สูงศักดิ์นั้นยืมอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราเพื่อกำจัดศัตรูร้ายกาจ ดังนั้นเขาก็จะติดค้างบุญคุณต่อจำหนักสวรรค์แท้พวกเรา แต่ทำไมนายน้อยถึงออกหน้ามาช่วยเขาด้วยตนเองเล่า”
อวี้ป๋อชวนแย้มยิ้ม “ข้ามิได้ช่วยผู้สูงศักดิ์ ในทางกลับกัน ข้ามาเพราะจ้าวลัทธิฉิน คราวก่อนนั้นข้าเพลี่ยงพล้ำในน้ำมือของเขาและปล่อยให้เขาแย่งชิงลูกแก้วมังกรเขียวไป อันเป็นสมบัติล้ำค่า ในเมื่อเขากล้าบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตกพวกเราอีกครั้ง ข้าก็ย่อมต้องมาสั่งสอนเขา”
“อีกอย่าง การมายังแผ่นดินตะวันตกในคราวนี้ เขาต้องมีจิตเจตนาร้ายเป็นแน่ ข้าสงสัยว่าเป้าหมายของเขามิใช่การท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น ในเมื่อเขาได้ช่วยชีวิตไหน่ขุยคนก่อนและองค์หญิงน้อย ข้าเกรงว่าเขากำลังพยายามช่วยเหลือนางแย่งชิงตำแหน่งองค์หญิงกลับมาอีกครั้ง มีเขาอยู่แถวๆ นี้ ไหน่ขุยย่อมอยู่ไม่ไกล!”
สายตาของเขากลายเป็นเย็นเยียบและกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์ “แม้ว่าท่านแม่ของข้าจะกลายเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ แต่ตราบใดที่นางยังมิได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางก็จะไม่มีวันมั่นคง เป้าหมายในการหวนคืนมาของไหน่ขุยนั้นมิใช่อะไรที่เกินความคาดหมาย แต่ทว่า จ้าวลัทธิฉินผู้นี้และไหน่ขุยคนก่อนจะไม่มีวันคาดเดาได้ว่าอิทธิพลอำนาจของข้านั้นสูงล้ำเพียงไหน!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ฉินมู่จากไป พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาหน่อยปะไร!”
กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไประหว่างภูเขาสลับซับซ้อน ราวกับว่าเขากำลังเหินบินผ่านสันเขาต่างๆ มากมาย ความเร็วของเขาตกลงไปจากก่อนหน้า แต่ก็ยังนับว่าว่องไว ฉินมู่สำรวจบริเวณโดยรอบและขมวดคิ้วเล็กน้อย ภูมิประเทศแถบนี้แตกต่างออกไปจากภูมิประเทศในแผ่นที่ที่เกอเคอให้เขามา
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ชอบมาสู้กันด้วยภูเขา ดังนั้นข้าสงสัยว่าพวกเขาคงไม่เอามันวางไว้คืนที่เดิมหลังจากต่อสู้ ใช้ภูมิประเทศเพื่อระบุตำแหน่งแห่งที่ของข้ามิใช่สิ่งที่เชื่อได้แน่นอน ข้ายังคงต้องดูแผนที่หมู่ดาวบนฟากฟ้า
เขาเงยศีรษะขึ้นไป และรอยพยุหะก็หมุนวนในดวงตา เขามองไปยังท้องฟ้า และหมู่ดาวกับจักรราศีอันถูกกลบไปจากแสงตะวันก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เขาระบุตำแหน่งแห่งที่ของเขาก่อนจะระบายลมหายใจโล่งอก “พวกเราผ่านเมืองต้นไผ่มาแล้ว”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสียงครั่นครื้นก็ดังมาจากข้างหน้าทำให้เขานิ่วหน้าเล็กน้อย เขาเงยศีรษะขึ้นมองและเห็นฝุ่นคลีลอยคลุ้มฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นหมอกที่คลี่คลุมเทือกเขา เขามิอาจมองเห็นได้ว่าเกิดเหตุการณ์สะท้านโลกอะไรขึ้นข้างหน้าที่ทำให้เกิดภาพนี้
กิเลนมังกรก็รีบยั้งเท้า และมองไปข้างหน้าอย่างระสับกระส่าย ฝุ่นละอองยิ่งมาก็ยิ่งหนาแน่น เมื่อมันกลิ้งเข้ามา กลืนกินป่าไม้และขุนเขา
“จ้าวลัทธิ นั่นมันอะไรน่ะ” กิเลนมังกรร้องอย่างแตกตื่น
แผ่นดินสะเทือนสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง และต้นไม้รอบๆ พวกเขาก็สั่นสะท้านไปหมด ก้อนหินกระดอนขึ้นลงบนพื้นราวกับว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์ชาดและมองไปที่ผงคลีอันโถมซัดเข้ามา และดวงตาเขาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น “ในฝุ่นพวกนั้นมีเมืองอยู่…”
“เมือง?” กิเลนมังกรถามด้วยความฉงน “เมืองเมืองหนึ่งจะสร้างความอึกทึกขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าเมืองนี้กำลังวิ่งมาท่ามกลางป่า!” ฉินมู่กระหม่อมแทบระเบิดจากความประหลาดใจ และเขากล่าวด้วยเสียงเข้ม “เมืองนั้นกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเรา! มังกรอ้วน ไปกันเถอะ!”
ฝุ่นผงโถมซัดมา และเมืองอันยิ่งใหญ่ตระการก็ปรากฏต่อสายตาของพวกเขา มันวิ่งมาใส่เป็นเส้นตรง
ข้างใต้กำแพงเมืองอันสูงกว่าสิบวานั้นก็มีขาใหญ่มหึมา ข้างหลังกำแพง บ้านเรือนหลังโตก็ได้กลายเป็นยักษ์ที่คละคลุ้งไปด้วยจิตสังหาร บางพวกก็ตีกลองศึก และบางพวกก็แบกถือสมบัติชิ้นใหญ่ ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูเมืองก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นฟันอันฝมกริบราวมีดโกนที่งอกเงยออกมาจากข้างใน เช่นเดียวกับกำแพงเมือง พวกมันอ้าและหุบอย่างต่อเนื่อง และทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในนั้นก็จะถูกกัดเคี้ยวจนแหลกละเอียด แม้กระทั่งยอดเขา!
เมืองนี้วิ่งตะบึงเข้าใส่พวกเขา และบนประตูเมือง เขียนไว้สองคำ เมืองต้นไผ่
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ถึงกับปลุกจิตวิญญาณให้กับเมืองทั้งเมือง!
ในทางกลับกัน กิเลนมังกรมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง เขากลายเป็นขยันขันแข็งกว่าเดิมเมื่อวิ่งแบกฉินมู่ตะบึงไป เขานั้นวิ่งเร็วราวสายฟ้า เร็วยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในทะเลทราย
แม้ว่าความคิดอ่านของเขาจะแยบยลอยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับของผู้คนอย่างเกอเคอ เมื่อเขาได้ยินฉินมู่กล่าวแก่บุตรชายของปรมาจารย์ว่าปรมาจารย์ยังไม่ตาย แต่ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า เจ้าอ้วนนี่ก็อดไม่ได้ที่จะรื่นเริงเฉลิมฉลองและตัดสินใจที่จะขยันขันแข็งมากขึ้น
ฉินมู่พบว่าการโกหกเขานั้นช่างยากต่อหัวใจจริงๆ
ในทะเลหมอกแห่งแดนยมโลก นักพรตหลิงจิ่งได้กลายเป็นคนเรือ ฉินมู่คิดในใจ จากเรื่องนี้ ปรมาจารย์ก็น่าจะอยู่ในยมโลกเช่นกัน ผู้ใหญ่บ้านให้เหรียญยมโลกแก่ข้าแปดเหรียญ ดังนั้นข้าจะต้องไปที่นั่นสักครั้ง และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง!
เขานำเอาแผนที่ภูมิประเทศที่เกอเคอมอบให้ขึ้นมาคลี่มองดูทั่วๆ สักพักหนึ่ง เขาก็พบตำแหน่งของตำหนักสวรรค์แท้และเมืองหอมเบ่งบาน เขาจึงเงยหน้าขึ้นกะตำแหน่งพิกัดของเขา จากนั้นรีบบอกกิเลนมังกรให้วิ่งไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
ตรงหน้าพวกเขา ภูเขาใหญ่ยืดยาวไปสุดขอบฟ้า แต่มันค่อนข้างแปลกประหลาด มันเหมือนกับยักษ์ที่ยืนอยู่โดยมียอดเขาสองลูกอันห้อยตกลงมาเหมือนหัวไหล่ของมัน แต่ที่พิลึกกว่านั้นก็คือถัดจากยอดเขามาถึงตีนเขานั้นมันกลายเป็นแท่งกลมหนา ราวกับระฆังสองใบที่วางไว้เหนือพื้นดิน
เมื่อขี่ไปที่นั่น ฉินมู่ก็มีสองทางเลือก เขาสามารถเข้าไประหว่างระฆังสองใบ หรือเดินอ้อมภูเขารูปร่างประหลาดนี้ไป
เมื่อกิเลนมังกรวิ่งตะบึงเข้าไปใกล้ ฉินมู่ก็เงยศีรษะขึ้นและเห็นสตรีท่วงทีงามสง่าในชุดดำ ลอยเลื่อนอยู่เหนือภูเขา
นางลงเหยียบที่ยอดของมัน และมีกระดาษทองคำอันเหมือนยันต์ปิดผนึกใกล้ๆ นาง
ม่านตาของฉินมู่หรี่หด เมื่อเขาเห็นหญิงผู้นั้นฉีกกระดาษบนภูเขา!
“แย่แล้ว! มังกรอ้วน รีบวิ่งทะลุไป!”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น กระบี่ไร้กังวลก็พลันพุ่งออกจากฝักข้างหลังเขา ตัวกระบี่พุ่งหวีดหวิวผ่าอากาศและยิงตรงไปยังสตรีบนยอดเขา!
จะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้า ยักษ์ภูเขาตนนี้จะต้องอาศัยพลังวัตรของยอดฝีมือเพื่อให้มันยังคงทำงานอยู่ได้ ตราบเท่าที่หญิงผู้นั้นถูกสังหาร ฉินมู่ก็น่าจะสามารถหยุดการแปลงร่างของมันได้
สตรีนั้นหันกลับมามองเขาและยิ้มหยัน “ในเมื่อเจ้ากล้าสังหารศิษย์ตระกูลอวี้ของข้า แม้ว่าเจ้าจะเป็นบิดาจักรพรรดิ ข้าก็ไม่สน! ข้าจะส่งเจ้าตามนางไป!”
เมื่อยักษ์ภูเขายืนขึ้น ก้อนเมฆก็ลอยเรี่ยเอวมัน และยอดเขารูประฆังสองยอดก็ผงาดขึ้นไปด้วย ก้อนหินกลิ้งลงจากยอดเขาที่ลดหลั่นมา และเมื่อศิลาก้อนยักษ์พวกนี้โถมถล่มลงจากท้องฟ้า ไม่นานมันก็ถมทับขวางถนน
หญิงนั้นยังคงยืนอยู่บนหัวยักษ์ กระบี่ไร้กังวลพลันหมุนปั่นและแปรเปลี่ยนเป็นท่วงท่ากระบี่เจาะ เพื่อพุ่งทะลวงเข้าไปในเมฆ
หญิงตระกูลอวี้รู้ว่าสถานการณ์ของนางย่ำแย่ นางจึงกู่ร้องออกมา และห่วงเหินหาวก็พุ่งออกไป พวกมันเข้าไปรัดพันกระบี่ไร้กังวล อันกำลังพุ่งฉกเข้าหานางจากทางด้านใต้!
ติง ติง ติง ติง
เสียงระเบิดถี่ยิบดังออกมาราวฝนหนัก ห่วงเหินหาวเข้าไปรับพันกระบี่ไร้กังวลและหดเล็กอย่างรวดเร็ว ทว่าพวกมันพลันถูกสับเป็นชิ้นๆ จากกระบี่ที่หมุนเจาะ
วรยุทธของสตรีผู้นี้มิได้ต่ำต้อย แต่วิชาฝึกปรือของแผ่นดินตะวันตกมิได้เน้นไปในทางเสริมพละกำลังให้ตนเอง ในทางกลับกัน พวกเขาหยิบยืมทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าและดินเพื่อต่อสู้แทน ดังนั้นกำลังต่อสู้ส่วนตนของพวกเขาจึงอ่อนด้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ในขั้นวรยุทธเดียวกัน เมื่อเทียบกับฉินมู่ จ้าวลัทธิมารฟ้าผู้นี้ ที่สามารถบุกสังหารไปที่ใดก็ไร้ต่อต้าน นางก็ด้อยกว่ามากนัก
กระบี่ไร้กังวลเป็นกระบี่เทพเจ้า และความคมกล้าของมันนั้นไร้เทียมทาน หลังจากฉีกทึ้งห่วงทุกวงหมดแล้ว แรงถีบทะยานของมันก็ไม่ลดน้อยถอยลงไปสักนิด กระบี่แทงเข้าไปในขากรรไกรของนางและทะลวงออกมาที่หลังศีรษะ
รอยเลือดสายหนึ่งปรากฏบนยอดเขา
ฉินมู่เรียกกระบี่ไร้กังวลของเขากลับมา แต่ไม่ทันที่เขาจะถอนหายใจโล่งอก เขาก็เห็นหินภูเขากลิ้งลงมาจากยอดเขาลดหลั่นสองลูกนั้น มันเผยให้เห็นเนื้อสำริดของระฆัง ยอดเขาสองลูกนั้นเป็นระฆังจริงๆ และมิใช่ภูเขา มันเพียงแต่ถูกปกคลุมไว้ด้วยหินชั้นหนึ่ง!
แม้ว่าฉินมู่จะเคยเห็นอาวุธวิญญาณขนาดมหึมามาก็ไม่น้อย แต่พวกมันล้วนเป็นระดับสมบัติสืบทอดสำนักทั้งนั้น!
แม้ว่าอาวุธวิญญาณของแผ่นดินตะวันตกจะไม่ประณีตเพริศแพร้วเท่ากับอาวุธวิญญาณในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ แต่สมบัติสืบทอดสำนักก็ยังนับว่าไม่ธรรมดา พวกมันคือสมบัติวิเศษที่เปี่ยมไปด้วยความขะมักเขม้นใส่ใจของยอดยุทธฝีมือแกร่งตลอดทั้งชีวิตของเขา
กระดาษบนยอดเขานั้นน่าจะใช้ปิดผนึกยักษ์ภูเขานี้! มันน่าจะฟื้นตื่นมาเมื่อนานมา แต่แล้วก็ถูกเจ้าของสะกดข่มสมบัติล้ำค่าของตระกูลเอาไว้!
หางตาของฉินมู่กระตุก เมื่อเขาพบว่าสถานการณ์ยิ่งคับขันร้ายกาจยักษ์ภูเขานี้เงื้อระฆังใหญ่สองลูกเหวี่ยงแกว่งพวกมันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พวกมันกระทบกันไปมา และปากระฆังก็หันมาทางฉินมู่!
ยักษ์ภูเขามิได้เพิ่งตื่น แต่มันถูกปิดผนึกเอาไว้ก่อนหน้า มันมีจิตวิญญาณมาโดยตลอด นั่นก็เป็นสาเหตุที่ตระกูลอวี้ผนึกมันเอาไว้ที่นี่ เมื่อต้องการใช้สอย พวกเขาก็เพียงแต่ฉีกยันต์ปิดผนึก และสามารถขับเคลื่อนยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้!
ปัง!
ระฆังสองลูกกระทบกัน และคลื่นเสียงก็พวยพุ่งเข้ามา ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ถนนก็จะกระเพื่อมนูนขึ้นและโถมซัดใส่กิเลนมังกร
แต่ทว่าภัยคุกคามที่ร้ายกาจที่สุดก็มิใช่ถนนอันโถมซัด หากแต่เป็นเสียงระฆังเอง พวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากการฟาดกระทบสมบัติสืบทอดสำนักสองชิ้น!
“ตระกูลใหญ่แห่งแผ่นดินตะวันตกร้ายกาจจริงๆ มังกรอ้วน อย่าขยับ!”
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะกล่าวชมศัตรู เมื่อปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งออกไป อักษรรูนมากมายก็คลี่คลุมไปทั้งร่างเขา จากนั้นก็ไหลอาบรอบๆ กิเลนมังกร คลื่นเสียงทำลายล้างแผ่พุ่งมา แต่ไม่ทันที่พลังงานพิฆาตจะถึงตัวกิเลนมังกร รอยประทับอักษรรูนก็ก่อขึ้นมาเป็นวงจรพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกล ด้วยทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลทำงาน ฉินมู่ก็หายวับไปจากตรงนั้นพร้อมกับกิเลนมังกร
พริบตาถัดมา พวกเขาปรากฏที่อีกหนึ่งลี้ห่างออกไป หากว่าลำพังตัวฉินมู่ เขาคงเคลื่อนย้ายไปได้ไกลกว่าสามสิบลี้ หากว่าเขาพาคนไปด้วยหนึ่งคน เขาก็ยังไปได้ไกลสิบลี้ แต่ทว่า เมื่อนำสัตว์ยักษ์มหึมาอย่างกิเลนมังกรไปด้วย หนึ่งลี้นี่เป็นขีดจำกัดของเขาแล้ว
แต่ระยะหนึ่งลี้นี้นับว่าสั้นเกินไปสำหรับยักษ์ภูเขา เพียงแค่มันก้าวย่างไปหนึ่งก้าว ก็คงเดินทางได้เป็นสิบลี้!
ฉินมู่หันกลับไปมองและเห็นว่าจุดที่พวกเขาเคยยืนอยู่ปลิวกระจุย สะเทือนสะท้านอย่างรุนแรงราวกับผืนธงในพายุ ถัดไปนั้น ถนนก็แตกทำลายเป็นชิ้นๆ จากคลื่นเสียงอันรุนแรง
มันถึงกับทำลายถนนไปเป็นระยะยี่สิบลี้ กวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่างจนเหี้ยนเตียน!
“ยักษ์ภูเขาไม่มีพลังวัตร แต่เพียงแค่มันแกว่งทุบระฆังสองใบเข้าด้วยกัน มันก็สามารถปลดปล่อยพลานุภาพเกินจินตนาการ นี่ช่างน่าอัศจรรย์!”
ฉินมู่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมศัตรู กิเลนมังกรรีบถีบตัววิ่งต่อไปทันที ขณะที่ข้างหลังพวกเขาคือยักษ์ภูเขาที่หันกลับ และเงื้อเท้าก้าวไปก้าวแรก ฉินมู่พลันเห็นเหนือศีรษะมืดไปหมด เมื่อเขามองขึ้นไป เท้ามหึมาของยักษ์ภูเขาก็อยู่เหนือหัวพวกเขาแล้ว
ความเร็วของกิเลนมังกรพลันทวีทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทะลุความเร็วเสียงภายในไม่กี่อึดใจ พัฒนาการของเจ้าอ้วนนี้ทำให้ฉินมู่แตกตื่นอ้าปากค้าง เขาไม่รู้ว่ามังกรอ้วนมันไปกินยาวิญญาณอะไรมา ความเร็วของเขาถึงรุดหน้าเกินกว่าในอดีตไปหลายเท่าตัว!
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ กิเลนมังกรไม่มีเวลาห่วงเรื่องการตบตาเจ้านายอาหารของเขาให้เพิ่มคุณภาพมื้ออาหาร เขาเพียงแต่คิดเรื่องจะหนีเอาชีวิตรอด และความเร็วที่เขาปลดปล่อยออกมานั้นมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
ตูม!
ข้างหลังพวกเขา เท้ามหึมาของยักษ์ภูเขาเหยียบลงไปบนพื้น สร้างทะเลสาบใหญ่ข้างใต้มัน ในพริบตาถัดมา มันก็เงื้อมือของมันขึ้นเพื่อฟาดเคาะระฆังสำริด
กิเลนมังกรโกยแน่บอย่างไม่คิดชีวิต และระฆังใหญ่ก็ร่วงลงมาข้างหลังเขา แต่ทว่า พลานุภาพของระฆังยักษ์นี้น่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด เมื่อคลื่นเสียงชอนไชเข้าไปในดิน ความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วกว่าในอากาศถึงห้าเท่า
ข้างหลังกิเลนมังกร พื้นดินระเบิดปังๆ และมันเป็นภาพอันชวนขนหัวลุก คลื่นเสียงมาจนถึงกิเลนมังกรและเป่าเขากระเด็นขึ้นไปบนอากาศ
เมฆอัคคีพลันพวยพุ่งขึ้นมาใต้เท้ากิเลนมังกร และเขาก็วิ่งตะบึงไปอีกครั้ง ข้างหลังเขา ยักษ์ภูเขาเหวี่ยงระฆังสำริดใหญ่อีกใบ และอีกอันนั้นก็เงื้อขึ้นสูงเพื่อให้พวกมันตีกระทบกันอีกครั้ง
หง่าง!
เสียงระฆังดังออกมา และมีคลื่นกระเพื่อมสองคลื่นออกมาจากคลื่นเสียงที่บีบอัดห้วงมิติให้กลายเป็นวัตถุสสาร เมื่อคลื่นเสียงเคลื่อนที่ไป ความเร็วของมันก็ยิ่งเร็วมากขึ้น
ฉินมู่ขนหัวลุกชูชัน และเขารีบตีลังกากลับหลังและนำเนตรหยกจันทราออกมา มันจุดแสงและลำแสงก็ยิงตรงไปยังคลื่นเสียง
หวึ่ง
คลื่นเสียงทำลายล้างถูกผ่าแยกออกเป็นสองซีกจากลำแสง และสองคลื่นพลังงานอันน่าหวาดผวาก็พุ่งเฉียดผ่านกิเลนมังกรไป แรงสั่นสะเทือนที่หลงมาทำเอาหนังหัวฉินมู่ชาดิกไปหมด และเขาก็ตัวสั่นเทิ้มโดยที่อากาศไม่เย็น
หากว่าพวกเขาถูกคลื่นเสียงนั้นกระแทกเข้าใส่ เขา เสียงฉีเอ๋อ และแม้กระทั่งกิเลนมังกรก็คงแหลกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และสาบสูญไปจากโลก
“แผ่นดินตะวันตกก็มีความรู้ของมัน แต่ความรู้ชนิดนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกฝนฝึกปรือ”
ฉินมู่มองกลับไปข้างหลังและเห็นยักษ์ภูเขาถูกผ่าด้วยลำแสงจากเนตรหยกจันทรา ไหล่ของมันครึ่งหนึ่งร่วงหักลงมา และกิเลนมังกรก็เคลื่อนที่ไปไกลขึ้นและไกลขึ้นทุกทีจากมัน ด้วยความสามารถของยักษ์ภูเขา มันไม่มีทางโจมตีพวกเขาได้ด้วยคลื่นเสียงอีกต่อไป
ในตอนนั้นเอง ยักษ์ภูเขาก็พลันย่อตัวลงมา เมื่อฉินมู่เห็นเช่นนั้น หัวใจเขาก็เต้นโครมครามอย่างรุนแรง ยักษ์ภูเขาวิ่งตะบึงมาจริงๆ และความเร็วของมันก็เหลือเชื่อ!
“สวรรค์…นั่นไม่ใช่แล้ว มันจะต้องมีใครสักคนควบควบคุมยักษ์ภูเขา มิเช่นนั้นมันคงไม่สามารถเจาะจงไล่ตามข้าและกิเลนมังกรมาได้ ไล่ล่าอย่างกับคลุ้มคลั่ง!”
ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมา หญิงตระกูลอวี้ที่ขึ้นไปฉีกยันต์ผนึกนั้นถูกสังหารไปแล้ว ดังนั้นย่อมไม่ใช่นางเป็นแน่ ก็แปลว่าจะต้องมีอีกคนหนึ่งที่ซ่อนอยู่ไม่ไกล และวรยุทธของคนผู้นั้นก็สูงล้ำเช่นกัน มิเช่นนั้นพวกเขาจะควบคุมยักษ์ภูเขาที่ใหญ่มหึมาขนาดนี้ได้อย่างไร
ขณะที่เขาคิดอยู่นั้น แสงกระบี่หนึ่งก็พลันพุ่งมาจากฟ้า และศีรษะมนุษย์หนึ่งก็ร่วงลงมาจากอากาศ ตามมาด้วยเศษชิ้นส่วนศพจำนวนหนึ่ง มันเป็นหญิงเฒ่าผมสีเทาเงินผู้ซึ่งถือไม้เท้าอยู่ในมือ ไม้เท้าของนางก็ถูกตัดออกเป็นสองซีก
ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย เขามองไปที่ยักษ์ภูเขาอีกครั้ง และพบว่ามันพลันชะงักค้างอยู่กับที่ ไม่ไล่ล่าพวกเขาอีกต่อไป
ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าจะต้องเป็นหญิงแก่ผมขาวผู้นี้ที่ได้ควบคุมยักษ์ภูเขาอยู่ในที่ลับเพื่อโจมตีพวกเขา มิเช่นนั้นยักษ์ภูเขาจะโจมตีพวกเขาในทันทีที่ฟื้นตื่นขึ้นมาได้อย่างไร
“มังกรอ้วน หยุดก่อน!”
กิเลนมังกรหยุดวิ่งทันที แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ฉินมู่เปิดเนตรสวรรค์ชาด เพื่อมองดูยังยักษ์ภูเขา และเห็นเงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนหัวของมัน นั่นก็คือเกอเคอ
แสงกระบี่พุ่งกลับลงมาจากก้อนเมฆและบินวนรอบเขาสองรอบ
เกอเคอโค้งคารวะเพื่อกล่าวลาพวกเขา “เดินทางโดยสวัสดิภาพ!”
ฉินมู่เองก็โค้งคารวะร่ำลา “ขอบคุณสำหรับคำอวยพร”
เงาร่างนั้นพลันยกธงขึ้นคลี่สะบัด และหายวับไปจากยอดเขา
“ธงเคลื่อนย้ายระยะไกล ปรมาจารย์ก็ให้เขาไว้หนึ่งอัน” ฉินมู่แย้มยิ้ม “เขาเหมือนกับปรมาจารย์เลย ทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่ใส่ใจไยดีกับโลกหล้า แต่จริงๆ แล้วพวกเขามีหัวใจอันอบอุ่น เกอเคอนี่เป็นบุตรชายของปรมาจารย์ไม่ผิดแน่ มังกรอ้วน ปรมาจารย์มีผู้สืบทอดแล้ว”
ทันทีที่ฉินมู่กล่าวเช่นนั้น ทุกคนในตึกก็แค่นเสียงหยันไม่รู้จบ
ฉินมู่ไม่ใส่ใจพวกเขาและแย้มยิ้ม “หากว่ามิใช่มีแดนโบราณวินาศขวางกั้นระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับสันตินิรันดร์ แผ่นดินตะวันตกถูกคงถูกสันตินิรันดร์กวาดล้างไปตั้งนานแล้ว อันที่จริงเลยนะ มรรคา วิชา และทักษะเทวะของพวกเจ้าได้ล้าหลังทอดทิ้งไปตามกาลเวลาแล้วเมื่อเทียบกับสันตินิรันดร์ และเวทมนตร์และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์ก็ยังล้าหลังอยู่บ้างในสายตาของข้า ดังนั้นข้าจึงเสาะหาความเปลี่ยนแปลง พี่หญิงและชายทั้งหลายแห่งแผ่นดินตะวันตก อยู่ใกล้ข้าขนาดนี้มันอันตรายมากเลยนะ อย่าว่าแต่วรยุทธขั้นหกทิศ แม้แต่ศิษย์พี่ทั้งหลายในขั้นเจ็ดทิศ เจ้า เจ้า และเจ้า เมื่อเจ้ามาใกล้ตัวข้า ในสายตาของข้าแล้ว…”
เขาชี้ไปยังยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาวทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นและส่ายหัว “พวกเจ้าล้วนแต่เป็นศพที่พูดได้เดินได้ ปัญหาเดียวก็คือว่า เจ้าจะกลายเป็นศพตอนไหนก็เท่านั้นแหละ”
ทุกคนเดือดพล่านไปด้วยจิตสังหาร เยว่ชิงซานพลันลุกขึ้นและยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน! จะจองหองไปแล้วนะ! เจ้าเมืองเกอเคอ เจ้าเป็นผู้เหย้าของที่นี่ และข้าหมายจะประมือกับจ้าวลัทธิฉินผู้นี้ สามารถทำได้หรือไม่”
เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ทุกคนที่นี่เป็นแขกเหรื่อที่มาร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้แห่งเมืองหอมเบ่งบาน ไฉนต้องชักมีดขึ้นใส่กัน ทุกท่านควรเสาะหาคนรักเพื่อร่วมค่ำคืนอันแสนสำราญ นั่นไม่น่าอัศจรรย์กว่าหรอกหรือ แน่ล่ะ หากว่าทุกท่านยังยืนกรานที่จะต่อสู้ ข้าก็คงไม่อาจยับยั้งพวกท่านได้ ใช่หรือไม่”
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการเป็นผู้ชมดูเท่านั้น
เยว่ชิงซานเดินออกไปจากตึกพลางยิ้มหยัน “จ้าวลัทธิฉิน ออกมา ข้าต้องการค่าหัวเจ้าจากตำหนักสวรรค์แท้”
ฉินมู่เผยยิ้มละไมและนำเอาลูกเหล็กกลมขนาดสองคืบออกมาพลางส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องลงไปข้างล่าง ที่นี่ออกจะดี”
เขายกลูกเหล็กกลมในมือ และตึกนี้พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ค่อยๆ จมลงไปในดิน ทั้งตัวตึกส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด และชั้นที่หนึ่งก็จมไปใต้ดินแล้ว ตามด้วยชั้นที่สอง จากนั้นก็ชั้นที่สาม ถึงเพิ่งหยุด
ทุกคนตกตะลึงและเกอเคอก็ชมเปาะ “ลูกกลมหนักอะไรอย่างนี้!”
“ทุกท่านโปรดชมดู” มือซ้ายของฉินมู่เขย่าลูกเหล็กกลมเบาๆ พลางกล่าว “นี่คือไจกระบี่ของข้า”
เปรี๊ยะ!
ไจกระบี่นี้แยกปริออก และกระบี่บินแปดร้อยเล่มอันเล็กละเอียดราวเส้นด้ายก็พวยพุ่งออกมา ปลายของของมันชี้ไปยังจุดศูนย์กลางของลูกบอล สามารถหลอมสร้างสิ่งอันเพริศแพร้วพิสดารเช่นนี้ได้ ไม่เพียงแต่ผู้หลอมสร้างจะต้องมีวิชาตีเหล็กอันสุดขีดขั้ว แต่ยังต้องมีความสำเร็จเชิงคำนวณที่พอๆ กัน
แสงเย็นเยียบสะท้อนออกมาจากกระบี่แปดพันเล่ม และผนังทั้งสี่ด้านของเรือนตึกก็ระยิบพริบพราวไปด้วยแสง พวกมันถึงกับสาดส่องลงบนใบหน้าของทุกคน
กระบี่แต่ละเล่มเหมือนกับผลงานศิลป์อันไร้ที่ติ
ฉินมู่ยกไจกระบี่ขึ้นมา และมันลอยขึ้นไป พลางหมุนวนอย่างแช่มช้า ให้ทุกคนสามารถมองเห็นโครงสร้างภายในของมันได้ “ทุกท่าน โดยปราศจากการวิวัฒน์พัฒนา มรรคา วิชา และทักษะเทวะก็จะล้าหลังไปภายในเวลาหนึ่งร้อยปี อย่าว่าแต่หนึ่งพันปี มรรคา วิชา และทักษะเทวะของแผ่นดินตะวันตกของพวกท่านนั้นได้รับถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษเมื่อสองหมื่นปีก่อน เพื่อปลุกดวงวิญญาณหรือดวงจิตในสรรพสิ่ง เพื่อให้พวกมันลงมือต่อสู้ได้ด้วยตัวมันเอง”
“แต่ทว่า ระยะเวลากระตุ้นการทำงานของทักษะเทวะของพวกท่านนั้นช้าเกินไป แม้แต่ยอดฝีมือในขั้นชาวสวรรค์ก็ยังต้องการระยะเวลาที่แน่นอนระยะหนึ่งในการกระตุ้นการทำงานของพวกมัน แต่ทว่า ทักษะเทวะอื่นๆ มีความเปลี่ยนแปลงนับหมื่นแสนในชั่วพริบตา เช่นนั้นใครล่ะจะให้เวลาพวกท่านกระตุ้นทักษะเทวะ ให้ข้าร่ายรำเพลงกระบี่ เพื่อที่ทุกคนที่นี่จะได้ชี้แนะให้แก่ข้า อย่าขยับ”
ถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยิ้มหยัน “หากว่าพวกเราไม่ขยับ มิใช่จะเป็นการปล่อยให้เจ้าฆ่าพวกเราได้หรอกหรือ”
ฉินมู่ยิ้มนิดๆ แล้วกล่าว “หากว่าเจ้าต้องการขยับ ก็จงเตรียมรับผลที่จะตามมา กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง…”
ไจกระบี่ในมือของเขาพลันแยกกระจายออกไป และกระบี่บินก็เกลื่อนเต็มตัวตึก!
เมื่อกระบี่บินแปดพันเล่มเคลื่อนไหว แทบทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาเพื่อป้องกันตนเอง ในจังหวะนั้น แสงกระบี่ทั้งหมดพลันหายวับ และพร้อมกับพวกมัน ตึกอาคารก็หายไปเช่นกัน แทนที่ด้วยทะเลเลือดอันท่วมฟ้าท่วมดิน!
กระบวนท่าที่สองของภาพกระบี่ กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต
เมื่อกระบวนท่านี้ถูกร่ายรำออกไป อารมณ์อันกว้างใหญ่ไพศาลและคร่ำครวญหวนไห้ก็กวาดซัดมา ทุกคนรู้สึกราวกับว่าพวกเขามองเห็นเทพและมารนับไม่ถ้วนดิ้นรนอยู่ในทะเลเลือดและกรีดร้องอึงอล ในพริบตาถัดมา พวกเขาก็กลายเป็นซากศพในแสงกระบี่ และจมลงไปในทะเลโลหิต!
กระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต ขุนเขาและแม่น้ำทั่วทิศ จิตเวิ้งว้างขมุกขมัว เหลียวแลซ้ายมองขวา มิอาจหาผู้คนในเสื้อผ้ามาตุภูมิ
ในชั่ววินาทีนั้น พวกเขาได้ยินเสียงใครบางคนฟาดทุบโต๊ะ และบางคนกู่ร้องอย่างโกรธเกรี้ยว และยังมีเสียงของทักษะเทวะที่ปะทะเข้าด้วยกันอย่างกระชั้นสั้น
ทันใด สีสันของทะเลเลือดก็จางหายไปราวกับเวลาที่ผันผ่าน และพวกเขาก็สามารถมองเห็นแผ่นหลังของบุรุษผู้หนึ่งที่แบกกระบี่อยู่และเหลียวกลับมามอง ความเดียวดายและความเสื่อมถอยชราภาพ ได้สะกิดเส้นหัวใจของพวกเขา
ภาพแผ่นหลังนั้นหายไป และเรือนตึกก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง มือของฉินมู่ยังคงยกขึ้น และในฝ่ามือของเขาคือไจกระบี่อันหมุนวนไปอย่างไม่หยุดยั้ง
จานและชามทั้งหมด เช่นเดียวกับอาหารการกินตรงหน้าแขกเหรื่อ ยังคงเหมือนเดิม ไม่ถูกแตะต้อง
ทุกคนหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ และพวกเขารีบมองไปรอบๆ ด้วยสายตาอันหวาดผวา พวกเขาเห็นศพของ อวี้จิ่นฟาง และถิงฟางล้มพับลงไปกับเก้าอี้ของพวกนางด้วยรอยเลือดที่หว่างคิ้ว และยังมีศพอีกสองศพของคนรับใช้
พวกเขาได้ตบโต๊ะต่อหน้าแสงกระบี่ของฉินมู่ และพยายามจะต่อสู้ประชันกับแสงกระบี่ของเขา ผลลัพธ์เดียวที่พวกเราประสบก็คือความตาย ส่วนคนอื่นๆ นั้นมิได้ลงมือ ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่รอดปลอดภัย
ใบหน้าของเยว่ชิงซานขาวซีดไปหมด แต่เขาก็มิได้ลงมือ นั่นไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นเจตจำนงกระบี่อันแตกตื่นสะท้านขวัญของฉินมู่ แต่เขากลับรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่กล้าขยับ
เกอเคอโบกมือ แล้วก็มีคนที่รีบเข้ามาเพื่อลากศพเหล่านั้นออกไป
บนที่นั่งรอบโต๊ะ สีหน้าของทุกคนซีดขาวและบางคนถึงกับเทาราวขี้เถ้า
ความน่าขนพองสยองเกล้าที่มาจากกระบวนท่าของฉินมู่นั้นรุนแรงเกินไป เพลงกระบี่ก็ยังรวดเร็วเกินไป และทำให้พวกเขาไม่อาจรับมือทัน พวกเขาได้แต่นั่งอยู่ที่นั่น และความจนปัญญาระหว่างรอคอยความตายเช่นนี้มิใช่ความรู้สึกที่ดีเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะกับยอดฝีมือขั้นเจ็ดดาว แม้ว่าพวกเขาจะสามารถให้จิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปจากร่างได้ พลานุภาพของจิตวิญญาณดั้งเดิมนั้นแข็งแกร่งเกินไป และตึกนี้ก็จะกลายเป็นแออัดยัดเยียด กระบี่ของฉินมู่นั้นรวดเร็วอย่างสุดขีด และแสงกระบี่ก็ได้ท่วมท้นพวกเขาก่อนที่จะทันได้ทำอะไร
กระบวนท่าของฉินมู่มีฤทานุภาพร้ายกาจเกินจะหยั่ง ทั้งกระบี่แต่ละเล่มก็ถูกหลอมสร้างขึ้นมาด้วยวัสดุล้ำเลิศที่สุด ดังนั้นชีวิตของทุกคนจึงเหมือนแขวนไว้กับเส้นด้าย!
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะเทวะทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณของพวกเขาก็ช้ากว่ากระบี่ของฉินมู่ไปมากจริงๆ หากว่าพวกเขาจะต่อสู้กัน ก็มีแต่ต้องพยายามสร้างระยะห่างจากฉินมู่ก่อนที่จะพยายามขับเคลื่อนทักษะเทวะของพวกตน
เพราะเช่นนั้น ในตึกนี้ พวกเขาจึงไม่มีโอกาสเลยแม้แต่นิด
ฉินมู่เก็บไจกระบี่กลับเข้าไป และกล่าวขออภัย “พี่เกอเคอ หวังว่าท่านจะอภัยให้ข้าที่ทำให้ตึกของท่านเลอะเทอะเปรอะเปื้อน”
“ความเพริศแพร้วพิสดารในเพลงกระบี่ของเจ้าลัทธิฉินนั้นไร้ต่อต้าน ได้เปิดหูเปิดตาให้ข้า แม้ว่าท่านจะยิงกระบี่ออกไปมากมายไร้ประมาณ ท่านก็ไม่ได้ทำให้เรือนตึกของข้าเสียหายแม้รอยขีดข่วน นี่จึงนับว่าเป็นฝีมืออย่างแท้จริง ขอเรียนถามได้หรือไม่ว่า กระบวนท่านี้เป็นเพลงกระบี่ที่เพิ่งคิดค้นขึ้นมาหลังจากการปฏิรูปของจักรวรรดิสันตินิรันดร์หรือไม่”
ฉินมู่ส่ายหัว “กระบวนท่านี้มิใช่ทักษะเทวะที่เกิดขึ้นมาหลังจากการปฏิรูป แต่ถูกคิดค้นขึ้นมาเมื่อสี่ร้อยห้าร้อยปีก่อน กระบวนท่านี้ก็นับว่าล้าหลังไม่ทันยุคสมัย แต่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าใช้มันก็สามารถสังหารผู้ฝึกขั้นหกทิศและเจ็ดดาวได้ทั้งหมด ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ข้าได้ แม้ว่าทุกคนที่นี่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่พวกท่านก็ยังด้อยกว่าผานกงสั่วอยู่ดี เขานั้นแข็งแกร่งเหนือกว่าพวกท่านไปหลายขุม สามารถรับมือกับกระบวนท่านี้ได้ อย่างมากเขาก็บาดเจ็บสาหัสเท่านั้น”
ทุกคนแค่นเสียงเย็นชา หมายจะกล่าวอะไร แต่คอของพวกเขาแหบแห้งไปหมด เสียงของพวกเขาก็สั่นระริก พวกเขาจึงรีบกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้าเมืองเกอเคอ ข้าไม่มีหน้าอยู่ที่นี่ต่อ ขอลา!” เยว่ชิงซานพลันประสานมือคารวะ แล้วหันกายจากไป
ในจังหวะที่เขาทำเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นและกล่าวลา ไม่นาน เรือนตึกก็เหลือเพียงฉินมู่และผู้เหย้าของเขา
“จ้าวลัทธิฉิน ท่านมิได้นำยอดฝีมือมากับท่านด้วยมากมาย มีเพียงกิเลนมังกรที่อยู่ในขั้นชาวสวรรค์ แต่ในทางกลับกัน แผ่นดินตะวันตกของข้าเต็มไปด้วยยอดยุทธ ท่านไม่กลัวจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่หรอกหรือ” เกอเคอถามอย่างสงสัยใคร่รู้
ฉินมู่ยิ้มแบบไม่เชิงยิ้ม “พี่เกอเคอก็รู้จักกิเลนมังกร?” เกอเคอไม่ตอบ ฉินมู่จึงยิ้มกล่าว “มีผู้คนมากมายที่ต้องการจะสังหารข้า แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครทำสำเร็จเลยสักคน การเดินทางในครั้งนี้ของข้ามิใช่มาเพื่อท้าทายยอดยุทธทั่วแดนดิน แต่เพื่อท่องเที่ยวหย่อนใจและสำรวจโลกหล้า ไม่ทราบว่าพี่เกอเคอรู้หรือไม่ว่าตำหนักสวรรค์แท้อยู่ที่ใด”
“ตำหนักสวรรค์แท้เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา และทุกคนก็รู้จักมัน” เกอเคอยิ้มและกล่าว “หากจ้าวลัทธิฉินอยากจะไปที่นั่น ข้าสามารถชี้ทางให้แก่ท่านได้”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้หมายหัวข้า แต่กระนั้นพี่เกอเคอก็ยังปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงแขกผู้ทรงเกียรติ ท่านไม่กลัวตำหนักสวรรค์แท้จะมาระรานหรอกหรือ”
เกอเคอหัวร่อฮาๆ แล้วส่ายศีรษะ “แม้ว่าตำหนักสวรรค์แท้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นที่ว่าพวกเขาจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ แม้ว่าทั่วทั้งแผ่นดินตะวันตกจะมีแดนศักดิ์สิทธิ์เพียงแห่งเดียวนี้ แต่ก็มิใช่ตำหนักสวรรค์แท้ที่เป็นผู้ปกครองแผ่นดินตะวันตก เป็นเหนือฟ้าต่างหาก ตำหนักสวรรค์แท้ไม่ไปแจ้งข่าวแก่เหนือฟ้าด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้หรอก เข้ามา คนของข้า คัดลอกแผนที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกของพวกเราให้จ้าวลัทธิฉินสักฉบับ!”
ฉินมู่เคร่งขรึมสำรวจ ถ้อยคำของเกอเคอได้เผยให้เห็นข้อมูลชิ้นสำคัญ ตำหนักสวรรค์แท้และเหนือฟ้า ดูท่าจะมีความสัมพันธ์กันบางอย่าง
คนรับใช้ก้าวเข้ามา และมอบแผ่นที่ภูมิประเทศแผ่นดินตะวันตกให้แก่ฉินมู่ เมื่อเขารับมันมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะไต่ถาม “เจ้าเมืองเกอเคอ คฤหาสน์ของท่านดูราวกับจะปลูกสร้างแบบสถาปัตยกรรมสันตินิรันดร์”
เกอเคอยิ้มละไม “จ้าวลัทธิฉิน ท่านควรไปได้แล้ว สังหารถิงฟางแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และอวี้จิ่นฟางแห่งตระกูลอวี้นั้นเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เล่น ผู้คนที่รีบรุดออกไปนั้นคงจะมิได้ไปร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่จะไปรายงานและเรียกกำลังเสริม หากว่าท่านยังรีรอ ท่านจะออกจากเมืองไม่ได้ออกต่อไป”
ฉินมู่มองเขาด้วยสายตาลึกซึ้งและถาม “ปรมาจารย์อยู่ที่นี่นานแค่ไหน”
เกอเคอนิ่งเงียบไป จากนั้นสักพัก เขาก็กล่าว “ไม่นานนัก เขาจะมาที่นี่ปีละหนเพื่อสอนข้าถึงเรื่องต่างๆ มากมาย ครั้งสุดท้ายที่เขาจากไป เขาบอกข้าว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีก จ้าวลัทธิฉิน เขาจากไปแล้วหรือ”
ฉินมู่เงียบไปครู่ จากนั้นเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองลงไปยังกิเลนมังกรที่อยู่ข้างล่าง เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้กำลังเงี่ยหูผึ่งและเห็นได้ชัดว่าเขากำลังลอบฟังการสนทนาข้างบน
“ไม่” ฉินมู่เผยยิ้มและกล่าว “ปรมาจารย์อาจจะได้บรรลุเป็นเทพเจ้าไปแล้ว”
ข้างล่าง หูที่ผึ่งออกมาของกิเลนมังกรหลุบลงคืนและเขาก็หมอบลงกับพื้นด้วยหางที่เหยียดออกไป
เกอเคอมาที่ข้างกายเขาและมองลงไปข้างล่าง เขาเห็นเสียงฉีเอ๋อปีนขึ้นไปบนปลายหางของกิเลนมังกร เจ้าตัวใหญ่นี้จึงยกหางขึ้น ให้เสียงฉีเอ๋อไถลลงมาราวกระดานลื่น ทำให้เด็กหญิงน้อยหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ข้าเคยพบกับกิเลนมังกรเมื่อข้ายังเด็ก แต่ดูเหมือนเขาจะจำข้าไม่ได้” เกอเคอส่ายหัว “เจ้าพาองค์หญิงน้อยแห่งตำหนักสวรรค์แท้มาด้วย แล้วยังหวังที่จะไปให้ถึงตำหนักทั้งยังเป็นๆ อีกหรือ มิน่าล่ะตำหนักสวรรค์แท้ถึงอยากจับตัวเจ้ามากขนาดนี้ เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าจริงๆ น่ะหรือ ในเมื่อข้าเป็นเจ้าเมือง ข้าย่อมมีความสามารถและกลเม็ดอยู่บ้าง! ท่านพ่อได้สอนข้าไว้หลายอย่าง!”
ฉินมู่เดินออกไปจากเรือนตึกพลางส่ายหัว “ท่านก็มีครอบครัวของท่าน และข้าคงไม่ชักนำเภทภัยมาพัวพันท่านหรอก มังกรอ้วน ฉีเอ๋อ พวกเราไปกันเถอะ”
เกอเคอส่งพวกเขาออกนอกคฤหาสน์และโบกมือลา ฉินมู่ดูจะสังเกตเห็นและหันกลับมาโบกมือตอบเช่นกัน
เกอเคออดไม่ได้จึงถามคำถามสุดท้าย
“ข้าจะพบเขาได้อีกไหม”
“หลังจากที่ท่านบรรลุเป็นเทพ ท่านก็อาจจะได้พบเขา” ฉินมู่ตะโกนกลับไปด้วยเสียงอันดัง
เกอเคอแย้มยิ้มระหว่างที่ส่งพวกเขาไป แต่เมื่อคณะฉินมู่ลับสายตา สีหน้าของเขาก็หดหู่
ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงท่านพ่อ เขาใช้คำว่าอาจจะ ท่านพ่อจากไปแล้วจริงๆ…
แม้ว่าพวกสาวๆ จะฝึกปรือเวทมนตร์จำนวนหนึ่งของแผ่นดินตะวันตก และรู้ว่ามีสถานที่อันเรียกว่าตำหนักสวรรค์แท้ แต่พวกนางไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ไหนแน่ชัด
แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล ไม่น้อยไปกว่าสันตินิรันดร์หรือแดนโบราณวินาศ ผู้คนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในสันตินิรันดร์รู้จักสำนักเต๋า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่รู้ว่ามันตั้งอยู่ที่ใด
ผู้คนในแผ่นดินตะวันตกก็เหมือนกัน
ฉินมู่นึกย้อนเสียใจนิดๆ ที่ได้สังหารศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้คนนั้นไป
ตรงหน้า เมืองอันยิ่งใหญ่ตระการปรากฏในสายตาของเขา และเหล่าดรุณีบอกว่าพวกนางไปที่นั่นเพื่อร่วมงานตลาดเทศกาล เมืองนี้มีนามว่าเมืองหอมเบ่งบาน และเต็มไปด้วยดอกไม้สดที่บานสลอนไปหมด เถาวัลย์เขียวเลื้อยไต่ไปทั่วกำแพงเมือง และดอกไม้ใหญ่ก็บานประชันกันบนผนัง ป้อมปราการเองก็ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่งอกงามในสีม่วงเลอเลิศและสีแดงฉูดฉาด พวกมันสะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเข้าไปใกล้ ฉินมู่ก็พบว่าดอกไม้เหล่านั้นเหมือนจะมีจิตวิญญาณ ในเมื่อมีดรุณีหน้าตาสะสวยผุดออกมาจากข้างใน พวกนางขับร้องเพลงพื้นถิ่นอันเขาไม่เข้าใจความหมาย หลังจากตื่นจากภวังค์ของมนตร์เสน่ห์ชวนลุ่มหลงของนครแห่งนี้และผู้คนของมัน พวกเขาตกแต่งทิวทัศน์ของเมืองหอมเบ่งบานให้วิจิตร
ที่นั่นมีสาวน้อยพลูด่างหัวใจสวมใส่ชุดเขียว และสาวน้อยต้นชิวไห่ถัง[1]ที่หอบดอกไม้สีแดงฉูดฉาดไปมาระหว่างอาคารสูง
และยังมียักษ์ที่ก่อขึ้นมาจากหินเคาะตีกลองอยู่ และดอกไม้ไม่รู้ชื่อที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า จิตวิญญาณของพวกมันเล่นขลุ่ยและปี่แป้ประสาทไปกับจังหวะกลองของยักษ์หิน
ฉินมู่รู้สึกว่าตนเป็นพวกบ้านนอกขึ้นมา สิ่งใหญ่มหึมาเดินไปเดินมาบนท้องถนน และพวกมันก็คือบ้านเรือนที่งอกขา เด็กหญิงและเด็กชายยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองไปรอบๆ และส่งเสียงคิกคักดังสดใส ทั้งยังมีริ้วธงหลากสีที่สะบัดไหวในสายลม บินวกไปเวียนมาจากหน้าต่างบานหนึ่งไปยังอีกบานหนึ่ง ก่อขึ้นมาเป็นสะพาน เด็กสาวสวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์วิลิศมาหรามากมายก็เหยียบย่างไปบนริ้วธงเหล่านั้นเพื่อข้ามผ่านอากาศไปหาคนรักของพวกนาง
“นี่คือเทศกาลภูเขาดอกไม้” เสียงฉีเอ๋อกล่าวอย่างตื่นเต้น “แม่ของข้าพาข้าออกมาเที่ยวเล่นที่นี่มาก่อน! เทศกาลภูเขาดอกไม้ที่ตำหนักสวรรค์แท้จะยิ่งครึกครื้นกว่านี้อีกนะ!”
ฉินมู่แยกทางจากพวกสาวๆ บนหีบ และกิเลนมังกรก็แบกพวกเขาไปตามถนนอันวิจิตรตระการ ภาพอันเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดินตะวันตกนั้นเกินจินตนาการ มันต่างกันไปคนละโลกกับสันตินิรันดร์ แต่ก็มีเสน่ห์อันไม่ซ้ำใคร
พวกเขาเดินผ่านเมืองอันเต็มไปด้วยเด็กสาวที่โยนถุงหอมให้แก่ฉินมู่ มีบางคนหนึ่งใจกล้าขนาดว่าเหยียบบนริ้วธงเข้ามาคว้ามือของเขาหมายจะลักไปกกกอดในยักษ์เรือนตึก
ฉินมู่ปล่อยมือของเด็กสาวผู้นั้น และนางก็เหมือนกับเซียนสาวที่โผบินกลับเข้าไปในตึกที่มีชีวิต ออกไปเสาะหาชายรูปงามคนอื่นๆ ต่อ
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ที่เขาพบในแผ่นดินตะวันตกนั้นดุร้ายเหี้ยมโหด ทำให้เขาก็ไม่มีความประทับใจที่ดีอันใดต่อสตรีแห่งแผ่นดินตะวันตก แต่ทว่าหลังจากที่เขาได้มายังเมืองหอมเบ่งบาน เขาก็ถูกดึงดูดให้ลุ่มหลงในวัฒนธรรมพื้นถิ่นและขนบธรรมเนียมของที่นี่
เทศการภูเขาดอกไม้ที่จัดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งต่อปีนั้นคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ฉินมู่ข้ามผ่านฝูงชน ยักษ์ตึก และยักษ์บ้านเรือน จนกระทั่งเขามาถึงใจกลางเมืองแห่งนี้ มันเงียบกว่าและครึกครื้นน้อยกว่า
“หนึ่งในผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่น่าจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองหอมเบ่งบาน ข้าคงจะได้ข่าวของตำหนักสวรรค์แท้จากเขาหรือไม่ก็จากบุคคลสำคัญคนอื่นๆ”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเถาวัลย์เขียวงอกขึ้นมาอย่างรวดเร็วและลอยขึ้นมาถึงตรงหน้าฉินมู่ ที่ปลายเถาวัลย์มีดอกไม้ดอกหนึ่งอันกำลังเบ่งบานออกมา เด็กสาวในชุดสีชมพูโผล่ออกจากดอกไม้และแย้มยิ้มอย่างหวานหยด “ท่านคือคุณชายฉินหรือเปล่า”
ฉินมู่พยักหน้า
เด็กสาวผู้นั้นเดินออกมาจากดอกไม้ แต่ยังมีเกสรดอกไม้ที่เชื่อมต่อหลังของนางเอาไว้ นางแย้มยิ้ม “คุณชาย นายของข้าได้เชื้อเชิญท่าน โปรดติดตามข้ามา”
“มีคนที่นี่รู้จักข้าด้วยหรือ” ด้วยความตกตะลึง ฉินมู่ก็ปีนลงจากหลังกิเลนมังกร “แม่นาง โปรดนำทาง”
หญิงผู้นั้นก็ลงมาเหยียบที่พื้นและนำทางพวกเขาไปยังบ้านใหญ่หลังหนึ่งอันดูราวกับคฤหาสน์ รูปแบบการตกแต่งนั้นดูน่าเกรงขาม สิงโตหินสองตัวยืนขึ้นและหันมามองดูฉินมู่และกิเลนมังกร ก่อนจะหมอบนั่งกลับไปยังแท่นหินของพวกมันตามเดิม
ฉินมู่ตามแม่นางในดอกไม้เข้าไปในบ้านและเห็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวมากมายเข้าออกกันขวักไขว่ มันคึกคักเป็นอย่างยิ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาส่วนใหญ่แปลงกายมาจากดอกไม้ ต้นไม้ ใบหญ้า และก้อนหยก มีกระทั่งพวกที่มีจิตวิญญาณขึ้นมาจากทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬ
“คฤหาสน์นี้มิได้ก่อสร้างตามแบบแผ่นดินตะวันตก แต่เป็นแบบสันตินิรันดร์…ช้าก่อน ทองคำทมิฬและทองแดงทมิฬพวกนี้…”
ฉินมู่ตะลึงไปเมื่อสายตาเขาจ้องไปจับที่หม้อน้ำเดินได้อันมีอาหารอยู่ข้างใน มันกระโดดขึ้นไปบนหัวมนุษย์ไฟ และปรุงอาหารในนั้นด้วยตนเอง
“หม้อน้ำใหญ่นี้เป็นอาวุธวิญญาณ! แม้แต่อาวุธวิญญาณก็กลายเป็นพรายวิญญาณได้หรือ”
ฉินมู่พลันรู้สึกว่าทุกอย่างกระจ่างแจ้งขึ้นมา เขาจึงก้าวช้าลงอย่างไม่รู้ตัวและเข้าสู่ภวังค์
เขาสามารถสัมผัสได้ถึงทางลัดในการปฏิรูป! มันคือการนำแนวคิดอุดมการณ์ของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณเข้าไปในสันตินิรันดร์ อันจะสร้างคลื่นแห่งการปฏิรูปลูกใหม่ขึ้นมา!
หากว่าอาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์สามารถเกิดมีดวงจิตขึ้นมาได้ กำลังฝีมือของทุกคนก็จะเพิ่มพูนอย่างน่าแตกตื่น! ไม่เพียงแค่นั้น ด้วยการหลอมรวมสองระบบวรยุทธเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถสรรค์สร้างเวทมนตร์และทักษะเทวะใหม่ๆ ได้อีกมาก ทั้งยังจะหลากหลายคล่องตัวขึ้นอีกด้วย!
อาวุธวิญญาณของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์มิใช่อาวุธที่มีจิตวิญญาณอย่างแท้จริง ด้วยว่ามันเพียงแต่เกิดขึ้นและบำรุงหล่อเลี้ยงเอาไว้ในทักษะเทวะเท่านั้น แต่หากว่าพวกเขาดูดซับแนวคิดอุดมการณ์แห่งแผ่นดินตะวันตกเข้าไป พวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธวิญญาณอย่างจริงแท้ที่สุด!
เวทมนตร์ของสันตินิรันดร์ให้ความสำคัญกับพลังโจมตี และมันก็มีวิชาฝึกปรือพิสดารและทักษะอันมหัศจรรย์ทุกรูปแบบ เวทมนตร์แห่งแผ่นดินตะวันตกนั้นด้อยกว่าในด้านพลังโจมตี และพวกเขาก็ยังขาดวิธีการโจมตีไปมาก แต่ทว่าวิธีการของทุกสิ่งมีดวงจิตสามารถทำให้อาวุธวิญญาณทั้งหลายกลายเป็นอาวุธวิญญาณที่แท้จริง! ด้วยระบบวรยุทธทั้งสองระบบนี้ พวกเราก็จะสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้! ปัญหาที่ยากที่สุดก็คือ จะหลอมรวมเวทมนตร์แห่งทุกสิ่งมีดวงจิตจากแผ่นดินตะวันตกเข้ากับวิชาฝึกปรือแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร และจะทำอย่างไรถึงจะทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์สามารถหยั่งสัมผัสได้ถึงดวงจิต และปลุกดวงจิตนั้นขึ้นมาในอาวุธวิญญาณของพวกเขา
นั่นผู้ชายนี่!
ฉินมู่งงงัน เมืองหอมเบ่งบานนี้เป็นเมืองอันรุ่งเรืองมั่งคั่งชัดๆ ตามหลักแล้ว มันน่าจะเป็นสตรีที่ทำหน้าที่กำกับดูแลกิจการ แต่ทำไมที่นี่จึงกลายเป็นว่ามีบุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงส่งแทนล่ะ
เขามองไปยังชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มาต้อนรับเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มผู้นี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยแก่เขา ราวกับว่าเคยเห็นมาจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน แม้ว่าฉินมู่จะแน่ใจว่าเขาไม่เคยพบกับชายผู้นี้มาก่อน
กิเลนมังกรพลันตื่นเต้นขึ้นมา และกล่าวด้วยเสียงเบา “จ้าวลัทธิ ท่านไม่คิดหรอกหรือว่าเขาดูคล้ายกับปรมาจารย์อยู่หน่อยๆ นะ”
ฉินมู่ตะลึง เขารู้สึกว่าทั้งสองคนดูคล้ายกันจริงๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความประทับใจอันดีต่ออีกฝ่าย เขาคารวะทักทาย “จ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ฉินมู่ น้อมคารวะเจ้าของสถานที่แห่งนี้”
ชายหนุ่มคารวะตอบไปและพิธีมารยาทของเขาก็เป็นแบบจักรวรรดิสันตินิรันดร์ “จ้าวลัทธิฉิน เกอเคอขอน้อมคารวะท่าน ไม่นานมานี้ รูปวาดของจ้าวลัทธิได้แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินตะวันตก และชื่อเสียงของท่านก็กำจรไปไกล สร้างความสนใจอึงอลทั่วไปหมด ผู้เปี่ยมความสามารถรุ่นเยาว์มากมายหมายที่จะพบกับจ้าวลัทธิฉิน เชิญทางนี้ จ้าวลัทธิฉิน”
ฉินมู่สีหน้ามืดคล้ำ ในเมื่อเขาพาเสียงซีอวี่มาด้วย เขาก็กะจะให้ราชครูและเสียงซีอวี่เป็นแนวหน้า ชื่อเสียงเกียรติภูมิของสองคนนั้นกระเดื่องดังยิ่งกว่าเขามากนัก ในเมื่อหนึ่งนั้นเป็นราชครูแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ และอีกหนึ่งนั้นคือจ้าวตำหนักคนก่อนแห่งตำหนักสวรรค์แท้ พวกเขาน่าจะจับความสนใจของแผ่นดินตะวันตกเอาไว้ และถ้าเป็นแบบนั้น ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นเขากับเสียงฉีเอ๋อ อันทำให้การเดินทางของพวกเขาก็จะปลอดภัยขึ้นมาก
จุดมุ่งหมายของเขาที่มาที่นี่ก็เพื่อทำความคุ้นเคยกับธรรมเนียมสังคมแห่งแผ่นดินตะวันตก ในอนาคต จักรวรรดิสันตินิรันดร์จะยกกองกำลังมาที่นี่อย่างแน่นอนและเข้ายึดครอง เพิ่มมันเข้าไปในส่วนหนึ่งของอาณาเขต
เป้าหมายของราชครูสันตินิรันดร์นั้นเป็นแนวทางจากบนลงล่าง ด้วยการยึดตำหนักสวรรค์แท้มาไว้ในกำมือ ก่อนที่จะเรียกศึกก่อสงคราม และให้ตำหนักสวรรค์แท้ยอมศิโรราบและสวามิภักดิ์ต่อสันตินิรันดร์ อันจะช่วยลดทอนการบาดเจ็บล้มตายลงไปได้มาก
แต่ฉินมู่ไม่คาดคิดเลยว่าเป็นเพราะไอ้ลูกเต่าผานกงสั่วที่สอดมือเข้ามา การปรากฏตัวของเขาในแผ่นดินตะวันตกจึงกลายเป็นที่รู้กันโดยทั่วไป และประกาศจับอันมีรูปของเขาก็แปะไปทั่วทุกเมืองน้อยใหญ่ในแผ่นดินตะวันตก
“พี่เกอเคอสุภาพเกินไปแล้ว”
ฉินมู่เดินไปกับเขา และพบว่าทั้งหญิงและชายรอบตัวเกอเคอนั้นไม่อ่อนแอเลยสักนิด มีกำลังฝีมืออันโดดเด่นเหนือธรรมดา แต่ทว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแต่มองมาที่ฉินมู่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร อดใจรอแทบไม่ได้ที่จะได้สู้ต่อยตี แต่ในเมื่อมีเกอเคอเป็นผู้เหย้า พวกเขาก็ยังไม่หักหน้าลงมือกันทันที
ฉินมู่มองไปยังเกอเคอด้วยความสงสัยใจเล็กน้อย ชายหนุ่มผู้นี้ดูคล้ายคลึงกับปรมาจารย์เยาว์ และคฤหาสน์นี่ก็เป็นแบบของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ไม่ใช่สถาปัตยกรรมโค้งกลมของแผ่นดินตะวันตก พิธีมารยาทของเกอเคอเองก็เป็นแบบที่เขาคุ้นเคยดี ดังนั้นหรือนี่จะเป็นดอกผลอันเกิดขึ้นมาจากการที่ปรมาจารย์มาวิวาห์เยือนที่แผ่นดินตะวันตก
แต่นี่ไม่ถูกต้อง! เขาไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้น แต่เพียงราวๆ สิบเจ็ดปีเท่านั้น แม้ว่าปรมาจารย์จะดูหล่อเหลาและรวยเสน่ห์ แต่เขาก็ยังเป็นเฒ่ากระดูกผุเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ดังนั้นเขาจะวิ่งเร่มาที่แผ่นดินตะวันตกเพื่อวิวาห์เยือนได้อย่างไร แต่อีกแง่ ปรมาจารย์ก็ดูเหมือนเด็กหนุ่ม เช่นนั้นเกอเคอก็อาจจะฝึกปรือวิชาเสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต จึงไม่แก่เฒ่าลงไป
เกอเคอนำทุกๆ คนขึ้นไปบนตึกสูง และมันมียวดยานเข้ามาที่นั่นจากทุกหนแห่ง ผู้คนที่มาล้วนแต่มีศักดิ์ฐานะไม่ธรรมดา ฉินมู่เห็นบางคนขี่มาบนก้อนเมฆอันผูกไว้กับต้นไม้โบราณ มีสัตว์พิสดารทุกรูปแบบ แม้กระทั่งภูเขาลูกย่อมๆ!
ผู้มาย่อมเป็นชนชั้นที่มิได้ไร้ชื่อเสียงเรียงนาม พวกเขาล้วนแต่ดูเยาว์วัยและน่าจะเป็นบุคคลสำคัญในศักดิ์ฐานะต่างๆ มาเพื่อร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ เพราะว่าจะอย่างไร ก็คงไม่มีใครเลือกผู้เฒ่าคนชราเป็นคู่ร่วมอภิรมย์ในเทศกาลภูเขาดอกไม้หรอก
เกอเคอเชิญพวกเขามานั่งเก้าอี้และฉินมู่ก็ข่มระงับความสงสัยในหัวใจพลางนั่งลงด้วย เกอเคอปรบมือหนึ่งที และก็มีคนรับใช้ผู้หนึ่งนำภาพวาดมา
ผู้เหย้าหนุ่มคลี่ม้วนภาพออก และมิใช่ภาพอื่นใดนอกจากภาพวาดของจ้าวลัทธิมาร จากนั้นเขาจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตำหนักสวรรค์แท้ส่งภาพวาดของจ้าวลัทธิฉินไปทั่ว และกล่าวว่าท่านเป็นผู้ลักลอบหลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ข้าก็คิดสงสัยอยู่ว่าจ้าวลัทธิฉินผู้ใจกล้านี้จะเข้ามาในเมืองหอมเบ่งบานของข้าหรือไม่ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าเขาจะเข้ามาจริงๆ จ้าวลัทธิฉินมู่กำลังฝีมืออันเหนือธรรมดาและกึ๋นที่ใหญ่โตมิใช่น้อย ดังนั้นเชิญมาชมดูเหล่าผู้เปี่ยมความสามารถแห่งแผ่นดินตะวันตกของข้า จอมยุทธหญิงผู้นี้คืออวี้จิ่นฟางซึ่งมีสาแหรกตระกูลอันลึกล้ำ สาเหตุที่พี่สาวอวี้แซ่อวี้นั้นก็เพราะว่าบรรพบุรุษของนางมาจากแขนงหนึ่งของตระกูลอวี้แห่งแผ่นดินตะวันตก จ้าวลัทธิฉินคงรู้จักใช่ไหม”
ฉินมู่ผงกหัวแล้วกล่าว “เจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้คนปัจจุบันเป็นของตระกูลอวี้”
เกอเคอแย้มยิ้มและกล่าว “พี่สาวอวี้มีที่ดินใหญ่หมื่น เทือกเขาแปด และยังเป็นผู้สืบทอดของตระกูลอวี้ วรยุทธของนางอยู่ที่ขั้นเจ็ดดาว”
ฉินมู่ผงกหัวให้แก่อวี้จิ่นฟางด้วยรอยยิ้ม
นางยิ้มนิดๆ ให้เขาเป็นการตอบกลับ
เกอเคอจึงกล่าวต่อ “ยังมีบุรุษหลายคนที่เป็นผู้ดูแลกิจการครอบครัวในแผ่นดินตะวันตก นี่คือนายน้อยแห่งสำนักมณฑลสวรรค์แห่งแผ่นดินตะวันตก เยว่ชิงซาน สำนักมณฑลสวรรค์นั้นนำโดยบุรุษและวิธีการฝึกวรยุทธของพวกเขาคล้ายคลึงกับของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ พวกเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในแผ่นดินตะวันตก พี่เยว่ชิงซานนั้นมีวรยุทธขั้นหกทิศ”
ฉินมู่ทักทายเขา
เยว่ชิงซานนั้นค่อนข้างหยิ่งยโสและกล่าว “แม้ว่าข้าจะอยู่ในขั้นหกทิศ แต่เวทมนตร์และทักษะเทวะของสำนักมณฑลสวรรค์ของข้ามีรากเหง้าอันเก่าแก่โบราณ พวกมันถูกถ่ายทอดมาโดยทวยเทพ”
ฉินมู่สนใจขึ้นมาทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเคยเห็นวิชาของเทพเจ้ามากมาย และพวกมันก็ไม่เลวเลยจริงๆ นั่นแหละ”
“และแม่นางผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา แต่นางมิได้มาจากเมืองหอมเบ่งบานของพวกเรา นางมาจากตำหนักสวรรค์แท้ ศิษย์พี่หญิงถิงฟาง” เกอเคอกล่าว
ฉินมู่มองไปที่สตรีนางนั้นและเห็นว่านางก้าวออกมาข้างหน้าด้วยเสื้อผ้าอันวิจิตรตระการ นางมีรูปโฉมเลิศล้ำ เขาจึงเอ่ยชม “อุทยานเต็มไปด้วยบุปผาเบ่งบานชูช่อ ศิษย์พี่ถิงฟางมีนามอันไพเราะนัก”
ถิงฟางแย้มยิ้มและกล่าว “จ้าวลัทธิฉิน เป็นผู้อาวุโสในตำหนักสวรรค์แท้ที่ต้องการทวงความยุติธรรมจากเจ้า มิใช่ข้าเกลียดชังเจ้าเป็นการส่วนตัว โปรดอภัย”
เกอเคอจึงแนะนำปูมหลังความเป็นมาของทุกๆ คน และล้วนแต่สำคัญไม่ธรรมดา
ฉินมู่ส่งยิ้มให้แต่ละคนไม่พลาดใคร วรยุทธของผู้คนเหล่านี้ค่อนข้างสูง และพวกเขานับได้ว่าโดดเด่นน่าประทับใจในหมู่รุ่นเยาว์
เมื่อการแนะนำตัวเสร็จสิ้น ฉินมู่ก็แย้มยิ้มและกล่าว “พี่เกอเคอได้แนะนำผู้คนมากหลายปานนี้ แต่ไฉนพี่ท่านไม่แนะนำตนเองล่ะ”
เกอเคอหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นเพียงเจ้าของที่ดินในสถานที่แห่งนี้ เมืองหอมเบ่งบานเป็นสมบัติที่บิดามารดาหลงเหลือไว้ให้ข้า อันมิใช่อะไรที่ควรค่าแก่การเอ่ยอ้าง จ้าวลัทธิฉิน ด้วยยอดฝีมือทั้งหลายที่ดาหน้าออกมาและหมายจะกำราบท่าน ท่านจะทำอย่างไร”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และกล่าวอย่างจริงใจ “ศิษย์พี่หญิงและชายทั้งหลาย พวกท่านก็ล้วนแต่ดูท่าจะผู้เปี่ยมความสามารถ เหตุใดจึงมาหาที่ตายถึงนี่ล่ะ”
………………
[1] ต้นชิวไห่ถัง ต้นบีโกเนีย
หญิงผู้นั้นสวมใส่เสื้อดำและกระโปรงดำ มีเครื่องประดับเงินตกแต่งศีรษะ และยังมีกำไลเงินประดับกระดิ่งนับสิบบนข้อมือของนาง รูปโฉมก็น่าประทับใจ ไม่ช้าก็มีคนเดินเข้ามาเพื่อรับเอาภาพวาดนั้นจากมือนางไปแปะไว้ที่กระดานประกาศข่าว
สตรีแห่งตำหนักสวรรค์แท้มองพวกเขาจากที่ยืนอันสูงส่งและกล่าว “ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศผู้นี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และจะเข้ามาจากทางทะเลทรายเพลิงโหมภายในไม่กี่วันข้างหน้า ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องตื่นตัวเอาไว้ หากว่าพวกเจ้าเห็นเขา ก็อย่ากระโตกกระตาก เพื่อไม่ให้เขาตื่นตกใจไป”
เสียงฉีเอ๋ออยากจะวิ่งเข้าไปดู แต่ฉินมู่คว้ามือเล็กๆ ของนางเอาไว้เพื่อป้องกันมิให้นางพลัดหลง
ข้างหน้าป้ายประกาศข่าวมีผู้คนเนืองแน่น และมันก็แทบจะแทรกเบียดเข้าไปไม่ได้ แต่ทว่าเสียงฉีเอ๋อก็ยังมุดเข้าไปข้างหน้าได้พลางดึงมือฉินมู่ตามไปข้างหลัง เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองและเห็นตัวเขาเองในภาพวาด เหนือภาพนั้นเขียนเอาไว้ว่า ผู้หลบหนีจากแดนโบราณวินาศ ฉินมู่
เสียงฉีเอ๋อประหลาดใจและยินดี “มังกรอ้วน เจ้าก็อยู่ข้างๆ พี่ชาย! มีแต่ข้าที่ไม่อยู่ในภาพ”
รอบข้างนั้นแต่เดิมเต็มไปด้วยเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ แต่มาบัดนี้ทุกคนกลับเงียบกริบ พวกเขามองไปยังฉินมู่
เขาดูเหมือนจะไม่สำเหนียกอะไรเมื่อเขามองไปยังป้ายประกาศด้วยรอยยิ้ม “นี่เป็นฝีมือของผานกงสั่ว เขาวาดมันด้วยมือตนเอง ซิงอ้านก็เคยมีรูปภาพของข้าที่เขาวาดไว้ให้ ดังนั้นข้าจึงจำรอยพู่กันของเขาได้”
พรึ่บ!
รอบข้างพลันโล่งว่างเมื่อกลุ่มคนกระจัดกระจายออกไป ออกห่างจากเขาให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้
ฉินมู่ไม่ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นและยังคงแย้มยิ้มอยู่ “ผู้สูงศักดิ์นับว่าคบหาสหายอย่างกว้างขวาง และรู้จักผู้คนมากมาย น่าเสียดายที่เขาวิ่งหนีเร็วเกินไป และข้าสังหารเขาไม่สำเร็จ”
“ผู้หลบหนีแดนโบรารวินาศ ตายซะ!”
เสียงตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดดังมาจากข้างหลังเขา ตามมาด้วยเสียงหวีดหวือ เมื่อมนุษย์ต้นไม้เงื้อเท้ามหึมาของมันกระทืบลงมายังเขา มนุษย์ต้นไม้นี้หนักอึ้งอย่างยากจะเปรียบปาน และพละกำลังของมันก็สุดจะหยั่ง ในเมื่อมีต้นไม้อยู่มากมายและราคาของมันไม่ได้สูงมากนัก ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกจึงมักจะเลือกใช้มันเป็นพาหนะหลักและอาวุธคู่กายในการต่อสู้
กระนั้น มนุษย์ต้นไม้ที่ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นี้เลือกสรรมาก็เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างออกไป กิ่งของมัน ลำต้น และใบ ล้วนแต่เป็นสีแดงฉานประดุจโลหิต เมื่อดูจากรูปลักษณ์ของมันแล้ว มันน่าจะเคยผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน มีรัศมีอันเหี้ยมหาญในตัว
ฉินมู่ยื่นมือออกไปในท่าคว้าจับ และลูกกลมแสงสีเขียวก็ลอยออกมาจากร่างของมนุษย์ต้นไม้ อันแข็งค้างอยู่กับที่ เสียงซีอวี่ได้ถ่ายทอดวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติให้แก่เขา ดังนั้นถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าบุรุษฝึกวิชานี้ได้ยากกว่าสตรี แต่เขาก็ได้ลงแรงฝึกปรือไปมิใช่น้อย
ศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้ตกตะลึง และเครื่องประดับเงินบนศีรษะของนางก็พลันบินขึ้นไป แปลงกายเป็นหงส์เงินที่พุ่งเข้าใส่ฉินมู่ กำไลเงินที่แขนของนางก็พุ่งเข้าไปรัดศีรษะของเขา
เพลิงไฟพวยพุ่งรอบกายฉินมู่ และไม่ทันที่หงส์เงินกับกำไลเงินจะเข้าถึงตัว มันก็ละลายกลายเป็นโลหะหลอมเหลว
ศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้เห็นว่าสถานการณ์ย่ำแย่ จึงรีบหันกายหนีไป เสื้อผ้าของนางปลิวสะบัดในสายลมและยกร่างนางเหินขึ้นไปบนอากาศ นางไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์เหินหาวเลยด้วยซ้ำ
“วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาตินี่มหัศจรรย์จริงๆ แม้แต่เสื้อผ้าก็ทำให้ผู้คนเหินบินได้” ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง “ดูเหมือนว่าข้ายังดูเบาวิชานี้มากเกินไป”
หญิงนางนั้นครางเสียงหนักและร่วงลงมาจากท้องฟ้า
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!” ฝูงชนรอบๆ วิ่งหนีไปทั่วทิศทาง พลางร้องตะโกนบอกกัน “ผู้ชายต่ำชั้นกำลังจะฆ่านายท่านหญิง!”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าถนนกลายเป็นว่างเปล่า ประตูและหน้าต่างของบ้านเรือนทุกหลังปิดปังๆ และไม่มีเลยสักคนที่ยังหลงเหลืออยู่ในบริเวณโดยรอบ มีก็แต่กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อที่ยังยืนข้างๆ เขา ส่วนศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ยังคงคลานไต่อยู่กับพื้น การตกลงมาเมื่อครู่ยังทำให้นางงงไม่หาย
“เจ้ารู้ไหมว่าจะไปตำหนักสวรรค์แท้ไปอย่างไร” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นพลันพลิกตัวไปข้างหน้า และปิ่นปักผมบนศีรษะของนางก็ยิงตรงไปยังดวงตาของเขาราวกระบี่ นางรีบเคลื่อนไหวไปยังบ้านข้างถนนหลักหนึ่ง และเอื้อมมือขึ้นไปดึงเอาเทวรูปบนป้ายจารึกออก
ตูม!
บ้านหลังนั้นพลันยืนขึ้นมา และแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ห้องเล็กๆ สองห้องกลายเป็นหมัดซึ่งซัดต่อยลงมายังฉินมู่!
ปิ่นปักผมแข็งค้างอยู่กับที่เมื่อมันเข้ามาใกล้ดวงตาของฉินมู่ วงจรพยุหะในดวงตานั้นหมุนเป็นเกลียววน และปิ่นปักผมก็ละลายกลายเป็นหยดโลหะหลอมเหลว
ฉินมู่เงยหน้าขึ้นไป และแสงดาวก็สาดประกายอยู่ในดวงตาของเขา กวาดไปยังยักษ์บ้านเรือน ผ่านเข้าไปทางหน้าต่าง เขามองเห็นครอบครัวหนึ่งกลัวตัวสั่นระริกไม่กล้าจะกระดุกกระดิก
“ข้าว่าแล้วว่าเทวรูปพวกนี้มันไร้ประโยชน์” ลำแสงสองลำยิงออกจากดวงตาของเขา และกวาดผ่านศิษย์หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ เขากล่าวอย่างไร้อารมณ์ “ผู้ฝึกทักษะเทวะอย่างเจ้า กลับไม่ไยดีชีวิตของคนธรรมดาพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ข้าดูแคลนเจ้านัก”
ลำแสงนั้นหดสั้นลงไปทุกที กลับคืนมายังดวงตาของเขา วงจรพยุหะที่หมุนเป็นเกลียววนอย่างบ้าคลั่งในนั้นก็หายวับ และดวงดาวก็ค่อยๆ หรี่ดับ
ยักษ์บ้านเรือนร่วงลงมาด้วยเสียงโครมคราม และแปรเปลี่ยนกลับเป็นบ้านวงกลมตามเดิม
ฉินมู่หันกายจากไป ขณะที่หญิงสาวบนหลังคานิ่งแข็ง นางไม่กล้าขยับเขยื้อน
เมื่อฉินมู่อุ้มเสียงฉีเอ๋อและกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร เสียงของประตูเปิดแง้มก็ดังมาจากข้างล่าง ศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้เผยสีหน้าหวาดผวาและร้องเสียงกระซิบ “อย่าเปิดประตู…”
แกร๊ก
ประตูค่อยๆ เปิดอ้ามากขึ้นอีกเล็กน้อย และหญิงผู้นั้นหวีดร้อง
“อย่าเปิดประ–”
ปราณชีวิตของนางมิอาจพยุงร่างกายนางได้อีกต่อไป และรอยเส้นของโลหิตก็ปรากฏที่คอและเอวของนาง ก้อนเนื้อสองก้อนร่วงลงจากเอวนางและกลิ้งหลุนๆ ไปบนถนน หลังจากนั้นขาของนางก็ร่วงลงมาจากหลังคา
“จ้าวลัทธิมีเมตตาจริงๆ” ข้างนอกเมืองเล็กแห่งนี้ กิเลนมังกรอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม “หญิงผู้นั้นอำมหิตขนาดนี้ แต่จ้าวลัทธิก็ยัง–”
เขาพูดยังไม่ทันขาดตำ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงนั้นจากข้างหลัง เขาจึงหันกลับไปดู และทันเห็นภาพของร่างท่อนล่างของนางร่วงลงมา อันทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างระงับไม่อยู่
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “ข้ามิได้มีเมตตา การที่ผู้ฝึกวิชาเทวะลงมือกับคนธรรมดานั้นก็นับว่าเป็นข้อห้ามอยู่แล้ว พวกเราล้วนแต่เป็นมนุษย์ เช่นนั้นจะคร่าชีวิตของผู้อื่นตามอำเภอใจเพียงเพราะว่าพวกเราแข็งแรงกว่าได้อย่างไร เมื่อข้าอยู่ในจักรวรรดิสันตินิรันดร์และในแดนโบราณวินาศ การต่อสู้ของผู้ฝึกวิชาเทวะน้อยครั้งนักที่จะพัวพันคนบริสุทธิ์ แม้ว่าเมื่อข้าต่อสู้กับผานกงสั่ว พวกเราก็ต่อสู้กันนอกเมือง เมื่อท่านยายซีต่อสู้กับเจ้าเมืองเขตมังกร นางก็ได้กระทำบนท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นแทนที่จะบุ่มบ่ามต่อยตีกันท่ามกลางผู้คนธรรมดาบนท้องถนน”
กิเลนมังกรหุบปาก และไม่กล้าต่อบทสนทนา
ตอนแรกเขากะจะเอ่ยชมฉินมู่ถึงความมีเมตตาที่ไม่คร่าชีวิตของศิษย์หญิงตำหนักสวรรค์แท้ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าท้ายที่สุดนางก็จะถูกฉินมู่สังหารอยู่ดี ความมีเมตตาที่ฉินมู่เอ่ยถึงนั้น มุ่งเน้นเพียงแค่กับคนธรรมดาสามัญ
ตั้งแต่เขายังเล็กๆ เขาได้รับการอบรมสั่งสอนโดยผู้เฒ่าทั้งเก้าแห่งหมู่บ้านพิการชรา เรียนรู้ทั้งจากคำพูดและการกระทำของพวกเขา แม้ว่าเขาจะแบกยี่ห้อจ้าวลัทธิมารฟ้า แต่เขาก็ยังคงแยกแยะถูกผิดอย่างชัดเจน
จากประเด็นนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็ได้เหนือล้ำกว่าผู้คนเที่ยงธรรมทั้งหลายในสำนักมีชื่อเสียงแล้ว
“ฉีเอ๋อน่าจะรู้ทิศทางไปตำหนักสวรรค์แท้ ใช่ไหม” ฉินมู่ถาม
เสียงฉีเอ๋อส่ายหัว “แม่ของข้าพาข้าออกมาเพื่อหลบหนีการไล่ล่า ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางผ่านที่รกร้างมากมาย และข้าก็จดจำเส้นทางกลับไปไม่ได้”
ฉินมู่พึมพำไม่ได้ศัพท์กับตนเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกล่าว “มังกรอ้วน พวกเราไปตามถนนหลวงเถอะ พวกเราสามารถถามทางได้เมื่อไปถึงเมืองใหญ่สักแห่ง ผู้คนที่นั่นน่าจะรู้เส้นทางไปตำหนักสวรรค์แท้”
กิเลนมังกรเดินทางไปตามทางหลวง และเดินไปได้สักหลายสิบลี้ ไม่นานนัก ก็ค่อยๆ มีผู้คนสัญจรบนพื้นดินมากขึ้นทุกที ถนนนั้นกว้างขวางและราบเรียบเป็นอย่างยิ่ง ดีกว่าในสันตินิรันดร์มากนัก
แม่น้ำข้างๆ ถนนนั้นก็ใสกระจ่างขนาดที่ว่ามองไปเห็นถึงก้นบึ้ง มีทั้งปลา เต่า และงู พวกมันล้วนแต่ไม่ใช่เล็กๆ และยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะและผู้ฝึกยุทธที่รีบเร่งเดินทางไปตามชลมารค ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสตรี แต่ก็มีบุรุษอยู่ด้วยไม่ใช่น้อย
วิชาที่พวกเขาส่วนใหญ่ฝึกปรือนั้นก็ดูเหมือนว่าจะดำเนินตามมรรคาเต๋าของทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หญิงและชายบางพวกก็จะหยุดอยู่บนผิวแม่น้ำ และเพรียกขานมัน คลื่นก็จะพลันโถมขึ้นมาสูงลิ่ว แบกพวกเขาพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว
และยังมีคนผ่านทางบนถนน พวกเขาส่วนมากเร่งรีบเดินทางไปบนมนุษย์ต้นไม้ มนุษย์เถาวัลย์ก็มี แต่ความเร็วของพวกมันช้ากว่าหน่อย
ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะที่ขี่สัตว์เถื่อนบินได้ทุกชนิดบนอากาศ ปีกหลากสีของพวกมันสะท้อนแสงพร่าพราย ดูสะดุดตาอย่างเหลือแสน
“ดูเหมือนว่าพวกเราจะเข้าใกล้เมืองแล้ว” ฉินมู่ระบายลมหายใจออกมาหลังจากมองเห็นผู้คนผ่านไปมาที่เพิ่มมากขึ้น
ทันใดนั้น เสียงครืนครันก็ดังมา และฉินมู่พลันเห็นภาพประหลาด ดรุณีจำนวนมากพุ่งออกมาจากช่องเขาและพลิกภูเขาเล็กๆ มากมายด้วยความรีบร้อนมายังถนนหลัก
สิ่งที่แบกดรุณีเหล่านั้นมาคือหีบใบใหญ่อันกว้างกว่าสิบคืบ มันก้าวอาดๆ และวิ่งได้รวดเร็ว
มีเด็กสาวอีกจำนวนหนึ่งพุ่งออกมาจากหมู่บ้านใกล้ๆ แต่ที่พวกนางขี่อยู่นั้นคือเรือไม้ มันก็มีขางอกออกมาและกำลังวิ่งอยู่บนพื้นดิน
ฉินมู่อึ้งกิมกี่ ราวกับว่าหีบและเรือได้สำเร็จเป็นปีศาจ สามารถวิ่งตะบึงได้เหมือนกิเลนมังกร นี่มันพิลึกเสียจริง
ในโลกไร้ขอบเขตใบนี้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่แปลกพิสดาร และเวทมนตร์กับทักษะเทวะของสถานที่อื่นก็สามารถนำไปให้สันตินิรันดร์ใช้สอยได้ หากว่าเวทมนตร์แบบนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ มันคงอัศจรรย์มิใช่หรือ
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และคิดในใจ แต่ทว่า มันคงจะสร้างความโกลาหลอยู่บ้าง ใช่ไหมล่ะ ข้าเชื่อว่า พวกที่มีพลังวัตรเข้มๆ ก็อาจจะขี่ภูเขาวิ่งไปมาเพื่อโอ้อวดก็เป็นได้
พวกสาวๆ สนอกสนใจกิเลนมังกรที่เขาขี่อยู่เป็นอย่างยิ่ง และหีบยักษ์อันมีขามากกว่าสิบสองก็วิ่งเข้ามาใกล้ มันใหญ่โตมากและกว้างยาวหลายวา ทั้งยังมีพรมผ้าไหมที่ปูลาดประดุจเมฆบนยอดหีบ เด็กสาวเจ็ดคนนั่งอยู่บนนั้นพลางเพ่งพิศมองดูกิเลนมังกรและฉินมู่
ดรุณีซึ่งนั่งข้างหน้าสุดน่าจะเป็นผู้นำของพวกนาง และก็เป็นนางที่ใช้พลังวัตรในการควบคุมหีบ ทำให้มันแบกพวกนางไปข้างหน้า
นางดูน่ารักเป็นอย่างยิ่งด้วยยิ้มละไมและดวงตากลมโตใต้พู่อันถักทอขึ้นมาด้วยจี้เงินรูปจันทร์ เสียงของนางมีสำเนียงพิเศษเฉพาะของแผ่นดินตะวันตก แต่ก่อนที่นางจะพูด นางก็หัวเราะคิกคักเสียก่อน “บับบาน้อย หมูของเจ้าวิ่งไวเหลือเกิน เจ้าไปได้มาจากที่ไหน”
ฉินมู่งงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตระหนักว่า บับบาน้อยนั่นน่าจะแปลว่าน้องชาย เขาแย้มยิ้มและกล่าว “นี่คือกิเลนมังกร เป็นลูกผสมระหว่างมังกรและกิเลน”
เสียงฉีเอ๋อโผล่ขึ้นจากขนของกิเลนมังกร และเผยใบหน้าเล็กจุ๋มจิ๋มของนางที่มองไปรอบๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ พวกสาวๆ ประหลาดใจและพบว่าเด็กหญิงผู้นี้หน้าตาน่ารักน่าชังเหลือเกิน อยากจะเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงนาง ฉินมู่จนปัญญาและได้แต่ให้กิเลนมังกรขยับไปใกล้ๆ พวกเขา เขาพาเสียงฉีเอ๋อขึ้นไป และส่งนางไปข้างบนหีบ
เขาเริ่มสนทนากับเหล่าดรุณีและพบว่าสาเหตุที่พวกนางประหลาดใจนั่นก็เพราะเขาพาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย ธรรมเนียมสังคมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากที่เขาคุ้นเคยมา หลังจากที่หญิงและชายผ่านการวิวาห์เยือนแล้ว หากว่ามีเด็กเกิดขึ้นมา ถ้าเป็นทารกชายก็จะถูกส่งไปบ้านผู้ชาย ส่วนทารกหญิงนั้นฝ่ายหญิงจะเป็นคนเก็บเอาไว้
ธรรมเนียมสังคมนี้ทำให้เกิดสถานการณ์ประหลาดในแผ่นดินตะวันตก ครอบครัวนั้นหากมิใช่หญิงล้วนก็จะเป็นชายล้วน และมีหมู่บ้านมากมายที่มีแต่ผู้ชาย ไม่ก็มีแต่ผู้หญิง
เมื่อพวกสาวๆ เห็นฉินมู่พาเสียงฉีเอ๋อมาด้วย พวกนางก็คิดว่านั่นคือบุตรีของเขา แต่ทว่าเมื่อมองดูฉินมู่ก็ไม่ได้อายุมากอะไร และดูเหมือนเด็กหนุ่มแรกรุ่นที่สว่างสดใสราวดวงตะวัน พวกนางก็เปลี่ยนความคิด เขาดูเยาว์เกินกว่าที่จะมีลูก ดังนั้นพวกนางจึงอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
“น้องสาวทั้งหลาย ข้าถามพวกเจ้าหน่อยได้ไหม” ฉินมู่งุนงงกับธรรมเนียมสังคมที่นี่และลองถามหยั่ง “ข้าได้พบกับเด็กสาวนางหนึ่ง และนางเชิญข้าให้ไปเยี่ยมเยือนบ้านของนาง แต่นางบอกข้าว่ามิให้เดินเข้าไปทางประตูใหญ่ แต่ให้ปีนเข้าไปทางหน้าต่างห้องนางแทน นี่มันเป็นมารยาทแบบไหนหรือ”
ดรุณีทั้งหมดหัวเราะคิกคัก และดวงตาของเด็กสาวที่เป็นหัวหน้าก็โค้งประจดุจพระจันทร์เสี้ยว “บางทีบับบาน้อยอาจจะไม่ได้ทึ่ม เมื่อเด็กสาวคนนั้นขอให้เจ้าปีนเข้าไปทางหน้าต่าง นี่หมายความนางอยากจะนัวเนียกับเจ้า เหมือนกับวิธีที่นกเป็ดน้ำเอาคอมาพันกัน ถูไถกันไปมา”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ ด้วยความงุนงง “อะไรคือนกเป็ดน้ำพันกัน”
เด็กสาวที่เป็นหัวหน้ากระโดดมาบนหลังกิเลนมังกรและแย้มยิ้ม “อย่าขยับ” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก็อิงเข้าไปแนบอกของเขาและหยิบมือของเขาขึ้นมาทาบที่หน้าอกของนาง นางเคลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้ และยื่นคอระหงของนางเข้าไปในอ้อมกอดของเขา นางถูไถใบหน้าของนางเข้ากับใบหน้าของเขา และใบหูนางก็แตะเข้ากับของเขา ให้ความรู้สึกนุ่มนิ่มและสัมผัสอันสนิทชิดเชื้อที่ยากจะบรรยาย ทั้งอ่อนโยนและมีเสน่ห์
ฉินมู่หน้าแดงเถือกเมื่อเขาถูกทิ้งไว้ให้ยืนเซ่อ จมูกเขาได้แต่กลิ่นกรุ่นของเด็กสาว
นางหัวเราะและกลับไปที่หีบของนาง เด็กสาวคนอื่นๆ มองไปที่ท่าทีอันหลงงมงายของเขา และทุกคนก็หัวเราะด้วยเสียงอันดังอย่างเบิกบาน
“พี่สาวใหญ่ หัวใจท่านหวั่นไหวหรือ ทำไมท่านไม่พาเขาไปวิวาห์เยือนเลยล่ะ” หนึ่งในพวกสาวๆ เย้าแหย่
นางเหลือบแลมองฉินมู่ และหัวใจนางก็หวั่นไหวบ้างเหมือนกัน นางกล่าวด้วยความลังเล “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะยินดีไหม…”
เด็กสาวคนอื่นๆ ผลักไสนางไปมา และนางก็นำถุงหอมออกมา โยนให้กับฉินมู่ด้วยเสียงหัวเราะระรื่น “บับบาน้อย เจ้าสามารถปีนข้ามหน้าต่างมาหาข้าได้ในคืนนี้ ข้าจะสอนเจ้าถึงวิธีที่นกเป็ดน้ำมันเล่นกัน”
สตรีในแผ่นดินตะวันตกใจกล้าและร้อนแรงยิ่งกว่าพวกสาวๆ ในเมืองหลวงสันตินิรันดร์ ฉินมู่รู้สึกว่าเขาไม่สามารถย่อยสิ่งที่เกิดขึ้นให้เข้าใจได้ และรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “พวกเจ้ารู้วิธีเดินทางไปตำหนักสวรรค์แท้ไหม”
เมื่อปรากฏการณ์ภูมิอากาศทั้งหลายได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วในปลายยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เรือตะวันและเรือจันทราที่ถูกหลอมตีขึ้นมาโดยเหล่าเทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกใช้เพื่อขับไล่ความมืด มันช่วยให้สิ่งต่างๆ สามารถเติบโตงอกงาม และผู้คนก็มีหนทางรอดชีวิต
แต่ทว่า เรือสองชนิดนี้ก็เป็นศาสตราวุธอันคมกล้าสำหรับการศึกด้วยเช่นกัน ผู้พิทักษ์ตะวันแห่งเรือตะวัน และผู้พิทักษ์จันทราแห่งเรือจันทรา สามารถขับเคลื่อนพลังงานในเรืออันยิ่งใหญ่มหึมาเพื่อให้พลังงานของพวกเขาไปถึงระดับขั้นเทพสวรรค์ พวกเขาก็จะได้รับมหิทธานุภาพอันสามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน
ฉินมู่เคยใช้เรือตะวันครั้งหนึ่ง และเคยยืมเรือจันทรา ดังนั้นเขารู้ถึงพลานุภาพอันความเลิศล้ำเหนือธรรมดาของเรือทั้งสองนี้
ด้วยเคล็ดลับควบคุมมังกรจากคัมภีร์เลี้ยงมังกรเพื่อหยิบยืมพลานุภาพของราชามังกรเทวะไร้เขาและฝูงมังกรไร้เขา เขาก็สามารถเปิดสะพานเทวะเพื่อให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขารุดหน้าไปถึงหมู่ปราสาทสวรรค์ แต่ทว่าเขาเข้าถึงเพียงประตูสวรรค์ทักษิณเท่านั้น และไม่มีหนทางเข้าไปในส่วนลึกของหมู่ปราสาทสวรรค์ ในทางกลับกัน หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันหรือเรือจันทราทำให้เขาสามารถเข้าไปถึงศาลาหยกอันตั้งอยู่ข้างๆ สระหยก!
กระนั้นเรือตะวันและเรือจันทราก็มีตัวปราบมัน มันนั่นก็คือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ
เรือตะวันให้ผู้พิทักษ์ตะวันยืมพลัง และเรือจันทราก็ให้ผู้พิทักษ์จันทรายืมพลัง พลานุภาพนั้นมาจากตัวร่างของเรือทั้งสอง ไม่ใช่ผู้ถือครองมัน เรือทั้งสองนี้ครอบครองพลังงานน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขต และด้วยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันหลอมสร้างขึ้นมาโดยทวยเทพให้เป็นแหล่งพลังงาน พวกมันก็สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้ วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมีแนวคิดว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ มันอาศัยสัมผัสรู้ต่อธรรมชาติของผู้ฝึกปรือเพื่อเสกสรรจิตวิญญาณขึ้นมา ปลุกชีวิตให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างในสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ และเรียกใช้มันมาต่อสู้
เทพเจ้าตนที่ฝึกวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติสามารถปลุกจิตวิญญาณขึ้นมาในเรือตะวันและเรือจันทรา เพื่อใช้ให้มันต่อสู้ให้เขา
ในกรณีนั้น จุดจบของผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรา รวมทั้งนักต้อนตะวันและนักต้อนจันทราทั้งหลาย ก็มีแต่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้แต่ผู้พิทักษ์เองก็คงยากจะหนีรอด!
“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มันจะต้องมีการต่อสู้อันแตกตื่นสะท้านขวัญที่นี่ เรือตะวันและเรือจันทราทั้งหลายได้เผชิญกับเทพเจ้าผู้ซึ่งฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อันลงเอยด้วยการที่พวกเขาถูกทำลายไปทีละลำสองลำ ขณะเดียวกัน นี่…” ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก ประกายตาเขาวูบไหวราวกับแสงเทียนอันกะพริบในสายลม “ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก จะต้องมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”
เขารู้สึกมาตลอดว่า ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตกคือแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับวัดใหญ่ฟ้าคำรามและสำนักเต๋า แต่แม้ว่าเจ้าตำหนักจะมีทักษะเทวะอันล้ำเลิศไม่ธรรมดา นางก็เป็นเพียงแค่ยอดฝีมือคนหนึ่งที่ติดอยู่ในขั้นสะพานเทวะ แดนศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่แตกต่างอะไรจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
แต่ทว่า เมื่อมองดูแล้ว ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก ดูท่าจะซุ่มซ่อนความลับและตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้!
ไม่เพียงเท่านั้น เพียงแค่นาม ‘ตำหนักสวรรค์แท้’ ก็ชวนให้ผู้คนต้องคิดใคร่ครวญแล้ว
ลัทธินักบุญสวรรค์ได้นามของมันมาก็เพราะว่าคนตัดไม้ที่ถ่ายทอดวิชานั้นได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ วัดใหญ่ฟ้าคำรามได้นามนั้นก็เพราะว่าความสูงของเขาพระสุเมรุ ยอดของมันนั้นอยู่ในชั้นเมฆสายฟ้า เมื่อสายฟ้าและเสียงพุทธดังสอดประสาน มันก็กึกก้องกัมปนาทขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน
สำนักเต๋าโด่งดังก็เพราะกระบี่เต๋าและภูเขาคุนหลุน ส่วนนครหยกน้อยนั้นเป็นเศษแตกออกมาจากอัครนครหยกแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง นามของแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เผยปูมหลังที่มาของพวกมันในทางต่างๆ
เช่นนั้นอะไรคือปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้
ทำไมเทพเจ้าแห่งตำหนักสวรรค์แท้จึงทำลายกองเรือตะวันและเรือจันทรา
ซากโบราณของราชวังเทพเจ้าในทะเลทราย และยักษ์ทรายพิสดารนั้นก็อาจจะเป็นฝีมือของเทพตนเดียวกัน ทะเลทรายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงประหลาดอันทำให้เกิดรอยประทับเพลิงขึ้นมาบนผู้คนที่ถูกละทิ้ง และพยายามที่จะแผดเผาพวกเขาให้ดับดิ้นไป นั่นก็เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์แท้ด้วยหรือไม่
ทำไมรอยประทับเพลิงจึงปรากฏบนผู้คนที่ถูกละทิ้งอันย่างเท้าเข้ามาในดินแดน ทำไมมีแต่ผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศเท่านั้นที่จะถูกไฟเผาจนตายไป ขณะที่คนอื่นๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อแตะต้องเข้ากับเปลวไฟ
มีความลับซุกซ่อนอยู่ในแผ่นดินตะวันตกมากมายแค่ไหนกันนะ
ทะเลทรายเพลิงโหมแผดไฟอันร้อนแรง ทำให้ฉินมู่แสบร้อนเป็นพิเศษ ทันใดนั้น ก็มีซากโบราณอีกซากปรากฏขึ้นข้างหน้าพวกเขา และไม่ทันที่กิเลนมังกรจะเข้าไปถึง พวกเขาก็เห็นหอบลมทรายหมุนรวบรวมอยู่ที่นั่น ยักษ์ทรายตนหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา และอีกตนหนึ่งก็กำลังก่อรูปข้างๆ ตัวแรก ทรายอันเชี่ยวกรากไหลวนเป็นเกลียวรอบๆ เท้าพวกมัน
กิเลนมังกรทำลังจะหาทางอ้อม แต่ฉินมู่กล่าว “ไม่ต้อง มุ่งหน้าต่อไป”
กิเลนมังกรจึงได้แต่ตะลุยเข้าไปยังยักษ์ทรายทั้งหลายที่เปี่ยมปริ่มไปด้วยจิตสังหาร รอยพยุหะหมุนเป็นเกลียววนในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขากวาดตาสำรวจซากโบราณนั้นจากที่ไกลๆ
ยักษ์ทรายพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของกระบี่เมื่อกระบี่ไร้กังวลพุ่งหวีดเลียดพื้นทราย มันสร้างคลื่นลมอันซัดหอบทรายทั้งหลายกระเด็นขึ้นไป!
ยักษ์ทรายพวกนั้นเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งร้อยห้าสิบวาข้างหน้ากิเลนมังกรก่อนที่จะพลันล้มครืน คลื่นทรายไหลเทไปรอบทิศทาง และกิเลนมังกรก็พลันร้องคำรามด้วยเสียงอันดัง เป่าเนินทรายพวกนั้นให้กระจุยไป
ฉินมู่เรียกกระบี่ไร้กังวลกลับมา ขณะที่กิเลนมังกรแบกเขาเข้าไปในซากโบราณ เขาเห็นเทวะรูปอันถูกเฉือนผ่าออกเป็นแปดเก้าเสี่ยง นอนระเนระนาดอยู่ในวิหาร
กิเลนมังกรเหาะจากไป
“พวกเราน่าจะเข้าแผ่นดินตะวันตกได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้”
บนเรือตะวันอันหักพัง ฉินมู่จุดกองไฟ และให้กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อพักผ่อน เขายังทนได้อยู่ แต่กิเลนมังกรจำเป็นต้องพักหลังจากวิ่งมานานขนาดนี้ เสียงฉีเอ๋อในวัยเท่านี้ก็ยากจะตราตรำเดินทางไกลเหมือนกัน
ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก และสายตาของเขาทะลุผ่านไฟประหลาดแห่งทะเลทราย ในเปลวไฟเหล่านั้น ปรากฏร่างเงาอันแปลกประหลาดอยู่ในทิศไกลๆ
ฉินมู่แย้มยิ้มและโบกมือทักทาย อันทำให้เงาร่างนั้นตื่นตระหนก และมันก็รีบเผ่นหนีไปทันที
“นับวันผู้สูงศักดิ์ก็ยิ่งปอดแหกมากขึ้นทุกที” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ
ผานกงสั่วออกไปจากเรือตะวันพังๆ สีหน้าเขาเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ เขานั้นได้เชื่อมต่อแขนที่แตกหักเข้าด้วยกันใหม่แล้ว และอาการบาดเจ็บที่เขาประสบก็หายไปค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการย่องเข้าใกล้ฉินมู่
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดลอบโจมตีหรือแม้กระทั่งประจันหน้ากับฉินมู่ เพียงแต่ว่าเขาตระหนักดีว่าโอกาสชนะของเขานั้นไม่สูงนัก เขาจึงได้แต่ขับไล่ความคิดพวกนี้
เขากำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นมวลทรายกำลังไหลอย่างเงียบเชียบในบริเวณรอบๆ และหัวใจเขาก็เต้นตึ้กตั้กขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบมองไปยังเปลวไฟ
ทะเลทรายยามค่ำคืนนี้มิได้มืดสนิท เปลวไฟได้ส่องสว่างให้แก่มัน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ในทิศไกลๆ ผานกงสั่วมองเห็นรูปเงาคนประหลาดอันราวกับหุ่นไม้เดินเข้ามาใกล้ ข้อต่อของมันบิดไปมาเมื่อมันเดินด้วยท่วงท่าอันพิลึกกึกกือ
มวลทรายอันไหลรินในทะเลทรายเคลื่อนที่ไปพร้อมกับย่างเท้าของหุ่นพวกนี้ และที่น่าแปลกก็คือทรายกลับไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย
ผานกงสั่วหัวใจแทบโลดเต้นออกมาจากปาก เมื่อเขาเห็นเงาร่างของหุ่นไม้โผล่ขึ้นมาอีก ตัวที่สาม ตัวที่สี่….
เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ เขาก็พลันตระหนักว่าเงาร่างเหล่านี้คือเทวรูปไม้ แต่ดวงตาของพวกมันเป็นของจริงไม่ใช่ไม้ ในตอนนั้น พวกมันก็เข้าไปใกล้กับเรือตะวันอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่ผานกงสั่วใจเต้นโครมครามอยู่นั่นเอง เทวรูปไม้ตนหนึ่งก็หันมามองเขา เผยรอยยิ้มพิลึกพิลั่น มันยื่นนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากและทำท่า ชู่ว
ผานกงสั่วกะพริบตาปริบ แต่ไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ามองเทวรูปเหล่านี้เคลื่อนตรงไปยังเรือตะวัน
ทรายไหลเชี่ยวกรากขึ้นมา แบกรูปสลักไม้ขึ้นไปบนอากาศ มวลทรายข้างใต้มันใหญ่มหึมาขึ้นเรื่อยๆ
ผานกงสั่วกระสับกระส่าย มือของเขากำเป็นหมัดด้วยความตื่นเต้น รอบบริเวณเรือตะวันถูกยักษ์ทรายล้อมเอาไว้อย่างไร้ช่องโหว่ พวกมันเงื้อหมัดใหญ่มหึมาหมายที่จะฟาดทุบลงบนเรือตะวันอันฉินมู่กำลังพักผ่อน!
ไอ้เด็กแซ่ฉินนั่นตายแน่! ผานกงสั่วตื่นเต้นสุดๆ จนแทบจะโห่ร้องดีใจ
ในพริบตานั้นเอง กระบี่เงินยวงเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แทงทะลุศีรษะของเทวรูปไม้ตนหนึ่ง มันระเบิดออก และตามด้วยตนที่สอง สาม และสี่
หลังจากการระเบิด แขนของยักษ์ทรายทั้งหลายก็แข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะพังทลายลงไปราวกับเม็ดทรายอันไหลริน ถมท่วมไปครึ่งเรือตะวัน
“คิดสู้กับข้าหรือ” เสียงเย้ยหยันดังมาจากเรือ
ผานกงสั่วไม่รีรออีกต่อไป และหันกายเพื่อหลบหนี หาทางวางแผนร้ายใส่ไอ้เด็กเวรนี่ไม่ได้เลย! แต่ทว่า ทำไมผู้คนที่ถูกละทิ้งอย่างเขาถึงมาที่แผ่นดินตะวันตก หรือมารนหาที่ตาย เจ้าของเทวรูปไม้พวกนี้ ข้ารู้จักนาง พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะจดจำนัก ฮี่ๆ ไอ้เด็กแซ่ฉิน แม้ว่าข้าคิดจะฆ่าเจ้า แต่ไฉนข้าจะต้องลงมือเองด้วยล่ะ
เขาแย้มยิ้ม อีกอย่าง ต่อให้ข้าไม่ยืมมือของนาง ข้าก็ยังมีสหายเก่าหลายคนในแผ่นดินตะวันตก สังหารเจ้านั้นง่ายยังกับปอกกล้วยเข้าปาก! ไอ้เด็กบัดซบ เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับข้างั้นหรือ หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว ข้าจะเอาศพเจ้ามาหมอบคลานตรงหน้าข้า!
ในบ่ายวันถัดไป กิเลนมังกรก็เดินออกไปจากทะเลทรายในที่สุด และรอยประทับเพลิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากร่างกายของฉินมู่
พวกเขามาถึงเมืองชายแดนของแผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งมีชายและหญิงมากมายสวมใส่ผ้าคาดหัวปักลาย เสื้อผ้าของพวกเขากุก่องตระการ เต็มไปด้วยเครื่องเงินเครื่องทอง พวกที่มีศักดิ์ฐานะสูงก็จะสวมใส่ศิราภรณ์เงินอันสลักเสลาเป็นรูปหงส์เพลิงและหงส์แดง เสื้อผ้าบนร่างกายพวกเขาก็มักจะเป็นสีแดงหรือสีดำ อันดูเจิดจ้าสะดุดตา
ที่นั่นมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยจำนวนมาก ขณะที่พวกผู้ชายดูสามัญธรรมดา
เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในเมืองเล็กๆ นี้ เสียงฉีเอ๋อก็ร่ำร้องอยากกินปลาเปรี้ยวหวาน ต้มเผ็ดกระดูกหมู บะหมี่แป้งข้าวเจ้า และดื่มชาขี้แมลง นางได้จากบ้านเกิดไปนานกว่าครึ่งปี และไม่อาจระงับความตื่นเต้นเมื่อคิดถึงการได้กินของอร่อยในบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง นางอยากกินทุกสิ่งทุกอย่างในรวดเดียว
แผ่นดินตะวันตกใช้ทองคำและแร่เงินในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งฉินมู่ก็มีติดตัวอยู่ เขาจึงให้เด็กหญิงได้กินจนเต็มคราบ
ฉินมู่เองก็ลองชิมดูบ้าง อาหารของแผ่นดินตะวันตกนั้นค่อนข้างเผ็ดและเปรี้ยว มีรสชาติอันแตกต่างออกไป แต่ทว่าเขาไม่กล้าลิ้มลองชาขี้แมลง มันทำมาจากขี้ของแมลงที่กินใบชา ดังนั้นต่อให้ชานี้จะหอมเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกขนลุกกับมัน
ท่านปู่นักปรุงยาชอบดื่มชา เช่นนั้นข้าควรเอาไปฝากเขาให้ได้ลองสักหน่อย ฉินมู่คิดในใจ
จากนั้นเขาก็สังเกตรอบๆ ตัว สถาปัตยกรรมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากสันตินิรันดร์พอสมควร ขนบธรรมเนียมพื้นเมืองก็แตกต่างไปทั้งหมด แต่ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือบ้านเรือน พวกมันก่อสร้างขึ้นมาจากไม้ และก่อขึ้นเป็นรูปวงกลม หลายต่อหลายอาคารมีแผ่นจารึกอันห้อยเทวรูปเอาไว้
หลังจากที่สอบถามเกี่ยวกับมัน ฉินมู่ก็เรียนรู้ว่าเทวรูปเหล่านั้นใช้ในการป้องกันมิให้ผู้คนใช้พลังอำนาจในการปลุกจิตวิญญาณของอาคารขึ้นมา
เพราะว่าเวทมนตร์ของแผ่นดินตะวันตกดำเนินไปในแนวทางที่ว่าทุกสิ่งมีดวงจิต ทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะใดร่ายเวทมนตร์ และจู่บ้านเรือนก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไป ครัวเรือนนั้นจะไม่กลายเป็นนอนหนาวและหิวโหยหรอกหรือ
ก็ต่อเมื่อมีเทวรูปไว้บูชาในบ้าน มันก็จะไม่ถูกปลุกวิญญาณขึ้นมาจากฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะ
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ กับคำอธิบาย นึกภาพของบ้านเรือนมากมายลุกขึ้นไปต่อสู้ในสงครามนี่ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ
แต่ทว่า เทวรูปพวกนี้ป้องกันมิให้บ้านเรือนถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแย่งชิงไปได้จริงๆ น่ะหรือ
“มีวิหารจำนวนมากมายบนภูเขา ใช้เพื่อสะกดดวงวิญญาณของภูเขาเอาไว้ และก็มีวิหารเทพในทุกๆ แม่น้ำเพื่อป้องกันมิให้ผู้ฝึกวิชาเทวะชิงมันไป เพราะไม่ว่าอย่างไร แม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกก็มีเจ้าของทั้งนั้น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งอธิบาย
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อมองไปยังเทือกเขาที่เหยียดยาวไปทิศไกลๆ เขาก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเทือกเขาแห่งแผ่นดินตะวันตกถึงยังไม่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง แผ่นดินนี้ยังคงมีเนินเขาขจีและน้ำใสกระจ่างอันเป็นทิวทัศน์ชวนรื่นรมย์
“ทำไมแม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกของที่นี่ถึงมีเจ้าของกันหมดล่ะ” ฉินมู่ถาม “พวกเขาคือใครกัน”
“พวกเขา แน่ล่ะ ก็คือนายท่านทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และยังมีบางส่วนที่เป็นของสถานที่อื่นหรือสำนักอื่นๆ” ผู้เฒ่ากล่าว “ไม่เพียงแต่ภูเขาและแม่น้ำมีเจ้าของแล้ว แม้แต่ดอกไม้ ใบหญ้า และต้นไม้ทั้งหลายก็มีเจ้าของ ไปแตะต้องพวกมันโดยพละการไม่ได้หรอก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าขายตัวเองไปเป็นทาสก็ยังไม่พอชดใช้!”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น แผ่นดินก็พลันสะท้านหวั่นไหว และผู้คนรอบๆ กลายเป็นว้าวุ่น พวกเขารีบหลบไปข้างทาง และเมื่อฉินมู่มองตรงไปยังที่มาของเสียง เขาก็เห็นต้นไม้เดินตรงมา บนนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่ถือม้วนภาพวาด นางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มีคนลักลอบหลบหนีเข้ามาจากแดนโบราณวินาศสู่แผ่นดินตะวันตกของพวกเราในวันนี้ ตำหนักสวรรค์แท้ได้บัญชาให้จับกุมอาชญากรนี้! พวกเจ้า เอาภาพนี้ไปแขวนไว้!”
เมื่อดวงตะวันตกลงไปทางทิศตะวันตก ทะเลทรายเพลิงโหมก็กลายเป็นสีแดงเพลิง ฉินมู่ขี่บนศีรษะของกิเลนมังกร กำลังแปรเปลี่ยนปราณชีวิตของเขาให้เป็นปราณชีวิตหงส์แดงเพื่อขัดเกลากระบี่บินแต่ละเล่มของเขา เขาย้ำรอยประทับอักษรรูนบนนั้นให้ลึกยิ่งขึ้น
เขาก้มหัวลงดูและพบว่าเสียงฉีเอ๋อได้ผล็อยหลับไปแล้วที่หูของกิเลนมังกร ที่นั่นไม่มีลมพัด และกิเลนมังกรก็ใช้หูของเขาเพื่อปกป้องเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความใส่ใจ
มังกรอ้วนก็ไม่เลวเลย ฉินมู่ชมเขาในใจ เจ้าอ้วนนี้ค่อนข้างละเอียดถี่ถ้วน รสชาติของยาวิญญาณเพลิงฉานและยาเทพชีวาธาตุไฟนั้นไม่ค่อยอร่อยจริงๆ นั่นแหละ ข้าควรจะพัฒนารสชาติให้เขาเมื่อเจอสถานที่ที่หยุดพักได้
“จ้าวลัทธิ มีโอเอซิสข้างหน้าแน่ะ!” กิเลนมังกรพลันกล่าวขึ้นมา
ฉินมู่มองไปเบื้องหน้าของพวกเขา และเขาก็มองเห็นโอเอซิสจริงๆ “ข้าสงสัยว่าจะมีแหล่งน้ำข้างหน้าหรือไม่ ข้าขาดน้ำได้อีกวันสองวัน แต่ข้ากังวลถึงเสียงฉีเอ๋อ”
ทะเลทรายเพลิงโหมนั้นร้อนระอุอย่างสุดๆ ในอากาศไม่มีไอน้ำ ฉินมู่ไม่อาจเรียกน้ำออกมาได้แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนไปใช้ปราณชีวิตเต่าดำ เขาไม่เคยต้องกังวลกับเรื่องน้ำอุปโภคบริโภคมาก่อน แต่บัดนี้เมื่อมีเสียงฉีเอ๋ออยู่ด้วย เขาก็ไม่อาจเมินเฉยเรื่องพวกนี้ได้อีกต่อไป
สักพักหนึ่ง กิเลนมังกรก็มาถึงโอเอซิส และพวกเขาก็เห็นกระโจมหนังแพะสีขาวหิมะสามสี่หลังตั้งอยู่ข้างๆ ทะเลสาบ ผู้คนสวมใส่เสื้อผ้าของแผ่นดินตะวันตกกำลังจุดไฟเพื่อประกอบอาหาร กิเลนมังกรมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวังแล้วกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าผานกงสั่วจะหลบหนีมาถึงที่นี่หรือไม่ จ้าวลัทธิโปรดระวัง เขานั้นบาดเจ็บสาหัสและคงจะหนีไปได้ไม่ไกลนัก”
ฉินมู่กระโดดลงมาและเปิดใบหูของกิเลนมังกรขึ้น เพื่ออุ้มเสียงฉีเอ๋อที่กำลังหลับใหลออกมาด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องห่วง ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่ ต่อให้เขาอยู่ใกล้ๆ เขาก็ไม่กล้าโผล่หัวออกมาหรอก หากว่าเขาเสนอหน้าออกมา ก็จะง่ายดีที่ข้าจะได้กำจัดเขาเสีย”
ชาวเผ่าของแผ่นดินตะวันตกสวมใส่ผ้าคาดหัวปักลาย เมื่อพวกเขาเห็นผู้มาใหม่ สีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง แต่ก็ไม่มีใครกล้าปริปากส่งเสียง
ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าในค่ายแห่งนี้มีบุรุษมากกว่าสตรีหลายเท่า และจากการตรากตรำงานหนัก ใบหน้าของพวกเขาก็เป็นสีแดงจากแดด และยังมีเลียงผาเหลืองสองขาในโอเอซิสกับสินค้าจำนวนหนึ่ง คณะนี้น่าจะเป็นกลุ่มพ่อค้าจร
แม้ว่าความเร็วของเลียงผาสองขาจะรวดเร็วว่องไว และความสามารถในการแบกน้ำหนักของมันจะสูงเยี่ยม แต่การขี่มันนั้นจะกระโดกกระเดกยากต่อการนั่ง ดังนั้นมีแต่พ่อค้าเท่านั้นที่จะใช้สัตว์พิสดารชนิดนี้
แม้ว่าการขี่เลียงผาสองขาจะทำให้ผู้นั่งสะเทือนทรมาน แต่พวกมันสามารถขนส่งสินค้าได้มากกว่า
ฉินมู่เดินไปยังพ่อค้าสูงวัยผู้หนึ่งและกล่าว “ผู้เฒ่า น้องสาวของข้ากำลังหลับ ข้าขอยืมกระโจมได้หรือไม่”
พ่อค้าเฒ่าผงกหัวทันทีและกล่าว “ตามสบาย”
ฉินมู่กล่าวขอบคุณและส่งเด็กหญิงเข้าไปในกระโจม ค่ำคืนในทะเลทรายหนาวยะเยือก และนี่ก็โชคดีมากที่พวกเขาได้กระโจมหนังแพะมาช่วยรักษาความอบอุ่นให้นาง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีผ้าห่มขนแพะหนาอุ่นอยู่ในข้างใน ฉินมู่ยัดเสียงฉีเอ๋อผู้ซึ่งยังหลับใหลอยู่เข้าไปข้างใน มือเล็กๆ ของนางจับที่ผ่าห่ม และนางขยับปากสองสามที ดูท่าคงจะกำลังหิว แต่นางก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา
ฉินมู่เดินออกไปจากกระโจมและพบว่าดวงอาทิตย์ตกลงไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงกองไฟแตกเปรี๊ยะปร๊ะใกล้ๆ เขาเอ่ยถาม “ผู้เฒ่า พวกท่านคือพ่อค้าจากแผ่นดินตะวันตกหรือ”
ทุกคนมองไปยังใบหน้าของฉินมู่และไม่กล้าพูดจา มีก็แต่พ่อค้าเฒ่าที่ดูแลขบวนกล้าที่จะเปิดปาก “พวกเรามาจากแผ่นดินตะวันตกและกำลังจะไปแดนโบราณวินาศเพื่อค้าขาย ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ท่านนี้มาจากแดนโบราณวินาศหรือ”
ฉินมู่อึ้งไปในทีแรก จากนั้นก็หัวเราะพรืดออกมา แม้ว่าเขาจะโตมาค่อนข้างสูง แต่ก็ยังไม่เฉียดใกล้กับการที่ผู้คนจะเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ความเกรงกลัวของพ่อค้าพวกนี้น่าจะมาจากรอยประทับเพลิงบนใบหน้าของเขา
จากรอยประทับ พวกเขาน่าจะอนุมานได้ว่าฉินมู่มาจากแดนโบราณวินาศ
“ข้ามาจากแดนโบราณวินาศจริงๆ นั่นแหละ และกะจะไปยังแผ่นดินตะวันตก” ฉินมู่นำเนื้อวัวสดและผลไม้ออกจากถุงเต๋าตี้ของเขา และมอบให้แก่อีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่า ขอบคุณท่านที่อนุญาตให้น้องสาวของข้ามีที่พักผ่อน หากผู้เฒ่าไม่รังเกียจ ก็เรียกข้าว่าเสี่ยวฉินเถอะ”
ผู้เฒ่าไม่อาจปฏิเสธได้ จึงได้แต่รับคำ “ข้าไม่กล้ารับคำเรียกหาว่าผู้เฒ่า ศักดิ์ฐานะของพวกเราบุรุษในแผ่นดินตะวันตกนั้นค่อนข้างต่ำชั้นกว่า พี่ฉิน ท่านนั้นเป็นบุคคลจากแดนโบราณวินาศ ดังนั้นการไปแผ่นดินตะวันตกไม่ค่อยดีกับท่านนัก ทะเลทรายเพลิงโหมนี้ทอดยาวไปไกลหลายหมื่นลี้ และมีเพลิงไฟโหมไหม้ตลอดระยะทาง ยิ่งไปกว่านั้น ไฟพวกนี้ยังซุกซ่อนอันตรายมากมายต่อผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ ดังนั้นถ้าท่านกลับไปจะดีที่สุด”
ฉินมู่ส่ายหัว “ข้าได้สัญญาไว้ว่าจะไปยังแผ่นดินตะวันตก แล้วข้าจะผิดสัญญาได้อย่างไร ผู้หญิงเป็นผู้ที่มีอำนาจในแผ่นดินตะวันตกหรือ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็มีแม่ทัพและขุนนางสตรี สมัยก่อนนั้น ราชครูได้ผลักดันความเท่าเทียมทางเพศระหว่างชายและหญิง เขาเจอการต่อต้านไม่ใช่น้อย ดังนั้นข้าจึงไม่คาดคิดเลยว่าพวกเจ้าจะยิ่งเปิดกว้างมากกว่าสันตินิรันดร์เสียอีก”
พ่อค้าเฒ่าสีหน้าแปรเปลี่ยน และเขากล่าวทันที “ชู่วว! ท่านพูดเรื่องความเท่าเทียมระหว่างชายหญิงไม่ได้นะ มิเช่นนั้นจะถูกประหาร! ชายกับหญิงจะเท่าเทียมกันได้อย่างไร ผู้หญิงสามารถให้กำเนิด ดังนั้นผู้ชายย่อมเป็นชนชั้นที่ต่ำกว่า!”
ฉินมู่ตกตะลึง
พ่อค้าเฒ่าเหลือบมองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่ว “เมื่อท่านไปถึงแผ่นดินตะวันตก อย่าพูดถึงคำพูดเหลวไหลแบบนี้ แน่ล่ะ แต่นั่นท่านจะต้องรอดพ้นจากการเดินทางไปได้เสียก่อน…”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้
“เมื่อท่านไปถึงแผ่นดินตะวันตก อย่าพูดว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ” พ่อค้าเฒ่ากล่าวเสริมอย่างเคร่งขรึม “หากว่าท่านกล่าวว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ ไม่นานก็จะถูกกำจัด”
ฉินมู่ขมวดคิ้วและถาม “ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น”
พ่อค้าเฒ่าอิดออดที่จะลงลึกในรายละเอียด และฉินมู่ก็ไม่บีบบังคับเขา เขายังคงขับเคลื่อนปราณชีวิตเพื่อขัดเกลากระบี่บินของตนอย่างต่อเรื่อง เมื่อพลังวัตรของเขาเหือดหายไปครึ่หงนึ่ง เขาก็จะกลืนกินยาวิญญาณสองสามเม็ด กระบี่บินพวกนี้กลายเป็นเล็กลงและเล็กลงจากการขัดเกลาของเขา
“ข้ายังอ่อนหัดอยู่เมื่อเทียบกับท่านปู่ใบ้ เขาถึงกับขัดเกลากระบี่จนกลายเป็นน้ำไหลได้”
ฉินมู่คว้าจับกระบี่บินเล่มหนึ่งมา และถูกมันไปมาในมือ มันกลายเป็นไจกระบี่ลูกเล็กๆ แต่ก็ยังมีติ่งปูดอยู่บ้าง เขาขับเคลื่อนกระบี่ไร้กังวล และกระบี่ทั้งแปดพันเล่นก็เข้ามาชนปะทะกัน แปรเปลี่ยนเป็นไจกระบี่ลูกหนึ่ง แม้ว่ามันจะเล็กลงกว่าเดิมมาก แต่ก็ยังมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึงสองคืบ
ต่อเมื่อเขาขัดเกลาไจกระบี่จนเหลือขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้นแหละ จึงจะนับได้ว่าวิชาขัดเกลาของเขารุดหน้า ที่จุดนั้น เขาก็จะสามารถขัดเกลากระบี่ให้กลายเป็นน้ำไหลได้
ฉินมู่กระจายไจกระบี่ออก และคว้าจับกระบี่ไร้กังวล กระบี่เกือบแปดพันเล่มพุ่งหวือๆ เข้ามาตามๆ กัน ผสานเข้าไปในกระบี่แม่
กระบี่ไร้กังวลกลายเป็นหนักอึ้งมากขึ้นทุกทีๆ และเมื่อกระบี่เล่มสุดหลายผสานเข้าไปในนั้น แขนของฉินมู่ก็สั่นกึกๆ กระบี่เล่มนี้หนักอึ้งจนเกินไป แต่อย่างน้อยเขาก็ยกมันได้
เขาลองเหวี่ยงมันดูและแม้ว่ามันจะเคลื่อนไหวไปอย่างเชื่องช้า แต่เสียงตูมๆ จากการระเบิดและคลื่นสั่นสะเทือนก็ดังมาจากฟากฟ้า มันเหมือนกับมีขุนเขาใหม่มหึมาร่วงลงยังพื้นพิภพ!
เสียงระเบิดพวกนั้นมาจากความหนักของกระบี่ก็ไปกดอัดห้วงมิติ!
ฉินมู่เหวี่ยงกระบี่ไร้กังวลสองที และแขนของเขาก็ปวดชาไปหมด เขารีบสลายกระบี่ลูก และไม่ทรมานตัวเองด้วยมันอีกต่อไป ภาษามังกรที่เขียนไว้บนห่วงหยกจักรพรรดิก็เป็นของดีจริงๆ วิชาเก้ามังกรราชันย์บนนั้นได้พัฒนาร่างเนื้อของข้าด้วยความเร็วอย่างยิ่งยวด! แต่ก่อนนั้นข้าคงไม่มีหวังที่จะยกกระบี่ขึ้นมาได้! น่าเสียดายที่ข้ายังแกะความหลายส่วนในภาษามังกรบนนั้นไม่ออก
ในสองสามวันล่าสุดนี้ เขาพยายามหลอมรวมวิชาเก่ามังกรราชันย์เข้ากับวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ และกายเนื้อของเขาก็พัฒนาไปอย่างรวดเร็วราวเทพติดปีก ในอดีตนั้น เขาเพียงแค่ฝึกปรือวิชาบ่มเพาะร่างกายในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต แต่พลังดิบๆ ของร่างเนื้อเขาเพียงอย่างเดียวก็แข็งแกร่งกว่าทักษะเทวะของผู้ฝึกทักษะเทวะหมู่มากแล้ว
หากว่าเขาขับเคลื่อนวิชาบู๊อย่างเช่นฟ้าคำรามแปดจู่โจมและมีดเชือดหมู พลานุภาพของมันก็จะทวีคูณไปหลายเท่า!
พละกำลังของกายเนื้อมีผลกระทบเป็นอย่างสูงต่อวิชาบู๊!
เหล่าพ่อค้าแห่งแผ่นดินตะวันตกเข้าไปในกระโจมของพวกตนเองเพื่อพักผ่อนนอนหลับ ส่วนฉินมู่นั้นนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ กิเลนมังกรได้หดย่อร่างกายตนและถามฉินมู่ขอคัมภีร์เลี้ยงมังกร เขานอนหมอบข้างๆ และใช้เปลวไฟของทะเลทรายเพื่ออ่านมัน
มังกรอ้วน เจ้านี่เริ่มขยันพากเพียรเหมือนหลิงเอ๋อ! ฉินมู่ปลื้มใจ
กิเลนมังกรเลียอุ้งเท้าของตน และเปิดพลิกคัมภีร์เลี้ยงมังกรเพื่ออ่านเนื้อหาข้างในอย่างใส่ใจ เขาคิดกับตนเอง เทพครองแดนเลี้ยงมังกรเขียนคัมภีร์เลี้ยงมังกรขึ้นมา เช่นนั้นข้าก็จะเขียนคัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้าบ้าง…
ไม่นานนัก ฉินมู่ก็เอนตัวบนหลังกิเลนมังกรและหลับปุ๋ยไป กิเลนมังกรเองก็ฟุบหัวลงงีบบ้าง แม้ว่าทะเลทรายจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิงยามค่ำคืน แต่อุณหภูมินั้นต่ำเป็นอย่างยิ่ง พื้นผิวทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ร่างกายของกิเลนมังกรนั้นอุ่นสุดๆ ที่รูจมูกของเขาจะมีเปลวไฟพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ
ใกล้เที่ยงคืน ท่ามกลางเปลวเพลิงนอกโอเอซิส ผานกงสั่วมุดขึ้นมาจากใต้ดิน เขามองไปยังฉินมู่ที่กำลังหลับอยู่และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะลอบเข้าไปใกล้และสังหารเจ้าหมอนั่นเสียเลยตอนนี้ดีไหม
ฉินมู่หายใจอย่างสงบนิ่ง ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นรอบตัว
ผานกงสั่วลังเลอยู่เป็นหนสุดท้าย ก่อนที่จะตัดสินใจลงมือพิฆาต แต่ทันใดเขาก็เห็นปราณมังกรลอยล่องออกมาจากถุงเต๋าตี้เมื่อฉินมู่หายใจ มันเหมือนกับมังกรตัวเล็กละเอียดที่เลื้อยไปมารอบๆ เขา
ผานกงสั่วเห็นมือของฉินมู่อยู่ในถุงเต๋าตี้ และหัวใจเขาก็สั่นสะท้าน เขาเปลี่ยนใจทันทีและหันกายจมหายลงไปใต้ดิน
“เขารู้หรือ”
ฉินมู่ลืมตาขึ้นข้างหนึ่ง และมองไปรอบๆ ก่อนจะปิดตาลงตามเดิม เขานำมือข้างที่เขาใส่ลงไปในถุงเต๋าตี้ออกมา และเริ่มเหนี่ยวนำปราณมังกรในรังมังกรแท้ต่อพลางหายใจกรน คราวนี้เขาหลับผล็อยลงไปจริงๆ
ริ้วสายปราณมังกรถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายของเขา พัฒนาปราณชีวิตและเพิ่มพูนวรยุทธของเขา
ฉินมู่ได้อาศัยรังมังกรแท้และห่วงหยกจักรพรรดิเพื่อฝึกวรยุทธมาในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ เพราะเช่นนี้แหละ พลังวัตรของเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นได้เร็วอย่างสุดกู่ แม้แต่ผานกงสั่วที่กลับชาติมาเกิดกว่าสิบครั้งก็ไม่สามารถก้าวล้ำหน้าเขาไปได้
แน่ล่ะว่าปัจจัยสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นการฝึกประสานคู่จิตวิญญาณดั้งเดิมกับหลิงอวี้จิวและซีอวิ๋นเซี่ยงอยู่บ่อยครั้ง มันได้ให้มรรคผลแก่เขาเป็นอย่างมาก และทำให้พลังวัตรของเขาไม่ด้อยไปกว่าผานกงสั่วผู้ซึ่งเข้าสู่ขั้นเจ็ดดาว
เมื่ออรุณมาถึง เสียงฉีเอ๋อตื่นขึ้นมา และร้องครวญว่านางหิวโหย ฉินมู่ใช้เนื้อสันในสับและผักเพื่อต้มโจ๊กให้นางกิน เขายังทำขนมอีกสองสามอย่าง ก่อนที่จะหลอมปรุงยาวิญญาณที่ปรับปรุงพัฒนาแล้วให้แก่กิเลนมังกร
คัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน! กิเลนมังกรเต็มไปด้วยความมั่นใจ จ้าวลัทธิคิดว่าเขาสำเร็จการฝึกปรือคัมภีร์เลี้ยงมังกร แต่เขาไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าเขาอยู่ในกำมือคัมภีร์เลี้ยงมนุษย์ของข้า!
เมื่อกองคาราวานพร้อมจะออกเดินทาง พ่อค้าเฒ่าก็มากล่าวลาฉินมู่ และบอกเตือนเขาอีกครั้ง “พี่ฉินจะต้องไม่บอกใครว่าท่านมาจากแดนโบราณวินาศ มิเช่นนั้นท่านจะเจอปัญหาใหญ่!”
ฉินมู่ขอบคุณเขาอีกครั้งและขึ้นไปบนหน้าผากกิเลนมังกรเพื่อเร่งเดินทางไปยังทิศตะวันตก ข้างหลังเขาคือเสียงกระดิ่งที่แขวนห้อยบนคอเลียงผาเมื่อพวกมันแบกสินค้าตรงไปยังแดนโบราณวินาศในทิศตะวันออก
ความเร็วของกิเลนมังกรไม่ใช่น้อยๆ แต่พวกเขาก็ยังคงไม่สามารถไปถึงแผ่นดินตะวันตก แม้ว่าจะวิ่งตะบึงไปตลอดทั้งวันจนถึงยามเย็น
เมื่อพวกเขาผ่านภูเขาใหญ่มหึมา ฉินมู่เหลียวมองดูมันหลายหน แต่กิเลนมังกรวิ่งผ่านมันไป ในวินาทีถัดมาฉินมู่กล่าว “มังกรอ้วน กลับไป!”
กิเลนมังกรงงงัน แต่ก็รีบทำตามที่เขาบอก
ฉินมู่เพ่งพิศดูภูเขานั้นและเห็นว่ามันยิ่งใหญ่อลังการอย่างเหลือแสน ไม่มีเปลวไฟอยู่บนนั้น ดังนั้นฉินมู่จึงรีบปีนไต่ไปบนยอดของมัน มันกว้างใหญ่ไพศาลและเกลื่อนไปด้วยรั้วหักกำแพงพัง ฉินมู่จิตนาการภาพอันโอฬารตระการตาที่นี่ได้เมื่อสมัยที่ทุกๆ อย่างยังคงตั้งตระหง่าน
มีศพแห้งจำนวนหนึ่งถูกกลบฝังในทราย และฉินมู่ก็เข้าไปสำรวจมัน ปรากฏว่าพวกมันเป็นยักษ์ที่มีร่างสูงใหญ่บึกบึน
เขามายังเสาและแตะมันดู ข้างๆ เสานั้นมีโซ่หนาเส้นใหญ่อยู่
“จ้าวลัทธิ ภูเขานี้มีอะไรหรือ” กิเลนมังกรเหาะขึ้นมาด้วยเมฆอัคคี
ฉินมู่ยกนิ้วขึ้นและชี้ไปยังทะเลทรายอันห่างไกลออกไป “ดูตรงนั้น”
กิเลนมังกรมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ และเห็นลูกกลมสีดำสนิทอันปล่อยให้ลมและทรายซัดเสียดสี
“มันคือเรือตะวัน เรือตะวันที่หมดลมหายใจ” ฉินมู่ลงไปจากเรือ สีหน้าไร้อารมณ์ “ไปกันเถอะ”
กิเลนมังกรมองเห็นสีหน้าของเขาและไม่กล้าพูดอะไรมากไปกว่านี้ ในทางกลับกัน เขาแบกฉินมู่ต่อไปทางทิศตะวันตก ไม่นานนัก พวกเขาก็พบกับเรือยักษ์ลำที่สอง มันคือเรือจันทราที่หักพัง
หลังจากนั้น พวกเขาได้พบกับเรือใหญ่ลำที่สามอันฝังในทะเลทราย เรือจันทราลำนั้นประสบความเสียหายในการต่อสู้อันดุเดือดเลือดพล่าน และพังพินาศไปอย่างหนัก
ฉินมู่พลันตระหนักขึ้นมาทันที “วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติคือตัวปราบเรือตะวันและเรือจันทรา!”