ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 476 แสงตะวันหลากสีเหนือทะเลแดง

ตอนที่ 476 แสงตะวันหลากสีเหนือทะเลแดง

หลังจากพายุ ฉินมู่ปีนออกจากเนินทรายสูงและมองไปรอบๆ ในสายตาของเขามีแต่ทะเลทรายอันรกร้างและเงียบสงัด มีก็แต่เนินทรายอันเรียงกันเป็นรูปเกล็ดที่หลงเหลืออยู่จากพายุอันซัดถล่มไปเมื่อครู่

เรือตะวันนั้นแตกเป็นชิ้นๆ พินาศยับเยิน เห็นได้ชัดว่าการโจมตีทั้งสุดท้ายของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นแข็งแกร่งอย่างสุดขีด นางมีใจคิดที่จะลากราชครูสันตินิรันดร์ไปตายพร้อมๆ กับนางเมื่อลงมือจู่โจมครั้งสุดท้ายนั้น ผลพวงของมันก็คือเรือตะวันพินาศย่อยยับไปด้วย

เพลิงไฟในทะเลทรายปลาสนาการ แม้ว่าทรายจะยังคงเป็นสีแดง เพลิงไฟอันแผดเผาผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศไม่ปรากฏอยู่อีกต่อไป

ฉินมู่มองไปยังที่ไกลๆ แต่มองไม่เห็นพวกมันที่ไหนเลยสักแห่ง

ทะเลทรายเพลิงโหมมอดดับไปแล้ว

เขาตกตะลึงอย่างช่วยไม่ได้ และรีบยกมือขึ้นดู รอยประทับอัคคีบนผิวหนังของเขาก็หายไปเช่นกัน

เขานำกระจกออกมาสามสี่บาน ยกมันขึ้นๆ ลงๆ แต่ก็ไม่เห็นรอยประทับอัคคีตรงไหน

มารดาเฒ่าสวรรค์แท้สิ้นชีวิตแล้ว!

หัวใจของฉินมู่เต้นตึกตักอย่างรุนแรง มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้วางเพลิงไฟอันใช้มุ่งโจมตีผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศโดยเฉพาะ รอยประทับอัคคีพวกนั้นจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกที่ย่างกรายเข้ามาในทะเลทราย และยิ่งมีสายเลือดสูงส่งบริสุทธิ์มากเท่าไร ก็จะยิ่งเกิดรอยประทับอัคคีมากขึ้นเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น รอยประทับอัคคีของฉินมู่ลุกลามไปทั้งร่างกายของเขา

แต่มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้ตกตายลงไป ดังนั้นเพลิงไฟในทะเลทรายจึงหายวับไปเช่นกัน รอยประทับอัคคีบนผู้คนที่ถูกละทิ้งก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป!

“แค่ก แค่ก!”

เนินทรายอีกเนินที่ไกลๆ แตกออกมา และกิเลนมังกรก็ปีนออกมาจากในนั้น พลางพ่นทรายในปากของเขาออก ฉินมู่เรียกเขาจากที่ไกลๆ และเดินกะเผลกๆ เข้าไปหา

อาการบาดเจ็บของเขาสาหัสเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่ามันมิได้มาจากการต่อสู้กับผานกงสั่ว มันเกิดจากลูกหลงของการโจมตีครั้งสุดท้ายของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ อันทำให้เขาบาดเจ็บอย่างหนัก

กิเลนมังกรพุ่งเข้ามาหาฉินมู่และหลุบหางลง ฉินมู่เหยียบขึ้นไปทางปลายหางของเขา และกิเลนมังกรก็ยกหางขึ้นเพื่อให้เขาไถลลงมาที่หลัง

กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไปข้างๆ เรือตะวัน

ฉินมู่นั่งลงและตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “ราชครู เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม”

“ข้าอยู่นี่”

เสียงของราชครูสันตินิรันดร์มาจากใกล้ๆ และฉินมู่มองตรงไปที่แหล่งที่มา เขาเห็นราชครูสันตินิรันดร์อยู่ใต้เงาของหินก้อนใหญ่ ฉินมู่ไกลลงมาจากหลังของกิเลนมังกรด้วยรอยยิ้ม “เจ้าบาดเจ็บอีกแล้ว?”

“ไม่ร้ายแรงเกินไปหรอก อาการบาดเจ็บครั้งนี้ยังสาหัสน้อยกว่าครั้งก่อน” ราชครูสันตินิรันดร์หลับตาลงราวกับว่าเขาผล็อยหลับไป จากนั้นเขาก็ลืมตาข้างหนึ่งและมองไปข้างหลังพลางกล่าวอย่างอ่อนแรง “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้นั้นแข็งแกร่งจริงๆ ด้วยการยืมพลังอำนาจของเรือตะวัน นางก็เหนือล้ำเสียยิ่งกว่าเทพเจ้าจากเหนือฟ้า”

ฉินมู่มองไปยังทิศทางเดียวกับเขา แต่มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง ถึงจะฉงนฉงาย แต่เขาก็เริ่มรักษาเยียวยาตนเองก่อน หลังจากนั้น เขาหมายจะเข้าไปเคลื่อนย้ายตัวราชครู แต่พบว่ามิอาจกระทำได้

“จ้าวลัทธิ เจ้ายกเทพเจ้าไม่ได้หรอก” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวด้วยรอยยิ้มจืดจาง

ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขา และเข้าไปรักษาเขากับที่แทน “ราชครูยังคงตั้งใจที่จะไปยังเหนือฟ้าอีกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ได้เปรียบด้านชัยภูมิเมื่อพวกเราต่อสู้กันที่นี่ และข้าก็เกือบจะพ่ายแพ้ หากว่าข้าไปยังเหนือฟ้า ก็ยังคงมีเทพเจ้าอยู่ที่นั่นจำนวนหนึ่ง และมันเป็นดินแดนของพวกเขา คงจะยิ่งอันตรายร้ายกาจกว่าที่ข้าเผชิญอยู่ที่นี่ ข้าเพียงแต่ต้องรอสักพัก ให้จักรพรรดิและตัวตนระดับจ้าวลัทธิคนอื่นๆ บรรลุเป็นเทพเจ้าเช่นกัน”

มียอดฝีมือในขั้นสะพานเทวะมากมายในจักรวรรดิสันตินิรันดร์ อันติดชะงักอยู่ที่วรยุทธขั้นนี้มาชั่วนาตาปี การเผยแพร่ตัวแบบพีชคณิตห้วงมิติในการซ่อมแซมสะพานเทวะของฉินมู่ ได้มอบความหวังแก่พวกเขาในการบรรลุเป็นเทพเจ้า

“เจ้าปล่อยผู้สูงศักดิ์ไปหรือ” ราชครูสันตินิรันดร์ถาม

ฉินมู่กล่าวอย่างจริงจังระหว่างที่ตรวจดูอาการบาดเจ็บของเขา “ข้าได้ทำข้อตกลงว่าจะไม่คร่าชีวิตเขา แต่มันยากที่จะรั้งเขาเอาไว้โดยไม่ทุ่มสุดตัวเพื่อสังหารหมายชีวิต ความสามารถของผู้สูงศักดิ์ในวิชาหลบหนีนั้นไร้เทียมทานในโลกหล้า ข้าไม่เคยพบเห็นบุคคลที่ลื่นไหลขนาดนี้มาก่อน แต่ถึงอย่างไร ข้าก็โชคดีได้ขาเขามาครึ่งหนึ่ง”

“ปล่อยเขาเพ่นพ่านอย่างอิสระนั้นจะก่อเภทภัยมากมายในอนาคต แม้แต่ข้าก็ไม่อาจต้านทานเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณของเขาได้ มีผู้คนน้อยนักที่รู้ชื่อจริงของข้า แต่หากว่าเขาไปที่สุสานแม่น้ำเพื่อตรวจสอบ เขาก็จะสามารถค้นพบ นามของจักรพรรดิเองก็ถูกสืบเสาะได้เช่นกัน” ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวอย่างเคร่งขรึม

ฉินมู่นำเอาเข็มเงินมากมายออกมาปัก จนเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเม่น ระหว่างที่ปักเข็มเล่มสุดท้ายเข้าไปตรงหว่างคิ้ว เขาก็ยิ้มกล่าว “สำหรับข้า ผู้สูงศักดิ์มิใช่เรื่องน่ากังวลอีกต่อไป เทพเจ้าข้างหลังเขาเรียกว่าเทพหมอผีขุย เขาพ่ายแพ้แก่ผู้สูงศักดิ์และถูกฉีกร่างเนื้อกับจิตวิญญาณดั้งเดิมแยกออกจากกัน ผู้สูงศักดิ์ซ่อนกายเนื้อของเขาเอาไว้ในภูเขาหยางแห่งแดนโบราณวินาศ และจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาไว้ในภูเขาหยิน ตราบเท่าที่พวกเรากำจัดจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย พวกเราก็จะสามารถทำลายเวทมนตร์สักการะดวงวิญญาณของผู้สูงศักดิ์”

ราชครูสันตินิรันดร์ปรายตามองเขาอย่างไม่ยินดียินร้าย “หากว่าผู้สูงศักดิ์ล่วงหน้าก่อนเจ้าไปก้าวหนึ่ง และย้ายสถานที่เก็บซ่อนจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยล่ะ?”

ฉินมู่ตกตะลึง จากนั้นตบต้นขาของราชครูอย่างแรง จนทำให้คนโดนน้ำตาไหลจากความเจ็บปวด ฉินมู่รีบดึงมือของเขาออก และหลอมปรุงยาวิญญาณอีกสองเตา “วิชาแพทย์ของผู้สูงสูงศักดิ์ยอดเยี่ยมนัก ด้อยกว่าข้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเสียขาไปครึ่งหนึ่งก็คงไม่ตายหรอก รอที่นี่เถอะ ข้าจะเดินทางไปภูเขาหยิน! อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลาด้วยล่ะ!”

ราชครูสันตินิรันดร์นำลูกแก้วเต่าดำออกมาและโยนไปให้เขา “เอามันไป เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้น!”

ฉินมู่ทิ้งน้ำและอาหารไว้จำนวนสามสี่ถุงหนังก่อนที่จะกระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกรและจากไปอย่างเร่งร้อน

ราชครูสันตินิรันดร์เอนพิงก้อนหินใหญ่และคิดอยากที่จะลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ต้องทรุดลงไปนั่งใหม่ เขาหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยและยิ้มขื่น “ข้าบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้อีกแล้ว…โชคยังดี เมื่อจ้าวลัทธิ ไอ้เด็กแสบนี่ ยัดลูกแก้วเต่าดำใส่มือมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ นางไม่ลงมือโจมตี ไม่อย่างนั้นข้าคงตายจากการเล่นคะนองของเขา…”

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดผวาติดแน่นในจิตใจ

ฉินมู่ได้วางลูกแก้วเต่าดำและลูกแก้วมังกรเขียวเข้าไปในมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อทดสอบนาง แต่ทว่าเขามิได้คิดคำนึงเลยว่าราชครูสันตินิรันดร์อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่เขาคาดหมายเอาไว้

เจ้าหมอนั่นมันเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตัวราชครู เสียยิ่งกว่าที่ราชครูมีต่อตนเอง ระหว่างการเดินทางเคียงข้างฉินมู่ อันตรายก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

โชคดีที่ไอ้เด็กแสบหายไปแล้ว ภูเขาหยินอาจจะอันตราย แต่อยู่ใกล้ๆ เขานี่อันตรายกว่ามาก

ราชครูสันตินิรันดร์เอนกายลงเพื่อฟื้นฟูตนเอง ในขณะนั้น ข้างหลังก้อนหินใหญ่ที่เขาพิงอยู่ มวลทรายก็หมุนเป็นเกลียวอย่างเงียบงันและรวบรวมขึ้นมาก่อเป็นยักษ์ทราย

ราชครูสันตินิรันดร์ดูราวจะไม่สำเหนียกอะไร และเสียงกรนก็ดังมาจากคอของเขา แต่ทว่าดวงตาเขาค่อยๆ เปิดออกมา

เขาลอบยกมือขึ้นและดึงเอาเข็มเงินที่ฉินมู่ปักไว้บนหว่างคิ้วออก

มันมิใช่เข็มเงิน แต่เป็นกระบี่เล่มหนึ่ง–กระบี่ไร้กังวล

ราชครูสันตินิรันดร์ถือมันไว้ด้วยดวงตาที่หรี่แคบ จากนั้นพลันแทงเข้าไปในก้อนหินข้างหลังเขา

ยักษ์ทรายกำลังแย้มยิ้มอยู่ในตอนนั้น พร้อมที่จะขย้ำเข้าใส่ กระบี่ไร้กังวลแทงทะลุหัวใจของมัน ด้วยเสียงปัง แสงกระบี่แปดพันเล่มยิงออกมาจากทุกทิศทาง ระเบิดออกจากในร่างของยักษ์ทราย!

กระบี่ไร้กังวลสั่นสะเทือน และกระบี่ทั้งแปดพันเล่มก็บินกลับมาพร้อมกับมีโลหิตเทวะหยาดหยดจากปลายของพวกมัน กระบี่ทั้งหลายก่อตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นไจกระบี่อันมีขนาดเท่าผลส้ม

ราชครูสันตินิรันดร์เอนพิงก้อนหินต่อ ขณะที่ไจกระบี่นั้นลอยอ้อมก้อนหินวกกลับมาหาเขา

“ขอบใจ”

ราชครูสันตินิรันดร์แย้มยิ้มและดีดลูกกลมนั้นหนึ่งที มันพุ่งหวีดหวือและหายไปยังทิศไกลๆ

ข้างหลังก้อนหินใหญ่ ยักษ์ทรายนั้นค่อยๆ พังทลายลงขณะที่โลหิตเทวะหลั่งไหลอกจากมัน เลือดเริ่มนองย้อมพื้นมากขึ้นทุกทีๆ

กิเลนมังกรกำลังวิ่งตะบึงไปทางทิศตะวันออก พลันฉินมู่ก็ยื่นมือขึ้นและกวักเรียก ไจกระบี่พุ่งหวือมาวางอยู่บนมือของเขา กิเลนมังกรพลันทรุดยวบและเซแซ่ดๆ ไปสามสี่ก้าว

ฉินมู่ใส่ไจกระบี่ของเขาเข้าไปในถุงเต๋าตี้และแย้มยิ้ม “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ตายสนิทในที่สุด”

ด้วยความตกตะลึง กิเลนมังกรร้องออกมา “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้ยังมีชีวิตอยู่หรือ รอยประทับอัคคีบนร่างของท่านหายไป และเพลิงไฟในทะเลทรายก็มอดดับแล้วมิใช่หรือ แล้วนางจะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร”

“นางกลอกกลิ้งเจ้าเล่ห์ และทำเช่นนั้นเพื่อให้พวกเราคิดว่านางตายไปแล้ว ดังนั้นราชครูจึงเล่นไปตามบทราวกับว่าเขาก็คิดว่านางตายไปแล้ว แต่ทว่าเขาปรายตาเป็นสัญญาณบอกเตือนข้า ดังนั้นตอนที่ข้ารักษาอาการบาดเจ็บของเขา ข้าก็ได้แปรเปลี่ยนกระบี่ไร้กังวลให้เป็นเข็ม และปักมันไว้บนหว่างคิ้วของเขา”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “สาเหตุที่ราชครูมอบลูกแก้วเต่าดำให้แก่ข้าก็เพราะว่าเขากลัวว่ามันจะตกไปอยู่ในมือของมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ทำให้นางรับมือยากเข้าไปใหญ่ บัดนี้นางตายสนิทแล้วจริงๆ หากว่าเจ้าไม่เชื่อ ก็ลองหันกลับไปดู”

กิเลนมังกรรีบหันกลับไป และเห็นทะเลสีแดงฉานค่อยๆ แผ่ขยายออกมาด้วยความเร็วอันยิ่งยวด มันก่อขึ้นมาจากโลหิตเทวะและกำลังกลืนกินทะเลทราย พุ่งเข้ามาทางพวกเขา ภาพที่เห็นนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างสุดขีด!

กิเลนมังกรวิ่งหนี หลังจากแผ่มามากกว่าร้อยลี้ ทะเลแดงก็ไม่ขยายตัวอีกต่อไป

กิเลนมังกรถาม “มารดาเฒ่าสวรรค์แท้เลือดไหลเยอะขนาดนี้เลยหรือ”

“โลหิตเทวะของนางกลายกลับมาเป็นเลือดของปุถุชน ดังนั้นจึงย่อมมีมากมายเนืองนอง”

ฉินมู่ก็หันกลับไปดูและเห็นแสงตะวันหลากสีที่สาดส่องอยู่เหนือทะเลแดงฉาน บนชายฝั่งทะเล พืชพันธุ์วรรณาทั้งหลายต่างก็งอกงามอย่างบ้าคลั่ง เพราะถึงอย่างไร ต่อให้ที่รกร้างอย่างทะเลทรายก็ยังคงมีสิ่งมีชีวิตที่ทนทายาดอยู่

“มนุษย์ก็เหมือนกัน ไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะร้ายกาจแค่ไหน พวกเขาก็จะค้นพบวิธีการดำรงชีวิตอยู่ต่อไป!”

เขาเปิดเนตรสวรรค์ชาดเพื่อมองไปที่ไกลๆ เรือตะวันอันแตกพังเป็นชิ้นๆ ได้กลายเป็นเกาะที่ใจกลางทะเลแดง ราชครูสันตินิรันดร์ได้ปีนขึ้นไปบนนั้นและไม่จมลงไปในทะเลเลือด

“อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลานะ” ฉินมู่โบกมือให้เขา จากนั้นก็ให้กิเลนมังกรเดินทางจากไป

ผานกงสั่วห้ามเลือดของตนเองขณะที่นั่งอยู่บนกองหญ้าหางแมวอันถูกลมหอบเหาะข้ามฟ้าไป เมื่อเขามาถึงแดนโบราณวินาศ นั่นก็ผ่านมาสามวันแล้ว และท้องฟ้าก็กำลังจะมืด

ระหว่างช่วงสามวันนี้ เขาได้เยียวยาอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่ทว่าขาขวาท่อนล่างของเขาถูกฉินมู่ตัดสะบั้นไป การเคลื่อนไหวของเขาจึงยากลำบาก

ผานกงสั่วมองไปรอบๆ และสายตาของเขาก็เป็นประกาย เขาเดินตามฝูงสัตว์พิสดารและมายังซากโบราณแห่งหนึ่งก่อนที่ความมืดจะร่วงลงมา

ฉัวะ!

ผานกงสั่วเงื้อมือขึ้นตัดขาของกวางตัวหนึ่ง สัตว์พิสดารนี้ร้องคำรามออกมา ส่งเสียงข่มขู่

ผานกงสั่วเปิดถุงเต๋าตี้ของเขา และฝูงแมลงวิญญาณก็บินออกมา เขายิ้มหยัน “พวกเจ้ากล้ารังแกข้าหรือ ไอ้พวกสัตว์เถื่อน ข้าทำอะไรไอ้เด็กแซ่ฉินไม่ได้ แต่จะฆ่าพวกเจ้าให้หมดนั้นง่ายนิดเดียว!”

สัตว์พิสดารตัวอื่นๆ มองไปที่แมลงวิญญาณอันบินว่อนไปทั่วและไม่กล้าที่จะบุ่มบ่ามดาหน้าออกมา

“ผู้สูงศักดิ์นี่ช่างเขื่องโขเสียจริง” ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังมาจากซากโบราณ กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ “การที่ผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองโหรวหลันต้องมาตกต่ำถึงขั้นเบียดเบียนรังแกฝูงสัตว์พิสดาร น่าขำอะไรอย่างนี้”

“เจ้าเป็นใคร”

ผานกงสั่วรีบต่อขากวางนั้นเข้ากับขาที่ขาดไปของตนเอง โดยไม่ใส่ใจจะพิถีพิถัน เขารีบลุกขึ้นยืนและเห็นหีบใบหนึ่งลอยออกมาจากส่วนลึกของซากโบราณ

ปัง

หีบนั้นเปิดออก และขาสองข้างวิ่งออกมาจากข้างในนั้น พวกมันตามมาด้วยแขนสองข้าง และส่วนลำตัวอันประกอบเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเป็นร่างที่ไร้ศีรษะร่างหนึ่ง

มันเดินตรงไปยังหีบและนำหัวหนึ่งมาวางต่อที่คอของมัน

“ผู้สูงศักดิ์ เจ้าจดจำสหายเก่าไม่ได้หรือ” ร่างอันพิลึกกึกกือนั้นหันกลับมา และมันก็คือเด็กหนุ่มหล่อเหลาหน้าขาวปากแดง บนเรียวปากของเขามีรอยยิ้มชวนลุ่มหลงประดับอยู่

ผานกงสั่วสีหน้าซีดเผือดราวขี้เถ้า

………………………….

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท