ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 486 ช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต

ตอนที่ 486 ช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต

“นี่…”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถปลุกสำนึกรู้ของโครงกระดูกเทพเจ้านี้ได้ด้วยความเชื่อเหลือของลูกแก้วเต่าดำนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ นั่นก็เพราะว่ามีสำนึกรู้ที่ยังหลับใหลหลงเหลืออยู่ โครงกระดูกจึงสามารถพูดจาและฟื้นฟูความทรงจำของตนเองได้

โครงกระดูกอื่นๆ อาจจะไม่มีสำนึกรู้หลงเหลืออยู่ แม้ว่าเขาปลุกจิตวิญญาณพวกเขาขึ้นมา พวกเขาก็อาจจะไม่ได้เป็นมากไปกว่ากองกระดูกที่เดินได้

ยิ่งไปกว่านั้น การปลุกพรายวิญญาณของโครงกระดูกเทวะต้องอาศัยพลังวัตรปริมาณมหาศาล แม้ว่าจะมีลูกแก้วเต่าดำ ฉินมู่ก็อาจจะไม่สามารถปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายขนาดนี้ได้

ด้วยความปฏิภาณความเข้าใจของเขาที่มีต่อวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อย่างมากเขาก็สามารถเรียกใช้ ‘ยักษ์’ ทราย ที่สูงไม่เกินวาครึ่ง ตัวสูงใหญ่ไปกว่านั้นเป็นไปไม่ได้สำหรับเขา

ด้วยลูกแก้วเต่าดำ เขาสามารถเพิ่มพูนปฏิภาณความเข้าใจในเต๋าแห่งทุกสิ่งมีดวงจิตทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ และเสริมส่งสัมผัสหยั่งรู้ของเขา แต่กระนั้นการปลุกโครงกระดูกเทพเจ้ามากมายในเวลาเดียว ก็คงจะรีดเค้นพลังวัตรออกจากเขาไปอย่างไม่รู้จบ และยังอาจจะอันตรายอีกด้วย

โครงกระดูกเทพเจ้านี้ ‘มอง’ ไปที่เขาด้วยเปลวเพลิงรางๆ ในเบ้าตา เต็มไปด้วยความคาดหวัง นั่นเป็นความคาดหวังของนักรบโบราณที่จะได้พบกับสหายร่วมรบอีกครั้งหนึ่ง นี่ทำให้ฉินมู่มิอาจหักใจปฏิเสธเขา

เขายิ้มกว้าง “ข้าจะลองดู”

สักพักหนึ่ง โครงกระดูกยักษ์หนึ่งโครงก็ยืนขึ้นอย่างไม่มั่นคง และเทพเจ้าเที่ยงแท้นี้ก็ลิงโลดอย่างระงับไม่อยู่ เขาเข้าไปกอดโครงกระดูกของสหายศึกของเขาและหัวเราะกับร่ำไห้ไปในเวลาเดียวกัน

“แม่ทัพ” โครงกระดูกนี้ดูมึนงงและไม่ค่อยมีค่อยมีสติปัญญามากนัก เขาพูดได้เพียงแค่คำคำเดียว

แม้ว่าจะเป็นเพียงคำเดียว เทพเที่ยงแท้ก็ซาบซึ้งใจ ราวกับว่าเขาได้ย้อนกลับไปยังยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง

ยิ่งฉินมู่ปลุกโครงกระดูกมากขึ้นเท่าไร สีหน้าเขาก็ยิ่งซีดเผือดมากยิ่งขึ้น มันดูเหมือนจะมีเสียงอึงอลมากมายไร้ประมาณในหัวของเขา อันทำให้เขายากที่จะตั้งสมาธิ

เทพเที่ยงแท้ตนนี้ยกทรายขึ้นมาพร้อมกับโครงกระดูกที่ปลุกพรายวิญญาณทั้งหลาย และใช้พลังวัตรเฮือกสุดท้ายของเขาเพื่อขับเคลื่อนไฟแห่งเทพเที่ยงแท้ หลอมละลายผืนทราย

มันแปรเปลี่ยนเป็นลาวาอันเดือดพล่าน ก่อนที่จะจับตัวแข็งเป็นก้อนหินมากมาย

เทพเที่ยงแท้นี้ก่อสร้างสุสานของเขา ในขณะที่โครงกระดูกทั้งหลายใช้หินเพื่อก่อสร้างหลุมศพของตนเอง

เมื่อฉินมู่ปลุกโครงกระดูกโครงสุดท้าย เขาก็นอนหอบด้วยความหมดแรง

บนทะเลทราย โครงกระดูกสูงมากมายได้สร้างสุสานสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขายืนตระหง่านตรงหน้าหลุมศพของตนเอง และรอฟังคำพูดสุดท้ายของแม่ทัพ

เทพเที่ยงแท้เผาผลาญพลังวัตรกระผีกสุดท้ายเพื่อยกธงอันแหว่งวิ่นขึ้นและมองไปยังสหายทั้งหลายที่ร่วมตายไปกับเขา

ลมพัดธงแหว่งวิ่นนี้

มันสะบัดเสียงพึ่บๆ ราวกับว่าจะฟื้นชีวิตของช่วงเวลาแห่งเหงื่อและโลหิต

“หากว่าชาติหน้ามีจริง” เทพเที่ยงแท้มิได้อ้าปาก แต่ว่าเกิดเสียงราวกับเหล็กกระทบกับเหล็กและเสียงกลองศึก “หากว่าชาติหน้ามีจริง พวกเราจงมารวมกันและต่อสู้กับสวรรค์และพิภพอีกครั้งเถอะ!”

เสียงของเขากึกก้องไปในทะเลทราย เมื่อเขาตะโกนไปยังทหารของเขา สหายร่วมรบของเขา “จักรพรรดิสูงส่งจะกลับมา และนำพวกเราไปต่อสู้กับศัตรูอีกครั้ง! และบัดนี้ ทหาร พักผ่อนได้!”

“แม่ทัพ พบกันอีกครั้งชาติหน้า!” โครงกระดูกทั้งหลายตะโกนกลับไป

โครงกระดูกเหล่านั้นเดินเข้าไปในหลุมศพของตนเอง และวางอาวุธอันหักพังของตนที่ข้างกาย ก่อนที่จะเอนตัวนอนลงไป พวกเขาดูเหมือนว่าเตรียมพร้อมที่จะกระโดดออกมาอีกครั้งเมื่อมีเสียงแตรเขาสัตว์ประกาศศึก

เปลวเพลิงในเบ้าตาของเทพเที่ยงแท้กะพริบวูบวาบ และแผ่นพื้นใหญ่มหึมาก็ลอยข้ามมาในอากาศ ปิดผนึกประตูทางเข้าสุสาน

อักษรรูนหลั่งไหลออกจากผนังทั้งสี่ และด้วยการปิดทับของแผ่นหินใหญ่ กระบวนพยุหะอันปกป้องคุ้มกันสุสานเทพเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเงยศีรษะมองไปยังโครงกระดูกเทพเที่ยงแท้ข้างๆ เขา “ผู้อาวุโส ท่านก่อสร้างสุสานให้กับพวกเขา แล้วทำไมท่านถึงไม่เข้าไปด้วย”

โครงกระดูกเทพอันสูงตระหง่านนั่งลงพลางถือธงของเขา เขานั่งตัวตรงเหมือนกับสันหลังของเขา และพวกเขาทั้งสองหันไปทางสุสานเหมือนๆ กัน

“ข้าเป็นแม่ทัพของพวกเขาแต่ก็ไม่อาจพาพวกเขากลับบ้านได้ ข้าไม่คู่ควรที่จะมีหลุมศพของตนเอง” เทพเที่ยงแท้นั่งอยู่อย่างเงียบงันขณะที่ธงโบกสะบัดไปในสายลม “ข้าจะต้องปกป้องพวกเขาและเป็นผู้พิทักษ์สุสานแห่งนี้ ข้าเห็นได้ว่าไม่มีพวกเขาคนไหนที่ฟื้นดวงจิตขึ้นมาจริงๆ เป็นเจ้าที่พูดแทนให้กับพวกเขา”

เขาก้มหน้าลงมามองที่ฉินมู่ “ขอบคุณมาก”

ฉินมู่อึ้งไป “ข้าไม่อยากให้ท่านรู้สึกว่าเหลือเพียงตัวเองลำพัง ดังนั้นข้า…”

เทพเที่ยงแท้เงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นเจ้า แต่ข้าก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ข้าไม่มีความเสียใจย้อนหลังอีกต่อไป”

จากเบ้าตาว่างเปล่าของเขา ริ้วแสงสองเส้นพุ่งทะยานออกมาราวกับมังกรคู่ และโบยบินเข้าไปในดวงตาของฉินมู่ สถิตอยู่ในนั้น

มันเป็นปราณหยางพิสุทธิ์และปราณหยินพิสุทธิ์ริ้วสุดท้ายในสมบัติเทวะของเขา มันคือของกำนัลที่มอบให้

“ความมืดกำลังมา จงไปที่นั่น!” โครงกระดูกยกมือขึ้นและชี้ไปยังที่ไกลๆ

ฉินมู่เหลียวหลังกลับไปมองและเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน มันเกือบจะจมลงไปในทะเลทรายแล้ว

“ผู้อาวุโส ท่านหมายความว่าอย่างไรที่ว่าความมืดกำลังมา” ฉินมู่ถาม “หรือว่าราตรีที่นี่ก็ยังต้องเผชิญกับการรุกรานของความมืด ผู้อาวุโส…”

โครงกระดูกเทพเจ้านิ่งงัน และไม่กล่าววาจาอีกต่อไป มันไม่มีลมหายใจหลงเหลือ เจตจำนงของมันเงียบสงัดและกระจัดกระจาย ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงโครงกระดูกอันชี้แขนไปยังที่ไกลๆ

ฉินมู่ลุกขึ้นยืนโดยไม่กล่าววาจา และเรียกหีบกับกิเลนมังกรที่หมอบตัวสั่นระริกอยู่บนหีบเข้ามา “ไปที่นั่นกัน”

หีบตามเขาไปยังทิศทางที่เทพเที่ยงแท้ชี้ไป

กิเลนมังกรรวบรวมความกล้าและถาม “จ้าวลัทธิ โครงกระดูกยักษ์นั่นหมายความว่าอย่างไรที่ว่าเป็นท่าน”

“เวทมนตร์ปลุกพรายวิญญาณของข้ามิอาจปลุกดวงจิตเดิมของเหล่าเทพที่ตกตายในสงคราม โครงกระดูกที่ข้าปลุกขึ้นมาไม่มีสำนึกรู้ และทำได้แต่ตามคำสั่งของข้า เขาสามารถมองทะลุเรื่องนี้ จึงกล่าวเช่นนั้น”

กิเลนมังกรฉงนฉงาย “แต่ข้าได้ยินโครงกระดูกพวกนั้นสามารถพูดจาได้และเรียกเขาว่าแม่ทัพ”

“พวกเขาพูดจาได้เพราะว่าข้าพูดผ่านปากของพวกเขา ข้าไม่อยากให้เขารู้สึกโดดเดี่ยว และรู้สึกว่าตนเองถูกทิ้งไว้เพียงผู้เดียวจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง”

ฉินมู่หันกลับไปและมองไปยังโครงกระดูกเทพเจ้าที่นั่งอยู่กับธงศึกและปกปักพิทักษ์สุสาน เขาจึงเบือนสายตาไปพลางกล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “แต่ทว่าเขาสังเกตเห็นมัน แม้ว่าเขาจะไม่เปิดโปงมันออกมา จริงๆ แล้วในหัวใจของเขา ก็ยังมีความหวังริบหรี่ที่ว่าผู้ที่พูดจากับเขาจะเป็นสหายร่วมรบของเขาจริงๆ และไม่ใช่ข้า”

กิเลนมังกรไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกแบบนี้ เขาจึงได้แต่หมอบงีบหลับอยู่บนหีบพลางพึมพำ “ข้ากลัวของพวกนี้เป็นที่สุด ครั้งนั้นตอนที่พวกเราไปตระกูลหลิ่ว ข้าฝันร้ายไปตั้งหลายวัน…”

ท้องฟ้ามืดค่ำลงไปทุกที ฉินมู่เร่งฝีเท้าของเขาขณะที่ดวงตะวันจมลงไปในทะเลทราย

ความมืดพลุ่งพล่านมาจากทิศตะวันตก และตามติดมาถึงพวกเขาในพริบตา

ฉินมู่ตะตะลึง โลกทั้งโลกถูกความมืดกลืนกินไป เหมือนกับแดนโบราณวินาศอีกแห่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่แตกต่างก็คือในแดนโบราณวินาศเป็นเวลากลางวัน แต่ที่นี่เป็นเวลากลางคืน

ทันใดนั้นหัวใจของฉินมู่ก็ไหวสะท้าน ข้าเข้าใจ! ข้าเข้าใจแหล่งที่มาของความมืด!

เสียงแกรกกรากดังมาจากใต้หีบ และฉินมู่ก็หยุดเพื่อมองดูใต้หีบ เขาเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้ขาทั้งสองข้ากำลังกอดขาของหีบเอาไว้

“ผู้สูงศักดิ์” ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้าเชื่อว่าเจ้าคงสบายดีนะช่วงนี้?”

ผานกงสั่วสีหน้าซีดเทาราวขี้เถ้าและพ่นออกไป “ไอ้เด็กแซ่ฉิน โลกผีสางนี่มันเล่นตลกกับข้า จะฆ่าข้า ตัดเนื้อเถือหนังข้า อยากทำอะไรกับข้าก็เชิญ!”

ฉินมู่แย้มยิ้มอย่างหน้าชื่นตาบาน “ทำไมข้าจะต้องตัดเนื้อเถือหนังเจ้าด้วยล่ะ ฆ่าไปเสียง่ายกว่ามานั่งตัดและเถือ”

แสงเจิดจ้าพลันฉายส่องในความมืด มันคือแสงเทวะที่สามารถพุ่งผ่านความมืดได้

ฉินมู่หัวใจแทบกระดอนหลุดออกมาทางปาก และเขารีบกระโดดขึ้นไปบนหีบ ร่างของเขากดมันลงไป ทำให้ทั้งหีบและผานกงสั่วที่อยู่ข้างใต้ดำลงใต้ผืนทราย

“เจ้าจะทำอะไร” ผานกงสั่วร้องด้วยความแตกตื่น

“หุบปาก ดวงตาของซิงอ้านได้เข้ามาในที่นี้แล้ว!” ฉินมู่ตะคอกกลับไปด้วยเสียงต่ำ

ลำแสงจากลูกตากวาดผ่านทะเลทราย หาสิ่งใดไม่พบ มันเหาะไปข้างหน้า

ไม่นานนัก ลูกตาอีกลูกก็ลอยมา และสองลูกตาใหญ่ก็พบกับบนท้องฟ้า พวกมันหยุดชะงักอยู่ครู่หนึ่ง แสงรางๆ อีกก้อนพลันลอยลิ่วมาจากที่ไกลๆ และค้างเติ่งอยู่กลางอากาศ มันคือศีรษะของเด็กหนุ่ม

ศีรษะนี้ไม่มีลูกตา แต่ลูกตาสองลูกที่ลอยอยู่นั้นไม่นานก็มุดกลับเข้าไปในเบ้าตาของเขา

“พวกเจ้าอยู่ใกล้ๆ นี่!” ศีรษะบนท้องฟ้าหัวเราะอย่างเย็นเยียบและกล่าว “หมอเทวดาฉิน ผู้สูงศักดิ์ พวกเจ้าขโมยหีบของข้าและหมายที่จะหนีพ้นมือข้าไปได้งั้นหรือ พวกเจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว!”

ทันใดนั้น ทรายเหลืองบริเวณรอบๆ พลันแข็งตัวขึ้น และฉินมู่รู้สึกว่ามันบีบรัดพวกเขามากขึ้นทุกที เขารู้ว่าสถานการณ์ย่ำแย่และรีบขับเคลื่อนวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะโดยพลัน ปราณชีวิตของเขาแผ่พุ่งไปรอบๆ ร่างกาย แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนอันวิจิตรที่ร่วงลงไปในวงจรพยุหะภายใต้ผืนทราย

ผานกงสั่วโลหิตเย็นเยียบและเขาร้องลอดไรฟัน “เจ้าจะใช้ทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลในสถานที่แบบนี้หรือ เจ้ารนหาที่ตาย แต่ข้ายังไม่อยากตาย…”

“ที่นั่น!” หัวของซิงอ้านที่ลอยอยู่กลางอากาศหวีดร้อง และสองตาของเขายิงลำแสงเทวะที่กวาดไปทั่วพื้น!

หึ่ง

สถานที่อันฉินมู่อยู่พลันถล่มลงไปและกลายเป็นหลุมใหญ่ ถัดมาลำแสงเทวะทั้งสองก็ยิ่งเข้าไปในหลุมใหญ่และระเหิดทรายเหลืองมวลมหึมาให้กลายเป็นไอ

ผานกงสั่วหนังหัวชาตึ้บเมื่อเขาถูกเคลื่อนย้ายระยะไกลออกไปพร้อมกับหีบด้วยฝีมือฉินมู่ จากนั้นเขาก็ตะโกน “จ้าวลัทธิฉิน ฝีมือเจ้าตกไปนะ พวกเราเคลื่อนย้ายไปกันไม่ไกลเลย!”

“หุบปาก! ก็เพราะมังกรอ้วนมันหนักเกินไปตะหาก!”

ฉินมู่กัดฟันกรอดและขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายอีกครั้ง แสงอักษรรูนสาดส่องเจิดจ้า ข้างหลังนั้น หัวหนึ่งลอยตามมาพร้อมกับลำแสงสองลำที่ส่องข้ามทะเลทราย เผาทุกอย่างให้เป็นไอตามเส้นทางที่มันผ่าน!

ฉินมู่ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลจนเขาหมดพลังวัตร จากนั้นเขาก็ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งและกล่าว “ผู้สูงศักดิ์ มุ่งหน้าไปทางนั้น!”

ผานกงสั่วรีบรับช่วงต่อ เขานำเอาธงผืนเล็กออกจากถุงเต๋าตี้อันประทับไว้ด้วยอักษรรูนเคลื่อนย้ายระยะไกล เมื่อกระตุ้นให้มันทำงาน ธงก็โบกสะบัดและคลี่คลุมพวกเขา พวกเขาหายวับไปก่อนที่แสงจากดวงตาซิงอ้านจะยิงมาถึง

ในชาติหนึ่งนั้น ผานกงสั่วเคยเข้าลัทธิมารฟ้าและเกือบจะได้เป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลของลัทธิมารฟ้า

เขาเคลื่อนย้ายคณะเดินทางไปซ้ำแล้วซ้ำอีก และพลังวัตรของเขาก็เหือดแห้งไปอย่างรวดเร็ว เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นบนหน้าผาก “จ้าวลัทธิฉิน พลังวัตรของข้าจะหมดแล้ว! พวกเรายังไม่ถึงอีกหรือ”

เขารีดเร้นหยดสุดท้ายของพลังวัตรและเคลื่อนย้ายทุกคนไปอีกครั้ง เมื่อวงจรพยุหะเคลื่อนย้ายระยะไกลจางหายไป แสงก็สาดส่องเข้าตาพวกเขาอย่างสว่างไสว และก็พบว่าตอนนี้พวกเขาเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง

กำแพงนั่นตระการตา ประดับไปด้วยโคมไฟและธงหลากสี ทั้งสองคนแหงนขึ้นมองดูและอดไม่ได้ที่จะอ้าปากหวอ บนยอดตึกและหอคอยของเมืองนี้ในความมืด มีเทพเจ้าที่สูงร้อยห้าสิบวายืนอยู่ พวกเขามีสี่เศียรแปดกร ไม่ก็สามเศียรหกกร และยังมีพวกที่มีศีรษะเป็นนก หรือสัตว์ป่าอื่นๆ เทพเจ้าบางตนก็ดูเหมือนเต่าดำ หงส์แดง พยัคฆ์ขาว หรือมิเช่นนั้นก็มังกรเขียว

พวกเขาเปล่งแสงเทวะอันเข้มข้นที่ขับไล่ความมืดออกไป

เมืองแห่งนี้พลุกพล่านไปด้วยผู้คนที่เดินไปเดินมา

ดูราวกับว่าจู่ๆ ผู้คนเหล่านั้นก็ปรากฏ พวกเขาเดินเบียดเสียดผ่านฉินมู่และหีบใหญ่ไปด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

“นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ถูกต้อง…สถานที่นี้เป็นทะเลทรายชัดๆ แล้วทำไมถึงมีเมือง หากว่ามีผู้คนที่นี่มากมายจริงๆ ทำไมจึงไม่มีใครไปกลบฝังโครงกระดูกของเทพเจ้าเหล่านั้น และทำไมที่นี่ถึงมีเทพเจ้าอยู่มากมาย”

ฉินมู่คิดจนปวดหัว และเขาพลันคว้าจับข้อมือของเด็กสาวที่เดินผ่าน เด็กสาวผู้นั้นเห็นว่าเขาหน้าตาไม่เลวก็เลยหัวเราะพรืด “คนเจ้าชู้ จับมือข้าไปทำไม”

“น้องสาวคนดี ปีนี้ปีอะไรหรือ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าซีดเผือด

เด็กสาวผู้นั้นแย้มยิ้มแล้วกล่าว “เจ้านี่ช่างมีแนวทางในการเกี้ยวพาผู้คนจริงๆ ปีนี้แน่นอนว่าก็ต้องเป็นศักราชจักรพรรดิสูงส่งปีที่ 24000 และวันนี้ก็มิใช่วันอื่นใด นอกเสียจากวันคล้ายวันสมภพของจักรพรรดิสูงส่งปีที่สองหมื่นหกพัน!”

……………………………

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท