ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods – ตอนที่ 497 ที่นี่มีเทพฉือซิ่ว

ตอนที่ 497 ที่นี่มีเทพฉือซิ่ว

เทพหัวนกเอียงคอและกระพือปีก เขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าจะไม่รู้เรื่องที่ตัวเองทำได้อย่างไร คิดอีกที! ประเดี๋ยวท้าวยมราชก็จะตัดหัวเจ้า แล้วค่อยให้เจ้าเข้าใจว่าทำไมเจ้าถึงตาย”

ฉินมู่งงงวย เขาจำอะไรไม่ได้สักอย่าง ว่าจะทำให้เขาไปสะกิดต่อมเคืองของท้าวยมราชเข้า

หรือเพราะว่าข้าขับเรือจันทราจากไป แต่เรือจันทราไม่ได้เป็นของยมโลก เป็นของเผ่านักต้อนตะวันต่างหาก ท้าวยมราชดูแคลนพฤติกรรมของผู้พิทักษ์จันทรา ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมรับการสวามิภักดิ์ การขับเรือจันทราไป ไม่น่าจะใช่อาชญากรรม ใช่ไหมนะ

เขาเข้ามาในยมโลกเพื่อค้นหาผู้ใหญ่บ้าน และตรวจสอบดูว่าปรมาจารย์เยาว์ก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือไม่ แม้ว่าเทพหัวนกจะบอกว่าเขาทำอะไรไม่ดีไปบางอย่าง แต่ฉินมู่ก็ไม่กังวลเลยแม้แต่นิด ในทางกลับกันเขากลับรู้สึกคาดหวังเล็กๆ

ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เขาอยากหนี เขาก็หนีไปไหนไม่ได้

ทันใดนั้น เสียงคำรามของซิงอ้านก็ดังมา “หมอเทวดาฉิน เจ้าทำอะไรข้า”

ฉินมู่หันกลับไปมอง ตัวตนอันแข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า บัดนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไป เขานั้นมีชิ้นส่วนร่างกายทุกชนิดโผล่ห้อยออกมาทั่วตัวเขา บางหัวก็เป็นของชาย บางหัวก็เป็นของหญิง มีทั้งหนุ่มและแก่ แต่ไม่มีอันไหนสักอันที่เป็นของเขาแต่เดิม

เมื่อมาถึงแดนเป็นของคนตาย สำนึกรู้เดิมของชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ ก็ฟื้นคืนกลับมา และแขนขาที่เคยขาดหายก็ฟื้นฟูมาใหม่ แย่งชิงชิ้นส่วนร่างที่เคยเป็นของพวกเขา เมื่อเทียบกันแล้ว สำนึกรู้ของซิงอ้านนั้นมิได้แข็งแกร่งไปกว่าพวกที่กำลังยึดครองร่างเขาอยู่ในขณะนี้

เขาไม่อาจควบคุมร่างกายอันพิลึกกึกกืออันเต็มไปด้วยอวัยวะแบบนี้อีกต่อไป!

“ซิงอ้าน เจ้าทำอะไรพวกข้า” หัวยี่สิบสามสิบหัวนั้นถามระเบ็งเซ็งแซ่ และเริ่มต่อสู้กันและกัน มันเหมือนกับลูกบอลกลมๆ ที่กลิ้งไปมารอบๆ

“ซิงอ้าน นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าทำเจ้า แต่เป็นสิ่งที่เจ้าทำกับพวกเขา เจ้าขโมยชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ อันสร้างเป็นตัวเจ้าในปัจจุบัน ในแดนเป็นของคนตายแห่งนี้ คนเป็นก็จะตาย และคนตายก็จะมีชีวิต ดูที่ข้าและกิเลนมังกรสิ และเจ้าก็จะเข้าใจคำพูดของข้า” ฉินมู่กล่าวอย่างเศร้าใจ

ซิงอ้านขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย มีก็แต่แขนขาของคนอื่นๆ ที่กระทำได้ เขาได้ขโมยชิ้นส่วนร่างกายจากผู้อื่นมามากเกินไป และผลที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่เป็นของเขาจริงๆ ก็มีเพียงสามดวงวิญญาณในร่างของเขา

แม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิม เขาก็แย่งชิงมาจากคนอื่น!

เทพหัวนกเอียงคอมองไปที่เขา “ซิงอ้าน ท้าวยมราชก็อยากเจอเจ้าเช่นกัน เจ้าได้จิตวิญญาณดั้งเดิมอันทำให้เขาสนใจมา ทุกคน ตามข้ามา”

ลูกชิ้นก้อนมหึมา อันก่อขึ้นมาจากซิงอ้านร้องคำราม และพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะออกไปจากโลกนี้ แต่กระนั้นชิ้นส่วนร่างกายต่างๆ ก็ไม่ฟังเขา ในทางกลับกัน พวกมันคลานไต่ไปทางยมโลก

“ปล่อยข้าไป!”

เสียงของซิงอ้านมีวี่แววของความกลัว เป็นครั้งที่สองที่เขารู้สึกถึงความกลัว

ครั้งแรกนั้นคือเมื่อเขาได้เปิดสมบัติเทวะเป็นตาย เขาสังเกตพบว่าชีวิตของเขามีจุดจบ เมื่ออายุขัยของเขาสิ้นสุดลง แดนใต้พิภพข้างใต้เขตขั้นเป็นตายก็จะกลืนกินจิตวิญญาณดั้งเดิมของเขา ส่งเขาเข้าไปในความมืดมิดชั่วนิรันดร์!

มันเป็นความน่าสยดสยองครั้งยิ่งใหญ่ ที่เขายอมรับไม่ได้โดยเด็ดขาด!

หลังจากเปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ เขาก็ตระหนักว่ามันขาดอยู่ และด้วยสติปัญญาของเขา เขาก็ไม่อาจซ่อมแซมมันได้ ดังนั้นซิงอ้านจึงเลือกหนทางอื่นไปสู่ความอมตะ

เขาแย่งชิงชิ้นส่วนร่างกายของผู้อื่น

ในเมื่อเขาไม่อาจเป็นเทพเจ้าได้ด้วยตนเอง และกายเนื้อของเขาก็จะชราไป เขาจึงเพียงแต่ต้องแย่งชิงร่างกายของผู้อื่น เพื่อแทนเข้าไปในกายเนื้อของเขาที่กำลังเสื่อมอายุขัย

เขานั้นหยิ่งผยอง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าจะเป็นเทพเจ้าอีกแบบหนึ่ง และพวกที่สะดุดสายตาของเขาก็ล้วนแต่เป็นตัวตนขั้นสุดยอดในโลกหล้า ตัวตนที่ได้บรรลุเขตขั้นเทวะในทางใดทางหนึ่ง

แม้ว่าเขาจะไม่ได้สังหารแพะแกะพวกนี้ แต่คนเหล่านั้นก็ยังตายเพราะเขา

บัดนี้พวกเขาฟื้นคืนชีพ และกลายเป็นเขาที่ตายแทน ผู้คนเหล่านั้นกำลังฉีกกระชากร่างกายเทพเที่ยงแท้ที่เขาได้ขัดเกลามาด้วยความอุตสาหะ หมายจะฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ!

เขารู้สึกถึงความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจอีกครั้ง ความกลัวสูญเสียชีวิตของตน!

เทพหัวนกขยับเท้าของเขาเล็กน้อยเพื่อหาองศาที่สบายตัวกว่าเดิม เขาพลันหดคอกลับและนั่งจับเจ่าอยู่บนยอดเขา “ซิงอ้าน กรรมชั่วที่เจ้าก่อก็ถูกเปิดโปงขึ้นมาแล้ว แต่ผู้ที่ท้าวยมราชต้องการตัวมิใช่เจ้า–มันคือซากทัพแห่งสภาสวรรค์ที่อยู่กับเจ้า”

“ฮี่ๆๆๆ…” เสียงหัวเราะเย็นเยียบชั่วร้ายดังมาจากข้างในร่างของซิงอ้าน “ท้าวยมราชเหลวไหลอะไร เขานั้นก็แค่ซากทัพจากยุคเก่าก่อน! พวกเจ้ากำลังตามหาข้าสินะ”

“เทพหมอผีขุย!”

ฉินมู่ตกตะลึง เขาเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุยขยายพองขึ้นมาจากร่างกายซิงอ้านอันเต็มไปด้วยอวัยวะ และก่อขึ้นมาเป็นสิ่งใหญ่มหึมาอันน่าแตกตื่นสะท้านขวัญที่สูงตระหง่านกว่าร้อยห้าสิบวา มันทั้งใหญ่โตและอลังการเสียยิ่งกว่าภูเขา ดวงตาทั้งสองเหมือนกับปากปล่องภูเขาไฟสองปล่องที่พ่นเพลิงพวยพุ่ง รอบๆ ตัวมันนั้นคือความมืดอันดิบดำ

เขามองจากที่สูงลงมายังเทพหัวนกบนภูเขา ยิ้มหยันและกล่าว “เจ้าก็เป็นซากทัพจากยุคเก่าก่อนเช่นกัน ข้าเคยพบเจ้ามาก่อน ผู้ตระเวนราตรีแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เจ้ามันก็แค่นกแสกที่คอยคุมวิญญาณของพวกอาชญากรในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เทพเจ้าที่สามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างแดนใต้พิภพและโลกจริงได้ และนามของเจ้าก็คือฉือซิ่ว! ฉือซิ่ว รับการสักการะของข้า!”

เขาโค้งสักการะ แต่เทพหัวนกยืนอยู่อย่างมั่นคงบนภูเขา ไม่กระดุกกระดิกสักนิด

เพทหมอผีขุยตกตะลึงและโค้งคำนับอีกครั้ง เทพหัวนกยกกรงเล็บของมันขึ้นมา เพื่อลับกับจะงอยของตน

เทพหมอผีขุยสะท้านหัวใจไปหมด และเขารีบหันกายเพื่อจากไป วิ่งตะบึงออกจากแดนเป็นของคนตายอย่างไม่คิดชีวิต

เขายังไม่ทันตาย กายเนื้อของเขายังถูกสะกดเอาไว้ในภูเขาหยางในแดนโบราณวินาศ ดังนั้นเขาจึงไม่ฟื้นร่างกายกลับมาในยมโลก และมีก็แต่จิตวิญญาณดั้งเดิม ความเร็วของเขานั้นไร้เทียมทาน เร็วเสียยิ่งกว่าขาเทวะข้างไหนๆ

เขาเคลื่อนที่และข้ามทะเลหมอกในพริบตา แทบจะออกไปจากแดนยมโลก

แต่ในจังหวะนั้น เทพหัวนกฉือซิ่วก็โบกปีก และสายลมก็พุ่งผ่านฉินมู่กับคนอื่นๆ!

เขาเงยศีรษะขึ้นมองและเห็นมนุษย์หัวนกที่มีปีกสยายบังตะวัน ด้วยกรงเล็บของเขา เขาจับเอาจิตวิญญาณดั้งเดิมอันใหญ่โตมโหฬารของเทพหมอผีขุย!

ในพริบตาถัดมา เทพหัวนกก็โบกปีกและวกกลับ เขากดเทพหมอผีขุยเอาไว้กับพื้นและแต่งไซ้ปีกขนของตนเองพลางจับเจ่าอยู่บนยอดเขา

ฉินมู่ตัวสั่นเทา กระดูกในร่างเขากระทบกันไปมาและส่งเสียงกรอกแกรก

เผชิญกับความเร็วระดับนี้ อย่าว่าแต่เขา แม้แต่เฒ่าเป๋ก็ไม่อาจหลบหนีไปได้ทันเวลา!

รูปร่างของเทพหัวนกฉือซิ่วนั้นแปลกพิสดารอย่างถึงที่สุด เมื่อเขาบินออกไปเมื่อครู่ เขาได้แปรเปลี่ยนจากร่างเนื้อกลายเป็นสภาวะจิตวิญญาณดั้งเดิมโดยบริสุทธิ์ ดังนั้นความเร็วของเขาถึงเหนือล้ำกว่าความเร็วใดๆ เร็วกว่าแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพหมอผีขุย มันก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงสามารถติดตามไปทันอย่างง่ายดายและจับตัวกลับมาได้

ระหว่างที่เขาบินกลับมา เขาก็แปลงร่างกลับสู่สภาวะกายเนื้อ วิชาฝึกปรือที่ทำให้เขาแปลงสลับไปมาระหว่างสิ่งที่จับต้องไม่ได้และสิ่งที่จับต้องได้นี้ พิสดารอย่างเหลือล้น

มิน่าล่ะ เทพหมอผีขุยถึงกล่าวว่าเขาสามารถเดินทางเข้าออกแดนใต้พิภพได้อย่างอิสระ ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาพูดจะเป็นเรื่องจริง ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ในใจ

เทพหมอผีขุยถูกโซ่พันธนาการเอาไว้ระหว่างที่เขาดิ้นรนไม่หยุด แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจเป็นอิสระจากพวกมันได้

แม้แต่เทพเจ้าดุร้ายที่ทั้งกร้าวแกร่งและชั่วช้าอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ก็ยังคงจนปัญญาในชั่ววินาทีนี้ เมื่อเขาเห็นว่าไม่อาจเป็นอิสระ เขาก็เงียบลงและยิ้มหยัน “ฉือซิ่ว ชีวิตของข้าเป็นของสวรรค์ และมิใช่ของท้าวยมราช! ต่อให้เจ้าจับตัวข้าไว้แล้วก็แล้วอย่างไร”

เทพหัวนกกระพือปีก และโซ่อีกเส้นก็บินเข้าไปมัดซิงอ้าน มันถูกสร้างขึ้นมาจากกระดูกขาวและดูเหมือนจะเป็นกระดูกสันหลัง ยากที่จะบอกว่ามีข้อต่อบนนั้นทั้งหมดกี่ชิ้น

โซ่โครงกระดูกขาวมัดรอบๆ ซิงอ้าน ก่อนที่จะตวัดมามัดมือฉินมู่

ฉินมู่ฉงนใจเล็กๆ “ข้าหนีไปไม่ได้หรอก ทำไมศิษย์พี่ฉือซิ่วต้องลำบากด้วย”

“อย่าพูด ข้าเกลียดชังกลิ่นของมนุษย์ตัวเป็นๆ”

เทพหัวนกขยับ และโซ่กระดูกขาวก็มัดโยงฉินมู่เข้ากับเทพหมอผีขุย ลากพวกเขาไปยังยมโลก ฉินมู่รีบกล่าวทันที “ข้ายังมีหีบและกิเลนมังกร”

“น่ารำคาญจริงๆ”

ฉือซิ่วหัวนกปลดโซ่และกล่าว “ปลุกกิเลนมังกรของเจ้าและรีบเดินเข้า อย่าพยายามจะหนี เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”

ฉินมู่เตะกิเลนมังกรให้ตื่น แต่มันก็ยังไม่ฟื้นสติขึ้นมา ฉือซิ่วจึงเด็ดขนนกของเขาออกมาเส้นหนึ่งและโบกมันเหนือหน้าผากของกิเลนมังกรเบาๆ เท่านั้นแหละเจ้าอ้วนนี่ถึงตื่นขึ้นมาได้ และตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดผวา

ฉินมู่ปลอบใจเขา “มังกรอ้วน อย่ากลัวไปเลย ปรมาจารย์อาจจะอยู่ที่นี่ บัดนี้เมื่อพวกเราเข้ามาในยมโลก พวกเราก็อาจจะสามารถพบกับเขาได้”

กิเลนมังกรจิตกระเจิดกระเจิง และเขาตะกุกตะกัก “ทะ-ท่านบอกข้าไม่ใช่หรือว่าปรมาจารย์ได้บรรลุเป็นเทพเจ้า”

ฉินมู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา “ปรมาจารย์ได้กลายเป็นเทพเจ้าในยมโลก”

กิเลนมังกรนิ่งงัน และยกอุ้งเท้าของเขาเพื่อปาดป้ายเบ้าตา ตอนนี้เขาไม่มีร่างเนื้อ ดังนั้นเขาก็ไม่มีน้ำตาเช่นกัน

“ข้าว่าแล้วว่าท่านต้องโกหกข้าในตอนนั้น…” เขาคอตก

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ดูสิ ในโลกนี้ ข้าและเจ้าเป็นคนตาย แต่ปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ดี ในโลกของพวกเรา พวกเรามีชีวิต แต่ปรมาจารย์ตายไป บางทีความเป็นและความตายมิใช่สิ่งที่เจ้าคิดเข้าใจ และหลังจากความตาย มันก็อาจจะเป็นเพียงการดำรงชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก”

กิเลนมังกรเงยศีรษะขึ้นมาและกล่าวอย่างจริงจัง “แต่หลังจากวันนี้ ท่านต้องไม่โกหกข้าอีกนะ”

ฉินมู่พยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “ข้ากลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้ ก็เลย…”

“ข้าไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้ว ข้ารับได้” น้ำเสียงของกิเลนมังกรนิ่งสงบและกล่าวต่อ “ข้าพอใจมากแล้วล่ะที่เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ในโลกแห่งนี้ได้…จ้าวลัทธิ กระดูกก้นกบของท่านทำให้ข้าเจ็บ”

ฉินมู่ลุกขึ้นยืนและเหยียบไปบนหัวของเขา กิเลนมังกรติดตามเทพหัวนกผ่านประตูนรกตรงไปยังเมืองยมโลก

ข้างหลังพวกเขา หีบติดตามมาพลางส่ายโงนแงน มันเซซ้ายเซขวา ราวกับว่ากำลังมึนเมา ฉินมู่หันกลับไปและฉงนฉงาย แต่ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ แย่แล้ว ในหีบนั้นมีแขนและขาเต็มไปหมด!

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่ หีบใหญ่ของซิงอ้านก็ไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้อีกต่อไป มันอ้าเปิดออก อาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในนั้น

ผู้คนมากมายอันทั้งประหลาดและพิลึก และยังมีฝูงโครงกระดูกที่ลิงโลดจนโดนเต้นไปมา ถูกพ่นขึ้นไปบนอากาศ

“พวกเราอยู่ในยมโลกแล้ว!”

โครงกระดูกเหล่านั้นงอกเลือดเนื้อขึ้นมาในอากาศและร่วงลงกับพื้น กลายเป็นชายและหญิงทั้งหลายที่ร่างกายเปลือยเปล่า พวกเขาดีใจจนเนื้อเต้นและวิ่งตะบึงตรงไปยังยมโลก!

ในขณะเดียวกันนั้น ผู้คนที่ถูกพ่นออกมาจากหีบก็ไม่ครบสมบูรณ์ บางคนก็ขาดแขน และบางคนก็ขาดขา มีกระทั่งผู้คนที่มีรูโหว่ใหญ่กล่างหน้าอก หัวใจของเขาหายไป

บางคนก็ซี่โครงหาย บ้างก็ไม่มีดวงวิญญาณ และบ้างก็ขาดสมบัติเทวะ สิ่งที่พวกเขาขาดหายไปล้วนแต่ประหลาดและพิลึกกึกกือ

คนเหล่านี้ยืนงุนงง พวกเขาคือชิ้นส่วนอวัยวะที่ซิงอ้านได้เก็บสะสม

หีบวิ่งตามผู้คนที่วิ่งหนีไปอย่างไม่ลดละ หมายที่จะจับพวกเขากลับมาเป็นของสะสมของมันใหม่อีกครั้ง

ฉินมู่รีบเรียกมันกลับมาและกล่าว “ผู้คนพวกนั้นได้ฟื้นคืนชีพมาแล้ว ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องเก็บสะสมพวกเขาอีกต่อไป ข้าจะให้สมบัติเจ้าหลายๆ ชิ้น แค่เอาพวกมันเก็บไว้ในท้องเจ้าแทนละกัน…”

ปัง ปัง ปัง

เสียงโครมครามดังมาจากหีบ และมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น ผ่านไปพักหนึ่ง มันก็แปลงร่างเป็นสัตว์ยักษ์มหึมาเบื้องหน้าพวกเขา ฉินมู่อ้าปากด้วยความตื่นตระหนก ขากรรไกรของเขาเกือบร่วงลงพื้น เขารีบคว้ากระดูกขากรรไกรของตัวเองเอาไว้

ขากรรไกรล่างของกิเลนมังกรก็ตกแทบจะถึงพื้นเมื่อเขาอ้าปากกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตา

หีบสัตว์ประหลาดของพวกเขาได้กลายเป็นเต๋าตี้ตัวมหึมา!

………………………..

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

Status: Ongoing

อ่านนิยาย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods ฟรี ได้ที่ novel-fast 


โดย เรื่อง ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods บ้างส่วนของนิยาย

บทนำ นิยายกำลังภายใน แฟนตาซี การผจญภัยของหนุ่มน้อยซุกซนกับการกู้จักรวาล!? อ่านฟรี 80 ตอน ภายใน 10 ธ.ค. 63 เท่านั้น ในดินแดนรกร้าง ยังมีหมู่บ้านประหลาดซึ่งเต็มไปด้วยผู้เฒ่าพิการ ขาเป๋ เป็นใบ้ ตาบอด หูหนวก เหล่าคนชราเก็บทารกแรกคลอดที่ลอยน้ำผ่านมาได้ เลี้ยงดูจนเติบใหญ่และตั้งชื่อให้ว่า… ฉินมู่ ฉินมู่ หนุ่มน้อยหน้าซื่อตาใสเจ้าของรอยยิ้มกระชากใจ ‘พี่สาว’ ทั้งหลาย แต่ทำให้ศัตรูเดือดแค้นเจียนตาย บางคนก็เรียกเขาว่ากวางน้อยเซ่อซ่าที่เห็นเรื่องตื่นเต้นที่ไหนก็โดดไปมุงดู ไม่ว่าเทพกับมารตีกัน ใครจะยกทัพไปยึดโลกมิติใด หลวงจีนคนนั้นจะกิ๊กกับราชาสวรรค์องค์ไหน เป็นต้องเห็นเงาร่างหมอนี่ตลอด พับผ่าสิ! ความอยากรู้อยากเห็นไร้สิ้นสุดของฉินมู่จะคลายปริศนาลึกลับของจักรวาลได้หรือไม่ ความลับของเทพเจ้าโบราณคืออะไร ใครคือเงามืดที่คอยเก็บเกี่ยวต้นอ่อนของยอดยุทธ์วิชาเทวะตลอดหลายแสนปีที่ผ่านมา… เด็กหนุ่มผู้นี้จะกลายเป็นผู้กอบกู้จักรวาลให้รอดพ้นจากการถูกทำลายล้างได้หรือไม่ นี่คือการผจญภัยของฉินมู่ผู้เจียมตัวว่าเก่งเป็นอันดับสองของทุกศาสตร์วิชาในโลก! ‘ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างใสซื่อ…แต่ผู้อื่นเห็นแล้วขนหัวลุกแทบตาย’

เรื่องย่อ

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”


และยังมี  นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์ อีกหลายเรื่องที่รอให้คุณอ่านที่ novel-fast.com

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท