ในขณะที่กำลังทานอาหารเช้า จ้าวเสวียนก็ปรากฏตัวในร้านอาหาร วันนี้เธอจะไปจากที่นี่พร้อมกับสิ่งที่เธอทำ
“มาเลย รีบนั่งลงกินข้าว” มีเพียงมู่เวยเวยคนเดียวที่ทักทายเธอ “ช่วงนี้ผอมลงอีกแล้ว หน้าก็ซูบไปหมด”
จ้าวเสวียนจับหน้าของเธออย่างเขินอายและพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณป้า ฉันน่าจะไปวันนี้ ขอบคุณที่ดูแลมาตลอด”
” ต้องดูแลอยู่แล้ว” มู่เวยเวยเรียกสาวใช้ที่นำนมร้อนมาให้เธอ “กลับบ้านแล้วดื่มน้ำซุปเยอะๆ ร่างกายจะค่อยๆปรับตัว”
“อืม ได้ค่ะ”
เย่จิงเหยียนฉีกขนมปังในมือพูดเบาๆว่า “พ่อแม่ ตอนเช้ามีธุระอะไรไหม?”
“ ไม่มี ทำไมหรอ?”
“เดี๋ยวตอนเช้าทนายจะเข้ามา พ่อกับแม่อยู่ฟังด้วยนะครับ”
เย่ฉ่าวเฉินไว้ใจลูกชายเขามาก “ไม่เป็นไรหรอก ลูกจัดการเลย”
“ไม่ได้สิ พ่อกับแม่เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดของเย่ฮวาง ผมไม่กล้าตัดสินใจ ถ้าผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่อยู่ที่นั่น” เย่จิงเหยียนหยุดชั่วคราวและจงใจมองไปที่มู่เวยเวยและพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าเกิดผมให้น้อยไป แม่ไม่เห็นด้วยจะทำยังไง?”
มู่เวยเวยจ้องมองลูกชายของเธอ “ ไอ้เด็กบ้า นี่แกกำลังล้อฉันหรอ”
“แม่เป็นใหญ่ที่สุด ผมไม่กล้าหรอก ยังไงพ่อกะบแม่ก็ไม่มีธุระอะไร อยู่เป็นพยานก็ยังดี” เย่จิงเหยียนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อโน้มน้าวพ่อแม่ สิ่งที่น่าตื่นเต้นที่สุดของวันนี้ พ่อกับแม่เป็นคนที่ต้องอยู่ด้วยที่สุด
เย่ชวูเสวียได้กลิ่นแปลกๆ คนทั้งบ้านก็อยู่แล้วเธอจะไม่อยู่ด้วยได้ยังไงล่ะ ตะโกนพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปที่นั่นด้วย ฉันก็เป็นผู้ถือหุ้นของเย่ฮวางเหมือนกัน”
เย่จิงเหยียนโค้งงอริมฝีปากของเขาและยิ้ม ถ้าไม่ให้มันอาจจะน่าตื่นเต้นกว่านี้ แต่เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
เมื่อจ้าวเสวียนเห็นท่าทีของเย่จิงเหยียน เธอก็รู้สึกผิดเล็กน้อย แต่เธอคิดไม่ออกว่าปัญหาคืออะไรกันแน่
สิบโมงเช้า
ทนายความมาที่บ้านตระกูลเย่ พร้อมเอกสาร ในห้องรับแขก ผู้คนนั่งอยู่บนโซฟาและกินเมล็ดแตงโม เย่จิงเหยียนและจ้าวเสวียน นั่งอยู่บนโต๊ะทั้งสองข้าง ในขณะนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งเดิน เข้าไปในประตูบ้านของเย่ จางเหอพาคนไปหลบอยู่อีกห้อง
“คุณจ้าว พูดสิ่งที่เธอต้องการเรียกร้องมา” เย่จิงเหยียนเปิดประเด็น เวลาของเขามีค่า ถ้าเกิดไม่อยากให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย ตอนนี้ก็คงพาซวีเจี้ยนออกมาแล้ว
จ้าวเสวียนคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่หัวใจของเธอก็เต้นรัว “ฉันต้องการหุ้นของเย่ฮวาง 10% อย่างอื่นไม่ต้องการอะไร”
เธอคิดอย่างถี่ถ้วน บ้านหรือรถหรูอะไรก็ไม่มีค่าเท่ากับหุ้นของเย่ฮวาง 10% นี้ ตราบใดที่เย่ฮวางไม่ล้มละลาย ทั้งชีวิตนี้เธอก็อยู่ได้โดยไม่ต้องทำอะไร มีชีวิตที่ดี อาหารเสื้อผ้าใช้แบบไม่ต้องกังวล
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ชวูเสวียทนนั่งนิ่งไมได้และตอบกลับไปว่า “10%? ฝันไปเหอะ ฉันยังมีแค่8%”
จ้าวเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มจางๆว่า ” ถึงแม้คุณหนูเย่จะมีเพียง 8% แต่วันหนึ่ง เธอก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของเย่ฮวาง แต่ฉันมีแค่10%ตลอดไป”
“เธอหมายความว่าอะไร? แช่งพ่อแม่ฉันหรอ” เย่ชวูเสวียจับเธอด้วยความโกรธแต่ถูกมู่เวยเวยดึงไว้
“นั่งลงค่อยๆพูด นี่มันเพิ่งเริ่มเจรจาเองไม่ใช่หรอ?” มู่เวยเวยปลอบใจลูกสาวของเธอ
“ แต่แม่ก็ดูสิมันพูดอะไร?”
ถึงขนาดนี้แล้ว จ้าวเสวียนก็ไม่จำเป็นต้องแสดงความอ่อนแอ “ คุณหนูเย่ สิ่งที่ฉันพูดคือความจริง จะว่าไปแล้ว เด็กที่ฉันเสียไปยังเทียบไม่ได้กับหุ้นแค่นี้เลย”
เมื่อพูดถึงเด็กคนนั้น เย่ชวูเสวียก็หมดอารมณ์ทันที หันหน้าหนีโดยไม่พูด
เสียงเยาะเย้ยคืบคลานเข้ามาในดวงตาของเย่จิงเหยียน “ จ้าวเสวียน ฉันทำให้ได้ทุกอย่าง แต่หุ้นในมือของฉันเหมือนกับชวูเสวีย มีเพียง 8% เธอช่วยลดน้อยลงหน่อยได้ไหม?”
จ้าวเสวียนตกตะลึง เขาก็มีแค่นี้เองหรอ? หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า “โอเค 8%ก็ได้ แต่ต้องให้บ้านกับรถด้วย”
เย่จิงเหยียนเห็นด้วย โดยไม่ลังเล “ ไม่มีปัญหา ทนายถัง คุณช่วยร่างเอกสารทางกฎหมาย หุ้น8%ของหุ้นเป็นชื่อเธอด้วย และบ้านของฉันทางด้านตะวันออกและเฟอร์รารีในโรงรถก็กลายเป็นของเธอทั้งหมด ”
ทนายถังตกตะลึง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเย่จิงเหยียนจะเห็นด้วยในทันที
“พี่ พี่นี่พูดง่ายเกิน” เย่ชวูเสวียโกรธ
“ มันไม่ใช่แค่เงินไม่ใช่เหรอ? ไม่มีแล้วเราก็หาใหม่ก็ได้” เย่จิงเหยียนพูดอย่างไม่แยแส
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองหน้ากัน พูดตามตรง ทั้งสองคนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ในฐานะลูกชายหุ้นร้อยละแปดมีมูลค่าเงินปันผลปีละหลายสิบล้าน แต่ตาของเขาไม่กะพริบเลยด้วยซ้ำ
เมื่อจ้าวเสวียนได้ยินสิ่งที่เย่จิงเหยียนพูด หัวใจของเธอก็เต็มไปด้วยความสุข แต่เธอต้องแสร้งทำเป็นสงบ “เย่จิงเหยียน ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ได้ยินมาว่าผู้หญิงที่แท้งงูกแล้วลำบากมาก เพราะงั้นฉันเลยต้องหาทางที่ดีที่สุดให้ตัวเอง”
“ฉันเข้าใจ” ท่าทีของเย่จิงเหยียนนั้นเจียมเนื้อเจียมตัวมาก เมื่อทนายความกำลังร่างมัน จู่ๆเขาก็เปลี่ยนเรื่องและถามว่า “จ้าวเสวียน ฉันได้ยินมาว่าตอนอยู่โรงเรียนเธอเคยมีแฟน ว่าแต่ตอนนั้นทำไมพวกเธอถึงเลิกกัน?”
ทันใดนั้นจ้าวเสวียนก็รนไปทั้งตัว ทำไมอยู่ๆเขาถึงมาพูดถึงแฟนเก่าเธอได้?
“ ประธานเย่ หัวข้อนี้ดูเหมือนจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังเจรจาในวันนี้” จ้าวเสวียนไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับปัญหานี้นาน
เย่จิงเหยียนยักไหล่ “อ่อ ฉันแค่อยากรู้ ถึงยังไงก็ว่างอยู่นิ ทำไมล่ะ ไม่สะดวกเล่าหรอ?”
มีความตื่นตระหนกในดวงตาของจ้าวเสวียน เธอสงบสติอารมณ์และพูดตรงไปตรงมาว่า “ไม่มีอะไรไม่สะดวก เราคุยกันได้สองสามปี แล้วเราก็เลิกกัน ก็แค่นั้นเอง”
“ไม่ได้ติดต่อกันหรอ?”
“ไม่” จ้าวเสวียนพูดอย่างเรียบเฉย “ก็เลิกกันแล้วจะติดต่อกันทำไม? ไม่จำเป็นต้องติดต่อ”
เย่จิงเหยียนมองไปที่ห้องถัดไปอย่างสงบและยิ้มอย่างเย็นชา “ทัศนคติของเธอที่มีต่อแฟนเก่ายังคงตรงไปตรงมามาก”
จ้าวเสวียนโค้งริมฝีปากของเธอ ยิ้มและหยุดตอบหัวข้อนี้ พูดมากไปกลัวจะหลุดปาก
ในไม่ช้าเอกสารทางกฎหมายของทนายความก็ถูกร่างขึ้นเป็นสามฉบับ เย่จิงเหยียนเพียงแค่เหลือบมองไปที่เอกสารนั้นแล้วพูดกับจ้าวเสวียนว่า “ลองอ่านดูสิ ถ้าตกลงก็เซ็นเลย”
จ้าวเสวียนหยิบมันขึ้นมาและอ่านมันอย่างจริงจัง หลังจากยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดพลาด เธอก็หยิบปากกาขึ้นมาและเซ็นชื่อของเธอ ตัวสั่นเล็กน้อย
เป็นครั้งแรกที่เธอได้เซ็นเอกสารสำคัญตั้งสามฉบับ
เย่จิงเหยียนมองไปที่เอกสารทั้งสามฉบับ เขาหยิบปากกาขึ้นมาเพื่อเซ็นชื่อ เขาก็ยิ้มทันทีเงยหน้าขึ้นสบตาใครบางคน “จ้าวเสวียน ฉันมีคำถามอีกสองสามข้ออยากจะถาม”
“อะไร?” จ้าวเสวียนพูดอย่างลุกลี้ลุกลน ดวงตาของเขาดูเหมือนมองเห็นทุกอย่างได้
เย่จิงเหยียนโยนปากกาลงบนโต๊ะ กอดอกและแล้วพูดว่า “เธอคบกับแฟนเก่ามาตั้งสามปี ไม่มีเคยมีอะไรเกิดขึ้นจริงหรอ?”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา จ้าวเสวียนก็ตกตะลึง คนที่เฝ้าดูอยู่ก็ตกตะลึงไปสองสามวินาทีเช่นกัน คำถามนี้ไม่เหมือนเย่จิงเหยียนเป็นคนถามเลย
เดิมทีมือของจ้าวเสวียนวางอยู่บนโต๊ะ แต่หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เธอก็วางมือของเธอไว้ใต้โต๊ะโดยไม่รู้ตัว “ฉันไม่รู้ว่าประธานเย่กำลังหมายถึงอะไร?”
“ ฉันแค่แปลกใจเล็กน้อย เธออยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว จะไม่เคยมีอะไรกันจริงๆหรอ? พวกเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว นี่มันไม่ผิดปกติไปหน่อยหรอ?” เย่จิงเหยียนดูเป็นคนละคน
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยมองหน้ากัน เห็นความประหลาดใจในดวงตาของกันและกัน ลูกชายของพวกเขาเจออะไรผิดปกติงั้นหรอ?
จ้าวเสวียนกำมือแน่นเข้าด้วยกัน สีหน้าของเธอกลายเป็นจริงจัง ” มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าฉันว่าประธานเย่น่าจะรู้ดีที่สุด ลืมสิ่งที่เห็นตอนตื่นขึ้นมาในโรงแรมแล้วหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเย่จิงเหยียนเจ้าเล่ห์มาก และพูดว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงอยากรู้ พวกเธออยู่ด้วยกันมาสามปีแล้ว เธอยังบริสุทธิ์อยู่หรอ?”
ใบหน้าของจ้าวเสวียนเปลี่ยนเป็นสีแดง เธอไม่กล้ามองตาของเย่จิงเหยียน แสร้งทำเป็นสงบ “ฉัน…… ฉันเป็นผู้หญิงหัวโบราณ อยากเก็บครั้งแรกไว้ให้สามี เพราะงั้นก็เลย……”
“ห๊ะ” เย่จิงเหยียนอุทานอย่างประชดประชัน “แล้วทำไมเธอไม่ทำกับฉันแบบประเพณีดั้งเดิม ตอนฉันเมาเธอพาฉันไปโรงแรมทำไมกัน?”
“คริคริ-” เย่ชวูเสวียอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอมั่นใจว่าพี่ชายของเธอต้องจับจ้าวเสวียน เขาจึงมาที่นี่เพื่อลองใจเธอ
เมื่อเธอหัวเราะ บรรยากาศก็แปลกไปอย่างมาก เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวย ไม่สามารถหัวเราะหรือร้องไห้ได้ ในขณะที่การแสดงออกของจ้าวเสวียนนั้นซับซ้อนมากเธอเล่นลิ้นว่า “ ฉันฉันชอบประธานเย่มาก อีกอย่างประธานเย่ก็จะไปร้านเหล้าให้ได้ เพราะงั้นฉันก็เลย……”
เย่จิงเหยียนหัวเราะเยาะ “อ่อ เธอยืนยันว่าฉันจะไปร้านเหล้า? แต่ตอนนั้นฉันเมาจนไม่ได้สติแล้วไม่ใช่หรอ? จะมีแรงทำแบบนั้นอีกหรอ?”
หัวใจของจ้าวเสวียเต้นแรง เธอไม่รู้ว่าเย่จิงเหยียนหมายถึงอะไร เมื่อถามถึงเรื่องเหล่านี้อย่างกะทันหันนี่ เธอจึงคิดคำโกหกที่สมบูรณ์แบบออกมาไม่ได้
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอก็จ้องมองไปที่เย่จิงเหยียน “ประธานเย่ เรื่องมันผ่านมานานขนาดนี้แล้ว จู่ๆคุณก็ก็มาถาม คุณสำนึกผิดกับคำสัญญาที่เพิ่งพูดไปหรอ? หรือมาดูถูกฉันที่นี่?”
“ ฉันแค่อยากรู้ความจริงของเรื่องนี้” เย่จิงเหยียนจ้องมองเธอตรงๆและพูดประโยคที่น่าตกใจ “ จ้าวเสวีย ถ้าเธอพูดความจริง ฉันอาจจะพิจราณาแบ่งหุ้นให้เธอบ้างเพื่อเห็นแก่เด็ก แต่ถ้าเธอยังเป็นแบบนี้เงินสักแดงก็จะไม่ได้”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ หัวใจของจ้าวเสวียนก็ตื่นตระหนกไปหมด แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วเธอจะถอยหลับได้ยังไง ถ้าเกิดเขาแค่หลอกเธอล่ะ?
“ประธานเย้ คุณไม่ต้องพูดถึงฉันแบบนี้หรอก เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว เด็กในท้องของฉันก็จากไปแล้ว คุณไม่อยากรับผิดชอบแล้วหรอ? คุณไม่รู้สึกว่ามันเห็นแกตัวไปหน่อยหรอ?” จ้าวเสวียนกัดฟันและไม่ยอม
“อ๋อ……” เย่จิงเหยียนหยิบปากกาขึ้นมาหมุนวนในมือของเขาและพูดว่า ” ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมรับสินะ?”
“ก็ฉันไม่ได้ทำจะให้ฉันยอมรับอะไร?”
“โอเคได้” เย่จิงเหยียนหันไปทางประตูถัดไปและตะโกนว่า “เอาล่ะ ออกมาเถอะ”
ทุกคนมองไปที่ประตู นาทีต่อมาชายแปลกหน้าก็ปรากฏตัวขึ้น ทันใดนั้นจ้าวเสวียนก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
“ฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก” เย่จิงเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ” นี่คือซวูเจี้ยนเป็นแฟนเก่าของจ้าวเสวียน บางอย่างเราไม่ควรรับฟังความเพียงด้านเดียว ต้องฟังอีกข้างด้วยถูกไหม?”
“ใช่ใช่ใช่” เย่ชวูเสวียกระโดดขึ้นจากโซฟาทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนเราต้องฟังสิ่งที่คนนี้กำลังจะพูด”
เธอก็ว่าปกติพี่ชายของเธอเป็นคนฉลาด จะเห็นด้วยกับเงื่อนไขทั้งหมดของจ้าวเสวียนอย่างง่ายดายได้ยังไง ที่แท้ก็วางแผนมาพร้อมแล้ว
ฮ่าฮ่า โชคดีที่ฉันได้อยู่ที่นี่ ได้ดูการแสดงที่สมจริงมาก
ซวีเจี้ยนตะโกนอย่างสุภาพ “สวัสดีครับคุณเย่ คุณนายเย่” เย่ฉ่าวเฉินและภรรยาของเขาพยักหน้าให้เขาอย่างสับสน จากนั้นซวีเจี้ยนก็มองไปที่จ้าวเสวียนและพูดอย่างเย็นชา “จ้าวเสวียน ไม่เจอกันเดือนนึง สบายดีนิ ”
หัวใจของจ้าวเสวียนจมดิ่งลงเรื่อยๆ มือข้างหนึ่งจับขอบโต๊ะไว้แน่นและเสียงของเธอก็สั่นว่า “แกพูดบ้าอะไร? เราไม่เจอกันมาเป็นปีแล้ว”
“อ่อ? เป็นปี? ” ซวีเจี้ยนยิ้มเยาะ “ความจำของเธอไม่ดีแล้วหรอ ครั้งก่อนเธอรีบไป ชุดนอนยังอยู่ในตู้ของฉัน จะไปเอาคืนเมื่อไหร่?”
“แก……” จ้าวเสวียนไม่สามารถโต้แย้งได้ เธอจึงย้อนกลับไปและพูดว่า ” ซวีเจี้ยน ถึงแม้ว่าเราจะเลิกกันแล้ว แต่เราก็ไม่ใช่ศัตรูกัน ทำไมเธอถึงต้องร่วมมือกับเย่จิงเหยียน เพื่อใส่ร้ายฉันเขาให้อะไรกับเธองั้นหรอ?”
ซวีเจี้ยนหันไปเห็นหน้าที่ไร้เดียงสาของเธอและพูดด้วยความโกรธ ” เธอพูดอะไรของเธอ? จ้าวเสวียน ฉันยังไม่ได้ถามเธอเลย เด็กที่แท้งไปนั่นใช่ลูกของฉันหรือเปล่า?”
หืม?
เย่ฉ่าวเฉินและมู่เวยเวยต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะมู่เวยเวย เด็กคนนั้นจะเป็นลูกของชายหนุ่มคนนี้ได้ยังไง? เย่ชวูเสวียอยู่ข้างๆรู้สึกตื่นเต้นมาก เธอไม่ได้เจอเรื่องสนุกๆแบบนี้มานานแล้ว
“ไม่ใช่!” จ้าวเสวียนโต้กลับทันที “เด็กคนนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับแก เด็กคนนั้นเป็นลูกของเย่จิงเหยียน”
“เธอเอาอะไรมายืนยัน?” ซวีเจี้ยนพูดอย่างดุเดือด “จ้าวเสวียน ลืมไปวแล้วหรอว่าเดือนก่อนมีสัปดาห์หนึ่งที่เทอมาหาฉันทุกวัน มาถึงไม่ทำอะไรเลยจะขึ้นอย่างเดียว ฉันก็คิดว่าเธออยากอยู่กับฉัน ที่แท้ก็เอาฉันทำพันธุ์”
ขาของจ้าวเสวียนอ่อนแรง เธอแทบจะทรุดลงกับพื้น “แก แกโกหก ฉันไม่เคยไปบ้านของแก”
“หึ” ซูเจี้ยนหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมา แล้วส่งคลิปเสียงที่บันทึกไว้ให้เย่ชวูเสวีย “นี่คือข้อมูลติดต่อของเราในตอนนั้น จ้าวเสวียน ถึงเธอจะลบแต่ฉันไม่ลบ”
เย่ชวูเสวียดูการโทรสองสามสาย มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่วันหลังจากที่พี่ชายของเธอเมา นอกจากนี้ยังมีข้อความบางอย่าง แต่เย่ฉ่าวเฉินดึงเธอออกไป “เป็นสาวเป็นแส้มาดูอะไรแบบนี้ทำไม? ”
เย่ชวูเสวียเม้มปากและพูดในใจว่า “ฉันอายุ 25 ปีแล้ว ยังเด็กหรอ? อดไม่ได้ที่จะยืดคอออกไปดู เห็นเพียงสองสามตัว อะไรตอนนี้อยู่บ้านไหม? ฉันจะไปหาคืนนี้……
หลังจากอ่านจบ เย่ฉ่าวเฉินและภรรยาได้คืนโทรศัพท์ให้ซวีเจี้ยน จากนั้นมองไปที่จ้าวเสวียนด้วยความสงสัยในสายตาของพวกเขา
ถึงอย่างนั้น จ้าวเสวียนก็ยังไม่เห็นแก่ตัวและพูดกับซวีเจี้ยนอย่างดุเดือดว่า “ ต่อให้ฉันจะนอนกะบแกแล้วยังไง? พ่อของเธอเป็นใคร ฉันต้องรู้สิ”
“จริงเหรอ?” เย่จิงเหยียนถามกลับ ” แล้วทำไมคืนนั้นต้องโกหกมายังบริสุทธิ์ ทั้งที่จริงคือไม่?”
“ฉันกลัวว่าคุณจะไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้ เพราะงั้นก็เลยโกหก”