“ฮ่าๆๆ คู่ต่อสู้รอบสุดท้ายนี้ช่างน่าขันเสียจริง ประเมินความสามารถตนเองสูงส่งเกินไป ถึงขั้นระงับพลังลดระดับขอบเขตของตนลง แล้วอย่างไร? ยามนี้รู้ซึ้งถึงความแกร่งกล้าของบรรพกาลราตรีแล้วใช่หรือไม่?”
“คงมองไปเสียว่าน่าเบื่อหน่ายจนสร้างปัญหาให้ตนเอง? คนที่มีความสามารถก้าวขึ้นสู่รอบสิบแปดได้ มีหรือจะอ่อนแอปานนั้น?”
“เหอะ ดูท่ามันจะดูถูกบรรพกาลราตรีเกินไปมาก เหตุนี้จึงหน้าแตกฟาดเข้าระฆังเต็มสูบ?”
…
แม้พวกเขาเหล่านี้จะไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองในลานประลองวงแหวน แต่พินิจจากลักษณะท่าทางการแสดงออกแล้ว ก็ยังสามารถอนุมานถึงทัศนคติของเจิ้งเจี้ยนในยามนี้ได้
ความหยิ่งผยองจองเดชนั้นไม่ว่าใครต่างก็รู้สึกได้แม้นจะผ่านภาพฉายก็ตาม
แม้ว่าอัจฉริยะที่เฝ้ามองอยู่ภายนอกเหล่านี้จะไม่ค่อยชอบพอเย่หยวนนัก แต่เพราะเย่หยวนเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถผ่านเข้าถึงรอบที่สิบแปดได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นตัวแทนของเหล่าอัจฉริยะทั้งหมด
ถึงเจิ้งเจี้ยนจะสามารถเอาชนะถึงขั้นสังหารเย่หยวนได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็มิอาจประมาทถึงขนาดนี้ได้
นี่เท่ากับตบหน้าตัวเองชัดๆ!
ภายใต้อิทธิพลทางจิตวิทยานี้ บรรยากาศผิดแปลกประหนึ่งว่าเจิ้งเจี้ยนถูกเย่หยวนตบแสกหน้าเข้าเต็มๆ แต่แล้วอย่างไร เขากลับรู้สึกโล่งใจราวกับได้รับการปลดปล่อยแทน
“ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ บรรพกาลราตรีชักจะแย่แล้ว! คู่ต่อสู้ในรอบที่สิบแปดนั้นทรงพลังมาก เขามิใช่คนที่คู่ต่อสู้ทั้งสิบเจ็ดคนก่อนหน้าเทียบเคียงได้เลยแม้แต่น้อย!”
ปาถู่เอ่ยกล่าวขึ้นในทันใด
สำหรับคำสันนิษฐานนี้ ติงฟานค่อนข้างเห็นด้วยเช่นกัน เขาพยักหน้ากล่าวว่า
“หากข้าคาดการณ์ถูกต้อง นี่คงถึงขีดจำกัดของบรรพกาลราตรีแล้ว ในขณะที่คู่ต่อสู้คนนี้ยังระงับระดับพลังไว้อยู่”
ปาถู่กล่าวขึ้นพร้อมหลากอารมณ์สนปรวนแปรนัก
“ข้าอยากเข้าไปดูให้เห็นกับตาเสียจริง นี่คือสุดยอดแห่งศึกสัประยุทธ์ในระดับชั้นจอมทัพปีศาจก็ว่าได้!”
…
เมื่อฟื้นคืนสู่อาณาจักรบรรพกาลพระเจ้าครึ่งขั้น กายาทั่วร่างของเจิ้งเจี้ยนพลันปลดปล่อยกลิ่นอายสุดน่าสะพรึงเกินหยั่งถึง
“พร้อมใจตายแล้วกระมัง?”
เจิ้งเจี้ยนเค้นหัวเราะเสียงเยียบเย็น ทันใดนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆพร่ามัวหายไป
คู่ดวงตาเย่หยวนหรี่ลงเล็กน้อย ทันทีทันใดเพลงดาบเมฆาลับแลก็พลันสำแดงออก ร่างของเขาหายวับในพริบตาเช่นกัน
ราวกับทั้งสองจางหายไปกับอากาศโดยตรง
เกร๊ง! เกร๊ง! เกร๊ง!
กลางห้วงแห่งความว่างเปล่าเสียงโลหะดังปะทะกึกก้อง ริ้วแสงประกายเย็น คมดาบเสียดชนก่อเกิดสะเก็ดไฟวูบวาบเป็นครั้งคราว
สองขั้วแนวคิดที่แตกต่าง หนึ่งเป็นแนวคิดแห่งห้วงมิติ ส่วนอีกหนึ่งคือแนวคิดแห่งวายุ การเคลื่อนไหวของทั้งคู่รวดเร็วผิดวิสัย ช่างดูน่าวิปลาสนัก
สำหรับเหล่ายอดฝีมือ เพียงความต่างของระดับพลังแค่เล็กน้อยกลับส่งผลกระทบร้ายแรงเกินจินตนาการ
“เร็วมาก! ข้าจับตามองร่างของทั้งคู่ไม่ทันเลย!”
“ปรากฏว่านี่คือจุดแข็งที่แท้จริงของพวกเขา! น่ากลัวเกินไปแล้ว!”
“แม้ข้าจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งแนวคิดได้รางๆ แต่ข้ามั่นใจยิ่งว่า ทั้งสองสามารถสังหารข้าได้ในพริบตาโดยใช้กระบวนเคลื่อนไหวเหล่านี้!”
“ข้าอยากรู้เสียจริงว่า ตอนนี้ใครกันที่กุมความได้เปรียบอยู่!”
…
ณ โลกภายนอก เหล่าอัจฉริยะพวกนี้ไม่สามารถจับสายตามองการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้ทันเลย สัมผัสจับได้เพียงเงาร่างไสวเป็นครั้งคราวเท่านั้น
การต่อสู้ดังกล่าวทำให้พวกเขาระทึกขวัญเจียนลืมหายใจ!
ถึงระดับชั้นจะเป็นจอมทัพปีศาจเหมือนกัน แต่ในแง่ความแข็งแกร่งกลับอยู่กันคนละโลก!
ปาถู่และติงฟาน ทั้งสองเผยสีหน้าสุดเคร่งขรึมยิ่ง ตลอดที่ผ่านมาจวบจนบัดนี้ พวกเขาเชื่อแล้วว่า ความแข็งแกร่งของเย่หยวนหาใช่สิ่งที่ทั้งสองจะเทียบเคียงได้จริงๆ
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ เย่หยวนใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติแทบตลอดเวลา
แต่ตอนนี้เย่หยวนเร่งเร้าสำแดงใช้แนวคิดแห่งห้วงมิติถึงขีดสุดแล้ว ร่างของเขาราวกับเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศได้อย่างอิสรเสรี
ด้วยความเร็วระดับนี้ของเย่หยวน หกบุตรแห่งกล้วยไม่อริยะกลับไม่มีใครสักคนที่สามารถมองตามความเร็วของเขาได้ทัน!
“อย่างงี้นี่เอง! ข้าเข้าใจแล้ว!! บรรพกาลราตรีหลอมรวมแนวคิดกับเต๋าแห่งดาบเอาไว้! นั้นจึงเป็นเหตุผลที่พวกเราไม่สามารถมองผ่านอ่านการเคลื่อนไหวของเขาออก!”
ทันใดนั้นเองปาถู่ที่นึกอะไรขึ้นได้พลันร้องอุทานเสียงดังลั่น
เสี้ยวอึดใจที่ความคิดนี้โฉบแล่นขึ้นมา เขาพลันขมวดคิ้วแน่นแทบจะในทันทีพลางระดมความคิดอย่างหนัก ก่อนเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าแสนฉงนใจขึ้น
“แต่…นั้นเป็นแนวคิดชนิดใดกัน? แนวคิดแห่งวายุงั้นรึ?”
“ไม่ใช่! นั้นคือแนวคิดแห่งห้วงมิติ!”
จู่ๆ ติงฟานก็เอ่ยขึ้นแทรกทันที
สายตาการจับจ้องของปาถู่ขมวดเข้มแลดูตั้งใจขึ้นหลายส่วน ก่อนจะโต้กลับไปทันทีว่า
“เป็นไปไม่ได้! แนวคิดแห่งห้วงมิติเป็นหนึ่งในสองแห่งสุดยอดแนวคิดที่ลึกลับที่สุด! เขาจะเข้าใจมันได้อย่างไร?”
ติงฟานเหลือบมองอีกฝ่ายเล็กน้อยและกล่าวอธิบายขึ้นอย่างใจเย็นว่า
“เจ้าลองสังเกตการณ์เคลื่อนไหวของบรรพกาลราตรีให้ดีๆ หนึ่งจังหวะก่อนปราดรุกถึงตัวคู่ต่อสู้ ร่างของเขากลับหายวับในพริบตา ไม่ทิ้งทวนหลงเหลือแต่กระทั่งร่องรอย นี่ราวกับว่าเขาอาศัยการข้ามผ่านห้วงมิติเพื่อรุกหน้าเคลื่อนไหว! มีเพียงแนวคิดแห่งห้วงมิติเท่านั้นที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้! แต่การเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้คนนั้นเองก็มิได้ช้ากว่าเลย แม้แต่ร่องรอยยังสามารถปกปิดได้อย่างแนบเนียน หากให้ข้าเดามันคงเป็นแนวคิดแห่งวายุ!”
สายตาของติงฟานค่อนข้างเฉียบคมมาก ศึกสัประยุทธ์ของสองใหญ่ที่รีดเร้นศักยภาพจนถึงขีดจำกัดเช่นนี้ เขาในฐานะผู้ชมยังสามารถมองผ่านอ่านการเคลื่อนไหวของทั้งคู่ได้อย่างเฉลียวฉลาด
ปาถู่เฝ้าสังเกตจับจ้องไม่วางตา ก่อนจะพบว่ามันเป็นอย่างที่ติงฟานบอกจริงๆ
แม้จะไม่สามารถจับร่างทั้งสองได้ แต่นั่นยังพอเหลือร่องรอยให้เขาวิเคราะห์ได้อยู่บ้าง
ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
“นี่…นี่เป็นไปได้อย่างไร? เจ้าเด็กคนนี้…เป็นสัตว์ประหลาดกระมัง?”
ปาถู่สูดเย็นแช่มลึกแสนหวั่นใจและเอ่ยกล่าวขึ้นมา
สีหน้าการแสดงออกของติงฟานเปลี่ยนไป ยามนี้ดูเคร่งขรึมถึงขีดสุด เขากล่าวว่า
“นี่จึงอธิบายได้ว่า ทำไมที่ผ่านมาเขาถึงสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้เหล่านั้นได้อย่างน่าประหลาด! กระบวนดาบของเขาดูเรียบง่ายและธรรมดามาก แต่ความจริงแล้ว กลับเป็นเราที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า! คมดาบนั้นเคลื่อนผ่านห้วงมิติพร้อมเข้าสังหารคู่ต่อสู้ในพริบตา!”
“ไม่น่าแปลกใจเลย! ไม่น่าแปลกใจ! ปรากฏว่าเขาสามารถจัดการคู่ต่อสู้ก่อนหน้าทั้งหมดได้ในพริบตา เพียงว่าเขากลับยืมพลังของคู่ต่อสู้เพื่อขัดเกลาคมดาบเท่านั้น! นี่…”
ทันทีทันใด ปาถู่พลันรู้สึกว่าผืนพิภพแห่งนี้ช่างน่าพิศวงยิ่งนัก
มีสัตว์ประหลาดสุดวิปลาสเช่นนี้อยู่บนผืนพิภพที่เขาดำรงอยู่ด้วยงั้นรึ? อายุดูอ่อยเยาว์กว่าพวกเขามากแต่กลับเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้แล้ว!?
ทันทีทันใด การต่อสู้ระหว่างทั้งสองบนภาพฉายพลันหยุดชะงักลง เผยให้เห็นร่างของทั้งคู่กลับมาให้เห็นอีกครั้ง
สีหน้าการแสดงออกของทุกคนพลันเปลี่ยนไปทันที
“บรรพกาลราตรีแพ้แล้ว?!”
“ตามที่คาดไว้จริงๆ เขาเสียเปรียบในเรื่องระดับพลังเกินไป!”
“แต่…แต่เขาที่สามารถทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าเหลือเชื่อมากแล้ว!”
“สัตว์ประหลาดเช่นเขาที่สามารถเข้าใจแนวคิดแห่งห้วงมิติได้ การันตีได้ว่าอนาคตของเขาจักต้องไร้ขีดจำกัด!”
…
ท่ามกลางภานฉายที่ปรากฏ จังหวะหายใจเย่หยวนยุ่งเหยิงไปหมด ทั่วร่างปกคลุมไปด้วยบาดแผลมากมาย ยามนี้เปรียบเสมือนลูกธนูแรงปลายที่แผ่วลงเสียแล้ว
ในทางตรงข้าม เจิ้งเจี้ยนกลับมิได้รับบาดเจ็บโดยสมบูรณ์
ศึกสัประยุทธ์นี้ดูเหมือนผลที่ออกมาจะไร้ข้อกังขาใดๆ
“เจ้าแพ้แล้ว ข้าขอยอมรับเลยว่าเจ้าแข็งแกร่งมาก ที่สามารถบังคับให้ข้าหยิบใช้พลังถึงแปดจากสิบส่วน เท่านี้ก็น่าภูมิใจมากพอแล้ว”
เจิ้งเจี้ยนเอ่ยกล่าวน้ำเสียงเยียบเย็น
เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหอบตระหนี่ดัง
“แปดในสิบส่วน? ไยถึง…ไม่ลองใช้สิบในสิบส่วนดูล่ะ?”
เย่หยวนไม่เคยคิดกังขาในวาจาคำกล่าวของเจิ้งเจียน อัจฉริยะแสนหยิ่งผยองเช่นเขา ไม่เคยกล่าวชื่นชมใครง่ายๆ และไม่มีทางโกหกแน่นอน
เจิ้งเจี้ยนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ไม่จำเป็น ในฐานะคู่ต่อสู้รอบนี้ ตราบใดที่เจ้าสามารถเอาชนะข้าที่สำแดงใช้พลังแปดในสิบส่วนได้ ก็ถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบ อย่างไรก็ตาม…เจ้ากลับไม่สามารถทำได้!”
เย่หยวนฉีกยิ้มกว้างเอ่ยขึ้นว่า
“หากข้ายังคงยืนยันบังคับให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดออกมาล่ะ?”
สายตาที่จับจ้องของเจิ้งเจี้ยนแปรเปลี่ยนดูเย็นชาขึ้นถนัดตา เขากล่าวตอบว่า
“ในกรณีนั้น เจ้าตายแน่นอน!”
สำหรับความแข็งแกร่งของเย่หยวนในปัจจุบัน เขาค่อนข้างชัดแจ้งดีแล้ว
ณ ปัจจุบัน ถึงเย่หยวนจะสำแดงใช้รุ่งเบิกอรุณและเพลงดาบเมฆาลับแลพร้อมกัน แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทะลวงผ่านปราการดาบของเจิ้งเจี้ยนได้อยู่ดี
พลังแห่งแนวคิดของเจิ้งเจี้ยนทรงพลังเกินไป และอาณาจักรพลังของเขายังอยู่สูงกว่าเย่หยวนอีก ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มีแต่แพ้กับแพ้!
“หึ หากเจ้าสามารถฆ่าข้าได้ก็อย่าได้ลังเล! จงสำแดงใช้พลังทั้งหมดออกมา ข้าขอดูเสียหน่อยว่า ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหน้าประวัติศาสตร์นิกายบัลลังก์ม่วง แท้จริงแล้วเป็นอย่างไร!”
เจิ้งเจี้ยนหรี่ตาลดแคบ แผดน้ำเสียงเยียบเย็นขึ้นว่า
“เจ้าตัดสินใจดีแล้วใช่ไหม?”
เย่หยวนเหวี่ยงดาบกระชับตั้งในแนวนอนพร้อมเอ่ยกล่าวน้ำเสียงมุ่งมั่นไม่ไหวติง
“ตัดสินใจดีแล้ว!”
เจิ้งเจี้ยนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า
“อัจฉริยะหลายคล้วนตายเพราะศักดิ์ศรีของตัวเอง และเจ้าเอง…ก็เช่นกัน! ในเมื่อแสวงหาความตายเองเช่นนี้…ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นเอง!”
คล้อยหลังกล่าวจบ เจิ้งเจี้ยนพลันระเบิดพลังเดือดปะทุ รัศมีกลิ่นอายของเขาแปรเปลี่ยนไปในทันที
“เพลงดาบตรัสรู้…สรรพสิ่งรู้แจ้ง!”
เจิ้งเจี้ยนแผดลั่นน้ำเสียงเย็นสะท้าน
สีหน้าการแสดงออกของเย่หยวนดูตกตะลึงยิ่ง ขณะอุทานขึ้นว่า
“สภาวะตัดชั่วฟ้า!”
……………………………………………