เฉินเทำหน้าอมทุกข์แล้วหันกลับไปหาซังหลินจวิน กัดริมฝีปากแน่น แล้วพยายามหักห้ามความกลัวไว้ “ฉัน เรากลับไปกินได้ไหม?”
“ทำไมล่ะ เรามาถึงแล้ว ถ้ากลับไป อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกชั่วโมงครึ่งเลยนะ” ซังหลินจวินจับมือเฉินเฉียวไว้แล้วพูดปลอบใจ
เฉินเฉียวคิดว่าเธอยอมอดทนหิวไปกินข้าวที่บ้านได้ แต่พอคิดได้ว่าซังหลินจวินอยู่เป็นเพื่อนเธอตั้งนาน แล้วเขาอยากกินข้าวข้างนอก เขาคงจะหิวจริงๆ แล้วหลินจวินก็ไม่ได้ชวนแบบนี้บ่อยๆปฏิเสธเขาคงไม่ค่อยดี
เธอจึงห้ามความกลัวในใจแล้วฝืนยิ้ม “งั้นเราเข้าไปเถอะ”
ถึงบอกว่าจะเข้าไป แต่ฝีเท้าของเฉินเฉียวกลับก้าวทีละครั้ง นี่ยังเดินไม่ได้สามก้าวด้วยซ้ำ
ซังหลินจวินเห็นเฉินเฉียวแปลกๆ เมื่อกี้มือก็เย็นอยู่แล้ว ตอนนี้เหงื่อออกอีก ริมฝีปากก็ซีด เห็นเฉียวเฉียวไม่กล้ามองพื้น ซังหลินจวินเลยเข้าใจว่าทำไมเฉียวเฉียวแปลกๆ
ตอนที่คบกันแต่ก่อน ทั้งๆสองคนไม่ค่อยได้ไปที่โรแมนติกไปเดตกัน ไปผจญภัยเที่ยวเล่น
เพราะฉะนั้นเลยไม่รู้ว่าเฉียวเฉียวกลัวความสูง
แต่เพราะรู้แบบนี้ ซังหลินจวินเลยนึกได้ว่า ที่โยว่อีกลัวความสูง ทีแรกคิดว่าเขางอแง ที่แต่เป็นกรรมพันธุ์นี่เอง
ในเมื่อกลัวก็ต้องเอาชนะความกลัว ซังหลินจวินเลยอุ้มเธอขึ้น แล้วเดินไปอย่างมั่นคง
จนกระทั่งไปถึงห้องที่จองไว้แล้ว ซังหลินจวินค่อยพูดกับเฉินเฉียวว่า “เฉียวเฉียว เธอมองเห็นกระเบื้องกระจกนั่นเลยคิดว่าถ้าเหยียบแล้วมันจะแตกใช่ไหม”
เฉินเฉียวรีบพยักหน้าให้
เห็นท่าทางที่อมทุกข์ของเฉินเฉียว ซังหลินจวินก็รู้สึกเป็นห่วง ฝ่ามือของเขาวางลงที่เส้นผมแล้วลูบปลอบใจเธอ
เขากดเสียงต่ำ ฟังแล้วดูอ่อนโยนมาก
“เฉียวเฉียว เธอไม่ต้องกลัวนะ มันแค่ดูเหมือนเป็นกระจก แต่ไม่ใช่กระจกจริงๆ นี่เป็นแค่เศวตศิลา มันเป็นหินอ่อนใสที่มีจุดสีขาวปนอยู่เหมือนเกล็ดหิมะ หินแบบนี้เจอยากมาก มีคนรู้น้อย เพราะฉะนั้นพื้นกระเบื้องใสๆนั้น เธอก็คิดว่าเดินบนหินปกติก็พอ”
พอหลินจวินอธิบายแล้ว เฉินเฉียวค่อยกล้ามองพื้น พอก้มมองแล้ว เธอค่อยเห็นจุดขาวๆเหมือนเกล็ดหิมะบนเศวตศิลา
ทีแรกในใจกลัว ต่อต้าน แต่กลับหายไปเพราะความมหัศจรรย์นี้
เฉินเฉียวรีบมองสำรวจพื้นก่อนที่พนักงานจะเข้ามา เธอเลยนั่งลงไปดู
“เกล็ดหิมะจริงๆด้วย หลินจวินนายหาที่นี่เจอได้ยังไงเนี่ย” เฉินเฉียวรู้ว่าเขาเป็นคนหมกมุ่นเรื่องงานไม่โรแมนติก ที่ที่โรแมนติกแบบนี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ก่อนมาเฉินเฉียวลองไปค้นหาร้านนี้แล้ว
ถึงคะแนนร้านอาหารจะสูง แต่เพราะข้อจำกัดต่างๆเยอะ ถึงจะมีชื่อเสียงในเมืองเป่ยเฉิง แต่คนที่ได้มากินจริงๆก็น้อยมาก
เพราะราคาที่นี่น่าตกใจมาก
แค่อาหารจานเดียวธรรมดาๆก็หลายร้อยแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะจองก่อนแล้ว เฉินเฉียวอยากลุกออกไปจริงๆ นี่เหมือนกำลังกินเงินชัดๆ
พนักงานที่ร้านยกอาหารมาเสิร์ฟเร็วมาก ตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เฉินเฉียวยังนั่งดูเกร็ดหิมะอยู่บนพื้นอยู่เลย
พอได้ยินสียงเคาะประตู เฉินเฉียวก็รีบลุกขึ้นมานั่งบนเก้าอี้
รอหลินจวินตอบว่าเข้ามาแล้ว เฉินเฉียวก็ทำหน้าตั้งตารอพนักงานเดินเข้ามา
จากนั้นเลยเห็นพนักงานหญิงเปิดประตูเข้ามา พนักงานแต่ละคนแต่งชุดยูนิฟอร์มเป็นระเบียบมาก
พนักงานชายห้าคนกับพนักงานหญิงห้าคนยืนเรียงกัน
หนึ่งในพนักงานหญิง ในมือเธอถือจานอาหารไว้ พอเข้ามาแล้ว เลยวางจานอาหารเครื่องถ้วยเปลือกไข่ไว้ที่ขอบโต๊ะ
รังนกที่ขาวเหมือนเกล็ดหิมะปรุงแต่งด้วยน้ำซุปสีใส
แค่เห็นก็อยากลองชิมแล้ว
เฉินเฉียวเข้าใจแล้วว่าทำไมซังหลินจวินต้องพาเธอมาที่นี่
แต่ก่อนร้านอาหารในโรงแรม ถึงจะเป็นโรงแรมห้าดาว แต่ถ้าเทียบกับร้านนี้ ก็เทียบกันไม่ติดจริงๆ
พอเสิร์ฟรังนกแล้ว จากนั้นก็ค่อยๆเสิร์ฟอาหารจานต่อๆไป
จนกระทั่งเสิร์ฟอาหารครบแล้ว ซังหลินจวินค่อยพูดด้วยสีหน้านิ่งเฉย “เรียบร้อยแล้ว ออกไปได้เลยครับ”
พนักงานที่กำลังจะพูดว่าทานให้อร่อยจำเป็นต้องกลืนคำพูดกลับไป
รอทุกคนออกไปแล้ว ซังหลินจวินค่อยเปลี่ยนสีหน้า
“เฉียวเฉียว เธอลองซุปรังนกนี่สิ รสชาติของร้านนี้ค่อยข้างดี ลองชิมดู” ซังหลินจวินยกถ้วยรังนกไปทางเฉินเฉียว
อาหารที่ซังหลินจวินพูดชม เฉินเฉียวอยากลองมาก อีกอย่าง แค่ตอนที่เธอเห็นอาหารจานนี้ก็ประทับใจแล้ว แต่แค่พนักงานที่นี่เอาแต่เสิร์ฟไปทางหลินจวิน เธอเลยทำได้แค่มอง
เฉินเฉียวใช้ช้อนตักรังนกขึ้นมาคำเล็กแล้วชิม รู้สึกสดใหม่อร่อยมาก แล้วรังนกก็มีประโยชน์มากด้วย
เฉินเฉียวไม่รู้สึกว่าเธอกินเงินอีก แต่เธอรู้สึกว่ากำลังกินทองต่างหาก
รอเฉินเฉียวกับซังหลินจวินกินที่ร้านเกล็ดหิมะอิ่มแล้ว อาหารบนโต๊ะก็เกือบหมดเรียบ
เฉินเฉียวรู้สึกแน่นท้อง แต่ก็ยังอยากกินอยู่
วินาทีนั้น เฉินเฉียวรู้สึกอิจฉานักกินมาก ถ้ากระเพาะเธอใหญ่แบบนั้น เธอก็จะได้กินของอร่อยๆเยอะๆ
เห็นจานอาหารที่ยังไม่ได้แตะ เฉินเฉียวอยากเอากลับมาก
ซังหลินจวินไม่ได้กินเยอะเหมือนเฉินเฉียว แต่เขาก็กินเยอะกว่าปกติ พอเห็นเฉินเฉียวเอาแต่เหลือบมองอาหานจานนั้น ในใจเลยแอบยิ้ม แต่ก็กลั้นยิ้มไว้ได้
เพราะเช็คบิลตั้งนานแล้ว ตอนที่กินเสร็จ เฉินเฉียวเลยเดินตามหลังซังหลินจวินไปที่ลิฟต์
“นี่ของอะไรเหรอ” เฉินเฉียวเอาแต่จ้องกล่องที่ซังหลินจวินถือไว้อย่างสงสัย
ทั้งๆที่ออกมาด้วยกัน ทำไมเธอไม่เห็นว่าซังหลินจวินซื้อของอย่างอื่น
ในใจเฉินเฉียวเลยสงสัยมาก
ซังหลินจวินยังไม่อยากบอกเธอเร็วขนาดนี้ แต่กลับพูดแกล้งว่า “รอกลับถึงบ้าน เธอก็จะรู้เอง”