เห็นชายที่กำลังจะตายอยู่บนเตียงผู้ป่วยตรงหน้า เย่หลินก็รู้สึกว่าความเกลียดชังได้หายไปจากใจหมดแล้ว
ตอนที่คุณน้าบอกให้เธอมา เธอก็คิดอยู่นาน บางทีอาจจะอยากได้คำตอบนั้นจึงไปดูเขา
เธอเรียกเกาไห่ให้มาด้วย แต่เกาไห่ปฏิเสธ
“คุณเหมือนเธอจริงๆเลย”
นี่คือสิ่งที่พ่อเกาพูดเป็นคำแรก
เป็นธรรมดาที่เย่หลินจะรู้ ว่าพ่อเกาหมายความว่าอะไร เม้มปากพูดว่า “ฉันอยากรู้ว่า ในตอนนั้นระหว่างคุณกับแม่ของฉัน มันเกิดอะไรขึ้น?”
พ่อเกาตกตะลึง แล้วหัวเราะสองที จากนั้นก็ไออย่างรุนแรง สักพักพ่อเกาจึงพูดขึ้นว่า “เธอเป็นพี่สะใภ้ของฉัน คุณว่าเราจะสามารถเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้ล่ะ?”
“เช่นนั้นทำไมแม่ของฉันจะได้หนีไปไกลขนาดนั้น?” นี่คือเรื่องที่เธออยากรู้มาตลอด ว่าในตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“ก็ไม่ทำไมหรอก? เธอแค่อยากให้ช่วงชีวิตสุดท้ายของพ่อคุณมั่นคงปลอดภัยขึ้นหน่อย……” พูดถึงตรงนี้ เขาก็สูดลมหายใจเข้า แล้วค่อยๆพูดต่อว่า : “จนเธอได้ยินฉันบอกว่า ฉันเห็นด้วยที่จะบริจาคตับให้พ่อของคุณ ฉะนั้นเธอจึงยอมมีเกาไห่ให้ฉัน นี่น่าจะเป็นสิ่งที่คนอยากจะรู้ใช่ไหม?”
พ่อเกาพูดจบก็หยุดไปชั่วขณะ เพราะว่าเขาคิดอะไรอยู่ การหายใจจึงเปลี่ยนเป็นถี่ขึ้นเล็กน้อย “แต่ต่อมา เขาก็ตาย”
เย่หลินสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้ว “ฉะนั้น พ่อฉันตายตั้งแต่ฉันอายุได้หนึ่งขวบใช่ไหม?”
พ่อเกากะพริบๆตาบอกให้รู้เป็นนัย
ถ้าอย่างนี้ก็เข้าใจได้ ว่าเพราะอะไรแม่จึงมีรูปนั้น
“อย่างนั้นทำไมแม่ฉันถึงให้ฉันอุ้มบุญล่ะ?”
พ่อเกาเงยหน้ามองเย่หลิน “เพื่อพี่ชายของคุณ แม่คุณทำเพื่อพี่ชายของคุณ เพื่อเกาไห่ เรื่องนี้ คุณไม่ได้รู้แล้วเหรอ?”
เย่หลินแค่รู้สึกอึดอัดใจ ได้รู้ได้ฟังกับตัวเอง ก็คิดได้สองแบบ
เธอคิดว่าแม่รักเธอมาก แต่ไม่คิดว่า ในสายตาแม่ เธอจะเป็นแค่เครื่องมือเท่านั้น
เธอหลับตา “คุณพักผ่อนเถอะ”
พูดจบก็หันกลับเตรียมออกจากห้องผู้ป่วยไป
เมื่อจะกลับออกไป ก็ได้ยินเสียงทุ้มของชายคนนั้นจากด้านหลัง
“เย่หลิน ลุงต้องขอโทษคุณ แล้วก็ขอโทษแม่คุณกับเกาไห่ด้วย เรื่องที่เกิดขึ้นกับแม่ของคุณในตอนนั้น เป็นอาสะใภ้ของคุณทำ เพราะหมอบอกว่า ตลอดชีวิตเธอสามารถท้องได้แค่ครั้งเดียว เธอจึงอยากมีลูกชาย ดังนั้นต้องขอโทษพวกคุณด้วย อีกอย่าง อันที่จริงเธอก็เสียใจอย่างมาก ที่ให้คุณไปแทนที่เสี่ยวเหวิน”
เย่หลินกัดริมฝีปาก มองพ่อเกาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ท้ายที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไร ใช้ชีวิตผ่านมาครึ่งชีวิตแล้ว เรื่องราวเหล่านี้ เธอเพียงแค่อยากจะเข้าใจ แต่ไม่อยากไปคิดเล็กคิดน้อยอะไร
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ข้างๆประตูรถ เห็นสีหน้าเธอไม่ค่อยดี จึงเดินเข้าไปโอบเอวเธอ “สีหน้าไม่ค่อยดีเลย คุยอะไรกันเหรอ?”
ก่อนหน้านี้หนิงเส่าเฉินบอกว่าจะตามขึ้นไปด้วย เย่หลินคิดว่าไม่ควรจะเปิดเผยเรื่องราวที่น่าอับอายขายหน้าของคนในบ้าน ต่อให้เป็นลูกเขย เธอกลัวว่าเขาจะได้ยินเรื่องราวที่ไม่ดีของแม่ด้วย ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธไป
“ไปกันเถอะ” เย่หลินไม่ได้ตอบเขา แต่หลังจากขึ้นรถไป ท้ายที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะบอกความจริงกับหนิงเส่าเฉิน
“เรื่องก่อนหน้านี้มันผ่านไปแล้ว” หนิงเส่าเฉินหยุดไปชั่วขณะ แล้วก็เอ่ยขึ้น
เย่หลินพยักๆหน้า
หันไปมองหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน เราไปดูเหลียงกั้วอันกันไหม?”
หนิงเส่าเฉินเหลือบมองเธอ แล้วเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว
“ทำไมจู่ๆถึงอยากไปเยี่ยมเขาล่ะ?”
ครั้งที่แล้วที่เจอกัน ก็เมื่อหลายปีก่อน อันที่จริงเย่หลินเพียงแค่ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเขาอย่างไรแต่วันนี้เห็นพ่อเกาแล้ว เธอก็ตระหนักถึงความกตัญญูอีกครั้ง ถ้ามาไม่ทันเวลา ก็อาจจะสายเกินไป
“ฉันเพิ่งรู้ว่า เขาน่าจะรักแม่ของฉันจริงๆ รู้ทั้งรู้ว่าในใจของแม่ฉันมีเพียงพ่อของฉัน แต่เนิ่นนานหลายปีขนาดนี้แล้วก็ไม่ยอมล้มเลิก สองปีนั้นที่พ่อฉันจากไป ฉันคิดว่า ถ้าไม่มีเขา ความเป็นอยู่ของพวกเราแม่ลูก ก็จะต้องยากลำบากอย่างแน่นอน”
หนิงเส่าเฉินตอบ”อืม”คำหนึ่ง
เพียงแต่เห็นเธอขับรถมายังเขตเมือง เย่หลินก็งุนงงเล็กน้อย “นี่คือจะไปไหน?”
“เขาเกษียณแล้ว ฉันมีธุระเล็กน้อยแล้วเดินทางผ่านที่นั่นเมื่อหลายเดือนก่อน เลยถือโอกาสเข้าไปเยี่ยมเขา”
เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน “เรื่องนี้ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันล่ะ?”
พอดีติดไฟแดง ชายหนุ่มจอดรถ แล้วหันหน้าไปมองเย่หลิน “ฉันคิดว่าคุณคงไม่อยากรู้หรอก”
รถเดินทางมาได้สิบกว่านาที เมื่อเย่หลินเห็นบ้านที่อยู่ตรงหน้า ขอบตาก็แดงก่ำ เพราะว่า บ้านหลังนี้สร้างตามบ้านที่อยู่ในเมืองSเมื่อปีนั้นทั้งหมด รวมทั้งต้นไม้นั้นที่อยู่หน้าประตู รวมทั้งภาพวาดที่อยู่ที่ประตูนั้น
ต้นไม้ต้นนั้น คือต้นไม่ที่เธอปลูกกับเขาเมื่อตอนยังเด็ก เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ยิ่งแปลกใจอย่างมาก เพราะด้านบนมีการสลักส่วนสูงของเธอเอาไว้ด้วย นี่เขาน่าจะย้ายจากเมืองSมาปลูกใหม่
เดินมาถึงหน้าประตู บนประตูนั้นคือภาพที่แม่ของเธอวาด สีสันดูเก่าไปไม่น้อย แต่ดูอบอุ่นใจอย่างมาก
หนิงเส่าเฉินยกมือขึ้นกำลังเตรียมจะเคาะประตู แต่ประตูถูกดึงเปิดจากด้านใน
เมื่อเห็นเย่หลินและหนิงเส่าเฉิน บนใบหน้าของเหลียงกั้วอันก็แสดงความประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็เก็บความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ “เย่จึ คุณ……คุณมาได้อย่างไร? มา รีบเข้ามาเร็ว”
เย่หลินพยักหน้ากับเขา เดินเข้าไปในบ้าน ฉากที่คุ้นเคยในความทรงจำ ก็ปรากฏขึ้นมาในสมอง
“พ่อ คุณกลับมาแล้วเหรอ? ฉันคิดถึงคุณจังเลย”
“พ่อ คุณซื้อกระเป๋าหนังสือให้ฉันอีกแล้วเหรอ?”
“พ่อ นี่คือรางวัลแรกที่คุณให้ฉันเหรอ?”
“พ่อ……”
อันที่จริงถึงแม้ว่าพ่อเหลียงจะไม่ได้ดีกับเธอเป็นพิเศษ แต่ขออะไรไปก็ให้ตามที่ขอ ปฏิบัติดีกับเธอ ตอบรับเธอมาโดยตลอด ตอนเด็กๆ ในใจของเธอ พ่อเหลียงดีกว่าแม่ของเธอมาก
เพราะว่า เขาเล่นเกมกับเธอได้ เขาสามารถหยอกล้อกับเธอได้ แล้วก็สามารถให้คำปรึกษาเรื่องบางเรื่องกับเธอได้ ไม่เหมือนกับแม่ของเธอ แต่ไหนแต่ไรมีแค่การแสดงออกทางอารมณ์
“พ่อ…..”
เย่หลินเอ่ยปาก เธอเห็นม่านน้ำตาบางๆในดวงตาของพ่อเหลียง
“เฮ้ อย่ายืนอยู่เลย คุณนั่งลงๆ เดี๋ยวฉันจะให้คุณจางไปซื้ออาหารสักหน่อย ทานอาหารเที่ยงกับฉันที่นี่นะ ฉัน…..พ่อจะทำอาหารที่คุณชอบให้คุณทาน”
เย่หลินคิดจะปฏิเสธ แต่หนิงเส่าเฉินจับมือของเธอเอาไว้ สุดท้าย เธอจึงพยักหน้า “ค่ะ”
คนแก่แล้ว จึงยิ่งชอบคิดถึงอดีต เมื่อเย่หลินเห็นฉากที่คุ้นเคยภายในบ้านนี้ ก็ทำให้เธอแน่ใจอีกครั้งว่า พ่อเหลียงยังคงรักแม่อยู่เหมือนเดิม
ทานอาหารที่พ่อเหลียงทำให้แล้ว ก็เป็นเพื่อนพูดคุยกับเขาครู่หนึ่ง เย่หลินก็ไม่มีเรื่องจะพูดแล้ว ดังนั้น สุดท้ายก็เป็นหนิงเส่าเฉินที่พูดคุย คนทั้งสองคุยกันเรื่องธุรกิจ คุยเรื่องที่รู้กันอยู่สองคน เย่หลินก็ได้แต่มองพวกเขา
เมื่อตอนจะจากไป พ่อเหลียวมองเย่หลิน “มีเวลา ก็กลับมาเยี่ยมบ้านบ่อยๆนะ”
เย่หลินพยักหน้า “ค่ะ”
“ซู……ซูหย่ามาแล้ว”
ซูหย่าพยักหน้า แล้วส่งสายตาให้เด็กทั้งสองคน “กล่าวทักทายหน่อยสิ”
“สวัสดีคุณปู่”
“สวัสดีคุณปู่
จากนั้นซูหย่าก็เห็นพ่อเซียวหันกลับไปเช็ดน้ำตา
คนที่ใกล้จะตาย จิตใจล้วนดีไปหมด เธอคิดได้แค่นี้
เมื่อเซียวอู๋มา พวกเขากำลังจะทานข้าว สีหน้าการแสดงออกของเขาเฉยเมยอย่างมาก เหมือนเลิกงานกลับบ้านปกติ มาหอมแก้มลูกทั้งสองคน
จากนั้นก็พยักหน้าให้พ่อแม่ แล้วไม่ได้พูดอะไร
แต่ซูหย่าเห็นมือของพ่อเซียวสั่นเล็กน้อย
คฤหาสน์ตระกูลเซียววันนี้ ไม่มีคนอื่น มีเพียงพ่อเซียวแม่เซียวและครอบครัวของพวกเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะความทรงจำที่ไม่ดี ซูหย่าจะคิดว่า นี่เป็นครอบครัวที่มีความสุขครอบครัวหนึ่ง
แต่ว่า……
เมื่อทานอาหารใกล้เสร็จ พ่อเซียวก็ส่งสายตาให้แม่เซียว แม่เซียวเดินเข้าห้องไป หยิบซองเอกสารเดินออกมา
ส่งให้เซียวอู๋ ดูเหมือนว่าเซียวอู๋จะรู้ว่ามันคืออะไร จึงไม่ได้รับไว้ ซูหย่าเห็นเช่นนั้นจึงยื่นมือไปรับ “แม่ นี่คืออะไรเหรอ?”
ได้ยินซูหย่าเรียกตนเองว่าแม่ สายตาแม่เซียวก็เป็นประกายขึ้นมา รีบพูดว่า “นี่คืออสังหาริมทรัพย์ของตระกูลเซียวในทุกๆแห่ง พ่อของคุณเก็บไว้ 60% ให้กับคุณกับเสี่ยวหวู่……”
ถึงแม่ซูหย่าจะไม่ได้ตั้งใจถามว่าอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อของตระกูลเซียวมีเท่าไหร่ ในภาพความทรงจำ พี่ใหญ่แค่เตรียมนัดดูตัวให้เธอกับเซียวอู๋ บอกว่าภูมิหลังครอบครัวค่อนข้างดี
คิดแล้ว 60%ก็น่าจะไม่เลวเลยแหละ
หลังจากแต่งงาน ถึงแม้เงินเดือนเธอจะไม่น้อย แต่ต้องเลี้ยงดูลูกสองคน เซียวหวู่ แม้ว่าจะเป็นข้าราชการระดับสูง อยากจะอยู่สบายในเมืองชั้นหนึ่งอย่างเมือง Cนี้ บางครั้งพวกเขาก็ต้องพึ่งพาพ่อแม่ฝ่ายหญิงในด้านทุนทรัพย์บ้าง โชคดีที่เซียวอู๋ให้บัตรเงินเดือนแก่เธอ ก็เลยไม่ต้องไปยุ่งกับครอบครัว ฉะนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์ปัจจุบันของครอบครัวพวกเขา แล้วครอบครัวเธอก็คงไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ มิเช่นนั้นเธอกลัวว่าเขาจะไม่สบายใจ
เวลานี้จู่ๆทรัพย์สินเหล่านี้ก็ตกใส่หัวพวกเขา พูดตามความจริงซูหย่าก็ใจสั่นเล็กน้อย
แต่เธอยังคงเต็มใจที่จะเชื่อฟังเซียวอู๋ ถ้าเซียวอู๋ไม่ต้องการ ทรัพย์สินจะมากแค่ไหน เธอก็ไม่โลภมาก
การเคี้ยวของเซียวอู๋ช้าลงเล็กน้อย เขาคีบอาหารใส่ถ้วยซูหย่า “ให้คุณ ก็รับไว้เถอะ”
ซูหย่าประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าพ่อเซียวกับแม่เซียวโล่งอก
“ใช่ เสี่ยวหย่า คุณรับไว้เถอะ” แม่เซียวรีบพูดต่อว่า “ฉันจะให้ทนายความไปที่สำนักงานของเซียวอู๋ในวันพรุ่งนี้ เพื่อทำระเบียบการขั้นตอน”
เซียวอู๋สูดลมหายใจเข้า วางตะเกียบในมือลง ทว่าสายตาไม่ได้เคลื่อนย้าย ยกซุปขึ้นดื่ม “เขียนชื่อซูหย่าเถอะ”
ซูหย่าร้อง”ห๊ะ”ออกมา “เขียน……เขียนชื่อฉัน?”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ทรัพย์สินร่วมกันของสามีภรรยา เขียนชื่อใคร มันจะต่างกันเหรอ?”
แม่เซียวดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของเซียวอู๋ จึงมองซูหย่า “ใช่สิเหมือนกันนั่นแหละ เสี่ยวหวู่เขางานยุ่ง อย่างนั้นเช้าพรุ่งนี้ เสี่ยวหย่าฉันจะให้ทนายไปหาคุณ”
พูดขนาดนี้แล้ว ซูหย่ายังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ?
เธอพยักหน้า “ได้ อย่างนั้นก็ขอบคุณ……คุณพ่อ แล้วก็คุณแม่ด้วย”
มื้ออาหารนี้ ถึงแม้ว่าเซียวอู๋จะไม่ได้เรียกพ่อแม่ตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็สามารถทำให้เขามาที่บ้านได้อีกครั้ง คู่สามีภรรยาดีใจมาก ที่เขารับทรัพย์สินส่วนแบ่งนั้น ความรู้สึกผิดในใจจึงเบาบางลงมาก
กลับบ้านมาตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่ในอ้อมกอดของเซียวอู๋ “เสี่ยวหวู่ ฉันคิดว่า คุณจะไม่ต้องการมัน”
เซียวอู๋จับมือของซูหย่า จูบลงบนริมฝีปาก เงียบอยู่นาน จึงค่อยๆพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “ไม่ดีนักที่จะให้พ่อตาแม่ยายใช้จ่ายสิ้นเปลือง จะว่าไปทรัพย์สินของตระกูลเซียว ฉันก็อุ่นใจ อีกอย่างหนึ่ง รับมาแล้วเขาจะได้ตายไปอย่างสบายใจหน่อย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รับ”
ซูหย่าลุกขึ้น เธอมองเขาอย่างประหลาดใจ “เสี่ยวหวู่ คุณ……คุณรู้ทั้งหมดเลยเหรอ?”
เซียวอู๋พยักหน้า ถอนหายใจเล็กน้อย “ติดตามฉัน ทำให้คุณต้องลำบากเลย” พูดจบ มือใหญ่ก็ลูบที่แก้มของเธอเบาๆ
ซูหย่าส่ายหน้า “ไม่ลำบากหรอก เสี่ยวหวู่ ฉันรู้ว่า คุณมีหลายวิธีมากที่สามารถหาเงินได้ แต่ฉันไม่อยากให้คุณทำลายอนาคตของตัวเองแบบนั้น ดังนั้น ฉันจึงยินยอมพร้อมใจ คุณก็รู้ว่า ฉันไม่ได้เหมือนคนทั่วๆไป ถ้าคุณไม่ต้องการเงินนี้ ต่อไป ฉันก็จะไม่รับเงินจากบ้านพ่อแม่ พวกเราจะขยันขันแข็งหากันเอง อาจจะผ่านช่วงที่ยากลำบากหน่อย แต่ฉันไม่อยากให้คุณทำเพราะเรื่องนี้ แล้วต้องรับในสิ่งที่คุณไม่เต็มใจจะรับ…….”
ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชายหนุ่มจูบอย่างลึกซึ้ง
เซียวอู๋คิดว่าตนเองมีดีอะไรกัน ถึงได้สามารถแต่งงานกันผู้หญิงแบบนี้ เซ่อขนาดนี้…..
เวลานี้ เขาคิดว่า บั้นปลายชีวิต เขาจะต้องปฏิบัติต่อเธอให้ดียิ่งขึ้น
หลังจากการจูบอันยาวนานจบสิ้นลง
“พรุ่งนี้ไปเอามันกลับมา นี่คือสิ่งที่พวกเขาใช้เพื่อมาชดใช้ความผิด ถ้าไม่เอา ก็จะเป็นการไม่ดี”
ซูหย่าพยักหน้า “โอเค ฉันเชื่อคุณ”
เพียงแต่ วันต่อมา เมื่อเห็นกองสัญญาเอกสารที่ยกให้ปึกนั้น ซูหย่าก็ต้องตื่นตระหนก เธอหาข้ออ้างไปห้องน้ำ แล้วโทรศัพท์ไปหาเซียวอู๋
“เสี่ยวหวู่ ทำไมครอบครัวคุณถึงได้รวยขนาดนั้น ฉัน…..ฉันไม่กล้าเซ็นลงนามแล้ว”
สิทธิ์ถือหุ้นโรงแรมกว่าสามสิบแห่ง อาคารสูงเจ็ดแห่ง แล้วก็ร้านค้าและห้องชุดวิลล่ากว่าร้อยแห่ง แต่นี่เป็นเพียง60%ของตระกูลเซียวเท่านั้น
เธอสูดลมหายใจเข้า ที่แท้ ตัวเองก็ได้แต่งงานกับทายาทเศรษฐี
“เซ็นไปเถอะ ต่อไป เห็นกระเป๋าแล้ว จะได้ไม่ต้องมองตาปริบๆ”
ซูหย่าปิดปาก เธอไม่เคยรู้มาก่อนเลย ที่แท้ เสี่ยวหวู่ของเธอจะเอาใจใส่เธอแบบนี้ แม้กระทั่งของที่เธออยากได้ ก็จดจำใส่ใจ
อนาคตต่อไป ซูหย่าก็จะกลายเป็นหญิงมหาเศรษฐีที่มีรายชื่อติดอันดับ
ทุกคนต่างบอกว่า เซียวอู๋แต่งเข้ามา ภรรยาร่ำรวยอย่างมาก
เวลานั้น เธอจึงได้รู้ว่า เมื่อตอนที่เธอเซ็นสัญญา เซียวอู๋ให้ทนายความหลอกเธอ เซ็นเอกสารสัญญาพิเศษฉบับหนึ่ง เนื้อหาคือ ถ้าในอนาคตเซียวอู๋หย่าร้างกับซูหย่า ทรัพย์สมบัติที่มีทั้งหมดนี้ จะต้องตกเป็นของซูหย่าทั้งหมด
เมื่อรู้ถึงการมีอยู่ของเอกสารฉบับนี้ ซูหย่าก็แทบจะไม่ร้องไห้เลย
เธอรู้ว่า นี่คือความรู้สึกมั่นคงที่สุดที่เซียวอู๋มอบให้กับเธอ
ซูหย่าคิดว่าตนเองมีดีอะไรกัน ถึงได้สามารถแต่งงานกับผู้ชายแบบนี้ ซื่อบื้อแบบนี้…..
เวลานี้ เธอคิดว่า บั้นปลายชีวิต เธอจะต้องปฏิบัติต่อเขาให้ดียิ่งขึ้น
เมื่อพ่อเซียวจากไป เซียวอู๋ก็ได้ออกไปปฏิบัติงานนอกสถานที่ ซูหย่าพาลูกทั้งสองไปบ้านตระกูลเซียว แต่ไม่สามารถไปเจอหน้าเขาได้ทันเวลา
เธอโทรหาเซียวอู๋ เซียวอู๋สงบนิ่งอย่างมาก แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง
ซูหย่ารู้ว่า เขาคนนี้ยิ่งเป็นทุกข์ ก็ยิ่งไม่แสดงออก
“ถ้าคุณไม่อยากกลับมา ก็ไม่ต้องกลับมา พ่อบอกว่า เขาเข้าใจความรู้สึกคุณ”
เซียวอู๋ตอบ”อืม”อีกคำหนึ่ง
แต่สุดท้ายเขาก็ยังกลับมา ขณะฝังศพพ่อเซียววันนั้น
ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขายืนอยู่หน้าหลุมฝังศพ ไม่ได้คุกเข่า แต่ทุกคน ไม่มีใครกล้าต่อว่าเขาแม้แต่คนเดียว หนึ่งคืออำนาจและอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ สองคือ คนที่รู้จักต่างก็รู้ว่าพ่อเซียวรู้สึกขอโทษลูกชายคนนี้
หลังจากกลับไป เซียวอู๋ก็เป็นไข้ ป่วยจากการตากฝน
ตอนที่เป็นไข้ละเมอ เขาดึงมือของซูหย่า พูดพึมพำว่า “พ่อ คุณอย่าทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวอีกเลยนะ”
ซูหย่ารู้สึกสงสารอย่างยิ่ง
ทางด้านแม่เซียวหลังจากที่พ่อเซียวจากไปได้หนึ่งปีกว่า ด้วยอาการเลือดออกในสมอง จึงเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาล
ตั้งแต่นั้นมา เซียวอู๋ก็ไม่มีครอบครัวแล้วจริงๆ
ซูหย่าพูดถึงเรื่องนี้กับปี๋ไค ปี๋ไคก็ถอนหายใจอย่างแรง กงเกวียนกำเกวียนจริงๆ กรรมนั้นย่อมสนองแน่ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา
ณ วันหนึ่ง
“เสี่ยวหวู่ ทำไมตอนแรกคุณถึงมาชอบฉันขนาดนั้นล่ะ?”
สายตาชายคนนั้นค่อยๆเลื่อนขึ้นมาจากเอกสารบนโต๊ะ แล้วมองซูหย่า “เพราะกลัวว่าจะตกหลุมรัก”
มือที่ถือกาแฟของหญิงคนนั้นสั่นเล็กน้อย
“คุณพูดอะไร?”
ริมฝีปากชายคนนั้นเม้มเป็นเส้นตรง “ครั้งแรกที่เจอกัน คุณรวบผมทัดหูหกครั้ง กัดริมฝีปากเก้าครั้ง มองฉันสิบสองครั้ง”
ซูหย่าอ้าปากค้าง “คุณ……”
“คนสวยๆที่สามารถเป็นเพื่อนกับเล่อจยาได้ นิสัยก็น่าจะไม่ได้แย่ แต่คุณเป็นคนที่พวกเขาแนะนำให้ ฉันเลยไม่เต็มใจที่จะสนิทสนมด้วย”
นิสัยเซียวอู๋อันที่จริงเป็นคนคนเงียบ จึงไม่ค่อยพูดอย่างนี้กับเธอ
ฉะนั้นหลายปีมานี้ ซูหย่าคิดมาตลอดว่าตนเองตกหลุมรักเซียวอู๋ข้างเดียว เธอคิดแบบนี้มาตลอด บางเวลาเธอถึงขั้นคิดว่า เซียวอู๋เพียงแค่ซาบซึ้งในบุญคุณของเธอ ไม่ใช่ความรัก
ซูหย่าวางกาแฟลงบนโต๊ะ เดินเข้าไป กอดคอเซียวอู๋จากด้านหลัง “คุณ ทำไมคุณไม่เคยบอกสิ่งเหล่านี้กับฉันเลยล่ะ?”
เซียวอู๋ออกแรงเล็กน้อย ดึงซูหย่ามานั่งบนตัก
“กลัวว่าคุณจะอวดเก่งเกินไป”
“ไอ้บ้า”
เซียวอู๋จูบลงบนหน้าผากซูหย่า “อันที่จริงฉันก็แค่หาโอกาสมาได้”
พูดจบก็มองเธอ “คุณ ดึกขนาดนี้ไม่หลับไม่นอน มาหาฉันไม่ได้เพื่อจะฟังสิ่งเหล่านี้ใช่ไหม?”
“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของพ่อ เรากลับไปที่บ้านกันไหม?”
“วันเกิดของพ่อ? เดือนที่แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณมีพ่อกี่คนเนี่ย?” ชายคนนั้นพูดจบก็ยื่นมือไปจับเอวของเธอ
หญิงคนนั้นกดมือใหญ่ของเขาไว้ ออกแรงตีเล็กน้อย “คุณว่าฉันมีพ่อหลายคนเหรอ? พูดจบก็มองชายคนนั้นตาปริบๆ
เธอเห็นลูกกระเดือกชายคนนั้นกลิ้งขึ้นลง
โดยปกติแล้วที่เขาแสดงแบบนี้ มีแค่สองอย่างที่เป็นไปได้ คือหนึ่งมาจากกายภาพ อีกอันหนึ่งมาจากจิตใจ
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอย่างหลัง
ตั้งแต่ทั้งสองคนแต่งงานกันอีกครั้ง เธอก็ไม่เคยไปที่ตระกูลเซียวเลย แน่นอนว่าเธอรู้เรื่องที่พ่อแม่ทิ้งเขาไปในตอนนั้น มันไม่เคยลบออกจากใจไปได้ ฉะนั้นปลายปีมานี้ เธอจึงไม่เคยบีบบังคับเขาเลย
แต่ว่า……
“เสี่ยวหย่า แม่รู้ว่าตอนนี้จะมาพูดคำนี้กับคุณ คุณจะลำบากใจเล็กน้อย แต่พ่อคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกินสามเดือน ช่วงนี้เขาพูดถึงเซียวอู๋อยู่บ่อยๆ ถึงแม้ว่าฉันจะอยู่ด้วยกันกับเขามาตลอดชีวิต แต่ว่าแก่แล้ว ฉันก็มองออกว่าจิตใต้สำนึกของเขารู้สึกติดค้างกับเสี่ยวหวู่ แม่ก็เช่นกัน ตลอดชีวิตนี้รู้สึกผิดต่อลูกคนนี้มาก”
คำพูดของคุณนายเซียวดังก้องอยู่ในหูซูหย่า
“คุณอย่าบอกเสี่ยวหวู่นะว่าพ่อเขาป่วย คุณบอกว่าเป็นวันเกิดของพ่อ เสี่ยวหย่า ขอร้องคุณล่ะ”
อันที่จริงซูหย่าไม่อยากช่วยสามีภรรยาตระกูลเซียวเลย เรื่องราวในตอนนั้น ไม่ใช่แค่เซียวอู๋ที่เกลียดพวกเขา เธอก็เกลียด เธอไม่กล้าจินตนาการว่าเสี่ยวหวู่ใช้ชีวิตในวัยเด็กของเขาอย่างไร เธอกลัวว่าตนเองจะเจ็บปวดใจจนเสียสติไป ฉะนั้นเธอก็อยากให้บ้านที่อบอุ่นแก่เขา
เธอจึงตอบรับคุณนายเซียวไป เธอไม่อยากให้ในอนาคตเซียวอู๋ต้องเสียใจเพราะรู้สึกผิด
“เรื่องนี้ คุณไม่ต้องยุ่งหรอก” เสียงที่มีเสน่ห์ของเซียวอู๋ดังขึ้นข้างๆหู
ซูหย่ารู้อยู่แล้วว่าจะต้องพูดอย่างนี้ เธอคิดๆดูแล้ว ก็พูดความจริงออกมา “พ่อคุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย มีชีวิตอยู่ได้นานสุดไม่เกินสามเดือน” หลังจากพูดจบ เธอก็จ้องมองเซียวอู๋
สีหน้าเขาสงบนิ่งอย่างมาก แต่แววตาเหมือนคลื่นลมที่ถาโถมเข้ามา
ซูหย่าอ้าอ้อมแขนเธอ แล้วโอบกอดเขา “เสี่ยวหวู่ ถ้าคุณอยากร้องก็ร้องออกมาเลย”
ชายหนุ่มอิงแอบอยู่ในอ้อมกอดของเธอ พอดีที่ก้มลงในตำแหน่งหน้าอกของเธอ ซูหย่าไม่ได้สนใจ จนกระทั่งมือของชายหนุ่มยื่นเข้าไปจากชายเสื้อ
เธอจึงตกใจ
“เสี่ยวหวู่….” คำพูดอยู่ในปาก แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าวิธีนี้จะสามารถทำให้เขาได้ปลดปล่อยอารมณ์ออกมาได้ เธอจะใจร้ายปฏิเสธได้อย่างไร
กลางดึก เมื่อซูหย่าตื่นขึ้นมา ข้างๆเตียงก็ไม่มีเงาของเซียวอู๋แล้ว ได้ยินเสียงเบาๆดังเข้ามาจากด้านนอก ช่วงนี้เด็กทั้งสองปิดเทอม พ่อแม่ของเธอจึงรับไปตระกูลซู ดังนั้น ในบ้านก็มีเพียงเธอและเซียวอู๋
คิดๆแล้ว เธอก็ลุกขึ้นเดินไปด้านนอก เห็นชายหนุ่มนั่งอยู่ที่ระเบียง ดื่มเหล้าแก้กลุ้มอยู่คนเดียว ซูหย่ารู้ว่าเซียวอู๋เขาไม่ชอบดื่มเหล้า หลายปีมานี้ เขาที่เป็นแบบนี้ เป็นครั้งแรกที่ซูหย่าได้เห็น
เธอเปิดประตูกระจกของระเบียง เดินออกไป นำเสื้อโค้ตที่ถือมาคลุมไหล่ของเขา “ดื่มเหล้าคนเดียวน่าเบื่อจะตาย ดื่มด้วยกันเถอะ”
“ทำให้คุณตื่นเหรอ?”
หญิงสาวยกขวดเหล้าขึ้นแล้วรินใส่ปากโดยตรง ดื่มอย่างรวดเร็ว จนสำลักไอขึ้นมาเล็กน้อย
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอย่างจนปัญญา ตบหลังให้เธอเบาๆ “ใครจะแย่งคุณดื่มห๊ะ?”
ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “ไม่ได้ดื่มนานมาก ดื่มยากจัง”
ชายหนุ่มแย่งขวดเหล้าจากในมือของเธอมา “พอแล้ว ไม่ต้องดื่มแล้ว ไปนอนเถอะ”
ซูหย่าโอบเอวของเขา “เสี่ยวหวู่ คุณอย่าทำแบบนี้ได้ไหม? ฉันเจ็บปวดใจมาก ถ้าบอกคุณ แล้วต้องทำให้คุณทุกข์ใจแบบนี้ ฉันก็ไม่ควรบอกคุณเลย”
ชายหนุ่มไม่พูดจา แต่เพราะคำพูดของผู้หญิงคนนี้ ในใจก็รู้สึกอบอุ่นอย่างมาก ไม่ว่าผู้อาวุโสทั้งสองคนนั้นจะแย่แค่ไหน เขาก็ยังรู้สึกขอบคุณพวกเขา ที่ได้มอบการแต่งงานที่หาได้ยากกับเขาในชีวิตนี้
“พรุ่งนี้ตอนกลางวันหรือตอนเย็น?”
ในใจซูหย่าดีใจ “อะ…..อ้อ ตอนเย็น คุณเลิกงานแล้ว พวกเราจะเข้าไปกัน ถึงเวลานั้นฉันจะไปรับคุณที่ชั้นล่างของตึกคุณ”
ชายหนุ่มตอบ”อืม”คำหนึ่ง
วันต่อมา
ทานอาหารค่ำของครอบครัวตอนเย็นที่ตระกูลเซียว
ซูหย่าตั้งใจไปรับเด็กทั้งสองเข้ามา แม่ซูรู้ว่าเธอจะไปตระกูลเซียว สีหน้าก็ไม่พอใจเล็กน้อย ลูกสาวของตัวเองแต่งงานตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เกี่ยวดองทั้งสองคนไม่เคยไถ่ถามเลย ตั้งแต่เซียวอู๋เป็นทหารใหม่ๆ ต่อมา ถึงแม้จะได้เป็นข้าราชการแล้ว แต่ก็ใสซื่อมือสะอาด เงินเดือนอันน้อยนิดแค่นั้น จะพอเลี้ยงลูกสองคนและซูหย่าได้อย่างไร
หลายปีมานี้ แอบรู้มาว่า พวกเขามีเงินสมทบอยู่ไม่น้อย
แต่ถึงรู้เรื่องเหล่านี้ของตระกูลเซียวแล้ว ก็ยังทำเป็นหูหนวกตาบอด นี่จึงทำให้แม่ซูรู้สึกไม่ยุติธรรมกับลูกสาวอย่างมาก
“แม่ พ่อของเสี่ยวหวู่ เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย”
แม่ซูขมวดคิ้ว ทิ้งเสื้อผ้าในมือลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ ไม่พูดจา แล้วหันเดินไปยังห้องเก็บอาหาร เมื่อออกมา ในมือถือขวดไวน์สองขวด
นั่นคือไวน์แดงชั้นดีที่พี่ใหญ่เอากลับมาจากต่างประเทศเพื่อให้พ่อ แต่พ่อเสียดายที่จะดื่ม
“เอาไปด้วยสิ อย่าไปมือเปล่า”
ซูหย่ารับของที่อยู่ในมือแม่ “ขอบคุณค่ะแม่”
เมื่อพาลูกขึ้นรถ เซียวอู๋ก็โทรเข้ามา “คุณไปตระกูลเซียวได้เลย อีกเดี๋ยวฉันจะเข้าไป”
ซูหย่านิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “โอเค อย่างนั้น อีกสักครู่เจอกัน”
พอถึงตระกูลเซียวแล้ว ชัดเจนว่าพ่อเซียวไม่รู้ว่าพวกเขาจะมา จึงประหลาดใจอย่างมาก สีหน้าดีใจจนเก็บไว้ไม่อยู่
ครั้งที่แล้วที่ซูหย่าเจอพ่อเซียว คืออยู่ในงานเลี้ยงงานหนึ่ง คนทั้งสองเพียงแค่พยักหน้า ทักทายกัน ไม่ได้พูดคุยอะไรมาก
เพียงแต่ไม่ถึงสองปี พ่อเซียวดูชรางลงไปมาก คาดว่าเพราะปัญหาของสุขภาพ คนเลยดูบวมเล็กน้อย
เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อันตรายที่สุด เขาสามารถรักษาสีหน้าไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ว่าเวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะตื่นตระหนก เมื่อเขาได้ยินผู้หญิงคนนั้นบอกว่าอยากแต่งงานกับหมอคนนั้น ฉับพลันเขาก็ถอยกลับมา เพียงเพราะว่าเขาอยากให้เธอมีความสุข ถ้าอยู่กับตนเองแล้วไม่มีความสุข เช่นนั้นเขาก็จะไม่ฝืนอีกต่อไป
ต่อมาผู้หญิงคนนั้นก็ถลึงตาใส่เขาแล้วบอกว่า เขาเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก ผู้หญิงที่เอาใจใส่ตนเองอย่างนี้ จะทิ้งไปง่ายๆได้อย่างไร? เขาก็แอบถอนหายใจ โชคดีที่ยังได้พบกัน
เขากลับมาที่กองทัพ เมื่อผู้หญิงคนนั้นมาหาตนเองที่กองทัพ เขาก็ถอยอีกครั้ง ครั้งนี้เขารู้สึกว่าการติดตามตนเองมันอันตรายเกินไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาทอดทิ้งอาชีพการงานของตนเองไป เขาทำไม่ได้
เป็นอย่างนี้ ให้เธอไปแต่งงานกับคนอื่นอย่างสบายใจดีกว่า
แต่ต่อมาเธอไม่ได้แต่งงาน เธอไปฝรั่งเศสไปหาปี๋ไค พอดีกับโม่หานต้องไปหามู่เฉียว อันที่จริงเขาเข้าใจว่าตนเองเพียงแค่อยากเจอเธอเท่านั้น แต่ก็รับไม่ได้ที่ชายโสดหญิงโสดอยู่ในห้องเดียวกัน
เห็นเธอหัวเราะกับเขา เห็นเธอเข้าห้องไปกับเขา เขาก็รู้สึกว่าตนเองแทบบ้า
เดมทีที่คิดว่าจะปล่อยวาง ตลอดมามันเป็นแค่การปลอบใจตนเอง
……
ณ วันนั้น
หลังจากที่ซูหย่าดูแลลูกทั้งสองคนให้หลับดีแล้ว ก็นอนอยู่บนเตียงคนเดียว รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก จู่ๆเธอก็รู้สึกว่าตนเองต้องสมองกลวงแน่ๆ จึงได้ตอบตกลงแต่งงานกับผู้ชายคนนี้ จากนั้นวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่าก็รอเขากลับมา
โกรธมาก จนเธอต้องฝากลูกสองคนไว้กับพ่อแม่ แล้วก็ไปที่กองทัพ เธออยากไปหาหัวหน้าของพวกเขา แล้วให้เซียวอู๋ถอยออกจาก”แนวหน้า”
เธอร้องไห้ราวกับสายฝน ท้ายที่สุดหัวหน้ากองทัพก็เห็นใจ ให้เซียวอู๋วัย 35 ปีกลับมาที่เมืองC และกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูง
จากนั้น คุณหนูซูก็รู้สึกเสียใจอีกครั้ง เพราะเซียวอู๋เป็นข้าราชการระดับสูงยังก็คงยุ่งมาก และมีผู้หญิงมากมายที่อยากได้เขา
อยู่ที่กองทัพ วินัยทหารเคร่งครัด บางคนมีความกล้าแต่ไม่มีโอกาส แต่ตอนนี้มันแตกต่างออกไป
บางคนก็ประจบประแจงเขา นำสตรีสวยๆงามๆเหล่านั้น มาส่งให้โดยตรง
ในห้องทำงานของเซียวอู๋ ก็บังเอิญเจอน้องสาวคนนั้นในวัยยี่สิบปี หลังจากที่เธอโผเข้าไปในอ้อมกอดเซียวอู๋ เธอก็พูดกับเซียวอู๋ว่า “ถ้าคุณไม่กลับมา ฉันก็ต้องเลี้ยงดูคุณใช่ไหม?”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ เขาจูบลงบนปากแดงๆของเธอ “บนโลกนี้ ผู้หญิงที่ยอมเสียสละเพื่อฉัน หาไม่ได้อีกแล้ว”
“ถ้ามีล่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นยังคงดันทุรัง
ชายคนนั้นมองซูหย่า “ผู้หญิงที่ฉันรัก มันหาไม่ได้อีกแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นจึงยิ้มขึ้นมา
วันหนึ่งเซียวอู๋โทรหาซูหย่าที่กำลังมาส์กหน้าอยู่ “ฉันอยู่ร้านน้ำชาซานซาน คุณรีบเข้ามา อยากจะแนะนำคนสำคัญกับคุณ”
ซูหย่าตอบกลับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ไม่ใช่เมียน้อยใช่ไหม? ไม่ต้อง ฉันไม่เห็นด้วย”
เพราะเปิดลำโพงอยู่ เซียวอู๋จึงเขินอายคนที่นั่งอยู่ข้างๆ อาจารย์จิบน้ำชา ปิดลำโพงแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “คืออาจารย์ พ่อของโม่หาน”
ซูหย่าหยิบที่มาส์กออกจากใบหน้า “สามี สมองคุณมีปัญหาใช่ไหม? อาจารย์คุณตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เสียงของเธอดังอย่างมาก ชัดเจนว่า อาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามไม่ไกลต้องได้ยินแน่นอน รอยยิ้มมุมปากก็ชัดเจนขึ้นอย่างมาก
“รอคุณอยู่ที่นี่ รีบเข้ามาเถอะ”
ซูหย่ามองมือถือที่ถูกวางสาย ชัดเจนว่าเหม่อลอยเล็กน้อย หลังจากอาบน้ำแล้ว เธอจึงออกจากบ้าน เมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนนั้นที่กำลังนั่งจิบชาอยู่ตรงข้ามเซียวอู๋ สีหน้าของเธอก็ซีดเผือด แทบจะทุกปีที่เธอไปวางดอกไม้ที่หลุมศพให้กับคนนี้ แต่คนคนนี้ เวลานี้นั่งอยู่ตรงหน้าของเธอ เธอเปลี่ยนสมองไม่ทันเล็กน้อย
“นึกไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าคุณจะแต่งงานกับเด็กผู้หญิงที่นิสัยร่าเริงแบบนี้”
เซียวอู๋เห็นซูหย่าที่ยังคงนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตู จึงเดินเข้าไป ดึงเธอ มานั่งลงข้างๆตนเอง
“อาจารย์ไม่ได้ตาย เวลานั้น เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิด” เซียวอู๋อธิบายอย่างง่ายๆ สีหน้าของซูหย่าจึงผ่อนคลายลง เธอไม่ได้ถามโดยละเอียดว่าเข้าใจผิดอะไร ที่ทำให้คนคนหนึ่งที่ตายไปตั้งหลายปีขนาดนี้แล้ว เพิ่งปรากฏตัวออกมา
เซียวอู๋ไม่พูด เธอก็ไม่ถาม เพียงแค่มองคนที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีค่ะอาจารย์”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “ยัยหนู ฉันได้ยินมาว่าคุณทุ่มเทเพื่อเสี่ยวหวู่ มันวิเศษมากจริงๆ เสี่ยวหวู่มีวันนี้ได้ ช่างโชคดีที่มีคุณ”
ใครจะไม่เต็มใจฟังคำพูดดีๆล่ะ ซูหย่าหันไปมองเซียวอู๋ “ได้ยินแล้วหรือยัง ต่อไปปฏิบัติกับฉันดีๆหน่อย แล้วเลิกคิดที่จะไปหาเมียน้อยด้วย”
กับคำพูดเหลวไหลของเธอ เซียวอู๋เคยชินแล้ว
หลังจากแต่งงานกันใหม่ พวกเขาก็ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่บ่อยๆ แต่พื้นฐานแล้วเป็นซูหย่าที่ทะเลาะ ซูหย่าที่โวยวาย เซียวอู๋ถูกโมโหจนแทบกระอักเลือด แต่พอคิดอีกที ก็ยิ้มแล้วไปง้อเธอ เอาใจเธอ
เล่อจยาบอกว่าซูหย่าทำตัวเองที่อายุ30กว่าปีให้กลายเป็น18ปี ก่อเรื่องวุ่นวายทุกอย่าง ไร้เหตุผลทุกอย่าง
แต่ซูหย่าเข้าใจว่า เธอเพียงแค่แคร์เซียวอู๋มากเกินไป
“ยัยหนู อย่าเพิ่งพูดถึงคุณปฏิบัติต่อเฉียวอู๋ พูดถึงความรู้สึกความยุติธรรม เสี่ยวหวู่ทำเพื่อคุณ ละทิ้งหนทางชีวิตที่จะเป็นใหญ่เป็นโต แล้วทำไมถึงไปหาคนอื่น?” ผู้ชายจิบชา แล้วเงยหน้ามองซูหย่า
ซูหย่าไม่เข้าใจ ตอนนี้เสี่ยวหวู่เป็นข้าราชการที่มีอำนาจที่สุดในเมืองC ทำไมถึงละทิ้งหนทางที่จะยิ่งใหญ่ของเธอบ้างล่ะ?
“อาจารย์….” เซียวอู๋อยากจะขัดขวาง แต่ซูหย่าชี้นิ้วไปที่เขา “คุณไม่ต้องพูด ให้อาจารย์พูด”
“เดินทีเขากำลังจะย้ายไปจังหวัดอื่น แล้วจะได้เลื่อนอีกสองขั้น แต่เขาบอกว่า ไม่อยากให้คุณต้องจากบ้านไกลเมืองอีก จึงได้ปฏิเสธไป นี่ฉันก็เพิ่งได้ยินมาว่า เตรียมจะเข้ามาพูดโน้มน้าวคุณ แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะปล่อยโอกาสให้กับคนอื่น”
ซูหย่านิ่งอึ้งไป เลื่อนขั้นอีกสองขั้น นี่หมายความว่าอะไร เธออยู่ตระกูลซูมาตั้งแต่เด็กยันโต เธอรู้ได้โดยธรรมชาติ
มิน่าล่ะช่วงเวลาก่อนหน้านี้ เสี่ยวหวู่ถามเธอ ถ้ามีวันหนึ่งเขาต้องย้ายไปต่างมณฑล เธอจะเป็นอย่างไร?
ทันทีเธอพูดอย่างไม่คาดคิด “สองสถานที่ที่ห่างกัน? ช่างเถอะ อย่างนั้นคุณก็กลับมา แล้วสามารถไปเยี่ยมฉันที่โรงพยาบาลโรคประสาทได้…….” เธอแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ไม่มีเซียวอู๋อยู่ข้างๆ เธอคงจะเป็นบ้า
เธอพูดเล่นๆ แต่ผู้ชายคนนี้จริงจัง
“เสี่ยวหวู่ คุณคงไม่ได้ทำเพื่อฉันแน่ ใช่ไหม?” เธอถามประโยคนี้เสร็จ ก็ร้องไห้ “ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันไม่รู้ว่า…..ถ้าหากฉันรู้ ฉันคงไม่ตอบคุณแบบนั้นแน่ๆ”
เซียวอู๋ดึงมือของเธอ มองเธอ “ไม่ใช่เพื่อคุณ แต่เพราะตนเองที่ตัดใจจากที่นี่ไปไม่ได้”
ความนิ่งสงบของเขา แต่ทำให้ซูหย่าตำหนิตัวเอง โอกาสแบบนี้ยากที่จะได้มา ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้ แต่คนโง่นี้ละทิ้งโอกาสแบบนี้เพื่อตนเอง
รักอำนาจบารมีแต่รักสาวสวยมากกว่า ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าสาวสวยคนนั้น ต้องมีความสุขมากจริงๆ แต่ขณะนี้เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นทุกข์อย่างมากจริงๆ……
ตอนที่เซียวอู๋ได้ยินชื่อซูหย่าคนนี้ครั้งแรก เป็นพ่อเซียวที่แจ้งเขาว่าให้กลับมาดูตัว
“อีกฝ่ายเป็นลูกสาวของตระกูลซู ในอนาคตจะมีประโยชน์ต่อหน้าที่การงานของคุณ” นี่คือคำพูดเดิมของพ่อ
เซียวอู๋อดหัวเราะไม่ได้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน ว่านี่เป็นแผนการของพ่อเพื่อหน้าที่การงานที่ดีขึ้นของเขา
“เสี่ยวหวู่ คุณก็ถึงช่วงวันที่จะแต่งงานแล้ว ลูกสาวตระกูลซูคนนั้น สวยความประพฤติดี และที่สำคัญคือเป็นเด็กที่รู้จักคิด”
นี่คือคำพูดของแม่
แต่เซียวอู๋ไม่เข้าใจ รู้สึกว่าเป็นลูกที่พ่อแม่ไม่รัก พ่อแม่ถึงได้พูดแบบนี้ มันเป็นคำพูดที่เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ ถ้าพวกเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงใจ ก็จะไม่ปล่อยให้เขาเผชิญกับค่ำคืนที่เดียวดายลำพังแบบนั้น ฉะนั้น ภาพความทรงจำของเขาต่อซูหย่าจึงแย่อย่างมาก
หลังจากวันแรกที่กลับมา เขาได้เจอกับเล่อจยา เพื่อนร่วมชั้นในตอนนั้นที่ทั้งซื่อบื้อทั้งโง่ ในตอนนั้นเขาคิดว่า ถ้าวันหนึ่งในอนาคตจะต้องแต่งงาน เป็นอย่างนี้ก็ดี รู้รากเหง้ากันแล้ว ที่สำคัญไม่เกี่ยวข้องกับอำนาจและอิทธิพล และที่สำคัญอีกอย่างก็คือ จะทำให้พ่อแม่โกรธ
เขาคาดไม่ถึงว่า วันที่มานัดดูตัวซูหย่า จะได้เจอเล่อจยาอีกครั้ง
แต่ซูหย่าอันที่จริงก็สวยมาก แต่ดูเหมือนนิสัยไม่ค่อยดี เพราะเป็นเพื่อนสนิทกับเล่อจยา เขาจึงเชื่อว่าจะไม่แย่เกินไป
กับเล่อจยาเขาเข้าใจ ว่าโง่และไร้เดียงสามาก แต่เขาไม่อยากฟังการจัดการของพ่อแม่ ฉะนั้นเขาจึงไม่ชายตามองเธอเลย แต่เขาแสดงออกว่าสนใจเล่อจยามาตลอด
เห็นเล่อจยาไปห้องน้ำ เขาก็ตามออกไป ระหว่างที่เดิน เขาก็มองซูหย่าด้วยสายตาลึกซึ้ง
เป็นอย่างที่คาดไว้ เมื่อเขาสารภาพรักกับเล่อจยา เขาก็เห็นซูหย่าแอบอยู่ที่มุม
เขายอมรับ เขาใช้ประโยชน์จากเล่อจยา เขาอยากให้ผู้หญิงคนนั้นถอยออกไป
แต่ที่เกินคาดก็คือ เปล่าเลย……
ที่เหนือไปกว่านั้น ซูหย่าบอกว่าเธอตกหลุมรักเขาตั้งแต่แรกเห็น เธออยากหัวเราะเธอยังคงอยากเป็นผู้หญิงของตนเองอยู่ใช่ไหม? แต่ก็หัวเราะไม่ออก ผ่านนานไปเขากลับนึกถึงวันนั้น บางทีเขาก็อยากจะเปลี่ยนความคิด
ฉะนั้นต่อมาก็รังเกียจเธออย่างเธอได้ชัด และใจร้ายกับเธอมาตลอด
ในคืนนั้น รู้ดีว่าเธอวางกับดักกับตน แต่เขายังคงทำตามแผน
อาจเป็นการกบฏในใจที่ทำให้เขามักจะกีดกันซูหย่าอย่างสุดความสามารถ
ต่อมาคาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่สนใจความคิดเห็นของตน ตัดสินใจแต่งงานครั้งนี้เป็นการส่วนตัว นี่ทำให้เขากีดกันเธอมากขึ้นไปอีก
เมื่อรู้ว่าเธอท้อง เขายังคงสะเทือนใจ ลืมไม่ลงจนถึงตอนนี้ แต่เด็กที่เติบโตมาในครอบครัวอย่างนั้น พ่อแม่ที่มีเจตนาแอบแฝงเช่นนั้น ปล่อยให้เขาแต่งงานไป เมื่อเด็กคนนี้เกิดมา เขาก็จะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร
ฉะนั้นเขาจึงส่งเธอกลับไป เมื่อลูกน้องเข้ามารายงาน เขาก็ดื่มเหล้าอย่างมาก ไม่ได้นอนทั้งคืน ความเจ็บปวดในใจ เขายากที่จะอธิบาย เล่อจยาโทรหาเขา เขาแปลกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเลือดบนเตียง เขาเสียใจมากจริงๆ เขารู้สึกว่าเขาโหดเหี้ยมมาก จึงสามารถลงมือกับเธอได้ จึงสามารถทำลายเลือดเนื้อของตนเองด้วยมือตนเอง
เวลานั้นที่ซูหย่าเข้าห้องผ่าตัดไป เซียวอู๋ก็ภาวนาว่าให้เด็กคนนั้นรอด
เมื่อหมอบอกว่าเด็กไม่อยู่แล้ว เซียวอู๋รู้ว่า ตนเองจะต้องไม่สบายใจไปตลอดชีวิต ตนเองติดหนี้ผู้หญิงคนนี้ไปตลอดชีวิต
ต่อมาหลังจากที่แต่งงาน เขามีวิธีที่จะผลักไสออกไป แต่ว่าเขาก็ไม่ได้พูดอะไร ถ้าสิ่งนี้จะทำให้ซูหย่าดีขึ้นบ้าง เขาก็จะไม่คัดค้าน
การเข้าหอในคืนนั้น ร่างกายของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกโลภ แต่ภายในใจปฏิเสธอย่างมาก
เขาใช้คำพูดหยาบคายมากลบหัวใจที่สั่นสะท้าน
เมื่อเห็นเธออยู่ด้วยกันอย่างสนิทสนมกับปี๋ไค เขาไม่อยากยอมรับว่าตนเองหึง แต่สุดท้ายเขาก็ยังเอ่ยเรียกร้องให้เธอเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร เขาคิดแล้ว ก็เหมือนว่าตนเองเห็นแก่ตัว
เขาใช้อุบายที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด เพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ของตัวเอง
การอยู่ร่วมกันในกองทหาร ทำให้เซียวอู๋ยิ่งเข้าใจว่า ซูหย่าดีมากจริงๆ เขาพบว่าสายตาของตนเองที่มองเธอ กลับมองได้ยาวนานมากขึ้น
วันนี้ที่เธออ้างว่าจะไปพบเล่อจยา แต่กลับไปนัดพบกับปี๋ไค ชายคนนั้นพูดยั่วยุกับตนเองว่า พวกเขารักกันอย่างจริงใจ
บางที เขาก็อิจฉาจริงๆ รู้ดีว่าภารกิจวันนี้อันตรายแค่ไหน เขาก็ยังจะไป
หลังจากนั้นทุกอย่าง ก็เริ่มหลุดพ้นจากความคิดของตัวเอง
เมื่อเขาเกิดเรื่อง คนทั้งหมดต่างมองเขาเหมือนผัก มีเพียงตัวเขาเองที่รู้ เขาได้ยิน แล้วก็มีความคิด
เขาได้ยินถึงความรู้สึกที่เย็นชาของคนในห้องผู้ป่วย คนทั้งหมด เริ่มทยอยห่างหายไปจากเขา
เพื่อนทหารที่ร่วมรบพูดบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หัวใจของเขาหนาวเหน็บขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน เขาจะคาดคิดได้อย่างไรว่า ขณะที่ตนเองกำลังผ่าตัด มีคนกระทำการบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้
เขายิ่งไม่คาดคิดว่า ลูกของซูหย่ายังอยู่
เห็นเธอทำเพื่อตนเองโดยไม่ลังเลใจ เขาเลยคิดว่า ถ้าชีวิตยังสามารถหยัดยืนได้ต่อไป เขาจะพยายามทำดีกับเธอให้ถึงที่สุด
แต่เขาก็ไม่รู้ว่า หลังจากที่ตนเองทำร้ายเธอมาเป็นเวลายาวนานมาก
แต่เพราะของแข็งนั้นที่อยู่ในสมองของเขาทำให้ความรู้สึกของเขาเลือนรางไปเล็กน้อย ไอคิวของเขาเริ่มค่อยๆ มีปัญหา
เริ่มแรก เขาพยายามที่จะรีเฟรชตัวเอง เพราะเขายังติดหนี้การสมรสกับผู้หญิงคนนั้น
แต่เมื่อพ่อแม่เซ็นยินยอมให้เขาย้ายไปอยู่โรงพยาบาลจิตเวช สติสัมปชัญญะของเขาพังทลายลงทันที
เขาเริ่มมีไอคิวเหมือน”เด็ก”สองสามขวบ
เรื่องราวหลังจากนั้น ผ่านพ้นไปหลายเดือน จึงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ เขาจึงค่อยๆ จดจำขึ้นมาได้
ความโง่เขลาของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาคิดได้ รู้สึกเจ็บปวดใจจนแทบจะเป็นสายเลือด แต่ทำให้เขาเข้าใจเหตุผลหนึ่งว่า เขาต้องให้ครอบครัวที่มั่นคงและปลอดภัยกับผู้หญิงคนนี้ แล้วก็ต้องให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง
ดังนั้น รู้ดีว่าเอ่ยปากหย่า ผู้หญิงจะโกรธ เขาก็ยังจะเอ่ยปาก
ไม่มีใครรู้ว่า กี่วันกี่คืน ที่เขาคิดถึงเธอคิดถึงจนนอนไม่หลับ
แต่สายตาที่ยังจ้องมองมายังเขาอย่างถมึงทึง นอกจากความอดทนแล้ว เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น บนโลกใบนี้ หลายๆ ครั้ง ไม่ใช่ว่าคุณยอมแพ้แล้ว คนอื่นจะเมตตาต่อคุณ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้น ก็แค่ต้องทำให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้นเอง
เขาพยายามปูทางให้ตนเองอย่างสุดความสามารถ ทำให้ตนเองมีความดีความชอบ ทุกครั้งที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เขาก็จะคิดถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่สามารถทำให้เขาละทิ้งทุกอย่างบนโลกนี้ได้ เพื่อความสุขในบั้นปลายชีวิตของเธอ เขาจะต้องพยายามมีชีวิตต่อไป แล้วก็ต้องมีชีวิตที่ดีขึ้น
เมื่อคนนั้นถูกตรวจสอบ ถึงแม่ว่าเขาจะโล่งอก แต่ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือมู่ซือแทบจะเสียสละชีวิตทำเพื่อเขา ดังนั้น เมื่อมู่ซือขอให้เขาเลี้ยงข้าว เขาจึงไม่ปฏิเสธ หลังจากผ่านมานาน เขาจึงรู้ว่า วันนั้น ซูหย่าเห็นฉากนี้ จึงเข้าใจผิด
หลังจากทานข้าวกับมู่ซื้อเสร็จแล้ว เขาก็ไม่รีรอที่จะไปตระกูลซู เอ่ยถึงความปรารถนาที่จะแต่งงานอีกครั้ง พ่อซูเข้าใจว่าสถานการณ์ของเขาเป็นอย่างไร จึงไม่ได้โต้แย้ง ตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้พบคนที่คิดถึงทุกวันทุกคืน ดังนั้นเขาจึงไม่รีรอที่จะออกจากบ้าน แต่เมื่อเห็นหญิงสาวลงมาจากรถของผู้ชาย เขาก็สับสนอลหม่านเล็กน้อย
ตลอดคืนนี้ มู่เฉียวนอนอยู่ที่ห้องรับแขก ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ทุกๆคนก็ไม่เห็นเธอแล้ว
“เมื่อคืนพวกคุณทะเลาะกันเหรอ?” คุณนายโม่เอ่ยถาม
ทุกๆคนมองไปที่โม่หาน โม่หานส่ายหัว อยากจะบอกว่าเดิมทีไม่มีโอกาสได้ทะเลาะกัน เขาอยากจะให้มู่เฉียวทะเลาะกับเขาด้วยซ้ำ อย่างนี้บางทีเธออาจจะสบายใจขึ้นเล็กน้อย แต่เธอเปล่าเลย เธอขังตนเองอยู่ในโลกส่วนตัวไม่ออกมาเลย
“ไปตามหาแถวๆนี้เถอะ อาจจะไม่ค่อยสบายใจ จึงออกไปเดินเล่น”
โม่หานพยักหน้า เขาขับรถออกไป ขับเลียบตลอดทางไปอย่างช้าๆ
แต่จนถึงเที่ยงแล้ว ก็ไม่พบมู่เฉียวเลย ต่อมาโม่หานก็นึกถึงกล้องวงจรปิดที่หน้าประตูทางเข้า
“เดิมทีเธอไม่ได้ออกไปจากคฤหาสน์ตระกูลโม่นะ” คำพูดนี้พ่อโม่เป็นคนบอก
คุณนายโม่ซวนเซถอยหลังไปเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่ามู่เฉียวอยู่ที่ไหน?
สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย
เธอหันกลับวิ่งไปที่หลังบ้าน โม่หานก็ตามไป
ในห้องที่มืดและว่างเปล่านั้น มู่เฉียวนอนอยู่บนพื้น เธอรู้สึกว่าตนเองบ้าไปแล้วจริงๆ
เธอหาทางออกไม่เจอ เธออึดอัดใจพูดอะไรไม่ออก
ผู้หญิงยุคใหม่ไม่ควรเป็นเช่นนี้ เธอควรจะเดินออกไป และไม่ใช่การหลีกหนี ตนเองเป็นอย่างนี้เธอยังรังเกียจตัวเองเลย นับประสาอะไรกับโม่หาน
นึกถึงโม่หาน เธอรู้สึกว่าตนเองทำผิดต่อเขา น้ำตาก็พรั่งพรูไหลออกมา
รู้สึกได้ว่ามีมืออุ่นๆมาปกคลุมแก้มของเธอ จากนั้นก็ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด
“ฉันควรจะลองออกไปใช่ไหม?” คำพูดของมู่เฉียว ทำให้โม่หานดีใจ จูลงบนหน้าของเธอ “คุณอยากไปที่ไหน ฉันจะไปเป็นเพื่อนคุณ”
หลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ โม่หานก็ออกจากตระกูลโม่ไปกับมู่เฉียว ยืนอยู่บนถนนที่ผู้คนผ่านไปผ่านมา มู่เฉียวได้รับสายตาแปลกๆจากทุกคน เธออยากจะพูดโน้มน้าวใจตนเองว่าอย่าไปสนใจสายตาคนอื่น แต่ก็มีคนโพสต์รูปพวกเขาบนอินเทอร์เน็ต
มีการพูดจาถากถางและกระทบกระเทียบเธออย่างท่วมท้น
แม้ว่าโม่หานจะจัดการได้ทันเวลา มู่เฉียวก็ยังได้รับความเจ็บปวดใจ เธอรู้ว่าเธอเป็นอย่างนี้ มันไม่เหมาะสมกับโม่หานจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นจะถากถาง พูดจากระทบกระทั่ง
เธอขังตัวเองอยู่ในห้องมืดนั้นอีกครั้ง
พ่อได้ยิน ก็อารมณ์เสียอย่างมาก “คุณมีความสามารถที่จะเสียใจได้ขนาดนี้ คุณก็มีความสามารถที่จะเปลี่ยนตนเองให้ดีขึ้นมาได้ ลูกสาวของฉัน จะไม่สามารถอ่อนแอแบบนี้”
แต่มู่เฉียวเวลานี้ไม่ฟังการโน้มน้าวใดๆ เธอยังคงดันทุรัง เธอคิดว่าตนเองเป็นอย่างนี้ โม่หานจะทิ้งเธอไหม เธอจมดิ่งอยู่กับจุดบอดของตนเอง
ท้ายที่สุด โม่หานเห็นเธอ คำพูดก็ค่อยๆน้อยลง
ท้ายที่สุด เธอจะไปนอนที่ห้องรับแขกคนเดียว โม่หานก็ไม่ได้รั้งเธอไว้อีก
ท้ายที่สุด ก็จะเป็นครั้งแรกที่โม่หานไปค้างคืนข้างนอก
ท้ายที่สุด ผู้ชายของเธอ ก็ต้องทิ้งเธอไป
เธอ มู่เฉียว ทำให้ความสุขของตนเองหมดไป!
พ่อแม่เกลียดที่เธอไม่ต่อสู้ หลังจากที่มู่หลิงได้ฟัง ก็แตะหน้าผากของเธอแล้วพูดว่า ไม่หาเรื่องก็ไม่เกิดเรื่องหรอก
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจ ว่าจริงแล้วเธอไม่ได้เสแสร้ง เธอแค่เธอเป็นซึมเศร้าก็เท่านั้น……
เพราะเรื่องนี้คฤหาสน์ตระกูลโม่ จึงไม่มีเสียงหัวเราะเหมือนแต่ก่อน
มื้ออาหารวันนี้ มือถือของโม่หานก็ดังขึ้น เธอมองเขาโดยจิตใต้สำนึก โม่หานหยิบมือถือขึ้นมา ลุกขึ้นยืนแล้วไปที่ห้องรับแขก
มู่เฉียวอ่อนไหวทุบชามอย่างบ้าคลั่ง เธอเอ่ยถามโม่หานเสียงดัง ว่าเขามีผู้หญิงอื่นข้างนอกใช่ไหม?
เธอเห็นในแววตาโม่หานทั้งจนปัญญาและสงสาร
เธอคิดว่าโม่หานจะโกรธ แต่เขาดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด
“มู่เฉียว พวกเราไปอยู่ฝรั่งเศสสักระยะหนึ่งดีไหม? คุณบอกว่าคุณชอบหมู่บ้านที่นั่นมาก พวกเราไปพักที่นั่นสักระยะหนึ่ง ดีไหม?”
มู่เฉียวจำหมู่บ้านนั้นที่ราวกับทูตสวรรค์จูบได้ สวยงามจนไม่น่าเชื่อ วิลล่าเล็กๆแต่ละหลัง กระจายอยู่ท่ามกลางขุนเขา นั่นคือสถานที่ที่เธอกับโม่หานไปเที่ยว แล้วได้พบ ตอนนั้นเธอพูดเล่นๆว่า ตอนแก่ พวกเขาสองคน จะมาใช้ชีวิตที่นี่
ในสายตาของเธอเป็นประกาย เธอเงยหน้ามองโม่หาน น้ำตาไหลริน “ขอโทษนะ”
พ่อแม่มองคุณนายโม่แล้วพยักหน้ากัน ในสายตาแสดงความรู้สึกผิดและเสียใจ
โม่หานเป็นคนที่ดำเนินการเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว อีกสามวันต่อมา คนทั้งสองก็นั่งเครื่องบินไปฝรั่งเศส
คาดไม่ถึงว่า จะเป็นเครื่องบินลำเดิมกับครั้งที่แล้ว เพราะเธอจำพนักงานต้อนรับสาวสวยคนนั้นได้
เมื่อเห็นว่าโม่หานไม่ได้สนใจต่อเธอ ในสายตาของผู้หญิงคนนั้นก็ไม่เข้าใจ
เมื่อถึงฝรั่งเศส มู่เฉียวจึงรู้ว่า โม่หานได้เตรียมการเรื่องนี้ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว วันนี้ที่เขาไม่กลับบ้าน ก็คือมาฝรั่งเศส จัดบ้านที่นี่ให้เธอ ให้เหมือนกับ”บ้าน”ที่เธอจินตนาการไว้ในตอนนั้นทุกประการ
อาจเป็นเพราะคนต่างประเทศไม่ค่อยชอบก้าวก่ายเรื่องของคนอื่น อยู่ที่นี่ เมื่อเพื่อนบ้านเห็นเธอและโม่หานปรากฏตัว ในสายตาก็ไม่ได้สงสัยอีก เพียงแค่ปิดปากแล้วกล่าวชมเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า “คุณมู่ สามีของคุณ หล่อจริงๆเลย คุณดูมีความสุขมาก”
ในสายตานั้นจริงใจ ทำให้หัวใจของมู่เฉียวเหมือนกับได้รับการปลอบโยน มีพละกำลังขึ้นมาในชั่วพริบตา
เธอไม่หวาดกลัวที่จะออกไปข้างนอกกับโม่หานอีกแล้ว เธอเริ่มทำตามการนำของโม่หาน เริ่มออกกำลังกาย วิ่งตอนเช้า ตอนกลางวันให้เทรนเนอร์ฟิตเนสส่วนตัวเข้ามาแนะนำ ตอนเย็น ทำการฟื้นฟูหลังคลอด
โม่หานตั้งใจอย่างมาก เขาพาเธอออกจากบ้าน จูบเธอในที่สาธารณะ เขาวางแผนว่าหลังจากกลับประเทศมาจะแต่งงานกับเธอ
เขาบอกกับเธอว่า ถ้าเธอลดน้ำหนักไม่ได้ ก็จะทำให้ตนเองอ้วนขึ้นมา จะได้เหมาะสมกับเธอ
เมื่อเธอลดน้ำหนักลงมาได้5กิโลกรัม เธอโอบกอดโม่หานด้วยความดีใจ คนทั้งสองใช่ชีวิตดั่งสามีภรรยาเป็นครั้งแรกหลังจากคลอด
สุดท้ายเมื่อชายหนุ่มได้รับการปลดปล่อย เธอได้เห็นความโล่งใจอย่างชัดเจนของเขา ทั้งจิตใจ แล้วก็ร่างกาย…..
“ขอโทษนะ” เธอเอ่ยปาก เธอเคยค้นหาข้อมูลมามากมาย คนที่เป็นแบบเธอนี้ มีอยู่มากมาย ถ้าปรับได้ไม่ดี ก็มีคนที่ฆ่าตัวตาย เป็นบ้า เยอะมาก
คู่สามีภรรยา คู่รักจำนวนมาก ที่สุดท้ายแล้วเลือกที่จะเลิกรากัน
เธอช่างโชคดีเหลือเกิน
ชายหนุ่มจูบลงบนใบหน้าของเธอ “อันที่จริงทำเรื่องเหล่านี้ ก็คือการลดน้ำหนักนะ”
มู่เฉียว”หัวเราะลั่น หลังจากนั้นก็เห็นความแปลกใจในสายตาของชายหนุ่ม เธอไม่ได้หัวเราะแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว?
บางทีอาจเป็นเรื่องนี้ที่ให้กำลังใจเธอ จากนั้นมู่เฉียวก็ขยันมากขึ้น เธอพยายามทำให้ตัวเองยุ่ง ออกกำลังกาย ออกไปเที่ยว ฟังคำแนะนำของนักจิตวิทยา เพื่อไม่ให้ตนเองรู้สึกไม่ภูมิใจในตนเองอีกต่อไป
“โม่หาน คุณทำแบบนี้ ในบริษัทโอเคเหรอ?”
“ถึงแม้บริษัทจะล้มละลาย แต่คุณฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงได้ มันก็คุ้มค่านะ” คำพูดของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวที่อยู่ท่ามกลางคนผ่านไปมา เขย่งปลายเท้า แล้วจูบเขา
เธอตัดสินใจแล้วว่า เพื่อโม่หานแล้ว เธอจะต้องดีขึ้น
หลังจากผ่านไปสามเดือน เมื่อเธอจูงมือของโม่หานเดินออกมาจากสนามบิน สื่อมวลชนก็ตาเป็นประกาย ทำให้มู่เฉียวไม่ทันได้ตั้งตัว
เธอมองโม่หาน “คุณเป็นคนจัดการเหรอ?”
ถ้าไม่ใช่โม่หานแนะนำให้ทำ ที่เมืองA ไม่มีสื่อมวลชนสำนักไหนกล้าทำแบบนี้หรอก
“คุณนายโม่ ควรจะให้เครดิตฉันนะ”
วันต่อมา มู่เฉียวได้รับเกียรติให้พาดหัวข่าวอีกครั้ง น่าทึ่งมาก
มีสื่อมวลชนเผยแพร่ภาพก่อนที่เธอจะลดน้ำหนัก ชาวเน็ตแต่ละคนต่างก็ทยอยส่งข้อความกันเข้ามา คุณแม่สุดยอดอย่างมาก ขอโทษที่ตนเองพูดจากระทบกระทั่งก่อนหน้านี้ และต้องขอโทษโม่หานอย่างสูง
ด้วยเหตุนี้ หลายแบรนด์ของMYได้เพิ่มประสิทธิภาพขึ้น30%ในคราวเดียว ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้ถือหุ้นMYทุกคนตกใจ
………………
ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงบัดนี้ ก็จบสิ้น
ต่อไปก็น่าจะทำตามความปรารถนาของทุกคน เขียนตอนพิเศษเล็กน้อย เช่นหนิงเส่าเฉินกับเย่หลิน เช่นซูหย่ากับเสี่ยวหวู่ คาดว่าจะมีการอัปเดตสิบกว่าวัน ในที่สุดแล้วฉันก็จะบอกลาพวกคุณ
บทความใหม่กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำ และกำลังเตรียมเขียนเกี่ยวกับการกลับมาใหม่ของนางเอก ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกตื่นเต้นไปอีกแบบหนึ่งอย่างแน่นอน จึงขอให้ทุกคนสนับสนุนต่อไป
ไอ๋หยา ช่างน่าเศร้าใจ ลูกโตแล้ว ความรู้สึกที่จะต้องแยกจาก ขอบคุณที่ระหว่างทางมีพวกคุณมาโดยตลอด ขอบคุณ
เพราะเด็กทั้งสองต้องการนมแม่ แล้วระหว่างตั้งครรภ์เธอก็ถูกตรวจพบว่า บริเวณหน้าอกมีปัญหาเล็กน้อย ในช่วงเวลานั้นหมอแนะนำให้เธอขยายเวลาให้นมลูกให้นานที่สุดหลังจากคลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถลดน้ำหนักได้ชั่วคราว
เมื่อเห็นเธอกับโม่หานเดินอยู่ด้วยกัน ทุกๆคนก็มองด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ เธอจึงรู้สึกเป็นทุกข์เล็กน้อย
เธอไม่ได้สนใจสายตาของคนอื่น แต่เธอไม่อยากให้โม่หานถูกคนอย่างนี้วิพากษ์วิจารณ์
เมื่อมาถึงที่จอดรถใต้ดิน โม่หานก็ไม่ได้สตาร์ตรถ เขานั่งอยู่ฝั่งคนขับมองมู่เฉียว นิ้วเรียวยาวเชยคางเธอขึ้น ก้มลงไปคิดที่จะจูบ
แต่ถูกมู่เฉียวหลบหลีก “ที่นี่คนผ่านไปผ่านมาเยอะแยะ คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”
โม่หานออกแรงเล็กน้อยหันหน้าเธอกลับมา ประกบลงไปอีกครั้ง ด้วยอารมณ์ความรักของทั้งสอง ทำให้มู่เฉียวลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ
หลังจากแยกจากกันแล้ว เธอเห็นความรักที่จริงใจในสายตาของโม่หาน เธอไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าโม่หานใช้วิธีนี้เพื่อจะบอกเธอว่า เขาไม่ได้สนใจว่าเธอจะเปลี่ยนจนกลายเป็นอย่างไร
แต่เธอก็ยังคงเจ็บปวดใจอยู่
เวลานั้นหลังจากคลอดมู่เสี่ยวโยวแล้ว ถึงแม้ว่าเธอจะอ้วน แต่เมื่อเทียบกับวันนี้ นั่นแตกต่างกันหลายระดับเหลือเกิน
ต่อมาเธอก็ไม่กล้าออกจากบ้าน แล้วก็ไม่กล้าออกไปกับโม่หานอีก
นอกจากจะป้อนนมลูกทั้งสองคนแล้ว เธอก็ค่อยๆคิดในแง่ลบ ทั้งอ่อนไหว ทั้งน้อยเนื้อต่ำใจ
แม่เห็นความผิดปกติของเธอ จึงบอกเธอว่าอย่ากังวล รอหย่านมแล้ว ค่อยลดน้ำหนัก แต่เธอก็ดูถูกตนเองเล็กน้อย ในเวลานั้นมันมีแรงกระตุ้นจากคนตระกูลโม่กับโม่หานและก็การทำงาน แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงกระตุ้นอะไรเลย ก็รู้ว่าอารมณ์อย่างนี้มันไม่ดี แต่ก็รู้สึกซึมเศร้าไม่มีชีวิตชีวาเลย
แม้ว่าโม่หานจะพยายามหยอกล้อให้เธอมีความสุขทุกๆวัน แต่รอยยิ้มของเธอยังคงลดน้อยลง
คนในครอบครัวค่อยๆตระหนักถึงความรุนแรงของเรื่องนี้ คุณนายโม่จึงเชิญหมอมา หมอบอกว่าเธออาจเป็นโรคซึมเศร้าหลังคลอด
หลังจากที่หมอไปแล้ว มู่เฉียวก็ค้นหาในอินเทอร์เน็ต ดูเหมือนว่าจะพูดไม่ผิดเลย เธอบอกตนเองให้พยายามปรับสภาพจิตใจ แต่เมื่อพบเจอเรื่องเล็กๆน้อย ก็เกิดขึ้นมาอีกอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฉียวเอ๋อ คุณไม่สบายใจอะไร คุณก็บอกแม่ได้นะ อย่าให้อัดอั้นอยู่ในใจ คุณดูสิตอนนี้คนบ้านสามีของคุณปฏิบัติกับคุณดีขนาดนี้ ลูกๆก็มีแล้ว โม่หานก็ทำดีกับคุณมาก ชีวิตมีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆนะ
มู่เฉียวมองแม่ ไม่อยากพูดอะไร อันที่จริงเธอรู้สึกว่าตนเองเป็นประสาทเล็กน้อย แม้แต่อารมณ์ก็หดหู่ ไม่สนใจอะไรเลยแม้แต่ชีวิตคู่สามีภรรยา
เธอคิดไปเองว่า ที่โม่หานยังเต็มใจใช้ชีวิตคู่สามีภรรยากับเธอ เพียงเพื่อทำให้เธอมีความสุข
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของคนก็คือการอยู่ในโลกจองตัวเอง
เธอเริ่มต่อต้านการสัมผัสใกล้ชิดกับโม่หาน และทั้งสองคนก็เริ่มแยกผ้าห่มกันนอน
ตอนแรกๆโม่หานก็เกลี้ยกล่อมเธอหยอกล้อเธอ แต่ทุกๆครั้งที่โม่หานไปสัมผัสร่างกายเธอ เธอก็โดดลงจากเตียงอย่างบ้าคลั่ง แล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเองไว้แน่น
นานๆไปโม่หานก็ไม่ทำอีก เขาไม่หยอกล้อเธอ อีกทั้งเธอก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป แล้วก็ระแวงว่าโม่หานต้องนอกใจอย่างแน่นอน
การอยู่ร่วมกันแบบนี้ เธอเหนื่อยมาก และเธอรู้ว่าโม่หานก็เหนื่อย
จนกระทั่ง หลังจากโม่หานเชิญโค้ชฟื้นฟูหลังคลอดคนหนึ่งที่ดีที่สุดในเมืองAเข้ามา เธอก็ต้องหดหู่ใจถึงที่สุด เธอเอะอะโวยวายกับคนอื่น แล้วยังทำลายข้าวของภายในบ้าน ปากบอกว่าโม่หานรังเกียจเธอ
แท้ที่จริงแล้ว ภายในใจ มีเสียงบอกเธออย่างชัดเจนว่า โม่หานเพียงแค่ทำเพื่อเธอ แต่คนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงด้านร้าย
มู่เฉียวรู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังมองโลกในแง่ร้าย เรื่องที่ทุกคนทำ เธอล้วนคิดในแง่ร้าย มู่เฉียวที่มองโลกในแง่ดี เหมือนกับว่าจะวิ่งสวนทางกันกับเธอ
หลังจากไล่โค้ชฝึกสอนไป มู่เฉียวก็ขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว เธอยืนอยู่หน้ากระจก ถอดเสื้อผ้าของตนเองออก เมื่อเห็นเนื้อหนังที่อ้วนฉุของร่างกายนั้น เธอก็ปิดหน้าแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด
ขณะที่เธอพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกให้ดีขึ้น เมื่ออยากให้ตนเองพยายามเดินออกมา แต่กลับเห็นภาพของโม่หานที่นัดพบกันกับหลินซาน
มองภาพของคนนั้นที่ดูสดใส ผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ที่ครึ่งตัวพิงอยู่บนตัวของผู้ชายของตนเอง มู่เฉียวมองตนเองอีกครั้ง ยากที่จะสู้ได้ เหมือนถูกน้ำเย็นสาดเข้ามาอีกครั้ง
เธอเริ่มปฏิเสธที่จะร่วมห้องกับโม่หาน
“ภรรยา นั่นเป็นข่าวไร้สาระของสื่อมวลชน แค่ร่วมรับประทานอาหารกับแผนกพวกเขาครั้งหนึ่ง หลินซานดื่มไปเยอะ แล้วฉันกำลังรอรถอยู่ด้านนอก เธอพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉันหลีกหนีไม่ทัน จึงถูกสื่อมวลชนถ่ายรูป คุณภรรยา คุณเปิดประตูหน่อยได้ไหม?”
มู่เฉียวได้แต่พิงประตูร้องไห้ เธอคิดว่าจนเองสามารถเชื่อโม่หานได้ แต่เธอไม่อยากพบหน้าเขา
“คุณภรรยา ฉันผิดไปแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะให้หลินซานลาออก ดีไหม? คุณออกมาก่อน ได้ไหม?”
มู่เฉียวปิดหน้า เจ็บปวดใจอย่างแสนสาหัส
เธอเคยคิดว่าภาวะซึมเศร้าหลังคลอดของผู้หญิง เกิดจากการนิสัยที่เอาแต่ใจ แต่เวลานี้ เธอเพิ่งรู้ว่า ความเจ็บปวดใจนี้ กดดันจนเธออึดอัดใจ
ต่อมา มู่เฉียวก็ร้องไห้แล้วหลับไปตลอด
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง โม่หานก็นอนอยู่ข้างๆเธอแล้ว ประสานมือทั้งสองไว้หลังศีรษะ หลับตา ผู้ชายแบบนี้ สมบูรณ์แบบจนทำให้คนไม่สามารถละสายตาได้
เธอยกมือขึ้น คลำใบหน้าของเขาเบาๆ ช่วงนี้ทรมานตนเอง จนซูบผอมลงไปไม่น้อย มู่เฉียวสงสารอย่างมาก แล้วก็ยิ่งเกลียดตัวเอง
ชายหนุ่มสามารถรู้สึกได้ถึงสัมผัสของเธอ เมื่อมู่เฉียวเตรียมจะดึงมือกลับ โม่หานก็กุมฝ่ามือของเธอไว้อย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มมุมปาก “คุณภรรยา”
เวลานี้ มู่เฉียวได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างรวดเร็ว เธอลุกขึ้นนั่ง คุกเข่าบนเตียง แล้วโน้มตัวลง จูบบนริมฝีปากของชายหนุ่ม
ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับดีขึ้นมา
แต่เมื่อมือของชายหนุ่มจับที่เอวของเธอ เธอก็เหมือนกับถูกไฟช็อต กระโดดออกอย่างรวดเร็ว ทำท่าทางจะลงจากเตียง มือของเธอก็ถูกดึงเอาไว้ โม่หานมองมู่เฉียวอย่างเจ็บปวดใจ “ถ้าเป็นเพราะอ้วน จึงทำให้คุณดูถูกตัวเองแบบนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ไปลดน้ำหนักกัน มู่เฉียว ทำไมคุณถึงไม่ยอมเชื่อฉัน ฉันไม่เคยสนใจว่าคุณจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฉันสนใจแค่เป็นมู่เฉียว แค่เป็นคุณ เท่านั้น”
มู่เฉียวมองโม่หาน ในใจเธอรู้สึกซาบซึ้งใจ แต่ปากกล่าวว่า: “ถ้าฉันไม่ลดน้ำหนัก มีรูปร่างแบบนี้ คุณก็จะหย่าเหรอ”
คำพูดที่พูดออกมานี้ คนทั้งสองต่างก็ตกตะลึง มู่เฉียวเห็นความเจ็บปวดในสายตาของโม่หาน แต่เธอก็ยังออกจากห้องไปโดยไม่หันกลับมามอง
ขอเพียงแต่โม่หานมีเวลา เขาก็จะทำให้เธอไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนทุกๆครั้งที่เธออยากจะบ่นว่า ก็ต้องกลืนมันกลับไป
“เฉียวเอ๋อ แม่ปรารถนาให้การตั้งท้องนี้ของคุณได้ลูกชายจริงๆเลย” วันนี้หลังจากทานข้าวเสร็จ แม่ก็เอาผลไม้ที่ล้างเป็นอย่างดีมาส่งให้ แล้วก็นั่งลงข้างๆเธอ
มู่เฉียวมองรูปร่างที่เปลี่ยนไปเป็นอ้วนกลม เธอก็ยิ้มเจื่อนๆ “ฉันก็หวังอย่างนั้น” เพราะเธอไม่กล้าจะมีลูกเป็นครั้งที่สามจริงๆ อันที่จริงเธอเสนอว่าจะไปตรวจเลือดดูว่าเป็นลูกชายหรือลูกสาว แต่โม่หานก็ปฏิเสธ
นอกจากนี้ยังขอให้หมอไม่เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเธอ มู่เฉียวรู้ว่าเขากลัวที่จะส่งผลต่ออารมณ์เธอในระหว่างตั้งครรภ์
เธอไม่ได้เห็นว่าผู้ชายดีกว่าผู้หญิง แต่โม่หานเป็นลูกชายคนเดียวมาหลายชั่วอายุคน หานฉุนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลโม่ ฉะนั้นเขาจึงต้องการมีลูกเพื่อมาสืบทอดต่อพวกเขา
ตอนกลางคืน โม่หานนวดขาที่บวมน้ำอย่างมากให้เธอทั้งสองข้าง
มู่เฉียวกินเนื้อวัวแห้ง อาจเป็นเพราะเกี่ยวกับลูกทั้งสองคน เธอเลยหิวง่ายเป็นพิเศษ
“โม่หาน คุณว่าฉันอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ คุณไม่ว่าผู้หญิงข้างนอกเหล่านั้นสวยเป็นพิเศษเหรอ?”
โม่หานไม่พูดอะไร มือยังคงทำเหมือนเดิมไม่หยุด
“โม่หาน ฉันพูดกับคุณนะ……”
โม่หานดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมขาเธอ นำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “พูดเหลวไหลอะไรมากมายขนาดนี้ กินแล้วก็รีบนอน” ชายคนนั้นพูดจบ มือก็ลูบอยู่บนท้องนูนๆของเธอ มุมปากยกยิ้มขึ้น
มู่เฉียวเบะปาก “เห็นไหม คุณหมดความอดทนกับฉันแล้ว”
โม่หานลุกขึ้นนั่งแล้วมองเธอ พูดอย่างจริงจังว่า : “ฉันได้ยินหมอบอกว่า ในช่วงสองสามเดือน จึงจะเหมาะสมไม่ใช่เหรอ?”
มู่เฉียวผลักเขาออก เปิดผ้าห่มลุกขึ้น ไปที่ห้องน้ำ ตลอดทางก็ไม่ได้ฟังว่าโม่หานพูดอะไร
ชายคนนั้นเห็นเธอทำเป็นไม่รู้เรื่อง จึงเดินตามไปที่ห้องน้ำ
“โม่หาน เมื่อกี้ฉันแค่พูดผิดไป”
ชายคนนั้นนำผ้าเช็ดตัวมารองไว้ที่พื้นห้องน้ำ ถอดเสื้อคลุมให้เธออย่างมีระเบียบ
หญิงคนนั้นกัดริมฝีปากล่าง “ทำไมคุณไม่ไปหาสาวสวยๆข้างนอกล่ะ?”
ดีดหน้าผากเธอเบาๆ “รอคุณคลอดลูกแล้วค่อยหา”
เขาพูดประโยคนี้อย่างจริงจังมาก มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณพูดจริงๆเหรอ?”
“คลอดลูกสาวแล้ว ไม่เรียกว่าสาวสวย แล้วจะเรียกว่าอะไร?”
มู่เฉียวหัวเราะ
ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอดจนกระทั่งมู่เฉียวคลอดลูก
เพราะมีลูกคนหนึ่งที่มีตำแหน่งของทารกในครรภ์ไม่ค่อยดี คนในบ้านกับโม่หานจึงเป็นกังวล ฉะนั้นจึงเลือกที่จะไม่ให้เธอคลอดธรรมชาติ
ในวันที่ผ่าคลอด โม่หานบอกว่าตนเองจะเข้าไปด้วย แต่มู่เฉียวไม่ยอม รูปร่างน่าเกลียดขนาดนี้ เธอกลัวว่าในอนาคตเขาจะรู้สึกแย่
“โม่หาน คุณรอฉันอยู่ด้านนอกนะ”
โม่หานลูบผมของเธอ ก้มลงไปจูบหน้าผากเธอ “คุณภรรยา ทำให้คุณต้องลำบากเลย ฉันอยู่ด้วยตลอดนะ”
ต่อหน้าผู้คนมากมาย โม่หานเรียกเธออย่างน่าซาบซึ้งใจอย่างนี้ มู่เฉียวก็หน้าแดงเล็กน้อย
โม่หานมองประตูที่ปิดอย่างช้าๆ จึงหลับตาลง ครั้งแรกที่มู่เฉียวคลอดลูก เข้ามาช้า เวลานั้นเขายังไม่มีความรักต่อเธอ เดิมทีก็ไม่ได้ตระหนักถึงความกลัวและความกังวลเลย
“โม่หาน คุณดื่มน้ำหน่อยเถอะ” พ่อมู่มองโม่หานที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในฐานะที่เป็นผู้ชาย เป็นธรรมดาที่เขาจะสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจเช่นนี้ แต่ก็รู้สึกปลื้มใจเล็กน้อย ที่ลูกสาวไม่ได้แต่งผิดคน
โม่หานรับน้ำมา “ขอบคุณครับพ่อ”
เมื่อฉีดยาชาเข้าไป ร่างกายของมู่เฉียวก็ค่อยๆหมดสติไป เธอพยายามบังคับให้ตัวเองมีสติสักเล็กน้อย ดังนั้น เธอจึงได้ยินการสนทนาระหว่างหมอ
แต่สุดท้ายก็เคลิ้มแล้วหลับไป ในความสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่ามีคนเรียกเธอ
พอลืมตา ก็เห็นคุณหมอเจ้าของไข้
“คุณนายโม่ ยินดีกับคุณด้วย ได้ลูกชายหนึ่งคน ลูกสาวหนึ่งคน เป็นฝาแฝดชายหญิง คุณนายโม่โชคดีจริงๆ” คนในห้องคลอดต่างก็แสดงความยินดี ถึงแม้พวกเธอจะไม่คาดคิดว่า ผู้ชายที่ดีเลิศขนาดนั้น หล่อเหลาขนาดนั้น และร่ำรวยขนาดนั้น ทำไมถึงมาแต่งงานกับผู้หญิงที่”ไม่เข้าตา”แบบนี้ได้ อีกทั้งยังดูแลเอาใจใส่ แต่ใครก็รู้ว่า บางทีอาจเป็นเพราะแม่ได้ดีเพราะลูกหรือเปล่า?
มู่เฉียวถอนหายใจอย่างโล่งอก หลับตา ความอ่อนแรงและผ่อนคลายของร่างกาย ทำให้เธอหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง คนก็มาอยู่ที่ห้องผู้ป่วยแล้ว
โม่หานนั่งอยู่ข้างๆเตียงของเธอ กุมมือของเธอเอาไว้ เห็นเธอตื่นขึ้นมา ก็แสดงการโล่งอกอย่างชัดเจน ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ยังเจ็บอยู่ไหม?”
มู่เฉียวพบว่า ขณะที่โม่หานพูดคำนี้ ในดวงตามีน้ำตาคลอเบ้า
เธออยากจะหัวเราะเยาะเขา แต่พออ้าปาก หางตาก็มีน้ำตาไหลออกมา
“โม่หาน ฉันไม่อยากคลอดลูกอีกแล้ว”
แม่เดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อได้ยิน จึงกล่าวว่า “คุณคิดว่าตัวเองเป็นหมูเหรอ? ตั้งสามคนแล้ว ยังคิดจะคลอดลูกอีกเหรอ?”
ริมฝีปากของมู่เฉียวกลายเป็นเส้นตรง
เวลานี้ คุณนายโม่และคุณนายนายท่านโม่ก็เข้ามา ด้านหลังมีพยาบาลอุ้มเด็กสองคนตามเข้ามา
“แม่ คุณย่า….” เธอกล่าวทักทาย
“อย่าเพิ่งรีบพูด ตอนนี้ร่างกายคุณอ่อนแอ อย่าออกแรงมากไป” คนที่พูดคือคุณนายนายท่านโม่ พูดพลาง แสดงเจตนาให้กับพยาบาล “เอาเด็กสองคนมาให้แม่ดูสิ คนหนึ่งเหมือนแม่ คนหนึ่งเหมือนพ่อ ตระกูลโม่ของพวกเราช่างมีบุญวาสนาจริงๆเลย”
มู่เฉียวได้ยิน ในสายตาก็เป็นประกาย ค้ำร่างตัวเองขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเธอได้เห็นลูกทั้งสองคน ก็เบะปาก มองโม่หาน “ทำไมขี้เหร่แบบนี้ล่ะ?”
ตอนมู่เสี่ยวโยวเกิดมา งดงามอย่างมาก เหมือนโม่หานถึงที่สุด สวยมาก แต่เด็กสองคนนี้ ใบหน้าขาวซีด มีรอยย่น คาดไม่ถึงว่าคุณนายนายท่านโม่จะบอกว่าเหมือนพวกเขา
คุณนายโม่ปิดปากหัวเราะเบาๆ คนหนึ่ง2.5กิโลกรัม อีกคนหนึ่ง2.7กิโลกรัม แน่นอนว่าไม่มีทางเทียบกับเสี่ยวโยวตอนนั้นได้ รอเวลาให้เติบโตสักหน่อย ก็สวยแล้ว”
มู่เฉียวพยักหน้า
สองวันต่อมา โม่หานอยู่กับมู่เฉียวสองวันแทบจะไม่ห่างไปไหน ชัดเจนว่ามีพยาบาลดูแลหลังคลอดแล้ว แต่เขาก็ยังดื้อรั้นช่วยเช็ดตัวให้เธอ
“คุณไม่กลัวเงามืดในอนาคตเหรอ?” มู่เฉียวละอายใจ จึงห้ามปรามเขา
“หนี้ของคุณไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ที่จะสามารถชดเชยได้”
มู่เฉียวน้ำตาคลอเบ้า สะอื้นเล็กน้อย เธอคิดว่าตนเองเกิดใหม่สามรอบก็ยังคงมีความสุข
หลังจากหมอให้ออกจากโรงพยาบาลได้ โม่หานก็จ้างคนเข้ามาสามคน สองคนให้ดูและลูกแต่ละคน ส่วนอีกคนให้ปรนนิบัติมู่เฉียวโดยเฉพาะ บอกกับพ่อแม่รวมทั้งคุณนายโม่และคุณนายนายท่านที่เข้ามากันแทบทุกวัน คฤหาสน์ของเธอและโม่หานก็ดูครึกครื้นขึ้นมา
เดิมทีก็เป็นห่วงว่ามู่เสี่ยวโยวจะน้อยใน ที่ไหนได้เจ้าตัวน้อยคนนี้ กลับชอบเด็กสองคนอย่างมาก ทุกวันที่กลับมาจากโรงเรียนอนุบาลก็ต้องวิ่งเข้ามา ทำให้มู่เฉียวรู้สึกโล่งใจ
ชีวิตงดงามอย่างมาก ลูกสามคน มู่เฉียวก็ไม่ต้องเป็นห่วงจนเกินไป แต่ต้องปลงกับร่างกายที่อ้วน หลังจากทำการอยู่เดือนแล้ว น้ำหนักของเธอยังคงหนักกว่าตอนที่คลอดมู่เสี่ยวโยว เวลาก้มหน้า แทบจะมองไม่เห็นปลายเท้า แม่บอกว่า อาจเพราะเธอโครงสร้างเหมือนคุณยาย อาจจะผอมลงยากแล้ว เธออยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
หลังคลอดหนึ่งเดือน เธอไปตรวจอีกครั้ง คาดไม่ถึงคุณหมอแต่ละคนจะพูดว่า: “ตรวจครรภ์ชั้นล่างค่ะ”
ตรวจครรภ์???
โม่หานหัวเราะเบาๆอยู่ข้างๆ มู่เฉียวมองตนเองที่ยังคงเหมือนคนท้องสี่ห้าเดือนอยู่ ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ
เมื่อออกมา โม่หานจะไปจูงมือของเธอ แต่เธอเก็บมือไปด้านหลัง และอยู่ห่างจากเขาหลายเมตร
ชายหนุ่มมองเธอ อย่างจนปัญญา
ตรวจแล้วล้วนเป็นปกติทุกอย่าง เมื่อออกจากโรงพยาบาล อารมณ์ของมู่เฉียวก็หดหู่อย่างมาก
เท้าของมู่เฉียวหยุดชะงัก และชี้ไปที่ห้องข้างๆ นี่คือห้องพักของหลินซาน เมื่อครู่เธออยากจะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่โม่หานกลับดึงเธอไว้ รูดบัตร แล้วทั้งสองก็เข้าห้องไป
เสียงขอความช่วยเหลือก็ยังคงดังมาจากข้างห้อง
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ห้องข้าง……..”
โม่หานหยิบโทรศัพท์ข้างเตียงและโทรหาแผนกต้อนรับ และพูดภาษาฝรั่งเศสกับพนักงานอย่างคล่องแคล่วว่า ห้องข้างดูเหมือนมีคนตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ พูดจบ เขาก็วางโทรศัพท์และถอดเสื้อโค้ตออก
เมื่อเห็นมู่เฉียวจ้องมองเขา เขาก้าวมาข้างหน้าและโบกมือให้เธอนั่งลง “ต่อไปนี้ไม่ต้องใส่รองเท้าส้นสูงแล้ว”
ทัศนคติของเขาที่ไม่แยแสต่อห้องข้างๆ ทำให้มู่เฉียวเห็นความโหดเหี้ยมของชายคนนี้อีกครั้ง
พูดจบ เขาก็เข้าไปในห้องน้ำ “ผมจะปรับอุณหภูมิน้ำให้คุณ”
“โม่หาน ที่จริงแล้ว ฉันไม่เป็นไร……..”
“ขาต้องหักก่อนถึงจะเป็นอะไรรึไง ?”
ชายหนุ่มสำลักเธอ แต่มู่เฉียวพูดอะไรไม่ออกมาครู่หนึ่ง ขาเธอก็เป็นเพียงที่ผิวเท่านั้น แต่ข้างๆกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
……
ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมา โม่หานได้รับโทรศัพท์จากผู้ช่วย บอกว่าหลินซานที่กำลังอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำ ขาพลิก
มู่เฉียวถอนหายใจ ทำไมถึงมีเรื่องบังเอิญอะไรเช่นนี้ ? ล้วนแต่เท้ามีปัญหา
เธอเหลือบมองโม่หานอย่างไม่ใส่ใจ ในขณะที่เขากำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เธอด้วยท่าทางจริงจัง ทำให้มู่เฉียวขยับอีกครั้ง
ถ้าชายหนุ่มใส่ใจคุณ สิ่งเล็กเล็กน้อยน้อยในของคุณก็จะอยู่ในสายตาอันกว้างของเขา แต่ถ้าหากว่าชายหนุ่มไม่สนใจ ถึงแม้เป็นเรื่องใหญ่ของคุณก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม
อืม นี่อาจจะเป็นการตีความหมายรักที่ดีที่สุด
ต่อมา โม่หานก็สั่งให้คนซื้อรถเข็นอัตโนมัติสุดหรูมาให้หลินซาน บอกว่าให้เธอไปไหนมาไหนได้สะดวก
เมื่อวันรุ่งขึ้นหลินซานได้พบกับใครบางคน เธอพูดถึงเหตุการณ์นี้โดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งมันแสดงให้เห็นมากว่าโม่หานให้ความสำคัญกับเธอมากเพียงใด
มู่เฉียวแอบหัวเราะในใจ เธออยากจะบอกเธอมากว่า เมื่อเทียบกับรถเข็นราคาแพงนี้ เธอยังรู้สึกว่าหลังของโม่หานนั้นสบายกว่า
นิทรรศการดำเนินการเป็นเวลาสามวัน ในช่วงสามวันนี้หลังจากที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสามารถทางภาษาฝรั่งเศสของโม่หาน มู่เฉียวก็เลยละเลยเล็กน้อย แต่โม่หานกลับจงใจเงยหน้าขึ้นและถามเธอว่า “คุณมู่เฉียว รบกวนแปลด้วย”
หลังจากจบงานนิทรรศการ โม่หานก็หาข้ออ้างมาว่าธุรกิจบางอย่างยังไม่เรียบร้อย เลยให้มู่เฉียวอยู่ต่อ
ทั้งสองคนเดินไปตามถนนในฝรั่งเศส มู่เฉียวรู้ว่า เขาตั้งใจที่จะมากับเธอ
เธอรู้สึกประทับใจมาก
บางทีอาจจะเป็นเพราะเรื่องของหลินซานทำให้มู่เฉียวเห็น “ความภักดี” ของโม่หาน และยกระดับความไว้วางใจเข้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากกลับมา ชีวิตก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
โม่หานยุ่งกับงานมาก แต่ก็มักจะใช้เวลาว่างไปกับเธอและมู่เสี่ยวโยว และเมื่อมู่เฉียวทำงานล่วงเวลา โม่หานก็จะตั้งตารอเธอ ชีวิตแบบนี้ เหมือนกับชีวิตคู่ในจินตนาการของมู่เฉียว สงบ แต่มีความสุขมาก
ในวันนี้ มู่เฉียวกำลังซักผ้า ชายหนุ่มก็มาโอบเอวเธอจากข้างหลัง “คุณภรรยา วันนั้นของเดือนของคุณ ไม่มาใช่ไหม ?”
เมื่อคืนมู่เฉียวรีบทำงาน และนอนค่อนข้างดึก ดังนั้น สมองของเธอเลยมีการตอบสนองช้าเล็กน้อย เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “เรื่องอะไร ?”
ชายหนุ่มหยิกไปที่ใบหน้าของเธอ “คุณว่าไงล่ะ ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว จากนั้นก็ค่อยค่อยยกมือปิดหน้า และเปิดปากของเธอเล็กน้อย “ดูเหมือนว่าจะไม่มาสองเดือนแล้ว ”เมื่อเธอพูดจบ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เดือนนี้มีเรื่องเยอะมาก เธอยุ่งมาก ยุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปซะเลย
“ในตอนกลางคืน เธอไปซื้อที่ทดสอบการตั้งครรภ์กลับมาตรวจ”
ชายหนุ่มพยักหน้า และจูบไปที่แก้มขวาของเธอ
เมื่อมาถึงบริษัท เพราะว่าเรื่องนี้ มู่เฉียวจึงไม่สนใจที่จะทำสิ่งต่างๆ เธอทั้งตั้งหน้าตั้งตาและกลัวความผิดหวัง
ในตอนกลางวัน โม่หานส่งข้อความหาเธอ บอกให้เธอขึ้นมาชั้นบน
เธอหาข้ออ้างไปที่ห้องทำงานของโม่หาน
ชายหนุ่มหยิบกล่องบรรจุภัณฑ์ออกมาจากลิ้นชักแล้วส่งให้กับมู่เฉียว “ไปดูกันเถอะ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ห้องทำงานของคุณทำไมถึงมีอันนี้ ?”
ชายหนุ่มลุกขึ้น และพยักหน้าบนหน้าผากของเธอ “ความสามารถในการจินตนาการของคุณมากขึ้นนะ”
ในขณะที่มู่เฉียวไปเข้าห้องน้ำ เธอก็มองเห็นโม่หานเอนพิงประตูผ่านประตูกระจกฝ้าได้อย่างชัดเจน
ดูเหมือนว่าเขาจะประหม่ากับผลตรวจนี้มากกว่าเธอ
มากเสียจนมือที่ถือแท่งทดสอบการตั้งครรภ์สั่นเล็กน้อย
ครั้งแรกที่ท้องเธอเป็นลมไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็เรียนรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์จากพี่ซู ดังนั้น การใช้แท่งการทดสอบนี้มันจึงเป็นครั้งแรก เธอจึงดูงุ่มง่ามเล็กน้อย
เมื่อเธอเห็นแถบสีแดงปรากฏสองแถบ เธอดูคู่มือการใช้งานและอ่านอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกล้ามั่นใจว่า เธอตั้งครรภ์แล้วจริงๆ
เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงลูกบิดประตู เขาก็ยืนตรงและถอยหลังไปสองก้าว
เขามองไปที่มู่เฉียว “เป็นอย่างไรบ้าง ?”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก และวางท่าทางประหม่าลงไปในดวงตาของชายหนุ่ม “โม่หาน คุณชอบลูกชายหรือลูกสาว ?”
โม่หานกอดเธอไว้ในอ้อมแขน แต่การเคลื่อนไหวของเขาเบาลงอย่างเห็นชัด
“แค่คุณเป็นคนให้กำเนิด ผมชอบหมด”
มู่เฉียวยิ้ม วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์พอดี โม่หานจึงพามู่เฉียวไปโรงพยาบาลหรูแห่งหนึ่ง
“ถุงตั้งครรภ์คู่ ตัวอ่อนคู่ ”หมอวัยกลางคนผลักแว่นของตัวเองขึ้นและพูดออกมา
“หมายความว่ายังไง ?”
“ฝาแฝด !”
มู่เฉียวและโม่หานหันหน้าสบตากัน ทั้งคู่ต่างประหลาดใจเป็นอย่างมาก
คุณนายโม่และคุณย่าโม่หลังจากตรวจสอบครบสามเดือน และเด็กก็ปลอดภัยแล้ว มู่เฉียวถึงบอกพวกเขา เมื่อรู้ว่าเธอตั้งครรภ์ แถมยังเป็นฝาแฝดอีก พวกเขาทั้งสองดีใจมาก และขอร้องให้เธอรีบย้ายมาอยู่คฤหาสน์ตระกูลโม่ทันที และบอกว่าเธอติดหนี้เมื่อครรภ์แรก ครั้งนี้เธอต้องชดใช้ และเสนอให้ครอบครัวมู่ย้ายมาอยู่คฤหาสน์ตระกูลโม่ด้วย
พ่อแม่บอกว่าเมื่อครอบครัวฝ่ายสามีมีน้ำใจแบบนี้ มันก็ยากที่จะปฏิเสธ ก็เลยตอบรับว่าจะอยู่จนมู่เฉียวคลอด แล้วค่อยกลับของตัวเอง ด้วยวิธีนี้มู่เฉียวและครอบครัวจึงย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลโม่อีกครั้ง
“เมื่อรอให้มู่เฉียวให้กำเนิดแล้ว พวกเราก็จัดงานแต่งงานให้คุณกับโม่หาน คุณดูสิมีลูกสองคนแล้ว ยังไม่ได้จัดงานแต่งดีดีให้กับเสี่ยวเฉียวเลย ”ในงานเลี้ยงอาหารค่ำวันนี้ คุณนายโม่ก็พูดขึ้น ซึ่งมู่เฉียวรู้ว่านี่เป็นการพูดให้พ่อกับแม่ของเธอฟัง
อันที่จริงโม่หานพูดถึงเรื่องแต่งงานนี้หลายครั้งแล้ว แต่เป็นตัวเธอเองที่ไม่สนใจเรื่องนี้
เธอรู้สึกว่าเมื่อจัดงานแต่งงานแล้ว การแต่งงานของเธอกับโม่หานก็จะถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ดังนั้นเธอจึงยืนยันว่าจะไม่จัด
แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคุณนายโม่ เธอเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะต้องเตรียมพร้อมรอให้ลูกเกิดก่อน
“ยังมีอีกนะ เสี่ยวเฉียว คุณลองดูสิว่างานของคุณอันนั้นสามารถหยุดทำก่อนได้ไหม”
การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวหยุดชะงัก
คุณนายโม่รีบเปลี่ยนน้ำเสียงทันที“ ไม่ใช่ ความหมายของแม่ก็คือ คุณก็เข้าใกล้เดือนที่4แล้ว แล้วคุณทำงานล่วงเวลาทุกวัย มันเหนื่อยเกินไป รอให้คุณคลอดลูกแล้ว ถ้าหากคุณยังอยากจะไปทำ ก็เอาเด็กมาให้พวกเราดูแล คุณว่าแบบนี้โอเคไหม ?”
มู่เฉียวมองไปที่โม่หาน
โม่หานวางตะเกียบลง “แม่ แล้วแต่เธอเถอะ ให้เธอเล่นอยู่ที่บ้าน ทุกวันมันก็ยากลำบาก เรื่องนี้ค่อยพูดทีหลังนะ”
มู่เฉียวพยักหน้าซ้ำๆ และมองดูเขาอย่างซาบซึ้ง
ต่อมา จนกระทั่งถึงเดือนที่7 คุณย่าโม่บอกว่าจะไม่ปล่อยให้เธอไปไหนแล้ว เพราะว่าเธอตั้งครรภ์ลูกแฝด ท้องของเธอจึงใหญ่เป็นพิเศษ การแปลล่ะ แค่นั่งลงก็ลุกขึ้นมาไม่ได้แล้ว ในช่วงนี้มู่เฉียวก็รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย โม่หานก็ยอมแล้ว มู่เฉียวก็ทำอะไรไม่ถูก รอคลอดอยู่ที่บ้าน
โม่หานยุ่งมากเพราะบริษัทกำลังจะเปิดกิจการ ถึงแม้ว่าเขาจะลดจำนวนการเดินทางเพื่อทำธุรกิจลง แต่เวลาที่เขาใช้กับเธอที่บ้านก็น้อยมาก สิ่งนี้ทำให้ในใจมู่เฉียวที่อ่อนไหวและอึดอัดเล็กน้อยในระหว่างตั้งครรภ์
สีหน้าของโม่หานไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เขาหันศีรษะมองอู๋เหิง “ตอนบ่ายไม่มีอะไร ไปเที่ยวรอบๆอย่างอิสระกันเถอะ เพื่อนเก่าของคุณ ฉันจำได้ว่าอยู่ที่นี่ ไปประชุม”
มู่เฉียวสังเกตว่าสีหน้าของอู๋เหิงมืดมนลงทันที ใบหน้าเขาบูดบึ้ง “ไปทำไม ? ไปดูครอบครัวเขามีความสุขขนาดไหนเหรอ ?”
โม่หานหรี่ตา และหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดออก ส่งให้กับอู๋เหิง “ดูเองละกัน”
อู๋เหิงหยิบมันขึ้นมาด้วยความงุนงง จากนั้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาก็เบิกกว้างราวกับได้เห็นโลกใหม่ เขามองโม่หาน “สิ่งนี้ได้มาจากไหน ?”
“แผ่นที่อยู่ข้างหลังอีกหน้า อีกเดี๋ยวส่งวีแชทให้คุณ รีบไปเถอะ”
อู๋เหิงเหลือบมองโม่หานอย่างซาบซึ้ง แล้วตบไปที่ไหล่ของเขา “คุ้มแล้วพี่ชายที่ผมรักคุณโดยไม่เปล่าประโยชน์”
หลังจากที่อู๋เหิงจากไป โม่หานก็มองไปที่หลินซานอีกครั้ง “ตอนบ่าย ผมยังมีธุระอยู่ทางนี้อีกนิดหน่อย” ความหมายก็คือ เขาไม่มีเวลาไป โบส์ถอะไรนั่น
เมื่อเห็นโม่หานจากไป มู่เฉียวก็ภูมิใจเล็กน้อย
ทันใดนั้น จังหวะการก้าวเท้าของชายหนุ่มก็หยุดลง และชายคนหนึ่งก็หันกลับมามองมู่เฉียวแล้วพูดอย่างเป็นทางการว่า “คุณมู่ ผมยังต้องการให้คุณมาทำธุระกับผมในตอนบ่าย”
มู่เฉียวตอบกลับไป “อ่อ ค่ะ ประธานโม่” จากนั้น เธอก็รีบตามเขาไป
……
เมื่อมองไปที่โบสถ์ข้างหน้า มู่เฉียวก็หันศีรษะมองโม่หาน “คุณนี่รู้ไส้รู้พุงของฉันหมดเลยรึเปล่า ?”
ชายหนุ่มรั้งเอวของเธอไว้ “ถ้าไม่มาดู เกรงว่าตอนกลางคืนจะมีคนนอนไม่หลับ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและยิ้ม “พูดมาตรงๆ ว่าทำไมถึงเคยอยู่ด้วยกัน…….”
“ในตอนที่เรียนอยู่ต่างประเทศนั้น พวกเราอยู่คณะเดียวกัน ตอนเรียนจบ ทุกคนจึงนัดกันมาที่นี่ ดังนั้น ก็เลยมาด้วยกัน แต่มาด้วยกันเป็นกลุ่ม”
มู่เฉียวพยักหน้า ตกลง หลินซานคนนี้ก็จริงๆเลย เห็นได้ชัดว่าเป็นกลุ่ม แต่ทำไมเธอต้องพูดแบบคลุมเครือด้วย
“คุณก็รู้ว่าเธอชอบคุณ แล้วทำไมถึงยังให้เธอมาทำงานที่บริษัท ?”
โม่หานพาเธอไปนั่งใต้เก้าอี้นอกโบสถ์ ลมพัดเบาๆ และใบไม้ก็ร่วงลง ซึ่งบังเอิญตกลงมาบนผมยาวของมู่เฉียว ชายหนุ่มค่อยค่อยดึงออกให้เธอก่อนจะพูดว่า:“ ในสายตาของผม นอกจากคุณแล้ว ผู้หญิงคนอื่นก็มีเพียงประโยชน์เหมือนกับผู้ชาย คุณอย่าลืมนะว่าผมเป็นนักธุรกิจ ผมจะไม่คบถ้าไม่ได้ผลประโยชน์ นั่นคือหลักการของผม ผมไม่ปฏิเสธว่าผมฉวยโอกาสจากความอ่อนแอของเธอ อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานะที่สูงของเธอในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าใช้เงินก็จะได้มา และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ดีใช่ไหม ”
มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่โม่หานอย่างเหลือเชื่อ เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ ช่างน่ากลัวและน่ารังเกียจจริงๆ
เธอควรจะขอบคุณชายคนนี้ดีไหมนะที่ไม่ใช้ความน่ารังเกียจของเขากับตัวเธอ ?
ชายหนุ่มปิดตาของเธอ และโน้มตัวลงมาจูบริมฝีปากเธอ “อย่าใช้สายตาแบบนี้มองผม แล้วก็เชื่อผม ผมแยกได้ว่าใครสำคัญใครไม่สำคัญ และผมจะไม่ให้โอกาสใดกับเธออีก”
เขาพูดแบบนี้ออกมาแล้ว มู่เฉียวยังจะพูดอะไรได้อีกล่ะ ?
เมื่อหันกลับมา เธอมองไปที่ข้างหลังโบสถ์ “พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันเถอะ”
โม่หานจับแขนของเธอแล้วขมวดคิ้ว “เป็นอะไรไปเหรอ ?”
มู่เฉียวเหลือบมองเขา “ฉันไม่สนใจความทรงจำของคุณและคนอื่น” รู้ทั้งรู้ว่าเขากับหลินซานไม่ได้มีอะไรเลย แต่มู่เฉียวก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อเขา
อารมณ์ของชายหนุ่มดีและไม่ได้พูดอะไร เขาแค่จับเอวของเธอไว้และพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ “ตกลง ฟังคุณ พูดมา คุณอยากไปไหน ?”
มู่เฉียวชี้ไปข้างหน้า หลังจากนั้นก็โบกมือ “สถานที่แห่งนี้ ฉันมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีที่ที่อยากจะไป หรือไม่ คุณก็เดินเป็นพื่อนฉัน ไม่ต้องทำอะไร ตกลงไหม ?” ตอนอยู่ในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยง ทั้งสองคนไม่เคยได้จับมือเดินเที่ยวด้วยกันแบบนี้เลย
โม่หานเหลือบมองมู่เฉียวโดยไม่ได้ตั้งใจ และนึกถึงคำพูดของอู๋เหิงที่ดังอยู่ในหูของเขา “มีผู้หญิงที่ไหนกันเมื่อมาถึงฝรั่งเศสแล้วจะไม่ช็อปปิ้ง คุณนี่นะ ระวังบัตรของคุณรูดจนหมดล่ะ”
แต่ จนท้ายที่สุด มู่เฉียวก็ไม่ได้ซื้อของอะไรเลย เธอซื้อแค่น้ำสองขวด และเธอก็ยังเป็นคนจ่ายอีก
เขาอยากจะบอกกับอู๋เหิงมากว่า ผู้หญิงของโม่หาน ไม่ซื้อของอะไรเลยจริงๆ ไม่เหมือนกับคนอื่น
“โม่หาน คุณแบกฉันหน่อยได้ไหม ?”
ทันใดนั้นเธอก็นั่งยองๆอยู่ที่พื้น โม่หานมองตามลงไป ถึงพบว่าเธอใส่รองเท้าส้นสูง และเดินมาตั้งนานขนาดนี้ แต่เขากลับไม่ได้สังเกต และทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจว่าเขาไม่ได้ประมาท
“คุณดูสิ เท้าของฉันล้าไปหมดแล้ว ”เมื่อมู่เฉียวพูดแบบนี้ ทำให้นึกถึงคำพูดของเล่อเชี่ยงหย่วน “คุณใส่รองเท้าส้นสูงไม่ได้”
โม่หานพยุงเธอไปนั่งบนเก้าอี้พักผ่อนด้านข้าง จากนั้นเขาก็นั่งลงต่อหน้ามู่เฉียว แล้วมองดูส้นเท้าที่เจ็บทั้งสองข้างของเธอ จากนั้นเขาก็ถอดรองเท้าของเธอทั้งสองข้างออกมา และโยนทิ้งลงไปในถังขยะข้างๆ จากนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ “ไปกันเถอะ ผมจะแบกคุณเอง ไปหาซื้อรองเท้าที่เหมาะสมกับคุณก่อน แล้วค่อยกลับโรงแรม”
เดิมทีมู่เฉียวแค่แกล้งเล่น ที่นี่มีผู้คนตั้งมากมายเดินไปมา โม่หานไม่อาย เธอรู้สึกเขินอาย แต่ว่ารองเท้าของเธอก็ถูกโม่หานโยนทิ้งไปแล้ว เมื่อคิดไปคิดมา เธอก็ยังคงปีนขึ้นไปบนหลังของโม่หาน
รอบดวงตาของเธอมีน้ำตาเล็กน้อย ในปีนั้นที่ต่างประเทศ เธอพูดกับเล่อเชี่ยงหย่วนว่าตัวเองเจ็บเท้า ให้เขาอุ้มหน่อย แต่เขากลับให้เธอนั่งรอตรงนั้น แล้วเขาไปซื้อรองเท้ามาให้เธอ
ต่อมา เธอไม่มีความสุข เชี่ยงหย่วนบอกว่าคนเยอะเกินไป ขอโทษนะ
ถ้าหากมองดูอย่างละเอียดก็จะรู้ว่าชายคนหนึ่งจะสนใจเธอหรือไม่ ไม่ว่าวันนี้จะเป็นโม่หานหรือ
ทั้งสองคนเกิดมาดี ดังนั้นมู่เฉียวจึงอายเล็กน้อย เมื่อถูกเขาแบกอยู่บนหลังในถนนแบบนี้ มีผู้คนจำนวนมากหันมามอง
อย่างไรก็ตาม ประมาณยี่สิบกว่านาทีนี้ โม่หานไม่ได้หยุดพักเลย ระหว่างทาง เธอแนะนำให้ขึ้นรถ
“แบกคุณไว้ที่หลังแบบนี้ก็ยังสามารถขยับได้ ผมแบกไหว”
เมื่อผ่านร้านขายยาจีน โม่หานก็ไปซื้อยาฆ่าเชื้อและปลาสเตอร์แปะแผล และในร้านขายยาเขาก็ช่วยเธอล้างฆ่าเชื้อและผันแผลให้กับเธอ ในเวลานี้ เขาไม่ใช่โม่หานที่สูงส่งคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นเพียงสามีของมู่เฉียว
เมื่อมาถึงร้านทำรองเท้าระดับไฮเอนด์ โม่หานก็ให้มู่เฉียวนั่งพักผ่อนอยู่บนโซฟา แล้วบอกว่าเขาจะไปช่วยเลือกรองเท้ามาให้เธอสักสองสามคู่
เมื่อเห็นว่า เขาพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องออกมาจากปากของเขา มู่เฉียวก็แปลกใจเล็กน้อย เธอถึงรู้ว่า ที่แท้การพาเธอมาเป็นล่ามจริงๆแล้วก็เป็นเพียงข้ออ้าง ปรากฏว่าโม่หานของเธอยอดเยี่ยมจริงๆ
ในแววตามีความชื่นชมเขาอยู่
เมื่อกลับมาถึงโรงแรมหลังจากซื้อรองเท้าแล้ว มู่เฉียวก็ปฏิเสธที่จะให้โม่หานแบก แล้วทั้งสองคนก็เข้าไปในโรงแรมทีละคน
“ฉันไปอาบน้ำที่ห้องก่อนนะ” มู่เฉียวพูดกับโม่หานในลิฟต์
“ผมจะไปกับคุณ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว
“เท้าของคุณโดนน้ำไม่ได้ ”หลังจากที่ชายหนุ่มพูดจบ เขาก็เดินออกจากลิฟต์ไปก่อน
มู่เฉียวแลบลิ้นให้แผ่นหลังของเขา แต่ในหัวใจกลับหวานชื่นเหลือเกิน
แต่ เมื่อทั้งสองคนเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูห้อง พวกเขาก็ได้ยินเสียง “ช่วยด้วย” ดังออกมาจากห้องข้างๆ
มู่เฉียวรู้สึกว่าโม่หานอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเธอ มิฉะนั้น เธอจะไม่ใช่การเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองเป็นข้ออ้างเสมอไป เธอลังเลและตอบไปว่า :“ส่งเลขห้องมาให้ฉัน เดี๋ยวฉันขึ้นไป”
เมื่อมู่เฉียวลุกขึ้นยืนมองหน้าต่าง มองดูวิวภายนอกและสระว่ายน้ำกลางแจ้ง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ:“นี่คือความแตกต่างระหว่างนายทุนกับคนทำงาน”
ชายหนุ่มกอดหญิงสาวจากด้านหลัง และวางคางบนไหล่ของมู่เฉียว “คุณภรรยา ที่จริงแล้ว……….”
“โอเค หยุด ฉันรู้ว่าคุณจะพูดอะไร คุณก็แค่ปฏิบัติกับฉันเหมือนคนทำงาน คุณอย่าเกลี้ยกล่อมฉัน”
โม่หานพยักหน้า “ถ้างั้น คุณอยากนอนต่ออีกหน่อยไหม ?”
“แต่ว่า ฉันไม่ง่วง ทำยังไงดี ?” มู่เฉียวสัญญาว่า ทำพูดที่เธอพูดนี้ ไม่มีความหมายอื่นแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้ยินว่าในหูของผู้ชายคนนี้มีความหมายอื่นอยู่
และหลังจากนั้นต่อมา มู่เฉียวก็เหนื่อยจนผล็อยหลับไป
ความงามที่ไร้ยางอายของผู้ชายคนนี้ สะกดจิตเธอและหว่านเมล็ดพืชไว้ตามทาง
เมื่อตื่นขึ้นมา เธอหันศีรษะไปก็มองเห็นโม่หานเดินขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ
เมื่อเห็นเธอตื่นนอนแล้ว เขาก็เอาผ้าขนหนูเช็ดผม เดินมาทางเธอและถามเธอว่า “หิวไหม ?”
มู่เฉียวจ้องมองเขา สายตาของเธอจ้องมองไปที่ร่างเปลือยเปล่าของเขา อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอชื่นชมผู้ชายไม่สวมเสื้อผ้าคนนี้ มัน…….สะดุดตามาก !
โม่หานคว้าผ้าเช็ดตัวสะอาดที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างๆเธอ และโยนไปที่หน้าเธอโดยตรง “คุณไม่อายบ้างเหรอ ที่จ้องมองผู้ชายแบบนี้”
มู่เฉียวดึงผ้าขนหนูที่อยู่บนหน้าออก และพบว่าชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแล้ว และยืนหันหลังให้กับเธอ
ทันใดนั้นเธอก็ค้นพบว่า ที่จริงแล้วก็มีบางเรื่อง ที่โม่หานนั่นบอบบางกว่าเธอมาก
แต่ก็ยังรู้สึกแปลกอยู่เล็กน้อย ทำไมในตอนนั้นเขาถึงถูกมองเป็นคนขี้ขลาดขนาดนั้น
“โม่หาน คุณคงไม่ได้อายหรอกใช่ไหม ?”ไม่ค่อยจะได้เห็นเขาในสภาพแบบนี้ มู่เฉียวจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไปได้ยังไง
ชายหนุ่มเริ่มสวมกางเกงของเขา เมื่อได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาจึงหันศีรษะมาเล็กน้อยแล้วเหลือบมองเธอ “พวกเขารอผมอยู่ที่ประตู”
“อะไรนะ ?”มู่เฉียวนั่งตัวตรง
ชายหนุ่มเม้มปากและหัวเราะอย่างแผ่วเบา ที่จริงแล้วมู่เฉียวค่อนข้างซุกซน เขาโน้มตัวลงและจูบไปที่ใบหน้าของเธอ “เด็กดี ลุกขึ้นมาอาบน้ำ ผมจะพาพวกเขาลงไปข้างล่างก่อน คุณเสร็จแล้วก็ค่อยลงมาทานข้าว”
มู่เฉียวพยักหน้า และชายคนนี้ก็ระมัดระวังมากขึ้น ผู้หญิงคนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ
เธอใช้เวลาอย่างรวดเร็วที่สุด เมื่อมาถึงร้านอาหาร ก็กินเวลาไปยี่สิบนาทีแล้ว
เห็นได้ชัดว่าโม่หานและคนอื่นๆทานเสร็จแล้ว และหลายคนก็กำลังปรึกษาพูดคุยกันอยู่
เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา สายตาของหลายคนก็จับจ้องมองมาที่เธออย่างพร้อมเพรียง
“โอ้ คุณนักแปลมู่ คุณนี่ยิ่งใหญ่มากเลยเหรอ ? ให้พวกเรากลุ่มใหญ่ขนาดนี้รอคุณคนเดียว คุณคิดว่าในประเทศจีนนี่หานักแปลไม่ได้แล้วใช่ไหม ?” เป็นผู้ช่วยของหลินซานอีกแล้ว
มู่เฉียวเม้มริมฝีปากของเธอ เธออยากจะบอกมาว่า หากผู้ที่อยู่ระดับใหญ่ประพฤติไม่ดี ผู้น้อยก็จะทำตาม ในมุมมองนี้ หลินซานคนนี้ก็ไม่ใช่คนดีอะไร
เธอเหลือบมองและเบ้ปากด้วยรอยยิ้ม “คุณผู้หญิงคนนี้ คุณพูดแบบนี้หมายถึงใครกัน ? ประธานโม่เหรอ ? ถ้าหากว่าใช่ ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าหากว่าหมายถึงตัวคุณเอง ก็ต้องขอโทษด้วย ดูเหมือนว่าฉันไม่จำเป็นต้องฟังคำร้องเรียนจากคุณ”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันไปสบสายตากับประธานโม่
อู๋เหิงยิ้มอย่างอึดอัดใจ เขามองดูนาฬิกาในมืออย่างเร็วและรีบพูดออกไปว่า “”ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เวลานี้ก็ยังมาทันไม่ใช่เหรอ ? คุณมู่ คุณรีบมานั่งทานเถอะ ?
โม่หานไม่พูดอะไร ไม่ได้พูดว่าดี และก็ไม่ได้พูดว่าไม่ดี
หลักๆก็คือ เขากล้าพูดไหม ? ไม่กล้า เกรงว่ากลางคืนจะเข้าห้องไม่ได้
“ประธานอู๋ คุณกับเธอมีความสัมพันธ์อะไรกันมาก่อนรึเปล่า ทำไมถึงช่วยเธอพูดเธอตลอดเลย”
อู๋เหิง “อ๋า” และเหลือบมองโม่หานโดยไม่รู้ตัว ชายผู้นี้ชำเลืองมองเขาอย่างมีความหมาย อู๋เหิงขมวดคิ้ว เขากำลังทำเรื่องที่ดี โอเคไหม ?
หลินซานเหลือบมองผู้ช่วยของเธอ “ทำไมถึงพูดมากอะไรขนาดนี้”
ผู้ช่วยเงียบไป
อย่างไรก็ตาม หลินซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ถึงแม้ว่าโม่หานจะไม่ค่อยพูดอะไรกับนักแปลคนนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความอดทนสูง
ทันใดนั้น สายตาของมู่เฉียวก็เข้มขึ้นเล็กน้อย
เมื่อมีสองสามคนมาถึงที่นั่น ก็มีคนมารับพวกเขาแล้ว
“ประธานโม่ เชิญทางนี้”
จากนั้น มีหลายคนที่ดูเหมือนจะรับผิดชอบกับงานนิทรรศการนี้ก็รีบเข้ามาพูดทักทายกับโม่หาน
มู่เฉียวพยักหน้าให้กับโม่หาน และแปลให้อย่างเป็นระบบ ในการทำงานนั้นมู่เฉียวทำอย่างได้อย่างยอดเยี่ยมและทุ่มเทอย่างไม่ต้องสงสัย
ขณะที่กลุ่มคนเดินลงมา มู่เฉียวก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการในครั้งนี้บ้างแล้ว และยิ่งคร่ำครวญถึงความแข็งแกร่งและความเฉียบแหลมในการทำงานของโม่หาน
ภายในระยะเวลาเพียงช่วงสั้นๆ สามารถทำให้เครื่องประดับ MY ที่ไม่เป็นที่รู้จักเข้าสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว
และยังได้เห็นความสามารถระดับมืออาชีพของหลินซานอีกครั้ง ซึ่งมันน่าชื่นชมมาก และข้อมูลเชิงลึกของเธอหลายครั้ง ล้วนทำให้เพื่อนร่วมงานต่างปรบมือให้
ถ้าหากพูดว่าสำหรับการทำงานนี้ เธอเป็นคนไม่สำคัญ
ดังนั้น หลิงซานจึงมีโปรไฟล์ที่สูงและเปล่งประกายอย่างไม่ต้องสงสัย
“คุณหลิน คุณกับคุณโม่กำลังคบกันอยู่หรือเปล่า ?” มีผู้หญิงคนหนึ่งถามหลินซาน ปรากฏว่าผู้หญิงที่ขี้เม้าไม่ใช่แค่ที่จีน แต่กลายเป็นสากลไปแล้ว
มู่เฉียวมองไปที่โม่หานและมองไปที่หลินซาน ทั้งสองคนไม่ว่าจะอารมณ์ รูปลักษณ์ และออร่า ไม่ต้องพูดถึงเลย มันเข้าคู่กันได้อย่างเหมาะสมมาก
แต่ว่า นี่เป็นวังของเธอ และเธอก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ประธานโม่พาสนมเข้ามา
อย่างไรก็ตาม คนที่ถูกถามไม่ใช่เธอ และเธอก็ไม่สามารถตอบได้ตามตรง ดังนั้น เธอจึงให้ความสนใจกับคำตอบของหลินซาน
หลินซานเอาผมยาวไว้ข้างใบหูของเธอ แล้วตอบไปด้วยภาษาฝรั่งเศสที่แข็งทื่อเล็กน้อยไปว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่”
คำตอบที่ลึกซึ้งนี้ ทำให้มู่เฉียวรู้สึกได้ถึงเสน่ห์ของภาษาในทันที
บุคคลนั้นตอบสนองอย่างรวดเร็ว และสายตาที่มองหลินซานอย่างลึกซึ้งนั้นก็มีความหมาย
ทั้งสองก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน
โม่หานที่กำลังคุยอยู่กับอู๋เหิง เมื่อเห็นสีหน้าของมู่เฉียวเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาก็เดินเข้ามาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”
“มีคนอยากจะขุดคุ้ยเรื่องของฉัน คุณว่าฉันควรทำอย่างไรดี ?” มู่เฉียวยังคงมองไปข้างหน้า ดังนั้น เธอจึงไม่เห็นรอยยิ้มในดวงตาของโม่หาน
“วางใจเถอะ คอนกรีตผสมเหล็ก ขุดต่อไปไม่ได้แล้ว”
เหล็ก คอนกรีต ? มู่เฉียวเลิกคิ้วและหัวเราะเบาๆ
อู๋เหิงที่อยู่ข้างๆถอนหายใจเป็นเวลานาน “ยังไงก็ตาม พวกคุณสองคน จะใจร้ายเกินไปหน่อยไหม ? ภายในผมเจ็บช้ำไปหมดแล้ว”
โม่หานพูดอย่างเคร่งขรึม:“ กลับถึงจีนแล้ว เดี๋ยวจะหาหมอจีนให้”
มู่เฉียวยิ้มออกมาอีกครั้ง อันที่จริงโม่หานค่อนข้างตลก แต่สำหรับคนเท่านั้น
“โม่หาน คุณ……….คุณมันไม่มีศีลธรรม” พูดจบ ก็ทิ้งพวกเขาทั้งสองคน “ฉันจะไปห้องน้ำ ไม่ต้องตามหาฉัน”
หลังจากที่หลายคนดูสถานที่จัดงานในตอนเช้าแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือรอเปิดงานนิทรรศการ
ดังนั้น ในตอนบ่ายพวกเขาจึงมีเวลาว่าง
“โม่หาน คุณยังจำโบสถ์ที่พวกเราไปด้วยกันในตอนนั้นได้ไหม ? ได้ยินมาว่ากำลังจะรื้อถอนแล้ว”
ดวงตาของมู่เฉียวหรี่ลง หันศีรษะไปมองโม่หาน โบสถ์ที่เคยไปด้วยกัน ? ข้อมูลนี้ค่อนข้างกว้าง
เมื่อหลินซานออกมาจากห้องน้ำ ผู้ช่วยก็รีบรายงานข้างหูเธอทันทีว่า “ฉันไปแอบได้ยินมา ผู้หญิงคนนั้น เคยหย่าร้าง และยังมีลูกอีก”
“หย่าร้าง และยังมีลูกอีก ? อะไรจะบังเอิญเช่นนี้ ?”
“ใช่ ได้ยินมาว่าในอดีตเป็นหมอที่อยู่ในเมือง B ”
หมอ ? หลินซานพยักหน้า ถอดแว่นกันแดดออก สายตาดูเหยียดหยามเล็กน้อย
ถึงแม้ว่าหน้าตาจะดูดี แต่มีภูมิหลังแบบนี้ ไม่น่าพูดถึงเลย
เมื่อออกมา โม่หานและคนอื่นๆก็เตรียมพร้อมขึ้นเครื่องบินแล้ว
เห็นได้ชัดว่า กำลังรอเธอ เธอเงยหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกที่เหนือกว่า ถอดแว่นกันแดดออก และวิ่งเหยาะๆสองก้าว และก็ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือเปล่า เมื่อเธอเข้าไปใกล้โม่หาน ขาของเธอก็พันกันสะดุดล้ม
มู่เฉียวเดินตามหลังทั้งสองคน ด้วยสายตาที่เฉียบคม เธอดึงเธอไว้ “ผู้อำนวยการหลิน ระวังค่ะ”
หลินซานมองไปที่มือที่จับแขนของเธอไว้ สีหน้าของเธอก็แย่ลง แต่เธอก็ลืมตาขึ้นหันมาทันที “ขอบคุณค่ะ”
มู่เฉียวรอให้เธอทรงตัวอยู่นิ่งแล้ว ถึงค่อยปล่อยมือ
ในขณะนี้โม่หานได้หยุดอยู่ข้างหน้าทั้งสองคนอยู่ประมาณสองสามเมตร เขาหันกลับมาและถามอย่างเป็นทางการว่า:“ เป็นอะไรรึเปล่า ?”
หลินซานส่ายศีรษะ
ผู้ช่วยของเธอดูหมิ่นมู่เฉียวอย่างรุนแรง ราวกับว่าคุณเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นอย่างนั้น
มู่เฉียวอยากจะบอกว่า คุณหลอกล่อสามีเธออย่างเปิดเผย เธอไม่ยุ่ง แล้วใครจะยุ่ง ?
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่นั้นมา เธอก็เข้าใจจุดประสงค์ของหลินซานอย่างแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่าเสี่ยวโหรวจะพูดถูก ผู้หญิงคนนี้ มาที่นี่เพื่อแย่งชิงผู้ชายจากเธอ
เพียงแต่ มีความสงสัยเล็กน้อย หลินซานคนนี้ก็เป็นคนที่มีพรสวรรค์ แล้วทำไมเธอต้องยึดติดกับโม่หานด้วย ?
ยิ่งกว่านั้น ในเมื่อทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ทำไมเธอถึงไม่ทำตั้งแต่ก่อนหน้านี้ล่ะ ?
เป็นไปได้ไหมว่า มีการล่วงประเวณี ?
เธอจ้องโม่หานอย่างดุเดือดอีกครั้งเธอไม่เชื่อว่า ผู้ชายคนนี้จะไม่สามารถมองผ่านความคิดของผู้หญิงคนนี้ได้ ดูเหมือนว่า คืนนี้ จะต้องลองพยายามดูแล้ว
บนเครื่องบิน ที่พวกเขาซื้อคือชั้นเฟิร์สคลาส
มู่เฉียวและผู้ช่วยอีกสองสามคนนั่งห่างกันที่อยู่แถวเดียวกันบนชั้นประหยัด
ดังนั้น อู๋เหิง โม่หาน หลินซานทั้งสามคนจึงนั่งอยู่แถวเดียวกัน
แล้วดังที่เห็น ที่นั่งนี้จะเป็นการประกาศสถานะทันที
โม่หานมีความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เธอยืนกราน เป็นแค่นักแปลคนหนึ่ง จะให้ไปนั่งชั้นเฟิร์สคลาสราคาหลายหมื่นหยวน มันก็ไม่สามารถอธิบายเหตุผลได้
อู๋เหงิและโม่หานที่นั่งอยู่ติดกัน และประมาณไม่กี่นาทีหลังจากที่เครื่องบินขึ้น ทันใดนั้นอู๋เหิงก็ลุกขึ้น และพูดกับมู่เฉียวว่า คุณมู่ พวกเรามาแลกที่นั่งกัน ตกลงไหม ?
มู่เฉียวขมวดคิ้ว นี่มันหมายความว่ายังไง ?
“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า ?”
“ผมก็แค่ไม่อยากนอนเอง ? เขามักจะดูถูกผมและนอนกรน ดังนั้น พวกเรามาเปลี่ยนที่กันเถอะ”
ถึงแม้ว่ามู่เฉียวจะรู้ว่านี่เป็นความตั้งใจของอู๋เหิง แต่เธอก็ยังรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ถ้างั้นคุณกับเปลี่ยนกับผู้อำนวยการหลินก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ? ”ผู้ช่วยของผู้อำนวยการหลินกระซิบ
อู๋เหิงชำเลืองมองเธอ และดึงเนกไทของตัวเองออก “หรือว่านั่งตรงที่เธอนั่นแล้วกรน คิดว่าประธานโม่จะไม่ได้ยิน ?”
หลินซานเหลือบมองโม่หาน เขาหลับตา และไม่ได้ตั้งใจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
มู่เฉียวไม่ขยับ อู๋เหิงยืนอยู่ข้างเธอ “คุณมู่ ช่วยหน่อยเถอะ พอดีเลย คุณไปนี่ก็เพื่อแปลภาษา คุณก็ต้องทำความคุ้นเคยกับประธานโม่หน่อยไม่ใช่เหรอ ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องสถานะ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นและไปนั่งที่นั่งข้างข้างโม่หาน นี่เป็นห้องหรูหราประมาณ3ตารางเมตร เธอมองไปที่คำแนะนำการใช้งานที่ด้านข้างเก้าอี้ เธอถึงรู้ว่าเมื่อปรับเก้าอี้ตัวนี้จะกลางเป็นเตียงขนาดสองเมตร ทันใดนั้นเธอมองกลับไปที่อู๋เหิงด้วยความรู้สึกผิดบางอย่าง “เอ่อ ประธานอู๋ คุณนี่ ดูเหมือนจะนอนสบายยิ่งขึ้นแล้วสินะ ?”
อู๋เหิงกระแอมเล็กน้อย เขาไม่ได้โง่ แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่ตรงนั้นนอนสบายกว่า แต่ใครบอกให้คนเป็นคนจงรักภักดีกันล่ะ ? ช่างเถอะ เห็นแก่ที่โม่หานเพิ่งแก้ปัญหาใหญ่ให้เขา เขาเลยจะทำดีตอบแทน
“ไม่เป็นไร ทะเลาะกับประธานโม่ผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเรามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
มู่เฉียวหัวเราะออกมาสองครั้ง และก็ไม่พูดอะไรอีก
เพราะว่าเที่ยวบินนี้ใช้เวลาสิบชั่วโมง และพวกเขาก็ขึ้นเครื่องกันประมาณสี่โมงเย็น ไม่นานหลังจากเครื่องบินทรงตัวแล้ว ก็มีคนมาเสิร์ฟอาหาร
หลังจากที่ดูอาหารของเธอที่แตกต่างกับประธานโม่โดยสิ้นเชิง มู่เฉียวก็บุ้ยปาก เพราะว่านี่เป็นห้องส่วนตัว ที่มีด้านหลังกว้างจึงมีพนักพิงใหญ่ที่สามารถบังสายตาผู้คนได้
มู่เฉียวยื่นตะเกียบออกไปเพื่อใส่เนื้อชิ้นเล็กชึ้นหนึ่งลงในถ้วยของหาน และกะพริบตาไปทางเขา
จากนั้น กล่องอาหารข้างหน้าของตัวเองก็ถูกยกขึ้น และเปลี่ยนเป็นอีกกล่องหนึ่งมาวางข้างหน้าเธอแทน
“ขอบคุณค่ะประธานโม่”
เธอเข้าใกล้เขา และกระซิบเบาๆที่ข้างหูของเขา
ชายหนุ่มเอื้อมมือออกและบีบหน้าเธอเบาๆ ด้วยใบหน้าที่นุ่ม
จากนั้น น้ำผลไม้คั้นสดและของว่างก็กลายเป็นของมู่เฉียว
โม่หานไม่ชอบดื่มเครื่องดื่มใดๆ เขาดื่มเฉพาะน้ำเปล่า โม่หานไม่ชอบขนม เธอก็รู้
“ฉันกำลังช่วยคุณ”
หญิงสาวทำหน้าบูดบึ้งใส่ชายหนุ่ม โม่หานไม่พูดอะไร ได้แต่ถอนหายใจ
หลังจากทานอาหารไปครึ่งชั่วโมง ไฟในห้องผู้โดยสารก็ดับลง
ม่านข้างๆของแต่ละคนถูกดึงขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ระหว่างเธอและโม่หานยังมีม่านกั้นอยู่ โดยทีที่ทั้งสองไม่ได้ดึงขึ้นมาเอง
ชายหนุ่มลุกขึ้น ช่วยเธอปรับตำแหน่งที่นั่งให้เข้ากับเตียง และก็ปรับของตัวเอง ระหว่างเตียงทั้งสอง มีที่วางแขนกั้นอยู่ แต่กลับไม่ได้ป้องกันไม่ใช่ชายหนุ่มเอื้อมมือมากอดเธอ
“เดี๋ยวจะถูกคนเห็นเอา” มู่เฉียวผลักเขา
แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้ดึงแขนออก
จู่ๆ มู่เฉียวเริ่มสนใจที่จะเล่น เธอหันกลับไปมองโม่หาน นิ้วที่เรียวยาวของเธอค่อยค่อยเลื่อนไปบนใบหน้าเขา “คุณว่า ผิวของคุณทำไมถึงดีขนาดนี้นะ ? ฉันไม่เคยเห็นคุณเช็ดอะไรเลย”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “นอนหลับ อย่าวุ่นวาย”
เธอกำลังวุ่นวายอยู่เหรอ ? มู่เฉียวใช้สายตาหลอกล่อเขา
มู่เฉียวมองไปที่โม่หาน และขยับศีรษะโน้มลงไปแตะที่ริมฝีปากของชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว
เธอได้ยินเสียงหายใจของชายหนุ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
เธออดไม่ได้ที่จะพูดติดตลกว่า “คุณคงไม่ได้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่ใช่ไหม ?”
ชายหนุ่มใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ และมองมู่เฉียวด้วยสีหน้าจริงจัง “มู่เฉียว คุณกำลังเล่นกับไฟ”
มู่เฉียวหรี่ตาและหัวเราะเบาๆ เธอพบว่า บางครั้งการล้อเลียนโม่หานและดูเขาไร้หนทาง ก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังคงมีสติสัมปชัญญะ
ในคืนนี้ เธอนอนไม่ค่อยหลับ เพราะว่ามีโม่หานอยู่ด้วย ดังนั้น ในคืนนี้ หัวใจของเธอจึงหวานมาก
เมื่อทุกคนมาถึง ที่ฝรั่งเศสก็เป็นกลางคืนพอดี
แม้ว่าตลอดทางเธอจะหลับอย่างเดียว แต่มู่เฉียวก็ยังรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย
เนื่องด้วยสถานะที่พิเศษของเธอ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถอยู่กับโม่หานได้
เมื่อเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง เธอก็อาบน้ำแล้วนอนลงบนเตียง จากนั้นก็ได้รับข้อความจากโม่หาน
“ขึ้นมา รอคุณอยู่ที่ห้อง”
ไม่เอานะ ? มันจะโอ้อวดเกินไปรึเปล่า ?
“ถ้างั้นผมลงไป หรือไม่ก็เปิดเผยต่อสาธารณะ”
มู่เฉียวพูดเสริมอีกประโยคว่า “ยังคงเป็นภาพคู่ที่น่ารักกว่า”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ผม…..กับเธอ มีภาพร่วมกัน ? และยังสนิทสนม ? ”ริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรง และเขาแสร้งทำเป็นพูดลวกๆว่า ในความทรงจำของผม ผมยังไม่เคยนอนกับเธอเลยนะ ?
มู่เฉียวอ้าปากค้าง “คุณ………”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็โน้มตัวลงมา และจูบไปยังริมฝีปากแดงที่เปิดอยู่เล็กน้อยของมู่เฉียว โอบเอวของเธอ และกระชับให้แน่นขึ้น จากนั้นเขาก็ปล่อย “เด็กโง่ ถึงแม้ว่าบางครั้งจะหึง แต่ผมก็ยังมีความสุขมาก อย่างไรก็ตามพวกเราผ่านประสบการณ์ร่วมกันมามากแล้ว ดังนั้น ไม่มีใครหรืออะไรจะสามารถมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเราได้ รูปที่ถ่ายกับเธอนี้ น่าจะเป็นมารยาทที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ ก็เท่านั้น”
“แบบนี้ที่ดีสุดแล้ว” เสียงหวานของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหูของชายหนุ่ม
“เมื่อวาน ดูเหมือนว่าคุณจะมีเรื่องอะไรที่อยากจะพูดกับผม ใช่ไหม ?”ทันใดนั้นโม่หานก็คิดอะไรได้
มู่เฉียวกะพริบตา “ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะว่า คุณได้ทำมันไปแล้ว”
ชายหนุ่มเข้าใจทันที “หรือว่าเป็นคำขอร้องของคุณ ?”
มู่เฉียวผลักเขาออกไปด้วยความเขินอายเล็กน้อย “คุณพูดไร้สาระอะไรเนี่ย ?”
“นั่นคือ………”
“แม่ให้เราเตรียมพร้อมสำหรับลูกคนที่สอง เลยอยากจะถามความคิดเห็นของคุณ”
โม่หานมองดูเธอ “เรื่องนี้ผมแล้วแต่คุณ ถ้าหากคุณอยากให้กำเนิด พวกเราก็จะให้กำเนิด ถ้าคุณอยากจะรอก่อน ก็รอก่อน เพราะการหว่านเมล็ดนั้นง่ายกว่าการที่คุณคลอดลูกอีก”
เมื่อได้ยินคำว่าหว่านเมล็ดสองคำนี้จากเขา ทันใดนั้นมู่เฉียวก็ “อิอิ” หัวเราะออกมา
ไม่เข้าใจจริงๆว่า คนนอกบอกว่าเขาเย็นชา นี่เย็นชาตรงไหนเนี่ย ?
“ถ้างั้น พวกเราก็ไม่ต้องคุมกำเนิดแล้ว ถ้าหากมีแล้ว พวกเราก็ให้กำเนิดออกมา ตกลงไหม ?”
ที่จริงแล้ว มู่เฉียวอยากให้รออีกสักสองปี อย่างไรก็ตาม เธอยังอยากพัฒนาอาชีพของตัวเองขึ้นมาอีกหน่อย แต่คำพูดของคุณนายโม่เมื่อวานนี้ เพื่อตอบสนองความปรารถนาของย่าโม่ ได้ทำให้เธอสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง
“วันมะรืนฉันจะไปงานนิทรรศการเครื่องประดับในต่างประเทศ คุณนายโม่จะไปไหม ?” มีบางอย่างในคำพูดของเขา มู่เฉียวไม่ได้โง่ เธอเข้าใจโดยธรรมชาติ
“ฉันไปด้วย ?”
“จำเป็นต้องไป เพื่อความไร้เดียงสาของฉัน มิฉะนั้น ทันทีที่สื่อเผยแพร่ เมื่อกลับมา ต่อให้โดนลงโทษก็คงไม่มีประโยนช์แล้ว”
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นและมองโม่หานด้วยรอยยิ้มอันแสนหวาน “ตกลง ก็ถือซะว่าพวกเราไปปั๊มลูก”
ในวันที่ออกเดินทาง มู่เฉียวถึงเพิ่งรู้ว่า พวกเขากำลังจะไปฝรั่งเศส
ในทริปนี้มีอู๋เหิงกับเลขาสาวหนึ่งคน ยังมีผู้ช่วยอีกหนึ่งคน รวมกับหลินซานและผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง รวมเธอด้วยแล้ว ก็ทั้งหมด7คน
ในตอนเช้าเธอจงใจกลับไปที่บริษัท และสั่งงานพวกนั้นให้กับเสี่ยวโหรว
เนื่องจากเป็นการเดินทางเพื่อธุรกิจ เสี่ยวโหรวจึงไม่ได้ถามอะไรมาก
“มีเรื่องอะไร โทรศัพท์หาฉัน ส่งวีแชท ได้หมด” เธอสั่งไว้
เสี่ยวโหรวพยักหน้า “คุณมู่ พวกคุณครั้งนี้ มีหลินซานไปด้วยใช่ไหม ?”
มู่เฉียวพยักหน้า และถามอย่างเป็นกันเองว่า “เป็นอะไรรึเปล่า ?”
เสี่ยวโหรวส่ายศีรษะ ครุ่นคิดและเอ่ยปากออกมาว่า:“ คนนั้นหยิ่งมาก ฉันแค่เกรงว่าคุณเสี่ยวเฉียว คุณพูดง่ายเกินไป จะรู้สึกเสียใจ ?”
เสียใจ ? มู่เฉียวยิ้ม เธอคนนี้ไม่ใช่คนร้ายกาจ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะรังแกได้ง่าย และอีกอย่าง ครั้งนี้ยังมีโม่หานอยู่ด้วย ถ้าหากจะต้องเสียใจจริงๆ ถ้างั้นคนที่ทุกข์ทรมานก็คงจะไม่ใช่เธอ
อย่างไรก็ตาม ฉันยังคงรู้สึกขอบคุณเสี่ยวโหรว “ตกลง ฉันจะระมัดระวังตัวเอง ”
โม่หานให้อู๋เหิงมารับเธอ
เมื่อทั้งสองมาถึงสนามบิน โม่หานกับหลินซานก็อยู่ในอาคารผู้โดยสารแล้ว
“ตอนนี้ นักแปลคนเดียวนี่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน ?” เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้ ผู้ช่วยของหลินซานก็เอ่ยปากทักทาย
มู่เฉียวยิ้ม “ขอโทษนะคะ ที่ทำให้พวกคุณต้องรอ”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร เครื่องบินยังไม่บินเลยนี่ ?” คนที่ตอบเธอก็คือผู้ช่วยของหาน เขารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หาน และหันไปมองผู้ช่วยคนนั้นอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
หลินซานสวมแว่นกันแดด ทำให้มู่เฉียวไม่เห็นแววตาของเธอ แต่สามารถสัมผัสได้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังมองเธอ
เธอมองไปที่เธอแล้วพยักหน้า มองดูเธอไปเรื่อยๆ เสื้อเชิ้ตยาวคอวีสีดำ และกางเกงขาสั้นเผยให้เห็นเรียวขาที่ยาวและขาวทั้งคู่นั่นของเธอ
ต้องบอกเลยว่า เธอมีรสนิยมที่ดีมาก ทุกครั้งที่เธอ ล้วนทำให้คนรู้สึกสดชื่น
“คุณมู่ ทางนี้มีนั่งว่าง คุณนั่งก่อนเถอะ อาจจะต้องใช้เวลารออีกประมาณครึ่งชั่วโมง” อู๋เหิงชี้ไปที่ตำแหน่งข้างข้างโม่หาน
มู่เฉียวพยักหน้า โม่หานคนนี้น่าสมเพชเกินไปหรือไม่มีใครกล้านั่ง ? ที่นั่งด้านข้างทั้งสองนั้นถึงว่างอยู่
เธอนั่งลงข้างโม่หาน และก้มศีรษะลงเล่นโทรศัพท์
“ติ้ง” มีข้อความวีแชทส่งเข้ามา
เธอเหลือบมองไปที่โม่หาน
“คุณภรรยา เล่นแบบนี้ สนุกมากไหม ?”
“ไม่สนุกเหรอ ? ฉันรู้สึกว่ามันไม่เลวเลยนะ ฮ่าฮ่า…….”
ปรายตาของเธอเห็นมุมมปากของโม่หานกระตุก
ผ่านไปสักพัก เธอหยิบขนมออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วใส่เข้าไปในปากของตัวเอง จากนั้นก็ยื่นส่งให้กับโม่หาน “คุณเอาหน่อยไหม ?”
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ลืมตาขึ้นมาและหันมามอง
มู่เฉียวสูดหายใจเข้าลึกๆ แน่นอนว่ามันเป็นความคุ้นเคยกับเรื่องที่แย่
ผู้ช่วยของหลินซาน “อิอิ” หัวเราะออกมา และทำเสียง“ จุ๊จุ๊ ”สองครั้ง
อู๋เหิงยื่นมือออกมา “คุณมู่ ให้ผมสักอันหนึ่งได้ไหม”
เมื่อเขากำลังจะแตะลูกอมนั้น ทันใดนั้นโม่หานที่ไม่พูดอะไรก็ยื่นมือออกมา และหยิบลูกอมนั้นไปจากมือของเธอ เขาแกะแล้วใส่เข้าปากไป
นิ้วมือของเขา สัมผัสกับฝ่ามือของมู่เฉียวทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ ทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นเร็วขึ้นสองสามจังหวะ
เมื่อเห็นการกระทำของเขาในคราวนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นตกตะลึง รวมถึงหลินซานด้วย
โม่หานกินลูกอมในที่สาธารณะ ฉากนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย
มู่เฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเพื่อปกปิด“ความผิดปกติ” เธอจึงหยิบอีกกำมือหนึ่งออกมาจากกระเป๋า “นี่ยังมีอีก เอาไปคนละอัน”
อู๋เหิงและผ็ช่วยของโม่หานหยิบไปคนละอัน แต่หลินซานและผู้ช่วยของเธอไม่ขยับ
อันที่จริง มู่เฉียวอยากจะบอกว่า ลูกอมนี้เป็นของที่ประธานโม่ไปทำธุรกิจจากที่แสนไกลเมื่อนานมาแล้วเอามาให้เธอ เป็นของที่คนท้องถิ่นทำ และมันมีประโยชน์ทั้งหญิงและชาย ช่วยเพิ่มพลังและยังรสชาติดี มู่เฉียวก็เลยชอบกิน และโม่หานเลยขอให้คนซื้อกลับมาให้บ้าง
เมื่อเธอกินบ่อยๆ เธอก็จะบังคับให้โม่หานกินด้วย และพฤติกรรมเมื่อครู่นี้มันก็ติดเป็นนิสัยไปแล้ว
เฮ้อ คนบางคน ไม่มีวาสนา
หลินซานมองดูมู่เฉียวผ่านแว่นกันแดด ในความทรงจำของเธอ อดีตภรรยาของโม่หาน ก็เหมือนจะชื่ออะไรเฉียว แต่ตอนนั้น เธออยู่ต่างประเทศ และเวลาก็ล่วงเลยมานานแล้ว เธอก็จำไม่ค่อยได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมองไปที่ลักษณะของผู้หญิงตรงหน้า และมองจากปฏิกิริยาของโม่หาน เธอก็แน่ใจในการคาดเดาของตัวเอง
ด้วยนิสัยของโม่หาน มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหย่าร้าง และยังอยู่ใกล้กับภรรยาเก่าขนาดนี้ และยังว่ากันว่า ในตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นก็ยังเป็นคนโกหก
เธอกระแอมเล็กน้อย ลุกขึ้นและพูดว่า “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ”
ประโยคนี้ เธอพูดกับโม่หาน โม่หานพยักหน้า และยังคงเล่นโทรศัพท์อยู่ และสีหน้าของเขาก็เป็นปกติ
เมื่อผู้ช่วยได้ยิน ก็รีบตามไปทันที
มู่เฉียวอาบน้ำเสร็จแล้ว นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ช่วงนี้เธอกำลังเรียนภาษารัสเซียอยู่ ปวดหัวเล็กน้อย
ได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’จากข้างนอก เธอก็ลุกลงจากเตียง
“โม่หานคุณกลับมาแล้วเหรอ?”
โม่หานกำลังเปลี่ยนรองเท้าอยู่ ได้ยินเสียงที่กระฉับกระเฉงของเธอแล้ว อารมณ์กดดันจากบริษัทก็ดีขึ้นมามาก เดินเข้าไป กอดเอวเธอไว้ “อื้ม ยังไม่นอนเหรอ?”
มู่เฉียวจุ๊บที่หน้าของเขา “ฉันเตรียมน้ำอาบให้คุณแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อน อาบเสร็จแล้ว ออกมามีเรื่องคุยกับคุณหน่อย”
โม่หานกอดเธอไว้ นิ้วมือบีบเบาๆเข้าที่แก้มเนียนของเธอ “พูดก่อน ค่อยอาบ”
“รีบไป เปิดน้ำอุ่นหน่อยก็ได้แล้ว”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ชายหนุ่มนอนอยู่ข้างมู่เฉียว ดมกลิ่นหอมอ่อนๆจากตัวเธอ พลิกตัว มากดทับร่างของหญิงสาวไว้ “พูดมา มีเรื่องอะไร?”
มู่เฉียวผลักเขา “มันหนักนะ คุณลงไปก่อน”
ชายหนุ่มทับลงมาทั้งตัว มู่เฉียวขมวดคิ้ว กึ่งผลักกึ่งปล่อยวางแล้วพูดว่า “โม่หาน วันนี้แม่นัดฉันไปคุย บอกว่าให้เรามีลูกอีกคน ฉันคิดดีๆแล้ว ฉันคิดว่าพวกเราควรพิจารณาได้แล้วหรือเปล่า?”
พูดจบ ไม่มีการตอบรับอยู่นาน จากนั้น มู่เฉียวก็ได้ยินเสียงหายใจข้างหูของเธอ
มู่เฉียวหลับตา โกรธจนจะอ้วกเป็นเลือด
แต่ว่า ช่วงนี้โม่หานดูเหนื่อยมาก เท่าที่เธอรู้ MYรับโครงการใหญ่ๆมาหลายโครงการ คิดแล้ว ก็ปล่อยมันไปก็แล้วกัน
ตอนเช้าเธอตื่นขึ้นมา ก็ไม่เจอเงาของโม่หานแล้ว
เธอรู้สึกแพ้ ยิ่งกว่านั้นคือผิดหวังเล็กน้อย
พอถึงบริษัท เธอหาข้ออ้างไปส่งเอกสารที่ชั้นบน
เลขาคนอื่นเห็นเธอมา ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก มีแต่เลขาคนที่รู้สถานการณ์รีบยืนขึ้น “คุณมาแล้วเหรอคะ”
มู่เฉียวพยักหน้า ชี้ไปที่ออฟฟิศของโม่หาน “ฉันมาส่งเอกสาร”
จู่ๆเลขาก็เข้ามาขวางเธอไว้ “หรือว่า ให้ฉันเทน้ำอุ่นให้คุณสักแก้วไหมคะ? ประธานโม่คุยธุระอยู่ข้างใน”
มู่เฉียวคิดว่าโม่หานคุยเรื่องธุรกิจอยู่ คิดๆแล้ว เธอก็ส่งเอกสารในมือให้กับเลขา “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณช่วยเอาให้เขาหน่อย ฉันไม่รอเขาแล้ว”
กำลังจะหันหลัง ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูจากด้านหลัง
หลินซานเดินออกมาจากข้างใน วันนี้เธอใส่ชุดเดรสยาวเปิดไหล่สีดำ สวมเสื้อคลุม ยิ่งมีความเป็นผู้หญิงมากขึ้น สีหน้าแดง เดินผ่านเธอไปเบาๆ
“เห็นไหม เข้าไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเพิ่งจะออกมา”
“พวกเธอว่า ทำอะไรกันอยู่ข้างในหรือเปล่า……”
“จะเป็นไปได้ยังไง?”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ภาพลักษณ์ประธานโม่ของพวกเรา ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะไม่รู้ ไม่อย่างนั้น ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง หนึ่งชั่วโมงกว่า จะทำอะไร?”
…….
มู่เฉียวหันหลังไปมองหลินซานที่กำลังรอลิฟต์อยู่ ผู้หญิงคนนี้ไร้ที่ติ360องศาจริงๆ แต่ เธอจะไม่เชื่อคำพูดของคนอื่นแน่นอน
รับเอกสารมาจากมือของเลขา “ขอโทษที ฉันนำไปให้เองดีกว่า”
มู่เฉียวไม่ได้เคาะประตู ดังนั้น เธอผลักประตู ก็เห็นโม่หานกำลังติดกระดุมเสื้อของเขาพอดี เห็นว่าเธอมา โม่หานตกใจเล็กน้อย
“มู่เฉียว คุณมาได้ยังไง?”
ดีๆอยู่ ทำไมถึงติดกระดุมเสื้อล่ะ? โอเค มู่เฉียวรู้สึกว่าตัวเองมีอคติเล็กน้อย แต่ ในใจมีเสียงหนึ่งบอกเธอว่า ต้องเชื่อใจผู้ชายของตัวเอง
เธอล็อคประตูด้านหลัง
“ฉันมาหาผู้ชายของฉัน ต้องแจ้งด้วยเหรอ?”เธอเก็บความสงสัยในตา วางเอกสารในมือของเธอไว้บนโต๊ะของโม่หาน
โม่หานยิ้มมุมปาก พยักหน้า “แน่นอนว่าไม่ต้อง ต้อนรับเสมอ”
จากนั้น มู่เฉียวก็อ้อมไปข้างหน้าโม่หาน เอนตัวเข้าใกล้ นั่งลงบนตักของชายหนุ่ม นิ้วมือขาวนั้นสอดเข้าไปในเสื้อโดยตรง
เธอรู้สึกว่าดวงตาของชายหนุ่มดูขุ่นลงเล็กน้อย เธอเข้าใกล้พูดขึ้นที่ข้างหูเขา “โม่หาน คุณไม่แตะต้องฉันมาหลายวันแล้ว”
เธอยอมรับว่าเธอตั้งใจ ทั้งๆที่รู้ ว่าช่วงนี้ทั้งสองคนต่างก็ยุ่ง
เธอรู้สึกได้ว่าการหายใจของชายหนุ่มก็ถี่ตาม จากนั้น ข้างใต้ก็มีบางอย่างบวมขึ้น
เธอสูดหายใจเข้าและดูเหมือนพอใจกับผลลัพธ์มาก คิดแล้ว ก็รีบลุกขึ้น แต่ว่า ชายหนุ่มจะปล่อยเธอไปง่ายๆได้ยังไง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำข้างใน มัดผม จ้องเขม็งไปที่โม่หาน ยู่ปาก โอเค นี่เป็นผลของความสงสัย เธอสมควรแล้ว
ชายหนุ่มเดินเข้ามา เอนตัวเข้ามาจูบที่ริมฝีปากแดงของเธอ กดหลังคอเธอไว้ รวบเธอเข้ามาในอ้อมกอด “พูดมาซิ ว่าเห็นอะไรมา? ถึงได้กระตุ้นคุณนายรองโม่ของเรา ให้รุกขนาดนี้”
มู่เฉียวเขินเล็กน้อย ยิ่งกว่านั้นคือทำตัวไม่ถูก เธอรู้อยู่แล้วว่าความคิดเล็กน้อยของเธอ ปิดบังโม่หานไม่ได้
เธอเกาะอ้อมกอดของเขา“คุณไม่ต้องทำเป็นใสซื่อหลังจากได้ผลประโยชน์แล้วนะ”
ชายหนุ่มกัดที่ริมฝีปากของเธอเบาๆ “คุณนายรองโม่ ไม่ควรเป็นทำนองเดียวกันเหรอ?”
หญิงสาวได้ยินแบบนั้น บีบเข้าที่เอวของชายหนุ่ม ทำให้โม่หานหัวเราะขึ้นเบาๆ เสียงหัวเราะของเขาเห็นได้น้อยมาก แต่กลับมีเสน่ห์พิเศษ ทำให้จิตใจของมู่เฉียวดีขึ้นมาก
“ฉันเพิ่งเข้ามา ก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินออกจากห้องของคุณ มีคนบอกว่าเธออยู่ในห้องกับคุณมาหนึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว”
โม่หานพยักหน้า มุมปากแฝงไปด้วยรอยยิ้ม ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีมาก แต่เขาจงใจพูดด้วยเสียงต่ำ “อ๋อ คุณหมายถึงเธอเหรอ เฮ้อ ไม่มีทางเลือก มีคนบางคนไม่อยากเปิดเผย ผมจึงต้องใช้ประโยชน์จากมันโดยวิธีแบบนี้”
มู่เฉียวทุบเบาๆที่อกของชายหนุ่ม “คุณยังกล้าพูดไร้สาระอีก”
ชายหนุ่มรวบมือเธอไว้ วางไว้ตรงหัวใจ “คุณจับดูสิ หัวใจดวงนี้ไม่เคยเต้นแรงเพื่อใครนอกจากคุณ”
เขาพูดคำหวานน้อยมาก แต่ทุกครั้งที่พูด มู่เฉียวก็รู้สึกเขินมากจนทำตัวไม่ถูก
“ใครจะรู้ว่าเคยหรือไม่เคย? เป็นถึงเพื่อนวัยเด็กด้วยนี่……”
ปล่อยเธอออก ชายหนุ่มไปเทน้ำให้เธอ ส่งให้มู่เฉียว “ถ้าหากเพื่อนวัยเด็กมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าอย่างนั้นเพื่อนสมัยประถม คงพากันมาหมดแล้ว”
พูดจบ ไม่รอให้มู่เฉียวรู้สึกตัว ก็ขยี้ที่หัวเธอเบาๆ อธิบายว่า“เพื่อนสมัยเด็ก ทักษะทางวิชาชีพแข็งแกร่งมาก ครั้งนี้บริษัทเข้าร่วมงานอัญมณีระหว่างประเทศ ในฐานะผู้อำนวยการออกแบบ เธอเข้ามาขอความคิดเห็นของผม เพราะโครงการที่เกี่ยวข้องมีมากและค่อนข้างซับซ้อน ส่วนพวกเรา นี่ก็เป็นครั้งแรก ดังนั้น ถึงได้คุยกันนานหน่อย”
ส่วนข้างหลัง มู่เฉียวไม่ได้ตั้งใจฟัง ความสนใจเธออยู่ที่คำนั้น เพื่อนสมัยเด็ก
“ถ้าหากเป็นแค่เพื่อนสมัยเด็ก ทำไมถึงได้มีรูปคู่ที่ดูสนิทสนมขนาดนั้น?”เธอถาม เรื่องบางเรื่อง เธอไม่อยากเก็บสะสมอะไรไว้ในใจ ทั้งสองคนเดินมาถึงทุกวันนี้ก็ไม่ง่าย เธอไม่อยากให้ความเดาไปเรื่อยของเธอทำลายสิ่งที่กว่าทั้งสองคนจะมีในวันนี้
“ความสัมพันธ์ของเรา ควรจะเปิดเผยได้หรือยัง?”
“เปิดเผย?” มู่เฉียวแปลกใจมากที่จู่ๆโม่หานก็แสดงความเห็นนี้ขึ้น เงยหน้ามองเขา อย่าให้พูดเลย ดูหล่อมากจริงๆ แต่พอคิดถึงสีหน้าของผู้หญิงเหล่านั้น เธอส่ายหน้า “ยังก่อนดีกว่า ฉันคิดว่าตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว”
สีหน้าชายหนุ่มนิ่งลง “ทำไม?”
มู่เฉียวมองสีหน้าของชายหนุ่มที่โศกเศร้า “คุณประธานโม่ ไม่เปิดเผย คุณไม่พอใจเหรอ? ดอกท้อของคุณจะได้บานได้ตลอดไง?” เธอพูด ก้มหน้า กินอาหารต่อไปสองสามคำ อารมณ์ดี เรื่องที่ว่าจะเปิดเผยนี้ ถ้าหากโม่หานไม่พูดถึง เธออาจจะรู้สึกอึดอัดใจ แต่ พอเขาพูดว่าจะเปิดเผย เธอกลับรู้สึกว่ามันไม่เป็นไรแล้ว
การแต่งงานก็เหมือนคนที่ดื่มน้ำ รู้อยู่กับตัวว่ามันเย็นหรือร้อน
เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองยังไง แค่เพียงในใจของโม่หานมีเธอ ก็พอแล้ว เธอไม่ได้อะไรกับชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นอยู่แล้ว
“เป็นแบบนี้นั่นแหละ ปิดบังการแต่งงาน ก็ดี”หญิงสาวยิ้ม แบบนี้ คนอื่นก็จะไม่มองเธอแบบผิดๆ เธอเองก็ไม่ต้องสนใจสายตาของคนอื่น อีกอย่าง เธอสามารถเป็นตัวของตัวเอง ชายหนุ่มจ้องเธอ
“คุณไม่ได้มีแผนอื่นใช่ไหม?”
“คุณไม่มีความรู้สึกปลอดภัย?”มู่เฉียวคีบผักยื่นไปที่ปากของโม่หาน
ชายหนุ่มอ้าปากกินเข้าไป จากนั้น พยักหน้าแรงๆ “ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งเปิดเผยไม่ได้เลย ให้คุณกังวลต่อไป”นึกถึงตอนที่โม่หานหึง เธอก็รู้สึกอิ่มเอมใจมาก
“ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ไปพบแม่ผม”
“แค่กๆ……”มู่เฉียวกำลังซดน้ำซุปอยู่ ประเด็นสนทนาเปลี่ยนเร็วเกินไป และยังได้ยินโม่หานพูดแบบนี้อีก เธอจึงสำลัก เธอเงยหน้ามองโม่หาน “คุณว่าอะไรนะ?”
“เธอน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?”โม่หานตบหลังเธอเบาๆ
มู่เฉียวสูดหายใจเข้า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าน่ากลัวหรือไม่น่ากลัว เพียงแต่เธอรู้สึกตกใจก็เท่านั้น
เหตุการณ์ครั้งนี้ของโม่หาน อาจทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอคลี่คลายลงแล้ว แต่ว่า เธอคิดไม่ถึงว่า“แม่สามี”จะรีบร้อนขนาดนี้
“มู่เฉียว……”
“โอเค”
เวลาเลิกงาน รถของโม่หานก็จอดอยู่หน้าบริษัท มู่เฉียวคิดๆแล้ว ไม่ได้เลือกที่จะนั่งรถของเขา คนไปๆมาๆเยอะขนาดนี้ เธอไม่กล้า
“แต่งงานกับผมมันน่าขายหน้าขนาดนั้นเลย?”
ข้อความจากชายหนุ่มที่ถูกส่งมา มู่เฉียวนั่งอยู่ในแท็กซี่เรียบร้อยแล้ว เธอมองข้างหลังผ่านกระจก เม้มปาก
พอถึงที่ทานข้าว ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ มันเป็นที่ที่พวกเขากินข้าวด้วยกันครั้งแรก ที่ที่พ่อโกรธออกจากที่นี่ ตอนที่ปู่โม่ยังอยู่
ตอนที่มาถึง โม่หานยืนอยู่นอกประตู
เห็นเธอลงรถ รีบเดินเข้ามาใกล้ ขยี้ที่หัวเธอสองครั้ง ยิ้มขึ้นอย่างไม่มีหนทาง
คนยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างใน เป็นพ่อมู่ เธอไม่ต้องฟังเป็นครั้งที่สอง ก็สามารถยืนยันได้ หันไปมองโม่หาน“หมายความว่ายังไง?”
“ผมรับพ่อกับแม่มาแล้ว”
“อ๋า?”มู่เฉียวประหม่าเล็กน้อย การก้าวเดินก็เร็วขึ้นเล็กน้อย
โม่หานดึงเธอไว้ ทั้งสองยืนอยู่นอกประตู มองเข้าไปข้างในผ่านกระจกรูปพัด คุณนายโม่กำลังเทน้ำชาให้พ่อกับแม่
“นี่ คุณแม่ยาย คุณดื่มเยอะหน่อย ชานี้พื้นเมืองมาก”
“คุณแม่ของโม่หาน พวกเราทำเอง คุณไม่ต้องเกรงใจ”แม่รู้สึกตกใจเล็กน้อย
คุณนายโม่ยิ้มบางๆ “ฉันต้องขอโทษทั้งสองคนจริงๆ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา สมองฉันไม่ดีแล้วแน่เลย ที่ทำเรื่องทำร้ายทั้งสองคนและเสี่ยวเฉียว โชคดีที่พวกคุณเป็นผู้ยิ่งใหญ่ไม่คิดถือโทษคนต่ำต้อย ไม่อย่างนั้น ความสุขทั้งชีวิตนี้ของเด็กทั้งสองคนนี้ คงพังลงที่มือของฉัน”
“เรื่องนี้ไม่ต้องพูดถึงแล้ว เราเป็นคนบ้านเดียวกันแล้วไม่ต้องเกรงใจ แค่เด็กทั้งสองคนยังอยู่ดี พวกเรา ก็ไม่มีความเห็นอะไร”
มู่เฉียวเม้มปาก น้ำตาคลอเล็กน้อย “โม่หาน คุณว่านี่เป็นความโชคดีในความโชคร้ายหรือเปล่า? ถ้าหากไม่ใช่เพราะเรื่องของคุณในครั้งนี้ ก็ไม่รู้ว่าฉันกับแม่คุณจะทะเลาะกันไปถึงเมื่อไหร่?”
โม่หานก้มมอง “โอเคแล้ว เข้าไปกันเถอะ พวกเขารอเรากันอยู่”
อาหารมื้อนี้ มู่เฉียวหลั่งน้ำตาหลายครั้ง แต่เป็นน้ำตาแห่งความสุข
เธอไม่เคยคิดจริงๆ ว่าจะมีวันนี้ได้
ชีวิตกลับมาสงบอีกครั้ง
มู่เฉียวไม่อยากเปิดเผยความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เธอคิดว่าที่เป็นอยู่แบบนี้ มันดีอยู่แล้ว เธอเป็นมู่เฉียว พนักงานหญิงคนใหม่ที่เพิ่งความสามารถของตัวเองในการหาเงิน ชื่อของเธอจะไม่ถูกพูดถึงโม่หาน เธอเองก็ไม่ต้องกังวลว่าจะทำได้ไม่ดี แล้วกระทบต่อโม่หาน อยู่อย่างสบายๆ
เธอคิด ถ้าหากความสัมพันธ์นี้เปิดเผยแล้ว คาดว่าเธอคงต้องปวดหัว ด้วยฐานะคุณนายรองโม่แล้ว เธอคงจะไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุข แบบนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ เพราะ โม่หานเข้าใจเธอ จึงตามใจเธอ
คุณนายโม่อาจจะคิดว่ารู้สึกผิดต่อเธอ จึงชอบซื้อของให้เธอบ่อยๆ เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย เครื่องประดับ เธอพูดไปหลายครั้ง ว่าเธอเป็นพนักงานออฟฟิศ ใช้สิ่งของเหล่านี้ เด่นเกินไป
แต่ ก็ไม่สามารถหยุดอาการหลงลูกสะใภ้ของคุณนายโม่ได้
พริบตาก็เดือนหกแล้ว
วันนี้ คุณนายโม่นัดมู่เฉียวทานข้าว แต่กลับพูดชัดเจนว่าไม่ให้พาโม่หานมา
“แม่คะ คุณจะทานข้าวอะไรเหรอคะ ถึงพาโม่หานมาด้วยไม่ได้?”มู่เฉียวนั่งลง ในมือถือกระเป๋าแบรนด์ดังที่คุณนายโม่ซื้อให้เธอ เสียดาย เธอหยิบออกมาใช้ ผู้หญิงที่ขี้นินทาเหล่านั้น ถามเธอว่าซื้อจากที่ไหน เกรดเอเหมือนจริงขนาดนี้
เธอไม่อธิบาย แต่กลับพิสูจน์ความจริงที่น่าเศร้าของมนุษย์
ทานอาหารมื้อนี้เสร็จ คุณนายโม่ก็ไม่พูดถึงจุดประสงค์ของเธอ
จนกระทั่งทั้งสองคนจ่ายบิลและจากไป คุณนายโม่จึงจับมือมู่เฉียว พูดว่า“เสี่ยวเฉียว เธอว่า ปีนี้โม่หานอายุ32แล้ว ส่วนเธอ ปีหน้าก็อายุ30แล้วใช่ไหม?”
มู่เฉียวพยักหน้าอื้มไปเสียงหนึ่ง ก็รีบรู้สึกตัวขึ้นมา “แม่คะ แม่คงไม่ได้เร่งให้ฉันมีลูกคนที่สองใช่ไหมคะ?”
สีหน้าของคุณนายโม่มีความดีใจขึ้นมา “ฉันหมายถึงนี่แหละ เธอดูสิ ทุกวันนี้ฉันกับย่าเธอก็อยู่แต่บ้าน ต่างฝ่ายต่างมองตากัน ส่วนเสี่ยวโยว ก็อยู่แต่กับตากับยายของเธอ พวกเราเหงามากจริงๆ เธอว่าถ้าหากพวกเธอมีลูกให้พวกฉันอีกสักคน…….”
มู่เฉียวเม้มปาก “แม่คะ นี่คุณจะให้ฉันมีหลานให้พวกคุณ หรือมีของเล่นให้พวกคุณกัน?”
หลังจากที่ปรับความเข้าใจกับคุณนายโม่ นิสัยของเธอก็มีความคล้ายคลึงกับย่าโม่ นิสัยเด็ก ทำให้มู่เฉียวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้บ่อยๆ
ได้ยินมู่เฉียวพูดจนรู้สึกเขินไปเล็กน้อย คุณนายโม่มองไปทางอื่น แล้วเอ่ยปากพูดอีกครั้ง “งั้นเธอก็พูดสักคำสิ ย่าเธอวันๆอยู่แต่บ้าน บ่นตั้งแต่เช้าจนค่ำ พวกเธอสองคนน่ะไม่ได้ยิน หูสงบ แต่ฉันนี่สิปวดหัวมาก”พูดถึงตรงนี้ คุณนายโม่ก็หยุดไปสักพัก จับมือมู่เฉียวไว้ “เสี่ยวเฉียว อายุคุณย่าไม่น้อยแล้ว เธอก็ทำให้ท่านได้สมปรารถนาแทนแม่หน่อยแล้วกัน”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว มู่เฉียวยังจะพูดอะไรได้อีก? เธอพยักหน้า “ค่ะ ฉันไปคุยกับโม่หานก่อน”
ดึกๆกลับไป ห้าทุ่มกว่าแล้วโม่หานก็ยังไม่เลิกงาน
“เธอว่าประธานโม่อายุตั้งสามสิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังหล่อขนาดนี้?”
“มองให้น้อยๆหน่อย มองคนที่สุดยอดแบบนี้ แฟนตัวเองคงดูไม่ได้แล้ว”
“แต่ น่าตาดีจริงๆ ถ้าฉันสามารถแต่งให้กับคนแบบนี้ได้ ฉันเดาว่าคงเสียดายเวลานอนมากแน่ๆ ฉันต้องลืมตาโตๆมองเขาทุกวัน”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ต้องขนาดนั้นไหม? ถ้าพูดแบบนี้ ที่เธอนอนก่อนผู้ชายคนนั้นทุกวัน ก็เป็นความผิดของตัวเองเหรอ?
“พอได้แล้วมั้ง? ผู้ชายแบบนี้ ยังหวังจะแต่ง แค่ให้เขาหันมานอนกับเธอสักคืน เธอคงจะต้องสะสมบุญมาหลายชาติ”
ริมฝีปากแดงของมู่เฉียวเม้มเป็นเส้นตรง นี่เธอสะสมบุญมากี่ชาติแล้วนะ?
…….
ในลิฟต์ ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งกำลังซุบซิบ ในใจของมู่เฉียวรู้สึกครบทุกอย่าง เสน่ห์ของโม่หานนี่นะ……มันมากเกินไปหรือเปล่า?
ตอนนี้เอง มือถือแจ้งเตือนเสียงวีแชต
เธอเปิดอ่าน
“กระโปรงสั้นเกินไป ทิ้งซะ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว รู้สึกอบอุ่นขึ้นในใจ ที่แท้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เห็นเธอ เพียงแต่ แกล้งทำเป็นไม่เห็น
เดิมทีเตรียมจะตอบกลับข้อความโม่หาน ทันใดนั้นก็มีคนเดินเข้ามาในลิฟต์ มู่เฉียวจึงลืมไป
เพราะคนคนนี้ มู่เฉียวเคยเห็นมาก่อน
ในอัลบั้มภาพของโม่หาน ผู้หญิงคนเดียวที่มีรูปถ่ายคู่กับเขา
เพราะสวยมาก จนทำให้คนยากที่จะลืม
“สวัสดีค่ะ ผู้อำนวยการหลิน”
หญิงสาวแต่งตัวด้วยชุดทำงาน แต่กลับเผยให้เห็นหุ่นส่วนเว้าโค้ง กระดูกไหปลาร้าที่เซ็กซี่ ใบหน้ารูปไข่ หน้าตาดีมากๆ ความสวยของมู่เฉียว ออกไปทางหวานๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ กลับดูเย็นชาเย่อหยิ่ง เธอพยักหน้าเล็กน้อยให้กับคนที่พูดทักทาย ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ประตูลิฟต์เปิดออก เธอก็เดินออกไป ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
“หลินซาน นักออกแบบเครื่องประดับ เห็นบอกว่า เป็นเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กกับประธานโม่ของเรา”
หลังจากผู้หญิงคนนั้นออกไป คนที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เฉียวก็เริ่มซุบซิบขึ้นมาอีกครั้ง
เพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็ก? มู่เฉียวสูดหายใจเข้า ทำไมโม่หานถึงได้มีเพื่อนที่เล่นกันมาตั้งแต่เด็กเยอะนักนะ?
อาจเป็นเพราะเรื่องของมู่หยิง พอได้ยินคำนี้ เธอก็ปวดหัวขึ้นมา
พอถึงออฟฟิศ เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองสงบลงมากแล้ว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเปิดไป่ตู้ขึ้นมา เสิร์ชหาคำว่าหลินซาน
นักออกแบบเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เคยได้รับรางวัลระดับนานาชาติมากมาย เคยออกแบบเครื่องประดับให้กับคนดังหลายคน…..
ข้างหลังคำชมมากมาย เขียนไว้ว่า ในเดือนมีนาคมของปีนี้ เธอได้เป็นผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบเครื่องประดับภายใต้ MYกรุ๊ป
เดือนมีนา ถ้าอย่างนั้นก็เดือนนี้?
เธอขมวดคิ้ว
“พี่เสี่ยวเฉียว พี่รู้จักหลินซานเหรอ?”
เสียงของเสี่ยวโหรวดังขึ้นข้างหูมู่เฉียว ความสนใจทั้งหมดของมู่เฉียวอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอถึงได้สะดุ้งตกใจกับเสียงที่จู่ๆก็ดังขึ้น
“ฉันได้ยินเพื่อนสาวๆพูดว่า ที่หลินซานคนนี้ยอมมาทำงานที่MYกรุ๊ป ก็เพราะจะมาตามจีบประธานโม่”
มู่เฉียวมองเธอ “เพื่อนสาวๆของเธอ?”
“ใช่ เพื่อนสนิทของฉัน อยู่แผนกออกแบบที่นี่”
“ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย?”มู่เฉียวตกใจเล็กน้อย
เสี่ยวโหรวจับหัวตัวเอง “ฉันเห็นว่าพี่เสี่ยวเฉียวไม่ชอบซุบซิบเรื่องของคนอื่น เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่ค่อยกล้าพูดถึงเธอต่อหน้าพี่”
นี่ถือเป็นเรื่องจริง มู่เฉียวไม่เคยชอบไปยุ่งเรื่องซุบซิบที่น่าเบื่อของผู้หญิง
มู่เฉียวพยักหน้า ปิดหน้าต่างเว็บ
“พี่เสี่ยวเฉียว พี่อ่านเรื่องเธอทำไม?”
มู่เฉียวยกยิ้ม แสร้งทำเป็นพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้เจอในลิฟต์ เห็นว่าดูสวยมาก ได้ยินคนพูดขึ้น ก็เลยสงสัย”
เสี่ยวโหรวท่าทางเข้าใจชัดเจน “สวยมากเหรอ? แต่ฉันคิดว่าพี่เสี่ยวเฉียวสวยกว่า เธอเย็นชาเกินไป”
มู่เฉียวยิ้ม
“แต่ เธออายุ32แล้ว ยังไม่แต่งงาน คาดว่ามาเพราะประธานโม่จริงๆ เย็นชากันทั้งสองคน ดูเหมาะสมดีนะ”
เหมาะสม? ไม่กลัวจะกลายเป็นน้ำแข็งหรือไง? อีกอย่าง โม่หานเย็นชาเหรอ? เธอไม่รู้สึกนี่!
จีบโม่หาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแต่งงานใหม่นะสิ?
ตอนพักเที่ยง โม่หานโทรเข้ามา
“ลงมาข้างล่าง ไปร้านอาหารทะเลตรงข้าม ผมรอคุณอยู่ห้องอาหาร222”
มู่เฉียวลังเลอยู่พักหนึ่ง “แค่เราสองคนเหรอ?”
“คุณยังอยากให้มีคนมาเป็นก้างขวางคออีกสักกี่คน?”
“โอเค!”วางสายไป เธอก็คิดถึงคำพูดของเสี่ยวโหรวที่ว่าเย็นชาอีกครั้ง “เหอะๆ”
พอถึงตึกตรงข้าม ร้านอาหารทะเลดูไม่ใหญ่โต เมื่อเดินเข้าไปข้างใน กลับใหญ่โตจนน่าตกใจ ในใจกลางเมือง ที่ดินที่เป็นวิ่งราวทรัพย์ทองแบบนี้ ร้านอาหารใหญ่โตขนาดนี้ สามารถคิดออกเลยว่าการเงินที่อยู่เบื้องหลังต้องมากขนาดไหน
“คุณหนูมู่ใช่ไหมคะ เชิญทางนี้ค่ะ”
มู่เฉียวก้มหน้ามองดูตัวเอง เมื่อเห็นป้ายชื่องานที่อยู่ตรงอก เธอจึงเข้าใจ
เปิดประตูห้องอาหาร ข้างในไม่มีคน ก็ปิดประตู ชายหนุ่มโอบเอวเธอจากด้านหลัง “คุณภรรยา”
มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ทั้งๆที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาหลายครั้งแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงใจสั่น
เธอเม้มปาก “ทำไมจู่ๆถึงเรียกฉันออกมากินข้าว?”
ชายหนุ่มหอมแก้มเธอ “ไถ่โทษ!”
มู่เฉียวยิ้มบางๆ แต่กลับพบว่ามือของชายหนุ่มกำลังลูบขึ้นมาจากกระโปรงช้าๆ เธอขมวดคิ้ว ผลักเขาออก“คุณบ้าไปแล้ว”
“แกร๊ก” มู่เฉียวได้ยินเสียงล็อคประตู
ชายหนุ่มรูดซิบข้างกระโปรงของเธอออก หยิบกางเกงตัวหนึ่งบนเก้าอี้ขึ้นมา “เปลี่ยนไปใส่ตัวนี้”
“คุณ……”มู่เฉียวหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้
“พนักงานหญิงในบริษัทของคุณ มีคนไหนไม่ใส่แบบนี้บ้าง ทำไมพอเป็นฉัน ถึงไม่ได้ล่ะ?”
โม่หานไม่สนใจเธอ กดเธอให้นั่งลงบนเก้าอี้ นั่งยองๆตรงหน้าเธอ ถอดส้นสูงให้เธอ
“เดี๋ยวฉันทำเอง……”เธอทนรับความโปรดปรานของประธานโม่แบบนี้ไม่ไหว
มู่เฉียวเปลี่ยนกางเกงไปด้วยบ่นไปด้วย “ไม่เข้าใจจริงๆ ดอกท้อเน่าของตัวเองล่ะมีอย่างต่อเนื่อง แล้วมาควบคุมคนอื่น ทีตัวเองยังทำได้ แต่ไม่ให้คนอื่นทำบ้าง”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว เข้าใกล้เธอ ยิ้ม “คุณกำลังพูดอะไรนะ?”
มู่เฉียวดึงกางเกงขึ้น แต่กลับเห็นว่าชายหนุ่มกำลังจ้องช่วง-ล่างของตัวเอง หน้าแดงขึ้น “คุณ……คุณโรคจิต มองตรงไหนอยู่น่ะ?”
อาหารมื้อนี้ เหมือนชายหนุ่มจะไถ่โทษจริงๆ กินอาหารทะเล ปลอกกุ้ง แกะเปลือกให้ต่างๆนาๆ มู่เฉียวไม่ได้ทำอะไรเลย
ความหวานแบบนี้ทำให้เธอลืมผู้หญิงที่ชื่อหลินซานคนนั้นไป
“คุณเอากางเกงมาจากไหน?”
“ให้คนไปซื้อมา”ชายหนุ่มตอบกลับอย่างธรรมดา
“ฉันไม่เห็นว่าคุณมองฉันนี่?”
“มองก่อนที่คุณจะมองผม”
มู่เฉียวเม้มปาก ในสายตามีแต่รอยยิ้ม
หลังจากกินเสร็จ ชายหนุ่มวางตะเกียบลง และจู่ๆก็พูดอะไรบางอย่างที่มู่เฉียวนึกไม่ถึง
มู่เฉียวเม้มปาก “สมองคุณมีปัญหาหรือเปล่า?”
เธอพูดจบ ก็วิ่งเหยาะๆออกไป ทั้งร้อนรนทั้งหงุดหงิด
เพราะเรื่องนี้ของโม่หาน เธอไม่มีความตั้งใจในการทำงานเลย ช่วงนี้เองก็ไม่ได้ยุ่ง เสี่ยวโหรวคนเดียวก็สามารถรับมือได้
เธอยังไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับโม่หาน บอกพวกเขาว่าโม่หานไปคุยงานที่ต่างประเทศ
เดินอยู่บนถนนคนเดียวอย่างไร้จุดหมาย เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไง? ถ้าหากโม่หานละทิ้งตัวเอง ถึงเธอจะขอความช่วยเหลือจากใคร คาดว่าสุดท้ายคงเทียบไม่ได้กับคำพูดเพียงคำเดียวของเขา
เธออยากไปขอร้องเขา ให้เขาเห็นแก่เธอกับลูก ไม่ต้องทำแบบนี้ แต่ว่า……
เธอเดินตั้งแต่เช้าจนฟ้ามืด แล้วเธอก็ได้รับสายจากคุณนายโม่
“เธออยู่ไหน?”
“อยู่ถนนกลางเมือง”
“เธอมาที่……”เธอบอกที่อยู่มา
เจอกับคุณนายโม่อีกครั้ง เธอยิ่งซูบผอมลงมากกว่าเดิม
“ตอนนี้โม่หานไม่ยอมเจอกับฉัน เธอไปเจอกับโม่หาน บอกเขาว่า ถ้าหากเขาเข้าคุก ฉันจะยอมตาย” ตอนที่คุณนายโม่พูดคำนี้ มู่เฉียวเห็นความตั้งใจในสายตาของเธอ เธอรู้สึกโล่งใจ บางที แบบนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ใครเป็นคนผูกคนนั้นต้องเป็นคนแก้
“เขาทำเพื่อคุณ……”
“ฉันไม่ให้เขาทำเพื่อฉัน!”เสียงของคุณนายโม่ดังขึ้นทันที
มู่เฉียวก้มหน้า คิดๆแล้วก็พูดขึ้น “เขามีความสามารถมากพอที่จะไม่ให้ตัวเองติดคุก แต่เขาเลือกทางนี้ ก็เพราะอยากให้คุณสบายใจ”
เห็นได้ชัดว่าคุณนายโม่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียวจะพูดแบบนี้กับเธอ ความเข้าใจของเธอที่มีต่อลูกชาย จำกัดอยู่เพียงแค่วัยเด็กเท่านั้น พอโตขึ้นโม่หานก็กลายเป็นคนนิ่งขรึม พูดกับเธอน้อยมาก เดิมทีเธอคิดแค่ว่าลูกชายของเธอแค่ไม่อยากให้เธอติดคุกเท่านั้นเอง
“เธอบอกว่า เขาสามารถช่วยตัวเองได้?”
มู่เฉียวพยักหน้า
คุณนายโม่ปิดหน้าร้องไห้อย่างหนัก ที่แท้ หลายปีมานี้ เธอไม่ได้สูญเสียทุกอย่าง เธอยังมีลูกชายที่กตัญญูที่สุดในโลกนี้
น้ำตาของมู่เฉียวไหลตามลงมา เดิมทีเธอคิดว่าคุณนายโม่รู้เหตุผลข้อนี้ ตอนนี้เห็นแล้ว ว่าเธอไม่รู้ นี่เป็นวิธีปฏิบัติต่อคนอื่นที่ดีของโม่หาน ไม่เคยโอ้อวดทำตัวสูงส่ง แต่เป็นการสละให้ทีละน้อย
ต่อมา มู่เฉียวก็ไม่รู้ว่าคุณนายโม่ใช้วิธีอะไร โม่หานได้ออกมาหลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์
นอกจากนี้ เขายังระบุหลักฐานการก่ออาชญากรรมของชายคนนั้นด้วย
ไม่มีใครอยากล่วงเกินคนที่‘มีชีวิต’อยู่ เพียงเพื่อคนที่ตายไปแล้วเพียงคนเดียว อีกอย่างเป็นคนที่เก่งมากถึงขนาดที่สามารถทำให้พวกเขาตกงานได้ตลอดเวลา ดังนั้น เรื่องทั้งหมดก็คลี่คลายลงอย่างเงียบๆ
ทำให้มู่เฉียวได้เห็นถึงสำนวนที่ว่ามีเงินก็สามารถสั่งผีให้โม่แป้งได้
เมื่อมองไปยังเขาที่พิงอยู่ตรงประตู มู่เฉียวคิดว่าตัวเองตาฝาดไป
จนกระทั่งเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่อบอุ่น เธอถึงได้รู้ว่า โม่หานกลับมาแล้วจริงๆ
เธอร้องไห้ขึ้นมาก่อน ต่อมาถึงได้โกรธ
กัดเข้าที่ไหล่ของเขาอย่างแรง
เธอได้ยินเสียงครางของชายหนุ่ม แต่เขากลับไม่ได้หยุดเธอ คิดๆแล้ว เธอก็รู้สึกทำไม่ลง
ชายหนุ่มก้มหน้าลง นิ้วเรียวเชยคางเธอขึ้นอย่างนุ่มนวล โน้มตัวจูบเธอ
จากนั้นประตูลิฟต์ก็เปิดออก
พ่อมู่รีบหันหลัง
มู่เฉียวหลับตาและผลักโม่หานออกไปอย่างอายๆ “พ่อ ทำไมถึงได้กลับดึกขนาดนี้?”
ตั้งสามทุ่มแล้ว ปกติเวลาสามทุ่มกว่า พ่อมู่ต้องนอนอยู่บนเตียงแล้ว
สีหน้าของโม่หานไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง สายตาไปตกอยู่ตรงมือของพ่อมู่ที่ถือถุงยาไว้ “พ่อครับ คุณไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
มู่เฉียวถึงได้เห็นว่าพ่อถือยาไว้หลายกระปุก เดินเข้าไป หยิบยาจากมือเขามา พ่อมู่อยากแย่ง แต่ก็ไม่ทัน
“แม่ลูกปวดกระเพาะ ไม่มีอะไร”
“แม่ ปวดกระเพาะ? ทำไมหนูไม่รู้?”
พ่อมู่เปิดประตู หันกลับมามองโม่หาน “เขาไม่เป็นไร อาการปวดกระเพาะของแม่ลูกก็น่าจะดีขึ้นแล้ว”
มู่เฉียวเบิกตากว้างมองพ่อ คำพูดนี้ หมายความว่ายังไง?
ดึงโม่หานและพ่อเข้ามาด้วยกัน
แม่กุมกระเพาะเทน้ำอยู่ในห้องครัว พอเห็นโม่หานเข้ามา สีหน้าก็นิ่งไป รีบวางแก้วน้ำในมือ “โม่หาน นาย…..นายกลับมาแล้วเหรอ?”
โม่หานพยักหน้า “ทำให้แม่เป็นห่วงแล้ว”
แม่ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรก็ดีๆ”
“พวกคุณรู้ได้ยังไง?”มู่เฉียวถาม
โม่หานกระซิบข้างหูมู่เฉียว “คุณภรรยา ขอโทษนะ ผมกลัวว่าตัวเองจะไม่ได้ออกมา ก็เลย……”
“ก็เลย วานให้พ่อกับแม่ หาใครให้ลูกสักคน”
มู่เฉียวหันไปจ้องเขม็งที่โม่หาน “ที่แท้ คุณคิดไว้หมดแล้ว?”ก็มีแต่เธอที่เหมือนกับคนโง่ ฝืนยิ้มปิดบังพ่อกับแม่อยู่ทุกวัน
“คุณภรรยา……”
“คุณเข้ามานี่เลย”มู่เฉียวโกรธแล้ว
โม่หานมองพ่อมู่ “พ่อครับ ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าจะไม่พูดออกมา?”
“ฮึ” พ่อมู่ส่งเสียง “ฉันกับแม่นายตีนายไม่ได้ ให้ภรรยานายเป็นคนจัดการ ผิดเหรอ?”
โม่หานส่ายหน้า
เข้าห้องไปแล้ว มู่เฉียวไม่ได้ต่อว่าทุบตีโม่หาน แต่ทำเหมือนเช่นเคย เธอเข้าไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอน
แต่ยิ่งเงียบแบบนี้ โม่หานก็ยิ่งร้อนรนใจ
เขาออกมาหลังอาบน้ำเสร็จ มู่เฉียวได้หลับตาลงแล้ว
เขากอดเธอจากข้างหลัง
มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร กับโม่หาน เธอทั้งปวดใจ ทั้งโกรธ
“ขอโทษ ที่ทำให้คุณเป็นห่วง”
มู่เฉียวไม่พูด
“ชีวิตครึ่งแรกของแม่ผม ลำบากมาก ถ้าผมไม่ทำแบบนี้ เธอจะต้องยอมไปติดคุกและใช้ชีวิตครึ่งหลังอยู่ในนั้นอย่างไม่ลังเล ผม……”
เขาพูดเล่าเหตุการณ์ในอดีตของคุณนายโม่อย่างเป็นระยะๆ
มู่เฉียวไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย
ตอนแรกเธอฟังเขาพูด ต่อมา เธอหลับไปจริงๆ หลายวันมานี้ เธอเครียดมาก แทบจะไม่ได้นอนหลับสนิทเลยสักคืน
มองมู่เฉียวที่มีลมหายใจอย่างสม่ำเสมอ ก็คิดถึงคำพูดของทนายเลวๆคนนั้น
“ภรรยาคนนั้นของนาย ไม่เหมือนกับคนอื่นจริงๆ ฉันบอกว่าจะใช้นายไปแลกอิสรภาพของนายกับเหอเจี๋ย เธอบอกว่านายจะไม่ชอบใจที่เธอทำแบบนี้ ฉันก็พูดไปอีกว่า นอนกับฉันหนึ่งคืน แล้วฉันจะช่วยนายเอง เธอก็บอกว่าฉันเป็นประสาท ยังหยิบบัตรออกมาใบหนึ่ง ทุบลงกับโต๊ะ ถามฉันว่าจะช่วยนายออกมาได้ยังไง นายว่าคนรักแบบนี้ นายหามาจากไหน? เพื่อนรัก เรามาแบ่งกันไหม?”
หลังจากทนายความคนนั้นถูกซ้อมไปสองสามที ก็พูดสาบานขึ้นว่า “ฉันจะต้องหาคนที่ดีกว่าของนายให้ได้”
เขายิ้ม มู่เฉียวของเขา บนโลกนี้มีเพียงคนเดียว
วันต่อมามู่เฉียวตื่นขึ้น ข้างเตียงไม่มีเงาของโม่หานอยู่ เธอแทบจะกระโดดออกจากเตียง พุ่งออกไปนอกห้อง ในห้องอาหารมีผู้ใหญ่กับเด็กคนหนึ่ง ได้ยินเสียงจึงมองมาทางเธอ
“เขาไปทำงานแล้ว” พ่อเอ่ยปากพูดขึ้น
เห็นมู่เฉียวโล่งใจ ก็หันไปสบตากับแม่ “ลูกสาวที่แต่งออกไป ก็เหมือนกับน้ำที่สาดออกไป คุณเห็นไหม?”
มู่เฉียวปิดประตูอย่างเขินๆ เปลี่ยนชุด ล้างหน้า แต่งหน้าอ่อนๆให้ตัวเอง
คนเจอกับเรื่องดีๆอารมณ์ก็จะรู้สึกสดชื่น มองดูแล้ว คนดูสวยขึ้นเป็นกอง
พอถึงบริษัท เพิ่งจะเข้าประตูล็อบบี้ ก็เจอเข้ากับโม่หานที่เตรียมตัวออกไปข้างนอก
ผู้บริหารระดับสูงหลายคนกำลังรายงานบางสิ่งให้เขาฟัง เขาก้มหน้าลง ไม่เห็นมู่เฉียวตั้งแต่ต้นจนจบ เมื่อทั้งสองเดินสวนทางกัน มู่เฉียวก็ขมวดคิ้ว ไหนบอกว่าคู่รักจะมีกระแสจิตต่อกันไง? ขี้โม้สิ เธอมองเขานานขนาดนี้ เขาไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ
โม่หานกลับตัดสินใจแล้ว
“โม่หาน ลูกลืมไปแล้วเหรอว่าลูกยังมีมู่เฉียว ยังมีเสี่ยวโยว คนอื่นเขารอลูกมานานขนาดนี้ ลูกทำแบบนี้ ลูกจะอธิบายกับครอบครัวเขายังไง โม่หาน……”
โม่หานมองแม่ เรื่องบางเรื่อง คนอื่นไม่เคยสัมผัสและไม่รู้ เขาลืมไม่ลง เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็ก เขาอยู่กับแม่ในห้องมืดนั้น แม่จับผมของตัวเอง กระแทกเข้ากับกำแพง และยิ่งลืมไม่ลงภาพที่แม่มักจะนอนอยู่บนพื้น นอนทีก็หลายชั่วโมง
พอโตขึ้นหน่อย เขาถามแม่ว่าทำไมถึงไม่ขัดขืน แม่บอกว่า เพราะคนคนนั้นสติฟั่นเฟือน เธอไม่อยากให้เขาและครอบครัวมีอันตราย
หลายปีมานี้ คนอื่นไม่รู้ถึงการเสียสละของแม่ แต่ใจเขารู้ดี
ชายคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป ปีกของเขายังไม่แข็งมากพอ
เพราะฉะนั้น เขาเห็นชายคนนั้นกระทำรุนแรงกับแม่ต่อหน้าต่อตาตัวเอง เขาลืมสายตาที่แทบจะสิ้นหวังของแม่ไม่ลง
“สิ่งที่ติดเธอไว้ ผมค่อยคืนในชาติหน้า”
มือของชายหนุ่มที่วางอยู่บนโต๊ะ งอช้าๆ แล้วกำไว้แน่น
วันนั้น ตอนที่เขาไปถึงงานศพ ตำรวจเองก็เพิ่งถึง
เขารับโทษที่แม่ก่อ ต่อหน้าทุกคน เขาไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น เขาแค่ทำในสิ่งที่ลูกชายคนหนึ่งควรทำ
เขารักมู่เฉียว และต้องการใช้ชีวิตต่อไปกับเธอ แต่ เขารู้ว่าแม่ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานมากมายในช่วงครึ่งแรกของชีวิต จนได้หลุดพ้น แต่กลับต้องเฝ้าดูเธอติดคุก เขาทำไม่ได้
มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมาก ในการตัดสินใจมาดูโม่หาน แต่ยังไม่ทันได้เดินเข้าใกล้ ก็ได้ยินคำนี้ของโม่หาน
เธอกำเสื้อผ้าที่หน้าอก ปิดปากไว้ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เธอรู้สึกว่าชีวิตมีรสหวาน แต่แค่แป๊บเดียวก็ต้องตกนรกอีกครั้ง
แต่เรื่องนี้ ก็ยังดีกว่า การที่แม่และภรรยาตกลงไปในแม่น้ำพร้อมๆกัน คุณช่วยใครก่อน มันคือเหตุผลหนึ่ง ในฐานะคนรักของโม่หาน เธอไม่มีทางไปโทษการกระทำของเขา ยิ่งไม่สามารถพูด ว่าไม่ให้เขาทำแบบนี้
เพียงแต่ โม่หาน คุณเสียสละเพื่อเธอ และแม่ของคุณแบบนี้ คุณเคยคิดบ้างไหมว่าพวกเขาก็รู้สึกปวดใจเหมือนกัน?
ความโกรธก่อนหน้านี้ ณ เวลานี้ ได้หายไปแล้ว เพียงแค่คิดว่า เขาจะถูกพิพากษา เธอก็ปวดใจจนแทบหายใจไม่ออก
เธอวิ่งเหยาะๆ ออกจากประตูศูนย์กักกัน
เธอโทรหาทนายความคนก่อนหน้านี้ ทั้งสองนัดพบกัน
“คุณบอกฉันหน่อย ยังมีวิธีอะไรบ้าง ที่เขาจะไม่ต้องติดคุก มีใครช่วยเขาได้บ้าง เพียงแค่คุณบอกฉัน ฉันจะไปหาวิธีมา ได้ไหม?” เธอเหลือเพียงแค่คุกเข่าให้ทนายคนนั้นแล้ว
ขอให้เป็นผู้หญิงสวย ทุกคนก็จะรู้สึกสงสารมากขึ้น
ทนายขมวดคิ้ว ดูลำบากใจเล็กน้อย แต่เมื่อมองสายตาของเขา มันคลายอย่างเห็นได้ชัด มู่เฉียวดีใจ “คุณ……คุณมีวิธีใช่ไหม?”
“คุณมู่ คุณไปหาเหอเจี๋ย บางที ขอความช่วยเหลือจากพ่อเขา เรื่องนี้อาจจะพลิกกลับได้”
“เหอเจี๋ย?”มู่เฉียวขมวดคิ้ว เหอเจี๋ยเป็นลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอ
แต่…….โม่หานและเหอเจี๋ยยกเลิกการหมั้นแล้ว
“เธอกับโม่หานไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว พ่อของเขาจะยอมช่วยไหม?”เธอถามทนาย
ทนายพยักหน้าให้เธอ “ช่วยหรือไม่ช่วย ผมคิดว่ามันขึ้นอยู่กับคุณมู่ ไม่ใช่เหรอครับ?”
มู่เฉียวเข้าใจอะไรบางอย่างจากสายตาของเขา
เธอหลับตา สูดหายใจเข้า ที่หมายถึงคือแลกเปลี่ยนเรื่องการแต่งงานกับโม่หานใช่ไหม?
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเหอเจี๋ยจะตกลงหรือเปล่า ต่อให้เป็นโม่หาน เขาก็คงไม่ดีใจที่เธอทำแบบนี้
เธอล้มลงบนเก้าอี้แล้วจ้องไปที่พื้นอย่างว่างเปล่า “ฉันไม่อยากทำแบบนี้ ถ้าโม่หานรู้ ต่อให้เขาออกมา เขาก็คงไม่ดีใจ”
“คุณหนูมู่เสียดายความร่ำรวย หรือคิดแทนโม่หานจริงๆ?”
มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่าทัศนคติของทนายคนนี้น่าเกลียดมากเท่านั้น
“คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะประเมินการกระทำของฉัน”น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยดี
“แต่ก็ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีทางอื่น”ทนายนั่งลงตรงที่นั่งตรงข้ามเธอ
มู่เฉียวขมวดคิ้ว เกลียดวิธีพูดของทนายคนนี้จริงๆ มีอะไรจะพูดก็พูดมา อย่ามาลีลา รู้ทั้งรู้ว่าเธอร้อนรน ยังจะพูดอ้อมไปมาอยู่ได้
“โม่หาน ช่วยตัวเองได้” เดิมทีเขาต้องการทดสอบผู้หญิงคนนี้ แต่ในตอนนี้ เขารู้สึกว่าบางทีเขาอาจเหมารวมผู้หญิงทั้งหมดไว้ในประเภทเดียวกัน
“คุณพูดว่าอะไรนะ?”มู่เฉียวลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว
“แล้วเขา……”
“เขากำลังรับโทษแทนแม่ของตัวเอง เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ในนั้น ใจของแม่เขาอาจจะสบายขึ้น”ทนายพูดถึงตรงนี้ เงยหน้ามองมู่เฉียว มองดูการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเธอ “ด้วยความสามารถของโม่หานกับตระกูลโม่ เขาสามารถหาวิธีเอาตัวรอดได้ แต่ เรื่องนี้ ขึ้นอยู่กับเขา ถ้าเขาไม่เต็มใจที่จะช่วยตัวเอง ต่อให้นายกเทศมนตรีออกหน้าให้ ผมคิดว่ามันก็คงไม่มีประโยชน์”
เห็นได้ชัดว่าคำตอบนี้ทำให้มู่เฉียวอึ้งอีกครั้ง
เธอหลับตาลง ปวดหัวเหมือนจะแตก คว้ากระเป๋าบนเก้าอี้ “ฉันมีเรื่องต้องทำ ฉันจะติดต่อหาคุณอีกครั้ง รบกวนคุณแล้ว”
ทนายเห็นว่าเธอจะไป หันตัวไป พูดกับแผ่นหลังของเธอ “ผมจะพยายามชะลอการพิพากษา แต่ ด้วยฝีมือของโม่หานแล้ว หากเขาละทิ้งตัวเอง ผมเกรงว่าเขาจะเร่งความเร็วในส่วนนี้ คุณต้องรีบแล้ว”
มู่เฉียวหยุดฝีเท้า คิดๆแล้ว เธอก็หันกลับมา หยิบบัตรที่โม่หานให้ไว้กับเธอ
ที่เขาบอกว่า ‘ไว้ซื้อกับข้าว’ เธอตบมันลงตรงหน้าทนายความ “บอกฉันมาสิ สรุปว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ คุณถึงจะยอมช่วย”
ทนายคนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์ และมีกำลัง ยิ่งกว่านั้นยังมีคนที่รู้วิธี แต่เขาคอยชี้แนะทีละนิดแบบนี้ คาดว่าถ้าไม่ใช่โม่หานเป็นคนสั่งเขาไว้ ไม่ให้เขาได้ใช้ความสามารถ ก็คงจะเป็นการที่เขาอยากได้รับผลประโยชน์มากขึ้น
ทนายลุกขึ้นยืน คนที่สูงประมาณร้อยแปดสิบเซนติเมตร ทำให้มูเฉียวรู้สึกกดดันเล็กน้อย เขามองมู่เฉียวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าที่บอบบางขาว แดงเล็กน้อย เพราะความโกรธของเธอ ไม่น่าแปลกใจที่โม่หานใส่ใจเธอขนาดนี้ สวยจริงๆ
“ผม…..เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา”เขาพูดจบ ก็หยิบบัตรที่อยู่บนโต๊ะคืนไปที่มือของมู่เฉียว จากนั้น เขาก็นั่งลงอีกครั้งและหยิบถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าอย่างสบายๆ จิบไปหนึ่งคำ
“คุณเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา? แล้วคุณจะทำเพียงแค่ดูเขาเข้าคุกเหรอ?”
“เหอะๆ”ทนายเพื่อนร่วมชั้นส่งเสียง “ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่ได้ดี ดังนั้น เขาเข้าคุก ผมดีใจมาก”
มู่เฉียวแทบจะทนไม่ได้ที่จะหยิบชาบนโต๊ะสาดใส่หน้าเขา แต่คิดๆแล้ว ก็อดทน เธอไม่อยากผิดใจกับคนที่สามารถช่วยโม่หานได้ตอนนี้
“ตกลงคุณจะเอายังไง? ถึงจะยอมช่วยเขา?” ตอนที่มู่เฉียวพูดคำนี้ ก็ยกมือขึ้นมาทาบหน้าผาก ปิดบังน้ำตาที่ไหลลงมา เธอร้อนรนมากจริงๆ
ชายคนนั้นหันไป สายตาจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ “ผมคิดว่าคนที่โม่หานรักจะเป็นแค่แจกันใบหนึ่ง แต่กลับคิดไม่ถึง ว่าเขาจะเจอกับรักแท้”
น้ำเสียงนี้เต็มไปด้วยความอิจฉา
“ไม่อย่างนั้น คุณนอนกับผมสักคืน? แล้วผมจะช่วยเขา?”
“ตั้งแต่ฉันพบเขาตอนอายุ 22 ฉันก็เหมือนตกนรก ไม่ว่าเรื่องอะไรของฉันเขาก็ควบคุมหมด เมื่อไหร่จะมีลูก จะแต่งงานกับใคร การวางแผนหลังการมีลูก เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวทั้งนั้น ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันจะเป็นบ้า…” เมื่อเธอพูดถึงเรื่องนี้ เธอมองขึ้นไปบนเพดาน ” ฉันจะไปดูเขาฝังศพด้วยตัวเองเพื่อส่งเขาไปยังนรก ดังนั้น ฉันจะไม่ถูกจับชั่วคราว ดังนั้น เธอวางใจได้ ฉันจะเอาหานแลกกลับมา อย่างไงก็ตาม เขาได้ตายไปแล้ว มันคุ้มค่าแล้ว ชีวิตหนึ่งแลกชีวิตหนึ่ง ”
มู่เฉียวยังไม่ได้พูด และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะจบตั้งแต่ต้น
ถ้าฉันเคยเกลียดผู้หญิงคนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะหายไป
เธอนึกไม่ออกในพื้นที่ที่หดหู่เช่นนี้ ชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าความตายเป็นเวลาหลายสิบปีและเธอต้องทนรับบาปมามากแค่ไหนเพื่อที่จะทำให้เธอสามารถฆ่าคนได้
“ฉันแค่ฟังเขาเพื่อให้เขาเชื่อใจฉัน แต่เขาไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะตายในมือของฉัน” เมื่อเธอพูดแบบนี้ เธอสูดหายใจอย่างแรงและยิ้มที่มุมปากของเธอ
“รู้ไหมทำไมฉันถึงเกลียดเธอ”
มู่เฉียวไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบนี้ในวันนี้
“เพราะเธอขัดขวางแผนการทั้งหมดของฉัน ฉันจึงคิดว่าโม่หานจะหาคนที่สามารถช่วยเขาได้ หาผู้หญิงที่เขาไม่รักและแต่งงานกัน ในอนาคตจะไม่มีจุดอ่อนให้ผู้ชายคนนั้นจับได้ แต่เธอกลับใจดี เด็ดเดี่ยว ไม่สนใจเรื่องเงิน เธอเป็นคนพิเศษยิ่งค้นมากเท่าไหร่ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น ฉันกลัวโม่หานจะหลงรักเธอ ต่อมา มีบางอย่างเกิดขึ้นกับ โม่หาน ฉันจงใจส่งเขาไปต่างประเทศโดยจงใจบอกเธอว่าเขาตายแล้ว แต่…” คุณนายโม่สูดลมหายใจและมองขึ้นไปที่มู่เฉียว
“แต่ฉันยังประเมินคุณต่ำไป ฉันทำกับเธอขนาดนี้ แต่เธอก็ยังยอมรับเขา เขาตกหลุมรักเธอ และเขาก็แสดงท่าทางต่อต้านเพราะเธออย่างโจ่งแจ้ง แต่คุณไม่รู้ว่าเขาทำอะไรไปบ้าง เขาทำงานหนักทั้งกลางวันและกลางคืนเพียงเพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งพอที่จะต่อสู้กับเขา แต่เขายังเด็กเกินไป เขาประเมินความสามารถของชายคนนั้นต่ำไป หานฉุนและหานเสว่แม้จะไม่ใช่ลูกที่ฉันคลอด แต่เขาก็เป็นลูกชายของฉัน ลูกฉันน่าสงสารแบบนี้ฉันทำใจไม่ได้”
มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หานฉุน และหานเสว่ ไม่ได้เกิดจากคุณนายโม่ เธอคิดเสมอว่าใช่ลูกของเธอ
“ดังนั้นมู่เฉียว ฉันถึงเกลียดเธอ ถ้าเธอไม่ปรากฏตัว เขาก็จะไม่สิ้นหวัง เขาจะไม่ต้องทนทุกข์ทรมานมาก ตอนนั้นเธออยู่ในเมือง B เขาทำงานบริษัทในตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนเขาจะไปที่เมือง B ที่ห่างออกไปหลายพันไมล์ เพียงเพื่อต้องการเจอเธอ เขาไม่หลับทั้งคืนทั้งวัน กระเพาะอาหารของเขาถูกเอาออกโดยหนึ่งในสามทั้งหมดนี้เป็นเพราะเธอ” “เธอคำรามเสียงต่ำ มู่เฉียวลืมตากว้าง
เธอไม่คิดว่า ความจริงของเรื่องจะเป็นแบบนี้
เธอตกตะลึงและไม่สามารถสงบสติอารมณ์เป็นเวลานาน จริงๆแล้ว ในบ้านไม่มีใครในตอนกลางวันและเปิดไฟตอนกลางคืนคือบ้านของโม่หาน แล้วใช่หรือไม่ โม่หานได้มอบบ้านราคาประหยัดให้ด้วย ในปีนั้นเธออาศัยอยู่อย่างสงบมากแต่เขาไม่เคยคิดว่าชายคนนี้ต้องทนทุกข์กับบาปและความทุกข์ทรมานมากมายเพราะเธอ และเขาไม่เคยพูดสักคำต่อหน้าเธอ
เจ็บปวดใจ เจ็บจนหายใจไม่ออก “โม่หาน คุณมันโง่”
คุณนายโม่กอดขาและเอาหัวไว้ระหว่างขา ร้องไห้อย่างปวดใจ มู่เฉียวอยากปลอบเธอ ยื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่ก็ค้างไว้อย่างนั้น
เธอควรพูดอะไร? ถ้าลูกสาวของเธอต้องทนทุกข์ทรมานกับลูกเขยของเธอมากในอนาคต ในหัวใจของเธอคงไม่ชอบผู้ชายคนนั้น
อย่างไรก็ตาม เธอต้องการจะบอกว่าเธอไม่รู้จริงๆ ลับหลังโม่หานได้ทำอะไรเพื่อเธอมากมายเพียงนี้ ถ้าเธอรู้เธอจะเลือกอยู่กับเขาอย่างแน่นอน
“ขอโทษ,เรื่องพวกนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ”
คุณนายโม่ไม่ตอบเธอ มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก
หลังจากนั้นไม่นาน เธอพูดว่า “คุณออกไปเถอะ ทิ้งฉันไว้คนเดียวสักพัก”
มู่เฉียวพยักหน้า หันหลังเดินไปสองก้าว เธอคิดแล้วพูดว่า
“คนที่คุณชอบ น่าจะเป็นพ่อบุญธรรมของโม่หาน” มู่เฉียวเรียกเธอว่า “คุณ”
ร่างกายของคุณนายโม่แข็งทื่อ จากนั้นเขาก็ยิ้ม”แล้วยังไงล่ะ แม้ว่าเขาจะถูกฆ่าโดยเขา แต่ฉันก็ยังต้องยิ้มให้เขาทุกวัน”
“คุณเกลียดเขามาก ทำไมคุณถึงปล่อยให้โม่หานไปงานศพในวันนั้น”
คุณนายโม่พูดเพียงว่า “ฉันมีจุดประสงค์ เธอไม่เข้าใจ”
เมื่อเรื่องราวจบลงแล้ว มู่เฉียวหันตัวเมื่อเขากำลังจะจากไป คุณนายโม่ ก็พูดขึ้นทันที “ในอนาคตดูแลโม่หานให้ดี ลูกคนนี้ ไม่ชอบพูด ตอนเขาอายุได้ไม่กี่ขวบ ถูกลากเข้ามาในห้องนี้เพื่อมาอยู่กับฉัน เขาก็ทุกข์ทรมานจริงๆ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอมองคุณนายโม่อย่างเหลือเชื่อ “คุณ…” คำกล่าวหาเข้ามาในใจเธอ แต่จู่ๆ เธอก็พูดไม่ออก เธอแค่รู้สึกเสียใจต่อโม่หาน
เธอยังได้ยินคำพูดของคุณนายโม่และการเอาชนะตัวเองอย่างเห็นได้ชัด
เดินไปที่ประตู หันกลับมามองคุณนายโม่ “บางทีพ่อบุญธรรมของโม่หานอาจยังไม่ตาย ดังนั้นหากทำได้ รักษาให้มีชีวิตอยู่” สัญชาตญาณบอกเธอว่าเธอควรบอกคุณนายโม่เกี่ยวกับเรื่องนี้
ก่อนที่เธอจะทันได้ตอบโต้ เธอก็ดึงแขนออกทันที คุณนายโม่ลุกขึ้นยืนทันที มู่เฉียวเกือบถูกลากลงมา และเขาเดินเซไปหลายก้าวก่อนที่เธอจะยืนมันไว้ ก่อนที่ผู้คนจะกลับมา คุณนายโม่คว้าตัวเธอไว้ จับแขนเธอไว้ “เธอพูดว่าอะไรนะ เธอบอกว่าเขายังไม่ตาย?”
มู่เฉียวพยักหน้า ในวันนั้นที่แอฟริกาใต้ ตอนแรกเธอไม่แน่ใจ แต่ต่อมาเมื่อดูปฏิกิริยาของโม่หาน เธอรู้ว่าการเดาของเธอไม่ผิด
“แต่คุณก็ถามโม่หานเองแล้วกัน”
สามวันต่อมาคุณนายโม่ยอมจำนน โดยบอกว่าเธอได้เปลี่ยนยาของชายคนนั้นซึ่งมีสารก่อมะเร็งอะฟลาทอกซินและนำออกมาเองและมอบส่วนที่เหลือให้
ตอนที่ทราบข่าว คุณนายโม่ไม่คาดคิดเลยว่า โม่หานจะทำอย่างนั้น เธอร้องไห้และขอร้องให้บอกทนายความและตำรวจว่า โม่หานยอมรับผิดแทนเธอ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลักฐาน หลักฐานที่เป็นวัตถุ และแรงจูงใจ การร้องไห้ของเธอจึงกลายเป็นเครื่องป้องกันของแม่สำหรับลูกชายของเธอ และไม่มีใครเชื่อเธอ
“โม่หาน เธอจะทำแบบนี้ไม่ได้ เธอยังอายุน้อย เธอจะทำลายชีวิตตัวเองแบบนี้ไม่ได้นะลูก” เธอโอดครวญถึงโม่หานและร้องไห้
แต่โม่หานยกริมฝีปากขึ้นและปาดน้ำตาจากหางตาของเขา “หลังจากผ่านภาวะซึมเศร้ามาหลายปี คุณสามารถอยู่เพื่อตัวเองได้ เขาอยู่ที่นี่เพื่อรอคุณและไปหาเขา” ในมือของโม่หานมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีที่อยู่แถวหนึ่งเขียนไว้
“ไม่… ฉันไม่ต้องการมัน ลูก แม่ขอร้อง อย่าทำแบบนี้”
แต่โม่หานได้ตัดสินใจแล้ว
คนที่แจ้งข่าวมาคือคุณนายโม่
“มู่เฉียว เธอไปดูโม่หานหน่อยไหม”
“เขาเป็นอะไร”
“เขาอยู่ในสถานกักกัน”
มู่เฉียวกำลังทานอาหารอยู่ในร้านอาหาร เมื่อเธอได้ยินสิ่งนี้ ตะเกียบในมือของเธอตกลงบนพื้น เธอกลืนแล้วพูดช้าๆ ว่า “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
“ที่อยู่ถูกส่งให้ในโทรศัพท์มือถือของเธอ เธอสามารถดูได้ด้วยตัวเอง”
เป็นครั้งแรกที่ได้เยี่ยมชนสถานกักกัน หัวใจของมู่เฉียวดูหดหู่และประหม่ามาก อย่างไรก็ตาม ผู้คนภายในดูเหมือนจะรู้ตัวตนของเธอและเธอก็ไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดทาง หากสภาพแวดล้อมโดยรอบ เตือนเธอ อยู่ในสถานกักกัน ฉันยังคิดว่านี่เป็นร้านอาหารและที่ดื่มชา การต้อนรับระดับสูงแบบนี้
เมื่อเห็นโม่หาน เขายังคงสวมเสื้อผ้าชุดเดิมที่เขาทิ้งไว้เมื่อวานนี้ ด้วยเนื้อผ้าที่ดี แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์คับขันก็ตาม ก็ยังไม่มีรอยย่นเลยแม้แต่น้อย
ประตูห้องกักกันเปิดออก
มู่เฉียวเดินเข้ามา “มันเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้ยังไง…”
โม่หานไม่ได้พูด แต่เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “มู่เฉียว ผมอาจจะเสียคุณไปได้ ควรทำอย่างไร?”
คำพูดง่าย ๆ ไม่กี่คำทำให้ร่างกายของมู่เฉียว แข็งทื่อทันที
เธอหลับตาลงและใช้ความพยายามอย่างมากในการสงบสติอารมณ์ เธอผลักโม่หานออก “โม่หานบอกฉันหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“อันนี้ ทนายจะเล่าให้คุณฟังเอง มู่เฉียว ถ้าผมเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ ผมขอให้ทนายโอนหุ้นทั้งหมดในMy กรุ๊ปที่เป็นชื่อของผมให้คุณและเสี่ยวโยว รวมถึงเงินในบัตรนั้นด้วย , ก็คงพอ…”
มู่เฉียวรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมาในใจ เธอเงยหน้าขึ้นมอง โม่หาน พลางยิ้มจากมุมปากของเธอ “ไม่ต้องการฉันอีกครั้งแล้วหรือ ไม่เอาแล้วนะ โม่หาน คุณคิดว่าฉันสนใจเงินเหม็นของคุณหรือ ฉันจะบอกคุณ ถ้าคุณติดคุกขึ้นมา ฉันจะพาเสี่ยวโยวแต่งงานใหม่ ฉันจะไม่เอาเงินคุณสักบาท ในชีวิตนี้ คุณเป็นหนี้ฉัน”
หลังจากพูดจบ มู่เฉียวก็หันหลังเดินออกมาทั้งน้ำตา แต่ก็ไหลออกมาเมื่อเธอหันหลังกลับ
เธอไม่กล้าที่จะอยู่อีกต่อไป เธอรู้สึกอึดอัด ประหม่า และหวาดกลัว
เพราะเธอรู้ดีอยู่ในใจว่าคำพูดของโม่หานแบบนั้นเหมือนยอมแพ้ให้กับตัวเอง เขาไม่ได้ให้คำอธิบายหรือแก้ต่างใด ๆ เลย ทำให้เธอรู้สึกว่าเธออยู่ในสายตาของเขาเป็นแค่คนที่พร้อมจะรอรับเงิน
ในใจเจ็บจนเหมือนจะหายใจไม่ออก
หลังจากที่เธอออกมา ทนายความในชุดสูทและรองเท้าหนังกำลังรอเธออยู่ข้างนอก
“ในยาบำรุงที่พ่อของประธานโม่ทานอยู่ ตรวจพบสารก่อมะเร็ง” ทนายความพูดโดยตรงและกล่าวถึงประเด็นนี้
มู่เฉียวส่ายหัว “เขาไม่ได้ทำ เขาไม่ได้สนใจที่จะทำ ถ้าเขาต้องการจะทำ เขาจะไม่ใช้วิธีลึกลับเช่นนี้ เขา…เขา…”
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อตอนที่เขาจากมาในวันนั้น โม่หานบอกว่าคุณนายโม่ถูกจับแล้ว
มันอาจจะเป็น…
ความคิดที่ไม่ดีก่อตัวขึ้นในหัวของเธอ และเธอก็ดึงทนายความเข้าไปในรถ
“คุณบอกฉันหน่อยได้ไหม ว่าเขาจะรับโทษแทนแม่ของเขาใช่ไหม”
ทนายไม่พูดและไม่ปฏิเสธ
มู่เฉียวรู้สึกว่าหายใจลำบาก เธอจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ได้อีก? เขาคือสามี แต่เป็นลูกของผู้หญิงคนนั้น เขาอยากกตัญญู เธอจะพูดอย่างไรได้?
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรือ” เธอสูดลมหายใจ และวิญญาณทั้งหมดของเธอพังทลายลงในทันที
“หลักฐานแน่นหนา และประธานโม่เองก็ยอมรับเอง ว่าเขาเกลียดความโหดร้ายที่พ่อมีต่อเขา แต่ก่อนหน้านี้ พ่อของเขาจ้างคนมาพยายามทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์กับเขา ซึ่งสามารถใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ ถ้าถึงกับมีคนตาย อย่างน้อยขาดไม่ได้ก็ถูกจำคุกสิบปี”
สิบปี? สิบปีหลังจากที่เขาออกมา โม่หานก็อายุ 40 ปีแล้ว และชีวิตของเขาก็จบลงอย่างสมบูรณ์
มู่เฉียวไม่พูด ผลักประตูและลงจากรถ หยุดรถ และตรงไปที่บ้านของตระกูลโม่
ยังไม่เห็นเสียงคร่ำครวญและเสียใจของงานศพในจินตนาการ
หานฉุนพิงศาลาสูบบุหรี่ในลานบ้าน สวมชุดไว้ทุกข์ แต่ยังไม่กระทบความหล่อของเขา แต่สีหน้าของเขาดูน่าเกลียดเล็กน้อย
เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามา สัมผัสของความรู้สึกผิดที่ไม่อาจมองเห็นได้แวบเข้ามาในดวงตา
ขอต้อนรับ “ทำไมคุณถึงมาที่นี่” เขาไม่ได้เรียกเธอว่าน้องสะใภ้และไม่ได้เรียกชื่อของเธอ
มู่เฉียวมองเขา “แม่ของคุณอยู่ที่ไหน”
มีความขุ่นเคืองในหัวใจของเธอที่มีต่อ โม่หาน และ คุณนายโม่
พวกเขาต้องการเป็นลูกกตัญญู พวกเขาต้องการที่จะเห็นแก่ตัว แต่ใครจะคิดเกี่ยวกับเธอและลูก ๆ ของเธอ?
การแสดงออกของหานฉุนมืดลง “คุณกำลังมองหาเธอเพื่อต้องอะไร?”
มู่เฉียวไม่มีอารมณ์จะคุยกับเขา เขาไม่ได้บอกเธอ เธอก็ไปหาด้วยตัวเอง
หลังจากผ่านหานฉุนเธอก็วิ่งเหยาะตรงไปทางห้องโถง
ห้องโถงที่ไว้ทุกข์ไม่ได้ถูกรื้อถอน ในภาพขาวดำ ผู้ชายที่ค่อนข้างคล้ายกับโม่หาน แค่คิดถึงสิ่งที่เขาทำกับโม่หานแล้วคิดว่าเป็นชะตากรรมที่อาจเปลี่ยนไปเพราะเขา เธอไม่ได้มีความเศร้าเลย.
คุณนายโม่คุกเข่าอยู่ใต้ห้องโถงที่ไว้ทุกข์โดยก้มหน้าลง ที่ซึ่งยังมีอดีตที่เจ็บปวด
“เสี่ยวเฉียว เธอ… มาที่นี่ได้อย่างไร?” ย่าโม่ เป็นคนออกเสียง การตายของปู่โม่ทำให้เธอดูแก่กว่ามาก
“คุณย่า” มู่เฉียวพูดตรง ๆ ไม่สามารถไม่ชอบคนชราคนนี้ได้
เธอดูแปลกใจ เธอเรียกตัวเองว่า คุณย่าก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วแล้วจับมือเธอ “กลับมาได้ก็ดีแล้ว”
แต่มู่เฉียวดึงมือออกด้วยความเขินอาย “คุณย่า ฉันมาเพื่อตามหาคุณย่าของเสี่ยวโยวเพื่อพูดอะไรบางอย่าง”
เธอไม่แน่ใจว่าคุณย่าโม่ รู้เรื่องการจับกุมของโม่หานหรือไม่และกลัวว่าจะทำให้เธอตกใจ ดังนั้นเธอจึงเลือกวิธีถามอีกแบบ แม้ว่าเธอจะถึงขีดจำกัดในใจแล้วก็ตาม
คุณนายโม่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่ค่อยๆ ลุกขึ้น จากนั้นเงยหน้าขึ้นและมองที่มู่เฉียว “เธอจะพูดอะไร พูดมาเลย”
มู่เฉียวมองผู้หญิงที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เธอไม่ได้เจอเธอมาสองสามวันแล้ว เธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอไม่แต่งหน้าหรือเพราะว่าเธอเหนื่อยเกินไป ทำให้เธอดูซีดเซียว
“คุณแน่ใจหรือว่าจะพูดที่นี่” เธอถามอีกครั้ง
คุณนายโม่ดูเหมือนจะตอบสนอง “มากับฉัน”
ทั้งสองเดินไปทางด้านหลังบ้านพักของคุณนายโม่
ห้องสีดำว่างเปล่า ไม่มีไฟ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์ และมันว่างเปล่า
มู่เฉียวไม่เคยรู้ว่ามีห้องแบบนี้ในบ้านตระกูลโม่
เธอมองไปรอบๆ ยกเว้นแสงเล็กน้อยจากหน้าต่างแคบด้านบน ไม่มีแสงริบหรี่ สภาพแวดล้อมแบบนี้น่าหดหู่และอึดอัด เธอต้องการหนีเพราะเริ่มหายใจไม่ออก
“มันน่าหดหู่มากไหม?” คุณนายโม่นั่งลงที่มุมหนึ่งแล้วพูดช้าๆ น้ำเสียงของเธอสงบมาก มู่เฉียววิตกกังวลมาก แต่เธอยังคงบังคับตัวเองให้สงบลง
ขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง”
“ฉันอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว”
มู่เฉียวยิ่งสับสน
และต่อมา เมื่อของที่ส่งกลับไป โม่หานไม่ยอมรับกลับและปล่อยให้เธอจัดการเอง เธอรู้ว่าโม่หานไม่ได้พูดเล่นกับเธอ เขาหาเงินเก่ง แต่เขาก็เต็มใจที่จะให้เธอมากกว่า ลองคิดดูเธอก็เอาของทั้งหมดนี้แลกเป็นเงินและฝากไว้ในบัตรที่โม่หานมอบให้เธอไว้เพื่อซื้ออาหาร
หลังจากวันนี้ โม่หานทำตัวดีพ่อแม่ของเธอจึงค่อยๆ ยอมรับเขา และพวกเขาก็พูดถึงเขามากขึ้นเรื่อยๆ
“เฉียวเอ๋อ ดูนี่สิ นี่คือโม่หานไปหาซื้อมาให้ฉันและพ่อของเธอเป็นพิเศษเลยนะ”
“เฉียวเอ๋อ ดูยุ่งทุกวัน ยุ่งกว่าโม่หานเลยหรือ เขาจำเวลาที่พ่อต้องไปตรวจร่างกายได้ เขาสร้างความสัมพันธ์ มันไปมา แล้วเธอล่ะ โชคดีที่ได้ลูกเขยดี ทั้งเธอและน้องชายพึ่งไม่ได้เลย”
“เฉียวเอ๋อ นี่ตุ๋นไว้ให้สำหรับโม่หาน เห็นว่าเขาช่วงนี้ดูผอมไป”
“เฉียวเอ๋อ เธออย่าสั่งให้ โม่หานทำอะไรให้มันมาก งานของเขาก็เหนื่อยเกินไปแล้ว ทำอะไรด้วยตัวเอง…”
…
ในระยะหลังสถานะของเธอในตระกูลมู่ เริ่มลดลงทีละน้อย แต่เธอก็มีความสุข
ตอนพบคุณนายโม่ ก็เมื่อสองเดือนที่แล้วหลังจากคืนนั้น
ในวันนี้ เธอเพิ่งเลิกงานและลงจากรถบัส ในรถหรูข้างถนนมี ผู้หญิงที่แต่งตัวมีสไตล์สวมแว่นกันแดด ยืนอยู่หน้ามู่เฉียวอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะจำเธอได้
ขมวดคิ้ว “มีเรื่องจะคุย?”
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งก่อน มู่เฉียวไม่มีความรู้สึกดีๆ ต่อคุณนายโม่ ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นแม่ของโม่หาน เธอก็คงไม่สนใจเรื่องนี้
ผู้มาเยือนเงยหน้าขึ้น “ไปที่รถแล้วค่อยพูด”
มู่เฉียวไม่อยากไป แต่ดูชุดของนางดูโอ้อวดเกินไป เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จึงต้องประนีประนอม
หลังจากที่ประตูรถปิดลง ผู้หญิงคนนั้นก็ถอดแว่นกันแดดออกจากดวงตาของเธอ และมู่เฉียวเห็นว่าดวงตาของเธอแดงเล็กน้อยและบวม และดูเหมือนว่าเธอร้องไห้มาเป็นเวลานาน
เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งและถามขึ้นว่า “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม”
คุณนายโม่มองไปข้างหน้า ก่อนที่เธอจะพูดโดยใช้เวลานาน “มู่เฉียว หากเธอสามารถเกลี้ยกล่อมให้โม่หานไปร่วมงานศพของพ่อของเขาในวันพรุ่งนี้ได้ ฉันจะอนุญาตให้เธออยู่ด้วยกัน”
เห็นได้ชัดว่าเหตุผลดังกล่าวทำให้ มู่เฉียว รู้สึกไร้สาระเล็กน้อย
แค่งานศพ? ทันใดนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่ “เขา… เขาตายแล้วเหรอ?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อตอนที่คุยกันทางโทรศัพท์ในช่วงบ่าย ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติเกี่ยวกับโม่ห่าน?
ทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้เขาถึงไม่บอกกับเธอ
คุณนายพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่มู่เฉียว “ในฐานะภรรยาของเขา คุณคิดว่าคุณมีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่”
“คุณยอมรับว่าฉันเป็นภรรยาของเขาหรือ?” เธอโต้กลับ
นึกไม่ถึงว่าจะพาเธอไปที่หลุมฝังศพโดยไม่คาดคิด สีหน้าของคุณนายโม่ควบคุมไม่ได้เล็กน้อย และแววตาของเธอมีความอดทนไม่มากพอ “อย่างไรก็ตาม ถ้าเธออยากอยู่กับเขาจริง จงชักชวนให้เขามาที่นี่ให้ทันเวลาในวันพรุ่งนี้ .”
มู่เฉียวทนน้ำเสียงแบบนี้ของเธอไม่ได้และเม้มปาก “ฉันไม่อยากบังคับเขาในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ ฉันขอโทษ ฉันไม่สามารถช่วยคุณได้” หลังจากพูดเธอเปิดประตูลงจากรถโดยไม่หันหลังกลับเดินเข้าไปในชุมชน
เธอสามารถจินตนาการถึงท่าทางของคุณนายโม่ที่โกรธได้ แต่เธอก็สง่าผ่าเผย ไม่ใช่แมวหรือสุนัข และมันก็ไม่สำคัญว่าครอบครัวตระกูลโม่จะยอมรับเธอเป็นลูกสะใภ้หรือไม่ เธอเพียงแต่ต้องให้โม่หานยอมรับก็พอ
นอกจากนี้ เธอไม่ต้องการทำผิดต่อโม่หาน เพราะตัวเธอเอง
โม่หานกลับมาก็หลังสามทุ่มแล้ว หลังจากเธอพามู่เสี่ยวโยวเข้านอนแล้ว เธอก็ไปดู้เขา
เห็นเขาเพิ่งเปิดประตูและได้ยินเสียงเปิดประตู เขาหันกลับมามองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความเหนื่อยล้า เธอก้าวไปข้างหน้าและกอดเอวของเขาจากด้านหลัง พยายามจะพูดอะไรบางอย่างสุดท้ายก็ได้แต่พูดว่า”อย่าเหนื่อยให้มันนัก ฉันเป็นคนเลี้ยงง่าย”
มุมปากของเขายกขึ้น “ใช่เลี้ยงง่าย”
หลังจากเข้ามาในห้องแล้ว มู่เฉียวก็ถามโม่หานว่า “คุณอยากทานเกี๊ยวหน่อยไหม แม่ของฉันเพิ่งทำเกี๊ยวใหม่วันนี้”
โม่หานลุกจากโซฟาแล้วเดินเข้าไปในครัว “ไปล้างมา ผมจะทำเอง คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
จากนั้นมู่เฉียวมองดูโม่หานล้างหม้อและต้มน้ำอย่างชำนาญแล้ววางเกี๊ยวลง
เสื้อเชิ้ตลายสีเทา แขนเสื้อถูกรีดไปถึงที่ข้อศอก ปลอกคอปลดกระดุมสองเม็ด รูปลักษณ์ที่หล่อเหลา และสัมผัสที่แนบเนียน พอมองดูโม่หานทำให้มู่เฉียวมึนเมาเล็กน้อย
ดูเหมือนผู้ชายจะชอบความหลงใหลของผู้หญิง หัวใจที่อ่อนล้าของเขาค่อยๆ เริ่มกระฉับกระเฉงในการต้มเกี๊ยว เขาโอบกอดมู่เฉียวที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ ก้มศีรษะและจูบมัน จนน้ำในหม้อเดือดล้นออกมา
สองคนจึงปล่อย
“นี่สำหรับคุณ” โม่หานวางถ้วยหนึ่งไว้ข้างหน้ามู่เฉียว
มู่เฉียวอยากจะปฏิเสธ แต่นี่คือเกี๊ยวที่โม่หานปรุงเอง เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้นเธอจึงหยิบมันขึ้นมาและยัดมันลงในท้องของเธอ
“แม่ทำอร่อยมาก” โม่หานชมหลังจากกินไปสองชิ้น
“คราวหน้าจะบอกให้แม่ทำให้เยอะหน่อย”
“ไม่เป็นไร มันเหนื่อยเกินไป”
“ถ้าเธอรู้ว่าคุณชอบกิน เธอก็จะไม่รู้สึกเหนื่อยเลย” แม่ยายมองลูกเขยของเธออย่างพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ และตอนนี้สถานะของโม่หานในสายตาของพวกเขาสูงกว่าตัวเธออีก.
โม่หานมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา แต่เขาไม่ได้พูด
มู่เฉียวรู้สึกว่าโม่หานรู้สึกหดหู่เล็กน้อยในวันนี้ เมื่อคิดถึงคุณนายโม่ ที่มาหาเธอก่อนหน้านี้ และคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงพูดขึ้นมาว่า “โม่หานเขาตายแล้วใช่ไหม”
อันที่จริง ตอนจบนี้เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ไม่มีใครที่จะไม่คิดถึงจิตใจคนอื่นอย่างเต็มที่และผู้ชายที่ทำได้แต่สิ่งที่ต้องการ ที่จะจากโลกนี้ไปอย่างเงียบๆ
การเคลื่อนไหวของโม่หานเปลี่ยนไป เขามองไปที่มู่เฉียว “คุณรู้ได้อย่างไร”
“คุณย่าของเสี่ยวโยวมาหาฉัน ให้ฉันเกลี้ยกล่อมให้คุณไปงานศพพรุ่งนี้” เธอคิดว่าทั้งสองคนเป็นแบบนี้แล้ว คงจะไม่เรียกคำว่าแม่ มันคงจะแปลกเกินไป แต่เธอไม่สามารถเรียกเธอว่าแม่ได้
เขาหยิบเกี๊ยวใส่เข้าไปทั้งปาก เห็นได้ชัดว่าเป็นวิธีการกินของผู้ชาย แต่เมื่อเป็นโม่หานกลับดูดีขึ้นมา
“คุณคิดว่าอย่างไร?”
“ฉันสนับสนุนการตัดสินใจของคุณ”
โม่หานก้มศีรษะลงมาและอ้าปากเอาเกี๊ยวสิบกว่าชิ้นเข้าปากจนหมดแล้วพูดว่า “ไม่”
“ตกลง” มู่เฉียวพูด ลุกขึ้นและเก็บภาชนะของทั้งสองคน
ชายคนนั้นจับมือเธอ “ผมไปล้างเอง”
มู่เฉียวพูดว่า “ได้” และมองดูโม่หานอย่างเหลือเชื่อ “คุณล้างเป็นหรือ”
มู่เฉียวเป็นคนสอนโม่หานทำเกี๊ยวเอง เห็นครั้งเดียวก็ทำได้ดี
โม่หานมองเธออย่างแรง
วันรุ่งขึ้น โม่หานไม่ไปจริงๆ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไรมาก
เธอไม่ได้บอก เรื่องที่คุณนายโม่บอกเขาทั้งหมด เพราะไม่ต้องการกดดันเขา
เนื่องจากเป็นวันพักผ่อน เธอจึงพามู่เสี่ยวโยวไปเรียนศิลปะวาดรูปที่บ้านของเขา หลังโม่หานทานข้าวเรียบร้อยก็ไปที่ห้องหนังสือ
จนถึงเวลาประมาณบ่ายสามโมงเย็น
เธอได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือของโม่หาน ดังขึ้นหลายครั้ง
หลังจากนั้นไม่นาน โม่หานก็รีบออกจากห้อง
“มีอะไรเหรอ?” มู่เฉียวถามเขา
“แม่ถูกจับ ฉันต้องกลับไปบ้านตระกูลโม่สักพัก”
ปากกาในมือของมู่เฉียวติดอยู่ที่โครงร่างที่มู่เสี่ยวโยวเพิ่งวาด
“คุณนั่งแท็กซี่ไป อย่าขับรถ” เธอบอกโม่หานที่กำลังเปลี่ยนรองเท้า แต่เธอไม่ได้ถามโม่หานว่าทำไมคุณนายโม่ถึงถูกจับ
แต่เธออาจคิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นโม่หานอีก แต่เขาอยู่ในสถานกักกัน เหตุผลคือโม่หานฆ่าคน ฆ่าพ่อของเขา
“แม่…” มู่เฉียวดึงแขนเสื้อแม่ของเธอ ในตอนนี้เธอทนไม่ได้ที่จะทำให้โม่หานอับอาย
ผู้เป็นพ่อไอเล็กน้อย และมู่เฉียวก็เข้าใจว่าเป็นการเตือน
“คุณย่าและน้อง ๆ ที่บ้านชอบมู่เฉียวมาก แต่แม่ของผมอาจจะเข้าใจผิดเธอนิดหน่อย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่สามารถมั่นใจได้ก่อนที่ความขัดแย้งจะคลี่คลาย ผมจะแยกมาอยู่กับมู่เฉียว ก่อนที่แม่ของผมจะยอมรับ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างพวกเขา และแน่นอนผมจะพยายามเกลี้ยกล่อมแม่ของผมให้เห็นว่าผมเลือกคนไม่ผิด”
หลังจากพูดไปไม่กี่คำ เขาไม่ได้ทำให้ตัวเองเป็นลูกชายที่อกตัญญู แต่ยังขจัดความกังวลของพ่อแม่ของเขา และยกย่องมู่เฉียว
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของพ่อผ่อนคลายลงเล็กน้อย และเธอก็ขยิบตาให้แม่
แม่พูดทันทีอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเราจะคิดดูอีกครั้ง”
มู่เฉียวพูดว่า “อ่า” แล้วบอกว่า เด็กก็โตจนเทซอสเองได้แล้ว ยังคิดอยู่อีกเหรอ?
โม่หานยืนขึ้นและตอบอย่างเคร่งขรึม “ถ้าอย่างนั้นไม่รบกวนพ่อแม่แล้วครับผมขอกลับไปที่บริษัทก่อน”
มู่เฉียวก็ลุกขึ้น “อยู่ทานข้าวกันก่อนซิ”
เมื่อมองย้อนกลับไป เธอขยิบตาให้พ่อ แต่พ่อของเธอกลับมองออกไป คิ้วของ มู่เฉียวขมวดเข้าหากัน และมองไปที่โม่หาน ด้วยความเขินอาย
“บริษัทมีเรื่องมากมาย ผมขอไปก่อนนะครับ”
หลังพูดเสร็จ เขาก็โน้มตัวและจูบใบหน้าของมู่เสี่ยวโยว “เสี่ยวโยว พ่อซื้อของขวัญให้ในวันนี้ ลองหาดูนะ”
โม่เสี่ยวโยว เป็นคนลักษณะพิเศษ เมื่อเธอได้ยินคำว่าของขวัญ ดวงตาของเธอก็สว่างขึ้นในทันที และเธอก็เอาแขนโอบรอบคอของ โม่หานจูบลงที่ใบหน้า
ส่งโม่หานไปที่ประตู มู่เฉียวกระซิบบอก “ขับรถระวังด้วยนะ”
โม่หานชี้นิ้วไปที่ประตูข้างหลังเขา และยกกรามของเขาไปที่มู่เฉียว
มู่เฉียวกัดริมฝีปากล่างขวาของเขาห่อไว้ และกะพริบตา
ประตูปิดลงและเธอก็กลับมาสู่สภาพปกติของเธอ
“คุณแม่ค่ะ หนูขอรื้อได้ไหมค่ะ”
“ลองถามคุณตาดู สิ่งของเหล่านี้พ่อมอบให้คุณตาและคุณยาย”
มู่เสี่ยวโยวขมวดคิ้ว “ทำไม?”
“เพราะ……”
ก่อนที่มู่เฉียวจะพูดจบ มู่เสี่ยวโยวรีบวิ่งไปที่อ้อมแขนของตา “คุณตาค่ะ พ่อของหนูทำผิดและซื้อของมาให้เพื่อให้มีความสุขหรือเปล่า?”
สำหรับมู่เสี่ยวโยว พ่อมู่ได้ทำอย่างเต็มที่กับคำสามคำที่ว่า “การเอาใจใส่จากรุ่นสู่รุ่น” และใบหน้าที่จริงจังของเขาก็ยิ้มขึ้นทันที
เขาแสร้งทำเป็นโกรธและพูดว่า “ไปรื้อมันซะ”
หลังจากเปิดกล่องของขวัญแล้ว พ่อมู่ ก็หัวเราะไม่ออก
เพราะมันแพงเกินไป
ประเพณีการแต่งงานในเมือง A คือการขอสิบแปดสิ่งซึ่งหมายถึงการขอบคุณพ่อแม่ของฝ่ายหญิงที่เลี้ยงเจ้าสาวให้เป็นผู้ใหญ่ โดยครอบครัวทั่วไปก็จะมีถั่วลิสง เค้ก และปลา ครอบครัวที่ฐานะดีหน่อยก็จะเพิ่มเงิน ของขวัญ และเสื้อผ้าหรืออะไรสักอย่าง
อย่างไรก็ตาม 18 รายการของ โม่หาน ได้แก่ ของที่บินอยู่บนท้องฟ้า วิ่งอยู่บนพื้น ของที่ว่ายน้ำในทะเล ของหายากทุกชนิด ยาชูกำลังทุกชนิด เสื้อผ้าเป็นแบรนด์ต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งทองคำแท่ง เงินสด บัตรธนาคาร หยก ทอง และกองอสังหาริมทรัพย์และอื่นๆ
โม่หานคงจะย้ายของที่บ้านทั้งหมดมาที่นี่แล้ว
เรื่องอสังหาฯ ถึงแม้จะเป็นที่เล็กๆ แต่ก็เห็นได้ไม่ยากเลย โม่หานใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่น หยกและทองต่างก็มีชื่อย่อของมู่เฉียว เสื้อผ้าที่ ให้พ่อแม่ก็เหมาะสมตามวัยและความชอบ
ความฟุ่มเฟือยของมันทำให้พ่อของเขาซึ่งไม่เคยสนใจเงินมาก่อน ทำให้สีหน้าของเขาอ่อนลง
มู่เฉียวรู้ว่าไม่ใช่พ่อของเขาที่โลภเงิน แต่พ่อของเขารู้สึกได้ว่าสิ่งที่โม่หาน คิดเกี่ยวกับเธอ
อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าลูกสาวของพวกเขายังคงมีความสำคัญต่อผู้อื่น
“พ่อมู่ อาหารเหล่านี้ทั้งหมดเราก็เก็บไว้ ส่วนพวกอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้น มันแพงเกินไปฉันดูมันฉันก็ตื่นตระหนกเราให้เฉียวเอ๋อเอาไปคืนเขาดีกว่า” ทั้งชีวินของแม่ของเธอจะระมัดระวังเรื่องเงินเสมอ เงินจำนวนมากอยู่ที่นี่ในคราวเดียว เลยรู้สึกอึดอัด
พ่อเหลือบมองมู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ พูดอะไรหน่อยไหม”
มู่เฉียวต้องการบอกพ่อแม่ของเธอว่าตามความรู้ของเธอแล้ว อสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นยังไม่ต้องนับ แค่อาหารที่แม่ของเธอบอกมีค่ามากกว่าสิบล้านอย่างแน่นอน สัตว์และนกหายากเหล่านั้นดูเหมือนจะไร้ค่า แต่ ทุกอย่างคือของแท้และเป็นสมบัติได้ไม่ว่าจะเป็น, อัลมัสคาเวียร์, อิตาเลียน อัลบาไวท์ เห็ดทรัฟเฟิล, วานิลลา, เห็ดมัตสึทาเกะ ฯลฯ มีค่ามากกว่าทองคำและเงินที่คิดหลายเท่า
เธอหายใจเข้า “พ่อ แม่ ทุกคนยอมรับไว้เถอะ โม่หาน ขาดทุกอย่าง แต่เขาไม่ขาดเงิน” ความตั้งใจดั้งเดิมของ มู่เฉียว คือการให้พ่อแม่ของเธอยอมรับมันโดยรับไว้พิจารณา
เธอจะไปรู้อะไร พ่อโยนหนังสือในมือลงบนโต๊ะกาแฟ หน้าเขาทรุดลง “ฟังที่เธอพูด นี้เรียกว่าอะไร เขากำลังแต่งงานกับลูกสาวของเรา ไม่ได้ขายลูกสาวของเรา นอกจากนี้หากเรารับสิ่งเหล่านี้ไว้ , เราจะใช้อะไรเป็นขวัญถุงแต่งงานให้เธอละ? ในอนาคตเมื่อเธออยู่ในตระกูลมู่ เธอจะสามารถเงยหน้าขึ้นมองผู้คนได้หรือเปล่า?
คำพูดของพ่อทำให้ดวงตาของมู่เฉียวร้อนผ่าวทันที
บางทีความคิดของคนหนุ่มสาวอาจยังง่ายเกินไปที่จะคิดซับซ้อน แต่พ่อแม่ที่ผ่านโลกมาแล้วไม่เหมือนกัน การพิจารณาครั้งแรกของพวกเขาไม่ใช่เงินจำนวนมาก แต่คิดถึงลูกสาวของพวกเขา ว่าคนอื่นจะปฏิบัติต่ออย่างไรในอนาคตกับลูกสาวของพวกเขา
นอกจากนี้เสี่ยวโยวก็หาเจอของขวัญที่โม่หานซื้อให้เป็นของเล่นชุดเจ้าหญิงที่ละเอียดอ่อน มงกุฎประดับด้วยเพชร และเครื่องประดับต่างๆ มู่เฉียวรู้ว่าเพชรบนเครื่องประดับเหล่านั้นเป็นของจริงทั้งหมด ก่อนหน้านี้มู่เฉียวได้อธิบายเรื่องนี้ให้มู่เสี่ยวโยวแล้วเธอก็ให้ความร่วมมืออย่างดีโดยเอาของทั้งหมดที่อยู่ในมือยื่นให้มู่เฉียว
เธอช่วยพ่อแม่รวบรวมทั้งหมดให้อยู่ด้วยกัน ส่วนกล่องบรรจุภัณฑ์สีแดงพวกเขาเก็บไว้
ส่วน”ของกิน” ที่พ่อแม่ของเขาคิดว่าไม่มีค่ามู่เฉียวทำเป็นเงียบและเก็บไว้
ส่วนอื่นๆ เธอเก็บมันไว้ในถุงผ้าใบใหญ่ ทั้งเล่มหนังสือบ้าน และอื่นๆ
“พ่อแม่ ส่วนของพวกนี้ เราก็คืนให้เขาเถอะ”
มู่เฉียวมองพ่อของเขาด้วยความโล่งอก
“ส่งกลับไปเถอะ ราคาแพงเกินไป เอาไว้ที่บ้านแล้วหายใจไม่ออก” พ่อลุกขึ้นเดินไปที่ครัว “ตอนเที่ยงให้เขามากินด้วยกันซิ”
เมื่อมองดูด้านหลังพ่อของเธอ หากเธอไม่รู้ว่าพ่อของเธอปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ เธอคงสงสัยว่าพ่อของเธอเป็นคนประเภทที่เห็นแก่เงิน
แต่เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอแค่ต้องการให้เธอไม่ต้องอายและอยากให้เธอมีความสุข
“รีบส่งกลับไปเถอะ” แม่ก็เร่งเร้า แล้วเดินไปที่ครัวด้วยกัน “เสี่ยวโยว มาช่วยยายเก็บผักเร็ว”
จู่ ๆ มู่เฉียวก็รู้สึกว่าเธอได้รับการปกป้องอย่างมากเมื่อเห็น แต่เมื่อเธอหันหลังกลับไป เธอกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มู่เฉียวมองดูติ่มซำในมือของเขา และหลังจากคิดดูแล้ว เธอก็ยกมันไปที่บ้านของโม่หาน
เมื่อเปิดประตูเข้าไป โม่หานนั่งอยู่บนโซฟาที่ยังสวมชุดนอนอยู่ “คุณไม่ใช่ออกไปดูงานนอกสถานทีหรือ”
โม่หานปิดทีวี ก้าวไปข้างหน้า จดจ่ออยู่กับติ่มซำในมือของเธอ “มีติ่มซำด้วย คุณไปกินข้าวที่ไหน คนเดียว?”
หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็สารภาพเกี่ยวกับการนัดพบเจอของเธอกับคุณนายโม่ เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ควรให้เข้าใจผิด
“แม่ของคุณไม่เห็นด้วยกับการที่เราอยู่ด้วยกัน” เธอนั่งอยู่ในอ้อมแขนของโม่หาน
โม่หานตอบหลังจากคิดครู่หนึ่ง “ฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอ แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยจริงๆ มันเป็นเรื่องของเราที่จะแต่งงานกัน”
“โม่หาน คุณบอกว่าคนอื่นแต่งงาน และมีลูกง่ายมาก แต่พอเป็นเรากลับเหมือนดังในละครทีวีที่พลิกผันตลอดเวลา” เธอต้องการมีชีวิตที่ธรรมดาจริงๆ แต่งงาน มีลูก แต่ดูแล้วทำไมมันเละเทะจัง
เขาจ้องมองมาที่มู่เฉียวใกล้ ๆผิวหน้าที่เรียบเนียนใบหน้าของเธอก็ดูงดงามและมีมิติ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้กลับไม่มีร่องรอยใด ๆ บนใบหน้าของเธอ
เมื่อคิดถึงความเขินอายเมื่อเจอเธอครั้งแรก ความขุ่นเคืองในระยะต่อมา โม่หานรู้สึกขอบคุณเล็กน้อย แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เสียเธอไป
“เธอมองไม่เห็นความงามของคุณ” นิ้วของผู้ชายเลื่อนไปมาระหว่างผมเรียบของเธอ
มู่เฉียวไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “คุณหมายถึง แม่ของคุณคิดว่าฉันน่าเกลียดเหรอ?”
โม่หานจูบเธอที่ใบหน้าเธอ “ฉันหมายถึง เธอไม่เห็นความงามในหัวใจของคุณ”
มู่เฉียวไม่พูด เพราะความงามภายในนี้จริง ๆ แล้วที่ผู้มีเมตตาเห็นความเมตตา ปราชญ์เห็นปัญญา คุณชอบเธอ สิ่งที่เธอทำนั้นดี แม้ว่าเธอจะด่าคนอื่น อย่างน้อยเธอก็แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมาให้เห็น
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ชอบเธอ เธอใจดี คุณจะคิดว่าเธอแกล้งทำ เธอใจดีกับคุณ คุณจะคิดว่าเธอพอใจคุณ เธอแค่เป็นคนที่มีมโนธรรม
นั่นเป็นวิธีที่มนุษย์เป็น สายพันธุ์ที่แปลกประหลาด
“ลืมมันไปเถอะ มันจะใช้เวลานานกว่าจะได้เห็นหัวใจของผู้คน ฉันไม่รีบในเวลานี้” ที่จริงแล้วมู่เฉียวรู้สึกผิดหวัง
ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้มันแย่มาก บอกตรงๆ รู้สึกปวดหัว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนี่ไม่ใช่แม่ผัวธรรมดา
“รอก่อน.”
โม่หานไปที่ห้องหนังสือ และหลังจากนั้นไม่นาน เขาหยิบหนังสือสีแดงอีกสองเล่มในมือออกมา
“ไม่ว่าแม่จะมีความคิดเห็นแบบไหน อย่างไรเราก็เป็นสามีภรรยากันเสมอและไม่เคยเปลี่ยน”
มู่เฉียวหยิบขึ้นมาหนึ่งเล่ม ในขณะนั้น เธอได้ยินโม่หานบอกว่าทั้งสองไม่เคยคิดจะหย่ากัน และคิดว่าเขาแค่ให้กำลังใจเธอ เธอรู้สึกแปลกใจเมื่อเห็นทะเบียนสมรส
ในภาพ ใบหน้าผอมลงอย่างน่าสมเพช มีดวงตาที่ไร้พลัง และโม่หานที่อยู่ข้างๆ เขามีใบหน้าที่เย็นชาและไม่เต็มใจนัก
“ตอนนั้นคุณไม่เต็มใจเหรอ?”
เธอถามเขา
ชายคนนั้นเดินไปรอบๆ และนั่งลงข้างเธอ “เราไปขอถ่ายรูปใหม่อีกสักรูปดีไหม”
“ไม่ ดูมีความหมายดี ใช่ไหม ”
เขาหยิกใบหน้าของเธอ “เชื่อฟังคุณ”
“ช่วงนี้ดูคุณเชื่อฟังดีจัง”
“เพราะผมต้องการรางวัล”
“อะไร?”
“แล้วคุณว่าไงละ?”
…
“ผมควรไปเยี่ยมครอบครัวคุณอย่างเป็นทางการดีไหม” เขากระซิบที่ข้างหูเธอ
มู่เฉียวนอนอยู่ในอ้อมแขนของโม่หานหลังจากออกกำลังกายมาอย่างหนัก เธอหายใจหอบเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองผู้ชายที่มีใบหน้าปกติ แล้วปิดหัวข้อว่า “ทำไมทุกครั้งเหมือนคุณทำงานหนักแต่สุดท้ายคนที่ รู้สึกเหนื่อยกว่ากลับเป็นฉัน?”
เขาหัวเราะเบาๆ “ผมไม่อยากตื่นตอนเช้า พอไปนั่งทำงานก็คือทั้งวัน คุณต้องออกกำลังกายให้มากกว่านี้”
เธอส่ายหัวเร็ว ๆ จากวัยเด็กจนถึงวัยผู้ใหญ่เธอภูมิใจในความสำเร็จของเธอ แต่กีฬาทำให้เธอคิดหนัก
“ไม่ ฉันไม่อยากออกกำลังกาย”
ชายคนนั้นลูบหัวเธออย่างผ่อนคลาย “ตกลง ครั้งหน้าจะทำให้มันง่าย”
ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้ว “คุณพูดแบบนั้นเสมอ”
เธอคิดว่าการมาเยี่ยมครอบครัวของเขาน่าจะถูกเขาหลอกมาแบบนี้
เนื่องจาก มู่เฉียว ไม่ได้เตรียมตัวไว้ เธอยังไม่รู้ว่าจะให้โม่หาน ไปพบพ่อแม่ของเธอได้อย่างไร
แต่ในวันเสาร์ที่สองในช่วงเช้าตรู่ กริ่งหน้าบ้านก็ดังขึ้นขณะทานอาหารที่บ้าน
มู่เสี่ยวโยวเปิดประตู
“คุณพ่อ?”
หลายคนตกใจ มู่เฉียววางตะเกียบลงและยืนขึ้น เมื่อเธอมองไปที่โม่หานที่สวมเสื้อผ้าเป็นทางการนอกประตู เธอหัวเราะสองครั้ง “คุณ… ทำไมคุณมาเช้าจัง”
พูดแล้วรู้สึกไม่สมควรพูด
โม่หานเดินเข้ามา จากนั้นกลุ่มคนก็เดินเข้ามาพร้อมกับกล่องของขวัญต่างๆ จากข้างหลังเขา
ตอนแรกพ่อแม่ก็สงบ แต่เมื่อมองดูห้องนั่งเล่นที่ใกล้จะเต็มแล้ว ก็นั่งนิ่งๆ ไม่ได้
แม่ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู “นี่มัน…”
“คุณแม่ครับ นี่เป็นของขวัญหมั้นที่เตรียมตามมารยาทและประเพณีของเมือง A ครับ” โม่หานพูด กลุ่มคนก็พยักหน้าให้เขาและเดินออกไป
ด้วยคำว่า “แม่” มู่เฉียวรู้สึกว่าแขนของแม่สั่นเล็กน้อย
เธอหันไปมองพ่อด้วยความเป็นห่วง
โชคดีที่อารมณ์ของเขาค่อนข้างคงที่
ผู้เป็นแม่ยังงงอยู่เล็กน้อย เธอหันไปมองดูพ่อของเธอ
พ่อค่อยๆ ลุกขึ้น เดินไปข้างหน้าโม่หานแล้วหยุด จากนั้นยกมือขึ้นตบโม่หานอย่างรุนแรง
ความเร็วนั้นเร็วเกินไปและกะทันหันเกินไป มู่เฉียวดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แค่ฟังเสียงตบหน้าก็รู้ว่าพ่อออกแรงมาก
“พ่อมู่ ทำอะไร” แม่เอ่ยเสียงขึ้น
มู่เฉียวดึงสติกลับเธอขมวดคิ้วและมองดูโม่หานด้วยความกังวล แต่เธอรู้ดีว่าพ่อของเธอตบหน้าหมายความว่าอย่างไร?
พ่อแค่รู้สึกเสียใจและเพราะรักเธอมาก เป็นเวลาหลายปีเพราะการเสียสละทั้งหมดของเธอ ผู้ชายคนนี้ทำให้เกินความคับข้องใจ
อย่างไรก็ตาม เธอกังวลว่าเขาจะเข้าใจหัวใจของพ่อเธอได้หรือไม่
ถ้าเขาหันหลังแล้วจากไป เธอควรทำอย่างไร?
โม่หานเหลือบมองที่มู่เฉียวและแสดงปฏิกิริยาของเธอในดวงตาของเขา เขายกริมฝีปากขึ้นและพยักหน้าให้เธอ “มู่เฉียว ถูกแล้วที่พ่อตบเขา”
เขาพูด น้ำเสียงของเขาดัง ตรงไปตรงมา และไม่มีร่องรอยของความคับข้องใจ
มู่เฉียว ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอรู้ว่าโม่หาน เข้าใจ
พ่อมู่สูดหายใจอย่างเย็นชา เดินไปที่โซฟาและนั่งลง มองดูของขวัญหมั้นสีแดงทั่วห้อง ความโค้งของปากของเขาชัดเจนขึ้นมาก
เมื่อเห็นเช่นนั้น มารดาก็รีบกล่าวทักทายว่า “ไปนั่งเร็วเข้า ยืนอยู่ทำไม”
น้ำเสียงไม่ค่อยดีนัก แต่อย่างน้อยมันก็พิสูจน์ได้ว่ายอมปล่อยให้โม่หานเข้ามาในบ้าน
มู่เฉียวรีบไปข้างหน้า พยายามเอื้อมมือไปแตะแก้มที่โดนตบของโม่หาน แต่โม่หานก็จับแขนที่ยกขึ้นและส่ายหัวให้เธอ
เอนตัวไปมองไปที่โม่เสี่ยวโยวที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังมู่เฉียว บางทีการตบหน้าของพ่อมู่อาจทำให้เธอกลัว
“เสี่ยวโยว มา มาให้พ่อกอดเร็ว”
มู่เฉียวพยักหน้าให้มู่เสี่ยวโยว เด็กก็คือเด็ก และเธอก็รีบวิ่งไปหาโม่หาน
หลังจากที่พวกเขานั่งลงบนโซฟา แม่ก็พูดขึ้นก่อน
“โม่หาน ครอบครัวของคุณ คุณจะทำอย่างไรถ้าพวกเขาไม่ยอมรับมู่เฉียว”
ประตูปิดลง มู่เฉียวชำเลืองถ้วยชาที่ถืออยู่ เป็นชาแดง ตอนดื่มรู้สึกขมๆฝาดๆเล็กน้อย ผ่านไปสักพักยังคงมีความหวานติดอยู่ในปาก
“อร่อยจัง”
“เดี๋ยวก็เอาไปด้วยสิ”
มู่เฉียวมองโม่หาน “คุณว่า เลขาคนนั้นจะคิดว่าคุณเป็นโรคจิตหรือเปล่า?”
โม่หานแค่ชำเลืองมองเธอ เดินเข้าไปนวดไหล่ให้เธอต่อ จากนั้นก็ก้มตัวลงไปจูบที่ริมฝีปากเธอ “รอก่อน ไว้ฉันจะอธิบายให้คุณฟัง”
“อธิบาย? คุณบอกว่าจะรับผิดชอบไม่ใช่เหรอ?” อันที่จริงมู่เฉียวก็รู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร แต่ยังคงแกล้งโง่อยู่
“ถึงอย่างไรก็อายุมากขนาดนี้แล้ว คงต้องฝืนใจยอมรับไป” หาได้ยากที่ชายคนนั้นจะพูดเล่นอย่างอารมณ์ดี
มู่เฉียวลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่บนโซฟา และมองไปที่โม่หาน พูดด้วยแววตาที่จริงจัง : “ฉันได้ยินมาว่าคุณถอนหมั้นกับเหอเจี๋ยคนนั้นแล้วเหรอ?”
ชายคนนั้นฝังศีรษะไปที่ไหล่ของเธอ น้ำเสียงทุ้มๆพูดอย่างช้าๆ : “ถูกทิ้งแล้ว คุณก็ฝืนใจยอมรับฉันหน่อยได้ไหม?”
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมา เห็นเขาเม้มปากเป็นเส้นตรง ก็เหมือนว่าอารมณ์ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“โม่หาน คุณไม่ต้องรีบร้อนเกินไปหรอก ฉันรู้ดี ว่าตอนนี้ไม่เหมาะที่จะเปิดเผยสถานะของเรา วางใจเถอะ ตอนนี้ฉันไม่ได้รีบร้อน ได้หัวใจคุณไว้ในครอบครอง ดีกว่าฐานะที่จอมปลอมนั่น” มู่เฉียวพูดจบ ก็จิ้มๆที่หน้าอกของโม่หาน ถึงแม้ว่าจะมีข่าวมากมายเกี่ยวกับโม่หาน แต่ก็เป็นเรื่องความเจ้าชู้ของผู้ชายเท่านั้น การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนอย่างเขา ถ้าก่อนหน้าเพิ่งเลิกกับลูกสาวของนายกเทศมนตรี จากนั้นก็ประกาศว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ ก็จะเกิดปัญหาอย่างไม่ต้องสงสัย มู่เฉียวไม่อยากให้เขาลำบากใจ
นิ้วมือเรียวยาวเชยคางของผู้หญิงคนนั้นขึ้น ก้มหน้าลงไปจูบ
เมื่อมู่เฉียวออกมาอีกครั้ง ทุกคนต่างกระซิบกระซาบว่าเธอทำผิดอะไรจึงถูกเรียกตัวไปที่ห้องทำงานของประธานโดยตรง แล้วยังถูกต่อว่านานขนาดนี้ มีแค่เลขาคนนั้น ลุกขึ้นยืนก้มทำความเคารพให้มู่เฉียว แต่ไม่กล้าสบตาเธอโดยตรง
คนที่ออกคำสั่งท่านประธานได้ แน่นอนว่าเธอต้องประจบประแจงให้มากขึ้น
มู่เฉียวเม้มๆปาก รู้สึกว่าเลขาคนนี้”เข้าใจกฎเกณฑ์”ดีมาก เดินไปตรงหน้าเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอว่า “ประธานโม่บอกว่า เดือนนี้จะเพิ่มเงินเดือนให้คุณ สู้ๆนะ”
หลังจากมู่เฉียวไปแล้ว เลขาก็ยืนตัวตรง แล้วถอนหายใจออกมาอย่างหนัก
“เธอพูดอะไรกับคุณเหรอ?”
เลขาส่ายหัว “ไม่มีอะไรหรอก อยากให้ฉันพูดถึงเธอต่อหน้าประธานดีๆ”
ทุกคนก็พูดกันสองสามคำ แล้วแยกย้ายกันไป
จากนั้นชีวิตก็กลับมาสงบสุขอีกครั้ง มู่เฉียวจงใจไม่นึกถึง”พ่อตา”คนนั้นที่กำลังจะตาย ตอนกลางคืน เป็นเพราะการควบคุมดูแลของพ่อแม่ เธอจึงไม่ได้ไปหาโม่หานอีก บางครั้งชายคนนั้นก็เรียกมาที่ห้องทำงาน บางครั้งก็ต้องการล่ามจึงพาเธอออกไปทำงานนอกสถานที่
จนกระทั่งเวลาเลิกงานวันนี้ มู่เฉียวก็ได้รับสายแปลกๆที่คุ้นเคย เบอร์แปลกเพราะไม่มีรายชื่อคนติดต่อเก็บไว้ แต่เธอคุ้นเคยจนจำได้ขึ้นใจ
ลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอจึงกดรับสายอย่างหลีกหนีไม่ได้
ร้านอาหารที่หรูหราแห่งหนึ่ง
เมื่อมู่เฉียวเข้ามา คุณนายโม่กำลังก้มหน้า ใช้ช้อนคนชานมที่อยู่ในแก้ว
เห็นเธอเข้ามา ก็ชี้ไปยังเก้าอี้ตรงข้าม
“คุณนี่มันเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวจริงๆ” หลังจากที่มู่เฉียวนั่งลง คุณนายโม่ก็เอ่ยปาก
มู่เฉียวไม่รู้จริงๆว่าทำไมคุณนายโม่คนนี้ถึงจงเกลียดจงชังเธอขนาดนี้ ครั้งแรกที่เจอคุณนายโม่เธอจำได้อย่างลึกซึ้ง อ่อนโยนอย่างมาก ไม่มีการวางมาดเลยสักนิด
เธอก้มหน้า ไม่พูดจา ลักษณะท่าทางเหมือนลูกสะใภ้ตัวน้อย อันที่จริง เธอแค่ไม่อยากเผชิญหน้ากับคุณนายโม่ก็เท่านั้น เธอไม่อยากให้โม่หานต้องอยู่ท่ามกลางความลำบากใจ
“มู่เฉียว ฉันไม่ชอบคุณเลยจริงๆ”
มู่เฉียวพยักหน้า “ฉันรู้ค่ะ”
“อย่างนั้นคุณก็น่าจะรู้ว่า ฉันจะไม่มีทางยอมรับให้คุณคืนดีกับโม่หานเด็ดขาด”
มู่เฉียวพยักหน้าอีก “รู้ค่ะ” อย่างน้อยตอนนี้ เธอก็ไม่กล้าที่จะคาดหวังเกินไป
ท่าทีนี้ของเธอ ทำให้คุณนายโม่ยิ่งอึดอัดอย่างมาก เธอจิตใจวุ่นวาย “อย่างนั้นคุณก็ไปจากเขาซะเถอะ คุณต้องการเงินเท่าไร ฉันจะให้คุณ” พูดพลาง หยิบเช็คธนาคารที่ยังไม่ได้กรอกตัวเลขใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า
นี่ทำให้มู่เฉียวต้องเบิกตาโตจริงๆ ตอนที่มา เธอก็คิดเอาไว้แล้วว่า คุณนายโม่จะต้องเอาเงินฟาดหัวเธอ
เมื่อตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย เธอและตู้เสี่ยวซินเคยพูดกันถึงปัญหานี้ เธอเคยบอกว่า ถ้าถึงวันนั้น ฉันจะเอาเงินโยนใส่หน้าเธอแล้วบอกเธอว่า คนอย่างฉันไม่ขาดเงิน
แต่ด้วยเรื่องราวที่มากมาย ที่ตนเองได้ประสบพบเจอมาจริงๆ จึงได้เข้าใจว่า ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นแบบนั้น?
“ถ้าฉันไม่รับเงินล่ะ?” เธอจึงเงยหน้าขึ้น มองคุณนายโม่
“หรือว่าคุณลืมเรื่องราวเหล่านั้นเมื่อหลายปีก่อนไปแล้ว? หรือคุณอยากให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง ให้พ่อแม่ของคุณและคุณกลายเป็นเหมือนหนูข้างถนนอีกครั้ง? คุณก็น่าจะรู้นะว่า ฉันสามารถที่จะทำให้มันเกิดขึ้นอีกครั้งได้”
คนอะไรช่างน่ารังเกียจที่สุด ตัวเองเอามีดมาเฉือนที่ตัวเธอไม่พอ แต่ยังเอาเกลือมาโรยที่บาดแผลอีก
มู่เฉียวยกมุมปากขึ้น เธอหยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋า กดปุ่มบันทึก
จากนั้น เธอก็หันหน้าจอมือถือให้คุณนายโม่ กดปุ่มสามเหลี่ยมเพื่อเล่น ด้านในมีเสียงของคุณนายโม่ที่เพิ่งพูดเมื่อกี้ดังออกมา
“ไม่….ไม่นึกเลยว่าคุณจะบันทึกเสียง!” คุณนายโม่โมโหจนตบโต๊ะ
มู่เฉียวเผชิญหน้ากับสายตาของเธอโดยตรง “คุณนายโม่ ฉันคิดว่า คุณคงไม่อยากให้โม่หานได้ยินคำพูดเหล่านี้หรอกใช่ไหม?”
“ได้ คุณนี่มันไม่ใช่เล่นๆเหมือนกันนะ มิน่าล่ะลูกชายของฉันถึงโดนคุณหลอกลวงจนหลงใหล แต่ละคืนไม่อยู่บ้าน มู่เฉียว ฉันจะบอกคุณให้นะ ที่ตระกูลโม่ มีคุณ ไม่มีฉัน คุณคิดจะแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ คุณอย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย” พูดจบ เธอก็หยิบกระเป๋า แล้วเดินออกไป เดินไปได้สองก้าว ก็หันหน้ากลับมา หยิบเช็กที่อยู่ด้านบนโต๊ะ ใส่ลงในกระเป๋า
มู่เฉียวอับอายจนเหงื่อตก น่าเสียดายที่เธอคิดว่าคุณนายโม่เป็นลูกสาวของตระกูลที่มั่งมีมาโดยตลอด
เพียงแต่ เธอไม่สบายใจอย่างมากจริงๆ ในตอนนั้นที่เธอบีบบังคับให้แต่งงาน ชัดเจนว่า โม่หานได้อธิบายกับเธอแล้ว เธอไม่เข้าใจจริงๆว่า เพราะเหตุใดเธอถึงยังเกลียดชังเธออยู่แบบนี้
มองของหวานที่อยู่บนโต๊ะแล้ว แทบจะไม่ได้ทานเลย คิดๆแล้วจึงเรียกบริกรให้ห่อใส่กล่อง
ห่อกลับบ้าน มู่เสี่ยวโยวชอบทานของเหล่านี้
ในลิฟต์ เธอรับโทรศัพท์โม่หาน “กลับมาแล้ว มาหาฉันก่อนนะ”
แม่เม้มๆปาก แล้วดึงมู่เฉียวไว้ “เฉียวเอ๋อ นี่คุณอายุเกือบจะ 30 แล้ว คุณยังคิดว่าตนเองเด็กอยู่จริงๆนะเหรอ? คุณรอให้แม่เขายอมรับ แล้วถ้าแม่เขาไม่ยอมรับล่ะ? คุณจะให้ยืดเยื้อไปแบบนี้เหรอ? ถึงเวลาที่คุณจะแต่งงานเป็นครั้งที่สอง คุณก็บอกว่าตลอดชีวิตนี้คุณ……” แม่ถอนหายใจเบาๆ ไม่อยากจะพูดอะไรต่อไปอีก
มู่เฉียวเคยคิดว่าคุณนายโม่จะไม่ยอมรับเธอ อันที่จริงก็อยากจะบอกแม่ว่า ถ้าไม่ยอมรับ เธอไม่แต่งงานก็ได้ แต่ได้เลือกที่จะอยู่ด้วยกันกับโม่หานไปตลอดชีวิต เธอไม่สนใจเรื่องชื่อเสียงอย่างนี้หรอก
แต่ก็สงสารจิตใจของพ่อแม่ เป็นธรรมดาที่เธอรู้ว่าพ่อแม่มีปฏิกิริยามากมายขนาดนี้ ทั้งหมดเป็นการพิจารณาเพื่อเธอ ฉะนั้นจึงไม่กล้าบอกความคิดเห็นออกไป เกรงว่าจะทำให้พวกเขาตกใจ
เธอกอดคอแม่ “แม่ ลูกสาวคนสวยขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่มีคนต้องการ”
แม่กับพ่อมองหน้ากัน เห็นว่ามู่เฉียวโตแล้วก็ต้องแต่งงาน
“อย่างนั้นเสี่ยวโยวเคยเจอเขาแล้วใช่ไหม?”
มู่เฉียวพยักหน้า
“ยัยหนูคนนั้น วันนั้นฉันถามเธอว่าแม่อยู่ด้วยกันกับใคร เธอยังบอกว่าคุณลุงเลย” แม่พูดกับพ่อ
มู่เฉียวที่อยู่ข้างๆเม้มปากหัวเราะเบาๆ
พ่อพูดอย่างไม่พอใจ “คุณหัวเราะไปเถอะ ต่อไปถ้าร้องไห้อีก คุณก็อย่ามาหาพวกเราก็แล้วกัน”
ลุกขึ้นยืนเดินไปกอดแขนพ่อ แล้วมู่เฉียวก็ออดอ้อน “พ่อ ลูกๆหลานๆมีบุญมีกรรมของตนเอง ไม่ว่าต่อไประหว่างฉันกับโม่หานจะเกิดอะไรขึ้น คุณก็อย่าให้เกิดเรื่องอะไรเพราะว่าฉันเลย มิเช่นนั้น ลูกสาวคนนี้จะไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต”
พ่อชำเลืองมองเธอ “คุณไม่ทำให้ฉันโกรธ ฉันจะเกิดเรื่องเหรอ?”
มู่เฉียวนำหัวไปพิงบนไหล่ของพ่อ “พ่อ ฉันจะต้องมีความสุขแน่ๆ เชื่อฉันสิ”
จากนั้นก็ไม่อยากให้พ่อแม่สะเทือนใจอีก มู่เฉียวจึงไม่ได้ไปหาโม่หาน ส่งข้อความไปบอกเขาเกี่ยวกับสถานการณ์ต่างๆ
เจอโม่หานอีกครั้ง ก็ที่บริษัท
เวลาทานข้าวตอนกลางวัน เธอกับเสี่ยวโหรวเพิ่งจะนั่งลง กลุ่มของโม่หายก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
เพราะว่าเป็นเวลานาน ฉะนั้นยังคงทำให้รู้สึกกระสับกระส่ายมาก
ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆมองเขาด้วยสายตาเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก
“นี่ คุณว่าคนแบบไหนจึงจะได้แต่งงานกับโม่หาน?”
“ลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอไม่ใช่เหรอที่เป็นคู่หมั้นของเขา?”
“คุณไม่ได้ยินเหรอว่า เหอเจี๋ยคนนั้นเป็นฝ่ายถอนหมั้นเขา เมื่อเช้าวันนี้”
มู่เฉียวมองไปที่โม่หานด้วยความประหลาดใจ แต่เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาเท่านั้น
“อย่างนั้นก็พูดได้ว่า ตอนนี้ประธานโม่กลับมาโสดอีกครั้งแล้วใช่ไหม?”
“แล้วอย่างไรล่ะ? คนอย่างเขา จะเห็น”สามัญชน”อย่างเราอยู่ในสายตาเหรอ?”
ผู้หญิงบางคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในใจ หรือว่าตนเองผ่านการฝึกฝนจนกลายเป็นนางฟ้าแล้วใช่ไหม?
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่ชอบโม่หานคนนั้นเหรอ?” ระหว่างทางกลับไป เสี่ยวโหรวที่อยู่ข้างๆมู่เฉียวก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดตลก
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ผู้ชายหล่อรวยดูดี คุณไม่ชอบเหรอ?”
เสี่ยวโหรวส่ายหัว “ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่ว่า……ไม่กล้าชอบ เขาเหมือนกับพระจันทร์ ได้แค่มองแต่ไม่ได้ใกล้ชิด ก็พอแล้ว”
ได้แค่มองแต่ไม่ได้ใกล้ชิดเหรอ? มู่เฉียวยิ้มๆ ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อทำงานตอนบ่ายไปได้สักพัก โทรศัพท์ที่ห้องทำงานก็ดังขึ้น เสี่ยวโหรวรับสาย เห็นสีหน้าเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย มู่เฉียวก็หยุดพิมพ์แป้นพิมพ์
“โอเค ฉันทราบแล้ว”
วางสายไปเสี่ยวโหรวก็มองมู่เฉียว “พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดไปใช่ไหม?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร?”
นิ้วของเสี่ยวโหรวชี้ขึ้นไปชั้นบน “ประธานโม่ให้คุณไปพบที่ห้องทำงานของเขา”
“ห๊ะ?” ชัดเจนว่า มู่เฉียวประหลาดใจ อยู่ที่บริษัท คนทั้งสองร่วมมือกันโดยการทำเป็นไม่รู้จักกันมาโดยตลอด
เสี่ยวโหรวเดินเข้าไป ดึงมือของเธอ “พี่เสี่ยวเฉียว คุณอย่าเครียดไปเลยนะ อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้ามีเรื่องอะไรผิดพลาดจริงๆ……” เธอหยุดชะงักเล็กน้อย แล้วสูดลมหายใจเข้า “ไม่อย่างนั้น คุณก็ผลักมาให้ฉัน ฉันเข้ามาใหม่ ทำเรื่องผิดพลาดก็เป็นปกติ”
มู่เฉียวซาบซึ้งใจน้ำใจนี้ของเธอ ยกมือลูบศีรษะเธอเบาๆ “เอาล่ะ ไม่ต้องกังวล”
ครั้งแรกที่เธอมาถึงที่ทำงานของโม่หาน แปลกใจมาก ที่เห็นการตกแต่งที่ไม่ได้หรูหรามากนัก สีดำขาวเทา การตกแต่งคล้ายกับห้องของเขาที่ตระกูลโม่
เลขาฯเห็นเธอเข้ามา จึงลุกขึ้นยืน “คุณมาแล้วเหรอ? เข้าไปสิ!”
เห็นท่าทีที่นอบน้อมของเธอ คิ้วของมู่เฉียวที่คลายลงแล้วก็ต้องขมวดขึ้นอีกครั้ง คนเหล่านี้ ทำไมรู้สึกเหมือนว่าจะพาเธอไปที่ลานประหาร?
เปิดประตูเข้าไป
ก็เห็นโม่หานพิงอยู่ข้างหน้าต่าง ในมือถือบุหรี่ที่ยังไม่ได้จุดไฟ กำลังเตรียมจะจุดไฟ ก็เห็นเธอเข้ามา จึงหยุดการกระทำ
มู่เฉียวเดินเข้าไป หยิบบุหรี่มวนนั้นมาจากในมือของเขา แล้วโยนทิ้งลงถังขยะโดยตรง “โม่หาน ต่อไปห้ามสูบบุหรี่อีก ฉันเคยบอกมากี่ครั้งแล้ว?”
น้ำเสียงของเธอ ไม่สบายใจเล็กน้อย แต่ไม่ทันได้ระวังว่า ลักษณะท่าทางของเธอเหมือนกันคนเป็นภรรยา
ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองเธอ บนใบหน้าแสดงความสุขที่หาได้ยาก โอบเอวของเธอ “โอเค ไม่สูบแล้ว”
พูดพลาง หยิบซองบุหรี่จากในกระเป๋าโยนลงถังขยะ
“คุณรู้ไหมว่า การสูบบุหรี่ไม่มีประโยชน์ต่อคุณสักนิดเลย”
“อื้ม รู้แล้ว คุณภรรยา”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง แสดงใบหน้าเขินอายทันที “อย่าพูดพร่ำเพรื่อ เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
ทันใดก็ผลักโม่หานออก นั่งลงบนโซฟา นวดไหล่ของตัวเอง เมื่อวานคงจะนอนไม่ค่อยหลับ คนถึงรู้สึกอ่อนล้าอย่างมาก
ชายหนุ่มเดินไปด้านหลังโซฟา นำมือวางที่ไหล่ของเธออย่างเป็นธรรมชาติ แล้วนวดให้เธอ “ไม่สบายเหรอ?”
“คุณคิดว่าอย่างไรล่ะ? ที่นอนไม่ค่อยหลับทั้งคืน”
“คุณภรรยา ฉันผิดไปแล้ว ต่อไปไม่ทำแล้ว”
“เอาล่ะ ด้านซ้ายหน่อย…..อืม ตรงนี้ คุณกดลงอีกหน่อย”
“แบบนี้ ได้ไหม?”
“อืม”
หน้าประตู จู่ๆเลขฯก็เปิดเข้ามา เห็นคนทั้งสองก็ทำท่าเหมือนเห็นผี เธอไม่ได้ตั้งใจจริงๆ เธอแค่ยกแก้วน้ำมาสองแก้ว เลยไม่สามารถเคาะประตูได้ แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฉากแบบนี้
ประธานโม่ที่เย่อหยิ่งของพวกเธอกำลังทำอะไร? กำลังนวดไหล่ให้กับล่ามตัวเล็กๆคนหนึ่ง อีกทั้งผู้หญิงคนนั้นยังมีท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจอีก
คุณพระ เธอประสาทหลอนไปแล้วเหรอ?
มู่เฉียวเห็นเลขาฯที่อยู่หน้าประตู จึงลุกขึ้นจากโซฟา แล้วก้มหน้า ท่าทีเหมือนกับทำผิด ดูไม่เหมือนกับท่าทีที่เพิ่งออกคำสั่งเมื่อกี้นี้เลย
โม่หานกระแอมเบาๆ “ตะลึงอะไรอยู่ล่ะ? ต้องให้ฉันไปรับมาไหม?”
นี่จึงเป็นท่าทีที่ประธานโม่ควรจะเป็น เย็นชา ไม่เห็นใจคนอื่น
เลขาฯถอนหายใจอย่างโล่งอก ก้มหน้าต่อโม่หาน “ประธานโม่ “ฉัน……ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
มู่เฉียวกัดริมฝีปากเล็กน้อย ระงับรอยยิ้ม
โม่หานมองเธอด้วยสายตาที่พึงพอใจ แล้วตอบว่า”อืม”คำหนึ่ง
มู่เสี่ยวโยวถามมู่เฉียว “แม่ เมื่อไหร่คุณทวดจะฟื้นขึ้นมา?”
มู่เฉียวสะอื้นไห้ แล้วพูดว่า : “คุณทวด ไปสวรรค์แล้ว”
วันที่เผาศพนายท่านโม่ ตอนดึกก็ได้รับโทรศัพท์จากโม่หาน นับตั้งแต่เขาอยู่คนละที่กัน มู่เฉียวจึงเปลี่ยนนิสัยปิดเสียงโทรศัพท์ขณะนอนหลับ
จึงกดรับสาย ในนั้นมีเสียงลม ได้ยินเหมือนอยู่ข้างถนน
“คุณภรรยา ฉันคิดถึงคุณ”
เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกเธอแบบนี้ มู่เฉียวรู้สึกว่าหัวใจเต้นระรัว เธอลุกขึ้นนั่ง “คุณอยู่ที่ไหน?”
เสียงด้านในเงียบไปสักพัก
“คุณภรรยา ฉันไม่สบายใจเลย”
มู่หานฟังอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็รู้สึกว่าโม่หานเมานิดหน่อย เธอสูดลมหายใจเข้า “โม่หาน คุณบอกฉันมา ว่าคุณอยู่ที่ไหน ฉันจะไปหาคุณ”
ด้านในได้ยินเสียงซ่าๆดังออกมา “สวัสดีคุณมู่ ฉันเป็นผู้ช่วยของโม่หาน ตอนนี้ประธานโม่อยู่ที่ตึกจิ่วหยาง เขาไม่ให้เราเข้าใกล้เลย รบกวนคุณมาที่นี่หน่อยนะ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ลุกขึ้นสวมเสื้อผ้า เดือนแรกของฤดูใบไม้ผลิของเมืองA อุณหภูมิในตอนกลางคืนยังคงต่ำมาก เธอสวมเสื้อกันหนาวยาวสีดำ พันผ้าพันคอแบบลวกๆแล้วออกจากบ้านไป
เมื่อเขามาถึงสถานที่ที่กำหนด โม่หานนั่งพิงเสาไฟอยู่ ห้องเสื้อโค้ตไว้บนไหล่ขวา สวมเสื้อเชิ้ตตัวเดียว คอตก ท่าทางซึมเซา มีชายชุดดำสี่ห้าคนยืนล้อมรอบเขาอยู่ โชคดีที่ตอนนี้เป็นเวลาตีสาม จึงไม่มีคนเดินบนถนน มิเช่นนั้นสถานการณ์แบบนี้ ท่าทางแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะถูกเขียนถึงว่าอย่างไรอีก
นี่คือโม่หานที่มู่เฉียวไม่คุ้นเคย
เธอเดินเข้าไปใกล้ๆเขา ผลักเขาเบาๆแล้วเอ่ยเรียก : “โม่หาน”
โม่หานได้ยินก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เห็นหน้าของมู่เฉียว ก็ยื่นมือออกไป ดึงเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “คุณภรรยา”
น้ำเสียงมีความเศร้าแล้วก็น้อยใจ
เห็นได้ชัดว่าดื่มจนเมา แต่ว่ากลิ่นก็ไม่ได้รุนแรงเกินไป มู่เฉียวขยับๆอยู่ในอ้อมกอดเขา “โม่หาน เรากลับบ้านกันก่อนเถอะ ดีไหม?”
พูดจบก็ผละออกจากเขา นำเสื้อบนไหล่ของเขามาสวมให้เขา “สวมเสื้อก่อนนะ อย่างนี้จะหนาวเอาได้”
ชายคนนั้นเชื่อฟังอย่างเกินคาด นำเสื้อมาสวม
ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดหลายคนที่อยู่ข้างๆมองอย่างตกตะลึง แน่นอนว่าความอ่อนโยนสามารถเอาชนะความแข็งแกร่งได้จริงๆ
หลังจากผู้ช่วยนำโม่หานส่งกลับบ้านแล้ว มู่เฉียวก็ไปต้มซุปของให้เขา ด้านนอกหนาวขนาดนั้น เธอกลัวว่าเขาจะหนาวตาย
โชคดีที่โม่หาน”เชื่อฟัง”อย่างมากหลังจากที่เมาเหล้า ดื่มไปทีแรกเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเผ็ด มู่เฉียวเห็นเขาหลับตา จากนั้นก็ดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย
นำผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้เขา หลังจากทำเสร็จ เวลาก็เกือบจะตีห้าแล้ว
มู่เฉียวห่มผ้าให้เขาแล้วกลับไปที่ห้องของตนเอง
เพิ่งจะจัดการตนเองเสร็จก็ได้ยินเสียงไอของพ่อ พ่อตื่น 6 โมงทุกวัน เธอก็รู้ดี
ได้ยินเสียงดังขึ้นในห้องของเธอ พ่อก็เคาะประตูห้องมู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ คุณตื่นแล้วเหรอ?”
มู่เฉียวมองดูตัวเอง ก็พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ จึงเปิดประตู “พ่อ”
“ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี่ล่ะ?”
“ฉันนอนไม่หลับ ก็เลยตื่นขึ้นมา” มู่เฉียวใจฝ่อเล็กน้อย
“ยังเช้าอยู่เลย ไปนอนอีกสักพักเถอะ ฉันจะออกไปเดินหน่อย แล้วจะถือโอกาสนำอาหารเช้ามาให้คุณด้วย”
“โอเค พ่อ”
ได้ยินเสียงปิดประตู มู่เฉียวก็ถอนหายใจโล่งอก
เธอเป็นห่วงโม่หานที่เมาเหล้า ดังนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว คิดว่าพ่อน่าจะลงชั้นล่างไปแล้ว เธอจึงรีบย่องไปเปิดประตู เตรียมจะไปดูโม่หาน
ห้องของโม่หาน ต้องใช้รหัสผ่าน พอเธอป้อนรหัสผ่านเข้าไป เท้าเหยียบเข้าไปข้างหนึ่ง
เสียงของพ่อก็ดังเข้ามาจากด้านหลัง “เฉียวเอ๋อ”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง หลับตา เธอสูดลมหายใจเข้า ปิดประตูกลับมาอีกครั้ง หันไปมองพ่อที่ยืนอยู่หน้าประตูบันไดฉุกเฉิน แล้วกล่าวถามอย่างใจเย็นว่า “พ่อ คุณ คุณยังไม่ออกไปเหรอ?”
พ่อมู่เดินเข้ามาสองสามก้าว จ้องมองเธอ แล้วเอ่ยปากว่า “เปิดประตู”
“พ่อ”
มู่เฉียวส่ายหน้า ด้วยอาการทางร่างกายของพ่อ เธอไม่กล้าที่กระตุ้นเขาจริงๆ
“เปิดประตู”
“พ่อ พวกเรากลับห้องกันก่อน ฉันเคยเล่าเรื่องราวให้คุณฟัง คุณค่อยตัดสินใจว่า ได้หรือไม่? หัวใจของคุณ……”
“คุณยังจำได้เหรอว่าหัวใจของฉันมีปัญหา?” เสียงของพ่อดังขึ้นมาในทันใด
มู่เฉียวรีบเดินเข้ามา ดึงมือของพ่อ “พ่อ คุณอย่าโมโหเลยนะ พวกเรากลับห้อง กลับห้องกัน ฉันจะบอกกับคุณทุกอย่าง คุณอย่าตื่นเต้นไปเลยนะ ได้ไหม?”
เวลานี้ ประตูเปิดออก แม่ขยี้ๆตา “ฉันอยู่ด้านในได้ยินเสียงของคุณ นี่เป็นอะไรไปอีก?” หันหน้ากลับมา เห็นมู่เฉียวสวมชุดนอนอยู่ “เฉียวเอ๋อ ทำไมวันนี้คุณตื่นเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
มู่เฉียวกัดริมฝีปาก ทันทีก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เดิมที เธอคิดว่าจะรอให้เรื่องราวของโม่หานได้รับการแก้ไขก่อน แล้วค่อยๆทำงานตามอุดมคติของพ่อแม่ ความบังเอิญนี้ ทำให้เธอจับได้โดยตรง เธอมองพ่อของเธอ รู้สึกว่า เมื่อกี้เหมือนกับว่าเขาจงใจล่อให้เธอออกมา “แม่ พาเขาเข้าไปก่อนเถอะ คุณอย่าให้เขาตื่นเต้นเกินไป แล้วฉันจะเล่าให้พวกคุณฟังทุกอย่าง”
ในที่สุด แม่ก็สามารถทำได้ดีกว่า และในที่สุดพ่อก็ถูกเกลี้ยกล่อมโดยใช้ทั้งมิตรภาพและอำนาจ
ตอนเช้า6โมงครึ่ง ท้องฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง
“ที่อยู่ด้านใน คือโม่หานใช่ไหม?” เสียงของพ่อเบาอย่างมาก แต่มู่เฉียวฟังออกว่า เขาโกรธอย่างมาก
ทางด้านของแม่ก็ขมวดคิ้ว นั่งลงข้างๆมู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ คุณบอกแม่มาซิว่า สองสามวันก่อนที่คุณไม่กลับบ้าน ไปอยู่ด้วยกันใช่ไหม?”
มู่เฉียวพยักหน้า ทันทีก็มองไปยังพ่อ “พ่อ คุณ…..คุณอย่าตื่นเต้นไปนะ คุณค่อยๆฟังฉันพูดก่อน”
จากนั้น มู่เฉียวก็เล่าเรื่องของโม่หานตั้งแต่เมืองB จนกระทั่งกลับมาเมืองAอีกครั้ง เรื่องราวของคนทั้งสองที่ผ่านมา และการกระทำทั้งหมดของโม่หาน เล่าให้ผู้อาวุโสทั้งสองฟัง รวมทั้งเมื่อปีนั้น ที่เขาตายแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เมื่อเล่าจบ ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามาในชั้นล่างของบ้าน มู่เฉียวพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง
แม่เคาะที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย “คุณ….เฉียวเอ๋อ ทำไมคุณทำอะไร แล้วไม่ปรึกษาหารือกับพวกเราเลยล่ะ? หรือว่าคุณยังไม่เข้าใจ? คุณแต่งงาน คุณก็ไม่ใช่แค่แต่งงานกับโม่หาน ถึงแม้จะเป็นอย่างที่คุณบอก ว่าเขาชอบคุณ แต่แม่ของเขาล่ะ? แม่ของเขานั้น ถ้าไม่ยอมรับคุณ เรื่องราวในตอนแรกนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้ง”
พ่อมองๆแม่ ในสายตาแสดงความเห็นด้วย
มู่เฉียวก้มหน้า เธอจะไม่เคยคิดถึงปัญหานี้เลย ปีนั้นไร้เดียงสาเกินไป ขณะนี้ เธอเข้าใจแล้ว การแต่งงานไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัว เธอเข้าใจแล้ว ถึงสาเหตุที่พ่อแม่อยากให้เธอแต่งงานกับคนที่คู่ควรกันมาโดยตลอด
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แม่ของโม่หานยังเป็นคนแบบนั้น เรื่องเหล่านี้ที่แม่บอก ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
“อย่างนั้นก็รอให้แม่ของเขารับได้ก่อน แล้วค่อยแต่งงาน”
พ่อลุกขึ้นยืน ชี้หน้ามู่เฉียว “คุณนี่มันไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ!”
มู่เฉียวไม่กล้าเผชิญหน้ากับพ่อ “พ่อ คุณวางใจได้ ครั้งนี้ฉันจะไม่ตัดสินใจโดยพลการอีก ถ้าแม่ของเขาไม่ยอมรับฉัน ฉันก็จะไม่แต่งโดยเด็ดขาด”
พ่อถอนหายใจเบาๆ คำพูดที่อยู่ในปาก ต้องกลืนกลับไปอีกครั้ง ทำท่าทีลังเลใจ จากนั้นก็ชี้ไปที่แม่ “คุณพูดซิ”
ในตอนเช้าก็เอาบะหมี่กับเกี๊ยวที่แม่ห่อไว้มาจากบ้าน มู่เฉียวทำบะหมี่ชามหนึ่งให้โม่หานด้วยวัตถุดิบง่ายๆ
ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องใช้ในครัวทุกชนิด แต่ก็เป็นของใหม่ทั้งหมด เธอจึงทำอยู่นาน เมื่อบะหมี่อยู่ในหม้อ ชายคนนั้นก็กอดเธอจากด้านหลัง กลิ่นตัวจางๆผสมกับเจลอาบน้ำหอมสดชื่น ความสุขก็เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ
นี่อาจจะเป็นชีวิตแต่งงานที่เธอต้องการ
“ไปนั่งเถอะ ฉันตักมันขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว”
“โอเค”
เมื่อโม่หานกินบะหมี่แล้ว มู่เฉียวไปที่ห้องก็เห็นมู่เสี่ยวโยว ก็ประหลาดใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเธอจะไม่แปลกที่นอน ตอนนั้นที่เธอกลับมาจากเมืองB เธอแทบจะร้องไห้ทุกคืน แปลกที่นอน แล้วก็แปลกที่
ตอนเย็นส่งข้อความไปบอกพ่อตอนว่า จะพามู่เสี่ยวโยวมานอนที่บ้านเพื่อน ไม่ได้กลับไป
ก็เลยตรงไปที่ห้องอาบน้ำ เพราะเคยมาหลายครั้งแล้ว มู่เฉียวจึงเตรียมเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่
เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมา โม่หานก็ยุ่งอยู่กับคอมพิวเตอร์ที่ห้องหนังสือ มู่เฉียวจึงเดินไปกอดคอของเขา แต่พบว่าเขากำลังค้นหา”โรคมะเร็งที่ไตอยู่”
หัวใจเธอจมลงไปในชั่วพริบตา สีหน้าเธอหม่นหมอง “โม่หาน คุณค้นหาสิ่งนี้ทำไม?”
โม่หานหันมา ก็เห็นสีหน้าแววตาที่เปลี่ยนไปของเธอ ดึงมือเธอมาจูบ “ไม่ใช่ฉัน เป็นเขา”
เขา? มู่เฉียวตกตะลึง แล้วก็ได้สติกลับมา คือพ่อของเขาเหรอ
เธอปิดปาก ชั่วขณะก็เข้าความหมายที่โม่หายพูดก่อนหน้านี้ ว่าหมายความว่าอะไร
“พ่อคุณเป็นมะเร็งที่ไตระยะสุดท้ายแล้ว มันทำให้ปวดเอว ปัสสาวะเป็นเลือดต่างๆนานา ถ้าครอบครัวคุณไม่พูดโน้มน้าวให้เข้ารักษาในโรงพยาบาล เกรงว่ามันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
คำพูดของหมอดังก้องอยู่ในหูของโม่หาน
“กรรมตามสนอง” หลังจากโม่หานพูดสี่คำนี้ ก็ปิดคอมพิวเตอร์
กังวลว่ามู่เสี่ยวโยวจะตื่นมาในตอนกลางคืน มู่เฉียวจึงนอนเตียงเดียวกันกับมู่เสี่ยวโยว
ในความสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่าเตียงข้างๆจมลง แล้วมีมือใหญ่มาจับที่เอวเธอ
นี่เป็นคืนที่สำคัญคืนหนึ่ง สำหรับครอบครัวทั้งสามคนนี้ ก็เป็นการเริ่มต้นที่มีความสุข
เมื่อมู่เฉียวตื่นมาในตอนเช้า โม่หานก็ไม่ได้อยู่ข้างๆแล้ว เธอลุกขึ้นไปที่ห้องรับแขก ก็ไม่เจอโม่หาน จึงส่งข้อความหาเขา
เห็นว่าข้อความไม่ได้ตอบกลับเลย เธอก็ไม่สบายใจเล็กน้อย
จึงไปเรียกมู่เสี่ยวโยวให้ตื่น ไปโรงเรียนอนุบาล
“แม่ ฉันไม่ดูคุณปู่ทวดก่อนได้ไหม ดูเสร็จแล้ว ฉันค่อยไปโรงเรียน ดีไหม?”
เด็กมีความกตัญญูกตเวทีแบบนี้หายาก แน่นอนว่ามู่เฉียวไม่ได้ปฏิเสธ
โบกรถแล้วก็ตรงไปที่โรงพยาบาล
ระหว่างทางเธอก็โทรไปหาโม่หาน แต่ก็ไม่มีคนรับสาย เมื่อมาถึงชั้นล่าง ก็รออยู่สักพัก แม้ว่าเธอจะมีอิสระที่จะเข้างาน แต่ว่าสายเกินไปก็ไม่ดีนัก “เสี่ยวโยว จำได้ไหมว่าคุณปู่ทวดอยู่ห้องไหน?”
มู่เสี่ยวโยวคิดๆแล้ว “เหมือนจะรู้นะ แม่ เราไปลองหากันดูเถอะ”
เพียงแต่ห้องผู้ป่วยที่นายท่านโม่อยู่เป็นชั้นVIP คนปกติจะไม่ให้เข้าไป แต่ว่าพยาบาลจำมู่เสี่ยวโยวได้ “เด็กน้อย คุณมาเยี่ยมคุณทวดของคุณเหรอ?”
มู่เสี่ยวโยวพยักหน้า
พยาบาลก้มหน้าลง มู่เฉียวเห็นว่าเธอชะงักเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเธอรู้อะไรบางอย่างโดยจิตใต้สำนึก
กอดมู่เสี่ยวโยว “เสี่ยวโยว คุณทวดน่าจะหลับอยู่ เช่นนั้นเราไปโรงเรียนกันก่อน หลังจากคุณเลิกเรียน ฉันค่อยพาคุณมา ได้ไหม?”
“แม่ แต่ว่าฉันอยากเจอคุณทวด” มู่เสี่ยวโยวยังคงยืนหยัด มู่เฉียวไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างนายท่านโม่กับเสี่ยวโยว จึงทำให้เด็กคนนี้รักได้อย่างลึกซึ้งขนาดนี้
“คุณนายโม่ คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันหมายถึง นายท่านโม่ออกจากโรงพยาบาลไปแล้ว”
ถูกเรียกว่าคุณนายโม่ มู่เฉียวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าที่ขาวหมดจดของเธอ กลับแดงระเรื่อ พอคิดที่จะเอ่ยปาก จู่ๆมือถือก็ดังขึ้น
มองดูแล้ว คือโม่หาน
“คุณอยู่ที่ไหน?”
“โรงพยาบาล”
“เสี่ยวโยวอยู่ด้วยกันกับคุณเหรอ?”
“อื้ม”
“โอเค พวกคุณมารอฉันหน้าประตูโรงพยาบาลนะ ฉันจะเข้าไปรับพวกคุณ”
เมื่อโม่หานเข้ามา ก็เห็นมู่เฉียวจูงมู่เสี่ยวโยวยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล ลมค่อนข้างแรง พัดผมของคนทั้งสองกระจาย แต่ด้วยผมที่ยาวโดดเด่น ดึงดูดคนจำนวนไม่น้อยให้หันมามอง
“แม่ พ่อมาแล้ว”
มู่เฉียวพยักหน้า จูงมู่เสี่ยวโยว เดินไปยังตำแหน่งที่รถของโม่หานจอดอยู่
“มู่เฉียว คุณปู่ไม่ไหวแล้ว คุณหมอบอกว่า อาจจะแค่สองวันนี้ เขาอยากเจอคุณสักครั้ง”
ชัดเจนว่า กับคำขอร้องนี้ มู่เฉียวค่อนข้างแปลกใจ
เพียงแต่ คนจะตายแล้ว จะให้คิดเล็กคิดน้อยเรื่องในอดีตอีก เธอก็คิดว่ามันเกินไปหน่อย
จึงพยักหน้า
เมื่อมาถึงตระกูลโม่ โม่หานก็อุ้มลูกไว้ในมือ มู่เฉียวจูงมือของเขา เห็นคุณนายโม่ยืนอยู่หน้าประตูไกลๆ
เห็นครอบครัวพวกเขาเข้ามา สีหน้าก็ค่อนข้างไม่พอใจ
มู่เฉียวไม่เคยคาดคิดว่า จะยังมีโอกาสเข้ามาในสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบยังคงคุ้นตา กวาดสายตาไปมองคุณป้าที่อยู่ที่ลานบ้านพยักหน้าให้เธอ สีหน้าก็แสดงความประหลาดใจ
เธอมองคุณนายโม่ แต่ไม่ได้มองนานสักเท่าไร แล้วก็มองไปยังในห้อง นายท่านโม่นั่งอยู่บนรถเข็น สีหน้าของเขาดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ไม่ได้เจอกันหลายปี ถึงแม้จะดูชราลงกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย แต่กับที่โม่หานบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้แค่สองวัน มันช่างแตกต่างกันอย่างมาก
เธอมองโม่หานด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
“เสี่ยวเฉียวมาแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของนายท่านโม่เรียบเฉยอย่างมาก ราวกับเรื่องราวเมื่อหลายปีมานี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น เธอก็เม้มริมฝีปาก แล้วรับมู่เสี่ยวโยวมาจากในมือโม่หาน วางลงกับพื้น จูงมือของเธอ แล้วเดินไปยังข้างๆนายท่านโม่
“เสี่ยวโยวอยากเจอท่าน” เธอไม่ได้เรียกคุณปู่ บางที ใจของเธอก็ไม่ได้กว้างขนาดนั้น
“คุณทวด คุณหายป่วยแล้วเหรอ?” มู่เสี่ยวโยวปล่อยมือมู่เฉียว แล้วเดินไปข้างๆนายท่านโม่ มองพิจารณาเขาอย่างละเอียด
“หานแล้ว อ้อ ใช่แล้ว……” นายท่านโม่ ยื่นมือไปยังคนที่อยู่ด้านหลัง
พอดีคุณนายนายท่านโม่กำลังเดินลงบันไดมา ในมือถือถุงพลาสติกลายการ์ตูนถุงหนึ่ง
เห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเฉียว คุณกลับมาแล้ว”
มู่เฉียวพยักหน้า
นายท่านโม่รับถุงจากในมือของคุณนายนายท่านโม่มาวางลงที่ขา เปิดถุงออก “เสี่ยวโยว คุณดูสิ นี่คือสติกเกอร์อุลตร้าแมนที่ก่อนหน้านี้คุณให้ปู่ทวดซื้อให้คุณ ฉันกับย่าทวดของคุณวิ่งหาอยู่หลายที่เลย กว่าจะหาเจอ คุณลองดูซิว่า ใช่ไหม?”
มู่เสี่ยวโยวแสดงสีหน้าดีใจ ก้มลงไปมอง “ว้าว คุณทวด อันนี้แหละ ดีมากเลย”
เด็กแสดงความดีใจ เขย่งเท้าขึ้นแล้วไปหอมแก้มนายท่านโม่
“ขอบคุณค่ะคุณปู่ทวด คุณย่าทวด”
“คุณทวด คุณอุ้มฉันหน่อยได้ไหม?”
“เสี่ยวโยว” มู่เฉียวกังวลใจ ดึงมู่เสี่ยวโยวเล็กน้อย
แต่นายท่านโม่ ยื่นมือไปขวางมู่เฉียวเอาไว้ “ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ชี้โม่หาน “คุณอุ้มเสี่ยวโยวมาวางบนขาฉันหน่อย”
ต่อมา….
หลังจากนายท่านโม่อุ้มมู่เสี่ยวโยวเสร็จ โม่หานก็คิดว่าเขาคงจะเหนื่อยเกินไป พอรับมู่เสี่ยวโยวมา ทันใดนั้นนายท่านเฟิงก็เสียชีวิต
“คุณมาได้อย่างไร?” โม่หานเอ่ยถาม
คุณนายโม่เห็นเช่นนั้นก็ลุกขึ้น เดินไปตรงหน้าประตู จูงมือของเหอเจี๋ย “เสี่ยวเจี๋ยมาแล้ว รีบเข้ามาสิ” หันกลับไปมองโม่หาน “ฉันให้เสี่ยวเจี๋ยมาเองแหละ”
โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ไม่พูดอะไร
เหอเจี๋ยเดินมาข้างเตียง อยากจะทักทายนายท่าน แต่ปรากฏว่าเขาหลับตาอยู่ไม่ได้มองเธอเลย ชั่วขณะก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
“พ่อ เธอเป็นใคร?”
มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่เหอเจี๋ย แต่มองโม่หาน
ชั่วพริบตาทุกๆคนก็เงียบไป
สายตาเหอเจี๋ยมองอยู่ที่มู่เสี่ยวโยว เด็กคนนี้กับโม่หานหน้าตาคล้ายกันมากจริงๆ ดังนั้นแทบไม่ต้องสงสัยเลย เธอคือลูกของโม่หาน แต่เมื่อนึกถึงก่อนหน้านี้ คุณนายโม่บอกกับตนเองว่า เด็กคนนี้เป็นลูกของมู่เฉียวกับผู้ชายคนอื่น
เธอคิดว่ามันน่าตลก ความสัมพันธ์นี้ดีจริงๆเลย เธอยังไม่ทันได้แต่งงาน ก็จะต้องเป็นแม่เลี้ยงซะแล้วเหรอ?
“เธอคือคนที่กำลังจะแต่งงานกับพ่อของคุณ” คุณนายโม่พูดออกมา
โม่หานขมวดคิ้วทันที “แม่ ต่อหน้าเด็กตัวเล็กๆ คุณพูดสิ่งเหล่านี้ทำไม?”
จากนั้นเขาก็พูดกับเหอเจี๋ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
“คุณโกหก ฉันมีแม่ พ่อฉันจะไม่หาแม่เลี้ยงให้ฉันหรอก”
“ไม่เลว การตอบสนองค่อนข้างเร็ว” หานฉุนยืนอยู่ข้างหน้าต่างเลิกคิ้วพูด
โม่หานถลึงตาใส่เขา เขาก็กลอกตากลับ แล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง
“โม่หาน……”
“คุณย่า คุณช่วยดูเสี่ยวโยวให้หน่อย ฉันจะออกไปคุยกับเธอ” พูดจบ ก็ลูบหัวเสี่ยวโยว มองเหอเจี๋ย “ออกไปกันเถอะ”
บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล
“เหอเจี๋ย เรายกเลิกการแต่งงานเถอะ มีเงื่อนไขอะไร ขอแค่คุณบอกมา” โม่หานพูดอย่างตรงไปตรงมา
เห็นได้ชัดว่าเหอเจี๋ยประหลาดใจเล็กน้อย เธอคิดอยู่แล้วว่าโม่หานจะต้องเอ่ยกับเธอเรื่องยกเลิกการแต่งงาน แต่ไม่คาดคิดว่า เขาจะเอ่ยออกมาในตอนนี้
“โม่หาน คุณได้ประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งเหรอ?”
โม่หานหยิบบุหรี่ออกมาจุดหนึ่งมวน ระหว่างที่พ่นควันออกมา สีหน้าเขาก็ไม่ได้ผิดแปลกไปมากนัก “คุณไม่ยกเลิกก็ได้ รอให้ข่าวเสนอเรื่องเหล่านั้นของคุณออกมา แล้วพ่อของคุณบอกยกเลิกด้วยปากของตัวเอง ฉันก็ไม่ถือสาอะไร”
สีหน้าเหอเจี๋ยเปลี่ยนไปในทันที เธอบังคับให้ใจเย็นลง “คุณ……คุณพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ โม่หาน นี่คุณคิดจะถีบหัวส่งเหรอ มันต่ำทรามเกินไปแล้วนะ”
ชายคนนั้นพิงอยู่กับราวจับ สองนิ้วคีบบุหรี่ ดีดขี้บุหรี่ออกเบาๆ แล้วจึงพูดว่า “เรื่องระหว่างคุณกับเทรนเนอร์คนนั้น ฉันคิดว่า พ่อคุณน่าจะสนใจที่จะฟังนะว่าไหม?”
พูดจบก็กดเบอร์โทรหาพ่อเหอต่อหน้าเหอเจี๋ย เหอเจี๋ยเห็นเช่นนั้น ก็ตะลีตะลานเดินเข้าไป แย่งโทรศัพท์จากในมือของโม่หาน แล้วกดวางสาย
โม่หานยิ้ม “ฉันยังคงมีความอดทนมากพอนะ คุณบอกยกเลิกงานหมั้นด้วยตัวเองซะ ถ้ารอให้ฉันพูดออกมา ฉันคิดว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นที่น่าพอใจของคุณอย่างแน่นอน”
เหอเจี๋ยไหล่ตก ปิดหน้าของตนเอง “คุณรู้จักเขาได้อย่างไร?”
โม่หานยืนตัวตรง “เคยทำเรื่องไม่ดีไว้ อย่างไรเสียก็ต้องปรากฏขึ้นในสักวัน” พูดจบก็เดินไปที่ทางลงบันได
มองภาพด้านหลังของเขา จู่ๆเหอเจี๋ยก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอหลับตา แล้วถามว่า : “โม่หาน มันคือหลุมพรางแผนการของคุณใช่ไหม ใช่ไหม?”
โรคฮิสทีเรียของเธอ ทำให้โม่หานหยุดฝีเท้าลง เขาไม่ได้หันกลับไป เพียงแค่ตอบกลับอย่างเรียบๆว่า : “คุณเหอไม่ต้องขาดความมั่นใจขนาดนั้นก็ได้มั้ง? แค่เทรนเนอร์คนเดียวก็เท่านั้น คุณต้องเชื่อว่าตนเองยังมีต้นทุนอยู่”
เหอเจี๋ยถอดรองเท้าส้นสูงของตนเอง แล้วโยนไปที่ทางลงบันได จากนั้นคนก็ยังลงกับพื้น ดึงผมตนเองอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อโม่หานกำลังเดินมาที่ห้องผู้ป่วย จากหางตาก็เห็นเงาคนคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดไป
เขาจับราวบันไดแล้วมองไป ก็เห็นชายคนนั้นสวมหมวกแก๊ปเดินไปที่ชั้นสองของแผนกโรคมะเร็ง
เขาขมวดคิ้ว
“คุณสามารถโล่งอกได้ทันทีเลยเหรอ?” น้ำเสียงของหานฉุนดังเข้ามาจากด้านหลัง บนหน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา สายตาของเขาก็มองลงไปชั้นล่างเหมือนกัน
“หมายความว่าอะไร?”
หานฉุนร้องเชอะอย่างเย็นชา สายตาลึกลับ แต่ไม่ได้ตอบคำถามของเขา “ไปเถอะ เด็กคนนั้นรอคุณแล้วล่ะ!”
เมื่อพวกเขากลับมา นายท่านโม่ก็หลับไปแล้ว
มู่เสี่ยวโยวเห็นโม่หานกลับมา ก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ “พ่อ”
“คุณย่า….คุณปู่เขา….”
“เพิ่งหลับไป”
โม่หานถอนหายใจโล่งอก
“เอาลูกกลับไปเถอะ ดึกแล้ว อากาศที่โรงพยาบาลก็ไม่ดี”
มู่เฉียวเดินเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านนอก จนกระทั่งมาถึงทางเข้าโรงพยาบาล ร่างกายของนายท่านโม่ไม่ดี ถึงแม้เธอจะไม่ได้ถามมาก แต่ในใจก็กระวนกระวายไม่น้อย แล้วก็สงสารโม่หาน นี้เป็นความทุกข์ยากซ้ำซ้อนที่ต้องเผชิญจริงๆ เรื่องราวมากมาย ถาโถมเข้ามาพร้อมกัน เธอเป็นห่วงเขา
เมื่อเห็นโม่หานจูงมู่เสี่ยวโยวออกมา เธอจึงเดินเข้าไปหา
“แม่”
มู่เฉียวพยักหน้า เห็นเสี่ยวโยวขอบตาแดงๆ เธอจึงเม้มปากเล็กน้อย มองโม่หาน “ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
โม่หานพยักหน้า “ไปกันเถอะ ฉันจะไปส่งพวกคุณ”
“นี่ที่ ไม่ต้องการคนอยู่เหรอ?”
“ส่งพวกคุณกลับไปก่อน ดึกๆฉันค่อยเข้ามา”
“ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ดึกขนาดนี้แล้ว อย่าให้ตนเองเหนื่อยเกินไปเลย คุณเข้าไปเถอะ ฉันกับเสี่ยวโยวนั่งรถกลับเองได้”
มู่เฉียวยังไม่ทันพูดจบ โม่หานก็ก้มตัวลง อุ้มเสี่ยวโยวขึ้นมามือเดียว แล้วยื่นอีกมือหนึ่งไปจูงเธอ
เข้าไปนั่งเบาะด้านหลังกับมู่เสี่ยวโยวแล้ว โม่หานจึงออกรถ
เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง มู่เสี่ยวโยวก็หลับไปแล้ว โม่หานถอดเสื้อสูทของตัวเองออกแล้วส่งให้มู่เฉียว “คลุมให้เธอหน่อย” แล้วก็ปรับอุณหภูมิในรถให้สูงขึ้น
“โม่หาน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
พอดีติดไฟแดง โม่หานจึงหันมามองมู่เฉียว “ไม่เป็นไร บางที ทุกอย่างก็อาจจะใกล้จบลงแล้ว”
“เขา หาตัวเจอแล้วเหรอ?” มู่เฉียวแปลกใจ
“ไม่ต้องหา ก็คงไม่ต่างกันหรอก”
มู่เฉียวมองโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา แต่ในเมื่อ เขาไม่พูด เธอก็ไม่อยากถาม เพียงแต่สีหน้าของเขาดูแย่มาก พูดตามเหตุผลแล้ว ถ้าใกล้จบสิ้นแล้วจริงๆ เวลานี้ เขาก็ควรจะโล่งอกสิ
เธอยืนมือออกมาจากที่นั่งด้านหลัง กุมมือของโม่หาน “โม่หาน พวกเราอยู่ข้างๆคุณตลอดนะ”
“อื้ม”
หลังจากรถจอดดีแล้ว โม่หานก็เปิดประตูให้เธอ อุ้มมู่เสี่ยวโยวจากในอ้อมกอดเธอ
จากนั้น ก็เดินไปยังลิฟต์
พอถึงหน้าประตู โม่หานก็อุ้มมู่เสี่ยวโยวเจ้าไปในห้องของเขา วางลงบนเตียงเบาๆ ถอดรองเท้าและเสื้อคลุมกันหนาวให้เธอ ปฏิบัติอย่างอ่อนโยน
มู่เฉียวไม่คัดค้าน พิงที่ประตู มองโม่หาน
โม่หานที่เป็นแบบนี้ ดูไม่คุ้นเคย แต่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก
หลังจากห่มผ้าให้มู่เสี่ยวโยวเสร็จแล้ว โม่หานจึงเดินไปข้างๆเธอ โอบกอดมู่เฉียว ก้มลงเล็กน้อย แล้วจูบที่บนหน้าผากของเธอ “ฉันต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้คุณเป็นห่วงมาโดยตลอด”
มู่เฉียวส่ายหน้า “ที่โรงพยาบาลมีหานฉุนและพวกเขาอยู่ คุณไปอาบน้ำด้านในก่อนสิ ฉันจะทำอะไรให้คุณทานสักหน่อย”
“ทาน?” โม่หานขมวดคิ้ว แล้วจึงพบว่าห้องที่เดิมทียุ่งเหยิง ถูกจัดให้เป็นระเบียบแล้ว
“คุณมาทำความสะอาดเหรอ?”
“จะใครล่ะ?” มู่เฉียวดันเขาออก “รีบไปอาบน้ำเถอะ”
คุณย่าได้ยินก็มองโม่หาน ในแววตามีการอ้อนวอน “โม่หาน”
“ฉันจะพาเสี่ยวโยวมานะ ส่วนมู่เฉียวคนนั้น คุณย่า สถานการณ์ตอนนี้ ยังไม่เหมาะสม”
สีหน้าคุณนายนายท่านโม่ดูผิดหวังเล็กน้อย
คุณนายโม่เดินเข้าไปคว้าแขนของโม่หาน “ลูก คุณยังติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอยู่อีกเหรอ? เธอเป็นตัวซวย คุณดูสิตั้งแต่ได้พบเธอ ตระกูลของเรา……”
“แม่” โม่หานพูดตัดบทคุณนายโม่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วพูดต่อว่า “แม่ ต่อไปฉันหวังว่าจะไม่ได้ยินคุณพูดถึงเธออย่างนี้อีกนะ”
คุณนายโม่ยิ่งร้องไห้เสียใจหนักขึ้น
“คาดไม่ถึงว่าคุณจะใจร้ายกับฉัน ฉันเลี้ยงดูคุณมาจนโตขนาดนี้ มันง่ายเหรอ? คาดไม่ถึงเลยว่าจะใจร้ายกับฉัน……”
โม่หานปวดหัวเล็กน้อย ลูบๆหน้าผาก “แม่ คุณเลี้ยงดูฉันมาไม่ง่ายเลย ฉันรู้ แต่เสี่ยวโยวก็เป็นลูกของฉัน คุณเคยนึกถึงความรู้สึกของฉันบ้างไหม?”
คุณนายโม่หยุดร้องไห้ทันที เธอมองโม่หานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณ นี่คุณกำลังตำหนิฉันอยู่ใช่ไหม?”
คุณนายนายท่านโม่กระแอมเบาๆ ดึงแขนเสื้อของโม่หาน บอกใบ้ให้เขาอย่าพูดมาก โม่หานหยิบมือถือออกมา ส่งข้อความให้มู่เฉียว บอกเกี่ยวกับสถานการณ์ทางด้านนี้
ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว “โอเค ตอนบ่ายฉันจะไปรับเธอ จากนั้นก็จะเอาไปส่งคุณ”
“โม่หาน คุณส่งข้อความหามู่เฉียวใช่ไหม?”
ทุกคนต่างจับจ้องมาที่เขา โม่หานพูดว่า”อืม” และยืนตัวตรง “ตอนเย็นเธอจะเอาเสี่ยวโยวมาส่ง”
คุณนายนายท่านโม่เช็ดน้ำตา “ฉันรู้ว่าสายตาฉันไม่ได้แย่ แต่……ฉันยังคงทำร้ายเธอ เด็กคนนี้ช่างมีจิตใจดีงาม” พูดจบก็หันไปมองประตูห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิท
มู่เฉียวโทรหาแม่ บอกว่าเย็นนี้จะพาเสี่ยวโยวไปเดินเล่น ตนเองจะไปเอง
แม่ก็ไม่ได้ถามมาก
“แม่ คุณจะพาฉันไปไหน?”
มู่เฉียวเห็นร้านผลไม้ข้างทาง หลังจากคิดๆดูแล้ว เธอก็เข้าไปซื้อกระเช้าผลไม้ มันไม่ได้แพงอะไร แต่มันก็เป็นน้ำใจ
เมื่อถึงชั้นล่างของโรงพยาบาล เธอก็โทรหาโม่หานแต่ไม่มีคนรับ
ยืนรออยู่ที่ชั้นล่างสักพัก โทรศัพท์จึงโทรหลับมา “มู่เฉียว คุณปู่เพิ่งจะฟื้น พวกคุณอยู่ไหนแล้ว?”
“ชั้นล่าง คุณลงมาเถอะ”
เมื่อโม่หานมาถึง มู่เฉียวก็นำกระเช้าผลไม้กับมู่เสี่ยวโยวส่งให้เขา และไม่ได้ถามอาการป่วยของนายท่านมากมาย
หลังจากกำชับมู่เสี่ยวโยวสองสามคำ เธอก็พยักหน้าให้โม่หาน “อย่างนั้น ฉันจะเดินอยู่แถวๆนี้นะ คุณเสร็จธุระแล้ว ก็โทรหาฉันได้เลย”
โม่หานอ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
คุณนายนายท่านโม่ยืนรออยู่นอกห้องผู้ป่วย เห็นโม่หานพาเสี่ยวโยว ก็รีบเดินเข้าไป
“คุณย่า……”
โม่หานขมวดคิ้ว รีบพูดแก้ว่า “เสี่ยวโยว ต้องเรียกคุณทวดนะ”
เสี่ยวโยวเงยหน้ามองโม่หาน “พ่อ ทำไมต้องเรียกคุณทวดล่ะ?”
สีหน้าคุณนายนายท่านโม่ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอก้มลงไปจูงมือมู่เสี่ยวโยว “ก็คือว่า เป็นย่าของพ่อไง”
มู่เสี่ยวโยวไม่ตอบสนองในทันที จู่ๆเธอก็คิดอะไรได้ มองโม่หาน “พ่อ เธอคือแม่ของแม่เหรอ?”
“เสี่ยวโยวฉลาดจริงๆ” หานเสว่เดินออกมาจากด้านใน โน้มตัวลง หยิกเบาๆที่แก้มของมู่เสี่ยวโยว
“คุณคือคุณอาของฉันใช่ไหม?”
หานเสว่แปลกใจเล็กน้อย “คุณ…..คุณรู้ได้อย่างไร?”
“แม่ของฉันบอกว่า ถ้าวันนี้เจอคนที่สวยเป็นพิเศษ ก็จะเป็นคุณอา คนที่หล่ออย่างมากก็จะเป็นคุณลุง แล้วก็….” เธอหันหน้ามองไปรอบๆ ยืดหน้าขึ้น ชี้คุณนายโม่ที่อยู่ในห้อง “แล้วก็คุณย่าที่ยังสาวสวย ให้เรียกคุณย่า”
คุณนายโม่ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคุณพ่อ ได้ยินคำพูดของมู่เสี่ยวโยว มือของเธอที่ยกถ้วยชาอยู่ ก็สั่นเล็กน้อย อดกลั้นใบหน้าเอาไว้ไม่อยู่
“เสี่ยวโยว คุณนี่น่ารักจริงๆเลย” หานเสว่พูดพลาง เดินเข้าไปโอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด “แล้ว แม่ของคุณยังพูดอะไรอีกไหม?”
เสี่ยวโยวคิดๆแล้ว เธอก็เม้มปากน้อยๆ “แม่บอกว่า คุณทวดไม่สบาย ให้ฉันพูดคุยกับเขาให้มากๆ ให้ฉันเล่าเรื่องตลกให้เขาฟัง แล้วก็บอกว่า…..ให้ฉันเชื่อฟังคุณพ่อ เพราะว่าพวกคุณล้วนเป็นญาติของฉัน”
เด็กอายุไม่กี่ขวบ แน่นอนว่าไม่สามารถโกหกได้ ทุกคนต่างก็เงียบไปในชั่วพริบตา
“เสี่ยวเฉียว สอนเธอได้ดีอย่างมาก” เธอไม่ได้บอกกับเด็กเรื่องที่ตระกูลโม่ทำไม่ดีกับเธอ แต่กลับสั่งสอนเด็กให้กตัญญู คุณนายนายท่านโม่ตบเบาๆที่มือของโม่หาน “โม่หาน เธอคู่ควรที่คุณจะทะนุถนอม”
โม่หานพยักหน้า ดึงมู่เสี่ยวโยวออกจากในมือของหานเสว่ “เสี่ยวโยว เราไปเยี่ยมคุณทวดกันเถอะ”
แต่หานเสว่ไม่ยอมปล่อยมือ “พี่ ฉันอุ้มไปก็เหมือนกันแหละ” มองออกว่า หานเสว่ชอบมู่เสี่ยวโยวมาก
มู่เสี่ยวโยวยืนอยู่ตรงหน้าเตียงของนายท่านโม่ เธอไม่ได้รังเกียจคนชรา กุมมือที่ไม่ได้ใส่สายน้ำเกลือของเขา “คุณทวด ที่แท้ คุณก็เป็นคุณทวดของฉัน คุณเป็นอะไรไป? คุณเคยบอกว่าจะพาเสี่ยวโยวไปเล่นไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมคุณถึงป่วยล่ะ? คุณลุกขึ้นมา ได้ไหม?”
เด็กช่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจริงๆ ไม่พูดอ้อมค้อมเหมือนกับผู้ใหญ่ พูดได้ว่า พูดแล้วทุกคนก็ยากที่จะระงับไม่ให้น้ำตาไหลออกมา
นายท่านโม่ลืมตามองมู่เสี่ยวโยว ยิ้มมุมปาก “เสี่ยวโยว คุณมาแล้วเหรอ”
“คุณทวด แม่ฉันบอกว่าคุณป่วยหนักมาก คุณไม่สบายตรงไหนเหรอ? คุณทานยาอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า? ทุกครั้งที่ฉันไม่สบาย แม่จะให้ฉันทานยา เธอบอกว่ายารสขมแต่สามารถรักษาโรคได้ คุณทวด คุณก็ต้องทานยานะ ทานยาแล้ว คุณจะได้หาย” พูดพลาง เธอก็เขย่งปลายเท้า ทำท่าทางคลำหน้าผากของนายท่านโม่เล็กน้อย “คุณทวด คุณไม่ได้ตัวร้อนนะ คุณแกล้งป่วยใช่ไหม ตอนฉันไม่อยากไปโรงเรียน……อ้อ คุณไม่อยากไปทำงานแน่ๆเลย ใช่ไหม?”
คนที่รายล้อมอยู่ ต่างก็อึ้งกันไปในทันใด
นายท่านโม่อดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม ยกมือขึ้น ลูบหัวของเธอเล็กน้อย “โรคนี้ของทวด กินยาก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทวดแก่แล้ว คนแก่ ก็จะต้องป่วย”
มู่เสี่ยวโยวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น น้ำตาเธอก็เริ่มไหล เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น
“เป็นอะไรไป ทำไมถึงร้องไห้?” ทุกคนต่างกระวนกระวายใจขึ้นมา
มู่เสี่ยวโยวร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ “คุณทวด ฉันไม่อยากให้คุณแก่ คุณยายบอกว่า คนแก่แล้ว ก็จะต้องตาย ฉันไม่อยากให้คุณตาย คุณทวด คุณบอกไม่ใช่เหรอว่า เพียงแค่เสี่ยวโยวเชื่อฟัง คุณก็จะอยู่เป็นเพื่อนฉันไปตลอดไม่ใช่เหรอ? ฉันเชื่อฟัง ฉันเชื่อฟังแล้วโอเคไหม?”
ความดีที่มีมาแต่กำเนิด ไม่ว่าระหว่างผู้ใหญ่จะบาดหมางกันอย่างไร แต่จิตใจของเด็กก็มีเมตตา
“เสี่ยวโยว มีใครไม่แก่บ้างล่ะ? คนแก่แล้ว ก็ต้องตาย นี่เป็นกฎของธรรมชาติ”
เสียงร้องไห้ของมู่เสี่ยวโยว ยิ่งดังขึ้น หันตัวกลับ กอดขาของโม่หาน “พ่อ แม่บอกว่าคุณเก่งมาก คุณช่วยคุณทวดหน่อยได้ไหม อย่าให้เขาตาย พ่อ…..คุณช่วยเขาหน่อย ได้ไหม? คุณช่วยเขาหน่อย”
โม่หานน้ำตาคลอเบ้า เขาก้มหน้ามองเด็กคนนั้นที่ร้องไห้จนตัวสั่น ก้มตัวลง แล้วอุ้มเธอมาไว้ในอ้อมกอด ไม่พูดจา
เสียงประตูเปิดเข้ามาจากด้านนอกดัง”โครม” เหอเจี๋ยยืนหน้าซีดอยู่หน้าประตู บนพื้นมีช่อดอกไม้ช่อหนึ่ง
มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เป็นธรรมดาที่เธอจะเข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าเขายังคงมีอันตราย
“โม่หาน ถึงอย่างไรเขาก็คือพ่อของคุณ คุณอาจจะมีอะไรเข้าใจผิดหรือเปล่า?” อันที่จริงมู่เฉียวก็ไม่อยากจะเชื่อ ว่าพ่อคนหนึ่งจะไร้ความเมตตาปรานีได้ขนาดนี้
“เขาก็ไม่ใช่คนมานานแล้ว” โม่หานพูดจบ ก็นำมู่เฉียวเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “ในสายตาเขามีแค่ผลประโยชน์ ไม่มีความรักให้กับครอบครัวเลย
มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไรอีก เพราะไม่ได้ใกล้ชิดกัน มู่เฉียวนึกไม่ออกว่าจะมีพ่อแบบนี้ในโลกได้อย่างไร
เมื่อทั้งสองคนมาที่เมืองA โม่หานส่งเธอที่ชั้นล่าง มู่เฉียวกำลังจะลงจากรถ จู่ๆโม่หานก็ดึงแขนของเธอ
ในตาเขามู่เฉียวเห็นความกังวลใจ เธอจึงยิ้มพูดว่า “อย่ากังวลใจขนาดนั้นเลย ฉันไม่เป็นอะไรหรอก อีกอย่างเขาอาจจะคิดว่าเราเลิกกันแล้วก็ได้”
โม่หานพยักหน้า แต่ความกังวลในแววตากลับมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดที่รอบคอบของชายคนนั้น บางทีเขาอาจจะรู้ความสัมพันธ์ของตนเองกับมู่เฉียวแล้วก็ได้
กลับมาถึงบ้าน พ่อแม่ก็นั่งอยู่บนโซฟา เห็นเธอเข้ามาสีหน้าก็เคร่งขรึมลงอย่างมาก
“เมื่อคืนคุณไปไหนมา?” พ่อเอ่ยถามก่อนเลย
มู่เฉียวเม้มๆปาก แล้วเกาหัว “พ่อฉันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไม่กลับบ้านแค่วันเดียว เกี่ยวอะไรด้วยล่ะ?”
ใบหน้าแม่ดูมีความสุข เดินเข้ามา “เฉียวเอ๋อ หรือว่า……คุณมีความรักเหรอ?”
มู่เฉียวก้มหน้า ใบหน้าแดงขึ้นมา
“ผู้ชายคนนั้นทำงานอะไร? อายุเท่าไหร่ วงศ์ตระกูลเป็นอย่างไร? มีความชัดเจนหรือเปล่า?” พ่อถามเหตุผลมากมาย นำผักในมือโยนใส่ตะกร้าแล้วมองมู่เฉียว
“พ่อ แม่ เมื่อถึงโอกาสแล้ว ฉันจะพาเขามาเจอพวกคุณนะ” พูดจบก็เข้าไปในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมจะไปทำงาน
ที่คฤหาสน์ตระกูลโม่
“โม่หาน คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?” ได้ยินว่าโม่หานกลับมา ผู้เฒ่าสองคนรออยู่ข้างนอกประตูมานานแล้ว สีหน้าของนายท่านโม่ ดูโหดเหี้ยมจนน่าตกใจ
โม่หานมองแม่ แล้วยิ้ม “ไม่เป็นไร”
“ทั้งหมดเป็นความผิดของคุณ ที่ไปรับสัตว์เดรัจฉานเข้ามาในบ้าน คาดไม่ถึงว่าจะลงมือกับลูกชายของตนเองได้ คุณยังพูดถึงเขาดีๆ คุณมันโง่หรือเปล่า?” นายท่านโม่ชี้หน้าด่าคุณนายโม่
คุณนายนายท่านโม่ตบๆหลังเขา “คุณอย่ากระตือรือร้นเกินไป หมอบอกไม่ใช่เหรอ ว่าอย่าเครียด”
“ไม่พูดไม่กล่าว โม่หานอยู่ในเงื้อมมือเขาจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดตั้งหลายครั้ง จะไม่ให้พูดเลยเหรอ?” จู่ๆเสียงของนายท่านโม่ก็ดังขึ้น ทุกๆคนจึงไม่พูดอะไร
คุณนายโม่เงยหน้าขึ้นมองโม่หาน ด้วยแววตาที่ขอโทษอย่างสุดซึ้ง “ลูก แม่ไม่ดีเอง แม่ไม่รู้ว่า เขา……เขาจะเป็นคนอย่างนี้”
โม่หานมองเธอ อารมณ์ในแววตาสับสนยุ่งเหยิง “ฉันไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
“หานฉุนกับหานเสว่ล่ะ? โทรหาพวกเขาหรือยัง?” แม้ว่าเด็กทั้งสองจะไม่ได้เติบโตเคียงข้างกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่นายท่านทั้งสองยังคงมีความรู้สึกรักใคร่เอ็นดู
คุณนายโม่มองภาพด้านหลังของโม่หาน สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เธอไม่ได้ตอบคำถามพ่อ แต่บ่นพึมพำว่า “ใกล้จะสิ้นสุดแล้ว ใกล้จะจบสิ้นแล้ว”
ที่ด้านนอกประตูมีเสียงรถจอด
ทั้งสามคนหันไป ก็เห็นหานฉุนกับหานเสว่เดินเข้ามาด้านใน
“คุณปู่ คุณย่า แม่……”
“คุณปู่ คุณย่า แม่……”
“พวกคุณกลับมาได้อย่างไร?” คุณนายนายท่านโม่เดินเข้าไป แล้วเอ่ยถาม ดึงมือของหานเสว่ “เสว่เอ๋อ คุณอย่าเหนื่อยล้าเกินไปนะ หน้าคุณดูซูบๆไป”
หานเสว่ยิ้ม “คุณย่า ฉันเหมือนกับแม่นั่นแหละ รูปหน้าไม่ใช่คนอ้วน” พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่ “แม่ สีหน้าคุณดูเหมือนไม่ค่อยสบายใจเลยนะ”
หานฉุนก็หันไปมองหน้าแม่ แววตายุ่งเหยิง “ได้ยินมาว่า พี่ชายเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เป็นอะไรหรือเปล่า? ทำไมรถถึงได้เกิดอุบัติเหตุได้?”
“ต้องขอบคุณพ่อเลวๆคนนั้นของคุณไงล่ะ”
“พ่อ!” คุณนายโม่ เธอยังไม่อยากเปิดโปงจุดบกพร่องของพ่อพวกเขาต่อหน้าเด็กๆ
“ทำไมล่ะ? คุณยังอยากจะปิดบังอีกเหรอ? พวกเขาล้วนไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ แยกแยะดีเลวได้ชัดเจน” หลังจากตำหนิคุณนายโม่เสร็จ นายท่านโม่ก็หันหน้าไปมองหานฉุนและหานเสว่ ด้วยสายตาที่คมกริบอย่างมาก
“พ่อของพวกคุณต้องการจะฆ่าพี่ชายของพวกคุณ”
คนทั้งสองหน้าถอดสีอย่างชัดเจน
“พ่อ นั่นอาจจะเป็นเพียงเหตุสุดวิสัย คุณมีหลักฐานอะไร…….”
“คุณหุบปากเลยนะ!” นายท่านโม่ชี้หน้าคุณนายโม่ อาจเพราะหัวใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น จากนั้น ในขณะที่สายตาของทุกคนกำลังตึงเครียด เขาก็หมดสติไปโดยตรง
“พ่อ…..”
“คุณปู่….”
“รีบโทรไป120เร็วเข้า จากนั้นก็แจ้งหมอประจำตระกูล”
โม่หานได้ยินเสียงรถพยาบาลจากด้านนอก จึงออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” โม่หานกล่าว หานฉุนหันหน้ากลับไปมองเขา หาได้ยากที่จะไม่ทะเลาะกับเขา
“ถูกทำให้โมโหจนหมดสติไป”
โม่หานหันหน้ากลับไปจ้องมองเขา แล้วตามขึ้นรถไป
ด้านนอกห้องผ่าตัด
คนในครอบครัวไม่พูดจา มีเพียงคุณนายโม่ที่สะอื้นไห้เป็นระยะๆ
คุณนายนายท่านโม่นั่งอยู่บนเก้าอี้ สีหน้านิ่งสงบอย่างมาก
ผ่านไปนานมาก ประตูห้องฉุกเฉินจึงเปิดออก คุณหมอออกมา ดึงผ้าปิดจมูกลงเล็กน้อย แล้วพยักหน้ากับทุกคน “หัวใจของนายท่านโม่ค่อนข้างอ่อนแอ ทนรับการกระตุ้นอะไรไม่ได้ บวกกับอายุที่มากแล้ว พวกเราอยากจะขอความคิดเห็นจากครอบครัวพวกคุณว่า ต้องการทำการผ่าตัดหรือไม่?”
“ต้องทำสิ พวกคุณเป็นหมอได้อย่างไร เรื่องนี้ยังต้องมาถามพวกเราอีกเหรอ?”
คุณนายโม่เดินเข้ามา ดึงคุณหมอแล้วตะโกนเอะอะโวยวาย
“แม่” โม่หานเดินเข้าไป ดึงคุณนายโม่มาไว้ข้างๆ
“ถ้าไม่ทำล่ะ?” คุณนายนายท่านโม่เอ่ยปาก ตลอดทั้งปีนี้ชายชราบอกเธอมากกว่าหนึ่งครั้งว่า เขาไม่ต้องการใช้ชีวิตในโรงพยาบาลอีกต่อไปแล้ว
“หากไม่ทำล่ะก็ อาการก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก อาจจะอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ทุกเมื่อ”
“แล้วถ้าทำล่ะ?”
“ถ้าทำ ด้วยอายุของนายท่านโม่นี้ หลังจากทำเสร็จ อาจจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมาประคองชีวิตเอาไว้ หากอาการดีขึ้น บางครั้งอาจจะ……”
“ไม่ทำ” คุณนายนายท่านโม่กล่าวตัดบทคำพูดคุณหมอ ด้วยเหตุนี้สีหน้าของเธอจึงซีดเผือด ร่างกายสั่นเล็กน้อย
หานเสว่เดินเข้าไป ประคองเธอ “คุณย่า คุณนั่งลงก่อนนะ”
ชัดเจนว่าคุณหมอแปลกใจเล็กน้อย กับการตัดสินใจนี้ของคุณนายนายท่านโม่ จึงหันหน้าไปมองโม่หาน “คุณโม่ อย่างนั้น ก็ตามความคิดเห็นของคุณนายนายท่านเหรอ?”
โม่หานมองคุณย่า เขาเข้าใจอย่างมากว่า คุณย่าไม่ต้องการให้คุณปู่ได้รับความทุกข์เช่นนั้น จึงพยักหน้า
คุณหมอเข้าไปแล้ว คุณย่าก็แทบจะล้มลงในทันที นั่งลงบนเก้าอี้ ก้มหน้า ท่าทีดูไม่ดีอย่างมาก
คุณนายโม่ที่อยู่ด้านหลัง ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ทันใด คุณนายนายท่านโม่ก็เงยหน้า ดึงมือของโม่หาน “หาน พาเสี่ยวโยวกลับมาได้ไหม ปู่ของคุณ เขาชอบเด็กคนนั้นจริงๆ ถึงแม้จะไม่พูด แต่ในใจของฉันก็รู้ดี”
โม่หานนิ่งเงียบไม่พูดจา
“ฉันรู้ว่าตระกูลโม่ของพวกเรารู้สึกผิดกับพวกเธอแม่ลูก ย่าก็รู้ว่า ในใจคุณก็ปล่อยพวกเธอไปไม่ได้ เพียงแค่ต้องการให้มู่เฉียวกลับมา พวกเราจะชดเชยให้เธออย่างดีแน่นอน” ในสายตาของหญิงชราแสดงความอ้อนวอน แต่โม่หานไม่ได้รับปากออกมาในทันที
“คุณย่า คุณลืมไปแล้วเหรอว่า พี่ชายฉันกับคุณหนูตระกูลเหอ กำลังหมั้นกันอยู่? คุณเอามู่เฉียวกลับมา แล้วคนอื่นจะยอมเหรอ?” หานฉุนที่ไม่พูดจามาโดยตลอดเอ่ยปากประชดประชัน
เมื่อเห็นมู่เฉียว ชายคนนั้นก็ตะโกนว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ มานั่งอยู่ที่นี่ รถเร็วขนาดนี้ คุณไม่กลัวจะเกิดอุบัติเหตุหรือไง”
ชายคนนั้นเห็นมู่เฉียวจึงตะโกนเสียงดัง มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หาน ในตาเต็มไปด้วยน้ำตา ในแสงไฟที่สลัว เดิมทีเธอไม่จำเป็นต้องมอง ก็ฟังออกว่าเป็นเสียงใคร เธอลุกขึ้น เช็ดน้ำตา ทั้งร้องไห้ทั้งยิ้ม “โม่หาน คุณยังไม่ตาย ฮือๆ……โม่หาน……”
ชายคนนั้นถอนหายใจหนักๆ ไม่ได้พูดอะไร ดึงเธอเข้ามานั่งในรถ แล้วปิดประตู มู่เฉียวนั่งอยู่ข้างคนขับ อดไม่ได้ที่จะเอามือปิดหน้าแล้วร้องไห้โฮออกมา “ฮือ……”
เธอสะอื้นไห้ออกมา “ฉัน……ฉันคิดว่า……คิดว่าคุณ……คุณเกิดอุบัติเหตุ” เธอร้องไห้เหมือนเด็กๆ สะอึกสะอื้นอย่างแรง
ชายคนนั้นยื่นมือใหญ่ออกไปตบๆหลังเธอ สงสารแล้วก็ไม่รู้จะรับมืออย่างไร
หลังจากรู้เหตุการณ์นั้น เขาก็รีบร้อนจนลืมมือถือไว้ที่โรงแรม ต่อมาเมื่อรู้ว่าเธอมาที่นี่ เขาจึงรีบตามมาทันที
ไม่นานรถก็ลงจากทางด่วน
เมื่อมาถึงเมืองเล็กๆ พวกเขาก็เข้าพักที่โรงแรม
หลังจากปิดประตูห้องลง ชายคนนั้นก็นำมู่เฉียวมากอดไว้แน่นๆ
“ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? พวกเขา……พวกเขาบอกว่าคุณเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์”
โม่หานดึงทิชชูมาสองสามแผ่น เช็ดน้ำตาให้มู่เฉียวอย่างอ่อนโยน “ครั้งหน้า อย่าทำเรื่องที่อันตรายแบบนี้อีก รู้ไหม?”
มู่เฉียวสูดหายใจเข้า แล้วพยักหน้า
“บางทีก็ควรจะขอบคุณคุณนะ”
“หมายความว่าอย่างไร?” เสียงขึ้นจมูก แล้วก็แหบพร่า บอกโม่หานได้ว่า ผู้หญิงคนนี้น่าจะร้องไห้มานานแล้ว
“อุบัติเหตุทางรถยนต์เขาเป็นคนทำ” หลังจากโม่หานพูดคำนี้ มู่เฉียวได้ยืนก็ตกตะลึง จากนั้นเธอก็ปิดปาก มองโม่หานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “คุณ……คุณบอกว่าเป็นเขาอย่างนั้นเหรอ? ที่สร้างสถานการณ์ให้คุณเกิดอุบัติเหตุ?”
ความหวาดกลัวบนใบหน้าของเธอ ทำให้โม่หานรู้สึกผิดที่บอกความจริงกับเธอไป
โลกของเธอ ก็ไม่ควรจะยุ่งเหยิงและนองเลือดขนาดนั้น
อันที่จริงมู่เฉียวถูกทำให้ตกใจ เพราะเดิมทีเธอไม่คาดคิดว่า นี่คือเรื่องที่พ่อคนหนึ่งจะกระทำต่อลูกชายของตนเอง
“เขาไม่ได้อยากให้คุณรับช่วงต่อธุรกิจเหรอ? แล้วทำไม?”
โม่หานเงยหน้าขึ้นมองมู่เฉียว ยิ้มอย่างโล่งอก “ก็เพราะว่าเขาไม่มีธุรกิจให้ฉันรับช่วงต่อได้แล้วไง”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ถึงกับ……ไม่มีเลยเหรอ?”
โม่หานพูดไม่ชัด แต่มู่เฉียวเห็นคำตอบในดวงตาของเขา
แต่นั่นคือลูกชายของเขา ถึงเสือจะร้ายก็ไม่กินลูกตัวเองนะ? แล้วนี่ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?
โม่หานลุกขึ้น หยิบขวดน้ำแร่บนตู้ส่งให้มู่เฉียว “ไปอาบน้ำก่อน ดูตัวคุณสิ” พูดจบก็ก้มลงมา ถอดเสื้อคลุมเธอออก เขย่าๆฝุ่นออกมา
มู่เฉียวลูบๆจมูก ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ยื่นสองมือออกไปกอดเอวโม่หาน ศีรษะแนบอยู่ที่หน้าอกของเขา “โม่หาน คุณยังไม่บอกฉันเลย ว่าคุณหนีออกมาได้อย่างไร?”
โม่หานผลักเธอออกเบาๆ แล้วก้มลงไปจูบริมฝีปากเธอ จากนั้นก็หยิบกล่องผ้าเล็กๆหนึ่งอันออกมาจากกระเป๋ากางเกง “เดิมทีฉันเตรียมจะขับรถกลับมา แต่เพื่อไปรับของสิ่งนี้ ก็เลยตัดสินใจนั่งเครื่องบินกลับ”
เปิดกล่องผ้าออก เป็นสร้อยคอเส้นหนึ่ง เพชรถูกประกอบเป็นคำว่าMM ถ้าไม่ได้สังเกตก็จะเป็นเหมือนกับคลื่นน้ำ
“นี่สั่งจองให้คนที่เก่งๆทำเลยนะ อยากเอามาให้คุณเอง ไม่อยากให้ใครรับแทน”
โม่หานพูดจบ ก็สวมสร้อยให้มู่เฉียว “สุขสันต์วันเกิดนะ”
มู่เฉียวประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด ใช่สิ เธอลืมว่าวันนี้เป็นวันเกิดของตนเอง
เขาพูดต่อว่า : “แล้วก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ฉันจะไม่มีวันตาย”
มู่เฉียวโผเข้าอ้อมกอดของเขาอีกครั้ง ทั้งร้องไห้ทั้งหัวเราะ “ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ยอมให้ฉันเป็นหม้ายนะ”
“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
มู่เฉียวไม่ขยับ
“จะอาบด้วยกันเหรอ?” ชายหนุ่มจงใจยั่วเย้าเธอ
หญิงสาวปล่อยเขาอย่างรวดเร็ว แล้วหันเดินเข้าห้องน้ำไป
โรงแรมในเมืองเล็กๆ ถึงเป็นระดับสูง ก็มีเพียงมาตรฐาน มู่เฉียวปวดหัวเล็กน้อย รีบร้อนออกมา ไม่ได้เอาอะไรมาเลย
อาบน้ำเล็กน้อย พอออกมา โม่หานกำลังสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียงด้านนอก เพราะเธอแพ้กลิ่นบุหรี่ ตอนที่คนทั้งสองอยู่ด้วยกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นโม่หานสูบบุหรี่ ท่าทางของผู้ชายคนนั้น ยังคงทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
ได้ยินเสียง ชายหนุ่มก็ดับบุหรี่ครึ่งตัวที่อยู่ในมือ ยืนอยู่ด้านนอกครู่หนึ่ง จึงเข้ามา
มู่เฉียวเดินเข้าไป โอบกอดเขา “ไม่สบายใจมากเลยใช่ไหม?”
“นอนไปก่อนนะ ฉันจะไปอาบน้ำ” ชายหนุ่มพูดจบ ก็จูบบนศีรษะเธอเล็กน้อย
มองภาพด้านหลังของชายหนุ่ม ในดวงตาของมู่เฉียวก็รู้สึกเจ็บปวดใจ เธอเดินไปที่ระเบียง มองลงไปด้านล่าง เมื่อตอนที่เข้ามา เธอเห็นชั้นล่างมีร้านบะหมี่
คิดๆแล้ว ก็ออกจากห้องไป
เธอเดาว่าโม่หานคงยังไม่ได้ทานข้าวเย็นแน่ๆ
บะหมี่เสร็จแล้ว กำลังจะใช้มือถือชำระเงิน ก็เห็นว่าโม่หานโทรมาหาเธอ เธอกำลังเตรียมจะรับ ก็เห็นชายหนุ่มเดินอยู่หน้าประตูร้านบะหมี่ด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
จึงกดวางสาย จ่ายเงินแล้ว ออกจากร้าน เธอยืนอยู่ด้านหลังของเขา ส่งเสียงเรียกว่า: “โม่หาน”
ชายหนุ่มหันกลับมา เห็นเธอและบะหมี่ในมือของเธอ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
ผมของเขายังมีหยดน้ำอยู่ เขาน่าจะเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาแล้วไม่เจอเธอ จึงรีบตามออกมา
คิดๆแล้ว เธอก็เดินเข้าไป จูงมือของเขา “ไปกันเถอะ กลับไปทานบะหมี่กัน”
ชายหนุ่มปล่อยให้เธอจูงมือไปอย่างว่าง่าย เวลานี้ เขาเหมือนกับเด็กที่อ่อนแอ ทำให้มู่เฉียวเจ็บปวดใจอย่างมาก
“รีบทานบะหมี่เถอะ”
พอมาถึงห้อง เธอก็นำบะหมี่วางบนโต๊ะ แกะถุงออกไปพลาง กล่าวไปพลาง
ชายหนุ่มโอบเอวเธอจากด้านหลัง หยดน้ำที่หยดลงบริเวณคอ เย็นเล็กน้อย แต่หัวใจอบอุ่นอย่างมาก
ชื่อเสียงเกียรติยศอะไร อำนาจอิทธิพลอะไร ถ้าคนไม่อยู่แล้ว สิ่งเหล่านี้ จะไปมีประโยชน์อะไร?
“โม่หาน ต่อไปคุณต้องใช้ชีวิตให้ดี เพื่อฉันและเสี่ยวโยวนะ”
ชายหนุ่มตอบอืมคำหนึ่ง
“ฉันหวาดกลัวอย่างมาก ฉันคิดว่า ถ้าคุณเกิดเรื่องจริงๆ ฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร จะต้องตายตามไปไหม” เธอแกะตะเกียบออกเป็นสองอัน
มือใหญ่ๆจับเอวไว้แน่นอย่างมาก “อย่าคิดไร้สาระแบบนี้อีก เรื่องนี้ ใกล้จบสิ้นแล้ว”
มู่เฉียวพยักหน้า ดึงมือของเขาออก “มา รีบทานเถอะ เดี๋ยวบะหมี่อืดหมด”
“ทานด้วยกันสิ”
“ฉันไม่ทานหรอก ฉันทานข้าวเย็นมาแล้ว”
ชายหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ทานบะหมี่อย่างเชื่อฟัง มู่เฉียวไปห้องน้ำเอาไดร์เป่าผมออกมา เป่าผมให้โม่หาน เสียงหนวกหูอย่างมาก แต่ในใจของคนทั้งสองสงบอย่างมาก
คืนนี้ พวกเขานอนหลับด้วยกัน คนทั้งสองไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น
เมื่อท้องฟ้าใกล้สว่าง มู่เฉียวก็รู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวเบาๆจากข้างๆ พอลืมตาก็พบว่า โม่หานนอนเอามือประสานกันรองศีรษะ ลืมตา เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ชัดเจนว่า เขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“โม่หาน คุณไม่นอนเหรอ?”
โม่หานเอียงตัวมา หยิกเบาๆที่แก้มของเธอ “ทำให้คุณตื่นเหรอ?”
มู่เฉียวยืดตัวขึ้น นำหมอนมารองด้านหลังศีรษะ “ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดี คุณสามารถคุยกับฉันได้นะ โม่หาน สามีภรรยา ควรจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน”
“มีคนรับโทษแทนเขา เขาหลบหนีไปแล้ว”
เขานั่งยองๆลงตรงหน้าของมู่เสี่ยวโยวอย่างประหม่า “เสี่ยวโยว”
มู่เฉียวมองมู่เสี่ยวโยวที่มุดเจ้ามาในอ้อมกอด แล้วเงยหน้าขึ้น “แม่” เห็นได้ชัด ว่าเด็กคนนี้ก็ประหม่า
“อุ้มเธอหน่อยเถอะ” มู่เฉียวพูดคำนี้กับโม่หาน
โม่หานทำเสียงอืมตอบรับ “เสี่ยวโยว ให้……”
ยังไม่ทันพูดจบ มู่เสี่ยวโยวก็โผเข้าไปในอ้อมกอดของโม่หาน “พ่อ……”
คำคำนี้ถูกเรียกออกมา มู่เฉียวก็เห็นได้ชัดว่าโม่หานตัวสั่นเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กอดมาเสี่ยวโยวไว้แน่น “ขอโทษนะเสี่ยวโยว ที่ตลอดมาพ่อไม่ได้อยู่ข้างๆคุณ” น้ำเสียงของเขาสะอื้นเล็กน้อย ทำให้มู่เฉียวที่อยู่ข้างๆอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
มู่เสี่ยวโยวร้องไห้เสียใจอย่างมาก น้อยใจ แล้วก็ดีใจด้วย
จากนั้นก็เอาอกเอาใจโม่หาน เรียกพ่อๆอยู่ตลอด
ตอนเที่ยงกลัวว่าพ่อแม่จะสงสัย มู่เฉียวจึงบอกว่าจะพามู่เสี่ยวโยวกลับไปทานข้าว แต่เด็กคนนั้นไม่ค่อยเต็มใจ
“ฉันจะจัดการเรื่องทางด้านนั้นให้เร็วที่สุด” โม่หานให้คำสัญญากับมู่เฉียว
มู่เฉียวเดินเข้าไปกอดเขา “โม่หาน ฉันกับเสี่ยวโยวไม่ใช่ภาระของคุณ แล้วก็ไม่อยากให้กลายเป็นความกดดันของคุณด้วย เราจะรอคุณ อย่ารีบร้อนเกินไปเลย”
“พ่อ ฉันก็จะรอคุณ ฉันไม่ต้องการพ่อใหม่”
คนทั้งสามมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
โม่หานกลับไปเมืองAในบ่ายวันนั้น มู่เฉียวและพ่อแม่เที่ยวอยู่ที่นี่จนถึงก่อนวันที่จะกลับไปทำงาน
หลังจากหยุดยาววันแรกของการทำงาน ทุกคนยังคงไม่เข้าที่เข้าทาง
อารมณ์ของเสี่ยวโหรวดูหม่นหมองเล็กน้อย ถึงอย่างไรก็ยังวัยรุ่น มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเล็กน้อย “ทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าหน่อย เรื่องครั้งที่แล้ว ไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สองนะ” มู่เฉียวยิ้มแล้วเอ่ยเตือน
“อืม ขอบคุณพี่เสี่ยวเฉียวที่เตือน”
นิสัยของเสี่ยวโหรว มู่เฉียวชอบมาก ชอบหัวเราะ น่ารักมาก เรียนรู้ได้ดี เรื่องอะไร บอกแค่รอบเดียว โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถเข้าใจได้ พบอะไรที่ไม่มีสมเหตุสมผล ก็ไม่เคยบ่นว่าอะไรเลย
เริ่มต้นปีโครงการและเอกสารสัญญาต่างๆนานา งานก็ยุ่งมากขึ้นในชั่วพริบตา
แต่เมื่อเทียบกับการทำงานกับโม่หานเป็นครั้งที่สามแล้ว มู่เฉียวก็รู้สึกว่าพวกเขาดูผ่อนคลายลง
วันก่อนที่จะกลับมาหนึ่งวัน โม่หานต้องไปทำงานนอกเมือง มู่เฉียวจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ส่งข้อความไปให้โม่หาน “คิดถึงคุณแล้ว”
สองชั่วโมงต่อมาจึงตอบข้อความกลับ “คิดถึงมากไหม?”
“คิดถึงมาก คุณไม่คิดถึงฉันเหรอ?”
ชายคนนั้นตอบกลับว่า “อืม”
จากนั้นก็พูดเสริมว่า “ซะที่ไหนล่ะ?”
มุมปากผู้หญิงคนนั้นยกยิ้มขึ้น
“พรุ่งนี้ตอนบ่ายน่าจะได้กลับไป”
“โอเค อยู่ข้างนอกก็ระมัดระวังความปลอดภัยด้วย”
หลังจากวางมือถือลง มู่เฉียวก็หมกมุ่นอยู่กับการทำงาน วันต่อมา เธอตื่นแต่เช้า ไปที่บ้านโม่หานช่วยจัดเก็บในบ้านของเขาให้เป็นระเบียบ แล้วจึงไปทำงาน
เพียงแต่ว่าตลอดคืนนี้ มู่เฉียวไม่ได้รับข่าวคราวเลย เธอส่งข้อความไปหาเขา ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณรู้แล้วหรือยัง? ว่าประธานโม่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์”
ดินสอเขียนงานที่อยู่ในมือมู่เฉียว หลังจากได้ยินคำพูดของเสี่ยวโหรว เธอก็นิ่งอึ้งไป ออกแรงที่มี จนปลายดินสอหัก
เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่แสร้งทำเป็นกล่าวอย่างนิ่งๆว่า: “ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณรู้ได้อย่างไร?”
“เมื่อกี้ฉันไปส่งเอกสารที่แปลเสร็จแล้วที่แผนกจัดซื้อ ได้ยินผู้จัดการแผนกจัดซื้อพูด ผู้บริหารระดับสูงหลายคนต่างก็รีบเข้ามา”
มู่เฉียวก้มหน้า ไม่พูดจา
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่สบายเหรอ?”
“ฉัน….ฉัน ฉันปวดหัว เสี่ยวโหรว วันนี้ไม่ทำโอทีแล้วนะ คุณจัดการส่วนนี้สักเล็กน้อย แล้วก็เลิกงานได้” น้ำเสียงของเธอสั่นจนเกินบรรยาย
เสี่ยวโหรวรู้สึกว่าอารมณ์ของมู่เฉียวผิดปกติเล็กน้อย แต่เธอก็ยังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงไม่ได้ถามอะไรทั้งนั้น
มู่เฉียวเดินมาถึงทางเข้า โบกแท็กซี่คันหนึ่ง “พี่คนขับ รบกวน…..รบกวนไปที่…..” เธอเพิ่งรู้ว่า เธอไม่รู้ว่าสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ที่ไหน?
เธอกุมหัว ทันทีก็ตัดสินใจ เปิดเว็บBaidu เธออยากจะค้นหาว่ามีข่าวอุบัติเหตุทางรถยนต์อะไรบ้างไหม แต่ก็พบว่าไม่มี
เพียงแต่ คิดแล้วก็เข้าใจว่า ด้วยสถานะของโม่หาน ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องจริงๆ พวกเราก็ไม่สามารถเปิดเผยมันออกมาได้
“คุณผู้หญิง ตกลงคุณต้องการไปที่ไหนครับ?”
มู่เฉียวมองเขา “พี่คนขับ คุณรู้ไหมว่าบนถนนของเมืองY มีที่ไหนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์?” เธอรู้สึกว่าตนเองกระวนกระวายใจจนทำอะไรวุ่นวายไปหมด
คนขับนิ่งอึ้งเล็กน้อย “ไปเมืองYเหรอ? นั่นมันไกลมากเลยนะ เกรงว่าคุณคงต้องนั่งรถไฟไปแล้วล่ะ”
มู่เฉียวมองนอกหน้าต่าง นำมือถือกดเบอร์โทรศัพท์ต่อสายไปที่โม่หาน แต่ไม่มีคนรับ
“บางทีฉันอาจจะช่วยคุณถามดูได้ ฉันมีเพื่อนอาชีพเดียวกันที่ขับรถอยู่ที่นั่น คุณผู้หญิง คุณอย่าร้อนใจไปเลย”
มู่เฉียวพยักหน้า ไม่ร้อนใจ ไม่ร้อนใจได้อย่างไร โม่หาน คุณจะต้องไม่เป็นอะไร คุณจะมา”ล้อเล่น”กับฉันแบบนี้ไม่ได้นะ หลายปีก่อนฉันก็ต้องตกใจมาครั้งหนึ่งแล้ว พอแล้วนะ
คนขับพูดพลาง นำรถเข้าจอดข้างทาง แล้วโทรศัพท์ออกไปโดยตรง พวกเขาพูดภาษาบ้านเกิดกัน มู่เฉียวฟังไม่รู้เรื่อง
ผ่านไปครู่หนึ่ง คนขับก็หันมามองมู่เฉียว สีหน้าเศร้าเล็กน้อย “คุณผู้หญิง สถานที่ ฉันถามให้แล้ว แต่…..คุณอย่าไปดีกว่า ได้ยินว่ารถหลายคันชนกันด้วยความเร็วสูง มีรถหรูคันหนึ่ง พลิกคว่ำคาที่ ความเร็วขนาดนั้น ฉันว่า คนอาจจะไม่รอดแล้ว”
มือถือในมือของมู่เฉียวลื่นตกลงพื้น
ในทันใด เธอก็ส่ายหน้า “พี่คนขับ คุณสามารถ…..บอกสถานที่ฉันได้ไหม?” เธอไม่เชื่อว่าสวรรค์จะล้อเล่นกับเธอแบบนี้ มีชีวิตก็อยากเห็นคน ตายก็อยากเห็นศพ เธอต้องการที่จะไป
คนขับคนนั้นหยิบกระดาษจากในกล่องที่อยู่ตรงกลางออกมา แล้วเขียนที่อยู่ให้มู่เฉียว
มู่เฉียวรับมาด้วยความซาบซึ้งใจ
เพราะสถานที่ที่คนทั้งสองอยู่ค่อนข้างห่างกัน เมื่อมาถึงเมืองY ก็เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว
มู่เฉียวเรียกรถคันหนึ่ง มาถึงถนนของทางหลวง มีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ไหนกัน ถนนได้ถูกทำความสะอาดจนหมดแล้ว
เธอนั่งยองๆลงกับพื้น กุมศีรษะ “โม่หาน ตกลงคุณอยู่ที่ไหน?”
“หาเรื่องตายเหรอ? ถึงมานั่งข้างๆทางด่วน” รถผ่านไปมา คนในรถก็ลดกระจกลง แล้วตะโกนมายังเธอ
เธอเม้มริมฝีปาก กอดเข่านั่งยองๆข้างทางถนนทางด่วน เธอนำมือถือในมือ โทรไปยังเบอร์ของโม่หานไม่หยุด ความหวาดกลัวในจำอย่างไรก็จนปัญญาที่จะระงับได้
“เอี๊ยด” เสียงล้อยางกระทบกับพื้น ในทันทีก็มีรถคันหนึ่ง มาจอดลงที่ตรงหน้าของเธอ
พอเปิดประตู ชายคนหนึ่งก็ลงมาจากรถ
เธอไม่ใช่พระแม่มารี จึงไม่สามารถตอบโต้ความเลวด้วยความดีได้ ตลอดปีนั้นความเจ็บปวดที่มีต่อเธอและคนในครอบครัว เธอลืมไม่ลงจริงๆ
ที่เธอยอมรับโม่หาน หนึ่งคือเขาเป็นพ่อของมู่เสี่ยวโยว สองคือ แม้ว่าโม่หานจะเป็นคนไม่ดี แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว เขาไม่ได้ทำร้ายเธอแต่อย่างใด ยกเว้นแต่คำพูดเป็นพิษเป็นภัยเล็กๆน้อยๆ
แต่คนตระกูลโม่ไม่เหมือนกัน ตลอดหนึ่งปีนั้น ถ้าเธอต้านทานแรงกดดันได้ไม่ดีพอ สงสัยว่าเธอคงจะฆ่าตัวตายไปแล้ว
ทั้งมีชู้ ทั้งยุ่งวุ่นวาย ทั้งเจ้าแผนการ การกล่าวโทษต่างๆนานา ทำให้ตลอดชีวิตของเธอลุกขึ้นยืนหยัดไม่ได้
โม่หานลูบหัวเธอ “ขอโทษนะ”
มู่เฉียวกล่าวว่า “ต่อไปอย่าให้พวกเขาให้เงินเสี่ยวโยวอีก เด็กยังเล็กไม่รู้เรื่องอะไร อาจจะขว้างทิ้งตามอำเภอใจได้”
ตอนนี้โม่หานก็ไม่ได้พูดอะไร
หลังจากมั้งสองคนนั่งอยู่ในรถสักพัก
มู่เฉียวเสนอว่า “ลงจากรถแล้วไปเดินเล่นไหม?”
ที่นี่ถูกรัฐบาลปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นรีสอร์ตแล้ว ไม่ไกลจากหมู่บ้านมีลำธารเล็กๆหนึ่งสาย น้ำในลำธารใสมาก
มู่เฉียวเดินควงแขนโม่หาน เหมือนกับคู่รักอื่นๆที่มาที่นี่ ทั้งสองคนเดินๆหยุดๆ พูดคุยหัวเราะกัน สบายใจอย่างมาก
โชคดีที่ที่นี่อยู่ห่างไกลจากบ้านหน่อย พ่อแม่มักชอบเข้านอนเร็ว จึงไม่สามารถมาที่นี่ได้
“มู่เฉียว”
จู่ๆมู่เฉียวก็ได้ยินว่ามีคนเรียกเธอ หันกลับไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอ
ลูกสาวของป้าหลิว? จ้าวเชี่ยน ท้องใหญ่มาก ชายที่อยู่ข้างๆหน้าตาสุภาพเรียบร้อย หลังจากเรื่องวันนั้น ทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันสองสามปี
จ้าวเชี่ยนรู้จักกับโม่หาน
มู่เฉียวปิดบังไม่ทัน ฉะนั้นเธอจึงเอาผมทัดด้วยความเขินอาย ชี้จ้าวเชี่ยนแนะนำกับโม่หาน “โม่หาน คนนี้คือ……”
“ประธานโม่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
โม่หานพยักหน้าให้เธอเล็กน้อย “ครับ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
มู่เฉียวประหลาดใจ “พวกคุณ……รู้จักกันเหรอ?”
จ้าวเชี่ยนดึงมู่เฉียวเข้ามา “มีครั้งหนึ่ง เขาอยู่ด้วยกันกับดาราสาวคนหนึ่ง ฉันคิดว่าเขาทิ้งคุณแล้ว ก็เลยโกรธนิดหน่อย ในตอนนั้นจึงเขียนให้เขาเกินจริงไปหน่อย ต่อมาเขาก็แทบจะแบนฉันเลย” พูดถึงตรงนี้ จ้าวเชี่ยนมองมู่เฉียวแล้วหัวเราะ “ฉันโกรธมากก็เลยพูดว่า ใครให้คุณทำมู่เฉียวของเราเสียใจล่ะ หลังจากนั้นฉันก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งและขึ้นเงินเดือน”
มู่เฉียวหันกลับไปมองโม่หาน เม้มปาก “เดิมทีฉันยังคงมีประสิทธิภาพอยู่”
จ้าวเชี่ยนตีหลังมือเธอ “แสดงให้เห็นว่าเขานังสนใจคุณอยู่ ต่อมาเนื้อหาข่าวในเชิงลึกที่ฉันได้สืบมา หลายๆเรื่องเขาจงใจให้คนถ่าย และให้คนเขียนขึ้นมา ก็รู้สึกว่าพวกคุณยังคงมีความหวัง หึหึ คาดไม่ถึงว่าฉันจะเดาถูกด้วย”
“เสี่ยวเชี่ยน แม่โทรหาพวกเราแล้ว ใช่ไหม……” จู่ๆผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังจ้าวเชี่ยนก็พูดตัดบทจ้าวเชี่ยน
“แม่คุณ หรือแม่ยายคุณล่ะ?”
“แม่ฉัน”
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า ก้มลงไปกระซิบข้างๆหูจ้าวเชี่ยน จ้าวเชี่ยนเบิกตาโพลง ชี้ไปที่เธอแล้วก็ชี้ไปที่โม่หาน ทำท่าทางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “โอเค ฉันจะเก็บเป็นความลับ ถึงอย่างไร ก็เป็นหนี้ความมีน้ำใจของเขาไม่ใช่เหรอ?”
โม่หานเดินเข้ามาโอบเอวมู่เฉียว “ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ”
หลังจากที่กล่าวลากันแล้ว มู่เฉียวจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมถามเรื่องการตั้งครรภ์ของจ้าวเชี่ยน จึงเสียดายเล็กน้อย
หาร้านอาหารเล็กๆที่ไม่สะดุดตาร้านหนึ่ง สั่งอาหารที่โม่หานชอบสองสามอย่าง แล้วสั่งอาหารเย็นอีกหนึ่งจาน
เมื่อตะเกียบของเธอจะยื่นเข้าไป ชายคนนั้นก็คีบตะเกียบไว้ แล้วส่ายๆหัว
“ทำไมเหรอ?”
“สองวันนี้มีประจำเดือนไม่ใช่เหรอ? ทานของเย็นให้น้อยหน่อย” พูดจบ ก็ยกจานผักนั้นไปไว้ข้างๆ แล้วตักซุปให้มู่เฉียว
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อในทันที ก้มหน้า ไม่ได้พูดอะไรมาก
คนคนหนึ่งที่ยุ่งมาก คาดไม่ถึงว่าจะจดจำเรื่องนี้ใส่ใจ ถ้าจะบอกว่าไม่ประทับใจ ก็โกหกแล้ว
หลังจากทานเสร็จ มู่เฉียวช่วยโม่หานหาโรงแรม ที่นี่อาจจะไม่ถือว่าหรูหราที่สุด แต่สะอาดและสงบอย่างมาก
ในโรงแรม คนทั้งสองอยู่ด้วยกันครู่หนึ่ง โม่หานกำลังโทรศัพท์ มู่เฉียวเล่นเกมอยู่ข้างเตียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายหนุ่มวางสายแล้ว เอนตัวลงนอนข้างๆมู่เฉียวด้วยอารมณ์ที่ดีอย่างมาก แล้วแย่งมือถือจากในมือของเธอ
“เฮ้อ ด่านนี้จะผ่านแล้ว คุณให้ฉันเล่นให้จบก่อนสิ”
“ตรงนี้ ต้องเพิ่มการติดตั้งอุปกรณ์ให้มัน คุณดู แบบนี้ จะเร็วขึ้นอย่างมาก”
มู่เฉียวมองชายหนุ่มอย่างเหลือเชื่อที่เล่นด่านที่ผ่านได้ยากของเธอ ให้ผ่านไปได้โดยง่าย แสดงใบหน้านับถือ “โม่หาน ที่แท้คุณก็เล่นเกมเหมือนกันเหรอ?”
ชายหนุ่มก้มลงไปจูบที่ใบหน้าของมู่เฉียว “บางครั้งความกดดันในการทำงานมากเกินไป ก็จะเล่นนิดหน่อย”
มองผู้ชายที่อยู่ข้างๆคนนี้ มู่เฉียวก็พบว่า ตนเองรู้จักเขาน้อยเกินไปจริงๆ อันที่จริงแล้ว เขาก็เป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาทั่วไป ที่เล่นเกมได้ เจ็บปวด เหงา และตกหลุมรักได้ เหมือนกับผู้ชายทุกคนในวัยเดียวกัน
แต่ในสายตาของคนทุกคน เขาคือเทพบุตร ไม่มีอะไรที่โม่หานทำไม่ได้ แต่น้อยคนมากที่จะใช้ความคิดอย่างคนธรรมดาทั่วไปมามองเขา
ที่เรียกว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ก็อาจจะเป็นความหมายนี้
เธออดไม่ได้ที่จะขยับเข้าไปข้างๆชายหนุ่ม โอบกอดเขา “โม่หาน ต่อไปถ้าคุณรู้สึกกดดันมาก ลำบากมาก หรือตอนที่โดดเดี่ยว คุณจำไว้นะว่า ยังมีฉันอยู่”
ชายหนุ่มตกใจเล็กน้อย จากนั้น เมื่อหันกลับมาก็เห็นถึงความรักอย่างสุดซึ้งในสายตาของหญิงสาว
เขาไม่พูดจา ลุกขึ้นนั่ง พิงตัวกับเตียง นำมู่เฉียวมาไว้ในอ้อมกอดของเขา “มู่เฉียว ฉันโชคดีจริงๆที่ได้พบคุณ”
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดจา เธอคิดว่าทำไมจะไม่ใช่ล่ะ
อยู่กับโม่หานจนสามทุ่มแล้ว มู่เฉียวก็บอกว่าตนเองจะกลับแล้ว
ชายหนุ่มโอบกอดเธอเหมือนกับเด็กๆ “ฉันอยู่คนเดียว กลางคืนคงเหงาแย่เลย”
ลูบหัวเขา มู่เฉียวหัวเราะเบาๆ “อย่างนั้น ไปบ้านฉัน กล้าไหมล่ะ?”
‘คุณกล้าไหมล่ะ?”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แต่ไม่พูดอีก พวกเขารู้ดีว่า สถานการณ์แบบนี้ ทำได้เพียงแค่พูดคุยเท่านั้น
เช้าวันต่อมา วันขึ้นปีใหม่ หลังจากมู่เฉียวและพ่อแม่ไปอวยพรปีใหม่ให้ญาติในหมู่บ้านด้วยกันแล้ว ก็บอกกับพ่อแม่ว่า จะพาเสี่ยวโยวไปเดินเล่น
“เสี่ยวโยว แม่จะพาคุณไปพบกับคนคนหนึ่ง”
“ใครเหรอ?”
“พ่อ”
แต่เสี่ยวโยวปล่อยมือของมู่เฉียวทันที ยืนอยู่กับที่ แล้วส่ายหน้า
“เป็นอะไรไป?” มู่เฉียวหันกลับไปมอง
“แม่ แม่ของเพื่อฉันบอกว่า คนที่ไปสวรรค์แล้ว ก็คือตายไปแล้ว ฉันไม่อยากให้คุณตาย” พูดถึงตรงนี้ มู่เสี่ยวโยวก็ร้องไห้เสียงดัง
เด็กสองสามขวบ ในสมองไม่สามารถคิดซับซ้อนได้มากนัก
“พ่อไม่ได้ตาย เขามาหาเสี่ยวโยวแล้ว เพียงแต่ ตอนนี้พ่อต้องทำเรื่องที่เป็นความลับเรื่องหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคุณไปพบเขาแล้ว ก็ห้ามบอกคนอื่น รวมทั้งคุณตาคุณยายด้วย ได้ไหม? รอให้พ่อทำเรื่องนี้เสร็จสิ้นแล้ว พวกเราค่อยบอกพวกเขา โอเคไหม?” พามู่เสี่ยวโยวไปเจอโม่หาน เป็นเรื่องที่มู่เฉียวอยากทำมาโดยตลอด
มู่เสี่ยวโยวใช้มือน้อยๆเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “แม่ เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
มู่เฉียวพยักหน้า
กับมู่เสี่ยวโยวที่จู่ๆก็มา ทำให้โม่หานรู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก กระทั่งทึ่มทื่อไปเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่มู่เฉียวเห็นหมดหนทางแบบนี้
มู่เฉียวหยิบที่คาดผมขึ้นมาบนโต๊ะและโบกมือให้ลูกพี่ลูกน้องของเขา “พูดถึงอันนี้เหรอ?”
ลูกพี่ลูกน้องรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาจับมันด้วยมือทั้งสองข้าง
มู่เฉียวขมวดคิ้ว
“พี่สาว ที่คาดผมนี้มีมูลค่าหลายล้านเหรียญ พี่ใช้เป็นที่คาดผมของมู่เสี่ยวโหยว ไม่กลัวถูกกระชากหรือไง?”
มือของมู่เฉียวสั่น และหวีระหว่างนิ้วของเธอก็ตกลงไปบนโต๊ะ เธอก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “อะไรนะ?
ลูกพี่ลูกน้องของฉันชี้ไปที่เพชรที่อยู่บนนั้น “พี่สาว ดูสิ เพชรเม็ดนี้เป็นเพชรจริงๆ เมื่อพิจารณาจากน้ำเทคโนโลยีการตัดแล้ว มันคืองานของปรมาจารย์อย่างแน่นอน”
“จริงเหรอ…เพชรจริงเหรอ” มู่เฉียวสูดหายใจ
ลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็นคนประเมินราคาอัญมณี มู่เฉียวไม่สงสัยในสิ่งที่เขาพูด เสี่ยวโยวชอบที่คาดผมนี้มาก เขาจะคาดมันทุกวันและไม่เคยเปลี่ยน
ตอนแรกมู่เฉียวคิดว่าแม่ของเธอซื้อให้แต่ไม่ได้สังเกตเพชรบนนั้น เธอคิดว่ามันสวยและวาววับมาก วงแหวนผมสีดำ โบสีแดงเข้ม และเพชรประกายตรงกลางแบบไม่ธรรมดา แม้ว่ามันจะดูงดงาม มู่เฉียว ไม่เคยคิดว่าเพชรตรงกลางจะเป็นของจริง
หลังจากฟังลูกพี่ลูกน้องแล้ว เธอก็หยิบขึ้นมาดูใกล้ๆ กัน จากนั้นเธอก็พบว่ามีแหวนไหมทองที่ข้างคันธนูสังเกตเห็นได้ยาก
“มันทำมาจากด้ายสีทองจริงๆ” ลูกพี่ลูกน้อง ในมือของเธออีกครั้งแล้วมองกลับไปกลับมา
“มีด้ายเส้นนี้ด้วย คุณดูอาจธรรมดา เท่าที่ฉันรู้นี่น่าจะเป็นไหมทะเล ของที่หาซื้อยากในโลกนี้ มันควรจะแปรรูปด้วยกระบวนการพิเศษ ที่คาดผมชิ้นนี้สามารถซื้อบ้านสองหลังในเมือง A ได้เลย” ขณะที่เขาพูด เขาก็รีบคืนที่คาดผมให้มู่เฉียวอย่างระมัดระวัง
มู่เฉียวจับที่คาดผมไว้เธอและตกลงไปที่พื้น ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในใจของเธอ
เธอหยิบมันขึ้นมา
เดินไปหามู่เสี่ยวโยว “มู่เสี่ยวโหยว บอกแม่หน่อยว่า ใครซื้อที่คาดผมนี้ให้?”
มู่เสี่ยวโยวนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ขนาดเล็กที่คุณปู่ทำขึ้นเป็นพิเศษสำหรับเธอ มองขึ้นไปที่มู่เฉียว แล้วหุบปาก และส่ายหัว คุณย่าและคุณปู่บอกว่าถ้าเธอบอกแม่ของเธอ พวกเขาจะหายตัวไป
“พูดไม่ได้” มู่เสี่ยวโยวไม่เคยเห็นมู่เฉียวที่จริงจังขนาดนี้มาก่อน และรู้สึกตกใจเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง
ลูกพี่ลูกน้องก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติและนั่งยอง ๆ ข้าง มู่เสี่ยวโยว”เสี่ยวโยวบอกลุงหน่อยได้ไหมว่าใครให้สิ่งนี้?”
มู่เสี่ยวโยวเป็นคนตัวเล็ก แต่เธอมีความคิดของเธอเอง เช่นเดียวกับ มู่เฉียวเมื่อเธอยังเป็นเด็ก คนอื่นๆ จะเปลี่ยนสิ่งที่เธอไม่ต้องการจะพูดได้ยาก
ในฐานะแม่ของเธอมู่เฉียวรู้ดี เธอคิดเกี่ยวกับมันและเปลี่ยนวิธีอื่น “เพราะคนที่ให้มันกับเธอไม่ต้องการให้บอกแม่ใช่ไหม?”
มู่เสี่ยวโหย่วพยักหน้า
มู่เฉียวจ้องไปที่คาดผมอีกครั้ง และคนส่วนใหญ่ไม่สามารถมอบสิ่งที่ล้ำค่าให้กับ มู่เสี่ยวโยว ตั้งแต่ยังเป็นเด็กได้
แล้วยังส่งให้แบบเงียบๆ
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่กล้าให้ทางการเงินของคนที่ให้ต้องมีกินมีใช้ไม่หมดแน่
เธอนึกถึงโม่หานคนที่มีทรัพยากรทางการเงินและเหตุผลที่จะส่งให้
“ช่วยดูเธอไว้ให้หน่อย ฉันลองโทรสอบถามดู” มู่เฉียวพูดจบ และเมื่อเขาเดินไปที่บ้าน เธอก็โทรหาโม่หาน โม่หานมองดูรถและเห็นหมายเลขของมู่เฉียว และกดเปิดลำโพงเพื่อพูดสาย “อยู่ระหว่างทาง ผมน่าจะไปถึงตอนบ่ายโม่งครึ่ง”
“คุณขับรถอยู่เหรอ”
“ใช่.”
“ทำไมไม่ให้คนขับรถขับ”
“แล้วคุณว่าไงละ?”
เมื่อเขาพูดขึ้น มู่เฉียว ก็ยอมแพ้อีกครั้ง เส้นทางไปหาเธอมันไม่ง่าย เธอไม่ต้องการโน้มน้าวเขา ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรอให้เขามาถามอีกครั้ง
เมื่อกลับมา เสี่ยวโยวกำลังร้องไห้ อาจเป็นเพราะเธอกลัวที่ผู้ใหญ่สองสามคนถามเธอ มู่เฉียวก็ขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้น?”
แม่ทักเธอ “ฉันเพิ่งได้ยินลูกพี่ลูกน้องของเธอบอกว่าที่คาดผมของ เสี่ยวโยวหลายล้าน?”
มู่เฉียวกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยแน่นอน พ่อแม่ของฉันทำงานหนักมาทั้งชีวิต และคาดว่าพวกเขาน่าจะมีไม่ถึงหลายล้าน”
“พ่อแม่ หนูจะออกไปข้างนอกสักพัก พอดีเพื่อนร่วมงานมาที่นี่ หนูจะพาเขาไปเที่ยวหน่อย”
พ่อแม่พยักหน้า “แล้วเรื่อง…”
“เรื่องนี้ จะตรวจสอบเอง อย่าเพิ่งบอกอะไรออกไป”
เธอเหลือบมองลูกพี่ลูกน้องของเธอที่ส่ายหัว “ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น”
มู่เฉียวเดินไปที่ทางเข้าหมู่บ้านและรอสักครู่ เธอเห็นรถออฟโรดขับผ่านไป มันเป็นแบรนด์ชั้นนำ เมื่อเธอเห็นเขาอยู่ที่นั่น ชายคนนั้นเหยียดแขนออกและโบกมือให้เธอ มู่เฉียวโบกมือให้เขาหยุดรถ ถัดจากเขา เขาเปิดประตูที่นั่งผู้โดยสาร แล้วนั่งลง
โม่หาน ในชุดเบสบอลสีดำและเสื้อสเวตเตอร์มีฮู้ดสีขาวอยู่ข้างใน รู้สึกกระฉับกระเฉง
ดึงเธอและจูบใบหน้าของเธอ
มู่เฉียวตบไหล่เขา “เดี๋ยวมีคนเห็น”
ชายคนนั้นเสียใจมาก “คุณมารอที่ข้างถนนคุณกลัวว่าคนจะเห็นหรือ”
มู่เฉียวไม่อยากเถียงกับเขา ดึงที่คาดผมออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วกางออกในฝ่ามือ “คุณเป็นคนให้เสี่ยวโยวหรือ?”
โม่หานหยิบมันขึ้นมาและมองดูมันขมวดคิ้ว “ไม่”
“ไม่ใช่คุณ? แล้วใคร?” มู่เฉียวสับสนเล็กน้อย
“คนให้นี้ใจกว้างจริงๆ” โม่หานกล่าว
เป็นคนรอบรู้จริง “คุณดูมันออก”
“บางที ฉันเดาได้ว่าเป็นใคร”
มู่เฉียวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “ใคร?”
โม่หานปลดเข็มขัดนิรภัย เปลี่ยนท่าทาง และมองมู่เฉียว “น่าจะเป็นปู่กับย่า”
เพราะเขาได้ยินคนพูดมาก่อนว่าปู่ย่าใช้เงินเยอะ
พวกเขาขอให้ใครสักคนทำเครื่องประดับเล็กๆ เขาไม่ได้ถามว่ามันคืออะไร คิดว่าทำให้พวกเขาเอง แต่เขาไม่ได้คาดว่าจะทำเพื่อส่งให้มู่เสี่ยวโยว
“อ่า เป็นไปได้ยังไง…” คำตอบนี้ไม่คาดคิดสำหรับมู่เฉียว ในปีนั้น ครอบครัวตระกูลมู่ ทำให้เธอเสียชื่อเสียง และย่าโม่และปู่โม่ ก็พูดแทนเธอในตอนแรก ต่อมา คุณนายโม่ไม่รู้ว่ามาจากไหน หลังจากทำการทดสอบความเป็นพ่อ เธอแค่พูดว่าโม่เสี่ยวโยวไม่ใช่ลูกหลานตระกูลโม่ และผู้สูงอายุสองคนก็เงียบปล่อยให้คุณนายโม่ ทำให้เธออับอายและทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เม้มปากและเอาที่คาดผมไว้ในมือของโม่หาน “รบกวนคุณช่วยฉันคืนให้หน่อย ของชิ้นนี้แพงเกินไปฉันรับมันไว้ไม่ได้”
โม่หานถือมันไว้ในมือแล้วหันกลับมา “ไม่ใช่ให้คุณ แต่ให้เสี่ยวโยว”
“โม่หาน ถ้าให้ใครรู้ว่าเสี่ยวโยวมีสิ่งล้ำค่าอยู่บนหัวของเธอ มันจะทำให้เธอเป็นอันตราย” นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เธอกลัว โชคดีที่มีคนจำนวนมากที่ ไม่รู้จักของแบบนี้เหมือนเธอ หลายๆ อย่าง นึกไม่ถึงจริงๆ
“คุณปู่และคุณย่าอาจพิจารณาถึงแง่มุมนี้ด้วย ดังนั้น ฟังนะ มู่เฉียว ถ้าพวกเขา…”
“ไม่” ดูเหมือนว่าเธอจะรู้ว่าเขาต้องการจะพูดอะไร มู่เฉียวปฏิเสธโดยไม่รอให้เขาพูดจบ หลังจากคิดแล้ว เขาก็เสริมอีกประโยคหนึ่งว่า “ฉันไม่คัดค้านที่พวกเขาแอบมาหามู่เสี่ยวโยวเป็นการส่วนตัว แต่ฉันยังไม่อยากคุยและเผชิญหน้าตอนนี้”
มู่เฉียวส่ายหัว “อย่า ฉันรู้ว่าคุณจะไม่สบายได้”
“คุณแค่คิดว่าร่างกายส่วนล่างครึ่งหนึ่งผมเป็นสัตว์ก็ได้”
เธอเม้มริมฝีปากของเธอและยิ้มไม่ออก “ผู้ชายยังใช้ร่างกายส่วนบนเพื่อคิดเกี่ยวกับปัญหาอยู่หรือ”
“มู่เฉียว!” เขาดุอย่างเย็นชา
เธออยู่ในอ้อมแขนและลูบเขาเบาๆ “ได้ ฉันจะไม่กลับวันนี้ แต่พ่อแม่ของฉันต้องสงสัยเอาได้ ดังนั้นอยู่ที่นี่สักพักแล้วค่อยกลับ”
โม่หานไม่พูด กอดเธอ ก้มลงมองดูคางที่ชี้ชัดของเธอ ขมวดคิ้ว “ทำงานอย่าให้มันเหนื่อยเกินไป”
เธอหลับตาแล้วบ่นว่า “ไม่มีทางนี้ ไม่มีใครมาเลี้ยงดูฉัน”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลืมตาและมองตาของเขา “ประธานโม่ คนก็นอนกับคุณแล้ว ให้บัตรใช้ใบหนึ่งซิ ฉันได้ยินจากคนนอกบอกว่าประธานโม่ใจดีมาก และเขาใช้เงินไปเยอะมากทุกครั้ง”
ชายคนนั้นอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขน สีหน้าของเขาเย็นลง “คนก็เป็นของคุณทั้งหมดแล้ว คุณยังไม่พอใจอีกหรือ?”
วันรุ่งขึ้น เมื่อได้รับพัสดุ มู่เฉียวมองดูบัตร และเธอก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เขาส่งข้อความถึงโม่หานว่า “โม่หาน คุณทำกับฉันเหมือนผู้หญิงพวกนั้นจริงๆ หรือ”
โม่หานอยู่ข้างนอก เมื่อได้รับข้อความ เขาขมวดคิ้วและตอบกลับมาว่า “เมื่อแต่งงานในอนาคต ไว้ใช้มันซื้ออาหาร และแน่นอนคุณนายโม่มีสิทธิ์ควบคุมมันได้ทั้งหมดตลอดเวลา”
คุณนายโม่คำเดียว ในใจมู่เฉียวมันช่างรู้สึกอ่อนหวานอยู่ในใจ มองโทรศัพท์ แล้วยิ้มเหมือนเด็ก
เมื่อเสี่ยวโหรวกลับมาจากส่งเอกสาร เธอเห็นมู่เฉียวเหมือนกำลังอยู่ในคลื่นหัวใจฤดูใบไม้ผลิ หลังจากที่เรื่องจบลงเมื่อวานนี้ เธอส่งข้อความถึงเสี่ยวโหรว เด็กสาวตัวเล็ก ๆ ถือว่าเธอเป็นผู้มีพระคุณ เมื่อเธอมาตอนเช้า ถึงกับรีบยกชาและเทน้ำให้จนแทบทำทุกอย่างให้
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณกำลังมีความรักหรือเปล่า?”
มู่เฉียวรู้สึกเขินอายเล็กน้อย “สาวน้อย พูดเรื่องไร้สาระอะไร ลูกของฉันเทซอสเองได้แล้ว” หลังจากพูด มู่เฉียวได้นำการ์ดใส่ในกระเป๋า
ต่อมาทุก ๆ สามถึงห้า มู่เฉียว จะถูกโม่หาน หลอกให้เข้าไปในบ้านของเขาด้วยเหตุผลต่างๆ นานา และประธานโม่ผู้อยู่ยงคงกระพันจะเล่นเป็นพวกอันธพาลต่อหน้าเธอ
การประเมินชีวิตส่วนตัวของเขาแย่ลงไปอีก ฉันได้ยินมาว่าเขาสนับสนุนนักศึกษาด้วย
ในบริษัท มู่เฉียวและโม่หาน ไม่เคยพบกันทำตัวเหมือนดังคนแปลกหน้า
ก่อนปีใหม่ พวกเขาทำงานแปลได้เสร็จก่อนเวลา จึงได้พักร้อน 15 วัน
พ่อแม่แนะนำให้เธอพามู่เสี่ยวโยวไปที่บ้านปู่ย่าในชนบทเพื่อเฉลิมฉลองปีใหม่
มู่เฉียวพยักหน้า แม้ว่าบ้านของปู่ย่าของเธอจะอยู่ในชนบท แต่ก็เป็นหมู่บ้านโบราณที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ ดังนั้น จึงได้รับการพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเมื่อหนึ่งปีก่อน ในช่วงวันหยุด ผู้คนจำนวนมากมาที่นี่ ผู้ใช้แรงงานที่อยู่ข้างนอกหมู่บ้านก็กลับมาเช่นกัน
หมู่บ้านที่เคยเงียบสงบมักจะมีชีวิตชีวามากขึ้นในทันใด
เมื่อรู้ว่าพวกเขากำลังจะกลับมาในช่วงปีใหม่ ผู้สูงอายุสองคนจึงมีความสุขมากที่ได้จัดห้องไว้แต่เนิ่นๆ
ในวันที่เธอจากมา เธอส่งข้อความถึงโม่หาน โดยบอกว่าเธอกลับไปต่างจังหวัดในช่วงปีใหม่ และขอให้เขาดูแลตัวเองและสวัสดีปีใหม่ล่วงหน้า
เมื่อข้อความถูกส่งไป โม่หานเพิ่งลงจากเครื่องบิน “เมื่อทางนี้จัดการเรียบร้อยแล้วผมจะตามไป”
“คุณจะมา อย่ามาดีกว่า ถ้าพ่อแม่ของฉันรู้…”
“มาท่องเที่ยว”
มู่เฉียวเม้มปาก “ตกลง”
ในวันขึ้นปีใหม่ทั้งคุณลุงและคุณลุงสองเข้ามาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น
เมื่อเทียบกับความสามัคคีของตระกูลมู่ ตระกูลโม่นั้นรกร้างมาก
ปู่โม่และย่าโม่เริ่มแก่ขึ้นแล้ว ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะผู้ชายเข้ามาแทรกแซง ทั้งสองคนจึงเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด
หานฉุนกล่าวว่าเขาจะไม่สามารถกลับมาจากการถ่ายทำได้ และ หานเสว่กล่าวว่าเขาได้มาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการวิจัยของเขาแล้วและจะไม่สามารถกลับมาได้
“ลุงฮานไม่รู้ว่าวันนี้จะรีบกลับได้หรือเปล่า” จู่ๆ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นระหว่างกินข้าว เพราะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คุณนายโม่จึงไม่กล้าเรียกพ่อของเขาต่อหน้า ของโม่หาน
ย่าโม่มองดูโม่หาน “หาน เธอจะกำเนิดลูกให้ฉันกับคุณปู่ของเธอเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าเราจะลงดินเมื่อไหร่”
โม่หานหนีบรากบัวต้มชิ้นหนึ่งลงในชามของคุณย่าแล้วพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อน”
คุณนายโม่ตกตะลึง มีปฏิกิริยาทันที และป้อนข้าวสองสามคำลงในชาม
“ถ้าเธอมีความสามารถ ก็พาเธอกลับมา” บางทีอาจเป็นเพราะปู่โม่และย่าโม่อายุเยอะขึ้น ดูเหมือนจะโหยหาเด็กมากขึ้น
“พ่อ พวกเขาก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ลูกของโม่หาน”
ทุกคนที่โต๊ะหยุดพูด ใช่ไม่ใช่ ในใจทุกคนรู้ดี
โม่หานวางตะเกียบลง “คุณปู่กับคุณย่า ผมมีธุระจะออกไปข้างนอกหน่อย ตอนเย็นน่าจะไม่กินข้าวบ้าน” น้ำเสียงของเขาดูไม่ค่อยมีความสุข
“ได้ ได้…”
หลังจากโม่หานจากไป ย่าโม่ลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่คุณนายโม่ “เธอดู ถ้าไม่ทำแบบนั้นในตอนนั้น ครอบครัวนี้จะเป็นแบบนี้ได้ยังไง เป็นลูกหลานของตระกูลโม่ แท้ๆ กลับให้ใช้นามสกุลมู่ สงสารก็แต่เหลนของฉัน เขาไม่รู้จักย่าทวดอย่างฉันด้วยซ้ำ”
สีหน้าของคุณนายโม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แม่ แม่แอบไปส่องเธออีกแล้วหรือ”
“อะไรคือแอบมอง เหลนของฉัน ฉันมองดูโดยตรง” แต่เมื่อนึกถึงหลานที่สมควรเรียกว่าย่าทวด แต่นางกุมมือนางก็ตะโกนว่าย่า ย่าดีมากเลย และดีพอกับย่าที่บ้านเลย”
“คุณย่า ทำไมบอกแม่ไม่ได้ว่าเจอคุณย่าที่ใจดีเหมือนเหมือนนางฟ้า”
“คุณย่า ทำไมคุณย่ากับคุณปู่จึงไม่มาหาหนูนานแล้ว หนูคิดถึงท่านมากเลย” เสียงที่อ่อนโยนทำให้หัวใจของผู้อาวุโสทั้งสองอบอุ่นขึ้น
…
หน้าเล็กนั่น ยิ่งโตขึ้นยิ่งคล้ายโม่หาน ไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลโม่ ได้อย่างไร แต่เธอก็ยังเชื่อเรื่องไร้สาระของลูกสาวและปล่อยให้เธอทำร้ายมู่เฉียว เธอจะมีสิทธิ์อะไรกลับไปหาหลานคนนี้?
“เดี๋ยวนะ คราวที่แล้วคุณซื้อสติกเกอร์ที่เสี่ยวโยวพูดถึงหรือเปล่า” จู่ๆ ปู่โม่ก็พูดขึ้น
ย่าโม่ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ดูฉันสิ ฉันลืมอีกแล้ว อีกสักพักเราจะลองไปหาดู คราวหน้าตอนเธอเปิดเรียนจะได้ส่งให้เธอ”
“พ่อ ทำไมพ่อถึงบ้าไปกับแม่แล้ว หานฉุนและโม่หานอายุยังน้อยอยู่เลย กลัวว่าจะไม่เหลนให้กอดเหรอ?”
ชายชราทั้งสองหันกลับมามองเธออย่างเย็นชา
“พวกเขายังเด็ก แต่เรากำลังจะตาย เรารอไม่ไหวแล้ว” ก่อนหน้านั้นที่ปู่โม่กล่าวถึงใบหน้าที่นุ่มนวลของ มู่เสี่ยวโยว ทันใดนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เย็นลง
หลังจากพูดจบ ย่าโม่ก็ผลักปู่โม่ว่า “เสี่ยวโยวของเราเคยพูดครั้งที่แล้วว่าจะซื้อรูปอุลอะไรนะที่เป็นรูปภาพ”
“อุลตร้าแมน”
“อ๋อ ใช่ อุลตร้าแมน เราออกไปซื้อกันเถอะ”
คุณนายโม่มองไปที่หลังของทั้งสองที่ลอยออกไป นั่งอยู่บนโต๊ะ ไม่สามารถพูดในสิ่งที่รู้สึกในใจได้
ชนบท
หลังอาหารเช้า มู่เฉียวกำลังจะผูกผมให้มู่เสี่ยวโยว ดังนั้นเขาจึงหยิบผ้าผูกผมและหวีขึ้นมา จู่ๆ ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยก็ขอให้เธอช่วยขยับของบางอย่าง และเธอก็วางผ้าผูกผมไว้บนโต๊ะตามใจชอบ ผลที่ได้คือ นัยน์ตาของลูกพี่ลูกน้องเป็นประกาย มองดูผ้าผูกผมบนโต๊ะ “พี่ ไปเอานี่มาจากไหน”
“เมื่อวานฉันแปลเอกสารสัญญาจาก3%เป็น30% ฮือๆ…… ทำไงดี ?ทำไงดี?”
ปากกาในมือของมู่เฉียวตกลงบนโต๊ะ สีหน้าเธอสู้ไม่ดีน่ะ “เสี่ยวโหรว นี่…ความผิดพลาดแบบนี้… ” เธอพูดไม่ออกหน้านิ่วคิ้วขมวดกับความผิดพลาดง่าย ๆ
ตอนนี้ทางMy กรุ๊ปต้องการให้รับผิดชอบพี่เสี่ยวเฉียว ฉันจะถูกไล่ออกจากบริษัทไหม? ”
ในสายงานของพวกเขา การแปลผิดบางครั้งอาจถึงแก่ชีวิตได้ ไม่ต้องพูดถึงตัวเลขที่ผิด มู่เฉียวรู้สึกปวดหัว เธอก็เคยผ่านวัยของเสี่ยวโหรว มาก่อน
เธอรู้ดีว่าการที่บัณฑิตจบใหม่มีงานทำที่มั่นคงและดีนั้นยากเพียงใด
“ข้อผิดพลาดนี้ เธอไม่ควรกระทำ ”
เสี่ยวโหรว พยักหน้า ร้องไห้เสียใจมาก ฉันรู้ พี่เสี่ยวเฉียว พี่คิดว่าฉันควรทำอย่างไง? ครอบครัวของฉันมีน้องชาย 1 คน กำลังเรียนมหาวิทยาลัย พ่อของฉันร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง กว่าฉันจะหางานได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สามารถช่วยแม่แบ่งเบาภาระได้บ้าง แต่ตอนนี้……”
“บริษัทรู้เรื่องหรือยัง ?”
เสี่ยวโหรวส่ายหัว, “ยังไม่รู้,พวกเขารอการยืนยันจากพี่,ถึงจะรายงาน,ฉันมาทำงานตอนเช้า,My กรุ๊ปถึงได้แจ้งให้ฉัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องให้ My กรุ๊ป ปิดเรื่องนี้ก่อน。”
เป็นไปไม่ได้ เรื่องนี้ ว่ากันว่าโม่หานเป็นคนตรวจพบ ตอนนั้นเขาโกรธมาก ฮือๆ… ถึงแม้ โม่หาน จะดีต่อพนักงาน แต่ถ้าอยู่ในระหว่างงาน ก็ไร้ความเอ็นดูเช่นกัน
ได้ยินมาว่าเป็นโม่หาน มู่เฉียวถอนหายใจด้วยความโล่งอก และยิ่งลำบากใจขึ้นไปอีก เธอไม่ต้องการใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเพื่อจัดการกับเรื่องนี้
โม่หานก่อตั้งบริษัทและมีหลักการเสมอมา เธอไม่ต้องการทำให้เขาอับอาย
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโหรว มักจะทำสิ่งต่าง ๆ แม้ว่าเธอจะอายุน้อย แต่เธอก็พิถีพิถันมากและมีความคิดของตัวเอง ความผิดพลาดดังกล่าว หากเธอถูกไล่ออกจากบริษัท จะส่งผลต่ออนาคตของเธออย่างแน่นอน
เธอเม้มปาก “เธออย่าร้องไห้ ฉันคิดหาวิธีก่อน”
เสี่ยวโหรวใช้เวลาช่วงบ่ายร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างต่อเนื่อง คงเพราะยังอายุน้อยอาจจะกลัวเกินไป มู่เฉียวเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่มีประโยชน์
“เธอกลับไปก่อน เดี๋ยวฉันจะไปหาโม่หาน”
“ ไม่ได้ ยังมีงานเยอะมาก ฉัน…”
“คุณเอาแต่ร้องไห้อยู่ที่นี่ ไม่เพียงแต่คุณจะทำไม่ได้ แต่คุณยังจะรบกวนฉันด้วย “เสี่ยวโหรว ร้องไห้หนักกว่าเดิม มู่เฉียวก็ใจอ่อน “ไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามหาทางให้ดีที่สุด ”
“ขอบคุณ พี่เสี่ยวเฉียว ฉัน… ฉันจะตอบแทนคุณในอนาคต “เสี่ยวโหรว คุกเข่าลงให้มู่เฉียว
มู่เฉียวสูดหายใจและพยักหน้า
หลังจากที่เสี่ยวโหรว เดินออกไป มู่เฉียวใช้หมายเลขใหม่ส่งข้อความถึงโม่หาน “โม่หานคุณเลิกงานเมื่อไหร่”
ข้อความตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เกิดอะไรขึ้น ” ตอบแบบค่อนข้างเย็นชา。
“ยุ่งอยู่เหรอ? งั้นคุณยุ่งไปก่อนเลย ”
วางโทรศัพท์ลง ท้ายที่สุดมู่เฉียวก็พูดไม่ออก ปัญหาแบบนี้ ถ้าโม่หานไม่เจอก่อน อาจทำให้บริษัทขาดทุนอย่างคาดไม่ถึง เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยเลย
เอาแบบนั้นจริงหรือ เลิกงานแล้วค่อยคุย
ทำใจ เริ่มทำงาน จนกระทั่งโทรศัพท์ดังขึ้น มองแล้วมองอีก แล้วรับสาย “สวัสดี”
“เมื่อกี้มีธุระ”
“ใช่”
“บางทีตอนกลางคืน ถ้าคุณอยากเห็นผม? “แม้ว่าชายหนุ่มจะใช้คำถาม แต่ใช้โทนเสียงแบบมาหาเธอแน่
มู่เฉียวคิด “ใช่”
“งั้นอาบน้ำสะอาดรอคุณ”
มู่เฉียวลูบหน้าผาก นี่ต้องการใช้ความสวยช่วยเลยหรือ?
“กี่โมง?”
“กลับไปเดี๋ยวนี้”
เมื่อมู่เฉียวกลับไป เห็นแสงสว่างที่ประตูถัดไป คิดๆ เธอไม่ได้กลับบ้านของตัวเอง แต่มาเคาะประตูบ้านตรงข้าม
โม่หานเปิดประตู สวมเสื้อคลุมอาบน้ำผ้าไหมสีเทา ในห้องเปิดฮีตเตอร์
ชายหนุ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นมู่เฉียวในชุดทำงานและปล่อยให้เธอเข้าไป
เมื่อประตูปิดลง ชายหนุ่มก็กอดเธอจากด้านหลัง “ใจร้อนจัง ไม่ยอมกลับบ้านก่อน?”
มู่เฉียวไม่พูด ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอหันไปมองโม่หาน”คุณ… รู้ใช่ไหมว่าฉันมาทำอะไรที่นี่”
ชายหนุ่มก้มศีรษะและจูบเธอ หันหลังกลับ เดินไปห้องครัวหยิบแก้วน้ำ แล้วยื่นแก้วน้ำให้มู่เฉียว “ดื่มน้ำก่อน”
มู่เฉียวรับแก้วน้ำ ชายหนุ่มเอากระเป๋าของเธอออก แล้วช่วยถอดเสื้อโค้ทให้เธอ
การพบกันแบบนี้มู่เฉียวรู้สึกผิดอยู่พักหนึ่ง “โม่หาน…”คำว่าหานลากยาวไปหลายนาที มีเสียงออดอ้อนนิดๆ
ชายหนุ่มยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ บนแขนของมู่เฉียว ขนลุก อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เธอยังไม่สามารถแสดงท่าทางออดอ้อนได้
ดื่มน้ำในแก้วหมดไปในทีเดียวและพูดอย่างชัดเจนว่า เธอทำท่าเหมือนดื่มสุราอย่างภาคภูมิใจ ดื่มเสร็จแล้ววางแก้วลง แล้วมองดูโม่หานชายหนุ่มหันหน้ามาที่เธอและเอนหลังลงบนโต๊ะอาหาร “พูดมา คุณจะติดสินบนผมยังไง”
มู่เฉียวขมวดคิ้วและลุกขึ้น “คุณ… คุณจงใจ?”
หน้าของผู้ชายจมลง “มู่เฉียว คุณน่าจะเข้าใจนี่ไม่ใช่ปัญหาเล็ก ๆ อย่างแน่นอน”
ความจริงจังของเขา ทำให้มู่เฉียวหัวใจพองโต เธอจะไม่รู้ได้ไง ในอาชีพของตน ตอนเรียน ครูเกือบพูดทุกวัน อย่างระมัดระวังและรอบคอบ…
นี่คือองค์ประกอบพื้นฐานของการแปล
“เธอยังเด็กและที่บ้านลำบาก” เธอพูดออกมาแบบลำบาก
“นี่คือหลักการ” โม่หานหยิบแก้วที่เธอดื่มแล้วเทน้ำหนึ่งแก้วให้ตัวเอง
“ไม่มีทางอื่นแล้วเหรอ?”
ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังคิด “ไปอาบน้ำ”
“อา”
หัวข้อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ถามถึงวิธีอื่นไม่ใช่เหรอ ความงาม ลองทำดูสิ” ชายหนุ่มพูดจบ เดินไปที่ห้องนั่งเล่นและนอนบนโซฟา เมื่อเปิดเสื้อคลุมอาบน้ำสีเทาออกครึ่งหนึ่ง มองเห็นกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งแรงของเขาได้อย่างชัดเจน
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ถึงแม้ต้องแลกด้วยความงาม คงต้องเป็นเธอไม่ใช่หรือ? ”
ชายหนุ่มกระแอมเบา ๆ “ความสวยทั่วไป มันไม่สะดุดตา””
ในที่สุด มู่เฉียวก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เดินไปที่โซฟา คุกเข่าลงข้าง ๆ เขา ใช้นิ้วเรียวลูบหน้าอกของชายเบา ๆ ทำให้ดวงตาของชายคนนั้นแดงก่ำทันที
“เฉียวเอ๋อ” ริมฝีปากบางของเขาอดไม่ได้ที่จะเปี่ยมไปด้วยคำสองคำด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า
หญิงสาวโน้มตัวลงมากระซิบที่ข้างหูของเขา “คิด?”
ชายหนุ่มพลิกตัวและกดเธอลงบนตัวเขา “คุณคิดอย่างไร”
“เอ่อ งั้น ขอโทษน่ะ พอดีอันนั้นฉันมา” หญิงสาวพูดอย่างน่าเสียดาย
ชายหนุ่มตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “อันนั้น?”
“ใช่ ประจำเดือน” หลังจากพูด เธอปิดปาก มองดูสีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีเลือดหมู แต่รีบลุกขึ้นจากเธออย่างรวดเร็ว
“เกิดขึ้นเมื่อไหร่”
“ช่วงบ่ายตอนออกมา”
ชายหนุ่มวางมือบนท้องส่วนล่างของเธอและลูบเบาๆ สองสามครั้ง “ฉันได้ยินมาว่าถ้าอันนี้มาจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบาย คุณ…”
“ฉันสบายดี ไม่มีอะไรผิดปกติ” หลังจากมู่เฉียวพูดจบ เขาก็ยิ้มแย้ม ปฏิกิริยาของชายผู้นี้ทำให้เขาพอใจจริงๆ
“คืนนี้นอนนี่นะ”
โม่หานเอามือแตะหลังศีรษะแล้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ผมได้ตรวจสอบดูแล้ว เธอไม่ได้รับความช่วยเหลือในเวลานั้น เพราะมันเป็นเพียงภาพลวงตา ผมเกลียดคนที่โกหกมากที่สุด”
ใบหน้าของมู่เฉียวแข็งทื่อขึ้น เธอปิดหน้าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี บางทีนี้อาจเป็นโชคชะตาของเธอกับโม่หาน
“ไม่สบายหรือเปล่า?” โม่หานลุกขึ้นนั่งและมองดูเธออย่างประหม่า
มู่เฉียวส่ายหัว เธอวางมือลง คุกเข่าลงบนเตียงแล้วเอาแขนโอบคอของโม่หาน “โม่หาน คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องแต่งงานกับคุณตั้งแต่แรก”
มู่เฉียวครุ่นคิดคำถามนี้หลายครั้งและพูดคุยกับโม่หาน แต่เพราะไม่รู้ความรู้สึกของเขาที่มีต่อมู่หยิง เธอจึงไม่อยากเป็นคนที่สร้างปัญหาและเธอไม่ต้องการทำให้โม่หานลำบากใจ
โม่หานดึงมือเธอออกมาวางมันลงบนฝ่ามือของเขา โดยที่ตาของเขาทั้งสองหันหน้าเข้าหากัน และมุมปากของเขายกขึ้นเมื่อเขามองมาที่เธอ “เป็นไปได้ว่าตอนนั้นคุณแอบชอบผมอยู่หรือเปล่า?”
“อะไรนะ?”
มู่เฉียวสั่นศีรษะและพูดเสียงสั่นว่า “ฉันจะไปชอบคุณได้ยังไงในตอนนั้น ทำอะไรก็ดูเหมือนคุณจะไม่พอใจ อย่าพูดแอบชอบเลย…” เมื่อสีหน้าของเขาค่อยๆ มืดลง มู่เฉียวรีบหุบปาก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ตอนนั้นคุณก็ไม่เคยเห็นหัวฉัน และดูเกลียดฉันด้วย?”
โม่หานดึงเธอมาไว้ในอ้อมแขนของเขา “แล้วบอกฉันได้ไหมว่าทำไม ไม่ใช่เพื่อเงิน และไม่ใช่เพราะผม”
“คุณมันไม่รู้อะไรเลยจริงๆ เหรอ ฉันคิดว่าคุณทำแบบนั้นกับมู่หยิงเพื่อที่จะล้างแค้นให้ฉัน” เมื่อเป็นเช่นนี้ มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงทางเล็กน้อย
“เป็นเพราะอะไร” เห็นได้ชัดว่า โม่หานมีความอยากรู้
“เพราะมู่หยิงใช้พ่อแม่และน้องชายของฉันมาแบล็กเมล์ฉัน และรู้ไหม เธอไม่ต้องการแต่งงานกับคุณ เธอ… เธอกลัวว่าจู่ๆ คุณจะหายไป เธอจะเป็นม่าย และเธอก็ไม่อยากเป็นคนเลวคนนั้น เธอเลยปล่อยให้ฉัน……”
“หยุดพูด” โม่หานขัดจังหวะเธอทันที
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเริ่มเข้มด้วยความโกรธ มู่เฉียวรู้สึกผิดเล็กน้อย เธอเป็นเหยื่อ และเธอก็ไม่โกรธ ทำไมเขาถึงโกรธมาก
ทั้งสองไม่พูดอะไรและบรรยากาศก็ค่อนข้างหดหู่ มู่เฉียวลุกขึ้นจากอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “คุณไปนอนก่อน ฉันจะกลับก่อน” เธอยอมรับว่าเธอก็ไม่มีความสุขเล็กน้อย เขาควรที่จะมาปลอบโยนเธอไม่ใช่หรือ?
แขนถูกดึงและมู่เฉียวก็ตกลงไปที่เดิมอีกครั้ง
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ฉันไม่ได้โกรธเธอนะ…” เขากลืนน้ำลายลงคอ “ฉันโกรธตัวเอง ที่ ยอมปล่อยมือจากหม้อแตกทำให้คุณถูกทำร้ายมากขึ้น และก็โกรธตัวเองที่ก่อนหน้านั้นทำกับคุณแบบนั้น”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “จริงเหรอ?”
ชายคนนั้นจูบเธอที่หน้าผาก “ผมจะชดใช้ให้คุณทั้งชีวิต คุณว่า ดีไหม?”
มู่เฉียวนั้นยิ้มอย่างมีชัย
“โอเค ไปนอนเร็วเถอะ พรุ่งนี้ยังมีเรื่องยุ่งอีกมาก”
“ถ้าพรุ่งนี้คุณมีเวลา ส่งรูปเสี่ยวโยวไปที่โทรศัพท์ที่ผมโทรหาคุณวันนี้นะ”
นี่เป็นครั้งแรกที่ โม่หานพูดถึงเสี่ยวโยวเอง มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยและประทับใจ “ฉันคิดว่าคุณลืมไปแล้วว่ามีเด็กคนนี้อยู่?”
โม่หานหยุดและพูดว่า “ผมละอายใจกับเธอ ผมไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อเธอ”
มู่เฉียวหันกลับมากอดเขา ใช้มือข้างหนึ่งประคองร่างกายส่วนบนของเขา ค่อย ๆ จับคิ้วเรียบขึ้นด้วยมือข้างหนึ่ง “โม่หาน ในใจของเสี่ยวโยว คุณเป็นพ่อที่วิเศษมาก”
“ผมรู้ มันคือฝีมือของคุณ จนผมกลายเป็นอุลตร้าแมนในใจเธอ”
มู่เฉียวยิ้ม แล้วเธอก็มองไปที่โม่หาน “คุณ…คุณรู้ได้อย่างไร”
“ไม่ต้องถาม ไปนอนซะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปซื้ออาหารเช้าเป็นเพื่อนคุณ”
ค่ำคืนนั้นสั้นเกินไป และเวลาที่จะอยู่ด้วยกันก็สั้นลง และในที่สุดพวกเขาก็ไม่อยากนอน
“โม่หาน”
“ว่า”
“คุณชอบผมตอนไหน”
“ในเยอรมนี เวลาทำอาหารให้ผมเหรอ”
“อ้อ แน่นอน การทำอาหารเป็นเรื่องสำคัญมาก”
เขาหัวเราะ
“แล้วคุณล่ะ?”
“เมื่อคุณกำลังจะตาย”
…
เขาไม่พูด จับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “แล้วถ้าผมตายจริงล่ะ”
เธอตอบเพียง อืม” ก่อนที่จะลืมคุณก็ยังไม่แต่ง แต่ตอนนั้น แค่หัวใจเต้นแรง ยังคงไม่ใช่ความรัก” เธอบอกความจริง
“ถ้าตอนนี้ล่ะ?”
ที่เอวของหญิงสาวนั้นบีบมือเบา ๆ “ฉันจะแต่งงานทันทีและถ้าคุณคิดต้องการให้ฉันเป็นม่ายจริงๆ คุณมันก็โหดร้ายเกินไป”
“มู่เฉียว”
“ค่ะ”
“เหนื่อยไหม?”
“ไม่เหนื่อย.”
“แล้วอีกอย่าง…” เขาเอื้อมมือไปโอบเอวของหญิงสาว
“เหนื่อยจัง นอนเถอะ” หญิงสาวรีบหลับตา
เขาขยี้ผมของเธออย่างช่วยไม่ได้ “ได้”
มู่เฉียวอดไม่ได้ที่จะหลับไปด้วยความงุนงงเมื่อท้องฟ้าใกล้จะรุ่งสาง
เมื่อเธอตื่นขึ้น โม่หานไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและตรวจสอบเวลาอีกครั้ง เป็นเวลาสิบโมงแล้ว
เมื่อเธอรู้สึกตัวเธอก็รีบลุกขึ้นนั่งและพบว่าเธอไม่ได้สวมเสื้อผ้าเธอก็ตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่ง แต่ใครล่ะที่ปิดนาฬิกาปลุกของเธอ? มันคือใคร? เธอ…เธอ…
โทรศัพท์ดังขึ้นและมู่เฉียวหยิบขึ้นมา
“ตื่นแล้วเหรอ ช่วงเช้าผมลางานให้คุณ ส่วนอาหารเช้าผมซื้อให้อาและน้าแล้ว และเปิดประตูด้วยกุญแจของคุณ ดังนั้น สบายใจได้ ลุกขึ้นไปกินข้าวแล้วค่อย ๆ มาที่บริษัท อย่ารีบร้อน”
เสียงที่ไพเราะของเขาดังก้องอยู่ในหูของเธอ
มู่เฉียวรู้ว่าเมื่อคืนไม่ใช่ความฝัน และมุมปากของเธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข
อย่างไรก็ตาม โม่หานรู้ได้อย่างไรว่าเธอตื่นแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ ห้องและส่งข้อความกลับไปหาเขาว่า “คุณมีกล้องอยู่ในห้องหรือ คุณไม่ใช่ว่าถ่ายอะไรที่ไม่สมควรถ่ายไว้หรือเปล่า?”
มีเสียงหัวเราะตื้นๆ จากเขา มู่เฉียวสามารถจินตนาการได้ว่าเขาเม้มปาก ยิ้มอย่างเขินอายและยับยั้งชั่งใจ “มีตัวจับความเคลื่อนไหวคู่กับมือถือของคุณอยู่บนโต๊ะ ถ้าคุณมีการเคลื่อนไหว จะมีการแจ้งเตือนมาที่นี่ .”
มู่เฉียว หันศีรษะและเห็นบางอย่างที่เหมือนนาฬิกา
“ได้ บาย”
หลังจากวางสาย มู่เฉียวก็เปิดกล่องจดหมายของโทรศัพท์มือถือและเห็นว่ามีข้อความฝากในกล่องข้อความของเธอ เธอรู้สึกไม่สบาย และขอลาในช่วงเช้า คำแนะนำนับพันเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพส่งมาให้เธอคือหัวหน้าของเธอ .
ตอนเที่ยง เธอแกล้งโทรหาพ่อแม่ของเธอและพบว่าพวกเขากำลังพักหลับกลางวันอยู่ เธอค่อย ๆ เดินออกจากประตูบ้านของโม่หานอย่างเงียบ ๆ และยืนอยู่ในลิฟต์ ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่เมื่อเธอลงไปข้างล่าง เธอจำได้ว่าเธอสวมรองเท้าแตะและมีร้านรองเท้าอยู่ทางขวามือตอนที่เธอออกไป
เมื่อเธอมาถึง My กรุ๊ป เสี่ยวโหรวเกือบจะร้องไห้เมื่อเห็นเธอ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“พี่เสี่ยวเฉียว ฉันทำเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่”
มู่เฉียววางกระเป๋าลงบนโต๊ะและเหลือบมองเธอ “อย่าร้องไห้ อธิบายปัญหาให้ชัดเจนก่อน เกิดอะไรขึ้น?”
“ดาราสาว นางแบบ คนดัง ว่ากันว่าประกบกันเป็นหนึ่งต่อสอง เท่านั้นยังไม่พอ” คำพูดที่เหมือนล้อเล่นแฝงไปด้วยคำประชดประชัน
ชายคนนั้นสูดหายใจเข้าและกระซิบข้างหูเธอ “รู้ไหม ด้านอารมณ์ความรัก ผมเป็นหมาป่า”
เมื่อหมาป่าทั้งสองกลายเป็นสามีภรรยากัน พวกเขาจะยึดสัมพันธ์นี้ไปตลอดชีวิต และทวีคูณนับแต่นั้น ไม่มีทางที่จะหาคู่ครองใหม่ได้อีก แม้ว่าหมาป่าตัวนั้นจะตายไป อีกตัวก็จะไม่มีวันหาคู่ใหม่ไปทั้งชีวิตได้.
โม่หานเรียกตัวเองว่าหมาป่า เขากำลังบอก มู่เฉียว ว่าเขาจะอยู่กับเธอตลอดชีวิตเท่านั้น
มู่เฉียวหันศีรษะและมองเขา “ไม่จำเป็น ถ้าวันหนึ่งฉันไม่อยู่ คุณสามารถหาใหม่ได้อีก”
เขาขยี้ผมของเธอ “ไม่” น้ำเสียงนั้นผ่อนคลาย แต่ดวงตาของเขามั่นคง
“มานี่สิ กลัวคนจะรู้เหรอ” เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดเขาแต่ยังคงมองที่ไปประตู
โม่หานอุ้มเธอขึ้น หันหลังแล้วนั่งลงบนเก้าอี้คนเดียว แล้ววางเธอลงบนตักของเขา “เมื่อไม่กี่วันก่อนมารบกวนถึงรังของเขา คิดว่าคงจะปวดหัวไปได้สักระยะหนึ่ง”
“เขาคงไม่รู้ว่าคุณเป็นคงทำหรือเปล่า”
ชายคนนั้นโน้มตัวลงมาจุมพิตริมฝีปากของหญิงสาว “เป็นห่วงผมหรือ?”
เธอพยักหน้า
เขายิ้มอย่างพึงพอใจ “ไม่ต้องกังวล จะไม่มีใครสงสัยในตัวผมเหรอ คุณไม่เคยได้ยินหรือว่า คลื่นลูกใหม่พัดคลื่นลูกเก่าไหม?”
มู่เฉียวหยุดพูด ชายผู้นี้มีวิธีที่จะทำให้เธอรู้สึกสบายใจอยู่เสมอ เธอโอบคอของเขาและโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของชายผู้นั้น เก็บช่วงเวลาที่หายากนี้ไว้ให้นานที่สุด
“คืนนี้อย่าพึ่งกลับเลยได้ไหม”
เธอขมวดคิ้วรีบลุกจากตัวของเขา “ประธานโม่ โปรดให้เกียรติตัวเองด้วย”
ชายคนนั้นไม่พูด หายใจหอบ ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตู คิดทบทวน หันกลับมามองเธอ
“งั้นก็รีบเลิกงาน อย่าขึ้นรถเมล์ ให้ขึ้นแท็กซี่แทน และคืนนี้อย่าปิดเสียงโทรศัพท์”
มู่เฉียวประหลาดใจมากที่เขาดูสดชื่น ไม่เหมือนสไตล์แบบโม่หาน แต่ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยภายในใจ คนเราทำไมถึงเป็นกันแบบนี้
เมื่อกลับถึงบ้าน ทั้งพ่อแม่และมู่เสี่ยวโยวก็หลับไปแล้ว สำหรับวันหยุดวันนี้ เธออยากกลับไปหาพวกเขา แต่มีงานทำมากเกินไป เธอรู้สึกผิดต่อครอบครัวของเธอ เธอจึงอาบน้ำให้รู้สึกสดชื่นหน่อยและนอนลงตามด้วยการมาส์กหน้า
ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบขึ้นมาแล้วมองดู มีหมายเลขแปลกโทรหา เธอขมวดคิ้ว
“สวัสดีค่ะ.”
“คนส่งอาหารครับ ที่ประตูหน้าบ้าน”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอจำไม่ได้ว่าเธอสั่งอาหารกลับบ้าน แต่เธอก็ยังสงสัยอยู่เล็กน้อย
เธอมองผ่านตาแมวไปที่ประตู ดูเหมือนเป็นเสื้อผ้าของร้านส่งอาหารบริษัทแห่งหนึ่ง เธอเปิดประตูหลังจากคิดเรื่องนี้ และเมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยี่ยม เธอสูดลมหายใจและหัวเราะ
เขาคือโม่หานที่สวมชุดคนส่งอาหาร
“คุณ…ดึกขนาดนี้คุณมาทำอะไร” แต่หัวใจมันช่างหวานเหลือเกิน
“ไปปิดไฟในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้า และปิดประตูแล้วออกไป”
มู่เฉียวถามว่าทำไม ชายคนนั้นไม่พูด และไม่รู้ว่ายาที่เขาต้องการจะขายอยู่ในคลังนั้นคืออะไร แต่มูเฉียวก็ยังทำตาม
เธอกลับไปที่ห้อง เขย่งเท้า ปิดไฟและปิดประตู และเมื่อเธอไปถึงประตู เธอพบว่าโม่หานไม่อยู่ที่นั่นแล้ว
เธอคิดว่าเขากำลังเล่นตลกกับเธอ รำคาญเล็กน้อย แต่ประตูฝั่งตรงข้ามก็เปิดออกทันที โม่หานก็ถอดชุดทำงานนั้นของเขาออกและยกกรามของเขาขึ้นเล็กน้อย “เข้ามา”
มู่เฉียวปิดปาก และแสดงใบหน้าที่น่าเหลือเชื่อ
เธอปิดประตูอย่างแผ่วเบา
หลังจากเข้าไปในบ้านของโม่หานเธอมองไปที่เขา “คุณกำลังทำอะไรอยู่”
โม่หานกอดเธอไว้ด้านข้างมู่เฉียวกรีดร้องและเข้าไปโอบรอบคอของเขาโดยไม่รู้ตัว
เมื่อราตรีล่วงไปเมื่อทุกอย่างราบรื่น ชายคนนั้นก็กอดเธอไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “คืนนี้ไม่ต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เช้า คุณก็บอกว่าไปซื้ออาหารเช้ากลับมา”
มู่เฉียวตัวแข็ง แล้วดึงริมฝีปากของเขาเป็นเส้นตรง และตบหน้าอกของเขาเบา ๆ สองครั้ง “พูดมาตรงๆ คุณเคยทำสิ่งนี้มาก่อนหรือไม่”
โม่หานเม้มริมฝีปากของเขา สัมผัสความเขินอายบนใบหน้าของเขา “เคยทำมาครั้งหนึ่ง”
มู่เฉียวนั่งตัวตรง “ถ้าอย่างนั้นคุณยังบอกว่าคุณ… คุณเป็นครั้งแรก โม่หานคุณมันคนชอบโกหก”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วและสะบัดหน้าผากของเธอ “คุณคิดอะไรแบบอื่นไม่ได้หรือ ผมหมายถึงแอบออกไปท่องอินเทอร์เน็ต”
มู่เฉียวยิ้มแบบอาย และกอดอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง
ตอนนั้น ตอนที่ฉันอยู่มัธยมต้น ปู่ของฉันเข้มงวดกับฉันมาก โดยพื้นฐานแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกไปร้านอินเทอร์เน็ตและเล่นอินเทอร์เน็ต ในคืนหนึ่ง ฉันอดไม่ได้และไปที่ อินเทอร์เน็ตคาเฟ่กับอู๋เหิงทั้งคืน ”
“แล้วยังไง? คุณบอกว่าคุณไปซื้ออาหารเช้า?” มู่เฉียวดูเหมือนจะไม่ได้คาดหวังว่าเมื่อผู้ชายอย่างโม่หานมีช่วงเวลาที่ดื้อรั้น เธอหัวเราะเบาๆ
“บอกคุณปู่ว่าฉันออกไปวิ่งมา แต่ผลก็คือถูกตี”
มู่เฉียวมองดูโม่หาน “โชคดีที่ถูกตี ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?”
มู่เฉียวมีความสุขมากที่ได้แบ่งปันกระบวนการเติบโตของเขากับเขา
ทั้งสองคุยกัน และมู่เฉียวก็ตระหนักว่าโม่หานเคยเป็นเหมือนเด็กผู้ชายคนอื่น ๆที่มีเกเรบ้างและมีความฝัน…
“เคยแอบชอบใครมั้ย”
โม่หานก้มศีรษะลงและจูบหน้าผากของเธอ “ไม่”
หญิงสาวขมวดคิ้วเข้าหากัน “เป็นไปได้อย่างไร”
โม่หาน ดูเหมือนจะนึกถึงบางสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ตอนที่เรียนมัธยมต้น มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งชอบผม ผมปฏิเสธเธอไป เธอเลยกรีดข้อมือฆ่าตัวตาย แม้ว่าเธอจะได้รับการช่วยเหลือในภายหลัง มันก็เหมือนดังเงาติดตัวมาว่าผู้หญิงเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้”
มู่เฉียวปิดปากและหัวเราะเบาๆ ลูบหน้าเขาและที่อยู่ภายใต้อ้อมแขน “แล้วมู่หยิงล่ะ?”
โม่หานตกตะลึงและพูดว่า “ผมขี้เกียจเกินไปที่จะหา ดูแล้วพอไปกันได้ก็แต่งเลย และต่อมาเขาเกิดช่วยชีวิตพ่อผมไว้ ผมแค่คิดว่า แต่งงานกับอะไรก็ได้ที่ต้องการ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวจำคำถามที่ตู้เสี่ยวซินเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ และลุกขึ้นนั่งตัวตรง ผมสีดำยาวของเธอพลิ้วไสวไปบนหน้าอกของเธอ และผิวขาวของเธอก็ขาวขึ้น
สายตาของโม่หานจ้องมองไป และเขาไม่สามารถที่ขยับหนีได้
มู่เฉียวตอบสนอง ดึงผ้าห่มขึ้นและพูดขึ้น “คุณกำลังมองไปที่ไหน”
เขาโอบเอวเธอ “ผมเคยคิดว่าคนที่ติดหญิงพวกนั้นมีน้ำอยู่ในสมอง แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้รู้สึกแย่”
โม่หานไม่ใช่เป็นคนที่ชอบพูดเรื่องความรักได้ แต่ทุกครั้งที่เขาพูดมู่เฉียวก็เหมือนได้ดื่มน้ำผึ้งทุกครั้ง
“ตู้เสี่ยวซินบอกว่าคุณเป็นคนจัดการให้มู่หยิงแต่งงานกับสามีคนนี้ของเธอหรือ เธอมีบุญคุณกับคุณนะ คุณรู้ไหมว่าสามีของเธอชอบใช้ความรุนแรง ทำไมคุณถึงยังทำอย่างนั้น”
มู่เฉียวมองภาพด้านหลังของคนคนนั้น มุมปากมีรอยยิ้ม ได้เจอเขาบ่อยๆอย่างนี้ ก็พอแล้ว ไม่ต้องส่งข้อความ ไม่ต้องติดต่อกัน ไม่ต้องทักทายกัน แต่เป็นเช่นนี้ก็พอแล้ว เธอถือแฟ้มขึ้นแล้วตบไหล่ผู้ช่วยเบาๆ “เอาล่ะ อย่าบ้าผู้ชายเลย มีงานที่ต้องรับผิดชอบ”
“แต่ว่าคุณเคยได้ยินไหม เดิมทีก่อนหน้านี้บอกว่าจะแต่งงานกับลูกสาวของนายกเทศมนตรี มีข่าวว่าเขาพาดาราสาวคนหนึ่งกลับไปที่บ้าน ดังนั้นการแต่งงานจึงถูกเลื่อนกำหนดการออกไป”
ใช่สิเธอลืมไปได้อย่างไร โม่หานน่าจะแต่งงานเดือนนี้ไม่ใช่เหรอ?
เธอยิ้มนิดๆ “พอเถอะ อย่านินทาเลย ไปทำงาน”
เพราะว่าMYมีธุรกิจที่ต่างประเทศมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีการแปลทางธุรกิจโดยเฉพาะ แต่ธุรกิจประเภทนี้ก็มีตามฤดูกาล ถึงแม้ว่าเดือนนี้จะมีมากเป็นพิเศษ แต่เดือนหน้าอาจจะไม่มีเลย เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองบุคลากร การแปลประเภทนี้ของMY ก็จ้างจากบริษัทภายนอกอย่างพวกเธอ
ดังนั้น เธอและผู้ช่วยจึงเทียบเท่ากับพนักงานของบริษัท MY ครึ่งหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้ถูกพวกเขาควบคุม ไปมาได้อย่างอิสระ พวกเขามีห้องทำงานเฉพาะ เพื่อจัดการกับธุรกิจที่เร่งด่วน
ช่วงนี้บริษัทมีธุรกิจมากมาย ดูเหมือนว่าธุรกิจในแต่ละประเทศของโม่หานได้ขยายกว้างออกไป
“พี่เสี่ยวเฉียว ได้เวลาทานอาหารพอดีเลย” ตอนเช้ามั้งสองคนไปที่บริษัท ช่วยกันทำงานด่วน
มู่เฉียวดูเวลา ที่โรงอาหารของMYอาหารอร่อยมาก ฉะนั้นพวกเธอจึงรีบไปทานข้าวกัน
การตกแต่งในโรงอาหารเป็นแบบยุโรป คล้ายกับบุฟเฟ่ต์ ผลไม้ ขนม เครื่องดื่ม ฟรีทั้งหมด แต่ถ้าพบว่ากินทิ้งขว้างเกิน 100 กรัม จะหักจากเงินเดือนโดยตรง ต้องบอกว่าโม่หานเป็นผู้นำที่เก่งมาก เขาให้สวัสดิการพนักงานดีจนหลายคนอยากจะเข้ามา
เพียงแต่เขามีระบบการจัดการและคัดเลือกบุคลากรที่เข้มงวด ทำให้คนเห็นก็ถอยหลังกลับ ทว่าเมื่อได้เข้ามาที่MYแล้วก็รู้สึกภูมิใจ เพราะเช่นนี้จึงมีคนน้อยมากที่อยากจะเปลี่ยนบริษัท ความกระตือรือร้นในการทำงานของทุกคนยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้ จึงสามารถทำอาหารแบบนี้ได้ แล้วเมื่อไหร่บริษัทเราจะทำได้บ้างล่ะ? ท่านประธานคนนั้น เป็นเจ้านายที่ดีจริงๆเลย”
ได้ยินเธอชื่นชมโม่หาน ในใจมู่เฉียวก็มีความสุข เธอทานขนมหวานแล้วยิ้มไม่ได้พูดอะไร
เพราะตอนนี้ความคิดของเธออยู่ที่ผู้หญิงสองคนที่อยู่โต๊ะถัดไป
จากการแต่งตัว พวกเขาน่าจะเป็นคนที่ทำงานให้ประธาน
“เมื่อวานผู้หญิงคนนั้นมา คุณเห็นไหม? ครั้งที่แล้วก็กับดาราคนนั้น ทั้งสองคนเข้าไปในเวลาเดียวกัน ไอ๋หยา ตอนที่ฉันไปส่งน้ำนะ ประหม่าไปหมดเลย ต่อมาก็ได้ยินว่า พวกเขาอยู่ด้านใน……อะแฮ่ม……คุณก็เข้าใจได้”
ผู้หญิงผมสั้นอีกคนก้มหน้าลง “เป็นไปไม่ได้? ทำไมคุณถึงคิดว่าประธานของเราแข็งแกร่งมากขนาดนั้น ครั้งละสองคน ก็ไม่กลัวจะรับไม่ไหวเหรอ”
มู่เฉียวกำลังใส่มะเขือเทศลูกเล็กๆหนึ่งลูกเข้าปาก ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็แทบสำลักตาย
“พี่เสี่ยวเฉียว คุณไม่เป็นไรใช่ไหม?”
มู่เฉียวดื่มน้ำเล็กน้อย แล้วลุกขึ้น “ไปกันเถอะ” คำพูดนินทาไม่น่าฟังเลยจริงๆ
เพิ่งจะหันกลับก็เห็นโม่หานกับกลุ่มคนอีกหกเจ็ดคนเข้ามาจากด้านนอก ทานอาหารที่นี่มาหลายมื้อ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอเขา
เป็นธรรมดาที่เขาจะเห็นเธอ แต่สายตาของเขาไม่ได้หยุดอยู่ที่เธอ ดูเหมือนกำลังปรึกษาอะไรบางอย่างกับคนในอาชีพเดียวกัน แล้วก็เลี้ยวซ้ายเข้าไปที่ที่นั่งด้านในโรงอาหาร
“ทำไมวันนี้ประธานมาทานข้าวที่นี่ ไม่ได้บอกว่าให้ส่งขึ้นไปชั้นบนเหรอ?” ผู้หญิงข้างๆนินทาอีกครั้ง
“คาดว่าคงอยากมาสัมผัสประสบการณ์ความยากลำบากของคนทั่วไปมั้ง”
“พี่เสี่ยวเฉียว ไม่ไปเหรอ?” เห็นเธอยืนอยู่กับที่ ไม่มีการตอบสนอง ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆจึงเตือนเธอ
มู่เฉียวเก้อเขินเล็กน้อย เทียบกับหน้าตาที่นิ่งเฉยไม่สะทกสะท้านของโม่หานแล้ว เธอดูไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
“ไปกันเถอะ!”
แต่ไม่คาดคิด พอก้าวเท้าออกจากประตูโรงอาหาร ก็ได้พบกับเหอเจี๋ย เห็นท่าทางที่กระตือรือร้นของเธอแล้ว ก็ชัดเจนอย่างมากว่า เข้ามาหาโม่หาน
เพียงแต่ ที่แปลกก็คือ สายตาของเธอหยุดอยู่ที่เธอชั่วขณะ แล้วจึงมุ่งตรงเข้าไปด้านใน
“เสี่ยวโหรว คุณกลับไปก่อน ฉันจะไปห้องน้ำสักหน่อย” มู่เฉียวแยกผู้ช่วยออกไป
“โอเค”
ทางไปห้องน้ำ ต้องผ่านหน้าประตูห้องรับรองของโม่หาน
“โม่หาน คุณดูสิ ผู้หญิงคนนั้นทำฉันไว้จนเป็นแบบไหน?” หางตาเธอเหลือไปเห็นเหอเจี๋ยดึงคอเสื้อตัวเองออก
มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้คงจะโมโหจนเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหม? จึงไม่คำนึงถึงกาลเทศะ มาฟ้องถึงที่นี่โดยไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์ของโม่หาน เพียงแต่ เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จึงไม่ได้สนใจเธอ คาดว่า คิดว่าเธอเป็นคนที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง
“มีเรื่องอะไร ค่อยกลับไปคุยที่ห้องทำงาน” ท่าทีของโม่หานเย็นชาอย่างมาก น้ำเสียงไม่แสดงความตื่นตระหนก
“โม่หาน ทำไมคุณถึงเข้าข้างเธอแบบนี้ คุณไม่รู้หรอก เธอไปพูดข้างนอกว่า ตัวเองจะแต่งงานกับคุณ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก เอาล่ะ ดูเหมือนว่าจะไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย “หญิงชู้”ของโม่หาน เธอฟังให้น้อยหน่อย เพราะกลัวจะระงับไม่อยู่ เธอเชื่ออย่างนั้น
วันเวลาที่เงียบสงบ ชั่วพริบตาก็มาถึงปลายปี
ระหว่างเธอและโม่หาน นอกจากพบหน้ากันเป็นครั้งคราวแล้ว จากนั้นก็แสร้งทำเป็นเดินเฉียดกันไปมาอย่างไม่รู้จักกัน ไม่มีการติดต่อกันแต่อย่างใด
ถ้าหากไม่ใช่หนึ่งปีนั้น ประคับประคองจิตใจตัวเองไว้ มู่เฉียวก็ยังสงสัยว่า ตนเองคงจะถูกโม่หานหลอกแล้วล่ะ
คริสต์มาส
“พี่เสี่ยวเฉียว ฉันเหมือนจะไม่สบายนิดหน่อยน่ะ สามารถ……”
มู่เฉียวมองเวลา สามทุ่มครึ่งแล้ว ถึงปลายปีแล้ว ทุกคนต่างเร่งรีบจัดการงานในมือให้เสร็จสิ้น ดังนั้น จึงยุ่งมาก เลยบอกว่าจะทำโอทีถึงห้าทุ่ม เธอเงยหน้า “ไปเถอะ”
ผู้ช่วยเข้ามากอดเธอเล็กน้อย “พี่เสี่ยวเฉียว คุณดีจริงๆเลย”
ตอนเป็นวัยรุ่นไม่มีใครไม่รู้ เธอเข้าใจอย่างมาก ที่เรียกว่าไม่สบายเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง คาดว่าช่วงนี้สาวน้อยจะมีแฟนแล้ว ตอนทำงาน เห็นเธอแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หลังจากผู้ช่วยไปแล้ว มู่เฉียวก็มุ่งความสนใจไปที่งาน เธอพยายามทำให้ตนเองยุ่งขึ้นมา จึงจะได้ไม่ต้องไปคิดถึงโม่หาน คิดถึงว่าวันนี้เขา ในวันเทศกาลแบบนี้ กำลังทำอะไรอยู่ แล้วไปอยู่กับหญิงสาวคนไหน
ไฟด้านนอกห้องทำงานค่อยๆมืดลงมา มู่เฉียววางแผนว่าทำงานในมือเสร็จแล้วจึงจะกลับไป
เธองานยุ่งอย่างมาก จนกระทั่ง ประตูเปิดปิด ชายหนุ่มเข้ามาในห้อง เธอก็ไม่รู้ จนกระทั่งมีมือโอบที่บริเวณเอว เธอจึงมีปฏิกิริยาตอบสนอง กลิ่นกายที่คุ้นเคยทำให้หัวใจเธอเต้นแรง
เธอวางปากกาในมือ นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันตัวกลับ นำมือไปคล้องคอของชายหนุ่ม เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดจา
ชายหนุ่มจับเอวเธอเบาๆ “คิดถึงคุณจัง” จากนั้น ก็คลำไปรอบเอวของเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ผอมไปแล้ว”
“เห็นอยู่ทุกวัน ยังคิดถึงอีกเหรอ?”
“เห็นแต่ไม่ได้กิน ยิ่งคิดถึง”
มู่เฉียวสายตาเฉียบแหลมเห็นคำว่าเหอเจี๋ยสองคำ แววตาเธอหม่นหมองลงเล็กน้อย
ชายคนนั้นกดวางสายโดยไม่ต้องคิด หันไปมองมู่เฉียว “ฉันกับเธอเกี่ยวข้องกันแค่ผลประโยชน์ จดจ่ออยู่กับงาน”
ผู้หญิงคนนั้นยกยิ้มขึ้น “ทำไมก่อนหน้านี้คุณไม่อธิบาย?” มู่เฉียวมองเขาด้วยความเสียใจเล็กน้อย
ชายคนนั้นสูดลมหายใจเข้า ยื่นมือไปดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “ถ้าไม่กลัวว่าคุณจะแต่งงานไป ฉันก็ยังคงไม่พูดหรอก ฉันเป็นผู้ชาย มู่เฉียวฉันไม่อยากให้คุณแบกรับภาระมากเกินไป อีกทั้งฉันต้องขอโทษด้วย ชีวิตคุณลุงต้องตกอยู่ในอันตรายก็เพราะฉัน”
ในที่สุดมู่เฉียวก็รู้สึกสบายใจขึ้น บรรยากาศก็ดูเหมือนจะสดชื่นขึ้น เห็นได้ชัดว่านี่คือในรถ และเป็นพื้นที่ที่คับแคบเช่นนี้
นิ้วของเธอวาดเป็นวงกลมบนฝ่ามือของชายคนนี้ “ไม่มีทางเลือกอื่นเลยเหรอ?”
“มู่เฉียว ให้เวลาฉันหนึ่งปีนะ ฉันจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น จะได้สามารถปกป้องลูกสาวและคุณได้ โอเคไหม?” ชายคนนั้นพูดไม่กี่คำ แต่น้ำเสียงสั่นเทาเล็กน้อย
ผู้หญิงคนนั้นก็รู้สึกว่าใจอ่อนลงมา
“แต่วันนี้ฉันตอบรับเล่อเชี่ยงหย่วนแล้ว ฉัน……” ไม่สามารถพูดกลับคำเช่นนี้ได้ใช่ไหม?
“เขาคนนั้น ฉันจะไปบอกว่า ตลอดหนึ่งปีนี้ฉันไม่สามารถดูแลคุณได้ อาจจะดูเลวไปหน่อย คุณจะเชื่อฉันไหม?”
การวาดวงกลมในมือช้าลงไป “ไม่เป็นไร หลังจากหนึ่งปี คุณไม่แต่งงานกับฉัน ฉันก็จะแต่งแล้ว ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
“มู่เฉียว” น้ำเสียงชายคนนั้นเต็มไปด้วยการกล่าวเตือน “คุณก็รู้ว่าฉันมีวิธีแย่งคุณกลับมา”
ผู้หญิงคนนั้นเม้มปาก เงยหน้าขึ้นแล้วจูบลงบนหน้าชายคนนั้น “คนเลว”
ริมฝีปากบางๆตกลงมา จูบนี้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น จนกระทั่งคนทั้งสองหายใจถี่ขึ้น จึงได้หยุดลง
“ในสองวันนี้ จะส่งมอบงานของคุณและกลับไปที่เมือง A แม้ว่าจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างคุณได้ แต่ฉันสามารถดูแลบางส่วนที่นั่นได้”
มู่เฉียวพยักหน้า “โม่หาน คุณอย่ากดดันสิ ฉันช่วยอะไรคุณไม่ได้หรอก แต่มีบางอย่างที่ฉันอยากบอกคุณ ว่าต่อให้คุณไม่มีอะไรเลย ฉันก็จะไม่ทิ้งคุณ ฉันมู่เฉียวมีความสามารถในการเลี้ยงดูตนเองได้”
ชายคนนั้นพูดเสียงทุ้มข้างๆหู “ฉันรู้อยู่แล้ว ทำงานหนักก็ไม่ปล่อย ไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว”
“ใครไม่ปล่อย? หน้าไม่อาย”
“มู่เฉียว คุณจะไม่ทิ้งฉันไป ใช่ไหม? ไม่ว่าต่อไปคุณจะได้ยินอะไร เห็นอะไร คุณก็จะไม่ทิ้งไป ใช่ไหม?”
ผู้หญิงคนนั้นเห็นความกลัวในดวงตาของชายคนนั้นผ่านไฟข้างถนน เธอทำสีหน้าอวดดี “คุณขอร้องฉันสิ? ขอร้องฉัน แล้วฉันจะไม่ทิ้งคุณ”
หาได้ยากที่เธอจะทำหน้าซุกซนแบบนี้ ชายคนนั้นมุดหัวเข้าไปที่ซอกคอของเธอ แล้วกัดเบาๆ ทำให้ผู้หญิงคนนั้นตัวสั่นทันที “เชื่อฉันเถอะ ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ”
“โอเค!”
ในเวลาต่อมาเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ ไม่รู้ว่าโม่หานสื่อสารกับเล่อเชี่ยงหย่วนอย่างไร มู่เฉียวรู้แค่ว่า เล่อเชี่ยงหย่วนมีโรงพยาบาลเอกชนของตนเอง ทำให้เขามีทั้งธุรกิจ และเป็นหมอด้วย ไม่ได้ละเลยทั้งสองอย่าง เธอรู้สึกว่านี่เหมือนเรื่องตลก จนกระทั่งเธอคิดเห็นแก่ตัวเล็กน้อย นี่นับว่าเป็นการใช้เงินซื้อความรู้สึกผิดของเธอ เธอเป็นหนี้บุญคุณผู้ชายคนนี้
เธอบอกกับแม่ว่าต้องการจะกลับเมืองA เธอสัญญาว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว จะให้ตนเองแต่งงานออกไปอย่างไรก็ได้
พ่อไม่ทำให้เธอต้องรู้สึกลำบากใจอีก ก่อนหน้าที่จะไปสองสามวัน มู่หลิงบอกว่าเซี่ยหยูท้องแล้ว ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองมีรอยยิ้มบนใบหน้า
เพราะเซี่ยหยูตั้งท้อง เธอและมู่หลิงจึงต้องกลับไปอยู่ตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสทั้งสองกลับเมืองAครั้งนี้ ก็นับว่าเบาใจไปอย่างมาก พ่อแม่ตระกูลเซี่ยดีกับมู่หลิงอย่างมาก ไม่มีการดูถูกเหยียดหยามเหมือนตระกูลร่ำรวยทั่วไป บางทีอาจเป็นเพราะว่า รักลูกก็เลยรักคนที่ลูกรักด้วย
ส่วนหลิวฮั่วและตู้เสี่ยวซินเพราะเธอจะต้องจากไป จึงเศร้าใจอย่างมาก
“ถ้าอยู่เมืองAแล้วไม่ราบรื่น ที่นี่ยินดีต้อนรับคุณกลับมาทุกเมื่อเลยนะ” หลิวฮั่วไม่พูดมาก
ทางด้านตู้เสี่ยวซินก็โอบกอดเธอแล้วร้องไห้ตลอด “คุณไปแล้ว โอกาสที่พวกเราจะได้เจอกันก็มีน้อยแล้ว”
มู่เฉียวกอดเธอ “ยังไม่ตายสักหน่อย ร้องไห้อะไรขนาดนี้ คิดถึงฉัน ก็มาที่เมืองAได้ทุกเวลา จะปรนนิบัติให้กินอยู่อย่างดีเลย” มู่เฉียวไม่ได้บอกตู้เสี่ยวซินเรื่องที่เธอกับโม่หานสัญญากันไว้ แล้วเธอก็ไม่ได้บอกใครทั้งนั้น
เพราะว่า เธอไม่อยากทำให้โม่หานต้องหนักใจ
คนภายนอกมองมา ระหว่างพวกเขา ได้จบสิ้นกันไปแล้ว
ต่างก็คิดว่า เธอกลับเมืองA เพียงเพื่อพ่อแม่
ก่อนที่จะไป เธอได้ขายบ้านที่เมืองBแล้ว ราคาตลาดอยู่ที่5ล้านกว่าหยวน เมื่อตอนที่เธอซื้อมาใช้จ่ายไป1ล้านหยวน นี่จึงทำให้เธอประหลาดใจจริงๆ เวลานั้นเธอกับมู่หลิงออกค่าจดจำนองคนละ2แสนหยวน ดังนั้น เธอจึงนำเงิน5ล้านออกมาโดยตรง แล้วบอกกับมู่หลิงว่า พวกเขาแบ่งกันคนละ2ล้าน ส่วนที่เหลือ1ล้าน ให้พ่อแม่ไว้ใช้ในวัยเกษียน
มู่หลิงไม่รับ เซี่ยหยูบอกว่า บ้านของพวกเขามีไม่น้อยแล้ว ไม่ต้องการเงินนี้แล้ว
เมื่อถึงเมืองA มู่หลิงก็ตัดสินใจแน่วแน่ ซื้อบ้านใจกลางเมืองหลังหนึ่งราคา4ล้าน ลงชื่อเธอและมู่หลิง บ้านมีเนื้อที่ราวๆ170ตารางเมตร ชั้นบนสุด มีระเบียงห้องที่ยื่นออกไป ด้านหลังบ้านมีสวนดอกไม้ขนาด200ตารางเมตร ตอนที่พาพ่อแม่มาดู พวกเขาต่างก็ถูกในสถานที่นี้
พ่อบอกว่า “ที่ตรงนี้ดี สามารถปลูกผักกับแม่ได้ แล้วสามารถพาเสี่ยวโยวมาเล่นตรงนี้ได้ เพียงแต่ เฉียวเอ๋อ มันแพงเกินไป” เพราะเป็นห้องกระจกใส สามารถเห็นดวงอาทิตย์ได้ แต่ก็สามารถกันลมฝนได้
แพงมาก แต่คิดถึงเงินนี้แล้ว ก็นับว่าได้มาอย่างไม่คาดฝัน มู่เฉียวไม่เสียดาย พูดตามตรง แค่พวกคุณชอบก็พอแล้ว
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเปิดเผยเรื่องที่เธอเคยติดตามเป็นล่ามให้กับหานฉุน ชื่อเสียงของเธอในอาชีพนี้ จึงเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้ง มีคนแจ้งข่าวว่าการเปิดเผยข้อมูลทางธุรกิจของโม่หาน ไม่ได้เกิดจากเธอ ก็เพราะทำตามประวัติศาสตร์ด้านมืดมาหลายปี ในที่สุดจึงถูกบิดเบือน
บริษัทที่มีชื่อเสียงไม่น้อยต่างก็ยื่นโอกาสเข้ามาให้เธอ
ในจำนวนนั้นก็รวมถึงบริษัทเดิมด้วย ยิ่งเปิดด้วยค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่า ในปีนั้น ตระกูลกดดันทำให้จนปัญญาที่จะหลีกเลี่ยง
แต่สุดท้ายมู่เฉียวก็ไม่ได้กลับไปบริษัทเดิม ด้วยการพัวพันมากเกินไป รู้มากเกินไป เธอจึงไปอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ห่างชั้นจากบริษัทMYนัก
เมื่อเธอมองไปด้านนอกห้องทำงาน ก็จะได้เห็นตึกใหญ่ของบริษัทโม่หานพอดี นี่จึงทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยอยู่ไม่น้อย
อีกทั้ง เท่าที่เธอรู้มา บริษัทนี้ ยังรับแปลเอกสารราชการของMYกรุ๊ปด้วย เหตุผลหนึ่งที่เธอมาก็คือ ต่อไปเอกสารราชการทั้งหมดของMYกรุ๊ปจะต้องถูกรับช่วงแปลโดยเธอ
ความสามารถของเธอ บริษัทรับรู้อย่างแจ่มแจ้ง กับความสามารถที่ยอดเยี่ยมนี้ การขอร้องเล็กๆน้อยๆนี้ จึงไม่มีใครคิดปฏิเสธ
ดังนั้น เมื่อมู่เฉียวปรากฏตัวต่อหน้าโม่หานในชุดทำงาน ในสายตาของชายหนุ่มจึงแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็ระงับให้ผ่านไปได้ด้วยดี และผ่านเธอไปด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงออก
“พี่เสี่ยวเฉียว เห็นไหม ท่านประธานของบริษัทMY”
มู่เฉียวหันตัวกลับ มองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เป็นผู้ช่วยที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัย ฉีกยิ้มเล็กน้อย เธอควรจะขอบคุณที่ข่าวของตระกูลเหอถูกระงับได้ทันเวลา ต้องขอบคุณสำหรับการแพร่กระจายข่าวในปัจจุบันซึ่งเป็นสัดส่วนความเร็วที่ทำให้คนลืม ดังนั้น กลับมาเมืองAอีกครั้ง ก็แทบจะไม่มีใครเอ่ยถึงเธอกับโม่หานเลย นี่จึงทำให้เธอโล่งอก
“อืม” เธอตอบสนองอย่างเรียบเฉย
“ไม่รู้สึกว่าหล่อเป็นพิเศษเหรอ?”
“ฉินเอ๋อ คุณลุงคุณป้า พวกเขาชอบอะไร?”
มู่เฉียวยิ้มอย่างจำใจ ขยับกล่องไม้จิ้มฟันบนโต๊ะไปมา “พวกเขาในตอนนี้ ถ้าคุณสามารถไปหาได้ก็อาจจะเป็นของขวัญที่ดีที่สุด”
“อย่างนั้นเหรอ?” บนใบหน้าเล่อเชี่ยงหย่วนมีรอยยิ้มเล็กน้อย
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย คิดๆแล้วก็พูดอีกว่า “เชี่ยงหยวน นี่เป็นการทำความชั่วตามคนอื่นนะ อันที่จริงถ้า……”
เธออยากจะบอกเล่อเชี่ยงหย่วนว่าการอยู่ด้วยกันกับเธอ บางทีชีวิตอาจจะไม่ได้สงบสุขนัก
“พูดกันดีแล้ว อย่าเอ่ยถึงเลย ทำไมยังพูดขึ้นมาอีกล่ะ?”
ทั้งสองคนทานอาหารเสร็จ ก็ไปเดินเล่นด้วยกัน เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็สี่ทุ่มกว่าแล้ว
“เชี่ยงหย่วน อย่างนั้นคุณกลับไปก่อนเถอะ”
ด้านนอกชุมชน มู่เฉียวก็หยุดฝีเท้า
“โอเค ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“เดี๋ยว” จู่ๆมู่หานก็เรียกขึ้นมา “คุณ……ตอนนี้พักอยู่ที่ไหน?”
ดูเหมือนคาดไม่ถึงว่าเธอจะถามคำถามนี้กับตนเอง เล่อเชี่ยงหย่วนหันกลับมามองเธอ “ฉันเช่าบ้านอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของคุณ” พูดจบแล้วเขาก็พูดต่อว่า “มู่เฉียว ฉันกลับมาทำงานที่เดิมแล้ว คุณลุงไม่สบายตรงไหน คุณก็โทรหาฉันได้เลยนะ”
มู่เฉียวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นจึงมีปฏิกิริยาตอบกลับ “คุณ……คุณกลับมาเป็นหมออีกแล้วเหรอ?” เล่อเชี่ยงหย่วนเรียนมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ แม้ภายหลังจะไปทำธุรกิจ ว่ากันว่าเกิดเรื่องวุ่นวายทางการแพทย์ครั้งหนึ่ง พอดีว่าเขาอยู่ในแผนกหัวใจและหลอดเลือด และผู้ป่วยอยู่บนเตียงผ่าตัดหัวใจหยุดเต้น ตามหลักแล้วก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา แต่ครอบครัวของผู้ป่วยไม่ยอม นั้นทำให้เขารู้สึกหมดกำลังใจ
“ขอแสดงความยินดีด้วย”
“บังเอิญว่าอยู่ในโรงพยาบาลนั้นที่คุณลุงเข้ารักษา พูดได้ว่าหลังจากวันนั้นที่คุณลุงออกจากโรงพยาบาล ฉันก็เริ่มเข้าไปทำงานอย่างเป็นทางการเลย”
มู่เฉียวยื่นมือไปจับเขา แล้วยิ้ม “เชี่ยงหย่วน ดีใจกับคุณมากๆเลย คุณเป็นคนมีความสามารถ ไม่ควรจะสูญเปล่าไปกับโลกของเงินทอง”
เล่อเชี่ยงหย่วนพยักหน้า “เฉียวเอ๋อ ถ้ารู้จักประนีประนอมตั้งแต่แรก คุณก็ไม่ต้องเจ็บปวดแบบนี้ ฉันจะยอมเผชิญหน้าแล้วอยู่เคียงข้างคุณตลอดไปดีกว่า”
“คุณทำเพื่อฉัน” กลอุบายของมู่หยิง เธอรู้ดี บางครั้งคนจะบอกว่าเงินทองเป็นของนอกกาย แต่อย่างที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอก เงินทองและอำนาจอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าคุณจะเป็นชายชาตรี บางทีก็ต้องอับจนหมดหนทาง
“โอเค นอนเร็วๆหน่อยนะ ฉันไปก่อน”
“เดินทางปลอดภัยนะ”
เมื่อเห็นเล่อเชี่ยงหย่วนขึ้นรถสาธารณะไปแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆหันกลับมา ทว่าก็ชนเข้ากับอ้อมกอดที่คุ้นเคย
ชายคนนั้นโอบเอวเธอ “เฉียวเอ๋อ? ที่รัก” เสียงผู้ชายที่ทุ้มๆและคุ้นเคยดังขึ้นในหู
มู่เฉียวขมวดคิ้ว อยากจะผลักเขาออก แต่ก็ถูกชายคนนั้นกอดไว้แน่นมาก “มู่เฉียว ฉันไม่อนุญาตให้คุณอยู่กับเขานะ”
ความโกรธปะทุขึ้นมา มู่เฉียวเงยหน้าขึ้น หัวเราะเยาะ “อย่างนั้นคุณก็แต่งงานกับฉัน? มีความสามารถ คุณก็แต่งงานกับฉันสิ?” เสียงเธอดังขึ้นอย่างฉับพลัน เมืองBในตอนสี่ทุ่มกว่า ยังมีคนผ่านไปผ่านมาอยู่มาก
ชายคนนั้นดึงเข้าไปตรงรถออฟโรดคันหนึ่ง “ฉันเคยบอกแล้วไง ว่าให้รอฉัน ทำไมคุณใจร้อนขนาดนั้น?”
เรื่องมาถึงจุดจุดนี้ มู่เฉียวก็ใจเย็นขึ้นมากแล้ว เธอเลิกดิ้นรนและสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอหันไปมองโม่หาน สบสายตากัน แล้วเธอก็พูดว่า “โม่หาน ตระกูลเราเป็นคนธรรมดา ฉันก็เป็นคนธรรมดา เพราะเรื่องฉันกับคุณพ่อของฉัน ครั้งที่หนึ่งพ่อฉันก็ต้องทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจ ครั้งนี้ก็แทบจะไม่ฟื้นขึ้นมา ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลย ถ้าเขารู้ว่าเรายังอยู่ด้วยกัน เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
ฉันสามารถอธิบายกับคุณลุงได้”
“คุณจะอธิบายอะไร? ให้เขารอที่ลูกสาวจะแต่งงานออกไปเหรอ? โม่หาน ไม่อย่างนั้นเอาแบบนี้ไหม? ต่างฝ่ายต่างให้เวลากันและกันหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว คุณจะแต่งงาน ฉันก็ยังจะแต่งเหมือนเดิม หากผ่านไปหนึ่งปีแล้ว คุณยังแต่งไม่ได้ ก็ปล่อยมือซะ ได้ไหม?”
ผ่านไปหนึ่งปี เธอก็อายุ29ปีเต็ม ย่างเข้า30ปี เป็นช่วงเวลาที่งดงามที่สุดของผู้หญิง ก็นับตั้งแต่บัดนี้จนกระทั่งจบสิ้น
“ไม่ได้ คุณอยู่ด้วยกันกับเขาทั้งเช้าทั้งเย็น ถ้าหากว่า ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว คุณเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาล่ะ?”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง มองโม่หาน ทันทีก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท่านประธานโม่ที่สง่าผ่าเผย คาดไม่ถึงว่าจะกลัวเธอเปลี่ยนใจ?
“อย่างนั้นก็บอกฉันมาว่า สรุปมันคือสาเหตุอะไร ถึงไม่สามารถแต่งงานกับฉันได้ สรุปมาทั้งหมดได้ไหม? ถึงแม้จะรอ ก็ให้เหตุผลฉันสักหน่อย ได้ไหม?”
โม่หานส่ายหน้า ไม่พูดจา มู่เฉียวหลับตา แล้วลืมตา “อย่างนั้นคุณอยากจะทำอะไรก็เชิญเลย ลาก่อน” พูดจบ ก็ดึงเปิดที่จับประตูรถ เตรียมจะลงจากรถ แต่ถูกโม่หานดึงมือเอาไว้ “มู่เฉียว ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” น้ำเสียงที่เสียใจของเขาแฝงไปด้วยการอ้อนวอน ทำให้มู่เฉียวคิดว่าตนเองประสาทหลอน พอหันหน้ากลับมา ก็เห็นใบหน้าที่เศร้าเสียใจของชายหนุ่ม
เธอก้มหน้าเล็กน้อย เงาของขนตาทั้งสองข้างตกลง อึ้งอย่างมาก จริงๆเธอยอมที่จะให้ชายคนนี้ไร้ความเมตตาปรานีดีกว่า ไม่อยากให้เขาเสแสร้งทำตัวน่าสงสารเช่นนี้ ใจเธอมันอ่อนแอเกินไป
เธอปล่อยที่จับประตูออก “โม่หาน ถ้าคุณทำเพื่อเงิน อย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องการเงินแล้ว ได้ไหม? ด้วยความสามารถของคุณไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็สามารถหาเงินมาเลี้ยงดูฉันกับลูกได้อยู่แล้ว ฉันก็จะขยันให้มากๆ โอเคไหม?” เธอโน้มน้าวเขา สาวสวยหาได้ยากกว่าอำนาจเงินทอง
โม่หานยิ้ม นิ้วมือที่เรียวยาวลูบไปมาระหว่างเส้นผมของเธอ “เด็กโง่ เพื่อคุณ ไม่ว่าเงินทอง อำนาจบารมี ฉันก็ไม่เสียดายทั้งนั้น”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว นั่งตัวตรง สายตาจ้องมองไปยังโม่หาน พูดตามตรง คำตอบนี้ทำให้เธอแปลกใจอย่างมาก “อย่างนั้น ทำไมล่ะ?”
“มู่เฉียว คุณต้องการฟังฉันอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ให้คุณชัดเจนหรือไม่? แต่อาจต้องใช้เวลานานนะ”
“คุณพูดมาเถอะ!” เสี่ยวโยวน่าจะถูกพ่อแม่กล่อมนอนแล้ว เธอกลับไปดึกหน่อย ก็น่าจะไม่เป็นไร
……
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
“มีพ่อแบบนี้บนโลกใบนี้ด้วยเหรอ?” มู่เฉียวตกตะลึงถึงขีดสุด คาดไม่ถึงว่าเพื่อธุรกิจของตนเอง จะสามารถเอาชีวิตของลูกชายมาล้อเล่นได้ เธอยังลืมไม่ลงกับท่าทีที่หายใจรวยรินของโม่หาน ราวกับว่าชีวิตสามารถจบสิ้นลงได้ภายในชั่วพริบตา
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพ่อของเขาที่เป็นคนทำ จุดประสงค์ ก็เพียงเพื่อ จะบีบบังคับจนเขาอับจนหนทาง ความบ้าคลั่งแบบนี้ ทำให้คนต้องตกตะลึงจริงๆ
โม่หานขมวดคิ้วแน่น คนต่างก็บอกว่า เลือดข้นกว่าน้ำ ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ให้กำเนิด โดยปกติมนุษย์ธรรมดา ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้
เห็นเขาไม่พูดจา มู่เฉียวคิดๆแล้ว จึงเอ่ยปาก “หานฉุน เป็นน้องชายของคุณไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่เลือกเขาล่ะ?”
ดูเหมือนว่าแปลกใจอย่างมาก เธอรู้เรื่องนี้แล้ว โม่หานปลดกระดุมคอเสื้อ แล้วพ่นลมหายใจออก แล้วจึงมองมู่เฉียว “เขารู้ว่าหานฉุนไม่ได้ใส่ใจทางด้านธุรกิจมาแต่ไหนแต่ไร อำนาจบารมีที่เขายึดครองได้ เมื่อต้องตกอยู่ในมือของหานฉุน เกรงว่าจะสูญหายไปในชั่วพริบตา มู่เฉียว เขาทำเพื่อธุรกิจของตนเอง รู้ว่าแม่ของฉันกำลังตั้งท้องฉัน แต่พ่อเลี้ยงของฉันก็บีบบังคับให้เธอแต่งงานกับเขา สำหรับเขาแล้ว…….ฉันจนปัญญาที่จะประนีประนอม” ดวงตาทั้งคู่ของโม่หานแสดงความเด็ดเดี่ยวอย่างลึกซึ้ง
“อย่างนั้นก็ไม่ควรจะทำกับคุณแบบนี้นี่? เขาควรจะทำดีกับคุณสักหน่อย คุณไม่ยอมรับมันในทันทีเหรอ? ทำไมถึงต้องบีบบังคับคุณด้วยล่ะ?”
“เขาฆ่าพ่อของฉัน” โม่หานหยุดลงชั่วขณะ “พ่อเลี้ยงของฉัน มู่เฉียว คุณคิดว่าผู้ชายแบบนี้ ฉันจะสามารถสืบทอดกิจการของเขา และทำมันให้ยิ่งใหญ่แข็งแกร่งอย่างนั้นเหรอ?”
มู่เฉียวส่ายหน้า ถ้าเป็นเธอ เธอก็ไม่ยินยอม พ่อคนหนึ่งที่สามารถเอาชีวิตของตนเองไปเล่นเป็นเด็กๆ น่ากลัวเกินไปจริงๆ
“ดังนั้น ฉันจึงไม่สามารถยอมรับข้อตกลงของเขาได้ ด้วยเหตุนี้ คุณแล้วเสี่ยวโยวจึงกลายเป็นจุดอ่อนเพียงอย่างเดียวของฉัน ถ้าฉันแต่งงานกับคุณ ด้วยนิสัยของเขาแล้ว เกรงว่าอาจจะลงมือกับพวกคุณได้”
เวลานี้ จู่ๆโทรศัพท์ของโม่หานก็ดังขึ้น
ถึงจะบอกเธอก่อนที่จะไปแอฟริกาใต้ บางทีทุกๆอย่างก็อาจจะไม่เหมือนเดิม
“ฉันหาคุณไม่เจอ หลายปีก่อนหน้านี้ กลับมาหลังจากที่เจอกันที่เยอรมัน ฉันก็หย่ากับเธอแล้ว แต่ต่อมาฉันก็ไปตามหาที่เมืองA ก็ไม่มีข่าวคราวของคุณเลย ก่อนหน้านี้สองสามวันได้ดูข่าว ฉันจึงได้รู้ว่าคุณมาที่เมืองB แล้วบังเอิญว่าเช้านี้ก็ได้เจอกับตู้เสี่ยวซิน”
ฉะนั้นเดิมทีคนที่มานัดดูตัว ไม่ได้เป็นเขา
ที่เรียกว่าโชคชะตากลั่นแกล้ง ในที่สุดมู่เฉียวก็ได้เข้าใจ
เธอมองเล่อเชี่ยงหย่วน ดวงตาค่อยๆเปียกชื้นขึ้น ถ้าไม่ได้รักโม่หาน นี่อาจจะเป็นตอนจบที่สมบูรณ์แบบที่สุด
แต่ว่า……
“ฉันกับเขา……”
“ฉันไม่สนใจหรอก”
“เล่อเชี่ยงหย่วน คุณไม่กลัวว่าเขาจะมาแก้แค้นเหรอ?” ขนตาที่งอนของมู่เฉียวเปียกชื้นเล็กน้อย เธอกะพริบๆตา บังคับให้น้ำตาไหลกลับไป
“กลัวสิ แต่ฉันรู้ว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถทำร้ายคุณได้ มู่เฉียว ฉันเป็นผู้ชาย จากคำพูดของตู้เสี่ยวซิน จริงๆแล้วฉันก็ฟังออกว่าโม่หานคนนั้นมีความรักใคร่ต่อคุณ”
โม่หานมีความรักใคร่ต่อคุณ
มู่เฉียวหัวเราะ “มีความรัก แล้วจะไม่ยอมแต่งงานกับฉันเหรอ?”
“บนโลกใบนี้มีคนมากมาย ที่ไม่ได้รักกันก็แต่งงานกันได้” เล่อเชี่ยงหย่วนเป็นคนที่มีเหตุผลมาโดยตลอด สำหรับเขาไม่ว่าจะเรื่องงาน ความรัก ก็ไม่ได้ใช้อารมณ์
ไม่ได้รักกันก็แต่งงานกันได้? มู่เฉียวส่ายหัว อย่างนั้นก็บอกได้ว่า ไม่มีความรักที่ดีที่สุด มิเช่นนั้นยังมีเหตุผลอะไรที่จะไม่แต่งงานล่ะ?
“คุณมาวันนี้เพื่อมาพูดเกลี้ยกล่อมเหรอ?”
เล่อเชี่ยงหย่วน “แต่งงานกับฉันเถอะ ฉันจะไม่แตะต้องคุณ รอวันหนึ่ง เมื่อเขาแต่งงานกับคุณได้ ฉันจะคืนคุณให้เขา อย่างนี้พ่อแม่คุณก็จะได้สบายใจ เป็นอย่างไร?”
มู่เฉียวตกตะลึง เงยหน้ามองเล่อเชี่ยงหย่วน “อย่างนั้นคุณต้องการอะไร?”
ท้ายที่สุดแล้วความคิดนี้ เขาก็ไม่ได้อะไรเลย
เธอมองเล่อเชี่ยงหย่วน เทียบกับเด็กวัยรุ่นในปีก่อนๆ สองสามปีนี้ เขาโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก ทรงผมการแต่งตัว ก็เปลี่ยนสไตล์ไป แต่ต้องบอกว่า ถึงแม้จะไม่ดูดีเท่าโม่หาน แต่เล่อเชี่ยงหย่วนก็ดูดีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา หรือความสามารถ ในสายตาของคนธรรมดาอย่างพวกเขา เขายังนับว่าเป็นคนที่หน้าตาดี
“อาศัยความรักที่ฉันมีต่อคุณ ฉันสามารถเอาคุณไปต่อรอง เพื่อแลกกับความมั่งคั่งตลอดชีวิตได้”
ประโยคแรกได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกซาบซึ้งใจจริงๆ แต่ประโยคหลังนั้น มันเกินความคาดหมายของมู่เฉียว
“เล่อเชี่ยงหย่วน……” เธอโกรธเล็กน้อย สุดท้ายแล้ว คาดไม่ถึงว่าชายคนนี้ยังคงมาหาเธอก็เพื่อเงิน
“ถ้าคุณไม่อยากแต่งงานกับเขาอีกแล้ว เช่นนั้น ความมั่งคั่งตลอดชีวิต จะต้องแลกกับคุณ ฉันก็เต็มใจ” ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร เล่อเชี่ยงหย่วนก็พูดตัดบทเธอ จากนั้นก็พูดต่อว่า : “ถ้าท้ายที่สุดแล้ว คุณยังปล่อยวางจากเขาไม่ได้ เช่นนั้น ก็จะใช้ความมั่งคั่งในชีวิตมาแลกเปลี่ยนความรู้สึกผิดของคุณ”
เมื่อมู่เฉียวได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดน้ำตาก็ไหลออกมา
เวลานี้เธอซาบซึ้งใจอย่างมาก ซาบซึ้งใจที่ผู้ชายคนนี้พูดอย่างตรงไปตรงมา ซาบซึ้งใจที่ในความทุ่มเทของชายคนนี้
อันที่เธอไม่ได้โง่ เงื่อนไขนี้ดูเหมือนจะยุติธรรม แต่เธอคือคนที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุด ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เธอก็ไม่ได้เสียเปรียบ บางทีเล่อเชี่ยงหย่วนอาจจะรักเธอจริงๆ จึงได้ปรากฏตัวข้างๆเธอในสถานการณ์อย่างนี้
“ฉะนั้นคุณไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก อันที่จริงฉันก็ไม่ได้เสียเปรียบ ถ้าไม่ได้อำนาจ ก็ต้องได้สาวงาม คุณว่าไหม?”
เวลานี้มีคนสวมชุดทำงานของห้องสมุดเข้ามา หยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดน้ำบนโต๊ะ มู่เฉียวจึงถอยไปสองก้าว
“ถ้าเขารักคุณ ก็เป็นธรรมดาที่เขาจะทุ่มเงินเพื่อคุณ ส่วนความมั่งคั่งในตลอดชีวิตของคนธรรมดาอย่างเรา ในสายตาโม่หานแล้ว มันไม่เท่าไหร่หรอก เขาไม่เสียดายอย่างแน่นอน แต่ถ้าเขาไม่รักคุณ มู่เฉียว คุณแต่งงานกับฉัน ฉันสัญญาว่าจะดูแลคุณไปตลอดชีวิต จะรักคุณไม่ทำผิดต่อคุณอย่างแน่นอน”
พูดถึงส่วนนี้ มู่เฉียวก็รู้สึกว่าตนเองคล้ายกับไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ
อันที่จริง ไม่ว่าอนาคต เธอและโม่หานจะได้ลงเอยกันหรือไม่ แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้แล้ว เล่อเชี่ยงหย่วนก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เพียงแต่ ระยะเวลาที่กำหนดคือ สองปี” เล่อเชี่ยวหย่วนกล่าวเสริมอีกว่า “เฉียวเอ๋อ หลังจากสองปี ถ้าเขาไม่สามารถให้คำตอบใดๆกับคุณได้ อย่างนั้น ในอนาคต ถึงแม้เขาจะเอาอำนาจเงินทองมาแลกเปลี่ยน ฉันก็จะไม่ยอมปล่อยมือ คุณยินยอมไหม?”
สองปี? มู่เฉียวหรี่ตา หากสองปี เขายังไม่ยินยอมที่จะแต่งงาน ให้รอไปอีกหลายปีก็ไม่มีประโยชน์
“ได้ อย่างนั้นตอนเย็นไปบ้านฉันไหม?” เธอยอมรับว่าเธอรีบร้อนไปหน่อย รีบร้อนที่จะทำให้พ่อแม่สบายใจ
“ผ่านไปสักสองสามวันเถอะ รีบร้อนเกินไป ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดี”
มู่เฉียวพยักหน้า มองฝ้าเพดาน รู้สึกโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก
“คุณถึงเวลาทำงานแล้วใช่ไหม? ฉันจะไปส่งคุณที่บริษัท”
บอกว่าจะไปส่งเธอที่บริษัท แต่เล่อเชี่ยงหย่วนไม่มีรถ แค่ติดตามไปส่งเธอ คนทั้งสองนั่งรถสาธารณะไปที่บริษัท
นั่งรถสาธารณะสามสิบห้านาที คนทั้งสองเงียบมาโดยตลอด บางทีคำที่อยากจะพูดมีมากเกินไป หรือบางทีคำที่ไม่สามารถพูดได้มีมากเกินไป สุดท้าย ก็ได้แต่เงียบมาตลอดทาง
การพบกันอีกครั้ง ทั้งด้วยสภาพจิตใจที่เป็นแบบนี้ ด้วยวิธีการพบกันแบบนี้ คนทั้งสองก็ค่อนข้างอึดอัดและเก้อเขินเล็กน้อย
“ตอนเย็น คุณเลิกงานกี่โมง?”
“ห้าโมงครึ่ง”
“ตอนเย็นเลี้ยงข้าวคุณ จะได้ไหม?”
สายตาของมู่เฉียวมองไปยังที่อื่น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง อีกทั้งสถานะในขณะนี้ เธอคล้ายกับว่าไม่มีคุณสมบัติที่จะปฏิเสธ คิดๆแล้ว จึงพยักหน้า “โอเค”
สถานที่ไม่ได้หรูหราราคาแพงเหมือนที่โม่หานพาเธอไป เล่อเชี่ยงหย่วนพาเธอไปยังร้านเล็กๆที่มุมหนึ่ง อาหารอร่อยมาก แถมยังถูกอีกด้วย พอคิดๆอย่างใจเย็นแล้ว ถ้าวันเวลาผ่านไปจริงๆ บางทีเล่อเชี่ยงหย่วนก็อาจจะเหมาะสมกว่า
“เฉียวเอ๋อ ก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมูของโปรดคุณ”
ใจของมู่เฉียวสั่นไม่หยุด “ทำไมเมืองBถึงยังมีสถานที่แบบนี้อยู่อีกล่ะ?”
พูดจบ เธอก็มองเล่อเชี่ยงหย่วน “หลายปีมาแล้ว คุณยังจำที่ไปกินที่บ้านฉันได้ไหม?”
“คุณชอบกินก๋วยเตี๋ยวหลอดไส้หมู ชอบกินปลาเผา ชอบกินโจ๊กฟักทอง ชอบกินเกี๊ยวนึ่งจิ้มจิ๊กโฉ่ว…..” ของที่เธอชอบกิน ผู้ชายคนนี้จำได้อย่างแม่นยำ
ทุกคำที่เขาพูด ใจของมู่เฉียวก็ยิ่งเป็นทุกข์ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ น่าจะดีมาก ไม่มีโม่หาน ไม่มีมู่หยิง…..
เชี่ยงหย่วน…”เธอเม้มริมฝีปาก จนกระทั่งริมฝีปากสั่นเล็กน้อย แต่เธอรู้ว่าการประทับใจไม่ใช่ความรัก
“เอาล่ะ หยุดแค่นี้ คุณก็รู้ว่า ฉันไม่ได้ต้องการให้คุณประทับใจแต่อย่างใด ฉันปรารถนาให้คุณมีความสุข ไม่ว่า ท้ายที่สุดแล้วคุณจะเลือกใคร ดังนั้น ปัญหานี้ ไม่ต้องพูดกับฉันอีก”
คนทั้งสองเข้าไปในร้าน เถ้าแก่คล้ายกับรู้จักเล่อเชี่ยงหย่วน “พ่อหนุ่ม คุณมาแล้วเหรอ?”
“คุณมาบ่อยเหรอ?”
“เปล่าหรอก ของที่คุณชอบ ฉันก็แค่ค่อนข้างใส่ใจก็เท่านั้น กินมาหลายร้าน ร้านนี้ รสชาติดั้งเดิมที่สุดแล้ว”
พูดพลาง สั่งให้มู่เฉียวนั่งลง แล้วก็รินน้ำจับเลี้ยงให้เธอแก้วหนึ่ง “ดื่มอันนี้สักหน่อยก่อน รสชาติเหมือนกับที่เมืองAเลยนะ”
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า มองเล่อเชี่ยงหย่วน จิบน้ำตับเลี้ยงอึกหนึ่ง “อื้ม เหมือนกันเลย”
ทุกอย่างล้วนเหมือนเดิม ถ้าไม่มีความทรงจำเมื่อหลายปีมานี้ เวลานี้ พวกเขาก็ยังคงเป็นคนรักกันเหมือนในตอนนั้น
แต่บังเอิญ ในใจรู้อย่างชัดเจนว่า มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
“ประธานโม่ คุณไปก่อนเถอะ สถานการณ์เธอในตอนนี้ ไม่ฟังคำพูดใดๆทั้งนั้น” ไม่รู้ว่าตู้เสี่ยวซินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ มองโม่หานแล้วพูดอย่างช้าๆ
มองผู้หญิงตรงหน้า สองไหล่สั่นเทา โม่หานอยากจะยื่นมือไปกอด ท้ายที่สุดได้แต่แข็งทื่ออยู่กลางอากาศ นิ้วมือเรียวยาวค่อยๆกำจนกลายเป็นหมัด บนใบหน้าอันหล่อเหลา แสดงออกอย่างเจ็บปวด
อันที่จริงหลังจากวันนั้นที่เขารู้ เขาก็รู้ว่าทุกอย่างหลุดไปจากแผนการของเขา แต่เขาไม่คิดว่า มู่เฉียวจะเอ่ยขอแต่งงานกับเขา
รู้ดีว่าการปฏิเสธจะทำให้เธอสิ้นหวัง แต่เวลาแบบนี้ เขาจนปัญญาที่จะตอบรับ
ตาแก่คนนั้น เขายังคงไม่ยอมอ่อนข้อให้ แล้วทำไมพ่อถึงไม่ตาย ในตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ยังไม่มีอะไรชัดเจน
เขาได้แต่ทำให้ตนเองมีอำนาจและแข็งแกร่งขึ้นมา เขาจึงสามารถปกป้องคนที่อยากปกป้องได้จริงๆ
มิเช่นนั้นแม้ว่าวันนี้เขาจะปกป้องเธอ วันหนึ่งข้างหน้า เธอยังคงอยู่ในตำแหน่งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ
ผู้ชายคนนั้นสามารถเอาชีวิตเขาเป็นเดิมพัน โดยอยู่ในสายตาเขา เดิมทีมู่เฉียวกับเสี่ยวโยวไม่ได้อยู่ในสายตาเขา
เมื่อพบเจอเรื่องที่ขัดผลประโยชน์กัน พวกเธอจะยังตกอยู่ในอันตรายเพราะตนเอง นี่คือสิ่งที่เขาไม่อยากเห็น
“ดูแลเธอให้ดีๆ” เขาพูดจบ ก็หันออกไป
เมื่อประตูปิดลง มู่เฉียวก็โผเข้าไปข้างเตียงของพ่อ ร้องไห้ออกมาจนตัวสั่นเทา
หลายวันมานี้โม่หานไม่ได้ติดต่อเธอเลย ความจริงก็อยากจะหลีกหนี แต่นี่ทำให้เธอยิ่งลำบากใจ
ตลอดคืนนี้ ตู้เสี่ยวซินไม่ได้ไปไหน เขายังคงอยู่ข้างๆมู่เฉียวตลอด
“มู่เฉียว ทานอะไรสักหน่อยก่อนเถอะ”
มู่เฉียวส่ายหน้าไม่พูดจา เรื่องครั้งนี้ไม่ได้น้อยไปกว่าการตายของโม่หานในปีนั้นเลย
เวลานั้น เพียงแค่จิตใจหวั่นไหว แต่ไม่ได้รัก
ตายไปแล้ว ก็เหมือนญาติห่างๆคนหนึ่งที่จากไป เศร้าเสียใจ แต่ไม่ถึงกับเจ็บจนซึ้งถึงหัวใจ
แต่ครั้งนี้ เขายังอยู่ ทว่าเธอเจ็บปวดจนแทบหยุดหายใจ
“เฉียวเอ๋อ เขาอาจจะมีความลำบากใจจริงๆ คุณอย่าหมดหวังขนาดนี้เลย”
มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน เธอไม่พูดอะไร บางทีเธอยังไม่รู้จักเขามากพอ บางทียังรักไม่ลึกซึ้งพอ ฉะนั้นจะทำเป็นยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้ เห็นแก่ตัวขนาดนั้นก็ไม่ได้
พ่อฟื้นขึ้นมาในวันที่สี่ของเหตุการณ์นี้ คนทั้งครอบครัวก็โล่งอก
หมดเน้นย้ำว่า อย่าให้ได้รับการกระทบกระเทือนใดๆทางจิตใจ
“พ่อ แม่ พวกคุณกลับไปบ้านย่าที่เมืองAเถอะ” หลังจากพ่อออกจากโรงพยาบาล มู่เฉียวก็พูดเสนอความคิดเห็น
พ่อไม่ได้พูดอะไร หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็สงบนิ่งอย่างมาก ไม่ได้ตำหนิมู่เฉียว แล้วก็ไม่ได้ด่าเธอ
“เฉียวเอ๋อ หาคนมาแต่งงานด้วยเถอะ” จู่ๆพ่อก็พูดขึ้นมา การเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง ทำให้เขาดูอายุมากขึ้น
มู่เฉียวสั่นไปทั้งตัว
“หลีกหนีไปได้ก็จริง แต่จะหนีไปตลอดชีวิตเลยเหรอ? ไม่แต่งงาน คุณก็ต้องอยู่กับความไม่ชัดเจนกับโม่หานตลอดไป” พูดในประโยคเดียว
“พ่อ”
พ่อสูดลมหายใจเข้า “เราเป็นแค่ครอบครัวธรรมดาเท่านั้น เฉียวเอ๋อ”
คำไม่กี่คำดูเหมือนจะทำให้มู่เฉียวเข้าใจอะไรได้ในชั่วพริบตา
เธอเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ซินเดอเรลล่าไม่ได้มีคนคุ้มครองที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลัง ถึงแม้ว่าจะเข้าไปในวังแล้ว ก็ไม่ได้แน่ว่าจะได้เป็นราชินี หรืออาจจะกลายเป็นซินเดอเรลล่าอีกครั้งก็ได้
เธอเม้มๆปาก ใจเต้นเร็ว อ้าปากค้าง เธออยากจะบอกกับพ่อว่า สามารถเลือกอย่างอื่นได้ไหม?
แต่หลังจากที่ทำให้พ่อตกอยู่ในอันตรายถึงสองครั้ง การร้องขอนี้ เธอจึงพูดไม่ออก
เธอไม่มีตัวเลือก
ดังนั้น สุดท้ายเธอก็ซื้ดจมูก “โอเค”
เธอเห็นพ่อแม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอเห็นอารมณ์ที่สับสนในสายตาของมู่หลิง
เช่นนี้ ก็ได้ ถ้าเธอต้องเจ็บปวดเพียงคนเดียว แล้วสามารถเปลี่ยนให้ครอบครัวสบายใจและปลอดภัยได้ เธอก็ยินยอม
“พรุ่งนี้ เริ่มดูตัวนะ”
มู่เฉียวพยักหน้า “โอเค”
บนระเบียงข้างบ้าน ชายหนุ่มถือบุหรี่ที่ไหม้มากกว่าครึ่งระหว่างนิ้วของเขา ก้นบุหรี่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น
ตอนกลางวันของวันต่อมา นัดสถานที่พบกันแล้ว
มู่เฉียวพบเล่อเชี่ยงหย่วน
เธอรู้เหมือนว่าโชคชะตากำลังเล่นตลกกับเธอ วนเวียนไปมาอยู่ที่เดิม
เธอหันตัวกลับกำลังจะไป แต่แขนถูกดึงเอาไว้
“มู่เฉียว…..”
“คุณมาทำอะไร? เห็นเป็นเรื่องตลกเหรอ?”
เล่อเชี่ยงหย่วนส่ายหน้า “ฉันหย่ากับผู้หญิงคนนั้นแล้ว”
มู่เฉียวร้องเชอะอย่างเย็นชา หันหน้ากลับไปมองเขา “แล้วยังไงต่อ? คุณคงไม่ได้คิดจะแต่งงานกับฉันใช่ไหม?”
พูดจบ เธอก็เดินไปยังหน้าประตู เวลาทานข้าวตอนกลางวัน คนเดินไปมาจำนวนมาก ต่างก็มองมาที่คนทั้งสอง มู่เฉียวกดปีกหมวกลง เธอกลับมาเมืองBแล้ว เพิ่งจะรู้ว่า ในตอนที่เธอและโม่หานอยู่ที่แอฟริกาใต้ มีรูปภาพที่ท่าทางสนิทสนมกัน ได้เผยแพร่ไปทั่วอินเทอร์เน็ตภายในประเทศ
บอกว่าเป็นถ่านไฟเก่าของโม่หาน บอกว่าเธออ่อยโม่หาน ต่างๆนานา
ถึงแม้ว่าโม่หานจะได้ดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องแล้ว ระงับการกระจายข่าวต่อแล้ว แต่คนจำนวนไม่น้อยก็ยังรู้จักเธอ
ดังนั้น จึงทำให้เหอเจี๋ยมาด่าประจานเธอถึงหน้าบ้าน
“มู่เฉียว คุณก็รู้ว่า สถานการณ์ขณะนี้ ไม่มีใครกล้าจะแต่งงานกับคุณ”
ประโยคนี้ทำให้มู่เฉียวที่ก้าวไปข้างหน้าต้องหยุดลง เธอตัวสั่นเล็กน้อย ไม่มีใครกล้าแต่งงานกับเธอ เพราะว่า เธอเป็นอดีตภรรยาของโม่หาน เมียน้อยในตอนนี้ ผู้ชายปกติที่ไหน จะรนหาที่ตายมาแต่งกับผู้หญิงของโม่หาน
ปัญหานี้ พวกเขาทั้งบ้านต่างก็รู้ดี แต่ก็ยังอยากจะเสี่ยงกับโชคชะตา
“คุณแน่ใจนะว่าจะยืนอยู่ตรงนี้? ไปหาสถานที่ นั่งลงแล้วพูดคุยกันเถอะ” เล่อเชี่ยงหย่วน
ในห้องสมุดที่เงียบสงบแห่งหนึ่งมีคนน้อยมาก เวลานั้น ตอนที่เธอและเป็นแฟนกัน นี่คือสถานที่ที่ชอบมากที่สุด
“เฉียวเอ๋อ ปีนั้น ฉันแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น ก็เพราะคุณ” พอนั่งลงประโยคแรกที่พูด ก็คือประโยคนี้
มือมู่เฉียวที่ยกแก้วน้ำอยู่สั่นอย่างรุนแรง น้ำครึ่งแก้วหกลงใส่ขา ความร้อนซึมลงผิวหนัง แต่เธอไม่ได้รู้ตัว
เล่อเชี่ยงหย่วนหยิบกระดาษทิชชูส่งให้เธอ “เช็ดก่อนเถอะ”
มู่เฉียวไม่ได้รับ เอาแต่มองเขา “เมื่อกี้ที่คุณพูด หมายความว่าอย่างไร?”
“มู่หยิงเอางานของคุณกับพ่อแม่มาใช้เป็นอำนาจคุกคาม ฉันไม่มีทางเลือกโดยสิ้นเชิง คุณก็รู้ว่า ชายอกสามศอก มีอำนาจเงินทองมากองอยู่ตรงหน้า ไม่มีกำลังที่จะต้านทานเลยแม้แต่น้อย” ความจนใจและเจ็บปวดในสายตาของเขา มันทิ่มแทงมู่เฉียวอย่างลึกซึ้ง
มู่เฉียวลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำในแก้วหกออกมา
นี่คือสวรรค์กำลังล้อเล่นกับเธอเหรอ?
มือหนึ่งของเธอลูบที่หว่างคิ้ว บนโลกนี้ ยังมีเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระกว่านี้อีกไหม? เธอคิดว่าชายคนนี้ชั่วมาโดยตลอด คาดไม่ถึงว่าเบื้องหลังจะทุ่มเทให้เธอมากมายขนาดนี้
“แล้วทำไมคุณถึงมาพูดตอนนี้ ทำไม? ทำไม?” เธอตะโกนเสียงดังใส่เขา
มู่เฉียวส่ายหัว หันไปจัดการของของตนเองก่อน
มองภาพด้านหลังของเธอ พี่เหมยหลับตา สูดลมหายใจเข้า “จริงแล้วเธอไม่ได้ทำผิดอะไร ครั้งนี้พ่อคุณทำเกินไปแล้วจริงๆ”
หานฉุนไม่พูดอะไร มีความกังวลลึกๆในแววตา
เมื่อมู่เฉียวกลับมาถึงเมืองB พอลงจากเครื่องก็เห็นตู้เสี่ยวซินอยู่ไกลๆ
“ทำไมคุณผอมไปขนาดนี้เลยล่ะ?” เธอเดินไปข้างหน้ามองตู้เสี่ยวซิน สีหน้าเธอดูอ่อนล้า ดูเหมือนว่าจะแน่เป็นพิเศษ อาจจะเกี่ยวกับว่าเธอไม่ได้แต่งหน้าด้วย
ตู้เสี่ยวซินเดินเข้าไปกอดเธอ “เฉียวเอ๋อ ไปกับฉันก่อน”
พูดจบก็ดึงมือมู่เฉียว รีบเดินไปข้างนอก ตู้เสี่ยวซินไม่ได้ขับรถมา จึงโบกรถกลับไป
เมื่อเห็นตรงหน้าเป็นโรงพยาบาล มู่เฉียวก็หันไปมองตู้เสี่ยวซิน แล้วหยุดฝีเท้า “มาที่นี่ทำไม?”
ตู้เสี่ยวซินหันไป แล้วเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “เฉียวเอ๋อ คุณลุงเขา……”
มู่เฉียวตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นเมื่อได้สติกลับมา ก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เธอขมวดคิ้วถามว่า “พ่อฉันเขาเป็นอะไร?”
“เฉียวเอ๋อ……”
“สรุปพ่อฉันเป็นอะไร?” จู่ๆเสียงเธอก็ดังขึ้น
“โรคหัวใจคุณลุง……โรคหัวใจ……” ตู้เสี่ยวซินร้องไห้สะอึกสะอื้น มู่เฉียวเลยเดินผ่านเขาเข้าโรงพยาบาลไป
ตู้เสี่ยวซินเช็ดน้ำตา เดินตามหลังเธอไป
ในสมองมู่เฉียวยุ่งเหยิงไปหมด เธอไม่อยากจะร้อยเรียงหลายๆเรื่องเข้าด้วยกัน เธอกลัวว่าตนเองจะรับไม่ได้
แผนกหัวใจและหลอดเลือด
“ฉินเอ๋อ พ่อคุณเพิ่งจะทำการผ่าตัดไปเมื่อสักครู่นี้ กลัวว่าคุณจะกังวลใจ เลยไม่กล้าบอกคุณ” คำพูดของคุณลุงในตอนนั้นยังก้องอยู่ในหู
ครั้งนี้ล่ะ?
เข้าไปในห้องผู้ป่วย มู่หลิงกับแม่เฝ้าอยู่ข้างๆ เมื่อเห็นมู่เฉียวเข้ามา ทั้งสองคนก็ลุกขึ้นยืน
“เฉียวเอ๋อ……”
เสียงแม่แหบพร่ากว่าก่อนหน้านี้มาก มู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองอกตัญญูจริงๆเลย คาดไม่ถึงว่าเธอจะเชื่อว่าแม่กำลังโกรธอยู่
“แม่……” หลังจากที่เธอเรียกแล้ว ก็เดินเข้าไปข้างๆเตียงพ่อมู่
“ทำไมจู่ๆพ่อถึงได้หมดสติไป?”
“คุณก็ถามโม่หานสิ? คุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขาไม่ใช่เหรอ?” น้ำเสียงมู่หลิงเย็นชาเล็กน้อย มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นความเกลียดชังในแววตาของน้องชาย
“เสี่ยวหลิง คุณอย่าพูดกับพี่คุณแบบนี้”
“แม่ พ่อหมดสติไปเพราะสาเหตุอะไร คุณยังคิดจะปกปิดกับเธออีกเหรอ? ถ้าไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นเข้ามา พูดคำพูดที่ไม่น่าฟังแบบนั้น พ่อจะได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจเหรอ?” มู่หลิงน้ำตาไหล ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะไม่แหบพร่าเหมือนแม่ แต่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้า
“พี่ คุณรู้ว่าเขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว ทำไมคุณถึงยังไปยุ่งกับเขาอีก? ในเมื่อคุณมีความสามารถที่จะก่อเรื่องวุ่นวาย คุณก็ต้องมีความสามารถที่จะให้เขามาแต่งงานกับคุณด้วยสิ?”
มู่เฉียวไม่พูดอะไร ไม่อยากที่จะอธิบาย เธอเม้มปากมองไปที่แม่ “แม่ หมอว่าอย่างไรบ้าง?”
แม่ถอนหายใจ “หมอบอกว่า กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเลยหมดสติไป หลายวันมาแล้วก็ยังไม่ฟื้นเลย”
มู่เฉียวมองพ่อ เธอตำหนิตนเองในใจ ไม่สามารถใช้คำพูดมาอธิบายได้ เธอไม่คิดว่าจะทำให้พ่อเธอเจ็บปวดอีกครั้ง
“แม่ คุณกับมู่หลิงกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะเฝ้าพ่ออยู่ที่นี่” เห็นท่าทีของพวกเขา คาดว่าหลายวันมานี้ คงไม่ได้หลับได้นอน
แม่ส่ายหน้า “เฉียวเอ๋อ คุณนั่งเครื่องบินมาเหนื่อยล้า คุณกลับไปเถอะ อีกเดี๋ยวเสี่ยวโยวก็น่าจะเลิกเรียนแล้ว ช่วงนี้เสี่ยวซินต้องไปรับเธอ”
มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน ฉีกยิ้มเล็กน้อย ระหว่างพวกเธอ พูดคำว่าขอบคุณ ก็จะดูห่างเหินเกินไป
แต่เธอยืนกราน ตู้เสี่ยวซินจึงต้องพาแม่และมู่หลิงไปส่ง
ในห้องผู้ป่วยเหลือเพียงเธอกับพ่อที่ไม่ได้สติ
เมื่อปิดประตู มู่เฉียวก็เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น “พ่อขอโทษนะ ขอโทษ”
เธอไม่รู้ว่าตนเองร้องไห้ไปนานแค่ไหน รู้สึกว่าน้ำตาเริ่มแห้งแล้ว คนก็ร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว จึงค่อยๆหยุดลง
เธอหยิบสำลีก้าน มาชุบน้ำ ช่วยให้ริมฝีปากของพ่อชุ่มชื้น
ตอนเด็ก ก็ยุ่งอยู่กับการอ่านหนังสือ ตอนโต ก็ยุ่งอยู่กับการทำงาน หลายปีมานี้ มู่เฉียวไม่เคยได้อยู่ด้วยกันกับพ่ออย่างสงบเงียบแบบนี้เลย
เธอกุมมือของพ่อ พูดถึงอดีตและปัจจุบันข้างหูของพ่อ
“พ่อ คุณจำได้ไหมว่าตอนเด็กๆ มีครั้งหนึ่งฉันป่วย แม่บอกว่า คุณแบกฉันไปหาหมอ แล้วตกลงไปในทะเลสาบน้ำแข็ง?”
“แล้วก็อีกครั้งหนึ่ง มีฝนตกหนัก เพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ ล้วนไม่มีคนมารับ แต่คุณยืนถือร่มกลางฝนที่ตกหนัก เพื่อรอฉัน”
“ตอนเข้ามหาวิทยาลัย คุณไปส่งฉันที่มหาวิทยาลัย ซื้อของใช้ราคาแพงๆให้ฉัน แต่แม่บอกว่า เมื่อคุณกลับบ้าน ก็หิวจนเลือดออกในกระเพาะ”
“พ่อ ฉันชอบโม่หานจริงๆ ฉันไม่รู้ว่ามันจะเป็นการทำร้ายคุณ”
“พ่อ คุณจะต้องไม่เป็นไรนะ…..”
ชายหนุ่มที่ยืนพิงอยู่ด้านนอกประตูกลืนน้ำลายลงคอ เขาเห็นผู้หญิงที่ร้องไห้อยู่ด้านใน ใจก็เหมือนกับโดนมีดเฉือน เขาไม่อยากทำร้ายเธอ แต่ก็ทำร้ายเธอครั้งแล้วครั้งเล่า
เปิดประตูเข้าไป เขายืนอยู่ด้านหลังมู่เฉียว
กลิ่นกายที่คุ้นเคยลอยเข้ามาในจมูก มู่เฉียวตัวสั่น เช็ดน้ำตา แต่ไม่ได้หันกลับมา มองเงาดำที่สะท้อนบนผ้าห่มสีขาวหมดจด
เธอก้มหน้าลง ในใจสับสนถึงที่สุด
“มู่เฉียว ฉันขอโทษ เรื่องราวจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ ฉันไม่นึกเลยว่า เธอจะไปหาคุณลุง”
มุมปากของมู่เฉียวฉีกยิ้มอย่างไม่น่าดู เธอหันหน้ากลับมา เงยหน้าขึ้น มองโม่หาน “โม่หาน คุณรักฉันไหม?”
โม่หานดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด พยักหน้า “รักสิ”
“อย่างนั้น ก็แต่งงานกับฉัน พวกเราแต่งงานกัน โอเคไหม? พ่อฉันคิดว่าฉันไปเป็นเมียน้อยคนอื่น เขาจึงโมโหจนกลายเป็นแบบนี้ ถ้าพวกเราแต่งงานกัน บางทีพ่อของฉันอาจจะดีใจ แล้วฟื้นขึ้นมา โม่หาน โอเคไหม?” เสียงช่วงสุดท้ายที่เธอพูดคล้ายกับการอ้อนวอน บนใบหน้าที่ขาวหมดจด ด้วยความตื่นเต้น จึงปรากฏสีแดงจางๆขึ้นมา
เธอรู้สึกว่าร่างกายของโม่หาน สั่นเล็กน้อย จึงผลักเขาออกเบาๆ แล้วก้มหน้า เธอไม่มีความกล้าแม้กระทั่งจะมองตาของโม่หาน
โม่หานโน้มตัวลงอย่างช้าๆ ยื่นมือเข้าไปเช็ดน้ำตาของเธอ “รอฉันอีกหน่อยนะ รอหน่อย…..”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง จึงเม้มปาก ซื้ดจมูก แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว มองโม่หาน เธอเม้มริมฝีปาก หัวเราะเยาะตัวเอง จากนั้น ก็ดึงมือทั้งคู่ออก ความเจ็บปวดในสายตา ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน เธอกลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากอย่างช้าๆว่า: “รออีกแล้ว รอคุณมีชื่อเสียงเงินทอง แล้วค่อยแต่งงานกับฉัน? หรือว่ารอคุณหาเงินให้พอก่อน แล้วค่อยมาแต่งงานกับฉัน? ฉันไม่อยากรอแล้ว ฉันอยากแต่งงานตอนนี้ คุณต้องการอำนาจ หรือคุณต้องการฉัน คุณบอกมาสิ”
เธอบีบบังคับเขา
โม่หานคาดไม่ถึงว่ามู่เฉียวจะเอ่ยถึงข้อเรียกร้องนี้ และก็ยิ่งไม่คาดคิดว่าการตอบสนองของเธอจะมีแรงกระตุ้นขนาดนี้ เขาขมวดคิ้ว หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง “มู่เฉียว คุณฟังฉันนะ ตอนนี้ฉันไม่สามารถแต่งงานกับคุณได้ ฉันมีความลำบากใจ แต่คุณต้องเชื่อฉัน รอฉัน…..”
“ไปให้พ้น”
“มู่เฉียว…..”
“ไป! ออกไป!” มู่เฉียวชี้นิ้วไปยังประตูที่อยู่ด้านหลัง เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย น้ำตาไหลลงมาเป็นสาย ลำบากใจ? เธอคาดไม่ถึงว่า นอกจากผลประโยชน์แล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้โม่หานลำบากใจอีก พูดตรงๆ เธอคิดออกเพียงเท่านี้
เธอรู้ว่าถ้าถามคนอื่น พวกเขาก็จะกีดขวางความรู้สึกของเธอ ก็เลยไม่พูด แต่ว่าผู้ชายคนนี้จะไม่เมตตาอย่างแน่นอน
หานฉุนหยิบบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน คีบไว้ระหว่างนิ้วมือ คิดๆแล้วก็วางลง แล้วมองมู่เฉียว “คุณไม่รู้จริงๆเหรอ?”
“มีอะไรก็พูด……” มู่เฉียวยังไม่ทันพูดคำพูดสุดท้าย ในใจก็รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
หานฉุนหยิบมือถือออกมากดเปิดเว็บเพจหนึ่งแล้วส่งให้มู่เฉียว
“ประกาศวันแต่งงานของประธานโม่กรุ๊ปกับลูกสาวของนายกเทศมนตรีเหอ วันที่ 18 เดือน 11”
ตอนนี้ปลายเดือน 9 อย่างนั้นยังมีเวลาเดือนกว่าก่อนถึงงานแต่ง!
“การหมั้นของฉันกับเหอเจี๋ยมีผลประโยชน์ในทางธุรกิจ ตอนนี้ยังยกเลิกไม่ได้” คำพูดก่อนหน้านี้ของโม่หานก้องอยู่ในหูของเธอ ในใจจึงสงบลงเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพียงความจำเป็นในการทำงาน
เธอยิ้มขึ้นมา “ไม่เป็นไร จริงๆก็จบกันไปแล้ว ฉันให้เขามีเมียน้อยได้” หยิบแก้วขึ้นมาแล้วดื่มน้ำหนึ่งที ในแสงไฟที่สลัว ปกปิดขนตาที่สั่นเล็กน้อยของเธอไว้ โม่หานคุณบอกแล้วนะ ว่าให้ฉันรอคุณ
เธอได้ยินคนบางคนถอนหายใจ แต่เธอไม่ได้สนใจ
เมื่อกลับไปที่โรงแรม เพิ่งจะเปิดประตู เท้าข้างหนึ่งก็ก้าวผ่านเธอแทรกเข้าช่องประตู ไม่รอให้มู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบกลับ ชายคนนั้นก็นำหน้าเข้าไปในห้องก่อนเลย
ประตูปิดลง
“คุณมาทำอะไร?”
ชายคนนั้นเดินไปข้างๆหน้าต่าง มองลงไป จากนั้นก็ดึงม่านขึ้น
หันกลับไปก็เห็นมู่เฉียวจัดเก็บเสื้อผ้าอยู่
เดินไปข้างๆเธอ แล้วมองเธออย่างดูถูก หยิบมือถือบนเตียงขึ้นมา ส่งไปตรงหน้าเธอ “โทรไปถามความจริงสิ? ทางด้านนั้นของเขา ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเลิกงานแล้ว”
มู่เฉียวไม่ต้องให้เขาเตือนหรอก เธอจดจำความต่างของเวลาทั้งสองสถานที่ได้ขึ้นใจแล้ว
เพียงแต่เธอไม่ได้อยากจะถาม โม่หานบอกว่าจะรับผิดชอบ บอกว่าให้เธอรอ เรื่องอื่นๆเธอก็ไม่ได้สนใจ
ก็เหมือนที่เขาพูดไว้ในตอนนั้น ถ้าเขาได้กลับมาอีก เขาก็เต็มใจที่จะทำความรู้จักเธอในอีกด้านหนึ่งเหมือนกัน
เธอเต็มใจที่จะเชื่อ เต็มใจที่จะรอเขา!
ชายคนนั้นนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ หยิบมือถือออกมาดู จากนั้นก็พูดว่า : “เขาไม่ได้ล้อเล่นนะ เขาจะแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
น้ำเสียงเขาไม่ได้ดัง แต่ห้องก็ไม่ได้ใหญ่ ฉะนั้นมู่เฉียวจึงได้ยินอย่างชัดเจน
มือเธอที่พับเสื้อผ้าสั่นเทาเล็กน้อย เธอสังเกตว่าเสื้อผ้ายังพับไม่เรียบร้อย
เธอจึงหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาพับใหม่ แล้วยัดเข้าตู้เสื้อผ้าไป
“คุณน่าจะยังไม่รู้ว่าในปีนั้นเขามีชีวิตรอดกลับมาได้อย่างไร? ต้องให้ฉันบอกคุณไหม?”
มู่เฉียวลุกขึ้นเดินตรงไปเปิดประตู แล้วชี้นิ้ว “รบกวนคุณหานดาราดังออกไปได้แล้ว ฉันจะนอน”
นิ้วที่จับประตูขาวซีดเล็กน้อย
ชายคนนั้นถูกไล่ แต่ก็ไม่ได้หงุดหงิด เขาเดินตรงไปข้างๆประตู เดินผ่านมู่เฉียวไป แล้วพูดอย่างสบายๆว่า : “คุณเขาไม่ได้บอกคุณ ว่าเขาเป็นพี่ชายของฉันใช่ไหม? พี่สะใภ้”
ร่างกายของมู่เฉียวสั่นเทาอย่างรุนแรง เธอเงยหน้าขึ้นมองโม่หานทันที ทำสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ชายคนนั้นเห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเธอ ก็หัวเราะอย่างเย็นชา “จริงๆที่ฉันยังไม่ได้บอกคุณ ฉันยังคิดว่าพี่สะใภ้จะเปลี่ยนคนไปแล้ว ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น!”
มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร แต่มือที่จับขอบประตูจับแน่นยิ่งขึ้น
สมองเธอขาวโพลน “คุณไปเถอะ ฉันจะนอนแล้ว”
“เขาคือโม่หาน โม่หานที่เห็นแก่ผลประโยชน์ คุณคิดว่าเขาจะสามารถทิ้งผู้หญิงที่มีประโยชน์อย่างที่สุดกับเขา แล้วมาแต่งงานกับคุณเหรอ? ถ้าเขาอยากแต่งงานกับคุณจริงๆ แม้กระทั่งฉันเป็นน้องชายของเขาทำไมเขาถึงไม่บอกคุณล่ะ? เหอะๆ…..ผู้หญิงอะ ไร้เดียงสาจริงๆ ให้คำสัญญาสองสามคำ ก็ตายใจแล้ว”
มู่เฉียวกลืนน้ำลายลงคอไม่หยุด ปิดประตู เธอพิงข้างประตู แล้วเลื่อนตัวลงนั่งเบาๆ
เธอโอบศีรษะ บอกกับตนเองว่า ต้องใจเย็น อย่าฟังคนยุยง ถ้าโม่หานไม่ได้จริงใจกับคุณ ทำไมถึงสามารถทำแบบนั้นกับมู่หยิงได้ อีกอย่าง ลับหลังยังทำเรื่องราวอีกมากมาย เธอไม่เชื่อ
เข้าไปในห้องน้ำ อาบน้ำ เมื่อออกมาจากห้องน้ำ ก็ได้ยินเสียงเตือนข้อความ เธอแทบไม่ทันได้สวมรองเท้า ก็มุ่งตรงมายังข้างเตียง เปิดมือถือดู คาดไม่ถึงว่าจะเป็นข้อความโฆษณา
เธอเม้มริมฝีปาก หยิบหมอนขึ้นมาแล้วซุกหัวของตนเองเข้าไปอย่างหงุดหงิด เปลี่ยนผ้าปูที่นอนครั้งแล้วครั้งเล่า กลิ่นกายของเขาที่หลงเหลืออยู่ ก็เกือบจะหายไปหมดแล้ว เธอหงอยเหงาขึ้นมาทันที
เพียงแต่ สุดท้าย เธอก็ยังไม่ได้ส่งข้อความไปหาโม่หาน เธอยังคงยืนหยัดในความคิดว่า โม่หานจะไม่โกหกเธอ โม่หานจะต้องอธิบายกับเธอ
แต่ว่า เธอไม่ได้รับข้อความใดๆของโม่หานอีกเลย
จิตใจสับสนอย่างมาก แต่ก็บอกตัวเองมาโดยตลอดว่า กลับประเทศแล้วค่อยว่ากัน
จนกระทั่ง ตู้เสี่ยวซินโทรเข้ามา
“เฉียวเอ๋อ คุณสบายดีไหม?” คำกล่าวนำของตู้เสี่ยวซิน ทำให้มู่เฉียวเป็นทุกอย่างบอกไม่ถูก
“สบายดีมาก ทำไมเหรอ?”
ตู้เสี่ยวซินไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า: “ไม่มีอะไร คุณคาดว่าจะกลับมาเมื่อไรล่ะ?”
มู่เฉียวไม่คิดมาก กล่าวตอบกลับว่า: “คาดว่าอีกสามวันงานก็น่าจะเสร็จแล้ว”
อย่างนั้นคุณก็กลับมาเร็วหน่อยนะ ก่อนกลับมา ก็บอกสักหน่อย ฉันจะไปรับคุณ”
มู่เฉียวพยักหน้า “โอเค” เพียงแต่ ภายในใจไม่สบายใจเล็กน้อย
วางสายตู้เสี่ยวซินแล้ว เธอก็โทรไปหาแม่ “แม่ ทางบ้านสบายดีไหม!”
ได้ยินเสียงปิดประตู จากนั้น ก็ได้ยินเสียงของแม่แหบแห้งเล็กน้อย “ดีมาก ไม่ต้องเป็นห่วง ตั้งใจทำงานเถอะ”
“แม่ เสียงคุณเป็นอะไร?” มู่เฉียวเดินไปด้านนอกสองก้าว มือจับที่เสาไม้ นิ้วมือโค้งงอเล็กน้อย
แม่ไอเบาๆ “ไม่เป็นไร สองสามวันมานี้เป็นไข้ เจ็บคอ”
“พ่อล่ะ? ฉันขอคุยกับเขาหน่อยสิ”
“ค่าโทรศัพท์มันแพง คุณบอกว่าอีกสองวันจะกลับมาไม่ใช่เหรอ? รอกลับมาแล้วค่อยคุยเถอะ” แม่พูดจบ ก็ไออย่างรุนแรงสองที
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “แม่ คุณไอรุนแรงขนาดนี้ ไปตรวจที่โรงพยาบาลเถอะ ฉันจะโทรไปหามู่หลิง ให้เขาพาคุณไป”
“ไม่ต้อง ไปตรวจมาแล้ว ได้ยามาแล้ว อาการดีขึ้นแล้ว ต้องเป็นไปตามขึ้นตอน เอาล่ะ คุณทำงานเถอะ ทางนี้ดึกมากแล้ว ต้องนอนแล้ว”
“โอเค แม่ แล้วเจอกัน”
มู่เฉียววางสายแล้ว ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เป็นปัญหาตรงไหน เธอก็บอกไม่ถูก ขายืนนาน ก็เมื่อยเล็กน้อย เธอจึงนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ นวดๆสองสามที จึงทุเลาลง
จู่ๆก็มีเงาหนึ่งปกคลุมร่างของเธอ น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามา: “คุณกลับประเทศไปก่อนเถอะ ละครตอนต่อไป โดยภาพรวมแล้วไม่ต้องใช้คุณ”
มู่เฉียวดันแว่นตากรอบดำที่ดั้งจมูก เธอสายตาสั้นเล็กน้อย เวลาทำงาน บางครั้งต้องสวมแว่นตา
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็อีกแค่สองวัน”
“ไม่มีธุระแล้ว ก็ไปซะ เห็นแล้วหงุดหงิด พวกเราจะต้องคิดเงินให้คุณอย่างตรงเวลา แล้วก็ค่าห้อง ค่าอาหาร บริษัทของพวกคุณทำไมถึงไม่ได้มาตรฐานแบบนี้นะ?” พูดถึงสุดท้าย น้ำเสียงของหานฉุนก็ยิ่งเบาลง
มู่เฉียวมองค้อน ลุกขึ้น หยิบกระเป๋า มองพี่เหมย “อย่างนั้น พรุ่งนี้ตอนบ่ายฉันจะขึ้นเครื่อง กลับก่อนนะ”
พี่เหมยเห็นความคลุมเครือเล็กน้อยในสายตาของเธอ “โอเค พรุ่งนี้จะให้คนขับรถไปส่งคุณ”
“วันนี้งานคุณไม่ยุ่งเหรอ?” มู่เฉียวเห็นโม่หานพาเธอมาทานข้าว ก็เลยเอ่ยถาม
“ยุ่งสิ แต่ว่าอยากเจอคุณ” ชายคนนั้นตอบกลับอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย มู่เฉียวหน้าแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองโม่หานก็สบสายตากับเขาพอดี ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนมีประกายไฟปะทุขึ้นมา
ทานอาหารไปได้สักพัก มู่เฉียวก็เห็นร่างที่คุ้นเคยจากหางตา เดินเข้ามาจากประตู เธอร้อนรนใจจนไม่ทันได้พูดอะไร ชี้ๆนิ้วไปที่ประตูทางเข้า
โม่หานขมวดคิ้วหันไปมอง ก็ตกตะลึง เพียงแต่ในฉับพลันก็กลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม
มู่เฉียวก้มหน้า สักพักเห็นโม่หานไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงพูดขึ้นว่า “เขาเป็นคนที่รับผิดชอบสถานที่การถ่ายทำของหานฉุนทางด้านนั้น ฉันรู้สึกว่าเขา……”
“คนรูปร่างหน้าตาคล้ายกันเยอะแยะไป” โม่หานตัดบทคำพูดของเธอ “อยู่ทางด้านนั้นทานอาหารไม่ค่อยดีใช่ไหม ทานเยอะๆหน่อยนะ”
แม้ว่าจะมีชาวจีนที่อพยพมากมายในแอฟริกาใต้ที่เปิดร้านอาหารที่นี่ แต่สถานที่ที่ถ่ายทำก็มีไม่มาก โชคดีที่ได้การดูแลอาหารของหานฉุน พี่เหมยตั้งใจให้คนทำมาส่ง เธอก็เลยได้ทานไปด้วย ยังนับว่าโชคดี
แต่ถูกโม่หานเอาใจใส่แบบนี้ เธอยังคงมีความสุขอย่างมาก
บางครั้งรู้สึกว่าชีวิตคนก็เหมือนกับละคร ใครจะคิดว่าวันหนึ่งทั้งสองคนจะสงบสุขได้อย่างนี้ และยังคงไปมาหาสู่กันอย่างนี้
หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว มู่เฉียวก็บอกว่าอยู่ไปเดินรอบๆสักหน่อย แล้วค่อยกลับไป
โม่หานพยักหน้า กอดเอวเธอไว้แน่น
ถึงแม้ว่าทุกอย่างจะดูเหมือนเป็นปกติ แต่มู่เฉียวรู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลง หลังจากโม่หานเห็นคนคนนั้นเมื่อกี้นี้ อารมณ์เขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เพียงแต่ต่อให้เป็นสามีภรรยากันก็ต้องมีความเป็นส่วนตัว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเขายังคงมีความสัมพันธ์แบบนี้ ฉะนั้นโม่หานไม่พูด เธอก็จะไม่ถาม
“คุณอยากถามถึงปีนั้นเหรอ ว่าทำไมฉันถึงไม่ตาย?” เดินไปสิบกว่านาทีแล้ว จู่ๆโม่หานก็เอ่ยถาม
มู่เฉียวเงยหน้ามองเขา ยกยิ้มเบาๆ “โหดร้ายเกินไป เขาก็เลยไม่อยากรับคุณไว้”
อันที่จริงครั้งนั้นคุณนายโม่บอกว่าเธอมีน้องชายน้องสาวอยู่ เธอจึงรู้ว่าในระหว่างนี้มันคงไม่ง่ายดายเกินไป
โม่หานลูบหัวเธอ ไม่ได้พูดอธิบายอะไร ในเมื่อเธอต้องการจะไร้เดียงสา เขาจะรักใคร่เอ็นดูก็ได้
“คุณจะกลับไปเมื่อไหร่?”
“อยากเร่งรัดให้ฉันกลับไปเหรอ?”
มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่ใช่ ไม่อยากให้คุณกลับเลย” มีจุดเปลี่ยนในสองสามปีนี้ จึงได้อยู่ด้วยกัน มู่เฉียวก็หมดความเขินอายของหญิงสาวไปหมดแล้ว
ชายคนนี้หยุดฝีเท้าชั่วขณะ เอียงไปมอง สองมือโอบเอวของเธอ ก้มลงไปแตะหน้าผากเธอเบาๆ “อืม เดิมทีพรุ่งนี้ก็จะเสร็จสิ้นแล้ว ถ้าคุณทำใจไม่ได้ ก็น่าจะล่าช้าออกไปอีกสักสองวันดีไหม?”
“อืม ขอบคุณนะประธานโม่ผู้น่ารัก” ผู้หญิงคนนั้นพยักหน้า โค้งคำนับอย่างจริงจัง
โม่หานยิ้ม แล้วหัวเราะเบาๆ เดิมทีเขาก็ดูดีอยู่แล้ว ยิ้มแบบนี้ยิ่งทำให้มู่เฉียวตกตะลึง
“เป็นผู้หญิงไม่ควรจะสำรวมหน่อยเหรอ?” ชายคนนั้นถูกเธอจ้องมองจนไม่เป็นตัวของตัวเอง นิ้วเรียวยาวจับขากรรไกรของเธอให้เงยหน้าขึ้น แล้วจูบลงไปที่ริมฝีปากเธอ
“โม่หาน เสี่ยวโยวคิดถึงพ่อมากเลยนะ”
มู่เฉียวรู้สึกว่าชายคนนั้นอึ้งไป จากนั้นก็มีความละอายใจในแววตา “อืม ฉันรู้แล้ว”
“คุณรู้แล้ว?”
ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย ไม่อธิบายอะไร นำเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอดเขา “ฉันจะรับผิดชอบคุณให้เร็วที่สุด มู่เฉียวเชื่อฉันนะ ฉันจะไม่ทำผิดต่อคุณ”
“โอเค”
สองสามวันต่อมา ตอนกลางวันมู่เฉียวกับโม่หานก็ต่างทำงาน พอตอนกลางคืนทั้งสองคนก็มาทานข้าวด้วยกัน เดินเล่น แล้วก็นอน
มู่เฉียวคิดๆ ถ้าชีวิตต้องเป็นแบบนี้ไปตลอด นั่นก็น่าจะดีอย่างมาก
“ขึ้นเครื่องบินตอนบ่ายวันพรุ่งนี้”
“อืม”
“ไม่อยากไปเลย”
“อ้อ”
“มู่เฉียว”
“หืม?”
ชายหนุ่มไม่เต็มใจเล็กน้อย หันหน้ากลับ แต่เห็นมู่เฉียวก็เบิกตาโต ในดวงตามีหยดน้ำบางๆ ใสแวววาว แต่ทำให้คนต้องใจสั่น ชายหนุ่มไม่สบายใจ ออกแรงดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม?”
จำนวนครั้งที่โม่หานเห็นเธอร้องไห้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็รู้สึกจนใจไปชั่วขณะ
มู่เฉียวไม่อยากบอกโม่หาน ในใจเธอไม่สบายใจอย่างมาก รู้สึกว่าการแยกกันครั้งนี้ จะได้อยู่ด้วยกันอีก ก็คงไม่ค่อยราบรื่นมากนัก
เธอมีลางสังหรณ์มาโดยตลอด
แต่เธอไม่อยากพูดออกมาตรงๆ การโกหกด้วยเจตนาที่ดี น่าฟังกว่าการพูดความจริง: “เพราะว่า ไม่อยากให้คุณไป”
ชายหนุ่มใจอ่อนราวกับสายน้ำ “ฉันจะรอคุณกลับมา ระหว่างนั้นถ้ามีเวลา ฉันจะบินมาหาคุณ”
หญิงสาวส่ายหน้า กอบใบหน้าของเขา แล้วจูบลงไปบนใบหน้าของเขา “พี่เหมยบอกว่า การถ่ายทำเป็นไปอย่างราบรื่น อาจจะประมาณยี่สิบวัน ก็จะสามารถกลับไปได้แล้ว รอฉันกลับไปนะ”
“โอเค”
คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยว่า กลับไปแล้ว เขามีคู่หมั้นอยู่ เธอจะจัดการกับตนเองอย่างไร?
หลังจากโม่หานไปได้สองวัน มู่เฉียวก็รู้สึกไม่สบายใจมาโดยตลอด ตอนกลางวันทำงานก็ยังดีอยู่ สามารถเบี่ยงเบนความสนใจไปได้บ้าง แต่ตอนกลางคืน กลับยิ่งคิดถึง
ด้วยเวลาที่แตกต่าง ตอนที่เธอว่าง โม่หานก็กำลังทำงาน ตอนที่เธอทำงาน โม่หานก็ต้องนอน
คนทั้งสองจึงทำได้เพียงคุยกันในวีแชต ทุกๆวัน เธอจะส่งข้อความจำนวนมากไปหาโม่หาน ผ่านไปหลายชั่วโมง เขาจึงตอบกลับ คำพูดไม่มากมาย เรียบง่าย แต่ทำให้เธออบอุ่นใจอย่างมาก
แต่การเฝ้ารอเป็นสิ่งที่ทรมานมากที่สุด มู่เฉียวหยิบมือถือออกมาดูเป็นร้อยๆครั้ง เปิดดูว่ามีข้อความตอบกลับไหม ทั้งหดหู่ ทั้งเป็นทุกข์
เธอคิดว่าหากเป็นแบบนี้ต่อไป ตนเองจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน
เธอจึงค่อยๆปรับสภาพของตนเอง เลิกงานก็เริ่มอยู่ด้วยกันกับพวกพี่เหมย
ทานข้าวด้วยกัน ไปเดินเล่นบริเวณรอบๆด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน…….
ไม่ส่งข้อความไปหาโม่หานอีก เธอกลัวการเฝ้ารอแบบนั้นเป็นที่สุด
วันนี้ เธอก็ตามทุกคนไปทานมื้อดึกเหมือนเคย
“เห็นหน้าตาที่ขุ่นเคืองของคุณแล้ว เพราะชายคนนั้นใช่ไหม? เก่าไม่ไป ใหม่ไม่มา” หานฉุนมองมู่เฉียวที่นั่งอยู่ตรงข้าม แล้วกล่าวเยาะเย้ย
มู่เฉียวที่กำลังแกะถั่วพิสตาชิโอใส่ปาก มองค้อนเขาทีหนึ่ง แต่ไม่พูดจา คำพูดปากสุนัขของผู้ชายคนนี้ เธอไม่อยากไปพูดกับเขาให้มากความ
“เสี่ยวเฉียว คุณกับประธานโม่คนนั้น เลิกกันแล้วเหรอ?”
ครั้งนี้ มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วแกะถั่วเข้าปากต่อ จากนั้นก็ขมวดคิ้วที่งดงามขึ้น “เปล่านี่คะ”
ตอนกลางวัน โม่หานนังถามเธออยู่เลยว่า “ทานข้าวตรงเวลาไหม”
พี่เหมยร้อง”อ๋อ”คำหนึ่ง ยิ้มๆ แล้วไม่พูดถึงหัวข้อนี้ต่อ
มู่เฉียวจึงสังเกตเห็นว่าสายตาของทุกคนในคืนนี้ที่มองเธอคล้ายกับแปลกๆเล็กน้อย เห็นใจ? หัวเราะเยาะ? แล้วก็ความรู้สึกที่ซับซ้อน
หัวใจเธอเต้นระรัวไม่หยุด หันหน้าไปมองหานฉุน “หมายความว่าอะไร?”
พี่เหมยก็ลุกขึ้นตาม แล้วเก็บรอยยิ้ม “มู่เฉียว เราจะไปรอคุณข้างนอก คุณทานเสร็จก็ออกมานะ”
ถูกพวกเขามาก่อกวน มู่เฉียวก็ไม่อยากอาหารแล้ว หยิบมือถือในกระเป๋าแล้วตามออกไปเลย
หานฉุนสูบบุหรี่อยู่ เห็นเธอออกมา ก็โยนก้นบุหรี่ทิ้งแล้วขึ้นรถ
พี่เหมยขึ้นตามไป มู่เฉียวกำลังจะขึ้นรถ ประตูรถก็ถูกล็อกจากด้านใน
“ไปนั่งข้างหน้า”
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า ขี้เกียจจะทะเลาะกับเขา จึงเปิดประตูข้างคนขับแล้วเข้าไปนั่ง
เป็นครั้งแรกที่ได้สัมผัสการถ่ายทำภาพยนตร์ มู่เฉียวตื่นเต้นเล็กน้อย
แต่เมื่อไปถึงที่ถ่ายทำได้คนคนที่อยู่รอบๆแล้ว เธอก็อึ้งไปเลย
หันไปมองพี่เหมย “ทั้งหมดเป็นแฟนคลับของเขาเหรอ?”
พี่เหมยมองออกไปทางนอกหน้าต่าง พยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือออกมา “หมวก แว่นกันแดด เอาออกมา”
มู่เฉียวเปิดประตูรถเดินลงไป จากนั้นบอดี้การ์ดสองสามคนก็ลงมาจากรถคันข้างหน้า มาห้อมล้อมที่ประตูรถ อารักขาหานฉุนลงจากรถ
เวลานั้นเธอเห็นหานฉุนไปที่ไหนบอดี้การ์ดเหล่านั้นก็ตามไปทุกที่ ยังรู้สึกตลกเขา ดูวางมาดใหญ่โตเหลือเกิน
“ก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าคนจะไม่เยอะแยะขนาดนี้ใช่ไหม?” เธอเข้าไปใกล้ๆพี่เหมยแล้วเอ่ยถาม
“ตอนนั้นอยู่ในประเทศจีน คนในแวดวงการก็จะให้เกียรติเรา โดยปกติแล้วการเคลื่อนไหวของหานฉุน ไม่สามารถแพร่งพรายออกไปได้ แต่ทางด้านนี้ มันก็ยากที่จะควบคุม”
มู่เฉียวเข้าใจ
เวลานี้ไม่รู้ว่าถูกใครผลักอยู่ด้านหลัง มู่เฉียวเซจนแทบจะล้มลงไปกองกับพื้น
สองมือประคองแขนเธอไว้ น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างๆหู “ระวังหน่อยสิ ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
มู่เฉียวกลืนน้ำลาย ใจลอยไปในชั่วพริบตา
เธอเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นหานฉุน หลังจากแน่ใจแล้วว่าเป็นเขา เธอก็คิ้วขมวดสงสัยว่าตนเองจะได้ยินผิดไป หลังจากที่ได้สติกลับมา ก็ทอดถอนหายใจ ช่างสมกับเป็นนักแสดงจริงๆเลย ความอ่อนโยนนี้ การแสดงนี้
“ฉันไม่เป็นอะไร” เธอตั้งใจยิ้มตอบกลับเขา
หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้ว เธอสะบัดแขนเขาออกโดยจิตใต้สำนึก แต่ชายคนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยเธอไป มือใหญ่กลับลื่นลงมาตกอยู่ที่เอวของเธอ แล้วนำผมเธอไปทัดหูอย่างดูใกล้ชิดสนิทสนม
มู่เฉียวได้ยินเสียงกรี๊ดรอบๆ ในชั่วพริบตาเธอก็สติกลับมา หันไปมองพี่เหมยเพื่อขอความช่วยเหลือ
พี่เหมยกระแอมเบาๆ เดินไปแนะนำกับทุกคนว่า “นี่คือล่ามผู้ติดตามคุณฉุนในครั้งนี้”
บางคนก็ร้อง”อ๋อ” สายตาบางคนก็ไม่อยากจะเชื่อ
โม่หานกำลังคุยเรื่องสัญญากับอีกฝ่ายอยู่ ก็รู้สึกได้ว่ามือถือสั่นเล็กน้อย ด้วยความเกรงใจ เขาจึงไม่ได้หยิบออกมาดู จนกระทั่งหารือกันเสร็จ เขาจึงหยิบมือถือออกมา
แค่เห็นข้อความที่ส่งมาด้านบน กับรูปภาพที่แนบมา เป็นหานฉุนจับเอวของมู่เฉียวอยู่ สีหน้าเขาก็ไม่น่าดูอย่างมาก
แต่เขาไม่ได้โทรกลับไป เพราะคำพูดเมื่อคืนของมู่เฉียว เขาก็เลือกที่จะเชื่อ
เขาไม่ได้เชื่อใจน้องชายคนนี้ของเขา แต่ว่าเขาเชื่อใจมู่เฉียว
เห็นเขาจึงนำมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋าเหมือนเดิม อู๋เหิงก็เลิกคิ้ว “ไอ๋หยา ใจเย็นจริงๆเลย ฉันยังคิดว่าคุณจะไปฆ่ามันซะแล้ว?”
โม่หานมองเขาแล้วยิ้มนิดๆ “คุณไม่เข้าใจหรอก”
“ฉัน….ไม่เข้าใจ?” อู๋เหิงกลอกตามองบน “เรื่องอื่นๆ ฉันไม่สามารถพูดได้ว่าตัวเองดีกว่าคุณ แต่เรื่องความรัก โม่หาน คุณต้องให้ความเคารพฉันในฐานะครู”
โม่หานขยับชุดเครื่องดื่มน้ำชาบนโต๊ะไปมา แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า: “เคารพคุณในฐานะครู ตอนกลางคืน ฉันมีคนให้กอด คุณมีเหรอ?”
อู๋เหิงอ้าปากค้าง ชี้นิ้วไปยังเขา “นี่….นี่คุณอวดเหรอ”
มองนาฬิกาข้อมือ โม่หานลุกขึ้นยืน นำเอกสารในมือโยนให้อู๋เหิง “วันนี้คุยกันเท่านี้ก่อน ฉันมีธุระ ต้องไปก่อน”
“โม่หาน คุณ….คุณมันไม่มีความก้าวหน้า” อู๋เหิงตามออกจากประตู ชี้ว่ากล่าวเขา
โม่หานเปิดประตูรถ “ใช่ คุณก้าวหน้า ดังนั้น ตอนเย็นทำโอที นำเนื้อหาการเจรจาวันนี้จัดทำให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าฉันต้องการดู”
“คุณมันไม่ใช่เพื่อน”
รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว
หานฉุนเป็นนักแสดงที่ตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่คนหนึ่ง ปกติที่เห็นเขาเหมือนกับเอ้อระเหยลอยชาย แต่เวลาถ่ายหนัง เขาจะเข้าถึงบทบาทได้อย่างรวดเร็ว ฉากในภาพยนตร์จำนวนมาก ล้วนสามารถผ่านได้ในครั้งเดียว มู่เฉียวเพียงแค่ต้องรายงานความคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะที่ดีกว่าของอีกฝ่ายให้หานฉุนฟัง ส่วนอื่นๆก็ไม่ต้องทำอะไรมากมาย
การถ่ายทำช่วงบ่ายเป็นไปได้อย่างราบรื่นอย่างมาก
“เริ่มงานวันแรก ตอนเย็น ฉันเลี้ยงเอง” หลังจากทำงานเสร็จ หานฉุนก็แจ้งกับทุกคน
ในทันทีก็มีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเข้ามา
มู่เฉียวจัดเก็บเอกสารเล็กน้อย
“เสี่ยวเฉียว ไปกันเถอะ หานฉุนเลี้ยงข้าว” พี่เหมยเข้ามาแจ้งมู่เฉียว
มู่เฉียวคลึงๆเอว แล้วส่ายหน้า “พวกคุณไปเถอะ ฉันค่อนข้างเหนื่อยล้า อยากกลับห้องไปพักผ่อน”
“หมกมุ่นทางเพศเกินไปใช่ไหมล่ะ?” ชายคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่เหน็บแนม
เงยหน้าขึ้นมองหานฉุนที่ยืนพิงเสาไม้อยู่ข้างๆ มู่เฉียวก็หัวเราะเหอะๆสองที “คุณชื่นชมหรือว่าอิจฉาล่ะ?”
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นตรง มือทั้งคู่ล้วงกระเป๋า พิจารณามู่เฉียวตั้งแต่หัวจรดเท้า “ก็โม่หานมันรสนิยมต่ำ ถึงได้ลงมือกับคุณได้ คุณเป็นแบบนี้ จะมาเข้าใกล้ฉัน ฉันยังต้องไตร่ตรองดูก่อนเลย”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว เมื่อเห็นชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆกำลังเดินเข้ามาใกล้ เธอก็ดีใจ แต่บนใบหน้าไม่ได้แสดงความผิดปกติ “ใช่ คุณเป็นดาราดัง ฉันเป็นพนักงานตัวเล็กๆ จะกล้าหวังมากเกินไปได้อย่างไรล่ะ”
พูดจบ ก็ยกกระเป๋าขึ้น เดินผ่านหานฉุนไปสองก้าว “หานฉุน คุณมาได้อย่างไร?”
เห็นรอยยิ้มที่ราวกับดอกไม้นั้น จึงวิ่งไปยังผู้หญิงของตนเอง โม่หานรู้สึกว่ากระแสความอบอุ่นหลั่งไหลเข้ามาในทันที รู้สึกมีความสุขไม่เคยมีมาก่อน ดูเป็นธรรมชาติ ที่แท้ นี่ก็คือจุดหมายสุดท้ายของความรักที่ทุกคนเสาะหา อิ่มอกอิ่มใจอย่างมาก
เขาลูบผมของมู่เฉียว “เหนื่อยไหม?”
มู่เฉียวส่ายหน้า “ไม่เท่าไร แค่ยืนนาน เมื่อยเอวนิดหน่อย”
พูดจบ มือใหญ่ๆของชายหนุ่มก็เลื่อนลงไปที่เอวของเธอ แล้วนวดเบาๆ “ฉันจะพาคุณไปทานอาหารก่อน” จากนั้น ก็เข้าใกล้ข้างหูมู่เฉียว แล้วกระซิบเบาๆว่า: “ทานเสร็จแล้ว กลับห้อง ฉันจะช่วยนวดให้คุณ”
หางตาของมู่เฉียวเต็มไปด้วยรอยยิ้ม จูงโม่หาน ก้าวเท้าเดินกระโดดโลดเต้นราวกับเด็ก
เห็นคนทั้งสอง หานฉุนก็เบ้ปาก กล่าวกับพี่เหมยว่า: “คุณดูท่าทางนั้นสิ เหมือนกันคนปัญญาอ่อนไหมล่ะ?”
พี่เหมยมองภาพด้านหลังของคนทั้งสอง “ความแข็งกระด้าง กลับกลายเป็นนุ่มนวลลง!”
หานฉุนขมวดคิ้ว “พี่เหมย คุณไม่ได้ตกอยู่ในห้วงแห่งความรักใช่ไหม?”
พี่เหมยได้ยิน ก็ชำเลืองมองเขาอย่างสนใจ จากนั้น จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยความเคารพว่า: “หานฉุน อาชีพของคุณมาถึงช่วงเวลาที่รุ่งเรืองที่สุดแล้ว ไม่มีความผิดพลาดใดๆ บางสิ่งที่คุณไม่ควรคิด ก็ละทิ้งความคิดก่อนหน้านี้ไปซะ”
พูดจบ ก็หยิบกระเป๋าอุปกรณ์ที่อยู่บนพื้น “ไปกันเถอะ”
หานฉุนไม่พูดจา ขณะที่พี่เหมยหันตัวเข้ามา ความหงอยเหงาก็ปรากฏในดวงตาของเขา เขาไม่ควรคิดเหรอ?
“มู่เฉียว!” จู่ๆโม่หานก็เรียกเธอจากปลายสายด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง หยุดชะงักเล็กน้อยแล้วพูดว่า : “งานหมั้นของฉันกับเหอเจี๋ย ยังไม่สามารถยกเลิกได้ในตอนนี้ เพราะฉันมีผลประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจอยู่เล็กน้อย แต่ฉันรับประกันว่า ฉันจะรับผิดชอบต่อคุณเอง”
หัวข้อสนทนาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนมู่เฉียวปรับตัวไม่ทัน
มู่เฉียวเม้มๆปาก พูดตามความจริงแล้วปัญหานี้ เธอยังไม่รู้ว่าจะคุยกับโม่หานอย่างไร คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดออกมาเอง
เพียงแต่ว่า รับผิดชอบเหรอ? ลูกก็มีแล้ว ตอนนี้จะพูดคำว่ารับผิดชอบ เธออยากจะหัวเราะ
แต่ในใจมีความสุขอย่างมาก เธอคนนี้ไม่ได้ศรัทธาในเกียรติอันจอมปลอม เธอไม่ได้สนใจว่าคนอื่นจะมองเธออย่างไร โม่หานบอกว่าจะรับผิดชอบ เธอก็รู้สึกพอใจแล้ว เพียงแต่ยังคงถามว่า : “คุณเตรียมจะรับผิดชอบอย่างไรล่ะ?”
เป็นเวลาสักพักอีกฝ่ายก็ยังไม่พูดอะไร มู่เฉียวจึงพูดต่อว่า “โม่หาน คุณชอบฉันใช่ไหม?” นี่คือประเด็นสำคัญ
“อืม ชอบ” เสียงแหบเล็กน้อยของชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงความเขินอาย มู่เฉียวสามารถจินตนาการท่าทางของเขาในเวลานี้ออกได้
เธอดีใจเหมือนเด็กๆ ม้วนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียง
หัวใจเต้นระรัว
“อย่างนั้น รักด้วยหรือเปล่า?”
“รัก!” ชายคนนั้นพูดโดยไม่ต้องคิด แล้วเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า “มากด้วย”
มู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองต้องหน้าแดงอย่างแน่นอน เธอยิ้มแก้มปริอีกครั้ง “อย่างนั้นฉันก็จะรอคุณ รอคุณมารับผิดชอบฉัน”
เธอรู้สึกโล่งใจกับชายคนนี้ บางทีเขาอาจจะคิดว่าตนเองจะโวยวายทะเลาะกับเขา!
“อย่างนั้น ฉันทำงานก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ……” มู่เฉียวเรียกเขาไว้
เธออยากบอกกับโม่หาน ว่าตนเองไปเจอคนคนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายคลึงกับพ่อของเขาที่ตายไปแล้ว
แต่ก็กลัวว่าจะเป็นแค่คนหน้าเหมือนกันก็เท่านั้น
“ทำไม? ตัดใจทิ้งฉันไม่ลงเหรอ?” โม่หานเอ่ยปาก
มู่เฉียวคิดๆดูแล้ว ก็กลัวว่าตนเองจะเข้าใจผิดไปจริงๆ “เปล่า ฉันอยากจะบอกคุณว่า” เธอหยุดไปชั่วขณะ สูดลมหายใจเข้า “โม่หาน ฉันก็ชอบคุณ”
ลมหายใจของชายคนนั้นถี่ขึ้นเล็กน้อย มู่เฉียวหัวเราะ เธอคิดว่าอย่างน้อยเขาจะแสดงความรู้สึกออกมา แต่ไม่คิดว่าโม่หานจะพูดว่า “ฉันรู้แล้ว”
โม่หานขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกันเนี่ย?
“เรื่องทางด้านนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ตอนเช้าฉันเลยต้องรีบมา ตอนกลางคืนจึงจะไปอยู่เป็นเพื่อนคุณได้”
นี่เขาบอกว่าจะมาพักอยู่กับเธอใช่ไหม? ความสุขเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน จนทำให้มู่เฉียวทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จึงกระแอมเบาๆ “ใครขอให้คุณมาอยู่ด้วยล่ะ?”
“อืม โอเค ไม่ให้ฉันอยู่ด้วย ก็ให้ฉันนอนด้วยก็พอ”
“ไปให้พ้นเลย!”
จิตใจถลำลึกเข้าไปเล็กน้อย
ผู้หญิงเป็นสัตว์ที่เย้ายวนจริงๆ เธอก็เช่นกัน……
เมื่อได้ยินอีกด้านหนึ่งของโม่หานจากตู้เสี่ยวซิน อันที่จริงเธอยอมรับเลยว่าตั้งแต่นั้นมา เธอก็ถลำลึกเข้าไปโดยสิ้นเชิง
เธอรักโม่หานด้วยใจจริง!
ฉะนั้นเมื่อคืนจึงได้ยินยอมพร้อมใจ……
เสียงถอนหายใจดังออกมาจากในสาย มู่เฉียวพูดอย่างตกตะลึง “เป็นอะไรไป?”
“เรื่องการลดค่าตอบแทนในการแสดง ก็จัดการแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ถ้าฉันรู้ว่าคุณกล้าใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาจนเกินไปล่ะก็ ฉันจะทำเรื่องนี้อีกครั้งทันที” น้ำเสียงของโม่หานเคร่งขรึม แฝงไปด้วยความหงุดหงิดอย่างมาก
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า รู้ว่าเขามองไม่เห็น แต่ก็ยังพยักหน้าซ้ำๆ “รับรองได้ว่าไม่มี”
คิดๆแล้ว ก็กล่าวอีกว่า: “อย่างนั้นก็ห้ามยุ่งกับผู้หญิงเหล่านั้น…..”
“ต่อไปไม่มีแล้ว เมื่อวานฉันก็ไม่ได้แตะต้อง” ชายหนุ่มคล้ายกับรู้ว่าเธอจะพูดอะไร จึงตัดบทคำพูดของเธอ
จากนั้นก็เงียบไม่พูดจา
“มู่เฉียว!” รออยู่นานไม่ได้คำตอบของเธอ โม่หานจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย เรียกเบาๆด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล
มู่เฉียวกัดริมฝีปาก กลิ้งบนเตียงเล็กน้อย บนผ้าคลุมหมอน ยังคงหลงเหลือกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์บนร่างกายของโม่หาน เธออดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าอีกสองครั้ง
“อืม!”
ท่าทีแบบขอไปทีของเธอทำให้โม่หานขุ่นเคืองเล็กน้อย ขมวดคิ้ว น้ำเสียงเยือกเย็นเล็กน้อย แต่แฝงไปด้วยอารมณ์ที่เง้างอน: “นอกจาก’อืม’แล้ว คุณพูดอย่างอื่นไม่เป็นเหรอ?”
พูดจบ โม่หานก็นิ่งเงียบไปชั่วขณะ คล้ายกับลังเลใจอะไรอยู่ ผ่านไปสองสามวินาที เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง: “ลุกขึ้นทานอาหารเถอะ”
“โอเค” อันที่จริงมู่เฉียวไม่ได้ไม่อยากตอบกลับเขา แต่หิวจนไม่มีแรงต่างหาก
วางสายแล้ว ก็ลุกขึ้น เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ก็เตรียมลงไปทานอาหารชั้นล่าง
พอเปิดประตูห้อง ก็พบหานฉุนยืนอยู่ข้างๆประตู กำลังสูบบุหรี่ บนพื้นที่ก้นบุหรี่หลายชิ้น ดูท่า น่าจะยืนอยู่พักหนึ่งแล้ว
“คุณ….ทำไมไม่เคาะประตู?”
หานฉุนดีดบุหรี่ที่อยู่ในมือ หันหน้ากลับมา มองมู่เฉียว ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ฉันกลัวว่าจะเห็นสิ่งที่ฉันไม่อยากเห็น เดี๋ยวตาจะบอดเอาได้”
มู่เฉียวหลบเลี่ยงสายตาที่ร้อนแผดเผาของหานฉุน ก้มหน้า หดหู่ใจเล็กน้อย ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ให้หานฉุนเดินเข้ามา
“คุณมีธุระอะไรเหรอ?”
หานฉุนไม่ตอบ เพียงแต่มองเธอ แล้วก็มองผ้าปูเตียงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย ตากนั้นก็ดึงบุหรี่ออกมามวนหนึ่งแล้วจุดไฟ
เดินไปยังหน้าต่าง แล้วก็ดูดบุหรี่ในทันที “คุณบอกมาซิว่า ตกลงคุณมีอะไรดี? ที่สามารถทำให้โม่หานคนนั้นถูกคุณครอบงำได้”
มู่เฉียวเม้มปาก นำผมไปทัดที่หู ไม่สบายใจเล็กน้อย “ไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร ฉันจะไปทานข้าว หิวแล้ว ถ้าคุณไม่ถือ คุณก็อยู่ที่นี่ไปก่อน”
ขณะมื้ออาหาร หานฉุนจ้องมองเธอโดยตลอด
มู่เฉียวตบช้อนที่อยู่ในมือลงบนโต๊ะ “คุณมองอะไรห๊ะ? ไม่เคยเห็นคนสวยเหรอ?”
หานฉุนพยักหน้า “ไม่เคยเห็น ถูกหมากัดแล้ว ยังจะกล้าออกมาโอ้อวดแบบนี้อีก”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “หมา?” เธอหันหน้ากลับไปมอง จากนั้นก็ตอบสนองโดยการเอามือปิดคอ “คุณพูดไร้สาระอะไร? ใครเป็นหมา? เขาเป็นหมา แล้วคุณเป็นคนงั้นเหรอ?”
สายตาของหานฉุนเคร่งขรึม เขาคิดว่ามู่เฉียวรู้ถึงความสัมพันธ์ของเขากับโม่หาน
ทันทีก็ได้ยินเสียงบ่นพึมพำของเธอ “การดูถูกคนอื่น ก็ไม่เท่ากับดูถูกตัวคุณเองเหรอ”
ผู้จัดการที่อยู่โต๊ะด้านหน้า ไหล่ทั้งคู่สั่นมาโดยตลอด คนทั้งสองนั่งใกล้กัน มู่เฉียวรับรู้ได้ จึงหันกลับไป มองพี่เหมย “พี่เหมย คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
พี่เหมยเม้มปาก ส่ายหน้า เธอกลั้นหัวเราะ กล้ามเนื้อบนใบหน้ายับเยินไปหมด “ไม่เป็นไร…..ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ เพียงแต่ ฉุน คุณแน่ใจเหรอว่าหมากัดเธอ?”
“โครม”เสียงเก้าอี้ล้มลง หารฉุนลุกขึ้นยืน จ้องมองพวกเธอทีหนึ่ง แล้วหันเดินจากไป
พี่เหมยปิดปากอยู่ด้านหลัง หัวเราะจนตบโต๊ะ
มู่เฉียวแสดงสีหน้าไม่เข้าใจ “พี่เหมย คุณขำอะไร?”
มู่เฉียวมองหานฉุนแล้วขมวดคิ้ว ในใจก็ค่อยๆเข้าใจอะไรได้ การถูกลดค่าตัวเกี่ยวข้องกับโม่หานเหรอ
เธอหยิบมือถือออกมาทันที กดโทรไปหาโม่หาน
โทรศัพท์ถูกรับสาย
“โม่หาน เป็นกลอุบายของคุณใช่ไหม ที่ทำให้หานฉุนโดนลดค่าตัว?” เธอไม่ได้สนใจน้ำเสียงของเธอในตอนนี้ มีทั้งความโมโหแล้วก็ความสงสัย
“ฉันทำธุระอยู่ ตอนเย็นจะติดต่อคุณไปอีกที” ฉับพลันโทรศัพท์ก็ถูกวางสายไป
จนถึงสี่ทุ่มโม่หานก็ไม่ได้ติดต่อกลับมา ในใจมู่เฉียวมีแต่เรื่องนี้ จึงนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา
ถึงแม้ว่าหานฉุนจะไม่ค่อยพอใจนัก แต่การแสดงเป็นอาชีพของเขา เช่นเดียวกับการเป็นล่ามของตน ไม่ได้เอาเงินมาเป็นตัวพิจารณา ฉะนั้น เธอจึงไม่อยากรบกวนการทำงานของเขาด้วยเหตุผลของเธอเอง
คิดๆแล้วเธอยังคงอดไม่ได้ที่จะไปหยิบมือถือจากโต๊ะข้างๆ แล้วโทรออกไปยังหมายเลขที่คุ้นเคย เพียงแต่……คนที่รับสายเป็นอู๋เหิง “ฮัลโหล……!”
ปลายสายมีเสียงเพลงดังหนวกหู มู่เฉียวขมวดคิ้ว “โม่หานล่ะ? พวกคุณอยู่ที่ไหนกัน?” คิดแล้วเธอก็ถามออกมา
“ฮัลโหล……ฮัลโหล คุณพูดอะไรนะ ไม่ได้ยินเลย……” น้ำเสียงของอู๋เหิงดูค่อนข้างลำบาก
“พวกคุณอยู่ที่ไหน?” มู่เฉียวนำลำโพงมาข้างๆปาก แล้วพูดเสียงดังอีกครั้ง
อู๋เหิงตกตะลึง จากนั้นก็หยิบมือถือมาดู มู่เฉียว……
ในฉับพลันก็กลืนน้ำลาย หันไปมองในมุมนั้นมีผู้หญิงห้อมล้อมอยู่หลายคน แต่โม่หานกลับมีสีหน้าเย็นชา เขาก้าวถอยหลังไปสองก้าว โบกมือให้โม่หาน บอกใบ้ว่าให้เขามารับโทรศัพท์
“ประธานโม่ วันนี้แค่ออกมาคุยเรื่องส่วนตัวนะ ไม่ได้คุยงาน!”
เสียงผู้หญิงที่มีเสน่ห์พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง ดังมาจากลำโพงของตน มู่เฉียวกัดริมฝีปาก อยากจะทุบมือถือทิ้งเลย
“ปีศาจจิ้งจอก”ของความรักนี่มีอยู่ทั่วโลกเลยใช่ไหม? ที่ไหนๆก็มี!
เธอกดวางสายไปอย่างรุนแรง จากนั้น……สูดลมหายใจเข้า ปิดเครื่อง ใส่ไว้ในลิ้นชักข้างเตียง
แล้วบอกว่าเป็นครั้งแรก ผีนะสิที่จะเชื่อ “เล่น”ในประเทศไม่พอใช่ไหม? ยังเล่นข้ามชาติด้วย?
ยิ่งคิดยิ่งโมโห
“โทรศัพท์ของใคร?” หลังจากโม่หานผลักผู้หญิงข้างๆออกไปแล้ว ก็เงยหน้าถามอู๋เหิง
อู๋เหิงตอบกลับอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว : “ของมู่เฉียว!”
“เพล้ง”! เสียงแก้วตกลงบนพื้น
อู๋เหิงเงยหน้าขึ้น เห็นโม่หานลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินเข้ามาหาเขา
“เมื่อกี้เห็นคุณกำลังมีความสุขอยู่กับพวกเขาไม่ใช่เหรอ? ฉันเรียกคุณแล้ว แต่คุณไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอก็เลยวางสายไป!”
ก่อนที่โม่หานจะเอ่ย อู๋เหิงก็รีบพูดออกมา
โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม หยิบมือถือจากในมืออู๋เหิง “ตาข้างไหนของคุณที่เห็นว่าฉันมีความสุข? ต่อไปโอกาสประเภทนี้ คุณก็จัดการเองเถอะ”
กดโทรกลับไป ให้ตายเถอะ ทำไมผู้หญิงคนนี้ชอบปิดเครื่องนะ?
“เตรียมรถ” เขาพูดประโยคนี้ทิ้งไว้ แล้วก็เดินออกไป
มู่เฉียวกำลังหลับอยู่ ในความสะลึมสะลือก็ได้ยินเสียงกริ่งประตู
“ติ๊งต่อง!”
เมื่อแน่ใจว่าได้ยินไม่ผิด เธอก็ตกตะลึง มองนาฬิกาข้อมือ ดึกดื่นขนาดนี้ ใครจะยังมาหาเธออีกนะ?
เมื่อดึงประตูเปิดเธอยังไม่ทันได้ยืนอย่างมั่นคง ก็ตกเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดและกลิ่นอายที่คุ้นเคย
โม่หานโน้มตัวลง มือใหญ่ๆคล้องที่คอของเธอ จูบลงไปที่ริมของเธออย่างโหดเหี้ยม ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ดึงปิดประตูด้านหลัง
เพิ่งไม่ได้เจอกันไม่นานเท่าไร คาดไม่ถึงว่าเขาจะคิดถึงเธอจนเจ็บปวดใจ
จากนั้น ก็ไม่แน่ใจว่าใครเริ่มก่อน ตามเหตุผลแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นก็เคยเกิดขึ้นมาไม่น้อยแล้ว
หลังจากผ่านไปรอบหนึ่งแล้ว มู่เฉียวก็คิดอยากที่จะถามว่าทำไมจู่ๆโม่หานถึงมาที่นี่
แต่ด้วยความอ่อนเพลียที่ยากจะขัดขวาง ดังนั้น จึงเลือกที่จะละทิ้งไปในที่สุด
เช้าตรู่
ห้องที่เงียบสงัด ตำแหน่งข้างกายที่เย็นลงแล้ว ชัดเจนว่าเขาออกไปนานแล้ว มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า แต่ในใจหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ในทันใดโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เธอหยิบขึ้นมา มองดู คือโม่หาน!
กดรับ “มีธุระอะไร?” น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยร่าเริงเล็กน้อย แม้กระทั่งตัวเธอเองก็ฟังออก
“ทำให้คุณตื่นเหรอ?” น้ำเสียงของเขาไม่สะทกสะท้าน
“วิ่งมาตั้งไกลขนาดนั้น นอนคืนเดียวก็ไป ประธานโม่ช่างมีกะจิตกะใจจริงๆ” หลังจากพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าเวลานี้ตนเองเหมือนกับผู้หญิงขี้งอน
โทรศัพท์ของฝ่ายตรงข้ามเงียบไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะเบาๆดังเข้ามา “คุณดูซิว่ากี่โมงแล้ว?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว นำมือถือออกมาดู สิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว?
คุณพระ คาดไม่ถึงว่าเธอจะนอนจนถึงตอนนี้
“ได้ยินอู๋เหิงบอกว่า เมื่อวานคุณโทรเข้ามาหาฉัน!” น้ำเสียงของโม่หานนุ่มนวลอ่อนโยน พยายามสุดความสามารถที่จะระงับความคิดที่อธิบายไม่ได้ภายในใจ พูดคุยอย่างเรียบเฉย ชัดเจนว่าเพิ่งจะแยกจากกัน
“อื้ม!” มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า เม้มปาก ลูบผมที่ข้างๆหู ตอบด้วยเสียงเบาๆ
พูดจบก็คิดๆ จึงกล่าวเสริมในทันที: “ฉันอยากจะถามคุณเรื่องที่หานฉุนถูกลดค่าตอบแทน คุณเป็นคนทำใช่ไหม?”
ได้ยินมู่เฉียวที่อยู่ในโทรศัพท์ถามถึงชายคนอื่น โม่หานก็รู้สึกไม่พอใจในทันที ขมวดคิ้วแน่นแล้วก็เบ้ปาก “คุณโทรมาเพื่อจะถามเรื่องนี้อย่างนั้นเหรอ?” น้ำเสียงของโม่หานฟังดูไม่ดีเลยแม้แต่น้อย เขายังคิดว่า เธอโทรมาเพราะ…..เพราะว่า…..
“ฉันไม่อยากให้เป็นเพราะฉัน จึงต้องไปรบกวนงานของคนอื่น” มู่เฉียวเอ่ยปากอธิบายด้วยจิตสำนึก พอพูดจบ ก็กระซิบถามด้วยเสียงเบาๆว่า: “ใช่คุณไหม?”
“ฉันไม่สบายใจ…..” โม่หานที่ปลายสายพูดด้วยเสียงที่เศร้าเสียใจถึงขีดสุด ขณะที่มู่เฉียวขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ ก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า: “ฉันคิดว่าเมื่อวานที่คุณโทรมาหาฉัน คือคิดถึงฉัน ฉันอุตส่าห์ลำบาก ดึกดื่นค่อนคืนต้องขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง”
“…..ห๊ะ?” มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย กัดริมฝีปากเบาๆ ไม่รู้จะพูดอะไร
สมองก็หวนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเมื่อคืน ทันใดก็เขินอายขึ้นมา
ขมวดคิ้วเล็กน้อย “คุณยังทำอะไรอยู่? อยู่กับกิ๊กเหรอ”
“ไม่มีกิ๊กที่ไหน อยู่ห่างกันไกล เป็นงานเลี้ยงส่วนตัว ถ้าคุณไม่ชอบ ต่อไปก็จะไม่ไปแล้ว” โม่หานเอ่ยปาก พูดอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
“……”มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจหวานชื่น
โม่หานรออยู่ครู่หนึ่งเห็นเธอไม่พูดจา อดไม่ได้ที่จะกระตุ้นถามอย่างร้อนใจเล็กน้อยว่า “มู่เฉียว คุณยังอยู่ในสายไหม?”
“อืม!” มู่เฉียวดึงสติกลับมาทันที ภายในใจมีความกังวลเล็กน้อย เลียริมฝีปากสีแดงระเรื่อ แล้วกล่าวตอบกลับเบาๆ
บรรยากาศหยุดชะงักลงมาอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับไม่มีหัวข้อสนทนาระหว่างคู่สาย โม่หานเงียบไปหลายวินาที แล้วกล่าวอย่างคลุมเครือถึงขีดสุดว่า: “ตอนนี้คุณ ยังอยู่บนเตียงเหรอ?”
“ใช่แล้ว” มู่เฉียวตอบกลับอย่างไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อย เมื่อได้สติกลับมา ใบหน้าก็แดงระเรื่อ
เขินอาย ภายในใจก็รู้สึกมีรสชาติเล็กน้อย
“มู่เฉียว……”
จู่ๆน้ำเสียงของโม่หานก็แปลกไป ภายในใจของมู่เฉียวตื่นเต้นขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก น้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ ภายในใจรู้สึกไม่สงบเล็กน้อย “มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“คุณ……เมื่อไหร่จะเสร็จจากทางด้านนั้น?” โม่หานก็ตระหนักได้ว่าตนเองพูดผิดไป ในน้ำเสียงดูไม่เป็นธรรมชาติ
“ไม่รู้เลย เรื่องนี้ต้องดูว่าการถ่ายทำของหานฉุนราบรื่นแค่ไหน!”
“หานฉุนหานฉุน คุณอย่าเอ่ยถึงเขาได้ไหม?” คนบางคนโกรธขึ้นมาอีกครั้ง
มู่เฉียวหยิบมือถือออกมามองอย่างประหลาดใจ มองๆดูผู้ชายคนนี้โกรธอะไร?
อารมณ์ฉุนเฉียวนี้มาได้อย่างไร? เขาไม่ได้ถามเธอว่าเสร็จงานเมื่อไหร่หรอกเหรอ? เธอมาเป็นล่ามส่วนตัว แน่นอนเธอต้องตามกำหนดการของคนอื่น
“โม่หาน ถ้าคุณจะโทรมาเพื่อชวนทะเลาะ อย่างนั้นฉันจะวางสายแล้วนะ!”
“จะวางก็วางสิ!”
จากนั้นก็ไม่รอให้มู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบกลับ ปลายสายก็เสียงดัง”ตู๊ดๆ”ออกมา
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า นำมือถือโยนไปที่ผ้าห่ม ผู้ชายคนนี้มีความสามารถที่จะทำให้เธอโกรธได้เสมอ
ตอนเช้า 6:00 หานฉุนก็แจ้งให้เธอทราบว่ากำลังจะออกไป
ชื่อเสียงของหานฉุนยังเป็นที่รู้จักกันดีในท้องถิ่น ดังนั้นคณะของพวกเขาจึงได้รับการตอบรับจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงในท้องที่เป็นอย่างดี
เพราะหนังเรื่องนี้จะฉายในจุดชมวิวหลายๆแห่ง จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในขณะนั้น
บนเส้นทาง อีกฝ่ายพูดเป็นภาษาอังกฤษ หานฉุนมีวันนี้ได้ แน่นอนว่าเขามีศักยภาพ เขาเข้าใจได้เกือบทั้งหมด แต่เมื่ออีกฝ่ายพูดภาษาแอฟริกัน มู่เฉียวจะแปลให้
เมื่อถึงสถานที่ถ่ายทำ ผู้จัดการก็เดินมาบอกว่า “ฉุน เราไปเจอผู้กำกับกันก่อนเถอะ”
“คุณอยู่ดูที่นี่ได้ตามสบายเลยนะ แต่อย่าไปไกลมากล่ะ!” หานฉุนมองออกว่ามู่เฉียวสนใจ
“เดินดูได้ตามสบายเลยเหรอ?”
“คนอื่นไม่ได้ คุณ……ได้!” หานฉุนเข้าไปใกล้ๆมู่เฉียวแล้วยิ้ม เลิกคิ้วเล็กน้อย พูดอย่างมีเลศนัย
มู่เฉียวหันไปมองเขา ไม่ได้พูดอะไร
“มิเช่นนั้น คุณก็รอก่อน อีกสักพักผู้ดูแลจุดชมวิวก็จะมาถึงแล้ว ฉันจะให้เขาพาคุณไปเดินรอบๆก็ได้” หานฉุนพูดไปพลาง ก้มลงพิจารณาพืชที่หายากตรงหน้าเขา
มู่เฉียวมองหานฉุน จู่ๆเธอก็พบว่าอุปนิสัยของเขากับโม่หาน มีส่วนคล้ายคลึงกัน เดี๋ยวก็ดีเดี๋ยวก็ร้าย
พอพูดจบ “หานฉุน พวกคุณมาได้แล้ว!” ผู้ช่วยของหานฉุนวิ่งเหยาะๆเข้ามารายงาน
หานฉุนพยักหน้า แล้วดึงมู่เฉียว “เราไปกันเถอะ!”
มู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร สำหรับหานฉุนแล้วเธอรู้สึกว่ายิ่งพูดน้อยก็ยิ่งดี และเดินตามหานฉุนไปที่ประตูทางเข้า
แต่เมื่อเธอเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงประตูอย่างชัดเจนขาเธอก็อ่อนลงอย่างกะทันหัน
มู่เฉียวยกมือขึ้นขยี้ตา เมื่อแน่ใจว่าตนเองมองไม่ผิด ตัวเธอเอนไปทางด้านหลังอย่างไม่มั่นคง
นี่คือพ่อของโม่หาน
เธอเคยเห็นคนตระกูลโม่มาหลายครั้งแล้ว มีรูปถ่ายมากมายของเขากับพ่อแม่ในคฤหาสน์ที่โม่หานอาศัยอยู่ แล้วก็มีรูปถ่ายของเขากับพ่อด้วย
“คุณเห็นผีเหรอ?” หานฉุนพบว่ามู่เฉียวผิดปกติไป ฉะนั้นเมื่อเห็นเธอเซถอยหลังไป จึงยื่นแขนออกไปประคองเธอไว้
มู่เฉียวกลืนน้ำลาย ใช่ เห็น”ผี”
หันกลับไปมองหานฉุน ยืนขึ้นดึงเสื้อผ้าที่ยับเล็กน้อย “ฉัน……ฉันไม่เป็นไร!”
เพียงแต่…..
พ่อของโม่หานตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ? เพราะเหตุใดถึงมาอยู่ที่แอฟริกาใต้ล่ะ?
เพราะเหตุใดถึงกลายเป็นคนรับผิดชอบจัดชมวิวนี้ได้ล่ะ? อีกทั้งเธออดไม่ได้ที่จะมองหานฉุนทีหนึ่ง เห็นสีหน้าของเขาไม่ผิดปกติ ก็เก็บความตื่นตระหนกบนใบหน้า
ชั่วขณะ เธอก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์กะทันหันนี้ได้อย่างไร
“หานฉุน เขาเป็นคนรับผิดชอบจุดชมวิว ให้เขาพามู่เฉียวไปดูสักรอบหนึ่งสิ?”
คนพาชมพยักหน้าให้กับหานฉุน แล้วผายมือให้มู่เฉียว “คุณผู้หญิง เชิญตามฉันมาได้ครับ”
หานฉุนเงยหน้ามองเธอ หรี่ตามองเล็กน้อย ขมวดคิ้วแน่น โค้งริมฝีปากเล็กน้อย แฝงไปด้วยรอยยิ้มตื้นๆ “มู่เฉียว คุณรู้จักเหรอ?”
เธอควรจะตอบหานฉุนอย่างไร?
มู่เฉียวส่ายหน้า แล้วมองเขา “คุณนี่ชอบล้อเล่นจริงๆ”
พูดจบ ก็เดินตามคนไปยังจุดชมวิว
เดินตามหลังคนพาชม ในใจมู่เฉียวรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
“คุณมู่ คุณรู้จักฉันเหรอ?” สุดท้ายผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าก็ถูกมู่เฉียวมองจนรู้สึกขนลุกเล็กน้อย เขาจึงขมวดคิ้วแล้วกล่าวถาม
หัวใจมู่เฉียวเต้นแรงเล็กน้อย อย่างไม่สามารถอธิบายได้
สะดุ้งเล็กน้อย คิดๆแล้ว ก็หันไปมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า: “สวัสดีค่ะ ฉันอยากถามคุณหน่อยว่า คุณ….รู้จักโม่หานไหม?”
ชายคนนั้นได้ยิน ก็หันหน้ากลับมา ชำเลืองมองมู่เฉียวอย่างเย็นชา แววตาเข้มขึ้น
เขายกมือขึ้น ลูบเบาๆที่ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง “คุณมู่ คนที่คุณพูดถึง ฉันไม่รู้จัก”
ไม่รู้จัก? ในสายตาของมู่เฉียวหดหู่เล็กน้อย หรือว่าจะเป็นแค่คนหน้าคล้ายเท่านั้น
เธอพูดว่า”อ๋อ”คำหนึ่ง แล้วก็ยิ้มๆ
ทัศนียภาพที่นี่ไม่เหมือนกับในประเทศ นิเวศวิทยาในท้องถิ่นที่แทบจะเป็นแบบดั้งเดิม ถึงแม้จะเห็นภูเขาและลำน้ำภายในประเทศมาจนเคยชินแล้ว แต่พอได้เห็นที่นี่ ก็รู้สึกถึงกลิ่นอายความเป็นท้องถิ่นที่แตกต่างออกไป
เดินชมรอบหนึ่งแล้วกลับมา หานฉุนกำลังร่วมหารือเรื่องของเค้าโครงเรื่องละครกับผู้กำกับอยู่ ดูท่าจะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร สีหน้าของเขาไม่น่าดูเล็กน้อย
เพราะคู่ต่อสู้ทางละครคือคนแอฟริกา ดังนั้น งานที่สำคัญของมู่เฉียวก็คือตอนที่พวกเขาคุยกับฝ่ายตรงข้าม เธอถึงจะคอยเป็นล่ามอยู่ข้างๆ อื่นๆ ที่ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้ หานฉุนก็แทบจะไม่ต้องใช้เธอเลย
ดังนั้น เวลานี้ เธอจึงมีอิสระอย่างมาก
ผู้จัดการหยิบบทละครเข้ามา ส่งให้มู่เฉียว “นี่คือส่วนที่คุณต้องแปล คุณลองอ่านคร่าวๆก่อน”
มู่เฉียวพยักหน้า หลังจากแปลบทละครของหานฉุนรอบหนึ่งแล้ว เธอก็ขมวดคิ้ว “ค่าตอบแทน เหมือนกับว่าจะไม่มาก”
ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ แต่หานฉุนเป็นนักแสดงนำ พูดตามเหตุผลแล้ว ไม่ควรที่จะได้ค่าตอบแทนที่น้อยขนาดนี้ มิน่าล่ะดูท่าทางไม่เต็มใจเลย
ผู้จัดการส่ายหน้า “ไม่เข้าใจ ดูเหมือนว่า จะถูกลดค่าตอบแทน เดิมทีฉันก็คิดที่จะไปเจรจา แต่ฉุนบอกว่า เขาจะไปเอง”
มู่เฉียวไม่พูดจา กับการดำเนินการนี้ เธอก็ไม่ได้เข้าใจมากมายนัก แต่เธอรู้ว่า ที่จู่ๆลดค่าตอบแทนลง จะต้องมีสาเหตุอย่างแน่นอน
เพราะตอนบ่ายไม่มีงาน เธอจึงเอ่ยที่จะกลับเข้าในเมืองก่อน จะไปเดินเที่ยวบริเวณใกล้ๆโรงแรมสักหน่อย
เมื่อหานฉุนกลับถึงโรงแรม เธอก็เพิ่งทานข้าวเสร็จ เห็นเขาเดินเข้ามายังตนเอง เธอก็ตกใจ เคี้ยวอาหารช้าลงเล็กน้อย
ชามเซรามิกสีขาวที่อยู่บนโต๊ะถูกคว้าขึ้น จากนั้น ก็ทุ่มลงพื้นอย่างแรง
มู่เฉียวตกใจ เธอกลืนน้ำลายลงคอ หยิบเครื่องดื่มบนโต๊ะ มาจิบเล็กน้อย “คุณเป็นบ้าอะไรเนี่ย?”
แต่หานฉุนเอาแต่จ้องมองเธอ มองอยู่ครู่หนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า “คุณนี่มันมีเสน่ห์จริงๆเลยนะ มีเสน่ห์ถึงขั้นที่ เขาสามารถทำเพื่อคุณได้ โดยไม่เสียดายเงินทองเลย”
พูดจบ ก็ทำเสียงไม่พอใจ แล้วหันเดินจากไป
สักครู่หนึ่งจึงละสายตาออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า : “ในนี้ไม่มีที่ล็อก คุณคงไม่อยากให้คนอื่นพุ่งเข้ามาใช่ไหม!!”
มู่เฉียวตกตะลึง โอเค เหตุผลนี้มากเพียงพอ
แต่……แต่ว่า คุณไม่ใช่คนเหรอ?
“อย่างนั้นคุณก็หันไปก่อน คุณมองฉันอย่างนี้ ฉัน……ฉันไม่สบายใจ!” มู่เฉียวพูดจบ แล้วทำท่าจะลุกขึ้นนั่ง
โม่หานขมวดคิ้ว เดินเข้าไป ใช้แขนเรียวยาวไปประคองมู่เฉียว
เพียงแค่มือใหญ่สัมผัสถูกผิวที่เรียบเนียน โม่หานรู้สึกเหมือนมีกระแสน้ำอุ่นไหลผ่านร่างกายของตนเอง ความรู้สึกที่ไร้กำลังวังชานั้นทำให้เขาแทบบ้าคลั่ง
“มู่เฉียว ฉันต้องการ……” อดใจไว้ไม่ไหว โม่หานหอบเบาๆ ก้มตัวลงกระซิบข้างหูของมู่เฉียว
มู่เฉียวได้ยิน มู่เฉียวก็เกร็งทันที แก้มสองข้างแดงก่ำ
สมองก็เริ่มทำงานผิดปกติขึ้นมา จนปัญญาที่จะพิจารณาไตร่ตรอง
จากนั้นเธอก็รู้สึกว่าลมหายใจอุ่นๆแผ่ซ่านอยู่ระหว่างลำคอ
เธอกลืนน้ำลาย “โม่หาน คุณ……คุณอย่ามาวุ่นวาย ที่……ที่นี่……ที่นี่ คุณไม่ได้บอกว่า……มีคนเข้ามา……ได้ทุกเวลาเหรอ?” มู่เฉียวพูดอย่างตะกุกตะกัก เพียงแต่เพิ่งจะพูดจบ เธอก็อยากจะดึงตัวเองมาตบ ความหมายที่เธอจะบอกโม่หานคือ ที่นี่คนเยอะไม่สะดวก ให้เปลี่ยนสถานที่ก็ได้ใช่ไหม?
โม่หานหลุบตาลง จ้องมองไปที่หญิงสาวที่กระสับกระส่ายภายใต้ร่างกายอยู่ครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหนักหน่วงขึ้นเล็กน้อย……
แววตาลึกซึ้งยิ่งขึ้น ในตาแดงนิดๆ สายตาที่เร่าร้อนค่อยๆเลื่อนลงจากใบหน้าของเธอ เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา : “ในระหว่างที่ฉันไม่อยู่ด้วย ไม่อนุญาตให้คุณกับเขาใกล้ชิดสนิทสนมกัน!” น้ำเสียงเขาคล้ายกับเป็นคำสั่ง
“……” จิตใจของมู่เฉียวตึงเครียดทันที เงยหน้าขึ้นมองเขาโดยจิตใต้สำนึก เพียงแค่ชำเลืองมอง เธอก็หลุบตาลง กลืนน้ำลาย : “ได้ ได้ ฉันจะอยู่ห่างจากเขาอย่างแน่นอน โอเคไหม?”
เวลานี้เธอแค่อยากจะสลัดเขาทิ้งไปให้เร็วที่สุด
อยู่ในสถานที่อย่างนี้ ถ้าถูกคนมาเจอภาพนี้ของพวกเขา……
โม่หานหรี่ตาทั้งคู่เล็กน้อย มองดูเธออย่างลึกซึ้งเป็นเวลาสองวินาที แล้วก้มศีรษะลงช้าๆขยับเข้าไปใกล้ใบหน้าของเธอ จูบลงบนปากอมชมพูของเธอ
“มู่เฉียว คุณอย่าโกหกฉันเลยดีกว่า!”
หัวใจของมู่เฉียวยิ่งตึงเครียดมากขึ้น เธอกัดฟันแน่น เงยหน้าขึ้นทันที : “ไม่กล้า……”
ในฉับพลันท้ายทอยก็ถูกจับไว้ ยกให้หน้าเงยขึ้น เห็นริมฝีปากบางๆของเขากดลงมาอีกครั้ง
“อื้อ……”
มู่เฉียวเบิกตาโพลงทันที มองใบหน้าที่หล่อเหลาใกล้ๆอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ?
สถานที่อย่างนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้……
ถ้าถูกคนเห็นเข้า เธอยังจะมีชีวิตอยู่ต่อได้ไหม?
คิดพลาง รวบรวมกำลังที่มีทั้งหมด ผลักเขาออกไปอย่างโหดเหี้ยม
“โม่หาน คุณเป็นสัตว์หรือไง? ที่ไหนก็สามารถคลุ้มคลั่งได้เหรอ?” หลังจากออกจากการบังคับปิดปากของเขา เธอก็ส่งเสียงตวาด
ในทันทีก็นึกถึงที่ตู้เสี่ยวซินบอกว่าเป็นครั้งแรกของเขา ในใจก็อดไม่ได้ที่จะพิจารณาเขา อย่าง….นี้ อย่างนี้เอ่อ ที่ผ่านมาหลายปีนั้น เธอผ่านมาได้อย่างไรกัน?
โม่หานยืดตัวขึ้นอย่างช้าๆ ปล่อยมู่เฉียว ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยับยั้งความหวั่นไหวภายในจิตใจ
กัดฟันอย่างเงียบๆ มองเธออย่างลึกซึ้ง แล้วหันตัวกลับอย่างช้าๆ
ช่วงนี้บ้าไปแล้วจริงๆ หลงใหลในกลิ่นของเธอ กระทั่งจนปัญญาที่จะยับยั้งตัวเอง
เห็นเขาหันตัวกลับไป มู่เฉียวจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบลุกขึ้น ติดกระดุมที่หน้าอก ไม่ทันได้ระวัง ไปถูกบริเวณบาดแผลที่น้ำร้อนลวกเอาไว้
มองภาพด้านหลังของโม่หาน เธอก็เริ่มสับสนเล็กน้อย ผู้ชายคนนี้ สรุปแล้วรู้สึกอย่างไรกับตนเองกันแน่
ถ้าไม่รัก ทำไมเขาจะต้องมาแคร์ว่า ระหว่างเธอกับหานฉันจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ถ้ารัก การบีบบังคับต่างๆ การไม่สนใจไยดีต่างๆของเขา จะอธิบายอย่างไรดี
“ออกไปก่อนเถอะ….” หันตัวกลับมา หลังจากเห็นว่าเธอสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้ว โม่หานก็กล่าวกระซิบกับเธอ
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก้มหน้า เดินอ้อผ่านไปยังหน้าประตู
แต่ทว่า ทันทีที่เธอก้าวออกนอกประตู จู่ๆเขาก็ร้องเรียกด้วยเสียงที่แหบพร่ามาจากด้านหลัง
“เดี๋ยวก่อน!”
มู่เฉียวหยุดชะงักฝีเท้า คนตัวแข็งทื่อไปในทันที นิ้วมือที่ลูกบิดประตู ก็ค่อยๆจับเอาไว้แน่น กัดฟันลังเลใจอยู่หลายวินาที สุดท้ายก็ค่อยๆหันตัวกลับมามองเขาอย่างช้าๆ
โม่หานพิงหลังที่ตู้อย่างเกียจคร้าน เมื่อเธอหันตัวกลับมา ก็นำยาที่อยู่ในมือยื่นให้ เปิดริมฝีปากบางๆกล่าวว่า: “คำพูดนั้นก่อนหน้านี้ ทางที่ดีคุณต้องจำใส่ใจเอาไว้!”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คำพูดเหล่านั้นก่อนหน้านี้อย่างนั้นเหรอ?
คำพูดไหน?
เธอเบ้ปาก หันตัวกลับ ก้มหน้าแล้วรีบเดินไปข้างหน้า เพียงแต่ พอก้าวออกจากประตู ก็พบกับหานฉุนที่คล้ายกับรอมาสักครู่แล้ว
“คุณ…ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่?”
มู่เฉียวใจเต้นในทันที หางตาเหลือบไปมองประตูที่อยู่ข้างๆอย่างขาดความเชื่อมั่น กล่าวถามอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง รู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
ได้ยินเธอกล่าวถาม ใบหน้าของหานฉุนที่ก้มอยู่ก็ค่อยๆเงยขึ้นมา มุมปากคล้ายกับกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม สายตาที่สับสนมองไปยังใบหน้าที่งดงามของเธอ เมื่อเห็นจุดที่เปียกบนหน้าอกของเธอ แสงอันเยือกเย็นก็ปรากฏในสายตา
ยกมือขึ้นดูนาฬิกาข้อมือ “ได้ยินมาว่า คุณถูกน้ำร้อนลวก ฉันเลยเข้ามาดุ ว่าจะส่งผลกระทบต่อโปรแกรมของฉันไหม” หานฉุนแสร้งทำเป็นยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองเธออย่างกระตุ้นให้เกิดความสนใจ พูดทีเล่นทีจริงอย่างช้าๆ
เมื่อได้ยินคำพูด มู่เฉียวก็ตกตะลึงจนเหงื่อตกในทันที มองหานฉุนอย่างงุนงง ไม่อยากจะคิดว่าถ้าเขาเข้าไปหาเธอจริงๆ แล้วเห็นเธอกับโม่หาน……
ถึงแม้ โม่หานจะบอกว่าคนทั้งสองไม่ได้หย่ากัน แต่ถึงอย่างไรตอนนี้โม่หานก็มีคู่หมั้นแล้ว
ในทันทีสติก็สับสนวุ่นวายเล็กน้อย: “ฉัน….ไม่เป็นไร เพียงแค่โดนลวกเป็นรอยแดง ทายาสักหน่อย ก็ไม่เป็นไรแล้ว!”
“อ้อ งั้นเหรอ?” หานฉุนเหลือมองไปที่ห้องพักผ่อนด้านหลังของเธอ มุมปากก็แสดงรอยยิ้มอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
ตลอดคืนนี้ โม่หานใช้เอกสิทธิ์ของเขา ในการตรวจสอบแทบจะทุกโรงแรมเล็กใหญ่ในเมืองB แต่ยังคงไม่เจอแม้แต่เงาของมู่เฉียว
“โม่หาน คุณไปนอนสักพักเถอะ วันนี้สว่างแล้ว ฉันคาดว่าเธอจงใจจะหลบซ่อนจากคุณ!” อู๋เหิงหาวแล้วบิดขี้เกียจ ชั่วขณะก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขา “คุณง่วงก็ไปนอนเถอะ ฉันจะรออีกหน่อย!”
“ไม่ ไม่……ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ!” อู๋เหิงโบกไม้โบกมือเขา เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถ้าเขาไปนอนอย่างเชื่อฟัง หลังจากตื่นขึ้นมา เขาจะต้องประสบกับอะไร
“เพียงแต่ว่าโม่หาน ถามคุณมาตลอดทั้งคืนแล้ว คุณพยายามจะตามหาเธอต้องการจะทำอะไร?” โม่หานเรียกมากลางดึก บอกว่ามีเรื่องด่วน เพียงแค่……ตามหาภรรยานี่คือเรื่องด่วนเหรอ?
“เธอต้องการจะไปแอฟริกาใต้!”
“อ๋อ! ห๊ะ……ไปแอฟริกาใต้? ไปทำอะไร?”
“ตามไปด้วยกันกับหานฉุน บอกว่าไปเป็นล่ามส่วนตัว” โม่หานแทบจะกัดฟันตอบกลับมา
“หานฉุน? น้องชายคนนั้นของคุณนะเหรอ?” อู๋เหิงหยุดไปชั่วขณะ “น้องชายกับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกัน ตามหลักการและเหตุผลแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าน้องชายของคุณคนนี้ดูจะ……โรคจิตเล็กน้อย” หลายปีมานี้ ขอเพียงแต่เป็นของที่โม่หานชอบ น้องชายของเขาคนนี้ก็ทำทุกวิถีทางที่จะยื้อแย่งเอาไป
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ชัดเจนว่าคุณไม่อยากให้เธอไป หลังจากนั้นเธอก็หนีไป ใช่ไหม?”
โม่หานมองเขาตาขวาง แล้วถามว่า : “ฟังความคิดเห็นนี้ของคุณแล้ว ฉันควรจะให้เธอไปไหมล่ะ?”
อู๋เหิงสองมือล้วงกระเป๋า เดินไปตรงหน้าโม่หาน เอียงมองโม่หานเล็กน้อย : “คุณบอกฉันมาก่อน ว่าคุณชอบเธอใช่ไหม?”
โม่หานถลึงตาใส่เขา “คุณไสหัวออกไปได้แล้ว!”
อู๋เหิงยืดตัวตรง ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ “เดิมทีนะ? ยังเตรียมจะบอกเรื่องดีๆกับคุณ ในเมื่อคุณให้ฉันไสหัวไป ฉันก็ไม่บอกแล้ว!” พูดจบก็ก้มหน้าถอนหายใจ ส่ายๆหัว แล้วก็เดินไปตรงหน้าประตู
โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปตรงหน้าอู๋เหิง “คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน?”
อู๋เหิงส่ายหัว โม่หานก็สีหน้าเคร่งขรึม
และก่อนที่เขาจะลงมืออะไร อู๋เหิงจึงพูดว่า : “ฉันไม่รู้หรอกว่าภรรยาคุณอยู่ไหน แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อเร็วๆนี้เรากำลังหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัทในแอฟริกาใต้ เดิมทีฉันเตรียมจะไปเอง……ถึงอย่างไรคุณก็ยุ่งขนาดนี้ อย่างไรก็……”
“ความร่วมมือ?” โม่หานตัดบทคำพูดของอู๋เหิง “เรื่องนี้ฉันไม่เคยได้ยินได้อย่างไร?”
“คุณลืมไปแล้วคุณบอกเอง แล้วเรื่องก็หายเข้ากลีบเมฆไป อย่ารายงานกับคุณตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ?” อู๋เหิงจงใจพูดถากถาง
โม่หานกระแอมเบาๆ “พูดสรุปมาตรงๆเลย!”
อู๋เหิงเบ้ปาก “ความคืบหน้าล่าสุดราบรื่นอย่างมาก กำลังเตรียมจะคุยกับคุณเร็วๆนี้ ให้คุณเข้าไปตรวจสอบขั้นตอนสุดท้าย เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ฉะนั้นมู่เฉียวต้องการจะไปแอฟริกาใต้จริงๆ เราก็ตามไปด้วยเถอะ!”
จากนั้นก็เห็นโม่หานโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงมามาก
แม้ว่าโม่หานจะผลักดันโม่กรุ๊ปให้สูงขึ้นไปอีกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย น้อยมากที่เขาจะแยกจากหน้าที่การงานของตนเอง ถ้าคุณไม่ให้เหตุผลกับเขา เขาจะไม่จากไปง่ายๆ
อู๋เหิงมองโม่หาน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในใจ เพียงแต่…..มีเรื่องหนึ่ง ที่เขาไม่ได้บอกกับโม่หาน!
อาจเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ตอนกลางคืนมู่เฉียวจึงนอนดึกมาก ตอนเช้าท้องฟ้ายังไม่สว่าง ก็ตื่นแล้ว
ลุกขึ้น อาบน้ำ เห็นในห้องครัวมีบะหมี่ เธอก็เลยไปทำกินเอง
ที่น่าแปลกใจคือ โม่หานไม่ได้โทรเข้ามาอีกเลย เธอโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกเรื่องที่ตนเองจะไปแอฟริกาใต้ พ่อแม่สนับสนุนเกี่ยวกับงานของเธอมาโดยตลอด
“เฉียวเอ๋อ ถึงที่นั่นแล้ว จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ส่วนเสี่ยวโยว คุณไม่ต้องกังวล มู่หลิงกับเสี่ยวหยูจะย้ายกลับมาวันนี้”
มู่เฉียวพยักหน้า “ลำบากคุณแล้ว แม่ พ่อ คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”
เช่นนี้ มู่เฉียวอยู่แต่ในห้องมาสองวันแล้ว
ตู้เสี่ยวซินมาส่งอาหารให้เธอเล็กน้อย บอกว่าที่บริษัทยุ่งมาก แล้วก็ไป
เธอจึงใช้โอกาสในสองวันนี้ หาข้อมูลและภาษาแอฟริกาเสริมจากทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์
ตอนเช้าวันจันทร์ เธอกำลังทานอาหารเช้า พอดีมีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ดูเวลา เพิ่งจะเจ็ดโมง กล่าวในใจว่า ตู้เสี่ยวซินชอบนอนตื่นสาย กลับกลายเป็นขยันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เพียงแต่…..
พอเปิดประตู หานฉุน
“คุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ตู้เสี่ยวซินบอกว่าสถานที่นี้ นอกจากเธอและหลิวฮั่วแล้ว ไม่มีใครรู้ แต่หานฉุนรู้ได้อย่างไร?
หานฉุนเดินอ้อมเธอ เข้าไปในห้องรับแขก เดินไปพลางพิจารณาไปพลาง “จุ๊ๆ คุณอย่าบอกนะว่า รสนิยมของหลิวฮั่วนี่ ยังดีอยู่จริงๆ!” เพียงแค่ สายตาเห็นภาพเสวียนก้วนภาพนั้นที่แขวนอยู่ด้านบน สายตาของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นมา
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ปิดประตู หันตัวกลับ แล้วตามหานฉุนไป “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ว่าคุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”
หานฉุนระงับความงุนงงในสายตา แล้วแสดงออกเหมือนก่อนหน้านี้ “หลิวฮั่วโทรมาหาฉัน บอกว่าเขามาธุระนิดหน่อย มาไม่ได้แล้ว จึงให้ฉันมารับคุณ!”
พูดจบ ก็เม้มปาก หันกลับไปมองค้อนมู่เฉียวทีหนึ่ง แล้วกล่าวถากถางโดยตรงว่า “คุณมีไอคิวแบบนี้ โม่หานยังสนใจคุณอยู่ได้อย่างไรกัน?”
นี่คือชีวิตประจำวันของคนทั้งสอง โดยปกติโม่หานก็มักจะโจมตีและเหน็บแนมเธอ ดีก็โจมตี แย่ ก็ยิ่งไม่ปล่อยไปแน่นอน
หานฉุนเดินมุ่งตรงไปนั่งลงบนโซฟา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “รีบไปเก็บข้าวของ คุณอยากจะโดนหักเงินเดือนอันน้อยนิดของคุณเหรอ?”
“คุณรู้จักโม่หานได้อย่างไร?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก
โม่หานมองต่ำลง “มีคนไม่รู้จักโม่หานด้วยเหรอ? นั่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียง” พูดจบ มู่เฉียวก็ทำท่าทำทางอยากจะอ้วก
เห็นมู่เฉียวยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “นี่ ตอนนี้คุณชายเป็นลูกค้าของคุณนะ คุณยังจะให้ฉันรอคุณอีกเหรอ? ทำอะไรให้มันฉับไวหน่อย OKไหม บื้อจริง!”
มู่เฉียวมองสายตาที่เย็นชาของหานฉุน มองเขาอย่างลึกซึ้ง ชั่วพริบตาทำไมถึงรู้สึกว่าโลกของเธอเริ่มสับสนอลหม่าน เธอเป็นปกติอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเธอคล้ายกับผิดปกติไป
พวกเขามักจะพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ ทำในเรื่องที่เธอไม่อาจคาดเดาได้…..แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอน….เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
เช่นหานฉุนรู้จักโม่หาน เช่น อู๋เหิงและตู้เสี่ยวซิน
“มู่เฉียว คุณยังเหม่อลอยอะไรอยู่? เวลาของเจ้านายฉันนับเป็นเงินเป็นทองนะ คุณไม่รู้เลยเหรอ?” หานฉุนจ้องมองมู่เฉียว
มู่เฉียวถอนหายใจเล็กน้อย หรี่ตามองเขา พูดออกมาโดยจิตใต้สำนึก : “หานฉุน คุณขอร้องให้ฉันไปนะ ฉันไม่ได้ขอร้องคุณ ถ้าคุณมีทัศนคติอย่างนี้ เดือนต่อไปเราจะต้องเหนื่อยกันอย่างมาก”
“มู่เฉียว ปัญหานี้ เราค่อยมาคุยกันทีหลังได้ไหม ok?” มู่หานมองเวลา เดินไปข้างหน้าแล้วดึงมู่เฉียวมาไว้ข้างๆ จากนั้นก็เริ่มหยิบกระเป๋าเดินทางของเธอไปเก็บ
มู่เฉียวก้มหน้า ขมวดคิ้ว กัดริมฝีปากแดงๆมองเขาแป๊บหนึ่ง เอาเถอะ วันหลังค่อยว่ากัน
เมื่อทั้งสองมาถึงสนามบิน ผู้ช่วยของหานฉันก็มาถึงก่อนแล้ว เห็นพวกเขามาก็เข้าไปต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ คุณมู่” ผู้จัดการของหานฉุนกล่าวทักทาย ชื่อพี่เหมย เธอยิ้มแย้มอย่างอ่อนโยน รับกระเป๋าเดินทางในมือมู่เฉียว “ครั้งนี้ต้องลำบากคุณเลย”
หานฉุนถลึงตาใส่เธออย่างอารมณ์เสีย “เธอลำบากอะไรเหรอ? จะเอาเงินของคนอื่น ก็ต้องทำงานให้ ก็สมควรแล้ว”
มู่เฉียวไม่อยากพูดกับคนคนนี้ วิธีการของคนทั้งสองก็คือการโจมตีและการถากถางกัน ถึงดีก็โจมตี ไม่ดีก็ไม่ปล่อยไปแน่นอน
เงียบสงัด
เวลานี้ฉับพลันก็ได้ยินเสียงประหลาดใจมาจากทางเข้า
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ทางเข้า เห็นผู้ช่วยของโม่หานลากกระเป๋าเดินทางมาสองสามใบ
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า จากนั้นก็ขมุบขมิบปากบ่นพึมพำว่า : “ช่างเป็นโชคชะตาที่เลวร้ายจริงๆเลย”
“เฮ้ เจอกันอีกแล้ว” ท่าทีของหานฉุนนิ่งสงบ ยื่นมือออกไป จับเอวของมู่เฉียวแล้วทั้งสองคนก็เดินไปที่จุดตรวจความปลอดภัยด้วยกัน
“โม่หาน คนตรงหน้านั้น เหมือนภรรยาคุณเลย?” อู๋เหิงมองภาพด้านหลังของคนคนนั้น จึงเอ่ยเตือนโม่หาน
โม่หานมองเขาตาขวาง สีหน้าเคร่งขรึม “ฉันไม่ได้ตาบอด!”
อู๋เหิงลูบๆจมูก เงยหน้าขึ้นมองเพดาน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถอนหายใจในใจ ผู้ชายที่ตกอยู่ในห้วงความรักอย่างนี้ ปรนนิบัติรับใช้ยากเหลือเกิน
“สรุปแล้วความสัมพันธ์ของคุณกับโม่หานคืออะไร?” ตลอดจนถึงขึ้นเครื่อง หานฉุนแกล้งถามอย่างสบายๆ
“คุณก้าวก่ายเกินไปแล้วหรือเปล่า?” มู่เฉียวหลับตาไม่มองเขา
“เขามาแล้ว!” จู่ๆหานฉุนก็พูดประโยคนี้
ตอนแรกมู่เฉียวก็ไม่เข้าใจ พอเข้าใจอย่างชัดเจนก็อ้าปากค้าง ค่อยๆเงยหน้าขึ้น เห็นโม่หานกอดอก มองเธอด้วยสีหน้าสบายใจ
“คุณ……คุณ……คุณก็ไปแอฟริกาใต้เหรอ?” เที่ยวบินนี้บินตรงไปยังแอฟริกาใต้
โม่หานนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเธอ จากนั้นริมฝีปากบางๆก็ยกยิ้มขึ้น พูดออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน : “ไปปฏิบัติงานนอกสถานที่”
ใบหน้าที่สงบนิ่งนั้น ดูเหมือนว่าเรื่องทั้งหมดก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่มีแค่มู่เฉียวเท่านั้นที่รู้ โม่หานทำอย่างนี้ มันน่ากลัวที่สุดเลย
“มู่เฉียว ไม่ได้เจอกันนานเลย” เสียงตะโกนเรียกจู่ๆก็ดังขึ้นจากด้านหลังของมู่เฉียว จึงหันกลับไปเห็นเป็นอู๋เหิง มู่เฉียวยิ้มหันไปทางเขา นั่งตัวตรงทันที ยิ้มแล้วพูดว่า “อู๋เหิง?” เมื่อกี้อยู่ที่สนามบิน อู๋เหิงยืนอยู่ด้านหลังของโม่หาน เธอจึงไม่เห็น
ในตอนนั้นที่คนตระกูลโม่พุ่งเป้ามาที่เธอ ระหว่างนั้นอู๋เหิงก็ช่วยเธอไว้ได้มาก เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่ค่อนข้างอบอุ่น
อีกทั้งนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ที่อู๋เหิงบอกกับตู้เสี่ยวซิน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะช่วยตน
เห็นข้างๆของเขาว่าง เธอก็ยืดตัว ปลดเข็มขัดนิรภัย แล้วไปนั่งข้างๆอู๋เหิง
สายตาทั้งคู่มุ่งตรงมายังเขา อู๋เหิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “ไม่เจอกันนานเลย”
“อู๋เหิง สองสามปีมานี้ ฉันโทรไปหาคุณตั้งหลายครั้ง คุณเปลี่ยนเบอร์มือถือเหรอ?”
“ใช่ เปลี่ยนเบอร์แล้ว” พูดพลาง หยิบมือถือออกมา
“อะแฮ่ม” ชายคนหนึ่งกระแอมเบาๆ อู๋เหิงเม้มริมฝีปาก ชี้ไปที่ด้านบนของเครื่องบิน “ลืมไป เครื่องบินจะเริ่มบินแล้ว”
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “ตอนนี้คุณยังอยู่คนเดียวอยู่ไหม?”
อู๋เหิงพยักหน้า จากนั้น ก็ส่ายหน้าทันที “สองคน สองคน”
“คุณร้อนมากเลยเหรอ? ทำไมเหงื่อออกเต็มหน้าผากเลยล่ะ?” มู่เฉียวพูดพลาง หยิบทิชชูจากในกระเป๋าออกมาให้อู๋เหิง
อู๋เหิงอยากจะบอกว่า ไม่ร้อน แต่กดดันมากเกินไป
ปีศาจร้ายสองตัวด้านหน้าจ้องมองอยู่ไหม? คุณนั่งแบบนี้ต่อไป เกรงว่าเขายังไม่ทันถึงที่นั่น ก็จะต้องโรคหัวใจกำเริบแน่
“ไอ๋หยา นั่งตรงนี้ ฉันรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ฉันไปนั่งด้านหน้านะ” จู่ๆอู๋เหิงก็ลุกขึ้นยืน เดินไปยังเก้าอี้ว่างอีกที่หนึ่ง หลังจากนั้นที่นั่งข้างๆมู่เฉียว ก็มีโม่หานมานั่งลง
บรรยากาศเป็นไปอย่างอึดอัดวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“มู่เฉียว นี่พวกคุณจะไปเมืองไหนของแอฟริกาใต้เหรอ?” เพื่อปิดบังเรื่องเมื่อกี้ อู๋เหิงจึงหาเรื่องมาพูด
มู่เฉียวชี้ไปยังหานฉุนที่อยู่ด้านหน้า “คุณลองถามคุณหานดูเถอะ ฉันก็ไม่ค่อยรู้แน่ชัด”
หานฉุนได้ยิน ก็มองมู่เฉียวอย่างไม่เข้าใจ “ไปเมืองC”
เมืองC? มู่เฉียวเหมือนจะจำได้ว่าเป็นเมืองAนะ ทำไมถึงกลายเป็นเมืองCไปได้ล่ะ?
“อ้อ อย่างนั้นก็บังเอิญจริงๆ พวกเราก็จะไปที่นั่น อาจจะต้องอยู่สักครึ่งเดือน พอถึงแล้ว ไม่แน่อาจจะรวมตัวกันสังสรรค์!” อู๋เหิงมองไปยังมู่เฉียวอย่างสุภาพ แต่ถือโอกาสที่โน้มตัวไปหยิบหนังสือพิมพ์ขยิบตาให้กับมู่เฉียว แล้วเชยคางไปยังโม่หาน
มู่เฉียวเข้าใจ จากนั้นก็กล่าวว่า: “ประธานโม่ อย่างนั้น…..รอให้คุณทำงานเสร็จแล้ว มีเวลาพวกเราค่อยนัดสังสรรค์กันนะ!”
โม่หานเงยหน้า มองมู่เฉียวแล้วยิ้มอย่างไม่เต็มใจ หยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา ปิดบังใบหน้า ครู่ใหญ่ๆจึงกล่าวว่า: “ฉันยุ่งมาก!”
มู่เฉียวขมวดคิ้วเล็กน้อย เธอรู้ว่าโม่หานกำลังโกรธเธออยู่แน่นอน โกรธเรื่องที่เธอหนีไปวันนั้น แต่ถ้าเธอไม่หนี เธอจะสามารถไปได้เหรอ?
คิดๆแล้ว จู่ๆเขาต้องออกไปทำงานนอกสถานที่ที่แอฟริกาใต้ มู่เฉียวเม้มริมฝีปากเล็กน้อย แต่ในใจก็หวานชื่น เธอจะคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปไหม ว่าคนบางคนไปเพื่อเธอ
เวลานี้อีกคนชื่นชมอีกคนเพิกเฉย ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เธอคงจะไม่สนใจอย่างแน่นอน แต่หลังจากได้ฟังคำพูดเหล่านั้นของตู้เสี่ยวซินแล้ว ไม่รู้ทำไม? เวลานี้ เธอถึงรู้สึกผิดอย่างมาก
จากนั้น ก็นิ่งเงียบไม่พูดจา มู่เฉียวหันหน้ามองไปนอกหน้าต่าง แล้วคิดว่าเวลาสิบกว่าชั่วโมงหากเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคิดว่าจะต้องเป็นบ้าอย่างแน่นอน
“ฉัน…..จะไปห้องน้ำหน่อย!” ขืนอึดอัดแบบนี้ต่อไป เธอไม่บ้าก็คงจะแปลก!
หลังจากมู่เฉียวเดินไปได้ราวๆหนึ่งนาที
โม่หานจึงวางหนังสือพิมพ์ในมือ ก็ลุกตามไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้ ไม่แสดงความร้ายกาจให้เธอเห็นสักหน่อย ดูท่าจะไม่ได้!
ตลอดคืนนี้ โม่หานใช้เอกสิทธิ์ของเขา ในการตรวจสอบแทบจะทุกโรงแรมเล็กใหญ่ในเมืองB แต่ยังคงไม่เจอแม้แต่เงาของมู่เฉียว
“โม่หาน คุณไปนอนสักพักเถอะ วันนี้สว่างแล้ว ฉันคาดว่าเธอจงใจจะหลบซ่อนจากคุณ!” อู๋เหิงหาวแล้วบิดขี้เกียจ ชั่วขณะก็รู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย
โม่หานสีหน้าเคร่งขรึม ชำเลืองมองเขา “คุณง่วงก็ไปนอนเถอะ ฉันจะรออีกหน่อย!”
“ไม่ ไม่……ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ!” อู๋เหิงโบกไม้โบกมือเขา เขารู้จักผู้ชายคนนี้ดี ถ้าเขาไปนอนอย่างเชื่อฟัง หลังจากตื่นขึ้นมา เขาจะต้องประสบกับอะไร
“เพียงแต่ว่าโม่หาน ถามคุณมาตลอดทั้งคืนแล้ว คุณพยายามจะตามหาเธอต้องการจะทำอะไร?” โม่หานเรียกมากลางดึก บอกว่ามีเรื่องด่วน เพียงแค่……ตามหาภรรยานี่คือเรื่องด่วนเหรอ?
“เธอต้องการจะไปแอฟริกาใต้!”
“อ๋อ! ห๊ะ……ไปแอฟริกาใต้? ไปทำอะไร?”
“ตามไปด้วยกันกับหานฉุน บอกว่าไปเป็นล่ามส่วนตัว” โม่หานแทบจะกัดฟันตอบกลับมา
“หานฉุน? น้องชายคนนั้นของคุณนะเหรอ?” อู๋เหิงหยุดไปชั่วขณะ “น้องชายกับพี่สะใภ้อยู่ด้วยกัน ตามหลักการและเหตุผลแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าน้องชายของคุณคนนี้ดูจะ……โรคจิตเล็กน้อย” หลายปีมานี้ ขอเพียงแต่เป็นของที่โม่หานชอบ น้องชายของเขาคนนี้ก็ทำทุกวิถีทางที่จะยื้อแย่งเอาไป
“อืม ฉันเข้าใจแล้ว ชัดเจนว่าคุณไม่อยากให้เธอไป หลังจากนั้นเธอก็หนีไป ใช่ไหม?”
โม่หานมองเขาตาขวาง แล้วถามว่า : “ฟังความคิดเห็นนี้ของคุณแล้ว ฉันควรจะให้เธอไปไหมล่ะ?”
อู๋เหิงสองมือล้วงกระเป๋า เดินไปตรงหน้าโม่หาน เอียงมองโม่หานเล็กน้อย : “คุณบอกฉันมาก่อน ว่าคุณชอบเธอใช่ไหม?”
โม่หานถลึงตาใส่เขา “คุณไสหัวออกไปได้แล้ว!”
อู๋เหิงยืดตัวตรง ทำท่าทางอาลัยอาวรณ์ “เดิมทีนะ? ยังเตรียมจะบอกเรื่องดีๆกับคุณ ในเมื่อคุณให้ฉันไสหัวไป ฉันก็ไม่บอกแล้ว!” พูดจบก็ก้มหน้าถอนหายใจ ส่ายๆหัว แล้วก็เดินไปตรงหน้าประตู
โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบเดินอ้อมโต๊ะทำงานไปตรงหน้าอู๋เหิง “คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าเธออยู่ที่ไหน?”
อู๋เหิงส่ายหัว โม่หานก็สีหน้าเคร่งขรึม
และก่อนที่เขาจะลงมืออะไร อู๋เหิงจึงพูดว่า : “ฉันไม่รู้หรอกว่าภรรยาคุณอยู่ไหน แต่จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ว่า เมื่อเร็วๆนี้เรากำลังหารือเกี่ยวกับความร่วมมือกับบริษัทในแอฟริกาใต้ เดิมทีฉันเตรียมจะไปเอง……ถึงอย่างไรคุณก็ยุ่งขนาดนี้ อย่างไรก็……”
“ความร่วมมือ?” โม่หานตัดบทคำพูดของอู๋เหิง “เรื่องนี้ฉันไม่เคยได้ยินได้อย่างไร?”
“คุณลืมไปแล้วคุณบอกเอง แล้วเรื่องก็หายเข้ากลีบเมฆไป อย่ารายงานกับคุณตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ?” อู๋เหิงจงใจพูดถากถาง
โม่หานกระแอมเบาๆ “พูดสรุปมาตรงๆเลย!”
อู๋เหิงเบ้ปาก “ความคืบหน้าล่าสุดราบรื่นอย่างมาก กำลังเตรียมจะคุยกับคุณเร็วๆนี้ ให้คุณเข้าไปตรวจสอบขั้นตอนสุดท้าย เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก ฉะนั้นมู่เฉียวต้องการจะไปแอฟริกาใต้จริงๆ เราก็ตามไปด้วยเถอะ!”
จากนั้นก็เห็นโม่หานโล่งอก สีหน้าผ่อนคลายลงมามาก
แม้ว่าโม่หานจะผลักดันโม่กรุ๊ปให้สูงขึ้นไปอีกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรเสียเขาก็ไม่กล้าหละหลวมเลยแม้แต่น้อย น้อยมากที่เขาจะแยกจากหน้าที่การงานของตนเอง ถ้าคุณไม่ให้เหตุผลกับเขา เขาจะไม่จากไปง่ายๆ
อู๋เหิงมองโม่หาน แล้วถอนหายใจอย่างโล่งอกภายในใจ เพียงแต่…..มีเรื่องหนึ่ง ที่เขาไม่ได้บอกกับโม่หาน!
อาจเพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ตอนกลางคืนมู่เฉียวจึงนอนดึกมาก ตอนเช้าท้องฟ้ายังไม่สว่าง ก็ตื่นแล้ว
ลุกขึ้น อาบน้ำ เห็นในห้องครัวมีบะหมี่ เธอก็เลยไปทำกินเอง
ที่น่าแปลกใจคือ โม่หานไม่ได้โทรเข้ามาอีกเลย เธอโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกเรื่องที่ตนเองจะไปแอฟริกาใต้ พ่อแม่สนับสนุนเกี่ยวกับงานของเธอมาโดยตลอด
“เฉียวเอ๋อ ถึงที่นั่นแล้ว จำไว้ว่าต้องดูแลตัวเองดีๆนะ ส่วนเสี่ยวโยว คุณไม่ต้องกังวล มู่หลิงกับเสี่ยวหยูจะย้ายกลับมาวันนี้”
มู่เฉียวพยักหน้า “ลำบากคุณแล้ว แม่ พ่อ คุณก็ต้องดูแลตัวเองด้วยนะ”
เช่นนี้ มู่เฉียวอยู่แต่ในห้องมาสองวันแล้ว
ตู้เสี่ยวซินมาส่งอาหารให้เธอเล็กน้อย บอกว่าที่บริษัทยุ่งมาก แล้วก็ไป
เธอจึงใช้โอกาสในสองวันนี้ หาข้อมูลและภาษาแอฟริกาเสริมจากทางด้านภาพยนตร์และโทรทัศน์
ตอนเช้าวันจันทร์ เธอกำลังทานอาหารเช้า พอดีมีเสียงกริ่งที่ประตูดังขึ้น ดูเวลา เพิ่งจะเจ็ดโมง กล่าวในใจว่า ตู้เสี่ยวซินชอบนอนตื่นสาย กลับกลายเป็นขยันแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เพียงแต่…..
พอเปิดประตู หานฉุน
“คุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?” ตู้เสี่ยวซินบอกว่าสถานที่นี้ นอกจากเธอและหลิวฮั่วแล้ว ไม่มีใครรู้ แต่หานฉุนรู้ได้อย่างไร?
หานฉุนเดินอ้อมเธอ เข้าไปในห้องรับแขก เดินไปพลางพิจารณาไปพลาง “จุ๊ๆ คุณอย่าบอกนะว่า รสนิยมของหลิวฮั่วนี่ ยังดีอยู่จริงๆ!” เพียงแค่ สายตาเห็นภาพเสวียนก้วนภาพนั้นที่แขวนอยู่ด้านบน สายตาของเขาก็เฉียบแหลมขึ้นมา
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ปิดประตู หันตัวกลับ แล้วตามหานฉุนไป “คุณยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ ว่าคุณหาที่นี่เจอได้อย่างไร?”
หานฉุนระงับความงุนงงในสายตา แล้วแสดงออกเหมือนก่อนหน้านี้ “หลิวฮั่วโทรมาหาฉัน บอกว่าเขามาธุระนิดหน่อย มาไม่ได้แล้ว จึงให้ฉันมารับคุณ!”
พูดจบ ก็เม้มปาก หันกลับไปมองค้อนมู่เฉียวทีหนึ่ง แล้วกล่าวถากถางโดยตรงว่า “คุณมีไอคิวแบบนี้ โม่หานยังสนใจคุณอยู่ได้อย่างไรกัน?”
นี่คือชีวิตประจำวันของคนทั้งสอง โดยปกติโม่หานก็มักจะโจมตีและเหน็บแนมเธอ ดีก็โจมตี แย่ ก็ยิ่งไม่ปล่อยไปแน่นอน
หานฉุนเดินมุ่งตรงไปนั่งลงบนโซฟา กล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “รีบไปเก็บข้าวของ คุณอยากจะโดนหักเงินเดือนอันน้อยนิดของคุณเหรอ?”
“คุณรู้จักโม่หานได้อย่างไร?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก
โม่หานมองต่ำลง “มีคนไม่รู้จักโม่หานด้วยเหรอ? นั่นคือบุคคลที่มีชื่อเสียง” พูดจบ มู่เฉียวก็ทำท่าทำทางอยากจะอ้วก
เห็นมู่เฉียวยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ “นี่ ตอนนี้คุณชายเป็นลูกค้าของคุณนะ คุณยังจะให้ฉันรอคุณอีกเหรอ? ทำอะไรให้มันฉับไวหน่อย OKไหม บื้อจริง!”
มู่เฉียวมองสายตาที่เย็นชาของหานฉุน มองเขาอย่างลึกซึ้ง ชั่วพริบตาทำไมถึงรู้สึกว่าโลกของเธอเริ่มสับสนอลหม่าน เธอเป็นปกติอย่างมาก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆตัวเธอคล้ายกับผิดปกติไป
พวกเขามักจะพูดในสิ่งที่เธอไม่เข้าใจ ทำในเรื่องที่เธอไม่อาจคาดเดาได้…..แต่ก็เป็นเรื่องที่แน่นอน….เป็นไปได้อย่างง่ายดาย
เช่นหานฉุนรู้จักโม่หาน เช่น อู๋เหิงและตู้เสี่ยวซิน
“พี่ คำถามนี้ของคุณน่าสนใจจริงๆ เธอเป็นใครเหรอ?” หานฉุนพูดจบก็มองไปที่แม่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ข้าง “แม่ ทำไมคุณไม่ไปพูดกับพี่ คุณดูเขาสิ……”
คุณนายโม่ส่ายๆหัว ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า นำมือของเขามาตี “คุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่? ทำให้คนมาเห็นแล้วหัวเราะเยาะใช่ไหม?”
โม่หานมองแม่ แล้วก็มองหานฉุน แล้วสะบัดแขนออก “หานฉุน ถ้าคุณกล้าที่จะทำอะไรกับเธอ บัญชีใหม่และบัญชีเก่าของเรา ฉันจะคิดมันพร้อมกันเลย!” พูดจบก็ออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย
มิงภาพด้านหลังของลูกชายคนโตไป คุณนายโม่ก็ถามอย่างสงสัย : “พี่คุณหมายความว่าอย่างไร?”
หานฉุนส่ายหัว ทว่ายกยิ้มมุมปาก ตั้งแต่รู้จักกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็เมินเฉยต่อเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้พูดกับเขามากมายขนาดนี้
คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกดีอย่างมาก
เพียงแต่นึกถึงผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาก็สนใจมากขึ้น
ไม่ผิดเขาคือน้องชายของโม่หาน ลูกชายคนหนึ่งที่”ไม่ได้เรื่อง”ในสายตาพ่อ ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน พ่อยังคงบอกว่า นี่เป็นเพียงแค่นักแสดง แต่ตรงกันข้ามกับพี่ชายที่อิจฉาริษยาคนนั้นตั้งแต่ได้เจอกัน พยายามทุกวิถีทางที่จะดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
หานฉุนวางสองมือบนไหล่ของแม่ ตบเบาๆ พูดเรียบๆว่า “แม่ พี่กับพี่สะใภ้ทะเลาะกันเหรอ?”
คุณนายโม่ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย “พี่สะใภ้?”
“ใช่ ก็มู่เฉียวไง ฉันไม่ควรเรียกเธอว่าพี่สะใภ้เหรอ?” หานฉุนพูดแล้วก็มองไปที่คุณนายโม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เกรงว่าจะพลาดการแสดงออกบางอย่างที่เขาอยากเห็นไป
คุณนายโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “หานฉุน มู่เฉียวคนนั้นหย่ากับพี่คุณไปนานแล้ว อย่าพูดให้วุ่นวายอีกเลย หลังจากนั้นพี่สะใภ้ของคุณจะไปที่ไหน……”
“แม่ ฉันรู้แล้ว จากนี้ไปฉันจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า” หานฉุนตัดบทคำพูดของแม่ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่
“ก็ดี……ที่ครอบครัวของฉัน หานฉุนพูดน่าฟังที่สุดแล้ว” คุณนายโม่ยิ้มอย่างพึงพอใจ หยักหน้าเบาๆอย่างสง่างาม
พอดีกับเวลานี้ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมา
จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก คนรับใช้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ : “คุณนาย ด้านนอก……ด้านนอกมีคนมาหาคุณ!”
หานฉุนตัวแข็งทื่อ เก็บกดความตึงเครียดแล้วหันไปมองแม่โดยจิตใต้สำนึก “แม่ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ใครยังมาหาคุณอีก?”
คุณนายโม่ค่อยๆลุกขึ้น ตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับไปมองหานฉุน “เพื่อนนะ มีเรื่องด่วน บอกว่าจะขอยืมเงินฉันสักหน่อย อย่างนั้นหานฉุน คุณนอนเถอะ แม่จะไปก่อน ในนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาเก็บกวาดไป!”
หานฉุนพยักหน้า ปล่อยมือที่ประคองแม่ “อย่างนั้นแม่ คุณก็เดินดีๆนะ!”
มองประตูห้องรับแขกค่อยๆปิดลง หานฉุนค่อยๆเข้าไป
ในห้องรับแขก ร่างสูงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม และใบหน้าที่หล่อเหลาก็ดูมืดมน เดินตรงไปที่ทางขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วยืนมองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้อง
เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามาในห้องแม่ของเขา ฉันพลันมือก็บีบแน่นจนกระดูกเสียงดัง”กร๊อบ”
“พี่ชายรอง!” เสียงของหานเสว่ดังเข้ามาจากด้านนอก
หานฉุนดึงสายตากลับมา หลังจากนั้นก็หลับตา แล้วลืมตาขึ้น หันตัวกลับ แล้วส่งเสียงอย่างไม่รีบร้อนว่า “เสว่เอ๋อ ฉันอยู่ตรงนี้!”
หานเสว่หันมาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปยังชั้นบน “พี่ชายรอง ได้ข่าวว่า คุณกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันเหรอ?” หานเสว่และหานฉุนเป็นฝาแฝดชายหญิง คนทั้งสองห่างกันสองสามนาที
“เปลี่ยนไปเรียกพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หานฉุนกวาดสายตามองหานเสว่ หลังจากนั้นก็พูดอย่างนิ่งๆ
หานเสว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหานฉุน “พี่ชายรอง คุณลืมที่พ่อโมโหครั้งนั้นไปแล้วเหรอ?” พูดจบ ก็กล่าวกระซิบว่า: “พ่อได้ยินฉันเรียกชื่อ จะต้องโกรธอีกแน่ๆเลย”
“หานเสว่!”
“พี่ชายรอง!” หานเสว่กล่าวอย่างเง้างอน เห็นหานฉุนจ้องมองมายังเธอ จึงทำได้เพียงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า: “เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่จริงๆ คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้อีก”
หานฉุนดึงสายตากลับแล้วมองไปนอกหน้าต่าง “คุณมาหาฉันมีธุระอะไร?”
“ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่คุณให้ฉันถามการตรวจสอบของสิ่งนั้น ผลออกแล้วนะ!”
หานฉุนตัวสั่นเล็กน้อย หันไปมองหานเสว่อย่างรวดเร็ว เดินสองสามก้าวไปยังตรงหน้าหานเสว่ ยื่นมือออกมา”เอามาให้ฉันดูหน่อย!”
หานเสว่พยักหน้า หยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้หานฉุน “พี่ คุณตรวจสอบตรวจของสิ่งนี้ไปทำไมกัน?” หลายวันมานี้ จู่ๆโม่หานก็นำของเหลวฝากให้หานเสว่ไปช่วยเขาตรวจสอบหาความสัมพันธ์
“อะฟลาทอกซิน B1? นี่คืออะไรเหรอ?”
หานเสว่เดินเข้าไป หยิบใบรายงานจากในมือของหานฉุน หลังจากนั้นก็มองอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า: “เป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เมื่อรับประทานเป็นเวลานาน!”
หานเสว่ใจจดจ่ออยู่กับผลวิจัยยา
“ก่อให้เกิดมะเร็ง?” น้ำเสียงของหานฉุนแหบแห้งในชั่วพริบตา เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย นี่คือยาที่พ่อดื่มมาเป็นเวลานาน สองสามวันก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าพ่อดื่ม ถามว่าเขาเป็นอะไร พ่อบอกว่าเป็นอาหารเสริม เขาคิดแล้วก็ไม่วางใจ จึงแอบเอากลับมาเล็กน้อย
แต่คาดไม่ถึงว่า จะเป็นสารก่อมะเร็ง เขาหลับตา ไม่พูดจาเป็นเวลานาน
“ใช่แล้ว! นี่คือฉันฝากให้เพื่อนไปตรวจสอบ เขาเป็นผู้มีอำนาจในทางด้านนั้น โดยปกติแล้วไม่สามารถตรวจผิดพลาดได้!” หานเสว่กล่าวเน้น
เห็นหานฉุนไม่ตอบสนอง จึงเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปแตะเขาเล็กน้อย “พี่ชายรอง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หานฉุนส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่สีหน้าไม่น่าดูถึงขีดสุด “ไม่เป็นไร ฉันต้องไปช่วยงานเพื่อนคนหนึ่ง เอาล่ะ คุณไปนอนเถอะ!”
เขาพูดจบ ก็ลูบหัวหานเสว่เล็กน้อย “น้องสาวฉันเก่งจริงๆ อนาคต ใครได้แต่งงานกับคุณ คงเป็นความโชคดีของเขา”
หานเสว่สะบัดมือของเขาออก “พี่ ตกลงนี่มันคืออะไร?”
หานฉุนไม่พูดจา ส่ายหน้า
ความอารมณ์ดีที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ ยิ่งทำให้หานเสว่คล้ายกับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่หานฉุนพูด แต่ด้วยนิสัยของพี่ชายคนนี้ เธอก็ต้องเข้าใจ ถ้าอะไรที่เขาไม่อยากบอก ก็ไม่มีใครสามารถหลอกให้พูดได้แม้แต่ครึ่งคำ
“เรื่องนี้ ห้ามบอกกับใครทั้งนั้น!” เมื่อหานเสว่เดินไปถึงหน้าประตู หานฉุนก็พูดประโยคนี้เพิ่มขึ้นมา
ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้หานเสว่มากขึ้น
“พี่ คำถามนี้ของคุณน่าสนใจจริงๆ เธอเป็นใครเหรอ?” หานฉุนพูดจบก็มองไปที่แม่ที่จ้องมองพวกเขาอยู่ข้าง “แม่ ทำไมคุณไม่ไปพูดกับพี่ คุณดูเขาสิ……”
คุณนายโม่ส่ายๆหัว ลุกขึ้นเดินไปข้างหน้า นำมือของเขามาตี “คุณสองคนกำลังทำอะไรอยู่? ทำให้คนมาเห็นแล้วหัวเราะเยาะใช่ไหม?”
โม่หานมองแม่ แล้วก็มองหานฉุน แล้วสะบัดแขนออก “หานฉุน ถ้าคุณกล้าที่จะทำอะไรกับเธอ บัญชีใหม่และบัญชีเก่าของเรา ฉันจะคิดมันพร้อมกันเลย!” พูดจบก็ออกไปโดยไม่หันกลับมาเลย
มิงภาพด้านหลังของลูกชายคนโตไป คุณนายโม่ก็ถามอย่างสงสัย : “พี่คุณหมายความว่าอย่างไร?”
หานฉุนส่ายหัว ทว่ายกยิ้มมุมปาก ตั้งแต่รู้จักกันในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พี่ชายคนนี้ก็เมินเฉยต่อเขามาตลอด นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้พูดกับเขามากมายขนาดนี้
คาดไม่ถึงว่าเขาจะรู้สึกดีอย่างมาก
เพียงแต่นึกถึงผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาก็สนใจมากขึ้น
ไม่ผิดเขาคือน้องชายของโม่หาน ลูกชายคนหนึ่งที่”ไม่ได้เรื่อง”ในสายตาพ่อ ต่อให้ตอนนี้เขาจะอยู่ในระดับสูงแค่ไหน พ่อยังคงบอกว่า นี่เป็นเพียงแค่นักแสดง แต่ตรงกันข้ามกับพี่ชายที่อิจฉาริษยาคนนั้นตั้งแต่ได้เจอกัน พยายามทุกวิถีทางที่จะดึงมาเป็นพวก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่แม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำ
หานฉุนวางสองมือบนไหล่ของแม่ ตบเบาๆ พูดเรียบๆว่า “แม่ พี่กับพี่สะใภ้ทะเลาะกันเหรอ?”
คุณนายโม่ตัวแข็งทื่อเล็กน้อย “พี่สะใภ้?”
“ใช่ ก็มู่เฉียวไง ฉันไม่ควรเรียกเธอว่าพี่สะใภ้เหรอ?” หานฉุนพูดแล้วก็มองไปที่คุณนายโม่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง เกรงว่าจะพลาดการแสดงออกบางอย่างที่เขาอยากเห็นไป
คุณนายโม่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า : “หานฉุน มู่เฉียวคนนั้นหย่ากับพี่คุณไปนานแล้ว อย่าพูดให้วุ่นวายอีกเลย หลังจากนั้นพี่สะใภ้ของคุณจะไปที่ไหน……”
“แม่ ฉันรู้แล้ว จากนี้ไปฉันจะปฏิบัติต่อเธอเหมือนคนแปลกหน้า” หานฉุนตัดบทคำพูดของแม่ แล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองคุณนายโม่
“ก็ดี……ที่ครอบครัวของฉัน หานฉุนพูดน่าฟังที่สุดแล้ว” คุณนายโม่ยิ้มอย่างพึงพอใจ หยักหน้าเบาๆอย่างสง่างาม
พอดีกับเวลานี้ ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังขึ้นมา
จากนั้นประตูก็ถูกผลักออก คนรับใช้เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตกใจ : “คุณนาย ด้านนอก……ด้านนอกมีคนมาหาคุณ!”
หานฉุนตัวแข็งทื่อ เก็บกดความตึงเครียดแล้วหันไปมองแม่โดยจิตใต้สำนึก “แม่ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ใครยังมาหาคุณอีก?”
คุณนายโม่ค่อยๆลุกขึ้น ตกตะลึงเล็กน้อย หันกลับไปมองหานฉุน “เพื่อนนะ มีเรื่องด่วน บอกว่าจะขอยืมเงินฉันสักหน่อย อย่างนั้นหานฉุน คุณนอนเถอะ แม่จะไปก่อน ในนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาเก็บกวาดไป!”
หานฉุนพยักหน้า ปล่อยมือที่ประคองแม่ “อย่างนั้นแม่ คุณก็เดินดีๆนะ!”
มองประตูห้องรับแขกค่อยๆปิดลง หานฉุนค่อยๆเข้าไป
ในห้องรับแขก ร่างสูงเต็มไปด้วยความกลัดกลุ้ม และใบหน้าที่หล่อเหลาก็ดูมืดมน เดินตรงไปที่ทางขึ้นบันไดด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วยืนมองออกไปนอกหน้าต่างหลังห้อง
เป็นอย่างที่คาดไว้ เขาเห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามาในห้องแม่ของเขา ฉันพลันมือก็บีบแน่นจนกระดูกเสียงดัง”กร๊อบ”
“พี่ชายรอง!” เสียงของหานเสว่ดังเข้ามาจากด้านนอก
หานฉุนดึงสายตากลับมา หลังจากนั้นก็หลับตา แล้วลืมตาขึ้น หันตัวกลับ แล้วส่งเสียงอย่างไม่รีบร้อนว่า “เสว่เอ๋อ ฉันอยู่ตรงนี้!”
หานเสว่หันมาอย่างช้าๆ เงยหน้ามองไปยังชั้นบน “พี่ชายรอง ได้ข่าวว่า คุณกับพี่ใหญ่ทะเลาะกันเหรอ?” หานเสว่และหานฉุนเป็นฝาแฝดชายหญิง คนทั้งสองห่างกันสองสามนาที
“เปลี่ยนไปเรียกพี่ใหญ่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?” หานฉุนกวาดสายตามองหานเสว่ หลังจากนั้นก็พูดอย่างนิ่งๆ
หานเสว่ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองหานฉุน “พี่ชายรอง คุณลืมที่พ่อโมโหครั้งนั้นไปแล้วเหรอ?” พูดจบ ก็กล่าวกระซิบว่า: “พ่อได้ยินฉันเรียกชื่อ จะต้องโกรธอีกแน่ๆเลย”
“หานเสว่!”
“พี่ชายรอง!” หานเสว่กล่าวอย่างเง้างอน เห็นหานฉุนจ้องมองมายังเธอ จึงทำได้เพียงเบ้ปากแล้วกล่าวว่า: “เอาล่ะ เอาล่ะ ถึงอย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่จริงๆ คุณไม่ต้องมายุ่งเรื่องนี้อีก”
หานฉุนดึงสายตากลับแล้วมองไปนอกหน้าต่าง “คุณมาหาฉันมีธุระอะไร?”
“ก็คือ ก่อนหน้านี้ที่คุณให้ฉันถามการตรวจสอบของสิ่งนั้น ผลออกแล้วนะ!”
หานฉุนตัวสั่นเล็กน้อย หันไปมองหานเสว่อย่างรวดเร็ว เดินสองสามก้าวไปยังตรงหน้าหานเสว่ ยื่นมือออกมา”เอามาให้ฉันดูหน่อย!”
หานเสว่พยักหน้า หยิบเอกสารออกมาจากในกระเป๋าแล้วส่งให้หานฉุน “พี่ คุณตรวจสอบตรวจของสิ่งนี้ไปทำไมกัน?” หลายวันมานี้ จู่ๆโม่หานก็นำของเหลวฝากให้หานเสว่ไปช่วยเขาตรวจสอบหาความสัมพันธ์
“อะฟลาทอกซิน B1? นี่คืออะไรเหรอ?”
หานเสว่เดินเข้าไป หยิบใบรายงานจากในมือของหานฉุน หลังจากนั้นก็มองอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า: “เป็นยาชนิดหนึ่งที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เมื่อรับประทานเป็นเวลานาน!”
หานเสว่ใจจดจ่ออยู่กับผลวิจัยยา
“ก่อให้เกิดมะเร็ง?” น้ำเสียงของหานฉุนแหบแห้งในชั่วพริบตา เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย นี่คือยาที่พ่อดื่มมาเป็นเวลานาน สองสามวันก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าพ่อดื่ม ถามว่าเขาเป็นอะไร พ่อบอกว่าเป็นอาหารเสริม เขาคิดแล้วก็ไม่วางใจ จึงแอบเอากลับมาเล็กน้อย
แต่คาดไม่ถึงว่า จะเป็นสารก่อมะเร็ง เขาหลับตา ไม่พูดจาเป็นเวลานาน
“ใช่แล้ว! นี่คือฉันฝากให้เพื่อนไปตรวจสอบ เขาเป็นผู้มีอำนาจในทางด้านนั้น โดยปกติแล้วไม่สามารถตรวจผิดพลาดได้!” หานเสว่กล่าวเน้น
เห็นหานฉุนไม่ตอบสนอง จึงเดินเข้าไปก้าวหนึ่ง ยื่นมือไปแตะเขาเล็กน้อย “พี่ชายรอง คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”
หานฉุนส่ายหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่สีหน้าไม่น่าดูถึงขีดสุด “ไม่เป็นไร ฉันต้องไปช่วยงานเพื่อนคนหนึ่ง เอาล่ะ คุณไปนอนเถอะ!”
เขาพูดจบ ก็ลูบหัวหานเสว่เล็กน้อย “น้องสาวฉันเก่งจริงๆ อนาคต ใครได้แต่งงานกับคุณ คงเป็นความโชคดีของเขา”
หานเสว่สะบัดมือของเขาออก “พี่ ตกลงนี่มันคืออะไร?”
หานฉุนไม่พูดจา ส่ายหน้า
ความอารมณ์ดีที่เขาเสแสร้งแกล้งทำ ยิ่งทำให้หานเสว่คล้ายกับรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่หานฉุนพูด แต่ด้วยนิสัยของพี่ชายคนนี้ เธอก็ต้องเข้าใจ ถ้าอะไรที่เขาไม่อยากบอก ก็ไม่มีใครสามารถหลอกให้พูดได้แม้แต่ครึ่งคำ
“เรื่องนี้ ห้ามบอกกับใครทั้งนั้น!” เมื่อหานเสว่เดินไปถึงหน้าประตู หานฉุนก็พูดประโยคนี้เพิ่มขึ้นมา
ยิ่งเพิ่มความสงสัยให้หานเสว่มากขึ้น
“โอ๊ย……”
ร่างกายซวนเซ จนมู่เฉียวร้องออกมาโดยจิตใต้สำนึก ชั่วพริบตาทั้งตัวก็อยู่บนร่างของโม่หาน หลังจากนั้นก็ไม่รอให้เธอมีปฏิกิริยาตอบกลับ เขากอดเอวเธอไว้แน่นแล้วพลิกตัวอย่างรวดเร็ว หมุนกลับในชั่วพริบตา เธอถูกกดไว้ใต้ร่าง……
บนพื้นเย็นจนเข้ากระดูก มู่เฉียวไม่สบายตัวอย่างมาก
“คุณอย่าดูถูกตนเองอย่างนี้!” เห็นการไม่สบายตัวของเธอ โม่หานก็รีบยื่นมือออกไปหนึ่งข้าง เข้าไปที่ด้านหลังของเธอ นำไปรองตัวเธอ น้ำเสียงที่แหบพร่ากระซิบที่ข้างๆหูเธอ
กลิ่นอายของความอบอุ่น กลิ่นเหล้าพ่นอยู่บริเวณหูของมู่เฉียว ชั่วขณะก็รู้สึกจั๊กจี้
“คุณ คุณลุกขึ้นก่อน!” ถูกเขามองก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย มู่เฉียวจึงผลักเขา
แต่โม่หานไม่ได้มีการเคลื่อนไหว ดวงตาที่ราวกับน้ำหมึกคู่นั้นมองเธอด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง น้ำเสียงทุ้มพูดสั่งการอย่างน่ากลัว : “คุณรับปากฉันมาก่อน ว่าจะไม่ไปแอฟริกาใต้กับเขา!”
มู่เฉียวหอบเล็กน้อย หัวใจที่เต้นแรงก็ยังไม่สงบดี เมื่อถูกจูบแก้มสองข้างก็แดงก่ำ ลมหายใจไม่คงที่ กัดริมฝีปากเบาๆไม่พูดอะไร
นิ้วที่เรียวยาวค่อยๆไล่ไปตามโครงหน้าที่งดงามของเธอ ปลายนิ้วลูบบริเวณคิ้วของเธอเบาๆ จากนั้นก็เลื่อนตรงไปที่จมูกแล้วไปที่ริมฝีปากแดงๆของเธอ ปลายนิ้วกดอยู่บนริมฝีปาก ลูบไล้ไปมาจนรู้สึกจั๊กจี้อย่างมาก
“ขอเพียงแค่คุณเห็นด้วย ฉันรับปากคุณว่า……ฉันจะจัดการเรื่องราวทางด้านนั้นให้เสร็จสิ้นโดยเร็วที่สุด เราจะได้คืนดีกันเร็วๆ” เขามองอย่างลึกซึ้งไปที่ดวงตาคู่นั้นที่หลบหนีเล็กน้อยของเธอ แล้วจู่ๆก็พูดประโยคนี้ออกมา
“อะไรนะ?” มู่เฉียวตกตะลึงทันที เหมือนได้ยินเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้ จึงเหลือบไปมองเขาอย่างเหยียดหยาม เขาบ้าไปแล้วเหรอ? เพียงเพื่อไม่ให้เธอไปแอฟริกาใต้ ถึงกับรับปากที่จะคืนดีกับเธอเลยเหรอ? ช่วงสองสามปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้สนใจอะไร ฉับพลันก็เหมือนลมบ้าหมู สีหน้าท่าทางของเขาดูเอาใจใส่อย่างมาก มู่เฉียวจะไม่เชื่อได้อย่างไร
“ฉันไม่ต้องการแบ่งปันผู้หญิงของฉันกับคนอื่น คุณก็รู้……ฉันมักจะคัดเลือกผู้หญิงเสมอ!” เขามองเธอ พูดอย่างสบายๆเหมือนเป็นการอธิบาย
มู่เฉียวทำเสียงไม่พอใจ กลอกตากลับ พูดถากถางโดยจิตใต้สำนึก : “คุณเลือกที่จะปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยเหรอ? หึหึ……!”
“เลือกแน่นอน ทำไมล่ะ? คุณคิดว่าฉันหิวก็จะกินไม่เลือกเลยเหรอ?” เขาเลิกคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย มองมู่เฉียวแล้วยิ้มเบาๆ
“ถึงอย่างไรฉันก็จะไป!” มู่เฉียวไม่มีวิธีรับมือกับความอันธพาลเช่นนี้ของโม่หาน จึงรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมา
ศอกของโม่หานค้ำอยู่ข้างๆศีรษะของมู่เฉียว มือของเขาจับแก้มอยู่ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยแล้วจ้องมองเธอด้วยสายตาแหลมคม
จู่ๆเขาก็เงียบไป ทำให้มู่เฉียวไม่สบายใจเล็กน้อย ชำเลืองมองเขาอย่างเตรียมป้องกันตัวเล็กน้อย แต่เมื่อเธอคิดว่าจะไม่พูดอะไร หลังจากที่เงียบไปสักพัก โม่หานก็ถอนหายใจแรงๆ จ้องมองเธอด้วยความขมขื่นอย่างมาก แล้วพูดว่า : “ฉันทำเพื่อคุณขนาดนี้ คุณก็จะไม่ยอมถอยใช่ไหม?” ในน้ำเสียงของโม่หานมีความน้อยใจและเสียใจ ฟังแล้วรู้สึกไม่ดีเลยจริงๆ
มู่เฉียวเม้มปาก กลืนน้ำลายแล้วเงยหน้าขึ้น
“ฉันแค่ไปทำงาน โอกาสแบบนี้ไม่ใช่ภายหลังจะสามารถมีได้!” น้ำเสียงของมู่เฉียวเบาลงเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวเสริมว่า: “จะว่าไป คุณก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าคุณก็ไม่ชอบ….อื้อ….”
ริมฝีปากสีแดงถูกประกบลงอย่างโหดเหี้ยม เขากัดเธอคล้ายกับระบายอารมณ์อย่างเต็มที่ แล้วจ้องมองเธออย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน: “มู่เฉียว ถ้าคุณยังดื้อดึงแบบนี้ต่อไป คุณเชื่อไหมว่า ฉันก็จะอยู่ที่นี่ แล้วคุกคามคุณ!!”
โม่หานพูดพลาง โน้มตัวลงเล็กน้อย หน้าผากชนที่หน้าผากของมู่เฉียว ตะคอกอย่างโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มือทั้งสองเลื่อนลงมาที่เอวของเธอโดยตรง ทำท่าทางปลดเข็มขัดรอบเอวของเธอ
“โม่หาน คุณบ้าไปแล้วเหรอ?” มู่เฉียวตกใจ สีหน้าเคร่งขรึมลงในทันที พ่อแม่และมู่เสี่ยวโยวแล้วก็ตู้เสี่ยวซิน พวกเขาสามารถกลับมาได้ทุกเมื่อ
“อืม ถูกคุณทำให้โมโหจนเป็นบ้าไปแล้ว” เขาพรวดพราดกัดลงไปที่ริมฝีปากของเธอ กัดฟันกล่าวอย่างโกรธเคือง
พูดพลาง ลุกขึ้นนั่ง เริ่มถอดเสื้อผ้า
มู่เฉียวตื่นตกใจในทันที เห็นเขาคล้ายกับจะเข้ามาจริงๆ ก็จ้องมองเข้าอย่างโมโห แล้วกล่าวตวาดว่า: “คุณประสาทไปแล้วเหรอ คุณไม่เห็นเหรอว่าที่นี่ที่ไหน”
โม่หานชำเลืองมองเธอ ไม่พูดไม่จา ตรงไปอุ้มเธอขึ้นมาจากพื้น แล้ววางลงบนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือตนเองเข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ มู่เฉียวตกใจจนรีบผลักเขา ในทันทีใบหน้าก็ร้อนผ่าว รีบกล่าวว่า: “นี่ โม่หาน คุณอย่ามาวุ่นวาย…..อื้อ….”
“ตอนนี้ คุณรับรู้ความหวาดกลัวแล้ว ฉันจะบอกคุณให้ มู่เฉียว มันสายไปแล้ว!?” น้ำเสียงที่แหบพร่าดังขึ้นข้างหูของเธอ ทำให้มู่เฉียวแทบจะเป็นบ้า
สมองของเธอเริ่มว่างเปล่า เธอมองโม่หานอย่างขอร้องเล็กน้อย “โม่หาน คุณมันเลว คุณไปให้พ้นเลยนะ” พูดพลาง เธอออกแรงผลักเขา
ประสบการณ์แบบนั้นครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว หากมีครั้งที่สองอีก? เธอจะต้องเป็นบ้าแน่!
เพียงแต่ โม่หานยอมหยุดที่ไหนกัน มือหนึ่งเลื่อนลงมาอย่างรวดเร็ว เพิ่มความเร็วมากขึ้นกว่าก่อนหน้านี้!
“ก๊อกๆ….” เมื่อมู่เฉียวรู้สึกว่าตนเองกำลังจะคลุ้มคลั่ง ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะเข้ามา
จากนั้นก็มีเสียงของตู้เสี่ยวซินดังมาจากด้านนอก “มู่เฉียว คุณอยู่บ้านไหม?”
มู่เฉียวถอนหายใจอย่างโล่งอกทันที คนก็ผ่อนคลายลงมา หอบเหนื่อยเล็กน้อย แต่โม่หาน มองเธอด้วยใบหน้าแดงก่ำ กล่าวด้วยเสียงที่โหดร้ายถึงขีดสุดว่า: “อีกเดี๋ยว ค่อยมาจัดการคุณ!”
มู่เฉียวจัดการตนเองเล็กน้อย แล้วไปเปิดประตู เห็นตู้เสี่ยวซินพิงวงกบประตูอยู่อย่างสบายๆ
“คุณ….” มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อย จากนั้น ก็เห็นรอยยิ้มที่ปรากฏในสายตาของเธอได้อย่างว่องไว ทันทีก็เข้าใจ กล่าวด้วยเสียงเบาๆว่า: “คุณ….รู้ได้อย่างไรว่าเขาอยู่ที่นี่?”
ตู้เสี่ยวซินยืดตัวขึ้น เธอเข้าไปหาเธอสองก้าว กระซิบข้างหูของเธอว่า “ตอนที่ฉันลงไปชั้นล่าง เห็นเข้าเข้ามา ฉันจึงไม่ได้ไปซื้อของ เดิมที ก็อยากฟังละครดีๆ คิดๆแล้ว ก็ใจไม่แข็งพอ” พูดจบ ก็เชยคางของเธอขึ้น “ถ้าคุณยังไม่หนีไปอีก อีกสักครู่ ก็คงสายเกินไปจริงๆ!”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไป เดินเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว หยิบกระเป๋าเดินทางบนพื้น ลากไปยังตู้เสี่ยวซิน: “ไปกันเถอะ เร็ว!”
เมื่อคนทั้งสองออกไป เงาดำเงาหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากในห้องน้ำ
“เราจากไปอย่างนี้ เขาน่าจะโกรธจนอกแตกตายเลยแหละ!” มู่เฉียวรัดเข็มขัดนิรภัยไปพลางเงยหน้าขึ้นมองตู้เสี่ยวซินแล้วพูดอย่างตลกๆ
สองมือของตู้เสี่ยวซินจับอยู่ที่พวงมาลัย แล้วหันกลับไปมองมู่เฉียวด้วยสีหน้ามีความสุข : “คุณกลัวเขาเหรอ?”
มู่เฉียวส่ายหัว “เขามีอะไรน่ากลัวเหรอ ฉันแค่เกรงว่าจะไปพัวพันกับคุณด้วย!”
ตู้เสี่ยวซินตอบกลับด้วยรอยยิ้ม : “วางใจเถอะ ถ้าเขาต้องการตามคุณกลับมาจริงๆ ด้วยความสัมพันธ์ของฉันกับคุณแล้ว เขาไม่สามารถทำอะไรฉันได้หรอก อีกทั้งฉันคิดว่าโม่หานอาจไม่ใจร้ายอย่างที่คุณคิด”
อะไรที่เรียกว่าไม่ใจร้ายอย่างที่เธอคิดล่ะ?
“อย่างนั้นคุณก็บอกมา ว่าเขาอยู่ที่ไหน?” มู่เฉียวมิงไปที่ด้านหน้ารถแล้วก็เอ่ยถาม
ตู้เสี่ยวซินเงียบไปสักพัก จึงพูดว่า : “ยังจำมู่หยิงที่คุณเคยพูดถึงได้ไหม?”
มู่เฉียวทำเสียงไม่พอใจ เธอจะให้ตนเองลืม แต่ไม่สามารถลืมผู้หญิงคนนั้นได้
“เอ่ยถึงเธอทำไม?” เธอไม่อยากสนใจผู้หญิงที่เห็นแก่ตัวและเปลี่ยนชะตาชีวิตของเธอ นึกถึงเธอก็รู้สึกอึดอัดในใจ
ตู้เสี่ยวซินหันกลับไปมองเธอ พูดอย่างหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญ : “คุณรู้ไหม? สามีของเธอมีครอบครัวที่ใช้ความรุนแรง ในตอนนั้นโม่หานก็รู้เรื่องนี้ดี แต่ก็บีบบังคับให้ชายคนนั้นแต่งงานกับมู่หยิง”
มู่เฉียวตกใจ หันไปมองตู้เสี่ยวซินด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“เรื่องนี้ โม่หานสั่งให้ผู้ช่วยของเขาไปทำก่อนที่จะเกิดเรื่อง เพียงแต่ชายคนนั้นเห็นว่าเขาตายแล้ว ก็เลยไม่ต้องการที่จะทำตามสัญญา จากนั้นเมื่อโม่หานมีชีวิตกลับมา จึงบีบบังคับให้ชายคนนั้นแต่งงานกับมู่หยิง เขารู้ดีว่าชายคนนั้นชอบทุบตีคน แล้วเขารู้ด้วยว่าผู้หญิงคนนั้นช่วยชีวิตพ่อของเขาไว้ แต่ว่าเขายังคงทำแบบนั้น มู่เฉียวฉันคิดว่าเขาทำเพื่อคุณนะ จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้แยกดีชั่วไม่ออกอย่างที่คุณว่า”
ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างเรียบเฉยอย่างมาก แต่มู่เฉียวได้ฟังหัวใจก็สั่นสะท้าน
อันที่จริงเธอยุ่งเหยิงกับเรื่องนี้อยู่ในใจมาเป็นเวลานานมาก เธอคิดว่าโม่หานต้องมีความรักต่อมู่หยิงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นถ้าเธอได้รู้เรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน เพราะความเห็นแก่ตัวของเธอ ทำไมจึงไม่สนใจไม่รับฟัง
เธอก็โกรธอย่างมาก ถ้าเขาห่วงใยเธอจริงๆ เขาก็ไม่สามารถไม่สนใจไม่ไถ่ถามเลยหรอก
จนกระทั่งเธอมีปมอยู่ในใจตลอด
“อืม……อีกอย่าง……คุณคิดว่าเบื้องหลัง ทำไมเขาถึงไปที่ไซต์ก่อสร้าง และทำไมเขาถึงไปที่เมืองB เขาเพียงแค่จะให้คุณมองเห็น และสามารถใกล้ชิดคุณได้ เดิมทีเขาต้องการปกป้องคุณในวิธีของเขาเอง”
ปกป้องในวิธีของตนเอง ฉะนั้นเธอจึงได้รู้เรื่องของมู่หลิงกับเซี่ยหยู
เพียงแต่ภาพในหัวที่ผุดขึ้นมา ทำให้หัวใจที่ซาบซึ้งเย็นชาลงทันที
“ปกป้องบ้าอะไร คุณก็รู้ว่าที่ฉันไปหาเขา เนื่องจากเขาอยู่กับ……ผู้หญิงอื่น……เห็นได้ชัดว่าเขาดูไม่มีชีวิตชีวา ยังคิดจะเอาฉันมาเป็นข้ออ้างอีก”
ทุกๆครั้งที่นึกถึงฉากเหล่านี้ มู่เฉียวก็จะรู้สึกอึดอัดใจเป็นพิเศษ
ตู้เสี่ยวซินถอนหายใจ เลี้ยวรถมาเป็นไฟแดงพอดี เขาเลยจอดรถ แล้วมองมู่เฉียว “ครั้งนั้นที่หมั้นหมายกับคุณ มันคือครั้งแรกของเขา คุณเชื่อไหม? เฉียวเอ๋อ คุณได้เจอสิ่งที่ล้ำค่าแล้ว เขาจงใจทำให้คุณเข้าใจผิด เพื่อให้เรื่องเหล่านั้นเกิดขึ้นมา”
คำพูดเหล่านี้ ทำให้มู่เฉียวตกใจจนพูดอะไรไม่ออก ตู้เสี่ยวซินบอกว่า ก่อนหน้านั้นเป็นการเสแสร้งแกล้งทำทั้งหมด นั่นคือครั้งแรกของโม่หานอย่างนั้นเหรอ?
ในหัวเธอสับสนอยู่กับภาพในความทรงจำ ตอนเริ่มแรกของโม่หานครั้งนั้น ตัวของเขาสั่นเล็กน้อย ในตอนนั้นเธอคิดว่าเขาหนาว ตอนเหมือนว่าจะเป็นความประหม่าหรือเปล่า? ฉะนั้นจึงใช้เวลาแค่ห้านาที? นึกถึงตรงนี้เธออดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย ความรู้สึกซาบซึ้งใจนั้นทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก
เพียงแต่เธอมองตู้เสี่ยวซินอย่างไม่อยากจะเชื่อ “เรื่องเหล่านี้ คุณรู้ได้อย่างไร?”
ตู้เสี่ยวซินขมวดคิ้ว ก้มหน้าปิดบังความหวาดผวาในสายตาของเธอ “ผู้ชายคนนั้นที่วันก่อนโกหกฉันว่าหลิวฮั่วดื่มเหล้าเป็นคนบอกฉัน เหมือนกับจะเป็นเพื่อนของโม่หาน ชื่อว่าอู๋เหิง”
อู๋เหิง? มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอรู้จักคนนี้ ในทันทีก็รู้สึกสะเทือนใจ
เธอยอมรับว่า เวลานี้ ในใจรู้สึกตกตะลึง แล้วก็รู้สึกตื้นตันใจ
ที่แท้ ผู้ชายคนนี้ เบื้องหลังได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อตนเองอย่างมากมาย
กำลังเตรียมที่จะพูดอะไรเล็กน้อย
มือถือก็ดังขึ้น
“โม่หานเหรอ?” ตู้เสี่ยวซินเห็นมู่เฉียวแค่มองมือถือ แต่ไม่มีการตอบสนองใดๆ เลยส่งเสียงกล่าวถาม
“รับไหม?”
“แน่นอนว่าไม่สามารถรับได้ หากคุณรับแล้ว เกรงว่าคุณคงจะไปไม่ได้ ด้วยความที่เขาต้องการจะครอบครองคุณ หลายปีมานี้ หย่าก็ไม่ยอมหย่า เขาคงไม่สามารถยอมปล่อยคุณไปแอฟริกาใต้แน่!”
มู่เฉียวพยักหน้า หลังจากนั้นก็ตกตะลึง เงยหน้ามองตู้เสี่ยวซิน “ตู้เสี่ยวซิน คุณ….คุณรู้ได้อย่างไรว่าพวกเรายังไม่หย่ากัน?”
วันนี้ผู้หญิงคนนี้เปิดเผยความลับออกมามากเกินไปแล้วจริงๆ ทำให้เธอต้องตกตะลึง
ในสายตาของตู้เสี่ยวซินปรากฏความตื่นตระหนก เพียงแต่ ชั่วพริบตา ก็สงบนิ่งลงมา “วันนี้เมื่อตอนกลับมา คุณเอ่ยกับฉันไม่ใช่เหรอ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว เธอได้พูดไปเหรอ?
“คุณน่ะ สองวันนี้ก็อยู่นี่ไปก่อน ฉันได้ยินหลิวฮั่วบอกว่า พวกคุณจะออกเดินทางวันจันทร์ ใช่ไหม? คุณวางใจได้ คุณอยู่ที่นี่ เขาหาคุณไม่เจอหรอก ที่นี่คือที่ที่ฉันกับหลิวฮั่วเพิ่งซื้อเอาไว้” พามู่เฉียวมาถึงด้านหน้าอพาร์ตเมนต์หลังหนึ่ง ตู้เสี่ยวซินหยิบกระเป๋าเดินทางเธอพลาง พูดไปพลาง
“เสี่ยวซิน ขอบคุณคุณนะ” สำหรับตู้เสี่ยวซิน เวลานี้ มู่เฉียวรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณอย่างมาก
“ไม่เป็นไร รีบเข้าไปเถอะ! พรุ่งนี้ตอนเช้า ฉันจะเอาของกินมาให้คุณ” พูดจบ ก็ไม่รอการตอบสนองของมู่เฉียว โยนกุญแจให้เธอ จากนั้น ก็ขับรถออกไป
ตระกูลโม่
“โม่หาน นี่คุณทำอะไรเนี่ย?” คุณนายโม่มองข้าวของที่กระจัดกระจายเต็มพื้น ขมวดคิ้วแล้วกล่าวอย่างไม่สบายใจเล็กน้อย
เธอถูกคนรับใช้เรียกมา บอกว่าโม่หานกำลังทำลายข้าวของของหานฉุน เดิมทีเธอก็ไม่เชื่อ ถึงอย่างไร นับตั้งแต่รู้จักกันมา ความผูกพันของสองพี่น้องนี้ถึงแม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าดีมาก แต่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยทะเลาะกันเพราะเรื่องอะไร
โม่หานออกแรงถีบเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆจนกระเด็น เงยหน้าด้วยความโมโห มองไปยังแม่ “แม่ นี่เป็นเรื่องระหว่างฉันกับเขา คุณอย่ามายุ่ง!”
“โม่หาน คุณเป็นพี่ชายนะ เขาทำอะไรตรงไหนผิดไปบ้าง คุณก็ยอมให้เขาหน่อย ทำไม….ทำไมถึงทำลายที่ที่เขาอยู่ดีๆ จนกลายเป็นแบบนี้ล่ะ?” คุณนายโม่พูดพลางออกคำสั่งคนที่อยู่ด้านหลัง “พวกคุณรีบเก็บกวาดในนี้เร็วเข้า แล้วปิดปากให้แน่น ห้ามปริปากบอกคุณชายรอง ได้ยินไหม!”
“ค่ะ คุณนาย!” กลุ่มคนพยักหน้า
โม่หานร้องเชอะอย่างเย็นชา จากนั้นก็หันตัวกลับเตรียมจะเดินไปหน้าประตู
เพียงแต่ เขาเพิ่งจะยกเท้าขึ้น ก็เห็นหานฉุนเดินเข้ามาในห้องตนเองอย่างสบายใจ
ชั่วพริบตาตาทั้งคู่ก็เย็นชาลงมา เดินเข้าไป คว้าคอเสื้อของหานฉุน ออกแรงดึงเข้ามา “ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอว่า อย่าไปยุ่งกับเธอ คุณเห็นว่าคำพูดของฉันมันไร้สาระใช่ไหม?”
มู่เฉียวหันไปมองโม่หาน โยนเสื้อผ้าชิ้นสุดท้ายใส่ในกระเป๋า จากนั้นก็บิดขี้เกียจ แล้วหันไปมองโม่หาน พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆว่า “โม่หาน ฉันจะต้องไปแอฟริกาใต้แล้ว!”
สีหน้าโม่หานมืดมนลงอย่างรวดเร็ว นิ้วเรียวยาวของเขายื่นออกมาดึงแขนมู่เฉียว : “ไปแอฟริกาใต้ คุณจะไปแอฟริกาใต้ทำไม?” เขายอมรับว่าตอนนี้เขาตื่นตระหนกเล็กน้อย
มู่หานกะพริบตาปริบๆ ยกมืออีกข้างแล้วผลักมือของโม่หานออกไป กล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ฉันทำงานเป็นล่าม ไปเป็นล่ามส่วนตัวของหานฉุน คุณน่าจะเคยดูหนังของเขานะ ดาราหนังระดับนานาชาติ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำเงินไปหลายร้อยล้านเหรียญ” อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เต็มใจจะเอ่ยถึงหานฉุนหรอก คนคนนั้นทำให้เธอเกลียดยิ่งกว่าโม่หานในตอนแรกเสียอีก แต่เวลานี้ ยอมรับว่าเธอจงใจ
พูดจบก็นำกระเป๋าเดินทางมาไว้ข้างๆ เดินอย่างร่าเริงมีความสุข ถึงแม้ว่าคนมีปัญหา แต่การไปแอฟริกาใต้ทำให้เธอมีความสุขมาก
เห็นคนข้างหลังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นโม่หานทำสีหน้าเย็นชา
“ทำไมเหรอ? คุณไม่ดีใจกับฉันเหรอ?” นึกถึงตรงนี้ เธอก็ผิดหวังเล็กน้อย
โม่หานชำเลืองมองเธอ เดินอ้อมเธอไป นำเสื้อคลุมโยนไปที่เก้าอี้ข้างๆ จากนั้นก็นอนลงบนเตียง พูดออกมาอย่างเย็นชา : “ไม่อนุญาตให้ไป!”
“ทำไมล่ะ?” มู่เฉียวร้อนใจเล็กน้อย พับเสื้อผ้าครึ่งหนึ่งแล้วโยนลงบนเก้าอี้ เดินเข้าไปข้างๆโม่หาน ก้มหน้าขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยถาม
โม่หานพลิกตัวหันหลังให้เธอ พูดอย่างไม่สะทกสะท้าน : “หลิวฮั่วจัดการให้ใช่ไหม!”
มู่เฉียวตัวแข็งทื่อ ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของโม่หาน แต่ยังคงตอบว่า : “ใช่!”
โม่หานลุกขึ้นนั่ง “ฉะนั้น จึงไม่สามารถให้คุณไปได้!”
หลิวฮั่วจัดการให้ ทำไมเธอถึงไม่สามารถไปได้? มู่เฉียวยิ่งไม่เข้าใจ
“คุณคิดว่าคุณเป็นใคร?” พลาดโอกาสอย่างนี้ไปแล้ว ในชีวิตนี้คงไม่มีอีกแล้ว
“มูเฉียว!” โม่หานตวาดใส่
มู่เฉียวหันกลับเดินไปสองก้าว นำเสื้อบนเก้าอี้ที่เขาวางไว้เมื่อกี้ หยิบขึ้นมาแล้วโยนไปข้างๆ
จากนั้นก็ตั้งสติแล้วมองโม่หาน : “ฉันแค่แบ่งปันความสุขกับคุณ ไม่ได้ต้องการความคิดเห็นจากคุณ ฉะนั้น……คุณจะเห็นด้วยหรือไม่ นั่นมันเรื่องของคุณ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน”
ข้อมือของเธอถูกจับไว้แน่น “มู่เฉียว คุณฟังดีๆนะ เราเป็นสามีภรรยากัน ฉันมีอำนาจที่จะยุ่งเกี่ยวกับคุณ”
มู่เฉียวกลอกตา “สามีภรรยา? หึหึ โม่หาน คุณไม่รู้สึกว่ามันน่าตลกเหรอ? คุณหมั้นกับคนอื่น และกำลังจะแต่งงานกับคนอื่น แต่คุณกลับบอกว่า เราเป็นสามีภรรยากันอย่างนั้นเหรอ?” พูดจบ แล้วหยิบชุดนอนเข้าห้องน้ำไป
เพียงแต่กำลังจะปิดประตู แต่ก็ถูกผลักเปิดออกเหมือนเดิม
โม่หานยืนอยู่ตรงหน้าประตู มือข้างหนึ่งพิงประตู อีกข้างหนึ่งจับแขนมู่เฉียว ขมวดคิ้วแน่น “หานฉุนคนนั้นปฏิบัติกับคุณเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องมีแผนการอะไร!” พูดคำว่าหานฉุนสองคำ โม่หานก็แทบจะกัดฟันพูดออกมา
มู่เฉียวตกตะลึง เงยหน้าขึ้นมองโม่หาน แล้วพูดอย่างสบายๆว่า : “มีแผนการ ใช่ แน่นอนว่าฉันรู้ว่าเขามีแผนการ แต่แล้วยังไงล่ะ? ฉันไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ จะมีแผนการอะไร ก็ต้องใช้ร่างกายอันนี้อยู่ดี!” พูดจบก็จะดึงประตูปิด
โม่หานหลับตาระงับความโกรธในใจ ผลักประตูแล้วดึงมู่เฉียวไปด้านข้าง ตนเองก้าวเข้าไปข้างใน จากนั้นก็ปิดประตูลง
จากนั้น ก็กล่าวด้วยเสียงที่เย็นชาว่า: “คุณเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ? ร่างกายของคุณไม่มีค่าขนาดนั้นเลยเหรอ? หรือว่า ใครก็สามารถย่ำยีได้ตามใจ?!”
มู่เฉียวได้ยิน ก็ขมวดคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้น จ้องมองโม่หาน จากนั้นก็ตะโกนว่า: “ใช่ ใครจะย่ำยีก็ได้!”
“มู่เฉียว…..!” โม่หานกำหมัดแน่น กลัวว่าตนเองจะอดทนไม่ไหว แล้วตบผู้หญิงคนนี้
จ้องมองเธออย่างโหดเหี้ยม ขมวดคิ้วแน่นแล้วพูดว่า: “ทำไมคุณถึงไม่เข้าใจ ทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงได้ส่งเรื่องดีๆแบบนี้มาตรงหน้าของคุณ สมองคุณมีไหม?”
มู่เฉียวก้มหน้า
เธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงอายุ18แล้ว เชื่อว่าบนโลกใบนี้มีคนดีอยู่มาก! แล้วก็เชื่อว่า สิ่งดีๆไม่สามารถตกลงมาจากฟากฟ้าได้
แน่นอนเธอรู้ว่าหานฉุนหาผลประโยชน์กับเธอ แต่แล้วยังไงล่ะ?
“ตอนแรกที่คุณแต่งงานกับฉัน หรือว่าคุณไม่ได้หาผลประโยชน์?” เธอมองโม่หานอย่างสงบนิ่ง แล้วกล่าว
ตอนแรกโม่หานรู้สึกว่ามีช่องว่างระหว่างวัยในการสื่อสารกับผู้หญิงคนนี้ เขาจ้องมองดวงตาทั้งคู่ของเธออย่างลึกซึ้ง พูดอย่างจริงจังว่า: “มู่เฉียว ฉันจะบอกคุณให้นะ ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันทำเรื่องราวที่เกินพอดี ทางที่ดีคุณควรจะเชื่อฟังจะดีที่สุด”
มู่เฉียวร้องเชอะอย่างเย็นชา ทำเรื่องเกินพอดี? ยังมีเรื่องที่เกินพอดีกว่าเรื่องเมื่อคืนวานอีกเหรอ?
อันที่จริง ก่อนที่โม่หานจะมา เธอก็คิดมากแล้ว
ช่วงนี้กลุ้มใจอย่างมาก ชีวิตเพราะการเข้ามาพัวพันอย่างกะทันหันของโม่หาน ร่างกายและจิตใจต่างก็เหนื่อยล้าอย่างมาก เธอจึงอยากจะใช้โอกาสนี้ในการจัดการกับตัวเอง
อีกอย่าง เหมือนกับที่หลิวฮั่วพูด โอกาสแบบนี้ ยากมากจริงๆ ถึงแม้สองปีมานี้จะเป็นผู้จัดการ แต่ความรักในการเป็นล่ามของเธอ ไม่เคยลดลงเลย
กลับยิ่งเพิ่มขึ้น ประสบการณ์หลายปีมานี้ ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่า บนโลกใบนี้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น ไม่สามารถพึ่งพาใครได้
ถ้าความสามารถของเธอเป็นเลิศ ผู้ชายแบบนั้นจะไปนับประสาอะไร? เธอไม่ได้ทำเพราะขาดเงิน ไม่ได้ทำเพราะอยากซื้อของที่ซื้อไม่ได้ ทำเรื่องที่อยากทำไม่ได้ แต่ไปน้อยใจในความสมบูรณ์แบบ
เธออยากให้พ่อแม่มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น เธออยากทำให้พวกเขาไม่มีความทุกข์ในวัยชรา และต้องการให้การสนับสนุนมู่เสี่ยวโยวอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ดังนั้นเธอจำเป็นต้องทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นมา
และไม่ใช่อยากจะอาศัยโม่หานหรือผู้ชายคนไหน ทำงานใกล้ชิดกับกันคนใหญ่คนโตย่อมมีความอันตราย ประมาทเพียงเล็กน้อย ก็อาจจะสูญเสียทุกอย่างได้ เธอไม่อยากนำโชคชะตาของตนเองฝากไว้ในมือคนอื่นอีกครั้ง
ดังนั้น การเดินทางไปแอฟริกาใต้ เธอจำเป็นต้องไป อีกทั้งต้องทำให้ได้ดีด้วย
ดงยหน้า เธอสบตากับเขาอย่างยั่วยุ สูดลมหายใจเข้าจมูก ยื่นปลายลิ้นออกมาเลียริมฝีปากสีแดงโดยไม่รู้ตัว “ฉัน จะไปหรือไม่ คุณไม่ต้องยุ่ง”
โม่หานจ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงอิ่มเอิบของมู่เฉียว แทบจะไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย โน้มตัวดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วจูบลงไปอย่างโหดเหี้ยม
“อื้อ….”
มู่เฉียวตกใจ ผลักเขาด้วยจิตสำนึก แต่ยิ่งทำให้เขาโอบเธอไว้แน่นในอ้อมกอดอันอบอุ่นของเขา เขาโอบเอวของเธอเอาไว้แน่น มือข้างหนึ่งล็อกที่ท้ายทอยของเธอ แล้วจูบที่ริมฝีปากสีแดงของเธอ
นิ้วเรียวยาวขดม้วนผมของเธอเบาๆ แล้วออกแรงดึงไปด้านหลังเล็กน้อย บังคับให้ใบหน้าของเธอเงยขึ้นถึงที่สุด
เจ็บเล็กน้อย แต่ทำให้ใจเต้นและแขนขาอ่อนแรงอย่างมาก หลังจากมู่เฉียวมีปฏิกิริยาตอบสนอง จึงใช้กำลังผลักเขาทันที ผลักจนเขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แต่ต่อจากนั้น เขาก็โอบเธอไว้แน่นแล้วล้มลงบนพื้นเย็นๆด้วยกัน
“โม่หาน คุณจะต้องแต่งงานแล้วนะ” เธอถือโอกาสเปลี่ยนลมหายใจ แล้วพูดกล่าวเตือน
“คุณลืมไปแล้วเหรอ ในตอนแรกที่เราแต่งงานกัน ฉันก็มีผู้หญิงหลายคนอยู่ข้างนอกไม่ใช่เหรอ?” เขาถอนหายใจเบาๆข้างๆหูเธอ พูดอย่างไม่เห็นด้วย
หมายความว่าเขาให้เธอกลายเป็นผู้หญิงเหล่านั้นเหรอ?มู่เฉียวทั้งโกรธทั้งเย็นชา
เห็นมู่เฉียวจ้องมองเขาอย่างโหดเหี้ยม
โม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย ยกมือขึ้นลูบผมเธออย่างอ่อนโยน จากนั้นก็โน้มตัวมาจูบหน้าผากเธอเบาๆ “อย่าดื้อสิ ฉันจะเบาๆมือหน่อย!”
ระหว่างที่พูดมือของเขา ก็เลื่อนลงไปด้านล่างแล้ว
มู่เฉียวได้สติทันที กดมือใหญ่ของเขาไว้
ขมวดคิ้วกัดปาก เธอพูดอย่างเจ็บปวดใจ : “อย่าแตะต้องฉันด้วยมือสกปรกของคุณ ไม่ว่าร่างกายของฉันจะแย่แค่ไหน ฉันก็ไม่ได้อยากจะเก็บมันไว้ให้คุณ”
โม่หาน “อย่างนั้นคุณอยากจะเก็บไว้ให้ใครล่ะ?”
จากนั้นมู่เฉียวก็เข้าใจว่ากับคนบางคนไม่สามารถถูกกระตุ้นได้ มิเช่นนั้นคนที่ต้องทุกข์ทรมานก็คือตนเอง
ผู้ชายคนนี้เมื่อโหดเหี้ยมขึ้นมา ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้ว
นึกถึงการทำให้ทุกข์ทรมานเหล่านั้นของเขา
น้ำตาก็ไหลราวกับสายฝน!
มู่เฉียวเบือนหน้าไปด้านข้าง แววตาว่างเปล่าเหม่อลอย
โม่หาน คุณไม่ได้รัก แล้วจะมาทำร้ายเธออย่างนี้ทำไม!
เธอร้องไห้จนร้องไม่ออก!
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
เจ็บปวด ทั้งร่างกายเจ็บปวดเมื่อยล้าไปทุกที่ กระดูกทุกชิ้นดูเหมือนถูกถอดแล้วนำมาประกอบใหม่ และความเจ็บปวดในบางจุดนั้นรุนแรงมาก ยิ่งเกี่ยวข้องกับเส้นประสาทด้วย ไม่ใช่บอกว่าหลังจากครั้งแรกแล้ว ก็จะไม่เจ็บไม่ใช่เหรอ?ทำไมเธอทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว ก็ยังเจ็บขนาดนี้ล่ะ?เธอสูดลมหายใจเข้า ก็รู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อครู่นี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาโหดร้ายป่าเถื่อนแค่ไหน……
ยิ่งพิสูจน์ได้ถึงความ”แข็งแกร่ง”ของเขา
น้ำตาไหลออกจากหางตา มู่เฉียวดึงผ้าห่มมาคลุมร่างกายโดยจิตใต้สำนึก
“เจ็บเหรอ?” น้ำเสียงอ่อนโยนดังมาจากด้านบนหัว
มู่เฉียวก้มหน้า
เจ็บเหรอ?หึหึ……
เธออยากจะด่าจริงๆเลย ไม่เจ็บมั้ง คุณมาลองไหม?บ้าจริงๆ
แม้แต่เธอหายใจก็ยังเจ็บ ก็ไม่มีเรี่ยวแรงเหลือที่จะไปด่า ฉะนั้นก็ได้แต่เงยหน้าขึ้นถลึงตาใส่เขา
“คุณไม่ควรมากระตุ้นฉัน คุณก็น่าจะรู้ อุปนิสัยนี้ของฉันไม่สามารถกระตุ้นได้!” เขามองเธอกลับ ค่อยๆพูดเหมือนเป็นการอธิบาย
มู่เฉียวจ้องมองโม่หานอย่างโกรธแค้น จากนั้นก็ละสายตามองไปทางอื่น แล้วไม่สนใจเขาอีกต่อไป
“เมื่อกี้อาจจะรุนแรงเกินไปหน่อย แต่ว่า……”
ร่างกายของมู่เฉียวค่อยๆผ่อนคลายลงมา จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมไว้ทั้งตัว
เธอไม่อยากได้ยินอะไรทั้งนั้น คำอธิบายอะไรก็ไม่อยากฟัง!
รุนแรงเกินไปหน่อย นั่นเรียกว่ารุนแรงเกินไปหน่อยเหรอ?
ในหัวยุ่งเหยิงเต็มไปหมด จนกระทั่งต่อมา โม่หานพูดอะไร เธอก็ไม่ได้ฟังเข้าหูเลยสักคำ
จนกระทั่งได้ยินเสียงปิดประตูแรงๆ เธอจึงค่อยๆโผล่หน้าออกมานอกผ้าห่ม
สูดหายใจเข้าลึกๆ
ตลอดคืนนี้ โม่หานไม่ได้เข้ามาอีก
และตลอดคืนนี้ มู่เฉียวก็นอนไม่หลับเลยทั้งคืน
เธอกอดผ้าห่ม พิงหัวเตียง มองด้านนอกหน้าต่าง นั่งจนกระทั่งฟ้าสาง
จนกระทั่งนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ดังขึ้น เธอลุกจากเตียงโดยอัตโนมัติ อาบน้ำล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้า
ทำทุกอย่างตามขั้นตอนตามลำดับ
แต่ก้นบึ้งของหัวใจ แต่เธอรู้ว่า เราทั้งสองจบแล้ว เธอหลับตา กัดริมฝีปาก จากนั้น คนก็เหมือนกับโลกแตก ปีนป่ายขึ้นเตียง ร้องไห้จนเสียงแหบแห้ง
จนกระทั่งน้ำตาแห้งเหือด เสียงร้องไห้แหบแห้ง เธอจึงค่อยๆลุกขึ้นนั่ง
หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องน้ำ ใช้น้ำเย็นล้างหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า
จากนั้น ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คว้ากระเป๋าที่อยู่ข้างๆเดินตรงไปยังหน้าประตู
ความเจ็บปวดบริเวณต้นขาทำให้ทุกย่างก้าวของเธอ รู้สึกเหมือนขาอ่อนแรง
เปิดประตูเบาๆ มู่เฉียวเหลือบตามองไป เห็นโม่หานนั่งอยู่บนขอบหน้าต่างห้องรับแขก
และข้างๆมือของเขา เต็มไปด้วยก้นบุหรี่
ที่แท้เขาก็ไม่ได้นอนทั้งคืน ที่แท้ เขาอยู่นอกบ้านทั้งคืน…..
ที่แท้จิตใจที่โหดเหี้ยมของเขา เวลานี้ ก็หงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
เพียงแต่ ทันทีที่มีปฏิกิริยาตอบสนอง สีหน้าก็เย็นชา เธอเดินผ่านเขา มุ่งไปยังหน้าประตูโดยไม่หันหน้ากลับมามอง
“ขอโทษ!” น้ำเสียงที่ฟังแทบไม่ได้ยิน หลังจากมู่เฉียวเดินไปได้สองก้าว ก็ได้ยินเสียงดังเข้ามาจากด้านหลัง
ฝีเท้าก็หยุดชะงักลงทันที ครั้งที่แล้วที่พูดว่าขอโทษ คือตอนที่เขา”กำลังจะตาย”
เพียงแต่ ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร ความเจ็บปวดบางอย่าง ขอโทษจะมีประโยชน์อะไร?เธอร้องตะโกนจากก้นบึ้งของหัวใจ
ก้มหน้า เธอก้าวเดินหน้าต่อไป
ไม่ได้สนใจ เพียงแต่เดินไปได้สองก้าว เธอก็รู้สึกว่าตรงหน้ามืดดำไป จากนั้น ก็สูญเสียการรู้สึกตัว
“มู่เฉียว….” เธอได้ยินเสียงเรียกของโม่หาน แต่…..ไร้เรี่ยวแรงที่จะตอบกลับเขา
เมื่อฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คนก็มาอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว
และข้างเตียง โม่หานนำศีรษะหนุนมือข้างหนึ่ง หลับตาทั้งสองแน่น บนใบหน้า มีหนวดเคราเล็กน้อย
เธอขยับมือเท้าเล็กน้อย
“คุณฟื้นแล้วเหรอ?” โม่หานลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว กล่าวถามด้วยความดีใจ
มู่เฉียวไม่สนใจความเป็นห่วงในสายตาของเขา หันหน้ามองไปยังนอกหน้าต่าง
“คุณหมอบอกว่า เมาเหล้า อีกทั้งไม่ได้นอนมาทั้งคืน ดังนั้น…..”
เมาเหล้า ไม่ได้นอนทั้งคืนอย่างนั้นเหรอ?โม่หาน คุณหน้าไม่อายเลยใช่ไหม?
สรุปเธอเป็นอะไรถึงหมดสติ คุณไม่รู้เลยเหรอ?
ก็ชัดเจนอยู่ว่าถูกคุณทรมานร่างกายจนเกินไปไม่ใช่เหรอ?
เธอบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ: ปีศาจร้ายก็เทียบไม่ได้เลยจริงๆ!
“โม่หาน ฉันไม่อยากเห็นคุณ คุณไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!” มู่เฉียวตัดบทคำพูดของโม่หาน ชี้ไปที่หน้าประตูอย่างเย็นชา แล้วพูดตะโกน
เธอเกลียดชังท่าทีที่ตบหัวแล้วลูบหลังของเธอเป็นที่สุด
“ทีหลัง ฉันจะระมัดระวัง” ชายหนุ่มกล่าวอย่างง่ายดาย
มู่เฉียวขมวดคิ้ว หันหน้ากลับไปจ้องมองเขา “ทีหลัง?”
โม่หานเก้อเขินเล็กน้อย ลูบที่ศีรษะของเธอแล้วเข้าไปใกล้ “อย่าเอะอะโวยวายสิ อยากกินอะไร ฉันจะไปซื้อให้”
“กินหัวใจของคุณ ได้ไหมล่ะ?” เธอพูดสวนกลับเขา
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว “ดิบ หรือสุกล่ะ?”
มู่เฉียวยกมุมปากขึ้น “โม่หาน คุณทำกับฉันแบบนี้ฉันไม่ยอมให้อภัยคุณหรอก”
ชายหนุ่มรินน้ำให้เธอ “ฉันทำคุณ?ฉันทำคุณอย่างไรเหรอ?มู่เฉียว ระหว่างสามีภรรยา ทำเรื่องแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอ?”
หน้าประตู เสียงดัง”เพล้ง” เสียงของบางอย่างตกลงพื้นดังเข้ามา
สีหน้าของโม่หานเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น และยกผ้าห่มคลุมร่างกายของเธอ จากนั้นก็ยืดมือไปถอดเสื้อกั๊กของเธอออก
เมื่อเสื้อกั๊กถูกถอดออกไป ร่างกายอันวิจิตรงดงามของมู่เฉียวก็เริ่มปรากฏขึ้น เย้ายวนอย่างยิ่ง
โม่หานจ้องตรงไปที่มู่เฉียวที่เมาและไม่รู้สึกตัว ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หายใจเข้าลึกๆ เขายกมือขึ้น ดึกเนกไทออกด้วยความร้อนเล็กน้อย แล้วโยนมันลงพื้นไป จากนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง มองลึกไปยังร่างที่สวยงามที่นอนอยู่บนเตียง ที่ขดตัวเป็นลูกบอล และทันใดนั้น เขาก็ก้มตัวลงและกอดเธอไว้จากด้านข้าง…..
“อืม……..”มือทั้งสองข้างของมู่เฉียวกอดคอเข้าแน่น และคร่ำครวญโดยสัญชาตญาณ
โม่หานอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ และค่อยค่อยวางเธอลงในอ่างอาบน้ำ
จากนั้น เขาก็ถอดชุดชั้นในทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเธอออก
น้ำอุ่น ล้างผิวที่เรียบเนียนและขาวของเธอ
สติของมู่เฉียวค่อยค่อยกลับมา จากนั้นไม่ ตาทั้งสองข้างของเธอก็ลืมขึ้น สิ่งที่จับได้คือร่างกายของโม่หานที่กำลังอาบน้ำให้เธออย่างจริงจังด้วยฝักบัว
เธอกลืนน้ำลาย เธอค่อยค่อยก้มศีรษะลง เมื่อเห็นว่าร่างกายเธอเปลือยเปล่า เธอก็อ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกกว้าง และมองไปยังใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติของโม่หานด้วยท่าทางตกใจ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้จะตอบสนองยังไง
นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เธอกำลังดื่มอยู่กับตู้เสี่ยวซินไม่ใช่เหรอ ? แล้วมาอยู่กับโม่หานได้อย่างไร………
แล้วทำไม โม่หานถึงอาบน้ำให้เธอ……นี่………นี่………..
“อ๊ะ !”ในที่สุดเธอก็ฟื้นคืนสติ และลุกขึ้นยืนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบส่วนสำคัญในตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบหน้าโม่หาน
“คุณมันโรคจิต !”เธอขมวดคิ้วตะโกน จริงจริงเลย กล้าอาบน้ำ…….อาบน้ำให้เธอ………
ผู้ชายคนนี้มีปัญหาทางสมองรึเปล่า ?
นิ้วเรียวยาวของโม่หานเลื่อนผ่านแก้มที่มู่เฉียวตบ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาไม่ให้เธอได้มีโอกาสฟื้นตัวอะไรทั้งนั้น เขาอุ้มเธออีกครั้ง จากนั้น ก้าวสองสามก้าวไปที่ข้างเตียง และโยนเธอลงบนเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอาตัวเองกดทับเธอไว้
“อื้อ………”มู่เฉียวขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากและร้องด้วยความเจ็บปวด และความตื่นตระหนกในใจของเธอเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย
เธอสะบัดมือ พยายามหยุดการกระทำของโม่หาน แต่เธอ…..ไม่สามารถขยับเขาได้เลย ในขณะนี้ เธอเริ่มกังวลแล้ว !
“โม่หาน คุณ…..คุณไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉัน !”เขาจะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว ระหว่างพวกเขานี่มันอะไรกัน ?
ไม่มีความหวานเหมือนกับครั้งก่อน มีเพียงความอัปยศอดสู่ที่หยุดไม่ได้
ต่อให้เธอเลวแค่ไหน เธอก็ไม่อยากเป็นมือที่สามให้เขา โอ้ ไม่สิ เธอลืมไปได้อย่างไร พวกเรายังไม่ได้หย่ากันนี่ ? แต่ยังไงก็ไม่ได้
ผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในใจของเธอ เธอเกลียดชังยิ่งนัก
โม่หานเพิกเฉยต่อเธอ เขาแค่โน้มตัวลง และจูบคิ้ว ดวงตา จมูก จากนั้นก็ริมฝีปากแดงของเธอเบาๆ การกระทำของเขานุ่มนวลมาก จนทำให้มือของมู่เฉียวค้างอยู่กลางอากาศ
เขาจูบที่หูของเธอเบาๆ
ลงคอ ลมหายใจร้อนค่อยค่อยรดเข้าที่คอของเธอ ทำให้เกิดอาการชา และจากนั้นเสียงที่คลุมเครือของเขาก็เข้ามาในหูของเธอ:“ มู่เฉียว ผมเคยบอกว่า ให้รอผม”
เสียงของเขาแหบและมีเสน่ห์ มู่เฉียวถูกเขาทำให้สับสน และใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองกลับมา รอเขาอีกแล้ว
“รอให้เขาแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ฉันก็เป็นเมียน้อยน่ะเหรอ ?” เธอถามกลับไปทั้งที่สติครึ่งๆกลางๆ
นิ้วเรียวยาวของโม่หานจับริมฝีปากบางที่ตกตะลึงของมู่เฉียว ริมฝีปากบางโน้มเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ เขาอยากจะอธิบาย ว่านี่มันเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่เขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เฉียวรู้มากเกินไป เขาไม่อยากดึงเธอลงไปในน้ำ
เมื่อมันมาถึงข้างริมฝีปาก จู่ๆเขาก็เปลี่ยนอย่างกะทันหัน “มู่เฉียว คุณรักผมแล้วใช่ไหม ?”
มู่เฉียวอยู่ตรงนั้น เป็นเวลานาน และยังสงสัยว่าคำพูดของโม่หานหมายความว่ายังไง ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเขาจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก ว่ามันจะหมายถึงอะไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ใช้แรงผลักร่างกายที่กดทับเธออยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง และหยิบเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมาใส่ แล้วก็หันไปมองโม่หาน “คุณหลงตัวเองเกินไปแล้ว ฉันรักคุณ จะเป็นไปได้อย่างไร ?”
ชายหนุ่มยิ้ม และกัดริมฝีปากแดงของเธอ “ปากแข็ง”
มู่เฉียวมองเขา เพราะความโกรธความเมาก่อนหน้านี้ของเธอ ในตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้ว
“ปากแข็ง เหอะเหอะ โม่หาน ถึงแม้ว่าฉันอยากจะแต่งงาน ฉันก็จะหาคนที่ดีกว่าคุณ” มู่เฉียวพูดไปพลางสวมใส่เสื้อผ้าไป และมองเขา “ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายที่ทำเรื่องนั้นเสร็จภายใน 5 นาที ชาตินี้ทั้งชาติก็คงเศร้าไปตลอดชีวิต”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับมาอย่างเย็นชา
และโม่หานก็มองไปที่มู่เฉียวที่หันกลับมาแน่นอน และด้วยการโบกมือ เขาคว้าแขนของเธอ และออกแรงที่นิ้ว
มู่เฉียวเจ็บปวด เธอขมวดคิ้วและกลั้นไว้ ที่จริงแล้วหัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายอีก
เธอเกลียดโม่หาน ที่ให้ความหวังกับตัวเอง ทำให้ตัวเธอเองสิ้นหวัง
เธอยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะแค่เล่นกับตัวเอง แต่เธอก็ถูกล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เหยียดหลังให้ตรง หันหลังกลับมามองโม่หานด้วยความโกรธ และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ ปล่อยมือ !”
“คุณพูดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งซิ คุณอยากหาใคร ? ”ดวงตาของโม่หานหรี่ลง น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับริมฝีปากของเธอ และคำพูดพึมพำก็พ่นออกมา
“หาคนที่ดีกว่าคุณใช่ไหม ? ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงพวกนั้น มองเห็นอะไรในตัวคุณ ในเมื่อหนึ่งครั้ง จริงจริงแล้วก็แค่…….”เธอโต้กลับเขาอย่างดื้อรั้น โดยรู้ว่าอาจจะมีเรื่องเพราะเรื่องนี้ แต่ในใจเธอกลับรู้สึกเศร้า และไม่สามารถเข้าใจได้ เธอจึงต้องพยายามอย่างที่สุดที่ทำให้ชายคนนี้ไม่มีความสุข
แต่ พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เธอก็ถูกโม่หานใช้แรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากนั้นก็ประกบริมฝีปากบางๆ และปิดผนึกคำพูดทั้งหมดไว้
“มู่เฉียว คุณกระตุ้นผม คุณตายแน่ !”เสียงของเขาหนักแน่นด้วยความโกรธเล็กน้อย
“โม่หาน คุณจะทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้………”มู่เฉียวพูดอย่างคลุมเครือในขณะที่ผลักโม่หาน
มือของเขา ลูกไร้ไปรอบร่างกายของเธออย่างไร้ยางอาย และทุกสัมผัสของปลายนิ้วเขาทำให้เธอสั่นสะท้าน ผู้ชายคนนี้ จริงจัง !
นี่เป็นสิ่งเดียวที่มู่เฉียวสามารถรับรู้ได้ในขณะนี้
“ไม่…….”เธอขัดขืนโดยสัญชาตญาณ และเริ่มเข้าไปหาเขา
เธอพยายามดิ้นรน ดิ้นรนเพื่อหนีจากความยับยั้งชั่งใจจากเขา
แต่อย่างไรก็ตาม มือที่อยู่บนร่างกายนั้นไม่ได้หยุดเลย
“เฉียวเอ๋อ……” จากนั้นเสียงของแม่ก็ดังมาจากหน้าประตู
มู่เฉียวตกตะลึงมือไม้อ่อน เธอไม่กล้าจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าแม่รู้ว่าเธอถูกโม่หานทำร้ายอย่างนี้?
โม่หานเห็นความตื่นตระหนกของเธอ จึงก้มลงไปจูบหน้าผากของเธอ “เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาดูคุณนะ”
มู่เฉียวมองโม่หาน ความเหยียดหยามประกายในแววตา ส่ายหัว แสดงออกอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
เมื่อโม่หานออกไป ประตูก็ถูกเปิดออก
“เฉียวเอ๋อ?”
แม่มองๆในห้อง “เมื่อกี้ใครอยู่ที่นี่เหรอ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ไม่มีใครนี่?หมอ เขาเพิ่งออกไปเมื่อกี้” พูดจบ ก็ละสายตาไปทางอื่นอย่างขาดความมั่นใจ
แม่ดึงเก้าอี้มาลงนั่งข้างๆเตียง “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?ทั้งคืนก็ไม่ได้กลับไป ทำไมตอนเช้าถึงได้มาอยู่ที่โรงพยาบาลได้?”
มู่เฉียวส่ายหัว ไม่ยอมพูด
“มู่เฉียว……” แม่ไม่สบายใจเล็กน้อย
“แม่ เขาจะแต่งงานแล้ว ในที่สุดฉันก็ยอมแพ้ได้แล้ว” มู่เฉียวยิ้มแต่น้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา รอยยิ้มที่ทำให้คนตัวสั่นเทา : “แม่ ฉันต้องขอโทษคุณกับพ่อด้วย รู้ดีว่าเป็นเพราะตระกูลโม่ที่ทำน้าครอบครัวเราจนกลายเป็นอย่างนี้ แต่ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะอยากอยู่ด้วยกันกับเขา ฉันมันไม่ได้เรื่องเลย”
แม่ขมวดคิ้วแน่น เห็นมู่เฉียวร้องไห้ปานจะขาดใจ ก็เงียบไปชั่วขณะ หลังจากนั้นก็ค่อยๆพูดว่า : “ลูกมันคือพรหมลิขิต”
“พรหมลิขิต พรหมลิขิตเรามันช่างเลวร้ายเหลือเกิน” มู่เฉียวยิ้มอย่างเย็นชาด้วยน้ำตาที่นองหน้า ก้มหน้าจากนั้นก็พูดอย่างช้าๆ : “ช่างเถอะ แม่หาคนมาแต่งงานกับฉันเถอะ ฉันเหนื่อย!”
“แต่แล้วไม่ดี จะไม่ยิ่งเหนื่อยเหรอ?ในเมื่อชอบก็รอหน่อยเถอะ ยังไม่ถึงตอนจบ จะยอมแพ้ได้อย่างไร?”
มู่เฉียวลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ มองแม่อย่างไม่อยากจะเชื่อ ถามทั้งน้ำตา : “แม่ทำไมคุณยังสนับสนุนฉันอยู่ล่ะ?คุณไม่เกลียดครอบครัวของเขาเหรอ?”
“ความสุขของคุณสำคัญกว่าความเกลียดชังนะ” ดวงตาของแม่มองมู่เฉียวอย่างอ่อนโยน “ขอเพียงแค่คุณมีความสุข พ่อกับแม่ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น”
“แต่ว่าฉันต้องขอโทษพวกคุณด้วยจริงๆ!” อารมณ์ของมู่เฉียวหมดอาลัยตายอยาก น้ำตาไหลออกมาราวกับน้ำหลาก ไหลออกมาอย่างบ้าคลั่ง
เพราะความสุขของเธอคนเดียว ก็เอาความสุขของพ่อแม่มาเป็นข้อแลกเปลี่ยน จู่ๆเธอรู้สึกว่าในฐานะที่เป็นลูก เธอเห็นแก่ตัวเกินไปจริงๆ
เธอสูดหายใจเข้าจากนั้นก็ร้องออกมาอย่างหนักหน่วง
แม่นั่งอยู่สักพัก เมื่อเหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือบนโต๊ะ เธอก็ก้มหน้าถอนหายใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน “เฉียวเอ๋อ พ่อของคุณทำการผ่าตัดหัวใจ ฉันไม่วางใจ เขาอยู่บ้านคนเดียว ฉันต้องกลับไปก่อนนะ เดี๋ยวจะให้มู่หลิงมาอยู่เฝ้า”
“แม่ ฉันเพียงแค่ไม่สบายนิดหน่อย คุณจะให้มู่หลิงมาทำไม?ฉันไม่ได้เป็นอะไร นอนที่นี่แป๊บเดียว ตอนบ่ายก็ออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“โอเค อย่างนั้นแม่ไปก่อนนะ คุณก็ดูแลตัวเองด้วย”
หลังจากที่แม่ออกไป อีกสักพักโม่หานก็เข้ามา ถืออาหารเช้าในมือ
“กินอะไรก่อนนะ”
มองหีบห่อที่คุ้นเคยที่วางอยู่บนโต๊ะ มู่เฉียวก็ใจลอยไปในชั่วพริบตา บังเอิญเหรอ?ที่โม่หานซื้อมาคืออาหารที่ปกติเธอชอบทานมากที่สุด
“โม่หาน คุณปล่อยฉันไป ได้ไหม?” พูดจบ ก็เงยหน้ามองโม่หาน น้ำตาเอ่อคลอเบ้า “คุณก็รู้ว่า ฉันเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ฉันแค่อยากมีชีวิตที่เรียบง่าย”
โม่หานหยิบนาฬิกาจากบนโต๊ะขึ้นมา สวมใส่ที่ข้อมือ หมุนไปมา เงียบไม่พูดจาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้ามองมู่เฉียว “เรื่องนั้นเมื่อคืนวาน หรือว่าฉันมีความสุขเพียงคนเดียว?คนที่เสียเปรียบคือฉันเหรอ?ถึงอย่างไร ฉันก็ต้องชดใช้”
“คุณ….” มู่เฉียวโมโห ชี้โม่หาน แต่พูดอะไรไม่ออกสักคำเดียว
“มู่เฉียว ห้ามคุณชอบผู้ชายคนอื่น”
มู่เฉียวงุนงง “หมายความว่าอะไร?”
“เพราะว่า ฉันไม่ชอบ ให้ของที่ฉันเคยใช้แล้ว ไปให้คนอื่นใช้” น้ำเสียงของโม่หานไม่สะทกสะท้าน
มู่เฉียวยกมือขึ้น ปิดหน้าอก เหลือบตาไปจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ครู่หนึ่ง เธอจึงเลิกคิ้ว พูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า: “อย่างนั้นพวกเราก็คืนดีกันเหมือนเดิม ได้ไหม?”
โม่หานช็อกด้วยความคาดไม่ถึง เบิกตาจ้องมองมู่เฉียว ผ่านไปหลายวินาที เขาจึงพูดด้วยเสียงที่เยือกเย็นว่า: “ไม่ได้ชั่วคราว”
“โม่หาน นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ อย่างนั้นตกลงคุณจะให้ฉันคิดอย่างไร?” มู่เฉียวเกลียดท่าทีแบบนี้ของโม่หานเป็นที่สุด เงยหน้าขึ้นและตะโกนด้วยความขุ่นเคือง อันที่จริงพอเธอพูดประโยคนั้นออกมา เธอก็เริ่มรู้สึกเสียใจ แทบอยากจะกัดลิ้นของตนเอง แต่คำพูดที่พูดออกไปก็ราวกับน้ำที่สาดออกไป จะเก็บกลับมาก็สายเกินไปแล้ว
“คิดอย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉัน ฉันรู้เพียงว่า ขณะนี้ ฉันไม่ได้วางแผนที่จะคืนดี!” สีหน้าของโม่หานราวกับความเยือกเย็นในช่วงฤดูหนาว ยืดตัวขึ้นแล้วจะเดินจากไป
มู่เฉียวหลับตา อยากจะตบหน้าของตัวเอง
“อย่างนั้นคุณบอกฉันมาสิว่า ที่คุณต้องการให้ฉันรอคุณ คือรออะไร?” มู่เฉียวคิดๆแล้ว จึงเอ่ยปากในทันที
มู่เฉียวพูดคำนี้ออกมา โม่หานก็ตกตะลึงทันที เพียงแต่ ขณะที่เขาไม่รู้ว่าจะตอบกลับมู่เฉียวอย่างไร
สายตาก็เหลือบไปมองด้านนอกหน้าต่างของประตู ปรากฏสายตาคู่หนึ่งที่ทำให้เขาแสดงสายตาที่หวาดกลัว
โม่หานตัวแข็งทื่อ ขมวดคิ้ว เบิกตาโตจ้องมองไปยังข้างหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อกี้เธอเหมือนกับเห็น……พ่อ พ่อที่ตายไปหลายปีแล้ว
หัวใจ เต้นตุบๆ ถึงแม้จะจากกันมาหลายปีแล้ว ถึงแม้ดวงตาคู่นั้น จะเต็มไปด้วยการผ่านโลกมาอย่างโชกโชน แต่เขาก็ยังจำได้ว่า นั่นคือพ่อ
เพียงแต่ ทำไมเขาถึงยังไม่ตาย?
โม่หานขมวดคิ้วเล็กน้อย
“โม่หาน!”
มู่เฉียวส่งเสียงเรียกเบาๆด้วยความสงสัย โม่หานที่สุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด มีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาแสดงออกถึงความหวาดกลัวเช่นนี้ได้?
แต่โม่หานเหมือนกับว่าไม่ได้ยิน จู่ๆคนก็เหมือนกับยืนแข็งทื่อไป
ทำไม่พ่อถึงยังไม่ตาย?ถึงแม่ว่าในตอนนั้นที่พวกเขาไป กองทัพจะได้เผาศพไปแล้ว แต่กองทัพก็ไม่มีเหตุผลที่จะโกหกพวกเขา
ในทันที เขาก็ตัวสั่นเล็กน้อย
เรื่องราวในปีนั้น ตกลงมันเกิดความผิดพลาดอะไรกัน หรือว่ามีเรื่องอะไรที่ถูกพวกเขาประมาทเลินเล่อไป?
เดินเข้าไปสองสามก้าว เปิดประตู เห็นระเบียงทางเดินที่ว่างเปล่า เขาสูดลมหายใจเข้า หลับตา สงบความตื่นเต้นภายในจิตใจ หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากในกระเป๋าตนเองอย่างรวดเร็ว นิ้วมือที่เรียวยาวกดบนหน้าจอแล้วส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของโม่หานเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้น และยกผ้าห่มคลุมร่างกายของเธอ จากนั้นก็ยืดมือไปถอดเสื้อกั๊กของเธอออก
เมื่อเสื้อกั๊กถูกถอดออกไป ร่างกายอันวิจิตรงดงามของมู่เฉียวก็เริ่มปรากฏขึ้น เย้ายวนอย่างยิ่ง
โม่หานจ้องตรงไปที่มู่เฉียวที่เมาและไม่รู้สึกตัว ลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก หายใจเข้าลึกๆ เขายกมือขึ้น ดึกเนกไทออกด้วยความร้อนเล็กน้อย แล้วโยนมันลงพื้นไป จากนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะหลับตาลง มองลึกไปยังร่างที่สวยงามที่นอนอยู่บนเตียง ที่ขดตัวเป็นลูกบอล และทันใดนั้น เขาก็ก้มตัวลงและกอดเธอไว้จากด้านข้าง…..
“อืม……..”มือทั้งสองข้างของมู่เฉียวกอดคอเข้าแน่น และคร่ำครวญโดยสัญชาตญาณ
โม่หานอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ และค่อยค่อยวางเธอลงในอ่างอาบน้ำ
จากนั้น เขาก็ถอดชุดชั้นในทั้งหมดที่อยู่ในร่างกายของเธอออก
น้ำอุ่น ล้างผิวที่เรียบเนียนและขาวของเธอ
สติของมู่เฉียวค่อยค่อยกลับมา จากนั้นไม่ ตาทั้งสองข้างของเธอก็ลืมขึ้น สิ่งที่จับได้คือร่างกายของโม่หานที่กำลังอาบน้ำให้เธออย่างจริงจังด้วยฝักบัว
เธอกลืนน้ำลาย เธอค่อยค่อยก้มศีรษะลง เมื่อเห็นว่าร่างกายเธอเปลือยเปล่า เธอก็อ้าปากกว้าง ดวงตาเบิกกว้าง และมองไปยังใบหน้าด้านข้างที่สมบูรณ์แบบและไร้ที่ติของโม่หานด้วยท่าทางตกใจ เป็นเรื่องปกติที่จะไม่รู้จะตอบสนองยังไง
นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้น ? เธอกำลังดื่มอยู่กับตู้เสี่ยวซินไม่ใช่เหรอ ? แล้วมาอยู่กับโม่หานได้อย่างไร………
แล้วทำไม โม่หานถึงอาบน้ำให้เธอ……นี่………นี่………..
“อ๊ะ !”ในที่สุดเธอก็ฟื้นคืนสติ และลุกขึ้นยืนในอ่างอาบน้ำ จากนั้นหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันรอบส่วนสำคัญในตัวเธอไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบหน้าโม่หาน
“คุณมันโรคจิต !”เธอขมวดคิ้วตะโกน จริงจริงเลย กล้าอาบน้ำ…….อาบน้ำให้เธอ………
ผู้ชายคนนี้มีปัญหาทางสมองรึเปล่า ?
นิ้วเรียวยาวของโม่หานเลื่อนผ่านแก้มที่มู่เฉียวตบ ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเบิกขึ้นเล็กน้อย และทันใดนั้น เขาไม่ให้เธอได้มีโอกาสฟื้นตัวอะไรทั้งนั้น เขาอุ้มเธออีกครั้ง จากนั้น ก้าวสองสามก้าวไปที่ข้างเตียง และโยนเธอลงบนเตียงใหญ่ จากนั้นก็เอาตัวเองกดทับเธอไว้
“อื้อ………”มู่เฉียวขมวดคิ้วแน่น กัดริมฝีปากและร้องด้วยความเจ็บปวด และความตื่นตระหนกในใจของเธอเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย
เธอสะบัดมือ พยายามหยุดการกระทำของโม่หาน แต่เธอ…..ไม่สามารถขยับเขาได้เลย ในขณะนี้ เธอเริ่มกังวลแล้ว !
“โม่หาน คุณ…..คุณไม่มีสิทธิ์แตะต้องฉัน !”เขาจะแต่งงานกับคนอื่นอยู่แล้ว ระหว่างพวกเขานี่มันอะไรกัน ?
ไม่มีความหวานเหมือนกับครั้งก่อน มีเพียงความอัปยศอดสู่ที่หยุดไม่ได้
ต่อให้เธอเลวแค่ไหน เธอก็ไม่อยากเป็นมือที่สามให้เขา โอ้ ไม่สิ เธอลืมไปได้อย่างไร พวกเรายังไม่ได้หย่ากันนี่ ? แต่ยังไงก็ไม่ได้
ผู้ชายที่ไม่ได้อยู่ในใจของเธอ เธอเกลียดชังยิ่งนัก
โม่หานเพิกเฉยต่อเธอ เขาแค่โน้มตัวลง และจูบคิ้ว ดวงตา จมูก จากนั้นก็ริมฝีปากแดงของเธอเบาๆ การกระทำของเขานุ่มนวลมาก จนทำให้มือของมู่เฉียวค้างอยู่กลางอากาศ
เขาจูบที่หูของเธอเบาๆ
ลงคอ ลมหายใจร้อนค่อยค่อยรดเข้าที่คอของเธอ ทำให้เกิดอาการชา และจากนั้นเสียงที่คลุมเครือของเขาก็เข้ามาในหูของเธอ:“ มู่เฉียว ผมเคยบอกว่า ให้รอผม”
เสียงของเขาแหบและมีเสน่ห์ มู่เฉียวถูกเขาทำให้สับสน และใช้เวลาสักพักกว่าจะตอบสนองกลับมา รอเขาอีกแล้ว
“รอให้เขาแต่งงานกับคนอื่นแล้ว ฉันก็เป็นเมียน้อยน่ะเหรอ ?” เธอถามกลับไปทั้งที่สติครึ่งๆกลางๆ
นิ้วเรียวยาวของโม่หานจับริมฝีปากบางที่ตกตะลึงของมู่เฉียว ริมฝีปากบางโน้มเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอ เขาอยากจะอธิบาย ว่านี่มันเป็นเพียงการเข้าใจผิด แต่เขาก็รู้ดีว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถปล่อยให้มู่เฉียวรู้มากเกินไป เขาไม่อยากดึงเธอลงไปในน้ำ
เมื่อมันมาถึงข้างริมฝีปาก จู่ๆเขาก็เปลี่ยนอย่างกะทันหัน “มู่เฉียว คุณรักผมแล้วใช่ไหม ?”
มู่เฉียวอยู่ตรงนั้น เป็นเวลานาน และยังสงสัยว่าคำพูดของโม่หานหมายความว่ายังไง ?
อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดว่าเขาจะแต่งงานกับคนอื่นแล้ว งั้นมันก็ไม่สำคัญหรอก ว่ามันจะหมายถึงอะไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เธอก็ใช้แรงผลักร่างกายที่กดทับเธออยู่ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่ง และหยิบเสื้อผ้าข้างๆขึ้นมาใส่ แล้วก็หันไปมองโม่หาน “คุณหลงตัวเองเกินไปแล้ว ฉันรักคุณ จะเป็นไปได้อย่างไร ?”
ชายหนุ่มยิ้ม และกัดริมฝีปากแดงของเธอ “ปากแข็ง”
มู่เฉียวมองเขา เพราะความโกรธความเมาก่อนหน้านี้ของเธอ ในตอนนี้มันหายไปเกือบหมดแล้ว
“ปากแข็ง เหอะเหอะ โม่หาน ถึงแม้ว่าฉันอยากจะแต่งงาน ฉันก็จะหาคนที่ดีกว่าคุณ” มู่เฉียวพูดไปพลางสวมใส่เสื้อผ้าไป และมองเขา “ท้ายที่สุดแล้ว ผู้ชายที่ทำเรื่องนั้นเสร็จภายใน 5 นาที ชาตินี้ทั้งชาติก็คงเศร้าไปตลอดชีวิต”
เมื่อพูดจบ เธอก็หันกลับมาอย่างเย็นชา
และโม่หานก็มองไปที่มู่เฉียวที่หันกลับมาแน่นอน และด้วยการโบกมือ เขาคว้าแขนของเธอ และออกแรงที่นิ้ว
มู่เฉียวเจ็บปวด เธอขมวดคิ้วและกลั้นไว้ ที่จริงแล้วหัวใจของเธอเจ็บปวดยิ่งกว่าร่างกายอีก
เธอเกลียดโม่หาน ที่ให้ความหวังกับตัวเอง ทำให้ตัวเธอเองสิ้นหวัง
เธอยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก ทั้งๆที่รู้ว่าเขาอาจจะแค่เล่นกับตัวเอง แต่เธอก็ถูกล่อลวงครั้งแล้วครั้งเล่า
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่เฉียวก็เหยียดหลังให้ตรง หันหลังกลับมามองโม่หานด้วยความโกรธ และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ ปล่อยมือ !”
“คุณพูดสิ่งที่คุณเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่อีกครั้งซิ คุณอยากหาใคร ? ”ดวงตาของโม่หานหรี่ลง น้ำเสียงของเขาเย็นชามาก ริมฝีปากของเขาอยู่ใกล้กับริมฝีปากของเธอ และคำพูดพึมพำก็พ่นออกมา
“หาคนที่ดีกว่าคุณใช่ไหม ? ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงพวกนั้น มองเห็นอะไรในตัวคุณ ในเมื่อหนึ่งครั้ง จริงจริงแล้วก็แค่…….”เธอโต้กลับเขาอย่างดื้อรั้น โดยรู้ว่าอาจจะมีเรื่องเพราะเรื่องนี้ แต่ในใจเธอกลับรู้สึกเศร้า และไม่สามารถเข้าใจได้ เธอจึงต้องพยายามอย่างที่สุดที่ทำให้ชายคนนี้ไม่มีความสุข
แต่ พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว เธอก็ถูกโม่หานใช้แรงดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด หลังจากนั้นก็ประกบริมฝีปากบางๆ และปิดผนึกคำพูดทั้งหมดไว้
“มู่เฉียว คุณกระตุ้นผม คุณตายแน่ !”เสียงของเขาหนักแน่นด้วยความโกรธเล็กน้อย
“โม่หาน คุณจะทำกับฉันอย่างนี้ไม่ได้………”มู่เฉียวพูดอย่างคลุมเครือในขณะที่ผลักโม่หาน
มือของเขา ลูกไร้ไปรอบร่างกายของเธออย่างไร้ยางอาย และทุกสัมผัสของปลายนิ้วเขาทำให้เธอสั่นสะท้าน ผู้ชายคนนี้ จริงจัง !
นี่เป็นสิ่งเดียวที่มู่เฉียวสามารถรับรู้ได้ในขณะนี้
“ไม่…….”เธอขัดขืนโดยสัญชาตญาณ และเริ่มเข้าไปหาเขา
เธอพยายามดิ้นรน ดิ้นรนเพื่อหนีจากความยับยั้งชั่งใจจากเขา
แต่อย่างไรก็ตาม มือที่อยู่บนร่างกายนั้นไม่ได้หยุดเลย
ผู้ช่วยขมวดคิ้ว โชคดีที่เขาเตรียมพร้อมแล้ว
ตู้เสี่ยวซินมองไปที่หญิงสาวที่ดื่มเบียร์ตรงหน้าเขา แล้วคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากัน
“ยังพูดอีกว่าไม่สนใจ ปากแข็งจริง เขาก็แค่โพสต์ข่าว คุณก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว ถ้าวันหนึ่งแต่งงานกันจริงๆขึ้นมา ฉันจะดูว่าคุณจะมีชีวิตอย่างไร?”
“ถ้างั้นฉันก็จะไปแย่งงานแต่งงาน”หญิงสาวเมานิดหน่อยแล้ว
“เฉียวเอ๋อ หยุดดื่มกันเถอะ คุณบอกว่าชายคนนั้น มีอะไรดี น่าขยะแขยงขนาดนั้น นอกจากมีเงิน หน้าตาดีหน่อย สูงนิดหน่อย แล้วยังมีดีอะไรอีก ?”
มู่เฉียวยิ้ม “สูง รวย หล่อ ตู้เสี่ยวซิน ตรงไหนที่ไม่ดี ?”
มันดีตรงไหน ? หลังจากพูดประโยคนี้จบ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของตู้เสี่ยวซินก็ดังขึ้นมา เธอมองดู เป็นเบอร์แปลก เมื่อรับสาย “ฮัลโหล นั่นใครคะ ?”
“สามีของคุณดื่มเมาอยู่ทางนี้ คุณมารับเขาหน่อย”
“เอ๊ะ ? ที่ไหนเหรอ ”
โทรศัพท์ถูกพักสายไป และที่อยู่ก็ถูกส่งมา
ตู้เสี่ยวซินพยักหน้า “ตกลง ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้” เธอหันศีรษะมองมู่เฉียว “วันอะไรเนี่ย ? คนสองคนที่ปกติไม่ค่อยจะดื่มเหล้า ทำไมวันนี้ถึงดื่มจนกลายเป็นแบบนี้ ?” เมื่อพูด เธอก็ลุกขึ้นและดึงมู่เฉียวมาพาดไหล่ “เฉียวเอ๋อ ฉันจะส่งคุณกลับบ้านก่อน หลิวฮั่วเมาแล้ว ฉันส่งคุณกลับบ้านแล้ว ค่อยไปรับเขา”
“ไม่ ฉันยังอยากดื่ม ฉันไม่ไป”มู่เฉียวสูงกว่าตู้เสี่ยวซินครึ่งหัว และยังอวบๆ ดังนั้น ตู้เสี่ยวซินผู้อ่อนแอจึงไม่สามารถช่วยเธอได้ ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เธอมองดู ก็คือเบอร์โทรศัพท์เมื่อครู่ เธอรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย “คุณให้เขารอก่อน ตอนนี้ฉันไปไม่ได้ อะไรนะ ? มีผู้หญิงมาพูดคุย ? จะไปเปิด…..เปิดห้อง ได้ ได้ คุณบอกให้เขารอ”
คนคนนี้ดูเหมือนจะรู้ข้อเสียของตู้เสี่ยวซิน เธอระเบิดออกมาทันที เธอหยิบโทรศัพท์และเตรียมจะโทรหามู่หลิง แต่เมื่อนึกถึงเซี่ยหยู เขาเพิ่งแต่งงานใหม่ เธอจึงคิดใหม่และพูดกับเจ้าของร้านแผงลอยว่า “เถ้าแก่ คุณช่วยฉันดูเธอหน่อยได้ไหม ฉันไปรับสามี แล้วเดี๋ยวจะรีบกลับมา”
เธอและมู่เฉียวมักจะมาทานอาหารที่นี่ จึงคุ้นเคยกันดี
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นมอง “โอเค คุณไม่ต้องห่วง ฉันจะช่วยดูเธอเอง”
ตู้เสี่ยวซินส่ายหัวให้มู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ คุณอย่าโทษที่ฉันให้ความสำคัญแฟนมากกว่าเพื่อนเลยนะ อีกเดี๋ยวฉันจะกลับมา”
เมื่อเห็นตู้เสี่ยวซินขึ้นรถไป ก็มีชายคนหนึ่งเดินออกมาจากรถหรูสีดำ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากริมถนน เขาพูดกับเถ้าแก่ว่า มู่เฉียวคือภรรยาของเขา
เถ้าแก่ยังไม่วางใจ จึงถามมู่เฉียวที่เมาอยู่ว่า “หญิงสาว ชายคนนี้ คุณรู้จักไหม ?”
มู่เฉียวมองไปที่โม่หานที่ยืนอยู่ข้างเธอ ด้วยใบหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นและยืนแขนไปคล้องคอเขา “โม่หาน คุณมาได้อย่างไร ? คุณมาดูฉันเล่นตลกเหรอ ?”
เมื่อเห็นทั้งสองรู้จักกัน เถ้าแก่ก็จากไป
โม่หานหยิบเงินออกมากองหนึ่งและโยนไว้บนโต๊ะ จากนั้นก็อุ้มมู่เฉียวและยัดเธอเข้าไปในรถ
“กลับบ้าน” เมื่อขับรถไปได้สักพัก โม่หานก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง “ไปโรงแรมละกัน”
เมื่อมาถึงโรงแรม มู่เฉียวก็ทรุดตัวลงบนเตียง และปากก็ยังด่าอย่างไม่หยุดหย่อน “โม่หาน คุณไอ้คนสารเลว ไอ้สวะ……”
ชายหนุ่มที่ถอดรองเท้าให้เธอ ขมวดคิ้ว
“คุณไม่ต้องการฉัน คุณไม่อยากรู้จักฉันอีก ทำไมก่อนคุณจะตาย จะต้องโลดโผนขนาดนี้ คุณไอ้สารเลว คุณรังแกให้ฉันใจอ่อน……..” หญิงสาวพูด พลางหยิบหมอนขึ้นมาและโยนทิ้งไปอย่างไม่เลือกหน้า และมันก็ไปโดนหัวของชายหนุ่มเข้าอย่างจัง
ชายหนุ่มหายใจเข้า ใบหน้าเขาไม่มีแม้แต่ความโกรธ เขาก้าวไปข้างหน้าและถอดเสื้อคลุมของหญิงสาวออก เธอสวมเสื้อซับไว้ข้างใน เนื่องจากการดึงขึ้น เขาจึงมองเห็นชุดชั้นในของหญิงสาวอย่างชัดเจน เขาเม้มริมฝีปาก และกลืนน้ำลายสองสามครั้ง แล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมเธอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาหันหลังกลับ ก็เห็นมู่เฉียวยกเท้าขึ้นและถีบผ้าห่มออกหมด จากนั้น ก็ดึงเสื้อของตัวเองและ “เจ็บ !”เธอขมวดคิ้วและบ่น
โม่หานตกตะลึง และหันกลับมา “เจ็บตรงไหน ?” เขาถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก
มู่เฉียวเลียริมฝีปากที่แห้ง จากนั้นก็เลื่อนมือลงไป
สายตาของโม่หานเลื่อนลงไปตามนิ้วมือของเธอ จากนั้นสีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น เพราะว่า มองไปทางใด ก็มีรอยฟกช้ำใหญ่ และเมื่อดูจากคราบเลือด เดาว่าคงได้รับบาดเจ็บ
และเมื่อครู่ที่เขาปล่อยมู่เฉียวลง เดาว่าน่าจะไปกดทับแผลเข้า ดังนั้น เธอถึงตะโกนว่าเจ็บ
เมื่อยกขอบผ้าขึ้น ต้นขาที่ขาว ก็เปื้อนเลือดอยู่แล้ว
เขาดึงทิชชูมาจากข้างเตียง จากนั้นก็เช็ดคราบเลือดที่ต้นขาของเธอเบาๆ แต่เมื่อเขาสัมผัสมัน ก็เห็นเธอขมวดคิ้ว
จู่ๆ ก็เกิดความโศกเศร้าขึ้นมาในใจ
เขาโทรศัพท์ไปหาคนที่อยู่กับเธอ “เกิดอะไรขึ้น ? บาดแผลบนร่างกายของเธอมาจากไหน ?”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เมื่อออกมาตอนกลางคืน คุณมู่ ดูเหมือนเธออารมณ์ไม่ดี ข้ามถนนหลายครั้งก็ล้วนไม่มองไฟแดง ระยะห่างระหว่างพวกเราอยู่ไกลกันหน่อย ดังนั้น เธอจึงถูกรถชน เดาว่าตอนนั้นน่าจะถูกับพื้นถนน”
“แล้วทำไมไม่บอกก่อน”
“คุณไม่รับโทรศัพท์”
โม่หานมองดู และพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับจริงๆ วันนี้โทรศัพท์มาเยอะมาก แล้วทั้งหมดล้วนโทรมาถามเรื่องการแต่งงานของเขากับเหอเจี๋ย
หลังจากวางสาย เขาก็มองไปที่หญิงสาวบนเตียง โม่หานนั่งลงข้างกายเธอ
มือแตะแก้มของเธอ แต่ในใจเขากลับมีความรู้สึกปีติยินดี
คนโง่ คนที่ไม่เคยมอบความอบอุ่นใดใดให้เธอเลยแบบนี้ คุณรักอะไรเขากันแน่นะ ?
“อือ………..”
เสียงที่เจ็บปวดราวกับใยแมงมุม ออกมาจากริมฝีปากที่แห้งของหญิงสาว และเรียกชายที่อยู่ในความคิดอันซับซ้อนในจิตใจกลับมา แต่ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง แรงในมือของเธอที่บีบเขาเจ็บ
เขาดึงมือของเธอออกโดยไม่รู้ตัว แต่แล้วก็พบว่าเธอไม่ได้ตื่น แค่เพียงพึมพำอะไรในความฝัน และดูเหมือนเธอจะนอนหลับอย่างไม่สนิท ริมฝีปากของเธอบิดเบี้ยว ราวกับพึมพำอะไรบางอย่างด้วยความเจ็บปวด
ในเวลานี้ หัวใจของเขาก็เจ็บปวดมาก เพราะเขาทำให้เธอทุกข์ทรมานขนาดนี้
เมื่อจ้องมองลึกๆไปที่ริมฝีปากที่ค่อยค่อยกระเพื่อมของมู่เฉียวชั่วครู่ ริมฝีปากของเธอแห้งและไม่ชุ่มชื้นอ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน แต่แบบนี้ สำหรับเขาแล้วก็ยังคงเป็นแรงดึงดูดที่อันตราย…….
เขาค่อยค่อยโน้มตัวเข้าหาริมฝีปากของเธอทีละเล็กทีละน้อย และอดไม่ได้ที่จะจูบไปเบาๆ……..
ด้วยลิ้นอันอบอุ่นและชุ่มฉ่ำ เธอเลียริมฝีปากที่ขาดน้ำอย่างรุนแรงด้วยความสงสารอย่างยิ่ง เธอค่อยค่อยดูด จนกระทั่งริมฝีปากของเธอไม่แห้ง……….
มู่เฉียว มู่เฉียว……..ผมควรจะทำอย่างไรกับคุณดี ?
เขาเหน็ดเหนื่อยและถอนหายใจหนักมาก ในใจลึกๆ ยังเศร้าและเจ็บปวดจนอยากจะเรียกชื่อเธอ แต่สุดท้าย เขาก็ไม่ได้ตะโกนออกมา…….
“ร้อนมาก !”ในขณะนี้ มู่เฉียวพลิกตัวกลับมาและพูดพล่ามอีกครั้ง
“เรื่องเมื่อวาน เป็นผมที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ผมควรจะพาคุณไปเจอพ่อแม่ของผมก่อน ขอโทษนะ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าและมองเฮ่อเทียน “เฮ่อเทียน ที่จริงแล้ว………”
“ผมรู้ ตอนนี้ในใจของคุณต้องกำลังโกรธผมแน่ แต่ว่า เสี่ยวเฉียว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมไม่เล่นสนุก ผมจริงจัง”
จากนั้น เขาก็เปิดประตูรถและผลักมู่เฉียวเข้าไปในรถ
“เฮ่อเทียน พ่อแม่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเคยหย่า และเคยเกิดลูกใช่ไหม ?” มู่เฉียวถามหลังจากนั่งรถ เมื่อเธอเห็นเฮ่อเทียนคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวเธอก็สั่น ในใจก็รู้ว่า เฮ่อเทียนรักเธอ เธอเชื่อ แต่ใครที่แต่งงาน จะแต่งงานกับแค่คนคนเดียวกันล่ะ ?
เฮ่อเทียนชอบเธออีกครั้ง แต่ว่า พ่อแม่ของเธอต้องไม่มีทางชอบเธอแน่นอน
ลูกชายที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นตัวภาระ ผู้หญิงที่เคยหย่า และเธอก็เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกสาว แต่เธอก็คิดว่าในอนาคตถ้ามู่เสี่ยวโยวแต่งงานกับชายที่เคยหย่าร้างและยังมีลูกอีก เป็นเธอก็คงจะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อฟังดู มันอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ในฐานะพ่อแม่ ใครบ้างไม่ต้องการให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองมีคู่ที่เหมาะสม ?
ดังนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจพ่อแม่ของเฮ่อเทียนได้เป็นอย่างดี
“พวกเขาจะต้องชอบคุณ”
เฮ่อเทียนยืนกราน แต่มู่เฉียวแค่ยิ้ม สำหรับบางสิ่งบางอย่าง บางทีก็คงต้องให้เขาหมดหวัง เขาถึงจะปล่อยมือไปเอง เธอไม่พูดอะไรอีก และรัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง
“ถ้างั้นก็ได้ ไปกันเถอะ”
เมื่อเฮ่อเทียนบอกว่าพ่อแม่ของเขาอยู่เมือง A มู่เฉียวก็รู้สึกงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่เฮ่อที่อยู่ไกลถึงเมือง A ทำไมจู่ๆถึงไปร่วมงานแต่งงานของมู่หลิงเมื่อวานได้ ?
อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่อง เธอก็ไม่อยากรู้มากเกินไป
เธอลากับหลิวฮั่วแล้ว ทั้งสองคนนั่งเครื่องบินมาถึงตระกูลเฮ่อ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
พ่อแม่เฮ่อได้ยินจากเฮ่อเทียนว่าทั้งสองคนจะมา พวกเขาเลยไม่แปลกใจ และพวกเขายินดีต้อนรับมู่เฉียวอย่างสุภาพ
“คุณชื่อมู่เฉียวใช่ไหม ? ดูสิ เคยเกิดลูกแล้ว แต่รูปร่างยังดูดีมากเลย”
แก้วน้ำในมือของมู่เฉียวสั่นกระเพื่อม แต่ในใจกลับสงบมาก
เธอยิ้มและพูดว่า “คุณน้า คุณชมเกินไปแล้ว ฉันเทียบกับสาวไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เฮ่อเทียนกระแอมออกมาเล็กน้อย “แม่ คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม ?”
แม่เฮ่อชำเลืองมองมู่เฉียว “มู่เฉียว วันนี้ฉันปวดหลัง ลูกสะใภ้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องดูลูก วันนี้คุณมาพอดีเลย ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถช่วยทำอาหารได้รึเปล่า ”
มู่เฉียวเหลือบมองเฮ่อเทียน “ถ้างั้น คุณน้า คุณนั่ง ฉันกับเฮ่อเทียนจะไปทำอาหาร ?”
ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้น และเดินไปทางห้องครั้ง แต่ก็มีเสียงข้างหลังดังมา “เฮ่อเทียน คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อคุณหน่อย”
มู่เฉียวยังยิ้มมุมปากของตัวเอง แต่ก็ไม่พูดอะไร
จากนั้น เธอก็ได้ยินสิ่งของบางอย่างตกลงมา แม้ว่าจะต้องผ่านมาอีกสองสามประตู แต่เสียงนั่นก็ยังอยู่ในหูของเธอ
เธอไม่ได้โง่ และเธอก็ไม่ใช่เด็กที่ประมาท เธอรู้หลักการทั้งหมด เธอรู้ดีถึงผลประโยชน์เล็กน้อยทั้งหมด และเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เธอกับเฮ่อเทียนมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็โชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่อย่างนั้น คงน่าอึดอัดน่าดู
แค่นึกถึงเฮ่อเทียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงสารเขา และลากเขาลงไปในน้ำโคลนนี้อย่างบอกไม่ถูก
เธอทำอาหารเหมือนกับทำงาน เป็นระเบียบและดูไม่รีบร้อน เธอล้างผัก หั่นผัก และทำอาหาร โดยไม่ล่าช้าเลย
แม่เฮ่อนั่งอยู่บนโซฟา และเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา สายตาของลูกชาย พวกเขาไม่เคยสงสัยเลย แต่ว่า คำพูดของคนก็น่ากลัว และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงคำเตือนของชายคนนั้นเมื่อวาน พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องเล่น
ลูกสะใภ้คนโตบอกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นคืออดีตสามีของมู่เฉียว เขาร่ำรวย มีอำนาจ แต่โหดร้ายและไม่มีความรัก
“ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกชายของคุณก็จะอยู่ในความสิ้นหวัง”
เธอหลับตา ก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูกระจกของห้องครัว “มู่เฉียว…………”
มู่เฉียวหันกลับมามองแม่มู่ “คุณน้า คุณปวดเอว คุณควรจะไปนั่งก่อนนะ ดูสิ ฉันเกือบจะทำเสร็จแล้ว”
แม่เฮ่อมองดูจานหกเจ็ดจานที่มีสีสันสวยงาม และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย แต่เพื่อลูกชาย เธอทำได้เพียงขอโทษผู้หญิงคนนี้
ทันใดนั้นเธอหยิบจานหนึ่งขึ้นมาดม “แค่ดมก็รู้ว่าอร่อยมาก สมกับที่เป็นแม่คนแล้ว คนเป็นแม่จะทำได้ดีกว่าหญิงสาวธรรมดามาก”
เห็นได้ชัดว่ามันคือคำชม แต่มู่เฉียวกลับฟังอย่างแข็งกร้าว เธอดึงริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอายและยิ้ม
ต่อมา ทันทีที่เธอทำอาหารเสร็จ เฮ่อเทียนและพ่อก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร แววตาของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้ ลำบากคุณแล้ว”
มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกปากของพวกคุณรึเปล่า”
เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเฮ่อจะจู้จี้จุกจิก แต่ไม่คิดเลยว่า มื้ออาหารจะกลายเป็นคำชมที่หลากหลาย
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวประหลาดใจมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จ
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบอกว่าต้องดูแลลูก แม่เฮ่อก็บอกว่าตัวเองปวดเอว เฮ่อเทียนก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง บอกว่าจะพูดคุยเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่
มู่เฉียวไม่ได้กวนหรือพูดคุยใดๆ และทำหน้าที่ล้างจานโดยอัตโนมัติ
เมื่อล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก เฮ่อเทียนออกมา เดินเข้ามาในห้องครัว และจับมือของมู่เฉียว “ไม่ต้องล้างแล้ว มากับผมเถอะ”
มู่เฉียวไม่สนใจเขา และยังคงล้างจานที่เป็นฟองอยู่
เอ่อเทียนมองดูเธอ “คุณมองไม่ออกเหรอ พวกเขาจงใจทำกับคุณ ? มู่เฉียว”
ในที่สุดมู่เฉียวก็ล้างจานสองสามใบสะอาด และเช็ดเตาอีกครั้ง
จากนั้น เธอก็ผ่านเฮ่อเทียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกระเป๋า และหยิบยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่กินช้าเกินไปจากข้างในออกมา แล้วกางออกบนฝ่ามือของเธอ “เฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจงใจของพวกเขา พวกเราก็เป็นไปไม่ได้หรอก”
เมื่อดวงตาของเฮ่อเทียนเพ่งมองคำว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “นี่มันหมายความว่ายังไง ?”
“เมื่อคืนฉันอยู่กับเขา และพวกเราก็นอนด้วยกันแล้ว”เธอรู้ว่าบาดแผลนี้จะทำให้ชายคนหนึ่งบาดเจ็บจนตายได้ แต่มู่เฉียวก็คงจะยังทำต่อไป
เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยโม่หานไป แต่ระหว่างเธอกลับเฮ่อเทียน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอ ไม่อยากทำร้ายผู้ชายคนนี้
“เพล้ง” แจกันดอกไม้บนโต๊ะถูกโยนขึ้นและกระแทกกับพื้นอย่างแรง มู่เฉียว คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ชายคนนี้คำราม
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ระหว่างผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ? ”เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูปกติ
“เพล้ง” ข้างหลัง ก็มีเสียงดังขึ้นอีก
นั่นเป็นเสียงแก้วในมือของแม่เฮ่อที่ตกลงสู่พื้น มู่เฉียวหลับตา เธอรู้ว่านี่คือจุดจบของเธอกับเฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าตอนจบนี้มันจะโหดร้าย แต่มันก็ได้ผลที่สุด
เธอค่อยค่อยกำมือของตัวเองและเอายาคุมกำเนิดเก็บเข้าไปใส่ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเทียน จากนั้นก็มองไปที่พ่อแม่เฮ่อที่ตกตะลึง เธอโค้งตัวเล็กน้อย “คุณน้า คุณลุง ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”
เมื่อเธอจากไป เฮ่อเทียนไม่ได้เดินตามเธอมา เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเธอไปถึงข้างถนน ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไป ก็มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างเธอ
กระจกเลื่อนลง
ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายคนนั้นปรากฏ และเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น “ขึ้นรถ”
มู่เฉียวลังเล และมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาตามหลังเธอ
เธอเปิดประตูข้างคนขับอย่างเด็ดขาด และเข้าไปนั่ง จากนั้นก็คล้องคอของโม่หานมาจูบที่ริมฝีปากของเขา ชายคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ยกมือใหญ่ของเขา คว้าเอวของเธอและใช้แรงยกหญิงสาวมานั่งอยู่บนตักของเขา
ท่านี้มันดูน่าอายมาก แต่ท่านี้มันก็คลุมเครือมากเช่นกัน
ชายคนนี้โน้มตัวลง และจูบให้ลึกซึ้งขึ้น
เวลาหยุดนิ่ง ณ เวลานี้ ชะตากรรมถูกเขียนใหม่อีกครั้ง
มู่เฉียว คุณได้ทำลายโอกาสหนีของคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันว่าคนด้านนอกไปแล้ว โม่หานก็ปล่อยเธอ แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำ
“มู่เฉียว คุณชอบเขาเหรอ ?” เขามองดูมู่เฉียวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแสดงความหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด
ชอบ ? ธรรมชาติก็ชอบคนสวย คนสวยใครจะไม่ชอบล่ะ ? เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “ความชอบจะมีประโยชน์อะไร ? ผู้หญิงที่เคยหย่าร้างและยังให้กำเนิดลูกอีก จะคู่ควรกับคนอื่นได้อย่างไรล่ะ ?”
พูดเสร็จ เธอก็หลับตาลง เธออดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ในใจมันอึดอัดจริงๆ
คำพูดและการกระทำของพ่อแม่เฮ่อ ทำให้เธอตระหนักได้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เหมือนกับคำพูดของแม่ของเธอ ที่โดนทำลายโดยตระกูลโม่
โม่หานคิดว่า เธอกำลังร้องไห้ให้กับเฮ่อเทียน เขายกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
สิ่งที่เขาสั่ง ในความเป็นจริง คือโกรธจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว
ผู้หญิงที่เขารัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกับหลั่งน้ำตาให้กับชายคนอื่น
มู่เฉียวสูดหายใจ “โม่หาน คุณเห็นฉันโดนรังเกียจขนาดนี้ คุณมีความสุขมากใช่ไหม ? ความรู้สึกของความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร ?”
พูดจบ เธอก็หันศีรษะมองออกไปข้างนอกถอนหายใจอย่างโล่งใจ จากนั้น เธอก็ต้องการดึงประตูและลงจากรถ แต่กลับถูกชายหนุ่มโน้มตัวลงมาและขาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ
มู่เฉียวขมวดคิ้วและหงุดหงิดเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเฮ่อเทียน แต่ว่าก็ยังมีมิตรภาพอยู่ การจบแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่ภายในใจ “คุณจะทำอะไร ฉันจะลงรถ”
“ตึกชั้นบนสุดฝั่งตรงข้าม สามารถมองเห็นวิวมุมกว้างของทุกสิ่งที่อยู่ข้างถนน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจถลงจากรถตอนนี้ ?”
มู่เฉียวขาดเข็มขัดนิรภัย และมองไปที่โม่หาน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีธุระอะไรแล้วผ่านมาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ เขากำลังสะกดรอยตามเธอหรือไม่ก็เฮ่อเทียน
เลื่อนกระจกรถขึ้น เมื่อวานคุณไปหาพ่อแม่ของเฮ่อเทียน ? ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะมาทันเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร และสตาร์ทเครื่องยนต์
ทันทีที่เหยียบคันเร่ง รถก็แล่นออกไปไกล
ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์ และชายหนุ่มก็พูดว่า “มื้อค่ำ คงทานไม่อื่มใช่ไหม ? ผมพาคุณไปหาอะไรทาน” ในขณะนี้รถก็แล่นออกไปไกลแล้ว
มู่เฉียวรู้จักที่นี่ ครั้งแรกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน ดูเหมือนก็จะเป็นที่นี่ แต่ว่า วันนี้ สถานที่ก็ยังอยู่เหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไป
เธอหิวมากจริงๆ และเธอไม่อยากถูกตามใจ เธอลงจากรถและเดินเข้าไปคนละที่กับโม่หาน
ผู้คนข้างในต่างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับหน้าใหม่
โม่หานสั่งอาหารอย่างเชี่ยวชาญ
เดิมทีมู่เฉียวกำลังเล่นโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเข้าสั่งอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และบังเอิญสบตากับโม่หานพอดี
เขาสั่งอาหารที่เธอชอบทั้งนั้นเลย นี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ ?
ชายหนุ่มถอนสายตาและมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง “มู่เฉียว คุณเชื่อผมไหม ?”
เสียงสะท้อนก้องอยู่ในหู
มู่เฉียวอยากจะตอบว่า ไม่เชื่อ
เพราะคำพูดของคุณมันนับอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
โม่หาน
แต่ก็ไม่ได้แกล้งอะไรเธอ อาหารเสิร์ฟเร็วมาก หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว โม่หานก็หยิบจานมาแกะเปลือกกุ้งและดึงก้างปลาออก เขาทำทุกอย่างอย่างราบรื่น ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้จักกันดี มู่เฉียวยังคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความฝัน
“ต่อไปนี้ อย่าคิดไปแต่งงานกับคนอื่น พวกเรายังไม่ได้หย่ากัน”
ตะเกียบในมือของเธอหล่นลงไปที่พื้น มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หานอย่างตกตะลึง “คุณหมายความว่าอะไร ?”
ชายหนุ่มนำกุ้งมาใส่ในจานของเธอ แล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่สงบ “ความหมายตามคำพูดข้างบน”
มู่เฉียวปิดปากของเธอ บอกตามตรง นี่มันเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ
“ทำไมถึงยังไม่หย่ากันล่ะ ? ตระกูลโม่ไม่ได้บอกว่า พวกเราหย่ากันแล้วเหรอ ?”
ชายหนุ่มทุบตะเกียบลงพื้น สีหน้าเคร่งขรึม “คุณอยากหย่าขนาดนั้นเลยเหรอ ?
มู่เฉียวสูดหายใจ เธอไม่อยาก แต่เธอสามารถพูดปฏิเสธได้ด้วยเหรอ ?
“ฉันก็ไม่อยากหย่า แต่ประเทศของพวกเรามีกฎหมาย ห้ามมีภรรยาหลายคนใช่ไหม ? คุณกับคุณเหอ คุณไม่ต้องการแล้วเหรอ ?”
โม่หานไม่พูดอะไร แต่หัวใจของมู่เฉียวกลับเย็นชา เธอเม้มปาก ในใจรู้สึกผิดหวังและขุ่นเคือง
“ในเมื่อยังไม่หย่า ถ้างั้นก็ไปหย่าปะ !โม่หาน ถ้าหากคุณให้อนาคตกับฉันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของฉัน คุณช่วยเลิกยุ่งกับมันได้ไหม เมื่อก่อนนั้นคือความผิดพลาด ในเมื่อได้รับการแก้ไขแล้ว ก็อย่าทำผิดพลาดอีกเลย ตกลงไหม ? ฉันขอร้องคุณล่ะ อยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย”
น้ำเสียงที่อ้อนวอนของเธอยิ่งน่ารำคาญ เธอพบว่า ตราบใดที่เธอยังได้พบกับผู้ชายคนนี้ ชีวิตของเธอก็จะยุ่งเหยิงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แววตาของเขามองไปข้างหน้า
อาหารมื้อนี้ ในที่สุดมันก็จบลงด้วยความเงียบ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
โม่หานพาเธอเข้าไปยังในเมือง
มู่เฉียวมองเขา ข้างหน้านั้นก็คือโรงแรม คุณปล่อยฉันไปเถอะ
ชายหนุ่มเชื่อฟัง เลี้ยวรถไปด้านขวา และหยุดลงที่ข้างถนนจริงๆ แต่ยังล็อกประตูไว้
“โม่หาน นี่คุณหมายความว่าอะไร ?”
“มู่เฉียว คุณรอผมสักครู่”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉียวดูมีชีวิตชีวาขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามออกไปว่า “คุณหมายความว่าอะไร ?”
ชายหนุ่มหันศีรษะมา ความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ทำให้หูของมู่เฉียวแดงก่ำชั่วขณะ โม่หานที่เป็นแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองสามปีก่อน
เธอก้มศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก
ในขณะนี้ เสียงคลายล็อกประตูก็ดังขึ้น “แกร็ก”
คุณลงรถไปเถอะ ?
เอ๊ะ ?
“ลงรถ !”
“เรื่องเมื่อวาน เป็นผมที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ผมควรจะพาคุณไปเจอพ่อแม่ของผมก่อน ขอโทษนะ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าและมองเฮ่อเทียน “เฮ่อเทียน ที่จริงแล้ว………”
“ผมรู้ ตอนนี้ในใจของคุณต้องกำลังโกรธผมแน่ แต่ว่า เสี่ยวเฉียว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมไม่เล่นสนุก ผมจริงจัง”
จากนั้น เขาก็เปิดประตูรถและผลักมู่เฉียวเข้าไปในรถ
“เฮ่อเทียน พ่อแม่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเคยหย่า และเคยเกิดลูกใช่ไหม ?” มู่เฉียวถามหลังจากนั่งรถ เมื่อเธอเห็นเฮ่อเทียนคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวเธอก็สั่น ในใจก็รู้ว่า เฮ่อเทียนรักเธอ เธอเชื่อ แต่ใครที่แต่งงาน จะแต่งงานกับแค่คนคนเดียวกันล่ะ ?
เฮ่อเทียนชอบเธออีกครั้ง แต่ว่า พ่อแม่ของเธอต้องไม่มีทางชอบเธอแน่นอน
ลูกชายที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นตัวภาระ ผู้หญิงที่เคยหย่า และเธอก็เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกสาว แต่เธอก็คิดว่าในอนาคตถ้ามู่เสี่ยวโยวแต่งงานกับชายที่เคยหย่าร้างและยังมีลูกอีก เป็นเธอก็คงจะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อฟังดู มันอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ในฐานะพ่อแม่ ใครบ้างไม่ต้องการให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองมีคู่ที่เหมาะสม ?
ดังนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจพ่อแม่ของเฮ่อเทียนได้เป็นอย่างดี
“พวกเขาจะต้องชอบคุณ”
เฮ่อเทียนยืนกราน แต่มู่เฉียวแค่ยิ้ม สำหรับบางสิ่งบางอย่าง บางทีก็คงต้องให้เขาหมดหวัง เขาถึงจะปล่อยมือไปเอง เธอไม่พูดอะไรอีก และรัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง
“ถ้างั้นก็ได้ ไปกันเถอะ”
เมื่อเฮ่อเทียนบอกว่าพ่อแม่ของเขาอยู่เมือง A มู่เฉียวก็รู้สึกงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่เฮ่อที่อยู่ไกลถึงเมือง A ทำไมจู่ๆถึงไปร่วมงานแต่งงานของมู่หลิงเมื่อวานได้ ?
อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่อง เธอก็ไม่อยากรู้มากเกินไป
เธอลากับหลิวฮั่วแล้ว ทั้งสองคนนั่งเครื่องบินมาถึงตระกูลเฮ่อ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
พ่อแม่เฮ่อได้ยินจากเฮ่อเทียนว่าทั้งสองคนจะมา พวกเขาเลยไม่แปลกใจ และพวกเขายินดีต้อนรับมู่เฉียวอย่างสุภาพ
“คุณชื่อมู่เฉียวใช่ไหม ? ดูสิ เคยเกิดลูกแล้ว แต่รูปร่างยังดูดีมากเลย”
แก้วน้ำในมือของมู่เฉียวสั่นกระเพื่อม แต่ในใจกลับสงบมาก
เธอยิ้มและพูดว่า “คุณน้า คุณชมเกินไปแล้ว ฉันเทียบกับสาวไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เฮ่อเทียนกระแอมออกมาเล็กน้อย “แม่ คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม ?”
แม่เฮ่อชำเลืองมองมู่เฉียว “มู่เฉียว วันนี้ฉันปวดหลัง ลูกสะใภ้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องดูลูก วันนี้คุณมาพอดีเลย ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถช่วยทำอาหารได้รึเปล่า ”
มู่เฉียวเหลือบมองเฮ่อเทียน “ถ้างั้น คุณน้า คุณนั่ง ฉันกับเฮ่อเทียนจะไปทำอาหาร ?”
ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้น และเดินไปทางห้องครั้ง แต่ก็มีเสียงข้างหลังดังมา “เฮ่อเทียน คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อคุณหน่อย”
มู่เฉียวยังยิ้มมุมปากของตัวเอง แต่ก็ไม่พูดอะไร
จากนั้น เธอก็ได้ยินสิ่งของบางอย่างตกลงมา แม้ว่าจะต้องผ่านมาอีกสองสามประตู แต่เสียงนั่นก็ยังอยู่ในหูของเธอ
เธอไม่ได้โง่ และเธอก็ไม่ใช่เด็กที่ประมาท เธอรู้หลักการทั้งหมด เธอรู้ดีถึงผลประโยชน์เล็กน้อยทั้งหมด และเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เธอกับเฮ่อเทียนมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็โชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่อย่างนั้น คงน่าอึดอัดน่าดู
แค่นึกถึงเฮ่อเทียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงสารเขา และลากเขาลงไปในน้ำโคลนนี้อย่างบอกไม่ถูก
เธอทำอาหารเหมือนกับทำงาน เป็นระเบียบและดูไม่รีบร้อน เธอล้างผัก หั่นผัก และทำอาหาร โดยไม่ล่าช้าเลย
แม่เฮ่อนั่งอยู่บนโซฟา และเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา สายตาของลูกชาย พวกเขาไม่เคยสงสัยเลย แต่ว่า คำพูดของคนก็น่ากลัว และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงคำเตือนของชายคนนั้นเมื่อวาน พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องเล่น
ลูกสะใภ้คนโตบอกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นคืออดีตสามีของมู่เฉียว เขาร่ำรวย มีอำนาจ แต่โหดร้ายและไม่มีความรัก
“ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกชายของคุณก็จะอยู่ในความสิ้นหวัง”
เธอหลับตา ก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูกระจกของห้องครัว “มู่เฉียว…………”
มู่เฉียวหันกลับมามองแม่มู่ “คุณน้า คุณปวดเอว คุณควรจะไปนั่งก่อนนะ ดูสิ ฉันเกือบจะทำเสร็จแล้ว”
แม่เฮ่อมองดูจานหกเจ็ดจานที่มีสีสันสวยงาม และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย แต่เพื่อลูกชาย เธอทำได้เพียงขอโทษผู้หญิงคนนี้
ทันใดนั้นเธอหยิบจานหนึ่งขึ้นมาดม “แค่ดมก็รู้ว่าอร่อยมาก สมกับที่เป็นแม่คนแล้ว คนเป็นแม่จะทำได้ดีกว่าหญิงสาวธรรมดามาก”
เห็นได้ชัดว่ามันคือคำชม แต่มู่เฉียวกลับฟังอย่างแข็งกร้าว เธอดึงริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอายและยิ้ม
ต่อมา ทันทีที่เธอทำอาหารเสร็จ เฮ่อเทียนและพ่อก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร แววตาของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้ ลำบากคุณแล้ว”
มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกปากของพวกคุณรึเปล่า”
เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเฮ่อจะจู้จี้จุกจิก แต่ไม่คิดเลยว่า มื้ออาหารจะกลายเป็นคำชมที่หลากหลาย
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวประหลาดใจมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จ
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบอกว่าต้องดูแลลูก แม่เฮ่อก็บอกว่าตัวเองปวดเอว เฮ่อเทียนก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง บอกว่าจะพูดคุยเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่
มู่เฉียวไม่ได้กวนหรือพูดคุยใดๆ และทำหน้าที่ล้างจานโดยอัตโนมัติ
เมื่อล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก เฮ่อเทียนออกมา เดินเข้ามาในห้องครัว และจับมือของมู่เฉียว “ไม่ต้องล้างแล้ว มากับผมเถอะ”
มู่เฉียวไม่สนใจเขา และยังคงล้างจานที่เป็นฟองอยู่
เอ่อเทียนมองดูเธอ “คุณมองไม่ออกเหรอ พวกเขาจงใจทำกับคุณ ? มู่เฉียว”
ในที่สุดมู่เฉียวก็ล้างจานสองสามใบสะอาด และเช็ดเตาอีกครั้ง
จากนั้น เธอก็ผ่านเฮ่อเทียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกระเป๋า และหยิบยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่กินช้าเกินไปจากข้างในออกมา แล้วกางออกบนฝ่ามือของเธอ “เฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจงใจของพวกเขา พวกเราก็เป็นไปไม่ได้หรอก”
เมื่อดวงตาของเฮ่อเทียนเพ่งมองคำว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “นี่มันหมายความว่ายังไง ?”
“เมื่อคืนฉันอยู่กับเขา และพวกเราก็นอนด้วยกันแล้ว”เธอรู้ว่าบาดแผลนี้จะทำให้ชายคนหนึ่งบาดเจ็บจนตายได้ แต่มู่เฉียวก็คงจะยังทำต่อไป
เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยโม่หานไป แต่ระหว่างเธอกลับเฮ่อเทียน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอ ไม่อยากทำร้ายผู้ชายคนนี้
“เพล้ง” แจกันดอกไม้บนโต๊ะถูกโยนขึ้นและกระแทกกับพื้นอย่างแรง มู่เฉียว คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ชายคนนี้คำราม
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ระหว่างผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ? ”เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูปกติ
“เพล้ง” ข้างหลัง ก็มีเสียงดังขึ้นอีก
“เรื่องเมื่อวาน เป็นผมที่ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ผมควรจะพาคุณไปเจอพ่อแม่ของผมก่อน ขอโทษนะ”
มู่เฉียวเม้มริมฝีปาก ก้าวไปข้างหน้าและมองเฮ่อเทียน “เฮ่อเทียน ที่จริงแล้ว………”
“ผมรู้ ตอนนี้ในใจของคุณต้องกำลังโกรธผมแน่ แต่ว่า เสี่ยวเฉียว ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่า ผมไม่เล่นสนุก ผมจริงจัง”
จากนั้น เขาก็เปิดประตูรถและผลักมู่เฉียวเข้าไปในรถ
“เฮ่อเทียน พ่อแม่คุณก็น่าจะรู้ว่าฉันเคยหย่า และเคยเกิดลูกใช่ไหม ?” มู่เฉียวถามหลังจากนั่งรถ เมื่อเธอเห็นเฮ่อเทียนคาดเข็มขัดนิรภัย ตัวเธอก็สั่น ในใจก็รู้ว่า เฮ่อเทียนรักเธอ เธอเชื่อ แต่ใครที่แต่งงาน จะแต่งงานกับแค่คนคนเดียวกันล่ะ ?
เฮ่อเทียนชอบเธออีกครั้ง แต่ว่า พ่อแม่ของเธอต้องไม่มีทางชอบเธอแน่นอน
ลูกชายที่แสนดีขนาดนี้ แต่กลับจะแต่งงานกับผู้หญิงที่เป็นตัวภาระ ผู้หญิงที่เคยหย่า และเธอก็เป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้จะเป็นลูกสาว แต่เธอก็คิดว่าในอนาคตถ้ามู่เสี่ยวโยวแต่งงานกับชายที่เคยหย่าร้างและยังมีลูกอีก เป็นเธอก็คงจะไม่มีวันเห็นด้วยอย่างแน่นอน
เมื่อฟังดู มันอาจจะธรรมดาไปหน่อย แต่ในฐานะพ่อแม่ ใครบ้างไม่ต้องการให้ลูกชายลูกสาวของตัวเองมีคู่ที่เหมาะสม ?
ดังนั้น เธอจึงสามารถเข้าใจพ่อแม่ของเฮ่อเทียนได้เป็นอย่างดี
“พวกเขาจะต้องชอบคุณ”
เฮ่อเทียนยืนกราน แต่มู่เฉียวแค่ยิ้ม สำหรับบางสิ่งบางอย่าง บางทีก็คงต้องให้เขาหมดหวัง เขาถึงจะปล่อยมือไปเอง เธอไม่พูดอะไรอีก และรัดเข็มขัดนิรภัยอีกครั้ง
“ถ้างั้นก็ได้ ไปกันเถอะ”
เมื่อเฮ่อเทียนบอกว่าพ่อแม่ของเขาอยู่เมือง A มู่เฉียวก็รู้สึกงงเล็กน้อย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อแม่เฮ่อที่อยู่ไกลถึงเมือง A ทำไมจู่ๆถึงไปร่วมงานแต่งงานของมู่หลิงเมื่อวานได้ ?
อย่างไรก็ตาม มีบางเรื่อง เธอก็ไม่อยากรู้มากเกินไป
เธอลากับหลิวฮั่วแล้ว ทั้งสองคนนั่งเครื่องบินมาถึงตระกูลเฮ่อ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว
พ่อแม่เฮ่อได้ยินจากเฮ่อเทียนว่าทั้งสองคนจะมา พวกเขาเลยไม่แปลกใจ และพวกเขายินดีต้อนรับมู่เฉียวอย่างสุภาพ
“คุณชื่อมู่เฉียวใช่ไหม ? ดูสิ เคยเกิดลูกแล้ว แต่รูปร่างยังดูดีมากเลย”
แก้วน้ำในมือของมู่เฉียวสั่นกระเพื่อม แต่ในใจกลับสงบมาก
เธอยิ้มและพูดว่า “คุณน้า คุณชมเกินไปแล้ว ฉันเทียบกับสาวไม่ได้ด้วยซ้ำ”
เฮ่อเทียนกระแอมออกมาเล็กน้อย “แม่ คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม ?”
แม่เฮ่อชำเลืองมองมู่เฉียว “มู่เฉียว วันนี้ฉันปวดหลัง ลูกสะใภ้คนอื่นอีกสองคนก็ต้องดูลูก วันนี้คุณมาพอดีเลย ไม่รู้ว่าคุณจะสามารถช่วยทำอาหารได้รึเปล่า ”
มู่เฉียวเหลือบมองเฮ่อเทียน “ถ้างั้น คุณน้า คุณนั่ง ฉันกับเฮ่อเทียนจะไปทำอาหาร ?”
ขณะที่พูด เธอก็ลุกขึ้น และเดินไปทางห้องครั้ง แต่ก็มีเสียงข้างหลังดังมา “เฮ่อเทียน คุณไปที่ห้องหนังสือของพ่อคุณหน่อย”
มู่เฉียวยังยิ้มมุมปากของตัวเอง แต่ก็ไม่พูดอะไร
จากนั้น เธอก็ได้ยินสิ่งของบางอย่างตกลงมา แม้ว่าจะต้องผ่านมาอีกสองสามประตู แต่เสียงนั่นก็ยังอยู่ในหูของเธอ
เธอไม่ได้โง่ และเธอก็ไม่ใช่เด็กที่ประมาท เธอรู้หลักการทั้งหมด เธอรู้ดีถึงผลประโยชน์เล็กน้อยทั้งหมด และเธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่า เธอกับเฮ่อเทียนมันเป็นไปไม่ได้ แต่ก็โชคดี โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังอะไรเลย ไม่อย่างนั้น คงน่าอึดอัดน่าดู
แค่นึกถึงเฮ่อเทียน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกสงสารเขา และลากเขาลงไปในน้ำโคลนนี้อย่างบอกไม่ถูก
เธอทำอาหารเหมือนกับทำงาน เป็นระเบียบและดูไม่รีบร้อน เธอล้างผัก หั่นผัก และทำอาหาร โดยไม่ล่าช้าเลย
แม่เฮ่อนั่งอยู่บนโซฟา และเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตา สายตาของลูกชาย พวกเขาไม่เคยสงสัยเลย แต่ว่า คำพูดของคนก็น่ากลัว และอีกอย่าง เมื่อคิดถึงคำเตือนของชายคนนั้นเมื่อวาน พวกเขาก็ยิ่งไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องเล่น
ลูกสะใภ้คนโตบอกเธอว่า ผู้ชายคนนั้นคืออดีตสามีของมู่เฉียว เขาร่ำรวย มีอำนาจ แต่โหดร้ายและไม่มีความรัก
“ถ้าหากพวกเขาอยู่ด้วยกันแล้ว ลูกชายของคุณก็จะอยู่ในความสิ้นหวัง”
เธอหลับตา ก้าวไปข้างหน้า และเปิดประตูกระจกของห้องครัว “มู่เฉียว…………”
มู่เฉียวหันกลับมามองแม่มู่ “คุณน้า คุณปวดเอว คุณควรจะไปนั่งก่อนนะ ดูสิ ฉันเกือบจะทำเสร็จแล้ว”
แม่เฮ่อมองดูจานหกเจ็ดจานที่มีสีสันสวยงาม และดวงตาของเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นประกาย แต่เพื่อลูกชาย เธอทำได้เพียงขอโทษผู้หญิงคนนี้
ทันใดนั้นเธอหยิบจานหนึ่งขึ้นมาดม “แค่ดมก็รู้ว่าอร่อยมาก สมกับที่เป็นแม่คนแล้ว คนเป็นแม่จะทำได้ดีกว่าหญิงสาวธรรมดามาก”
เห็นได้ชัดว่ามันคือคำชม แต่มู่เฉียวกลับฟังอย่างแข็งกร้าว เธอดึงริมฝีปากของเธอด้วยความเขินอายและยิ้ม
ต่อมา ทันทีที่เธอทำอาหารเสร็จ เฮ่อเทียนและพ่อก็เดินออกมาจากห้องหนังสือ เมื่อมองไปที่โต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร แววตาของเขาก็รู้สึกเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้ ลำบากคุณแล้ว”
มู่เฉียวส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ไม่รู้จะถูกปากของพวกคุณรึเปล่า”
เดิมทีเธอคิดว่าตระกูลเฮ่อจะจู้จี้จุกจิก แต่ไม่คิดเลยว่า มื้ออาหารจะกลายเป็นคำชมที่หลากหลาย
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวประหลาดใจมาก
หลังจากทานอาหารเสร็จ
สะใภ้ใหญ่และสะใภ้รองบอกว่าต้องดูแลลูก แม่เฮ่อก็บอกว่าตัวเองปวดเอว เฮ่อเทียนก็ถูกเรียกเข้าไปในห้องหนังสืออีกครั้ง บอกว่าจะพูดคุยเรื่องที่ยังพูดค้างอยู่
มู่เฉียวไม่ได้กวนหรือพูดคุยใดๆ และทำหน้าที่ล้างจานโดยอัตโนมัติ
เมื่อล้างไปได้ครึ่งหนึ่ง ประตูห้องหนังสือก็เปิดออก เฮ่อเทียนออกมา เดินเข้ามาในห้องครัว และจับมือของมู่เฉียว “ไม่ต้องล้างแล้ว มากับผมเถอะ”
มู่เฉียวไม่สนใจเขา และยังคงล้างจานที่เป็นฟองอยู่
เอ่อเทียนมองดูเธอ “คุณมองไม่ออกเหรอ พวกเขาจงใจทำกับคุณ ? มู่เฉียว”
ในที่สุดมู่เฉียวก็ล้างจานสองสามใบสะอาด และเช็ดเตาอีกครั้ง
จากนั้น เธอก็ผ่านเฮ่อเทียนเดินไปที่ห้องนั่งเล่น เปิดกระเป๋า และหยิบยาคุมกำเนิดฉุกเฉินที่กินช้าเกินไปจากข้างในออกมา แล้วกางออกบนฝ่ามือของเธอ “เฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการจงใจของพวกเขา พวกเราก็เป็นไปไม่ได้หรอก”
เมื่อดวงตาของเฮ่อเทียนเพ่งมองคำว่ายาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที “นี่มันหมายความว่ายังไง ?”
“เมื่อคืนฉันอยู่กับเขา และพวกเราก็นอนด้วยกันแล้ว”เธอรู้ว่าบาดแผลนี้จะทำให้ชายคนหนึ่งบาดเจ็บจนตายได้ แต่มู่เฉียวก็คงจะยังทำต่อไป
เธอรู้ดีว่าถึงแม้ว่าจะไม่มีโม่หาน ถึงแม้ว่าเธอจะปล่อยโม่หานไป แต่ระหว่างเธอกลับเฮ่อเทียน มันก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เธอ ไม่อยากทำร้ายผู้ชายคนนี้
“เพล้ง” แจกันดอกไม้บนโต๊ะถูกโยนขึ้นและกระแทกกับพื้นอย่างแรง มู่เฉียว คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ชายคนนี้คำราม
มู่เฉียวขมวดคิ้ว “ระหว่างผู้ใหญ่ เรื่องแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่รึไง ? ”เธอพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองฟังดูปกติ
“เพล้ง” ข้างหลัง ก็มีเสียงดังขึ้นอีก
นั่นเป็นเสียงแก้วในมือของแม่เฮ่อที่ตกลงสู่พื้น มู่เฉียวหลับตา เธอรู้ว่านี่คือจุดจบของเธอกับเฮ่อเทียน ถึงแม้ว่าตอนจบนี้มันจะโหดร้าย แต่มันก็ได้ผลที่สุด
เธอค่อยค่อยกำมือของตัวเองและเอายาคุมกำเนิดเก็บเข้าไปใส่ในกระเป๋า เงยหน้าขึ้นมองเฮ่อเทียน จากนั้นก็มองไปที่พ่อแม่เฮ่อที่ตกตะลึง เธอโค้งตัวเล็กน้อย “คุณน้า คุณลุง ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”
เมื่อเธอจากไป เฮ่อเทียนไม่ได้เดินตามเธอมา เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อเธอไปถึงข้างถนน ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไป ก็มีรถคันหนึ่งจอดอยู่ข้างเธอ
กระจกเลื่อนลง
ใบหน้าที่คุ้นเคยของชายคนนั้นปรากฏ และเสียงที่เย็นชาก็ดังขึ้น “ขึ้นรถ”
มู่เฉียวลังเล และมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาตามหลังเธอ
เธอเปิดประตูข้างคนขับอย่างเด็ดขาด และเข้าไปนั่ง จากนั้นก็คล้องคอของโม่หานมาจูบที่ริมฝีปากของเขา ชายคนนี้ตกใจ จากนั้นก็ยกมือใหญ่ของเขา คว้าเอวของเธอและใช้แรงยกหญิงสาวมานั่งอยู่บนตักของเขา
ท่านี้มันดูน่าอายมาก แต่ท่านี้มันก็คลุมเครือมากเช่นกัน
ชายคนนี้โน้มตัวลง และจูบให้ลึกซึ้งขึ้น
เวลาหยุดนิ่ง ณ เวลานี้ ชะตากรรมถูกเขียนใหม่อีกครั้ง
มู่เฉียว คุณได้ทำลายโอกาสหนีของคุณด้วยตัวเองอีกครั้ง
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากยืนยันว่าคนด้านนอกไปแล้ว โม่หานก็ปล่อยเธอ แต่สีหน้าของเขากลับดำคล้ำ
“มู่เฉียว คุณชอบเขาเหรอ ?” เขามองดูมู่เฉียวด้วยน้ำตาคลอเบ้า ดวงตาแสดงความหึงหวงอย่างเห็นได้ชัด
ชอบ ? ธรรมชาติก็ชอบคนสวย คนสวยใครจะไม่ชอบล่ะ ? เธอหันศีรษะไปมองโม่หาน “ความชอบจะมีประโยชน์อะไร ? ผู้หญิงที่เคยหย่าร้างและยังให้กำเนิดลูกอีก จะคู่ควรกับคนอื่นได้อย่างไรล่ะ ?”
พูดเสร็จ เธอก็หลับตาลง เธออดไม่ได้ที่จะพูดอยู่ในใจมันอึดอัดจริงๆ
คำพูดและการกระทำของพ่อแม่เฮ่อ ทำให้เธอตระหนักได้อย่างชัดเจนอีกครั้งว่าสถานการณ์ของเธอในตอนนี้ เหมือนกับคำพูดของแม่ของเธอ ที่โดนทำลายโดยตระกูลโม่
โม่หานคิดว่า เธอกำลังร้องไห้ให้กับเฮ่อเทียน เขายกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอและพูดว่า “ไม่ต้องร้องไห้แล้ว”
สิ่งที่เขาสั่ง ในความเป็นจริง คือโกรธจนแทบจะเป็นบ้าแล้ว
ผู้หญิงที่เขารัก แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกับหลั่งน้ำตาให้กับชายคนอื่น
มู่เฉียวสูดหายใจ “โม่หาน คุณเห็นฉันโดนรังเกียจขนาดนี้ คุณมีความสุขมากใช่ไหม ? ความรู้สึกของความสำเร็จที่ไม่เหมือนใคร ?”
พูดจบ เธอก็หันศีรษะมองออกไปข้างนอกถอนหายใจอย่างโล่งใจ จากนั้น เธอก็ต้องการดึงประตูและลงจากรถ แต่กลับถูกชายหนุ่มโน้มตัวลงมาและขาดเข็มขัดนิรภัยให้เธอ
มู่เฉียวขมวดคิ้วและหงุดหงิดเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะไม่ได้รักเฮ่อเทียน แต่ว่าก็ยังมีมิตรภาพอยู่ การจบแบบนี้ ทำให้เธอรู้สึกแย่อยู่ภายในใจ “คุณจะทำอะไร ฉันจะลงรถ”
“ตึกชั้นบนสุดฝั่งตรงข้าม สามารถมองเห็นวิวมุมกว้างของทุกสิ่งที่อยู่ข้างถนน คุณแน่ใจเหรอว่าคุณจถลงจากรถตอนนี้ ?”
มู่เฉียวขาดเข็มขัดนิรภัย และมองไปที่โม่หาน มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่มีธุระอะไรแล้วผ่านมาที่นี่ ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ เขากำลังสะกดรอยตามเธอหรือไม่ก็เฮ่อเทียน
เลื่อนกระจกรถขึ้น เมื่อวานคุณไปหาพ่อแม่ของเฮ่อเทียน ? ไม่อย่างนั้น พวกเขาจะมาทันเวลาขนาดนั้นได้อย่างไร
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร และสตาร์ทเครื่องยนต์
ทันทีที่เหยียบคันเร่ง รถก็แล่นออกไปไกล
ในที่สุดรถก็มาจอดที่หน้าคฤหาสน์ และชายหนุ่มก็พูดว่า “มื้อค่ำ คงทานไม่อื่มใช่ไหม ? ผมพาคุณไปหาอะไรทาน” ในขณะนี้รถก็แล่นออกไปไกลแล้ว
มู่เฉียวรู้จักที่นี่ ครั้งแรกที่พ่อแม่ทั้งสองฝ่ายได้พบกัน ดูเหมือนก็จะเป็นที่นี่ แต่ว่า วันนี้ สถานที่ก็ยังอยู่เหมือนเดิมแต่คนกลับเปลี่ยนไป
เธอหิวมากจริงๆ และเธอไม่อยากถูกตามใจ เธอลงจากรถและเดินเข้าไปคนละที่กับโม่หาน
ผู้คนข้างในต่างประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นเขาเข้ามาพร้อมกับหน้าใหม่
โม่หานสั่งอาหารอย่างเชี่ยวชาญ
เดิมทีมู่เฉียวกำลังเล่นโทรศัพท์ เมื่อได้ยินเข้าสั่งอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆ และบังเอิญสบตากับโม่หานพอดี
เขาสั่งอาหารที่เธอชอบทั้งนั้นเลย นี่เป็นเรื่องบังเอิญเหรอ ?
ชายหนุ่มถอนสายตาและมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง “มู่เฉียว คุณเชื่อผมไหม ?”
เสียงสะท้อนก้องอยู่ในหู
มู่เฉียวอยากจะตอบว่า ไม่เชื่อ
เพราะคำพูดของคุณมันนับอะไรไม่ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
โม่หาน
แต่ก็ไม่ได้แกล้งอะไรเธอ อาหารเสิร์ฟเร็วมาก หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว โม่หานก็หยิบจานมาแกะเปลือกกุ้งและดึงก้างปลาออก เขาทำทุกอย่างอย่างราบรื่น ถ้าหากไม่ใช่ว่าพวกเขารู้จักกันดี มู่เฉียวยังคิดว่า ทั้งหมดนี้เป็นความฝัน
“ต่อไปนี้ อย่าคิดไปแต่งงานกับคนอื่น พวกเรายังไม่ได้หย่ากัน”
ตะเกียบในมือของเธอหล่นลงไปที่พื้น มู่เฉียวเงยหน้ามองโม่หานอย่างตกตะลึง “คุณหมายความว่าอะไร ?”
ชายหนุ่มนำกุ้งมาใส่ในจานของเธอ แล้วตอบคำถามของเธอด้วยท่าทีที่สงบ “ความหมายตามคำพูดข้างบน”
มู่เฉียวปิดปากของเธอ บอกตามตรง นี่มันเกินความคาดหมายของเธอจริงๆ
“ทำไมถึงยังไม่หย่ากันล่ะ ? ตระกูลโม่ไม่ได้บอกว่า พวกเราหย่ากันแล้วเหรอ ?”
ชายหนุ่มทุบตะเกียบลงพื้น สีหน้าเคร่งขรึม “คุณอยากหย่าขนาดนั้นเลยเหรอ ?
มู่เฉียวสูดหายใจ เธอไม่อยาก แต่เธอสามารถพูดปฏิเสธได้ด้วยเหรอ ?
“ฉันก็ไม่อยากหย่า แต่ประเทศของพวกเรามีกฎหมาย ห้ามมีภรรยาหลายคนใช่ไหม ? คุณกับคุณเหอ คุณไม่ต้องการแล้วเหรอ ?”
โม่หานไม่พูดอะไร แต่หัวใจของมู่เฉียวกลับเย็นชา เธอเม้มปาก ในใจรู้สึกผิดหวังและขุ่นเคือง
“ในเมื่อยังไม่หย่า ถ้างั้นก็ไปหย่าปะ !โม่หาน ถ้าหากคุณให้อนาคตกับฉันไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ชีวิตของฉัน คุณช่วยเลิกยุ่งกับมันได้ไหม เมื่อก่อนนั้นคือความผิดพลาด ในเมื่อได้รับการแก้ไขแล้ว ก็อย่าทำผิดพลาดอีกเลย ตกลงไหม ? ฉันขอร้องคุณล่ะ อยู่ให้ห่างจากฉันหน่อย”
น้ำเสียงที่อ้อนวอนของเธอยิ่งน่ารำคาญ เธอพบว่า ตราบใดที่เธอยังได้พบกับผู้ชายคนนี้ ชีวิตของเธอก็จะยุ่งเหยิงแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ
ชายหนุ่มไม่พูดอะไร แววตาของเขามองไปข้างหน้า
อาหารมื้อนี้ ในที่สุดมันก็จบลงด้วยความเงียบ
หลังจากทานอาหารเสร็จ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว
โม่หานพาเธอเข้าไปยังในเมือง
มู่เฉียวมองเขา ข้างหน้านั้นก็คือโรงแรม คุณปล่อยฉันไปเถอะ
ชายหนุ่มเชื่อฟัง เลี้ยวรถไปด้านขวา และหยุดลงที่ข้างถนนจริงๆ แต่ยังล็อกประตูไว้
“โม่หาน นี่คุณหมายความว่าอะไร ?”
“มู่เฉียว คุณรอผมสักครู่”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของมู่เฉียวดูมีชีวิตชีวาขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ถามออกไปว่า “คุณหมายความว่าอะไร ?”
ชายหนุ่มหันศีรษะมา ความอ่อนโยนในดวงตาของเขา ทำให้หูของมู่เฉียวแดงก่ำชั่วขณะ โม่หานที่เป็นแบบนี้ทำให้เธอนึกถึงเรื่องราวเมื่อสองสามปีก่อน
เธอก้มศีรษะลงด้วยความตื่นตระหนก
ในขณะนี้ เสียงคลายล็อกประตูก็ดังขึ้น “แกร็ก”
คุณลงรถไปเถอะ ?
เอ๊ะ ?
“ลงรถ !”
แม่ตักซุปถ้วยหนึ่งส่งมาให้เธอ “ถึงได้บอกไง ว่าเมืองใหญ่นี้มีอะไรดี พูดถึงเพื่อนบ้าน นี่เราย้ายมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยังไม่เจอหน้ากันเลย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองa เพื่อนบ้านคนนั้น……”ทันใดนั้นแม่ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป
การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวที่กัดซาลาเปา ชะงักไปเล็กน้อย ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ ในเมืองbแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ดีกินดีแค่ไหน จะเป็นสวรรค์วิมานก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตัวเอง พ่อกับแม่เป็นคนเมืองa อายุยิ่งมากก็ยิ่งคิดถึง
บางที เธออาจต้องพิจารณาที่จะกลับเมืองaแล้ว
“แล้วฤกษ์วันงานของมู่หลิงกับเซี่ยหยูกำหนดมาแล้วหรือยังคะ?”
พ่อเดินออกมาจากห้อง “เรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยเป็นคนจัดการ เฮ้อ นี่ได้คู่ครองที่เหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก ทั้งๆที่ลูกชายสู่ขอสะใภ้ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าแต่งลูกสาวออกไปเลย?”
มู่เฉียวตักซุปไปให้พ่อ ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าให้มู่เสี่ยวโยว “พวกคุณทั้งสองคนสบายดีก็พอแล้ว ให้พ่อได้กลุ้มใจน้อยลง พ่อกลับไม่ดีใจ ยังจะบ่นอยู่อีก”พูดจบ ก็เดินเข้าห้อง
เห็นว่ามู่เสี่ยวโยวตื่นแล้ว กำลังสวมชุดกระโปรงสีขาวเมื่อคืน เธอขมวดคิ้ว “เสี่ยวโยว ไปโรงเรียน ใส่ชุดนี้ไม่ได้ เวลาเข้าห้องน้ำจะไม่สะดวก”
มู่เสี่ยวโยวกอดชุดนั้นไว้ “แม่คะ หนูใส่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว นะคะ?”
มู่เฉียวแตะปลายจมูกที่เล็กกระทัดรัดของเธอ “เสี่ยวโยวของเรารักสวยรักงามแล้วเหรอ?”
พูดไป ก็ขยี้ผมเธอ
“แม่ หนูไม่ได้รักสวยรักงาม หนูแค่อยากให้เพื่อนเห็น ว่านี่เป็นของขวัญที่พ่อส่งมาให้จากบนฟ้า”
หัวของมู่เฉียว นิ่งไปเล็กน้อย “เสี่ยวโยว…..”
“แม่ ใส่แค่ครั้งเดียว ได้ไหมคะ? หนูจะไม่ทำมันสกปรกแน่นอน นี่เป็นชุดที่พ่อซื้อให้”
เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของเธอ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไร
บางทีเธออาจประเมินความปรารถนาของลูกที่ต้องการพ่อต่ำเกินไป การหย่าร้าง ทั้งชายและหญิงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงว่าเป็นการทำร้ายลูก เธอสามารถเพิ่งความขยันของเธอให้ของทุกชิ้นที่เธอต้องการกับเธอได้ แต่กลับไม่สามารถให้ความรักของพ่อได้
พอถึงโรงเรียน เธอเรียกครูสองคนออกไปนอกห้อง อธิบายสถานการณ์นี้กับครู
อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่ทุกคนเข้าใจดี ว่าสวรรค์ หมายถึงอะไร?
“คุณแม่เสี่ยวโยว ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพ่อของเสี่ยวโยว….. ครั้งที่แล้วพูดถึงเรื่องฉันรักพ่อ ฉันยังให้เสี่ยวโยวบรรยายลักษณะพ่อของเธอ”พูดถึงตรงนี้ ครูท่านหนึ่งก้มหน้าลง รู้สึกอึดอัด
มู่เฉียวเม้มปาก “แล้วเธอ ตอบว่ายังไง?” จู่ๆเธอก็อยากรู้ว่าในสายตาของมู่เสี่ยวโยว โม่หานจะเป็นคนยังไง?
ครูสูดหายใจเข้า แล้วตอบกลับ “เธอบอกว่า พ่อของเธอหล่อมาก เหมือนอุลตร้าแมน”
ตอนนั้นครูรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้กับคำตอบนี้ แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็รู้สึกเศร้ามาก และอดไม่ได้ที่จะโค้งคำนับมู่เฉียว “ขอโทษจริงๆนะคะ ต่อไป ฉันจะระวัง เสี่ยวโยวเธอ……”
มู่เฉียวน้ำตาคลอแล้ว ทันใดนั้นเธอพูดขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ ที่จริงพ่อของเธอยังอยู่ เพียงแต่เราหย่ากันแล้ว” เธอหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง
พอถึงบริษัท ตู้เสี่ยวซินเห็นว่าอารมณ์เธอไม่ค่อยดี ก็เข้าไปถาม “นี่ใครมายั่วเทพธิดาของเรากัน?”
ตู้เสี่ยวซินมาทำงานที่บริษัทภายใต้การโน้มน้าวของมู่เฉียว หันเหความสนใจจากหลิวฮั่วแล้ว อาการหึงหวงก็เริ่มกลายเป็นปกติ
มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “รอมู่หลิงแต่งงานแล้ว ฉันอยากพาเสี่ยวโยวกับพ่อแม่กลับเมืองa” ก่อนหน้านี้เธอมีความคิดแบบนี้ในใจเท่านั้น แต่ พอไปโรงเรียนของเสี่ยวโยว เธอจึงได้ตัดสินใจ
เธอตัดสินใจว่า หลังจากกลับเมืองa เธอจะให้เสี่ยวโยวเจอกับโม่หาน ไม่ว่าระหว่างพวกเธอจะเป็นยังไง แต่ลูกต้องการพ่อ มันเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของโม่หาน
ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างตกใจ “มาๆ ขอเหตุผลหน่อย”
มู่เฉียวมองเธอ อ้าปากกำลังจะพูด
“เพราะโม่หานใช่ไหม ใช่ไหม?”
มู่เฉียวมองเธอ “อืม เพื่อเสี่ยวโยวและพ่อกับแม่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ควรหวนคืนสู่รากเหง้าไม่ใช่เหรอ?”
ตู้เสี่ยวซินนั่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอโดยตรง เลื่อนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง และวางโทรศัพท์ไว้ข้างหน้ามู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ เธอดูสิ ผู้ชายแบบนี้ เธอแน่ใจเหรอ ว่าเขาจะเป็นพ่อที่ดีได้ เธอไม่ได้ฟังที่หลิวฮั่วประเมินเขา เขาบอกว่าตอนนี้โม่หานอยู่เมืองa นั่นคือเพชฌฆาต มีหลายบริษัท และหลายคนที่ถูกระงับช่องทางทำมาหากินเพราะเขา เขาไม่มีหัวใจ เธอเฝ้ารอเขามาตั้งหลายปี แล้วเขาล่ะ? เคยถามถึงพวกเธอสองคนแม่ลูกไหม?”
มู่เฉียวไม่พูด สิ่งที่ตู้เสี่ยวซินพูดเป็นความจริง
“ฉันแค่อยากให้มู่เสี่ยวโยวรู้ว่าเขาเป็นใคร?”
“คนอื่นเขาอาจจะไม่รับก็ได้? สถานะตอนนี้ของเขา ผู้หญิงหยิ่งยโสที่อยู่เบื้องหลังพวกนั้น เรียงต่อแถวยาวเป็นมังกร เพียงแค่เขาชอบ มีเด็กแบบไหนที่จะคลอดออกมาไม่ได้? เขาไม่มีทางสนใจมู่เสี่ยวโยวหรอก”
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แต่มันเป็นความจริงที่มู่เฉียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับที่บางครั้งสมองก็จะปรากฏให้เห็นภาพการกระทำเลวๆของผู้ชายคนนั้นที่เคยทำขึ้นมาให้เห็น
“เธอหาพ่อเลี้ยงสักคนให้มู่เสี่ยวโยวสิ เด็กคนนี้ยังเด็ก พอเวลานานเข้า มีความรู้สึกแล้ว เขาก็จะยอมรับได้เอง”
“เธอรู้อยู่แก่ใจ”
“เธอรู้อยู่แก่ใจ หรือเป็นเธอเองมู่เฉียวที่ไม่เคยลืมเขาเลยตั้งแต่แรก?เธอน่ะ เข้ากับคำว่าผู้ชายไม่เลว ผู้หญิงไม่รักจริงๆ โม่หานคนนี้ แย่มาก เธอ……”
มู่เฉียวไม่พูด พูดให้ถูก ก็คือพูดไม่ออก
งานแต่งของลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย เรียกความวุ่นวายที่เมืองbได้ไม่น้อย
ระหว่างนักธุรกิจ ต้องมีการติดต่อกันอยู่แล้ว
ตอนโม่หานซึ่งอยู่เมืองaที่ห่างไกลได้รับคำเชิญ สายตาก็นิ่งลง
“พี่คะ วันนั้น พี่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันได้ไหม?”จู่ๆเซี่ยหยูก็มาหามู่เฉียว
มู่เฉียวชอบเซี่ยหยูจากใจจริง ผู้หญิงคนนี้ ใสซื่อ ใจดี
เธอยิ้มบางๆ “อย่าพูดเหลวไหล ผู้หญิงที่หย่าร้างมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณ คุณไม่กลัวจะโชคร้ายเหรอ”
เซี่ยหยูกลับขมวดคิ้ว “พี่ ฉันกับมู่หลิงใช้ชีวิตด้วยกัน ฉันไม่เคยเชื่อ พวกไสยศาสตร์ พี่เองก็ได้รับการศึกษาสูง ทำไมถึงได้เชื่อข้อบังคับพวกนี้กันนะ”
มู่เฉียวไม่มีเหตุผลขึ้นมาทันที
“คุณเป็นพี่สาวของมู่หลิง ก็เป็นพี่สาวของฉันด้วย ถ้าพี่ได้อยู่เป็นเพื่อนฉันตอนแต่งงาน ฉันกับมู่หลิงจะมีความสุขมาก”
เมื่อพูดถึงขนาดนี้ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้อีก?
วันแต่งงาน มู่เฉียวตื่นแต่เช้า แต่งหน้าอยู่กับเซี่ยหยู ลองชุดออกงาน ปกติเซี่ยหยูจะเป็นคนที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่น พอแต่งตัวแบบนี้ ก็สวยมากจนเทียบไม่ติด
“สายตาของน้องชายฉันไม่เลวจริงๆ” เธอพูด
เซี่ยหยูเขินอายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น มู่หลิงก็ดูดีกว่า”
พูดตามตรง คนนอกพูดแต่ว่าลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย โง่เล็กน้อย สมองไม่ชัดเจน มีผู้ชายตั้งมากให้เธอเลือก กลับไปเลือกชายยากจนคนหนึ่ง แต่ว่า มีแต่มู่เฉียวที่เข้าใจ ว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เธอแต่งให้มู่หลิง ก็คือแต่งให้กับความรัก
นึกถึงเมื่อคืนที่น้องชายของเธอตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เธอก็รู้ว่า เซี่ยหยูเลือกไม่ผิด
แต่ เธอกลับไม่รู้มาก่อนว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตที่สงบของเธอ กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
มู่เฉียว คุณลืมตาดูนี่สิ นี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณใจเต้น และนี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณเสียใจจนร้องไห้
มือของชายคนนี้เอื้อมไปด้านหลังของเสื้อคลุมมู่เฉียว ได้ยินเสียง “กึก” จากนั้นซิปด้านหลังก็ถูกคลายออก
มู่เฉียวเห็นลูกกระเดือกของชายคนนี้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง และความตื่นเต้นในตาของเขาก็ทำให้มู่เฉียวพ่ายแพ้
“ยังไงซะฉันก็อยู่คนเดียว แต่ว่า ประธานโม่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจึงตบมือเสียงดัง ประธานโม่ไม่อยากคิดเหรอว่าคุณจะอธิบายคุณเหอยังไง ?”
ริมฝีปากของโม่หานเลื่อนลงมาที่คอและไหล่ของเธอ และหายใจหอบอยู่บนร่างของเธอ เขาหายใจหอบ ในเวลานี้ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และไม่สนจะคิดอะไรแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการผู้หญิงคนนี้
“มู่เฉียว คุณเป็นห่วงผม ใช่ไหม ?”
มู่เฉียวไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ เขาทั้งร้อนและเย็น ดังนั้น เธอจึงไม่กล้าตอบเขา เธอกลัวว่าคำตอบของเธอนั้นจะเป็นการเย้ยหยัน
“คุณผิดแล้ว คนที่ฉันเป็นห่วง อยู่ข้างนอก ”
อยู่ข้างนอก ? เฮ่อเทียน ?
ชายคนนี้กัดไปที่คอของเธอ “คุณลองพูดอีกครั้ง”
“ถ้าวันนี้คุณกล้าแตะต้องฉัน โม่หาน ฉันจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต ”เมื่อเธอเลื่อนมือไปที่เอวของชายคนนี้
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในใจกลับประหม่ามาก เธอยังรู้จักโม่หานไม่ดีพอ เธอยิ่งไม่เข้าใจ ความเกลียดชังของตัวเอง จะสามารถระงับสัญชาตญาณดิบของชายคนนี้ได้รึเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน น้ำหนักบนร่างกายของเธอก็เบาลง ชายคนนี้ยืดตัวขึ้นจากร่างของเธอ มือทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ ศีรษะของเขาห้อยลงมาเล็กน้อย มู่เฉียวไม่เห็นการแสดงออกของเขา แต่กลับได้ยินเสียงหายใจที่ถี่ขึ้นของเขา
“ออกไป”เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง มู่เฉียวก็ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ อยากถามเขาว่าไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? จากนั้น เมื่อนึกถึงบางอย่าง มือก็ค้างอยู่กลางอากาศ
เธอเดินไปทางประตูสองสามก้าว เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเตรียมที่จะจากไป
แต่ไม่คิดเลยว่า มือเธอกลับถูกดึงไว้
เธอตกใจอุทาน “คุณ……คุณทำอะไร ?”
ชายคนนี้หลับตา เอียงศีรษะไปด้านข้าง และบังคับตัวเองไม่ให้ดูผิวขาวที่อ่อนโยน และมือทั้งสองข้างก็ดึงซิปที่ด้านหลังเธอออก
จากนั้น ก็หันหลังไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างห้องน้ำ
“ก๊อกก๊อก……..”เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา พี่สาว คุณอยู่ข้างในรึเปล่า ?
ในขณะที่มู่เฉียวกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็นึกถึงโม่หานที่อยู่ในห้องน้ำ และนึกถึงเหอเจี๋ยที่อยู่ในที่จัดงาน ถ้าหากให้เธอรู้ว่า เธออยู่กับคู่หมั้นของตัวเอง ถ้างั้น……….
เธอเม้มปาก กลับไปที่หน้าประตูห้องน้ำ และกระซิบเสียงเบาว่า “เอ่อ คุณ……..ยังโอเคไหม ?”
เวลาผ่านไปนานกว่าเสียงของชายคนนี้จะดังออกมา “คุณคิดว่ามันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว และค่อยค่อยเข้าใจอะไรบางอย่าง หน้าเธอแดงก่ำ
“ฉัน……..จะพาเธอออกไปก่อน”
พูดจบ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เธอเดินไปที่กระจก ตรวจเช็กเครื่องสำอาง จากนั้นก็เปิดประตู ทันทีที่เปิดประตูเซี่ยหยูก็รีบเข้ามา “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน กระโปรงนี้มันยาวเกินไป ยุ่งยากจริงๆ”
มู่เฉียวปิดปาก และคว้าเซี่ยหยูไว้ “เซี่ยหยู นั่นมัน………….”
“พี่สาว มีเรื่องอะไร เดี๋ยวค่อยพูดนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ?”
จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “พี่สาว คุณช่วยฉันถอดนี่ออกมา แล้วสวมใส่ใหม่ได้ไหม ?”
มู่เฉียวรู้ว่าเซี่ยหยูใส่ชุดเกาะอก เมื่อคิดถึง“ธรรมชาติของผู้ชาย“คนนั้นที่อยู่ข้างในยังไม่ดับ มู่เฉียวก็ยิ้มแห้งๆ มีเจ้าสาวที่ไหนถอดชุดแต่งงานออกมาครึ่งหนึ่ง ? มันไม่เป็นมงคล เธอมากับฉัน พวกเราไปห้องน้ำอื่นกันเถอะ ที่ใหญ่หน่อย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอ
ขณะที่พูด เธอก็ดึงเซี่ยหยูออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อประตูปิดลง เธอก็แอบถอนหายใจออกมา
หลังจากพาเซี่ยหยูไปที่ห้องน้ำแล้ว มู่เฉียวก็ไปที่ห้องรับรองนั่งพักสักครู่ และไม่ได้กลับไปที่ห้องเปลี่ยน
เสื้อผ้า เมื่อเธอเดินไปที่โถงด้านหน้า เธอก็เห็นโม่หานกลับมาเย่อหยิ่งเป็นปกติแล้ว และถูกล้อมไปด้วยผู้คน
เธอมองไม่เห็นเลยว่า เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ริมฝีปากเธอ เธอก็คงยังคิดว่าตัวเองฝันไป
หลังจากงานแต่งงาน สายตาของชายคนนนั้นก็ไม่หยุดอยู่ที่เรือนร่างของมู่เฉียว
มู่เฉียวไม่อยากสนใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอหลงทางแล้วในใจของเธอก็ว่างเปล่า แม้แต่เสียงเรียกของเฮ่อเทียนที่เรียกเธอ เธอก็ยังไม่ได้ยิน………..
จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นบนไหล่ของเธอ สติของเธอถึงกลับมา เธอมองไปที่เฮ่อเทียน และเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “คุณ เมาแล้ว ?”
เฮ่อเทียนนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะ และหยิบไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ “เปล่า ก็แค่น้องชายแต่งงานแล้ว ฉันก็แค่รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย ?”
มุมปากของเฮ่อเทียนกระตุกขึ้น และมองไปที่มู่เฉียว ด้วยสายตาที่สงสัย อันที่จริงในใจของเขารู้ดีว่า มู่เฉียวเป็นอะไร ?
“น้องชายก็แต่งงานแล้ว คุณเป็นพี่สาว ไม่อยากคิดพิจารณาหน่อยเหรอ ?”
“คิดพิจารณา ? คิดเรื่องอะไร ?”
ทันใดนั้นเฮ่อเทียนก็คว้ามือของมู่เฉียว “มู่เฉียว หนึ่งปีมานี้ คุณยังพิจารณาไม่พออีกเหรอ ?”
มู่เฉียวหายใจเข้า และอยากดึงมือออก แต่เฮ่อเทียนกลับไม่ปล่อย เห็นได้ชัดว่าคืนนี้เขาดื่มไปมาก มู่เฉียวรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเหตุผลกับเขา
“เฮ่อเทียน คุณเมาแล้ว”
เฮ่อเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ ผมไม่ได้เมา ในใจของผมชัดเจนกว่าตอนไหน มู่เฉียว ผมสาบานได้ว่า ผมจะดีกับคุณชั่วชีวิต กับเสี่ยวโยวผมก็จะดีด้วย ทำไมคุณไม่ให้โอกาสผมอีกสักครั้งล่ะ ?”
อย่างที่เขาพูด ทันใดนั้นเขาก็นั่งลงข้างข้างมู่เฉียว เสี่ยวเฉียว ทุกคนล้วนมองเห็น ความรักที่ผมมีต่อคุณ
ทำไมมีแต่คุณที่มองไม่เห็นมัน คุณรู้ไหมว่าข้างในใจผมมันแย่แค่ไหน ผมเฮ่อเทียน หลายปีมานี้ ผมรู้สึกเสมอว่าถ้าผมอยากจะได้อะไร ผมก็ต้องพยายามไม่มีอะไรที่เอามาไม่ได้ แต่มีเพียงคุณ มีเพียงแค่ใจของคุณเท่านั้น ผมพยายามอย่างเต็มที่ ผมยินดีกับทุกทุกอย่าง แต่คุณกลับไม่เห็นมัน
มู่เฉียวลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เฮ่อเทียน ฉัน……….ฉันจะไปรินน้ำมาให้คุณ” เมื่อเธอพูด ก็เตรียมจะลุกไป แต่ เฮ่อเทียนกลับดึงเธอไว้ “มู่เฉียว คุณบอกผมมา ผมควรจะทำอย่างไรดี คุณถึงจะตอบตกลงผม ?”
เสียงของเขาค่อนข้างดัง และรีบเร่งเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเซี่ยหยูและมู่หลิง และคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนชนชั้นสูง เนื่องจากลักษณะพิเศษของงานแปล จึงทำให้หลายคนรู้จักมู่เฉียว
เฮ่อเทียนไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับโม่หาน แต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่โต ก็จะมีสายตาจับจ้องมองมาที่เขา
ในที่นั้นรวมถึงโม่หานด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจกับคนที่พูดคุยอยู่ตรงหน้า แต่ระหว่างคิ้วของเขา กลับซ่อนความอึดอัดและความกังวลใจในดวงตาของเขา
นิ้วมือในกระเป๋ากางเกงของเขากำลังลั่น
“พี่สาว ฉันไม่เป็นไรแล้ว คุณมาเถอะ ?”
มู่เฉียวยิ้มเบาๆ แต่ก็ไม่สามารถดึงความสนใจได้มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังรู้สึกเหงาเล็กน้อย
จนกระทั่งตอนเช้า มู่เฉียวถึงรู้ว่า ที่แท้ เพื่อนเจ้าสาวก็มีเพียงคนเดียว ลูกสาวคนโตของตระกูลเซี่ยแต่งงาน แต่กลับมีเพื่อนเจ้าสาวเพียงคนเดียว
เธอไม่เข้าใจว่าสรุปแล้วเซี่ยหยูคิดอะไรอยู่กันแน่ ? ด้วยนิสัยของเธอ ความนิยมของเธอน่าจะดีเยี่ยม และการหาเพื่อนเจ้าสาวสักสองสามคนก็น่าจะเป็นเรื่องที่ง่าย
เธอไม่เข้าใจ จนกระทั่ง เธอเห็นเฮ่อเทียนในชุดเพื่อนเจ้าบ่าวที่ยืนอยู่บนเวทีข้างมู่หลิง เธอถึงเข้าใจ สถานการณ์นี้
เมื่อเฮ่อเทียนเห็นเธอ ดวงตาของเขาก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด
“วันนี้ คุณสวยจริงๆ” เขาก้าวมาข้างหน้า และชมเชยเธออย่างไม่สะทกสะท้าน
มู่เฉียวปิดปาก “อย่าชมฉัน วันนี้คุณต้องชมเจ้าสาว”
เฮ่อเทียนมองไปที่เซี่ยหยู “ทุกคนล้วนสวยมาก”
ที่มุมห้องจัดเลี้ยง ชายคนหนึ่งหมุนแก้วไวน์แดงและหันไปมองบนเวที ผู้หญิงคนนี้ขมวดคิ้วและยิ้ม ดวงตาของเธอมืดมนลงเรื่อยๆ
“โม่หาน พวกเราไปทักทายตัวเอกของงานก่อนไหม ?” เหอเจี๋ยจับมือของโม่หาน แล้วพูดแนะนำอย่างอบอุ่น
โม่หานหันศีรษะ และชำเลืองมองเธออย่างมืดมน พร้อมคำเตือนในดวงตาของเขา มือของหญิงสาวสั่นเล็กน้อย
เธอคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจบลงไปนานแล้ว อย่างไรก็ตามในการทะเลาะในครั้งนั้นไม่ใช่เรื่องเล็ก เธอจึงคิดว่า ความสัมพันธ์ของโม่หานและมู่เฉียวจบลงไปนานแล้ว แต่ว่า สายตาของเขาบอกเธอย่างชัดเจนว่า เรื่องไม่ได้เป็นแบบนั้น
และด้วยวิธีการของเหอเจี๋ย โม่หานรู้โดยธรรมชาติว่าเธอจะต้องไปตรวจสอบเขาอย่างแน่นอน ถ้างั้นสถานะของมู่เฉียว ไม่มีทางที่เธอจะไม่รู้
มู่เฉียวไม่ว่ายังไงก็คาดไม่ถึงเลยว่า จะมาพบกับโม่หานที่นี่ ครั้งที่แล้ว ก็รีบบอกลา ลาก่อน แต่จริงจริงมันก็ผ่านมาปีกว่าแล้ว
ถึงแม้ว่ามักจะเห็นเขาในสื่อหลักบ่อยบ่อย แต่ความรู้สึกนี้เมื่อเทียบกับการเจอคนเป็นเป็นแล้ว มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เธอได้ยินเสียงหัวใจเต้นราวกับฟ้าร้อง
เธอหัวเราะตัวเองอายุ 28 ปีแล้ว แต่หัวใจของเธอก็ยังเต้นราวกับเด็กสาววัยรุ่น
ผู้หญิงที่อยู่ข้างเขามีบุคลิกที่สง่าสงาม และเหมาะสมกับเขา เธอหันศีรษะเล็กน้อย และปกปิดความโศกเศร้าของเธอ
เฮ่อเทียนก้าวขาไปที่มู่เฉียวสองก้าวและถามว่า “หนาวไหม ?”
มู่เฉียวเหลือบมองเขา “หนาว” หนาวที่หัวใจ !
เฮ่อเทียนถอดเสื้อคลุมนอกออก แล้วพาดไว้บนไหล่ของเธอ มู่เฉียวขมวดคิ้ว “คุณเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว………นี่……….”
“ไม่มีปัญหา อีกเดี๋ยวค่อยใส่”
มู่เฉียวพยักหน้า
เหอเจี๋ยรู้สึกว่าแขนที่ตัวเองควงอยู่แข็งทื่อในทันที เธออดไม่ได้ที่จะมองไปที่ผู้หญิงบนเวทีคนนั้นอีกครั้ง
“ประธานโม่ ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับ ?” พ่อเซี่ยเดินมาทางโม่หานจากที่ไกลไกลด้วยความเร็ว
เมื่อดูทัศนคติของพ่อเซี่ย มู่เฉียวก็รู้ว่า โม่หานในวันนี้ฉันเกรงว่าเขาจะไม่เหมือนเดิม แต่เขาก็อยู่ห่างจากเธอเกินไป
โมห่านยิ้มออกมาแบบปกติ “ยินดีด้วยประธานเซี่ย ได้ยินมาว่าลูกเขยเป็นคนที่มีพรสวรรค์ พรสวรรค์ทางด้านผู้จัดสรรงบประมาณ ?”
การแสดงออกของพ่อเซี่ยแข็งทื่อเล็กน้อย มู่เฉียวยิ่งเงยหน้าขึ้น และจ้องมองไปที่เขา
รู้ทั้งรู้ว่ามู่หลิงไม่ได้ทำธุรกิจ แต่เป็นผู้จัดสรรงบประมาณ แต่เขากลับจงใจจ้องจับผิด ดูก็รู้ว่าคิดจะทำให้เขาอับอายไม่ใช่รึไงกัน ?
โชคดีที่มู่หลิงเป็นคนอารมณ์ดีเสมอ ไม่หงุดหงิดและไม่โกรธ ก็แค่มองกลับไปที่โม่หานและพูดว่า ขอบคุณครับ….ประธานโม่ชมเกินไปแล้ว
จากนั้นก็เป็นพิธีการ และขึ้นตอนต่างๆ มู่เฉียวรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นจึงอยากที่จะกลับไปพักผ่อนที่ห้อง
แต่เมื่อเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ยังไม่ทันที่จะปิดประตู เธอก็เห็นร่างหนึ่งแวบเข้ามา จากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงล็อคประตู เธอก็หันหลังกลับไปดู เมื่อเห็นคนที่เข้ามา เธอก็พยายามควบคุมตัวเอง “ประธานโม่ เกรงว่าคุณจะเข้าผิดห้องแล้วนะ ?”แล้วเธอก็ก้าวถอยออกมาสองก้าว และเว้นระยะห่างจากเขา
ชายคนนั้นมองมาที่เธอ “นานขนาดนี้แล้วก็ยังไม่แต่งงาน คุณมู่ คงไม่ใช่รอผมอยู่หรอกใช่ไหม ?”
ผ่านไปกว่าสองปี ได้ยินเสียงของเขา มู่เฉียวก็มึนงงเล็กน้อย เมื่อสองปีก่อน ก็เป็นเสียงนี้ที่พูดกับเธอว่า มู่เฉียว ถ้าหากว่าชีวิตคนเราสามารถเริ่มใหม่ได้ ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รู้จักคุณใหม่อีกครั้ง
คำพูดเดียว ทำให้เธอพังพินาศตั้งแต่นั้นมา
เธอยิ้ม และสบตากับชายคนนั้นอย่างเป็นกลาง “ถ้าหากฉันบอกว่าใช่ล่ะ ?”
ดูเหมือนว่าชายคนนั้นไม่คิดว่าเธอจะตอบแบบนี้ จะเป็นคนที่เด็ดขาดกับเขาที่ห้าง แต่ตอนนี้หัวใจของเขากลับอ่อนลงทันที เขาก็กางแขนออก และอยากจะไปกอดมู่เฉียว
หญิงสาวก้าวถอยหลังอย่างกะทันหัน “ประธานโม่ไม่เข้าใจที่ฉันพูดว่าถ้าหากเหรอ ?”
“ถ้าหาก ก็หมายความว่ายังมีโอกาส ไม่ใช่เหรอ ?”มุมปากของชายคนนั้นยกขึ้น
“ใช่เหรอ ? ถ้างั้นคำว่าถ้าหากของประธานโม่ล่ะ ?” หมายความว่าอะไร ? ชายคนนั้นตกตะลึง และเข้าใจได้ในทันทีว่าที่เธพูดนั้นหมายความว่าอะไร เขาก้มศีรษะลง และไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
มู่เฉียวมองมาที่เขา ทันใดนั้นก็ก้าวไปข้างหน้า ใช้มือทั้งสองข้างเกี่ยวคอของเขาไว้ และเขย่งเท้าขึ้น ริมฝีปากแดงแตะปากริมฝีปากบางของชายคนนั้น รู้สึกเย็นและแปลกเล็กน้อย
เธอไม่รู้ว่าตัวเองบ้าไปแล้วรึเปล่า ถึงทำแบบนี้ แต่ว่า เธอก็แค่ต้องการจะทำแบบนี้ ต้องการมาก ต้องการมาก
เธอเห็นได้ชัดว่าการหายใจของชายคนนั้นถี่เล็กน้อย เธอค่อยค่อยยกมุมปากขึ้น มือของเธอลูกลงมาที่เอวของชายคนนั้น และสอดเข้าไปใต้เสื้อสูทของเขา เธอสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นผ่านเสื้อเชิ้ตตัวบางของชายคนนี้
โม่หานรู้ว่ามู่เฉียวจงใจยั่วยวนเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะโลภต้องการร่างกายของเธอ
หลายปีมานี้ เขามั่นใจในร่างกายของตัวเองมากว่าสามารถควบคุมไว้ดีมาก แต่ในขณะนี้ เขากลับเสียการควบคุมของตัวเอง
เขากอดเธอกลับ และอยากที่จะเรียกร้องมากยิ่งขึ้น
แต่เธอไม่ต้องการ ทันใดนั้นหญิงสาวก็ผลักเขาออก “แน่นอนว่าคนที่มาไม่ปฎิเสธ ? ในสถานการณ์แบบนี้ ประธานโม่ก็ยังมีปฎิกิริยาตอบสนอง ?”
พูดเสร็จ เธอก็หยิบผ้าเช็ดปากบนโต๊ะ มาเช็ดปากของตัวเองอย่างแรง
โม่หานหลับตาลง ความรู้สึกไม่สบายที่เกิดจากร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกแย่มาก ณ เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือหัวใจ ความปราถนาในผู้หญิงคนนี้ของเขาได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว
เขาก้าวไปข้างหน้า ไม่รอให้หญิงสาวมีปฎิกิริยาตอบสนอง เขากดเธอทับไว้ “คุณก็รู้ ผู้ชายจะแกล้งเล่นเล่นไม่ได้ ในเมื่อไฟมันติดแล้ว คุณก็มีหน้าที่รับผิดชอบดับไฟนั่น”
หญิงสาวตกตะลึง ลืมตาขึ้น และสบตากับดวงตาสีแดงเข้มของชายคนนี้
“คุณไม่กลัวฉันกรีดร้องเหรอ ?”
ชายคนนี้ขมวดคิ้ว “ถ้าหากคุณอยากให้คนอื่นเห็นพวกเราแบบนี้ คุณก็ร้องเรียกได้เลย ด้วยความไม่เท่าเทียมของฐานะเรา ผมว่าคงไม่มีใครเชื่อ ผมจะหลงรักผู้หญิงที่หย่าร้างและยังเคยให้กำเนิดลูกด้วย ทุกคนจะเชื่อเพียงว่า คุณเป็นคนมายั่วยวนผม”
เป็นเธอที่ยั่วยวนเขา สองสามคำนี้ คมราวกับใบมีด กรีดลึกเข้ากลางใจของมู่เฉียว เธอไม่เข้าใจจริงจริงว่าผู้ชายคนนี้จะชั่วร้ายได้ขนาดนี้ เธอหย่าร้าง เธอให้กำเนิดลูก คนอื่นไม่เข้าใจว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น หรือว่าในใจเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเหรอ ?
แม่ตักซุปถ้วยหนึ่งส่งมาให้เธอ “ถึงได้บอกไง ว่าเมืองใหญ่นี้มีอะไรดี พูดถึงเพื่อนบ้าน นี่เราย้ายมาตั้งครึ่งปีแล้ว ยังไม่เจอหน้ากันเลย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองa เพื่อนบ้านคนนั้น……”ทันใดนั้นแม่ก็รู้สึกว่าตัวเองพูดมากเกินไป
การเคลื่อนไหวของมู่เฉียวที่กัดซาลาเปา ชะงักไปเล็กน้อย ทำไมเธอจะไม่เข้าใจ ในเมืองbแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ดีกินดีแค่ไหน จะเป็นสวรรค์วิมานก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตัวเอง พ่อกับแม่เป็นคนเมืองa อายุยิ่งมากก็ยิ่งคิดถึง
บางที เธออาจต้องพิจารณาที่จะกลับเมืองaแล้ว
“แล้วฤกษ์วันงานของมู่หลิงกับเซี่ยหยูกำหนดมาแล้วหรือยังคะ?”
พ่อเดินออกมาจากห้อง “เรื่องนี้ ตระกูลเซี่ยเป็นคนจัดการ เฮ้อ นี่ได้คู่ครองที่เหมาะสมกันอย่างกิ่งทองใบหยก ทั้งๆที่ลูกชายสู่ขอสะใภ้ แต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนว่าแต่งลูกสาวออกไปเลย?”
มู่เฉียวตักซุปไปให้พ่อ ลุกขึ้น เก็บกระเป๋าให้มู่เสี่ยวโยว “พวกคุณทั้งสองคนสบายดีก็พอแล้ว ให้พ่อได้กลุ้มใจน้อยลง พ่อกลับไม่ดีใจ ยังจะบ่นอยู่อีก”พูดจบ ก็เดินเข้าห้อง
เห็นว่ามู่เสี่ยวโยวตื่นแล้ว กำลังสวมชุดกระโปรงสีขาวเมื่อคืน เธอขมวดคิ้ว “เสี่ยวโยว ไปโรงเรียน ใส่ชุดนี้ไม่ได้ เวลาเข้าห้องน้ำจะไม่สะดวก”
มู่เสี่ยวโยวกอดชุดนั้นไว้ “แม่คะ หนูใส่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว นะคะ?”
มู่เฉียวแตะปลายจมูกที่เล็กกระทัดรัดของเธอ “เสี่ยวโยวของเรารักสวยรักงามแล้วเหรอ?”
พูดไป ก็ขยี้ผมเธอ
“แม่ หนูไม่ได้รักสวยรักงาม หนูแค่อยากให้เพื่อนเห็น ว่านี่เป็นของขวัญที่พ่อส่งมาให้จากบนฟ้า”
หัวของมู่เฉียว นิ่งไปเล็กน้อย “เสี่ยวโยว…..”
“แม่ ใส่แค่ครั้งเดียว ได้ไหมคะ? หนูจะไม่ทำมันสกปรกแน่นอน นี่เป็นชุดที่พ่อซื้อให้”
เมื่อเห็นแววตาที่อ้อนวอนของเธอ มู่เฉียวก็ไม่พูดอะไร
บางทีเธออาจประเมินความปรารถนาของลูกที่ต้องการพ่อต่ำเกินไป การหย่าร้าง ทั้งชายและหญิงสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ กลับไม่สามารถหลีกเลี่ยงว่าเป็นการทำร้ายลูก เธอสามารถเพิ่งความขยันของเธอให้ของทุกชิ้นที่เธอต้องการกับเธอได้ แต่กลับไม่สามารถให้ความรักของพ่อได้
พอถึงโรงเรียน เธอเรียกครูสองคนออกไปนอกห้อง อธิบายสถานการณ์นี้กับครู
อย่างไรก็ตามผู้ใหญ่ทุกคนเข้าใจดี ว่าสวรรค์ หมายถึงอะไร?
“คุณแม่เสี่ยวโยว ฉันขอโทษจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าที่จริงแล้วพ่อของเสี่ยวโยว….. ครั้งที่แล้วพูดถึงเรื่องฉันรักพ่อ ฉันยังให้เสี่ยวโยวบรรยายลักษณะพ่อของเธอ”พูดถึงตรงนี้ ครูท่านหนึ่งก้มหน้าลง รู้สึกอึดอัด
มู่เฉียวเม้มปาก “แล้วเธอ ตอบว่ายังไง?” จู่ๆเธอก็อยากรู้ว่าในสายตาของมู่เสี่ยวโยว โม่หานจะเป็นคนยังไง?
ครูสูดหายใจเข้า แล้วตอบกลับ “เธอบอกว่า พ่อของเธอหล่อมาก เหมือนอุลตร้าแมน”
ตอนนั้นครูรู้สึกหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้กับคำตอบนี้ แต่พอตอนนี้มาคิดดูแล้ว ก็รู้สึกเศร้ามาก และอดไม่ได้ที่จะโค้งคำนับมู่เฉียว “ขอโทษจริงๆนะคะ ต่อไป ฉันจะระวัง เสี่ยวโยวเธอ……”
มู่เฉียวน้ำตาคลอแล้ว ทันใดนั้นเธอพูดขึ้น “ไม่เป็นไรค่ะ ที่จริงพ่อของเธอยังอยู่ เพียงแต่เราหย่ากันแล้ว” เธอหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ แต่ในใจกลับหนักอึ้ง
พอถึงบริษัท ตู้เสี่ยวซินเห็นว่าอารมณ์เธอไม่ค่อยดี ก็เข้าไปถาม “นี่ใครมายั่วเทพธิดาของเรากัน?”
ตู้เสี่ยวซินมาทำงานที่บริษัทภายใต้การโน้มน้าวของมู่เฉียว หันเหความสนใจจากหลิวฮั่วแล้ว อาการหึงหวงก็เริ่มกลายเป็นปกติ
มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “รอมู่หลิงแต่งงานแล้ว ฉันอยากพาเสี่ยวโยวกับพ่อแม่กลับเมืองa” ก่อนหน้านี้เธอมีความคิดแบบนี้ในใจเท่านั้น แต่ พอไปโรงเรียนของเสี่ยวโยว เธอจึงได้ตัดสินใจ
เธอตัดสินใจว่า หลังจากกลับเมืองa เธอจะให้เสี่ยวโยวเจอกับโม่หาน ไม่ว่าระหว่างพวกเธอจะเป็นยังไง แต่ลูกต้องการพ่อ มันเป็นความรับผิดชอบและภาระผูกพันของโม่หาน
ตู้เสี่ยวซินพูดอย่างตกใจ “มาๆ ขอเหตุผลหน่อย”
มู่เฉียวมองเธอ อ้าปากกำลังจะพูด
“เพราะโม่หานใช่ไหม ใช่ไหม?”
มู่เฉียวมองเธอ “อืม เพื่อเสี่ยวโยวและพ่อกับแม่ ใบไม้ที่ร่วงหล่นก็ควรหวนคืนสู่รากเหง้าไม่ใช่เหรอ?”
ตู้เสี่ยวซินนั่งลงบนโต๊ะทำงานของเธอโดยตรง เลื่อนโทรศัพท์ครั้งหนึ่ง และวางโทรศัพท์ไว้ข้างหน้ามู่เฉียว “เฉียวเอ๋อ เธอดูสิ ผู้ชายแบบนี้ เธอแน่ใจเหรอ ว่าเขาจะเป็นพ่อที่ดีได้ เธอไม่ได้ฟังที่หลิวฮั่วประเมินเขา เขาบอกว่าตอนนี้โม่หานอยู่เมืองa นั่นคือเพชฌฆาต มีหลายบริษัท และหลายคนที่ถูกระงับช่องทางทำมาหากินเพราะเขา เขาไม่มีหัวใจ เธอเฝ้ารอเขามาตั้งหลายปี แล้วเขาล่ะ? เคยถามถึงพวกเธอสองคนแม่ลูกไหม?”
มู่เฉียวไม่พูด สิ่งที่ตู้เสี่ยวซินพูดเป็นความจริง
“ฉันแค่อยากให้มู่เสี่ยวโยวรู้ว่าเขาเป็นใคร?”
“คนอื่นเขาอาจจะไม่รับก็ได้? สถานะตอนนี้ของเขา ผู้หญิงหยิ่งยโสที่อยู่เบื้องหลังพวกนั้น เรียงต่อแถวยาวเป็นมังกร เพียงแค่เขาชอบ มีเด็กแบบไหนที่จะคลอดออกมาไม่ได้? เขาไม่มีทางสนใจมู่เสี่ยวโยวหรอก”
ความเป็นจริงนั้นโหดร้าย แต่มันเป็นความจริงที่มู่เฉียวไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ก็เหมือนกับที่บางครั้งสมองก็จะปรากฏให้เห็นภาพการกระทำเลวๆของผู้ชายคนนั้นที่เคยทำขึ้นมาให้เห็น
“เธอหาพ่อเลี้ยงสักคนให้มู่เสี่ยวโยวสิ เด็กคนนี้ยังเด็ก พอเวลานานเข้า มีความรู้สึกแล้ว เขาก็จะยอมรับได้เอง”
“เธอรู้อยู่แก่ใจ”
“เธอรู้อยู่แก่ใจ หรือเป็นเธอเองมู่เฉียวที่ไม่เคยลืมเขาเลยตั้งแต่แรก?เธอน่ะ เข้ากับคำว่าผู้ชายไม่เลว ผู้หญิงไม่รักจริงๆ โม่หานคนนี้ แย่มาก เธอ……”
มู่เฉียวไม่พูด พูดให้ถูก ก็คือพูดไม่ออก
งานแต่งของลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย เรียกความวุ่นวายที่เมืองbได้ไม่น้อย
ระหว่างนักธุรกิจ ต้องมีการติดต่อกันอยู่แล้ว
ตอนโม่หานซึ่งอยู่เมืองaที่ห่างไกลได้รับคำเชิญ สายตาก็นิ่งลง
“พี่คะ วันนั้น พี่เป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ฉันได้ไหม?”จู่ๆเซี่ยหยูก็มาหามู่เฉียว
มู่เฉียวชอบเซี่ยหยูจากใจจริง ผู้หญิงคนนี้ ใสซื่อ ใจดี
เธอยิ้มบางๆ “อย่าพูดเหลวไหล ผู้หญิงที่หย่าร้างมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของคุณ คุณไม่กลัวจะโชคร้ายเหรอ”
เซี่ยหยูกลับขมวดคิ้ว “พี่ ฉันกับมู่หลิงใช้ชีวิตด้วยกัน ฉันไม่เคยเชื่อ พวกไสยศาสตร์ พี่เองก็ได้รับการศึกษาสูง ทำไมถึงได้เชื่อข้อบังคับพวกนี้กันนะ”
มู่เฉียวไม่มีเหตุผลขึ้นมาทันที
“คุณเป็นพี่สาวของมู่หลิง ก็เป็นพี่สาวของฉันด้วย ถ้าพี่ได้อยู่เป็นเพื่อนฉันตอนแต่งงาน ฉันกับมู่หลิงจะมีความสุขมาก”
เมื่อพูดถึงขนาดนี้ มู่เฉียวจะพูดอะไรได้อีก?
วันแต่งงาน มู่เฉียวตื่นแต่เช้า แต่งหน้าอยู่กับเซี่ยหยู ลองชุดออกงาน ปกติเซี่ยหยูจะเป็นคนที่พยายามทำตัวไม่โดดเด่น พอแต่งตัวแบบนี้ ก็สวยมากจนเทียบไม่ติด
“สายตาของน้องชายฉันไม่เลวจริงๆ” เธอพูด
เซี่ยหยูเขินอายเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น มู่หลิงก็ดูดีกว่า”
พูดตามตรง คนนอกพูดแต่ว่าลูกสาวคนเล็กตระกูลเซี่ย โง่เล็กน้อย สมองไม่ชัดเจน มีผู้ชายตั้งมากให้เธอเลือก กลับไปเลือกชายยากจนคนหนึ่ง แต่ว่า มีแต่มู่เฉียวที่เข้าใจ ว่าเธอเป็นคนที่ฉลาดที่สุด เธอแต่งให้มู่หลิง ก็คือแต่งให้กับความรัก
นึกถึงเมื่อคืนที่น้องชายของเธอตื่นเต้นจนไม่ได้นอนทั้งคืน เธอก็รู้ว่า เซี่ยหยูเลือกไม่ผิด
แต่ เธอกลับไม่รู้มาก่อนว่างานเลี้ยงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตที่สงบของเธอ กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง
มู่เฉียว คุณลืมตาดูนี่สิ นี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณใจเต้น และนี่คือผู้ชายคนที่ทำให้คุณเสียใจจนร้องไห้
มือของชายคนนี้เอื้อมไปด้านหลังของเสื้อคลุมมู่เฉียว ได้ยินเสียง “กึก” จากนั้นซิปด้านหลังก็ถูกคลายออก
มู่เฉียวเห็นลูกกระเดือกของชายคนนี้ขึ้นลงอย่างรวดเร็วสองสามครั้ง และความตื่นเต้นในตาของเขาก็ทำให้มู่เฉียวพ่ายแพ้
“ยังไงซะฉันก็อยู่คนเดียว แต่ว่า ประธานโม่มีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจึงตบมือเสียงดัง ประธานโม่ไม่อยากคิดเหรอว่าคุณจะอธิบายคุณเหอยังไง ?”
ริมฝีปากของโม่หานเลื่อนลงมาที่คอและไหล่ของเธอ และหายใจหอบอยู่บนร่างของเธอ เขาหายใจหอบ ในเวลานี้ เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และไม่สนจะคิดอะไรแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการผู้หญิงคนนี้
“มู่เฉียว คุณเป็นห่วงผม ใช่ไหม ?”
มู่เฉียวไม่เข้าใจความคิดของผู้ชายคนนี้ เขาทั้งร้อนและเย็น ดังนั้น เธอจึงไม่กล้าตอบเขา เธอกลัวว่าคำตอบของเธอนั้นจะเป็นการเย้ยหยัน
“คุณผิดแล้ว คนที่ฉันเป็นห่วง อยู่ข้างนอก ”
อยู่ข้างนอก ? เฮ่อเทียน ?
ชายคนนี้กัดไปที่คอของเธอ “คุณลองพูดอีกครั้ง”
“ถ้าวันนี้คุณกล้าแตะต้องฉัน โม่หาน ฉันจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิต ”เมื่อเธอเลื่อนมือไปที่เอวของชายคนนี้
เธอพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่ในใจกลับประหม่ามาก เธอยังรู้จักโม่หานไม่ดีพอ เธอยิ่งไม่เข้าใจ ความเกลียดชังของตัวเอง จะสามารถระงับสัญชาตญาณดิบของชายคนนี้ได้รึเปล่า
หลังจากนั้นไม่นาน น้ำหนักบนร่างกายของเธอก็เบาลง ชายคนนี้ยืดตัวขึ้นจากร่างของเธอ มือทั้งสองข้างอยู่บนโต๊ะ ศีรษะของเขาห้อยลงมาเล็กน้อย มู่เฉียวไม่เห็นการแสดงออกของเขา แต่กลับได้ยินเสียงหายใจที่ถี่ขึ้นของเขา
“ออกไป”เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง มู่เฉียวก็ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ อยากถามเขาว่าไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? จากนั้น เมื่อนึกถึงบางอย่าง มือก็ค้างอยู่กลางอากาศ
เธอเดินไปทางประตูสองสามก้าว เมื่อเห็นชายคนนี้ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และเตรียมที่จะจากไป
แต่ไม่คิดเลยว่า มือเธอกลับถูกดึงไว้
เธอตกใจอุทาน “คุณ……คุณทำอะไร ?”
ชายคนนี้หลับตา เอียงศีรษะไปด้านข้าง และบังคับตัวเองไม่ให้ดูผิวขาวที่อ่อนโยน และมือทั้งสองข้างก็ดึงซิปที่ด้านหลังเธอออก
จากนั้น ก็หันหลังไปที่โต๊ะเครื่องแป้งข้างห้องน้ำ
“ก๊อกก๊อก……..”เสียงเคาะประตูดังขึ้นมา พี่สาว คุณอยู่ข้างในรึเปล่า ?
ในขณะที่มู่เฉียวกำลังจะตอบ ทันใดนั้นก็นึกถึงโม่หานที่อยู่ในห้องน้ำ และนึกถึงเหอเจี๋ยที่อยู่ในที่จัดงาน ถ้าหากให้เธอรู้ว่า เธออยู่กับคู่หมั้นของตัวเอง ถ้างั้น……….
เธอเม้มปาก กลับไปที่หน้าประตูห้องน้ำ และกระซิบเสียงเบาว่า “เอ่อ คุณ……..ยังโอเคไหม ?”
เวลาผ่านไปนานกว่าเสียงของชายคนนี้จะดังออกมา “คุณคิดว่ามันจะเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว และค่อยค่อยเข้าใจอะไรบางอย่าง หน้าเธอแดงก่ำ
“ฉัน……..จะพาเธอออกไปก่อน”
พูดจบ หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
เธอเดินไปที่กระจก ตรวจเช็กเครื่องสำอาง จากนั้นก็เปิดประตู ทันทีที่เปิดประตูเซี่ยหยูก็รีบเข้ามา “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน กระโปรงนี้มันยาวเกินไป ยุ่งยากจริงๆ”
มู่เฉียวปิดปาก และคว้าเซี่ยหยูไว้ “เซี่ยหยู นั่นมัน………….”
“พี่สาว มีเรื่องอะไร เดี๋ยวค่อยพูดนะ ฉันขอไปเข้าห้องน้ำก่อน ?”
จากนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “พี่สาว คุณช่วยฉันถอดนี่ออกมา แล้วสวมใส่ใหม่ได้ไหม ?”
มู่เฉียวรู้ว่าเซี่ยหยูใส่ชุดเกาะอก เมื่อคิดถึง“ธรรมชาติของผู้ชาย“คนนั้นที่อยู่ข้างในยังไม่ดับ มู่เฉียวก็ยิ้มแห้งๆ มีเจ้าสาวที่ไหนถอดชุดแต่งงานออกมาครึ่งหนึ่ง ? มันไม่เป็นมงคล เธอมากับฉัน พวกเราไปห้องน้ำอื่นกันเถอะ ที่ใหญ่หน่อย เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอ
ขณะที่พูด เธอก็ดึงเซี่ยหยูออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อประตูปิดลง เธอก็แอบถอนหายใจออกมา
หลังจากพาเซี่ยหยูไปที่ห้องน้ำแล้ว มู่เฉียวก็ไปที่ห้องรับรองนั่งพักสักครู่ และไม่ได้กลับไปที่ห้องเปลี่ยน
เสื้อผ้า เมื่อเธอเดินไปที่โถงด้านหน้า เธอก็เห็นโม่หานกลับมาเย่อหยิ่งเป็นปกติแล้ว และถูกล้อมไปด้วยผู้คน
เธอมองไม่เห็นเลยว่า เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะความเจ็บปวดเล็กน้อยที่ริมฝีปากเธอ เธอก็คงยังคิดว่าตัวเองฝันไป
หลังจากงานแต่งงาน สายตาของชายคนนนั้นก็ไม่หยุดอยู่ที่เรือนร่างของมู่เฉียว
มู่เฉียวไม่อยากสนใจ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอหลงทางแล้วในใจของเธอก็ว่างเปล่า แม้แต่เสียงเรียกของเฮ่อเทียนที่เรียกเธอ เธอก็ยังไม่ได้ยิน………..
จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นบนไหล่ของเธอ สติของเธอถึงกลับมา เธอมองไปที่เฮ่อเทียน และเห็นว่าใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “คุณ เมาแล้ว ?”
เฮ่อเทียนนั่งลงตรงหน้าเธอ “คุณ อารมณ์ไม่ดีเหรอ ?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะ และหยิบไวน์แดงบนโต๊ะขึ้นมาจิบ “เปล่า ก็แค่น้องชายแต่งงานแล้ว ฉันก็แค่รู้สึกทำใจไม่ได้นิดหน่อย ?”
มุมปากของเฮ่อเทียนกระตุกขึ้น และมองไปที่มู่เฉียว ด้วยสายตาที่สงสัย อันที่จริงในใจของเขารู้ดีว่า มู่เฉียวเป็นอะไร ?
“น้องชายก็แต่งงานแล้ว คุณเป็นพี่สาว ไม่อยากคิดพิจารณาหน่อยเหรอ ?”
“คิดพิจารณา ? คิดเรื่องอะไร ?”
ทันใดนั้นเฮ่อเทียนก็คว้ามือของมู่เฉียว “มู่เฉียว หนึ่งปีมานี้ คุณยังพิจารณาไม่พออีกเหรอ ?”
มู่เฉียวหายใจเข้า และอยากดึงมือออก แต่เฮ่อเทียนกลับไม่ปล่อย เห็นได้ชัดว่าคืนนี้เขาดื่มไปมาก มู่เฉียวรู้สึกว่าสถานการณ์แบบนี้ไม่เหมาะที่จะพูดเหตุผลกับเขา
“เฮ่อเทียน คุณเมาแล้ว”
เฮ่อเทียนส่ายศีรษะ “ไม่ ผมไม่ได้เมา ในใจของผมชัดเจนกว่าตอนไหน มู่เฉียว ผมสาบานได้ว่า ผมจะดีกับคุณชั่วชีวิต กับเสี่ยวโยวผมก็จะดีด้วย ทำไมคุณไม่ให้โอกาสผมอีกสักครั้งล่ะ ?”
อย่างที่เขาพูด ทันใดนั้นเขาก็นั่งลงข้างข้างมู่เฉียว เสี่ยวเฉียว ทุกคนล้วนมองเห็น ความรักที่ผมมีต่อคุณ
ทำไมมีแต่คุณที่มองไม่เห็นมัน คุณรู้ไหมว่าข้างในใจผมมันแย่แค่ไหน ผมเฮ่อเทียน หลายปีมานี้ ผมรู้สึกเสมอว่าถ้าผมอยากจะได้อะไร ผมก็ต้องพยายามไม่มีอะไรที่เอามาไม่ได้ แต่มีเพียงคุณ มีเพียงแค่ใจของคุณเท่านั้น ผมพยายามอย่างเต็มที่ ผมยินดีกับทุกทุกอย่าง แต่คุณกลับไม่เห็นมัน
มู่เฉียวลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เฮ่อเทียน ฉัน……….ฉันจะไปรินน้ำมาให้คุณ” เมื่อเธอพูด ก็เตรียมจะลุกไป แต่ เฮ่อเทียนกลับดึงเธอไว้ “มู่เฉียว คุณบอกผมมา ผมควรจะทำอย่างไรดี คุณถึงจะตอบตกลงผม ?”
เสียงของเขาค่อนข้างดัง และรีบเร่งเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันแต่งงานของเซี่ยหยูและมู่หลิง และคนที่มาที่นี่ล้วนเป็นคนชนชั้นสูง เนื่องจากลักษณะพิเศษของงานแปล จึงทำให้หลายคนรู้จักมู่เฉียว
เฮ่อเทียนไม่ต้องพูดแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนกับโม่หาน แต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียง ดังนั้น เมื่อมีการเคลื่อนไหวใหญ่โต ก็จะมีสายตาจับจ้องมองมาที่เขา
ในที่นั้นรวมถึงโม่หานด้วย ดูเหมือนเขาจะไม่สนใจกับคนที่พูดคุยอยู่ตรงหน้า แต่ระหว่างคิ้วของเขา กลับซ่อนความอึดอัดและความกังวลใจในดวงตาของเขา
นิ้วมือในกระเป๋ากางเกงของเขากำลังลั่น
มู่เฉียวตกตะลึง ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่คำว่าหมั้น เขากลับตระกูลโม่สิ่งนี้เธอไม่แปลกใจ แต่ว่าโม่หานหมั้นแล้ว?
เธอเม้มปาก หัวใจที่สงบของเธอยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง
“ฟังสิ คนอื่นเขาหันกลับไปก็หมั้นแล้ว มีแต่เธอเนี่ยแหละที่เหมือนคนโง่ ที่ยังยึดติดกับเขา…….”
“เสี่ยวซิน ฉันไม่ได้ยึดติด”เธอพูดขัดคำเธอ เธอไม่ได้ยึดติดอยู่กับเขา
“งั้นเธอก็แต่งงานสิ? ถ้าไม่ใช่เพราะใจของเธอยังมีเขา เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเฮ่อเทียน”
มู่เฉียวไม่พูด
ตกดึก
“แม่ โม่หานหมั้นแล้ว”
“เฉียวเอ๋อ ลูกยังไม่ลืมเขาเหรอ?”
“แม่ เฮ่อเทียนบอกว่าเขาจะขอหนูแต่งงาน”
อีกด้านของผนัง ปลายนิ้วของชายคนนั้นจิกเข้าที่ฝ่ามือตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นอีกครั้ง
“เฉียวเอ๋อ ในชีวิตนี้ ผิดครั้งแรกสามารถพูดได้ว่ายังเด็กอยู่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผิดครั้งที่สอง มันไม่ควรมากๆ”
“แม่ แม่คิดว่าหนูกับเฮ่อเทียนอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ผิดเหรอคะ?”
นิ้วของแม่สอดเข้าไปในผมของเธอ ถอนหายใจ “ผิดไม่ผิด คนนอกไม่รู้ เฉียวเอ๋อ เรื่องการแต่งงานลูกต้องใช้ความรู้สึกตัวเอง ความสุขของลูก ไม่เคยอยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ในใจลูก”
“อื้ม หนูรู้ แม่”
ต่อมา สื่อรายใหญ่ๆรายงานข่าวเรื่องการฟื้นคืนชีพของโม่หานอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์ในอดีตของเขาบางส่วนก็ถูกดึงออกมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจ คือเรื่องการแต่งงานของเขากับมู่เฉียว กลับไม่ถูกพูดถึง
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวโล่งใจ
ส่วนเฮ่อเทียน ก็ร่วมมือกับตู้เสี่ยวซิน พูดเล่าเรื่องงานกับพ่อแม่และน้องเธอ
พ่อกับแม่ ก็ค่อยๆเอียงไปทางเขา พูดถึงเฮ่อเทียนต่อหน้าเธอหลายครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ขนาดเสี่ยวโยวก็ถูกเฮ่อเทียนซื้อใจได้สำเร็จ
ในความฝันทุกคืนจะละเมอเรียก “คุณอาเฮ่อ”
มู่เฉียวรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนในบ้านจะเคยชิน สถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็นัดเฮ่อเทียนออกไป อยากจะคุยด้วยดีๆ
“เฮ่อเทียน ฉันยังคงพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเป็นไปได้”
เฮ่อเทียนแลกจานสเต็กที่หั่นเสร็จแล้วให้กับมู่เฉียว “มู่เฉียว ถ้าหากความสามารถและเงื่อนไขข้ออื่นๆของผม กลายเป็นภาระของคุณ ผมละทิ้งมันได้นะ”
คำพูดนี้ทำให้มู่เฉียวตกใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด ยิ่งกว่านั้นยังไม่สามารถหลบซ่อนที่ไหนได้อีก เฮ่อเทียนที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอกดดัน
ตกดึก
“แม่ แม่ว่าหนูแต่งให้เฮ่อเทียน มันผิดไหม?”
“เฉียวเอ๋อ ลูกถามใจตัวเอง ว่าอยากแต่งงานกับเขาไหม?”
……
“เฉียวเอ๋อ โม่หานไม่ใช่คนที่เหมาะสม”
“หนูเองก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เหรอคะ?”
อีกด้านของผนัง ชายคนหนึ่งยิ้มบางๆที่มุมปาก มู่เฉียว วินาทีนี้ ผมมีความคาดหวังที่เห็นแก่ตัวมากว่าคุณจะรอผม
“แต่ เขาหมั้นกับคนอื่นแล้ว”
“แล้วยังไงล่ะคะ หนูเองก็แต่งงานกับเขาแล้ว? ก็หย่ากันแล้วนี่ไงคะ?”
“เฉียวเอ๋อ!”
“โอเคค่ะ แม่ หนูพูดเล่นน่ะ ตอนนั้นเขาก็ไม่มองหนู ตอนนี้เขาจะมามองได้ยังไงจริงไหมคะ?”
“แล้วเฮ่อเทียน……”
“แม่ นอนเถอะ”
ปิดไฟแล้ว ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังเดินออกมาจากบ้านข้างๆ บางทีเขาคงจะต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว
ตระกูลโม่
“ลูก ไปไหนมา? ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับ แม่มาหลายรอบแล้ว”แม่พูด แล้วดึงมือโม่หาน เห็นว่าเสื้อของเขาเปื้อนโคลน “ลูกล้มเหรอ?”
โม่หานดึงแม่เข้ามากอด “แม่ ผมไม่เป็นไร”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม่แค่เป็นห่วงลูก ลูกไม่เป็นไร แม่ก็โอเค” โม่หาน‘ฟื้น’ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่คุณนายโม่มีต่อเขาแม้แต่ลมพัดใบหญ้าไหวก็เป็นกังวลเอามากๆ
ในที่ไกลออกไป ร่างที่แข็งแกร่งของชายคนหนึ่ง มองมาทางนี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความอ่อนโยนที่หายาก
แต่โม่หานกลับมองเขาอย่างซับซ้อน สิ่งที่เขาทำกับโม่หาน แม่ไม่รู้ แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นคนดี แต่โม่หานก็ไม่อยากให้เธอมีภาระทางจิตใจมากเกินไป
“แม่ เข้านอนเร็วหน่อยนะครับ” นี่มันก็เช้าแล้ว
จากนั้น โม่หานไม่ได้เลือกที่จะไปโม่กรุ๊ป ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ไปบริษัทไหนๆของตระกูลโม่
กลับเลือกที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ร้ายมากขึ้น ไม่มีผลประโยชน์ไหนที่ไม่หวังผล นอกจากนี้ยังใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของตระกูลเหอ กวาดซื้ออุตสาหกรรมที่ทำกำไรมากมายในเมืองa ตอนแรกเขาทำการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ได้มาในสิ่งที่เขาอยากได้ เขาจะใช้วิธีที่ไม่ธรรมดา ยังไงซะ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าต้องเจอกับเทพก็จะฆ่าเทพ เจอพระก็ฆ่าพระ เพียงชั่วครู่เดียว ที่เมืองa ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว และไม่มีใครกล้ารุกรานเขา ไม่มีใครกล้ายั่วเขา เขาแทบจะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินและขยายอุตสาหกรรมของตัวเอง พยายามทุกวิถีทาง เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี ทำให้MYกรุ๊ปที่อยู่ในมือเขา ได้พัฒนาเป็นบริษัทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับบริษัทตระกูลโม่
ในร้านเสริมสวยแห่งนี้
“เหอเจี๋ย ฉันได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเธอ ซื้อบริษัทหลายแห่งเลย”
เหอเจี๋ยจัดทรงผมของเธอ สไตล์หลากหลาย “เขากลัวว่าฉันจะรำคาญ จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องธุรกิจต่อหน้าฉันเลย อีกอย่าง เรื่องของผู้ชาย ฉันก็ไม่ชอบยุ่งอยู่แล้ว”
ทุกคนประจบสอพลอ คางของผู้หญิงคนนั้นค่อยๆยกขึ้น ดวงตากลับดูกลวงขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้เอง มือถือที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้น เธอมองแวบหนึ่ง สายตาก็นิ่งลง ออกไปรับสายข้างนอก
“เดี๋ยวสักพักไปหาเหล่าผู้อำนวยการกับผม”
เหอเจี๋ยอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ “โม่หาน ฉัน……วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย”
“คนขับรถอยู่ห่างจากสถานที่ที่คุณอยู่ ยังมีเวลาอีกห้านาที คุณไม่ไปก็ได้ ผมไม่มีปัญหา งานเลี้ยงอาหารค่ำครอบครัววันเสาร์ ผมไม่มีทางร่วมงาน”
“โม่หาน คุณ……”เสียงโทรศัพท์ ‘ตึง’ เหมือนว่ามีข้อความเข้ามา
สายตาที่เย็นชาของโม่หาน รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที
“ยังเหลืออีกสี่นาที เตรียมตัวเถอะ”
วางสายไป เขามองที่หน้าจอโทรศัพท์ ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่ง เข้าร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูก เพียงแต่ ใบหน้าของเขาก็นิ่งลงเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงมุมของภาพ
เหอเจี๋ยกลัวโม่หาน เพราะเธอต้องการสิ่งน่าหลงใหลที่ชายผู้นี้นำมาให้เธอ ยิ่งกว่านั้นยังปรารถนาตำแหน่งคุณนายรองตระกูลโม่
ถึงแม้ เธอจะรู้อยู่ในใจ ว่าโม่หานไม่มีความรู้สึกต่อเธอเลย เขากำลังใช้เธออย่างสมบูรณ์แบบ
แต่เธอก็ยังหยุดไม่ได้ ติดอยู่กับมัน
เมื่อเธอมาถึง โม่หานกำลังดูมือถืออยู่ ความอบอุ่นในดวงตาของเขา ทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป
เธอพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “โม่หาน”
โม่หานได้ยินแบบนั้น ก็เก็บมือถือ มองเหอเจี๋ย งอแขนเล็กน้อย เหอเจี๋ยเองก็วางมือเรียวของเธอไว้ที่แขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม แฟลชกล้องข้างๆก็ดังขึ้น
เหอเจี๋ยรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าว โม่หานและลูกสาวของนายกเทศมนตรี รักกันมากขึ้น
แต่ว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ในใจ ว่าชายคนนี้เย็นชามากแค่ไหน เพื่อผลประโยชน์แล้ว เขาสามารถทำเป็นว่ารักเธอ ดีกับเธอ ต่อหน้าคนอื่น แต่แค่หันกลับไป ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เย็นชา
แน่นอน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าตระกูลเหอจะไม่รู้ แต่ใครบอกให้พ่อเธอก็เป็นผู้ชายที่แสวงหาผลกำไลด้วยล่ะ?
อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”
มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?
แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า
นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว
เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”
พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป
มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน
เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?
“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู
“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”
“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”
มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”
จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน
ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน
เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้
ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น
“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”
มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”
“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”
มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?
เมืองa
โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ป
ชายสวมหน้ากากยืนอยู่ข้างรถหรู จ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”
ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”
สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”
คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”
“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”
“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”
เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”
“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”
พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป
มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้
ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง
เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”
ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”
ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”
“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”
“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”
ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้
ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”
“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”
ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ
เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ
อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”
มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?
แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า
นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว
เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”
พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป
มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน
เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?
“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู
“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”
“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”
มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”
จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน
ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน
เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้
ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น
“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”
มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”
“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”
มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?
เมืองa
โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ป
ชายสวมหน้ากากยืนอยู่ข้างรถหรู จ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”
ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”
สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”
คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”
“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”
“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”
เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”
“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”
พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป
มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้
ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง
เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”
ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”
ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”
“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”
“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”
ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้
ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”
“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”
ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ
เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ
มู่เฉียวตกตะลึง ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่คำว่าหมั้น เขากลับตระกูลโม่สิ่งนี้เธอไม่แปลกใจ แต่ว่าโม่หานหมั้นแล้ว?
เธอเม้มปาก หัวใจที่สงบของเธอยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง
“ฟังสิ คนอื่นเขาหันกลับไปก็หมั้นแล้ว มีแต่เธอเนี่ยแหละที่เหมือนคนโง่ ที่ยังยึดติดกับเขา…….”
“เสี่ยวซิน ฉันไม่ได้ยึดติด”เธอพูดขัดคำเธอ เธอไม่ได้ยึดติดอยู่กับเขา
“งั้นเธอก็แต่งงานสิ? ถ้าไม่ใช่เพราะใจของเธอยังมีเขา เธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องปฏิเสธเฮ่อเทียน”
มู่เฉียวไม่พูด
ตกดึก
“แม่ โม่หานหมั้นแล้ว”
“เฉียวเอ๋อ ลูกยังไม่ลืมเขาเหรอ?”
“แม่ เฮ่อเทียนบอกว่าเขาจะขอหนูแต่งงาน”
อีกด้านของผนัง ปลายนิ้วของชายคนนั้นจิกเข้าที่ฝ่ามือตัวเอง เลือดหยดลงบนพื้นอีกครั้ง
“เฉียวเอ๋อ ในชีวิตนี้ ผิดครั้งแรกสามารถพูดได้ว่ายังเด็กอยู่ไม่มีประสบการณ์ แต่ผิดครั้งที่สอง มันไม่ควรมากๆ”
“แม่ แม่คิดว่าหนูกับเฮ่อเทียนอยู่ด้วยกัน เป็นเรื่องที่ผิดเหรอคะ?”
นิ้วของแม่สอดเข้าไปในผมของเธอ ถอนหายใจ “ผิดไม่ผิด คนนอกไม่รู้ เฉียวเอ๋อ เรื่องการแต่งงานลูกต้องใช้ความรู้สึกตัวเอง ความสุขของลูก ไม่เคยอยู่ที่สายตาคนอื่น แต่มันอยู่ในใจลูก”
“อื้ม หนูรู้ แม่”
ต่อมา สื่อรายใหญ่ๆรายงานข่าวเรื่องการฟื้นคืนชีพของโม่หานอย่างบ้าคลั่ง เหตุการณ์ในอดีตของเขาบางส่วนก็ถูกดึงออกมาอีกครั้งเช่นกัน แต่ที่น่าแปลกใจ คือเรื่องการแต่งงานของเขากับมู่เฉียว กลับไม่ถูกพูดถึง
สิ่งนี้ทำให้มู่เฉียวโล่งใจ
ส่วนเฮ่อเทียน ก็ร่วมมือกับตู้เสี่ยวซิน พูดเล่าเรื่องงานกับพ่อแม่และน้องเธอ
พ่อกับแม่ ก็ค่อยๆเอียงไปทางเขา พูดถึงเฮ่อเทียนต่อหน้าเธอหลายครั้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ขนาดเสี่ยวโยวก็ถูกเฮ่อเทียนซื้อใจได้สำเร็จ
ในความฝันทุกคืนจะละเมอเรียก “คุณอาเฮ่อ”
มู่เฉียวรู้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ทุกคนในบ้านจะเคยชิน สถานการณ์ไม่ถูกต้อง ดังนั้นก็นัดเฮ่อเทียนออกไป อยากจะคุยด้วยดีๆ
“เฮ่อเทียน ฉันยังคงพูดคำเดิม พวกเราไม่มีทางเป็นไปได้”
เฮ่อเทียนแลกจานสเต็กที่หั่นเสร็จแล้วให้กับมู่เฉียว “มู่เฉียว ถ้าหากความสามารถและเงื่อนไขข้ออื่นๆของผม กลายเป็นภาระของคุณ ผมละทิ้งมันได้นะ”
คำพูดนี้ทำให้มู่เฉียวตกใจ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเธอไม่มีอะไรจะพูด ยิ่งกว่านั้นยังไม่สามารถหลบซ่อนที่ไหนได้อีก เฮ่อเทียนที่เป็นแบบนี้ ทำให้เธอกดดัน
ตกดึก
“แม่ แม่ว่าหนูแต่งให้เฮ่อเทียน มันผิดไหม?”
“เฉียวเอ๋อ ลูกถามใจตัวเอง ว่าอยากแต่งงานกับเขาไหม?”
……
“เฉียวเอ๋อ โม่หานไม่ใช่คนที่เหมาะสม”
“หนูเองก็ไม่ใช่ ไม่ใช่เหรอคะ?”
อีกด้านของผนัง ชายคนหนึ่งยิ้มบางๆที่มุมปาก มู่เฉียว วินาทีนี้ ผมมีความคาดหวังที่เห็นแก่ตัวมากว่าคุณจะรอผม
“แต่ เขาหมั้นกับคนอื่นแล้ว”
“แล้วยังไงล่ะคะ หนูเองก็แต่งงานกับเขาแล้ว? ก็หย่ากันแล้วนี่ไงคะ?”
“เฉียวเอ๋อ!”
“โอเคค่ะ แม่ หนูพูดเล่นน่ะ ตอนนั้นเขาก็ไม่มองหนู ตอนนี้เขาจะมามองได้ยังไงจริงไหมคะ?”
“แล้วเฮ่อเทียน……”
“แม่ นอนเถอะ”
ปิดไฟแล้ว ชายในชุดสูทและรองเท้าหนังเดินออกมาจากบ้านข้างๆ บางทีเขาคงจะต้องเร่งความเร็วขึ้นแล้ว
ตระกูลโม่
“ลูก ไปไหนมา? ดึกขนาดนี้ยังไม่กลับ แม่มาหลายรอบแล้ว”แม่พูด แล้วดึงมือโม่หาน เห็นว่าเสื้อของเขาเปื้อนโคลน “ลูกล้มเหรอ?”
โม่หานดึงแม่เข้ามากอด “แม่ ผมไม่เป็นไร”
“ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม่แค่เป็นห่วงลูก ลูกไม่เป็นไร แม่ก็โอเค” โม่หาน‘ฟื้น’ขึ้นมาอีกครั้ง ความรู้สึกที่คุณนายโม่มีต่อเขาแม้แต่ลมพัดใบหญ้าไหวก็เป็นกังวลเอามากๆ
ในที่ไกลออกไป ร่างที่แข็งแกร่งของชายคนหนึ่ง มองมาทางนี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายด้วยความอ่อนโยนที่หายาก
แต่โม่หานกลับมองเขาอย่างซับซ้อน สิ่งที่เขาทำกับโม่หาน แม่ไม่รู้ แม้ว่าแม่จะไม่ได้เป็นคนดี แต่โม่หานก็ไม่อยากให้เธอมีภาระทางจิตใจมากเกินไป
“แม่ เข้านอนเร็วหน่อยนะครับ” นี่มันก็เช้าแล้ว
จากนั้น โม่หานไม่ได้เลือกที่จะไปโม่กรุ๊ป ยิ่งกว่านั้นไม่ได้ไปบริษัทไหนๆของตระกูลโม่
กลับเลือกที่จะยืนหยัดด้วยตนเอง เขาเริ่มกลายเป็นคนที่ร้ายมากขึ้น ไม่มีผลประโยชน์ไหนที่ไม่หวังผล นอกจากนี้ยังใช้ความสัมพันธ์ทางการเมืองของตระกูลเหอ กวาดซื้ออุตสาหกรรมที่ทำกำไรมากมายในเมืองa ตอนแรกเขาทำการแข่งขันอย่างเป็นทางการ เมื่อไม่ได้มาในสิ่งที่เขาอยากได้ เขาจะใช้วิธีที่ไม่ธรรมดา ยังไงซะ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาสนใจ แม้ว่าต้องเจอกับเทพก็จะฆ่าเทพ เจอพระก็ฆ่าพระ เพียงชั่วครู่เดียว ที่เมืองa ทุกคนต่างพากันหวาดกลัว และไม่มีใครกล้ารุกรานเขา ไม่มีใครกล้ายั่วเขา เขาแทบจะทำทุกอย่างเพื่อหาเงินและขยายอุตสาหกรรมของตัวเอง พยายามทุกวิถีทาง เพื่อการบรรลุเป้าหมาย ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งปี ทำให้MYกรุ๊ปที่อยู่ในมือเขา ได้พัฒนาเป็นบริษัทที่มีความสามารถเทียบเท่ากับบริษัทตระกูลโม่
ในร้านเสริมสวยแห่งนี้
“เหอเจี๋ย ฉันได้ยินมาว่าคู่หมั้นของเธอ ซื้อบริษัทหลายแห่งเลย”
เหอเจี๋ยจัดทรงผมของเธอ สไตล์หลากหลาย “เขากลัวว่าฉันจะรำคาญ จึงไม่เคยพูดถึงเรื่องธุรกิจต่อหน้าฉันเลย อีกอย่าง เรื่องของผู้ชาย ฉันก็ไม่ชอบยุ่งอยู่แล้ว”
ทุกคนประจบสอพลอ คางของผู้หญิงคนนั้นค่อยๆยกขึ้น ดวงตากลับดูกลวงขึ้นเล็กน้อย
ตอนนี้เอง มือถือที่อยู่ในกระเป๋าดังขึ้น เธอมองแวบหนึ่ง สายตาก็นิ่งลง ออกไปรับสายข้างนอก
“เดี๋ยวสักพักไปหาเหล่าผู้อำนวยการกับผม”
เหอเจี๋ยอดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ “โม่หาน ฉัน……วันนี้ฉันไม่ค่อยสบาย”
“คนขับรถอยู่ห่างจากสถานที่ที่คุณอยู่ ยังมีเวลาอีกห้านาที คุณไม่ไปก็ได้ ผมไม่มีปัญหา งานเลี้ยงอาหารค่ำครอบครัววันเสาร์ ผมไม่มีทางร่วมงาน”
“โม่หาน คุณ……”เสียงโทรศัพท์ ‘ตึง’ เหมือนว่ามีข้อความเข้ามา
สายตาที่เย็นชาของโม่หาน รู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที
“ยังเหลืออีกสี่นาที เตรียมตัวเถอะ”
วางสายไป เขามองที่หน้าจอโทรศัพท์ ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กคนหนึ่ง เข้าร่วมกิจกรรมพ่อแม่ลูก เพียงแต่ ใบหน้าของเขาก็นิ่งลงเมื่อเห็นผู้ชายที่อยู่ตรงมุมของภาพ
เหอเจี๋ยกลัวโม่หาน เพราะเธอต้องการสิ่งน่าหลงใหลที่ชายผู้นี้นำมาให้เธอ ยิ่งกว่านั้นยังปรารถนาตำแหน่งคุณนายรองตระกูลโม่
ถึงแม้ เธอจะรู้อยู่ในใจ ว่าโม่หานไม่มีความรู้สึกต่อเธอเลย เขากำลังใช้เธออย่างสมบูรณ์แบบ
แต่เธอก็ยังหยุดไม่ได้ ติดอยู่กับมัน
เมื่อเธอมาถึง โม่หานกำลังดูมือถืออยู่ ความอบอุ่นในดวงตาของเขา ทำให้เธอสงสัยว่าตัวเองตาฝาดไป
เธอพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “โม่หาน”
โม่หานได้ยินแบบนั้น ก็เก็บมือถือ มองเหอเจี๋ย งอแขนเล็กน้อย เหอเจี๋ยเองก็วางมือเรียวของเธอไว้ที่แขนของเขาอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งสองมองหน้ากันและยิ้ม แฟลชกล้องข้างๆก็ดังขึ้น
เหอเจี๋ยรู้ว่าวันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์จะต้องลงข่าว โม่หานและลูกสาวของนายกเทศมนตรี รักกันมากขึ้น
แต่ว่า มีเพียงเธอเท่านั้นที่รู้ในใจ ว่าชายคนนี้เย็นชามากแค่ไหน เพื่อผลประโยชน์แล้ว เขาสามารถทำเป็นว่ารักเธอ ดีกับเธอ ต่อหน้าคนอื่น แต่แค่หันกลับไป ก็เป็นความสัมพันธ์ที่เย็นชา
แน่นอน เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าตระกูลเหอจะไม่รู้ แต่ใครบอกให้พ่อเธอก็เป็นผู้ชายที่แสวงหาผลกำไลด้วยล่ะ?
อีกฝ่ายดูงุนงงอยู่พักหนึ่ง จากนั้น ถึงตอบกลับมาว่า “อ้าว ฉันนึกว่าใคร? มู่เฉียวเองเหรอ ตระกูลโม่ของเรา อยากได้เด็กแบบไหนแล้วไม่ได้ ต้องไปลักพาตัวเด็กบ้านอื่นเลย?”
มู่เฉียวโกรธมาก เธออยากจะตอบกลับว่า ถ้าโม่หานตาย พวกคุณจะไปหาเด็กมาจากที่ไหน?
แต่รู้ว่าตอนนี้ จะชวนทะเลาะไม่ได้ สูดหายใจเข้า เหมือนว่ากำลังทำการตัดสินใจครั้งใหญ่ พูดเหมือนอ้อนวอน “เสี่ยวโยวเป็นลูกของโม่หาน เรื่องนี้ พวกคุณสามารถตรวจDNAได้ โม่หานไม่อยู่แล้ว คุณจะใจร้ายถึงขนาดที่จะให้ตระกูลโม่ไร้ผู้สืบสกุลเลยเหรอ?”เพราะไม่รู้ว่าตระกูลโม่รู้เรื่องที่โม่หานไม่ตายหรือเปล่า มู่เฉียวจึงไม่กล้าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า
นี่เป็นครั้งแรก ที่เธอเอ่ยปากอธิบายตัวตนของมู่เสี่ยวโยว
เพิ่งจะพูดจบ คุณนายโม่ก็พูดขึ้นเสียงดัง “มู่เฉียว เธอพูดอะไรน่ะ? ไร้ผู้สืบสกุลอะไร? อ๋อ ใช่ ฉันลืมบอกเธอ โม่หานยังมีน้องชายกับน้องสาวอีกหนึ่งคน ตระกูลโม่ ไม่มีทางไร้ผู้สืบสกุล และพวกเราก็ยิ่งไม่สนใจลูกคนนั้นของเธอ”
พูดจบ ‘ตึ่ง’ วางสายไป
มู่เฉียวถือโทรศัพท์ไว้ ไม่ได้สติอยู่สักพัก คุณนายโม่บอกว่าโม่หานมีน้องชายกับน้องสาวหนึ่งคน
เป็นลูกที่เกิดจากสามีคนรักเหรอ? แต่ทำไม ย่าโม่ถึงไม่รู้ล่ะ?
“พี่ เป็นยังไงบ้าง?”มู่หลิงลงมาจากรถของเซี่ยหยู
“ทำไมพวกนายก็กลับมาแล้วล่ะ?”
“พ่อส่งข้อความเข้าไปในกลุ่มครอบครัว คุณอากับคุณลุงเองก็กำลังมา ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีแรงเพิ่มไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยหยูจอดรถเสร็จ ก็วิ่งเข้ามา“พี่คะ ให้ฉันบอกพ่อไหมคะ ให้คนที่บริษัท……”
มู่เฉียวส่ายหน้า “อย่าเพิ่ง ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายลักพาตัวเสี่ยวโยวไปมีจุดประสงค์อะไร พวกเรารอก่อน”
จากนั้นมู่เฉียวกับมู่หลิงก็ไปที่สถานีตำรวจ ตรวจสอบกล้องวงจรปิดข้างทาง แปลกมาก ในทางแยกที่ต้องเข้าออกประจำ ไม่มีวี่แววว่ามีใครอุ้มเด็กเข้าออกเลยสักคน
ไม่มีเบาะแสแม้แต่นิดเดียว ทำให้มู่เฉียวร้อนรน
เมื่อเธอออกมาจากสถานีตำรวจ เธอแทบจะยืนไม่ไหว มู่หลิงประคองเธอ ถึงได้ฝืนยืนอยู่ได้
ขึ้นรถ มือถือก็ดังขึ้น
“เฉียวเอ๋อ เสี่ยวโยวกลับมาแล้ว”
มู่เฉียวพิงเบาะรถไว้ สูดหายใจเข้าแรงๆ “มันเรื่องอะไรกัน? ใครเป็นคนส่งกลับมา?”
“ไม่รู้ เมื่อกี้พ่อกับแม่ลูกกำลังหาอยู่ข้างนอก กลับมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้”
มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น ก็ร้องไห้ตาม เธอไม่รู้ว่าใครกำลังเล่นตลกกับเธอ หรือว่าเป็นเรื่องอะไรกัน?
เมืองa
โรงจอดรถใต้ดินโม่กรุ๊ป
ชายสวมหน้ากากยืนอยู่ข้างรถหรู จ่อมีดไว้ที่คอของเจ้าของรถ “ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม ว่าห้ามยุ่งกับพวกเธอ คุณฟังไม่รู้เรื่องเหรอ?”
ชายที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับผลักมีดออกโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “โม่หาน นายน่าจะรู้นะ นี่เป็นแค่การทดสอบเล็กๆ ฉันแค่จะให้นายรู้ว่า ถ้านายไม่แข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครสามารถปกป้องคนที่นายรักได้ ถ้าหาก นายยังหมดอาลัยตายอยากแบบนี้ นายอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ นายคงรู้ ลงมือกับนาย แม่ของนายจะเกลียดฉัน ส่วนฉันเอง ก็ทำไม่ลง แต่ว่า ลงมือกับพวกเขา ฉันคิดว่าบางทีแม่นายอาจจะขอบคุณฉันด้วยซ้ำ”
สายตาของโม่หานมืดลง “คุณดูเค้นสมองหาหนทางกับผมมากเลยเนาะ? ผมจะบอกคุณ ถ้าบังคับจนผมทนไม่ไหว ผมไม่ถือสาที่จะนำหยกที่เป็นของสูงค่าไปเผารวมกับหินที่เป็นของด้อยค่า จะดูซิ สิ่งยิ่งใหญ่ที่สวยงามของคุณ ถูกทำลายโดยลูกชายของคุณเอง สีหน้าของคุณจะเป็นยังไง?”
คำขู่ของชายนั้นที่ให้เขา เขาไม่ได้โกรธ แต่กลับหันไปมองเขา มุมปากยิ้มน้อยๆ “โม่หาน ไม่ว่านายจะปฏิเสธยังไง ฉันก็คือพ่อของนาย นายเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ”
“คนที่สามารถเอาชีวิตของลูกชายมาปูทาง คนที่เป็นศัตรูฆ่าพ่อ ผมไม่มีทางยอมรับ คุณเลิกคิดไปเถอะ”
“ต้องมีสักวัน ที่ผมจะไล่คุณออกจากตระกูลโม่ ไม่ว่าต้องแลกกับอะไร ถ้าหากคุณกล้ายุ่งกับพวกเขาอีก ผมก็จะลงมือกับลูกชายและลูกสาวคุณ”
เหมือนจะคิดไม่ถึงว่าเขาจะพูดแบบนี้ ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “นั่นเป็นน้องชายและน้องสาวแท้ๆของนาย”
“ใช่เหรอ? แต่คนที่คุณไปยุ่ง เป็นคนรักของผม ลูกของผม ถ้าหากสามารถละเลยคนรักและลูกได้ น้องชายกับน้องสาว ทำไมจะไม่ได้?”
พูดจบ เขาก็ชักมือกลับ ดึงหน้ากากขึ้น แล้วหันตัวจากไป
มองแผ่นหลังของเขา ใบหน้าที่คล้ายกันของชายคนนี้ ขมวดคิ้ว แต่ในสายตากลับมีความชื่นชม ความยิ่งใหญ่ที่เขาสร้างมา ต้องการคนสืบทอดแบบนี้
ตระกูลโม่ ก็เป็นเพียงแค่ส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง นี่เป็นเพียงวิธีที่บังคับให้เขาสืบทอดเส้นทางนี้ก็เท่านั้นเอง
เขาโทรหาฉินฮ่าว “ครั้งที่แล้วที่ฉันพูดเรื่องแต่งงานกับตระกูลเหอ นายพูดถึงเรื่องนี้กับเขาได้แล้ว”
ฉินฮ่าวควงกุญแจรถเล่นในมือ “นายท่าน นิสัยแบบนั้นของโม่หาน คุณเดินทางนี้ อันตรายเกินไปหรือเปล่าครับ ในเมื่อเขามีใจให้มู่เฉียว เขาไม่มีทางไปรักผู้หญิงคนอื่นอีก เรื่องนี้ผมเข้าใจเขาดี”
ชายคนนั้นเปิดกระจกขึ้นมา จัดทรงผมนิดหน่อย “พูดเถอะ!เพื่อรักษาความปลอดภัยของผู้หญิงคนนั้นแล้ว เขาจะยอมรับแน่นอน ส่วนหญิงจากตระกูลเหอจะประสบความสำเร็จไหม เรื่องนี้ก็ต้องดูที่การกระทำของเธอแล้ว”
“นายท่าน ผมไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคุณต้องให้โม่หานทนทรมานขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่……”
“มีใครที่จะกลายเป็นเทพเจ้าแล้วไม่ลำบากบ้าง? โม่หานเขายังเด็กเกินไป ยิ่งมีความทุกข์และลำบากตอนนี้มากเท่าไหร่ ต่อไป ถึงจะรู้จักหวงแหนมากกว่าคนอื่น ทางด้านการพิจารณา ถึงจะครบด้าน ที่สำคัญที่สุด นายคิดว่าถ้าฉันยกตำแหน่งให้เขาตอนนี้ เขาจะรับเหรอ? ไม่มีทาง เขาจะทำลายมันด้วยมือตัวเองด้วยซ้ำ”
“แต่ว่า เรื่องการตายของพ่อเขา ทำไมคุณถึงไม่อธิบายล่ะ?”
ชายคนนั้นไม่พูด เขาไม่ได้ฆ่าปั๋วเล่อ แต่ปั๋วเล่อกลับตายเพราะเขา เขาโกรธเขา เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไร
ยิ่งกว่านั้นระหว่างเขากับโม่หาน ไม่ได้มีแค่ปมเรื่องนี้
ฉินฮ่าวรู้ว่าตัวเองถามสิ่งที่ไม่ควรถามออกไป จึงเปลี่ยนเรื่อง “แล้วมู่เฉียวล่ะครับ?”
“ไม่ต้องสนใจไปชั่วคราว เรื่องนี้ต้องดูพวกเขาเองแล้ว ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นสามารถทนสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถทนได้ ถ้าหากเธอรักโม่หานจริงๆ ฉันก็ไม่ถือสาที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน เรื่องคู่ครอง เขาเป็นอิสระ เพียงแต่ตอนนี้ ยังไม่ถึงเวลาอิสระของเขา ถ้าหากผู้หญิงคนนั้นกลายเป็นตัวถ่วงของเขา ถ้าอย่างนั้นก็กำจัดทิ้งซะ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีหนทาง”
ฉินฮ่าวสูดหายใจ ไม่พูดอะไร ตั้งแต่วันแรกที่ส่งเขาไปอยู่ข้างตัวโม่หาน เขาก็รู้แล้ว ว่านายท่านไม่ได้แค่เพียงให้เขาคอยเป็นผู้ช่วยของโม่หานอย่างเดียว ก่อนจะมา เขาคิดว่า ที่บ้านยังมีคุณชายรองอยู่ นายท่านคงไม่มีทางลงมือกับโม่หาน แต่ว่า ต่อมาเขาถึงได้รู้ว่าความคิดของนายท่านอยู่ที่โม่หานมาตั้งแต่แรก เทียบกับคนที่ลุ่มหลงมัวเมาแต่เรื่องความรัก ปั้นไม่ขึ้นอย่างคุณชายรองแล้ว โม่หาน เด่นกว่ามากจริงๆ
เพียงแต่ เส้นทางที่ต้องสืบทอดนี้ มองแล้วดูยาวนาน และยากเย็นแสนเข็ญ
มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็นิ่งลงไป
ประธานบริษัทโม่ ชายที่มีความเฉียบแหลมทางธุรกิจที่คนธรรมดาไม่สามารถเทียบได้ ไม่ว่าจะไปบริษัทไหน ก็สามารถขึ้นนั่งตำแหน่งceoได้ง่ายๆ เทียบกับคำว่าแรงงานแล้ว ห่างชั้นกันมากจริงๆ
“เบอร์โทรศัพท์ของเขา คุณมีไหม?”
หญิงสาวส่ายหน้า “ไม่มี คนที่ต่อไปไม่ได้เจอหน้ากัน จะขอไว้ทำไม?”
พี่สาวเซี่ยหยูไม่ได้ปกปิดตัวตนของโม่หาน
มู่เฉียวพยักหน้า
ในคืนนี้ มู่เฉียวแทบจะไม่ได้นอน ในหัวของเธอเต็มไปด้วยชายคนที่หน้าเหมือน ชื่อเหมือนคนนั้น
เธอยอมรับ ถ้าจะบอกว่ารักโม่หานก็คงจะเกินความเป็นจริงมากไป ที่มากกว่านั้น อาจจะแค่รู้สึกปวดใจ และรู้สึกใจสั่นหน่อยๆ
เธอขอลากับหลิวฮั่ว นั่งแท็กซี่ไปยังสถานที่ตามที่อยู่ที่พี่สาวเซี่ยหยูให้มา
ที่นี่เป็นหมู่บ้านในเมืองที่กำลังจะถูกรื้อถอน
ป้ายรื้อถอนมีอยู่ทุกที่ โดยทั่วไปบ้านแบบนี้ ไม่มั่นคง ดังนั้น ราคาเช่าจะถูกมาก แรงงานต่างด้าวจำนวนมากจะมาเช่าที่นี่
โชคดี ที่บ้านเลขที่ยังเห็นได้ชัด
ไม่นาน เธอก็พบบ้านในที่อยู่ ที่นี่เป็นตึกเก่าสามชั้น สภาพทรุดโทรม
เธอเคาะประตูเหล็กที่ขึ้นสนิม ส่งเสียง‘ขึ่งขั่ง’
สักพัก ก็มีคนเปิดประตู
เป็นชายวัยกลางคน แต่งกายด้วยชุดทำงานเปื้อนฝุ่น ทำท่าทางหาว ระยะห่างขนาดนี้ มู่เฉียวยังได้กลิ่นบุหรี่และแอลกอฮอล์จากร่างกายของเขา
“คุณมาหาใคร?”ชายคนนั้นดูเหมือนจะถูกรบกวนเวลานอนของเขา น้ำเสียงของเขาจึงแย่มาก
“ฉันมาหา……โม่หาน” มู่เฉียวสูดหายใจ เมื่อพูดคำว่าโม่หาน
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “โม่หานอะไร ไม่มีๆ ”พูดจบ ก็ปิดประตูเหล็กอีกครั้ง
มู่เฉียวอยากเคาะประตู แต่สุดท้ายก็เอามือลง
ดูเวลา สิบโมงเช้าแล้ว ถ้าเขาทำงานก่อสร้างจริงๆ ตอนนี้คงไม่น่าจะอยู่บ้าน
คิดๆแล้ว ก็เคาะประตูอีกครั้ง ครั้งนี้เปิดเร็วมาก สายตาของชายคนนั้นดุหน่อยๆ แม้จะเจอกับมู่เฉียวที่หน้าตาสวยแบบนี้ ก็ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนโยนเลยสักนิด พูดเสียงดังว่า “ฉัน……”
ธนบัตรสีแดงสองสามใบถูกวางไว้ต่อหน้าของชายคนนั้น ทำให้คำด่าที่อยู่ข้างหลังของเขา หยุดลงทันที
“ฉันแค่อยากรู้ว่าคนที่อยู่ที่นี่มีใครบ้าง? ฉันเข้าไปดูได้ไหม”
ชายคนนั้นรับเงินอย่างกระฉับกระเฉง แตะน้ำลายแล้วนับ มีตั้งหกเจ็ดใบ ก็ดีใจ รีบถอยให้มู่เฉียวเข้ามา
“เชิญครับคุณ”
ที่นี่มองจากข้างนอกเหมือนตึกสามชั้น พอเดินเข้าไปข้างใน มู่เฉียวถึงได้เห็นว่า บันไดได้พังไปแล้ว มีแค่ชั้นหนึ่งที่สามารถอาศัยอยู่ได้
ทั้งบ้านเต็มไปด้วยกลิ่นเหงื่อรวมกับกลิ่นเหล้าบุหรี่ ทำให้เธอทนไม่ได้อยากปิดจมูก แต่มันดูไม่สุภาพ
“บ้านนี้มีคนอยู่สามคน ฉัน แล้วมีอีกสองคนที่ทำงานก่อสร้าง คนหนึ่งอาศัยอยู่ห้องนี้ และอีกคนหนึ่งอาศัยอยู่ในห้องนั้น คุณเข้าไปดูได้เลย”ชายวัยกลางคนพูด แล้วเดินหน้าขึ้นไปผลักประตูให้มู่เฉียว
มีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้จริงๆ ท่าทางที่ต่างกันราวฟ้ากับดินนี้
ทั้งสองห้องมีการวางผังห้องที่คล้ายกัน มีเตียง โต๊ะเรียบๆ ที่แตกต่างคือ ห้องหนึ่งสกปรก และอีกห้องสะอาด
เธอเลือกห้องที่สะอาดกว่าโดยสัญชาตญาณ
เพียงแต่เมื่อมองไปเห็นก้นบุหรี่ที่อยู่ในฝาเหล็กบนโต๊ะ และขวดเหล้าที่วางอยู่บนพื้น หัวใจของมู่เฉียวก็เย็นลงโม่หานไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า
“คนที่อาศัยอยู่ห้องนี้ ชื่อโม่หานหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนจับหัว “อันนี้ ฉันไม่รู้จริงๆ เขาเหมือนพูดไม่เป็น เข้าๆออกๆไม่เคยพูดกับพวกเราเลย”
มู่เฉียวนึกถึงเมื่อวานตอนที่กินข้าว ชายคนนั้นตั้งแต่เดินเข้ามา ก็ไม่พูดเลยสักคำ
เห็นว่าเธอกำลังจะไป ชายวัยกลางคนก็ตามมาทันที “คือ ฉันรู้ว่าเขาทำงานที่ไหน”
มู่เฉียวหันไป มองสายตาที่มีแต่ความโลภของเขา เปิดกระเป๋า ยื่นให้เขาอีกสามร้อยหยวน
ชายผู้นั้นซ่อนความดีใจไว้ไม่อยู่ “ไป ฉันพาคุณไป อยู่ใกล้ๆนี่แหละ”
มู่เฉียวพยักหน้า เธอเองก็มีความทะเยอทะยานที่ไม่สิ้นสุด
ในใจก็กลัว แต่ก็หวัง กลัวว่าจะแค่หน้าตาเหมือนกัน และหวังว่ามันจะมีปาฏิหาริย์
ที่จริงไซต์งานก่อสร้างก็อยู่ไม่ไกล แต่เพราะทุกที่กำลังมีการก่อสร้าง ดังนั้น จึงรกมาก ตรงนี้มีหลุม ตรงนั้นมีกองเศษซาก ต้องเดินอ้อมไปมา เดินเป็นสิบนาที กว่าจะถึงไซต์งาน
“คุณลองไปถามคนทางนั้นดู บางทีอาจมีคนรู้จัก”
มู่เฉียวพยักหน้า ชายวัยกลางคนถอยหลัง “ครั้งหน้า คุณอยากรู้อะไรอีก บอกฉันนะ”
“อืม”
ชายวัยกลางคนก็จากไป
สาวสวยมาถึงสถานที่ก่อสร้างที่ที่ผู้ชายรวมตัวกัน คนที่คุณสมบัติดี ก็แค่แอบมอง คนที่มีคุณสมบัติแย่ ก็ผิวปากแซวมาแล้ว
“เฮ้ คุณเป็นใครน่ะ ไม่รู้เหรอว่าสถานที่ก่อสร้างอันตราย จะมาเดินเล่นตามใจไม่ได้? ถ้าเกิดโดนอะไรทับตาย ใครจะรับผิดชอบ”เสียงถามอย่างเฉียบขาดดังมาจากด้านหลัง
มู่เฉียวหันไป ก็เห็นผู้ชายที่สวมหมวกนิรภัยอยู่ มือชี้มาทางเธอ
เธอลังเลพักหนึ่ง เดินเข้าไปใกล้ ยิ้มบางๆให้ชายคนนั้น “สวัสดีค่ะ ฉันมาตามหาคน”
ชายคนนั้นอายุประมาณสามสิบปี ถูกมู่เฉียวยิ้มให้แบบนี้ อารมณ์โกรธก็หายไป น้ำเสียงอ่อนลง “คนสวย คุณไปที่ปลอดภัยกับผมก่อน ถ้าก้อนอิฐตกลงมากระแทกโดนหัว อันตรายถึงชีวิตเลยนะ”ชายคนนั้นชี้ไปที่ชั้นบน
พูดไป ก็เดินนำไป
มาถึงที่ปลอดภัย ชายจึงถามขึ้น “คุณตามหาใครครับ?”
“โม่หาน”
“โม่…..หาน?”ชายตะโกนถามคนข้างหลัง“พวกนาย ใครรู้จักโม่หาน?”
ทั้งหมดส่ายหัว ทันใดนั้นก็มีเสียงเล็กๆดังมาจากกลุ่มคน “คนที่เธอตามหาน่าจะเป็นมู่โถวหรือเปล่า? ฉันจำได้ว่าชื่อของเขาเหมือนจะชื่อหานอะไรสักอย่าง”
จากนั้นก็มีคนตามว่า “เหมือนจะใช่ แปลกจริง สองสามวันนี้ ทำไมถึงมีแต่สาวสวยมาหาเขา”
“ก็เขาน่าตาดี”
“นั่นมีประโยชน์อะไรล่ะ ยังไงก็ทำงานก่อสร้างเหมือนฉันไม่ใช่เหรอ? ถ้ามีความสามารถ ก็ไปเป็นโสเภณีชายสิ? ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว หันตัวไปยิ้มให้ชายที่อยู่ข้างหน้า “คือ ช่วยเรียกเขามาหน่อยได้ไหม ฉัน ฉันกลัวเดินไปไม่ปลอดภัย”
“นายคนนั้นน่ะ นายไปตามคนมาซิ”
ข้อดีของคนสวย ต่อหน้าคนที่ชอบเสน่ห์หญิงแล้ว แค่ยิ้มบางๆ ก็มีผลมากกว่าใช้เงิน
ตอนโม่หานมา คือครึ่งชั่วโมงให้หลัง
เขาเห็นมู่เฉียว แค่มองแวบเดียว ก็ก้มหน้าลง ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ไม่พูดอะไร
สวมชุดทำงาน บนตัวเต็มไปด้วยฝุ่นและโคลน ไม่เว้นแม่แต่ใบหน้าหรือมือ
เธอยังจำได้ว่าโม่หานมีนิสัยรักความสะอาดหน่อย เสื้อสูท แม้ว่าจะใส่แค่ครั้งเดียว หรือเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ตาม จะต้องเอาไปซัก
“โม่หาน ฉันคือมู่เฉียว คุณคือโม่หานที่ฉันรู้จักหรือเปล่า?”
ถึงแม้ความหวังในใจจะยิ่งอยู่ยิ่งน้อยลง แต่มู่เฉียวก็อดถามไม่ได้
“แม่ เจ็บ”มู่เสี่ยวโยวเงยหน้ามองมู่เฉียว
มู่เฉียวคลายมือออก หันไปมองหน้าพ่อกับแม่ สีหน้าของพวกเขาก็ดูแย่มากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ได้ตาฝาด เป็นเรื่องจริง
“พี่สาว คุณน้า คุณอา ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือพ่อกับแม่ของฉัน ส่วนนี่คือพี่สาวและพี่เขย”
มู่เฉียวลุกขึ้น ส่งมู่เสี่ยวโยวให้แม่ “ขอโทษนะคะ ฉัน……ไปห้องน้ำสักครู่”
มองดูในกระจก สีหน้าซีดแบบนั้น มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บความตื่นตกใจไว้ในใจ
คนคนนั้นเหมือนโม่หานอย่างกับแกะ เธออยากปลอบใจตัวเอง ว่าในโลกนี้อาจมีคนที่หน้าตาคล้ายกันอยู่ แต่ว่า กลับยังรู้สึกมีความหวังเล็กๆ โม่หาน คนนั้นใช่คุณหรือเปล่า? คุณยังไม่ตาย ใช่ไหม?
ตั้งนานแล้วเธอยังไม่ออกมา เซี่ยหยูไม่วางใจ จึงตามมาดู
พบว่ามู่เฉียวพิงอยู่ตรงผนัง หลับตาไว้ “พี่คะ คุณไม่สบายเหรอคะ?”
มู่เฉียวฝืนเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ มองเซี่ยหยู ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่……เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นฉันช่วยพยุงนะ?”เซี่ยหยูมอง แล้วเข้าใกล้ จับแขนมู่เฉียวไว้
“เสี่ยวหยู พี่เธอกับพี่เขยเธอ แต่งงานกันเมื่อไหร่?”
เซี่ยหยูขมวดคิ้ว ก้มหน้า หน้าแดงเล็กน้อย เธอลังเลสักพัก ก็เข้าไปกระซิบข้างหูมู่เฉียว “ที่จริง พี่สาวของฉันจ้างผู้ชายคนนั้นมา”
มู่เฉียวเบิกตากว้าง มองเซี่ยหยู เดินไปมองที่ประตูดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน เธอจึงปิดประตู แล้วถามว่า“ที่ว่าจ้างมาคืออะไร?”
เซี่ยหยูถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้พี่สาวฉันมีแฟนคนหนึ่ง โดนนอกใจ หลังจากนั้น พี่สาวฉันก็กลายเป็นคนประเภทที่แต่งงานไม่ได้ ไม่ว่าผู้ชายจะดีมากแค่ไหน พี่สาวฉันก็ไม่เชื่อ แล้วไม่นานมานี้พ่อกับแม่ก็บอกว่าฉันมีแฟนแล้ว เธอยังโสดอยู่มันดูไม่มีเหตุผลเลย ดังนั้น เพื่ออาหารมื้อนี้แล้ว พี่สาวฉันก็คิดว่าจะไปจ้างคนมาเป็นแฟน ผู้ชายคนนี้ ได้ยินมาจากพี่สาวว่า เขาเป็นแรงงาน ไปเจอตอนที่พี่สาวไปที่ไซต์ก่อสร้างของพ่อ พากลับมาแต่งตัว ก็พอดูดีขึ้นมา”
ความสนใจของมู่เฉียวทั้งหมดอยู่ที่คำว่า ‘แรงงาน’
เธอกลืนน้ำลาย ในใจรู้สึกยังไงอธิบายไม่ถูก
นี่ คงไม่ใช่โม่หานใช่ไหม?
เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่โต๊ะ สีหน้าพ่อกับแม่สงบลงมาบ้างแล้ว พ่อเซี่ยแม่เซี่ย ดูเป็นคนสบายๆ ทำให้มู่เฉียวนึกถึง ย่าโม่
“คุณพ่อของมู่หลิง ต่อไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เสี่ยวหยูโดนพวกเราตามใจจนเคยชินแล้ว อีกหน่อยไปอยู่บ้านคุณ เธอทำไม่ถูกตรงไหน คุณด่าได้เลย”มองออกเลย ว่าพ่อเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา
“พ่อ พูดอะไรน่ะ? คุณน้ากับคุณอาเป็นครูมาหลายปีแล้ว จะด่าคนเป็นได้ยังไงกัน?”
พ่อมู่ยิ้มบางๆ “เสี่ยวหยู อ่อนโยนและใจดีแบบนี้ ผมกับแม่ของลูก หวงแหนมากกว่า ด่าไม่ลงหรอก”
พูดคำนี้จบ มู่เฉียวรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้น มู่หลิงกลับลุกขึ้นยืนทันที มองพี่สาวของเซี่ยหยู “พี่ครับ คุณไม่แนะนำพี่เขยหน่อยเหรอ? เพิ่งเจอกันครั้งแรก”
มู่เฉียวเม้มปาก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือของเธอที่วางอยู่ใต้โต๊ะ ประสานเข้าด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะออกแรงมากขึ้น เธอรู้ ว่ามู่หลิงถามแทนเธอ
เห็นเพียงแค่พี่สาวเซี่ยลุกขึ้น “มู่หลิง ขอโทษด้วยจริงๆนะ เขา ช่วงนี้คอของเขาอักเสบ พูดไม่ได้น่ะ”
มู่เฉียวเงยหน้าไปมอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อวบและผิวคล้ำกว่าโม่หานนิดหน่อย แต่โม่หานมีรอยแผลเป็นบนดวงตา คนคนนี้กลับไม่มี
สายตาเธอลดลง ตรงข้อมือของโม่หาน มีรอยลวก ย่าโม่บอกว่า ตอนเด็กเขาซน เล่นประทัดแล้วโดน แต่ นอกจากผิวที่หยาบกร้านแล้วที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย มองไม่เห็นว่ามีรอยแผลเป็น ไม่มีอะไรเลย
ดวงตาของเธอนิ่งลงไป
รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระขึ้นมาทันที เธอเป็นคนฝังขี้เถ้าของโม่หานเองกับมือ ในโรงพยาบาล เธอเห็นกับตาว่าชีวิตของโม่หานตกอยู่ในอันตราย หมอบอกว่า เขาเสียแล้ว แต่ปู่โม่ยังไม่ยอมแพ้ จะส่งเขาไปลองรักษาที่เมืองนอก
ตอนฝังโม่หาน คุณนายโม่กับย่าโม่ร้องไห้จนสลบไปหลายรอบ
แต่ว่า ตอนนี้ เธอยังคงฝันลมๆแล้งๆ ว่าโม่หานยังไม่ตาย
ใช่สิ ถ้าโม่หานไม่ตาย จะมองเธอกับมู่เสี่ยวโยวด้วยสายตาสงบแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีทางอยู่แล้ว
มู่เฉียว เธอตายใจเถอะ!
“แม่ เขาคือพ่อหรือเปล่า?”ทันใดนั้น มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่โม่หาน พูดคำพูดน่าตกใจออกมา
สายตาของทุกคนไปตกอยู่บนตัวของชายคนนั้นทันที
มู่เฉียวตื่นตระหนก กลืนน้ำลาย เธอลืมไป ในมือถือ เธอให้มู่เสี่ยวโยวดูรูปของโม่หานบ่อยๆ พูดขึ้นช้าๆว่า “เสี่ยวโยว เขาไม่ใช่พ่อ คุณพ่อ ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว นี่คือคุณอา”
เธอบอกมู่เสี่ยวโยว และบอกกับตัวเองด้วย
มู่เสี่ยวโยวหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก “แม่ พ่อไปสวรรค์แล้ว เมื่อไหร่พ่อจะกลับมา?”
“เอาล่ะ เสี่ยวโยว กินข้าวก่อน”แม่เห็นว่าสีหน้าของมู่เฉียวแย่ รีบพูดเบี่ยงประเด็นขึ้น
“แม่ พ่อไม่ต้องการเราแล้วเหรอ? เขาไปสวรรค์ โทรหาเราไม่ได้เหรอ?”แต่นิสัยเสี่ยวโยวเหมือนมู่เฉียว ดื้อรั้น
“คุณหนูมู่ ฉันขอเสียมารยาทถามสักหน่อย พ่อของเสี่ยวโยว เหมือนโม่หานมากเลยเหรอคะ?”
ตะเกียบในมือมู่เฉียวตกลงบนพื้น และเธอก็ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น “พี่คะ คุณ……คุณเรียกเขาว่าอะไรนะ?”
ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ก้มหน้ากินอย่างเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเซี่ยมีท่าทีสนใจ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “เขา ชื่อโม่หาน”
ชายเสื้อของมู่เฉียวถูกแม่ดึงแรงๆ เธอถึงได้สติกลับมา
จริงด้วย วันนี้เป็นงานใหญ่ของเซี่ยหยูกับมู่หลิง จะทำลายมื้ออาหารมื้อนี้เพราะเรื่องของตัวเองไม่ได้
เธอพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ เมื่อก่อน รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อนี้เหมือนกัน”
พี่สาวเซี่ยพยักหน้า หัวข้อนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว
มื้ออาหารนี้ มู่เฉียวรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ ในที่สุดก็ทานกันเสร็จ หลังจากมองพ่อเซี่ยแม่เซี่ยนั่งรถจากไป
เธอก็โล่งใจ
หันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว ก็ร้อนรนขึ้น “พี่คะ ผู้ชายคนนั้นล่ะ?”
พี่สาวเซี่ยดูเป็นคนประณีต เธอหยิบโน้ตออกจากกระเป๋า ในนั้นเขียนที่อยู่ยื่นให้มู่เฉียว “นี่คือที่ที่ฉันไปรับเขาวันนี้ ฉัน ไม่รู้จักเขาจริงๆ แต่ เห็นบอกว่า เขาเป็นแรงงาน คุณหนูมู่ ได้ยินว่าพ่อของเสี่ยวโยวเสียแล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ ที่วันนี้ทำให้คุณนึกถึงเขา”
มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็ทรุดนิ่งลงไปอีก
เห็นคนด้านในชัดเจน มู่เฉียวก็หันกลับเดินออกไป
แขนถูกดึงจากด้านหลัง
มู่เฉียวจึงหันไปมองผู้หญิงตรงหน้า “ปล่อย!”
“ทำไมละ?ไม่อยากได้งานแล้วเหรอ?”
มู่เฉียวไม่พูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เดินไปรอบๆมู่เฉียวแล้วพิจารณาเธอ หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าคุณมาที่เมืองB ฉันรู้ว่าคุณยังหาวิธีที่จะเข้าสู่อาชีพนี้ ฉันจึงตั้งใจให้คนเปิดรับสมัครออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
มู่เฉียวหลับตา สำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ทำลายชีวิตเธอ เวลาเธอแทบทนไม่ไหวที่จะบีบคอเธอให้ตายไปซะ
“อย่าบอกนะว่าบริษัทนี้เป็นของคุณ?” มู่เฉียวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับมู่หยิงที่เมือง B
“บริษัทนี้เป็นของสามีฉัน ฉันอยู่บ้านเบื่อๆ ก็เลยมาดูหน่อย มู่เฉียวได้ยินมาว่า คุณยังอยู่คนเดียวเหรอ?เฮ้อ โม่หานคนนี้ตายไปหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งคุณไม่ใช่ว่าไม่ชอบเขาหรอกเหรอ?ทำไมยังต้องไว้ทุกข์แก่เขาด้วยเหรอ?ไม่หาใครสักคนล่ะ?อืม ใช่สิ เฮ่อเทียนคนนั้นยังคงตามหาคุณอยู่ คุณหาพ่อเลี้ยงให้มู่เสี่ยวโยวคนนั้นน่าจะดีกว่านะ” มู่หยิงพูดจบ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เสียงหัวเราะนั้นแสบแก้วหูมาก
มู่เฉียวยกแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่มู่หยิง
จากนั้นก็หันกลับออกไป
“ฉันแนะนำให้คุณยอมแพ้ซะเถอะ คุณอาจสงสัยว่าทำไมโม่กรุ๊ปถึงต้องการกำจัดคุณในตอนแรกใช่ไหม?ฉันจะบอกคุณให้ก็ได้ เป็นฉันเองที่ทำให้เป็นแบบนี้” มู่หยิงพูดจบก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะ เช็ดน้ำบนตัว แล้วเดินไปตรงหน้ามู่เฉียว “มู่เฉียว มีฉันอยู่ เส้นทางนี้คุณก็อย่าคิดที่จะได้เข้ามา ไม่ใช่ว่าคุณทะนงตัวเพื่องานนี้หรอกเหรอ?ฉันอยากดูว่าต่อไปคุณจะหยิ่งทะนงตัวได้อย่างไร?”
ความโกรธของมู่เฉียวปะทุขึ้นมา เธอมองมู่หยิง “ทำไมกัน?ทำไม?ฉันเคยทำให้คุณไม่พอใจหรือไง คุณถึงได้ลงโทษฉันอย่างนี้?โม่หานตายไปแล้ว ทำไมคุณถึงได้จับฉันไม่ปล่อยเลย?”
มู่หยิงนำทิชชูในมือโยนทิ้งลงถังขยะ “เพราะอะไรนะเหรอ?ก็เพราะว่าโม่หานชอบคุณไง!” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของมู่หยิงก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ บางคนที่จากไป คุณจึงจะเข้าใจว่าเขาสำคัญกับตนเองมากแค่ไหน มู่หยิงคิดมาตลอดว่าเธอรักตัวเองมากกว่าโม่หาน แต่เมื่อโม่หานจากไปแล้ว เธอจึงรู้ว่าเธอรักเขา รักจนถึงขั้นว่าคนไหนมาสัมผัสเธอ เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียน
แต่ว่าโม่หานตายไปแล้ว
ในใจมู่เฉียวเต้นระรัว สีหน้าเธอผิดปกติไป “ฉันฟังไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร?”
มู่หยิงบิดๆนิ้ว “ฟังไม่เข้าใจเหรอ?มู่เฉียวฉันเกลียดคุณ ผู้ชายที่ฉันรักมาหลายปีขนาดนี้ คุณก็แย่งไปอย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”
โดนหักหลัง?มู่เฉียวหัวเราะเยาะ เงยหน้าขึ้นมองมู่หยิงด้วยสายตาเย็นชา
“มู่หยิงมีเรื่องหนึ่ง ที่เดิมทีฉันไม่ได้อยากจะบอกคุณหรอก แต่ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ฉันก็จะบอกคุณให้ คุณรู้ไหม?เรื่องที่คุณทำให้ฉันท้องมู่เสี่ยวโยว โม่หานรู้มานานแล้ว คุณคิดว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉัน เขาก็จะมาชอบคุณใช่ไหม?คุณเพ้อฝันไปแล้ว ที่เขาปฏิบัติดีต่อคุณ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความรักหรอก เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณก็เท่านั้นเอง”
“มู่เฉียว คุณโกหก เป็นไปไม่ได้ที่โม่หานจะรู้”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกัน” เธอกลืนๆน้ำลาย “ถึงอย่างไรคุณก็ต้องละอายใจต่อเขาไปชั่วชีวิต”
มู่หยิงคว้าตัวมู่เฉียวเตรียมที่จะเข้าไปทำร้าย
มู่เฉียวหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปล่าบนโต๊ะ แล้วคิดจะทุบไปที่หัวของมู่หยิง
“คุณกล้าเหรอ คุณอยากให้ลูกสาวของคุณกลายเป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นประจันหน้าเข้ามา แล้วพูดยั่วยุ
“คุณ……ฉันไม่กล้าหรอก เพราะนั่นคือลูกสาวของโม่หาน ฉันต้องรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี”
นำที่เขี่ยบุหรี่ขว้างลงพื้น ที่เขี่ยบุหรี่ใช้วัสดุหนา เมื่อตกลงพื้น จึงไม่ส่งเสียงดังมาก
มู่เฉียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ มองคนเดินผ่านไปมา เธอรู้สึกว่าภายในใจเป็นทุกข์ถึงขีดสุด
นึกถึงประโยคนั้นของมู่หยิง เขาชอบคุณ ประโยคนั้นก่อนที่ชายคนนั้นจะตาย ยังคงดังอยู่ในหู
“มู่เฉียว ถ้าหากมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันอยากที่จะ ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อที่จะรู้จักคุณใหม่อีกครั้ง”
เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แสงอาทิตย์กระทบดวงตาเล็กน้อย ทำให้แสบตา แต่น้ำตาที่เอ่ออยู่รอบดวงตา ในที่สุดก็ไม่ได้ไหลออกมา โม่หาน ที่จริงแล้ว คุณไม่ได้เลวร้าย แต่ฉันค้นพบในวันที่สายเกินไป จะทำอย่างไรได้?
ถ้าหากมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง ฉันอยากจะใช้ทัศนคติอื่น ในการปฏิบัติกับคุณ
แต่ไม่มีคำว่าถ้า
ไม่ได้งานนี้ งานด้านของล่าม ก็ต้องหยุดไปชั่วคราว
มู่เฉียวมองคนข้างถนนที่เดินผ่านไปมา ทันทีก็รู้สึกลังเลสับสน
เวลานี้ มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ใช่คุณมู่เฉียวไหมคะ?”
“สวัสดีค่ะ ฉันเองค่ะ”
“เมื่อวานคุณส่งเรซูเม่มา ใช่ไหม?อืม พอดีวันนี้ ทางพวกเราขาดคน คุณต้องการเข้ามาไหมคะ?
“อืม สถานที่อยู่ตรงไหนคะ?”
“ฉันจะส่งวีแชตให้คุณ พวกเราต้องการตอนบ่ายด่วน ถ้าคุณสามารถมาได้ อีกสักครู่ก็เข้ามาได้เลย พวกเราจะจัดอาหารกลางวันให้”
“อ้อ โอเคค่ะ”
มู่เฉียววางสาย ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้า เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองB จึงใช้จีพีเอสนำทาง จึงพบว่าอยู่ใกล้ตรงนี้เอง
จึงรีบเดินตามจีพีเอสไป
เกินความคาดหมาย กับบริษัทของพ่อของเซี่ยหยูเมื่อวาน ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น ที่มีมากกว่าสามสิบชั้น แต่บริษัทที่เธออยู่เป็นเพียงอาคารชั้นเดียว จึงเข้าไปตามคำบอกกล่าวได้เลย
“บริษัทล่ามซินหง” เป็นบริษัทขนาดเล็กที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อ
พอเปิดประตูเข้าไป ที่บอกว่าเป็นบริษัท อันที่จริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่เพิ่มห้องทำงานขนาดเล็กเข้าไป
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ วัดด้วยสายตาแล้วก็มีคนอยู่ราวๆยี่สิบสามสิบคน ทุกคนก้มหน้าก้มตา ยุ่งอยู่กับงาน บนโต๊ะทำงานของทุกคนเต็มไปด้วยเอกสาร แม้แต่เธอเข้าไป ก็ไม่มีใครเห็น
“สวัสดีค่ะ ฉันคือล่ามเฉพาะกิจคนนั้นที่เพิ่งได้รับสายเมื่อกี้นี้ค่ะ”
เมื่อเธอเอ่ยปาก คนทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองมาที่เธอ
จากนั้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน “ประธานหลิว ฉันต้องการลาหยุด”
“ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะ”
“อะไร ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันยื่นคำร้องก่อน”
“……”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง ขมวดคิ้ว ฉากแบบนี้ตอนที่เธออยู่บริษัทก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏ ทุกคนจะมีการจัดระเบียบการทำงานและการพักผ่อนของตัวเองเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฉากที่โกลาหล และยุ่งเหยิงแบบนี้ จะไม่มีปรากฏ
“แกร๊ก”ประตูถูกเปิดออก ชายคนหนึ่ง ปรากฏอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน
เมื่อชายหนุ่มเห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็ปรากฏความประหลาดใจอย่างชัดเจน “เสี่ยวเฉียว?คุณจริงๆด้วย?”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น ในสมองก็มีภาพหนึ่งปรากฏออกมา
“พวกคุณรอหน่อย ในอนาคตบริษัทล่ามพี่เปิดแล้ว พวกคุณก็มาให้พี่ช่วยได้”
“หลิวฮั่ว?” มู่เฉียวตกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าจะได้เจอเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย
หลิวฮั่วคนนี้ตกหลุมรักเพื่อนร่วมหอเดียวกันกับเธอคนหนึ่ง เวลานั้น พวกเขามักจะพยายาม ออกไปเที่ยวกันเป็นบางครั้งบางคราว ก็นับได้ว่าคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
“มาๆๆ เข้ามานั่ง” หลิวฮั่วพูดจบ ก็ให้มู่เฉียวเข้าไปที่ห้องทำงาน
รินน้ำใส่แก้วส่งให้มู่เฉียว “หลายปีขนาดนี้แล้ว คุณยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงสวยปานนางฟ้าเหมือนเดิม”
มู่เฉียวกลืนน้ำลาย แล้วพิจารณาเขา “คุณ……ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเยอะเลย”
ผมที่ยาวในความทรงจำ ก็โกนเป็นสกินเฮด ชุดกีฬาที่เคยชินในความทรงจำ ก็เปลี่ยนกลายเป็นชุดสูทรองเท้าหนัง
เพียงแต่บนใบหน้าที่งดงาม ถ้ามองอย่างละเอียด ยังคงมีความเป็นเด็กอยู่บ้าง
“ได้ยินมาว่าคุณสามารถพัฒนาบริษัทใหญ่ได้ไม่เลว ทำไมถึง……” คำพูดที่เหลือ หลิวฮั่วไม่ได้พูด
มู่เฉียวสูดหายใจเข้า นำแก้วในมือวางลงบนโต๊ะ แล้วมองเขา “อย่าบอกนะว่าคุณไม่ได้อ่านประวัติย่อ?”
หลิวฮั่วเขินอายเล็กน้อย เอามือจับๆหน้าผาก “เดิมทีก็อยากจะกัดกันออกไป แต่ฉันเห็นว่าคนที่ชื่อแซ่เดียวกันก็ไม่ค่อยเยอะ อีกทั้งคุณวางตัวอย่างไร ฉันก็เข้าใจดี ฉะนั้นเลยอยากเรียกมาดูสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคุณจริงๆด้วย”
พอได้ยินอย่างนี้มู่เฉียวก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อย หลังจากเกิดเรื่องมาได้หนึ่งปี นอกจากญาติพี่น้องแล้ว ก็มีคนนอกคนแรกที่บอกว่าเชื่อเธอ
เธอยิ้มเจื่อนๆ “ผิดใจกับคนที่มีอำนาจมีอิทธิพล ก็เลยโดนใส่ร้ายป้ายสี”
หลิวฮั่วพยักหน้า “โอเค ถ้าคุณไม่รังเกียจว่าสถานที่ฉันมันเล็กไปหน่อย ก็มาอยู่ด้วยกันเถอะ วางใจได้ คนกลัวอื่นกลัว แต่ฉันไม่กลัวหรอก”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง อยากจะบอกเขาว่า ให้เธออยู่ต่ออาจจะเป็นหายนะได้ แต่เห็นหลิวฮั่วเชื่อใจแบบนี้แล้ว เธอก็เกรงใจไม่กล้าปฏิเสธไป ได้แต่พยักหน้า “ขอบคุณนะ”
จากนั้นก็พูดว่า : “ธุรกิจดูดีเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนจะยุ่งวุ่นวายเล็กน้อย มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ดูเหมือนว่าจะแปลกใจที่เธอมาที่นี่ได้สักพักก็พบกับปัญหา ในแววตาหลิวฮั่วเป็นประกาย เดินเข้าไปจับมือมู่เฉียว “คุณทำงานด้วยกันกับฉัน ได้ไหม?ฉันจะให้หุ้นส่วนคุณ คุณก็รู้ ฉันมุ่งมั่นที่จะเปิดบริษัท แล้วฉันจะทำธุรกิจกับภายนอก เช่นนั้นไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ประสบการณ์การบริหารภายใน ยังคงขาดแคลน คุณเคยทำงานที่บริษัทใหญ่ๆมาก่อน ต้องมีประสบการณ์ในด้านนี้อย่างแน่นอน เป็นอย่างไร?มาทำด้วยกันไหม?”
มู่เฉียวดึงมือกลับ หน้าแดงเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่หันกลับออกจากห้องทำงานไป เดินไปที่โต๊ะทำงานโต๊ะหนึ่งที่ใกล้ที่สุด หยิบเอกสารหนึ่งปึกบนโต๊ะขึ้นมาอ่าน
เป็นงานกราฟิกดีไซน์ของบริษัทแห่งหนึ่ง แปลเกี่ยวกับที่ปรึกษาด้านธุรกิจ
อันต่อไป แปลคำโฆษณาทั้งหลายของเขตเมือง B
อีกอัน คาดไม่ถึงว่ายังมีการแปลภาพยนตร์และโทรทัศน์ด้วย
เธอหันไปมองหลิวฮั่ว “คุณมีความสามารถจริงๆ”
งานแปลเหล่านี้ ไม่มีความสัมพันธ์กันเลยสักนิด ทำงานหลากหลายเกินไปจริงๆ
หลิวฮั่วกระแอมไอ “ไป ตอนเที่ยงจะเลี้ยงข้าวคุณ เราค่อยคุยรายละเอียดกัน”
มู่เฉียวไม่ได้หลีกเลี่ยง หยิบกระเป๋า แล้วทั้งสองคนก็ออกไปด้วยกัน
“ไม่ได้บอกว่าเป็นลูกจ้างชั่วคราวหรอกเหรอ?มองอย่างไร ก็ดูเหมือนไม่ธรรมดาเลยนะ?”
“อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้า ความสัมพันธ์ของเจ้านายเรากับภรรยาเขา ก็ดีอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“ใครพูดสุ่มสี่สุ่มห้า คุณเห็นผู้หญิงคนนั้นไหม รูปร่างหน้าตาสวยขนาดนั้น นั่นคือคนที่จะทำธุรกิจด้วยเหรอ?”
……
“หลิวฮั่ว ในเมื่อคุณกังวลด้านการบริหารจัดการ แต่ไม่มีประสบการณ์ แล้วทำไมไม่เชิญคนที่สามารถบริหารได้มาล่ะ?”
หลิวฮั่วนำเมนูอาหารส่งให้บริกร จึงพูดว่า “พนักงานเหล่านี้ทำงานกับฉันมาหลายปีแล้ว ผู้จัดการเหล่านั้น เดิมทีพวกเขาก็ไม่ค่อยเชื่อฟังฉัน ไม่สนใจไยดี ชักสีหน้าใส่ พวกเขาเคยชินจนกลายเป็นอย่างนี้ไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่มีระเบียบวินัย แต่ความสามารถในการทำงานนั้นยอดเยี่ยม”
มู่เฉียวพยักหน้า
เช่นนี้ มู่เฉียวจึงอยู่ที่บริษัทของหลิวฮั่ว
ส่วนหลิวฮั่ว บวกว่าเธอคือผู้จัดการคนใหม่ที่เชิญเข้ามา ตัวเองออกไปรับงาน สิบวันหรือครึ่งเดือนจึงกลับมาครั้งหนึ่ง
แรกๆ มู่เฉียวพูดอะไรไป พวกเขาก็ไม่สนใจเธอโดยสิ้นเชิง
ต่อมา ได้ไล่คนที่มีความสามารถแย่ และเถียงกับผู้ใหญ่ออกไปคนหนึ่ง ทุกคนจึงฟังคำพูดของเธอ แต่ในใจก็ไม่ได้ยินยอม
กลางวันนี้ มู่เฉียวทานข้าวเสร็จแล้วขึ้นมา เห็นทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ แล้วด้วยท่าทีที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
“ผู้จัดการมู่ ภรรยาของประธานหลิวมาแล้ว” ผู้ช่วยเข้ามา แล้วโยนสายตามายังเธอ
มู่เฉียวขมวดคิ้ว พอเปิดประตูห้องทำงานเข้าไป หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่งก็กระแทกเข้ามาใส่เธอ
“คาดไม่ถึงว่าคุณจะกล้ามายั่วสามีของฉัน วันนี้ฉัน……” หญิงที่เสียงเอะอะโวยวายเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่เข้ามาชัดเจนแล้ว ก็หยุดอย่างกะทันหัน จากนั้นประตูก็ถูกปิด
เพื่อนตู้เสี่ยวซิน นิสัยขี้โมโหของคุณนี้ ไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด” มู่เฉียวรับหนังสือที่เธอโยนเข้ามาได้อย่างแม่นยำ
ตู้เสี่ยวซินเห็นมู่เฉียว ก็อยากจะร้องไห้ “เฉียวเอ๋อ ทำไมถึงเป็นคุณล่ะ?”
มู่เฉียวเดินเข้าไป โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “หลายปีแล้วไม่เจอกันเลย คุณสบายดีไหม?”
เวลานั้นที่คนทั้งสองอยู่หอพัก ความสัมพันธ์ดีอย่างมาก แต่ตู้เสี่ยวซินผู้หญิงคนนี้ ชอบหึงหวง ตอนฝึกงาน เธอและหลิวฮั่วได้อยู่บริษัทเดียวกัน คนทั้งสองมักเข้างานเลิกงานด้วยกันเสมอ ตู้เสี่ยวซินจึงสงสัยว่าเธอและหลิวฮั่วจะเกิดปัญหา ต่อมาเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง มู่เฉียวจึงออกจากบริษัท โดยไม่ได้ใบรายงานการฝึกงานด้วยซ้ำ
ต่อมา ตู้เสี่ยวซินรู้สึกว่าตนเองทำผิด จึงตามหามู่เฉียวอยู่หลายครั้ง แต่ก็พลาดโอกาส จึงไม่ได้พบหน้ากัน โทรศัพท์ไปหา มู่เฉียวก็บ่ายเบี่ยงว่าตนเองยุ่งมาโดยตลอด เธอคิดว่ามู่เฉียวโกรธ เรื่องนี้ ติดค้างอยู่ในใจตู้เสี่ยวซินมาโดยตลอด ตอนนี้ได้พบมู่เฉียว เธอจึงรู้สึกสะเทือนใจอย่างมาก
อันที่จริงครั้งที่แล้ว มู่เฉียวก็เตรียมที่จะไถ่ถามถึงตู้เสี่ยวซินกับหลิวฮั่ว แต่พอนึกถึงในเวลานั้นคนทั้งสองเลิกรากันโดยไม่ดี พอเจอเขาจึงปิดปากเงียบ เธอยังคิดว่าคนทั้งสองเลิกกันแล้ว แต่ไม่นึกเลยว่า จะแต่งงานกันแล้ว
“ไม่นึกเลยว่าหลิวฮั่วคนนั้น จะไม่บอกฉันว่า คุณมาทำงานที่นี่ ฉันยังคิดว่าเป็นนังปีศาจจิ้งจอกที่ไหน?”
มู่เฉียวเม้มปาก “คุณนี่มันเจ้าแม่หึงหวงจริงๆ ฉันคิดว่าหลิวฮั่วคงมีงานมากมายคงไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยหรอก”
ตอนอยู่มหาวิทยาลัย เพื่อหลิวฮั่ว ตู้เสี่ยวซินนับว่าเป็นมือปราบปีศาจจริงๆ ไม่ว่าผู้หญิงคนไหนที่ดูมีแนวโน้ม เธอจะจัดการพวกเธอตั้งแต่เนิ่นๆ
เพียงแต่ กับมู่เฉียว เธอก็วางใจถึงที่สุด เหตุผลก็คือ เธอไม่ได้ชอบหลิวฮั่ว
แต่ไม่คาดคิดว่า ในที่สุดมู่เฉียวก็ยังไม่ได้หลีกหนีไป
“ทำไมกัน?ยังต้องการให้เข้าใจผิดอีกครั้งเหรอ?”
ตู้เสี่ยวซินซื้ดจมูก ส่ายหน้า อันที่จริงในภายหลังก็คิดแล้วว่า ด้วยความโดดเด่นของมู่เฉียว ถ้าเธออยากจะมีอะไรกับหลิวฮั่วจริงๆ ในตอนนั้นก็คงไม่มีโอกาสของตนเอง อีกทั้งถ้าหลิวฮั่วไม่ชอบเธอจริงๆ ก็คงไม่สามารถมาแต่งงานกับเธอได้หรอก ถึงอย่างไร เธอก็ไม่มีตรงไหนที่โดดเด่นเลยจริงๆ ข้อดีเพียงอย่างเดียว คาดว่าก็คือรักเขา รักยิ่งกว่าตัวเอง
“อันที่จริงหลายปีมานี้ ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว” ตู้เสี่ยวซินก้มหน้า ม้วนชายเสื้อ เก้อเขินเล็กน้อย “ก็แค่ คนหลายคนส่งข้อความมาให้ฉัน บอกว่าบริษัทรับสาวสวยมาคนหนึ่ง สามารถของฉันปฏิบัติด้วยเป็นพิเศษ ฉันอดไม่ได้จริงๆ จึงเข้ามาดู คาดไม่ถึงว่า มาแล้วจะเห็นว่าสามีของฉันนำห้องทำงานของตัวเองให้กับคุณ ดังนั้น……….”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
“เฉียวเอ๋อ บริษัทเจ๊งๆแบบนี้ หลิวฮั่วสามารถเชิญคนที่มีฝีมือแบบคุณมาได้อย่างไร?”
ในตอนนั้นที่จบการศึกษา มู่เฉียวก็จบการศึกษาด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เวลานั้นได้เข้าไปเป็นล่ามที่บริษัทใหญ่ของเมืองAโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือก
มู่เฉียวมองตู้เสี่ยวซิน “บริษัทนี้ของสามีคุณ ไม่ได้เจ๊งสักหน่อย”
ช่วงเวลานี้ที่ได้รู้จัก มู่เฉียวจึงพบว่า บริษัทนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ สามารถรับแปล ที่ในตอนแรกบริษัทใหญ่ของเมืองAนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะรับแปลได้
จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกใจกับหลิวฮั่วคนนี้
เห็นคนด้านในชัดเจน มู่เฉียวก็หันกลับเดินออกไป
แขนถูกดึงจากด้านหลัง
มู่เฉียวจึงหันไปมองผู้หญิงตรงหน้า “ปล่อย!”
“ทำไมละ?ไม่อยากได้งานแล้วเหรอ?”
มู่เฉียวไม่พูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็ยิ้มขึ้นมา เดินไปรอบๆมู่เฉียวแล้วพิจารณาเธอ หัวเราะเยาะแล้วพูดว่า “ได้ยินว่าคุณมาที่เมืองB ฉันรู้ว่าคุณยังหาวิธีที่จะเข้าสู่อาชีพนี้ ฉันจึงตั้งใจให้คนเปิดรับสมัครออกไป แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
มู่เฉียวหลับตา สำหรับผู้หญิงคนนี้ที่ทำลายชีวิตเธอ เวลาเธอแทบทนไม่ไหวที่จะบีบคอเธอให้ตายไปซะ
“อย่าบอกนะว่าบริษัทนี้เป็นของคุณ?” มู่เฉียวไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้พบกับมู่หยิงที่เมือง B
“บริษัทนี้เป็นของสามีฉัน ฉันอยู่บ้านเบื่อๆ ก็เลยมาดูหน่อย มู่เฉียวได้ยินมาว่า คุณยังอยู่คนเดียวเหรอ?เฮ้อ โม่หานคนนี้ตายไปหนึ่งปีแล้ว อีกทั้งคุณไม่ใช่ว่าไม่ชอบเขาหรอกเหรอ?ทำไมยังต้องไว้ทุกข์แก่เขาด้วยเหรอ?ไม่หาใครสักคนล่ะ?อืม ใช่สิ เฮ่อเทียนคนนั้นยังคงตามหาคุณอยู่ คุณหาพ่อเลี้ยงให้มู่เสี่ยวโยวคนนั้นน่าจะดีกว่านะ” มู่หยิงพูดจบ ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
เสียงหัวเราะนั้นแสบแก้วหูมาก
มู่เฉียวยกแก้วน้ำบนโต๊ะสาดใส่มู่หยิง
จากนั้นก็หันกลับออกไป
“ฉันแนะนำให้คุณยอมแพ้ซะเถอะ คุณอาจสงสัยว่าทำไมโม่กรุ๊ปถึงต้องการกำจัดคุณในตอนแรกใช่ไหม?ฉันจะบอกคุณให้ก็ได้ เป็นฉันเองที่ทำให้เป็นแบบนี้” มู่หยิงพูดจบก็ยื่นมือไปหยิบกระดาษทิชชูบนโต๊ะ เช็ดน้ำบนตัว แล้วเดินไปตรงหน้ามู่เฉียว “มู่เฉียว มีฉันอยู่ เส้นทางนี้คุณก็อย่าคิดที่จะได้เข้ามา ไม่ใช่ว่าคุณทะนงตัวเพื่องานนี้หรอกเหรอ?ฉันอยากดูว่าต่อไปคุณจะหยิ่งทะนงตัวได้อย่างไร?”
ความโกรธของมู่เฉียวปะทุขึ้นมา เธอมองมู่หยิง “ทำไมกัน?ทำไม?ฉันเคยทำให้คุณไม่พอใจหรือไง คุณถึงได้ลงโทษฉันอย่างนี้?โม่หานตายไปแล้ว ทำไมคุณถึงได้จับฉันไม่ปล่อยเลย?”
มู่หยิงนำทิชชูในมือโยนทิ้งลงถังขยะ “เพราะอะไรนะเหรอ?ก็เพราะว่าโม่หานชอบคุณไง!” พูดถึงตรงนี้ ดวงตาของมู่หยิงก็สัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ปกปิดไว้ไม่อยู่ บางคนที่จากไป คุณจึงจะเข้าใจว่าเขาสำคัญกับตนเองมากแค่ไหน มู่หยิงคิดมาตลอดว่าเธอรักตัวเองมากกว่าโม่หาน แต่เมื่อโม่หานจากไปแล้ว เธอจึงรู้ว่าเธอรักเขา รักจนถึงขั้นว่าคนไหนมาสัมผัสเธอ เธอก็รู้สึกสะอิดสะเอียน
แต่ว่าโม่หานตายไปแล้ว
ในใจมู่เฉียวเต้นระรัว สีหน้าเธอผิดปกติไป “ฉันฟังไม่เข้าใจว่าคุณพูดเรื่องอะไร?”
มู่หยิงบิดๆนิ้ว “ฟังไม่เข้าใจเหรอ?มู่เฉียวฉันเกลียดคุณ ผู้ชายที่ฉันรักมาหลายปีขนาดนี้ คุณก็แย่งไปอย่างง่ายดาย ถึงแม้เขาจะตายไปแล้ว ฉันก็ยังรู้สึกเหมือนโดนหักหลัง”
โดนหักหลัง?มู่เฉียวหัวเราะเยาะ เงยหน้าขึ้นมองมู่หยิงด้วยสายตาเย็นชา
“มู่หยิงมีเรื่องหนึ่ง ที่เดิมทีฉันไม่ได้อยากจะบอกคุณหรอก แต่ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ฉันก็จะบอกคุณให้ คุณรู้ไหม?เรื่องที่คุณทำให้ฉันท้องมู่เสี่ยวโยว โม่หานรู้มานานแล้ว คุณคิดว่าถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบฉัน เขาก็จะมาชอบคุณใช่ไหม?คุณเพ้อฝันไปแล้ว ที่เขาปฏิบัติดีต่อคุณ ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ความรักหรอก เป็นเพราะต้องการตอบแทนบุญคุณก็เท่านั้นเอง”
“มู่เฉียว คุณโกหก เป็นไปไม่ได้ที่โม่หานจะรู้”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นคุณก็ถือว่าเป็นไปไม่ได้แล้วกัน” เธอกลืนๆน้ำลาย “ถึงอย่างไรคุณก็ต้องละอายใจต่อเขาไปชั่วชีวิต”
มู่หยิงคว้าตัวมู่เฉียวเตรียมที่จะเข้าไปทำร้าย
มู่เฉียวหยิบที่เขี่ยบุหรี่เปล่าบนโต๊ะ แล้วคิดจะทุบไปที่หัวของมู่หยิง
“คุณกล้าเหรอ คุณอยากให้ลูกสาวของคุณกลายเป็นเด็กกำพร้าใช่ไหม?” ผู้หญิงคนนั้นประจันหน้าเข้ามา แล้วพูดยั่วยุ
“คุณ……ฉันไม่กล้าหรอก เพราะนั่นคือลูกสาวของโม่หาน ฉันต้องรักและทะนุถนอมเป็นอย่างดี”
นำที่เขี่ยบุหรี่ขว้างลงพื้น ที่เขี่ยบุหรี่ใช้วัสดุหนา เมื่อตกลงพื้น จึงไม่ส่งเสียงดังมาก
มู่เฉียวเดินอยู่บนถนนใหญ่ มองคนเดินผ่านไปมา เธอรู้สึกว่าภายในใจเป็นทุกข์ถึงขีดสุด
นึกถึงประโยคนั้นของมู่หยิง เขาชอบคุณ ประโยคนั้นก่อนที่ชายคนนั้นจะตาย ยังคงดังอยู่ในหู
“มู่เฉียว ถ้าหากมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันอยากที่จะ ใช้ทุกวิถีทาง เพื่อที่จะรู้จักคุณใหม่อีกครั้ง”
เธอเงยหน้า มองท้องฟ้าสีฟ้าสดใส แสงอาทิตย์กระทบดวงตาเล็กน้อย ทำให้แสบตา แต่น้ำตาที่เอ่ออยู่รอบดวงตา ในที่สุดก็ไม่ได้ไหลออกมา โม่หาน ที่จริงแล้ว คุณไม่ได้เลวร้าย แต่ฉันค้นพบในวันที่สายเกินไป จะทำอย่างไรได้?
ถ้าหากมีชีวิตกลับมาอีกครั้ง ฉันอยากจะใช้ทัศนคติอื่น ในการปฏิบัติกับคุณ
แต่ไม่มีคำว่าถ้า
ไม่ได้งานนี้ งานด้านของล่าม ก็ต้องหยุดไปชั่วคราว
มู่เฉียวมองคนข้างถนนที่เดินผ่านไปมา ทันทีก็รู้สึกลังเลสับสน
เวลานี้ มือถือก็ดังขึ้น
“ฮัลโหล ใช่คุณมู่เฉียวไหมคะ?”
“สวัสดีค่ะ ฉันเองค่ะ”
“เมื่อวานคุณส่งเรซูเม่มา ใช่ไหม?อืม พอดีวันนี้ ทางพวกเราขาดคน คุณต้องการเข้ามาไหมคะ?
“อืม สถานที่อยู่ตรงไหนคะ?”
“ฉันจะส่งวีแชตให้คุณ พวกเราต้องการตอนบ่ายด่วน ถ้าคุณสามารถมาได้ อีกสักครู่ก็เข้ามาได้เลย พวกเราจะจัดอาหารกลางวันให้”
“อ้อ โอเคค่ะ”
มู่เฉียววางสาย ไม่นานก็มีข้อความส่งเข้า เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับเมืองB จึงใช้จีพีเอสนำทาง จึงพบว่าอยู่ใกล้ตรงนี้เอง
จึงรีบเดินตามจีพีเอสไป
เกินความคาดหมาย กับบริษัทของพ่อของเซี่ยหยูเมื่อวาน ที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่ขนาดนั้น ที่มีมากกว่าสามสิบชั้น แต่บริษัทที่เธออยู่เป็นเพียงอาคารชั้นเดียว จึงเข้าไปตามคำบอกกล่าวได้เลย
“บริษัทล่ามซินหง” เป็นบริษัทขนาดเล็กที่เธอไม่เคยได้ยินชื่อ
พอเปิดประตูเข้าไป ที่บอกว่าเป็นบริษัท อันที่จริงก็คือห้องทำงานขนาดใหญ่ ที่เพิ่มห้องทำงานขนาดเล็กเข้าไป
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่ วัดด้วยสายตาแล้วก็มีคนอยู่ราวๆยี่สิบสามสิบคน ทุกคนก้มหน้าก้มตา ยุ่งอยู่กับงาน บนโต๊ะทำงานของทุกคนเต็มไปด้วยเอกสาร แม้แต่เธอเข้าไป ก็ไม่มีใครเห็น
“สวัสดีค่ะ ฉันคือล่ามเฉพาะกิจคนนั้นที่เพิ่งได้รับสายเมื่อกี้นี้ค่ะ”
เมื่อเธอเอ่ยปาก คนทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองมาที่เธอ
จากนั้น ทุกคนต่างก็ลุกขึ้นยืน “ประธานหลิว ฉันต้องการลาหยุด”
“ฉันบอกไว้ก่อนหน้านี้แล้วนะ”
“อะไร ก็เห็นๆอยู่ว่าฉันยื่นคำร้องก่อน”
“……”
มู่เฉียวอ้าปากค้าง ขมวดคิ้ว ฉากแบบนี้ตอนที่เธออยู่บริษัทก่อนหน้านี้ไม่เคยปรากฏ ทุกคนจะมีการจัดระเบียบการทำงานและการพักผ่อนของตัวเองเอาไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว ฉากที่โกลาหล และยุ่งเหยิงแบบนี้ จะไม่มีปรากฏ
“แกร๊ก”ประตูถูกเปิดออก ชายคนหนึ่ง ปรากฏอยู่ด้านหน้ากลุ่มคน
เมื่อชายหนุ่มเห็นมู่เฉียว บนใบหน้าก็ปรากฏความประหลาดใจอย่างชัดเจน “เสี่ยวเฉียว?คุณจริงๆด้วย?”
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้น ในสมองก็มีภาพหนึ่งปรากฏออกมา
“แม่ เจ็บ”มู่เสี่ยวโยวเงยหน้ามองมู่เฉียว
มู่เฉียวคลายมือออก หันไปมองหน้าพ่อกับแม่ สีหน้าของพวกเขาก็ดูแย่มากเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ได้ตาฝาด เป็นเรื่องจริง
“พี่สาว คุณน้า คุณอา ขอแนะนำให้รู้จักนะคะ นี่คือพ่อกับแม่ของฉัน ส่วนนี่คือพี่สาวและพี่เขย”
มู่เฉียวลุกขึ้น ส่งมู่เสี่ยวโยวให้แม่ “ขอโทษนะคะ ฉัน……ไปห้องน้ำสักครู่”
มองดูในกระจก สีหน้าซีดแบบนั้น มู่เฉียวใช้ความพยายามอย่างมากในการเก็บความตื่นตกใจไว้ในใจ
คนคนนั้นเหมือนโม่หานอย่างกับแกะ เธออยากปลอบใจตัวเอง ว่าในโลกนี้อาจมีคนที่หน้าตาคล้ายกันอยู่ แต่ว่า กลับยังรู้สึกมีความหวังเล็กๆ โม่หาน คนนั้นใช่คุณหรือเปล่า? คุณยังไม่ตาย ใช่ไหม?
ตั้งนานแล้วเธอยังไม่ออกมา เซี่ยหยูไม่วางใจ จึงตามมาดู
พบว่ามู่เฉียวพิงอยู่ตรงผนัง หลับตาไว้ “พี่คะ คุณไม่สบายเหรอคะ?”
มู่เฉียวฝืนเก็บความไม่สบายใจเอาไว้ มองเซี่ยหยู ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่……เมื่อกี้รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นฉันช่วยพยุงนะ?”เซี่ยหยูมอง แล้วเข้าใกล้ จับแขนมู่เฉียวไว้
“เสี่ยวหยู พี่เธอกับพี่เขยเธอ แต่งงานกันเมื่อไหร่?”
เซี่ยหยูขมวดคิ้ว ก้มหน้า หน้าแดงเล็กน้อย เธอลังเลสักพัก ก็เข้าไปกระซิบข้างหูมู่เฉียว “ที่จริง พี่สาวของฉันจ้างผู้ชายคนนั้นมา”
มู่เฉียวเบิกตากว้าง มองเซี่ยหยู เดินไปมองที่ประตูดูแล้วว่าข้างนอกไม่มีคน เธอจึงปิดประตู แล้วถามว่า“ที่ว่าจ้างมาคืออะไร?”
เซี่ยหยูถอนหายใจ “ก่อนหน้านี้พี่สาวฉันมีแฟนคนหนึ่ง โดนนอกใจ หลังจากนั้น พี่สาวฉันก็กลายเป็นคนประเภทที่แต่งงานไม่ได้ ไม่ว่าผู้ชายจะดีมากแค่ไหน พี่สาวฉันก็ไม่เชื่อ แล้วไม่นานมานี้พ่อกับแม่ก็บอกว่าฉันมีแฟนแล้ว เธอยังโสดอยู่มันดูไม่มีเหตุผลเลย ดังนั้น เพื่ออาหารมื้อนี้แล้ว พี่สาวฉันก็คิดว่าจะไปจ้างคนมาเป็นแฟน ผู้ชายคนนี้ ได้ยินมาจากพี่สาวว่า เขาเป็นแรงงาน ไปเจอตอนที่พี่สาวไปที่ไซต์ก่อสร้างของพ่อ พากลับมาแต่งตัว ก็พอดูดีขึ้นมา”
ความสนใจของมู่เฉียวทั้งหมดอยู่ที่คำว่า ‘แรงงาน’
เธอกลืนน้ำลาย ในใจรู้สึกยังไงอธิบายไม่ถูก
นี่ คงไม่ใช่โม่หานใช่ไหม?
เมื่อทั้งสองคนกลับไปที่โต๊ะ สีหน้าพ่อกับแม่สงบลงมาบ้างแล้ว พ่อเซี่ยแม่เซี่ย ดูเป็นคนสบายๆ ทำให้มู่เฉียวนึกถึง ย่าโม่
“คุณพ่อของมู่หลิง ต่อไป พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว เสี่ยวหยูโดนพวกเราตามใจจนเคยชินแล้ว อีกหน่อยไปอยู่บ้านคุณ เธอทำไม่ถูกตรงไหน คุณด่าได้เลย”มองออกเลย ว่าพ่อเซี่ยเป็นคนตรงไปตรงมา
“พ่อ พูดอะไรน่ะ? คุณน้ากับคุณอาเป็นครูมาหลายปีแล้ว จะด่าคนเป็นได้ยังไงกัน?”
พ่อมู่ยิ้มบางๆ “เสี่ยวหยู อ่อนโยนและใจดีแบบนี้ ผมกับแม่ของลูก หวงแหนมากกว่า ด่าไม่ลงหรอก”
พูดคำนี้จบ มู่เฉียวรู้สึกว่าพ่อแม่ของเธอโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้น มู่หลิงกลับลุกขึ้นยืนทันที มองพี่สาวของเซี่ยหยู “พี่ครับ คุณไม่แนะนำพี่เขยหน่อยเหรอ? เพิ่งเจอกันครั้งแรก”
มู่เฉียวเม้มปาก รู้สึกประหม่าเล็กน้อย มือของเธอที่วางอยู่ใต้โต๊ะ ประสานเข้าด้วยกัน อดไม่ได้ที่จะออกแรงมากขึ้น เธอรู้ ว่ามู่หลิงถามแทนเธอ
เห็นเพียงแค่พี่สาวเซี่ยลุกขึ้น “มู่หลิง ขอโทษด้วยจริงๆนะ เขา ช่วงนี้คอของเขาอักเสบ พูดไม่ได้น่ะ”
มู่เฉียวเงยหน้าไปมอง ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า อวบและผิวคล้ำกว่าโม่หานนิดหน่อย แต่โม่หานมีรอยแผลเป็นบนดวงตา คนคนนี้กลับไม่มี
สายตาเธอลดลง ตรงข้อมือของโม่หาน มีรอยลวก ย่าโม่บอกว่า ตอนเด็กเขาซน เล่นประทัดแล้วโดน แต่ นอกจากผิวที่หยาบกร้านแล้วที่ตรงนั้นไม่มีอะไรเลย มองไม่เห็นว่ามีรอยแผลเป็น ไม่มีอะไรเลย
ดวงตาของเธอนิ่งลงไป
รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระขึ้นมาทันที เธอเป็นคนฝังขี้เถ้าของโม่หานเองกับมือ ในโรงพยาบาล เธอเห็นกับตาว่าชีวิตของโม่หานตกอยู่ในอันตราย หมอบอกว่า เขาเสียแล้ว แต่ปู่โม่ยังไม่ยอมแพ้ จะส่งเขาไปลองรักษาที่เมืองนอก
ตอนฝังโม่หาน คุณนายโม่กับย่าโม่ร้องไห้จนสลบไปหลายรอบ
แต่ว่า ตอนนี้ เธอยังคงฝันลมๆแล้งๆ ว่าโม่หานยังไม่ตาย
ใช่สิ ถ้าโม่หานไม่ตาย จะมองเธอกับมู่เสี่ยวโยวด้วยสายตาสงบแบบนี้ได้ยังไง ไม่มีทางอยู่แล้ว
มู่เฉียว เธอตายใจเถอะ!
“แม่ เขาคือพ่อหรือเปล่า?”ทันใดนั้น มู่เสี่ยวโยวชี้ไปที่โม่หาน พูดคำพูดน่าตกใจออกมา
สายตาของทุกคนไปตกอยู่บนตัวของชายคนนั้นทันที
มู่เฉียวตื่นตระหนก กลืนน้ำลาย เธอลืมไป ในมือถือ เธอให้มู่เสี่ยวโยวดูรูปของโม่หานบ่อยๆ พูดขึ้นช้าๆว่า “เสี่ยวโยว เขาไม่ใช่พ่อ คุณพ่อ ไปอยู่บนสวรรค์แล้ว นี่คือคุณอา”
เธอบอกมู่เสี่ยวโยว และบอกกับตัวเองด้วย
มู่เสี่ยวโยวหยิบช้อนตักข้าวเข้าปาก “แม่ พ่อไปสวรรค์แล้ว เมื่อไหร่พ่อจะกลับมา?”
“เอาล่ะ เสี่ยวโยว กินข้าวก่อน”แม่เห็นว่าสีหน้าของมู่เฉียวแย่ รีบพูดเบี่ยงประเด็นขึ้น
“แม่ พ่อไม่ต้องการเราแล้วเหรอ? เขาไปสวรรค์ โทรหาเราไม่ได้เหรอ?”แต่นิสัยเสี่ยวโยวเหมือนมู่เฉียว ดื้อรั้น
“คุณหนูมู่ ฉันขอเสียมารยาทถามสักหน่อย พ่อของเสี่ยวโยว เหมือนโม่หานมากเลยเหรอคะ?”
ตะเกียบในมือมู่เฉียวตกลงบนพื้น และเธอก็ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น “พี่คะ คุณ……คุณเรียกเขาว่าอะไรนะ?”
ชายคนนั้นไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง ก้มหน้ากินอย่างเดียว
แต่เห็นได้ชัดว่าพี่สาวเซี่ยมีท่าทีสนใจ พูดอย่างไม่เร่งรีบว่า “เขา ชื่อโม่หาน”
ชายเสื้อของมู่เฉียวถูกแม่ดึงแรงๆ เธอถึงได้สติกลับมา
จริงด้วย วันนี้เป็นงานใหญ่ของเซี่ยหยูกับมู่หลิง จะทำลายมื้ออาหารมื้อนี้เพราะเรื่องของตัวเองไม่ได้
เธอพยายามปรับอารมณ์ตัวเอง ก่อนจะพูดว่า “อ๋อ ไม่มีอะไรค่ะ เมื่อก่อน รู้จักผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อนี้เหมือนกัน”
พี่สาวเซี่ยพยักหน้า หัวข้อนี้ก็ถือว่าผ่านไปแล้ว
มื้ออาหารนี้ มู่เฉียวรู้สึกเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ ในที่สุดก็ทานกันเสร็จ หลังจากมองพ่อเซี่ยแม่เซี่ยนั่งรถจากไป
เธอก็โล่งใจ
หันกลับไปก็ไม่เห็นผู้ชายคนนั้นแล้ว ก็ร้อนรนขึ้น “พี่คะ ผู้ชายคนนั้นล่ะ?”
พี่สาวเซี่ยดูเป็นคนประณีต เธอหยิบโน้ตออกจากกระเป๋า ในนั้นเขียนที่อยู่ยื่นให้มู่เฉียว “นี่คือที่ที่ฉันไปรับเขาวันนี้ ฉัน ไม่รู้จักเขาจริงๆ แต่ เห็นบอกว่า เขาเป็นแรงงาน คุณหนูมู่ ได้ยินว่าพ่อของเสี่ยวโยวเสียแล้ว ขอโทษจริงๆค่ะ ที่วันนี้ทำให้คุณนึกถึงเขา”
มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ ได้ยินคำว่าแรงงานอีกครั้ง ใจของมู่เฉียว ก็ทรุดนิ่งลงไปอีก
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชนเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของโม่หาน เธอนำมือถือซ่อนไว้ข้างหลัง โดดลงมาจากเคาน์เตอร์ แต่ลืมไปว่าสวมส้นสูงอยู่ ร่างกายจึงซวนเซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่หาน
ต่อจากนั้นมีเสียงเข้ามาจากด้านนอก “ไม่เหมือนกับตอนวัยรุ่นแล้วจริงๆ ตอนนี้มีฝีมือชำนาญอย่างมาก”
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า กกหูแดงไปหมด
เธอประคองเคาน์เตอร์ล้างหน้ายืนให้มั่นคง “ขอบคุณนะ”
“ไม่ชินเหรอ?
“ก็พอได้”
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ พวกญาติๆยังคิดว่าคุณหนีไปแล้วหรือเปล่า?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานวันนี้ดูไม่เหมือนเดิม ดูอ่อนโยนอย่างมาก ในขณะนี้มันดูอ่อนโยนอย่างมาก จนเธอถึงกับคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว อย่างน้อยเสี่ยวโยวก็สามารถมีบ้านที่สมบูรณ์แบบได้
เมื่อทั้งสองคนกลับไป งานเลี้ยงก็เกือบจะเลิกแล้ว ตระกูลใหญ่ก็เหลือกลุ่มเล็กๆ ทั้งคุยเล่นกัน ทั้งทักทายกัน
ฉันคิดว่า ณ จุดนี้ ภารกิจของวันนี้น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว
ใครจะรู้ ว่าจู่ๆนายท่านโม่จะหยิบไมโครโฟนมาประกาศ ว่าจะโอนหุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานไปอยู่ภายใต้ชื่อของมู่เฉียว
หุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานหมายความว่าอย่างไร ทุกคนทำเสียงอื้ออึง พอพวกเขาทั้งหมดได้รู้ ก็คาดไม่ถึงว่าตระกูลโม่จะให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้คนนี้อย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉียวอย่างเคารพ
มู่เฉียวหันไปมองโม่หาน เขาเหมือนจะรู้มาก่อนแล้ว เลยไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
“คุณปู่ไม่รู้เหรอว่าเราต้องหย่ากัน?”
หลังจากที่ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยเสียงทุ้ม : “หย่าแล้ว คุณก็เอาไปด้วย”
“ฉันไม่ต้องการ”
“มู่เฉียว ไม่ต้องคิดมากหรอก เพียงแต่เป็นค่าแทนคำขอบคุณ ต่อไปเสี่ยวโยวกับคุณจะได้ไม่ลำบาก”
มู่เฉียวมองเขา ทำไมรู้สึกว่าฟังคำพูดนี้แล้ว ราวกับคำบรรยายในงานศพ ทันทีหลังจากนั้นเธอก็รู้สึกไม่พอใจ
“ฉันมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเสี่ยวโยวได้”
ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงหลุบตามองเธอ
จู่ๆเขาก็ยื่นมือออกมาลูบๆหัวของมู่เฉียว “ต่อไป อย่าใจดีมีเมตตาจนเกินไป บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี ยังมีคนไม่ดีด้วย”
การกระทำที่ฉับพลันกะทันหันนี้ของเขา มู่เฉียวก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองโม่หาน แต่พบว่าในแววตาของเขามีน้ำตาคลออยู่
เธอเม้มๆปาก “คุณ ไม่สบายเหรอ?”
ชายคนนั้ส่ายหัว “มู่เฉียว เรื่องที่ฉันเคยทำร้ายคุณก่อนหน้านี้ หรือว่าพูดจาทำร้ายจิตใจ ก็ขอโทษด้วยนะ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานทำอย่างนี้ เธอรู้สึกเศร้าสลด จึงพูดว่า : “คุณโหดเหี้ยมเหมือนเดิม ฉันจะเคยชินกว่านะ”
โม่หานยิ้มนิดๆ ทว่าไม่ได้พูดอะไร
คุณนายโม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องหุ้นอย่างมาก แต่ติดที่ว่าคนเยอะ ท้ายที่สุดก็ได้แค่ถลึงตาใส่เธอเท่านั้น
ระหว่างกลับบ้าน
จู่ๆโม่หานก็หมดสติไป
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทุกคนลืมเรื่องสิทธิ์การถือหุ้นไป
หมอบอกว่า ต้องเตรียมตัวการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกทันที
เมื่อถึงโรงพยาบาล ประมาณ 2 ชั่วโมง สักพักโม่หานฟื้นขึ้นมา เขาพูดคุยกับคู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก่อน จากนั้นก็เรียกคุณนายโม่เข้าไป ไม่นานเสียงร้องไห้ก็ดังออกมาจากด้านใน
มู่เฉียวกับชายคนนี้ ไม่มีความรักความผูกพันกันมากนัก แต่เวลานี้เธอยังคงรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก
เมื่อคุณนายโม่ออกมา สีหน้าซีดเผือด แววตาเหม่อลอย เธอมองมู่เฉียวอย่างลึกซึ้ง “คุณเข้าไปเถอะ”
มู่เฉียวตกตะลึง รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
โม่หานนั่งพิงอยู่บนเตียง มองมู่หาน “หุ้นส่วนก่อนที่เสี่ยวโยวจะบรรลุนิติภาวะ อย่าโอนให้คนอื่นนะ จะมีการจ่ายเงินปันผลในบัตรของคุณทุกๆปี ถ้าคุณวางใจก็ให้ลูกอยู่ที่ตระกูลโม่ก็ได้ คุณสามารถมาหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่วางใจก็เอาเธอไปด้วยเถอะ”
ในห้องที่เงียบสงบ มู่เฉียวคิดอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร
บอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่ความเสี่ยงในการทำการผ่าตัดครั้งนี้ พวกเขาต่างก็รู้ดี บอกเขาว่าอย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป โรคอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ได้อย่างซาบซึ้งโดยไม่มีทางเลี่ยง
“เรื่องที่ท้อง มู่หยิงเป็นคนทำ ฉันรู้ว่าคุณไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ฉันต้องขอโทษอย่างมาก เพราะฉัน ที่ทำลายชีวิตของคุณ”
มู่เฉียวเบิกตาโพลง มองโม่หานอย่างคาดไม่ถึง “คุณ คุณรู้ได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมา นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนไปที่แก้มของเธอแล้วลูบเบาๆ
“นี่ คุณจะสัมผัสอะไร?” หญิงสาวตกใจจนหลับตาปี๋ มีการตอบสนองค่อนข้างมาก
เป็นเวลานานยังไม่ได้คำตอบ จึงลืมตา ก็เห็นโม่หานหลับตาไปแล้ว มือที่อยู่บนใบหน้า ก็ค่อยๆหล่นลงไป แต่รู้ว่าเขายังมีสติอยู่ เพราะเห็นลูกกระเดือกที่กลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็วของเขา
“มู่เฉียว ถ้าชีวิตยังมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันหวังจริงๆว่า จะสามารถใช้ทุกวิธี เพื่อทำความรู้จักกับคุณใหม่อีกครั้ง” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยอย่างมาก มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นี่คือ ท่านประธานโม่กำลังสารภาพความรู้สึกอยู่เหรอ?
แต่ทำไมความรู้สึกของเธอ เหมือนจะร้องไห้ล่ะ?แสบจมูกเล็กน้อย รอบตาแดงก่ำ
เธอมองโม่หาน ก้มหน้าเล็กน้อย “อันที่จริง คุณก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ขนตาขยับเล็กน้อย ชัดเจนว่า เขาอยากจะลืมตา แต่ในที่สุดก็ลืมไม่ขึ้น
มู่เฉียวลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้า เรียกเขา ไม่มีการตอบสนอง เธอร้อนใจ รีบพูดว่า: “โม่หาน ถ้าคุณหายดีแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหย่ากัน แล้วเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้เสี่ยวโยว โอเคไหม?”
หางตาของชายหนุ่มมีน้ำตาไหลออกมา
มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่าใจหวิวขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้น ก็จนปัญญาที่จะระงับความเจ็บปวดใจและความหวาดกลัว
“โม่หาร….คุณตื่นสิ”
“โม่หาน…..คุณตื่นขึ้นมา ได้ไหม?โม่หาน….”
ประตูถูกเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาห้อมล้อม เธอถูกพยาบาลดึงออกไป หลังจากนั้นดวงตาของเธอก็เห็นโม่หานถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป
เธอนึกถึงฉากนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอคิดว่า ด้วยความเลวของผู้ชายคนนี้ เธอจะต้องยิ้มเมื่อเห็นเขาเข้าไป เธอคิดว่า เธอไม่สามารถที่จะเสียน้ำตาเพื่อผู้ชายแบบนี้ได้ เขาชั่วร้ายขนาดนั้น ยโสโอหังขนาดนั้น แต่น้ำตาที่หลั่งไหลอาบใบหน้าไม่หยุดมันคืออะไรกัน?
มู่เฉียว ทำไมคุณถึงหลอกง่ายแบบนี้?
เขาพูดดีด้วยไม่กี่คำ คุณก็ลืมแล้ว แล้วเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นที่เขาเคยทำล่ะ?
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ เม้มปาก ส่งสายตามองห้องผ่าตัด น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ
โม่หาน ถึงแม้คุณจะไม่รับปาก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอีก ถึงแม้ประโยคนั้นที่คุณพูดจะเป็นการหลอกลวงฉัน ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องหาย โอเคไหม?
หนึ่งปีต่อมา
หน้าหลุมศพที่ชานเมือง
หญิงสาวคนหนึ่งจูงเด็กคนหนึ่งมายืนด้านหน้าหลุมศพ
“แม่ นั่นใคร?” เด็กน้อยพูดยังไม่ค่อยชัดเจน พูดได้เพียงแค่สองสามคำ มือน้อยๆที่อ่อนนุ่มของเธอชี้ไปที่ป้ายศิลาสีขาวดำ
หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออก “พ่อของคุณ”
“แม่ ต้องการพ่อ”
หญิงสาวไม่พูดจา จูงเด็กน้อย ไปนั่งลงที่ขึ้นบันไดหน้าหลุมศพ
มิงใบหน้าที่หล่อเหลาบนรูปภาพขาวดำนั้นแล้ว เธอก็หลับตา
โม่หาน ฉันกับพ่อแม่ต้องย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง ต่อไป คงไม่สามารถมาหาคุณได้บ่อยๆแล้วนะ
เมื่อออกจากสุสาน มู่เฉียวก็อุ้มโม่เสี่ยวโยว ดึงขอบหมวกให้ต่ำลง โบกรถคันหนึ่ง กลับไปยังบ้านพ่อแม่
“แม่ ฉันกลับมาแล้ว”
“คุณไปไหนมา?ออกไปแต่เช้า ตอนนี้เพิ่งกลับมา”
มู่เฉียวอุ้มเด็กอยู่ เม้มปากเล็กน้อย
“พ่อ” เสี่ยวโยวที่อยู่ในอ้อมกอดจู่ๆก็เอ่ยปากออกมา
สีหน้าของแม่เคร่งขรึมลงไปในทันที “คุณไปหาเขามาเหรอ?” นำผ้าที่อยู่ในมือโยนลงบนโต๊ะ น้ำที่อยู่บนผ้า กระเซ็นมายังบนมือของมู่เฉียว เย็นยะเยือก
เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ชนเข้ากับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของโม่หาน เธอนำมือถือซ่อนไว้ข้างหลัง โดดลงมาจากเคาน์เตอร์ แต่ลืมไปว่าสวมส้นสูงอยู่ ร่างกายจึงซวนเซเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่หาน
ต่อจากนั้นมีเสียงเข้ามาจากด้านนอก “ไม่เหมือนกับตอนวัยรุ่นแล้วจริงๆ ตอนนี้มีฝีมือชำนาญอย่างมาก”
มู่เฉียวสูดลมหายใจเข้า กกหูแดงไปหมด
เธอประคองเคาน์เตอร์ล้างหน้ายืนให้มั่นคง “ขอบคุณนะ”
“ไม่ชินเหรอ?
“ก็พอได้”
“อย่างนั้นก็ไปกันเถอะ พวกญาติๆยังคิดว่าคุณหนีไปแล้วหรือเปล่า?”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานวันนี้ดูไม่เหมือนเดิม ดูอ่อนโยนอย่างมาก ในขณะนี้มันดูอ่อนโยนอย่างมาก จนเธอถึงกับคิดว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไป ก็เป็นความคิดที่ไม่เลว อย่างน้อยเสี่ยวโยวก็สามารถมีบ้านที่สมบูรณ์แบบได้
เมื่อทั้งสองคนกลับไป งานเลี้ยงก็เกือบจะเลิกแล้ว ตระกูลใหญ่ก็เหลือกลุ่มเล็กๆ ทั้งคุยเล่นกัน ทั้งทักทายกัน
ฉันคิดว่า ณ จุดนี้ ภารกิจของวันนี้น่าจะเสร็จสิ้นแล้ว
ใครจะรู้ ว่าจู่ๆนายท่านโม่จะหยิบไมโครโฟนมาประกาศ ว่าจะโอนหุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานไปอยู่ภายใต้ชื่อของมู่เฉียว
หุ้นครึ่งหนึ่งในมือของโม่หานหมายความว่าอย่างไร ทุกคนทำเสียงอื้ออึง พอพวกเขาทั้งหมดได้รู้ ก็คาดไม่ถึงว่าตระกูลโม่จะให้ความสำคัญกับลูกสะใภ้คนนี้อย่างมาก ก็อดไม่ได้ที่จะมองมู่เฉียวอย่างเคารพ
มู่เฉียวหันไปมองโม่หาน เขาเหมือนจะรู้มาก่อนแล้ว เลยไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับใดๆ
“คุณปู่ไม่รู้เหรอว่าเราต้องหย่ากัน?”
หลังจากที่ชายคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก็กล่าวด้วยเสียงทุ้ม : “หย่าแล้ว คุณก็เอาไปด้วย”
“ฉันไม่ต้องการ”
“มู่เฉียว ไม่ต้องคิดมากหรอก เพียงแต่เป็นค่าแทนคำขอบคุณ ต่อไปเสี่ยวโยวกับคุณจะได้ไม่ลำบาก”
มู่เฉียวมองเขา ทำไมรู้สึกว่าฟังคำพูดนี้แล้ว ราวกับคำบรรยายในงานศพ ทันทีหลังจากนั้นเธอก็รู้สึกไม่พอใจ
“ฉันมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูเสี่ยวโยวได้”
ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เพียงหลุบตามองเธอ
จู่ๆเขาก็ยื่นมือออกมาลูบๆหัวของมู่เฉียว “ต่อไป อย่าใจดีมีเมตตาจนเกินไป บนโลกนี้ไม่ได้มีแต่คนดี ยังมีคนไม่ดีด้วย”
การกระทำที่ฉับพลันกะทันหันนี้ของเขา มู่เฉียวก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เธอเงยหน้าขึ้นมองโม่หาน แต่พบว่าในแววตาของเขามีน้ำตาคลออยู่
เธอเม้มๆปาก “คุณ ไม่สบายเหรอ?”
ชายคนนั้ส่ายหัว “มู่เฉียว เรื่องที่ฉันเคยทำร้ายคุณก่อนหน้านี้ หรือว่าพูดจาทำร้ายจิตใจ ก็ขอโทษด้วยนะ”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว โม่หานทำอย่างนี้ เธอรู้สึกเศร้าสลด จึงพูดว่า : “คุณโหดเหี้ยมเหมือนเดิม ฉันจะเคยชินกว่านะ”
โม่หานยิ้มนิดๆ ทว่าไม่ได้พูดอะไร
คุณนายโม่มีปฏิกิริยาต่อเรื่องหุ้นอย่างมาก แต่ติดที่ว่าคนเยอะ ท้ายที่สุดก็ได้แค่ถลึงตาใส่เธอเท่านั้น
ระหว่างกลับบ้าน
จู่ๆโม่หานก็หมดสติไป
เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดนี้ทำให้ทุกคนลืมเรื่องสิทธิ์การถือหุ้นไป
หมอบอกว่า ต้องเตรียมตัวการผ่าตัดปลูกถ่ายไขกระดูกทันที
เมื่อถึงโรงพยาบาล ประมาณ 2 ชั่วโมง สักพักโม่หานฟื้นขึ้นมา เขาพูดคุยกับคู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก่อน จากนั้นก็เรียกคุณนายโม่เข้าไป ไม่นานเสียงร้องไห้ก็ดังออกมาจากด้านใน
มู่เฉียวกับชายคนนี้ ไม่มีความรักความผูกพันกันมากนัก แต่เวลานี้เธอยังคงรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก
เมื่อคุณนายโม่ออกมา สีหน้าซีดเผือด แววตาเหม่อลอย เธอมองมู่เฉียวอย่างลึกซึ้ง “คุณเข้าไปเถอะ”
มู่เฉียวตกตะลึง รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
โม่หานนั่งพิงอยู่บนเตียง มองมู่หาน “หุ้นส่วนก่อนที่เสี่ยวโยวจะบรรลุนิติภาวะ อย่าโอนให้คนอื่นนะ จะมีการจ่ายเงินปันผลในบัตรของคุณทุกๆปี ถ้าคุณวางใจก็ให้ลูกอยู่ที่ตระกูลโม่ก็ได้ คุณสามารถมาหาเธอเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้าคุณไม่วางใจก็เอาเธอไปด้วยเถอะ”
ในห้องที่เงียบสงบ มู่เฉียวคิดอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร
บอกเขาว่าไม่เป็นไร แต่ความเสี่ยงในการทำการผ่าตัดครั้งนี้ พวกเขาต่างก็รู้ดี บอกเขาว่าอย่ามองโลกในแง่ร้ายเกินไป โรคอยู่ที่ตัวเขา เขารู้ได้อย่างซาบซึ้งโดยไม่มีทางเลี่ยง
“เรื่องที่ท้อง มู่หยิงเป็นคนทำ ฉันรู้ว่าคุณไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไร ฉันต้องขอโทษอย่างมาก เพราะฉัน ที่ทำลายชีวิตของคุณ”
มู่เฉียวเบิกตาโพลง มองโม่หานอย่างคาดไม่ถึง “คุณ คุณรู้ได้อย่างไร?”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมา นิ้วมือที่เรียวยาวเลื่อนไปที่แก้มของเธอแล้วลูบเบาๆ
“นี่ คุณจะสัมผัสอะไร?” หญิงสาวตกใจจนหลับตาปี๋ มีการตอบสนองค่อนข้างมาก
เป็นเวลานานยังไม่ได้คำตอบ จึงลืมตา ก็เห็นโม่หานหลับตาไปแล้ว มือที่อยู่บนใบหน้า ก็ค่อยๆหล่นลงไป แต่รู้ว่าเขายังมีสติอยู่ เพราะเห็นลูกกระเดือกที่กลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็วของเขา
“มู่เฉียว ถ้าชีวิตยังมีชีวิตกลับมาได้อีกครั้ง ฉันหวังจริงๆว่า จะสามารถใช้ทุกวิธี เพื่อทำความรู้จักกับคุณใหม่อีกครั้ง” น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยอย่างมาก มู่เฉียวนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย นี่คือ ท่านประธานโม่กำลังสารภาพความรู้สึกอยู่เหรอ?
แต่ทำไมความรู้สึกของเธอ เหมือนจะร้องไห้ล่ะ?แสบจมูกเล็กน้อย รอบตาแดงก่ำ
เธอมองโม่หาน ก้มหน้าเล็กน้อย “อันที่จริง คุณก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น”
ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก ขนตาขยับเล็กน้อย ชัดเจนว่า เขาอยากจะลืมตา แต่ในที่สุดก็ลืมไม่ขึ้น
มู่เฉียวลุกขึ้นยืน สูดลมหายใจเข้า เรียกเขา ไม่มีการตอบสนอง เธอร้อนใจ รีบพูดว่า: “โม่หาน ถ้าคุณหายดีแล้ว พวกเราก็ไม่ต้องหย่ากัน แล้วเป็นครอบครัวที่อบอุ่นให้เสี่ยวโยว โอเคไหม?”
หางตาของชายหนุ่มมีน้ำตาไหลออกมา
มู่เฉียวรู้สึกเพียงว่าใจหวิวขึ้นมาอย่างฉับพลัน จากนั้น ก็จนปัญญาที่จะระงับความเจ็บปวดใจและความหวาดกลัว
“โม่หาร….คุณตื่นสิ”
“โม่หาน…..คุณตื่นขึ้นมา ได้ไหม?โม่หาน….”
ประตูถูกเปิดออก คนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาห้อมล้อม เธอถูกพยาบาลดึงออกไป หลังจากนั้นดวงตาของเธอก็เห็นโม่หานถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัดไป
เธอนึกถึงฉากนี้นับครั้งไม่ถ้วน เธอคิดว่า ด้วยความเลวของผู้ชายคนนี้ เธอจะต้องยิ้มเมื่อเห็นเขาเข้าไป เธอคิดว่า เธอไม่สามารถที่จะเสียน้ำตาเพื่อผู้ชายแบบนี้ได้ เขาชั่วร้ายขนาดนั้น ยโสโอหังขนาดนั้น แต่น้ำตาที่หลั่งไหลอาบใบหน้าไม่หยุดมันคืออะไรกัน?
มู่เฉียว ทำไมคุณถึงหลอกง่ายแบบนี้?
เขาพูดดีด้วยไม่กี่คำ คุณก็ลืมแล้ว แล้วเรื่องชั่วร้ายเหล่านั้นที่เขาเคยทำล่ะ?
เธอนั่งลงบนเก้าอี้ เม้มปาก ส่งสายตามองห้องผ่าตัด น้ำตาไหลออกมาอย่างเงียบๆ
โม่หาน ถึงแม้คุณจะไม่รับปาก ถึงแม้จะไม่ได้เป็นสามีภรรยากันอีก ถึงแม้ประโยคนั้นที่คุณพูดจะเป็นการหลอกลวงฉัน ถึงอย่างนั้นคุณก็ต้องหาย โอเคไหม?
หนึ่งปีต่อมา
หน้าหลุมศพที่ชานเมือง
หญิงสาวคนหนึ่งจูงเด็กคนหนึ่งมายืนด้านหน้าหลุมศพ
“แม่ นั่นใคร?” เด็กน้อยพูดยังไม่ค่อยชัดเจน พูดได้เพียงแค่สองสามคำ มือน้อยๆที่อ่อนนุ่มของเธอชี้ไปที่ป้ายศิลาสีขาวดำ
หญิงสาวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่แสดงออก “พ่อของคุณ”
“แม่ ต้องการพ่อ”
หญิงสาวไม่พูดจา จูงเด็กน้อย ไปนั่งลงที่ขึ้นบันไดหน้าหลุมศพ
มิงใบหน้าที่หล่อเหลาบนรูปภาพขาวดำนั้นแล้ว เธอก็หลับตา
โม่หาน ฉันกับพ่อแม่ต้องย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง ต่อไป คงไม่สามารถมาหาคุณได้บ่อยๆแล้วนะ
เมื่อออกจากสุสาน มู่เฉียวก็อุ้มโม่เสี่ยวโยว ดึงขอบหมวกให้ต่ำลง โบกรถคันหนึ่ง กลับไปยังบ้านพ่อแม่
“แม่ ฉันกลับมาแล้ว”
“คุณไปไหนมา?ออกไปแต่เช้า ตอนนี้เพิ่งกลับมา”
มู่เฉียวอุ้มเด็กอยู่ เม้มปากเล็กน้อย
“พ่อ” เสี่ยวโยวที่อยู่ในอ้อมกอดจู่ๆก็เอ่ยปากออกมา
สีหน้าของแม่เคร่งขรึมลงไปในทันที “คุณไปหาเขามาเหรอ?” นำผ้าที่อยู่ในมือโยนลงบนโต๊ะ น้ำที่อยู่บนผ้า กระเซ็นมายังบนมือของมู่เฉียว เย็นยะเยือก
“สรุปจะไปที่ไหน?” มู่เฉียวเอ่ยถามอีกครั้ง
ฉินฮ่าวเหลือบมองมู่เฉียวผ่านกระจกมองหลัง “พี่สะใภ้ ขอถามเรื่องอะไรก่อนได้ไหม?”
มู่เฉียวเลิกคิ้ว มองไปนอกหน้าต่าง พูดกลับไปอย่างไม่ใส่ใจว่า : “เรื่องอะไรล่ะ?”
“คุณรักประธานโม่ของเราหรือเปล่า?”
เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดคิดว่าจะถามคำถามนี้ มู่เฉียวหันกลับไปมองฉินฮ่าว “เขามีคนรักที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ ความรักของฉันมันจำเป็นด้วยเหรอ?”
พูดจบก็มองฉินฮ่าว รู้สึกแปลกๆนิดๆ ในใจก็บอกไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไร
“ญาติๆของตระกูลโม่ ครั้งที่แล้วที่คุณคลอดเสี่ยวโยว เดิมทีทุกคนก็บอกว่าจะมาเยี่ยมคุณ แต่นายท่านกลัวว่าจะไปรบกวนคุณเรื่องอยู่เดือน เลยไม่ได้ให้พวกเขามา ต่อมาครบรอบหนึ่งเดือนคุณก็ไม่ได้จัดงาน วันนี้พอดีกับว่าโม่หานมีคุณน้าที่กลับมาจากต่างประเทศมาเยี่ยมพวกคุณโดยเฉพาะ คุณนายนายท่านก็เลยนัดรวมตัวกัน”
ในฉับพลันฉินฮ่าวก็ตอบกลับมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่มู่เฉียวรู้สึกว่าในน้ำเสียงของฉินฮ่าวแกล้งทำเป็นผ่อนคลาย เธอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
นึกถึงกลุ่มญาติเหล่านั้น เธอก็รู้สึกขนหัวลุก ตระกูลโม่เป็นตระกูลใหญ่ ว่ากันว่ามีญาติพี่น้องที่พัฒนาได้ดีในทุกๆด้าน นึกถึงพวกภรรยาคนรวยที่ชี้นิ้วสั่งเธอแล้ว เธอก็อยากจะถอนตัว
อีกทั้งเธอไม่เข้าใจจริงๆว่าคนตระกูลโม่นี้คิดอย่างไร เธอกับโม่หานก็ปรึกษากันดีแล้ว ว่าเสี่ยวโยวหนึ่งขวบก็จะหย่า แต่นี่มอบสินสอดให้ แล้วก็ให้เจอญาติอีก เธอก็งุนงงเล็กน้อย
หรือว่าเวลานี้ ไม่ใช่ว่าควรจะอ่อนน้อมถ่อมตนไปหรอกเหรอ?
เธอมองๆชุดทำงานบนตัว “อย่างนั้นส่งฉันกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลโม่ก่อนเถอะ ฉันต้องการเปลี่ยนชุด”
ฉินฮ่าวหยิบชุดจากข้างๆที่นั่งคนขับส่งให้เธอ “อีกสักครู่คุณถึงที่นั่นแล้ว ก็ไปหาที่เปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยเข้าไป”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว
รับถุงกระดาษนั้นมา หยิบออกมาดู ชุดกี่เพ้ากำมะหยี่สีดำ มือที่ลูบไปรู้สึกได้ถึงการเย็บปักถักร้อยที่ละเอียดยอดเยี่ยม ชี้ให้เห็นว่าเป็นเสื้อผ้าที่ราคาไม่เบา
เพียงแต่ว่าชุดกี่เพ้านี้ ต้องเหมาะกับรูปร่างอย่างมาก ใหญ่ไปก็ไม่ได้ เล็กไปก็ไม่ได้……
“โม่หานบอกว่า มันต้องพอดีตัวคุณอย่างแน่นอน” จากกระจกมองหลัง เห็นเธอขมวดคิ้ว เหมือนรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ ฉินฮ่าวเลยเอ่ยพูด
“เขาจะรู้อะไร” ไม่เคยกอดไม่เคยสัมผัส เขาจะรู้สัดส่วนเธอได้อย่างไร?
ฉินฮ่าวเหยียบเบรกทันที ยังดีที่ไฟแดงพอดี หันไปมองมู่เฉียว “คุณ……เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ?”
มู่เฉียวชำเลืองมองเขา หน้าแดงเล็กน้อย แล้วพูดออกมาว่า : “คุณฟังไม่ผิดหรอก”
เมื่อถึงโรงแรม มู่เฉียวก็ไปที่ห้องน้ำ เกินความคาดหมาย เมื่อสวมใส่ชุดแล้ว มันพอเหมาะพอดีจริงๆ
“นี่สัมผัสสัดส่วนผู้หญิงมากี่คนแล้วล่ะ ไม่น่าเชื่อว่ามองด้วยตาเปล่า ก็สามารถคาดเดาได้” เธอบ่นพึมพำ
นำหางม้ามัดเป็นมวย แต่งหน้าแล้วทาลิปสติก มองดูตัวเองที่ใส่ชุดสไตล์นั้นในกระจก มู่เฉียวยิ้มๆเล็กน้อย ลองสไตล์นี้ครั้งแรก ก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ออกจากห้องน้ำมา ก็เห็นโม่หานยืนอยู่ด้านนอก
เธอกระแอมเบาๆ
โม่หานหันกลับมา ในแววตาประกายความประหลาดใจ “อีกสักครู่ถ้าตอบไม่ได้ หรือไม่อยากตอบ ก็สะกิดฉันได้นะ”
มู่เฉียวหันไปมองเขา วันนี้โม่หานสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคอปกสูง กางเกงผ้าฝ้ายลินินสีเทา เข้ากับการแต่งตัวของเธออย่างมาก
สีหน้าสงบนิ่ง ไม่เหมือนปกติที่ดูเย็นชา คุณสมบัติบนใบหน้าดูสะดุดตามากจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเกี่ยวกับแสงไฟหรือเปล่า รู้สึกว่าริมฝีปากของเขาวันนี้ดูซีดเล็กน้อย ไม่เหมือนปกติที่แดงมีเลือดฝาด
“คุณ ช่วงนี้ร่างกายคุณโอเคไหม?” คิดๆแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
ชั่วขณะโม่หานก็หยุดฝีเท้าหันไปมองเธอ “คุณปรารถนาจะให้ฉันดี หรือไม่ดีล่ะ?”
มู่เฉียวมองค้อนเขา “คิดว่าฉันไม่ได้ถามแล้วกัน”
คุณย่าบอกว่า สามารถเป็นสามีภรรยากันได้คือบุพเพสันนิวาส แต่เธอรู้สึกว่าเธอกับผู้ชายคนนี้ คงจะเป็นบาปกรรมต่อกัน
มองภาพด้านหลังของเธอ โม่หานก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย
เดิมทีมู่เฉียวคิดว่าอย่างมากสุดก็คงสิบกว่าคน แม่เมื่อเธอเห็นคนหลายสิบคนที่อยู่บนโต๊ะแล้ว สายตาก็ตกตะลึง
เธอหันหน้ากลับไป มองโม่หานที่ตามมาด้านหลัง “บอกว่านัดรวมตัวกันในครอบครัวไม่ใช่เหรอ?”
โม่หานเดินเข้าไปสองสามก้าว โอบเอวของเธออย่างเป็นธรรมชาติ “ใช่แล้ว ญาติทั้งสองฝ่ายของพ่อกับแม่ของฉัน”
มู่เฉียวขมวดคิ้ว หัวเราะเหอะๆสองที
เมื่อคนทั้งสองปรากฏตัว ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
“หน้าตาสวยจังเลย”
รูปร่างก็สูง”
“มีเสน่ห์ไม่เลว”
“เพียงแต่ได้ยินว่าวงศ์ตระกูลไม่ค่อยดีเท่าไรเหรอ?”
“ได้ยินมาว่านิสัยไม่ค่อยดี”
“จอมวางแผนเกินไป บังคับให้โม่หานต้องแต่งงาน”
“……”
ต่างคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ตามๆกัน มู่เฉียวต้องขอบคุณคุณนายโม่สำหรับ”ความแข็งแกร่ง”ก่อนหน้านี้ ดังนั้น เธอจึงฝึกฝนความอดทนได้อย่างแข็งแกร่ง
ทำให้เวลานี้ ภายในใจของเธอไม่ได้มีความผันผวนอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกหนวกหูอย่างมาก
คุณนายนายท่านโม่กวักมือเรียกเธอ ตบลงที่ที่นั่งว่างเปล่าข้างๆเธอ “เสี่ยวเฉียว มาสิ นั่งข้างๆย่า”
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย ออกจากอ้อมกอดของโม่หาน แล้วไปหาคุณนายนายท่านโม่
ทุกคนเห็นท่าทีของคุณนายนายท่านโม่ที่ปฏิบัติต่อหลานสะใภ้คนนี้แล้ว เสียววิพากษ์วิจารณ์ก็ลดลงอย่างชัดเจน
“คุณย่า”
“อื้ม มาสิ นั่งลง ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยแล้วใช่ไหม?รีบไปหาอะไรทานรองท้องก่อนสิ อีกสักครู่อาหารหลักถึงจะมา”
มู่เฉียวจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา เพราะหิวแล้วจริงๆ แต่พบว่า คนสิบกว่าคนที่อยู่บนโต๊ะ ต่างไม่ขยับตะเกียบเลย เธอจึงวางลงอีกครั้ง การอบรมสั่งสอนเรื่องมารยาทนี้ เธอยังมีอยู่
โม่หานมองเธอ หยิบตะเกียบขึ้น หยิบถ้วยเธอขึ้นมา คีบอาหารออเดิฟให้เธอเล็กน้อย “ทานก่อนเถอะ”
คุณย่าเห็นเช่นนี้ ในสายตาก็มีรอยยิ้มอย่างชัดเจน แล้วรีบสั่งว่า “ทุกคนทานกันเถอะ”
พอทานอาหารแล้ว โม่หานก็คล้ายกับเปลี่ยนไป คีบอาหารให้เธอ แกะกุ้ง ดูแลทุกอย่าง แต่มู่เฉียวทานอย่างกังวลใจ
“เอ่อ คุณก็ทานบ้างเถอะ” แล้วก็ไม่ลืมมารยาท มู่เฉียวจึงคีบเนื้อเป็ดให้โม่หานชิ้นหนึ่ง
คุณนายโม่ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นเช่นนี้ จึงรีบเอ่ยปากว่า “หานไม่ทานสิ่งนั้น”
มู่เฉียวมองโม่หาน ทันทีก็วางตัวไม่ถูกพูดไม่ออก แต่จากนั้น โม่หานก็นำอาหารใส่เข้าปากโดยไม่ลังเล สีหน้าไม่ผิดปกติ
ทุกคนเงียบกริบ มันคือรักแท้!
เมื่อมื้ออาหารจบสิ้น โม่เสี่ยวโยวก็ถูกอุ้มออกมา คุณนายนายท่านโม่พิจารณาแล้วว่าไข้เธอเพิ่งลด เพียงแค่เข้ามาถ่ายรูป แล้วก็กำชับให้พี่เลี้ยงอุ้มเธอกลับไป
ต่อจากนั้น มู่เฉียวก็ถูก”รุมล้อม” การชมเชยและแสดงออกที่ดีของญาติพี่น้อง ทำให้เธอรู้สึกท่วมท้น
เมื่อเทียบกับความสนิทสนมที่จอมปลอมเหล่านี้ มู่เฉียวก็นึกถึงคุณย่าในทันที
“ฉันขอตัวไปห้องน้ำก่อนนะ” เธอหาข้ออ้างที่จะจากไป ไปที่ห้องน้ำส่วนตัว นั่งบนอ่างล้างมือเล่นเกมมือถือ
จนกระทั่งเห็นรองเท้าคู่หนึ่งมาปรากฏตรงหน้าเธอ
“ทำไมคุณดื้อรั้นแบบนี้ โม่หานทำร้ายคุณ ทำร้ายเราจนย่อยยับยังไม่พอใช่ไหม?ยังเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าคุณหลอกล่อโม่หาน พวกเขายังพยายามแบ่งหุ้นของตระกูลโม่ และบอกว่าเสี่ยวโยวไม่ใช่ลูกของตระกูลโม่ ความอับอายขายหน้าเช่นนี้ หรือว่าคุณจำไม่ได้แล้ว?”
“การงานก็ไม่มี ผู้หญิงคนหนึ่งกับลูก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทุกหนทุกแห่ง มู่เฉียว คุณคิดว่าตนเองยังน่าเวทนาไม่พอใช่ไหม?”
มู่เฉียวนำเสี่ยวโยววางลง “เสี่ยวโยว ไปเล่นของเล่นทางนั้นก่อนนะ”
เสี่ยวโยวพยักหน้า เพิ่งจะหัดเดิน ยังคงเดินเตาะแตะๆ
มู่เฉียวพาแม่นั่งลงบนโซฟา “แม่ คุณอย่าโกรธไปก่อนเลย ฉันแค่พาเสี่ยวโยวไปดูเขา ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพ่อของเสี่ยวโยว”
“พ่อของเสี่ยวโยวเหรอ?เสี่ยวเอ๋อ แม่ไม่อนุญาตให้คุณติดต่อกับคนตระกูลโม่อีก แม่ไม่อนุญาต” แม่พูดถึงประโยคสุดท้าย ก็นั่งเช็ดน้ำตาอยู่บนโซฟา
อารมณ์ของแม่ฮึกเหิมอย่างมาก มู่เฉียวรู้ว่า เธอกลัวและกังวลใจแทนเธอจริงๆ
ตลอดหนึ่งปีนี้ สำหรับครอบครัวหนึ่งมันเป็นเหมือนฝันร้าย
ความขยันหมั่นเพียรของพ่อแม่ทั้งชีวิต แต่เป็นเพราะเธอ ชื่อเสียงจึงได้พังทลายลง ยังถูกชี้หน้าว่าสั่งสอนคนอื่นได้ แต่สอนลูกสาวตนเองไม่ได้
หนึ่งปีก่อนหน้านี้ การผ่าตัดของโม่หานล้มเหลว ต่อมาถูกส่งตัวไปรักษาที่ต่างประเทศ จากนั้นคนตระกูลโม่ก็ได้นำเถ้ากระดูกของโม่หานกลับมา จากนั้นมีคนและสื่อมารายงานข่าว บอกว่าที่เธอบริจาคไขกระดูกในตอนแรก จงใจที่จะล่อหลอกโม่หาน ยังให้โม่หานเป็นพ่อของลูกในท้อง
อำนาจของสื่อ ทำให้เธอกลายเป็นคนที่น่าสมเพชเวทนา เธอพยายามอธิบายแล้ว เธอจึงพบว่าไม่สามารถปิดปากคนที่พูดไปเรื่อยเปื่อยได้
จากนั้น หลังจากที่บริษัทให้เงินเดือนเธอสามเท่า ก็ยกเลิกสัญญาการจ้างงานเธอ
หุ้นส่วนที่โม่หานให้เธอ ก็ถูกหลอกให้โอนคืนกลับไป
คู่สามีภรรยาตระกูลโม่ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ได้สนใจไถ่ถามเรื่องของตระกูลโม่อีก
และตอนนี้คนที่ควบคุมอำนาจของตระกูลโม่ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคนรักของแม่โม่หาน ซึ่งตอนที่พ่อของโม่หานยังมีชีวิตอยู่ คุณนายโม่ก็มีคนรักอยู่แล้ว
ตอนที่รู้ข่าวนี้ มู่เฉียวก็ตกตะลึง และยิ่งสงสารโม่หาน ฉับพลันเธอก็รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ทุ่มเทขนาดนั้น แน่นอนว่าเขารู้ทุกอย่างหมดแล้ว รู้ว่าต้องจากไปจึงได้ทำทุกอย่างไว้มากมายไว้เพื่อโม่กรุ๊ป จากนั้นโม่กรุ๊ปก็ได้เปลี่ยนคนในองค์กรครั้งใหญ่ มู่หยิงในฐานะผู้ช่วยของโม่หาน เป็นธรรมดาที่จะถูกให้ออกเป็นคนแรก
เพราะตอนนั้นเป็นปัญหาใหญ่มาก ทำให้พ่อแม่ต้องตกงานมาหลายปี ในที่สุดมู่หลิงก็ได้รับการว่าจ้างจากบริษัท แต่ก็ถูกไล่ออกอีกครั้ง พวกเขาถูกบังคับให้อยู่บ้านของย่าที่ชนบท จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้ เรื่องราวค่อยๆเพลาลง พวกเขาจึงกลับเข้าเมือง
แต่ในบางครั้ง มู่เฉียวยังคงถูกนินทาอยู่
พ่อรับไม่ได้ที่เธอถูกปฏิบัติเช่นนี้ ไม่กี่วันก่อน บ้านที่เคยอยู่อาศัยมาหลายปีก็ถูกขายทิ้งไป
มู่หลิงได้งานในเมืองB ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ ตามที่บอกมาก็ค่อนข้างดีเลยทีเดียว เลยเสนอให้พวกเขาไปที่นั่น เมือง B กับเมือง Aไม่ต่างกัน เจริญรุ่งเรืองใหญ่โตมาก
เพียงแค่นึกถึงพ่อแม่ที่เป็นเพราะเธอ อายุขนาดนี้แล้ว ยังต้องระเหเร่ร่อน มู่เฉียวก็รู้สึกทุกข์ใจ
มองออกว่าเธอเศร้าใจ แม่จึงนำเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย เราต้องไปกันแล้ว ไปยิ่งไกลยิ่งดี พอถึงที่ของน้องชายคุณแล้ว เราจะได้เริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง”
มู่เฉียวพยักหน้า ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ เธอคิดไม่ออกจริงๆว่าตนเองจะสามารถมีชีวิตที่ดีต่อไปได้อย่างไร
คำพูดกระทบกระเทียบที่ไม่น่าฟังของคนเหล่านั้น ความอาฆาตในใจ ทำให้ครึ่งปีมานี้ ฝันร้ายตลอด ยากที่จะนอนหลับได้ลง
น่าตลกที่ว่าตัวการที่ก่อหายนะในตอนแรกอย่างมู่หยิง ที่ได้ยกย่องว่า”จิตใจดีมีเมตตา” “นิสัยดี” “ไม่ทอดทิ้งไปไหน” ต่างๆนานา ได้แต่งงานกับลูกคนรวยเมื่อเดือนที่แล้ว แม้จะเทียบไม่ได้กับโม่หานในตอนนั้นเลย แต่เมื่อเทียบกับความจนตรอกของเธอแล้ว มันดีกว่าอย่างมาก
เธอถามแม่ ไม่ใช่เคยบอกว่า คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วหรอกเหรอ?แล้วทำไมเธอทำเรื่องดีๆ แต่กลับต้องตกอยู่สถานการณ์เช่นนี้ด้วยล่ะ
นั่งรถไฟไปเมืองB เสี่ยวโยวนั่งครั้งแรก ตื่นเต้นอย่างมาก ปากน้อยๆที่ยังพูดไม่คล่อง แต่ก็พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุดหย่อน
นั่งไปเป็นเวลาเจ็ดชั่วโมงกว่า เมื่อถึงเมืองB มู่หลิงก็เข้ามารับพวกเขา เสื้อสูทรองเท้าหนัง ดูเป็นผู้ใหญ่อย่างมาก เมื่อเห็นเธอ ก็ยิ้มๆ รับมู่เสี่ยวโยวไปจากมือของเธอ ตระกูลโม่ไม่ยอมรับโม่เสี่ยวโยว ดังนั้น จึงตัดชื่อของพวกเขาออก ดังนั้น จึงตัดชื่อพวกเขาออก มู่เฉียวทำได้เพียงให้โม่เสี่ยวโยวใช้นามสกุลตามเธอ เปลี่ยนเป็นมู่เสี่ยวโยว
“คุณน้า” ขณะเดินทาง พ่อแม่พูดถึงมาตลอดทาง มีผลพวง ทำให้เอ่ยปากเรียก
มู่หลิงจูบลงบนใบหน้าของเธอ “เสี่ยวโยว ตอนเดินทางมาร้องไห้งอแงหรือเปล่า?”
เสี่ยวโยวส่ายหน้า
“พ่อ แม่ พี่ ไปกันเถอะ”
คนสามสี่คนเดินทางไปยังบ้านที่มู่หลิงเช่าอยู่ ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง บ้านสองชั้น มีสวนหย่อมเล็กๆอยู่ตรงกลาง
“พี่ คุณกับเสี่ยวโยว แล้วก็พ่อกับแม่พักที่ชั้นสองนะ ด้านหน้าห้องหนึ่งด้านหลังห้องหนึ่ง มีสองห้องพอดี”
“แล้วคุณล่ะ?”
“แล้วคุณล่ะ?”
พ่อแม่และมู่เฉียวเอ่ยปากพร้อมกัน
“ฉันนอนห้องรับแขก ฉันเป็นผู้ชาย นอนที่ไหนก็ได้”
มู่เฉียวเม้มปาก มองๆสถานที่ที่ยืนอยู่ บ้านนี้แบ่งหน้าหลังเป็นสองส่วน ตรงกลางมีบันไดเล็กๆ ด้านหลังเป็นห้องครัว ตรงกลางใต้บันได มีห้องน้ำเล็กๆห้องหนึ่ง ด้านหน้านี้ที่บอกว่าเป็นห้องรับแขก คาดว่าน่าจะมีพื้นที่ไม่ถึง10ตารางเมตร
มีโซฟาที่เรียบง่ายวางอยู่หนึ่งตัวแล้วก็ไม่มีพื้นที่พอสำหรับสิ่งอื่น
เห็นมู่เฉียวขมวดคิ้ว มู่หลังก็เดินเข้ามา ดึงโซฟาที่เรียบง่ายตัวนั้นมาด้านหน้า กลายเป็นเตียงใหญ่หนึ่งหลังขนาดประมาณ1.5เมตร
“เป็นอย่างไรบ้าง?ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวเจ็บแปล๊บที่หัวใจ น้องชายคนนี้ เมื่อไรกันที่ต้องเจอเรื่องลำบากแบบนี้ ถึงแม้ตระกูลมู่จะไม่ได้ร่ำรวย แต่ตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ต่างก็เป็นคนมีงานทำ เมื่อเทียบกับเด็กในครอบครัวที่ไม่ร่ำรวย พวกเขาก็ถือว่าเป็นครอบครัวที่มีอันจะกิน มีกินมีใช้มาจนโต
“เอาล่ะ รีบเก็บของ พักผ่อนสักครู่หนึ่ง แล้วทำอาหารสักหน่อย เสี่ยวโยวนั่งรถไฟมาไม่ได้ทานอะไรเลย เดี๋ยวจะหิวเอาได้”
มู่เฉียวพยักหน้า “พ่อแม่ พวกคุณนั่งพัก แล้วดูเสี่ยวโยว ฉันกับมู่หลิงจะไปเก็บของชั้นบนหน่อย”
พูดจบ คนทั้งสองก็ยกกระเป๋าขึ้นไปชั้นบน
ถึงแม้ว่าบ้านจะเล็ก แต่ก็สะอาด มู่เฉียวยกสัมภาระของพ่อแม่มาถึงด้านหน้า ด้านหน้านี้มีระเบียงเล็กๆระเบียงหนึ่ง บางครั้งมีแสงอาทิตย์ส่องมาเล็กน้อย ค่อนข้างดีต่อสุขภาพของพ่อแม่
“พี่ เสี่ยวโยวยังเล็ก ไม่อย่างนั้น…….”
“ไม่เป็นไร ฉันพาเธอไปรับแสงแดดด้านล่างบ่อยๆก็เหมือนกันแหละ” พูดจบ ก็จัดเก็บข้าวของ แต่เห็นมู่หลิงมองเธออยู่ ไม่พูดจา
“ทำไมเหรอ?”
“คือฉันที่ไม่มีความสามารถ ถ้า…..”
มู่เฉียวปิดปากมู่หลิง ส่ายหน้า “คุณรู้ไหมที่คุณเป็นแบบนี้ พี่ต้องเจ็บปวดใจมากแค่ไหน?คือฉันที่ทำร้ายคุณ ทำร้ายพ่อแม่” น้ำตาที่อดกลั้นมาตลอดหนึ่งปี ในที่สุดก็ไหลออกมา หนึ่งปีนี้ ไม่ว่าจะพบเจอเรื่องราวอะไรก็ตาม เธอจะบอกตัวเองเสมอว่าอย่าร้องไห้ อย่าแสดงความอ่อนแอให้คนเหล่านั้นเห็นเป็นตัวตลก
แต่เวลานี้ เธอร้องไห้ไม่หยุด
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอปรารถนา ล้วนเป็นเพียงความฝัน
“ก่อนหน้านี้ ประวัติการโทรเมื่อสองสามวันก่อนคุณลบทิ้งไปใช่ไหม?”
เห็นได้ชัดว่าเลขาไม่คิดว่าโม่หานจะถามเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้ว ตอบกลับเสียงสั่น “ปะ……เปล่าค่ะ”
“เปล่า?คือไม่มีคนโทรมา หรือไม่ได้ลบ?คุณรู้ไหม ว่าฉันเกลียดคนโกหกที่สุด ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่โม่กรุ๊ปต่อไป คุณก็บอกความจริงมาจะดีที่สุด” เสียงของโม่หานเย็นชาลงจนทำให้คนฟังตัวสั่น
“ผู้จัดการมู่เป็นคนลบ เธอบอกว่าเป็นเบอร์โฆษณาให้ฉันไม่ต้องบอกคุณ”
“คุณคิดว่ามือถือของฉัน จะมีเบอร์โฆษณาโทรมาเหรอ?” โม่หานตวาดด้วยความโกรธ แล้ววางสายไป
คุณนายโม่ดึงแขนของเขา “ไม่เป็นไรหรอก เด็กเป็นไข้นั่นเพราะว่าร่างกายไม่ดี คุณอย่าร้อนใจไปเลย อีกอย่างถึงแม้ว่าคุณจะไปแล้ว ก็ช่วยอะไรไม่ได้ คุณ……”
“เพล้ง” เสียงถ้วยตกลงบนพื้น
คุณนายนายท่านโม่พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม : “นี่คือสิ่งที่คุณพูดในฐานะคนเป็นย่าเหรอ?เด็กไม่กี่เดือนมีไข้สูงมาหลายวัน คนโตยังทนไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับเด็ก เมื่อตอนเด็กๆโม่หานป่วย คุณลืมไปแล้วเหรอ เขาเป็นไข้จนเพ้อ คุณก็ทุกข์ใจจนเป็นลมหมดสติไป คุณลืมไปแล้วเหรอ?ทำไมพอถึงหลานถึงปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติล่ะ”
พูดจบก็หันไปมองโม่หาน “พาพี่เลี้ยงไป แล้วให้คนขับรถมารับพวกเราด้วย”
“แม่ คุณก็ไปด้วยเหรอ?” คุณนายโม่ลุกขึ้นตามมา แล้วพูดอย่างประหลาดใจ
“ถ้าไม่ไปอีก ลูกชายคุณก็ต้องเป็นโสดแล้ว”
“แม่ คุณล้อเล่นอะไรกัน ถ้าโม่หานเป็นโสด บนโลกใบนี้ก็ไม่มีผู้ชายคนไหนได้แต่งงานแล้ว”
คุณนายนายท่านโม่ถลึงตาใส่เธอ แล้วเคาะหน้าผากเธอ “คุณนะคุณ จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ต้องเปลี่ยนมุมมองด้วย ลูกสะใภ้นะมีเยอะแยะมากมาย แต่ลูกสะใภ้ที่ดี มันเป็นโชคชะตาพรหมลิขิต”
คุณนายโม่เลิกคิ้ว จับมือแม่ “แม่ คุณดูสิแม่ของมู่เฉียว พูดจาไม่น่าฟังเลย เหมือนครอบครัวเราไปทำอะไรลูกสาวเธอ คนอย่างนี้ จะสอนลูกสาวให้ดีได้อย่างไร ฉันเห็นมู่หยิงแล้วยังสบายใจกว่าเธอเลย ถึงอย่างไรก็มาจากครอบครัวที่มีฐานะทางสังคม ไม่เหมือนกับชาวบ้านเหล่านี้……”
“คุณย่าไปกันเถอะ รถมาแล้ว” ส่วนคำพูดของแม่ โม่หานไม่ได้ฟังต่อพูดตัดบทไปเลย
บนรถ
“ยัยเด็กมู่คนนั้นมีกลอุบายอะไรอยู่ใช่ไหม” หลังจากคุณนายนายท่านขึ้นรถ ก็เอ่ยถาม แต่ในน้ำเสียงมีความแน่ใจ
โม่หานทำเสียงอืมตอบกลับ
“นับวันยิ่งทำตัวแย่ลงจริงๆ โม่หาน ถ้าคุณยังปล่อยปละละเลยแบบนี้ต่อไป ครั้งหน้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ย่าจะไม่นิ่งดูดายอีกแล้ว อีกอย่างคำพูดที่ฉันพูดวันนี้ ระหว่างคุณกับมู่หยิงฉันไม่สนใจว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรกับเธอ แต่หลานสะใภ้อย่างนี้ ตระกูลโม่ของเราไม่ต้องการ”
“คุณย่า”
“คุณก็รู้ว่าปู่ของคุณรับฟังฉัน แม่คุณคนเดียว ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ชอบเสี่ยวเฉียว หย่ากันแล้ว หลานสะใภ้ตระกูลโม่ก็ไม่สามารถเป็นมู่หยิงไปได้ คุณให้เธอล้มเลิกความคิดไปซะ หนี้บุญคุณของเธอ ยกเว้นการแต่งงาน ตระกูลโม่ก็สามารถให้ได้หมดทุกอย่าง”
พูดจบ คุณนายนายท่านโม่ก็หลับตา ไม่พูดอะไรอีก
ไม่รู้เพราะอะไร โม่หานถึงได้รู้กสึกโล่งอกสบายใจ
เมื่อทั้งสามคนมาถึงโรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วย มู่เฉียวนั่งอยู่ข้างๆเตียง มือลูบๆอยู่ที่หน้าผากของโม่เสี่ยวโยว ไม่ได้เจอกันหลายวัน สีหน้าเธอหม่นหมอง ถุงใต้ตาชัดเจน คนดูเหี่ยวแห้งไร้เรี่ยวแรงอย่างมาก
ผลักประตูเข้าไป
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นเห็นเป็นโม่หานกับคุณนายนายท่านโม่ เธอก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วก็มองกลับไปที่โม่เสี่ยวโยวอีกครั้ง
ไข้ขึ้นสูงมาหลายวันทำให้หน้าเธอแดงเป็นวงกลม คุณนายนายท่านโม่เห็น ก็สงสารจนน้ำตาไหล “เสี่ยวเฉียว หลายวันมานี้ต้องลำบากคุณเลย”
มู่เฉียวอยากจะยิ้ม แต่ยิ้มไม่ออก ไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวัน ทำให้เธอไม่มีเรี่ยวแรงเลย
“คุณนายรอง คุณไปพักผ่อนเถอะ ทางด้านเสี่ยวโยว ฉันจะดูแลเอง คุณวางใจได้ ฉันจะทำอย่างสุดความสามารถ” คนที่พูดคือพี่เลี้ยง
มู่เฉียวพยักหน้า ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หมดสติไป
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นอีกวันหนึ่งแล้ว มู่เฉียวลืมตา แต่พบว่าอยู่ที่ตระกูลโม่
“เสี่ยวโยว” เธอลุกขึ้นนั่ง
“เธออยู่ที่ห้องของตัวเอง ไข้ลดแล้ว รับกลับมาแล้ว” คนที่พูดคือโม่หาน
มู่เฉียวจึงพบว่าโม่หานนั่งอยู่ที่หน้าต่างห้องของเธอกำลังดูเอกสารบางอย่าง อดไม่ได้ที่จะเขินอายเล็กน้อย
เปิดผ้าห่มออก เธอลุกขึ้น ไปห้องของโม่เสี่ยวโยว คุณป้ากำลังหยอกเย้าอยู่กับเธอ เธอก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ในใจจึงรู้สึกโล่งอก
กลับมาถึงห้อง ก็หยิบมือถือ โทรศัพท์ไปหาแม่
“แม่ เสี่ยวโยวไข้ลดแล้ว”
“ดีแล้วๆ คุณก็ดูแลสุขภาพนะ ลูกยังเด็กแบบนั้น คุณสุขภาพดี จึงจะมีกำลังในการดูแลเธอ”
มู่เฉียวตอบอืมคำหนึ่ง แล้วเดินไปยังห้องรับแขก “แม่ คุณโทรศัพท์มาหาครอบครัวของโม่หานเหรอ?”
“เมื่อวานแม่สามีของคุณโทรมา ฉันก็เลยได้โอกาสพูดไป เฉียวเอ๋อ คุณอยากจะหย่า ก็หย่าเถอะ ทางด้านของพ่อ รอให้คุณตัดสินใจแล้ว แม่จะค่อยๆพูดกับเขาเอง”
“แม่……”
“คุณเป็นคนหนึ่งที่แม่เป็นห่วงตั้งแต่เล็กจนโต คุณคือเลือดเนื้อบนร่างกายของแม่ แม่ทำใจไม่ได้ที่ลูกรักของตัวเอง จะถูกคนอื่นจงเกลียดจงชังแบบนี้
มู่เฉียวสะอื้นไห้
“เอาล่ะ พ่อของคุณกลับมาแล้ว ฉันวางสายแล้วนะ มีปัญหาอะไรก็โทรมา คิดถึงบ้าน ก็กลับมา”
“อื้ม”
วางสายโทรศัพท์แล้ว มู่เฉียวก็นั่งในลอยอยู่บนโซฟา
“ไปทานข้าวที่ห้องโถงด้านหน้าเถอะ” จู่ๆเสียงของโม่หานก็ดังเข้ามา
มู่เฉียวนิ่งอึ้งไป เธอไม่รู้ว่าเขาเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร ได้ยินอะไรไหม เพียงแต่ เธอก็ไม่ได้สนใจ
ระหว่างคนทั้งสอง ก็ไม่ได้มีความรักความผูกพันอยู่แล้ว เรื่องแล้วเรื่องเล่า ยิ่งทำให้หัวใจของมู่เฉียว จมดิ่งลงไปจนถึงจุดต่ำสุด ตอนนี้เธอรอให้ถึงเวลา หลังจากหย่าแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นไป ก็ทางใคร ทางมัน
ลุกขึ้น เดินไปห้องโถงด้านหน้า โม่หานเดินไปได้ครึ่งทาง ก็รับโทรศัพท์ แล้วบอกว่าไม่ทานแล้ว ต้องไปบริษัทก่อน
บนโต๊ะอาหาร เธอยังคงเคยชินคีบอาหารให้คุณย่า ตักซุปให้คุณปู่ เลือกอาหารให้แม่สามี ทุกสิ่งทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับมาสงบเหมือนเดิม
แค่การเงียบสงบของเธอ ทำให้ทุกคนที่นั่งอยู่ ในใจทุกคนก็คิดไปต่างๆนานา
“มู่เฉียว ต่อไปคุณมีเรื่องอะไร โม่หานยุ่งอยู่ โทรศัพท์หาเขาไม่ได้ คุณก็โทรมาที่บ้านนะ คุณดูสิคุณทำแบบนี้ ทางบ้านพ่อแม่ของคุณก็ตำหนิครอบครัวของเราว่าปฏิบัติกับคุณไม่ดี คุณพูดความในใจออกมาสิ คุณแต่งเข้ามาในครอบครัวของพวกเรา เคยปฏิบัติไม่ดีกับคุณตั้งแต่เมื่อไร กินดี อยู่ดี อีกทั้ง…..”
“พูดให้น้อยๆหน่อย” นายท่านโม่นานทีจะเอ่ยปาก
คุณนายโม่จ้องมองมู่เฉียว “พ่อ หรือว่าฉันพูดผิด?คำพูดเหล่านั้นที่แม่ของเธอพูดเมื่อวาน ประโยคไหนที่ไม่เหมือนบอกว่าพวกเราทำให้เธอได้รับความทุกข์ทรมานมาตลอด เด็กเป็นไข้ โทรหามาหานไม่ได้ แล้วโทรมาที่บ้านไม่ได้เหรอ?ทำไมจะต้องหาเรื่องแบกรับไว้คนเดียวด้วย”
มู่เฉียวกลืนอาหารที่อยู่ในปาก เธอค่อยๆลุกขึ้นยืน อ้าปาก ทุกคนคิดว่าเธอจะตอบโต้สักสองสามคำ
แต่ผิดคาด เธอไม่พูดอะไรเลย เพียงแค่หันตัวกลับ พยักหน้ากับสองสามีภรรยาตระกูลโม่เล็กน้อย แล้วออกจากห้องอาหาร
อะไรที่เรียกว่าเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดคือทีความคิดที่โง่เขลา?เธออธิบายได้ดีที่สุด
มู่เฉียวยังคงแปลกใจเล็กน้อยกับคำอธิบายของเขา เธอหันศีรษะมองดูโม่หานและยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โทษคุณ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณทั้งสองอย่างที่เธอพูด ฉันเป็นคนนอกและไม่เข้าใจ”
เธอพูดไปอย่างไม่สนมันและดูเหมือนว่าคนที่เพิ่งถูกคุมขังไม่ใช่เธอ
โม่ฮานมองไปที่ประตูที่ปิดอยู่ ยืนนิ่ง ครุ่นคิด
วันที่สาม เซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ มู่เฉียว ตื่นแต่เช้าและไปทำอาหารเช้าให้โม่หานพอเสร็จก็ลงไปวิ่งชั้นล่าง
แต่เธอได้พบกับ เล่อเชี่ยงหย่วนซึ่งกำลังวิ่งอยู่เช่นกัน
“เฉียวเอ๋อ…”
มู่เฉียวผ่านเขาไปโดยไม่หรี่ตา
แขนเธอถูกดึง และเสียงของชายคนนั้นก็ดังขึ้นเล็กน้อย “เฉียวเอ๋อ ฟังผมอธิบายหน่อย”
เขาจับแขนและสะบัด มู่เฉียวถอดหูฟังออกและพูดอย่างเย็นชาว่า “อย่าเรียกฉันว่าเฉียวเอ๋อ ฉันอยากอ้วก”
“เฉียวเอ๋อ จริงๆแล้ว…”
มู่เฉียว มองไปที่ เล่อเชี่ยงหย่วนที่ลังเลที่จะพูด “ถ้าคุณแค่อยากจะแก้ตัวสำหรับการทรยศของคุณ ฉันขอโทษ ฉันไม่สนใจ” ขณะที่เขาพูดจะต่อ
“เฉียวเอ๋อ จริงไหมที่คุณให้กำเนิดลูกของโม่หาน?” มู่เฉียวรู้ว่าเล่อเชี่ยงหย่วนไม่เคยสนใจข่าวแปดชั้นนั้นเลย เขาใช้ชีวิตอย่างหนักและไม่มีเวลาสนใจเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นเขาคงจะได้รู้ข้าวเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ
บางทีอาจเป็นเพราะเพื่อนร่วมงานเมื่อวานนี้ที่ทำให้หัวใจของเธอเย็นลง เธอตอบอย่างเป็นกันเอง: “ใช่ ชื่อ โม่เสี่ยวโยว น่ารักมาก”
“เขา เขาดีกับคุณไหม” มีความกังวลอย่างเห็นได้ชัดในดวงตาของชายคนนั้น
“เมื่อวานคุณไม่เห็นหรือไง เขาทั้งรักและดูแลฉันดี” มู่เฉียวเลื่อนสายตาไปที่อื่น ไม่กล้ามองตาของเล่อเชี่ยงหย่วน
“เฉียวเอ๋อ คุณกำลังโกหกผม เขาไม่ดีกับคุณ ถ้าเขาดีกับคุณจริง ทำไมเขาไม่รู้ล่ะว่าคุณใส่รองเท้าส้นสูงแบบนั้นไม่ได้ทุกครั้งที่คุณใส่…”
“โอเค นั้นมันเมื่อก่อนแต่ตอนนี้ฉันชินกับมันแล้ว” เธอขัดเขา ตอนนั้นตอนที่เธอสวมรองเท้าส้นสูงและกลับมาตอนกลางคืน เท้าของเธอก็จะบวม แต่ถ้าทำหน้าที่แบบนี้ รองเท้าส้นสูงก็เป็นมาตรฐานเช่นกัน , อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เธอคุ้นเคยกับมันมากจริงๆ แม้ว่ามันจะอึดอัดแต่ไม่บวม
เล่อเชี่ยงหย่วนเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาดูเสื่อมโทรม ซึ่งทำให้ มู่เฉียว แปลกใจเล็กน้อย เขามั่นใจอยู่เสมอและเต็มไปด้วยพลังบวกในความประทับใจของเขา บางครั้งเธอก็คิดในแง่ลบมาก โดยพื้นฐานแล้วเขาสนับสนุนเธอ ตอนนั้นเอง เวลาเธอมั่นใจและเต็มไปด้วยพลังบวก ฉันคิดว่าคงจะพอใจที่จะหาคนแบบนี้มาเป็นสามีภรรยากันตลอดชีวิต
“เฉียวเอ๋อ คนที่ผมรักมีแต่คุณเท่านั้น”
มู่เฉียวสวมหูฟังอีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้ยินสิ่งที่ เล่อเชี่ยงหย่วนพูด ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปทางโรงแรมต่อไป
เมื่อมองย้อนกลับไป ดวงตาของ เล่อเชี่ยงหย่วนก็ขุ่นเคืองอย่างสุดซึ้ง เฉียวเอ๋อ ถ้าวันหนึ่งคุณรู้จุดประสงค์ของผมในการทำเช่นนี้ คุณจะรู้สึกเป็นทุกข์หรือไม่?
เมื่อโม่หานตื่น เขาเห็นอาหารเช้าที่จัดเตรียมไว้บนโต๊ะ และเขาก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
สัญญาตอนเช้าดำเนินไปอย่างราบรื่นมาก เมื่อสัญญาสิ้นสุดลง มู่เฉียว ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การแปลภาษาเยอรมันครั้งแรกก็ถือว่าประสบความสำเร็จเช่นกัน
มีงานเลี้ยงฉลองในตอนเย็น มู่เฉียว ไม่ต้องการที่จะไป แต่ฉินฮ่าวบอกว่ามันอยู่ในความรับผิดชอบของเธอ
เสน่ห์ของโม่หานมีทั้งจีนและต่างประเทศ ทั้งคืนก็มีสาวๆที่อยู่ข้างๆเขายังไม่ถูกตัดออก แต่เขายินดีที่จะมาเต้นและพูดคุยเสมอ
แม้ว่าจะเป็นสามีของเขา เมื่อเทียบกับการพาผู้หญิงกลับ มู่เฉียวรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีพิษมีภัย และไม่แปลกใจเลย
แต่การปรากฏตัวของมู่หยิงทำให้เธอประหลาดใจ
ชุดกี่เพ้าจีนที่สง่างาม ดวงตาที่อ่อนโยน และผมมวยเรียบง่ายแสดงให้เห็นถึงความสง่างามและความมีเกียรติของผู้หญิงจีนอย่างเต็มที่ และทำให้ผู้ชมประหลาดใจทันทีที่เธอปรากฏตัว
เมื่อเห็นโม่หานในกลุ่มผู้หญิง ดวงตาของเธอก็หรี่ลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เธอเห็นมู่เฉียวนั่งอยู่ตรงมุมห้องทันที และมุมปากของเธอก็สูงขึ้นเล็กน้อย
โม่หานก็มองเห็นเธอแล้วเช่นกัน แต่ไม่คาดคิด เขาไม่ได้ตอบสนองอะไรมากนัก แต่เขาเดินตรงไปยังมู่เฉียวจากฝูงชนและยื่นมือออกไปหามู่เฉียว”มาเต้นรำด้วยกันไหม”
มู่เฉียวอยู่เหนือเธอ มองข้ามมาที่มู่หยิงซึ่งมีดวงตาที่สามารถฆ่าผู้คนข้างหลังเธอได้ เธอรู้ว่าโม่หานโกรธมู่หยิงสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาเชื่อเธอ แต่ในสายตาของคนนอกอย่างเธอ เธอคิดอย่างไร? คุณรู้สึกอย่างไรที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันในเรื่องความรัก แต่เธอซึ่งเป็นคนนอก
ยิ้มแต่ไม่ยื่นมือออกมา “ขอโทษค่ะ ประธานโม่ ฉันอยากเข้าห้องน้ำค่ะ”
หลังจากพูด เธอไม่สนใจใบหน้าที่มืดมนของโม่หานเดินผ่านเขาและตรงไปที่ห้องน้ำ
เมื่อเธอออกมาอีกครั้ง โม่หานและมู่หยิงก็ไม่อยู่ในสถานที่นั้นแล้ว เช็คเวลาก็ถึงเวลาที่จะออกไปได้แล้ว ทักทายเจ้าภาพและออกจากโรงแรม ที่ทางเข้าโรงแรม เธอเห็นโม่หานอยู่ในรถที่เขานั่งมา ร่างสองร่างกอดกัน และเธอก็ถอนหายใจ
หลังจากนั้นเธอก็นั่งแท็กซี่กลับมาแล้วเข้าไปที่พักอาบน้ำ คิดว่าจะขึ้นเครื่องบินในเช้าพรุ่งนี้ ซึ่งจะทำให้ใช้แรงกายมาก มู่เฉียวเลิกคิดที่จะอ่านหนังสือและผล็อยหลับไป
“โม่หาน คุณอย่าโกรธฉันเลย เมื่อวานฉันโกรธเธอมากเกินไป เธอยั่วยวนคุณมากเกินไป และฉันก็โกรธมาก”
ยั่วยวน? โม่หาน ขมวดคิ้ว มู่เฉียว จะ ยั่วยวนเขา?
“หยิงหยิง เรื่องนี้อาจจะใหญ่หรือเล็ก ถ้ามู่เฉียวเล่นจริงขึ้นมา คุณจะเจอปัญหาใหญ่ได้”
“เธอไม่ทำเหรอ” มู่หยิงตอบกลับ
“อืม?”
มู่หยิงเกี่ยวคอของโม่หาน “เพราะเธอรู้สึกว่าเธอเป็นหนี้ฉัน ที่เธอพาคุณไปจากฉัน”
โม่หานพยักหน้าบนหน้าผากของเธอ “ครั้งต่อไปคุณจะเอาแต่ใจอย่างนี้ไม่ได้นะ”
“ได้”
“ฉันขอให้ฉินฮ่าวเปิดห้องให้คุณ คุณไปนอนได้แล้ว”
“ไม่ ฉันอยากอยู่กับคุณคืนนี้ ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำอะไรเลย เหมือนตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก” ตอนที่เธอยังเด็กมู่หยิงหน้าแดง
โม่หานกระแอมเบา ๆ “หยิงหยิง นั่นคือตอนที่คุณยังเด็ก ตอนนี้คุณโตแล้ว คุณทำไม่ได้…”
“คุณไม่ใช่บอกว่าคุณจะหย่ากับเธอ เมื่อเสี่ยวโยวเธออายุได้ 1 ขวบหรือ ถ้าเรานอนด้วยกันตอนนี้ ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย?” ในตอนท้ายเสียงของมู่หยิงค่อย ๆ จางลง
“ถ้าเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องรีบใช่ไหม” โม่หานพูดจบ ขยี้ผมของเธอ “เชื่อฟัง ไปเร็วเข้า”
“ฉันไม่ต้องการมัน งั้นฉันจะนอนบนโซฟา”
“มู่หยิง”
“โอเค ฉันจะไป” ปกติแล้วโม่หานจะไม่เรียกเธอด้วยชื่อและนามสกุล ซึ่งเห็นได้ชัดว่าโกรธ
ในตอนเช้า มู่เฉียวยังคงขึ้นไปชั้นบน แต่เช้า เธอไม่ต้องการที่จะทำ ในที่สุดรักแรกของเธอก็มาถึง อย่างไรก็ตาม คิดเกี่ยวกับการต้องนั่งเครื่องบินเป็นเวลาหนึ่งวัน และคาดว่าเขาจะกินอะไรไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงต้องขึ้นไปชั้นบน
เธอยอมรับว่าคำพูดของ ฉินฮ่าวเมื่อวานนี้ทำให้เธอเปลี่ยนไปเล็กน้อยเกี่ยวกับ โม่หาน แม้จะเป็นสามีภรรยาวันเดียว พระคุณร้อยวัน แม้ว่าเธอจะไม่รักเขา อย่างน้อยก็รู้สึกสบายใจเขาเป็นพ่อของเสี่นวโยว
โม่หานตกใจมากเมื่อเขาได้ยินเสียงข้างนอก ลุกขึ้น เปิดประตู และเห็น มู่เฉียว ที่ยุ่งอยู่ในครัวแล้ว เธอดูอารมณ์ดีและยังคงฮัมเพลงที่มีเนื้อเพลงที่ไม่ได้ยิน
เมื่อวานตอนออกไปก็ไม่ได้ทักทายเธอเลย นึกว่าเธอจะโกรธ
แต่เมื่อมองดูเธอในตอนนี้ โม่หานก็เข้าใจในทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจเขาเลยจริงๆ ความคิดนี้ทำให้เขาอารมณ์เสียมาก ปิดประตูแล้วกลับไปที่ห้อง
จนมีเสียงกรี๊ดออกมาจากข้างนอก
เมื่อมู่เฉียวตื่นขึ้น เธอก็นอนอยู่ในโรงแรม มีผู้ชายสามคนยืนอยู่หนึ่งในนั้นถือโทรศัพท์มือถืออยู่ในมือ และกล้องก็หันหน้าเข้าหาเธอ “คุณมู่ ผมพาเธอมาที่นี่แล้ว .”
“ให้เธอคุยกับฉัน”
ในขณะนั้นมู่เฉียวนึกถึงแต่มู่หยิงที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ ดังนั้นหลังจากยืนยันว่าเป็นเธอแน่ในตอนนี้ เธอค่อนข้างสงบ แต่ก็แปลกใจ คนมีเงินจะทำอะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้นแหละสบายจริงๆ
ในวิดีโอ มู่หยิงกำลังเช็ดผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เธอน่าจะเพิ่งตื่น
“มู่เฉียว นานมากแล้วที่ไม่ได้เติมสีให้เธอ เธอคงจะลืมธรรมชาติของเธอไปแล้ว โม่หานไม่ใช่สิ่งที่เธอจับต้องได้ เธอเข้าใจใช่ไหม?” พี่สะใภ้ก็ไม่เรียกแล้ว น้ำเสียงของเธอเย่อหยิ่งและดูถูก .
มู่เฉียวนึกถึงตอนที่โม่หานรับสายตอนเที่ยงและขมวดคิ้ว “คุณส่งคนมาตามเราเหรอ?”
“เธอคิดว่าฉันอิ่มแล้วไม่มีอะไรทำหรือ โม่หานเป็นคนแบบไหนกอดคุณในที่สาธารณะ คุณคิดว่าสื่อจะปล่อยมันไปไหม”
คำอธิบายดูสมเหตุสมผล แต่มู่เฉียวเข้าใจดีว่าในฐานะโม่หานเขาไม่สามารถเปิดเผยแผนการเดินทางของเขากับสื่อและสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้าได้ มู่หยิงก็รู้ตอนเที่ยงเธอไม่เชื่อ เธอต้องส่งคนมาดูเราแน่ เธอคิด และโม่หานก็คงคิดได้ แต่เขาเลือกที่จะตามใจ
“คุณมัดฉันไว้ที่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น คุณรู้หรือไม่ว่าคุณกำลังทำผิดกฎหมาย”
ผู้หญิงคนนั้นตบแก้มของเธอด้วยมือของเธอ “พี่สะใภ้คุณกล้าบอกคนอื่นว่าฉันผูกคุณไว้ที่นี่หรือไม่”
ความเย่อหยิ่งและความมุ่งมั่นของเธอทำให้มู่เฉียวโกรธเล็กน้อย “โอเค ฉันไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับคุณ ให้ฉันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้ฉันต้องทำงาน!”
มู่หยิง เลิกคิ้วขึ้น “โอ้ พรุ่งนี้คุณต้องทำงานเหรอ คุณทุ่มเทมากไหม คุณพูดว่า ถ้าพรุ่งนี้คุณไม่อยู่ โม่หานจะคิดยังไงกับคุณ”
เมื่อมาถึงจุดนี้ มู่เฉียวก็เข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของมู่หยิง แต่เธอก็งงงวยเป็นพิเศษ “มู่หยิง คุณพูดซิว่า คุณเป็นคนแบบนี้โม่หานชอบอะไรเกี่ยวกับคุณ?”
การเคลื่อนไหวการตบหน้าเธอแบบนิ่งเล็กน้อย จากนั้นมู่ยิงก็ชำเลืองมองอย่างมีชัย “คนแบบนี้ ฮ่าฮ่า มู่เฉียว ความรู้สึกระหว่างฉันกับโม่หานนั้นไม่สามารถเข้าใจได้โดยบุคคลภายนอกเช่นคุณ ให้ฉันบอกคุณได้ไหม เชื่อไหม ต่อให้คุณกลับไปบอกโม่หานว่าฉันจับเธอวันนี้ เขาก็จะไม่ทำอะไรฉันเหรอ”
ความมั่นใจมากเกินไปของเธอทำให้ มู่เฉียวรังเกียจ เมื่อเธอได้ยินเธอพูดคำว่า “จิตใจ” เธอก็เยาะเย้ย
“จิตใจ? คุณเคยรักโม่หานหรือไม่ หรือคุณรักแต่ตัวเองเท่านั้น”
“โอเค ฉันไม่อยากคุยเรื่องไร้สาระกับเธอ แค่อยู่ที่นั่นสองวันนี้ วันมะรืนนี้ เมื่อโม่หานกลับมาที่จีน ฉันจะปล่อยเธอไปเอง”
“ไม่ต้องห่วง เขาจะมาหาฉันเอง เมื่อถึงเวลาฉันจะดูว่าคุณจะบอกเขาว่าอย่างไร”
ผู้หญิงหัวเราะคิกคัก “มู่เฉียว จากสิ่งที่ฉันรู้เกี่ยวกับโม่หาน เขาจะคิดว่าคุณมาที่นี่เพื่อแก้ไขเขา และคุณไม่สามารถพูดอะไรได้”
มู่เฉียวอยากจะเอาโทรศัพท์มาและฉีกหน้าหญิงสาวเป็นชิ้นๆ แต่เธอก็ช่วยไม่ได้มากเพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง
เธอแอบเข้ามาทำหน้าที่เป็นล่ามให้ โม่หานโดยไม่บอกเขา เป็นเรื่องปกติที่โม่หานจะคิดกับเธอแบบนั้น
หลังจากวางสายแล้ว ผู้ชายในห้องก็เดินออกไป
แต่มู่เฉียวแตะหูขวาของเธออย่างไม่ระมัดระวัง มีต่างหูสตั๊ดที่สวยงาม ต่างหูสตั๊ดล้อมรอบด้วยสีมุกที่สวยงาม ส่วนเว้าเล็กน้อยที่อยู่ตรงกลางเป็นทับทิมใส เพราะมันมีขนาดเล็กและละเอียดอ่อน ให้ความสนใจ นี่เป็นเพียงต่างหูธรรมดาๆ แต่ในขณะที่แสงสลัว มีแสงสีแดงจางๆ อยู่ตรงกลางต่างหู ซึ่งกะพริบเป็นจังหวะเล็กน้อย
โดยปกติแม้ว่าจะค้นพบแล้วก็ตาม แต่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแสงสะท้อนจากทับทิมตรงกลาง
คุณนายโม่ให้สิ่งนี้แก่เธอหลังจากเธอตั้งท้อง ให้สามคู่แก่เธอ แต่ละคู่มีผมของมัน คุณนายโม่บอกว่าถ้ามีเหตุฉุกเฉินจะได้ติดต่อเธอได้ ท้องแล้วปลอดภัยไว้ก่อน.
เธอรู้ดีว่านี่คือสิ่งที่เธอต้องการติดตามตำแหน่งของเธอ และกลัวว่าเธอจะหนีไป
ตอนนั้นเธอโกรธมาก แต่ ณ เวลานี้เธอซาบซึ้งมากเพราะโม่หานรู้เรื่องนี้ดี แม้ว่าเธอกับโม่หานของเขาจะไม่เห็นด้วย แต่พรุ่งนี้เป็นวันเซ็นสัญญา โม่หานจะตามหาเธอและช่วยชีวิตเธออย่างแน่นอน เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หัวใจที่เต้นเร็วของเธอก็สงบลง
รถจอดอยู่ชั้นล่างในโรงแรม หน้าต่างลดต่ำลง และโม่หานจ้องมองไปที่จุดชั้นบนด้วยสายตาที่เย็นชาเล็กน้อย
“หาน คุณรู้ได้ยังไงว่าพี่สะใภ้อยู่ที่นี่”
โม่หานเพิ่งเอานิ้วเรียวถูหน้าต่าง “โทรแจ้งตำรวจ บอกตรงนี้ไม่สะอาด”
ชายคนนั้นสั่งเสียงต่ำ
มู่เฉียวได้ยินแต่เสียงรถตำรวจด้านนอก และหลังจากนั้นก็เกิดความโกลาหล จากนั้นฉินฮ่าวก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอและพูดด้วยความประหลาดใจ: “พี่สะใภ้ คุณอยู่ที่นี่จริงๆ”
หลังจากเธอและฉินฮ่าวออกจากโรงแรม ก่อนออกไปมู่เฉียวก็นำโทรศัพท์มือถือของเธอคืนจากกระเป๋าของชายที่ถูกจับกุม
ใบหน้าของโม่หานดูไม่น่าดูมากเมื่อเขาขึ้นรถมู่เฉียวไม่ได้พูดอะไร
จนกระทั่งเขาไปถึงโรงแรมในลิฟต์ โม่หานก็พูดขึ้นว่า “ใครกัน?”
มู่เฉียวเปิดปากและยิ้ม และยกถุงของขวัญในมือขึ้น “ไม่มีใคร ฉันแค่เหนื่อยจากการเดินไปรอบๆ และต้องการหา…”
“มู่เฉียว เธอคงไม่ต้องการให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกครั้งนะ” เสียงของเขาดังขึ้นอย่างไร้ประโยชน์ และมู่เฉียว ก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายลงคอ วันนี้ชายผู้นี้สงบอยู่หนึ่งวัน และเธอลืมไปว่าเขามีอารมณ์โกรธถ้าไม่พอใจ
ลิฟต์หยุดอยู่ที่ชั้นที่เธออาศัยอยู่ มู่เฉียว ไม่ตอบโม่หานเดินออกจากลิฟต์และเดินตรงไป เธอไม่ต้องการตอบ แต่ไม่รู้จะตอบอย่างไร
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเธอ เธอหยุด มองกลับมาที่ โม่หานด้วยมือของเธอในกระเป๋าของเธอ และมีสีหน้าเย็นชาบนใบหน้าของเขา หายใจเข้า “ถ้าฉันพูด คุณจะเชื่อไหม”
ชายคนนั้นมองเธอ “ลองพูดมาสิ”
“มู่หยิงหาคนมาจับฉัน” หลังจากพูด เธอมองดูโม่หานอย่างไม่ขยับเขยื้อน และเห็นว่าเขาเลิกคิ้วขึ้นก่อน แล้วจึงกำข้อมือแน่น “คุณก็รู้ว่าผมเกลียดการโกหก”
มู่เฉียวหลับตาลงและแสดงสีหน้าเย็นชา เธอรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้น และยิ้มเล็กน้อย “ใช่ ฉันโกหก”
หันหลังแล้วเดินไปที่ห้องอย่างรวดเร็ว
เขาถอนหายใจในใจ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้หญิงคนนั้นกล้าที่จะหยิ่งยโส โม่หานเธอสมควรที่จะถูกเธอเล่น
“ฉันเป็นหนี้ชีวิตเธอ และสัญญาว่าฉันจะยอมทนทุกอย่างเกี่ยวกับเธอในชีวิตนี้” เสียงของชายผู้นั้นดังมาจากข้างหลังเธอ และมู่เฉียวผลักประตูชะงักเล็กน้อย
โม่ฮานต้องการที่จะผลักเธอออกจากเสียงสะท้อนนั้น
“ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู
โม่หานมองดูเธอ มองไปที่ชายและหญิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา “ใคร?”
“แฟนเก่า หลังเจอคุณ เราก็แยกทางกัน”
“คุณนี้อยากตายใช่ไหม เอาผมเป็นเกราะกำบัง” น้ำเสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์
“คุณจะไม่ช่วยใช่ไหม อย่าโทษฉันที่สวมเขาให้คุณ ผู้ชายบางคนเต็มใจช่วย”เธอพูดออกไป
ชายคนนั้นผลักเธอออกไปและนำความตื่นตระหนกในดวงตาของมู่เฉียว เขาเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นยกมุมปากขึ้น มือใหญ่บนไหล่ของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอแล้วพูดเบา ๆ “ลงมารอทำไม?ไม่ใช่ว่าจะไปพร้อมกันหรือ
หลังจากพูดจบ อีกมือหนึ่งก็ยกผมหน้าม้าขึ้นและพูดนุ่มนวลราวกับน้ำ
มู่เฉียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็จับแขนชี้ไปที่เล่อเชี่ยงหย่วนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “สามี นี่คือแฟนเก่าของฉัน”
จากนั้นแม้ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ยังคงพูดต่อไป , “เชี่ยงหย่วนนี่คือสามีของฉัน โม่ฮาน”
โม่หานให้ความร่วมมือดีมาก เขาพยักหน้าให้เล่อเชี่ยงหย่วน และพูดคำที่ทำให้มู่เฉียวต้องก้มหน้าลง“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณเล่อ ล่าสุดยังปฏิเสธที่คุณยื่นข้อเสนอมา เนื่องจากคุณเล่อเคยดูแลภรรยาของผมมาก่อนเป็นอย่างดี คุณวางใจได้ว่าหลังจากกลับจีนแล้ว ผมจะขอให้ผู้ช่วยตรวจสอบใหม่โดยเร็วที่สุด”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมู่เฉียว “เมื่อกี้ลูกสาววิดีโอคอลหาคุณ คุณมีเวลาก็โทรหาเธอหน่อย นี่เพิ่งจะขวบกว่าเอง บอกแม่ไม่อยู่ก็ยังไม่เชื่อ”
เมื่อเดินผ่านเล่อเชี่ยงหย่วนใบหน้าของเขาก็มืดมนลง มู่เฉียวมองเห็นจากหางตาของเธอ
เธอไม่ทันคิดได้ในตอนแรก โม่เสี่ยวโยวอายุได้เพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมเขาถึงอายุมากกว่าหนึ่งปี? จนกระทั่งเธอขึ้นรถเธอก็นึกขึ้นได้
โม่หานคนนี้ใช้สัญญาครั้งแรกเพื่อกีดกันเขาไม่ให้ด้อยกว่าเขาในอาชีพการงาน แล้วบอกว่าทั้งสองคนมีลูกแล้ว แล้วบอกว่าเด็กคนนั้นอายุเกิน 1 ขวบ บอกชัดเจนว่าเล่อเชี่ยงหย่วนตอนคบกับมู่เฉียวา ตอนนั้นก็นอกใจและอยู่กับเขาแล้ว
เมื่อนึกถึงคำพูดที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอกว่า “เพื่อนร่วมงานเก่า” และคิดถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคู่ในตอนนี้ มู่เฉียวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ความหมองคล้ำก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมา
หันศีรษะมองดูโม่หานที่ฟื้นจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ขอบคุณนะ”
โม่หานทำหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่พูดอะไร
มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและถอนสายตาออกเล็กน้อยอย่างเขินอาย
โม่หานและคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล ครั้งนี้ พวกเขามาที่เยอรมนีเนื่องจากความร่วมมือที่ยาวนานกับที่นี่ ที่จริงในระดับโม่กรุ๊ปเขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง
“เขาไม่ไว้ใจ ทุกครั้งที่เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่เขาจะมาด้วยตัวเอง พี่สะใภ้เขาไม่ใช่ทายาทในสายตาของคนนอก โม่กรุ๊ปมีทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วและกลัวว่านายท่านโม่จะเป็นห่วง พวกเราทุกคนเลยเก็บเป็นความลับ”
เมื่อฉินฮ่าวพูดถึงนี้ เสียงของชายร่างสูงก็สำลักเล็กน้อย “เขาไม่ชอบอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเขาทำอะไร เขาเพิ่งบอกผมว่าอธุรกิจที่นายท่านโม่มอบให้จะไม่สามารถถูกทำลายในมือของเขาได้ เขากล่าวว่าในวันที่เขาจากไปอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจ น่าเสียดายที่คนนอกเห็นผลงานของเขาน้อยเกินไป”
มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่ฉินฮ่าวแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉินฮ่าว ถึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ
นี่คือสามีตามกฎหมายของเธอ ซึ่งเป็นพ่อของลูกของเธอ แต่จนกระทั่งครู่หนึ่ง คำจำกัดความของเธอที่มีต่อเขาคือ “รวยสามชั่วอายุคน” “ขยะ” “ไร้การศึกษา” และคำอื่นๆ
ดังนั้น คนที่ ฉินฮ่าวพูดถึงจึงแปลกมากสำหรับเธอ
มู่เฉียวรับผิดชอบในการแปลผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกฝ่ายเป็นหลัก ข้อมูลจำเพาะด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เธอประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ค่อย ๆ สงบลงในช่วงต่อมา โม่หาน ไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้ง เขาเปิดปากของเขา เขาสามารถตีประเด็นสำคัญได้โดยตรงจากการขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคำถามติดตามที่เกี่ยวข้องแม้ว่าจะมีผู้ช่วยสองสามคนอยู่ข้างๆเขาเขาก็ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้น
ในคำพูดของฉินฮ่าวเขาไม่เพียงแต่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เขายังสืบทอดและดำเนินกิจการของครอบครัวนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป
เพราะเขากังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาจึงจัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในตอนเช้า ในตอนเที่ยง บริษัท อื่น ๆ เป็นเจ้าภาพในร้านอาหารมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่ แต่ มู่เฉียวเห็นว่าโม่หาน ไม่ได้กินอะไรเลยเธอมอง เหงื่อไหลที่หน้าผากของเขาเธอกำตะเกียบแน่น เธอเป็นคนปกติยังรู้สึกเหนื่อยเลยตลอดเช้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาป่วย
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เนื่องจากเวลาอันสั้น พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาเคยพักมาก่อน และในห้องอาหารก็เปิดห้องชั้นบนห้องหนึ่ง
หลังจากส่งบุคคลของอีกฝ่ายออกไป มู่เฉียวก็ตรงไปที่ห้องครัวของร้านอาหารและปรุงอาหารบางอย่างให้โม่หานด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายในครัว
ตอนเดินขึ้นไปโม่หานยังคงอธิบายข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้บางอย่างกับ ฉินฮ่านและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
“กินอะไรหน่อยแล้วค่อยคุยกันต่อ…”
ฉินฮ่าวมองมู่เฉียวอย่างมีความหมาย ยืนขึ้นและรวบรวมเอกสารบนโต๊ะทั้งหมด “หาน คุณกินก่อน ผมจะเตรียมเอกสารสำหรับตอนบ่าย”
เมื่อมองดูจานสองจานและซุปหนึ่ง1ถ้วยบนโต๊ะ โม่หานก็หรี่ตาลง “โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี และไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่มีเหตุผล”
มู่เฉียวจัดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้เขา นานๆครั้งเธอจะสงบมาก เธอมองขึ้นไปที่ โม่หานและนึกถึงประโยคของฉินฮ่านใน วันหนึ่งถ้าเขาจากไปและหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว
“แม้ว่าคุณจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในตอนเช้า” มู่เฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยตั้งใจ และนั่งลงข้างๆ หยิบเอกสารในกระเป๋าของเขาออกมา และรวบรวมคำศัพท์อุตสาหกรรมบางอย่างที่เขาจะใช้ในตอนบ่าย
ทั้งสองไม่พูดอะไร และห้องนั้นก็เงียบสงบ
เขาน่าจะหิวและในไม่ช้าอาหารก็หมดลง โม่เฉียวรู้สึกโล่งใจบ้าง
“คราวหน้าถ้าจะเดินทางไกลแล้วไม่ชินกับของกินนอกบ้าน ให้พาเชฟมาอยู่ข้างๆ จะดีที่สุด ถ้าหิวนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ได้” เธอพูดขณะล้างจานแม้ว่าจะเป็นการประโคมมากเกินไป แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่เหมาะกับการหิว
โม่หานมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เมื่อคำว่า “หยิงหยิง” ปรากฏขึ้น มู่เฉียวก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไร และไปที่ห้องครัวพร้อมกับชามเปล่าของเขา
“เฮ้ หยิงหยิง ใช่ อยู่เยอรมัน อย่าเข้าใจผิด เธอเป็นแค่ล่ามแปล กอดหน่อยได้ไหม นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด เธอบอกว่าเธอจะมา?”
โม่ฮานต้องการที่จะผลักเธอออกจากเสียงสะท้อนนั้น
“ช่วยฉันสักครั้งเถอะนะ” เสียงของหญิงสาวดังก้องอยู่ในหู
โม่หานมองดูเธอ มองไปที่ชายและหญิงที่ยืนอยู่ตรงข้ามเขา “ใคร?”
“แฟนเก่า หลังเจอคุณ เราก็แยกทางกัน”
“คุณนี้อยากตายใช่ไหม เอาผมเป็นเกราะกำบัง” น้ำเสียงของเขาเย็นชาไร้อารมณ์
“คุณจะไม่ช่วยใช่ไหม อย่าโทษฉันที่สวมเขาให้คุณ ผู้ชายบางคนเต็มใจช่วย”เธอพูดออกไป
ชายคนนั้นผลักเธอออกไปและนำความตื่นตระหนกในดวงตาของมู่เฉียว เขาเย้ยหยันเย็นชา จากนั้นยกมุมปากขึ้น มือใหญ่บนไหล่ของเขาค่อย ๆ เลื่อนลงมาที่เอวของเธอแล้วพูดเบา ๆ “ลงมารอทำไม?ไม่ใช่ว่าจะไปพร้อมกันหรือ
หลังจากพูดจบ อีกมือหนึ่งก็ยกผมหน้าม้าขึ้นและพูดนุ่มนวลราวกับน้ำ
มู่เฉียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็จับแขนชี้ไปที่เล่อเชี่ยงหย่วนแล้วพูดเบา ๆ ว่า “สามี นี่คือแฟนเก่าของฉัน”
จากนั้นแม้ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เธอก็ยังคงพูดต่อไป , “เชี่ยงหย่วนนี่คือสามีของฉัน โม่ฮาน”
โม่หานให้ความร่วมมือดีมาก เขาพยักหน้าให้เล่อเชี่ยงหย่วน และพูดคำที่ทำให้มู่เฉียวต้องก้มหน้าลง“ผมขอโทษจริงๆ ผมไม่รู้ว่าผมจะมีความสัมพันธ์แบบนี้กับคุณเล่อ ล่าสุดยังปฏิเสธที่คุณยื่นข้อเสนอมา เนื่องจากคุณเล่อเคยดูแลภรรยาของผมมาก่อนเป็นอย่างดี คุณวางใจได้ว่าหลังจากกลับจีนแล้ว ผมจะขอให้ผู้ช่วยตรวจสอบใหม่โดยเร็วที่สุด”
หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เดินไปข้างหน้าพร้อมกับมู่เฉียว “เมื่อกี้ลูกสาววิดีโอคอลหาคุณ คุณมีเวลาก็โทรหาเธอหน่อย นี่เพิ่งจะขวบกว่าเอง บอกแม่ไม่อยู่ก็ยังไม่เชื่อ”
เมื่อเดินผ่านเล่อเชี่ยงหย่วนใบหน้าของเขาก็มืดมนลง มู่เฉียวมองเห็นจากหางตาของเธอ
เธอไม่ทันคิดได้ในตอนแรก โม่เสี่ยวโยวอายุได้เพียงไม่กี่เดือนเอง ทำไมเขาถึงอายุมากกว่าหนึ่งปี? จนกระทั่งเธอขึ้นรถเธอก็นึกขึ้นได้
โม่หานคนนี้ใช้สัญญาครั้งแรกเพื่อกีดกันเขาไม่ให้ด้อยกว่าเขาในอาชีพการงาน แล้วบอกว่าทั้งสองคนมีลูกแล้ว แล้วบอกว่าเด็กคนนั้นอายุเกิน 1 ขวบ บอกชัดเจนว่าเล่อเชี่ยงหย่วนตอนคบกับมู่เฉียวา ตอนนั้นก็นอกใจและอยู่กับเขาแล้ว
เมื่อนึกถึงคำพูดที่เล่อเชี่ยงหย่วนบอกว่า “เพื่อนร่วมงานเก่า” และคิดถึงปฏิกิริยาของทั้งสองคู่ในตอนนี้ มู่เฉียวก็ถอนหายใจออกมาอย่างหนัก ความหมองคล้ำก่อนหน้านี้ก็โล่งใจขึ้นมา
หันศีรษะมองดูโม่หานที่ฟื้นจากใบหน้าที่เย็นชาของเขา “ขอบคุณนะ”
โม่หานทำหน้าเย็นชา มองออกไปนอกหน้าต่าง และไม่พูดอะไร
มู่เฉียวเม้มริมฝีปากและถอนสายตาออกเล็กน้อยอย่างเขินอาย
โม่หานและคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ทำงานเกี่ยวกับการขนส่งทางทะเล ครั้งนี้ พวกเขามาที่เยอรมนีเนื่องจากความร่วมมือที่ยาวนานกับที่นี่ ที่จริงในระดับโม่กรุ๊ปเขาไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเอง
“เขาไม่ไว้ใจ ทุกครั้งที่เขาเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่เขาจะมาด้วยตัวเอง พี่สะใภ้เขาไม่ใช่ทายาทในสายตาของคนนอก โม่กรุ๊ปมีทุกวันนี้สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเขา” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วและกลัวว่านายท่านโม่จะเป็นห่วง พวกเราทุกคนเลยเก็บเป็นความลับ”
เมื่อฉินฮ่าวพูดถึงนี้ เสียงของชายร่างสูงก็สำลักเล็กน้อย “เขาไม่ชอบอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเขาทำอะไร เขาเพิ่งบอกผมว่าอธุรกิจที่นายท่านโม่มอบให้จะไม่สามารถถูกทำลายในมือของเขาได้ เขากล่าวว่าในวันที่เขาจากไปอย่างน้อยเขาก็จะได้ไม่รู้สึกละอายแก่ใจ น่าเสียดายที่คนนอกเห็นผลงานของเขาน้อยเกินไป”
มู่เฉียวหันศีรษะและมองไปที่ฉินฮ่าวแม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆฉินฮ่าว ถึงอยากจะพูดเรื่องนี้กับเธอ
นี่คือสามีตามกฎหมายของเธอ ซึ่งเป็นพ่อของลูกของเธอ แต่จนกระทั่งครู่หนึ่ง คำจำกัดความของเธอที่มีต่อเขาคือ “รวยสามชั่วอายุคน” “ขยะ” “ไร้การศึกษา” และคำอื่นๆ
ดังนั้น คนที่ ฉินฮ่าวพูดถึงจึงแปลกมากสำหรับเธอ
มู่เฉียวรับผิดชอบในการแปลผลิตภัณฑ์ของบริษัทอีกฝ่ายเป็นหลัก ข้อมูลจำเพาะด้านการขนส่ง ค่าใช้จ่าย ฯลฯ เธอประหม่าเล็กน้อยในตอนแรก แต่ค่อย ๆ สงบลงในช่วงต่อมา โม่หาน ไม่ได้พูดมาก แต่ทุกครั้ง เขาเปิดปากของเขา เขาสามารถตีประเด็นสำคัญได้โดยตรงจากการขนส่งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับความปลอดภัยของคำถามติดตามที่เกี่ยวข้องแม้ว่าจะมีผู้ช่วยสองสามคนอยู่ข้างๆเขาเขาก็ไม่ให้โอกาสคนเหล่านั้น
ในคำพูดของฉินฮ่าวเขาไม่เพียงแต่สืบทอดธุรกิจของครอบครัวเท่านั้น เขายังสืบทอดและดำเนินกิจการของครอบครัวนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป
เพราะเขากังวลเกี่ยวกับร่างกายของเขาจึงจัดเวลาเพียง 2 ชั่วโมงในตอนเช้า ในตอนเที่ยง บริษัท อื่น ๆ เป็นเจ้าภาพในร้านอาหารมาตรฐานสูงสุดในพื้นที่ แต่ มู่เฉียวเห็นว่าโม่หาน ไม่ได้กินอะไรเลยเธอมอง เหงื่อไหลที่หน้าผากของเขาเธอกำตะเกียบแน่น เธอเป็นคนปกติยังรู้สึกเหนื่อยเลยตลอดเช้า ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาป่วย
หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุดลง เนื่องจากเวลาอันสั้น พวกเขาไม่ได้กลับไปที่โรงแรมที่พวกเขาเคยพักมาก่อน และในห้องอาหารก็เปิดห้องชั้นบนห้องหนึ่ง
หลังจากส่งบุคคลของอีกฝ่ายออกไป มู่เฉียวก็ตรงไปที่ห้องครัวของร้านอาหารและปรุงอาหารบางอย่างให้โม่หานด้วยส่วนผสมที่เรียบง่ายในครัว
ตอนเดินขึ้นไปโม่หานยังคงอธิบายข้อผิดพลาดก่อนหน้านี้บางอย่างกับ ฉินฮ่านและเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นเธอเข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร
“กินอะไรหน่อยแล้วค่อยคุยกันต่อ…”
ฉินฮ่าวมองมู่เฉียวอย่างมีความหมาย ยืนขึ้นและรวบรวมเอกสารบนโต๊ะทั้งหมด “หาน คุณกินก่อน ผมจะเตรียมเอกสารสำหรับตอนบ่าย”
เมื่อมองดูจานสองจานและซุปหนึ่ง1ถ้วยบนโต๊ะ โม่หานก็หรี่ตาลง “โลกนี้ไม่มีอาหารฟรี และไม่มีผลประโยชน์ให้โดยไม่มีเหตุผล”
มู่เฉียวจัดเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารให้เขา นานๆครั้งเธอจะสงบมาก เธอมองขึ้นไปที่ โม่หานและนึกถึงประโยคของฉินฮ่านใน วันหนึ่งถ้าเขาจากไปและหัวใจของเธอก็รู้สึกไม่สบายใจท้ายที่สุดเขาก็ยังเป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว
“แม้ว่าคุณจะขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือในตอนเช้า” มู่เฉียวกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายโดยตั้งใจ และนั่งลงข้างๆ หยิบเอกสารในกระเป๋าของเขาออกมา และรวบรวมคำศัพท์อุตสาหกรรมบางอย่างที่เขาจะใช้ในตอนบ่าย
ทั้งสองไม่พูดอะไร และห้องนั้นก็เงียบสงบ
เขาน่าจะหิวและในไม่ช้าอาหารก็หมดลง โม่เฉียวรู้สึกโล่งใจบ้าง
“คราวหน้าถ้าจะเดินทางไกลแล้วไม่ชินกับของกินนอกบ้าน ให้พาเชฟมาอยู่ข้างๆ จะดีที่สุด ถ้าหิวนานๆ จะไม่ดีต่อสุขภาพ ได้” เธอพูดขณะล้างจานแม้ว่าจะเป็นการประโคมมากเกินไป แต่ร่างกายเช่นนี้ไม่เหมาะกับการหิว
โม่หานมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ซับซ้อน
ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เมื่อคำว่า “หยิงหยิง” ปรากฏขึ้น มู่เฉียวก็นิ่งไปเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ไม่พูดอะไร และไปที่ห้องครัวพร้อมกับชามเปล่าของเขา
“เฮ้ หยิงหยิง ใช่ อยู่เยอรมัน อย่าเข้าใจผิด เธอเป็นแค่ล่ามแปล กอดหน่อยได้ไหม นั่นเป็นแค่ความเข้าใจผิด เธอบอกว่าเธอจะมา?”
เขารีบลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว และมีอาการวิงเวียนศีรษะทำให้เขาต้องยึดผนังก่อนที่จะเดินออกไป
หลังจากหายใจเข้า เปิดประตูเห็น มู่หยิงกำลังกระโดดไปมาที่หน้าประตูห้องครัว มู่เฉียวกำลังเช็ดตัวเธอด้วยผ้าในมือเธอ เมื่อมองจากระยะไกล มันเหมือนกับว่า มู่เฉียว กำลังทำร้ายเธอ
“ทำอะไรน่ะ” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและเสียงดัง
มู่หยิง ได้ยินเสียงของโม่หาน ปากของเธอคว่ำลง หันกลับมามองเขา “โม่หาน ฉันเกือบโดนน้ำร้อนลวกตาย”
การแสดงออกที่เกินจริงของเธอทำให้มู่เฉียวพูดไม่ออก
ในขณะนั้น โม่หานได้เดินไปหาทั้งสองคน มองดูโจ๊กที่กระจายไปทั่วพื้น หรี่ตาและถามอีกครั้ง: “เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันจะวางโจ๊กลงบนโต๊ะให้เย็นลง ทันใดนั้นเธอก็ปรากฏตัวขึ้น ฉันตกใจมาก ข้าวต้มก็ตกลงมาที่เธอ” เสียงของมู่เฉียวเบามาก ไม่เหมือนกำลังอธิบาย แค่ต้องการพูดข้อเท็จจริง
โม่หานกดโทรศัพท์ข้างๆ เขา และบอกแผนกต้อนรับให้คนมาทำความสะอาด เขาจับไหล่มู่หยิง “ก็โตกันแล้ว ยังจะฟุ้งซ่านอยู่ ลวกโดนตรงไหนไหม”
น้ำเสียงของเขาดูสมเพชเล็กน้อยแต่เขาก็ดูเหมือนตามใจมากกว่า โม่หานคนนี้แปลกสำหรับมู่เฉียวมาโดยตลอด
เธอหันหลังกลับเข้าไปในครัว หยิบโจ๊กอีกชาม วางลงบนโต๊ะ เธอนำไข่ดาวกับเกี๊ยวนึ่งมารวมกัน
“ประธานโม่ คุณค่อยๆทานนะ” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ปลดผ้ากันเปื้อนออกจากห้องโดยไม่ได้มองทั้งสองคน
ในเวลานี้เธอเป็นเหมือนคนรับใช้มากขึ้น
โม่หานขมวดคิ้ว แต่ ดูมู่หยิงภูมิใจมาก และใช้สายตามองตามมู่เฉียวไป
มองย้อนกลับไปที่อาหารเช้าบนโต๊ะ “หาน เธอทำอาหารให้คุณทุกวันหรือเปล่า”
โม่หานไปที่ห้อง หยิบเสื้อแล้วยื่นให้มู่หยิง “ไปเปลี่ยนเสื้อก่อน”
เมื่อมู่หยิงเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกมา โม่หานกินอาหารเช้าบนโต๊ะไปกว่าครึ่งแล้ว เธอขมวดคิ้ว “คุณบอกว่าเธอไม่ต้องการจะยั่วยวนคุณ เธอไม่ได้ยั่วยวนคุณและทำอาหารให้คุณทุกวัน มีคนบอกว่าถ้าอยากจับใจผู้ชายต้องทำให้ผู้ชายอิ่มท้อง มองดูคุณที่กินข้าวฝีมือเธอ เผื่อว่าวันข้างหน้า…”
“เอาล่ะ อย่าพูดเยอะ จะกินหรือไม่กิน ถ้าไม่กินก็ลงไปเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวกลับ” โม่หานขัดมู่หยิง เขาอยากจะบอกกับเธอว่า เป็นอาหารที่เขาขอให้ฉินฮ่าวไปขอให้เธอทำ เธอไม่ได้สนใจที่จะยั่วยวนเขาแม้แต่น้อย แต่เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เขาคิดว่ามันไร้เดียงสาไปหน่อย
มู่หยิงขมวดคิ้ว “หาน คุณดุฉันเพราะเธอ!”
โม่หานหยิบเกี๊ยวขึ้นมาและนำมันเข้าปากของเธอ “โอเค ในสายตาของฉัน เธอเป็นแค่แม่บ้าน คุณแน่ใจนะว่าอยากจะอิจฉาแม่บ้าน เปิดปากแล้วลองชิมดู?”
เมื่อมู่เฉียวมาถึงประตูห้อง เธอพบว่าเธอลืมคีย์การ์ดห้องไว้ในห้องของโม่หาน เธอได้ยินคำเหล่านี้ทันทีที่เดินไปที่ประตู เห็นโม่หานกำลังป้อนเกี๊ยวให้เธอและเธอก็ใส่เสื้อของโม่หาน .
เธอยืนอยู่ที่ประตู หายใจเข้า แล้วยิ้มแห้ง แม่บ้าน?ใช่ไหม?
มู่เฉียว เธอประสาทหรือเปล่า เธอจะรู้สึกเป็นห่วงผู้ชายที่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนแม่บ้านทำไม
“พี่สะใภ้ ทำไมคุณไม่เข้าไป” เสียงของฉินฮ่าวดังขึ้น และประตูก็ถูกผลักเปิดออก
มู่เฉียวตกใจและเดินเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าที่ดูไม่ดี หยิบคีย์การ์ดที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว หันหลังและเดินออกไป ฉินฮ่าวอยากจะทักทายเธอ แต่เธอก็เพิกเฉยต่อเขา
“เป็นอะไรไป ผมพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เธอดูโกรธมากเลย” ฉินฮ่าวชี้ไปที่หลังของมู่เฉียว
ใบหน้าของโม่หานไม่แสดงอารมณ์ แต่คิ้วของเขาขยับสองสามครั้งติดต่อกัน แต่ดูมู่หยิงรู้สึกพอใจ “คุณจะสนใจเธอทำไมก็แค่แม่บ้าน?”
เมื่อชายทั้งสองได้ยินดังนั้นทั้งสองก็ขมวดคิ้ว
เมื่อมู่เฉียวกลับมาที่ห้อง เธอก็โกรธมากขึ้นเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ว่าโม่หานจะไม่ชอบเธอ ก็ไม่ควรดูถูกเธอและให้เธออยู่ในฐานะแม่บ้าน เธอแค่รู้สึกสงสารเขา แม้ว่าในตอนแรกจะมีจุดประสงค์ก็ตาม แต่หลังจากนั้น เธอก็เต็มใจจริงๆ และคิดเสมอว่าถึงจะไม่เป็นสามีภรรยา อย่างน้อยก็เป็นพ่อของโม่เสี่ยวโยว ถึงไม่มีความรัก แต่ก็เป็นความรักในครอบครัวได้
จากเหตุการณ์นี้ มู่เฉียวจึงตัดสินใจไม่เดินทางไปกับพวกเขา เธอไม่ต้องการเห็นชายหญิงสองคนนั้น แม้ว่าเธออยู่บนเครื่องบินลำเดียวกัน แต่เธออยู่ในชั้นประหยัดและพวกเขาอยู่ในชั้นเฟิร์สคลาส .
ก่อนออกเดินทาง เธอส่งข้อความถึง ฉินฮ่าวโดยบอกว่าเธอขอออกไปก่อน
โม่หานลงไปข้างล่าง จนรถออกจากที่นั่น เขาไม่เห็นมู่เฉียว เขาอดไม่ได้ที่จะถามเสียงดังว่า “มู่เฉียวอยู่ที่ไหน”
ฉินฮ่าวเปิดโทรศัพท์แล้วยื่นให้โม่หานดูข้อความ “เธอบอกว่าแม่บ้านจะเดินทางพร้อมกับเจ้านายมันดูไม่ดี ดังนั้นเธอขอไปก่อนเรา”
โม่หานมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่พูดอะไร และขยับคิ้วสองสามครั้ง
เมื่อกลับถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณสี่ทุ่มแล้ว เธอเดินไปที่ห้องของโม่เสี่ยวโยวเพื่อดูเธอ เมื่อพี่เลี้ยงเห็นเธอกลับมา เธอบอกกับเธออย่างมีความสุขว่าเด็กสาวเป็นเด็กเลี้ยงง่าย เธอไม่ค่อยร้องไห้และไม่สร้างปัญหามากนัก
แต่มู่เฉียวเอนตัวมาและแตะปลายจมูกเล็กๆ ของเธอเบาๆ “ทำไม ไม่ขี้อ้อนบ้าง ในอนาคตอย่าเป็นเหมือนพ่อของเธอนะ คนที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงหมาป่า
หลังการสนทนา ฉันรู้สึกว่าสีหน้าของพี่เลี้ยงดูแปลกๆ เล็กน้อย เมื่อหันหลังกลับ ก็เห็นโม่หานยืนอยู่ที่ประตู เธอเขินอายเล็กน้อย เธอคิดว่าคืนนี้เขาจะไม่กลับมาแล้ว?
ชายคนนั้นจ้องมองเธอแล้วเดินเข้าไปโดยไม่พูดอะไร เมื่อเขามองไปที่ โม่เสี่ยวโยวดวงตาของเขาดูอ่อนโยน
มู่เฉียวรู้สึกว่าอากาศหดหู่เล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงก้าวออกไปและเข้าไปในห้อง
เมื่องานนี้สิ้นสุดลง บริษัทจึงให้มู่เฉียวหยุดพักสามวัน
มู่เฉียวต้องการพา โม่เสี่ยวโยว กลับไปที่บ้านของครอบครัวเธอ คุณนายโม่ไม่ได้ว่าอะไร
เมื่อรู้ว่าเธอจะกลับบ้าน แม่ของเธอเตรียมอาหารไว้มากมาย และเปลี่ยนกะกับเพื่อนร่วมงานของเธอ มู่หลิงที่ไม่คาดคิดก็มาถึงบ้านก่อนเธอ
เมื่อเขาเห็นเธอ มู่หลิงเหลือบมองเธอและไม่พูดอะไร เขายังคงโกรธเคืองมู่เฉียวที่เจอเรื่องใหญ่ขนาดนั้นไม่ยอมบอกเขา
“มู่หลิง การฝึกงานของเธอสิ้นสุดแล้วหรือ?”
มู่หลิงรับโม่เสี่ยวโยวจากเธอและมองดู “พี่เขยในตำนานอยู่ที่ไหน?ไม่ได้กลับมากับพี่เหรอ?”
มู่เฉียวอายเล็กน้อย “เขางานยุ่ง”
“งานยุ่งเหรอ พี่สาว เขาไม่ว่างและรักอยู่กับผู้หญิงคนอื่นหรือเปล่า ฉันไม่เข้าใจจริง ทำไมพี่ถึงรัก ความรักที่ไร้สาระนั้นมาก เธอรู้สึกมีความสุขจริงหรือ ที่แต่งงานกับผู้ชายที่มีแต่เงิน”
“ที่จริงแล้ว เขาไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เธอพูด เขา…”
“ได้ ผมไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งชีวิตของพี่” มู่หลิงและเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก มู่เฉียว รู้ว่าเขารู้สึกเสียใจกับเธอจริงๆ ดังนั้นเขาจึงโกรธมาก
เธอก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงแขนของเขา “มู่หลิง…”
“อย่าไปสนใจเขา อีกไม่กี่วันเขาก็หายดีเอง” แม่เดินออกจากครัว “มา เฉียวเอ๋อ มาช่วยแม่ปอกกระเทียมและหัวหอม หน่อย”
เมื่อมองไปที่พวงกระเทียมและต้นหอมบนพื้น มู่เฉียวขมวดคิ้ว “แม่ จะเตรียมไว้กินมันทั้งเดือนเลยหรือ”
“แม่กระตุกริมฝีปากและหยุดพูด
“พ่อของเธอ เขาเพิ่งทำการผ่าตัดบายพาสหัวใจเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ทั้งครอบครัวรู้เรื่องนี้ดี แต่ตอนนั้นเธอท้องอยู่ เขาไม่ให้เราพูด เฉียวเอ๋อ แม้ว่าอา จะไม่คัดค้านการหย่าของเธอ แต่อายังหวังว่าเธออย่าเพิ่มบอกให้พ่อทราบเพราะโรคนี้ไม่สามารถได้รับการกระตุ้นได้”
มู่เฉียว อึ้งไป หลังจากคิดได้ เธอก็รีบไปที่ห้องครัว “แม่ ทำไมแม่ไม่บอกฉันเกี่ยวกับการผ่าตัดของพ่อ”
แม่กำลังหั่นผัก พอได้ยินเสียงเธอ เสียงหั่นผักก็หยุด ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอพูดว่า “ลูกท้องแล้ว พ่อกลัวจะกระทบกระเทือนเธอ เลยไม่พูดอะไร”
มู่เฉียวรู้สึกอึดอัดมากเพราะความสงบของแม่ของเธอ
“ทำไมจู่ๆ หัวใจของพ่อถึงผิดปกติ ? เขามักจะให้ความสนใจกับการออกกำลังกาย เป็นไปได้อย่างไร…” มู่เฉียวก็นึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา “แม่ค่ะ เป็นเพราะเรื่องของหนูหรือเปล่าทำให้พ่อเป็นแบบนี้” น้ำเสียงของเธอสั่น
“เรื่องมันจบแล้ว จะให้พูดอะไรล่ะ วันนี้เป็นวันที่มีความสุขมาก อย่าพูดถึงเรื่องไม่มีความสุขเลย” แม่พูด หยิบผักที่ล้างแล้วเอาออกมา ตอนนี้ไม่มีเรื่องใหญ่แล้ว ตราบใดที่มันไม่อยู่ภายใต้สิ่งเร้าใด ๆ ก็ไม่เป็นไรต่อชีวิตที่ยืนยาว ”
มู่เฉียวรู้ว่าแม่ของเธอต้องการปลอบโยนเธอ แต่เธอจะปลอบโยนมันได้อย่างไร?
พ่อโกรธมากจนเป็นโรคหัวใจ เธอไม่ได้โง่ถึงจะไม่เข้าใจเรื่องการรักษาแต่ยังมีสามัญสำนึก การผ่าตัดหัวใจ เทียบเท่ากับการดึงเชือกแห่งชีวิตความเป็นและความตาย ถ้าไม่รอด ก็จะเสียคนไปเลย
เธอเจ็บปวดมากจนหายใจไม่ออกและความเกลียดชังต่อ มู่หยิงเพิ่มขึ้น หากไม่ใช่เพราะเธอ เธอจะไม่เป็นแบบนี้ และเธอเกลียดตัวเองมากขึ้นไปอีก
อาก้าวไปข้างหน้าและลูบหัวของเธอ “เอาล่ะ เช็ดน้ำตาของเธอซะ พ่อของเธออยากดูเธอแต่งออกไปอย่างมีความสุข”
มู่เฉียว ทำจมูกฟุดฟิดและรีบวิ่งไปที่ห้องน้ำ ร้องไห้เสียงดังจนเธอพูดไม่ออก และอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู และได้ยินมู่หลิงเรียกเธอออกไปข้างนอก เธอแต่งหน้าให้ตัวเอง เปิดประตูแล้วเดินออกมา และเมื่อเธอเห็นพ่อมู่ เธอก็กอดพ่อไว้ในอ้อมแขน
เธออยากจะขอโทษ แต่สุดท้ายเธอก็พูดว่า “ขอบคุณค่ะพ่อ”
พ่อมู่ผลักเธอออกไป “ขอบคุณอะไร ? ฉันอยากให้เธอแต่งออกเร็วกว่านี้”
มู่เฉียว ยิ้มและเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอ
จากนั้นอาหารและจำนวนคนหนึ่งโต๊ะ มีชีวิตชีวามากขึ้น อาไม่ได้พูดถึงครอบครัวตระกูลโม่อีกตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เพียงแต่ชนแก้วและกล่าวอวยพรการแต่งงานนี้ให้มีความสุข เมื่อรับประทานอาหารได้ครึ่งทางคุณย่าก็จับมือเธอ “มู่เฉียวเธออารมณ์ร้อนเหมือนพ่อและมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง และบางครั้งเธอก็ดื้อรั้นเกินไป แต่ไม่ว่าการแต่งงานจะถูกหรือผิด มันเป็นเพียงเพราะพรหมลิขิตที่จะได้เป็นสามีภรรยากัน บำเพ็ญพันปีถึงได้นอนเคียงหมอนกันได้ ไม่ว่าจะทำอะไร เธอต้องคิดให้มากขึ้น”
อาเห็นด้วย มู่หลิงยังคงนิ่งเงียบ บำเพ็ญพันปีถึงได้นอนเคียงหมอนกันได้ แต่เธอและ โม่หานไม่เคยนอนด้วยกัน
เมื่อทานอาหารเสร็จ น้าต่างหยิบซองสีแดงใบใหญ่มายัดให้มู่เฉียว “เงินเหล่านี้เป็นเงินสำหรับงานแต่งงานของอาและฉัน เธอเก็บไว้นะ หากตระกูลโม่ปฏิบัติต่อเธอไม่ดี อย่าโทษตัวเองถ้ามีเรื่องอะไร อย่าลืมนะเฉียวเอ๋อ เธอไม่ได้อยู่คนเดียว”
มู่เฉียวปฏิเสธที่จะขอ แต่อาของเธอก็ทำสีหน้าไม่ดีใส่เธอ เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องรับซองแดง อันใหญ่มาก อย่างน้อยก็หลายหมื่น
คุณย่าก็หยิบกล่องเครื่องประดับจากถุงผ้าเปิดออกและหยิบสร้อยข้อมือหยกจากด้านใน “นี่คือสิ่งที่ย่าขอให้อาสะใภ้ของคุณนำมาจากที่ไกล ฉันให้คนทดสอบแล้ว ว่าเป็นหยกดีมาก , หยกจะทำให้เราปลอดภัย
เฉียวเอ๋อ รับไว้ ในชีวิตนี้ ตราบใดที่คนยังปลอดภัย สิ่งอื่น ๆ ก็สามารถผ่านไปได้ ”
ขณะพูด เธอก็จับข้อมือของมู่เฉียวและสอดสร้อยข้อมือหยกเข้าไปในข้อมือของเธอ
มู่เฉียวรู้ดีว่าถึงแม้อาของเขาจะทำธุรกิจ แต่ก็เป็นธุรกิจเล็กๆ ทั้งหมด เขาได้ยินจากพ่อของเขาว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาซื้อบ้านและจำนองบ้านให้ลูกชายได้แต่งงาน ปกติแล้วพวกเขาจะประหยัด แต่ พวกเขาทำสิ่งนี้เพื่อเธอ
เมื่อเทียบกับเงินก้อนโตที่ครอบครัวตระกูลโม่ใช้ เงินหลายหมื่นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดมาก
ถ้าเป็นคุณย่าก็ไม่ต้องพูดถึง นับประสาเศษอาหารบอกกี่ครั้งแล้วอดไม่ได้ที่จะโยนทิ้ง เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ลูก
คุณปู่ที่อาศัยอยู่ในชนบทก็จะเลี้ยงไก่เมื่อออกไข่ ไม่เคยเก็บไว้กินเองไม่ก็ขายเป็นเงินไม่ก็ส่งมาให้พวกเธอแต่ย่าก็พร้อมที่ทุ่มเงินมากเพื่อซื้อสร้อยข้อมือหยกให้เธอ
เธอไม่อยากร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่หยุดไหล ความคับข้องใจและความรู้สึกผิดต่อพ่อของเธอมานานกว่าหนึ่งปีทำให้น้ำตาของเธอหยุดไหลไม่ได้
ทุกคนเงียบและแม่ของฉันเข้าไปในครัวร้องไห้สะอึกสะอื้นเป็นครั้งคราว
ร่ำไห้กันทั้งหมด จนประมาณบ่ายสาม อากับปู่ย่าก็กลับไปทีละคน
หลังจากส่งคุณอากับพวกเขาออกไป พ่อมู่ก็จ้องมาที่เธอ “โมหานยังใจร้ายกับลูกอยู่เหรอ?”
มู่เฉียวสูดลมหายใจและก้าวไปข้างหน้าและจับมือพ่อของเขา “พ่อค่ะ เขาปฏิบัติต่อหนูดีมาก จริงๆ ปากของเขาไม่ดี แต่หัวใจของเขาไม่ได้แย่”
“เธอนะ เป็นผีที่หลงไปกับจิตใจของตนเอง และก็มีความคิดเห็นของตัวเองมาตลอด ทำไมถึงทำผิดพลาดกับเรื่องการแต่งงาน?”
“เอาล่ะ พูดอะไรเยอะ ลูกยังเด็กอาจจะทำผิดพลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณต้องพักผ่อนและค่อย ๆ โน้มน้าวและอย่าใจร้อนนัก”
มู่เฉียวนั่งบนโซฟาโดยงอเข่าเล็กน้อย พิงไหล่ของแม่ “พ่อแม่ ฉันจะต้องมีความสุขแน่นอน สำหรับงานแต่งงานในอนาคตฉันจะให้โม่หานจัดให้แน่นอน”
พ่อมู่ไม่พูด แม่กับมู่หลิงก็เงียบ
มู่เฉียวรู้ว่าพวกเขาไม่เชื่อเธอ จริงๆ แล้วเธอก็ไม่เชื่อในตัวเองเหมือนกัน เธอกับโม่หานคงจะมีความสุข
โม่หาน กลับบ้านตอนกลางคืน บ้านเงียบมาก พี่เลี้ยงกำลังพับเสื้อผ้าของโม่เสี่ยวโยว เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว “คุณชายน้อย คุณกลับมาแล้ว”
โม่หานโยนเสื้อโค้ตของเขาลงบนโซฟา “เสี่ยวโยวพวกเขาละ?”
“กลับไปที่บ้านครอบครัวฝ่ายหญิงสาวแล้ว ไปตอนเช้า น่าจะอยู่ต่ออีกสองวัน”
โม่หานตอบ อืม กำลังจะเข้าห้องสมุด เสียงของคุณย่าโม่ ดังมาจากด้านหลัง “โม่หาน”
“คุณย่า ดึกแล้วทำไมถึงยังไม่นอน”
คุณย่าโม่ ก้าวไปข้างหน้าและจับมือเขา “ฉันรอเธอกลับมา”
“รอผม?”
“มานั่งลงสิ”
โม่หานนั่งลง คุณย่าโม่ ยกมือ ก็มีคนส่งถาดมา ถาดนั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง เธอยกขึ้นเบา ๆ ข้างในมีแท่งทองคำหลายแท่ง และมีบัตรกดเงิน และแหวน
“คุณย่า นี่มันหมายความว่ายังไง”
คุณยายโบกมือ และทุกคนในห้องก็ก้าวออกไป เหลือสองคนอยู่ในห้องนั่งเล่น
มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด
“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”
“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า
“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย
“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา
“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้
“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง
แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า
เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ
โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้
พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”
ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว
อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ
อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก
“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”
มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”
โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”
ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป
อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้
ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป
นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก
เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา
“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”
ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ
เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”
มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”
เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?
ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?
อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?
เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?
คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”
สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที
โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา
แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”
โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย
มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก
หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน
หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน
“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?
“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน
มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด
“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”
“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า
“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย
“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา
“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้
“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง
แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า
เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ
โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้
พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”
ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว
อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ
อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก
“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”
มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”
โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”
ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป
อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้
ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป
นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก
เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา
“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”
ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ
เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”
มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”
เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?
ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?
อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?
เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?
คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”
สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที
โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา
แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”
โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย
มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก
หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน
หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน
“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?
“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน
หมอมองๆเขา แล้วมองโม่หานอีกครั้ง ถ้าไม่แน่ใจว่านี่คือพ่อของเด็ก เธอก็คงเข้าใจผิด อย่างไรเสียจากความกังวลใจในแววตาของชายคนนี้ เธอก็ยิ้มๆเล็กน้อย “มาส่งทันเวลาพอดี การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่น สถานการณ์การคลอดธรรมชาติก็ดีมาก”
เฮ่อเทียนโล่งอก “ขอบคุณครับ”
โม่หานได้เห็นอารมณ์ความรู้สึกของเขาในสายตา มือที่ล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ก็กำแน่นขึ้น ถึงแม้ว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นจะไม่ได้มีความรักความผูกพันต่อกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาจะให้คนเข้ามาแทรกแซงได้ตามอำเภอใจ
“ประธานเธอ วางใจแล้วก็ไปได้แล้ว”
เฮ่อเทียนจ้องมองโม่หาน แววตาเต็มไปด้วยความยั่วโมโห “ประธานโม่ ในเมื่อคุณได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ส่วนสิ่งที่ไม่ต้องการ ก็ปล่อยมือซะเถอะ”
พูดจบ เขาก็ก้มหัวให้นายท่านโม่ แล้วหันกลับออกไป
สิ่งที่ไม่ต้องการเหรอ?โม่หานยิ้มเยาะ ไม่รู้จริงๆว่าผู้หญิงคนนั้นมีแผนการอยู่มากมายแค่ไหน เพิ่งจะคลอดลูก ก็ทำให้ผู้ชายกระตือรือร้นที่จะรับช่วงต่อเลย
เมื่อพ่อมู่มาถึง มู่เฉียวก็ถูกย้ายไปห้องผู้ป่วยแล้ว จุดจุดนี้คนตระกูลโม่ไม่ขี้เหนียวเลย หมอสองสามคน พยาบาลอีกสองสามคน ห้องชุดหนึ่งห้อง มาปรนนิบัติโดยเฉพาะ
เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการคลอดลูก มู่เฉียวจึงหลับหมดสติตลอด เด็กเกิดมา 3.8 กิโลกรัม ไม่นับว่าอ้วน ไม่นับว่าผอม กำลังดี
เมื่อเธอตื่นขึ้นมา ก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว
ในห้องมีแค่พ่อกับแม่แล้วก็พี่เลี้ยงอีกหนึ่งคน
คนตระกูลโม่สักคนก็ไม่เห็น เธอยิ้มเยาะตัวเอง
เห็นเธอฟื้นแล้ว แม่ก็เดินเข้ามา จูบที่หน้าผากเธอ “ฉินเอ๋อ ลำบากคุณเลย”
พ่อมู่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไร
มู่เฉียวยื่นมือไปกอดคอแม่ “แม่ คิดถึงพวกคุณจังเลย”
“เอาล่ะ อย่าเอามือออกมาข้างนอก ผู้หญิงจะต้องอยู่เดือน (การดูแลแม่ลูกอ่อนแบบจีน) มิเช่นนั้นในอนาคตคุณจะลำบาก” พูดจบก็นำมือของมู่เฉียวใส่เข้าไปในผ้าห่ม
เวลานี้ หมอก็เข้ามาวัดอุณหภูมิเด็ก
มู่เฉียวหันไปมองเด็กทารกที่นอนหลับอยู่ข้างๆ แววตาก็อ่อนโยน “แม่ เป็นผู้หญิง”
“ใช่ น่ารักมากเลย”
“แม่ เรียกเธอว่าโม่เสี่ยวโยวเถอะ?หวังว่าตลอดชีวิตเธอจะไม่มีเรื่องทุกข์ใจ”
“เสี่ยวโยว อืม เพราะดี” แม่มู่เห็นด้วย
“เสียดายหน้าเหมือนพ่อของเธอ”
โม่หานที่เดินเข้ามาฝีเท้าก็หยุดชะงัก ในแววตาประกายความเย็นชา เหมือนเขา แล้วจะน่าเสียดายอย่างไร?
พ่อมู่เห็นเขาเข้ามา ก็กระแอมเบาๆ
มู่เฉียวยังคงมองดูเด็ก ไม่ได้สนใจโม่หานเลย นี่เป็นลูกของเธอ
เนื่องจากการมาของเขา บรรยากาศที่อบอุ่นในห้องก็เก็บกดอึดอัดขึ้นมา
พยาบาลเอ่ยขึ้นว่า : “คุณนายโม่ คุณจะให้นมลูกเอง หรือว่า……”
“นมผง” มู่เฉียวตัดบทคำพูดเธอ เธอไม่สามารถให้นมลูกได้ ถ้าหากเธอให้นมลูก ในช่วงเวลานี้ เธอไม่สามารถไปทำงานได้ และไม่สามารถออกจากตระกูลโม่ไปได้ด้วยซ้ำ
นึกถึงว่าจะออกจากตระกูลโม่ เธอก็หันไปมองโม่หาน “ผลตรวจเลือดจากสายสะดือออกมาแล้วหรือยัง?”
นึกถึงคำพูดมากมายที่ผู้หญิงคนนี้จะพูดตอนที่ตื่นขึ้นมา แต่อย่างไรก็คาดไม่ถึงว่า เธอจะถามถึงสิ่งนี้ ในทันที โม่หานก็โกรธอย่างมาก “เหมือนกับว่าคุณจะรีบร้อนกว่าฉันอีกนะ?”
แม่เห็นว่าคนทั้งสองคล้ายกับจะเรื่องคุยกัน จึงดึงพ่อมู่ออกมานอกห้องผู้ป่วย ก่อนหน้านี้พยาบาลกำชับมู่เฉียวเอาไว้ว่ากี่โมง ที่จะให้คุณป้าอุ้มเด็กตามเธอไปด้านข้างเพื่อว่ายน้ำ
ในห้องจึงเหลือเพียงมู่เฉียวกับโม่หาน สถานการณ์ดั่งคลื่นใต้น้ำ
“โม่หาน ผลของสายสะดือน่าจะออกแล้วใช่ไหม?” หลังจากเธอคลอดลูก ก็ถามถึงคำถามนี้ทันที คุณหมอบอกว่าอย่าเร็วที่สุดก็สามชั่วโมง ตอนนี้ก็น่าจะผ่านไปห้าหกชั่วโมงแล้ว
โม่หานนำมิล้วงกระเป๋าแล้วจ้องมองเธอ “ทำไม?กลัวเหรอ?กลัวว่าสายสะดือมีประโยชน์ ฉันก็จะไม่ต้องการคุณใช่ไหม?”
เขาตอบมู่เฉียวด้วยสีหน้าที่ลำพองใจและสายตาที่เหยียดหยาม เธอหลับตา ถอนหายใจอย่างแรง
เมื่อลืมตาอีกครั้ง โม่หานรู้สึกว่าสายตาของผู้หญิงคนนี้เป็นประกายอย่างมาก
“มีประโยชน์ ใช่ไหม?อย่างนั้นได้เลย หลังคลอดหนึ่งเดือน พวกเราไปหย่ากัน ส่วนเด็กถ้าตระกูลโม่เต็มใจก็จะให้ตระกูลโม่ แต่ฉันจำเป็นต้องมีสิทธิ์มาเยี่ยมได้ หากตระกูลโม่ไม่เต็มใจเอาไป ก็เอาเด็กมาให้ฉัน ให้ใช้แซ่มู่ ฉันก็ยินดี ทางที่ดีก็ควรให้ฉัน แบบนี้ จะได้ไม่ส่งผลต่อความรักความผูกพันของคุณและคุณมู่” เธอพูดคำจำนวนมากออกมาในรวดเดียว พูดจบ เธอก็เงยหน้า จ้องตาโม่หาน
แต่พบว่า สายตาของเขาเยือกเย็น สายตาส่งกระจายความโกรธที่ไม่สามารถละเลยได้
เขากัดฟัน จ้องมองมู่เฉียวแล้วกล่าวว่า: “คุณพูดใหม่อีกครั้งซิ?หย่าอย่างนั้นเหรอ?มู่เฉียว คุณเห็นว่าฉันหลอกง่ายใช่ไหม?”
ปฏิกิริยาของมู่เฉียวกับคำพูดนี้ของเขา รู้สึกเกินความคาดหมายอย่างมาก เธอคิดว่าโม่หานจะดีใจจนแทบเป็นบ้า ถึงอย่างไร เขาก็ยังสามารถอยู่กับคู่รักที่มีใจให้กันมาตั้งแต่เด็กของเขาได้ ถึงอย่างไร เขาก็เกลียดชังเธอขนาดนั้น
และตัวโม่หานเองก็คิดแบบนี้ ที่เขาเข้ามานี้ เดิมทีก็อยากจะพูดเรื่องการหย่ากับมู่เฉียว เขาอยากจะเห็นผู้หญิงคนนี้ร้องไห้ฟูมฟาย อยากจะเห็นเธอขอร้องเขา แต่คาดไม่ถึงว่า เธอจะชิงเขาพูดไปก่อน เหตุการณ์ไม่คาดคิดนี้ ทำให้โม่หานอึดอัดใจอย่างมาก
เรื่องบางเรื่อง การเปลี่ยนแปลงก่อนหลัง นั่นก็ทำให้รู้สึกไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง
ถ้าเขาเอ่ยออกมาก่อน คนที่ถูกสลัดทิ้งก็คือมู่เฉียว แต่เวลานี้ เขารู้สึกว่าตนเองถูกสลัดทิ้ง สำหรับเขาที่หยิ่งผยองอวดดีมาโดยตลอด ต้องได้รับผลกระทบที่ไม่น้อยอย่างแน่นอน
มู่เฉียวไม่อยากพูดชี้แจงกับเขาอีก “คุณจะคิดอย่างไรก็แล้วแต่ ฉันไม่อยากทะเลาะกับคุณ คุณไปเถอะ” พูดจบ ก็หลับตา ไม่พูดอะไรอีก
โมหานโตมาจนขนาดนี้แล้ว ไม่เคยถูกคนไม่แยแสเช่นนี้
เป็นครั้งแรกที่ถูกคนคนหนึ่งทำลายศักดิ์ศรีแบบนี้ ท่าทีของผู้หญิงคนนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าตนเองน่าเบื่อหน่ายอย่างมาก นึกถึงเขาที่เติบโตมาถูกคนรายล้อมราวกับดาวล้อมเดือน แต่เวลานี้ถูกเธอโยนทิ้งเหมือนกับรองเท้าเก่าๆ โม่หานที่สงบนิ่งมาโดยตลอดได้พูดประโยคที่ควบคุมอารมณ์ออกมา “อยากหย่าเหรอ?มู่เฉียว คุณอย่าคิดเพ้อฝันไปเลย?หย่า ก็ต้องรอให้ฉันเล่นให้พอก่อนแล้วค่อยหย่า”
พูดจบ ก็ไม่รอการตอบสนองของมู่เฉียว ประตูก็ถูกปิดดังปัง
โรคประสาท
มู่เฉียวตำหนิเบาๆ
ต่อมา นอนโรงพยาบาลมาห้าวันแล้ว คนตระกูลโม่มารวมทั้งหมดแล้วก็สองวัน เพียงแต่ ตัดสินใจที่จะหย่ากับโม่หานแล้ว มู่เฉียวก็ไม่ได้รู้สึกสำคัญอะไร แต่รู้สึกสงสารเด็กคนนี้ ที่พอเกิดมา พ่อก็ไม่เอ็นดู ปู่ก็ไม่รัก
“เฉียวเอ๋อ คุณตามพ่อแม่กลับไปอยู่เดือน (การดูแลแม่ลูกอ่อนแบบจีน) ที่บ้านเถอะนะ?” ก่อนจะเตรียมออกจากโรงพยาบาลคืนหนึ่ง จู่ๆแม่ก็กุมมือมู่เฉียว แล้วกล่าวข้อเสนอ
มู่เฉียวรู้ว่า แม่คงจะสงสารเธอ ที่ท่าทีของคนตระกูลโม่นี้ไม่ดีเลยจริงๆ คาดว่าเธอจะกลัวว่าเธอจะรู้สึกน้อยใจ
อันที่จริงมู่เฉียวก็เคยคิด ว่าจะกลับบ้านไปอยู่เดือน แต่ไม่ต้องพูดถึงการกลับไป ขับรถก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง คนตระกูลโม่ก็คงไม่เห็นด้วย ความสัมพันธ์ตอนนี้ของเธอและโม่หาน ถึงแม้คนนอกจะไม่รู้ แต่เพื่อนสนิทต่างก็รู้ นี่เธอคลอดลูก ก็จะต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเข้ามาเยี่ยมแน่นอน ถ้าเธอไปบ้านพ่อแม่ ก็ต้องระแวงคนนินทาอีก ถึงแม้เธอจะไม่สนใจ แต่เธอก็ไม่อยากหาเรื่องให้คนตระกูลโม่โกรธ กลัวว่าหากพวกเขาโกรธแล้ว จะให้ยอมให้เธอได้เจอลูก
ในที่สุด มู่เฉียวก็กลับมาอยู่คฤหาสน์หลังนั้นที่เธออยู่ และเธอก็เริ่มวางแผนเรื่องการหย่ากับโม่หาน
มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด
“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”
“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า
“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย
“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา
“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้
“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง
แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า
เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ
โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้
พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”
ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว
อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ
อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก
“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”
มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”
โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”
ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป
อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้
ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป
นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก
เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา
“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”
ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ
เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”
มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”
เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?
ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?
อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?
เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?
คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”
สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที
โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา
แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”
โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย
มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก
หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน
หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน
“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?
“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน
มู่เฉียวมองเขาอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้คิดที่จะอธิบาย กำลังจะหย่าแล้ว เธอไม่สนใจแล้วว่าเขาจะมองเธออย่างไร ถึงอย่างไรในสายตาของเขา ตนเองทำอะไรก็ผิด
“สองวันนี้ฉันจะย้ายออกไปอยู่ที่บ้านก่อนหน้านี้ ให้เสี่ยวโยวพักอยู่ที่บ้านชั่วคราว รอ……”
“ถ้าหย่าแล้ว ตั้งแต่นี้ต่อไป ก็ไม่อนุญาตให้คุณเจอโม่เสี่ยวโยวอีก” ชายคนนั้นมองเธอด้วยสายตาที่ราวกับคบเพลิง ในสายตาเขามีความโหดเหี้ยม มู่เฉียวรู้ว่าเขาไม่ได้ล้อเล่น
แต่ถึงอย่างไร เธอก็รู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ต้องการจะหย่า
“คุณไม่ให้ฉันเจอโม่เสี่ยวโยว เราก็ต้องไปฟ้องศาล เธอเด็กขนาดนี้ ศาลจะต้องตัดสินให้ฉันอย่างแน่นอน” ก่อนหน้านี้เธอได้ค้นคว้าในอินเทอร์เน็ตมาแล้วจึงฮึกเหิมเล็กน้อย
“งั้นเหรอ?คนเร่ร่อนที่ไม่มีงานทำคนหนึ่ง ศาลจะตัดสินให้ใคร ก็พูดยากจริงๆ” ชายคนนั้นลุกขึ้นยืน เดินไปตรงหน้าเธอ ก้มตัวนิดๆ มู่เฉียวเห็นการแสดงออกที่โหดเหี้ยมของตนเองในสายตาของเขา
“คุณมันเลว” เธอรู้ดีว่าด้วยอำนาจและอิทธิพลของตระกูลโม่ เขามีความสามารถมากพอที่จะทำให้ตนเองตกงานได้
“โม่หาน คุณไม่ได้สับสนอะไรใช่ไหม คุณไม่หย่า คุณกับ……คุณกับหยิงหยิงจะแต่งงานกันได้อย่างไร?” น้ำเสียงของคุณนายโม่ร้อนรนเล็กน้อย ปกปิดไว้ไม่มิดเลยจริงๆ เธอรังเกียจมู่เฉียว เธอชอบมู่หยิง
แต่ว่าไม่ว่าจะรังเกียจหรือชอบ เธอก็ไม่ได้สนใจ พูดได้ว่าเธอไม่เคยสนใจเลยดีกว่า
เธอมองโม่หานด้วยสายตายั่วโมโห “ใช่สิ คุณไม่หย่า คู่รักในวัยเด็กของคุณจะทำอย่างไรล่ะ?”
จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นมาราวกับว่าได้ชัยชนะมาไว้ในมือ
โม่หานยอมรับว่าตนเองเกลียดสีหน้าท่าทางนี้ของเธอที่สุด เลิกคิ้วแล้วพูดว่า “จะแต่งงานก็จำเป็นต้องหย่า ส่วนเด็กก็ไม่อนุญาตให้เธอเจออีก”
“อย่างนั้นฉันก็ไม่หย่า ฉันจะรอดูสิว่า คุณมู่ยังจะทนรอไหวไหม” โม่หานแก่กว่าเธอหลายปี มู่หยิงอ่อนกว่าโม่หานไม่กี่เดือน ปีนี้ 27 แล้ว แต่เธอเพิ่งจะอายุ 25 ถึงแม้ว่าอายุห่างกันสองสามปีจะดูไม่มาก แต่สามปีของผู้หญิง มันแตกต่างกันมาก เธอไม่เชื่อว่า ผู้หญิงที่มีนิสัยเห็นแก่ตัวของมู่หยิงนั้น จะรอโม่หานได้
พูดจบประโยคนี้ มู่เฉียวก็รับโม่เสี่ยวโยวมาจากพี่เลี้ยง ก็หันกลับไปคำนับให้นายท่านทั้งสอง “ฉันกลับห้องก่อน”
ใกล้ถึงมื้อค่ำ มู่หยิงก็หาเหตุผลเพื่อมาทานข้าว พอถึงตระกูลโม่ ก็หาข้ออ้างมาดูเด็กแล้วก็พบมู่เฉียว
อารมณ์เธอสงบนิ่งอย่างมาก มองไม่ออกว่าเสียใจหรือว่าชอบ
อันที่จริงเธอก็อึดอัดใจอย่างมาก ตามแผนการของมู่หยิงแล้ว เธอต้องการนำเลือดจากสายสะดือไปใช้หลังจากที่เด็กเกิด และเธอก็ไม่มีค่าอะไรแล้ว แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงบังคับให้เธอแต่งงานกับโม่หานตั้งแต่แรก
“พี่สะใภ้ เพราะอะไรคุณต้องหย่ากับพี่ชายฉันด้วย?”
มู่เฉียวคิดว่าตนเองได้ยินผิดไป เธอหันกลับมามองมู่หยิง “คุณไม่ได้อยากจะแต่งงานเข้ามาเหรอ?”
โม่เสี่ยวโยวหลับแล้ว มู่หยิงก็จัดระเบียบผ้าห่มให้เธออย่างนุ่มนวล “อยากสิ แต่ว่าพี่สะใภ้ เสี่ยวโยวยังเล็กขนาดนี้ รอให้เธอครบหนึ่งขวบก่อนดีไหม?มิเช่นนั้นเด็กจะน่าสงสารอย่างมาก”
ท่าทางเธอดูปรารถนาดีอย่างมาก แต่การกล่าวเตือนสติในสายตาเธอ ทำให้มู่เฉียวกลัวจนตัวสั่น ชั่วพริบตาเธอก็นึกขึ้นได้อีกครั้งว่าเธอประเมินความโหดร้ายของผู้หญิงคนนี้ต่ำไป
อาการป่วยของโม่หาน ตลอดสองปีนี้ได้รับเคมีบำบัดมาตลอด แล้วหมอก็บอกชัดเจนว่า ไม่ควรใช้การปลูกถ่ายไขกระดูกเป็นทางเลือกสุดท้าย การสร้างยีนที่ดื้อยาหลายชนิดด้วยเคมีบำบัดในที่สุดก็ไม่มียาอะไรที่ใช้ได้ อีกทั้งเคมีบำบัดจะฆ่าเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวไปแล้ว นอกจากนี้ยังฆ่าเซลล์ปกติจำนวนมากและทำให้เกิดผลข้างเคียงทางเดินอาหาร และเกิดภาวะแทรกซ้อนของตับไตทำให้ระบบต่างๆเสียหาย จนกระทั่งทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง ฉะนั้น ความหมายของหมอก็คือ ภายในปีนี้ยังคงต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกให้ได้
ฉะนั้นหลังจากที่มู่หยิงรอการปลูกถ่ายไขกระดูกแล้ว ตรวจสอบให้แน่ใจว่าโม่หานมีสุขภาพแข็งแรงค่อยแต่งงานกัน หากการปลูกถ่ายล้มเหลว เธอก็จะถอยออกไป
นึกถึงตรงนี้แล้ว เธอก็รู้สึกเวทนาโม่หานขึ้นมา ป่วยจนกลายเป็นอย่างนี้แล้ว ยังจะโง่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งวางแผนการทำร้ายอีก
เพียงแต่ทันทีหลังจากนั้น แต่เมื่อเธอนึกถึงว่า อีกฝ่ายเต็มใจที่จะทำร้ายและอีกฝ่ายเต็มใจที่จะอดทน จิตใจก็สงบลงมา
“หนึ่งปีนี้ คุณสามารถออกไปหางานได้ แบบนี้ หลังจากหนึ่งปีคุณมีการงานที่มั่นคงแล้ว เสี่ยวโยวจึงสามารถอยู่โดยที่พวกคุณหย่ากันได้ ตัดสินให้คุณแบบนี้ คุณเห็นว่าอย่างไร?”
ความเฉลียวฉลาดของเธอ ความมีจิตใจเมตตาของเธอ แต่สำหรับมู่เฉียวแล้ว เป็นการใช้อำนาจคุกคาม ผู้หญิงคนนี้ใช้เสี่ยวโยวมาคุกคามเธอ
เธอหันหน้าไปมองมู่หยิง ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย คุณมันเลวเกินไปจริงๆ ระวังเถอะ กรรมจะตามสนอง”
มู่หยิงมองเธออย่างไร้เดียงสา “พี่สะใภ้มีจิตใจที่ดี ดังนั้น คนดี….ก็ได้รับผลกรรมที่ดี”
เธอที่แอบใส่ความให้ร้ายอยู่ลับหลัง ทำให้มู่เฉียวโมโหถึงขีดสุด นึกถึงผู้หญิงคนนี้ที่เอาชีวิตของเธอไปเล่นอยู่ในฝ่ามือ จู่ๆในสมองของเธอก็ปรากฏความคิดตลกๆขึ้นมา หนึ่งปีใช่ไหม?
ถ้าหลังจากหนึ่งปี โม่หานหายดีแล้ว แข็งแรงแล้ว แล้วเปลี่ยนใจ มารักเธอล่ะ?
อย่างนั้น มู่หยิงยังอยากจะแต่งงานอยู่ไหม?โม่หานก็ไม่ต้องการแล้วใช่ไหม?
เธอถูกความคิดนี้ทำให้ตกใจ แต่ในทันที ก็ตอกย้ำในความคิดนี้ ชายหญิงคู่นี้น่ารังเกียจเกินไปจริงๆ เธอใช้ช่วงเวลาหนึ่งปี แก้แค้นพวกเขาอย่างโหดเหี้ยม
ถึงแม้ว่าหลังจากหนึ่งปีแล้ว โม่หานจะไม่รักเธอ เธอก็ไม่เสียหายใดๆ แต่ถ้ารักเธอล่ะ?
คิดแล้ว มู่หยิงก็พยายามคิดหาแผนการ ท้ายที่สุดแล้ว โม่หานหายดีแล้ว แต่การกระทำก็จะไร้ประโยชน์ ในใจเธอก็มีความสุขอย่างไม่มีอะไรมาเทียบได้
พ่อแม่สอนให้เธอมีจิตใจเมตตา ไม่คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่พ่อแม่ก็สอนเธออีกว่า การมีเมตตาต้องแยกแยะ หากเมตตากับคนชั่ว นั่นก็การรู้เห็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอก็เงยหน้ามองซูหยิง “ได้ ฉันรับปากคุณ”
สุดท้าย ด้วยเหตุผลที่โม่เสี่ยวโยวยังเล็กเกินไป เธอจึงยังไม่หย่าชั่วคราว หลังจากโม่เสี่ยวโยวได้ขวบหนึ่งแล้ว ค่อยคิดวางแผนอีกที
โม่หานถากถางเธอ อยากจะเล่นละครขุดบ่อล่อปลา
แต่เธอดึงแขนของเขา แล้วกล่าวกระซิบว่า “ถ้าคุณไม่อยากหย่า หลังจากหนึ่งปีแล้ว ฉันก็ไม่หย่าก็ได้นะ”
โม่หานหลบเลี่ยงราวกับโรคระบาด กระทั่งเปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที
เธอก็ไม่ได้โมโห เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่อยากจะไปทำงาน เหตุผลคือ หลังจากหนึ่งปี หย่ากันแล้ว จะได้มีอาชีพทำมาหากินไว้เลี้ยงชีพตัวเอง คุณนายโม่มองเธออย่างรังเกียจ พอคิดว่าหลังจากหนึ่งปี ก็จะได้หลุดพ้นแล้ว จึงเห็นด้วย
มู่เฉียวกลับไปบริษัทเดิมที่เคยทำมาก่อน ก่อนหน้านี้เธอแจ้งลาป่วยไว้กับบริษัท ดังนั้น จึงกลับไปได้ไม่ยาก
หลังจากเริ่มงานปกติ เธอก็ตื่นแต่เช้าวิ่งไปบริษัท การเดินทาง40กว่านาที พักกลางวันสองชั่วโมง เธอก็ไปศูนย์ฟื้นฟูหลังการคลอด ตอนเย็นก็วิ่งกลับมาอีกครั้ง ไม่กลัวลมฝน
หนึ่งเดือนนี้ เธอออกแต่เช้ากลับมามืด หลบเลี่ยงโม่หานอย่างสุดความสามารถ เธอยุ่ง โม่หานก็ยิ่งยุ่ง บวกกับเธอมีใจที่จะหลบเลี่ยง คนทั้งสองเลยไม่ได้เจอหน้ากันตลอดหนึ่งเดือน
“เสี่ยวเฉียว ฉันนับถือคุณจริงๆ เดือนเดียวคุณผอมลงไปได้ถึงขนาดนี้ คุณไม่ไปถ่ายโฆษณาลดน้ำหนักก็เสียดายแย่เลย” ทานข้าวตอนกลางวัน เพื่อนร่วมงานที่นั่งอยู่แถวหน้ากล่าวกระซิบ
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย “จะทำอย่างไรได้ล่ะ ก็งานที่พวกเราทำนี้ ความสวยเป็นเรื่องสำคัญ” เพราะงานล่ามที่มักจะต้องติดตามลูกค้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ทั้งสองนี้เป็นเรื่องปกติ แต่ในสังคมนี้ ใครก็เต็มใจที่จะให้คนสวยคนหนึ่งยืนข้างๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนกลมใช่ไหมล่ะ?
“คุณพูดถูกอย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะว่าคุณสวยนะ BOSSคงไม่เสียงอันตรายให้คุณทำงานใหญ่กับโม่กรุ๊ปแบบนี้หรอก ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้คุณก็ไม่เคยเป็นล่ามภาษาเยอรมันใช่ไหมล่ะ?”
มู่เฉียวคีบอาหารอย่างช้าๆ แต่ในใจเธอก็โล่งอก ก่อนหน้านี้เธอได้ยินเพื่อนร่วมงานภายในแผนกพูดว่า บริษัทรับใบรายการใหญ่ใบหนึ่งมาจากโม่กรุ๊ป เธอจึงไปเสนอตัวเองกับเจ้านาย แล้วส่งหนังสือรับรองการสอบภาษาเยอรมันระดับC2 เจ้านายแปลกใจอย่างมาก ชมว่าเธอป่วยยังไม่ลืมที่จะร่ำเรียน ถึงอย่างไรนี่เป็นครั้งแรกที่รับเป็นล่ามภาษาเยอรมัน อีกทั้งเป็นใบรายการใหญ่ของโม่กรุ๊ป ในใจเธอก็ไม่ค่อยมีความมั่นใจ
เวลานี้ จึงพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง ยกยิ้มมุมปาก โม่หาน รอดูฉันแล้วกัน
มู่เฉียวหันกลับมา ก็เห็นลูกสาวของป้าหลิว จ้าวเชี่ยนเห็นเธอขานตอบ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ พยุงแขนของเธอ “ฉันยังคิดว่าตนเองจำคนผิดหรือเปล่า?ครั้งที่แล้วฉันกลับบ้าน แม่ฉันบอกกับฉันว่า คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม?ทำไมคุณไม่เห็นกลับบ้านไปจัดงานเลี้ยงเลย?อีกทั้งวันที่อากาศร้อนแบบนี้ คุณสวมหมวกทำไม?” พูดแล้วก็หยิบหมวกออกให้เธอ มู่เฉียวสูดลมหายใจ
จ้าวเชี่ยนคนนี้กับเธอเติบโตมาด้วยกัน เพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตอนนั้นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน อายุมากกว่าเธอหนึ่งปี อุปนิสัยเป็นคนพูดจาไร้สาระไปเรื่อย แล้วก็เป็นคนจิตใจดีเหมือนกันกับป้าหลิว บางครั้งก็มากเกินไปจนเธอตอบแทนไม่ไหว ฉะนั้นหลังจากโตขึ้นแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆเหินห่างกับเธอ จนปีที่แล้วแม่บอกว่า เธอแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ฐานะครอบครัวก็ค่อนข้างดี
มู่เฉียวไม่คิดว่าตนเองอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ เธอก็จำได้ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“คุณ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” เธอฉีกหัวข้อสนทนา
สีหน้าจ้าวเชี่ยนแข็งทื่อ มองย้อนกลับไปมองผู้หญิงแต่งตัวหรูหราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ฉันแต่งงานมาปีกว่าแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แม่สามีกลัวว่าฉันจะมีลูกไม่ได้ จึงตระหนกตกใจลากฉันมาตรวจ” จู่ๆเธอก็เดินเข้ามาใกล้มู่เฉียว “อันที่จริง ฉันปรึกษาหารือกับสามีแล้ว ว่าอยากให้เลื่อนไปก่อน หน้าที่การงานของเราสองคนก็เพิ่งจะดีขึ้น ไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนี้”
มู่เฉียวพยักหน้า “อืม……อย่างนั้น……”
“คุณท้องเหรอ ท้องคุณใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” จู่ๆจ้าวเชี่ยนก็ร้องอย่างตกใจ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองมา มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อยทำตัวไม่ถูก ก้มมองท้องที่นูนใหญ่ของตนเอง ท้องใหญ่ขนาดนี้ จ้าวเชี่ยนเพิ่งจะเห็นเหรอ?เฮ้อ นิสัยนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
“สามีคุณเป็นใครล่ะ?ทำไมไม่มาเป็นเพื่อนคุณ?อีกอย่างเหมือนพวกคุณไม่ได้จัดงานแต่งด้วยใช่ไหม ฉันไม่เคยได้ยินแม่ฉัน……”
“พอดีท้องก่อนแต่ง คลอดลูกแล้วค่อยจัดงาน” มู่เฉียวพูดตัดบทจ้าวเชี่ยน
จ้าวเชี่ยนยังอยากจะถามอะไรอีก
“เสี่ยวเชี่ยน ถึงคิวคุณแล้ว” เสียงแม่สามีทอดออกมา
มู่เฉียวโล่งอก “คุณรีบไปเถอะ วันหลังเจอกันค่อยคุยกันใหม่”
แต่ลืมไปว่าหมวกยังอยู่ในมือของจ้าวเชี่ยน
เมื่อออกมาแล้ว คุณนายโม่ที่นั่งอยู่บนรถเห็นว่าเธอไม่สวมหมวก สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย
“บอกแล้วไงว่าให้สวมหมวก คนเหล่านั้นจะถ่ายรูปคุณเอาได้”
มู่เฉียวขี้เกียจจะอธิบาย อ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้จะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ ต่อไปเมื่อผอมลงแล้ว ใครยังจะจำได้อีกล่ะ?
คุณนายโม่มองการณ์ไกลจริงๆ
วันต่อมา มู่เฉียวก็กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต
มองเว็บเพจบนมือถือ หญิงคนนั้นที่อ้วนจนหน้าบีบกลายเป็นก้อนกลม เธอส่ายๆหัว มิน่าล่ะผู้ชายมากมาย จึงได้นอกใจตอนผู้หญิงท้อง น่าเวทนาจริงๆเลย
เพียงแต่เธอก็เข้าใจดี การนอกใจเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่ได้มีความรัก อย่างเช่นเธอ
โชคดีที่เธอนี้ มีนิสัยที่เย็นชามาตลอด ไม่มีเพื่อนที่แสนดีเป็นพิเศษ เลยไม่มีใครโทรหาเธอ ถามโน่นถามนี่ และคนที่รู้จัก ก็ไม่ได้ติดต่อมาเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเปลี่ยนไปมากจนจำเธอไม่ได้หรอก แต่งงานเป็นลูกสะใภ้ตระกูลโม่อย่างลับๆ แล้วก็ท้องจนจะคลอดแล้ว คาดว่าก็คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเธอ
ถึงตอนบ่าย มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรเข้ามา เธอรับสาย
“ฮัลโหล เฉียวเอ๋อ ฉันเอง ที่แท้คุณแต่งงานกับโม่หานคนนั้นเหรอ?ไอ๋หยา คุณนี่จัดการได้เงียบจริงๆเลย แต่งงานกับผู้ชายหล่อรวยหน้าตาดี สักคำหนึ่งก็ไม่เปิดเผยออกมา จริงๆ……”
“เสี่ยวเชี่ยน เรื่องของฉันกับเขา ซับซ้อนเล็กน้อย คุณก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรวย ไม่ค่อยชอบการโอ้อวด เรื่องนี้ คุณสามารถ……”
“ช่วยคุณปิดเป็นความลับ ใช่ไหม?วางใจได้ คุณอย่าลืมสิ ฉันเป็นสื่อมวลทำข่าว เรื่องนี้ ฉันเข้าใจ พวกเราทั้งสองโตมาด้วยกัน ฉันจะไม่หักหลังคุณเด็ดขาด ที่ฉันโทรศัพท์มาหา ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ฉันเห็นว่าผู้ชายคนนั้นของคุณมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะ เมื่อวานก็เห็นว่าคุณไปตรวจครรภ์เพียงคนเดียว เลยอยากจะถามว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่เฉียวยอมรับ ว่าจ้าวเชี่ยนเป็นคนมีน้ำใจ แต่ว่า บางครั้งความกระตือรือร้นที่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนรู้สึกมีความกดดันมาก เธอสูดลมหายใจเข้า “ก็โอเค เดิมทีเขาก็จะมาเป็นเพื่อนฉัน เพียงแต่ เขาค่อนข้างยุ่งน่ะ”
“เขายุ่ง?ยุ่งที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนดาราที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นน่ะเหรอ?เฉียวเอ๋อ ไม่ใช่ฉันตำหนิคุณนะ คุณอะ ตั้งแต่เด็กก็ฉลาดกว่าฉัน แต่นิสัยอ่อนแอเกินไป ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณก็ต้องกุมเขาไว้ในฝ่ามือ เขาประพฤติดีเลิศขนาดนี้ คุณยังไม่สนใจอีก จะเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
มือถือของมู่เฉียวเปิดลำโพงอยู่ กำลังพับผ้า ได้ยินจ้าวเชี่ยนพูดแบบนี้ เธอก็นิ่งอึ้งไป “ผู้ชายที่ดี ไม่ต้องไปควบคุม ผู้ชายที่ต้องควบคุม ก็ปล่อยมันไปเถอะ”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก คนคนนี้ของฉัน ก็ต้องควบคุม”
“นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า เขารักคุณ ควบคุมร่างกายคนน่ะได้ แต่จะควบคุมหัวใจคนได้อย่างไร?”
“เฉียวเอ๋อ ฟังจากน้ำเสียงนี้ของคุณแล้ว โม่หานคนนั้น ไม่ชอบคุณเหรอ?”
มู่เฉียวเกาศีรษะ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เอาล่ะ ฉันมีธุระนิดหน่อย มีอะไรค่อยติดต่อมาอีกที เสี่ยวเชี่ยน ฝากคุณด้วยนะ”
“ได้ๆๆ คุณทำงานเถอะ ไว้เจอกัน”
วางสายแล้ว มู่เฉียวเม้มปาก แล้วหัวเราะเยาะ ควบคุม?เธอไม่ควรค่าแก่การทำ แล้วก็ไม่อยากทำ
“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ในสายตาของคุณ เงินคือสำคัญที่สุดใช่ไหม?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทันที มู่เฉียวตกใจอย่างมาก
กุมหน้าอก “คุณไม่รู้เหรอว่าคนสามารถตกใจตายได้?” เงินสำคัญ เธออยากจะพูดอย่างมาก เธอแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ ให้กำเนิดลูกเพื่อตระกูลพวกเขา นอกจากจะทานอาหารเล็กน้อยจากบ้านของเขาแล้ว ค่าใช้จ่ายการตรวจครรภ์ตัวเองก็เป็นคนควักจ่าย เธอรักเงินตรงไหนกัน?
เพียงแต่ คำพูดเหล่านี้ เธอไม่อยากจะอธิบายกับผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าทำเรื่องเกินความจำเป็น คนที่รักคุณ จะเข้าใจด้วยตัวเอง คนที่ไม่รักคุณ อธิบายไปก็เหมือนเป็นข้ออ้าง
“คุณไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ชอบธรรม คุณจะกลัวอะไร?”
มู่เฉียวเงียบปาก คนทั้งสองสมคบคิดกัน เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ทำให้เธอไม่มีความปรารถนาที่จะแก้ตัว เพียงแค่หวังว่าเวลาจะผ่านไปเร็วหน่อย เด็กจะได้คลอดออกมาโดยเร็ว
เห็นเธอไม่พูดจา ชายหนุ่มก็เดินตรงเข้ามา ห้องนี้ก่อนหน้าที่เธอจะมาอยู่ ว่างมาโดยตลอด มีเพื่อนมาพักบางครั้งบางคราว หลังจากนั้น ที่เธอเขามาพัก เขาก็ไม่เคยเข้ามาอีกเลย
พิจารณาเล็กน้อย โดยภาพรวมในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สีดำขาวเทา ตู้ที่เดิมที่วางเสื้อผ้าไว้ แถวหนึ่งวางเต็มไปด้วยหนังสือ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปลล่าม
ก่อนหน้านี้ฉินฮ่าวเคยบอกกับเขาว่า ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้เป็นล่าม เหมือนกับว่าความสามารถจะไม่เลวด้วย
เพียงแต่ พอตั้งครรภ์ก็หยุดอยู่บ้านทันที ไม่ออกไปไหนมาไหน ทุกวันผู้หญิงคนนี้ไม่กินก็นอน เขาจนปัญญาที่จะเชื่อมต่อคำว่าความสามารถกับเธอเข้าด้วยกันจริงๆ หนังสือเหล่านี้ อาจจะใช้เป็นการแสดงหรือเปล่า?
“เชิญออกไป ฉันต้องการนอนกลางวัน” มู่เฉียวเห็นเขาไม่ออกไป จึงกล่าวอย่างเย็นชา
“ออกไป?” โม่หานหันสายตากลับมา มองไปที่มู่เฉียว คนอ้วนกลม สวมชุดนอนสีชมพู ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีเพียงอย่างเดียวที่เข้าตา ก็คงจะเป็นผิวที่ขาวหมดจด และใบหน้าที่แดงมีเลือดฝาด
“ได้ยินมาว่า ผู้หญิงท้อง ความต้องการในด้านนั้นจะค่อนข้างรุนแรง นี่คุณแต่งเข้ามา พวกเรายังไม่เคยเข้าหอด้วยกันเลย ต้องการไหม…..”
เมื่อมู่หยิงอาบน้ำออกมา โม่หานก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว เธอเม้มๆปาก ราวกับว่าเป็นการตัดสินใจ สูดหายใจเข้าเปิดผ้าห่มออกแล้วขึ้นไปบนเตียง
โม่หานหลับตาเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกเหมือนมีการเคลื่อนไหวข้าง เขาจึงลืมตา แล้วก็เห็นฉากนี้
เขาตอบกลับโดยการพลิกตัวลงจากเตียง คิ้วขมวดพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : “หยิงหยิง กลับห้องตัวเองไป”
มู่หยิงส่ายหัว มีน้ำตาคลอในดวงตา นั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง “หาน ฉันอยากมอบตนเองให้คุณ ฉันไม่ให้คุณรับผิดชอบหรอก ดีไหม?ฉัน……”
“กลับห้องตัวเองไป” ชายคนนั้นกล่าวอย่างมุ่งมั่น หันกลับไปกลืนน้ำลาย ในแววตามีความเร่าร้อน “หยิงหยิง ฉันไม่อยากทำร้ายคุณ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้ออกมาเที่ยวด้วยกัน จากนี้ไป ฉันกับคุณเป็นแค่พี่น้องกัน”
เมื่อโม่หานพูดประโยคนี้ออกมา ส่วนลึกของหัวใจก็เหมือนถูกอะไรแทงเข้าไปครึ่งหนึ่ง ช่างเจ็บปวดรวดร้าว
แต่เนื่องจากเขาไม่สามารถให้สถานะของผู้หญิงคนนี้ได้ เขาก็เลยไม่อยากทำร้ายเธอ
“ไม่ โม่หาน ฉันไม่ต้องการเป็นพี่น้องกับคุณ ฉันไม่ต้องการ” มู่หยิงพูดจบก็ลงจากเตียง กอดโม่หานจากด้านหลัง
“คุณใสซื่อบริสุทธิ์แบบนี้ หยิงหยิง คุณสมควรได้รับการปฏิบัติที่ดี ตลอดชีวิตนี้ฉันทำให้คุณผิดหวัง ต่อไป ถ้าคุณมีความต้องการอะไร คุณแค่บอกมา ฉันจะพยายามทำให้คุณพึงพอใจ แต่ว่าความรักระหว่างชายหญิง ฉันให้ไม่ได้ แล้วก็ไม่สามารถให้ได้ด้วย”
“แต่คุณเพิ่งจะบอกว่าคุณจะไม่ทิ้งฉันไปไม่ใช่เหรอ?”
ในแววตาโม่หานมีความเจ็บปวด แล้วยังมีอารมณ์ความต้องการอย่างกระวนกระวายใจ
เขาหลับตาแล้วผลักมู่หยิงออกไป หยิบเสื้อผ้าและยาบนโต๊ะ “ฉันจะไปห้องข้างๆ คุณนอนพักผ่อนเถอะ”
“โม่หาน”
คำตอบรับเธอคือเสียงปิดประตู
มู่หยิงโมโหนำหมอนบนเตียงโยนลงบนพื้น เธอเสียดายจริงๆที่ตนเองเสียเวลาคิดให้มู่เฉียวมีอะไรกับโม่หาน เดิมทีเธอคิดว่า ขอเพียงแค่เธอเต็มใจ โม่หานจะไม่มีวันปฏิเสธเธอ
เมื่อโม่หานกลับไปที่ห้อง โทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขาเหลือบมอง เห็นว่าเป็นแม่จึงรับสาย : “ฮัลโหล แม่”
“หาน คุณอยู่ที่ไหน?นี่กี่โมงแล้วคุณยังไม่กลับมา นี่คุณแต่งงานแล้วนะ ก็ทำให้เหมือนคนที่แต่งงานแล้ว……” พูดถึงตรงนี้ คุณนายโม่ก็หยุดไปชั่วขณะ “หาน สุขภาพของคุณไม่สามารถทำอะไรเกินไปได้ คุณ……”
“แม่ ฉันรู้แล้ว คุณนอนเถอะ!” โม่หานพูดจบ ก็วางสายไป เงยหน้าขึ้นหลับตา อดกลั้นความปวดหัวของเขาเอง
นึกถึงคำว่าแต่งงานสองคำ นึกถึงผู้หญิงคนนั้นในบ้าน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าผู้หญิงคนหนึ่งจะหน้าด้านได้ขนาดนี้ สามารถเห็นเขา”อยู่ด้วยกัน”กับหญิงอื่นได้ เธอไม่สะทกสะท้านเลย เงินทองความมั่งคั่งสำคัญขนาดนี้เลยเหรอ?
วันต่อมา มู่เฉียวยังไม่ตื่น ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
เธอขมวดคิ้ว ลุกขึ้นไปเปิดประตู
เห็นคุณนายโม่ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ตั้งแต่รู้ว่าเธอกำลังจะแต่งงานกับโม่หาน คุณนายโม่คนนี้ก็ไม่เคยทำสีหน้าดีๆใส่เธอเลย ในสายตาเธอ ตนเองก็เป็นคนที่เจ้าเล่ห์มีแผนการคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงใจร้ายละโมบโลภมาก
“เมื่อคืนวานโม่หานไม่กลับมาอีกแล้วเหรอ?มู่เฉียว คุณต้องการแต่งงานกับโม่หาน ฉันก็ว่าอะไรนะ ถึงอย่างไร เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว ครอบครัวพวกเราต้องการคุณ ก็เพราะติดหนี้บุญคุณเล็กๆน้อยๆ แต่ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณไม่ควรมีท่าทีของภรรยาคนหนึ่งบ้างเหรอ?หลายเดือนมานี้ เขามักจะนอกลู่นอกทางพาผู้หญิงเข้ามาในบ้าน แล้วกลางคืนยังไม่กลับบ้านอยู่บ่อยๆ ลูกชายของฉัน แต่ไหนแต่ไรไม่เคยเป็นแบบนี้ คุณควรจะพิจารณาตัวเองสักหน่อยไหม?ขืนคุณเป็นแบบนี้ต่อไป ถึงแม้ในอนาคตครอบครัวเราจะยินดีที่จะเก็บคุณไว้ แต่พอโม่หานหายดีแล้ว คุณคิดว่าเขายังจะเก็บคุณเอาไว้เหรอ?”
มู่เฉียวเงยหน้ามองคุณนายโม่ทันที นี่หมายความว่าได้รับประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่งอย่างนั้นเหรอ?
แต่วินาทีต่อมา ในชั่วพริบตา จู่ๆเธอก็มองเห็นความหวัง ความหมายก็คือ เธอยังสามารถหย่ากับโม่หานได้ใช่ไหม?ใช่แล้ว ทำไมถึงคิดถึงจุดจุดนี้ไม่ได้กันนะ?ต้องการแค่คลอดลูกคนนี้ เลือดจากสายสะดือสามารถใช้ได้อย่างแน่นอน เธอก็สามารถที่จะหย่ากับโม่หานได้ แล้วนำเขาคืนให้มู่หยิงไป ถึงเวลานั้น โม่หานหายดีแล้ว ด้วยนิสัยที่เห็นแก่ตัวของมู่หยิง จะต้องเต็มใจยอมรับอย่างแน่นอน เธอก็คงจะยอมถอยให้ยินดีไม่ใช่เหรอ?
แม้ว่าเด็กอาจจะอาศัยอยู่ในครอบครัวที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ได้ แต่สถานการณ์เธอและโม่หานในตอนนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม?
เช่นนี้ ชีวิตของเธอยังสามารถกลับมาเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง คิดถึงตรงนี้แล้ว แสงสว่างในดวงตาของเธอค่อย ๆ มาบรรจบกัน เหมือนกับได้ฟื้นคืนมาใหม่อีกครั้ง
ก้มหน้า เธอปกปิดความดีใจที่อยู่ในสายตา “แม่ ฉันจะพยายาม”
ความโอนอ่อนผ่อนตามของเธอไม่ได้ทำให้คุณนายโม่ดีใจ แต่กลับยิ่งทำให้รู้สึกรังเกียจเล็กน้อย เธอรู้สึกว่ามู่เฉียวเหมือนกับปรสิตที่หาบ้านเกาะ โอบรัดตระกูลโม่อย่างไม่เจียมกะลาหัว ตะกละตะกลามในเรื่องกินแต่เกียจคร้านในการงาน จึงส่ายหน้า แล้วหันเดินจากไป
เพราะว่าตั้งครรภ์ นายท่านโม่จึงกลัวว่าจะไปรบกวนพักผ่อน ในที่สุดจึงไม่ได้เปิดเผยข่าวต่อสื่อมวลชนเรื่องการแต่งงานของเธอและโม่หาน ดังนั้น มู่เซียวจึงกลายเป็นราชินีที่ถูกซ่อนเอาไว้ในวัง
สำหรับจุดนี้ เธอเห็นด้วยอย่างมาก เช่นนี้ เมื่อในอนาคตเธอจากไป จึงไม่ต้องเป็นห่วงเป็นกังวล เธอไม่ต้องการแบกรับชื่อของคุณนายรองตระกูลโม่ไปตลอดชีวิต
เพียงแต่ แบบนี้เธอก็จนปัญญาที่จะกลับไปบ้านพ่อแม่ เธอกลัวว่าคนอื่นจะถามขึ้นมาว่า ในท้องเธอเป็นลูกของใคร พ่อก็ไม่ได้โกรธแล้ว ส่งสินค้าของท้องถิ่น และหนังสือที่เธอต้องการมาให้เธอบ้างเป็นครั้งคราว ใช้ประโยชน์จากในช่วงเวลาที่ตั้งครรภ์ เธอรื้อฟื้นภาษาเยอรมันที่ทิ้งไปนาน ซึ่งประสบผลสำเร็จค่อนข้างมาก แน่นอนว่า เรื่องเหล่านี้ เธอแอบๆทำ เธอไม่อยากให้คนตระกูลโม่รู้ว่าเธอต้องการจากตระกูลโม่ไป
ก่อนหน้านี้เธอเป็นล่าม รับผิดชอบงานแปลของบริษัทใหญ่เหล่านั้นเป็นหลักในการเจรจาธุรกิจในต่างประเทศ เธอกับแฟนเก่า รู้จักกันครั้งแรกในการเจรจาธุรกิจ เพราะเธอพูดภาษาได้คล่องแคล่ว การออกเสียงได้มาตรฐาน การทำงานหนึ่งปีกว่า เป็นความสำเร็จเล็กๆ อนาคตอาจสดใสมาก แต่ต้องเสียเวลาเพราะโม่หาน
อาจเป็นเพราะท้องที่เพิ่มขนาดอย่างรวดเร็ว ท้องของเธอเพิ่งจะหกเดือน ครรภ์ก็ยื่นออกมาเป็นพิเศษ คนก็อ้วนบวมอย่างมาก ใบหน้าที่ละเอียดงดงาม ด้วยเหตุนี้จึงผิดรูปผิดร่างไปเล็กน้อย
เรื่องเหล่านี้ทำให้เธอค่อนข้างเศร้าใจ เพียงแต่ ยังดี ที่ช่วงพักหลังมานี้ โม่หานกลับบ้าน เพียงแต่ออกเช้ากลับดึก คนทั้งสองแทบจะไม่เคยเจอหน้ากันเลย
ถึงจะไม่ทำให้ทรมาน ไม่มีผู้หญิงมายุ่งถึงหน้าประตู ไม่ได้หาเรื่องทะเลาะ เพียงแต่ มีข่าวบันเทิงที่คึกคักขึ้นมา เดี๋ยวบอกว่าเขานัดเจอกับดาราคนนี้ เดี๋ยวบอกว่าเขาเข้าออกโรงแรมอะไรบ้าง
เพราะไม่ได้สนใจ เพราะว่าตัดสินใจแล้วว่า ต้องการจะจากไป มู่เฉียวก็เลยถือโอกาสไม่เปิดดู
ฝึกกายใจให้ไม่คิดอะไรมาก ชั่วพริบตา ก็ตั้งครรภ์ได้แปดเดือนแล้ว หมอบอกว่าเด็กค่อนข้างตัวเล็ก เธอก็ต้องตกตะลึง “คุณหมอ จะตัวเล็กได้อย่างไร?ฉันอ้วนขึ้นมาตั้งยี่สิบกว่ากิโลกรัม”
ตรวจมาหลายเดือน หมอก็ค่อนข้างคุ้นเคยกับเธอแล้ว เม้มปากหัวเราะเบาๆ พิจารณาเธอรอบหนึ่ง “ที่อ้วนมันคือร่างกายของตัวคุณเองไม่ใช่เหรอ?”
มู่เฉียวเบะปาก อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา
เมื่อออกมาจากโรงพยาบาล เธอก็พยายามลดหมวกให้ต่ำลง กลัวว่าจะถูกคนจำได้
“มู่เฉียว?” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาจากด้านหลังตัวเอง
มู่เฉียวหันกลับมา ก็เห็นลูกสาวของป้าหลิว จ้าวเชี่ยนเห็นเธอขานตอบ ก็รีบเข้ามาต้อนรับ พยุงแขนของเธอ “ฉันยังคิดว่าตนเองจำคนผิดหรือเปล่า?ครั้งที่แล้วฉันกลับบ้าน แม่ฉันบอกกับฉันว่า คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม?ทำไมคุณไม่เห็นกลับบ้านไปจัดงานเลี้ยงเลย?อีกทั้งวันที่อากาศร้อนแบบนี้ คุณสวมหมวกทำไม?” พูดแล้วก็หยิบหมวกออกให้เธอ มู่เฉียวสูดลมหายใจ
จ้าวเชี่ยนคนนี้กับเธอเติบโตมาด้วยกัน เพราะพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ตอนนั้นทั้งสองคนอยู่ด้วยกันเกือบทุกวัน อายุมากกว่าเธอหนึ่งปี อุปนิสัยเป็นคนพูดจาไร้สาระไปเรื่อย แล้วก็เป็นคนจิตใจดีเหมือนกันกับป้าหลิว บางครั้งก็มากเกินไปจนเธอตอบแทนไม่ไหว ฉะนั้นหลังจากโตขึ้นแล้ว มู่เฉียวก็ค่อยๆเหินห่างกับเธอ จนปีที่แล้วแม่บอกว่า เธอแต่งงานมีสามีแล้ว เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่มหาวิทยาลัย ฐานะครอบครัวก็ค่อนข้างดี
มู่เฉียวไม่คิดว่าตนเองอ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้ เธอก็จำได้ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“คุณ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่?” เธอฉีกหัวข้อสนทนา
สีหน้าจ้าวเชี่ยนแข็งทื่อ มองย้อนกลับไปมองผู้หญิงแต่งตัวหรูหราที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ “ฉันแต่งงานมาปีกว่าแล้ว ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเลย แม่สามีกลัวว่าฉันจะมีลูกไม่ได้ จึงตระหนกตกใจลากฉันมาตรวจ” จู่ๆเธอก็เดินเข้ามาใกล้มู่เฉียว “อันที่จริง ฉันปรึกษาหารือกับสามีแล้ว ว่าอยากให้เลื่อนไปก่อน หน้าที่การงานของเราสองคนก็เพิ่งจะดีขึ้น ไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนี้”
มู่เฉียวพยักหน้า “อืม……อย่างนั้น……”
“คุณท้องเหรอ ท้องคุณใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ?” จู่ๆจ้าวเชี่ยนก็ร้องอย่างตกใจ สายตาของทุกคนก็จับจ้องมองมา มู่เฉียวกลืนน้ำลายเล็กน้อยทำตัวไม่ถูก ก้มมองท้องที่นูนใหญ่ของตนเอง ท้องใหญ่ขนาดนี้ จ้าวเชี่ยนเพิ่งจะเห็นเหรอ?เฮ้อ นิสัยนี้ไม่เปลี่ยนไปเลยจริงๆ
“สามีคุณเป็นใครล่ะ?ทำไมไม่มาเป็นเพื่อนคุณ?อีกอย่างเหมือนพวกคุณไม่ได้จัดงานแต่งด้วยใช่ไหม ฉันไม่เคยได้ยินแม่ฉัน……”
“พอดีท้องก่อนแต่ง คลอดลูกแล้วค่อยจัดงาน” มู่เฉียวพูดตัดบทจ้าวเชี่ยน
จ้าวเชี่ยนยังอยากจะถามอะไรอีก
“เสี่ยวเชี่ยน ถึงคิวคุณแล้ว” เสียงแม่สามีทอดออกมา
มู่เฉียวโล่งอก “คุณรีบไปเถอะ วันหลังเจอกันค่อยคุยกันใหม่”
แต่ลืมไปว่าหมวกยังอยู่ในมือของจ้าวเชี่ยน
เมื่อออกมาแล้ว คุณนายโม่ที่นั่งอยู่บนรถเห็นว่าเธอไม่สวมหมวก สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย
“บอกแล้วไงว่าให้สวมหมวก คนเหล่านั้นจะถ่ายรูปคุณเอาได้”
มู่เฉียวขี้เกียจจะอธิบาย อ้วนจนกลายเป็นอย่างนี้จะถ่ายก็ถ่ายไปเถอะ ต่อไปเมื่อผอมลงแล้ว ใครยังจะจำได้อีกล่ะ?
คุณนายโม่มองการณ์ไกลจริงๆ
วันต่อมา มู่เฉียวก็กลายเป็นคำค้นหายอดฮิต
มองเว็บเพจบนมือถือ หญิงคนนั้นที่อ้วนจนหน้าบีบกลายเป็นก้อนกลม เธอส่ายๆหัว มิน่าล่ะผู้ชายมากมาย จึงได้นอกใจตอนผู้หญิงท้อง น่าเวทนาจริงๆเลย
เพียงแต่เธอก็เข้าใจดี การนอกใจเหล่านั้น ทั้งหมดเป็นเพราะว่าไม่ได้มีความรัก อย่างเช่นเธอ
โชคดีที่เธอนี้ มีนิสัยที่เย็นชามาตลอด ไม่มีเพื่อนที่แสนดีเป็นพิเศษ เลยไม่มีใครโทรหาเธอ ถามโน่นถามนี่ และคนที่รู้จัก ก็ไม่ได้ติดต่อมาเพราะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเธอ ไม่ต้องพูดถึงว่าเปลี่ยนไปมากจนจำเธอไม่ได้หรอก แต่งงานเป็นลูกสะใภ้ตระกูลโม่อย่างลับๆ แล้วก็ท้องจนจะคลอดแล้ว คาดว่าก็คงไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเธอ
ถึงตอนบ่าย มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรเข้ามา เธอรับสาย
“ฮัลโหล เฉียวเอ๋อ ฉันเอง ที่แท้คุณแต่งงานกับโม่หานคนนั้นเหรอ?ไอ๋หยา คุณนี่จัดการได้เงียบจริงๆเลย แต่งงานกับผู้ชายหล่อรวยหน้าตาดี สักคำหนึ่งก็ไม่เปิดเผยออกมา จริงๆ……”
“เสี่ยวเชี่ยน เรื่องของฉันกับเขา ซับซ้อนเล็กน้อย คุณก็รู้ว่าพวกเขาเป็นคนรวย ไม่ค่อยชอบการโอ้อวด เรื่องนี้ คุณสามารถ……”
“ช่วยคุณปิดเป็นความลับ ใช่ไหม?วางใจได้ คุณอย่าลืมสิ ฉันเป็นสื่อมวลทำข่าว เรื่องนี้ ฉันเข้าใจ พวกเราทั้งสองโตมาด้วยกัน ฉันจะไม่หักหลังคุณเด็ดขาด ที่ฉันโทรศัพท์มาหา ก็เพราะเป็นห่วงคุณ ฉันเห็นว่าผู้ชายคนนั้นของคุณมีเรื่องราวค่อนข้างเยอะ เมื่อวานก็เห็นว่าคุณไปตรวจครรภ์เพียงคนเดียว เลยอยากจะถามว่า ที่ผ่านมาคุณเป็นอย่างไรบ้าง?”
มู่เฉียวยอมรับ ว่าจ้าวเชี่ยนเป็นคนมีน้ำใจ แต่ว่า บางครั้งความกระตือรือร้นที่มากเกินไป ก็อาจจะทำให้คนรู้สึกมีความกดดันมาก เธอสูดลมหายใจเข้า “ก็โอเค เดิมทีเขาก็จะมาเป็นเพื่อนฉัน เพียงแต่ เขาค่อนข้างยุ่งน่ะ”
“เขายุ่ง?ยุ่งที่จะต้องอยู่เป็นเพื่อนดาราที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นน่ะเหรอ?เฉียวเอ๋อ ไม่ใช่ฉันตำหนิคุณนะ คุณอะ ตั้งแต่เด็กก็ฉลาดกว่าฉัน แต่นิสัยอ่อนแอเกินไป ในเมื่อคุณแต่งงานกับเขาแล้ว คุณก็ต้องกุมเขาไว้ในฝ่ามือ เขาประพฤติดีเลิศขนาดนี้ คุณยังไม่สนใจอีก จะเก่งเกินไปแล้วหรือเปล่า?”
มือถือของมู่เฉียวเปิดลำโพงอยู่ กำลังพับผ้า ได้ยินจ้าวเชี่ยนพูดแบบนี้ เธอก็นิ่งอึ้งไป “ผู้ชายที่ดี ไม่ต้องไปควบคุม ผู้ชายที่ต้องควบคุม ก็ปล่อยมันไปเถอะ”
“นั่นก็ไม่แน่หรอก คนคนนี้ของฉัน ก็ต้องควบคุม”
“นั่นก็ชัดเจนแล้วว่า เขารักคุณ ควบคุมร่างกายคนน่ะได้ แต่จะควบคุมหัวใจคนได้อย่างไร?”
“เฉียวเอ๋อ ฟังจากน้ำเสียงนี้ของคุณแล้ว โม่หานคนนั้น ไม่ชอบคุณเหรอ?”
มู่เฉียวเกาศีรษะ “เรื่องนี้ไม่สำคัญ เอาล่ะ ฉันมีธุระนิดหน่อย มีอะไรค่อยติดต่อมาอีกที เสี่ยวเชี่ยน ฝากคุณด้วยนะ”
“ได้ๆๆ คุณทำงานเถอะ ไว้เจอกัน”
วางสายแล้ว มู่เฉียวเม้มปาก แล้วหัวเราะเยาะ ควบคุม?เธอไม่ควรค่าแก่การทำ แล้วก็ไม่อยากทำ
“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ในสายตาของคุณ เงินคือสำคัญที่สุดใช่ไหม?” เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นมาจากด้านหลังทันที มู่เฉียวตกใจอย่างมาก
กุมหน้าอก “คุณไม่รู้เหรอว่าคนสามารถตกใจตายได้?” เงินสำคัญ เธออยากจะพูดอย่างมาก เธอแต่งงานเข้ามาตระกูลโม่ ให้กำเนิดลูกเพื่อตระกูลพวกเขา นอกจากจะทานอาหารเล็กน้อยจากบ้านของเขาแล้ว ค่าใช้จ่ายการตรวจครรภ์ตัวเองก็เป็นคนควักจ่าย เธอรักเงินตรงไหนกัน?
เพียงแต่ คำพูดเหล่านี้ เธอไม่อยากจะอธิบายกับผู้ชายคนนี้ รู้สึกว่าทำเรื่องเกินความจำเป็น คนที่รักคุณ จะเข้าใจด้วยตัวเอง คนที่ไม่รักคุณ อธิบายไปก็เหมือนเป็นข้ออ้าง
“คุณไม่ได้ทำเรื่องที่ไม่ชอบธรรม คุณจะกลัวอะไร?”
มู่เฉียวเงียบปาก คนทั้งสองสมคบคิดกัน เป็นแบบนี้มาโดยตลอด ทำให้เธอไม่มีความปรารถนาที่จะแก้ตัว เพียงแค่หวังว่าเวลาจะผ่านไปเร็วหน่อย เด็กจะได้คลอดออกมาโดยเร็ว
เห็นเธอไม่พูดจา ชายหนุ่มก็เดินตรงเข้ามา ห้องนี้ก่อนหน้าที่เธอจะมาอยู่ ว่างมาโดยตลอด มีเพื่อนมาพักบางครั้งบางคราว หลังจากนั้น ที่เธอเขามาพัก เขาก็ไม่เคยเข้ามาอีกเลย
พิจารณาเล็กน้อย โดยภาพรวมในห้องไม่มีการเปลี่ยนแปลง สีดำขาวเทา ตู้ที่เดิมที่วางเสื้อผ้าไว้ แถวหนึ่งวางเต็มไปด้วยหนังสือ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการแปลล่าม
ก่อนหน้านี้ฉินฮ่าวเคยบอกกับเขาว่า ก่อนหน้านี้ผู้หญิงคนนี้เป็นล่าม เหมือนกับว่าความสามารถจะไม่เลวด้วย
เพียงแต่ พอตั้งครรภ์ก็หยุดอยู่บ้านทันที ไม่ออกไปไหนมาไหน ทุกวันผู้หญิงคนนี้ไม่กินก็นอน เขาจนปัญญาที่จะเชื่อมต่อคำว่าความสามารถกับเธอเข้าด้วยกันจริงๆ หนังสือเหล่านี้ อาจจะใช้เป็นการแสดงหรือเปล่า?
“เชิญออกไป ฉันต้องการนอนกลางวัน” มู่เฉียวเห็นเขาไม่ออกไป จึงกล่าวอย่างเย็นชา
“ออกไป?” โม่หานหันสายตากลับมา มองไปที่มู่เฉียว คนอ้วนกลม สวมชุดนอนสีชมพู ผมเผ้ายุ่งเหยิง จะมีเพียงอย่างเดียวที่เข้าตา ก็คงจะเป็นผิวที่ขาวหมดจด และใบหน้าที่แดงมีเลือดฝาด
“ได้ยินมาว่า ผู้หญิงท้อง ความต้องการในด้านนั้นจะค่อนข้างรุนแรง นี่คุณแต่งเข้ามา พวกเรายังไม่เคยเข้าหอด้วยกันเลย ต้องการไหม…..”
“เฉียวเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? เกิดอะไรกับลูก ลูกต้องบอกพ่อกับแม่ พวกเรายืนอยู่ข้างลูกเสมอนะ” คำว่าเฉียวเอ๋อ ทำให้น้ำตาของมู่เฉียวล่วงลงมา
นี่แหละคือพ่อของเธอ คนที่ห่วงใยเธออย่างแท้จริง สิ่งแรกที่เขาคิดได้ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน แต่กลับคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า
“พ่อ หนูท้อง ท้องลูกของเขา”
“เพล้ง”เธอได้ยินเสียงอะไรสักอย่างตกพื้น มู่เฉียวพูดอย่างกังวล “พ่อ……”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพ่อมู่จะดังขึ้นเบาๆ “เฉียวเอ๋อ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนเหลวไหลแบบนั้น ถ้าเป็นเพราะเด็กคนนี้ลูกถึงได้แต่งงาน เฉียวเอ๋อ ลูกกลับมา คลอดเด็กออกมาแล้ว พ่อกับแม่จะช่วยลูกเลี้ยง อย่าเอาชีวิตตัวเองเข้าไปพัวพันเลย”
มู่เฉียวร้องไห้จนตัวสั่นโยกไปหมด เรื่องนี้ ดูเหมือนง่าย แต่มันกลับยุ่งยากมาก เธอไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน
“เฉียวเอ๋อ ตอนนี้ลูกอยู่ไหน พ่อกับแม่แล้วก็น้องชาย จะไปรับลูกตอนนี้ พวกเรากลับบ้านกัน” ท่าทีของพ่อมู่หนักแน่นมาก
“พ่อ หนูอยู่เมืองa”
“ส่งที่อยู่มา พวกเราจะไปตอนนี้แหละ”
“ไม่ค่ะ พ่อ เดี๋ยวหนูกลับไป หนูกลับไปตอนนี้”มู่เฉียวพูดไป ก็ลุกขึ้นนั่ง หยิบกระเป๋า เดินออกไปข้างนอก “พ่อ หนูวางก่อนนะคะ อื้ม ดึกๆคงถึง น่าจะทันได้กินมื้อค่ำ”พูดจบก็วางสายไป
เพิ่งออกจากห้องโถง ก็เจอคุณนายโม่ควงแขนย่าโม่เดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นเธอสะพายกระเป๋า ขมวดคิ้วถาม“นี่เธอจะไปไหนน่ะ?”
มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ “คุณนายโม่ ฉันอยากกลับบ้านรอบหนึ่ง เรื่องงานแต่งของฉันกับโม่หาน ฉันอยากจะไปคุยกับพ่อแม่ก่อน”
เห็นสีหน้าคุณนายโม่นิ่งไป จึงพูดขึ้นอีกว่า“ คุณวางใจเถอะค่ะ วันพรุ่งฉันจะไปโรงแรมตรงเวลาแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนขับรถไปส่งเธอ”เสียงของย่าโม่
“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันนั่งรถไฟ เร็วกว่าค่ะ”
“เอาล่ะ ให้คนขับรถไปส่งเถอะ สถานะตอนนี้ของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังจะนั่งรถไฟอะไรอีก”
“แม่คะ เธอยังไม่ได้เป็นคุณนายรองตระกูลโม่นะคะ คุณตามใจเธอมากเกินไปแล้ว” คุณนายโม่ได้ยินคำพูดของย่าโม่ที่ว่าสถานะไม่เหมือนเดิม สีหน้าก็ดูแย่ลงทันที
มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า “ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยถึงจะเป็นคุณนายรองตระกูลโม่ ฉันก็เป็นแค่มู่เฉียว คนธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้น”พูดจบ มู่เฉียวหยิบกระเป๋า ออกบ้านแบบไม่พูดอะไร
แต่ว่า คฤหาสน์โม่เป็นพื้นที่ของคฤหาสน์ หาแท็กซี่ไม่เจอด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงว่าจะกลับบ้านเลย แค่จะไปสถานีรถไฟยังเป็นปัญหา
คนตระกูลโม่เองก็คงอยากให้เธอลำบาก เธอรอมาครึ่งวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีคนมาดู เห็นได้ชัด พวกเขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่หารถไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่มีใครเตือนเธอเลย
คิดถึงตรงนี้ ใจเธอก็เย็นขึ้นมา
แต่ว่า จะกลับไปให้พวกเขาไปส่งตอนนี้ ก็รู้สึกเกรงใจเกินไป
คิดๆแล้ว ก็เดินต่อไปอีกช่วงถนน
อาจเป็นเพราะเดินนานไป ขาเริ่มชา คิดแล้วเธอก็เตรียมจะถอยไปนั่งเก้าอี้ที่ริมถนน
เพียงแต่ เพิ่งจะเดินไปได้แค่ก้าวเดียว คนทั้งคนก็ล้มลงตรงข้างถนน
หินแหลมคมแทงเข้าที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดแถวกระดูกสันหลังก็ตามมาติดๆ เธอกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเข้าหากัน
ในเวลาเดียวกัน รถสปอร์ตสีขาวหยุดอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับเสียงบีบแตรรถ ในขณะที่เธอตกใจจนถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัว เสียงที่อ่อนโยนมีความดึงดูดก็ดังขึ้นข้างหู——
“คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม เธออึ้งไปเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นประธานเฮ่อ รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นดึงริมฝีปากที่แข็งทื่อ ฝืนยิ้มออกมา พูดเสียงต่ำ “อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ……”
เฮ่อเทียน เจ้านายของเธอ แต่ว่า เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้น เธอรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเธอ
เธอเคยเห็นเฮ่อเทียนสองครั้ง แต่ ที่น่าแปลกใจคือ เธอเจอกับเขาที่นี่ ดูเหมือนว่า เขาก็คงจะอาศัยอยู่ทางด้านบนเหมือนกัน
“เตรียมจอดรถจะโทรศัพท์ ไม่คิดว่าจะชนคุณเข้า!”เฮ่อเทียนพูดไปก็รีบลงจากรถ แล้วพยุงเธอขึ้นมา
มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับความกระตือรือร้นที่อธิบายไม่ถูกของเฮ่อเทียน อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือในบริษัทว่าเฮ่อเทียนไม่เคยสนใจผู้หญิง แล้วทำไมถึง?
เธอกัดปาก และครุ่นคิด ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอคงไม่สนใจ เธอเกลียดที่ต้องพูดคุยกับผู้ชายแปลกหน้า เกลียดการทักทายแบบนี้ และที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หานยังไม่มีความชัดเจน แต่……เธอก็ยังจำได้ว่าตัวเองท้องลูกของเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม เธออยากกลับบ้านจริงๆ อยากเจอพ่อกับแม่ เธอดึงริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณไม่ได้ชนฉัน ฉันล้มไปเองไม่ทันได้ระวัง!”
“อ๋อ ฮ่าๆ!แล้ว นี่คุณกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า?” เฮ่อเทียนยิ้มแล้วพูดถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มู่เฉียวกลืนน้ำลาย เงยหน้า “ฉันอยากไปสถานีรถไฟ แถวนี้ เหมือนจะไม่มีรถ”
“อย่างนั้นเหรอ……”เฮ่อเทียนเม้มริมฝีปากอย่างสง่างาม เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่วิ เขาก็ยิ้มและมองขึ้นไปที่มู่เฉียวด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “ผมกำลังจะไปแถวนั้นพอดี ถ้าไม่กลัวว่าผมจะลักพาตัวคน ก็ไปด้วยกันไหม?”
มู่เฉียวเผยริมฝีปากของเธอเล็กน้อย และในที่สุดก็ยิ้มอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้น รบกวนคุณแล้ว” คิดๆแล้วก็เดินไปยังที่นั่งรอง เปิดประตูรถ รอเฮ่อเทียนขึ้นรถแล้ว เธอก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ขอบคุณคุณจริงๆ!”
เฮ่อเทียนหันไป มองเธออย่างมีความหมายลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ขับเคลื่อนรถไปอย่างชำนาญ
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง รถของเฮ่อเทียนจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ
“บ้านคุณอาศัยอยู่ทางนั้นเหรอ?” เขาถามขณะช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย ดูเหมือนไม่ใส่ใจ
“ฉัน……ไปทำธุระน่ะ”มู่เฉียวไม่ค่อยพูดโกหก ดังนั้น จึงพูดติดอ่างเล็กน้อย เธอพยักหน้า ขอบคุณเขา แล้วลงรถไป
เฮ่อเทียนมองแผ่นหลังของเธอ คิดว่า เธออาย จึงส่ายหน้า แล้วตามลงไป
“คุณชื่ออะไร?”จู่ๆเขาก็ถามขึ้น
มู่เฉียวชะงัก ก้มมองดูตัวเอง เสื้อฮู้ด กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ พูดตามตรง ด้วยสภาพตอนนี้ของเธอ เธอไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ว่าสามารถทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ดูไม่เลวคนหนึ่ง พูดแบบนี้กับเธอ เธอหันไป มองเฮ่อเทียน ยิ้มเฉยๆ “อืม ต้องมีสักวันที่จะได้รู้!”จากนั้นเธอก็เดินตรงไปที่สถานีรถไฟ
คฤหาสน์โม่
“เธอขึ้นรถของเฮ่อเทียน”
“หึ น่าทึ่งจริงๆ!”โม่หานเล่นหมากรุกในมือ “นายสั่งคนตามเธอไป ดูว่ามีโอกาสลงมือไหม”
ฉินเส้าขมวดคิ้ว “คุณชาย ถ้านายท่านโม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ ท่านจะโกรธมาก”
“เฉียวเอ๋อ เกิดอะไรขึ้นใช่ไหม? เกิดอะไรกับลูก ลูกต้องบอกพ่อกับแม่ พวกเรายืนอยู่ข้างลูกเสมอนะ” คำว่าเฉียวเอ๋อ ทำให้น้ำตาของมู่เฉียวล่วงลงมา
นี่แหละคือพ่อของเธอ คนที่ห่วงใยเธออย่างแท้จริง สิ่งแรกที่เขาคิดได้ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายดีมากแค่ไหน แต่กลับคิดว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับเธอหรือเปล่า
“พ่อ หนูท้อง ท้องลูกของเขา”
“เพล้ง”เธอได้ยินเสียงอะไรสักอย่างตกพื้น มู่เฉียวพูดอย่างกังวล “พ่อ……”
อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เสียงของพ่อมู่จะดังขึ้นเบาๆ “เฉียวเอ๋อ พ่อเชื่อว่าลูกไม่ใช่คนเหลวไหลแบบนั้น ถ้าเป็นเพราะเด็กคนนี้ลูกถึงได้แต่งงาน เฉียวเอ๋อ ลูกกลับมา คลอดเด็กออกมาแล้ว พ่อกับแม่จะช่วยลูกเลี้ยง อย่าเอาชีวิตตัวเองเข้าไปพัวพันเลย”
มู่เฉียวร้องไห้จนตัวสั่นโยกไปหมด เรื่องนี้ ดูเหมือนง่าย แต่มันกลับยุ่งยากมาก เธอไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหน
“เฉียวเอ๋อ ตอนนี้ลูกอยู่ไหน พ่อกับแม่แล้วก็น้องชาย จะไปรับลูกตอนนี้ พวกเรากลับบ้านกัน” ท่าทีของพ่อมู่หนักแน่นมาก
“พ่อ หนูอยู่เมืองa”
“ส่งที่อยู่มา พวกเราจะไปตอนนี้แหละ”
“ไม่ค่ะ พ่อ เดี๋ยวหนูกลับไป หนูกลับไปตอนนี้”มู่เฉียวพูดไป ก็ลุกขึ้นนั่ง หยิบกระเป๋า เดินออกไปข้างนอก “พ่อ หนูวางก่อนนะคะ อื้ม ดึกๆคงถึง น่าจะทันได้กินมื้อค่ำ”พูดจบก็วางสายไป
เพิ่งออกจากห้องโถง ก็เจอคุณนายโม่ควงแขนย่าโม่เดินเข้ามาจากข้างนอก เห็นเธอสะพายกระเป๋า ขมวดคิ้วถาม“นี่เธอจะไปไหนน่ะ?”
มู่เฉียวพยักหน้าให้เธอ “คุณนายโม่ ฉันอยากกลับบ้านรอบหนึ่ง เรื่องงานแต่งของฉันกับโม่หาน ฉันอยากจะไปคุยกับพ่อแม่ก่อน”
เห็นสีหน้าคุณนายโม่นิ่งไป จึงพูดขึ้นอีกว่า“ คุณวางใจเถอะค่ะ วันพรุ่งฉันจะไปโรงแรมตรงเวลาแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้คนขับรถไปส่งเธอ”เสียงของย่าโม่
“ไม่ต้องค่ะๆ ฉันนั่งรถไฟ เร็วกว่าค่ะ”
“เอาล่ะ ให้คนขับรถไปส่งเถอะ สถานะตอนนี้ของเธอไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ยังจะนั่งรถไฟอะไรอีก”
“แม่คะ เธอยังไม่ได้เป็นคุณนายรองตระกูลโม่นะคะ คุณตามใจเธอมากเกินไปแล้ว” คุณนายโม่ได้ยินคำพูดของย่าโม่ที่ว่าสถานะไม่เหมือนเดิม สีหน้าก็ดูแย่ลงทันที
มู่เฉียวได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า “ไม่เป็นไรค่ะ อีกหน่อยถึงจะเป็นคุณนายรองตระกูลโม่ ฉันก็เป็นแค่มู่เฉียว คนธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้น”พูดจบ มู่เฉียวหยิบกระเป๋า ออกบ้านแบบไม่พูดอะไร
แต่ว่า คฤหาสน์โม่เป็นพื้นที่ของคฤหาสน์ หาแท็กซี่ไม่เจอด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงว่าจะกลับบ้านเลย แค่จะไปสถานีรถไฟยังเป็นปัญหา
คนตระกูลโม่เองก็คงอยากให้เธอลำบาก เธอรอมาครึ่งวันแล้ว ก็ไม่เห็นมีคนมาดู เห็นได้ชัด พวกเขารู้อยู่แล้วว่าที่นี่หารถไม่ได้ง่ายๆ แต่ก็ไม่มีใครเตือนเธอเลย
คิดถึงตรงนี้ ใจเธอก็เย็นขึ้นมา
แต่ว่า จะกลับไปให้พวกเขาไปส่งตอนนี้ ก็รู้สึกเกรงใจเกินไป
คิดๆแล้ว ก็เดินต่อไปอีกช่วงถนน
อาจเป็นเพราะเดินนานไป ขาเริ่มชา คิดแล้วเธอก็เตรียมจะถอยไปนั่งเก้าอี้ที่ริมถนน
เพียงแต่ เพิ่งจะเดินไปได้แค่ก้าวเดียว คนทั้งคนก็ล้มลงตรงข้างถนน
หินแหลมคมแทงเข้าที่ฝ่ามือ ความเจ็บปวดแถวกระดูกสันหลังก็ตามมาติดๆ เธอกัดริมฝีปากและขมวดคิ้วเข้าหากัน
ในเวลาเดียวกัน รถสปอร์ตสีขาวหยุดอยู่ข้างหลังเธอพร้อมกับเสียงบีบแตรรถ ในขณะที่เธอตกใจจนถอยหลังไปแบบไม่รู้ตัว เสียงที่อ่อนโยนมีความดึงดูดก็ดังขึ้นข้างหู——
“คุณผู้หญิง คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก ก็สบตาเข้ากับดวงตาสีดำสนิทที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม เธออึ้งไปเล็กน้อย ทำไมถึงเป็นประธานเฮ่อ รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นดึงริมฝีปากที่แข็งทื่อ ฝืนยิ้มออกมา พูดเสียงต่ำ “อ๋อ ไม่เป็นไรค่ะ……”
เฮ่อเทียน เจ้านายของเธอ แต่ว่า เป็นเพียงแค่หนึ่งในผู้ถือหุ้น เธอรู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเธอ
เธอเคยเห็นเฮ่อเทียนสองครั้ง แต่ ที่น่าแปลกใจคือ เธอเจอกับเขาที่นี่ ดูเหมือนว่า เขาก็คงจะอาศัยอยู่ทางด้านบนเหมือนกัน
“เตรียมจอดรถจะโทรศัพท์ ไม่คิดว่าจะชนคุณเข้า!”เฮ่อเทียนพูดไปก็รีบลงจากรถ แล้วพยุงเธอขึ้นมา
มู่เฉียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย กับความกระตือรือร้นที่อธิบายไม่ถูกของเฮ่อเทียน อย่างไรก็ตาม มีข่าวลือในบริษัทว่าเฮ่อเทียนไม่เคยสนใจผู้หญิง แล้วทำไมถึง?
เธอกัดปาก และครุ่นคิด ถ้าเป็นคนอื่น ตอนนี้เธอคงไม่สนใจ เธอเกลียดที่ต้องพูดคุยกับผู้ชายแปลกหน้า เกลียดการทักทายแบบนี้ และที่สำคัญกว่านั้น แม้ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับโม่หานยังไม่มีความชัดเจน แต่……เธอก็ยังจำได้ว่าตัวเองท้องลูกของเขาอยู่
อย่างไรก็ตาม เธออยากกลับบ้านจริงๆ อยากเจอพ่อกับแม่ เธอดึงริมฝีปาก ยิ้มน้อยๆ แล้วตอบว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ คุณไม่ได้ชนฉัน ฉันล้มไปเองไม่ทันได้ระวัง!”
“อ๋อ ฮ่าๆ!แล้ว นี่คุณกำลังรอใครอยู่หรือเปล่า?” เฮ่อเทียนยิ้มแล้วพูดถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มู่เฉียวกลืนน้ำลาย เงยหน้า “ฉันอยากไปสถานีรถไฟ แถวนี้ เหมือนจะไม่มีรถ”
“อย่างนั้นเหรอ……”เฮ่อเทียนเม้มริมฝีปากอย่างสง่างาม เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่วิ เขาก็ยิ้มและมองขึ้นไปที่มู่เฉียวด้วยใบหน้านิ่งๆ แล้วพูดว่า “ผมกำลังจะไปแถวนั้นพอดี ถ้าไม่กลัวว่าผมจะลักพาตัวคน ก็ไปด้วยกันไหม?”
มู่เฉียวเผยริมฝีปากของเธอเล็กน้อย และในที่สุดก็ยิ้มอย่างใจกว้าง “ถ้าอย่างนั้น รบกวนคุณแล้ว” คิดๆแล้วก็เดินไปยังที่นั่งรอง เปิดประตูรถ รอเฮ่อเทียนขึ้นรถแล้ว เธอก็พูดขึ้นยิ้มๆ “ขอบคุณคุณจริงๆ!”
เฮ่อเทียนหันไป มองเธออย่างมีความหมายลึกซึ้ง แต่ไม่ได้พูดอะไร ขับเคลื่อนรถไปอย่างชำนาญ
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง รถของเฮ่อเทียนจอดอยู่หน้าสถานีรถไฟ
“บ้านคุณอาศัยอยู่ทางนั้นเหรอ?” เขาถามขณะช่วยเธอปลดเข็มขัดนิรภัย ดูเหมือนไม่ใส่ใจ
“ฉัน……ไปทำธุระน่ะ”มู่เฉียวไม่ค่อยพูดโกหก ดังนั้น จึงพูดติดอ่างเล็กน้อย เธอพยักหน้า ขอบคุณเขา แล้วลงรถไป
เฮ่อเทียนมองแผ่นหลังของเธอ คิดว่า เธออาย จึงส่ายหน้า แล้วตามลงไป
“คุณชื่ออะไร?”จู่ๆเขาก็ถามขึ้น
มู่เฉียวชะงัก ก้มมองดูตัวเอง เสื้อฮู้ด กางเกงยีน รองเท้าผ้าใบ พูดตามตรง ด้วยสภาพตอนนี้ของเธอ เธอไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ว่าสามารถทำให้ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้ชายที่ดูไม่เลวคนหนึ่ง พูดแบบนี้กับเธอ เธอหันไป มองเฮ่อเทียน ยิ้มเฉยๆ “อืม ต้องมีสักวันที่จะได้รู้!”จากนั้นเธอก็เดินตรงไปที่สถานีรถไฟ
คฤหาสน์โม่
“เธอขึ้นรถของเฮ่อเทียน”
“หึ น่าทึ่งจริงๆ!”โม่หานเล่นหมากรุกในมือ “นายสั่งคนตามเธอไป ดูว่ามีโอกาสลงมือไหม”
ฉินเส้าขมวดคิ้ว “คุณชาย ถ้านายท่านโม่รู้ว่าคุณทำแบบนี้ ท่านจะโกรธมาก”
จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง
หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว
ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?
“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ
ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก
แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง
“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี
ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”
สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า
“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”
“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”
มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”
เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ
ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว
แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้
ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้
ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ
จุดนี้ เธอเข้าใจ
เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า
แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ
ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง
“ไม่เลว มีความหมายดี”
เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา
“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”
ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”
มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น
จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว
เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว
“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”
พูดจบ กำลังจะจากไป
“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน
คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”
โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ
คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก
หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา
“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”
พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”
คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”
จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง
หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว
ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?
“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ
ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก
แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง
“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี
ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”
สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า
“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”
“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”
มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”
เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ
ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว
แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้
ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้
ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ
จุดนี้ เธอเข้าใจ
เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า
แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ
ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง
“ไม่เลว มีความหมายดี”
เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา
“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”
ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”
มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น
จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว
เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว
“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”
พูดจบ กำลังจะจากไป
“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน
คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”
โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ
คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก
หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา
“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”
พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”
คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”
จากนั้น ก็มีเสียงเดินลงบันได พร้อมกับเสียงดีใจ “ลูก? เป็นลูกของโม่หานเหรอ? อูย นี่เป็นเรื่องน่ายินดีมากเลย ตาแก่ รีบลงมาเร็ว เรามีเหลนแล้ว”ทันใดนั้นมือของมู่เฉียวถูกจับไว้อีกครั้ง
หญิงชราผมขาวปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว
ลิฟต์บ้านลงมาจากชั้นสอง ประตูลิฟต์เปิดออก คนใช้คนหนึ่งผลักรถเข็นออกมา ในรถเข็น มีชายสูงอายุผมขาวเหมือนกัน แม้อายุจะไม่น้อยแล้ว แต่ในตากลับมีชีวิตชีวา นี่ คงเป็นราชาเรือในตำนานใช่ไหม?
“ไปเชิญหมอมา”ปู่โม่เป็นคนทำการใหญ่ ไม่เหมือนกับคุณย่าที่เป็นกระต่ายตื่นตูม เขาโบกมือ ชี้จุดสำคัญ
ผ่านไปไม่นาน แพทย์สองคนในชุดสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้ามู่เฉียว คนหนึ่งเป็นแพทย์แผนจีน และอีกคนเป็นแพทย์แผนตะวันตก
แพทย์แผนจีนจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกเจาะเลือด
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
“เรียนนายท่านโม่ ท้องจริงๆครับ”แพทย์แผนจีนดูระมัดระวัง
“นี่มันดีมากเลย”แพทย์แผนตะวันตกกลับมีความยินดี
ปู่โม่พยักหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง ดูไม่ออกว่าดีใจหรือไม่ดีใจ ทำเพียงแค่จ้องมองมู่เฉียว“ทำไม ถึงต้องแต่งงาน?”
สิ่งที่ไม่คาดคิด คุณปู่ไม่ได้ถามว่าเด็กในท้องเป็นลูกของโม่หานหรือเปล่า ยิ่งไม่ได้ถาม ว่าท้องเด็กคนนี้ได้ยังไง แต่ถามถึงเหตุผลโดยตรง คาดว่าเขาคงแน่ใจ ว่ามู่เฉียวไม่มีความกล้าที่จะโกหกเขา เทียบกับโม่หาน เขาดูโอหังมากกว่า
“เพื่อให้เด็กมีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ และเพื่อ…..ตัวเองด้วย”
“เพื่อตัวเธอเอง?” ปู่โม่หันรถเข็ญและหมุนไปทางมู่เฉียว “ไหนลองพูด ทำไมถึงต้องทำเพื่อตัวเอง?”
มู่เฉียวเงยหน้ามองปู่โม่ “คุณปู่โม่ ฉันรู้ว่าร่างกายตอนนี้ของโม่หาน ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องการการบริจาคไขกระดูก แต่ฉันก็รู้ดี ว่าชีวิตนี้ของฉัน จะสูญเสียอิสรภาพเพราะเหตุนี้ ฉันไม่มีทางหนีไปจากสายตาของพวกคุณได้ ยิ่งกว่านั้น ยังไม่สามารถมีลูกกับใคร หรือมีครอบครัวกับใครได้ ไม่ใช่เหรอคะ? ตระกูลโม่ไม่มีทางให้ฉันมีอันตรายแม้แต่นิดเดียว เพราะฉันต้องมีชีวิตอยู่เพื่อโม่หาน ฉันต้องเตรียมตัวที่จะสละไขกระดูกให้เขาเสมอ”
เรื่องนี้มู่หยิงบอกเธอในอีเมลวันนั้น เธอรู้ว่า มู่หยิงไม่ได้แค่บอกให้เธอตกใจอย่างแน่นอน
นี่ก็เป็นสาเหตุที่มู่หยิงไม่ยอมแต่งงานกับโม่หาน โรคนี้ โดยทั่วไปถ้าไม่อยู่ในขั้นที่กำหนด ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเลือกปลูกถ่ายไขกระดูก เพราะมีความอันตรายสูงมาก ถ้าหากเกิดอาการต่อต้าน หรือเกิดมีเชื้อโรค แค่ข้อผิดพลาดนิดเดียว ชีวิตของโม่หานก็จบ
ถ้าแต่งงานกับเขา ก็ไม่ต่างอะไรจากมีชีวิตกับระเบิดเวลา ความกลัวแบบนี้ แค่คิดดู ก็น่ากลัวแล้ว
แต่ หลายปีมานี้ความรู้สึกและนิสัยของทั้งสองคนเป็นไปในทางเดียวกัน ทำให้มู่หยิงหาข้ออ้างไม่ได้ที่จะต้องปฏิเสธงานแต่ง หรือเลิกกับโม่หานในเวลานี้
ไม่ว่าจะทางความสัมพันธ์หรือเหตุผล ก็ไม่ได้
ดังนั้น เธอถึงบังคับให้เธอแต่งงาน ถ้าเป็นแบบนี้ เธอก็จะหนีได้ ตระกูลโม่และโม่หานยังรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้ แล้วจะปฏิบัติกับเธออย่างดี
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
อีกอย่างสำหรับโม่หานและตระกูลโม่ มันไม่สำคัญว่ามู่เฉียวตัวเล็กๆคนนี้ จะมีความสุขหรือไม่ ตราบใดที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ก็พอ
จุดนี้ เธอเข้าใจ
เมื่อคืน เธอก็คิดมามากเหมือนกัน การต่อต้านของตัวเอง ไม่ต่างจากตั๊กแตนห้ามรถ ถ้าอย่างนั้นในเมื่อเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็ต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองดีกว่า
แต่งงานกับโม่หาน เธอตัดสินใจแล้ว เพิกเฉยต่อเขา สิ่งที่เธอต้องการ ก็แค่การแต่งงานเท่านั้น ในเมื่อไม่มีอิสระแล้ว ถ้าอย่างนั้น แต่งให้เขายังดีกว่า คิดเพื่อลูกในท้องให้มากๆ
ปู่โม่ไขว้มือทั้งสองข้างไว้ที่อก เงยหน้ามองมู่เฉียว เห็นได้ยาก ที่มุมปากของเขายกขึ้น ในตามีความซาบซึ้ง
“ไม่เลว มีความหมายดี”
เห็นว่าตาโม่มีน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย คุณนายโม่ก็ร้อนรนขึ้นมา
“แต่ว่าพ่อคะ โม่หานกับมู่หยิงหมั้นกันตั้งนานแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็ดี อีกอย่าง ก่อนที่พ่อของลูกจะเสียก็พูดว่าให้ทั้งสองคนแต่งงานกัน”
ปู่โม่มองคุณนายโม่ แล้วหันไปมองมู่เฉียว“เธอลองพูดมาดู ว่าถ้าหากเราไม่ยอมรับข้อเสนอของเธอล่ะ”
มู่เฉียวนิ่งไปสักพัก แล้วสบสายตากับปู่โม่ พูดแบบไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่งและไม่ถ่อมตัวจนเกินไปว่า “ฉันไม่มีทางต่อต้านพวกคุณได้ แต่ว่า การควบคุมร่างกายของตัวเอง ฉันคิดว่า ฉันพอทำได้ อีกอย่าง ฉันกับโม่หานมีกรุ๊ปเลือดเดียวกัน ฉันคิดว่าคุณปู่เองไม่มีทางที่จะไม่รู้ ว่าถ้าเด็กคนนี้เกิดมา มันหมายถึงอะไร? ถ้าอย่างนั้น ในเมื่อจะคลอดเด็กคนนี้อยู่แล้ว ก็ต้องคลอดในฐานะหลานของตระกูลโม่ หรือว่า คุณหวังจะให้เขาไม่มีฐานะอะไรเลย เป็นแค่ลูกนอกสมรส?” มู่เฉียวบอกเหตุผลและข้อแก้ตัวที่เธอคิดไว้ก่อนหน้านี้
เมื่อเทียบกับการปลูกถ่ายไขกระดูก เลือดจากสายสะดือที่เป็นแหล่งสำคัญของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดมีความดั้งเดิมและบริสุทธิ์กว่าการปลูกถ่ายไขกระดูก การปลูกถ่ายสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก่อให้เกิดผลข้างเคียงน้อยกว่า อีกอย่างอัตราการต่อต้านของสเต็มเซลล์เม็ดเลือดก็มีน้อยกว่า และที่สำคัญที่สุด เลือดของเธอกับโม่หานเป็นกรุ๊ปเดียวกัน โอกาสของเด็กที่คลอดออกมาจะมีกรุ๊ปเลือดตรงกันมีมากกว่าการที่เขาไปมีลูกกับคนอื่น
จุดนี้ เธอเชื่อว่าคนตระกูลโม่ทำความเข้าใจมาก่อนแล้ว
เมื่อเทียบกัน ความรักของโม่หานกับมู่หยิงและความสัมพันธ์ของทั้งสองครอบครัว สุภาพร่างกายของโม่หานสำคัญที่สุดอยู่แล้ว
“แบบนี้ก็ดี เด็กสาวมู่คนนั้น ฉันไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ ทำเป็นแค่ออดอ้อน แต่งไม่ได้ ยิ่งดี ฉันมองเด็กสาวคนนี้ยังเจริญตามากกว่า ”คุณย่าโม่พูดขึ้นข้างๆ แล้วเงยหน้า มองมู่เฉียว ยิ่งมองยิ่งชอบ รู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
ปู่โม่ไม่ได้พูดอะไร เข็ญรถเข็ญ มองไปยังกลางห้องโถง ที่มีป้ายวิญญาณประดิษฐานอยู่หลายป้าย นั่นเป็นบรรพบุรุษของตระกูลโม่ ตระกูลโม่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ในรุ่นของคุณนายโม่ มีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว หลังจากนั้นคุณปู่โม่เกิดอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถคลอดบุตรได้อีก ดังนั้น โม่หานจึงเป็นเป็นชีวิตจิตใจของคุณปู่โม่ มีความผิดปกติไม่ได้แม้แต่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้น เขาคงจะรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษ ผ่านไปนานพักหนึ่ง เอ่ยปากพูดว่า “สั่งคนไปเตรียมการเรื่องงานแต่ง ทางตระกูลมู่ ลูกไปคุยกับเขา พยายามพูดปลอบ”
พูดจบ กำลังจะจากไป
“คุณปู่ นี่เป็นงานแต่งของผม!”เสียงของโม่หาน
คุณปู่โม่หันรถเข็ญ มองโม่หาน พูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ“นายแต่งงาน? ถ้าหากนายตาไป นายจะเอาอะไรมาแต่ง?”
โม่หานนิ่งไป พูดไม่ออกไปสักพัก หันตัว เขาสูดหายใจเข้า ชี้มือไปที่มู่เฉียว “คุณ คุณนี่มัน……”พูดได้ครึ่งหนี่ง เขาก็ใช้มือจับที่อกทันที จากนั้น ก็หอบหายใจแรงๆ
คุณนายโม่รีบกดกริ่งในมือ หมอสองคนก็วิ่งมาจากข้างนอก
หลังนอนกลิ้งไปกลิ้งมา
“คุณชาย โรคนี้ของคุณไม่ควรแตกตื่นมากเกินไป”
พูดจบ มองคุณปู่โม่ “คุณเตรียมตัวไว้จะดีกว่า แม้ว่าตอนนี้สถานการณ์ยังคงถือว่าดีอยู่ก็ตาม”
คุณปู่โม่พยักหน้า หันตัว มองโม่หาน “เตรียมงานแต่งเถอะ”
ในยามเช้า ผู้หญิงคนนั้นมองไปที่ชายที่นั่งข้างเตียง “เสี่ยวหวู่ ทำไมคุณถึงตื่นเช้าจัง”
ชายคนนั้นเหลือบมองหญิงสาวด้วยแววตาที่คลุมเครือ “ภรรยา ผมยังไม่ได้นอนทั้งคืน”
ซูหย่านึกอะไรบางอย่างได้ ไอออกมาเบาๆ และลุกขึ้น
เนื่องจากมู่เฉียวจะไปหาโม่หาน พวกเขาจึงต้องไปที่เมืองที่โม่หานอยู่ เมือง A
พวกเขาได้รับการต้อนรับจากผู้ดูแลบ้านตระกูลมู่ หรือผู้ช่วยของโม่หาน, ฉินเส้า
ซูหย่า ประทับใจเขาเล็กน้อย เธอเพิ่งพบเขาเมื่อไม่นานนี้ และเธอไม่มีความประทับใจที่ดีกับใครบางคนที่มีดวงตาที่หงายขึ้นแบบกับโม่หาน
“ผู้บัญชาการเซียว ประธานโม่บอกว่าให้ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน ไม่ทราบว่าคุณมีเวลาไหม?” ซูหย่ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำว่า “คุณ” ที่เขาพูดกับเซียวอู๋
เซียวอู๋หันไปมองซูหย่า “ภรรยา คุณคิดว่าไง”
ฉินเส้าจำซูหย่าได้ และมองดู “ผู้บัญชาการเซียว นี่ใคร?”
“ภรรยาของผม ซูหย่า”
“โอ้ คุณหนูตระกูลซู ขอโทษด้วย คุณนายเซียว เราเคยเจอกันมาก่อนใช่ไหม?”
ซูหย่าขี้เกียจเกินกว่าที่จะคุยกับคนที่ชอบใช้ทางลัดในทางที่ไม่ถูกแบบพวกเขาแล้วเธอก็ยิ้มหันมองมู่เฉียว
“เสี่ยวเฉียว เที่ยงนี้คุณอยากกินอะไร”
มู่เฉียวคิดไม่ถึงว่าซูหย่าจะถามเธอ และส่ายหัว “คุณตัดสินใจเลย ฉันไม่มีความอยากอาหาร”
พูดเสร็จก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเขา และสภาพจิตใจของเขาก็ดูแย่มาก
สายตาของฉินเส้า อยู่ที่ มู่เฉียวชั่วขณะหนึ่งก่อนจะมองกลับ
ระหว่างการสนทนา ประตูห้องประชุมก็เปิดออก ตามมาด้วยโม่หานที่ถูกล้อมด้วยคนไม่กี่คนและเดินเข้ามาด้วยท่ามือล้วงกระเป๋ากางเกง เขาสูง 1.87 เมตร หุ่นเพรียว ชุดสูทสีเทา กางเกงยีน ใส่หมวกไหมพรม ถึงจะไม่ได้แต่งตัวมา พอมันอยู่บนตัวเขาแล้วก็ดูดีมีรสนิยมที่ไม่ธรรมดา
แตกต่างจากความเย็นชาของการประชุมครั้งล่าสุด เมื่อเขาเห็นเซียวอู๋ มุมปากของเขาก็ยกขึ้น “พี่เซียว”
เซียวอู๋มองเขาขึ้นลง ตบไหล่เขา “ดูเหมือนว่าเขายังอยู่ในสภาพดี”
โม่ฮานหันมองไปทางขวาและก้มลงมองซูหย่า “นี่คือพี่สะใภ้ของฉันเหรอ?”
“พี่สะใภ้ของคุณมีความรู้สึกไม่ดีต่อคุณ โดยบอกว่าคุณหยิ่งเกินไป”
ซูหย่าไม่ได้คาดหวังให้เซียวพูดอย่างตรงไปตรงมา และดึงขอบเสื้อของเขา
โม่หานขมวดคิ้ว “พี่สะใภ้ คุณว่าอะไรนะ?”
“ประธานโม่ มันเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่าพูดถึงมันอีกเลย วันนี้เราพามู่เฉียวมา และเธอมีบางอย่างจะคุยกับคุณ” ทันทีที่โม่หานเข้าประตู เขาก็ไม่คิดที่จะใช้สายตามองไปนั่งอยู่ข้างๆของมู่เฉียวมันทำให้ซูหย่ารู้สึกไม่สบายใจ
ไม่ว่าในกรณีใด มู่เฉียวผู้นี้ก็เป็นคนที่จะช่วยชีวิตเขาการทำแบบนี้ไม่เป็นที่พอใจจริงๆ
ขณะที่เขาพูด เขาหันกลับมามองมู่เฉียว”เสี่ยวเฉียว, เสี่ยวหวู่และฉันรอคุณอยู่ข้างนอก คุณกับประธานโม่คุยกันก่อน”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ดึงเซียวอู่ออกจากห้องประชุม เมื่อเห็นว่าฉินเส้าไม่ได้ตั้งใจจะออกไป เขาจึงไอเล็กน้อย “คุณผู้ดูแลฉิน คุณไม่พาเราไปเยี่ยมชมโม่กรุ๊ป หน่อยหรือ?”
โม่กรุ๊ป ตั้งอยู่ริมทะเล สร้างขึ้นในรูปทรงของเรือ และระดับความหรูหราของมันทำให้ผู้คนทึ่ง
มู่เฉียวนั่งบนเก้าอี้ เธอสัมผัสได้ถึงชายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ออร่าที่แข็งแกร่ง และเธอก็สามารถสัมผัสได้ถึงชายคนนั้นที่มองดูตัวเอง
เธอไม่ได้พูด เธอกำลังคิดว่า จะคุยกับผู้ชายคนนี้อย่างไรดี
และโม่หานมองไปยังผู้หญิงที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม หรี่ตาลง ล้วงมือข้างหนึ่งใส่กระเป๋าของเขา “คุณมีเงื่อนไขอะไร ขอแค่คุณพูดมา ไม่มีอะไรที่คนแบบโมหานทำให้ไม่ได้”
ความเย่อหยิ่งของชายผู้นี้ทำให้มู่เฉียวรังเกียจในทันที
เธอเงยหน้าขึ้น มองดูโม่หาน เยาะเย้ยที่มุมปากของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย: “จริงเหรอ คุณโม่เป็นคนเก่งกาจมาก ทำไมไม่สามารถรักษาโรคของตัวเองได้”
ใบหน้าของชายตรงหน้ากลายเป็นเย็นชาทันที ดวงตาของเขาจ้องไปที่มู่เฉียวอย่างเย็นชา เธอไม่สนใจ และจ้องมาที่เขา
“คุณกำลังเถียงกับผมเหรอ” สีหน้าของชายคนนั้นเย็นชาและไร้ร่องรอยอุณหภูมิ
มู่เฉียวยืนขึ้น หันหลังกลับ และมองไปยังทะเลกว้างใหญ่นอกหน้าต่าง เธอสูดลมหายใจ “ประธานโม่ขอให้ฉันบริจาคไขกระดูก ฉันไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ฉันมีเงื่อนไข”
“พูดตรงๆ”
“แต่งงานกับฉัน.”
นิ้วเรียวของชายผู้นั้นเคาะเป็นจังหวะบนโต๊ะ เมื่อเขาได้ยินคำเหล่านี้ นิ้วของเขาก็งอเล็กน้อย แล้วรวบรวม จากนั้นก็ยิ้มล้นจากอกของเขา เขามองขึ้นไปที่มู่เฉียว “คุณพูดอีกครั้งซิ”
มู่เฉียวหันกลับมามองตรงมาที่ โม่หาน”แต่งงานกับฉัน”
ชายคนนั้นดูเหมือนจะได้ยินเรื่องตลก เลิกคิ้ว มองเธอขึ้นลง มู่หยิงบอกว่าผู้หญิงคนนี้หน้าเหมือนกับเธอเล็กน้อย มองใกล้ๆ ก็ดูเหมือนอยู่นิด แต่เขาเห็นว่ามู่หยิงเป็นคนสวย ,แต่ ผู้หญิงคนนี้หน้าตาน่าขยะแขยง ยังอยากแต่งงานกับเขา มันช่างพูดบ้าบอจริงๆ
“คุณต้องการข่มขู่ผมด้วยการบริจาคไขกระดูกหรือ คุณเชื่อไหม มีวิธีมากมายที่ผมสามารถทำให้คุณบริจาคอย่างเชื่อฟังได้” เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เขามองดูมู่เฉียวอย่างดูถูก
“ฉันเชื่อโดยธรรมชาติว่าพลังอำนาจของประธานโม่นั้นกว้างใหญ่จริง แต่ถ้าฉันไม่บริจาคไขกระดูกล่ะ?”
สีหน้าของชายคนนั้นกระชับขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรจะมาขู่ฉันได้”
ความมั่นใจในตัวเองของเขาทำให้ผู้หญิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าผู้ชายแบบนั้น ผู้หญิงเหล่านั้นที่แห่กันต้องการเขา ตาบอดหรือ?นอกจากถุงหนังที่ดีและมีกลิ่นทองแดงทั่วร่างกายเธอไม่เข้าใจจริงๆ เขามีดีอะไร?
“แล้วเด็กคนนั้นล่ะ?” เธอยกมุมปากขึ้น และดวงตาของเธอดูมีชัยชนะเมื่อมองดูใบหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดของชายคนนั้น
ในเวลานี้เธอรู้สึกสดชื่นในหัวใจของเธอ
ดวงตาของชายผู้นั้นจ้องไปที่ท้องส่วนล่างของเธอ และเขาพูดทีละคำ: “คุณพูดให้ชัดเจนนะ เด็กอะไร”
มู่เฉียวสูดลมหายใจและยกมุมปากของเธอขึ้น “เขาเป็นลูกของประธานโม่” หลังจากพูดจบ เธอหันหลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง รู้สึกดีขึ้น
ชายผู้นั้นนั่งบนเก้าอี้ ใช้มือใหญ่ถูแขนเก้าอี้ มองดูมู่เฉียวอย่างเฉยเมย “ลูกของผม คุณคิดว่าผมจะให้โอกาสคุณตั้งท้องลูกของผมไหม ผู้หญิงอย่างคุณถอดออกหมด ผมยังไม่ดูเลย”
การดูถูกของเขาทำให้ มู่เฉียวมีสีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย เธอมองไปที่โม่หานและบังคับความสงบของเธอ “ดูไม่ดู ฉันไม่รู้ แต่นี่เป็นลูกของคุณจริงๆ ถ้าคุณไม่เชื่อ” , ฉันไม่รังเกียจที่จะปล่อยเขาไป” เมื่อเธอพูดประโยคสุดท้าย มู่เฉียวก็ลูบท้องของเขาโดยไม่รู้ตัว ฝึกเงียบๆ ในใจ มันเป็นเพียงเศษเนื้อ และยังไม่ได้ยิน ยังไม่ได้ยิน
“ปัง” เสียงเก้าอี้ที่ร่วงลงสู่พื้น ตั้งแต่โม่หานโตมาเขาไม่เคยถูกขู่แบบนี้มาก่อน เขาหายใจเขาทรวงอกอย่างแรงยกมือใหญ่ขึ้น เขาต้องการตีมู่เฉียว และ วางลงอีกครั้ง
“เธอบอกมา มีเด็กคนนี้ได้ยังไงกันแน่”
เมื่อมองดูเขาเหมือนพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงนั้น มู่เฉียวก็สงบลง เธอรู้สึกว่าเธอไม่ใช่คนเดียวที่เปลี่ยนชะตากรรมอีกต่อไป
เธอเปิดปาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ประตูถูกผลักเปิดออก และใบหน้าของมู่หยิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา
มู่เฉียว ตัวแข็งและมองไปที่โม่หาน
จากนั้น เธอรู้สึกว่ามีร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว เธอก็ ” เพียะ!” และเธอก็ถูกตบหน้าอย่างแรง
ในวิดีโอ ซูหย่ายืนอยู่ข้างถนนเพราะมีรถจักรยานยนต์ขับผ่านไปและบีบเธอเข้าไปในมอเตอร์เวย์ ในขณะนั้น มีรถยนต์คันหนึ่งขับผ่านไปเร็วมากและกำลังจะชนเธอ
ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งรีบผลักเธอไปที่ทางเท้า ด้วยเสียงเบรก ร่างของชายคนนั้นก็ล้มลงพร้อมกัน เมื่อเธอยืนขึ้น ผู้ชายคนนั้นก็จากไปอีกฝั่งแล้ว
ซูหย่ารู้สึกแน่นคอ และเธอสามารถจำร่างนั้นได้ ถ้าไม่ใช่เซียวอู๋จะเป็นใคร?
“เขาถูกชนจนขาหัก เกรงว่าเธอจะรู้เลยลากขาที่หักแล้ววิ่งหนีไป ได้ยินมาว่าเกือบพิการ”
ปี๋ไคพูดเสียงเบา ซูหย่าตกใจ
เธอคิดเสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมามีเพียงเธอที่ยอมเสียสละ และคิดว่าเซียวอู๋ไม่เคยสนใจเธอ
ปรากฏว่าความห่วงใยและความรักของเธอช่างสดใส แต่เขากลับซ่อนเร้น
หัวใจถูกดึงเข้าอยู่ด้วยกัน คนโง่คนนี้!
เธอลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและเดินไปที่ห้องครัว เซียวอู่กำลังทำอาหารอยู่ เธอกอดเขาจากด้านหลัง ชุบเข้าไปที่เสื้อด้วยความอบอุ่น เซียวอู๋รีบปิดไฟ หันศีรษะและมองที่ซูหย่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงร้องไห้แบบนี้?”
ด้วยเหตุนี้ เขาต้องการที่จะหยิบทิชชู่ให้ซูหย่าแต่ซูหย่าก็กอดเขาและปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหว
“เกิดอะไรขึ้น คุณบอกซิ?” เซียวอู๋กังวล และเสียงของเขาก็ดังขึ้น
“ขาคุณไม่ส่งผลกระทบต่อการบาดเจ็บครั้งนั้นนะ” เสียงที่มาพร้อมกับเสียงจมูกดังมาจากแขนของเขา
เซียวอู๋ตัวแข็งแต่แล้วก็คิดออก และกระซิบข้างหูของเธอว่า “ ดีหมดแล้ว ไปเถอะ ไปที่ห้องนั่งเล่น ที่นี้ควันมันเยอะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จ ซูหย่าก็พามู่เฉียวขึ้นไปชั้นบน เหตุการณ์การตั้งครรภ์นั้นส่งผลกระทบร้ายแรงต่อเธออย่างไม่ต้องสงสัย เธอเคยหัวเราะ ตอนนี้เธอก็มีอารมณ์น้อยลง
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้มีสาเหตุมาจากเซียวอู๋ และซูหย่าก็รู้สึกผิดเล็กน้อยในใจ
“เสี่ยวเฉียว กินอะไรก่อน ถ้าคุณไม่คิดถึงตัวเองก็คิดถึงลูกในท้องของคุณหน่อย”
มู่เฉียวคุกเข่า ไม่พูด คิดเกี่ยวกับชีวิตของเธอ เมื่อมันพังทลาย เธอก็มีแต่ความเกลียดชังต่อมู่หยิงในใจ
ซูหย่าวางถาดลงแล้วจับมู่เฉียวไว้ในอ้อมแขนของเธอ “เสี่ยวเฉียว ฉันเล่าเรื่องหนึ่งให้คุณฟัง”
จากนั้น ซูหย่าได้บรรยายสั้นๆ เกี่ยวกับการตั้งครรภ์ของเธอ อุบัติเหตุของเซียวอู๋ และอื่นๆ กับเสี่ยวเฉียว
เสี่ยวเฉียวประหลาดใจเล็กน้อย “หมายความว่า คุณเพิ่งมาดีกันเมื่อวานนี้หรือ”
ซูหย่าพยักหน้า ผลักเธอออกมาหน่อยและจับใบหน้าของเธอ “ใช่ ฉันต้องขอบคุณคุณ ดังนั้น เสี่ยวเฉียว ยังมีสิ่งที่ไม่น่าพอใจอีกมากมายในชีวิต คุณยังเด็ก และจะมีหลายอย่างที่คุณจะทำ ประสบการณ์ในอนาคต , ฉันรู้ว่าฉันพยายามเกลี้ยกล่อมคุณแบบนี้ มันเหมือนกับการยืนพูดแต่คุณต้องเผชิญมันด้วยตัวเอง คุณบ่น คุณเกลียด และคุณเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้มันเปล่าประโยชน์ เธอควรคิดว่าจะพยายามทำอย่างไรให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น”
มู่เฉียวยิ้มเล็กน้อย ความขมขื่นซ่อนอยู่ในรอยยิ้มของเขา
“พ่อบอกว่าลูกเป็นคนที่รักอิสระมาก ฉันรู้เสมอว่าตัวเองต้องการอะไร ตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันได้ทำงานอย่างหนักในทิศทางที่ฉันต้องการ ชีวิตที่ฉันต้องการคือเรียนจบมหาวิทยาลัย หางานที่ รักและแต่งงานกับคนที่ฉันชอบ อยู่ด้วยกัน เดินผ่านชีวิตนี้อย่างชัดแจ้ง แต่ตอนนี้ ใจฉันว่างเปล่าและสูญเสีย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร อะไรจะเจอกับฉันอีก พี่ซู , ชีวิตฉันยุ่งเหยิง “หลังจากนั้น เธอหลับตา คิ้วของเธอเต็มไปด้วยความเศร้าที่แก้ไขไม่ได้
“เสี่ยวเฉียว ฉันก็ขอโทษคุณแทนเซียวอู๋ด้วย”
มู่เฉียวส่ายหัวและลืมตาด้วยน้ำตาที่ส่องประกายในดวงตาของเขา “พี่ซู ฉันเป็นแค่คนธรรมดา ฉันเกิดในครอบครัวที่ธรรมดามาก แม่ของฉันปลูกฝังในตัวฉันตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็ก ใน อนาคตเราต้องแต่งงานกับใครสักคน ฉันไม่เคยคิดที่จะแต่งงานกับคนอย่างโม่หานไม่เคยคิดเกี่ยวกับมันเลย” ในตอนท้ายเสียงของมู่เฉียวก็สำลัก
“พี่ซู น่าจะดูออก คุณเป็นคนรวย คนรวยอาจจะคิดว่าลูกคนยากจนแบบเรา คงคิดที่จะขึ้นไปในที่สูง แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด” เธอสูดหายใจ “ฉันมีความสามารถในการใช้ชีวิตตามที่ฉันต้องการ แต่ตอนนี้ ทุกสิ่งว่างเปล่า”
ซูหย่ามองไปที่มู่เฉียวและเธอก็ไม่พูดอะไรออกมาชั่วขณะหนึ่ง พวกเขาเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและมีประสบการณ์ที่แตกต่างกัน มู่เฉียวและเล่อจยาต่างกัน แม้ว่าเล่อจยาจะมีภูมิหลังครอบครัวที่ยากจน แต่เธอก็สบายใจกับสถานการณ์มากขึ้น , ยกเว้นจะดื้อดึงกับเกาไห่ , เรื่องอื่นๆ เธอเป็นคนสบายๆ
ในที่สุด หลังจากที่โน้มน้าวมาเป็นเวลานาน มู่เฉียวก็กินบางอย่าง และซูหย่าขอให้เธอเข้านอนแต่เช้า และพรุ่งนี้ให้ตื่นแต่เช้าเพื่อขึ้นเครื่องบิน จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องของเธอ
เธอขมวดคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายนอนอยู่บนเตียง
“เสี่ยวอี้ ผมกล่อมนอนแล้ว”
ซูหย่าพยักหน้า เพราะเรื่องของมู่เฉียว ฟ้าหลังฝนอย่างเธอ ก็มีอารมณ์หดหู่เล็กน้อย
“เสี่ยวหวู่ อาการป่วยของโม่หาน มีแค่มู่เฉียวจริง ๆ เหรอ?”
เซียวอู๋มองไปที่ซูหย่า ดูเหมือนจะรู้ว่าเธอกำลังพยายามจะพูดอะไร และกล่าวว่า “อันที่จริง มู่เฉียวไม่รู้ แม้ว่าเธอจะไม่แต่งงานกับโม่หาน แต่ชีวิตของเธอก็ถูกกำหนด และตระกูลโม่ไม่มีทางปล่อยเธอไปแน่”
“ทำไม?”
“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าโรคของโม่หานเกิดขึ้นอีก”
ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู่ด้วยแววตาไม่เชื่อ “แต่ทำไมชีวิตผู้หญิงถึงพังเพราะความเจ็บป่วยของเขา เขามีเงิน และชีวิตของเขาก็เป็นของเขา ตลอดชีวิตของคนอื่นก็ไม่สำคัญแล้วใช่ไหม ?” เธอรู้สึกแย่กับโม่หานอีกครั้ง
เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร บางสิ่งก็ถูกกำหนดมาแล้ว
“ภรรยา หลังจากที่เรากลับไป คุณไปกองทัพกับผมไหม” เซียวอู๋ก็กอดซูหย่าและลูบหัวของเธอกับหน้าอก เห็นได้ชัดว่าเขาอยากลวนลามเธอ
ซูหย่าผลักเขา “ฉันจะไปทำไหม คราวที่แล้วคุณทำกับฉันแบบนั้น แล้วฉันก็วิ่งกลับไปอีกครั้ง คนจะไม่หัวเราะเยาะฉันเหรอ?”
เซียวอู๋เงยหน้าขึ้น ใบหน้าของเขาทรุดลง “ดูว่าใครกล้า!”
“ฉันไม่ไป ฉันจะอยู่ที่บ้านแม่กับเสี่ยวอี้ และฉันยังต้องทำงาน…”
“แล้วถ้าผมคิดถึงคุณต้องทำยังไง”
“ก่อนหน้านี้คุณอยู่อย่างไร ในอนาคตคุณก็อยู่อย่างนั้น” ซูหย่ายกมุมปากของเธอ จัดการเขา
“จะเหมือนกันได้ยังไง มีภรรยากับคนโสด มีคนกอดได้แต่ไม่ได้กอด แต่อีกคนกอดไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนเดิมได้ไง?
ซูหย่าหยิบหมอนที่อยู่ข้างหลังเธอและตบหัวเขา “คุณคิดอย่างอื่นได้ไหม คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ได้ ถ้าอย่างนั้นเป็นการดีสำหรับคุณที่จะหาผู้หญิงที่น่าสังเวชเหล่านั้น คุณก็แค่เอาเงินแลกของแค่นี้ก็เรียบร้อย .”
ใบหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนเป็นสีเข้มและเขาก็ดึงหมอนออก “ซูหย่า คุณดูถูกฉันและคุณก็ดูถูกตัวเองด้วย” สีหน้าของเขาดูจริงจังมาก ซูหย่ากลืนน้ำลายนอนลงหันหลังให้เขา ฉัน ขี้เกียจคุยกับคุณ นอนได้แล้ว”
เซียวอู๋วางมือบนเอวของเธอ “ภรรยา ผมแค่กอดคุณนอน ผมจะไม่ทำอะไร”
“อืม.”
“ภรรยาผมนอนไม่หลับ”
“ไปวิ่ง 20 กิโลไป”
“ภรรยา คุณยังเจ็บอยู่หรือเปล่า ให้ผมช่วยทายาให้คุณไหม”
ใบหน้าของหญิงสาวแดงก่ำ ลืมตาขึ้น และยกผ้าห่มขึ้นบนร่างของชายคนนั้น “กลับไปที่ห้องของคุณ”
ในห้องของมู่เฉียว เธอทรุดตัวลงที่ข้างเตียง และโคมไฟบนโต๊ะข้างเตียงก็ถูกโยนลงกับพื้น
“เสี่ยวเฉียว…” ซูหย่าวิ่งเข้ามา พยายามช่วยเธอ
แต่มู่เฉียวส่ายหัว น้ำเสียงแหบ “พวกคุณออกไปให้หมด!” ขณะที่เขาพูด เขาก็โยนรองเท้าแตะ
เซียวอู๋จับซูหย่าและกอดไว้ในอ้อมแขนของเขา “คุณมู่ ในเมื่อคุณรู้เกี่ยวกับการตั้งครรภ์แล้ว เราจะไม่ปิดบังอีกต่อไป เราอยากรู้ว่าใครคือพ่อของเด็กในท้องของคุณ”
ดวงตาของมู่เฉียวมัวหมอง และเธอก็ยิ้มแบบแห้งเมื่อได้ยินคำถามของเซียวอู๋ “ผู้บัญชาการเซียว เป็นของใคร คุณไม่ใช่รู้เป็นอย่างดี เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายของพวกคุณถึงขั้นยอดทำทุกวิถีทางเพื่อได้มันมา”
ซูหย่าหันไปมองที่เสี่ยวหวู่ และพูดด้วยความประหลาดใจ: “เป็นคุณ…”
เซียวอู๋ส่ายหัว “คุณมู่ คุณอาจเข้าใจผิด ผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียวอู๋หยุดชั่วคราว “พ่อและแม่ของคุณเป็นครูมัธยมต้นทั้งคู่ พวกเขาซื่อสัตย์ และคุณเป็นความภาคภูมิใจของพวกเขามาโดยตลอด…”
มู่เฉียวเงยหน้าขึ้น กระโดดขึ้นจากพื้น แล้วมาอยู่ต่อหน้าเซียวอู๋ “ถ้าคุณกล้าที่จะขยับมัน ฉันจะตายให้คุณดู ฉันคิดว่าฉันตายแล้ว โม่หานจะมีใครช่วยมันได้” ดวงตาของเธอเป็น สีแดงซูหย่าดึงตัวเซียวอู๋
เซียวอู๋ถอนหายใจแล้วเอามือออกจากปลอกคอ “คุณมู่ ผมหมายความว่าถ้าคนแบบพ่อแม่ของคุณรู้ว่าคุณท้อง พวกเขาจะรับไม่ได้อย่างแน่นอน .. .”
“ไม่ว่ายังไรก็ตาม พวกคุณต้องการ ให้เอาเด็กออกไหม” หลังจากพูดแบบนี้ เธอหยุดและมองที่เซียวอู๋ “ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่บอกว่าฉันควรจะซื่อสัตย์และใจดี ตั้งแต่ชั้นประถมถึงมหาวิทยาลัยแล้ว พอไปถึงที่ทำงานก็อยู่ตรงสายกลางมาโดยตลอด เดิมที แฟนเก่าเราวางแผนแต่งงานกันในปีหน้า แต่ทำไมตั้งแต่ฉันสัญญาว่าจะบริจาคไขกระดูกให้โม่หาน งานของฉันก็หายไป แฟนก็ไม่มีแล้วไป ร่างกายของฉันถูกทรมานจนมันเป็นแบบนี้ และตอนนี้อยู่ดีๆก็มีลูก ผู้บัญชากาเซียวคุณไม่ได้บอกว่าคนดีได้ดีไม่ใช่เหรอ?”
“โม่ฮานเขามีเงิน แต่เขาไม่ใช่ที่รักของฉัน ทำไมฉันต้องแต่งงานกับเขาด้วย เขาต้องการปลูกถ่ายไขกระดูก ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่เห็นด้วย มันยังไม่พอเหรอ ทำไมฉันต้องท้องลูกของเขาด้วย?” มู่เฉียวพูดและเริ่มร้องไห้อย่างหนัก
ซูหย่าก้าวไปข้างหน้าและกอดเธอ “มู่เฉียว อย่าตื่นเต้น ฉันเชื่อว่าเซียวอู๋ไม่ทราบเรื่องนี้อย่างแน่นอน เซียวอู๋ไม่ใช่คนแบบนั้น”
มู่เฉียวเยาะเย้ย: “เขาไม่ใช่คนแบบนั้น เขาจะหย่ากับคุณหลังจากที่คุณให้กำเนิดลูกเพื่อเขาหรือ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว เขินอาย แต่พูดไม่ออก
สีหน้าของเซียวอู๋ดูมืดมน “พ่อของมู่กับพ่อของโม่หานเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดี พวกเขาเคยบอกว่าถ้ามีลูกชายและลูกสาวในอนาคต พวกเขาจะพิจารณาให้มีการแต่งงานกัน มู่ซือแก่กว่าโม่หานและเป็นไปไม่ได้ที่จะแต่งงาน ดังนั้น หลังจากที่มู่หยิงเกิด พ่อแม่ของทั้งสองฝ่ายจึงจงใจนำทั้งสองมารวมกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง ทั้งสองคนดีเสมอมา โม่หานมีความประทับใจที่ดีต่อมู่หยิงเดิมทีวางแผนจะแต่งงานกันในช่วง2ปีที่ผ่านมา และอยู่ดีดีโม่หาน ก็หมดสติและพบว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวเมื่อปีก่อน พวกเขาหากรุ๊ปเลือดพิเศษไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ แต่มีแต่คุณเพียงคนเดียว คุณมู่ ที่มีไขกระดูกกลุ่มเดียวและกรุ๊ปเลือดที่ตรงกับเขา ”
มู่เฉียวไม่ได้พูด เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังฟังอยู่ และซูหย่าพยุงเธอไว้ “เสี่ยวเฉียว เรามานั่งลงและจัดการเรื่องต่างๆ อย่างช้าๆ ตกลงไหม?”
เซียวอู๋กล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เท่าที่ฉันรู้ มู่หยิงและโม่หานยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดี คุณบอกว่ามู่หยิงบังคับให้คุณแต่งงานกับโมหาน คุณตั้งท้องเด็กได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ มู่เฉียวก็ร้องไห้อย่างขมขื่นหลังจากปิดหน้า หลังจากร้องไห้เป็นเวลานาน เธอส่ายหัว แต่ไม่พูดอะไร
คิดถึงอีเมล์ที่มู่หยิงส่งมาให้
“มู่เฉียว ฉันบอกคุณแล้ว คุณควรกลับมาอย่างเชื่อฟังและหาวิธีให้โมหานแต่งงานกับคุณ ไม่เช่นนั้นพ่อแม่และน้องชายของคุณก็จะมีชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีบางสิ่งที่พระเจ้ารู้และโลกรู้ คุณรู้ฉันรู้ ฉันหวังว่าคุณคงมีสติสัมปชัญญะในการพูด โอ้ ใช่ แฟนของคุณ ฉันคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าตอนนี้เขากลับประเทศจีนแล้ว ใช่ไหม ภรรยาของเขา เป็นผู้หญิงที่สวยและเก่งมาก มีเงิน คุณก็แต่งงานได้อย่างสบายใจ”
เธอเงียบไม่พูด มือของเธอกำแน่น และเล็บที่แหลมคมของเธอก็จมลงไปในเนื้อเพื่อทำให้เธอสงบลง
ผ่านไปนาน เธอก็ลุกขึ้น หยิบโคมไฟตั้งโต๊ะขึ้นที่พื้น วางกลับกลับคืนที่โต๊ะข้างเตียง เช็ดน้ำตา และมองไปที่เสี่ยวหวู่ “พรุ่งนี้ฉันจะกลับบ้านกับคุณ และฉันต้องการพบโม่หาน”
ซูหย่าและเซียวอู๋สับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของเธอ แต่พวกเขาก็ช่วยอะไรไม่ได้ถ้าเธอไม่พูด
“ดี.”
ตอนกลางคืน
“ซูหย่า เธอแค่ให้ความสําคัญแฟนมากกว่าเพื่อน ผมเพิ่งทำงานเสร็จ ไม่อยู่เป็นเพื่อนผมก่อนจะรีบกลับทำไม” ปี๋ไคเอาหัวซบไหล่ซูหย่า
เซียวอู๋ก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเย็นชา: “ปี๋ไคโปรดอยู่ห่างจากภรรยาของผม”
ปี๋ไคพ่นลมอย่างเย็นชา จับใบหน้าซูหย่าและจูบเธอที่แก้มขวาของเธอ ซูหย่าไม่เพียงไม่ปฏิเสธ แต่กลับยิ้มเบิกบาน จับมือ ปี๋ไค ไว้ “รอให้คุณกลับไป ฉันอยู่กับคุณนานๆเลย.”
“คุณอยากแต่งงานกับเขาใหม่จริงๆหรือ เขาทั้งโยนทิ้งคุณคุณต้องทรมานเขา”
ซูหย่าหันศีรษะของเธอและมองไปที่ชายหน้าดำ เลิกคิ้วและมองเขาขึ้นและลง “ลืมไป เขาแก่แล้ว ฉันจะช่วยรับเขาอย่างไม่เต็มใจ!”
หลังจากพูดจบ เขาก็หยิกใบหน้าของปี๋ไค “ต่างจากคุณ พ่อหนุ่มน้อย ไม่ต้องกังวลเรื่องการแต่งงาน”
สิ่งที่เธอพูดคืออย่ากังวลเรื่องการแต่งงาน…
เซียวอู๋ขมวดคิ้วและสีหน้าของเขาดูน่าเกลียด และเธอก็ได้ยินเขาบีบนิ้วของเขา
“ผมบอกแล้ว ผมไม่ใช่แบบนั้น ผมไม่ใช่ฝ่ายรับ ไม่!” ปี๋ไคอารมณ์เสียมาก
“ไม่เป็นไร ต่างกันยังไง ฝ่ายรุกหรือฝ่ายรับ”
เซียวอู๋ตกใจในตอนแรก และทันใดนั้น เมื่อรู้ เขาอารมณ์ดีขึ้นมาในทันที “พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะไปทำอาหาร”
ปี๋ไคจ้องไปที่ซูหย่า”คุณทำมันโดยเจตนา?”
ซูหย่าดึงคางของเธอ มองกลับมาที่เซียวอู๋ ด้วยท่าทางสงบ “อายุก็ 30 แล้วนะ ยังไม่หาคนเคียงข้างอีก”
ปี๋ไคจะไม่เข้าใจคำพูดของเธอได้อย่างไร ลูบหัวของเธอและมองไปที่เซียวอู๋ในห้องครัว “เสี่ยวหย่า เขาทำอย่างนั้นจริงๆหรือ”
“หมายความว่าไง” ซูหย่านั่งตัวตรง
ปี๋ไคเหล่ตามองไปมา หยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกงของเขา หันไปทางอินเทอร์เฟสวิดีโอ แล้วยื่นให้ซูหย่า”อันที่จริง ต้องการส่งให้เธอนานแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรกับเธอเลยไม่กล้าส่ง. .”
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่เธอค่อนข้างแน่ใจตอนนี้เซียวอู๋ต้องการพามู่เฉียวกลับไป
เมื่อนึกถึงวันนั้นผู้หญิงที่ดูดุร้ายคนนั้นที่สนามบิน แล้วเธอก็หันกลับมามองที่เซียวอู๋ “คุณรู้จักผู้ชายคนนั้น ในเมื่อคุณรู้จัก คุณก็ต้องรู้ การบังคับผู้หญิงบริสุทธิ์ให้แต่งงานกับผู้ชายที่กำลังจะตาย มันไม่ใช่อะไรที่ทหารควรทำ” หลังจากพูดจบ แขนของเธอก็ยืดออกและขวางหน้ามู่เฉียวไว้
เซียวอู๋มองไปที่ซูหย่า วางเสี่ยวอี้น้อยลงบนพื้น ก้าวไปข้างหน้าแล้วดึงซูหย่า “เสี่ยวหย่า อย่าสร้างปัญหา มันเป็นเรื่องชีวิตและความตาย”
ครึ่งแรกน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก และอีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยเสียงดุ
ปี๋ไคเพิ่งกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นเซียวอู๋ดวงตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย และเขาก็รีบก้าวไปข้างหน้าซูหย่า”คุณมาที่นี่เพื่อทำอะไร ซูหย่าจะไม่ไปกับคุณ”
คำพูดของเขาทำให้ซูหย่ารู้สึกเขินอายจนอยากจะหายตัวไป และเธอก็เหลือบมองไปทางปี๋ไค “ทำไมวันนี้คุณกลับมาเร็วจัง”
ปี๋ไคยิ้มและมองที่ซูหย่า”การวิจัยจบลงแล้ว ผมสามารถพาคุณและเสี่ยวอี้ออกไปเที่ยวได้”
ซูหย่าโอบแขนของเธอรอบคอของปี๋ไค “จริงเหรอ เยี่ยมมาก ไคไค ฉันรู้ว่าคุณเก่งที่สุด”
เซียวอู๋มองไปที่สองคนที่พูดกันไปมา สายตาของเขาที่เหมือนกำลังจะฆ่าคน
“ให้เวลาคุณสามวัน หลังจากสามวัน ผมต้องพาคุณออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม” หลังจากพูด เขาก็เดินตรงไปที่บ้านของปี๋ไค
“เฮ้ คุณกำลังทำอะไรอยู่ ใครอนุญาตให้คุณอยู่บ้านผม”
เซียวอู๋มองกลับมาที่ซูหย่า จากนั้นจึงมองไปที่ปี๋ไค สุดท้ายก็มองตรงไปที่มู่เฉียว “หมายความว่า ผมจะพาเธอออกไปตอนนี้ได้เลยใช่ไหม”
ซูหย่าเหลือบมองเขา ก้าวไปข้างหน้าและจับแขนมู่เฉียวไว้ และเดินชนไหล่เซียวอู๋และพูดว่า ” เลว ทราม”
หลังจากเข้าไปในบ้าน มู่เฉียวไม่พูดอะไรมากกว่านี้ บุคลิกของเซียวอู๋ที่ไม่สามารถรั้งหนึ่ง สอง หรือสามเป็นเวลานานได้ ซูหย่าคิดและไม่สนใจ
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียวอู๋ทำให้เธออารมณ์เสียเล็กน้อยและประหม่าเล็กน้อย
ในตอนเย็นเมื่อปี๋ไคเสร็จสิ้นการวิจัยของเขาและอารมณ์ดีมากเขาขอซูหย่าดูหนังเป็นเพื่อนเขา
มันเป็นหนังสยองขวัญเมื่อเธอเห็นตอนที่ตกใจซูหย่าก็กอดปี๋ไคแล้วทุบด้วยมือของเธอ
ปี๋ไคกระซิบข้างหูของซูหย่า “ไม่รู้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี ดูหนังเรื่องนี้แล้วคลายเครียดได้”
ซูหย่ายิ้ม “ใครบอกว่าฉันเครียด?”
ปี๋ไคผลักศีรษะของเธอไปด้านข้าง “ให้ตายแค่ไหนยังไม่รู้จัดเธอดีหรือ”
จากหางตาของเขาปี๋ไคมองเห็นเซียวอู๋อยู่ไม่ไกลจากข้างหลังเขา
ทั้งสองเสียงนุ่มนวลและการกระทำคลุมเครือ ในสายตาของคนนอก นี่คือคนรักที่กำลังเกี้ยวพาราสีกันอยู่
เซียวอู๋ต้องการจะเดินจากไป แต่เท้าของเขายังคงร้องเรียก หัวใจของเขาหม่นหมองจนสามารถพ่นไฟได้
“อดีตสามีของคุณกำลังเฝ้าดูอยู่ข้างหลัง คิดว่าเราลองมาทำอะไรที่น่าตื่นเต้น ลองใจเขาดูไหม”
ซูหย่าตะลึงก่อน แล้วเธอก็ยิ้มและพูดว่า “ไปที่ห้องของคุณหรือห้องฉันดี”
ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ของผม…”
ปิดทีวีและมีเงาดำซ่อนอยู่ในความมืด
มองดูทั้งสองเดินเข้าไปในห้องของปี๋ไค
ในขณะที่ประตูปิดเสียงมือของเซียวอู๋ที่กำหมัดก็ชัดเจนเป็นพิเศษในห้องอันเงียบนั้น
เขาเดินไปที่ประตูโดยไม่รู้ตัว และยกมือขึ้นโดยไม่ตั้งใจ พยายามจะเคาะประตู แต่แล้ว เขารู้สึกไม่ควรเพราะพวกเขาหย่ากันแล้วและเธอก็เป็นอิสระ
อย่างไรก็ตาม ความเจ็บปวดและภาวะซึมเศร้าในหัวใจของเขาเกือบจะทำให้เขาแทบสลาย
เมื่อเห็นเธออยู่กับคนอื่นเขารู้ว่าคนที่ไม่สามารถปล่อยตัวได้คือตัวเขาเองเสมอ บางทีอาจเป็นความรัก? เพราะการดูคนที่รักอยู่กับคนอื่นมีแต่จะอวยพรให้ ไม่โกรธหรือคลั่งไคล้
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก และซูหย่าก็เงยหน้าขึ้นและมองเขา
แต่เธอก็ยิ้มออกมา “ยังไม่นอนเหรอ?” เธออดทนกับความสุขในหัวใจ
เซียวอู๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอธิบายไม่ถูก และชี้ไปที่ห้อง “คุณกับเขา…” เขากลืนน้ำลายลงคอ”ผมหมายถึง คุณ… อยู่ด้วยกันหรือ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ นิ้วเรียวยาวสัมผัสไปที่คิ้วเข้มของเขา “คุณไม่รักฉัน คุณจะสนใจทำไมว่าฉันอยู่กับใคร”
หลังจากพูดเสร็จเธอก็ปล่อยมือเธอแบบเนียนๆและเดินผ่านเซียวอู่ไป “มาขอยืมของ”
คำง่ายๆ สองสามคำดูเหมือนจะเป็นการตอบหรือการพูดกับตัวเอง
ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามเซียวอู๋ก็ดูมีความสุขในทันที
ดังนั้น เมื่อซูหย่าหันกลับมา เธอก็พบกับความสุขที่ไม่ได้เตรียมไว้
ความสุขบนใบหน้าของเซียวอู๋ถูกรวบรวมทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งกลับสู่ความเย็นชา
ซูหย่ามองลึกไปยังชายตรงหน้าเขา ความหื่น คืออะไร เป็นแบบนี่ใช่ไหม
หันหลังและจากไป
เมื่อเซียวอู๋เห็นใบหน้าที่ไม่แยแสของเธอ เขารู้สึกราวกับว่ามีรูเจาะเข้าไปในหัวใจของเขา
กลับไปที่ห้อง อาบน้ำ เซียวอู๋นอนอยู่บนเตียง จิตใจของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มของซูหย่า แต่ก็ไปไม่ได้ คิดถึงเธอเมื่อก่อน ไม่อยู่ใกล้ก็ยังไม่รู้สึกรุนแรงเท่านี้มาก่อน
ในห้องถัดไป ซูหย่ากำลังล้างหน้า ใช้น้ำนมทำความสะอาดใบหน้าและแปรงฟันและหลังจากใช้ครีมทาหน้า เธอหลับตา คว้าผ้าเช็ดตัวบนราวแขวนผ้าเช็ดตัว และขยับไปรอบๆ ตัวของเธอ
และออกไป
เธอบิดประตูห้องถัดไปโดยไม่คิด
ด้วยแสงสลัว ซูหย่าเดินตรงไปที่เตียง เปิดผ้าห่มแล้วเลื่อนตัวเข้าไป
วางมือบนเอวที่แข็งแรงของชายคนนั้น เธอรู้ว่าด้วยความตื่นตัวของเซียวอู๋มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่รู้ว่าเธอเข้ามา
กลิ่นหอมของร่างกายที่คุ้นเคยทำให้เซียวอู๋ทรุดตัวลง
“ฉันต้องการมัน ถ้าคุณไม่ให้ ฉันก็ไม่รังเกียจที่จะไปหาปี๋ไค” คำพูดไร้ยางอายดังขึ้นข้างหลังเขา
ความโกรธพุ่งสูงขึ้น ชายคนนั้นหันกลับมาคว้าคอของซูหย่า “เธอเคยพูดเรื่องแบบนี้กับใครอีก?”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “ไม่เกี่ยวกับคุณพวกเขาเป็นผู้ใหญ่กันหมดแล้ว เป็นเรื่องปกติหรือไม่ที่มีความจำเป็น”
เซียวอู๋โกรธมาก โกรธความขี้เล่นของเธอ เขาค่อย ๆ คลายคอของเธอและฉีกผ้าเช็ดตัวบนหน้าอกของเธอออก
ดูเหมือนจะเป็นการแก้แค้น ดูเหมือนจะความรัก หรือว่าจะเป็นที่อารมณ์
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ ร่างกายของเซียวอู๋ก็นิ่งเล็กน้อย เมื่อเขามองดูน้ำตาที่มุมตาของผู้หญิงและความเจ็บปวดที่เห็นได้ชัด เขาก็หลับตาแล้วเริ่มใหม่อีกครั้ง ทำให้การเคลื่อนไหวของเขานุ่มนวลขึ้น
ครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นความเจ็บปวดของซูหย่าในขณะนี้จึงไม่น้อยไปกว่าครั้งแรก
เธออ่อนไหวต่อความเจ็บปวดมาก แม้ว่าผู้ชายจะตั้งใจผ่อนคลายการเคลื่อนไหว แต่ก็ยังมีเหงื่อหยดบนหน้าผากของเธอ
ชายคนนั้นรู้สึกลำบากใจและต้องการจะดึงออก แต่เอวของเขาถูกรั้งไว้ “ต้องการ!”
คำนี้มีความรักมากแค่ไหนคนอื่นไม่เข้าใจ แต่ทั้งคู่เข้าใจ
หลังจากนั้นผู้ชายก็พาผู้หญิงคนนั้นไปห้องน้ำและล้างร่างกายของเธอเบา ๆ จนกว่าพวกเขาจะนอนบนเตียงอีกครั้งโดยไม่มีใครพูดอะไรสักคำ
อาจจะเหนื่อยเกินไป อาจจะตื่นเต้นเกินไป หรืออาจจะประหม่าเกินไป…
ซูหย่าผล็อยหลับไป
เมื่อตื่นนอน เตียงว่างเปล่า เธอหันศีรษะมองไปยังห้องของตน
ความทรงจำนั้นลึกเกินไป เธอขยับขาโดยไม่รู้ตัว ความเจ็บปวดที่ระหว่างขาของเธอทำให้เธอหายใจเข้าอย่างกะทันหัน แต่เธอก็โล่งใจอีกครั้ง โชคดีที่มันไม่ใช่ความฝัน
ประตูเปิดออกและได้ยินเสียงเท้าที่คุ้นเคยเดินเข้ามา
เมื่อเห็นซูหย่าตื่น เขาก็หยุด
เขานั่งข้างเตียงยกผ้าห่มของซูหย่าออก
รอยยิ้มบนใบหน้าซูหย่าหายวับไปทันที เธอมองตรงไปข้างหน้า พอผ่านไปสักพักเธอก็หันไปมองเซียวอู๋ ” คุณพูดว่าอะไรนะ? ”
สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชามาก ” คุณป้าบอกว่า คุณทุ่มเทและเสียสละเพื่อผมเยอะแยะมากมาย คุณเองก็ลำบากมาไม่น้อย ในส่วนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่คุณเคยบอกว่าคุณไม่ต้องการความซาบซึ้งหรือความรู้สึกขอบคุณ แต่ผมให้คุณได้เท่านี้จริงๆ ซูหย่า ผมไม่มีวันรักคุณ ในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็หย่ากันเถอะ สภาพของผมในตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ผมไม่อยากลากคุณให้มาลำบาก ”
เขาพูดเร็วมาก เร็วมากถึงขั้นถ้าซูหย่าไม่ตั้งใจฟังดีดีเธอคงฟังไม่เข้าใจ
ซูหย่าส่ายหน้า ” เสี่ยวหวู่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ที่ฉันพูดฉันหมายความว่า……”
” ผมติดต่อคนเอาไว้แล้ว เย็นนี้จะมีคนส่งเครื่องบินพิเศษมารับพวกเรากลับไปยังเมือง C เมื่อกลับไปถึงเราก็ไปจัดการเรื่องหย่ากัน ”
ซูหย่าก้มหน้า เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปกอดเซียวอู๋ ” เสี่ยวหวู่ ไม่หย่าได้ไหม? ฉัน…..ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะความโมโห ฉันไม่ได้อยากหย่ากับคุณเลยสักนิด ไม่อยากเลยแม้แต่น้อย ”
เขาหรี่ดวงตาอันงดงามของเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาจับไหล่เธอไว้แล้วผลักมันออก ” ฉันไม่อยากติดค้างเธอมากเกินกว่านี้อีกแล้ว ”
ซูหย่าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้น เธอก็ส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ” เสี่ยวหวู่ คุณไม่มีอะไรติดค้างฉันเลย ฉันเต็มใจ จริงๆนะ เสี่ยวหวู่ พวกเขาไม่รักคุณ ฉันจะรักคุณเอง พวกเขาทำร้ายคุณ แต่ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณแน่นอน ไม่หย่าได้ไหม? ” พอพูดจบ เธอก็กอดเซียวอู๋ไว้แน่นๆอีกครั้ง
เซียวอู๋รู้สึกเพียงว่าภายในใจเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก้มมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอผอมลงมาก สายตาของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัย
มือที่ถือผักอยู่ จู่ๆก็กำหมัดแน่น ในขณะเดียวกันแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัยนั้นก็หายวับไป และแววตาที่โหดเหี้ยมของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที เขาออกแรงผลักซูหย่าออกจากอ้อมแขนตัวเอง เขาเดินออกจากประตูบ้านไปโดยไม่สนใจใยดีว่าซูหย่าจะล้มลงพื้นหรือไม่
ในตอนที่เซียวอู๋กลับมา คุณลุงกำลังเล่นกับเสี่ยวอี้อย่างสนุกสนานอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาคุณลุงก็ยิ้มให้เขา ในตอนที่เห็นซูหย่าที่อยู่ด้านหลังตาแดงก่ำ เขาก็อึ้งไปชั่วครู่ เขาอุ้มเสี่ยวอี้เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
ซูหย่าขยี้ตาเล็กน้อย ” ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ดีใจมากไปหน่อยน่ะ ”
ก่อนจะทานข้าวเสร็จ จู่ๆซูหย่าก็พูดขึ้น ” คุณลุงคะ คุณป้าคะ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามความคิดเห็นของพวกคุณหน่อยน่ะค่ะ ”
เมื่อคุณลุงและคุณป้าเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ พวกเขาก็วางตะเกียบในมือลง พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง ” มีเรื่องอะไรทำไมต้องขอความคิดเห็นจากเราด้วย? ”
ซูหย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้น เธอก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น
ทำให้คนชราทั้งสองต่างก็ตกใจ พวกเขารีบเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? รีบลุกขึ้นมาคุยกันก่อน ”
” ฉันอยากจะขอให้ท่านทั้งสองเป็นคุณตาคุณยายของเสี่ยวอี้ และเป็นพ่อแม่บุญธรรมของฉัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองยินดีไหมคะ? ”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินแบบนั้น ทั้งคู่ก็อึ้งไปสักพัก คุณป้าเอามือเช็ดน้ำตาและมองหน้าคุณลุง ” คุณคิดว่านี่เป็นความเมฆตาที่ฟ้าประทานให้กับเราใช่ไหมคะ แก่มากแล้วยังมอบลูกสาวให้กับเราอีก ” เธอพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประคองซูหย่าให้ลุกขึ้น ” ได้ ลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็ว ”
” พวกลูกทั้งสองน่าจะเตรียมตัวจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม? ” คุณป้าครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถามขึ้น
ซูหย่าค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณลุงและคุณป้า ” พวกคุณกลับไปกับพวกเราเถอะค่ะ บ้านเราที่เมือง C นั้นมีฐานะร่ำรวยมาก ถ้าถึงเวลานั้น พวกเราไปหาที่อยู่ข้างนอกแล้วอาศัยอยู่ด้วยกัน แบบนี้ดีไหมคะ? ”
คุณป้าลุกขึ้น จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวอี้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ” ป้าและลุงเกิดและโตที่นี่ ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย พวกเราคงไม่ได้ไปกับหนูนะ แต่ต่อจากนี้ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของผู้เป็นแม่ของหนู ถ้าคิดถึงพวกเราก็พาเสี่ยวอี้มาเยี่ยมพวกเรานะ ”
หลังจากนั้น ไม่ว่าซูหย่าจะโน้มน้าวพวกเขาอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับไปกับเธอ
เธอทำได้เพียงเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้พวกเขา
“ คิดสะว่าพวกท่านช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หนูก็แล้วกันนะคะ ถ้าพวกเราคิดถึงคุณแล้วเราจะกลับมาหานะ”
การจากลาย่อมมีน้ำตา ในตอนที่ซูหย่าอุ้มเสี่ยวอี้ขึ้นเครื่องบินนั้นเธอไม่กล้าแม้แต่จะก้มมองลงพื้น ประสบการณ์ครั้งนี้ ทั้งชีวิตนี้เธอก็คงลืมไม่ลง
หลังจากที่กลับมาถึงเมือง C เครื่องบินลงจอดบนลานจอดเครื่องบินส่วนตัวที่สถานที่หนึ่ง
ผู้ชายในเครื่องแบบทหารสองสามคนเดินเข้ามากอดเซียวอู๋ ซูหย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขามาก ตอนนั้นครั้งที่เธอกินอาหารแห้งในค่ายทหาร พวกเขาอยู่ที่นั้น หลังจากนั้น ที่โรงพยาบาล ในตอนที่แพทย์แจ้งผลวินิจฉัยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ในตอนนี้ เธอมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยน้ำตาของพวกเขา
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำตา คนคนนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญมาก พวกเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ซูหย่าเองก็ไม่โทษพวกเขา เธอเลยไม่ได้พูดอะไรมาก
ไม่รู้ว่าเซียวอู๋เป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อซูและแม่ซูใช่หรือไม่
พวกท่านกำลังวิ่งมาทางนี้ เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้ง ซูหย่าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่แก่ชราลงเยอะมาก ซูหย่าก็รู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูจริงๆ
“ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว ” ผู้เป็นแม่กอดเธอไว้ ประโยคสั้นๆนี้ทำให้เธอร้องไห้โฮ
ในตอนที่ทุกคนเดินออกมา ด้านนอกก็รายล้อมไปด้วยนักข่าว การฟื้นคืนชีพของทั้งคู่เป็นประเด็นที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้คนมากจริงๆ
เซียวอู๋ผู้ถือเป็นวีรบุรุษ และการที่เขาพักฟื้นจนร่างกายกลับสู่สภาวะปกติทำให้ผู้คนตกใจมาก ทำให้ผู้นำของสำนักข่าวหลายคนมาพบเขาด้วยตัวเอง
ในชั่ววินาที เขาก็ถูกผู้คนรายล้อมเป็นเสี้ยวพระจันทร์
ในตอนที่เขายิ้มให้กับทุกคน คงมีเพียงซูหย่าที่เข้าใจว่าในใจเขาตอนนี้นั้นเศร้าโศกมากเพียงใด
ทันใดนั้น ผู้คนก็พุ่งเข้าหาเธอ
หลังจากนั้นเซียวอู๋ก็เดินออกไป ท่ามกลางฝูงชน เขาก้มศีรษะลงทักทายพ่อซูและแม่ซู
ซูหย่ารู้สึกอุ่นใจ แต่หลังจากนั้น คำพูดของชายหนุ่มกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกเข้าไปในหลุมนรก
” พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากจะหย่ากับซูหย่าครับ ”
“ บุ๋ม “แน่นอนว่าประโยคนั้นของเขามันเหมือนกับการโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในแม่น้ำ จากนั้นมันก็ระเบิดทันที
ทุกคนต่างก็โต้เถียงและคาดเดาไปต่างต่างนานาว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้เซียวอู๋ต้องการหย่าทันทีที่กลับมา
ซูหย่ามองหน้าชายตรงหน้า เธอดึงแขนเสื้อเขาและเอาแต่ก้มหน้าและเงียบ
แม่ซูเรียกเขา ” เสี่ยวหวู่ ”
ทันทีที่เซียวอู๋หันหน้ามา เธอก็ยื่นมือออกไปตบลงบนหน้าเขาเต็มฝ่ามือ การกระทำของเธอเร็วมากและมันกะทันหันมากๆ เมื่อซูหย่ารู้ตัวอีกที ทั้งหน้าและใบหูของเขาก็แดงไปหมดแล้ว
เธอเป็นกังวลมาก ” แม่ แม่ทำอะไร? ”
แม่ซูเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าเซียวอู๋ ” เธอยอมตัดขาดกับพ่อแม่ได้เพื่อนาย แต่พอนายฟื้นขึ้นมาแล้วกลับมาบอกว่าจะหย่ากับเธอ เสี่ยวหวู่ เกิดเป็นคนจะทำแบบนี้ไม่ได้ ”
เซียวอู๋ตัวสั่นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง จากนั้นก็เงยหน้ามองแม่ซู ” ผมไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้น ทั้งหมดนั้นเธอเต็มใจที่จะทำเอง ” พอพูดจบ เขาก็หันหลังและตรงไปที่ประตูทางออก
แม่ซูโกรธจนแทบหายใจไม่ออก แต่ซูหย่ากลับมองร่างของคนที่เดินจากไปด้วยสายตาที่เป็นห่วง
” เอาเถอะ สุขภาพก็พึ่งจะดีขึ้น อย่าโกรธไปเลย กลับบ้านกันก่อนเถอะ ” พ่อซูพูดขึ้น
เมื่อแม่ซูได้ยิบแบบนั้น ก็จ้องหน้าเขา ” ลูกสาวคุณโดนรังแกถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยเหรอ ”
พ่อซูและซูหย่ามองหน้ากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็เงียบ
หลังจากกลับถึงบ้าน และจัดการพาแม่ซูให้ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว พ่อซูก็ให้ซูหย่าไปเจอกันที่ห้องหนังสือ
” พูดมาเถอะ สรุปว่ากำลังแสดงละครเรื่องไหนกันอยู่ล่ะ? ”
ซูหย่ายักไหล่ และนั่งลงบนโซฟา เธอมองดูต้นบอนไซบนโต๊ะชา เธอใจลอยอยู่สักพัก จากนั้นซูหย่าก็เงยหน้ามองแววตาของผู้เป็นพ่อ หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นว่า ” พ่อคะ ในสายตาของพ่อ ตำแหน่งสำคัญกว่าลูกสาวงั้นหรือคะ? ”
พ่อซูชะงักไปเล็กน้อย หลังจากนั้นสีหน้าเขาก็เคร่งขรึม ” เสี่ยวหย่า ลูกรู้ตัวไหมว่ากำลังพูดอะไรออกมา? ”
” หนูรู้ตัวดีค่ะพ่อ หนูเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้ที่พ่อจะไม่รู้เรื่องที่เสี่ยวหวู่เสียสติ สาเหตุมันคืออะไรกันคะ? ”
พ่อซูเงยหน้าขึ้นมองหน้าซูหย่าทันที ” ลูกไปรู้อะไรมางั้นเหรอ?”
ปฏิกิริยาการตอบสนองของเขาทำให้หัวใจซูหย่าร่วงดิ่งลงพื้นกับการคาดเดาของตัวเอง เธอลุกขึ้นจากโซฟาแล้วตะโกนเสียงต่ำว่า ” พ่อคะ พ่อเห็นหนูทุกข์ทรมานแบบนั้น พ่อทนได้ยังไงกัน? ”
” แล้วจะให้ทำยังไง หรือว่าต้องให้ทุกคนในตระกูลซูลำบากไปกับเขางั้นเหรอ? ” จู่ๆเสียงของพ่อก็ดังขึ้นอย่างกะทันหัน
หัวใจของซูหย่าดิ่งลงพื้นอย่างรุนแรง เธอหันหลังและเดินออกไปทางด้านนอก แต่แขนเธอกลับถูกคว้าเอาไว้ ” ในเมื่อรู้เรื่องแล้ว ทำไมยังจะกลับมาอีก? ”
ซูหย่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองหน้าผู้เป็นพ่อ ” พ่อคะ พ่อบอกหนูได้ไหมคะว่าทำไม? ทำไมต้องทำกับเสี่ยวหวู่แบบนี้ด้วยคะ? ”
มือที่จับแขนเธอไว้ผ่อนแรงลง ” ก็แค่ความแค้นส่วนตัว เสี่ยวหย่า บอกเสี่ยวหวู่อย่าสืบเรื่องนี้ต่อเลย ครั้งนี้เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้ พ่อคิดว่าคนคนนั้นคงจะไม่เล่นงานเขาอีกแล้วล่ะ ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว และมองหน้าผู้เป็นพ่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ” พ่อคะ อะไรคือการมาบอกว่าอย่าสืบเรื่องนี้ต่อกันคะ? เขาเป็นใครกันแน่? ถึงได้ทำให้คนอย่างพ่อต้องกลัวเขามากขนาดนี้? ”
สีหน้าของพ่อซูเคร่งขรึม สายตาของเขาเฉียบคม แต่สุดท้ายกลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ
หลังจากที่ซูหย่าออกมาจากห้องหนังสือ เธอก็ตรงไปที่ห้องเสี่ยวอี้ ตอนนี้เสี่ยวอี้หลับไปแล้วและมีแม่นมเฝ้าอยู่ เธอเองก็รู้สึกวางใจ
ทันทีที่เธอกลับถึงห้อง เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็ส่งข้อความหาเล่อจยา
ไม่นานก็มีสายโทรศัพท์เรียกเข้า ” เสี่ยวหย่า? ” น้ำเสียงมีความสั่นเล็กน้อย
ซูหย่าตอบแค่ ” อือ ”
หลังจากนั้น ความเงียบก็เข้าปกคลุม บางทีการที่มีเรื่องจะพูดเยอะเยอะมากมายนั้น มันก็กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดจากตรงไหน
” พรุ่งนี้ฉันไปหาเธอนะ ”
” อือ ”
” ฝันดีนะ ”
” ฝันดี ”
หลังจากที่วางสาย ซูหย่าก็ลองโทรไปที่เบอร์โทรศัพท์ก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ โทรออกได้ แต่ไม่มีคนรับสาย
เธอส่งข้อความให้เขาสั้นๆ ” พรุ่งนี้เก้าโมงเช้า เจอกันหน้าอำเภอนะ ”
ความอิสระที่เขาต้องการ เธอจะมอบให้เขาเอง
เสียงข้อความ ” ติ้งตึง ”
เปิดออก ” ได้ ” คำเดียวสั้นๆ
คืนนี้ ซูหย่านอนไม่สบายเลย ทั้งๆที่เตียงทั้งใหญ่ ทั้งนุ่ม แต่ เพราะว่าข้างๆมันว่างเกินไป ไม่ว่าจะพยายามนอนเท่าไหร่ก็นอนไม่หลับสักที
ในตอนที่ตื่นมาตอนเช้า แม่ซูกำชับแม่ครัวให้ทำอาหารที่เธอชอบไว้เยอะแยะมากมาย มองดูอาหารที่หลากหลายเต็มโต๊ะเธอกลับรู้สึกไม่อยากกิน แต่ว่าด้วยความที่ไม่อยากให้แม่ซูไม่สบายใจเธอจึงกินเข้าไปไม่น้อยเลยทีเดียว
” แม่คะ เล่มทะเบียนบ้านอยู่ไหนคะ? ”
ช้อนในมือแม่ซูตกลงบนโต๊ะ แม่ซูเงยหน้ามองเธอ ” เสี่ยวหย่า……”
สายตาของซูหย่ามองผ่านพ่อซูไป สุดท้ายก็หยุดมองแม่ซู และยิ้มให้เธอ ” ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เดี๋ยวหย่าแล้ว หนูจะหาลูกเขยดีดีให้พวกท่านอีกคนนะคะ ”
พ่อซูไม่ได้พูดอะไร แต่แม่ซูกลับมองเธอด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
ตอนที่เธอจะออกจากบ้าน แม่ซูก็ดึงแขนเธอไว้ ” เสี่ยวอี้……”
” จะอยู่ในความดูแลของหนูค่ะ ” ซูหย่ารู้ความหมายของผู้เป็นแม่จึงตอบออกไปทันที
แม่ซูพยักหน้า
ณ หน้าอำเภอ เซียวอู๋มาในชุดเครื่องแบบทหาร เขาตัดผมสั้นแล้วดูแข็งแกร่งขึ้นมาก
เธอมองเขา ในแววตามีทั้งความรู้สึกเป็นห่วง รัก และอาลัยอาวรณ์……
” ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของเสี่ยวอี้ ผมจะโอนให้คุณอย่างตรงเวลาทุกครั้ง ”
ซูหย่ายิ้มพร้อมกับเดินขึ้นบันไดไปพลาง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอเดินช้าลงสองสามจังหวะ เธออยากปฏิเสธแต่สุดท้ายเธอก็พยักหน้า ” ค่ะ ”
ภาพตอนที่มารับทะเบียนสมรสยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำเธอ ตอนนั้นเธอคิดว่าทั้งชีวิตนี้เธอจะไม่มีวันหย่ากับเซียวอู๋เด็ดขาด ตอนนั้น เธอดีใจมาก แต่……นี่พึ่งจะผ่านมาไม่นาน
ทหารมีสิทธิพิเศษได้รับการบริการก่อน การรับใบหย่าในครั้งนี้จึงดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ
เธอมองเขาที่เดินออกไปอย่างเฉียบขาด เขาโน้มตัวลงและเข้าไปในรถทหารสีเขียวคันนั้น เธอมองดูรถคันนั้นค่อยๆขับเคลื่อนออกไปจนหายวับไปกับตา เธอกะพริบตาเล็กด้วย ในแววตาเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง คิดถึง และความรัก
เซียวอู๋ ฉันจะรอคุณอยู่ตรงนี้นะ
ในตอนที่เล่อจยามาถึง เสี่ยวหย่ายังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในมือเธอถือใบหย่าไว้
เล่อจยาวิ่งเข้ามากอดเธอ ท้องน้อยๆที่บวมออกมาคั้นกลางระหว่างทั้งสองคนไว้
ซูหย่าก้มหน้าลง และลูบไปที่ท้องเธอ จากนั้นก็เงยหน้ามองเล่อจยา ” เธอกลับมาอ้วนอีกแล้วนะ ”
เล่อจยายกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่ผอมบางอย่างเห็นได้ชัดของซูหย่า ” ขอโทษด้วยนะ ที่ฉันไม่ได้อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเธอ ”
ทั้งสองกอดกันแล้วร้องไห้
ในชั่วพริบตา วันเวลาก็ได้ผ่านไปแล้วครึ่งปี เสี่ยวอี้เดินได้แล้ว พูดคำว่าพ่อได้ แต่กลับพูดคำว่าแม่ไม่ได้ พอคิดถึงชายคนนั้นที่ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยตั้งแต่วันที่หย่ากันไป นอกจากเงินจำนวนมากที่เขาโอนเข้าบัญชีเธอตรงตามเวลาแล้ว ก็ไม่มีการโทรศัพท์มา ไม่มีข้อความ ไม่มีการติดต่อใดใดกลับมา แววตาของซูหย่าในตอนนี้ลึกล้ำซับซ้อนมาก
ชีวิตหวนคืนเหมือนตอนเป็นโสดอีกครั้ง คุณน้าเป็นคนดูแลเสี่ยวอี้ ทันทีที่ซูหย่ากลับมาบ้านเธอก็ไม่ได้สนใจเสี่ยวอี้เท่าไหร่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือเธอกำลังหลีกเลี่ยง หลีกเลี่ยงใบหน้าน้อยๆนั้นที่เหมือนกับหน้าของเซียวอู๋ หลีกเลี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขา
เธอเริ่มทำงานเต็มตัวแล้ว เธอทำโอทีตั้งแต่เช้ายันค่ำ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าการทำโอทีนั้นลำบากมาก แต่พอผ่านประสบการณ์ช่วงนั้นมาได้ ในตอนนี้ เธอรู้สึกเพียงแค่การทำโอทีแค่นี้ไม่ได้เรียกว่าลำบากเลย
แน่นอนว่าคนทุกคนต้องลองเจอกับตัวเอง ผู้ที่ไม่เคยประสบความทุกข์ยากก็คงไม่รู้จักการรักษาความดีงามที่อยู่ตรงหน้า
ทุกคนต่างคิดว่า เธอปล่อยวางเรื่องเซียวอู๋ได้แล้ว
มีเพียงเล่อจยาที่รู้ว่าเธอเก็บเซียวอู๋ไว้ในใจเสมอมา
” ได้รับการขึ้นตำแหน่งติดต่อกันสองขั้น ตอนนี้เขาเป็นเจ้าหน้าที่ที่อายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน ”
” ไปที่ชายแดนเพื่อปฏิบัติภารกิจที่อันตรายมาก ” มือที่ถือซ้อนอยู่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
“แต่เขากลับมาแล้วและไม่ได้รับบาดเจ็บใดใด อีกทั้งยังได้เลื่อนยศ อำนาจเหลือล้น ” ยกยิ้มมุมปาก
“ได้ยินมาว่ามีการรายงานถึงคนใหญ่คนโต ทำให้ผู้คนต่างก็ตื่นตกใจ……” จุกที่อก น้ำตาล่วงตกลงไปในแก้ว รวมตัวกันเป็นระลอกคลื่น
……
เมื่อเห็นว่าเธอกลับสู่สภาวะปกติแล้ว แม่ซูก็กระตือรือร้นในการจัดการเรื่องนัดดูตัวให้เธอเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียเธอก็อายุสามสิบแล้ว หย่าแล้ว อีกทั้งยังมีลูกติดอีกหนึ่งคน…..
ผู้ชายทุกประเภท ทั้งไฮโซ ข้าราชการ ทหาร……ตามกันมาติดๆ
ตระกูลซูช่างเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจริงๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจว่าเธอจะเคยแต่งงานหรือผ่านการมีลูกมา
เธอเองก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะนัดเจอกัน นัดกินข้าวกัน แต่ทุกครั้งเธอก็แค่ไปเจอและไปกินข้าวให้เป็นพิธี เธอเอาแต่เงียบไม่ยอมพูดไม่ยอมจาเลย
หลังจากนั้น ก็มีคนลือกันว่าเธอมีปัญหาทางประสาท
หนึ่งคนสู่สิบคน สิบคนสู่ร้อยคน ยิ่งเล่าต่อๆกันผู้คนก็รู้มากขึ้น คนที่ประสงค์จะนัดดูตัวก็น้อยลงเรื่อยๆ
แม่ซูรู้สึกร้อนใจ ไม่ว่ายังไงก็จะพาตัวเธอไปที่แผนกประสาทให้ได้
เมื่อมองไปที่คุณหมอรูปหล่อตรงหน้า ซูหย่าก็ยิ้มสดใสมาก สายตาของเธอสะดุดมองไปที่ป้ายตรงหน้าอกของเขา ” ไป๋เสี่ยงเหิง ”
ผู้เป็นแม่ไม่เข้าใจ แต่พอเห็นเธอมองหน้าหมอคนนั้นอย่างใจลอยก็คิดว่าเธอสนใจในตัวชายคนนั้น แม่ซูดีใจมากก็เลยหาเหตุผลในการขอตัวออกมาจากที่นั่นก่อน
ชั้นล่างของโรงพยาบาล
” อย่าบอกนะว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ ” เธอเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา
รอยยิ้มบนใบหน้าซูหย่าหายวับไปทันที เธอมองตรงไปข้างหน้า พอผ่านไปสักพักเธอก็หันไปมองเซียวอู๋ ” คุณพูดว่าอะไรนะ? ”
สีหน้าของชายหนุ่มเย็นชามาก ” คุณป้าบอกว่า คุณทุ่มเทและเสียสละเพื่อผมเยอะแยะมากมาย คุณเองก็ลำบากมาไม่น้อย ในส่วนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณคุณมาก แต่คุณเคยบอกว่าคุณไม่ต้องการความซาบซึ้งหรือความรู้สึกขอบคุณ แต่ผมให้คุณได้เท่านี้จริงๆ ซูหย่า ผมไม่มีวันรักคุณ ในเมื่อเป็นแบบนั้น เราก็หย่ากันเถอะ สภาพของผมในตอนนี้ ผมเองก็ไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก ผมไม่อยากลากคุณให้มาลำบาก ”
เขาพูดเร็วมาก เร็วมากถึงขั้นถ้าซูหย่าไม่ตั้งใจฟังดีดีเธอคงฟังไม่เข้าใจ
ซูหย่าส่ายหน้า ” เสี่ยวหวู่ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ที่ฉันพูดฉันหมายความว่า……”
” ผมติดต่อคนเอาไว้แล้ว เย็นนี้จะมีคนส่งเครื่องบินพิเศษมารับพวกเรากลับไปยังเมือง C เมื่อกลับไปถึงเราก็ไปจัดการเรื่องหย่ากัน ”
ซูหย่าก้มหน้า เธอเดินเข้าไปแล้วเอื้อมมือไปกอดเซียวอู๋ ” เสี่ยวหวู่ ไม่หย่าได้ไหม? ฉัน…..ที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้เป็นเพราะความโมโห ฉันไม่ได้อยากหย่ากับคุณเลยสักนิด ไม่อยากเลยแม้แต่น้อย ”
เขาหรี่ดวงตาอันงดงามของเขาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาจับไหล่เธอไว้แล้วผลักมันออก ” ฉันไม่อยากติดค้างเธอมากเกินกว่านี้อีกแล้ว ”
ซูหย่าอึ้งไปเล็กน้อย หลังจากนั้น เธอก็ส่ายหน้าอย่างสุดชีวิต ” เสี่ยวหวู่ คุณไม่มีอะไรติดค้างฉันเลย ฉันเต็มใจ จริงๆนะ เสี่ยวหวู่ พวกเขาไม่รักคุณ ฉันจะรักคุณเอง พวกเขาทำร้ายคุณ แต่ฉันไม่มีวันทำร้ายคุณแน่นอน ไม่หย่าได้ไหม? ” พอพูดจบ เธอก็กอดเซียวอู๋ไว้แน่นๆอีกครั้ง
เซียวอู๋รู้สึกเพียงว่าภายในใจเขามีความรู้สึกอบอุ่นที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาก้มมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนเขา เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเธอผอมลงมาก สายตาของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัย
มือที่ถือผักอยู่ จู่ๆก็กำหมัดแน่น ในขณะเดียวกันแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกสงสัยนั้นก็หายวับไป และแววตาที่โหดเหี้ยมของเขาก็ปรากฏขึ้นทันที เขาออกแรงผลักซูหย่าออกจากอ้อมแขนตัวเอง เขาเดินออกจากประตูบ้านไปโดยไม่สนใจใยดีว่าซูหย่าจะล้มลงพื้นหรือไม่
ในตอนที่เซียวอู๋กลับมา คุณลุงกำลังเล่นกับเสี่ยวอี้อย่างสนุกสนานอยู่ พอเห็นเขาเดินเข้ามาคุณลุงก็ยิ้มให้เขา ในตอนที่เห็นซูหย่าที่อยู่ด้านหลังตาแดงก่ำ เขาก็อึ้งไปชั่วครู่ เขาอุ้มเสี่ยวอี้เดินเข้ามาต้อนรับพวกเขา ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? ”
ซูหย่าขยี้ตาเล็กน้อย ” ไม่เป็นไรค่ะ ก็แค่ดีใจมากไปหน่อยน่ะ ”
ก่อนจะทานข้าวเสร็จ จู่ๆซูหย่าก็พูดขึ้น ” คุณลุงคะ คุณป้าคะ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ฉันอยากถามความคิดเห็นของพวกคุณหน่อยน่ะค่ะ ”
เมื่อคุณลุงและคุณป้าเห็นสีหน้าที่จริงจังของเธอ พวกเขาก็วางตะเกียบในมือลง พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง ” มีเรื่องอะไรทำไมต้องขอความคิดเห็นจากเราด้วย? ”
ซูหย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสองคน หลังจากนั้น เธอก็คุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้น
ทำให้คนชราทั้งสองต่างก็ตกใจ พวกเขารีบเข้ามาประคองเธอให้ลุกขึ้น ” นี่มันเรื่องอะไรกัน? รีบลุกขึ้นมาคุยกันก่อน ”
” ฉันอยากจะขอให้ท่านทั้งสองเป็นคุณตาคุณยายของเสี่ยวอี้ และเป็นพ่อแม่บุญธรรมของฉัน ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองยินดีไหมคะ? ”
เมื่อทั้งสองคนได้ยินแบบนั้น ทั้งคู่ก็อึ้งไปสักพัก คุณป้าเอามือเช็ดน้ำตาและมองหน้าคุณลุง ” คุณคิดว่านี่เป็นความเมฆตาที่ฟ้าประทานให้กับเราใช่ไหมคะ แก่มากแล้วยังมอบลูกสาวให้กับเราอีก ” เธอพูดพร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ประคองซูหย่าให้ลุกขึ้น ” ได้ ลุกขึ้น ลุกขึ้นเร็ว ”
” พวกลูกทั้งสองน่าจะเตรียมตัวจะไปจากที่นี่แล้วใช่ไหม? ” คุณป้าครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ถามขึ้น
ซูหย่าค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็เงยหน้ามองคุณลุงและคุณป้า ” พวกคุณกลับไปกับพวกเราเถอะค่ะ บ้านเราที่เมือง C นั้นมีฐานะร่ำรวยมาก ถ้าถึงเวลานั้น พวกเราไปหาที่อยู่ข้างนอกแล้วอาศัยอยู่ด้วยกัน แบบนี้ดีไหมคะ? ”
คุณป้าลุกขึ้น จากนั้นก็อุ้มเสี่ยวอี้ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเธอ ” ป้าและลุงเกิดและโตที่นี่ ทั้งชีวิตนี้ยังไม่เคยออกไปจากที่นี่เลย พวกเราคงไม่ได้ไปกับหนูนะ แต่ต่อจากนี้ ที่นี่ก็เปรียบเสมือนบ้านของผู้เป็นแม่ของหนู ถ้าคิดถึงพวกเราก็พาเสี่ยวอี้มาเยี่ยมพวกเรานะ ”
หลังจากนั้น ไม่ว่าซูหย่าจะโน้มน้าวพวกเขาอย่างไร ทั้งคู่ก็ไม่ยอมกลับไปกับเธอ
เธอทำได้เพียงเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้พวกเขา
“ คิดสะว่าพวกท่านช่วยดูแลบ้านหลังนี้ให้หนูก็แล้วกันนะคะ ถ้าพวกเราคิดถึงคุณแล้วเราจะกลับมาหานะ”
การจากลาย่อมมีน้ำตา ในตอนที่ซูหย่าอุ้มเสี่ยวอี้ขึ้นเครื่องบินนั้นเธอไม่กล้าแม้แต่จะก้มมองลงพื้น ประสบการณ์ครั้งนี้ ทั้งชีวิตนี้เธอก็คงลืมไม่ลง
หลังจากที่กลับมาถึงเมือง C เครื่องบินลงจอดบนลานจอดเครื่องบินส่วนตัวที่สถานที่หนึ่ง
ผู้ชายในเครื่องแบบทหารสองสามคนเดินเข้ามากอดเซียวอู๋ ซูหย่ารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขามาก ตอนนั้นครั้งที่เธอกินอาหารแห้งในค่ายทหาร พวกเขาอยู่ที่นั้น หลังจากนั้น ที่โรงพยาบาล ในตอนที่แพทย์แจ้งผลวินิจฉัยพวกเขาก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน
ในตอนนี้ เธอมองดูแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด และเต็มไปด้วยน้ำตาของพวกเขา
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้ชายจะหลั่งน้ำตา คนคนนั้นต้องเป็นคนที่กล้าหาญมาก พวกเขาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้ได้ ซูหย่าเองก็ไม่โทษพวกเขา เธอเลยไม่ได้พูดอะไรมาก
ไม่รู้ว่าเซียวอู๋เป็นคนบอกเรื่องนี้กับพ่อซูและแม่ซูใช่หรือไม่
พวกท่านกำลังวิ่งมาทางนี้ เมื่อเห็นหน้าพ่อแม่อีกครั้ง ซูหย่าก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่อีกต่อไป
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นแม่แก่ชราลงเยอะมาก ซูหย่าก็รู้สึกว่าตัวเองอกตัญญูจริงๆ
“ แค่มีชีวิตอยู่ก็ดีมากแล้ว ” ผู้เป็นแม่กอดเธอไว้ ประโยคสั้นๆนี้ทำให้เธอร้องไห้โฮ
ในตอนที่ทุกคนเดินออกมา ด้านนอกก็รายล้อมไปด้วยนักข่าว การฟื้นคืนชีพของทั้งคู่เป็นประเด็นที่น่าตื่นเต้นสำหรับผู้คนมากจริงๆ
เซียวอู๋ผู้ถือเป็นวีรบุรุษ และการที่เขาพักฟื้นจนร่างกายกลับสู่สภาวะปกติทำให้ผู้คนตกใจมาก ทำให้ผู้นำของสำนักข่าวหลายคนมาพบเขาด้วยตัวเอง
ในชั่ววินาที เขาก็ถูกผู้คนรายล้อมเป็นเสี้ยวพระจันทร์
ในตอนที่เขายิ้มให้กับทุกคน คงมีเพียงซูหย่าที่เข้าใจว่าในใจเขาตอนนี้นั้นเศร้าโศกมากเพียงใด
ทันใดนั้น ผู้คนก็พุ่งเข้าหาเธอ
หลังจากนั้นเซียวอู๋ก็เดินออกไป ท่ามกลางฝูงชน เขาก้มศีรษะลงทักทายพ่อซูและแม่ซู
ซูหย่ารู้สึกอุ่นใจ แต่หลังจากนั้น คำพูดของชายหนุ่มกลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกเข้าไปในหลุมนรก
” พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากจะหย่ากับซูหย่าครับ ”
“ บุ๋ม “แน่นอนว่าประโยคนั้นของเขามันเหมือนกับการโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในแม่น้ำ จากนั้นมันก็ระเบิดทันที
ทุกคนต่างก็โต้เถียงและคาดเดาไปต่างต่างนานาว่าช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ถึงได้ทำให้เซียวอู๋ต้องการหย่าทันทีที่กลับมา
ซูหย่ามองหน้าชายตรงหน้า เธอดึงแขนเสื้อเขาและเอาแต่ก้มหน้าและเงียบ
แม่ซูเรียกเขา ” เสี่ยวหวู่ ”
ทันทีที่เซียวอู๋หันหน้ามา เธอก็ยื่นมือออกไปตบลงบนหน้าเขาเต็มฝ่ามือ การกระทำของเธอเร็วมากและมันกะทันหันมากๆ เมื่อซูหย่ารู้ตัวอีกที ทั้งหน้าและใบหูของเขาก็แดงไปหมดแล้ว
เธอเป็นกังวลมาก ” แม่ แม่ทำอะไร? ”
แม่ซูเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหน้าเซียวอู๋ ” เธอยอมตัดขาดกับพ่อแม่ได้เพื่อนาย แต่พอนายฟื้นขึ้นมาแล้วกลับมาบอกว่าจะหย่ากับเธอ เสี่ยวหวู่ เกิดเป็นคนจะทำแบบนี้ไม่ได้ ”
เซียวอู๋ตัวสั่นเล็กน้อย เขาหรี่ตาลง จากนั้นก็เงยหน้ามองแม่ซู ” ผมไม่เคยขอให้เธอทำแบบนั้น ทั้งหมดนั้นเธอเต็มใจที่จะทำเอง ” พอพูดจบ เขาก็หันหลังและตรงไปที่ประตูทางออก
แม่ซูโกรธจนแทบหายใจไม่ออก แต่ซูหย่ากลับมองร่างของคนที่เดินจากไปด้วยสายตาที่เป็นห่วง
” เอาเถอะ สุขภาพก็พึ่งจะดีขึ้น อย่าโกรธไปเลย กลับบ้านกันก่อนเถอะ ” พ่อซูพูดขึ้น
เมื่อแม่ซูได้ยิบแบบนั้น ก็จ้องหน้าเขา ” ลูกสาวคุณโดนรังแกถึงขนาดนี้แล้ว คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเลยเหรอ ”
พ่อซูและซูหย่ามองหน้ากันแวบหนึ่ง ทั้งคู่ต่างก็เงียบ
หลังจากกลับถึงบ้าน และจัดการพาแม่ซูให้ขึ้นไปพักผ่อนแล้ว พ่อซูก็ให้ซูหย่าไปเจอกันที่ห้องหนังสือ
” พูดมาเถอะ สรุปว่ากำลังแสดงละครเรื่องไหนกันอยู่ล่ะ? ”
ซูหย่ายักไหล่ และนั่งลงบนโซฟา เธอมองดูต้นบอนไซบนโต๊ะชา เธอใจลอยอยู่สักพัก จากนั้นซูหย่าก็เงยหน้ามองแววตาของผู้เป็นพ่อ หลังจากผ่านไปสักพัก เธอก็พูดขึ้นว่า ” พ่อคะ ในสายตาของพ่อ ตำแหน่งสำคัญกว่าลูกสาวงั้นหรือคะ? ”
ชายคนนั้นมองมาที่เธอ จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย ” หมายความว่ายังไงครับ? ”
” คุณอย่าบอกฉันนะว่าการที่ฉันเจอคุณที่โรงพยาบาลเล็กๆแห่งนั้นมันเป็นเรื่องบังเอิญ? ” เธอไม่เชื่อ การพบกันด้วยระยะห่างหลายพันไมล์นั้นจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
ไป๋เสี่ยงเหิงขมวดคิ้วก่อนจะย้ายไปนั่งลงข้างๆซูหย่า ” คุณนายเซียวเข้าใจอะไรในตัวผมผิดไปหรือเปล่าครับ? หลังจากที่ผมทำการผ่าตัดให้สามีคุณเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นานผมก็กลับมาที่บ้านของผม แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือ คุณนายเซียวกลับเป็นคนในเมือง C เหมือนกัน
คุณใช้คำว่า ” เหมือนกันงั้นเหรอ? ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว ” ไม่ได้มีคนส่งคุณมาจริงๆเหรอ? ”
” มีคนส่งผมไปงั้นเหรอ? คุณนายเซียวคงเข้าใจผิดไป อาจารย์ของผมเป็นคนที่นั่น เขาอุทิศทั้งชีวิตของตัวเองเพื่ออาชีพนี้ ที่ผมไปที่นั่นก็เพื่ออยู่เป็นเพื่อนเขาในช่วงสุดท้ายของชีวิต หลังจากที่เขาผ่าตัดให้สามีของคุณเสร็จไม่นาน เขาก็เสียชีวิตลงด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นไม่นานผมเองก็กลับมาที่นี่ ”
ในตอนท้ายที่เขาพูด เห็นได้อย่างชัดเจนว่าน้ำเสียงเขาสะอึกสะอื้น ซูหย่ายักคิ้ว เธอรู้ว่าคนคนหนึ่งคงไม่เอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่นแน่นอน เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นว่า ” ขอโทษด้วยนะคะ ”
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอ ทำให้เธอกลายเป็นเหมือนนกที่ตื่นธนู พอเผชิญกับเรื่องนี้ก็เลยทำให้เธอคิดมากและคิดซับซ้อนจนเกินไป ไม่น่าล่ะเล่อจยาถึงได้บอกว่าเธอทำให้ชีวิตตัวเองวุ่นวายราวกับละครในวัง
ไป๋เสี่ยงเหิงมองหน้าเธอ ” ช่วงนี้สามีของคุณเป็นยังไงบ้าง? เขา……”
” เราหย่ากันแล้วค่ะ ” ซูหย่าพูดขัดจังหวะเขา และหยิบน้ำแร่ออกมาจากกระเป๋าจากนั้นก็ยกดื่ม
ดังนั้น เธอเลยพลาดที่จะเห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความดีใจของไป๋เสี่ยงเหิง
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงบ หลังจากผ่านไปสักพัก ชายหนุ่มก็พูดพึมพำกับตัวเอง ” เขามันโง่ ”
ซูหย่ายิ้ม หลังจากนั้นเธอก็ลุกขึ้น ” งั้นไม่รบกวนคุณแล้วนะคะ เชิญคุณทำงานต่อเถอะค่ะ ” พอพูดจบเธอก็กำลังจะเดินออกไป
” เลี้ยงข้าวผมสักมื้อได้ไหมครับ? ”
ซูหย่าชะงักไป จากนั้นก็หันไปมองไป๋เสี่ยงเหิงด้วยความตกใจ ” ถ้าฉันได้ยินไม่ผิด คุณบอกว่าให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณงั้นเหรอคะ? ”
ไป๋เสี่ยงเหิงพยักหน้า ” ถ้าผมเป็นคนเลี้ยงข้าวคุณซู คุณซูก็คงจะไม่ยอมตอบตกลง แต่ ตอนนั้นผมเองก็เคยช่วยเหลือคุณซูนะครับ ให้คุณซูเลี้ยงข้าวผมสักมื้อคงไม่เป็นการรบกวนเกินไปใช่ไหมครับ? “ สรรพนามที่เขาเรียกเธอเปลี่ยนจาก ” คุณนายซู ” เป็น ” คุณซู ”
เมื่อมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า บนใบหน้าของซูหย่าก็มีรอยยิ้มที่หาได้ยากปรากฏขึ้น ” ก็ได้ อยากกินอะไรล่ะ ฉันเลี้ยง ”
ชายหนุ่มดีใจมากราวกับเด็กที่ได้อมยิ้ม เขาบอกกับเธอว่า ” รอผมสักครู่นะ ผมไปเปลี่ยนชุดก่อน ”
มองไปที่ภัตตาคารส่วนตัวตรงหน้า ซูหย่าก็ยกนิ้วโป้งให้ไป๋เสี่ยงเหิง สถานที่นี้ เธอรู้ดีว่าแค่มีเงินอย่างเดียวใช่ว่าจะมากินที่นี่ได้ ได้ยินมาว่าขนาดทำการจองไว้ล่วงหน้ายังต้องรอนานหลายเดือน เธอเคยมาทานอาหารที่นี่กับพี่ชายใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ไป๋เสี่ยงเหิงแค่โทรศัพท์มาสายเดียว ก็จองสำเร็จแล้ว ทำให้เธอรู้สึกสนใจในตัวตนของเขามาก
” คุณรู้จักกับเจ้าของร้านเหรอ? ”
ไป๋เสี่ยงเหิงมองหน้าเธอแล้วพยักหน้า ” ไปกันเถอะ ”
เมื่อเดินเข้าไป พนักงานทุกคนก้มคำนับเขาด้วยความเคารพ และเรียกเขาว่า ” สวัสดีค่ะ เจ้านาย ”
ซูหย่าเอามือปิดปาก และดึงแขนไป๋เสี่ยงเหิงไว้ ” นี่……คุณเป็นคนเปิดร้านอาหารนี้เหรอ? ”
ในตอนแรกที่ไป๋เสี่ยงเหิงเปิดร้านแห่งนี้ เขาก็แค่รู้สึกน่าสนใจดี แต่พอเปิดไปได้หลายปี ร้านแห่งนี้ก็กลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงทางด้านอาหารระดับโลก แต่วันนี้ความตกใจของซูหย่ากลับทำให้เขาสามารถใช้ประโยชน์จากจุดนี้ได้ เขายกยิ้มมุมปาก
” แค่ทำล่วงเวลาน่ะ ”
แค่ทำล่วงเวลาแต่กลับสามารถทำให้คนต่อคิวรอกันนานเป็นเดือน แล้วแบบนี้จะให้พวกที่ตั้งใจเปิดร้านอาหารที่เป็นมืออาชีพรู้สึกยังไง?
ซูหย่ากวาดสายตามองไปรอบๆ การตกแต่งของที่นี่ให้ความรู้สึกที่ดีมาก นำเอาความเป็นยุโรปและความเป็นจีนมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่ทำให้คนที่มาเยือนรู้สึกหงุดหงิด ทันใดนั้น สายตาเธอก็ไปสะดุดเข้ากับสิ่งสิ่งหนึ่งจนไม่อาจละสายตาออกจากมันได้
มีชายและหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ชายคนนั้นคือเซียวอู๋ ส่วนหญิงสาวคนนั้นคือมู่ซือ ผู้หญิงที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลานาน
เพราะว่าตำแหน่งที่นั่งตรงนั้นมันเป็นที่นั่งแบบเอียง ซูหย่าจึงเห็นเพียงหน้าด้านข้างของเซียวอู๋ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงสลัวเกินไปหรือว่าผิวเขานั้นเข้มขึ้น เขาสวมชุดสูทที่เป็นทางการมาก เขานั่งตรงข้ามมู่ซือ ส่วนมู่ซือนั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน แต่ไม่รู้ว่าคุยกันเรื่องอะไร รอยยิ้มอันสวยงามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซียวอู๋ ถึงระยะห่างจะไกลมาก แต่ซูหย่าก็สัมผัสได้ว่าเขาดีใจมาก
ไม่ได้เจอกันมานานครึ่งปี เธอเอาแต่คิดถึงเขาวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า แต่กลับไม่กล้าติดต่อไปหาเขา ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความหาเขา เพราะเธอกลัวว่าจะทำให้แผนการที่เขาวางไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เธอครุ่นคิดมานับครั้งไม่ถ้วนถึงฉากที่ทั้งคู่จะเจอกันอีกครั้ง ครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาจจะเป็นฉากที่กอดกัน อาจจะเป็นฉากที่เล่าถึงความรักและความคิดถึงกัน แย่ที่สุดก็เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูกแบบธรรมดาทั่วไป…..
สุดท้ายล่ะ? หลังจากการได้ชัยชนะกลับมาคนแรกที่เขาคิดถึงกลับไม่ใช่ตัวเอง
จริงด้วย ทำไมเธอถึงได้ลืม เขาเคยบอกแล้วเขาไม่มีวันรักเธอ
เธอเชื่ออย่างหมดใจมาโดยตลอดว่าที่เขาพูดแบบนั้นเพราะต้องการให้เธออกจากชีวิตเขาเท่านั้น อย่างน้อยในใจเขาก็ต้องรู้สึกกับเธอบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ว่าอย่างไร เธอก็ทุ่มเทและเสียสละไปมากมาย แต่ตอนนี้เธอพึ่งจะรู้ตัวว่าเธอคิดไปเองคนเดียวทั้งหมด
เธอเองก็พึ่งจะเข้าใจ เธอกำลังหลอกตัวเอง ส่วนเขานั้นคิดจริงจัง
และยิ่งไปกว่านั้นเธอเข้าใจแล้วว่าความรักไม่ได้ได้มาเพราะความทุ่มเทและความเสียสละเพียงอย่างเดียว
หางตาเธอร้อนผ่าน เธอก้มหน้าและละสายตาจากตรงนั้น
ไป๋เสี่ยงเหิงเหยียดแขนออก ” ไปด้านบนกันเถอะ ด้านบนเงียบสงบกว่า ”
ซูหย่าเอาแต่ก้มหน้า เธอรู้สึกหมดอารมณ์
” เขาหย่ากับเธอหลังจากที่ฟื้นคืนสภาวะปกติใช่ไหม? ” หลังจากนั่งลง ไป๋เสี่ยงเหิงก็ถามขึ้น
เธออยากจะบอกว่าเดิมทีเธอคิดว่านั่นมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ตอนนี้ เธอกลับรู้สึกเหมือนมีบางอย่างปิดกลั้นคอเธอไว้ ทำให้เธอพูดอะไรไม่ออก
อาหารยังคงรสชาติเหมือนเดิม แต่ซูหย่ากลับทำเหมือนมันไร้รสชาติอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋เสี่ยงเหิงมองเธออย่างอ่อนโยนและไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงแนะนำเมนูอาหารให้เธอฟัง
” เธอลองชิมอันนี้ดู มันอาจจะทำให้เธออารมณ์ดีขึ้น ”
ซูหย่าไม่เข้าใจ ทันทีที่เธอลองชิม เธอถึงกับเอามือปิดปาก ” นี่……นี่คืออะไรเนี่ย? ทำไมเผ็ดขนาดนี้? ”
” ผมให้พ่อครัวเติมมัสตาร์ดลงไปในนี้ด้วย พอกินเข้าไปจะได้ทำให้คนร้องไห้ พอร้องไห้แล้ว อารมณ์ก็จะดีขึ้นเอง ”
เมื่อคุณรู้สึกเศร้า อย่าเติมความหวานมันลงไปเด็ดขาด แต่ไป๋เสี่ยงเหิงก็ช่างไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้เลยจริงๆ
เมื่อเห็นหญิงสาวร้องไห้ฟูมฟาย ภายในใจของไป๋เสี่ยงเหิงรู้สึกอึดอัดมาก แต่เขายังคงเป็นสุภาพบุรุษและคอยยื่นทิชชูให้เธออย่างต่อเนื่อง
พอกินเสร็จ ร้องไห้เสร็จ ตอนที่ลงมาชั้นล่าง ที่นั่งตรงนั้นก็ว่างเปล่าแล้ว
หัวใจของซูหย่าดิ่งลงเล็กน้อย
เมื่อวานได้ยินเล่อจยาบอกว่า เขาทำการใหญ่สำเร็จแล้ว แค้นก็ได้ชำระแล้ว เธอยังเพ้อฝันอยู่เลยว่า เร็วๆนี้คงจะได้เจอกันแล้วใช่ไหม?
แต่สุดท้ายเขากลับเลือกมาฉลองกับคนอื่น
ซูหย่า เธอเป็นแค่อดีตภรรยาเขาแล้วจริงๆ เธอประเมินค่าตัวเองสูงไปนะ เธอพูดกับตัวเองแบบนั้น
แต่ เธอรู้สึกเจ็บปวดใจมาก ความเข้มแข็ง และความประนีประนอมของเธอทำไมกลับทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จล่ะ?
ทำไมโรงพยาบาลที่ด้อยพัฒนาที่นี่สามารถตรวจพบโรงทางจิตของเซียวอู๋ได้ว่าเกิดจากมีภาวะเลือดออกในสมองของเขา แต่ทำไมในเมือง H โรงพยาบาลใหญ่จำนวนมาก หมอทุกคนล้วนเห็นพ้องกันว่า การป่วยของเขาเกิดจากการใช้ยาเกิดขนาด โรงพยาบาลนั้นเต็มใจวินิจฉัยผิดพลาด ไม่มีทางที่ทุกโรงพยาบาลจะวินิจฉัยผิดพลาดเหมือนกันหมด
ถ้างั้น ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่วินิจฉัยผิดพลาด ก็คือมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เธอหลับตาและลืมตาอีกครั้ง พยายามสงบจิตใจที่ปั่นป่วนของตัวเอง
ใครกัน ที่จะกล้าทำสิ่งต่างต่างกับคนที่มีสถานะเป็นเซียวอู๋ และยังสามารถซ่อนตัวจากคนจำนวนมากได้อีกด้วย
ด้วยพลังของตระกูลเซียวและตระกูลซู คนธรรมดาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อย และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยภายในใจ
เมื่อกลับมาที่ห้องผู้ป่วย เซียวอู๋ยังไม่ฟื้น
เธอนั่งอยู่ข้างเซียวอู๋ จับมือของเขาถือไว้ในมือของเธอ ในใจเธอก็คิดไม่ออกจริงจริงว่า สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ ที่คิดจะฆ่าเขา ?
ถ้าหากครั้งนี้ ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ละก็ ชีวิตของเขาคงจะพินาศไปแล้ว คิดคิดดูแล้ว ผู้ชายที่ดีแบบนี้ จริงจริงแล้วเขาก็ถูกคนอื่นออกแบบมาให้เป็นแบบนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเขา ความทุกข์ใจของเธอก็สั่นสะท้าน น้ำตาในดวงตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย
ทันใดนั้น มือใหญ่ในมือของเธอก็ขยับ
เซียวอู๋ค่อยค่อยลืมตาขึ้น และผู้หญิงที่อยู่ในดวงตาของเขา ก็ร้องไห้ออกมา
เขาขมวดคิ้ว และเปิดปากของเขา ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาสองคำ “อย่าร้องไห้”
ซูหย่าเม้มริมฝีปากและสูดหายใจ “คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ?”
เซียวอู๋กะพริบตา ยกมือขึ้น และปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “เสี่ยวหย่า…….อย่าร้องไห้”
นี่คือสิ่งที่เซียวอู๋พูดมานานที่สุดตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ซูหย่าพยักหน้าซ้ำๆ “โอเค ไม่ร้อง”
“เสี่ยว……อี้”
เมื่อซูหย่าได้ยิน “เสี่ยวอี้อยู่กับคุณลุง คุณเป็นลมไป ฉันจึงพาคุณมาโรงพยาบาล จึงไม่มีคนดูเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเศร้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด ถ้าหากว่าไม่ได้เจอพวกคุณลุงที่เป็นคนดีแบบนี้ เธอควรจะทำอย่างไรดี ?
เนื่องจากเสี่ยวอี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีคนดู และซูหย่าก็ปล่อยเซียวอู๋ไม่ได้ หลังจากยืนยันกับหมอว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็ไปทำเรื่องพาเขาออกจากโรงพยาบาล
เมื่อออกประตูมา ก็พอดีกับที่หมอไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก “เรื่องการผ่าตัด คุณต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบนะ เขายังหนุ่มอยู่”
ซูหย่ามองมาที่เขา และมองไปที่เซียวอู๋ “ขอบคุณมากค่ะ ไม่รู้ว่าคุณสามารถให้เบอร์โทรศัพทัฉันได้ไหม ถ้าหากฉันมา ฉันจะติดต่อคุณ ได้ไหม ?”
หมอไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขลงไป “คุณจดไว้”
ซูหย่ารีบใช้โทรศัพท์มือถือของเธอถ่ายรูปไว้สองสามรูป และดึงเซียวอู๋เดินไปสองก้าว แล้วหันศีรษะกลับมายิ้มและโค้งคำนับให้กับหมอไป๋ “ขอบคุณคุณหมอไป๋ที่ช่วยชีวิตสามีของฉัน”
เมื่อได้ยินเธอพูดว่าสามี หมอไป๋ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้น ก็พยักหน้า และเดินผ่านเธอไป
เมื่อซูหย่ากลับไป ก็ตรงไปที่คุณลุงแล้วรับเสี่ยวอี้กลับมา
เมื่อคุณลุงเห็นว่าเซียวอู๋อยู่ในสภาพที่ดี เขาก็ไม่ได้ถามอะไร แค่พูดว่า ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็บอก พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ซูหย่าพยักหน้าให้เขาอย่างซาบซึ้ง
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอกระตุกเซียวอู๋ว่า “คุณไปอาบน้ำก่อน ฉันจะชงนมให้เสี่ยวอี้ แล้วจะไปทำอาหารให้คุณ”
เซียวอู๋จับมือของเธอ โดยไม่ขยับ
“มีอะไรรึเปล่า ?”
เซียวอู๋ไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก ซูหย่าก็เข้าใจทันที
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ คุณไม่เป็นไร ก็ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ”
ในขณะนี้ เซียวอู๋หันกลับไปอย่างเชื่อฟัง และเดินไปที่ห้องน้ำ
ในตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่บนเตียง ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับ
เธอกำลังคิดถึงปัญหาเรื่องเลือดคลั่งในสมองของเซียวอู๋ เมื่อคิดไปคิดมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความถึงหมอไป๋คนนั้น
ในเมืองนี้ มีแต่เครือข่าย 2G ดังนั้น วีแชท QQ อะไรพวกนี้ก็แทบจะกลายเป็นแอปประดับเครื่องไปแล้ว เชื่อมต่อยากมาก
“หมอไป๋ สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ ถ้าสามีของฉันผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะจะมีความเสี่ยงไหมคะ ?”
ข้อความตอบกลับมาเร็วมาก
“มี”
คำเพียงสั้นๆ ทำให้หัวใจของซูหย่ากระตุกขึ้นมาทันที
“ถ้างั้น มันจะมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ?”
“อืม เรื่องนี้รับประกันอะไรให้คุณไม่ได้ ในฐานะหมอ ผมพูดได้เพียงว่า ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
คำตอบอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้ซูหย่าใจเสีย
“งั้น ถ้าเกิดว่าล้มเหลว จะเป็นอย่างไร ?” เมื่อถามคถามนี้ หัวใจของเธอก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
“มันก็อาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู๋ที่กำลังหลับใหลอยู่ โดยคิดว่าการตัดสินใจของเธอ อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเครียดมาก
“ฉันควรทำอย่างไรกับคุณดี ?” เสี่ยวหวู่
เพราะปัญหานี้ ในตอนกลางคืน เธอยังต้องคิดเล็กน้อยอยู่บ้าง ซูหย่าแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อตื่นมาตอนเช้า ก็เวียนหัว และปวดหัวจนแทบเดินไม่ได้
ป้าผ่านมาเห็นพอดี เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูแย่ ก็รีบอุ้มเสี่ยวอี้ออกไปจากมือของเธอ “เสี่ยวหย่า คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? ฉันเห็นสีหน้าคุณดูแย่มาก”
ซูหย่าขมวดคิ้ว หลังจากชงนมผงเสร็จ ก็ส่งให้กับป้า “เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน”
“จริงเหรอ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”
บางทีมันอาจจะจำเป็นต้องปรึกษาใครสักคนจริงๆ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของเสี่ยวอู๋กับป้า
เมื่อป้าได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองออกไปข้างนอกประตู “ตาแก่ คุณก็เข้ามาสิ มาออกความคิดเห็นหน่อย”
ซูหย่าเพิ่งพบว่า ที่แท้คุณลุงก็มาแล้ว เพียงแต่อยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เข้ามา
เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู “คุณลุง คุณเข้ามานั่งสิคะ”
คุณลุงพยักหน้า เดินเข้ามาในห้อง มองไปที่เสี่ยวอี้ แล้วเอ่ยปกาพูดว่า “สาวน้อย ทำเถอะป่ะ เพียงแต่ โรงพยาบาลของพวกเราแถวนี้ไม่ค่อยจะดี คุณสามารถพาพ่อของเสี่ยวอี้ไปในสถานที่ที่ใหญ่กว่านี้”
ปัญหานี้ ที่จริงแล้วซูหย่าก็เคยคิด แต่ ถ้าหากกลับไปที่เมืองใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใครกันแน่ก็ยังไม่รู้เลย และยังสามารถควบคุมคนจำนวนมากได้ ภูมิหลังจะต้องน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน
เธอไม่กล้าพาเซียวอู๋ไปเสี่ยง
“เมืองใหญ่ พวกเราไม่กลับไปแล้ว” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากอ้อมกอดของป้ามา และมองดูตาโตโตของเสี่ยวอี้ แล้วพูดกับตัวเองว่า: “ถ้าหากล้มเหลว ถ้างั้นจะทำอย่างไรกันดี ?”
“ตอนนี้เขามีชีวิตแบบนี้ มันก็เจ็บปวด”
ป้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เสี่ยวหย่า ที่คุณลุงพูด ถึงแม้มันจะตรงไปหน่อย แต่ คุณสามารถคิดให้ดีกว่านี้หน่อยไหม ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ?”
รอยยิ้มของซูหย่าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอหายใจเข้าลึกๆ และก็พบว่าเซียวอู๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาเอามือจับหน้าท้อง เม้มปาก และดูไม่พอใจ
ซูหย่าทักทายเขาด้วยสายตา แต่ทันใดนั้นก็พบว่า เซียวอู๋คนโง่ที่ทำให้คนชอบนั้น ไม่มีทางที่จะเย็นชาขนาดนี้
เธอถอนหายใจ “ลูกชายของคุณไง ? คุณไม่เห็นเหรอว่า เสี่ยวอี้เหมือนกับคุณมาก ?”
เมื่อเห็นดวงตาที่เหลือเชื่อของชายผู้นี้ เธอก็ยิ้มอย่างมีชัย และยัดเสี่ยวอี้ไว้ในอ้อมแขนของเขา “คุณอุ้มไว้ ฉันจะไปชงนมให้กับเขา”
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง
เซียวอู๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ ซูหย่านอนอยู่บนเตียง กล่อมให้เสี่ยวอี้นอนหลับ
“คุณหมายความว่า ผมถูกคิดบัญชี เป็นคนโง่ เป็นบ้า คุณแกล้งตาย แล้วพาผมมาถึงที่นี่ ? เสี่ยวอี้ก็คือเด็กที่คุณบอกไปก่อนหน้านี้ว่าไม่มีแล้วคนนั้น ?”
ซูหย่าพยักหน้า “ใช่”
เซียวอู๋มองที่เขา จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวอี้ที่กำลังนอนหลับอยู แล้วขมวดคิ้ว “ทำไมล่ะ ?”
“อะไรทำไม ?”
“เห็นได้ชัดว่าคุณชอบหน้าขาวเล็กนั่น แล้วทำไมถึงยังทำเพื่อผมมากมายขนาดนี้ ?”
“ชอบปี๋ไค ?”ซูหย่าไม่เข้าใจแล้ว
“ในเมืองวันนั้น เขาบอกกับผมเองว่า ให้ผมปล่อยมือคุณ”
ซูหย่าจำฉากในวันนั้นได้ เห็นได้ชัดว่ามันเพิ่งผ่านมาปีกว่าเท่านั้น แต่เธอก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก
เธอลุกขึ้น ลงจากเตียง และมองไปที่เซียวอู๋ “ในเมื่อคุณก็ฟื้นความทรงจำแล้ว รอให้พวกคนแก่กลับมาแล้ว พวกเราไปลาพวกเขากัน กลับเมือง C กันเถอะ เสี่ยวอี้ ฉันจะเลี้ยงเองคนเดียว คุณจะกลับไปที่กองทัพหรือว่ายังไง ก็แล้วแต่คุณเถอะ”
พูดจบ เธอก็ยิ้มอย่างเหงาเหงา คิดถึงประสบการณ์ของเธอในช่วงเวลานี้ มันราวกับฝัน แต่ตอนนี้ เธอตื่นจากฝันแล้ว
เซียวอู๋ก้มศีรษะลง โดยไม่เห็นความเจ็บปวดในดวงตาของซูหย่า
เขาไม่รู้ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาจะต้องประสบพบเจออะไรบ้าง แต่ เมื่อวานตอนที่เห็นชายคนนั้นกำลังจะทำอย่างนั้นกับซูหย่า เขาก็โกรธจนแทบบ้า
เขาเอื้อมมือออกไป คว้าแขนของซูหย่า “ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้ว ผมก็จะไม่ขาดความรับผิดชอบ”
คำทางการและคำพูดที่เย็นชา ?
ความเย็นชา นี่เป็นมาตราฐานของเซียวอู๋
รับผิดชอบ ? เธอยิ้มอย่างเย็นชา และสะบัดมือของเขาออก ความพยายามดังกล่าว คงจะดีเกินไป หากเป็นเพียงแค่คำพูดแสดงความรับผิดชอบของเขา
หลังจากออกไปล้างขวดนมแล้ว เธอก็เดินไปที่ข้างหน้าชายคนนั้น แล้วเอารองเท้าออกจากปากของชายคนนั้น
ชายคนนั้นสูดหายใจแล้วพูดว่า:“ คุณหนู ผมไม่ได้ทำอะไรคุณจริงจริงนะ ยังไม่ได้แตะต้อง เขาก็ฟื้นขึ้นมา แล้วทุบตีฉันแบบนี้ ”เธอหยุดพูดเกี่ยวกับตาแก่ แล้วน้ำเสียงของเขาก็ดูสงบลง ซูหย่าสูดหายใจเข้า หลอกลวงความดีและกลัวความชั่ว น่าขยะแขยงจริงๆ
เธอไม่พูดอะไร หันหลังเดินตามเขา แก้มัดให้เขา จากนั้นพูดอย่างสีหน้าไร้อารมณ์ว่า:“ คุณไปเถอะ”
เมื่อเซียวอู๋ได้ยิน ก็กระซิบว่า “คุณบ้าไปแล้วเหรอ คนขี้ขลาดแบบนี้ คุณปล่อยเขาไปแบบบนี้ได้อย่างไร ?”
“คนขี้ขลาด ?”ซูหย่ามองไปทางด้านหลังที่หลบหนีไป “ถ้าหากว่าไม่ใช่คนขี้ขลาดนี้ บางทีตลอดชีวิตคุณอาจจะเป็นคนโง่อยู่แบบนั้นแล้ว” ดังนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่เธอไม่สนใจ
พูดเสร็จ เธอก็หันหลังเข้าไปในบ้าน
ก่อนหน้านี้ เซียวอู๋หมดสติไป เสี่ยวอี้ก็ยังเล็ก ภายในห้องเงียบมาก แต่ว่า ในขณะนี้ เซียวอู๋ฟื้นแล้ว เสี่ยวอี้ก็โตแล้ว ภายในห้องที่เงียบสงัด กลับยิ่งหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ
ช่องว่างระหว่างเขากับเซียวอู๋ มันไม่ได้ดีขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้
เธอถามตัวเองว่า มันคุ้มไหม คำตอบก็คือเริ่มต้นใหม่ เธอก็ยังจะเลือกแบบนี้ บางทีถ้าคุณอาจจะรักใครสักคนจริงๆ คุณก็คงไม่อยากให้เขาตอบแทนกลับหรอก เมื่อคิดว่า เขาสบายดี ก็ไม่มีอะไรสำคัญแล้ว เขามีชีวิตอยู่ ก็ดีแล้ว
เธออุ้มเสี่ยวอี้มือเดียว และเริ่มทำงานบ้าน เซียวอู๋นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองดูเธอทำสิ่งเหล่านี้อย่างชำนาญ และชิ้นส่วนบางอย่างก็แวบเข้ามาในหัวของเขา
“คุณ ดูผอมลงนะ ”คำพูดที่ไม่มีจุดเริ่มและจุดสิ้นสุดมาจากข้างหลัง
มือของซูหย่าที่เช็ดเก้าอี้ แข็งกระด้าง เธอเม้มปากและไม่ตอบกลับ
“เอาเขามาให้ผม ”ชายคนนั้นก้าวไปข้างหน้า และหยิบเสี่ยวอี้มาจากอ้อมแขนของเขา แต่เมื่อเขายื่นมือออกมา น้ำตาก็หยดลงบนที่หลังมือของเขา ซูหย่าหันศีรษะของเธอ และส่งเสี่ยวอี้ให้กับเซียวอู๋
ขณะถืออ่างกำลังเตรียมตัวจะหันหลังกลับ แต่ก็ถูกชายคนนั้นจับแขนไว้ “เพื่อผมเหรอ ?”
ซูหย่าต้องการที่จะปฎิเสธ แต่ว่า ความคับข้องใจในหัวใจของเธอทำให้เธอสำลัก
“เสี่ยวหวู่ ที่ฉันต้องการไม่ใช่ความเมตตา ไม่ใช่ความซาบซึ้ง ดังนั้น คุณไม่ต้องรู้สึกผิดกับฉันหรอก ฉันแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเพื่อคนที่ตัวเองรัก ”พูดจบ เธอก็ดึงมือของเขาออก แล้วเดินออกไปที่ก๊อกน้ำข้างนอก และซักทำความสะอาดผ้าขี้ริ้ว
ทันใดนั้น ประตูก็ถูกผลักออก คุณลุงกับคุณป้าวิ่งมาจากข้างนอก เมื่อเห็นซูหย่า ป้าก็ขึ้นมาจับแขนของเธอมองดูขึ้นลง และถามอย่างกระตือรือร้นว่า:“ เสี่ยวหย่า คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “ป้า ทำไมพวกคุณถึงกลับมาแล้ว ไม่ได้บอกว่าจะต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งไม่ใช่เหรอ ?”
“สาวน้อย หลานของชายชราข้างบ้านโทรศัพท์มาหาพวกเรา บอกว่า……..บอกว่าไอ้เจ้าสัตว์ร้ายนั่นมาหาคุณ ใช่ไหม ?”
ซูหย่ามือสั่นสะท้าน หลานชายข้างบ้าน ? วันนั้น เขาเห็นแล้ว ? เธอรู้สึกเย็นชาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ เห็นแล้ว แต่เลือกที่จะโทรศัพท์หาคนแก่สองคน โดยไม่โทรแจ้งตำรวจ ไม่เห็นใจคนอื่นเลยจริงๆ
“ฉันไม่เป็นไร พ่อของเสี่ยวอี้ฟื้นแล้ว เขาช่วยฉันไว้ ”เธอพูดเบาเบา แต่กลับทำให้ป้ารู้สึกลำบากใจมากขึ้นไปอีก ป้าจับแขนของเธอไว้ “เจ้าสัตว์ร้ายนี้ เจ้าสัตว์ร้ายนี้……… ” ทันใดนั้นเธอก็ตอบสนอง
เมื่อหันกลับมามองคุณลุง “เมื่อครู่เสี่ยวหย่าบอกว่า พ่อของเสี่ยวอี้ฟื้นแล้ว ? ใช่ไหม ?”
ในขณะนี้ เสียงฝีเท้ามาจากประตู คนแก่ทั้งสองหันศีรษะไปมองที่ประตู
เซียวอู๋อุ้มเสี่ยวอี้ สีหน้าดูมืดมน
“เสี่ยวหวู่ นี่คือคุณลุงกับคุณป้าที่ฉันเคยบอกคุณ ในช่วงเวลานี้ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ฉันกับเสี่ยวอี้แล้วก็คุณ ก็คงจะไม่มีชีวิตรอด”
เซียวอู๋เดินออกไป และพยักหน้าให้กับคนแก่ทั้งสองคน “ขอบคุณพวกคุณที่ดูแลพวกเขาสองแม่ลูก”
คุณลุงกับคุณป้ามองตากัน “ฟื้นมาก็ดีแล้ว ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว ช่วงที่คุณอยู่ในอาการโคม่า คุณทำให้แม่ของลูกคุณลำบากมากเลย ตัวคนเดียว ต้องดูแลลูก และยังต้องดูแลคุณอีก มีครั้งหนึ่ง คุณกลับมาจากการทะเลาะวิวาทกับใครสักคน แล้วหมดสติไป เธอไปโรงพยาบาล เพียงไม่กี่วัน เธอก็ผอมจนไม่เหมือนคนแล้ว ทางนี้ ยังต้องดูแลเสี่ยวอี้ ชายหนุ่ม คุณโชคดีแค่ไหน !”
ป้าพูดไป พลางปาดน้ำตาไป “ในสมัยนี้ หาผู้หญิงแบบนี้ไม่ง่ายเลย”
ซูหย่าถูกพูดแบบนั้นก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย และพูดว่า:
“คุณลุง คุณป้า ตอนกลางวันพวกคุณอยู่ทานอาหารที่บ้านพวกเราเถอะ ฉันจะไปซื้อของ แล้วตอนเที่ยงวันนี้พวกเรามาฉลองกัน”ซูหย่าพูดพลางเข้าไปหยิบกระเป๋าเงินในบ้านแล้วเดินออกไป
ในขณะที่กลับมา ที่ปากทางเข้าซอย เธอมองเห็นเซียวอู๋ยืนอยู่ตรงนั้นจากที่ไกลไกล เมื่อเห็นเธอกลับมา เขาก็หยิบถุงไปจากมือของเธอ และหันหลัง กลับเข้าไปในบ้าน
ซูหย่าเม้มปาก ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และยืนอยู่เคียงข้างเขา “เสี่ยวหวู่ ซี่โครงที่คุณชอบทานที่สุด ฉันซื้อมาแล้ว ยังมีของที่คุณชอบทานอันนี้อีก…….”
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หยุดฝีเท้า และหันกลับไปมองซูหย่า “ซูหย่า พวกเราหย่ากันเถอะ”
อย่างไรก็ตาม ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้น
เมื่อชายคนนั้นเห็นเธอตะโกน เขาก็ปล่อยเธอ และตบไปที่หน้าของเธอ รอยนิ้วมือปรากฎขึ้นบนใบหน้าขาวของเธอ
“ผมจะบอกคุณ วันนี้ผมต้องการคุณแล้ว สถานที่แห่งนี้ ไม่มีใครไม่รู้จักตาแก่ คุณตะโกนจนคอแหบแห้ง ก็ไม่มีใครกล้ามาช่วยคุณ” ขณะที่พูด เขาก็ดึงซูหย่าอย่างแรง ลากเธอ และผลักเธอลงบนเตียงในห้องนอน
บนเตียง มีผู้ชายของเธอและลูกของเธอนอนอยู่ ความอัปยศอดสู่เกือบทำให้ซูหย่าล้มลง
“ไม่………ไม่เอา”
เธอส่ายศีรษะ ถอยหลังอย่างสิ้นหวัง และกระชับเสื้อผ้าที่หน้าอกแน่น
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเคร่งขรึม ดึงขาของซูหย่า แล้วลากไปข้างหน้า “ไม่เอา ? ผู้ชายของคุณเป็นแบบนี้แล้ว คุณยังบอกว่าไม่เอา ?”
ซูหย่าต้องการคว้าอะไรบางอย่าง แต่รอบข้างก็ไม่มีอะไรเลย เธอรีบกอดร่างของเซียวอู๋ และพูดขอร้องว่า:“ เสี่ยวหวู่ คุณตื่นสิ ช่วยช่วยฉัน……เสี่ยวหวู่…….”
อาจจะเป็นเพราะการเคลื่อนไหวค่อนข้างดัง จนทำให้เสี่ยวอี้ตกใจตื่น เขาพลิกตัวและคลานมาข้างหน้าซูหย่า
ชายคนนั้นใช้แรงดึงเสี่ยวอี้ และโยนออกไป โยนไปด้านข้าง
เสียงร้องไห้ของเด็ก และเสียงร้องของซูหย่าผสมปนกันไปหมด
ชายคนนั้นสาปแช่งอย่างฉุนเฉียว และตรงไปที่เตียง และเตะเสี่ยวหวู่ลงกับพื้นอย่างแรง “คนโง่คนหนึ่ง คุณขอร้องเขา ? คุณขอร้องผมยังจะดีกว่า บางทีคนแก่คนนี้อาจจะอ่อนโยนกับคุณมากกว่านี้ก็ได้”
เสียง “อู้อี้” ดังขึ้นมา ซูหย่ายังคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
ตั้งแต่เซียวอู๋ผ่าตัด เขาก็ไม่มีการตอบสนองใดใด
เธอพลิกตัว ปีนขึ้นไป และอุ้มเสี่ยวอี้ที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง “เสี่ยวอี้ ไม่ร้อง แม่อยู่นี่ แม่อยู่นี่”
ความอดทนของชายคนนี้ชะงักอยู่ครู่หนึ่ง เขาถอดชุดทำงานออก แล้วโยนทิ้งลงพื้น ชี้ไปที่ซูหย่า “คุณจะปล่อยเขาไว้ด้านข้าง หรือว่าจะให้ผมโยนเขาออกไป คุณเลือกเอง”
ซูหย่ารู้ว่าชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่น เธอส่ายศีรษธ ทันใดนั้น เธอก็คิดอะไรบางอย่างได้ “ฉันมีเงิน คุณปล่อยฉันไป ฉันให้เงินคุณ เงินจำนวนมาก ตกลงไหม ?”
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว เยาะเย้ย และดึงเสื้อของเขา “เสื้อที่ผมใส่ตัวนี้ ตัวหนึ่งราคาหลายพันหยวน ผมดูเป็นคนไม่มีเงินเหรอ ?”
พูดจบ เขาก็ปีนขึ้นเตียง แล้วใช้มือใหญ่คว้าเสี่ยวอี้
เสี่ยวอี้ที่ไม่เคยกลัวมาโดยตลอด ในขณะนี้เขาอาจจะรู้สึกถึงความอาฆาตพยาบาทของชายคนนี้ และเสียงร้องไห้ของเขาก็ดังขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อซูหย่าเห็นเจตนาฆ่าในดวงตาของชายคนนั้น เธอก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย และรีบปลอบเสี่ยวอี้ “เสี่ยวอี้ ไม่ร้องไม่ร้อง”
เธอรีบพูดกับชายคนนั้นทันทีว่า:“ ให้ฉันปลอบเขาก่อน ได้ไหม ?”
ชายคนนั้นเหลือบมองเธออย่างหมดความอดทน “ผมไม่สนใจ ข้างกายมีเสียงประกอบ ผมจะบอกคุณให้ ถ้าคุณกล้าจะขัดขืน ผมจะบีบคอเด็กคนนี้ให้ตาย” พูดแล้ว เขาก็ดึงเสี่ยวอี้ออกจากแขนของเธอแล้วโยนไปด้านข้าง จากนั้น ก็ดึงชุดนอนของซูหย่าออกจากร่างกายอย่างแรง
เขาปลดกระดุมอออก และลดเสียงลง
ความกลัวความสิ้นหวังในใจ และความเป็นห่วงเสี่ยวอี้ของเธอ เกือบทำให้ซูหย่าล้มลง
เธอนอนอยู่ข้างตียง คว้าร่างของเซียวอู๋ไว้ “เสี่ยวหวู่ คุณรีบฟื้นสิ ช่วยช่วยฉัน ช่วยฉันด้วย……….”
ความเย็นของร่างกายทำให้เสียงของซูหย่าหยุดลงทันที
จากนั้น ร่างหนาก็กดทับร่างของเธอไว้ เธอหลับตา ใจของเธออ่อนล้าสิ้นหวัง………
ความตึงเครียดทางร่างกายและจิตใจ ทำให้สติของเธอค่อยค่อยเลือนหายไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ซูหย่าลืมตาขึ้น สภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย ทุกอย่างที่คุ้นเคย
เมื่อเธอคิดถึงทุกอย่างก่อนจะหมดสติไป น้ำตาก็ไหลออกมาจากหางตา ดูเหมือนว่า มีแค่ความตายเพียงทางเดียวเท่านั้น
แต่ เมื่อคิดถึงเสี่ยวอี้ ในใจเธอก็เป็นทุกข์
ใช่แล้ว เสี่ยวอี้ล่ะ ?
เธอหันกลับมา บนเตียงไม่มีใครอยู่ เธอนั่งตัวตรง และพบว่า ตัวเองถูกห่มผ้าห่มอยู่
เมื่อมองสะท้อนไปที่พื้น เซียวอู๋ก็ไม่อยู่แล้ว
เธอพลิกตัวลุกจากเตียงด้วยความตื่นตระหนก ร่างกายผ่อนคลาย และไม่รู้สึกอึดอัดเลย ถ้าหากเธอเคยประสบเรื่องอย่างนั้น………จะต้องไม่เป็นอย่างนี้แน่นอน
หรือว่า ตัวเองจะตายแล้ว ?
เธอใช้แรงบีบหน้าของตัวเองแน่น และรู้สึกเจ็บ ถ้างั้นก็แสดงว่ายังไม่ตาย เพียงแต่…….
“ตื่นแล้วเหรอ ? มาทานข้าวก่อน”
เสียงผู้ชายที่คุ้นเคย ทำให้ซูหย่าเงยหน้าขึ้นมองอย่างรวดเร็ว
สายตาที่เหมือนกับนกอินทรี และออร่าที่ไม่แย่แส เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะออกมา “ฉันจะต้องตายแล้วแน่ๆ ดังนั้น ถึงได้เห็นไอ้บ้าอย่างคุณอีกครั้ง”
ใบหน้าของชายคนนั้นมืดมนลง เขาก้าวไปปข้างหน้า และวางถ้วยไว้บนโต๊ะ “ถ้าหากว่าคุณอยากตาย ก็ควรจะตายก่อนที่ชายคนนั้นจะทำลายคุณเมื่อวาน”
“ทำลาย……ก่อนหน้านี้”ซูหย่าเบิกตากว้าง และปิดปากของเธอ “เสี่ยวหวู่ คุณคือเสี่ยวหวู่ คุณฟื้นแล้ว คุณช่วยฉัน ใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”
หลังจากพูดจบ เธอก้าวไปข้างหน้า คว้าคอของเซียวอู๋ เธอร้องตะโกนอย่างตื่นเต้น และร้องไห้………
“เสี่ยวหวู่ เจ้าคนบ้า ทำไมคุณถึงเพิ่งฟื้น ?”เธอพูดพลางตีไปที่ร่างกายของเซียวอู๋
เธอได้ยินเสียงของชายคนนั้นหายใจเข้า มือทั้งสองข้างถูกจับไว้ ชายคนนั้นมองเธออย่างไม่อดทน “จะยังไม่จบใช่ไหม ?”
ขณะที่พูด เขาก็พลักเธอลงบนเตียง “ทานข้าว”
เขาหันหลังกลับไปออกไปข้างนอก และในขณะเข้ามา มือข้างหนึ่งก็อุ้มเสี่ยวอี้ไว้ “สรุปแล้วที่นี่คือที่ไหน ? แล้วเธอไปเอาเด็กคนนี้มาจากไหน และ ทำไมผมกับคุณถึงอยู่ด้วยกัน ในที่แบบนี้ได้ยังไง ?”
เขาจำได้ว่าเขาไปปฎิบัติภารกิจ แล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ซูหย่าตกตะลึง พระเจ้าช่วย หรือว่า ที่เธอทำไปเพื่อผู้ชายคนนี้ทั้งหมดนั้น ผู้ชายคนนี้ไม่มีความทรงจำอะไรเลย ?
อย่างไรก็ตาม เขาสามารถหายดีแล้ว ที่เธอออกแรงไปทั้งหมดนี้ เธอก็ไม่สนใจอีกแล้ว
หลังจากทานข้าวไปสองคำ เธอก็ยิ้มให้เซียวอู๋และพูดว่า “รอเดี๋ยวนะ ฉันทานเสร็จแล้ว ฉันจะบอกคุณ”
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ที่เธอรู้สึกว่าอาหารอร่อย
ขณะที่ทาน น้ำตาของเธอก็ตกลงไปในถ้วย
เซียวอู๋เห็นเธอเดี๋ยวก็ร้องไห้เดี๋ยวก็หัวเราะ เขาขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
หลังจากซูหย่าทานข้าวเสร็จ เซียวอู๋ก็อุ้มเสี่ยวอี้อยู่ในสวน
เมื่อเธอออกมา เธอเห็นชายคนนั้นโดนมัดติดอยู่กับต้นไม้ในสวน เธอก็ตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นชายคนนั้นโดนมัดมือมัดเท้า ถูกรองเท้ายัดอยู่ในปาก และร่างกายก็มีเลือดปนอยู่ เมื่อเห็นเขา ในดวงตาก็เกิดความกลัว
เธอรับเสี่ยวอี้มาจากมือของเซียวอู๋ เมื่อเห็นเขาดูดนิ้วมือของตัวเอง เธอก็ถามไปว่า:“ คุณ ได้ป้อนนมเขารึเปล่า ?”
เซียวอู๋เหลือบมองเธอ“ ผมจะเอานมมาจากไหน ?”
ซูหย่าเม้มปาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันถามว่าคุณได้ชงนมผมให้เขาไหม ?”
“เปล่า”น้ำเสียงเย็นชา และไร้อารมณ์
ชายคนนั้นพูดพลางเดินเข้าไปข้างใน ซูหย่ามองไปที่เสี่ยวอี้ในอ้อมกอด “เสี่ยวอี้ เดี๋ยวแม่ชงนมให้กินนะ เด็กน้อยที่น่าสงสาร ได้พบกับพ่อที่โหดร้ายเช่นนี้”
ชายคนนั้นชะงักฝีเท้าในทันที และหันศีรษะกลับมา มองซูหย่าด้วยสีหน้าที่เย็นชา “คุณพูดว่าอะไรนะ ?”
“หิวแล้วใช่ไหม ?”
เซียวอู๋พยักหน้า
“แต่ว่า ตอนเช้าฉันไม่ได้ทำอาหารอะไรเลย วันนี้รู้สึกไม่ค่อยสบาย”
“รอเดี๋ยว ฉันจะไปเอาอะไรที่บ้านมามาให้นะ ”บ้านที่ป้าเช่าอยู่แถวๆนั้น
ไม่กี่นาทีต่อมา ป้าก็เอาหมั่นโถวแดง และโจ๊กมาวางบนโต๊ะ และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากมือของซูหย่า “คุณก็รีบทานหน่อย นี่ยังมีอีกสองคนที่คุณจะต้องดูแลนะ คุณอย่าทำให้ร่างกายของตัวเองแย่”
ซูหย่าพยักหน้า และมองป้าอย่างขอบคุณ “ขอบคุณค่ะคุณลุง ขอบคุณค่ะคุณป้า ถ้าหากช่วงเวลานี้ไม่มีพวกคุณละก็ ฉันก็ไม่รู้จริงจริงว่าจะผ่านมันไปได้ยังไง”
“อย่าพูดแบบนี้เลย ฉันกับคุณลุงของคุณหลังจากเกษียณ ก็ไม่มีอะไรทำ คนหนุ่มสาวอย่างคุณไม่ดูถูกพวกเรา พวกเราก็ดีใจมากแล้ว”
ต่อมา ซูหย่าก็ได้รู้ว่า ก่อนที่คุณลุงและป้าจะเกษียณ คนหนึ่งเป็นนักบัญชีในรัฐวิสาหกิจ อีกคนหนึ่งเป็นผู้บริหาร พวกเขาล้วนเป็นพนักงานที่จริงจัง ในตอนนั้นพวกเขามีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ เพราะนโยบาลของรัฐบาล สามารถให้กำเนิดลูกได้เพียงหนึ่งคน แต่ปรากฎว่าในตอนที่ลูกอายุได้สิบกว่าขวบ ไม่ทันระวังตกน้ำไป
ทั้งสองคนทุกข์ทรมานมาเป็นเวลานาน หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย ก่อนจะเดินออกมาจากเงาความโศกเศร้า และอาศัยเงินช่วยเหลือของผู้อื่นมายังชีพของตัวเอง
หลังจากทานอาหารเช้า ป้าก็พูดว่า:“ เสี่ยวหย่า คุณเอาเสี่ยวอี้มาให้พวกเรา และคุณก็รีบไปนอนหลับพักผ่อนหน่อยเถอะ การอดนอนจะทำให้เสียสุขภาพ”
ซูหย่ารู้สึกเกรงใจเล็กน้อย มองเสี่ยวอี้และมองเซียวอู๋ คนโตกับคนเล็ก………
“ไปเถอะ พวกเราไม่ออกไป จะดูแลพวกเขาสองคน ไม่เกิดเรื่องอะไรหรอก”
ซูหย่าพยักหน้า
บางทีอาจจะเพราะเหนื่อยเกินไป เมื่อถึงเตียงก็หลับเลย
ในตอนที่ตื่นขึ้นมา ในห้องก็ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นอาหาร
บางครั้งในห้องนั่งเล่นก็มีเสียงพูดคุยของหลายคน และเสียงคุณลุงที่เล่นกับเสี่ยวอี้
เธอลุกจากเตียง เดินไปที่ประตูห้อง เห็นป้ากำลังทำอาหารในห้องครัว เซียวอู๋นั่งตรงข้ามคุณลุงและมองเสี่ยวอี้
อาจจะเป็นเพราะช่วงนี้เธอรู้สึกเหงาเกินไป เมื่อมองเห็นภาพนี้ ซูหย่าก็แสบจมูกและน้ำตาก็จะไหลลงมา
ในเวลานี้ เธอคิดถึงพ่อแม่และครอบครัวในเมือง C ยังมีพวกเล่อจยาอีก เธอขาดการติดต่อไปแบบนี้ บางทีพวกเขาคงโกรธน่าดู และบางทีเธออาจจะเห็นแก่ตัวเกินไป
เธอหันศีรษะของเธอและเช็ดน้ำตา
เธอก้าวไปข้างหน้า และรับเสี่ยวอี้มาจากมือของคุณลุง เด็กที่อายุเกือบสามเดือน เมื่อเล่นกับเขา เขาก็จะรู้วิธีหัวเราะ เมื่อหิว เขาก็จะรู้วิธีร้องไห้
ซูหย่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง การนำเสี่ยวอี้มาด้วยทำให้ไร้ความกังวลมากขึ้น
เธออุ้มเสี่ยวอี้และเดินไปที่ประตูห้องครัว “ป้า ขอบคุณมากนะคะ”
“ตื่นแล้วเหรอ ? รีบไปนั่งเถอะ อีกเดี๋ยวจะทานข้าวแล้ว”
อาหารวันนี้อุดมสมบูรณ์มาก เซียวอู๋ดีใจราวกับเด็ก มุมปากของเขายกขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากทานอาหารไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นตะเกียบบนมือของเซียวอู๋ก็ตกลงบนโต๊ะ เขาเอามือทั้งสองข้างจับศีรษะและตะโกนออกมาเสียงดัง
“เสี่ยวหวู่ คุณเป็นอะไร ?”
“ปวด……….ปวด !”
“รีบส่งไปโรงพยาบาล” คุณลุงพูดเตือน
ซูหย่าหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา กดโทร 120
ในตอนใกล้ถึงโรงพยาบาล เธอก็โทรศัพท์หาหมอไป๋คนนั้น
เมื่อโทรติด “ฮัลโหล หมอไป๋ จู่ๆเสี่ยวหวู่ก็ปวดหัว คุณอยู่โรงพยาบาลไหม ?”
“คุณส่งไปห้องฉุกเฉินก่อน ผมทานข้าวอยู่ใกล้ๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
เรื่องเร่งด่วนมาก ซูหย่าไม่ทันสังเกตเลยว่า ทำไมหมอไป๋ถึงรู้ว่าเธอคือใคร ?
โรงพยาบาลเดียวกัน ห้องผ่าตัดเดียวกัน
เมื่อหมอไป๋ออกมา ซูหย่าพิงประตูห้องผ่าตัด ก้มศีรษะลง บีบนิ้ว ผมยาวของเธอยุ่งเหยิงบนไหล่เล็กน้อย ผิวขาว ใบหน้าของเธอหันไปทางท้องฟ้า แต่ก็ยังคงไม่สามารถซ่อนอารมณ์ที่สง่างามของเธอได้
เขาก้าวไปข้างหน้า และตบลงไหล่ของเธอ “คุณมากับผมหน่อย”
ซูหย่าหันศีรษะและมองไปที่ห้องผ่าตัด “หมอไป๋ สามีของฉันเป็นอย่างไรบ้าง ?”
หมอไป๋ถอดถุงมือแบบใช้แล้วทิ้งออก และโยนทิ้งลงถังขยะข้างๆ จากนั้นเขาก็หันศีรษะมา มองไปที่ซูหย่า “ตำแหน่งที่เลือดคลั่งของเขาขยับแล้ว ในกรณีนี้ ผมแนะนำให้ผ่าตัดทันที มิฉะนั้น เมื่อความดันเลือดคลั่งกดทับกับเส้นประสาทอื่นๆ ก็อาจจะมีอาการที่คาดเดาไม่ได้ เช่น ตาบอด โรคหลอดเลือดสมอง เป็นต้น”
เมื่อได้ยินที่เขาพูด ซูหย่าก็หยุดเดิน และเกิดกลัวขึ้นมา เธอก้าวไปข้างหน้า และคว้าแขนของหมอไป๋ “หมอ ฉันขอร้องคุณล่ะ คุณจะต้องช่วยเขา เขายังอายุน้อยอยู่”
หมอไป๋จ้องมองมือที่เรียวยาวของเธอ “คุณ คงรักสามีของคุณมากใช่ไหม ? ”ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ยังไม่ทอดทิ้งกัน
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ ในโรงพยาบาลเขาพบเห็นมามากมาย ในตอนแรกคู่สามีภรรยาก็ยังรักกันดีอยู่ แต่หลังจากพบว่าอีกฝ่ายเป็นโรคทางจิตประเภทหนึ่ง พวกเขาก็มักจะค่อยค่อยแยกจากกัน
ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยและนิสัยดี แต่ในสถานการณ์ของชายคนนี้ เธอก็ยังไม่ทอดทิ้ง มันทำให้ชายผู้นี้อดไม่ได้ที่จะมองดูเธอมากขึ้น
ซูหย่าเมื่อถูกเขามองแบบนี้ก็เขินอายเล็กน้อย และกระแอมออกมาเบาๆ
หมอไป๋ถอนสายตาออกไปและมองไปที่ข้างนอกหน้าต่าง และค่อยค่อยพูดขึ้นว่า “การผ่าตัด พวกเราจะพยายามอย่างเต็มที่ เพียงแต่ ค่าใช้จ่ายก่อนและหลัง ค่อนข้างสูง คุณ…………ต้องการเตรียมก่อนไหม ?”
“เท่าไหร่ ?”
“สองแสนหยวน”
ซูหย่าตกใจ สองแสนหยวน เงินที่เธอนำออกมา ไม่พอแน่นอน ดูเหมือนว่า ต้องใช้เงินของปี๋ไคนั่นแล้ว
อย่างไรก็ตาม ถ้าหากสามารถทำให้เซียวอู๋ดีขึ้น ในอนาคตเมื่อกลับไป เธอจะต้องคืนเขาแน่นอน
ถ้าหากกลับไปไม่ได้ เธอก็จะค่อยค่อยหาเงิน และคืนให้เขา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอพยักหน้า “ตกลง เงิน ฉันจะไปเตรียม การผ่าตัดนั้น ได้โปรดทำโดยเร็วที่สุด”
พูดจบ เขาก็หันหลังและเดินเข้าไปยังห้องผ่าตัด
เธอดูสงบกับเงินสองแสนหยวน นี่เกินความคาดหมายของหมอไป๋ ถ้าคนธรรมดาได้ยินตัวเลขนี้ ล้วนต้องตกใจ ดังนั้น เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงคนนี้ ไม่ใช้คนธรรมดาแน่นอน
เมื่อเซียวอู๋ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เกือบจะค่ำแล้ว การหมดสติในครั้งนี้ใช้เวลานานอย่างเห็นได้ชัด และ หลังจากฟื้นมาได้ไม่นาน ก็หมดสติไปอีกครั้ง ซึ่งสิ่งนี้มันทำให้ซูหย่าเชื่อคำพูดของหมอไป๋คนนั้น
เวลาในการผ่าตัด ในที่สุดก็ถูกกำหนดไว้ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า
ความหมายของโรงพยาบาลก็คือ การจัดทีมหมอที่มีอายุให้กับเซียวอู๋ ที่มีประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ
อย่างไรก็ตาม ซูหย่าก็ยังยืนกรานที่จะให้หมอไป๋เป็นผู้นำ
ผู้ชายคนนี้ ทำให้เธอเต็มใจที่จะไว้วางใจอย่างบอกไม่ถูก
ด้วยความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวอู๋ในตอนกลางคืน ซูหย่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากฝากเสี่ยวอี้ให้กับพวกคุณลุงอีกครั้ง
เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องผู้ป่วย เธอใช้นิ้วมือบีบเคสโทรศัพท์สองสามครั้งโดยไม่รู้ตัว และในใจก็ประหม่าเกินกว่าจะพูดอะไรออกมา
ทันใดนั้นแก้วน้ำก็ปรากฎขึ้นต่อหน้าเธอ
เมื่อมองขึ้นไป ก็มองเห็นหมอไป๋สวมชุดกีฬาและสะพายกระเป๋า ท่าทางแบบนี้คือเตรียมพร้อมที่จะเลิกงานแล้ว
เธอรับน้ำมา และพูดกล่าวขอบคุณ
“ผู้อำนวยการบอกว่า คุณให้ผมเป็นผู้นำ เพราะอะไร ?”
ซูหย่ากลืนน้ำลาย เงยหน้าขึ้นมองเขา และยิ้ม “ก็ไม่เพราะอะไร ? ก็แค่เชื่อคุณ”
เป็นเวลานานที่หมอไป๋ไม่พูดอะไร และซูหย่าก็เกือบจะดื่มน้ำในแก้วจนหมดแล้ว เขาถึงเอ่ยปากพูดว่า “เชื่อผม ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
ซูหย่าพยักหน้า
ระหว่างการผ่าตัด หน้าห้องผ่าตัดของคนอื่นมีญาติและเพื่อนอยู่เต็มไปหมด แต่เธออยู่คนเดียว
หากไม่มีประสบการณ์ จะไม่มีใครเข้าใจว่า ความไร้อำนาจและความกลัวนี้มันเป็นอย่างไร
ผ่านไปครึ่งทางของการผ่าตัด ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก และชายในเสื้อคลุมสีขาวถามว่า: “ครอบครัวของหลิวเสี่ยวหวู่อยู่รึเปล่า ?”
หลิวเสี่ยวหวู่ เป็นชื่อปลอมที่ซูหย่าเขียนบนใบรับรองให้เซียวอู๋
ซูหย่าลุกขึ้น ขาของเธออ่อนแรงเล็กน้อย
ทำไมโรงพยาบาลที่ด้อยพัฒนาที่นี่สามารถตรวจพบโรงทางจิตของเซียวอู๋ได้ว่าเกิดจากมีภาวะเลือดออกในสมองของเขา แต่ทำไมในเมือง H โรงพยาบาลใหญ่จำนวนมาก หมอทุกคนล้วนเห็นพ้องกันว่า การป่วยของเขาเกิดจากการใช้ยาเกิดขนาด โรงพยาบาลนั้นเต็มใจวินิจฉัยผิดพลาด ไม่มีทางที่ทุกโรงพยาบาลจะวินิจฉัยผิดพลาดเหมือนกันหมด
ถ้างั้น ก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่วินิจฉัยผิดพลาด ก็คือมีคนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้
เธอหลับตาและลืมตาอีกครั้ง พยายามสงบจิตใจที่ปั่นป่วนของตัวเอง
ใครกัน ที่จะกล้าทำสิ่งต่างต่างกับคนที่มีสถานะเป็นเซียวอู๋ และยังสามารถซ่อนตัวจากคนจำนวนมากได้อีกด้วย
ด้วยพลังของตระกูลเซียวและตระกูลซู คนธรรมดาไม่กล้าทำเช่นนี้แน่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ว่าพลังที่อยู่เบื้องหลังสิ่งนี้ จะมองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อย และเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัวเล็กน้อยภายในใจ
เมื่อกลับมาที่ห้องผู้ป่วย เซียวอู๋ยังไม่ฟื้น
เธอนั่งอยู่ข้างเซียวอู๋ จับมือของเขาถือไว้ในมือของเธอ ในใจเธอก็คิดไม่ออกจริงจริงว่า สรุปแล้วเป็นใครกันแน่ ที่คิดจะฆ่าเขา ?
ถ้าหากครั้งนี้ ฉันไม่ได้ช่วยชีวิตเขาไว้ละก็ ชีวิตของเขาคงจะพินาศไปแล้ว คิดคิดดูแล้ว ผู้ชายที่ดีแบบนี้ จริงจริงแล้วเขาก็ถูกคนอื่นออกแบบมาให้เป็นแบบนี้
หลังจากเหตุการณ์นั้น แม้แต่พ่อแม่ของเขาก็ยอมเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเขา ความทุกข์ใจของเธอก็สั่นสะท้าน น้ำตาในดวงตาของเธอก็ไหลออกมาเป็นสาย
ทันใดนั้น มือใหญ่ในมือของเธอก็ขยับ
เซียวอู๋ค่อยค่อยลืมตาขึ้น และผู้หญิงที่อยู่ในดวงตาของเขา ก็ร้องไห้ออกมา
เขาขมวดคิ้ว และเปิดปากของเขา ใช้เวลานานกว่าจะพูดออกมาสองคำ “อย่าร้องไห้”
ซูหย่าเม้มริมฝีปากและสูดหายใจ “คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ?”
เซียวอู๋กะพริบตา ยกมือขึ้น และปาดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “เสี่ยวหย่า…….อย่าร้องไห้”
นี่คือสิ่งที่เซียวอู๋พูดมานานที่สุดตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ซูหย่าพยักหน้าซ้ำๆ “โอเค ไม่ร้อง”
“เสี่ยว……อี้”
เมื่อซูหย่าได้ยิน “เสี่ยวอี้อยู่กับคุณลุง คุณเป็นลมไป ฉันจึงพาคุณมาโรงพยาบาล จึงไม่มีคนดูเขา” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเศร้า เธอไม่กล้าแม้แต่จะคิด ถ้าหากว่าไม่ได้เจอพวกคุณลุงที่เป็นคนดีแบบนี้ เธอควรจะทำอย่างไรดี ?
เนื่องจากเสี่ยวอี้ยังเล็กเกินไป ไม่มีคนดู และซูหย่าก็ปล่อยเซียวอู๋ไม่ได้ หลังจากยืนยันกับหมอว่าตอนนี้เขาไม่เป็นอะไรแล้ว เธอก็ไปทำเรื่องพาเขาออกจากโรงพยาบาล
เมื่อออกประตูมา ก็พอดีกับที่หมอไป๋เดินเข้ามาจากข้างนอก “เรื่องการผ่าตัด คุณต้องคิดทบทวนอย่างรอบคอบนะ เขายังหนุ่มอยู่”
ซูหย่ามองมาที่เขา และมองไปที่เซียวอู๋ “ขอบคุณมากค่ะ ไม่รู้ว่าคุณสามารถให้เบอร์โทรศัพทัฉันได้ไหม ถ้าหากฉันมา ฉันจะติดต่อคุณ ได้ไหม ?”
หมอไป๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วกดหมายเลขลงไป “คุณจดไว้”
ซูหย่ารีบใช้โทรศัพท์มือถือของเธอถ่ายรูปไว้สองสามรูป และดึงเซียวอู๋เดินไปสองก้าว แล้วหันศีรษะกลับมายิ้มและโค้งคำนับให้กับหมอไป๋ “ขอบคุณคุณหมอไป๋ที่ช่วยชีวิตสามีของฉัน”
เมื่อได้ยินเธอพูดว่าสามี หมอไป๋ก็ตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้น ก็พยักหน้า และเดินผ่านเธอไป
เมื่อซูหย่ากลับไป ก็ตรงไปที่คุณลุงแล้วรับเสี่ยวอี้กลับมา
เมื่อคุณลุงเห็นว่าเซียวอู๋อยู่ในสภาพที่ดี เขาก็ไม่ได้ถามอะไร แค่พูดว่า ถ้าเธอมีเรื่องอะไรก็บอก พวกเขาทั้งสองคน ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว
ซูหย่าพยักหน้าให้เขาอย่างซาบซึ้ง
เมื่อกลับถึงบ้าน เธอกระตุกเซียวอู๋ว่า “คุณไปอาบน้ำก่อน ฉันจะชงนมให้เสี่ยวอี้ แล้วจะไปทำอาหารให้คุณ”
เซียวอู๋จับมือของเธอ โดยไม่ขยับ
“มีอะไรรึเปล่า ?”
เซียวอู๋ไม่พูด แต่มองเธอด้วยสายตาตื่นตระหนก ซูหย่าก็เข้าใจทันที
“ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้โกรธ คุณไม่เป็นไร ก็ดีแล้ว รีบไปอาบน้ำเถอะ”
ในขณะนี้ เซียวอู๋หันกลับไปอย่างเชื่อฟัง และเดินไปที่ห้องน้ำ
ในตอนกลางคืน ซูหย่านอนอยู่บนเตียง ใช้เวลานานกว่าจะนอนหลับ
เธอกำลังคิดถึงปัญหาเรื่องเลือดคลั่งในสมองของเซียวอู๋ เมื่อคิดไปคิดมา เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความถึงหมอไป๋คนนั้น
ในเมืองนี้ มีแต่เครือข่าย 2G ดังนั้น วีแชท QQ อะไรพวกนี้ก็แทบจะกลายเป็นแอปประดับเครื่องไปแล้ว เชื่อมต่อยากมาก
“หมอไป๋ สวัสดีค่ะ ฉันอยากจะสอบถามหน่อยค่ะ ถ้าสามีของฉันผ่าตัดเปิดกระโหลกศีรษะจะมีความเสี่ยงไหมคะ ?”
ข้อความตอบกลับมาเร็วมาก
“มี”
คำเพียงสั้นๆ ทำให้หัวใจของซูหย่ากระตุกขึ้นมาทันที
“ถ้างั้น มันจะมีความเสี่ยงมากขนาดไหน ?”
“อืม เรื่องนี้รับประกันอะไรให้คุณไม่ได้ ในฐานะหมอ ผมพูดได้เพียงว่า ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุด”
คำตอบอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้ซูหย่าใจเสีย
“งั้น ถ้าเกิดว่าล้มเหลว จะเป็นอย่างไร ?” เมื่อถามคถามนี้ หัวใจของเธอก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
“มันก็อาจจะแย่กว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
ซูหย่าหันกลับมามองเซียวอู๋ที่กำลังหลับใหลอยู่ โดยคิดว่าการตัดสินใจของเธอ อาจจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเขา เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็รู้สึกเครียดมาก
“ฉันควรทำอย่างไรกับคุณดี ?” เสี่ยวหวู่
เพราะปัญหานี้ ในตอนกลางคืน เธอยังต้องคิดเล็กน้อยอยู่บ้าง ซูหย่าแทบจะไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อตื่นมาตอนเช้า ก็เวียนหัว และปวดหัวจนแทบเดินไม่ได้
ป้าผ่านมาเห็นพอดี เมื่อเห็นสีหน้าของเธอดูแย่ ก็รีบอุ้มเสี่ยวอี้ออกไปจากมือของเธอ “เสี่ยวหย่า คุณไม่สบายตรงไหนรึเปล่า ? ฉันเห็นสีหน้าคุณดูแย่มาก”
ซูหย่าขมวดคิ้ว หลังจากชงนมผงเสร็จ ก็ส่งให้กับป้า “เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน”
“จริงเหรอ มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?”
บางทีมันอาจจะจำเป็นต้องปรึกษาใครสักคนจริงๆ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะพูดเรื่องของเสี่ยวอู๋กับป้า
เมื่อป้าได้ยิน ก็ขมวดคิ้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็มองออกไปข้างนอกประตู “ตาแก่ คุณก็เข้ามาสิ มาออกความคิดเห็นหน่อย”
ซูหย่าเพิ่งพบว่า ที่แท้คุณลุงก็มาแล้ว เพียงแต่อยู่ที่หน้าประตู ไม่ได้เข้ามา
เธอลุกขึ้น เดินไปที่ประตู “คุณลุง คุณเข้ามานั่งสิคะ”
คุณลุงพยักหน้า เดินเข้ามาในห้อง มองไปที่เสี่ยวอี้ แล้วเอ่ยปกาพูดว่า “สาวน้อย ทำเถอะป่ะ เพียงแต่ โรงพยาบาลของพวกเราแถวนี้ไม่ค่อยจะดี คุณสามารถพาพ่อของเสี่ยวอี้ไปในสถานที่ที่ใหญ่กว่านี้”
ปัญหานี้ ที่จริงแล้วซูหย่าก็เคยคิด แต่ ถ้าหากกลับไปที่เมืองใหญ่ คนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใครกันแน่ก็ยังไม่รู้เลย และยังสามารถควบคุมคนจำนวนมากได้ ภูมิหลังจะต้องน่ากลัวอย่างคาดไม่ถึงแน่นอน
เธอไม่กล้าพาเซียวอู๋ไปเสี่ยง
“เมืองใหญ่ พวกเราไม่กลับไปแล้ว” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง และอุ้มเสี่ยวอี้มาจากอ้อมกอดของป้ามา และมองดูตาโตโตของเสี่ยวอี้ แล้วพูดกับตัวเองว่า: “ถ้าหากล้มเหลว ถ้างั้นจะทำอย่างไรกันดี ?”
“ตอนนี้เขามีชีวิตแบบนี้ มันก็เจ็บปวด”
ป้าเห็นด้วย “ใช่แล้ว เสี่ยวหย่า ที่คุณลุงพูด ถึงแม้มันจะตรงไปหน่อย แต่ คุณสามารถคิดให้ดีกว่านี้หน่อยไหม ถ้าเกิดว่ามันเป็นแบบนั้นล่ะ ?”
รอยยิ้มของซูหย่าแข็งทื่อเล็กน้อย เธอหายใจเข้าลึกๆ และก็พบว่าเซียวอู๋ยืนอยู่ที่ประตู เขาเอามือจับหน้าท้อง เม้มปาก และดูไม่พอใจ
เสียงหัวใจของเธอดัง‘ตึกตัก’ วิ่งตามคนคนนั้นไป
เบียดเข้าไปในกลุ่มคน ที่เกิดเหตุวุ่นวายมาก ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้นใช้มือกุมหัวตัวเองไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าเลือดยังคงไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือ เห็นเพียงเธอกำลังพูดกับชายสามคนในที่เกิดเหตุว่า “จัดการมัน เอาให้หนัก”
จากนั้นซูหย่าก็จ้องมองไปที่กลุ่มคน บุคคลที่คุ้นเคยนั่นไม่ใช่เซียวอู๋แล้วจะเป็นใครอีก
เธอร้อนรน เตรียมจะตะโกน แต่เมื่อเห็นเขารับมือกับสามคนนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ คำพูดที่ติดอยู่ที่ปาก ก็กลืนลงคอไป
การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญ ทุกท่วงท่านั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็ว แม้ว่าสามคนนั้นจะมีทักษะ แต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเซียวอู๋แล้ว กลับไม่สามารถสะกิดเขาได้เลยด้วยซ้ำ
ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้ แล้วรู้สึกโล่งใจไปด้วย โชคดีที่ถึงเขาจะโง่ไปแล้ว แต่ยังคงมีความสามารถบางอย่างอยู่
ทันใดนั้น ในกลุ่มคนมีคนตะโกนขึ้น “ตำรวจมาแล้ว”
ซูหย่าขมวดคิ้ว รีบร้องขึ้น “เสี่ยวหวู่ พอได้แล้ว ตำรวจมาแล้ว”
เซียวอู๋ได้ยินเสียงของซูหย่า ความสนใจของเขาก็ถูกแยกประสาทออก ดังนั้น จึงหลบไม่พ้นการโจมตีจากข้างหลัง เขาถูกคนข้างหลังเตะเข้าอย่างแรง จนล้มลงไปกับพื้น หัวกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ซูหย่าเห็นแบบนี้ก็รู้สึกกังวล รีบเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเสี่ยวอี้ คุกเข่าอยู่บนพื้น “เสี่ยวหวู่ นายเป็นยังไงบ้าง?”
เซียวอู๋กุมหัวไว้ ลุกขึ้นช้าๆ มองซูหย่า ขมวดคิ้วพูด “เจ็บ”
เห็นว่าเขายังสามารถพูดได้ ซูหย่าก็โล่งใจ กำหมัดข้างหนึ่ง ทุบไปที่ตัวเขา “นายยังรู้จักเจ็บอีกเหรอ? ใครบอกให้นายหนีมาคนเดียวกัน? ถ้านายหลงขึ้นมา จะทำยังไง?”ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด แรงในมือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนร้องไห้ เธอถึงได้คลายมือ แต่กลับมีน้ำตาคลอ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองย้อนกลับไปยังคนเหล่านั้น “คนเลว”
ซูหย่าพยักหน้า “คนเลวก็ต้องมีกรรมของเขาอยู่แล้ว ครั้งหน้า นายห้ามหนีไปไหนคนเดียวอีกนะ”เธอนิ่งไปสักพัก “ฉันเป็นห่วง”
เซียวอู๋มองไปที่เธอ ดูเหมือนจะเข้าใจ
สุดท้ายพวกเขาถูกพาไปที่สถานีตำรวจพร้อมกัน
ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บหนักต่างไม่เท่ากัน เซียวอู๋นอกจากหัวกระแทกแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้ซูหย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้น เดิมทีคิดว่า วันนี้เซียวอู๋คงหนีความผิดไม่พ้นแน่นอน เพราะสุดท้าย ทางพวกเธอนั้นเจ็บหนักไม่เบา แต่กลับคาดไม่ถึง พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นาน ซูหย่าก็พาเซียวอู๋ออกไปทันที
ผู้หญิงคนนั้นพุ่งไปถามตำรวจ “ทำไมพวกเขาถึงกลับไปแล้วล่ะ?”
ตำรวจมองเธออย่างว่างเปล่า “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? จับเขาเหรอ? เขาเป็นบ้า พวกคุณก็มีปัญหาทางสมองเหรอ? ถึงได้ไปมีเรื่องกับคนที่มีปัญหาทางระบบประสาท พวกคุณเนี่ยนะ สมควรแล้วที่โดนเขาตี”
ออกจากที่นั่น โบกรถคันหนึ่งกลับบ้าน
ตลอดทาง ซูหย่าไม่สนใจเซียวอู๋ เซียวอู๋เห็นเธอไม่พอใจ จึงไม่กล้าพูด
พอถึงบ้าน ลงรถ เขาดึงเสื้อของซูหย่า
ซูหย่ากลับตบหัวตัวเอง“โอ้ย นมผงของฉัน”
พอเซียวอู๋มีเรื่องแบบนี้ เธอก็ลืมนมผงไว้ที่ร้านค้านั้นไปเลย
หันหน้าไปมองเซียวอู๋ “นายอยู่บ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น ฉันไปเอานมผงของเสี่ยวอี้ก่อน”
พูดไป ก็อุ้มเสี่ยวอี้ออกบ้านอย่างรีบร้อน
พอถึงที่นั่น เอานมผงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่วางใจที่เซียวอู๋อยู่บ้านคนเดียว จึงรีบกลับมา
พอกลับมาถึงบ้าน ประตูบ้านล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
คุณลุงอยู่นอกกลุ่มคน เดินไปเดินมา เห็นว่าเธอกลับมาแล้ว ก็รีบเข้าไปหา “สาวน้อย รีบไปดูเร็ว”
ซูหย่าขมวดคิ้ว เบียดผู้คนเข้าไป ก็เห็นเซียวอู๋นอนอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก
“นี่เป็นอะไรน่ะ?”
“เมื่อกี้ป้าของเธอขอให้ฉันเอาผักดองมาให้เธอ ฉันเห็นว่าประตูล็อคอยู่ กำลังจะกลับ แล้วก็ได้ยินคนทุบประตูอยู่ข้างใน ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไร ก็เลยใช้หินพังประตูเข้าไป ก็เห็นเขานอนอยู่แบบนี้นี่แหละ”
ซูหย่านำเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนให้คุณลุง
“คุณลุงคะ คุณช่วยดูเสี่ยวอี้แทนฉันหน่อย ฉันพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน”หันกลับไปมองผู้คนที่ล้อมรอบ “มีใครช่วยได้ไหมคะ?”
ผู้หญิงช่วยไม่ไหว ผู้ชายอยากจะช่วย แต่ถูกผู้หญิงจ้องเขม็ง ชายคนนั้นจึงสับสน ซูหย่าถอนหายใจ เกิดมาสวย ก็เป็นความผิดแบบหนึ่ง
“มาผมช่วย”ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเบียดผู้คนเข้ามา
ดวงตาสว่างใส หน้าตาหล่อเหลา นี่ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุด ตั้งแต่ที่ซูหย่ามาที่เมืองนี้
ถึงโรงพยาบาล
ชายคนนั้นสั่งการปฐมพยาบาลกับคนอื่นๆอย่างคุ้นเคย ซูหย่าถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ที่แท้ เขาเป็นหมอ
ตอนใกล้จะเข้าห้องฉุกเฉิน ชายคนนั้นหันมามองซูหย่า “รีบไปทำตามขั้นตอนการเข้ารับการรักษา เสร็จแล้ว มารอที่นี่”
ซูหย่าพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จ เธอก็กลับมารอหน้าห้องฉุกเฉิน
เธอกังวลทั้งเรื่องของเซียวอู๋ กังวลทั้งเรื่องของเสี่ยวอี้ด้วย เธอรู้สึกว่าหัวจะระเบิดแล้ว เธอถูกเลี้ยงมาแบบตามใจตั้งแต่เด็ก เรื่องใหญ่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ เรื่องเล็ก เธอก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ช่วงนี้ ก็ถือว่าเป็นการฝึกของเธอแล้วกัน เธอกุมหัวใจตัวเอง แล้วหลับตา ซูหย่าพยายามพูดกับตัวเองว่าต้องใจเย็น ใจเย็น
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง
ผู้ชายที่เข้าไปก่อนหน้านี้ เดินออกมาในชุดคลุมสีขาว
มองซูหย่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางทีอาจจะเพราะหัวโดนฟาด แต่ มีเรื่องหนึ่ง ต้องบอกกับคุณ ในสมองของคนไข้มีเลือดคั่งอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติทางประสาทของเขาด้วย คุณลองคิดดู ว่าจะทำการผ่าตัดหรือเปล่า?”
ซูหย่าตกใจจนอึ้งอยู่กับที่ “คุณ……คุณว่าอะไรนะคะ?”
“เขามีเลือดคั่งในสมอง ไปกดทับเส้นประสาทของเขา ผมดูสถานการณ์โดยรวมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีการกระทบการเทือน ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปัญหาทางสมอง”นิ่งไปสักพัก แล้วมองซูหย่า “คุณอย่าบอกผมนะ ว่าสมองเขายังดีอยู่?”
ซูหย่าส่ายหน้า ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอยังคิดอยู่เลยว่ายังหนุ่มขนาดนี้เชื่อถือได้แน่เหรอ? แต่ในเวลานี้เมื่อไม่ได้ยินเขาถามคำถามเธอเลยสักคำ ก็สามารถบรรยายสรุปอาการของเซียวอู๋ได้ เธอจึงมั่นใจ
ชายคนนั้นมองซูหย่า หรี่ตา “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยพาเขาไปตรวจเหรอ?”
“เขา ไม่ใช่เพราะใช้ยาสลบเกินขนาดถึงได้ทำให้สมองเขาไม่ดีหรอกเหรอ?”ซูหย่าถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ใช้ยาสลบเกินขนาด?”เขาส่ายหน้า “ถ้ามองจากประสบการณ์ของผม เลือดคั่งก้อนนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด”
พูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยคนหนึ่งก็เข้ามาและยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา
เขาดูมันและลงนาม
“อืม คนไข้ถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว คุณตามไปดูได้ เรื่องการผ่าตัด ถ้าคุณมีเวลา คุณก็มาหาผม”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินจากไป
“ว้าว หมอไป๋หล่อมาก”
“ใช่ ทักษะทางการแพทย์ดี บุคลิกดี แถมยังหล่ออีก”
……
พยาบาลที่อยู่รอบตัวซูหย่าเกิดอาการบ้าผู้ชายขึ้นมา แต่ความคิดของซูหย่านั้นยังคงอยู่ที่คำว่า “ก้อนเลือดคั่ง”
เธอหายใจเข้าลึกๆ ใจของเธอสงบไม่ได้อยู่นาน เธอเข้าใจดี ถ้าหากหมอไม่ได้ดูอาการผิดพลาด ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ ก็ซับซ้อนขึ้นมาแล้ว
เสียงหัวใจของเธอดัง‘ตึกตัก’ วิ่งตามคนคนนั้นไป
เบียดเข้าไปในกลุ่มคน ที่เกิดเหตุวุ่นวายมาก ตอนนี้ผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนนั้นใช้มือกุมหัวตัวเองไว้ เห็นได้ชัดเจนว่าเลือดยังคงไหลออกมาจากระหว่างนิ้วมือ เห็นเพียงเธอกำลังพูดกับชายสามคนในที่เกิดเหตุว่า “จัดการมัน เอาให้หนัก”
จากนั้นซูหย่าก็จ้องมองไปที่กลุ่มคน บุคคลที่คุ้นเคยนั่นไม่ใช่เซียวอู๋แล้วจะเป็นใครอีก
เธอร้อนรน เตรียมจะตะโกน แต่เมื่อเห็นเขารับมือกับสามคนนั้นได้อย่างเชี่ยวชาญ คำพูดที่ติดอยู่ที่ปาก ก็กลืนลงคอไป
การเคลื่อนไหวของเขาดูชำนาญ ทุกท่วงท่านั้นโหดเหี้ยมและรวดเร็ว แม้ว่าสามคนนั้นจะมีทักษะ แต่ เมื่ออยู่ต่อหน้าคนที่ฝึกฝนมาอย่างดีอย่างเซียวอู๋แล้ว กลับไม่สามารถสะกิดเขาได้เลยด้วยซ้ำ
ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้ แล้วรู้สึกโล่งใจไปด้วย โชคดีที่ถึงเขาจะโง่ไปแล้ว แต่ยังคงมีความสามารถบางอย่างอยู่
ทันใดนั้น ในกลุ่มคนมีคนตะโกนขึ้น “ตำรวจมาแล้ว”
ซูหย่าขมวดคิ้ว รีบร้องขึ้น “เสี่ยวหวู่ พอได้แล้ว ตำรวจมาแล้ว”
เซียวอู๋ได้ยินเสียงของซูหย่า ความสนใจของเขาก็ถูกแยกประสาทออก ดังนั้น จึงหลบไม่พ้นการโจมตีจากข้างหลัง เขาถูกคนข้างหลังเตะเข้าอย่างแรง จนล้มลงไปกับพื้น หัวกระแทกกับพื้นอย่างแรง
ซูหย่าเห็นแบบนี้ก็รู้สึกกังวล รีบเดินเข้าไปใกล้ อุ้มเสี่ยวอี้ คุกเข่าอยู่บนพื้น “เสี่ยวหวู่ นายเป็นยังไงบ้าง?”
เซียวอู๋กุมหัวไว้ ลุกขึ้นช้าๆ มองซูหย่า ขมวดคิ้วพูด “เจ็บ”
เห็นว่าเขายังสามารถพูดได้ ซูหย่าก็โล่งใจ กำหมัดข้างหนึ่ง ทุบไปที่ตัวเขา “นายยังรู้จักเจ็บอีกเหรอ? ใครบอกให้นายหนีมาคนเดียวกัน? ถ้านายหลงขึ้นมา จะทำยังไง?”ยิ่งพูดยิ่งหงุดหงิด แรงในมือก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนร้องไห้ เธอถึงได้คลายมือ แต่กลับมีน้ำตาคลอ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวอู๋ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมองย้อนกลับไปยังคนเหล่านั้น “คนเลว”
ซูหย่าพยักหน้า “คนเลวก็ต้องมีกรรมของเขาอยู่แล้ว ครั้งหน้า นายห้ามหนีไปไหนคนเดียวอีกนะ”เธอนิ่งไปสักพัก “ฉันเป็นห่วง”
เซียวอู๋มองไปที่เธอ ดูเหมือนจะเข้าใจ
สุดท้ายพวกเขาถูกพาไปที่สถานีตำรวจพร้อมกัน
ฝ่ายตรงข้ามได้รับบาดเจ็บหนักต่างไม่เท่ากัน เซียวอู๋นอกจากหัวกระแทกแล้ว ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย สิ่งนี้ทำให้ซูหย่ารู้สึกสบายใจขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้น เดิมทีคิดว่า วันนี้เซียวอู๋คงหนีความผิดไม่พ้นแน่นอน เพราะสุดท้าย ทางพวกเธอนั้นเจ็บหนักไม่เบา แต่กลับคาดไม่ถึง พวกเขาเพิ่งจะเข้าไปได้ไม่นาน ซูหย่าก็พาเซียวอู๋ออกไปทันที
ผู้หญิงคนนั้นพุ่งไปถามตำรวจ “ทำไมพวกเขาถึงกลับไปแล้วล่ะ?”
ตำรวจมองเธออย่างว่างเปล่า “ไม่อย่างนั้นจะทำยังไงล่ะ? จับเขาเหรอ? เขาเป็นบ้า พวกคุณก็มีปัญหาทางสมองเหรอ? ถึงได้ไปมีเรื่องกับคนที่มีปัญหาทางระบบประสาท พวกคุณเนี่ยนะ สมควรแล้วที่โดนเขาตี”
ออกจากที่นั่น โบกรถคันหนึ่งกลับบ้าน
ตลอดทาง ซูหย่าไม่สนใจเซียวอู๋ เซียวอู๋เห็นเธอไม่พอใจ จึงไม่กล้าพูด
พอถึงบ้าน ลงรถ เขาดึงเสื้อของซูหย่า
ซูหย่ากลับตบหัวตัวเอง“โอ้ย นมผงของฉัน”
พอเซียวอู๋มีเรื่องแบบนี้ เธอก็ลืมนมผงไว้ที่ร้านค้านั้นไปเลย
หันหน้าไปมองเซียวอู๋ “นายอยู่บ้าน ห้ามไปไหนทั้งนั้น ฉันไปเอานมผงของเสี่ยวอี้ก่อน”
พูดไป ก็อุ้มเสี่ยวอี้ออกบ้านอย่างรีบร้อน
พอถึงที่นั่น เอานมผงเรียบร้อยแล้ว เธอก็ไม่วางใจที่เซียวอู๋อยู่บ้านคนเดียว จึงรีบกลับมา
พอกลับมาถึงบ้าน ประตูบ้านล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย
คุณลุงอยู่นอกกลุ่มคน เดินไปเดินมา เห็นว่าเธอกลับมาแล้ว ก็รีบเข้าไปหา “สาวน้อย รีบไปดูเร็ว”
ซูหย่าขมวดคิ้ว เบียดผู้คนเข้าไป ก็เห็นเซียวอู๋นอนอยู่บนพื้น น้ำลายฟูมปาก
“นี่เป็นอะไรน่ะ?”
“เมื่อกี้ป้าของเธอขอให้ฉันเอาผักดองมาให้เธอ ฉันเห็นว่าประตูล็อคอยู่ กำลังจะกลับ แล้วก็ได้ยินคนทุบประตูอยู่ข้างใน ฉันคิดว่ามีเรื่องอะไร ก็เลยใช้หินพังประตูเข้าไป ก็เห็นเขานอนอยู่แบบนี้นี่แหละ”
ซูหย่านำเสี่ยวอี้ที่อยู่ในอ้อมแขนให้คุณลุง
“คุณลุงคะ คุณช่วยดูเสี่ยวอี้แทนฉันหน่อย ฉันพาเขาไปโรงพยาบาลก่อน”หันกลับไปมองผู้คนที่ล้อมรอบ “มีใครช่วยได้ไหมคะ?”
ผู้หญิงช่วยไม่ไหว ผู้ชายอยากจะช่วย แต่ถูกผู้หญิงจ้องเขม็ง ชายคนนั้นจึงสับสน ซูหย่าถอนหายใจ เกิดมาสวย ก็เป็นความผิดแบบหนึ่ง
“มาผมช่วย”ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งเบียดผู้คนเข้ามา
ดวงตาสว่างใส หน้าตาหล่อเหลา นี่ถือว่าเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุด ตั้งแต่ที่ซูหย่ามาที่เมืองนี้
ถึงโรงพยาบาล
ชายคนนั้นสั่งการปฐมพยาบาลกับคนอื่นๆอย่างคุ้นเคย ซูหย่าถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา ที่แท้ เขาเป็นหมอ
ตอนใกล้จะเข้าห้องฉุกเฉิน ชายคนนั้นหันมามองซูหย่า “รีบไปทำตามขั้นตอนการเข้ารับการรักษา เสร็จแล้ว มารอที่นี่”
ซูหย่าพยักหน้า จ่ายเงินเสร็จ เธอก็กลับมารอหน้าห้องฉุกเฉิน
เธอกังวลทั้งเรื่องของเซียวอู๋ กังวลทั้งเรื่องของเสี่ยวอี้ด้วย เธอรู้สึกว่าหัวจะระเบิดแล้ว เธอถูกเลี้ยงมาแบบตามใจตั้งแต่เด็ก เรื่องใหญ่มีครอบครัวคอยช่วยเหลือ เรื่องเล็ก เธอก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ช่วงนี้ ก็ถือว่าเป็นการฝึกของเธอแล้วกัน เธอกุมหัวใจตัวเอง แล้วหลับตา ซูหย่าพยายามพูดกับตัวเองว่าต้องใจเย็น ใจเย็น
ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกหลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง
ผู้ชายที่เข้าไปก่อนหน้านี้ เดินออกมาในชุดคลุมสีขาว
มองซูหย่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ บางทีอาจจะเพราะหัวโดนฟาด แต่ มีเรื่องหนึ่ง ต้องบอกกับคุณ ในสมองของคนไข้มีเลือดคั่งอยู่ก้อนหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุของความผิดปกติทางประสาทของเขาด้วย คุณลองคิดดู ว่าจะทำการผ่าตัดหรือเปล่า?”
ซูหย่าตกใจจนอึ้งอยู่กับที่ “คุณ……คุณว่าอะไรนะคะ?”
“เขามีเลือดคั่งในสมอง ไปกดทับเส้นประสาทของเขา ผมดูสถานการณ์โดยรวมแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มีการกระทบการเทือน ดังนั้น จึงก่อให้เกิดปัญหาทางสมอง”นิ่งไปสักพัก แล้วมองซูหย่า “คุณอย่าบอกผมนะ ว่าสมองเขายังดีอยู่?”
ซูหย่าส่ายหน้า ก่อนที่ผู้ชายคนนี้จะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน เธอยังคิดอยู่เลยว่ายังหนุ่มขนาดนี้เชื่อถือได้แน่เหรอ? แต่ในเวลานี้เมื่อไม่ได้ยินเขาถามคำถามเธอเลยสักคำ ก็สามารถบรรยายสรุปอาการของเซียวอู๋ได้ เธอจึงมั่นใจ
ชายคนนั้นมองซูหย่า หรี่ตา “ก่อนหน้านี้คุณไม่เคยพาเขาไปตรวจเหรอ?”
“เขา ไม่ใช่เพราะใช้ยาสลบเกินขนาดถึงได้ทำให้สมองเขาไม่ดีหรอกเหรอ?”ซูหย่าถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ชายคนนั้นขมวดคิ้ว “ใช้ยาสลบเกินขนาด?”เขาส่ายหน้า “ถ้ามองจากประสบการณ์ของผม เลือดคั่งก้อนนั้นเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุด”
พูดถึงตรงนี้ ผู้ช่วยคนหนึ่งก็เข้ามาและยื่นแฟ้มเอกสารให้เขา
เขาดูมันและลงนาม
“อืม คนไข้ถูกย้ายไปที่ห้องพักฟื้นแล้ว คุณตามไปดูได้ เรื่องการผ่าตัด ถ้าคุณมีเวลา คุณก็มาหาผม”
หลังจากพูดจบ ชายคนนั้นก็พยักหน้าให้เขาและหันหลังเดินจากไป
“ว้าว หมอไป๋หล่อมาก”
“ใช่ ทักษะทางการแพทย์ดี บุคลิกดี แถมยังหล่ออีก”
……
พยาบาลที่อยู่รอบตัวซูหย่าเกิดอาการบ้าผู้ชายขึ้นมา แต่ความคิดของซูหย่านั้นยังคงอยู่ที่คำว่า “ก้อนเลือดคั่ง”
เธอหายใจเข้าลึกๆ ใจของเธอสงบไม่ได้อยู่นาน เธอเข้าใจดี ถ้าหากหมอไม่ได้ดูอาการผิดพลาด ถ้าอย่างนั้น เรื่องนี้ ก็ซับซ้อนขึ้นมาแล้ว
เกาไห่ดึงเล่อจยาเข้าไปในห้อง ปิดประตู พูดเสียงเบา“คุณไม่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับซูหย่า ปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทผู้ชายคนนั้นของเธอ แปลกเกินไปหรือเปล่า?”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ปี๋ไคเหรอ? เขาไม่ได้บอกว่าจะไปต่างประเทศในวันที่สองเหรอ?”
“แล้วยังไงต่อ?”
“แล้ว……”
“แล้วนานขนาดนี้ เขาได้โทรมาถามคุณเรื่องสถานการณ์ของซูหย่าหรือเปล่า?”
เล่อจยาส่ายหน้า หลังจากที่เกาไห่เตือนเธอ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาจริงๆ ปี๋ไคกับซูหย่ารู้จักกันนานกว่าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองคน ซูหย่าเคยบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถามปี๋ไค ถ้าหากต้องเลือกใครสักคน ระหว่างเธอกับคนรัก เขาจะเลือกใคร? ปี๋ไคเลือกแบบไม่คิดเลยว่าเป็นซูหย่า
ภายใต้ความรู้สึกแบบนั้น ซูหย่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปฏิกิริยาของเขานิ่งมากจริงๆ
แม้ว่าความรู้สึกของผู้ชายจะมีความยับยั้งมากกว่า แต่ ไม่แยแสเลย มันเป็นไปไม่ได้
“แต่ว่า นี่จะหมายความว่าซูหย่ายังไม่ตายได้ยังไง?”
เกาไห่ตอบ“สัญชาตญาณ! ”พูดไป ก็กอดเล่อจยาไว้ แล้วพูดต่อว่า “สัญชาตญาณบอกผมว่าปี๋ไครู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับซูหย่าอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันโทรถามเขา?”พูดไปก็หยิบมือถือขึ้นมา
เกาไห่จับมือเธอไว้ “คุณภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณฟังผมพูดก่อน ต่อให้ซูหย่าไม่เป็นไรจริงๆ คุณทำได้เพียงแค่รู้ คุณจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะทำร้ายเธอได้”
เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน ขมวดคิ้วตลอดเวลา “ฉันไม่เข้าใจ”
เกาไห่คิดๆแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขารู้ให้เล่อจยาฟัง เรื่องพวกนี้ เย่หลินเคยได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึง แล้วมาบอกเขา
“คุณหมายถึงมีคนต้องการทำร้ายเซียวอู๋ ซูหย่าทำแบบนี้ เพียงแค่แกล้งตาย เป้าหมายคือทำเพื่อช่วยเซียวอู๋?”
เกาไห่พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ คุณคิดดูอีกที วันนั้นซูหย่าบอกกับคุณว่า ถ้าหากชาตินี้ยังมีวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่คิดว่าคำพูดของเธอมีความนัยเหรอ? ชาตินี้? ทำไมก่อนที่เธอจะเกิดเรื่อง ก็พูดเรื่องชาตินี้กับคุณ?”
เล่อจยาพยักหน้า ลุกขึ้นนั่ง มองเกาไห่ “การวิเคราะห์ของคุณเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า คนที่อยู่ในรถ แล้วก็ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่น จะอธิบายยังไง?”
เกาไห่ลุกขึ้น เทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง “มีเงินก็สามารถใช้ผีให้โม่แป้งได้”
เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเกาไห่ ใจที่สิ้นหวังของเล่อจยา ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเม้มปาก “แล้ว แล้วฉันควรทำอะไร? ให้ฉันรอแบบนี้คงไม่ได้หรือเปล่า? ฉัน……”
เกาไห่กุมมือเธอไว้ “คุณภรรยา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณรอก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน ถ้าหากนี่เป็นแผนที่ซูหย่าวางไว้จริงๆ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น รอเซียวอู๋กลับมาเป็นปกติ เธอก็คงกลับมาเอง ในระหว่างนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการทำร้ายเธอก็ได้”
เล่อจยาพยักหน้า “โอเค ฉันไม่ทำอะไร ขอแค่เธอยังอยู่ดีก็พอ”
อีกด้านหนึ่ง
“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มีคนมาเคาะประตูแต่เช้า ซูหย่าเปิดประตู ก็เห็นชายชรานำชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน
“สาวน้อย นี่เป็นแพทย์แผนจีนที่บ้านเกิดของฉัน ฉันกลับไปบ้านเกิดครั้งนี้ ฉันได้ยินคนบอกว่าเขามีการศึกษาด้านอาการของพ่อเด็ก ฉันเลยชวนเขามาดู”
ซูหย่าหันกลับไปมองในบ้าน คิดๆแล้ว เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณลุง ถ้าอย่างนั้น พวกคุณเข้ามานั่งก่อน ฉันไปพาเขาออกมา”
เซียวอู๋ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าเหมือนการรับรู้ของเด็ก การจัดการของเขานั้นสุดโต่ง ถ้าไม่เงียบตัวหดกลม ก็ลงมือโดยตรง
“เสี่ยวหวู่ นายดูสิ ผู้ชายคนข้างนอกนั่น เป็นหมอ นายให้เขาดูอาการสิ ดึกหน่อย ฉันจะซื้อของอร่อยให้นาย ดีไหม?”ซูหย่าเกลี้ยกล่อมเซียวอู๋เหมือนกล่อมเด็ก
เซียวอู๋ขมวดคิ้ว ส่ายหัวตลอดเวลา
“ฉันนั่งข้างนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน”ซูหย่ายังคงเกลี้ยกล่อม
แต่ชายกลับส่ายหัวตลอดเวลา
คิดๆแล้ว ซูหย่าก็ถอนหายใจ พูดล่อข้างหูเขา“ถ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลางคืนให้กอดฉันนอน?”
หลายวันมานี้ พอตกดึก ชายคนนี้จะชอบขยับมาใกล้เธอ แม้ว่า เธอจะชอบอ้อมกอดของเขา แต่ เธอกลัวการที่ได้รับแล้วเสียไปมากกว่า เธอไม่ต้องการสร้างนิสัยให้ตัวเอง หากวันหนึ่ง เขาได้สติกลับมา กลับไปเป็นคนดำมืดคนนั้น คนที่เจ็บปวดก็คือเธอเอง
ครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้หาหมอ เธอจึงหมดหนทาง
ชายที่ส่ายหัวอยู่เมื่อกี้รีบลุกขึ้นทันที พยักหน้า ท่าทางดีใจ
ซูหย่ามองเขา ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขาใสเหมือนเด็ก เธอคงสงสัย ว่าชายคนนี้กำลังแกล้งทำเป็นโง่อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่ายังไง คิดๆแล้ว การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคงไม่มีทาง
แพทย์แผนจีนสัมผัส มอง สำรวจ ดูร่างกายของเซียวอู๋แล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “คนบ้าคลั่ง นอนน้อยไม่กิน ปัญญาที่ก่อเอง นับถือตัวเอง สถบด่า พักผ่อนน้อย อาการนี้ต้องใช้ยาขับเสมหะให้ฟื้นตัว ยาขับและสลายเลือดคั่ง ยาระงับประสาท ร่วมกับการรักษาทางจิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เขาพูดอย่างมีคารมคมคาย และซูหย่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาหมายถึงการทานยา และคอยให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ อาจจะกลับมาเป็นปกติ
“หมอคะ คุณหมายถึงว่า แฟนของฉันสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”ซูหย่ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย
แพทย์แผนจีนมองซูหย่า ส่ายหน้า “สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันสรุปไม่ได้ ลองสั่งยาไปกินดูก่อน” คำพูดของเขาดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด
ซูหย่ารู้สึกท้อแท้ในทันที เธอพยักหน้า รับใบสั่งยาที่แพทย์แผนจีนกำหนด และขอบคุณเขา
แพทย์แผนจีนอาจจะรู้สึกเกรงใจ ที่ดูอาการได้ไม่ชัดเจน จึงจากไปโดยไม่รับค่าตรวจเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ซูหย่าสูญเสียความมั่นใจในที่สุด
ถึงแม้ ชีวิตสงบสุขแบบนี้ ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ เธอคิดว่า คนที่มีความสามารถอย่างเซียวอู๋ ถ้าหากว่าชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ น่าเสียดายเกินไป ขนาดพ่อของเธอยังบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้น เธอจึงยังต้องการให้เขากลับไปเป็นปกติ
ในตอนกลางคืน หลังจากที่ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้เข้านอน เธอก็นอนลง ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่พาดมาที่เอวของเธอ
ซูหย่าตัวกระตุก เธอหันไป มองเซียวอู๋ผ่านแสงไฟริบหรี่ ในสายตาของเขามีความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด
คิดๆแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง นำเสี่ยวอี้เข้าไปนอนข้างใน ตัวเองไปนอนตรงกลาง
กอดเซียวอู๋ “โอเค เด็กดี นอนได้แล้ว”
เซียวอู๋พยักหน้า หลับตา
เพียงแต่ ซูหย่ารู้สึกได้ชัดเจน อุณหภูมิบนมือของเขาค่อยๆสูงขึ้น อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ พูดขึ้น “เสี่ยวหวู่ นาย……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ชายนิ่งไป ไม่พูดอะไร ทันใดนั้น เขาพลิกตัว คล่อมตัวซูหย่าไว้ หอบหายใจแรง
เกาไห่ดึงเล่อจยาเข้าไปในห้อง ปิดประตู พูดเสียงเบา“คุณไม่คิดว่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้นกับซูหย่า ปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทผู้ชายคนนั้นของเธอ แปลกเกินไปหรือเปล่า?”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ปี๋ไคเหรอ? เขาไม่ได้บอกว่าจะไปต่างประเทศในวันที่สองเหรอ?”
“แล้วยังไงต่อ?”
“แล้ว……”
“แล้วนานขนาดนี้ เขาได้โทรมาถามคุณเรื่องสถานการณ์ของซูหย่าหรือเปล่า?”
เล่อจยาส่ายหน้า หลังจากที่เกาไห่เตือนเธอ เธอรู้สึกว่ามีปัญหาจริงๆ ปี๋ไคกับซูหย่ารู้จักกันนานกว่าเธอ ความรู้สึกของทั้งสองคน ซูหย่าเคยบอกว่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถามปี๋ไค ถ้าหากต้องเลือกใครสักคน ระหว่างเธอกับคนรัก เขาจะเลือกใคร? ปี๋ไคเลือกแบบไม่คิดเลยว่าเป็นซูหย่า
ภายใต้ความรู้สึกแบบนั้น ซูหย่าเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ปฏิกิริยาของเขานิ่งมากจริงๆ
แม้ว่าความรู้สึกของผู้ชายจะมีความยับยั้งมากกว่า แต่ ไม่แยแสเลย มันเป็นไปไม่ได้
“แต่ว่า นี่จะหมายความว่าซูหย่ายังไม่ตายได้ยังไง?”
เกาไห่ตอบ“สัญชาตญาณ! ”พูดไป ก็กอดเล่อจยาไว้ แล้วพูดต่อว่า “สัญชาตญาณบอกผมว่าปี๋ไครู้เรื่องบางอย่างเกี่ยวกับซูหย่าอย่างแน่นอน”
“ถ้าอย่างนั้นฉันโทรถามเขา?”พูดไปก็หยิบมือถือขึ้นมา
เกาไห่จับมือเธอไว้ “คุณภรรยา คุณอย่าเพิ่งรีบร้อน คุณฟังผมพูดก่อน ต่อให้ซูหย่าไม่เป็นไรจริงๆ คุณทำได้เพียงแค่รู้ คุณจะเคลื่อนไหวอะไรไม่ได้ ไม่อย่างนั้น คุณอาจจะทำร้ายเธอได้”
เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน ขมวดคิ้วตลอดเวลา “ฉันไม่เข้าใจ”
เกาไห่คิดๆแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เขารู้ให้เล่อจยาฟัง เรื่องพวกนี้ เย่หลินเคยได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึง แล้วมาบอกเขา
“คุณหมายถึงมีคนต้องการทำร้ายเซียวอู๋ ซูหย่าทำแบบนี้ เพียงแค่แกล้งตาย เป้าหมายคือทำเพื่อช่วยเซียวอู๋?”
เกาไห่พยักหน้า “จะพูดแบบนั้นก็ได้ คุณคิดดูอีกที วันนั้นซูหย่าบอกกับคุณว่า ถ้าหากชาตินี้ยังมีวาสนาต่อกัน หวังว่าจะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน คุณไม่คิดว่าคำพูดของเธอมีความนัยเหรอ? ชาตินี้? ทำไมก่อนที่เธอจะเกิดเรื่อง ก็พูดเรื่องชาตินี้กับคุณ?”
เล่อจยาพยักหน้า ลุกขึ้นนั่ง มองเกาไห่ “การวิเคราะห์ของคุณเหมือนจะไม่ผิด แต่ว่า คนที่อยู่ในรถ แล้วก็ภาพจากกล้องวงจรปิดนั่น จะอธิบายยังไง?”
เกาไห่ลุกขึ้น เทน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง “มีเงินก็สามารถใช้ผีให้โม่แป้งได้”
เมื่อฟังการวิเคราะห์ของเกาไห่ ใจที่สิ้นหวังของเล่อจยา ก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง เธอเม้มปาก “แล้ว แล้วฉันควรทำอะไร? ให้ฉันรอแบบนี้คงไม่ได้หรือเปล่า? ฉัน……”
เกาไห่กุมมือเธอไว้ “คุณภรรยา เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คุณรอก่อน อย่าเพิ่งรีบร้อน ถ้าหากนี่เป็นแผนที่ซูหย่าวางไว้จริงๆ ถ้าหากเธอไม่เป็นอะไร ถ้าอย่างนั้น รอเซียวอู๋กลับมาเป็นปกติ เธอก็คงกลับมาเอง ในระหว่างนี้ไม่ว่าพวกเราจะทำเรื่องอะไร อาจกลายเป็นการทำร้ายเธอก็ได้”
เล่อจยาพยักหน้า “โอเค ฉันไม่ทำอะไร ขอแค่เธอยังอยู่ดีก็พอ”
อีกด้านหนึ่ง
“คุณลุง มีเรื่องอะไรเหรอคะ?” มีคนมาเคาะประตูแต่เช้า ซูหย่าเปิดประตู ก็เห็นชายชรานำชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูบ้าน
“สาวน้อย นี่เป็นแพทย์แผนจีนที่บ้านเกิดของฉัน ฉันกลับไปบ้านเกิดครั้งนี้ ฉันได้ยินคนบอกว่าเขามีการศึกษาด้านอาการของพ่อเด็ก ฉันเลยชวนเขามาดู”
ซูหย่าหันกลับไปมองในบ้าน คิดๆแล้ว เธอพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณลุง ถ้าอย่างนั้น พวกคุณเข้ามานั่งก่อน ฉันไปพาเขาออกมา”
เซียวอู๋ปฏิบัติต่อคนแปลกหน้าเหมือนการรับรู้ของเด็ก การจัดการของเขานั้นสุดโต่ง ถ้าไม่เงียบตัวหดกลม ก็ลงมือโดยตรง
“เสี่ยวหวู่ นายดูสิ ผู้ชายคนข้างนอกนั่น เป็นหมอ นายให้เขาดูอาการสิ ดึกหน่อย ฉันจะซื้อของอร่อยให้นาย ดีไหม?”ซูหย่าเกลี้ยกล่อมเซียวอู๋เหมือนกล่อมเด็ก
เซียวอู๋ขมวดคิ้ว ส่ายหัวตลอดเวลา
“ฉันนั่งข้างนาย ไม่มีปัญหาแน่นอน”ซูหย่ายังคงเกลี้ยกล่อม
แต่ชายกลับส่ายหัวตลอดเวลา
คิดๆแล้ว ซูหย่าก็ถอนหายใจ พูดล่อข้างหูเขา“ถ้า ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวกลางคืนให้กอดฉันนอน?”
หลายวันมานี้ พอตกดึก ชายคนนี้จะชอบขยับมาใกล้เธอ แม้ว่า เธอจะชอบอ้อมกอดของเขา แต่ เธอกลัวการที่ได้รับแล้วเสียไปมากกว่า เธอไม่ต้องการสร้างนิสัยให้ตัวเอง หากวันหนึ่ง เขาได้สติกลับมา กลับไปเป็นคนดำมืดคนนั้น คนที่เจ็บปวดก็คือเธอเอง
ครั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้หาหมอ เธอจึงหมดหนทาง
ชายที่ส่ายหัวอยู่เมื่อกี้รีบลุกขึ้นทันที พยักหน้า ท่าทางดีใจ
ซูหย่ามองเขา ขมวดคิ้ว ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาของเขาใสเหมือนเด็ก เธอคงสงสัย ว่าชายคนนี้กำลังแกล้งทำเป็นโง่อยู่หรือเปล่า? ไม่ว่ายังไง คิดๆแล้ว การกระทำของเขาก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าคงไม่มีทาง
แพทย์แผนจีนสัมผัส มอง สำรวจ ดูร่างกายของเซียวอู๋แล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “คนบ้าคลั่ง นอนน้อยไม่กิน ปัญญาที่ก่อเอง นับถือตัวเอง สถบด่า พักผ่อนน้อย อาการนี้ต้องใช้ยาขับเสมหะให้ฟื้นตัว ยาขับและสลายเลือดคั่ง ยาระงับประสาท ร่วมกับการรักษาทางจิต ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
เขาพูดอย่างมีคารมคมคาย และซูหย่าก็พอจะฟังเข้าใจ เขาหมายถึงการทานยา และคอยให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจ อาจจะกลับมาเป็นปกติ
“หมอคะ คุณหมายถึงว่า แฟนของฉันสามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิม?”ซูหย่ารู้สึกว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย
แพทย์แผนจีนมองซูหย่า ส่ายหน้า “สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า ฉันสรุปไม่ได้ ลองสั่งยาไปกินดูก่อน” คำพูดของเขาดูขอไปทีอย่างเห็นได้ชัด
ซูหย่ารู้สึกท้อแท้ในทันที เธอพยักหน้า รับใบสั่งยาที่แพทย์แผนจีนกำหนด และขอบคุณเขา
แพทย์แผนจีนอาจจะรู้สึกเกรงใจ ที่ดูอาการได้ไม่ชัดเจน จึงจากไปโดยไม่รับค่าตรวจเลยด้วยซ้ำ
ทำให้ซูหย่าสูญเสียความมั่นใจในที่สุด
ถึงแม้ ชีวิตสงบสุขแบบนี้ ไม่ได้มีอะไรไม่ดี แต่ เธอคิดว่า คนที่มีความสามารถอย่างเซียวอู๋ ถ้าหากว่าชาตินี้มีชีวิตแบบนี้ น่าเสียดายเกินไป ขนาดพ่อของเธอยังบอกว่าเขาเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่
ดังนั้น เธอจึงยังต้องการให้เขากลับไปเป็นปกติ
ในตอนกลางคืน หลังจากที่ซูหย่ากล่อมเสี่ยวอี้เข้านอน เธอก็นอนลง ทันใดนั้น ก็มีมือใหญ่พาดมาที่เอวของเธอ
ซูหย่าตัวกระตุก เธอหันไป มองเซียวอู๋ผ่านแสงไฟริบหรี่ ในสายตาของเขามีความคาดหวังอย่างเห็นได้ชัด
คิดๆแล้ว เธอลุกขึ้นนั่ง นำเสี่ยวอี้เข้าไปนอนข้างใน ตัวเองไปนอนตรงกลาง
กอดเซียวอู๋ “โอเค เด็กดี นอนได้แล้ว”
เซียวอู๋พยักหน้า หลับตา
เพียงแต่ ซูหย่ารู้สึกได้ชัดเจน อุณหภูมิบนมือของเขาค่อยๆสูงขึ้น อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ พูดขึ้น “เสี่ยวหวู่ นาย……ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ชายนิ่งไป ไม่พูดอะไร ทันใดนั้น เขาพลิกตัว คล่อมตัวซูหย่าไว้ หอบหายใจแรง
หยุนชางขมวดคิ้ว จากนั้นก็เห็นเถ้าแก่ร้านวิ่งตามหลังมา แล้วโค้งคำนับหยุนชางและจิ้งอ๋องพร้อมกล่าว “ขอประทานโทษขอรับ มันเป็นความประมาทของทางร้านเองขอรับ ขอประทานโทษที่รบกวนแขกผู้มีเกียรติทั้งสองขอรับ ข้าน้อยจะจัดการประเดี๋ยวนี้ขอรับ”
“ยังไม่เร่งมืออีกหรือ อย่าได้รบกวนข้าและฮูเหรินเด็ดขาด” จิ้งอ๋องไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขานิ้วมือเล็กน้อยและเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ
หยุนชางจ้องมองไปที่มือของจิ้งอ๋องแล้วก็ผงะ นิสัยของจิ้งอ๋องนี้ค่อนข้างคล้ายกับตน เมื่อตนครุ่นคิดอย่างมีสมาธิ หรือเมื่อรู้หงุดหงิดเล็กน้อย ตนมักจะเคาะไปที่โต๊ะโดยไม่รู้ตัว
เมื่อหลิ่วหยินเฟิงเห็นว่าหยุนชางไม่มองตนเลย สีหน้าของเขาก็แย่ลงอย่างมาก และเมื่อมองไปที่ผมที่มวยอยู่ด้านหลัง (เป็นทรงผมสำหรับผู้หญิงที่ออกเรือนแล้ว) ของหยุนชาง เขาก็โกรธเคืองมากกว่าเดิม จึงเงยหน้ากล่าวต่อจิ้งอ๋องว่า ” เจ้าเป็นสามีประสาอะไร? ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะปล่อยให้ภรรยาของตนไปในสถานที่ที่กองทัพทั้งสองกำลังทำสงครามอยู่ เพื่อเก็บยาสมุนไพรให้คนเฒ่าในบ้าน อีกทั้งยังถูกศัตรูจับตัวไปอีก…”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่ เขาก็เห็นจิ้งอ๋องเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที หลิ่วหยินเฟิงรู้สึกมั่นใจในตัวเองมาเสมอ แม้จะอยู่ต่อหน้ากองทัพใหญ่พันหมื่นคน เขาก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้ แต่ไม่คาดคิดว่า สายตาของชายที่อยู่ตรงหน้านั้น ทำให้เขารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว และเย็นชาจนรู้สึกราวกับว่าตนตกลงไปอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง ทันใดนั้นเขาก็ลืมสิ่งที่ตนต้องการจะพูดไป
“เถ้าแก่ โปรดเชิญชายหนุ่มคนนี้ออกไป” เสียงของหยุนชางเย็นชาเล็กน้อย จนทำให้หลิ่วหยินเฟิงอดที่จะหันมามองมิได้ เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันหลังแล้วค่อยๆ เดินออกไป
“เหตุใดเขาจึงจำได้?” หยุนชางขมวดคิ้ว
แววตาของจิ้งอ๋องจ้องมองไปที่หยุนชาง เขาถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม กลัวว่าผู้หญิงตรงหน้าคงจะไม่ทราบว่า แม้ว่านางสวมเสื้อผ้าผู้ชายแล้วจะเหมือนผู้ชายอย่างมากแล้ว แต่นิสัยหลายอย่างนั้นแค่เสื้อผ้าไม่สามารถปกปิดได้หรอก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในโลกนี้มีคนไม่มากนักที่มีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นเช่นนี้ นับประสาอะไรกับคนสองคนที่เกือบจะเหมือนกันทุกประการ
เนื่องจากหลิ่วหยินเฟิงมารบกวนเช่นนี้ หยุนชางจึงไม่มีอารมณ์ที่จะกินอาหารต่อ ทั้งสองกินไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่จวนท่านอ๋อง
องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเซี่ยมาถึงแล้ว หนิงหัวจิ้งก็มาถึงแล้ว และหลิ่วหยินเฟิงก็มาด้วยเช่นกัน เกรงว่าเมืองหลวงนี้คงจะคึกคักขึ้นเรื่อยๆ มีเหล่าขุนนางมาเข้าพบที่จวนท่านอ๋องอยู่บ้าง หยุนชางครุ่นคิด แม้ว่าตัวตนของท่านอ๋องนั้นยังไม่ถูกเปิดเผย แต่เสด็จพ่อนั้นยังคงคิดมากอยู่ในใจ พระองค์แทบจะให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวในจวนท่านอ๋องอยู่ตลอดเวลา หากว่าเชิญเหล่าขุนนางเหล่านี้เข้ามาในจวนท่านอ๋อง คงจะทำให้เกิดเรื่องอย่างแน่นอน ฉะนั้นก็ใช้เหตุผลว่าท่านอ๋องยังไม่หายดีจากอาการบาดเจ็บ จึงไม่เหมาะสมที่จะพบแขก เป็นข้ออ้างในการปิดจวนท่านอ๋องไว้ ไม่พบใครทั้งสิ้นเสียดีกว่า
แต่ทว่า งานเลี้ยงในวังนั้นจำเป็นต้องไปเข้าร่วม และด้วยพระราชพิธีการแต่งตั้งฮองเฮากำลังจะจัดขึ้นแล้ว จักรพรรดิหนิงจึงได้จัดงานเลี้ยงในพระราชวังขึ้นมา โดยกล่าวว่าเป็นการต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ
จักรพรรดิเซี่ยมาถึงเมืองหลวงเป็นเวลาสามวันแล้ว หยุนชางทราบข่าวนี้ตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง เพียงแต่สามวันที่ผ่านมานี้ จักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยอยู่แต่ในหออาศัย แทบจะมิได้ออกไปไหนเลย ซึ่งทำให้หยุนชางแปลกใจเป็นอย่างมาก นางคิดว่าจักรพรรดิแห่งแคว้นเซี่ยคงจะไม่รอช้าที่จะมาจวนท่านอ๋อง เพื่อตรวจสอบว่าจิ้งอ๋องนั้นเป็นบุตรชายของเขาหรือไม่ แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว ความอดทนของเขายอดเยี่ยมมากจริงๆ
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นที่ตำหนักจินหลวน หยุนชางและจิ้งอ๋องเดินทางไปถึงพระราชวังก่อนเวลา พวกเขาทั้งสองจึงไปที่วังจิ่นซิ่วเพื่อเยี่ยมเยือนจิ่นกุ้ยเฟยและองค์ชายน้อยเฉินซี แต่ไม่คาดคิดว่าฉินเมิ่งก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหยุนชางเข้ามาพร้อมจิ้งอ๋อง นางจึงเตรียมน้ำชามาถวาย ราวกับเป็นนางกำนัลของวังจิ่นซิ่ว
หยุนชางรู้สึกขบขัน ดูเหมือนว่านางจะลงมือกับตนมิได้ จึงมาเอาใจที่วังจิ่นซิ่วแล้ว หยุนชางครุ่นคิดแล้วหันไปมองเจิ้งมามาพร้อมกล่าวว่า “มามาเจ้าคะ นางกำนัลในวังจิ่นซิ่วไม่พอหรือ? ประเดี๋ยวข้าจะไปทูลเสด็จพ่อก็แล้วกัน ให้เสด็จพ่อส่งนางกำนัลมาเพิ่ม ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เมิ่งเจี๋ยยวี๋ก็เป็นนางสนมของเสด็จพ่อ งานแรงงานเช่นนี้ อย่าได้รบกวนเมิ่งเจี๋ยยวี๋จะดีกว่า หากมีคนอื่นมาพบเข้าจะไม่ดียิ่งนัก อาจจะคิดว่าเสด็จแม่นั้นสั่งนางสนมตามอำเภอใจโดยใช้อำนาจที่ตนนั้นเป็นกุ้ยเฟยหรอก”
สีหน้าของฉินเมิ่งขาวซีดเมื่อได้ยินเช่นนี้ นางจึงรีบกล่าวว่า ” หม่อมฉันต้องการทำเช่นนี้เองเพคะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้อกับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเพคะ”
แต่หยุนชางกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน และยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกว่าวต่อเจิ้งมามาว่า “เหล่านางกำนัลและขันทีที่ปากพล่อยในพระราชวังนี้มีไม่น้อย หากว่าเสด็จพ่อทราบเรื่องนี้ เช่นนนั้นคงจะไม่ดีอย่างมาก”
เจิ้งมามามิได้ตอบกลับ แต่จิ่นกุ้ยเฟยที่นั่งอุ้มเฉินซีพร้อมกล่อมเบา ๆ เอ่ยปากขึ้นมาว่า ” พระชายาพูดถูก แต่ในวังข้านั้นมิได้ขาดแคลนนางกำนัลแต่อย่างใด ต่อไปนี้ระวังอย่างให้เมิ่งเจี๋ยยวี๋ลงมือทำเองอีกแล้วกัน”
ฉินเมิ่งนั่งลงที่เก้าอี้อย่างกังวล นางเงยหน้ามองดูทุกคนที่อยู่ในตำหนักนี้ จากนั้นก็ก้มหน้าลงโดยมิได้กล่าวกระไรอีก
หยุนชางแอบเยาะเย้ยในใจว่า ฉินเมิ่งเร่งเอาใจเสด็จแม่ของตนเช่นนี้ เพื่อการอันใดกันนะ?
สายตาของนางจ้องมองไปที่เครื่องประดับลูกปัดดอกไม้บนหัวของฉินเมิ่ง นางหยุดชะงักไปครู่เดียว ครั้งที่แล้วเฉี่ยนอินกล่าวว่าลูกปัดดอกไม้นั้นเป็นของจากนอกพระราชวัง หยุนชางมิได้ใส่ใจกระไรมาก เพียงแต่ว่า……………..
หยุนชางเห็นปิ่นพวงแก้วที่ฉินเมิ่งปักอยู่ในตอนนี้ ของสิ่งนี้เป็นของร้านเฉียนสุ่ยอี้เหรินอย่างเห็นได้ชัด ที่นางทราบก็เพราะว่านางได้เห็นมันอยู่ในร้านเมื่อไม่กี่วันก่อน เป็นปิ่นที่งดงามอย่างมาก เฉี่ยนสุ่ยบอกว่าจะมอบให้นาง แต่ก็นางไม่เคยชอบเครื่องประดับที่ซับซ้อนเกินไปมาแต่เดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นนางจึงปฏิเสธ แต่ไม่คาดคิดว่าจะเห็นมันอยู่บนหัวของฉินเมิ่ง
หยุนชางค่อย ๆ ละสายตาออกไป จากนั้นก็อมยิ้ม วันก่อนสายลับได้สืบค้นการเคลื่อนไหวของฉินเมิ่ง แต่ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ ดูเหมือนว่าสายลับจะประมาทอีกแล้ว
เมื่อใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงในพระราชวัง ฉินเมิ่งไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ นางจึงรีบลุกขึ้นและน้อมลา หลังจากที่นางจากไป จิ้นกุ้ยเฟยจึงได้นั่งเสลี่ยงไปยังตำหนักจินหลวนพร้อมหยุนชางและจิ้งอ๋อง
งานเลี้ยงในพระราชวังแบบเป็นทางการแต่เดิมแม้แต่หยุนชางก็ไม่เหมาะที่จะเข้าร่วม แต่ด้วยเหตุที่หยุนชางเอาชนะทหารแคว้นเซี่ยได้เมื่อครั้งอยู่ที่เมืองจิ้งหยาง จักรพรรดิหนิงจึงอยากกดขี่ความหยิ่งยโสของแคว้นเซี่ยสักหน่อย ฉะนั้นจึงให้หยุนชางมาร่วม เพียงแต่หากมีผู้หญิงเพียงคนเดียวนั้นก็ดูจงใจเกินไป จักรพรรดิหนิงครุ่นคิด จึงได้ออกพระราชโองการว่าเป็นเพียงแค่งานเลี้ยงเล็กๆ ธรรมดาๆ ผู้หญิงตั้งแต่ขั้นหนึ่งขึ้นไปล้วนเข้าร่วมได้ ส่วนในวังนั้นให้จิ่นกุ้ยเฟยและหย่าผินที่กำลังจะเป็นฮองเฮานั้นมาร่วมด้วยกัน
แคว้นหนิงเป็นเจ้าภาพ ดังนั้นคนของแคว้นหนิงจึงเข้าประทับที่นั่งอยู่นานแล้ว ขันทีเจิ้งได้นำพาเหล่าแขกผู้มีเกียรติเข้ามาในงานด้วยตนเอง จากนั้นทุกคนที่เข้าไปนั่งที่นั่งของตน และเมื่อทุกคนนั่งลง จักรพรรดิหนิงจึงได้เดินเข้ามาท่ามกลางเสียงประสานอันไพเราะของขันที และทุกคนก็ลุกขึ้นและคำนับอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเสื้อถูกับพื้นดังขึ้น และจากนั้นเสียงอันทรงพลังของจักรพรรดิหนิงก็ดังขึ้น “ไปนั่งเถิด”
การเปิดงานเลี้ยงแน่นอนต้องดื่มสามแก้ว จักรพรรดิหนิงเป็นคนต้อนรับแขกผู้มีเกียรติจากทั่วทุกมุมโลก หลังจากดื่มสุราไปสามแก้ว ทุกคนก็นั่งลง หยุนชางนั่งอยู่ข้างหลังจิ้งอ๋องแล้วกินอาหารอย่างสบายใจ
เมื่อตระหนักได้ว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่ตน หยุนชางจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นและมองไป หลิ่วหยินเฟิงนี่เอง ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลิ่วหยินเฟิงได้ส่งคนหลายคนไปตรวจสอบตัวตนของนาง เพียงแต่ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งแคว้นหนิง เมื่อเขาคิดอยากจะทำกระไร หยุนชางก็ทราบในทันที หลิ่วหยินเฟิงถือว่าไม่มีความคืบหน้าใดๆ เลย
แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบนางที่นี่ นางสวมชุดทางการของก้าวมิ่งฟูเหริน ชุดนั้นเป็นสีแดงสลับกับสีดำ ผู้หญิงคนอื่นๆ สวมแล้วอาจดูไม่มีชีวิตชีวา แต่เมื่อนางสวมกลับมีสดใสขึ้นอย่างมาก หลิ่วหยินเฟิงไม่ใช่คนแคว้นหนิง เขาจึงไม่ทราบเกี่ยวกับเครื่องแบบทางการของหญิงสาวนัก ฉะนั้นเขาจึงไม่ทราบว่าเสื้อผ้าที่หยุนชางสวมใส่นั้นแสดงถึงเอกลักษณ์อะไร เพียงแต่ว่าคนที่สามารถปรากฏตัวที่นี่ได้ในวันนี้จะต้องเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างมาก
เมื่อสักครู่นั้นเขาไม่ได้สังเกตเห็นนาง เขาเห็นเพียงชายที่นั่งอยู่ข้างหน้านาง เขาตกตะลึง และมองไปข้างหลังชายคนนั้นอย่างไม่รู้ตัวแล้วจบพบนาง
จักรพรรดิหนิงกำลังสนทนากับจักรพรรดิแคว้นเซี่ย หยุนชางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินทั้งสองชมเชยกันและกัน พวกเขาเพิ่งจะสู้รบกันมาอย่างดุเดือด แต่ในชั่วพริบตาพวกเขากลับพูดคุยสนทนาในงานเลี้ยงนี้
เพียงแต่ว่าหยุนชางได้ยินจักรพรรดิหนิงพูดถึงนางด้วยน้ำเสียงที่ช่วยไม่ได้ “ช่วงก่อนพระธิดานั้นดื้อรั้น ได้เข้าไปป่วนในสนามรบ เป็นความผิดเจิ้งที่ควบคุมพระธิดามิได้ จึงขอให้พี่เซี่ยนั้นให้อภัยด้วยเถิด ”
หยุนชางเงยหน้าขึ้นและเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ย นางอดไม่ได้ที่จะตะลึง ไม่ใช่เพราะว่าจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรูปลักษณ์ที่ดีเพียงใด ทางกลับกันรูปลักษณ์ของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นน่าเกรงขามเล็กน้อย เป็นเพราะว่าใบหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยนั้นมีรอยแผลเป็นที่มีรูปร่างคล้ายตะขาบ รอยนั้นพาดจากด้านขวาบนของหน้าไปเกือบทั่วทั้งใบหน้า ลากยาวไปถึงคาง โชคดีที่ดวงตาทั้งสองข้างนั้นมิได้รับผลกระทบกระไร แต่ค่อนข้างคล้ายกับจิ้งอ๋อง
สีหน้าของจักรพรรดิแคว้นเซี่ยตะลึง และเขาก็หันไปยิ้มขึ้นมา ” ไม่หรอก ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น องค์หญิงทรงเก่งกาจอย่างมาก ข้าชื่นชมเป็นอย่างมาก”
เมื่อจักรพรรดิหนิงได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะลั่นออกมา หยุนชางไม่รู้ว่าในรอยยิ้มนี้มีความจริงใจอยู่เท่าไหร่ มีความเสแสร้งอยู่เท่าไหร่ ขณะที่นางกำลังเหม่อลอย ก็ได้ยินจักรพรรดิหนิงกล่าวว่า “ชางเอ๋อร์ รีบเข้ามาขอประทานอภัยจากจักรพรรดิแคว้นเซี่ยประเดี๋ยวนี้”
“แม่ แม่ต้องบอกฉัน ได้โปรด นี่คือลูกของตระกูลเซียว ทำไมพวกเขาไม่ต้องการมัน ทำไมพวกเขาถึงยอมแพ้เซียวอู๋โดยไม่ต่อสู้”
แม่ซูเดินไปที่ประตูและพูดกับคนสองคนที่ยืนอยู่ข้างประตูว่า “คุณทั้งสอง ไปที่ห้องนั่งเล่นชั้นล่างก่อน ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่” บ้านหลังนี้เป็นห้องแบบเพล็กซ์สวีทสองชั้น .
หลังจากที่ทั้งสองออกไป แม่ซูก็ปิดประตูแล้วพูดกับซูหย่า
“พ่อของเซียวอู๋มีลูกชายสองคนข้างนอก ส่วนแม่ของเขาก็มีลูกชายแหนึ่งลูกสาวหนึ่ง ดังนั้น การดำรงอยู่ของเซียวอู๋จึงเป็นเพียงการปกปิดความสัมพันธ์ของคนสองคนที่อยู่เบื้องหลังกันและกัน”
ซูหย่าตกใจ เธอค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองแม่ของเธอ หลังจากนั้นไม่นาน เธอกล่าวว่า “เซียวอู๋รู้เรื่องนี้หรือไม่”
เธอไม่สามารถที่จะขยับร่างกายได้ ความเจ็บปวดและความไร้หนทางที่เขามีตัวตนเช่นนี้เป็นเช่นไร?
แม่ซูส่ายหัว “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ แต่มีหลายคนที่รู้เรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความมั่งคั่งของตระกูลเซียว จึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้ ฉันเองก็เป็นพ่อของเธอที่บอกให้ฟัง.”
“แล้วทำไมพ่อรู้ทั้งรู้ว่าเซียวอู๋อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังตกลงที่จะให้ฉันแต่งงานกับเขา”
“พ่อของเธอทำงานกับเซียวอู๋มาก่อนที่เธอจะพบเขา ฉันได้ยินเขาพูดชมเซียวอู๋หลายครั้งสำหรับงานของเขา เขาเป็นคนชี้ขาดและมีกลยุทธ์ เขามีพรสวรรค์ทั่วไปจริงๆ พ่อของเธอต้องการให้เธอแต่งงานกับเขา ไม่ใช่เพื่อครอบครัวเซียว พวกเราตระกูลซูไม่ต้องการตระกูลเซียว แต่พ่อของเธอจริงใจและชอบเซียวอู๋”
ซูหย่าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่แม่พูดเป็นครั้งแรก ปรากฏว่าพ่อของเธอถือว่าการแต่งงานของเธอเป็นการแต่งงานจริง พ่อของเธอรักเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขารู้สึกว่าเซียวเป็นผู้ชายที่สามารถเชื่อถือได้ตลอดชีวิต ดังนั้น เขาจึงตกลง เธอทำข้อเรียกร้องที่ไม่สมเหตุสมผลนั้น
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอรู้สึกว่าชีวิตของเธอดีมาก เธอก็ยิ่งทุกข์ใจกับเซียวอู๋คนที่พ่อและแม่ไม่รัก เขาใช้ชีวิตแบบไหนกัน? เธอไม่สามารถจินตนาการได้
“แล้วในเมื่อพ่อก็ยอมรับเซียวอู๋ แม่ทำไมไม่ช่วยเขาในสถานการณ์เช่นนี้ล่ะ ถ้าสถานการณ์ของเขาเป็นเพียงชั่วคราว ถ้าเราส่งเขาไปโรงพยาบาลจิตเวชก็เท่ากับการส่งเขาไปทางตัน” เมื่อถึงจุดนี้ ซูหย่าก็ร้องไห้ออกมา
แม่ของซูถอนหายใจหนักเมื่อได้ยินคำพูด หยิบทิชชู่ขึ้นมาแล้วปาดน้ำตาบนใบหน้าของซูหย่า “เสี่ยวหย่า เธอคิดว่าเรื่องมันง่ายขนาดนั้นเลยหรือ เธอคิดไหมว่าทำไมตระกูลเซียวจึงตัดสินใจยอดแพ้กับเซียวอู๋แบบนั้น แม้ว่าพวกเขาจะอึดอัดใจ มีหรือที่พวกเขาจะไม่มีใจให้กับลูกชายคนนี้บ้างเลย” พูดถึงเรื่องนี้แม่ของซูหยุดและใบหน้าของเธอก็เคร่งขรึม
เธอจับมือของซูหย่าและถอนหายใจ “เซียวอู๋ ที่ถูกองค์กรก่อการร้ายที่ฆ่าครั้งนี้ มีอิทธิพลอย่างมากในต่างประเทศ ตอนนี้สำหรับเขายกเว้นภายในประเทศ ใครก็ตามที่รับช่วงมาก็เป็นเรื่องที่แก้ไขยาก รับมือยาก คนเหล่านั้น แน่นอนคือไม่กล้าที่จะต่อต้านกับประเทศโดยตรง แต่เป็นไปได้ที่จะต่อต้านกับบุคคล ถ้าเรายึดครองเซียวอู๋เราอาจทำให้ตระกูลซูถูกฆ่าได้ ”
ซูหย่าเปิดปากของเธอและไม่ได้ปิดเป็นเวลานาน บางทีชีวิตของเธออาจจะธรรมดาเกินไป เธอเติบโตขึ้นมาจากการที่พ่อแม่ของเธอปกป้องเธออย่างดี
สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าความดีและความชั่วของเธอคือพวกอันธพาลที่เธอเห็นตอนที่เธอช่วยเล่อจยาที่แผงขายอาหาร นั่นคือด้านมืดที่สุดของสังคมที่เธอเคยเห็น
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าได้ได้ยินคำนี้ ศัตรูของชาติความเกลียดชังของบ้าน จะถูกวางไว้ตรงหน้าเธอ
เธอรู้ความหมายที่แม่บอกเธอแล้ว เธอเข้าใจว่าแม่ของเธอต้องการจะบอกเธอว่าถ้าเธอยังไปยุ่งกับเซียวอู๋ก็เท่ากับนำ ครอบครัวตระกูลซูไปอยู่ในอันตรายด้วย
พ่อ แม่ พี่ชาย รักเธอมาตั้งแต่เด็ก ทำไมเธอถึงไร้ความรู้สึกเพียงเพื่อผู้ชายคนเดียวขนาดนี้?
อย่างไรก็ตามเซียวอู๋ก็เป็นพ่อของลูกของเธอ และเธอเป็นผู้ชายคนเดียวที่เธอรักในชีวิตของซูหย่า เธอยอมแพ้แล้วปล่อยมันไปได้อย่างไร?
เธอก้าวถอยหลัง นั่งบนโซฟา หยุดพูด แล้วเอามือปิดหน้าท้อง
เมื่อเห็นการประนีประนอมที่เห็นได้ชัดของเธอ แม่ของซูก็รู้สึกมีอารมณ์ดีขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง โอบกอดซูหย่าและตบเธอเบาๆ ออกจากห้องไป เธอรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย และคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถปลอบโยนเธอได้
ภายในเวลาไม่กี่วันมานี้อาการของเซียวอู๋ก็ยังเหมือนเดิม อาจเป็นเพราะโรงพยาบาลไม่มีประสบการณ์ในด้านนี้หลังจากปรึกษากับทุกคนแล้วเขาก็ถูกส่งไปยังเมือง H โรงพยาบาลจิตเวชที่ดีที่สุดและเครื่องอำนวยความสะดวกด้านฮาร์ดแวร์พร้อมแพทย์ที่ครบครันมากที่สุด
พ่อได้พยายามติดต่อเชื่อความสัมพันธ์มากมายเพื่อหาคนช่วยเหลือขอให้โรงพยาบาลรักษาเซียวอู๋ทางจิตใจให้ได้มากที่สุด
เมื่อซูหย่าได้ยินเรื่องนี้ เธอก็ยังไม่พูดอะไร
เธอดื้อรั้นไม่กลับไปที่เมือง C แต่เธอก็ไม่ไปหาเซียวอู๋เช่นกัน
การกระทำของเธอทำให้ตระกูลซูเข้าใจยาก
“วันนี้เขาได้ทำร้ายคนข้างใน ชายที่แข็งแกร่งหลายคนก็ยังเอาไม่อยู่ จนทำให้ต้องฉีดยาให้เขา””
“เขาไม่ได้ร่วมมือกับจิตบำบัด และยังทุบโต๊ะของคนอื่น”
“อาการของเขารุนแรงมากคืน และเขาก็เริ่มพูดเรื่องไร้สาระด้วย”
“จิตบำบัดได้ทำการหยุดรักษาแล้ว”
“หมอบอกว่าไม่มีทางรักษาให้หายได้”
…
ข้อความที่แม่ของเธอนำกลับมานั้นรุนแรงขึ้นทุกครั้ง แต่ซูหย่าก็ก้มหัวทุกครั้ง ลูบท้องด้วยมือทั้งสองข้าง ไม่เศร้าหรือเจ็บปวด ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่?
เล่อจยามาที่นี่สองครั้ง และซูหย่าก็ได้แต่ยิ้มกับเธอและไม่ได้พูดอะไร
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้แม่ซูกังวลมาก
ในที่สุด เมื่อถึงกำหนด ซูหยาบอกว่าเธอกลัวความเจ็บปวดและเลือกที่จะผ่าท้อง
ในวันคลอดครอบครัวซูได้มากันทุกคน เล่อจยาและปี๋ไคต่างก็มา แต่ไม่มีครอบครัวเซียว ไม่มีแม้แต่โทรศัพท์
ถ้าไม่ใช่เพราะวิดีโองานแต่งงานเธอยังเก็บมันไว้ เธอก็คงคิดว่าเธอไม่เคยแต่งงานกับครอบครัวเซียวมาก่อน
ผ่าคลอดต้องดมยาสลบ ฉีดยาชาไปเธอร้องไห้หนักมาก หมอตกใจ เลยถามเธอว่าเป็นอะไร? เจ็บมากไหม…
เธอส่ายหัว แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ในขณะนั้น
ปรากฏว่าโดนฉีดยาแบบนี้มันก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้ เสี่ยวหวู่ของเธอคงรู้สึกมากว่านั้นหลายเท่า
เด็กน้อยเกิด เขาเป็นเด็กชาย น้ำหนัก 3.9 กิโล เขาดูเหมือนเซียวอู่ ไม่เหมือนเธอ เมื่อเห็น เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะด้วยความปิติยินดี
ในการอยู่เดือน เธอดูแลตัวเองและกินเป็นอย่างดี ทำให้น้ำหนักขึ้น 5 กิโล ภายใน หนึ่งเดือน
แม่ซูมองมาที่เธอและมีความสุขมาก โดยคิดว่าเธอได้ปล่อยเซียวอู๋ไปหมดแล้ว และค่อยๆ หยุดนำข้อมูลของเซียวอู่กลับมา
เมื่อครบวันอยู่เดือน ซูหย่าบอกว่าเธอต้องการกลับไปที่เมืองC
ตอนนั่งบนเครื่องบินกลับไปที่เมือง C ไม่มีใครพูดถึงเซียวอู๋
กลับไปที่ เมืองC
ในเมืองซูหย่าค่อนข้างยุ่ง ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังทำอะไร
อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่ปั่นป่วนของเธอ หัวใจของครอบครัวก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
พวกเขาคิดไม่ออก อย่างไรก็ตาม หลังจากการผ่อนคลายนี้ พวกเขาก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“คุณนายเซียว ยินดีด้วย”
เพียงสามคำง่ายๆ ทำให้ซูหย่าเพิกเฉยต่อภาพลักษณ์ของเธอ เธอรีบไปที่เตียงร้องไห้เหมือนคนบ้าพร้อมกอดเซียวอู๋อยู่ในอ้อมแขน “คุณมันสารเลว คุณทำให้ฉันตกใจหมดเลย”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับความกระตือรือร้นของซูหยา เซียวอู๋ดูแล้วไม่รู้สึกหนาวหรือร้อน เขากลอกตาครู่หนึ่ง ยกมือขึ้น และผลักซูหย่าออกไปด้วยความพยายาม เมื่อดวงตาของเขามองลงไปที่ท้องใหญ่ของเธอ เขาก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด “แม่” เสียงเขาแหบมากเมื่อไม่ได้พูดมานาน
ซูหย่าเม้มปาก เช็ดน้ำตา หันศีรษะและมองไปข้างหลัง จากนั้นมองย้อนกลับไปที่เสี่ยวหวู่ “เสี่ยวหวู่ คุณเรียกใคร”
เซียวอู๋เปิดปาก “แม่ แม่”
ซูหย่าเดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว และเธอก็คว้าแขนของหมอ “เขา เกิดอะไรขึ้นกับเขา?”
หมอมองไปที่ซูหยา “ยาชาอาจทำให้เส้นประสาทของเขาเสียหายและส่งผลต่อสติปัญญาของเขา”
“สติปัญญา? คุณหมายถึงเขาอาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อน?”
“มีความเป็นไปได้ ยังต้องติดตามตรวจสอบกันต่อไป”
เซียวอู๋ผู้บัญชาการกองทัพที่สง่างามกลายเป็นคนปัญญาอ่อน?
ซูหย่าไม่สามารถยอมรับได้ชั่วขณะหนึ่ง
เธอค่อย ๆ หันกลับมาและมองไปที่เซียวอู๋”เสี่ยวหวู่ฉันเป็นใคร?”
“แม่” เซียวอู๋ทวนสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่นี้
“แล้วคุณอายุเท่าไหร่ แล้วคุณชื่ออะไรคุณรู้ไหม”
เขาส่ายหัว ถือแก้วบนโต๊ะ ดื่มน้ำในแก้วจนหมด “ดื่ม…”
ซูหย่าเทน้ำให้เซียวอู๋และยื่นให้เขา
จากนั้นแพทย์ก็ตรวจสอบเซียวอู๋ในด้านอื่น ๆ และเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากพบว่าส่วนอื่น ๆ ของร่างกายของเขาเป็นปกติ
“เส้นประสาทได้รับบาดเจ็บ เราจะให้ยาเขาระยะหนึ่ง ครอบครัวอย่างพึ่งเสียกำลังใจและคิดอะไรมาก เขาตื่นขึ้นมาก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว บางทีปาฏิหาริย์อื่นก็คงเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นทุกอย่างจึงต้อง.. ” ก่อนที่หมอจะพูดจบ เซียวอู๋ก็ลุกขึ้นและเอื้อมมือไปบีบคอหมอ
หมอที่ยังไม่ทันตั้งตัวหน้าซีดหลังจากถูกเขาบีบคอ
หมอที่พุ่งเข้ามาจากด้านหลัง หลายคนใช้กำลังทั้งหมดก่อนที่จะแยกมือของเซียวอู๋ออก อย่างไรก็ตาม ตัวเขาเองก็ไม่ได้แย่เลย ขณะแพทย์หลายคนที่มายับยั้งเขายังไม่สามารถหยุดเขาได้
พยาบาลดึงตัวซูหย่าออกมา “คุณนายเซียว ออกมาก่อน”
ซูหย่าปิดปากของเธอ น้ำเสียงของเธอผสมกับการร้องไห้ “เป็นไปได้ยังไง?”
ต่อมา เธอเห็นคนเดินเข้ามาฉีดยาระงับประสาทแก่เซียวอู๋ก่อนที่เขาจะสงบลง
“หมอ มันเป็นไปได้ยังไง”
หมอถูกบีบคอ หอบหนัก ใช้เวลานานเพื่อผ่อนคลาย มองไปที่ซูหย่าแล้วขมวดคิ้ว “เขาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ คุณยังไม่สามารถพาเขากลับไปได้ ผมเกรงว่าเขาจะทำร้ายคุณ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “อาจจะเป็นครั้งคราว”
หมอเหลือบมองเธอ “เราขอตรวจดูสังเกตการณ์สักระยะก่อน”
เพราะกังวลเกี่ยวกับซูหย่าและลูกของเธอ หลังจากที่แม่ซูรู้เกี่ยวกับสถานการณ์ของเซียวอู๋ เธอจึงพาซูหย่าออกจากโรงพยาบาลและไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้เซียวอู๋อีกต่อไป
พ่อเซียวและแม่เซียวมาถึงเมืองHในคืนถัดไปหลังจากได้รับการแจ้งเตือนจากโรงพยาบาล
ว่ากันว่าหลังจากอยู่ในโรงพยาบาลเพียงสองชั่วโมง เมื่อเห็นอาการป่วยของเซียวอู๋
ในฐานะผู้ปกครองของเซียวอู๋ โรงพยาบาลได้สอบถามความคิดเห็นจากพวกเขา พวกเขาควรพาเขากลับบ้านหรือควรทำอย่างไร?
หลังจากเห็นสถานการณ์ของเซียวอู๋ พวกเขาก็มอบสิทธิ์การตัดสินใจไปที่โรงพยาบาลและกลับไปที่เมืองCโดยไม่คาดคิด
หลังจากรู้เรื่องนี้ ซูหย่าร้องไห้และโว้ยวาย และรู้สึกเจ็บปวดใจแทนเซียวอู๋
เธอนึกไม่ถึงว่าจะมีพ่อแม่แบบนี้ในโลกได้อย่างไร จู่ๆ เธอก็เข้าใจว่าสิ่งที่เซียวอู๋พูดในเสียงบันทึกนั้นไม่ใช่เรื่องปลอม
“เสี่ยวหย่า พ่อแม่ของเสี่ยวหวู่ยอมแพ้แล้ว ไม่ต้องไปกังวลแทนแล้ว”
“พวกเขาทำแบบนี้ได้ยังไง พวกเขามีลูกแค่คนเดียวนะ? ทำไมถึงทำแบบนี้ได้ลงคอ”
มือของแม่ซูที่ช่วยมัดผมเธอสั่นและขมวดคิ้ว “มีบางอย่างที่เธอยังเด็กเกินไปที่จะเข้าใจ”
ซูหย่าหันกลับมามองแม่ของเธอ เห็นได้ชัดว่าบางอย่างพูดไม่ได้ “แม่ รู้อะไรมาใช่ไหม”
แม่ซูหวีผมแล้วหวีมันอีกหลายครั้ง “อย่าถามเลย หมอบอกว่าสถานการณ์ของเซียวอู๋อาจจะอยู่แบบนี้ไปตลอด เสี่ยวหย่า เธอก็ฟังหมอแล้วส่งเขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวช …”
“โรงพยาบาลจิตเวช?” ซูหย่าลุกขึ้นจากโซฟาอย่างรวดเร็ว เธอมองแม่ของเธออย่างไม่เชื่อ “แม่ แม่จะปฏิบัติกับเสี่ยวหวู่ แบบนี้ได้อย่างไร เขาเป็นวีรบุรุษนะ”
แม่ซูเม้มปาก “แม่รู้ แต่ลูกก็เห็นหมอในโรงพยาบาลวันนั้น หมอทุกคนถูกเขาทุบตีจนฟกช้ำ ถ้าไม่มียาระงับประสาท อาจจะควบคุมไม่ได้” . ”
คำพูดของแม่ทำให้ซูหย่าขมวดคิ้ว ในฐานะของเซียวอู๋ถ้าไม่สุดๆจริงโรงพยาบาลคงไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย
แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา
แต่เธอจะให้เซียวอู๋ถูกส่งตัวไปอยู่ที่โรงพยาบาลจิตเวชตลอดชีวิต นั่นคือพ่อของลูกของเธอนะ? คนอื่นสามารถเพิกเฉยและยอมแพ้ได้ เธอบอกกับตัวเองว่า ซูหย่า เธอทำไม่ได้
แม้ว่าวันหนึ่งเซียวอู๋จะตื่นขึ้นมาและต้องการหย่ากับเธอ แต่เธอก็ควรดูแลเขาแทนลูก ก่อนที่เขาจะตื่น
เธอส่ายหัวและพูดอย่างหนักแน่น: “ไม่แม่ฉันไม่สามารถส่งเขาไปที่โรงพยาบาลจิตเวชได้ ปัญหาแบบนี้ของเซียวอู๋เป็นเพียงชั่วคราวแม่เชื่อฉันเถอะเขาจะหายดี” สถานที่แบบนั้นแม้ว่าคนปกติจะไปที่นั่นก็ไม่สามารถออกมาได้อย่างไม่สมบูรณ์ได้หากพูดถึงสถานการณ์ของเซียวอู๋ ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้อาการแย่ลงเท่านั้น
เมื่อคิดถึงคนเหล่านั้นถูกมัดด้วยเชือกหยุดด้วยความรุนแรงและควบคุมด้วยยาเมื่อเขาล้มป่วย เธอแค่คิดก็ทุกข์ใจจนหายใจไม่ออก
ใบหน้าของแม่ซูทรุดลง “ไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เสี่ยวหย่า เราไม่สามารถเห็นเธอกระโดดเข้ากองไฟได้” หลังจากนั้นเธอก็เดินออกไป
หลังจากนั้นไม่นาน มีผู้หญิงสองคนที่สวมเครื่องแบบสีดำเดินจากด้านนอกดูราวกับว่าพวกเขามีความสามารถ
“แม่ แบบนี้มันหมายความว่าอย่างไร”
“เสี่ยวหย่า อย่าโทษแม่ มีบางอย่างที่แก้ไม่ได้ด้วยตัวเอง ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเซียวอู๋ที่ยังไม่ลึกไปกว่านี้ ปล่อยวางเถอะ เด็กนี้บ้านตระกูลเซียวเขาไม่เอา เราจะเลี้ยงเอง แต่น้ำโคลนนี้ เธออย่าไปจมมันอีก”
“แม่คะ หมายความว่าอย่างไร ลูกคนนี้คืออะไร บ้านตระกูลเซียวเขาไม่เอา?” ซูหย่าคิดว่าแม่ของเธอรู้อะไรมา เซียวอู๋ เป็นลูกคนเดียวของตระกูลเซียว มีเหตุผลว่าเซียวอู๋ มีอาการเป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้ปกครอง เขาควรจะกังวลมากเกี่ยวกับเด็กในท้องของเธอ
ทั้งหมดเป็นไปได้ว่าเป้นรากเหง้าของตระกูลเซียว
อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือเป็นเวลาหลายเดือนแล้วตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุกับเซียวอู๋ หลายเดือนก็ไม่เคยมาดูเธอ เธอคิดว่าบางทีอาจต้องการปิดเรื่องเกี่ยวกับเซียวอู๋ กับตระกูลซู แต่คราวนี้เมื่อพวกเขารู้ว่าเธอรู้เรื่องแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เคยเห็นมาหาเธอ และไม่ได้โทรมาแม้แต่น้อย
มันไร้เหตุผลเกินไป
แม่ซูยื่นแขนออกมาและกอดซูหย่า “อย่าถามเลย เรื่องบางอย่างรู้มากไปก็ไม่ดีกับเรา”
ความตาย… จู่ๆ สองคำนี้ก็แวบเข้ามาในหัว
เธอลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว “แม่ เสี่ยวหวู่…เขา…” เธอไม่กล้าพูดที่เหลือ
แม่ซูมองไปที่พ่อซู พ่อซูยืนขึ้นและพูดว่า “พูดสิ ช้าหรือเร็วก็ต้องรู้อยู่ดี”
หัวใจของซูหย่า”เต้น ตึกๆ” สองสามครั้ง และมือของเธอที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ
“เสี่ยวหย่า ใครเป็นพ่อของลูกในท้องของเธอ?”
ซูหย่าคิดว่าแม่ซู กำลังจะพูดถึงเสี่ยวหวู่… แต่เธอกำลังพูดถึงเด็กที่อยู่ในท้องของเธอ เธอตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
“หมายความว่าอย่างไร”
“เสี่ยวหวู่พูดว่า เด็กในท้องของเธออายุสองเดือนแล้ว แต่เขาบอกไม่ได้อยู่ด้วยกันมาสองเดือนแล้ว เขาบอกว่า… ลูกของเธอเป็นของปี๋ไค”
“เขา ไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม”
แม่ซูพยักหน้า “ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไปเถอะ ดูแลตัวเองก็พอ”
เมื่อได้ยินว่าเซียวอู๋ไม่เป็นไร ซูหย่าก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไร ถ้าเขาโอเค เขาจะรู้เองว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกใครเมื่อเขาเกิด”
เธอใช้คำพูดที่เล่อจยาเคยพูดไว้มาพูด เธอคิดว่าสิ่งนี้แตกต่างจากคำพูดอื่น
“เธอบอกว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเสี่ยวหวู่?”
ซูหย่ายิ้ม “แน่นอนเป็นของเขา ไม่ใช่สองเดือน แต่เป็นสามเดือน” จากนั้นเธอก็มองหาโทรศัพท์ของเธอ และบนโต๊ะข้างเตียง เธอหยิบภาพที่ถ่ายด้วยโทรศัพท์ของเธอออกมาแล้วแสดงให้แม่ซูดู นี่คือการตรวจสอบที่จยาจยาและฉันทำร่วมกัน แสดงว่าเป็นเวลามากกว่าสามเดือนกับอีกสองสามวัน”
“แล้วการแท้งครั้งนั้น…”
“โกหกเสี่ยวหวู่ แม่ หนูหิวแล้ว ช่วยไปเอาอาหารมาให้หน่อย” เมื่อรู้ว่าเซียวอู๋ไม่เป็นไรแล้ว ซูหย่าก็รู้สึกว่าทุกอย่างโอเค แล้วรวมถึงความเข้าใจผิดนี้ด้วย
แม่ซูและพ่อซูมองหน้ากัน แล้วพวกเขาก็ออกไปทีละคน
เมื่อนึกถึงเซียวอู๋ ซูหย่าอดไม่ได้ที่จะกดโทรศัพท์หาเขา แต่ไม่มีใครรับสาย
โทรไปหลายครั้งก็เหมือนเดิม
ทุกครั้งที่โทรหา มันก็จะมีความไม่สบายใจขึ้นเล็กน้อยในหัวใจ
ในที่สุดเธอก็โทรหามู่ซือและไม่นานก็รับสาย
“เฮ้…” น้ำเสียงเย็นชา
“มู่ซือตอนนี้เสี่ยวหวู่อยู่แถวนั้นหรือเปล่า”
“เขาไม่ว่าง คุณมีเรื่องอะไร บอกผมได้ จะได้ช่วยบอกให้”
ซูหย่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขายุ่งอยู่ใช่ไหม? งันไม่เป็นไร.
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรหาเขาใหม่ตอนที่เขาว่าง” พูดจบกำลังจะวางสาย
“คุณซู มีบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าควรพูดหรือไม่”
เขาเรียกเธอว่าคุณซู ไม่ใช่พี่สะใภ้ ซูหย่าตกใจ “คุณพูด”
“คุณกับเสี่ยวหวู่ก็หย่ากันแล้ว และคุณกับคุณปี๋ก็มีลูกด้วยกัน งั้นก็เลิกยุ่งกับเสี่ยวหวู่เถอะ” พูดจบก็วางสาย
โทรศัพท์มือถือของซูหย่าหลุดจากมือของเธอและตกลงบนผ้าห่ม “แม่ แม่…” เธอตะโกน
แม่ซูคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ เธอจึงวิ่งออกจากครัว ผลักประตูไปเห็นเธอนอนอยู่บนเตียง และถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เกิดอะไรขึ้น นี่มันอะไรกัน”
“แม่ ทำไหมหนูถึงหย่ากับเสี่ยวหวู่ เกิดอะไรขึ้น?”
แม่ซูจับมือเธอแล้วพูดว่า “เสี่ยวหย่า แม่รู้ว่าเธอกับเสี่ยวหวู่แต่งงานกันเพื่อต้องการเอาชนะ ในเมื่อเธอก็ไม่รักเขา หย่ากันดีแล้ว เมื่อวานตอนเราไปดึงตัวลูกกลับมา เสี่ยวหวู่ก็เซ็นใบหย่าไว้ให้แล้ว ”
“ใครบอกว่าหนูไม่รักเขา ใครพูดอย่างนั้น” ซูหย่าเปิดผ้าห่มออก “ไม่ หนูจะไปหาเสี่ยวหวู่เพื่อถามให้ชัดเจน จะบอกเขาว่าเด็กคนนี้คือลูกของเขาและหนูจะบอกเขาว่าหนูรักเขา”
เมื่อเห็นเธอเช่นนี้ แม่ซูก็ร้องไห้ออกมา “เสี่ยวหย่า เขาอยู่กับผู้ช่วยของเขาแล้ว ทำไมเธอถึงทำเช่นนี้?”
ซูหย่าเริ่มเคลื่อนไหวช้าๆ เธอมองขึ้นไปที่แม่ซู “แม่ กำลังพูดถึงเรื่องอะไร”
“เธอมันไร้ยางอาย เขาไม่ต้องการเธอแล้ว ก็ยังอยากต่อสู้อีกมันจะมีความหมายอะไร ถ้าเด็กคนนี้เกิดมาและเราจะเลี้ยงดูเขาเอง และในอนาคตก็ห้ามพูดถึงชื่อเซียวอู๋อีก” เสียงของพ่อพูดอย่างเคร่งขรึมมาจากประตู ซูหย่ายังไม่ทันเห็นหน้าพ่อของเขา แต่รู้สึกได้ความเด็ดขาดนั้น
ตั้งแต่เกินเรื่องขึ้นในความทรงจำ ครั้งแรกที่พ่อของเธอจริงจังกับเธอ มันคือวันก่อนที่เขาจะเข้ากองทัพ นี่เป็นครั้งที่สอง ทั้งหมดเป็นเพราะเซียวอู๋
เธอเม้มปาก ก้าวถอยหลังขึ้นนอนบนเตียง แต่เธอรู้อยู่ในใจว่าสิ่งที่พ่อของเธอกำลังพูดถึงคือเรื่องจริงที่เธอต้องทำตาม
เมื่อเล่อจยาเข้ามาเห็นซูหย่าหลับอยู่ เธอจึงลงไปข้างล่าง
“แม่ทูนหัว เป็นยังไงบ้าง”
“พ่อของเธอพูดอะไรที่มันรุนแรง เป็นเวลาซักพักแล้ว น่าจะไม่มีอะไรน่าสงสัย สถานการณ์ของเสี่ยวหวู่เป็นอย่างไรบ้าง”
“หัวหน้าของพวกเขาให้ความสำคัญกับเขามาก พวกเขาย้ายเขาไปที่โรงพยาบาลที่ดีที่สุดแล้วและพวกเขายังหาแพทย์ที่เก่งที่สุด แต่ความหวังก็น้อยมาก”
แม่ซู่สูดหายใจเข้าเสียงของเธอสำลัก และเธอก็จับมือเล่อจยา “เธอก็เห็นสาวน้อยคนนี้ เธอมักจะไร้หัวใจ ฉันรู้ เธอเป็นคนอารมณ์ดี เธอจริงใจกับเซียวอู๋มาก จยาจยา ช่วงนี้ถ้ามีเวลาก็ช่วยมาอยู่เป็นเพื่อเธอหน่อย หากเซียวอู๋เป็นอะไรไปจริงๆ นั่นเป็นรากเดียวที่เขาทิ้งไว้ ครอบครัวซูของเราสามารถช่วยเขาได้ก็ถือได้ว่าเป็นการสั่งสมบุญ”
และถ้าเซียวอู๋ตายขึ้นมาจริงๆ ถือว่าเป็นการเสียสละเพื่อประเทศจริงๆ ว่ากันว่ากลุ่มคนเดิมมีกำหนดจะจัดการประชุมระดับนานาชาติ อีกฝ่ายก็จัดการอย่างระมัดระวัง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเซียวอู๋ ผลที่ได้อาจหายนะกว่านี้
ดังนั้น หลังจากที่รู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว และรู้ว่าลูกของเซียวอู๋ อยู่ในท้องของเสี่ยวหย่า ทุกคนก็ต้องพร้อมใจกันเพื่อไม่ให้ซูหย่ารู้เรื่องนี้
เมื่อประตูห้องเปิดออก หลังจากได้ยินสิ่งที่เธอต้องการได้ยิน หัวใจของซูหย่าก็เหมือนมีดกรีด ริมฝีปากของเธอสั่นและดวงตาของเธอปิดจนเศร้าถึงขีดสุดเธอก็ไม่หลั่งน้ำตา เธอคลุมท้อง “ลูกเอ๋ย ลูกต้องสบายดี แม่ไม่ดีเองที่มักกวนใจพ่อตลอดเวลา คราวนี้ลูกต้องทำให้พ่อเขามีความสุขแทนแม่ เข้าใจไหม?”
เมื่อนอนอยู่บนเตียง เธอหันข้าง มองโทรศัพท์ เธอแอบถ่ายภาพหน้าด้านข้างของเขาเมื่อเขาผล็อยหลับไปตอนที่พวกเขาขดตัวเข้าด้วยกัน “เสี่ยวหวู่ ฉันผิดไปแล้วจริงๆ อย่าไปเลยได้ไหม ขอแค่เธอตื่น ฉันจะไม่กวนคุณอีกต่อไป เราเลิกกันเถอะ ฉันจะคืนชีวิตที่สมบูรณ์กับคุณ ได้ไหม ได้โปรด”
ในชั่วพริบตาช่วงปลายปี ซูหย่าตั้งครรภ์ได้ 7 เดือนและสิบสัปดาห์ก่อนถึงกำหนดคลอด เซียวอู๋ยังอยู่ในอาการโคม่า แพทย์ตอบว่าการดมยาสลบทำให้เส้นประสาทสมองเสียหาย . แม้ว่าเขาจะตื่นขึ้นบางทีสติปัญญาของเขาอาจเสียหายได้
“แม่คะ หนูอยู่บ้านทุกวัน ตัวหนูกำลังจะขึ้นราแล้ว หนูอยากไปเดินเล่น” ซูหย่าหยิบผลไม้ชิ้นสุดท้ายเข้าปาก กอดแม่ซูแล้วออดอ้อน
แม่ซูเห็นว่าช่วงนี้ซูหย่าไม่ค่อยแยแสกับเรื่องของเซียวอู๋ แม่ของซูจึงคิดว่าเธอโกรธเซียวอู๋ดังนั้นเธอจึงไม่คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“อยากไปเดินเล่นแถวนั้น?”
“ไปเมืองH ได้ยินมาว่าวิวทะเลที่นั่นสวยและอุณหภูมิยังปานกลางไม่หนาวมาก”
เมือง H ซึ่งเป็นเมืองที่เซียวอู๋เคยอยู่ แม่ซูก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซูหย่าเมื่อเธอพบว่าสีหน้าของเธอไม่ผิดปกติเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดอย่างใจเย็นว่า “ไปไกลขนาดนั้น ท้องออกจะใหญ่ มันไม่ปลอดภัย..”
เช้านี้ บ้านตระกูลซูที่ดูเงียบ จากนั้นก็มีเสียงตะโกนว่า “เด็ก…..”
เสียงมาจากห้องของทารก ทุกคนคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับทารกและทุกคนก็วิ่งขึ้นไปชั้นบนอย่างประหม่า
ห้องของพี่ใหญ่ซูอยู่ใกล้กันเขายังไม่ทันใส่เสื้อก็รีบวิ่งออกมาในชุดวอร์และเปิดประตู “มีอะไรเหรอป้า?”
คุณป้ายื่นจดหมายให้พี่ใหญ่ซู “เด็ก… เด็ก แม่ของเด็ก พาเด็กไปแล้ว”
เมื่อแม่ซูได้ยินคำพูดนั้น เธอก็เหมือนจะหมดสติ “พี่ใหญ่ รีบโทรหาเสี่ยวหย่าเร็ว เร็วเข้า”
พี่ใหญ่ซูไปที่ห้องเพื่อเอามือถือ พอโทรไป ก็เหมือนมือถือจะปิดอยู่
พ่อซูกล่าว “รีบโทรไปที่โรงพยาบาลที่เสี่ยวหวู่อยู่”
พี่ใหญ่ซูรีบติดต่อโทรถาม “สวัสดีครับ ผมเป็นคนในครอบครัวของเซียวอู๋ ผมต้องการสอบถามเกี่ยวกับสภาพร่างกายล่าสุดของเขา”
เขาได้ยินปลายสายคนรับโทรศัพท์ถามคนข้างหลังเขา สักพักคนๆ นั้นก็ตอบกลับมาว่า “สวัสดีครับ เมื่อเช้านี้ คุณนายเซียวมารับคุณเซียวออกไปแล้วนะครับ”
พี่ใหญ่ซูเปิดลำโพงคุย ทุกคนจึงได้ยินการสนทนา
พ่อซูจับหน้าผากของเขาและตบเบาๆ “เสี่ยวหย่า เด็กคนนี้…”
แม่ซูเป็นลมหมดสติ
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง
“คุณชายครับ นี่คือข่าวของวันนี้ ลองดู” พ่อบ้านยื่นโทรศัพท์ให้พี่ใหญ่ซูที่อยู่บนเตียงของแม่ซูอารมณ์ของเขาดูไม่ดีทันทีเมื่อพ่อบ้านขอให้เขาดูข่าว เขาพูดอย่างหมดความอดทน”มันใช่เวลาที่จะดูข่าวตอนนี้ไหม”
พ่อบ้านถอนหายใจ “เป็นข่าวของคุณหนู”
พี่ใหญ่ซูเลิกคิ้วเล็กน้อยและรีบคว้าโทรศัพท์ คุณพ่อซูก็เดินไปที่เตียงด้วย ข่าวดังกล่าวว่า “ลูกสาวของตระกูลซูและคนรักของเขาผู้บังคับบัญชาเซียวกำลังเดินทางระหว่างกลับบ้าน รถก็พุ่งทะลุกำแพงกั้นตกลงไปในทะเลมีเด็กเด็กอยู่ในนั้นด้วย”
พ่อซูเดินโซเซกลับมาและล้มลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่
“พ่อ” พี่ใหญ่ซูยืนขึ้นอย่างประหม่าและช่วยคุณพ่อซู “พ่อ รักษาสุขภาพด้วย”
“พี่ใหญ่…….เสี่ยวหย่า รีบไปตรวจสอบดู ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ก่อนที่พี่ใหญ่ซูจะลงไปข้างล่าง ประตูชั้นล่างก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง “ซูหย่า ซูหย่า…” เป็นเสียงของเล่อจยา
“จยาจยา…”
“พี่ใหญ่ ซูหย่าอยู่ที่ไหน” เล่อจยาอ้าปากค้างอย่างแรง ใบหน้าของเธอซีด พี่ใหญ่ซูก้มศีรษะลงและเห็นว่าเธอสวมชุดนอนที่มีผมกระเซิง เท้าข้างหนึ่งเปลือยเปล่า และเท้าอีกข้างสวมรองเท้าแตะ
เมื่อเห็นพี่ใหญ่ซูไม่พูด เล่อจยาก็ปิดปากและเริ่มร้องไห้ “ไม่ เธอจะไม่ตาย เธอจะต้องไม่ตาย…”
เกาไห่ไล่ตามมาจากด้านหลัง ถือเสื้อโค้ทและรองเท้าไว้ในมือ หอบมาเหมือนกัน สวมเสื้อคลุมให้เล่อจยา จากนั้นก็ก้มลงสวมรองเท้าให้เธอ “จยาจยา คุณจะวิ่งแบบนี้ไม่ได้แล้วนะ”
เล่อจยาปิดหน้าท้องส่วนล่างของเธอ เมื่อคืนนี้ เธอเพิ่งพบว่าเธอตั้งท้องด้วยที่วัดการตั้งครรภ์ เธอโทรหาซูหย่าและดูเหมือนว่าน้ำเสียงดูผิดไปเล็กน้อยในตอนนั้น เธอบอกกับเธอว่า “ถ้ามี โชคชะตาจริงฉันหวังว่าเราจะได้ดองญาติกัน “เธอตอบในเวลานั้นแล้วถ้าได้ลูกชายล่ะ?
เธอตื่นเต้นเกินไป เธอจึงไม่สนใจคำพูดของเธอเลย!
ทันใดนั้น เธอก็ยกมือขึ้นตบท้องอย่างแรง “โทษเธอเอง เมื่อคืนเธออารมณ์ไม่ดี เมื่อคืนฉัน…ฉันยังบอกเธอเรื่องการตั้งครรภ์อยู่ และฉันก็.. . ฉันมีความสุขมากฉันไม่ได้ … ฉันไม่ได้ยินความผิดปกติของเธอ ฉันขอโทษเสี่ยวหย่า … ” เล่อจยาร้องไห้ออกมา
เกาไห่ กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา จับมือเธอ และไม่พูดอะไร เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูหย่าและเล่อจยา
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของพี่ใหญ่ซูก็ดังขึ้น เขาหยิบมันขึ้นมา และไม่รู้สิ่งที่พูดอยู่ข้างในโทรศัพท์นั้นคืออะไร โทรศัพท์ของเขาก็หลุดจากมือลอยขึ้นกลางอากาศแล้วล้มลงกับพื้น
สายที่ยังไม่ได้วาง และมีคำว่าสำนักงานความมั่นคงสาธารณะของเมือง H แสดงอยู่บนหน้าจอ เล่อจยาคุกเข่าลงบนพื้นด้วยขาของเธอ และกดเปิดลำโพง
“รถได้รับการกู้แล้ว แต่ฉันเสียใจด้วยตอนนี้ยังไม่มีข่าวคืบหน้าใด ๆ ถ้ามีเราจะแจ้งให้คุณทราบโดยเร็วที่สุด”
เกาไห่ถอนหายใจอย่างแผ่วเบา รับโทรศัพท์ กล่าวขอบคุณ แล้ววางสาย
เล่อจยา หยุดร้องไห้แล้วเธอนั่งลงบนพื้น คุกเข่าและไม่พูดอะไร
ซูหย่าและเธอไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่เพื่อนเท่านนั้น หากมีอะไรเกิดขึ้นกับเธอเท่าที่ได้ฟังมาอาจอันตรายถึงชีวิตอย่างแน่นอน
แววตาของเกาไห่มีความทุกข์อย่างเห็นได้ชัด แต่เขาไม่สามารถพูดคำปลอบใจใดๆได้ ตอนนี้ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชีวิตของซูหย่าว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
กังวลว่าร่างกายของแม่ซูจะทนไม่ไหว เมื่อเรื่องทั้งหมดไม่ได้รับการยืนยัน ทุกคนจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ปิดบังไว้ก่อน
พี่ใหญ่ซูรีบไปที่เมือง H ทันที และไปที่สถานที่ที่ทั้งสองคนประสบอุบัติเหตุก่อน
จอมอนิเตอร์ในสภาพรถเห็นว่าซูหยาเป็นคนขับ เมื่อเธอขับรถไปถึงที่เกิดเหตุ เราเห็นคนที่อยู่เบื้องหลังพยายามดึงพวงมาลัยของเธอ แล้วรถก็พุ่งทะลุรั้วกั้นเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้และตกลงไปในทะเล.
วินาทีที่เห็นวิดีโอก็เตรียมทำใจไว้แล้ว พี่ใหญ่ซูยังงุนงงก่อนจะเรียกคืนสติ น้องสาวคนนี้ทำตัวแปลกตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขามาโดยตลอด เธอประสบอุบัติเหตุเขาเองก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่
หลังจากสงบสติอารมณ์ เขายังคงถือความหวังและไปที่โรงพยาบาลที่เซียวอู๋เคยอยู่
แน่นอน โรงพยาบาลก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน ทหารได้ส่งตัวแทนมาและโทษโรงพยาบาลที่ปล่อยให้ซูหย่าไปรับเซียวอู๋ไป วิดีโอนั้นแสดงให้เห็นชัดว่าในขณะนั้นเกิดจากอาการป่วยของเซียวอู๋ที่คว้าพวงมาลัย
“ในขณะนั้น คุณนายเซียวมากับทะเบียนสมรสและต้องการรับผู้บังคับบัญชาเซียวกลับ โรงพยาบาลของเราไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ” โรงพยาบาลร้องเรียก และนำคลิปวิดีโอตอนที่ซูหย่ามารับเซียวอู๋ และตอนนั้นพวกเขาก็ยังใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกับตอนที่เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
“พวกคุณรู้แต่เพียงว่าเกิดเรื่องขึ้น จะมาหาคนรับผิดชอบ ในช่วงระยะหลังของผู้ป่วยแม้ว่าทหารของคุณจะส่งคนมาเยี่ยมแต่จะใครจริงๆที่ห่วงใยเขา เรายังเคารพเขาในฐานะวีรบุรุษ เมื่อตอนที่แม่และเด็กมารับ เราหวั่นไหวแล้วก็ปล่อยไป” คณบดีเป็นหญิงผู้สูงอายุวัยกลางคน นางก็ปาดน้ำตา
“ในฐานะตัวแทนของประเทศ คุณปฏิบัติต่อผู้ที่เสียสละเพื่อประเทศเช่นนี้ คุณไม่มีคุณสมบัติที่จะตำหนิเรา”
คณบดีคงบ่นเรื่องที่ติดอยู่ในใจออกมา ณ เวลานี้ ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเรื่องอื่น ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ
บางทีคำพูดของเธออาจใช้ได้ผล หรืออาจเป็นเพราะการเปิดเผยของสื่อที่สร้างแรงกดดัน สองชั่วโมงต่อมา กองทัพถูกส่งไปกอบกู้……
ปี๋ไคสตาร์ตรถ “ไม่รู้จัก”
ซูหย่าถามอีกครั้ง “อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?”
“บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม”
“คุณบอกมา……ไม่โกรธ”
“ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ”
ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง “ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?”
เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า “วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย”
ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้
เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา “มันเปิดปิดได้ไหม?”
ปี๋ไคพยักหน้า “มี ข้างๆมีปุ่มกด”
ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง”คลิก”เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม “เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน”
“ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก” ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ “ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง”
เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว
รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว “ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ”
นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร “คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า “อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ” พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา “มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ”
ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ “เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว”
“น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ”
แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้
หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?” เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ
“คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?”
ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?”
“คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่” พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง
เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก
หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ
ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว
อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว”
“นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!” เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ
ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ
เธอหัวเราะแหะๆ “คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?”
“ก๊อกๆ”
“เข้ามา”
“รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว”
“ยกเข้ามาสิ”
เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค
เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า” “ขอบคุณนะ”
หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ “ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป”
เซียวอู๋”อืม”เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ
อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์
แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย
เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา
“เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน”
เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง “ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ”
ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้
เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ
จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ”
เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า “ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา “พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล”
“อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ” พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้
พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์
เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน
“นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ
“เซียวอู๋ เราอย่าทะเลาะกันอย่างนี้ได้ไหม คุณบอกมา ว่าสรุปแล้วคุณคิดจะทำอะไร?คุณให้ฉันมาที่กองทัพ แต่วันๆเห็นฉันก็ขัดหูขัดตา ฉันบอกว่าปี๋ไคเป็นเพื่อนของฉัน คุณก็ไม่เชื่อ สรุปคุณจะเอายังไง?ฉันเหนื่อยมากเลยนะ” ซูหย่าตวาดใส่เซียวอู๋
“เหนื่อยเหรอ?หึหึ คุณไม่ไม่ได้บอกเหรอว่าต้องการใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับฉัน?นี่เพิ่งเริ่มต้น ก็เหนื่อยแล้วเหรอ?” เขามองเธอแล้วพูดถากถาง
เธอจ้องมองเขาเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดก็ประนีประนอม
ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของการแต่งงานคือการไม่มีความไว้วางใจ ไม่พูดภาษาเดียวกัน เขาไม่เข้าใจสิ่งที่คุณพูด และเขาจะไม่พูดในสิ่งที่คุณไม่เข้าใจ บางทีเธออาจจะคิดผิด เธอกับเซียวอู๋ไม่เหมาะสมกันจริงๆ
ประตูปิดเสียงดัง”ปัง”
จากนั้นจนกระทั่งนอนหลับ เซียวอู๋ก็ไม่กลับมาอีกเลย
เช้าวันต่อมา เมื่อเธอตื่นขึ้นมา เตียงข้างๆก็ว่างเปล่า เธอลูบๆผ้าปูเตียง ยังอุ่นๆเล็กน้อย แสดงว่าเขากลับมานอน
ตื่นขึ้นมาอาบน้ำล้างหน้าแล้ว เล่อจยาก็โทรเข้ามา
“ซูหย่า เราอยู่หน้าค่ายทหารของคุณ คุณเสร็จแล้วก็ออกมา อย่ารีบร้อนนะ ค่อยๆออกมา”
“เรา?”
“ฉันจะมาคนเดียวได้อย่างไร?สถานที่ลำบากลำบนของคุณอย่างนี้ ฉันเรียกให้ปี๋ไคพาฉันมา เดิมทีฉันอยากให้เกาไห่มาส่งฉันที่นี่ กลัวเขาจะมาซักถามเรื่องท้องของคุณ ฉะนั้น ฉันจึงไม่บอก”
“ปี๋ไคก็มาเหรอ?”
“น้ำเสียงคุณแหบๆเล็กน้อย คุณร้องไห้เหรอ?” เล่อจยาขมวดคิ้ว แล้วมองหน้ากันกับปี๋ไค
“เปล่า ฉันเพิ่งตื่น อย่างนั้นพวกคุณรอฉันก่อน สักพักฉันจะออกไป”
เมื่อซูหย่าลงมาจากตึก ก็เจอเข้ากับโอวหยางเฟิงที่เหมือนออกมาจากห้องครัวพอดี ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่ฉันเห็นเขาไปในเมือง กลับมาแล้ว ก็ไม่ได้เจอเขาอีก เธออยากจะอธิบายเรื่องวันนั้นกับเขา ก็ไม่มีโอกาส
“โอวหยางเฟิง ครั้งที่แล้วฉัน……”
ลมพัดผ่านไปข้างๆเธอ เมื่อเธอได้สติกลับมา ชายคนนั้นเดินห่างออกไปสองสามเมตรแล้ว โดยที่ไม่สนใจเธอเลย
เธอขมวดคิ้ว “โอวหยางเฟิง ฉันพูดกับคุณอยู่นะ?”
โอวหยางเฟิงสูดลมหายใจเข้า หันกลับมามองเธอ “คุณหนูซู คนอย่างคุณนี่ ฉันไม่อาจเอื้อม ไม่มีคุณสมบัติที่จะพูดคุยด้วยหรอก”
ได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขา ซูหย่าก็หรี่ตาขึ้น “ที่คุณพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร?ฉันมีอะไรที่ทำให้คุณไม่พอใจหรือเปล่า?”
โอวหยางเฟิงหัวเราะเยาะ “เปล่า ไปก่อนนะ”
พูดจบก็ขึ้นชั้นบนไป ไม่หันกลับมาเลย
เล่อจยายืนอยู่หน้าประตูทางเข้า เธอเห็นหน้าซูหย่าหน้าดำคร่ำเครียดมาแต่ไกล
“นี่เป็นอะไรไป ไม่ดีใจเหรอ?”
ปี๋ไคนั่งอยู่บนรถ ไม่ได้ลงมา ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน ก็เอียงหน้าไปมองซูหย่า
“เปล่า ไปกันเถอะ”
“อยู่ที่นี่แล้วไม่มีความสุขแบบนี้ คุณก็บอกกับเสี่ยวอู๋ ว่ากลับเมือง C เถอะ”
ซูหย่าไม่พูดอะไร เมื่อคืนเธอก็ยังคิดเรื่องนี้อยู่นาน แต่สมองบอกเธอว่า ถ้าเธอกลับเมือง C ระหว่างเธอกับเซียวอู๋ บางทีอาจจะยิ่งยากมากขึ้น
เธอไม่อยากพูด เล่อจยากับปี๋ไคก็ไม่บังคับ ทั้งสามคนเงียบมาตลอดจนถึงโรงพยาบาล
“คุณว่าโรงพยาบาลเล็กขนาดนี้ ผลการตรวจจะใช้ได้ไหม?ไม่อย่างนั้นกลับเมืองCกันไหม?คุณโทรหาเซียวอู๋ บอกว่าจะกลับเมืองCไม่เยี่ยมพ่อกับแม่ เสร็จแล้ว พวกเราค่อยส่งคุณกลับมา”
ซูหย่ามองเล่อจยา “ไม่ต้องหรอก ตรวจที่โรงพยาบาลนี้แหละ คนตั้งมากมายในเมืองนี้ ก็ไม่ตรวจเหมือนกันเหรอ”
“เสี่ยวหย่า คุณไม่ได้เป็นคนแบบนี้นี่”
รู้จักซูหย่ามาตั้งหลายปี เธอคนนี้ ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตเป็นอย่างมาก ถึงแม้เวลานั้นเธอจะมาช่วยร้านอาหารริมทางของเธอ แต่ก็แต่งตัวเก่งอย่างมาก การกินดื่มปกติ ก็เลือกสิ่งที่ดีที่สุดภายในขอบเขตความสามารถ การคลอดลูกครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิต แต่เธอจะทำแบบขอไปที
ซูหย่ามองไปยังเล่อจยา “คุณไม่ไปได้ที่ค่ายทหาร คุณไม่รู้จักคำว่าขอไปทีคำนี้หรอก” กินข้าวแบบขอไปที อาบน้ำแบบขอไปที นอนหลับแบบขอไปที เธอรู้สึกว่าช่วงเวลานี้เปลี่ยนแปลงนิสัยที่มีมากว่า20ปีของเธอไปจริงๆ
พูดพลาง ลงจากรถ ดึงมือของเล่อจยาเดินไปยังโรงพยาบาล “เดี๋ยวก่อน”
จู่ๆ ปี๋ไคก็ร้องเรียกมาจากในรถ
“ทำไมเหรอ?” เล่อจยากล่าวถาม
“พวกคุณทั้งสองคนไปที่ร้านขายของเล็กๆข้างโรงพยาบาลซื้อน้ำขวดหนึ่ง หลังจากนั้นก็มาขึ้นรถ มีคนสะกดรอยตามมา”
คนทั้งสองนิ่งอึ้งไป เล่อจยายิ้มเล็กน้อย “โอเค” แล้วดึงซูหย่าไปที่ร้านขายของเล็กๆ
พอกลับมา ก็ส่งน้ำขวดหนึ่งให้ปี๋ไค “ตนที่สะกดรอยตามล่ะ?”
ปี๋ไคส่งมือถือไปยังที่นั่งด้านหลัง “คุณสองคนแกล้งทำเป็นถ่ายรูป มองมุมขวา60°จากกล้องโทรศัพท์มือถือของพวกคุณ”
คนทั้งสองทำตาม มองผ่านกระจกด้านหน้า รถทหารคันหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาของคนทั้งสอง
“นั่นคือรถของเซียวอู๋” ซูหย่าวางมือถือลง กุมหน้าอก “ยังดีนะ”
“เขาสะกดรอยตามคุณ หมายความว่าอะไร?”
“เขาสงสัยว่าฉันจะเป็นชู้กับไคไค ครั้งที่แล้วเราเดินหยอกล้อกันข้างถนน เขาก็เห็น เมื่อวานตอนเย็น ฉันบอกว่าต้องการออกมากับคุณ เขาก็สงสัยว่าฉันนัดพบกับไคไค” พูดถึงสุดท้าย ซูหย่ายิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ “คุณว่า พวกเราใช้ชีวิตกันไปแบบนี้ น่าจะเจ็บปวดทรมานมากไหม?”
เล่อจยาแล้วปี๋ไคไม่ตอบ เรื่องแบบนี้ พวกเขาจะโน้มน้าวให้อยู่ด้วยกันก็ไม่ใช่ จะโน้มน้าวให้แยกจากกันก็ไม่เชิง
“ทีหลัง ฉันจะรักษาระยะห่างกับคุณ” ปี๋ไคกล่าว
ซูหย่าตบเบาๆที่หลังของเขาเล็กน้อย “พูดอะไรไปเรื่อยเปื่อยห๊ะ?”
“อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ?ไม่อย่างนั้น ฉันจะไปเบี่ยงเบนความสนใจเขา คุณไปตรวจกับปี๋ไค?”
“ไม่ต้องหรอก ฉันไปเอง อีกเดี๋ยวพวกเราไปแล้ว พวกคุณสองคนก็เข้าไปนะ” ปี๋ไคพูดพลาง ปลดเข็มขัดนิรภัย
ซูหย่าดึงเขาเอาไว้ “ไคไค คุณอย่าไปลงมือกับเขานะ คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา”
ปี๋ไคมองเธออย่างดูหมิ่น “ฉันเป็นสุภาพบุรุษ”
ไม่รู้ว่าปี๋ไคพูดอะไรกับเซียวอู๋ข้างหน้าต่างรถ แล้วเห็นเขาดึงเปิดประตูแล้วขึ้นรถไป
หลังจากรถขับออกไปพ้นสายตา เล่อจยาก็รีบดึงซูหย่าเข้าไปในโรงพยาบาล
โชคดีที่คนมาตรวจไม่มาก
“เด็กแข็งแรงมาก การพัฒนาการของร่างกายก็ไม่เลว ถึงแม้สามเดือนจะผ่านช่วงที่อันตรายมาแล้ว คุณแม่ก็ยังต้องระมัดระวังนะคะ”
พูดจบ ก็เซ็นชื่อบนใบอัลตราซาวนด์ แล้วส่งให้ซูหย่า
“จุดดำๆนี้ ก็คือลูกของฉันใช่ไหม?”
คุณหมอผู้หญิงวัยกลางคน ยิ้มเล็กน้อย “อื้ม อีกไม่นาน เด็กก็จะเคลื่อนไหวแล้ว มีเวลาก็พูดกับเขาให้มากๆ แล้วก็ต้องดูแลอารมณ์ของแม่ให้ดี”
“ได้ยินแล้วหรือยัง อารมณ์ต้องดี” เล่อจยาที่อยู่ข้างๆดึงชายเสื้อของซูหย่า
ซูหย่าพยักหน้า เซียวอู๋ทรมานเธอขนาดนี้ เขายังสามารถแข็งแรงได้ เป็นเรื่องประหลาด
เมื่อคนทั้งสองออกมาจากโรงพยาบาล ซูหย่าก็ถ่ายรูปผลการตรวจแล้ว จึงส่งให้เล่อจยา “สิ่งเหล่านี้เอาไว้ที่คุณ ต่อไปตอนคลอด คุณก็ค่อยเอามาให้ฉัน”
“เสี่ยวหย่า ทางนี้” คือปี๋ไค ซูหย่าหันตัวกลับ มองไปโดยรอบ ไม่พบรถคันสีเขียวคันนั้นแล้ว
“เสี่ยวอู๋ล่ะ?”
“เขามีธุระที่ค่ายทหาร กลับไปแล้ว”
“พวกคุณ….ไม่เป็นไรใช่ไหม?”
ปี๋ไคหันกลับมามอง “เห็นเหมือนคนมีปัญหาเหรอ?วางใจเถอะ พวกเราเป็นคนมีอารยธรรม ไม่ใช้กำลังตัดสินปัญหาหรอก”
“อย่างนั้นคุณ พูดอะไรกับเขาเหรอ?แล้วเขาฟังคำพูดของคุณด้วยเหรอ?”
ปี๋ไคยิ้มๆ แต่ไม่ได้ตอบกลับ
นำซูหย่าไปส่งค่ายทหารแล้ว คนทั้งสองก็จากไป
“เสี่ยวหย่า คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ ถ้าไม่มีความสุขจริงๆ ก็ไม่ต้องฝืนใจจนเกินไป เข้าใจไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า
เมื่อกลับถึงห้องพัก ประตูยังล็อกกุญแจอยู่ มู่ซือยืนอยู่หน้าประตูห้องของพวกเขา เห็นเธอกลับมา จึงรีบเข้าไปหา “พี่สะใภ้ คุณรีบไปโน้มน้าวหัวหน้าเร็วเข้า”
ปี๋ไคสตาร์ตรถ “ไม่รู้จัก”
ซูหย่าถามอีกครั้ง “อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?”
“บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม”
“คุณบอกมา……ไม่โกรธ”
“ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ”
ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง “ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?”
เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า “วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย”
ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้
เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา “มันเปิดปิดได้ไหม?”
ปี๋ไคพยักหน้า “มี ข้างๆมีปุ่มกด”
ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง”คลิก”เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม “เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน”
“ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก” ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ “ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง”
เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว
รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว “ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ”
นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร “คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า “อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ” พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา “มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ”
ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ “เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว”
“น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ”
แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้
หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?” เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ
“คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?”
ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?”
“คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่” พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง
เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก
หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ
ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว
อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว”
“นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!” เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ
ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ
เธอหัวเราะแหะๆ “คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?”
“ก๊อกๆ”
“เข้ามา”
“รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว”
“ยกเข้ามาสิ”
เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค
เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า” “ขอบคุณนะ”
หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ “ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป”
เซียวอู๋”อืม”เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ
อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์
แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย
เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา
“เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน”
เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง “ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ”
ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้
เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ
จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ”
เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า “ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา “พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล”
“อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ” พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้
พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์
เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน
“นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ
ปี๋ไคสตาร์ตรถ “ไม่รู้จัก”
ซูหย่าถามอีกครั้ง “อย่างนั้นคุณรู้จักชื่อเขาได้อย่างไร?อีกทั้ง แล้วคุณรู้ได้อย่างไรว่าฉันอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ตนี้?”
“บอกแล้ว คุณจะไม่โกรธใช่ไหม”
“คุณบอกมา……ไม่โกรธ”
“ฉันติดเครื่องดักฟังไว้ที่เคสมือถือของคุณ”
ซูหย่ายกมือขึ้นมาตีปี๋ไคอย่างแรง “ปี๋ไค คุณ……ทำไมคุณเลวทรามแบบนี้?”
เธอต่อว่า แต่ปี๋ไคยังคงเงียบนิ่งเฉย จนกระทั่งซูหย่าตั้งสติได้ เขาจึงพูดว่า “วันนั้นหลังจากทานอาหารแล้ว กลัวว่าเขาจะกลับไปทำอะไรแย่ๆกับคุณ คิดๆแล้ว ฉันเลยใส่อันนี้ไว้ในเคสมือถือของคุณ เมื่อวานได้ยินเรื่องระหว่างพวกคุณแล้ว ฉันก็เป็นห่วง วันนี้เลยตัดสินใจมาดูคุณสักหน่อย”
ความโกรธเกรี้ยวของซูหย่า หลังจากที่เห็นความเจ็บปวดใจในแววตาของเขา ใจก็อ่อนลง ความโกรธก็ลดลงมา เธอจ้องมองเขา เปิดเคสมือถือออก เป็นอย่างที่คาดไว้ ที่เคสมือถือมีของเล็กๆกลมๆติดอยู่ เพราะว่าบางมือจึงคลำไม่รู้
เธอฉีกมันออก พร้อมกับจะโยนมันออกไปนอกหน้าต่าง คิดๆแล้วก็เก็บกลับมา “มันเปิดปิดได้ไหม?”
ปี๋ไคพยักหน้า “มี ข้างๆมีปุ่มกด”
ซูหย่ากดลง ได้ยินเสียงดัง”คลิก”เบาๆ แล้วใส่มันกลับไปที่เคสมือถือเหมือนเดิม “เก็บไว้ เผื่อไว้ หลังจากนั้น คุณต้องชดใช้ โดยวิธีการส่งมือถือมาให้ฉัน”
“ไม่ใช่คุณต้องการจะเอาไว้ตรวจสอบสามีคุณใช่ไหม?ฉันขอเตือนคุณไว้เลยนะ คุณอย่าทำเรื่องให้วุ่นวาย ใช้เครื่องดักฟังกับทหาร ผลที่ตามมาอาจจะร้ายแรงมาก” ปี๋ไครู้จักซูหย่าดี เขากลอกตาไปมา เขารู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ในใจ
ซูหย่าตกตะลึง กระแอมไอเบาๆ “ฉัน……ฉันจะเก็บไว้ใช้เอง”
เธอมีนิสัยดื้อดัน ปี๋ไครู้ดีว่าพูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็เลยไม่พูดแล้ว
รถขับไปยังที่ที่โอวหยางเฟิงเคยจอดไว้ก่อนหน้านี้ แต่รถทหารสีเขียวคันนั้น หายไปแล้ว “ดูเหมือนว่าเขาจะกลับไปแล้ว คุณส่งฉันกลับไปค่ายทหารหน่อยเถอะ”
นึกถึงว่าเซียวอู๋ต้องรู้ว่าเธอถูกทิ้งไว้คนเดียว เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
พอถึงหน้าประตูทางเข้าค่ายทหาร ปี๋ไคก็นำของมาวางไว้หน้าป้อมทหาร “คุณให้คนช่วยยกไปส่งนะ อย่าถือเอง ในช่วงแรกๆของการตั้งครรภ์ ไม่สามารถยกของหนักได้ ได้ยินไหม?”
ซูหย่าพยักหน้า “อย่างนั้นคุณกลับไปก็ขับรถดีๆนะ” พูดจบ ก็ช่วยจัดระเบียบผ้าพันคอของเขา “มีธุระหรือไม่มี ก็โทรหาฉันได้นะ”
ปี๋ไคก็ลูบๆผมเธอ “เสี่ยวหย่าของฉันกลายเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนไปแล้ว”
“น่ารำคาญ คุณรีบกลับไปเถอะ”
แม้จะรู้ดีว่าการแยกจากกันนี้คงอีกไม่นาน แต่ว่าซูหย่าต้องอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ก็ยังคงรู้สึกได้
หันกลับมาจนกระทั่งไม่ได้ยินเสียงรถแล้ว เธอจึงหันกลับไป ปากเบะขอบตาแดงก่ำ
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนั้น จะกลับมาทำไม?” เสียงผู้ชายดังขึ้นจากด้านหลัง
ซูหย่าหันไป ตาทั้งคู่ก็ประสานกัน ในแววตาอีกคนหนึ่งมีน้ำตา ในแววตาอีกคนหนึ่งมีความโกรธ
“คุณ……คุณออกมาได้อย่างไร?”
ชายคนนั้นมองไปที่ถุงใหญ่สี่ใบบนพื้น ก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณคิดว่ามาเที่ยวที่นี่เหรอ?”
“คุณไม่ใช่ แต่ฉันใช่” พูดจบก็คิดจะเดินไปหยิบของ มือใหญ่ของชายคนนั้นก็เข้าไปแย่งเธอถือขึ้นมา แล้วมองเธอตาขวาง
เพราะการอาศัยอยู่ที่นี่ต้องมีกฎระเบียบ ดังนั้น ตลอดทางนี้ พวกเขาต้องได้รับการตรวจสอบตลอดจนถึงหอพัก
หลังจากเซียวอู๋เอาของวางไว้ให้แล้ว ก็ออกไปทันที บอกว่ามีธุระ
ซูหย่าจัดของว่าง ของใช้ในชีวิตประจำวันต่างๆอย่างเรียบร้อย และในที่สุดก็รู้สึกสบายใจขึ้น เธอจะไม่อดตายแล้ว
อาจจะเพราะตอนเช้าทรมานเกินไป เพิ่งจัดของเสร็จ ซูหย่าก็รู้สึกทั้งเหนื่อยทั้งง่วง จึงเอนกายลงบนเตียง แล้วหลับไป
เมื่อตื่นขึ้นมา ท้องฟ้าก็จะมืดแล้ว เธอพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง “จบเห่แล้ว เลยเวลาทานข้าวไปแล้ว”
“นอนไปตั้งสี่ชั่วโมงกว่า เชื่อเลยจริงๆ!” เสียงของเซียวอู๋ ประชดประชันอย่างนิ่งๆ
ซูหย่าจึงได้เห็นว่า เขายืนอยู่ข้างๆโต๊ะ หยิบปากกาแล้วดูแผนที่ที่อยู่บนโต๊ะ
เธอหัวเราะแหะๆ “คุณ….ทำไมคุณไม่เรียกฉัน?”
“ก๊อกๆ”
“เข้ามา”
“รายงานหัวหน้าทหาร อาหารที่ให้ฉันไปอุ่นร้อนเรียบร้อยแล้ว”
“ยกเข้ามาสิ”
เห็นอาหาร ซูหย่าก็นึกขึ้นได้ อาหารที่ห่อกลับมาก่อนหน้านี้อยู่บนรถของปี๋ไค
เธอลุกขึ้น มองเซียวอู๋ แล้วพูดเบาๆว่า” “ขอบคุณนะ”
หลังจากทานเสร็จ ซูหย่าก็มองเซียวอู๋ “ฉันซื้อของกิน แล้วก็ของใช้มาเล็กน้อย ทั้งหมดอยู่ในชั้นวางของใต้โต๊ะ คุณต้องการก็หยิบไป”
เซียวอู๋”อืม”เบาๆจนแทบไม่ได้ยิน
วันต่อมา ก็กลับมาสงบเหมือนเดิม เซียวอู๋ยุ่งอย่างมาก ออกไปแต่เช้ากลับมามืดค่ำทุกวัน เธอดำเนินชีวิตทุกวันเหมือนกับเลี้ยงหมูจริงๆ ทุกวันทานข้าว ดูละคร แล้วก็นอน
ตั้งแต่ครั้งแรกที่คนทั้งสองทะเลาะกันเอะอะโวยวาย ก็ไม่เคยสงบแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆ ทีแรกซูหย่าก็ไม่เคยชินเล็กน้อย ต่อมา เห็นว่าเซียวอู๋ไม่หาเรื่องทะเลาะกับเธอ จึงค่อยๆไม่ก่อเรื่องทะเลาะ คุณไม่รุกรานฉัน ฉันก็ไม่รุกรานคุณ
อากาศเริ่มเย็น เปลี่ยนเป็นเข้าสู่ฤดูหนาว ก็ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว หมอบอกว่าสามเดือนต้องมาตรวจครรภ์
แต่ความสัมพันธ์กับเซียวอู๋ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ทะเลาะกันใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้มีการพัฒนาแม้แต่น้อย
เธอไม่แน่ใจว่า หลังจากบอกกับเซียวอู๋ไปแล้ว เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ดังนั้น สุดท้ายเธอทำได้เพียงพึ่งเล่อจยา
“เซียวอู๋ เอ่อคือ จยาจยาบอกว่า พรุ่งนี้จะเข้ามาเยี่ยมฉัน”
เซียวอู๋ที่กำลังศึกษาค้นคว้าอะไรอยู่ ขมวดคิ้วแน่น พอได้ยินคำพูด ก็หันไปมองเธออย่างมีความหมายแฝง “ตกลงคือเล่อจยาหรือว่าไอ้ละอ่อนนั่น คุณพูดความจริงมาก็ได้นะ”
ซูหย่าไม่คาดคิดว่า เซียวอู๋จะพูดกับเธอแบบนี้
เดิมทีเธอคิดว่า คนทั้งสองไม่สามารถรักใคร่ซึ่งกันและกันได้ แต่ก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข แต่ไม่นึกเลยว่า ภายในใจเขายังคงสงสัยในตัวเธอ
จึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ ฉันก็แค่บอกคุณเฉยๆ”
เซียวอู๋วางปากกาที่อยู่ในมือแล้วมองซูหย่า “ซูหย่า เรื่องบางเรื่อง ที่ฉันไม่พูด ไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้ คุณกับไอ้ละอ่อนนั่น เรื่องที่ไปเจอกันลับหลังฉัน คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้วแล้วร้องเชอะอย่างเย็นชา “พวกเราก็เหมือนกันนั่นแหละ ทุกๆคืนคุณก็ไปเจอกับเมียน้อยคนนั้น คุณคิดว่าฉันไม่รู้เหรอ?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “เมียน้อยอะไรกัน?ไม่มีเหตุผล”
“อย่างนั้นต่างฝ่ายก็อย่ามายุ่งเรื่องของกันและกัน ฉันจะนัดเจอกับใคร ก็นัดไป คุณอยากจะไปเจอเมียน้อย ฉันก็ตามใจคุณ” พูดจบ ก็เอนตัวลงบนเตียงแล้วนำผ้าห่มมาพันตัวเอาไว้แน่น แต่ภายในใจกลับรู้สึกอึดอัดสับสนขึ้นมาทันที เธอก็ไม่รู้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของคนทั้งสองถึงกลายเป็นแบบนี้
พอถึงนึก ถ้าต้องเป็นแบบนี้ไปชั่วชีวิต ในใจเธอก็ต้องเป็นทุกข์
เธออยากจะใช้ชีวิตเหมือนกับสามีภรรยา ถึงแม้จะไม่จำเป็นต้องเคารพนบนอบต่อกัน แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติซึ่งกันและกันไม่ใช่เหรอ?ไม่มีคำพูดสองประโยคนี้ ชีวิตก็เหมือนกับกินดินระเบิด คิดแล้วก็เหนื่อยเหลือเกิน
“นี่คือคุณเล่นเป็นเด็กๆเหรอ?” น้ำเสียงที่เย็นชาไม่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังเข้ามาจากด้านบนศีรษะ
ทันใดนั้น ภาพเงาที่สวยงามก็เดินเข้ามาในสายตาของซูหย่า เธอห่อด้วยผ้าเช็ดตัวสีขาว ผมเธอก็พันไว้ด้วยผ้าขนหนู เห็นได้ชัดว่าฝึกซ้อมทุกวัน แต่ภายนอกของผู้หญิงคนนี้ที่เปลือยเปล่า ดูขาวผ่องเป็นพิเศษ อีกทั้งรูปร่างที่วัดด้วยสายตายังดูดีอย่างมาก
เห็นมู่ซืออาบน้ำอยู่ที่นี่ ซูหย่ารู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก แล้วก็รู้สึกแข็งแกร่งขึ้นมาเล็กน้อย มู่ซือสามารถผ่านไปได้ เธอก็ผ่านไปได้
คิดแล้วสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ “โอเค ขอบคุณนะ”
หลังจากมู่ซือไปแล้ว ซูหย่าก็เดินเข้าไป
“จุ๊ๆๆ คุณว่าไหม มิน่าล่ะหัวหน้าเซียวถึงได้ปฏิบัติดีต่อผู้หญิงคนนี้ขนาดนั้น เห็นไหมล่ะรูปร่างนั้นช่างดูดีจริงๆ”
“พอเถอะ อย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเลย คนช่างพูดกัน เดี๋ยวเล็ดลอดออกไป คนที่จะลำบาก ก็คือผู้ชายของคุณนะ”
“ใช่ๆๆ……ไม่พูดแล้วๆ…”
มือของซูหย่าที่จะถอดเสื้อผ้า แข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนไม่รู้จักตัวตนของเธอ แล้วก็ไม่ได้จงใจจะพูดแบบนี้ แต่ไม่ได้ตั้งใจ ก็คือความจริง ไม่ใช่เหรอ?
เซียวอู๋ ไอ้คนเลว นี่คือคุณต้องการทั้งเมียหลวงเมียน้อยเลยใช่ไหม?
ตำแหน่งของมู่ซือ ค่อนข้างอยู่ด้านใน และมีหมอกปกคลุม แต่ดีอย่างมาก
เป็นครั้งแรกกับการเปลื้องผ้าอาบน้ำต่อหน้าคนมากมายแบบนี้ ในใจซูหย่ารู้สึกเขินอายเล็กน้อย ดังนั้นจึงอาบอย่างรีบร้อน แล้วพันผ้าเช็ดตัวออกจากโรงอาบน้ำมา
เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมาแล้ว ก็เห็นเซียวอู๋ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า ห้องอาบน้ำชายหญิงห่างกันไม่กี่ห้อง ชัดเจนว่าเซียวอู๋รอเธออยู่ ในใจรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย
แต่เมื่อนึกถึงความไร้น้ำใจของเขาก่อนหน้านี้ เธอก็ไม่ได้ทำสีหน้าดีๆให้เขา
“คุณมาทำอะไร?”
เซียวอู๋มองมือเธอที่กอดเสื้อผ้าอยู่ ก็พูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า : “กลัวว่าคุณหนูตระกูลซูผู้สง่าผ่าเผย จะใช้สถานะในทางที่ผิด ขับไล่คนในห้องอาบน้ำออกมา แล้วใช้เฉพาะตนเอง ฉันกลัวว่าฉันจะเสียหน้าอีก ก็เลยมาดูสักหน่อย”
ซูหย่าได้ยินอย่างนั้น ความโกรธก็ปะทุขึ้นมา ทางเดินค่อนข้างคับแคบ ทั้งสองคนยืนเผชิญหน้ากัน เซียวอู๋สูงกว่า เขามองได้ตามอำเภอใจ ก็เห็นภาพที่ไม่ควรเห็น ในใจก็กระสับกระส่ายอย่างอธิบายไม่ถูก
จึงหันหลังกลับแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “คุณคิดว่าที่นี่คือที่ไหน ถึงได้ใส่ชุดนอน คุณไม่รังเกียจที่จะขายหน้า แต่ฉันรังเกียจ”
พูดจบก็เดินออกไป
ซูหย่าหลับตา แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง จับที่ท้องน้อย เธอพูดเงียบๆในใจ : “ลูก นี่คือพ่อของคุณ พ่อ พ่อ”
เพราะพื้นที่ลื่น เธอจึงเดินค่อนข้างช้า เมื่อกลับมาถึงห้อง ก็ไม่เห็นเซียวอู๋แล้ว เห็นชุดทหารที่เขาถอดวางไว้บนโต๊ะ จึงเอามาพับให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
คาดว่าเขาคงไปอาบน้ำแล้ว
มองไปยังเตียง 1.5 เมตรนั่น ซูหย่าก็ขมวดคิ้ว รู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย
นำผลิตภัณฑ์ดูแลผิวออกจากกล่องมาทาหน้า เป่าผมจนแห้ง เซียวอู๋ก็ยังไม่กลับมา ในห้องรู้สึกอึดอัดเกินไป เธอจึงเดินไปที่หน้าต่าง กำลังจะเปิดหน้าต่าง ก็เห็นคู่ที่เหมาะสมกันคู่นั้นอยู่ใต้เสาธงชั้นล่าง
ทั้งสองคนก้มหน้า ไม่รู้ว่าคุยอะไรกันอยู่
ชั่วขณะในใจก็เหมือนถูกยัดด้วยนุ่นในชั่วพริบตา รู้สึกอึดอัดใจและหงุดหงิด
ดึงผ้าม่านขึ้น ถอดเสื้อคลุมออก แล้วขึ้นเตียงนอน
เตียงแข็งมาก ผ้าห่มก็ไม่นุ่มเลย แต่ว่าในใจหนาวเหน็บอย่างมาก
เธอเชื่อมั่นในตนเองมาตลอด แต่ว่าต่อหน้ามู่ซือคนนั้น เธอก็รู้สึกว่าตนเองไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง
พลิกตัว เธอนำผ้าห่มคลุมศีรษะ
เมื่อเซียวอู๋เข้ามา เห็นซูหย่าที่ห่อตัวเองจนเป็นบ๊ะจ่าง
เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไป เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็มีผ้านวมมาด้วย
อาจจะเพราะตอนกลางวันทรมานเกินไป แล้วก็อาจเพราะท้องอยู่เลยขี้เซา ถึงแม้ภายในใจจะไม่สบายใจก็ตาม เมื่อซูหย่าตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ที่นอนข้างๆก็ว่างเปล่าแล้ว
มองเครื่องแบบทหารบนโต๊ะก็ไม่มีแล้ว มีหมั่นโถวสองสามชิ้นกับปาท่องโก๋หนึ่งชิ้น แล้วก็น้ำเต้าหู้หนึ่งถ้วย
เธอดูมือถือ 9โมงกว่าแล้ว
จึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ กลับมานานอาหารเช้า แล้วก็วิดีโอคอลไปหาเล่อจยา
แต่อาจเพราะสัญญาณไม่ดี ภาพเลยค้าง ซูหย่าจึงวางสาย แล้วส่งวีแชตไปหาเธอ: จยาจยา คุณทำอะไรอยู่?”
เวลานี้เล่อจยานอนเอนกายอยู่บนโซฟาห้องทำงานเกาไห่ “กำลังรบเร้าผู้ชายของฉัน ให้อนุญาตให้ฉันไปทำงาน”
“ไปที่ไหน เกากรุ๊ปเหรอ?”
“ไม่อยากไปเกากรุ๊ป แล้วก็ไม่อยากไปบริษัทก่อนหน้านี้ของเธอ อยากไปทำอีกบริษัทหนึ่ง เขาไม่อนุญาต”
“นั่นก็แน่นอนล่ะ คุณเป็นคนมีความสามารถ เงินทองจะได้ไม่รั่วไหลออกข้างนอก เป็นฉัน ฉันก็ไม่อนุญาต”
เล่อจยาบุ้ยปาก “คุณเป็นอย่างไรบ้าง?ที่นั่นค่อนข้างลำบาก คุณจะต้องดูแลตัวเองให้ดีนะ”
ซูหย่าถอนหายใจยาว อดไม่ได้ที่จะเล่อาเรื่องอาบน้ำเมื่อคืนและที่เซียวอู๋ไปประชุมกับเมียน้อยตอนกลางคืนให้เล่อจยาฟัง
เล่อจยาจึงโทรศัพท์เข้ามาโดยตรง “เสี่ยวหย่า คุณฟังน้ำเสียงของคุณตอนนี้สิ?เหมือนภรรยาที่คับแค้นใจอย่างยิ่ง ความสัมพันธ์ของเสี่ยวอู๋และมู่ซืออะไรนั่น ที่ไปเจอกันเจอกันตอนกลางคืน ก็อาจจะมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกัน คุณอย่าคิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรมไปซะหมดสิ?”
ซูหย่าฟังเล่อจยาพูดกับตนเองแบบนี้ ก็บุ้ยปาก “คุณดูสิ แม้แต่คุณก็รังเกียจฉัน….”
“นี่ หยุดเลยนะ ฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะรังเกียจคุณ นี่ฉันพูดเตือนด้วยความหวังดีแต่อาจจะขัดหู เรื่องนั้นเมื่อวาน คุณก็ผิดจริงๆ เสี่ยวหย่า เสี่ยวอู๋อยู่ในกองทหาร นั่นคือพลตรี นั่งคือผู้นำ คุณว่า คุณที่เป็นภรรยาผู้นำ มันไม่ควรจะเป็นผู้นำด้วยเหรอ?คาดไม่ถึงว่าจะได้สิทธิพิเศษ จุดจุดนี้ ฉันคิดว่าเสี่ยวอู๋ไม่ผิด ตอนนี้คุณไม่ใช่ตัวคนเดียวแล้ว คุณเป็นตัวแทนเสี่ยวอู๋ คุณลองดูภรรยาของผู้นำประเทศสิ เขา…..”
“จยาจยา คุณเข้าประเด็นหน่อยได้ไหม?” อันที่จริง หลังจากนอนหลับมาคืนหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมา ซูหย่าก็ไม่ได้โมโหแล้ว ถึงแม้เธอจะเป็นลูกสาวคนรวย แต่ก็ได้รับการศึกษาที่สูง เธอไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจเหตุผล แต่อาจจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึก
“เอาล่ะ คุณก็ลองคิดให้ดีๆ ผู้ชายของฉันจะต้องพาฉันไปทำธุระแล้ว บ๊ายบาย มีอะไรก็โทรมา ดูแล….สุขภาพด้วย”
“คุณมันเห็นสามีดีกว่าเพื่อน!” เห็นโทรศัพท์ถูกวางสายไป ซูหย่าก็บ่นพึมพำ
มองดูวีแชต ข้อความของแม่ซู คิดๆแล้วเธอก็ตอบกลับ เมื่อวานโกรธ เธอเลยไม่ได้ตอบกลับ
แล้วก็ตอบกลับข้อความของปี๋ไค
เวลานี้ ก็ได้ยินว่ามีคนเคาะประตู เธอเปิดประตู พบโอวหยางเฟิง ก็ตกใจเล็กน้อย “มีธุระอะไรเหรอ?”
โอวหยางเฟิงกล่าวว่า: “พี่สะใภ้ อีกสักครู่ฉันจะเข้าเมืองไปทำธุระเล็กน้อย คุณต้องการไปด้วยกันกับฉันไหม?เมื่อวาน ฉันได้ยินคนพูดว่า คุณมองหาซูเปอร์มาร์เก็ต”
ซูหย่าได้ยิน ก็ดีใจ “ดีๆ คุณรอฉันแป๊บนะ ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
โอวหยางเฟิงจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองว่า ซูหย่ายังสวมชุดนอนอยู่ จึงเก้อเขินเล็กน้อย กระแอมเบาๆ “เอ่อ อย่างนั้นฉันไปรอคุณที่ชั้นล่างนะ”
ซูหย่าเปลี่ยนเสื้อผ้าไปได้ครึ่งหนึ่ง เธอก็หยุดชะงักลง นึกถึงคำพูดเมื่อกี้นี้ของเล่อจยา เธอจึงลังเลใจเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าตนเองตามโอวหยางเฟิงไปแบบนี้ นับว่าเป็นสิทธิพิเศษหรือไม่
หลังจากลงไปชั้นล่าง เธอคิดๆแล้วเลยเอ่ยปากถามว่า: “โอวหยางเฟิง คุณว่า ฉันตามคุณไปแบบนี้ ถือว่าเป็นสิทธิพิเศษไหม?หากหัวหน้าทหารของพวกคุณรู้เข้า จะโกรธไหม?”
“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง
“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”
ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่
“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”
สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”
เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ
ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา
“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”
ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก
“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา
ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”
“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ
เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”
เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”
ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก
เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”
ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”
เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ”
เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”
ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น
เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”
ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมา
“หย่า?” ซูหย่าซื้ดจมูก เธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น
“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี
“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”
“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว
“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน
ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”
เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”
พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ
“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ
เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”
ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย
เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา
ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง
สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา
ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา
เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา
เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป
เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร
แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด
รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป
พูดจบก็ลงไปชั้นล่าง แล้วผลักเซียวอู๋ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดออกไป : “คุณหลีกไป”
เธอเดินไปที่โรงอาหาร
ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหย่าจึงหยุดฝีเท้าหันไปมอง ก็พบว่าทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้เหมือนโดนผีหลอกเลย ทำไมได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยๆ คิดๆแล้ว หรือว่าจะหิวจนหลอน?
เห็นลูกศรชี้คำว่าโรงอาหารตรงหน้า ซูหย่าก็วิ่งเหยาะๆไป
หลังจากที่ภาพของเธอหายไป ก็มีคนกระแอมเบาๆ “ข้าวหมา??อะแฮ่ม คุณเซียว……”
“ฮ่าๆๆๆ……”
“หัวหน้าเซียว ครั้งที่แล้วใครบอกว่า ในอนาคตแต่งงานไป ต้องฝึกฝนเธอให้เหมือนเป็นทหารด้วยนะ?”
“ได้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนี้ อยากออกไปรวมตัวกันวิ่งตอนกลางคืนอีกใช่ไหม?”
“ไม่อยาก…”
เซียวอู๋กับลูกน้องในที่ทำงานนี้ ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ตอนทำงานก็คำไหนคำนั้น ทุกๆคนก็เชื่อฟังเขา
“เสี่ยวอู๋ คุณรีบไปดูภรรยาคุณเถอะ เธอมาวันแรก อย่างไรคุณก็ตามไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ” นายทหารที่อาวุโสตบๆไหล่เซียวอู๋
เซียวอู๋พยักหน้า เพียงแต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูโรงอาหาร ตอนเห็นภาพด้านใน สีหน้าเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างมาก
เห็นซูหย่ายกถาดอาหารหนึ่งถาด นั่งบนเก้าอี้แล้วกินมัน
“ซูหย่า!”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย เรียกเธอทั้งชื่อทั้งแซ่ เธอไม่เงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่ตอบกลับ เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้ว่าสีกลิ่นรสชาติจะไม่ได้เรื่องเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่านี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ
“ใครอนุญาตคุณให้เธอทานอาหารก่อน?”
ทหารชั้นผู้น้อยในช่องเคาน์เตอร์ ตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำความเคารพเซียวอู๋ แล้วตอบกลับว่า : “รายงานท่านหัวหน้า สะใภ้บอกว่าตนเอง…ปวดท้อง ฉันเลย……”
“ทางด้านนี้เสร็จสิ้นแล้ว ไปวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตร”
“ครับ!” ตอบกลับด้วยเสียงดังกังวาน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวสั่นเทา
ตะเกียบในมือซูหย่าตกลงบนพื้น เธอหันกลับไปมองทหารคนนั้นที่กลืนน้ำลายไม่หยุด แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตรคืออะไร แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของทหารคนนั้นแล้ว เธอก็รู้เลยว่าบทลงโทษต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองในใจ เธอลุกขึ้นเดินไปข้างๆเซียวอู๋ “ทำไมคุณทำอย่างนี้?เขาเห็นเกียรติยศคุณจึง……”
“เป็นทหารก็ต้องมีกฎระเบียบ ตอนอยู่สนามรบ ถ้าทุกๆคนเป็นอย่างพวกคุณ อยู่เบื้องหลังได้สิทธิพิเศษ แล้วจะคู่ควรเป็นเพื่อนร่วมรบในแนวหน้าได้อย่างไร?เกียรติยศของฉันเหรอ?อยู่ในกองทัพไม่มีเกียรติยศ” หันกลับไปมองทหารชั้นผู้น้อย “เข้าใจไหม?”
ทหารตอบอย่างเคารพ “เข้าใจครับ!”
ซูหย่าถลึงตาใส่เซียวอู๋ “ฉันไม่เข้าใจกฎของทหารหรอกนะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณมันเลว ไร้ความเมตตา แล้วก็ไม่สนใจไยดีใครเลย”
พูดจบ ข้าวก็ไม่กินแล้ว หันกลับห้องไป
นอนอยู่บนเตียง เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ใช่ เธอเข้าใจประเทศก็มีกฎหมายของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎระเบียบของครอบครัว เป็นธรรมดาที่กองทัพย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แต่แค่กินข้าวก็เท่านั้น เธอปวดท้องจริงๆ เธอไม่เข้าใจเลย หรือว่าทหารเห็นคนจะตายก็จะไม่ช่วยเหรอ?
นึกถึงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเขาทำโทษแล้ว เธอก็ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวเอง
ถ้าจะบอกว่าเซียวอู๋ตอนอยู่บ้าน เป็นคนเลวแล้วล่ะก็ อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาจนเกินจะบรรยาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอพลิกตัว ไม่สนใจ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เป็นเสียงที่นุ่มนวล เธอนิ่งอึ้งไป ด้วยนิสัยของเซียวอู๋แล้วจะไม่เคาะประตูแบบนี้
จึงพลิกตัวลงจากเตียง เปิดประตู มู่ซือยืนอยู่หน้าประตู ถือถาดอาหารอยู่ มองด้วยตา คือที่เธอเพิ่งทานเหลือเอาไว้ เดินเข้ามา นำอาหารวางไว้บนโต๊ะ “หัวหน้าทหารให้ฉันเอามาส่ง พี่สะใภ้รีบทานเถอะ อย่าให้หิวเลย”
ซูหย่าร้องเชอะอย่างเย็นชา “หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ?”
หญิงสาวมองซูหย่า ในสายตาปรากฏความเหยียดหยามเล็กน้อย
พอดีซูหย่าเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับสายตานั้น ความโกรธในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมา “คุณหมายความว่าอย่างไร?ดูถูกฉันเหรอ?”
มู่ซือมองเธออย่างลึกซึ้ง ยกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง “พี่สะใภ้ คุณค่อยๆทานนะ ฉันไปก่อน”
ซูหย่าคว้าแขนของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ผิวละเอียดเนื้อนุ่มนวล แต่แขนนี้ที่จับกลับแข็งแกร่ง รู้สึกคล้ายกันกับเซียวอู๋เลย
พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด
เธอหรี่ตา ทันทีในใจก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้ มิน่าล่ะเซียวอู๋ถึงได้ชอบเธอ รูปร่างหน้าตาสวย แล้วยังมีอาชีพเดียวกันอีก
“พี่สะใภ้ยังมีธุระอื่นอีกเหรอ?” มู่ซือนำการตอบสนองของซูหย่าเก็บเข้าไว้ในสายตา กล่าวถามอย่างเรียบเฉย
ซูหย่าปล่อยมือ ถอยหลังกลับไปยังด้านหน้าโต๊ะอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นมา ป้อนอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า
อาหารเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป
แต่เพื่อลูกในท้อง เธอก็ยังทานจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าดึกๆจะหิว แล้วจะคลุ้มคลั่ง
ทานข้าวแล้ว เธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจก็รู้สึกถึงรสชาติของชีวิต
สะลึมสะลือ แล้วจึงหลับไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เซียวอู๋ยังไม่กลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว เธอมองดูมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ ห้องน้ำสาธารณะมีการจำกัดเวลา
เธอรีบจัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วก็ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ พอหาห้องน้ำเจอ เมื่อดึงเปิดผ้าม่านนั้น เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทันที ดวงตาเธอเต็มไปด้วยเนื้อที่….เปลือยเปล่า!
เธอรีบปิดหน้าอกด้วยจิตสำนึก
เวลานี้ เธอสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เกิดมา จริงๆเธอเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เพราะก่อนหน้านี้พ่อแม่มีพี่ชายสองคน จึงรักและเอ็นดูเธอมากกว่า เคยลำบากแบบนี้ซะที่ไหนกัน
เธอไม่ได้ทำตัวเหนือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ในสังคมแบบนี้ สองปีนั้นที่เล่อจยาเปิดร้านอาหารริมทาง เอช่วยยกถาด ล้างถ้วยชาม ก็นับว่าลำบากจะแย่แล้วนะ เหอะ เหอะ….
“โอ้ นี่เป็นภรรยาของบ้านไหนล่ะ รีบเข้ามาอาบสิ อีกสักครู่ ก็จะหยุดจ่ายน้ำแล้วนะ” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า หยิบผ้าขนหนูกำลังเช็ดผม เห็นเธอยื่นอึ้งอยู่หน้าประตู กล่าวทักทายเพื่อนอย่างสุภาพ
ซูหย่ายิ้มอย่างเก้อเขิน สายตาไม่รู้จะมองไปที่ไหน ถึงจะเหมาะสม “ขอบคุณค่ะ พี่สาว”
“ฉันว่า เธอคงจะทำให้ตกใจ คุณลืมไปด้วยเหรอ ครั้งที่แล้วที่ภรรยาของผู้พันมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็นั่งยองๆร้องไห้อยู่หน้าประตู สถานที่นี้ คนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ” คนที่พูดคือ ผู้หญิงวัยเดียวกันกับพี่สาว
ด้านในมีคนอาบน้ำจำนวนมาก มีหมอกควันมากมาย ซูหย่ามองได้ไม่ชัดว่ายังมีใครอีก
“พี่สะใภ้ คุณมาตรงนี้เถอะ ฉันอาบเสร็จแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากในหมอกควัน คือเสียงของมู่ซือ
พูดจบก็ลงไปชั้นล่าง แล้วผลักเซียวอู๋ที่ยืนอยู่ตรงทางขึ้นบันไดออกไป : “คุณหลีกไป”
เธอเดินไปที่โรงอาหาร
ได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นจากด้านหลัง ซูหย่าจึงหยุดฝีเท้าหันไปมอง ก็พบว่าทุกคนยังคงมีสีหน้าเคร่งขรึม วันนี้เหมือนโดนผีหลอกเลย ทำไมได้ยินเสียงแปลกๆบ่อยๆ คิดๆแล้ว หรือว่าจะหิวจนหลอน?
เห็นลูกศรชี้คำว่าโรงอาหารตรงหน้า ซูหย่าก็วิ่งเหยาะๆไป
หลังจากที่ภาพของเธอหายไป ก็มีคนกระแอมเบาๆ “ข้าวหมา??อะแฮ่ม คุณเซียว……”
“ฮ่าๆๆๆ……”
“หัวหน้าเซียว ครั้งที่แล้วใครบอกว่า ในอนาคตแต่งงานไป ต้องฝึกฝนเธอให้เหมือนเป็นทหารด้วยนะ?”
“ได้ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงอย่างนี้ อยากออกไปรวมตัวกันวิ่งตอนกลางคืนอีกใช่ไหม?”
“ไม่อยาก…”
เซียวอู๋กับลูกน้องในที่ทำงานนี้ ก็เหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ตอนทำงานก็คำไหนคำนั้น ทุกๆคนก็เชื่อฟังเขา
“เสี่ยวอู๋ คุณรีบไปดูภรรยาคุณเถอะ เธอมาวันแรก อย่างไรคุณก็ตามไปเป็นเพื่อนหน่อยเถอะ” นายทหารที่อาวุโสตบๆไหล่เซียวอู๋
เซียวอู๋พยักหน้า เพียงแต่เมื่อเขาไปถึงหน้าประตูโรงอาหาร ตอนเห็นภาพด้านใน สีหน้าเรียกได้ว่าย่ำแย่อย่างมาก
เห็นซูหย่ายกถาดอาหารหนึ่งถาด นั่งบนเก้าอี้แล้วกินมัน
“ซูหย่า!”
น้ำเสียงที่คุ้นเคย เรียกเธอทั้งชื่อทั้งแซ่ เธอไม่เงยหน้าขึ้นแล้วก็ไม่ตอบกลับ เอาแต่ตักข้าวเข้าปาก ถึงแม้ว่าสีกลิ่นรสชาติจะไม่ได้เรื่องเลย แต่เธอกลับรู้สึกว่านี่คือมื้ออาหารที่ดีที่สุดในชีวิตเธอ
“ใครอนุญาตคุณให้เธอทานอาหารก่อน?”
ทหารชั้นผู้น้อยในช่องเคาน์เตอร์ ตกใจจนหน้าถอดสี เขาทำความเคารพเซียวอู๋ แล้วตอบกลับว่า : “รายงานท่านหัวหน้า สะใภ้บอกว่าตนเอง…ปวดท้อง ฉันเลย……”
“ทางด้านนี้เสร็จสิ้นแล้ว ไปวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตร”
“ครับ!” ตอบกลับด้วยเสียงดังกังวาน แต่เห็นได้ชัดว่าตัวสั่นเทา
ตะเกียบในมือซูหย่าตกลงบนพื้น เธอหันกลับไปมองทหารคนนั้นที่กลืนน้ำลายไม่หยุด แม้เธอจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียกว่าการวิ่งถ่วงน้ำหนัก 20 กิโลเมตรคืออะไร แต่เมื่อเห็นแววตาหวาดกลัวของทหารคนนั้นแล้ว เธอก็รู้เลยว่าบทลงโทษต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
เธอรู้สึกผิดและตำหนิตัวเองในใจ เธอลุกขึ้นเดินไปข้างๆเซียวอู๋ “ทำไมคุณทำอย่างนี้?เขาเห็นเกียรติยศคุณจึง……”
“เป็นทหารก็ต้องมีกฎระเบียบ ตอนอยู่สนามรบ ถ้าทุกๆคนเป็นอย่างพวกคุณ อยู่เบื้องหลังได้สิทธิพิเศษ แล้วจะคู่ควรเป็นเพื่อนร่วมรบในแนวหน้าได้อย่างไร?เกียรติยศของฉันเหรอ?อยู่ในกองทัพไม่มีเกียรติยศ” หันกลับไปมองทหารชั้นผู้น้อย “เข้าใจไหม?”
ทหารตอบอย่างเคารพ “เข้าใจครับ!”
ซูหย่าถลึงตาใส่เซียวอู๋ “ฉันไม่เข้าใจกฎของทหารหรอกนะ ฉันแค่รู้สึกว่าคุณมันเลว ไร้ความเมตตา แล้วก็ไม่สนใจไยดีใครเลย”
พูดจบ ข้าวก็ไม่กินแล้ว หันกลับห้องไป
นอนอยู่บนเตียง เธอเช็ดน้ำตาที่ไหลไม่ขาดสาย ใช่ เธอเข้าใจประเทศก็มีกฎหมายของประเทศ ครอบครัวก็มีกฎระเบียบของครอบครัว เป็นธรรมดาที่กองทัพย่อมมีกฎเกณฑ์ของตนเอง แต่แค่กินข้าวก็เท่านั้น เธอปวดท้องจริงๆ เธอไม่เข้าใจเลย หรือว่าทหารเห็นคนจะตายก็จะไม่ช่วยเหรอ?
นึกถึงนายทหารชั้นผู้น้อยที่ถูกเขาทำโทษแล้ว เธอก็ทั้งโมโหทั้งตำหนิตัวเอง
ถ้าจะบอกว่าเซียวอู๋ตอนอยู่บ้าน เป็นคนเลวแล้วล่ะก็ อย่างนั้นอยู่ที่นี่ก็โหดเหี้ยมไร้ความเมตตาจนเกินจะบรรยาย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอพลิกตัว ไม่สนใจ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามาอีกครั้ง เป็นเสียงที่นุ่มนวล เธอนิ่งอึ้งไป ด้วยนิสัยของเซียวอู๋แล้วจะไม่เคาะประตูแบบนี้
จึงพลิกตัวลงจากเตียง เปิดประตู มู่ซือยืนอยู่หน้าประตู ถือถาดอาหารอยู่ มองด้วยตา คือที่เธอเพิ่งทานเหลือเอาไว้ เดินเข้ามา นำอาหารวางไว้บนโต๊ะ “หัวหน้าทหารให้ฉันเอามาส่ง พี่สะใภ้รีบทานเถอะ อย่าให้หิวเลย”
ซูหย่าร้องเชอะอย่างเย็นชา “หิวจะตายอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการหรอกเหรอ?”
หญิงสาวมองซูหย่า ในสายตาปรากฏความเหยียดหยามเล็กน้อย
พอดีซูหย่าเงยหน้าขึ้น แล้วพบกับสายตานั้น ความโกรธในก้นบึ้งของหัวใจก็ปรากฏขึ้นมา “คุณหมายความว่าอย่างไร?ดูถูกฉันเหรอ?”
มู่ซือมองเธออย่างลึกซึ้ง ยกมุมปากปรากฏรอยยิ้มที่มีความหมายแฝง “พี่สะใภ้ คุณค่อยๆทานนะ ฉันไปก่อน”
ซูหย่าคว้าแขนของเธอ ก็สัมผัสได้ถึงความประหลาดใจ ผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนอ่อนแอ ผิวละเอียดเนื้อนุ่มนวล แต่แขนนี้ที่จับกลับแข็งแกร่ง รู้สึกคล้ายกันกับเซียวอู๋เลย
พอที่จะพิสูจน์ได้ว่าผู้หญิงคนนี้ผ่านการฝึกฝนมาอย่างเข้มงวด
เธอหรี่ตา ทันทีในใจก็มีความรู้สึกพ่ายแพ้ มิน่าล่ะเซียวอู๋ถึงได้ชอบเธอ รูปร่างหน้าตาสวย แล้วยังมีอาชีพเดียวกันอีก
“พี่สะใภ้ยังมีธุระอื่นอีกเหรอ?” มู่ซือนำการตอบสนองของซูหย่าเก็บเข้าไว้ในสายตา กล่าวถามอย่างเรียบเฉย
ซูหย่าปล่อยมือ ถอยหลังกลับไปยังด้านหน้าโต๊ะอย่างเศร้าสร้อย หยิบตะเกียบขึ้นมา ป้อนอาหารเข้าปากคำแล้วคำเล่า
อาหารเหมือนเดิม แต่ทำไมรู้สึกว่ารสชาติเปลี่ยนไป
แต่เพื่อลูกในท้อง เธอก็ยังทานจนหมดเกลี้ยง กลัวว่าดึกๆจะหิว แล้วจะคลุ้มคลั่ง
ทานข้าวแล้ว เธอก็เอนตัวลงนอนบนเตียง นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ในใจก็รู้สึกถึงรสชาติของชีวิต
สะลึมสะลือ แล้วจึงหลับไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เซียวอู๋ยังไม่กลับมา ท้องฟ้าด้านนอกก็มืดลงแล้ว เธอมองดูมือถือ สามทุ่มกว่าแล้ว จู่ๆก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของเซียวอู๋ ห้องน้ำสาธารณะมีการจำกัดเวลา
เธอรีบจัดเสื้อผ้าสองสามชิ้นแล้วก็ผลิตภัณฑ์อาบน้ำ พอหาห้องน้ำเจอ เมื่อดึงเปิดผ้าม่านนั้น เธอยืนนิ่งอึ้งอยู่หน้าประตูทันที ดวงตาเธอเต็มไปด้วยเนื้อที่….เปลือยเปล่า!
เธอรีบปิดหน้าอกด้วยจิตสำนึก
เวลานี้ เธอสิ้นหวังจนอยากจะร้องไห้ ตั้งแต่เกิดมา จริงๆเธอเกิดมาพร้อมกับช้อนเงินช้อนทอง เพราะก่อนหน้านี้พ่อแม่มีพี่ชายสองคน จึงรักและเอ็นดูเธอมากกว่า เคยลำบากแบบนี้ซะที่ไหนกัน
เธอไม่ได้ทำตัวเหนือคนอื่น แต่ก็ไม่เคยพบเหตุการณ์ในสังคมแบบนี้ สองปีนั้นที่เล่อจยาเปิดร้านอาหารริมทาง เอช่วยยกถาด ล้างถ้วยชาม ก็นับว่าลำบากจะแย่แล้วนะ เหอะ เหอะ….
“โอ้ นี่เป็นภรรยาของบ้านไหนล่ะ รีบเข้ามาอาบสิ อีกสักครู่ ก็จะหยุดจ่ายน้ำแล้วนะ” สตรีวัยกลางคนคนหนึ่ง ร่างกายเปลือยเปล่า หยิบผ้าขนหนูกำลังเช็ดผม เห็นเธอยื่นอึ้งอยู่หน้าประตู กล่าวทักทายเพื่อนอย่างสุภาพ
ซูหย่ายิ้มอย่างเก้อเขิน สายตาไม่รู้จะมองไปที่ไหน ถึงจะเหมาะสม “ขอบคุณค่ะ พี่สาว”
“ฉันว่า เธอคงจะทำให้ตกใจ คุณลืมไปด้วยเหรอ ครั้งที่แล้วที่ภรรยาของผู้พันมา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆก็นั่งยองๆร้องไห้อยู่หน้าประตู สถานที่นี้ คนที่มีประสบการณ์เพียงเล็กน้อย ก็คงทนไม่ไหวจริงๆ” คนที่พูดคือ ผู้หญิงวัยเดียวกันกับพี่สาว
ด้านในมีคนอาบน้ำจำนวนมาก มีหมอกควันมากมาย ซูหย่ามองได้ไม่ชัดว่ายังมีใครอีก
“พี่สะใภ้ คุณมาตรงนี้เถอะ ฉันอาบเสร็จแล้ว” เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากในหมอกควัน คือเสียงของมู่ซือ
“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง
“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”
ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่
“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”
สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”
เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ
ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา
“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”
ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก
“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา
ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”
“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ
เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”
เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”
ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก
เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”
ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”
เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ”
เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”
ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น
เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”
ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมา
“หย่า?” ซูหย่าซื้ดจมูก เธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น
“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี
“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”
“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว
“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน
ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”
เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”
พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ
“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ
เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”
ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย
เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา
ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง
สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา
ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา
เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา
เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป
เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร
แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด
รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป
“ตัวอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่อื่น ไปเถอะ ไม่ใช่จะชวนฉันไปทานมื้อดึกไม่ใช่เหรอ?” ซูหย่าพูดจบ ก็เปิดประตูรถแล้วเข้าไปนั่ง
“ไม่……” เล่อจยาอยากจะพูดว่าไม่ใช่ แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “คาดว่าเธอน่าจะอารมณ์ไม่ค่อยดี ไปเถอะ ไปทานเป็นเพื่อนเธอ”
ทั้งสองคนขึ้นรถไป ซูหย่าก็แย่งมือถือเล่อจยามา โทรไปหาปี๋ไค หลังจากสายถูกกดรับ เธอก็สูดลมหายใจเข้า “ไคไค คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณเป็นอะไรไป?” เสียงปี๋ไคแหบเล็กน้อย น่าจะค้นคว้าวิจัยหลักสูตรของเขาอยู่
“ไคไค เขารังแกฉัน คุณต้องเลี้ยงอาหารมื้อค่ำฉัน”
สายทางด้านนั้น หยุดชะงักไปชั่วขณะ แล้วพูดว่า : “ส่งพิกัดมาให้ฉันด้วย”
เพราะซูหย่าท้องอยู่ เล่อจยาจึงเจาะจงเลือกร้านชาสไตล์ฮ่องกงมาเป็นพิเศษ
ดูออกว่าอารมณ์เธอไม่ดีจริง สีหน้าท่าทางดูไม่มีชีวิตชีวา
“เสี่ยวอู๋มีนิสัยแข็งกร้าว คุณนะก็เรื่องมากเรื่องเยอะ แต่ก็ต้องอยู่ด้วยกัน เสี่ยวหย่า ฉันว่า คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไม?”
ซูหย่าไม่พูดอะไร นิ้วมือม้วนผมที่อยู่ด้านหน้า แววตาที่หดหู่มองเล่อจยาอย่างเจ็บปวดใจมาก
“มิเช่นนั้น ฉันจะอธิบายกับเสี่ยวอู๋ให้เข้าใจเลยดีไหม?” พูดจบก็หยิบมือถือออกมา
ซูหย่ายื่นมือออกไปแย่งมือถือเธอมา แล้วส่ายหัว “ปัญหาของเรา เดิมทีไม่ได้อยู่ที่ปี๋ไค คุณว่าฉันดูแย่มากเลยใช่ไหม?ทำไมเขาถึงได้รังเกียจฉันขนาดนั้น?”
“แบบคุณนี่ ผู้ชายปกติไม่มาชอบหรอก” เกาไห่จิบชา แล้วทำเสียงหัวเราะเยาะ
เล่อจยาเหยียบเท้าเกาไห่อยู่ใต้โต๊ะ “คุณอย่าได้ทีขี่แพะไล่ได้ไหม?คุณยังเห็นเธอทุกข์ใจไม่พอใช่ไหม?”
เกาไห่เงยหน้ามองซูหย่า “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงแข็งกร้าวที่ทำให้ตนเองดูด้อยค่าไปทุกๆที่หรอกนะ ตั้งแต่หลังจากนัดดูตัวครั้งแรก ก็แทบจะเปลี่ยนชีวิตเซียวอู๋ไปเลย พวกคุณสามารถพิจารณาปัญหาจากอีกมุมหนึ่งได้ ถ้าเป็นพวกคุณ พวกคุณยังจะชอบเขาอยู่ไหม?” พูดจบ ก็ยื่นมือออก “บริกร สั่งอาหารหน่อย”
ซูหย่ากับเล่อจยามองหน้ากัน ไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้เกาไห่จะพูดไม่ค่อยน่าฟัง แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นความจริงๆ โชคชะตานี้ บางทีอาจจะผิดตั้งแต่แรก
เมื่อปี๋ไคมาถึง อาหารก็สั่งไว้บนโต๊ะแล้ว เขานั่งลงข้างๆซูหย่า ประคองหน้าของเธอ “เขาทำอะไรคุณ?”
ซูหย่าเห็นปี๋ไค ก็เบะปากกอดเขา แล้วร้องไห้น้ำตาไหลเผาะๆออกมา “เขาไปหาเมียน้อยแล้ว ไคไค เขาบอกว่าฉันสกปรก สะอิดสะเอียนฉัน ไม่อยากแตะต้องฉัน ฮือ……”
เล่อจยาได้ยินก็คิ้วขมวด นำตะเกียบในมือทุบลงบนโต๊ะอย่างแรง “อะไรนะ?เสี่ยวอู๋นี่ มันจะเกินไปแล้วนะ”
เกาไห่ดึงมือของเธอมาเป่าสองสามที “คุณอย่ารุนแรงอย่างนี้สิ มือทุบลงไปไม่เจ็บเหรอ?” พูดจบก็นวดเบาๆ “ดูสิ แดงหมดเลย”
ซูหย่าชำเลืองมองมาที่พวกเขาทั้งสอง เสียงร้องไห้ก็ยิ่งดังขึ้น
เล่อจยาดึงมือกลับมาอย่างเขินอาย “เอาล่ะ คุณอย่าไปยุแหย่เธอเลย”
ปี๋ไคสีหน้าเคร่งขรึมไม่พูดจา เล่อจยามองเห็นความเจ็บปวดใจในแววตาเขาได้อย่างชัดเจน ขณะนี้ของตาก็แดงเล็กน้อย
“ในเมื่อเป็นทุกข์ขนาดนี้ ก็หย่ากันเถอะ” หลังจากเงียบอยู่สักพัก ปี๋ไคก็พูดออกมา
“หย่า?” ซูหย่าซื้ดจมูก เธออยากจะพูดว่า หย่าไม่ได้ แล้วเธอก็ไม่อยากหย่าด้วย สุดท้ายก็ทำได้เพียงร้องไห้เสียงดังออกมา ชั่วพริบตา เสื้อแจ็กเกตสีเทาของไคก็เปียกชื้น
“เสี่ยวหย่า ตอนบ่ายคนตระกูลเซียวเรียกให้คุณกลับไป พูดอะไรกับคุณ?” เล่อจยาเห็นว่าเธอร้องไห้ต่อไปแบบนี้ ก็คงไม่ได้เรื่อง จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ซูหย่าหยุดชะงักเล็กน้อย ยืดตัวออกมาจากร่างของปี๋ไค รับทิชชูที่เล่อจยาส่งให้ เช็ดน้ำตาเล็กน้อย พูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า: “เซียวอู๋ให้ฉันตามไปที่กองทหารด้วย เขาต้องย้ายไปนอกสถานที่ชั่วคราว เป็นเวลาครึ่งปี
“เข้าร่วมในกองทัพ?” เล่อจยาตกใจ ทันที เธอก็คิดอะไรได้ “คุณ….แบบนี้คุณ คุณก็…คุณก็ไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้”
“ทำไมจะไม่สามารถเข้าร่วมกองทัพได้ล่ะ?ขณะนี้คนทั้งสองก็มีความสัมพันธ์กัน ถ้าได้อยู่ด้วยกันนานๆ ไม่แน่ว่าได้เรียนรู้กันไปแล้วจะรักกันก็ได้?” เกาไห่กล่าว
“เธอ…..” เล่อจยาอยากจะบอกว่า ซูหย่าท้อง จะสามารถไปเข้าร่วมกองทัพได้อย่างไรล่ะ แล้วยังไม่พูดถึงว่าเซียวอู๋จะปฏิบัติกับเธออย่างไร สภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยก็ไม่เหมาะสม ทางด้านนั้น ไร้ญาติขาดมิตร สภาพความเป็นอยู่เทียบไม่ได้เลยกับเมืองC อีกทั้งที่เซียวอู๋ไป คือไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว ซูหย่านั้นก็ต้องอยู่ตัวคนเดียว เธอเป็นห่วง หลังจากนั้นก็นึกออกว่า เกาไห่ไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้แต่กลืนคำพูดที่เหลือกลับไป
“เขาเกลียดชังคุณ แล้วทำไมถึงต้องการให้คุณตามไปเข้าร่วมกองทัพด้วย ไม่ใช่ว่าไม่เห็นหน้าแล้ว จิตใจจะได้สงบหรอกเหรอ?” ปี๋ไคกล่าว พอเขาพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็มองไปยังซูหย่าในเวลาเดียวกัน
ซูหย่ายืดตัวขึ้นจากโต๊ะ กล่าวออกมาอย่างช้าๆว่า: “เขาต้องการที่จะกักขังฉัน อยากจะทรมานฉัน”
เล่อจยาและเกาไห่มองหน้ากัน “เสี่ยวหย่า อันที่จริง เสี่ยวอู๋ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คุณคิดขนาดนั้นหรอก”
พอเธอพูดจบ สายตาของคนสองสามคนก็เคลื่อนไปยังเธอ
“เมื่อไรกัน ที่คุณคิดที่จะพูดเพื่อเขา ตกลงคุณเป็นเพื่อนของใครกันแน่?” ซูหย่ากล่าวตำหนิ
เกาไห่เหลือบมองเล่อจยาอย่างแฝงไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง ปี๋ไครอคำพูดต่อไปอย่างเงียบๆ
เล่อจยากลืนน้ำลาย “อาจจะเพราะมองมุมมองของปัญหาแตกต่างกัน ฉันคิดว่า เซียวอู๋กลัวว่าคุณกับปี๋ใครจะมีอะไรกัน เลยตั้งใจที่จะแยกพวกคุณออกจากกัน เสี่ยวหย่า คนที่อยู่ในสถานการณ์มักจะมองอะไรไม่เห็น แต่คนที่อยู่นอกสถานการณ์มักจะมองออกนะ”
ปี๋ไคมองเล่อจยา ในสายตามีความเห็นด้วย
เกาไห่ดื่มน้ำต่อ ยังคงเงียบไม่พูดจา
ซูหย่าหัวเราะเยาะ “เขากลัวอย่างนั้นเหรอ?ถ้าเขากลัว ก็คงไม่ทำแบบนี้กับฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอก”
พูดพลาง นั่งตัวตรง ศีรษะพิงไหล่ของปี๋ไค คล้ายกับกำลังคิดอะไรอยู่
ลักษณะของเธอเวลานี้ มีทิฐิสูงมาก คนสองสามคนก็ไม่ได้พูดโน้มน้าวอีก เรื่องราวแบบนี้ จำเป็นต้องคิดให้ได้ด้วยตนเอง
สุดท้าย ของหวานที่สั่งมา ทุกคนก็ไม่ค่อยได้ทานเท่าไรนัก เห็นสภาพของซูหย่าแล้ว เล่อจยาก็เป็นห่วงที่เธอต้องกลับตระกูลเซียวไปคนเดียว จึงส่งข้อความไปบอกเซียวอู๋ว่า เธอต้องการจะพาซูหย่ากลับไปยังบ้านของพวกเขา
ภายในห้องของโรงแรม ชายหนุ่มวางมือถือที่อยู่ในมือ สีหน้าเคร่งขรึม ส่ายแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ เด็กผู้หญิงเสื้อขาวยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างเชื่อฟัง คนทั้งสองไม่ได้พูดจา
เวลานี้ เสียงเคาะประตูก็ดังเข้ามา
เด็กผู้หญิงเปิดประตู ชายสวมชุดกีฬาสีดำคนหนึ่ง เดินเข้ามา นำซองจดหมายซองหนึ่งที่อยู่ในมือส่งให้เซียวอู๋ แล้วถอยออกไป
เซี่ยวอู๋โบกมือ กับเด็กผู้หญิงเสื้อขาวที่อยู่ด้านหลังให้ถอยห่างออกไปหลายเมตร
แล้วจึงเปิดซองจดหมาย เซียวอู๋ดึงรูปภาพสองสามใบจากด้านในออกมา ดูทีละรูปๆ สีหน้าของเขาก็มืดมนลงไป เมื่อดูรูปสุดท้าย เขาก็กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันกวาดรูปทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะลงไปยังพื้น เงยหน้ากระดกไวน์ในแก้วรวดเดียวหมด จากนั้น ก็โยนแก้วไปยังกำแพง จนแตกละเอียด
รูปใบหนึ่งปลิวไปยังเท้าของเด็กผู้หญิงเสื้อขาว เธอโน้มตัวลงไปหยิบขึ้นมา เมื่อเห็นรูปภาพชัดเจนแล้ว สายตาก็มืดมนลงไป
เกาไห่หันกลับมา เล่อจยาก็โผล่หน้าออกมาจากในรถ แล้วเลิกคิ้ว
“คุณเกา มีบางเรื่อง เราพิจารณากันแล้ว เลยตัดสินใจว่าต้องบอกกับคุณ”
“เรื่องอะไร?” เกาไห่ถาม
“เกาเหวินเธอ……เธอเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย เธอไม่ให้เราบอกใคร แต่สถานการณ์อย่างนี้เธอสามารถยื่นคำร้องขอประกันตัวได้ ฉะนั้น พวกเราเลยลองถามดู……” คำที่เหลือ ตำรวจที่ดูแลเรือนจำไม่ได้พูดอะไรต่อ
ถึงแม้ว่าในใจจะเคียดแค้นเธออย่างมาก แต่ถึงอย่างไรก็เติบโตมาแด้วยกัน เกาไห่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว
เล่อจยารีบลงจากรถ ไปพยุงเขา “สามี คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”
เกาไห่เม้มปาก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ส่ายหัวกับเล่อจยา แล้วหันไปมองตำรวจ “พวกคุณถามความคิดเห็นของเธอเถอะ ถ้าเธอต้องการออกมา พวกคุณก็ติดต่อกับฉัน ถ้าไม่ต้องการ……” เขากลืนน้ำลาย เล่อจยาพบว่าในตาเขามีน้ำตาคลอ “ถ้าไม่ต้องการ ก็ปล่อยเธอไปเถอะ”
พูดจบ ทั้งสองคนก็ขึ้นรถไป
หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เล่อจยาก็จับมือของเกาไห่ “มิเช่นนั้น เราก็ให้เธอออกมาเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นน้องสาวของคุณ”
เกาไห่มองเล่อจยา ตบเบาๆสองทีที่หลังมือของเธอ “คุณภรรยา ฉันไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดาหรอกนะ แต่ว่าฉันเชื่อเรื่องกงกรรมกงเกวียน เธอทำเรื่องเลวร้ายมามาก นี่คือกรรมที่ตามสนอง”
พูดจบก็เอนหลังพิงเบาะรถ หลับตาลง แล้วไม่พูดอะไรอีก
เล่อจยาเข้าใจ ว่าเขาจ้องไม่สบายใจอย่างแน่นอน ตลอดเส้นทางก็เลยไม่ได้พูดอะไร
เพราะเรื่องนี้ ในตอนกลางคืนทั้งสองคนจึงนอนไม่ค่อยหลับ
วันต่อมา เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าซูหย่า เล่อจยาจึงอยู่ในสภาพที่แย่อย่างมาก
เพราะเกิดเรื่อง”แท้งลูก”อย่างนี้ พิธีแต่งงานระหว่างตระกูลซูกับตระกูลเซียว เลยเลือกที่จะจัดขึ้นอย่างเงียบๆ
เดิมทีที่วางแผนจะจัดงานเลี้ยงใหญ่โต ท้ายที่สุดในวันแต่งงานนี้ก็มีญาติพี่น้องเพื่อนฝูงทั้งสองฝ่ายมา สิ่งเดียวที่เรียกได้ว่าเอิกเกริก ก็คือการเคลื่อนไหวของสื่อมวลชนต่างๆ
นอกประตูของตระกูลซู ถูกล้อมรอบจนเรียกได้ว่าแน่นขนัด
“จยาจยา คุณทะเลาะกับเกาไห่เหรอ?ทำไมคุณตาบวมขนาดนี้?” เมื่อซูหย่าเห็นเล่อจยา เลยเอ่ยถาม
เล่อจยานั่งลงบนโซฟาอย่างอ่อนแรง สำหรับซูหย่าแล้ว เธอไม่เคยปิดบังอะไรได้เลย จึงเล่าเรื่องเมื่อวานนี้ที่แม่เล่อไปหาเธอที่เกากรุ๊ปบอกว่าต้องการซื้อบ้านอยู่กับเล่อเหวิน แล้วก็เล่าเรื่องเกาเหวิน ให้ซูหย่าฟังหมด
“อะไรกัน เธอต้องการสินสอดจากเกาไห่เหรอ?แม่คุณนี่ หน้าไม่อายจริงๆเลย เธอไม่เคยนึกถึงความรู้สึกของคุณเลยใช่ไหม?” พูดจบก็นั่งลงข้างๆเล่อจยา กอดคอเธอ แล้วตบหลังเธอเบาๆ “พอเถอะ สำหรับคนอย่างเธอแล้ว ต้องทุกข์ใจถึงขนาดนี้เชียวเหรอ?”
“ไม่ทุกข์ใจหรอก เกาไห่รับปากกับฉันแล้ว ว่าจะไม่ให้เธอ แต่ว่าเรื่องเกาเหวิน เสี่ยวหย่าคุณว่า ฉันจะบอกให้เกาไห่ไปรับเธอออกมาดีไหม?”
ซูหย่าคิ้วขมวด ผลักเล่อจยา แล้วเคาะไปที่หน้าผากเธอ “นี่คุณโง่หรือไง ผู้หญิงคนนั้นที่ตกต่ำอยู่ทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งที่สมควรจะได้รับแล้ว คุณอย่าหาเรื่องใส่ตัว ไม่นานเธอก็ต้องตายอยู่แล้ว ยังจะให้คุณต้องมารับชะตากรรมร่วมด้วย ผู้หญิงอย่างนี้ฉันว่าน่ากลัวกว่าไห่ยุ่นอีกนะ”
เล่อจยาถูกซูหย่าอธิบายอย่างนี้ ความคิดในใจก็กำจัดทิ้งไปหมด เธอไม่ใช่คนเจ้าเล่ห์ สำหรับคนประเภทเกาเหวินนั้น จริงๆเธอก็กลัวอยู่
“คุณ……”
“ก๊อกๆ……” คำพูดของซูหย่าถูกตัดบทด้วยเสียงเคาะประตู
เล่อจยาบอกใบ้ว่าเธอไม่ต้องขยับ ลุกขึ้นไปเปิดประตู ก็เห็นเซียวอู๋ที่หน้าดำคร่ำเครียด
วันนี้เขาใส่ชุดสูทรองเท้าหนัง ดูเท่ดูมีสง่าอย่างมาก
“วันนี้คุณมาแต่งงานนะ คุณหน้าดำคร่ำเครียดอย่างนี้ พรุ่งนี้สื่อต้องเขียนข่าวให้วุ่นวายแน่” เล่อจยาอดต่อว่าไม่ได้
เซียวอู๋จ้องมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา เดินอ้อมเธอ ไปยังซูหย่า หยุดยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเธอ “วันนี้ออกจากประตูทางศาสนาแล้ว ชั่วชีวิตนี้ จะเป็นจะตาย พวกเราก็ต้องผูกพันอยู่ด้วยกัน”
ซูหย่าเหมือนจะรู้ว่าเซียวอู๋จะต้องพูดแบบนี้ เธอจึงลูบท้องน้อยด้วยจิตสำนึก “ต้องจ่ายไปมากขนาดนี้ คงไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”
เซียงอู๋คิดว่าเธอพูดเรื่องการแท้งลูก สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมอย่างมาก แต่เล่อจยาเข้าใจความหมายที่แท้จริงของซูหย่า และแต่ละคนก็มีความคิดของตัวเอง
แม่ซูเป็นห่วงร่างกายของซูหย่า เดิมทีขั้นตอนการแต่งงานที่กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องยกเลิกไปโดยตรง
คนตระกูลเซียวตำหนิเล็กๆน้อยๆ แต่ก็มีความเกรงใจ ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร
ดังนั้น สิ่งที่เขียนบนกระดาษแดงเมื่อวาน ก็แทบจะเป็นโมฆะไป
หลังจากพิธีแต่งงานจบสิ้น ในที่สุดซูหย่าก็ยังกลับไปที่ตระกูลเซียว
ฉากวันมงคลที่งดงาม แสงไฟในเรือนหอยามค่ำคืน
หลังจากซูหย่าอาบน้ำแล้ว ก็เข้าไปเอนตัวลงนอน
ในความสะลึมสะลือ เธอได้กลิ่นเหล้าฉุนเข้ามาในจมูก หลังจากนั้นก็ร่างกายที่หนักๆกดลงมาบนตัวเอง
เมื่อลืมตาขึ้น ก็พบกับสายตาที่เยือกเย็นคู่หนึ่ง “อ๊ะ ” ใช้กำลังผลักร่างกายผู้ชายออก “คุณ…คุณ จะทำอะไร?”
สายตาที่เยือกเย็นของชายหนุ่ม กวาดมายังบนเตียง มองหญิงสาวที่ตื่นตระหนก ส่งเสียงหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา ลุกขึ้นยืน ปลดเข็มขัดออก ต่อจากนั้น ก็ถอดเสื้อผ้า
ซูหย่ากลืนน้ำลายเล็กน้อย แล้วเปิดผ้าห่มออก กระโดดลงจากเตียง “คุณ…คุณบ้าไปแล้ว ฉันเพิ่งจะแท้งลูก ไม่…ไม่สามารถทำเรื่องแบบนั้นได้”
ชายหนุ่มที่เปลือยกายอยู่ในขณะนี้ เขาเดินเข้ามายังซูหย่า เดินเข้ามาทีละก้าวๆ
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าและกลิ่นของชายหนุ่ม
ซูหย่าถอยหลังทีละก้าวๆ จนกระทั่งหลังติดกับกำแพงที่เย็นเฉียบ เสียงของเธอสั่นเล็กน้อย ในสายตามีความหวาดกลัว “คุณ คุณอย่ามาทำซี้ซั้วนะ”
ชายหนุ่มหยุดยืนห่างจากเธอหนึ่งก้าว ยืนแขนเรียวยาวออกมา ใช้กำลังจับขากรรไกรของเธอ “อยากเล่นเกมวางหลุมพรางไม่ใช่เหรอ?อยากให้ฉันแตะต้องตัวคุณเหรอ?ฉันจะบอกคุณให้นะ คุณ….ฝันไปเถอะ ชั่วชีวิตนี้ ฉันไม่มีวันแตะต้องคุณ อยากแต่งงานกับฉันไม่ใช่เหรอ?ได้ ฉันจะให้คุณ เป็นหม้ายไปตลอดชีวิต”
พูดจบ ก็สะบัดมือออกอย่างแรง ซูหย่าล้มลงบนพื้น เธอกุมท้องน้อยด้วยจิตสำนึก ถึงแม้คำพูดของซูหย่าจะทำให้ภายในใจของเธอเป็นทุกข์ แต่นึกถึงเด็กในท้อง ก็ยังโล่งอกอย่างบอกไม่ถูก
เสียงประตูปิดดัง”ปัง” ซูหย่าค้ำกับกำแพง ลุกขึ้นยืน แล้วเอนตัวลงนอนบนเตียงอีกครั้ง
เวลานี้ มือถือก็สว่างขึ้นเล็กน้อย หยิบมาดู คือเล่อจยาที่ส่งวีแชตเข้ามา “สบายดีไหม?”
สามคำง่ายๆที่ทำให้ซูหย่าขอบตาแดงก่ำ ด้วยความน้อยใจที่โจมตีอยู่ภายในใจ เม้มปาก แล้วตอบกลับว่า “พรุ่งนี้จะไปบ้านคุณ”
“คุณต้องลองถามความคิดเห็นของตระกูลเซียวนะ ถึงอย่างไรต่อไปคุณก็ยังต้องดำเนินชีวิตต่อ”
ซูหย่าตกตะลึงเล็กน้อย “อย่างนั้นพรุ่งนี้ค่อยพูด”
วันต่อมา ซูหย่าตื่นแต่เช้าตรู่ ถึงแม้เซียวอู๋จะไม่ต้องการพบหน้าเธอ แต่เธอก็ตัดสินใจแล้วที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังนี้ จึงไม่สามารถพูดเรื่องที่ไม่น่าพอใจกับคนอื่นได้ เมื่อลงมา บนโซฟาในห้องรับแขก ก็มีคนนั่งอยู่ไม่น้อย
“แม่ เสี่ยวหย่าลงมาแล้ว” คนที่พูดคือแม่เซียว
เดินเข้าไปดึงมือของซูหย่า “เสี่ยวหย่า มา มานั่งสิ”
“คุณปู่ คุณย่า คุณพ่อ อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ถึงแม้ปกติของซูหย่า จะดูไม่สนใจไยดีอะไร แต่ตั้งแต่เด็ก เติบโตมาในครอบครัวใหญ่ เรื่องมารยาทเล็กๆน้อยๆ เธอก็ทำได้ดีมาโดยตลอด
“ยัยหนู มา มานั่งตรงย่านี่” คุณย่าตบลงตรงพื้นที่ว่างข้างๆตัว
ซูหย่าพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณย่า”
“ยัยหนู…..” คุณย่าดึงมือของซูหย่า พูดอึกๆอักๆ
ซูหย่าเห็นสีหน้าปี๋ไคค่อยๆแดงขึ้น จึงร้อนใจ จับแขนเซียวอู๋มากัดลงไปอย่างแรง เธอใช้แรงอย่างมาก
ฉะนั้นเมื่อเซียวอู๋เจ็บปวดก็ปล่อยทันที ทว่าขณะเดียวกันที่ปล่อยมือ มือนั้นก็ยกขึ้น เล่อจยากลัวว่าเขาจะตบซูหย่า จึงรีบยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ มองส่งสัญญาณให้ซูหย่าออกไป
“คุณกล้ากัดฉันเพื่อเขาเหรอ ซูหย่า คุณกล้ามาก”
ซูหย่ามองค้อนเขา แล้วดึงปี๋ไคมา “เราไปกันเถอะ อย่าไปทะเลาะกับคนที่ไอคิวต่ำโรคประสาทคนนี้เลย”
พูดจบ รีบจูงมือปี๋ไคเดินไปทางประตูทางเข้า เมื่อเดินไปถึงนอกประตู ก็เห็นซูหย่าหันกลับมามองเล่อจยา “จยา มาเร็วเข้า”
เล่อจยาสูดลมหายใจ มองหน้าเซียวอู๋ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป
มองคนทั้งสามตรงหน้าตนเองหายไป เซียวอู๋โกรธจัดหันไปกวาดของบนโต๊ะอาหารกองลงมาอยู่กับพื้น
บนรถ
ซูหย่าเห็นรอยนิ้วมือบนคอของปี๋ไคอย่างชัดเจน “ทำไมคุณไม่รู้จักต่อต้านบ้าง?”
ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาหล่อมากเลย”
เล่อจยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันไปมองปี๋ไค “คุณเป็นมาโซคิสม์จริงๆ”
ซูหย่าปล่อยมือเขา “คุณโรคจิตหรือไง”
“ฉันไม่ได้โรคจิต เพียงแต่ฉันรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก”
“อะไรนะ?”
“สามีของคุณ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่สนใจคุณหรือเปล่า?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองปี๋ไคด้วยสีหน้าที่ดีใจทันที “ที่คุณพูดหมายความว่าอะไร?”
“เขาเห็นเราพูดคุยอยู่ด้วยกัน เขาก็มองคุณอย่างโกรธๆ ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับคุณจริงๆ เขาจะโกรธคุณอย่างนั้นทำไม?”
ซูหย่าดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะก็หดหู่ลงมา ไหล่ของเธอตกลง “อย่างนั้นจะหมายความว่าอย่างไรได้?นั่นมันคนโง่ เห็นภรรยาของตนเองอยู่กับชายอื่นต่อหน้าก็ต้องโกรธอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?คุณไอคิวต่ำจริงๆเลย”
ปี๋ไคชำเลืองมองเธอ “เหรอ?ฉันไม่คิดอย่างนั้น”
“พวกคุณอย่าเถียงกันเลย เสี่ยวอู๋คนนั้นฉันรู้จักดี ถ้าเขาเดือดดาลขึ้นมา เขาสามารถฆ่าคนได้เลย เสี่ยวหย่า ไม่ว่าอย่างไร คุณก็เป็นภรรยาของเขา เป็นใครก็โกรธ พวกคุณอย่าเสี่ยงอันตรายอย่างนี้เลย”
ซูหย่าคอตก เงียบไปสักครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า : “ไม่เห็นจะเป็นสาระสำคัญอะไรเลย เขาจะทำอะไรฉันได้?ฉันแค่ทำท่าทีดูมีเลศนัยกับผู้ชายนิดๆหน่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”
เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ เล่อจยาก็กลืนน้ำลาย
“เสี่ยวหย่า คุณยับยั้งชั่งใจหน่อย อย่ายั่วโมโหเขา คุณอย่าลืมสิ คุณยังท้องอยู่นะ?”
ปี๋ไคมองๆท้องของซูหย่า “เด็กเป็นของเขาเหรอ?”
ซูหย่ามองค้อนเขา “หรือว่าจะเป็นของคุณล่ะ?”
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย คุณวางใจได้” ปี๋ไคตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้วคนทั้งรถก็หัวเราะกันออกมา
แต่ทว่า ความดีนั้นทำยากแต่ความชั่วนั้นทำง่าย พวกเขาเพิ่งจะมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง ตระกูลเซียวก็โทรมาหา บอกว่าเซียวอู๋กลับมาแล้ว ให้ซูหย่ากลับไปทานข้าวด้วยกัน ยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ
เมื่อวางสายไป สีหน้าซูหย่าก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“พูดว่าอะไร?ทำไมสีหน้าคุณเป็นอย่างนี้?”
ซูหย่าส่ายหน้า “ฟังแล้วคุณแม่ดูดีใจมาก ฉันจะคิดว่าเป็นแผนการร้ายได้อย่างไรล่ะ?”
เมื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว ซูหย่าเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ
“ยัยหนู เซียวอู๋ถูกย้ายไปเมืองอื่นชั่วคราว ไปครั้งนี้ ก็ประมาณครึ่งปี เขาบอกกับพวกเราว่า ทิ้งเจ้าสาวไว้ในบ้านคนเดียว ก็ทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ สมัครเข้าเป็นทหารแล้ว สมาชิกในครอบครัวก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ กองทัพจึงอนุญาต” สีหน้าของคุณย่าดีใจ ทางด้านซูหย่ากัดริมฝีปาก บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอท้อง ไปที่นั่นแล้ว การดำรงชีวิตก็ไม่คุ้นเคย แม้แต่เธอไม่ท้อง เธอก็ไม่กล้าตามเขาไปหรอก อยู่เมืองC ไม่ว่าอย่างไรก็มีพ่อแม่อยู่ที่นี่ เซียวอู๋ก็ไม่กล้าทำอะไร แต่ใครจะรู้ว่า ไปที่นั่น เขาจะปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร
เอสูดลมหายใจเข้า ยิ้มเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตามองไปยังเซียวอู๋ อีกฝ่ายกำลังนำมันฝรั่งชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ หันหน้ามามองเธอ ยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า: “คุณภรรยา ถึงแม้ทางด้านนั้น จะแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ด้วยกันเป็นกองทัพ แล้วก็ยังมีครอบครัวอื่นๆ ฉันก็จะได้มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ มีเวลา พวกเราก็กลับเมืองC คุณจะตามไปอยู่ด้วยกันกับฉันไหม?”
เขาเรียกเธอว่าภรรยา น้ำเสียงการพูดอ่อนโยน แฝงไปด้วยการขอร้องเล็กน้อย ท่าทีนั้น เหมือนกับคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ที่ตัดใจทิ้งไม่ลง แยกออกจากกันไม่ได้
แต่ซูหย่าก็กลืนน้ำลายของตัวเองไม่หยุด ไม่กลัวปีศาจชั่วร้ายที่บ้าคลั่ง แต่กลัวปีศาจที่แสร้งเป็นคนดี ในรอยยิ้มที่มีมีดซ่อนอยู่นี้ เธอก็สามารถทำได้ แต่ก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เอ่อคือ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็ไม่เคยออกห่างจากบ้านไปนานขนาดนี้ คุณย่า ฉันขอคิดดูสักเล็กน้อย”
คุณย่าพยักหน้า ตบเบาๆที่หลังมือของเธอ “ได้ เพียงแต่ ยัยหนู แต่งงานกับสามีแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสามี นี่แต่งงานกับทหาร บางครั้ง ก็ต้องเข้ากองทัพ คุณก็ต้องค่อยๆเคยชินไป”
ซูหย่านิ่งอึ้งไป ก้มหน้า แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง
เพราะเซียวอู๋อยู่บ้าน ซูหย่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปอยู่กับเล่อจยา
ทานข้าวแล้ว ก็นั่งเป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสเล็กน้อย แล้วจึงขึ้นชั้นบนไป
ซูหย่าอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นเซียวอู๋ที่สวมชุดนอน เอนตัวเล่นมือถืออยู่บนเตียง ใบหน้าของซูหย่าก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย
เธอกระแอมเล็กน้อย “เอ่อ อย่างนั้นฉันไปนอนห้องพักแขกนะ?”
ชายหนุ่มนำมือถือวางบนหัวเตียง เงยหน้าขึ้น สายตามองมาอย่างลึกซึ้ง เขาตบเบาๆตรงที่ว่างด้านข้าง ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “มานี่สิ”
ซูหย่าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เซียวอู๋รวบรวมความหวาดกลัวของเธอไว้ในสายตา ทันทีก็ก้มหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียง แล้วเดินเข้าไปหาซูหย่า
ออกแรงดึงแขนของเธอ แล้วโยนเธอลงบนเตียงโดยตรง จากนั้น คนก็กดลงไปบนร่างของซูหย่า “คุณหิวกระหายขนาดนั้น ฉันไม่ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ มันก็คงจะเป็นความผิดฉันใช่ไหมล่ะ?”
พูดพลาง นำมือใหญ่ๆคว้าไปที่ชุดนอนของซูหย่า ออกแรงฉีก “แคว่ก” เสียงผ้าฉีกขาด หน้าอกเย็นวาบอย่างคาดไม่ถึง
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ซูหย่าหวาดกลัวแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวาดกลัว เวลานี้ เธอก็ขวัญผวาไปหมดแล้ว
เธอส่ายหน้า “ไม่….ไม่เอา”
“ไม่เอา?อย่างนั้นจะเอาใคร?เอาไอ้หน้าละอ่อนคนนั้นเหรอ?คุณซู คุณคิดว่าฉันตายไปแล้วใช่ไหม?” ในสายตาเขาแดงก่ำ พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซูหย่ารู้ว่านี่คือหน้าตาของเขาจริงๆ
มือใหญ่ๆที่กุมลงบนผิวที่เย็นเยือกของซูหย่า ทันทีก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย เอียงหน้าไปยังด้านข้าง หลับตา เธอรู้ว่าด้วยกำลังของร่างกาย ที่เธอปฏิบัติต่อเซียวอู๋ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้น เพื่อไม่ทำให้เขาโกรธ และก็เพื่อลูกที่อยู่ในท้อง เธอจึงตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ดิ้นรน ถึงอย่างไร ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้ เธอก็ยอมรับได้ ถึงแม้ว่า ภายในใจจะเป็นทุกข์กับการกระทำของเซียวอู๋ก็ตาม
นี่ไม่ใช่ชีวิตของสามีภรรยาที่เธอต้องการ
เซียวอู๋ที่เดิมทีอยากจะลงโทษผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อฝ่ามือสัมผัสโดนผิวที่นุ่มลื่นของเธอ คาดไม่ถึงว่ามันจะกระตุ้นให้เขามีความปรารถนาและความลึกซึ้งต่อไปขนาดนี้
ซูหย่าเห็นสีหน้าปี๋ไคค่อยๆแดงขึ้น จึงร้อนใจ จับแขนเซียวอู๋มากัดลงไปอย่างแรง เธอใช้แรงอย่างมาก
ฉะนั้นเมื่อเซียวอู๋เจ็บปวดก็ปล่อยทันที ทว่าขณะเดียวกันที่ปล่อยมือ มือนั้นก็ยกขึ้น เล่อจยากลัวว่าเขาจะตบซูหย่า จึงรีบยื่นมือไปจับแขนของเขาไว้ มองส่งสัญญาณให้ซูหย่าออกไป
“คุณกล้ากัดฉันเพื่อเขาเหรอ ซูหย่า คุณกล้ามาก”
ซูหย่ามองค้อนเขา แล้วดึงปี๋ไคมา “เราไปกันเถอะ อย่าไปทะเลาะกับคนที่ไอคิวต่ำโรคประสาทคนนี้เลย”
พูดจบ รีบจูงมือปี๋ไคเดินไปทางประตูทางเข้า เมื่อเดินไปถึงนอกประตู ก็เห็นซูหย่าหันกลับมามองเล่อจยา “จยา มาเร็วเข้า”
เล่อจยาสูดลมหายใจ มองหน้าเซียวอู๋ หยิบกระเป๋าแล้ววิ่งออกไป
มองคนทั้งสามตรงหน้าตนเองหายไป เซียวอู๋โกรธจัดหันไปกวาดของบนโต๊ะอาหารกองลงมาอยู่กับพื้น
บนรถ
ซูหย่าเห็นรอยนิ้วมือบนคอของปี๋ไคอย่างชัดเจน “ทำไมคุณไม่รู้จักต่อต้านบ้าง?”
ปี๋ไคขมวดคิ้ว “ขณะนั้น ฉันรู้สึกว่าเขาหล่อมากเลย”
เล่อจยาที่นั่งอยู่ด้านหน้าหันไปมองปี๋ไค “คุณเป็นมาโซคิสม์จริงๆ”
ซูหย่าปล่อยมือเขา “คุณโรคจิตหรือไง”
“ฉันไม่ได้โรคจิต เพียงแต่ฉันรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก”
“อะไรนะ?”
“สามีของคุณ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ไม่สนใจคุณหรือเปล่า?”
ซูหย่าขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองปี๋ไคด้วยสีหน้าที่ดีใจทันที “ที่คุณพูดหมายความว่าอะไร?”
“เขาเห็นเราพูดคุยอยู่ด้วยกัน เขาก็มองคุณอย่างโกรธๆ ถ้าเขาไม่รู้สึกอะไรกับคุณจริงๆ เขาจะโกรธคุณอย่างนั้นทำไม?”
ซูหย่าดีใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ชั่วขณะก็หดหู่ลงมา ไหล่ของเธอตกลง “อย่างนั้นจะหมายความว่าอย่างไรได้?นั่นมันคนโง่ เห็นภรรยาของตนเองอยู่กับชายอื่นต่อหน้าก็ต้องโกรธอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?คุณไอคิวต่ำจริงๆเลย”
ปี๋ไคชำเลืองมองเธอ “เหรอ?ฉันไม่คิดอย่างนั้น”
“พวกคุณอย่าเถียงกันเลย เสี่ยวอู๋คนนั้นฉันรู้จักดี ถ้าเขาเดือดดาลขึ้นมา เขาสามารถฆ่าคนได้เลย เสี่ยวหย่า ไม่ว่าอย่างไร คุณก็เป็นภรรยาของเขา เป็นใครก็โกรธ พวกคุณอย่าเสี่ยงอันตรายอย่างนี้เลย”
ซูหย่าคอตก เงียบไปสักครู่หนึ่ง เธอก็พูดว่า : “ไม่เห็นจะเป็นสาระสำคัญอะไรเลย เขาจะทำอะไรฉันได้?ฉันแค่ทำท่าทีดูมีเลศนัยกับผู้ชายนิดๆหน่อยๆ ก็เท่านั้นเอง”
เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของเธอ เล่อจยาก็กลืนน้ำลาย
“เสี่ยวหย่า คุณยับยั้งชั่งใจหน่อย อย่ายั่วโมโหเขา คุณอย่าลืมสิ คุณยังท้องอยู่นะ?”
ปี๋ไคมองๆท้องของซูหย่า “เด็กเป็นของเขาเหรอ?”
ซูหย่ามองค้อนเขา “หรือว่าจะเป็นของคุณล่ะ?”
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย คุณวางใจได้” ปี๋ไคตอบกลับอย่างรวดเร็ว แล้วคนทั้งรถก็หัวเราะกันออกมา
แต่ทว่า ความดีนั้นทำยากแต่ความชั่วนั้นทำง่าย พวกเขาเพิ่งจะมาถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง ตระกูลเซียวก็โทรมาหา บอกว่าเซียวอู๋กลับมาแล้ว ให้ซูหย่ากลับไปทานข้าวด้วยกัน ยังบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องปรึกษาหารือ
เมื่อวางสายไป สีหน้าซูหย่าก็ดูเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย
“พูดว่าอะไร?ทำไมสีหน้าคุณเป็นอย่างนี้?”
ซูหย่าส่ายหน้า “ฟังแล้วคุณแม่ดูดีใจมาก ฉันจะคิดว่าเป็นแผนการร้ายได้อย่างไรล่ะ?”
เมื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงแล้ว ซูหย่าเดาไว้ไม่ผิดจริงๆ
“ยัยหนู เซียวอู๋ถูกย้ายไปเมืองอื่นชั่วคราว ไปครั้งนี้ ก็ประมาณครึ่งปี เขาบอกกับพวกเราว่า ทิ้งเจ้าสาวไว้ในบ้านคนเดียว ก็ทำใจทิ้งไม่ลงจริงๆ สมัครเข้าเป็นทหารแล้ว สมาชิกในครอบครัวก็ต้องเข้าร่วมกองทัพ กองทัพจึงอนุญาต” สีหน้าของคุณย่าดีใจ ทางด้านซูหย่ากัดริมฝีปาก บังคับตัวเองให้ใจเย็นลง
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอท้อง ไปที่นั่นแล้ว การดำรงชีวิตก็ไม่คุ้นเคย แม้แต่เธอไม่ท้อง เธอก็ไม่กล้าตามเขาไปหรอก อยู่เมืองC ไม่ว่าอย่างไรก็มีพ่อแม่อยู่ที่นี่ เซียวอู๋ก็ไม่กล้าทำอะไร แต่ใครจะรู้ว่า ไปที่นั่น เขาจะปฏิบัติต่อตนเองอย่างไร
เอสูดลมหายใจเข้า ยิ้มเล็กน้อยแล้วเงยหน้าขึ้น ส่งสายตามองไปยังเซียวอู๋ อีกฝ่ายกำลังนำมันฝรั่งชิ้นหนึ่งใส่เข้าปาก ต่อมาก็รู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ หันหน้ามามองเธอ ยิ้มเล็กน้อยอย่างอ่อนโยน แล้วกล่าวว่า: “คุณภรรยา ถึงแม้ทางด้านนั้น จะแตกต่างเล็กน้อย แต่ก็อยู่ด้วยกันเป็นกองทัพ แล้วก็ยังมีครอบครัวอื่นๆ ฉันก็จะได้มีเวลาว่างมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ มีเวลา พวกเราก็กลับเมืองC คุณจะตามไปอยู่ด้วยกันกับฉันไหม?”
เขาเรียกเธอว่าภรรยา น้ำเสียงการพูดอ่อนโยน แฝงไปด้วยการขอร้องเล็กน้อย ท่าทีนั้น เหมือนกับคู่รักที่เพิ่งแต่งงานกันใหม่ ที่ตัดใจทิ้งไม่ลง แยกออกจากกันไม่ได้
แต่ซูหย่าก็กลืนน้ำลายของตัวเองไม่หยุด ไม่กลัวปีศาจชั่วร้ายที่บ้าคลั่ง แต่กลัวปีศาจที่แสร้งเป็นคนดี ในรอยยิ้มที่มีมีดซ่อนอยู่นี้ เธอก็สามารถทำได้ แต่ก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า
“เอ่อคือ ตั้งแต่เล็กจนโต ฉันก็ไม่เคยออกห่างจากบ้านไปนานขนาดนี้ คุณย่า ฉันขอคิดดูสักเล็กน้อย”
คุณย่าพยักหน้า ตบเบาๆที่หลังมือของเธอ “ได้ เพียงแต่ ยัยหนู แต่งงานกับสามีแล้วก็ต้องปฏิบัติตามสามี นี่แต่งงานกับทหาร บางครั้ง ก็ต้องเข้ากองทัพ คุณก็ต้องค่อยๆเคยชินไป”
ซูหย่านิ่งอึ้งไป ก้มหน้า แล้วตอบ”อืม”คำหนึ่ง
เพราะเซียวอู๋อยู่บ้าน ซูหย่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะไปอยู่กับเล่อจยา
ทานข้าวแล้ว ก็นั่งเป็นเพื่อนกับผู้อาวุโสเล็กน้อย แล้วจึงขึ้นชั้นบนไป
ซูหย่าอาบน้ำเสร็จออกมา ก็เห็นเซียวอู๋ที่สวมชุดนอน เอนตัวเล่นมือถืออยู่บนเตียง ใบหน้าของซูหย่าก็ร้อนผ่าวเล็กน้อย
เธอกระแอมเล็กน้อย “เอ่อ อย่างนั้นฉันไปนอนห้องพักแขกนะ?”
ชายหนุ่มนำมือถือวางบนหัวเตียง เงยหน้าขึ้น สายตามองมาอย่างลึกซึ้ง เขาตบเบาๆตรงที่ว่างด้านข้าง ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวว่า “มานี่สิ”
ซูหย่าส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าว
เซียวอู๋รวบรวมความหวาดกลัวของเธอไว้ในสายตา ทันทีก็ก้มหน้าเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลิกตัวลงจากเตียง แล้วเดินเข้าไปหาซูหย่า
ออกแรงดึงแขนของเธอ แล้วโยนเธอลงบนเตียงโดยตรง จากนั้น คนก็กดลงไปบนร่างของซูหย่า “คุณหิวกระหายขนาดนั้น ฉันไม่ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ มันก็คงจะเป็นความผิดฉันใช่ไหมล่ะ?”
พูดพลาง นำมือใหญ่ๆคว้าไปที่ชุดนอนของซูหย่า ออกแรงฉีก “แคว่ก” เสียงผ้าฉีกขาด หน้าอกเย็นวาบอย่างคาดไม่ถึง
ถ้าจะบอกว่าก่อนหน้านี้ซูหย่าหวาดกลัวแล้ว ก็ยังเป็นเพียงความหวาดกลัว เวลานี้ เธอก็ขวัญผวาไปหมดแล้ว
เธอส่ายหน้า “ไม่….ไม่เอา”
“ไม่เอา?อย่างนั้นจะเอาใคร?เอาไอ้หน้าละอ่อนคนนั้นเหรอ?คุณซู คุณคิดว่าฉันตายไปแล้วใช่ไหม?” ในสายตาเขาแดงก่ำ พูดอย่างกัดเขี้ยวเคี้ยวฟัน ซูหย่ารู้ว่านี่คือหน้าตาของเขาจริงๆ
มือใหญ่ๆที่กุมลงบนผิวที่เย็นเยือกของซูหย่า ทันทีก็ร้อนผ่าวขึ้นมา
แต่ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเล็กน้อย เอียงหน้าไปยังด้านข้าง หลับตา เธอรู้ว่าด้วยกำลังของร่างกาย ที่เธอปฏิบัติต่อเซียวอู๋ ก็เหมือนกับเอาไข่ไปกระทบหิน ดังนั้น เพื่อไม่ทำให้เขาโกรธ และก็เพื่อลูกที่อยู่ในท้อง เธอจึงตัดสินใจละทิ้งการต่อสู้ดิ้นรน ถึงอย่างไร ก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว เรื่องแบบนี้ เธอก็ยอมรับได้ ถึงแม้ว่า ภายในใจจะเป็นทุกข์กับการกระทำของเซียวอู๋ก็ตาม
นี่ไม่ใช่ชีวิตของสามีภรรยาที่เธอต้องการ
เซียวอู๋ที่เดิมทีอยากจะลงโทษผู้หญิงคนนี้ แต่เมื่อฝ่ามือสัมผัสโดนผิวที่นุ่มลื่นของเธอ คาดไม่ถึงว่ามันจะกระตุ้นให้เขามีความปรารถนาและความลึกซึ้งต่อไปขนาดนี้
การแสดงออกของคุณย่า ทำให้ซูหย่ารู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย “คุณย่า คุณมีเรื่องอะไร คุณพูดมาตรงๆได้เลยนะ ไม่เป็นไร”
“ยัยหนู ที่หน่วยของเสี่ยวอู๋มีภารกิจ จึงออกไปแต่เช้า มันไม่ยุติธรรมกับคุณเลย”
ซูหย่าตกตะลึง จากนั้นจึงโล่งอก เธอตกใจแทบตาย ยังคิดว่าเรื่องอะไร?เซียวอู๋ไปแล้วก็ดีนะสิ?ถ้าไม่ไป เธอยังกลัวว่าเขาจะพบเจออะไร
ก้มหน้าปกปิดความดีใจในแววตา แล้วเงยหน้ามองคุณย่า ยิ้มอย่างอ่อนโยน : “คุณย่า ไม่เป็นไร นั่นเป็นภาระหน้าที่ของเขา เป็นทหารครอบครัวใหญ่ต้องมาก่อนครอบครัวเล็ก เหตุผลนี้ ฉันเข้าใจได้”
ความอ่อนโยนและความปรารถนาดีของเธอ ทำให้ทุกคนในตระกูลเซียวโล่งใจ
“เสี่ยวอู๋ของเราแต่งงานกับคุณ ช่างโชคดีจริงๆเลย” คุณย่าพูดอย่างประทับใจ คุณปู่ก็พยักหน้า
พ่อเซียวแม่เซียวยิ้มไม่พูดอะไร
เมื่อนึกถึงคำพูดที่เซียวอู๋พูดในบันทึกเสียงก่อนหน้านี้ ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองพิจารณาพ่อเซียวแม่เซียว พ่อเซียวดูสุขุมและน่าเกรงขาม แม่เซียวก็อยู่บ้านเป็นแบบอย่างที่ดี ดูเหมือนเป็นแม่ปกติทั่วไป มันยากมาที่จะเชื่อมโยงพ่อแม่กับคำพูดของเซียวอู๋เข้าด้วยกัน
หลังจากทานอาหารเที่ยงกับคนตระกูลเซียวเสร็จ ซูหย่าก็หาข้ออ้างว่าอยู่ที่ตระกูลเซียวคนเดียวรู้สึกเบื่อ อยากกลับตระกูลซู
แม้ว่าจะรู้สึกว่าเจ้าสาวจะกลับไปหาครอบครัวในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่แต่งงานนี้ ตามมารยาทแล้วดูไม่เหมาะสมเล็กน้อย แต่ตระกูลเซียวพิจารณาแล้วว่าวันรุ่งขึ้นลูกชายตนเองก็กลับเข้ากองทัพ ซูหย่าก็เพิ่งแท้งไป อารมณ์และร่างกายต้องการการดูแล
ก็เลยไม่ได้ปฏิเสธ
เมื่อเล่อจยาเห็นซูหย่าปรากฏตัวพร้อมกับกระเป๋าเดินทาง ก็ตกใจอย่างมาก “คนตระกูลเซียวให้คุณย้ายออกมาจริงๆเหรอ?”
ซูหย่าทิ้งกระเป๋าไว้ที่หน้าประตู เดินเข้าไปนอนลงบนโซฟา “ลูกชายของพวกเขาหนีไปอย่างไร้ร่องรอย พวกเขาเลยละอายใจที่จะให้ฉันอยู่ต่อมั้ง?”
“เสี่ยวอู๋กลับกองทัพไปแล้วเหรอ?” เล่อจยาประหลาดใจ “นี่เขาทำเกินไปแล้วหรือเปล่า?หลังจากแต่งงานก็หนีไปเลย”
ซูหย่ากินกล้วยอยู่ ได้ยินเล่อจยาพูดแบบนี้ การกระทำของเธอก็ชะงักลง “ยังมีที่มากกว่านี้อีกนะ?เขาบอกว่า จะทำให้ฉันเป็นหม้ายไปตลอดชีวิต”
ชั่วขณะเล่อจยาก็พูดอะไรไม่ออก เธอจับมือของซูหย่า “เสี่ยวหย่า……”
เห็นท่าทางที่เห็นอกเห็นใจของเล่อจยา ซูหย่าก็หัวเราะ “ไม่เป็นไร เขากล้าทำให้ฉันเป็นหม้าย ฉันก็จะสวมเขาให้เขาเอง”
“แค่กๆ……” เกาไห่ที่เพิ่งออกมาจากห้องหนังสือ เพิ่งจะดื่มน้ำไป ได้ยินคำพูดของซูหย่า ก็สำลักทันที
ถอนหายใจแล้วชี้นิ้วไปที่ซูหย่า “ซูหย่า คุณอย่าพาภรรยาฉันไปทำเรื่องไม่ดีนะ”
ซูหย่าได้ยินก็มองเขาอย่างอารมณ์เสีย “ภรรยาคุณ?เธอมีความรักที่ลึกซึ้งต่อคุณ ฉันคิดจะพาไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ขอแค่คุณปฏิบัติต่อเธออย่างดี เธอก็ควักหัวใจออกมาให้คุณแล้ว”
คำพูดที่เกินจริงของเธอ ทำให้เล่อจยาตีๆขาของเธอ “ฉันโอเวอร์อย่างที่คุณพูดแบบนั้นเลยเหรอ?”
คำพูดบนโลกใบนี้บางทีก็แปลกๆ พูดดีกลับไม่ดี พูดแย่แต่กลับมั่นใจ
แต่ไหนแต่ไรซูหย่าไม่เคยคิดว่า วันนี้ที่เธอพูดออกมาเรื่อยเปื่อย ผ่านไปไม่กี่วันก็กลายเป็นจริง
วันนี้ตอนเช้า เล่อจยายังนอนหลับอยู่ เธอได้ยินเสียงเคาะประตูห้องอย่างรีบร้อน
“ซูหย่า คุณจะไม่ปล่อยให้คนนอนเลยใช่ไหม?” เปิดประตู เล่อจยาก็หาว เห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของซูหย่าจึงถามว่า “นี่คุณเป็นอะไร?”
“จยาจยา เขากลับมาแล้ว!”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ใคร?เสี่ยวอู๋เหรอ?”
“เขากลับมาแล้ว ฉันอยากจะร้องไห้ ฉันดีใจอะไรเนี่ย คือเขา ปี๋ไค”
ดึงปิดประตู เล่อจยาก็จูงซูหย่าไปห้องรับแขก นั่งลงบนโซฟา “ใช่แล้ว ทำไมฉันถึงลืมเขาไปได้นะ?คุณแต่งงาน เขาจะไม่กลับมาได้อย่างไร?”
ซูหย่าถอนหายใจ “สองสามวันนั้นเขาไปไม่ได้”
ลุกขึ้นไปยังห้องครัว เปิดไฟต้มน้ำ เล่อจยากล่าวว่า “เพียงแต่ เขากลับมาแล้ว คุณดีใจขนาดนี้ เพราะอะไรล่ะ?” พูดจบ เธอก็ขมวดคิ้ว มองซูหย่า “คุณ….คุณต้องการจะสวมเขาให้เสี่ยวอู๋จริงๆเหรอ?”
สีหน้าซูหย่าแดงเป็นเลือดฝาด ชัดเจนว่าตื่นเต้นเล็กน้อย
“คุณรีบไปอาบน้ำเถอะ พวกเรานัดเจอกันสถานที่เดิม”
ซูหย่าส่ายหน้า “คุณอย่ามาทำซี้ซั้ว ตอนนี้คุณเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ในท้องก็ยังมีลูกอีกคนหนึ่ง คุณทำแบบนี้ มันผิดจารีตประเพณี เสี่ยวอู๋จะคิดกับคุณอย่างไร พวกเราไม่พูดคุยกันก่อน แต่คุณมาทำแบบนี้ ต่อไป คุณจะพูดกับเขาอีก ก็ไม่มีความหมายแล้ว”
พูดพลาง หยิบหวีที่อยู่ข้างๆขึ้นมา หวีผมที่ยาวให้กับซูหย่า ตั้งแต่ตั้งท้อง ผมของซูหย่า ก็ร่วงอย่างรุนแรง เล่อจยาหวีผมด้วยความเบามืออย่างมาก แต่ก็ยังคงร่วงเป็นจำนวนมาก
“คิดสกปรก ฉันบอกไปแล้ว ต้องทำอะไรอีกล่ะ?อีกอย่าง คุณก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่า เขาสนใจผู้ชาย”
เล่อจยาเคยเจอปี๋ไคหลายครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งที่สะอาดและบริสุทธิ์พอที่จะบรรยายถึงความไร้เดียงสาได้ ดวงตาใสสะอาด ดวงตาบริสุทธิ์ แต่ถูกซูหย่าบีบบังคับตั้งแต่เด็กจนโต
ตอนเด็กๆคนทั้งสองก็โตมาจากในลานบ้านเดียวกัน
เวลานั้น เธอไม่รู้รสนิยมทางเพศของปี๋ไค และมักจะล้อเล่นระหว่างกันอยู่บ่อยๆ ทุกครั้ง เพียงแค่เธอเอ่ยปาก ปี๋ไคก็จะแสดงท่าทีที่หวาดกลัว พอนึกถึงแล้ว เธอก็ยังอยากจะหัวเราะ
“คุณเพิ่งแต่งงาน เขาก็กลับมา ฉันคิดว่าเขาน่าจะรู้สึกว่าเป็นผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติใช่ไหม?” เล่อจยาหยอกเย้าซูหย่า
“หยุด เดิมทีฉันก็ไม่ได้ชอบเขาอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้น เขาจะถูกเอาเปรียบมากขนาดนี้เหรอ”
เล่อจยาไม่โต้เถียงกับเธอ ตั้งท้องอยู่ ต้องเอ็นดูหน่อย
เพียงแต่ ไม่ว่าอย่างไรคนทั้งสอง ก็คาดไม่ถึงว่าจะได้พบกับเซียวอู๋ที่นั่น
“เสี่ยวหย่า ทางนี้” คนทั้งสองเพิ่งเข้าประตูไป ปี๋ไคก็ชูมือขึ้นมายังพวกเขา แล้วร้องเรียกเสียงดัง
“ไม่ยุติธรรมเลย?เรียกแต่เธอไม่เรียกฉัน” นั่งลงแล้ว เล่อจยาก็พูดหยอกล้อ
ซูหย่านั่งลงข้างๆปี๋ไค สวมกอดแขนของเขา แล้วนำศีรษะพิงที่ไหล่ของเขา “ไคไค ฉันแต่งงาน คุณก็ไม่กลับมา คุณใจร้ายเกินไปแล้ว”
เล่อจยารู้สึกขนลุกขึ้นมา ถึงแม้ฉากแบบนี้ เธอจะเคยเห็นมาเป็นร้อยเป็นพันครั้งแล้ว แต่ก็ยังรับรูปแบบการอยู่ร่วมกันของคนทั้งสองไม่ได้ ถึงปี๋ไคจะไม่ได้สนใจผู้หญิง แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้ชาย เธอนำน้ำแก้วหนึ่งดันไปยังตรงหน้าของซูหย่า “รับดื่มของอุ่นสักหน่อยเถอะ”
ซูหย่าเงยหน้ามองปี๋ไค “ไคไค คุณป้อนฉันหน่อยสิ”
ปี๋ไคก้มหน้า ทอดถอนใจอย่างจนปัญญา ยกแก้วที่อยู่บนโต๊ะขึ้น แล้วป้อนใส่ปากซูหย่า “แต่งงานแล้ว ยังมาทำตัวไร้เดียงสาแบบนี้ อยากจะเห็นจริงๆว่า ใครที่ยอมรับคุณได้ รับเอ่ยปากพูดมาเถอะ”
นี่ก็คือปี๋ไค ถึงแม้ว่าปากจะไม่แยแส แต่ก็ปฏิบัติต่อซูหยาเหมือนเด็กมาโดยตลอด เล่อจยาไม่เคยเห็นเลยว่า ปี๋ไคจะโมโหใส่ซูหย่า
ซูหย่าจิบอึกหนึ่ง แล้วก็เบะปาก “ไคไค ร้อนอะ เป่าให้หน่อย”
ปี๋ไคก็ว่าง่ายจริงๆนำเข้ามาใกล้ปากแล้วเป่าให้ จู่ๆ ก็มีเงาสูงใหญ่เงาหนึ่ง ปรากฏที่บนโต๊ะ เล่อจยาเงยหน้า รีบลุกขึ้นยืน “เสี่ยว….เสี่ยวอู๋”
สายตามองไปยังตรงกันข้าม ชายหญิงทั้งสองคนนั้นคลอเคลียกันอยู่ ทันใด สายตาก็มองไปอย่างเคร่งขรึม
ปี๋ไคเห็นการตอบสนองของเล่อจยา ก็มองตามสายตาเธอไป เมื่อมองขึ้นไปก็เห็นเซียวอู๋ในชุดทหาร เขาใช้มือดันหัวซูหย่าไป แล้วเชยคางเธอขึ้น
เมื่อซูหย่าหันไปเห็นเซียวอู๋ เธอก็ตกตะลึง ทันทีหลังจากนั้นการแสดงออกก็กลับมาเป็นปกติ “ไคไค เขาคือผู้ชายที่แต่งงานกับฉัน”
เล่อจยาขมวดคิ้ว คิดตำหนิอยู่ในใจ : เรื่องราววุ่นวายใหญ่โตแล้ว ถึงแม้ว่าเซียวอู๋คนนี้จะไม่ชอบซูหย่า แต่ผู้ชายคนไหนจะทนให้ภรรยาที่เพิ่งแต่งงานกันใกล้ชิดสนิทสนมกับชายอื่นได้ล่ะ
คิดๆแล้ว เธอรู้สึกอยากจะอธิบาย “เสี่ยวอู๋ อันที่จริงแล้วเรื่องราว……”
ฉับพลันกลิ่นหอมๆก็โชยแตะจมูก สาวสวยหุ่นดีคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้พวกเขา “เซียวอู๋ ขอโทษนะ บนถนนรถมันติด ฉันเลยมาช้า”
ผู้หญิงเสื้อเชิ้ตสีขาวกระโปรงสีดำ มวยผมไว้ด้านหลัง มองออกว่าเป็นมนุษย์เงินเดือน เพียงใบหน้าดูดีมีน้ำมีนวล
แต่ว่า……มือของผู้หญิงคนนั้น ควงแขนของเซียวอู๋อยู่ ความสัมพันธ์นี้มันผิดปกติตั้งแต่แรกเห็น
จนกระทั่งคำพูดต่อมาของเล่อจยา ก็กลืนกลับไป
“เธอเป็นใคร?” ซูหย่าเอ่ยถาม
เซียวอู๋ยกยิ้มขึ้น หันไปมองผู้หญิงคนนั้น “เธอถามคุณ ว่าคุณเป็นใคร?”
ผู้หญิงคนนี้จึงมองซูหย่าได้ชัดๆ เมื่อเห็นหน้าเธออย่าชัดเจนแล้ว เธอก็แข็งทื่อไปทั้งตัว หลังจากนั้นมือก็ตกลง
งานแต่งงานของซูหย่าและเซียวอู๋เพิ่งผ่านไป ผู้หญิงคนนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้จัก
“ฉัน……ฉัน……” หญิงสาวพูดติดอ่างขึ้นมา
เล่อจยาถอนหายใจ “เสี่ยวอู๋ นี่คุณทำไม่ถูกนะ คุณเพิ่งจะแต่งงาน ก็ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นแล้วเหรอ?อีกทั้งคุณกลับมาแล้ว ทำไมไม่ไปดูเสี่ยวหย่าบ้าง?”
เซียวอู๋ทำเสียงไม่พอใจ “ฉันเห็นว่าชีวิตเธอก็ดูสุขสบายดี ฉันต้องไปดูด้วยเหรอ?”
“นั่นเธอ……” เล่อจยาพยายาม อยากจะอธิบาย
ซูหย่ามองเธอตาขวาง เล่อจยาจึงปิดปากเงียบ ซูหย่าควงแขนปี๋ไคอีกครั้ง “ไคไค ฉันจะดื่มน้ำ”
คนที่เงียบที่สุดก็คือปี๋ไค ตลอดเวลาสีหน้าของเขาไม่ค่อยเปลี่ยนไป ได้ยินซูหย่าบอกว่าจะดื่มน้ำ เขาก็ยกขึ้นมา เป่าให้เล็กน้อย แล้วส่งให้ซูหย่า “ดื่มเถอะ ไม่ร้อนแล้ว”
ซูหย่าหอมแก้มเขาโดยไม่สนใจใคร “ขอบคุณนะ ไคไค”
เล่อจยากุมขมับ ไม่กล้าจะมองสีหน้าของเซียวอู๋
จนกระทั่ง “เซียวอู๋ ฉันหิวแล้ว เราไปทานข้าวกันเถอะ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างออดอ้อน
เล่อจยาเงยหน้าขึ้น มองผู้หญิงคนนั้นด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง แล้วมองซูหย่าที่สีหน้าเรียบเฉย เริ่มสวดภาวนาให้ผู้หญิงคนนั้น นิสัยของซูหย่า แตกต่างจากเธอเล็กน้อย คือมีแค้นก็ต้องชำระ หญิงสาวคนนี้แย่งสามีเธออย่างโจ่งแจ้ง ซูหย่าไม่สามารถปล่อยเธอไปแน่
เซียวอู๋จ้องมองไปที่ซูหย่า หันไปโอบเอวเธอแล้วเดินจากไป
หลังจากพวกเขาเดินออกไป ซูหย่ายังคงไม่เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน
เวลานี้ บริกรเดินเข้ามา “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ไม่ทราบจะสั่งอาหารอะไรดีครับ?”
เล่อจยาเตรียมจะรับเมนูอาหารทา ปี๋ไคก็เริ่มสั่ง : ต้มแซ่บปลาผักดอง กุ้งน้ำเกลือ………
สั่งอาหาร 8 อย่าง กับของหวาน 2 อย่าง มีของที่ซูหย่าชอบกิน แล้วก็ของที่เธอชอบกิน
“คุณยังจำได้ด้วยเหรอว่าฉันต้องการอะไร?” เล่อจยาประหลาดใจ
ปี๋ไคเหยียดมือออกไปผลักหัวของซูหย่าออกจากแขน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “สายตาแย่จริงๆเลย”
ซูหย่าทุบแขนเขา “จะโทษฉันไม่ได้นะ?ทำไมคุณไม่แต่งงานกับฉันตั้งแต่แรกล่ะ?”
“ปัง” ที่นั่งข้างๆ ทุบตะเกียบลงบนโต๊ะอย่างแรง
การแสดงออกของคนทั้งสาม ต่างก็แข็งทื่อ เล่อจยามองผ่านช่อกระจกเล็กๆเข้าไป แววตาสีเขียว ปรากฏเข้ามายังดวงตา
เธอทำท่าทีให้เงียบ ชี้ไปยังที่นั่งข้างๆ พูดกระซิบเบาๆว่า: “คือเสี่ยวอู๋”
ปี๋ไคลดสายตาลง มองไม่เห็นการแสดงออก ส่วนซูหย่ายกแก้น้ำจิบอึกหนึ่ง
“ไคไค คุณกลับมาแล้วจะไปอีกเมื่อไร?”
ปี๋ไคหยุดชะงักเล็กน้อย “อาจจะไม่ไปแล้ว”
“ไม่ไปแล้ว?จริงเหรอ?” ปี๋ไคคือคนที่ค้นคว้าวิจัยอุปกรณ์ทางการแพทย์ หลังจากไปเรียนที่ต่างประเทศ ก็อยู่ที่ต่างประเทศเลย หลายปีมานี้ จะกลับมาปีละครั้ง ซูหย่ามักจะพูดเสมอว่าเขาคือคนขายชาติ ประเทศชาติเลี้ยงดูเขามา แต่เข้าไปทำคุณงามความดีให้กับประเทศอื่น
“กลับมา ดูแลคุณได้สะดวกหน่อย”
ซูหย่ามองปี๋ไค “เชี่ย คำพูดนี้ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้?ถ้าพูดเร็วกว่านี้ ฉันก็ไม่แต่งงานแล้ว ไคไค”
เล่อจยาขมวดคิ้ว สองคนนี้จงใจแสดงละครให้เซียวอู๋ดูเหรอ?
“ไม่เป็นไร ถึงอย่างไร คนคนนั้นของคุณก็ไปเลี้ยงเมียน้อยนอกบ้านไม่ใช่เหรอ?หากปี๋ไคไม่ถือสาล่ะก็ คุณก็เลี้ยงดูเธอไปเถอะ” เล่อจยากล่าวร่วมด้วย
ซูหย่าทำการถ่ายรูปกับปี๋ไคเล็กน้อย “อืม ไม่เลว หน้าตาดูละอ่อนดี”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูหย่าจึงเอ่ยปาก “ไคไค คุณใช้ชีวิตที่นั่น เป็นอย่างไรบ้าง?”
เล่อจยาได้ยิน ก็แทบจะสำลักน้ำ เธอกระแอมไออย่างรุนแรง มองๆคนโดยรอบ โชคดีที่ยังไม่มีใคร “เสี่ยวหย่า คุณไม่ต้อง….เปิดเผยขนาดนี้ได้ไหม?นี่มันที่สาธารณะนะ….”
ในทันทีก็มีเสียงกระแอมไอจากผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆดังเข้ามา เล่อจยาเข้าใกล้เล็กน้อย จนกระทั่งสามารถฟังได้ชัดถึง เสียงหายใจที่รุนแรงของเซียวอู๋
ส่งสายตามองค้อนซูหย่าเล็กน้อย
“ทำไมล่ะ?ฉันก็ไม่ได้ถามอะไรผิดนี่?คุณบอกว่าทำหน้าละอ่อน หรือว่าเรื่องนั้นไม่สำคัญ?”
“เอาล่ะๆ ปัญหานี้ พอแค่นี้ ยิ่งพูดยิ่งไม่เข้าท่า”
ซูหย่าแลบลิ้นใส่เธอ แล้วก้มหน้า เล่นกล่องกระดาษทิชชูบนโต๊ะ
“ไม่ลองหน่อยเหรอ?” เพียงแค่ด้านนี้สงบลง จู่ๆปี๋ไคก็ส่งเสียงพูด
เล่อจยารู้สึกว่า อาหารมื้อนี้ คงทานไม่ได้แล้ว
จู่ๆ ก็มีเสียงเก้าอี้ดังขึ้น
พอคนสองสามคนมีปฏิกิริยาตอบสนอง เงาสีเขียว พุงเข้ามาจากที่นั่งข้างๆ รองเท้าทหารเหยียบขึ้นมาบนโต๊ะของพวกเขาโดยตรง ต่อจากนั้น เสื้อของปี๋ไคก็ถูกดึงขึ้น
“มึงแม่งเป็นเชี่ยอะไรเนี่ย ผู้หญิงของกู มึงก็กล้ามาแตะต้องเหรอ?”
คนทั้งหมดในห้องอาหาร ก็โกลาหลขึ้นมา บางคนก็แตกตื่น บางคนก็หนีออกจากสถานที่
เล่อจยาเห็นว่าหากทะเลาะกันต่อไป คาดว่าจะจัดการยาก จึงรีบเข้าไปดึงเซียวอู๋ “เสี่ยวอู๋ ก็แค่ล้อเล่นกัน คุณรีบปล่อยเถอะ”
แต่เซียวอู๋ไม่สะทกสะท้าน มือก็ยิ่งเพิ่มความแรงมากขึ้น สีหน้าของปี๋ไคก็ซีดเล็กน้อย
ซูหย่าร้องเชอะด้วยเสียงที่เย็นชา “คุณเซียวจะมายุ่งเรื่องของคนอื่น ช่วยเช็ดก้นของตัวเองให้สะอาดก่อนเถอะ” พูดจบ ก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยเสียงที่เย็นชาว่า: “ปล่อยมือ!”
เซียวอู๋มองไปยังเธอ “เจ็บปวดใจเหรอ?”
เกาไห่เอามือลูบหัว “แต่ก่อนหน้านั้นที่แม่คุณป่วย ดังนั้น…ภรรยา ผมคิดไม่รอบคอบเอง”
พอพูดเสร็จเล่อจยารู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในใจเขา?
เขาหายใจขึ้นด้วยความโกรธ “เธอมาขอเงินคุณ 1 ล้านหรือเปล่า”
นิ้วเรียวแตะแก้มของเล่อจยาและมุมปากของเขานั้นโค้งงอเป็นแนวโค้งที่สวยงาม
“คุณมันล้ำค่า นับประสาอะไร1ล้าน ขอให้เป็นทุกอย่างเพื่อคุณผมก็คิดว่ามันคุ้มค่า”
“เธอทำกับฉันแบบนี้ได้ยังไง!” เล่อจยาคร่ำครวญและโยนกระเป๋าลงบนโต๊ะกับพื้น ยกแขนขึ้นเพื่อบังตา และน้ำตาก็ไหลลงมา
ในเวลานี้ เธอรู้สึกขอบคุณที่พ่อแม่ของเกาไห่จากไป ไม่เช่นนั้น เธอคงนึกไม่ออกว่าเธอจะยืนอยู่ในบ้านของพวกเขาอย่างไร และคนอื่นจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร
เกาไห่ทำหน้าประหม่าและจับมือเธอ “ภรรยา…”
เล่อจยาสูดกลิ่น เงยหน้าขึ้น และมองเกาไห่อย่างแน่วแน่ “เกาไห่ ค่าสินสอด ถ้าจะต้องให้ก็ต้องให้พ่อของฉันเท่านั้น เธอไม่มีคุณสมบัติ”
เกาไห่กอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “โอเค หยุดร้องไห้ คุณจะเอาอย่างไร ผมก็ตามใจคุณ ผมก็เชื่อฟังคุณ แต่ จยาจยา ผมต้องการให้คุณรู้ไว้ว่า ขอแค่เงินมันแก้ปัญหาได้ แค่ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ที่แก้ไขได้ เราเป็นสามีภรรยากัน เงินที่ผมหามาได้ก็เป็นของคุณ คุณจะควบคุมมันหรือใช้ได้ตามต้องการ เข้าใจไหม”
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปรอบๆ โต๊ะ เปิดลิ้นชักหยิบการ์ดออกมาแล้วยื่นให้เล่อจยา “การ์ดใบนี้ ถึงแม้ในอนาคตถึงคุณจะไม่ต้องการผม คุณก็ไม่ต้องการ คืนให้ผม ตกลงไหม”
เล่อจยาจ้องมองที่เขาทั้งร้องไห้และยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันสามารถใช้เงินนี้เพื่อเลี้ยงผู้ชายเหล่านั้น ได้หรือไม่?”
เกาไห่จูบเธอที่หน้าผาก “ถ้าอย่างนั้นผมจะเป็นผู้ชายเหล่านั้น แล้วคุณก็เลี้ยงดูมัน”
“เอาล่ะ คุณรีบนั่งพักสักครู่ หลังจากยืนเป็นเวลานาน แผลมันจะหาย” เธอพูดและช่วยให้เกาไห่นั่งลง
หลังจากที่เกาไห่นั่งลง เล่อจยาก็นั่งลงข้างๆ และจับมือเขา “ถ้าคุณไม่ได้รับอนุญาตจากฉันคุณห้ามเอาเงินให้ เธอมิฉะนั้น ฉันจะโกรธจริงๆ”
“ก็ต้องฟังคำสั่งภรรยาของผมซิ แต่แผนที่จะให้น้องชายของคุณซื้อบ้านคุณคิดว่าอย่างไร”
เล่อจยามวดคิ้ว “เธอเคยบอกเรื่องนี้กับคุณด้วยเหรอ?”
ในเวลานี้ โทรศัพท์มือถือของเล่อจยาก็ดังขึ้น เป็นเล่อเหวินที่โทรมา “พี่สาวครับ แม่ก็เป็นแบบนี้แหละ พี่ไม่ต้องสนใจเธอ แล้วผมก็ลืมบอกไปว่าพี่เขยช่วยหางานให้ผมทำด้วย ถึงผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพี่กับเขา แต่พี่เขยเป็นคนดีนะ เสี่ยวอวี่เอ๋อเกลี้ยกล่อมพ่อแม่ของเธอแล้วเรื่องบ้านขอให้ผมสัญญาว่าจะซื้อมันภายในสามปี ผมจะตั้งใจทำงานครับ .”
มุมปากของเล่อจยายิ้มและหันไปมองเกาไห่ “ขอบคุณนะค่ะ”
“หือ? ขอบคุณสำหรับอะไร?”
เล่อจยายื่นโทรศัพท์ให้เขาโน้มตัวจูบเขาไปทีหนึ่ง “สามี ฉันกำลังจะหย่ากับคุณแล้ว ทำไมคุณถึงยังช่วยน้องชายของฉันอีก”
เกาไห่เลิกคิ้ว “เพราะผมไม่เคยคิดที่จะหย่ากับคุณ”
“แต่คุณก็ไม่เชื่อฉันแล้ว ทำไมคุณถึงอยากอยู่กับฉันล่ะ คุณมันใจร้ายจัง” คำพูดในใจโพล่งออกมา
เล่อจยาเห็นใบหน้าของเล่อจยาเศร้าลงเล็กน้อย
หลังจากนั้นไม่นาน เกาไห่ก็พูดว่า: “อันที่ไม่ใช่ผมไม่เชื่อคุณ ผมแค่กลัว”
“กลัว? กลัวอะไร?”
“กลัวจะเสียคุณไป”
“ไร้สาระ กลัวจะเสียฉันไป ถามฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
เกาไห่จับเล่อจยาไว้ในอ้อมแขน มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ในใจว่าตอนนั้นเขากลัวมากขึ้น “หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วผมจะพาคุณไปพบใครคนหนึ่ง”
“พบใคร”
เกาไห่ไม่ตอบ
เมื่อมองไปที่เรือนจำที่อยู่ข้างหน้าเขา เล่อจยาดึงเสื้อของเกาไห่ “นี่…”
“ไปกันเถอะ” สีหน้าของเกาไห่ดูไม่ดีเล็กน้อย
เล่อจยาถามเกาไห่ “ใคร?”
“เกาเหวิน ลูกสาวของแม่เลี้ยงของผม ผมเคยเล่าให้คุณฟังแล้ว”
เล่อจยาดูเหมือนจะจำขึ้นมาได้ แต่เธอไม่เข้าใจว่าทำไม เกาไห่ถึงต้องการพาเธอมาที่นี่?
“ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นคนใจดีมากคนหนึ่ง แต่ต่อมาเพื่อความรัก เธอใช้ทุกวิถีทาง เธอผลักผมลงจากหน้าผา และปล่อยให้แม่ของเธอรับโทษแทนเธอ เธอทำผิดมามาก… แต่… “เกาไห่หันกลับมามองเล่อจยา “แต่ในตอนแรก เธอใจดีและเรียบง่ายเหมือนคุณ แต่เธอเปลี่ยนไปเพราะความรัก”
ผมจึงกลัวว่าคุณจะเป็นเหมือนเธอ กลัวที่จะเสียคุณไป
“เพราะผมห่วง ผมยิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ไหยุ่นไม่มีเจตนาและเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผมใดๆ แต่ ภรรยา คุณกับเขาแตกต่างกัน” เสียงของเขาที่ดังก้องอยู่ในหูของเธอ ในใจของเล่อจยา ณ เวลานี้ ปมทั้งหมดได้หายไป
ตั้งแต่เห็นเกาไห่เดินเข้ามาที่นี่ คิ้วของเธอก็ขมวด เธอรู้ว่าเขากำลังขับไล่อะไรในใจ เธอจับแขนเขาแล้วส่ายหัว หรือว่าเราไม่ต้องไปเจอแล้ว? ”
“ไปกันเถอะ.”
เกาเหวินได้ยินมาว่ามีใครบางคนต้องการพบเธอและคิดว่าเป็นการกลับมาของพ่อเกา หน้าของเธอจึงแดงด้วยความตื่นเต้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่ตรงที่คั่นด้วยกระจก หน้าของเธอก็ซีด
แล้วก้มศีรษะลงนั่งช้าๆ
“คุณมาทำ…อะไรเนี่ย”
เกาไห่ชี้ไปที่เล่อจยา “พาพี่สะใภ้มาให้เธอรู้จัก”
เธอขยับสายตาจากเกาไห่ไปยังเล่อจาย และหลังจากมองขึ้นและลงครู่หนึ่ง เธอก็เยาะเย้ย “เหอเหอ…ฮิฮิ?”
เล่อจยา ตกใจกับเสียงหัวเราะของเธอ เธอกลืนน้ำลายเข้าไป และคว้าแขนของเกาไห่”สามี เธอหัวเราะอะไร”
เกาไห่จับมือเธอ “ถ้ากลัว งั้นเราไปกันเถอะ”
เล่อจยาพยักหน้า และเมื่อทั้งสองหันกลับมา เกาเหวินก็พูดจากด้านหลังว่า “พี่สะใภ้ พี่ชายของฉันบอกคุณหรือเปล่าว่าเขาเคยรักน้องสาวของเขา”
เกาไห่ และเล่อจยา ไม่ได้มองย้อนกลับไป ทันใดนั้นเล่อจยาก็เข้าใจจุดประสงค์ของเกาไห่ที่พาเธอมาที่นี่ ผู้หญิงแบบนี้ทำให้คนรู้สึกกลัวจริงๆ พวกเขามาถึงจุดนี้แล้วและพวกเขาก็ไม่ลืมที่จะสร้างความบาดหมางกัน
ถ้าเธอกลายเป็นคนแบบนี้ล่ะก็ เป็นใครก็กลัวแน่ ๆ ใครจะยอมรับผู้หญิงคนนี้ที่นอนข้างหมอนของเธอได้?
เล่อจยาจับมือเกาไห่ ออกมาจากเรือนจำ ครุ่นคิด แล้วสุดท้ายก็พูดเบา ๆ พูดเป็นคำ: “ถ้ารัก แล้วเอามาไม่ได้ ก็จะพยายามทุกวิถีทางแต่ถ้าเอามาได้ คุณก็จะพยายามรักษามันให้ดีที่สุด สามีคุณยังไม่เข้าใจหรือไง”
หลังพูดจบเล่อจยาก็ปล่อยมือเกาไห่ ก้าวไปข้างหน้าและเปิดประตูให้เขา
เกาไห่มองไปที่แผ่นหลังของเล่อจยาและคำพูดของที่ก้องอยู่ในหูของเขา ถ้ารัก แล้วเอามาไม่ได้ ก็จะพยายามทุกวิถีทาง ดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันทีดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง มือของเขาก็กำแน่นในทันที
“เดี๋ยวก่อน” ขณะที่เกาไห่กำลังจะขึ้นรถ ประตูเรือนจำก็เปิดออกตามหลังเขา และชายในเครื่องแบบผู้คุมก็วิ่งตรงเข้ามาหาพวกเขา
“ฉันไม่มีเงินและช่วยอะไรไม่ได้ รบกวนช่วยออกไปด้วย” เล่อจยาพูด เหยียดแขนออกไปแล้วชี้ออกไปนอกประตู
“ในเมื่อเธอไม่ช่วย ก็ต้องรอให้ลูกเขยออกมา จะดูว่าท่านประธานเกาผู้สง่างามจะปฏิบัติต่อแม่สามีของเธออย่างไร!” จากนั้นแม่เล่อก็นั่งลงและจิบน้ำชาต่อ ”
ตั้งแต่นั้นมา ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าฉันก็ได้รวมเป็นหนึ่งในแม่อันธพาลในความทรงจำของฉัน
เล่อจยาหัวเราะเยาะในใจ ที่เธอทำในช่วงเวลานั้น ก็ยังคงเพ้อฝันอยู่ในใจ บางทีอาจเพราะว่าเธอแก่แล้วประสบการณ์มากหรือว่าเธอเปลี่ยนความเชื่อนั้นแล้ว
เดินไปข้างหน้า หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าแล้วกดโทรศัพท์หาเล่อเหวิน หลังจากโทรศัพท์ดังขึ้น 2 ครั้ง เสียงของ เล่อเหวินก็ดังขึ้น ” เฮ้ พี่สาว”
พี่สาว? โตขณะนี้แล้ว นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่เล่อเหวินเรียกเธอแบบนี้ เล่อจยาตกใจเล็กน้อยอยู่พักหนึ่ง
“พี่ครับ โทรหาผมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เล่อจยากลับมารู้สึกตัวและพูดว่า: “ฉันได้ยินมาว่าเธอกำลังจะแต่งงาน?”
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์เงียบไปครู่หนึ่ง และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงของเล่อเหวิน “บางทีอาจจะไม่แต่งก็ได้”
“หมายความว่าไง?”
“พ่อแม่ของเสี่ยวอวี่เอ๋อต้องการให้พวกเราซื้อบ้านในเมืองซี”
เสี่ยวอวี่เอ๋อ? น่าจะเป็นสาวในวันนั้น
เล่อจยาหรี่ตา “สถานการณ์ของเธอเป็นอย่างไร แฟนไม่ใช่ไม่รู้ ถ้าเขารักเธอจริง เป็นไปไม่ได้ที่จะบังคับให้เธอทำสิ่งที่เธอทำไม่ได้”
“พี่ เสี่ยวอวี่เอ๋อรักผมจริง ๆ แต่พ่อแม่ของเธอปฏิเสธ นำทะเบียนบ้านไปซ่อนไว้และปฏิเสธที่จะมอบให้เธอ เราแค่อยากจะจดทะเบียน แต่เราก็ไม่สามารถทำได้…”
เล่อจยากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โทรศัพท์มือถือในมือของเธอก็ถูกกระชากออกไปในทันใด
เห็นแม่เล่อเปิดเสียงลำโพง “ลูกเอ๋ย ขอร้องพี่เธอซิ เขากับประธานเกาไม่ได้หย่ากันหรอก พวกเขาโกหกเธอ ตอนนี้ขอให้เธอช่วยเงินดาวน์บ้านจากนั้นเธอก็จ่ายเอง”
เล่อจยาขมวดคิ้วและเปิดปากของเธอ เธอพูดอะไรไม่ออกซักพัก ในโลกนี้มีแม่แบบนี้ด้วยหรือ?
เธอกำลังจะกรีดร้องใส่เธอ แต่ เล่อเหวินพูดอะไรบางอย่างที่ทำให้เล่อจยาประหลาดใจ
“แม่ครับ ผมบอกแล้วไงว่าอย่าไปหาพี่เขย ทำไมแม่ถึงไป”
เล่อจยาตัวสั่น เธอคิดว่าเธอหูหนวกเล่อเหวินพูดอีกครั้ง “แม่รีบกลับมาเร็ว ๆ พี่เขยช่วยหางานให้ผมแล้ว บ้านจะสามารถซื้อได้หรือไม่เป็นเรื่องของผมเอง อย่าทำให้พี่เขยและพี่ลำบาก”
ในเวลานี้เล่อจยามั่นใจว่าเธอได้ยินถูกต้อง นี่คือน้องชายของเธอ แต่เหมือนเป็นน้องชายที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน
น้ำเสียงของเขาจริงใจมากและดูเหมือนเขาไม่ได้โกหก
“ธุระของนายเองเหรอ แกจะไปเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ” เสียงแม่เล่อดังขึ้นแล้ววางสายอย่างโกรธจัด
เล่อเหวินมาที่เกากรุ๊ปในเวลาประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะเขาเคยมาที่นี้หาเกาไห่หลายครั้ง และเคยบอกว่าเกาไห่เป็นพี่เขยของเขา ดังนั้นแผนกต้อนรับก็ไม่ได้ถามอะไรเขามากก็ให้เขาเข้ามา
เมื่อแม่เล่อ เห็นเขามา เธอดีใจมาก เธอรีบลุกขึ้นและดึงเล่อเหวินไปข้างหน้า “เสี่ยวเหวิน มาเถอะ ขอร้องพี่สาวของเธอ ปล่อยให้เธอคุยกับพี่เขยเพื่อช่วยเธอ”
ในเวลานี้ เล่อจยานั่งบนเก้าอี้ของเกาไห่ มองดูโทรศัพท์
จากหางตามองเห็น การกระทำของทั้งสอง
เห็นเล่อเหวินขมวดคิ้ว “แม่ครับ ทำแบบนี้จะทำให้พี่เขยดูถูกพี่สาวได้นะ”
พูดได้คำเดียว เล่อจยารีบวางโทรศัพท์ลง และจ้องมองไปที่ใบหน้าของเล่อเหวิน เพื่อดูว่าเขาแสร้งทำหรือพูดจริง
เมื่อได้รับการจ้องมองที่ละเอียดรอบคอบของเล่อจยา เล่อเหวินก็หันศีรษะมาและโค้งคำนับให้เล่อจยาอย่างสุดซึ้ง “พี่สาวก่อนหน้านี้ผมรู้ว่าทำร้ายพี่ไปหลายครั้งเกินไป ผมขอโทษจริงๆ .”
พูดเสร็จก็เอื้อมมือไปจับแม่เล่อ “แม่ ไปเถอะ ที่นี่คือบริษัทพี่เขย มันน่าอายเมื่อคนอื่นมาเห็น”
แม่เล่อสูดหายใจเข้าและหันไปมองเล่อจยา “จยาจยา เธอก็ช่วยน้องชายเธอหน่อย ดูเขาสิ ตอนนี้เขามีพฤติกรรมที่ดีแล้วเขามีเหตุผลขึ้น เธอคงไม่ใจดำมองดูน้องชายเธอไม่ได้แต่งงานนะ”
“แม่ครับ ถ้าทำแบบนี้อีก ผมโกรธจริงนะ”
ในเวลานั้น ทั้งสองได้มาถึงประตูแล้ว
เล่อจยามองและลุกขึ้นยืน “เดี๋ยวก่อน”
“เธอต้องการเงินเท่าไหร่? ฉัน…จะไปยืมคนอื่นมาให้ ในอนาคตถ้าเธอมีเงินค่อยมาจ่ายคืน”
แม่เล่อยิ้มด้วยความปิติ เล่อเหวินขมวดคิ้ว “พี่สาว ฉัน…”
“พูดมา เท่าไหร่”
เล่อเหวินก้มศีรษะลง และแม่เล่อก็ดึงชายเสื้อของเขา “พี่สาวของเธอบอกให้เธอบอก เร็วเข้า เธอต้องการเท่าไหร่?”
“หนึ่งล้าน.”
…
เล่อจยาวางมือบนโต๊ะ และเมื่อเธอได้ยินคำว่า “หนึ่งล้าน” แขนของเธองอและเธอเกือบจะคลานลงบนโต๊ะ
“เธอซื้อบ้านแบบไหน ดาวน์เงินตั้งหนึ่งล้าน”
เล่อเหวินก้มศีรษะลง “พ่อแม่ของเสี่ยวอวี่เอ๋อขอห้องลิฟต์ส่วนตัวและห้องนอน 3 ห้อง ห้องนั่งเล่น 2 ห้องและห้องน้ำ 2 ห้อง พวกเขาบอกว่าตอนพวกเขามาจะได้มีที่นอน” เสียงของเขาเล็กลงและเล็กลง
เล่อจยาพูดไม่ออกเมื่อฟังพวกเขาปล่อยให้ชายคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรมาซื้อบ้านมูลค่าหลายล้าน คนชราสองคนนี้คงบ้าไปแล้ว
เธอหันกลับมา “ไปเถอะ สองหรือสามแสน ฉันพอสามารถช่วยเธอหาทางออกได้ หนึ่งล้าน ขอโทษ ฉันทำอะไรไม่ได้เลย”
“ทำอะไรไม่ได้ เธอก็ขอสามีได้ เขาดูแลบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ล้านหนึ่งไม่มีหรือ?” เสียงของแม่เล่อดังขึ้น
“เขาบริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้ ทำไมเธอไม่ถามเขาล่ะ เขามีหนี้บนหลังเขาเท่าไหร่ มันคือความเมตตาที่เขาช่วย ไม่ใช่ความรับผิดชอบที่จะช่วย หนึ่งล้านเราไม่มี นับประสาอะไร ถึงเราจะมีและมันเป็นไปไม่ได้ที่จะยืมให้เธอ เธอมีเงินดาวน์หนึ่งล้าน ส่วนที่เหลือหลายล้าน เธอต้องจ่ายให้สินเชื่อไหนจะเงินเลี้ยงดูครอบครัวละ เคยคิดเรื่องนี้ไหม เธอจ่ายได้หรือเปล่า”
เล่อเหวินมองไปที่เล่อจยาและหายใจอย่างแรง “พี่สาว ผมจะพาแม่กลับบ้านก่อน พี่…พี่แค่แสร้งทำเป็นไม่เคยรู้เรื่องนี้”
“เล่อจยา คนเราไม่ควรเป็นคนที่ใจร้ายถ้าเธอไม่ช่วยน้องชายของตัวเองเธอไม่กลัวผลกรรมหรือ?”
คำพูดของแม่เล่อดังมาจากข้างหลัง เล่อจยานิ่งเงียบ มโนธรรม? ผู้หญิงคนนี้พูดกับฉันเกี่ยวกับมโนธรรมจริงๆ เหรอ? ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อชำระหนี้ให้เธอเราต้องทนทุกข์มากแค่ไหน ยังกล้ามาพูดถึงมโนธรรม เธอหันกลับมามองแม่ “เธอมีจิตใจที่ดี และขอให้เธออายุยืน”
เมื่อเกาไห่กลับมาจากการประชุม เล่อจยา ก็นอนอยู่บนโต๊ะโดยให้ศีรษะอยู่ในแขนของเธอ
“จยาจยา”
เล่อจยาเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่ และตกใจ “คุณ ประชุมกันเสร็จแล้วหรือ งั้นกลับบ้านกันเถอะ” หลังจากพูดเสร็จ เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ
เกาไห่ยื่นมือและยกคางเธอขึ้น “ตาแดง เธอร้องไห้หรือ?”
“ไม่ แค่ขยี้ตา” เล่อจยากลอกหน้า
“แม่เขา…”
“อย่าเรียกเธอว่าแม่ เธอไม่คู่ควร” เล่อจยาขัดเกาไห่ “เธอไม่เคยมองว่าฉันเป็นลูกสาวเลย”
เกาไห่พยักหน้าดึงเล่อจยาไว้ในอ้อมแขนของเขา ตบหลังเธอด้วยมือใหญ่ “ค่าสินสอด ผมจะเตรียมให้ภายในไม่กี่วันนี้ คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้นะ”
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมอง “สินสอด สินสอดอะไร?”
“คุณ…” เล่อจยามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดกี่เพ้าตรงหน้า เสน่ห์ของเธอยังคงมีอยู่ แต่การแสดงออกของเธอดูปกติ เธอประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก
“ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูด” เกาไห่กล่าว
ในห้องทำงานของเกาไห่
“พูดคุยกันไปก่อน ผมขอไปประชุมก่อน” เกาไห่พูดพร้อมพยักหน้าให้แม่เล่อ
“ดูแลตัวเองด้วย” เล่อจยาจับมือเขาและแนะนำ
เกาไห่หยิกใบหน้าของเธอ “ได้”
แม่เล่อจับภาพปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างดวงตาทั้งสองของเธอ และดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข
“คุณ… ดีขึ้นหรือยัง” เล่อจยาถามหลังจากวางถ้วยชาไว้หน้าแม่เล่อ
แม่เล่อหยิบมันขึ้นมาจิบ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “จยาจยา เธอยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”
จากความประทับใจในความคิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอใช้น้ำเสียงนี้เพื่อพูดกับเธอ เล่อจยารู้สึกยังไม่เคยชิน ต่อหน้าเธอทุกครั้งแม่ก็มีไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ
สีหน้าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้ม
ปัญหาของเธอจัดการเรียบแล้ว ตอนนี้เธอสบายดี และกลับมาเป็นปกติแล้ว
เล่อจยานั่งตรงข้ามกับเธอ ก้มหัวบิดนิ้ว? เธอจะไม่รู้สึกอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม คนที่อายุเกือบ 30 ปี แนวคิดเรื่องแม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอยกปากขึ้นแล้วยิ้มเบาๆ “ดีใจมากที่ลูกกลับมาเป็นปกติได้”
แม่เล่อจับหัวเข่าของเธอ “ฉันได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าเธอแต่งงานกับเจ้านายที่นี่ และฉันรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”
“รอฉัน?” เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทำไมไม่โทรหา เสี่ยวเหวินมีเบอร์นี่”
“เสี่ยวเหวินบอกว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว แต่ฉันเห็นว่าเมื่อกี้…ดีมาก”
เล่อจยาเอาผมที่บังหน้ามาไว้ข้างหูเธอ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม “คุณมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าสนใจว่าแต่งงานได้ดีหรือเปล่า”
สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก ความเกลียดชังเธอของแม่คนนี้คงมากจากก้นบึ้งของเธอ ดังนั้น เล่อจยาจะไม่หลงใหลและคิดว่าเธอกำลังมองหาเธอเพื่อเป็นห่วงเรื่องสมรสของเธอ
คิดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
ดวงตาของแม่เล่อเศร้าลงเล็กน้อย “จยาจยา ในใจเธอ แม่เธอเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า”
คนแบบนี้? คนแบบนี้เป็นคนแบบไหน? ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้นคือเหตุผล ไร้ความปราณี ดูหมิ่น ไร้ยางอาย และทิ้งหนี้ทั้งหมดให้พ่อกับเธอหลังจากการหย่าร้าง หลังจากที่รู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก นานหลายปีไม่เคยมาดูพ่อเลย?
เธอเม้มริมฝีปากและมองออกไป “ถ้าคุณมีบางอย่างจะพูดก็พูดมา” สำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ถือว่าเธอว่าเป็นคนแปลกหน้าในหัวใจของเธอแล้ว
อาจเป็นความตรงไปตรงมาของเล่อจยาหรืออาจเป็นเพราะแม่เล่อรู้สึกถึงข้อบกพร่องของเธอเองในเวลานี้ หูและริมฝีปากของเธอก็แดงเล็กน้อย
“น้องชายของเธอกำลังจะเป็นพ่อคน”
เล่อจยาได้แตพยักหน้า “รู้แล้ว”
แม่เล่อปรับท่านั่งของเธอ ไอเบาๆ แล้วพูดว่า “จยาจยา แม่มานี่ ต้องการให้เธอช่วยน้องชายของเธอ”
หัวใจของเธอแตกสลายในที่สุด และดวงตาของเล่อจยาก็เย็นชา เธอรู้ และเธอก็รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้
หันศีรษะของเธอมองดูแม่เล่อ “ช่วยเขา ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”
“ฉันต้องการให้เธอยืมเงินเพื่อซื้อบ้านให้เขา ผู้หญิงคนนี้บอกว่าถ้าน้องชายของเธอไม่มีบ้าน เขาจะไม่แต่งงาน และยังบอกอีกว่าเขาจะทุบตีเด็ก จยาจยาตอนนี้ก็มีเธอเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ … ”
เล่อจยาลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง แล้วกระซิบว่า “ราคาบ้านในเมืองCเริ่มต้นที่ 21,000 ต่อ 1 ตารางเมตร ซื้อบ้านเหรอ คุณคิดว่ากำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่หรือ”
แม่เล่อก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “จยาจยาตอนนี้น้องชายของเธอกำลังช่วยคนอื่นถ่ายรูป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขามีรายได้มากมาย เธอสามารถยืมให้เขาแค่พอดาวน์บ้านก็พอแล้ว แล้วปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาคิดจะมีครอบครัวด้วยหัวใจ เธอว่า…”
“ฉันไม่มีเงิน” เล่อจยาขัดจังหวะเธอโดยไม่รอให้เธอพูดจบ
เงินดาวน์บ้านที่น้อยที่สุดในเมือง C สำหรับ 100 ตรม. ก็มีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน เงินดาวน์อยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะมีราคาหลายแสน เมื่อดูยอดในกระเป๋าของเธอ สองถึงสามร้อยน่าจะมี.
เมื่อแม่เล่อ ได้ยินการปฏิเสธของเธออย่างง่ายๆ ใบหน้าของเธอก็แข็งขึ้นเล็กน้อย และเธอก็เดินไปตรงหน้าเล่อจยา “จยาจยา เมื่อตอนเด็กมันคืนความผิดของแม่เอง ที่ไม่ดีต่อเธอ แต่เสี่ยวเหวินเป็นน้องชายของเธอเอง เธอคงไม่อยากดูเขาไม่ได้แต่งงานเหรอ?”
เสียงของเธอเหมือร้องไห้ และเล่อจยาก็อารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก “เงินค่ารื้อของพ่อหลายล้าน ถ้าเขาไม่เอาไป พ่อจะตายไหม เขาไม่มีบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการบ้าน” .เพื่อที่จะแต่งงานและมีภรรยา?”
“จะมีใครที่เคยไม่เป็นเด็กและโง่เขลา จยาจยาช่วยน้องชายได้ไหม แม่ขอร้อนนะ…” แม่เล่อพูด หันหน้าไปทางเล่อจยา คุกแล้วคุกเข่าลง
แม้ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่มีแม่ในหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเธอเมื่อเห็นเธอคุกเข่าลงกับตัวเอง เล่อจยารำคาญก็เอื้อมมือไปดึงเธอ “ทำอะไร ลุกก่อน”
ในใจแม่ก็ได้แต่โทษเล่อเหวินเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร? ชายในวัยยี่สิบของเขายังเด็กและโง่เขลา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก
แม่เล่อส่ายหัว “ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันจะไม่ลุกขึ้น”
นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าการประหัตประหารใช่ไหม?
“จะคุกเข่ายังไงฉันก็ไม่มี ตอนนี้งานยังไม่มีจะทำ ในตัวฉันมีแค่สองร้อยกว่า ถ้าต้องการจะให้ ” เงินดาวน์บ้านตั้งหลักแสนจะไปหาได้ที่ไหน?”
เมื่อ แม่เล่อได้ยินดังนั้น เธอก็แสดงท่าที “จยาจยา แม่รู้ว่าเธอไม่มี แต่สามีของเธอมี เกาไห่ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้แค่เงินหลักแสนไม่มีคงจะไม่ใช่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอสูดลมหายใจแล้วหันไปมองแม่เล่อ “แม่มารอที่นี่สองถึงสามวัน ไม่ได้มารอฉัน แต่มารอเกาไห่? ”
พอคิด เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่เสี่ยวเหวินบอกว่าเราหย่ากันแล้ว ทำไมเธอถึงยังตามหาเขาอยู่ล่ะ?”
“เขา…เขาหย่ากับเธอและขอให้เขาให้เงินสองสามแสนไม่ได้เหรอ?” แม่เล่อตอบเรียบๆ
เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่โลภของเธอทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของคุณ ใครบอกไว้ในวันที่หย่ากับพ่อ คุณจะมีแต่ลูกชายและไม่มีลูกสาวอีกต่อไป?”
แม่เล่อเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและเหล่มองดูเล่อจยา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยกปากขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ช่วย”
“คุณ…” เล่อจยามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดกี่เพ้าตรงหน้า เสน่ห์ของเธอยังคงมีอยู่ แต่การแสดงออกของเธอดูปกติ เธอประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก
“ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูด” เกาไห่กล่าว
ในห้องทำงานของเกาไห่
“พูดคุยกันไปก่อน ผมขอไปประชุมก่อน” เกาไห่พูดพร้อมพยักหน้าให้แม่เล่อ
“ดูแลตัวเองด้วย” เล่อจยาจับมือเขาและแนะนำ
เกาไห่หยิกใบหน้าของเธอ “ได้”
แม่เล่อจับภาพปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างดวงตาทั้งสองของเธอ และดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข
“คุณ… ดีขึ้นหรือยัง” เล่อจยาถามหลังจากวางถ้วยชาไว้หน้าแม่เล่อ
แม่เล่อหยิบมันขึ้นมาจิบ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “จยาจยา เธอยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”
จากความประทับใจในความคิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอใช้น้ำเสียงนี้เพื่อพูดกับเธอ เล่อจยารู้สึกยังไม่เคยชิน ต่อหน้าเธอทุกครั้งแม่ก็มีไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ
สีหน้าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้ม
ปัญหาของเธอจัดการเรียบแล้ว ตอนนี้เธอสบายดี และกลับมาเป็นปกติแล้ว
เล่อจยานั่งตรงข้ามกับเธอ ก้มหัวบิดนิ้ว? เธอจะไม่รู้สึกอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม คนที่อายุเกือบ 30 ปี แนวคิดเรื่องแม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอยกปากขึ้นแล้วยิ้มเบาๆ “ดีใจมากที่ลูกกลับมาเป็นปกติได้”
แม่เล่อจับหัวเข่าของเธอ “ฉันได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าเธอแต่งงานกับเจ้านายที่นี่ และฉันรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”
“รอฉัน?” เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทำไมไม่โทรหา เสี่ยวเหวินมีเบอร์นี่”
“เสี่ยวเหวินบอกว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว แต่ฉันเห็นว่าเมื่อกี้…ดีมาก”
เล่อจยาเอาผมที่บังหน้ามาไว้ข้างหูเธอ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม “คุณมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าสนใจว่าแต่งงานได้ดีหรือเปล่า”
สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก ความเกลียดชังเธอของแม่คนนี้คงมากจากก้นบึ้งของเธอ ดังนั้น เล่อจยาจะไม่หลงใหลและคิดว่าเธอกำลังมองหาเธอเพื่อเป็นห่วงเรื่องสมรสของเธอ
คิดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
ดวงตาของแม่เล่อเศร้าลงเล็กน้อย “จยาจยา ในใจเธอ แม่เธอเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า”
คนแบบนี้? คนแบบนี้เป็นคนแบบไหน? ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้นคือเหตุผล ไร้ความปราณี ดูหมิ่น ไร้ยางอาย และทิ้งหนี้ทั้งหมดให้พ่อกับเธอหลังจากการหย่าร้าง หลังจากที่รู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก นานหลายปีไม่เคยมาดูพ่อเลย?
เธอเม้มริมฝีปากและมองออกไป “ถ้าคุณมีบางอย่างจะพูดก็พูดมา” สำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ถือว่าเธอว่าเป็นคนแปลกหน้าในหัวใจของเธอแล้ว
อาจเป็นความตรงไปตรงมาของเล่อจยาหรืออาจเป็นเพราะแม่เล่อรู้สึกถึงข้อบกพร่องของเธอเองในเวลานี้ หูและริมฝีปากของเธอก็แดงเล็กน้อย
“น้องชายของเธอกำลังจะเป็นพ่อคน”
เล่อจยาได้แตพยักหน้า “รู้แล้ว”
แม่เล่อปรับท่านั่งของเธอ ไอเบาๆ แล้วพูดว่า “จยาจยา แม่มานี่ ต้องการให้เธอช่วยน้องชายของเธอ”
หัวใจของเธอแตกสลายในที่สุด และดวงตาของเล่อจยาก็เย็นชา เธอรู้ และเธอก็รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้
หันศีรษะของเธอมองดูแม่เล่อ “ช่วยเขา ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”
“ฉันต้องการให้เธอยืมเงินเพื่อซื้อบ้านให้เขา ผู้หญิงคนนี้บอกว่าถ้าน้องชายของเธอไม่มีบ้าน เขาจะไม่แต่งงาน และยังบอกอีกว่าเขาจะทุบตีเด็ก จยาจยาตอนนี้ก็มีเธอเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ … ”
เล่อจยาลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง แล้วกระซิบว่า “ราคาบ้านในเมืองCเริ่มต้นที่ 21,000 ต่อ 1 ตารางเมตร ซื้อบ้านเหรอ คุณคิดว่ากำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่หรือ”
แม่เล่อก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “จยาจยาตอนนี้น้องชายของเธอกำลังช่วยคนอื่นถ่ายรูป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขามีรายได้มากมาย เธอสามารถยืมให้เขาแค่พอดาวน์บ้านก็พอแล้ว แล้วปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาคิดจะมีครอบครัวด้วยหัวใจ เธอว่า…”
“ฉันไม่มีเงิน” เล่อจยาขัดจังหวะเธอโดยไม่รอให้เธอพูดจบ
เงินดาวน์บ้านที่น้อยที่สุดในเมือง C สำหรับ 100 ตรม. ก็มีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน เงินดาวน์อยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะมีราคาหลายแสน เมื่อดูยอดในกระเป๋าของเธอ สองถึงสามร้อยน่าจะมี.
เมื่อแม่เล่อ ได้ยินการปฏิเสธของเธออย่างง่ายๆ ใบหน้าของเธอก็แข็งขึ้นเล็กน้อย และเธอก็เดินไปตรงหน้าเล่อจยา “จยาจยา เมื่อตอนเด็กมันคืนความผิดของแม่เอง ที่ไม่ดีต่อเธอ แต่เสี่ยวเหวินเป็นน้องชายของเธอเอง เธอคงไม่อยากดูเขาไม่ได้แต่งงานเหรอ?”
เสียงของเธอเหมือร้องไห้ และเล่อจยาก็อารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก “เงินค่ารื้อของพ่อหลายล้าน ถ้าเขาไม่เอาไป พ่อจะตายไหม เขาไม่มีบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการบ้าน” .เพื่อที่จะแต่งงานและมีภรรยา?”
“จะมีใครที่เคยไม่เป็นเด็กและโง่เขลา จยาจยาช่วยน้องชายได้ไหม แม่ขอร้อนนะ…” แม่เล่อพูด หันหน้าไปทางเล่อจยา คุกแล้วคุกเข่าลง
แม้ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่มีแม่ในหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเธอเมื่อเห็นเธอคุกเข่าลงกับตัวเอง เล่อจยารำคาญก็เอื้อมมือไปดึงเธอ “ทำอะไร ลุกก่อน”
ในใจแม่ก็ได้แต่โทษเล่อเหวินเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร? ชายในวัยยี่สิบของเขายังเด็กและโง่เขลา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก
แม่เล่อส่ายหัว “ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันจะไม่ลุกขึ้น”
นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าการประหัตประหารใช่ไหม?
“จะคุกเข่ายังไงฉันก็ไม่มี ตอนนี้งานยังไม่มีจะทำ ในตัวฉันมีแค่สองร้อยกว่า ถ้าต้องการจะให้ ” เงินดาวน์บ้านตั้งหลักแสนจะไปหาได้ที่ไหน?”
เมื่อ แม่เล่อได้ยินดังนั้น เธอก็แสดงท่าที “จยาจยา แม่รู้ว่าเธอไม่มี แต่สามีของเธอมี เกาไห่ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้แค่เงินหลักแสนไม่มีคงจะไม่ใช่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอสูดลมหายใจแล้วหันไปมองแม่เล่อ “แม่มารอที่นี่สองถึงสามวัน ไม่ได้มารอฉัน แต่มารอเกาไห่? ”
พอคิด เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่เสี่ยวเหวินบอกว่าเราหย่ากันแล้ว ทำไมเธอถึงยังตามหาเขาอยู่ล่ะ?”
“เขา…เขาหย่ากับเธอและขอให้เขาให้เงินสองสามแสนไม่ได้เหรอ?” แม่เล่อตอบเรียบๆ
เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่โลภของเธอทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของคุณ ใครบอกไว้ในวันที่หย่ากับพ่อ คุณจะมีแต่ลูกชายและไม่มีลูกสาวอีกต่อไป?”
แม่เล่อเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและเหล่มองดูเล่อจยา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยกปากขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ช่วย”
“คุณ…” เล่อจยามองไปยังผู้หญิงที่สวมชุดกี่เพ้าตรงหน้า เสน่ห์ของเธอยังคงมีอยู่ แต่การแสดงออกของเธอดูปกติ เธอประหลาดใจมากจนพูดไม่ออก
“ขึ้นไปก่อนแล้วค่อยพูด” เกาไห่กล่าว
ในห้องทำงานของเกาไห่
“พูดคุยกันไปก่อน ผมขอไปประชุมก่อน” เกาไห่พูดพร้อมพยักหน้าให้แม่เล่อ
“ดูแลตัวเองด้วย” เล่อจยาจับมือเขาและแนะนำ
เกาไห่หยิกใบหน้าของเธอ “ได้”
แม่เล่อจับภาพปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างดวงตาทั้งสองของเธอ และดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุข
“คุณ… ดีขึ้นหรือยัง” เล่อจยาถามหลังจากวางถ้วยชาไว้หน้าแม่เล่อ
แม่เล่อหยิบมันขึ้นมาจิบ วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะและเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างช้าๆ “จยาจยา เธอยังโกรธแม่อยู่หรือเปล่า”
จากความประทับใจในความคิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ของเธอใช้น้ำเสียงนี้เพื่อพูดกับเธอ เล่อจยารู้สึกยังไม่เคยชิน ต่อหน้าเธอทุกครั้งแม่ก็มีไม่เคยมีสีหน้าที่ดีกับเธอ
สีหน้าที่น่ารื่นรมย์เช่นนี้ทำให้เธอรู้สึกปลาบปลื้ม
ปัญหาของเธอจัดการเรียบแล้ว ตอนนี้เธอสบายดี และกลับมาเป็นปกติแล้ว
เล่อจยานั่งตรงข้ามกับเธอ ก้มหัวบิดนิ้ว? เธอจะไม่รู้สึกอย่างไร?
อย่างไรก็ตาม คนที่อายุเกือบ 30 ปี แนวคิดเรื่องแม่ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอยกปากขึ้นแล้วยิ้มเบาๆ “ดีใจมากที่ลูกกลับมาเป็นปกติได้”
แม่เล่อจับหัวเข่าของเธอ “ฉันได้ยินเสี่ยวเหวินบอกว่าเธอแต่งงานกับเจ้านายที่นี่ และฉันรออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว”
“รอฉัน?” เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทำไมไม่โทรหา เสี่ยวเหวินมีเบอร์นี่”
“เสี่ยวเหวินบอกว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว แต่ฉันเห็นว่าเมื่อกี้…ดีมาก”
เล่อจยาเอาผมที่บังหน้ามาไว้ข้างหูเธอ แล้วหยิบถ้วยชาขึ้นแล้วดื่ม “คุณมาที่นี่ ไม่ใช่ว่าสนใจว่าแต่งงานได้ดีหรือเปล่า”
สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก ความเกลียดชังเธอของแม่คนนี้คงมากจากก้นบึ้งของเธอ ดังนั้น เล่อจยาจะไม่หลงใหลและคิดว่าเธอกำลังมองหาเธอเพื่อเป็นห่วงเรื่องสมรสของเธอ
คิดอย่างนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้า
ดวงตาของแม่เล่อเศร้าลงเล็กน้อย “จยาจยา ในใจเธอ แม่เธอเป็นคนแบบนี้หรือเปล่า”
คนแบบนี้? คนแบบนี้เป็นคนแบบไหน? ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงนั้นคือเหตุผล ไร้ความปราณี ดูหมิ่น ไร้ยางอาย และทิ้งหนี้ทั้งหมดให้พ่อกับเธอหลังจากการหย่าร้าง หลังจากที่รู้ว่าพ่อของเขาป่วยหนัก นานหลายปีไม่เคยมาดูพ่อเลย?
เธอเม้มริมฝีปากและมองออกไป “ถ้าคุณมีบางอย่างจะพูดก็พูดมา” สำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ถือว่าเธอว่าเป็นคนแปลกหน้าในหัวใจของเธอแล้ว
อาจเป็นความตรงไปตรงมาของเล่อจยาหรืออาจเป็นเพราะแม่เล่อรู้สึกถึงข้อบกพร่องของเธอเองในเวลานี้ หูและริมฝีปากของเธอก็แดงเล็กน้อย
“น้องชายของเธอกำลังจะเป็นพ่อคน”
เล่อจยาได้แตพยักหน้า “รู้แล้ว”
แม่เล่อปรับท่านั่งของเธอ ไอเบาๆ แล้วพูดว่า “จยาจยา แม่มานี่ ต้องการให้เธอช่วยน้องชายของเธอ”
หัวใจของเธอแตกสลายในที่สุด และดวงตาของเล่อจยาก็เย็นชา เธอรู้ และเธอก็รู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้
หันศีรษะของเธอมองดูแม่เล่อ “ช่วยเขา ฉันจะช่วยเขาได้อย่างไร”
“ฉันต้องการให้เธอยืมเงินเพื่อซื้อบ้านให้เขา ผู้หญิงคนนี้บอกว่าถ้าน้องชายของเธอไม่มีบ้าน เขาจะไม่แต่งงาน และยังบอกอีกว่าเขาจะทุบตีเด็ก จยาจยาตอนนี้ก็มีเธอเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้ … ”
เล่อจยาลุกจากที่นั่งอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง แล้วกระซิบว่า “ราคาบ้านในเมืองCเริ่มต้นที่ 21,000 ต่อ 1 ตารางเมตร ซื้อบ้านเหรอ คุณคิดว่ากำลังซื้อกะหล่ำปลีอยู่หรือ”
แม่เล่อก็ลุกขึ้นยืนและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “จยาจยาตอนนี้น้องชายของเธอกำลังช่วยคนอื่นถ่ายรูป หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน เขามีรายได้มากมาย เธอสามารถยืมให้เขาแค่พอดาวน์บ้านก็พอแล้ว แล้วปล่อยให้เขาจัดการตัวเอง เธอก็รู้ว่ามันไม่ง่ายเลยที่เขาคิดจะมีครอบครัวด้วยหัวใจ เธอว่า…”
“ฉันไม่มีเงิน” เล่อจยาขัดจังหวะเธอโดยไม่รอให้เธอพูดจบ
เงินดาวน์บ้านที่น้อยที่สุดในเมือง C สำหรับ 100 ตรม. ก็มีมูลค่าถึง 2 ล้านหยวน เงินดาวน์อยู่ที่ 20-30% ซึ่งจะมีราคาหลายแสน เมื่อดูยอดในกระเป๋าของเธอ สองถึงสามร้อยน่าจะมี.
เมื่อแม่เล่อ ได้ยินการปฏิเสธของเธออย่างง่ายๆ ใบหน้าของเธอก็แข็งขึ้นเล็กน้อย และเธอก็เดินไปตรงหน้าเล่อจยา “จยาจยา เมื่อตอนเด็กมันคืนความผิดของแม่เอง ที่ไม่ดีต่อเธอ แต่เสี่ยวเหวินเป็นน้องชายของเธอเอง เธอคงไม่อยากดูเขาไม่ได้แต่งงานเหรอ?”
เสียงของเธอเหมือร้องไห้ และเล่อจยาก็อารมณ์เสียอย่างอธิบายไม่ถูก “เงินค่ารื้อของพ่อหลายล้าน ถ้าเขาไม่เอาไป พ่อจะตายไหม เขาไม่มีบ้านด้วยซ้ำ ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเขาต้องการบ้าน” .เพื่อที่จะแต่งงานและมีภรรยา?”
“จะมีใครที่เคยไม่เป็นเด็กและโง่เขลา จยาจยาช่วยน้องชายได้ไหม แม่ขอร้อนนะ…” แม่เล่อพูด หันหน้าไปทางเล่อจยา คุกแล้วคุกเข่าลง
แม้ว่าสำหรับผู้หญิงคนนี้ เล่อจยาได้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนไม่มีแม่ในหัวใจ แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นคนที่ให้กำเนิดเธอเมื่อเห็นเธอคุกเข่าลงกับตัวเอง เล่อจยารำคาญก็เอื้อมมือไปดึงเธอ “ทำอะไร ลุกก่อน”
ในใจแม่ก็ได้แต่โทษเล่อเหวินเด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร? ชายในวัยยี่สิบของเขายังเด็กและโง่เขลา? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกพูดไม่ออก
แม่เล่อส่ายหัว “ถ้าเธอไม่ตกลง ฉันจะไม่ลุกขึ้น”
นี่ควรเป็นสิ่งที่เรียกว่าการประหัตประหารใช่ไหม?
“จะคุกเข่ายังไงฉันก็ไม่มี ตอนนี้งานยังไม่มีจะทำ ในตัวฉันมีแค่สองร้อยกว่า ถ้าต้องการจะให้ ” เงินดาวน์บ้านตั้งหลักแสนจะไปหาได้ที่ไหน?”
เมื่อ แม่เล่อได้ยินดังนั้น เธอก็แสดงท่าที “จยาจยา แม่รู้ว่าเธอไม่มี แต่สามีของเธอมี เกาไห่ ผู้บริหารบริษัทใหญ่ขนาดนี้แค่เงินหลักแสนไม่มีคงจะไม่ใช่?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง เธอสูดลมหายใจแล้วหันไปมองแม่เล่อ “แม่มารอที่นี่สองถึงสามวัน ไม่ได้มารอฉัน แต่มารอเกาไห่? ”
พอคิด เธอขมวดคิ้วอีกครั้ง “แต่เสี่ยวเหวินบอกว่าเราหย่ากันแล้ว ทำไมเธอถึงยังตามหาเขาอยู่ล่ะ?”
“เขา…เขาหย่ากับเธอและขอให้เขาให้เงินสองสามแสนไม่ได้เหรอ?” แม่เล่อตอบเรียบๆ
เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าเธออย่างไม่น่าเชื่อ สายตาที่โลภของเธอทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ลูกสาวของคุณ ใครบอกไว้ในวันที่หย่ากับพ่อ คุณจะมีแต่ลูกชายและไม่มีลูกสาวอีกต่อไป?”
แม่เล่อเม้มปาก เงยหน้าขึ้นและเหล่มองดูเล่อจยา เธอค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยกปากขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “เธอหมายความว่าอย่างไร เธอตัดสินใจแล้วใช่ไหมว่าจะไม่ช่วย”
เล่อจยาเหลือบมองที่ซูหย่าแล้วพยายามยิ้ม ตอนที่จับลูกบิดประตูของเธอไว้นิ้วของเธอดูซีดมาก
เลอจยามองไปที่ซูหย่า จับลูกบิดประตู และปล่อยลงอีกครั้ง เธอสูดลมหายใจและมองที่ซูหย่า “ให้ฉันทำใจสักครู่ ”
ซูจิงหยาง มองไปที่ เล่อจยาแล้วถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ก้าวไปข้างหน้า และทำการเปิด ประตูก็เปิดออก
เกาไห่ปรากฏตัวต่อหน้าเล่อจยาและเขานอนอยู่บนเตียง ดวงตาของเขาปิดสนิท
เล่อจยาปิดปากของเธอ จมูกของเธอเริ่มเจ็บ และน้ำตาก็ไหลลงมาอีกครั้ง
ซูจิงหยางเหลือบมองเธอ “ยังไม่ตาย ร้องไห้ทำไม”
ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่สองคนที่บ้าน บังคับให้เขามาดูแลซูหย่า เขาจะไม่ยอมอยู่ที่นี่แม้สักนาทีเดียว
มองไปผู้หญิงที่เขาชอบที่กำลังทำตัวเหมือนกำลังจะตายเพื่อผู้ชายคนอื่น มันรู้สึกเหมือนกินแมลงวัน
ซูหย่าจ้องมองเขา “พี่รอง พี่กลับไปก่อนเถอะ ฉันกลัวว่าพี่จะเสียใจไปมากกว่านี้”
ในเวลานี้เล่อจยาได้เดินเข้าไปหาเกาไห่และนั่งลงข้างเตียงของเขา จับมือ เกาไห่ไว้ทั้งสองข้าง แล้วดมกลิ่น หากพูดถึงความรักที่มีต่อชายผู้นี้ก่อนหน้านั้น ก็ยังมีความไม่แน่นอนและสงสัยความรักของเขาที่มีให้เธอ แต่เมื่อเขาปกป้องเธออย่างเต็มที่ ความสงสัยทั้งหมดก็หายไป
เมื่อเผชิญกับความตาย ทุกสิ่งก็กลายเป็นก้อนเมฆ ไม่ว่าจะเป็นความเข้าใจผิดหรืออะไรก็ตาม
“จยาจยา เอ็นไขสันหลังของเกาไห่ถูกตัด คาดว่าเวลาไม่กี่เดือนนี้ เขาไม่สามารถใช้กำลังส่วนนี้มากได้”
เสียงของซูหย่าดังขึ้นในหูของเธอ เล่อจยา ก็พูดว่า “อืม” ตราบใดที่ไม่มีปัญหาที่คุกคามชีวิต นี่เป็นปัญหาเล็กน้อย
ในเวลานี้ คุณหมอก็เข้ามา
ดวงตาของเขาหันไปมองพวกเขาสองสามคน “ใครเป็นภรรยาของผู้ป่วย”
เล่อจยาชะงัก คิดดู ลุกขึ้นยืน “หมอ ฉันเองค่ะ”
ความสนใจของเธอมุ่งไปที่แพทย์ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สังเกตว่าเมื่อเธอยืนขึ้น ใบหน้าของชายบนเตียงก็ยกขึ้นเล็กน้อย
“คุณหมอคะ นี่คือสามีของฉัน เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
แพทย์พลิกดูเวชระเบียนและมองขึ้นไปที่เล่อจยา “เอ็นหลังของผู้ป่วยถูกตัดและดำเนินการผ่าตัดเรียบร้อยแล้ว หลังจากพักฟื้นในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อชีวิตปกติ แต่ก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่แบบคู่สามีภรรยาเป็นเวลาหกเดือน”
เลอจยาไม่ได้คาดหวังว่าหมอจะถามใครเป็นภรรยาของเกาไห่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหานี้ และใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นครู่หนึ่ง
เธอหรี่ตา ปิดปาก พยักหน้า หูของเธอแดง
ซูหย่าพูดกับเล่อเจียจากด้านข้างอย่างติดตลกว่า “เธอไม่ใช่หย่ากับเขาแล้วหรือ ไหนตอนนี้ยังเป็นภรรยา?”
“ไอ…” ขณะนั้น คนข้างหลังก็สำลักด้วยความตื่นเต้น
เล่อจยาหันกลับมาอย่างกะทันหัน เอนตัวลงต่อหน้าเกาไห่ มองไปที่เกาไห่ “คุณ…เป็นอย่างไรบ้าง?”
ผู้ชายคนนั้นรีบตอบกลับมา “ภรรยาของผม ผมสบายดี”
ซูจิงหยางมองดูทั้งสองคนและพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ไร้ยางอาย” หลังจากพูดเสร็จ เขาก็หันหลังกลับและออกจากห้องผู้ป่วย
ซูหย่าตบไหล่เล่อจยา “คุยกันไปก่อนนะ ฉันจะไปพี่รองของฉัน”
ออกไปและช่วยทั้งสองปิดประตู
“ภรรยาของผม…” เกาไห่จับมือเล่อจยา ลูบแก้มแล้วร้องออกมาอีกครั้ง
เล่อจยาจ้องมองเขาแล้วดึงมือออกจากมือ “กล้าดียังไร กล้าใช้เนื้อมาขวางรถ” เธอพูดพร้อมกับหยิบแก้วน้ำขึ้นมาเทน้ำแล้วยื่นเข้าปากให้เกาไห่“ดื่มน้ำก่อน”
“ขอบคุณครับภรรยาของผม”
“อย่าเรียกไปเอง” เล่อจยาเม้มริมฝีปากของเธอ
เกาไห่หุบปาก ขมวดคิ้ว “โอ๊ย” เล่อจยารู้สึกประหม่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“เจ็บ เจ็บมากเลย”
“เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เล่อจยายกผ้าห่มขึ้นบนตัวของเขา ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าจากรักแร้ถึงเอวเพราะเขาถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวทั้งตัว
เธอยกมือขึ้นและใช้ปลายนิ้วแตะเบา ๆ “เจ็บตรงไหนไหม” เธอถามอีกครั้ง
ชายคนนั้นเอียงศีรษะเล็กน้อย นำความทุกข์จากดวงตาของผู้หญิงมาที่ดวงตาของเขา และมุมปากของเขายกขึ้น “ใจผมเจ็บ ภรรยาของผมไม่ต้องการผมอีกต่อไป”
เล่อจยาหยุดอยู่ที่ปลายนิ้ว มองไปที่ชายดึงผ้าห่มและคลุมให้เขา
“คราวหน้าอย่าทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นอีก” ถ้าคุณตายเพราะฉัน ฉันจะอยู่คนเดียวและใช้ชีวิตที่เหลือของฉันได้อย่างไร
“ภรรยาของผม ผมผิดไปแล้วจริง” เขาดูจริงจังเมื่อพูดแบบนี้
เล่อจยาจำได้ว่าก่อนที่เขาสลบไป เขาก็ยังคงพูดเหมือนเดิม
ก้าวไปข้างหน้า นิ้วเรียวของธอเลื่อนผ่านแก้มของเขา “มันผิดตรงไหนหรือ” รู้ดีว่าในเวลานี้ ไม่ควรถามว่าถูกหรือผิด แต่ เล่อจยาก็อดไม่ได้
เขาผิด แสดงว่าเขาเชื่อเธอ?
เกาไห่ มองไปที่เล่อจยา ดวงตาของเขาเป็นประกาย เขาบีบมือที่อ่อนแอและไม่มีกระดูกของเล่อจยา และเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “ภรรยาของผมใจดีขนาดนี้ จะเป็นอันตรายต่อคนอื่นได้อย่างไร ผมกลับไม่เชื่อคนที่ผมรัก”
เล่อจยาอ้าปากและมองดูใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา เธออยากจะถามเขาว่าเขาเชื่อสิ่งที่เธอพูดก่อนหน้านี้หรือไม่?
คิดดูแล้ว หุบปากอีกครั้ง และดูใจผู้คนเมื่อเวลาผ่านไปจิ้งจอกมันจะเปิดเผยหางของมันเองไม่ช้าก็เร็ว
“คุณนอนพักเถอะฉันจะไปหาเสี่ยวหย่า” ขณะที่พูดและหันหลังกลับ
เขาจับมือเธอไว้ และชายที่อยู่บนเตียงดูเศร้าใจ
“ฉันเป็นห่วงเธอ ร่างกายของเธอตอนนี้… ยังไม่สะดวก และเธอยังมาเจอเรื่องแบบนี้” เธออธิบายอย่างอดทน และทำไมเธอถึงรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้เปลี่ยนไป
ประตู
ซูหย่ากำลังนั่งบนเก้าอี้และเล่นโทรศัพท์มือถือของเธอและไม่เห็นพี่รองอีกต่อไป
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู ซูหย่าก็รีบก้าวไปข้างหน้า ดึงเล่อจยามานั่งลงข้าง ๆ “เป็นยังไงบ้าง”
เล่อจยากระพริบตาแสร้งทำเป็นโง่ “แล้วยังไงล่ะ”
แขนเธอโดนบิดเล็กน้อย “อย่างมาทำเป็นเสแสร้ง ใครเป็นภรรยาของผู้ป่วย ฉันเองค่ะ…” ซูหย่าเลียนแบบ
เล่อจยามองตรงไปข้างหน้าและพูดช้าๆ: “ในขณะที่เขาช่วยฉันจากรถนั้น ฉันก็ยกโทษให้เขาแล้ว เสี่ยวหย่า ฉันได้พบกับชายคนหนึ่งที่เต็มใจจะสละชีวิตของเขาเพื่อฉันแล้วมันไม่ง่ายเลย”
ผู้หญิงอาจเป็นคนทั่วไปที่รักษารอยแผลเป็นและลืมความเจ็บปวด
ซูหย่ามองไปที่เล่อจยาและไม่พูดอะไร
“อันที่จริงเขาเข้าใจฉันผิดไปฉันก็เข้าใจเขานะ เราเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นานเธอว่าไหม?”
“แต่ไห่ยุ่นรู้จัดเขาตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่ามันจะแค่เป็นการหลอกลวงหรือแค่ถูกปิดตาก็ตาม”
“เธอ…พูดอะไรหน่อยซิ”
เล่อจยายังกังวล เธอยังคงสนใจความคิดเห็นของซูหย่า
“เธอก็บอกให้ไห่ยุ่นมาที่นี่ซิ ถ้าจำเป็นสำหรับการให้อภัย รอผู้หญิงคนนั้นมาแล้วค่อยทำการตัดสินใจ”
ในเวลาเดียวกัน ประตูดังเอี๊ยด และถูกเปิดออก
ซูหย่าและเล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคนที่เข้ามา
“เกาไห่?”
ซูหย่ากล่าวว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ขณะที่เธอพูด เธอดึงเล่อจยาและขยิบตาให้เธอ
เล่อจยาหันกลับมาทันที และเมื่อเธอหันศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป
เกาไห่ถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ และเมื่อเขาเห็นซูหย่า เขาก็เม้มปาก “อย่าเศร้าเกินไปนะอายุคุณยังน้อยยังสามารถมีลูกได้”
ฉันต้องบอกว่าเกาไห่มีความรอบรู้ในห้างสรรพสินค้า แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่สูงนักเมื่อพูดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
เล่อจยาสูดลมหายใจ ก้าวไปข้างหน้า หยิบช่อดอกไม้จากมือของเขา และวางลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา แต่ไม่ได้มองเกาไห่อีกต่อไป
ซูหย่าเห็นทั้งสองคนทำเช่นนี้ หรี่ตา “เกาไห่ คุณอยู่ที่นี่ คุณขับรถมาหรือเปล่า”
เกาไห่พยักหน้า “ใช่ รถจอดอยู่ข้างล่าง”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันกำลังจะออกจากโรงพยาบาล คุณช่วยไปส่งพวกเราหน่อย”
เล่อจยาตกตะลึงและขมวดคิ้ว เธอเข้าใจเจตนาของซูหย่าดี แล้วก็บีบไปที่เอวของเธอซูหย่ากลอกตามาที่เธอ
เนื่องจากสถานะพิเศษของซูหย่าเธอจึงไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆในโรงพยาบาล เธอเพียงแค่เก็บของและออกมา
เล่อจยาเปิดประตูให้ซูหย่าเธอกำลังจะนั่ง แต่จู่ๆ เธอก็เห็นว่ามีรถวิ่งมาอย่างเร็วและไม่ใช้เบรกเลยกำลังตรงมาที่รถของพวกเขา
ในเวลานี้ เล่อจยากำลังจะขึ้นรถและมันก็สายเกินไป
เมื่อเห็นว่ากำลังจะชน ชายคนนั้นก็กระแทกพวงมาลัย จากนั้นรถก็ขับไปทางเล่อจยา
ความเร็วนั้นมันเร็วมากจนเล่อจยาไม่มีเวลาตอบสนอง
ขณะที่เธอหลับตาและกำลังถูกชน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ได้รับการปกป้องจากคนที่ล้มลง หน้าอกของเธอชิดกับร่างของเกาไห่ และคนที่อยู่ข้างหลังเธอกำลังปกป้องเธอ
เธอได้กลิ่นตัวที่คุ้นเคย และร่างกายของเธอก็แข็งทื่อเล็กน้อย
“อืม…” มีเสียงอู้อี้ในหูของเธอ แต่ชายคนนั้นยังไม่ขยับ กางแขนเหยียดออก และเธอถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนากับรถ
พื้นที่นี้ปลอดภัยมาก
จนกระทั่งรถแล่นไปที่แปลงดอกไม้ริมถนน วิ่งข้ามแปลงดอกไม้ไปชนกับผนังลานด้านนอกของโรงพยาบาล และได้ยินเสียง “ปัง”
คนข้างหลังเขาตะโกนว่า “หยุด หยุด”
แล้วมีคนตะโกนว่า “เลือด…เลือด…”
ในขณะนี้ เล่อจยาก็ได้คิดถึงฉากการตายของพ่อของเขา
เธอกลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง ในขณะนี้ ผู้ที่อยู่ข้างหลังเธอรู้สึกว่าร่างกายกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากเธอ
เธอหันศีรษะช้าๆ ใบหน้าของเธอซีดหลังจากตกใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่นอนอยู่บนพื้น เธอเอามือปิดปาก มือของเธอสั่น และความรู้สึกหนาวแผ่ไปที่แขนขาของเธอในทันที
“เกาไห่…” เธอคุกเข่าลงข้างเขา มองดูหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือด เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาถูกย้อมเป็นสีแดง ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินนั้นมันช่างแสบตาเหลือเกิน
เล่อจยายื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่เธอไม่สามารถวางมันลงได้เป็นเวลานาน มีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางมือไว้ที่ใดเพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายเขา
“เกาไห่…” เธอเรียกชื่อชายตรงหน้าอีกครั้ง
ในเวลานี้ มีคนข้างๆ พูดว่า “ประตูรถนั้นดูเสียหายเป็นอย่างมาก และประตูรถที่แหลมคมถูกเสียบจากด้านหลังชายคนนั้น ถ้าลึกเข้าไปก็ผ่าครึ่งเขาได้”
“ใช่ ฉันก็เห็นมันด้วย เขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เขาปกป้องผู้หญิงคนนั้นและยังไม่เคลื่อนไหวเลย”
…
เล่อจยา มองดูเลือดที่เปื้อนเลือดบนหลังของเขา เธอกัดริมฝีปากและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลม
เธอเป็นลมไม่ได้ เธออยากเห็นเกาไห่ไม่เป็นไร เธอจะเป็นลมไม่ได้…
“เกาไห่…” เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
ชายที่ไม่ตอบสนองครู่หนึ่งกะพริบตา เล่อจยาเห็นริมฝีปากของเขาขยับและดีใจมาก เธอคลานไปบนพื้น เธอได้ยินเกาไห่พูดกับเธอว่า: “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว”
น้ำตาของเล่อจยาไหลมาเป็นทาง และเธอก็ส่ายหัวจนขาดสติ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ ในตอนนี้ ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ เธอแค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่
“ภรรยา ผมรักคุณจริงๆ ผมผิด…” เสียงของเขาเบาลงจนหายไป
หัวใจของเล่อจยาก็ดูเหมือนจะหยุดลง ริมฝีปากของเธอซีดจนไม่เห็นเลือด และดวงตาของเธอก็หมองลง
ในเวลานี้ มีมือพยุงไหล่ของเธอจากด้านหลัง “จยาจยา เขายังไม่ตาย เขาแค่สลบไป” เป็นเสียงของซูหย่า
เลอจยาหันศีรษะช้าๆ มองไปที่ซูหย่า และพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ เขายังตายไม่ได้” เธอยังไม่ได้สั่งสอนเขาดีๆ และเธอก็ยังไม่ได้ให้อภัยเขา เขาถึงตายตอนนี้ไม่ได้
นอกห้องผ่าตัด
เลอจยาเอนพิงประตู ริมฝีปากของเธอยังคงซีดเซียว และสีหน้าเธอดูไม่ดี
ในเวลานี้ หนิงเส่าเฉินรีบวิ่งเข้ามา
“เย่หลินกำลังตั้งครรภ์และลมหายใจของทารกในครรภ์ไม่คงที่ ฉันไม่กล้าบอกเธอ” หนิงเส่าเฉินกล่าวกับซูหย่า เพราะตอนนี้เล่อจยาไม่ได้อยู่ในสภาพที่คุยได้
ทุกคนรอเป็นเวลานาน
เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก เล่อจยาเกือบจะรีบวิ่งเข้ามา “หมอ เขา… เขาเป็นยังไงบ้าง?”
หมอถอดหน้ากากแล้วส่ายหัว
ก่อนที่หมอจะพูดต่อจนจบ ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนขาของเธออ่อนแรงและเป็นลมไป
เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นอีกครั้ง
อยู่ในห้องผู้ป่วย
เธอมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วกระโดดลงจากเตียง
พุ่งออกไปโดยตรง
เขาจับนางพยาบาลในชุดขาวแล้วถามว่า “เกาไห่อยู่ที่ไหน เกาไห่เป็นอย่างไรบ้าง”
ในเวลานี้ มีคนดึงเธอจากด้านหลัง
เลอจยาหันกลับมาและเห็นว่าเป็นซูหย่า หายใจเข้าลึกๆแล้วถาม “เสี่ยวหย่า เกาไห่อยู่ที่ไหน”
ซูหย่าและซูจิงหยางคนที่พร้อมกัน เขาเหลือบมองเล่อจยาดวงตาของเธอมืดลงเล็กน้อย
“เขาตายแล้ว” ซูจิงหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ
ซูหย่ากังวล “พี่รอง”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเล่อจยาเธอรีบพูดต่อ: “เล่อจยา ไม่ต้องกังวล”
เล่อจยามองไปที่ ซูจิงหยางจากนั้นมองไปที่ ซูหย่าและส่ายหัว “เธอโกหกเธอต้องโกหกฉันแน่”
หันกลับมา เธอรีบไปที่โต๊ะพยาบาลและดึงพยาบาลอีกคน “เกาไห่อยู่ที่ไหน คุณรู้หรือไม่ว่าเกาไห่อยู่ที่ไหน”
ซูหย่ายกเท้าขึ้นและกระทืบเท้าของซูจิงหยาง “พี่รอง พี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายไม่พอใช่ไหม”
หลังจากพูดจบ ก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงเล่อจยา “จยาจยา ฉันจะพาเธอไปหาเกาไห่ ไม่ต้องกังวล”
เล่อจยาตกใจและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “โอเค…ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบ”
ตอนพูดพวกเธอก็ชนคนถึงสองคน
ซูหย่ามองดูเธอและรู้สึกมีอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะมีความบาดหมางกันมากแค่ไหนในชีวิต บางทีมันไม่คุ้มกับคำว่าชีวิตและความตาย
เมื่อเผชิญกับความตาย ความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าใจที่ไม่สำคัญเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ
หลายคนเดินวนไปมาตามทางเดินยาว
“จยาจยา เธอต้องเตรียมทำใจนะ” ในที่สุดซูหยาก็หยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เธอพูดสิ่งนี้กับเล่อจยา
จากนั้น เธอเห็นซูหย่ามองออกไปนอกหน้าต่างเป็นเวลานาน แต่เล่อจยาไม่กล้าเรียกเธอ วางมือถือไว้และรอข้างๆ
“เสี่ยวหย่าเสี่ยวหวู่บอกว่าไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาต้องรับผิดชอบซึ่งกันและกัน เธอเข้าใจไหม” เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาดังๆ
ซูหย่ากระพริบตา และเล่อจยาเห็นน้ำตาออกมาจากดวงตาของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหย่าหลั่งน้ำตาหลังจากที่เด็กจากไป เล่อจยาก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
เธออยากที่จะปลอบโยนเธอ แต่ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกของเธอ เธอรู้ว่าคนธรรมดาไม่สามารถเห็นอกเห็นใจเธอได้ ดังนั้นเธอจึงกลืนคำพูดกของเธอในที่สุด
ยืนขึ้นดึงทิชชู่ออกมาเช็ดน้ำตาจากใบหน้าของเธอ “ร้องไห้ออกมาแล้วจะรู้สึกดีขึ้นเอง”
อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยปล่อยให้เธอระบายออกมาได้ก็ดี แต่ไม่คาดคิด ซูหยาหลั่งน้ำตาเพียงไม่กี่หยด จากนั้นก็ฟื้นคืนความสงบ เธอมองดูเล่อจยาและพูดคำต่อคำ: “จยา” รู้ไหม หลังจากที่เราแต่งงานกัน ชีวิตนี้อาจจะไม่มีทางหย่ากันก็ได้!”
ถ้าซูหย่ากล่าวคำพวกนี้ออกมาก็น่าจะไม่เศร้ามาก สิ่งที่เล่อจยาเห็นคือความปีติยินดีและความภูมิใจ…
นี่ยิ่งทำให้เธอสับสนมากขึ้นไปอีก
ขมวดคิ้ว “ทำไมถึงหย่าไม่ได้” เดิมทีเธออยากจะถามว่าทำไมเธอดูมีความสุขมาก แต่เธอกลัวว่าเธอจะคิดมากเกินไป
ซูหย่ามองดูและยิ้มออกมา “เพราะภูมิหลังทางครอบครัวของเรา ไม่ได้รับอนุญาตให้หย่าร้าง”
ไม่อนุญาตให้หย่า? เล่อจยามีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับครอบครัวที่มั่งคั่ง การทหาร และการเมือง และเธอไม่เข้าใจว่าทำไมการหย่าร้างจึงไม่อนุญาต ลองคิดดู คาดว่าทุกด้านคงจะเกี่ยวข้องกันมากเกินไป
“แล้วทำไมถึงยังแต่งงานอยู่? คงจะไม่รอที่จะผูกตัวเองกับเสี่ยวหวู่ ไปตลอดชีวิตของเธอเหรอ?”
เมื่อซูหย่าได้ยินคำพูดนั้น เธอดึงริมฝีปากของเธอและยิ้มอย่างมีความสุขมากขึ้น แววตาสดใส จากนั้นเธอก็ยกผ้าห่มขึ้นและขยับเบา ๆ เพื่อลุกจากเตียง
เล่อจยาไม่เข้าใจซูหย่าจริงๆ เมื่อเห็นเธอลุกจากเตียงเล่อจยาก็ถามอย่างเร่งรีบ “เธอจะไปเข้าห้องน้ำหรือ”
ซูหย่าส่ายหัว น้ำเสียงของเธอสูงขึ้น “ไม่ ฉันต้องการออกจากโรงพยาบาล”
“ออกจากโรงพยาบาล?” เล่อจยากังวลและคว้าแขนของเธอไว้ “เสี่ยวหย่า เธอกำลังทำอะไรอยู่ แม้ว่าเธอจะไม่ได้คลอดลูก เธอรู้หรือไม่ว่าถ้าไม่ดูแลอย่างดี เธอจะเสียใจกับมันตลอดไป ? ”
เมื่อเธอพูดซูหย่าได้โบกมือและสวมเสื้อผ้าทั้งหมดจนเรียบร้อย เมื่อเห็นเล่อจยาดูเหมือนว่าเธอจะกังวลแทบตายหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เธอก็ตัดสินใจและเอนตัวไปที่เล่อจยาและพูดคำหนึ่ง
ด้วยคำพูดง่ายๆไม่กี่คำในหูของเธอ มุมปากของเล่อจยา ก็แยกออกทันทีดึงตัวซูหย่าเข้ามา”จริงเหรอ…
ซูหย่าชำเลืองมองเธอ “ก็จริงซิ”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหมอ…และเลือด…” เล่อจยามีความสุข เลยพูดติดๆขัดๆ
นี่เป็นเพียงการพลิกกลับของโครงเรื่อง เด็กที่ทำให้เธอหลั่งน้ำตามากมาย จริง ๆ แล้วอยู่ในท้องของ ซูหย่าอย่างปลอดภัย
ซูหย่าขมวดคิ้ว “ถ้าเธอไม่ทำให้มันสมจริง จะทำให้ไอ้บ้านั่นเชื่อได้ไหม”
เขากอดเล่อจยา: “จยาจยา ฉันขอโทษ ฉันทำให้เธอเสียใจ ฉันอยากจะบอกเธอ แต่ฉันกลัวว่าเธอจะไม่ร้องไห้ ดังนั้น… อย่าโกรธฉัน .”
เล่อจยา ส่ายหัว “ไม่โกรธ ไม่โกรธ” เด็กยังคงอยู่มันก็แค่น้ำตาแค่นั้น
อย่างไรก็ตามเล่อจยาไม่เข้าใจ เสี่ยวหย่า ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้?”
“เพราะเสี่ยวหวู่ต้องการจะฆ่าเด็กคนนี้จริงๆ แต่ฉันรู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันต้องการทดสอบเขา แล้วฉันก็กลัวว่าถ้าเขารู้ เขาจะโจมตีลูกของฉันอีกในอนาคต ดังนั้นถ้าคิดคิดก็เริ่มมันเลย”
ถ้าพูดถึงซูหย่าก็รู้สึกขอบคุณผู้ชายที่มาส่งสตูว์ในวันนั้น ตอนนั้น เธอบอกว่าเธอปล่อยให้เขาวางสตูว์ไว้บนโต๊ะแล้วจะกินทีหลังตอนที่เธอหิว แต่ผู้ชายคนนั้นน่าจะเป็นมือของเซียวอู๋ที่ยืนตรงนั้นไม่ไปไหนยืนในท่าทหาร เขากล่าวว่าเซียวอู๋ได้สั่งให้เขาดูเธอกินก่อนที่เขาจากไป
ตั้งแต่ซูหย่าเป็นสาว แม่ซูกลัวว่าเธอจะเหนื่อยจากการเรียนและการทำงาน ก็เลยให้เธอทานอาหารโภชนาการเสริมทุกชนิดจริงๆ
ดังนั้น เมื่อเธอเปิดฝา ปฏิกิริยาแรกของเธอก็คือมีกลิ่นบางอย่างผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม ในขณะนั้น เธอไม่สงสัยเลยท้ายที่สุดนี่คือลูกของเสี่ยวหวู่
เมื่อตอนที่เธอดื่มจนถ้วยสุดท้าย เธอเห็นร่องรอยของความทนไม่ได้ในดวงตาของผู้ชายคนนั้น เมื่อเธอยื่นชามให้ชายคนนั้น มือของชายคนนั้นก็สั่นเล็กน้อย
อยากรู้ว่าคนที่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ภายใต้ เซียวอู๋คงจะเคยเห็นฉากชีวิตและการตายมามากมายด้วยการแสดงออกดังกล่าว ซูหย่ารู้สึกยิ่งคิดยิ่งเหมือนมีอะไรผิดปกติ ในความคิดของเธอเซียวอู๋ไม่น่าจะเป็นห่วงเธอขนาดนั้น ดูเธอกินอาหารเสริมหมดก่อนแล้วค่อยไป เมื่อผู้ชายนั้นเดินจากไป เธอรีบเดินเข้าไปในครัวแต่ช่วงนี้เธอแพ้กลิ่นควันแค่ได้กลิ่นก็จะอาเจียน
เป็นผลให้เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำเพื่ออาเจียนสิ่งที่เธอเพิ่งกินเข้าไป
ต่อมา เธอต้องการทดสอบว่าการเดาของเธอถูกต้องหรือไม่ผ่านเพื่อนคนหนึ่ง เธอขอให้เช่วยซื้อพลาสม่าที่นำเข้ามาและส่งมาให้เธอ
เธอรู้ว่าเล่อจยาจริงใจเกินไป เธอแค่โกหกขณะที่เธอพูดเธอก็สั่นแล้ว เธอจึงไม่บอกเธอ บางทีปฏิกิริยาและน้ำตาของเล่อจยา บวกกับแสงสลัวในคืนนั้นเซียวอู๋คงคาดไม่ถึง ไม่ต้องสงสัยเลย
หลังจากมาถึงโรงพยาบาล เธอมอบบัตรธนาคารที่เธอเตรียมไว้ให้แพทย์ และเธอก็ปกปิดมันจากพ่อแม่ของเธอ
หลังจากเหตุการณ์นั้น เธอเกลียด เซียวอู๋จริงๆ แต่หลังจากที่เล่อจยานำบันทึกเสียงเหล่านั้นกลับมา เธอก็รู้สึกเป็นทุกข์อีกครั้ง
หากก่อนหน้านั้นซูหย่าทำกับเซียวอู๋มาก่อน เพียงแค่ไม่พอใจและต้องการเอาคืน บางทีในขณะนั้นเธออาจตกหลุมรักจริงๆ
ตกหลุมรักผู้ชายที่ “น่าสงสาร” คนนั้น
“จยาเธอต้องช่วยปิดบังมันไว้? หลังจากที่ฉันแต่งงานกับเซียวอู๋แล้ว ฉันจะใช้ความบาดหมางเป็นเหตุผลแล้วย้ายมาอยู่กับเธอ เมื่อลูกเกิดมา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับฉันได้ถึงตอนนั้นฉันจะค่อยๆจัดการเขา”
“แล้วถ้าเขารู้ล่ะ” เล่อถามกลับอย่างกระตือรือร้น เธอไม่อยากทำอีกจริงๆ
ซูหย่าคิดอยู่ครู่หนึ่งและมองดูเล่อจยา ” ในระหว่างนี้ เธอก็ไม่ต้องไปทำงาน ฉันจะเลี้ยงเธอเอง ยังไง? เธอแค่ปกป้องฉันก็พอ”
เลอจยาอยากจะปฏิเสธ แต่ก้มหัวลง จ้องมองไปที่ท้องของซูหย่า คิดถึงสิ่งที่เธอทำเพื่อเธอมาหลายปี เธอกัดฟันและพยักหน้า “ตกลง ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปจากไหน ตลอด 24 ชม.”
เมื่อรู้ว่าลูกของซูหย่ายังอยู่ เลอจยาก็มีความสุข ทั้งร้องไห้และหัวเราะ
ในเวลานี้ประตูดังเอี๊ยดถูกผลักเปิดออก
ซูหย่าหัวเราะออกมา “ถ้าไม่แต่งงาน เขาก็ได้สิ่งที่เขาต้องการ เขาโทษฉันที่ทำลายชีวิตของเขาทำให้ฉันเสียลูกไป ถ้าฉันไม่แต่งงาน ลูกของฉันเสียชีวิตฟรีซิ?”
“เสี่ยวหย่า ฟังฉันนะ เด็กจากไปแล้ว เธอยังสาว ยังมีอีกได้ เธอเห็นคนหนุ่มสาวจำนวนมากตอนนี้หากมีแล้วก็ยังเอาออกใช่ไหม แต่ถ้าเธอแต่งงานกับเสี่ยวหวู่ จะไม่เพียงแต่ทำลายชีวิตของเขาและของเธอ เธอเคยคิดบ้างไหม?”
เมื่อคำพูดของเธอทำให้ซูหย่าไม่แยแส เล่อจยาก็หันกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เราจะโทรแจ้งตำรวจดีไหม คิดว่าไง”
“ไม่!” ซูหย่าตอบอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าในจิตสำนึกของเธอ เธอไม่เคยคิดที่จะโทรหาตำรวจ
แปลว่า “ซูหย่า ยังชอบเขาอยู่ใช่หรือไม่” เพราะชอบเขา จึงลังเลที่จะส่งเขาเข้าคุก เพราะชอบ แม้ว่าเซียวอู๋จะทำร้ายเธอแบบนี้ ก็ยังคงยืนยันที่จะแต่งงานกับเขา
ซูหย่าเลื่อนนั่งลง “จยาจยาฉันเหนื่อยนิดหน่อย ฉันจะนอนสักพัก”
เธอไม่ตอบ มันเป็นโดยปริยายที่การรับรู้นี้ทำให้เล่อจยากลัวว่าซูหย่าจะคล้ายกับตัวเองมากในบางประเด็น แต่ในตอนนี้ เธอหวังจริงๆ ว่าเธอจะแตกต่างไปจากตัวเอง เธอหวังว่าซูหย่าจะรักตัวเองบ้าง
ในเวลานี้ ประตูเปิดออก และแม่ซูเดินเข้ามาพร้อมกับหญิงวัยกลางคน
“แม่ทูนหัว”
“คนที่ฉันพามาจะมาดูแลเสี่ยวหย่า”
เลอจยาพยักหน้าและมองย้อนกลับไปที่ซูหย่า “ถ้าอย่างนั้น แม่ทูนหัว ขอออกไปซื้อของก่อน ส่วนเสี่ยวหย่า คุณอยู่กับเธอไปก่อน แล้วจะกลับมาทีหลัง”
พูดเสร็จก็ออกไปพร้อมกับมือถือและกระเป๋า
“จยาจยา” ซูหย่าพยุงร่างกายส่วนบนของเธอ มองดูเล่อจยา และส่ายหัว
เล่อจยายิ้มกลับ หันกลับมา และจากไป
ในห้องโถงของโรงพยาบาลเล่อจยาเดินแบบรีบ แต่จู่ๆ ก็หยุดแล้วหันกลับมา เธอขยี้ตา มองผิดคนหรือเปล่า?
คนที่กำลังป้อนอาหารให้ผู้หญิงคนนั้นคือน้องชายที่สุรุ่ยสุร่ายของเธอ?
เธอเดินเข้าไปอีกสองก้าวเธอมองไม่ผิดจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง เขาเอามือปิดปากและเดินไปข้างหน้าสองคนภายในสามก้าว
“เล่อเหวิน?”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนเมื่อได้ยินเสียง วางมือไว้ข้างหน้า บิดนิ้วทำหน้าเขินอาย
เล่อเหวินหยิบโจ๊กขึ้นมาและมองดูเล่อจยา “ทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่?”
เลอจยาขมวดคิ้วและเห็นว่ามีสมุดบันทึกทางการแพทย์และกล่องยาสองสามกล่องในถุงใสที่เลอเหวินถืออยู่
“เกิดอะไรขึ้น?” ที่นี่คือโรงพยาบาลสูตินรีเวชวิทยา เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเล่อหวินที่มาที่นี่ได้ แต่เป็นไปได้อย่างเดียวคือผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ
“เธอ เธอท้อง” เล่อเหวินตอบ
เล่อจยา ยกมือขึ้น เขย่าห้านิ้วครึ่ง แตะหน้าผากแล้วมองไปที่เล่อเหวิน “ของเธอ?”
หญิงสาวหันกลับมามองเล่อเหวิน และเล่อเหวินก็มองไปที่หญิงสาวแล้วรีบก้มหน้าลง “ใช่ ของฉัน”
“เธอเป็นใคร?” เสียงของหญิงสาวดูอ่อนแอมาก แต่เล่อจยาเห็นชัดเจนว่าร่างกายของเล่อเหวินสั่นเทาและขมวดคิ้วดูออกว่าเล่อเหวินกลัวผู้หญิงคนนี้?
“พี่สาวของฉัน พี่สาวของฉันจริงๆ ฉันไม่ได้โกหกเธอ” หลังจากที่เล่อเหวินพูดแบบนี้ เขาไม่กล้ามองตาของหญิงสาวและก้มหน้าลงด้วยความตื่นตระหนก
คำพูดของเขาทำให้เล่อจยาสับสนเล็กน้อย
เล่อจยามองดูหญิงสาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนสักแห่ง ทันใดนั้นเธอก็คิดออกและจ้องไปที่หญิงสาวอีกครั้ง “เธอ…เรามาจากบริษัทเดียวกัน ลูกสาวของจวงจูจือใช่ไหม? ”
หลังจากที่หญิงสาวรู้ว่าเล่อจยาเป็นพี่สาวเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไพเราะว่า “ค่ะพี่สาว”
เล่อจยาหลับตาแล้วเปิดมันอีกครั้ง กระโดดขึ้นและตบหัวของเล่อเหวิน “เธอทำไมทำเรื่องอุกอาจขนาดนี้ ไม่นานเท่าไหร่ก็ทำคนอื่นท้องแล้ว?”
เมื่อถูกเล่อจยาทุบตีในที่สาธารณะ เล่อเหวินรู้สึกอายมาก ปิดหัวของเขา “พี่นะดีกว่าผมตรงไหน? แต่งงานและหย่า มีสิทธิ์อะไรที่จะพูดกับผม? แต่งตัวแบบนี้มาโรงพยาบาลไม่ใช่ว่าจะท้องนะ”
เล่อจยาตกใจ กลืนน้ำลาย แล้วชี้นิ้วไปที่เล่อเหวิน “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลาคุยกับแก แล้วฉันจะหาเวลามาชำระบัญชีในภายหลัง” จากนั้นเขาก็หยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋า และเขียนหมายเลขโทรศัพท์ให้ไว้ในมือหญิงสาว
“ถ้าเขากล้ารังแกเธอ โทรหาฉันแล้วจะจัดการเขาให้”
หันกลับมาตบแขนของเล่อเหวินเบาๆ “ในเมื่อฉันสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ได้ ฉันก็หาวิธีรับผิดชอบเองได้”
หลังจากพูดเสร็จ เธอก็รีบเดินออกไปนอกทางออก
หญิงสาวมองดูเล่อจยาที่กำลังจากไปอย่างรวดเร็วและบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ไว้ในมือถือ “เธอคือพี่สาวคุณหรือ พี่เขยของคุณแนะนำคุณให้งานนี้จริงๆ เหรอ?”
เล่อเหวินพยักหน้า “จริง ๆ ผมไม่ได้โกหกคุณ”
“เอาล่ะ ไปเอาเลขคิวกัน เมื่อเด็กคนนี้ออก และความสัมพันธ์ของเราก็จะจบลง” สีหน้าของหญิงสาวไม่อายและอดกลั้นอีกต่อไป แววตามุ่งมั่นและแน่วแน่
“ไม่ ให้เด็กคนนี้อยู่ได้ไหม ผมสัญญาว่าผมจะไม่ทำไอ้เรื่องพวกนี้อีก คุณบอกว่าคุณสามารถคุกเข่าเพื่อผม หมายความว่าคุณรักผม ทำไมคุณถึงไม่ให้กำเนิดลูกล่ะ?” เสียงนั้นเบาลงเมื่อหันไปทางด้านหลัง
หญิงสาวสูดหายใจ ยืนขึ้น มองขึ้นไปเล่อเหวิน และพูดด้วยใบหน้าไร้เดียงสาและสดใส: “คุกเข่าลงและขอความช่วยเหลือ นั่นเป็นความยินดีของฉัน ถ้าเด็กคนนี้ไม่ได้เกิด ฉันก็ยินดี คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม?”
เล่อเหวินอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “ผมไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆ แต่ผมมีความคิด คุณจะทุบตีผมและดุผม ตราบใดที่คุณเต็มใจที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ คุณขอให้ผมทำอะไรผมก็จะทำทั้งหมดตกลงไหม
เมื่อหญิงสาวได้ยินคำพูดนั้น มุมปากของเธอก็ยกขึ้น และเธอชี้ให้เล่อเหวินก้มศีรษะลง แล้วกระซิบที่ข้างหูของเล่อเหวิน “อะไรก็ได้ใช่ไหม”
หญิงสาวมองดูใบหน้าของเล่อเหวินเปลี่ยนไปและพูดว่า
เล่อเหวินมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา สีหน้าของเธอ ใบหน้าของเธอดูอ่อนแอ แต่หัวใจของเธอแข็งแกร่งกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
อันที่จริง ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นผู้หญิงคนนี้เขาก็ถูกใจเธอแล้วแต่ยิ่งเขามีความสัมพันธ์มากขึ้น เล่อเหวินก็พบว่ายิ่งมองไม่เห็นเธอก็ยิ่งคิดถึงเธอ พอนานไปเขาถึงกับกลัวเล็กน้อย เธอว่าอย่างไรก็ตามนั้น ช่วงเวลาดื้อรั้นทำให้เขาไม่เต็มใจที่จะยอมรับว่าเขาถูกผู้หญิงคนนี้ควบคุม เขาจึงเริ่มทำเป็นนอกใจเธอและแสร้งทำเป็นเกลียดเธอ
แต่เมื่อได้ยินว่าเธอคุกเข่าเพื่อเขาก็พบว่าความทุกข์ของเขาไม่มีแล้ว ขณะนั้นเองเขาก็เข้าใจ ปรากฏว่าผู้ชายไม่ได้กลัวผู้หญิงจริงๆ แต่เพราะรู้สึกสะเทือนใจ ความจริงใจ กลัวการสูญเสีย ใส่ใจ จะฟังผู้หญิงคนนั้นด้วยความเต็มใจ เขาก็เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอุบายเป็นคนตรงไปตรงมา แต่ภายนอกอ่อนโยน ข้างในแข็งแรง สามารถงอและยืดตัวได้ .
เล่อเหวินสูดหายใจเข้าและพยักหน้าอย่างหนัก “ใช่”
หญิงสาวเขย่งเท้าขึ้นและจูบที่แก้มของเล่อเหวิน”ถ้าอย่างนั้นโทรหาพี่สาวคุณ”
ในเวลาเดียวกัน ประตูดังเอี๊ยด และถูกเปิดออก
ซูหย่าและเล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคนที่เข้ามา
“เกาไห่?”
ซูหย่ากล่าวว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร” ขณะที่เธอพูด เธอดึงเล่อจยาและขยิบตาให้เธอ
เล่อจยาหันกลับมาทันที และเมื่อเธอหันศีรษะ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็หายไป
เกาไห่ถือช่อดอกไม้อยู่ในมือ และเมื่อเขาเห็นซูหย่า เขาก็เม้มปาก “อย่าเศร้าเกินไปนะอายุคุณยังน้อยยังสามารถมีลูกได้”
ฉันต้องบอกว่าเกาไห่มีความรอบรู้ในห้างสรรพสินค้า แต่ความฉลาดทางอารมณ์ของเขาไม่สูงนักเมื่อพูดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คน
เล่อจยาสูดลมหายใจ ก้าวไปข้างหน้า หยิบช่อดอกไม้จากมือของเขา และวางลงบนเก้าอี้ข้างๆเขา แต่ไม่ได้มองเกาไห่อีกต่อไป
ซูหย่าเห็นทั้งสองคนทำเช่นนี้ หรี่ตา “เกาไห่ คุณอยู่ที่นี่ คุณขับรถมาหรือเปล่า”
เกาไห่พยักหน้า “ใช่ รถจอดอยู่ข้างล่าง”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันกำลังจะออกจากโรงพยาบาล คุณช่วยไปส่งพวกเราหน่อย”
เล่อจยาตกตะลึงและขมวดคิ้ว เธอเข้าใจเจตนาของซูหย่าดี แล้วก็บีบไปที่เอวของเธอซูหย่ากลอกตามาที่เธอ
เนื่องจากสถานะพิเศษของซูหย่าเธอจึงไม่ต้องผ่านขั้นตอนใดๆในโรงพยาบาล เธอเพียงแค่เก็บของและออกมา
เล่อจยาเปิดประตูให้ซูหย่าเธอกำลังจะนั่ง แต่จู่ๆ เธอก็เห็นว่ามีรถวิ่งมาอย่างเร็วและไม่ใช้เบรกเลยกำลังตรงมาที่รถของพวกเขา
ในเวลานี้ เล่อจยากำลังจะขึ้นรถและมันก็สายเกินไป
เมื่อเห็นว่ากำลังจะชน ชายคนนั้นก็กระแทกพวงมาลัย จากนั้นรถก็ขับไปทางเล่อจยา
ความเร็วนั้นมันเร็วมากจนเล่อจยาไม่มีเวลาตอบสนอง
ขณะที่เธอหลับตาและกำลังถูกชน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็ได้รับการปกป้องจากคนที่ล้มลง หน้าอกของเธอชิดกับร่างของเกาไห่ และคนที่อยู่ข้างหลังเธอกำลังปกป้องเธอ
เธอได้กลิ่นตัวที่คุ้นเคย และร่างกายของเธอก็แข็งทื่อเล็กน้อย
“อืม…” มีเสียงอู้อี้ในหูของเธอ แต่ชายคนนั้นยังไม่ขยับ กางแขนเหยียดออก และเธอถูกตรึงไว้อย่างแน่นหนากับรถ
พื้นที่นี้ปลอดภัยมาก
จนกระทั่งรถแล่นไปที่แปลงดอกไม้ริมถนน วิ่งข้ามแปลงดอกไม้ไปชนกับผนังลานด้านนอกของโรงพยาบาล และได้ยินเสียง “ปัง”
คนข้างหลังเขาตะโกนว่า “หยุด หยุด”
แล้วมีคนตะโกนว่า “เลือด…เลือด…”
ในขณะนี้ เล่อจยาก็ได้คิดถึงฉากการตายของพ่อของเขา
เธอกลืนน้ำลายอย่างสิ้นหวัง ในขณะนี้ ผู้ที่อยู่ข้างหลังเธอรู้สึกว่าร่างกายกำลังเคลื่อนตัวออกห่างจากเธอ
เธอหันศีรษะช้าๆ ใบหน้าของเธอซีดหลังจากตกใจ
อย่างไรก็ตาม เมื่อเธอเห็นเกาไห่นอนอยู่บนพื้น เธอเอามือปิดปาก มือของเธอสั่น และความรู้สึกหนาวแผ่ไปที่แขนขาของเธอในทันที
“เกาไห่…” เธอคุกเข่าลงข้างเขา มองดูหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือด เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาถูกย้อมเป็นสีแดง ดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินนั้นมันช่างแสบตาเหลือเกิน
เล่อจยายื่นมือขึ้นไปในอากาศ แต่เธอไม่สามารถวางมันลงได้เป็นเวลานาน มีเลือดอยู่ทุกหนทุกแห่ง เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะวางมือไว้ที่ใดเพื่อที่จะได้ไม่ทำร้ายเขา
“เกาไห่…” เธอเรียกชื่อชายตรงหน้าอีกครั้ง
ในเวลานี้ มีคนข้างๆ พูดว่า “ประตูรถนั้นดูเสียหายเป็นอย่างมาก และประตูรถที่แหลมคมถูกเสียบจากด้านหลังชายคนนั้น ถ้าลึกเข้าไปก็ผ่าครึ่งเขาได้”
“ใช่ ฉันก็เห็นมันด้วย เขาเป็นลูกผู้ชายตัวจริง เขาปกป้องผู้หญิงคนนั้นและยังไม่เคลื่อนไหวเลย”
…
เล่อจยา มองดูเลือดที่เปื้อนเลือดบนหลังของเขา เธอกัดริมฝีปากและใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตัวเองเป็นลม
เธอเป็นลมไม่ได้ เธออยากเห็นเกาไห่ไม่เป็นไร เธอจะเป็นลมไม่ได้…
“เกาไห่…” เธอร้องไห้หนักกว่าเดิม
ชายที่ไม่ตอบสนองครู่หนึ่งกะพริบตา เล่อจยาเห็นริมฝีปากของเขาขยับและดีใจมาก เธอคลานไปบนพื้น เธอได้ยินเกาไห่พูดกับเธอว่า: “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว”
น้ำตาของเล่อจยาไหลมาเป็นทาง และเธอก็ส่ายหัวจนขาดสติ แต่เธอไม่สามารถพูดอะไรได้ ในตอนนี้ ความเข้าใจผิดและความไม่ไว้วางใจเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ เธอแค่อยากให้เขามีชีวิตอยู่
“ภรรยา ผมรักคุณจริงๆ ผมผิด…” เสียงของเขาเบาลงจนหายไป
หัวใจของเล่อจยาก็ดูเหมือนจะหยุดลง ริมฝีปากของเธอซีดจนไม่เห็นเลือด และดวงตาของเธอก็หมองลง
ในเวลานี้ มีมือพยุงไหล่ของเธอจากด้านหลัง “จยาจยา เขายังไม่ตาย เขาแค่สลบไป” เป็นเสียงของซูหย่า
เลอจยาหันศีรษะช้าๆ มองไปที่ซูหย่า และพยักหน้าอย่างแรง “ใช่ เขายังตายไม่ได้” เธอยังไม่ได้สั่งสอนเขาดีๆ และเธอก็ยังไม่ได้ให้อภัยเขา เขาถึงตายตอนนี้ไม่ได้
นอกห้องผ่าตัด
เลอจยาเอนพิงประตู ริมฝีปากของเธอยังคงซีดเซียว และสีหน้าเธอดูไม่ดี
ในเวลานี้ หนิงเส่าเฉินรีบวิ่งเข้ามา
“เย่หลินกำลังตั้งครรภ์และลมหายใจของทารกในครรภ์ไม่คงที่ ฉันไม่กล้าบอกเธอ” หนิงเส่าเฉินกล่าวกับซูหย่า เพราะตอนนี้เล่อจยาไม่ได้อยู่ในสภาพที่คุยได้
ทุกคนรอเป็นเวลานาน
เมื่อประตูห้องผ่าตัดเปิดออก เล่อจยาเกือบจะรีบวิ่งเข้ามา “หมอ เขา… เขาเป็นยังไงบ้าง?”
หมอถอดหน้ากากแล้วส่ายหัว
ก่อนที่หมอจะพูดต่อจนจบ ผู้หญิงตรงหน้าเหมือนขาของเธออ่อนแรงและเป็นลมไป
เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นอีกครั้ง
อยู่ในห้องผู้ป่วย
เธอมองไปรอบๆ จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ แล้วกระโดดลงจากเตียง
พุ่งออกไปโดยตรง
เขาจับนางพยาบาลในชุดขาวแล้วถามว่า “เกาไห่อยู่ที่ไหน เกาไห่เป็นอย่างไรบ้าง”
ในเวลานี้ มีคนดึงเธอจากด้านหลัง
เลอจยาหันกลับมาและเห็นว่าเป็นซูหย่า หายใจเข้าลึกๆแล้วถาม “เสี่ยวหย่า เกาไห่อยู่ที่ไหน”
ซูหย่าและซูจิงหยางคนที่พร้อมกัน เขาเหลือบมองเล่อจยาดวงตาของเธอมืดลงเล็กน้อย
“เขาตายแล้ว” ซูจิงหยางพูดด้วยน้ำเสียงที่สงบ
ซูหย่ากังวล “พี่รอง”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเล่อจยาเธอรีบพูดต่อ: “เล่อจยา ไม่ต้องกังวล”
เล่อจยามองไปที่ ซูจิงหยางจากนั้นมองไปที่ ซูหย่าและส่ายหัว “เธอโกหกเธอต้องโกหกฉันแน่”
หันกลับมา เธอรีบไปที่โต๊ะพยาบาลและดึงพยาบาลอีกคน “เกาไห่อยู่ที่ไหน คุณรู้หรือไม่ว่าเกาไห่อยู่ที่ไหน”
ซูหย่ายกเท้าขึ้นและกระทืบเท้าของซูจิงหยาง “พี่รอง พี่กลัวว่าโลกจะไม่วุ่นวายไม่พอใช่ไหม”
หลังจากพูดจบ ก็ก้าวไปข้างหน้าและดึงเล่อจยา “จยาจยา ฉันจะพาเธอไปหาเกาไห่ ไม่ต้องกังวล”
เล่อจยาตกใจและพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “โอเค…ฉันไม่รีบ ฉันไม่รีบ”
ตอนพูดพวกเธอก็ชนคนถึงสองคน
ซูหย่ามองดูเธอและรู้สึกมีอารมณ์ชั่วขณะหนึ่ง ไม่ว่าจะมีความบาดหมางกันมากแค่ไหนในชีวิต บางทีมันไม่คุ้มกับคำว่าชีวิตและความตาย
เมื่อเผชิญกับความตาย ความไว้เนื้อเชื่อใจและความเข้าใจที่ไม่สำคัญเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญ
หลายคนเดินวนไปมาตามทางเดินยาว
“จยาจยา เธอต้องเตรียมทำใจนะ” ในที่สุดซูหยาก็หยุดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย เธอพูดสิ่งนี้กับเล่อจยา
เมื่อเล่อจยาได้ยินแบบนั้น เธอก็ตื่นตกใจทันที
เธอหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงอย่างมือสั่น ” ฉัน……ฉันจะโทรขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 เสี่ยวหย่า เธอ……เธอใจเย็นๆนะ ” นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เล่อจยาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมมือตัวเองให้ไม่สั่น
ซูหย่าหลับตาเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จยา โทรหา……เซียวอู๋”
เล่อจยาชะงักไปเล็กน้อย เธอคิดว่าซูหย่าในตอนนี้คงอยากให้เซียวอู๋มาอยู่ข้างๆเธอ ดังนั้นเล่อจยาจึงรีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเซียวอู๋ และกดโทรออก สักพักปลายสายก็กดรับสาย
” ฮัลโหล……” น้ำเสียงเสียงดังฟังชัดมากไม่เหมือนกับคนที่พึ่งตื่นนอนเลย เล่อจยาอึ้งไปชั่วครู่ เธอตกใจว่าทำไมเซียวอู๋ถึงไม่หลับไม่นอนกันนะ?
” เซียวอู๋ คุณรีบมาเร็ว เสี่ยวหย่าเธอบอกว่าปวดท้องมาก ” หลังจากนั้นก็แจ้งที่อยู่ให้กับเขา
เล่อจยาได้ยินเสียงถอนหายใจของเซียวอู๋ดังขึ้นอย่างชัดเจน ” ได้ ให้เธอรอฉันก่อนนะ ” เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดไปหรือเปล่า เล่อจยารู้สึกว่าในตอนที่เซียวอู๋พูดแบบนั้นเหมือนเขากำลังพึงพอใจอย่างมาก
ในตอนที่เซียวอู๋มาถึง มันก็ได้ผ่านไปสี่สิบนาทีแล้ว
บริเวณต้นขาของซูหย่ามีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด พอเล่อจยาจะโทร ขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 ซูหย่าก็ไม่ยอม
” นี่บ้านคุณอยู่แถวไหนกันเนี่ย ทำไมถึงมาป่านนี้? “เล่อจยาพูดพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ เสี่ยวหย่ามีเลือดออก ฮือฮือ……”
เซียวอู๋รีบขึ้นไปที่ห้องนอนโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะถอดรองเท้า ผ้าปูที่นอนสีครีมในตอนนี้เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ผมเธอยุ่งเหยิงพันกันและอดบังใบหน้าเธอไว้ครึ่งหน้า ผมเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ทำให้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ
” เสี่ยวหย่า เซียวอู๋มาแล้วนะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ” เล่อจยาเช็ดน้ำตา และเดินเข้าไปพยุงซูหย่า แต่ซูหย่ากลับผลักเธอออก ” จยาจยา เธอออกไปก่อน ฉัน……มีเรื่องอยากจะ……คุยกับเซียวอู๋ ”
เล่อจยาจมวดคิ้ว เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก ” มาถึงขนาดนี้แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคุยอะไรกันอีก ถ้าเธอจะยื้อเวลาออกไปแบบนี้เรื่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องนะ เราไปโรงพยาบาลกันก่อนได้ไหม?ขอร้องล่ะ…… ” จากนั้นสายตาของเล่อจยาก็จ้องมองไปที่เลือดที่กำลังไหลลงบนต้นขาเธออย่างไม่หยุด เธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ เซียวอู๋ คุณยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปอุ้มซูหย่าไปโรงพยาบาลสิ “
แต่ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เซียวอู๋กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน เขาเม้มปากและพูดขึ้นว่า ” เล่อจยา เธอออกไปก่อน ”
เล่อจยาถึงกับงง ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันแน่? ในสถานการณ์แบบนี้การช่วยชีวิตเด็กในท้องต้องมาเป็นอันดับแรกไม่ใช่เหรอ? จะคุยอะไรกันทำไมไม่เก็บเอาไว้คุยกันในภายหลัง
แต่น้ำเสียงของทั้งสองคนน่าสงสัยจริงๆ เล่อจยาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวซูหย่าไว้ และเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ซูหย่าก็หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเธอก็มองหน้าผู้ชายที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยและเย็นชาคนนั้น เธอยิ้มมุมปาก เป็นไปอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด
” เซียวอู๋ คุณมันร้ายความปรานี!”
เซียวอู๋เดินเข้าไปหาเธอ เขาหยุดลงข้างเตียงเธอ โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย ” ไร้ความปรานีงั้นเหรอ? คุณซูเองก็ใช่ย่อยนะ สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งในชั่วพริบตา ที่ฉันทำมันก็แค่ตัดก้อนเนื้อทิ้งไปก้อนเดียวก็แค่นั้นเอง ”
หลังจากเขาพูดจบ ซูหย่าก็ปัดผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกและมองหน้าเขา “ใช้ได้เลยทีเดียว ผลลัพธ์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริง “
ซูหย่าคิดว่าอย่างน้อยเซียวอู๋ก็น่าจะแก้ตัวบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ายอมรับออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ อีกทั้งยังทำท่าทีราวกับพอใจมากด้วย เธอรู้สึกโกรธมาก สักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวในปาก จากนั้นก็มีของเหลวบางอย่างพุ่งออกมาจากปากเธอ
” นายคิดว่านายทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยนายไปงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้นะ ฉันจะทำลายชีวิตของนายให้ย่อยยับเป็นแน่” ซูหย่าใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนั้นในการพูดประโยคนี้
สายตาของเซียวอู๋จ้องไปที่หน้าของซูหย่า เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวของตัวเองปัดผมที่บดบังใบหน้าของเธอไปไว้ข้างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ งั้นเราก็มารอดูกัน”
พอพูดจบ เขาก็เดินเข้าไป และกระชากผ้าห่มออก จากนั้นก็อุ้มซูหย่าขึ้น
ผลสุดท้าย แน่นอนว่าลูกไม่อยู่กับเราแล้ว
” คุณหมอคะ เมื่อวานลูกสาวฉันยังกินข้าวที่บ้านฉันอยู่เลย ทำไมอยู่ดีดีถึงแท้งคะ? ” แม่ซูดึงตัวคุณหมอไว้ถามและไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย
พ่อซูยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
” คุณนายซู การอยู่รอดของตัวอ่อนในระยะนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ คุณซูเองก็ยังสาว บำรุงดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถ้าในอนาคตจะท้องอีกก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ”
เมื่อพูดจบ คุณหมอก็เอามือแม่ซูออกและเดินจากไป
เล่อจยายืนอยู่ตรงมุม เมื่อเธอได้ยินในสิ่งที่คุณหมอพูด เธอก็เอามือปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ซูหย่าให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาก เธอไม่อยากจะคิดเลยถ้าซูหย่ารู้เรื่องนี้เธอจะผ่านมันไปได้ยังไง?
แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ซูหย่าฟื้นขึ้นมาเธอดูไม่ได้เป็นกังวลมากเท่าไหร่เลย เธอไม่เอ่ยถึงเด็กในท้องด้วยซ้ำ
ในตอนแรก เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนเยอะเธอเลยพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ แต่จนถึงตอนที่ภายในห้องมีเพียงพวกเธอสองคน ซูหย่าก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติใดใดเลย
ในตอนนั้นเอง พยาบาลก็เข้ามาเปลี่ยนน้ำเกลือให้เธอ และมีคุณหมอท่านหนึ่งตามเข้ามาด้วย
” ช่วงนี้ คนไข้ต้องระมัดระวังนะ อย่าให้สัมผัสน้ำเย็น และอย่ายกของหนัก ต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดีอย่างน้อยครึ่งเดือน ”
เล่อจยาพยักหน้า ” ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ”
เธอหันไปหยิบโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเป่าเล็กน้อย ” เสี่ยวหย่า กินโจ๊กหน่อยนะ ”
ซูหย่ากลับไม่ยอมให้เล่อจยาป้อนให้ แต่เธอรับโจ๊กจากเล่อจยาไปและยกซดหมดถ้อย นั่นมันไม่ใช่การกินหมดถ้วย แต่เป็นการยกซดจนหมดถ้วยต่างหาก หลังจากที่เธอกินจนหมด เธอก็เอาถ้วยวางลงบนโต๊ะข้างๆ
เล่อจยาหยิบทิชชูมาเช็ดปากให้เธอ ” เสี่ยวหย่า เธอบอกฉันมาว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม? ที่เธอต้องแท้งลูก เซียวอู๋มีส่วน……” คำพูดต่อจากนั้น เล่อจยาไม่กล้าพูดออกมา
แต่ ณ ตอนนั้น ปฏิกิริยาของทั้งสองคนมันมีพิรุธมากจริงๆ
ซูหย่าเงยหน้ามองเล่อจยา เธอตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามเธอ
เล่อจยากำหมัดแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้น “ ฉันจะไปฆ่าเขาให้ได้ “
แต่แขนเธอโดนกระชากไว้ เล่อจยาจึงหันกลับไปมอง ” หรือว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่? ”
ซูหย่าส่ายหน้า ” ฆ่าเขาเธอเองก็จะติดคุก ” น้ำเสียงเธอแหบแห้งมาก ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้มากเท่าไหร่
เล่อจยาหันไปกอดซูหย่าไว้ ” ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมเมื่อวานเธอถึงต้องรอให้เซียวอู๋มาถึงก่อน ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงได้มาช้าขนาดนั้น เสี่ยวหย่าเธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าเขา……แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ฉันโทรขอความช่วยเหลือจาก 120ล่ะ? หรือว่า……”
” เด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้เป็นพ่อวางแผนฆ่า ถ้าคลอดเขาออกมาเธอคิดว่าเขาจะมีความสุขงั้นเหรอ? ”
เล่อจยาสูดจมูก ดวงตาเธอแดงก่ำ ” ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ”
เธอคิดเพียงว่าเซียวอู๋ไม่ชอบซูหย่า แต่เขาเองก็ต้องยอมจำนน เธอยังคิดอีกว่าหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะอยู่กันไปอย่างยาวนาน แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้ แม้แต่ลูกตัวเองก็ลงมือกระทำได้
” นั่นเป็นลูกของเขานะ ทำไมถึงลงมือทำแบบนั้นได้? ”
” สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ” ในขณะที่ซูหย่าพูด เธอก็ยิ้ม
เล่อจยามองหน้าซูหย่า ” แล้วทำไมเธอไม่บอกแม่บุญธรรมล่ะ หากพวกเขารู้ พวกเขาไม่มีทางให้อภัยเขาแน่ๆ เธอ……”
” เพราะว่า ฉันยังจะต้องแต่งงานกับเขาไง! ” ซูหย่าพูดออกมาอย่างสบายๆ
แต่สีหน้าเล่อจยากลับเปลี่ยนไป เธอเอามือจับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของซูหย่า ” เสี่ยวหย่า เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม? ”
เกาไห่จ้องดูหน้าจอโทรศัพท์โดยไม่ได้พูดอะไร
ตั้งแต่ที่เล่อจยาออกจากบริษัทไปเขาก็ไม่กล้ากดดันเธอมากนัก พอคิดๆดูครั้งล่าสุดที่เจอเธอก็ผ่านมาเกือบครึ่งเดือนแล้ว
เขาลุกขึ้นพร้อมกับตบไหล่เสี่ยวตง ” สิ้นเดือนนี้โบนัสจะเพิ่มเป็นสองเท่านะ ”
ในตอนเย็น ณ ฟิตเนสไฮเอนด์ที่หนึ่ง
เล่อจยาใส่สปอร์ทบราและกางเกงออกกำลังกายสีเทา เธอมัดผมทรงหางม้าผูกสูง ดูรวมๆแล้วทั้งสดใสและมีชีวิตชีวา ที่สำคัญที่สุดคือเธอยังคงสวยเหมือนเดิม
พึ่งจะมาถึงห้องกำลังกาย ก็มีสายตาของผู้คนหลายคู่จับจ้องมาที่เธอ
” จยาจยา……” ทันใดนั้น เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ
เล่อจยาหันไปดู เธอหรี่ตาลงเล็กน้อย ” พี่ชายรองงั้นเหรอ? เธอเม้มปากเล็กน้อย พี่ชายรองใส่เสื้อบางๆ และกางเกงสบายๆ ดูแล้วมันสะดุดตามาก แต่เมื่อนึกถึงคำพูดพวกนั้นของซูหย่า เล่อจยาก็รู้สึกกังวลเล็กน้อย แม้ว่าคุณสมบัติของพี่ชายรองจะดีมาก แต่ เธอก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร
” พอดีผ่านมาแถวนี้ แล้วเห็นเธอเข้ามาในนี้พอดี เลยเข้ามาดูสักหน่อยน่ะ ” พี่ชายรองพูดพร้อมกับเดินมายืนตรงข้ามลู่วิ่งของเล่อจยา
ในตอนนั้นเอง โค้ชส่วนตัวของเล่อจยาก็เดินเข้ามา ” จยาจยา วันนี้มาสายนะ! ”
เขาพูดพร้อมกับโยนผ้าเช็ดหน้าให้เธอหนึ่งผืน ” เตรียมตัวสักครู่ เดี๋ยวเรามาเริ่มกัน ”
เล่อจยาพยักหน้า หลังจากนั้นเธอก็นอนลง เธอยกร่างกายส่วนบนและแขนขึ้นพร้อมๆกัน สะบัดแขนและขาสลับกัน ราวกับว่ากำลังว่ายน้ำ
อาจจะเป็นเพราะเธอเคยฝึกเทควันโดมาก่อน พอครั้งแรกที่เธอฝึกพิลาทิส โค้ชถึงกับตกใจและพูดชมเธอไม่หยุดเลย
ทันใดนั้น ก็มีรองเท้าออกกำลังกายคู่หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมอง
เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามา เธอก็ถึงกับมือไม้อ่อน และล้มลงกับพื้น
เมื่อพี่ชายรองเห็นเข้า เขาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาทันที
หลังจากนั้น ทั้งแขนซ้ายและแขนขวาของเล่อจยามีมือคู่หนึ่งพยุงอยู่
ส่วนโค้ชที่วิ่งตามมาทีหลังได้แต่เอามือขยี้จมูกและเดินถอยไปข้างหลัง
” จยาจยา ไม่เป็นไรใช่ไหม? ” พี่ชายรองถามขึ้นก่อน
เล่อจยาส่ายหน้า และยิ้มให้เขา ” ไม่เป็นไรค่ะ ”
เพราะการกระทำของทั้งสองคน เกาไห่ถึงกับออกแรงบีบรัดที่แขนของเธอแรงขึ้น
” โอ๊ย คุณกำลังทำฉันเจ็บอยู่นะ ” เล่อจยาพูดขึ้นเสียงเบา
เมื่อพี่ชายรองได้ยินแบบนั้น ก็รีบปัดแขนเกาไห่ออกทันที ” คุณเป็นใคร? มาแตะเนื้อต้องตัวเธอแบบนี้ได้ไง ” พอพูดจบ เขาก็โน้มตัวลงเป่าตรงบริเวณแขนที่เจ็บและแดงของเล่อจยา
” แล้วคุณล่ะเป็นใคร? ” เก่าไห่พูดขึ้น สายตาเขาน่ากลัวมากและน้ำเสียงเขาก็เย็นชามาก
เล่อจยาจับเครื่องออกกำลังกายข้างๆเพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น เธอหันหลังไปบอกกับโค้ชว่า ” โค้ชคะ วันนี้ฉันรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย เดี๋ยวฉันกลับไปฝึกที่บ้านเองนะคะ ”
เมื่อเกาไห่เห็นว่าเธอกำลังจะเดินออกไป เขาก็กำลังจะรีบตามเธอไป แต่พี่ชายรองกลับมาขวางเขาไว้ข้างหน้า
เล่อจยาไม่ได้หันกลับมามอง ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ชายตามองเกาไห่เลยแม้แต่แวบเดียว เธอหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา แล้วหันหลังเดินออกไปเลย
” จยาจยา อยู่คุยกันก่อนนะ ” เสียงของชายหนุ่มที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังเธอ
เล่อจยาคิดอยู่สักพัก จากนั้น เธอก็หันหลังกลับไป แต่สายตาเธอมองผ่านเกาไห่ไป และมองไปที่พี่ชายรอง
ในตอนที่เห็นเล่อจยาชัดๆ แววตาของเกาไห่ก็เต็มไปด้วยความตกใจ ไม่เจอกันแค่ไม่กี่วัน ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้เลย
การเปลี่ยนไปของรูปลักษณ์ภายนอกไม่ได้ทำให้เขาตกใจมากนะ แต่เขาสัมผัสได้ว่าเล่อจยาในตอนนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเลยแม้แต่น้อย
กำมือทั้งสองข้างแน่น
“จิ้งหยาง คุณช่วยส่งฉันกลับหน่อยได้ไหม? ” ซูจิ้งหยาง เป็นชื่อของพี่ชายรอง
เมื่อได้ยินเล่อจยาเรียกชื่อตัวเอง ซูจิ้งหยางก็ตกใจ แต่หลังจากนั้นก็ตั้งสติได้ เขาหันไปมองเกาไห่แวบหนึ่ง
” จยาจยา เราไปทานมื้อค่ำกันก่อนดีไหม? ” เสียงของซูจิ้งหยางนั้นไม่เบาเลยทีเดียว คนที่อยู่ห่างเป็นเมตรก็ได้ยิน
แน่นอนว่าเกาไห่เองก็ได้ยิน
ทันทีที่เขาร้อนใจ เขาก็เดินเข้ามาจับแขนเล่อจยาไว้ ” ที่รัก…….”
สองคำนี้ทำให้เล่อจยาและซูจิ้งหยางหันกลับมาจ้องหน้าเขาพร้อมกัน
” คุณเกาคะ อย่าเรียกมั่วๆแบบนี้นะคะ ” สีหน้าเธอไร้ความรู้สึกและน้ำเสียงเย็นชามาก
สายตาของเขามองไปที่มือของซูจิ้งหยาง ” ปล่อยมือ ”
” จยาจยา อดีตสามีเธองั้นเหรอ? ” ซูจิ้งหยางพูดขึ้นพร้อมกับมองเกาไห่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ไม่ว่าจะเป็นรูปร่าง หน้าตา และเสน่ห์ แทบไม่ต่างกันเลย
” คุณผู้ชายท่านนี้ อย่าพูดอะไรมั่วๆนะครับ พวกเราเป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย อดีตสามีอะไรกัน? ”
เล่อจยาตกใจมาก เธอพูดขึ้นว่า ” คุณยังไม่ได้จัดการเรื่องการหย่างั้นหรอ? ”
เกาไห่เดินเข้าไปจับแขนเธอไว้ ” ที่รัก เราดีกันนะ ไม่ทะเลาะกันแล้วได้ไหม? คุณคิดว่าผมมีข้อเสียตรงไหน ผมจะแก้ไข ดีไหมครับ? ”
เกาไห่ในลักษณะนี้ทำให้เล่อจยามองตาค้าง เธอขมวดคิ้ว ” ถ้าอย่างนั้นคงต้องรอเจอกันที่ศาลแล้วล่ะ ”
พอพูดจบเธอก็ปัดมือเกาไห่ออก และเดินตรงเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อสำหรับสุภาพสตรี
แต่ว่าเล่อจยายังไม่ทันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็มีคนวิ่งเข้ามา ” คุณผู้หญิงคะ คุณรีบไปดูเร็ว ผู้ชายข้างนอกสองคนนั้นพวกเขาต่อยกันแล้ว ”
เล่อจยายังคงเปลี่ยนเสื้อผ้าต่ออย่างนิ่งเฉย เธอยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย
หลังจากที่เดินออกมา ก็เห็นสีสันที่แตกต่างไปบนใบหน้าของผู้ชายทั้งสองคน เล่อจยากอดอกมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินไปที่ประตูทางออก
เมื่อเกาไห่เห็นว่าเล่อจยาหันหลังเดินออกไปแบบนั้น เขาก็ไม่มีเวลาสนใจซูจิ้งหยางอีก เขารีบลุกไปหยิบเสื้อสูทของเขาและตามเธอไปทันที
ลมปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านมา อากาศเริ่มหนาวแล้ว เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอโบกมือเรียกรถ จากนั้นแท็กซี่คันหนึ่งก็จอดลงตรงหน้าเธอ
เมื่อกลับไปถึง ก็เห็นซูหย่านั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา ตรงหน้าเธอมีถ้วยเปล่าวางอยู่หนึ่งใบ ดูแล้วอารมณ์ดีเชียว
” จยา เมื่อกี้เซียวอู๋ส่งสมุนไพรมา ฉันเก็บไว้ให้เธอด้วยหนึ่งชุด รีบกินเร็ว ”
เล่อจยาส่ายหน้า ” ดึกแล้วฉันไม่กิน แช่ไว้ในตู้เย็นก่อน พรุ่งนี้เช้าฉันค่อยตื่นมากิน ”
ซูหย่าชูนิ้วโป้งให้เธอ จากนั้นก็คิดขึ้นได้ เธอนั่งยืดตัวตรง ” ทำไมวันนี้ถึงกลับมาไวจัง? ”
เล่อจยาเปลี่ยนรองเท้า พอเธอล้างมือเสร็จก็ไปนั่งลงข้างๆซูหย่า เธอกอดแขนเขาไว้ และพิงไปที่ไหล่เธอ จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ให้ซูหย่าฟัง
” พี่ชายรองของฉันก็ไปงั้นหรอ? เหอะๆ นิสัยเขาไม่เปลี่ยนไปเลย เฉียบขาดจริงๆ! ”
เล่อจยาสะกิดแขนเธอ ” เธอช่วยบอกกับพี่ชายรองของเธอหน่อยได้ไหม บอกว่าฉันยังรักเกาไห่อยู่ อย่าเสียเวลากับฉันเลย ”
ซูหย่าหันไปมองเธอ ” เธอรู้ไหม? ตอนนั้น ตอนที่เขาต้องการจะไว้ผมยาว พ่อฉันจับเขาขังไว้ในห้องมืดๆคนเดียวเพื่อบีบบังคับให้เขาตัดผม แต่ เขายอมให้หัวหลุดออกจากหัว แต่จะไม่ยอมตัดผมเด็ดขาด ”
” เธอคิดว่านิสัยแบบนั้นของเขา คนอย่างฉันจะห้ามปรามเขาได้งั้นเหรอ? อีกอย่างอีกไม่กี่วันพี่ชายรองก็ไปต่างจังหวัดแล้ว ช่วงนี้ เธอก็พยายามอย่าออกจากบ้านก็พอแล้ว แล้วเรื่องเกาไห่ เธอจะฟ้องหย่าเขาจริงๆงั้นเหรอ? ”
เล่อจยาก้มหน้าลง เธอเงียบ ผ่านไปสักพักเธอก็พูดขึ้นว่า ” ค่อยว่ากันอีกที! ”
ในเช้าวันถัดมา ซูหย่าปลุกเล่อจยาให้ตื่น
ทันทีที่ลืมตา เล่อจยาก็เห็นซูหย่าหดตัวกลมเป็นลูกบอล ความง่วงนอนของเธอหายไปในชั่วพริบตา เธอลุกขึ้นนั่งตัวตรง ” เสี่ยวหย่า เธอเป็นอะไร? ”
ซูหย่าเอามือจับที่หน้าท้องส่วนล่างของตัวเอง เธอขมวดคิ้วและสีหน้าเธอนั้นเคร่งเครียดมาก ” จยาจยา ฉัน……ฉัน……ฉันปวดท้องมากเลย ”
เมื่อเล่อจยาได้ยินแบบนั้น เธอก็ตื่นตกใจทันที
เธอหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวเตียงอย่างมือสั่น ” ฉัน……ฉันจะโทรขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 เสี่ยวหย่า เธอ……เธอใจเย็นๆนะ ” นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่เจอเรื่องแบบนี้กับตัวเอง เล่อจยาพยายามอย่างมากเพื่อควบคุมมือตัวเองให้ไม่สั่น
ซูหย่าหลับตาเอาไว้ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ และพูดขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง “จยา โทรหา……เซียวอู๋”
เล่อจยาชะงักไปเล็กน้อย เธอคิดว่าซูหย่าในตอนนี้คงอยากให้เซียวอู๋มาอยู่ข้างๆเธอ ดังนั้นเล่อจยาจึงรีบค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของเซียวอู๋ และกดโทรออก สักพักปลายสายก็กดรับสาย
” ฮัลโหล……” น้ำเสียงเสียงดังฟังชัดมากไม่เหมือนกับคนที่พึ่งตื่นนอนเลย เล่อจยาอึ้งไปชั่วครู่ เธอตกใจว่าทำไมเซียวอู๋ถึงไม่หลับไม่นอนกันนะ?
” เซียวอู๋ คุณรีบมาเร็ว เสี่ยวหย่าเธอบอกว่าปวดท้องมาก ” หลังจากนั้นก็แจ้งที่อยู่ให้กับเขา
เล่อจยาได้ยินเสียงถอนหายใจของเซียวอู๋ดังขึ้นอย่างชัดเจน ” ได้ ให้เธอรอฉันก่อนนะ ” เธอไม่รู้ว่าเธอรู้สึกผิดไปหรือเปล่า เล่อจยารู้สึกว่าในตอนที่เซียวอู๋พูดแบบนั้นเหมือนเขากำลังพึงพอใจอย่างมาก
ในตอนที่เซียวอู๋มาถึง มันก็ได้ผ่านไปสี่สิบนาทีแล้ว
บริเวณต้นขาของซูหย่ามีเลือดไหลออกมาเต็มไปหมด พอเล่อจยาจะโทร ขอความช่วยเหลือจากเบอร์120 ซูหย่าก็ไม่ยอม
” นี่บ้านคุณอยู่แถวไหนกันเนี่ย ทำไมถึงมาป่านนี้? “เล่อจยาพูดพร้อมกับกลืนน้ำลาย “ เสี่ยวหย่ามีเลือดออก ฮือฮือ……”
เซียวอู๋รีบขึ้นไปที่ห้องนอนโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะถอดรองเท้า ผ้าปูที่นอนสีครีมในตอนนี้เต็มไปด้วยสีแดงของเลือด ผมเธอยุ่งเหยิงพันกันและอดบังใบหน้าเธอไว้ครึ่งหน้า ผมเธอเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ทำให้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเธอ
” เสี่ยวหย่า เซียวอู๋มาแล้วนะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ ” เล่อจยาเช็ดน้ำตา และเดินเข้าไปพยุงซูหย่า แต่ซูหย่ากลับผลักเธอออก ” จยาจยา เธอออกไปก่อน ฉัน……มีเรื่องอยากจะ……คุยกับเซียวอู๋ ”
เล่อจยาจมวดคิ้ว เธอรู้สึกเป็นกังวลมาก ” มาถึงขนาดนี้แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ยังจะคุยอะไรกันอีก ถ้าเธอจะยื้อเวลาออกไปแบบนี้เรื่อยๆ จะเป็นอันตรายต่อเด็กในท้องนะ เราไปโรงพยาบาลกันก่อนได้ไหม?ขอร้องล่ะ…… ” จากนั้นสายตาของเล่อจยาก็จ้องมองไปที่เลือดที่กำลังไหลลงบนต้นขาเธออย่างไม่หยุด เธอร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ เซียวอู๋ คุณยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปอุ้มซูหย่าไปโรงพยาบาลสิ “
แต่ สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ เซียวอู๋กลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อน เขาเม้มปากและพูดขึ้นว่า ” เล่อจยา เธอออกไปก่อน ”
เล่อจยาถึงกับงง ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้กันแน่? ในสถานการณ์แบบนี้การช่วยชีวิตเด็กในท้องต้องมาเป็นอันดับแรกไม่ใช่เหรอ? จะคุยอะไรกันทำไมไม่เก็บเอาไว้คุยกันในภายหลัง
แต่น้ำเสียงของทั้งสองคนน่าสงสัยจริงๆ เล่อจยาขมวดคิ้ว จากนั้นก็ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวซูหย่าไว้ และเธอก็หันหลังเดินออกจากห้องไป
ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ซูหย่าก็หลับตาลงและลืมตาขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเธอก็มองหน้าผู้ชายที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยและเย็นชาคนนั้น เธอยิ้มมุมปาก เป็นไปอย่างที่เธอคาดไว้ไม่มีผิด
” เซียวอู๋ คุณมันร้ายความปรานี!”
เซียวอู๋เดินเข้าไปหาเธอ เขาหยุดลงข้างเตียงเธอ โน้มตัวเข้าไปใกล้เธอเล็กน้อย ” ไร้ความปรานีงั้นเหรอ? คุณซูเองก็ใช่ย่อยนะ สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งในชั่วพริบตา ที่ฉันทำมันก็แค่ตัดก้อนเนื้อทิ้งไปก้อนเดียวก็แค่นั้นเอง ”
หลังจากเขาพูดจบ ซูหย่าก็ปัดผ้าห่มที่คลุมอยู่ออกและมองหน้าเขา “ใช้ได้เลยทีเดียว ผลลัพธ์ไม่ได้โอ้อวดเกินจริง “
ซูหย่าคิดว่าอย่างน้อยเซียวอู๋ก็น่าจะแก้ตัวบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้ายอมรับออกมาอย่างเปิดเผยแบบนี้ อีกทั้งยังทำท่าทีราวกับพอใจมากด้วย เธอรู้สึกโกรธมาก สักพักเธอก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวในปาก จากนั้นก็มีของเหลวบางอย่างพุ่งออกมาจากปากเธอ
” นายคิดว่านายทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมปล่อยนายไปงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้นะ ฉันจะทำลายชีวิตของนายให้ย่อยยับเป็นแน่” ซูหย่าใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนั้นในการพูดประโยคนี้
สายตาของเซียวอู๋จ้องไปที่หน้าของซูหย่า เขาใช้นิ้วที่เรียวยาวของตัวเองปัดผมที่บดบังใบหน้าของเธอไปไว้ข้างใบหน้า จากนั้นก็ยิ้มอย่างได้ใจ “ งั้นเราก็มารอดูกัน”
พอพูดจบ เขาก็เดินเข้าไป และกระชากผ้าห่มออก จากนั้นก็อุ้มซูหย่าขึ้น
ผลสุดท้าย แน่นอนว่าลูกไม่อยู่กับเราแล้ว
” คุณหมอคะ เมื่อวานลูกสาวฉันยังกินข้าวที่บ้านฉันอยู่เลย ทำไมอยู่ดีดีถึงแท้งคะ? ” แม่ซูดึงตัวคุณหมอไว้ถามและไม่มีทีท่าจะยอมปล่อย
พ่อซูยืนอยู่ข้างๆด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
” คุณนายซู การอยู่รอดของตัวอ่อนในระยะนี้ก็ย่อมมีความเสี่ยงอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ คุณซูเองก็ยังสาว บำรุงดูแลร่างกายตัวเองให้ดี ถ้าในอนาคตจะท้องอีกก็คงไม่ใช่เรื่องยาก ”
เมื่อพูดจบ คุณหมอก็เอามือแม่ซูออกและเดินจากไป
เล่อจยายืนอยู่ตรงมุม เมื่อเธอได้ยินในสิ่งที่คุณหมอพูด เธอก็เอามือปิดปากและร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวด ซูหย่าให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาก เธอไม่อยากจะคิดเลยถ้าซูหย่ารู้เรื่องนี้เธอจะผ่านมันไปได้ยังไง?
แต่สิ่งที่ทำให้เธอไม่คาดคิดก็คือ ทันทีที่ซูหย่าฟื้นขึ้นมาเธอดูไม่ได้เป็นกังวลมากเท่าไหร่เลย เธอไม่เอ่ยถึงเด็กในท้องด้วยซ้ำ
ในตอนแรก เธอคิดว่าอาจจะเป็นเพราะคนเยอะเธอเลยพยายามข่มอารมณ์ตัวเองไว้ แต่จนถึงตอนที่ภายในห้องมีเพียงพวกเธอสองคน ซูหย่าก็ไม่ได้มีท่าทีผิดปกติใดใดเลย
ในตอนนั้นเอง พยาบาลก็เข้ามาเปลี่ยนน้ำเกลือให้เธอ และมีคุณหมอท่านหนึ่งตามเข้ามาด้วย
” ช่วงนี้ คนไข้ต้องระมัดระวังนะ อย่าให้สัมผัสน้ำเย็น และอย่ายกของหนัก ต้องดูแลและบำรุงร่างกายให้ดีอย่างน้อยครึ่งเดือน ”
เล่อจยาพยักหน้า ” ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ ”
เธอหันไปหยิบโจ๊กที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาและเป่าเล็กน้อย ” เสี่ยวหย่า กินโจ๊กหน่อยนะ ”
ซูหย่ากลับไม่ยอมให้เล่อจยาป้อนให้ แต่เธอรับโจ๊กจากเล่อจยาไปและยกซดหมดถ้อย นั่นมันไม่ใช่การกินหมดถ้วย แต่เป็นการยกซดจนหมดถ้วยต่างหาก หลังจากที่เธอกินจนหมด เธอก็เอาถ้วยวางลงบนโต๊ะข้างๆ
เล่อจยาหยิบทิชชูมาเช็ดปากให้เธอ ” เสี่ยวหย่า เธอบอกฉันมาว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นใช่ไหม? ที่เธอต้องแท้งลูก เซียวอู๋มีส่วน……” คำพูดต่อจากนั้น เล่อจยาไม่กล้าพูดออกมา
แต่ ณ ตอนนั้น ปฏิกิริยาของทั้งสองคนมันมีพิรุธมากจริงๆ
ซูหย่าเงยหน้ามองเล่อจยา เธอตาแดงก่ำ แต่กลับไม่ตอบคำถามเธอ
เล่อจยากำหมัดแน่น จากนั้นก็ลุกขึ้น “ ฉันจะไปฆ่าเขาให้ได้ “
แต่แขนเธอโดนกระชากไว้ เล่อจยาจึงหันกลับไปมอง ” หรือว่าเธอยังอาลัยอาวรณ์เขาอยู่? ”
ซูหย่าส่ายหน้า ” ฆ่าเขาเธอเองก็จะติดคุก ” น้ำเสียงเธอแหบแห้งมาก ทั้งๆที่เธอก็ไม่ได้ร้องไห้มากเท่าไหร่
เล่อจยาหันไปกอดซูหย่าไว้ ” ฉันว่าแล้วเชียวว่าทำไมเมื่อวานเธอถึงต้องรอให้เซียวอู๋มาถึงก่อน ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงได้มาช้าขนาดนั้น เสี่ยวหย่าเธอบ้าไปแล้วหรือเปล่า ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าเขา……แล้วทำไมเธอถึงไม่ยอมให้ฉันโทรขอความช่วยเหลือจาก 120ล่ะ? หรือว่า……”
” เด็กคนหนึ่งที่ถูกผู้เป็นพ่อวางแผนฆ่า ถ้าคลอดเขาออกมาเธอคิดว่าเขาจะมีความสุขงั้นเหรอ? ”
เล่อจยาสูดจมูก ดวงตาเธอแดงก่ำ ” ไอ้สัตว์เดรัจฉาน ”
เธอคิดเพียงว่าเซียวอู๋ไม่ชอบซูหย่า แต่เขาเองก็ต้องยอมจำนน เธอยังคิดอีกว่าหลังจากที่ทั้งคู่แต่งงานกันไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะอยู่กันไปอย่างยาวนาน แต่ไม่คิดเลยว่า เขาจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้ แม้แต่ลูกตัวเองก็ลงมือกระทำได้
” นั่นเป็นลูกของเขานะ ทำไมถึงลงมือทำแบบนั้นได้? ”
” สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นแค่ก้อนเนื้อก้อนเดียวเท่านั้น ” ในขณะที่ซูหย่าพูด เธอก็ยิ้ม
เล่อจยามองหน้าซูหย่า ” แล้วทำไมเธอไม่บอกแม่บุญธรรมล่ะ หากพวกเขารู้ พวกเขาไม่มีทางให้อภัยเขาแน่ๆ เธอ……”
” เพราะว่า ฉันยังจะต้องแต่งงานกับเขาไง! ” ซูหย่าพูดออกมาอย่างสบายๆ
แต่สีหน้าเล่อจยากลับเปลี่ยนไป เธอเอามือจับไปที่ไหล่ทั้งสองข้างของซูหย่า ” เสี่ยวหย่า เธอบ้าไปแล้วใช่ไหม? ”
ซูหย่าเป็นห่วงเธอ จึงโทรไปหาที่บ้าน บอกว่าช่วงนี้อยากอยู่เป็นเพื่อนเล่อจยา
ในตอนแรกคนตระกูลซู ก็คัดค้านการติดต่อของเธอกับเล่อจยา แต่ต่อมาในภายหลัง หลังจากที่รู้ว่าเล่อจยาช่วยชีวิตซูหย่าไว้ แม่ซูเลยยอมรับเล่อจยาเป็นลูกสาวอีกคน
หลายปีมานี้ ปฏิบัติต่อเล่อจยาดีมาก ก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าพ่อของเธอป่วย ก็ให้ซูหย่าส่งเงินมาให้เธอ นิสัยเล่อจยาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมที่จะเพิ่มปัญหาให้ตระกูลซู ฉะนั้นจึงปฏิเสธไป
ตลอดคืนนี้ ทั้งสองคนก็นั่งจับเข่าคุยกัน เล่อจยาขอบคุณพระเจ้ามากกว่าหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าครอบครัว ความรัก จะไม่ได้ดังใจปรารถนา แต่ทำให้เธอได้รับมิตรภาพที่หาได้ยากที่สุดบนโลกใบนี้
เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีซูหย่าอยู่ เธอจะเป็นอย่างไร?
ไม่ว่าเล่อจยาจะนอนดึกแค่ไหน นาฬิกาชีวิตก็จะตื่นมาตอน 7:30 เธอบิดขี้เกียจ “สามี ตื่น……” ได้แล้ว คำที่เหลือ เมื่อหันไปเห็นเป็นซูหย่ากำลังหลับใหลอยู่ ก็กลืนกลับไป
เล่อจยา คุณหย่าแล้ว
เธอพูดกับตนเองในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น
ดึงประตูเปิดออก ก็ได้กลิ่นโจ๊ก
ในห้องครัว มีหญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ พอได้ยินเสียง หันไปเห็นเป็นเล่อจยา “คุณเล่อ คุณตื่นแล้ว อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว คุณรอเดี๋ยวนะ”
เล่อจยามองออกว่า นี่คือคนรับใช้ในบ้านซูหย่า “คุณป้าเป่า คุณมาได้อย่างไร? ”
“คุณนายบอกว่าไปทานข้างนอกมันไม่สะอาด คุณหนูค่อนข้างเลือก ก็เลยสั่งฉันให้มาทำอาหารให้พวกคุณ” พูดจบ ก็นำไข่ดาวกับแพนเค้กวางลงบนโต๊ะ
“คุณเล่อ คุณทานก่อนเลย เดี๋ยวคุณหนูตื่นแล้ว ฉันจะทำให้เธอใหม่”
เล่อจยาพยักหน้า เวลานี้ เธออิจฉาซูหย่ามากจริงๆ ตระกูลซูมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แม่ซูพ่อซูรักใคร่เอ็นดูเธอ หาได้ยากจริงๆ อาจจะถือได้ว่ารักเขาก็จะรักคนของเขาได้ หลายปีมานี้ เธอยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีไปด้วย
“เสี่ยวหย่ามีความสุขมากแน่ๆ มีพวกคุณรักใคร่เอ็นดูมากมายขนาดนี้” อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างซึ้งใจ
“จุ๊ๆ แต่คุณเป็นยอดรักของคุณหนูมากหลายปีขนาดนี้ หรือว่าไม่มีความสุขเลยใช่ไหม? ”
เล่อจยาได้ยินเสียงก็หันกลับไปมอง เห็นซูหย่ายืนพิงกำแพงด้วยเท้าเปล่า ผมยาวยุ่งเหยิง ดึงเก้าอี้ออก ไปที่ประตูแล้วหยิบรองเท้าแตะมาวางบนพื้น “ใช่ ต้องมีความสุขแน่ คุณหนู รีบสวมรองเท้าก่อน นี่เป็นแม่แล้วนะ ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเอง”
ซูหย่ายื่นสองมือไปกอดเล่อจยา “ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้? ตาฉันยังไม่ลืมเลย” เมื่อคืนทั้งสองคนคุยกันจนตีสามจึงหลับไป
เล่อจยาปล่อยเธอ แล้วจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องน้ำ บีบยาสีฟันแล้วส่งให้เธอ “รีบแปรงฟัน แล้วออกมาทานอาหารเช้า”
“ฉันยังอยากนอนอีก”
“คุณทานอาหารก่อน แล้วค่อยกลับมานอน”
“อย่างนั้นคุณล่ะ? วันนี้วันเสาร์ คุณไม่ได้หยุดเหรอ? ”
เล่อจยายิ้มขึ้นมา “ลืมไปเลย ไปวิ่งดีกว่า”
หลังจากทานข้าวเสร็จ เล่อจยาก็ออกไป ชุมชนที่ซูหย่าอาศัยอยู่ถึงแม้จะเป็นแบบอพาร์ตเมนต์ แต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม สภาพแวดล้อมของชุมชนจึงดีและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่ง
เล่อจยาไม่ใช่คนกลัวความลำบาก สองสามปีก่อนหน้านี้ เธอรำพันกับการลดน้ำหนักอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคบสำเร็จ เป็นเพราะความเสื่อมทางจิตใจของเธอเอง
บางทีเบื้องหลังของคนที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็ล้วนมีเรื่องราว อย่างเช่นในปีนั้น เพื่อเกาไห่ เธอจึงลดน้ำหนักสำเร็จ
ดังเช่นครั้งนี้ ก็เพื่อเกาไห่
เพราะงานแต่งงานของซูหย่าคือปลายเดือน ฉะนั้นต่อมา เล่อจยาเลยเป็นทั้งบอดี้การ์ด ทั้งพี่เลี้ยง บางครั้งก็เป็นถังขยะระบายอารมณ์ของซูหย่า
ช่วงสองสามวันแรก เพราะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ทุกวันที่เล่อจยาไปบริษัท เกาไห่ก็มายืนดักรอเธออยู่หน้าประตู ต่อมาจึงเชื่อฟังซูแคลอรี เธอจึงนำงานส่งมอบให้เพื่อนร่วมงานโดยตรง เงินเดือนก็ไม่ต้องการ ลาออกไปโดยตรง
ตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนซูหย่า วางแผนที่จะดูแลจนงานแต่งของเธอจบสิ้น แล้วค่อยไปหางาน
“จยาจยา วันนี้พี่ชายรองของฉันกลับมา แม่ฉันให้ฉันกับคุณกลับบ้านไปทานข้าวด้วยกัน” ตอนเช้าเล่อจยาไปวิ่งกลับมา ซูหย่าส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เธอ แล้วจึงเอ่ยปาก
ช่วงเวลานี้ ซูหย่าเห็นเล่อจยาบ้าคลั่งเล็กน้อย นอกจากตอนเช้าออกไปวิ่งแล้ว บ่ายก็ไปฟิตเนส บางครั้งก็ยังไปว่ายน้ำอีก อาหารขยะ อาหารแคลอรีสูง ไม่เข้าปากเลยสักคำ
เธอไม่ได้นับว่าอ้วนมาก การทรมานแบบนี้ ที่ทรมานทั้งจิตใจ ทรมานทั้งร่างกาย นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบวัน ก็เห็นปลายคางแหลมออกมาอย่างชัดเจน
เล่อจยาเห็นซูหย่าจ้องมองเธอ จึงชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า “มองฉันแบบนี้ทำไม? ”
“อยากจะชมคุณว่า เปลี่ยนเป็นสวยแล้ว นี่คุณแต่งตัวอีกสักหน่อย คาดว่าผู้ชายจะต้องต่อแถวยาวเหยียดแน่นอน”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า “เอาล่ะ คุณประจบฉันให้น้อยหน่อย ฉันจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ จะไปส่งคุณกลับบ้าน”
พูดพลาง เข้าห้องน้ำไป
ซูหย่าหันกลับมายังตู้เสื้อผ้า นำชุดเดรสคอปกสีน้ำเงินกรมท่า มาถือไว้ในมือ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฟังว่าไม่มีเสียงน้ำแล้ว เธอจึงเคาะประตู
“ทำไมเหรอ? ”
“จยาจยา ฉันซื้อเดรสมาให้คุณชุดหนึ่ง คุณจะไม่ลองใส่ดูหน่อยเหรอ? ”
เล่อจยาที่กำลังเช็ดตัวอยู่ ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณจะซื้อมาให้ฉันทำไม? ไม่ใส่ เอาออกไปเลย”
มาตรฐานการใช้เงินของซูหย่า เล่อจยาเข้าใจดี เดรสชุดนั้นอย่างต่ำๆ ก็เป็นหมื่นหยวน
“จยาจยา เดรสชุดนี้ ฉันซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน”
ประตูถูกเปิดออก เล่อจยาก็สวมผ้าเช็ดตัวออกมา “หมายความว่าอะไร? หลายปีก่อน? ”
ซูหย่ารับผ้าขนหนูในมือเธอ แล้วเช็ดหยดน้ำที่ปลายผมแทนเธอ “ก็ปีนั้น คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จไม่ใช่เหรอ? ต่อมา คุณจะไปสารภาพรักกับเกาไห่ ฉัน…ฉันคิดว่าเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงซื้อเดรสชุดนี้มาให้คุณ ใครจะไปรู้ว่าต่อมาเกาไห่จะเกิดอุบัติเหตุ เดรสชุดนี้เลยไม่ได้มอบให้ไป”
เล่อจยาขมวดคิ้ว ลดสายตาลง มองชุดเดรสในมือเล่อจยาที่รอดชีวิตมา “จริงเหรอ? ”
“แน่นอน คุณลองดูป้ายยี่ห้อสิ ค่อนข้างเหลืองแล้ว ด้วยเอวห่วงยางหลายปีมานี้ของคุณ ฉันจึงไม่กล้าหยิบออกมาทำให้คุณสะเทือนใจ”
หยิบผ้าขนหนูจากในมือเธอ แล้วถือโอกาสหยิบชุดเดรสนั้นด้วย จากนั้นเล่อจยาก็ไปยังห้องน้ำ
มองเอวที่เรียวเล็กนั้น เล่อจยาจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า เดรสชุดนี้ออกแบบแบบเอวเว้าสูง เป็นการเน้นให้เห็นช่วงเอว หากใส่ไม่ดี ก็อาจจะกลายเป็นทำให้ตัวเองดูแย่ได้
เธอสูดลมหายใจเข้า เก็บท้องน้อยเล็กน้อย จึงพอฝืนๆ ดูได้
เมื่อเดินออกมา เธอหมุนครึ่งรอบตรงหน้าซูหย่า “พอดูได้ไหม? ”
ซูหย่าพยักหน้า “ถ้าเกาไห่ได้เห็นรูปร่างของคุณตอนนี้นะ เขาจะต้องเสียดายอย่างสุดๆ ”
ได้ยินคำว่า”เกาไห่”สองคำ สีหน้าของเล่อจยาก็เศร้าลงอย่างมาก
รวมผมทั้งหมดขึ้น แล้วมัดทรงหางม้า
ขณะนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ด้านนอกค่อนข้างหนาวเย็นเล็กน้อย ซูหย่าหยิบเสื้อกันลมสีเบจจากในตู้เสื้อผ้าออกมาให้เธอ “คุณเอาเสื้อนี้คลุมไปหน่อย พอถึงในบ้านแล้ว ค่อยถอดออกก็ได้”
เล่อจยามองเสื้อที่อยู่ในมือซูหย่า “ทำไมรู้สึกว่า คุณค่อนข้างจะผิดปกติ? ฉันแค่ไปส่งคุณกลับบ้านก็เท่านั้น จะใส่อลังการขนาดนี้ไปทำไม? ”
เย่หลินหรี่ตามอง แล้วบอกกับหนิงเสี่ยวซีว่า : “เสี่ยวซี คุณเข้าไปก่อน บอกกับพ่อว่า อีกสักครู่ฉันจะไป”
วันนี้ลูกของหลิวซูกับหนิงเชี่ยนอายุได้หนึ่งเดือนแล้ว
พูดจบ แล้วดึงเล่อจยาไปที่ร้านน้ำชาที่ใกล้ที่สุด
หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เย่หลินก็ดึงกระดาษทิชชูออกมา ส่งให้เล่อจยาเช็ดน้ำตา แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณทะเลาะกับพี่ชายฉันใช่ไหม? ”
เล่อจยาส่ายหัว
เย่หลินจับมือของเธอ แล้วขมวดคิ้วเบาๆ “มือของคุณ ทำไมเย็นแบบนี้? หนาวเหรอ? ”
หนาว? ไม่หรอก เธอไม่ได้หนาว เพียงแต่หัวใจเธอค่อนข้างหนาวเหน็บก็เท่านั้น
“เย่หลิน ระหว่างคุณกับหนิงเส่าเฉิน ก็เคยมีมือที่สามใช่ไหม? ”
“มือที่สาม? พี่ชายฉัน……นอกใจเหรอ? ” เย่หลินพูดอย่างตกใจ
นอกใจ? เล่อจยาถอนหายใจ ชั่วขณะเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องไห่ยุ่นกับเย่หลินไหม เธอกลัวว่า เย่หลินจะคิดกับเธอแบบนั้นเหมือนกันกับเกาไห่
“พี่สะใภ้ คุณบอกฉันมาเถอะ บางที ฉันอาจจะช่วยคุณได้” เย่หลินมองเล่อจยาอย่างสงสัย แล้วพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ
เล่อจยาเงยหน้ามองเย่หลิน เตรียมที่จะพูด ทว่าก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคย ชั่วขณะคำพูดที่มาถึงปากก็กลืนลงไป เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองชายคนนั้นที่เดินเข้ามา
“พี่” เย่หลินเอ่ยพูด
เกาไห่มองเธอ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
“ลูกของน้องสาวสามีอายุครบหนึ่งเดือน ก็เลยมาทานข้าวกัน แล้วก็เจอพี่สะใภ้เข้าพอดี” พูดจบ เธอก็ดึงเกาไห่มาข้างๆ “พี่ วันนี้พี่สะใภ้มางานแต่งลูกพี่ลูกน้อง คุณในฐานะสามีของเธอ จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องมากับเธอ มิเช่นนั้น คนอื่นจะมองเธออย่างไรล่ะ? ”
แววตาเกาไห่หม่นหมองลง ชำเลืองมองเล่อจยา “พอดีวันนี้มีเรื่องด้วยนิดหน่อยนะ”
“เรื่องอะไรจะด่วนกว่าเรื่องนี้? เธอเพิ่งจะแต่งงานกับคุณ คุณก็ปล่อยให้เธอมาคนเดียวอย่างนี้ เมื่อกี้ตอนที่ฉันเจอพี่สะใภ้ เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องพูดเลย แน่นอนว่าเธอต้องได้รับความไม่ยุติธรรมมาไม่น้อย พี่ เรื่องนี้ คุณทำผิดจริงๆ นะ” เย่หลินพูดจบ ก็ดึงเสื้อสูทเกาไห่จนยับเล็กน้อย
สายตาเกาไห่มองข้ามเย่หลินไปหยุดที่เล่อจยา ในแววตามีความเจ็บปวดใจ “โอเค ฉันรู้แล้ว คุณเข้าไปก่อนเถอะ ให้พวกเขารอนานๆ ก็จะไม่ดีนะ เรื่องของเรา ฉันจะจัดการเอง”
เย่หลินรู้ดีว่าคนนอกยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้านได้ เธอจึงพยักหน้ากับเล่อจยา “พี่สะใภ้ เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณมีธุระอะไรก็โทรหาฉัน”
เล่อจยาตอบกลับ “อืม”
เห็นเย่หลินเดินเข้ามุมไปแล้ว เล่อจยาก้มหน้าลงบิดๆ นิ้ว ทำให้จิตใจสงบลง จึงพูดว่า : “การผ่าตัดสำเร็จไหม? ”
เกาไห่ตอบกลับ “อืม”
“ฉันจะส่งคุณกลับบ้าน”
เล่อจยาไม่พูดอะไร เธอไม่มีอารมณ์จะให้เกาไห่ขึ้นไปทักทาย เพราะคนดูสภาพก็ไม่ค่อยดีอย่างมาก
เมื่อถึงบ้าน เกาไห่ก็ไม่ได้ลงจากรถ
เล่อจยามองเขา “คุณ ไม่กลับบ้านเหรอ? ”
“อืม” สักพักจึงพูดเสริมว่า : “ฉันยังต้องไปโรงพยาบาล เธออยู่ในนั้น ขาดคนไม่ได้”
เล่อจยาตอบกลับว่า”อ๋อ” ดึงประตูเปิด ลงจากรถ ปิดประตู เดินไปที่ลิฟต์ ตลอดทางไม่ได้หยุดหันมามองเลย
ตลอดจนเสียงรถค่อยๆ ห่างออกไป เธอจึงเดินออกมาจากมุมกำแพง มองที่จอดรถนั้น แล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
ตลอดคืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตลอดคืนนี้ เล่อจยาไม่ได้หลับตาลงเลย
วันต่อมา เล่อจยาตื่นเช้ามาก เพื่อไปตลาดสด ไปซื้อกระดูกหมูมาต้มซุป
เมื่อวานเธอดูวิดีโอนั่นของเล่อเสี่ยวอวี๋ ก็เห็นโรงพยาบาลเขียนว่าแผนกโรคกระดูก
เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็แค่สอบถามเล็กน้อย ก็รู้ห้องผู้ป่วยของไห่ยุ่น ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วย เธอมองเข้าไปข้างใน
มือใหญ่ๆ ของเกาไห่วางลงบนหน้าผากของไห่ยุ่น คล้ายกับลองตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกาย
หลังจากนั้น เกาไห่ก็พูดอะไรเล็กน้อย คนทั้งสองก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน
“คุณผู้หญิง คุณมาเยี่ยมคนไข้เหรอ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ? ” คุณป้าวัยสี่ห้าสิบคนหนึ่งถือกล่องข้าวมายืนอยู่หน้าประตู
“คุณ….มาดูแลเธอเหรอ? ”
คุณป้ามองไปยังด้านใน ยิ้มมุมปาก “คุณเกาช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ คาดว่าคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน”
เสียงที่ดูซาบซึ้งใจของเธอ ทำให้บาดแผลที่หัวใจของเล่อจยาฉีกขาดอีกครั้ง
“มา เข้ามาเถอะ” คุณป้าเปิดประตู แล้วเรียกให้เล่อจยาเข้ามา
เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน เกาไห่และไห่ยุ่นเห็นเธอเข้ามา ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
เกาไห่เดินเข้ามา “จยาจยา คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูยุ่นก็เอ่ยปาก: “พี่สะใภ้ คุณมาแล้ว เอ่อ เอ่ออาไห่ คุณเอาเก้าอี้มาให้พี่สะใภ้นั่งสิ”
เธอเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ แต่เรียกเกาไห่ว่าอาไห่ หากคนนอกได้ยิน ก็ต้องคิดว่า เธอเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาทั้งสองใช่ไหม?
เพียงแต่ สีหน้าของเล่อจยาไม่ได้แสดงออกมา “ไห่ยุ่น ฉันตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้คุณ เดี๋ยวจะเย็นหมด คุณรีบทานสิ”
พูดจบ ก็นำซุปในมือส่งให้คุณป้า “อย่างนั้น ไห่ยุ่น คุณก็พักผ่อนเถอะนะ ฉัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไปก่อนนะ”
พยักหน้ากับเกาไห่เล็กน้อย แล้วเล่อจยาก็หันตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย
เมื่อเล่อจยามาถึงชั้นล่าง เกาไห่ก็ตามลงมา
เขาดึงเล่อจยา “ลำบากคุณแล้ว ต้องตื่นมาตุ๋นซุปให้เธอแต่เช้าแบบนี้”
สายตามองไปบนมือของเขา ในใจของเล่อจยาขมขื่นเล็กน้อย รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเกาไห่ “คำพูดเมื่อวานของฉัน ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ควรสงสัยเธอโดยไม่มีหลักฐาน”
เกาไห่ยิ้มมุมปาก หยิกใบหน้าของเล่อจยาเบาๆ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเล่อจยาของฉัน เอาใจใส่คนเป็นพิเศษ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจที่ดีงามคนหนึ่ง” พูดจบ ก็โน้มตัวไป จูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย
จิตใจดีงาม? ความหมายก็คือ เมื่อวานเธอจิตใจไม่ดีงาม? คือความหมายนี้ใช่ไหม?
ข้างหน้าต่างชั้นสาม
“คุณไห่ยุ่น คุณหมอบอกว่า ขาของคุณตอนนี้ยังไม่เหมาะที่ลงจากเตียงมาเดิน คุณรีบขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ……”
ไห่ยุ่นดึงสายตากลับจากคู่ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ชั้นล่างนอกหน้าต่าง เธอมองไปยังซุปที่อยู่บนโต๊ะนั้น
“คุณป้า คุณไปที่เคาท์เตอร์พยาบาล ช่วยบอกให้ฉันทีว่า เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้หน่อย ด้านบนมันเลอะเล็กน้อย”
“อ้อ โอเค คุณไห่ยุ่น”
ชั้นล่าง
“คุณไม่นอนมาทั้งคืน ตอนกลางวันคุณป้าอยู่ คุณกลับไปพักผ่อนสักหน่อยสิ” เล่อจยาลูบหน้าของเกาไห่ ที่คางมีหนวดเคราเล็กน้อย
“รอหมอมาตรวจแล้ว ฉันก็จะไปบริษัท นอนกลางวันสักครู่ ก็พอแล้ว”
“อย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ ไปบริษัท บ๊ายบาย” เล่อจยาพยายามยิ้ม เห็นลักยิ้มได้ไม่ชัดเจน
เกาไห่รู้สึกว่าอารมณ์ของเล่อจยาคล้ายกับผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่า ผิดปกติอย่างไร
ออกจากโรงพยาบาล เล่อจยาก็ไม่ได้นั่งรถสาธารณะ เธอกลัวว่า พอขึ้นรถสาธารณะ เธอจะเหม่อลอยแล้วขึ้นรถต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อเธอไปถึงบริษัท ก็พยายามทำภาพการออกแบบนั้นในมือให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พยายามทำโดยเร็วที่สุด……
เวลาเกือบสิบโมง มือถือก็ดังขึ้น เล่อจยามองไป คือเกาไห่ ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อใจเธออย่างไร ถึงแม้เขาจะทำร้ายเธออย่างไร ในใจของเล่อจยาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลย แม้แต่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจสักประโยค เธอก็ทำเขาไม่ลง
กดรับสาย…..
“เล่อจยา ตกลงคุณเอาอะไรให้ไห่ยุ่นกิน? ” เสียงคำรามจากอีกด้านของมือถือดังเข้ามาในหู
เป็นเสียงของเกาไห่ แต่ความโกรธแบบนั้นดูไม่คุ้นเคยเลย
ซูหย่าเป็นห่วงเธอ จึงโทรไปหาที่บ้าน บอกว่าช่วงนี้อยากอยู่เป็นเพื่อนเล่อจยา
ในตอนแรกคนตระกูลซู ก็คัดค้านการติดต่อของเธอกับเล่อจยา แต่ต่อมาในภายหลัง หลังจากที่รู้ว่าเล่อจยาช่วยชีวิตซูหย่าไว้ แม่ซูเลยยอมรับเล่อจยาเป็นลูกสาวอีกคน
หลายปีมานี้ ปฏิบัติต่อเล่อจยาดีมาก ก่อนหน้านี้ที่รู้ว่าพ่อของเธอป่วย ก็ให้ซูหย่าส่งเงินมาให้เธอ นิสัยเล่อจยาเป็นคนที่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมที่จะเพิ่มปัญหาให้ตระกูลซู ฉะนั้นจึงปฏิเสธไป
ตลอดคืนนี้ ทั้งสองคนก็นั่งจับเข่าคุยกัน เล่อจยาขอบคุณพระเจ้ามากกว่าหนึ่งครั้ง ถึงแม้ว่าครอบครัว ความรัก จะไม่ได้ดังใจปรารถนา แต่ทำให้เธอได้รับมิตรภาพที่หาได้ยากที่สุดบนโลกใบนี้
เธอไม่กล้าจินตนาการเลยว่าถ้าวันนี้ไม่มีซูหย่าอยู่ เธอจะเป็นอย่างไร?
ไม่ว่าเล่อจยาจะนอนดึกแค่ไหน นาฬิกาชีวิตก็จะตื่นมาตอน 7:30 เธอบิดขี้เกียจ “สามี ตื่น……” ได้แล้ว คำที่เหลือ เมื่อหันไปเห็นเป็นซูหย่ากำลังหลับใหลอยู่ ก็กลืนกลับไป
เล่อจยา คุณหย่าแล้ว
เธอพูดกับตนเองในใจ จากนั้นก็ลุกขึ้น
ดึงประตูเปิดออก ก็ได้กลิ่นโจ๊ก
ในห้องครัว มีหญิงวัยกลางคนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ พอได้ยินเสียง หันไปเห็นเป็นเล่อจยา “คุณเล่อ คุณตื่นแล้ว อาหารกำลังจะเสร็จแล้ว คุณรอเดี๋ยวนะ”
เล่อจยามองออกว่า นี่คือคนรับใช้ในบ้านซูหย่า “คุณป้าเป่า คุณมาได้อย่างไร? ”
“คุณนายบอกว่าไปทานข้างนอกมันไม่สะอาด คุณหนูค่อนข้างเลือก ก็เลยสั่งฉันให้มาทำอาหารให้พวกคุณ” พูดจบ ก็นำไข่ดาวกับแพนเค้กวางลงบนโต๊ะ
“คุณเล่อ คุณทานก่อนเลย เดี๋ยวคุณหนูตื่นแล้ว ฉันจะทำให้เธอใหม่”
เล่อจยาพยักหน้า เวลานี้ เธออิจฉาซูหย่ามากจริงๆ ตระกูลซูมีลูกชายสองคน ลูกสาวหนึ่งคน แม่ซูพ่อซูรักใคร่เอ็นดูเธอ หาได้ยากจริงๆ อาจจะถือได้ว่ารักเขาก็จะรักคนของเขาได้ หลายปีมานี้ เธอยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีไปด้วย
“เสี่ยวหย่ามีความสุขมากแน่ๆ มีพวกคุณรักใคร่เอ็นดูมากมายขนาดนี้” อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาอย่างซึ้งใจ
“จุ๊ๆ แต่คุณเป็นยอดรักของคุณหนูมากหลายปีขนาดนี้ หรือว่าไม่มีความสุขเลยใช่ไหม? ”
เล่อจยาได้ยินเสียงก็หันกลับไปมอง เห็นซูหย่ายืนพิงกำแพงด้วยเท้าเปล่า ผมยาวยุ่งเหยิง ดึงเก้าอี้ออก ไปที่ประตูแล้วหยิบรองเท้าแตะมาวางบนพื้น “ใช่ ต้องมีความสุขแน่ คุณหนู รีบสวมรองเท้าก่อน นี่เป็นแม่แล้วนะ ทำไมถึงไม่รู้จักรักตัวเอง”
ซูหย่ายื่นสองมือไปกอดเล่อจยา “ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้? ตาฉันยังไม่ลืมเลย” เมื่อคืนทั้งสองคนคุยกันจนตีสามจึงหลับไป
เล่อจยาปล่อยเธอ แล้วจูงมือเธอเข้าไปที่ห้องน้ำ บีบยาสีฟันแล้วส่งให้เธอ “รีบแปรงฟัน แล้วออกมาทานอาหารเช้า”
“ฉันยังอยากนอนอีก”
“คุณทานอาหารก่อน แล้วค่อยกลับมานอน”
“อย่างนั้นคุณล่ะ? วันนี้วันเสาร์ คุณไม่ได้หยุดเหรอ? ”
เล่อจยายิ้มขึ้นมา “ลืมไปเลย ไปวิ่งดีกว่า”
หลังจากทานข้าวเสร็จ เล่อจยาก็ออกไป ชุมชนที่ซูหย่าอาศัยอยู่ถึงแม้จะเป็นแบบอพาร์ตเมนต์ แต่เนื่องจากอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม สภาพแวดล้อมของชุมชนจึงดีและมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการวิ่ง
เล่อจยาไม่ใช่คนกลัวความลำบาก สองสามปีก่อนหน้านี้ เธอรำพันกับการลดน้ำหนักอยู่ตลอด แต่ก็ไม่เคบสำเร็จ เป็นเพราะความเสื่อมทางจิตใจของเธอเอง
บางทีเบื้องหลังของคนที่ลดน้ำหนักได้สำเร็จ ก็ล้วนมีเรื่องราว อย่างเช่นในปีนั้น เพื่อเกาไห่ เธอจึงลดน้ำหนักสำเร็จ
ดังเช่นครั้งนี้ ก็เพื่อเกาไห่
เพราะงานแต่งงานของซูหย่าคือปลายเดือน ฉะนั้นต่อมา เล่อจยาเลยเป็นทั้งบอดี้การ์ด ทั้งพี่เลี้ยง บางครั้งก็เป็นถังขยะระบายอารมณ์ของซูหย่า
ช่วงสองสามวันแรก เพราะเกี่ยวข้องกับการออกแบบ ทุกวันที่เล่อจยาไปบริษัท เกาไห่ก็มายืนดักรอเธออยู่หน้าประตู ต่อมาจึงเชื่อฟังซูแคลอรี เธอจึงนำงานส่งมอบให้เพื่อนร่วมงานโดยตรง เงินเดือนก็ไม่ต้องการ ลาออกไปโดยตรง
ตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนซูหย่า วางแผนที่จะดูแลจนงานแต่งของเธอจบสิ้น แล้วค่อยไปหางาน
“จยาจยา วันนี้พี่ชายรองของฉันกลับมา แม่ฉันให้ฉันกับคุณกลับบ้านไปทานข้าวด้วยกัน” ตอนเช้าเล่อจยาไปวิ่งกลับมา ซูหย่าส่งผ้าขนหนูผืนหนึ่งให้เธอ แล้วจึงเอ่ยปาก
ช่วงเวลานี้ ซูหย่าเห็นเล่อจยาบ้าคลั่งเล็กน้อย นอกจากตอนเช้าออกไปวิ่งแล้ว บ่ายก็ไปฟิตเนส บางครั้งก็ยังไปว่ายน้ำอีก อาหารขยะ อาหารแคลอรีสูง ไม่เข้าปากเลยสักคำ
เธอไม่ได้นับว่าอ้วนมาก การทรมานแบบนี้ ที่ทรมานทั้งจิตใจ ทรมานทั้งร่างกาย นี่เพิ่งผ่านมาไม่ถึงยี่สิบวัน ก็เห็นปลายคางแหลมออกมาอย่างชัดเจน
เล่อจยาเห็นซูหย่าจ้องมองเธอ จึงชำเลืองมองเธอแล้วพูดว่า “มองฉันแบบนี้ทำไม? ”
“อยากจะชมคุณว่า เปลี่ยนเป็นสวยแล้ว นี่คุณแต่งตัวอีกสักหน่อย คาดว่าผู้ชายจะต้องต่อแถวยาวเหยียดแน่นอน”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า “เอาล่ะ คุณประจบฉันให้น้อยหน่อย ฉันจะไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสักครู่ จะไปส่งคุณกลับบ้าน”
พูดพลาง เข้าห้องน้ำไป
ซูหย่าหันกลับมายังตู้เสื้อผ้า นำชุดเดรสคอปกสีน้ำเงินกรมท่า มาถือไว้ในมือ หลังจากนั้นก็ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฟังว่าไม่มีเสียงน้ำแล้ว เธอจึงเคาะประตู
“ทำไมเหรอ? ”
“จยาจยา ฉันซื้อเดรสมาให้คุณชุดหนึ่ง คุณจะไม่ลองใส่ดูหน่อยเหรอ? ”
เล่อจยาที่กำลังเช็ดตัวอยู่ ก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “ฉันไม่ใช่ไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณจะซื้อมาให้ฉันทำไม? ไม่ใส่ เอาออกไปเลย”
มาตรฐานการใช้เงินของซูหย่า เล่อจยาเข้าใจดี เดรสชุดนั้นอย่างต่ำๆ ก็เป็นหมื่นหยวน
“จยาจยา เดรสชุดนี้ ฉันซื้อมาเมื่อหลายปีก่อน”
ประตูถูกเปิดออก เล่อจยาก็สวมผ้าเช็ดตัวออกมา “หมายความว่าอะไร? หลายปีก่อน? ”
ซูหย่ารับผ้าขนหนูในมือเธอ แล้วเช็ดหยดน้ำที่ปลายผมแทนเธอ “ก็ปีนั้น คุณลดน้ำหนักได้สำเร็จไม่ใช่เหรอ? ต่อมา คุณจะไปสารภาพรักกับเกาไห่ ฉัน…ฉันคิดว่าเพื่อให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้น จึงซื้อเดรสชุดนี้มาให้คุณ ใครจะไปรู้ว่าต่อมาเกาไห่จะเกิดอุบัติเหตุ เดรสชุดนี้เลยไม่ได้มอบให้ไป”
เล่อจยาขมวดคิ้ว ลดสายตาลง มองชุดเดรสในมือเล่อจยาที่รอดชีวิตมา “จริงเหรอ? ”
“แน่นอน คุณลองดูป้ายยี่ห้อสิ ค่อนข้างเหลืองแล้ว ด้วยเอวห่วงยางหลายปีมานี้ของคุณ ฉันจึงไม่กล้าหยิบออกมาทำให้คุณสะเทือนใจ”
หยิบผ้าขนหนูจากในมือเธอ แล้วถือโอกาสหยิบชุดเดรสนั้นด้วย จากนั้นเล่อจยาก็ไปยังห้องน้ำ
มองเอวที่เรียวเล็กนั้น เล่อจยาจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า เดรสชุดนี้ออกแบบแบบเอวเว้าสูง เป็นการเน้นให้เห็นช่วงเอว หากใส่ไม่ดี ก็อาจจะกลายเป็นทำให้ตัวเองดูแย่ได้
เธอสูดลมหายใจเข้า เก็บท้องน้อยเล็กน้อย จึงพอฝืนๆ ดูได้
เมื่อเดินออกมา เธอหมุนครึ่งรอบตรงหน้าซูหย่า “พอดูได้ไหม? ”
ซูหย่าพยักหน้า “ถ้าเกาไห่ได้เห็นรูปร่างของคุณตอนนี้นะ เขาจะต้องเสียดายอย่างสุดๆ ”
ได้ยินคำว่า”เกาไห่”สองคำ สีหน้าของเล่อจยาก็เศร้าลงอย่างมาก
รวมผมทั้งหมดขึ้น แล้วมัดทรงหางม้า
ขณะนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ด้านนอกค่อนข้างหนาวเย็นเล็กน้อย ซูหย่าหยิบเสื้อกันลมสีเบจจากในตู้เสื้อผ้าออกมาให้เธอ “คุณเอาเสื้อนี้คลุมไปหน่อย พอถึงในบ้านแล้ว ค่อยถอดออกก็ได้”
เล่อจยามองเสื้อที่อยู่ในมือซูหย่า “ทำไมรู้สึกว่า คุณค่อนข้างจะผิดปกติ? ฉันแค่ไปส่งคุณกลับบ้านก็เท่านั้น จะใส่อลังการขนาดนี้ไปทำไม? ”
เย่หลินหรี่ตามอง แล้วบอกกับหนิงเสี่ยวซีว่า : “เสี่ยวซี คุณเข้าไปก่อน บอกกับพ่อว่า อีกสักครู่ฉันจะไป”
วันนี้ลูกของหลิวซูกับหนิงเชี่ยนอายุได้หนึ่งเดือนแล้ว
พูดจบ แล้วดึงเล่อจยาไปที่ร้านน้ำชาที่ใกล้ที่สุด
หลังจากทั้งสองคนนั่งลง เย่หลินก็ดึงกระดาษทิชชูออกมา ส่งให้เล่อจยาเช็ดน้ำตา แล้วพูดว่า “พี่สะใภ้ คุณทะเลาะกับพี่ชายฉันใช่ไหม? ”
เล่อจยาส่ายหัว
เย่หลินจับมือของเธอ แล้วขมวดคิ้วเบาๆ “มือของคุณ ทำไมเย็นแบบนี้? หนาวเหรอ? ”
หนาว? ไม่หรอก เธอไม่ได้หนาว เพียงแต่หัวใจเธอค่อนข้างหนาวเหน็บก็เท่านั้น
“เย่หลิน ระหว่างคุณกับหนิงเส่าเฉิน ก็เคยมีมือที่สามใช่ไหม? ”
“มือที่สาม? พี่ชายฉัน……นอกใจเหรอ? ” เย่หลินพูดอย่างตกใจ
นอกใจ? เล่อจยาถอนหายใจ ชั่วขณะเธอก็ไม่รู้ว่าควรพูดเรื่องไห่ยุ่นกับเย่หลินไหม เธอกลัวว่า เย่หลินจะคิดกับเธอแบบนั้นเหมือนกันกับเกาไห่
“พี่สะใภ้ คุณบอกฉันมาเถอะ บางที ฉันอาจจะช่วยคุณได้” เย่หลินมองเล่อจยาอย่างสงสัย แล้วพูดโน้มน้าวอยู่ข้างๆ
เล่อจยาเงยหน้ามองเย่หลิน เตรียมที่จะพูด ทว่าก็เห็นภาพบุคคลที่คุ้นเคย ชั่วขณะคำพูดที่มาถึงปากก็กลืนลงไป เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน มองชายคนนั้นที่เดินเข้ามา
“พี่” เย่หลินเอ่ยพูด
เกาไห่มองเธอ “คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
“ลูกของน้องสาวสามีอายุครบหนึ่งเดือน ก็เลยมาทานข้าวกัน แล้วก็เจอพี่สะใภ้เข้าพอดี” พูดจบ เธอก็ดึงเกาไห่มาข้างๆ “พี่ วันนี้พี่สะใภ้มางานแต่งลูกพี่ลูกน้อง คุณในฐานะสามีของเธอ จะยุ่งแค่ไหนก็ต้องมากับเธอ มิเช่นนั้น คนอื่นจะมองเธออย่างไรล่ะ? ”
แววตาเกาไห่หม่นหมองลง ชำเลืองมองเล่อจยา “พอดีวันนี้มีเรื่องด้วยนิดหน่อยนะ”
“เรื่องอะไรจะด่วนกว่าเรื่องนี้? เธอเพิ่งจะแต่งงานกับคุณ คุณก็ปล่อยให้เธอมาคนเดียวอย่างนี้ เมื่อกี้ตอนที่ฉันเจอพี่สะใภ้ เธอสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ต้องพูดเลย แน่นอนว่าเธอต้องได้รับความไม่ยุติธรรมมาไม่น้อย พี่ เรื่องนี้ คุณทำผิดจริงๆ นะ” เย่หลินพูดจบ ก็ดึงเสื้อสูทเกาไห่จนยับเล็กน้อย
สายตาเกาไห่มองข้ามเย่หลินไปหยุดที่เล่อจยา ในแววตามีความเจ็บปวดใจ “โอเค ฉันรู้แล้ว คุณเข้าไปก่อนเถอะ ให้พวกเขารอนานๆ ก็จะไม่ดีนะ เรื่องของเรา ฉันจะจัดการเอง”
เย่หลินรู้ดีว่าคนนอกยากที่จะตัดสินเรื่องในบ้านได้ เธอจึงพยักหน้ากับเล่อจยา “พี่สะใภ้ เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณมีธุระอะไรก็โทรหาฉัน”
เล่อจยาตอบกลับ “อืม”
เห็นเย่หลินเดินเข้ามุมไปแล้ว เล่อจยาก้มหน้าลงบิดๆ นิ้ว ทำให้จิตใจสงบลง จึงพูดว่า : “การผ่าตัดสำเร็จไหม? ”
เกาไห่ตอบกลับ “อืม”
“ฉันจะส่งคุณกลับบ้าน”
เล่อจยาไม่พูดอะไร เธอไม่มีอารมณ์จะให้เกาไห่ขึ้นไปทักทาย เพราะคนดูสภาพก็ไม่ค่อยดีอย่างมาก
เมื่อถึงบ้าน เกาไห่ก็ไม่ได้ลงจากรถ
เล่อจยามองเขา “คุณ ไม่กลับบ้านเหรอ? ”
“อืม” สักพักจึงพูดเสริมว่า : “ฉันยังต้องไปโรงพยาบาล เธออยู่ในนั้น ขาดคนไม่ได้”
เล่อจยาตอบกลับว่า”อ๋อ” ดึงประตูเปิด ลงจากรถ ปิดประตู เดินไปที่ลิฟต์ ตลอดทางไม่ได้หยุดหันมามองเลย
ตลอดจนเสียงรถค่อยๆ ห่างออกไป เธอจึงเดินออกมาจากมุมกำแพง มองที่จอดรถนั้น แล้วเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
ตลอดคืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตลอดคืนนี้ เล่อจยาไม่ได้หลับตาลงเลย
วันต่อมา เล่อจยาตื่นเช้ามาก เพื่อไปตลาดสด ไปซื้อกระดูกหมูมาต้มซุป
เมื่อวานเธอดูวิดีโอนั่นของเล่อเสี่ยวอวี๋ ก็เห็นโรงพยาบาลเขียนว่าแผนกโรคกระดูก
เมื่อไปถึงที่นั่น เธอก็แค่สอบถามเล็กน้อย ก็รู้ห้องผู้ป่วยของไห่ยุ่น ยืนอยู่นอกห้องผู้ป่วย เธอมองเข้าไปข้างใน
มือใหญ่ๆ ของเกาไห่วางลงบนหน้าผากของไห่ยุ่น คล้ายกับลองตรวจสอบอุณหภูมิของร่างกาย
หลังจากนั้น เกาไห่ก็พูดอะไรเล็กน้อย คนทั้งสองก็สบตาแล้วยิ้มให้กัน
“คุณผู้หญิง คุณมาเยี่ยมคนไข้เหรอ? ทำไมถึงไม่เข้าไปล่ะ? ” คุณป้าวัยสี่ห้าสิบคนหนึ่งถือกล่องข้าวมายืนอยู่หน้าประตู
“คุณ….มาดูแลเธอเหรอ? ”
คุณป้ามองไปยังด้านใน ยิ้มมุมปาก “คุณเกาช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ คาดว่าคงจะไม่ได้นอนทั้งคืน”
เสียงที่ดูซาบซึ้งใจของเธอ ทำให้บาดแผลที่หัวใจของเล่อจยาฉีกขาดอีกครั้ง
“มา เข้ามาเถอะ” คุณป้าเปิดประตู แล้วเรียกให้เล่อจยาเข้ามา
เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปด้านใน เกาไห่และไห่ยุ่นเห็นเธอเข้ามา ก็ประหลาดใจเล็กน้อย
เกาไห่เดินเข้ามา “จยาจยา คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูยุ่นก็เอ่ยปาก: “พี่สะใภ้ คุณมาแล้ว เอ่อ เอ่ออาไห่ คุณเอาเก้าอี้มาให้พี่สะใภ้นั่งสิ”
เธอเรียกเธอว่าพี่สะใภ้ แต่เรียกเกาไห่ว่าอาไห่ หากคนนอกได้ยิน ก็ต้องคิดว่า เธอเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาทั้งสองใช่ไหม?
เพียงแต่ สีหน้าของเล่อจยาไม่ได้แสดงออกมา “ไห่ยุ่น ฉันตุ๋นซุปกระดูกหมูมาให้คุณ เดี๋ยวจะเย็นหมด คุณรีบทานสิ”
พูดจบ ก็นำซุปในมือส่งให้คุณป้า “อย่างนั้น ไห่ยุ่น คุณก็พักผ่อนเถอะนะ ฉัน ฉันต้องไปทำงานแล้ว ไปก่อนนะ”
พยักหน้ากับเกาไห่เล็กน้อย แล้วเล่อจยาก็หันตัวออกไปจากห้องผู้ป่วย
เมื่อเล่อจยามาถึงชั้นล่าง เกาไห่ก็ตามลงมา
เขาดึงเล่อจยา “ลำบากคุณแล้ว ต้องตื่นมาตุ๋นซุปให้เธอแต่เช้าแบบนี้”
สายตามองไปบนมือของเขา ในใจของเล่อจยาขมขื่นเล็กน้อย รู้สึกน้อยใจเล็กน้อย เงยหน้ามองเกาไห่ “คำพูดเมื่อวานของฉัน ต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ควรสงสัยเธอโดยไม่มีหลักฐาน”
เกาไห่ยิ้มมุมปาก หยิกใบหน้าของเล่อจยาเบาๆ “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเล่อจยาของฉัน เอาใจใส่คนเป็นพิเศษ เป็นผู้หญิงที่มีจิตใจที่ดีงามคนหนึ่ง” พูดจบ ก็โน้มตัวไป จูบที่หน้าผากของเธอเล็กน้อย
จิตใจดีงาม? ความหมายก็คือ เมื่อวานเธอจิตใจไม่ดีงาม? คือความหมายนี้ใช่ไหม?
ข้างหน้าต่างชั้นสาม
“คุณไห่ยุ่น คุณหมอบอกว่า ขาของคุณตอนนี้ยังไม่เหมาะที่ลงจากเตียงมาเดิน คุณรีบขึ้นไปนอนบนเตียงเถอะ……”
ไห่ยุ่นดึงสายตากลับจากคู่ชายหญิงคู่นั้นที่อยู่ชั้นล่างนอกหน้าต่าง เธอมองไปยังซุปที่อยู่บนโต๊ะนั้น
“คุณป้า คุณไปที่เคาท์เตอร์พยาบาล ช่วยบอกให้ฉันทีว่า เปลี่ยนผ้าปูเตียงให้หน่อย ด้านบนมันเลอะเล็กน้อย”
“อ้อ โอเค คุณไห่ยุ่น”
ชั้นล่าง
“คุณไม่นอนมาทั้งคืน ตอนกลางวันคุณป้าอยู่ คุณกลับไปพักผ่อนสักหน่อยสิ” เล่อจยาลูบหน้าของเกาไห่ ที่คางมีหนวดเคราเล็กน้อย
“รอหมอมาตรวจแล้ว ฉันก็จะไปบริษัท นอนกลางวันสักครู่ ก็พอแล้ว”
“อย่างนั้น ฉันไปก่อนนะ ไปบริษัท บ๊ายบาย” เล่อจยาพยายามยิ้ม เห็นลักยิ้มได้ไม่ชัดเจน
เกาไห่รู้สึกว่าอารมณ์ของเล่อจยาคล้ายกับผิดปกติเล็กน้อย แต่ก็บอกไม่ถูกว่า ผิดปกติอย่างไร
ออกจากโรงพยาบาล เล่อจยาก็ไม่ได้นั่งรถสาธารณะ เธอกลัวว่า พอขึ้นรถสาธารณะ เธอจะเหม่อลอยแล้วขึ้นรถต่อไปเรื่อยๆ
เมื่อเธอไปถึงบริษัท ก็พยายามทำภาพการออกแบบนั้นในมือให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พยายามทำโดยเร็วที่สุด……
เวลาเกือบสิบโมง มือถือก็ดังขึ้น เล่อจยามองไป คือเกาไห่ ยิ้มมุมปากโดยไม่รู้ตัว ถึงแม้เขาจะไม่เชื่อใจเธออย่างไร ถึงแม้เขาจะทำร้ายเธออย่างไร ในใจของเล่อจยาก็ไม่เคยคิดที่จะทำร้ายเขาเลย แม้แต่คำพูดที่ทำร้ายจิตใจสักประโยค เธอก็ทำเขาไม่ลง
กดรับสาย…..
“เล่อจยา ตกลงคุณเอาอะไรให้ไห่ยุ่นกิน? ” เสียงคำรามจากอีกด้านของมือถือดังเข้ามาในหู
เป็นเสียงของเกาไห่ แต่ความโกรธแบบนั้นดูไม่คุ้นเคยเลย
ในวิดีโอ ตอนแรกเป็นภาพเล่อจยาไล่ตามพวกเขาลงไปชั้นล่าง เท้าเธอแดง ในมือถือรองเท้าส้นสูง แล้ววิ่งลงมาจากบันได
เปลี่ยนไปอีกภาพหนึ่ง เป็นที่ชั้นใต้ดิน เธอเห็นรถเขาออกไปแล้ว แววตาที่สิ้นหวังนั้น ฉับพลันก็ทำให้เกาไห่รู้สึกเจ็บปวดใจ
หลังจากนั้น ซูหย่าเข้ามา ทั้งสองคนพูดอะไรกัน จากนั้นเล่อจยากับซูหย่าก็ออกไป
“มิฉะนั้น คุณก็ไปเถอะ? ฉันจะอยู่เฝ้าที่นี่เอง มีปัญหาอะไรฉันจะโทรหาคุณเลยดีไหม? ”
เสี่ยวตงติดตามเกาไห่มาหลายปี แม้ว่าทั้งคู่จะมีฐานะที่ต่างกัน แต่เพราะว่าด้วยเวลาที่ยาวนาน เสี่ยวตงจึงรู้จักเกาไห่เป็นอย่างดี เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเขา ชัดเจนว่าใจของเขาไม่ได้ปล่อยวางจากเล่อจยาเลย
เกาไห่มองประตูห้องผ่าตัด กลืนน้ำลาย “ไม่ต้องหรอก” พูดจบ ไปข้างๆ กำแพงแล้วหาที่นั่ง
งานแต่งดำเนินมาได้ครึ่งทาง เดิมทีเล่อจยาคิดว่าหายนะของวันนี้จบลงแล้ว
แต่ไม่คิดว่าจู่ๆ เล่อเสี่ยวอวี๋จะเดินมาข้างๆ เธอ “พี่ คุณปู่ให้คุณไปหาท่านทางด้านนั้น บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับคุณ” เล่อเสี่ยวอวี๋ชี้ไปที่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ของงาน
เล่อจยาขมวดคิ้ว เดินไปทางปู่เล่อ
“คุณปู่ คุณตามหาฉันเหรอ? ” ถึงแม้ว่าคุณปู่คนนี้จะให้ความสำคัญลูกชายมากกว่าลูกสาว แต่เล่อจยาไม่ได้ถือสาคนอายุมากอย่างเขา ยังคงไถ่ถามอย่างสุภาพ
“เสี่ยวเหวินล่ะ? ทำไมวันนี้ไม่มา? ” ปู่มองเธอ ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เล่อจยาเม้มๆ ปาก “ฉันไม่รู้”
“พี่สาวคนโต คุณก็เคยเห็นคุณทำอย่างนี้ก็เหมือนกับแม่ของคุณไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยามองปู่เล่อ นี่เป็นครั้งที่สอง ที่เขาพูดกับเธอสี่คำนี้ว่าพี่สาวคนโต
“ฉันแก่กว่าเขาไม่เท่าไหร่? เหมือนกับแม่เหรอ? คุณให้ความสำคัญฉันเกินไปแล้ว” วันนี้เล่อจยาอารมณ์ไม่ดี ยังถูกปู่เล่อมาซักถามอย่างนี้อีก เธอรู้สึกน้อยใจอย่างมาก แต่ไหนแต่ไรทำไมไม่มีใครสนใจเธอเลย
“อีกอย่าง ทำไมคุณไม่พาผู้ชายของคุณมาที่นี่ในวันนี้? คุณอารองกับอาสะใภ้รองของคุณบอกว่า เขาดูถูกตระกูลเรา เป็นอย่างนี้ใช่ไหม? ” ท่าทางอำนาจบาตรใหญ่ของเขา ทำให้เล่อจยารู้สึกไม่สบายใจ
“คุณปู่ เขามีธุระ” เล่อจยาตอบกลับอย่างอดทน
“มีธุระ หรือว่างานแต่งของเสี่ยวอวี๋ ไม่นับว่าเป็นธุระใหญ่เหรอ? ” ฉับพลันน้ำเสียงของปู่เล่อก็ดังขึ้น
เล่อจยาก้มหน้าบ่นพึมพำ : “งานแต่งเธอนับว่าเป็นธุระใหญ่ เช่นนั้นตอนที่พ่อฉันตาย พวกคุณไปอยู่ที่ไหนกันล่ะ? ” น้ำเสียงเธอเบามาก แต่คนที่อยู่ในที่นั้น ยังคงได้ยิน
“เล่อจยา คุณหมายความว่าอย่างไร? วันนี้เสี่ยวอวี๋แต่งงาน คุณพูดเรื่องไม่เป็นมงคลอย่างนี้ คุณอยากให้เกิดโชคร้ายหรือไง? ” อาสะใภ้รองเห็นว่าเกาไห่ไม่มา จึงอารมณ์เสียอย่างมาก สักครู่นี้ก็จับผิดเล่อจยา แล้วเริ่มเอามาเป็นประเด็น
คุณอารองดึงเล่อจยามา “จยาจยา ตั้งแต่คุณเข้าประตูมา ฉันก็เห็นคุณชักสีหน้า หน้าตาไม่มีความสุข ถ้าคุณก็ดูถูกเรา คุณก็ออกไปเลย ไม่เป็นไร ตระกูลเรามันคนละชั้นกัน เราไม่ได้พัวพันด้วยหรอก”
จากนั้นคนก็ยิ่งมากขึ้น เล่อจยาถูกล้อมรอบโดยพวกเขา และถูกชี้นิ้วใส่
เธอหรี่ตามอง นำกระเป๋าสะพายบนไหล่ “วันนี้เป็นวันมงคล ฉันไม่อยากทะเลาะกับพวกคุณ ฉันไปก่อน” พูดจบ ก็หันกลับเตรียมจะออกไป
แขนก็ถูกจับไว้ เล่อจยาหันกลับไป เห็นเป็นเล่อเสี่ยวอวี๋ “ปล่อย”
“พี่ คำพูดของพ่อแม่ฉัน คุณก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ เช่นนั้นคุณก็อย่าเอามาใส่ใจเลย อันที่จริง เพียงแค่คุณบอกความจริงกับเรามา พ่อแม่ฉันก็จะสามารถเห็นใจได้”
พูดความจริง? เล่อจยาไม่เข้าใจ หันกลับไปมองเล่อเสี่ยวอวี๋
“คุณหมายความว่าอะไร? ”
เล่อเสี่ยวอวี๋หัวเราะเล็กน้อย “ไม่……ไม่ได้หมายความว่าอะไร ฉันก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย แล้วความสัมพันธ์ขอวคุณกับเกาไห่คืออะไร อันที่จริง เราเป็นคนที่สายตาเฉียบแหลม แค่มองก็เข้าใจ ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยเลี้ยงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง คุณว่าถูกไหม? ”
เสี่ยเลี้ยง?
เล่อจยายิ่งฟังยิ่งสับสน “เสี่ยงเลี้ยงอะไรกัน? เล่อเสี่ยวอวี๋ คุณมีอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องปิดบังอ้อมค้อม” พอพูดคำนี้ สีหน้าของเล่อจยาก็เคร่งขรึม
เล่อเสี่ยวอวี๋ยกกระโปรงยาวๆ ขึ้น เดินสองก้าวมายังเล่อจยา แบมือไปยังด้านหลัง ก็มีบางคนหยิบกระเป๋าของเธอเข้ามาให้
เล่อเสี่ยวอวี๋หยิบมือถือออกมาจากในกระเป๋าอย่างไม่รีบร้อน จากนั้น นิ้วมือที่เรียวยาว ก็เลื่อนบนหน้าจอมือถืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วส่งให้เล่อจยา
ในวิดีโอ คือเกาไห่และไห่ยุ่น คนทั้งสองไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน เกาไห่นำผมยาวของไห่ยุ่นไปทัดหูให้ สบตาแล้วยิ้มให้กัน
“บังเอิญจริงๆ ฉันดันไปมีเพื่อนที่เป็นพยาบาลอยู่ที่นั่น ครั้งสุดท้ายฉันบอกกับเธอว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันแต่งงานกับประธานของเกากรุ๊ป แล้วนี่ เธอก็เพิ่งส่งมาให้ฉันจากโรงพยาบาล ได้ยินมาว่า….” เล่อเสี่ยวอวี๋หยุดลงเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า “ได้ยินมาว่า แท้จริงความสัมพันธ์ในครอบครัวนั้น เกาไห่ก็คือสามีของเธอ เขาคือสามีของผู้หญิงคนนี้ อย่างนั้นแล้ว คุณเป็นอะไรล่ะ? ”
เล่อจยาที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้รู้สึกอะไร ได้ฟังประโยคสุดท้ายนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมอย่างมาก กวาดสายตามองเล่อเสี่ยวอวี๋ “นั่นคือลูกพี่ลูกน้องของเขา พูดไร้สาระอะไร? ”
“ลูกพี่ลูกน้อง? จยาจยา คุณนี่ไร้เดียงสาจริงๆ เลยนะ ได้ยินมาว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องทำการผ่าตัด แต่ประธานเกาเป็นคนเซ็นชื่อรับรองให้ พี่ชายคนหนึ่ง เซ็นชื่อรับรองให้ลูกพี่ลูกน้องทำการผ่าตัด นี่ดูไม่พูดเกินไปหน่อยเหรอ? ”
เล่อจยามองเล่อเสี่ยวอวี๋ อ้าปาก แต่ก็เลือกที่จะเงียบ ในวันนี้ เกาไห่ไม่ได้มา เธอจะอธิบายอย่างไร ก็เหมือนยิ่งพูดปกปิดยิ่งเห็นได้ชัดก็เท่านั้น
“ไม่รบกวนคุณแล้ว ฉันไปก่อนล่ะ”
“เห็นไหมล่ะ ฉันเคยบอกคุณแล้ว เถ้าแก่ใหญ่แบบนั้น จะมาชอบคุณได้อย่างไร”
“ก็คือ ไปเกี้ยวพาราสีอยู่กับคนที่โรงพยาบาล เลยไม่ได้มาเป็นเพื่อเธอเข้าร่วมงานแต่งงานน้องสาว ถ้าเป็นสามีจริงๆ รักเธอจริงๆ มันจะเป็นไปได้เหรอ? ”
เล่อจยาไม่อยากฟัง แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์นี้ ก็เข้ามาในหูไม่หยุด
เมื่อเดินมาถึงห้องโถงของโรงแรม เธอก็ก้มหน้า ในสมองเต็มไปด้วยฉากนั้นที่อยู่ในวิดีโอเมื่อกี้
“โอ๊ะ….” ในทันใด เธอก็ชนเข้ากับคนคนหนึ่ง
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเป็นเย่หลิน “เย่หลิน….”
เย่หลินพิจารณาเธออยู่ครู่หนึ่ง ปิดปาก แล้วกล่าวอย่างประหลาดใจว่า: “พี่สะใภ้? ”
เล่อจยาพยักหน้า จำได้ว่าครั้งที่แล้วก็เจอกับเย่หลินที่นี่
“พี่สะใภ้ คุณแต่งตัวแบบนี้ สวยมากจริงๆ ”
เย่หลินจูงมือหนิงเสี่ยวซีอยู่ “เสี่ยวซี คุณป้าสะใภ้ ทักทายสิ! ”
หนิงเสี่ยวซีพยักหน้ากับเล่อจยาเล็กน้อย “คุณป้าสวัสดีครับ”
เล่อจยาตบเบาๆ ที่ไหล่ของหนิงเสี่ยวซี “ช่วงนี้ไม่ได้เจอกันเลย เสี่ยวซียิ่งโตยิ่งหล่อนะ”
หนิงเสี่ยวซีฉีกยิ้มอย่างสุภาพเล็กน้อย
“พี่สะใภ้ นี่คุณ….” เย่หลินชี้ๆ ไปที่การแต่งตัวของเธอ
เล่อจยาเม้มปาก “วันนี้ ลูกพี่ลูกน้องของฉันแต่งงาน”
“ลูกพี่ลูกน้องแต่งงาน อย่างนั้น…..ทำไมคุณถึงมาคนเดียวล่ะ? พี่ชายฉันล่ะ? ”
เย่หลินไม่ถาม เล่อจยาก็ยังโอเคอยู่ พอเธอถามคำถามนี้ เล่อจยาก็ยากที่จะระงับอารมณ์ไม่ให้ออกมา ขอบตาแดงก่ำ ก้มหน้าลง “เขา…..เขามีธุระ มาไม่ได้”
อันที่จริงเล่อจยาไม่ใช่คนที่ชอบพูดนินทาคนอื่นลับหลัง ก่อนหน้านี้ที่เธอพูดกับเกาไห่ไปแบบนั้น ก็เพราะกลัวว่าจะสูญเสียเขาไป
มือของเธอออกแรงจับกระเป๋าถือเอาไว้แน่น ชัดเจนอย่างมากว่า ความรู้สึกของเธอไม่ค่อยปกติ
“คุณไม่สมควรที่จะเรียกสองคำนี้” น้ำเสียงเย็นชาส่งออกมา
เล่อจยาหมุนถ้วยในมือ ชั่วขณะสีหน้าก็อึดอัดใจ “คุณพูดจาให้มันปกติได้ไหม”
เซียวอู๋ได้ยินก็เงยหน้ามองเล่อจยา “ปกติ คุณคิดว่าคนคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้แต่งงาน จะถือว่าเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร? ‘
“เธอมีศักดิ์ศรีขนาดนั้น เธอก็ไม่กลัวจะเอาพิมเสนมาแลกกับเกลืออย่างฉันเหรอ? ”
แววตาที่โหดเหี้ยมของเขาเล่อจยาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เซียวอู๋ทำอย่างนี้เธอไม่คุ้นเคยอย่างมาก
“เสี่ยวอู๋ ซูหย่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของคุณ คุณไม่เห็นแก่เด็ก……”
“ไม่เห็น” เซียวอู๋ไม่รอให้เธอพูดจบ พูดตัดบทเธอเลย
เล่อจยาสูดลมหายใจ “อันที่จริงคุณยังไม่เคยรู้จักเธออย่างถ่องแท้เลย คุณก็ตัดสินชี้ขาดว่าไม่ชอบเธอแล้วเหรอ? ”
“เช่นนั้นคุณก็ไม่ได้รู้จักฉันอย่างถ่องแท้เหมือนกัน แล้วคุณจะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้รักฉัน? ” เซียวอู๋พูดจบก็ยื่นมือออกมาจับมือของเล่อจยาไว้ “จยาจยา ฉันมีวันนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ เพราะคุณบอกว่าชอบทหาร ฉันเลยเดินเส้นทางนี้ แต่คุณล่ะ? ”
เล่อจยาอยากจะดึงมือตัวเองกลับ แต่เซียวอู๋ไม่ยอมปล่อย
“คุณไม่ได้อยากให้ฉันลงมือใช่ไหม? ” สีหน้าเธอเคร่งขรึมลง
“ตอนนี้คุณอาจจะไม่สามารถเอาชนะฉันได้” ชายคนนั้นยกยิ้มขึ้น
เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง ผ่านไปสักพัก เธอก็มองชายตรงหน้า “คุณบอกว่าคุณชอบฉัน? เซียวอู๋ ท้ายที่สุดแล้วคุณโกหกฉันหรือโกหกตัวเองกันแน่? ” หลายปีมานี้ถ้าคุณชอบฉันจริงๆ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมาจนถึงปัจจุบัน ก็สิบปีแล้ว แต่คุณไม่เคยตามหาฉันเลย คุณอย่าบอกนะว่าหาไม่เจอ ด้วยอำนาจและอิทธิพลของครอบครัวพวกคุณแล้ว คิดอยากจะหาใครสักคนนั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คุณก็ไม่ตามหา มันพิสูจน์ว่าอะไร? พิสูจน์ว่าคุณก็แค่หาข้ออ้างให้ไปในที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น”
เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจก็ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูก
อันที่จริง ตั้งแต่หลังจากเซียวอู๋บอกว่าชอบเธอ เธอก็คิดว่ามันไร้สาระมาตลอด รักคนคนหนึ่งมาสิบปี ก็ไม่ได้เกินจริงหรอก แต่ว่าสิบปีนี้ไม่เคยถามไถ่เลย แล้วจะมาบอกว่าตนเองชอบมาเป็นสิบปีแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผล
“อีกอย่าง คุณอาจจะไม่รู้ ที่ฉันแต่งงานกับเกาไห่ ก็เพียงแต่เป็นเรื่องของช่วงเวลานี้ ถ้าคุณมีใจให้ฉันจริงๆ คุณจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชอบเดียวดายมาสิบปีหรอก ฉะนั้น เซียวอู๋ คุณอย่าโกหกตัวเอง อย่าใช้ฉันเป็นข้ออ้างอีกต่อไปเลย ซูหย่าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่หงส์เข้าฝูงหงส์ ถ้าคุณยอมรับฉันได้ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น เธอเก่งกว่าฉันในทุกๆ ด้าน” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็จิบกาแฟหนึ่งอึก
“ฉันขอร้องคุณล่ะ ให้โอกาสเธอสักครั้ง ถ้าเธอต้องเสียใจเพราะคุณ เซียวอู๋ ฉันจะเกลียดคุณ”
“เอาล่ะ คุณคิดเอาเองแล้วกัน ฉันไปก่อน” ครั้งนี้ เล่อจยาดึงแขนกลับมาได้อย่างสบาย
เธอไม่รอให้เซียวอู๋ตอบกลับ แล้วก็ไม่อยากรอด้วย
ออกจากร้านกาแฟไป เธอก็หยิบมือถือออกมาโทร “เป็นอย่างไรบ้างนะเหรอ? ฉันเดาไม่ผิด ซูหย่า เขาไม่ได้รักฉัน รักคนคนหนึ่ง ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาเป็นสิบปีได้ เหมือนฉันกับเกาไห่ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยดูข่าวการเงิน ไม่เคยชอบซุบซิบนินทา แต่ว่าไม่เคยปล่อยให้เขาหายไปเลย ในสองสามปีนั้นที่เขาหายไป ฉันใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานมาก คุณก็เห็น แต่เซียวอู๋บอกว่าเขารักฉันมาสิบปี หลายปีมานี้คุณก็เห็นแล้ว ว่าเขาเคยตามหาฉันไหม? ถ้าไม่ใช่เกาไห่ ฉันคงแต่งงานกับชายอ้วนคนนั้นไปแล้ว นี่คือความรักเหรอ? เขาไร้สาระ”
สายทางด้านนั้น เงียบตลอด
“ซูหย่า คุณฟังฉันอยู่ไหม? ”
“ฮัลโหล……”
“ขอบคุณนะ จยาจยา” ซูหย่าพูดออกมา เล่อจยาก็ฟังออก เธอร้องไห้
นิสัยที่ไม่สนใจไยดีของซูหย่า ยังสามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้ จริงก็เพราะเซียวอู๋ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย หมอไม่ได้บอกเหรอ ว่าสามเดือนแรก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก”
“ตื๊ดๆ …..” มีอีกสายหนึ่งโทรเข้ามา
เล่อจยาดู คือคุณอารอง
“เสี่ยวหย่า ฉันต้องวางสายก่อน คุณดูแลตัวเองให้ดีๆนะ เดี๋ยวเราค่อยติดต่อกันอีกที”
“ฮัลโหล คุณอารอง”
“จยาจยา พรุ่งนี้ คุณและเสี่ยวไห่ เข้ามาเช้าๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะให้เสี่ยวอวี๋ส่งที่อยู่ไปให้คุณ”
เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใช่แล้ว พรุ่งนี้เล่อเสี่ยวอวี๋แต่งงาน เธอลืมไปเลย “อื้ม โอเคค่ะ คุณอารอง”
มือถือเพิ่งจะวางสาย ข้อความก็ส่งเข้ามา เล่อจยากดเปิดดู เป็นแถวบ้านของเซียวอู๋ เป็นสถานที่ที่ไปเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวครั้งที่แล้ว
ค่าใช้จ่ายของโรงแรมนั้นนับว่าไม่ถูกเลย มิน่าล่ะวันนั้นอาสะใภ้รองถึงได้อวดดีแบบนั้น ดูท่า อีกฝ่ายจะชาติตระกูลไม่เลวจริงๆ
โทรศัพท์ไปหาเกาไห่ พอรับสาย เธอก็เอ่ยปากถามโดยตรงเลยว่า: “คุณยังทำงานอยู่หรือเปล่า? ”
“สวัสดีค่ะ ประธานเกากำลังประชุมอยู่ อีกสักครู่รบกวนคุณโทรมาใหม่นะคะ” เสียงพูดนั้นเป็นเสียงผู้หญิง เล่อจยานิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า “โอเคค่ะ”
พอวางสาย เล่อจยาก็เดินทางไปยังบริษัทของเกาไห่ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินทางประมาณสี่สิบกว่านาที
เมื่อมาถึงชั้นล่างของบริษัท เล่อจยาหาเก้าอี้ข้างๆ ทางเพื่อนั่งลง
แต่รอจนคนเดินไปเดินมาน้อยลงแล้ว ก็ยังไม่เห็นเกาไห่ออกมา คิดๆแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปหาเขา
พอสัญญาณโทรศัพท์ดังก็ถูกกดรับ
“ฮัลโหล….” เสียงของเกาไห่
“สามี คุณยังประชุมไม่เสร็จเหรอ? ”
เกาไห่ขมวดคิ้ว กดปลดล็อกลายนิ้วมือ “ฉันอยู่บ้านแล้ว…..” เปิดประตู เห็นว่าไม่มีรองเท้าแตะคู่นั้น “คุณไม่อยู่บ้านเหรอ? ”
เล่อจยาน้อยใจเล็กน้อย “ฉันมารอคุณอยู่ที่หน้าทางเข้าบริษัทคุณ ทำไมถึงไม่เห็นคุณออกมาล่ะ? ”
เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “คุณรอฉันอยู่ที่นั่นนะ ฉันจะไปรับคุณ” พูดพลาง ปิดประตู
“คุณได้ใช่กำลังประชุมอยู่เหรอ? ทำไมไม่เห็นคุณออกมาเลยล่ะ? ”
เกาเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ฉันขับรถออกมาจากที่จอดรถโดยตรง อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นคุณ”
“แล้วผู้หญิงที่รับสายคนนั้น เป็นใคร? ” เล่อจยาจ้องมองใบหน้าเกาไห่ ไม่ทิ้งร่องรอยการแสดงออกแม้แต่น้อย
“เลขาฯ ”
“จริงเหรอ? ”
เกาไห่หันหน้าไปมอง ยิ้มมุมปาก หยิกที่บนแก้มของเล่อจยาเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”
เปิดประตูรถให้เธอ “ทำไมวันนี้ถึงอยากมารอฉันที่บริษัทล่ะ? ” ขณะที่พูดจบ เกาไห่ก็เดินอ้อมรถไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วก็เข้ามานั่งในที่นั่งคนขับ
“พรุ่งนี้ ลูกสาวคุณอารองแต่งงาน ต้องการให้พวกเราไปเข้าร่วมงานแต่ง ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว”
คิดๆแล้ว ก็รีบกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไร”
เกาไห่ขมวดคิ้ว “อย่ากังวลไปเลย ธาตุแท้ของพวกเขา ฉันเคยเห็นมาแล้ว ญาติพี่น้องของคุณ ฉันไม่หลบหนีหรอก”
วันต่อมา เมื่อเกาไห่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเล่อจยาแล้ว ออกมาจากในห้องก็ไม่เจอ
“คุณผู้ชาย คุณเล่อบอกว่า อีกสักครู่จะกลับมา ให้คุณทานอาหารเช้าก่อน”
เกาไห่โทรไปหาเล่อจยา “ไปไหน? ”
เสี่ยวตงมองเกาไห่โดยจิตใต้สำนึก แล้วจึงตอบกลับว่า : “โรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่า ขาของคุณไห่ยุ่นเกิดการอักเสบ ต้องได้รับการผ่าตัดทันที ประธานเกาต้องไปเซ็นชื่อ”
ขาของไห่ยุ่น อักเสบ? ต้องผ่าตัดเหรอ?
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเกาไห่ ในแววตาเขาดูสับสนเล็กน้อย ในชั่วพริบตาในใจเล่อจยาก็หม่นหมองลง
ชั่วขณะ ก็นั่งลงบนโซฟา “พูดมาให้ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น ก็ไม่อนุญาตให้ไป”
เกาไห่กัดฟันถลึงตาใส่เสี่ยวตง สูดหายใจเข้าลึกๆ เสี่ยวตงก้มหน้าลง เขารู้ว่าวันนี้ตนเองสร้างเรื่องวุ่นวายชึ้นแล้ว
“จยาจยา มิเช่นนั้น ฉันจะให้เสี่ยวตงไปส่งคุณก่อน รอเรื่องทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปทันที คุณว่าอย่างไร? ” เกาไห่เดินไปสองสามก้าวนั่งลงตรงหน้าเล่อจยา จับมือเธอ แล้วปรึกษาหารือกับเธอ
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ”
“ขาเธอไม่ค่อยดีนิดหน่อย”
“เห็นได้ชัดว่าขาเธอไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพูดย้อนกลับ
“เมื่อวานตอนเย็นมาช่วยฉัน ก็เลยหกล้ม! ”
“เมื่อวานตอนเย็น? ช่วยคุณ? แต่เมื่อวานตอนเย็นคุณบอกว่าประชุมอยู่ไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพบว่าปากของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย
“เธอไปหาฉันเพื่อลาออก ตอนที่ออกมา พอดีมีน้ำอยู่ตรงบันไดในห้องโถงใหญ่ เท้าฉันเลยลื่น เธอจึงช่วยฉัน เลยหกล้มลงไป ต่อมา ฉันจึงส่งเธอไปโรงพยาบาล ก็กลัวว่าคุณจะคิดมาก ฉะนั้นเลย……”
ฉะนั้น เลยให้คนบอกเธอว่า เขาประชุมอยู่ใช่ไหม? ดังนั้น เดิมทีเธอไม่ได้มองรถพลาดไป แต่ที่แท้เป็นเขาไม่ได้อยู่ที่บริษัทใช่ไหม?
เล่อจยาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ มันหายไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามทำให้หัวใจที่ระรัวราวกับกลองของเธอสงบลง แล้วมองเกาไห่ “เกาไห่ พื้นดีๆ จะมีน้ำได้อย่างไรล่ะ? คุณไม่สงสัยเลยเหรอ น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า? ”
“เล่อจยา……” เกาไห่พูดทั้งชื่อแซ่เล่อจยา ในน้ำเสียงมีการตำหนิ
เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองฟังผิด
เธอขยี้ๆ ตาที่ขมขื่น “ก่อนหน้านี้ คุณเห็นชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเดินได้แล้ว? สามี น้องสาวของคุณ เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากจริงๆ ที่เธอทำสิ่งเหล่านี้ ก็แค่ต้องการแย่งคุณไปจากฉัน”
เกาไห่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาอย่างมาก “คุณคิดว่ามันคุ้มค่าเหรอที่เธอจะใช้สองขาของตัวเองเพื่อมาแย่งฉันไป? ” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋า มองออกไปอีกด้านหนึ่ง
เกาไห่ทำอย่างนี้ ทำให้เล่อจยานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงคว้ากระเป๋าข้างๆ ลุกขึ้นยืน “โอเค เช่นนั้นคุณก็ไปดูเธอเถอะ ฉันจะไปเองคนเดียว”
พูดจบก็หันกลับเดินไปทางประตู เกาไห่ถอนหายใจดึงเธอไว้ “จยาจยา เราเข้าใจเธอผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ขาเธอสามารถเดินได้ก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วัน เรื่องนี้ ฉันยังตั้งใจไปโรงพยาบาลเพื่อถามหมอโดยเฉพาะ เธอต้องการจะไปเที่ยว ฉะนั้นเลยไม่ทันได้อธิบายกับเรา อีกอย่าง เมื่อวานตอนเย็น เธอไปหาฉันเพื่อลาออก บอกว่าไม่อยากให้คุณเข้าใจเธอผิด สรุปคือตอนที่ออกมา พื้นมันลื่น จนฉันเกือบจะตกลงไป เธอเลยผลักฉันออก แล้วเป็นเธอตกลงไปเอง เธอล้มลงไปทำให้ขาหักอีกครั้ง” พูดถึงตรงนี้ในแววตาเกาไห่ก็มีความเสียใจ
เล่อจยาได้ยิน ก็หัวเราะ “หึหึ บังเอิญจริงๆ เลย ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะย้ายออกจากบ้านเราไป หลังจากหายสาบสูญไป แล้วขาก็หายเป็นปกติเหรอ? ตอนที่มาหาคุณเพื่อลาออก พื้นที่ลื่นชัดเจนว่าเธอวางแผนไว้ดีแล้ว ดังนั้น จึงจงใจไปลาออก และจงใจ……”
“เล่อจยา คุณเข้าใจเธอผิดเกินไปแล้วหรือเปล่า คุณคิดว่าเธอทำให้ขาหักเพื่อฉันเหรอ? ” เสียงของเกาไห่สูงขึ้นเล็กน้อย
เล่อจยามองเขา เหมือนกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เธอค่อยๆ พูดว่า *เพื่อคนที่ตัวเองชอบแล้ว จะล้มจนขาหักอย่างไร แม้ว่าฉันจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะเต็มใจ”
เกาไห่ลูบหน้าผาก “จยาจยา คุณคิดว่าความคิดของคุณมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? ”
คิดเหมือนกันเหรอ? เล่อจยามองเกาไห่ “คุณคิดว่าฉันคิดอะไร? ”
สีหน้าของเกาไห่ไม่น่าดูเล็กน้อย “จยาจยา เรื่องบางเรื่อง เดิมทีฉันไม่ได้อยากที่จะพูดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณดึงดันแบบนี้ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องบอกคุณ”
“คุณรู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ ไห่ยุ่นถึงย้ายออกไปจากบ้านของพวกเรา? ”
เล่อจยาชำเลืองมองเขา “ฉันจะรู้ได้อย่างไร? ”
“ก็เพราะเพื่อนที่แสนดีของคุณมาบอกกับเธอถึงบ้าน ไห่ยุ่นกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด จึงย้ายออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง” พูดถึงตรงนี้ เกาไห่ก็กุมหน้าผาก เข้าไปดึงมือของเล่อจยา “ฉันรู้ว่า เธอทำไปเพราะหวังดีต่อคุณ ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้โกรธเธอ แต่จยาจยา ฉันไม่ปรารถนา ให้คุณเข้าใจไห่ยุ่นผิดอีก แบบนี้ มันช่างไม่ยุติธรรมกับเธอเลย”
ความร้อนผ่าวของฝ่ามือ ส่งกระจายไปยังหัวใจ แต่กลับกลายเป็นความเจ็บปวด เล่อจยาแปลกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าซูหย่าจะมาหาไห่ยุ่นเพื่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ เพราะเธอรู้ดีว่า ที่ซูหย่าทำแบบนี้ ล้วนหวังดีต่อเธอ
“เธอก็แค่ทำในเรื่องที่ฉันอยากจะทำก็เท่านั้น ฉันต้องขอบคุณเธอ” เธอมองเกาไห่ พูดออกมาทีละคำๆ
เธอเห็นชัดเจนว่าใบหน้าของเกาไห่มืดมนลงโดยสิ้นเชิง
ห้องทำงานที่โล่งกว้าง.เงียบสงัดลงในทันที
ขณะที่เล่อจยาคิดว่าเกาไห่คงไม่พูดอะไร ก็มีเสียงที่เคร่งขรึมของผู้ชายดังขึ้นข้างหู
“เล่อจยา ฉันคงรู้จักคุณน้อยเกินไปจริงๆ ”
พูดจบ ก็หยิบเสื้อโค้ตที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
รู้จักเธอน้อยเกินไปจริงๆ? ประโยคนี้หมายความว่าอะไร? เกาไห่ คุณไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหม?
เล่อจยายืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ นึกถึงว่าเกาไห่ไม่ต้องการเธอแล้ว ในทันที ก็หวาดผวา เธอรีบไล่ตามออกไป พอดีเห็นเกาไห่กับเสี่ยวตงเดินเข้าลิฟต์ไป
เธอก็รีบไปกดลิฟต์ แต่ทำได้เพียงมองตัวเลขของลิฟต์ที่ลดลง
ทันที เธอก็ร้อนใจ เปิดประตูทางออกฉุกเฉินที่อยู่ด้านข้าง วิ่งลงมาทางบันได เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน รองเท้าส้นสูงก็ถืออยู่ในมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะร้องไห้ หน้าตาที่แต่งไว้ก็เลอะเทอะ
แต่เพียงแค่เห็นไฟท้ายรถคันนั้น
เกาไห่ไปแล้ว….เขาไม่ต้องการเธอแล้ว เล่อจยานั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ
เมื่อซูหย่ารีบเข้ามา เล่อจยาก็นั่งอยู่บนพื้นที่ชั้นใต้ดิน
“เกิดอะไรขึ้น? ”
เล่อจยามองซูหย่า “คุณ…คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “ก็คุณโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ? ”
“ฉัน….ฉันคงจะเป็นบ้าไปแล้ว คุณตั้งท้องลูกอยู่ ฉันจะให้คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูหย่านั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเธอ จับใบหน้าของเธอ “บอกฉันซิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ”
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? เล่อจยาก็ต้องถามตนเอง ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่ ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
“คุณรีบลุกขึ้นยืนเถอะ อย่านั่งยองๆ แบบนี้เลย” พูดพลาง เล่อจยาก็ลุกขึ้น แล้วประคองซูหย่าลุกขึ้น
แต่ซูหย่าสะบัดมือของเธอออก “คุณบอกมาก่อน ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ” เสียงที่สูงขึ้นในทันใด ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยหันกลับมามอง
“คุณไม่สมควรที่จะเรียกสองคำนี้” น้ำเสียงเย็นชาส่งออกมา
เล่อจยาหมุนถ้วยในมือ ชั่วขณะสีหน้าก็อึดอัดใจ “คุณพูดจาให้มันปกติได้ไหม”
เซียวอู๋ได้ยินก็เงยหน้ามองเล่อจยา “ปกติ คุณคิดว่าคนคนหนึ่งที่ถูกบังคับให้แต่งงาน จะถือว่าเป็นเรื่องปกติได้อย่างไร? ‘
“เธอมีศักดิ์ศรีขนาดนั้น เธอก็ไม่กลัวจะเอาพิมเสนมาแลกกับเกลืออย่างฉันเหรอ? ”
แววตาที่โหดเหี้ยมของเขาเล่อจยาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เซียวอู๋ทำอย่างนี้เธอไม่คุ้นเคยอย่างมาก
“เสี่ยวอู๋ ซูหย่าเธอกำลังตั้งท้องลูกของคุณ คุณไม่เห็นแก่เด็ก……”
“ไม่เห็น” เซียวอู๋ไม่รอให้เธอพูดจบ พูดตัดบทเธอเลย
เล่อจยาสูดลมหายใจ “อันที่จริงคุณยังไม่เคยรู้จักเธออย่างถ่องแท้เลย คุณก็ตัดสินชี้ขาดว่าไม่ชอบเธอแล้วเหรอ? ”
“เช่นนั้นคุณก็ไม่ได้รู้จักฉันอย่างถ่องแท้เหมือนกัน แล้วคุณจะตัดสินได้อย่างไรว่าคุณไม่ได้รักฉัน? ” เซียวอู๋พูดจบก็ยื่นมือออกมาจับมือของเล่อจยาไว้ “จยาจยา ฉันมีวันนี้ ทั้งหมดนี้ก็เพราะคุณ เพราะคุณบอกว่าชอบทหาร ฉันเลยเดินเส้นทางนี้ แต่คุณล่ะ? ”
เล่อจยาอยากจะดึงมือตัวเองกลับ แต่เซียวอู๋ไม่ยอมปล่อย
“คุณไม่ได้อยากให้ฉันลงมือใช่ไหม? ” สีหน้าเธอเคร่งขรึมลง
“ตอนนี้คุณอาจจะไม่สามารถเอาชนะฉันได้” ชายคนนั้นยกยิ้มขึ้น
เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง ผ่านไปสักพัก เธอก็มองชายตรงหน้า “คุณบอกว่าคุณชอบฉัน? เซียวอู๋ ท้ายที่สุดแล้วคุณโกหกฉันหรือโกหกตัวเองกันแน่? ” หลายปีมานี้ถ้าคุณชอบฉันจริงๆ ตั้งแต่จบมัธยมปลายมาจนถึงปัจจุบัน ก็สิบปีแล้ว แต่คุณไม่เคยตามหาฉันเลย คุณอย่าบอกนะว่าหาไม่เจอ ด้วยอำนาจและอิทธิพลของครอบครัวพวกคุณแล้ว คิดอยากจะหาใครสักคนนั้นมันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่คุณก็ไม่ตามหา มันพิสูจน์ว่าอะไร? พิสูจน์ว่าคุณก็แค่หาข้ออ้างให้ไปในที่ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้เท่านั้น”
เธอพูดจบ เธอก็สังเกตเห็นสีหน้าของเซียวอู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อย ในใจก็ใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเดาถูก
อันที่จริง ตั้งแต่หลังจากเซียวอู๋บอกว่าชอบเธอ เธอก็คิดว่ามันไร้สาระมาตลอด รักคนคนหนึ่งมาสิบปี ก็ไม่ได้เกินจริงหรอก แต่ว่าสิบปีนี้ไม่เคยถามไถ่เลย แล้วจะมาบอกว่าตนเองชอบมาเป็นสิบปีแล้ว ก็ไม่สมเหตุสมผล
“อีกอย่าง คุณอาจจะไม่รู้ ที่ฉันแต่งงานกับเกาไห่ ก็เพียงแต่เป็นเรื่องของช่วงเวลานี้ ถ้าคุณมีใจให้ฉันจริงๆ คุณจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชอบเดียวดายมาสิบปีหรอก ฉะนั้น เซียวอู๋ คุณอย่าโกหกตัวเอง อย่าใช้ฉันเป็นข้ออ้างอีกต่อไปเลย ซูหย่าอาจจะไม่สมบูรณ์แบบ แต่หงส์เข้าฝูงหงส์ ถ้าคุณยอมรับฉันได้ เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้น เธอเก่งกว่าฉันในทุกๆ ด้าน” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็จิบกาแฟหนึ่งอึก
“ฉันขอร้องคุณล่ะ ให้โอกาสเธอสักครั้ง ถ้าเธอต้องเสียใจเพราะคุณ เซียวอู๋ ฉันจะเกลียดคุณ”
“เอาล่ะ คุณคิดเอาเองแล้วกัน ฉันไปก่อน” ครั้งนี้ เล่อจยาดึงแขนกลับมาได้อย่างสบาย
เธอไม่รอให้เซียวอู๋ตอบกลับ แล้วก็ไม่อยากรอด้วย
ออกจากร้านกาแฟไป เธอก็หยิบมือถือออกมาโทร “เป็นอย่างไรบ้างนะเหรอ? ฉันเดาไม่ผิด ซูหย่า เขาไม่ได้รักฉัน รักคนคนหนึ่ง ไม่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้มาเป็นสิบปีได้ เหมือนฉันกับเกาไห่ แต่ไหนแต่ไรฉันไม่เคยดูข่าวการเงิน ไม่เคยชอบซุบซิบนินทา แต่ว่าไม่เคยปล่อยให้เขาหายไปเลย ในสองสามปีนั้นที่เขาหายไป ฉันใช้ชีวิตอย่างเจ็บปวดทรมานมาก คุณก็เห็น แต่เซียวอู๋บอกว่าเขารักฉันมาสิบปี หลายปีมานี้คุณก็เห็นแล้ว ว่าเขาเคยตามหาฉันไหม? ถ้าไม่ใช่เกาไห่ ฉันคงแต่งงานกับชายอ้วนคนนั้นไปแล้ว นี่คือความรักเหรอ? เขาไร้สาระ”
สายทางด้านนั้น เงียบตลอด
“ซูหย่า คุณฟังฉันอยู่ไหม? ”
“ฮัลโหล……”
“ขอบคุณนะ จยาจยา” ซูหย่าพูดออกมา เล่อจยาก็ฟังออก เธอร้องไห้
นิสัยที่ไม่สนใจไยดีของซูหย่า ยังสามารถทำให้เธออารมณ์แปรปรวนได้ขนาดนี้ จริงก็เพราะเซียวอู๋ “เอาล่ะ อย่าร้องไห้เลย หมอไม่ได้บอกเหรอ ว่าสามเดือนแรก อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญมาก”
“ตื๊ดๆ …..” มีอีกสายหนึ่งโทรเข้ามา
เล่อจยาดู คือคุณอารอง
“เสี่ยวหย่า ฉันต้องวางสายก่อน คุณดูแลตัวเองให้ดีๆนะ เดี๋ยวเราค่อยติดต่อกันอีกที”
“ฮัลโหล คุณอารอง”
“จยาจยา พรุ่งนี้ คุณและเสี่ยวไห่ เข้ามาเช้าๆ หน่อยนะ เดี๋ยวจะให้เสี่ยวอวี๋ส่งที่อยู่ไปให้คุณ”
เล่อจยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ใช่แล้ว พรุ่งนี้เล่อเสี่ยวอวี๋แต่งงาน เธอลืมไปเลย “อื้ม โอเคค่ะ คุณอารอง”
มือถือเพิ่งจะวางสาย ข้อความก็ส่งเข้ามา เล่อจยากดเปิดดู เป็นแถวบ้านของเซียวอู๋ เป็นสถานที่ที่ไปเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวครั้งที่แล้ว
ค่าใช้จ่ายของโรงแรมนั้นนับว่าไม่ถูกเลย มิน่าล่ะวันนั้นอาสะใภ้รองถึงได้อวดดีแบบนั้น ดูท่า อีกฝ่ายจะชาติตระกูลไม่เลวจริงๆ
โทรศัพท์ไปหาเกาไห่ พอรับสาย เธอก็เอ่ยปากถามโดยตรงเลยว่า: “คุณยังทำงานอยู่หรือเปล่า? ”
“สวัสดีค่ะ ประธานเกากำลังประชุมอยู่ อีกสักครู่รบกวนคุณโทรมาใหม่นะคะ” เสียงพูดนั้นเป็นเสียงผู้หญิง เล่อจยานิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า “โอเคค่ะ”
พอวางสาย เล่อจยาก็เดินทางไปยังบริษัทของเกาไห่ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เดินทางประมาณสี่สิบกว่านาที
เมื่อมาถึงชั้นล่างของบริษัท เล่อจยาหาเก้าอี้ข้างๆ ทางเพื่อนั่งลง
แต่รอจนคนเดินไปเดินมาน้อยลงแล้ว ก็ยังไม่เห็นเกาไห่ออกมา คิดๆแล้ว เธอก็โทรศัพท์ไปหาเขา
พอสัญญาณโทรศัพท์ดังก็ถูกกดรับ
“ฮัลโหล….” เสียงของเกาไห่
“สามี คุณยังประชุมไม่เสร็จเหรอ? ”
เกาไห่ขมวดคิ้ว กดปลดล็อกลายนิ้วมือ “ฉันอยู่บ้านแล้ว…..” เปิดประตู เห็นว่าไม่มีรองเท้าแตะคู่นั้น “คุณไม่อยู่บ้านเหรอ? ”
เล่อจยาน้อยใจเล็กน้อย “ฉันมารอคุณอยู่ที่หน้าทางเข้าบริษัทคุณ ทำไมถึงไม่เห็นคุณออกมาล่ะ? ”
เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “คุณรอฉันอยู่ที่นั่นนะ ฉันจะไปรับคุณ” พูดพลาง ปิดประตู
“คุณได้ใช่กำลังประชุมอยู่เหรอ? ทำไมไม่เห็นคุณออกมาเลยล่ะ? ”
เกาเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ฉันขับรถออกมาจากที่จอดรถโดยตรง อาจจะไม่ได้สังเกตเห็นคุณ”
“แล้วผู้หญิงที่รับสายคนนั้น เป็นใคร? ” เล่อจยาจ้องมองใบหน้าเกาไห่ ไม่ทิ้งร่องรอยการแสดงออกแม้แต่น้อย
“เลขาฯ ”
“จริงเหรอ? ”
เกาไห่หันหน้าไปมอง ยิ้มมุมปาก หยิกที่บนแก้มของเล่อจยาเล็กน้อย “อย่าคิดมากสิ”
เปิดประตูรถให้เธอ “ทำไมวันนี้ถึงอยากมารอฉันที่บริษัทล่ะ? ” ขณะที่พูดจบ เกาไห่ก็เดินอ้อมรถไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วก็เข้ามานั่งในที่นั่งคนขับ
“พรุ่งนี้ ลูกสาวคุณอารองแต่งงาน ต้องการให้พวกเราไปเข้าร่วมงานแต่ง ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกคุณไปแล้ว”
คิดๆแล้ว ก็รีบกล่าวเพิ่มเติมว่า “ถ้าคุณไม่อยากไป ก็ไม่เป็นไร”
เกาไห่ขมวดคิ้ว “อย่ากังวลไปเลย ธาตุแท้ของพวกเขา ฉันเคยเห็นมาแล้ว ญาติพี่น้องของคุณ ฉันไม่หลบหนีหรอก”
วันต่อมา เมื่อเกาไห่ตื่นขึ้นมา ก็ไม่เห็นเงาของเล่อจยาแล้ว ออกมาจากในห้องก็ไม่เจอ
“คุณผู้ชาย คุณเล่อบอกว่า อีกสักครู่จะกลับมา ให้คุณทานอาหารเช้าก่อน”
เกาไห่โทรไปหาเล่อจยา “ไปไหน? ”
เสี่ยวตงมองเกาไห่โดยจิตใต้สำนึก แล้วจึงตอบกลับว่า : “โรงพยาบาลเพิ่งโทรมาบอกว่า ขาของคุณไห่ยุ่นเกิดการอักเสบ ต้องได้รับการผ่าตัดทันที ประธานเกาต้องไปเซ็นชื่อ”
ขาของไห่ยุ่น อักเสบ? ต้องผ่าตัดเหรอ?
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเกาไห่ ในแววตาเขาดูสับสนเล็กน้อย ในชั่วพริบตาในใจเล่อจยาก็หม่นหมองลง
ชั่วขณะ ก็นั่งลงบนโซฟา “พูดมาให้ชัดเจนก่อน มิเช่นนั้น ก็ไม่อนุญาตให้ไป”
เกาไห่กัดฟันถลึงตาใส่เสี่ยวตง สูดหายใจเข้าลึกๆ เสี่ยวตงก้มหน้าลง เขารู้ว่าวันนี้ตนเองสร้างเรื่องวุ่นวายชึ้นแล้ว
“จยาจยา มิเช่นนั้น ฉันจะให้เสี่ยวตงไปส่งคุณก่อน รอเรื่องทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันจะรีบไปทันที คุณว่าอย่างไร? ” เกาไห่เดินไปสองสามก้าวนั่งลงตรงหน้าเล่อจยา จับมือเธอ แล้วปรึกษาหารือกับเธอ
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ท้ายที่สุดแล้วมันเกิดอะไรขึ้น? ”
“ขาเธอไม่ค่อยดีนิดหน่อย”
“เห็นได้ชัดว่าขาเธอไม่มีปัญหาไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพูดย้อนกลับ
“เมื่อวานตอนเย็นมาช่วยฉัน ก็เลยหกล้ม! ”
“เมื่อวานตอนเย็น? ช่วยคุณ? แต่เมื่อวานตอนเย็นคุณบอกว่าประชุมอยู่ไม่ใช่เหรอ? ” เล่อจยาพบว่าปากของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย
“เธอไปหาฉันเพื่อลาออก ตอนที่ออกมา พอดีมีน้ำอยู่ตรงบันไดในห้องโถงใหญ่ เท้าฉันเลยลื่น เธอจึงช่วยฉัน เลยหกล้มลงไป ต่อมา ฉันจึงส่งเธอไปโรงพยาบาล ก็กลัวว่าคุณจะคิดมาก ฉะนั้นเลย……”
ฉะนั้น เลยให้คนบอกเธอว่า เขาประชุมอยู่ใช่ไหม? ดังนั้น เดิมทีเธอไม่ได้มองรถพลาดไป แต่ที่แท้เป็นเขาไม่ได้อยู่ที่บริษัทใช่ไหม?
เล่อจยาสัมผัสได้ถึงความสุขเมื่อครู่นี้ ในตอนนี้ มันหายไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามทำให้หัวใจที่ระรัวราวกับกลองของเธอสงบลง แล้วมองเกาไห่ “เกาไห่ พื้นดีๆ จะมีน้ำได้อย่างไรล่ะ? คุณไม่สงสัยเลยเหรอ น่าจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า? ”
“เล่อจยา……” เกาไห่พูดทั้งชื่อแซ่เล่อจยา ในน้ำเสียงมีการตำหนิ
เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คิดว่าตนเองฟังผิด
เธอขยี้ๆ ตาที่ขมขื่น “ก่อนหน้านี้ คุณเห็นชัดแล้วไม่ใช่เหรอว่าเธอเดินได้แล้ว? สามี น้องสาวของคุณ เป็นผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์มากจริงๆ ที่เธอทำสิ่งเหล่านี้ ก็แค่ต้องการแย่งคุณไปจากฉัน”
เกาไห่มองเธอด้วยสายตาเย็นชาอย่างมาก “คุณคิดว่ามันคุ้มค่าเหรอที่เธอจะใช้สองขาของตัวเองเพื่อมาแย่งฉันไป? ” พูดจบ ก็ลุกขึ้นยืน สองมือล้วงกระเป๋า มองออกไปอีกด้านหนึ่ง
เกาไห่ทำอย่างนี้ ทำให้เล่อจยานิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง เธอตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วจึงคว้ากระเป๋าข้างๆ ลุกขึ้นยืน “โอเค เช่นนั้นคุณก็ไปดูเธอเถอะ ฉันจะไปเองคนเดียว”
พูดจบก็หันกลับเดินไปทางประตู เกาไห่ถอนหายใจดึงเธอไว้ “จยาจยา เราเข้าใจเธอผิดแล้ว ก่อนหน้านี้ขาเธอสามารถเดินได้ก็จริง แต่นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในไม่กี่วัน เรื่องนี้ ฉันยังตั้งใจไปโรงพยาบาลเพื่อถามหมอโดยเฉพาะ เธอต้องการจะไปเที่ยว ฉะนั้นเลยไม่ทันได้อธิบายกับเรา อีกอย่าง เมื่อวานตอนเย็น เธอไปหาฉันเพื่อลาออก บอกว่าไม่อยากให้คุณเข้าใจเธอผิด สรุปคือตอนที่ออกมา พื้นมันลื่น จนฉันเกือบจะตกลงไป เธอเลยผลักฉันออก แล้วเป็นเธอตกลงไปเอง เธอล้มลงไปทำให้ขาหักอีกครั้ง” พูดถึงตรงนี้ในแววตาเกาไห่ก็มีความเสียใจ
เล่อจยาได้ยิน ก็หัวเราะ “หึหึ บังเอิญจริงๆ เลย ก่อนหน้านี้เธอเพิ่งจะย้ายออกจากบ้านเราไป หลังจากหายสาบสูญไป แล้วขาก็หายเป็นปกติเหรอ? ตอนที่มาหาคุณเพื่อลาออก พื้นที่ลื่นชัดเจนว่าเธอวางแผนไว้ดีแล้ว ดังนั้น จึงจงใจไปลาออก และจงใจ……”
“เล่อจยา คุณเข้าใจเธอผิดเกินไปแล้วหรือเปล่า คุณคิดว่าเธอทำให้ขาหักเพื่อฉันเหรอ? ” เสียงของเกาไห่สูงขึ้นเล็กน้อย
เล่อจยามองเขา เหมือนกับมองคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เธอค่อยๆ พูดว่า *เพื่อคนที่ตัวเองชอบแล้ว จะล้มจนขาหักอย่างไร แม้ว่าฉันจะต้องเอาชีวิตเข้าแลก ไม่แน่ว่าฉันก็อาจจะเต็มใจ”
เกาไห่ลูบหน้าผาก “จยาจยา คุณคิดว่าความคิดของคุณมันไม่เกินไปหน่อยเหรอ? ”
คิดเหมือนกันเหรอ? เล่อจยามองเกาไห่ “คุณคิดว่าฉันคิดอะไร? ”
สีหน้าของเกาไห่ไม่น่าดูเล็กน้อย “จยาจยา เรื่องบางเรื่อง เดิมทีฉันไม่ได้อยากที่จะพูดอยู่แล้ว แต่ในเมื่อคุณดึงดันแบบนี้ ฉันก็จำเป็นที่จะต้องบอกคุณ”
“คุณรู้ไหมว่าทำไมจู่ๆ ไห่ยุ่นถึงย้ายออกไปจากบ้านของพวกเรา? ”
เล่อจยาชำเลืองมองเขา “ฉันจะรู้ได้อย่างไร? ”
“ก็เพราะเพื่อนที่แสนดีของคุณมาบอกกับเธอถึงบ้าน ไห่ยุ่นกลัวว่าคุณจะเข้าใจผิด จึงย้ายออกไปอย่างไม่มีทางเลี่ยง” พูดถึงตรงนี้ เกาไห่ก็กุมหน้าผาก เข้าไปดึงมือของเล่อจยา “ฉันรู้ว่า เธอทำไปเพราะหวังดีต่อคุณ ดังนั้น ฉันจึงไม่ได้โกรธเธอ แต่จยาจยา ฉันไม่ปรารถนา ให้คุณเข้าใจไห่ยุ่นผิดอีก แบบนี้ มันช่างไม่ยุติธรรมกับเธอเลย”
ความร้อนผ่าวของฝ่ามือ ส่งกระจายไปยังหัวใจ แต่กลับกลายเป็นความเจ็บปวด เล่อจยาแปลกใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าซูหย่าจะมาหาไห่ยุ่นเพื่อเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ เพราะเธอรู้ดีว่า ที่ซูหย่าทำแบบนี้ ล้วนหวังดีต่อเธอ
“เธอก็แค่ทำในเรื่องที่ฉันอยากจะทำก็เท่านั้น ฉันต้องขอบคุณเธอ” เธอมองเกาไห่ พูดออกมาทีละคำๆ
เธอเห็นชัดเจนว่าใบหน้าของเกาไห่มืดมนลงโดยสิ้นเชิง
ห้องทำงานที่โล่งกว้าง.เงียบสงัดลงในทันที
ขณะที่เล่อจยาคิดว่าเกาไห่คงไม่พูดอะไร ก็มีเสียงที่เคร่งขรึมของผู้ชายดังขึ้นข้างหู
“เล่อจยา ฉันคงรู้จักคุณน้อยเกินไปจริงๆ ”
พูดจบ ก็หยิบเสื้อโค้ตที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา แล้วเดินออกจากห้องทำงานไป
รู้จักเธอน้อยเกินไปจริงๆ? ประโยคนี้หมายความว่าอะไร? เกาไห่ คุณไม่ต้องการฉันแล้วใช่ไหม?
เล่อจยายืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ นึกถึงว่าเกาไห่ไม่ต้องการเธอแล้ว ในทันที ก็หวาดผวา เธอรีบไล่ตามออกไป พอดีเห็นเกาไห่กับเสี่ยวตงเดินเข้าลิฟต์ไป
เธอก็รีบไปกดลิฟต์ แต่ทำได้เพียงมองตัวเลขของลิฟต์ที่ลดลง
ทันที เธอก็ร้อนใจ เปิดประตูทางออกฉุกเฉินที่อยู่ด้านข้าง วิ่งลงมาทางบันได เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน รองเท้าส้นสูงก็ถืออยู่ในมือ ผมเผ้ายุ่งเหยิง เพราะร้องไห้ หน้าตาที่แต่งไว้ก็เลอะเทอะ
แต่เพียงแค่เห็นไฟท้ายรถคันนั้น
เกาไห่ไปแล้ว….เขาไม่ต้องการเธอแล้ว เล่อจยานั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกุมศีรษะ
เมื่อซูหย่ารีบเข้ามา เล่อจยาก็นั่งอยู่บนพื้นที่ชั้นใต้ดิน
“เกิดอะไรขึ้น? ”
เล่อจยามองซูหย่า “คุณ…คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “ก็คุณโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ? ”
“ฉัน….ฉันคงจะเป็นบ้าไปแล้ว คุณตั้งท้องลูกอยู่ ฉันจะให้คุณมาได้อย่างไร? ”
ซูหย่านั่งยองๆ ลงตรงหน้าของเธอ จับใบหน้าของเธอ “บอกฉันซิ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ”
ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? เล่อจยาก็ต้องถามตนเอง ชัดเจนว่าก่อนหน้านี้ก็ยังดีอยู่ ชั่วพริบตา ก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว
“คุณรีบลุกขึ้นยืนเถอะ อย่านั่งยองๆ แบบนี้เลย” พูดพลาง เล่อจยาก็ลุกขึ้น แล้วประคองซูหย่าลุกขึ้น
แต่ซูหย่าสะบัดมือของเธอออก “คุณบอกมาก่อน ว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ” เสียงที่สูงขึ้นในทันใด ดึงดูดให้คนจำนวนไม่น้อยหันกลับมามอง
“ไม่ได้มีอะไร ฉันจะชวนเขามาทานข้าว เขาเลยถามว่าคุณอยู่ไหม ถ้าอยู่เขาจะมา ไม่อยู่ก็ไม่มา” ซูหย่าขยับชุดน้ำชาบนโต๊ะไปมา แล้วตอบกลับอย่างตรงๆ
เล่อจยาขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ พอดีกับที่เขามองเธอพอดี สายตาประสานกัน คนหนึ่งอ่อนโยน คนหนึ่งค้อนตาหลับตาเหลือก
“ในสมองคุณเป็นโพรงหรือไง? คุณดูเราสองคนสิ ยังจะตาบอดเลือกฉันอีกเหรอ? ” เห็นเซียวอู๋ยังคงดื่มชาอย่างไม่ใส่ใจ ก็โกรธอย่างมาก โค้งตัวไปแย่งถ้วยชาจากในมือเขา “ชาไม่ต้องดื่มแล้ว พูดมา”
เซียวอู๋มองมือที่ว่างเปล่า ดึงกระดาษทิชชูเช็ดน้ำที่หกใส่หลังมือ สองมือประสานกัน ก้มหน้าลง สายตามองระหว่างคนทั้งสองไปมา
“เธอ อันที่จริงสวยกว่าคุณ”
ซูหย่าเงยหน้าขึ้นมองเซียวอู๋ทันที
“แต่ว่าสวยกว่าคุณมีเกลื่อนกลาดไป เกาไห่คนนั้นก็เลือกคุณ? คุณหมายความว่าสายตาฉันแย่กว่าเขาใช่ไหม? ”
เล่อจยาอ้าปากค้าง นี่มันอะไรกัน? พูดไปพูดมา ทำไมถึงพูดถึงเกาไห่ได้? ”
คิดๆ แล้วเธอก็ลุกขึ้นยืน ดึงซูหย่า “ไปๆๆ กับเขาคนนี้จนปัญญาที่จะพูดแล้ว สูญเสียคุณไป ก็ให้เขารอความเสียใจได้เลย”
เพียงแต่เธอดึงอยู่นาน ซูหย่าก็ไม่ไหวติง
หันกลับมาก็เห็นซูหย่ามองเซียวอู๋ทั้งน้ำตา “ไม่ว่าฉันจะทำอะไร ฉันจะพยายามอย่างไร คุณก็จะไม่สามารถชอบฉันได้ใช่ไหม? ”
“รู้แล้ว คุณก็ยังจะถาม! ”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเฉยเมยของเซียวอู๋ เล่อจยาก็โกรธถึงขีดสุด หยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นมา คิดจะสาดไปที่เขา แต่ถูกซูหย่ารับมาดื่มรวดเดียวหมด
“เหรอ? เช่นนั้นก็แต่งงานกันเถอะ ในเมื่อไม่ได้ใจคุณ ได้ตัวคุณก็ไม่เลว” พูดจบ ก็ดึงเล่อจยาออกไป
เล่อจยาเห็นการแสดงออกของซูหย่าไม่เหมือนการล้อเล่น จึงดึงเธอไว้ “เสี่ยวหย่า ที่คุณพูดเมื่อกี้ ล้อเล่นใช่ไหม? ”
ซูหย่ามองเธอ หยิบมือถือออกมา กดโทรออกไป
“พ่อ ฉันท้อง ท้องกับเซียวอู๋ ฉันต้องการแต่งงาน” เธอพูดอย่างรวดเร็วมาก พูดจบก็วางสายไป
เล่อจยาตกตะลึง แย่งมือถือในมือเธอมา ตะคอกเสียงดังว่า : “ซูหย่า คุณประสาทหรือเปล่า คุณเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? ”
ซูหย่าหันกลับไปมองร้านอาหารด้านหลัง พูดพึมพำกับตนเอง : “ถ้าต้องอยู่คนเดียวไปจนแก่ เลี้ยงเขาไว้ให้เป็นบุญตาข้างๆ จะดีกว่า”
“ก่อนหน้านี้ เราไม่ได้คุณกันไว้ดีแล้วเหรอ? คุณ……ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไป? ”
ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “ไปกันเถอะ ไปเป็นเพื่อนฉันดุของสำหรับเด็กเถอะ บางทีพรุ่งนี้อาจจะไม่สะดวกออกมา”
เล่อจยาไม่เข้าใจ จนกระทั่งวันต่อมา ข่าวโด่งดังเผยแพร่ไปทั่วทุกๆ สื่อ เธอจึงเข้าใจความหมายของซูหย่า
ตระกูลซูกับตระกูลเซียว ในเมืองCทั้งหมดเป็นวงศ์ตระกูลที่มีชื่อเสียง มีอิทธิพลมีอำนาจแล้วก็ร่ำรวย การเกี่ยวดองกันของสองตระกูลนี้ ทำให้หลายๆ คนตื่นเต้นอย่างมาก ซึ่งหมายความว่าทั้งสองอยู่ที่เมืองC ในอนาคต อำนาจและอิทธิพลที่มีจะไม่สามารถสั่นคลอนได้
เธอเห็นข่าว ก็โทรหาซูหย่า แต่ว่าปิดเครื่อง ส่งวีแชตไปหาเธอ เธอก็ไม่ได้ตอบกลับ
จึงกังวลใจกับสถานการณ์ของเธอเล็กน้อย เธอให้เกาไห่พาเธอไปส่งที่ตระกูลซู เพียงแค่เห็นประตูใหญ่ที่แน่นหนา เธอก็ไม่กล้าลงจากรถ
“คุณว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร? เซียวอู๋รู้แล้วต้องโวยวายอย่างแน่นอน ถ้าเขาไม่ยอม ซูหย่าน่าจะลำบากใจ” เธอถามเกาไห่
“ในครอบครัวอย่างพวกเขานี้ ถึงท้ายที่สุดแล้ว ได้แต่ประนีประนอม อำนาจและชื่อเสียงทางการเมืองของตระกูลซูมีค่อนข้างมาก ถึงแม้ว่าตระกูลเซียวจะมีอำนาจทางทหารที่แข็งแกร่ง แต่ว่าใครๆ ก็รู้ ว่าทหารกับการเมืองแยกกันไม่ได้ ต่างคนต่างอยากพัฒนาอาณาจักรของตนเองให้ดียิ่งขึ้น การเกี่ยวดองกันเช่นนี้จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าเซียวอู๋จะต่อต้าน แต่ไม่ซีกจะไปงัดไม้ซุงได้อย่างไร”
เล่อจยามองเกาไห่ แล้วเคลื่อนสายตาไปที่กลุ่มคนเหล่านั้น ขมวดคิ้วแน่น จะเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุกได้อย่างไร?
แต่ว่า ถึงแม้จะงัดไม้ซุงไม่ได้ เซียวอู๋ก็ยังงัดซูหย่าไม่ได้เหรอ?
เกรงว่าการบังคับให้แต่งงานครั้งนี้ ที่ซูหย่ารอคอยมา จะได้รับการปฏิบัติอย่างไร้น้ำใจจากเซียวอู๋
“เรื่องราวมาถึงสถานภาพนี้แล้ว ก็ไม่มีทางหนีทีไล่แล้ว ปัญหาตอนนี้ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนแล้ว” เกาไห่มองออกถึงความกังวลใจของเล่อจยา จึงเอ่ยปาก
เพราะเรื่องของซูหย่าและเซียวอู๋ ตลอดทั้งวัน เล่อจยาก็สภาพไม่ค่อยดีเล็กน้อย
หลายปีมานี้ ที่ซูหย่าปฏิบัติต่อตนเอง ไม่ว่าจะช่วยเหลือทางอารมณ์ความรู้สึกหรือทางการเงิน จะใช้เพียงเพียงคำว่าเพื่อนมาอธิบาย ก็คงจะน้อยเกินไป ควรใช้คำว่าพี่สาวน้องสาวจะดีกว่า
แต่เซียวอู๋ ความทรงจำเมื่อสามปีนั้น ถึงแม้จะค่อยๆ เลือนราง แต่เธอก็ยังคงหวังว่า เขาจะสามารถมีความสุข และไม่ต้องฝืน
เพียงแต่สองวันต่อมา ยังคงไม่มีข่าวคราวของคนทั้งสอง จนกระทั่งวันที่สาม หน้าจอมือถือแสดงข้อความ มือถือของซูหย่าอยู่ในสภาพปกติแล้ว
เธอจึงรีบต่อสายไป สัญญาณมือถือดังขึ้นสองครั้งก็ถูกกดรับสาย
“เสี่ยวหย่า” เธอเรียกอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่อีกฝั่งสายนั้นเงียบอยู่ชั่วขณะ เสียงของซูหย่าก็ดังเข้ามา “จยา งานแต่งกำหนดไว้เดือนหน้า” น้ำเสียงของเธอแหบพร่าจนผิดปกติ
เล่อจยากัดริมฝีปากเล็กน้อย ขอบตาแดง “ฉันสามารถช่วยอะไรคุณได้บ้างไหม? ” เธอรู้ว่าคำปลอบใจมันไร้ประโยชน์ไปแล้ว
“รอตอนฉันหย่าแล้ว ให้ฉันอยู่บ้านคุณแล้วกัน! ”
“ห๊ะ? ” เล่อจยานิ่งอึ้ง ทันทีก็ตอบสนอง “พูดอะไรไร้สาระ ยังไม่ทันแต่งงานเลย ก็คิดจะหย่าแล้วเหรอ ทำไมคุณถึงไม่คิดบ้างว่า เซียวอู๋จะตกหลุมรักคุณ? ”
ซูหย่าถอนหายใจเบาๆ “คุณคิดว่า ผู้ชายบนโลกใบนี้เหมือนเกาไห่ทั้งหมดเหรอ? ”
เล่อจยาไม่พูดจา
“คุณเสียใจเหรอ? ถ้าเสียใจ ก็ลองพูดกับพ่อแม่ดูอีกทีสิ พ่อแม่คุณรักคุณ จะต้อง…..”
“ไม่เสียใจ” ซูหย่าตัดบทคำพูดของเล่อจยาอย่างไม่ลังเล “คนอย่างฉันต้องสู้จนหลังชนฝา”
ใช่ ซูหย่ามีนิสัยแบบนี้จริงๆ ในตอนนั้น เธอไม่ยอมเป็นเพื่อนกับเธอ ในหนึ่งปีนั้น เธอก็พยายามใช้ทุกวิถีทาง ในที่สุดก็ทำให้เธอประทับใจ
แต่ก็ไม่รู้ว่านิสัยแบบนี้ จะใช้ได้ผลกับเซียวอู๋หรือไม่
“อย่างนั้น คุณเอาเบอร์มือถือของเซียวอู๋ มาให้ฉันหน่อยสิ”
“จะทำอะไร? อยากจะเกลี้ยกล่อมเหรอ? ”
“คุณรีบเอามาให้ฉันเถอะ”
ร้านกาแฟชั้นล่างของบริษัท
เซียวอู๋สวมเครื่องแบบทหาร เมื่อเห็นดินที่อยู่บนรองเท้าของเขาแล้ว เขาก็น่าจะเพิ่งกลับมาจากภารกิจ
บุคลิกองอาจห้าวหาญ หน้าตาหล่อเหลาดีเลิศ แม้แต่เล่อจยาที่เห็นใบหน้าของเกาไห่จนชินแล้ว เวลานี้ก็ยังจ้องมองอยู่หลายครั้ง
หยิบมือถือออกมา ถ่ายรูปเขาจากด้านข้าง แล้วส่งไปให้ซูหย่า “มิน่าล่ะถึงสามารถทำให้คุณหนูซูใจเต้นได้ ลองดูพ่อของลูกคุณคนนี้สิ ช่างหล่อเหลาจริงๆ …..”
ข้อความตอบกลับมาอย่างรวดเร็ว “อย่างนั้น พวกเราเปลี่ยนกันไหม? ”
“หยุดเลย! ”
นำกระเป๋าวางบนที่นั่งด้านข้าง เล่อจยามองเซียวอู๋ “เสี่ยวอู๋…..”
เล่อจยาหันกลับมา “ยังมีอะไรอีกเหรอ ?”
ไห่ยุ่นประหลาดใจ “พี่สะใภ้ คุณ………ไม่ได้ทำงานที่บริษัทของลูกพี่ลูกน้องชายแล้ว ?”
เมื่อเธอได้ยิน เธอก็เหลือบมองไปที่เกาไห่และขมวดคิ้ว “ไม่ล่ะ สามีภรรยาทำงานอยู่ที่เดียวกันมันไม่ค่อยดี ความห่างไกลทำให้เกิดความสวยงาม”
อันที่จริงเล่อจยารู้ว่าเกาไห่ไม่อยากให้เธอไปเกากรุ๊ป แน่นอนว่าเขาไม่อยากให้เธอถูกคนนินทา และไม่อยากให้เธอติดต่อกับไห่ยุ่นมากเกินไป
ในบางครั้ง ผู้ชายคนนี้ดูเหมือนจะพูดน้อย แต่ต้องบอกว่า เขาอบอุ่นหัวใจมาก
เมื่อมองดูด้านหลังร่างนั้น ไห่ยุ่นก็ดีใจอยู่ในใจ เกาไห่ไม่อยากให้เล่อจยาทำงานที่บริษัทเดียวกับเขา นี่มันหมายความว่า ตัวเธอเองก็ยังมีโอกาสอีกสักสองสามครั้ง ?
เมื่อมาถึงสำนักงาน ในสำนักงานมีคนเพียงแค่สองสามคน หญิงสาวสวมแว่นตาที่นั่งอยู่ข้างหน้าเธอ เมื่อเห็นเธอเดินมาก็พยักหน้าให้เธอ และกล่าวทักทาย
เล่อจยาไม่ใช่คนที่ชอบดึงคนมาเป็นพวก ดังนั้น สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนร่วมงาน เธอจึงสามารถแสดงออกมาแบบพื้นพื้นได้
เธอหยิบภาพวาดในแฟ้มออกมา เธอนั่งบนเก้าอี้ แล้วก็ปรับเปลี่ยน วาดต่อ
“เล่อจยา ข้างนอกมีคนมาหาคุณ”สาวแว่นที่เพิ่งออกไปพร้อมแก้วน้ำชาเรียกเธอ
เธอสงสัยเล็กน้อย เธอมาทำงานที่นี่ ก็มีแค่เกาไห่และซูหย่าเท่านั้นที่รู้
“ผู้ชายหรือว่าผู้หญิง ?” เธอถามออกไป
“ไอดอลหนุ่ม”
ไอดอลหนุ่ม ? เมื่อเธอออกไปเห็นแผ่นหลังนั้น เล่อจยาก็ลูบหน้าผาก
เล่อเหวิน ?
ก้าวไปข้างหน้าอยู่ต่อหน้าเล่อเหวิน เธอกอดอกแล้วถามว่า “คุณมาที่นี่ได้อย่างไร ?”
เล่อเหวินมองมาที่เธอ เธอถอยหนึ่งก้าว เล่อเหวินเข้ามาหนึ่งก้าว จนกระทั่งเธอชนไปที่กำแพง มือทั้งสองเขาจับกำแพง และล้อมเธออยู่ในอ้อมแขน มองดูท่าทางนั้นโดยไม่คลุมเครือ
เล่อจยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้น “คุณกล้าลงมือ อย่าโทษผมที่มารบกวนคุณทุกวัน”
“คุณอยากทำอะไรล่ะ ?”
ชายคนนั้นโน้มตัวลงมา กระซิบที่ข้างหูเธอ “พี่สาว ขอเงินหน่อยสิ”
ในเวลานี้ คนมาทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ เล่อเหวินไม่ว่าจะร่างกายหรือความสูง ก็เหมือนกับดาราเกาหลี ดังนั้น การกระทำของเขากับเล่อเหวิน ในขณะนั้น มีหลายคนหันมามอง และชี้พูดคุย
มีสาววัยรุ่นอยู่ไม่น้อย ที่กรีดร้องเรียกอยู่ข้างๆ
เล่อจยากลอกตาขึ้นบน “หมาป่าในคราบแกะ”
“พี่สาว พวกเรเป็นพี่น้องกัน คุณไม่ควรพูดแบบนี้กับผมนะ ?”เล่อเหวินพูดพลางยืดตัวขึ้น จัดระเบียบเสื้อผ้า และหันไปพยักหน้ายิ้มให้กับหญิงสาวที่กรีดร้อง
ซึ่งย่อมมีเสียงกรีดร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เล่อจยาสูดลมหายใจ และดึงเล่อเหวินไปที่ห้องพักด้านหลังสำนักงาน “เอาล่ะ คุณรีบพูดมา สรุปแล้วมาทำอะไร ถ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ออกไป”
“ให้เงินผมหน่อย”
“ไม่มี”
“ถ้างั้นผมจะไปหาพี่เขย”พูดจบ ก็เดินออกไป
“คุณอยากโดนรุมเหรอ ?”
เล่อเหวินส่ายศีรษะ “ผมไม่อยากโดนรุม แต่ ผมก็ไม่อยากอดอาหาร”
ในขณะนั้นหญิงสาวหน้าหวานก็เดินเข้ามา และเล่อเหวินก็โบกมือให้กับคนคนนั้น
หญิงสาวคนนั้นเอียงศีรษะ มองที่เขา จากนั้นก็กระแทกเข้ากับเสา เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะออกมา
เล่อเหวินรีบก้าวไปข้างหน้า และหยิบหนังสือที่เด็กสาวคนนั้นทำตกพื้น วางกลับเข้าอ้อมแขนเธอ แล้วลูบศีรษะของเธอ “ไม่เจ็บใช่ไหม ?”
หญิงสาวตกตะลึงอย่างสมบูรณ์ สายตาจับจ้องไปที่เล่อเหวิน
“คุณหยุดทำลายคนอื่นได้ไหม” เล่อจยาเดินเข้ามา
เล่อเหวินมองไปที่หญิงสาว “อย่าเข้าใจผิด นี่คือพี่สาวผม”
“สาวน้อย เขาเป็นหมาป่าในชุดแกะ คุณอย่าหลงกลเขา”เมื่อเล่อจยาพูดจบ ก็หันหลังกลับ โดยไม่สนใจเล่อเหวิน และเดินกลับมาที่สำนักงาน
เป็นเรื่องที่น่าประหลาด เล่อเหวินไม่ได้เดินตามเข้ามา
เธออยู่ในสำนักงาน นั่งอยู่ครู่หนึ่ง เธอกังวลใจ ลุกขึ้น และไปที่ห้องพักผ่อนนั้น แต่ ข้างในนั้นก็ยังมีร่างของเล่อเหวินอยู่
ลองคิดดูแล้ว เธอเลยส่งข้อความหาเล่อเหวิน “ถ้าหากว่าคุณกล้าไปที่บริษัทของพี่เขย ฉันจะไม่เกรงใจคุณแล้ว”
ไม่มีข้อความตอบกลับมา ดังนั้นเล่อจยาเลยโทรศัพท์ไปหาเกาไห่
“โอเค ผมเข้าใจแล้ว คุณตั้งใจทำงานเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ผมเอง”
ต่อมา เป็นเวลานานแล้วที่เล่อจยาไม่ได้พบกับเล่อเหวิน เธอเพิ่งรู้ว่า หลังจากวันนั้น เกาไห่ก็ได้แนะนำงานให้กับเล่อเหวิน
“เล่อจยา เมื่อครู่นั้นนั่นคือแฟนของคุณเหรอ ?” ในห้องชา เพื่อนร่วมงานมาล้อมถามเธอ
“ไม่ใช่ น้องชายฉัน”เธอบอกสถานะไปสั้นๆ
หลังจากพูดจบ เสียงวีแชทจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เป็นเกาไห่ เขาบอกว่าตอนกลางวันมีลูกค้ามาหา และไม่สามารถมาทานข้าวกับเธอได้แล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็ลงไปร้านอาหารใกล้ใกล้แล้วหาอะไรทาน
เมื่อเธอกลับมา บนโต๊ะก็เต็มไปด้วยกล่องของขวัญ ทำให้เล่อจยาเวียนหัว
“นี่คือ ?”
“ให้คุณเอาไปให้น้องชายของคุณ”
“ห๊ะ ?”
เล่อจยาไม่เคยคิดเลยว่า คำพูดนี้ของเธอ และทำให้เธอลำบากขนาดนี้
และเธอก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่า รูปลักษณ์ที่ดี จะมีประโยขน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง
“เล่อจยา ไม่คิดเลยว่า คุณจะมีน้องชายที่หล่อขนาดนี้” เสียงของเฉิงหยวน
เล่อจยาไม่ได้เงยหน้าขึ้น “ทำไม คุณเองก็มีความคิดที่จะเป็นน้องสะใภ้ฉันเหรอ ?”
“คุณก็รู้ ชั่วชีวิตของฉันนี้ จะแต่งงานกับเกาไห่เท่านั้น”
แต่งงานกับเกาไห่ ? ถ้างั้นก็แสดงว่าแต่งงานกับสามีของเธอ ? คำพูดนี้มันฟังแล้วน่าอึดอัดจริงๆ
เล่อจยาเกือบสำลักน้ำลายตัวเองตาย เธอเงยหน้าขึ้น มองไปที่เฉิงหยวน “เขาแต่งงานแล้ว”
เฉิงหยวนมองไปที่เล่อจยา “แต่งกับใคร ?” หลังจากพูดจบ รอยยิ้มก็ปรากฎขึ้นที่มุมปากของเธอ “แต่งกับลูกพี่ลูกน้องหญิงที่พิการของเขา ?”
เล่อจยาหรี่ตา “แต่งกับฉัน”
“เหอะเหอะ…….”เฉิงหยวนหัวเราะเยาะเย้ย “มีแต่คนบอกว่าฉันบ้า ฉันเห็นคุณ คุณบ้าไปแล้วเหรอ ?” เมื่อพูดจบ สีหน้าของเธอก็มืดมนลง “แบบร่างออกแบบแรกส่งให้ฉันภายในสองสามวันนี้ วันวันอย่าคิดแต่อะไรไร้สาระ”
หลังจากพูดจบ ก็หันหลังกลับอย่างเย่อหยิ่ง และเดินกลับไปสำนักงานของตัวเอง
เล่อจยากัดปากและขมวดคิ้ว นี่มันอะไรกัน ? เธอพูดความจริง กลับไม่มีใครเชื่อ………..
เมื่อกำลังจะเลิกงานในตอนเย็น เธอก็ได้ข้อความวีแชทจากซูหย่า ให้เธอไปทานอาหารเย็นที่เดิม
เมื่อคิดว่าเกาไห่ต้องทำงานล่วงเวลา เธอก็ไม่อยากกลับเร็วนัก ดังนั้นเธอจึงตรงไปยังที่ที่ซูหย่านัด
นี่เป็นร้านอาหารที่เป็นจุดเด่นของเมือง C ไม่ใหญ่โต แต่กลับถูกตกแต่งในสไตล์ที่ครบครัน
เมื่อผลักบานประตูเลื่อนออกไป เธอก็มองเห็นเสี่ยวอู๋นั่งอยู่ และเธอก็อยากจะถอยกลับไป
“จยาจยา เข้ามาสิ”
เล่อจยาเพิ่งสังเกตเห็นว่า ซูหย่านั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโต๊ะ แต่แค่มันอยู่ข้างใน เมื่อครู่เธอเลยไม่ทันสังเกต
อย่างไรก็ตาม เธอไม่เข้าใจซูหย่าเล็กน้อยว่านี่มันหมายความว่าอะไร ?
“เสี่ยวหวู่ คุณยังไม่กลับกองทัพอีกเหรอ ?”
เสี่ยวอู๋เหลือบมองเธอ ก้มศีรษะ จิบชา และไม่ตอบสนองเธอ
นับตั้งแต่นัดบอดครั้งนั้น เสี่ยวอู๋ก็ปฎิบัติกับเธอแบบนี้ตลอด
“มีเรื่องอะไรเหรอ ?” เธอนั่งข้างซูหน่า ดึงข้อมือของเธอ และกระซิบถามเบาๆ
เล่อจยาเม้มปาก นั่งตัวตรง และจุ๊บที่แก้มและริมฝีปากของเกาไห่ โอเค “คุณก็สามารถให้คำแนะนำฉันได้หลายอย่างแล้ว”
เธอก้าวถอย และมองไปที่เกาไห่ด้วยรอยยิ้ม แต่ก็พบว่าดวงตาของชายคนนั้นแดงลงเรื่อยๆ และอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย “หรือไม่ ฉันคิดเองดีกว่าป่ะ ?”
เธอค่อยค่อยดึงกระดาษออกจากมือของเกาไห่ แต่มือของเธอก็ถูกมือใหญ่จับไว้ จากนั้น เขาก็ใช้แรงและเล่อจยาก็ตกลงไปสู่อ้อมกอดของเขา
น้ำเสียงที่แผ่วเบากระซิบข้างหูว่า:“ การพักผ่อนอย่างเหมาะสมนั้น ดีต่อการสร้างแรงบันดาลใจ”
พูดไป มือของเขาก็เข้าไปข้างในเสื้อของหญิงสาว
หนึ่งชั่วโมงต่อมา หญิงสาวสูดลมหายใจ เบ้ปากบ่นว่า “เกาไห่ เจ้าคนบ้า นี่มันผ่อนคลายบ้าอะไรกันเนี่ย ?”
เกาไห่ไม่รำคาญ เขาหยิบเสื้อผ้าของเธอจากพื้นมาช่วยเธอสวม และหลังจากช่วยเธอจัดระเบียบอย่างเรียบง่ายแล้ว เขาก็กอดเล่อจยาไว้ในอ้อมแขนของเขา ถือปากกาและวาดลงบนกระดาษ
นิ้วเรียวของเขาสวยงามมาก และปากกาก็ดูมีจิตวิญญาณ ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหน ดอกไม้ก็บานบนกระดาษ
จมูกโด่งสูง ริมฝีปากบาง คิ้วเหมือนดาบปลิวไปในแนวเฉียงของเส้นผมที่หักลงใต้ขมับ ใบหน้าที่หล่อเหลา และโครงหน้าที่ไร้ที่ติ
ผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ ได้กลายเป็นสามีของตัวเองไปแล้ว ความงามที่อยู่ในใจของเล่อจยานั้น เกินคำบรรยาย
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ขมวดคิ้ว หันศีรษะมาจูบที่หน้าผากของเธอ และตำหนิเบาๆ “ถ้ายังไม่ใส่ใจแบบนี้ ผมก็จะไม่สนใจคุณแล้ว”
“ตกลงตกลง ฉันไม่ดูแล้ว คุณต่อเลย”
ขณะที่พูด เขาก็ถอนสายตาและมองไปบนกระดาษแผ่นนั้น จากนั้นเขาก็ประหลาดใจจนหัวเราะกว้างออกมา
ภาพที่เละเทะเมื่อครู่ ในขณะนี้ มันกลายเป็นรูปร่างแล้ว
ความสนุกของเธอ มีประโยชน์มากสำหรับชายคนนี้ เขายกริมฝีปากขึ้น “การจัดภูมิทัศน์ต้นไม้ตามหลักการคือ ลมพัดไป แล้วต้นไม้ก็กันลมไว้ อันก่อนของคุณนั้น มีหลากหลายรูปแบบ ดังนั้น มันจะทำให้คนรู้สึกว่ารก เลอะเทอะ คุณสามารถ จัดเรียงต้นไม้ดอกไม้ตามฤดูกาล และพยายามทำให้มันเย็นในฤดูร้อนและกันลมในฤดูหนาว”
เล่อจยาพยักหน้าซ้ำซ้ำ และยิ่งชื่นชมเกาไห่มากขึ้นไปอีก
เธอหยิบกระดาษภาพวาดมาจากมือของเขา และดูอย่างละเอียด จากนั้น ก็พึมพำกับตัวเองว่า “สามารถใช้ความแตกต่างของระดับความสูงและพื้นที่กระจัดกระจาย เพื่อให้ตรงกับพื้นที่ใช้สอยของพื้นที่คฤหาสน์ และในขณะเดียวกันก็รวมเอาแนวคิดความสงบและธรรมชาติรวมเข้าด้วยกัน คุณคิดว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”
เกาไห่กำลังลูบหัวของเธอ “อืม ฟังดูไม่เลวเลย ภรรยาของผมนี่เยี่ยมมากจริงๆ”
คำชมของเขา ทำให้เล่อจยาเขินอายเล็กน้อย “เพราอาจารย์ สอนดี”
เช้าวันรุ่งขึ้น
เล่อจยาตื่นจากการเคาะประตู
เมื่อมองไปที่เกาไห่ที่ยังนอนอยู่ข้างข้าง เมื่อคืนเขาทำงานจนดึก
เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา ยังไม่เจ็ดโมงเช้าเลย เธอมึนงงเล็กน้อย คุณป้ารู้นิสัยของพวกเขาทั้งสองคน ปกติจะไม่เคาะประตู
ด้วยความที่กลัวว่าจะดังจนเกาไห่ตื่น เธอค่อยค่อยยกผ้าห่ม ลุกขึ้น และเดินออกไป
เมื่อมองเห็นไห่ยุ่นที่นั่งอยู่บนรถเข็น เล่อจยาก็หรี่ตาลง และปิดประตูเบาๆ
“ไห่ยุ่น ทำไมคุณถึงมาที่นี่ เช้าขนาดนี้ ? มีเรื่องอะไรรึเปล่า ?” เธอพยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองดูสงบ
“ลูกพี่ลูกน้องชายยังไม่ตื่นเหรอ ?”
สายตาของเล่อจยาลดลง แกล้งทำเป็นเขิน “เอ่อ……….เขา เมื่อคืน………..เขาอาจจะเหนื่อยไปหน่อย”
เมื่อพูดจบ เธอก็เห็นสีหน้าของเกาไห่เปลี่ยนไปจากหางตาของเธอ
มุมปากเธอยกขึ้นเล็กน้อย หรือไม่ ฉันช่วยเรียกเขาให้คุณ ?
ไห่ยุ่นส่ายศีรษะ “ไม่ล่ะ ฉันได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องชายของฉันตามหาฉันไปทั่ว ฉันออกไปเที่ยวมาสองสามวัน แล้วโทรศัพท์มือถือก็หาย ดังนั้น เลยไม่ได้ติดต่อเขา กลัวว่าเขาจะกังวล ดังนั้น ก็เลยรีบมาหาแต่เช้าเลย”
เล่อจยามองดูเธอด้วยท่าทางที่เกรงใจ และรู้สึกได้ทันทีว่าหายใจไม่ออกและตื่นตะหนก และก็ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตรงๆ
“คุณยังไม่ได้ทานอาหารเช้าใช่ไหม ? ฉันจะให้คุณป้าทำเยอะหน่อย ทานข้าวแล้ว คุณก็ให้ลูกพี่ลูกน้องชายของคุณพาคุณไปบริษัท”
เมื่อไห่ยุ่นเห็นเล่อจยายังคงเหมือนเดิม ปฎิบัติต่อเธอโดยไม่บ่น ปฎิบัติต่อเธอเหมือนเดิม
และคิดว่า เรื่องที่ตัวเองทำก่อนหน้านี้ราบรื่น ใบหน้าของเธอก็ยิ้มแย้มอีกครั้ง
“ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
“งั้นคุณนั่งก่อน ฉันจะไปเรียกพี่ชายคุณตื่น” พูดจบ เธอก็หันหลัง และเดินเข้าไปในห้อง
จากนั้นไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากภายในห้อง ถ้วยชาในมือของไห่ยุ่นสั่นเล็กน้อย
เมื่อเกาไห่ออกมา และเห็นไห่ยุ่น สายตาเขาก็หยุดอยู่ที่ขาของเธอครู่หนึ่ง “ไห่ยุ่น…….”เขาอุทานออกมา
“พี่ชาย”
เกาไห่เดินไปหยิบรีโมทคอนโทรลจากด้านหน้าของไห่ยุ่น แล้วเปิดทีวี
“สองสามวันนี้ไปไหนมา ?”
“ออกไปท่องเที่ยวมา แล้วโทรศัพท์หาย และก็จำเบอร์โทรศัพท์ของคุณไม่ได้ ดังนั้น จึงไม่ได้ติดต่อ กลับมาก็ได้ยินว่า คุณตามหาฉัน ดังนั้น ฉันจึงรีบมาหาแต่เช้าเลย”เธอมองไปที่เกาไห่ ด้วยดวงตาที่สดใส ท่าทางนั้น ถ้าหากว่าเกาไห่ไม่เห็นเธอเดินอยู่ในกล้องวงจรปิดด้วยตัวเอง เขาก็คงจะเชื่อไปแล้ว
แต่……น่าเสียดาย เขาถูกหลอกแล้ว เมื่อคิด เมื่อก่อน เป็นเพราะเธอ เล่อจยาถึงกับต้องนอนที่ถนน และทันใดนั้น สีหน้าของเธอก็ดูแย่ลงเล็กน้อย
“คุณสามี อาหารพร้อมแล้ว มาทานข้าวก่อนเถอะ เมื่อวานคุณบอกว่าวันนี้มีประชุมไม่ใช่เหรอ ? ”เมื่อเห็นสีหน้าของเกาไห่ เล่อจยาก็รู้ได้ว่า ต่อไป เขาจะต้องโกรธแน่ จึงรีบเร่งก้าวไปข้างหน้าและดึงมือของเขา
สีหน้าของเกาไห่ออกโยนลงเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่ของเขาสัมผัสกับมือของเล่อจยา
“ทานข้าวแถอะ”
หลังจากทานอาหารเสร็จ เล่อจยาก็เปลี่ยนเสื้อผ้า หลังจากล้างตัว ก็ผลักไห่ยุ่นออกไปนอกประตู
เมื่อขึ้นรถ ไห่ยุ่นก็นั่งที่ข้างรถ และรอให้เกาไห่อุ้มเธอเหมือนเมื่อก่อน
สีหน้าของเกาไห่มืดมนลง เล่อจยาผลักเขาขึ้นรถ
และหันกลับมามองที่ไห่ยุ่น
“น้องสาว ขอโทษนะ พี่ชายของคุณเมือคืน เอวเคล็ด อาจจะอุ้มคุณไม่ไหว ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันอุ้มคุณขึ้น ? ”เล่อจยาก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มไห่ยุ่น
เกาไห่เหล่ตามอง เอวเคล็ด ? นี่เป็นคำอธิบายที่ไม่เลวเลย
“เอ่อ ไม่ต้องหรอก ที่จริง คุณพยุงฉันหน่อย ฉันจะพยายาม”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “แบบนี้ใช่ไหม ? ได้ได้ ”
ขณะที่เธอพูด เธอไปช่วยพยุงไห่ยุ่นลุกขึ้น “ไห่ยุ่น คุณพิงร่างกายฉัน และฉันจะช่วยคุณยกเท้าขึ้น”
ขณะที่เธอกำลังพูด เธอก็ยกเท้าของไห่ยุ่นขึ้นไป เธอใช้แรงบนมือเล็กน้อย และได้ยินเสียง “ฟู่” ดังที่ข้างหู
รอยยิ้มปรากฎขึ้นในดวงตา ไม่ใช่ว่าขาทั้งสองไร้ความรู้สึกหรอกเหรอ ? แกล้งทำได้เหมือนจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เธอก็ไม่อยากเปิดเผยเธอ สำหรับผู้หญิงที่มีจิตใจลึกซึ้งเช่นนี้ เธอก็กลัวว่าตัวเองจะถูกเปิดเผยแบบนี้ และเธอก็อาจจะมีกลอุบายอื่นอีก
อย่างนั้น ก็เล่นไปตามที่เธอต้องการป่ะ อย่างไรซะ ตอนนี้เกาไห่ก็เข้าใจแล้ว
เมื่อถึงข้างล่างบริษัทของเล่อจยา เกาไห่ก็หยุดรถ และจุ๊บที่หน้าของเล่อจยา “ตอนกลางวันผมมารับคุณออกไปทานอาหาร ?”
“ไม่……..งั้นตกลงค่ะ จะรอโทรศัพท์คุณนะ”
เธอหันกลับมามองที่ไห่ยุ่น สีหน้าของเธอดูแย่เล็กน้อย
“น้องสาว ถ้างั้นฉันไปก่อนนะ คุณเองก็ระวังด้วย”
“พี่สะใภ้…….”ทันใดนั้นไห่ยุ่นก็เรียกเธอ
เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น
มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”
ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย
“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”
“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”
“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”
หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”
ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”
ตอนกลางคืน
“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่
“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ
วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป
แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง
เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย
“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”
เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”
เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”
“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”
“พูดมาสิ”
“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว
มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”
เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด
“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด
เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”
เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”
เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี
หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ
ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด
เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น
เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง
“เฉิงหยวน ?”
“เล่อจยา ?”
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่
เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้
แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่
“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”
เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?
“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”
เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”
“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”
เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”
เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”
หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”
เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ
แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้
งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น
ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้
อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่
เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ
ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา
แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน
ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่
สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก
เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“
เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”
เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”
เมื่อได้รับผลการตรวจเลือด เล่อจยาก็พบว่ามือของซูหย่ากำลังสั่น
มองออกว่า เธอประหม่ากับเด็กคนนี้มาก แค่คิดถึงความสัมพันธ์ในอนาคตของเธอกับเซียวอู๋ เล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
เธอหยิบแผ่นตรวจเลือดจากมือของเธอ และเหลือบมองและกระซิบว่า “ตั้งครรภ์ปกติ”
ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างโล่งอก
หมอบอกว่าในช่วงสามเดือนให้ระมัดระวังให้มาก และในระหว่างทางกลับบ้าน ทั้งคู่ก็ดูประหม่าเล็กน้อย
“ของเย็น ของเผ็ด และอาหารขยะพวกนั้น คุณต้องทานให้น้อยลง ยังมีรองเท้าส้นสูงไม่ต้องใส่แล้ว และอย่าทำงานเหนื่อยเกินไป จำได้ไหม ?”
“ฉันหวังว่าคุณก็จะท้องเร็วๆนะ เมื่อเธอจากไป ซูหย่าก็ดึงเล่อจยา สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง”
“อย่าอย่าอย่า ฉันกับเกาไห่ตกลงกันแล้ว ภายในปีนี้ยังไม่เอาลูก โลกของเราสองคนยังไม่ได้ผ่านกันเลย”
หลังจากส่งซูหย่ากลับบ้าน เล่อจยาก็เอาแผ่นทดสอบทั้งหมดใส่ในกระเป๋าตัวเอง “ถ้าคุณมีเรื่องอะไร หรือว่าไม่สบายตรงไหน จะต้องรีบโทรหาฉันนะ ได้ยินไหม ? และ……คุณยังสามารถพิจารณาการตัดสินใจครั้งก่อนอีกครั้งได้นะ”
ซูหย่าพยักหน้า รู้แล้ว คุณเองก็ระวังตัวด้วย เธอชะงักชั่วคราว และดึงเล่อจยาอีกครั้ง “จำไว้ว่าอย่าลืมพูดเรื่องที่คุณจะไปทำงานกับเกาไห่เข้าใจไหม คุณมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ต้องทำมันให้ดี อย่าทุ่มเทแรงกายทั้งหมดให้กับผู้ชาย รู้ไหม ?”
ตอนกลางคืน
“คุณสามี คุณให้ฉันทำงานเถอะนะ ฉันเบื่อจะตายอยู่แล้ว ”ตกกลางคืน ในที่สุดเล่อจยาก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องอ้อนวอนเกาไห่
“ได้ ถ้าคุณไม่รู้สึกเหนื่อย พรุ่งนี้ก็ไปทำเถอะ” เกาไห่ปล่อยเธอไป เพียงแต่แค่กังวล ว่าเธอต้องพักผ่อนหลังจากถูกตีศีรษะ
วันรุ่งขึ้น เกาไห่ไม่ได้พาเธอไปที่เกากรุ๊ป
แต่ปล่อยให้เธอไปที่ใหม่อีกที่หนึ่ง
เมื่อมองไปที่อาคารที่แปลกตาข้างหน้า เล่อจยาก็งงงวย
“นี่คือบริษัทใหม่ที่ผมเพิ่งก่อตั้งขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ รอให้บริษัทเข้าที่เข้าทางแล้ว ผมจะมอบบริษัทนี้ให้คุณ เป็นยังไง ?”
เล่อจยาอ้าปากค้าง และโบกมือปัด “อย่างนั้นไม่ได้หรอก คุณยกย่องฉันมากเกินไปแล้ว ยังมีบริษัทอีก ฉันยังจัดการงานของตัวเองได้ไม่ดี คุณดูกำลังร่างกายนี้ด้วย และอีกอย่าง ฉันก็ไม่ได้สนใจ ฉันก็แค่อยากทำงานออกแบบเล็กเล็กน้อยน้อยเท่านั้น”
เกาไห่มองดูเธอ “มีความทะเยอทะยานแค่นี้เองเหรอ ?”
“ไม่ ฉันมีความทะเยอทะยานสูงมาก”
“พูดมาสิ”
“ในชีวิตนี้ สามารถแต่งงานกับคุณ แปดปีเหมือนหนึ่งวัน เมื่อคิดแล้ว” นี่คือความทะเยอทะยานสูงสุดในชีวิตของเธอแล้ว
มุมปากของเกาไห่โค้งงออย่างสวยงาม เขายื่นมือใหญ่ออกมา จับเล่อจยา และจุมพิษที่ริมฝีปากของเธอ “คุณภรรยา ผมทำให้คุณรอนานแล้ว”
เล่อจยาไม่เข้าใจว่าทำไมเกาไห่จะต้องจัดตั้งบริษัทใหม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกาไห่ตัดสินใจแล้ว เธอก็ไม่ควรถามอะไรมากนัก เขาทำอะไร เธอล้วนสนับสนุนเขา ดังนั้น จึงไม่ถามและไม่พูด
“หัวหน้าของบริษัทเป็นคนที่ผมเพิ่งว่าจ้างมาใหม่ อีกสักครู่เดี๋ยวผมจะไปทักทายกับเขาหน่อย…….”
“ไม่ต้องหรอก ฉันอยากจะพยายามด้วยความสามารถของตัวเอง ที่จะยืนหยัดอยู่ตรงนี้” มิฉะนั้น ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีกำลังเท่าใด
เกาไห่มองดูเธอ “ได้ คุณพูดจะทำยังไง ฉันก็ล้วนหฟังคุณ เพียงแต่ ถ้าคุณถูกรังแกอีกล่ะ ?”
เล่อจยารู้ว่าที่เขาพูดก็คือเรื่องของเสี่ยวหยูในตอนนั้น
“ไม่ต้องห่วง ข้างหลังฉันยังมีคุณ คุณทำให้ฉันเป็นกังวล ไล่เธอออก คุณจะแก้แค้นในแค้นส่วนตัวของฉัน ใช่ไหม ?”
เกาไห่พยักหน้า แล้วไม่รู้ว่าจะโทรหาใครดี
หลังจากให้เกาไห่ไปแล้ว เล่อจยาก็เดินตรงขึ้นตึกไป แล้วไปที่แผนกบุคคลก่อน จากนั้นค่อยไปแผนกออกแบบ
ถึงแม้ว่าจะเป็นบริษัทที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ แต่ ต้องพูดเลยว่า เกาไห่เตรียมพร้อมทั้งหมด
เมื่อเธอมาถึงแผนกออกแบบ เกือบทุกคนในแผนกออกแบบก้มศีรษะ โดยแทบไม่มีใครสังเกตเห็นการปรากฏตัวของเธอเลย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ในขณะนี้ ประตูห้องของผู้จัดการเปิดออก มีผู้หญิงเดินออกมาจากข้างในห้องนั้น
เมื่อเล่อจยาเห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนี้อย่างชัดเจน สีหน้าของเธอก็มืดมนลง
“เฉิงหยวน ?”
“เล่อจยา ?”
ทั้งสองคนเป็นเพื่อนร่วมมหาลัยกัน และในตอนนั้นเฉิงหยวนก็ชอบเกาไห่ด้วย ได้ยินว่าพ่อเฉิงและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก เฉิงหยวนกับเกาไห่ก็อยู่โรงเรียนมัธยมเดียวกัน อายุน้อยกว่าเกาไห่สองปี ในตอนนั้น ที่โรงเรียน เจิงหยวนมักจะเรียกตัวเองว่าคู่รักวัยเด็กของเกาไห่
เธอไม่รู้ว่าเกาไห่ความรู้สึกช้าจริงจริงหรือเปล่า เขาจัดเธอและเจิงหยวนมาไว้ด้วยกัน ต่อจากนี้ มันจะเป็นปัญหาใหญ่แล้วจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ลองคิดดู ก่อนการแก้แค้นของเกาไห่ เธอก็ได้กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจผู้หญิงคนนี้
แค่เมื่อคิดถึงเรื่องของไห่ยุ่น ก็ยังไม่เข้าใจ และศัตรูรักก็มาอีกคนแล้ว เล่อจยาค่อนข้างหดหู่
“เล่อจยา ได้ยินเพื่อนร่วมชั้นบอกว่า คุณไปเปิดแผงขายอาหารแล้วเหรอ ? แล้วทำไมถึงกลับมาทำงานอีกแล้วล่ะ ?”
เล่อเจียเหอะเหอะสองครั้ง “ถูกสาวงามติดตาม ช่างเป็นเกียรติยิ่งนัก”
พูดจบ เธอก็มองไปทั่วทั้งสำนักงาน มีที่ว่างตรงสุดมุมห้องอยู่ที่หนึ่ง เธอขมวดคิ้ว ทำไมต้องรักษาไว้แบบนี้ทุกครั้งนะ ?
“ได้ยินมาว่าเมือง W นั้นเป็นการออกแบบของคุณ ?”
เล่อจยาไม่คาดคิดว่าเฉิงหยวนจะตามมา และเธอก็จัดโต๊ะ พลางพยักหน้าว่า “ใช่ โชคดี ที่เข้าตาของประธานเกา”
“ในเมื่อประธานเกาชอบคุณมากขนาดนี้ แล้วทำไมคุณอยากเปลี่ยนงานล่ะ ?”
เปลี่ยนงาน ? ที่แท้….ก็ปรากฎว่า เฉิงหยวนก็ไม่รู้ว่าเจ้านายเบื้องหลังก็คือเกาไห่ ดังนั้น เธอจึงอารมณ์ดีขึ้นมา “ก็ เป็นพนักงาน แน่นอนว่าที่ไหนให้เงินเดือนสูง ก็ไปทำที่นั่น ? ”
เฉิงหยวนเหลือบมองเธอ “คุณนี่ตรงไปตรงมาจริงๆ”
หลังจากพูดเสร็จ เธอวางเอกสารบนมือลงบนโต๊ะของเล่อจยา “งั้น คุณดูนี่”
เมื่อมองดูเอกสารที่อยู่ตรงหน้า เล่อจบาก็ประหลาดใจมาก เมื่อมอง มันเป็นโครงการใหญ่ เดิมทีคิดว่าเฉิงหยวนจะบีบเธอออก และให้สิ่งที่ไม่ดีแก่เธอทำ
แต่ไม่คิดเลยว่า จะให้ความสำคัญกับเธอขนาดนี้
งานที่ท้าทายทำให้คนมีแรงจูงใจมากขึ้น
ในอีกสามหรือสี่วันข้างหน้า เล่อจยานอกจากเวลานาน อยู่ที่บริษัทและที่บ้าน ก็ล้วนอยู่กับการออกแบบนี้
อย่างไรก็ตาม นี่มันก็สอดคล้องกับงานและการพักผ่อนของเกาไห่
ไม่มีใครพูดถึงเรื่องของไห่ยุ่น เห็นได้ชัดว่าเล่อจยาไม่ค่อยพอใจกับวิธีการของไห่ยุ่น เมื่อรู้ว่าพวกเขาแต่งงานกันแล้ว ยังใช้วิธีแบบนี้มาเพื่อได้รับความเห็นใจจากเกาไห่
เธอไม่อยากถามเกาไห่ ว่าหาเธอพบหรือไม่ และกลับมาหรือเปล่า สำหรับผู้หญิงที่โลภผู้ชายอย่างเธอ เธอไม่อยากทำตัวเป็นแม่พระ
ในห้องหนังสือ เล่อจยานอนอยู่บนโซฟา เกาไห่อยู่หน้าโต๊ะหนังสือ มันเงียบมาก แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ดวงตาทั้งสี่สบตากันและยิ้ม บรรยากาศรอบข้างดีมากจนทำให้คนอิจฉา
แม้ว่าตอนนี้เกาไห่จะเป็นผู้จัดการ แต่ เล่อจยารู้ว่าในตอนที่เขาอยู่ในโรงเรียน พรสวรรค์การออกแบบของเขา ได้รับการยกย่องจากครูมากกว่าหนึ่งคน
ดังนั้น เมื่อเธอปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เธอก็จะถามเกาไห่
สามีภรรยาทั้งสองสามารถมีหัวข้อร่วมกันได้ สิ่งนี้ทำให้เล่อจยาภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง
วันนี้ เมื่อเกาไห่เห็นเล่อจยาเขียนวาดลบลบอยู่ทั้งคืน เขาก็หงุดหงิดมาก
เขาวางงานบนมือลง และก้าวไปข้างหน้า เอาขายาวก่ายบนเก้าอี้โซฟา เอื้อมมือออกไป “เอาให้ผมดูหน่อย“
เล่อจยายื่นกระดาษในมือให้เกาไห่ ขมวดคิ้ว ทำปากมุ้ย “จุดชมวิวนี้ ฉันคิดยังไง ก็ยังรู้สึกว่ายังขาดอะไรอีกนิดหน่อยก็จะกลายเป็นอาณาจักรแล้ว”
เกาไห่ชี้ไปที่แก้มข้างขวาของเขา “ให้รางวัลผมหน่อย แล้วผมจะให้คำชี้แนะกับคุณ”
“ฉัน…ฉันแค่…” เลอจยารู้สึกว่าเธอกำลังจะเป็นบ้า นี่ฉันกำลังพูดเรื่องบ้าอะไรอยู่
เกาไห่ยกขายาวของเขาขึ้นไปนอน “เสียงดังเอี๊ยด…”
ใบหน้าของเล่อจยาแดงยิ่งขึ้น
“คือฉันหมายถึง…”
“ถ้าไม่อยากให้ผมทำอะไรกับคุณที่นี่ หยุดพูดหัวข้อนี้” เกาไห่ขัดจังหวะเธอ อุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
ดึงผ้าห่มขึ้นและคลุมเล่อจยา
จากนั้นห้องก็ตกอยู่ในสภาวะเงียบสงบ
“เล่อจยา วันนี้ผมขอโทษนะ”
เมื่อเล่อจยากำลังจะหลับคำพูดเหล่านี้ก็เข้าหูของเธอ เธอลืมตาขึ้นและพบกับดวงตาที่ขอโทษของเกาไห่แล้วเธออมยิ้ม เผยให้เห็นลักยิ้มคู่นั้น
“อ้อ ไม่เป็นไรแล้วคุณก็มาหาฉันแล้วนี่ เรื่องก่อนหน้านั้นมันจบแล้ว นอนเถอะ” ขณะที่เธอพูดแขนของเขาก็ยังพยุงร่างกายของเธอไว้ เธอจูบเขาที่หน้าและกำลังจะหันกลับไปแต่โดนเกาไห่พลิกกลับและกดไว้
จากนั้นพวกเขาก็จูบกันจนเล่อจยารู้สึกว่าเธอหายใจไม่ออกเกาไห่ก็ปล่อยเธอไป
มือใหญ่นั้นลูบใบหน้าของเธอเบา ๆ “ พอดีวันก่อนหลังจากไห่ยุ่นถูกรับไปจากโรงแรมก็ไม่ได้รับข่าวใดๆจากเธอเลย ผมรอข่าวจากเธอนั่งรออยู่ที่โรงแรมตอนกลางคืนและตอนที่วางสายจากคุณก็เพราะมีสายเข้า เกรงว่าไห่หยุนจะมีข่าว เลยไม่มีเวลาอธิบายให้ฟัง ขอโทษทีนะ เพราะกังวลใจเรื่องนั้นเกินไปจนลืมที่นัดไว้กับคุณและเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคุณผมควรให้ความสำคัญกับคุณก่อน ผมขอโทษ ต่อไปผมจะแก้ไขมันอย่างแน่นอน”
เล่อจยาคิดไม่ถึงว่าเกาไห่จะอธิบายให้เธอฟัง และเธอไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะพูดคำพูดแบบนั้นจนทำให้หมอกควันในหัวใจของเธอที่เคยมีหายไปในทันที
เธอเม้มปากและหายใจเข้าลึก ๆ นิ้วเรียวของเธอจับใบหน้าเขาไว้ ทันใดนั้นเธอก็จำบางสิ่งได้และนั่งตัวตรง “อีกอย่าง เมื่อวานฉันดูเหมือนเห็นไห่หยุนที่ห้างสรรพสินค้าเวลาเดียวกันกับที่ฉันวิ่งตามคุณไป”
พูดจบเธอก็ขมวดคิ้วและหยุดชั่วคราว “ก็คือ…”
เกาไห่ก็นั่งตัวตรง “มันคืออะไร?”
“แค่ขาของไห่หยุนปกติไม่มีความพิการ ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจ เลยไม่ได้บอกคุณ”
“ปกติ? คุณหมายถึง เธอกำลังยืน?”
เล่อจยาพยักหน้า “ไม่ใช่แค่ยืน แต่เดิน”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเกาไห่ เล่อจยาก็ไม่พูดอะไรอีกและล้มตัวลงนอน “นอนซะ พรุ่งนี้ผมก็กลับแล้วอาจมีข่าวเกี่ยวกับเธอ ถ้ามีคำถามอะไรคอยถามก็ไม่สาย”
หลังจากพูด เธอยื่นมือออกและดึงแขนของเกาไห่
ไม่รู้ว่าเหนื่อยเกินจากการนั่งรถในตอนกลางวัน หรือเพราะว่าเกาไห่อยู่เคียงข้างเธอ เล่อจยาพลิกตัวและผล็อยหลับไป
เกาไห่หยิบโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงส่งข้อความถึงเสี่ยวตง
จากนั้นเขาก็นอนลงแต่เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลย
เขารู้นิสัยของเล่อจยาถ้าเธอมองไม่เห็นจริงเธอก็จะไม่พูด
อย่างไรก็ตาม ถ้าคนๆ นั้นคือไห่หยุนจริง ๆ แล้วทำไมเธอถึงต้องหลอกตัวเองอย่างนั้น?
“ลูกพี่ลูกน้องของคุณชอบคุณ” เขามองใบหน้าที่หลับใหลของเล่อจยาและนึกถึงสิ่งที่เธอพูดในวันนั้น
ใบหน้าของเขาทรุดลงเล็กน้อย ดวงตาของเขาเย็นชา และใบหน้าของเกาเหวินก็ฉายแววต่อหน้าเขา
มันคงแย่มากถ้ามันเป็นอุบายในความรักมันคงดูน่ากลัว
เกาเหวินในตอนนั้นเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด หากเธอรักที่จะยุติธรรมและซื่อสัตย์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ในวันรุ่งขึ้น เมื่อเลอจยาตื่นขึ้น เกาไห่ก็ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอแล้ว เธอขมวดคิ้วและพลิกตัวลุกขึ้นจากเตียงอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอออกไป เธอไม่เห็นเกาไห่
เมื่อเห็นว่าเธอตื่นแล้ว ป้าเล็กก็รีบนำอาหารเช้าออกจากครัว “จยาจยา ไปล้างหน้าเร็ว แล้วมาทานอาหารเช้ากันเถอะ”
เล่อจยารู้สึกประทับใจกับป้าเล็กคนนี้เสมอ แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยติดต่อกับเธอ แต่เธอก็รู้สึกว่าเธอเป็นคนฉลาดและโง่เขลา ได้ยินจากพ่อของเธอบอกว่าครอบครัวของลุงเล็กสามารถทำเงินได้ก็มาจากที่ป้าเล็กจัดการทั้งนั้น
“ป้าเล็กค่ะ ลุงเล็กของฉันกับเกาไห่อยู่ที่ไหนค่ะ”
“พวกเขาไปตกปลาข้างหน้า” ซูหย่าหาวและเดินออกจากห้อง
ป้าเล็กพยักหน้าและเดินไปที่ครัวอีกครั้ง
เมื่อเล่อจยาล้างหน้าเรียบร้อยเธอนั่งลง ซูหย่า ก็นั่งลงข้างๆเธอ มองดูเธอขึ้นลง
“มองอะไร” เล่อจยาหยิบหมั่นโถวข้าวโพดมากิน
“เล่อจยา เธอกับเกาไห่ยังไม่แบบนั้นกันอีกเหรอ?”
เลอจยาตกตะลึงและมองไปรอบ ๆ ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย “อยู่ดีๆถามเรื่องนี้ทำไม?”
ซูหย่าหยิกใบหน้าของเธอ “พูดว่า เธอโง่เหรอ ผู้ชายดีๆ แบบนี้ รออะไร กลัวลูกพี่ลูกน้องของเธอจะจับได้เหรอ”
“โอ้ ช่วยเบาเสียงลงหน่อยได้ไหม เดี๋ยวก็ได้ยินกันหมดเหรอ อายจริงๆ” เขาพูด แล้วเอาหมั่นโถวเข้าปากแล้วกัด
“ฉันบอกใบ้ไปหลายครั้งแล้ว แต่เรื่องแบบนั้น ถ้าผู้ชายไม่ริเริ่ม เป็นไปได้ไหมที่ฉันจะกระโดดลงไป?
ก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังไม่ฟื้นความทรงจำของเธอ เกาไห่บอกว่าเขาไม่ต้องการเธอตอนที่เธอยังไม่หายดี อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ทำนั้นทำให้ความทรงจำของเธอกลับคืนมา ยิ่งกว่านั้น เธอพูดเป็นนัยหลายครั้ง แต่เกาไห่ก็ยังไม่รู้ ไม่รู้ต้องทำอย่างไรแล้ว
เธอไม่ได้หมายความว่าเธอมีความคิดเกี่ยวกับแง่มุมนั้น เธอแค่รู้สึกว่านั่นคือความรักสูงสุด ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะแต่งงานกันแล้ว…
ซูหย่ามองมาที่เธอ แล้วคิดถึงเซียวอู๋ และหยุดพูด เธอแตะท้องของเธอ ยังมีเวลาอีก 1 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน เธอจะท้องหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสองสามวันนี้
“คิดถึงเสี่ยวหวู่ของเธออีกแล้วเหรอ?” เล่อจยาหยอกล้อ
“คิดถึงแล้วจะทำอะไรได้ พวกเขาต่างปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นโรคระบาดและหลีกเลี่ยงมัน” หลังจากพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและตะโกนขึ้นไปบนฟ้า
เรื่องของความรักช่างมหัศจรรย์จริงๆ ด้วยคนระดับแบบซูหย่าคนที่ไล่ตามเธอในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสามารถจัดอันดับเมือง C ได้ครึ่งวงกลม ก็ไม่เห็นว่าเธอจะถูกใจใคร
ถึงแม้จะมีคนวิ่งตามเธอจำนวนมากด แต่เธอกลับตกหลุมรัก เซียวอู๋ผู้ชายที่ไม่แม้แต่จะมองเธอและเธอก็รักอย่างมากมาย
“ในตอนที่เธอชอบเกาไห่ ฉันหัวเราะเยาะเธอและบอกเธอว่า ยอมปลูกต้นไม้เพื่อทิ้งป่าและหัวเราะเยาะเธออย่างโง่เขลาเลยเล่อจยา ตอนนี้เธอกำลังหัวเราะเยาะฉันในใจอยู่หรือเปล่า?”
เลอจยาส่ายหัว ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว กอดซูหย่า ตบหลังเธอสองสามครั้ง “เธอต้องเอาฉันเป็นตัวอย่างเพื่อทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เป็นไปได้ คนแบบเซียวอู๋ไม่ได้แย่ ฉันเชื่ออย่างนั้น เวลานานไปเขาก็จะเห็นสิ่งที่เธอทำเอง”
ซูหย่ามองไปที่เล่อจยาและพยักหน้า
เมื่อมาถึงเมือง C ประมาณบ่ายสอง เกาไห่ ส่งเธอและซูหย่าไปที่ประตูหน้าบ้านของเขาแล้วรีบไปที่บริษัท
ทันทีที่กลับถึงบ้าน ลุงสองก็โทรมา “นี่ ลุงสองนะ”
“จยาจยา คุณปู่ขอให้ฉันถามว่าเห็นเล่อเหวินไหม”
เล่อจยาตกใจ “เล่อเหวิน?”
“พี่สาว เก่งมากจริงๆ ไม่มีความจริงใจกับน้องเลย พี่กำลังปีนขึ้นไปบนยอดกิ่งไม้ แต่ก็ยังโกหกและบอกว่าเลิกกัน ห๊ะ ห๊ะ…”
เล่อจยาไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระกับเขา “ในเมื่อรู้ว่าพี่เขยอยู่ที่นี่ ยังไม่รีบมาเปิดประตูให้ฉันออกไป”
เล่อเหวินยิ้ม “ปล่อยออกมาได้ไม่ใช่ปัญหา แต่ต้องสัญญากันก่อนว่าพี่เขยจะให้เงินสามล้าน แล้วก็ห้ามพูดอะไรไร้สาระต่อหน้าปู่”
สามล้าน? เล่อจยารู้สึกว่าน้องชายคนนี้คงจะคลั่งไคล้เรื่องเงินมาก มือที่เธอที่เคาะประตูก็ห้อยลง “อยากปล่อยก็ปล่อยสามล้านเหรอ กล้าคิดเรื่องนี้จริงๆ! ฉันจะรอดู ถ้าพี่เขยไม่เห็นคงโทรเรียกตำรวจมาเอง การกักขังโดยผิดกฎหมายไม่รู้ว่าจะติดคุกนานแค่ไหน”
พูดเสร็จก็ถอยออกมานั่งที่พื้น
เล่อเหวินตื่นตกใจ เขาพูดอย่างรวดเร็ว: “งั้นก็สองล้าน”
ไม่มีการตอบสนอง
ตรงนี้กำลังจัดการส่วนอีกด้านของบ้านกลับคึกคัก
ไม่เกินสิบนาที บ้านของปู่เล่อก็เต็มไปด้วยผู้คน
ป้าสองได้ยินว่าเล่อจยาแต่งงานกับเถ้าแก่ใหญ่ และเธอก็ไม่เชื่อ “สาวน้อยคนนั้นเล่อจยาแย่กว่าเสี่ยวอวินของฉันมาก ถ้าเธอแต่งงานกับเถ้าแก่ใหญ่ ฉันเดาว่าคงไม่ใช่ คนดี?”
ปากพูดอย่างนั้น แต่เธอเป็นคนแรกที่มาถึงคิดว่าคงจะเป็นชายแก่ แต่ที่ไหนได้ออกจะหล่อและดูดีขนาดนั้น ทันใดนั้นการเยาะเย้ยก็เหมือนกระทบหน้าตัวเอง เขาแค่ยืนอยู่เฉยๆไม่ต้องทำอะไรเลยก็ยังดูดีกว่าลูกเขยของเธอไม่รู้กี่เท่า
เมื่อคิดถึงสาวน้อยเลอจยาเมื่อก่อนเธอบอกว่าไม่มีแฟน เธอยังโกรธและรำคาญ
เกาไห่มองไปที่ห้องที่เต็มไปด้วยผู้คน แต่ก็ยังไม่เห็นเล่อจยาใบหน้าของเขาก็ดูไม่ดีเล็กน้อย
กำลังจะถามอีกครั้ง ซูหย่าก็เดินเข้ามาจากข้างนอกและบีบฝูงชนมากระซิบที่หูของเกาไห่
การแสดงออกของใบหน้าเกาไห่ที่ทรุดลงและเขารีบลุกขึ้นยืน
มองไปที่ปู่เล่อ “คุณปู่ เล่อจยาถูกคุณขังไว้หรือ?”
ความโผงผางของเขาทำให้ปู่เล่อไม่สามารถโต้ตอบได้ในทันที และเขาก็ไอเล็กน้อย “คือ…”
“สามี…”
เสียงที่คุ้นเคยดังมาจากด้านหลัง ขัดจังหวะคำพูดของปู่เล่อ
เกาไห่ ดีใจมาก เขาเงยหน้าขึ้นและเห็นเล่อจยาที่เหมือนล้มลุกคลุกคลานอะไรมาจนใบหน้าเธอเหมือนแมวตัวหนึ่ง หัวใจเขาเหมือนโดนกระตุกและก้าวไปข้างหน้าและค่อยๆ เช็ดใบหน้าของเธอด้วยมือใหญ่ของเขา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ทำไมตัวคุณถึงเป็นแบบนี้”
เลอจยาส่ายหัว โอบแขนรอบเอว ลูบแขน ก้มศีรษะลงในอ้อมแขนของเขาแล้วพูดว่า “ฉันตื้นตันใจจังที่คุณมาหาฉันถึงที่นี่”
ซูหย่าสูดหายใจอย่างเย็นชาและพูดประชดประชันว่า “โอ้ ดูเหมือนฉันพูดถูก เธอคือสมบัติล้ำค่าในสายตาเธอ” ดังนั้นเธอไม่เคยคิดว่าคุณไม่ดี ไม่เคยละเลยเธอ จำได้แต่ความดีของคุณ , ความทุ่มเทของคุณ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาไห่ก็รู้สึกผิดและทุกข์ใจมากขึ้นในสายตาของเขา และอ้อมแขนของเขาที่โอบรอบเล่อจยาก็รัดแน่นขึ้น
“จยาจยา ดูเธอสิ ทำไมแต่งงานแล้ว ไม่ยอมบอกปู่กับย่า หลานเขยที่เพิ่งมาเรายังไม่รู้จักเลย”
ปู่เล่อที่อยู่ด้านข้างเปิดปากขัดจังหวะความคิดของพวกเขา
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เล่อจยาก็ยืดตัวออกจากอ้อมแขนของเกาไห่และมองดูปู่เล่อที่อยู่เหนือเขา “คุณปู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันหน้าตาเป็นอย่างไร ฉันคิดว่าคุณปู่ไม่สนใจว่าฉันจะแต่งงานหรือไม่”
เมื่อปู่เล่อได้ยินเช่นนี้ หน้าเขาก็อายเล็กน้อย “เจ้าเด็กนี่ ปู่แก่แล้ว ความจำไม่ค่อยดี มันก็เรื่องปกติไหม?”
มีความจำที่ไม่ดี? แต่พอเป็นเล่อเหวิน ความจำดีขึ้นมาทันทีเลย?
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ต้องการให้เกาไห่อยู่ที่นี่นาน ดังนั้นเธอจึงไม่กลัวที่จะโต้เถียงกับเขา
หันกลับมามองเกาไห่ “สามี เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองเพิ่งก้าวออกจากประตูด้วยเท้าหน้า เล่อจยารู้สึกเพียงลมพัดมาจากด้านข้างของเขา และเมื่อเขาตอบสนอง ลุงสองก็ยืนอยู่ข้างหน้าพวกเขาแล้ว โดยเหยียดแขนออกไปด้านข้าง
“จยาจยา ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ขับรถบนถนนสายนี้มันไม่ปลอดภัย นอนที่นี่หนึ่งคืน ไปบ้านลุงสองบ้านใหม่ที่เพิ่งสร้าง ยังไม่เคยไปใช่ไหม.”
ในความทรงจำขอเล่อจยาลุงสองและป้าสองเหล่านี้เป็นคนประเภทเดียวกัน ซึ่งปกติแล้วจะรู้จักแค่เงินแต่ไม่รู้จักคน
เธอไม่มีความรู้สึกที่ดี ดังนั้นน้ำเสียงของเธอจึงดูไม่สุภาพโดยธรรมชาติ “คุณลุงสองค่ะ ฉันได้ยินมาว่าลูกพี่ลูกน้องของฉันจะแต่งงาน ดังนั้น ให้พวกเขาอยู่ในบ้านใหม่เถอะ”
หลังจากพูดจบเธอก็พาเกาไห่ออกไป
“งั้นก็ไปที่เตียงของลุง เตียงของลุงเพิ่งเปลี่ยนที่นอนใหม่”
เลอจยาเหล่ตามองไปที่ชายหนุ่มที่มาจากที่ไหนไม่รู้ที่เรียกว่าลุงเล็ก ถึงแม้ว่าลุงเล็กคนนี้จะไม่แข็งแกร่งเท่าลุงสองเขามักจะเฉยเมยต่อสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
ในความประทับใจที่ได้ติดต่อกับครอบครัวน้อยมากตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แม้ว่าเขาจะเป็นคนไม่สุภาพแต่ปกติเมื่อพบเจอก็ไม่พูดอะไรมากนัก ดังนั้น เมื่อเห็นทัศนคติของเขาในตอนนี้ เล่อจยาก็รู้สึก ประหลาดใจ
ได้แต่ถอนหายใจและคิดในใจว่าเงินนี้เป็นของดีจริงๆ เงินไม่ได้อยู่แนวความคิดเธอ เธอรู้สึกแค่ว่าเงินพอใช้ก็พอ แม้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่พ่อของเธอป่วย เธอก็มีเงินเพียงพอสำหรับพ่อของเธอด้วย และตราบเท่าที่พ่อของเธอมีสุขภาพแข็งแรง เธอกับพ่อก็มีเงินใช้มากพอ และเธอไม่สนใจเรื่องอื่น ๆ ซูหย่าบอกว่าเธอไม่มีความปรารถนาใดๆอีกหรือ แต่เธอรู้สึกพึงพอใจแค่นี้
“จยาจยา งั้นเราก็นอนที่นี่คืนหนึ่งนะ ตอนฉันนั่งรถมากับสามีเธอใจฉันมันกลัวมาก” ซูหย่ารู้สึกกลัวหน้าผานั้นมากดังนั้นเลยรีบพูดและชักชวนก่อน
ในที่สุด เล่อจยาตัดสินใจไปบ้านลุงเล็ก
เมื่อลุงสองได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าดูไม่ดีขึ้นมาทันที
“คุณลุงสอง ห้องนั้นเป็นห้องแต่งงานของเสี่ยวอวินเรานอนคงจะไม่เหมาะสม” เล่อจยาอธิบาย
บ้านของลุงเล็กเป็นอาคาร 2 ชั้นแบบเก่า สร้างมานานแล้วไม่ใหม่แล้ว แต่ป้าของเธอชอบทำความสะอาดมันจึงยังดูดี
ป้าเล็กเป็นคนเก็บตัว ไม่พูดมาก เธอมองดูคนสองสามคนเดินมา ยิ้ม และเทน้ำที่ด้านข้าง วิ่งเข้าวิ่งออกเพื่อช่วยงาน
“จยาจยา เธอและคุณเกา นอนในห้องนี้ ปกติห้องนี้ลูกพี่ลูกน้องของเธอกลับมานอนเป็นครั้งคราว ทำความสะอาดแล้ว ส่วนผู้หญิงคนนี้ คุณนอนในห้องนี้ ห้องนี้เป็นห้องสาวน้อยของฉัน สาวน้อย เธออยู่ในโรงเรียน แม้ว่าห้องจะแคบไปหน่อย แต่ก็สะดวกสบาย”
แม้ว่าบ้านตระกูลเล่อจะดูเจริญรุ่งเรือง ลูกชายทุกคนก็มีลูกหลายคน มีเพียงพ่อเท่านั้นที่มีเล่อเหวินเป็นลูกชาย และคนอื่นๆเป็นลูกสาวทั้งหมด อย่างไรก็ตามแต่เมื่อลูกสาวที่แต่งงานแล้วก็มีลูกชายทั้นนั้น
นี่คือเหตุผลที่ปู่เล่อชอบเล่อเหวินเป็นพิเศษ
“ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะลุง”
“ขอบคุณครับลุง”
หลังจากอาบน้ำซักครู่ ป้าเล็กก็ปรุงเกี๊ยวให้พวกเขา และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ พวกเขาก็แยกย้ายกันเข้าไปในห้องต่างๆ
“คุณไม่ชินกับการนอนเหรอ?” เล่อจยาถามเกาไห่ด้วยความกังวล
เกาไห่ถอดเสื้อคลุมของเขาออก หันกลับมามองที่ใบหน้าของเล่อจยาและส่ายหัว “ผมเคยอยู่ในที่ที่ยากกว่านี้เป็นร้อยเท่า”
“หือ? ที่ไหนล่ะ”
เกาไห่ส่ายหัว “ไปนอนซะ”
พอนอนลงบนเตียงไม้ก็จะมีเสียงดังเอี๊ยด
“เตียงนี้มันจริงๆ ถ้าจะทำอะไร มีหวังได้ยินกันทั้งบ้านแน่” เล่อจยาพูดออกมาอย่างที่ใจคิด
หลังจากที่เธอพูดจบเธอก็ตกตะลึงหันศีรษะมองไปที่เกาไห่ ด้วยรอยยิ้มที่มุมปากของเขา เลิกคิ้ว และมองตัวเองด้วยสายตาแปลก ๆ ในดวงตาของเขา
เมื่อร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ ซูหย่าก็มองเห็นได้ชัดเจน
เขาเป็นชายชราหลังค่อมคนหนึ่งเดินไปที่รถของเกาไห่และเคาะหน้าต่างด้านข้างของเขา
หน้าต่างม้วนลง
“พวกคุณมาทำอะไรที่นี่ นี่มันก็ดึกมากแล้ว”
เกาไห่เปิดที่เก็บของข้างๆ เขาหยิบบุหรี่สองสามซองออกจากรถฉีกซองออก ส่งให้ชายชราคนนั้น แล้วจุดไฟด้วยไฟแช็ค
ชายชราดูดอย่างแรง ดวงตาที่เปื้อนโคลนของเขาดูเหมือนจะสว่างขึ้นเล็กน้อยภายใต้ไฟรถ
เขาถอนหายใจอีกเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “หนุ่มน้อย พวกคุณมาหาคนอยู่หรือเปล่า”
สำเนียงบ้านเกิดของเขาค่อนข้างแรง ซูหย่าฟังดูลำบากมาก แต่เกาไห่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมา เขายัดบุหรี่สามซองลงในกระเป๋าของชายชรา
ชายชราผลักกลับ เขายกมือขึ้น “คุณปู่ ปกติผมไม่สูบบุหรี่ บุหรี่มันอยู่กับผมก็เหมือนไร่ค่า คุณชอบสูบ คุณเอามันไปเถอะ”
ความเป็นกันเองและความสุภาพของเขาทำให้ชายชรายิ้มได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นสีหน้าของเขาเริ่มผ่อนคลาย เกาไห่ก็พูดขึ้นทันที: “คุณปู่ ฉันมาที่นี่เพื่อตามหาภรรยาของผม เธอมีเรื่องกับผมนิดหน่อย ดังนั้นเธอจึงกลับมาบ้านพ่อแม่ของเธอ ผมก็เลยตามเธอมา แต่ มันก็มืดเกินไป ผมเคยมาที่นี่แล้วครั้งหนึ่งลืมไปว่าต้องไปยังไง”
ชายชรามองดูเขาขึ้นๆ ลงๆ และเห็นว่าเขามีนิสัยดี หน้าเขาจริงใจ และเขาก็พยักหน้าอย่างชื่นชม “ภรรยาของคุณมาจากหมู่บ้านของเราหรือ แซ่อะไรและชื่ออะไร ?”
เกาไห่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นามสกุลของเธอคือเล่อ และชื่อของเธอคือเล่อจยา”
ชายชราตะลึงก่อนแล้วจึงยิ้มและพูดว่า “โอ้ สาวน้อยที่รู้วิชากังฟูต่อสู้นั้นใช่ไหม”
เกาไห่พยักหน้าซ้ำๆ
“ได้ ไปกับฉัน ฉันจะพาเธอไปเอง สาวน้อยคนนี้ตั้งแต่เธอยังเด็กเธอเป็นคนอารมณ์แข็ง แต่งงานไปแล้วยังทำตัวเป็นเด็กไปได้”
ชายชรากล่าวขณะนำทางเกาไห่และคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าข้างหลัง ชายชราก็หันศีรษะและเห็นซูหย่า
“แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใคร?”
“โอ้ เธอเป็นเพื่อนสนิทของเล่อจยา และเธอต้องการมาช่วยอีกแรง”
“ดีดี เดินต่อ”
เมื่อมองดูด้านหลังทั้งสองคน ซูหย่าก็ค่อนข้างมีความสุขกับเล่อจยา อย่างน้อย เกาไห่เขาก็เป็นคนสุภาพ มีมารยาทดี และมีกลยุทธ์
หลังจากเดินไปได้ประมาณ 5 นาที ทั้งสามคนก็มาถึงข้างในหมู่บ้าน
“ถ้าอย่างนั้น นี่บ้านคุณปู่ของเธอ เธออาจจะอยู่ที่นี่เมื่อเธอกลับมา ฉันจะขึ้นไปเคาะประตูให้คุณ”
ขณะที่เขาพูด เขาก้าวไปข้างหน้าบ้านแล้วเคาะประตู
ประมาณสี่หรือห้าก๊อก ก็มีเสียงมาจากข้างใน “นั่นใคร?”
“พี่ใหญ่ นี่ฉันเอง” ชายชราตอบข้างนอก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูก็เปิดออก ปู่เล่อ มองไปที่ชายชรา “เหล่าซูจีนั้นเอง นี่มันดึกมากแล้ว มีเรื่องอะไรหรือ…” คำพูดหยุดกะทันหันเมื่อพวกเขาเห็นเกาไห่และซูหยา
“พวกคุณคือ?”
ชายชรามองไปที่เกาไห่ ในขณะนี้ เขาตระหนักว่าเขาอาจถูกหลอกโดยชายหนุ่มคนนี้ หากเป็นภรรยาของเขาที่เคยมาที่บ้านตระกูลเล่อ จริง ๆ แล้ว ปู่เล่อทำไมจะไม่รู้จักเขา
“นี่คือปู่ของจยาจยา” ซูหย่าก้าวไปข้างหน้าและเตือนเขาต่อหน้าเกาไห่
เกาไห่ตอบโต้และพูดว่า “คุณปู่ ผมเป็นสามีของจยาจยา ผมมาที่นี่เพื่อรับเล่อจยากลับ”
ไฟฉายในมือของปู่เล่อตกลงไปที่พื้นหลังจากได้ยินเสียงแนะนำของเกาไห่
เกาไห่เห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของ ปู่เล่อผ่านแสงสลัวและรู้สึกงงงวยอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณปู่ จยาจยาบอกว่าจะมาหาคุณย่าและปู่วันนี้ ตอนแรกก็อยากมาด้วยกันแต่ผมติดงาน เมื่อกี้โทรไปมือถือเธอ
แล้วติดต่อไม่ได้ ผมกลัวว่าเธอจะเกิดเรื่องอะไรกับเธอก็เลยรีบมารับเธอ”
หลังจากพูดจบ เกาไห่ก็หันศีรษะและมองไปที่ชายชรา “คุณปู่ ที่ผมโกหก หวังว่าจะยกโทษให้ผม”
ชายชราเหลือบมองเขา ไม่มีอะไรจะพูด หันหลังเดินจากไป
ปู่เล่อมองไปที่เกาไห่ และ ซูหย่า และถอยหลังสองก้าว “เข้ามา”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เข้าไปในห้องและเปิดไฟ
จากนั้นไม่นาน หลายคนก็ออกมาจากห้องต่างๆ ทั้งชายและหญิง
ในเวลานี้คนหนุ่มสาวเหล่านี้ยังไม่นอน
เล่อเหวินก็ลุกขึ้นมาเช่นกันเมื่อได้ยินเสียงข้างนอกเขาก้มหน้าเล่นเกมมือถืออยู่ตลอดเวลา เมื่อเห็นพวกเขาสองคนจากสายตา เขาก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัดและค่อยๆวางโทรศัพท์แล้วออกไป.
.
ตอนเดินเข้ามา “พวกคุณเป็นใคร” ทันใดนั้น ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนเราจะเคยเจอกันแล้ว”
เกาไห่เหลือบมองเล่อเหวิน แปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมเขาถึงมาที่นี่ด้วย พยักหน้าและถามว่า “พี่สาวของคุณอยู่ที่ไหน”
เล่อเหวินขมวดคิ้ว “มีเรื่องอะไรที่ต้องการหาเธอ”
“ผมจะพาเธอกลับบ้าน”
“กลับบ้าน คุณเป็นอะไรกับเธอ” เล่อเหวินจำได้ว่าในขณะนั้นเล่อจยาเรียกคนนี้ว่าประธานเกา
“เธอเป็นภรรยาผม เธอว่าไงละ”
เกาไห่ไม่ชอบเล่อเหวินถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่เล่อจยาเขาจะไม่คุยกับคนแบบนี้คนที่สามารถหลอกค่ายาของพ่อได้ไม่มีจิตสำนึกและไม่คู่ควรที่จะเป็นคน.
เล่อหวินอ้าปากออกและมองไปมาหลายครั้ง และมองเกาไห่ด้วยแววตายินดี “คุณ…คุณเป็นคนช่วยพ่อฉันจัดงานศพ ซื้อสุสานให้เขา และจ่ายค่าดูแลแม่ ใช่หรือไม่”
น้ำเสียงของเขาดูกระตือรือร้นเล็กน้อย เกาไห่มองมาที่เขาอย่างไม่ชัดและพยักหน้า “พี่สาวของคุณอยู่ที่ไหน”
ด้วยรอยยิ้มที่ไม่สามารถปกปิดบนใบหน้าของเล่อเหวินเขาพยักหน้าให้เกาไห่และโค้งเอวของเขา: “พี่เขย
ฉัน…ฉันจะไปรับพี่สาวของฉันเดี๋ยวนี้”
หลังจากพูดจบ เขาหันกลับมามองปู่เล่อว่า “คุณปู่ นี่คือสามีของพี่สาว ที่มีบริษัทใหญ่อยู่ในเมืองC”
ขณะที่เขาพูดก็ก้าวถอยหลัง “พี่เขย เดี๋ยวก่อน กำลังไปเรียกพี่สาวให้”
เกาไห่ต้องการไปกับเขา แต่ถูกลูกพี่ลูกน้องและพี่เขยบางคนรั้งไว้จนเขาพยายามอย่างสิ้นหวัง
แม้แต่ผู้ปู่เล่อที่ตอนนั้นเย็นชาก็ยังตะโกนเสียงดังว่า “แม่ของลูก ลุกขึ้นเร็วๆ บ้านเรา แขกคนสำคัญมานี่”
เมื่อมองดูฉากนี้ เกาไห่ก็เข้าใจเหตุผลที่เล่อจยาไม่ยอมให้เขาติดตามมา
ครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเล่อจยาซึ่งเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมเช่นนี้แต่กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากพวกเขา
คิดถึงครั้งนั้นเพราะเธอไม่มีเงินจึงนอนในตู้กดเงินสด สักพักเขารู้สึกได้ถึงความรู้สึกมากมายในหัวใจของเธอและชื่นชมเล่อจยามากขึ้น
เมื่อเปื้อนจากตะกอนก็ควรจะเป็นอย่างนี้
เล่อจยา นั่งลงบนพื้นครึ่งหนึ่ง หิวและเหนื่อยมาก และต้องการไปห้องน้ำ จนจะกลายเป็นบ้าแล้ว
“ดงดง…” เสียงเคาะประตู
“ใคร?”
“พี่สาว นี่ฉันเอง เสี่ยวเหวิน”
เล่อจยาถอนหายใจ เสี่ยวเหวิน? เธอเกือบจะอ้วกละ
“ทำไม” น้ำเสียงไม่ค่อยดี
“พี่เขยมารับพี่แล้วนะ”
“พี่เขยคนไหน ก็…” เลอจยาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น เธอยืนขึ้นพร้อมกับคลำหาและเดินไปที่ประตู “กำลังพูดถึงใคร”
เธอบิดคอ ศีรษะของเธอยังคงเจ็บปวดเล็กน้อยและดวงตาของเธอก็มืดลงเล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะเธอขาดสติคงไม่มีทางทำให้เธอสลบได้
เธอลุกขึ้น งุ่มง่าม และเดินไปทางแสงอันแผ่วเบา เธอสะดุดอะไรบางอย่าง หันหน้าไปทางพื้น หน้าเธอรู้สึกเจ็บปวด ปากของเธอรู้สึกเต็มไปด้วยฝุ่น เธออาเจียนสองสามครั้ง เอื้อมมือออกไปดึงประตู แต่พบว่า ว่าประตูถูกล็อค ลองจับดูกระเป๋าและโทรศัพท์ก็หายไป
ทันใดนั้นเธอตื่นตระหนกคิดว่าเกาไห่ไม่เห็นเธอกลับบ้าน และไม่สามารถแจ้งเขาได้ เขาคงจะกังวลตายเลย
จากนั้นเขาก็นึกถึงดวงตาที่อ้างว้างในตอนเช้าบางทีตอนกลางคืนเขาอาจจะไม่กลับบ้านเลยก็ได้ เขาจะพบว่าเธอไม่อยู่แล้วได้อย่างไร
ชั่วขณะนั้นความเจ็บปวดก็พุ่งเข้าใส่หัวใจของเธอ
ในเวลานี้มีเสียงจากภายนอกดึงความคิดของเธอกลับคืนมา
“ปู่ เปิดประตูไม่ได้ เธอรู้วิชากังฟู ถ้าปู่ปล่อยเธอออกมา มีหวังเธอได้ฆ่าผมแน่”
เสียงของเล่อเหวิน เล่อจยาได้ยินคำพูดนั้น หมัดกำแน่นด้วยความโกรธ นี่คือน้องชายที่ดีของเธอจริงๆ จิตใจดำอำมหิตนี้
“เสี่ยวเหวิน นั่นคือพี่สาวนะ ไม่ว่าเขาจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่เพียงใด เธอคงไม่ใช่อยากขังเธอไปตลอดชีวิต ในสังคมนี้ยังมีกฎหมายอยู่นะ”
เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกด้วยเสียงของคุณปู่ ดูเหมือนว่า แม้ว่าคุณปู่คนนี้จะไม่ใช่คนดี แต่เขาเป็นเจ้าคณะในหมู่บ้านมาสองสามปีแล้วและรู้กฎหมายดี
แค่……
จากนั้นเสียงค่อยๆเบาลง ฉันไม่รู้ว่าเล่อเหวินและคุณปู่พูดอะไร เสียงฝีเท้าไม่ได้เข้าใกล้เธอ แต่ล่องลอยไป
เล่อจยาหายใจเข้าแล้วคายออกมา ไม่ต้องพูด มันคงเป็นความคิดที่แย่ของเล่อเหวินอีกแล้ว เธอรู้สึกว่าเธอโชคร้ายมาแปดชั่วอายุคนและกลายเป็นพี่น้องกับคนแบบนี้
เธอดึงประตูไม้อย่างแรง หลายครั้ง ประตูไม่ขยับเลยยกเว้นก็แต่ฝุ่นละอองที่กระจ่ายไปทั่ว
เธอมองออกไปผ่านรอยแตกที่ประตูมีแสงสลัวเล็กน้อย และคาดว่าน่าจะดึกแล้ว
ทันใดนั้น ดวงตาคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ และเล่อจยาก็พูดว่า “อ่า” และเธอก็ตกตะลึงในทันทีด้วยเหงื่อที่เย็นยะเยือก
“พี่สาว ข้างในมันอึดอัดคงไม่น่าอยู่ใช่มั้ย?
“เสียงของเล่อเหวิน?
เล่อจยาหายใจเข้าและบังคับตัวเองเพื่อจัดการกับอารมณ์ของเธอก่อนที่จะพูดช้าๆ “เล่อเหวิน เปิดประตู”
“เฮ้ เปิดประตูทำไม ให้เธอออกมา ตีฉัน ดุฉัน หรือเปิดโปงฉัน” เล่อ หวินพิงกำแพง เอามือโอบหน้าอกของเขา สำหรับพี่สาวคนนี้ที่ทั้งด่าและลงมือกับเขาตอนเด็ก เล่อเหวินไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ มาก่อน และตอนนี้ เมื่อเก็บเธอไว้ข้างใน หัวใจของเขาก็รู้สึกสดชื่น
เล่อจยาได้ยินเขาพูดคำพูดเหล่านี้ กำหมัดจนได้ยินเสียงแต่เธอรู้นิสัยของเล่อเหวินดีจิตใจที่ดื้อรั้นของเขาแข็งแกร่งเป็นพิเศษ และเขาคงจะไม่เปิดประตูให้เธอแน่ถ้ายังเถียงกับเขา
ลองคิดดู เธอหรี่ตา “เสี่ยวเหวิน ต้องการเงินไหม” สำหรับคนประเภทนี้ที่หมดสิ้นเหตุผล เล่อจยารู้ดีว่าการพูดคุยกับเขาเรื่องเงินมีประสิทธิภาพมากกว่าการพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับความรู้สึก
“เงิน? หมายถึงอะไร”
น้ำเสียงของเขาชัดเจนขึ้นเล็กน้อย เล่อจยากลอกตาขึ้นข้างบน เป็นที่คาดคิดจริงๆ
“โทรหาเพื่อนของฉันและขอให้เธอส่งเงินให้ แล้วปล่อยฉันไปได้ไหม”
สักพักไม่มีเสียงตอบรับ เล่อเหวินก็เคาะประตู “เล่อจยาอย่ามาล้อเล่นนะ เพื่อน? เพื่อนเธอมีเงินเท่าไหร่?”
เล่อจยารู้สึกว่าความอดทนของเธอกำลังถึงขีดจำกัด เธออดทนต่อความโกรธของเขาและพูดคำต่อคำ:
“ครอบครัวของเธอรวยมากเชื่อฉันเถอะว่าต้องการสามถึงห้าแสนเธอมีให้เธออย่างแน่นอน”
ไม่มีทาง ในเวลานี้ ซูหย่าไม่สามารถเอาออกมาได้
เป็นเรื่องแปลกที่เล่อจยาไม่คิดจะหาเกาไห่ตั้งแต่แรก เธอไม่ต้องการให้ เกาไห่ปวดหัวกับเธอ ประการที่สอง เธอต้องการที่จะอยู่กับเขาด้วยความนับถือตนเองเล็กน้อย เธอรู้สึกจริงๆ อายเกินกว่าจะมีน้องแบบนี้
“สามถึงห้าแสน สามถึงห้าแสน เอามาทำอะไรได้บ้าง คิดว่าพี่ค่อยๆอยู่ในนั้นไปเลยดีกว่า”
จากนั้นเล่อจยาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเล่อเหวินจากไป
เธอโกรธมากจนเตะประตูหน้าเธอสองสามครั้ง ฝุ่นตกลงมา ตาและจมูกของเธอเต็มไปด้วยฝุ่น และเธอไม่หยุดที่จะไอสองสามครั้ง
หลังจากก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว เธอสัมผัสได้ถึงเครื่องมือการเกษตรบางอย่าง เมื่อนึกถึงบ้านของคุณปู่ ดูเหมือนว่ามีห้องแบบนี้อยู่
ครุ่นคิด นั่งลงกับพื้น แล้วนึกอะไรบางอย่างได้ ถอดเสื้อออก พับสองสามครั้ง แล้วสวมกอดไว้
เมื่อเกาไห่และซูหย่ามาถึงในเมืองก็เป็นเวลาสองชั่วโมงแล้ว
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ความจำทางด้านทิศทางของซูหย่าไม่ค่อยดีนัก ทันใดนั้นเธอจำบางอย่างได้ และวิ่งไปที่ร้านถัดไปเพื่อซื้อของเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ถามเจ้าของร้าน “สวัสดีค่ะ เจ้าของร้าน ขอถามหน่อย มีหมู่บ้านหนึ่งที่มีถ้ำอยู่หลังหมู่บ้านมีโคมไฟสวยงามมากมายและมีพระใหญ่องค์หนึ่ง”
เล่อจยาพาเธอมาที่นี่ในครั้งนั้นและเธอก็จำได้อยู่ลึก ๆ ถ้าเธอสามารถหามันได้ก็เท่ากับหาหมู่บ้านของปู่ของเธอได้
จากนั้นค่อยถามหานามสกุล เล่อ น่าจะหาง่าย
“โอ้ เธอคงจะพูดถึงหมู่บ้านจิ่วเฟิงไหม ที่นั้นมีถ้ำและมีพระใหญ่อยู่ในถ้ำ อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างไกลจากที่นี่และเป็นถนนบนภูเขาไปพรุ่งนี้เช้าปลอดภัยกว่า”
ซูหย่ากล่าวขอบคุณ ออกมาและทวนคำพูดของเจ้าของร้านให้กับเกาไห่
“ทำไมคุณไม่ไปพรุ่งนี้ล่ะ มันมืดแล้ว” ซูหย่าคิด เล่อจยานอนที่บ้านคุณปู่ของเธอหนึ่งคืนคงไม่เป็นอะไร
“คุณหาที่พักที่นี่ก่อน ผมจะไปคนเดียว” เกาไห่ตอบอย่างเย็นชา เขาต้องพบเธอคืนนี้ ไม่เช่นนั้น เขาจะรู้สึกไม่สบายใจ
ซูหย่าจ้องไปที่เขา “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าเล่อจยาชอบอะไรคุณ?”
เมื่อพูดจบเขาก็เปิดประตูรถและพูดว่า “ไปต่อได้แล้ว”
จากนั้นพวกเขานำรถไว้ที่นี่แล้วไปที่รถอีกคัน ดูถนนที่คดเคี้ยวบนการนำทาง ซูหย่ายังคงประหม่าเล็กน้อย และเมื่อพวกเขาไปถึงภูเขาก็มีหน้าผาด้านล่าง
อย่างไรก็ตาม เกาไห่ขับรถอย่างใจเย็น และในที่สุด ทั้งสองก็มาถึง
ดูตอนนี้ก็ 2 ทุ่ม แล้ว อยู่ในเมืองช่วงนี้ สถานบันเทิงเพิ่งเริ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในหมู่บ้านบนภูเขาเล็กๆ แห่งนี้ ในเวลานี้ บ้านถูกปิดหมดแล้ว ยกเว้นแสงไฟสลัวๆ เล็กน้อย ทั้งหมู่บ้านถูกปกคลุมไปด้วยความมืดในคืนที่มืดมิดทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย
ซูหย่าเห็นต้นไม้ใหญ่ที่หัวหมู่บ้าน “ใช่ นี่คือหมู่บ้าน ตอนนั้นฉันถ่ายรูปกับจยาจยาที่นี่” เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยังไงก็ตาม ไม่ผิด
เมื่อทั้งสองพูดคุยกัน ร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในที่ที่มีแสงสว่างส่องถึง
“ถ้าอย่างนั้นลองเช็คดู ใช้โทรศัพท์ของฉันเช็ค”
เล่อจยาไม่สงสัยในตัวเขาหยิบโทรศัพท์มือถือของเล่อเหวิน เพราะมักจะต้องใช้เงินนั้นเพื่อซื้อยาให้พ่อ ดังนั้นเล่อจยาจึงสับสนกับชุดตัวเลขที่มันวุ่นวายนี้มานานแล้ว เขาเปิดมือถือแล้วเข้าระบบธนาคารหลังจากเข้าสู่ระบบ เธอคลิกอย่างรวดเร็วที่คำว่า “โอน” แต่ก่อนที่เนื้อหาจะปรากฏ เล่อเหวินก็คว้าโทรศัพท์จากมือของเธอแล้วคลิก
“คุณปู่ ดูซิ ชื่อนี้ของใคร”
เล่อจยาเอนศีรษะดูข้างบนเขียนชื่อผู้รับเงิน:เล่อจยา
การถ่ายโอนเงินหลายๆยอด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเล่อจยา
จากนั้นสายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่เล่อจยาและสายตานั้นทำให้เห็นชัดเจนว่าเธอเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอ
“เธอกังวลว่าผมต้องขอเงินจำนวนนี้กับเธอ ดังนั้นเธอจึงโอนเงินทั้งหมดในบัตรของพ่อไปที่บัญชีของเธอล่วงหน้า เธอยังโทษผม เล่อจยา ไม่นึกเลยว่าพ่อจะดีกับเธอขนาดนี้สุดท้ายเธอปฏิบัติต่อเขาแบบนั้น”
ดวงตาของเล่อจยามืดลงครู่หนึ่ง และเธอก็จำได้ว่าไม่นานก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต พ่อได้ขอบัตรธนาคารจากเธอ คนที่รื้อถอนบอกว่าเขาต้องการเก็บหมายเลขบัตรไว้เป็นข้อมูลสำรองตอนนั้นเธอก็ไม่ได้คิดมากอะไร เธอเลยบอกรหัสผ่านให้พ่อ แล้วให้การ์ดใบนั้นแก่เขา
แต่คิดไม่ถึง… มันถูกใช้เพื่อจุดประสงค์นี้จริงๆ
หัวใจของเธอก็เจ็บราวกับเหมือนเลือดออก เธอไม่เชื่อว่าพ่อของเธอจะไม่รู้เจตนาของเล่อเหวินแต่พ่อก็ยังทำตามเขา
ในเวลานี้ เธอมองไปที่ “ญาติ” ในบ้าน หลับตาแล้วดูพวกเขาอีกครั้ง “เอาล่ะ ถ้าคุณจะเชื่อเขา ก็แค่เชื่อ ฉันแค่อยากจะบอกว่าพ่อของฉันจากไปแล้ว ”
หลังจากพูดจบเธอก็หันหลังกลับและต้องการจะจากไป
เธอแค่รู้สึกปวดที่หลังศีรษะจากนั้นก็จะหมดสติไป
ในอีกด้านหนึ่ง
ใกล้ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วเกาไห่ยังคงไม่ได้รับข้อความใดๆจากไห่ยุ่น เขาทั้งโทรแจ้งตำรวจและส่งคนไปตามหาและใช้วิธีการต่างๆมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นไร้ผล ในที่สุดเขาก็โทรหาลุงของเขา
มื่อพ่อของไห่ยุ่นได้รับโทรศัพท์ เขาได้ยินเกาไห่พูดว่าไห่ยุ่นหายตัวไป เขาประหลาดใจมากเพราะทางนั้นไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก เขาแค่พูดอย่างใจเย็นว่า “เสี่ยวไห่ รบกวนคุณแล้วจริงๆ ไม่ต้องไปสนใจเธอให้เธออยู่คนเดียวสักพักเดี๋ยวก็กลับเอง” พูดเสร็จก็วางสายไป
เกาไห่แค่คิดว่าเขาได้ยินผิด เพราะเขาเปิดลำโพงเพื่อพูด เขามองย้อนไปที่เสี่ยวตง “คุณได้ยินที่ลุงของฉันพูดไหม”
เสี่ยวตงพยักหน้า “ผมได้ยิน เขาบอกว่าไม่ต้องสนใจเธอ”
จากนั้นเขาก็พูดขึ้นว่า: “ประธานเกา ทำไมคุณไม่กลับไปก่อน เกิดอะไรขึ้น ผมจะโทรหาคุณเองและฟังจากพ่อของไห่ยุ่น มันอาจจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเป็นแบบนี้ บางทีเธออาจเจอเรื่องที่ไม่สบายใจ เลยอยากอยู่คนเดียว”
เกาไห่ คิดเกี่ยวกับมัน เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาของลุงของเขามีความหมายแบบนั้น ถ้าเขาถูกลักพาตัวจากคนเลวจริงๆ คงไม่เงียบไปแบบนี้และเขาก็เหมือนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“งั้นผมกลับก่อนนะ ถ้าคุณทราบข่าวก็โทรหาผมได้เลย”
เมื่อ เกาไห่ กลับถึงบ้าน เขานึกถึงอะไรบางอย่างโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นรองเท้าแตะคู่หนึ่งที่ประตู เขารีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วกดหมายเลขของเล่อจยา
“ขออภัยค่ะหมายเลขที่ท่านเรียกปิดให้บริการชั่วคราว”
เขาหลับตา หายใจเข้าลึกๆ โทรหาซูหย่าแล้วถามหาเล่อจยา ซูหย่าขมวดคิ้ว “จยาจยาได้บอกไว้ว่า วันนี้คุณจะพาเธอไปหาย่าของเธอไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ไม่ไปกับเธอเหรอ?”
เกาไห่ตัวแข็งทื่อ และในวินาทีถัดมา เขาเข้าไปในห้องและตะโกนว่า “คุณป้า…คุณป้า”
คุณป้ารีบเดินออกมาจากระเบียง “คุณเกา เกินเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“จยาจยาออกไปเมื่อไหร่? ตอนออกไปพกอะไรไปด้วยไหม?”
คุณป้ารู้สึกประหม่าเล็กน้อยกับเสียงที่ดังของเขา “ออกไปตอนเช้า ตอนออกไปก็เอากระเป๋าสัมภาระไปด้วย”
เกาไห่เอาห้านิ้วเข้าหากัน ตบแก้มขวาตัวเองด้วยความเสียใจ
เขาลืมสิ่งนี้ไปได้อย่างไร ไม่น่าแปลกใจที่เล่อจยาโทรหาเขาสองครั้งในตอนเช้าและเมื่อคืนนี้เขาก็ไม่ได้กลับและไม่ได้บอกเธอด้วย
เมื่อนึกถึงญาติที่มีพลังปากของเธอในวันนั้น คิดว่าเธอจะต้องเผชิญหน้าคนเหล่านั้นเพียงลำพัง เขาจึงโกรธและวิตกกังวล โกรธที่ความประมาทเลินเล่อของเขาที่มีต่อเธอ
“เฮ้ เกาไห่ นายไม่ได้กลับกับจยาจยาเหรอ?”
เสียงของซูหย่ามาจากโทรศัพท์ และเกาไห่เพิ่มจำได้ว่าเขาไม่ได้วางสาย
หยิบขึ้นมา “คุณรู้ไหมว่าบ้านเกิดของเธออยู่ที่ไหน”
ซูหยาและเล่อจยาเคยไปที่นั่นมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นเวลาสองหรือสามปีแล้ว เธอไม่แน่ใจนัก “แต่พอจะรู้ที่ตั้ง แต่ไม่แน่ใจที่อยู่แถวนั้น”
หลังจากหยุดไปชั่วครู่ เธอก็พูดต่อ “ว่าแต่ทำไมคุณไม่ไปกับเธอล่ะ ฟังจยาจยาพูด ความคิดเห็นนี้ก็มาจากคุณ”
เกาไห่หยิบเสื้อโค้ตและเปลี่ยนรองเท้า “จะพูดถึงเรื่องนี้ให้ฟังภายหลัง ส่งที่อยู่คุณมาผมจะไปรับคุณ”
ภายในรถ
“คุณกำลังพูดเรื่องอะไร เมื่อคืนคุณไม่ได้กลับบ้านเพื่อตามหาลูกพี่ลูกน้องของคุณ คุณยังวางสายเล่อจยาถึงสองสายเมื่อเช้านี้” ซูหย่าก็ขึ้นเสียงของเธอทันทีหลังจากได้ยินคำอธิบายของเกาไห่
“ฉันบอกว่าคุณทำได้จริงๆ เรื่องนี้เล่อจยา ถ้าเป็นฉัน ฉันคงไม่ต้องการคุณอย่างแน่นอน เพื่อผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้กลับมาทั้งคืนไม่พอแล้วยังวางสายใส่อีก”
“เสียงเอี๊ยด…” เสียงล้อกระทบพื้นดังขึ้น และซูหย่าโชคดีที่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ไม่เช่นนั้น ในตอนนี้ เธออาจจะกระแทกกระจกหน้ารถโดยตรง
เธอคลุมหน้าอกของเธอด้วยความตื่นตระหนก: “คุณบ้าแล้วเหรอ คุณไม่กลัวรถพลิกถ้าเบรกแบบนี้เหรอ” หลังจากพูดจบ เธอพบว่าเกาไห่จ้องมาที่เธอและกลืนน้ำลายลงคอ
“คุณพูดว่า เธอไม่ต้องการผมแล้วเหรอ?” ใบหน้าของเขาดูไม่ดีและดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก และซูหย่าก็พยายามจะย้อนคำพูดสองสามคำเหล่านั้นในตอนนี้
สุดท้ายเธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “แน่นอน ถ้าเธอเจอแบบนี้ ผู้ชายที่ลืมเมียตัวเองได้หมดจด เป็นฉัน ฉันก็ไม่ต้องการอย่างแน่นอน” เธอต้องทำให้ผู้ชายคนนี้ทนทุกข์ทรมานและไม่รู้ว่าในอนาคตจะทำกับเล่อจยาอย่างไร
“นั่นเป็นเพราะว่าไห่ยุ่นหายตัวไป เท้าและขาของเธอมันไม่สะดวก ฉัน…”
“มันเป็นข้อแก้ตัว เมื่อคืนนี้คุณไม่กลับบ้าน คุณเคยคิดถึงความรู้สึกของเล่อจยาไหม วันนี้ที่คุณวางสาย คุณคิดถึงความรู้สึกของเธอไหม คุณพลาดการนัดหมาย คุณคิดถึงความรู้สึกของเธอบ้างไหม ทั้งหมดนี้ในหัวใจของคุณเล่อจยาคงไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเพาะว่าเธอไม่สามารถเทียบกับลูกพี่ลูกน้องของคุณได้” ซูหย่าขัดจังหวะการโทรของเกาไห่ จากนั้นก็จัดการด่าเขามากมายไปรอบหนึ่ง
การแสดงออกของเกาไห่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ในขณะนั้นเสียงแตรที่อยู่ข้างหลังก็ดังขึ้น
“โอเค ไปขับรถก่อน นี่เป็นแค่ความคิดของฉัน แต่คุณในสายตาของจยาจยาของเราคือของมีค่าสำหรับเธอเธออาจจะยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อคุณและเป็นไปได้ที่จะไม่โกรธคุณ.”
คำพูดของเธอไม่เพียงแต่ทำให้สีหน้าของเกาไห่ดูดีขึ้นเล็กน้อย และกลับมามืดลงอีกครั้ง
หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา
เขาไม่เคยคิดว่าเล่อจยาจะรักเขาอย่างถ่อมตนขนาดนี้
เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้น เธอก็ถูกขังอยู่ในห้องมืด และกลิ่นฝุ่นหนาทึบบอกเธอว่าห้องนี้น่าจะไม่มีคนอยู่เป็นเวลานานแล้ว
เล่อจยาเหลือบมองเล่อเหวิน เขาหันศีรษะไปอย่างรู้สึกผิด แล้วรีบเดินไปที่หมู่บ้านทิศทางบ้านของคุณปู่
“เขาเสียชีวิตด้วยอาการป่วย”เล่อจยามองแผ่นหลังนั้น พูดเสียงเบา ถึงแม้จะไม่มีความรู้สึกกับเขาแล้ว แต่ เขาเป็นลูกชายของพ่อ เธอทนไม่ได้ที่จะพูดอย่างนั้นต่อหน้าคนนอก คิดๆแล้ว เรื่องภายในครอบครัวไม่ควรสาวไส้ให้กากิน
เห็นได้ชัดว่าอาสะใภ้รองยังไม่หายจากอาการตกใจที่พ่อเสียชีวิต และตกตะลึงอยู่กับที่
ความรู้สึกที่เล่อจยามีต่ออาสะใภ้คนนี้ไม่ได้ดีตั้งแต่เด็ก ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องพูดคุยให้ยืดเยื้อ เธอหันตัว เดินไปทางบ้านของคุณปู่
พอถึงหน้าบ้านคุณปู่ เล่อจยาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากข้างใน ทั้งชายและหญิง เด็กและผู้ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเฮฮามาก เทียบกับวันตายของพ่อที่เงียบสงบแล้วแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
บ้านของคุณปู่ ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน อิฐสีน้ำเงินและกระเบื้องหิน มองจากภายนอกห้องจะมืดไปหน่อย เล่อจยายืนอยู่หน้าประตู มองเข้าไปข้างใน มีเด็กและผู้ใหญ่หลายคนนั่งอยู่ในบ้าน เฮฮากันมาก
เล่อเหวินนั่งอยู่ข้างคุณยาย คุณยายจับมือเขา มองขึ้นและลง มองไปทางซ้ายและขวา ในตาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
เธอยืนหน้าประตูอยู่นาน แต่กลับไม่มีใครทักเธอเลยสักคน
“เหวินเหวิน นี่นานเท่าไหร่แล้วที่นายไม่มาหาปู่กับย่าเลย นายรู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันเกิดของปู่ ถึงได้ตั้งใจกลับมาใช่ไหม?”
เสียงของชายชราค่อนข้างแหบ เล่อจยาใจกระตุกไปที พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณปู่?
ถ้าอย่างนั้น ดูเหมือนว่า ข่าวที่พ่อเสียชีวิต คงพูดวันนี้ไม่ได้แล้ว
แต่ว่า……
“พ่อ พี่ใหญ่เสียแล้ว”เสียงตะโกนต่ำดังมาจากทางประตู
‘ตึกตัก’เสียงหัวใจของเล่อจยา จบแล้ว เธอลืมไปได้ยังไง ว่าเมื่อกี้บอกอาสะใภ้รองไป ด้วยนิสัยปากมากของเธอ ถึงเธออยากจะปิดบังก็เก็บไว้ไม่อยู่
เธอเข้ามาในบ้าน มองทุกคนในนั้น พยักหน้า และทักทีละคน
สุดท้ายสายตาไปตกอยู่ที่คุณปู่และคุณย่า “คุณปู่คะ ที่ฉันและเสี่ยวเหวินกลับมาวันนี้ ก็เพื่อจะมาบอกข่าวการตายของพ่อ”
พูดไป เธอก็หันไปมองเล่อเหวิน
เล่อเหวินมองเธอ แล้วก้มหน้าลงไปซุบซิบข้างหูคุณปู่ ระยะห่างไกลเกินไป เล่อจยาไม่ได้ยิน แต่ ดูจากสายตาที่คุณปู่มองเธอแล้ว อีกอย่าง นิสัยของเล่อเหวินไม่เคยพูดถึงเรื่องดีของเธอตั้งแต่เด็กแล้ว เธอรู้ว่า เขาไม่มีทางพูดเรื่องดีๆแน่นอน
“โฮ…….”เธอเพิ่งพูดจบ คุณยายก็นั่งลงกับพื้น ตบขาตัวเอง ร้องไห้ขึ้นมาเสียงดัง “โธ่ลูกของฉัน……ทำไมนายถึงให้คนผมขาวส่งศพคนผมดำล่ะ?”เสียงร้องไห้ที่โศกเศร้านั้น ทำให้เย่หลินรู้สึกสงสัย ว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่เพราะคนที่อยู่ข้างหน้าเธอคนนี้หรอกเหรอที่ไม่สนใจพ่อ
เธอก้มหน้าลง รู้สึกเศร้าเล็กน้อย
“เธอคงจะเป็นจยาจยาสินะ มานี่สิ เข้ามาใกล้หน่อย ไหนลองพูดซิ ว่าพ่อเธอเสียได้ยังไง? เสียเมื่อไหร่?”คนที่พูด คือปู่ของเล่อจยา สีหน้าเขาดูแย่มาก กวักมือเรียกเล่อจยา
เธอคงจะเป็นจยาจยาสินะ? เล่อจยาคิดว่ามันตลกมาก
ปู่แท้ๆของเธอไม่สามารถยืนยันตัวตนของเธอได้
แต่ก็เอาเถอะ เธอรู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาโกรธ เธอเดินเข้าใกล้สองก้าว เพียงแต่ ยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง เธอก็โดนตบหน้า
เล่อจยากุมหน้าตัวเองไว้ มองคุณปู่ที่อยู่ข้างหน้าเธออย่างไม่เชื่อ “ทำไมถึงตบฉัน?”
“เธอพูดมาซิ ว่าเธอทำพ่อเธอตายยังไง?”
ทำพ่อตาย? เล่อจยาขมวดคิ้ว “คุณปู่ ฉันฟังที่ปู่พูดไม่รู้เรื่อง?”
“ฟังไม่รู้เรื่อง? เธอยักยอกเงินค่ารื้อถอนของพ่อเธอทั้งหมดและไม่ได้ซื้อยาให้พ่อของเธอ เขาป่วยและเสียชีวิตไป เธอบอกว่า เธอไม่ได้ทำให้เขาตาย แล้วเธอทำอะไร?”
เล่อจยาตกตะลึง เธอหันไปมองเล่อเหวินด้วยสายตาเฉียบขาด ชี้นิ้วขึ้น “เล่อเหวิน นายพูดเหรอ?”
เล่อเหวินไปหลบหลังคุณปู่ “คุณปู่ คุณดูสิ ผมบอกคุณแล้ว ถ้าเธอรู้เข้า เธอตีผมตายแน่”
พูดไป ก็ทำท่าทางเหมือนกลัว
การแสดงที่เหมือนจริงมากของเขา ทำให้เล่อจยาเปิดหูเปิดตา “เล่อเหวิน นายไม่ไปเป็นนักแสดงคงน่าเสียดาย”
เธอพูด และเหยียดแขนออกไป ต้องการจะดึงเล่อเหวิน “เอาแต่พูดโกหกคำโต วันนี้ถ้าฉันไม่สามารถฉีกปากนาย ถือว่านายเก่งมาก”
เพียงแต่ ปู่เล่อกลับเร็วกว่า ลุกขึ้นยืนบังตัวเล่อเหวินไว้ “ในสายตาเธอยังเห็นฉันที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้อยู่ไหม?”
เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามให้อารมณ์ของตัวเองนิ่งลง เอ่ยปากพูด“คุณปู่ เล่อเหวินมันเล่นการพนัน และเป็นหนี้ก้อนโต เพื่อที่จะชำระหนี้ให้เขา พ่อของฉันเอาเงินค่ารื้อถอนทั้งหมดให้กับเขา นั่นมันตั้งหลายล้านเลยนะ แถมยังแอบเอาเงินค่ายาให้เขาลับหลังฉันอีก ต่อมา เพราะไม่ได้กินยาเป็นเวลานาน พ่อก็สลบไป พวกเราไปถึงโรงพยาบาล ก็เพิ่งจะมารู้เรื่องของเล่อเหวิน และพอพ่อของฉันมารู้ธาตุแท้ของเล่อเหวิน ก็ไปหาเขา สุดท้ายเขาก็พูดจาไร้มารยาทกับพ่อ พ่อฉันโกรธ จึงวิ่งไปกลางถนน โดนรถชน พ่อถึงได้เสีย”
เล่อจยาพูดจบในเฮือกเดียว จากนั้น ยื่นมือออกจะจับเล่อเหวินที่อยู่หลังปู่เล่อ “เล่อเหวิน นายออกมานะ”
แต่ใครจะคิดว่าเล่อเหวินกลับหัวเราะเสียงเย็น“เล่อจยา เธอใส่ร้ายฉัน เงินรื้อถอนของพ่อ เป็นเธอต่างหากที่เอาไปคืนหนี้”
พูดจบ ก็เข้าไปดึงเสื้อกันหนาวของเล่อจยา “พวกคุณดูสิ เสื้อที่พี่สาวผมใส่ เป็นแบรนด์ดังระดับประเทศ ตัวละหมื่นกว่า แค่งานที่เธอทำ จะมีเงินที่ไหน มาซื้อเสื้อแพงขนาดนี้”
ลูกพี่ลูกน้องสองสามคนที่อายุน้อยกว่าเล่อจยา เมื่อได้ยินคำพูดของเล่อเหวิน พวกเขาทั้งหมดก็ยืนขึ้นมามอง จากนั้น เสียงถอนหายใจดังขึ้นเป็นแถบ
เล่อจยาอ้าปากค้าง แต่หาเหตุผลที่จะเถียงไม่ได้ เสื้อตัวนี้ ซูหย่าเป็นคนเลือกให้เธอเมื่อวาน เธอซื้อมันไม่ลง ถึงขนาดเดินออกจากร้าน ซูหย่าก็ดึงเธอกลับเข้าไปอีก บอกว่าไม่ซื้อของแพงสักสองสามชุด จะทำให้เกาไห่เสียหน้า
แต่ว่า วินาทีนี้ เธอกลับไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกาไห่เป็นคนซื้อ เพราะก่อนหน้านี้ได้พูดโกหกเล่อเหวินไปแล้ว
อีกอย่าง เกาไห่ก็ไม่อยู่ ถึงเธอจะบอกว่าตัวเองแต่งให้กับเศรษฐี ก็คงไม่มีใครเชื่อ เมื่อกี้อาสะใภ้รองอยู่หน้าหมู่บ้าน คงเห็นว่าเธอลงจากรถบัสแล้ว มีคนรวยที่ไหน นั่งรถบัสกัน
พิจารณารอบด้าน เธอก็ก้มหน้า ไม่พูดอะไร แต่กลับโกรธหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง
น้องชายของเธอคนนี้ไม่ได้แค่เลวธรรมดา แต่กลับเลวเข้ากระดูกเลยด้วยซ้ำ เสียดายที่เมื่อกี้เธออุส่าห์คิดว่าจะไม่เปิดเผยความจริง
เธอไม่รู้ว่าเมื่อกี้เขาพูดอะไรกับคุณปู่ แต่ เธอรู้ดี ว่าวันนี้ ต่อให้ตัวเองไปกระโดดลงแม่น้ำเหลืองก็คงอธิบายไม่ได้
ทันใดนั้น เธอก็นึกอะไรขึ้นได้ “นายบอกว่าฉันยักยอกเงินรื้อถอนของพ่อ นายมีหลักฐานอะไรไหม? ตอนนั้นเงินค่ารื้อก็โอนเข้าบัญชีของพ่อ ถ้านายไม่มีเลสนัย พวกเราก็ตรวจสอบบันทึกการโอนของพ่อเลย”แบบนี้ คงสามารถพิสูจน์ได้แล้ว
แต่ว่า สิ่งที่ไม่คาดคิด เล่อเหวินรีบหยิบมือถือออกมาโดยเร็ว “ได้ นี่เธอพูดเองนะ เธอบอกว่าพ่อโอนเงินให้ใคร ก็แสดงว่าใครเป็นคนใช้เงินนี้ใช่ไหม?”
เล่อจยาได้ยินแบบนี้ รู้สึกว่าไม่มีอะไรผิด จึงพยักหน้า
ขณะที่นั่งอยู่บนรถบัสเดินทางกลับ เล่อจยารู้สึกผิดหวังมาก เธอเอนหลังพิงเก้าอี้ หันตัว มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย และขณะที่เธอกำลังจะละสายตา เธอก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของใครบางคน
เล่อเหวิน?
ดูเวลา ลงจากรถตอนนี้ยังคงมีเวลา จึงลุกขึ้น รีบลงจากรถ แต่พอลงจากรถแล้ว ก็ไม่เห็นเงาของเล่อเหวินเลย เธอวิตก จึงร้องขึ้นเสียงดัง “เล่อเหวิน นายอยู่ไหน?”
สิ่งที่ตอบกลับมามีเพียงอากาศ
เธอก้าวถอยหลังอย่างหมดสภาพ เอนตัวพิงรถบัส ทรุดตัวลงช้าๆ นั่งยองๆกับพื้น กุมศีรษะไว้ด้วยความหงุดหงิด
ทันใดนั้นเงาของร่างเพรียวบางก็บังเธอไว้
เธอเงยหน้าโดยอัตโนมัติ ลุกขึ้นยืน “เล่อเหวิน……”
เล่อเหวินมองเธอ แล้วมองไปที่รถบัสข้างหลังเธอ สายตาเยาะเย้ย เม้มปาก เดินวนรอบเธอสีหน้าเฉยๆ นั่งลงบนขอบแปลงดอกไม้ด้านหลัง หยิบบุหรี่ออกมาจุด ทันใดนั้นก็เต็มไปด้วยควันหุ้มล้อมใบหน้าที่หล่อเหลาสมบูรณ์แบบของเขา
“ไม่ใช่ว่าแต่งให้กับเศรษฐีเหรอ? ทำไมถึงมานั่งรถบัสกระเซอะกระเซิงแบบนี้ล่ะ? ให้เขานั่งรถหรู……”
“เพี๊ยะ”เล่อเหวินยังพูดไม่ทันจบ ก็โดนตบหน้าไปหนึ่งที
“เล่อเหวิน นายรู้ไหม พ่อตายเพราะนาย?”เสียงเธอเย็นมาก สองมือกำหมัด
เล่อเหวินยกมือขึ้นจับหน้า ปล่อยออก เงยหน้าขึ้นมองเล่อจยาแล้วพูดว่า
“พี่ อย่ามาพูดมั่วแบบนี้นะ พ่อตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ต่างหาก” เล่อจยาพูด แล้วเข้าไปใกล้ และลากเขา “นายกลับบ้านเกิดกับฉัน ไปคุกเข่ายอมรับผิดต่อหน้าคุณปู่คุณย่า”
พูดไป ก็ดึงเล่อเหวินไปที่ตู้ขายตั๋วเพื่อซื้อตั๋ว
เล่อเหวินดิ้นเพื่อให้หลุดจากการควบคุมของเล่อจยา ตัวเขาสูง กินแรงเล่อจยาไปมาก
เธอตัดสินใจ หันตัวกลับไป จ้องเขา “ฉันขอบอกนายไว้ก่อนนะ นายมีทางเลือกแค่สองทาง คือ กลับไปกับฉัน หรือไม่อย่างนั้น วันนี้ฉันจะหักขานายทิ้ง”
แววตาของเธอมีความมุ่งมั่น เล่อเหวินรู้ว่าพี่สาวคนนี้เก่ง และรู้ด้วยว่าพี่สาวคนนี้ไม่ได้พูดเล่น ตั้งแต่เด็กพ่อกับแม่ไม่กล้าตีเขาเลย แต่เขากลับโดนผู้หญิงคนนี้ทุบตีมาไม่น้อย เขาจึงหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
“ไปซื้อตั๋วเอง”
“ฉันไม่มีตังค์ ตอนนี้แค่กินข้าวก็เป็นปัญหาแล้ว”
“ใช่เหรอ? แล้วเมื่อกี้มาทำอะไรที่นี่? นายเตรียมตัวจะไปไหน?”
สายตาของเล่อเหลินวูบวาบ “เธอไม่ต้องยุ่ง……”
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง”ตั้งแต่เด็กความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคนก็ไม่ค่อยจะดี เล่อเหวินถูกที่บ้านตามใจ จึงเห็นแก่ตัวมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกที่เล่อจยามีต่อเล่อเหวิน มันหายไปตั้งแต่วินาทีที่พ่อเขาเสียแล้ว
“อีกอย่าง ฉันถามหน่อย แม่เป็นบ้าได้ยังไง?”
เล่อเหวินตัวกระตุกไปที ปิดหูไว้ “ฉันไม่รู้ เธอไม่ต้องมาถามฉัน”
“ฉันไม่ถามนาย แล้วจะให้ฉันไปถามใคร? นายอยู่กับเธอตลอด เธอบ้าได้ยังไง นายไม่รู้เหรอ?”
เล่อเหวินเอามือลง หลับตา ไม่ได้พูดอะไร มีท่าทางแบบอยากทำอะไรก็เชิญ
เมื่อพวกเขามาถึงในเมือง ทั้งสองก็ลงจากรถทีละคน และยืนอยู่หน้าป้ายรอรถเพื่อรอรถบัส หมู่บ้านของพวกเขา อยู่แถวตีนดอย มีรอบรถน้อยมาก
บนป้ายรอรถไม่มีที่นั่ง เล่อจยาพิงอยู่บนป้าย ขณะที่เล่อเหวินนั่งยองๆอยู่บนพื้น สูบบุหรี่ไปทีละม้วน
“ขอพูดหน่อยเหอะ พี่ เธอแต่งงานกับคนรวยไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงไม่มีรถพิเศษให้เธอล่ะ? นี่ต้องรอไปถึงเมื่อไหร่?”
เล่อจยามองเขา “ใครบอกนาย ว่าฉันแต่งงานกับคนรวย?”เรื่องระหว่างเธอกับเกาไห่ เพราะความดึงดันของเธอ จึงเป็นความลับมาตลอด
“วันสุดท้ายของงานศพพ่อ ฉันแอบตามไปดู ถามคนงานแถวนั้น ว่าใครเป็นคนจัดงานศพ เขาบอกเป็นลูกเขย ฉันยังถามทีหลังอีกว่าสุสานของพ่อมีราคาตั้งหลายแสนแหนะ ค่ารักษาพยาบาลของแม่ ได้ยินว่าเขาก็จ่ายให้หนึ่งปี นี่ก็ต้องใช้หลายแสนเลยเหมือนกัน ถ้าไม่มีเงิน จะช่วยแบบฟุ่มเฟือยขนาดนี้เหรอ? ”
ฟังเขาพูดจบ เล่อจยาก็ขมวดคิ้ว ที่แท้เกาไห่ช่วยเธอทำธุระหลายอย่างเลย เธอเคยคิดว่าค่าใช้จ่ายพวกนี้ต้องไม่น้อยแน่ๆ แต่กลับคิดไม่ถึง ว่าจะแพงขนาดนี้ แล้วก็โล่งใจ ดูเหมือนว่า เล่อเหวินจะยังไม่รู้จักเกาไห่
ทันใดนั้นก็คิดถึงแผนของเขาที่จะเพิ่งเธอ “อ๋อ นายหมายถึงผู้ชายคนนั้นเหรอ เราเลิกกันแล้ว”
เธอสังเกตว่าในสายตาของเล่อเหวินผิดหวังเล็กน้อย ทันใดนั้นใจก็เย็นชื้นขึ้นมา
“คนอื่นเขาเล่นเธอจนเบื่อแล้ว? เพราะอย่างนั้น ถึงไม่เอาแล้ว?”เล่อเหวินพูดจบ ในตาก็แฝงไปด้วยความเหยียดหยาม
เล่อจยาตบเข้าแรงๆที่หัวของเขา “ถ้ายังพูดไปเรื่อยอีก ฉันฉีกปากนายทิ้งแน่”
ตอนนี้เอง รถบัสก็มาพอดี
เมื่อเราไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านของเธอ ก็เป็นเวลาบ่ายโมงแล้ว ในตอนเช้าเธออารมณ์ไม่ดี และเล่อจยาไม่ได้กินอะไรมามาก ตอนนี้จึงหิวจนท้องร้อง
บ้านของคุณย่าอยู่กลางหมู่บ้าน เดินเข้าไปข้างในไม่กี่ก้าว เล่อจยาก็ได้ยินมีคนเรียกตัวเอง “จยาจยา?”
เธอหันกลับไป ก็เห็นผู้หญิงที่แต่งตัวดีคนหนึ่ง เดินมาทางเธอ นี่เป็นภรรยาน้องชายคนที่สองของพ่อเล่อ หรือก็คืออาสะใภ้รอง
เล่อจยาดึงริมฝีปาก เรียกแบบหน้ายิ้มใจไม่ยิ้มว่า“อาสะใภ้รอง”
“อาสะใภ้รอง ยังสาวยังสวยเลยนะเนี่ย”เสียงเล่อเหวินดังขึ้นข้างหลังเล่อจยา
เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ อายุประมาณห้าสิบปี เอวถังน้ำ ขาช้าง หน้าค่อนข้างอ้วน ใบหน้าของเธอดูเป็นก้อนกลมๆ เหมือนจะทาแป้งหนาๆไว้ด้วย ยังสาว? ยังสวย?
เล่อเหวินนี่ลืมตาพูดคำบอดเก่งจริง
“อ้าว นี่ไม่ใช่เสี่ยวเหวินเหวินของเราเหรอ? ปากหวานตั้งแต่เด็ก พูดดี รูปร่างหน้าตาแบบนี้ ได้ข้อดีของพ่อกับแม่มาหมดเลยนะเนี่ย หล่อจริงๆ”เธอจับมือเล่อเหวิน ชมเขาจนแทบจะขึ้นสวรรค์
เล่อจยาขี้เกียจทนดูความเสแสร้งของพวกเขา หันตัวเดินไปทิศทางที่อยู่ของคุณปู่กับคุณย่า
“จยาจยา เธอมีแฟนหรือยัง?”
เล่อจยานึกถึงเกาไห่ อยากจะพยักหน้า แต่นึกได้ว่าเล่อเหวินอยู่ข้างๆ เธอจึงส่ายหน้า
“อ๋อ ยังไม่มีเหรอ? แต่เธอโตกว่าเสี่ยวอวี๋สามปีใช่ไหม?”เสี่ยวอวี๋ เล่อเสี่ยวอวี๋ ลูกพี่ลูกน้องของเล่อจยา ลูกสาวของอาสะใภ้รอง เด็กที่ทำตัวแรด ร่านตั้งแต่เด็ก เล่อจยาเม้มปาก พยักหน้า
“เธออ่ะนะ จะแต่งงานแล้ว แต่งวันที่แปดเดือนหน้า ที่จริงสองสามวันนี้ว่าจะโทรหาพ่อเธอ เธอกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่โทรละ ฝากเธอกลับไปบอกที”
แต่งวันที่แปดเดือนหน้า? วันนี้ก็วันที่ยี่สิบห้าของเดือนนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็อีกแค่สิบวันไม่ใช่เหรอ?
เล่อจยาไม่มีอะไรจะพูด นี่แสดงว่าเธอตั้งใจจะดูถูกคน ตามธรรมเนียมของพวกเขา ถ้าวันที่ถูกกำหนดมาแล้ว บางคนจะส่งคำเชิญไปยังญาติและเพื่อนล่วงหน้าหกเดือน อีกอย่างส่วนมากจะไปเชิญด้วยตัวเอง เธอนี่ดีเลย ทำแค่ให้เธอฝากกลับไปบอก นี่มันช่าง……
“อ๋อ แบบนี้เองเหรอ? แต่ พ่อฉันไม่อยู่แล้ว เขาอาจจะดื่มเหล้ามงคลของลูกสาวคุณไม่ได้แล้ว” เธอไม่อยากพูดถึงพ่อของเธอตอนที่พวกเธอกำลังพูดถึงเรื่องงานแต่งงาน แต่เธอนึกถึงการที่เธอไม่เคารพพ่อของเธอ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
จากนั้น เธอก็เห็นสีหน้าของอาสะใภ้รองเปลี่ยนไป “เธอพูดว่าอะไรนะ ไม่อยู่แล้ว?”
“ทำไมเหรอ?”เกาไห่ถามเล่อจยา
“ฉัน……ไม่มีอะไร จำคนผิดน่ะ”เมื่อกี้เธอเห็นไห่ยุ่น ไห่ยุ่นที่เดินได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเกาไห่ เธอก็เปลี่ยนคำพูด
ขมวดคิ้ว ดูเหมือนน่าสงสัยมาก
เธอมั่นใจ ว่าตัวเองดูไม่ผิด ไห่ยุ่นหน้าตาสวย ความสวยของเธอเป็นเอกลักษณ์มาก คนธรรมดาเทียบไม่ได้เลยจริงๆ เพียงแต่ เธอไม่เข้าใจ เธอเดินได้แล้ว ทำไมต้องโกหกเกาไห่และทุกคน?
“ทำไมเหรอ?”เกาไห่เห็นว่าท่าทางของเล่อจยาแปลกๆ ก็อดที่จะถามขึ้นไม่ได้
เล่อจยาเม้มปาก แล้วสูดหายใจเข้า เงยหน้ามองไปที่ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งนี้ “ไม่มีอะไร กลับก่อนเถอะ เดี๋ยวคืนนี้ค่อยให้ซูหย่ามากับฉัน”
กลัวว่าเกาไห่จะไม่พอใจ เธอจึงหยิบบัตรสำรองออกจากกระเป๋าของเธอ “วางใจเถอะ รูดบัตรของคุณ”
ตอนนี้เอง ไม่รู้ว่าใครโทรหาเขา ได้ยินเกาไห่แค่ตอบรับกลับไป สีหน้าก็นิ่งลงไป “อืม โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
พูดจบ ก็วางสาย ส่งกระเป๋าในมือให้เล่อจยา “จยา คุณนั่งแท็กซี่กลับไปก่อนนะ ผมมีเรื่องด่วนต้องไปทำ”
เล่อจยาเห็นว่าเขาร้อนใจขนาดนี้ คิดว่าเป็นเรื่องที่บริษัท จึงรีบตอบกลับว่า “ไปเถอะๆ ไม่ต้องห่วง ฉันกลับเองได้”
พอเกาไห่ถึงโรงแรม เจ้าของโรงแรมก็พาเขาขึ้นมา “กล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่า เมื่อคืนเวลาตีสอง มีผู้ชายหลายคนเข้าห้องคุณหนูไห่ยุ่น แล้วพาเธอออกไป”
ในวันที่เล่อจยาออกจากโรงพยาบาล ไห่ยุ่นก็บอกเองว่าจะย้ายมาอยู่โรงแรมที่อยู่ใกล้บริษัท สะดวกกว่า ตอนนั้นเกาไห่คิดว่า เธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงจ้างพยาบาลคนหนึ่งดูแลเธอ แต่กลับคิดไม่ถึงว่า แค่ไม่กี่วันก็เกิดเรื่องแล้ว
นิ้วทั้งห้าติดกัน จับที่คางเบาๆ เกาไห่ขมวดคิ้วจนเป็นปม
“ประธานเกา ลูกพี่ลูกน้องของคุณก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพื่อนเธอพาเธอออกไปเที่ยวก็ได้ คุณก็ไม่ต้องกังวลเกินไป!”เสี่ยวตงเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉันรู้ว่าเธอดูแลตัวเองได้ แต่ ขาของเธอไม่สะดวก อีกอย่าง ทั้งคืนก็ยังไม่กลับ!” เสียงแหบของเกาไห่ และเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลที่ไม่สามารถละเลยได้
ฟ้าเริ่มมืด แต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวของไห่ยุ่น เกาไห่มองดูห้องว่างตรงหน้าเขาอย่างเคร่งขรึม สีหน้าของเขานิ่ง และอารมณ์ก็เป็นกังวลมาก ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับไห่ยุ่นที่นี่ เขาก็ไม่รู้จะอธิบายกับน้าชายยังไง
“ถ้าอย่างนั้นแจ้งตำราจเถอะ……”
เสียงของผู้จัดการโรงแรม ดังขึ้นจากหน้าประตู
“ยังไม่รู้เลยว่าคนที่รับเธอไปเป็นใคร แจ้งตำรวจอะไรกัน……”อีกเสียงหนึ่งพูดตะโกนขึ้น
เกาไห่เงยหน้ามองไปนิ่งๆ คนที่มุงดูกันก็ตื่นตระหนกและแยกย้ายกันไป
ไห่ยุ่นในความทรงจำ ถึงแม้ขาเธอจะพิการ แต่ความเป็นอิสระของเธอนั้นแข็งแกร่งมาก อีกอย่าง เธอก็ดูเป็นคนมีเหตุผล ถ้าเธอออกไปแบบปกติ ดึกขนาดนี้แล้ว เธอจะต้องบอกเขาอย่างแน่นอน และจะไม่ปิดเครื่องโทรศัพท์ด้วย
แต่ถ้าไม่ปกติ เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว หากคนพวกนั้นลักพาตัวเธอไปจริงๆ ทำไมถึงไม่มีสายโทรเข้ามาเลย?
เที่ยงคืนกว่าแล้ว คนที่ส่งออกไปตามหา ก็บอกแต่ว่าไม่มีข่าวคราว
เกาไห่มองไปยังด้านหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ร่างสูงของเขาแข็งเหมือนรูปปั้น ในหัวของเขาว่างเปล่า……
ตอนนี้เอง โทรศัพท์ดังขึ้น เขามองมัน เป็นสายจากเล่อจยา กระแอมไปที รับสาย“ฮัลโหล จยาจยา”
“กี่โมงแล้ว ทำไมคุณถึงยังไม่กลับ? งานที่บริษัทยุ่งมากเหรอ?”
“อืม”เกาไห่ตอบกลับเสียงแทบไม่ได้ยิน ตอนนี้เอง หมายเลขที่ไม่รู้จักโทรมา เกาไห่กลัวว่าจะเกี่ยวข้องกับไห่ยุ่น จึงรีบวางสายเล่อจยา แล้วรับ
ไห่ยุ่นนอนอยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาวเหมือนหิมะ และเปิดวีแชตขึ้นมาดู
หลายร้อยข้อความ เสียงดังขึ้นไม่มีที่สิ้นสุด เธอเปิดทีละข้อความ ไม่มีข้อยกเว้น และข้อความทั้งหมดถามเธอว่าเธออยู่ที่ไหน
มุมปากยิ้มขึ้น เข้าไปในการตั้งค่าแล้วคลิกเพื่อออกจากระบบ
จากนั้น โยนโทรศัพท์ไปข้างๆ ถอดอุปกรณ์บนเข่าออก ลุกขึ้น เทน้ำให้ตัวเอง จิบเบาๆคำหนึ่ง อารมณ์ดีเป็นพิเศษ
“พี่ยุ่น ทำไมพี่ต้องโกหกลูกพี่ลูกน้องพี่ด้วยล่ะ?”
“โกหก? นายหมายถึงเรื่องไหน?”หลายปีมานี้ พูดโกหกเยอะมากไป ไห่ยุ่นรู้สึกชาเล็กน้อย
เล่อจยามองสายที่ถูกวางไป เธออึ้งไปชั่วขณะหนึ่ง ตั้งแต่รู้จักเกาไห่มา เขาไม่เคยทำแบบนี้กับเธอเลย
แต่อย่างไรก็ตาม เธอยังคงปลอบตัวเองในใจ บางทีเขาอาจจะกำลังยุ่งอยู่จริงๆ
คืนนี้ เกาไห่ไม่ได้กลับบ้าน ตอนเช้าเมื่อเล่อจยาเห็นว่าหมอนข้างๆเธอยังคงเรียบเช่นเดิม และผ้าห่มผืนเย็นข้างๆเตียง เธอมั่นใจว่าสามีเธอ ไม่ได้กลับมาเมื่อคืน
เปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อผ้าใหม่สองตัวที่ซูหย่าไปซื้อเป็นเพื่อนเธอเมื่อคืนออกมา แล้วเปลี่ยนให้ตัวเอง ดูอ้วนนิดหน่อย ไม่ได้ดูสวยขนาดนั้น แต่ ดูสาวขึ้นไม่น้อย เธอล้างหน้า ทานอาหารเช้า ดูเวลาก็เก้าโมงเช้าแล้ว กลับไม่เห็นเงาของเกาไห่เลย
เขาบอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเกิดกับเธอ
คิดๆแล้ว ก็แชตหาเกาไห่ “เมื่อคืนไม่กลับบ้าน?”
“ติ๊งต่อง”ข้อความตอบกลับเร็วมาก
“อืม มีเรื่องน่ะ”
“เรื่องอะไร? ยุ่งถึงขนาดไม่กลับบ้านทั้งคืน?”หลังคำพูดนี้ เล่อจยาเติมเครื่องหมาย!ไปด้วย
จากนั้น ข้อความนี้ของเธอก็เหมือนก้อนหินที่จมลงไปในทะเล จนหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ยังไม่มีข้อความตอบกลับ?
แรกๆเล่อจยายังมีท่าที่ไม่สนใจ จากนั้น สีหน้าก็ค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆ
เพราะเมื่อคืนโทรไปบอกคุณปู่กับคนอื่นๆ ว่าวันนี้จะกลับไป ถ้าหากไม่ไป เธอกลัวจะส่งผลที่ไม่ดีกับพ่อ
เล่อจยาปากกระตุกไปที ช่างมันเถอะ เธอไปเองก็ได้ บางทีเขาอาจจะยุ่งมากจริงๆ บางทีอาจจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น?
พอคิดว่าเขาจะมีเรื่องอะไร เล่อจยาก็กังวลขึ้นมา
รีบหยิบมือถือขึ้นมา โทรหาเกาไห่
พอรับสายแล้ว ก็ได้ยินเสียงเกาไห่ “มีอะไรหรือเปล่า?”แม้จะแหบเล็กน้อย
เล่อจยาโล่งใจ เขาไม่เป็นอะไรก็ดี
เธอกำลังคิดอยู่เลยว่า จะถามเขาเรื่องที่จะกลับบ้านเกิดกับเธออยู่ไหม
เขาก็พูดขึ้นว่า “โอเค ไม่มีอะไรก็วางก่อนนะ ผมกำลังรอสายอยู่”
มองดูโทรศัพท์ที่ถูกวางสายไป เล่อจยาขมวดคิ้ว งงเล็กน้อย มือสั่นเบาๆแล้วเก็บมือถือกลับเข้าไปในกระเป๋า เอาสัมภาระแล้วออกไป
นิ้วที่เรียวยาวของซูหย่าเลื่อนผ่านหน้าผากเธอ “ท้อง? มันไร้เหตุผลเกินไปหรือเปล่า? แค่ครั้งเดียวเอง”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “แล้วถ้ามีล่ะ?”
มีแสงสว่างวาบผ่านดวงตาของซูหย่า หากมีโอกาส เธอจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าพ่อของเด็กจะต้องการหรือไม่ก็ตาม…
ผ่านไปประมาณสองวัน เล่อจยาก็ออกจากโรงพยาบาล เนื่องจากการออกแบบวิศวกรรมในเมืองw พื้นฐานได้มาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เกาไห่จึงลาป่วยให้เธอครึ่งเดือน
“พรุ่งนี้ ผมจะพาคุณไปที่สุสานของพ่อ จากนั้นวันเสาร์นี้ผมจะไปเยี่ยมคุณปู่กับคุณย่าเป็นเพื่อนคุณ”ในคืนนี้ เล่อจยาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ออกมาจากห้องน้ำ เกาไห่วางหนังสือในมือลงและพูดกับเธอ
เลอจยาวางผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในมือลงบนโต๊ะ “ไม่ต้องๆ ฉันกลับเอง คุณทำธุระของคุณเถอะ”
คนพวกนั้น มีอำนาจมากแค่ไหน เธอรู้ดีในใจ เธอไม่ต้องการให้เกาไห่ตามเธอไปลำบาก
ทันใดนั้น มือก็ถูกจับไว้ เกาไห่จ้องเล่อจยา สีหน้าจริงจัง “คุณภรรยา คุณไม่ต้องการผมแล้วใช่ไหม?”
เล่อจยาได้ยินเขาเรียกภรรยา ใจละลายจนจะกลายเป็นน้ำแล้ว รีบส่ายหัว “ไม่ใช่ๆ แต่เป็นเพราะปู่กับย่า และอากับอาสะใภ้พวกเขา…ค่อนข้างหยาบคาย ฉันไม่อยากให้คุณไปเป็นคำนินทาของพวกเขา”
บ้านเกิดของเธอไม่ได้อยู่ในตัวเมืองc แต่ตอนที่พ่อและแม่ยังเป็นหนุ่มสาว พวกเขาตั้งรกรากอยู่ในเมืองc บ้านเกิดของพวกเขาคือหมู่บ้านเล็กๆที่เป็นชนบทในเมืองc ก่อนที่พ่อจะล้มป่วย พวกเขามักจะกลับไปขึ้นปีใหม่ที่นั่นบ่อยๆ
ต่อมา พ่อป่วย สุขภาพร่างกายทรุดโทรม ฐานะทางการเงินก็แย่ลงเรื่อยๆ จำนวนครั้งที่กลับไปก็น้อยลง
พ่อกับแม่มีพี่น้องห้าคน เธอมีอาสองคน มีน้าสองคน พ่อเป็นลูกคนโต
ความห่วงใยของปู่ย่าที่มีต่อพ่อ เทียบกันแล้วจึงน้อยกว่ามาก หลายปีที่ผ่านมานี้ ร่างกายของพ่อไม่สามารถขับรถไปได้ เพราะฉะนั้นในปีนี้ พวกเขาจึงไม่ได้กลับไป และสิ่งที่ทำให้ผิดหวังก็คือไม่มีใครมาหาพ่อเลย
คุณปู่คุณย่าอายุมากแล้ว อันนี้เธอเข้าใจ แต่พวกคุณอากับคุณน้า กลับไม่มีใครมาหาพ่อเลยเหมือนกัน คิดแล้วก็ทำให้เธอรู้สึกปวดใจ!
อีกอย่าง บรรดาญาติๆพวกนั้นไม่ค่อยชอบเธอ กลับไปคงไม่พ้นโดนคำพูดเหน็บแนม
เกาไห่จำการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าเธอ “ญาติๆของคุณ ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ผมก็ควรจะเผชิญหน้าพร้อมกับคุณ ยิ่งกว่านั้น พ่อคุณเสียแล้ว คุณกลับไปเจอพวกเขาคนเดียว ผมไม่วางใจ”
“แต่ว่า……”
“ไม่มีแต่ เรื่องนี้เอาเป็นว่าตกลงกันแล้ว รีบเข้านอนเถอะ!”
เกาไห่พูดจบ ก็เริ่มถอดชุดคลุมนอนด้านนอกออก เล่อจยามองเขาอย่าอึ้งๆ ใจกระสับกระส่ายเล็กน้อย ในใจเอาแต่ท่องว่า ใจเย็น……ใจเย็น……
แต่ สายตากลับไม่สามารถหันไปไหนได้
“คุณภรรยา คุณแน่ใจว่าจะดูต่อไปเรื่อยๆ?”
เล่อจยาหน้าแดง “ทำไม ฉันดูสามีของตัวเอง ไม่ได้เหรอ!”พูดเสียงแข็ง พอพูดจบ ก็ก้มหน้าลง หูแดงไปหมด
เกาไห่เดินไปใกล้ กอดเล่อจยาจากข้างหลัง จุ๊บหน้าผากเธอ “รีบเข้านอนเถอะ!”
เล่อจยาเอาตัวเองไปนอนขดตัวอยู่ตรงขอบเตียง เกาไห่มองเธอ กลัวเธอตกลงไป ก็ลุกขึ้นอุ้มเธอเข้ามา
เล่อจยาตกใจมากจนล้มตกเตียง
เกาไห่เดินไปสองสามก้าว เอื้อมมือออกไปช่วยพยุงเธอ
“คุณ……คุณอย่าแตะฉัน”เธอพูด ลุกขึ้น แล้วถอยหลังไปนิดหนึ่ง
มองมือที่หยุดอยู่กลางอากาศนั้น เกาไห่นิ่งไป สีหน้าเริ่มนิ่งขึ้น ในใจรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
ในตอนนี้เอง เล่อจยาก็พึมพำขึ้น “ถ้ายังแตะตัวฉัน ฉันกลัวจะควบคุมตัวเองไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับคุณไม่ได้”
ตอนเธอพูดคำนี้สีหน้าดูจริงจังมาก เกาไห่มองเธออย่างมึนงง
นี่ ทำให้เธอทนไม่ได้?
เขาเดินเข้าไปหาเธอ เธอก็ถอยหลัง จนล้มลงบนเตียง
ต่อมา ไม่รอให้เธอรู้สึกตัว ก็มีเงาของผู้ชายร่างใหญ่ขึ้นคล่อมตัวเธอไว้
เล่อจยาประหม่าจนพูดไม่ออก จากนั้น เธอหลับตาไปโดยอัตโนมัติ แต่น่าเสียดายที่ชายคนนั้นเพียงแค่บีบหน้าเธอเบาๆ จูบริมฝีปากของเธอ แล้วพลิกตัวนอนลงที่อีกด้านหนึ่ง
“หมอบอกว่า คุณต้องพักผ่อน เรื่องนี้ ยังไม่ต้องรีบ”เสียงที่มีความดึงดูดของชายคนนี้ดังขึ้นข้างหูเล่อจยา
เล่อจยารู้สึกอบอุ่นใจ และรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปพร้อมกัน
วันต่อมา ณ สุสาน
เมื่อต้นปีนี้ หมอบอกเล่อจยาว่า อาการของพ่อคงอยู่ได้แค่ไม่กี่ปี ให้เธอเตรียมใจไว้ ตอนที่ได้ยินคำนี้ เธอคิดว่าหมอแค่พูดให้เธอตกใจ
แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า จะจากกันโดยวิธีแบบนี้
คุกเข่าตรงหน้าหลุมฝังศพของเขา ผิดจากที่คาดไว้ เล่อจยาไม่มีน้ำตา เธอไม่ได้ร้องไห้ แค่ดูรูปถ่ายไม่กี่นิ้วใบนั้น นั่นเป็นรูปในบัตรประชาชนของพ่อ ตอนนั้นดูหนุ่มและหล่อมาก
เธอเพิ่งรู้ว่า แท้จริงแล้วพ่อเองก็ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว ถ้าไม่ใช่เพราะหน้าตาเธอมีความคล้ายคลึงกับเล่อเหวิน เธออาจจะสงสัยว่า ตัวเองไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา
หลายปีมานี้เธอเสียสละมามากมายทำทุกอย่างเพื่อรักษาอาการป่วยของพ่อ แต่สุดท้ายแล้ว สิ่งที่ได้กลับมาคือแบบนี้
“พ่อ ในสายตาของคุณ ลูกสาวมีตัวตนแบบไหนกัน? ทำไม พวกคุณถึงไม่มีใครคิดถึงความรู้สึกของฉันเลยสักคน?” บ้าก็บ้าไป ตายก็ตายไป แล้วเธอล่ะ เป็นอะไร?
เธอนั่งบนม้านั่งหินตัวนั้น นึกย้อนกลับไป หลายปีมานี้ทุกๆอย่างที่เกี่ยวกับพ่อ ตาเธอแดงก่ำ แต่กลับไม่มีน้ำตา กับความสัมพันธ์ในครอบครัวบางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดที่ทำให้ใจเธอตายด้านไปแล้ว
กว่าจะไป ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เกาไห่แค่อยู่เป็นเพื่อนเธอเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อเห็นว่าสภาพถนนรอบตัวเริ่มไม่คุ้นเคยมากขึ้นเรื่อยๆ เลอจยาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณจะพาฉันไปไหน?”
“พาคุณไปซื้อเสื้อ”
“ซื้อเสื้อ ซื้อทำไม?”
“คุณบอกว่าญาติๆของคุณมีอำนาจไม่ใช่เหรอ? ถ้าอย่างนั้นแต่งตัวให้ดีหน่อย ก็ไม่ผิดอะไร”
เล่อจยามองเขา “ดูไม่ออก ว่าคุณจะเป็นคนผิวเผินแบบนี้?”
เกาไห่ลูบหัวเธออย่างหลงใหล “ใช่แล้วครับ คุณภรรยา ผมเป็นคนผิวเผิน คุณ รังเกียจที่จะเป็นแบบผม พอใจยัง?”
เล่อจยาพยักหน้ารัวๆ
“คุณน่ารักจัง!”
ไปซื้อชุดกับเกาไห่ เล่อจยารู้สึกกดดันมาก พนักงานพวกนั้นมองเกาไห่ อย่างกับจะกลืนกิน
เดินเข้าสามร้านติดกัน ก็เป็นแบบนี้
จนสุดท้ายเล่อจยาก็ยอมแพ้ “ไปเถอะ ไม่ซื้อแล้ว มากับคุณมีแรงกดดันมากเกินไป กลางคืนฉันรอเสี่ยวหย่าเลิกงาน ค่อยมากับเธอดีกว่า”
“กดดัน?”
เล่อจยากรอกตามองบน “คุณอย่าบอกว่าคุณไม่รู้สึกนะ? ผู้หญิงพวกนั้นอดใจที่จะเข้ามากอดคุณไม่ไหวอยู่แล้ว ยังมีกะจิตกะใจที่ไหนมาเลือกเสื้อผ้าให้ฉัน”
เกาไห่ขมวดคิ้ว “ผมไม่รู้สึกนะ เพราะในสายตาผมเห็นแค่คุณมาตั้งแต่แรก”
ปกติเกาไห่ดูเป็นคนที่สุภาพเรียบร้อย และขี้อายบ้างเป็นบางครั้ง คิดไม่ถึงว่าพอพูดคำหวานแล้วจะพูดออกมาง่ายๆแบบนี้
เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินไปถึงประตู ทันใดนั้นเล่อจยาก็เห็นเงาคนคนหนึ่ง เธอดึงเกาไห่ วิ่งเหยาะๆตามเข้าไป
เล่อจยาเห็นว่าเธอไม่ตอบ ชะโงกหน้าออกไป ก็เห็นเซียวอู๋เดินเลี่ยงซูหย่า เดินตรงมาที่เธอ
สีหน้าที่มองเล่อจยา นิ่งมาก……นิ่งมากๆ
เล่อจยากะพริบตา “เหอะๆ นาย มาได้ยังไง?”
“เธอเก่งมากเลย เป็นฮีโร่เหรอ……”
คำพูดของเขาเป็นคำชม แต่น้ำเสียงกลับประชดประชัน
เล่อจยาเข้าใจดี เขาอาจจะแค่เป็นห่วงตัวเอง ดังนั้นเธอจึงไม่โกรธ
“นายกลับไปที่กองทัพแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไม……”
“ไม่มีอะไรเป็นทางผ่าน โอเคไหม?”เซียวอู๋พูดขัดเธออย่างหงุดหงิด
“นายเป็นหมาหรือไง? ไม่มีอะไรก็มากัดคนอื่นไปทั่ว…..”ซูหย่าพูดจบ ตั้งใจชนเขาแล้วเดินผ่านไป
“เสี่ยวหย่า!”เล่อจยาดึงแขนของซูหย่า
ซูหย่านั่งลงข้างเธอแล้วปอกแอปเปิ้ลยื่นให้กับเธอ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มองเซียวอู๋เลย
เล่อจยากัดไปคำหนึ่ง สายตามองไปที่ทั้งสองคนสลับกัน รู้สึกเหมือนกับว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ดูจากปฏิกิริยาที่ซูหย่าเจอกับเซียวอู๋ครั้งที่แล้ว จากความเข้าใจของเธอที่มีต่อซูหย่า เธอชอบเซียวอู๋ มันไม่ควรเป็นสถานการณ์แบบนี้
“ระหว่างพวกเธอ มีเรื่องอะไรที่ฉันไม่รู้เกิดขึ้นหรือเปล่า?”
“ไม่!”
“ไม่!”
ทั้งสองคนตอบพร้อมกัน
เล่อจยาปิดปาก ชี้ไปที่ทั้งสองคน แล้วพยักหน้า“ยังกล้าพูดว่าไม่มีอีก? รีบพูดมา ว่าพวกเธอสองคนทำอะไรกันแน่?”
ซูหย่าลุกขึ้น หยิบกาต้มน้ำที่อยู่ข้างๆ “พูดมากขนาดนี้ ไม่หิวน้ำเหรอ? ฉันจะไปต้มน้ำให้เธอ”
ตาของเซียวอู๋วูบวาบ “ถึงขนาดสามารถยุ่งเรื่องของคนอื่นได้ ดูแล้วคงไม่ได้เป็นอะไร ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็ไปก่อนละ เธอดูแลตัวเองด้วย”
หันหลังจากไป……
ซูหย่าเข้ามาจากทางประตู พอดีกับที่เซียวอู๋กำลังจะออกไปหยุดอยู่หน้าประตู เธอจ้องเขาเขม็ง เชิดหน้าขึ้น ไม่มีท่าทีว่าจะหลีกทาง
“หลีกไป หมาที่ดีไม่ขวางทาง!”
เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายหลุดออกมาจากริมฝีปากบาง
ซูหย่าจ้องเขา ดวงตาแดงก่ำ มือใหญ่ของเซียวอู๋ยื่นออกไปดึงเธอเข้ามา แล้วตัวเองก็ออกไป
ความเย็นชาไม่แยแสของเขาทำให้ซูหย่าทนกำหมัดไม่ได้
เล่อจยากัดแอปเปิ้ล มองดูการกระทำของทั้งสองคน หรี่ตามอง
“เสี่ยวหย่า ตกลงเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ซูหย่าส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
เล่อจยารับกาต้มน้ำจากมือเธอ ว่างเปล่า ยังจะบอกว่าไปต้มน้ำ เธอวางมันไว้บนโต๊ะแรงๆ
“โอเค เธอทนไว้ ไม่ต้องพูด!ต่อไป เธอก็ไม่ต้องพูดกับฉัน!”พูดจบ ขึ้นไปบนเตียง ดึงผ้าห่มห่มตัวไว้ ถือโทรศัพท์ไว้แสร้งทำเป็นไม่แยแส
หางตาของเธอเห็นซูหย่าบีบนิ้ว กัดปากล่างไว้ เธอทำท่าทางแบบนี้ ก็คือเตรียมพร้อมจะอธิบายแล้ว
และในวินาทีต่อมา เธอยืนอยู่ข้างเตียงของเธอจริงๆ
หลับตาแล้วลืมขึ้นมาอีกครั้ง สูดหายใจเข้าแล้วพูดว่า“ฉันกับเขามีอะไรกันแล้ว”
เล่อจยามือกระตุก แอปเปิ้ลในมือกลิ้งตกไปบนเตียง แล้วกลิ้งลงไปที่พื้น เธอนั่งคุกเข่าอยู่บนเตียง มองซูหย่า “พวก……พวกเธอ……ตกลงมันเรื่องอะไรกัน?”
ซูหย่าถอนหายใจเสียงต่ำ“คนที่บ้านเมากันหมดแล้ว”
เล่อจยาปิดปาก มองเธออย่างตกใจ “ครั้งแรก?”
ซูหย่ากรอกตาใส่เธอ “แน่นอนสิ!”
“แล้วทำไมเธอถึงมีท่าทีน้อยใจกล้ำกลืนฝืนทนแบบนั้น?”
“เธอหมายความว่าไง?”
เล่อจยาจ้องเธอ “เธอเลิกแสร้งได้แล้ว เธอชอบเขา ฉันรู้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกเธอมีอะไรกันแล้ว ก็สมหวังเธอแล้วไม่ใช่เหรอ? เธอควรดีใจถึงจะถูก……”
ซูหย่าขมวดคิ้ว “ตอนแรก ฉันก็คิดแบบนี้ แต่ เธอรู้ไหมสัตว์เดียรัจฉานนั่น เขาพูดต่อหน้าครอบครัวทั้งสองฝ่ายที่มีคนเยอะขนาดนั้นว่า จะไม่รับผิดชอบ บอกว่าฉันเป็นคนเข้าหาเอง เขาก็เป็นผู้ถูกกระทำ”
เล่อจยาอึ้งไป ก่อนจะหัวเราะออกมา
ซูหย่ากำหมัดหลวมๆ และต่อยไปที่ตัวเธอเบาๆ “เธอยังหัวเราะอีก? เธอหัวเราะออกมาได้ยังไง ฉันถูกเขากินจนหมดเปลือกแล้ว…..”
พูดถึงตรงนี้ เธอมองเล่อจยา “ฉันรู้ว่าทำไมเขาถึงโกรธขนาดนี้ เพราะเธอ!”
“ฉัน?”
ซูหย่าพยักหน้า “เขาคิดว่าพวกเราเป็นแบบนี้แล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิชอบเธออีกแล้ว เล่อจยา เธอว่า ทำไมเราถึงกลายเป็นศัตรูความรักกัน?”
เล่อจยาโบกมือ ลงจากเตียง หยิบแอปเปิ้ลที่อยู่บนพื้นโยนลงถังขยะ มองซูหย่า “เธออย่าเอาฉันเข้าไปเกี่ยว ฉันมีสามีแล้ว”
ซูหย่าเกาผมด้วยท่าทางหงุดหงิด “เธอว่าทำไมถึงได้มีผู้ชายแบบนี้ หลายวันมานี้ฉันจะเป็นบ้าตายแล้ว!”
จากนั้น เธอลุกขึ้นยืน“เธอดูท่าทีของเขาเมื่อกี้นี้สิ เขาทำเหมือนกับว่า เป็นฉันที่เอาเปรียบเขา แล้วคนที่เสียเปรียบคือเขาอย่างนั้นแหละ ครั้งแรกของฉันให้เขาไป วันนั้นฉันเจ็บมาก แต่เขากลับดูเหมือนฟินนะ ยัง……”ซูหย่าพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง มองเล่อจยาจ้องเธอ
หน้าก็เริ่มแดงขึ้นมา“เธอมองฉันแบบนั้นทำไม?”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “เธอบอกว่าเธอเมาไม่ใช่เหรอ? แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าเขาดูฟิน? เมาแล้ว ไม่ใช่ว่าภาพตัดเหรอ?”
พูดจบ เธอก็กระแอมเบาๆ “ฉันว่าเธอตั้งใจล่ะสิ?”
ซูหย่าหันไปมองเล่อจยาทันที “เล่อจยา สรุปเธออยู่ข้างใครกันแน่ กำลังพูดแก้ต่างให้ใครน่ะ?”
“เหอะๆ”เล่อจยาสงสัย“ไหนพูดมาซิ วันนั้นดื่มไปเท่าไหร่ ดื่มไวน์อะไร?”
“ไวน์แดง ดื่มตั้งหลายแก้วแหนะ……”ซูหย่าตอบกลับอย่างรวดเร็ว ขณะพูด ก็เอาปอยผมไปทัดหู เผยให้เห็นใบหน้าสวยงามมีเสน่ห์ของผู้หญิง
“ไวน์แดงกี่แก้ว? ความสามารถในการดื่มของเธอซูหย่า คนอื่นไม่รู้ แต่ฉันรู้ดี เธอดื่มไวน์แดงสองขวด ก็คงไม่มีปัญหาใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น คืนนั้น จะบอกว่าเธอไม่เมา ก็ไม่ผิดใช่ไหม?”พูดจบ เธอแตะไหล่ซูหย่าทั้งสองข้างจากข้างหลัง เข้าใกล้กระซิบข้างหูเธอเบาๆ “วางใจเถอะ ความสัมพันธ์ของพวกเราขนาดนี้แล้ว ฉันจะช่วยเธอเก็บความลับเอง แต่ว่า สาวน้อย เธอทำอะไรเร็วมาก!”
ซูหย่ามองเธอ ท่าทางเหมือนไม่รู้จัก “เล่อจยา ฉันพบว่าเธอความจำเสื่อมแล้ว ไอคิวดูสูงขึ้นนะ?”
เล่อจยาไม่ได้โกรธอะไรเธอ แค่จับมือเธอไว้ และพูดอย่างตั้งใจว่า “เสี่ยวหย่า เธอรู้มาตลอดว่าเธอต้องการอะไร เธอเต็มใจที่จะทำแบบนี้ ฉันเชื่อว่าเธอไม่ได้หุนหันพลันแล่น ในเมื่อเป็นแบบนี้ เธอก็อย่ามัวโกรธเซียวอู๋อยู่เลย ลองเริ่มไล่ตามเขา ดูฉันนี่สิ ทนมาหลายปี สุดท้ายก็ได้มา?”
ซูหย่ามองเล่อจยา พูดอย่างยอมแพ้ว่า“พวกเราไม่เหมือนกัน เกาไห่เขารู้สึกดีกับเธอ เธอดูที่เซียวอู๋ทำกับฉันสิ เหมือนเป็นศัตรู……”พูดจบ เธอก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้
ทันใดนั้น เหมือนเล่อจยาจะนึกอะไรขึ้นได้ ถามซูหย่า “แล้วถ้าเธอท้องล่ะ?”
ทั้งสองเงยหน้าขึ้นมองไปที่แหล่งกำเนิดเสียง เย่หลินสวมสูทสีเทา จับจีบรอบเอว มัดผมหางม้าสูง หน้าขาวนวลแต่งหน้าอ่อนๆ ทำให้คนดูโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด
“เย่หลินดูดีจริงๆ เลย” เล่อจยาชื่นชมจากใจจริง
เกาไห่ยิ้ม ลุกขึ้นรับผลไม้ในมือเย่หลิน
“พี่สะใภ้ ฉันต้มซุปมาให้คุณ คุณดื่มเลยกำลังร้อนๆ ” พูดจบ ก็วางกระเป๋า แล้วเริ่มจัดโต๊ะอาหาร
เล่อจยาจะพลิกตัวลงจากเตียง ก็ถูกเกาไห่ห้ามไว้ “คุณทำอะไร? ”
“ฉันจะลงจากเตียงไปทานข้าว ฉันบาดเจ็บที่หัว ไม่ได้พิการนะ” พูดจบก็ลงมา สวมรองเท้าแตะ รับซุปจากในมือเย่หลิน ยกถ้วยดื่ม “อืม! อร่อยมาก เย่หลิน ขอบคุณนะ”
เห็นท่าทางที่ตรงไปตรงมาของเธอ เย่หลินหัวเราะ “คุณค่อยๆ ดื่ม ระวังร้อน”
เห็นได้ชัดว่าซุปจืด แต่เล่อจยาดื่มแล้วรู้สึกเค็ม
เธอรู้สึกตัวอีกทีตนเองก็ร้องไห้แล้ว…
“ร้องไห้ทำไม? ” เย่หลินตกตะลึงเล็กน้อย “ไม่อร่อยเหรอ? หรือว่า……”
เล่อจยาส่ายหัว วางถ้วยในมือลง มองเย่หลิน “มิน่าล่ะ คุณชายหนิงถึงได้รักคุณขนาดนี้ เย่หลิน คุณเป็นคนดีจริงๆ เลย”
คนมักจะบอกว่ากับน้องสาวสามีนั้นเข้ากันได้ยาก แต่น้องสาวสามีของเธอ ทว่าดีกว่าแม่ของตนเองอีก
เย่หลินหัวเราะเบาๆ “คนก็พึ่งพาอาศัยกัน เขาดี ฉันก็ปฏิบัติดีต่อเขา อีกอย่างแม่ฉันไม่อยู่แล้ว ฉันก็อยากเป็นตัวแทนแม่ ดูแลคุณให้ดี”
พูดจบเธอก็หยิบทิชชู เช็ดน้ำตาบนใบหน้าเล่อจยา “เมื่อกี้ฉันมาถึงหน้าประตู ได้ยินคุณบอกว่าความทรงจำกลับมาแล้ว พี่สะใภ้ คุณไม่เลิกรักพี่ชายฉันได้ไหม? ”
เล่อจยายิ้มๆ หันไปมองเกาไห่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง “พี่ชายคุณไม่รังเกียจฉัน ฉันจะไม่ต้องการต้นทุนของเขาได้ยังไง”
เย่หลินจ้องมองเล่อจยา แล้วยิ้ม “ภายนอกดูเหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไน ภายในแกะสลักไว้อย่างวิจิตรประณีต พี่สะใภ้ พี่ชายฉันแต่งงานกับคุณ อันที่จริงแล้วเป็นเขาที่ได้กำไร”
ภายนอกดูเหมือนหยกที่ไม่ได้เจียระไน ภายในแกะสลักไว้อย่างวิจิตรประณีต เธอรู้ว่าเย่หลินจะชมเธอว่าสวยจากภายใน
คนสองสามคนพูดคุยหัวเราะกัน ซุปที่เย่หลินนำมา เล่อจยาก็ดื่มจนหมด…
เย่หลินออกไปได้สักพัก ซูหย่าก็เข้ามา
ซูหย่ามองสองมือเธอที่ว่างเปล่า ก็พูดขึ้นว่า : “คุณผู้หญิงซู ฉันเป็นผู้ป่วย คุณมาเยี่ยมผู้ป่วยด้วยมือเปล่าได้อย่างไร? ”
ซูหย่าพูดตอบกลับ : “ฉันคิดว่าคุณหมดสติอยู่ รู้ว่าคุณฟื้นแล้ว แน่นอนว่า……” พูดยังไม่ทันจบ เธอก็หยุดไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นมองเล่อจยา เห็นไหวพริบที่คุ้นเคยในดวงตาของเธอ
“คุณ………คุณจำได้แล้วเหรอ? ” เล่อจยาคนที่อายุ 21 ปี จะไม่สามารถพูดหยอกล้อกับเธอได้
เล่อจยาเดินไปข้างหน้า แล้วโอบกอดซูหย่า “ช่วงนี้ คิดถึงฉันไหม? ”
ซูหย่าจะร้องไห้ “คุณคิดว่าไงล่ะ? ” ไม่ใช่แค่ระหว่างชายหญิงจึงจะมีความรู้สึกผูกพัน ความรักระหว่างผู้หญิงก็ลึกซึ้ง ถ้าจู่ๆ เสียมันไป ก็จะหดหู่ จะเสียใจ จะเป็นทุกข์
เจอคนที่รู้ใจในชีวิตมันยาก ซูหย่าเห็นคุณค่าของเล่อจยาอย่างมาก หลายปีมานี้มีเพื่อนมากมาย แต่เธอเต็มใจที่จะเป็นเพื่อนกับเล่อจยา ดังนั้นหลายวันมานี้ จะบอกว่าไม่หดหู่ ก็โกหกแล้ว
เกาไห่เห็นว่าซูหย่ามา รู้ว่าทั้งสองคนต้องมีเรื่องที่จะคุยกันอย่างแน่นอน ก็เลยกลับบริษัทไป
หลังจากประตูถูกปิดลง เล่อจยาก็ถอนหายใจ
ซูหย่าขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร? ”
มือทั้งสองของเล่อจยาปิดหน้า “เครียด! ”
“เครียด? คุณปล่อยวางเถอะ อยู่ก็อยู่ด้วยกันแล้ว ยังจะเครียดอีกเหรอ? ” ซูหย่าได้ยิน ก็จงใจหยอกเย้าเธอ
เล่อจยาวางมือลง เก็บรอยยิ้มบนใบหน้า ดึงซูหย่า แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า: “เรื่องงานศพของพ่อฉัน โชคดีที่มีคุณอยู่”
ซูหย่าจงใจสะบัดมือเล็กน้อย “ไม่ต้องมาซาบซึ้งใจกับฉันหรอก ถ้าคุณอยากจะดีกับฉันจริงๆ ครั้งหน้าความจำเสื่อมอีก รบกวนจำฉันให้ได้ด้วย”
หยุดชะงักไปเล็กน้อย เธอก็ดึงเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าเล่อจยา “อีกอย่าง คนที่คุณต้องขอบคุณคือประธานเกา ที่เป็นสามีของคุณ เรื่องราวในเวลานั้น คือเขาที่ลงมือทำด้วยตนเอง”
เล่อจยานิ่งอึ้งเล็กน้อย แล้วจึงพยักหน้า “อย่างนั้นตอนบ่ายคุณมีเวลาไหม ฉันอยากให้คุณไปเป็นเพื่อนที่สุสานของพ่อหน่อยน่ะ”
ซูหย่าตกใจเล็กน้อย ลุกขึ้นยืน เดินไปที่หน้าต่างแล้วเปิดม่าน “นี่คุณเพิ่งจะฟื้น ก็อยากจะออกไปแล้วเหรอ? คุณไม่กลัวว่า จะมีการพลาดพลั้ง ความจำเสื่อมไปอีกครั้ง แล้วลืมสามีคุณไปเหรอ? ”
“แต่ว่า…” แต่ว่า เธออยากไปเยี่ยมพ่อ
“เอาล่ะ อย่ามาแต่ว่าเลย พักผ่อนก่อนเถอะ ต่อไป ยังมีงานของคุณอีก เรื่องที่พ่อคุณเสียชีวิต คุณยังต้องไปบ้านเกิดของคุณ แจ้งให้พวกคุณปู่คุณย่าของคุณทราบอีกนี่? ……หลังจากนั้น แม่ของคุณ น้องชายของคุณ คุณคิดว่าจะทำอย่างไร? ”
ทำอย่างไร?
เล่อจยาหัวเราะเยาะอย่างเย็นชา หรือว่ายังต้องให้เธอรับผิดชอบอีก?
ในจิตใต้สำนึกของแม่ไม่มีลูกสาวคนนี้ และสัตว์ร้ายตัวหนึ่งที่สามารถผลาญเงินที่ต้องใช้เป็นค่ารักษาพยาบาลของพ่อได้ เธอยังต้องสนใจพวกเขาอีกเหรอ?
ไม่ เธอได้จิตใจดีงามขนาดนั้น!
“พวกเขา ฉันไม่สนใจหรอก” เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
ซูหย่ามองเธอ แล้วก็หัวเราะเหอะๆ “คุณไม่ต้องสนใจหรอก ผู้ชายของคุณสนใจให้แล้ว ค่าใช้จ่ายคนดูแลแม่คุณ แล้วก็ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล ทั้งหมดผู้ชายของคุณล้วนเป็นคนจ่าย”
เล่อจยาหรี่ตามอง แล้วตะโกนเสียงดังว่า: “เหตุผลอะไร? ด้วยเหตุผลอะไร?
ซูหย่าเดินเข้าไป โอบกอดเธอ “ก็เพราะความสัมพันธ์ของพวกคุณยังไงล่ะ คุณเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา อย่าตะโกนเสียงดังแบบนี้สิ”
เล่อจยาซุกศีรษะไว้ที่คอของเธอ “ใจจิตสำนึกของเธอ คือไม่มีลูกสาว”
“เล่อจยา สมองของเธอผิดปกติไปแล้ว….”
“เฮ้อ ไม่พูดแล้วไม่พูดแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็จะไม่ก้าวก่ายเธอ” เอ่ยถึงผู้หญิงคนนั้นเล่อจยาก็หงุดหงิดอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เวลานี้ มีคนเคาะประตู เล่อจยามองผ่านซูหย่าไป เป็นชายคนหนึ่งหญิงคนหนึ่ง ในมือของผู้ชายอุ้มเด็ก ส่วนในมือของผู้หญิงก็หอบช่อดอกไม่สดช่อหนึ่ง ด้านหลังของพวกเขามีตำรวจสองสามนายที่อยู่ในเครื่องแบบ
หญิงสาวมองเล่อจยา แล้วคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความตื่นเต้น
“ขอบคุณฮีโร่สาวที่ช่วยชีวิตลูกสาวฉันเอาไว้ หลังจากวันนั้นที่เกิดเรื่อง พวกเราหาคุณไม่พบ……”
เล่อจยาปล่อยซูหย่า แล้วเข้าไปประคองหญิงสาวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “รีบลุกขึ้นเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง”
เวลานี้ ตำรวจนายหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก็เดินเข้ามา มองเล่อจยา “พวกคนที่ทำร้ายคุณ พวกเราจับตัวได้หมดแล้ว พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับผู้ชายคนนั้น ต้องการทำร้ายคุณเพื่อแก้แค้น”
เล่อจยาพยักหน้า ทันทีก็รู้สึกอย่างลึกซึ้ง มิน่าล่ะคนส่วนใหญ่ในสังคมนี้ถึงไม่กล้ายืนหยัดเพื่อความถูกต้อง มันส่งผลมากเกินไปหลังการกระทำ แต่เธอก็ไม่เสียใจเลยที่ได้ช่วยเด็กคนนี้
ถึงอย่างไร มีได้ก็ย่อมมีเสีย ถ้าไม่ได้ไม่ตะบองอันนั้น ยังไม่แน่ว่าเธอจะสามารถฟื้นความทรงจำกลับมาได้ไหม?
หลังจากส่งแขกไปแล้ว เล่อจยาก็มองซูหย่า ถอนหายใจเล็กน้อย
จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูอีกครั้ง ซูหย่ามองเล่อจยา กล่าวหยอกล้อว่า: “ตอนนี้คุณกลายเป็นคนมีชื่อเสียงแล้ว งานจะรัดตัวอย่างมาก…..”
จากนั้นก็ไปเปิดประตู เพียงแค่เปิดประตูออก หลังจากที่ซูหย่าเห็นหน้าคนอย่างชัดเจน สีหน้าก็เปลี่ยนไป
เล่อจยาปิดปาก ริมฝีปากสั่นเทาเล็กน้อย “ข่ม……ข่มขืน? ”
คนดูแลพยักหน้า “เฮ้อ น่าสงสารจริงๆ ”
เกาไห่ตบไหล่เธอเบาๆ เป็นการปลอบใจ
เล่อจยาฝืนยิ้มออกมา เดินไปข้างหน้า นั่งยองๆ ตรงหน้าแม่เล่อ “แม่ ฉันจยาจยานะ”
แววตาหญิงคนนั้นที่มองไปข้างหน้า สักครู่เธอก็มองเล่อจยา จู่ๆ สีหน้าก็หม่นหมองลง : “คุณ คุณคืนลูกมาให้ฉัน คุณคืนลูกฉันมาให้ฉัน”
พูดจบ ฉับพลันก็ยกมือขึ้นตบเล่อจยา เธอใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดในการตบ ดังนั้นในชั่วพริบตาบนใบหน้าของเล่อจยาจึงเต็มไปด้วยนิ้วมือทั้งห้า
เกาไห่รีบเดินเข้าไปนำเล่อจยามาไว้ในอ้อมกอด “เป็นอะไรหรือเปล่า? ”
พูดจบ ก็ดึงเธอถอยหลังมาสองสามก้าว
คนดูแลเห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไป “พี่สาว นี่คือลูกสาวของคุณ เธอมาดูคุณนะ”
แม่เล่อมองเล่อจยาแล้วคิดๆ เล็กน้อย ในปากบ่นพึมพำ : “ลูก…ลูกสาว? ฉัน ไม่มีลูกสาว ฉันมีแค่เหวินเหวิน”
เหวินเหวิน เล่อเหวิน น้องชายของเล่อจยา
ใจที่เตรียมพร้อมไว้แล้ว เล่อจยาเวลานี้ ก็ถูกทำให้เจ็บปวดใจ
หัวปวดขึ้นอย่างรุนแรง ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะจับหน้าผาก
เกาไห่ถามอย่างห่วงใย : “ไม่สบายเหรอ? ”
เธอส่ายหัว อันที่จริงแม่ก็ชอบลูกชายมากกว่าลูกสาว เธอแทบจะให้ความสนใจและให้ความสำคัญกับเล่อเหวินทั้งหมด โชคดีที่พ่อดูแลเธออย่างดีมาตลอด เธอจึงไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าเสียใจ
แต่เธอไม่เข้าใจว่า ในจิตใต้สำนึกของแม่เธอ จะไม่มีลูกสาวของเธออยู่เลย นี่ทำให้เธอยากที่จะรับได้
“แม่ ฉันจยาจยา ฉันเป็นลูกสาวของคุณ” เธอไม่ยอมแพ้ยังคงพูดเหมือนเดิมอีกครั้ง
แม่เล่อส่ายหัวซ้ำๆ “คุณไปเลย ฉันไม่รู้จักคุณ ฉันไม่มีลูกสาว ฉันไม่มี” จากนั้นก็ขึ้นเตียงเอาผ้าห่มมาคลุมศีรษะ
เล่อจยาอยากจะเดินเข้าไป แต่ถูกเกาไห่ดึงไว้ “วันนี้พอแค่นี้ก่อน อีกสองวันรอให้อารมณ์สงบลง เราค่อยมากันใหม่”
ตลอดทางจนถึงรถ เล่อจยายังคงหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง ยากที่จะปล่อยวาง
เกาไห่เห็นท่าทีของเธอ ก็รู้จักกังวลใจ คิดๆ ดูแล้ว ก็หันรถกลับไปที่โรงหนังใกล้ๆ
ตลอดทางเข้าเล่อจยาเห็นโปสเตอร์หนังเต็มไปหมด จึงได้สติกลับมา มองเกาไห่ “คุณนี่คือ? ”
“อยากดูหนังเรื่องอะไร? ”
“ไม่ต้องหรอก บริษัทคุณงานยุ่งขนาดนั้น ไปบริษัทเถอะ” พูดจบ ก็จูงมือเกาไห่ ทำท่าทางดึงเขาออกไป
เกาไห่ส่ายหัว กระซิบข้างๆ หูเธอ : “อันที่จริงมันมากกว่าจะทำให้คุณฟื้นความทรงจำ คือฉันหวังว่าคุณจะตกหลุมรักฉันอีกครั้ง”
เล่อจยามองคนซ้ายขวา ดึงๆ เสื้อเขา แล้วเขินอายเล็กน้อย
ท้ายที่สุด ทั้งสองก็เลือกหนังโรแมนติกคอมมาดี้
หนังไม่ได้ดี จนถึงขั้นเรียกได้ว่าแย่ แต่หลังจากที่ทั้งสองคนดูจบแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ผ่อนคลายอย่างมาก
“เราเคยดูหนังด้วยกันมาก่อนหรือเปล่า? ” ตอนที่ออกมาเล่อจยาก็ถามเกาไห่
เวลานี้ ทั้งสองมาถึงที่จอดรถใต้ดินแล้ว เนื่องจากคุยเล่นกันมาตลอดทาง จึงไม่ได้สนใจว่ามีชายคนหนึ่งตามมา
เล่อจยารู้สึกเพียงว่ามีเงาดำปกคลุมใบหน้าของเธอ จากนั้น เธอเห็นแท่งเหล็กแกว่งไปทางเกาไห่ เธอคิดจะเตะมือผู้ชายคนนั้น แต่ด้านหลังก็มีคนมาประชิดอีกสองคน ทำให้เธอไม่มีเวลาคำนึงถึง
มองเกาไห่ถูกเหล็กตีหัวอย่างตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก
ความบ้าเลือดของเล่อจยาพลุ่งพล่าน เวลานี้ อารมณ์ร้ายที่ซ่อนอยู่ในตัวของเธอมาเป็นเวลานาน ได้ถูกปลุกเร้าอย่างสมบูรณ์ เธอกำหมัดเตะต่อยชายทั้งสี่คน แต่หาใช่คู่ต่อสู้ของเล่อจยาไม่
หลังจากจัดการคนเหล่านั้นล้มลงไปกอง เธอก็รีบมุ่งหน้าไปหาเกาไห่ ประคองศีรษะของเขาที่เต็มไปด้วยเลือด “เกาไห่….”
เกาไห่กุมมือของเธอ มือใหญ่ๆ ที่เดิมทีอบอุ่น เวลานี้ เย็นเยือกจนเข้ากระดูก “คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? ”
เล่อจยาขมวดคิ้ว จ้องมองเขา “คุณห่วงตัวเองก่อนเถอะ” จากนั้นก็กดต่อสายไปยังเบอร์120
เธอเพิ่งระบุที่อยู่อย่างชัดเจน เธอก็เห็นเกาไห่เบิกตาโพลง “ระวัง…..”
ต่อจากนั้น เธอรู้สึกเหมือนโดนกระแทกอย่างแรงที่ท้ายทอย
เล่อจยารู้สึกว่าตนเองอยู่บนถนนเส้นหนึ่งซึ่งไร้ผู้คน เดินทางอย่างยาวนาน เธออยากจะร้องขอความช่วยเหลือ เธออยากจะร้องตะโกน แต่ก็ส่งเสียงไม่ออก
จากนั้น เธอก็เห็นพ่อ แก่กว่าในความทรงจำมาก มีชายคนวัยรุ่นคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ พ่อ เธอเดินเข้าไปดูใกล้ๆ คือเล่อเหวิน น้องชายของเธอ ไถผมสกินเฮด ใส่ตุ้มหู ไม่มีความเป็นเด็ก หล่อเท่อย่างมาก แต่กำลังการแสดงออกโหดเหี้ยมเหมือนกับทะเลาะอะไรกับพ่ออยู่
จากนั้น เธอก็เห็นตัวเอง แล้วก็เห็นซูหย่า เกาไห่
คนรายล้อมอยู่จำนวนมาก เธอฟังได้ไม่ชัดว่าพวกเขากำลังพูดอะไรอยู่
เธอเห็นเพียงว่าพ่อเดินโซเซออกมาจากในฝูงชน เดินไปยังถนน รถคันสีดำคันนั้น ชนเข้ากับเขา เขาลอยขึ้นในอากาศแล้วจึงตกลงมาบนพื้นอีกครั้ง
เธอเห็นตัวเองแทรกฝูงชนเข้าไป ร่างพ่อที่นอนอยู่ มีเลือดสีสดนองเต็มพื้น
เธอได้ยินบางคนพูดว่า: “คนตายแล้ว”
คนตายแล้ว….พ่อของเธอตายแล้ว…..
เล่อจยากรีดร้องเสียงดัง “ไม่ พ่อ! ”
จากนั้น เธอก็ลืมตา แสงสีขาวที่แสบตาทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหลับตา แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
เกาไห่ที่กำลังพูดคุยกับคุณหมออยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงร้องของเล่อจยา ก็พุ่งพรวดเข้าไป
เห็นศีรษะของเกาไห่ที่พันผ้าพันแผลสีขาวเอาไว้ ความทรงจำในสมองของเล่อจยา ก็ทะลักออกมาราวกับกระแสน้ำ
เธอน้ำตาไหลพราก แยกไม่ออกว่าเพราะจำได้ว่าพ่อเสียชีวิต หรือเพราะความอบอุ่นที่เกาไห่มีให้เธออย่างไม่เคยมีให้ใคร
“คุณภรรยา ในที่สุดคุณก็ฟื้นแล้ว คุณหมดสติไป2วัน หมอบอกว่า ถ้าวันนี้คุณยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ก็จะต้องผ่าตัดแล้ว”
ในสายตาของเขามีความดีใจ ปากของเขาก็เรียกเธอว่า”คุณภรรยา”…..
เล่อจยาลดสายตาลง คล้ายกับครุ่นคิดอะไรอยู่?
แล้วจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในดวงตาทิ้งคราบน้ำตาตาเอาไว้เล็กน้อย มองเกาไห่ เอ่ยปากอย่างช้าๆ ว่า: “สามี คุณเป็นอะไรไหม? ”
เกาไห่รู้สึกโล่งอก ส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไร คุณเป็นอย่างไรบ้าง เจ็บปวดตรงไหนบ้างไหม? ” ความร้อนใจและเป็นกังวลในสายตาของเขา ทำให้เล่อจยาสะอื้นไห้อีกครั้ง
ยกมือขึ้นไป ลูบเบาๆ ที่หน้าผากของเขาอยู่นาน เล่อจยาจึงเอ่ยปากว่า “เกาไห่ ความทรงจำของฉันกลับมาแล้ว”
ถ้าก่อนหน้านี้เธอยังคิดที่จะปิดบังเขา เวลานี้ เธอก็ทำไม่ลงแล้ว
เกาไห่ตัวสั่นอย่างชัดเจน เล่อจยาเห็นความสับสนและตึงเครียดในสายตาของเขา
หลังจากคนทั้งสองสบตากันอยู่นาน เกาไห่จึงเอ่ยปากว่า: “แล้วคุณ…..โกรธฉันไหม? อยากที่จะจากฉันไปไหม? ”
ในที่สุดน้ำตาของเล่อจยาก็ไหลอีกครั้ง เธอซื้ดจมูก
นั่งตัวตรง ยื่นมือทั้งสองไปโอบกอดเกาไห่ “ฉันชอบคุณมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ยากมากที่ความฝันจะกลายเป็นความจริง ฉันจะจากคุณไปได้อย่างไร นอกเสียจาก คุณไม่ต้องการฉันแล้ว ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะอยู่กวนคุณไปตลอดชีวิต”
เขาคือความฝันของเธออย่างนั้นเหรอ?
จากความลุ่มหลงในตอนแรก เป็นความชอบ เป็นความคลั่งไคล้ จนเป็นความเคยชิน และรักจนเข้ากระดูก นี่ยากมากที่จะมีโอกาสจับพลัดจับผลูได้มาเป็นครอบครัว จะให้จากไป ไม่มีทาง ชั่วชีวิตนี้ก็เป็นไปไม่ได้
“อย่างนั้น ก็เตรียมตัวมีลูกได้แล้วใช่ไหม? ” เสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังเข้ามาจากหน้าประตู
“ซูหย่าบอกว่า หลังจากที่พ่อกับแม่ของฉันหย่าร้างกัน ก็พาน้องชายฉันไปจากครอบครัวฉันด้วย จริงไหม? ”
เกาไห่พยักหน้า “รายละเอียดฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ฉันก็เคยได้ยินซูหย่าพูด ก็น่าจะไม่ผิดนะ”
“เช่นนั้นเธอก็ไม่ต้องการฉันแล้ว ทำไมฉันยังต้องไปดูเธอด้วย? ” เธอตอบกลับอย่างโกรธเคืองเล็กน้อย ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ในฐานะแม่คนหนึ่ง สามารถทอดทิ้งลูกของตนเองได้ จุดจุดนี้ เธอไม่มีเหตุผล เธอก็ไม่อยากให้อภัย
เกาไห่จับมือเธอ “คุณภรรยา หมอบอกว่า คุณอยากฟื้นความทรงจำ ก็จำเป็นต้องติดต่อกับคนใกล้ชิดให้มากๆ ”
เล่อจยาหันไปมองเกาไห่ หรี่ตามอง “ในฐานะที่คุณเป็นสามีของฉัน หรือว่าความสัมพันธ์นี้ ยังใกล้ชิดไม่พอเหรอ? ”
เมื่อเกาไห่เห็นปฏิกิริยาตอบกลับของเธอ รู้ดีว่าในเวลาอันสั้น เธอไม่สามารถยอมรับได้อย่างแน่นอน
เวลานี้ ก็มีโทรศัพท์โทรเข้ามา เป็นเย่หลิน
รับสายแล้ว ก็ส่งให้เล่อจยา “เย่หลินโทรหาคุณ”
เย่หลินโทรหาเธอ? เล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย นับมือถือของเกาไห่มา “ฮัลโหล…”
“พี่สะใภ้ ฉันเห็นวิดีโอการช่วยชีวิตคนของคุณเมื่อวานนี้ คุณเก่งจริงๆ เลย”
เล่อจยายิ้มขึ้นมา ชั่วขณะก็เขินอายเล็กน้อย “อันที่จริง แค่เรื่องเล็กน้อยนะ” คำนี้เธอพูดจริงๆ ไม่ได้เสแสร้ง ซึ่งในกรณีนี้ก็เป็นเรื่องปกติที่จะช่วยเหลือกัน
“เด็กทั้งสองคนดูวิดีโอ ก็อยากจะเจอคุณ ถ้าคุณมีเวลา ก็ให้พี่ชายฉันพามาเที่ยวที่บ้านนะ”
เล่อจยาตกตะลึง มองเกาไห่ “เช่นนั้น เดี๋ยวตอนบ่ายฉันจะไปนะ”
“อย่างนี้เหรอ? ได้เลย เช่นนั้นฉันไม่ไปที่บริษัทแล้ว คุณอยู่ที่ไหน ฉันจะไปรับ”
เกาไห่หยิบมือถือจากเล่อจยา “ฉันจะไปส่งเธอเอง”
หลังจากเกาไห่มาส่งเล่อจยาที่คฤหาสน์หนิง เล่อจยาก็บอกให้รีบกลับไปที่บริษัทเลย
“ป้าสะใภ้ คุณเก่งมากๆ เลย คุณสามารถสอนฉันได้ไหม? ฉันก็อยากเรียนรู้บ้าง…” สีหน้าเย่เสี่ยวโม่ชื่นชมเล่อจยาอย่างมาก
หนิงเสี่ยวซีเหลือบมองเธออย่างดูถูก “เดินไปสามก้าว ก็ทั้งร้องไห้ทั้งกระโดดโลดเต้น ยังคิดจะเรียนเทควันโด ทำได้ไม่นานก็ล้มเลิกแล้ว”
เย่เสี่ยวโม่ลุกขึ้นยืน สองมือเท้าเอว “หนิงเสี่ยวซี คุณเหยียดหยามฉัน”
“เหยียดหยาม? จุ๊ๆ ……ไหนๆๆ คุณอธิบายมาสิ เหยียดหยามมีความหมายว่าอะไร? ” พูดจบ ก็หันเดินไปใกล้ๆ เล่อจยา “ป้าสะใภ้ เรียนจนได้แบบคุณนี้ นานแค่ไหนสำหรับคนทั่วไป? ”
เล่อจยานึกๆ ดู “อืม ตอนฉัน 5 ขวบก็เริ่มเรียนกับพ่อแล้ว พ่อบอกว่าฉันมีพรสวรรค์ เพราะโดยทั่วไปขั้นที่ 6 อย่างน้อยก็ต้องอายุ 30 ปี ในตอนนั้นฉันอายุ 20 ปีก็ทำได้สำเร็จแล้ว พ่อบอกว่าค่อนข้างมีน้อย”
หนิงเสี่ยวซีพยักหน้า ครุ่นคิด หลังจากพิจารณาเล่อจยาแล้ว ถอนหายใจพูดว่า : “ป้าสะใภ้ คุณใช้เวลาสิบกว่าปีเท่านั้น ดูเหมือนว่า ก่อนที่ฉันจะบรรลุนิติภาวะก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
พูดจบ ก็ลุกขึ้น เดินไปที่ห้อง เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
เล่อจยาไม่เข้าใจความหมายของหนิงเส่าเฉิน ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ
เย่เสี่ยวโม่จึงพูดว่า “ป้าสะใภ้ พี่ชายฉันหมายความว่า คุณดูไม่ได้ฉลาดเกินไป ก่อนอายุ 20 ปียังสามารถทำสำเร็จได้ เขาก็ทำได้อย่างแน่นอน” พูดจบก็วิ่งจากไป แล้วตะโกนพูดว่า : “พี่ คุณพาฉันไปเรียนด้วยได้ไหม? ”
เล่อจยาขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นชี้ไปที่เด็กทั้งสองคน พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ยกหลินยกน้ำกับขนมมาให้เล่อจยา วางไว้บนโต๊ะน้ำชาตรงหน้าเธอ “พี่สะใภ้ เด็กสองคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ชอบพูดหยอกล้อ คุณอย่าไปสนใจพวกเขาเลย”
เล่อจยาส่ายหัว ในแววตาเผยความอิจฉาออกมา “เย่หลิน อิจฉาคุณจริงๆ เลย ลูกสองคนโตขนาดนี้แล้ว น่ารักมากเลย”
เย่หลินลุกขึ้นมานั่งข้างๆ เล่อจยา จับมือเล่อจยา “พี่สะใภ้ อันที่จริงที่ฉันเรียกคุณมาในวันนี้ ก็เพราะเรื่องนี้แหละ”
เล่อจยายิ้ม อันที่จริงเธอก็รู้อยู่ในใจ เย่หลินงานยุ่งมาก ไม่ใช่แค่ความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทั้งสองจึงได้เรียกเธอมา
“คุณก็รู้ว่า พ่อแม่ฉันไม่อยู่แล้ว ดังนั้น เรื่องของพี่ชายฉัน ก็มีเพียงฉัน ที่สามารถบอกได้”
เล่อจยาพยักหน้า แต่ไม่พูดจา รอให้เย่หลินพูดต่อ
“อืม ฉันมองออกว่า พี่ชายของฉันชอบคุณจริงๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อายุของพวกคุณก็ไม่น้อยแล้ว ควรคิดที่จะมีลูกได้แล้ว”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มองเย่หลิน “เย่หลิน อันที่จริง…..พวกเรา ยังไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างกัน”
พูดจบ ก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอายเล็กน้อย
มือที่เย่หลินถือถ้วยชาอยู่ ก็สั่นเล็กน้อย “อะไรนะ? นี่….เพราะอะไร? พวกคุณ แต่งงานกันแล้วนะ? ”
“เกาไห่บอกว่า ตอนนี้ฉันความจำเสื่อม เขาไม่อยากให้ฉันตามเขาไปแบบสับสนงุนงง”
เย่หลินเข้าใจได้ในทันที “อ๋อ ที่แท้ก็แบบนี้ คาดไม่ถึงว่า พี่ชายฉันจะละเอียดรอบคอบขนาดนี้…..”
ต่อจากนั้น เย่หลินก็ไม่ได้พูดคุยถึงหัวข้อนี้กับเธออีก
ทานอาหารเย็นแล้ว เกาไห่ก็เข้ามารับเธอ เธอคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากว่า: “เกาไห่ อย่างนั้น ก็ไปเยี่ยมเธอไหม? ”
ถึงแม้ว่าเบื้องหลังเย่หลินจะไม่ได้กดดันเธอ แต่ในใจเธอก็รู้ดี บางทีการหลบหนี ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ อย่างนั้นก็เผชิญหน้าซะเถอะ
เกาไห่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย “น้องสาวฉันพูดอะไรกับคุณ? ”
เล่อจยาส่ายหน้า “ไม่ได้พูดอะไร ฉันเห็นว่าลูกทั้งสองของน้องสาวคุณน่ารักมาก คิดแล้วก็อยากมีลูก แต่คิดถึงการฟื้นความทรงจำแล้ว บางทีก็อาจจะเสียเวลา”
ความประนีประนอมของเธอทำให้เกาไห่ตื่นเต้นเล็กน้อย แล้วก็เป็นกังวลเล็กน้อย ถ้าเธอฟื้นความทรงจำกลับมา ถ้าหาก เธอรู้ว่าตนเองโกหกเธอ เธอจะเลือกอย่างไร?
“เรื่องราวในอินเทอร์เน็ต ฉันให้เสี่ยวตงจัดการให้เรียบร้อยแล้ว คุณไม่ต้องเป็นกังวลแล้วนะ”
เล่อจยาพยักหน้า “โอเค”
วันต่อมา
เมื่อรถยนต์มาจอดที่หน้าประตูโรงพยาบาลบ้า สายตาของเล่อจยาก็งุนงง “นี่คือ……..”
“แม่ของคุณ มีปัญหาทางระบบประสาท”
เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เธอเม้มริมฝีปาก ในทันทีก็จนปัญญาที่จะรับได้เล็กน้อย “คือ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่ไหม? ”
เกาไห่ส่ายหน้า “อาการโดยละเอียด ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอก เข้าไปดูอาการก่อนเถอะ….”
แม่ในความทรงจำของเล่อจยา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นสาวสวย ก็ยังดูมีเสน่ห์ แต่ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ใบหน้าเหลืองซูบผอม ตาลอย มุมปากยังมีน้ำลายไหลออกมาอีกด้วย
“เธอเป็นอะไรถึงได้เข้าโรงพยาบาล? ”
เล่อจยากล่าวถาม ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเล็กน้อย
คนดูแลลังเลใจเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า: “ฉันได้ยินมาว่า ลูกของเธอเสียชีวิต”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ละ….ลูกเสียชีวิต? ”
หรือว่าจะเป็นน้องชายของเธอ?
“ไม่ใช่น้องชายคุณหรอก” เกาไห่คล้ายกับจะรู้ว่าเธอคิดอะไร จึงเอ่ยปากพูด
“คุณรู้ได้อย่างไร? ”
“ที่คุณต้องสูญเสียความทรงจำส่วนหนึ่งก็เพราะน้องชายคุณ ดังนั้นตอนนี้เขามีชีวิตที่ดีมาก คุณไม่ต้องเป็นห่วง! ”
เล่อจยามองคนดูแล “คุณป้า คุณเข้าใจผิดแล้วหรือเปล่า แม่…แม่ของฉันอายุก็ไม่น้อยแล้ว ลูก…..”
ในความทรงจำ เมื่อตอนอายุ21ปี แม่และน้องชายของเธอยังใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เวลานั้นก็อายุ40กว่าปีแล้ว
“เธอ เหมือนกับ…..เหมือนกับว่า….จะถูกคนข่มขืน…”
เวลานี้ เงาคนคนหนึ่งวิ่งผ่านเล่อจยาไป เธอรีบปล่อยมือเกาไห่ แล้ววิ่งตามไป
เธอรวดเร็วมาก ฉะนั้น เพียงไม่นานก็ตามทัน
ยื่นขาไปสกัดเท้าชายคนนั้น จนคนคนนั้นล้มลงอยู่กับพื้น แต่ในระหว่างล้มลงเล่อจยาก็อุ้มเด็กทารกมาจากในมือเขา
นำเด็กส่งคนคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เธอเดินไปข้างหน้าเตรียมจะจัดการชายคนนั้น คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะมีวิชามวยเล็กน้อยยกเท้าขึ้นจะเตะเธอ โชคดีที่เล่อจยามีการตอบสนองที่ไว จึงถอยหลังกลับ หลังจากที่เขาโต้ตอบกลับมา เล่อจยาก็มีสมาธิจดจ่อ ชายคนนั้นสูงมาก เมื่อเทียบกันแล้วเธอไม่มีอะไรได้เปรียบเลย
ดังนั้นเธอจึงถอยหลังอย่างรวดเร็วแล้วเลือกเตะตวัดหลังกลางอากาศ เดิมทีชายคนนั้นไม่ทันได้เตรียมป้องกันตัว ก็ถูกเตะจนโซเซไปหลายก้าว หลังจากนั้นเล่อจยาก็ถีบลงกองอยู่กับพื้น สองมือยกตั้งขึ้นบริเวณหน้าอก ขาข้างหนึ่งยกขึ้น ขาส่วนล่างตั้งตรงเหยียบอยู่บนหน้าอกของชายคนนั้น
ในทันทีที่ชายคนนั้นล้มลงอยู่บนพื้น คนรอบข้างก็พูดว่า : “ทุกคน จับไอ้เลวนี้ไว้มันลักพาตัวเด็ก ใครก็ได้ แจ้งตำรวจเร็วเข้า”
เมื่อตำรวจมา ก็ไม่เห็นเล่อจยาในที่เกิดเหตุอีกแล้ว
เวลานี้ เล่อจยากำลังดึงเกาไห่วิ่งเข้าไปในซอยข้างหน้า เอามือปิดหน้าอกหายใจเหนื่อยหอบ
รู้สึกได้ถึงสายตาของเกาไห่ เธอจึงพูดว่า : “ฉัน…ฉันกลัวมีปัญหา แหะแหะ…”
ในชั่วพริบตา เธอก็ถูกดึงเข้าไปไว้ในอ้อมกอด “เมื่อกี้ที่เขาหยิบมีดออกมา รู้ไหมว่าฉันเป็นห่วงมาก? ”
เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คลอเคลียอยู่ในอ้อมกอดของเกาไห่ “ไม่เป็นไรแล้ว พ่อฉันบอกว่า ทักษะสายดำขั้นที่ 6 ของฉันนี้ อย่าพูดว่าหนึ่งคนเลย มีอย่างนี้อีกสองสามคน ก็ไม่ใช่ปัญหา”
“คุณไม่เคยได้ยินเหรอ ศัตรูที่เปิดเผยไม่น่ากลัวเท่าศัตรูซ่อนเร้นอยู่? กลัวว่าพวกเขาจะมาเอาคืนนะสิ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลง
เล่อจยามองหน้าเขา ในแววตาเขามีความกังวลใจ จึงยิ้มพูดว่า “โอเค ต่อไป ฉันจะระมัดระวังอย่างแน่นอน”
เพราะที่ทานข้าวอยู่ไม่ไกล ทั้งสองคนจึงเดินกลับ เมื่อถึงบ้าน ไห่ยุ่นที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา เห็นทั้งสองคนกลับมา แววตาก็คลุมเครือเล็กน้อย “พี่ พี่สะใภ้ พวกคุณกลับมาแล้วเหรอ? ”
เล่อจยายิ้มๆ เกาไห่พูดว่า “ทำไมยังไม่นอน? ”
“ก็เตรียมจะนอนแล้ว”
“อย่างนั้นพวกคุณคุยกันไป ฉัน…ไปอาบน้ำก่อน” เล่อจยาพูดจบ ก็เข้าห้องนอนไป
“พี่ ตอนนี้พี่สาวเป็นอย่างไรบ้าง? ”
ได้ยินเสียงปิดประตูแล้ว ไห่ยุ่นก็เอ่ยถาม
สีหน้าเกาไห่เคร่งขรึมลงทันที “คุณจะถามถึงเธอทำไม? ”
เล่อจยาดึงประตู เตรียมจะออกไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่ระเบียง เท้าเพิ่งจะก้าวออกมา เธอก็ได้ยินน้ำเสียงไห่ยุ่น ก็ถอยหลังกลับ
“พี่ คุณ…ไม่รักเธอแล้วเหรอ? ”
“คุณพูดไร้สาระอะไร? ” น้ำเสียงเกาไห่เย็นชาลงทันที ลุกขึ้นยืน “คุณก็นอนเร็วหน่อยนะ”
“พี่ เธอมีดีตรงไหน? ”
เธอชี้นิ้วไปที่เล่อจยา ทั้งสามคนก็เข้าใจได้
เล่อจยาจับที่เปิดประตู จนปลายนิ้วค่อยๆ ซีดเป็นสีขาว
“ฉันไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นรู้ว่าเธอมีดีตรงไหน ภรรยาของฉัน ในใจฉันรู้ว่าเธอมีดีตรงไหนก็พอแล้ว”
ประโยคเดียวกัน อีกคนหนึ่งยิ้มๆ อีกคนหนึ่งกลับไม่สบายใจ
เล่อจยาสูดหายใจเข้าลึกๆ ดึงประตูเปิดออก ก็เห็นเกาไห่เดินมาทางห้องนอนพอดี
“คุณภรรยา…”
“ฉันจะไปหยิบผ้าเช็ดตัว คุณไปอาบก่อนเถอะ”
เมื่อผ่านเกาไห่ไป เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่ถี่เล็กน้อยของเขา
จึงหยุดเท้าลงชั่วขณะ เอียงหน้า เขย่งปลายเท้าขึ้น จูบบนใบหน้าของเขาเล็กน้อย
จากนั้น ก็เดินจากไป
เมื่อเล่อจยาอาบน้ำเสร็จ เกาไห่ก็นอนเอนกายลงไปแล้ว
เธอมองเขา หลังจากคิดหน้าคิดหลังแล้ว ก็นำศีรษะหนุนไปบนตัวของเกาไห่ “น้องสาวคุณชอบคุณ” เธอนำความคิดที่อยู่ในใจพูดออกมาอย่างสั้นๆ ง่ายๆ
มือที่เกาไห่ลูบบนใบหน้าของเธอ หยุดชะงักเล็กน้อย “แค่น้องสาว อย่าเดาไปเรื่อย”
เล่อจยาหยิบมือของเขา เล่นที่ปลายนิ้วมือ “ดูเหมือนว่าบุปผาร่วงหล่นมีใจ สายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก”
“แม่เลี้ยงปฏิบัติต่อฉันอย่างดีมาตั้งแต่เด็ก ฉันดูแลเธอ ก็เป็นเพียงแค่ครอบครัว ไม่มีความหมายอื่น”
เล่อจยาพยักหน้า จุดนี้ เธอไม่ได้สงสัย
“เธอพูดว่าพี่สาว คือใครเหรอ? ” ด้วยนิสัยของเล่อจยา ที่มีนิสัยไม่เก็บซ่อนปิดบังมาโดยตลอด ดังนั้น หลังจากได้ยินคำพูดของไห่ยุ่น เธอก็รู้สึกว่าถ้าไม่ถามให้ชัดเจน ในใจก็จะติดค้าง
เกาไห่ลุกขึ้นนั่ง โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด “เธอเป็นลูกสาวของแม่เลี้ยง ความจริงคือเป็นน้องสาวของฉัน เวลานั้นยังเด็กและโง่เขลา ฉันคิดว่านั่นคือความรักมาโดยตลอด จนกระทั่งได้พบคุณ ฉันจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริง ว่านั่นคือความลุ่มหลง ไม่ใช่ความรัก”
ถึงแม้เล่อจยาจะสับสนกับความสัมพันธ์ชั่วคราวนี้เล็กน้อย แล้วก็รู้สึกว่า ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ภายในใจ เธอก็เชื่อผู้ชายคนนี้โดยไม่มีเหตุผล
หันกลับไปมองเกาไห่ พูดอย่างจริงจังว่า: “ฉันไม่ค่อยเข้าใจอดีตที่ผ่านมาของคุณเท่าไรหรอก แต่จะพยายามเข้าใจปัจจุบันและอนาคตของคุณ เกาไห่ โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้พบคุณในชีวิตนี้”
ความรู้สึกของเล่อจยาที่มีต่อเกาไห่นั้นกระตือรือร้นอยู่เสมอ ดังนั้น เธอจึงไม่เคยปิดบังความรู้สึกภายในใจ
คืนนี้ ยาวนานอย่างมาก แต่ก็อบอุ่นอย่างมาก
ตอนเช้า เมื่อเล่อจยาตื่นขึ้นมา เกาไห่ก็กำลังมองเธออยู่ ด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“คุณ….คุณอย่ามามองฉันแล้วยิ้มอย่างนี้สิ ฉันรู้สึกขนลุก”
เกาไห่ปิดปาก นำมือถือยื่นให้เธอ “ดูสิ เมื่อกี้เสี่ยวตงส่งมาให้ฉัน”
เล่อจยาไม่เข้าใจ รับมือถือมา กดเปิด เป็นวิดีโอสั้นๆ ไม่ใช่เธอ แล้วจะใครล่ะ?
“คุณพระ นี่ใครเป็นคนถ่ายกันเนี่ย? ”
“ภรรยาของฉัน! เยี่ยมมาก” ชายหนุ่มมองเธอ แล้วกล่าวชมเชยเธออย่างจริงใจ
เล่อจยาชำเลืองมองเขา “เมื่อวานมีบางคนไม่พอใจอย่างมาก”
ชายหนุ่มหยิกบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย “ลุกขึ้นเถอะ”
ขณะเดินทาง เกาไห่ได้รับโทรศัพท์ มองเล่อจยาด้วยใบหน้าที่สับสนงุนงงเล็กน้อย “ด้านหน้าบริษัทมีนักข่าว”
เล่อจยาที่เล่นเกมบนมือถืออยู่ ได้ยินเกาไห่พูดแบบนี้ ก็ไม่ได้เงยหน้า พูดอย่างไม่ใส่ใจว่า: “อย่างนั้นคุณก็ระวังหน่อยแล้วกัน”
ไห่ยุ่นที่นั่งอยู่ข้างหน้า จึงกล่าวว่า: “พี่สะใภ้ คนอื่นมาหาคุณ พี่ชายฉันจะต้องระวังอะไร? ” อันที่จริง ไห่ยุ่นก็รู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย เล่อจยาเป็นแบบนั้นคาดไม่ถึงว่าจะมีฝีมือ
มาหาเธอ?? เล่อจยาหันหน้าอย่างรวดเร็ว มองเกาไห่: “คือเรื่องเมื่อคืนวานเหรอ? ”
เกาไห่พยักหน้า “ตอนนี้คุณกำลังดังในอินเทอร์เน็ต เดิมทีเสี่ยวตงก็อยากช่วยคุณควบคุม แต่ด้านนอกของบริษัทเต็มไปด้วยแฟนคลับของคุณ จึงจนปัญญา” พูดจบ ก็บอกให้คนขับรถจอดข้างทาง กำชับให้เขาเข้าไปส่งไห่ยุ่นที่บริษัทก่อน จึงพาเล่อจยาลงจากรถ….
“ไปกันเถอะ พอดี ฉันอยากพาคุณไปสถานที่ที่หนึ่ง”
เล่อจยาถูกเขาจูงมือ “ไปไหน? ”
“ไปหาแม่ของคุณ”
“มะ…แม่? ” ในใจเล่อจยาตกใจเล็กน้อย ส่ายหัวด้วยจิตสำนึก หลังจากนั้นก็หยุดฝีเท้า
เกาไห่หรี่ตา มองเธอ “ทำไมล่ะ? ”
“ไห่ยุ่น คุณอย่าใสซื่อเกินไปเลย เราก็ไม่ได้ว่าเล่อจยาแย่ขนาดนั้น แต่ว่าก่อนที่คุณจะมาเธอมักจะติดต่อกับประธานเกาบ่อยมาก”
ไห่ยุ่นปิดปาก แล้วหัวเราะ “ถึงแม้ว่าเธอจะคิดอะไรกับพี่ชายฉัน ฉันเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของเขา ฉันจะทำอะไรได้? ” พูดถึงตรงนี้ไห่ยุ่นก็ก้มหน้า ปิดบังความหดหู่ในแววตา
“อันที่จริงก็พูดแบบนี้ไม่ได้นะ ไห่ยุ่น เรามองออกว่าประธานเกาปฏิบัติต่อคุณดีมาก พวกคุณ……ก็ไม่ใช่พี่น้องแท้ๆ คุณก็สวยขนาดนี้ เรื่องบางเรื่อง ก็ไม่ใช่จะไม่สามารถเป็นไปได้? ” บางคนเลือกที่พูดออกมาอย่างชัดเจน
“ใช่สิ ฉันก็คิดแบบนี้ เล่อจยาคนนั้น ไม่ดูความสามารถของตนเลย คุณดูสิ รูปร่างก็ไม่ได้ดี หน้าตาก็ไม่ได้สวย คาดไม่ถึงยังจะกล้าหมายปองประธานเกา”
“ขอบคุณพวกพี่ๆ ที่ชอบไห่ยุ่น เพียงแต่ฉันรู้ว่า ฉันเป็นคนพิการคนหนึ่ง จะคู่ควรกับคนดีๆ แบบเขาได้อย่างไร”
เธอพูดประโยคนี้จบ ทุกๆ คนก็ถอนหายใจ
……
คำพูดของคนนั้นน่ากลัว เรื่องราวที่ไม่ได้มีอยู่จริง ถูกพูดกันมากๆ ก็กลายเป็นจริงขึ้นมา
ด้วยเหตุนี้ เล่อจยาจากไม่เป็นที่รู้จัก ก็เป็นที่รู้จักของคนในบริษัทภายในไม่กี่วัน
บางคนก็บอกว่า เธอเป็นพวกคางคกขึ้นวอ บางคนก็บอกว่า ที่เธอมาชวนไห่ยุ่นคุยก็เพื่ออยากจะคบกับเกาไห่ ต่างๆ นานา
สรุปได้ว่า เธอไม่ดีไปซะทุกๆ อย่าง ด้วยเหตุนี้ไห่ยุ่นจึงได้รับความชื่นชอบ ทุกๆ คนปฏิบัติดีต่อเธอ สงสาร สรรเสริญเยินยอ ให้ความช่วยเหลือ แต่กับเธอแล้ว นอกจากจะได้คำพูดที่ไม่น่าฟังแล้วก็ไม่มีอะไรอื่นอีก
ในตอนแรกเล่อจยาก็ไม่ได้สนใจ แต่นานๆ ไป เธอถูกคนเมินเฉยแบบนี้ ท้ายที่สุดก็ได้รับผลกระทบ
เกาไห่บอกให้เธอขึ้นไปทานอาหารเย็นตอนเที่ยง หลังจากเธอคิดๆ ดูแล้ว ก็พูดตรงๆ ว่า : “สองสามวันนี้ฉันจะไม่ขึ้นไปกินข้าวด้วยนะ คนในบริษัทพูดไม่ค่อยน่าฟังเลย คุณให้คนมาเข็นไห่ยุ่นขึ้นไปเถอะ ตอนเย็นฉันก็จะกลับบ้านเอง สองสามวันนี้ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจน่าจะดีกว่า”
“คุณภรรยา เราเปิดเผยกันเลยเถอะ ฉันไม่อยากให้คนอื่นมาว่าคุณ” เกาไห่ตอบข้อความกลับอย่างรวดเร็ว
เล่อจยายิ้มมุมปาก “อืม อย่าเลย แค่สถานการณ์ในตอนนี้ ฉันเกรงว่าตอนเองจะจมน้ำลายตาย รอให้พวกเธอพูดจนพอแล้ว ก็เลิกพูดไปเองนั่นแหละ”
เพราะไม่สามารถไปทานข้าวที่โรงอาหารได้ เล่อจยาได้แค่ออกไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แม้ว่าเธอจะรับบัตรจากเกาไห่มา แต่ในใจ เธอยังรู้สึกละอายที่จะใช้เงินของเขา
รอหลังจากเธอกลับมา บรรยากาศที่บริษัทก็เปลี่ยนไปมาก เดิมทีคนที่ชี้นิ้วใส่เธอ ก็ไม่มีแล้ว ทุกๆ คนเห็นเธอ ก็กลายเป็นมิตรมากขึ้น บางคนถึงกับเริ่มทักทายเธอ
เมื่อถึงสำนักงาน ก็เป็นเช่นนี้ ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะถามเพื่อนร่วมงานข้างๆ
“เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว ประธานเกาไล่คนสองคนที่เคยส่งอีเมลมาโจมตีคุณก่อนหน้านี้ออกไปแล้ว”
เล่อจยาขมวดคิ้ว ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
ประธานเกาปกป้องอย่างเปิดเผยเช่นนี้ แม้ว่าทุกคนจะมีความคิดเห็นอยู่ในใจ ก็ไม่มีใครเต็มใจที่จะตกงานเพื่อคำนินทาหรอก
รู้สึกอบอุ่นในใจ เลยส่งข้อความไปให้เกาไห่ “ขอบคุณเจ้านาย”
“เช่นนั้นตอนเย็นได้โปรดเป็นเกียรติ ให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณด้วย ได้ไหม? ”
“อย่างนั้น น้องสาวคุณล่ะ? ”
“ฉันจะให้เสี่ยวตงส่งเธอกลับไป”
“โอเค”
ผลักเปิดประตูหนักๆ ของร้านอาหารออก เบื้องหน้าคือพื้นที่กว้างขวางหรูหรา โคมไฟระย้าคริสทัลอันงดงามบนเพดาน สะท้อนแสงทุกๆ มุมด้วยสีสันสดใสราวกับความฝัน
โต๊ะและเก้าอี้สไตล์ยุโรป เคาน์เตอร์บาร์ขนาดเล็กที่งดงาม ล้วนทาด้วยสีขาวล้วน ทำให้ทุกหนทุกแห่งส่งกลิ่นอายของความเป็นผู้ดี
มองดูร้านอาหารระดับไฮเอนด์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราตรงหน้า เล่อจยาก็หันกลับไปมองเกาไห่ “ระดับสูงขนาดนี้ แพงมากเลยใช่ไหม? ”
เกาไห่เอียงหน้าเล็กน้อย กระซิบข้างหูของเธอ “กลางวันทานบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปแล้ว ตอนเย็น ชดเชยหน่อยไม่ได้เหรอ? ”
“คุณ รู้ได้อย่างไร? ” เล่อจยามองเกาไห่อย่างประหลาดใจ
เกาไห่เพียงแค่ยิ้มๆ ไม่พูดจา จูงมือของเธอ เดินเข้าไปยังด้านหน้า เสื้อสูทรองเท้าหนัง ภาพด้านหนังที่สูงสง่าหุ่นดี เล่อจยามองนิ้วมือที่จับเอาไว้แน่น เวลานี้ เธอรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก
ดังนั้น จึงเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในห้องอาหาร
ชายที่รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา เสื้อสูทที่สั่งทำเองกับมือ เสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังทำด้วยมือ บุคลิกดีเลิศ แต่ผู้หญิง ไม่ค่อยสูงเท่าไร รูปร่างก็ไม่ค่อยดี หน้าตาก็ไม่ค่อยโดดเด่น สวมเสื้อกันหนาวมีฮู้ด กางเกงยีนสีซีดๆ คนทั้งสองมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสมกัน
ถ้าต้องบอกว่าจุดไหนที่หญิงสาวโดดเด่น ก็คาดว่าจะเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ กับแก้มลูกสาลี่นั้น
บริกรเข้ามาต้อนรับ “คุณเกา เชิญตามมาได้เลยครับ”
ตามบริกรไป พวกเขาเข้าไปยังห้องวีไอพีที่งดงามห้องหนึ่ง ไวน์แดง เทียนหอม ดอกไม้สด….เล่อจยามองเกาไห่ ในสายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ยิ้มอะไร? ไม่พอใจเหรอ? ”
เล่อจยาส่ายหน้า “แค่รู้สึกว่า มันเกินความเป็นจริง กลัวว่าจะฝันไป แล้วก็ตื่นขึ้นมา” เสียงของเธอยิ่งพูดก็ยิ่งเบาลง
เมื่อตอนอายุ21ปี ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคือเทพบุตรในฝันของเธอ ไกลเกินจะเอื้อมถึง
เธอไม่กล้าหวังแม้แต่จะได้ทานข้าวด้วยกันกับเขา ไม่ต้องพูดถึงดินเนอร์ใต้แสงเทียนสุดโรแมนติกเลย
“เล่อจยา บางที่ที่คุณรักอาจจะเป็นเพียงภายนอกของฉัน แต่คุณรู้ไหม? ถึงรูปร่างหน้าตาที่ดีหายไป ความรักความผูกพันที่แท้จริงจะไม่จางหาย ภายในจิตใจ แล้วความรักของฉัน ล้วนเป็นคุณที่อยู่ข้างใน” เขามองเธออย่างลึกซึ้ง พูดคำพลอดรักที่มีเพียงคนสองคนที่สามารถได้ยินได้
เล่อจยานิ่งอึ้งไป ความรักของเธอ เป็นเพียงแค่ภายนอกของเกาไห่เหรอ?
ตอนอายุ21ปี บางทีก็อาจจะใช่? ถึงอย่างไร เวลานั้นเธอก็ไม่มีโอกาสที่จะได้รู้จักภายในใจของเขา
ตอนเธออายุ28ปี ตกลงเธอรักภายในจิตใจของเขาหรือไม่ เธอก็จำไม่ได้
การแสดงออกของเธอหักหลังภายในจิตใจของเธอ ในสายตาเกาไห่ ปรากฏความหดหู่เล็กน้อย
เล่อจยาที่เติบโตมาท่ามกลางเด็กผู้ชาย ดังนั้น กับความสงบเสงี่ยมและสง่างามของเด็กผู้หญิง เธอไม่ค่อยถนัด ดังนั้น มื้ออาหารนี้ จึงกลายเป็นมื้อที่น่าจดจำที่สุดในชีวิตของเธอ
ที่อบอุ่นใจก็คือ การรู้ใจของเกาไห่ ที่ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและเก้อเขิน
เมื่อคนทั้งสองออกมาจากภัตตาคาร ภายใต้โคมไฟที่วาววับจับตา ในเมืองที่งดงาม ตึกที่สูงเสียดฟ้า เล่อจยามองผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ทันทีก็รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นพิเศษ
เมืองที่คึกคักแบบนี้ แต่เธอกลับรู้สึกว่าชีวิตโดดเดี่ยวเดียวดาย
ซูหย่าบอกว่า หลังจากพ่อและแม่หย่าร้าง พ่อก็หายไป ไม่รู้ว่าไปไหน? แม่ก็พาน้องชายไปด้วย….
เธอไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้สองสามปี เธอผ่านอะไรมา แต่ซูหย่าคงไม่โกหกเธอ คิดแล้ว คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลายเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถูกทอดทิ้ง หลายวันมานี้ เธอพยายามที่จะไม่คิดถึงปัญหานี้ แต่เวลานี้ เธอก็อดขอบตาตาแดงไม่ได้
ยังดีที่ สวรรค์ไม่ใจจืดกับเธอ ส่งให้เกาไห่มาอยู่ข้างๆ เธอ เพียงแต่ ไม่รู้ว่าเกาไห่ดีเลิศจนเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้เธอหาความรู้สึกที่ปลอดภัยจากเขาไม่ได้เลยสักนิด
“จับเขาไว้….มีคนลักเด็กไป…” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเสียงดังจากใครบางคนที่อยู่ด้านหลัง
เล่อจยาหันกลับไปถลึงตาเกาไห่ “บอกว่าฉันรู้สึกไม่ปลอดภัยกับคุณ แล้วทำไมถึงสายเกินแก้แล้วล่ะ? อย่างนี้ ถ้าฉันรู้สึกปลอดภัย? คุณมีอะไรเสียหายเหรอ? ”
ถึงแม้เธอจะไม่มีความประทับใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ชายหญิงในความทรงจำของเธอ แต่ถ้าไม่เคยสัมผัส จะรู้ได้อย่างไร?
ชายหญิงเกิดความสัมพันธ์กัน อย่างไรก็นับว่า เป็นฝ่ายหญิงที่เสียเปรียบไม่ใช่เหรอ?
เกาไห่เลิกคิ้ว กระแอมเบาๆ : “ฉัน ฉันยัง…ยังเป็นครั้งแรกนะ” ผู้ชายที่เด็ดเดี่ยวขนาดนั้น เวลานี้มีใบหน้าเขินอาย
ครั้งแรก……ครั้งแรก? ครั้งแรก!!!
หลังจากเล่อจยาสติกลับมา เธอก็หันกลับมา มองเกาไห่ด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อ “คุณ……คุณยัง……บริสุทธิ์เหรอ???”
เกาไห่มองออกไปทางอื่น แล้วพยักหน้า สีหน้าเขินอายยิ่งกว่าเดิม
เล่อจยาปิดปาก “พระเจ้า เช่นนั้น ฉันก็เก็บของล้ำค่าได้ใช่ไหม? ” พูดจบก็หัวเราะ สีหน้าภาคภูมิใจ
“เล่อจยา! ” เกาไห่ตำหนิเบาๆ
“จบเห่! ” จู่ๆ เล่อจยาก็พูดออกมาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไร? ”
เล่อจยาหันกลับมาโอบกอดคอของเกาไห่ “ฉันลืมไปแล้วว่าช่วงสองสามปีมานี้ฉันเคยมีแฟนหรือเปล่า คุณว่า ถ้าหากว่าฉัน ถ้าหากว่า ไม่บริสุทธิ์ คุณ คุณไม่เสียเปรียบเหรอ? ”
เกาไห่โล่งอก มองเล่อจยาอย่างทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย หลังจากคิดดูแล้ว มือทั้งสองข้างของเขาก็จับแก้มของเล่อจยา “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้คิดว่าสำคัญขนาดนั้น”
เล่อจยาส่ายหัว พูดทั้งน้ำตา : “ทำไมจะไม่เป็นอะไร? ฉันก็อยากให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่คุณ” พูดจบ ก็ผิดหวังเล็กน้อย
“ใช่สิ ซูหย่าต้องรู้แน่นอน ฉันจะไปถามเธอก่อน” เล่อจยาพูดจบ ก็หยิบมือถือขึ้นมา
เกาไห่หยิบมือถือออกจากมือเธอ “อย่าถามเลย ฉันจะรอคุณ รอคุณฟื้นความทรงจำขึ้นมาแล้ว หรือหลังจากฉันเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ เราก็มาลองดู ก็ไม่รู้แล้วเหรอ? ”
พูดจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วลุกขึ้น “โอเค ลุกขึ้นเถอะ ในบ้านยังมีแขก”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “แขกเหรอ? ”
“ก็คือยัยเด็กคนนั้น! ”
เล่อจยาทำเสียง”อ๋อ” อารมณ์ในแววตาดูสับสนเล็กน้อย
เกาไห่มองออก จึงเดินไปข้างๆ เธอ “ไม่เต็มใจให้เธออยู่ที่นี่เหรอ? เช่นนั้นฉันจะพาเธอไปส่งที่โรงแรม…”
พูดจบ ก็ทำท่าทางจะเดินออกไปด้านนอก เล่อจยาคว้าตัวเขาไว้ ก็พบกับดวงตาเขาที่แดงก่ำ ก็รู้ได้ว่าเมื่อคืนเขาต้องนอนหลับได้ไม่ดีแน่ๆ คิดๆ แล้วก็รู้สึกว่าตนเองไร้เหตุผลเกินไป ผู้ชายคนนี้ ถ้าใจอยู่ที่ตนเองจริงๆ ใครมายื้อแย่งก็ไม่ไป ถ้าใจไปอยู่กับคนอื่น คนคนนั้นจะอยู่ที่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์
นึกถึงตรงนี้ สีหน้าที่หม่นหมองของเธอก็สดใสขึ้น “เอาเถอะ ให้เธออยู่เถอะ อยากมากก็แค่คุณนอกใจ ฉันก็จะหาใหม่”
เธอแค่ล้อเล่น แต่สีหน้าของเกาไห่กลับน่ากลัวอย่างมาก ในสมองเขาปรากฏภาพเซียวอู๋ ไม่ เขาจะไม่ให้โอกาสชายคนนั้นเข้ามา
เขาโอบกอดเล่อจยาอย่างแน่นๆ
“คุณภรรยา ฉันรับปากว่าตลอดชีวิตจะไม่นอกใจ คุณก็ต้องรับปากว่าจะไม่ทิ้งฉัน”
เดิมทีเล่อจยาอยากจะหัวเราะ แต่เห็นท่าทางที่จริงจังของเขา ก็กระแอมเบาๆ “รู้แล้ว”
เมื่อทั้งสองคนออกมา คุณป้าก็ทำอาหารเช้าไว้เสร็จแล้ว
ไห่ยุ่นเห็นเล่อจยา ก็ยิ้มหวานแล้วเอ่ยทักทาย : “สวัสดีพี่สะใภ้”
รอยยิ้มนั้นทำให้เล่อจยามีชีวิตชีวาเล็กน้อย เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเกาไห่ สีหน้าเขาปกติ
“สวัสดี น้องสาว” เล่อจยาดึงเก้าอี้ทานอาหาร คิดถึงเรื่องเมื่อวาน ก็ทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย
ไห่ยุ่นเห็นการแสดงออกของเธอ ก็พูดว่า : “พี่สะใภ้ เมื่อวานคุณไปไหนเหรอ? ทำให้พี่ชายฉันต้องร้อนใจ”
เล่อจยามองผู้หญิงตรงหน้า เธอยิ้มสดใสแบบนั้น เป็นกันเองขนาดนั้น แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกชอบพอเลย
“เมื่อวาน…”
เมื่อวานพี่สะใภ้คุณไปเที่ยวบ้านเพื่อนของเธอน่ะ มือถือปิดเครื่อง ฉันเลยคิดว่าเธอหาทางกลับบ้านไม่ได้” เกาไห่ส่งเสียงตัดบทคำพูดของเล่อจยาพูดจบ ก็ตักซุปให้เล่อจยาถ้วยหนึ่ง “คุณภรรยา นี่ที่คุณชอบดื่ม ดื่มเยอะๆ หน่อยนะ”
เล่อจยาขมวดคิ้ว มองซุปหูฉลามในถ้วย บอกตามตรง เธอไม่ชอบทานอันนี้เลย แต่เพราะคำพูดนี้ของเกาไห่ ซุปถ้วยนี้ เธอก็ต้องดื่มมัน
เมื่อทานข้าวไปได้สักพัก จู่ๆ ไห่ยุ่นก็เอ่ยปากว่า “พี่ชาย ต่อไป ฉันต้องฝึกงานแผนกเดียวกับพี่สะใภ้ใช่ไหม? ”
เล่อจยาที่ดื่มซุปอยู่ตกใจเล็กน้อย แผนกเดียวกันกับเธอ?
“ใช่ พี่สะใภ้คุณอยู่ฝ่ายการออกแบบ มีพรสวรรค์มาก คุณสามารถฝึกฝนกับเธอได้” เกาไห่ยกย่องเล่อจยาโดยไม่ปิดบัง
“ช่วงทดลองงานของฉันยังไม่เต็มเลยนะ? คุณยังจะมาคุยโม้แทนฉันอีก” จุดนี้ เล่อจยา เงียบเฉยไม่ได้จริงๆ
“ช่วงทดลองงานภรรยาของฉันสามารถได้PKจากนักออกแบบอาวุโสที่ทำงานมากว่าเจ็ดแปดปีได้ หรือว่าไม่ใช่พรสวรรค์? ”
เขาเดี๋ยวก็เรียกภรรยา เดี๋ยวก็เรียกภรรยา เล่อจยายังหน้าแดงไม่ทันหาย ใบหูก็แดงขึ้นมาอีก อดไม่ได้ที่จะหันไปถลึงตาใส่เขา
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองทำให้แนวต้านทานที่ไห่ยุ่นสร้างมาตลอดคืน พังทลายลงโดยสิ้นเชิง สีหน้าของเธอก็ควบคุมไว้ไม่อยู่ จึงวางช้อนในมือลง ยิ้มกับคนทั้งสองเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “พี่ พี่สะใภ้ พวกคุณทานไปก่อนนะ ฉันไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน”
เล่อจยาเห็นเธอต้องใช้แรงมากในการหมุนล้อรถเข็น ใจก็อ่อนลงในทันที ลุกขึ้นยืน “น้องสาว ต้องการให้ช่วยไหม? ”
สีหน้าของไห่ยุ่นแข็งทื่อเล็กน้อย ส่ายหน้า ยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณพี่สะใภ้ หลายปีมาแล้ว ฉันชินแล้วล่ะ”
มองภาพด้านหลังเธอจากไป ในใจของเล่อจยาก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกอย่างมาก คิดว่าตนเองจะประลองฝีมือกับผู้หญิงคนแบบนี้ มันดูแย่เกินไปจริงๆ เธอจึงตัดสินใจภายในใจว่า ต้องดูแลไห่ยุ่นให้มากหน่อย
เพียงแต่เล่อจยาไม่เข้าใจว่า บางครั้งการเห็นใจผู้พิการทางร่างกาย แต่กลับได้ผลที่ตรงกันข้าม
ต่างจากเล่อจยาที่เข้าเกากรุ๊ปมาอย่างไม่เป็นที่รู้จัก ไห่ยุ่นคือคนที่เกาไห่นำเข้ามายังแผนกออกแบบด้วยตัวเอง
ดังนั้น ถึงแม้จะเป็นแค่สถานะนักศึกษาฝึกงาน
แต่นั่นก็คือน้องสาวของท่านประธานเกา สถานะนี้ มีความหมายว่าอะไร ทุกคนต่างรับรู้ แล้วก็เข้าใจ
จนกระทั่ง ทุกคนประจบประแจง ทุกคนดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างยิ่ง
แต่เพราะเกาไห่สั่งเอาไว้ว่า ห้ามนำเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับเล่อจยาไปบอกคนอื่น ดังนั้น ที่เล่อจยาดูแลเอาใจใส่ไห่ยุ่นเป็นอย่างดี ก็มักถูกเข้าใจว่าประจบสอพลอ
เช่น: ตอนกลางวัน เกาไห่โทรเข้ามา ให้เธอและไห่ยุ่นขึ้นไปทานข้าว
เล่อจยาจึงหาข้ออ้าง บอกว่าจะเข็นไห่ยุ่นขึ้นไปให้
ตอนบ่าย ข่าวที่เล่อจยาขึ้นไปทานข้าวด้านบนก็ถูกเผยแพร่ว่ามาจากผลพวงของการขยันประจบสอพลอ
เช่น: เกาไห่ซื้อของทานเล่นให้เธอและไห่ยุ่น เพราะอยากเจอเล่อจยา จึงให้เธอเข้าไปหยิบ
ตอนบ่าย จากการที่เล่อจยาอาศัยชื่อของไห่ยุ่น คาดไม่ถึงว่าจะทานของว่างที่เจ้านายส่งมาให้จริงๆ ข่าวนี้จึงถูกกระจายออกไป
………
จนกระทั่ง ผ่านไปหลายวัน เล่อจยาก็กลายเป็นสุนัขรับใช้ของไห่ยุ่น ที่ใครๆ ก็ไม่ชอบ ที่ใครๆ ก็รังเกียจ!
เพราะไม่อยากให้เรื่องจุกจิกเหล่านี้มารบกวนเกาไห่ ดังนั้น เล่อจยาจึงไม่ได้บอกเรื่องเหล่านี้กับเกาไห่
และไห่ยุ่น ก็ไม่เอ่ยถึงเลยสักคำ
วันนี้ ที่ห้องน้ำชา
“ไห่ยุ่น ต่อไปคุณต้องให้เล่อจยาคนนั้นเข้าใกล้พี่ชายคุณให้น้อยหน่อยนะ เธออยากจะเป็นซินเดอเรลล่าอย่างนั้นเหรอ? ” ไม่รู้ว่าใครเอ่ยถึงหัวข้อนี้
จากนั้น ก็มีเสียงระเบิดอารมณ์ออกมาจากในห้องน้ำชาที่คับแคบ
พูดถึงเล่อจยาทุกสิ่งอย่าง
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่าตัวหลักของเรื่อง อยู่ข้างกำแพงอีกด้านหนึ่ง
“พวกคุณเข้าใจพี่จยาจยาผิดแล้ว อันที่จริง เธอไม่ได้คิดอะไรกับพี่ชายของฉันเลย เธอเป็นคนดีมากจริงๆ เห็นว่าฉันขาไม่ค่อยสะดวก ดังนั้นจึงดูแลฉันอย่างดีมาก” เสียงของไห่ยุ่น อ่อนโยนอย่างมาก
เล่อจยาได้ยิน ก็ยิ้มมุมปาก มิน่าล่ะเกาไห่ถึงได้ดูแลน้องสาวคนนี้ดีขนาดนี้ นิสัยดีมากจริงๆ
จึงหันตัวออก แล้วกลับไปยังห้องทำงาน ดังนั้น เธอจึงไม่ได้ยินข้อความต่อไปที่สำคัญ
“ตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว เธอมาลงรถที่นี่ แต่ส่งคนออกไปดู ตามค้นหาโรงแรมและที่พักที่นี่หมดแล้ว ก็ไม่เจอเธอเลย” เกาไห่พูดจบ ก็ต่อยต้นไม้ข้างๆ อย่างแรง
“พี่ พี่สะใภ้มีศิลปะการป้องกันตัว ปลอดภัยไม่น่าจะมีปัญหา อาจจะมีที่ที่ยังหาไม่เจอก็ได้? ” เย่หลินพูดโน้มน้าว
ซูหย่าได้ยิน ก็หัวเราะเยาะออกมา : “โรงแรม? ที่พัก? เกาไห่ คุณกำลังหลอกตัวเองอยู่เหรอ? เธอมีเงินติดตัวไม่ถึงสิบหยวน จะพักโรงแรมที่ไหนได้ ฉันคิดว่าคุณส่งคนไปดูตามใต้สะพาน บางทีอาจมีโอกาสเป็นไปได้สูงกว่า”
ซูหย่าพูดจบก็จ้องมองเกาไห่ ตอนนี้เธอไม่พอใจเกาไห่อย่างมาก ดังนั้นคำพูดที่พูดออกมา จึงฟังดูประชดประชันเล็กน้อย อันที่จริงก็โกรธตัวเองด้วย เรื่องนี้เกาไห่ไม่รู้ แม้ว่าจะไม่สมควร แต่เธอก็ไม่รู้สถานการณ์ของเล่อจยาเลย แต่ตัวเธอเองคิดว่าเกาไห่ดูแลได้ดีแล้ว เมื่อกี้ที่เธอก้าวก่ายไป คิดๆ แล้วก็อยากตำหนิตนเอง
เย่หลินมองซูหย่า แล้วพยักๆ หน้ากับเธอ หันไปมองเกาไห่ “พี่ ที่คุณซูพูด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? พี่สะใภ้ไม่มีเงินติดตัวเลยเหรอ? ”
เกาไห่พยักหน้า ในสายตาก็เผยความละอายใจออกมา “ต้องโทษฉันเอง ฉันมันสะเพร่า”
“เธอไม่มีเงินติดตัว ในAlipayวีแชตก็ไม่มีเหรอ? ”
“เงินของเธอก่อนหน้านี้ ก็เอาไปรักษาพ่อที่ป่วย เดิมทีที่บอกว่าบ้านถูกรื้อถอน สรุปคือเงินชดเชยค่ารื้อถอนถูกพ่อแอบเอาไปให้น้องชายของเธอที่มาหลอกว่าจะเอาไปใช้หนี้จนหมด ก่อนความจำเสื่อมเธอบอกกับฉันว่า จะรอเงินเดือนจากเกากรุ๊ป ทั้งตัวเธอเลยมีเงินสิบกว่าหยวน หลายปีมานี้ เธอใช้ชีวิตอย่างไร พวกคุณไม่จินตนาการได้แล้วกัน…” พูดถึงตรงนี้ ซูหย่าก็เช็ดน้ำตา แล้วสะอื้นไห้
ตอนนี้ ทุกคนต่างไม่พูดไม่จา
ในใจก็เป็นทุกข์เล็กน้อย…
จู่ๆ มือถือเกาไห่ก็ดังขึ้น ในค่ำคืนที่เงียบสงัด เสียงริงโทนก็ดังอย่างมาก กดรับสาย “ฮัลโหล อืม……เจอแล้วเหรอ? โอเค ส่งพิกัดมา ฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
สองสามนาทีต่อมา…
“คนล่ะ? ”
“อยู่หน้าตู้เอทีเอ็ม นอนหลับอยู่” คนที่ตามหาพูดจบ ก็ก้มหน้า
ซูหย่าได้ยิน ก็ปิดปากแล้วสะอื้นไห้
เย่หลินขอบตาแดงเล็กน้อย แล้วเข้าไปในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน
เกาไห่รู้สึกว่าในใจเหมือนมีอะไรฉีกขาด เจ็บปวดจนเขายากที่จะหายใจ
ระยะทางที่ใกล้ขนาดนั้น แต่เขารู้สึกเหมือนมีตะกั่วฝังอยู่ใต้ฝ่าเท้า ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก
เล่อจยานั่งอยู่บนพื้น สองมือกอดเข่า เห็นใบหน้าด้านข้างเล็กน้อย ภายใต้แสงไฟ เห็นได้ชัดว่าตาของเธอบวมแดง
เกาไห่นั่งยองๆ ลงตรงหน้าเธอ มือใหญ่ลูบๆ แก้มของเธอ ปลายนิ้วรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น เขาจึงรู้สึกตกใจ ที่แท้เธอก็ร้องไห้จนหลับไป
ปลายนิ้วมือของเขาอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาเล็กน้อย ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า : “เล่อจยา…”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า ขมวดคิ้ว ทว่าไม่ได้ตื่นขึ้นมา
“เล่อจยา เรากลับบ้านกันเถอะ” เกาไห่พูดจบก็ก้มลงไปโอบเล่อจยาให้ลุกขึ้น
“กิ๊ง…” เสียงเหรียญสองสามเหรียญกลิ้งลงบนพื้น ส่งเสียงดังบาดใจอย่างมาก
ทางด้านนี้ ที่บ้านเกา
ไห่ยุ่นนอนพิงอยู่บนโซฟา มือทั้งสองหนุนอยู่ข้างหู นอนหลับไม่สงบ
ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็แทบจะลุกพรวดขึ้นมานั่งตัวตรง ภายใต้แสงไฟที่สลัว เธอเห็นเกาไห่อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาจากด้านนอก
การอุ้มที่เหมือนกัน แต่ไห่ยุ่นเห็นได้ชัดเจนว่าความรู้สึกไม่เหมือนกัน
“พี่” เธอส่งเสียงเรียก
สีหน้าของเกาไห่ไม่ดีอย่างมาก เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าเธอ ก็หยุดลงเล็กน้อย “นอนได้แล้ว! ”
พูดจบ ก็อุ้มเล่อจยาเข้าห้องไป พร้อมกับประตูห้องที่ปิดลง ไห่ยุ่นก็รู้สึกว่าประตูหัวใจของเธอนั้นก็เหมือนกับปิดลงไปด้วย
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ธรรมดาแบบนั้น จะแต่งกับอาไห่พี่ชายของเธอได้อย่างไร?
เมื่อเล่อจยาตื่น ก็พบว่าดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ
เธอคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่ ยื่นมือไปคลำใบหน้าที่คุ้นเคยนั้น แต่ถูกมือใหญ่ๆ ทั้งคู่คว้าเอาไว้ในกำมือ อุณหภูมิของฝ่ามือ ดึงให้ความรู้สึกของเล่อจยากลับมา แล้วก็ความทรงจำก่อนที่จะหลับไปด้วย
อุณหภูมิในสายตาของเธอ ลดลงอย่างรวดเร็ว เยือกเย็น…….
เธออยากจะดึงมือกลับมา แต่ถูกเกาไห่ดึงเข้ามาไว้ในอ้อมกอด น้ำเสียงที่แหบพร่าดังขึ้นข้างๆ หูของเธอ: “เด็กโง่ นั่นคือลูกสาวของคุณลุง ขาทั้งคู่ของเธอพิการ พอดีอยากเข้ามาฝึกงานที่เกากรุ๊ป ตอนเธอมา นั่งรถมานาน จึงไปพักผ่อนที่ห้องของฉันเล็กน้อย ดังนั้น ที่คุณเห็น ฉันก็แค่อุ้มเธอไปทานข้าวที่โต๊ะอาหารเท่านั้น ในสายตาของฉัน เธอก็เป็นแค่เด็กคนหนึ่ง”
เล่อจยาเงยหน้า มองเกาไห่ ในดวงตามีน้ำตาเล็กน้อย “คุณไม่ได้โกหกฉันใช่ไหม? ”
เกาไห่พยักหน้า หลังจากนั้นก็เอนหลังไป หยิบกระเป๋าบัตรใบหนึ่งออกมาจากชั้นวางหัวเตียง ดึงบัตรใบหนึ่งออกมา ส่งให้เล่อจยา “คุณภรรยา นี่คือทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัว ฉันมอบให้คุณ”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “ทรัพย์สินทั้งหมดในครอบครัว? ”
“เพราะหุ้นส่วนของบริษัท คือสามีของเย่หลินช่วยเอากลับมา ดังนั้นสองปีมานี้ ผลกำไรของบริษัทต้องคืนให้เขาไปก่อน บัตรใบนี้ คือส่วนที่ฉันสามารถใช้ได้ในขณะนี้……”
เล่อจยารู้ว่า เกาไห่ต้องรู้แน่นอนว่าเธอไม่มีเงิน ทันทีก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อย รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตนเองน่าจะถามเรื่องราวให้ชัดเจน แล้วค่อยตัดสินใจว่าจะโมโหไหม
แล้วก็ประหลาดใจว่าหุ้นส่วนบริษัทของเกาไห่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นหนิงเส่าเฉินที่ช่วยเขา
ผลักมือของเขาออก “ฉันไม่ต้องการ อีกสิบกว่าวัน ก็เงินเดือนออกแล้ว…..”
เอาไปเถอะ นี่คือบัตรรอง บัตรหลักอยู่ที่ฉัน เงินนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่มาก แต่ก็เพียงพอสำหรับรายจ่ายประจำวันของเราได้……”
คำพูดของเขา ทำให้เล่อจยาจะร้องไห้ เธอเคยคิดว่าตนเองรักเกาไห่มาก แต่เวลานี้เธอจึงรู้สึกว่าตนเองเห็นแก่ตัวอย่างมากจริงๆ
เธอคิดมาโดยตลอดว่า เกากรุ๊ปก็คือตระกูลเกา เป็นของเกาไห่ ไม่เคยคิดเลยว่า หลายปีมานี้เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?
เขาไม่พูด เธอก็ไม่ถาม เวลานี้เธอจึงเข้าใจว่า กับผู้ชายคนนี้ที่เรียกว่าสามี อันที่จริงแล้ว เธอแทบจะไม่รู้จักเลย
“สามี เดิมทีฉันไม่เคยรู้เลยว่าคุณลำบากมากขนาดนี้ อย่างนั้น พวกเราเปลี่ยนห้องให้เล็กลงหน่อย แม่บ้านก็ไม่ต้องมี ดีไหม? ฉันไม่ถือสาหรอก ขอแค่อยู่ด้วยกันกับคุณ อยู่ที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เสื้อผ้า งานบ้านฉันทำเองได้ แบบนี้ คุณก็จะได้กดดันน้อยลง โอเคไหม? ”
เกาไห่โอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด “เด็กโง่ ฉันบอกคุณเรื่องเหล่านี้ ก็เพราะไม่อยากปิดบังอะไรคุณอีก เมื่อวานที่ฉันไปรับยัยเด็กนั่น ฉันก็ให้เสี่ยวตงบอกกับคุณแล้ว แต่เขาลืม เวลานั้นมือถือก็แบตเตอรี่หมด ไม่นึกเลยว่าจะทำให้คุณเข้าใจผิด” นำบัตรใบนั้นยัดใส่มือของเธออีกครั้ง “ขอโทษนะ ที่ทำให้คุณรู้สึกน้อยใจ! ต่อไป ฉันจะเอาใจใส่ บัตรใบนี้คุณเอาไปนะ อยากซื้ออะไร ก็ซื้อเลย แค่เลี้ยงคุณ ฉันมีความสามารถเพียงพอ….”
พูดจบ เกาไห่ก็เอ่ยปากอีกว่า: “ต่อไปคุณมีเรื่องอะไร คุณก็ต้องบอกฉันนะ เราเป็นสามีภรรยากัน ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ภรรยาของตนเอง นอนอยู่บนถนนไม่มีเงินติดตัวสักหยวน คุณภรรยา ช่วงเวลานั้น ฉันรู้สึกว่าตนเองไม่ได้เรื่อง ไม่สามารถดูแลคุณให้ดีได้”
เล่อจยาจะร้องไห้ ทุบเบาๆ ที่หน้าอกของเขา “พูดไร้สาระ นั่นคือฉันทำตัวเอง ถ้าเวลานั้นฉันเปิดประตูไปถามให้รู้เรื่อง ก็คงไม่เกิดเรื่องนี้หรอก” พูดถึงตรงนี้ เล่อจยาก็ก้มหน้า เหมือนกับเด็กน้อยที่ทำผิด บิดนิ้วมือไปพลาง
“อย่างนั้น พวกเราก็สายเกินแก้แล้วใช่ไหม? คุณรู้สึกไม่ปลอดภัยกับฉันขนาดนี้” จู่ๆ ชายหนุ่มก็กระซิบข้างหูเล่อจยา
ไห่ยุ่นคนนี้ เป็นลูกสาวของพี่ชายของแม่เกาไห่ ก็คือลูกสาวของลุงเกาไห่ อ่อนกว่าเกาไห่ 6 ปี รูปร่างหน้าตาคล้ายกับเกาเหวินอย่างมาก เพียงแต่ตอนอายุ 10 กว่าขวบ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขาก็เลยสูญเสียความรู้สึกไป
อย่างไรก็ตาม ความพิการที่ขาไม่ได้ทำให้เธอต้องดูถูกตนเอง แต่กลับมีความขยันหมั่นเพียรอย่างมาก หลายปีมานี้ ไม่เพียงแต่เรียนได้เกรดที่ดี แต่ยังเรียนเปียโนด้วยตนเอง ได้รับรางวัลมากมายทั้งในและต่างประเทศ
เก่าไห่จึงชื่นชมน้องสาวคนนี้มาก แล้วก็รักเอ็นดูอย่างมาก
“ใช่ พี่สะใภ้คุณ”
“แต่พ่อฉันไม่เคยบอกกับฉันเลยนะว่าคุณแต่งงาน? ” น้ำเสียงไห่ยุ่นดูร้อนรนเล็กน้อย
เกาไห่พยักหน้า “เพราะด้วยสถานการณ์พิเศษบางอย่าง ผู้หญิงคนนั้นอาจจะยังไม่แน่ใจว่าต้องการพี่ชายของคุณจริงๆ หรือเปล่า ฉะนั้นอยากรอให้เธอแน่ใจ แล้วค่อยแจ้งให้ทุกคนทราบ” ถึงแม้จะไม่ค่อยพอใจกับเรื่องของเกาเหวินมากนัก แต่ตั้งแต่เล็กจนโตแม่เกาก็ปฏิบัติต่อเกาไห่อย่างดีมากๆ มาตลอด ดังนั้น เกาไห่จึงเป็นห่วงเป็นใยแม่เลี้ยงกับครอบครัวของเธออย่างมาก
“พี่ดีขนาดนี้ ยังมีผู้หญิงคนไหนที่จะรังเกียจคุณ? ” น้ำเสียงของไห่ยุ่นเบามาก แต่อยู่ในห้องที่เงียบสงบ เกาไห่ยังคงได้ยิน
เกาไห่มองเธอแล้วหัวเราะ “คุณยังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก รอคุณโตแล้ว คุณก็จะเข้าใจเอง คนกับความรักมันไม่เกี่ยวข้องกัน”
พูดจบ ก็เก็บเอกสารในมือ “ไปเถอะ เรากลับบ้านกัน” พูดจบก็มองหามือถือ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์กำลังชาร์จอยู่ จึงหยิบขึ้นมาเปิดดู เป็นข้อความของเล่อจยา เขาขมวดคิ้ว หรือว่าเสี่ยวตงไม่ได้บอกเล่อจยา ว่าวันนี้เขาไปรับไห่ยุ่น? ไม่สามารถไปทานข้าวด้วยกันกับเธอได้ ทำให้เธอกลับไปก่อน?
เมื่อโทรไปหาเล่อจยา ก็เห็นได้ชัดว่าปิดเครื่อง
คิดแล้วก็หยิบเสื้อโค้ตจากเก้าอี้ขึ้นมา จากนั้นก็เดินไปเข็นไห่ยุ่น
“พี่ นั่นเหมือนมีเอกสารอยู่บนพื้นนะ”
เกาไห่ก็เห็น เขาก้มลงหยิบกระเป๋าหนังวัวขึ้นมา เปิดออก เป็นภาพวาดการออกแบบของเล่อจยา
ในฉับพลัน ก็มีลางสังหรณ์ในใจไม่ค่อยดี เล่อจยามาแล้ว แต่เธอทิ้งเอกสารไว้แล้วก็ออกไป ด้วยนิสัยเธอแล้ว เธอไม่สามารถเป็นเช่นนี้ นอกจาก……หางตาก็เหลือบไปมองไห่ยุ่นบนรถเข็น ลูกกระเดือกก็กลิ้งขึ้นลงอยู่หลายครั้ง
เขาโทรหาเสี่ยวตง
“ฮัลโหล เสี่ยวตง วันนี้ให้คุณไปบอกเล่อจยาว่าฉันไปรับไห่ยุ่น คุณบอกแล้วใช่ไหม? อะไรนะ……คุณ……สมองคุณอยู่ไหนห้ะ? ” เกาไห่วางสายด้วยความโกรธสุดขีด
“พี่ เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น? ”
เกาไห่ฝืนยิ้มให้ไห่ยุ่น “ไม่มีอะไร เรากลับบ้านกันเถอะ” ในใจก็หวังว่า เล่อจยาจะกลับถึงบ้านแล้ว
จนกระทั่ง ระหว่างทางกลับบ้าน ความเร็วในการขับรถของเกาไห่ก็ใช้เวลาไปไม่กี่นาที เมื่อเห็นรองเท้าแตะของเล่อจยาบนชั้นวางรองเท้า หัวใจของเขาก็หม่นหมองลงทันที
“ไห่ยุ่น คุณป้าอยู่ที่บ้าน คุณมีอะไรที่ต้องการ คุณก็ให้คุณป้าช่วยคุณนะ พี่จะออกไปก่อน” เกาไห่พูดจบ ก็เรียกคุณป้ามาสั่งการ ไม่ได้พูดคุยกับไห่ยุ่น เขาวิ่งตรงไปยังลิฟต์อย่างรวดเร็ว
เดินไปพลาง ติดต่อซูหย่าไปด้วย
“ซูหย่า เล่อจยาโทรหาคุณไหม……อืม……อ๋อ แค่นี้นะ? ”
“เล่อจยาไม่อยู่บ้านเหรอ? จะสี่ทุ่มแล้วนะ”
เกาไห่มีขีดจำกัดอย่างมากที่จะเข้าใจเล่อจยา ดังนั้น เวลานี้ เขาจึงคิดว่าซูหย่าต้องช่วยได้แน่นอน ทำได้เพียงเล่าเรื่องที่เล่อจยาไปห้องทำงานเขาและเข้าใจผิดเรื่องของเขากับไห่ยุ่นให้ซูหย่าฟัง
เมื่อซูหย่าเข้ามา ยังสวมชุดนอนอยู่ เกาไห่มองแล้วก็ขมวดคิ้ว แต่ในใจก็เบาใจลงมาก ที่เล่อจยามีเพื่อนแบบเธอคนนี้
“ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? พวกคุณทำอะไร? ทำให้เล่อจยาเห็นอะไร? ”
“ไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น นั่นคือลูกสาวของคุณลุง เป็นเด็กคนหนึ่ง ขาของเธอไม่ดี เมื่อตอนมา เธอบอกว่าเหนื่อยนิดหน่อย จึงไปพักผ่อนที่ห้องในห้องทำงานของฉัน ต่อมา เธอตื่นขึ้นมา ฉันจึงอุ้มเธอออกมาทานข้าว ฉันไม่รู้ว่าเล่อจยาเห็นฉากนี้หรือเปล่า” ในระหว่างนี้ เขาพยายามกลับไปคิดถึงรายละเอียดปลีกย่อยในเวลานั้น ถ้าสามารถทำให้เล่อจยาเข้าใจผิดได้ก็น่าจะเป็นฉากนี้
“คุณอุ้มเธอออกมาจากห้อง? คุณ….คุณ…..” ด้วยความตื่นเต้นซูหย่าจึงพูดจาติดอ่างขึ้นมา
“คุณ…คุณก็สมควรที่จะถูกเล่อจยาเข้าใจผิด เธออยู่ต่อหน้าคุณ เดิมทีก็น้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอยู่แล้ว หลังจากนั้นก็ความจำเสื่อม ก็ไม่ค่อยเชื่อใจคุณอยู่แล้ว เวลานี้ยังมาเห็นคุณโอบกอดอยู่กับผู้หญิงคนอื่นอีก เธอไม่เข้าใจผิดก็พิลึกไปหน่อยไหม? ”
“ผู้หญิงคนอื่นอะไรกัน นั่นคือเด็กคนหนึ่งนะ” เกาไห่เน้นอีกครั้ง
“เด็กอย่างนั้นเหรอ? เอาล่ะ ตอนนี้ฉันจะไม่เถียงเรื่องเหล่านี้กับคุณแล้ว คุณว่ามาเถอะ พวกเราจะไปหาเธอที่ไหน? ”
“ปกติเธอมีสถานที่ไหนที่ชอบไปไหม? อย่างเช่นไม่สบายใจก็ไปสถานที่นั้น”
ซูหย่าคิดๆ “ก็มีนะ มีอยู่สองสามที่ แต่ว่า เธอความจำเสื่อม สถานที่เหล่านั้น เธอก็ไม่น่าจะจำได้หรอก เพียงแต่ เล่อจยามีงานอดิเรก เมื่อเธอไม่สบายใจ ก็จะนั่งรถสาธารณะไปมั่วๆ นั่งจากจุดนี้ไปถึงจุดนั้น…..”
จู่ๆ ซูหย่าก็นึกถึงอะไรได้ หันหน้ากลับ มองเกาไห่อย่างเคร่งขรึม “ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง คุณได้ให้เงินเล่อจยาบ้างไหม? ”
เกาไห่ไม่เข้าใจ หรี่ตามอง “หมายความว่าอะไร? ”
“ฉันหมายความว่า หลายวันมานี้หลังจากที่คุณพาเธอกลับไป คุณได้ให้เงินติดกระเป๋าเธอไว้บ้างไหม? ”
เห็นปฏิกิริยาการตอบสนองของเกาไห่ ซูหย่าก็รู้ว่าไม่ได้ให้อย่างแน่นอน ทันที เธอก็โมโหจนเดินวนอยู่กับที่ สุดท้าย เธอก็มองเกาไห่ แล้วพูดออกมาว่า: “คุณรู้ไหม? เธอไม่มีเงินเก็บเลย เงินของเธอเอาไปรักษาพ่อจนหมด เงินเดือนจากบริษัทของพวกคุณก็ยังไม่ออก ฉันสงสัยว่า ตอนนี้ที่ตัวของเธอมีรวมๆแล้ว คงจะไม่ถึงสิบหยวน เพราะก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง เล่อจยาบ่นกับเธอว่าทั้งตัวมีเงินรวมแล้วไม่กี่สิบหยวน ถ้าเงินเดือนยังไม่ออกอีกก็จะต้องอดตายแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ ซูหย่าก็สับสันในทันที นั่งยองๆ ลงกับพื้น มือทั้งสองกอดเข่าร้องไห้โฮ “คุณบอกว่าจะปฏิบัติกับเธออย่างดี นี่คือการปฏิบัติกับเธออย่างดีเหรอ? ”
เกาไห่หัวใจเต้นอย่างรุนแรง เขาเอ่ยปากบอกว่าจะปฏิบัติต่อผู้หญิงคนนี้อย่างดี แต่ว่า แม้แต่ปัจจัยพื้นฐานเขาก็ไม่สามารถเติมเต็มเธอได้
ภรรยาของเขาเกาไห่ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีเงินติดตัวสักหยวนเดียว คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็กำมือทั้งคู่แน่น ทันทีเล็บที่แหลมคมก็แทงทะลุผ่านผิวหนังของฝ่ามือ
เมื่อเย่หลินได้รับสายของเกาไห่ เธอและหนิงเส่าเฉินกำลังเตรียมจะนอน
“อะไรนะ? พี่สะใภ้หายไป? อ้อ….โอเค คุณอย่าเพิ่งร้อนใจไป พวกเราจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ไม่เป็นไร ยังไม่นอน” พอวางสาย เย่หลินก็ลุกขึ้นนั่ง ผลักมือใหญ่ๆ ของชายหนุ่มที่โอบเอวเธออยู่ “หนิงเส่าเฉิน พี่สะใภ้ฉันหายไป”
“พี่สะใภ้คุณได้เทควันโดสายดำ ปลอดภัยน่าจะไม่มีปัญหา ดังนั้น คุณไม่ต้องร้อนใจไปหรอก” หนิงเส่าเฉินขับรถไปพลาง เห็นเย่หลินที่นั่งอย่างไม่สงบสุข จึงกล่าวปลอบใจไปด้วย
เย่หลินพยักหน้า ไม่พูดจา
สถานที่ที่เกาไห่บอกกับพวกเขาค่อนข้างอยู่ห่างไกลจากตัวเมือง คนทั้งสองขับรถมาถึง ก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว เวลานี้ก็เป็นเวลาตี1แล้ว
“พี่ เป็นอย่างไรบ้าง? ”
“ไม่ต้องขอร้องหรอก คุณแค่บอกมาก็พอ” เล่อจยาพูดจบ ก็หันกลับไปมองเขา
“ไม่ว่าในอนาคต หลังจากที่คุณฟื้นความทรงจำแล้ว คุณจะจำอะไรได้ คุณจะตีฉันจะด่าฉันจะโกรธฉันได้หมดทุกอย่าง แต่อย่าจากฉันไปได้ไหม? ”
เล่อจยาขมวดคิ้ว “คุณพูดอย่างนี้ ทำไมฉันรู้สึกว่าก่อนหน้านี้คุณทำเรื่องอะไรที่ผิดต่อฉันมาก่อนใช่ไหม? พอดีฉันความจำเสื่อม เลยลืมใช่ไหม? ” ชั่วขณะเธอก็ตาโต “หรือว่าคุณเคยนอกใจ? ”
เกาไห่หยิกแก้มเธอเบาๆ “คุณไม่คิดว่าฉันจะดีกว่านี้หน่อยเหรอ? ”
“ไม่ได้นอกใจ? ถ้าไม่ได้นอกใจ ปัญหาอื่น ก็น่าจะเป็นปัญหาเล็กน้อยแล้ว”
เห็นเธอยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก ชั่วขณะเกาไห่ก็พูดไม่ออก จริงๆ ก็ไม่รู้ว่านิสัยอย่างนี้ของเธอดีหรือไม่ดี?
แต่มีสิ่งที่ยืนยันได้ เล่อจยาของเขา ไม่เพียงแต่เขาชื่นชมอยู่คนเดียว คนอื่นๆ ก็อยากจะได้ด้วย นึกถึงตรงนี้ เขากลัวว่าวันหนึ่งเธอฟื้นความทรงจำขึ้นมา ก็จะจากเขาไป
“ภาพวาดการออกแบบเตรียมส่งไปให้ตรวจสอบแล้ว สองสามวันนี้ทางด้านคุณนั้นอาจจะต้องทำงานหนักหน่อย” เมื่อถึงชั้นล่างของบริษัท เกาไห่ก็บอกกับเล่อจยา
“อืม ช่วงบ่ายฉันจะตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ถ้าไม่มีปัญหา ก่อนเลิกงานจะส่งให้คุณ”
เกาไห่พยักหน้า “โอเค”
ถึงบริษัทแล้ว เล่อจยาก็ได้ทำการปรับปรุงแก้ไขภาพวาดการออกแบบก่อนหน้า เธอใช้สมองอย่างหนัก พยายามทำให้ดีที่สุด นี่เป็นผลงานชิ้นแรกของเธอ ถึงแม้เธอจะไม่ได้อยากอาศัยสิ่งนี้เพื่อมีชื่อเสียง แต่เธอก็ไม่อยากทำให้เกาไห่ผิดหวัง
งานยุ่งจนเวลาผ่านไปเร็วมาก หลังจากเล่อจยาแก้ไขปรับปรุงเสร็จ ก็เห็นว่าคนในสำนักงานหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“เกาไห่ ฉันมีธุระนิดหน่อย ตอนเย็นไม่ได้ไปทานข้าวกับคุณ” เธอส่งข้อความถึงเกาไห่ หลังจากพูดประโยคสุดท้ายว่าไว้ค่อยไปทานกันใหม่ ข้อความก็ไม่ได้ตอบกลับอีกเลย เธองานยุ่งมากก็เลยไม่ได้สนใจ
“จยาจยา ทำไมวันนี้ยังไม่กลับอีก? ” ผู้จัดการเป็นคนบ้างาน โดยปกติทุกๆ ครั้งจะออกจากสำนักงานเป็นคนสุดท้าย วันนี้เห็นเล่อจยายังอยู่ จึงแปลกใจเล็กน้อย
เล่อจยาเคารพเธออย่างมาก ลุกขึ้นยืน “อยากจะเร่งทำภาพวาดการออกแบบอันนั้นสักหน่อย อีกสักครู่ทำเสร็จก็จะไปแล้ว”
แล้วนั่งลงมา หลังจากตรวจสอบภาพวาดการออกแบบอย่างละเอียด เวลาก็สองทุ่มกว่าแล้ว
มองดูมือถือ เกาไห่ก็ยังคงไม่ได้ตอบข้อความกลับ
คิดๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน หยิบกระเป๋าและซองเอกสารที่ใส่ภาพวาดการออกแบบไว้ แล้วตรงไปที่ลิฟต์
เพราะช่วงนี้ไปห้องประธานเป็นประจำ ฉะนั้น เล่อจยาเลยไม่ได้เคาะประตู
เธออยากเซอร์ไพรส์เกาไห่ ฉะนั้นจึงเปิดประตูอย่างเบามากๆ เพียงแต่ภาพที่ปรากฏอยู่ในสายตาทำให้เลือดของเล่อจยาไหลจากด้านล่างทะลักขึ้นด้านบน
ในภาพนั้น เกาไห่อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งออกมาจากห้องนอนด้านใน แขนเรียวเล็กของหญิงสาวคนนั้นโอบรอบคอของเขา ทั้งสองคนไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน ศีรษะของหญิงคนนั้นก็มุดอยู่ในอ้อมแขนของเกาไห่ แล้วหัวเราะคิกคักออกมา
เล่อจยาปล่อยมือจากที่จับประตู แล้วถอยออกมาเบาๆ บังเอิญว่าตนเองสะดุดล้มลงกับพื้น เธอเอาแต่บอกกับตนเองว่า บางทีอาจจะเพียงแค่เข้าใจผิด เพียงแค่เข้าใจผิดเท่านั้น……
แต่ผู้ชายที่เธอเรียกว่าสามีนี้อุ้มผู้หญิงอื่นอยู่ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไร เธอก็รับไม่ได้
เธอค้ำพยุงพื้นที่เย็นยะเยือก ค่อยลุกขึ้นมา ยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกนั้น ชั่วขณะเธอก็อยากเข้าไปจู่โจมพวกเขา เธออยากเข้าไปถามเกาไห่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร? ออกมาจากห้องนอนเขาได้อย่างไร ทำไมเขาต้องอุ้มเธออย่างนั้นด้วย?
แต่ในท้ายที่สุด เธอก็ขี้ขลาด เธอได้แค่ก้มลงและยัดภาพวาดการออกแบบเข้าไปในห้องทำงานจากใต้ประตู
แล้วก็หันกลับวิ่งเข้าลิฟต์ไป
เธอไม่ได้กลับบ้าน เธอยืนอยู่บนถนนที่คนผ่านไปผ่านมา ทันใด ในสมองก็ว่างเปล่า
เธอไม่รู้ว่าตกลงจะทำอะไร? เธอคิดมาตลอดว่ากล้ารักก็กล้าเกลียดได้ แต่ว่า วันนี้เธอไม่กล้าถามเกาเหวินว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร?
มองเพียงด้านข้างก็สวยจนทำให้คนหยุดหายใจได้ รูปร่างหน้าตานั้น ถึงจะถูกเกาไห่โอบกอด ก็สามารถมองออกว่า เป็นสาวสวยที่มีเสน่ห์อย่างแน่นอน
แล้วเธอล่ะ มีความสำคัญอะไร?
เธอไม่รู้ว่า ทำไมเกาไห่ถึงมาแต่งงานกับตนเอง ในสมองของเธอว่างเปล่าเกี่ยวกับอดีตของคนทั้งสอง
เธอนั่งอยู่ที่ป้ายรถสาธารณะ พร้อมกับฝูงชนที่ขึ้นรถสาธารณะ แล้วก็ลงรถสาธารณะ ต่อจากนั้น ก็ขึ้นๆ ลงๆ …..
เห็นสิ่งปลูกสร้างที่ไม่คุ้นเคยตรงหน้า เล่อจยาจึงรู้สึกตกใจ ว่าตนเองมาถึงสถานที่หนึ่งที่ไม่รู้จักแล้ว
สิ่งปลูกสร้างนี้ล้วนเป็นศิลปะอย่างมาก แต่ละอาคารล้วนมีลักษณะพิเศษ ในความทรงจำของเธอ ไม่มีสถานที่แห่งนี้
“คุณผู้หญิง พักโรงแรมไหม? ” หญิงสูงอายุที่อยู่ข้างถนน กล่าวถามเธอด้วยอัธยาศัยที่ดี
เธอคลำๆ กระเป๋าที่ว่างเปล่าด้วยจิตสำนึก…..แล้วก็ส่ายหน้า
เธอไม่มีเงิน ไม่ใช่แค่ไม่มีเงินเวลานี้ แต่แรกเริ่มเดิมทีก็ไม่มีเงินอยู่แล้ว เรื่องนี้ พูดออกมา ใครก็ไม่เชื่อ ตั้งแต่วันนั้นที่ความทรงจำเธอกลับมา เธอก็รู้ตัวว่า เธอไม่มีเงิน นอกจากเหรียญในกระเป๋าที่นั่งรถสาธารณะได้ไม่กี่ครั้งแล้ว เธอก็ไม่มีเงินเลย
เพียงแต่ว่า เพราะรู้สึกว่ากินอยู่กับเกาไห่ทุกวัน ดังนั้น เธอจึงไม่เคยคิดถึงเรื่องความต้องการเงินนี้ ก็เลยไม่เคยพูดกับเกาไห่ แล้วก็ไม่เคยพูดกับซูหย่า
และคาดว่าพวกเขาก็ไม่เคยคิดถึงปัญหานี้ ก็เลยไม่มีใครเคยถามเธอ
ต่อมา เล่อจยาได้เรียนรู้Alipay วีแชตจากเพื่อนร่วมงาน เธอจึงศึกษาเป็นพิเศษ จึงได้พบว่า ในAlipayและวีแชตของเธอมีเงินเพียงไม่กี่หยวน
เธออายุเท่านี้แล้ว ด้วยเหตุผลแล้ว งานก็ทำมาหลายปีแล้ว เธอไม่เข้าใจ ว่าเพราะอะไรเธอถึงไม่มีเงิน
หยิบมือถือออกมา เปิดเครื่อง เธออยากโทรไปหาซูหย่า มองแบตเตอรี่มือถือแล้ว เหลือเพียงแค่1% เธอยังไม่ทันได้กดต่อสายไป มือถือก็ปิดไปเอง ชั่วพริบตา เธอก็ยิ่งรู้สึกว่า เรื่องราวคล้ายกับจะร้ายแรงเล็กน้อย
ที่นี่น่าจะเป็นชานเมือง อุณหภูมิในช่วงกลางคืนค่อนข้างต่ำ เธอสวมเสื้อยีน ด้านในสวมเสื้อTเชิ้ตสีขาวและกางเกงลำลอง ก่อนหน้าในสมองเต็มไปด้วยเรื่องของเกาไห่กับผู้หญิงคนนั้น เลยไม่ได้สังเกตว่าอากาศเย็นแค่ไหน เวลานี้พอมาสังเกตแล้ว ก็รู้สึกว่าความหนาวจู่โจมขึ้นมา
มองๆ บนถนน คนเดินเท้ามีน้อยมากแล้ว
เธอขมวดคิ้ว ครุ่นคิด ต่อไปควรจะทำอย่างไรดี?
อีกด้านหนึ่ง
“พี่ คุณอุ้มฉันขึ้นบนรถเข็นได้ไหม? ฉันจะไปอ่านหนังสือข้างๆ รอคุณทำงานเสร็จแล้ว ค่อยกลับไปด้วยกันกับคุณ” ไห่ยุ่นเก็บถ้วยชามบนโต๊ะเล็กน้อย มองเกาไห่แล้วกล่าว
เกาไห่พยักหน้า เดินเข้าไป อุ้มไห่ยุ่นนั่งบนรถเข็น แล้วก็นำหนังสือบนโต๊ะน้ำชาส่งให้เธอ
“พี่ ต้องขอโทษด้วยจริงๆนะ รู้ว่าคุณยุ่ง ฉันก็ยังจะเข้ามารบกวนคุณอีก” ไห่ยุ่นพูดพลาง ก้มหน้าลง
“เด็กโง่ ยังจะมาพูดแบบนี้กับพี่ชายของคุณอีก คุณรอให้ฉันทำงานเสร็จก่อน ฉันจะพาคุณกลับบ้าน ได้ยินพ่อคุณบอกว่า คุณมาครั้งนี้ เพื่อฝึกงานใช่ไหม? ช่วงนี้คุณก็พักอยู่ที่บ้านของพี่ ทักษะการทำอาหารของพี่สะใภ้คุณน่าทึ่งมาก ถึงเวลา……”
“พี่สะใภ้? ” หนังสือในมือของไห่ยุ่นตกลงบนพื้น
“พี่สะใภ้ นี่พวกคุณเป็น? ”
“พี่สะใภ้? ”
“พี่สะใภ้? ”
หนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋พูดเป็นเสียงเดียวกัน
“ภรรยาของพี่ชายฉัน คราวที่แล้วเคยเล่าให้คุณฟัง? ” เย่หลินอธิบายกับหนิงเส่าเฉิน เพิ่มโทนเสียงเล็กน้อย จากหางตา เธอเห็นมือใหญ่บนแขนเล่อจยาเลื่อนลงมา
“เล่อจยา คุณแต่งงานแล้วเหรอ? เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าตนเองไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ? ”
เล่อจยาพยักหน้า กลอกตาใส่เขา หยิบกระเป๋าขึ้นจากพื้น “ที่จริงแล้วฉันไม่ได้มีแฟน แต่ฉันไม่ได้บอกว่าฉันไม่มีสามี”
พูดจบ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว แล้วดึงแขนของเย่หลิน “ฉันจะแนะนำให้คุณรู้จัก ท่านนี้ คือน้องสาวสามีของฉัน”
“เย่หลิน เพื่อนร่วมห้องเดียวกันกับฉันตอนมัธยมปลาย เมื่อกี้มาเป็นเพื่อนเพื่อนนัดดูตัว คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา”
คำพูดสองสามคำ อธิบายสถานการณ์ขณะนี้
เย่หลินโล่งอก “ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง พอดีเลย ฉันกับน้องเขยของคุณมาทานข้าวกัน เช่นนั้นพวกเรา ไปด้วยกันเลยไหม? ”
เวลานี้ หนิงเส่าเฉินก็พูดว่า “หัวหน้าเซียว ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“พวกคุณรู้จักกันเหรอ? ” เย่หลินเอ่ยถาม
“เป็นคนในสังกัดของพ่อหลิวซู เคยทานข้าวด้วยกันหลายครั้ง”
เซียวอู๋มองหนิงเส่าเฉิน แล้วก็มองเล่อจยากับเย่หลิน สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย
แต่สายตาของเล่อจยาก็ตกลงที่มือคู่นั้นของเซียวอู๋ ไม่แปลกที่กลายเป็นแบบนั้น ก็ไม่แปลกที่ผอมได้อย่างนี้
เธอไม่รู้ว่า ในตอนนั้นเซียวอู๋สมัครเป็นทหาร เพียงเพราะคำพูดของเธอ
“เล่อจยา คุณชอบผู้ชายแบบไหน? ”
“ฉัน? ฉันชอบทหาร หล่อเท่จริงๆ เลย”
ตอนนี้ เซียวอู๋ทำได้แล้ว แต่ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่รักษาคำมั่นสัญญา
“พี่สะใภ้ หรือว่าให้ฉันโทรหาพี่ชาย ให้เขามาทานข้าวด้วยกันไหม? ” ฉับพลันเย่หลินก็พูดออกมา
เล่อจยามาได้โง่ เธอรู้ว่าที่เย่หลินทำแบบนี้ เพราะต้องการทำให้เซียวอู๋เห็น แต่ว่านึกถึงเมื่อวานที่เกาไห่ทำสีหน้าอย่างนั้น เมื่อวานเธอยังไม่ได้ทำอะไร เขาก็ทำอย่างนั้นแล้ว ตอนนี้จะให้เขาเห็นตนเองอยู่ด้วยกันกับเซียวอู๋อีกเหรอ
ชั่วขณะสีหน้าก็ซีดลง แต่ไม่มีเหตุผลเหมาะสมที่จะปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้า “ได้สิ”
ผลปรากฏว่าเป็นไปอย่างที่ตนเองคิด เมื่อเกาไห่เห็นเซียวอู๋ สีหน้าก็ย่ำแย่จนเกินจะบรรยาย “ไม่ใช่บอกว่าจะมาเป็นเพื่อนซูหย่านัดดูตัวเหรอ? ”
เล่อจยาก้มหน้า “ใช่ เขาคือคนที่นัดดูตัวของซูหย่า”
เกาไห่ดีดหน้าผากของเธอ “จะลองเชื่อคุณดู”
การกระทำที่สนิทสนมของคนทั้งสอง มันบอกทุกอย่างได้ชัดเจนมาก
“เพื่อนเก่า นี่หมายความว่าอย่างไร เมื่อวานยังบอกว่าเป็นเจ้านาย ทำไมวันนี้บอกว่าเป็นสามีแล้วล่ะ? ” เมื่อเซียวอู๋พูดคำนี้ ทว่าสายตาไปตกอยู่ที่เกาไห่
เล่อจยาหัวเราะอย่างเขินอาย “เอ่อ ก็ไม่ผิดหรอก อันที่จริงก็เป็นเจ้านาย แต่ก็เป็นสามีด้วย”
เซียวอู๋ยื่นมือออกไปตบๆ ไหล่ของเธอ “ไม่เลว สิบปีมานี้มีความก้าวหน้า เวลาพูดโกหกหน้าก็ไม่แดงแล้ว จำได้ว่าเมื่อสิบปีก่อนคุณไม่เป็นอย่างนี้”
เห็นได้ชัดว่าเกาไห่อารมณ์เสียมากกับการกระทำของเขา กลิ่นความดุเดือดเลือดพล่านตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
เย่หลินเห็นเช่นนั้น ก็รีบเข้าไปดึงเกาไห่ “เอาล่ะ พวกคุณหยุดคุยกันก่อน แล้วรีบมาทานข้าวกันเถอะ”
เพราะว่าหนิงเส่าเฉินกับเซียวอู๋รู้จักกัน ฉะนั้น การทานข้าวครั้งนี้บรรยากาศจึงไม่น่าอึดอัด
ทานข้าวไปได้สักครู่ เล่อจยาก็คิดๆ แล้วส่งข้อความให้ซูหย่า “ซูหย่า เซียวอู๋คนนี้ การพูดการจาก่อนหน้านี้ดูไม่มีสมอง คุณอย่าเอามาใส่ใจเลยนะ”
ข้อความไม่ได้ตอบกลับมา อารมณ์ของเล่อจยาก็แย่ลงไปเล็กน้อย
เกาไห่เห็นเธอมีท่าทีที่กลุ้มใจ จึงคีบอาหารให้เธอเล็กน้อย “เดี๋ยวอาหารจะเย็นหมด รีบทานเถอะ”
“ซูหย่าต้องโกรธแน่เลย”
“ทำไมล่ะ? ”
“ก็เขาน่ะสิ เขาบอกกับฉันว่า ไม่ได้รู้สึกอะไรกับซูหย่า แต่สุดท้ายเธอมาได้ยิน” เธอก้มหน้า เขี่ยๆ ข้าวที่อยู่ในชาม แต่ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่ไม่ดีของเกาไห่
“พี่สะใภ้ คุณได้เตรียมไว้หรือยังว่าจะมีลูกกับพี่ชายฉันเมื่อไร? ”
เล่อจยาเพิ่งนำเผือกเข้าปากไปได้ครึ่งชิ้น ได้ยินเย่หลินถามว่าเมื่อไรจะมีลูก เธอกับเกาไห่ยังไม่ได้อะไรกันเลย เรื่องลูก? ก็มองไม่เห็นหนทางเลย?
พอตื่นเต้น เผือกก็ลื่นลงคอไป ติดอยู่ในลำคอจนหน้าแดง
“รีบดื่มซุปเร็ว” เกาไห่พูดพลางนำซุปในถ้วยของตนเองส่งให้เล่อจยา
เล่อจยาดื่มสองสามอึก จึงดีขึ้น มองเย่หลินแล้วพูดว่า: “จะมีลูกตอนนี้ก็จะเร็วไปหน่อย”
แน่นอนว่าเย่หลินไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาทั้งสองคนคืออะไร จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย “พี่สะใภ้ ฉันและพี่ชายอายุพอๆ กัน ลูกคนโตของฉันอายุ12ขวบแล้ว จะเร็วเกินไปได้อย่างไรล่ะ? ”
เล่อจยาเม้มปากหน้าแดงเล็กน้อย เธอมองเกาไห่ แอบดึงมุมเสื้อเล็กน้อย
“เอาล่ะ เชื่อน้องสาวฉันเถอะ ตอนเย็นกลับไป พวกเราเริ่มเพาะพันธุ์กันก่อน”
“พรวด” ทางด้านเซียวอู๋ที่เพิ่งซดซุปเข้าไปในปากก็พ่นออกมา เขาไอ”แค่กๆ “อยู่หลายที
เล่อจยาหยิกที่ขาของเกาไห่เล็กน้อย แต่ถูกเกาไห่กุมมือเอาไว้
อาหารมื้อนี้ นับว่าทานได้อย่างเอร็ดอร่อยจริงๆ
เวลานี้ ไม่รู้ว่าใครโทรศัพท์มาหาเซียวอู๋ เห็นเพียงสีหน้าที่เคร่งขรึมของเขา พูดว่า “ครับ จะกลับไปเดี๋ยวนี้”
จากนั้น ก็กล่าวลาพวกเขา แล้วจึงออกไป
พอออกไป หนิงเส่าเฉินก็ตบไหล่ของเกาไห่เบาๆ “พี่ จะรอคุณเก็บเกี่ยวผลนะ”
เย่หลินยิ้มอยู่ข้างๆ อย่างเก้อเขินเล็กน้อย
ส่วนเล่อจยา หน้าแดงจนแทบจะหยดเป็นเลือด ถึงแม้ว่าเล่อจยาจะมีนิสัยเปิดเผย แต่ในความทรงจำ อย่างไรเธอก็ยังเป็นนักศึกษาคนหนึ่ง ดังนั้น จึงทั้งวางตัวไม่ถูก ทั้งเขินอาย
พอขึ้นรถ นั่งดีแล้ว ซูหย่าก็ส่งข้อความออกไป “เล่อจยา ฉันรู้สึกดีกับเขา แต่เขาเหมือนกับว่าจะรู้สึกดีกับคุณ”
เล่อจยาหยิบมือถือขึ้นมา สายตามองไปข้างหน้า แววตานิ่งอึ้งไป
เซียวอู๋รู้สึกดีกับเธอ? นั่งโต๊ะติดกันมาหลายปี เขาไม่เคยมองเธอว่าเป็นผู้หญิงเลย
คิดแล้ว เธอก็ส่ายหน้า แล้วตอบกลับซูหย่าว่า: “พวกเรานั่งโต๊ะข้างกันมาสามปี ถ้ามีความรู้สึกดีๆ ความรักของฉันก็คงจะไม่สามารถไม่เริ่มขึ้นจนกระทั่งมหาวิทยาลัยหรอก พอเกาไห่เข้ามา ได้พบน้องสาวกับน้องเขยของเขา ฉันถึงได้รู้ว่า ตอนนี้เซียวอู๋เป็นหัวหน้าทหาร ซูหย่าคุณก็มองออกว่าเขาเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง อีกอย่าง เขาก็รู้ความสัมพันธ์ของฉันกับเกาไห่แล้ว ดังนั้น ถ้าคุณมีความรู้สึกดีกับเขา ก็ใจกล้าเขาหาเลย ส่วนฉัน คุณก็รู้ว่า ตั้งแต่ในสายตาฉันได้พบกับเกาไห่ครั้งแรก ก็ไม่ยอมมองผู้ชายคนไหนอีก”
ส่งไปเสร็จ เธอก็ยิ้มมุมปาก
เกาไห่เห็นเมื่อกี้เธอนิ่งอึ้ง แล้วก็ยิ้มขึ้นมา จึงหยิบมือถือของเธอมาดู หลังจากนั้น ก็ยิ้มหน้าบาน
เล่อจยาเห็นท่าทางนั้นของเขา ก็มองค้อนเขาเล็กน้อย
“เกาไห่ ทำไมฉันต้องไล่ไขว่คว้าคุณ? ฉันดูพยายามมากเกินไปหรือเปล่า? ”
ชายหนุ่มที่ยิ้มอยู่ตลอด ไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มองเธออย่างจริงจัง แล้วพูดว่า: “เล่อจยา ฉันขอร้องคุณสักเรื่องหนึ่งก่อนได้ไหม? ”
“เสี่ยวหวู่”นี่……
“จยาจยา เธอเม่ออะไรอยู่ รีบเข้ามาสิ?” ซูหย่าไม่ได้สังเกตเห็นว่าอาการเธอผิดปกติ แค่คิดว่าเธอเก้ๆกังๆ จึงเดินเข้าไปดึงเธอ“มา เธอนั่งตรงนี้”
เงยหน้าขึ้น กลับพบว่า สายตาของผู้ชายตรงข้ามตกอยู่ที่เล่อจยา
ซูหย่าอึ้งไป “พวกเธอสองคนรู้จักกันเหรอ?”
เล่อจยาพยักหน้าแบบอึดอัดเล็กน้อย “เพื่อนร่วมโต๊ะสมัยมัธยม”
“ไม่เจอกันสิบปีแล้ว เมื่อคืนเพิ่งได้เจอกัน ไม่คิดว่าจะได้เจอกันเร็วขนาดนี้”ระหว่างคิ้วของชายคนนี้ ดูมีรอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ดี
“อ๋อๆ ที่แท้แบบนี้นี่เอง” หันกลับมามองเล่อจยา “ทำไมหลายปีมานี้ไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงคนคนนี้เลย?”
เล่อจยาตอบกลับเสียงเบา“ไม่เคยพูดถึง? ฉันคงคิดว่าไม่ได้ติดต่อกันมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงล่ะมั้ง”
เสียงเธอเบามาก แต่ภายในห้องนั้นเงียบมาก ดังนั้น ผู้ชายที่อยู่ตรงข้ามยังคงได้ยิน
ท่าทางการดื่มน้ำของเขา นิ่งไปเล็กน้อย
“พวกเธอเป็นเพื่อนกันเหรอ?”
“เพื่อนมหาลัย”ซูหย่าอธิบาย
“ดูเหมือนจะมีวาสนานะ สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวหน่อยนะ ผมชื่อเซียวอู๋”
“เซียวอู๋ เสี่ยวหวู่? ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง”ซูหย่าถือแก้วชาไว้ต่อหน้าเล่อจยา “ไม่ต้องเล่นมือถือแล้ว ดื่มน้ำหน่อยเถอะ”
เล่อจยาพยักหน้า ที่จริง เธอรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ที่คู่นัดบอทของซูหย่าคือเซียวอู๋
จากนั้น ทุกคนก็หาคำพูดมาคุยเล่นกัน เห็นได้ชัด ว่าซูหย่าเหมือนจะมีความประทับใจเซียวอู๋ พยายามหาหัวข้อมาสนทนาด้วยตลอด
แต่เซียวอู๋กลับถามคำตอบคำ เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้มีความสนใจซูหย่า
พูดตามตรงว่า เล่อจยาไม่ได้รู้จักพวกเขาดีพอขนาดนั้น แม้จะบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับเซียวอู๋ แต่นั่นก็เป็นเรื่องเมื่อสิบกว่าปีก่อนแล้ว การเปลี่ยนแปลงของมนุษย์ในช่วงเวลาสิบปีเป็นเรื่องน่าตกใจมาก เพราะฉะนั้น เธอจึงไม่เข้าใจเขา
และซูหย่า ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่เธอกลับความจำเสื่อม จึงทำให้ความเข้าใจที่มีต่อซูหย่านั้นว่างเปล่า
ดังนั้น ถ้าไม่ใช่ว่าพวกเขาคุยกับเธอ เธอก็จะไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศดูหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ เล่อจยาจึงลุกขึ้น“พวกเธอคุยกันไปก่อนนะ ฉัน ไปห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”
เธอรู้สึกว่าถ้ายังนั่งอยู่ตรงนั้น พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก แต่เธอจะกดดันจนเป็นบ้าไปก่อน
เล่อจยาอยู่ในห้องน้ำสักพักถึงได้ออกมา เพิ่งจะเดินมาถึงหน้าประตู ก็ถูกคนดึงไว้
เธอต้องการจะโต้กลับ “เล่อจยา นี่ฉันเอง”
มือที่ยกขึ้นก็ต้องเอาลง “เสี่ยวหวู่ ทำไมนายถึงออกมาด้วยล่ะ?”
“จยาจยา เธอมีแฟนหรือยัง?”
เล่อจยาส่ายหน้า แต่พูดในใจว่า “เธอมีสามี”
เซียวอู๋อดที่จะโล่งใจไม่ได้ “ฉันกับเพื่อนเธอไม่เหมาะสมกัน” เขาพูดตรงๆ เหมือนกับตอนนั้น ที่เขาทำร้ายเธอ ไม่อ้อมค้อมเลยสักนิด “เธอดูสิ ทั้งห้องมีแฟนกันหมดแล้ว นั่นหมายความว่าอะไรล่ะ มันหมายความว่าคนอื่นไม่เห็นเธอเป็นผู้หญิงไง”
เธอจำได้ ตอนนั้น เธอตอบกลับเขาไปว่า “นายมีสิทธิอะไรมาว่าฉัน นายเองก็ไม่มีแฟนไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันน่ะมีทางเลือกเยอะ ไม่ชอบให้มันยุ่งยาก”
เซียวอู๋ในตอนนั้นถึงจะพูดไม่ได้ว่าหล่อ แต่ เห็นบอกว่าฐานะทางบ้านดี บุคลิกดี เพราะฉะนั้น ผู้หญิงที่ชอบเขาจึงมีไม่น้อย
“นายยังไม่ได้รู้จักเธอจริงๆเลย ทำไมถึงบอกว่าไม่เหมาะสมกันแล้วล่ะ?นายดูซูหย่าสิ สวย บุคลิกดี ฐานะทางบ้านก็ไม่เลว นายลองทำความรู้จักก่อนค่อยตัดสินใจก็……”
“ฉันจำได้ว่าเมื่อก่อนเธอไม่ได้เป็นคนเสแสร้ง ทำไมแค่สิบปี เธอถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้”เสียงที่มีความดึงดูดของชายคนนี้พูดขัดเล่อจยาขึ้นมา
เล่อจยาก้มหน้าลง กุมขมับ ไม่รู้ว่าควรจะต่อคำพูดของเซียวอู๋ยังไง เสแสร้ง?ไม่ เธอแค่คิดว่า เป็นคำโกหกที่หวังดี ดีกับคนอื่น และดีกับตัวเองด้วย
“ทุกคนเปลี่ยนไปตลอดนั่นแหละ” สักพัก เธอก็พูดคำเหล่านี้ออกมา
“ใช่เหรอ?”
“ใช่สิ นายดูตัวเองสิ เมื่อก่อนอ้วนขนาดนั้น เตี้ยอีก ตอนนี้ล่ะ? ทั้งสูงทั้งหล่อ”เธอเปลี่ยนประเด็น
“อืม แต่เธอไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงเตี้ยและอ้วน”
เล่อจยาได้ยินแบบนั้น สูดหายใจเข้า หลับตา แล้วลืมตาอีกครั้ง “เสี่ยวหวู่ สิบปีแล้วอยากโดนสั่งสอนอีกใช่ไหม นายว่าใครเตี้ย ใครอ้วนกัน?”
พูดไป ก็ชูหมัดขึ้นมาต่อหน้าเซียวอู๋ ยู่ปาก
มือใหญ่ของเซียวอู๋แตะที่กลางริมฝีปาก แล้วยิ้มมุมปาก“ใช่…..อยากมาก ชอบคิดถึงมันบ่อยๆ”
เล่อจยากรอกตาใส่เขา “ขี้เกียจเถียงกับนายละ ไป เข้าไปกันเถอะ ซูหย่าอยู่คนเดียว……”
หันหลัง เล่อจยาก็เห็นซูหย่าเดินออกมาจากมุมข้างๆ สีหน้าดูแย่ เห็นได้ชัด ว่าเธอได้ยินบทสนทนาของพวกเธอ รวมถึงคำพูดนั้น คำพูดที่ว่าไม่เหมาะสม
เธอบีบนิ้ว “ซูหย่า ทำไมเธอถึงออกมาด้วยล่ะ?”
ซูหย่ามองเล่อจยาแล้วมองเซียวอู๋ “จยาจยา ฉันไม่ค่อยสบาย กลับก่อนนะ เธอให้คุณเซียวไปส่งเธอละกัน”
พูดจบ ก็หันหลังจากไป
เล่อจยาไล่ตามไปสองสามก้าว แล้วก็หยุดลง ทิ้งมือทั้งสองข้างไว้ข้างตัว หันกลับมามองเซียวอู๋ “นายเนี่ยนะ ผ่านไปสิบปีแล้ว ทำไมปากยังร้ายขนาดนี้ นายนัดบอทแบบนี้ ผู้หญิงที่ไหนจะอยู่กับนาย?”
เซียวอู๋เผชิญกับคำพูดเสียดสีของเธอ ไม่ได้โกรธแต่กลับหัวเราะ “ไม่เลว ยังคงจำได้แม่นแบบนี้”
“สื่อสารกันไม่ได้แล้ว”เล่อจยาพูดจบ หันหลังกำลังจะไป ส่วนของแขนก็อุ่นขึ้น
“กินข้าวก่อนค่อยไปไหม?”
เล่อจยาก้มหน้ามองมือใหญ่นั่น แอบประหลาดใจเล็กน้อย หลังมือนั้น มีแต่รอยแผลเป็น เธอจำได้ว่าเมื่อก่อนมือของนายคนนี้ ทั้งนิ่มทั้งขาวกว่าของเธอ สิบปี……มานี้ เขาไปทำอะไรมา?
คิดๆแล้ว ก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ควรมีความรู้สึกแบบนี้กับผู้ชายคนอื่น จึงดึงความคิดของตัวเองกลับมา “ตัวเอกเขากลับไปแล้ว ฉันยังจะกินข้าวอะไรอีก?”
“จยาจยา……อย่างน้อยเราก็เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกันมาหลายปี…….”
“ปล่อยมือก่อน”
“ไม่ เธอตอบตกลงกินข้าวกับฉันก่อน ฉันถึงจะปล่อย”คนบางคนเบะปาก ทำท่าปลิ้นปล้อน ท่าทางแบบนั้น ทำให้เล่อจยาประหลาดใจมาก สิบปีก่อน หลังจากที่โดนเธอสั่งสอน หากเขามีเรื่องขอร้องเธอ ก็จะมีท่าทางแบบนี้ สันดอนขุดได้ สันดานขุดยาก อืม ไม่ผิดเลย!
แต่เซียวอู๋กลับมองเล่อจยา เขาจะไม่บอกเธอ ว่าสิบปีมานี้เขาไม่เคยทำแบบนี้กับใครเลย
“ดูเหมือนว่า วันนี้ไม่ให้นายเห็นดี นายคงไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”เล่อจยาพูดไป ก็โยนกระเป๋าบนไหล่ไปไว้ที่พื้น เธอยกแขนขึ้น ยังไม่ทันได้ขยับ
“เล่อจยา?”เสียงผู้หญิงดังขึ้นทางด้านขวา
เล่อจยาหันไป ก็เห็นเย่หลินที่จับมือหนิงเส่าเฉิน ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ซูหย่ายืนเมื่อกี้ สายตาตกอยู่ที่แขนของเธอ
“เย่หลิน?”น้องสาวของเกาไห่ เล่อจยาร้องในใจ จบแล้วทีนี้ ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วมาฉุดกระชากลากดึงกับผู้ชายที่โรงแรม เย่หลินต้องเข้าใจเธอผิดแล้วแน่ๆ
ออกจากคุก แสงแดดที่ร้อนระอุ ทำให้เย่หลินยกมือขึ้นบังตา เธอหายใจเข้าลึกๆ “หนิงเส่าเฉิน ต่อไประหว่างเราก็ไม่มีเกาเหวินแล้ว และหวังว่าคงจะไม่มีเกาเหวินอีกคนโผล่มา” เธอพูดสิ่งที่คิดออกมา
ทุกคนบอกว่าการแต่งงานคือหลุมฝังศพของความรัก แม้ว่าหลายปีมานี้ทั้งสองคนจะเผชิญเรื่องต่างๆมามากมาย แต่ เวลาที่อยู่ด้วยกันน้อยกว่าเวลาที่ห่างกัน เธอกลัวว่าพอกลับไปเป็นปกติแล้ว ความรักจะค่อยๆหายไปเพราะขาดความกระตือรือร้น
นิ้วของหนิงเส่าเฉินสอดเข้าไปในผมของเธอ จากนั้นก้มหน้า กระซิบข้างหูเย่หลิน “อายุช่วงที่ผู้ชายแข็งแรงที่สุด ได้มอบให้คุณหมดแล้ว ถึงแม้ต่อไปใจจะอยากมี แต่ร่างกายคงไม่ไหว คุณยังจะกังวลอะไรอีก?”
เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองรอบๆ “หนิงเส่าเฉิน แถวนี้คนไปๆมาๆเยอะขนาดนี้ คุณไม่กลัวคนอื่นได้ยินหรือไง?”
“ได้ยินแล้วยังไง? ผมพูดกับภรรยาผม ใครจะมายุ่ง?”
เย่หลินจ้องเขาเขม็ง
ตอนนี้เอง มือถือของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้น เขามอง เป็นหลิวซู จึงรับสาย “ฮัลโหล อืม โอเค ฉันไปตอนนี้แหละ”
“ไปเถอะ ผมไปส่งคุณที่บริษัทของคุณก่อน”
เย่หลินเอาผมยาวของเธอไปทัดไว้หลังหู ตามหนิงเส่าเฉินขึ้นรถไป
ในขณะเดียวกัน เกากรุ๊ป
“จยาจยา เมื่อคืน ประธานเกาพาเธอไปไหนเหรอ?”
ทันทีที่เล่อจยาเข้ามาในสำนักงาน คนกลุ่มใหญ่ก็ล้อมเข้ามารวมกัน
ไปไหน? ไปกินปิ้งย่างร้านอาหารริมทาง? ไม่ เธอไม่มีความกล้าพอจะตอบแบบนั้น
“เปล่า ก็แค่คุยเรื่องภาพที่ออกแบบ จากนั้น ก็กลับบ้าน”
“แบบนี้เองเหรอ? ประธานเกานี่น่าสนใจจริงๆ โครงการที่บริษัทนี้รับ ทั่วทั้งประเทศ คงนับได้เป็นพันๆที่ โครงการที่เมืองw แม้จะบอกว่าไม่ใช่โครงการเล็กๆ แต่ ก็ไม่ถือว่าใหญ่ ทำไมประธานเกาดูให้ความสำคัญกับการออกแบบนี้มาก?”
เล่อจยาส่ายหน้า “ฉันเพิ่งมาใหม่ ฉันไม่รู้”
พอเดินมาถึงที่นั่ง เธอเห็นที่นั่งของเสี่ยวหยูที่อยู่ข้างๆนั้นว่าง มองดูเวลา เลยเวลาเข้างานมาสิบกว่านาทีแล้ว
“เสี่ยวหยู ยังไม่มาเหรอ?”เธอแกล้งถามเพื่อนร่วมงานข้างๆแบบไม่ตั้งใจ
“ได้ยินว่าเธอลาออกแล้ว?”ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดขึ้น
“อะไรคือลาออกแล้ว? โดนบริษัทไล่ออกต่างหาก”
“เธอรู้ได้ยังไง?”
“แฟนฉันบอกน่ะ เขาเห็นเสี่ยวหยูไปทำเรื่องที่แผนกบุคคลเมื่อเช้า คิดว่าคงกลัวพวกเราเห็น ถึงได้มาตั้งแต่เช้า”
จากนั้น ในสำนักงาน ก็ซุบซิบกันขึ้น ทุกคนต่างก็พากันเดาเหตุผลที่เสี่ยวหยูโดนไล่ออก
“พวกเธอคิดว่า เป็นเพราะเรื่องที่เธอขังเล่อจยาไว้ในห้องน้ำหรือเปล่า?”มีคนพูดขึ้น
จากนั้น ในสำนักงานก็มีเสียงหัวเราะขึ้น “จะเป็นไปได้ยังไง เสี่ยวหยูเป็นพนักงานของบริษัทมาแปดปีแล้ว หลายปีมานี้ แม้จะไม่ได้สร้างผลงานให้บริษัท แต่ก็ทำงานหนักเหมือนกัน อีกอย่าง ระหว่างเธอกับจยาจยาจะเป็นยังไง ก็เป็นแค่ความขัดแย้งส่วนตัวเล็กน้อยของผู้หญิง คงไม่ถึงขนาดที่จะทำให้บริษัทเก็บไปคิด?”
เล่อจยามองไปยังคนคนนั้นที่กำลังวิเคราะห์อย่างละเอียด พยักหน้า พูดไม่ผิด เรื่องเมื่อวาน ถ้าหากเป็นคนอื่น ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ หากสามีของเล่อจยาเป็นเกาไห่แล้ว เรื่องนี้ อาจจะไม่เหมือนเดิม
คิดๆแล้ว เธอก็แอบหยิบมือถือขึ้นมา ส่งข้อความไปหาเกาไห่ “คุณไล่เสี่ยวหยูออกเหรอ?”
ข้อความผ่านไปแล้วสิบนาทีจึงตอบกลับ “หรือจะเก็บไว้ให้รังแกคุณต่อล่ะ?”
“ที่จริงไม่เป็นไร คนแบบฉัน คุณก็รู้ ถ้าคนธรรมดาต้องการรังแกฉันจริงๆ ก็ทำไม่ได้หรอก”
เกาไห่ตอบกลับด้วยสติ๊กเกอร์หน้ายิ้ม แนบด้วย“แบบนั้นก็ไม่ได้”
พอใกล้จะเลิกงาน ซูหย่าโทรหาเล่อจยา บอกว่าวันนี้ตัวเองจะไปนัดบอท จะให้เธอไปเป็นเพื่อน
แม้ว่าเล่อจยายังคงรู้สึกแปลกๆเล็กน้อยกับผู้หญิงคนนี้ที่อ้างว่าเป็นเพื่อนสนิท แต่ เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ “โอเค เจอกันตอนเที่ยง”
“ฉันจะถึงบริษัทเธออีกประมาณสิบนาที เธอเลิกงานแล้วก็รีบออกมานะ”
เล่อจยาตอบกลับ “อื้ม”
จากนั้นเธอก็ส่งข้อความหาเกาไห่ว่า “ตอนเที่ยงจะไปนัดบอทเป็นเพื่อนซูหย่า ไปทานมื้อเที่ยงกับคุณไม่ได้แล้ว”
หลังจากส่งข้อความ เห็นว่าใกล้เลิกงานแล้ว เธอจึงเริ่มเก็บของ
พอลงไปถึงชั้นล่าง ก็เห็นซูหย่าและรถสปอร์ตสีแดงแวววาวของเธออยู่ไกลๆ
“หลายปีมานี้ เธอกับคนคนนั้น ความสัมพันธ์เป็นยังไงบ้าง?”ซูหย่าถามหลังจากขับเคลื่อนรถแล้ว
เล่อจยาเผลอยิ้มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว “อื้ม ก็โอเค!”
“พวกเธอ……มีอันนั้นกันหรือยังอันนั้นน่ะ?”
“ไม่มี”
ในตอนนี้เอง ก็อยู่ช่วงไฟแดงพอดี ซูหย่าหยุดรถ แล้วหันไปมองเล่อจยา ถอดแว่นกันแดดออก มองเล่อจยาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เขาไม่ทำอะไรเธอเหรอ?”
เล่อจยาส่ายหน้า “ไม่ เธอว่าผู้หญิงที่ไม่มีแฟนสักคนอย่างเธอ ทำไมถึงถามคนอื่นเรื่องนี้? ก็ไม่อายบ้างเลย?”เล่อจยาพูด แล้วก็หันไปมองนอกหน้าต่าง ซ่อนความน้อยใจไว้
ที่จริง ซูหย่าจะประหลาดใจก็ไม่แปลก นี่มันยุคไหนแล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอยู่ก่อนแต่งเลย แค่เป็นแฟนกัน ตกลงความสัมพันธ์กันได้ จะมีสักกี่คนที่ยังคงรักษาความบริสุทธิ์อยู่อีก
“ดูแล้ว เขาคงจะหวงแหนเธอมาก”เพราะหวงแหน จึงอดไม่ได้ที่จะนำความบริสุทธิ์ของเธอไปแบบไม่ชัดเจน และอดไม่ได้ที่จะฉวยโอกาส
“เธอพูดว่าอะไรนะ?”เล่อจยาหันไปมองซูหย่า
ไฟเขียวแล้ว ซูหย่าออกรถ ส่ายหน้า “ไม่มีอะไร”
ในใจ อดที่จะอิจฉาเล่อจยาไม่ได้ สมัยนี้ หายากจริงๆที่จะพบกับผู้ชายที่รักและทะนุถนอมอย่างรู้ค่าของตัวเอง
สถานที่นัดบอทของซูหย่า เป็นโรงแรมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
“นี่เป็นโรงแรมของตระกูลเขา ”ซูหย่านำกุญแจรถให้กับยามหน้าประตู ชี้ไปยังตึกที่อยู่ตรงหน้าพร้อมแนะนำให้เล่อจยา
“ไม่เลว ค่อนข้างรวย”
“นี่เป็นแค่หนึ่งในร้อย”
“โอ้ แต่ว่า ซูหย่า ไม่ว่าจะมีเงินมากหรือน้อย เธอก็ต้องทำตามหัวใจของเธอ ไม่สามารถนำเรื่องเงินมาเป็นตัวตัดสินเรื่องความรักได้” คำๆนี้ เล่อจยาพูดออกมาแบบไม่รู้ตัว
จากนั้น เธอก็เห็นสีหน้าของซูหย่าเปลี่ยนไป “จยาจยา นี่ความจำเธอกลับมาแล้วเหรอ?”
เล่อจยาส่ายหน้า
“เอาเถอะ ครั้งแรกที่เธอมานัดบอทกับฉัน เธอก็พูดแบบนี้กับฉัน”พูดไป ซูหย่าก็กอดเล่อจยาอยู่หน้าประตูโรงแรม “หลายวันมานี้ เธอไม่สนใจฉันเลย จยาจยา เธอรู้ไหมว่าฉันหดหู่ใจมากแค่ไหน เมื่อก่อน ก่อนที่เธอจะความจำเสื่อม พวกเราคุยกันแทบจะทุกวัน แต่…….”
เล่อจยารู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา “ขอโทษนะ ฉัน……”
“เอาล่ะ ไม่เป็นไร ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ฉันแค่ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งปีมาพัวพันอยู่กับเธอ สร้างสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนระหว่างเราขึ้นมาอีกครั้ง”พูดจบ ซูหย่าปล่อยเล่อจยา จับมือเธอแล้วเข้าโรงแรมไป
ถึงห้องอาหาร พอประตูห้องอาหารเปิดออก ผู้ชายที่อยู่ข้างในปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน เล่อจยาก็ยืนแข็งทื่ออยู่หน้าประตู
หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ ไม่ได้พูดอะไร
แบบนี้ เย่หลินก็เข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นสิ่งที่หนิงเส่าเฉินยินยอม
“งานแต่ง คุณมีความคิดเห็นอะไรไหม? อย่างเช่นสไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?”ระหว่างที่รอเวลา หนิงเส่าเฉินก็ถามความคิดเห็นของเย่หลิน
สไตล์จีนหรือสไตล์ตะวันตก?
“อืม สไตล์จีนและสไตล์ตะวันตกต่างก็มีข้อดีของมัน ไม่เป็นไร ฉันได้หมด ขอแค่เจ้าบ่าวคือคุณ ก็โอเค” พูดจบ เธอพิงไหล่หนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน หลังจากจัดงานแต่งแล้ว ฉันจะลองไปตรวจร่างกายดู”
“เป็นอะไร? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
“โธ่ ฉัน……ฉันเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอยากคลอดอีกคน คลอดลูกให้คุณตั้งสองคนแล้ว เสียเปรียบให้คุณตลอดเลย ยังไงก็ตาม ฉันจะต้องให้คุณดูแลฉันบ้าง”
หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้ และรัดแน่นขึ้น เขาฝืนเก็บความเจ็บปวดไว้ในใจ “เย่หลิน เราไปตรวจร่างกายกันก็ได้ แต่ลูกไม่คลอดแล้วได้ไหม พวกเราก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้นเลยได้ไหม?”
พูดจบ เขาก็มองเย่หลินอย่างเป็นกังวล
เย่หลินสูดหายใจเข้า “ดูคุณกังวลเข้าสิ คุณกลัวจะต้องดูแลฉันขนาดนั้นเลย? ที่จริงฉันก็คิดแบบนั้น ยังไงซะ ก็มีเสี่ยวซีกับเสียวโม่แล้ว ถ้าหากว่าสามารถคลอดได้ ก็มีอีกคน ไม่ได้ ก็ไม่ได้เสียใจอะไร”
ขณะนั้นเอง ก็มีเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบเดินเข้ามา “หนิงเส่า ถึงคิวของคุณกับนายหญิงแล้ว ตามผมมาเลยครับ”
กรอกแบบฟอร์ม ถ่ายรูป ลงทะเบียน……
ขณะที่ถือหนังสือสีแดงสองเล่มนั้น เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา สิ่งที่พวกเขาพบเจอตลอดทางที่เดินมา มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ ว่ามันไม่ง่ายเลย
“ไม่ต้องร้องแล้ว คนอื่นที่ไม่รู้ คงคิดว่าผมบังคับคุณมา”หาได้ยากที่หนิงเส่าเฉินจะพูดเล่น เย่หลินบีบที่เอวเขา “ตาบ้า”
ออกจากสำนักงานฝ่ายพลเรือนแล้ว เย่หลินก็หยุดเดินกะทันหัน มองหนิงเส่าเฉิน “คุณ……พาฉันไปที่ที่หนึ่งได้ไหม?”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ที่ไหน?”
“ฉันอยากไปดูเกาเหวิน”
กับผู้หญิงคนนี้ ลูกสาวของลุงตัวเองคนนี้ เย่หลินมีความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก
“คุณจะไปดูเธอทำไม?”สีหน้าของหนิงเส่าเฉินไม่ค่อยดี เห็นได้ชัด ว่าเขาไม่มีความรู้สึกอะไรต่อเกาเหวินอีกแล้ว
“ไม่ว่าจะยังไง ที่เราสามารถอยู่ด้วยกันได้ ก็เป็นเพราะเธอ นี่ก็จดทะเบียนสมรสกันแล้ว ไม่ควรจะไปขอบคุณกันหน่อยเหรอ? อีกอย่าง ยังมีเรื่องบางเรื่อง ที่ฉันอยากให้เธอเข้าใจ”
หนิงเส่าเฉินเข้าใจแล้วว่าในใจเธอกำลังคิดอะไรอยู่ “โอเค ผมไปเป็นเพื่อนคุณ”
เย่หลินเคยคิดภาพเหตุการณ์หลายอย่างที่จะเจอกับเกาเหวินอีกครั้ง แต่กลับไม่เคยคิดว่าจะเป็นอย่างภาพที่อยู่ตรงหน้า
ผมที่แต่เดิมยาวถูกตัดเป็นทรงslick back และมีแผลเป็นน่าเกลียดอยู่ทางด้านขวาของใบหน้า รอยคล้ำใต้ตา ผิวคล้ำเหลือง และสวมใส่ชุดนักโทษ ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้านั้นยังเห็นลักษณะของเธอได้เลือนลาง เย่หลินก็คงไม่เชื่อว่านี่จะเป็นเกาเหวินที่ยโสโอหังคนนั้น
เกาเหวินมองผู้หญิงตรงหน้า ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ด้วยความประหลาดใจ
“เธอ……เฉินเป้ยอี?”
ก่อนจะมาที่นี่ เย่หลินตั้งใจกลับบ้านไปเปลี่ยนโฉมให้กลายเป็นเฉินเป้ยอี ความทุกข์ทรมานที่ได้รับตอนนั้น ยังไงวันนี้ก็ต้องได้เห็นผลกัน
ระหว่างทาง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกาเหวินถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ในข้อหาฆาตกรรมโดยเจตนาและอาชญากรรมอื่นๆอีกมากมาย
ตอนเข้าคุกแรกๆ เธอเคยจะใช้ช้อนฆ่าตัวตาย และเคยจะแขวนคอตาย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว หลังจากนั้น เธอคงยอมรับชะตากรรม ไม่ได้พยายามอีก
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่รู้ว่าคนที่เธอเจตนาจะฆ่าคือเกาไห่ เย่หลินก็โกรธมาก เธอคิดไม่ถึงเลยว่า ตอนนั้นที่เกาไห่ตกหน้าผาจะเป็นผีมือของเกาเหวิน ถึงทั้งสองคนจะไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ยังไงก็อยู่ด้วยกันมาตั้งหลายปี เธอไม่รู้จริงๆว่าใจของผู้หญิงคนนี้ทำจากอะไร ถึงได้ใจร้ายขนาดนี้ คิดถึงตรงนี้ เธอรู้สึกสงสารพี่ชายของตัวเอง อีกอย่าง ผู้หญิงคนนี้สติฟั่นเฟือนจะให้แม่ของตัวเองรับโทษแทน ทำให้แม่ของเธอต้องฆ่าตัวตายในคุก
คิดถึงตรงนี้ เธอยิ่งเห็นว่าควรพิพากษาให้รับโทษทัณฑ์ทรมานด้วยซ้ำ
“สวัสดี คุณหนูเกา ไม่เจอกันนานเลยนะ”
เกาเหวินมองหนิงเส่าเฉินโอบเอวเธอ ก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง “ดูเหมือนว่าทั้งฉันและคนนามสกุลเย่คนนั้นจะเป็นผู้แพ้นะ หนิงเส่าเฉิน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณจะหลายใจขนาดนี้ ”
เย่หลินยิ้ม หยิบหนังสือเล่มสีแดงออกมาจากกระเป๋า คลี่ออก ให้เกาเหวินดู
“คุณหนูเกา ดูสิ ว่านี่คืออะไร?”
เกาเหวินพึมพำเสียงเย็น “ทะเบียนสมรส?”
“คุณหนูเกาไม่ลองดูดีๆล่ะ ว่านี่เป็นทะเบียนสมรสของใคร”
เมื่อเธอพูดจบ สีหน้าของเกาเหวินก็เปลี่ยนไป เอาหน้าเข้ามาใกล้ เห็นว่าข้างบนนั้นคือเย่หลินกับหนิงเส่าเฉิน ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ “นี่มันหมายความว่าอะไร?”
เย่หลินเก็บทะเบียนสมรส จากนั้น เธอก็ถามเกาเหวิน “คุณหนูเกา ไม่รู้ว่าคุณเคยสงสัยไหม ว่าทำไมตอนนั้น หน้ากากปลอมๆของคุณ ถูกเกาไห่มองทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่ทำไมหลังจากที่เกาไห่มองออก ก็ยังคงพาคุณเข้าตระกูลหนิงเหมือนเดิม เรื่องนี้ คุณอยากรู้ไหม?”
เกาเหวินพูดด้วยความโกรธอย่างหยุดไม่อยู่ “หรือว่าเป็นเธอ? เธออยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ใช่ไหม?”
เย่หลินยิ้ม “ไม่ ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเพราะโลกนี้ไม่มีเฉินเป้ยอีจริงๆ แล้วจะไปมีน้องสาวเฉินอีอีของเธอได้ยังไงล่ะ? ”
“หมายความว่ายังไง?”
เย่หลินหยิบที่เช็ดเครื่องสำอางที่เตรียมไว้ออกมา ใช้สำลีเช็ดใบหน้าสักพัก แล้วใช้ทิชชูซับน้ำบนหน้าให้แห้ง จากนั้น ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่สง่างาม
เกาเหวินอ้าปากค้างอยู่นาน จากนั้น เธอก็หัวเราะดังขึ้น หัวเราะจนสุดท้ายกลายเป็นเสียงร้องไห้ “ที่แท้มันเป็นแบบนี้นี่เอง เป็นแบบนี้นี่เอง……ที่แท้ ฉันเป็นคนโง่มาตั้งแต่แรก คนโง่”
“หนิงเส่าเฉิน คนเนรคุณ ต่อให้คุณไม่ได้ชอบฉันก็เถอะ แต่ทำไมคุณถึงทำกับฉันแบบนี้ ไม่ว่าฉันจะเลวกับใครก็ตาม แต่ฉันสาบานได้ ว่ากับคุณ ฉันทำเพราะรักทั้งนั้น แต่คุณกลับร่วมมือกับคนอื่นมาหลอกฉัน ”เธอตะโกนใส่หนิงเส่าเฉิน
หนิงเส่าเฉินที่ไม่ได้เอ่ยปากพูดเลยก้มหน้าลงสบสายตากับเย่หลิน ถึงเงยหน้าขึ้นมองเกาเหวิน “ไม่เคยโกหกผม? เรื่องอื่นผมจะไม่พูดแล้ว เกาเหวิน สิบปีก่อน ใครเป็นคนช่วยผมไว้? ในใจคุณไม่รู้เหรอ? ผมจะบอกให้ ว่าเย่หลินเป็นคนที่ช่วยผม อีกอย่างเรื่องที่มีลูกไม่ได้ คุณเห็นผมเป็นคนโง่เหรอ?”
สีหน้าเกาเหวินซีดลง ตอนแรกเธอคิดว่าสามารถพึ่งพาเรื่องเก่าๆให้หนิงเส่าเฉินช่วยเธอ ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า คนที่ส่งตัวเองเข้าคุกจริงๆแล้วก็คือผู้ชายคนนี้
“พวกแก……พวกแกรอก่อนเถอะ รอพ่อฉันกลับมา ฉันไม่ปล่อยพวกแกไปแน่ แม้ว่าฉันจะตาย ก็จะดึงพวกแกไปด้วย”ทันใดนั้น เกาเหวินก็นึกถึงพ่อที่หายตัวไป ในตาก็มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง
เย่หลินดึงให้หนิงเส่าเฉินลุกขึ้น “ไปเถอะ ”เรื่องที่อยู่ของพ่อเกา พวกเขารู้อยู่ในใจ ถูกคุณตาพาตัวไป คาดว่าชีวิตนี้คงไม่ได้ออกมาอีกแล้ว
“อย่าไปนะ……พวกแกได้ยินไหม……”
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังยังคงร้อง แต่ทั้งสองคนก็ไม่ได้หยุด
เล่อจยามองไปที่ชายตรงหน้า รูปร่างหน้าตาหล่อ เธอจำได้ว่าในบรรดาผู้ชายที่เธอรู้จัก มีคนแค่ไม่กี่คนที่รูปร่างดูดี แต่เธอกลับไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ หรือว่า เราจะรู้จักกันก่อนที่เธอจะสูญเสียความทรงจำ?
เธอไม่กล้าพูดไปช่วงหนึ่ง “สวัสดีค่ะ คุณคือ?”
ชายที่อยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่าสีหน้านิ่งลงไป จากนั้น เขาก็พูดกับเล่อจยาอย่างตื่นเต้นว่า“เพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ ยังจำได้ไหม คนที่ตอนนั้นถูกเธอตีจนไม่กล้าไปเรียนสองวัน?”
ตอนแรกเล่อจยายังจำไม่ได้ สักพัก เธอก็ชี้ไปที่เขา พูดอย่างประหลาดใจ“เสี่ยวหวู่?”
“ถูกต้อง ยังถือว่าใจดี นึกว่าเธอจะลืมฉันซะแล้ว หลังจากเรียนจบ ก็ไม่เจอเธอเลย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?”เซียวหวู่ดึงเก้าอี้ของเขามานั่งที่โต๊ะของเล่อเจีย ท่าทางดูเป็นกันเองมาก
เล่อจยารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย หันไปมองเกาไห่โดยอัตโนมัติ ก็เห็นว่า สีหน้าของเขาดำมืดจนน่ากลัว
“คนนี้คือ?”เสี่ยวหวู่มองเกาไห่แล้วถามขึ้น
“ฉัน……หัวหน้าของฉัน ออกมาคุยเรื่องงานด้วยกัน”เล่อจยายังไม่ได้เตรียมใจที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกาไห่ ดังนั้น บอกว่าเขาเป็นเจ้านาย จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“อ๋อๆ……งั้นโอเค งั้นไม่รบกวนพวกเธอคุยเรื่องงานล่ะ เธอเอาเบอร์มือถือให้ฉัน แล้วเราค่อยติดต่อกันทีหลัง”
จากนั้นทั้งสองคนก็แลกเบอร์โทรกัน เสี่ยวหวู่ถึงได้กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
เกาไห่ทำหน้านิ่งขรึม ไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่ต้น
“สมัยมัธยมปลาย เรานั่งด้วยกัน ช่วงแรกๆเขาชอบแกล้งฉัน มีครั้งหนึ่งฉันตอบโต้กลับไปแรงๆ เขาก็ไม่กล้าอีกเลย ตอนนั้น เขาอ้วนกว่าฉันอีก คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะหล่อขนาดนี้”เธอพูดไปแล้วคีบดอกกะหล่ำ แต่ถูกเกาไห่เคาะตะเกียบ ดอกกะหล่ำจึงตกลงไปบนจาน “คุณคิดถึงขนาดนั้น ทำไมไม่ไปนั่งคุยกันต่อล่ะ?”
“ไม่ต้องหรอก วันหลัง……”คำว่า‘ก็ได้’ยังไม่ทันได้พูดออกมา ผู้ชายบางคนก็ได้ทุบตะเกียบลงโต๊ะอย่างแรง
เล่อจยาเม้มปาก รีบเปลี่ยนคำพูด “วันหลังพวกเราค่อยนัดเขากินข้าวพร้อมกัน”
จากนั้น จนถึงกลับบ้าน เกาไห่ก็ยังคงมีสีหน้านิ่งขรึมตลอดเวลา เล่อจยารู้สึกว่าเขาคิดมากเกินไป ในที่สุด วินาทีที่ปิดประตูบ้าน เล่อจยาทนไม่ไหว “ทำไมคุณถึงหึงฉันได้เนี่ย? คุณก็ไม่ดูสภาพของเขาตอนนี้เลย คนอื่นเขาจะมามองฉันได้ยังไง? ก็แค่เพื่อนเก่าเจอกัน ทักทายกันเฉยๆ คุณก็ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปได้?”
เกาไห่ที่เปลี่ยนรองเท้าอยู่นิ่งไป “นี่คุณหมายถึง คนที่มองคุณ คือคนตาบอด? หน้าตาอัปลักษณ์ไม่หล่อ?”
เอ่อ…… เล่อจยาไม่กล้าพูด ใช่แล้ว เธอลืมไปได้ยังไง สามีเธอ เป็นถึงมังกรในหมู่ผู้คน ขนาดเกาไห่ยังสามารถแต่งงานกับเธอได้ ถ้าอย่างนั้นผู้ชายคนอื่นจะมองเธอ ก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ?
เห็นเขาหงุดหงิดจนหูแดง ก็ใจอ่อน เดินเข้าไปกอดเอวเขาไว้ เขย่งเท้าและจุ๊บริมฝีปากบางของเกาไห่เบาๆ
เธออยากละริมฝีปากออก แต่กลับถูกเกาไห่ดึงไว้ มือใหญ่กดอยู่ด้านหลังศีรษะของเธอ จูบต่ออย่างลึกซึ้ง
คฤหาสน์หนิง
“พ่อคะ ดูนี่สิ?” หลังกลับจากทานอาหารค่ำ หนิงเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่ก็ไปนอน หนิงเชี่ยนจะคุยเรื่องงานหมั้นกับหลิวซู จึงกลับไปก่อน ในห้องรับแขกจึงเหลือแค่เธอกับหนิงเส่าเฉิน และพ่อหนิงกับแม่หนิง จู่ๆเย่หลินก็นึกถึงภาพนี้ขึ้น จึงตัดสินใจนำออกมา ถามพ่อหนิง
พ่อหนิงรับโทรศัพท์ไป สายตาไปตกอยู่ที่รูปนั้น เห็นวันที่ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขาดูเหลือเชื่อ “รูปนี้คือพ่อเธอจริงๆ แต่……วันที่นี้ ไม่ถูก เขาตายไปก่อนหน้านั้นแล้วสามปี”
“ถ้าอย่างนั้นคนที่อยู่ในรูป คือพ่อเกา?”เย่หลินถามขึ้น
พ่อหนิงขมวดคิ้วเข้าหากัน ส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่พ่อเกา แม้ว่าพวกเขาสองคนจะเป็นแฝดกัน หน้าตาคล้ายกันมาก แต่จริงๆแล้วพ่อเธอจะดูโดดเด่นกว่ามาก ถ้าหากทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ก็แยกแยะกันออกง่ายมาก”
“ฝาแฝด?”
“เธอไม่รู้เหรอ?”
“ฉันก็เคยคิดค่ะ แต่ ก็ปฏิเสธในใจ ไม่อยากจะเชื่อ ว่าลุงของตัวเองจะเป็นคนแบบนี้” อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ก็สามารถอธิบายได้แล้ว ว่าทำไมพ่อเกาถึงเต็มใจเลี้ยงเกาไห่ และทำไมถึงยอมให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี
“แต่ว่าพ่อคะ ถ้าหากคนในรูป ไม่ใช่พ่อเกา แต่เป็นพ่อฉัน แล้ววันที่นี้จะอธิบายยังไง?”
สมัยนั้น ไม่น่าจะมีโปรแกรมps ยิ่งกว่านั้นแม่คงไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น
“รูปนี้ เธอได้มาจากไหน?”
“หลังจากที่ฉันให้กำเนิดเสี่ยวซี และเพื่อที่จะดูแลแม่ของฉัน จึงได้เช่าห้องในเมืองw นั่นเป็นสิ่งที่ลุงห้องข้างๆวานคนเอามาให้ฉัน”
พูดถึงเรื่องนี้ เย่หลินก็รู้สึกสงสัยมาก ลุงคนนั้นมีรูปนี้ แสดงว่าเขาต้องรู้จักกับแม่ แต่ดูจากปฏิกิริยาของแม่ตอนนั้น ไม่เหมือนว่าเคยรู้จักกันเลย
“เรื่องนี้ ให้เส่าเฉินส่งคนไปสืบดู!หากสืบได้ จะเป็นเรื่องน่าดีใจ……”พูดถึงตรงนี้ พ่อหนิงก็นิ่งไป “ถ้าหากสืบไม่ได้ สาวน้อย อย่าไปคิดมันอีกเลยนะ มันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ แค่เธอกับเส่าเฉิน และเด็กๆมีชีวิตที่ดี เรื่องพวกนี้ ก็เป็นแค่อดีต”
เย่หลินพยักหน้า ลุกขึ้นยืน “ค่ะ ถ้าอย่างนั้นพ่อกับแม่เข้านอนเร็วๆนะคะ พวกเราขอขึ้นห้องก่อน”
ในห้องนอน หนิงเส่าเฉินกอดเย่หลินจากข้างหลัง ถอนหายใจแรงๆ “ฟ้าหลังฝนสักที”
หนิงเส่าเฉินไม่ใช่คนที่มีอารมณ์อ่อนไหว เขาแสดงอารมณ์แบบนี้ออกมาได้ นั่นคงแสดงว่า ช่วงนี้ทำให้เขารู้สึกเหนื่อยจริงๆ
เย่หลินหันกลับไป นิ้วเรียวสวยนั้น วาดวงกลมอยู่บนหน้าอกของเขา “หนิงเส่าเฉิน ในเมื่อตอนนี้เรื่องทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว คุณก็ควรให้คำอธิบายกับฉันได้แล้วใช่ไหม?”
หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ แน่นอนว่ารู้ในสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อ “พรุ่งนี้ เราไปที่สำนักงานฝ่ายพลเรือนกัน จากนั้น เตรียมการถ่ายภาพพรีเวดดิ้ง ต่อจากนั้นอีก ผมจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับคุณ……พวกนี้ เป็นสิ่งที่ผมติดคุณอยู่”
เย่หลินส่ายหน้า “ลูกสองคนแล้ว หรือว่างานแต่งเราจะจัดให้มันเรียบง่ายหน่อย อายุก็สามสิบกันแล้ว ยังจะยิ่งใหญ่ ไม่เอาๆ มันน่าอาย……”
เธอพูดจบ ก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับจากหนิงเส่าเฉิน เงยหน้าขึ้นก็เห็นหนิงเส่าเฉินน้ำตาคลอ…
เอื้อมมือขึ้นไปจับแก้มเขา “คุณเป็นอะไร?”
“คุณภรรยา ให้คุณรอมานานขนาดนี้ ยังให้การแต่งงานครั้งแรกของคุณ กลายเป็นการแต่งครั้งที่สอง ผมรู้สึกผิดมาก เพราะฉะนั้น อย่าปฏิเสธผมเลยนะ บางที คุณอาจจะคิดว่าของพวกนี้มันเกินความเป็นจริงไป แต่ ผมกลับอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดที่ผมสามารถทำได้กับคุณ”
คำพูดของเขา ทำให้เย่หลินรู้สึกไม่สบายใจ ที่จริง เธอคิดว่า งานแต่งจะใหญ่โตแค่ไหน ภายนอกดูสวยงามเท่าไหร่ จริงๆก็แค่ทำให้คนอื่นดู
ในการแต่งงาน ผู้หญิงคนหนึ่งจะมีความสุขหรือไม่มีความสุข ก็เหมือนกับการที่คนดื่มน้ำ รู้อยู่กับตัวว่าน้ำนั้นเย็นหรืออุ่น
แต่ เธอทนเห็นหนิงเส่าเฉินต้องโทษตัวเองไม่ได้ ดังนั้น เธอจึงพยักหน้า “โอเค ฟังที่คุณว่า”
วันถัดมา ทั้งสองมาถึงสำนักงานฝ่ายพลเรือน ในห้องรับรอง มีคนนั่งรออยู่ไม่น้อย การกระทำของหนิงเส่าเฉินดูน่าประหลาดใจ เขาไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ แต่กลับหยิบบัตรคิว นั่งรอคิวกับเย่หลินพร้อมหลายๆคน
วันนี้ทั้งสองคนตั้งใจแต่งตัวมา ดังนั้น ยิ่งเป็นที่สะดุดตามากขึ้น
ทันใดนั้น เย่หลินดึงชายเสื้อของหนิงเส่าเฉิน “มีคนกำลังถ่ายรูป”
หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูดเขาก็มองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ทันทีที่พ่อตื่นขึ้นก็ถามว่ามีอะไรผิดปกติกับสาวน้อยคนนั้นหรือไม่”
หนิงเส่าเฉินรู้สึกว่าลมหายใจที่ค้างอยู่ในใจมาหลายวันจู่ๆก็ได้ปลดปล่อย“พ่อ เธออยู่ในรถชั้นล่าง ผมจะบอกให้เธอขึ้นมา”
พ่อหนิงกระพริบตา
หนิงเส่าเฉิน ไม่ได้โทรหาเย่หลิน แต่ลงไปข้างล่างด้วยตัวเอง มองดูร่างที่วิ่งเหยาะๆ ของเขา แม่หนิงหันไปมองที่พ่อหนิง “ตาแก่เราคิดว่าหญิงน้อยคนนั้นผลักคุณลง เกือบ… … เกือบ ส่งเธอเข้าคุกแล้ว”
เสียงแม่หนิงลดลง เขาเห็นหน้าพ่อหนิงหน้าแดงทันที เขายกมือขึ้นอย่างลำบากและชี้ไปที่แม่หนิง “พวกเธอ.เธอ……”
“พ่อคะ หนู… หนูก็คิดไม่ถึงว่าพ่อจะต้องการช่วยเธอ หนูคิดว่าเธอเป็นคนผลักพ่อลงมา”
เมื่อเห็นหนิงเส่าเฉินดึงประตูรถเย่หลินก็รีบลุกขึ้นอย่างตื่นเต้นลืมว่าตัวเองยังอยู่ในรถ ทำให้ศีรษะโขกโดนหลังคารถจนมีเสียงดัง “โอ๊ย”
หนิงเส่าเฉินนั่งเข้าไปในรถและดึงเธอเข้ามา “เจ็บไหม ขอฉันดูหน่อย…”
เย่หลินโบกมือ “ช่างมันเหอะ รีบพูดให้ฉันฟังหน่อยคุณพ่อเป็นอย่างไรบ้าง? ตื่นหรือยัง”
ความวิตกกังวลของเธอทำให้หนิงเส่าเฉินเป็นทุกข์ เขาเอื้อมมือออกไปจับเธอไว้ในอ้อมแขนของเขาและกดมือใหญ่ของเขาที่ด้านหลังศีรษะของเธอ “โธ่ ภรรยา ผมผิดต่อคุณจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเส่าเฉินเรียกเย่หลินแบบนี้เย่หลินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะฟื้นคืนสติ “หมายความว่าพ่อตื่นแล้วใช่มั้ย”
มือใหญ่ตบหลังเธอ “ตื่นแล้ว เขาต้องการพบคุณ ขึ้นไปกันเถอะ”
หยาดน้ำตาหยดลงบนหลังมือของหนิงเส่าเฉิน เย่หลินผลักหนิงเส่าเฉินออกไปและปาดน้ำตา “ไปกันเถอะ”
เมื่อทั้งสองเปิดประตูรถเห็นแม่หนิงและหนิงเชี่ยนยืนอยู่ไม่ไกลจากรถ เมื่อเห็นทั้งสองคนลงจากรถแม่หนิงก็ผลักหนิงเชี่ยน
เย่หลินและหนิงเส่าเฉินมองหน้ากันและก้าวไปข้างหน้า
ขณะที่หนิงเชี่ยนเพิ่งเดินไปข้างหน้าของทั้งสอง หนิงเชี่ยนมองไปที่เย่หลินและคุกเข่าลง “พี่สะใภ้ฉันผิดไปแล้ว ฉันทำผิดต่อคุณและเกือบจะส่งคุณเข้าคุก ฉันขอโทษ ฉันไม่ควรสรุปเกี่ยวกับคุณจากการคาดเดาของฉันเอง ฉันขอโทษ…”
เย่หลินรีบก้าวไปข้างหน้าหนิงเชี่ยนแล้วจับมือทั้งสองข้าง “เสี่ยวเชี่ยนเธอกำลังทำอะไร เด็กโง่นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน ฉันก็จะทำอย่างนั้นเช่นกัน คุณไม่ผิด ฉันไม่โทษคุณ จริงๆนะ” เขาพูดพร้อมปาดน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเชี่ยน“อย่าร้องไห้เลย ฉันได้ยินเส่าเฉินบอกว่าคุณกับหลิวซูจะแต่งงานกันเร็ว ๆ นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ของฉัน บางทีคุณ ก็อาจได้แต่งงานแล้ว.”
การเปลี่ยนหัวข้อของเย่หลินที่มีความห่วงใยและความเอื้ออาทรของเธอทำให้หนิงเชี่ยนอับอายมากขึ้น เธอโทษตัวเองที่ปฏิเสธผู้หญิง ที่อยู่ข้างหน้าเธอ
ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทุ่มเททุกอย่างที่เธอมีเพื่อช่วยพี่ชายของเธอ ทำไมเธอถึงไม่เต็มใจที่จะให้อภัยเธอ?
ในเวลาเดียวกันแม่หนิงก็เข้ามาจับมือเย่หลิน “ลูกเอ๋ย พวกเราไม่ดีเอง ที่เข้าใจผิดทำให้เธอน้อยใจ…”
“แม่ พวกคุณลงมาหมดแบบนี้ พ่ออยู่คนเดียวคงเหงาน่าดูเรารีบขึ้นไปดูเขากัน” เย่หลินขัดคำพูดของแม่หนิง แต่“แม่” คำเดียวก็อธิบายได้ทุกอย่าง
พ่อหนิงเห็นเย่หลินก็ลุกขึ้นนั่งอย่างลำบาก เมื่อเห็นเช่นนี้ แม่หนิงก็ยกเตียงขึ้นวางหมอนไว้ข้างหลัง
เย่หลินก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับพ่อหนิงอย่างสุดซึ้ง “พ่อคะ ขอบพระคุณอย่างสุดซึ้งที่ช่วยชีวิตหนูไว้ในวันนั้น”
แม่หนิงมองไปที่เย่หลินข้างเตียง แล้วมองดูความเจ็บปวดในดวงตาของลูกชาย เธอรู้สึกสะเทือนใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่น่าแปลกใจที่ลูกชายของเขายังคงเชื่อใจผู้หญิงคนนี้ได้มากหลังจากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
ตัวของเธอน่ายกย่องจริงๆ เธอไม่ถือโทษสิ่งที่คนอื่นทำกับเธอไว้มาใส่ใจแต่กลับขยายความมีน้ำใจให้กับผู้อื่นที่มีต่อเธอแทน
“ลูก เป็นโชคของเส่าเฉินจริงๆ ที่ได้แต่งงานกับเธอ” เสียงของพ่อหนิงแหบเล็กน้อย
เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉิน “พ่อ เป็นโชคของหนูต่างหากที่ได้แต่งงานกับเขา”
ณ จุดนี้ถือได้ว่าเป็นฟ้าหลังฝนจริงๆ
พ่อหนิงออกจากโรงพยาบาลอีกทีในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้แน่ใจว่าสารพิษทั้งหมดในร่างกายของเขาถูกล้างออกไป หนิงเส่าเฉินปล่อยให้พวกเขาอยู่ในประเทศต่อไป
บ้านของตระกูลหนิงที่ถูกทิ้งร้างมาเป็นเวลานาน กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที
อาจจะเป็นเพราะรอดชีวิตมาแล้วหรืออาจจะเป็นเพราะปมในใจของเขาที่ถูกปล่อยและอาจเป็นไปได้ว่าสารพิษในร่างกายหายไปแล้วบุคลิกของพ่อหนิงก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน
ในตอนเย็นวันนี่หนิงเส่าเฉินไม่ได้ทำงานล่วงเวลา
เมื่อเย่หลินเกลี้ยกล่อมให้เย่เสี่ยวโม่ไปที่ห้องเขาบังเอิญเห็นหนิงเส่าเฉินเปลื้องผ้าและเธอรีบหันหน้ากลับมาอย่างไว
ผ่านไปครู่หนึ่ง มือเรียวคู่หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เอว “บอกมา คุณไม่เคยเห็นตรงไหนบ้าง?”
ประโยคหนึ่งทำให้เย่หลินหน้าแดง “แล้วบอกฉันทีว่าตอนฉันไม่อยู่บ้านมากกว่าหนึ่งเดือนคุณกลับบ้านมาสายทุกวัน คุณไปทำอะไร? เย่เสี่ยวโม่กล่าวว่าคุณไปหาแม่เลี้ยงมาให้เขา ?”
หนิงเส่าเฉินเอามือแตะที่เอวของเย่หลินแน่น “เคยหาแม่เลี้ยงหรือไม่ ก็ต้องลองดูสิ คุณจะได้รู้เอง?” เขากระซิบที่หูของเย่หลิน
“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่ น่าไม่อายจริงๆ ฉันไม่ต้องการ”
เขาไอเล็กน้อย “ฉันพูดอะไร ? น่าไม่อายหรือ?”
เย่หลินจับมือใหญ่ของเขาออกอย่างแรง “ฉันจะไปอาบน้ำก่อน”
“พร้อมกัน!”
“คุณไม่ใช่อาบแล้วเหรอ?”
“ผมไปช่วยคุณ.”
“หนิงเส่าเฉิน คุณนี่มันน่าไม่อายจริงๆ?”
เช้าวันรุ่งขึ้น
เมื่อรับประทานอาหารเช้าไปได้ครึ่งทาง หนิงเชี่ยนก็แนะนำให้ทุกคนทานอาหารเย็นร่วมกัน
พ่อหนิงซึ่งไม่ได้พูดอะไรเลยกล่าวว่า “เย่หลินเธอก็เรียกพี่ชายเธอมาด้วยนะ”
เย่หลินชะงักเมื่อครุ่นคิดแล้วพูดว่า “พ่อ เรียกพี่ชายแล้วเรียกพี่สะใภ้มาด้วยได้ไหม”
“พี่สะใภ้?” หนิงเส่าเฉินมองที่เย่หลิน “พี่ชายเธอแต่งงานมีพี่สะใภ้เมื่อไหร่”
เย่หลินยิ้ม ไม่พูด และขึ้นไปชั้นบนเพื่อเรียกเกาไห่ “พี่ ต้องพาพี่สะใภ้ของฉันมาที่นี่” หลังจากที่เธอเน้นอีกครั้ง ก่อนที่เธอวางสาย
หลังเลิกงานเกาไห่เห็นว่าเล่อจยาไม่ได้ส่งข้อความถึงเขาเป็นเวลานาน เขาโทรหาเธอหลายครั้งแต่เธอไม่รับสายจึงโทรหาเธอทางโทรศัพท์อีกครั้งไม่มีใครรับสาย เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
เมื่อมาถึงแผนกออกแบบ มีเพียงพนักงานคนเดียวที่อยู่ที่นั้น เมื่อเห็นเขาเดินมาเขารีบลุกขึ้นและพูดว่า “ประธานเกามาที่นี่ทำไมครับ”
“เล่อจยาอยู่ไหน”
ชายคนนั้นก้มศีรษะลงและไม่กล้าพูด
“ถามคุณอยู่? ว่าเล่อจยาไปไหน” เสียงของเกาไห่ลดลงเล็กน้อย
“พี่เสี่ยวหยูขอให้ทุกคนไปทานอาหารเย็นในวันเกิดของเธอวันนี้ เล่อจยาน่าจะไปกับเธอ”
“ถ้าอย่างนั้นทำไมคุณไม่ไปล่ะ”
ผลักแว่นที่สันจมูกของเขาลง “ผมปวดท้อง เลยไม่ได้ไป”
เกาไห่มองมาที่เขา และพบว่าหลังจากนั้นไม่นาน เหงื่อของเขาก็ไหลออกมาจำนวนมากบนหน้าผากของเขา”คุณมีอะไรผิดปกติไหม ต้องพาคุณไปโรงพยาบาลหรือไม่”
หนิงเส่าเฉินพยุงไหล่ของเธอ “อย่ารีบตื่นเต้น นั่งลงก่อน ผมจะเล่าให้คุณฟัง”
เย่หลินขมวดคิ้ว “จะไม่ให้รีบได้อย่างไร นั้นมันชีวิตของพ่อนะ” เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของพวกเขาว่าจะมีความสุขได้หรือไม่
“ได้รับยาถอนพิษแล้วแต่เขาบอกว่าเขาไม่รู้ว่าพ่อใช้มันนานมากแค่ไหนแล้ว เพราะเขากลัวว่าจะไม่ได้ผล” หนิงเส่าเฉินกล่าว สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย อันที่จริง คำพูดเดิมของอดีตสามีของแม่นมหลิวคือ: “พิษนี้อยู่ในร่างกายนานเกินไปฉันไม่สามารถรับประกันได้ว่ายาแก้พิษจะขจัดสารพิษออกทั้งหมดหรือไม่และผลกระทบจะมากน้อยเพียงใด”
หนิงเส่าเฉินกลัวว่าเย่หลินจะเป็นกังวลดังนั้นเขาจึงพูดไปแบบนั้น
“ไปกันเถอะ มาลองดูกัน บางทีคนดีๆจะได้รับการช่วยเหลือจากสววรค์เบื้องบน?” เย่หลินหยิบเสื้อผ้า กระเป๋า และโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมา แล้วคว้าแขนของหนิงเส่าเฉิน “ไป”ไปที่โรงพยาบาลก่อน” ขณะสวดภาวนาในใจอย่างเงียบๆ ทุกอย่างก็จะผ่านไปด้วยดี
เมื่อมาถึงทางเข้าโรงพยาบาล เย่หลินวางมือบนที่จับของรถแล้ววางลงอีกครั้ง “เส่าเฉิน คุณขึ้นไปเองดีกว่า ฉัน…ฉันจะรออยู่ในรถ คุณค่อยแจ้งผลลัพธ์มาให้ฉัน!” เธอกลัวเธอหวังมากเกินไปและกลัวผิดหวังเกินกว่าที่เธอจะทนได้
หากพ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่าเช่นนี้ แม้ว่าเธอกับหนิงเส่าเฉินจะไม่สนใจเรื่องนี้ก็ได้ แต่หัวใจของเธอก็จะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิต
หนิงเส่าเฉินรู้ว่าเธอคิดอย่างไรและพยักหน้า “เอาล่ะ รอผมก่อนเย่หลินไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรอย่าคิดว่ามันเป็นภาระของคุณ พ่อช่วยคุณในตอนนั้น คิดว่าเขาไม่ได้เจตนาให้คุณใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกผิด”
ดวงตาของเย่หลินแดงเล็กน้อย แต่ใบหน้ายังเหมือนเดิม และเขาพยักหน้าให้หนิงเส่าเฉิน”ตกลง คุณรีบไปได้แล้ว”
เมื่อมองดูร่างเพรียวจากด้านหลังผ่านหน้าต่าง เย่หลินตัดสินใจว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในชีวิตนี้เธอจะไม่ทิ้งชายคนนี้ แม้ว่าจะรู้สึกผิดก็ตาม
การรอคอยเป็นเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน…
แม่หนิงรู้ว่าหนิงเส่าเฉินไปรับยาถอนพิษ เมื่อเห็นเขากลับมา เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างตื่นเต้นเมื่อเก้าอี้ข้างหลังล้มตีเท้าเธอก็ไม่ได้รู้สึกอะไร
“เส่าเฉิน เป็นไงบ้าง ได้ยามาหรือยัง?”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ผมเพิ่งให้หมอไป พวกเขาจะทดสอบส่วนผสมของยาถอนพิษโดยเร็วที่สุด และหลังจากยืนยันว่าไม่เป็นไร พวกเขาจะมอบมันให้พ่อ แม่ พ่อต้องดีขึ้นแน่”
แม่หนิงพยักหน้า ราวๆ หนึ่งเดือนที่ผ่านมา เธอดูซีดเซียวมากและใบหน้าที่กลมแต่เดิมของเธอก็ผอมลงมามาก
หนิงเชี่ยนรีบมาแต่มันผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วเมื่อเธอเข้ามา เธอมองไปที่หนิงเส่าเฉินและพูดว่า “พี่ชาย คุณพาเธอกลับมาหรือเปล่า”
ได้ยินเช่นนี้ หนิงเส่าเฉินก็หรี่ตาลงและไม่ตอบ
ทุกอย่างเงียบสงัด ไม่มีใครพูดอะไร รู้สึกเหมือนนานเกินไปแล้วแม่หนิงพูดขึ้นว่า “ถ้ากลับมาแล้วทำไมไม่รู้จักมาหาพ่อบ้าง”
หนิงเชี่ยนและหนิงเส่าเฉินต่างประหลาดใจ ความหมายของคำพูดของแม่หนิงคือการให้อภัยเย่หลินอย่างชัดเจน
“แม่ครับ ผมไม่อยากอธิบายอะไรแทนเธอ เพราะพ่อไม่ตื่นพูดอะไรไปก็เหมือนกตัญญูต่อสิ่งที่พูด แต่ถ้าพ่อตื่นขึ้นมาเพื่อยืนยันว่าพ่อล้มลงเพื่อช่วยเธอไว้ ที่ใต้หน้าผา เย่หลินไม่ได้ผลักเขา แต่เธอรู้สึกผิดมากที่พ่อเป็นแบบนี้”
หลังจากพูดจบหนิงเส่าเฉินก็พบว่าทั้งหนิงเชี่ยนและแม่หนิงสีหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกแปลกใจกับเรื่องนี้และเขาก็ขมวดคิ้ว
“พี่ชายค่ะ ปู่และอาของพี่สะใภ้มาเมื่อวาน พวกเขาบอกเราเรื่องนี้แล้ว”
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “พวกเขามาที่นี่ ทำไมไม่บอก”
“เห็นรีบไปหาลูกสะใภ้เราจะกล้ารบกวนได้ที่ไหน” หลังจากที่แม่หนิงพูดจบก็เหลือบมองหนิงเส่าเฉิน “อย่างไรก็ตามทำไมรู้เรื่องนี้แล้วไม่บอกพวกเรา?”
“เป็นเพราะเรื่องนี้ทุกคนก็มีอคติต่อเธออยู่แล้วผมเกรงว่าทุกคุณคิดว่าผมจะพูดแทนเธอทำให้ทุกคนเกลียดเธอมากขึ้นไปอีก”
ก็รู้อยู่แก่ใจไม่แปลกเลยที่ปู่กับอาไม่ได้ดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับการหายตัวไปของเย่หลิน ปรากฏว่าพวกเขารู้ว่าเขาพาเธอกลับมาแล้ว คิดถึงช่วงเวลา 10 วันก่อนของปู่ พวกเขาแค่อยากทดสอบเย่หลินกับเขา
แม่หนิงเดินไปที่เตียงของพ่อหนิงและเอื้อมมือจัดทรงผมที่หน้าผากของเขา “ถ้าพ่อของลูกคิดจะช่วยชีวิตลูกสะใภ้คนนี้ แม่เชื่อว่าลูกต้องถูก”
หนิงเชี่ยนได้ยินคำพูดของแม่หนิงสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทางไม่ดี บอกว่าพ่อของเธอกำลังพยายามช่วย เย่หลินในวันนั้นสามารถอธิบายได้ว่าพ่อเห็นเย่หลินกำลังจะตกจากหน้าผาพ่อเลยดึงตัวเธอทำให้พ่อตกลงมาจากหน้าผาแทน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเธอก็รู้สึกเสียใจ
เมื่อเธอมาถึง เธอก็เห็นรถของพี่ชายของเธอที่ห้องใต้ดิน และเห็นเย่หลินนั่งขมวดคิ้วในรถจากด้านหลัง และเธอก็เห็นว่าเธอประหม่ามาก
ในเวลานั้นประตูห้องผู้ป่วยถูกผลักเปิดออก และแพทย์ที่ดูแลในชุดขาวเดินเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนิงเส่า ส่วนผสมของยาได้แล้ว และพร้อมนำไปใช้แล้ว”
ทุกคนต่างพากันดีใจ จากนั้นแพทย์หลายคนก็เดินเข้ามาจากข้างนอกเพื่อรอให้พ่อหนิงกินยา
เวลาผ่านไป พ่อหนิงยังคงเหมือนเดิม ไม่เคลื่อนไหวเลย เมื่อเวลาผ่านไป หัวใจของทุกคนก็ค่อยๆ จมลงอีกครั้ง
ความสุขบนใบหน้าของเขาค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยความสูญเสีย
เพราะทุกคนเข้าใจดีว่าถ้ายาแก้พิษนี้ไม่มีประโยชน์ พ่อหนิงก็ไม่รู้จะตื่นเมื่อไหร่ เดือนไหน
เมื่อทุกคนคิดว่านี้เป็นข้อสรุปแล้ว แม่หนิงจับมือพ่อหนิงรู้สึกว่าปลายนิ้วขยับ ตอนแรกคิดว่าคงตื่นเต้นมากเกินไปอาจมีอาการประสาทหลอนไม่กล้าพูด จนกระทั่งเธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของนิ้วเหล่านั้น เธอร้องไห้ด้วยความดีใจ “เส่าเฉิน เสี่ยวเชี่ยนพ่อของพวกเธอ…พ่อมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว”
เธอวางมือของพ่อหนิงไว้ที่เตียง และหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากที่ยืนยันว่านิ้วของเขาขยับอีกครั้ง ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็โล่งใจ
“พ่อคะ พ่อ นี่คือเสี่ยวเชี่ยนนะพ่อมีสติอยู่ ใช่ไหม พ่อ…” เสี่ยวเชี่ยนเรียกเขาที่เตียงของพ่อหนิง
พ่อหนิงตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ หลังจากสี่สิบนาทีต่อมา เมื่อมองตาของเขาเปิด ทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแม่หนิงก็พาตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของเขาและร้องไห้อย่างหนัก
“พ่อคะ ทำไมพ่อโง่จัง ทำไมพ่อถึงวางยาพิษให้ตัวเองล่ะ” หนิงเชี่ยนถาม และแม่หนิงก็ร้องไห้ยิ่งกว่าเดิม “ไอ้แก่บ้าไหนบอกว่าจะดีกับฉันไปตลอดชีวิตไง คุณยังปิดบังฉันทำกับตัวเองอย่างนั้น ไม่กลัวว่าฉันจะเกลียดคุณตลอดไปหรือ”
คุณพ่อหนิงเปิดปากและต้องการจะพูด เขาอาจอยู่ในอาการโคม่านานเกินไปทำให้คำที่พูดออกมานั้นไม่ค่อยมีเสียง
“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” แม่หนิงขยับหูเข้าไปใกล้เขา
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงผมยาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ เธอจำการแนะนำชื่อจากเสี่ยวตงก่อนหน้านี้ได้ ลุกขึ้นยืนและยิ้ม “สวัสดี เสี่ยวหยู”
ผู้หญิงที่ชื่อเสี่ยวหยูเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างเย็นชา “ฉันถามเธอ เธอรู้ไหมว่าฉันรับผิดชอบงานนี้อยู่ ทำไมถึงขโมยงานออกแบบนี้ เธอเตรียมตัวที่จะแทนที่ฉันเมานานมาแล้วใช่ไหม?”
เล่อจยากระพริบตา เธอขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสี่ยวตงพูดเกี่ยวกับงานนี้ระหว่างทางกลับ เธอยิ้ม: “คุณเข้าใจผิดแล้ว ตอนนั้นฉันไม่มีอะไรทำและต้องการที่จะพิสูจน์ตัวเอง แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะเข้าตาประธานเกา”
“หึ ไม่มีอะไรทำ มีความสามารถมาก เป็นผู้มาใหม่ และสามารถชนะใจประธานเกาด้วยสิ่งที่คุณออกแบบ มันเกิดขึ้นทั้งๆที่เราทำงานกันมาหลายปี แต่ประธานเกาก็ไม่ชอบมัน “ด้วยคำพูดแค่คำเดียวของเธอ เหมือนผลักเล่อจยาไปอยู่บนพายุ
“เสี่ยวหยู อย่าพูดอะไรเยอะ เธอมันก็เหมือนคลื่นหลังของแม่น้ำแยงซีผลักคลื่นหน้า นี่ก็เป็นเรื่องปกติ อย่าเสียใจไป” ใครบางคนกล่าว
บรรยากาศในขั้นต้นก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ในเวลาเดียวกันนั้นได้ยินเสียงผู้จัดการเรียกมาจากหน้าประตูสำนักงาน: “จยาจยา คุณเกาขอให้คุณไปที่สำนักงานของเขา”
เล่อจยา ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เก็บข้าวของแล้วเดินออกจากประตูไป หลังจากเดินไปสองก้าวก็พบว่าเธอลืมโทรศัพท์ และเมื่อเธอเดินกลับมา กำลังจะผลักประตู ได้ยินใครคนหนึ่งพูดขึ้น “พวกเธอคิดไหมว่า เธอได้ทำอะไรบางอย่างกับประธานเกาของเราหรือเปล่า”
“เธอจะทำอะไรได้ ถามว่าสวยไหม เธอก็มองดูเอง แค่รูปร่างและหน้าตาของเธอ ก็แค่คนถือรองเท้าให้ประธานเกาเท่านั้น หรือไม่เธอก็อาจมีความสามารถจริง”
มือของเล่อจยาจับประตูไว้ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ผลักประตูเข้ามา ก้มหัวลง หยิบโทรศัพท์มือถือของเธอแล้วออกไป
คิดว่ามันจะถูกพูดถึง แต่คิดไม่ถึงมันจะฟังดูน่าเกลียดขนาดนี้
โชคดีที่เธอยังคงมองการณ์ไกล ไม่เช่นนั้น ถ้าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกาไห่รับรู้โดยทั่ว เธอคงจะถูกพนักงานหญิงทั้งบริษัททำสงครามน้ำลายจนตาย
เมื่อเธอไปห้องน้ำ เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและพบบัญชี WeChat ของ ซูหย่าเธอดูบันทึกการแชทในนั้น ประมาณหนึ่งเดือนหรือยาวกว่านั้นที่ยังไม่ถูกลบ พวกเขาคุยกันทุกวัน และบันทึกก็ยาวมาก ดูออกว่าเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูหย่ามากและไม่มีเรื่องไหนที่จะไม่พูดกัน
เมื่อเห็นความสำเร็จในการสัมภาษณ์ในวันนั้น เธอก็เช็คเวลา 1 เดือนก่อนหน้านั้น ปรากฏว่าเธอเข้ามาในเกากรุ๊ปได้เพียงแค่เดือนกว่าเท่านั้น
และเวลานั้นโทรศัพท์ได้ดังขึ้นและมองว่าเป็นเกาไห่ เธอไม่รับสาย เปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินออกไป
เมื่อเดินขึ้นชั้นบนบังเอิญเห็นเกาไห่ผลักประตูออกมาเมื่อเห็นเธอเขารีบจับมือเธอแต่เล่อจยาก็รีบโยนมือนั้นทิ้ง “คุณอย่ามือไว คนอื่นจะเห็นได้” หลังจากพูดเธอก็เดินเข้าไปในห้อง..
เกาไห่มองไปที่มือที่ถูกโยนทิ้ง เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามา “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ดูเหมือนว่าคุณจะอารมณ์ไม่ดี?”
เล่อจยาหันศีรษะและจ้องไปที่เกาไห่สายตาของเธอกวาดจากบนลงล่าง ใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบ รูปร่างสมบูรณ์แบบ เขามีความสามารถ หาเงินเก่ง ไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนบอกว่าเขาไร้ที่ติจริงๆ แล้วไง ล่ะ นี่สามีของเธอเอง พอคิดถึงตรงนี้ เธอยกมุมปากขึ้น รู้สึกว่าเล่อจยาคนนี้จะเจ๋งได้ภายใน 7 ปี สามารถมีความสามารถในการทำงานที่ดีเช่นนี้ และยังไล่ตามชายในฝันของเธอได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ คนถือรองเท้าหรือไม่ถือรองเท้า เธอไม่คิดสนใจมันอีกต่อไป
“คุณเรียกฉันมาทำไม”
เกาไห่ได้เปิดหน้าต่างไว้ก่อนหน้านั้นแล้วเล่อจยาพบว่าด้านนอกห้องทำงานของเกาไห่เดิมเป็นห้องกระจกที่มีแสงแดดส่องถึง แต่ตอนนี้ได้รับการออกแบบใหม่ให้เป็นหนึ่งห้องทำงานและหนึ่งห้องนั่งเล่น
มีอาหารหลายจานที่ทำเสร็จใหม่ๆวางอยู่บนโต๊ะไม้ในห้องนั่งเล่นแล้ว เธอดีใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู
“ชวนฉันกินข้าวเหรอ”
เกาไห่พยักหน้า “เป็นไปได้?”
“สามี ฉันสามารถแต่งงานกับคุณได้ มันคงเป็นพรและโชคจากชาติที่แล้วของฉันจริงๆ” เล่อจยามักจะพูดกับคนคุ้นเคยได้ดีกว่า ไม่ว่าตอนมีความสุข หัวเราะ เศร้า เธอก็จะแสดงมันออกมา
ประโยคของคำว่า “สามี” ทำให้ เกาไห่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่หนิงเส่าเฉินเคยพูดไว้ว่าเย็นชาจนไม่มีใครเข้าใกล้ แต่เขาเป็นของเขา เขาไม่พูดมากแม้อยู่ต่อหน้าหญิงสาวที่เขาชอบจะมีขี้อายอยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับบุคลิกที่กระตือรือร้นแบบเล่อจยา เขาเหมือนเสียศูนย์เล็กน้อย แตะด้านหลังศีรษะแล้วยิ้ม “นั่งลงกินได้แล้ว เมื่อถึงเวลาเที่ยงก็ขึ้นมาเอง รู้ไหม ฉันเรียกป้ามา อยากกินอะไร บอกเธอล่วงหน้าหนึ่งวัน”
เล่อจยาตักซุปหนึ่งช้อนเข้าปาก พยักหน้าก่อน แล้วส่ายหัว “ไม่ได้ ฉันจะวิ่งมาหาคุณทุกวันแบบนี้ไม่ได้ เวลาผ่านไป มันจะไม่เป็นการเปิดเผยเหรอ?”
ใบหน้าของเกาไห่เปลี่ยสีหนัาขึ้นมาทันที “งั้นก็ประกาศให้เป็นทางการ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเขา เล่อจยาก็ต้องประนีประนอม “ก็ได้” เมื่อมองดูจานบนโต๊ะ “มีอาหารอร่อยๆ มากมายให้ฉันทุกวัน และคุณก็ไม่กลัวที่จะเลี้ยงฉันให้เป็นหมู”
คำพูดของเธอทำให้สีหน้าของเกาไห่นุ่มนวลขึ้น และตักหมูสามชั้นลงในชามของเล่อจยา “กินเลย กินให้มันเหมือนหมู จะได้ไม่มีใครเอาไปได้”
เล่อจยาเกือบจะคายข้าวออกมาและทำหน้ามุ่ย “คุณไม่กลัวคนอื่นเอาไป แต่ฉันกลัว!”
ถ้าเธอยิ่งอ้วนขึ้นกว่านี้เธอเองคงจะทนดูมันไม่ได้ เธอไม่เชื่อว่า เกาไห่คนนี้เมื่ออยู่นานไปจะไม่มีทางเบื่อเธอเธอเลยเอาเนื้อใส่ชามให้เกาไห่ “คุณกินเถอะ คุณดูดีกว่าฉัน ฉันกลัวคนแย่งคุณไปจากฉัน”
หลังจากพูดจบทั้งสองก็มองหน้ากันแล้วยิ้ม
และอีกด้านหนึ่ง
เย่หลินโน้มตัวในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน คุณบอกว่าถ้าอดีตสามีของแม่นมหลิวมียาแก้พิษ แต่เขาสัญญากับพ่อว่าเขาจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ถ้าเขาปฏิเสธเราต้องทำอย่างไรต่อ ?”
หนิงเส่าเฉินจับมือเย่หลินกำไว้ “ฉันได้ตรวจสอบแล้ว เขาแทบจะหมกมุ่นอยู่กับเภสัชวิทยานี้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทางสถานีตำรวจได้ตรวจเขาอย่างเคร่งครัด ดังนั้น แม้แต่การใช้ชีวิตพื้นฐานของเขาก็เป็นปัญหาผมคิดว่า ด้วยความรักในเภสัชวิทยา ความต้องการเงินของเขานั้นเกินคำมั่นสัญญาที่เขามีต่อพ่อของผมมาก ดังนั้น เรามาลองดู”
“อืม หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” เย่หลินพูดจบ เอามือโอบเอวของหนิงเส่าเฉิน ควงแขนแล้วหลับตา เมื่อคืนนอนไม่ค่อยสบาย ตอนนี้เพิ่งจะมาชดเชยการนอน
เมื่อเย่หลินตื่นขึ้นมา เธอก็นอนอยู่บนเตียง หันศีรษะ และมองดูการตกแต่งห้อง เห็นได้ชัดว่าเธออยู่ในโรงแรม
ไม่ได้ไปหาอดีตสามีของแม่นมหลิวเหรอ?
จู่ๆ เธอลุกขึ้นนั่ง ยกผ้าห่มขึ้นและลุกจากเตียง เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู
หนิงเส่าเฉินและหลิวซูเดินเข้ามาทีละคน เมื่อเห็นเย่หลินลุกขึ้นหนิงเส่าเฉินก็รีบเดินเข้ามา “ตื่นแล้วเหรอ”
“ เป็นยังไงบ้าง? คุณไปหาเขามาหรือยัง? ได้ยาแก้พิษมาไหม?” เย่หลินถามอย่างกระตือรือร้น
ในเวลาเดียวกันพนักงานเสิร์ฟก็นำน้ำชามาแม่นมหลิวรู้สึกตื่นเต้นและลุกขึ้นยืนทำให้น้ำหกใส่ตัวเธอมันร้อนเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรมาก
เย่หลินรีบลุกขึ้นหยิบทิชชู่ขึ้นมาเช็ดน้ำบนร่างกายของเธอ และพูดขณะเช็ด: “แม่นมหลิวฉันรู้ว่าคุณยังมีความรู้สึกดีๆที่มีต่อตระกูลหนิงอยู่ คุณรู้ว่าพ่อสามีฉันได้รับสารพิษอะไรแต่คุณก็ไม่ยอมบอก ต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ”
เมื่อมองลงไป เย่หลินเห็นมือของแม่นมหลิวสั่น เธอขมวดคิ้วและพูดต่อว่า “แม่นมหลิว หรือว่าพ่อสามีไม่ให้พูด?”
เธอสังเกตว่ามือของแม่นมหลิวสั่นหัวใจของเธอก็เหมือนจมลงไปทันที ขณะที่พนักงานเสิร์ฟเอาผ้าขนหนูแห้งมาเช็ดแม่นมหลิวโชคดีที่มีเสื้อกั้นไว้น้ำเลยไม่ซึมเข้าสู่ผิวหนัง
หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟจากไป แม่นมหลิวก็ล้มลงบนโซฟาหลับตาลงเหมือนภายในหัวใจกำลังต่อสู้ เมื่อลืมตาขึ้นขอบตาของเธอก็แดง เธอมองที่เย่หลินแล้วพูดว่า: “ยาพิษของพ่อหนิงอดีตสามีฉันเป็นคนให้มา”
มือของเย่หลินที่ถือถ้วยน้ำชาสั่น อดีตสามี? เธอคิดว่าแม่นมหลิว ไม่เคยแต่งงานกับใครเลยในชีวิต? ปรากฏว่าเลิกกันแล้ว
“อดีตสามีของฉันเป็นแพทย์แผนจีนพื้นบ้าน เมื่อตอนที่เขายังเด็ก เขาทำงานเป็นแพทย์ประจำครอบครัวของตระกูลหนิงมาสองสามปี ต่อมาเขาหมกมุ่นอยู่กับยาพิษและเริ่มสนใจค้นคว้าเรื่องพิษ ฉัน… ฉัน…ฉันได้รับบาดเจ็บจากพิษของมัน จนไม่สามารถมีลูกได้ ฉันก็เลยหย่าขาดจากเขา
หลังจากที่เธอพูดจบ เย่หลินก็ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีก ปรากฏว่า มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นกับแม่นมหลิว เธอรู้เพียงว่าแม่นมหลิวไม่เคยแต่งงานหรือมีลูกมาก่อน คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้มาก่อน”
“วันที่ฉันได้ยินคุณชายพูดว่าพ่อหนิงถูกวางยาพิษ ฉันคิดถึงเขาเป็นคนแรก ต่อมาฉันโทรหาเขาเพื่อยืนยัน บังเอิญมันเป็นสัตว์ร้ายตัวนั้นจริงๆ…” พูดถึงเรื่องนี้น้ำตาแม่นมหลิวก็ไหลออกมา “ฉันทะเลาะกับเขาโดยบอกว่าจะไปแจ้งตำรวจดังนั้นเขาจึงบอกฉันว่าพ่อหนิงเป็นคนที่ขอกับเขาเองและห้ามบอกกับคนอื่น ตอนนั้นฉันก็ไม่เข้าใจพ่อหนิงว่ามีจุดประสงค์อะไร”
เมื่อพูดถึงตอนนี้ เธอมองขึ้นไปเย่หลิน “แต่ เย่หลิน คุณรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
เย่หลินเหลือบมองเธอ “เสี่ยวซีได้ยินการโทรคุยระหว่างคุณกับเขาและบอกฉันเมื่อคืนนี้”
เธอรีบถามกลับทันที “แล้วแม่นมหลิว ตอนนี้อดีตสามีของคุณอยู่ที่ไหน คุณรู้ไหม ฉันคิดว่า…”
“แต่พ่อหนิงไม่อยากให้ใครทราบเรื่องนี้ ถ้าคุณช่วยเขาแบบนี้ เป็นไปได้ว่า” แม่นมหลิวพูดขัดจังหวะเย่หลิว
เย่หลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แม่นมหลิว พ่อสามีของฉันน่าจะหาอดีตสามีของคุณมาเมื่อปีกว่านั้น ตอนนั้นที่เขาทำแบบนี้คิดว่าเขาน่าจะกลัวว่าฉันจะรู้ว่าอดีตเขาทำอะไรไว้กับพ่อแม่ของฉัน เรื่องนี้จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ของฉันกับเส่าเฉิน” จากนั้นเธอเล่าเรื่องระหว่างพ่อหนิงกับพ่อแม่ของเธอให้แม่นมหลิวฟัง
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในอดีตนั้นทำให้แม่นมหลิวเสียใจกับชะตากรรมนั้น
“งั้นแสดงว่าตอนนี้คุณไม่เกลียดเขาแล้ว?”
เย่หลินส่ายหัว “เขาเป็นปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่นอกจากนี้พ่อแม่ของฉันก็ได้ล่วงลับไปแล้วและฉันเชื่อว่าพ่อสามีของฉันเขาจะไม่ทำอย่างนั้น ดังนั้นฉันไม่เกลียดเขา นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของฉันกับเส่าเฉินมันคุ้มค่าที่จะไว้วางใจในตัวเขา”
แม่นมหลิวได้ยินเย่หลิวพูดแล้วโล่งใจ “ก็ดีแล้ว เส่าเฉินเด็กคนนี้มองคนเป็นเย่หลินสาวน้อยคนนี้เธอเป็นคนดูมีเหตุมีผล”
จากนั้นเธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกจากกระเป๋าและกดโทรศัพท์ของอดีตสามีต่อหน้าเย่หลิน “เฮ้ ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน ได้ เจอกันตอนบ่ายนี้”
หลังจากวางสาย แม่นมหลิวก็พูดว่า “เขาติดธุระในตอนเช้าตอนนี้อยู่ข้างนอก ในตอนบ่ายฉันจะพาคุณไป”
หลังจากแยกจากแม่นมหลิวแล้วเย่หลินก็โทรหาหนิงเส่าเฉินและบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ได้ ฉันจะรอคุณที่นี่”
จากนั้นเธอก็บอกเกาไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมารับเธอ เธอจะกลับเอง
เล่อจยาถูกเกาไห่พาไปที่ออฟฟิศของเขาโดยตรง เมื่อเสี่ยวตงดูทั้งสองเข้ามาพร้อมกันทำให้เสี่ยวตงมีรอยยิ้มในดวงตาของเขา
ช่วยนำภาพการออกแบบของโครงการในเมือง W มาให้หน่อย “เกาไห่สั่ง
เล่อจยาหยิบภาพการออกแบบจากเกาไห่ขึ้นมาเปิดออก และเธอก็ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าลายมือเป็นของเธอ จากนั้นเก็มองเข้าไปใกล้ๆที่การออกแบบภายใน
เมื่อพลิกหน้าไปทีละหน้า เมื่อเธอเห็นหน้าสุดท้าย เธออุทานว่า “ฉันมีความสามารถมากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เสี่ยวตงตกตะลึงและมองไปที่เกาไห่ “เธอกำลังอวดตัวเองอยู่เหรอ?”
มุมปากของ เกาไห่ ยกขึ้น หลังจากที่เขาตระหนักว่า เมื่อเล่อจยาสูญเสียความทรงจำไปแล้วบุคลิกของเธอก็น่าสนใจยิ่งขึ้น
“ยังไง คุณยังดูเข้าใจอยู่หรือเปล่า”
เล่อจยาพยักหน้า “อืม ฉันเข้าใจ”
เกาไห่มีความสุขมาก และทันใดนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ยังดี”
เมื่อเห็นการแสดงออกของเขาเล่อจยาก็รู้สึกภาคภูมิใจเล็กน้อย ปรากฎว่า 7 ปีที่ผ่านมา เธอเก่งมากขึ้นจนเธอสามารถช่วยเทพชายของเธอได้
“เสี่ยวตงช่วยจัดห้องให้เล่อจยาหน่อยเพื่อจะได้ทำงานที่ชั้นบนจะได้ใช้สมาธิได้ในการออกแบบโครงการในเมือง W”
เล่อจยาโบกมือไปมา “อย่าเลย คุณอยากทำอะไรเพื่อฉัน ฉันเคยทำงานที่ไหนก็ให้ฉันทำงานที่นั้น อย่าให้คนอื่นพูดว่าคุณ เข้าข้างฉัน”
พูดจบเธอคิดและพูดอีกครั้งว่า “นอกจากนี้ คุณไม่ต้องเปิดเผยความสัมพันธ์ของเราต่อสาธารณะในตอนนี้ ตกลงไหม” แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเธอเคยคบกับเกาไห่อย่างไร แต่ตอนนี้เธอกลับก้มมองตัวเธอเอง จากนั้นมองไปที่เกาไห่ และสูดลมหายใจสักครู่ ช่องว่างระหว่างเรานั้นไกลเกินไปจริงๆ
การแสดงออกของเกาไห่นิ่งและมองไปเล่อจยา “คุณหมายความว่ายังไง รู้สึกอับอายหรือ?”
เลอจยาจ้องเขาแล้วหยิบกระเป๋าและแฟ้มบนโซฟาขึ้นมา “เธอไม่คิดว่าการพูดโกหกไม่ใช่เรื่องดี?” เธอกลัวเขาอับอาย โอเคไหม?
ที่นี่ เธอมองไปที่เสี่ยวตง “หนุ่มหล่อคนนี้ ช่วยบอกฉันทีว่าก่อนหน้านี้ฉันทำงานที่ไหน คุณพาฉันไปที่นั่นได้ไหม”
เสี่ยวตงกลั้นยิ้มขณะฟัง ไอเบาๆ และมองไปที่เกาไห่ “ประธานเกา ผมขอพาคุณนายลงไปก่อนนะ”
เพราะเล่อจยาเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้คน ความนิยมของเธอในแผนกออกแบบค่อนข้างดี ทุกคนทักทายเธอเมื่อเธอมาถึง ผู้จัดการได้ยินมานานแล้วว่าเกาไห่พอใจกับการออกแบบของเลอจยามาก เมื่อพบกับเธอ ยิ่งให้การต้อนรับ “จยาจยา ทำงานได้ดีมาก”
เล่อจยามองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขาและมองไปที่เสี่ยวตง
“ผู้จัดการแผนกของคุณ” เสี่ยวตงกระซิบข้างหูของเธอ
เล่อจยาพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “ขอบคุณสำหรับคำชมค่ะ ผู้จัดการ”
จากนั้นเสี่ยวตงก็แนะนำคนในแผนกออกแบบแบบสั้นๆ เช่น ผมยาวชื่ออะไร ผมสั้นชื่ออะไร คนอ้วนหน่อยคนนั้นคือใคร…
เล่อจยาจำในใจอย่างเงียบ ๆ ก่อนที่จะปล่อยให้เสี่ยวตงจากไป
เมื่อมองดูการออกแบบที่อยู่ตรงหน้าเธอ เล่อจยารู้สึกขอบคุณมากสำหรับความเมตตาของพระเจ้า ที่ไม่ปล่อยให้เธอลืมสิ่งที่ได้เรียนรู้มา
เมื่อมองดูภาพการออกแบบอีกครั้งในฐานะผู้ยืนดู เธอค้นพบว่ามีข้อบกพร่องหลายประการ หลังจากดัดแปลงและแก้ไข ภาพการออกแบบก็สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
“เล่อจยา ฉันไม่นึกเลยว่าเธอจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ขนาดนี้” ทันใดนั้น เสียงผู้หญิงก็ดังขึ้นเหนือหัวของเธอ
เกาไห่มองด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขายกมือขึ้นและชี้ไปที่ เล่อจยา“คุณ…คุณเป็นผู้หญิง คุณช่วยสงวนตัวมากกว่านี้หน่อยได้ไหม? …คุณ…คุณจะเป็นฝ่ายรุกผู้ชายก่อนไม่ได้”
เล่อจยามองดูเกาไห่พูดเหมือนติดอ่าง เธอรู้สึกมีความสุข เธอพลิกตัวและลุกจากเตียง เอามือแตะที่คอของเกาไห่และทำปากมุ่ย“ฉันไม่ได้ทำกับผู้ชายคนอื่น ฉันทำกับสามีของฉัน และเป็นเรื่องปกติที่ฉันจะทำกับคุณหรือเปล่า” ขณะที่เธอพูดทำหน้าบึ้งและเขย่งเท้าขึ้นริเริ่มจูบเกาไห่
เมื่อริมฝีปากของเธอกำลังจะสัมผัสเกาไห่ คนทั้งตัวของเธอก็ถูกเขาโอบกอด
เล่อจยามีความสุขมากในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แต่ครู่ต่อมา เธออยากจะร้องไห้เพราะเกาไห่วางเธอลงบนเตียงแล้วนอนบนที่ของเธออีกครั้ง
เมื่อมองไปบนท้องฟ้า หัวใจของเล่อจยาก็เหมือนตกลงไปและสูญเสียไปทันที
“คุณอย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้มีปัญหาในเรื่องแบบนั้นและไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับคุณ แค่ตอนนี้คุณความจำเสื่อมอยู่ และผมไม่ต้องการที่จะเอาเปรียบคุณ” เกาไห่รู้ว่าการถ้าทำเช่นนี้อาจทำให้เล่อจยาคิดเป็นอย่างอื่นได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะอธิบายก่อน
เล่อจยาเมื่อได้ยินแบบนั้น ร่างกายเธอหยุดนิ่งและรู้สึกสับสนเล็กน้อยเธอหันกลับมามองเกาไห่ “แล้วถ้าฉันจำไม่ได้ตลอดชีวิตที่เหลือล่ะ?”
เกาไห่จ้องมองเธอแล้วยิ้มเล็กน้อย “งั้นรอคุณทำความรู้จักกับผมให้ดีก่อนอย่างน้อยคุณต้องรู้ว่าผมเป็นคนยังไงใช่ไหม” จยาจยา ผมไม่หวังว่าคุณต้องรีบร้อนกับตัวเอง บางทีผมอาจไม่ได้ดีอย่างที่คุณคิด รอให้คุณรู้จักผมมากขึ้นอีกนิด”
เล่อจยาจ้องไปที่ เกาไห่ เป็นเวลานาน ดวงตาของเธอค่อยๆ กลายเป็นหมอก จากนั้นเธอก็พยักหน้า “ตกลง”
คืนนี้ต่างคนก็มีความคิดของตัวเอง ดูเหมือนเวลาจะยาวนานมากกว่าเดิม…
วันรุ่งขึ้นเล่อจยาตื่นแต่เช้าและทำอาหารเช้าให้เย่หลินเกาไห่และลูกสองคนของพวกเขา บางครั้งเธอโชคดีมากที่แม่ของเธอถูกเลี้ยงมาแบบให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิงทำให้ด้านการทำอาหารของเธอไม่แพ้ใคร
เย่หลินนอนดึกมากเมื่อคืนนี้ แต่ก็ถูกเย่เสี่ยวโม่ปลุกขึ้นในตอนเช้า
พอออกมาก็เห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารเช้ามากมาย ทั้งสีสันและรสชาติก็อร่อยจนเธออดไม่ได้ที่จะมองเล่อจยาในมุมที่ต่างไปจากเดิม ทุกวันนี้หญิงสาวสมัยนี้ไม่ค่อยรู้เรื่องการทำอาหารมากนัก แต่เธอสามารถปรุงอาหารอร่อย ๆ มากมาย ขนาดนี้ถือว่าหาตัวยาก
“พี่สะใภ้ค่ะ ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณ” เธอยิ้มและพูดกับเล่อจยา
เลอจยาเม้มปาก “นั่น…” เธอหันไปมองเกาไห่ “ฉันก็ต้องเรียกเธอว่าเย่หลินใช่ไหม
เกาไห่ลูบหัวของเธอ “แล้วจะเป็นไปได้ไหม ที่คุณจะเรียกเธอว่าพี่สาว” หลังจากพูดจบ เขาก็เอาเก้าอี้ให้เล่อเจีย “นั่งลงกินข้าวด้วยกันคุณยุ่งมาทั้งเช้าแล้ว”
“เย่หลิน นั่งลงชิมมันด้วยกัน ไม่รู้ว่ามันจะถูกปากของคุณหรือไม่”
ในเวลานี้ หนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ได้เอาอาหารเข้าไปในปากของพวกเขาแล้ว เย่หลิน มองดูพวกเขา “พี่สะใภ้ เด็กสองคนนี้เลือกกิน ถ้าพวกเขาสามารถกินได้ แปลว่าต้องดีมากแน่ๆ”
หลังจากพูดจบ ก็เอาแพนเค้กเข้าปาก มันกรอบและอร่อย เธอพยักหน้า “อร่อยจริงๆ ชีวิตนี้พี่มีแต่ลาภปากแน่”
เกาไห่เหลือบมองเล่อจยา อันที่จริงเขาไม่แปลกใจที่เล่อจยทำเช่นนี้ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจมากขึ้นในการตัดสินใจครั้งแรก
อาหารมื้อนี้ของเล่อจยาก็ผ่านไปได้ด้วยการยอดรับของทุกคน
หลังจากกินเสร็จ เย่หลินและเกาไห่ต้องการที่จะช่วยเธอล้างจาน แต่เธอปฏิเสธ “เมื่อวานพวกคุณบอกว่ามีเรื่องที่ต้องทำไม่ใช่หรือ? รีบไปทำก่อน ส่วนทางนี้เดียวฉันจัดการเองส่วนเด็กสองคนนี้ทิ้งพวกเขาไว้ที่บ้าน ฉันจะดูแลพวกเขาเอง”
เกาไห่แขนพาดไปที่หน้าอกแล้วมองไปที่ เล่อจย่า “คุณเล่อจยา คุณหมายถึงคุณไม่จำเป็นต้องไปทำงานหรือ วันนี้วันจันทร์นะ”
มือของเล่อจยาที่ล้างจานสั่น “ไปทำงานหรือ” เธอขมวดคิ้ว ใช่ซิ เมื่อวานซูหย่าบอกเธอว่าเธอทำงานที่เกากรุ๊ปอยู่ แต่เธอความจำเสื่อม เธอยังไปทำงานได้หรือ
“พี่สะใภ้ คุณไปทำงานได้แล้ว เสี่ยวซีและเสี่ยวโม่ ให้พี่ชายของฉันส่งพวกเขากลับไปบ้านของตระกูลหนิง”
พูดเสร็จก็ก้าวไปข้างหน้าและช่วยเล่อจยาทำความสะอาด “พี่ควรจะหาแม่บ้านมาคนหนึ่งนะ? ถ้าพี่สะใภ้และพี่ทั้งคู่ไปทำงาน บ้านหลังออกจะใหญ่โตขนาดนี้ เธอทำความสะอาดคนเดียวมันเหนื่อยมากนะ?”
เกาไห่ออกมาจากการห้องสมุด ” ป้าแม่บ้านจะมาตอนบ่าย เล่อจยา คุณวางทุกอย่างไว้ที่นั่น แล้วป้าแม่บ้านจะเข้ามาทำความสะอาดแทนคุณ คุณไปกับเรา ฉันจะส่งเย่หลินไปที่นั่นก่อน” แล้วส่งคุณไปที่บริษัท
เล่อจยามองเวลาก็เกือบ 8 โมงแล้ว กลัวว่าพวกเขาจะรอนานรีบถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วไปที่ห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไป
“แม่นมหลิวอยู่ข้างใน ไปคุยกับเธอก่อนพี่จะส่งพี่สะใภ้ไปที่บริษัท และหลังจากจัดการเรียบร้อย จะมารับ” หลังจากส่งหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่เกาไห่ก็ส่งเย่หลินไปยังที่อยู่ที่นัดไว้กับแม่นมหลิว
เล่อจยาอยากจะบอกว่าเธอไปที่บริษัทเองได้ แต่ลองคิดดู ตอนนี้เธอความจำเสื่อม ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อไปถึงที่บริษัท เธอก็ได้แต่เงียบไม่พูดอะไรดีกว่า
“ได้ พวกนายขับรถช้าๆหน่อย”
ในร้านน้ำชาตำแหน่งอยู่ตรงหัวมุมถนนไม่เด่นมาก แต่การตกแต่งภายในโดดเด่นมาก เมื่อ เย่หลินเดินเข้าไป แม่นมหลิวก็นั่งรออยู่ในห้องชั้นในสุดแล้วเมื่อเธอเห็นเธอเดินเข้ามา เธอก็รีบยืนขึ้น “เย่หลิน คุณกลับมาแล้วหรือ” ดวงตาของเธอมีความสุขอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับแม่นมหลิวตั้งแต่ตอนที่เธอเป็นเฉินเป้ยอี เย่หลินก็รู้สึกว่าคนคนนี้เป็นคนดี ใจดี และดูแลเธอ ลูกๆและหนิงเส่าเฉิน เป็นอย่างดี แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะรู้สึกว่าเธออายุเยอะไปและไม่ให้เธอทำอะไรไปมากกว่านี้แต่เธอไม่สามารถอยู่เฉยๆ ได้ และมักจะช่วยให้พวกเขาทำในสิ่งที่เธอทำได้
และเธอก็รักเสี่ยวซีและ เสี่ยวโม่ มาก
ระหว่างทางมาที่นี่ เธอยังคิดถึงเหตุผลมากมายว่าทำไมเธอถึงปกปิดมัน เธอมักจะรู้สึกว่าถ้าเธอจะต้องตายจริงๆมีหรือที่เธอจะไม่ช่วย
“แม่นมหลิวไม่ต้องลุก นั่งลงเร็ว”
หลังจากนั่งลง เย่หลินวางกระเป๋าของเธอไว้บนเก้าอี้ข้างเธอ และถามแม่นมหลิวว่า “แม่นมหลิว คุณจะดื่มอะไรหน่อยไหม จำได้ว่าคุณชอบดื่มชารสขมใช่ไหม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของ แม่นมหลิว หยุดนิ่ง เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่เย่หลินจำสิ่งที่เธอชอบดื่มได้จริง ๆ “ใช่” จากนั้นเขาก็ลังเลและพูดว่า: “เย่หลิว ได้ยินมาว่าคุณมีเรื่องต้องการพบฉัน?”
เย่หลินเรียกพนักงานเสิร์ฟเพื่อสั่งชาให้แม่นมหลิว และสั่งน้ำอุ่นให้ตัวเอง
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เธอจึงถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “แม่นมหลิว พ่อตาของฉันถูกวางยาพิษใช่ไหม เคยได้ยินหรือไม่?”
เย่หลินเห็นใบหน้าที่เคร่งขรึมของหนิงเสี่ยวซี ก็อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด สูดลมหายใจเข้าแล้วพูดว่า : “คุณบอกมาเถอะ”
“แม่นมหลิวเหมือนรู้ว่าคุณปู่ถูกวางยาอะไร”
แม่นมหลิว? เย่หลินกลืนน้ำลาย แววตาที่งดงามค่อยๆ หรี่ขึ้น แล้วมองหนิงเสี่ยวซีทันที “เสี่ยวซี คำพูดนี้ พูดเรื่อยเปื่อยไม่ได้นะ คุณมีหลักฐานอะไร? ”
เกาไห่รินน้ำให้เย่หลินและเด็กสองคน ได้ยินหนิงเสี่ยวซีพูดแบบนี้ สีหน้าเขาก็เคร่งขรึมเล็กน้อย วางแก้วลงบนโต๊ะน้ำชา “เสี่ยวซี คุณเห็นอะไร? หรือได้ยินอะไรมา? ”
หนิงเสี่ยวซีมองเกาไห่แล้วพยักหน้า “คุณลุง นั่น……” เขาหยุดไปชั่วขณะ ต่อจากนั้น ก็มองไปที่เล่อจยากับซูหย่า “พวกเธอเป็นใคร? ” เห็นได้ชัดว่าคำพูดต่อไปของเขา มีความกังวลนิดๆ
เล่อจยาก็มองออก สีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย รีบลุกขึ้น “อย่างนั้น เราเข้าห้องไปดูทีวีกันก่อน พวกคุณคุยกันไปเถอะ”
เย่หลินยื่นมือไปดึงเล่อจยา “ไม่ต้องหรอก ตอนนี้คุณก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว คุณซูก็เป็นเพื่อนสนิทของคุณ เป็นคนกันเองทั้งหมด เสี่ยวซี นี่คือป้าสะใภ้กับป้าของคุณ ทุกคนไม่ใช่คนนอก คุณบอกมาเถอะ”
เล่อจยากับซูหย่ามองหน้ากัน แล้วนั่งกลับไปที่เดิม
หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว ป้าสะใภ้? เขามองๆ เกาไห่ “คุณลุง คุณทำเรื่องนี้อย่างรวดเร็วจริงๆ ……” จากนั้นเขาก็ทักทายเล่อจยากับซูหย่าทันที : “ป้าสะใภ้ คุณป้าสวัสดีครับ”
ทั้งสองคนยิ้มตอบกลับ
ต่อจากนั้น หนิงเสี่ยวซีเก็บรอยยิ้ม พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “ฉันได้ยินแม่นมหลิวโทรหาคนคนหนึ่ง ถามว่าบุคคลนั้นให้ยามาใช่ไหม เดิมทีคิดที่จะบอกพ่อ แต่ว่า……” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ฉันคิดว่าถ้าคุณบอกพ่อ น่าจะเหมาะสมกว่า”
เย่หลินเข้าใจ ลูกชายเธอคนนี้ อยากให้โอกาสตนเองได้ทำคุณงามความดี แต่ว่าเขาไม่รู้หรอก ว่าเรื่องบางเรื่องไม่ง่ายดายขนาดนั้น
คิดแล้วเธอก็หยิบมือถือออกมา เตรียมจะโทรหาหนิงเส่าเฉิน เรื่องนี้ต้องทำให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด พ่อหนิงอาจจะฟื้นขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว
เกาไห่ก้าวขายาวๆ มาข้างๆ เย่หลิน แล้วหยิบมือถือจากในมือไป แล้วมองไปที่เย่หลิน “พรุ่งนี้ ฉันจะไปนัดแม่นมหลิวออกมา แล้วคุณก็คุยกับเธอให้ชัดเจนก่อน แล้วค่อยบอกเส่าเฉินอีกที”
เย่หลินไม่เข้าใจ “ก็ให้เส่าเฉินถามตรงๆ เลย ไม่เหมือนกันเหรอ? ”
เกาไห่ส่ายหัว “อย่าดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามา แม่นมหลิวอยู่ตระกูลหนิงมาทั้งชีวิต ถ้ารู้ว่าพ่อหนิงถูกพิษอะไรจริงๆ ทำไมเธอไม่บอกหนิงเส่าเฉินล่ะ? คุณอย่าลืมสิ ความรักของเธอที่มีต่อหนิงเส่าเฉิน ยากมากที่เธอจะไม่บอก เป็นธรรมดาที่เธอต้องมีความลำบากใจอย่างนอน”
เย่หลินได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างเล็กน้อย การวิเคราะห์ของเกาไห่นั้นถูกต้อง “อย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้ฉันจะลองคุยกับแม่นมหลิวดูก่อน” พูดจบก็ลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นฉันไปอาบน้ำนอนก่อน พวกคุณคุยเล่นกันไปเถอะ”
ซูหย่าเห็นเช่นนั้น ก็ลุกขึ้นตาม “อย่างนั้น ฉันก็กลับก่อนแล้ว ดึกมากกว่านี้ แม่ฉันจะบ่นเอา พวกคุณสองคน คุย……เล่นกันไปแล้วกัน”
พูดจบ เธอมองเกาไห่อย่างมีความหมายลึกซึ้ง “ประธานเกา จยาจยาก็รบกวนคุณแล้ว”
ต่อจากนั้นห้องรับแขกที่คึกคักเมื่อกี้นี้ ชั่วพริบตาก็เหลือแค่เกาไห่กับเล่อจยา ทั้งสองคนมองหน้ากัน ชั่วขณะก็หาหัวข้อสนทนาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้บรรยากาศจึงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย เล่อจยาเม้มๆ ปาก “เอ่อ ฉะนั้นเรา……ก็อาบน้ำนอนกันไหม? ”
เกาไห่พยักหน้าด้วยจิตสำนึก ทันทีหลังจากนั้น เขาก็เงยหน้า มองเล่อจยา สายตาเป็นประกาย กำมือแน่น ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง “โอเค คุณไปอาบก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
เมื่อเกาไห่เข้าไปในห้อง ก็เห็นเล่อจยาที่สวมชุดนอนออกมาจากห้องน้ำพอดี เธอสวมชุดนอนแบบยาวสีดำ ผมยาวพาดลงมาบริเวณอก ชัดเจนว่า ไม่ได้ใส่ชุดชั้นใน เกาไห่หน้าแดงระเรื่อ ในทันทีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร หายใจเข้าออกล้วนติดขัดเล็กน้อย
รีบพาตัวเองเข้าห้องน้ำไป “คุณหลับไปก่อน ฉันไปอาบน้ำก่อน”
อาบน้ำเย็นอยู่นาน เกาไห่จึงระงับความกระสับกระส่ายภายในใจลงได้ เมื่อออกมา ก็เห็นเล่อจยายืนอยู่ข้างเตียง เดินไปเดินมา จึงไม่เข้าใจเล็กน้อย “เป็นอะไรเหรอ? ทำไมยังไม่นอนอีก? ”
เล่อจยาเครียดจนมือไม้สั่น ฝ่ามือมีเหงื่อออก เธอเงยหน้าขึ้น มองเกาไห่ พูดอย่างยากลำบากเล็กน้อยว่า: “ฉัน…..ฉันอยากถามหน่อยว่า ก่อนหน้านี้ที่ฉันนอนกับคุณ ฉัน…..ฉัน….ฉัน….ใส่เสื้อผ้าไหม? ”
เมื่อตอนที่เธอนอนคนเดียว เธอชอบเปลือยนอน แต่ว่า ตอนนี้เธอความจำเสื่อม แล้วยังต้องเผชิญหน้ากับ”สามี”ที่แปลกหน้า เธอจึงทำตัวไม่ถูกจริงๆ
ชัดเจนว่า เกาไห่ก็คาดไม่ถึงว่า เล่อจยาจะถามคำถามแบบนี้กับเขา การกระทำที่เช็ดผมอยู่ก็แข็งทื่อ หูแดงไปหมดแล้ว
คิดๆแล้ว เขาก็พยายามเอ่ยปากออกไปอย่างนิ่งๆ ว่า: “อืม จยาจยา เป็นแบบนี้นะ ถึงแม้พวกเราจะแต่งงานกันแล้ว แต่ว่า คุณบอกให้ฉันให้เวลาคุณได้ปรับตัวก่อน ดังนั้น จนกระทั่งถึงตอนนี้ ระหว่างพวกเรา ยังไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย…….”
เล่อจยาเบิกตาโพลง อ้าปากค้าง เธอยกมือทั้งสองขึ้นปิดหน้า ต่อจากนั้น ก็เปิดผ้าห่มออกแล้วซุกตัวเข้าไป ซุกหัวเอาไว้ในผ้าห่ม รู้สึกขายหน้าอย่างมาก
เกาไห่กระแอมเบาๆ แล้วพ่นลมหายใจออกมา เปิดผ้าห่มออกเบาๆ เอนกายลงไปอีกด้านหนึ่ง ด้วยเตียงที่กว้างประมาณสองเมตร ดังนั้น คนทั้งสองพยายามนอนกันคนละด้าน จนกระทั่งตรงการมีตำแหน่งว่างหนึ่งที่
หลังจากเล่อจยารู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆ ไม่มีการเคลื่อนไหวแล้ว เธอจึงผงกหัวขึ้น หันกลับไป มองภาพด้านหลังของเกาไห่ ทันทีก็กลัดกลุ้มใจเล็กน้อย
เทพบุตรที่อยู่ข้างๆ เธอคาดไม่ถึงว่าจะต้องการให้เธอปรับตัว เล่อจยานะเล่อจยา นี่คุณเล่นตลกหรือเปล่า? คุณไม่กลัวว่ายังไม่ทันได้ทานเข้าปาก ชายเทพบุตรก็สลัดคุณทิ้งไปเหรอ?
ไม่รู้จริงๆ ว่า หลายปีมานี้ คุณผ่านเรื่องราวอะไรมา? กับสถานการณ์แบบนี้ ไม่ควรจะเริ่มแผนการที่ดีด้วยตัวเองเหรอ?
หรือว่าพออายุมากขึ้นแล้ว หน้าก็บางอย่างนั้นเหรอ?
คิดถึงตรงหน้า เธอก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้ เวลานี้ เธอไม่สามารถนอนแข็งทื่อแบบนี้ได้ ตามกฎหมายแล้วคนเป็นของเธอ นี่…..นี่มันไม่มีเหตุผลที่จะทำได้เพียงแค่มองแต่ไม่กิน?
ในใจคิกแล้ว เธอก็เคลื่อนย้ายไปยังทางด้านของเกาไห่
เพียงแต่ พอเธอรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกายชายหนุ่ม ชายหนุ่มก็พลิกตัวจากบนเตียง ต่อจากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ลืมตามองสายตาที่ไม่มีความผิดคู่นั้นของเล่อจยา ครู่ใหญ่ๆ จึงเอ่ยปากว่า: “คุณ…คุณ…มีอะไรเหรอ? ”
เล่อจยาใบหน้าคร่ำเครียด เธอมองค้อนเล็กน้อย การแสดงออกของเธอยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ? หรือว่าผู้ชายคนนี้……
ในทันที เธอก็ลุกขึ้นนั่ง จ้องตาโต สายตาเคลื่อนย้ายเล็กน้อย แล้วตกไปที่เอวกางเกงของเกาไห่ ปิดปาก พูดเบาๆ ว่า: “คุณ….มีปัญหา….ทางด้านนั้นหรือเปล่า? ” ดังนั้น จึงแต่งงานกับเธอ? ดังนั้น จึงเอนกายอยู่ข้างเธอโดยไม่ตอบสนองอะไร? คิดถึงตรงนี้แล้ว เล่อจยาก็ขมวดคิ้วแน่น
เล่อจยาเห็นซูหย่ามองตนเองอย่างนั้น ก็ลูบๆ หัว อธิบายอย่างหน้าแดงๆ เล็กน้อย “เอ่อ……เอ่อคือ ไม่ใช่บอกว่าแต่งงานกันแล้วเหรอ? เช่นนั้น ก็รอคุณ ไม่ใช่ว่าสมควรแล้วเหรอ? ”
ซูหย่าจ้องมองเล่อจยา เธอปกปิดความสุขบนใบหน้าไว้ไม่อยู่ ทำให้เธออยากจะบอกความจริงกับเธอ ให้หมดในทีเดียว……
ก็เอาอย่างนี้แล้วกัน แค่เธอมีความสุข ทุกอย่างก็ดีหมด!
แม้ว่าเธอไม่เข้าใจว่าเกาไห่ทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เธอก็เชื่อว่าเขาจะไม่ทำร้ายเล่อจยา เพราะว่าเล่อจยาไม่มีอะไรเลย ไม่มีสิ่งที่เกาไห่ต้องการ นอกจากเธอคนนี้ ให้เล่อจยาได้พบกับความสุข เธอก็ไม่มีอะไรที่จะคัดค้าน
“ใช่ ใช่สมควร เพียงแต่จยาจยา ตอนนี้คุณความจำเสื่อมอยู่ คุณแน่ใจเหรอว่าจะอยู่ด้วยกันกับเขา? ถ้าหากว่า วันไหนคุณฟื้นความทรงจำกลับมา แล้วพบว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนี้ คุณ……”
“ถึงอย่างไรฉันก็ไม่เสียใจหรอก อีกอย่าง……” เธอยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “อีกอย่าง นอนกับเขา คนที่เสียเปรียบ ก็ไม่ใช่ฉัน ถูกไหม? ” พูดจบ เธอหยิบตะเกียบจากถ้วยบนโต๊ะขึ้นมา มุมปากก็ยิ้มค้างไว้ตลอด ดูออกว่า ความสุขของเธอในตอนนี้ มันส่งออกมาจากใจ
ซูหย่าพบว่า ความหลงใหลของเล่อจยาตอนอายุ 21 ปีต่อเกาไห่ ทำลายจินตนาการของเธอไปโดยสิ้นเชิง จริงๆ ก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว……
“พี่” เย่หลินลงจากเครื่องบิน ก็เห็นยืนมือล้วงกระเป๋าทั้งสองข้างอยู่
เกาไห่เดินเข้าไป ดึงเย่หลินจากในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน “ฉันจะพาเธอไปอยู่กับฉัน คุณจัดการทางด้านนั้นของคุณให้ดี แล้วแจ้งให้ฉันทราบ ฉันค่อยส่งเธอไปที่นั่นอีกที”
หนิงเส่าเฉินหันกลับไปดึงเย่หลินมาไว้ในอ้อมกอด “แล้วฉันจะส่งเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่ไปนะ”
ในแววตาเย่หลินเห็นได้ชัดว่ามีความผิดหวัง เธอรู้ว่าที่หนิงเส่าเฉินทำแบบนี้ แน่นอนว่าทางด้านตระกูลหนิงนั้นจะไม่ปล่อยเธอไป
“โอเค เช่นนั้นฉันไปก่อนนะ คุณเองก็ขับรถดีๆ นะ”
ตลอดเส้นทาง เห็นเธออารมณ์ไม่ค่อยดี เกาไห่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เมื่อถึงลานจอดรถชั้นใต้ดิน เขาจึงพูดว่า “เย่หลิน พี่แต่งงานแล้วนะ”
เย่หลินขมวดคิ้ว หันไปมองเกาไห่อย่างประหลาดใจ “พี่ คุณพูดอะไรนะ? คุณแต่งงานแล้วเหรอ? กับใคร? เมื่อไหร่……”
“ลงรถก่อน เราค่อยเดินไปเล่าไป! ” เกาไห่พูดจบก็จอดรถ
อารมณ์หดหู่ของเย่หลินผ่อนคลายลงเพราะเรื่องนี้ เธอตกใจมาก เธอจากไปนานแค่ไหนกัน……
เกาไห่เดินนำหน้า เย่หลินเดินตามหลัง เดินไปไม่กี่ก้าว เย่หลินก็วิ่งเหยาะๆ ไปข้างหน้า แล้วดึงเกาไห่ไว้ : “พี่ คุณไม่สามารถแต่งงานได้ตามอำเภอใจแบบนี้นะ คนคนนั้นต้องใช้ชีวิตด้วยทั้งชีวิต! อย่างน้อยคุณต้องเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร ภูมิหลังของครอบครัวต่างๆ นานา……”
เกาไห่หันไปมองเธอ “อันที่จริง เธอชอบฉันมา 7 ปีแล้ว เธอเคยช่วยชีวิตฉันไว้ พ่อก็เพิ่งตายไป แม่กับน้องชายก็ทิ้งเธอไปก่อนแล้ว……”
จากนั้นทั้งสองก็ยืนอยู่ที่ทางเดิน เกาไห่เล่าเรื่องเล่อจยากับเขา อย่างคร่าวๆ ให้เย่หลินฟังอีกรอบ
“คุณ คุณบอกว่าเธอความจำเสื่อม? พี่ เธอความจำเสื่อมแล้ว คุณใช้สถานการณ์นี้แต่งงานกับเธอ จะไม่ดูหลอกลวงไปหน่อยเหรอ? ” เย่หลินมองเกาไห่ แล้วขมวดคิ้วแน่น
เกาไห่ใช้นิ้วเรียวยาวลูบๆ หน้าผาก หาได้ยากที่เย่หลินจะเห็นเขาแสดงท่าทีเขินอาย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “พี่ คุณชอบเธอใช่ไหมล่ะ? ” ฉะนั้น จึงได้”ฉวยโอกาส” ใช้วิธีนี้ในการครอบครองเธอ
ในแววตาของเกาไห่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตั้งแต่เย่หลินรู้จักเขาจนถึงตอนนี้ เย่หลินรู้สึกว่าวันนี้ เป็นวันที่เธอเห็นสีหน้าของพี่ชายเปลี่ยนไปมากที่สุด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อน “ไปเถอะ ให้ฉันเห็นหน่อยว่าพี่สะใภ้ของฉันเป็นคนแบบไหน? ”
เมื่อเล่อจยาและซูหย่าปรากฏตัวต่อหน้าเย่หลิน เย่หลินชี้ไปที่เล่อจยา “พี่ พี่สะใภ้ที่คุณบอก คือเธอใช่ไหม? ”
เกาไห่ขมวดคิ้ว แล้วหัวเราะเล็กน้อย “ทำไมคุณถึงแน่ใจขนาดนั้น? ”
เล่อจยาเวลานี้สวมชุดกีฬา ผมเปียหางม้า รูปร่างอวบเล็กน้อย ดูติดดินอย่างมาก แต่ซูหย่าที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าต่างกันราวฟ้ากับดิน ตามความคิดของคนปกติทั่วไป เกาไห่ก็นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่น อย่างไรก็ต้องเลือกคนแบบซูหย่า……
แต่เพียงเย่หลินมองก็มองออกถึงความดีใจ ความศรัทธา ความชื่นชม ความรักที่ผสมรวมเข้าด้วยกันในสายตาของเล่อจยา การแสดงออกที่คุ้นเคยแบบนั้น เหมือนกับมองตัวเองในกระจก ตอนที่ตนเองคิดถึงหนิงเส่าเฉิน ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เหรอ? เธอเข้าใจอย่างมาก
ในใจก็รู้สึกดีใจกับพี่ชายอีกครั้ง นี่เข้าเจอรักแท้แล้วจริงๆ
เล่อจยามองสาวสวยที่อยู่ตรงหน้า ได้ยินเธอเรียกตนเองว่าพี่สะใภ้ ใบหน้าก็แดงระเรื่อ ก้มหน้าลง มือไม้อ่อนไปหมด
ซูหย่ารู้จักเย่หลิน “สวัสดีค่ะ คุณนายหนิง ฉันเป็นเพื่อนซี้ของจยาจยา ซูหย่า คุณสวยกว่าในรูปมากเลย” เธอชื่นชมด้วยความจริงใจ
ทันทีก็หันไปมองเล่อจยา “อึ้งอะไรอยู่ล่ะ น้องสาวสามีมา เอารองเท้าแตะมาให้เปลี่ยนสิ…..”
เล่อจยาพูดอีกครั้งว่า: “น้องสาวสามีเหรอ? ”
เย่หลินเม้มปาก ยิ้มๆ “ไม่ต้องๆ ฉันทำเอง พี่ ภรรยาของคุณเนี่ย น่ารักจริงๆ เลยนะ”
เธอพูดพลาง หยิบรองเท้าแตะที่ชั้นวางรองเท้ามาสวมเอง เห็นเล่อจยายังเขินอยู่ จึงเดินเข้าไป ดึงมือของซูหย่าและเล่อจยาขึ้น “ฉันชื่อเย่หลิน เป็นน้องสาวแท้ๆ ของพี่เกาไห่ ดีใจอย่างมาก ที่ได้รู้จักกับพวกคุณ”
ความเรียบง่ายเป็นกันเองของเธอ ทำให้เล่อจยาประหลาดใจเล็กน้อย เห็นการแต่งตัวและนิสัยของเย่หลิน ก็รู้ว่า เธอจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน รู้สึกว่าคนแบบพวกเขานี้ โดยทั่วไปจะต้องเย่อหยิ่ง
“พี่สะใภ้ พี่ชายของฉันพูดไม่ค่อยเก่ง ต่อไป ถ้าคุณมีเรื่องน้อยใจอะไร คุณก็มาบอกกับฉันได้ ฉันจะช่วยสั่งสอนเขาแทนคุณเอง”
“ไม่ต้องค่ะๆ เขาดีกับฉันมาก” คำพูดของเย่หลินเพิ่งจบ เล่อจยาก็รีบโบกไม้โบกมือ
เกาไห่มองเล่อจยา กระแอมเบาๆ กำลังเตรียมจะเอ่ยปาก เสียงกริ่งประตูก็ดังขึ้น
พอเปิดประตู ภาพเงาของตนทั้งสองก็โผเข้ามา เมื่อเห็นเย่หลินในห้องรับแขก เย่เสี่ยวโม่ก็ร้องไห้เสียงดังขึ้นมา
หนิงเสี่ยวซีมองเย่หลินอยู่ไกลๆ เย่หลินเห็น หนิงเสี่ยวซีที่น่ารักในวัยเด็ก ยิ่งโตขึ้น ก็ยิ่งเย็นชา
เย่หลินเดินเข้าไป โน้มตัวลง อุ้มเย่เสี่ยวโม่มาไว้ในอ้อมกอด “เสี่ยวโม่ คิดถึงแม่ไหม? ”
เย่เสี่ยวโม่เบ้ปากไม่พูดจา ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงส่งเสียงพูดว่า “คุณเย่หลิน ถ้าครั้งหน้าคุณทิ้งฉันเอาไว้คนเดียวโดยไม่สนใจอีก ฉันจะไม่ขัดขวางพ่อที่จะหาแม่เลี้ยงให้พวกเราอีกแล้ว”
“แม่เลี้ยง? ” เย่หลินขมวดคิ้ว
“แม่ คุณไม่อยู่ พ่อกลับบ้านดึกทุกวันเลย ฉันบอกกับพี่ว่า พ่อต้องไปหาแม่เลี้ยงให้พวกเราแน่ๆ หนิงเสี่ยวซีก็มาตีฉันอีก” เย่เสี่ยวโม่พูดพลาง จ้องมองหนิงเสี่ยวซีอย่างโหดเหี้ยม
หนิงเสี่ยวซีมองเธอด้วยใบหน้าทึ่มทื่อ “แม่ คุณอย่าไปฟังเธอพูดเหลวไหล คุณไม่อยู่บ้าน ช่วงนี้พ่ออารมณ์ไม่ค่อย เขาไปหาอาหลิวซูเพื่อดื่มเหล้า อีกอย่าง ฉันไม่ได้ตีเธอ…….”
“คุณตี คุณใช้มือตีก้นฉัน”
หนิงเสี่ยวหน้าแดง “ในเมื่อคุณบอกว่าฉันตี ต่อไป ฉันก็จะทำให้คุณได้เห็นว่า อะไรที่เรียกว่าตีจริงๆ ….”
“แง๊…..แม่ คุณดูเขาสิ…..”
ในบ้านมีเด็กเพิ่งมาอีกสองคน ก็รู้สึกครึกครื้นขึ้นมาอย่างอยาก เย่หลินลุกขึ้นยืน ลูบหัวหนิงเสี่ยวซีสองครั้ง “เสี่ยวซี ช่วงนี้แม่ไม่อยู่บ้าน ลำบากคุณแล้วที่ต้องดูแลน้อง”
เย่หลินเข้าใจหนิงเสี่ยวซี เขาและหนิงเส่าเฉินนิสัยคล้ายกัน หลายสิ่งหลายอย่าง มักไม่แสดงออกมาทางคำพูด แต่จะแสดงผ่านการกระทำ
ช่วงนี้ คาดว่าเย่เสี่ยวโม่คงทำให้เขาปวดหัวอยู่ไม่น้อย
หนิงเสี่ยวซีส่ายหน้า ทันที เขาก็อ้าปาก ลังเลใจอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงเอ่ยปากว่า “แม่ มีเรื่องหนึ่ง ที่ฉันอยากจะบอกกับคุณ”
“นี่คือที่อยู่ของเธอ ข้าวของทั้งหมดฉันย้ายไปให้แล้ว จัดการทุกอย่างตามความคุ้นชินที่คุณบอกแล้ว”
เห็นข้อความนี้ ซูหย่าก็มองเล่อจยา อดไม่ได้ที่จะเบาใจ นี่คือมีเสียก็ต้องมีได้จริงๆ ถึงแม้เธอจะไม่มีพ่อแล้ว แต่เธอก็ได้เกาไห่มา
คิดถึงตรงนี้ ความหนักใจก็เบาลงไปเยอะ เธอเม้มๆ ปาก มองเล่อจยา “ไปเถอะ ฉันจะไปส่งคุณ” พูดจบ ก็ดึงแขนเล่อจยาขึ้นมาอย่างเป็นปกติ
ถึงแม้การกระทำที่สนิทสนมของเธอนี้ เล่อจยาจะไม่คุ้นเคย แต่ความรู้สึกที่ซูหย่ามีให้เธอ เห็นได้ชัดว่าต่างจากในความทรงจำของเธอ
คิดๆ ดูแล้วก็ตามเธอไป
ขึ้นไปนั่งบนรถสปอร์ตสีแดงของซูหย่า เล่อจยาสัมผัสไปทุกๆที่ “คุณเป็นสาวฟุ่มเฟือยจริงๆ ”
คุณเป็นสาวฟุ่มเฟือยจริงๆ! ซูหย่าพูดไม่ออก ในตอนนั้นที่เล่อจยาขึ้นรถคันนี้ครั้งแรก ก็พูดประโยคนี้ นี่……
เห็นอพาร์ตเมนต์โอ่อ่าหรูหราตรงหน้า เล่อจยาก็หันไปมองซูหย่า “คุณ……แน่ใจเหรอ ว่าก่อนหน้านี้ฉันอยู่ที่นี่? ”
เธอเกาหัว พูดกับตัวเองว่า : “หรือว่าหลายปีมานี้ เก็บเงินได้เยอะ จึงได้ร่ำรวยใช่ไหม? ”
ซูหย่ากระแอมเบาๆ ในใจยังแอบบ่นเกาไห่ที่เชื่อถือไม่ได้ แอบส่งข้อความหาเขา “เช่าบ้านแพงขนาดนี้ ประธานเกา กรุณาขึ้นเงินเดือนให้จยาจยาด้วย! ”
ข้อความก็ส่งกลับมาอย่างรวดเร็ว “ถึงแล้วเหรอ? ขึ้นมาก่อนสิ”
ขึ้นมาก่อน? หรือว่า……เกาไห่ยังอยู่เหรอ?
ตอนนี้ซูหย่าตึงเครียดเล็กน้อย เพียงแต่แปลกใจมาก ว่าเกาไห่จะอธิบายกับเล่อจยาอย่างไร
ลิฟต์หยุดที่ชั้น 20 ออกจากลิฟต์ไป เล่อจยาก็ถูกการตกแต่งระดับไฮเอนด์ตรงหน้าทำให้ตกตะลึง พระเจ้า บ้านหลังนี้อยู่ใจกลางเมือง ยังมีการตกแต่งที่สวยงามแบบนี้ ในที่แบบนี้ เช่าอพาร์ตเมนต์ดีๆ อย่างนี้ เธอสงสัยจริงๆ เลยว่า ก่อนหน้านี้ตนเองถูกลอตเตอรี่ใช่ไหม?
ซูหย่าดึงๆ เล่อจยา “รีบไปเถอะ คุณอยู่202……ทางนี้! ”
ประตูไม่ได้ล็อก ซูหย่าผลักประตูเข้าไป ถึงแม้เธอจะเคยผ่านโลกมามาก แต่ในเวลานี้ก็ถูกการตกตรงหน้าทำให้ตะลึง ไม่ใช่แค่ดูหรูหราเท่านั้น ยังดูสิ้นเปลืองฟุ่มเฟือยอย่างมาก โซฟาชุดนั้น เธอเคยดูในนิตยสาร น่าจะหลายล้าน……
อีกอย่างทีวีเครื่องนั้น อย่างน้อยก็หนึ่งล้าน แล้วก็……
ถึงแม้เล่อจยาจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ยืนจับขอบประตู แล้วส่ายหัวตลอด “เสี่ยวหย่า เรามาผิดที่หรือเปล่า? ”
ซูหย่าสติกลับมา กำลังจะพูด
เสียงชายคนหนึ่งก็ดังออกมาจากในครัว “จยาจยา คุณกลับมาแล้วเหรอ? รีบเข้ามาสิ ฉันทำปลาที่คุณชอบกินไว้ให้คุณด้วยนะ”
น้ำเสียงนั้น การเรียกชื่อนั้น ทำให้ซูหย่าคิดว่าตนเองหูฝาด เธอหันไปมองเล่อจยา ก็เห็นได้ชัดว่าการแสดงออกของเธอไม่ได้ดีไปกว่าตนเองเลย
“จยา คุณยังตกตะลึงอะไรอยู่ เพื่อนคุณมาเป็นแขกที่บ้านเรา คุณยังไม่รีบเชิญแขกเข้ามาอีกเหรอ? ”
“บ้านเรา? ”
“บ้านเรา? ”
ผู้หญิงสองคน ตกใจตะโกนขึ้นพร้อมกัน……
เล่อจยาแปลกใจ เธอกลายเป็นครอบครัวเดียวกันกับเกาไห่ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ซูหย่ามองเกาไห่ ใช่……เธอรับปากกับเขา ว่าจะเล่นละครด้วยกันกับเขา แต่ว่า ในบทไม่มีแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? บ้านของเรา?
เกาไห่เข้าไปหยิบรองเท้าแตะที่ชั้นวางรองเท้ามาให้เล่อจยา รองเท้าแตะคู่นั้นค่อนข้างเก่าแล้ว แต่เล่อจยาเพียงแค่เห็นก็สามารถจำได้ทันที รองเท้าแตะคู่นี้ เธอเป็นคนถักเองตอนอยู่ปีสาม ถึงแม้ฝีมือจะไม่ละเอียดงดงาม แต่ก็ทนใส่ได้ ใส่จนชินแล้ว หลายปีมานี้ เธอตัดใจทิ้งมันไปไม่ได้เลย
ขณะที่เล่อจยาโน้มตัวลงไปสวมรองเท้า เก่าไห่ก็ส่งสัญญาณให้ซูหย่า ความหมายคือ ให้เธอร่วมมือ
ซูหย่าขมวดคิ้ว เธอควรจะร่วมมืออย่างไร ในฐานะที่เล่อจยาเล่าว่าเป็นพี่น้องที่ดีที่สุดต่อกัน แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่รู้ว่าเธออยู่ด้วยกันกับผู้ชายคนอื่น นี่ก็…….
จู่ๆ สายตาเธอก็เป็นประกาย ผลักเล่อจยาเล็กน้อย “จยาจยา คุณนี่เป็นเพื่อนที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ ฉันเพิ่งพูดว่าคุณจะมาอยู่บ้านที่ราคาแพงขนาดนี้ได้อย่างไร ที่แท้ ที่แท้ก็……” ซูหย่าโน้มตัวเข้าไปกระซิบข้างหูของเล่อจยา: “ที่แท้ คาดไม่ถึงเลยว่าคุณจะอยู่ด้วยกันกับเกาไห่แล้ว? คุณโกหก ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมบอกฉัน”
“อยู่ด้วยกัน? ฉัน…..” เล่อจยาอยากจะพูดว่าเธอมาอยู่ด้วยกันกับเกาไห่ได้อย่างไร แต่คิดๆแล้ว ว่าตนเองความจำเสื่อม จำเรื่องราวก่อนหน้านี้ไม่ได้ ถ้าหากว่า เธออยู่ด้วยกันกับเกาไห่จริงๆ ตอนนี้ ตนเองจะปฏิเสธ ก็ค่อนข้างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจนเกินไป คิดๆแล้ว จึงไม่พูด เพียงแต่นี่ก็สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมก่อนที่จะสูญเสียความทรงจำถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ที่แท้ ก็เพราะเกาะคนรวย
คิดถึงตรงนี้แล้ว เธอสวมรองเท้าแตะแล้วเดินไปยังห้องครัว มองเกาไห่ แล้วพูดว่า: “คุณแต่งงานแล้วใช่ไหม? ” ความหมายของเธอคือ ต้องการจะรู้ว่าตนเองเป็นเมียน้อยใช่ไหม?
เกาไห่ผัดผักเสร็จแล้วจึงยกมาวางบนโต๊ะ แล้วก็ปลาหลีฮื้อน้ำแดง คืออาหารที่เล่อจยาชอบทาน
“อืม แต่งแล้ว เราสองคนแต่งงานกันแล้ว”
“แต่งงานแล้ว? ”
“แต่งงานแล้ว? ”
คราวนี้หญิงสาวทั้งสองพูดคำเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย
อย่าว่าแต่เล่อจยาเลย ซูหย่าก็ถูกทำให้ตกตะลึง เธอยืนเบิกตาโพลงอยู่ด้านหลังเกาไห่ ชัดเจนว่าเธอก็เป็นนักแสดงนำในละครนี้ แต่ทำไม เธอถึงไม่รู้อะไรเลย?
เพียงแต่คิดแล้ว ถ้าเกาไห่แต่งงานกับเล่อจยาจริงๆ ความฝันของเล่อจยาก็จะกลายเป็นความจริง คิดๆแล้ว เธอก็เลยออกเสียงให้ความร่วมมือ: “ดีจริงๆ เล่อจยา คาดไม่ถึงว่าแม้กระทั่งเรื่องแต่งงานของพวกคุณที่สำคัญขนาดนี้ คุณก็ยังไม่บอกฉัน”
คำตำหนิของซูหย่า ทำให้ใบหน้าของเล่อจยาสับสนงุนงง เธอไม่มีภาพความทรงจำเลยแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ ในใจก็รู้สึกดีอย่างมาก 7ปีมานี้ของเธอ ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? คาดไม่ถึงว่าจะแต่งงานกับเกาไห่เทพบุตรคนนี้
คิดถึงตรงนี้ เธอก็ปิดหน้า ยิ้มแหยๆ ขึ้นมา เรื่องนี้ทำให้เธอดีใจจนเกินไปจริงๆ อดยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ
ความเพ้อฝันในเวลานั้นของเธอ ที่อนาคตต้องการแต่งงานกับเกาไห่ผู้ชายคนนี้ ไม่นึกเลยว่า เธอจะสมหวัง
ซูหย่าเดินไปยังตรงหน้าเกาไห่ พูดอย่างจริงจังแฝงไปด้วยการกล่าวเตือนเล็กน้อยว่า: “ในเมื่อคุณแต่งงานกับเล่อจยาแล้ว ฉันก็หวังว่า ต่อไป คุณจะสามารถรับผิดชอบต่อเธอ ทำดีกับเธอไปจนชั่วชีวิต”
เกาไห่ถอดผ้ากันเปื้อนออก เดินเข้าไปโอบเล่อจยา โน้มตัวเข้าใกล้ จูบที่หน้าผากของเล่อจยาเล็กน้อย “โอเค ฉันรับปากคุณ”
เล่อจยาอดไม่ได้ที่จะดีใจ
ซูหย่าส่ายหน้า ผู้ชายคนนี้ฉวยโอกาสจริงๆ ใช้ประโยชน์ง่ายๆ จากเล่อจยาอย่างยุติธรรม!
โชคดีที่เธอรู้ว่าเล่อจยาชอบผู้ชายคนนี้ ถ้าไม่เช่นนั้น เธอก็คงระเบิดอารมณ์เข้าไปต่อยเข้าแล้ว
เมื่อทานอาหารได้พักหนึ่ง มือถือของเกาไห่ก็ดังขึ้น มองไปยังหน้าจอ เกาไห่ลุกขึ้นยืนอย่างตึงเครียดเล็กน้อย กดรับโทรศัพท์ “ฮัลโหล….อืม….โอเค ฉันจะเข้าไปเดี๋ยวนี้”
ต่อจากนั้น หยิบเสื้อโค้ตที่พาดไว้บนโซฟา มองเล่อจยาแล้วกล่าวว่า: จยาจยา คุณทานไปก่อนนะ ฉันมีธุระเร่งด่วนนิดหน่อย ต้องไปรับคนคนหนึ่ง ตอนกลางคืน…..นอนเร็วหน่อยนะ ไม่ต้องรอฉัน”
พูดจบ ก็พูดกับซูหย่าว่า: “คุณซู ตอนกลางคืน ถ้าคุณไม่มีธุระอะไรล่ะก็ อยู่เป็นเพื่อนจยาจยาที่นี่หน่อยนะ”
ซูหย่าพยักหน้า
แต่ซูหย่าลุกขึ้นจากเก้าอี้ มองเกาไห่ พูดโพล่งออกมาว่า: “คืนนี้ฉัน….ฉันจะรอคุณกลับมา”
ซูหย่าแทบจะสำลักข้าว ทางด้านเกาไห่ที่สวมรองเท้าอยู่ก็หยุดชะงัก หันกลับไปมองเล่อจยา ตะลึงงันไปชั่วขณะ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าแล้วกล่าวว่า: “โอเค”
จนกระทั่งทั้งสองหมดแรง จึงปล่อยออกจากกัน
เพียงแต่ตลอดระยะเวลาทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรออกมา
ร้อยพันคำพูด บางทีไม่พูดจะดีกว่า
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน เย่หลินจึงพูดออกมา : “วันนั้น ฉันนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่ริมหน้าผา พ่อยืนห่างจากฉันประมาณสองเมตร เขาบอกฉันว่าเขาทุกข์ใจมาก แต่ว่าเขาไม่อยากให้เรื่องของเขา มากระทบอารมณ์ความรู้สึกของเธอ ต่อมา เมื่อฉันยืนขึ้นเท้าก็ลื่น ในทันทีที่กำลังจะตกลงไป พ่อก็ยื่นมือมาดึงฉันไว้ หลังจากนั้น เขาใช้แรงสะบัดฉันขึ้นฝั่ง แล้วตนเองก็ตกลงไป”
หนิงเส่าเฉินจูบที่หน้าผากของเธอ ไม่ได้พูดอะไร
“ช่วงนี้ฉันคิดหนักมาก พ่อช่วยชีวิตฉันจนกลายเป็นอย่างนี้ ฉันกลับหลบหนีไม่เพียงแต่แก้ปัญหาไม่ได้ ยังต้องทำให้คุณลำบากใจ ฉะนั้น เมื่อคิดอยู่นาน ฉันจึงตัดสินใจที่จะเผชิญหน้า เส่าเฉิน คุณพาฉันกลับไปเถอะ ไม่ว่าแม่กับเสี่ยวเชี่ยนและครอบครัวของคุณ จะปฏิบัติอย่างไรกับฉัน ฉันก็จะยอมรับทั้งหมด ต่อให้ต้องไปติดคุกจริงๆ ฉันก็ยอม”
หลังจากเย่หลินพูดคำพูดเหล่านี้ ก็มุดเข้าไปในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน “ความเจ็บปวดเหล่านี้ มันเทียบไม่ได้กับการที่ต้องแยกจากคุณไปเลย”
หนิงเส่าเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงแหบทุ้มก็ดังขึ้นข้างๆหูเย่หลิน : “พี่ชายคุณไม่ได้บอกคุณเหรอ ว่าที่พ่อไม่ได้สติ มันเกิดจากการถูกวางยาพิษ? ”
เย่หลินตัวสั่น เธอลุกขึ้นนั่ง ก้มมองหนิงเส่าเฉิน “คุณว่าอะไรนะ? ถูกพิษเหรอ? ”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า สองสามวันมานี้ผู้เชี่ยวจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศถูกส่งตัวไปที่โรงพยาบาลทางด้านนั้น แต่การตรวจสอบทั้งหมดก็ไม่เป็นผล”
พูดจบ หนิงเส่าเฉินก็ลุกขึ้นนั่ง “ดังนั้น คุณอย่าหนักใจเกินไปอีกเลย หมอบอกว่า ถึงแม้จะไม่ตกหน้าผา ถ้าพิษนี้ค่อยซึมเข้าสู่ร่างกาย เขาก็ต้องหมดสติไปอยู่ดี”
เย่หลินตกใจมาก สมัยนี้การถูกวางยาพิษ ฟังดูแล้วก็น่าเหลือเชื่อ “เช่นนั้น……มีการตรวจสอบออกมาไหม ว่าใครที่วางยาพิษพ่อ? ”
หนิงเส่าเฉินที่ลูบมือเย่หลินอยู่ก็หยุดชะงัก แล้วค่อยๆ พูดว่า : “ไม่ใช่ใคร เป็นตัวเขาเอง”
“เขา……เอง? ” เย่หลินขมวดคิ้ว สองมือกำผ้าห่มแน่น เธอไม่ได้โง่ เธอรู้ว่า เหตุผลเดียวที่พ่อหนิงทำอย่างนี้ก็เพื่อตนเอง เพื่อเรื่องราวในตอนนั้น แน่นอนว่าเขาคิดจะใช้วิธีนี้ลงโทษตัวเอง
นึกถึงตรงนี้ เธอรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย “อันที่จริง เขาไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้เลย จริงแล้ว……ฉัน……เมื่อเทียบกับความรักของคุณ บุญคุณความแค้นก่อนหน้านี้ ก็ไม่ได้มีค่าอะไร อีกทั้งเราก็มีเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่แล้ว”
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ดีใจเล็กน้อย จับมือของเย่หลิน “คุณ……คุณคิดแบบนี้จริงๆ เหรอ? ”
เย่หลินดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกของตนเอง แล้วจึงพูดว่า : “ตอนที่รู้ครั้งแรก บอกตามตรงว่าในใจฉันรับไม่ได้ แต่เดือนนี้ ฉันคิดให้มากขึ้น ไม่ว่าพ่อแม่ฉันจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว อีกทั้งฉันเชื่อคำพูดของพ่อ ฉันเชื่อเขา ว่าเขาไม่ได้ฆ่าพ่อของฉัน เพราะว่า คุณยังจำได้ไหม? รูปแม่ฉันกับพ่อฉันใบนั้น ตอนที่ถ่าย ฉันเกิดมาได้ปีกว่าๆ ฉันรู้สึกมาตลอดว่าพ่อถูกคนใส่ร้าย ผู้ชายคนนั้น ฉันกำลังคิดว่าเป็นพ่อเกาหรือเปล่า แล้วคุณอาคนนั้นในรูปมาจากไหน? ”
หนิงเส่าเฉินโล่งอก เขาโอบเย่หลินมาไว้ในอ้อมกอด โอบกอดกันแน่น “คุณรู้ไหม? ฉันคิดว่า…..คุณจะจากฉันไปด้วยเหตุผลนี้ซะแล้ว เย่หลิน ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจคุณดีพอ คาดไม่ถึงว่าเย่หลินของฉันจะเป็นคนใจกว้างเช่นนี้”
เย่หลินของฉัน…..
เย่หลินกระซิบที่ข้างหูของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน พรุ่งนี้คุณพาฉันไปเยี่ยมพ่อหน่อย โอเคไหม? ”
หนิงเส่าเฉินปล่อยเธอ จ้องมองเธอ แล้วขมวดคิ้ว “ฉันเกรงว่า……”
“พาฉันไปเถอะ พ่อช่วยชีวิตฉันจนตกลงไป ด้วยเหตุผลแล้ว ฉันควรที่จะไปเยี่ยมเขา….”
เมืองC ภายในประเทศ
เล่อจยานั่งอยู่ที่ชั้นล่างของห้างสรรพสินค้า มองคนเดินไปเดินมา แต่เธอตกใจจนดึงสติกลับมาไม่ได้ เธอความจำเสื่อมเหรอ? ความทรงจำหายไป7ปี เรื่องราวที่เกินกว่าจะยอมรับได้แบบนี้คาดไม่ถึงว่าจะเกิดขึ้นกับเธอ
“คุณบอกว่า พวกเราคือพี่น้องที่ดีที่สุดอย่างนั้นเหรอ? ” เล่อจยาพิจารณาซูหย่าอย่างละเอียด แล้วส่ายหน้า เธอจะกลายเป็นพี่น้องที่ดีกับซูหย่าได้อย่างไร เธอไม่เข้าใจตนเองเลย
ซูหย่ามองเล่อจยาด้วยท่าทีที่ร้องไห้ไม่ออก “ปีนั้น คุณก็ปฏิบัติต่อฉันแบบนี้แหละ เล่อจยา คุณรู้ไหม? ว่าฉันใช้เวลาเป็นปี คุณถึงจะยอมคุยกับฉัน ยากกว่าที่จะได้ใจของคุณ คุณกลับมาตอนนี้อีกครั้ง คุณยังให้คนมีชีวิตต่อไปได้ไหม? ” ซูหย่าพูดจบ ก็คิดๆ แล้วโน้มตัวเข้าใกล้ กระซิบข้างหูเล่อจยาว่า: “คุณน่ะ ก่อนนอนจะต้องเข้าห้องน้ำ หลังจากตื่นนอนสิ่งแรกที่ทำคือ มองหน้าต่าง แล้วก็ยืดเอวบิดขี้เกียจ เวลาคุณใส่รองเท้าแตะ มักชอบใส่กลับข้าง คุณนอนตอนกลางคืน ไม่ชอบใส่เสื้อผ้า สัดส่วนของคุณคือ……”
เล่อจยาปิดปากซูหย่า ขมวดคิ้วจนเป็นรอยย่น มองซูหย่าอย่างไม่อยากจะเชื่อ สามารถรู้กิจวัตรประจำวันของเธอมากขนาดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน อื่นๆ ยิ่งไม่ต้องพูด ใส่รองเท้าแตะมักชอบใส่สลับข้าง จุดนี้ ถ้าไม่ใช่มิตรภาพที่ลึกซึ้ง ก็คงไม่สามารถที่จะรู้ได้โดยเด็ดขาด
ถึงแม้ภายในใจจะยังไม่แน่ใจ เห็นได้ชัดว่าไม่กีดกันแบบนั้นอีก เธอมองไปยังซูหย่าแล้วยิ้มๆ “อย่างนั้นก็…..โอเค ฉันเชื่อคุณ อย่างนั้นคุณบอกฉันได้ไหม ว่าระหว่างฉันและเกาไห่ตกลงมันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมฉันถึงหมดสติอยู่ในบ้านของเขา? ”
ซูหย่าคิดๆ แล้วจึงเอ่ยปาก “เรื่องนี้ ฉันไม่ใช่ว่าไม่รู้ เพียงแต่ ตอนนี้คุณทำงานอยู่ที่บริษัทของเกาไห่ ก่อนที่จะหมดสติไป ฉันได้ยินคุณบอกว่า จะไปเมืองWด้วยกันกับเขา คล้ายกับมีภาพการออกแบบชุมชนหนึ่ง ฉันคาดว่า คุณน่าจะหมดสติไปขณะทำงาน เขาจึงพาคุณกลับมา! ” ซูหย่าพูดพลาง จิบเครื่องดื่ม ปิดบังความหดหู่ภายในใจ
ที่แท้ เธอก็ไปทำงานที่บริษัทเกาไห่แล้วเหรอ? ดูท่า เจ็ดปีที่ผ่านมา เธอก็ยังคงรักเกาไห่เหมือนเดิม จุดนี้เธอพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“คุณบอกว่าพ่อแม่ของฉันหย่ากัน แล้วพ่อของฉันหายสาบสูญไป อย่างนั้นฉันไม่ตามหาพ่อของฉันเหรอ? ”
ซูหย่าส่ายหน้า “แน่นอนว่าหาแล้ว แต่ว่า หาได้ง่ายขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ ประเทศกว้างใหญ่ขนาดนี้”
สุดท้ายซูหย่าก็ไม่ได้พูดตามที่เกาไห่ให้พูด ที่ให้บอกว่าเล่อจยาว่า พ่อเล่อไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะถึงอย่างไรไปเที่ยวก็ยังต้องกลับมา
“เอาล่ะ อย่างนั้นฉันกลับก่อนนะ” เล่อจยาพูดพลางลุกขึ้นยืน ท่าทางซึมๆ เล็กน้อย เพียงแต่เดินไปสองก้าว เธอก็หันหน้ากลับมามองซูหย่า กล่าวถามอย่างเก้อเขินเล็กน้อย: “เออใช่ คุณรู้ไหมว่า ฉันพักอยู่ที่ไหน? ”
ซูหย่ากุมหน้าผาก มองเล่อจยา ไม่พูดจา เรื่องนี้ เธอนึกไม่ออกเลยจริงๆ ถ้าพาเธอกลับไปในบ้านหลังนั้น เธอก็จะต้องสงสัย อีกอย่าง คาดว่าช่วงนี้บ้านหลังนั้นก็จะต้องรื้อถอนอยู่แน่ๆ อย่างนั้น……ทำอย่างไรดีล่ะ?
เวลานี้ ข้อความก็ดังขึ้น เธอหยิบออกมา มองไปแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากด้วยความประหลาดใจ
“ฉันคิดว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างนี้ก็ดีมากแล้ว” เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเห็นแก่ตัวเล็กน้อย หวังให้ความงามของเธอจะเป็นตนเองที่ได้ชื่นชมเท่านั้น
ซูหย่าตกใจเล็กน้อย ที่เกาไห่มีปฏิกิริยาตอบกลับมาอย่างนี้ เพียงแต่เธอก็เข้าใจ นี่เป็นเรื่องที่ดี ในใจรู้สึกดีใจกับเล่อจยาด้วย บางที มีเสียก็ย่อมมีได้!
“โอเค พูดได้ว่า คุณชอบเธอจริงๆ สามารถมองเห็นความงามจากภายในของเธอได้……”
จากนั้นทั้งสองก็ปรึกษากันว่าจะอธิบายกับเล่อจยาเรื่องความจำเสื่อมของเธออย่างไร พวกเขาคิดเสมอว่า จะดีกว่าที่จะไม่ให้เล่อจยารู้เรื่องพ่อแม่ แม้ว่าเธอจะจำได้ในภายหลัง ให้เวลาผ่านไป อย่างไรก็ตามเธออาจจะดีขึ้น
“ก็ได้ เช่นนั้นคุณไปอยู่เป็นเพื่อนเธอก่อน ฉันจะไปจัดการงานศพของคุณลุง” เกาไห่พูดจบก็หันหลังกลับไป คิดๆ แล้วก็หยุดเดิน หันกลับมาพูดกับซูหย่าว่า : “อืม เรื่องที่พ่อเล่อตาย ญาติและเพื่อนของเขาน่าจะไม่รู้ รวมทั้ง……รวมทั้งน้องชายของเธอด้วย ไม่น่าจะแน่ชัดขนาดนั้น ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เช่นนั้นเราก็บอกกับคนภายนอกว่า เขาออกไปท่องเที่ยว”
ซูหย่ามองเกาไห่ ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วพูดว่า : “ประธานเกา ขอบคุณนะที่คุณทำเล่อจยาขนาดนี้ ต่อไป ถ้าเธอซักไซ้ไล่เลียงขึ้นมา คุณก็วางใจเถอะ ฉันจะช่วยคุณอธิบายเอง”
เกาไห่ไม่ได้พูดอะไร หันกลับออกไป ไม่สำคัญว่าจะอธิบายหรือไม่อธิบาย ขอเพียงแต่ดีต่อเธอ เขาก็ไม่ถือสา
เมื่อซูหย่าเข้าไปในห้องอีกครั้ง เล่อจยาที่นอนหลับเพิ่งตื่น เห็นเธอเข้ามา ก็ทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ส่งถุงในมือไปให้เล่อจยา “มา เปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ ฉันจะออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนคุณ” เล่อจยา ฉันจะไปกับคุณเพื่อยอมรับสิ่งนี้อีกครั้ง โลกของ”คนแปลกหน้า”ของคุณ
เวลานี้ อีกด้านหนึ่งของโลก ประเทศB
“คุณหลิน คุณรีบมาเถอะ คุณเย่หายไปแล้ว” พี่เลี้ยงที่ดูแลเย่หลินได้รับการคัดเลือกจากนายท่านหลินจากเกาะเหลียนอู้ ตอนหนุ่มๆ เป็นทหารรับจ้างบนเกาะ มีทักษะดี ถึงแม้อายุจะมากแล้ว แต่ก็เหลือเฟือที่จะรับมือกับเย่หลินที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรง
“เกิดขึ้นได้อย่างไร? ไม่ใช่ให้คุณดูเธอไว้ให้ดีๆ ไม่ใช่เหรอ? ”
พี่เลี้ยงคนนี้ขมวดคิ้ว “ตอนเช้าวันนี้ คุณเย่บอกว่าอยากไปซื้อเสื้อผ้า เธอให้ฉันเรียกคนในห้างส่งเสื้อผ้าหลายสิบชุดมาให้เธอเลือก ในตอนนั้นมีผู้หญิงสามคนมาด้วย จากนั้นคุณเย่ก็ไปลองเสื้อผ้า แต่ว่า……แต่ว่าหลังจากที่ทั้งสามคนนั้นไป หนึ่งในคนแนะนำสินค้าในห้องถูกขังไว้ในห้องน้ำ คุณเย่ เธอ……เธอเอาชุดคนคนนั้นมาเปลี่ยนให้เหมือนกับตนเอง แล้วก็ออกไป”
คุณน้าลูบๆ หน้าผาก ถอนหายใจเบาๆ “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
และในขณะนี้บนถนน หลังจากเย่หลินถือมือถือเดินไปมาเป็นเวลานาน เธอกดหมายเลขที่ห่างหายไปนาน โทรศัพท์ดังอยู่นานจึงถูกรับสาย “ฮัลโหล สวัสดีครับ ประธานหนิงประชุมอยู่ คุณกรุณา……”
“หลิวซู ฉันเมือง V ประเทศ B…… คุณให้เขามารับฉัน ได้ไหม? อีกสักครู่ฉันจะส่งที่อยู่ไปที่มือถือ”
หลิวซูรู้สึกปั่นป่วน มองหมายเลขที่แสดงบนหน้าจอมือถือ เป็นของต่างประเทศ แต่ชื่อนั้นเป็น”ภรรยา” ชั่วขณะ เขาก็กลุ้มใจ ชัดเจนหนิงเส่าเฉินรู้ว่าเย่หลินอยู่ที่ไหนใช่ไหม? แล้วก็รู้วิธีการติดต่อเธอด้วย?
“หลิวซู คุณได้ยืนไหม? ฉันแอบหนีออกมา คุณให้เส่าเฉินช่วยฉันคิดหาวิธีหน่อย ฉันกลัวว่าคุณน้าจะส่งคนมาตามหาฉันเจอ”
“โอเค ฉันจะไปบอกเส่าเฉินเดี๋ยวนี้”
หลังจากหลิวซูวางสาย ก็พยายามระงับความตื่นตระหนกในใจ แล้วไปยังห้องประชุม เขาโน้มเข้าไปข้างหูของหนิงเส่าเฉิน ทันทีที่กระซิบ หลังจากนั้น ทุกคนยังไม่ทันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงสีหน้าของหนิงเส่าเฉิน เขาก็พุ่งออกจากห้องประชุมไปแล้ว หลิวซูตามไปด้านหลังเขา “ทางด้านนั้น พวกเราไม่มีคนที่รู้จัก เพียงแต่ประเทศใกล้เคียง มีสำนักงานของพวกเรา ต้องให้พวกเขาไปรับพี่สะใภ้ก่อนไหม? ”
หนิงเส่าเฉินที่ก้าวฝีเท้าอย่างรวดเร็วก็หยุดชะงัก เขาคิดๆแล้ว ก็หันหน้ากลับไปมองหลิวซู คิดๆ แล้วเขาจึงพูดว่า: “ให้คนทางด้านนั้นเข้าไปช่วยจัดอาหารและที่พักให้เธอก่อน จำไว้ว่า หาสถานที่ที่มิดชิดสักหน่อย ฉันจะบินไปเดี๋ยวนี้”
หลิวซูตกตะลึง ชี้ไปยังห้องประชุมที่อยู่ด้านหลัง ในนั้นกำลังอภิปรายเกี่ยวกับแผนโครงการครึ่งหลังของบริษัทนะ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาบริษัท ชายคนนี้ต้องการหญิงงาม ไม่ต้องการแผ่นดินจริงๆ!
เพียงแต่ เขารู้ถึงความทรมานในช่วงเวลานี้ของหนิงเส่าเฉิน อ้าปาก แต่ในที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไร เสียแผ่นดินไป อย่างมากก็แค่โจมตีกลับคืนมา เสียสาวสวยไป ก็เป็นเรื่องยาก…..
เย่หลินนั่งพักอยู่บนเก้าอี้ ตามเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป ในใจก็ยิ่งรู้สึกเป็นกังวล เวลานี้ คาดไม่ถึงว่าเธอจะกลัวว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่สนใจเธอ
จนกระทั่ง “คุณนายหนิงใช่ไหมครับ? ฉันคือคนที่ท่านประธานหนิงส่งให้มารับคุณ” เสียงดังมาจากด้านบนศีรษะ
เย่หลินหันไปมองคนแปลกหน้าที่อยู่ตรงหน้า เธอถอยหลังไปเล็กน้อย “คุณ….คุณจะสามารถพิสูจน์ได้ยังไงว่าคือหนิงเส่าเฉินส่งมา? ” เธอกลัวว่าคุณน้าจะส่งคนเข้ามา
คนคนนั้น เอาวีแชตส่งให้เย่หลิน
พอมือสัมผัสมือถือ ก็มีเสียงของหนิงเส่าเฉินดังมาจากด้านใน: “เชื่อฟัง คุณตามเข้าไปก่อน เย็นๆ ฉันจะไปถึง”
คำพูดง่ายๆ ประโยคหนึ่ง น้ำเสียงที่คุ้นเคย ทำให้ความน้อยใจภายในใจของเย่หลินขยายตัวในชั่วพริบตา เธอสะอื้นไห้เล็กน้อย “อืม โอเค! ”
ต่อจากนั้น คนนี้ก็พาเธอไปในคฤหาสน์ที่ชานเมืองแห่งหนึ่ง คฤหาสน์ไม่ใหญ่ แต่มีข้าวของครบครัน พอเธอมาถึง ก็มีคนเข้ามาต้อนรับ “คุณนาย คุณทานอาหารก่อนไหม? ”
เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็หิวแล้วจริงๆ คุณน้ากลัวว่าเธอจะหนี จึงไม่ให้มีเงินติดตัวเลย ดังนั้น ตั้งแต่เช้าที่ออกมาจนถึงตอนนี้ 7-8ชั่วโมงแล้ว เธอก็หิวจริงๆ
เมื่อเห็นอาหารที่อยู่บนโต๊ะ เย่หลินก็ขอบตาแดงก่ำ อาหารทุกอย่าง ล้วนเป็นอาหารที่เธอชอบที่สุด
เธอทานข้าวเสร็จ คนเหล่านั้นก็นำเสื้อผ้ามาให้เธอ “คุณนาย คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ จะได้พักผ่อนสักครู่ ห้องอยู่ชั้นบน ทางด้านขวามือ”
เย่หลินพยักหน้า รับเสื้อผ้ามา แล้วขึ้นไปชั้นบน โทนสีดำขาวเทา เธอชื่นชอบ พอเข้าไปในห้องน้ำ แชมพูและเจลอาบน้ำก็เป็นแบรนด์ที่คุ้นเคย ชุดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ก็เป็นแบรนด์ที่เธอใช้ประจำ แม้กระทั่งยาสีฟันก็เป็นตัวที่เธอชื่นชอบ
เธอยืนอยู่ข้างประตู ไม่ขยับตัวอยู่นาน เธอไม่เคยรู้เลยว่า ที่แท้ ผู้ชายคนนี้จะเข้าใจเธอดีขนาดนี้ เธอไม่เคยรู้เลยว่า เขาจะโปรดปรานตนเองขนาดนี้
โปรดปรานถึงขั้นที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็สามารถจดจำได้อย่างชัดเจน
อาบน้ำสักเล็กน้อย แล้วก็เอนกายลงบนเตียง ใจที่เป็นกังวล จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลงมา
ผ่านไปไม่นาน เย่หลินก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป จนกระทั่ง ข้างๆ ที่นอนจมลง กลิ่นร่างกายที่คุ้นเคย เข้ามาสู่จมูก เธอไม่ได้ลืมตา แต่ยื่นมือทั้งสองออกไป โอบเอวของอีกฝ่ายไว้แน่น สูดดมกลิ่นอายที่เป็นของเขาอย่างตะกละตะกลาม
ทุกสิ่งทุกอย่างต่อจากนั้น ก็เป็นขั้นเป็นตอน ไม่มีความอ่อนช้อย ไม่มีความสงบเสงี่ยม…….
สีหน้าเกาไห่ไม่ค่อยดี “คุณเข้าไปเถอะ เพียงแต่ว่า ถ้า……” เขาหยุดไปชั่วขณะ “ถ้าหาก เธอความจำเสื่อมจริงๆ ……ฉันหวังว่า คุณจะไม่บอกความจริงกับเธอนะ”
ซูหย่าจ้องมองเกาไห่อยู่ชั่วครู่ บนใบหน้าของเขาไม่ปรากฏท่าทีโกหก เธอกลับไปเกือบจะวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องผู้ป่วย
เล่อจยาเห็นซูหย่า ก็คิ้วขมวด “คุณ……คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ” ความแปลกหน้าในดวงตาคู่นั้นทำให้หัวใจของซูหย่าจมลง
ซูหย่าเดินเข้าไปนั่งข้างๆ เตียง ดึงมือเธอมา “เล่อจยา คุณจำฉันได้ไหม? ฉันเสี่ยวหย่าไง”
เล่อจยาดึงมือกลับ มองซูหย่า แม้เธอจะรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แต่ว่าเธอยังคงจำได้ ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอ แต่เป็นคนคนละโลกกับเธอ ได้ยินว่าตระกูลเธอเป็นคนมีเงิน มีอำนาจ ด้วยเหตุนี้ เธอเป็นคนเย่อหยิ่ง ยโสโอหังอย่างมาก สัญชาตญาณของเล่อจยาบอกว่าไม่ค่อยชอบเธอ
เพียงแต่ว่าก็แปลกมาก เธอรู้สนิทสนมกับเธออย่างบอกไม่ถูก
ซูหย่ามองสองมือที่ว่างเปล่า โค้งตัวลงไปกอดเล่อจยา “ยัยบ๊อง คุณลืมฉันได้อย่างไร คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร……” เธอร้องไห้โฮออกมา
เล่อจยารู้สึกว่าเสื้อด้านหลังเธอค่อยๆ เปียกชื้นขึ้นมา เธอสูดลมหายใจ “ซูหย่า เรา……คุ้นเคยกันมากเลยเหรอ? ”
เธอคิดๆ ดูเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมฉันเดียวกัน แต่ว่าเคยพูดคุยกันก็นับครั้งได้เลยไม่ใช่เหรอ?
กอดเธอร้องไห้อย่างนี้ อารมณ์ความรู้สึกนี้……
ซูหย่าทำอะไรไม่ถูก นี่ต้องเริ่มทำให้”ได้รับ”ความชื่นชอบจากเธออีกครั้งใช่ไหม?
คิดๆแล้ว เธอก็ปล่อย “เอ่อ คุณรอเดี๋ยวนะ ฉันจะออกไป แล้วเดี๋ยวจะเข้ามา”
มองซูหย่าวิ่งออกไปข้างนอก เล่อจยาก็ดึงผ้าห่มมาคลุมหัว สับสนเล็กน้อย นี่มันอะไรกัน ตื่นขึ้นมา เกาไห่ชายในฝันของเธอ จู่ๆ ก็สวมชุดนอนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเธอ ผู้หญิงที่เธอไม่ชอบ ก็มากอดเธอ ร้องไห้ปานจะขาดใจ เพียงแต่หัวที่ปวดขึ้นมา ทำให้เธอคิดไม่ออก ก็เลยได้แต่หลับตาลงหลับไปอีกครั้ง บางทีตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกๆ อย่างอาจจะกลับมาเป็นปกติ
เกาไห่ไม่ได้ไปไหน เขาเห็นซูหย่าออกมาเหมือนอย่างที่คาดไว้ ก็เลยไม่ได้ตกใจ มือเขาล้วงกระเป๋ากางเกงข้างหนึ่ง เดินเข้าไปหาเธอ รูปร่างสูงใหญ่ ดูสง่าและสุขุม ต้องยอมรับว่า ผู้ชายตรงหน้า ดีที่สุดแล้วจริงๆ มิเช่นนั้น เล่อจยาจะรอเขามานานขนาดนั้นเหรอ
เธอสูดลมหายใจเข้า ยืนอยู่ตรงหน้าเกาไห่ “ประธานเกา ฉันมีเรื่องจะขอร้องคุณ”
เกาไห่พยักหน้า
“ที่เล่อจยาความจำเสื่อม ฉันคิดว่า เธอคงสะเทือนใจจนรับไม่ไหวอย่างแน่นอน หลายปีมานี้ เธอกับพ่อต่างพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อพ่อของเธอแล้ว เธอยอมทิ้งหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง แน่นอนในใจเธอก็รับไม่ได้ที่คุณลุงเป็นอย่างนี้ จึงได้เกิดการสูญเสียความทรงจำไป” ชั่วขณะ เธอก็บอกใบ้ให้เกาไห่นั่งลงที่โซฟาข้างๆ แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เธอได้รู้จักเล่อจยาในหลายปีที่ผ่านมา ค่อยๆ เล่าออกมา……
เกาไห่ก็ประหลาดใจตลอด แล้วก็รู้สึกสงสาร……
“คุณคงจะแปลกใจมากสินะ ที่ถูกผู้หญิงคนหนึ่งชอบมาหลายปีแบบนี้ ประธานเกา ฉันไม่สนใจว่าคุณจะมีทัศนคติอย่างไรต่อเล่อจยา แต่ว่า เธอ….เป็นผู้หญิงที่ดีมากคนหนึ่งจริงๆ ฉันหวังว่า ถึงแม้คุณจะไม่ชอบเธอ คุณก็อย่าทำร้ายเธอเลย แม่เธอเป็นบ้า พ่อเธอก็ตายไปแล้ว น้องชายคนนั้นคุณก็เห็น เป็นพวกเดนมนุษย์ไปแล้ว หลายปีก่อน ที่เปิดร้านอาหารริมทาง เพื่อนร่วมรุ่นดีๆ หลายคน ก็ค่อยๆ ห่างเหินกับเธอ ข้างกายเธอ น่าจะเหลือเพียงแค่ฉัน ดังนั้น จึงอยากขอร้องคุณว่า อย่าโหดร้ายกับเธอจนเกินไป”
ซูหย่าพูดพลาง ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับกับเกาไห่
เกาไห่พิจารณาผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า สวย นิสัยดี มองดูการแต่งตัวแล้ว ชัดเจนว่าเหมือนกับคนละโลกกับซูหย่าเลย อีกทั้งเมื่อวานที่เขาจะไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้พ่อเกา คนทางด้านนั้นก็บอกเขาว่า ซูหย่าจ่ายให้แล้ว
แล้วก็ ครั้งที่แล้วที่ไปร้านอาหาร เรื่องที่ซูหย่าช่วยเล่อจยาเก็บทำความสะอาดร้าน ความคล่องแคล่วนั้น สามารถมองออกว่า เธอเข้ามาช่วยที่นั่นอยู่บ่อยๆ คนสองคนต่างกันโดยสิ้นเชิง เขาแปลกใจจริงๆ ว่า เพราะอะไรที่ทำให้พวกเธอ โอบกอดความรักความผูกพันแบบนี้เอาไว้ได้
“คุณซู รู้จักกับเล่อจยาได้อย่างไร? ” ในที่สุด เกาไห่ก็กล่าวถามออกมา
ซูหย่าตกตะลึงเล็กน้อย ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอจึงตอบกลับว่า: “เธอช่วยชีวิตเอาไว้ เธอทำให้ซาบซึ้งใจ จึงคิดว่าจะทำดีกับเธอไปชั่วชีวิต” เธอพูดอย่างเรียบๆ สองสามคำ แต่ทำให้ภายในใจของเกาไห่อดไม่ได้ที่จะชื่นชมซูหย่าอย่างมาก
“ในยุคสมัยนี้ คนที่รู้จักบุญคุณคนมีไม่มาก คุณซูเป็นคนที่หาได้ยากจริงๆ ” เขาชื่นชมจากใจจริง แต่สีหน้าของซูหย่าเปลี่ยนไปในทันที เธอขมวดคิ้ว จ้องมองเกาไห่ “คุณ….คุณจะมาชอบฉันไม่ได้นะ ฉัน…..ฉันไม่มีทางหักหลังเล่อจยาเด็ดขาด”
เกาไห่ยิ้มมุมปาก ลุกขึ้นยืน เขาส่ายหน้ากับซูหย่า “คุณซู มั่นใจตัวเองเกินไปหน่อยแล้ว ประโยคต่อไปของฉันยังไม่ทันพูดจบ ถึงแม่ว่าคนที่รู้บุญคุณคนจะหาได้ยาก แต่คนที่สละชีวิตเพื่อช่วยเหลือคน ก็ยิ่งน่าสรรเสริญ”
พูดจบ เขาก็หันหน้ากลับ มองไปยังห้องที่ปิดอยู่ คล้ายกับพูดพึมพำกับตัวเองว่า: “บางที ฉันก็ควรจะเรียนรู้จากคุณ ที่จะดีต่อเธอไปชั่วชีวิต”
ตอนแรกซูหย่าก็ไม่เข้าใจ ต่อมาได้สติ เธอก็ปิดปาก มองเกาไห่ ชี้ไปที่เขา แล้วเดินวนรอบ “เกา…..คุณ…คุณชอบเล่อจยาเหรอ? ”
ใบหน้าเกาไห่แดงระเรื่อ กระแอมเบาๆ “ก็อาจจะ”
ก่อนหน้านี้เกาไห่ก็รู้สึกว่าตนเองรู้สึกดีกับผู้หญิงคนนี้เล็กน้อย แต่ก็ไม่แน่ใจว่า นั่นคือชอบหรือไม่ แต่ว่า หลังจากได้ยินซูหย่าเล่าเรื่องของเล่อจยาเมื่อหลายปีมานี้ น้ำแข็งก้อนนั้นที่ปกคลุมภายในใจของเขา ก็ละลายไปโดยสิ้นเชิง เขาประหลาดใจอย่างมาก เขาไม่เคยคิดเลยว่า คนคนหนึ่งที่ไม่ได้มีชื่อเสียง จะมีผู้หญิงคนหนึ่ง จะเคยพยายามเพื่อเขา มุ่งมั่นยืนหยัดเพื่อเขาขนาดนั้น
นึกถึงเวลานั้น ที่ตนเองทำเพื่อเกาเหวิน ผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตแบบนั้น และช่วงเวลาแห่งความทุกข์ผ่านพ้นไป เขาก็อยากได้ชีวิตกลับคืนมาใหม่อีกครั้ง
จู่ๆ ซูหย่าก็คล้ายกับว่านึกอะไรได้ หยิบมือถือจากในกระเป๋าออกมา เลื่อนเปิดในทันที หลังจากนั้นก็ส่งให้เก่าไห่ “คุณดู……”
เกาไห่มองซูหย่า แล้วลดสายตาลง ใบหน้าที่สวยงามปรากฏขึ้นตรงหน้า ผู้หญิงที่อยู่ในรูปเอามือเท้าคางจ้องมองตาแป๋ว ขมวดคิ้วที่งดงาม เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ มีความกังวลเล็กน้อยบนใบหน้ารูปไข่ที่ละเอียดงดงามของเธอ ผมที่ยาวราวกับน้ำตก สวมใส่ชุดกระโปรงสีไม่ฉูดฉาด ใบหน้าได้มาตรฐาน สวยงามอย่างมาก เพียงแต่ เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เธอไม่ค่อยมีความสุข
“นี่คือ…..? ” ซูหย่าอวดอย่างภูมิใจ “สวยไหมล่ะ? สวยกว่าฉันไหม? ”
เกาไห่ขมวดคิ้ว “หมายความว่าอะไร? ”
“หมายความว่า ถ้าคุณชอบเธอนะ คุณก็ได้รับของที่ล้ำค่าแล้ว เพราะว่าเล่อจยา เธอเป็นคนที่มีศักยภาพ คุณดูสิ ในปีนั้น เธอทำเพื่อคุณ นี่คือรูปร่างหน้าตาหลังจากลดน้ำหนักแล้ว แต่ว่า….ปีนั้น คุณเกิดเรื่อง”
เกาไห่อ้าปากค้าง กลิ้งลูกกระเดือกขึ้นลง ในใจแปลกใจจริงๆ สีหน้าของเขาจึงงุนงงในทันที
เมื่อเล่อจยาได้ยินเสียงนี้ ก็หันกลับไปอย่างเชื่องช้า มองหาที่มาของเสียง จากนั้นก็ปิดปาก กรีดร้องออกมา”พ่อ……” แล้วรีบวิ่งไปที่ถนน
เมื่อเห็นรถคันหนึ่งวิ่งเข้าหาเธอ เธอยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ชั่วพริบตาก็ถูกคนคนหนึ่งนำมาไว้ในอ้อมกอด
“คุณอยากตายเหรอ? ไม่เห็นรถหรือไง? ” เกาไห่แผดเสียงอยู่ข้างๆ หูเธอ
เล่อจยาเงยหน้ามองเขา จะร้องไห้ ทว่าไม่ได้พูดอะไรมาก หันกลับไป เดินเบียดเสียดฝูงชน เลือดแดงฉาน มันบาดตาจนเล่อจยาไม่สามารถลืมตาได้ เธอคุกเข่าลงตรงหน้าพ่อเล่อ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าควรจะวางมือไว้ที่ไหน
“พ่อ……พ่อ……” เธอตะโกนเรียกเบาๆ น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ตอบกลับอีกแล้ว
เกาไห่คุกเข่าข้างหนึ่งลง เอามือแตะที่จมูกพ่อเล่อ จากนั้นก็ส่ายๆ หัวกับเล่อจยา “เสียใจด้วย”
ฉับพลันโดยรอบก็มีเสียงอื้ออึงขึ้น
ได้ยินเสียงวัยรุ่นคนหนึ่ง ล้มลงบนพื้น ในปากบ่นพึมพำว่า “เขาวิ่งออกมาได้อย่างไร ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันไม่ได้ตั้งใจชนเขานะ”
เล่อจยามองไปที่พ่อของเขาที่ยังพูดคุยกันอยู่เมื่อกี้ แต่เวลานี้ต้องพรากจากกันอย่างไม่มีวันได้เจอกันอีกแล้ว เธอแปลกใจมากที่ไม่มีน้ำตาเลย เธอกัดริมฝีปาก ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันกลับฝ่าฝูงชนออกไป แต่ว่าไม่เห็นเล่อเหวินแล้ว เธอหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง มีความเกลียดชังและความเสียใจอยู่ในแววตา
ถ้ารู้อย่างนี้ เมื่อกี้เธอจะไม่ทะเลาะกับพ่อเลย แล้วก็จะไม่บังคับให้เขาโทรหาเล่อเหวิน บางทีอาจจะไม่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น
ต่อจากนั้นเล่อจยาก็หมดสติไป
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฝ้าเพดานที่สวยงาม โคมไฟระย้าที่สวยหรู นี่มัน……ที่ไหนกัน?
เสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นก็มีร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินมาหาเธอ
มุมปากเล่อจยายกยิ้มขึ้นอย่างสวยงาม เธอต้องฝันไปแน่ๆ มิเช่นนั้น จะเห็นเกาไห่ในชุดนอนได้อย่างไร?
จนกระทั่งบนหน้าผากมีมืออุ่นๆ มาปกคลุม เธอจึงตกใจ นี่ไม่ใช่ความฝัน
ใบหน้าที่ขาวผ่องของเธอแดงขึ้นมาทันที กลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เกา……เกาไห่? คุณ……ฉัน……ที่นี่ที่ไหนเหรอ? ”
เกาไห่มองเธอ “ตัวไม่ร้อนแล้ว ดูเหมือนว่าสมองก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”
พูดจบ เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“หิวไหม? ”
เล่อจยาพยักหน้า “หิว”
ต่อจากนั้นเกาไห่ก็ยกโจ๊กกับเครื่องเคียงมาให้เล่อจยา “ทานอาหารอ่อนๆ ไปก่อน เพื่อรองกระเพาะ หมอบอกว่า คุณเพิ่งฟื้นจากหมดสติ ไม่สามารถให้ทานอะไรมากมายได้”
เล่อจยาพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้ว “คุณ……คุณบอกว่าฉันหมดสติเหรอ? ”
เกาไห่ตกตะลึง หรี่ตามองเธอ “อย่าบอกฉันนะว่า คุณไม่รู้ว่าทำไมตนเองถึงหมดสติไป? ”
เล่อจยาเงยหน้าขึ้นมองเขา จู่ๆ เธอก็หัวเราะออกมา “เมื่อวานฉันช่วยคุณที่ถูกพวกอันธพาลนั้นหาเรื่อง ก็เลยถูกตีใช่ไหม? ฉะนั้น ฉันเลยหมดสติไป”
มือของเกาไห่ที่กำลังจัดโต๊ะอยู่ชะงัก เขาหันกลับไปมองเล่อจยาทันที “พวกอันธพาลอะไร? ”
เล่อจยาตักโจ๊กข้าวฟ่างบนโต๊ะมาเป่าให้เย็น แล้วป้อนเข้าปาก “ไอ๋หยา ไม่ต้องเกรงใจหรอก ถึงอย่างไรคนอื่นก็ไม่รู้ อีกอย่าง……ก็ไม่ต้องอายหรอก” พูดจบ ก็ตักโจ๊กเข้าปาก แล้วพูดพึมพำว่า : “เพียงแต่ว่า ฉันจำได้ว่าฉันจัดการจนพวกเขาวิ่งหนีไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงหมดสติไปได้ล่ะ? น่าจะไม่ได้ออกกำลังกายนาน ดังนั้นความแข็งแรงของร่างกายจึงไม่ค่อยดี”
พูดจบ ก็กินโจ๊กที่ก้นชาม แล้ววางชามลง ดึงกระดาษทิชชูมาเช็ดปาก เงยหน้าขึ้น พบว่าเกาไห่กำลังจ้องมองเธออยู่ ใบหน้าแดงก่ำ “คุณ…..ทำไมคุณมองฉันอย่างนั้นล่ะ? ”
ความจริงคือเกาไห่ตกตะลึง ช็อกกับเรื่องสองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือ ผู้หญิงคนนี้ คล้ายกับจะลืมเรื่องที่สลบไปก่อนหน้านี้ และเรื่องการตายของพ่อเธอ
แล้วอีกเรื่องหนึ่ง คือ….เรื่องที่เธอบอกว่าจัดการกับอันธพาลเหล่านั้น ใน…..ความทรงจำของเขา เหมือนกับว่าจะมีช่วงเวลานี้ ตอนนั้นเขาอยู่ปีสี่ เวลานั้น เขาถูกอันธพาลล้อมเอาไว้ แล้วเหมือนกับว่ามีผู้หญิงคนหนึ่ง มาช่วยเขา เพียงแต่เวลานั้น เพราะเกาเหวินเกิดเรื่องเล็กน้อย เขาจึงจากไปโดยไม่ทันได้กล่าวขอบคุณเธอสักคำ
หรือว่า….คือเธอ?
“คุณบอกฉันมาซิว่า วันนี้ คือวันอะไร? วันที่เท่าไรเดือนอะไร? ”
เล่อจยากะพริบๆ ตา คิดๆแล้ว เธอมองไปยังนอกหน้าต่าง กล่าวตอบกลับว่า: “อืม ถ้าเมื่อคืนนอนอยู่ที่นี่กับคุณทั้งคืน อย่างนั้น ตอนนี้ก็คือวันที่23 เดือนกันยายน วันพุธ เมื่อวานคือวันอังคาร ฉันทำงานพาร์ตไทม์ ตอนที่ไปทำงานพาร์ตไทม์ จึงได้พบกับคุณ” เธอพูดอย่างมั่นใจ
เกาไห่มองนาฬิกาข้อมือ ขมวดคิ้ว วันที่23 เดือนกันยายนจริงๆ แต่….เป็นวันเสาร์ เขาจึงกล่าวถามต่อไปว่า: “ปีนี้คุณอายุเท่าไรแล้ว คุณทำงานอะไร? ”
เล่อจยาหัวเราะเยาะ”คิกคัก” “ฉันเป็นนักศึกษา อายุเท่าไร? อันนี้ คุณถามมากไปหน่อยหรือเปล่า? อายุของผู้หญิงล้วนเป็นความลับ” หยุดชะงักเล็กน้อย เธอจึงกล่าวต่อไปว่า: “เพียงแต่ ยกเว้นคุณ ฉันสามารถบอกคุณได้ ฉัน…..ปีนี้ฉันอายุ20เต็ม ย่างเข้า21แล้ว เป็นนักศึกษาชั้นปีที่สอง สาขาการออกแบบสถาปัตยกรรม”
นิ้วมือที่เรียวยาวของเกาไห่ลูบที่หน้าผาก เขาสูดลมหายใจเข้า แล้วก็ถอนหายใจออกอย่างแรง “คุณ….พักผ่อนเถอะนะ ฉันจะไปถามหมอให้มาดูคุณ ว่าคุณจะมีอาการอะไรอีกไหม? ” พูดจบ เกาไห่ก็รีบก้าวเท้าเดินออกไป
การตอบสนองนี้ของเล่อจยา ไม่เหมือนกับการเสแสร้งโดยสิ้นเชิง พ่อก็เพิ่งตายไป เรื่องราวแบบนี้ การตอบสนองแบบนี้ คนปกติไม่สามารถเสแสร้งได้
อย่างนั้น….มันเกิดอะไรขึ้น?
เวลานี้ ซูหย่าเห็นเขาออกมา จึงเดินเข้าไปหา “ประ….ประธานเกา จยาจยาฟื้นแล้วเหรอ? ทางด้านหอฌาปนกิจโทรมา ถามเธอว่าเมื่อไร จะจัดการเรื่องงานศพของคุณลุง”
เกาไห่พยักหน้า “ฟื้นน่ะฟื้นแล้ว”
“อ้อ โอเค อย่างนั้นฉันเข้าไปหาเธอก่อนนะ” ซูหย่าพูดพลาง จะเดินเข้าไปยังด้านใน
“เดี๋ยวก่อน” เกาไห่เรียกให้เธอหยุด
ซูหย่าขมวดคิ้ว หันกลับไปมองเกาไห่ “ประ…..ประธานเกา มีเรื่องอะไรเหรอ? ”
เกาไห่มองซูหย่า ในทันทีก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเธออย่างไร คิดๆแล้ว เขาก็เอ่ยปากถามว่า: “คุณซู คุณรู้จักกับเล่อจยาตั้งแต่เมื่อไร? ”
ซูหย่างุนงงเล็กน้อย ไม่เข้าใจความหมายของเกาไห่ แต่ก็ยังตอบกลับตามความเป็นจริง “อืม พวกเราเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันตอนมหาวิทยาลัย”
“อย่างนั้น คุณก็ต้องรู้จักเขาตั้งแต่มหาวิทยาลัยใช่ไหม? ”
ซูหย่าพยักหน้า ถึงแม้เริ่มแรกจะไม่ค่อยสนิทกับเล่อจยา แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมชั้น ไม่ผิด!
“อย่างนั้น ที่เธอ….เธอเคยช่วยชีวิตฉัน เรื่องนี้คุณรู้ไหม? ”
ซูหย่าได้ยิน สีหน้าก็ดีใจ “จยาจยา เธอบอกคุณเองเหรอ? ”
เกาไห่หันกลับ สูดลมหายใจ แล้วหันตัวกลับ มองซูหย่า กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “คุณซู ฉันสงสัยว่า เล่อจยา เธอความจำเสื่อม”
ซูหย่านิ่งอึ้งไป ต่อจากนั้น เธอก็อดปากกลั้นหัวเราะ “ประธานเกา คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่? ความจำเสื่อมเหรอ? คุณคิดว่าเป็นละครทีวี หรือนิยายเหรอ? ”
เล่อเหวินตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “เดิมทีเขาก็ป่วยอยู่ เล่อจยา คุณอย่ามาโทษฉันได้ไหม? ”
“คุณ……” เล่อจยาโกรธจนแทบกระอักเลือด เพียงแต่ว่าไม่รอให้เธอตอบกลับ สายทางด้านนั้นก็ตัดไป
เล่อจยาหลับตาแล้วลืมตาอีกครั้ง เธอหันกลับไป นำมือถือส่งให้พ่อเล่อ “พ่อ ลูกชายของคุณ” เธอจงใจเพิ่มน้ำเสียงคำว่า”ลูกชายของคุณ”
เห็นได้ชัดว่าพ่อเล่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขาแล้ว สีหน้าไม่ได้ดูดีไปกว่าเล่อจยาเลย ดูย่ำแย่อย่างมาก
จู่ๆ พ่อเล่อก็พูดว่า “จยา พ่อหิวแล้ว คุณไปซื้อของข้างนอกมาให้พ่อกินหน่อยสิ”
เล่อจยามองเขาอ้าปากเล็กน้อย ท้ายที่สุด ก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้า
ซูหย่าตบๆ ไหล่ของเธอ “คุณไปเถอะ ฉันจะอยู่ที่นี่เอง! ”
เล่อจยากอดซูหย่า ระหว่างพวกเธอ พูดขอบคุณมันยังน้อยเกินไป……
หลังจากเล่อจยาไป ไม่ถึงสองนาที พ่อเล่อก็เอ่ยกับซูหย่าว่า : “เสี่ยวหย่า คุณไปซื้อไพ่ให้ลุงหน่อยได้ไหม ฉันอยู่โรงพยาบาลรู้สึกเบื่อๆ ฉันอยากจะเล่นไพ่กับเตียงข้างๆ หาอะไรทำฆ่าเวลาสักหน่อย”
ซูหย่าเลิกๆ คิ้ว ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ เล่อจยาโกรธขนาดนั้น คาดไม่ถึงว่าพ่อเล่อคนนี้ยังคิดจะเล่นไพ่อีกเหรอ?
เพียงแต่คิดดูแล้ว ก็ยังคงพยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ พอดียาอันนี้ก็ฉีดเสร็จแล้ว เช่นนั้นคุณเองก็อย่าเดินไปไหนนะ ฉันจะรีบกลับมา”
เล่อจยาออกจากประตูโรงพยาบาลไป เดินหาของกินที่ปกติพ่อเล่อชอบกินได้สองสามอย่าง เธอกำลังเตรียมจ่ายเงิน มือถือก็ดังขึ้น จึงรับสาย : “ฮัลโหล ซูหย่า……อะ……อะไรนะ? ”
เมื่อเล่อจยาเดินมาถึงโรงพยาบาล ซูหย่าก็ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล เห็นเธอเช็ดๆ น้ำตา “คุณลุงห็ฉันไปซื้อไพ่ให้เขา ฉัน…… ฉันกลับมา เขาก็ไม่อยู่แล้ว เมื่อกี้ฉันถามร.ป.ภ. ร.ป.ภ.บอกว่า เห็นเขาโบกรถแท็กซี่ออกไปแล้ว”
เล่อจยามองไปข้างนอก สูดลมหายใจ “เขาไปหาลูกชายของเขาแล้ว”
เธอเข้าใจพ่อเล่อ ก่อนหน้านั้นเล่อเหวิน คงใช้คำพูดสวยหรูมาหลอกเอาเงินของพ่อเล่อ ตอนนี้พ่อเล่อรู้แล้วว่าลูกชายตนเองมีคุณธรรมขนาดนี้ จะไม่ยกโทษให้เขาอย่างแน่นอน
“ห้ะ? เช่นนั้น จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า? คุณรู้ไหมว่าน้องชายคุณอยู่ที่ไหน? เรารีบตามไปกับเลยไหม? ”
เล่อจยานั่งยองบนพื้น สองมือกุมหัว “ฉันไม่รู้ หลายปีมาแล้ว ไม่ได้เจอเขาเลย”
“เล่อจยา คุณทำใจดีๆ หน่อย ตอนนี้ร่างกายของคุณลุงเป็นอย่างนั้น คุณต้องตามเขากลับมา โทรหาเขาไหม? มีเรื่องอะไร หาเขาเจอแล้ว ค่อยว่ากัน”
เล่อจยาได้ยิน ก็หันมองซูหย่า หยิบมือถือออกมา กดโทรหาพ่อเล่อ แต่ว่า……ปิดเครื่อง
“ขึ้นรถฉัน ฉันจะพาพวกคุณไป”
จู่ๆ ก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น เล่อจยาเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่นั่งอยู่ในรถ เธอลุกยืนขึ้น มองเขา “คุณ……ทำไมคุณยังไม่ไปอีก? ”
“ขึ้นรถ ไม่ได้ต้องการตามหาพ่อของคุณเหรอ? ”
ถึงแม้ว่าซูหย่าจะแปลกใจกับการกระทำของเกาไห่คนนี้ แต่เธอรู้ดีว่าไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ จึงดึงเล่อจยาที่ตกตะลึงอยู่ขึ้นรถไป
“ประธานเกา คุณรู้ได้ยังไงว่าพ่อฉันอยู่ที่ไหน? ”
เกาไห่มองข้างหน้า เอ่ยปากช้าๆ ว่า “เมื่อกี้ฉันอยู่ที่หน้าประตู พอดีเห็นเขาออกมาจากโรงพยาบาล สีหน้าผิดปกติ ฉันก็เลยให้เสี่ยวตงตามไป”
เวลานี้ มือถือของเกาไห่ก็ดังขึ้น จึงหยิบออกมาดู “ส่งตำแหน่งให้แล้ว ไม่ไกล ไม่ต้องกังวล”
เล่อจยามองภาพด้านหลังนั้น ความสับสนอลหม่านก่อนหน้านี้ เวลานี้ จิตใจก็สงบลงไปไม่น้อย
พอได้เห็นจุดหมาย ใจเธอที่เคยหดหู่ ก็มีหวังขึ้นมา
ตอนนี้มีคนรายล้อมอยู่จำนวนมาก เธอไม่ทันรอให้รถจอดสนิท ก็เปิดประตูลงจากรถ แหวกฝูงชนเข้าไป จากนั้น เมื่อเห็นฉากที่อยู่ตรงหน้า เธอก็แทบจะกระอักเลือด
พ่อเล่อคุกเข่าอยู่บนพื้น ดึงชายเสื้อของเล่อเหวิน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่
“พ่อ คุณกำลังทำอะไร? ” เล่อจยาเดินเข้าไป ต้องการจะดึงพ่อเล่อขึ้น เพียงแต่ พ่อเล่อสะบัดมือของเธอออก แล้วยังคงดึงเล่อเหวินเอาไว้: “เสี่ยวเหวิน คุณบอกพ่อสิว่า เงินก่อนหน้านี้ของคุณ ใช้หนี้ไปหมดแล้วหรือยัง? ”
เล่อเหวินที่ถูกพ่อเล่อดึงเอาไว้ สายตาที่มองไปข้างหน้า ก็เอียงหน้าหนี ใบหน้าหงุดหงิดรำคาญ “ตาแก่ ฉันล่ะเบื่อจริงๆ ให้เงินฉันมาแค่นิดหน่อยแค่นี้? คุณต้องเอ่ยถึงมันไปตลอดเลยเหรอ? ”
เล่อจยาฟังถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้ว ดึงเล่อเหวินกลับมา “เงินเล็กน้อย? เล่อเหวิน คุณคิดว่าเงินตั้งหลายล้านเป็นเงินเพียงเล็กน้อยอย่างนั้นเหรอ? ”
เล่อเหวินมองเล่อจยาตั้งแต่หัวจรดเท้า กล่าวถามอย่างไม่เกรงใจว่า: “ป้า คุณโผล่มาจากไหนเนี่ย? เรื่องของครอบครัวเรา คุณมายุ่งอะไร? ”
คำว่า”ป้า”คำนั้นแทบจะทำให้เล่อจยาเลือดพุ่ง เธอมองๆ ตัวเอง ถอนหายใจอย่างแรง ยืดตัวขึ้นแล้วตบลงไปบนหัวของเล่อเหวินอย่างแรง “ป้าใช่ไหม? ได้เลย วันนี้ฉันจะเป็นป้าของคุณสักครั้งหนึ่ง”
เล่อจยาพูดจบ งอเข่าขวา แล้วก็ยืดออก ใช้กำลังเตะเล่อเหวิน เกาเหวินที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ต้องใช้ความพยายามที่จะยืนให้มั่นคง ไม่เช่นนั้นก็จะล้มลง
เขาชี้หน้าเล่อจยา “มึง….คาดไม่ถึงว่ามึงจะกล้าเตะกู? ตั้งแต่เล็กจนโตแม่กูยังไม่กล้าตีกูเลย มึง…..”
เล่อจยาเดินเข้าไป ดึงคอเสื้อของเขา “ก็เพราะแกมีแม่เลวๆ ยังไงล่ะ ถึงได้สั่งสอนให้แกเป็นพวกเดนมนุษย์แบบนี้” เล่อเหวินสูงร้อยแปดสิบกว่า เล่อจยาต้องเขย่งเท้าถึงจะสามารถดึงคอเสื้อของเขาได้
ดังนั้น ในเรื่องของความแข็งแรง ก็ยังแตกต่างกันอย่างมาก
“มึงด่าแม่กูเหรอ? กู…..กูจะจัดการมึง” ถึงแม้เล่อเหวินจะไม่ได้เรื่อง แต่ก็กตัญญูกับแม่ของตัวเองอย่างมาก เวลานี้ ได้ยินเล่อจยาด่าแม่ของเขา ก็โมโหเดือดดาล ยกมือขึ้น จะตบเล่อจยา
เพียงแต่ ช่วงเวลาสั้นๆ มือของเขา ก็ถูกมือใหญ่มือหนึ่งจับเอาไว้แน่น
เล่อจยาเงยหน้า พอดีกับที่เกาเหวินมองมาพอดี เธอสั่นสะท้านเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยเล่อเหวิน ถอยหลังไปสองก้าว “ประธานเกา…..”
“ตบผู้หญิง คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า? ” เกาไห่ไม่ตอบรับเล่อจยา แต่เอ่ยปากสั่งสอนเล่อเหวิน
เล่อเหวินเห็นอารมณ์ที่ไม่ดีของเกาไห่ แล้วเมื่อกี้ก็ได้ยินเล่อจยาเรียกเขาว่าประธานเกา ทันใด ในใจก็หวาดกลัวเล็กน้อย “คุณ…..คุณเป็นใคร? ” พูดจาติดอ่างเล็กน้อย
คนหลายคนพุ่งความสนใจไปยังจุดจุดเดียว ขณะเดียวกัน ไม่มีใครได้ทันสังเกตว่าพ่อเล่อลุกขึ้นยืนแล้ว เดินไปยังกลางถนน
ซูหย่าที่อยู่ในรถได้รับโทรศัพท์ เธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคุ้นๆ ต่อจากนั้น ก็ได้ยินเสียงจากข้างๆ ที่อยู่ไม่ไกล เบรกรถเสียงดัง”เอี๊ยด”
เธอเงยหน้ามองพ่อเล่อ ปากสั่นด้วยความโกรธ “พ่อ คุณบอกว่าเสี่ยวเล่อเอาไปเหรอ? เงินมากมายขนาดนั้น เอาไปหมดเลยเหรอ? ”
พ่อเล่อเงียบ เพียงแต่สองมือจับผ้าห่มไว้แน่นแล้วพูดว่า “จยาจยา เสี่ยวเล่อเป็นลูกแท้ๆ ของฉัน เราไปตรวจดีเอ็นเอกันมาแล้ว”
“ตรวจดีเอ็นเอแล้ว? เป็นลูกแท้ๆ ของคุณ ฉะนั้น คุณก็ต้องให้เงินเขาหมดเลยใช่ไหม? ” เล่อจยาตะคอกเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้น อดไม่ได้ที่จะน้อยใจจนน้ำตาไหลออกมา
“อย่างนั้นฉันล่ะ? หลายปีมานี้ความทุ่มเทของฉัน มันคืออะไร? ในตอนนั้นเสี่ยวเล่อถูกแม่พาไปด้วย ฉันก็ต้องใช้หนี้ให้พวกเขา หลายปีมานี้ ฉันมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไร ก็ไม่มีใครเข้าใจ หรือว่า พ่อก็ไม่เห็น? หลายปีมานี้ พวกเขาไม่ปรากฏตัวเลย พอรู้ว่าบ้านต้องถูกรื้อถอน พวกเขาก็กลับมายอมรับคุณ ได้ เขาเป็นลูกชายของคุณใช่ไหม? อย่างนั้นคุณก็ให้เขามาดูแลคุณเถอะ! ” เมื่อเล่อจยาตะโกนออกมาอย่างเจ็บปวดแล้ว ก็หันกลับออกจากห้องผู้ป่วยไป
ซูหย่าเป็นห่วงสุขภาพพ่อเล่อ คิดอยากจะตามเธอไป แต่นึกดูแล้ว ก็ยังคงอยู่ต่อ
“คุณลุง คุณก็ไม่ยุติธรรมกับเล่อจยาจริงๆนะ คุณรู้ไหม? เพื่อคุณแล้ว ในตอนนั้นเธอยอมทิ้งงานที่ชอบ ทิ้งอนาคตดีๆ แบบนั้นไป คุณทำกับเธออย่างนี้ได้อย่างไร? ” ในฐานะที่เป็นเพื่อนเล่อจยามาหลายปี ซูหย่ารู้ว่าเล่อจยามีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรในหลายปีมานี้
พ่อเล่อนอนอยู่บนเตียงร้องไห้ไม่หยุด เป็นเวลานาน จึงเงยขึ้นพูดว่า : “แต่ฉันไม่สามารถเห็นเสี่ยวเล่อถูกคนไล่ฆ่าได้! ”
ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “เช่นนั้นคุณก็เลยทำอย่างนี้กับเล่อจยาเหรอ? ”
เล่อจยาไม่ได้ออกจากโรงพยาบาล แค่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวยาวใต้ทางเดินโรงพยาบาล กอดเสาร้องไห้โฮออกมา แม้แต่คนที่เดินผ่านไปมาก็มองมาที่เธอ แต่เธอไม่ได้สนใจ
เธอไม่เคยรู้เลยว่า พ่อที่แสนดีกับเธอขนาดนั้น เดิมทีก็ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว จนถึงขั้น ในใจของเขาไม่มีลูกสาวอย่าเธอคนนี้อยู่เลย
นึกถึงตรงนี้ เธอก็ยิ่งเสียใจร้องไห้หนักขึ้น
นั่งอยู่ข้างนอกตลอดจนเกือบจะมืด เธอร้องไห้จนไม่มีน้ำตาแล้ว
ได้ยินเสียงเรียก”เล่อจยา” เล่อจยาจึงเงยหน้าขึ้น เห็นเกาไห่ยืนพิงอยู่ข้างรถ เสื้อคลุมสีควันบุหรี่ รูปร่างที่สูงใหญ่ ทำให้เขาดูสะดุดตาแม้ในตอนกลางคืน คนที่เดินผ่านไปมา ก็ต้องมีคนหยุดชำเลืองมอง
เธอใจลอยเล็กน้อย คิดว่าตนเองเห็นภาพหลอน จึงขยี้ๆ ตา เธอค่อยลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้า เห็นว่าเป็นเกาไห่ จึงก้มหน้าพูดเบาๆ ว่า : “ประ……ประธานเกา คุณมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ”
เกาไห่หรี่ตามอง เดินไปข้างหน้า ภาพเงานั้นก็แผ่คลุมร่างของเล่อจยา “เงยหน้าขึ้น”
เล่อจยาส่ายหัว เดิมทีก็น่าเกลียดพอแล้ว เมื่อสักครู่นี้ร้องไห้ขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าจะน่าเกลียดขนาดไหน เธอให้เกาไห่มาเห็นตนเองน่าเกลียดแบบนี้ได้อย่างไร
“บอกฉันมา ท้ายที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้น? จึงทำให้คุณร้องไห้นานขนาดนั้น? ”
รอยยิ้มลูกสาลี่นั้นปรากฏตรงหน้าเกาไห่ เขาไม่ชอบให้เธอร้องไห้ แล้วก็ไม่ชอบการแสดงออกที่หมดหวังในชีวิตของเธอ เขาเห็นแล้วหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก
เลิ่จยาขมวดคิ้ว ถามกลับไปว่า : “คุณ……คุณรู้ได้อย่างไร? ”
“คุณตอบมาก่อน ว่าเกิดอะไรขึ้น? ”
เล่อจยาส่ายหัว เรื่องน่าอับอายขายหน้าในบ้านไม่สามารถแพร่งพรายออกไป ไม่ว่าพ่อจะไม่ยุติธรรมกับเธออย่างไร ก็เป็นพ่อของเธอ เธอไม่อยากบ่นว่าต่อหน้าคนอื่น อีกอย่าง ยังเป็นต่อหน้าเกาไห่คนที่หมายปองด้วย
“ขอบคุณประธานเกาที่เป็นห่วง ไม่มีธุระอะไร ฉันไปก่อนนะ” เล่อจยากลัวว่าขืนอยู่ต่อไป ตนเองจะร้องไห้อีก เพราะรู้สึกน้อยใจเหลือเกินที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม จนกระทั่งเธออยากจะระบายความในใจกับใครสักคน
เล่อจยาถูกดึงแขนเอาไว้ “โครงการนั้นที่เมืองW คุณเป็นกุญแจสำคัญอย่างมาก ดังนั้น ฉันไม่ยอมให้ปัญหาส่วนตัวของตัวคุณเองมาส่งผลกระทบต่องาน ดังนั้น ฉันมีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าตอนนี้คุณเจอปัญหาอะไร? ”
เล่อจยาหยุดชะงักฝีเท้าลง ความอบอุ่นที่เหลืออยู่ในใจก่อนหน้านี้ เวลานี้ ก็ได้หายไปจนหมดสิ้น “ประธานเกาวางใจได้ ฉันแยกแยะงานกับเรื่องส่วนตัวได้ชัดเจน ฉันจะจัดการปัญหาส่วนตัวให้ได้โดยเร็วที่สุด”
น้ำเสียงของเธอโมโหอย่างมาก พูดจบ ก็แทบไม่ให้โอกาสเกาไห่ได้ตอบกลับ เดินไปยังแผนกผู้ป่วย แต่ขณะหันตัวกลับ น้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง
เห็นเงาด้านหลังที่สะบัดไปนั้น เกาไห่อดไม่ได้ที่จะหันหลังกลับ แล้วทุบไปที่เสาที่อยู่ข้างๆ เขาสาบานได้ เขาเพียงแค่เป็นห่วงเธอ เท่านั้น!
มิน่าล่ะ เสี่ยวตงถึงบอกว่าเขาอีคิวต่ำ
เขาอยากจะไล่ตามไป แต่ก็กลัวว่าเธอจะเข้าใจผิด คิดๆ แล้ว จึงตามเธอไปห่างๆ เห็นเธอขึ้นไปชั้นบน พอเห็นเธอเข้าห้องผู้ป่วยไปแล้ว เขาที่อยู่นอกห้องผู้ป่วย จึงมองไปยังด้านใน แล้วก็มองด้านนอกห้องผู้ป่วย ดูชื่อหมอที่รับผิดชอบที่ติดที่ผนัง หลังจากนั้นก็ไปที่ฝ่ายพยาบาล
“รบกวนคุณช่วยหาหน่อยได้ไหม……” เกาไห่รายงานชื่อของหมอ
มาถึงห้องทำงานของหมอ หมอคนนั้นเห็นอารมณ์ที่ไม่ธรรมดาของเกาไห่ ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืน “คุณผู้ชาย คุณมีธุระอะไรเหรอ? ”
“ฉันอยากทราบว่าผู้ป่วยคนนั้นที่อยู่เตียง32 ป่วยเป็นอะไรเหรอครับ? ”
ผ่านไปสิบนาที…..
“คุณหมายถึง เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่นานอย่างนั้นเหรอ? ”
สีหน้าคุณหมอเคร่งขรึม “จากประสบการณ์ทางคลินิกหลายปีของฉัน ผู้ป่วยที่มีอาการแบบนี้ ที่มีชีวิตอยู่ได้นานแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาเองนี่แหละ”
เกาไห่พยักหน้า กำลังจะออกไป หมอที่อยู่ด้านหลังก็เรียกให้เขาหยุด “คุณเป็นคนในครอบครัวของเขาเหรอ? ”
เกาไห่ไม่ได้พยักหน้า แล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้า มองเขา หมอหยิบใบรายการแสดงค่าใช้จ่ายออกมา “อย่างนั้นคุณช่วยนำใบรายการค่าใช้จ่ายนี้ ไปชำระให้เขาด้วย”
หลังจากเล่อจยากลับถึงห้องผู้ป่วย พ่อเล่อก็แทบไม่กล้าจะสบตากับเธอ
“จยา คุณไม่เป็นไรใช่ไหม? เมื่อกี้ฉันลงไปหาคุณ ก็ไม่พบคุณ คุณไปไหนมา? ”
เล่อจยาตบเบาๆ ที่มือของซูหย่า “ซูหย่า คุณมีธุระ คุณก็กลับไปก่อนเถอะ วันนี้ทำให้คุณเสียเวลามามากแล้ว” ท่าทีของเล่อจยาแย่อย่างมาก แต่เธอก็รู้ว่าซูหย่าก็มีธุระ
เวลานี้ พ่อเล่อหยิบมือถือออกมาจากหัวเตียง ต่อส่ายไปยังเสี่ยวเล่อ ต่อหน้าของเล่อจยา
รอสายอยู่นานมาก จึงรับสาย “ฮัลโหล มีเรื่องอะไร? ” ในสายโทรศัพท์มีเสียงการเล่นไพ่นกกระจอกดังแทรกเข้ามา เล่อจยากัดริมฝีปาก แย่งมือถือมา “เล่อเหวิน คุณมาที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย พ่อเข้าโรงพยาบาล”
อีกฝ่ายคล้ายกับลุกขึ้น เสียงการเล่นไพ่นกกระจอกนั้น ก็เบาลงไปไม่น้อย “เขาเป็นอะไร? ”
“เล่อเหวิน เขาคือใคร? ”
เล่อเหวินมองมือถือ “เล่อจยา คุณอย่ามาแสดงท่าทีเหมือนกับเป็นผู้ปกครอง จะได้ไหม? คุณก็อายุมากกว่าฉันแค่สองปี”
“ฉันถามคุณว่า เขาคือใคร? ” เล่อจยาพูดซ้ำอีกครั้ง
“คุณว่ามาเถอะ ว่าตกลงคิดอะไร? ” เล่อเหวินหงุดหงิดอย่างมาก
“คุณเอาเงินค่ารื้อถอนของพ่อไปใช้หนี้ใช่ไหม? เล่อเหวิน คุณรู้ไหมว่า เพราะพ่อเอาเงินไปให้คุณจนหมด เขาจึงต้องหยุดยาของตัวเอง ตอนนี้ เพราะคุณ เขาจึงต้องเข้าโรงพยาบาล คุณยังเป็นคนอยู่ไหม? ” เล่อจยาพูดถึงตรงนี้ ก็แทบจะร้องตะโกนออกมา
หนิงเส่าเฉินแก่กว่าเกาไห่สองสามปี ฉะนั้น แม้ว่าเขากับเย่หลินจะมีความสัมพันธ์แบบนี้ก็ตาม ระหว่างทั้งสองคน ได้เรียกชื่อซึ่งกันและกันมาตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่หนิงเส่าเฉินเรียกเขาว่าพี่ ชั่วขณะเกาไห่ก็รับไม่ได้
“คุณตาให้เวลาฉันสิบวันในการให้คำตอบเขา เขาบอกว่าถ้าฉันจัดการไม่ได้ เขาอาจจะมีวิธีการบางอย่างของเขา……” หนิงเส่าเฉินหลับตา ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง “ฉันกังวลว่า ถ้าสิบวันแล้ว ฉัน……”
หนิงเส่าเฉินรู้ว่า ถ้าพ่อไม่ฟื้นขึ้นมา ด้านหนึ่งก็เป็นแม่กับน้องสาวแล้วยังมีคนของตระกูลหนิง อีกด้านหนึ่งก็เป็นคนที่เขารัก เขาจนปัญญาที่จะบอกได้ว่าจะทิ้งสิ่งไหน เลือกสิ่งไหน?
“นิสัยเย่หลินเราก็รู้ดี มิตรภาพที่เธอมีต่อคุณ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปง่ายๆ ขนาดนั้น คุณวางใจเถอะ” เกาไห่เข้าใจคำพูดของหนิงเส่าเฉินผิด
มุมปากของหนิงเส่าเฉินยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่น “ฉันไม่ได้กังวลว่าเธอจะเปลี่ยนไป ฉันอยากฝากคุณไปบอกคุณตาให้หน่อย ว่าถ้าสิบวันแล้ว ฉันไม่สามารถให้คำตอบที่เขาต้องการได้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ฉันหวังว่าเขาจะทำให้เย่หลินมีความสุขได้”
สายตาเกาไห่มองออกไปนอกหน้าต่าง ก้นบึ้งของหัวใจเหมือนถูกอะไรทิ่มแทง รูม่านตาหดลง คิ้วเลิกขึ้น “คุณไม่ยอมเสียเธอไป ฉันก็จะช่วยคุณหาทางออก”
พูดจบ เกาไห่ก็วางสาย ในใจเป็นทุกข์อย่างมาก
เวลานี้ เสี่ยวตงผลักประตูเข้ามา บอกเกาไห่ว่าเล่อจยามีธุระด่วนส่วนตัว ต้องกลับเมืองCก่อน
“บอกไหมว่าธุระอะไร? ” เกาไห่สอบถาม
เสี่ยวตงลูบๆ จมูก “เหมือนว่าฉันจะได้ยินเธอพูดอะไรเกี่ยวกับโรงพยาบาล……คาดว่าใครน่าจะป่วย? ”
เกาไห่นึกๆ ดู “เอาเบอร์เธอมาให้ฉัน”
เสี่ยวตงไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็ยังคงรีบเปิดสมุดรายชื่อ
ต่อสายไปสักพัก เล่อจยาจึงรับสาย “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
“อยู่ไหน? ”
เล่อจยาตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด มองสิ่งก่อสร้างข้างๆ “ตลาดซินตง”
“รอฉันอยู่ที่นั่น”
เล่อจยาไม่รู้ว่าเกาไห่คิดจะทำอะไร แต่ซูหย่าเพิ่งโทรหาเธอเมื่อกี้บอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล แม้ว่าซูหย่าจะไม่บอกสถานการณ์เธออย่างละเอียด แต่ด้วยนิสัยของซูหย่า ถ้าพ่อไม่อาการหนัก เธอจะโทรมาหาเธอในเวลานี้เหรอ
ชั่วขณะก็รู้สึกร้อนใจ
โบกรถเดินขึ้นไปหาที่นั่งข้างหน้าต่าง หยิบโทรศัพท์ส่งข้อความไปหาเกาไห่ “ประธานเกา พ่อของฉันเข้าโรงพยาบาล เรื่องภาพวาดการออกแบบ ฉันจะส่งให้คุณโดยเร็วที่สุด ขอโทษนะ ฉันจำเป็นต้องกลับไปก่อน”
เธอคิดว่าเกาไห่มาหาเธอ เพราะเรื่องภาพวาดการออกแบบ
“พ่อคุณป่วยเป็นอะไร? ‘
เล่อจยาใจลอยไปชั่วขณะ นี่เกาไห่เป็นห่วงตนเหรอ? ฉับพลันใจก็อบอุ่นขึ้นมา ถึงแม้จะรู้ว่า เขาอาจจะถามเป็นมารยาทก็เท่านั้น
“พ่อฉันเป็นเบาหวาน เมื่อกี้เพื่อนฉันโทรมาบอกว่า เขาหมดสติไป รายละเอียดเป็นอย่างไร เธอก็บอกได้ไม่แน่ชัด”
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เกาไห่ก็ไม่ได้ตอบกลับ หลังจากเล่อจยาดูมือถืออยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็กัดฟันนำมือถือใส่กระเป๋าไป ไม่ว่าเธอจะไม่อยากยอมรับมากแค่ไหน แต่ความผิดหวังในใจก็ยังคงมีอยู่
เมื่อถึงโรงพยาบาล ซูหย่าเห็นเธอ สีหน้าก็ไม่ค่อยดีเล็กน้อย
“พ่อของฉันล่ะ? ”
ซูหย่าชี้ไปที่ห้องผู้ป่วยที่อยู่ข้างๆ เล่อจยาพยักหน้า หันตัวกลับกำลังจะเข้าไป แต่ถูกซูหย่าดึงเอาไว้
“จยาจยา คุณลุง……มีภาวะที่ร่างกายเป็นกรด โดยมีระดับนํ้าตาลและคีโตนในเลือดสูง ทำให้หมดสติ คุณหมอบอกว่า ต้องทำการฟอกเลือด”
เล่อจยาตัวสั่นในทันที “หมายความว่ายังไง? ”
ซูหย่าสูดลมหายใจเข้า “หมอบอกว่า ร้ายแรงมาก”
เล่อจยาจับศีรษะยืนอึ้งอยู่กับที่ มือของเธอกำแน่น เม้มริมฝีปากเบาๆ แต่ในสายตาปรากฏน้ำตาที่เอ่อคลอเบ้า “ซูหย่า ทำไมจู่ๆ อาการพ่อของฉันถึงได้รุนแรงขนาดนี้ล่ะ? สภาพก่อนหน้านี้ของเขาก็ชัดเจนว่าดูมีชีวิตชีวาดีมาก คุณก็เห็นนี่”
ซูหย่าเห็นท่าทีที่ร้อนใจของเล่อจยา คิดๆแล้ว จึงเอ่ยปากบอกความจริงกับเธอ “พ่อปิดบังความจริงคุณ “เขาโกหกคุณ ขาดการฉีดยาอินซูลิน! ”
เล่อจยาอ้าปากค้าง ร่างกายของเธอสั่นอย่างรุนแรง ตื่นตระหนกในชั่วพริบตา ต่อจากนั้นก็หันไปเปิดประตู เข้าไปในห้องผู้ป่วย ในห้องมีคนอยู่สองคน พ่อเล่อกำลังคุยกับคนที่อยู่เตียงข้างๆ เห็นเล่อจยาเดินเข้ามา ก็ชี้เธอแล้วพูดว่า: “คุณดู นี่คือลูกสาวของฉัน เก่งมากเลยนะ ตอนนี้เป็นนักออกแบบของเกากรุ๊ป……”
“พ่อ ทำไมคุณถึงขาดการฉีดอินซูลิน? ทำไม? ” เล่อจยาตะโกนเสียงดังไปยังพ่อเล่อ หลายปีมานี้ ต่อให้พวกเขามีความยากลำบากขนาดไหน เธอก็ไม่เคยขาดยาของพ่อ
แต่ว่า ตอนนี้รื้อถอนบ้าน วันเวลาก็ดีขึ้นมากแล้ว เธอไม่เข้าใจจริงๆ ถึงสาเหตุที่พ่อเธอทำแบบนี้
พ่อเล่อเม้มปาก “จยาจยา คุณดูเหมือนว่า ยังคิดว่าฉันเกิดเรื่องใหญ่อะไร? ไม่เป็นไร ของพวกนั้น ฉีดมาหลายปีแล้ว ก็ไม่เห็นว่าฉันจะดีขึ้น ไม่จำเป็นต้อง…….”
“คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? ” เล่อจยาตัดบทคำพูดของพ่อเล่อ เช็ดน้ำตา “คุณอยากทิ้งฉันให้อยู่คนเดียวใช่ไหม? ”
คนที่อยู่ข้างๆ เห็นว่าเป็นเรื่องในครอบครัว จึงลงจากเตียง “ฉันไปเอาน้ำต้มก่อนนะ”
“จยาจยา คุณนั่งก่อน”
เล่อจยาซื้ดจมูก “คุณไม่ต้องมาสนใจฉัน คุณบอกฉันมา ทำไมคุณถึงทำแบบนี้? ”
“ฉัน…..ฉันรู้สึกว่ามันไม่จำเป็น คุณ….”
“จยาจยา หลังจากเกิดเรื่องครั้งนั้น คุณลุงบอกกับฉันว่า เขาไม่อยากต้องเป็นภาระคุณ ถึงแม้จะเป็นคนตลกขบขันคนหนึ่ง แต่ในใจของคุณลุงก็รู้สึกขอโทษคุณ รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณกับคุณ คุณลองถามสิ ว่าเพราะสาเหตุนี้ใช่ไหม ถึงได้แอบขาดยา? ” ซูหย่ากระซิบเบาๆ อยู่ข้างๆ เล่อจยา
เล่อจยาจะร้องไห้ เดินเข้าไป เธอลูบไปบนผ้าห่มของพ่อ “พ่อ คุณเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าคุณตายไป ฉันก็จะต้องอยู่คนเดียว คุณไม่ใช่ภาระของฉัน คุณดูสิ พวกเราผ่านมาถึงวันเวลาที่ดีแล้ว ทำไมคุณถึงยังมีความคิดแบบนี้อีกล่ะ? เงินรื้อถอนนั้นก็จะได้ในเร็ววันนี้ คุณก็จะได้ไปซื้อบ้านที่มีลิฟต์อย่างที่คุณคาดหวังไว้ พวกเราสองคนพ่อลูกก็จะได้มีวันเวลาที่ดี ดีไหม? ต่อไป ฉันก็จะหาลูกเขยเข้ามาให้คุณสักคนหนึ่ง พวกเราจะเคารพคุณด้วยกัน ดีไหม? ”
เรื่องเหล่านี้ เวลานั้น เป็นความใฝ่ฝันที่ออกมาจากพ่อบ่อยๆ
พ่อเล่อก้มหน้าลง น้ำตาไหล หยดลงบนหลังมือ ผ่านไปนานมาก เขาจึงเอ่ยปาก “จยาจยา เงินรื้อถอนนี้ ได้มาแล้ว”
เล่อจยานิ่งอึ้งไป “ได้มาแล้ว? พ่อ คุณบอกว่า ยังต้องใช้เวลาระยะหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ล่ะ? อย่างนั้น…..อย่างนั้นก็ดีเลย รอคุณออกจากโรงพยาบาล พวกเราก็ไม่ดูบ้านกัน ดีไหม? ”
เธอพูดพลาง รินน้ำให้พ่อเล่อ “พ่อ ทีหลังคุณอย่าทำอะไรไร้เดียงสาแบบนี้อีกนะ คุณทำให้ร่างกายของตนเองไม่สบายแบบนี้ได้ยังไงกัน? ”
พ่อเล่อดื่มน้ำที่เล่อจยารินมาให้อึกหนึ่ง แต่ไม่ได้ตอบรับเธอ ผ่านไปเป็นเวลานาน เขาจึงเอ่ยปากว่า: “เงินค่ารื้อถอน เสี่ยวเล่อเอาไปใช้หนี้หมดแล้ว”
เมื่อได้ยิน แก้วในมือของเล่อจยาก็ร่วงลงพื้น ปรากฏเสียงดัง”เพล้ง”
“คุณอา เขาไม่เคยโทรหาฉัน แต่ เขาจะต้องโทรหาคุณแน่เลยใช่ไหม ?” เย่หลินมองคุณอา และพูดอย่างมั่นใจ
ในช่วงนี้ หลังจากสงบสติลงแล้ว เย่หลินก็ค่อยค่อยเข้าใจสิ่งต่างต่างมากขึ้น
อย่างเช่นทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่เก็บเธอไว้ในตอนนั้น
ทำไมเขาถึงไม่อธิบาย และก็ไม่ตอบคำถามเธอ ?
ในกรณีนั้น ถ้าเขาบอกว่า เขาเชื่อเธอ ถ้าอย่างนั้นเย่หลินจะไม่ยอมออกไปแน่นอน เธอไม่สามารถทำให้เขารู้สึกแย่ เพียงเพราะตัวเธอเองได้หรอก
ถ้าเขาบอกว่า เขาไม่เชื่อเธอ เขาก็เกรงว่าเขาจะทำร้ายเธอ
อันที่จริงแล้วในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพ่อหนิง พระเจ้ารับรู้ เธอและพ่อหนิงรู้ แต่หนิงเชี่ยนเห็นเพียงความพัวพันระหว่างเธอกับพ่อหนิง จากนั้นพ่อหนิงก็ตกลงมาจากหน้าผา เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น เธอจึงมีเหตุผลให้เข้าใจผิดตัวเธอ และไม่เชื่อเธอ
และถ้าพ่อหนิงหมดสติและไม่ฟื้น อย่างที่หนิงเส่าเฉินบอก แม้ว่าเขาจะเชื่อเธอ เธอกลับไปกับเขา และสิ่งที่เธอจะต้องเผชิญอาจจะเป็นความโกรธระหว่างหนิงเชี่ยนและแม่หนิง และยังมีพวกญาติของตระกูลหนิงที่ไม่ยอมให้อภัยอีก และยิ่งมีแนวโน้มที่จะถูกบังคับให้อยู่ในห้องขัง
เธอก็ไม่ใช่แม่พระ ในสถานการณ์แบบนั้น เธอเกลียดหนิงเส่าเฉินจริงๆ เกลียดความไม่ไว้วางใจของเขา เกลียดที่เขาไม่รักษาเธอเอาไว้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอสงบลง เธอก็เข้าใจแล้ว พวกเขาสองคนได้ผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมาหลายปีแล้ว ร่วมทั้งชีวิตและความตาย !
ผู้ชายที่สามารถเพิกเฉยต่อชีวิตเพื่อตนเอง เขาทำลายเธอขนาดนั้น ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปฎิบัติกับเธอแบบนี้
เธอเชื่อมั่น !
ดังนั้น เธอจึงรอ รอให้พ่อหนิงฟื้น รอความเมตตาจากพระเจ้า
คุณอากระแอมเบาๆ แต่แล้วจะยังไงล่ะ ถ้าหากว่าเขาเชื่อคุณ ทำไมเขาถึงไม่มารับคุณกลับไป ?
เย่หลินหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเอาใส่เข้าปาก ขนมค่อยค่อยละลายในปาก “เธอยกมุมปากขึ้น เขาแค่กลัวว่าถ้าฉันกลับไปแล้ว จะทำให้ฉันถูกทำร้าย และฉันจะตกอยู่ในอันตราย และ ตอนนี้พ่อของเขายังอาการโคม่าอยู่ มันจึงยังไม่เหมาะสมให้ฉันแสดงตัว ไม่ว่าอย่างไร ที่เขาล้มก็เป็นเพราะฉันจริงๆ คุณอา ที่จริงแล้วฉันรู้สึกผิดมาก ลองค่อยค่อยคิดดู ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติพอที่จะตำหนิพวกเขาได้ ดังนั้น ฉันจึงเต็มใจที่จะรอ”
คุณอาเลิกคิ้วขึ้น และจ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า:“ ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้พ่อหนิงไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ ? หรือว่าคุณก็จะรอแบบนี้ไปชั่วชีวิต ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หลินก็รู้สึกว่าริมฝีปากและลำคอของเธอแห้ง เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน
ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้ไม่ฟื้นขึ้นมา เธอจะทำอย่างไรดีล่ะ ?
“มีบางเรื่อง ผมอยากคุยกับคุณก่อน คุณปู่ให้เวลาเขาสิบวัน บอกว่าภายในสิบวันนี้ถ้าหากเขาคิดแก้ปัญหาไม่ได้ ชายชราจะเป็นผู้ตัดสินใจแทนคุณเอง ใบหน้าของคุณอาไม่มีการแสดงออกเหมือนรูปปั้น ด้วยบุคลิกของคุณปู่ เขาไม่พูดเล่นอย่างแน่นอน”
เมื่อเย่หลินได้ยิน เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างกังวลใจ “ตัดสินใจ ? ตัดสินใจอะไร ?”
“ตัดสินใจอะไร ผมบอกคุณไม่ได้ แต่ เย่หลิน คุณปู่หวังดีกับคุณ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอะไร เขาไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือนกับแม่ของคุณ ที่ติดอยู่กับความรักตลอดชีวิต” เขาก้มศีรษะลงมองเธอ ด้วยสายตาที่ล้ำลึก สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก มันดูเย็นชาไปหมดเลย
เย่หลินได้ยินเขาพูดแบบนี้ จู่ๆก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย คุณปู่คนนั้น ถึงแม้ว่าเธอไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขามากนัก แต่สถานที่เช่นเกาะเหลียนอู้ เขาจัดการมาหลายปีแล้ว การจัดการมีระเบียบดี ความสามารถและวิธีของเขาจะต้องไม่ประมาท “คุณอา เส่าเฉินดีกับฉันมาก จริงๆนะ !และ ฉันก็มีหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่แล้ว คนตระกูลหนิงไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุสงฆ์ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูปใช่ไหมคะ ? คุณเชื่อฉัน เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป พวกเขาให้ฉันกลับไปแน่นอน ฉันไม่เหมือนกับแม่ และเรื่องในครั้งงนี้ ฉันเชื่อว่า ในตอนนี้เส่าเฉินจะต้องอึดอัดมากกว่าฉันแน่”
เพราะว่ารีบร้อนของเธอ ทำให้คำพูดของเธอไม่ค่อยต่อเนื่องกัน
เย่หลินบิดมือทั้งสองข้างด้วยความกังวล แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณปู่คนนั้นจะตัดสินใจอะไร แต่ว่า เธอก็รู้ดีว่า ผลการตัดสินนั้น จะต้องเป็นการให้เธอกับหนิงเส่าเฉินแยกจากกัน อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
คุณอายิ้ม และลูบริมฝีปากที่ยาวของเธอ ปัดผมที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้าของเธอไปที่หลังหู จากนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างใจเย็น:“เขาไม่มีแม้แต่ความสามารถจะปกป้องคุณ เขามีอะไรดีกัน ?”
ร่างกายของเย่หลินชา ตัวเธอแข็งทื่อด้วยความมึนงง:“ คุณอา นั่นเป็นพ่อของเขา ไม่ว่าจะใช่ฉันผลักหรือไม่ ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในอาการโคม่า นั่นก็เป็นเพราะฉันจริงๆ เขาต้องการเผชิญหน้ากับครอบครัวเขา ในกรณีนี้ ถ้าหากว่าเขาปกป้องฉันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็จะยิ่งทำให้ครอบครัวของเขาโกรธเขามากขึ้นไปอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาก็หายไปทันที และเขาก็กระตุกริมฝีปากบางของเขา และพูดว่า:“ เขาต้องการปกป้องญาติของเขา พวกเราไม่คัดค้าน แต่ ใครจะปกป้องญาตของเขาล่ะ ?”
ญาติของพวกเรา ? เย่หลินตกสะดุ้งตามสัญชาติญาณ เธอมองไปที่ชายที่อยู่ข้างๆเธอ และสำลักออกมา
ดวงตาของคุณอาก้มลงมองบนร่างกายของเย่หลินที่คลุมเคลือและเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง รวบรวมปฎิกิริยาทั้งหมดของเธอไว้ที่ด้านล่างของดวงตาอย่างใจเย็น จากนั้นแสงวาบที่ตาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าจะจับภาพได้
“โอเค พูดจบแล้ว ผมยังมีธุระอื่นอีก ไปก่อนนะ”
“อา……..คุณอา คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณปู่กำลังคิดจะทำอะไร ? ”เย่หลินรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หน้าอกของเธอยกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง “คุณให้คุณปู่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม ?”
คุณอาส่ายศีรษะ “เย่หลิน คุณให้กำเนิดลูกสองคนให้กับเส่าเฉิน ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวของเขา ก็คือครอบครัวของคุณ คำพูดนี้ ถูกต้องใช่ไหม ?”
เย่หลินไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ เธอก็ยังพยักหน้า
“ถ้าอย่างงั้น ในหมู่สมาชิกใสครอบครัว สิ่งพื้นฐานที่สุด ก็คือควรไว้วางใจก่อนไม่ใช่เหรอ ? ใช่ เรื่องนี้ทำให้คนเข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย แต่ ในเมื่อเป็นครอบครัวของคุณ พวกเขาก็ควรจะเชื่อคุณ หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจ ? เมื่อเกิดเรื่อง พวกเขาไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เชื่อคุณ ครอบครัวแบบนี้ แม้ว่าคุณจะกลับไปวันนี้ ขอร้องให้พวกเขาให้อภัย ในอนาคต ถ้าหากมีเรื่องที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีก เย่หลิน คุณก็ยังจะเป็นคนแรกที่ถูกทอดทิ้ง”
ขณะที่เธอถือโทรศัพท์ มือของเย่หลินก็ยังสั่นเล็กน้อย ที่คุณอาพูดมามันไม่ผิดเลย
หัวใจเธอของเริ่มรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
แม่หนิงและหนิงเชี่ยน เธอรู้ดีเสมอว่าพวกเขาปฎิบัติต่อเธอดีมาเสมอ แต่ หลังจากเกิดเรื่องนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้องคือพ่อหลิน ในตอนนั้น พวกเขามีปฎิกิริยาที่สามารถเข้าใจได้ดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขายังคงรู้สึกอยู่ภายในใจว่าเธอ นี่แตกต่างออกไป
อย่างน้อยก็หมายความว่า ในใจของพวกเขา ไม่เชื่อเธอเลยจริงๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้วและรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ มือทั้งสองข้างกำแน่น และจ้องมองไปที่ด้านหลังของคุณอา อย่างตกใจ
“คุณอา เขาไม่เคยโทรหาฉัน แต่ เขาจะต้องโทรหาคุณแน่เลยใช่ไหม ?” เย่หลินมองคุณอา และพูดอย่างมั่นใจ
ในช่วงนี้ หลังจากสงบสติลงแล้ว เย่หลินก็ค่อยค่อยเข้าใจสิ่งต่างต่างมากขึ้น
อย่างเช่นทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่เก็บเธอไว้ในตอนนั้น
ทำไมเขาถึงไม่อธิบาย และก็ไม่ตอบคำถามเธอ ?
ในกรณีนั้น ถ้าเขาบอกว่า เขาเชื่อเธอ ถ้าอย่างนั้นเย่หลินจะไม่ยอมออกไปแน่นอน เธอไม่สามารถทำให้เขารู้สึกแย่ เพียงเพราะตัวเธอเองได้หรอก
ถ้าเขาบอกว่า เขาไม่เชื่อเธอ เขาก็เกรงว่าเขาจะทำร้ายเธอ
อันที่จริงแล้วในตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นกับพ่อหนิง พระเจ้ารับรู้ เธอและพ่อหนิงรู้ แต่หนิงเชี่ยนเห็นเพียงความพัวพันระหว่างเธอกับพ่อหนิง จากนั้นพ่อหนิงก็ตกลงมาจากหน้าผา เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้น ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ก่อนหน้านั้น เธอจึงมีเหตุผลให้เข้าใจผิดตัวเธอ และไม่เชื่อเธอ
และถ้าพ่อหนิงหมดสติและไม่ฟื้น อย่างที่หนิงเส่าเฉินบอก แม้ว่าเขาจะเชื่อเธอ เธอกลับไปกับเขา และสิ่งที่เธอจะต้องเผชิญอาจจะเป็นความโกรธระหว่างหนิงเชี่ยนและแม่หนิง และยังมีพวกญาติของตระกูลหนิงที่ไม่ยอมให้อภัยอีก และยิ่งมีแนวโน้มที่จะถูกบังคับให้อยู่ในห้องขัง
เธอก็ไม่ใช่แม่พระ ในสถานการณ์แบบนั้น เธอเกลียดหนิงเส่าเฉินจริงๆ เกลียดความไม่ไว้วางใจของเขา เกลียดที่เขาไม่รักษาเธอเอาไว้
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เธอสงบลง เธอก็เข้าใจแล้ว พวกเขาสองคนได้ผ่านหลายสิ่งหลายอย่างมาหลายปีแล้ว ร่วมทั้งชีวิตและความตาย !
ผู้ชายที่สามารถเพิกเฉยต่อชีวิตเพื่อตนเอง เขาทำลายเธอขนาดนั้น ดังนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะปฎิบัติกับเธอแบบนี้
เธอเชื่อมั่น !
ดังนั้น เธอจึงรอ รอให้พ่อหนิงฟื้น รอความเมตตาจากพระเจ้า
คุณอากระแอมเบาๆ แต่แล้วจะยังไงล่ะ ถ้าหากว่าเขาเชื่อคุณ ทำไมเขาถึงไม่มารับคุณกลับไป ?
เย่หลินหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วเอาใส่เข้าปาก ขนมค่อยค่อยละลายในปาก “เธอยกมุมปากขึ้น เขาแค่กลัวว่าถ้าฉันกลับไปแล้ว จะทำให้ฉันถูกทำร้าย และฉันจะตกอยู่ในอันตราย และ ตอนนี้พ่อของเขายังอาการโคม่าอยู่ มันจึงยังไม่เหมาะสมให้ฉันแสดงตัว ไม่ว่าอย่างไร ที่เขาล้มก็เป็นเพราะฉันจริงๆ คุณอา ที่จริงแล้วฉันรู้สึกผิดมาก ลองค่อยค่อยคิดดู ฉันไม่คิดว่าตัวเองจะมีคุณสมบัติพอที่จะตำหนิพวกเขาได้ ดังนั้น ฉันจึงเต็มใจที่จะรอ”
คุณอาเลิกคิ้วขึ้น และจ้องมองเธออย่างเย็นชา แล้วจู่ๆก็พูดขึ้นมาว่า:“ ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้พ่อหนิงไม่ฟื้นขึ้นมาล่ะ ? หรือว่าคุณก็จะรอแบบนี้ไปชั่วชีวิต ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่หลินก็รู้สึกว่าริมฝีปากและลำคอของเธอแห้ง เธอไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้มาก่อน
ถ้าหากว่าชั่วชีวิตนี้ไม่ฟื้นขึ้นมา เธอจะทำอย่างไรดีล่ะ ?
“มีบางเรื่อง ผมอยากคุยกับคุณก่อน คุณปู่ให้เวลาเขาสิบวัน บอกว่าภายในสิบวันนี้ถ้าหากเขาคิดแก้ปัญหาไม่ได้ ชายชราจะเป็นผู้ตัดสินใจแทนคุณเอง ใบหน้าของคุณอาไม่มีการแสดงออกเหมือนรูปปั้น ด้วยบุคลิกของคุณปู่ เขาไม่พูดเล่นอย่างแน่นอน”
เมื่อเย่หลินได้ยิน เธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างกังวลใจ “ตัดสินใจ ? ตัดสินใจอะไร ?”
“ตัดสินใจอะไร ผมบอกคุณไม่ได้ แต่ เย่หลิน คุณปู่หวังดีกับคุณ ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจอะไร เขาไม่อยากเห็นคุณเป็นเหมือนกับแม่ของคุณ ที่ติดอยู่กับความรักตลอดชีวิต” เขาก้มศีรษะลงมองเธอ ด้วยสายตาที่ล้ำลึก สีหน้าของเขาดูไม่ดีนัก มันดูเย็นชาไปหมดเลย
เย่หลินได้ยินเขาพูดแบบนี้ จู่ๆก็รู้สึกขนลุกเล็กน้อย คุณปู่คนนั้น ถึงแม้ว่าเธอไม่ค่อยได้ติดต่อกับเขามากนัก แต่สถานที่เช่นเกาะเหลียนอู้ เขาจัดการมาหลายปีแล้ว การจัดการมีระเบียบดี ความสามารถและวิธีของเขาจะต้องไม่ประมาท “คุณอา เส่าเฉินดีกับฉันมาก จริงๆนะ !และ ฉันก็มีหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่แล้ว คนตระกูลหนิงไม่เห็นแก่หน้าพระภิกษุสงฆ์ก็ควรเห็นแก่หน้าพระพุทธรูปใช่ไหมคะ ? คุณเชื่อฉัน เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป พวกเขาให้ฉันกลับไปแน่นอน ฉันไม่เหมือนกับแม่ และเรื่องในครั้งงนี้ ฉันเชื่อว่า ในตอนนี้เส่าเฉินจะต้องอึดอัดมากกว่าฉันแน่”
เพราะว่ารีบร้อนของเธอ ทำให้คำพูดของเธอไม่ค่อยต่อเนื่องกัน
เย่หลินบิดมือทั้งสองข้างด้วยความกังวล แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าคุณปู่คนนั้นจะตัดสินใจอะไร แต่ว่า เธอก็รู้ดีว่า ผลการตัดสินนั้น จะต้องเป็นการให้เธอกับหนิงเส่าเฉินแยกจากกัน อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
คุณอายิ้ม และลูบริมฝีปากที่ยาวของเธอ ปัดผมที่กระจัดกระจายอยู่บนใบหน้าของเธอไปที่หลังหู จากนั้นก็ยิ้มเยาะอย่างใจเย็น:“เขาไม่มีแม้แต่ความสามารถจะปกป้องคุณ เขามีอะไรดีกัน ?”
ร่างกายของเย่หลินชา ตัวเธอแข็งทื่อด้วยความมึนงง:“ คุณอา นั่นเป็นพ่อของเขา ไม่ว่าจะใช่ฉันผลักหรือไม่ ตอนนี้เขาก็ยังอยู่ในอาการโคม่า นั่นก็เป็นเพราะฉันจริงๆ เขาต้องการเผชิญหน้ากับครอบครัวเขา ในกรณีนี้ ถ้าหากว่าเขาปกป้องฉันแบบสุ่มสี่สุ่มห้า มันก็จะยิ่งทำให้ครอบครัวของเขาโกรธเขามากขึ้นไปอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาก็หายไปทันที และเขาก็กระตุกริมฝีปากบางของเขา และพูดว่า:“ เขาต้องการปกป้องญาติของเขา พวกเราไม่คัดค้าน แต่ ใครจะปกป้องญาตของเขาล่ะ ?”
ญาติของพวกเรา ? เย่หลินตกสะดุ้งตามสัญชาติญาณ เธอมองไปที่ชายที่อยู่ข้างๆเธอ และสำลักออกมา
ดวงตาของคุณอาก้มลงมองบนร่างกายของเย่หลินที่คลุมเคลือและเต็มไปด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง รวบรวมปฎิกิริยาทั้งหมดของเธอไว้ที่ด้านล่างของดวงตาอย่างใจเย็น จากนั้นแสงวาบที่ตาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วเกินกว่าจะจับภาพได้
“โอเค พูดจบแล้ว ผมยังมีธุระอื่นอีก ไปก่อนนะ”
“อา……..คุณอา คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าคุณปู่กำลังคิดจะทำอะไร ? ”เย่หลินรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก หน้าอกของเธอยกขึ้นลงอย่างต่อเนื่อง “คุณให้คุณปู่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ไหม ?”
คุณอาส่ายศีรษะ “เย่หลิน คุณให้กำเนิดลูกสองคนให้กับเส่าเฉิน ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวของเขา ก็คือครอบครัวของคุณ คำพูดนี้ ถูกต้องใช่ไหม ?”
เย่หลินไม่เข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร แต่ เธอก็ยังพยักหน้า
“ถ้าอย่างงั้น ในหมู่สมาชิกใสครอบครัว สิ่งพื้นฐานที่สุด ก็คือควรไว้วางใจก่อนไม่ใช่เหรอ ? ใช่ เรื่องนี้ทำให้คนเข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย แต่ ในเมื่อเป็นครอบครัวของคุณ พวกเขาก็ควรจะเชื่อคุณ หรือว่าพวกเขาไม่เข้าใจ ? เมื่อเกิดเรื่อง พวกเขาไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่เชื่อคุณ ครอบครัวแบบนี้ แม้ว่าคุณจะกลับไปวันนี้ ขอร้องให้พวกเขาให้อภัย ในอนาคต ถ้าหากมีเรื่องที่คล้ายกันเกิดขึ้นอีก เย่หลิน คุณก็ยังจะเป็นคนแรกที่ถูกทอดทิ้ง”
ขณะที่เธอถือโทรศัพท์ มือของเย่หลินก็ยังสั่นเล็กน้อย ที่คุณอาพูดมามันไม่ผิดเลย
หัวใจเธอของเริ่มรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
แม่หนิงและหนิงเชี่ยน เธอรู้ดีเสมอว่าพวกเขาปฎิบัติต่อเธอดีมาเสมอ แต่ หลังจากเกิดเรื่องนี้ บุคคลที่เกี่ยวข้องคือพ่อหลิน ในตอนนั้น พวกเขามีปฎิกิริยาที่สามารถเข้าใจได้ดี แต่หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขายังคงรู้สึกอยู่ภายในใจว่าเธอ นี่แตกต่างออกไป
อย่างน้อยก็หมายความว่า ในใจของพวกเขา ไม่เชื่อเธอเลยจริงๆ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอขมวดคิ้วและรู้สึกเจ็บปวดภายในใจ มือทั้งสองข้างกำแน่น และจ้องมองไปที่ด้านหลังของคุณอา อย่างตกใจ
“เส่าเฉิน พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?” น้ำเสียงของเธอสั่นเคลือและแหบแห้งเล็กน้อย
“ยังไม่ฟื้น”เขาพูดออกมาแค่สามคำ โดยไม่มีอามรณ์ใดๆ
ฝนที่เย็นยะเยือกกระทบเข้าที่ใบหน้าของเธอ เย่หลินหยุดชั่วคราวก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “ฉันไม่ได้ผลักเขา เส่าเฉิน ”ด้วยคำพูดเหล่านี้เธอเกือบจะหมดเรี่ยวแรง
ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอ แต่มองไกลออกไป จากนั้นไม่นาน เสียงที่คุ้นเคนก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เรื่องนี้ ในตอนที่เจอเกาไห่ ผมก็รู้แล้ว เย่หลิน เมื่อตอนคุณรู้ แล้วผมรู้ ในตอนนั้นผมกล้วมากแค่ไหน ? ผมกังวลว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ ผมกลัวว่าคุณจะทิ้งผมไป ผมเป็นกังวลจนแทบบ้า”
เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไร แต่ประหลาดใจมาก เดิมที หนิงเส่าเฉินรู้มานานแล้ว
เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น ความเจ็บปวดที่หลังคอของเธอก็เกิดขึ้น ภายหลัง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ
“พ่อผมบอกกับผมว่า หลายปีมานี้ เขาเอาแต่โทษตัวเอง เขารู้สึกว่าในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าพ่อของคุณ แต่พ่อของคุณก็ตายเพราะเขา ดังนั้น พอรู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน เขาก็เอาแต่โทษตัวเองทุกวัน เขาก็เป็นกังวล ว่าถ้าคุณรู้เข้า คุณจะรับไม่ได้”
เย่หลินก้มศีรษะลงและยังคงไม่พูดอะไร เธอเพิ่งตะหนักได้ว่า หนิงเส่าเฉินรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพ่อหลินในหนึ่งปีที่ผ่านมา
“ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ จะทำให้คุณรับไม่ได้ไปซักพัก แต่ เย่หลิน ยังไงเขาก็คือพ่อของผม เป็นคุณปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่………”
ดังนั้น คุณก็คิดว่าฉันเป็นคนผลักเขาลงไป ใช่ไหม ? ทันใดนั้นเย่หลินก็ขัดคำพูดของหนิงเส่าเฉิน และกำมือทั้งสองข้างแน่น
หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร เพียงเอื้อมมือไปจับมือของเธอ แต่ถูกเย่หลินสะบัดออก “คุณบอกมา คุณก็ไม่เชื่อฉันใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”
หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงที่สลัว เย่หลินไม่เห็นแววตาของเขาไม่ชัด
เย่หลิน คุณยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามนี้เหรอ ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ ? แต่เป็นคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ?
เย่หลินส่ายศีรษะ “ไม่ ฉันไม่สนใจมุมมองของคนอื่น หนิงเส่าเฉิน ฉันสนใจก็แค่คุณ มุมมองของคุณหนิงเส่าเฉิน”
คนหนึ่งยากที่จะเติมเต็มจิตใจคนร้อยคน เหมือนกับเรื่องที่คนหนึ่งร้อยเห็น ก็มักจะมีหนึ่งร้อยความคิด เธอไม่ได้ขอให้ทุกคนเข้าใจเธอ และเชื่อใจเธอ แต่ เธอกลับใส่ใจความคิดของหนิงเส่าเฉิน
อย่างไรก็ตาม รอบๆมีเพียงแต่เสียงฝน เสียงลม เย่หลินรออยู่นานมาก ก็ไม่ได้รับคำตอบของหนิงเส่าเฉิน
ใจของเธอ เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป จากที่ร้อนระอุ มันก็ค่อยค่อยเย็นลง
หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นตุดเริ่มต้นของคุณใช่ไหม ? คุณก็ไม่เชื่อเธอ ใช่ไหม ?
คุณจะเชื่อได้อย่างไร แม้แต่ผู้หญิงที่ยอมสละชีวิตเพื่อคุณ เธอจะทำร้ายพ่อของคุณได้อย่างไร ? คุณเชื่อได้อย่างไร ?
ในขณะนี้ คุณอาเดินเข้ามา และมาดึงแขนของเย่หลิน “ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ คุณจะยังอยู่ที่นี่ทำไม ? ไปสิ……….”
เย่หลินถูกคุณอาลากออกไป เธอเกือบจะถูกลากไป เธอเดินไปหันกลับไปมองไป มองไปที่หนิงเส่าเฉิน เธอเดินช้ามากๆ
เธอคิดว่า ตราบใดที่เขาพูดออกมาว่า เขาเชื่อเธอ ให้เธอกลับไปอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากขนาดไหน เธอก็จะไม่มีวันถอยกลับ
แต่ ไม่มีเลย เมื่อระยะห่างของพวกเขากว่างขึ้น สีหน้าของเย่หลินก็แทบแยกไม่ออกว่าเป็นฝนหรือน้ำตา
หลุมในใจของเธอก็เห็นร่างของเขาเลือนราง แล้วค่อยค่อยกว้างขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเส่าเฉิน คุณเคยบอกว่า คุณจะเชื่อฉันตลอด ไม่ใช่เหรอ ?
ชายคนนั้นยืนตัวตรงในคืนที่ฝนตก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นานจนกระทั่งร่างรียวหายลับออกไปจากสายตาของเขา เขาค่อยค่อยเงยหน้าขึ้น หลับตาลง ที่มุมตานั้น แยกไม่ออกเลยว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา
สิ่งที่เย่หลินประหลาดใจก็คือ คุณอาไม่ได้พาเธอไปที่เกาะเหลียนอู้ แต่พาเธอมายังอีกประเทศหนึ่ง ประเทศ B
“คุณอา ทำไมคุณถึงไม่พาฉันกลับไปที่เกาะเหลียนอู้ ? ”เมื่อมองดูสถานทที่ที่ไม่คุ้นนี้ เย่หลินก็พูดออกมาเป็นประโยคแรก
คุณอาไม่สนใจเธอ เพียงแค่เดินไปที่โต๊ะ และเอาโทรศัพท์มือถือของเธอ บัตรประจำตัว ทั้งหมดเก็บใว้ในกระเป๋าเธอ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ออกมา ส่งให้เย่หลิน
“แล้ว นี่เป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของคุณ โทรศัพท์มือถือเครื่องก่อน เอาไว้ที่ผมนี่ ส่วนคุณ อยู่ที่นี่ใช้ชีวิตให้ดี ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ ผู้ชายแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงอีกแล้ว”
เย่หลินขมวดคิ้ว “คุณอา เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันยังมีลูกอีกสองคน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการเขา แต่ลูกล่ะ ? ฉัน………..”
ดวงตาของเย่หลินเป็นสีแดงเมื่อคิดถึงเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซี
คุณอาดึงเก้าอี้ไม่ไผ่ข้างหน้าเธอแล้วนั่งลง “นั่นเป็นลูกของพวกเขาตระกูลหนิง คุณคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะปฎิบัติต่อพวกเขาแย่ๆเหรอ คุณวางใจเถอะ”
เย่หลินก้มศีรษะลงหายไปในทันที
“คุณรู้ไหม ? คุณถูกจับมาสามวัน ตระกูลหนิงไม่มีใครมาดูคุณเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายแซ่ชู
โทรศัพท์หาพี่ชายคุณ และพี่คุณก็บอกกับฉัน คุณนี่นะ กลัวว่าจะรอรับโทษ” เมื่อคุณอาพูดถึงตรงนี้ เขาก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“มีคนบอกว่า เมื่อนานวันจะเห็นใจคน คุณกับเขาอยู่กันมากี่ปีแล้ว ? เด็กผู้ชายแซ่ชูคนนั้นเชื่อคุณ แต่ผู้ชายของคุณ กลับไม่เชื่อคุณ คุณนี่นะ เหมือนกับแม่ของคุณเลย กลายเป็นคนตาบอด………”
เย่หลินไม่รู้ว่าคุณอายังพูดอะไรกับเธออีก แต่หัวใจของเธอกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่แล้ว ชูหยูจี้เชื่อเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อ
หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากวันหนึ่ง คุณรู้ว่าคุณทำผิดต่อฉัน คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจไหม ?
แล้วเธอก็ถามกับตัวเองอีกครั้ง
เย่หลิน ถ้าวันหนึ่ง พวกเขารู้ว่าทำผิดต่อคุณแล้ว ขอร้องให้คุณให้อภัย คุณจะกลับไปกับพวกเขาไหม ?
หนึ่งเดือนต่อมา
พ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่า แม่หนิงร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หนิงเชี่ยนปล่อยพวกเขาไม่ได้ ก็เลยลา และอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน
หนิงเส่าเฉินเนื่องจากความต้องการของบริษัทในประเทศ เขาจึงต้องพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่กลับประเทศ
ทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่เส้นทางปกติของชีวิต
แต่ในใจของทุกคน กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
หนิงเสี่ยวซีที่เดิมทีพูดน้อยอยู่แล้ว หลังจากเรื่องนี้ ก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปอีก
เย่เสี่ยวโม่เปลี่ยนไปมากจากการทะเลาะครั้งก่อน ตอนนี้เขารู้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงเปลี่ยนไปมาก เขาไม่ยึดติดพี่ชวี่ และก็ไม่เรียกหนิงเส่าเฉิน
ไม่มีใครพูดถึงเย่หลิน ทุกคนล้วนยึดมั่น
“เธอเป็นคนยังไง คุณรู้ดีกว่าผมมาก หนิงเส่าเฉิน คุณจะปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกอย่างเดียวดาย และจะไม่ยุ่งไม่ถามเลยเหรอ ? ”เมื่อเกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินกลับมา และไม่เห็นเขาพูดถึงเย่หลินเลย ในที่สุดก็อดไม่ได้ คว้าคอเสื้อของเขามา และถามอย่างเย็นชา
หนิงเส่าเฉินปล่อยเขาไว้นานก่อนจะค่อยค่อยพูดขึ้นว่า “พ่อของผมยังไม่ฟื้น ภายในวันเดียวเธอถูกต้องสงสัยว่าเป็นฆาตกร ตอนนี้คนในตระกูลหนิงมามายกำลังตามหาเธอ ถ้าเธอกลับมา เธอก็จะตกอยู่ในอันตราย คุณคิดถึงเรื่องนี้ไหม ?”
หน้าอกของเกาไห่ยกขึ้นลงด้วยความโกรธ
“เหอะเหอะ ใช่ เหตุผลนี้ไม่ผิดเลย แต่ ผมจะบอกคุณ หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากว่าวันหนึ่ง พ่อของคุณฟื้นขึ้นมา บอกกับพวกคุณว่า เย่หลินเธอบริสุทธิ์ เมื่อถึงเวลานั้น คุณคิดว่า เธอยังจะสามารถกลับมาได้อีกเหรอ ?” พูดจบ เขาก็คลายเนคไท จากนั้น เขาก็เห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของหนิงเส่าเฉิน
“ถ้าหากเป็นผม ถึงแม้ว่าพวกคุณจะมาคุกเข่าขอร้องผม ผมก็ไม่มีทางกลับมาแล้ว ”เมื่อเกาไห่พูดจบ เขาก็ลากกระเป๋าเดินทาง ออกจากบ้านหนิง
“เล่อจยา มาที่ห้องทำงานของผมหน่อย”
เล่อจยารู้สึกสับสนเล็กน้อย แต่ก็ยังเข้าไปในห้องของผู้จัดการอย่างรวดเร็ว
“ผู้จัดการ คุณเรียกฉันมีธุระอะไร ?”
ผู้จัดการยื่นแฟ้มเอกสารให้เธอ “คุณหยุดงานของเธอไว้ก่อน แล้วตอนบ่ายลงไปสถานที่หน้างานกับประธานเกา”
เล่อจยารับเอกสารแล้วพลิกดู นี่……….นี่เป็นสิ่งที่เสี่ยวอวี่ทำไม่ใช่เหรอ ?
ผู้จัดการถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า:“ ถูกไล่ออกแล้ว”
“ถูกไล่ออก ? ทำไมล่ะ ?”คนที่ชื่อเสี่ยวอวี่ เท่าที่เธอรู้ เธอทำงานอยู่ในแผนกออกแบบของพวกเขามาหลายปีแล้ว เมื่อวานเธอยังเห็นเธออยู่เลย แล้วเธอจะถูกไล่ออกในพริบตาได้ยังไง ?
ยิ่งกว่านั้นออกแบบของเสี่ยวอวี่ยังได้รับการยอมรับ และก็อยู่ในขั้นสูงด้วย โดยปกติผู้ที่มาใหม่เช่นพวกเขา จะไม่โดนยอมรับ
หรือว่าบริษัทใช้งานเธอหนัก ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดที่จะดีใจไม่ได้
เมื่อผู้จัดการเห็นเธอแบบนี้ เขาก็เบ้ปาก คิดเกี่ยวกับมันและพูดว่า:“ ผมกับคุณวางรากฐานกันก่อน เพื่อการออกแบบที่มีอยู่ในมือของคุณตอนนี้ ปัจจุบันบริษัทได้ไล่ออกไปสามคน และตอนนี้ใครใครก็เลี่ยงไม่ได้ คุณคิดดูว่า ถ้าหากคุณเองก็ถูกไล่ออก………..”
“ไม่เป็นไร ฉันไม่กลัว ”เล่อจยารีบขัดจังหวะผู้จัดการ
แม้ว่าในใจจะรู้สึกผิดเล็กน้อย แต่ผู้จัดการก็มองหาเธอเพราะว่าไม่มีใครกล้ารับ แต่ เธอก็ยังดีใจมาก มาที่นี่เดือนกว่าแล้ว อย่าว่าแต่เข้าใกล้เกาไห่เลย แม้แต่หน้าของเขา เธอยังไม่เคยเห็นเลย
ตอนนี้ มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันกับเขา แม้ว่าจะถูกไล่ออก เธอก็มีความสุข ท้ายที่สุดแล้ว จุดประสงค์ของเธอในการเข้ามาเกากรุ๊ป ไม่ใช่เพียงแค่เขาแค่นั้นเหรอ ?
ผู้จัดการส่ายศีรษะ “ตกลง ถ้างั้นก็เตรียมตัว ตอนบ่ายออกเดินทาง”
เล่อจยาพยักหน้า หันหลังเดินไปสองก้าว เธอหยุดอีกครั้งและถามว่า:“ ผู้จัดการ คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่า ทำไมพวกเขาสองสามคนนั้นถึงถูกไล่ออก ?”
ผู้จัดการไม่คิดว่าเธอจะถามคำถามนี้ “อืม ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก ผมก็แค่ได้ยินมาว่า บ้านของประธานเกาเกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย เดือนนี้เลยอารมณ์ไม่ดี”
ที่แท้ก็อารมณ์ไม่ดี ? เล่อจยารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนบ่ายไปเมือง W อาจจะต้องนอนอยู่ที่นั่นหนึ่งคืน ตอนนี้คุณกลับไปเก็บของก่อน มาตอนบ่ายก็ได้ ไปดูจัดการใบหน้าของคุณหน่อย ผู้จัดการมองดูเธออึ้งๆ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะเตือน
เล่อจยายิ้มให้ผู้จัดการ
ตอนบ่าย เล่อจยามารอที่หน้าประตูบริษัทเร็วมาก เมื่อเสี่ยวตงเห็นเธอ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “คุณเล่อ นี่คุณ ?”
เสี่ยวตงเป็นคนสนิทของประธานเกา นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนในบริษัทรู้ดี เล่อจยาก็รู้โดยธรรมชาติเช่นกัน
บ่ายนี้ไม่ใช่ไปที่หน้างานเหรอ ?
เสี่ยวตงมองไปที่แฟ้มในมือของเธอ และกระเป๋าเดินทางเล็กๆ “คุณเป็นคนที่แผนกออกแบบส่งมา ?”
เล่อจยาพยักหน้า เสี่ยวตงลูบหน้าผาก เดาว่าผู้จัดการฝ่ายออกแบบคงไม่อยากทำแล้ว ที่จริงเขาจ้างคนใหม่มาคุมโปรเจ็กต์สำคัญขนาดนี้ อีกเดี๋ยวถ้าประธานเกามาเห็น ไม่แน่เขาอาจจะโกรธอีกครั้งก็เป็นได้
คิดแล้ว เขาก็โบกมือ “คุณเป็นคนใหม่ ไปสนุกเถอะ และรีบกลับมาเร็วๆ ให้เจ้านายของพวกคุณส่งคนมาอีก”
เล่อจยามองไปที่เขาด้วยท่าทางรังเกียจ และจู่ๆก็รู้สึกไม่มีความสุขในใจเล็กน้อย
“คนใหม่แล้วทำไม คนเก่าที่ไหนไม่เคยเป็นมือใหม่มาก่อน ? ฉันรู้ชุมชนเล็กเล็กนั่น ประธานเกามักเน้นสไตล์ที่เป็นแบบสเปน และคุณลักษณะที่ใหญ่ที่สุดของสไตล์สเปนก็คืออาคารที่มักถูกจัดวางในลักษณะลำดับชั้นทั้งสูงและต่ำ ซึ่งสอดคล้องกับความรู้สึกของผู้คนในพื้นที่ และคุณลักษณะนี้ต้องใช้การออกแบบซุ้มเพื่อเน้นความรู้สึก โดยรวมของลำดับชั้นเชิงของพื้นที่ เพื่อทำลายความซ้ำซากจำเจและความ
แข็งแกร่งของซุ้มแบบดั้งเดิมผ่านการเปลี่ยนแปลงลำดับชั้นเชิง พื้นที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจังหวะสัดส่วนและสัดส่วนต้องสอดคล้องกับองกับความงามของคณิตศาสตร์ ฉันพูดถูกไหม ?”
เสี่ยวตงไม่เข้าใจวิธีการออกแบบ แต่ หลังจากใช้เวลาหลายปีในเกากรุ๊ป ยังไม่ทันได้มีประสบการณ์ แค่เพียงได้ยินมา ? เมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด เธอก็เข้มงวดมากขึ้น และทันใดนั้น เธอก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เขาหันศีรษะไป และพบว่าเกาไห่ยืนอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา เห็นได้ชัดว่า เขาก็ได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดไปเมื่อครู่
“พูดต่อสิ !” เสียงผู้ชายตะโกนดังมาจากข้างหลัง
เล่อจยาตัวสั่น หันกลับมา และเห็นเกาไห่กำลังเดินตรงมาทางพวกเขา
เธอดึงริมฝีปากของเธอยิ้มและพูดว่า “สวัสดีค่ะ ประธานเกา”
เกาไห่ขมวดคิ้วและหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าแปลกใจเล็กน้อย “คุณเล่อ คุณ…….ไม่ใช่ว่า…….คุณมาทำอะไรที่นี่ ?”
เล่อจยาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าม ยิ้มและพูดว่า “ฉัน……….ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ที่เกากรุ๊ปแผนก
ออกแบบ ไม่เจอกันนานเลย ไม่คิดเลยว่า ที่แท้คุณก็คือประธานของเกากรุ๊ป”
เธอฉีกยิ้มอีกครั้ง เกาไห่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ทันใดนั้นก็คิดได้ว่า ตอนนี้เธอมีลูกแล้ว “อืม ”“ขึ้นรถก่อนเถอะ”
เล่อจยากำลังจะไปนั่งข้างหน้า แต่เกาไห่ก็พูดขึ้นว่า “มานั่งข้างหลัง และพูดเรื่องแนวคิดเมื่อครู่ใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
เล่อจยากัดริมฝีปากล่าง แอบถอนหายใจ และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
หลังจากที่ทั้งสองนั่งลงแล้ว เกาไห่ก็หลับตาลง “เอาความคิดของคุณเมื่อครู่ พูดต่อไป”
มือของเล่อจยาประสานกัน “พวกเราใช้ระบบอนุรักษ์น้ำเป็นสื่อกลางในการแบ่งพื้นที่ในร่มและกลางแจ้ง ด้วยวิธีนี้ ทั้งในร่มและกลางแจ้งก็สามารถเพลิดเพลินกับบรรยากาศได้ และยังช่วยให้น้ำกระจัดกระจายไปทั่วทุกมุมของบ้าน สำหรับสถาปัตยกรรม เราสามารถใช้กระเบื้องดินเผาสีแดงหลายแบบ มีส่วนโค้งเว้า หลังคาลาดสีแดง ผนังด้านนอกทำจากหิน หน้าต่างเกือกม้า ผนังโค้ง และระเบียง และอื่นๆ ใช้ประโยชน์จากองค์ประกอบเหล่านี้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เล่อจยาก็คิดเกี่ยวกับมัน เธอหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋า “ประธานเกา นี่คือ……ภาพออกแบบที่ฉันทำเอง คุณดูหน่อยว่าจะสามารถใช้ได้ไหม ”
เกาไห่ลืมตาขึ้น หยิบเอกสารจากมือเล่อจยา และมองดู จากนั้น เขาก็นั่งตัวตรง สีหน้าประหลาดใจ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธอ และจ้องมองเธออยู่ครู่หนึ่ง
“ถ้าหากผมจำไม่ผิด คุณน่าจะได้รับข้อความจากผู้จัดการเมื่อเช้านี้ และรับเอกสารนี้มา เมื่อพิจารณาจากความซับซ้อนของภาพวาดของการออกแบบนี้ คุณต้องมีการเตรียมการอย่างน้อยครึ่งเดือน คุณจะอธิบายว่าอย่างไร ?”
“เส่าเฉิน พ่อเป็นอย่างไรบ้าง ?” น้ำเสียงของเธอสั่นเคลือและแหบแห้งเล็กน้อย
“ยังไม่ฟื้น”เขาพูดออกมาแค่สามคำ โดยไม่มีอามรณ์ใดๆ
ฝนที่เย็นยะเยือกกระทบเข้าที่ใบหน้าของเธอ เย่หลินหยุดชั่วคราวก่อนจะเอ่ยปากพูดว่า “ฉันไม่ได้ผลักเขา เส่าเฉิน ”ด้วยคำพูดเหล่านี้เธอเกือบจะหมดเรี่ยวแรง
ชายคนนั้นไม่ได้มองมาที่เธอ แต่มองไกลออกไป จากนั้นไม่นาน เสียงที่คุ้นเคนก็ดังขึ้นที่ข้างหู “เรื่องนี้ ในตอนที่เจอเกาไห่ ผมก็รู้แล้ว เย่หลิน เมื่อตอนคุณรู้ แล้วผมรู้ ในตอนนั้นผมกล้วมากแค่ไหน ? ผมกังวลว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บ ผมกลัวว่าคุณจะทิ้งผมไป ผมเป็นกังวลจนแทบบ้า”
เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ตอบอะไร แต่ประหลาดใจมาก เดิมที หนิงเส่าเฉินรู้มานานแล้ว
เมื่อคิดถึงช่วงเวลานั้น ความเจ็บปวดที่หลังคอของเธอก็เกิดขึ้น ภายหลัง หนิงเส่าเฉินบอกกับเธอว่าเกิดจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ในตอนนั้นเธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอนี่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ
“พ่อผมบอกกับผมว่า หลายปีมานี้ เขาเอาแต่โทษตัวเอง เขารู้สึกว่าในตอนนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฆ่าพ่อของคุณ แต่พ่อของคุณก็ตายเพราะเขา ดังนั้น พอรู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน เขาก็เอาแต่โทษตัวเองทุกวัน เขาก็เป็นกังวล ว่าถ้าคุณรู้เข้า คุณจะรับไม่ได้”
เย่หลินก้มศีรษะลงและยังคงไม่พูดอะไร เธอเพิ่งตะหนักได้ว่า หนิงเส่าเฉินรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพ่อหลินในหนึ่งปีที่ผ่านมา
“ผมรู้ว่าเรื่องแบบนี้ จะทำให้คุณรับไม่ได้ไปซักพัก แต่ เย่หลิน ยังไงเขาก็คือพ่อของผม เป็นคุณปู่ของเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่………”
ดังนั้น คุณก็คิดว่าฉันเป็นคนผลักเขาลงไป ใช่ไหม ? ทันใดนั้นเย่หลินก็ขัดคำพูดของหนิงเส่าเฉิน และกำมือทั้งสองข้างแน่น
หนิงเส่าเฉินไม่พูดอะไร เพียงเอื้อมมือไปจับมือของเธอ แต่ถูกเย่หลินสะบัดออก “คุณบอกมา คุณก็ไม่เชื่อฉันใช่ไหม ? ใช่ไหม ?”
หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ที่เดิม ภายใต้แสงที่สลัว เย่หลินไม่เห็นแววตาของเขาไม่ชัด
เย่หลิน คุณยังไม่เข้าใจความหมายของคำถามนี้เหรอ ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อคุณ ? แต่เป็นคนอื่นจะเชื่อหรือไม่ ?
เย่หลินส่ายศีรษะ “ไม่ ฉันไม่สนใจมุมมองของคนอื่น หนิงเส่าเฉิน ฉันสนใจก็แค่คุณ มุมมองของคุณหนิงเส่าเฉิน”
คนหนึ่งยากที่จะเติมเต็มจิตใจคนร้อยคน เหมือนกับเรื่องที่คนหนึ่งร้อยเห็น ก็มักจะมีหนึ่งร้อยความคิด เธอไม่ได้ขอให้ทุกคนเข้าใจเธอ และเชื่อใจเธอ แต่ เธอกลับใส่ใจความคิดของหนิงเส่าเฉิน
อย่างไรก็ตาม รอบๆมีเพียงแต่เสียงฝน เสียงลม เย่หลินรออยู่นานมาก ก็ไม่ได้รับคำตอบของหนิงเส่าเฉิน
ใจของเธอ เมื่อผ่านช่วงเวลานี้ไป จากที่ร้อนระอุ มันก็ค่อยค่อยเย็นลง
หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นตุดเริ่มต้นของคุณใช่ไหม ? คุณก็ไม่เชื่อเธอ ใช่ไหม ?
คุณจะเชื่อได้อย่างไร แม้แต่ผู้หญิงที่ยอมสละชีวิตเพื่อคุณ เธอจะทำร้ายพ่อของคุณได้อย่างไร ? คุณเชื่อได้อย่างไร ?
ในขณะนี้ คุณอาเดินเข้ามา และมาดึงแขนของเย่หลิน “ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ คุณจะยังอยู่ที่นี่ทำไม ? ไปสิ……….”
เย่หลินถูกคุณอาลากออกไป เธอเกือบจะถูกลากไป เธอเดินไปหันกลับไปมองไป มองไปที่หนิงเส่าเฉิน เธอเดินช้ามากๆ
เธอคิดว่า ตราบใดที่เขาพูดออกมาว่า เขาเชื่อเธอ ให้เธอกลับไปอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับความยากลำบากขนาดไหน เธอก็จะไม่มีวันถอยกลับ
แต่ ไม่มีเลย เมื่อระยะห่างของพวกเขากว่างขึ้น สีหน้าของเย่หลินก็แทบแยกไม่ออกว่าเป็นฝนหรือน้ำตา
หลุมในใจของเธอก็เห็นร่างของเขาเลือนราง แล้วค่อยค่อยกว้างขึ้นเรื่อยๆ
หนิงเส่าเฉิน คุณเคยบอกว่า คุณจะเชื่อฉันตลอด ไม่ใช่เหรอ ?
ชายคนนั้นยืนตัวตรงในคืนที่ฝนตก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด นานจนกระทั่งร่างรียวหายลับออกไปจากสายตาของเขา เขาค่อยค่อยเงยหน้าขึ้น หลับตาลง ที่มุมตานั้น แยกไม่ออกเลยว่าเป็นน้ำฝนหรือน้ำตา
สิ่งที่เย่หลินประหลาดใจก็คือ คุณอาไม่ได้พาเธอไปที่เกาะเหลียนอู้ แต่พาเธอมายังอีกประเทศหนึ่ง ประเทศ B
“คุณอา ทำไมคุณถึงไม่พาฉันกลับไปที่เกาะเหลียนอู้ ? ”เมื่อมองดูสถานทที่ที่ไม่คุ้นนี้ เย่หลินก็พูดออกมาเป็นประโยคแรก
คุณอาไม่สนใจเธอ เพียงแค่เดินไปที่โต๊ะ และเอาโทรศัพท์มือถือของเธอ บัตรประจำตัว ทั้งหมดเก็บใว้ในกระเป๋าเธอ
จากนั้นเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ออกมา ส่งให้เย่หลิน
“แล้ว นี่เป็นโทรศัพท์เครื่องใหม่ของคุณ โทรศัพท์มือถือเครื่องก่อน เอาไว้ที่ผมนี่ ส่วนคุณ อยู่ที่นี่ใช้ชีวิตให้ดี ในเมื่อเขาไม่เชื่อคุณ ผู้ชายแบบนั้น คุณไม่จำเป็นต้องไปคิดถึงอีกแล้ว”
เย่หลินขมวดคิ้ว “คุณอา เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คุณคิด คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันยังมีลูกอีกสองคน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ต้องการเขา แต่ลูกล่ะ ? ฉัน………..”
ดวงตาของเย่หลินเป็นสีแดงเมื่อคิดถึงเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซี
คุณอาดึงเก้าอี้ไม่ไผ่ข้างหน้าเธอแล้วนั่งลง “นั่นเป็นลูกของพวกเขาตระกูลหนิง คุณคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะปฎิบัติต่อพวกเขาแย่ๆเหรอ คุณวางใจเถอะ”
เย่หลินก้มศีรษะลงหายไปในทันที
“คุณรู้ไหม ? คุณถูกจับมาสามวัน ตระกูลหนิงไม่มีใครมาดูคุณเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กผู้ชายแซ่ชู
โทรศัพท์หาพี่ชายคุณ และพี่คุณก็บอกกับฉัน คุณนี่นะ กลัวว่าจะรอรับโทษ” เมื่อคุณอาพูดถึงตรงนี้ เขาก็ทุบโต๊ะด้วยความโกรธ
“มีคนบอกว่า เมื่อนานวันจะเห็นใจคน คุณกับเขาอยู่กันมากี่ปีแล้ว ? เด็กผู้ชายแซ่ชูคนนั้นเชื่อคุณ แต่ผู้ชายของคุณ กลับไม่เชื่อคุณ คุณนี่นะ เหมือนกับแม่ของคุณเลย กลายเป็นคนตาบอด………”
เย่หลินไม่รู้ว่าคุณอายังพูดอะไรกับเธออีก แต่หัวใจของเธอกระตุกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใช่แล้ว ชูหยูจี้เชื่อเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อ
หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากวันหนึ่ง คุณรู้ว่าคุณทำผิดต่อฉัน คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจไหม ?
แล้วเธอก็ถามกับตัวเองอีกครั้ง
เย่หลิน ถ้าวันหนึ่ง พวกเขารู้ว่าทำผิดต่อคุณแล้ว ขอร้องให้คุณให้อภัย คุณจะกลับไปกับพวกเขาไหม ?
หนึ่งเดือนต่อมา
พ่อหนิงยังอยู่ในอาการโคม่า แม่หนิงร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน หนิงเชี่ยนปล่อยพวกเขาไม่ได้ ก็เลยลา และอยู่กับพวกเขาเป็นเวลานาน
หนิงเส่าเฉินเนื่องจากความต้องการของบริษัทในประเทศ เขาจึงต้องพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่กลับประเทศ
ทุกอย่าง ดูเหมือนจะกลับเข้าสู่เส้นทางปกติของชีวิต
แต่ในใจของทุกคน กลับไปเป็นแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว
หนิงเสี่ยวซีที่เดิมทีพูดน้อยอยู่แล้ว หลังจากเรื่องนี้ ก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปอีก
เย่เสี่ยวโม่เปลี่ยนไปมากจากการทะเลาะครั้งก่อน ตอนนี้เขารู้ข้อเท็จจริงแล้ว จึงเปลี่ยนไปมาก เขาไม่ยึดติดพี่ชวี่ และก็ไม่เรียกหนิงเส่าเฉิน
ไม่มีใครพูดถึงเย่หลิน ทุกคนล้วนยึดมั่น
“เธอเป็นคนยังไง คุณรู้ดีกว่าผมมาก หนิงเส่าเฉิน คุณจะปล่อยให้เธออยู่ข้างนอกอย่างเดียวดาย และจะไม่ยุ่งไม่ถามเลยเหรอ ? ”เมื่อเกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินกลับมา และไม่เห็นเขาพูดถึงเย่หลินเลย ในที่สุดก็อดไม่ได้ คว้าคอเสื้อของเขามา และถามอย่างเย็นชา
” พ่อครับ แม่โดนตำรวจควบคุมตัวไปแล้ว พ่อ พ่อจะมาถึงเมื่อไหร่? ” ปลายสายเป็นเสียงของหนิงเสี่ยวซีที่ถามหนิงเส่าเฉินด้วยความกังวล
หนิงเส่าเฉินเงียบ สีหน้าเขาเศร้าหมองมาก เขาเคยคิดถึงสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่เย่หลินรู้ความจริงไว้เยอะแยะมากมาย แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
เสียงดังของฝนดังขึ้นปะปนกับเสียงลม แต่ก็ไม่สามารถกลบเสียงร้องไห้ที่บีบหัวใจที่ดังขึ้นจากปลายสายได้
” แม่คะ ขอโทษจริงๆค่ะ หนูควรจะออกไปหยุดทุกอย่างตั้งแต่ตอนที่เห็นเธอและพ่อกำลังคุยกันแล้ว เป็นความผิดของหนูเอง ความผิดของหนูเอง ”
หน้าห้องผ่าผัด เสี่ยวเชี่ยนร้องไห้และกอดแม่หนิงไว้
แม่หนิงเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ไม่ร้องไห้และไม่โวยวาย เธอนั่งนิ่งอยู่กับพื้นโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในตอนที่เหอเฟยได้รับโทรศัพท์นั้น บังเอิญว่าเธอมาทำงานแถวนี้พอดี เธอจึงรีบเดินทางมาทันที เธอเดินเข้าไปพยุงตัวพวกเขาขึ้น ” พื้นมันเย็น พี่ลุกมานั่งบนเก้าอี้ดีกว่า ”
เหอหลิงเหมือนคนที่สูญเสียสติ ในตอนที่เหอเฟยพยุงตัวเธอขึ้นนั้นเธอก็ลุกขึ้นเดินตามเหอเฟยไปแต่โดยดี แม้กระทั่งหนิงเชี่ยนล้มลงกับพื้น เธอก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง
” พี่…..” เมื่อมองไปตามเสียงเรียกนั้น ก็เห็นชูหยูจี้กำลังพยุงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งไว้
เหอเฟยหันมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
” พี่ มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ” ทำไมเย่หลินถึงได้ผลักคุณอาตกหน้าผา? เธอไม่ใช่คนแบบนั้นนะ! ”
หนิงเชี่ยนลุกขึ้นจากพื้น เธอมองชูหยูจี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ” ฉันเห็นกับตาว่าเธอผลักพ่อตกลงไป ”
” เฮ้ย ทำไมถึงใจร้ายใจดำขนาดนี้นะ นั่นเป็นพ่อของเส่าเฉินเชียวนะ? เธอแค้นเรื่องอะไรกัน? ทำไมถึงได้ทำรุนแรงเช่นนี้? ”
” แม่คะ เย่หลินไม่ได้เป็นคนแบบที่แม่พูด ”
” เธอ…..เธอหยุดพูดเดี๋ยวนี้เลย ถ้ามันไม่ได้เป็นคนแบบนั้นแล้วทำไมตอนนี้อาของเธอถึงได้มีสภาพแบบนี้? พูดออกมาสิ พูดสิ ” แม่ชูพูดพร้อมกับตีไปที่แขนของชูหยูจี้
ชูหยูจี้รู้สึกหดหู่ใจมาก เย่หลินเป็นคนแบบไหน เขารู้ดี เขาไม่เชื่อว่าเธอจะทำเรื่องแบบนี้ได้ลงคอ
” แม่คะ…..เรื่องทั้งหมดยังไม่ได้รู้แน่ชัด แม่อย่าพึ่งด่วนสรุปสิ ” ทันทีที่พูดจบ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินกำลังเดินมาทางนี้พอดี
เขามองไปที่หนิงเส่าเฉิน
” พี่ชาย เย่……”
” ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันรู้หมดแล้ว “หนิงเส่าเฉินพูดแทรกขึ้น สายตาของเขาจ้องมองไปที่ห้องผ่าตัดฉุกเฉิน
หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย
จนกระทั่งประตูห้องผ่าตัดเปิดออก
” ผู้ป่วยได้รับการช่วยชีวิตกลับมาได้ แต่ขอให้คนในครอบครัวเตรียมใจไว้ เพราะโอกาสที่ผู้ป่วยจะฟื้นนั้นน้อยมาก ”
มือทั้งสองข้างของเย่หลินถูกใส่กุญแจมือที่เย็นเฉียบไว้ โดยเธอเอามือวางอยู่บนโต๊ะ เธอเอาแต่กลืนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ฝ่ามือของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ เปียกชุ่มจนแห้ง แห้งแล้วก็กลับมาเปียกชุ่มอีกครั้ง
เธอได้แต่ภาวนาในใจ ขอให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
เธอเข้ามาที่นี่น่าจะเป็นเวลาสามวันแล้ว เธอได้แต่มองดูท้องฟ้านอกหน้าต่างบานเล็กๆ มองตั้งแต่ฟ้ามืดจนฟ้าสว่าง และฟ้าสว่างจนฟ้ามืดลงอีกครั้ง……
ไม่มีใครถามไถ่เธอสักคำ และไม่มีใครสนใจเธอด้วย
จนกระทั่งใบหน้าของคุณอาปรากฏขึ้นตรงหน้า
” อาคะ อามาได้ยังไง? ”
คุณอาไม่ได้ตอบอะไร เขาส่งสายตาให้คนข้างๆ จากนั้นก็มีคนปลดกุญแจมือออกให้เย่หลิน
หลังจากนั้นก็รีบดึงตัวเธอมุ่งตรงออกไปข้างนอก
แต่เย่หลินกลับจับประตูบานนั้นไว้ และเอาแต่ส่ายหน้า
คุณอาหันมาขมวดคิ้วใส่เธอ ” ถ้าเธอไม่ออกไปตอนนี้ เธอก็จะออกไปไม่ได้อีก ”
เย่หลินรู้สึกอึดอัดใจมาก ผ่านไปสักพักเธอถึงได้รู้ตัว ที่แท้ คุณอาไม่ได้มารับตัวเธอออกไปอย่างเปิดเผย
นั่นมันหมายความว่ายังไงกันล่ะ? มันหมายความว่าเธอมีความผิดไง
” เขาเป็นยังไงบ้าง? ” เธอถามขึ้นอีกครั้ง
” ได้ยินมาว่ายังไม่ตาย แต่อยู่ในอาการโคม่า “เย่หลินกลืนน้ำลายลงคอ ” งั้น……งั้นเส่าเฉิน……” เขาจะเสียใจมากขนาดไหน? แล้วเขาจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไงกันนะ?
” ยังจะไปเป็นห่วงคนอื่นอีก เย่หลิน เธอเหมือนแม่เธอไม่ผิด เป็นคนไม่มีความคิดอะไรเลยใช่ไหม? ในเวลานี้เป็นห่วงตัวเองก่อนเถอะ! ” ในความทรงจำของเย่หลิน คุณอาเป็นคนที่อ่อนโยน เขาแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาแบบนี้ เธอรู้ว่ามันต้องบางอย่างที่ทำให้เขาโกรธ
” อาคะ เส่าเฉินเขา……รู้ไหมว่าหนูอยู่ที่นี่? ”
ชายหนุ่มหันหลังให้เธออยู่ เมื่อได้ยินเธอถามแบบนั้นก็รีบหันมามองเย่หลินทันที มือที่อยู่ข้างลำตัวเขากำหมัดไว้แน่น เขาหลับตาลง ” ถ้าเธอยังไม่ยอมออกจากที่นี่ คนที่จะส่งเธอเข้าคุกก็คือเขา! ”
เย่หลินยิ้ม เธอเงยหน้าขึ้นสบตาคุณอาแล้วส่ายหน้า ” อา โกหก เป็นไปไม่ได้ เส่าเฉินเขาต้องรู้สิว่าหนูไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้น ”
ตอนนั้น ตอนที่เกาเหวินวางแผนเล่นงานเธอ เขายังเชื่อเธอหมดใจอย่างไม่มีข้อแม้ ผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาเยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน เธอไม่เชื่อว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่เชื่อมั่นในตัวเธอ
เธอหัวเราะออกมา จากนั้นก็สะบัดมือของคุณอาที่จับแขนเธอไว้ออก เธอหันหลังและเดินกลับไปนั่งในตำแหน่งเดิม ” คุณอา อาไปเถอะ ฉันจะรอเส่าเฉินมารับฉัน ”
คุณอายืนนิ่งอยู่ที่เดิม มือทั้งสองข้างของเขากำหมัดแน่น เขามองดูเธอเงียบๆ ในที่สุด เขาก็เดินเข้าไปหาเธอและนั่งลงตรงหน้าเธอ ” หนิงเชี่ยนเห็นกับตาว่าหลานเป็นคนผลักพ่อของเธอตกหน้าผา และก่อนหน้านี้ เธอและแม่หนิงก็ได้ยินเรื่องที่หลานและพ่อหนิงคุยกัน เย่หลิน ไปกับอาเถอะ แม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะเชื่อเธอ ไม่ว่ายังไงญาติพี่น้องของตระกูลหนิงก็ต้องไม่ยอมให้เธอก้าวขาเข้าไปในบ้านตระกูลหนิงแม้แต่ก้าวเดียวแน่นอน ”
รอยยิ้มบนใบหน้าเธอค่อยๆจางหายไป เย่หลินก้มหน้าก้มตา ” แต่ว่า หนูไม่ได้ผลักเขานะคะ ถ้าหนูหนีไปแบบนี้ อาคะ เขาต้องคิดว่าหนูผลักพ่อของเขาให้ตกหน้าผาจริงๆแน่ หนูไม่ไป ไม่ไปเด็ดขาด ”
” หนูไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองหนูยังไง แต่ หนูอยากรู้ว่าหนิงเส่าเฉินคิดยังไง ”
” ปั๊ง ”
ประตูห้องขังถูกเปิดออกอีกครั้ง เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับดวงตาที่เย็นชาของคนคนหนึ่ง
” เส่าเฉิน……” เย่หลินวิ่งเข้าไปกอดเขาด้วยความตื่นเต้น
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือเธอไม่รับการสวมกอดที่อบอุ่นเหมือนเมื่อก่อน เขาเป็นเหมือนกำแผงที่เย็นเฉียบ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆต่อเย่หลินเลย
ผ่านไปสักพัก ชายคนนั้นก็ลากเธอเดินออกไป
เย่หลินเดินตามเขาไม่ทัน ในระหว่างทางเธอเกือบจะล้มอยู่หลายครั้ง
พอมาถึงด้านนอก ตอนนี้ฝนกำลังตกอยู่ ลมกระโชกแรงพัดผ่านมา เย่หลินหนาวสั่น
ในวินาทีถัดมา เธอรู้สึกได้ถึงแรงที่ดึงแขนของเธออยู่นั้นมันหายไปอย่างกะทันหัน เธอจึงก้มมอง ทันใดนั้นหัวใจเธอก็รู้สึกได้ถึงความว่างเปล่า
ด้านนอกประตู แม่หนิงมองหนิงเชี่ยนและเอามือปิดปากตัวเอง เธอตัวสั่นไปทั้งตัว
เธอและพ่อหนิงนั้นหมั้นหมายกันตั้งแต่เด็ก ต่อมา ก็เข้าสู่ช่วงความรักในวันใสด้วยกัน เรียนรู้และเติบโตมาด้วยกัน ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาโดยตลอด
พ่อหนิงทะนุถนอมเธออย่างมาก
จนกระทั่งเกิดเรื่องของหนิงเสี่ยวซีขึ้น จู่ๆพ่อหนิงก็พาเธอไปต่างประเทศอย่างกะทันหัน
แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของพ่อหนิง แต่เธอก็เชื่อใจสามีตัวเอง
แต่ วินาทีนี้เธอพึ่งรู้ว่าผู้ชายที่เธอเชื่อใจมากที่สุดกลับมีความลับอันใหญ่หลวงเช่นนี้ซ่อนอยู่ภายในใจ
เธออยากจะผลักประตูเข้าไปในห้อง แต่หนิงเชี่ยนก็ดึงมือเธอไว้พร้อมกับส่ายหน้าให้เธอ
” ต่อมา ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องนี้ไปเข้าหูพ่อของเธอได้ยังไง มีคนบอกเขาว่าฉันย่ำยีแม่ของหนู พ่อของหนูจึงรีบกลับมาทันที เขาเอาปืนจ่อหัวฉัน ฉันอธิบายกับเขาว่าฉันโดนคนใส่ร้าย แต่เธอกลับปฏิเสธ เธอบอกว่าฉันยั่วยวนและ จากนั้นก็บังคับฝืนใจเธอ ”
เย่หลินรู้สึกเพียงแค่ปวดหัวจนแทบระเบิด เธอหายใจเข้าออกเฮือกใหญ่
” ในวันนั้นตอนที่พ่อของหนูเอาปืนจ่อหัวฉันอยู่ จู่ๆไฟในห้องก็ดับจนมืดสนิท ฉันได้ยินเพียงเสียงปืนดังลั่น ” เมื่อพูดถึงตรงนี้พ่อหนิงก็ถึงกับมือสั่น ” หลังจากนั้น เขาก็ไม่หายใจแล้ว ส่วนปืนนั้นก็มาอยู่ในมือฉัน หนูน้อย ฉันเองก็ไม่รู้ว่าปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหน ฉันเองก็ยากที่จะอธิบายให้ทุกคนเข้าใจ และทุกคนต่างก็ไม่เชื่อฉันเลยแม้แต่คนเดียว ”
” ไม่ มันไม่ใช่เรื่องจริง ” เย่หลินส่ายหน้า เธอเดินถอยหลังจนชิดกำแพง
เธอควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
” เย่หลิน ลูกต้องเชื่อพ่อนะ พ่อไม่ได้ทำอะไรแม่หนูจริงๆ และก็ไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าพ่อของหนูด้วย และแน่นอนว่าพ่อรู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเพราะพ่อ แต่…….ลูกต้องเชื่อพ่อนะ พ่อ พ่อไม่ได้……”
พ่อหนิงพูดพร้อมกับเดินเข้ามาจับไหล่เย่หลินไว้ ” ลูก ลูกต้องเชื่อพ่อนะ ตั้งแต่รู้เรื่องว่าหนูและเส่าเฉินเป็นแฟนกัน พ่อก็อยู่กับความทุกข์ทรมานมาตลอด พ่อเอาแต่คิดว่าควรบอกความจริงกับลูกดีไหม พ่อ……”
” พ่อต้องการจะบอกว่า พ่อเการู้เรื่องนี้ก็เลยเอาเรื่องนี้มาบีบบังคับพ่อใช่ไหมคะ? แสดงว่าครั้งที่แล้วที่พ่อไม่เห็นด้วยที่หนูบีบบังคับให้เส่าเฉินและเกาเหวินหย่าร้างกันก็เพราะเรื่องนี้ใช่ไหมคะ? ”
พ่อหนิงพยักหน้า
เย่หลินขมวดคิ้ว เธอไม่ได้พูดอะไร เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ใช้สายตาที่เย็นชามองหน้าพ่อหนิง ” หนูเองก็ไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดี? ” พอเธอพูดจบเธอก็สะบัดมือคู่นั้นของพ่อหนิงออก เธอหันหลังไปเปิดประตู ทันทีที่เห็นแม่หนิงและหนิงเชี่ยนยืนอยู่นอกประตูเธอชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้าน
พ่อหนิงรีบวิ่งตามเธอไป
แม่หนิงพยายามจะลุกขึ้น แต่จู่ๆก็มึนหัวและเป็นลมไป
สวนหลังบ้านของคฤหาสน์ตระกูลหนิงตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นเนินเขา ตอนที่พ่อหนิงตามไปถึง เย่หลินก็ยืนอยู่ที่ก้อนหินก้อนใหญ่บริเวณหน้าผาแล้ว
ทั้งสองอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกันโดยเว้นระยะห่างกันไกลพอสมควร คนหนึ่งยืนอยู่ส่วนอีกคนนั่งอยู่
ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร
เวลาล่วงเลยไปอย่างยาวนาน
พ่อหนิงเปล่งเสียงขึ้น ” ลูกมาตรงนี้ก่อนเร็ว ตรงนั้นมันอันตราย ”
เมื่อเย่หลินได้ยินแบบนั้น เธอก็เบี่ยงเบนสายตาไปทางอื่น เธอเม้มปากโดยไม่ได้พูดอะไร
อันที่จริงในช่วงเวลานี้ เธอคิดเรื่องต่างๆมากมายในหัว
นี่คือพ่อของหนิงเส่าเฉิน และยังเป็นคุณปู่ของหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่อีกด้วย
แม้ว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจอย่างโจ่งแจ้งว่าตอนนั้นมันเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ส่วนลึกในใจของเธอ เธอก็เชื่อใจชายชราที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
ถ้าเขาต้องการฆ่าพ่อของเธอจริงๆ เขาคงไม่ยอมให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี และไม่ยอมให้เธอใช้ชีวิตร่วมกับหนิงเส่าเฉินแน่ ทั้งๆที่เขาก็รู้ชาติกำเนิดของเธออย่างดี
” ลูก พ่อรู้นะว่าหนูยากที่จะทำใจยอมรับในตอนนี้ พ่อเองก็คิดพิจารณาเรื่องนี้อยู่นานมากว่าจะบอกหนูดีหรือไม่ แต่ พ่อขอพูดกับหนูหนึ่งอย่างนะ ไม่ว่าหนูจะเกลียดพ่อมากขนาดไหน แต่ขออย่าให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของหนูและเส่าเฉินเลยนะ พ่อดูออกว่าว่าเขารักหนูด้วยใจจริง ก่อนหน้านี้ที่พ่อไม่กล้าบอกหนูก็เพราะพ่อกลัวและกังวล ”
” พ่อเห็นลูกทั้งสองรักกันมาก พ่อเองก็กลัวว่าจะทำให้ลูกทั้งสองคนต้องแยกจากกันเพราะเรื่องนี้ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ ในชีวิตนี้พ่อคงจะให้อภัยตัวเองไม่ได้ แต่ลูกต้องเชื่อพ่อนะ เรื่องตอนนั้นพ่อไม่ได้ทำจริงๆ พ่อของหนูเป็นคนที่กล้าหาญมาก พ่อเองก็รู้เรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของพ่อและแม่ของหนู พ่อไม่มีทางทำเรื่องเลวๆพวกนั้นได้ลงแน่นอน ”
” อีกทั้งในตอนนั้นแม่ของหนูตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว ถึงจะเลวแค่ไหนพ่อก็คงไม่ทำเรื่องต่ำช้าแบบนั้นอย่างแน่นอน……”
เย่หลินตกใจมาก? ตั้งครรภ์? เธอยกมือเช็ดน้ำตา ” พ่อหมายความว่า ตอนนั้นหนูยังไม่เกิดงั้นหรอ? ”
พ่อหนิงพยักหน้า ” ใช่ ยัง ”
” แล้วพ่อของหนูเสียชีวิตเมื่อไหร่? ”
พ่อหนิงครุ่นคิดอยู่สักพัก ” น่าจะเป็นตอนที่แม่ของหนูท้องได้หกถึงเจ็ดเดือน ตอนนั้น พ่อของหนูเอาแต่คิดว่าเด็กที่อยู่ในท้องแม่ของหนูนั้นเป็นลูกของฉัน ก็เลยบุกมาหาฉันด้วยอารมณ์โกรธ แต่ไม่คิดเลยว่า……”
เย่หลินขมวดคิ้วแน่น ทันใดนั้น เธอก็จำรูปถ่ายในโทรศัพท์รูปนั้นได้ หากผู้ชายในรูปนั้นเป็นพ่อของเธอจริง หากนับตามระยะเวลาตอนนั้นเธอเองก็อายุสองขวบแล้ว
ถ้าตอนนั้นพ่อของเธอตายแล้วจริงๆแล้วผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? หรือว่าจะเป็นพ่อเกาจริงๆ?
แม่ของเธอและพ่อเกามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันงั้นหรอ? ก็เลยจัดฉากให้พ่อหนิงเป็นคนฆ่าพ่อแท้ๆของเธอ
เธอถึงกับตกใจกับความคิดเช่นนี้ของตัวเอง
ในตอนนั้นเองเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อกี้ฝนพึ่งตกพื้นจึงลื่น เธอออกแรงในการลุกขึ้นยืนมากเกินไปเลยทำให้เธอลื่นจนตัวเอนไปด้านหลัง เธอมองไปก็เห็นว่าเธอกำลังจะตกหน้าผาแล้ว
เมื่อเห็นแบบนั้น พ่อหนิงก็รีบเข้าไปดึงตัวเย่หลินให้ขึ้นมา
เย่หลินรู้สึกเพียงว่าตัวเองลอยอยู่ในอากาศ จากนั้นก็กระแทกลงบนพื้นหญ้า เธอยังไม่ทันได้ดึงสติกลับมา เธอก็เห็นร่างของพ่อหนิงตกหน้าผาไปแล้ว
เธอเบิกตากว้าง เธอสติเตลิดเปิดเปิง อึ้งอยู่กับที่
” พ่อ…….” ทันใดนั้น ลมกระโชกพัดผ่านเธออย่างแรง เป็นเสียงของหนิงเชี่ยน
ทันทีที่เย่หลินดึงสติกลับมาได้ เธอก็รีบคลานไปที่ริมหน้าผาก และตะโกนเรียกตามหนิงเชี่ยน ” พ่อ……พ่อ……”
หน้าผาที่นี่ไม่ได้ลึกมาก แต่ก็สูงไม่ต่ำกว่าสิบเมตร……ถ้าตกลงไปจากตรงนี้ เย่หลินไม่กล้าจินตนาการเลย หัวสมองเธอว่างเปล่า
หนิงเชี่ยนรีบลุกขึ้นและวิ่งตรงไปที่คฤหาสน์ เธอตะโกนและร้องไห้ไปด้วย ” ช่วยด้วย ใครก็ได้…… ช่วยพ่อฉันด้วย……”
เย่หลินที่คลานอยู่บนพื้น เธอรู้สึกเพียงว่าเสียงของผู้คนรอบข้างมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงของหนิงเสี่ยวซีพูดขึ้น ” แม่ แม่ไม่ได้เป็นคนผลักคุณปู่ตกลงไปใช่ไหม? อาตาฝาดไปใช่ไหมครับ? ”
เย่หลินเงยหน้าขึ้น เธอเห็นใบหน้าของหนิงเสี่ยวซีเต็มไปด้วยความสงสัย เธอส่ายหน้าและเอื้อมมือไปจับมือน้อยๆของหนิงเสี่ยวซี ” เสี่ยวซี ไม่ใช่แม่นะ แม่ไม่ได้ทำจริงๆ คือ……คือว่าคุณปู่ต้องการจะช่วยแม่ หลังจากนั้น หลังจากนั้นเขาก็ตกลงไป ”
หนิงเสี่ยวซีขมวดคิ้ว และไม่ได้พูดอะไรแต่กลับสะบัดเธอออก
โลกของเย่หลินพังทลายลงนับบัดนั้น
เก่าไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย ” เรื่องนี้ไม่อาจจะบอกได้ ” พอพูดจบเขาก็โบกมือไปมา
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านหลังก็เข้าควบคุมตัวเกาเหวิน
เย่หลินได้รับข้อความจากหนิงเส่าเฉินในตอนกลางคืน เธอดูวิดีโอที่เกาเหวินเผยใบหน้าที่แท้จริงของเธอออกมาให้เห็น เธอรู้สึกโล่งอก ในที่สุดโลกของเธอจะได้สงบสุขสักที
” ที่รัก พรุ่งนี้ผมจะไปรับพวกคุณกลับบ้านนะ หลังจากกลับมาบ้านผมจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้คุณนะ ”
” เรื่องพิธีแต่งงานไม่ต้องจัดนะ ขอแค่สถานะตามกฎหมายก็พอแล้ว ”
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะวางสายไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
เดิมทีเพราะเวลาตามสถานที่ที่เปลี่ยนไป เย่หลินมักจะมีอาการนอนไม่หลับอยู่แล้ว พอตอนนี้รู้ว่าเกาเหวินโดนจับแล้ว เรื่องราวที่อยู่ในใจมานานหลายปีก็จบลงสักที ตอนนี้เธอรู้สึกตื่นเต้นมากเลยทำให้เธอไม่รู้สึกง่วงเลยสักนิด
เพราะว่าแม่หนิงสั่งเอาไว้ เธอจึงไม่ได้บอกเรื่องนิสัยที่เปลี่ยนไปของพ่อหนิงให้หนิงเส่าเฉินทราบ
ต่อมา เธอก็เริ่มรู้สึกง่วงนอนอย่างสะลืมสะลือ ทันใดนั้น เธอก็ได้ยินเหมือนมีคนกำลังพูดอะไรบางอย่าง เธอจึงลุกขึ้นนั่งและตั้งใจฟัง นั่นเป็นเสียงของแม่หนิง
เมื่อมองดูเวลา ตอนนี้เวลาตีสามแล้ว
เธอลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลุกออกจากเตียง
เธอลงมาจากชั้นบน เธอก็ได้ยินเสียงพ่อหนิงกำลังอาละวาดอยู่ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร ส่วนแม่หนิงนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้น
ทันใดนั้น เธอก็หยุดฝีเท้าลง เหมือนว่าพ่อตาแม่ยายจะกำลังทะเลาะกัน
” ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรคุณ ฉันก็แค่บอกให้คุณนอนเช้าๆ แล้วคุณก็ดุฉัน ที่รัก ทำไมคุณถึงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ ” เป็นเสียงของแม่หนิง
เวลาผ่านไปนานมากก็ไม่มีเสียงตอบกลับ ในตอนที่เย่หลินกำลังคิดว่าพ่อหนิงคงไม่ตอบแล้ว จู่ๆเขาก็พูดขึ้น ” ผมบอกคุณหลายครั้งแล้ว เรื่องของผมคุณไม่ต้องมายุ่ง ” เสียงไม่ได้ดังมาก ถ้าไม่ใช่เพราะในยามดึกที่ภายในบ้านค่อนข้างเงียบ เย่หลินเองก็คงไม่ได้ยินอย่างแน่นอน น้ำเสียงของพ่อหนิงราวกับว่าหมดความอดทนแล้วจริงๆ
เมื่อคิดถึงครั้งที่แล้วที่มาที่นี่แม่หนิงและพ่อหนิงที่ออดอ้วนแสดงความรักต่อกัน ภาพนั้นมันยังคงอยู่ตรงหน้าเธอ ในตอนนั้น เธอคิดว่ารอให้เธอและหนิงเส่าเฉินแก่ตัวลง เธอก็อยากทำแบบนี้เช่นกัน
แต่ เวลาผ่านไปไม่นาน……
” คุณเป็นสามีของฉัน ถ้าฉันไม่สนใจคุณแล้วใครจะมาสนใจ? ” เสียงของแม่หนิงยังคงนุ่มนวลอย่างเดิมแม้ว่าจะมีเสียงสะอึกสะอื้นปะปะอยู่บ้าง
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบสงัดเป็นเวลานานอีกครั้ง
ทันใดนั้น ” โอ๊ย……” เสียงกรีดร้องของแม่หนิงดังขึ้น เสียงดังขึ้นอย่างชัดเจนท่ามกลางความเงียบสงัด
เย่หลินสะดุ้งเล็กน้อย เธอยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาได้ ก็ได้ยินเสียงปิดประตูดังมาจากด้านหลัง จากนั้น ก็มีร่างของคนคนหนึ่งวิ่งผ่านเธอไป
เย่หลินเองก็พึ่งจะดึงสติกลับมาได้ จึงรีบวิ่งตามหนิงเชี่ยนไปที่ห้องหนังสือ
แม่หนิงล้มลงอยู่บนพื้นในห้องหนังสือ และหัวของเธอมีเลือดออก ” แม่คะ……แม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ? ”
หนิงเชี่ยนรีบพุ่งตัวไปพยุงแม่หนิง
” หนิงเชี่ยน กล่องยาของที่บ้านวางอยู่ตรงไหน? ”
” เดินออกไปเลี้ยวขวา กล่องยาจะวางอยู่ที่ตู้วางของชั้นล่างสุดของห้อง ”
หลังจากที่เย่หลิงนำกล่องยามาก็รีบฆ่าเชื้อบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บให้แม่หนิง จากนั้นก็ทำแผลให้เสร็จ โชคดีที่แผลไม่ได้ใหญ่มาก
” พ่อคะ นี่มันเรื่องอะไรกันคะ? พ่อเป็นคนผลักแม่ใช่ไหมคะ? ” หนิงเชี่ยนฝากแม่หนิงไว้กับเย่หลิน ส่วนเธอลุกขึ้นยืนหลังตรง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความรู้สึกโกรธที่ไม่สามารถข่มเอาไว้ได้
” เสี่ยวเชี่ยน พ่อของลูกเขาไม่ได้ตั้งใจหรอก ” แม่หนิงใช้มือปิดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บพร้อมกับพูดกับหนิงเชี่ยน
ในตอนนั้นเย่หลินไม่ได้พูดอะไร เรื่องของพ่อตาแม่ยาย ลูกสะใภ้อย่างเธอก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก
” เย่หลิน เธอตามฉันออกมาหน่อย ”
เย่หลินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบพยักหน้า ” ค่ะ ” จากนั้นก็ฝากแม่หนิงไว้กับหนิงเชี่ยน ส่วนเธอก็เดินตามพ่อหนิงออกไป
ห้องหนังสืออีกห้องหนึ่ง
” หลินผิงเป็นแม่ของเธอใช่ไหม? ” นี่เป็นคำพูดแรกของพ่อหนิงที่พูดออกมา
เย่หลินพยักหน้า หัวใจเธอเต้นแรงมาก เธอกำมือตัวเองแน่นด้วยความกังวล
” พ่อของเธอชื่อเกาเฉวียน ”
เย่หลินขมวดคิ้ว เกาเฉวียน? ” คุณลุง ท่านรู้จักพ่อหนูหรือคะ? ”
พ่อหนิงทำมือไขว้หลัง และยืนหันหลังให้เย่หลิง เย่หลิงมองไม่เห็นอารมณ์ทางสีหน้าของเขา แต่กลับเห็นมือที่กำหมัดแน่นของเขา
พ่อหนิงไม่ได้ตอบคำถามเธอ ผ่านไปสักพัก เขาถึงได้หันมามองเย่หลิน ” เย่หลิน เธออยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าตอนนั้นทำไมฉันถึงยอมเห็นด้วยกับพ่อเกาให้เธอคลอดหนิงเสี่ยวซี? ”
เย่หลินเงยหน้ามองพ่อหนิงด้วยความตกใจ ตอนนั้นพ่อหนิงบอกว่าตัวเองไม่รู้ แต่หลังจากที่ไปหาเศรษฐีเกาเธอก็รู้ว่าพ่อหนิงโกหกเธอ
เดิมทีเธอก็ลังเลว่าจะเอ่ยปากถามพ่อหนิงยังไงดี ถึงแม้ว่าแม่ของเธอจะจากโลกนี้ไปแล้ว แต่เธอก็ยังอยากรู้ชาติกำเนิดของตัวเอง เธออยากรู้ให้แน่ชัด
แต่ คาดไม่ถึง วันนี้เขาจะเป็นคนพูดขึ้นเอง
” เพราะว่าในมือของพ่อเกาเขามีความลับของฉันอยู่ ฉันเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเชื่อฟังเขา ”
เย่หลินขมวดคิ้ว คนอย่างพ่อหนิงทำไมถึงยอมให้ความลับตกไปอยู่ในมือพ่อเกาได้?
” ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่ง เธอจะมาใช้ชีวิตร่วมกับลูกชายฉัน แล้วเขาจะรักเธอได้มากขนาดนี้ ” พ่อหนิงพูดถึงตรงนี้เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโชคชะตา ”
เย่หลินมองเขาโดยไม่พูดอะไร เธอรู้ว่าเขายังพูดไม่จบ
แต่ว่า โชคชะตา……ก็อาจจะเป็นไปได้สินะ?
” ตอนนั้น หลังจากที่พ่อของเธอพาแม่ของเธอออกจากเกาะเหลียนอู้ก็กลับเข้ามาในประเทศทันที เพื่อเลี้ยงดูแม่ของเธอ พ่อของเธอเลยมาทำงานที่หนิงกรุ๊ป เขาเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของฉัน เขาเป็นคนมี่มีคุณธรรม และปฏิบัติต่อแม่เธอดีมาก ฉันเองก็ให้ความสำคัญกับเขามาก ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่หลินก็เห็นการแสดงออกทางสีหน้าของเขาเจ็บปวดมาก
แต่ว่า น่าตกใจมากที่พ่อหนิงเองก็รู้เรื่องเกาะเหลียนอู้ด้วย แสดงว่าเขาคงรู้ความจริงอยู่ไม่น้อย
” ต่อมา มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาจำเป็นต้องไปทำธุระให้ฉันที่พื้นที่ห่างไกล เขาจึงฝากฉันให้ดูแลแม่ของเธอแทน ”
ราวกับว่าพ่อหนิงจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขาทรุดตัวลงกับพื้นและเอามือกุมขมับ
” วันนั้น ฉันดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปเยอะมาก แล้วแม่ของเธอก็โทรหาฉันและบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ฉันเลยไปหา ทันทีที่ไปถึง ฉันยังไม่ทันได้พูดอะไรแล้วภาพทุกอย่างก็ตัดไป หลังจากนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ฉันเองก็ไม่รู้ พอตื่นมาในเช้าอีกวัน ฉันก็นอนอยู่บนเตียงของแม่เธอแล้ว ”
บรรยากาศที่ตึงเตรียดอยู่แล้วก็ตึงเครียดขึ้นไปอีก เย่หลินรู้สึกเพียงว่าหนังศีรษะของตัวเองชาไปหมด ปากของเธอก็เริ่มสั่น หน้าก็ซีดเซียวขึ้นทันที และรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง และเธอไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยจริงๆ
ครั้งที่แล้วที่ไปเจอเศรษฐีเกา ผู้หญิงคนนั้นพูดว่าตอนนั้นแม่ของเธอโดนข่มขืน ส่วนคนที่ข่มขืนยังหาตัวไม่เจอ หรือว่าคนนั้นเป็นพ่อหนิง?
เพราะว่าพ่อเการู้เรื่องนี้ของเขา ดังนั้นก็เลยกลายเป็นความลับที่อยู่ในมือพ่อเกางั้นหรอ?
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ งั้น……งั้นเธอ หรือว่า……
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เธอก็เดินโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เธอต้องเอามือจับกำแพงไว้เธอถึงจะยืนได้อย่างมั่งคง
ไม่สิ เกาไห่เขาหน้าตาเหมือนพ่อเกามาก เธอและเกาไห่เป็นฝาแฝดกัน……
ปวดหัวจนแทบระเบิดอยู่แล้ว
จากนั้น ก็เห็นเพียงแม่หนิงและหนิงเชี่ยนวางตะเกียบในมือลงและรีบวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ
เย่หลินเองก็รู้สึกเป็นกังวล เธอจึงกำชับหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ให้นั่งบนเก้าอี้อย่าขยับไปไหน ส่วนเธอก็วิ่งตามขึ้นไปชั้นบน
เธอยังไม่ทันได้ได้ตั้งตัว จู่ๆพ่อหนิงก็พุ่งตัวออกมาจากห้องหนังสืออย่างกะทันหัน อีกทั้งยังชนเย่หลินจนล้มลงพื้น
แต่เขากลับไม่มีทีท่าจะหยุดเลย เขารีบก้าวเดินออกไปทางนอกประตูบ้าน
หนิงเชี่ยนพยุงเย่หลินให้ลุกขึ้น ” พี่สะใภ้ พี่ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ? ”
เย่หลินที่ยังคงตกอยู่ในอาการตกใจรีบส่ายหน้า ” ฉันไม่เป็นไร พ่อจะไปไหนกันเนี่ย? ”
แม่หนิงเดินเข้าไปลูบแขนเย่หลิน ” ลูก อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกเส่าเฉินนะ ”
” ทำไมล่ะคะ? ”
แม่หนิงได้แต่ยิ้ม ” เอาเถอะ อย่าไปสนใจคุณพ่อเลย เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่า ”
อาหารมื้อนี้ทำให้เย่หลินรู้สึกหดหู่มาก สัญชาตญาณของเธอมันบอกว่าถ้านับจากระยะเวลาของนิสัยที่เปลี่ยนไปของพ่อหนิงนั้นมันต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอแน่ๆ งั้นก็แสดงว่าคำพูดของเศรษฐีเกาในวันนั้นเป็นความจริง พ่อหนิงดันไปรู้เรื่องบางอย่างเข้าจริงๆ แต่ว่า เขาเป็นพ่อของหนิงเส่าเฉิน เธอจะสามารถทำอะไรได้?
จะเค้นถามเขาก็ไม่เหมาะสมสินะ
ภายในประเทศ
ในขณะที่เล่อจยายืนอยู่ใต้ตึกเกากรุ๊ป เธอรู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นดั่งความฝัน ช่วงเช้าเธอรู้สึกเหมือนตัวเองตกนรก พอตอนนี้ กลับรู้สึกเหมือนอยู่บนสวรรค์
ดังนั้น เธอจึงยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา เธอทักทายทุกคนอย่างยิ้มแย้ม
แต่ในตอนท้าย รอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆจางหายไป
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนมองเธอราวกับเป็นตัวตลก
” เล่อจยา? ”
” ใช่ค่ะผู้จัดการ ตอนเช้า น้องสาวฉัน……น้องสาวฉันเป็นคนโทร……โทรหาพวกคุณ เธอยังไม่รู้ประสีประสาเท่าไหร่ ขอโทษด้วยนะคะ ” เธอจำใจโกหกด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่จะมาซูหย่าให้เธอคิดคำแก้ตัวไว้ ทั้งๆที่ตลอดทางเธอลองพูดในใจอยู่หลายรอบ แต่พอพูดขึ้นจริงๆเธอก็ยังพูดตะกุกตะกัก
เธอช่างไม่เหมาะกับการพูดโกหกเลยจริงๆ
ผู้จัดการเป็นผู้หญิงอายุประมาณสี่สิบปี เธอมองเล่อจยา ” เธอเคยทำงานด้านการออกแบบที่เจิ้งไท่มาก่อนงั้นหรอ? ”
เล่อจยาพยักหน้า ” ใช่ค่ะ……” แม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่นี่คือเรื่องจริง
” สามารถเข้าทำงานที่เจิ้งไท่ได้ แสดงว่าเธอก็เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง นั่นเป็นที่นั่งของเธอไปนั่งก่อนสิ ”
เล่อจยามองตามนิ้วที่เธอชี้ไปตรงที่นั่งบริเวณหัวมุมของห้อง เธอรู้สึกดีใจมาก ” ค่ะ ขอบคุณค่ะผู้จัดการ ”
ในที่สุดเธอก็สามารถเข้าทำงานที่เกากรุ๊ปได้สำเร็จ เกาไห่ แม้ว่าระหว่างเราจะมีช่องว่างที่กว้างใหญ่และยาวไกลเหมือนมหาสมุทรแปซิฟิก แต่ฉันก็อยากพยายามอย่างสุดความสามารถที่ฉันจะทำได้
เล่อจยาที่รอคุณมานานเจ็ดปี เธอกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้งแล้ว
” ท่านประธานเกา คนเมื่อเช้าคนนั้น……”
” ติ๊ง……” เสี่ยงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นขัดจังหวะคำพูดของเสี่ยวตง เกาไห่รับสาย ” ฮัลโหล เส่าเฉิน……อะไรนะ ได้ภาพถ่ายมาแล้วงั้นหรอ? ได้……ได้ งั้นลงมือทำตามแผนได้เลย ได้ ระวังตัวด้วยนะ ”
หลังจากวางสาย เกาไห่โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เขายักคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับมองไปที่เสี่ยวตง ” เมื่อกี้นายว่าไงนะ ”
เสี่ยวตงรีบตอบว่า ” ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอกครับ เพียงแต่ว่านักออกแบบคนนั้นที่เธอบอกว่าจะอยู่บ้านดูแลลูก เธอ……”
” ต่อจากนี้เรื่องที่เกี่ยวกับเธอไม่ต้องมารายงานฉันอีก ” เกาไห่พูดพร้อมกับลุกขึ้น ” ไปกันเถอะ ไปที่ไซต์งานก่อสร้างที่เราคุยกันไว้เมื่อหลายวันก่อนกัน ”
เสี่ยวตงตอบรับสั้นๆ ภายในใจเขาจดชื่อเล่อจยาเข้าสู่บัญชีดำของเขาทันที
ในช่วงเช้าของวันต่อมา เก่าไห่ได้รับวิดีคอลจากเฉินอีอี
ในวิดีโอคอล สติสัมปชัญญะของเกาเหวินก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เธอพูดผ่านวิดีโอคอลว่า ” พี่ชาย พี่เป็นเหมือนผู้ปกครองของฉัน พี่ยอมให้ฉันและเส่าเฉินหย่ากันเถอะ ตอนนี้ฉันหายป่วยแล้ว แต่ ระหว่างฉันกับเขามันเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ในเมื่ออีอีและเส่าเฉินต่างก็รักใคร่ชอบคอกัน งั้นเราก็ทำให้พวกเขาสมปรารถนาเถอะ ”
เมื่อมองดูใบหน้าที่คุ้นเคยในวิดีโอคอล เกาไห่ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจและไม่พอใจในสายตาของเขาอีกต่อไป มีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น
หลังจากที่เขาส่งต่อวิดีโอให้กับเส่าเฉิน เขาก็ให้คนส่งเอกสารรับรองสำหรับผู้ปกครองที่เขาลงนามอย่างเสร็จสมบูรณ์แล้วให้กับหนิงเส่าเฉิน
เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้แล้ว ขาดเพียงสิ่งนี้เท่านั้น หลังจากที่เอกสารรับรองฉบับนี้ถึงมือเขา หนิงเส่าเฉินก็จะให้คนไปจัดการเรื่องหย่าทันที
หลังจากได้รับเอกสารรับรองฉบับนี้แล้ว เขาก็กดโทรออกและพูดขึ้นเสียงต่ำ ” จบเรื่องทุกอย่างได้ ”
ทางฝ่ายนี้โทรหาเฉินอีอีเพื่อบอกกับเธอว่าตัวเขาและเกาเหวินได้รับเอกสารการหย่าแล้ว ให้เธอรออยู่ที่บ้านเขาจะไปหาเธอเดี๋ยวนี้
เฉินอีอีไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องทั้งหมดมันจะราบรื่นมากขนาดนี้ เธอตั้งใจเปลี่ยนชุดนอนที่เธอพึ่งซื้อมาใหม่ หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
เธอนึกว่าคนที่มาคือหนิงเส่าเฉิน เธอจึงเปิดประตูออกอย่างรวดเร็วโดยไม่คิด
แต่กลับมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเจ็ดแปดนายบุกเข้ามา จากนั้นก็มีผู้ชายสวมชุดสูทและรองเท้าหนังเดินตามเข้ามา หนิงเส่าเฉินแล้วก็……เกาไห่
” เส่าเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน? ” ในใจเธอรู้สึกกังวลเล็กน้อย แต่สีหน้าเธอยังคงยิ้มแย้ม
หนิงเส่าเฉินสะบัดมือเธอออกอย่างไร้ความปราณี
เขาเดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างๆ พร้อมกับทำท่ากอดอก
เฉินอีอีอยากจะตามไป แต่กลับโดนตำรวจในเครื่องแบบสองคนขวางเอาไว้
” สวัสดี คุณเกา คุณเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมโดยเจตนา ตอนนี้เราจะทำการจับกุมตัวคุณเดี๋ยวนี้ ”
เฉินอีอีพูดย้อนไปว่า ” เจตนาฆ่าอะไรกัน ฉัน……” หลังจากนั้นเธอก็ไอออกมาเล็กน้อย ” พวกคุณจับคนผิดรึเปล่า ฉันไม่ใช่คุณเกา ”
ตำรวจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาให้เธอดู
ภาพในโทรศัพท์คือภาพที่เธอถอดหน้ากากเมื่อวาน เผยให้เห็นใบหน้าของเกาเหวิน
สีหน้าเธอซีดเซียวขึ้นทันที
” ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ” เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉินและเกาไห่ ทันใดนั้นเธอก็คิดขึ้นได้ ” พวกคุณ……พวกคุณร่วมมือกันหลอกฉันงั้นหรอ? ”
หนิงเส่าเฉินและเกาไห่มองหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นตรงมุมปากของพวกเขาแทน
” ไปเถอะ คุณเกา ”
เกาเหวินส่ายหน้า และรีบหันหลังวิ่งไปหาเกาไห่ จากนั้นก็จับคอเสื้อของเขาไว้แน่น ” พี่ชาย ช่วยฉันด้วย พี่ชาย……”
เก่าไห่ออกแรงดึงมือเธอออกและสะบัดไปข้างๆ ” เกาเหวิน เธอเริ่มจากผลักฉันให้ตกหน้าผา จากนั้นก็ให้แม่รับโทษแทนเธอ และทำให้แม่ตาย ต่อมาก็ขังฉันไว้ในเมือง S ทำให้ฉันใช้ชีวิตอย่างไม่เป็นผู้ไม่เป็นคนมานานหลายปี แล้วยังมาหลอกฉันอีกว่าทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจของพ่อ เกาเหวิน เธอรู้อะไรไหม? ตั้งแต่วันแรกที่เธอช่วยฉัน ฉันก็เห็นธาตุแท้ของเธอแล้ว ฉันอยากจะบีบคอเธอให้ตายตั้งแต่ตอนนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่…….ฉันคิดว่าถ้าเธอตายแบบนั้นมันจะง่ายเกินไป ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เก่าไห่ชะงักไปชั่วครู่ ” คนอย่างเธอควรไปใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก และทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เธอสมควรได้รับ เธออย่าโทษใครเลย ”
เมื่อเกาเหวินได้ยินแบบนั้น แขนเธอก็อ่อนแรงและรู้ว่าทุกอย่างจบลงแล้ว
สิ่งที่แปลกก็คือเธอสงบกว่าที่คิดไว้มาก ผ่านไปสักพัก เธอก็ยกมือฉีกหน้ากากหนังมนุษย์นั้นออก พร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าของเกาเหวิน หน้ากากนี้เธอได้ว่าจ้างให้ปรมาจารย์ท่านหนึ่งทำให้เธอ แม้แต่ตัวเธอเองก็ดูไม่ออกว่ามีส่วนไหนที่ผิดสังเกต แต่เกาไห่กลับบอกว่าเขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้ว ” คุณรู้ได้ยังไง? ”
เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าเด็กปลอดภัยดี เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและเดินเข้าไปเพื่อกอดเด็กคนนั้น
อีกฝ่ายมองหน้าเล่อจยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ” คุณผู้หญิงท่านนี้คะ รบกวนคุณดูแลคุณแม่ของคุณดีดีหน่อยนะคะ ถ้าครั้งหน้ายังกล้ามายุ่งวุ่นวายกับลูกชายฉันอีก ฉันจะทำให้เธอออกจากคุกไม่ได้ตลอดไป ”
เมื่อพูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็เตรียมจะอุ้มเสี่ยวเจ๋อออกไป เล่อจยารีบยื่นมือออกไปขวางไว้ ” เธอเป็นใครกันแน่ เด็กคนนี้เป็นหลานชายของฉัน พวกคุณห้ามอุ้มเขาไปเด็ดขาด ”
ชายคนนั้นเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหลังเดินเข้าไปหานายตำรวจสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังพร้อมกับขยิบตาให้เขา
” คุณเล่อครับ คุณแม่ของคุณวิ่งหนีออกมาจากโรงพยาบาลจิตเวชแล้วบอกว่าตัวเองมาสมัครเป็นแม่บ้าน เธอเข้าไปในบ้านของคุณผู้ชายท่านนี้แล้วอุ้มลูกของพวกเขาออกมาจากบ้าน ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ของคุณมีปัญหาทางสุขภาพจิต การกระทำแบบนี้ของเขาถือว่าเป็นการละเมิดกฎหมายนะครับ ”
เล่อจยาสูดหายใจเข้า เธอเอามือเกาหัวพร้อมกับเม้มปาก ” พวกคุณพูดเรื่องอะไรกัน ทำไมฉันถึงฟังไม่รู้เรื่องเลย? เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของน้องชายฉันงั้นหรอ? ”
เธอหันหลังเพื่อเตรียมจะกลับไปหยิบเอกสารนั่นที่ห้อง แต่ทันทีที่หันไปก็เห็นพ่อเล่อทำหน้าเคร่งขรึมและยื่นเอกสารนั่นที่เขาถือไว้ในมือให้เธอ
” คุณดูสิ นี่เป็นเอกสารรับรองการตรวจ DNA ที่แม่ฉันให้มาเมื่อวานนี้ อีกทั้งยังมีใบสูจิบัตรอีกด้วย ”
ตำรวจรับเอกสารมาและทำการตรวจดู จากนั้นก็ยื่นให้ชายคนนั้นที่ทำหน้าตาเย็นชา
หลังจากที่ชายคนนั้นดูเสร็จ ก็หัวเราะออกมาเบาๆ ” นี่แม่ของคุณบ้าจริงหรือแกล้งบ้ากันแน่? แม้กระทั่งความคิดพวกนี้ก็คิดออกมาได้! ”
พอพูดจบ เขาก็พูดกับผู้หญิงที่อุ้มเด็กอยู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ” เธอยังยืนนิ่งอยู่ทำไมอีก? ยังไม่ไปอีก? ”
เล่อจยาเหมือนจะอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเห็นมือของเด็กคนนั้นกอดคอผู้หญิงคนนั้นไว้และหัวเราะอย่างสนุกสนาน
เธอก็กลืนคำพูดที่ต้องการจะพูดลงไป
” แม่ของคุณ มีปัญหาด้านสุขภาพจิต เธอมักจะตกอยู่ในโลกจินตนาการของตัวเองอยู่ตลอดเวลา พวกคุณเป็นคนในครอบครัวควรจะดูแลเอาใจใส่เขามากๆ ”
พอพูดจบ ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
เล่อจยายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักกว่าเขาจะดึงสติกลับมาได้
ผู้หญิงคนนั้นเธอเป็นบ้า ก็เลยไปขโมยลูกของคนอื่นมาที่บ้านของพวกเธอ
แต่ว่าถึงเขาจะบ้าก็ยังจำตำแหน่งที่ตั้งของบ้านตัวเองได้ ช่างเป็นเรื่องยากสำหรับเธอจริงๆ
เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็รีบตามไป
เธอดึงคุณตำรวจไว้ ” สวัสดีสหาย ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ ตอนนี้แม่ของฉันอยู่ที่ไหน? ”
ตำรวจพูดว่า ” เหมือนว่าเธอจะมีลูกชายอีกคนสินะ? ที่ชื่อเล่ออะไรสักอย่าง……เขาไปรับตัวเธอออกจากสถานีตำรวจไปแล้ว ”
เล่อจยาเม้มปากและหลับตา จากนั้นเธอก็หันไปหาผู้เป็นพ่อ ” พ่อคะ ได้ยินไหมคะว่าเสี่ยวเล่อยังไม่ตาย ”
พ่อเล่อพยักหน้า
อีกด้านหนึ่งเย่หลินร้องไห้อย่างข่มขื่นด้วยความเจ็บปวดเมื่อมองดูรถเด็กเล่นที่อยู่ภายในบ้านและสิ่งของเครื่องใช้ของเด็กที่เก็บไว้ในกระเป๋า
ซูหย่ากอดปลอบเธออย่างอ่อนโยน ” เล่อจยา เป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เธอกลับไปทำงานที่เกากรุ๊ปได้อีกครั้งแล้ว ”
เล่อจยาสะอึกสะอื้น เธออดไม่ได้ที่จะหันหลังไปมองผู้เป็นพ่อ สีหน้าของเขายิ้มแย้ม แต่แววตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด
พอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็คลายกอดซูหย่าและเดินเข้าไปกอดผู้เป็นพ่อไว้พร้อมกับพูดว่า ” พ่อคะ อย่าผิดหวังไปเลยค่ะ หนูจะพยายามและทำให้พ่อได้อุ้มหลายชายให้เร็วที่สุด ”
พ่อเล่อลูบหลังเธอเบาๆ ” ได้ พ่อจะรอนะ ”
เล่อจยารู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้มันเหมือนกับทำให้เธอได้เกิดใหม่อีกครั้ง เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นก็หันไปมองรถเด็กเล่น และผ้าอ้อมที่ยังเปียกชื้นที่วางอยู่ข้างๆโต๊ะ เธอถึงกับยิ้มทั้งน้ำตา
ซูหย่าแย่งผ้าอ้อมจากมือเธอไปทิ้ง ” จยาจยา เธออย่ามัวยืนนิ่งอยู่เลย เธอรีบโทรหาเกากรุ๊ปและบอกไปว่าช่วงเช้าเธอมีธุระ ตอนนี้จะรีบไปทำงานเดี๋ยวนี้ รีบเร็ว”
เล่อจยาชะงักอยู่ชั่วครู่ ” แบบนี้ก็ได้เหรอ? ”
” เธอลองโทรดูสิ ”
ทันทีที่เย่หลินมาถึงสนามบิน ก็เห็นหนิงเชี่ยนที่ยืนรออยู่ที่ไกลๆ
” พี่สะใภ้ เสี่ยวซี เสี่ยวโม่ ยินดีต้อนรับนะ ”
” เสี่ยวเชี่ยน รอกวนด้วยนะ ” หลังจากเรื่องครั้งที่แล้ว ความสัมพันธ์ของเย่หลินและหนิงเชี่ยนก็ดีขึ้นมาก
” พี่สะใภ้พูดอะไรแบบนั้นคะ ไปกันเถอะ ที่บ้านทำอาหารอร่อยๆเตรียมไว้เยอะแยะแล้ว แม่รู้ว่าพี่ชอบกินอาหารทะเล ครั้งนี้แม่ยอมจ่ายเงินก้อนโตเพื่อให้คนเอามาส่งที่บ้านไม่น้อยเลยทีเดียวนะ ” หนิงเชี่ยนพูดพร้อมกับรับกระเป๋าเดินทางในมือเธอมาด้วย
ก่อนหน้านี้ที่คุณแม่นอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล เย่หลินได้ยินเตียงข้างๆพูดกันว่าปัญหาแม่สามีและน้องสามีนั้นเป็นปัญหาของความสัมพันธ์ที่จัดการได้ยากที่สุดในชีวิต
แต่ว่า วินาทีนี้ เย่หลินรู้สึกว่าเธอมีความสุขมากๆ เธอไม่เคยกังวลกับเรื่องนี้เลย
” เออ…..พ่อกับแม่ สุขภาพแข็งแรงดีใช่ไหม? ” เมื่อนึกถึงครั้งที่แล้วในวีดีโอคอลที่เธอเรียกพ่อหนิงและแม่หนิงว่าคุณลุงคุณป้า สีหน้าของหนิงเส่าเฉินนั้นดูอารมณ์เสียมาก เธอเลยรีบเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกทันที
แววตาของหนิงเชี่ยนเศร้าหมองทันที ” แม่สุขภาพแข็งแรงดี แต่พ่อ……”
” คุณพ่อเป็นอะไร? ”
หนิงเชี่ยนส่ายหน้า ” ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ ก็แค่ตอนนี้เหมือนท่านเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ตอนนี้นิสัยของท่านหัวรุนแรงมาก และยิ่งอยู่ก็ยิ่งไม่พูดไม่จากับใครเลย ”
เย่หลินขมวดคิ้ว ” ทำไมไม่เคยได้ยินคุณแม่พูดขึ้นเลยล่ะ? เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? ”
หนิงเชี่ยนอุ้มเย่เสี่ยวโม่ขึ้นรถ ” อือ เหมือนว่าจะเริ่มตั้งแต่ปีที่แล้วว แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนมาก ทุกคนก็ไม่ค่อยได้สนใจ แต่ช่วงนี้ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ”
แว่นกันแดดในมือเย่หลินตกลงพื้น จู่ๆเธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ทันใดนั้นเธอก็คิดถึงเรื่องครั้งที่แล้วที่เธอไปพบกับมหาเศรษฐีเกา คำพูดพวกนั้นของเขาเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นก็เป็นตอนที่เขาไปบ้านตระกูลหนิงพอดีไม่ใช่หรอ?
หรือว่าพ่อหนิงไปรู้เรื่องที่ไม่สามารถบอกกับใครได้?
เมื่อถึงคฤหาสน์ตระกูลหนิง ก็เห็นแม่หนิงยืนต้อนรับพวกเขาจากที่ไกลๆ
เย่หลินรอให้เด็กน้อยทั้งสองลงจากรถ จากนั้นก็จูงมือเด็กน้อยคนละข้างพร้อมกับเดินเข้าไปหาแม่หนิง ” แม่คะ รบกวนด้วยนะคะ ”
แม่หนิงชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด หลังจากนั้นก็ยิ้มแย้มราวกับดอกไม้บาน ” ลูกคนนี้นี่ คนบ้านเดียวกัน รบกงรบกวนอะไรกัน ”
แม่หนิงยังดูสาวและสวย แต่ว่าเย่หลินกลับรู้สึกว่าแววตาคู่นั้นของเขาไม่สดใสเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้แววตาของเธอแฝงไปด้วยความวิตกกังวล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่หนิงเชี่ยนพูดเมื่อสักครู่ เธอก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น
ในขณะที่เดินเข้าบ้านก็ไม่เห็นพ่อหนิงเลย
จนกระทั่งตอนถึงเวลากินข้าว เย่หลินก็ไม่เห็นเขาเดินออกมา เธอครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็ถามขึ้นว่า ” แม่คะ พ่อล่ะคะ? ”
แววตาของแม่หนิงเศร้าหมองขึ้นเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ” เขา อีกสักพักเขาค่อยกิน พวกเรากินกันก่อนเลย ไม่ต้องรอ ”
เย่หลินและหนิงเชี่ยนต่างก็มองหน้ากัน
หนิงเชี่ยนพยักหน้า ” แม่คะ เดี๋ยวหนูไปตามพ่อมากินข้าวด้วยกัน ” เธอพูดพร้อมกับวิ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ
เธอเคาะประตูอยู่สักพัก แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ในตอนที่หนิงเชี่ยนเตรียมจะเคาะประตูอีกครั้ง จู่ๆประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านใน
” พ่อคะ กินข้าวค่ะ ”
พ่อหนิงมองเธอด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก ” ได้ เดี๋ยวอีกสักพักพ่อค่อยกิน ”
” พ่อคะ ลงมากินพร้อมกับเถอะค่ะ วันนี้พี่สะใภ้พาเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่มาที่บ้านด้วย พ่อรีบ……”
” ปั๊ง ” หนิงเชี่ยนยังไม่ทันพูดจบ ประตูก็ถูกปิดลงอย่างแรง
หนิงเชี่ยนลำบากใจมาก ” แม่คะ พ่อเป็นอะไรไปกันแน่? ”
แม่หนิงหยิบแพนเค้กเข้าปากอย่างช้าๆ จากนั้นเธอก็ฝืนยิ้ม ” ไม่ต้องสนใจเขา พวกเรากินกันก่อนเถอะ ”
” เพล้ง ” เสียงกระจกแตกดังมาจากห้องหนังสือ เย่หลินสังเกตเห็นสีหน้าของแม่หนิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
เกาไห่ไม่เงยหน้าขึ้น “คุณพูดเถอะ! ”
“ฉันคิดว่าคุณในฐานะเป็นผู้ปกครองของเกาเหวิน น่าจะเห็นด้วยกับการหย่าของเธอกับหนิงเส่าเฉินนะ”
ปากกาที่หมุนอยู่ในมือเกาไห่ก็ตกลงบนโต๊ะ เขาเงยหน้าขึ้นมองเฉินอีอี แล้วหัวเราะ “เกาเหวิน ผู้ปกครอง? ” เขามองดูเธอครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขยับนิ้วเรียวยาวของเขาไปที่ข้างหูของเธอ แล้วลูบไล้เล็กน้อย เขายิ้มพูดว่า : “ฉันฟังไม่ค่อยเข้าใจ น้องสาวฉัน เธอหายไปก่อนแล้ว เรื่องยุ่งยากอย่างนี้ ฉันจะสามารถช่วยอะไรได้”
“เกาไห่ คุณเพียงแค่เขียนหนังสือรับรองก็พอแล้ว”
เกาไห่ส่ายหัว “เช่นนั้นไม่ได้อย่างแน่นอน เสี่ยวเหวินเป็นผู้ใหญ่แล้ว ฉันไม่สามารถตัดสินใจแทนเธอได้ ในอนาคตถ้าเธอกลับมา จะไม่มาคิดบัญชีกับฉันเหรอ? ”
แววตาเฉินอีอีเป็นประกาย คิดๆ ดูเล็กน้อย “อืม แล้วถ้าฉันได้รับวิดีโอที่ถ่ายโดยน้องสาวของคุณ ว่าเธอไหว้วานคุณล่ะ? ใช่ไหม อย่างนี้ก็ได้แล้ว? ”
ในแววตาเกาไห่มีความอาฆาต เขาระงับอารมณ์ที่แปรปรวนในใจ เงยหน้ามองเฉินอีอี “เช่นนั้นก็ได้อย่างแน่นอน แต่ทำไมฉันต้องช่วยคุณด้วย? คุณอย่าลืมสิ คุณต้องการแย่งผู้ชายของเย่หลิน น้องสาวของฉัน! ”
ดูเหมือนว่าเป็นไปตามคาดที่เขาจะมีปัญหาเช่นนี้ สีหน้าของเฉินอีอีไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ยิ้มกว้างขึ้น
“อันที่จริง อาไห่ คุณให้พวกเขาแยกกันแบบนี้ก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ถ้า……” เธอเดินวนไปรอบๆ เกาไห่ “ถ้าวันหนึ่ง เย่หลินรู้ว่า พ่อของหนิงเส่าเฉินฆ่าพ่อของพวกคุณ คุณคิดว่าพวกเขายังจะอยู่ด้วยกันได้เหรอ? ”
“ถ้าถึงเวลานั้น วิธีที่แยกจากกันอย่างแสนเจ็บปวดนี้ จะไม่ดีกว่าเหรอ? ”
เกาไห่ตกตะลึง เขาเข้าไปบีบคอเฉินอีอี “คุณไปรู้สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? ”
เฉินอีอีหัวเราะเยาะ สะบัดแขนเกาไห่ออก “ฉันรู้มากกว่านี้อีก ถ้าคุณอยากรู้ รอให้เรื่องจบแล้ว ฉันจะค่อยๆ บอกคุณ”
ในใจเกาไห่ปั่นป่วนไปหมด เขาพยายามระงับอารมณ์ตนเองที่อยากบีบคอผู้หญิงคนนี้ให้ตายไปซะ แล้วยิ้มพูดว่า : “เธอกับหนิงเส่าเฉินมีลูกด้วยกันสองคน ฉันเชื่อว่า เย่หลินจะมองออกว่าระหว่างลูกกับเรื่องของบุญคุณความแค้นอะไรที่สำคัญ ในเวลานั้น พ่อของเรา เราก็ไม่เคยเห็นเลย เธอจะไม่เลิกกับหนิงเส่าเฉินเพราะคนที่ไม่มีความผูกพันด้วยหรอก”
“คุณแน่ใจเหรอ? ” เฉินอีอีอมยิ้ม “คุณก็ไม่กล้าแน่ใจใช่ไหมล่ะ? ” เธอสูดลมหายใจเข้า และพูดกระซิบข้างๆ หูเกาไห่ “อย่างนั้นคุณก็ช่วยฉัน ขอเพียงแค่ฉันได้หนิงเส่าเฉินมา ฉันรับประกันว่าเรื่องเหล่านี้ ฉันจะไม่แพร่งพรายออกมาเลย”
เกาไห่สูดลมหายใจ หันกลับดึงเธอออกไปห่างๆ “เฉินอีอี วันๆ คุณทำแต่เรื่องเหล่านี้ คุณไม่กลัวว่าวันหนึ่งจะถูกกรรมตามสนองเหรอ? ”
“โอเค ฉันจะส่งวิดีโอไปให้คุณทางอีเมล”
เห็นเธอกำลังจะไป เกาไห่ก็ชำเลืองมอง “คุณรู้ใช่ไหมว่าเกาเหวินอยู่ที่ไหน? ”
เฉินอีอีมองเกาไห่ เงียบอยู่นาน “คุณอยากรู้เหรอ? รอให้ฉันได้หนิงเส่าเฉินก่อน แล้วฉันจะบอกคุณ”
พูดจบ ก็หันกลับออกไป
พร้อมกับประตูที่ปิดลง เกาไห่ก็รีบโทรไปหาหนิงเส่าเฉิน “คุณส่งคนตามเธอไป เธอต้องการจะให้วิดีโอเกาเหวินแก่ฉัน ต้องมีพิรุธอย่างแน่นอน อืม โอเค ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
หลังจากวางสาย เกาไห่จึงหยิบกุญแจรถบนโต๊ะแล้วเดินออกไป
เสี่ยวตงเห็นเช่นนี้จึงพูดว่า “ประธานเกา ไม่ใช่บอกว่าตอนบ่ายต้องไปสถานที่ก่อสร้างในเขตชานเมืองเหรอ? ”
เกาไห่หยุดฝีเท้า “อืม ถึงเวลา ฉันจะเข้าไป”
บริษัทซีเอกซ์
“พี่ ทำไมเส่าเฉินต้องส่งฉันไปด้วย? ตกลงพวกคุณคิดจะทำอะไร? บอกว่าให้ทุกคนร่วมแสดงละครด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องให้ฉันออกไปก่อนด้วยล่ะ? ” ก่อนหน้าที่เกาไห่จะมา เย่หลินก็เก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว
“เธอสามารถลงมือได้ เส่าเฉินจึงให้ฉันพาคุณและพวกเด็กๆ ส่งไปที่บ้านของแม่สามีคุณ รอเรื่องราวจบสิ้นแล้ว พวกคุณค่อยกลับมา”
เย่หลินสูดลมหายใจเข้า “พี่ เธอคนเพียงเดียว จะพลิกฟ้าได้เลยเหรอ อีกอย่าง พวกคุณ……”
เกาไห่หันตัวกลับ มองเย่หลินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “คุณไม่เป็นห่วงตัวเอง คุณไม่เป็นห่วงลูกทั้งสองคนเหรอ? เธอคนนี้ เป็นบ้าเสียสติมานานแล้ว หากกดดันให้เธอเป็นกังวล ไม่ว่าเรื่องอะไร เธอก็สามารถทำได้ทั้งนั้น”
ความเป็นห่วงของเขา ทำให้เย่หลินกลืนคำพูดที่อยู่ในคอกลับคืนไป “อืม อย่างนั้นก็ได้ ฉันเชื่อพวกคุณ”
กลับไปเก็บของอีกเล็กน้อย เย่หลินจึงพาหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ตามเกาไห่ไป ขณะเดินทางไปสนามบิน
หนิงเส่าเฉินที่นั่งอยู่ในรถ เห็นเย่หลินและพวกเขาเข้าไปในสนามบิน ก็ส่งข้อความหนึ่งให้เธอ “ไม่อยากให้คุณไปเลย”
เย่หลินก้มหน้า ปิดบังรอยยิ้มในสายตา “อย่างนั้นก็รีบทำเรื่องราวให้จบสิ้น แล้วก็มารับพวกเรากลับไป”
“โอเค! ”
หนิงเส่าเฉินไม่เคยคิดเลยว่า พอเย่หลินไป โชคชะตาของพวกเขา จะมาถึงที่สุดด้วยเหตุผลนี้
หลังจากเกาไห่ส่งเย่หลินและพวกเขาไปแล้ว ก็ขับรถออก โดยไม่รู้ตัว ช่วงนี้ในสมองก็ปรากฏสถานที่นั้นอยู่บ่อยๆ นั่งอยู่ในรถ มองไปนอกหน้าต่าง ความคึกคักในอดีตนั้น เวลานี้ไม่มีแล้ว บังกะโลสามหลังในพื้นที่เปิดโล่ง เงียบสงัดไปอย่างชัดเจน
ในประตูกระจก คนที่อุ้มเด็กอยู่นั้น คือเล่อจยา สายตาก็มืดมนลงไปในชั่วพริบตา
เท้าเหยียบลงที่คันเร่ง รถก็พุ่งออกไปราวกับธนูพุ่งออกจากสาย
ในก้นบึ้งของหัวใจ ตามระยะทางที่ห่างออกไป ก็เหมือนกับพื้นที่ที่ว่างเปล่า ที่แท้ เธอมีลูกแล้ว
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลกตัวเอง ช่วงหลายวันมานี้ ในสมองปรากฏรอยยิ้มนั้นไม่หยุด สลัดทิ้งไม่ออกเลย
เห็นไฟท้ายรถนั้นที่หายไปจากสายตา ซูหย่าก็ไม่เข้าใจเล็กน้อย เมื่อกี้เธอมองพลาดไปเหรอ? ทำไมถึงรู้สึกว่าคนนั้น คล้ายกับเกาไห่ล่ะ?
“”เอี๊ยด” เสียงล้อรถเสียดสีกับพื้น ดังมาจากด้านหลังซูหย่า ดึงความรู้สึกนึกคิดของเธอกลับมา
ซูหย่าหันกลับ เห็นในรถตำรวจคันหนึ่ง มีตำรวจสองนายลงมา แล้วก็วัยรุ่นสองคน
เธอขมวดคิ้ว เข้าไปหา “พวกคุณคือ? ”
คนสองสามคนมองเธอเป็นตาเดียว ตำรวจเดินมายังตรงหน้า แล้วเอ่ยปากว่า “ฉันอยากสอบถามว่า เล่อจยาอยู่ที่นี่ใช่ไหม? ”
ซูหย่าพยักหน้า “ใช่ค่ะ! ”
แล้วจึงเดินไปยังด้านหน้าสองสามก้าว “จยา มีคนมาหา”
เล่อจยากำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวเจ๋ออยู่ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ จึงไม่ได้เงยหน้ามอง กล่าวถามไปอย่างไม่สนใจว่า: “ใครเหรอ? ”
“เสี่ยวเอินเอิน…..” ด้วยเสียงร้องที่ดัง ซูหย่ารู้สึกเพียงว่ามีกลิ่นหอมลอยมาจากในอากาศ
หันกลับไป ก็เห็นผู้หญิงคนนั้น แย่งเด็กไปจากในมือของเล่อจยาแล้ว กอดเอาไว้ในอ้อมกอด จูบไม่หยุด บนใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา ทันใด เธอก็เห็นเล่อจยาทึ่มทื่อไป
เล่อจยาหันกลับไปมองพ่อเล่อ ถึงแม้พ่อเล่อจะไม่ได้พูดอะไร แต่เธอก็เข้าใจ ว่าพ่อยังอยากจะเก็บเด็กคนนี้ไว้
เสี่ยวเล่อเป็นพ่อของเขา เช่นนั้นเสี่ยวเล่อไม่อยู่แล้ว เด็กคนนี้ก็เป็นรากเหง้าของตระกูลเล่อ
แต่เธอก็เข้าใจได้ว่า ถ้าตนเองเห็นด้วยที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ มันหมายความว่าอะไร มันจะหมายความว่า ตลอดชีวิตนี้ของเธอ ก็ต้องพังทลายไป
ถึงแม้ว่าพ่อจะอายุยังไม่มากนัก แต่สองสามปีมานี้ น้ำตาลในเลือดขึ้นตลอด สภาพร่างกายทรุดโทรมลง อย่าพูดถึงดูแลเด็กเลย ให้ดูแลตัวเขาเองยังยาก
เสียงประตูเปิดออก”แกร๊ก”
“คุณลุง” ซูหย่าเอ่ยปากเรียก
เล่อจยาไม่ได้หันกลับไปมอง ในใจกำลังว้าวุ่นอย่างมาก
จู่ๆ พ่อเล่อก็คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ
เล่อจยาขอบตาแดง “พ่อ นี่คุณทำอะไรนะ? ”
“จยาจยา ชั่วชีวิตนี้พ่อต้องขอโทษคุณด้วยนะ แต่ว่า เสี่ยวเล่อเขาก็เป็น……”
เชือกที่ตึงอยู่ในใจ ท้ายที่สุดก็ขาดออก ต่อให้เล่อจยาเตรียมใจไว้แล้ว ชั่วขณะนี้ ยังตกตะลึงจนไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ
“พ่อ……” เธอเอามือปิดหน้า ปล่อยออกอีกครั้ง แล้วสูดลมหายใจ “พ่อ คุณจะทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? ”
พ่อเล่อยกมือขึ้นค้างไว้กลางอากาศ สั่นเทาเล็กน้อย เขามองเล่อจยา น้ำตาไหลพราก “จยาจยา เขาก็เป็นรากเหง้าของตระกูลเล่อของเรา”
รากเหง้า? อย่างนั้น แล้วเธอล่ะ? เธอสมควรที่จะตกเป็นเหยื่อของตระกูลเล่อใช่ไหม?
ในตอนนั้นเพราะว่าเธอต้องดูแลพ่อ จึงลาออกจากงานที่รัก หลายปีมานี้ ก็ขายอาหารริมทาง ดูแลพ่อ แล้วยังต้องใช้หนี้ผู้หญิงคนนั้นอีก
ในที่สุดก็โชคดีอย่างหาได้ยาก ต้องถูกรื้อถอน ใช้หนี้หมดแล้ว แต่ก็มีเด็กเข้ามา
“พ่อ อย่างนั้นฉันล่ะ? ฉันมีลูกแล้ว แล้วใครจะต้องการฉันล่ะ? ” เธอพูดถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้โฮ เหมือนกับทุกความน้อยใจในช่วงหลายปีที่ผ่านมาแสดงออกมาเป็นน้ำตา
ซูหย่าเห็นท่าทีของเธอ ก็ร้องไห้ตาม “คุณลุง คุณลุง พวกคุณทำกับเล่อจยาอย่างนี้ จริงๆ มันก็ไม่ยุติธรรมนะ เธออายุ 27แล้ว เดิมทีแฟนก็ไม่มี พวกคุณยังจะเอาเด็กมาให้เธออีก ผู้ชายคนไหนจะต้องการเธอล่ะ? ”
พ่อเล่อยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น สองแขนค้ำต้นขาไว้ ก้มหน้าลงร้องไห้ เปียกชื้นกางเกงสีเทาที่ใส่อยู่ ดูเหมือนว่าเขาก็ลำบากใจ
สักพักก็เห็นเขาลุกยืนขึ้นมา “จยา……จยา คุณอย่าร้องเลยนะ เป็นพ่อที่เห็นแก่ตัวเกินไป” พูดจบ เขาก็ก้มลงไปอุ้มเด็ก
“ฉันส่งเขาไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า”
เด็กคนนั้นเหมือนกับว่าได้ยิน เล่อจยาเพิ่งจะพูดจบ เขาก็ร้องไห้ออกมา
แต่เล่อจยาเหมือนไม่ได้ยิน เข้าห้องไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า แล้วเดินออกไปข้างนอก
ในที่สุดซูหย่าก็โล่งอก
จู่ๆ เล่อเจียก็พูดขึ้นว่า : “อยู่ต่อเถอะ อย่างมากก็แค่ ไม่ได้แต่งงานตลอดชีวิต”
น้ำเสียงเธอเบามาก แต่ก็เพียงพอที่จะปกปิดเสียงร้องไห้ของลูกได้ แล้วพ่อเล่อก็ได้ยิน
ความประหลาดใจประกายทั่วใบหน้าของพ่อเล่อ จากนั้น เขาก็หันไปมองเล่อจยา “จยาจยา……”
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ เล่อจยา คุณให้เขาอยู่ต่อ ชั่วชีวิตนี้ของคุณก็จบสิ้นแล้วนะ”
เล่อจยามองซูหย่า “ถ้าไม่เก็บเขาเอาไว้ ชีวิตนี้ของชายชราก็คงจบสิ้น” พูดจบ เธอก็คล้ายกับนึกอะไรได้ในชั่วพริบตา ยิ้มเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นยืน รับเด็กที่ร้องไห้ไม่หยุดจากในมือของพ่อเล่อ “มา มาหาป้า…..อื้ม ช่างเถอะ คุณเรียกฉันว่าแม่แล้วกัน ต่อไป ฉัน คุณ แล้วก็ปู่ของคุณ เราสามคนจะใช้ชีวิตด้วยกัน”
“เล่อจยา คุณบ้าไปแล้วเหรอ? แม่อะไรกัน เรียกป้าสิ ถึงเวลา คุณก็สามารถอธิบายกับคนอื่นได้ บอกว่า……”
“ซูหย่า รับปากฉัน นี่คือความลับระหว่างพวกเรา อย่าพูดออกไป ในเมื่อฉันรับผิดชอบชีวิตของเขาแล้ว ฉันก็ควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่างยุติธรรม ฉันไม่อยากให้เขาอยู่อย่างไม่มีความสุขไปตลอดชีวิต” พูดจบ เธอก็หยิกที่แก้มของเด็กเล็กน้อย “อืม ต่อไปนี้ คุณชื่อเล่อเสี่ยวเจ๋อ เจ๋อที่แปลว่าจุดเปลี่ยน โอเคไหม? คุณคือ……จุดเปลี่ยนของชีวิตแม่”
น้ำตาไหลริน
พูดจบ จู่ๆ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้น
เล่อจยาอุ้มเด็กอยู่ จึงแสดงเจตนาให้ซูหย่าช่วยกดรับสายให้เธอ “ฮัลโหล…..”
“สวัสดีค่ะ พวกเราคือแผนกออกแบบเกากรุ๊ป ฉันต้องการสอบถามว่า คุณเล่อ คุณต้องการสละสิทธิ์งานนี้จริงๆ เหรอคะ? ”
เพราะเปิดลำโพง เล่อจยาจึงได้ยินชัดเจนอย่างมาก
แน่นอนว่าพ่อเล่อก็ได้ยิน เขามองลูกสาวของตนเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ ในสายตาปรากฏความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส เขาจึงเอ่ยปากว่า: “จยาจยา คุณไปทำงานเถอะ ส่วนเด็ก จะเรียกพี่เลี้ยงมา แล้วฉันจะช่วยดูให้คุณเอง”
เล่อจยามองเล่อเสี่ยวเจ๋อที่อยู่ในอ้อมกอด ลังเลใจเล็กน้อย “แต่ว่า พ่อ เสี่ยวเจ๋อยังเด็กขนาดนี้ ร่างกายของคุณก็ไม่ดี ฉันเป็นห่วง”
คิดๆแล้ว ก็พูดกับในมือถือว่า: “ต้องขอโทษด้วยนะคะ ฉัน…..ลูกชายฉันไม่มีคนดูแล พ่อฉันก็ร่างกายไม่ค่อยดี คิดๆแล้ว ก็ช่างเถอะ ต้องขอโทษอย่างมากจริงๆ ”
พูดจบ เธอก็อุ้มเล่อเสี่ยวเจ๋อเดินออกไป
ด้านนอกร้อนมาก ลมพัดเข้ามา ไม่มีความเย็นแม้แต่น้อย แต่หัวใจของเล่อจยา กลับเย็นเฉียบ เธอเงยหน้า มองท้องฟ้า ฉีกริมฝีปากยิ้ม แก้มลูกสาลี่ปรากฏชัดเจน เธอยิ้มเล็กน้อย “เกาไห่ ลาก่อนนะ”
เวลานี้ที่เกากรุ๊ป
“คนคนนี้แปลกประหลาดจริงๆ ในเมื่อรู้ว่าตนเองมีคนแก่ แล้วก็มีเด็ก เมื่อวานยังจะมาสอบสัมภาษณ์ทำไมอีก? ”
คนรับผิดชอบกำลังบ่นตำหนิ แต่เกาไห่ขมวดคิ้ว ลูกชายของเธอ?
วันนั้น เธอไม่ใช่ไปหาคู่เหรอ? แล้วจะมีลูกชายได้ยังไง? ใบหน้ามืดมนลงไปทันที
หัวตัวออกจากแผนกออกแบบ
พอลิฟต์เปิด ก็มีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งเข้ามา “ประธานเกาครับ คุณเฉินท่านนั้น อยู่ที่ห้องทำงานของคุณ บอกว่ามีธุระกับคุณครับ”
เกาไห่สายตาเคร่งขรึม สูดลมหายใจเข้า พยักหน้า แล้วเปิดประตูเข้าไปในห้องทำงาน
เฉินอีอีเห็นเขากลับมา ก็ลุกขึ้นจากโซฟา เดินอ้อมเขา ไปล็อกประตูที่ด้านหลังของเขา
เกาไห่ชำเลืองมองเธอ “คุณมาทำไม? ”
ผู้ชายคนนี้เวลานี้อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก ที่คือลางสังหรณ์ของเฉินอีอี เธอขมวดคิ้ว “อาไห่ คุณโกรธฉันเหรอ? ”
เดาไห่ไม่พอใจ “กล้าดียังไง? ” น้ำเสียงกลับตาลปัตร
“แต่นี่ก็ชัดเจนว่าคุณโกรธ อาไห่ ขอโทษ ที่ฉันไม่อาจหักห้ามใจได้…..อีกอย่าง เดิมทีคุณก็เพียงแค่ให้ฉันแกล้งเป็นแฟนของคุณเท่านั้น เพื่อทำให้น้องสาวคุณไม่ต้องกังวลจนเกินไป ตอนนี้ ฉันก็แค่ยุติความร่วมมือของพวกเราก่อนกำหนดก็เท่านั้น”
“พูดมาตรงๆ เถอะ คุณมามีธุระอะไร? ” เกาไห่มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ทันใดก็หมดความอดทน แม้แต่ความปรารถนาเดิมที่จะแสดงละคร ก็ไม่เหลือ รู้สึกอารมณ์หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
เฉินอีอีดึงชายเสื้อของเกาไห่ พูดกระซิบว่า: “อาไห่ มีเรื่องหนึ่ง ที่ฉันอยากจะให้คุณช่วยเหลือ”
“เล่อจยา คุณว่าสวรรค์เริ่มจะเอาใจใส่คุณแล้วใช่ไหม? ช่วงนี้เหมือนจะมีแต่โชคดี”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้า ใช่ มันเป็นที่สุดของชีวิตที่ทำให้เธอรู้สึกมีชีวิตชีวา รู้สึกดีอย่างมาก
วันนี้เธอคิดว่าตนเองแสดงออกมาได้ธรรมดามาก คาดไม่ถึงว่าจะได้รับเลือก
นำบาร์บีคิวชิ้นสุดท้ายให้ซูหย่า “คุณทานเยอะๆ หลายปีมานี้ที่อยู่ด้วยกันกับฉัน ก็ได้รับความทุกข์มาไม่น้อย”
ซูหย่าเป็นข้าราชการรุ่นที่สาม และเป็นลูกคนรวย ก่อนที่จะรู้จักเล่อจยา ความโกรธเกรี้ยวของเธอเป็นที่รู้จักกันในโรงเรียน ดื้อรั้นไม่เชื่อฟังจนครูก็ปวดหัว
จนกระทั่งครั้งหนึ่ง ไปแย่งแฟนของดาวโรงเรียน เลยถูกแก้แค้นจนเกือบถูกทำร้ายร่างกาย โชคดีที่เล่อจยาช่วยไว้ได้ทัน
ในตอนนั้นเธอได้ตัดสินใจ ว่าตลอดชีวิตนี้จะปฏิบัติต่อดีต่อเล่อจยา น่าเสียดายที่เล่อจยาไม่คิดว่าเป็นคนประเภทเดียวกัน จึงได้ปฏิเสธเธอตลอด หลังจากถูกเธอพัวพันมาหนึ่งปี จึงได้มีวันนี้ ตลอดปีนี้เอปรับเปลี่ยนนิสัย เปลี่ยนความเกรี้ยวโกรธ ถูกเล่อจยาเปลี่ยนจากสาวอ่อนโยน เป็นสาวห้าว
เสิร์ฟจาน ถูพื้น เรื่องอะไรที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำ เธอก็ทำหมด
ทั้งสองคนกลับมาถึงบ้านของเล่อจยา หน้าบ้านก็มีรถเข็นเด็กวางอยู่
เล่อจยาขมวดคิ้วแล้วมองหน้าซูหย่า รถเข็นเด็กเหรอ?
เธอยังไม่ทันได้ผลักประตูออก ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ออกมา
อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง ผลักประตูเปิดออก ก็เห็นในมือพ่อเล่ออุ้มเด็กชายคนหนึ่งอยู่
“พ่อ นี่คือ……”
พ่อเล่อสีหน้าไม่ค่อยดี แววตาเหม่อลอย “คุณดูเองเถอะ”
บนโต๊ะมีซองเอกสารหนึ่งอัน หลังจากเล่อจยาหยิบออกมาอ่านๆ ดู สีหน้าก็ซีดเผือด
“พ่อ นี่หมายความว่าอะไร? ” น้ำเสียงเธอสั่นเครือเล็กน้อย
เด็กน้อยในมือร้องไห้งอแงอยู่ แต่ไม่มีใครมีอารมณ์จะไปสนใจเขาเลย
“ทำไมต้องใช้ชื่อฉัน? ทำไม? เธอยังทำร้ายฉันไม่พอใช่ไหม? ” บนสูติบัตรของเด็กคนนั้น ตรงชื่อมารดา เขียนไว้ว่าเล่อจยา
ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วใช่ไหม แฟนเธอยังไม่มีสักคน เธอจะมีลูกมาคนหนึ่งได้อย่างไรล่ะ?
พ่อเล่อน้ำตาไหล “ขอโทษนะ จยาจยา”
เล่อจยาสูดลมหายใจเข้าแล้วส่ายหัว “พ่อ นี่มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องกตัญญูนะ นี่คือเธอต้องการจะทำร้ายฉันให้ตายเลยใช่ไหม? แฟนฉันยังไม่เคยมีเลย แล้วฉันจะมีลูกได้อย่างไร? อีกทั้งก่อนหน้านี้เธอบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าเสี่ยวเล่อกับคุณไม่มีความสัมพันธ์อะไรกัน? แล้วตอนนี้ ต้องการให้เราเลี้ยงเด็ก แล้วนำหนังสือรับรองมาด้วย พ่อ เธอทำอย่างนี้กับเราได้อย่างไร? ”
ในแฟ้มเอกสารนั้น ยังมีหนังสือรับรองของเด็กคนนี้กับพ่อเล่อ แล้วก็มีสูติบัตรของเด็กด้วย
พูดจบ เธอก็เดินไปข้างหน้ารับเด็กจากในมือพ่อเล่อ “ไป เราจะไปหาเธอ เอาเด็กคืนเธอไป”
เด็กคนนี้ก็แปลก อยู่ในมือพ่อเล่อร้องไห้งอแง แต่พออยู่ในมือเล่อจยา กลับสงบนิ่ง จ้องมองเล่อจยาตาแป๋ว ใบหน้าขาวๆ เล็กๆ ดูน่ารักน่าชัง
“จยาจยา คุณอย่าใจอ่อนนะ เด็กคนนี้ คุณต้องส่งกลับไป มิเช่นนั้นตลอดชีวิตคุณต้องพังเป็นแน่” ซูหย่ามองเด็กที่อยู่ในมือของเล่อจยา แล้วก็รีบพูดเตือนสติ
“อีกอย่าง พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงานที่เกากรุ๊ปแล้ว ในบ้านมีเด็ก สุขภาพคุณลุงก็เป็นอย่างนี้ คุณไปไม่ได้แน่”
ซูหย่ารู้ว่า ก่อนหน้านี้ที่เล่อจยาลาออก ก็เพราะอาการของพ่อที่ไม่ดี อีกทั้งหนี้ที่ค้างชำระ เงินเดือนที่ทำงานของเธอก็ไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายได้โดยสิ้นเชิง การเปิดร้านขายอาหารถึงแม้จะลำบาก แต่ก็มีรายได้ที่ไม่เลวเลย
เดิมทีที่คิดว่า หนี้สินกำลังจะหมดแล้ว อย่างนั้นเธอก็สามารถไปทำงานได้แล้ว แต่นี่……
เล่อจยาดึงสติกลับมา ใช่แล้ว เธอไม่ควรจะใจอ่อนแบบนี้ ขืนเธอใจอ่อนต่อไป ชั่วชีวิตนี้ของเธอก็ต้องถูกทำลายไปจริงๆ
หลับตาลงแล้วลืมตา “พ่อ พวกเราต้องเอาเด็กคืนให้เธอไป พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะต้องเลี้ยงดูเด็กแทนเธอ เธอก็รู้ว่าพวกเราจะต้องย้ายบ้านแล้ว ดังนั้น เธอจึงจงใจที่จะทำแบบนี้”
แต่พ่อเล่อถอนหายใจอย่างแรง ดึงมือของเล่อจยา ในสายตาล้วนเจ็บปวด “จยาจยา ครั้งนี้ คุณเข้าใจเธอผิดแล้วจริงๆ ”
เขาเงยหน้ามองไปยังเด็ก สายตาอ่อนโยนอย่างมาก “เสี่ยวเล่อกับแม่ของเด็กคนนี้ เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต หลังจากแม่เสียชีวิตก็ต้องผ่าคลอดเด็กออกมา คาดว่าเธอกลัวว่าเด็กจะมีปมด้อย จึงเขียนชื่อของคุณ ต่อมา เธอก็เลี้ยงเด็กคนนี้มาโดยตลอด ใครจะคาดคิดว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน เธอเพิ่งตรวจพบว่าเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาหายได้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินสองเดือน จึงได้มาหาฉัน”
เล่อจยาที่อุ้มเด็กอยู่ อดไม่ได้ที่จะโซเซถอยหลังไปสองสามก้าว เสี่ยวเล่อ…..ตายแล้ว? น้องชายของเธอตายแล้ว? เมื่อตอนนั้นที่ไป น้องชายที่โอบกอดเธอไม่ยอมปล่อยมือ ตายแล้วเหรอ?
ถึงเธอจะเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยว แต่กับเสี่ยวเล่อ ที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต ความรักความผูกพันของพวกเขา ก็ดีมาโดยตลอด เวลานั้นที่รู้ว่าไม่ใช่น้องชายแท้ๆ เธอก็เสียใจอยู่นานมาก แต่เวลานี้เข้าใจชัดเจนแล้ว แต่เขาก็ตายไปแล้ว ถึงแม้จะได้ยินว่าเธอก็ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็เทียบไม่ได้กับการตายของเสี่ยวเล่อ ที่ทำให้เธอช็อกอย่างที่สุด
วันต่อมา เกาไห่ไปบริษัทแต่เช้า
หลังจากที่ทุกคนเข้าทำงาน เขาก็ไปยังแผนกออกแบบเป็นครั้งแรกของประวัติการณ์
คนรับผิดชอบของแผนกออกแบบเห็นเขาเข้ามา ก็แปลกใจอย่างมาก เสี่ยวตงที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยปากว่า “ประธานเกาเข้ามาดู พนักงานใหม่สามคนที่สอบสัมภาษณ์ผ่านเมื่อวาน”
คนรับผิดชอบตะโกนเรียกไปยังด้านหลัง สองคนเดินเข้ามา แต่ไม่มีเล่อจยา
เกาไห่หันหน้ากลับ มองเสี่ยวตง “เมื่อวานบอกกับคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
เสี่ยวตงถามคนรับผิดชอบ “เอ่อ ทำไมมีแค่สองคน แล้วอีกคนหนึ่งล่ะ? ”
คนรับผิดชอบนิ่งอึ้ง แล้วจึงตอบสนองกลับมา “อ๋อ อีกคนหนึ่งชื่อเล่อจยา เมื่อเช้าโทรศัพท์เข้ามา บอกว่าไม่มาแล้ว มีปัญหาในครอบครัวเล็กน้อย”
เล่อจยาร้องไห้ทั้งคืน ซูหย่าเป็นห่วงเธอ กลางคืนเลยไม่ได้กลับไป
ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ตาของเล่อจยาบวมอย่างมาก
“จยาจยา ไม่อย่างนั้น ก็เอาเด็กให้คนอื่นไปไหม? หรือให้สถานสงเคราะห์ไป แล้วพวกเราก็ส่งเงินไปให้บ้าง เป็นยังไง? ”
เล่อจยาทานโจ๊กไม่พูดจา พ่อเล่อตั้งแต่เมื่อวานตอนเย็น ก็นอนอยู่บนเตียง วันนี้ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้ทาน
เล่อจยาหันกลับ เด็กคนนี้ไม่รู้ว่ารู้เรื่องอะไรหรือเปล่า เมื่อคืนวานนอนด้วยกันกับพวกเธอ ก็นอนหลับไปจนถึงเช้า
ข้อมูลที่เขียนนั้น เด็กคนนี้เพิ่งอายุได้9เดือนกว่าๆ
“จยาจยา คุณอย่าใจอ่อนนะ คุณก็บอกว่าคุณอายุ27แล้ว ถ้าคุณพาภาระไปด้วยแบบนี้ ผู้ชายคนไหนยังจะกล้าต้องการคุณอีก? ฉันว่าหญิงแก่ตายยากคนนั้นของพวกคุณ ชาติก่อน คุณคงติดหนี้เธอไว้แน่ๆ ชาตินี้เธอถึงได้ฆ่าคุณทั้งเป็นแบบนี้”
ซูหย่าอารมณ์ฮึกเหิมเล็กน้อย จึงเลือกคำพูดมาบรรยายไม่ถูก
เล่อจยารู้ว่า หญิงแก่ตายยากจากปากของเธอนั้น คือแม่ของเธอ แต่เธอก็ไม่ได้โกรธ
เธอก็เกลียดเธอจริงๆ
เห็นเธอไม่พูดจามาโดยตลอด ซูหย่าก็ร้อนใจ
ผลักไหล่ของเธอ “คุณพูดอะไรบ้างสิ? ”
“เธอลาออกแล้ว” หนิงเส่าเฉินพูดจบ ก็บีบๆ หน้าเย่หลิน
เย่หลินดื่มน้ำเต้าหู้อยู่ ก็ขมวดคิ้ว “ลาออก หน้าที่การงานดีแบบนี้ เธอไม่เสียดายเหรอ? ดูเหมือนว่า คุณจะยังแพรวพราวไม่พอ? ”
เกาไห่กระแอมเบาๆ “พวกคุณค่อยๆ ทานกันไป ฉันจะไปบริษัทก่อน” เดินไปสองก้าวก็หยุดลง มองเย่หลิน “เย่หลิน ฉันว่าฉันอยากจะย้ายออก”
ตะเกียบในมือเย่หลินตกลงบนพื้น เธอขมวดคิ้ว “พี่ คุณทำอย่างนี้ได้อย่างไร? หนิงเส่าเฉินมีเมียน้อย คุณก็ไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณก็มีผู้หญิงคนอื่นแล้วใช่ไหม? ”
พูดจบก็ก้มหน้า ทำท่าทางท้อแท้ใจ
หนิงเส่าเฉินกับเกาไห่มองหน้ากัน “อยู่ไปก่อนเถอะ รอให้จบเรื่องนี้แล้ว ถ้ายังอยากจะย้ายออก ฉันจะไม่โต้แย้งเลย”
เกาไห่ได้แต่ทำเสียง”อืม”
“เล่อจยา คุณอยู่ไหนแล้ว? การสัมภาษณ์จะเริ่มแล้วนะ” ซูหย่าดูเวลา คิ้วขมวดแน่น
เล่อเจียยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ กระทืบเท้าด้วยความโกรธ สายนี้มีรถประจำทางน้อยมาก อีกทั้งไม่มีรถแท็กซี่ มองรถคันหนึ่งที่เพิ่งขับออกไปตาปริบๆ
เกาไห่มองภาพบุคคลนั้นจนสุดป้ายชานชาลา เขาจงใจชะลอรถ เป็นเล่อจยาจริงๆ ด้วย วันนี้เธอรวบผมหางม้าสูง เดรสแขนกุดสีฟ้าคราม รองเท้าส้นสูง ไม่ได้เจอกันนาน เธอดูมีชีวิตชีวามาก
คิดๆ ดูแล้ว ก็ขับไปตรงหน้าเธอ หยุดรถแล้วลดกระจกลง “ไปไหน ฉันจะพาคุณไป”
เล่อจยากะพริบตาปริบๆ คาดไม่ถึงว่าจะเจอกับเกาไห่ ใจเต้นตุบๆ กัดฟันสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่พยายามสงบอารมณ์ตนเองลงแล้ว ก็ยิ้มให้เกาไห่เล็กน้อย แก้มสาลี่น้อยๆ สองข้างก็โดดเด่นขึ้นมา
“อืม สวัสดีค่ะ……ฉัน……ฉัน……” เล่อจยาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี คิดๆแล้ว ก็สูดลมหายใจเข้า “เอ่อ ฉันจะไปสัมภาษณ์ที่เกากรุ๊ป ไม่ทราบว่าคุณจะผ่านทางนั้นหรือเปล่า? ” เวลานี้ ได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร จึงจะดูฉลาดที่สุด
มิเช่นนั้น เขาจะรู้ว่า เพราะว่าเขาตนเองจึงไปที่เกากรุ๊ป เธอเกรงว่าเขาจะตกใจกลัว
เกาไห่ขมวดคิ้ว อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง แล้วกวาดสายตาลึกซึ้งมองเล่อจยา
มองดูเวลา “อย่างนั้นก็ขึ้นรถเถอะ! ”
รถขับไปอย่างรวดเร็ว วิวทิวทัศน์นอกหน้าต่างถอยหลังไปอย่างเร็ว
อารมณ์เล่อเจียยังไม่สงบลงมา คนนั่งข้างๆ เธอคือเกาไห่ จิตใจก็ไม่สงบ เธอกลืนๆ น้ำลาย ก็พูดออกมาเบาๆ ว่า : “เอ่อ รบกวนคุณเลย”
เวลานี้ไฟแดงพอดี เกาไห่เลิกคิ้วหันไปมองเธอ “คุณไปสัมภาษณ์ตำแหน่งอะไร? ”
เล่อจยาถูกน้ำเสียงของเขาทำให้ใจสั่น พูดตอบกลับเบาๆ ว่า : “ออกแบบ” คิดๆ แล้วก็พูดเสริมว่า “ออกแบบสถาปัตยกรรม”
“ร้านอาหารของคุณไม่เปิดแล้วเหรอ? ” เกาไห่พยายามทำให้ตนเองแสดงออกอย่างอ่อนโยนลงเล็กน้อย
เมื่อได้สติกลับมา เล่อจยาจึงพยักหน้า “อืม บ้านฉันโดนรื้อถอน เปิดไม่ได้แล้ว! ”
เกาไห่มองเธอ “รื้อถอน? เช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีนะสิ เพียงทำไมคุณดูไม่มีความสุขเลยล่ะ? ”
พอดีกับเวลานี้มือถือสั่นขึ้นมา นิ้วเรียวยาวของเกาไห่หยิบมือถือขึ้นมา เห็นว่าเป็นเฉินอีอีเลยไม่ได้รับสาย กดวางสายไป แล้วหันไปมองเล่อจยาเหมือนรอคำตอบของเธอ
เล่อจยาส่ายหัว “ดีใจ ดีใจอย่างแน่นอน นี่ก็เหมือนถูกลอตเตอรี่เลย วันนี้ฉันไปสัมภาษณ์เลยประหม่าเล็กน้อย”
เกาไห่เม้มปาก ยกยิ้มขึ้นมา
ต่อจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไร เมื่อถึงบริษัท รถยังไม่ทันหยุดดี เล่อจยาก็เปิดประตูลงไปเลย
เกาไห่เห็นท่าทีที่รีบร้อนออกไปของเธอ จึงขมวดคิ้ว ก้มหน้ามองตัวเอง เขาน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?
ซูหย่ายืนอยู่ด้านใน ดังนั้น จึงไม่เห็นว่าเล่อจยาลงมาจากในรถของเกาไห่ เพียงแค่เห็นเธอเข้ามา ก็โล่งอก “จยา คุณมาแล้วเหรอ? ยังดี ยังทันเวลา”
เล่อจยาสับสนงุนงง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ฉีกริมฝีปากยิ้ม “ใช่ ยังดี”
ต่อจากนั้น เธอจึงเห็นว่า ในสถานที่นี้มีคนเป็นร้อยคน จึงตะลึงงัน “ซูหย่า คนเหล่านี้ ล้วนมาสัมภาษณ์ทั้งหมดเลยเหรอ? ”
ซูหย่าดึงมุมเสื้อของเล่อจยา “ฉันก็เพิ่งจะรู้เหมือนกัน คุณบอกว่า รับสมัครทั้งหมดสามคนเท่านั้น นี่….มันเกินจากที่จินตนาการไปเยอะเลยนะ”
ในใจของเล่อจยาก็ยิ่งสับสนอลหม่าน ความรู้สึกเลื่อนลอย จิตใจไม่สงบ
คุณพระ คนเยอะแยะขนาดนี้ ประกาศรับสมัครสามคน ดูท่า วันนี้เธอไม่มีหวังโดยสิ้นเชิง
ห้องทำงานท่านประธาน เกาไห่ชี้ไปที่ภาพบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ “เสี่ยวตง คนคนนี้ ตกลงกันเป็นการภายใน”
เสี่ยวตกฟังแล้วไม่เข้าใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง “ตกลง….ตกลงกันเป็นการภายใน? ”
โค้งริมปากบางๆ ก้นบึ้งของหัวใจมีความรักความอ่อนโยนปรากฏเป็นระลอก เกาไห่ชำเลืองมองใบหน้าของเล่อจยาที่ตึงเครียด ความอ่อนโยนในสายตา คล้ายกับสามารถหยดลงมาเป็นหยดน้ำได้
คนอย่างเขานี้ไม่เคยลำเอียงในการทำงาน แต่ว่า หลังจากได้พบเล่อจยา เขาก็เริ่มทำเป็นกรณีพิเศษ
ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด แต่เขารู้สึกเพียงว่าการทำแบบนี้ เขามีความสุขมาก
เห็นเธอมีความสุข เขาก็มีความสุข
บางทีอาจจะเพราะเป็นก่อนหน้านี้หลายปี ทุกข์ทรมานมามากเกินไป จนกระทั่ง ได้พบกับเล่อจยา มันทำให้เขาเหมือนกับคว้าฟางเส้นหนึ่งที่ช่วยชีวิตเอาไว้ จึงตัดใจทิ้งไม่ลง
“จยาจยา คุณไม่ต้องกังวลไป คุณต้องเชื่อมั่นตัวเอง คุณจบการออกแบบมาด้วยคะแนนที่สูงที่สุดนะ” ซูหย่ามองออกถึงความกังวลของเล่อจยา จึงพูดโน้มน้าวเธออยู่ข้างๆ ไม่หยุด
เล่อจยาหันกลับไปมองเธอ หายใจหอบถี่ ทรวงอกขึ้นลง ที่ปรากฏในสมองอย่างฉับพลัน คือคำพูดสองสามคำที่เกาไห่พูดกับเธอตอนลงจากรถ “ทัศนคติคือทุกสิ่งทุกอย่าง”
หยิบทิชชูออกมาจากในกระเป๋า เช็ดเหงื่อที่อยู่ในมือ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนออกมาช้าๆ มองซูหย่า อารมณ์สงบลงอย่างมาก “ไม่เป็นไร ถ้าไม่ได้จริงๆ ปีหน้าฉันค่อยมาสอบใหม่ แต่ถ้าฉันสอบสัมภาษณ์ผ่าน คุณต้องเลี้ยงข้าวฉันนะ! ”
ซูหย่าโน้มตัวเข้ามาโอบกอดเธอเบาๆ “ได้สิ ฉันจะรอ วันนี้เอาบัตรเอทีเอ็มมาด้วย อยากทานอะไร คุณว่ามาได้เลย”
“คนต่อไป เล่อจยา เชิญเตรียมตัว”
เล่อจยามองซูหย่า ยิ้มเล็กน้อย แล้วหันตัวกลับ
ผ่านไปสามสิบนาที
“เล่อจยา พรุ่งนี้8โมงเช้า เจอกันที่บริษัท”
รอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้าของเล่อจยาหายไป เธอคว้าเสื้อไว้แน่น ใจลอยไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบสนองกลับมา มองเจ้าหน้าที่สอบสัมภาษณ์สองสามคน ฉีกยิ้ม กล่าวถามอย่างเสียงสั่นว่า: “หมายความว่า ฉันสอบสัมภาษณ์ผ่านแล้วเหรอคะ? ”
เสี่ยวตงยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง พอผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา เขาก็เริ่มพิจารณาเธอ มองซ้ายมองขวา ก็มองไม่เห็นถึงความพิเศษอะไรของเธอ นอกจากความรู้ทางวิชาชีพที่ทำให้เขาต้องประหลาดใจอย่างมากแล้ว ทางด้านอื่นๆ ก็ธรรมดาๆ
ชั่วขณะหนึ่งก็ยิ่งไม่เข้าใจว่า เกาไห่ต้องการจะทำอะไรกันแน่
เขาติดตามเกาไห่มาหลายปี เขาไม่เคยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ด้วยนิสัยนี้ ในตอนนั้น จึงเกิดความเห็นต่างกับพ่อเกาอยู่หลายครั้ง
แต่ทำไมกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ถึงทำลายกฎเกณฑ์ไปได้ล่ะ?
ภาพเงาของชายรูปร่างสูงใหญ่ที่สังเกตการณ์อยู่ก่อนหน้า หลังจากเห็นภาพเงานั้นออกไปแล้ว ก็ยิ้มมุมปาก
หนิงเส่าเฉินโบกๆ มือให้หลิวซู หลังจากประตูปิดลง ชูหยูจี้เดินไปสองสามก้าว อยู่ตรงหน้าหนิงเส่าเฉิน “ได้รับแล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่เห็นคุณค่าแล้วใช่ไหม? หนิงเส่าเฉิน คุณลืมไปแล้วเหรอ ในตอนนั้นคุณทำอย่างไรจึงจะได้เธอมาในครอบครอง? ”
พูดแล้ว ก็ยกมือขึ้นจะต่อยหนิงเส่าเฉิน
แต่หนิงเส่าเฉินคว้ามือเขาไว้ “อย่าเพิ่งต่อย ก่อนจะต่อยฉัน คุณฟังฉันพูดสักสองสามคำก่อน”
สิบกว่านาทีต่อมา ชูหยูจี้ก็ขมวดคิ้ว พูดอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง : “ที่คุณพูด มันจริงเหรอ”
หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ แล้วนำมือถือโยนไปตรงหน้าเขา “คุณมาทันเวลาพอดี คุณกับอ้ายหมี่ไปเถอะ ฉันเกรงว่านักข่าวเหล่านั้นจะทำร้ายเธอได้”
ชูหยูจี้ชี้ไปตรงหน้าเขา “คุณพูดความจริงมาดีกว่า มิเช่นนั้น แม้ว่าคุณจะเป็นพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน ฉันก็จะปฏิบัติต่อคุณอย่างไม่เกรงใจเลย”
พูดจบ ก็สะบัดแขนเดินออกไป
“คุณเย่ คุณชายหนิงมีรักใหม่ คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม? ”
“แล้วก็พ่ายแพ้ต่อคนที่มีปัจจัยที่เทียบไม่ได้เลยกับตนเอง คุณเย่ ในใจรู้สึกอย่างไรบ้าง? ”
“……”
คำถามของนักข่าวตรงไปตรงมาอย่างมาก
ใบหน้าเย่หลินมีรอยยิ้มโดยตลอด เธอมองกล้องอยู่นาน จึงค่อยๆ พูดออกมาสองสามคำว่า : “กาลเวลาพิสูจน์คน! ”
นักข่าวพวกนั้นงุนงงกับคำพูดของเธอ ยังอยากจะถามอะไร ชายคนหนึ่งสวมผ้าปิดปากเดินฝ่ากลุ่มคนมา ยื่นแขนยาวๆ มาดึงเย่หลิน “ไป ขึ้นรถก่อน”
“หยูจี้ คุณกลับมาทางด้านนี้ได้อย่างไร? ” นั่งอยู่บนรถ เย่หลินจัดแต่งผมของตนเอง เห็นว่าเป็นชูหยูจี้ก็โล่งอก
เห็นการแสดงออกของเธอไม่ได้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน ชูหยูจี้ก็โล่งใจ นำผ้าปิดปากลง แล้วพยักๆ หน้ากับเธอ “ไม่เข้าใจคุณทั้งสองคนเลยจริงๆ ว่าท้ายที่สุดแล้วกำลังทรมานอะไรกันอยู่? ”
เย่หลินยิ้ม ไม่พูดอะไร
ถ้าความเจ็บปวดชั่วคราวสามารถแลกกับความสงบสุขชั่วชีวิตได้ เธอคิดว่ามันคุ้มค่ามาก
เมื่อชูหยูจี้ส่งเธอกลับไป หนิงเสี่ยวซีกับเย่เสี่ยวโม่ก็ยืนอยู่หน้าประตู
เห็นเธอลงจากรถ ทั้งสองคนก็วิ่งเข้ามา
เย่เสี่ยวโม่กอดเธอร้องไห้ไม่หยุด หนิงเสี่ยวซีก็สีหน้าหม่นหมอง กัดฟันแน่น ชั่วขณะก็พูดว่า : “แม่ พ่อทำแบบนี้กับคุณจริงๆ เหรอ? ”
เย่หลินไม่รู้จะอธิบายอย่างไร โอบกอดเย่เสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่ เสี่ยวซี เราเข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกันนะ”
ถึงอย่างไรหนิงเสี่ยวซีก็โตแล้ว ความเกี่ยวข้องของเธอกับเฉินเป้ยอีก็รู้แล้ว เธอแค่ให้ชูหยูจี้อธิบายกับเขาก็จะเข้าใจเอง
แต่เย่เสี่ยวโม่ทำได้ยาก เธอจะพูดอย่างไร เธอก็ฟังไม่เข้าใจ
ตอนกลางคืนหนิงเส่าเฉินกลับมา เย่เสี่ยวโม่ถือไม้กวาดเข้าไปตีหนิงเส่าเฉิน “คุณเป็นคนไม่ดี คุณเป็นคนเลว ฉันจะไม่เรียกคุณว่าพ่ออีก”
เห็นเย่หลินนั่งทานผลไม้ดูทีวีอยู่บนโซฟา ไม่ได้คิดจะช่วยเขาเลยแม้แต่น้อย หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะร้อนใจ “เสี่ยวโม่ คุณฟังพ่ออธิบายก่อน”
“ฉันไม่ฟัง ฉันไม่ฟัง ฉันจะบอกคุณไว้เลย หนิงเส่าเฉิน ถ้าคุณกล้ารังแกแม่ฉันอีก ฉันจะตัดขาดความสัมพันธ์พ่อลูกกับคุณ” พูดจบ ก็เดินไปข้างๆ เย่หลิน ถ้าหนิงเส่าเฉินกล้าเข้าใกล้ก็จะหยิบไม้กวาดตีเขา
หนิงเส่าเฉินกลัวว่าจะทำให้เธอเจ็บ ก็เลยไม่กล้าตอบโต้ ท่าทางนั้นที่ทั้งจนปัญญาทั้งน้อยใจ เย่หลินอดไม่ได้ที่จะปิดปากหัวเราะ
ตอนกลางคืน จนกระทั่งเย่เสี่ยวโม่หลับไป หนิงเส่าเฉินจึงเข้าไปในห้อง
ชี้ไปที่ใบหน้าที่หลับใหลของเย่เสี่ยวโม่ พูดอย่างเอาจริงเอาจัง : “หลังจากเลี้ยงดูแลจนถึงอายุ 18 ปีแล้ว ก็ให้เธอแต่งงานทันทีเลย ยัยหนูไร้เดียงสานี่ เวลาโมโหก็ไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น”
เย่หลินปิดปากหัวเราะตัวโยน แล้วพูดถากถางว่า : “ทำไมคืนนี้ ไม่ต้องอยู่กับเมียน้อยเหรอ? ”
หนิงเส่าเฉินโค้งตัวลง มือสองข้างประคองเธออยู่ “วันนี้ จะอยู่เป็นเพื่อนเมียหลวง”
เย่หลินชำเลืองมองเขา “หนิงเส่าเฉิน ถ้าหากอนาคตวันหนึ่งมันกลายเป็นเรื่องจริง ฉัน……”
สีหน้าชายหนุ่มเคร่งขรึม กล่าวอย่างจริงจังมากว่า: “ถ้ามีวันนั้น คุณตัดอวัยวะเพศของฉันทิ้งไปได้เลย ไม่ต้องสงสาร”
“ถ้ามีวันนั้นจริงๆ ฉันยังจะสงสารอีกเหรอ? ฉันจะสับให้เป็นชิ้นๆ เลย” เย่หลินมองค้อน
ชายหนุ่มพลิกตัวกดลงมาที่ร่างของเธอ ดึงมือของเธอลง “มา ลองสาธิตก่อน วิธีการตัดทำอย่างไร? ”
“คุณบ้าไปแล้วเหรอ เสี่ยวโม่ยังอยู่ข้างๆ นะ” เย่หลินหน้าแดง
หนิงเส่าเฉินถอนหายใจ จูบเบาๆ ที่บนหน้าผากของเธอ คิดๆ แล้วกล่าวว่า “สองสามวันนี้ คุณก็อย่าเพิ่งไปบริษัท”
ุ
เย่หลินกระแอมเบาๆ “ไปเถอะ ฉันยิ่งน่าเวทนา เธอก็ยิ่งเชื่อ ไม่ใช่เหรอ? ”
ชายหนุ่มถูไถอยู่ในอ้อมกอดของเธอ “แต่ว่า ฉันเจ็บปวดใจ”
“อย่างนั้นคุณก็หาผู้ชายมาให้ฉันคนหนึ่งสิ? เย่หลินสายตาเป็นประกาย ในสายตาแสดงออกถึงความคาดหวัง
หนิงเส่าเฉินลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เย็นชา ไม่พูดจา หลังจากอุ้มเสี่ยวโม่กลับไปยังห้องของตนเอง พอกลับมา ก็เริ่มถอดเสื้อผ้าของตนเอง
แต่ก็ยังไม่พูดอะไร
ทำให้เย่หลินสับสนเล็กน้อย “เอ่อ คุณ…..”
ยังไม่ทันได้พูดจบ ร่างกายก็หนักอึ้ง “ดูท่า ฉันไม่ได้ทำให้คุณอิ่มอกอิ่มใจ คุณถึงได้คิดจะหาผู้ชายคนอื่น ใช่ไหม? ”
แสงในยามราตรีที่ค่อยๆ มืดมิด ความคลุมเครือก็ยิ่งเข้มขึ้น
ในที่สุดเมื่อเย่หลินสามารถหายใจได้ เธอจึงตวาดเบาๆ ว่า: “หนิงเส่าเฉิน ตัวคุณเองก็ไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับคนอื่นไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไม ฉันถึงจะทำไม่ได้? ”
ชายหนุ่มกล่าวกระซิบข้างๆ หูของเธอว่า: “อย่างนั้นคุณก็ลองดู ฉันก็อยากจะเห็นว่าผู้ชายคนไหนจะกล้า? ”
เช้าตรู่ เมื่อเย่หลินตื่น เย่เสี่ยวโม่ก็นอนเอนกายอยู่ข้างๆ เธอ เห็นเธอตื่นขึ้นมา ก็ทำหน้าตาดีใจ “แม่ คุณดูสิว่า ฉันปกป้องคุณได้ไหม? แค่มีฉันอยู่ พ่อฉันก็ไม่กล้ามานอนแล้ว”
เย่หลินขยับร่างกายที่อ่อนเพลียของตนเอง หัวเราะเหอะๆ เด็กน้อยเอ๊ย คุณไม่เคยได้ยินเหรอว่า ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด?
จู่ๆ เย่หลินก็นึกอะไรขึ้นได้ ดันๆ เย่เสี่ยวโม่ “เสี่ยวโม่ คุณไปดูซิว่า คุณลุงไปแล้วหรือยัง? แม่มีเรื่องจะคุยกับเขา”
“เย่จึ นี่คุณจะทำอะไร? ” เกาไห่มองรูปภาพสิบกว่ารูปที่อยู่ตรงหน้า แล้วขมวดคิ้ว
เย่หลินลุกขึ้น เดินไปยังข้างๆ เขา “เหล่านี้ ล้วนเป็นผู้ที่ร่วมงานกับฉัน ฉันสืบถามมาแล้ว ล้วนไม่มีแฟน พี่ คุณลองดูสิว่า ชอบคนไหน? ฉันจะจัดการมาให้คุณ”
เย่เสี่ยวโม่ตาเป็นประกาย “ใช่แล้ว คุณลุง ที่บริษัทคุณมีคนหล่อๆ บ้างไหม หรือพวกคุณอาที่รวยๆ อะ แนะนำให้แม่ฉันสักคนหนึ่งได้ไหม? ”
หนิงเส่าเฉินกำลังลงบันได ได้ยินคำพูดของเย่เสี่ยวโม่ เท้าที่ก้าวเดินอยู่ก็ชะงัก ยังดีที่ไม่ล้มลงมา
เย่หลินและเกาไห่สบตากันแล้วหัวเราะ
เกาไห่หอมแก้มเย่เสี่ยวโม่เล็กน้อย “ได้ ลุงจะดูให้”
“พี่ คุณอย่าเปลี่ยนประเด็นสิ คุณรีบดูเร็วเข้า คนไหนดูแล้วเข้าตาบ้าง? ”
เกาไห่ยังไม่ทันดู หนิงเส่าเฉินก็กวาดสายตา ขมวดคิ้วเล็กน้อย “สาวที่เป็นที่นิยม! ”
เย่หลินเลิกคิ้วเล็กน้อย “ใช่ คุณชายหนิงคุณมีรสนิยม”
ชายหนุ่มฉีกยิ้ม โน้มตัวเข้าไปใกล้ กระซิบข้างหูเย่หลินว่า “เทียบกับคุณไม่ได้เลย”
เย่หลินทุบหน้าอกของเขาเล็กน้อย “รีบทานข้าวเช้าเถอะ เดี๋ยวต้องไปรับเมียน้อยของคุณไม่ใช่เหรอ? ”
แม่นมหลิวและลุงจางมองตากัน ไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิงว่าตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น
ตอนกลางคืน หนิงเส่าเฉินก็ไปดูเธอที่บ้าน เธอเอ่ยเรื่องนี้ให้หนิงเส่าเฉินฟัง
หนิงเส่าเฉินสีหน้าเรียบเฉย เพียงแค่ขมวดคิ้ว ในน้ำเสียงมีความจนปัญญาเล็กน้อย “ก่อนที่เกาเหวินจะหายตัวไป ก็ถูกระบุว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตแล้ว ดังนั้น จึงไม่สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนปกติได้” หนิงเส่าเฉินรู้เรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน ถึงแม้ว่าทนายจะบอกกับเขา ว่าสามารถช่วยให้เขาแยกขาดจากความสัมพันธ์ได้ แต่ในอนาคต เมื่อเกาเหวินปรากฏตัว ที่นี่ก็อาจจะเกิดความยุ่งยาก
เฉินอีอีทำเสียง”อืม” เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ขณะนี้ ทั้งดีใจ ทั้งเศร้าใจ
“จยาจยา วันนี้ผู้ใหญ่บ้านมาหาพ่อ บอกว่าบ้านเรานี้ก็ต้องถูกรื้อถอน ร้านนี้ต่อไปก็ไม่ต้องเปิดแล้ว รอเงินชดเชย เราก็เอาไปใช้หนี้ ส่วนที่เหลือ ก็เก็บไว้เป็นสินสอดของคุณ เราสองคนพ่อลูกไปหาซื้ออพาร์ตเมนต์เล็กๆ คุณก็จะได้หางานดีๆ ทำ เช่นนี้ ในอนาคตหากคุณแต่งงานก็จะยิ่งดี”
เล่อจยาทานอาหารอยู่ ได้ฟังคำพูดแบบนี้ของพ่อ เธอก็สูดหายใจเข้า น่าแปลกมากที่ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย มองโต๊ะเก้าอี้นอกประตู ยิ่งอาลัยอาวรณ์
“พ่อ ไม่ได้บอกว่าบ้านเราจะไม่โดนรื้อถอนเหรอ? แล้วเป็นไปได้อย่างไร……”
พ่อเล่อดื่มน้ำ ใบหน้าดีใจจนปกปิดไว้ไม่อยู่ เขาก็ไม่คิดไม่ฝัน เรื่องดีๆ อย่างนี้ คาดไม่ถึงว่าจะเวียนมาถึงเขา ก่อนหน้าจะรื้อถอน เขาก็สอบถามหลายครั้งแล้ว จนกระทั่งเมื่อสักครู่นี้ ผู้ใหญ่บ้านก็มาบอกเขาว่า บ้านของเขาไม่อยู่ในขอบเขตของการรื้อถอน
เพราะเรื่องนี้ เขาจึงเป็นทุกข์มานานมาก เขาเองก็อายุมากแล้ว ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว แต่ว่าเขารู้สึกผิดต่อเล่อจยา เขารู้ว่าหลายปีมานี้ เขาทำให้ลูกสาวคนนี้เดือดร้อน
“สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ว่าชาวบ้านอย่างเราจะควบคุมได้ ถึงอย่างไร ครั้งนี้บรรพบุรุษก็สาปแช่งเรื่องดีๆ ให้เรา ฮ่าๆ ……”
การลงนามเซ็นสัญญารื้อถอนในวันนั้น พ่อเล่อก็ขายของเหล่านั้นในร้านไปหมด ตัดความคิดทั้งหมดของเธอ
“คุณนะ เชื่อฟังเถอะไปหางานทำสักที่หนึ่ง ต่อไป ก็ไม่ต้องเอ่ยถึงร้านอาหารอีก” พูดจบก็สูดหายใจเข้า แล้วพูดต่อว่า : “จยาจยา บ้านถูกรื้อถอนแล้ว ความสุขที่สุดของพ่อไม่ใช่ว่าได้เงินมาเท่าไหร่ ความสุขของพ่อคือ ลูกสาวของฉันจะไม่ถูกฉันทำให้เดือดร้อนอีกแล้ว”
พ่อเล่อพูดถึงตรงนี้ ชายที่ดูดีสง่างาม ก็อดยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาไม่ได้
พ่อเล่อพูดอย่างนี้ เล่อจยาก็รู้ว่าความฝันเกี่ยวกับร้านอาหารของเธอถูกทำลายไปหมดแล้ว เดิมทีสองสามวันมานี้เธอยังวางแผนที่จะเปลี่ยนสถานที่ขายอาหารอีกครั้ง แต่ว่า……
เธอไม่อยากให้เป็นเพราะเธอเลยทำให้พ่อต้องหนักใจ
เช่นนี้ เล่อจยาก็กลายเป็นคนตกงานไปชั่วพริบตา
หลายปีมานี้ เธอเปิดร้านของตนเองทุกวัน ก็คุณเคยกับอาชีพอิสระ จะให้เธอไปหางานทำ เธอก็รู้สึกว่ามาเหมาะ อีกทั้งเธอจะทำอะไรล่ะ?
ในตอนนั้นเธอเรียนการออกแบบ แม้ว่าตอนจบจะมีผลการเรียนยอดเยี่ยม แต่ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ น่าจะคืนครูไปแล้ว พื้นฐานต่างก็คืนไปหมดแล้ว
“จยาจยา คุณอย่าหมดอาลัยตายอยากขนาดนี้เลย โดยพื้นฐานของคุณ เพียงแค่ฝึกฝนอีกสักหน่อย ก็ไม่ได้แย่อย่างแน่นอน” หลังจากที่ซูหย่ารู้ จึงมาที่นี่เพื่อให้กำลังใจเธอโดยเฉพาะ
เล่อจยาบิดขี้เกียจ หดหู่หงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา
ก่อนหน้านี้ที่มีงานให้ทำ เธอรู้สึกว่าชีวิตดีขึ้น ช่วงนี้ วันๆ ซ่อนตัวอยู่แต่ในบ้าน เธอรู้สึกว่าตนเองใกล้จะไร้ประโยชน์แล้วจริงๆ
“คุณพูดง่ายนี่ มือของฉันตอนนี้จับปากกายังสั่นเลย ยังคิดจะออกแบบ จะเป็นไปได้อย่างไร? ” เล่อจยายิ่งพูดยิ่งเป็นทุกข์ เวลานี้เธอหวังแม้กระทั่งบ้านจะไม่ถูกรื้อถอน อย่างน้อย เธอจะได้ไม่รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าแบบนี้
“คุณไม่ลอง แล้วจะรู้ได้ยังไง? ” เมื่อเล่อจยาจบการศึกษา เธอเป็นอันดับหนึ่งของชั้นเรียน ดังนั้น จึงสามารถเข้าสู่500อันดับแรกได้อย่างราบรื่น จุดนี้ซูหย่ารู้ดีกว่าใครๆ
เธอก็รู้ว่า ที่เล่อจยาทอดทิ้งไปแบบนี้ ก็เพราะอยากที่จะอยู่ใกล้เกาไห่สักเล็กน้อย
เล่อจยาไม่ตอบกลับเธอ คนก็จิตใจอ่อนล้า ไม่มีชีวิตชีวา
ซูหย่าเม้มปาก ครู่หนึ่งจึงส่งเสียงว่า: “อย่างนั้นถ้าจะบอกว่า บริษัทเกาไห่รับสมัครนักออกแบบล่ะ? คุณจะสนใจบ้างไหม? ”
ในสายตาเล่อจยาเป็นประกาย ต่อจากนั้น ก็มืดมนลงอย่างรวดเร็ว “บอกแล้วว่า อย่าเอ่ยถึงเขาให้ฉันได้ยิน” ผู้ชายที่มีลูกแล้ว เธอไม่สนใจหรอก
“อย่างนั้น ถ้าฉันบอกคุณอีกว่า ผู้หญิงคนนั้นที่พวกเราเห็นในกระเป๋าสตางค์ของเขาวันนั้น เป็นเพียงน้องสาวแท้ๆ ของเขาล่ะ? และเด็กเหล่านั้นก็เป็นลูกของน้องสาวเขา คุณจะว่าอย่างไรอีก? ”
หลังจากเล่อจยาเงียบไปชั่วขณะ ก็นั่งตัวตรงในทันที “คุณว่าอะไรนะ? ”
ซูหย่าหยิบมือถือจากในกระเป๋าส่งให้เล่อจยาดู “คุณดู ช่วงนี้ในเมืองมีเรื่องราวมากมาย”
เล่อจยาขมวดคิ้ว เธอไม่สนใจสนใจข่าวซุบซิบนินทามาโดยตลอด ยกเว้นว่าข่าวนั้นจะเกี่ยวข้องกับเก่าไห่
“เห็นแล้วหรือยัง นี่คือน้องสาวของเกาไห่และลูกของเธอทั้งสองคน พ่อของเด็กคือประธานหนิงกรุ๊ป ช่วงนี้ ได้ยินมาว่า ผู้ชายคนนั้นไปชอบพอผู้หญิงคนอื่น อยากจะทิ้งน้องสาวของเขา จึงเกิดเป็นข่าวครึกโครม”
“ผู้หญิงสวยขนาดนี้ ผู้ชายคนนี้ตาบอดหรือไง? ” เล่อจยานึกถึงผู้หญิงที่รับโทรศัพท์เธอวันนั้น ในใจก็รู้สึกเห็นใจอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะไม่เคยเจอหน้า แต่ลางสังหรณ์บอกเธอว่า ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน
“คุณดูสิ นังเมียน้อยรูปร่างหน้าตาแบบนี้ ดังนั้น จยาจยา คุณไม่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจไป สภาพของคนอื่นไม่ได้ดีไปกว่าคุณเลย คุณดูหนิงเส่าเฉินยังชอบเลย? แล้วก็…..”
เห็นเล่อจยาจ้องมองตนเองตาโต ซูหย่าจึงรีบเปลี่ยนคำพูด “เอ่อ ฉันหมายความว่า การรักคนคนหนึ่งนี้ ไม่จำเป็นต้องรูปร่างหน้าตาสวยเสมอไป จิตใจที่ดีงามในก้นบึ้งของหัวใจคุณนี้ หากเขาแต่งงานกับคุณแล้ว เขาจะไม่เสียดาย อีกอย่าง จยาจยาของพวกเราก็มีศักยภาพ ถ้าหากลดน้ำหนักลงมาหน่อยนะ เขาก็เหมือนได้ของล้ำค่า”
เล่อจยาหัวเราะเหอะๆ สองสามที ถึงแม้ทุกคนจะเชิดชูความสวยจากภายใน แต่ในยุคสมัยนี้ จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถมองเห็นความสวยที่อยู่ภายใน?
“ประธานเย่ หน้าประตูรายล้อมไปด้วยนักข่าว คุณว่า ต้องชี้แจงกับพวกเธอสักหน่อยไหม? ” อู่เล่อเล่อมองเย่หลินอย่างลำบากใจ ในสายตาเห็นใจอย่างชัดเจน
“มากันแล้วเหรอ? อืม ได้สิ ฉันจะไปชี้แจงสักหน่อย” ลุกขึ้นยืน เย่หลินเดินไปยังด้านนอกประตู
เมื่อใกล้ถึงหน้าประตู อู่เล่อเล่อก็ดึงเธอจากด้านหลัง “ไม่เช่นนั้น ให้ฉันเป็นไปชี้แจงแทนคุณไหม? คุณบอกฉันมาว่าจะต้องพูดอย่างไรก็พอ”
เย่หลินมองเห็นความเห็นใจในสายตาของอู่เล่อเล่อ ก็จะร้องไห้ หลังจากเกิดเรื่อง เธอก็ได้รู้จักคนจำนวนไม่น้อย แม้กระทั่งเมื่อวานไปซื้อรองเท้าคู่หนึ่ง ท่าทีของพนักงานขายคนนั้นก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ไม่ต้องหรอก เรื่องนี้ ฉันต้องออกหน้าเอง จะหลบหนีอย่างไร ก็หนีไปไม่พ้น”
หนิงเส่าเฉินมองมือถือ เย่หลินถูกนักข่าวปิดล้อม ใบหน้าก็มืดมน มือทั้งสองอดไม่ได้ที่จะกำหมัด
“โครม” ประตูถูกคนเปิดอย่างรุนแรง
หลิวซูมองหนิงเส่าเฉินอย่างลำบากใจ “ฉันขัดขวางเขาไม่อยู่”
ในแววตาเฉินอีอีก็ประกายความเข้าใจอย่างน่าประหลาด ที่แท้ ก็เป็นเช่นนี้!
“หมายความว่า แม้ว่าจะให้เย่หลินเลิกกับคุณตอนนี้ คุณ……ก็ไม่สนใจใช่ไหม? ”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า ยิ้มแล้วมองเธอ “ให้เวลาฉันหน่อยนะ ฉันจะจัดการความสัมพันธ์ของฉันกับเธอโดยเร็วที่สุด”
เฉินอีอีก้มหน้า “เช่นนั้น……ที่คุณปฏิบัติต่อฉัน……เพียงแค่คิดว่าฉันเป็นเงาของพี่สาวฉันเท่านั้นใช่ไหม? ”
หนิงเส่าเฉินตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ใช่ ฉันไม่ปฏิเสธ อีอี ถ้าคุณรู้สึกว่ารับไม่ได้ ฉันก็ไม่บังคับนะ” หยุดไปชั่วขณะ เขาก็พูดต่อว่า : “แต่ฉันรับปากคุณ ถ้าหากคุณให้โอกาสฉัน ฉันจะลองลืมพี่สาวของคุณดูก็ได้”
หลังจากพูดจบ เขาก็มองเฉินอีอีด้วยสายตาเร่าร้อน
เฉินอีอีรู้สึกตลอดว่าเรื่องราวพัฒนาเร็วเกินไป ทำให้เธอรับไม่ไหวเล็กน้อย จนเปลี่ยนความคิดไม่ได้
“เอาล่ะ คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ ต้องการอะไร ก็มาบอกฉัน เรื่องนี้……เรา ไม่ต้องรีบ คุณไม่ต้องหนักใจไป” พูดจบหนิงเส่าเฉินก็ลุกขึ้นยืน
เฉินอีอีเห็นว่าเขาจะไป ก็ร้อนใจเล็กน้อย รีบเดินเข้าไป กอดหนิงเส่าเฉินจากด้านหลัง “เส่าเฉิน ฉันเพียงแค่ไม่อยากให้คุณหนักใจเกินไป ทำให้คุณกับเย่หลิน……”
“เธอเป็นเพียงแม่ของลูกทั้งสองคน เธอกับฉัน ก็แค่เพื่อเงินเท่านั้น อย่างมากฉันก็แค่แบ่งหุ้นให้เธอไปสักหน่อย” พูดจบ ก็ตบๆ มือของเฉินอีอี “โอเค คุณนอนเถอะ”
เมื่อหนิงเส่าเฉินกลับมา เพิ่งจะเข้าห้องไป เย่หลินก็ชี้นิ้วไปที่เขา พูดอย่างรังเกียจว่า : “ยืนอยู่ตรงนั้นอย่าขยับ ถอดเสื้อผ้าทิ้งไว้ข้างนอก จากนั้นก็ไปอาบน้ำ อย่าใช้มือที่กอดเธอ มาแตะต้องฉัน”
อ้าปากค้าง หนิงเส่าเฉินถอนหายใจ ชี้ๆ ไปที่เธอ “แล้งน้ำใจ”
เย่หลินนอนอยู่ในอ้อมกอดหนิงเส่าเฉิน “สารภาพมา วันนี้คุณไปทำอะไรลับๆ ล่อๆ มาบ้าง? ”
หรี่ตาขึ้น หนิงเส่าเฉินเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ขมวดคิ้ว ในใจเคร่งเครียด แล้วนำเย่หลินมากอดไว้แน่น พูดข้างๆ หูเธออย่างไม่สบายใจ “คุณรู้ไหม? นอกจากฉันจะตอบสนองกับคุณแล้ว กับผู้หญิงอื่น ฉันก็ไม่รู้สึกอะไร”
เย่หลินถอนหายใจเบาๆ นั่งตัวตรง โอบกอดคอของเขา “ฉันจะลองดู……”
วันต่อมา ตอนเที่ยง เย่หลินไปที่ห้องเลขาของหนิงกรุ๊ปด้วยความโกรธ
“ประธานเย่ คุณมาแล้ว ประธานน่าจะอยู่ที่ห้องทำงาน ฉันจะพาคุณไป” คนของห้องเลขา ใครจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของเย่หลินกับหนิงเส่าเฉิน ทุกคนที่เห็นเธอมา ก็รีบเข้าไปใกล้ชิด
เย่หลินชี้ไปที่เฉินอีอี “ไม่ต้อง ฉันมาหาเธอ”
พูดจบ หยิบซองออกมาจากในกระเป๋า ส่งให้ผู้รับผิดชอบของห้องเลขา “รบกวนคุณ ช่วยแบ่งให้ทุกคนดูด้วย”
เฉินอีอีรู้สึกกลัวเย่หลินเล็กน้อย
เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มหน้าลง ทำท่าทางเคารพ “เย่……หลิน! ”
“จุ๊ๆ พระเจ้า นี่ไม่ใช่ว่าอีอีกับประธานหนิง? พวกเขาเป็น……” ในกลุ่มมีคนพูดออกมา
เฉินอีอีสีหน้าเคร่งขรึม ขมวดคิ้ว คว้ารูปจากผู้หญิงที่นั่งข้างๆ ขึ้นมาดู
ทั้งหมดเป็นภาพการกระทำของเธอกับหนิงเส่าเฉิน
มีหลายภาพที่หนิงเส่าเฉินกับเธอจูบกัน แต่เธอรับรองได้ หนิงเส่าเฉินไม่เคยจูบเธอเลย อย่างมากก็แค่จับมือ เห็นได้ชัดว่านี่น่าจะเป็นมุมกล้อง
เพียงแต่นึกถึงคำพูดของหนิงเส่าเฉินแล้ว เธอก็ไม่กล้าแก้ตัว
“นี่พวกคุณทำอะไรกัน? ” จู่ๆ เสียงทุ้มๆ ของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้นข้างๆ หูของทุกคน
เย่หลินยังไม่ทันได้เริ่มพูด เฉินอีอีก็ซื้ดจมูก น้ำตาหยดติ๋งๆ ลงมา
หนิงเส่าเฉินเห็นเช่นนี้ ก็แทบจะเดินไปยังตรงหน้าเธอในทันที หยิบทิชชูสองสามแผ่นที่อยู่บนโต๊ะส่งให้เธอ กล่าวถามอย่างอ่อนโยนว่า: “อีอี เกิดอะไรขึ้น? ”
เฉินอีอีเงยหน้ามองเขา ด้วยท่าทีที่ดูน่าสงสารนั้น กระตุ้นให้คนอยากจะโอบมาไว้ในอ้อมกอด
ตรงกันข้ามกับผู้เคราะห์ร้ายอย่างเย่หลิน ใบหน้าที่งดงาม เพราะความโกรธ จึงเคร่งขรึมจนทำให้คนตื่นตกใจ
คนที่ไม่เข้าใจล้วนต้องคิดว่า เย่หลินรังแกเฉินอีอี
“คุณตามฉันมา” เสียงที่โหดเหี้ยม ความเยือกเย็นซึมผ่านทุกคน คนที่อยู่ในสถานที่ต่างเหงื่อตกไม่เว้นแต่เย่หลิน
เฉินอีอีก้มหน้า ปกปิดความลำพองใจในสายตา
“เส่าเฉิน คุณกับเธอ ชัดเจนว่าพวกคุณ……”
“ตามฉันมา”
ในทันทีที่ประตูห้องประธานปิดลง ทุกคนก็โล่งอก แต่ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ว่าเฉินอีอีไม่ดีอีก ท่าทีนี้ของประธานหนิง ชัดเจนว่าเอนเอียงไปทางด้านเฉินอีอี พวกเธอไม่กล้าตำหนิคนที่ได้รับความรักใคร่นี้
ในห้อง
เย่หลินนั่งลงบนโซฟา ขาทั้งสองพาดบนโต๊ะน้ำชา ชายหนุ่มนั่งลงข้างๆ เธอ โอบเธอมาไว้ในอ้อมกอด นำมือนวดเบาๆ ที่ไหล่ของเธอ “เหนื่อยไหม? ”
เย่หลินพยักหน้า “เหนื่อย ดูแล้วการเป็นศิลปินไม่ง่ายเลย” มือเล็กๆ ที่ละเอียดนุ่มนวลชี้ไปที่ไหล่ขวา “ตรงนี้ ตรงนี้เมื่อยมากเลย ช่วยนวดให้ฉันสักสองที”
“ได้…..”
ผ่านไปครู่หนึ่ง
“นี่ มือของคุณวางอยู่ตรงไหน? ” เย่หลินปัดมือของชายหนุ่มที่วางไว้ที่เอวของเธอออก แล้วลุกพรวดขึ้นมาจากโซฟา “เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันต้องกลับบริษัท ขืนอยู่ที่นี่ต่อไป คงจะผิดปกติเกินไป”
ชายหนุ่มลุกขึ้นตาม โอบกอดเธอ จูบสองที จึงปล่อยเธอ ต่อจากนั้น ก็โน้มตัว หยิบแจกันดอกไม้บนโต๊ะน้ำชาส่งให้เย่หลิน แล้วขยิบตาให้เธอ
“เพล้ง…..” เสียงแก้วแตกจากในห้องทำงานดังออกมานอกห้องทำงาน สีหน้าที่คนเปลี่ยนไป
เย่หลินเปิดประตู หันหน้ากลับไป “หนิงเส่าเฉิน คุณทำแบบนี้กับฉันได้อย่างไร? ”
เมื่อเดินไปถึงตรงหน้าเฉินอีอี เย่หลินก็หยุด หยิบเอกสารที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา เขวี้ยงไปบนตัวเฉินอีอี หลับตา น้ำตาไหลลงมา “คุณอย่าคิดนะว่า วันนี้คุณชนะ ฉันจะบอกคุณให้ ถ้าหากมีความสามารถ คุณก็ทำให้เขาหย่ากับเกาเหวินให้ได้ แล้วมาแต่งงานกับคุณสิ ไม่เช่นนั้น วันนี้ของฉัน ก็คือวันพรุ่งนี้ของคุณ”
พูดจบ ก็จากไปทันที
ด้วยเหตุนี้ วันต่อมา ข่าวรักครั้งใหม่ของหนิงเส่าเฉิน ก็เผยแพร่ไปทั่วทุกซอกทุกมุมของหนิงกรุ๊ปอย่างรวดเร็ว
และข่าวที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้านี้ เฉินอีอีก็ทั้งดีใจทั้งเศร้าใจ
ความดีใจของเธอก็คือสามารถทำให้หนิงเส่าเฉินยอมรับเธอได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่ความเศร้าใจคือ การสมรสของเกาเหวินและหนิงเส่าเฉิน
คิดๆแล้ว เธอก็ใช้โอกาสเวลากลางวัน ไปสำนักกฎหมาย
คุณผู้หญิง สถานการณ์นี้ที่คุณกล่าวมา หากฝ่ายตรงข้ามที่อยู่หายไป หรือหายสาบสูญไปสองปีเต็ม ศาลจะตัดสินให้หย่าได้ ยกเว้นแต่ว่ามีสาเหตุอื่นๆ? ”
สาเหตุอื่น?
ในสายตาของเฉินอีอีปรากฏความงุนงงเล็กน้อย
เกาไห่เห็นหนิงเส่าเฉินจูงเฉินอีอีเข้ามา สายตาก็ตกอยู่ที่มือของคนทั้งสอง “พวกคุณ นี่หมายความว่าอะไร? ”
หนิงเส่าเฉินปล่อยเฉินอีอี พูดอย่างสบายๆ ว่า : “ไม่ได้หมายความว่าอะไร ก็คือ……”
พี่ แฟนคุณยั่วเส่าเฉินของฉัน” เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเย่หลินดังมาจากด้านหลัง
เกาไห่ตกตะลึงหันไปมองเย่หลิน จากนั้นเขาก็หันกลับเดินไปข้างหน้า จ้องมองเฉินอีอี “เธอบอกมาสิ ว่ามันจริงไหม? ”
เฉินอีอีไม่พูดอะไร
หนิงเส่าเฉินตบไหล่เกาไห่สองครั้ง “ฉันกับน้องสาวคุณไม่มีความสัมพันธ์กันทางกฎหมาย คุณกับเธอก็เป็นแค่แฟนกัน เช่นนั้น เราจะอยู่ด้วยกัน ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ”
พูดจบ ไม่รอให้เกาไห่พูด หนิงเส่าเฉินไม่ได้มองเย่หลินที่นั่งร้องไห้อยู่ด้านหลัง เดินตรงกลับห้องไปเลย
เกาไห่ยืนอยู่ตรงหน้าเฉินอีอี จ้องมองเธออยู่สักพัก ก็เงื้อมือขึ้นตบเธอหนึ่งที แล้วผลักออกไป “คุณยังเป็นคนอยู่ไหม? เก็บข้าวของ แล้วย้ายออกไปเดี๋ยวนี้เลย”
พูดจบ ก็ลากเฉินอีอีเข้าห้องเธอไป
ปิดประตู เฉินอีอีมองเกาไห่อย่างไม่อยากจะเชื่อ “เกาไห่ คุณ……คุณกล้าตบฉันเหรอ? ”
ความสะอิดสะเอียนฉายในแววตาของเกาไห่ “คุณไปซะ เราเลิกกันแล้ว! ”
เฉินอีอีสีหน้าเคร่งขรึม พูดอย่างฮึกเหิม : “เกาไห่ คุณเสแสร้งอะไร ฉันต้องการอะไร คุณไม่รู้เลยเหรอ? ”
เกาไห่หัวเราะเยาะ “คุณไปซะ หลังจากนี้ก็ทำตัวเองให้ดีๆ ฉันจะไม่ช่วยคุณอีกแล้ว”
เฉินอีอีขมวดคิ้ว “คุณ……คุณพูดอะไร? ”
“คุณไม่อยากทำร้ายความสัมพันธ์กับเย่หลินเพราะคุณ”
“เย่หลิน? หึหึ คุณพูดว่าน้องสาวคุณเหรอ? เกาไห่ ไม่ใช่ว่าคุณชอบ……”
“ก๊อกๆ ……”
ด้านนอกมีเสียงเคาะประตู
“ใคร? ”
“คุณเกา คุณรีบออกมาดูเร็ว คุณชายกับคุณนายทะเลาะกันใหญ่แล้ว คุณออกไปช่วยพูดหน่อย” ที่นอกประตู น้ำเสียงร้อนรนของพี่ซวี่ดังเข้ามา
เกาไห่ตกตะลึง เปิดประตู ที่ห้องนอนชั้นสองก็ได้ยินเสียงทุบข้าวของดังลงมา
เขากับเฉินอีอี เดินขึ้นไปชั้นสอง เพียงแต่ประตูห้องนอนชั้นสองล็อกอยู่
เสียงถูกปิดกั้นดีมาก ด้านในจึงไม่ได้ยินเสียงพูด ได้ยินแต่เสียงทุบของ
สีหน้าเฉินอีอีดีใจเล็กน้อย ยกมือขึ้นเคาะประตู
ไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออก เนกไทหนิงเส่าเฉินถูกดึงไว้ใต้อก ผมเผ้ายุ่งเหยิง “มีธุระอะไร? ”
เกาไห่อยากจะเข้าไป ก็เห็นหนิงเส่าเฉินขวางไว้ พูดอย่างไม่สบายใจ : “คุณทำอะไรกับเธอ? ”
หนิงเส่าเฉินสีหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไร จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเย่หลินดังออกมา “พี่ คุณปล่อยเขาไปเถอะ ผู้ชายอย่างนี้ อย่าไปสนใจเลย”
แม้จะรู้ว่าเป็นแค่การแสดง แต่สีหน้าของหนิงเส่าเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ หันกลับไป หันหลังให้คนทั้งสอง มองเย่หลินที่นั่งดูละครอยู่บนพื้น “ในเมื่อคุณเย่รับไม่ได้แล้ว ก็ทำให้ฉันประหยัดน้ำลายไปได้เยอะ”
พูดจบก็ออกมา แล้วปิดประตู
“อีอี ไปเถอะ ฉันจะส่งคุณไปที่พัก”
เฉินอีอีปิดปากด้วยความประหลาดใจ ก้มหน้าก้มตา “ขอโทษนะ ประธานหนิง เป็นฉันเองที่ไม่ดี ฉัน……”
“ไปกันเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ”
ยืนอยู่ที่ระเบียง เห็นคนทั้งสองขึ้นรถไปแล้ว
เย่หลินก็โล่งอก จิบกาแฟอึกหนึ่ง
“พี่ คุณว่า ลับหลังเธอจะทำด้วยความสมัครใจแบบนั้นจริงๆ ไหม? ”
หลังจากเกาไห่เงียบไม่พูดจาไปชั่วขณะ ก็เอ่ยปาก “อืม ด้วยนิสัยของเธอ มีความเป็นไปได้สูงมาก”
เย่หลินสูดลมหายใจเข้าลึก หันตัวกลับทันที เธอมองไปยังใบหน้าเกาไห่ “ในเมื่อเธอไม่มีใจต่อคุณ คุณก็รีบมองหาคนข้างกายว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ฉัน…….”
เกาไห่จ้องเธอเขม็ง ยิ้มมุมปากเบาๆ “น้องสาว คุณว่ารูปร่างหน้าตาของคนคนหนึ่งนั้น สำคัญหรือไม่? ”
ได้ยินเกาไห่ที่จู่ๆ ก็พูดถึงประเด็นนี้ เย่หลินก็ตกตะลึง เก็บความรู้สึกนึกคิด โค้งริมฝีปากแดงๆ เล็กน้อย “คุณหมายถึงเฉินอีอีเหรอ? ”
พอได้ยิน นึกถึงเฉินอีอี เกาไห่ก็หัวเราะเยาะ แต่ในใจไม่ได้เจ็บปวดเลย
ในสมองปรากฏใบหน้าที่ยิ้มแย้มหวานชื่นราวกับสาลี่ “ไม่ใช่”
เวลานี้ บนรถยนต์คันสีดำของหนิงเส่าเฉิน
เฉินอีอีมองหนิงเส่าเฉิน ก้มหน้าเล็กน้อย บนใบหน้าแดงระเรื่อ “ประธานหนิง คุณไปแบบนี้ เย่หลินจะเสียใจหรือเปล่า? ”
“เสียใจ? คุณคิดว่าฉันยังต้องดูสีหน้าของผู้หญิงคนหนึ่งอีกเหรอ? ” หนิงเส่าเฉินยิ้มเยาะ เหยียบคันเร่ง รถก็ราวกับลูกศรที่ออกจากเชือก พุ่งไปอย่างรวดเร็ว
บริเวณไฟเขียวไฟแดง หนิงเส่าเฉินหยิบกล่องบรรจุภัณฑ์ที่งดงามออกกล่องหนึ่งออกมาจากในกระเป๋ากางเกงสูท ส่งให้เฉินอีอี “รับไปสิ”
“นี่คืออะไรเหรอ? ” เฉินอีอี แปลกในเล็กน้อย
หนิงเส่าเฉินไม่พูดจา กลิ้งลูกกระเดือกขึ้นลงอย่างเซ็กซี่เล็กน้อย เฉินอีอีมองดวงตานั้น หรี่ดวงตา ก้มหน้าลง เปิดกล่องออก ดวงตาแสดงความเซอร์ไพรส์ “นี่….นี่คือสร้อยคอเส้นนั้นที่งานประมูลเมื่อวานไม่ใช่เหรอ? ” เดิมทีเธอคิดว่าหนิงเส่าเฉินจะมอบให้เย่หลิน แต่ไม่นึกเลยว่า จะมามอบให้เธอ
สะเทือนใจไม่หยุด
เวลานี้ รถได้มาจอดลงที่ตรงหน้าคฤหาสน์ที่ตกแต่งสไตล์ยุโรปหลังหนึ่ง เดินไปยังข้างที่นั่งคนขับ เปิดประตูรถให้เฉินอีอี ประคองเธอลงมา
สวัสดิการที่ไม่คาดคิดนี้ ทำให้เฉินอีอีตื่นเต้นในชั่วพริบตา สะบัดหน้า รู้สึกเหมือนว่าฝันไป
“เป็นอะไรไป ปวดหัวเหรอ? ” น้ำเสียงที่อ่อนโยนดังขึ้นข้างหูของเธอ
ส่ายหน้า “เปล่าค่ะ”
หนิงเส่าเฉินยิ้มเล็กน้อย “อย่างนั้นก็ดี ไปกันเถอะ” พูดพลาง จูงมือเฉินอีอีอย่างเป็นธรรมชาติ “บ้านนี้ มอบให้คุณ ต่อไป พวกเรา…..ก็จะอยู่กันที่นี่ ชอบไหม? ”
เฉินอีอีอดกลืนน้ำลายลงคอไม่ได้ กล่าวถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า: “มอบ….มอบให้ฉัน? ” อีกทั้งเขายังพูดว่า”พวกเรา? ”
ตื่นเต้นดีใจจนทำให้เฉินอีอีสมองเลอะเลือน รอยยิ้มที่มุมปากของเธอก็เก็บไว้ไม่อยู่
“อืม ใช่ รอหลังจากฉันชี้แจงเรื่องราวกับเธอให้ชัดเจนแล้ว พวกเราก็จะมาอยู่ด้วยกัน”
“ไม่ ไม่ได้ บ้านหลังนี้ ฉันไม่สามารถรับไว้ได้ พวกเรา…..ความสัมพันธ์นี้ของพวกเรา มันไม่เหมาะสม”
หนิงเส่าเฉินคิ้วตก ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในสายตาปรากฏความชื่นชม ลูบที่ผมยาวๆ ของเฉินอีอี “คุณกับพี่สาวของคุณ เหมือนกันมากจริงๆ เวลานั้น ฉันมอบคฤหาสน์ให้เธอ เธอก็ยืนกรานที่จะไม่รับ”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของหนิงเส่าเฉินเศร้าโศกอย่างชัดเจน
เข้าไปในบ้าน เฉินอีอีนำกระเป๋าในมือวางลงบนโซฟา เห็นหนิงเส่าเฉินเดินเข้ามา เธอคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากว่า: “ฉันคิดว่าคุณจะลืมพี่สาวฉันไปนานแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็เห็นว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเย่หลินค่อนข้างดี”
หนิงเส่าเฉินฝืนฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ฉันกับเธอ เป็นเพียงแค่ความรับผิดชอบ”
เขาพูดจบ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พี่สาวคุณไม่อยู่แล้ว ฉันไม่สนใจใครทั้งนั้น จะอยู่ด้วยกันกับใคร ฉันล้วนไม่สนใจ แต่เธอเป็นแม่ของลูก ไม่มีทางเลือกที่ดี”
“อย่างนั้น….ในเมื่อ คุณไม่สนใจ อย่างนั้นเพราะเหตุใด ฉันได้ยินมาว่า เพื่อเย่หลิน คุณถึงสามารถแยกจากเกาเหวินที่เป็นรักในวัยเด็กของคุณได้ล่ะ? ”
ปลายนิ้วของหนิงเส่าเฉินลูบบนโซฟาเบาๆ ยกมุมปากของเขาขึ้น ปรากฏรอยยิ้มที่เย็นชา แล้วหันหน้ากลับ เขาจ้องมองเฉินอีอี “ใครก็ได้ แต่เธอไม่ได้ เธอคือฆาตกรที่ฆ่าพี่สาวของคุณ”
และเวลานี้ในห้องหนังสือ “ประธานหนิง ความรู้สึกที่ได้โอบกอดแนบชิดเป็นอย่างไรบ้าง? ”
หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง : “ชั่วชีวิตนี้ นอกจากคุณแล้ว ไม่มีใครทำให้ฉันมีความรู้สึกได้แล้ว”
เย่หลินแลบลิ้นให้เขา นำอาหารบำรุงในมือวางลงบนโต๊ะ “อันนี้อีกสักครู่จะเย็นแล้ว รีบดื่มเถอะ ฉันจะกลับห้องก่อน”
หนิงเส่าเฉินยิ้มมุมปากใส่เธอ “ชำระล้างให้สะอาดแล้วรอฉันเลย”
“ออกไปเลย! ”
ตลอดคืนนี้เหมือนจะเงียบสงบ โดยความเป็นจริง ภายใต้ความเงียบสงบ มีคลื่นพัดโหมกระหน่ำอยู่ก่อนแล้ว
เฉินอีอีนอนอยู่บนเตียง เธอไม่เคยคิดมาก่อน ว่าวันหนึ่ง เธอจะสามารถได้ใกล้ชิดกับหนิงเส่าเฉินขนาดนี้ อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินมีความรู้สึกต่อเธอ
คิดว่าวันหนึ่ง ผู้ชายจะต้องเป็นของเธออย่างแน่นอน ในใจเธอสั่นไหวจนนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน
และเกาไห่นั้น ในหัวเขาเต็มไปด้วยผู้หญิงคนนั้นที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมแล้วกำลังร้องไห้ และรอยยิ้มอันสดใสของเธอในวันนั้น สลับกันเล่นอยู่ในหัวของเขา จนยากที่จะหลับใหล
ส่วนอีกห้องหนึ่ง
บรรยากาศหวานซึ้งหยดย้อยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ฝ่ายชายพูดคำหวานข้างๆ หูฝ่ายหญิงจนเขินอาย ฝ่ายหญิงทั้งทุบทั้งตี จากนั้นก็โอบกอดกันแล้วนอนหลับไป
“ประธานเกา แผนที่เส้นทางรื้อถอนที่ดินด้านทิศตะวันตกของเมือง ออกมาแล้ว อืม คุณดูก่อน” เกาไห่เลิกคิ้ว รับกระดาษแผ่นนั้นมาดู
เป็นเวลานาน ที่สายตาเขาตกอยู่หลังจุดสีแดงอันหนึ่ง “ที่นี่ มีร้านอาหารริมทางเปิดอยู่ร้านหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ”
คนที่มาก็พยักหน้า “ใช่ แต่ว่าน่าจะย้ายไม่ทันกำหนดรื้อถอน น่าเสียดาย บ้านที่ต้องถูกทำลายเหล่านั้น ได้ค่าชดใช้ความเสียหายน้อยมาก”
นิ้วเรียวยาวของเกาไห่ลูบเบาๆ ที่ถ้วยชา ฉับพลันก็เงียบไป ใบหน้าก็ลึกซึ้ง หลังจากนั้นเป็นเวลานาน จึงเอ่ยขึ้นว่า : “มีวิธีไหนไหม ที่จะให้ระยะเวลายืดออกไปหน่อย? ”
คนที่มาก็ตกใจ ชั่วขณะก็เข้าใจความหมายของเขา “อันนี้ อาจจะไม่ง่าย”
เกาไห่แววตาเคร่งขรึม คนที่มาก็รีบพูดว่า : “ก็ไม่ใช่จะหาทางออกไม่ได้”
“รอก่อน ฉันขอตัดสินใจก่อน” เกาไห่พูดจบ ก็โบกๆ มือให้เธอ แล้วเรียกผู้ช่วยเข้ามา
“เสี่ยวตง อีกสักครู่ ส่งคนไปที่นี่ ที่นั่นมีร้านขายอาหารริมทางอยู่ คุณลองไปถามเจ้าของร้านพวกนั้นดูว่า ทัศนคติต่อการรื้อถอนนี้เป็นอย่างไร แล้วให้คำตอบฉันทันที”
เสี่ยวตงมองเกาไห่ หลายปีก่อน ตอนที่เกาไห่เกิดเรื่อง เขาก็ตามเขาไป ต่อมา เขาประสบอุบัติเหตุ ผู้นำคนใหม่ก็ไม่ได้นำเขากลับมารับตำแหน่งเดิม ตลอดมาเขาได้ทำงานเบ็ดเตล็ดในตระกูลเกา หลังจากที่เกาไห่กลับมา ก็ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งสำคัญทันที ฉะนั้น เขาจึงประทับใจต่อเกาไห่มาก ดังนั้น ต่อให้เขาไม่เข้าใจว่าเจ้านายคิดอะไรอยู่ ก็ยังคงตอบรับอย่างเต็มใจ
ในตอนบ่ายก็ได้ข่าวกลับมา
“อืม หญิงสาวคนนั้นเงียบไม่พูดจา ส่วนผู้สูงอายุคนนั้นบอกว่า ไม่มีชีวิตนั้นก็ไม่กล้าที่จะคิดเลย”
เกาไห่พยักหน้า “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”
เวลานี้ที่ซีเอกซ์
“ประธานเย่ เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว ทำไมคุณยังไม่กลับอีก? ” อู่เล่อเล่อเดินผ่านห้องทำงานของเย่หลิน เห็นไฟเปิดอยู่ ก็เลยเข้ามาถาม
เย่หลินหัวเราะกับเธอ “ยังเหลืออีกนิดหน่อย ทำเสร็จแล้วจะไป คุณกลับก่อนเถอะ”
แล้วก้มหน้าก้มตาเริ่มอ่านเอกสารในมือต่อ
ดังนั้น เธอไม่เคยเห็นอู่เล่อเล่อเข้ามาในห้องทำงานเธอ แล้วเดินมาตรงหน้าเธอ ตลอดเวลามีเงาอยู่บนเอกสารของเธอ เธอจึงเงยหน้าขึ้น เห็นอู่เล่อเล่อมองเธออยู่ ท่าทางลังเลเหมือนจะพูดไม่พูด “มีอะไรจะพูดเหรอ? ”
อู่เล่อเล่อพยักหน้า ต่อจากนั้นก็นำมือถือที่อยู่ในมือ ส่งให้เย่หลิน “ประธานเย่ เดิมทีฉันก็ไม่อยากจะพูด แต่ว่า คุณดูเอาเองเถอะ”
เย่หลินมองเธอ รับมือถือมาดู ก็เห็นหนิงเส่าเฉินและเฉินอีอี กำลังทานข้าวอยู่ด้วยกัน ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด มองจากฉากหลังนี้ น่าจะเป็นห้องทำงานของหนิงเส่าเฉิน
“แล้วก็คุณเลื่อนไปดู”
รู้ต่อไป
หนิงเส่าเฉินช่วยจัดผมให้เฉินอีอี สายตานั้น อ่อนโยนเป็นที่สุด
รูปต่อไป เฉินอีอีและหนิงเส่าเฉินอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ มือทั้งสองของหนิงเส่าเฉินดันอยู่ที่กำแพง ล็อกให้เฉินอีอีอยู่ในวงล้อมนั้น ไม่รู้ว่าพูดอะไร เฉินอีอีจึงมีใบหน้าที่เขินอาย
เย่หลินหลับตา มือของอู่เล่อเล่อกุมบนมือของเธอ กล่าวปลอบโยนว่า: “บางทีอาจจะเป็นเพียงความเข้าใจผิด ถึงอย่างไร ผู้หญิงคนนี้ก็เทียบไม่ได้กับประธานเย่”
เย่หลินนำมือปิดปากเบาๆ โบกมือกับอู่เล่อเล่อ
หลังจากอู่เล่อเล่อเดินออกไป เธอจึงคลายมือออก หัวเราะขึ้นมา
หยิบมือถือ ให้อู่เล่อเล่อนำรูปภาพสองสามรูปนั้นส่งมาให้เธอ
หลังจากส่งรูปมาแล้ว เย่หลินก็ทำการบันทึก ต่อจากนั้น จึงส่งไปให้หนิงเส่าเฉินโดยตรง “พูดมา เย็นนี้กลับไป จะคุกเข่า หรือว่าจะนอนข้างนอก”
หนิงเส่าเฉินกำลังประชุมอยู่ เปิดดูมือถือ “ยกเว้นนอนข้างนอก อื่นๆ ลงโทษได้ตามใจ”
“ได้ นอนที่ห้องหนังสือแล้วกัน”
“ไม่ได้! ” คำสองคำนี้ หนิงเส่าเฉินพูดออกเสียง เงยหน้าไปมองสายตาที่งุนงงของทุกคน เขาก็ก้มหน้าอย่างเขินอาย “ต่อเลย”
“ตอนเย็นพาเธอกลับมาเร็วหน่อย ละครฉากนี้ของพวกเรา หากคุณแสดงได้ไม่เลว ค่อยพิจารณาอีกที”
“โอเค! ” ชายหนุ่มถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เฉินอีอีไม่เคยคาดคิดเลยว่า การพัฒนาของเธอกับหนิงเส่าเฉินจะรวดเร็วขนาดนี้
แต่ที่ยิ่งทำให้เธอคาดไม่ถึงเลยก็คือ การแสดงออกของเย่หลิน
พอตอนเย็นเลิกงาน ก็ยังคงเป็นหนิงเส่าเฉินที่พาเธอกลับมา
ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็เห็นเย่หลินเอามือกอดอก ยืนอยู่หน้าประตู เห็นเธอลงจากรถ หลังจากคนทั้งสองเดินเข้ามาใกล้ เธอก็ไม่พูดพล่าม ตบไปที่หน้าของเฉินอีอี “เฉินอีอี คุณมีสิทธิ์อะไรมายั่วยวนเส่าเฉิน คุณเป็นแฟนของพี่ชายฉัน ทำไมคุณต้องมายั่วเส่าเฉินด้วย”
เธอสีหน้าหม่นหมอง หนิงเส่าเฉินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจ
เฉินอีอีปิดหน้าของเธอ หันหน้ากลับ มองหนิงเส่าเฉิน แล้วก็มองเย่หลิน “น้องสาว คุณเข้าใจผิดแล้ว ฉันกับเส่า…..ระหว่างฉันกับประธานหนิง ไม่มีอะไรเลย”
เย่หลินส่งรูปในมือถือให้เฉินอีอีดู “คุณดู นี่ยังเรียกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ? ”
พูดจบ เธอก็แย่งมือถือกลับ หันหน้ากลับไป จ้องมองหนิงเส่าเฉิน “หนิงเส่าเฉิน ปีนั้นคุณรับปากฉันไว้ว่ายังไง? บอกว่าจะอยู่เคียงคู่กันไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ? ” ยังพูดไม่ทันจบ น้ำตาของเย่หลินก็ไหลพราก
หนิงเส่าเฉินเจ็บปวดใจถึงที่สุด เขายื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อต้องการที่จะไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ แต่นึกอะไรขึ้นได้ จึงเอามือลง “เย่หลิน ฉันเห็นอีอีเป็นเพียงแค่น้องสาว คุณอย่ามาสร้างเรื่องวุ่นวาย”
พูดจบ ก็ดึงเฉินอีอี “ไป ไม่ต้องสนใจเธอ”
มองคนทั้งสองเดินตามกันเข้าไป ถึงเย่หลินจะรู้ชัดเจนว่า นั่นเป็นเพียงแค่การแสดง แต่ในใจก็ยังรู้สึกหดหู่จริงๆ
เธอไม่อยากจะคิดว่า เวลานี้เป็นเพียงการหลอกลวง ในใจของเธอยังอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดขนาดนี้ ในอนาคต ถ้ามีวันหนึ่ง เรื่องแบบนี้ กลายเป็นความจริงขึ้นมา เธอจะเป็นอย่างไร?
หนิงเส่าเฉินคว้าเธอไว้ “อย่าเพิ่งตื่นตูมไป เรื่องนี้เราควรปรึกษากันให้ดีก่อน แล้วคุณล่ะ? ดูสิว่าครั้งหน้าคุณยังจะกล้าส่งผู้หญิงคนไหนมาให้ฉันอย่างตามอำเภอใจอีกไหม”
เย่หลินประคองใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน แล้วยิ้มอย่างภูมิใจ แต่ฉับพลันในใจก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
เช้าตรู่วันต่อมา
“อีอี คุณรีบทานข้าวนะ ทานเสร็จแล้ว ให้เส่าเฉินพาคุณไปที่บริษัทด้วย มิเช่นนั้น ที่นี่มันจะขึ้นรถไม่สะดวก” เย่หลินพูดพลาง วางเกี๊ยวครึ่งจานไว้ตรงหน้าเฉินอีอี
เกาไห่หยุดตะเกียบในมือค้างอยู่กลางอากาศ เขามองเย่หลิน “เย่หลิน ไม่ต้องรบกวนเส่าเฉินหรอก ให้อีอีเรียกรถไปเองก็ได้”
เฉินอีอีพยักหน้าคล้อยตาม “ใช่ ฉันนั่งรถไปเองได้ ไม่เป็นไร”
“รีบทานข้าวเถอะ ทานเสร็จแล้วฉันจะพาคุณไปด้วยกัน” ครั้งนี้ หนิงเส่าเฉินเป็นคนพูดเอง ทุกๆ คนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
บนรถ “ประธานหนิง คุณปฏิบัติกับฉันดีแบบนี้ เย่หลิน จะไม่พอใจหรือเปล่า? ”
หนิงเส่าเฉินเม้มปาก “ไม่หรอก เมื่อกี้เธอให้ฉันพาคุณไปไม่ใช่เหรอ? ”
หลังจากถึงบริษัท หนิงเส่าเฉินก็ไม่หลีกเลี่ยงที่จะให้เฉินอีอีตามเขาเข้าบริษัทไปในเวลาเดียวกัน
อีกทั้งตลอดเส้นทาง ก็พูดคุยกันดีมาก
เฉินอีอีเห็นว่าหนิงเส่าเฉินคนนั้นถามอะไรก็ตอบหมด ก็ยิ่งลำพองใจ
ตอนที่จะแยกกัน หนิงเส่าเฉินก็ดึงเฉินอีอีมาข้างๆ “อีอี รบกวนคุณเรื่องหนึ่งได้ไหม อย่าให้เย่หลินรู้ว่าคุณคือน้องสาวของเฉินเป้ยอี”
“ห้ะ? อืม……โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” เฉินอีอีมองตามหลังหนิงเส่าเฉินไป ก็ยกยิ้มขึ้นมา “หนิงเส่าเฉิน ในที่สุดคุณก็มีจุดออ่อนที่อยู่ในกำมือฉัน”
หลังจากเฉินอีอีกับหนิงเส่าเฉินออกไปแล้ว เย่หลินก็ดึงเกาไห่ไปที่ห้อง
ทั้งสองคุยกันอยู่ข้างในสองชั่วโมงกว่า จึงออกมา
“พี่ เธอไม่คู่ควรกับคุณเลย อย่าไปคิดอะไรมากกับเธอ”
เกาไห่ลูบหัวเย่หลิน “โอเค ฉันเข้าใจแล้ว คุณก็เช่นกัน ระวัง……สภาพจิตใจด้วย”
หลังจากเกาไห่ออกไปไม่นาน เย่หลินก็รับโทรศัพท์สายหนึ่ง “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ ใครคะ? ”
“สวัสดีค่ะ คุณเย่ใช่ไหม? อืม เอ่อ ฉันเก็บกระเป๋าตังค์ได้ เป็นของคุณเกาไห่ ฉันเห็นว่าเขามีนามบัตรของคุณอยู่ในนั้น ดังนั้น ฉันก็เลยโทรมาถาม”
เย่หลินอึ้งไปเล็กน้อย กระเป๋าตังค์ของเกาไห่ “อ้อ เป็นเช่นนี้ใช่ไหม? คุณอยู่ที่ไหน ให้ฉันไปรับที่ร้านอาหารเล่อจยาเหรอ? ……คุณบอกว่าเขาไปทานที่ร้านอาหารนั้นของคุณแล้วทำกระเป๋าตังค์ตกไว้เหรอ? อ้อได้ เพียงแต่ว่า เขาเพิ่งออกจากบ้านไป อีกสักครู่ฉันจะโทรให้เขาไปรับนะ” นี่ทำให้เย่หลินรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย เกาไห่สามารถไปกินที่ร้านอาหารข้างทางได้ด้วยเหรอ?
“อืม โอเค ขอบคุณค่ะ! ”
วางสายไปแล้ว เย่หลินก็โทรหาเกาไห่
“ได้ ฉันรู้แล้ว ตอนเย็นฉันจะไปรับเอง” มุมปากของเกาไห่ก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสวยงาม กระเป๋าตังค์ใบนั้น ไม่มีอะไร มีเพียงเงินไม่กี่พันและนามบัตรของเย่หลิน และรูปที่เขาถ่ายร่วมกับเย่หลินหนิงเสี่ยวซีแล้วก็เย่เสี่ยวโม่หนึ่งใบ
ไม่ได้รับโทรศัพท์ของเธอตลอดทั้งคืน เขายังคิดว่า เธอไม่สามารถโทรเข้ามาได้
เย่หลินนิ่งอึ้งไป เมื่อคืนวานเกาไห่กลับมา แล้วตอนเช้าก็ออกไป สภาพจิตใจไม่ดี แต่น้ำเสียงในโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ ชัดเจนว่าดีขึ้นมาก
อดไม่ได้ที่จะไม่สบายใจ ตกลงในโทรศัพท์นี้คือใครกัน?
เล่อจยายิ้ม เมื่อวานเธอจึงตัดสินใจที่จะไม่ติดต่อเขา แต่ตอนที่เก็บโต๊ะ เห็นกระเป๋าสตางค์ของเขา อาการกระสับกระส่ายภายในใจ ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่ เมื่อเห็นรูปภาพใบนั้น ในใจของเธอก็หมดหวัง เด็กผู้หญิงคนนั้นจูงแขนของเขา เด็กชายหญิงที่อยู่ตรงหน้า ชัดเจนว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
ดูจากน้ำเสียงของผู้หญิงคนนั้นที่พูดแล้ว พวกเขาอยู่ด้วยกัน ใจของเธอ ก็ตายไปโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ
“ซูหย่า คืนนี้ ฉันไม่ค่อยสบาย คุณมาดูร้านให้หน่อยได้ไหม? ”
“โอเค กินข้าวแล้วฉันจะเข้าไป”
พอเกาไห่เลิกงานตอนเย็น ก็ไม่ได้ไปงานเลี้ยงส่วนตัว มุ่งตรงไปยังร้านอาหาร
“เอ่อ เมื่อคืนวานฉันลืมกระเป๋าสตางค์เอาไว้ที่นี่ครับ วันนี้….”
เกาไห่มองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นเล่อจยา จึงทำได้เพียงกล่าวถามซูหย่า เพียงแต่ยังพูดไม่ทันจบ ซูหย่าก็ตัดบทคำพูดของเขา หยิบกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าใต้โต๊ะ “คุณหมายถึง อันนี้ใช่ไหม อย่างนั้นก็คืนให้คุณ”
คิดๆแล้ว ก็พูดเพิ่มอีกประโยคหนึ่งว่า “เมื่อวาน ฉันเก็บโต๊ะแล้วเห็น ด้านในมีเงินเยอะมาก ครั้งหน้าก็เก็บให้ดีๆ หน่อย! ”
ในใจเกาไห่หดหู่เล็กน้อย แต่ก็ยังยิ้มแล้วกล่าวว่า: “อ้อ อย่างนั้นก็รบกวนคุณแล้ว”
เห็นเกาไห่จะจากไป ซูหย่าก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากว่า: “คุณผู้ชาย เอ่อ คือ…..เด็กสองคนนั้น น่ารักมากเลย”
นึกถึงหนิงเสี่ยวซีและเย่เสี่ยวโม่ เกาไห่ก็นิ่งอึ้งไป แล้วจึงพยักหน้า “ครับ น่ารักมาก”
เกาไห่คาดไม่ถึงว่าคนที่เก็บกระเป๋าได้จะเป็นซูหย่า ในใจก็ผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็หงุดหงิดเล็กน้อย
เมื่อกลับถึงบ้าน ก็เห็นเฉินอีอีอยู่ไกลๆ พูดคุยอย่างสนุกสนานกับหนิงเส่าเฉิน สีหน้าก็ยิ่งเคร่งขรึมอย่างมาก
หลังจากหนิงเส่าเฉินเข้าบ้านมา ก็ไม่ได้เข้าห้องหนังสือไปเหมือนเมื่อก่อนแต่นั่งบนโซฟาด้านนอก ดูทีวีอยู่ครู่หนึ่ง คนสามคนนั่งอยู่บนโซฟา เฉินอีอีนั่งอยู่ด้านซ้าย หนิงเส่าเฉินนั่งอยู่ด้านขวา
เมื่อเย่หลินเดินออกมาจากในห้อง ก็เห็นฉากนี้พอดี สายตาก็เปลี่ยนไป พูดเสียงดังว่า: “เส่าเฉิน คุณมาช่วยดูตรงนี้หน่อย”
หนิงเส่าเฉินลุกขึ้น แต่ชั่วพริบตาสายตาก็หยุดอยู่ที่บนใบหน้าของเฉินอีอี
เฉินอีอี หน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้าลง แต่ฉากนี้ตกอยู่ในสายตาของเกาไห่พอดี
จึงดึงเฉินอีอีกลับห้อง “อีอี หรือพวกเราจะย้ายออกไปดี ตอนนี้ฉันมีเงินแล้ว พวกเราออกไปข้างนอก……”
“อืม เอ่อ รอให้บริษัทของคุณมั่นคงอีกสักหน่อยเถอะ ฉันเห็นว่า คุณเพิ่งจะได้รับช่วงต่อเกากรุ๊ป อีกอย่าง เส่า….คุณชายหนิงจ่ายเงินเพื่อคุณไปมากขนาดนี้ พอมีเงิน เราก็ควรจะมัธยัสถ์สักหน่อยก่อน อยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะ? รอให้เงินของคุณชายหนิงได้พอสมควรแล้ว พวกเราค่อยออกไปเช่าบ้านข้างนอกอยู่” เฉินอีอีอธิบายอย่างสะเปะสะปะเล็กน้อย เกาไห่มองผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า แต่แปลกใจมาก คาดไม่ถึงว่าภายในใจจะไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย
พยักหน้า “โอเค ตามใจคุณ”
“อย่างนั้น คุณไม่มีธุระแล้ว ก็กลับห้องของคุณไปเถอะ ฉัน…..ทำงานมาค่อนข้างเหนื่อย ฉันอยากพักผ่อนสักหน่อย” เฉินอีอีรีบไล่เขา เกาไห่ดึงมือของเธอ อยากจูบสักเล็กน้อย แต่ถูกเฉินอีอีดันกลับไปอย่างรังเกียจ “เอ่อ ฉันไม่สบาย ฉันต้องการนอนเร็วหน่อย”
“อ้อ ดีๆ อย่างนั้นคุณก็นอนเร็วหน่อยนะ” เกาไห่พูดพลางเดินถอยออกไปนอกประตู เมื่อประตูปิด รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ก็ค่อยๆ จางหายไป
ซูหย่าตกใจเล็กน้อย แล้วเธอก็ตอบกลับไปว่า “เจ้านายผู้หญิงของเราตอนนี้ยังไม่ว่างกำลังย่างของอยู่ ขอโทษด้วยค่ะ!”
เกาไห่หันศีรษะและมองไปยังเล่อจยาและไม่ได้พูดอะไร แต่จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่อยากอาหาร หลังจากกินอะไรไปสองสามคำเขาก็โยนเงินสองร้อยหยวนจากไปโดยไม่ทักทายใดๆ
เมื่อเห็นเขาจากไป ซูหย่ารีบดึงเล่อจยาและกล่าวว่า “เล่อจยา เขาไปแล้ว เลิกเสแสร้งได้แล้ว”
เล่อจยา ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อันที่จริง เธอไม่ค่อยได้ช่วยย่างอะไรเพราะพ่อของเธอบอกว่าควันจะทำให้ผิวของเธอดำคล้ำและแห้ง
เธอแค่รับผิดชอบ สั่งอาหาร เสิร์ฟ และปิดบิล
แต่เธอจะช่วยตอนที่งานยุ่งเกินไปในบางครั้งเท่านั้น
เมื่อเห็นเงินวางอยู่บนโต๊ะอยู่ดีๆก็รู้สึกเหมือนไม่มีสติ”เขาน่าจะไม่กลับมาอีกแล้ว” เมื่อมาถึงจุดนี้ เธอกัดริมฝีปากของเธอ จ้องไปที่ที่เดิม และไม่พูดอะไร
เขาคงไม่มีทางรู้ว่าแผงขายอาหารที่เขาไปในตอนนั้น เธออยู่ที่นั่นเพื่อช่วยทำงานพาร์ทไทม์เพื่อจะได้เจอเขาบ่อยๆ ดังนั้นเธอจึงรู้รสนิยมของเขาดี
ทุกครั้งที่เขามาเธอก็จะรีบแย่งไปรับออเดอร์อาหารจากเขา
อย่างไรก็ตาม หลังจากสั่งไปหลายสิบครั้ง เขาก็ไม่เคยมองผ่านเธอเลยสักครั้ง และจำไม่ได้ว่าเธอเป็นใคร?
เมื่อคิดเช่นนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกเศร้า
“จยาจยา ถ้าพูดถึงเรื่องของเธอ ชีวิตเธอนั้นช่างโชคไม่ดีจริงๆ ฉันได้ยินพ่อของฉันบอกว่าแถวนี้จะถูกรื้อทำลายและจะเริ่มรื้อถอนที่หน้าบ้านเธอก่อน เป็นเพราะพ่อของเธอติดหนี้มัน และเธอเพียงคนเดียวต้องชำระหนี้เหล่านั้นไปนานแค่ไหน”ซูหย่าถอนหายใจ
ใบหน้าของเล่อจยาทรุดลง “ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วว่า ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนี้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนี้” เมื่อนึกถึงผู้หญิงคนนั้น หลังจากที่เธอติดหนี้การพนันมากมายและหย่ากับพ่อของเธอแต่ที่ยิ่งน่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือเมื่อหย่าร้างกับพ่อของเธอ เธอยังบอกว่าน้องชายของเธอไม่ใช่ลูกของพ่อเธอ
หลังจากที่เธอจากไปก็ไม่ได้จ่ายอะไรเพิ่มและพวกทวงหนี้ก็ตามมาถึงที่บ้าน ตอนนั้นพ่อเครียดจนทำงานไม่เป็นปกติจนทำให้เป็นโรคเบาหวาน
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของเธอในขณะนั้นก็พังทลายลง
ซูหย่าพยักหน้า “เอาละ เอาละ”ไม่ต้องตื่นตัว
เมื่อเกาไห่กลับมาที่บ้านตระกูลหนิง เขาบังเอิญเห็นเฉินอีอีออกจากรถของหนิงเส่าเฉิน
เขามองไปและเดินเข้าไปโดยไม่ทักทาย
เย่หลินสระผมและเป่าผมด้วยไดร์เป่าผม เมื่อเห็นทั้งสามคนเข้ามาพร้อมกัน เขาก็ยิ้มและพูดว่า “วันนี้คุณสามคน ทำไมถึงกลับมาพร้อมกัน”
เกาไห่พูดว่า “อืม” และดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเขาจึงเดินตรงเข้าไปในห้อง
เฉินอีอีใบหน้าเบิกบาน เย่หลินรู้ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เธอทำงาน เย่หลินเลยถามอย่างสุภาพว่า “อีอี วันนี้ทำงานเป็นอย่างไรบ้าง”
หนิงเส่าเฉินหันศีรษะ เหลือบมอง เฉินอีอีและไม่พูดอะไร และเดินเข้าไปที่ห้องสมุด
เฉินอีอีเหมือนกำลังดึงเย่หลินไว้”วันนี้ดีมาก ประธานหนิงดูแลฉันอย่างดี กลางวันพาฉันไปทานอาหารเที่ยงและเย็นๆยังมาส่งฉันกลับบ้านอีก”
เย่หลินตกใจเล็กน้อย นี่คือ หนิงเส่าเฉินหรือ?
หนิงเส่าเฉินไม่เคยทำอะไรแบบนี้กับใครเลยนอกจากเธอ
“อืม ดีแล้วละ”
คิดเสร็จก็เดินเขากลับไปที่ห้องมัดผมขึ้นและเดินไปที่ห้องสมุด หนิงเส่าเฉินกำลังมีการประชุมทางวิดีโอคอลอยู่และเมื่อเขาเห็นเย่หลินกำลังเดินเข้ามา เขาก็ชี้ไปที่โซฟาด้านหน้าของเขาและโบกมือให้ ให้เธอรอ
เมื่อเธอมองไปที่ชายรูปงามและฉลาดที่อยู่ข้างหน้าเธอเย่หลินก็อมยิ้ม
หนิงเส่าเฉินเกรงว่าเธอจะรอนาน จึงขอสรุปสั้นๆและมอบหมายงานให้เรียบร้อย เขาก็ปิดวิดีโอคอล เดินไปหาเย่หลินและโน้มตัว “คุณนาย มีคำแนะนำอะไรดีๆไหม?”
เย่หลินยืนขึ้น เดินไปรอบๆ ตัวเขา และยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเขา “หนิงเส่าเฉิน คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆ ?”
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หนิงเส่าเฉิน เริ่มมีความกระตือรือร้นในการเทคแคร์คนเป็น พาไปทานข้าว และยังมีการรับส่งอีก ช่วยอธิบายให้ฟังหน่อย การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คืออะไร?” เธอยิ้มอ่อนโยนมาก แต่หนิงเส่าเฉิน กลับรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว นั่งลงข้างๆ เย่หลิน แล้วโอบเอวของเธอ “ผมคิดว่าถ้าผมทำแบบนี้คุณจะมีความสุข เมื่อวานคุณยังไปที่สำนักงานเพื่อให้ผมช่วยดูแลเธอไม่ใช่หรือ?”
เย่หลินเปิดปากของเขา “จริงเหรอ? ถ้าอย่างนั้นความสามารถในการเข้าใจของคุณก็ไม่ครอบคลุม ถ้าฉันพูดมากกว่านี้ พรุ่งนี้คงจะต้องดูแลกันไปถึงบนเตียงเลยหรือ”
หนิงเส่าเฉินส่ายหัวอย่างรวดเร็ว “แบบนี่ ไม่กล้าจริงๆ”
“อย่าพูดมาก คุณก็พูดมาตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันนี้คุณไม่อธิบายให้ชัดเจน คุณก็เลือกเองว่าจะนอนในห้องสมุดหรือนอนข้างนอก!”
พูดจบก็ทำหน้าเย็นชาอย่างไม่พอใจ
แม้ว่าจะเป็นแฟนของพี่ชายของเธอ ก็ต้องระวังไว้ก่อน
“จริงเหรอที่ต้องรู้?ต่อรองไม่ได้หรือ?”
เย่หลินเหลือบมองเขาและลุกขึ้น “ได้ สรุปคืนนี้คุณไปนอนข้างนอก”
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย หมดหนทางแล้วก้าวไปข้างหน้าและกอดเย่หลินจากด้านหลัง “เอาล่ะ ผมก็ไม่มีทาง เธอบอกว่าเป็นน้องสาวคุณ คุณคิดว่าผมไม่ควรดูแลเธอหรือ”
“น้องสาวฉัน?” เย่หลินหันศีรษะและจ้องไปที่หนิงเส่าเฉิน อย่างสงสัย: “น้องสาวของใคร?”
หนิงเส่าเฉินถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “เย่หลิน ผมก็บอกคุณเมื่อวานแล้ว คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ คุณไม่เชื่อเอง!
คุณรู้ไหมว่าวันนี้เธอพูดอะไรกับผม”
เย่หลินมองไปที่หนิงเส่าเฉินมีท่าทางประหม่าเล็กน้อย “เธอพูดอะไร”
“เธอบอกว่าเธอเป็นน้องสาวของเฉินเป้ยอีชื่อ เฉินอีอี”
ร่างกายของเย่หลินสั่นและไม่ตอบสนอง อะไรคือน้องสาวของเฉินเป้ยอี? เธอเองก็คือเฉินเป้ยอีไม่ใช่หรือ?
ทันใดนั้นเธอก็ปิดปากและหัวเราะอย่างเยือกเย็น “น้องสาวของเฉินเป้ยอี?”
เธอเหล่ตาอย่างไม่น่าแปลกใจ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับผู้หญิงคนนี้ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
“เธอจงใจเข้าหาพี่ชายของฉันแล้วเข้าหาคุณ แต่เธอเป็นใครและทำไมเธอถึงรู้จักเฉินเป้ยอี?”
“แล้วเรื่องนี้ได้บอกกับพี่ฉันรึยัง”
หนิงเส่าเฉินส่ายหัว “อย่าเพิ่มบอกดีกว่าและผมคิดว่าจะยังไม่บอกคุณปล่อยให้คุณอิจฉาริษยาให้พอแล้วค่อยบอก” จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นก้มหน้าลงแล้วจูบลงบนคางเธอ. “แต่เมื่อผมเห็นคุณอารมณ์เสียและขมวดคิ้ว ผมก็ทนไม่ได้ คุณเย่ เพราะผมกลัวพิษของคุณ”
เย่หลินเอาแขนคล้องคอด้วยใบหน้าที่จริงจัง “สารภาพมาเร็วๆ คุณรู้อะไรมากกว่านี้ใช่ไหม?”
หนิงเส่าเฉินก้มศีรษะลงและกระซิบที่หูเย่หลิน จากนั้นเขาก็เห็นเย่หลินยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น หายใจขึ้นลงอย่างแรง
“โอ้พระเจ้า ทำไม… เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?”
ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินยิ่งดูยิ่งเย็นชา
เขาก้าวไปข้างหน้าโน้มตัวเข้าแล้วสัมผัสตัวเฉินอีอีและพูดด้วยความตื่นเต้น: “คิดไม่ถึงว่าคุณจะเป็นน้องสาวของเธอ”
เฉินอีอียืนขึ้นและมองไปที่หนิงเส่าเฉิน “ประธานหนิง คุณ…รู้จักพี่สาวฉันได้อย่างไร”
หนิงเส่าเฉินดูเศร้า “เพราะพี่สาวของคุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ฉันเคยรักในชีวิตของฉัน และเธอเสียชีวิตเพราะฉัน” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนิงเส่าเฉินก็นึกถึงปีที่ชีวิตเลวร้ายยิ่งกว่าตายทั้งเป็นและกำหมัดแน่น
เฉินอีอีดีใจแล้วรีบยืนขึ้น และโยนตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของหนิงเส่าเฉิน“พี่เขย ผู้ชายที่พี่สาวเคยเขียนจดหมายทิ้งไว้ บอกว่าผู้ชายที่เธอตกหลุมรักก็คือคุณ”.
หนิงเส่าเฉินผลักเธอออกไป ขดริมฝีปากแล้วลูบหัวสองครั้ง “ดูตอนนี้ คุณกับพี่สาวของคุณคล้ายกันจริงๆ”
“ก็จริงน่ะค่ะ ตั้งแต่เรายังเด็ก ทุกคนบอกว่าเราหน้าเหมือนกันและบุคลิกของเรา…ก็คล้ายกันด้วย”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้าด้วยท่าทางโล่งใจ “คุณทานข้าวเที่ยงหรือยัง ถ้ายัง ผมจะพาคุณออกไปทาน”
“ค่ะ? ถ้าอย่างนั้น ก็ขอบคุณพี่เขยค่ะ”
“อย่าเรียกผมว่าพี่เขยเลยดีกว่า ถ้าเย่หลินได้ยิน…เกรงว่าเธอจะไม่มีความสุข”
เฉินอีอีพยักหน้า “ได้ค่ะ ประธานหนิง” จากนั้นเธอก็แกล้งถามอย่างไม่เป็นทางการว่า “ประธานหนิงค่ะ คุณไม่รักพี่สาวฉันแล้วใช่ไหม ตอนนี้ดูเหมือนคุณจะรักเย่หลินมากกว่า”
หนิงเส่าเฉินหันศีรษะและเหลือบมองเธออย่างมีความหมาย “บางอย่าง เก็บไว้ในใจดีกว่า”
เขาตอบคำตอบที่ดูคลุมเครือ แต่เฉินอีอีมีความสุขมาก
จากนั้นหนิงเส่าเฉินตั้งใจพาเฉินอีอีไปที่ตั้งของห้องอาหาร เมื่อเธอเห็นว่าเธอกำลังจะล้มลงเขาก็เอื้อมมือออกไปและช่วยเธอขึ้นมา
“อีอี ผมขอโทษสำหรับพี่สาวของคุณ ในอนาคตถ้าคุณมีความต้องการใด ๆ บอกผมผมจะดูแลคุณอย่างดี และพ่อแม่ของคุณก็จากไปแล้ว” ระหว่างทานอาหาร หนิงเส่าเฉิน หยุดตะเกียบของเขาและพูด
เฉินอีอีฟังด้วยหัวใจที่เบิกบาน แสร้งทำเป็นอิจฉาและกล่าวว่า “ขอบคุณประธานหนิง ฉันละอิจฉาพี่สาวของฉันจริงๆ ที่ได้พบกับคนดีอย่าง หนิงเส่าเฉิน ในชีวิตนี้”
หนิงเส่าเฉินหยิบอาหารมาให้เธอ “จริงๆ แล้ว อาไห่ คนคนนี้ก็เป็นคนดีมากคนหนึ่ง คุณควรให้ความสำคัญเขาด้วย”
เมื่อเฉินอีอีได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดถึงเกาไห่ เขาพยักหน้าด้วยความสนใจ “จริงๆ แล้วเขากับฉันไม่ได้รักกัน ตอนนั้นเราต่างอยู่ต่างแดนและค่อนข้างเหงาเราก็เลยตงลงอยู่ด้วยกัน ”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “เป็นอย่างนี่เอง”
หลังจากรับประทานอาหารแล้วหนิงเส่าเฉินก็พูดกับเฉินอีอีว่า “รอผมหลังเลิกงานนะแล้วผมจะส่งคุณกลับบ้านเอง”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากเลยค่ะ”
บ่ายนี้เฉินอีอีใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและค่อนข้างภาคภูมิใจกับการตัดสินใจของเธอ
เล่อจยาไม่เคยคาดคิดว่าเกาไห่จะมาหาเธออีก
เมื่อมองดูร่างด้านหลังนั้น และนึกถึงฉากที่น่าละอายในตอนบ่ายนั้น ใจนี้มันอยากให้ตายๆไปให้สิ้นเรื่อง
ดีหน่อยที่ซูหย่าเพื่อนสาวของเธอมาช่วย ขอเธอให้รับหน้าเกาไห่แทนเธอ
“คุณลูกค้าค่ะ คุณอยากกินอะไรค่ะ นี่คือเมนู” ซูหย่าคิดว่าแขกคนนี้คงจะโกรธเล่อจยา เธอจึงปฏิเสธที่เขา ดังนั้นเธอจึงเงยหน้าขึ้นโดยไม่มองชายตรงหน้าเขาแล้ววางเมนูลงบนโต๊ะโดยตรง.
เกาไห่ดูงงเล็กน้อยเขาหันกลับมามองเลอจยาที่รับลูกค้าโต๊ะอื่นอยู่ รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย”เอาล่ะ ทำตามจานที่ฉันเคยสั่งครั้งที่แล้วมาชุดหนึ่ง”
ซูหย่าสูดหายใจเข้าอย่างเย็นชา “ฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าคราวที่แล้วคุณสั่งอะไร…” ก่อนที่คำพูดจะออกจากปาก เธอรีบปิดปากและร้องออกมาอย่างเหลือเชื่อ “เกาไห่ คุณคือเกาไห่ จยา… “ เธอต้องการบอกเล่อจยาว่านี่คือเกาไห่ แต่แล้วเธอก็คิดว่าเล่อจยาขอให้เธอมาเธอก็ต้องรู้แล้วว่าทำไม
ก็เพียงแต่งงเล็กน้อย
เธอดึงเมนูบนโต๊ะกลับและพยักหน้า: “คุณเกา กรุณารอสักครู่”
เกาไห่ขมวดคิ้วและแปลกใจเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาชื่อเกาไห่ ยิ่งกว่านั้น เธอดูเหมือนตื่นเต้นมาก ในความทรงจำของเขาจำไม่ได้ว่าเคยเจอคนนี้มาก่อน
“อ้วนจยา นั่นคือเกาไห่จริงๆ หรือ เขาไม่ใช่…”
“ใช่เขา เขากลับมาแล้ว” เล่อจยามองไปข้างหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ ใช่เขาแล้วจะทำอะไรได้ละ?จะกลัวตัวเองไปทำไม แค่ผู้ชายคนเดียว หรือว่าต้องอยู่ห่างๆ ใช่ไหม?
“ในเมื่อเป็นเขา ทำไมเธอ… ไม่ใช่ว่ารอเขามาหลายปีแล้วเหรอ ลุยเลย…” เมื่อเธอพูดตอนนี้ ซูหย่าตื่นเต้นแทนเธอ
เล่อจยาถอนหายใจ เหอเหอ 2 ครั้ง เห็นข่าวของเขาเมื่อไม่นานนี้ และเขากลับมาเป็นแบบเดิมของเขาแล้ว ผู้ที่มีทั้งฐานะหน้าตาดีและเงิน ช่องว่างระหว่างเขากับเธอที่ต่างกันราวฟ้ากับดินก็กลับคืนมาอีกครั้ง
“มองดูไปที่เขา แล้วมองมาที่ฉัน ซูหย่า เธอคิดว่าอย่างที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ ฉันยังสามารถเป็นแม่บ้านให้กับคนอื่นได้ใช่ไหม” หลังจากพูด เธอก้มศีรษะและพลิกต้นหอมไปมา
ในอดีตที่เธอจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยและในขณะนั้นเธอยังทำงานเป็นพนักงานเล็กๆ ในบริษัทที่ติดอันดับ1ใน 500 ในเวลานั้น เขาก็ได้เป็นรองประธานของเกากรุ๊ปแล้ว
เธอกำลังคิดว่า อย่างน้อยเธอก็ยังเป็นซินเดอเรลล่าได้
แต่ตอนนี้? ความเยาว์วัยไม่อยู่ ความสวย ความงาม ไม่มี ร่างกายไม่มี แม้แต่งานเดียวที่ภาคภูมิใจในตอนนั้น และตอนนี้ก็ไม่มีมันแล้ว เธอก้มศีรษะลงและมองดูผ้ากันเปื้อนที่มันเยิ้มของเธอก็ยังเป็นแบบนี้
ไม่มีอะไรดีเลย
เธอต้องมีสติสัมปชัญญะเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เธอทำ
ซูหย่ามองดูเธอ ด้วยท่าทางที่เธอต้องเอาชนะตัวเอง และกังวลเล็กน้อย “เล่อจยา เป็นอะไร ใครจะกล้าทำอะไรคนที่ตีไม่ตายอย่างเธอได้”
“หยุดพูดเถอะ ซูหย่า ขอบคุณที่หลายปีมานี้ที่คอยอยู่ข้างฉันและไม่หัวเราะเยาะฉัน” เธอก็ขยับตัวไม่ไหวจริงๆ
“เธอก็ไปดูแลแทนฉันแล้วกัน ขอบคุณนะ”
ซูหย่าพยักหน้า “เขาเพิ่งบอกว่าเขาต้องการอาหารแบบเดียวกันกับเมื่อวันก่อน”
เล่อจยา ตกใจและดึงริมฝีปากของเธอ “ได้ ฉันจัดการให้”
หลังจากจัดอาหารเรียบร้อยแล้ว เลอจยาก็บอกให้ซูหย่าพาเขาขึ้นไป และเมื่อเห็นเธอกำลังจะจากไป เธอก็ดึงเธอกลับมาและบอก“อย่าบอกเขา ว่าฉันรู้จักเขา ได้โปรด ฉันไม่ต้องการ ทำให้มันอับอาย”
“ได้ได้ ฉันรู้ อีกไม่กี่วันฉันจะแนะนำผู้ชายหล่อๆให้”
เล่อจยาตบไหล่เธอ “ดีมาก”
“คุณผู้ชายค่ะ ดูว่าเป็นอาหารพวกนี้หรือเปล่า”
เกาไห่มองดูจานสองสามจานบนโต๊ะ สมัยเรียน วิทยาลัยมีแผงขายอาหารขึ้นชื่ออยู่ด้านหลังโรงเรียน เขาไปกินกับเพื่อนๆ บ่อยๆ.
อาหารเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาชอบกินบ่อยๆ
หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย เขาก็กลับไปเมืองCอีกครั้ง เพราะตัวตนของเขา เขาก็ไม่เคยได้กินมันอีกเลย
วันนั้นเขามาที่นี่โดยบังเอิญเพียงเพราะเขาหิว เขาต้องการจะกินอะไรง่ายๆ
คิดไม่ถึงว่าแค่เจ้าของร้านเห็นเขาเท่านั้นก็แนะนำอาหารเหล่านี้ให้เขาโดยตรงและทุกจานก็เป็นอาหารจานโปรดของเขา
“ช่วยเรียกเจ้าของร้านที่เป็นผู้หญิงมานี่หน่อย”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เห็นผู้หญิงคนนั้นดึงแขนชายอ้วนแล้วดึงเขาขึ้นมาก่อน แล้วค่อยตบอย่างแรง แล้วโยนคนทั้งร่างจนกระโดดขึ้น โดยมีขาข้างหนึ่งอยู่ตรงกลาง เท้าข้างหนึ่ง เล็งไปที่หน้าอกของผู้ชาย หันหลังกลับแล้วเตะหนักอย่างแรงจนร่างชาย ล้มลงกับพื้นอีกข้างหนึ่งจนกระเด็นไปหลายเมตรแล้วหยุดตรงที่ที่เขานั่ง แล้วเธอก็ตบมือเบาๆสองสามทีแล้วเดิน ก้าวไปข้างหน้า หยิบกาแฟที่เธอไม่ได้ดื่มแล้วเทใส่ปากของชายคนนั้น
“ปากคุณมันเหม็นมาก เอากาแฟไปชิมซะ และฉันก็บันทึกคำพูดที่คุณเพิ่งพูดเอาไว้ด้วย ฉันจะเอากลับไปให้ป้าดูว่าคุณเป็นสัตว์ประเภทไหน”
หลังจากพูดจบ เธอก็เหยียบหน้าท้องส่วนล่างของชายคนนั้น ออกแรง และหมุนตัวไปมาจนเห็นชายคนนั้นตะโกนว่า “โอ้ โอ๊ย ”
เธอพูดด้วยสีหน้าอย่างเย็นชาว่า: “คุณไม่ใช่สงสัยหรือว่าทำไมผู้หญิงอย่างฉันถึงขายของที่นั่นหลายปี? คุณรู้คำตอบแล้วหรือยัง” หลังจากนั้นเธอก็หยิบกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือ และหันกลับออกจากประตู
เกาไห่มองไปที่ชายที่ล้มลงกับพื้น ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและตกตะลึง หยิบกระเป๋าขึ้นมาทันที แจ้งหมายเลขบัตรสมาชิกไปที่แผนกต้อนรับ แล้วเดินตามออกไป
เล่อจยาจำไม่ได้ว่าเธอวิ่งไปได้ไกลแค่ไหน เธอรู้เพียงว่าไม่มีเสียงใดๆ อยู่เบื้องหลัง และไม่มีเสียงรถใดๆ ดังนั้นเธอจึงหยุดและยืนตรงมุมหนึ่งร้องไห้อย่างเจ็บปวด
เนื่องจากเธอหันหลังให้ถนน เธอจึงไม่สังเกตเห็นชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
เกาไห่มองไปที่ร่างด้านหลังกลับมีความเจ็บปวดแทนที่อธิบายไม่ได้ภายในหัวใจของเขา
กลับกลายเป็นว่าเบื้องหน้าที่มีรอยยิ้มที่สดใสนั้นเบื้องหลังมีสิ่งที่ไม่สามารถทนได้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนจะรู้ว่าต้องทำยังไง คนอ้วนคนนั้น อย่างน้อย 90 กก. แต่ต่อหน้าผู้หญิงไม่มีทางโต้กลับแน่นอน ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอพูด ฉันไม่กลัวมันและไม่ใช่เธอคนนี้ คนธรรมดา ๆคงไม่กล้ายุ่งกับมันจริงๆ
“เล่อจยา” เขาเรียกเธอออกมาดัง ๆ เธอจำได้ว่าเธอพูดเมื่อวานนี้ว่าเธอชื่อเล่อจยา เล่อที่แปลว่าแฮปปี้ จยาที่แปลว่า ดีงาม ยกย่อง
เล่อจยาได้ยินเสียง ได้แต่ร้อง “ว้าว” กลับร้องไห้หนักกว่าเดิม
ทำไมเธอถึงไร้ประโยชน์ขนาดนี้ เธอยังคิดถึงผู้ชายคนนั้น และยังมีอาการประสาทหลอนในการได้ยินอีกด้วย
เกาไห่สูดหายใจ ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว วางมือบนไหล่ของเล่อจยา ก่อนที่จะส่งเสียง เล่อจยาก็หันไปอีก
ด้านแล้วรีบเดินไปข้างหน้า เกาไห่ก็ตามเธอไปอย่างรวดเร็ว พลิกตัว ปรากฏตัวต่อหน้า เล่อจยา
“อย่า นี่ฉันเอง” เขาตะโกนอย่างเร่งรีบ มองดูเล่อจยาปล่อยเขาไป แอบโล่งใจ ถ้าเขาตอบสนองช้ากว่านี้ แขนของเขาอาจจะหักได้
เขาพยายามสงบสติอารมณ์และมองดูเล่อจยาและพูดว่า: “ขอโทษนะสาวน้อย คุณคือเล่อผู้มีความสุข จยาที่แปลว่า ดีงาม ยกย่อง คนที่ชื่อเล่อจยาใช่หรือไม่”
เล่อจยามองมาที่เขา เธอตกใจเล็กน้อย ขยี้ตา จากนั้นหน้าของเธอก็เย็นชา และเธอก็ตอบว่า “คุณเป็นใคร ฉันไม่รู้จัก”
หันกลับแล้วจะเดินจากไป
เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะจากไป เกาไห่ก็กังวล และเขาก็ยื่นมือออกไปจับมือเธอ “ฉันไม่ได้หมายความอย่างอื่น ฉัน…ฉันแค่อยากจะปลอบเธอ”
เล่อจยายิ้มแบบเยือกเย็นและมองขึ้นไปที่เกาไห่ “คุณผู้ชายค่ะ คุณมีแฟนแล้ว คุณคิดว่าการปลอบฉันเช่นนี้มันควรหรือไม่” หลังจากพูดแล้ว ดวงตาของเขาก็ตกต่ำลงและหลับตาลงมองมือของเขา
“ปล่อยมือ”
เกาไห่ขมวดคิ้ว หายใจเข้า และปล่อยมือ เห็นได้ชัดว่าเขินอายเล็กน้อย เขาเม้มปาก “ผม ผมเพิ่งจะอยู่ที่นั่น ดังนั้น… แค่…”
เล่อจยา อ้าปาก หน้ามืดลง กัดริมฝีปาก หลับตา หายใจเข้า หันหลังรีบหนี
โชคแบบนี้คือโชคอะไร? สิ่งที่น่าอายมากที่สุดทำไมต้องเป็นเขาที่เห็นมัน
แขนของเกาไห่แข็งค้างกลางอากาศเป็นเวลานานก่อนที่เขาจะหดกลับ
ในเวลานี้ โทรศัพท์ก็ดังขึ้นและมองไปว่าเป็นเฉินอีอี ตาของเขาทรุดลง แล้วเขาก็หยิบขึ้นมา “ฮัลโหล อีอี ”
“อาไห่ พรุ่งนี้ฉันจะไปทำงานที่หนิงกรุ๊ปนะ ฉันจะไปเป็นเลขาของพี่เขยคุณ”
เกาไห่ตกใจ “เป็นเลขาของหนิงเส่าเฉิน?”
“ใช่แล้ว น้องสาวของคุณเพิ่งกลับมาบอกฉัน ว่าแต่ว่า น้องสาวของคุณนี้… เป็นคนดีจริง” น้ำเสียงของเธอถูกยืดออกไปโดยเจตนา และเกาไห่แสดงปฏิกิริยาและยิ้มอย่างมีความหมาย สองสามครั้ง “งันก็, ขอแสดงความยินดีด้วยนะ”
หลังจากพูดจบก็วางสาย โดยรู้สึกหงุดหงิดอย่างอธิบายไม่ถูก
หนิงกรุ๊ป
“ทำไมถึงอยากให้เธอเป็นเลขาของคุณ”
หนิงเส่าเฉินนั่งบนเก้าอี้ ร่างยาวของเขาขยับ ดวงตาของเขาจ้องมองไปที่เกาไห่ และตอบอย่างใจเย็น “น้องสาวของคุณขอให้ฉันช่วย เธอก็รู้ว่าฉันรักเธอและไม่มีทางปฏิเสธได้”
เกาไห่ตกตะลึง แล้วหรี่ตาลง “ดูเหมือนว่าคุณตั้งใจ?”
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว “บางครั้งการที่จะปกป้องคนๆ หนึ่งโดย การสอนวิธีให้ป้องกันตัวเธอเองจะดีกว่า”
เกาไห่เลิกคิ้วและรออย่างเงียบ ๆ
“จุดอ่อนของ เย่หลิน คือการที่เธอใจดีเกินไป และชอบเชื่อใจคนอื่น และการปล่อยให้เธอประสบกับความสูญเสียอีกเล็กน้อยนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจจริงๆแล้วหรือ”
หลังจากพูดจบ รอยยิ้มบางๆ ก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา
เกาไห่เงียบอยู่นานก่อนที่เขาจะพูดว่า: “เธอทำตัวของเธอเอง” หลังจากพูดเขาก็หันหลังกลับและออกจากสำนักงาน
ในวันแรก เฉินอีอีไปทำงาน เธอได้รับการดูแลตลอดทาง ครั้งแรกที่แผนกต้อนรับ หลังจากได้ยินชื่อของเธอ เธอได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษ จากนั้นฝ่ายบุคคลก็เปิดประตูหลังให้เธอ ห้องเลขาให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น
แม้ว่าเธอจะทำหน้าสงบตลอดทาง แต่ในความเป็นจริงใจเธอนั้นยิ้มแทบจะละลายออกมา
“อีอี คุณส่งแฟ้มนี้ไปให้ประธานเซ็นหน่อย” ผู้รับผิดชอบสำนักงานเลขานุการยื่นแฟ้มในมือให้เฉินอีอี
“ฉันหรือ?” เฉินอีอีประหลาดใจเล็กน้อย
“ใช่ ไปเถอะ”
เฉินอีอีสูดลมหายใจ ยืนอยู่หน้าประตูประธาน เงยศีรษะขึ้น ถูประตูข้างหน้าเขาด้วยนิ้วเรียว มุมปากของเขาม้วนงอ หนิงเส่าเฉิน ไม่เจอกันนานเลย
เคาะประตู.
“เข้ามา!”
“ท่านประธานหนิงค่ะ เอกสารนี้ต้องการลายเซ็นของคุณค่ะเฉินอีอีพูดพร้อมยื่นแฟ้มให้
หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้นมองเธอ เป็นเวลานาน เขาไอแล้วพูดว่า ” ขอถามอะไรหน่อย คุณมีพี่น้องคนอื่นไหม”
เฉินอีอีเลิกคิ้ว ปกปิดความภาคภูมิใจของเขา และตอบอย่างนุ่มนวลว่า “ใช่ค่ะ มีพี่สาวอีกคนชื่อ…เฉินเป้ยอี”
จู่ๆ หนิงเส่าเฉินก็ลุกจากเก้าอี้และมองเฉินอีอีอย่างไม่เชื่อสายตา “เธอ…พูดถึงใครนะ? เฉินเป้ยอี?”
“ใช่ค่ะ แต่… พี่สาวของฉันหายตัวไปเมื่อสองสามปีก่อน เราหาเธอไม่พบทุกที่เลย และไม่รู้ ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน” เฉินอีอีพูด ปิดปากและเริ่มสะอื้นไห้
“ได้ ตงลงพรุ่งนี้ให้เธอมา พอดีเลยจะได้ดูเกาไห่แทนผมด้วย”
เย่หลิน ไม่คิดว่าหนิงเส่าเฉินจะเห็นด้วยอย่างเร็วและอดไม่ได้ที่จะดีใจ เมื่อวานเธอเห็นเฉินอีอีกลับมาจากข้างนอกสีหน้าดูไม่ดี ดังนั้นเธอจึงลากเธอไปพูดคุย
เธอพูดถึงเรื่องของเธอเกี่ยวกับการหางานทำมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังหางานไม่ได้ บ้างก็บอกเธอไม่มีอะไรโดดเด่นหรือเธอไม่มีประสบการณ์
ขณะพูด เธอก็เริ่มร้องไห้
เย่หลินก็เสนอให้เธอลองไปสมัครที่หนิงกรุ๊ปดู เธอก้มหน้าลงและพูดว่า “ฉันไม่ต้องการใช้เส้นสายเพราะดูเหมือนว่าไม่มีความสามารถ”
ท่าทีนั้นทำให้เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอสักพัก
และลองชักชวนเธอโดยปล่อยให้เธอไปสัมภาษณ์โดยใช้เส้นทางปกติ และไม่ให้หนิงเส่าเฉินช่วยอะไร
เธอแค่อยากบอกกับหนิงเส่าเฉินแบบทีเล่นทีจริง แต่คิดไม่ถึงเขากลับตกลงจริงๆ
ด้วยวิธีนี้ทำให้เฉินอีอีได้เข้าร่วมทำงานกับหนิงกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ
“ประธานเกา ตอนบ่ายสองโมง ได้นัดกับคุณหวังหารือเรื่องต่างๆ ที่ Linyun Cafe ต้องการให้ฉันไปกับคุณไหม”
เกาไห่โบกมือ
“เล่อจยา ป้าเธอนัดไว้ที่ Linyun Cafe ตอนบ่ายสองนะ ไปเช้าหน่อยนะอย่าให้คนเขารอนาน”
เล่อจยาพยักหน้า Linyun Cafe ที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องกาแฟเคยได้ยินมาว่าราคากาแฟที่ต่ำที่สุดคือหลายร้อยหยวนต่อแก้วและกาแฟที่ดีคือหลายพันหยวนซึ่งสามารถเป็นรายได้ของเธอได้หลายวันเลยทีเดียว
ป้าบอกว่าถ้าแต่งงานกับเขาได้ อนาคตไม่ต้องเปิดแผงขายอาหารอีกต่อไป เธอหัวเราะดังๆ ถ้าไม่ใช่เพราะทำให้พ่อสบายใจ จะเปิดแผงขายอาหารไปตลอดชีวิตคนเดียวยังดีกว่า
เธอไม่ได้ตั้งใจแต่งตัวสักเท่าไหร่ เธอสูง 1.63 เมตร แต่เธอหนักกว่า 60 กว่ากิโล เพื่อนซี้บอกว่าเธออวบหรืออ้วน แต่เธอรู้ตัวเองว่าเธออ้วน และใส่อะไรก็มีค่าเท่ากัน
ที่สำคัญที่สุด คือเธอขี้เกียจเกินไปที่จะแต่งตัว
เสื้อยืดสีดำ กางเกงยีนส์สีเข้ม มัดผมหางม้าแบบสบายๆ ก็ผ่าน
เมื่อถึงสถานที่นัดไว้ เธอจงใจรอจนถึง 2 โมงเย็นพอดีก่อน ถึงจะเดินเข้าไป
เกาไห่รู้สึกเหมือนว่าคนที่อยู่ข้างหน้า ดูเหมือนจะเคยเห็นที่ไหนสักแห่งมาก่อน แต่เขาจำไม่ได้
“สวัสดีค่ะ คุณเล่อน่ะค่ะ กรุณาตามฉันมาค่ะ”
บริกรที่อยู่ข้างหน้าทักทายเล่อจยาและนำเล่อจยาไปยังตำแหน่งที่กำหนด เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยที่ชายคนนั้นยังไม่มา
มองดูแบบสุ่มผ่านตะแกรงตรงกลางและร่างที่คุ้นเคยก็เดินผ่านมาและปรากฏว่าเป็นเจ้าของร้านแผงลอยนั้นเอง.
แต่ ที่แห่งนี้ เธอมาทำอะไรที่นี่?
“อาไห่ ลุงดีใจมากที่เธอกลับมาได้ เกากรุ๊ปอยู่ในมือเธอจะทำให้แข็งแกร่งขึ้นและใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน แต่อาไห่แล้วพ่อของเธอไปไหนแล้วตอนไปก็ไม่เห็นร่ำลาสักคำ”
เกาไห่มองไปที่ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้าม ผู้ช่วยของพ่อของเกา ซึ่งติดตามพ่อของเกาตั้งแต่ก่อตั้งเกากรุ๊ปเขาถือว่าเป็นคนสนิทของพ่อเกา
หลังจากที่พ่อเกาหายตัวไป เขาก็เริ่มเปิดเตาทำอาหารใหม่และทำได้ไม่ถึงสองปีก็ได้ลูกค้าเก่าที่ทำมาหลายปีกลับมา จนประสบความสำเร็จ
เกาไห่ใส่น้ำตาลลงในกาแฟต่อหน้าประธานหวัง “ลุงหวัง เคยได้ยินพ่อพูดว่าลุงเกลียดความขมมากที่สุด ผมเติมน้ำตาลลงไปให้ ลองชิมดู”
ประธานหวังเหลือบมองเกาไห่และจิบกาแฟ มันช่างขมจริงๆ เขาขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เกาไห่ “อาไห่ มีอะไรจะถามก็ถามตรงๆมาเถอะ”
เกาไห่หยิบถุงน้ำตาล เทลงในถ้วยของเขา หยิบช้อนคนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันแค่อยากรู้ว่าน้องสาวได้บอกอะไรลุงก่อนที่เธอจะจากไปไว้ไหมหรือว่าพูดว่าเธอจะไปไหน”
ประธานหวังไม่เคยคาดคิดว่าเกาไห่จะตามหาเขาเพื่อคุยเรื่องส่วนตัวในวันนี้ เขาขมวดคิ้ว “อาไห่ ถามเรื่องนี้ทำไหม?น้องสาวเธอ… ”
“ลุงหวัง น้องสาวและพ่อหายตัวไป ผมต้องการทราบว่าเป็นไปได้หรือไม่ น้องสาวกำลังไปหาพ่อ ดังนั้น หากรู้อะไรหวังว่าลุงจะบอกผมได้”
ขณะที่พูดอยู่ เขาก็หยิบน้ำตาลอีกถุงหนึ่งเทลงในถ้วยของประธานหวัง
จากนั้นประธานหวังก็มองไปรอบๆ สูดหายใจเข้า ก้มศีรษะและพูดกับเกาไห่ว่า “ก็ ก่อนที่น้องสาวของคุณจะจากไป เธอขอให้ผมขายหุ้นของเธอแล้วให้ช่วยหาคนทำเอกสารประจำตัวให้ จากนั้นไม่รู้จริงๆว่าเธอไปที่ไหน”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและพูดว่า “เอาละ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว บริษัทยังมีงานที่ต้องทำขอไปก่อนนะและถ้ามีอะไรก็โทรหาฉันทีหลัง”
เกาไห่สังเกต เมื่อมองไปที่ประธานหวังดูอย่างรีบๆร้อนและผิดสังเกตดูไม่เหมือนไม่รู้อะไรเลย
และอีกด้านหนึ่ง
“คุณป้าคุณบอกว่าปีนี้คุณอายุยี่สิบแปด คุณคิดว่ารูปร่างหน้าตาของคุณเกี่ยวข้องกับอายุยี่สิบแปดหรือไม่?” เลอจยารู้สึกว่าเธอกำลังจะบ้า
ดูเหมือนว่าอย่างน้อยก็น่าจะมี 48 ?
“หนุ่มน้อยคุณใช้สมองด้วยถ้าฉันอายุ 28 จริงๆ ฉันยังมองคุณได้อยู่ไหม ดูเอวถังและหน้าจานของคุณสิ แม่บอกว่าคุณเป็นคนดีมากถึงยอมมา ดูสิ คุณยังไม่ชอบฉันอยู่ไหม” พูดจบเขาก็จิบกาแฟ
เธอไม่สามารถนั่งอยู่เฉยๆได้อีกต่อไป
“ลองพูดแบบเมื่อกี้ทีอีกทีสิ”
คนอ้วนส่งเสียงอย่างเย็นชา “เกิดอะไรขึ้น? พูดผิดหรือ? คนธรรมดาก็คิดได้ คนที่ทำแผงขายอาหาร ไม่มีภูมิหลังเลย ใครสามารถขายมันได้ คนพาลบนบกพวกนั้นมาหาเรื่องทุกวัน แต่เธอล่ะ เปิดมาหลายปีแล้ว ไม่มีอะไรเสียหาย กลางคืนมืดมิด ลมแรง ใครจะไปรู้ ทำอะไรมาบ้าง ถึงไม่มีใครกล้าหาเรื่อง ..”
เมื่อเกาไห่ได้ยินเรื่องนี้ เขาโกรธมาก แม้ว่าเขาจะติดต่อผู้หญิงคนนี้เพียงครั้งเดียว แต่เขาคิดว่าเธอไม่สามารถเป็นคนแบบนั้นได้ ด้วยรอยยิ้มที่ดูสะอาดและบริสุทธิ์เช่นนี้
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะขยับตัวเล่อจยาก็ดึงชายอ้วนคนนั้นแล้ววงเวียนเตะ ชายร่างอ้วนนั้นมีน้ำหนักกว่าร้อยกว่ากิโลคนนั้นถูกเตะห่างออกไปสองสามเมตรจนถูกกำแพงขวางกั้นไว้จึงหยุด
เขาอดไม่ได้ที่จะอ้วกน้ำออกมาจากนั้นชายคนนั้นก็พิงกำแพงยืนขึ้น แล้วชี้นิ้วไปที่เล่อจยา “นังตัวแสบ มึงกล้าทำร้ายกูหรือ วันนี้กู………..”
เย่หลินตกใจ เมื่อวานเกาไห่ยังพูดอยู่เลยว่าไม่ต้องให้เธอช่วย แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น?
“ก็มีแค่นี้ นอกจากนั้นไม่มีอะไรแล้ว”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ใช่ แล้วเธอคิดว่า”
เย่หลินหันหลังกลับ ใส่เสื้อ ลุกจากเตียงแล้วเข้าห้องน้ำไป ภายในใจรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
ถ้าสามารถพูดคุยกับหนิงเส่าเฉินนานเป็นชั่วโมง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะพูดถึงแต่เรื่องนี้ หนิงเส่าเฉินเป็นคนที่ไม่ค่อยเรื่องยาวถ้ามันเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าจะตกลงหรือหรือไม่ตกลงก็ตาม เป็นไปได้ที่จะพูดคุยกันนานเป็นชั่วโมงอย่างนี้
เป็นไปได้ว่าจะพูดถึงการแย่งชิงกลับของเกากรุ๊ปก็เป็นได้? เย่หลินเริ่มปวดหัว
หนิงเส่าเฉินเคยบอกเขาก่อนหน้านี้เกี่ยวกับ เกาไห่ในช่วงหลายปีที่ศึกษาต่างประเทศ เขาเน้นการเรียนไปที่การจัดการ หลังจากกลับมาที่ประเทศพ่อของเขาก็ให้เขาไปที่เกากรุ๊ปเพื่อทำงานในตำแหน่งที่สูงกว่าคนเป็นหมื่นๆคน
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้น เขาทุ่มเทอย่างมากให้กับเกากรุ๊ป
แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ออกก็คือ ทั้งๆที่รู้ว่าเกาไห่ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของพ่อของเกา แล้วทำไมยังยืนกรานที่จะรับกลับเกากรุ๊ป?
หนิงเส่าเฉินเคยยกย่องเขาและเห็นว่าเกาไห่เป็นต้นกล้าที่ดีในด้านธุรกิจ แต่เขากลับถูกพ่อของเขานำทางไปทางที่ผิด
หากได้รับการยอมรับจากหนิงเส่าเฉิน เธอเชื่อว่าขอให้แค่เกาไห่มีใจสามารถปล่อยให้ หนิงเส่าเฉิน ลงทุนและสร้างสิ่งใหม่ๆได้ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์และมีส่วนร่วมกับเกากรุ๊ปจริงๆมันก็ไม่ใช่งานที่ยาก
แต่…ทำไมเขาถึงต้องการเอาเกากรุ๊ปกลับมา?
อย่างไรก็ตาม พวกเขาปฏิเสธที่จะบอกเธอและก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจรอดูการเปลี่ยนแปลง
“จยาจยา แขกที่โต๊ะตรงนั้นขอให้คิดบิล กำลังคิดอะไรอยู่หรือ” พ่อเล่อ จ้องที่ เล่อจยาด้วยสายตาที่เศร้าของเขา
เป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์แล้วตั้งแต่ชายคนนั้นมาถึง และเล่อจยาก็อยู่ในสภาพที่สูญเสียจิตวิญญาณ
วันนี้เป็นโต๊ะสุดท้าย หลังจากคิดบิลเรียบร้อยแล้ว เล่อจยาและพ่อก็เริ่มปิดร้าน ในช่วงเวลานั้น เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูถนนที่มันว่างเปล่า
อดขำตัวเองไม่ได้: “อ้วนจยาเอ้ย เธอโตมาแบบนี้แล้วยังหวังให้คนอื่นตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็นเหรอ”
ลองคิดดู หันกลับไปมองที่พ่อเล่อ”พ่อ คนที่ป้าพูดถึงครั้งก่อน เขาแต่งงานแล้วหรือยัง?”
พ่อเลอรู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด “จยาจยา หมายถึงลูกจะไปนัดบอดหรือ”
เล่อจยาพยักหน้า ปีนี้เธออายุ 27 ปี และสาวๆ รอบตัวเธออายุประมาณนี้พวกเขามีลูกกันหลายคนถึงยังไม่มีลูกแต่อย่างน้อยก็ยังมีแฟน
ตัวเธอล่ะ? เป็นเวลาหลายปีที่เธอไม่เคยแตะต้องมือของผู้ชายเลย
เพื่อนสนิทขอให้เธอลดน้ำหนักก่อนไปนัดบอด โดยบอกว่าไม่ใช่ปัญหาหลังจากลดน้ำหนักและรูปร่างหน้าตาของเธอดูสวยสามารถดึงดูดฝ่ายตรงข้ามได้
พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างไรว่าในปีนั้นเธอต้องทนทุกข์ทรมานจากการลดน้ำหนักมากแค่ไหน นอกจากนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เธอยังได้รู้อีกว่า ถ้าผู้ชายชอบเธอเพียงเพราะรูปร่างหน้าตาภายนอกของเธอ เธอก็ไม่ต้องการ
มัน
แค่หาคนที่จะต้องแต่งงานด้วย นั่นคือสิ่งที่เธอคิดในตอนนี้
ได้ยินจากป้าบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง และครอบครัวของเขาก็ค่อนข้างดี เขาเพิ่งหย่าร้างเพียงครั้งเดียว และไม่มีลูก
“เล่อจยา แม้ว่าเขาจะเคยหย่ามาก่อนมันก็แค่เป็นรอยนิดหน่อย เธอก็อย่าเรื่องมาก หายากนะที่จะมีคนพูดว่าชอบสาวอ้วนคิดว่าดีแค่ไหนแล้ว” คำพูดที่ป้าพูดยังคงก้องอยู่ในหู
ในเวลานั้น เธอรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่ไม่เคยผ่านมือชายใดมาก่อน เธอกลับต้องแต่งงานกับผู้ชายมือสอง ในใจกลับรู้สึกเหมือนจะยอดรับไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในใจเธอก็ยังมีแต่เกาไห่
ทุกวันนี้ใจเธอก็เหมือนตายไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะอยู่สูงหรือต่ำแค่ไหนเขาก็ไม่เคยมองเธอ
เมื่อคิดถึงตอนตอนนี้ เธอมองพ่อของเธอ “พ่อคะ นัดกับเขามาเลยยิ่งเร็วยิ่งดี”
หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็เข้าซื้อหุ้นของเกากรุ๊ป 41% ในนามชื่อขอเกาไห่โดยอย่างง่ายดาย ภายในไม่ถึงครึ่งเดือนเกาไห่ขึ้นเป็น ประธานของเกากรุ๊ป
เมื่อ เย่หลินได้ยินข่าวนี้ เขาตกใจเป็นอย่างมาก รีบโทรหาหนิงเส่าเฉิน”เส่าเฉิน พี่ชายฉันได้เป็นประธานของเกากรุ๊ปจริงๆหรือ ครั้งสุดท้ายที่พูดถึงเรื่องนี้พึงจะหลายวันก่อนไม่ใช่หรือ?”
หนิงเส่าเฉิน”อืม” พูดตอบเธอ”มาที่บริษัทก่อนแล้วจะบอกรายละเอียดให้ฟัง”
เย่หลินไม่สงสัย คิดว่าน่าจะมีบางอย่างจากเบื้องใน และมาแบบอย่างรวดเร็ว
เมื่อเปิดประตู ก็ถูกหนิงเส่าเฉินดึงเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “พูดซิ ทีเรื่องของคนอื่นคุณดูเดือนร้อนจัง? ทีขอให้คุณมา กลับมีข้อแก้ตัวอยู่ประจำ?”
เย่หลินหันกลับมา ดึงมือใหญ่ที่เขาวางไว้ในอ้อมแขนออก หันกลับมาและหยิกใบหน้าของเขา “หนิงเส่าเฉิน ในใจคุณรู้ดี เรียกฉันมา มีธุระจริงหรือ? ”
หนิงเส่าเฉินพูดไม่ออก ไอเล็กน้อย และระงับความปรารถนาเล็กน้อยในดวงตาของเขา หยิบกระดาษบนโต๊ะแล้วกางออกต่อหน้าเย่หลิน
“มา ยื่นมือมา”
ก่อนที่เย่หลินจะตอบสนอง หนิงเส่าเฉินก็ปั้มลายนิ้วมือของเย่หลินลงในกระดาษบนแฟ้มหลายชุดติดต่อกัน
“เรียบร้อยแล้วครับ หากคุณนายไม่อยากอยู่ที่นี้กับผมก็ไปได้เลยครับ”
เย่หลินตะลึง “หนิงเส่าเฉิน ในกระดาษแฟ้มเมื่อกี้มีข้อความอะไรบ้าง? ช่วยแสดงให้ดูหน่อยได้ไหม?”
หนิงเส่าเฉินเก็บแฟ้ม จับมือใหญ่ไว้ด้านหลังศีรษะของเธอ และจูบมันจนเย่หลินหายใจไม่ออกก่อนจะปล่อยเธอ
“อย่ากังวลไป มันไม่ใช่หนังสือสัญญาซื้อขายคุณ คุณมีลูกสองคนแล้ว ไม่มีใครเอาแล้ว?” เมื่อเห็นเย่หลินขมวดคิ้ว เขาเสริมว่า “ยกเว้นสำหรับฉัน มันเป็นสมบัติล้ำค่า”
เย่หลินทุบตีเขาสองครั้งและทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “เส่าเฉิน คุณคิดว่าให้อีอีมาทำงานที่หนิงกรุ๊ปได้ไหม”
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วและมองไปที่ เย่หลิน”คุณคงจะไม่บอกว่าวิชาเอกของเธอคือเลขาอาวุโสจากนั้นมาทำงานที่ห้องเลขา”
เย่หลินผงะและลุกขึ้นนั่งตัวตรง “คุณรู้ได้อย่างไร เกาไห่พูดให่คุณฟังหรือ ยังแปลกใจที่เห็นเธอเป็นคนเก็บตัว แต่เธอก็ยังได้เรียนรู้วิชาเอกนี้ อย่างไรก็ตาม ดูบริษัทใหญ่ๆ ในเมืองC มีเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้น สภาพของเธอเองไม่ค่อยดีนักและเธอไม่มีประสบการณ์มากนัก หรือ คุณจะให้เธอมาทดลองงานฝึกงานเป็นเวลา 1 เดือน ก่อนถ้าไม่ผ่านค่อยว่ากันอีกที
หนิงเส่าเฉินมองไปที่ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเขา อารมณ์คนเปลี่ยนง่ายแต่นิสัยเปลี่ยนยาก เมื่อกี้ยังดูเหมือนเสียเปรียบและตอนนี้เขาเริ่มกลับมาเป็นคนดีอีกครั้งแล้ว
โอเค เขาไม่ว่าอะไรปล่อยให้เธอเสียเปรียบอีกครั้งและถูกหลอกอีกครั้ง เพื่อบางทีในอนาคตเธอจะจำความหมายของคำว่า คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตาได้
เงยหน้าขึ้น “อาไห่ เพื่อนคุณ……มารับแล้ว”
เกาไห่หันกลับไปมอง ก็เห็นเฉินอีอียืนอยู่ไม่ไกล จ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงบ แต่ในใจกลับมีคลื่นโหมกระหน่ำ
เฉินอีอีเห็นว่าเขาหันมา ก็เดินเข้าไป หยิบขวดเหล้าตรงหน้าเขาขึ้นมา แล้วทุบลงบนพื้น “เกาไห่ นี่คุณหมายความว่าอย่างไร? ดึกดื่นขนาดนี้ถึงไม่กลับบ้าน”
เกาไห่เงยหน้าขึ้น มองเฉินอีอีตรงหน้า มีความสงสัยอย่างมาก “อีอี คุณมาได้อย่างไร? ”
เฉินอีอีเดินไปข้างหน้า ดึงมือเขาลุกขึ้น “กลับไปกับฉัน”
เกาไห่ยิ้มขึ้นมา มองไปที่เล่อจยา “เล่อจยา เธอคือแฟนของฉัน เธอชื่อเฉินอีอี”
เล่อจยาพยักหน้า แล้วยิ้ม “อ้อ! ” คำพูดที่เหลือ เพราะกลัวจะสะอึกสะอื้นออกมา เล่อจยาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
เห็นภาพคนทั้งสองเดินประคองกันไป ท้ายที่สุดน้ำตาเล่อจยาก็ไหลออกมา
เกาไห่เป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับเธอ แก่กว่าเธอ 2 รุ่น เป็นคนที่มีชื่อเสียงในโรงเรียน วงศ์ตระกูลดี หน้าตาหล่อเหลา นิสัยก็ดี มีคนหลงรักเขามากมาย ในตอนนั้นเธอก็เป็นหนึ่งในนั้น
เธอรู้จักเกาไห่ ไม่ได้รู้จักตามกระแส แต่หลังจากที่เธอช่วยเขาไว้ เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า”ขอบคุณ”
รอยยิ้มที่อ่อนโยนนั้น ยังคงอยู่ในหัว
เพียงแต่ เพราะเธอฝึกเทควันโดตั้งแต่ยังเด็ก อีกทั้งยังกินมาก ฉะนั้น เธอจึงกลายเป็นผู้หญิงที่รูปร่างสูงใหญ่ เธอเข้าใจ ว่ารูปร่างเธอเช่นนั้นเกาไห่ไม่เต็มใจที่จะมองอย่างแน่นอน
ฉะนั้น หลังจากนี้ พวกเขายังคงเป็นคนแปลกหน้ากัน
ต่อมา เธอแอบรักเขามาตลอด ให้ความสนใจกับเขา หลังจากเรียนจบ เพื่อนสนิทก็ให้เธอลดน้ำหนัก บอกว่าเธอเป็นคนที่มีศักยภาพในหมู่คนอ้วน และเป็นผู้หญิงที่สวย เธอก็เลยตัดสินใจลดน้ำหนักเพื่อเกาไห่ ต่อมา ความจริงแล้วคำพูดของเพื่อนสนิทไม่ผิดเลย เธอได้กลายเป็นสาวสวยอย่างเต็มตัว แต่เมื่อเธอเตรียมทุกอย่างไว้ดีแล้ว เตรียมจะสารภาพรักกับเขา แต่ได้รู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา
หลังจากนั้น เธอก็เลยหมดอาลัยตายอยาก ทำให้ตนเองกลับมากินจนอ้วนอีกครั้ง
แต่โชคชะตาก็ช่างกลั่นแกล้ง ตอนที่เธออัปลักษณ์ที่สุด เธอก็ได้พบกับเกาไห่อีกครั้ง
ในตอนนั้น เธอยังคิดว่าตนเองตาฝาด จึงลองเรียกชื่อดู แล้วก็แน่ใจว่าคนตรงหน้าไม่ผิดคนจริงๆ
เพียงแต่ว่า เกาไห่ในตอนนี้กับในตอนนั้น ต่างกันราวฟ้ากับดิน เขาดื่มเข้าไปมาก เขาเลยจำเธอไม่ได้
ดังนั้น เธอจึงหาข้ออ้างที่จะมาดื่มกับเขาสักสองสามแก้ว ได้ฟังเขาพูดความในใจมากมาย
ได้รู้สถานการณ์ของเขาไม่น้อยเลย
เธอบอกกับเขา ว่าตนเองชื่อเล่อจยา แต่ไม่ได้บอกว่าเธอคือเล่อจยาที่แอบรักเขามา 7ปี
เมื่อเกาไห่กลับมา เย่หลินนอนหลับพิงอยู่บนไหล่ของหนิงเส่าเฉินอยู่
ได้ยินเสียงเปิดประตู เธอก็ตื่นขึ้นมา เมื่อลืมตาก็เห็นเฉินอีอีพยุงเกาไห่ที่เดินขาลากเข้ามา
จึงรีบลุกขึ้นไปช่วยประคองเกาไห่ เพิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ได้กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง “พี่ นี่เกิดอะไรขึ้นกับคุณ ถึงได้ดื่มเหล้ามากมายขนาดนี้? ”
เกาไห่ได้ยินก็หันไปมองเย่หลิน สะบัดออกจากเฉินอีอีแล้วไปดึงแขนเธอ นำเย่หลินเข้ามากอด “น้องสาว พี่ไม่ใช่คนใช่ไหม? พี่มันโง่ พี่มันโง่เหลือเกิน”
เย่หลินขมวดคิ้ว ข้ามเกาไห่ไปมองเฉินอีอี “พี่ฉัน……เป็นอะไรไป? ”
เฉินอีอีส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน”
“เอาล่ะ พี่ หยุดพูดเรื่องเล่านี้ก่อน รีบไปอาบน้ำนอนก่อน” พูดจบ ก็อยากจะผลักเกาไห่ออก แต่ว่าเขาแทบจะกดอยู่บนตัวเธอทั้งตัว เธอผลักเขาไม่ออกเลย
เธอหลับตา แล้วก็ลืมตาอีกครั้ง ร่างกายก็ผ่อนคลายลง เห็นเพียงใบหน้าที่คร่ำเครียดของหนิงเส่าเฉิน นำเขาไปส่งถึงห้องของเขา โยนเขาลงบนเตียง พูดกับเฉินอีอีอย่างเย็นชาว่า: “ดูแลเขาให้ดี”
ออกมาก็ดึงเย่หลิน เข้าไปในห้อง
“นี่คุณเป็นอะไรไป? ถึงได้หน้าดำคร่ำเครียด”
“เมื่อกี้เขากอดคุณ”
เย่หลินหมดอาลัยตายอยาก…. “หนิงเส่าเฉิน นั่นคือพี่ชายฉัน พี่ชายแท้ๆ ”
ชายหนุ่มสีหน้าผ่อนคลาย แต่ยังคงกล่าวอย่างเย็นชาว่า: “อย่างนั้นก็ไม่ได้ เป็นเพศชายล้วนไม่ได้ทั้งนั้น”
หญิงสาวไม่พูดจา ไม่สนใจเขา
ทางด้านนี้ เฉินอีอีถอดรองเท้าให้เกาไห่แล้ว กำลังจะเดินไป แต่ถูกเกาไห่ดึงแขน ใช้กำลังดึงอย่างแรง จนคนเอนล้มลงไปบนเตียง เกาไห่พลิกตัว กดลงบนร่างของเธอ โน้มตัวเข้าใกล้ ต้องการที่จะจูบเธอ
แต่ถูกเฉินอีอีเอียงหน้าหลบ “เกาไห่ คุณบ้าไปแล้วเหรอ? ”
เกาไห่คว้ามือของเธอ สายตาเคร่งขรึม “ใช่ คุณทำเหมือนฉันเป็นคนบ้า” พูดพลาง ก้มลงไปเตรียมที่จะจูบเธอ แต่มือของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ายื่นออกไป หยิบรองเท้าหนังของเขาที่เพิ่งถอดออกเมื่อกี้ ทุบไปที่ศีรษะของเขา เมื่อเขาตื่นตกใจอยู่ ก็ผลักเขาออก และรีบออกมาจากภายใต้ร่างกายของเขา
เสียงประตูปิดดัง”ปัง” สายตาของเกาไห่ ก็มืดมนลงไปอย่างมาก
เช้าวันต่อมา เย่หลินไปที่ห้องของเกาไห่ ไม่เห็นคน เมื่อหันตัวกลับ ก็เห็นเกาไห่เดินเข้ามาจากสระว่ายน้ำด้านนอก เดินเข้าไปสองสามก้าว “พี่ ทำไมเมื่อวานถึงดื่มเยอะแบบนั้นล่ะ แล้วยังกลับดึกขนาดนั้นอีก เกิดเรื่องอะไรใช่ไหม? ”
เกาไห่เช็ดหยดน้ำที่ผม มองเย่หลิน คิดๆ แล้วเอ่ยปากว่า: “เย่จึ เส่าเฉินล่ะ? ”
เย่หลินนิ่งอึ้งไป เกาไห่และหนิงเส่าเฉิน ในความทรงจำของเธอ เมื่อคนทั้งสองเจอหน้ากัน แต่ไหนแต่ไรก็พูดคุยกันน้อยมาก แล้วนี่เกาไห่ถามหาหนิงเส่าเฉินก็ยิ่งแปลก
นิ้วมือชี้ไปยังตำแหน่งห้องหนังสือ “เขาน่าจะอยู่ที่ห้องหนังสือ”
เห็นเกาไห่หันตัวเตรียมจะไปที่นั่น ก็ดึงเขาเอาไว้อย่างไม่สบายใจ “พี่ คุณถามหาเส่าเฉินทำไมเหรอ? ”
เกาไห่หยิกบนใบหน้าของเธอเล็กน้อย “วางใจเถอะ ไม่ได้ไปชกต่อยกับเขาหรอก”
เย่หลินเช็ดคราบน้ำที่แก้ม มองภาพด้านหลังของเกาไห่ ความรู้สึกไม่ชัดเจน เกาไห่คล้ายกับแปลกๆ ไป
แต่แปลกไปยังไง เธอก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
เกาไห่และหนิงเส่าเฉินอยู่ในห้องหนังสือ เป็นเวลาชั่วโมงกว่า จึงออกมา เย่หลินถามเขา ว่าพูดคุยอะไร เขาก็เพียงแค่ยิ้มๆ กับเธอ บอกว่าอยากขอให้หนิงเส่าเฉินช่วยเหลือ
เธอดึงหนิงเส่าเฉินกลับไปยังห้อง ถามเขาว่า “เส่าเฉิน พี่ชายฉัน พูดอะไรกับคุณเหรอ? ”
หนิงเส่าเฉินเอนตัวลงบนเตียง พลิกตัวคว่ำ “ปวดไหล่จังเลย เอวก็เมื่อยเล็กน้อย อยากจะขอให้คุณภรรยานวดให้สักหน่อย”
เย่หลินขมวดคิ้ว จ้องมองเขา “หนิงเส่าเฉิน คุณยังรักฉันอยู่ไหม? ถามคุณหนึ่งคำถาม ก็ต้องทรมานฉันแบบนี้ด้วยเหรอ” ถึงแม้ปากจะบ่น แต่มือก็ยังทำ
เธอรู้ว่าหนิงเส่าเฉินทำงานหนักมาก เธอก็สงสารเขาจริงๆ
เพียงแค่คนบางคนชัดเจนว่าจงใจ
หลังจากที่เธอนวดให้เขา ชายหนุ่มก็เอ่ยถึงข้อเรียกร้องหนึ่งออกมา
ถึงอย่างไร คำถามหนึ่ง กระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว จึงเอ่ยปากตอบกลับ: “พี่ของคุณให้ฉันช่วยเขา ชิงเกากรุ๊ปกลับมา”
เฉินอีอีเห็นเธอกลับมา ลุกขึ้นยืนจากโซฟา เผชิญหน้าเธอ แล้วยิ้มแบบเขินอาย
“น้องสาว คุณกลับมาแล้วเหรอ? ”
สายตาเย่หลินมองอย่างเจาะลึก พยักหน้ากับเธอ “เอ่อ พี่ชายฉันล่ะ? ”
เฉินอีอีตกตะลึง แล้วตอบกลับว่า : “ตอนบ่ายเขาโทรมาบอกว่า ตนเองมีธุระอาจจะกลับมาดึกหน่อย”
“อ้อ อย่างนี้นี่เอง” ก็โล่งอก เธอเป็นห่วงจริงๆ ว่าเรื่องตอนเช้านั้น จะไปกระทบจิตใจเกาไห่ หลังจากที่ไม่ได้คิดอะไรมาก ก็กลับเข้าห้องไป
หลังจากเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้าน เธอคิดๆ แล้วยังคงโทรไปหาเกาไห่ มือถือดังอยู่นาน แต่ไม่มีคนรับสาย
หลังจากนั้น จนกระทั่งหนิงเส่าเฉินกลับบ้าน เกาไห่ก็ยังคงไม่กลับมา
เย่หลินกระวนกระวายใจเล็กน้อย “เส่าเฉิน ดึกขนาดนี้แล้วพี่ชายฉันยังไม่กลับมาเลย คุณว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นไหม? ” จากนั้นเย่หลินก็เล่าเรื่องเมื่อตอนเช้าให้หนิงเส่าเฉินฟัง
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหนิงเส่าเฉิน เห็นได้ชัดว่าเขาก็ประหลาดใจเล็กน้อย
“แฟนของพี่ชายคุณล่ะ? ” หนิงเส่าเฉินดึงเนกไทออกพลาง ถามไปด้วย
“น่าจะอยู่ที่ห้องนะ ฉันจะไปถามเธออีกครั้ง” พูดจบ ก็ออกจากห้องไปที่ชั้นหนึ่ง เคาะประตูห้องเฉินอีอี ทว่าเป็นเวลานานก็ไม่มีการตอบกลับ
เย่หลินจึงเปิดประตู เพียงแต่ในห้องว่างเปล่า มีเฉินอีอีซะที่ไหน?
เธอตกตะลึง หันกลับออกมา ก็เห็นหนิงเส่าเฉินลงมาชั้นล่าง เธอจึงร้อนรนเข้าไปที่หนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน เฉินอีอีคนนั้นก็ไม่อยู่”
หนิงเสี่ยวซีลุกขึ้นมาดื่มน้ำพอดี เห็นเย่หลินหลินเอ่ยถึงเฉินอีอี ก็ชี้ไปที่ประตู “แม่ ก่อนหน้านี้ฉันเห็นเธอลนลานออกไป เมื่อประมาณ 40 นาทีก่อน”
เย่หลินขมวดคิ้ว “เสี่ยวซี คุณไม่ได้ถามเหรอว่าเธอจะไปไหน? ”
หนิงเสี่ยวซีส่ายหัว “เธอยังไม่ได้เป็นป้าของฉันนะ? ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ฉันจะถามให้มากความไปทำไม? ” พูดจบ แล้วก็หันกลับเข้าห้องไป เมื่อประตูกำลังจะปิดลง ก็หันกลับมามองเย่หลินอีกครั้ง : “แม่ คุณอย่าทุกข์ใจเช่นนี้ทุกๆ วันได้ไหม? พวกเขาโตกันแล้ว มีความเป็นส่วนตัวของตนเอง”
แม้ว่าหนิงเสี่ยวซีจะรูปร่างหน้าตาเหมือนเย่หลิน แต่นิสัยยิ่งโตยิ่งเหมือนหนิงเส่าเฉินมาก สำหรับคนที่เขาไม่สนใจ เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ก็จะไม่เข้าไปยุ่ง
เพียงแต่โชคดีว่า เขาปฏิบัติต่อเธอดีมาก กตัญญูอย่างมาก
ฉะนั้น ไม่ว่าจะสอนเขากี่ครั้ง แต่รู้สึกว่าเขาเป็นอย่างนี้ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องไม่ดี
การเห็นอกเห็นใจจนเกินไป ก็ทำให้ชีวิตเหน็ดเหนื่อย
เพียงแต่ ยังหันกลับไปมองหนิงเส่าเฉิน “คุณดูสิ ลูกชายคุณทำไมเหมือนคุณขนาดนั้น? ”
หนิงเส่าเฉินถูกต่อว่าก็ทำอะไรไม่ถูก นิ้วเรียวยาวลูบๆ หน้าผาก “ฉันรู้สึกว่าดีมากเลย ถ้าเขาเหมือนคุณ อนาคตของหนิงกรุ๊ปก็น่าเป็นห่วงมาก”
เย่หลินตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หยิกเอวเขาทันที “หนิงเส่าเฉิน วันนี้คุณอยากนอนข้างนอกใช่ไหม? ”
เขากอดเธอจากด้านหลังทันที “ฉันผิดไปแล้ว”
ท่าทีนี้ทำให้เย่หลินทำอะไรไม่ถูก “คุณว่าดึกดื่นแบบนี้พี่ชายฉันจะไปไหน? เฉินอีอีคนนี้ก็ออกไปอีก คุณว่าเธอจะไปหาพี่ชายฉันไหม เราต้องให้คนออกไปตามหาไหม? ”
“ไม่ต้อง เสี่ยวซีพูดไม่ผิด แล้วอีกอย่างก็ไม่ใช่เด็กแล้ว คุณจะกังวลอะไร พวกเรารออีกสักหน่อย ถ้าผ่านไป12ชั่วโมงแล้วยังไม่กลับมา ฉันค่อยส่งคนออกไปตามหา”
พูดจบ ก็โอบเย่หลินมานั่งลงบนโซฟา เปิดทีวี “คุณอยากดูช่องนี้ไหม? ”
เย่หลินพยักหน้า หนิงเส่าเฉินยื่นแขนออกมา โอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ทางด้านนี้ก็หยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะ แล้วก้มหน้าอ่าน
เวลานี้ ที่แผงลอยขายอาหารด้านนอก
“คุณรู้ไหม? ฉันโดนเธอหลอก โดนหลอกอย่างน่าสมเพชมาก ฉันรู้สึกว่าตนเองเหมือนกับคนโง่ ตอนนี้ฉันไม่เหลืออะไรเลย ตลอดชั่วชีวิตของฉันต้องถูกเธอทำลาย” ชายหนุ่มพูดซ้ำประโยคเดิมไปมาไม่หยุด
“คุณยังหนุ่มยังแน่นแบบนี้ พูดว่าตลอดทั้งชีวิต ก็จะเร็วเกินไปมั้ง? คุณดีเลิศขนาดนี้ เพียงแค่คุณสมัครใจ คุณจะต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน” หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ พูดโน้มน้าวเขา แล้วแอบเปลี่ยนเบียร์ที่อยู่ตรงหน้าชายหนุ่มให้กลายเป็นน้ำชา
“คุณเป็นใคร? คุณไม่เข้าใจฉันหรอก แล้วคุณก็ไม่รู้ว่าฉันคือใคร? คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าฉันมีอนาคต? ” ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเหอะๆ ยกแก้วเบียร์ตรงหน้าขึ้น แล้วดื่มในรวดเดียว
“หลังจากที่คุณเกิดเรื่อง ฉันเคยไปบ้านของคุณ น้องสาวของคุณบอกว่าคุณกลายเป็นผักไปแล้ว ต่อมาฉันก็ไม่สืบถามทุกที่ แต่ก็ไม่ได้ข่าวของคุณอีกเลย เกาไห่ 7ปีแล้วนะ ที่ฉันเปลี่ยนตัวเองจากคนอ้วนจนกลายเป็นสาวสวย แต่คุณก็มองไม่เห็น ฉันจึงเปลี่ยนตัวเองจากสาวสวยกลายเป็นคนอ้วนอีกครั้ง แต่จู่ๆ คุณก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าฉัน เกาไห่ คุณมันโง่” หญิงสาวก้มหน้า น้ำตาไหลเป็นสายราวกับสร้อยไข่มุก แต่เพียงแค่ก้มหน้าพูดกับตัวเอง
“เพราะว่า ฉันดูโหงวเฮ้งแล้ว ชั่วชีวิตนี้ของคุณผู้ชาย จะต้องร่ำรวยและมั่งคั่งอย่างแน่นอน” ใบหน้ารูปไข่ที่ค่อนข้างมีเนื้อมีหนังของหญิงสาว ภายใต้แสงไฟอันสลัว ก็ปรากฏเลือดฝาดเล็กน้อย
ร่ำรวยและมั่งคั่งอย่างนั้นเหรอ? ชายหนุ่มหัวเราะเยาะเหอะๆ อีกครั้ง คล้ายกับว่าสร่างเมาเล็กน้อย เงยหน้ามองเธอ “คุณชื่ออะไร? ”
หญิงสาวเงยหน้า ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังอย่างมากว่า: “ฉันชื่อเล่อจยา เล่อที่แปลว่าความสุข เจียที่แปลว่างานเทศกาล แล้วคุณล่ะ? ”
ชายหนุ่มเงียบอยู่นาน แล้วจึงเอ่ยปากว่า: “เรียกฉันว่าอาไห่”
หญิงสาวยิ้มเล็กน้อย พยักหน้า ในสายตาปรากฏหมอกจางๆ ฉากแนะนำตัวเองนี้ รอมา7ปีแล้ว!
“ร้านนี้คุณเป็นคนเปิดกิจการเหรอ? ” เมื่อตอนชายหนุ่มเข้ามา ก็ได้ยินคนจำนวนมากเรียกเธอว่าเถ้าแก่เนี้ย
เล่อจยาพยักหน้า
ชายหนุ่มมองหญิงสาวหน้ากลมๆ ที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเธอยิ้มขึ้นมา แก้มทั้งสองที่อ้วนกลม ก็เหมือนกับสาลี่ที่หวานฉ่ำสองลูก ไม่สวย แต่น่ารักมาก มองแล้วทำให้คนอารมณ์ดีไม่น้อย
ลมที่พัดผ่านเล็กน้อย ความเมาของชายหนุ่ม ก็สร่างไปมาก
เล่อเจียชี้ไปที่แผงลอยขายอาหารด้านหลัง “พ่อฉันป่วย เป็นเบาหวาน ส่วนแม่ของฉันน่ะเหรอ? หย่ากับพ่อของฉันแล้ว ก็พาน้องชายของฉันไปด้วย เพื่อที่จะสามารถดูแลพ่อของฉันได้ ก็ต้องมีเวลาที่ค่อนข้างอิสระ คิดแล้ว ก็เลยยึดอาชีพทำร้านนี้ โชคดีที่การค้าขายก็ไม่เลว”
แต่ก็กล่าวเสริมในใจว่า ปีที่สองที่คุณจากไป ชีวิตของฉันก็มีการเปลี่ยนแปลงพลิกผันไป
เกาไห่นิ่งอึ้งไป “สถานที่นี้ มีคนเลวและคนดีอยู่ปะปนกัน คุณ….คุณเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียว ไม่กลัวเหรอ? ”
เล่อจยาสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย ในทันทีก็ปิดปากเผลอยิ้มออกมา “มีคนเลวและคนดีอยู่ปะปนกันแล้วยังไง? ฉันหน้าตาขี้เหร่แบบนี้ ใครจะสามารถมาทำอะไรฉันได้อีก? ” แต่กล่าวเสริมในใจว่า เกาไห่ คุณคงจะลืมไปแล้ว ปีนั้น ในโรงเรียนมีอันธพาลสองสามคนที่อิจฉาคุณ ไม่ชอบคุณ ดักขวางคุณไว้ที่หลังประตูโรงเรียน อยากที่จะสั่งสอนคุณ คือฉันที่ช่วยคุณเอาไว้ เวลานั้นฉันเคยบอกกับคุณว่า พ่อฉันเป็นครูเทควันโด ฉันฝึกฝนเทควันโดมาตั้งแต่เด็ก ฉันได้สายดำ คุณคงลืมไปแล้วแน่เลย
เกาไห่มองดวงตาของเธอที่ยิ้มจนกลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว กำลังเตรียมจะเอ่ยปากว่า คุณไม่ได้ขี้เหร่
จู่ๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าก็ลุกขึ้นยืน สายตามองไปที่ด้านหลังของเกาไห่
“โอ๊ย……” หนิงเส่าเฉินได้ยินเสียงของเฉินอีอี สีหน้าก็เคร่งขรึม ได้เพียงแค่คว้าแขนเธอไว้ ไม่ให้เธอล้มลงไป
ไฟที่ควบคุมด้วยเสียงในทางเดินก็เปิดขึ้น เฉินอีอีคนนั้นก็ยืนได้อย่างมั่นคง แล้วก็ก้มหน้าก้มตาตลอด “ขอโทษนะคะขอโทษ ฉัน……ฉันรู้สึกว่าในบ้านมันอึดอัดนิดหน่อย เลยอยากออกไปข้างนอกสักหน่อย ขอโทษนะคะ ที่ชนคุณ”
พูดจบ ก็โค้งๆ ตัวให้หนิงเส่าเฉิน แล้วเดินออกไป
หนิงเส่าเฉินหันกลับไปมองภาพเบื้องหลังของเธอด้วยแววตาลึกซึ้ง แล้วเดินกลับห้องไป
เห็นเย่หลินพิงอยู่กับหัวเตียงเหมือนกำลังเหม่อลอย
เขาเลยรีบไปอาบน้ำ แล้วออกมานอนข้างๆ ดึงเธอมาไว้ในอ้อมกอด “พูดมาเถอะว่าเรื่องอะไร แล้วใคร มันคุ้มค่าไหมที่จะทำให้ภรรยาของฉันเก็บมาครุ่นคิด? ”
เย่หลินตีหน้าอกเขาเบาๆ แล้วก็พูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กับหนิงเส่าเฉิน
“คุณว่า พี่ฉันเจอของที่ล้ำค่าแล้วใช่ไหม? ” คนคนหนึ่งสามารถไปรับมีดเพื่อคนแปลกหน้าได้ เห็นได้ว่าจิตใจของผู้หญิงคนนี้งดงามขนาดไหน?
“เจอของที่ล้ำค่าหรือเปล่า ตอนนี้มันยังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ เพียงแต่เย่จึ ไม่ว่าระหว่างพวกเขา หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร คุณอย่าเป็นทุกข์กับพวกเขามากจนเกินไป”
เย่หลินเป็นผู้หญิงที่เขารักมากและอยากปกป้องดูแล เขาจึงไม่อยากให้มีเรื่องมากวนใจเธอ
“มิเช่นนั้นวันพรุ่งนี้ ฉันจะซื้อบ้านในชื่อพี่ชายของคุณ แล้วให้พวกเขาย้ายออกไปเลยดีไหม? ฉันเห็นว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ วันๆ คุณก็เอาแต่ทุกข์ใจ
“หนิงเส่าเฉิน นั่นคือพี่ชายฉัน เขาเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ งานก็ไม่มี คุณจะให้พวกเขาออกไป ทำไมคุณใจร้ายแบบนี้ล่ะ? ” แม้ในใจจะรู้ว่าหนิงเส่าเฉินทำเพื่อเธอ แต่ไม่มีเหตุผลที่จะขับไล่คนออกไป อีกทั้งสิ่งที่เฉินอีอีพูดออกมาในวันนี้ ถ้าพรุ่งนี้บอกว่าจะมอบบ้านให้แก่พวกเขา ก็คาดว่าเธอไม่น่าจะไปอยู่
หนิงเส่าเฉินชำเลืองมอง ใจร้ายเหรอ? ใช่ ใจร้าย นอกจากคนที่เขารักแล้ว กับคนอื่นเข้าก็ไม่ได้เห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย
เย่หลินนั่งตัวตรง สองมือประคองหน้าของเขา “ยังไงคุณก็อย่าให้พวกเขาย้ายออกไปเลยนะ มิเช่นนั้น ฉันจะโกรธคุณ ฉันมองออกว่าพี่ชายฉันชอบเธอมาก คุณอย่าทำมันพังสิ! ”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า “ได้ ฉันจะไม่ยุ่ง”
คิดๆแล้วก็แตะปลายจมูกของเธอ “แต่ว่าคุณต้องจำไว้นะ มองคนจะมองด้านเดียวไม่ได้ ระวังคนอื่นจะคิดร้ายกับเราด้วย ในตอนนั้นเกาเหวินก็อ่อนโยน จิตใจดี มีเมตตา คุณลืมไปแล้วเหรอ? ”
เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน กะพริบตาปริบๆ แม้ว่าที่หนิงเส่าเฉินพูดจะไม่ค่อยน่าฟัง แต่เธอรู้ว่าที่เขาพูดก็ไม่ผิด ในตอนนั้นเกาเหวินก็ทำให้เธอประทับใจไม่ใช่เหรอ? แต่หลังจากนั้นล่ะ?
นึกถึงตรงนี้ เธอก็พยักหน้า “โอเค ต่อไปฉันจะพยายามเรียนรู้จากประธานหนิง ว่าจะมองทะลุจิตใจของคนอื่นได้อย่างไร และจะโหดเหี้ยมได้อย่างไร ตอนนี้ คุณวางใจแล้วใช่ไหม? ” เธอวนๆ ที่หน้าอกของเขา แล้วพูดหยอกล้อ
ชายคนนั้นจับมือของเธอ “กล้าบอกว่าฉัน……โหดเหี้ยมเหรอ? แล้วก็ไม่มีน้ำใจอีก ได้คืนนี้ฉันจะให้คุณได้ลองลิ้มชิมรสว่าอะไรที่เรียกว่าโหดเหี้ยม”
เย่หลินตกตะลึง ถอยออกมาจากในอ้อมกอดเขา มุดเข้าไปในผ้าห่ม “นอนเถอะ ฉันง่วงแล้ว”
หลังจากนั้น บริษัทเย่หลินเพราะว่าได้รับออเดอร์ใหญ่ จึงยุ่งมาก ออกเช้ากลับดึก ได้ใกล้ชิดกับเฉินอีอีไม่มาก
เช้าวันนี้ เธอตื่นขึ้นมา ก็เห็นเกาไห่กำลังจะออกไป จึงถามว่า : “พี่ คุณจะไปไหน? ฉันจะถือโอกาสให้คนขับรถไปส่งคุณด้วยดีไหม? ”
เกาไห่ยิ้มๆ ลูบๆ หัว “เอ่อ มีงานหนึ่ง ต้องไปสัมภาษณ์วันนี้ คุณจะไปทางเดียวกันก็ได้นะ”
ต่อจากนั้น คนทั้งสองก็เดินตามกันออกจากบ้านไป
เมื่อคนขับรถเข้ามารอที่หน้าประตู เย่หลินคิดๆแล้วเอ่ยปากว่า:
“พี่ ต้องการให้ฉันหรือเส่าเฉินช่วยคุณไหม…..”
“อย่าเลย ฉันเป็นชายชาตรี ถ้าแม้แต่หางานยังพึ่งพาตนเองไม่ได้ ฉันยังควรมีชีวิตอยู่ไหม? คุณวางใจได้ ฉันเป็นเด็กนอกกลับมา การหางานก็ไม่ยากหรอก เพียงแค่อยากมองหางานที่มั่นคงก็เท่านั้น ดังนั้น จึงเสียเวลามาถึงตอนนี้ พวกคุณอย่าเข้าร่วมเลย ไม่เช่นนั้น ฉันจะเป็นกังวลกับคุณ”
เย่หลินพยักหน้า อันที่จริงที่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงไม่กล้าช่วยเหลือเขา บางครั้ง เธอก็ดีใจอย่างมาก ที่เกาไห่เกิดในตระกูลเกา แต่ไม่เหมือนกับคนตระกูลเกา
“พี่ คุณ…..ได้กลับตระกูลเกาไหม? ”
เกาไห่นิ่งอึ้งเล็กน้อย ในสายตาปรากฏอารมณ์ที่สับสน “เคยไปดู บ้านขายไปแล้ว ยังมีตระกูลกู้ที่ไหนกันเล่า ได้ยินมาว่าเขาและเกาเหวินได้หายตัวไป เออใช่ เย่หลิน คุณรู้ไหมว่าแม่เลี้ยงของฉันไปไหน? ฉันถามพี่เลี้ยงสองสามคนที่เคยอยู่ตระกูลเกาก่อนหน้านั้น ต่างก็ไม่ยอมบอก
เน่หลินนิ่งอึ้งไป ชัดเจนว่าแปลกใจเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเกาไห่จะไม่รู้เรื่องของแม่เกา
คิดๆแล้ว เธอก็ดึงเขาเดินไปข้างกำแพง สีหน้าเคร่งขรึม พูดกระซิบว่า: “ปีนั้น หลังจากเรื่องนั้นของคุณ มีผู้เห็นเหตุการณ์บอกว่า แม่เกาคือคนที่ผลักคุณตกหน้าผา ดังนั้น หลังจากเกิดเรื่อง เธอก็ถูกตำรวจจับไป ต่อจากนั้นไม่กี่วัน ก็ฆ่าตัวตายในคุก ฉันคิดว่า คุณจะรู้เรื่องนี้ซะอีก? ”
เกาไห่ตัวสั่นเล็กน้อย หลังจากนั้น ก็เดินเซถอยหลังไปหลายก้าว แล้วจึงไปพิงกับกำแพง จากนั้นก็เลื่อนตัวลงนั่งกับพื้น หายใจติดขัด
เย่หลินเดินเข้าไปอย่างเป็นกังวลเล็กน้อย ดึงมือของเขา “พี่ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ”
ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่า เกาเหวินจะต้องบอกเกาไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้น จึงไม่ได้พูดมาก แต่ไม่นึกเลยว่า เขาจะไม่รู้
เห็นเกาไห่ไม่ตอบสนอง เธอก็ถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่ง แล้วคุกเข่าลงข้างๆ เขา “พี่ เธอปฏิบัติต่อคุณไม่ดีเลยใช่ไหม? ทำไมถึงโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้? ผลักคุณลงมาจากสถานที่ที่สูงขนาดนั้นได้ยังไง? ”
เกาไห่หัวเราะเยาะเล็กน้อย หลับตาแล้วก็ลืมตา มองเย่หลินแล้วก็ส่ายหน้า พูดบ่นพึมพำว่า “ฉันมันโง่ ฉันมันโง่เง่า”
ต่อจากนั้น ก็ลุกขึ้นยืน ตัวสั่นเล็กน้อยเดินไปยังข้างสระว่ายน้ำ ไม่ได้ถอดเสื้อ กระโดดลงไปโดยตรง
เย่หลินเห็นเขา ค่อยๆ จมดิ่งลงไปยังก้นสระ เป็นเวลานานไม่ยอมขึ้นมา ในใจก็กระวนกระวาย กำลังเตรียมจะถอดเสื้อผ้า ต้องการจะไปดึงเขาขึ้นมา แต่จู่ๆ เกาไห่ก็ขึ้นมาจากก้นสระ
ขึ้นมาจากสระ มองเย่หลิน เขาฉีกมุมปาก ฝืนยิ้มเล็กน้อย “คุณไปก่อนเถอะ ฉัน….ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน อีกสักครู่ ฉันค่อยไปเอง”
พูดจบ ก็หันเข้าไปในบ้าน
เย่หลินเห็นท่าทีเขาผิดปกติ แต่ตอนเช้ามีงานด่วน คิดๆแล้ว ก็วางแผนว่าตอนเย็นกลับมาค่อยปลอบโยนเขา
แต่เมื่อกลับมาตอนเย็น หนิงเสี่ยวซีก็มารอเธอที่หน้าประตู บอกว่าเกาไห่ไม่ได้กลับมาเลยทั้งวัน
เย่หลินนิ่งอึ้งไป เดินเข้าไปในบ้าน เห็นเฉินอีอีนั่งอยู่บนโซฟาดูการ์ตูนกับเย่เสี่ยวโม่ ไม่รู้ว่าเห็นอะไร จึงปิดปากหัวเราะหัวเราะต่อกระซิก
ในใจรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย เกาไห่ไม่กลับมาทั้งวัน ในฐานะที่เป็นแฟนสาว เวลานี้ก็ไม่ควรจะต้องเป็นกังวลเหรอ?
“พี่ แฟนของคุณ ชอบการตกแต่งสไตล์ไหน? ชอบทานผลไม้อะไร หรืออาหารที่ชอบคืออะไร? ฉันจะได้เตรียมไว้ล่วงหน้า มิเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกคุณกลับมา มันจะรีบร้อนเกินไป”
สายทางด้านนั้น หยุดพูดไปนาน จึงเอ่ยว่า “เย่จึ ไม่ต้องรบกวนขนาดนี้หรอก เธอ……เป็นคนง่ายๆ ”
วันต่อมา เย่หลินก็ตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วลากหนิงเส่าเฉินไปที่สนามบินก่อนล่วงหน้า
เห็นเกาไห่จูงมือผู้หญิงคนนั้นเดินมาทางพวกเขา เย่หลินก็ตื่นเต้นไม่หยุด
เกาไห่เดินออกมาจากเงามืดนั้น ก็รู้สึกได้ว่า เธอดีใจมากจริงๆ
“เย่จึ น้องเขย……หนิง นี่คือเฉินอีอี อีอี นี่คือน้องสาวฉัน แล้วก็น้องเขย”
เฉินอีอีตรงหน้า ผมดำยาว ไม่นับว่าใบหน้าประณีตงดงาม แต่ก็นับว่าสวย
แซ่เฉิน? เย่หลินยิ้มเล็กน้อย ช่างบังเอิญจริงๆ แซ่เดียวกันกับเธอก่อนหน้านี้
“สวัสดีค่ะ” น้ำเสียงของเฉินเป้ยอี มีความพิเศษ ในความอ่อนโยนมีความแหบนิดๆ
“โอเค อย่างนั้นไปกันเถอะ พวกแม่นมหลิวเตรียมอาหารไว้ให้พวกคุณมากมายเลย เรารีบกลับไปกันเถอะ”
ตลอดเส้นทางนี้ บรรยากาศในรถค่อนข้างอึดอัด หลังจากเย่หลินหาหัวข้อสนทนาอยู่สองสามครั้ง เฉินอีอีคนนั้นน่าจะมีนิสัยเก็บตัวเล็กน้อย เพียงแค่ตอบกลับมาสั้นๆ หรือไม่ก็แค่ยิ้มๆ เช่นนี้ เธอก็เลยเงียบไป
เมื่อถึงตระกูลหนิง เฉินอีอีก็ทานน้อยมาก รู้ว่าเธอเติบโตมากับทะเล เย่หลินจึงตั้งใจให้รีสอร์ตนำอาหารทะเลสดๆ มาส่งให้เป็นพิเศษในตอนเช้า
แต่เฉินอีอีก็กินไปไม่เท่าไหร่
หลังจากทานอาหารเสร็จ ก็ยิ้มแล้วบอกกับเธอว่า นั่งเครื่องบินมารู้สึกล้านิดหน่อย ขอกลับไปที่ห้องก่อน
เกาไห่ก็ตามเข้าไป
เย่หลินมองอาหารที่เตรียมไว้เต็มโต๊ะ แทบจะไม่มีอะไรพร่องไป เลยรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย
หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้แน่น
“คุณว่า เธอมีนิสัยเหนียมอาย หรือว่าไม่ชอบเรา? ‘ หลังจากเย่หลินกับหนิงเส่าเฉินกลับมาที่ห้อง นั่งอยู่บนเตียง ก็รู้สึกหดหู่อย่างมาก
หนิงเส่าเฉินจับไหล่เธอ “คนโง่ ทำไมคุณถึงอยากให้เธอชอบเรา? เธอชอบพี่ชายคุณ ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ? ”
พูดจบ แววตาก็หม่นหมองลงไปอีก
“นั่นก็ใช่ พอแม่ไม่อยู่แล้ว พี่ก็เท่ากับคนในครอบครัวฉัน ฉะนั้น จะยิ่งดีมากถ้าทำให้เธอชอบได้” เย่หลินพูดจบ ก็เริ่มคิดว่าตนเองพูดหรือแสดงอะไรผิดไปหรือเปล่า แต่นึกอยู่นาน ก็นึกสาเหตุไม่ออก
เธอได้รู้จากเกาไห่ ว่าเธอชอบกินอาหารทะเล เธอตั้งใจให้ร้านอาหารของรีสอร์ต มาส่งอาหารทะเลแต่เช้า รู้ว่าเธอชอบทุเรียน แม้ว่าเธอกับหนิงเส่าเฉินจะไม่ชอบกลิ่นนี้ เธอก็ยังคงซื้อมา
เธอก็ไม่ค่อยเก่งกับการหาหัวข้อสนทนากับคนแปลกหน้ามากนัก แต่ว่าเธอยังพยายามทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัด
เพราะเธอรู้สึกว่าแม้จะไม่ได้โตมาด้วยกันกับเกาไห่ แต่แม่ไม่อยู่แล้ว บนโลกใบนี้เขาก็เป็นญาติสนิทที่สุดของเธอ สำหรับครอบครัวนี้ เธอรักและหวงแหนอย่างมาก
แต่เฉินอีอีคนนั้น นอกจากจะพูดทักทาย”สวัสดี”แล้ว คำอื่นๆ ก็เป็นประเภทอืม อา……
“โอเค อย่าคิดมากเลย ในอนาคตเธอก็ไม่ได้อยู่กับเรา คุณไม่ต้องทำให้ตนเองเสียใจเพราะเธอหรอก” หนิงเส่าเฉินปลอบใจเธอ
เย่หลินสูดหายใจเข้า พยักๆ หน้า แต่ในใจยังคงรู้สึกอึดอัดใจ
ตอนบ่าย บริษัทมีปัญหาเล็กน้อย เธอจึงบอกกับเกาไห่ว่า จะไปบริษัท
หนิงเส่าเฉินออกจากบ้านไปด้วยกันกับเธอ
สุดท้าย ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน หนิงเสี่ยวซีก็โทรไปหาเธอ บอกว่าคุณลุงคุณป้าอยากจะย้ายออกไป ให้เธอรีบกลับมา
เย่หลินจึงรีบกลับไปอีกครั้ง
ยังไม่ทันได้เข้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงของเกาไห่ “นี่คือบ้านของน้องสาวฉัน อีอี ตอนนี้พวกเรายังไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง รอให้หางานได้แล้ว พวกเราค่อยย้ายออกไป โอเคไหม? น้องสาวฉันเธอเป็นคนจิตใจดี แล้วก็ดีกับคนอื่น ไม่คิดเล็กคิดน้อยแบบนั้นหรอก”
เท้าที่เย่หลินยกก็วางลง คิดว่าตนเองเข้าไปเวลานี้ ก็จะทำให้อึดอัดวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย
ดังนั้น จึงถอยหลังไปเบาๆ สองก้าว
ต่อจากนั้น ก็ได้ยินเสียงของเฉินอีอีที่สะอื้นไห้ดังออกมา: “อาไห่ ตั้งแต่เด็กฉันเติบโตมาในชนบท ไม่เคยเห็นโลกที่กว้างใหญ่ภายนอก หลังจากถูกส่งไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ฉันก็อาศัยการล้างถ้วยชาม ทำงานยกถ้วยชามให้คนอื่นเพื่อเลี้ยงชีพตนเอง รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำรงชีวิตของตนเอง ดังนั้น เดิมทีฉันจึงคิดว่า คุณก็เหมือนฉัน แต่ไม่คิดเลยว่า……ครอบครัวของพวกคุณจะร่ำรวยขนาดนี้….ฉันไม่อยากให้คนอื่นรู้สึกว่าฉันมาเกาะคนรวย”
เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ที่แท้นี่คือสาเหตุที่เธอพูดไม่เก่งใช่ไหม?
เธอรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหรอ?
ทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่า เมื่อตอนที่มาเป็นพี่เลี้ยงที่คฤหาสน์ตระกูลหนิงนั้น ถึงแม้เธอไม่ต้องการอะไรจากเขา แต่เธอก็มีความคิดเหล่านี้อยู่บ้าง
คิดถึงตรงนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะประทับใจคุณผู้หญิงคนนี้อย่างมาก คนคนหนึ่งที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตนเอง มันไม่ได้ผิดตรงไหนเลย!
เธอหรี่ตา สูดลมหายใจเข้า แล้วเดินเข้าไป
เฉินอีอีเห็นสีหน้าของเย่หลิน รู้ว่าเธอต้องได้ยินคำพูดของตนเองแน่ๆ สีหน้าจึงไม่สบายใจเล็กน้อย
ด้านเกาไห่ก็เดินเข้ามา “เย่จึ ทำไมวันนี้คุณถึงกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ? ”
เย่หลินมองเกาไห่ แล้วสายตาก็ตกไปที่บนใบหน้าของเฉินอีอี เดินเข้าไปสองสามก้าว จูงมือของเธอขึ้น “อีอี อันที่จริง ฉันก็เกิดมาในตำบลเล็กๆ เหมือนกันกับคุณ ดังนั้น คุณไม่ต้องอึดอัดหรอก รอคุณกับอาไห่มีงานที่มั่นคงแล้ว พวกคุณมีรายได้เป็นของตนเองแล้ว ถ้าหากยังอยากจะย้ายออกไปอยู่ด้วยกันสองคน ฉันก็จะไม่ขัดขวางคุณ แต่ว่าตอนนี้ ฉันคิดว่า คุณอยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะนะ”
มือที่เธอกุมอยู่ สั่นเทาเล็กน้อย
เฉินอีอีพยักหน้า “ขอบคุณนะ เพิ่มความลำบากให้คุณแล้ว”
เย่หลินตบเบาๆ ที่ไหล่เล็กน้อย หลังจากนั้นก็เรียกเกาไห่ “พี่ คุณตามฉันมาที่ห้องหนังสือหน่อยสิ ช่วยฉันหยิบหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่มนั้นสูงมาก ฉันหยิบไม่ถึง”
เมื่อประตูห้องหนังสือถูกปิด
เกาไห่ไม่เข้าใจ “เย่จึ หนังสือเล่มไหน? ”
เย่หลินยิ้มเล็กน้อย มองเกาไห่ “พี่ คุณรู้จักกับเธอได้ยังไง? คุณเคยเตรียมพร้อมที่จะใช้ชีวิตด้วยไหม? ”
เกาไห่ก้มหน้า ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงพยักหน้า “ที่ต่างประเทศ มีครั้งหนึ่ง ฉันถูกอันธพาลในพื้นที่ทำร้าย คือเธอที่ช่วยชีวิตฉัน เพราะว่าช่วยชีวิตฉัน เธอยังถูกมีดจากคนเหล่านั้น จนต้องเข้าโรงพยาบาล ต่อมา ฉันรู้ว่าเธอก็อยู่ต่างประเทศเพียงลำพังเหมือนกัน บางทีอาจจะโดดเดี่ยวเดียวดายเกินไปหรือเปล่า? จึงค่อยๆ คบหากัน”
เย่หลินนิ่งอึ้งไป ตกตะลึงอย่างมาก เพื่อคนแปลกหน้าคนหนึ่ง มาขวางมีดเอาไว้ ความกล้าหาญนี้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ
ตอนกลางคืน เพราะว่าหนิงเส่าเฉินมีงานเลี้ยง จึงกลับมาค่อนข้างดึก
พอเขาเปิดประตู ก็มีเงาของคนคนหนึ่งโผเข้ามาหาตนเอง
“เห็นไหม ยังจะบอกว่าผู้จัดการหยูกับประธานของเรามีอะไรกัน? พวกคุณดูเขาทำท่าทางรักใคร่เอ็นดูกับประธานเย่คนนั้น พวกคุณอะ……มองพลาดแล้ว! ”
“เฮ้อ ประธานเย่คนนี้ดวงดีจริงๆ เลย”
ตลอดจนเดินไปถึงรถ หนิงเส่าเฉินก็ไม่ปล่อยมือเย่หลินเลย
แต่ต่อจากนั้น เย่หลินก็ดึงเปิดประตูด้านหลัง แต่หนิงเส่าเฉินเปิดประตูด้านคนขับ
“ในรถมีกลิ่นหึงหวงนะ” หลังจากหนิงเส่าเฉินสตาร์ต ก็พูดประโยคนี้
เย่หลินทำเสียงไม่พอใจ หันไปมองนอกรถ
ในทันทีหลังจากนั้น รถก็เลี้ยวขวา แล้วจอดที่ข้างทาง
หนิงเส่าเฉินลงจากรถ ดึงประตูด้านหลังเปิดออก แล้วเข้าไปนั่ง
จับไหล่ของเย่หลิน เผชิญหน้ามองเธอ “พูดมา มีเรื่องอะไรไม่สบายใจ อย่าเก็บกดเอาไว้”
ประโยคนี้ของเขา ทำให้เย่หลินน้ำตาไหล เดิมทีอยากจะเก็บไว้ไม่พูดออกไป แต่อดกลั้นไว้ไม่ไหว พูดออกมา : “หนิงเส่าเฉิน คุณรังเกียจฉันใช่ไหม? ”
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมลงมา “รังเกียจคุณ รักคุณมากขนาดนี้ จะรังเกียจคุณได้อย่างไร? ”
“คุณโกหก ทั้งวันมีผู้หญิงสวยๆ รายล้อมคุณมากมายขนาดนี้ ฉะนั้น คุณดูจนพอแล้ว ตอนกลางคืนจึงไม่อยากแตะต้องฉัน”
แต่ว่า เธออัดอั้นมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่พูดออกไป เธอรู้สึกว่าตนเองจะเป็นบ้าแล้ว
มือของหนิงเส่าเฉินบนไหล่ของเธอ เห็นได้ชัดว่าสั่นเล็กน้อย
ยกแขนขึ้น แล้วตรวจดูวันที่บนนาฬิกาข้อมือ หนิงเชี่ยนบอกว่า ภายในสองเดือนเป็นอย่างต่ำ ไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ นี่ยังขาดอีกหนึ่งวัน ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่ใช่ไหม?
เขาไม่อยากรีบร้อนแบบนี้ เพื่อเย่หลินแล้วอย่าพูดว่าสองเดือนเลย สองปีเขาก็อดทนได้
แต่ว่า เขาทำให้เย่หลินเสียใจขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ทำอะไรสักอย่าง กลัวเธอจะระแวงจนจิตใจว้าวุ่น
คิดๆ แล้วก็ก้มลงไป จูบริมฝีปากเธอ แล้วกระซิบข้างหูเธอ : “หมอบอกว่า ร่างกายของคุณต้องพักผ่อนอย่างสงบ ฉันกลัวว่าคุณจะอ่อนเหนื่อยเกินไป ฉันจึงอดทนไว้ ไม่กล้าแตะต้องคุณ เพราะว่า……มีอะไรกันหนึ่งครั้ง ก็จะไม่ได้นอน แล้วก็ต้องอาบน้ำเย็น คุณไม่มีน้ำใจเลย คาดไม่ถึงว่าคุณจะสงสัยฉัน”
พูดจบ ก็ลงโทษอยู่บนริมฝีปากเธอ กัดเบาๆ แล้วพูดกระซิบกระซาบอีกครั้งว่า : “คุณ……ต้องการ? ”
เย่หลินตกตะลึง แต่รู้สึกดีใจ เธอคาดไม่ถึงว่าที่หนิงเส่าเฉินทำอย่างนี้ก็เพื่อเธอ
ดีใจจนพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหัวทันที ผลักหนิงเส่าเฉินออก “คุณ……คุณทำไมไม่พูดออกมาล่ะ? คุณไม่รู้หรอก ว่าหนึ่งเดือนนี้ของฉัน เป็นทุกข์แค่ไหน”
ทว่าในใจก็เกลียดตัวเอง น่าจะถามออกมาเร็วกว่านี้
หนิงเส่าเฉินสูดลมหายใจ “ฉันคิดว่าคุณไม่ได้สนใจ ปกติ……ปกติเวลาอยู่กับคุณ…… คุณหลีกเลี่ยงทุกวิถีทางมาใช่เหรอ? ” พูดจบ ก็ก้มลงไปพูดว่า : “ใครจะคิดว่าคุณ แอบมีความสุขล่ะ? ”
เย่หลินเห็นใบหน้าที่น้อยใจของเขา ก็หัวเราะออกมา นำมือไปคล้องคอหนิงเส่าเฉิน “ร่างกายของฉันเอง ฉันไม่ใช่ว่าจะไม่รู้ คุณไม่ถามฉันหน่อยเหรอ? ฉัน……ฉันบอกว่าได้ ก็ได้สิ! ”
หลังจากนั้น เธอก็เห็นดวงตาของชายคนนั้นแดงก่ำ ชั่วขณะก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย แล้วปล่อยเขา “เอ่อ ฉันหิวแล้ว”
หนิงเส่าเฉินหลับตา ดึงมือของเย่หลิน “รู้สึกได้ด้วยตนเอง? คุณสนใจไหม? ”
มือของเย่หลินสัมผัสวัตถุที่แข็ง ใบหน้าก็แดงก่ำ “คุณ……คุณหน้าไม่อาย! ”
พูดจบ ก็เปิดประตูลงจากรถ ไปนั่งข้างคนขับ แต่มุมปากยกขึ้นสูง แล้วก็เสียใจเล็กน้อยที่เมื่อกี้ตนเองใจแคบ
สองสามนาทีต่อมาหนิงเส่าเฉิน จึงกลับไปนั่งที่นั่งคนขับ มองเย่หลิน ขมวดคิ้วแน่น แต่มุมปากมีรอยยิ้มเล็กน้อย มองดูแล้วอารมณ์ดีอย่างมาก
ตอนเย็น เลิกงานมาเร็ว เย่หลินกำลังเล่นเป็นเพื่อนเย่เสี่ยวโม่และหนิงเสี่ยวซี เห็นเขากลับมา ก็แปลกใจ “วันนี้กลับมาเร็วจัง? ”
หนิงเส่าเฉินชำเลืองมองเธอ พูดอย่างเอาจริงเอาจังว่า: “อืม มาชำระบัญชี”
เย่หลินตอบ”อ้อ”คำหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้ตอบสนอง เล่นเป็นเพื่อนกับลูกต่อไป
“แม่ อะไรคือชำระบัญชี? ”
เย่หลินส่ายหน้า “ฉัน….ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
เธอคล้ายกับค่อยๆ มีปฏิกิริยาตอบสนอง บนใบหน้าก็แดงระเรื่อ “เอ่อ แม่จะลองไปถามพ่อให้นะ”
พอเข้าห้อง คนยังไม่ทันยืนได้อย่างมั่นคง ก็ถูกดึงเข้าไปในอ้อมกอดหนึ่ง
“หนิงเส่าเฉิน ต่อไปคุณห้ามพูดส่งเดชต่อหน้าลูกแบบนี้นะ พวกเขารู้เข้า มันจะน่าอายขนาดไหน”
หนิงเส่าเฉินหรี่ตา “นี่เรียกว่าเป็นการอบรมสั่งสอนล่วงหน้า ไม่มีอะไรน่าอายเลย”
เย่หลินพูดไปออก เห็นท่อนบนที่เปลือยเปล่า ใบหูก็แดงระเรื่อ ผลักเขาออกไป
“เอ่อ ฉัน…..ฉันลงไปดูทีวีก่อน”
มือร้อนผ่าว จากนั้น เธอก็ถูกชายหนุ่มโอบเอวเอาไว้
“ขาของคุณ……”
“ไม่มีปัญหาอะไรมาก”
“คุณ…..รีบร้อนเกินไปหรือเปล่า? นี่…..”
“ไม่รีบร้อน ก็ผิด รีบร้อน ก็ผิด คุณบอกมาซิว่า เมื่อไรถึงจะเหมาะสม? ”
เย่หลินลูบหน้าผาก “เอ่อ…..ฉัน…..” พูดไม่ออกบอกไม่ถูกเล็กน้อย
ทั้งคืนนี้ หนิงเส่าเฉินปฏิบัติต่อเธออย่างนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เอาใจใส่ดูแล ทำให้หัวใจที่ว่างเปล่าของเย่หลินในช่วงนี้ ในที่สุดก็เติมเต็ม
แล้วก็ทำให้เธอเข้าใจ วันเวลาที่คนทั้งสองผ่านมา ถ้าในใจมีเรื่องอะไร ก็ต้องพูดออกมา บางครั้ง ก็อาจจะเป็นความหวังดีของอีกฝ่าย แต่เพราะความหวาดระแวงของตนเอง อาจจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง
หลังจากเรื่องนี้ เธอก็ไว้วางใจหนิงเส่าเฉินยิ่งขึ้นไปอีก
วันเวลาก็กลับมาสงบอีกครั้ง จนกระทั่งเกาไห่โทรศัพท์มาหาเธอ บอกว่าอยากจะพาแฟนสาวกลับมา
เธอดีใจอย่างมาก ถึงอย่างไรพ่อแม่ก็ไม่อยู่แล้ว เธอก็คือครอบครัวของเกาไห่ เขาพาแฟนสาวกลับมา เธอจึงดีใจกับเขาเป็นพิเศษ
“คุณดูพี่สะใภ้ในอนาคตสิ? ”
หนังจากพี่สะใภ้กลับมา เย่หลินก็นำรูปภาพในมือถือให้เขาดู หนิงเส่าเฉินรับมือถือมา มองคร่าวๆ เล็กน้อย แล้วก็ส่งให้เย่หลิน ทันใดก็คล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้ หยิบมือถือของเย่หลินมา มองดูอีกครั้ง ต่อจากนั้น ในสายตาก็ปรากฏความงุนงง
จึงแสร้งทำเป็นถามเย่หลินว่า “แฟนสาวคนนี้ของพี่ชายคุณ ทำงานอะไร? ชื่ออะไร? ”
“อืม เขาไม่ได้พูดรายละเอียดนะ พูดแต่ว่า เป็นนางแบบคนหนึ่ง” เธอมองรูปภาพอีกสองครั้ง “ถึงแม้จะไม่สวยมาก ไม่เหมาะกับเกาไห่เล็กน้อย เพียงแต่ แค่พี่ชายฉันชอบ พวกเขาดีต่อกัน ก็พอแล้ว คุณว่าไหม? ”
หนิงเส่าเฉินหรี่ตา “ตอนนี้เขาไม่มีครอบครัว คุณในฐานะที่เป็นน้องสาวของเขา ก็ต้องตรวจสอบให้สักหน่อย ถึงอย่างไร ที่ก็เป็นเรื่องที่อยู่ไปชั่วชีวิต’
หนิงเส่าเฉินเอาใจใส่กับเรื่องของคนอื่นน้อยมาก เย่หลินคิดว่าที่เขาเตือนสติเธอแบบนี้ ก็เพื่อตนเอง จึงอบอุ่นใจเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้คิดมาก
ต่อมา เย่หลินออกจากบ้านได้แล้ว เธอก็เริ่มไปบริษัท เพียงแต่หนิงเส่าเฉินไม่อนุญาตให้เธอทำงาน ฉะนั้นเธอเลยได้แต่ทำงานซ้ำไปซ้ำมา
แต่หนิงเส่าเฉินเองหลังจากที่กลับมา ก็ยังทำงานจนดึกดื่น
ตอนแรกเย่หลินคิดว่าเขายุ่งกับงาน ต่อมามีอยู่ครั้งหนึ่งเธอพบว่า เขานอนหลับอยู่ในห้องหนังสือ ไม่ได้ทำงาน แต่เขาก็ไม่ได้กลับห้องเช่นกัน
สิ่งนี้ทำให้เย่หลินรู้สึกมีปมในใจ
หนิงเส่าเฉินยังคงปฏิบัติกับเธอดีมาก รักใคร่เอ็นดู เอาใจใส่ยิ่งกว่าเมื่อก่อน แต่……
ครึ่งเดือนมานี้ เมื่อถึงเวลาที่เขาจะพักผ่อน ก็เหมือนหลีกหนีจากเธอ รอให้เธอหลับแล้ว เขาจึงจะเข้ามานอน เมื่อเธอตื่น เขาก็ลุกขึ้นไปนานแล้ว
คืนนี้ เย่หลินเลยแกล้งหลับเร็วมาก เป็นอย่างที่คิดไว้ เห็นได้ชัดว่าหนิงเส่าเฉินก็กลับมาที่ห้องเร็วกว่าเดิม
เย่หลินรู้สึกว่าเขานอนลงข้างๆ ตน
ต่อมา ก็จูบลงที่หน้าของตน จากนั้นก็นอนลงอย่างสงบ เย่หลินเลยแกล้งทำเป็นพลิกตัว จงใจขยับเข้าไปใกล้ๆ เขาเล็กน้อย แล้วเอามือไปแตะบนเอวของเขา
ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงลมหายใจของหนิงเส่าเฉินถี่ขึ้นเล็กน้อย เมื่อเธอกำลังแอบดีใจ มือก็ถูกยกขึ้น จากนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าหนิงเส่าเฉินพลิกตัวลงจากเตียง จากนั้นก็ได้ยินเสียงน้ำในสระว่ายน้ำ
น้ำตาเธอก็ไหลออกมา
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยคิดมาก่อน ว่าชีวิตคู่เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม แต่ในเมื่อทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแล้ว นี่ก็เป็นรูปแบบหนึ่งที่จะรักษาความรักไว้ อีกทั้งเธอรู้จักหนิงเส่าเฉิน เขาแทบจะติดลบในการควบคุมพละกำลังของตนเอง เมื่อก่อน เธอแทบจะไม่ต้องไปกระตุ้นเขา เขาก็เร่าร้อนอย่างมาก
แต่ว่า……หลังจากครั้งที่แล้วที่เธอได้รับบาดเจ็บ เขาก็ไม่เคยแตะต้องเธอเลย
ในตอนแรก เธอคิดว่าขาของเขายังไม่หายดี แต่ว่าตอนนี้เห็นเขาเดินได้คล่องแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สาเหตุนี้ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมาก
หรือเป็นเพราะในตอนนั้นตนเองดูหน้าตาน่าเกลียดเกินไป จึงทำให้เขามีสิ่งกีดขวางทางใจกับเธอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งน้อยใจ แล้วก็ยิ่งโกรธ เธอก็เลยหันกลับไป ไม่สนใจเขาอีก
หลายวันต่อมา เธอก็นอนหันหลังให้เขา ความโกรธในใจที่สะสมไว้เป็นวันเป็นเดือน ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่เธอก็ไม่ได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ถึงอย่างไรนอกเสียจากด้านนี้แล้ว เรื่องอื่นที่หนิงเส่าเฉินปฏิบัติต่อเธอ ยังคงไร้ที่ติ
วันนี้อู่เล่อเล่อนำเอกสารสัญญามาให้เธอ “ประธานเย่ เอกสารสัญญาของเรากับหนิงกรุ๊ป ใกล้หมดอายุแล้ว ถ้าคุณมีเวลาก็นำกลับไปให้ประธานหนิงเซ็นหน่อยนะ”
เย่หลินพยักหน้า คิดๆ ดูก็ไม่ได้ไปที่บริษัทของหนิงเส่าเฉินนานแล้ว อยากจะไปดูเขาสักหน่อย แล้วถือโอกาสทานอาหารกลางวันกับเขา
เมื่อเย่หลินมาถึง คนในบริษัทก็เลิกงานพอดี
“สวัสดีคุณนาย……”
“สวัสดีคุณนาย! ”
เพราะฐานะของเธอ เป็นความลับที่เปิดเผยแล้ว ดังนั้นทุกคนจึงเรียกเธอว่าคุณนายโดยจิตใต้สำนึก
ในตอนแรกเย่หลินก็รู้สึกเขินอาย หลังๆ ก็เริ่มชินไปแล้ว
เมื่อเดินไปถึงลิฟต์ จู่ๆ เธอก็ปวดท้องขึ้นมา เลยหันกลับไปเข้าห้องน้ำ
ประตูเพิ่งจะปิดลง ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามา
“เมื่อกี้คุณเห็นไหม? เย่หลินคนนั้นมาแล้ว”
“เห็นสิ มีลูกสองคนแล้ว ยังเหมือนกับสาววัยรุ่นเลย ผิวพรรณอ่อนเยาว์กว่าเมื่อก่อนอีก”
“ดูอ่อนเยาว์ แล้วจะมีประโยชน์อะไร ส่วนคนคนนั้น มองมานานแล้ว ก็ไม่รู้สึกสวยเลยสักนิด”
“จริง ช่วงนี้ฉันเห็นท่านประธานของพวกเรากับหยูซื่อหนานคนนั้นเข้าๆ ออกๆ กันบ่อยครั้ง ดูแล้วความสัมพันธ์คงไม่เลวเลย”
“ใช่ๆๆ คุณก็เห็นใช่ไหม? มีครั้งหนึ่ง ฉันเข้ากะตอนกลางคืน เกือบสี่ทุ่มแล้ว คนทั้งสองเพิ่งจะออกมาจากห้องทำงาน”
“คุณพระ พวกเขาคงไม่…..ในห้องทำงาน…..”
“พอๆ นี่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราควรจะยุ่ง ไปเถอะ”
หลังจากเย่หลินออกมาจากห้องน้ำ คนทั้งหมดก็ต้องทึ่มทื่อไป
หนิงเส่าเฉินกับหยูซื่อหนาน? ผู้หญิงคนที่เท่สง่าคนนั้นน่ะเหรอ?
ไม่ ถึงผู้ชายทุกคนบนโลกจะเจ้าชู้ เธอก็ไม่เชื่อว่า หนิงเส่าเฉินจะนอกใจ สี่ปีนั้น คือเครื่องพิสูจน์ที่ดีที่สุด
คิดถึงตรงนี้ ก็พ่นลมหายใจ ขึ้นลิฟต์ มาถึงชั้นที่เป็นห้องทำงานท่านประธาน
คนของห้องเลขาฯ เห็นเธอมา แต่ละคนก็มีใบหน้าตกใจอย่างเห็นได้ชัด
เห็นเธอเดินไปยังห้องท่านประธาน ก็มีคนหนึ่งออกมา ดึงเธอเอาไว้ “คุณนาย ช่วงนี้ดูคุณสวยเป็นพิเศษเลยนะ มีเคล็ดลับอะไรเหรอ? ”
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็เข้ามารายล้อม
เย่หลินนับว่าเป็นแขกประจำที่มาที่นี่ เลขาฯ ของที่นี่ เธอก็รู้จัก แล้วก็รู้ดีอยากมากว่า ปกติหนิงเส่าเฉินไม่อนุญาตให้พวกเขาซุบซิบนินทากันในเวลางาน
การกระทำในวันนี้ ดูผิดปกติเกินไปจริงๆ
คิดถึงตรงนี้ ในสมองของเธอก็กลับไปนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่ได้ยินในห้องน้ำเมื่อกี้นี้ สีหน้าจึงเคร่งขรึม แต่ยังอดกลั้นยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า: “ฉันมาหาหนิงเส่าเฉินมีธุระเล็กน้อย อีกสักครู่ออกมา ค่อยมาคุยกับพวกคุณ”
ต่อจากนั้น เธอก็ผ่านฝูงชน เดินไปยังห้องทำงานของหนิงเส่าเฉินอย่างรวดเร็ว แต่ในใจกลับเป็นกังวลไม่หยุด
เมื่อเปิดประตู ก็เห็นหนิงเส่าเฉินและหยูซื่อหนานสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานตรงข้ามกัน ตรงกลางมีแบบแปลนแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง คนทั้งสองคล้ายกับกำลังหารือเรื่องอะไรกันอยู่
หนิงเส่าเฉินเห็นเย่หลินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้น “เย่จึ คุณมาได้ยังไง? ”
เย่หลินยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คิดถึงคุณ ก็เลยมาหาคุณ อยากจะนัดคุณทานข้าวกลางวันด้วยกัน”
หนิงเส่าเฉินจูบที่บนแก้มขวาของเธอเล็กน้อย “ได้ คุณนั่งรอที่นั่นสักครู่ก่อน ทางด้านของพวกเราก็จะเสร็จแล้ว” พูดพลาง ก็เข้าไปประคองเย่หลินให้นั่งลงบนโซฟา
เย่หลินก็ส่งยิ้มให้เธอเล็กน้อย
ต่อจากนั้นหนิงเส่าเฉินและหยูซื่อหนานก็พูดคุยกันอีกราวๆ สิบกว่านาที เย่หลินไม่ได้ฟังให้ละเอียดว่าพวกเขาพูดอะไรกัน ได้ยินเพียงหนิงเส่าเฉินที่อยู่ด้านหลังลุกขึ้น พูดอย่างเย็นชาว่า: “ประธานหยู นี่คือส่วนประกอบที่สำคัญของฉัน ถ้าคุณยึดมั่นที่จะไม่เห็นด้วย เช่นนั้น ระหว่างพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องปรึกษาหารือกันอีก คุณไปเถอะ! ”
พูดจบ ก็เดินอ้อมโต๊ะทำงาน มายังตรงหน้าเย่หลิน “ไปกันเถอะ คุณอยากทานอะไร ฉันจะพาคุณไปทาน”
“อาหารเผ็ด! ”
“ไม่ได้ ร่างกายของคุณเพิ่งจะดีขึ้น คุณหมอกำชับว่า จะต้องงดอาหารบางอย่าง” เห็นเย่หลินเบะปาก เขาก็ลูบๆ ที่หัวของเธอ “เชื่อฟังสิ นอกจากของเผ็ดแล้ว อย่างอื่นก็ตามใจคุณเลย โอเคไหม? ”
เย่หลินพยักหน้า ดึงแขนของเขา ลุกขึ้นยืน
เมื่อคนทั้งสองเดินผ่านหยูซื่อหนาน เย่หลินก็เอ่ยปากว่า: “ประธานหยู ไปทานข้าวด้วยกันไหมคะ? ”
หยูซื่อหนานกำลังเก็บแบบแปลน เมื่อได้ยิน ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ตอนกลางวันมีนัด ต้องขอโทษด้วยค่ะ”
ต่อจากนั้นเย่หลินก็โอบเย่หลินออกไปจากห้องประธาน ระหว่างทาง ก็จัดผมให้เธอ และก็พูดคุยเรื่อยเปื่อยกับเธอ
ท่าทีที่หวานชื่นนั้น ทำให้กลุ่มผู้หญิงกลุ่มหนึ่งอิจฉาตาร้อน แล้วก็นำการคาดเดาทั้งหมดก่อนหน้านี้ ตีกลับไปอย่างเดิม
เย่หลินที่พยายามแสดงออกถึงท่าทีที่มีความสุขตั้งแต่ต้นจนจบ แต่มือทั้งสองที่อยู่ข้างตัวอดไม่ได้ที่จะกำไว้แน่น
หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบกลับเธอ จับมือเธอ จ้องมองเธอตลอด เย่หลินเขินอายเลยพูดหยอกล้อว่า : “ทำไมฉันสวยเกินไปเหรอ? ”
ชายคนนั้นพยักหน้า จูบลงบนริมฝีปากแดงๆ ของเธอ “ใช่ สวยมาก! นอนเถอะ! เรื่องของพวกเขา พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
เย่หลินยกยิ้มอย่างสวยงาม เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่า หน้าตาดีก็เป็นเรื่องที่ไม่เลว
วันต่อมา แผลบนร่างกายดีขึ้นมากแล้ว เย่หลินจึงสามารถลุกจากเตียงได้ เมื่อเธอเห็นตัวเองในกระจกที่มีใบหน้าเขียวช้ำ เธอก็แทบจะร้องไห้เลย ความงดงามนี้มันไม่สำคัญแล้วใช่ไหม?
จากนั้นเธอก็ปิดใบหน้า ประคองกำแพงหันหลังให้หนิงเส่าเฉิน เดินไปที่เตียงของตนเอง นอนลงแล้วใช้ผ้าห่มคลุมใบหน้า
นึกถึงเมื่อวานที่หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอนานขนาดนั้น เธอก็รู้สึกอยากจะบ้า
“หนิงเส่าเฉิน คุณโกหก! ”
หนิงเส่าเฉินกำลังอ่านหนังสืออยู่ ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็หันมองไปที่เธอ ถามอย่างตึงเครียดเล็กน้อย : “โกหก? โกหกอะไรคุณ? ”
“เมื่อวานคุณบอกว่าสวยมาก นี่……นี่มันเหมือนกับหัวหมูเลยใช่ไหม? ”
เขาโล่งอก ยิ้มมุมปาก สายตาก็กลับไปที่หนังสือ “คุณไม่เคยได้ยินความงามในสายตาคนรักเหรอ? สำหรับฉัน คุณเป็นหัวหมูก็สวยมาก”
เธอได้ยิน ก็มีความสุข ผ่านไปสักพัก ก็ได้สติกลับมา “หนิงเส่าเฉิน คุณพูดว่าใครเป็นหัวหมู? ”
เวลานี้ประตูห้องก็ถูกเปิดออก
มีเสียงฝีเท้าเข้ามา เย่หลินกลับไปปิดหน้าเหมือนเดิม แล้วเห็นหนิงเสี่ยวซีกับเย่เสี่ยวโม่ผ่านซอกนิ้ว ก็ดีใจ “เสี่ยวซีเสี่ยวโม่ พวกคุณมาได้อย่างไร? ”
“แม่ คุณอย่าปกปิดสิ เราเคยเห็นมาก่อนแล้ว”
“แม่ คุณดีขึ้นแล้วหรือยัง? ”
เย่หลินพยักหน้า วางมือทั้งสองลง พยุงตัวนั่งขึ้นมา ดึงเสี่ยวซีกับเสี่ยวโม่มากอด “ทำให้พวกคุณต้องเป็นห่วงเลย แม่ไม่เป็นอะไรแล้ว”
เย่เสี่ยวโม่ยื่นสองมือออกไปให้เย่หลิน หนิงเสี่ยวซีก็กระแอมเบาๆ กกหูก็แดงไปหมด
หมอบอกว่ามีเชื้อโรคมากมาย ดังนั้นเย่หลินจึงไม่ให้พวกเขาอยู่นานจึงให้คนส่งพวกเขากลับที่พักไป
พวกเขาเพิ่งจะเดินออกไป หลังจากนั้นหนิงเส่าเฉินก็พูดขึ้นว่า “อาหลีคนนั้น ตายแล้ว”
น้ำเสียงของเขาสงบอย่างมาก เย่หลินขมวดคิ้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน แม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคย แต่อย่างไรก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน อีกอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เขาก็อาจจะ……
หนิงเส่าเฉินมองออก ว่าเธอเริ่มจะโทษตัวเองอีกครั้ง “ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องนี้ เขาก็มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน เขาก็เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายอยู่แล้ว อีกทั้งตอนที่เกิดเรื่องขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาจะนอนอยู่กับพวกเขาก็ได้ ทว่ายังคงรนหาที่ตาย”
“มะเร็งตับระยะสุดท้าย? คุณ……คุณรู้ได้อย่างไร? ”
“เมื่อวานฉันให้หลิวซูส่งเงินไปให้ครอบครัวเขา อยากจะชดเชยให้ แต่ครอบครัวเขาไม่รับ บอกว่าเขาฆ่าตัวตาย ไม่ได้โทษพวกเขา” เมื่อคืนเขาไม่ได้บอกเย่หลิน กลัวจะมีผลกระทบต่อการนอนหลับของเธอ
เย่หลินเม้มๆ ปาก น่าแปลกใจมาก ผู้ชายที่ร่าเริงแบบนั้น คาดไม่ถึงว่าคิดจะหายไปก็หายไป คิดๆ แล้วเธอก็เสียใจที่พูดแบบนั้นกับเขาเมื่อวานนี้
เพราะสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน เดิมทีก็คิดว่าจะเที่ยวอยู่เมือง S สัก 5-6 วัน ต่อมาก็พักอยู่ที่นี่มา 10 วันแล้ว จนกระทั่งเย่หลินลงจากเตียงได้ พวกเขาจึงกลับไป และครั้งนี้เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยว ยังต้องกลับไปอย่างทุพพลภาพอีก
ทุกคนนัดกันดีแล้ว ว่าจะหาเวลามาเจอกันใหม่อีก
หลังจากกลับไป เย่หลินก็ไม่อนุญาตให้หนิงเส่าเฉินไปบริษัท หลิวซูจึงต้องวิ่งไปมาทุกวัน นำงานที่บริษัทย้ายมาที่บ้าน
เพียงแต่หนิงเชี่ยนอยู่ที่นี่ เขาก็เต็มใจอย่างมากที่จะวิ่งมาทุกวี่ทุกวัน
พอถึงบ้าน เยีหลินก็ได้รับวีแชตของซู่ซู่ กล่าวขอโทษต่อเธอ บอกว่าวันนั้นไม่ควรนัดพวกเขาให้ไปปีนภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งด้วยกันเลย
เธอก็บอกไปว่าไม่เป็นไร หลังจากนั้นก็ออกจากกลุ่มเพื่อนร่วมชั้น แล้วลบวีแชตของซู่ซู่ทิ้ง
เธอรู้ว่าการทำแบบนี้ มันดูเกินไปเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกว่าไม่ใช่คนที่รู้จัก ไม่ควรสนิทสนมกันอีก
ต่อจากนั้น วันเวลาก็กลับมาสงบลงอีกครั้ง เพียงแต่มีบางเรื่อง ที่เธอกลุ้มใจอย่างมาก คาดไม่ถึงว่าหนิงเชี่ยนจะบอกว่าจะไม่กลับต่างประเทศชั่วคราว อยู่แต่บ้านเธอทุกวัน ตุ๋นอาหารบำรุงทุกอย่างให้เธอกิน และคุณป้าที่โรงพยาบาลคนนั้น ก็กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลหนิงด้วย ถึงแม้การได้รับบาดเจ็บบนร่างกายของเธอจะหายดีจนหมดแล้ว วันๆเธอก็ไม่ยอมให้เธอทำอันนั้น ไม่ยอมให้เธอทำอันนั้น บอกว่าหนิงเส่าเฉินให้ค่าจ้างเธอหนึ่งเดือน เธอจะต้องทำหน้าที่ให้ดี
เพียงแค่เธอต่อต้าน หนิงเส่าเฉินจะลงมาดูแลด้วยตัวเอง ทำให้เธอปฏิเสธไม่ได้โดยสิ้นเชิง
อีกทั้งยังห้ามให้เธอออกจากบ้าน ไม่ต้องพูดถึงไปบริษัท
วันนี้ ห่างจากวันที่เธอเกิดเรื่อง 30วันแล้ว เหมือนเช่นเคย คุณป้าช่วยปรนนิบัติอาบน้ำให้เธอเสร็จแล้ว ก็เร่งรัดให้เธอขึ้นเตียงนอน
เย่หลินกระแอมเบาๆ “คุณป้า นี่เป็นวันสุดท้ายแล้วใช่ไหม” ป้าคนนี้อยู่กับเย่หลินมาหลายวัน รู้ว่าเธอดี นิสัยดี จึงยิ้มแล้วกล่าวว่า: “ใช่ค่ะ คุณนาย คุณลองดูสิ ตอนนี้น่ะ ร่างกายของคุณก็ดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อยแล้ว สีหน้าก็ดูดีขึ้นมากเลย”
เย่หลินหน้าดำคร่ำเครียด ก้มหน้า นี่มีเนื้อมีหนังขึ้นมาหน่อยที่ไหนกันล่ะ? เธอรู้สึกว่าตนเองอ้วนขึ้นมาอย่างมากเลย อีกทั้งยาบำรุงลมปราณบำรุงเลือดของหนิงเชี่ยนนั้น ก็ทำให้เธอกลัวเลยจริงๆ
“คุณป้า ขอบคุณ คุณนะ ที่ดูแลในช่วงนี้”
คุณป้าคนนั้นพยักหน้ากับเย่หลิน “นี่คือสิ่งที่ควรจะทำ”
หลังจากคุณป้าไปแล้ว เย่หลินมองเวลาแล้วยังไม่ดึก จึงไปห้องหนังสือ เปิดประตูเบาๆ หนิงเส่าเฉินกำลังก้มหน้าจัดการงานอยู่ ความสามารถในการฟื้นตัวของเขาน่าทึ่งมาก ในเวลานั้น เพียงแค่กระดูกร้าวเล็กน้อย ไม่ได้กระดูกหัก ดังนั้น ตอนนี้นอกจากไม่สามารถเคลื่อนไหวรุนแรงได้แล้ว การเดินปกติก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เพียงแต่ เย่หลินเป็นห่วงเขา ดังนั้น จึงให้เขาอยู่ทำงานที่บ้าน
หลังจากผ่านไปนาน เย่หลินจึงรู้ว่า ที่แท้หนิงเส่าเฉินเป็นห่วงเธอ กลัวว่าเธอจะไม่ยอมอยู่ในบ้าน ดังนั้น จึงจงใจหาข้ออ้างที่จะไม่ไปบริษัท
ระหว่างที่ใจลอย ก็มีเงาสูงใหญ่เงาหนึ่งเดินมายังตรงหน้าเธอ จับเอวของเธอ “ไปนอนเร็วๆ หน่อยสิ อีกสักครู่ทางด้านนี้เสร็จแล้ว ฉันก็จะไปนอน”
เย่หลินโอบกอดหนิงเส่าเฉินกลับ นำหัวถูไถอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ฉันไม่นอนเป็นเพื่อนฉัน ฉันก็นอนไม่หลับหรอก”
หนิงเส่าเฉินจูบลงบนใบหน้าของเธอ “อย่างนั้นก็ได้ อย่างนั้นคุณนั่งรอฉันตรงนั้นครู่หนึ่ง ฉันจะรีบทำให้เร็วหน่อย”
เย่หลินพยักหน้า หันหน้าไปสังเกตห้องหนังสือนี้อย่างละเอียด เต็มไปด้วยหนังสือที่อยู่ในตู้ เธอเลยดึงออกมาเล่มหนึ่ง พลิกอ่านไปสองหน้า อ่านแล้วไม่เข้าใจ ก็วางเก็บกลับไป แล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ จ้องมองหนิงเส่าเฉิน ไม่เคลื่อนย้ายสายตา
ต่อมา ก็สะลึมสะลือแล้วหลับไป เมื่อตื่นขึ้นมา คนก็มานอนอยู่บนเตียงแล้ว
เธอลุกขึ้นนั่ง เห็นหนิงเส่าเฉินไม่ได้อยู่ข้างๆ ก็เลยดูมือถือ เป็นเวลาตีสองแล้ว จึงขมวดคิ้ว หันลงจากเตียง
คิดว่าเขาอยู่ในห้องหนังสือ ดูแล้วก็ไม่มี จึงไปดูที่ห้องรับแขก ห้องครัว ก็ล้วนไม่มี
กลับมาถึงห้องนอน เธอได้ยินเสียงน้ำจากด้านนอก จึงตกใจ เปิดผ้าม่าน ก็เห็นหนิงเส่าเฉินเพิ่งขึ้นมาจากสระว่ายน้ำ เห็นเธอยืนอยู่ที่หน้าประตู ก็เลยเปิดประตูกระจก “เป็นอะไรเหรอ? ฝันร้ายเหรอ? ”
เย่หลินส่ายหน้าน้ำตาก็ไหลออกมา “ทำไมดึกขนาดนี้แล้ว คุณยังมาว่ายน้ำอีก? ไม่นอนเหรอ? ”
หนิงเส่าเฉินก้มหน้า เช็ดหยดน้ำบนร่างกาย “ไม่เป็นไร คุณนอนก่อนเถอะ ฉันอยู่ที่นี่”
เย่หลินพยักหน้า กลับไปเอนตัวลงบนเตียง ผ่านไปครู่หนึ่งหนิงเส่าเฉินก็เดินเข้ามา เปิดผ้าห่มแล้วเอนกายลงข้างเธอ เอียงตัวมาจูบที่ริมฝีปากเธอ “นอนเถอะ ฝันดี”
ต่อจากนั้น เย่หลินก็เห็นเขาหลับตาจริงๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงหายใจที่เสมอกันดังออกมา
ในใจก็โหรงเหรงในทันที คล้ายกับว่าหนิงเส่าเฉินเปลี่ยนไป!
“พี่สะใภ้ คุณหมดสติไปสองสามวันแล้ว คุณยังบอกว่าไม่เป็นอะไรอีก” หนิงเชี่ยนพูดจบ ก็เปิดกล่องข้าว “ฉันตุ๋นซุปมาให้คุณ คุณดื่มสักหน่อยเพื่อบำรุงร่างกาย”
เย่หลินแปลกใจ “ฉันหมดสติไปนานขนาดนี้เลยเหรอ? ในตอนนั้นน่าจะเหนื่อยล้ามากจริงๆ เลยนอนไปนาน” หลังจากนั้นก็เห็นซุปที่หนิงเชี่ยนยกมาให้เธอ “แค่หกล้มก็เท่านั้น เสี่ยวเชี่ยน คุณดูแลฉันดีเกินไปแล้ว ยังตุ๋นซุปบำรุงมาให้อีก”
คอหนิงเชี่ยนก็เริ่มฝืด หัวเราะแห้งๆ สองที เธอจะกล้าบอกได้อย่างไร ว่านี่คือยาบำรุงร่างกายของเธอหลังจากแท้งลูก
เวลานี้ มีคุณป้าคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก “คุณนาย ให้ฉันหวีผมล้างหน้าให้คุณสักหน่อย แล้วค่อยกินนะ” พูดจบ ก็บิดผ้าขนหนู ทำท่าจะเช็ดหน้าให้เย่หลิน
เย่หลินก็รับผ้าขนหนูของเธอด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “เอ่อ คุณป้า นี่คุณจะทำอะไร? ” แล้วเตรียมเปิดผ้าห่มลุกจากเตียง
หนิงเชี่ยนกดเธอไว้ “พี่สะใภ้ คุณดูขาคุณสิ แล้วก็บนร่างกาย ไม่มีที่ไหนดีเลย พี่ชายฉันเห็นก็เจ็บปวดใจ เลยให้คุณป้ามาดูแลคุณสักพัก คุณก็เชื่อฟังดีๆ เถอะ”
หนิงเชี่ยนพูดจบ ก้มหน้าปกปิดความหวาดกลัวในแววตา
พี่ชายเธอไม่ให้เธอบอกเย่หลิน เรื่องที่เธอแท้งลูก กลัวว่าจะไปสะเทือนจิตใจเธอ ฉะนั้นทุกคนก็เลือกที่จะปกปิดมาตลอด
การแท้งลูกในครั้งนี้ของเธอ ถ้าไม่ฟื้นฟูร่างกายให้ดี ก็เกรงว่าจะทิ้งโรคเรื้อรังไว้ให้ในอนาคต ดังนั้น เธอเลยขอลาจากโรงพยาบาลที่ต่างประเทศหนึ่งเดือน เลยตัดสินใจที่จะอยู่และใช้ความรู้ทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมา บำรุงรักษาร่างกายของเธอด้วยตัวเอง ก็หวังอย่างยิ่งว่าจะมีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ใช่เด็ก ที่ยังจะให้คนมาล้างหน้าให้ เสี่ยวเชี่ยน พี่ชายคุณก็เกินไปแล้ว” เย่หลินทำอะไรไม่ถูก
“คุณไม่ให้เธอล้าง เช่นนั้นฉันเอง! ” ทันใดนั้นเสียงของหนิงเส่าเฉินก็ดังขึ้น จากนั้นก็เห็นเขาใช้มือไปดึงขาข้างที่บาดเจ็บของเขาจริงๆ
เย่หลินรีบร้อน “คุณ……คุณอย่าขยับ ฉันจะให้เธอล้าง ให้ฉันทำเองก็ไม่ได้ใช่ไหม? ”
หนิงเส่าเฉินไม่เคลื่อนไหว มองดูเย่หลินถูกคุณปรนนิบัติให้จนเสร็จ จากนั้นจึงนำขากลับไปวางที่ตำแหน่งเดิม
หลังจากทานอาหารเสร็จ คุณป้ากับหนิงเชี่ยนก็ออกไป
ในห้องก็เหลือเพียงหนิงเส่าเฉินกับเย่หลิน
เย่หลินหันไปก็เผชิญหน้ากับหนิงเส่าเฉิน เห็นว่าเขาลืมตาตื่นอยู่ แต่ไม่ได้พูดอะไรกับตน
ในใจก็แปลกใจเล็กน้อย เวลานี้ไม่ถามเกี่ยวกับอาการของเธอหน่อยเหรอ?
เธออ้าปากคิดอยากจะพูดอะไร ก็กลัวว่าเขาจะคิดเรื่องอะไรอยู่ คิดๆ แล้วก็หุบปากไป
รู้สึกได้ว่าเวลาผ่านไปนาน ข้างนอกหน้าต่าง จากกลางวันก็เปลี่ยนเป็นกลางคืน
แต่หนิงเส่าเฉินก็ยังคงไม่พูดอะไร
ตั้งแต่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้ เย่หลินก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้เลย ชั่วขณะก็รู้สึกน้อยใจ เธอพยายามช่วยเขาอย่างสุดชีวิต แต่ท่าทีนี้ของเขาคืออะไร?
จู่ๆ เธอก็ทนไม่ไหว เตรียมที่จะพูดอะไรออกมาสักหน่อย
หนิงเส่าเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเคยคิดไหม ถ้าวันนั้นคุณกลับมาไม่ได้ ฉันควรจะทำอย่างไรดี? ”
เย่หลินตกตะลึง พูดเบาๆ ว่า : “นี่ไม่ใช่ว่ากลับมาได้แล้วเหรอ? ”
“คุณคิดว่า คุณใช้ชีวิตตัวเองมาช่วยชีวิตฉัน ฉันก็จะประทับใจใช่ไหม? ” เสียงเขาไม่มีโทนเสียงเลยสักนิด ทำให้เย่หลินฟังแล้วรู้สึกผิดปกติเล็กน้อย
นี่เขาหมายความว่าอะไร? เธอช่วยชีวิตเขา เธอไม่ได้ต้องการให้เขาประทับใจนะ?
เขาได้รับบาดเจ็บเพื่อเธอ อีกอย่าง ภายในใจของเธอ เขาคือผู้ชายที่เธอรัก คือพ่อของลูกทั้งสองของเธอ ด้วยความรู้สึกด้วยเหตุผล เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะไม่ช่วยชีวิต
ในทันใด น้ำตาก็ไหลพราก ค้ำร่างกายส่วนบนแล้วพูดเสียงดังว่า: “หนิงเส่าเฉิน ฉันไม่เคยคิดที่จะทำให้คุณซาบซึ้งใจ ฉันทำด้วยความเต็มใจของตนเอง ถึงฉันต้องตายไป ฉันก็เต็มใจ โอเคไหม? ”
เธอยิ่งพูดยิ่งเสียใจ สวรรค์รู้ดี เวลานั้น เธอตกลงไปในหลุมกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หกล้มไปกี่ครั้ง ก้อนหินที่เคลื่อนที่เหล่านั้น กระแทกเธอไปกี่ครั้ง? แต่ว่า เวลานั้นในใจของเธอร้อนรนที่จะช่วยชีวิตเขา ดังนั้น มีหลายครั้ง เธอรู้สึกว่าตนเองแทบจะลุกขึ้นมาไม่ไหว พอนึกถึงเขา เธอก็ยังประคองมาจนสุดทาง แต่ผลสุดท้าย คาดไม่ถึงว่าเขายังตำหนิเธอ
“ฉันยอมที่จะตัดขาข้างนี้ ดีกว่าต้องยอมให้คุณไปเสี่ยงอันตราย คุณรู้บ้างไหม? ถ้าคุณต้องตายไปแบบนี้ ฉันหนิงเส่าเฉินก็จะไม่ยอมมีชีวิตอยู่ไปวันๆ อย่างแน่นอน” เขาหันตัวกลับ สบตากับเธอ เย่หลินมองเห็นถึงหมอกในดวงตาของเขา
ในใจก็เข้าใจได้ถึงอะไรบางอย่าง “หนิงเส่าเฉิน คุณร้องไห้เหรอ? ”
ไม่สนใจเธอ
“หนิงเส่าเฉิน ฉันผิดไปแล้ว ครั้งต่อไปฉันไม่ทำแล้ว”
เขาจ้องมองเธอ
“หนิงเส่าเฉิน…..ถ้าคุณยังไม่สนใจฉันอีก ฉันก็จะร้องไห้ให้คุณดู! ”
เห็นชายหนุ่มวางขาลง เย่หลินก็ร้อนใจ “คุณ คุณทำอะไร? ”
หนิงเส่าเฉินนำน้ำเกลือที่แขวนอยู่ มาแขวนไว้ข้างๆ เย่หลิน หลังจากนั้นก็เดินขาเดียวค้ำกำแพงเดินเข้ามา ขึ้นเตียง เอนกายลงข้างๆ เย่หลิน เปิดผ้าห่มของเธอออก
ถึงแม้เตียงของห้องVIPนี้จะค่อนข้างกว้าง แต่เมื่อสองคนนี้อยู่ด้วยกัน ก็แคบลงอย่างเห็นได้ชัด รับรู้ถึงความอบอุ่นที่แพร่ออกมาจากร่างกาย ในใจเย่หลินก็อบอุ่น แต่เวลานี้เห็นหนิงเส่าเฉินจะเปิดเสื้อของเธอออก ก็ต้องตกใจ “หนิงเส่าเฉิน คุณทำอะไร? ฉัน…..ฉันได้รับบาดเจ็บ คุณคงไม่คิดที่จะ……..”
ถูกดีดหน้าผากเล็กน้อย หนิงเส่าเฉินจ้องมองเธอ
ต่อจากนั้นร่างกายช่วงบนก็เย็นวาบ เย่หลินหน้ามอง เย่หลินก็เห็นว่าหนิงเส่าเฉินเปิดเสื้อของเธอออก “คุณดูเอาเองว่า คุณทำตัวเองจนเป็นถึงขนาดไหน? ”
ด้านบนนั้น รวมทั้งตำแหน่งหน้าอก ล้วนได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่มอง ก็ต้องตกตะลึงจริงๆ เธอดึงผ้าห่มขึ้น ปิดเอาไว้ หันหน้าไปมอง เห็นหนิงเส่าเฉินตาแดงก่ำ จึงค่อยๆ พลิกตัว โน้มลำคอของเขา แล้วจูบลงไปบนริมฝีปากเขา
“ถ้าเวลานั้นเปลี่ยนเป็นคุณ ฉันเชื่อว่า คุณก็ต้องทำแบบนี้” พูดจบ ก็ยิ้มเล็กน้อย เห็นเขาไม่พูดจา มือน้อยๆ ก็เกาะที่เอวของเขา ลูบเบาๆ สองที
ก็พบว่าการแสดงออกบนใบหน้าของชายหนุ่ม ชัดเจนว่าผ่อนคลายลงอย่างมาก
“ครั้งต่อไป ถ้าคุณยังทำแบบนี้อีก ฉันไม่ยกโทษให้คุณแน่” ถึงแม้ในใจเขาจะซาบซึ้งกับความทุ่มเทของเธอ แต่เขาก็ยิ่งหวาดกลัว ในความทุ่มเทของเธอ
เย้หลินเบ้ปาก พยักหน้า “โอเคๆ รับทราบ”
ทางด้านนี้ กำลังจะจูบลงบนใบหน้าของหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง แต่กลับถูกดึงมาไว้ในอ้อมกอดที่อบอุ่น “ถ้าเกิดเรื่องกับคุณ ถึงฉันจะได้รับการช่วยเหลือแล้ว ฉันก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ คุณเข้าใจไหม? ”
“ไม่ได้สิ แล้วอย่างนั้นใครจะเลี้ยงลูกชายลูกสาวของพวกเราล่ะ? ”
“ให้คนอื่นเลี้ยง! ”
“หนิงเส่าเฉิน! ”
“ฉันอยากให้คุณเข้าใจว่า ความตายไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือ คนที่มีชีวิตอยู่ จะอยู่อย่างไร? เย่หลิน ฉันแยกจากคุณไปไม่ได้! ”
เย่หลินตัวสั่นเล็กน้อย ยกมือไปตีเขา “แย่จริง ฉันทำให้คุณร้องไห้อีกแล้ว”
“เออใช่ คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนเหล่านั้นของซู่ซู่? วันนั้น ที่พวกเราเห็นว่ามีคนคนหนึ่งตกลงไป ใช่…..เป็นหนึ่งในนั้นของพวกเขาไหม? ”
เธออยู่แผนกสูตินรีเวช เธอรู้ว่าสถานการณ์การแท้งบุตรอย่างนี้ของเย่หลิน หมายถึงอะไร
เธอรู้ดีว่าคำพูดของหมอจะไม่ทำให้คนอื่นๆ ตกใจ
ปิดวิดีโอคอลแล้ว หนิงเส่าเฉินก็โทรเข้ามา “หนิงเชี่ยน ฉันต้องการเห็นพี่สะใภ้คุณ ทำไมคุณไม่รับสายวิดีโอคอล? ”
เสียงที่คำรามและวิตกกังวลดังออกมาจากด้านใน
หนิงเชี่ยนสูดหายใจเข้า หลังจากปรับอารมณ์ให้คงที่แล้ว สักพักจึงพูดออกมา : “พี่……พี่สะใภ้หลับแล้ว พรุ่งนี้ค่อยดูใหม่เถอะนะ? ”
“คุณไม่รับสายฉันใช่ไหม อย่างนั้นฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
เส่าเฉิน คุณบ้าไปแล้วเหรอ ขาของคุณไม่ต้องการแล้วใช่ไหม? ” หนิงเชี่ยนได้ยินโทรศัพท์ทางด้านนั้น หลิวซูกำลังดูดตวาดเสียงดังอยู่
เธอปิดปาก รีบพูดว่า “โอเค พี่ ฉันจะให้คุณดู”
วางสายไป ก็วิดีโอคอลมาทันที หนิงเชี่ยนรับสาย เปลี่ยนเป็นกล้องหลัง ยืนห่างจากหัวเตียงออกไป “พี่ คุณดูสิ พี่สะใภ้หลับแล้ว ฉันบอกแล้วไง”
“คุณเดินเข้าไปใกล้ๆ หน่อย”
“พี่ คุณทำอย่างนี้ จะทำให้พี่สะใภ้ตื่นนะ”
“ฉันให้คุณเข้าไปใกล้ๆ ก็เข้าไปใกล้ๆ สิ! ”
หนิงเชี่ยนฟังถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้โฮออกมา “พี่ ไม่ดูได้ไหม ขอร้องล่ะ……”
เธอเป็นคนนอก เห็นอย่างนี้ก็ยังรับไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหนิงเส่าเฉิน
วิดีโอถูกตัดไป
ผ่านไปไม่นาน ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรง หลิวซูกับหมอหนึ่งคนประคองหนิงเส่าเฉินเข้ามา
หนิงเชี่ยนลุกขึ้น วิ่งเข้าไป “พี่ คุณบ้าไปแล้วเหรอ หมอบอกว่าไม่ให้คุณขยับ”
หนิงเส่าเฉินกวาดสายตามองเธออย่างเย็นชา มือใหญ่ผลักเธอออกไป
บนเตียงผู้ป่วย เย่หลินนอนหลับตาอยู่ ใบหน้าของเธอ ใหญ่กว่าปกติครึ่งหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าอวัยวะบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคิดว่ามาผิดห้อง
หน้าผากของเธอ แก้มสองข้าง มุมปาก คาง ทั้งใบหน้าที่เดิมทีขาวหมดจด ก็เป็นรอยขีดข่วนฟกช้ำไปหมด เมื่อมองลงมา คอของเธอ แขนของเธอ มองไม่เห็นสีเดิมเลย ด้านบนนั้นเต็มไปด้วยรอยแผลที่นับไม่ถ้วน
หนิงเส่าเฉินประคองเตียง ค่อยยกผ้าห่มเปิดออก ในฉับพลันหนิงเชี่ยนก็ยกมือมากดเขาไว้ “พี่ คุณทำอย่างนี้จะไปรบกวนพี่สะใภ้ให้ตื่นนะ”
เวลานี้ มีพยาบาลเดินเข้ามา พูดว่า “พวกคุณอย่ามาอยู่ที่นี่กันเยอะ ให้คนไข้พักผ่อนดีๆ เธอเพิ่งจะแท้งลูกไป อีกทั้งร่างกายทรุดโทรมขนาดนี้ ถ้าฟื้นฟูไม่ดี ก็อาจจะเสียชีวิตได้” พูดจบ ก็เปลี่ยนน้ำเกลือขวดใหม่ให้เย่หลิน ทันทีที่ยกผ้าห่มขึ้น หนิงเส่าเฉินก็เห็นว่าบนท้องน้อยของเย่หลินมีผ้าพันแผลสีขาวขนาดใหญ่พันไว้ และบริเวณนอกเสื้อผ้าทุกๆที่มีรอยแผลเต็มไปหมด
แท้งลูก? หนิงเส่าเฉินยิ่งเจ็บปวดอย่างที่สุด
มือของหนิงเชี่ยนยังกดอยู่บนหลังมือของหนิงเส่าเฉิน ฉะนั้น ในตอนนี้มีของเหลวหยดลงมาที่หลังมือ เธอจึงเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ ก็เห็นน้ำตาบนใบหน้าของหนิงเส่าเฉิน
“พี่……”
“ออกไปให้หมด”
“เส่าเฉิน”
“พวกคุณออกไปให้หมด” น้ำเสียงของเขาเบามาก ทว่าเย็นชาจนทำให้คนกลัวจนตัวสั่น เดิมทีพยาบาลคนนั้นคิดอยากจะพูดอะไร หลังจากที่เห็นการแสดงออกของเขาแล้ว ก็เงียบไปเลย
รีบหยิบขวดน้ำเกลือเปล่าที่เปลี่ยนแล้วออกไปอย่างตะลีตะลาน
หมอคนนั้นจึงนำที่ประคองมาให้หนิงเส่าเฉิน แล้วนำขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บนั้นวางไว้บนที่ประคอง แล้วจึงออกไป
หลิวซูโอบกอดหนิงเชี่ยนที่ยังคงตัวสั่นเทา ตบไหล่เขาเล็กน้อย จึงค่อยๆ เดินออกไป
ในห้องผู้ป่วยที่กว้างขวาง มีหนิงเส่าเฉินและเย่หลินที่ยังหมดสติอยู่
หนิงเส่าเฉินมองเธออยู่นานมาก
ขยับลูกกระเดือกครั้งแล้วครั้งเล่า หนิงเส่าเฉินกุมมือนั้นที่บวมจนไม่เห็นรูปร่างเดิม เล็บของเธอถูกตัดจนได้ระดับ แต่รอยบริเวณขอบเล็บนั้น มีคราบเลือดที่แห้งกรัง เตือนสติให้รู้ว่า เวลานั้นผู้หญิงคนนี้ได้รับความทุกข์ตรมแค่ไหน
“เส่าเฉิน พวกเราไม่คุมกำเนิดแล้วดีไหม? ถือโอกาสตอนที่ยังหนุ่มสาว พวกเราก็ให้กำเนิดลูกอีกสักคน ต่อไป จะได้เป็นเพื่อนกับเสี่ยวซีและเสี่ยวโม่”
“เส่าเฉิน เดือนนี้ทำไมยังไม่ท้องอีกนะ? ”
“เส่าเฉิน คุณว่าฉันออกกำลังกายไม่เพียงพอหรือเปล่า ดังนั้น จึงค่อนข้างติดลูกยาก? ”
“เส่าเฉิน คุณว่า ฉันคลอดลูกไม่ได้แล้วหรือเปล่า? ครั้งที่แล้วคลอดเสี่ยวโม่ มันทำให้ร่างกายเสียหายไปแล้วหรือเปล่า? ”
“เส่าเฉิน ตอนคลอดลูกทั้งสองคน คุณล้วนไม่ได้อยู่ข้างๆ ฉัน ฉันเลยอยากคลอดอีกคนหนึ่ง ให้คุณปรนนิบัติฉันให้ดีๆ คนอื่นบอกว่าตอนท้อง ผู้หญิงก็คือเจ้าหญิง คลอดแล้วก็ยังเป็นราชินี แต่ฉันคลอดลูกสองคน ล้วนเป็นเหมือนสาวใช้”
“เส่าเฉิน ถ้าคลอดลูกไม่ได้ ไม่เช่นนั้นก็ช่างมันไปได้ไหม? เสี่ยวซีและเสี่ยวโม่สิงคนก็พอแล้ว”
“เส่าเฉิน แต่ฉันยังอยากมีลูกอีกสักคนหนึ่ง”
หนิงเส่าเฉินรู้ว่า เธอชอบเด็ก รักหนิงเสี่ยวซี รักเย่เสี่ยวโม่ เธออยากที่จะให้กำเนิดลูกอีกคนหนึ่ง เธอต้องการอย่างมาก…..
แต่แล้ว?
เธอก็ไม่สามารถให้กำเนิดได้อีกแล้ว? เพื่อช่วยเหลือขาข้างนี้ของเขา
เธอเดินลงจากเขาในเส้นทางที่เพิ่งเกิดหิมะถล่มเพียงคนเดียว
จะต้องหวาดกลัวและไม่สบายใจขนาดไหนกัน?
เธอหกล้มที่ตรงไหน ตกลงไปในหลุมไหน ถูกอะไรกระแทกบ้าง เวลานั้น เธอจะหมดหนทางและหวาดกลัวเพียงใด?
เขาจนปัญญาที่จะจินตนาการได้!
เธอยังนำอาหารและน้ำทิ้งไว้ให้เขาอีก เย่หลิน นั่นคือคุณกำลังเล่นกับชีวิตอยู่นะ?
ถ้าหากคุณตายไป เขามีชีวิตอยู่คนเดียว จะไปมีความหมายอะไร?
แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ใช่คนที่อ่อนไหว แต่ว่าเวลานี้ เขากลับสะอึกสะอื้นอย่างมาก
เย่หลินฟื้นขึ้นมาวันที่สาม
เธอตื่นขึ้นมา ลืมตาก็เห็นว่า เธอนอนอยู่ในห้องห้องหนึ่ง หนิงเส่าเฉินนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยอีกเตียงหนึ่ง เห็นขาของเขาถูกพยุงขึ้น ก็อดไม่ได้ที่จะโล่งอก
เธอพลิกตัวเบาๆ สองสามวันก่อน ร่างกายที่บอบช้ำนั้น ก็คล้ายกับดีขึ้นมาก
เธอมองผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ยิ้มมุมปาก ดีจริงๆ เขาก็กลับมาแล้ว
ประตูห้องถูกเปิดออก คือหนิงเชี่ยน เห็นว่าเธอฟื้นแล้ว หนิงเชี่ยนกำลังเตรียมจะส่งเสียงร้องตะโกน เย่หลินก็ส่งสัญญาณบ่งบอกให้เธอเงียบเสียง แล้วชี้ไปยังหนิงเส่าเฉินที่หลับสนิทอยู่ข้างๆ
“เสี่ยวเชี่ยน ขานั้นของพี่ชายคุณ หมอบอกว่ายังไง ไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ” เธอกล่าวถามเบาๆ เป็นกังวลเล็กน้อย
หนิงเชี่ยนนำซุปในมือวางลงบนโต๊ะ แล้วโค้งคำนับต่อเย่หลิน “พี่สะใภ้ ฉันเป็นตัวแทนของครอบครัวพวกเรา ขอขอบคุณคุณมาก ขอบคุณที่คุณใช้ชีวิตเพื่อช่วยเหลือพี่ชายของฉัน”
เย่หลินนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ต่อจากนั้น ก็ปิดปากที่เผลอยิ้มออกมา “เสี่ยวเชี่ยน คุณทำอะไรเนี่ย? เรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ? ถ้าพี่ชายคุณไม่ไปเป็นเพื่อนฉัน เขาก็คงไม่ต้องประสบกับเคราะห์ร้ายอบบนี้หรอก อีกอย่างเขาเป็นผู้ชายของฉัน มันเป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำ”
หลายคำพูดของเธอที่พูดอย่างหลีกเลี่ยงปัญหาสำคัญ ทำให้หนิงเชี่ยนเข้าใจในชั่วพริบตาว่า เพราะเหตุใดพี่ชายของเธอ ที่เคยพบเจอผู้หญิงมามากมาย แต่สุดท้ายกลับรักเดียวใจเดียวต่อผู้หญิงคนนี้
จิตใจที่ดีงามของเธอ ความทุ่มเทของเธอ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงคนไหน ก็จะสามารถทำได้
ชัดเจนว่าต้องทุกข์ทรมานขนาดนั้น ได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น ถึงตอนนี้ เธอก็พูดเรื่องราวที่ผ่านมาเพียงแค่สั้นๆ
ด้วยความล่าช้าของเวลา หนิงเส่าเฉินที่ยังพูดคุยหัวเราะกับเธอได้เมื่อกี้นี้ หลังจากนั้นเย่หลินก็พบว่า การแสดงออกของเขาก็ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด
คิดอยากจะพูดคุยกับเธอ ก็ดูลำบากเล็กน้อย
“เส่าเฉิน……” เธอคุกเข่าลงข้างๆ เขา แล้วเรียกเขา หนิงเส่าเฉินหรี่ตามอง ยกมือขึ้นมาลูบๆ หน้าเธอ ฉีกยิ้มเล็กน้อย “อืม ฉันอยู่นี่”
เย่หลินเห็นหน้าผากเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ จึงหยิบทิชชูมาซับเหงื่อให้เขา เมื่อมือไปสัมผัสหน้าผากของเขาเย่หลินก็ต้องตกตะลึง วันที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ ทว่าหน้าผากของเขากลับร้อนผ่าว
ชัดเจนมากว่าเขามีไข้
“หนิงเส่าเฉิน คุณเป็นไข้อยู่ ทำไมคุณไม่บอก? ” เย่หลินพูดจบ ก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากในกระเป๋า หลังจากพับสองสามครั้งก็วางคลุมไว้บนหน้าผากของเขา
หนิงเส่าเฉินยังคงยิ้มเล็กน้อย “ไม่ได้เป็นไข้ ฉันก็แค่ร้อนนิดหน่อย”
“เย่จึ ฉันจะหลับตาสักพัก อีกสักครู่หิมะไม่ตกแล้ว เราค่อยมาหาวิธีลงจากเขากันใหม่นะ”
เย่หลินก็ยังยิ้มให้เขา “โอเค คุณนอนสักพัก” อันที่จริงแล้วก็กระวนกระวายใจ การทำงานและการพักผ่อนของหนิงเส่าเฉิน เธอรู้ดี การนอนตอนกลางวันหาได้น้อยมาก
อีกทั้งในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าเขารักษาตัวให้รอดมาได้ เขาจะไม่ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง ในสถานที่แปลกๆ แบบนี้
เธอวิ่งออกไปนอกถ้ำ เสียงหิมะถล่มก่อนหน้านี้ที่น่ากลัวมาก เวลานี้หยุดลงแล้ว หิมะก็ไม่ได้ตกแล้ว ถนนในตอนแรกก็ถูกปกคลุมไปหมด เย่หลินชะโงกไปมองรอบๆ ไม่เห็นใคร และก็ไม่เห็นพวกซู่ซู่เลย
มองเวลาในมือถือ ก็บ่ายสามโมงกว่าแล้ว หิมะถล่มเพิ่งเกิดขึ้น ที่นี่ในขณะนี้ ไม่มีคนกล้าขึ้นมาอย่างแน่นอน ถ้าเวลานี้เธอไม่ลงไปตามหาคนมา เช่นนั้นพวกเขาก็ต้องค้างคืนอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงไม่มีอะไรกิน ตอนนี้หนิงเส่าเฉินก็เป็นไข้ ถ้าหากว่าแผลเกิดติดเชื้อ รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ เธอกังวลใจเล็กน้อย……
ตอนที่พวกเขาออกมา หนิงเส่าเฉินบอกหลิวซูว่านัดรวมตัวกับเพื่อเท่านั้น แต่ไม่ได้บอกว่าจะมาปีนเขา ถึงแม้ว่าสักครู่นี้พวกเขาจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ แต่ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะติดอยู่ที่นี่
รอให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยมา ในสถานที่กว้างใหญ่แบบนี้ โอกาสที่จะหาพวกเขาพบยิ่งน้อยมาก
นึกถึงตรงนี้ เธอเดินวนอยู่ที่เดิม ตอนที่ขึ้นมาทั้งสองคนก็พูดคุยกันมาตลอดทาง ตลอดทางที่หยอกล้อกันก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสูงมาก แต่เวลานี้มองลงไป ระดับความสูงนี้น่ากลัวเล็กน้อย
อีกทั้งถนนก็ไม่มีแล้ว ทุกหนทุกแห่งถูกหิมะปกคลุมจนราบเรียบไปหมด แต่เธอก็รู้ดีว่า ภายใต้หิมะนี้ บางทีอาจจะมีต้นไม้ที่ล้มลงมา บางทีอาจจะมีหลุมใหญ่ถูกปกคลุมอยู่ บางทีอาจจะมีสิ่งกีดขวางที่น่ากลัว ต่างเป็นไปได้ทั้งหมด
แต่ตอนนี้หนิงเส่าเฉินเป็นไข้อยู่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากขา เธอไม่มีทางที่จะนั่งมองตาปริบๆ อยู่ที่นี่ได้
เธอสูดลมหายใจแล้วลุกขึ้นยืน นำน้ำและอาหารทั้งหมดในกระเป๋าวางไว้ ดึงมือของหนิงเส่าเฉินมาวางไว้บนหน้า “เส่าเฉิน ถ้าคุณหิว ก็กินอาหารและน้ำก่อนเลยนะ ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
ถึงแม้ว่าหนิงเส่าเฉินจะไข้ขึ้นสูง ก็ยังมีจิตใต้สำนึกอยู่ เขาดึงมือเย่หลินไว้ ค่อยๆ ลืมตา แล้วส่ายหัว “อย่าไป ถ้าหิมะถล่มอีก คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ? ”
เย่หลินยิ้มเล็กน้อย “ไม่หรอก คุณฟังนะ ลมด้านนอกเงียบลงแล้ว หิมะก็หยุดแล้วด้วย”
“ไม่ได้ เย่หลิน คุณอย่าทิ้งฉันไว้คนเดียว” บนใบหน้าที่งดงามของเขา เวลานี้ไม่มีสีเลือดสักนิด เย่หลินรู้ว่า บาดแผลบนขาของเขาต้องไม่เบาแน่ๆ เขาไม่บอกความจริงกับเธอ เพราะกลัวเธอจะเป็นห่วง
หินก้อนใหญ่ขนาดนั้น……
เธอก้มลงไปจูบลงบนหน้าของหนิงเส่าเฉิน “ไม่เป็นไรหรอก คุณลืมไปแล้วเหรอ ฉันปีนเขาได้สูงมากเลยนะ เส่าเฉิน คุณหิวก็อย่าลืมกินซาลาเปาอันนี้นะ กระหายก็ดื่มน้ำ ข้างๆ นี้ยังมีทิชชูเปียก พอรู้สึกไม่สบายก็หยิบมาแปะที่หน้าผาก จะได้รู้สึกดีขึ้นหน่อย เข้าใจไหม? ”
“เย่หลิน อย่าไป! ” หนิงเส่าเฉินกัดฟัน อยากจะลุกขึ้นนั่ง ทว่าลองทำอยู่หลายครั้งก็ล้มกลับลงไป
เย่หลินขอบตาแดงก่ำ กล่องเสียงติดขัด แต่ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “ฉันจะกลับมาโดยเร็ว”
เธอกำลังจะออกจากปากถ้ำที่อยู่ตรงหน้า หนิงเส่าเฉินก็ยื่นแขนออกมา แล้วพูดเบาๆ ว่า: “เย่หลิน ฉันขอร้องคุณล่ะ อย่าไป” ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยประสบกับเหตุการณ์หิมะถล่มก็ตาม แต่เขารู้ว่าหลังจากหิมะถล่มรุนแรงแบบนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่า ยังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เขาไม่สามารถส่งเธอไปตายได้
เย่หลินหันกลับมา ยิ้มอย่างงดงาม “เส่าเฉิน ฉันจะต้องหาคนมาช่วยคุณ อย่างแน่นอน! ”
พูดจบ เธอก็ยิ้มกับเขาเล็กน้อย แล้วหันกลับไปอย่างเด็ดเดี่ยว
เย็นวันเดียวกัน
เฮลิคอปเตอร์จำนวนมากบินอยู่บนท้องฟ้าเหนือภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะ ในที่สุดก็บางคนกล่าวว่า: “หลิวซู คุณดูสิ นั่นคือเครื่องหมายสีแดงที่พี่สะใภ้ทิ้งเอาไว้ใช่ไหม”
เมื่อหนิงเส่าเฉินตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็อยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้ว
ข้างกายรายล้อมไปด้วยหลิวซู หนิงเชี่ยน เย่เสี่ยวโม่แล้วก็หนิงเสี่ยวซี….
ทุกคนเห็นว่าเขาฟื้นแล้ว ก็โล่งอก
“พี่สะใภ้คุณล่ะ? ” นี่เป็นคำแรกที่เขาเอ่ยปากออกมา
หนิงเชี่ยนเอียงหน้าไปข้างๆ รอบตาแดงก่ำในชั่วพริบตา หลิวซูขยับลำคอ “เธออยู่ห้องผู้ป่วยข้างๆ หลับอยู่ รอเธอตื่นแล้ว ฉันจะให้เธอมาเยี่ยมคุณ”
หนิงเส่าเฉินเปิดผ้าห่มออก อยากจะลงจากเตียงด้วยจิตสำนึก แต่ถูกหลิวซูระงับเอาไว้ “คุณบ้าไปแล้วเหรอ ขานี้ของคุณ โชคดีที่ช่วยไว้ได้ทันเวลา ขืนช้าอีกหน่อย คุณคงต้องตัดเท้าไปแล้ว”
เห็นขาที่ถูกพยุงไว้ในอากาศ หนิงเส่าเฉินจึงนึกขึ้นได้ว่า ก่อนหน้านี้ขาของตัวเองได้รับบาดเจ็บ
เขาจึงเอนตัวลงไปอีกครั้ง “มือถือของฉันล่ะ? ”
หลินซูไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงหยิบมือถือออกมาจากในลิ้นชักแล้วส่งให้เขา
หนิงเส่าเฉินชี้หนิงเชี่ยน “คุณไปที่พี่สะใภ้ของคุณ พวกเราจะวิดีโอคอลกัน ฉันต้องการเห็นเธอ”
หนิงเชี่ยนอ้าปากค้าง แต่สีหน้าของหนิงเส่าเฉิน เธอก็รู้ว่าตนเองไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไป ทำได้เพียงพยักหน้า
พอมาถึงห้องของเย่หลิน วิดีโอคอลของหนิงเส่าเฉินก็โทรเข้ามา
หนิงเชี่ยนมองคนที่เอนกายอยู่บนเตียง เย่หลินที่หมดสติอยู่ กัดริมฝีปากเล็กน้อย อดกลั้นน้ำตาที่คลอเบ้า
เธอลืมไม่ได้จริงๆ เมื่อตอนที่ได้พบพี่สะใภ้
ประมาณหนึ่งทุ่มกว่า พวกเขาได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ
เมื่อรีบเข้าไปดู เย่หลินหยิบมือถืออยู่ บนใบหน้า บนลำคอ บนมือ แขน ไม่มีตรงไหนดูดีเลยสักที่
มีรอยบาด รอยช้ำ ถูกอะไรทำให้เป็นบาดแผล…..ก็ยังไม่ชัดเจน
“เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง หลังจากหิมะถล่มนั่น ทุกๆ ที่ล้วนเป็นหลุมเป็นบ่อ มีหินโผล่ขึ้นมา มีกิ่งไม้ที่ฝังอยู่ใต้หิมะ หากไม่ระมัดระวังสักหน่อย ก็จะสามารถถูกกลบฝังลงไปได้ ยัยเด็กคนนี้ ตอนที่ฉันพบเธอ เธอก็ลงมาอยู่ตีนเขาแล้ว เวลานั้นฉันได้ยินบางคนร้องเรียกขอให้ช่วยชีวิต พอเข้าไป ฉันก็เห็นเธอตกอยู่ในหลุมขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง พอดีเธอกำลังป่ายปีนขึ้น พอช่วยเธอขึ้นมา ทั้งตัวเธอก็เต็มไปด้วยเลือด แต่ตัวเธอเองคล้ายกับจะไม่รู้ ฉันตกใจอย่างมาก แต่เธอหยิบมือถือแล้วชี้ไปยังรูปบนหน้าจอ บอกกับพวกเราว่า พ่อของลูกเธออยู่ตรงตำแหน่งนั้น จึงให้พวกเขาเข้าไปช่วยเขา…….พวกเราจะพาเธอไปโรงพยาบาล แต่ยังไงเธอก็ไม่ยอม…..”
เวลานี้ตำรวจอาวุโสคนหนึ่งกำลังลาดตระเวนไปตามภูเขา
แล้วก็มีคำพูดของหมอพูดว่า
“เธอแท้งแล้ว เด็กอายุได้ครึ่งเดือนแล้ว เสียเลือดอย่างมาก ได้รับความเย็น มดลูกได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง ต่อไป โอกาสที่จะตั้งครรภ์ได้อีกมีน้อยมาก อีกทั้งร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง พวกคุณจะต้องดูแลเธอให้ดีๆ ไม่เช่นนั้น ไม่เช่นนั้นจะเกิดโรคเรื้อรังได้”
ทางลงเขาค่อนข้างลื่น ทั้งเธอและหนิงเส่าเฉินตั้งใจชะลอความเร็วลง หนิงเส่าเฉินมักจะเดินอยู่ข้างหน้าเธอเสมอ จับมือเธอ ซึ่งนั่นทำให้เธอโล่งใจจากความไม่สบายใจที่เธอมีอยู่
กระทั่งเริ่มไม่ได้ยินเสียงจากคนข้างหลัง เย่หลินถึงได้สูดหายใจเข้า น้ำตาเริ่มไหลออกมา
หนิงเส่าเฉินนิ่งไปสักพัก หันหลังไปเห็นเธอร้องไห้ คิดว่าเธอรู้สึกน้อยใจ เขาถึงได้ปวดใจ กอดเธอไว้ เอาคางวางไว้บนศีรษะเธอ “เย่หลิน……”
เย่หลินเงยหน้าขึ้นมองเขาจากอ้อมกอดของเขา “เส่าเฉิน ขอโทษนะ ที่ทำให้คุณลำบาก ฉันไม่รู้ว่าเขาจะรู้เยอะขนาดนี้ ทำให้คุณต้องขายหน้า ขอโทษนะ……ขอโทษ…….ตั้งแต่เล็กจนโต คุณคงไม่เคยถูกใครพูดแบบนี้ใส่เลยใช่ไหม?”
อาเฉินของเธอ คนที่ยโสโอหังอย่างเขา วันนี้กลับต้องขายหน้าเพราะเธอ
เธอยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า
หนิงเส่าเฉินก้มหน้า สายตาไปตกอยู่ที่ใบหน้าของเย่หลินที่เต็มไปด้วยน้ำตา ซับซ้อนและหลงใหล
เขาโตมาตั้งขนาดนี้ ไม่เคยถูกใครปฏิบัติแบบนี้มาก่อน
และตั้งแต่เล็กจนโต นี่เป็นครั้งแรก ที่นอกจากแม่แล้ว ถูกผู้หญิงคนหนึ่งปกป้อง ไม่สิ ครั้งที่สอง ครั้งแรกคือตอนนั้นที่เขาบาดเจ็บ
ดวงตาสีดำสนิท มีแสงสว่างวาบผ่าน
เขายื่นมือไปจับแก้มเธอไว้ เอ็นตัวเข้าใกล้ จูบซับน้ำตาที่อยู่ใต้ดวงตาของเธอเบาๆ ริมฝีปากบางเผยออก ลูกกระเดือกขยับเบาๆ ถึงได้ส่งเสียงกระซิบว่า
“เย่หลิน ชีวิตนี้ ผมจะไม่มีทางผิดต่อคุณ”
เย่หลินนิ่งไป เงยหน้ามองเขา “อื้ม ฉันจะจำไว้ ถ้าอย่างนั้น ให้พวกเราคิดว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้วดีไหม? อีกอย่าง ต่อไป ไม่ว่าใครจะพูดอะไร ก็ไม่สำคัญ ขอแค่ตัวเราเองเข้าใจก็พอ พวกเราห้ามเอากลับไปใส่ใจ ดีไหม?”เธอพูดทีละคำจนจบ ยิ้มมุมปาก ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงรอยยิ้ม
หนิงเส่าเฉินไม่ได้ตอบเธอ แต่กลับกอดเธอไว้
และตอนนี้ ลมยิ่งอยู่ยิ่งแรงขึ้นเรื่อยๆ เกร็ดหิมะขนาดใหญ่ตกลงมา
ทันใดนั้น เสียงแปลกๆดังขึ้น เสียงดังมาก พื้นดินก็กำลังสั่นสะเทือนเล็กน้อย……
เย่หลินตัวแข็งทื่อ หนิงเส่าเฉินเองก็ได้ยิน หรี่ตาลงคิด คิ้วของเขาก็ยกขึ้น พูดเสียงต่ำว่า “นี่มันภูเขาหิมะถล่ม?”
หน้าเย่หลินซีดลง เธอเคยได้ยินคนแก่ข้างบ้านพูดถึง ว่าภูเขาลูกนี้เคยมีหิมะถล่ม คนตายไปไม่น้อยเลย แต่ กลับไม่มีใครเคยเห็นมันจริงๆ หรือมีประสบการณ์เคยพบเจอ พอคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดฝืนยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “ไม่น่าใช่มั้ง?”เรื่องที่ไม่ได้เกิดมาหลายสิบปีแล้ว ไม่มีทางมาเกิดขึ้นกับพวกเขา?
แต่ เสียงก็เริ่มสั่นขึ้นมาแล้ว
“วิ่งเร็ว”หนิงเส่าเฉินพูดคำนี้ พร้อมกับจับมือเย่หลินวิ่งลงภูเขา
ถนนลื่นมาก วิ่งแบบนี้ มีโอกาสที่จะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ แต่ เทียบกับความตายแล้ว ไม่นับเป็นเรื่องอะไร
แต่ พวกเขาวิ่งไปได้แค่ไม่กี่ก้าว พื้นใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างหลังถูกถอนออกมาทั้งราก ทุกๆที่มีแต่เสียงอึกทึกครึกโครม และก้อนหินที่กลิ้งตกลงมา
เย่หลินยืนอยู่กับที่ สูญเสียการตอบสนองตามสัญชาตญาณของเธอ สายตาเธอเหม่อลอย ในหัวมีแต่ความว่างเปล่า
ขนาดมีก้อนหินก้อนหนึ่งกลิ้งมาทางเธอ เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
สิ่งที่เธอรู้สึกได้คือเงาของคนคนหนึ่งพุ่งเข้าหาเธอ จากนั้น “อึก”เสียงดังขึ้นข้างหู
เธอกระตุกไป ถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉิน สีหน้าเจ็บปวด มองไปข้างหลัง ก็พบว่าทั้งตัวเขาคล่อมตัวเธอไว้ และขาของเขา ถูกทับด้วยก้อนหินที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กเกินไป
อดที่จะตกใจไม่ได้ “เส่าเฉิน……”เธอออกแรงคลานออกมาจากตัวเขา ลุกขึ้น นั่งยองๆอยู่ตรงหน้าเขา อยากจะไปดันหินก้อนนั้นออก แต่หนิงเส่าเฉินกลับจับแขนเธอไว้
“คุณดันไม่ไหว ไปหาท่อนไม้มาท่อนหนึ่ง”เสียงเขาสั่นเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด แต่เขายังคงความสงบนิ่งไว้
เย่หลินพยักหน้า กำลังจะหันหลังไปหาท่อนไม้ พื้นก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนมากกว่าเมื่อกี้ ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีหรือน่าเศร้า ด้วยการสั่นสะเทือนนั้น หินก้อนใหญ่บนขาของหนิงเส่าเฉินก็กลิ้งออกไป
“อย่ามัวแต่อึ้ง ที่ตรงนั้นมีถ้ำอยู่ คุณรีบเข้าไป”พูดแล้วก็ผลักเย่หลินเข้าไป
เย่หลินกลับสะบัดมือเขาออก จ้องเขาเขม็ง “คุณคิดจะทำอะไร?”จากนั้น นั่งลงตรงหน้าเขา “คุณรีบเกาะไหล่ฉันไว้ พวกเราเข้าไปด้วยกัน”
ขาทั้งสองข้างของหนิงเส่าเฉินเจ็บไม่เท่ากัน มีขาข้างหนึ่งเสียความรู้สึกไปทั้งข้าง ไม่สามารถออกแรงได้เลย
เย่หลินตาแดงก่ำ แต่ เธอรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่เวลาที่จะมาร้องไห้ เธอหลับตา ใช้แรงทั้งหมดโอบเอวของหนิงเส่าเฉินแล้วออกแรงดึงให้เขาลุกขึ้นยืน
จากนั้้น เธอทั้งดึงทั้งลากจนสามารถพาเขาเข้าไปในถ้ำได้
ทั้งสองคนเพิ่งจะนั่งลงตรงหน้าถ้ำ ก็ได้ยินเสียงดินถล่มมาจากข้างนอก น่ากลัวมาก
ถ้ำนี้อยู่ใต้หินก้อนใหญ่ ดังนั้น เย่หลินจึงมองดูดินและหินที่ผสมกับหิมะสีขาว ตกลงมาจากด้านหน้า
ในภาพนั้น เหมือนว่าเธอจะเห็นเงาคนคนหนึ่ง ตกลงมาพร้อมกัน
ในตามีแต่ความตื่นตกใจ หรือว่าจะเป็น……หนึ่งในพวกเขา?
หนิงเส่าเฉินตบไหล่เธอ “ไม่มีใครคาดเดาได้หรอก”
เย่หลินสูดหายใจเข้า พยักหน้า ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงขาที่บาดเจ็บของหนิงเส่าเฉิน รีบลุกขึ้นนั่ง คุกเข่าลงตรงหน้าขาของเขา “คุณ ขาของคุณ เป็นยังไงบ้าง?”
หนิงเส่าเฉินเม้มปาก หน้าผากมีเหงื่อออกเล็กน้อย ลองขยับขาดู ขาที่เมื่อกี้ไม่มีความรู้สึก ตอนนี้ รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวด เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ลองใช้มือยกขาไปข้างหน้า……
“ซี๊ด……”เขาทนไม่ไหว ซี๊ดไปหนึ่งที
ปากเย่หลินสั่น ลุกไปอุ้มขาของเขามาวางไว้บนตัวของตัวเองเบาๆ มือที่สั่นเทาของเธอแก้เชือกผูกรองเท้า ถอดรองเท้าเดินป่าหนักๆออก พับขากางเกงเขาขึ้นเบาๆ วันนี้พวกเขาตั้งใจไปซื้อชุดที่กันลมกันหิมะมาโดยเฉพาะ มันหนามาก แต่ ถึงแม้จะเป็นกางเกงที่หนาแบบนี้ ตอนนี้ก็ยังขาดจนเป็นรู เธอไม่กล้าจะคิดว่าข้างในจะมีสภาพเป็นยังไง
กางเกงข้างนอกถูกเธอพับขึ้นอย่างระมัดระวัง ตอนที่แผลเปื้อนเลือดปรากฏตรงหน้าเย่หลิน แม้จะเตรียมใจไว้แล้ว เย่หลินก็ยังทนไม่ได้ เธอปวดใจจนร้องไห้
“ไม่เป็นไร หินก้อนนั้นกลิ้งลงมา ไม่ได้กระแทกลงมา ยังขยับได้ ก็แสดงว่า ขายังไม่หัก ไม่ต้องกังวล”
“หนิงเส่าเฉิน!”เธอจ้องเขา จากนั้นหยิบมือถือจากกระเป๋า เตรียมจะโทรออก กลับพบว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ ใจเธอนิ่งไป ในตาแสดงอาการตื่นตกใจ
ในที่แบบนี้ อาการบาดเจ็บที่ขาของหนิงเส่าเฉินร้ายแรงขนาดนี้ ถ้าหากไม่มีคนหาพวกเขาเจอให้ทันเวลา ผลที่ตามมาก็คือ……
เธอกัดปาก ปากเธอกำลังสั่น
เนื่องจากมีเป้าหมาย ความเร็วของทั้งสองคนก็เพิ่มขึ้น ไม่นาน ก็ถึงที่ที่หนิงเส่าเฉินบอก
ที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ราบกลางภูเขา หนิงเส่าเฉินเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ แล้วเขย่าหิมะหนาๆที่เกาะอยู่บนนั้น วางมันไว้บนพื้น ส่งสัญญาณให้เย่หลินนั่งลงพักผ่อนสักครู่หนึ่ง
เย่หลินดึงเขาไว้ “พวกเรานั่งด้วยกันเถอะ”
กิ่งไม้สั้นไปหน่อย ทั้งสองจึงนั่งใกล้กันมาก
หลังจากที่ซู่ซู่กับอาหลีขึ้นมา เห็นลักษณะของทั้งสองคนแล้ว ก็อดที่จะมองด้วยสีหน้าที่แย่ไม่ได้
“ซู่ซู่ หิมะตกหนักมากแล้ว หรือพวกเราจะไม่ปีนต่อแล้วดีกว่า?”
เย่หลินเห็นพวกเขามา ก็ลุกยืน เอ่ยถามขึ้น
ซู่ซู่ไม่ได้พูดอะไร มองไปที่อาหลี
อาหลีมองเย่หลิน แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน “ทำไมเหรอ ร่างกายประธานหนิงมีค่า ปีนต่อไม่ไหวแล้ว?”
ปกติหนิงเส่าเฉินก็ไม่ใช่คนที่ชอบพูดมากอยู่แล้ว พอมาเจอกับคนที่ตัวเองไม่ชอบ เขาก็ยิ่งเงียบเข้าไปใหญ่ ในขณะที่ต้องเผชิญกับการยั่วยุที่ชัดเจนของอาหลี สีหน้าเขากลับไม่เปลี่ยนเลยสักนิด
ความเย่อหยิ่งของเขากระตุ้นอาหลีที่มีการพัฒนาธุรกิจอันน้อยนิดในไม่กี่ปีที่ผ่านมา
เย่หลินเห็นสีหน้าของอาหลีไม่ค่อยดี ก็ดึงหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน ไหนๆก็ปีนได้ครึ่งหนึ่งแล้ว เราปีนต่ออีกสักหน่อยไหม?”
เธอไม่ได้อยากจะพยายาม แต่แค่ไม่อยากให้หนิงเส่าเฉินถูกถามแบบนี้
หนิงเส่าเฉินมองดูสภาพอากาศ ลุกขึ้น มือใหญ่โอบเย่หลินไว้ ขมวดคิ้วพูดว่า “ไม่ต้องปีนแล้ว สภาพอากาศแบบนี้ ยิ่งปีนสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากเท่านั้น พวกเราพักสักหน่อย แล้วค่อยลงเขากัน”
พูดจบ ก็ดึงเย่หลินมานั่งที่เดิม ตั้งแต่ต้นจนจบไม่หันไปมองคนสองคนที่อยู่ข้างหน้าเลย
หนิงเส่าเฉินไม่ใช่คนกล้าบ้าบิ่น ที่จะถูกคนอื่นกระตุ้นได้ง่ายขนาดนั้น ตรงกันข้าม เขาเป็นคนที่มีเหตุผลมาก รู้จักมองปัญหาอย่างมีเหตุมีผล ในสภาพอากาศแบบนี้ ถ้าปีนขึ้นไปอีก เกรงว่าตอนขึ้นจะง่าย แต่ตอนลงคงยาก
ถ้าหากลากยาวไปถึงกลางคืน อุณหภูมิลดลง ถนนกลายเป็นน้ำแข็ง คาดว่าพวกเขาคงจะติดอยู่ในภูเขาและถูกแช่แข็งตายทั้งเป็น
เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย แต่เธอเข้าใจเขา ดังนั้น จึงพยักหน้าแบบไม่ลังเลเลย นั่งลงข้างๆเขา และตอนนี้ หลายๆทีมก็ตามมาถึงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาหยุดปีน ก็เข้ามาร่วมวงด้วย
“เย่หลิน ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเลย? เชื่อฟังเขาขนาดนั้น? ฉันจำได้ว่าตอนที่เรียนอยู่ เธอไม่ใช่แบบนี้” เมื่อเห็นเย่หลินเชื่อฟังคำพูดของหนิงเส่าเฉิน อาหลีก็โกรธเล็กน้อย
เย่หลินรู้สึกว่าอาหลีคนนี้ ยุ่งมากเกินไป ถึงแม้จะเป็นเพื่อนร่วมชั้น ถึงแม้เรื่องที่ลือกันจะเป็นความจริง ที่ว่าเขาชอบเธอ แต่หลายปีมานี้ พวกเขาไม่ได้เจอกัน ไม่ต่างอะไรจากคนแปลกหน้าเลย คนแปลกหน้า มายุ่งเรื่องของเธอ มันเกินไปหรือเปล่า?
สีหน้านิ่งไปสักพัก มองไปที่เขาแล้วยิ้ม “เขาเป็นผู้ชายของฉัน ฉันไม่ฟังเขา ให้ไปฟังนายเหรอ?”
พูดจบ เย่หลินเงยหน้าขึ้นอัตโนมัติ ก็เห็นใบหน้าของหนิงเส่าเฉินมีรอยยิ้มบางๆ และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเขินเล็กน้อย
อาหลีมองทั้งสองคนส่งสายตาให้กัน จึงโพล่งออกมาด้วยความตื่นตัว “เย่หลิน เขาเป็นแค่ผู้ชายของเธอ ไม่ใช่สามีเธอสักหน่อย เธอไม่จำเป็นต้องฟังเขาขนาดนั้นก็ได้มั้ง?”
‘วืด’เสียงดังขึ้นในหัวของเย่หลินเหมือนจะระเบิดออกมา ใจกระตุกอย่างแรงไปหนึ่งที
เธออยากจะเถียงกลับ แต่พบว่ามันไม่มีแรง
เสียงของอาหลีไม่ได้เบา ดังนั้น ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ก็ได้ยิน เย่หลินรู้สึกแค่ว่าสายตาหลายคู่ตกมาอยู่ที่เธอ
สีหน้าของหนิงเส่าเฉินเย็นลงทันที เส้นเลือดบนหลังมือของเขาปูดขึ้น ใบหน้าแข็งทื่อ พูดเสียงต่ำว่า “ไหนนายลองพูดอีกที?”
อาหลีนิ่งอึ้งไปกับบรรยากาศที่หนิงเส่าเฉินแผ่ออกมา เห็นเพียงการแสดงสีหน้าของเขานั้นผิดปกติ แต่ก็ยังคงพูดว่า “หึ หนิงเส่า คุณให้เย่หลินมีลูกให้คุณตั้งสองคน แต่ คุณกลับไม่ได้ให้สถานะที่ถูกต้องตามกฎหมายกับเธอ คุณอย่าคิดนะว่า คุณมีเงิน คุณจะทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ พวกเขากลัวคุณ แต่ผมไม่กลัว”
อาหลีพูดจบ ทุกคนก็เริ่มนินทากันมากขึ้น
“ที่แท้ เย่หลินเป็นเมียน้อยเหรอ? ถึงว่าเมื่อวานเธอไม่กล้าแนะนำว่าเขาเป็นสามีเธอ บอกแค่ว่าเป็นพ่อของลูก หึหึ ที่แท้ก็เป็นความสัมพันธ์แบบนี้นี่เอง……”
“นั่นสิ ลูกตั้งสองคนแล้ว เขาก็ไม่ได้แต่งตั้งเธอ ถึงจะยังไง ก็เป็นเมียน้อยอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?”
“เมื่อวาน พวกเธอยังอิจฉาเธออยู่เลย ฉันว่า นี่ไม่ใช่ว่าใครๆก็จะทำได้……”
เย่หลินอยู่ติดกับหนิงเส่าเฉิน ดังนั้น เธอจึงได้ยินเสียงกำหมัดของเขาอย่างชัดเจน เสียงที่ดังขึ้นระหว่างข้อต่อกระดูก เธอรู้ ว่าเขาโมโหแล้ว เธอดึงแขนเสื้อของเขาแบบไม่รู้ตัว มองไปที่หนิงเส่าเฉิน ยิ้มปลอบใจเขา
แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก คนที่สูงส่งอย่างหนิงเส่าเฉิน ถูกคนอื่นถามแบบนี้ก็เพราะมาเป็นเพื่อนเธอวันนี้ รู้สึกปวดใจจริงๆ
จากนั้น เธอก็ก้าวเดินขึ้นไป จ้องอาหลีแล้วพูดว่า “เพื่อนร่วมชั้นคนนี้ นายรู้สึกภาคภูมิใจมากใช่ไหมที่รู้เรื่องภายในครอบครัวคนอื่นที่คนนอกไม่ควรรู้?”
อาหลีเห็นสีหน้าที่เย็นชาของเย่หลิน ในตาก็แสดงความโกรธออกมาอย่างชัดเจน เย่หลินที่เป็นแบบนี้ ไม่เคยปรากฏในความทรงจำของเขา ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยืนนิ่งแล้วพูดว่า “เย่หลิน เธอไม่ต้องอยู่กับเขาแล้ว ได้ไหม เธอมาอยู่กับฉัน ฉันจะขอเธอแต่งงาน ให้สถานะเป็นตัวเป็นตน……”
“นายหุบปาก!”เย่หลินพูดขัดเขา
หันไปมองทุกคนรอบหนึ่ง “ใช่ เรายังไม่ได้แต่งงานกัน แต่แล้วยังไงล่ะ ผู้ชายคนนี้ เขาสามารถไม่แตะต้องผู้หญิงคนไหนเลย ในช่วงที่ฉันหายตัวไปเป็นเวลาสี่ปี และดื่มเหล้าจนอ้วกเป็นเลือดทุกวันเพราะฉัน ยอมใช้เงินมหาศาลเพียงเพราะคำพูดคำเดียวของฉัน และวันนี้ยอมฝืนใจตัวเองมาหาพวกเธอ เพียงเพราะต้องการให้ฉันยิ้ม ยิ่งกว่านั้นเขายังสามารถสละชีวิตเพื่อฉันได้……ฉันอยากจะถามหน่อย พวกเธอคิดว่าความรู้สึกนี้มันเทียบกับสามีพวกเธอไม่ได้หรือเทียบกับคู่รักพวกเธอไม่ได้กัน? และเพราะเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เขาถึงยังให้สถานะกับฉันไม่ได้ แต่ แล้วยังไงล่ะ? พวกเธอมีสิทธิอะไรมาว่าพวกเรา?”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็สูดหายใจเข้า หันไปมองอาหลีอีกรอบ “นายคิดว่าหลายปีมานี้ที่นายตามหาฉัน คือนายรักฉันเหรอ? ถ้านายรักฉัน นายไม่มีวันพูดเรื่องแบบนี้ในสถานการณ์ตอนนี้แน่ แต่งให้นาย? เหอะๆ ฉันจะบอกให้นะ ถึงฉันจะต้องอยู่กับเขาแบบไม่มีสถานะไปทั้งชีวิต ฉันก็ไม่มีวันสนใจนาย เพราะ เขาเหนือกว่านายร้อยเท่า พันเท่า”
พูดจบ หันหลังไปจับมือหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน ไปกันเถอะ”
ท่าทางที่เธอแสดงออกมาทำให้คนที่อยู่ในสถานการณ์นั้นเงียบไปทันที
ทั้งสองจับมือกัน เดินลงจากภูเขา เมื่อเดินมาถึงตรงหน้าของซู่ซู่ เย่หลินมองเธอ “ซู่ซู่ สภาพอากาศแบบนี้ ฉันขอแนะนำให้เธอลงจากเขาเร็วๆ”
คนอื่นๆ เธอไม่แม้แต่จะมอง
แต่ เธอคิดไม่ถึงว่า นี่จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายระหว่างเธอกับอาหลี
เธอรับสาย “ฮัลโหล ซู่ซู่……อืม อยู่บ้าน ปีนเขาหิมะ? มีเพื่อนไปกันกี่คน?เรื่องนี้……ไม่ไปได้ไหม? อ๋า……โอเค เธอรอเดี๋ยว ฉันลองถามดูก่อน……”
เธอเอามือบังโทรศัพท์ไว้ ถามหนิงเส่าเฉินเสียงเบา “เส่าเฉิน พวก……พวกเพื่อนๆของฉัน จะนัดพวกเราสองคนไปปีนเขาหิมะ คุณ……ว่าไปดีไหม?”
หนิงเส่าเฉินพับหนังสือ เหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ “คุณตัดสินใจเองเลย ผมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว” คิดสักพัก ก็พูดขึ้นว่า“ไปสิ!”
แม้ว่า เขาจะไม่ชอบโอกาสแบบนี้มากนัก เมื่อวานก็เห็นได้ชัด ว่าเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นคงรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเย่หลินกับเขาแล้ว วันนี้ที่ไป ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่าการประจบหรือตีสนิท แต่ รอยยิ้มที่เย่หลินมีให้กับมื้ออาหารค่ำเมื่อวาน มันคือสิ่งที่เขาเห็นได้ยาก
ปีนี้ที่กลับมาเมืองc หนิงเส่าเฉินพบว่า ในชีวิตเธอนอกจากลูกๆ และงานก็มีแต่เขา ถึงแม้เธอจะพูดตลอดว่าตัวเองมีความสุข แต่ เสียงหัวเราะแบบเมื่อวานเขากลับไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
คนพวกนั้น เย่อหยิ่งเกินไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า พวกเขาสามารถนำความสุขมาให้เย่หลินได้
เย่หลินประหลาดใจเล็กน้อย จากความเข้าใจที่เธอมีต่อหนิงเส่าเฉิน เขาไม่ใช่คนที่ชอบเข้าร่วมการพบปะแบบนี้อย่างแน่นอน
เธอนั่งลงข้างหนิงเส่าเฉิน “ไม่ไปดีกว่า คุณคงไม่มีความสุขแน่ๆ”เธอสามารถจินตนาการออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“อืม ตอบกลับก่อนสิ”
เย่หลินถึงได้รับสาย ซู่ซู่ยังรอสายจากเธออยู่ เธอเอามือออก “ฮัลโหล ซู่ซู่ ถ้าอย่างนั้นเธอส่งที่อยู่กับเวลามาให้ฉัน เดี๋ยวพวกฉันไป อืม โอเค”
วางสายจากซู่ซู่ เย่หลินจับแขนของหนิงเส่าเฉิน พิงไหล่ของเขา “เส่าเฉิน คุณไม่ต้องดีกับฉันขนาดนี้ได้ไหม?”
หนิงเส่าเฉินตบมือเธอ “ไปเตรียมตัวเถอะ พวกเราต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะทำให้เพื่อนคุณรอ มันไม่ดี”
ที่ที่ซู่ซู่บอก เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงภายในประเทศ ในฤดูหนาว ภูเขาแห่งนี้มีสีที่สวยมาก น้ำแข็งยาวหลายพันไมล์ มีหิมะโปรยปรายในระยะทางหลายหมื่นไมล์ ทั้งภูเขาถูกปกคลุมไปด้วยสีเงิน สวยงามมาก
เย่หลินมองดูทิวทัศน์ตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะหลงไปกับมัน ที่แห่งนี้ เธอเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว แต่ในฤดูหนาว นี่เป็นครั้งแรก
กลัวถนนบนภูเขาลื่น จึงใช้เวลานานกว่าจะถึงที่ที่ซู่ซู่บอก เมื่อพวกเขามาถึง ก็เห็นคนหลายสิบคนรออยู่ที่นั่นแล้ว
นอกจากคนเมื่อวานแล้ว คนอื่นๆ เย่หลินก็ไม่ค่อยรู้จัก ชายๆหญิงๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่น้อยๆเลย
“เย่หลิน……หนิง……หนิงเส่า พวกคุณมาแล้ว?”ซู่ซู่นับว่าเป็นคนที่สนิทกับพวกเขาอยู่บ้าง ดังนั้น พอพวกเขามาถึง ซู่ซู่ก็ถูกผลักให้มาต้อนรับ
เย่หลินพยักหน้า “ซู่ซู่”
คนอื่นๆ ยืนห่างออกไป เห็นได้ชัดว่า ต่อหน้าหนิงเส่าเฉิน ทุกคนยังคงเกร็งเล็กน้อย รู้สึกว่า ทำอะไรไม่ถูก
เวลานี้ มีเสียงรถดังขึ้นทางด้านหลัง
เย่หลินหันกลับไป เห็นรถเบนซ์คันหนึ่งจอดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่กี่ก้าว จากนั้นชายคนหนึ่งก็เดินลงจากรถ เย่หลินหันไปมองซู่ซู่ “นี่คือ?” เพื่อนร่วมชั้นในความทรงจำของเธอดูเหมือนว่าจะไม่มีคนคนนี้
ก่อนที่ซู่ซู่จะตอบคำถามของเธอ ผู้ชายคนนั้นรีบก้าวเดินแทบจะพุ่งเข้าไปหาเย่หลิน แล้วกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ความเร็วและการเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วมาก จนทำให้ทุกคนที่อยู่ในสถานการณ์ตอบสนองแทบจะไม่ทัน รวมทั้งหนิงเส่าเฉินเองก็ด้วย
ณ ตอนนี้เห็นผู้หญิงของตัวเองถูกผู้ชายคนอื่นกอดไว้ สีหน้านั้นมืดมนจนน่ากลัว
ซู่ซู่รีบเข้าไปดึงผู้ชายคนนั้นออก “อาหลี รีบปล่อยเร็ว นายทำเย่หลินตกใจแล้ว”
ผู้ชายที่ชื่ออาหลีได้ยินคำพูดนี้ ก็รีบปล่อยเย่หลิน สองมือวางไว้ที่ไหล่ของเธอ “เย่หลิน หลายปีมานี้ คุณไปไหนมา ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวของคุณเลย?”เขาตื่นเต้น เขาดีใจ แต่ที่เย่หลินรู้สึกได้กลับมีแต่ความตกใจ
เธอหันไปมองหนิงเส่าเฉินโดยอัตโนมัติ เดาไม่ผิด สีหน้าของชายคนนี้ไม่สามารถใช้คำว่าแย่มาบรรยายได้แล้ว
รีบยกมือขึ้น ปัดมือคู่นั้นของเขาออก ขยับไปทางขวาสองสามก้าว จับแขนของหนิงเส่าเฉินไว้ เงยหน้า มองอาหลีแล้วพูดว่า “อาหลี นายเปลี่ยนไปมาก เมื่อกี้จำไม่ได้เลย” เธอพูดขึ้นเพื่อทำลายความอึดอัด
จากนั้น ก็ยกมือขึ้นช้าๆ ชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน “แนะนำให้นายรู้จัก นี่คือ……พ่อของลูกฉัน หนิงเส่าเฉิน”
เดิมทีเธอคิดว่าเมื่ออาลีได้ยินชื่อหนิงเส่าเฉิน และรู้ตัวตนของหนิงเส่าเฉิน เขาจะรู้ตัวแล้วก็ถอยออกห่างไปเอง
แต่คาดไม่ถึงว่า เขาแค่ยกยิ้มมุมปาก ไม่ทักทายเลยด้วยซ้ำ แล้วมองไปที่ซู่ซู่พูดว่า “ซู่ซู่ หิมะตกหนักขนาดนี้ ยังจะมาปีนภูเขาหิมะอะไรอีก? เธอไม่คิดเลยเหรอ ว่าคนสูงส่งอย่างประธานหนิง จะไม่สามารถเสี่ยงอันตรายแบบนี้ได้?”
ซู่ซู่รู้สึกลำบากใจขึ้นมา
เย่หลินไม่ได้พูดอะไร แต่แค่ยิ้มให้หนิงเส่าเฉิน คนนอกคงคิดว่าคนใหญ่คนโตอย่างหนิงเส่าเฉิน มีเสื้อผ้ามาให้แค่ต้องยื่นมือ มีข้าวมาป้อนแค่ต้องอ้าปาก แต่เธอก็รู้ดี ว่าคนพวกนั้นคิดผิด
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราลองมาแข่งกันไหม? ดูซิ ว่าใครจะปีนไปถึงที่ตรงนั้นได้ก่อน?” ซู่ซู่ชี้ไปยังตำแหน่งของศาลาที่อยู่เหนือศีรษะ
เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน เขาพยักหน้าเบาๆ ถือว่าตกลงแล้ว
ทุกคนจึงปรึกษากัน เพื่อให้ระหว่างทางมีคนดูแล ทุกคนจึงแบ่งกลุ่มออกเป็นสองคนหนึ่งกลุ่ม
แน่นอนเย่หลินอยู่กลุ่มเดียวกับหนิงเส่าเฉิน
แม้ว่าตอนนี้จะไม่ได้มีหิมะตกหนัก แต่ ใต้เท้าก็เต็มไปด้วยหิมะ ลื่นมาก เย่หลินกังวลว่าหนิงเส่าเฉินจะไม่ชิน ยังไงซะ เธอก็เป็นเด็กที่โตมากับที่นี่ เมื่อตอนเด็กๆ ก็ปีนเขาในฤดูหนาวบ่อยๆ ถึงแม้จะเทียบกันไม่ได้ แต่ ก็ยังคุ้นเคยมากกว่า
แต่ หนิงเส่าเฉินโตมากับทางใต้ ไม่ต้องพูดถึงภูเขาหิมะหรอก คาดว่าแค่หิมะตกหนักก็เคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้ง
แต่ว่า……เมื่อหนิงเส่าเฉินจับมือเธอและเดินนำอยู่ข้างหน้าเธอ เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองประเมินชายคนนี้ต่ำไป
ปีนมาได้ครึ่งทาง ท้องฟ้าเริ่มมีหิมะตก และมีแนวโน้มว่าจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เย่หลินขมวดคิ้ว ดึงแขนเสื้อของหนิงเส่าเฉิน “เส่าเฉิน หรือเราจะล้มเลิก หิมะตกหนักขนาดนี้ ฉันกลัวว่า……”
หนิงเส่าเฉินเงยหน้าขึ้น ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอันดับที่สอง ที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาคือคู่สามีภรรยาคู่หนึ่ง มองออกเลยว่ามีประสบการณ์มาก และคนที่อยู่ข้างหลังพวกเขาคืออาหลีและซู่ซู่ “ อืม เราปีนขึ้นไปรอที่ตำแหน่งด้านหน้านั้นสักพัก ถ้าหิมะยังตกอยู่ เราก็ล้มเลิก คุณคิดว่าไง?”
เย่หลินเงยหน้ามองตามทิศทางที่มือของเขาชี้ ดูเหมือนไม่ค่อยไกล ระยะทางประมาณสิบกว่าเมตร
พยักหน้า จับมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินอีกครั้ง ในใจกลับกังวลเป็นอย่างมาก
วินาทีนี้ พวกเขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้เหมือนตัวเองเป็นตัวตลก
และเป็นซู่ซู่ที่ได้สติขึ้นมาก่อน
ดึงเย่หลินมา กลืนน้ำลายแล้วถามว่า“เย่หลิน สะ……สรุปว่าสามีเธอทำงานอะไรน่ะ? ถึงขนาดซื้อร้านอาหารขนาดใหญ่แบบนี้ให้เธอเป็นของขวัญ?”
ร้านอาหารแบบนี้ ในเมืองs ถือเป็นร้านชั้นยอด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าไม่มีเบื้องหลังที่ใหญ่โต ถึงมีเงินก็คงไม่สามารถซื้อได้
เย่หลินคิดๆแล้ว ให้โกหกต่อไปก็คงจะเกินไปหน่อย
ลุกเข้าไปใกล้ทั้งสามคน “ขอโทษจริงๆนะ ฉัน……เมื่อกี้ฉันแค่กลัวว่าพวกเธอจะเกร็ง ก็เลยปิดบังตัวตนของเขาน่ะ เขา ชื่อหนิงเส่าเฉิน เป็นประธานบริษัทหนิงกรุ๊ป พวกเธอ……คงเคยได้ยินใช่ไหม?”
ตาของซู่ซู่เบิกกว้าง รีบหยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปค้นหาในไป่ตู้ มองรูปในมือถือ แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน ยิ้มเม้มปาก “เย่หลิน……เธอ……สามีเธอคือ……คือหนิงเส่าเฉินคนนั้นเหรอ? คนที่ถูกเรียกว่าเป็นสามีแห่งชาติเมื่อตอนนั้น?”
เย่หลินไม่รู้เรื่องสามีแห่งชาติอะไรนั่นหรอก แต่ เธอรู้ว่าคนที่สามารถทำให้คนอื่นตกใจที่รู้ตัวตนของเขามีแค่คนเดียว หนิงเส่าเฉิน
เธอพยักหน้า ใช้ข้อศอกสะกิดหนิงเส่าเฉิน “คือ หนิงเส่าเฉิน นี่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของฉัน”
หนิงเส่าเฉินมองไปที่พวกเธอ พยักหน้า ยิ้มบางๆที่มุมปาก
ลุกขึ้น โอบเอวเย่หลิน “คุณภรรยา พวกเราควรกลับได้แล้วนะ เดี๋ยวลูกชายกับลูกสาวจะตามหาเราเอา”
ใจเย่หลินกระตุกไปหนึ่งที คุณภรรยา? คำนี้……หนิงเส่าเฉินเรียกเธอเป็นครั้งแรก
พอคิดได้ก็ลุกขึ้น “จริงด้วย พวกเธอนั่งกินกันอีกสักพักนะ เดี๋ยววันนี้ถือว่าฉันเลี้ยงก็แล้วกัน ลูกชายกับลูกสาวฉันยังรออยู่ที่บ้าน กลัวว่ากลับดึกๆพวกเขาจะตามหาฉัน ขอโทษทีนะ!”
“เย่หลิน เธอมีลูกสองคนแล้วเหรอ?”ผู้หญิงที่ใส่แว่นสำรวจเย่หลิน“ดูไม่ออกเลยจริงๆ เธอยังดูเป็นสาวๆอยู่เลย”
เย่หลินหยิบกระเป๋า นิ่งไปสักพัก ก็ยิ้ม “ใช่ ลูกสองคนแล้ว”
พูดจบ ก็พยักหน้าให้พวกเธอ “ถ้ามีเวลาไว้ค่อยเจอกันใหม่นะ ไปก่อนล่ะ”
หนิงเส่าเฉินก็พยักหน้าให้พวกเธอเล็กน้อย แล้วโอบเอวเย่หลินเดินออกไป
ชายวัยกลางคนเดินตามหลังพวกเขาสองคนไป “ประธานหนิง คุณนาย เดินทางดีๆนะครับ”
เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน “ทำไมคุณถึงซื้อร้านอาหารตามใจแบบนี้ล่ะ คุณ……หนิงเส่าเฉิน ครั้งที่แล้วก็เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่างน้อยคุณก็ปรึกษาฉันก่อนสิ!”
หลังจากพูดจบก็หยิกที่เอวเขา
หนิงเส่าเฉินจับมือเธอไว้ จูงมือเธอ “ก็คุณสนใจแต่เรื่องของกิน อีกอย่าง เมืองsก็เป็นที่ที่คุณโตมาตั้งแต่เด็ก ผมคิดว่ามันต้องมีความหมายพิเศษกับคุณ ดังนั้น ถึงแพงแค่ไหนก็จะซื้อ แต่ว่า ที่แห่งนี้ ผมให้หลิวซูตรวจสอบดูแล้ว มีชื่อเสียงดี ธุรกิจก็ไปได้ดี แบบนี้ ก็สามารถเอาใจคุณและสร้างรายได้ไปด้วย ได้ประโยชน์ทั้งสองทาง คุณว่ามันไม่ดีตรงไหน?”
“คุณก็แค่หาข้ออ้าง เราตกลงกันแล้ว เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับบ้านขึ้นอยู่กับฉัน นี่คุณกำลังละเมิดกฎของครอบครัวนะ”
“ผมผิดไปแล้ว แล้วแต่คุณจะลงโทษเลย”
ทั้งสองเถียงกันตลอดทางเดินลงบันได
และผู้หญิงพวกนั้น เพิ่งจะได้สติจากอาการตกใจ
“พระเจ้า คาดไม่ถึงว่าเย่หลินจะแต่งงานกับชายในตำนานคนนั้น ”
“จริงด้วย อีกอย่าง ดูผู้ชายคนนั้นสิ เหมือนจะดีกับเธอด้วยนะ”
“อะไรคือเหมือนจะดี นั่นมันตามใจเธอชัดๆเลยโอเคไหม? เธอไม่เห็นเหรอ สายตาที่เขามองเธอ จึ๊จึ๊……เธอว่าเทียบกับเย่หลินแล้ว เรื่องเมื่อกี้ของพวกเราก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเลยสิ?”
ผู้หญิงพวกนั้นพยักหน้าพร้อมกัน
หลังจากที่ทั้งสองคนมาถึงชั้นล่าง หิมะข้างนอกก็ไม่รู้ว่าเริ่มตกอีกครั้งตั้งแต่เมื่อไหร่
“เส่าเฉิน หิมะตกอีกแล้ว”เธอดึงเขาวิ่งเข้าไปในหิมะ
หนิงเส่าเฉินกอดเอวเธอไว้ “คุณช้าหน่อย”
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม ใบหน้าของหนิงเส่าเฉินก็นิ่งลง จับแก้มของเย่หลินแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เย่หลิน ผมส่งคนไปตามหาเธอแล้ว ถ้าในปีหน้ายังไม่มีข่าวคราวเธออีก ผมจะฟ้องหย่า และให้ความยุติธรรมแก่คุณ”
เย่หลินเม้มปาก “ไม่เป็นไรหรอก คุณพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”
เดินไปได้สักพัก ผู้ชายก็เอ่ยขึ้นทันที “เด็กอ้วนอะไรนั่นในชั้นเรียนคุณ ที่ให้รางวัลหนึ่งแสนเพื่อตามหาคุณ แล้วยังผู้ชายห้องข้างๆพวกนั้นอีก เย่หลิน ทำไมผมไม่รู้ ว่าที่แท้ดอกท้อของคุณจะบานสะพรั่งขนาดนี้?”
เย่หลินมองหนิงเส่าเฉิน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยากที่จะได้ยินหนิงเส่าเฉินพูดคำพูดแบบนี้
ที่แท้ เมื่อกี้เขาได้ยิน คิดถึงตรงนี้ เธอก็เขย่งเท้าจุ๊บที่ปากหนิงเส่าเฉิน แล้วผละออก “คุณดูสถานการณ์วันนี้ของคุณสิ คาดว่าต่อไปคนอื่นคงไม่กล้าติดต่อฉันแล้วล่ะ?”
ชายคว้าแขนของหญิงสาวไว้ “ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นี่คุณยังรู้สึกเสียดายเหรอ?”
เย่หลินส่ายหน้า “ไม่เสียดาย!”แต่ภายในใจของเธอกลับดีใจมาก
คนที่สูงส่งอย่างหนิงเส่าเฉิน คืนนี้กลับเสียเวลาหลายชั่วโมง เพื่อมาร่วมแสดงละครแบบนี้กับเธอ
เขาเข้าใจเธอ ถึงได้ถ่อมตัวเป็นเพื่อนเธอตั้งแต่แรก เขาเข้าใจเธอ ถึงได้ร่วมแสดงละครกับเธอ
เธอเชื่อว่า ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นเธอถูกคนพวกนั้นดูหมิ่น คิดว่า เขาคงจะไม่ใช้วิธีแบบนี้ โต้กลับคนพวกนั้นในวินาทีสุดท้าย
เธอรู้สึกได้ ถึงการตามใจของผู้ชายคนนี้ การปกป้องดูแลของชายคนนี้ และยังมีความเคารพอีก
มีสามีแบบนี้ ผู้หญิงยังจะขออะไรอีก!
ความรู้สึกรักในใจ เพิ่มขึ้นอีกขั้นเพราะเหตุนี้
หลังจากกลับไป หนิงเส่าเฉินบอกเรื่องที่เย่หลินคือเด็กผู้หญิงคนนั้นกับหลิวซู บ้านก็ระเบิดขึ้นมาสักพัก
หนิงเชี่ยนกอดเย่หลินไว้ “พี่สะใภ้ คุณเป็นนางฟ้าของที่ชายฉันจริงๆ ถึงว่า หลังจากที่พี่เจอคุณ ก็ไม่มีอาการนอนไม่หลับเลย เขาต้องได้รับความรู้สึกปลอดภัยจากคุณแน่ๆ”
เย่หลินก้มหน้า รู้สึกเขินอายนิดๆ
วันถัดมา วันสิ้นปี ที่จริงเย่หลินอยากพาทุกคนไปเดินตลาด แต่ ไม่รู้ว่าหนิงเชี่ยนไปกินอะไรผิดมา ท้องเสีย จึงต้องเปลี่ยนไปเป็นวันพรุ่งนี้
เย่หลินสวมชุดนอน นอนดูละครอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน ขณะที่หนิงเส่าเฉินนั้นกำลังอ่านหนังสือ
เย่หลินพบว่า หนิงเส่าเฉินไปไหนก็จะพกหนังสือไปด้วยสองสามเล่ม เขามีเวลาว่างเมื่อไหร่ ถ้าไม่อยู่กับเธอและลูกๆ หรือออกกำลังกาย ก็มีแต่จะอ่านหนังสือ
แต่ก็ว่าไม่ได้ เพราะเบื้องหลังของทุกความสำเร็จ ต้องมีความเสียสละที่คนอื่นมองไม่เห็นอยู่แล้ว
เขาอายุแค่นี้ ก็มีความรู้ขนาดนี้ สามารถสร้างอาณาจักรธุรกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ เย่หลินรู้สึกว่า มันต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน
ในสายตาของเธอจึงอดที่จะชื่นชมผู้ชายคนนี้เพิ่มขึ้นไม่ได้
“แม่ครับ โทรศัพท์ของแม่ดัง”หนิงเสี่ยวซีหยิบมือถือของเย่หลินมาจากโต๊ะอาหาร ส่งให้เธอ
มองชื่อที่ถูกบันทึกไว้ ซู่ซู่? เย่หลินขมวดคิ้ว
อย่างไรก็ตาม เธอไม่ได้ตั้งใจจะโกหกพวกเขา
เธอแค่กลัวว่า รูปร่างหน้าตาของหนิงเส่าเฉินและฐานะภูมิหลังของเขา พูดออกมา แล้วกลัวว่าพวกเขาจะกินข้าวมื้อนี้ไม่ลง
ณ ตอนนี้ เธอเข้าใจแล้ว ว่านี่ไม่ใช่การพบปะกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการโอ้อวด อวดสามี อวดความมั่งคั่ง
เพราะไม่ได้เจอหน้ากันนานหลายปี เธอกับพวกเขาก็ไม่ได้เข้าใจกันขนาดนั้น ดังนั้น ถ้าบอกตัวตนของหนิงเส่าเฉินออกไปตอนนี้ รู้สึกว่ามันเป็นการโอ้อวดเกินไป คิดแล้ว ก็พูดคำโกหกที่ปรารถนาดีออกไปจะดีกว่า
สุดท้ายแล้วถ่อมตนในเวลาแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร
เธอต้องการถ่อมตน แต่คนอื่นกลับไม่คิดแบบนั้น
“อ๋อ ธุรกิจเล็กๆเหรอ? ฮ่าฮ่า เย่หลิน เด็กอ้วนที่นั่งโต๊ะหลังเธอตอนนั้น เธอยังจำได้ไหม?”ผู้หญิงอวบคนนั้นพูดถามขึ้น
เย่หลินขมวดคิ้ว หรี่ตา จำได้ว่ามีคนแบบนี้อยู่ จึงพยักหน้า “อื้ม ที่พ่อเขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนเราคนนั้นเหรอ?”ที่จริงเธออยากจะพูดว่า คนที่รังแกเธอบ่อยๆคนนั้นเหรอ?
“ใช่ เขานั่นแหละ เธอรู้ไหม? ปีที่แล้ว ตอนที่เพื่อนร่วมชั้นมารวมตัวกันอีกครั้ง เขาเสนอรางวัลหนึ่งแสน ให้เพื่อนคนไหนที่สามารถบอกข้อมูลติดต่อของเธอได้ เขาก็จะให้หนึ่งแสนกับคนนั้น”ในตอนนั้น ก็ถามในกลุ่มอยู่ช่วงหนึ่ง
ตอนนั้นเย่หลินก็รีบไป ไม่ได้พูดอธิบายอะไรเลย ทุกคนก็วุ่นวายกันพักหนึ่ง หลังจากนั้นถึงได้เงียบลงไป
เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย คีบชิ้นปลานำเข้าปากอย่างช้าๆ “เขาตามหาฉันทำไม?”
“เขาแอบชอบเธอมาหลายปีแล้ว เธอนี่ความรู้สึกช้าจริงๆ ตอนนั้น ผู้ชายห้องเรา แล้วก็พวกผู้ชายที่อยู่ห้องข้างๆ ยืนอยู่หน้าประตูห้องเราทุกวัน เธอคิดว่าพวกเขาว่างเหรอ? พวกเขามาส่องเธอนั่นแหละ ”เพื่อนร่วมโต๊ะคนนั้นพูดเป็นต่อยหอย ส่วนเย่หลินก็กลืนน้ำลายไม่หยุด
เมื่อพูดถึงเรื่องพวกนี้ ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าเด็กโต๊ะข้างหลังแอบชอบเธอมาหลายปีแล้ว? เขามักจะรังแกเธอบ่อยๆ? แล้วห้องข้างๆอีก? คนไหนบ้าง?
เธอสูดหายใจเข้า “เหอะๆ เรื่องพวกนี้ก็ผ่านไปแล้ว พูดขึ้นทำไม?”
“นั่นสิ สามีเขานั่งอยู่นี่ เธอพูดเรื่องพวกนี้ทำไม?”ถึงแม้ซู่ซู่จะไม่เห็นสีหน้าของหนิงเส่าเฉิน แต่พอคิดๆดูแล้ว ผู้ชายคนไหนอยากฟังเรื่องแบบนี้กัน? จึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ฉันก็แค่หาเรื่องคุยไปเรื่อย เย่หลิน เด็กอ้วนคนนั้น ตอนนี้ไม่อ้วนแล้วนะ หน้าตาหล่อมากเลย อีกอย่าง เห็นบอกว่าบริษัทที่กำลังทำจะเข้าสู่ตลาด เธอว่า ถ้าตอนนั้นเธอ……”
“เธอเป็นอะไรเนี่ย? บอกว่าไม่ให้พูด ทำไมเธอยังพูดอยู่อีก?”เห็นได้ชัดว่าซู่ซู่ทนฟังต่อไม่ไหว ก็ชนไหล่ผู้หญิงคนนั้นไปที
“ซู่ซู่ เธอจะกังวลอะไร? เย่หลินเขายังยิ้มอยู่เลย เธอจะตื่นตัวไปทำไม? หรือเพราะเด็กอ้วนคนนั้นไม่ชอบเธอ ถึงได้แค้นเขาอยู่?”พูดไปก็หัวเราะไป
เย่หลินขมวดคิ้วแน่นขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะหันศีรษะ สงสัยว่าทำไมหนิงเส่าเฉินถึงไม่มีปฏิกิริยากับเรื่องพวกนี้เลย ถึงได้เห็นว่า เขาใส่หูฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มองดูโทรศัพท์ในมือของเขา เหมือนกำลังฟังการบรรยายอะไรสักอย่าง ก็อดที่จะถอนหายใจไม่ได้ โชคดี ที่เขาไม่ได้ยิน
รีบพูดขึ้นยิ้มๆ “เอาล่ะ พวกเราไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้วดีกว่า มันผ่านไปแล้ว”
จากนั้น ทุกคนก็พูดถึงเรื่องสมัยเป็นนักเรียนกัน กลับทำให้เย่หลินรู้สึกเจ็บปวด เธอเพิ่งมาเข้าใจ ที่จริงตอนนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเพื่อนที่ดี แต่เป็นเพราะไม่มีใครทนได้ที่ตัวเองต้องรู้สึกเหมือนเป็นแค่ตัวประกอบของเธอ ถึงได้ค่อยๆออกห่าง
เมื่อรู้ความจริงเรื่องนี้ ก็ทำเธอหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
จากนั้น ก็พูดเรื่องตลกๆสมัยเรียน เธอหัวเราะจนน้ำตาไหลออกมาเลย
ในระหว่างนี้ ไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่มีความทะนงตัว มีแต่ความสุข
หลังจากนั้นทุกคนก็แลกช่องทางการติดต่อกัน พวกเขาเพิ่มวีแชตส่วนตัวของเย่หลิน จากนั้นซู่ซู่ก็ดึงเธอเข้ากลุ่มห้อง ซึ่งมีหลายคนอยู่ในนั้น
เด็กอ้วนคนนั้น ให้เขานำเงินหนึ่งแสนมา
คุยไปหัวเราะไป ก็ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วโมง
ระหว่างนั้น ผู้หญิงอวบคนนั้นปากบอกไม่รู้จักอาหารทะเลพวกนั้น แต่เย่หลินก็ไม่เห็นเธอกินน้อยลงเลย ถึงขนาด กินหลายจาน กินหมดก็ให้คนเสิร์ฟมาเพิ่มอีก เห็นว่าอาหารบนโต๊ะกินใกล้จะหมดแล้ว ผู้หญิงอวบคนนั้นก็เรียกพนักงานมา บอกให้เช็คบิล
เย่หลิ่นก้มหน้าลงต่ำไปอีก เธอบีบมือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินใต้โต๊ะ
ผู้ชายจึงได้ถอดหูฟัง พอดีกับที่พนักงานพูดว่า“สวัสดีค่ะ คุณผู้หญิง ทั้งหมด70,888 คุณจะรูดบัตรหรือ…… ”
เจ็ดหมื่นกว่า เย่หลินสูดหายใจเข้า นี่มันกินทองชัดๆเลย แต่ในปีนี้ ตามหนิงเส่าเฉิน ก็ถือว่าเธอได้เปิดโลกทัศน์มามาก พูดตามตรง ในค่านิยมของหนิงเส่าเฉิน ที่สั่งอาหารวันนี้ ถือว่าเขาเบามือให้มากแล้ว แม้ว่าเธอจะไม่เห็นด้วยกับทัศนคติในการบริโภคของเขา แต่ หลังจากได้รู้จักเขามากขึ้น เย่หลินก็เลือกที่จะเคารพเขา
ผู้หญิงอวบคนนั้น ก่อนหน้านี้ยังมีสีหน้าพอใจ พอตอนนี้ สีหน้าก็นิ่งลง อ้าปากไว้เล็กน้อย การเปลี่ยนของสีหน้าทั้งก่อนและหลัง อย่าให้พูดถึงเลยว่ามันตลกมากแค่ไหน
เย่หลินค่อนข้างอึดอัด เห็นได้ชัด ว่าตอนนั้นหนิงเส่าเฉินตั้งใจจริงๆ
คิดๆแล้ว ก็ปิดปาก ผลักหนิงเส่าเฉินเบาๆ
หนิงเส่าเฉินถึงได้เงยหน้าขึ้น หันสายตาไปทางเย่หลิน “กินเสร็จแล้วเหรอ?”
มุมปากของเขายังคงมีรอยยิ้มบางๆ ในตามีความอ่อนโยน ขนาดเย่หลินที่เห็นมันทุกวัน ในวินาทีนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะมองจนเหม่อ ผู้หญิงพวกนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
พวกเขาคงคิดไม่ถึง ว่าผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างเย่หลิน ที่จริงแล้ว จะเป็นเทพบุตรแบบนี้
ยิ่งกว่านั้น รัศมีความรวยที่แผ่ออกมาจากตัวเขา เห็นได้ชัด ว่าไม่ใช่คนที่อยู่ในโลกเดียวกันกับพวกเขา
หลังจากพนักงานคนนั้นเห็นหน้าตาของหนิงเส่าเฉิน ก็ตกใจ จากนั้น ถอยหลังไปสองก้าว วิ่งเข้าไปทางด้านหลังร้าน
ไม่นาน ก็มีชายวัยกลางคนอายุราวๆสี่สิบรีบเดินออกมา “ประธานหนิง คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมถึงไม่บอกกล่าวเลย พวกผมจะได้ไปรับคุณ?”
ทุกคนตกตะลึงไปเลย รวมถึงเย่หลินด้วย
นี่มันสถานการณ์อะไร เห็นได้ชัดว่าผู้ชายคนนี้รู้จักกับหนิงเส่าเฉิน
หนิงเส่าเฉินหรี่ตา หันไปมองเย่หลิน พูดแบบไม่เร่งรีบว่า “ครั้งที่แล้ว คุณบอกว่าอะหารทะเลที่นี่ สดที่สุดที่คุณเคยกินในเมืองs หลังจากกลับไป ผมก็ให้หลิวซูซื้อมันในนามของคุณ ที่จริง ผมเตรียมไว้เป็นของขวัญให้คุณในวันที่บริษัทคุณเปิดกิจการ แต่หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับคุณ ก็เลยลืมไป”
เย่หลินกำมุมเสื้อไว้แน่น กำลังครุ่นคิด เธอรู้สึกว่าต่อไปตัวเองจะไม่กล้าพูดไปเรื่อยอีก ผู้ชายคนนี้ซื้อร้านอาหารใหญ่โตขนาดนี้เพียงเพราะคำพูดของเธอที่พูดไปเรื่อย ในหัวก็ผุดคำคำหนึ่งขึ้นมา เห็นม้าเร็วพระสนมเอกพลันแย้มสรวล และถอนหายใจเป็นล้านๆครั้ง
และอีกสามคนที่นั่งอยู่ ตอนนี้ไม่สามารถใช้คำว่าตกตะลึงมาบรรยายพวกเขาได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าเธอพูดถึงขนาดนี้ ก็หาเหตุผลที่จะปฏิเสธไม่ได้
ก็พูดกับหนิงเส่าเฉินว่า “งั้นเราไปนั่งด้วยกันไหม?”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า
จากนั้นทั้งสามก็ไปที่ร้านน้ำชาสไตล์จีนตะวันตกที่อยู่ในเมือง
ตอนเย่หลินพวกเธอมา ให้คนขับรถชั่วคราวที่หนิงเส่าเฉินหามาเป็นคนมาส่ง เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะกลับเมื่อไร เย่หลินจึงบอกให้พวกเขากลับไปก่อน ในตอนนี้ ถึงได้นั่งรถของซู่ซู่กลับไป
เมืองsเป็นเมืองท่องเที่ยวชื่อดัง ในทุกปีนอกจากจะมีนักท่องเที่ยวภายในประเทศแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศอีกด้วย ดังนั้น ที่นี่ถึงได้มีร้านอาหารที่ผสมความเป็นจีนและตะวันตกอยู่มาก
และร้านนี้ ครั้งที่แล้วที่มาตามหาเกาไห่ หนิงเส่าเฉินก็เคยพาเธอมาแล้ว ถึงแม้จะเทียบกับเมืองcไม่ได้ แต่ก็ถือว่าหรูหรามาก ที่จำได้ดีเลยคือ อาหารแพงมาก
เมื่อเห็นเย่หลินที่ถูกผู้ชายโอบเอวไว้ ผู้หญิงสามคนที่นั่งอยู่บนที่ ก็มองหน้ากัน แล้วพูดพร้อมกันว่า “เย่หลิน?”
เนื่องจากหนิงเส่าเฉินก้มหน้าลง หลายคนจึงมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา เมื่อเห็นเขาไม่ได้มีท่าทีว่าจะทักทาย ทุกคนก็หุบปาก
เย่หลินพยักหน้าและยิ้ม เธอควรยิ้มไหม? คนที่ไม่ได้เจอกันมากกว่าสิบปียังสามารถจำเธอได้ทันทีแบบนี้
เมื่อมองย้อนกลับไปยังเหล่าผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอ เธอกลับจำได้แค่เลือนราง ถึงขนาดเรียกชื่อไม่ออกเลยด้วยซ้ำ จึงอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ รู้สึกเสียใจที่ตามซู่ซู่มาทันที
“นั่งคุยกันก่อน นั่งก่อน” จากนั้นทุกคนก็นั่งล้อมโต๊ะครึ่งวงกลม
หนิงเส่าเฉินนั่งลงข้างเย่หลิน ในตำแหน่งที่อยู่นอกสุด
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่เงยหน้า หรือพูดอะไรสักคำ
ถ้าไม่ใช่เพราะเย่หลิน เขาไม่มีทางมาที่แบบนี้ นั่งกับ……ผู้หญิงพวกนี้
หลังจากนั้น ทุกคนก็ทักทายกัน และเย่หลินก็ได้รู้ว่า ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเธอหลังจากจบมัธยมปลายแล้ว ทุกคนก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย หลังจากจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแล้ว บางคนก็เรียนต่อโท และบางคนก็เริ่มทำธุรกิจของตัวเอง หนึ่งในนั้นเห็นบอกว่าเป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆที่หนึ่งแล้ว
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา ในชีวิตนี้ เรื่องที่เธอไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัยถือเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเรื่องหนึ่ง
“เย่หลิน ตอนนั้นที่เรียนจบ ฉันได้ยินจากซู่ซู่ว่า พวกเธอย้ายบ้านกันไปทั้งครอบครัว ผลสอบตอนนั้นของเธอดีขนาดนั้น ตอนนี้เธอคงมีชีวิตที่ดีใช่ไหม?”หนึ่งในนั้นผู้หญิงอวบคนหนึ่งพูดขึ้น
เย่หลินทำสีหน้าไม่ถูก เธอควรตอบยังไง? หรือจะให้บอกคนอื่นว่าตัวเองไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ไปคลอดลูก?
คิดๆแล้ว เธอก็พูดขึ้นว่า “อืม หลังจากนั้น แม่ฉันอาการไม่ค่อยดี พาเธอไปรักษาในเมืองใหญ่ เพราะแบบนั้น ฉันจึงไม่ได้เรียนต่อมหาวิทยาลัย”
พูดจบ เธอก็รู้สึกว่าฝ่ามืออุ่นขึ้น ก้มหน้า ก็เห็นหนิงเส่าเฉินกุมมือเธอไว้ กุมไว้แน่น ทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ถึงแม้จะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ เธอก็ถือเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิต เธอชนะใจหนิงเส่าเฉิน
“อ๋อ งั้นคงน่าเสียดาย แล้วตอนนี้ล่ะ ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่?”
เย่หลินกัดปาก ในเวลาแบบนี้ ถ้าพูดถึงเรื่องหนิงเส่าเฉิน หรือเรื่องของบริษัทซีเอกซ์ในตอนนี้ ก็คงจะโอ้อวดเกินไป จึงเปลี่ยนประเด็น“เอ่อคือ เราสั่งอาหารมาก่อนไหม?”
คนที่ถามเธอ คือคนที่เป็นเจ้าของบริษัทเล็กๆคนนั้น เห็นเธอเปลี่ยนประเด็น จึงมองมาด้วยสายตาดูถูก
“โอเค พวกเธอสั่งเลย อาหารมื้อนี้ ฉันเลี้ยงเอง พวกเธอสั่งมาก็พอ”
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ในขณะนั้น พนักงานเสิร์ฟก็เข้ามาพร้อมกับเมนูอาหารพอดี
พนักงานเสิร์ฟเป็นคนต่างประเทศ หนิงเส่าเฉินรับเมนูอาหารมา ยังคงก้มหน้า พูดรายการอาหารจำนวนมากโดยใช้ภาษาอังกฤษ ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เย่หลินไปอยู่ต่างประเทศ เธอก็ได้ศึกษาเรื่องอาหารมาบ้าง ดังนั้น เธอจึงคุ้นเคยกับชื่ออาหารที่เป็นภาษาอังกฤษ ตอนนี้อาหารที่หนิงเส่าเฉินสั่งถือเป็นอาหารยอดนิยมทั้งหมด
เธอสูดหายใจเข้า อดที่จะกระตุกชายเสื้อของเขาไม่ได้
หนิงเส่าเฉินก็ยังไม่หยุด ยังคงพูดสั่งต่ออีกสองสามรายการ จากนั้นถึงได้ก้มหน้ามามองเย่หลิน “มีแต่ของที่คุณชอบทาน ใช่ไหม?”
เย่หลินพยักหน้าแบบรู้สึกผิด
หันไปมองคนที่บอกว่าจะเลี้ยง “เอ่อคือ พวกเธอลองดูว่ายังอยากกินอะไรอีก มื้อนี้ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง!”
พูดเล่นหรือไง สั่งอาหารมาเยอะขนาดนี้ ให้คนอื่นเลี้ยง เธอทำไม่ได้หรอก
กินอาหารทะเลชั้นหนึ่งในเมืองs แพงกว่าในเมืองcมาก แค่ค่าขนส่งเหล่านั้นก็ทำให้คนตะลึงตาค้างได้เลย
แล้วหนิงเส่ายังสั่งมาเยอะขนาดนั้นอีก
“ไม่ต้อง เย่หลิน เธอชอบกินอะไร สั่งมาก็พอ วางใจเถอะ เงินแค่นี้ฉันมีปัญญาจ่าย”ผู้หญิงคนนั้นคิดว่าเย่หลินดูถูกเธอ ขณะที่พูด จึงมีอารมณ์เย่อหยิ่งมากขึ้น
เย่หลินอ้าปากต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หนิงเส่าเฉินบีบมือของเธอที่อยู่ใต้โต๊ะไว้ เธอจึงเลือกที่จะหุบปาก
สวดภาวนาในใจเบาๆ อีกเดี๋ยวผู้หญิงคนนี้ ใจแข็งให้ได้แบบนี้ล่ะ
“ซู่ซู่ ได้ยินว่าคู่หมั้นของเธอ บ้านเขาทำวาล์วใช่ไหม?”ผู้หญิงอวบคนนั้นถามซู่ซู่
ซู่ซู่ยักไหล่ “ใช่ หากำไรเล็กน้อย ไม่มีอะไรให้พูดถึงหรอก”
“ไม่ต้อง ฉันได้ยินคนพูดมาแล้ว ว่ามูลค่าผลผลิตต่อปีหลายร้อยล้าน ยังจะบอกว่าหากำไรเล็กน้อยอีก เธอเจียมตัวเกินไปหรือเปล่า?”ผู้หญิงอวบพูดจบ ประเด็นสนทนาก็ไปตกอยู่ที่ผู้หญิงที่ใส่แว่นอยู่ข้างๆ “เธอล่ะ? ได้ยินมาว่าสองสามปีมานี้สามีเธอพัฒนาได้ไม่เลว?”
ผู้หญิงที่สวมแว่นปิดปากของเธอ แล้วพยักหน้า “ใช่ ยังถือว่าโอเค เขาโชคดีน่ะ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เขาซื้อรถยนต์หลายสิบคันเพื่อการขนส่ง และดีกับฉันมาก”
“เฮ้อ ดูเหมือนว่าฉันคงจะแย่ที่สุด สามีฉันอยู่บ้านไม่มีสิทธิในการพูดเลย อยู่บ้านก็ฟังแต่พ่อแม่เขา เฮ้อ……”พูดจบ ก็จิบชาไปสองสามคำ สมัยยังเรียนอยู่ ผู้หญิงคนนี้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของเธอ
“เธออย่ามาได้ประโยชน์แล้วแสร้งทำเป็นร้องทุกข์ ใครไม่รู้บ้างว่าสามีเธอเป็นลูกคนรวย”
ผู้หญิงเมื่ออยู่ด้วยกัน มักพูดคุยถึงสามีหรือลูกๆ เท่าที่ดูแล้ว พวกเขาน่าจะยังไม่มีลูก เพราะฉะนั้นถึงได้คุยเรื่องผู้ชายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้มีอะไรมากแค่เทียบกันว่าผู้ชายของใครดีกว่ากัน และบ่นข้อเสียของผู้ชายบ้านตัวเอง
เนื่องจากหนิงเส่าเฉินนั้นไร้ที่ติ เย่หลินจึงนิ่งเงียบตลอดเวลา ฟังพวกเขา ร่วมพูดคุยเป็นครั้งคราวหรือหัวเราะกับพวกเขาบ้าง
รู้สึกเสียใจที่พาหนิงเส่าเฉินมาดูละครที่น่าอึดอัดแบบนี้
อาหารมาเสิร์ฟเร็วมาก หนิงเส่าเฉินสั่งอาหารทะเลเป็นส่วนใหญ่ และเย่หลินก็ดูออกเลยว่าความสดของอาหารทะเลนั้นถือว่าดี ในสถานที่อย่างเมืองs
“โห ดูเหมือนว่าเย่หลินจะไปอาศัยอยู่แถวริมทะเลนะ อาหารนี่ มีแต่อาหารทะเลทั้งนั้น นี่ก็มีหลายอย่างที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”ผู้หญิงอวบคนนั้นมองไปบนโต๊ะอาหาร หนึ่งจานมีอาหารทะเลหนึ่งส่วน รวมๆแล้วมีเป็นสิบจาน แต่ก็มีที่ตัวเองเคยเห็นแค่ไม่กี่อย่าง จึงอดพูดเสียดสีขึ้นมาไม่ได้
เย่หลินกัดปากล่าง “เอ่อ พวกเธอลองชิมดู อร่อยๆทั้งนั้นเลย”พูดไป ก็คีบ‘กุ้งเมา’หนึ่งตัวไปไว้ในถ้วยของหนิงเส่าเฉิน “คุณลองชิมดู รสชาติไม่เลวเลย”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า
“เย่หลิน สามีเธอทำงานอะไรเหรอ? ทำไมถึงเอาแต่ก้มหน้า พูดก็ไม่พูด?”ผู้หญิงอวบคีบหมูหนึ่งชิ้นเข้าปาก พูดขึ้น
เย่หลินนิ่งไปเล็กน้อย เงยหน้ามองเธอ แล้วหันไปมองหนิงเส่าเฉิน เธอกัดปาก “เอ่อ เขา ทำธุระกิจเล็กๆน่ะ ไม่เคยเจอสังคมใหญ่ๆ ดังนั้น เจอผู้หญิงสวยๆแบบพวกเธอแล้ว เขาค่อนข้างอายน่ะ”
พูดจบ ก็ก้มหน้า กลั้นยิ้ม จากนั้น ช่วงเอวก็เหมือนถูกใครบีบเบาๆ
เย่หลินพยักหน้า “ใช่ คุณรู้ได้ยังไง? คูน้ำสายนั้น ไหลมาจากบ่อน้ำแร่ ในน้ำยังมีปลาตัวเล็กมากมาย และแม่ฉันก็ไม่ยอมให้จับ เส่าเฉิน คุณรู้ได้ยังไง?”
ลูกกระเดือกหนิงเส่าเฉินขยับ เขากลืนน้ำลายลงคอ มองเย่หลิน “คุณพาผมไปดูได้ไหม?”
เย่หลินไม่เข้าใจหนิงเส่าเฉิน แต่ก็จับมือเขาไว้ เดินเข้าไปข้างหลังจากตรอกข้างบ้าน
คูน้ำสายนั้น ตอนนี้ได้แข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็งแล้ว และรอบๆคูน้ำก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว
“คุณดูสิ คูน้ำสายนี้แหละ เสียดายที่ตอนนี้แข็งไปแล้ว” เธอพูด แล้วก็ก้มไปใช้นิ้วมือกดลง “น้ำแข็งหนาเกินไป คาดว่าคงทำลายได้ยากหน่อย ไม่อย่างนั้นคุณคงจะเห็นว่าใต้น้ำมีปลาตัวเล็กมากมาย”
“เย่หลิน ตอนเด็กคุณคงไม่เคยได้ช่วยเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่นี่ใช่ไหม?”
เย่หลินดึงหญ้าที่เหี่ยวขึ้นมา เขียนชื่อเธอกับหนิงเส่าเฉินไว้บนหิมะ เมื่อได้ยินหนิงเส่าเฉินถามเธอ เธอก็ตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้น “อืม ดูเหมือนว่าตอนนั้นฉันยังเด็กมาก ฉันจำไม่ค่อยได้เท่าไหร่ จำได้แต่ว่าพี่ชายคนนั้นเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ เลยเอาร่มบังฝนให้เขา ต่อมา…ต่อมา ฉันก็จำไม่ได้แล้ว ยังไงก็แล้วแต่ตอนนั้นแม่ตีฉัน โตมาขนาดนี้แล้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่แม่ตีฉัน เรื่องนี้ ฉันจำได้แม่น”
เธอพูดจบ ก็เห็นหนิงเส่าเฉินไม่ตอบสนองไปพักหนึ่ง จึงเงยหน้าขึ้นไปดู กลับเห็นว่า ใบหน้าเขามีแต่น้ำตา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก มีแต่คนบอกว่าผู้ชายไม่ร้องไห้ง่ายๆ แล้วนี่ยิ่งเป็นหนิงเส่าเฉิน ก็ยิ่งหาได้ยากเข้าไปอีก
“เส่าเฉิน คุณเป็น……”เธอยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกชายที่อยู่ข้างหน้ากอดเธอไว้แน่น สวมเสื้อผ้าที่หนาขนาดนี้ไว้ แต่เย่หลินก็ยังรู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นรัวของเขา
“เกิด……อะไรขึ้นหรือเปล่า?”ฉันถามขึ้นอีกครั้ง
หนิงเส่าเฉินหลับตา “หึหึ” เขาว่าแล้ว คนคนหนึ่งจะเปลี่ยนไปมากขนาดนั้นได้ยังไง เด็กที่ใจดีแบบนั้น จะกลายเป็นคนแบบนั้นได้ยังไง?
ที่แท้ ก็ผิดตั้งแต่แรก ผิดมหันต์เลย
แต่ก็ต้องขอบคุณความเมตตาของสวรรค์ ไปๆมาๆ สุดท้ายเธอก็แต่งงานกับเด็กผู้หญิงเมื่อตอนนั้น
“เย่หลิน เด็กผู้ชายที่คุณช่วยไว้ตอนนั้น ก็คือผม”เขาพูดคำเหล่านี้ทีละคำ
เย่หลินผลักเขาออก “หมายความ……ว่ายังไง?”
หนิงเส่าเฉินสูดหายใจเข้า“หมายความว่า พวกเราคิดว่าเกาเหวินเป็นคนช่วยผม แต่ที่จริงแล้ว เย่หลิน เป็นคุณที่ช่วยผมไว้……”พูดจบ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก และในที่สุดเขาก็ไม่ต้องมีความรู้สึกผิดกับผู้หญิงคนนั้นอีกแล้ว
เย่หลินกลับนิ่งอึ้งไป นี่หรือว่า เธอกับหนิงเส่าเฉินรู้จักกันตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว? นี่ทำให้เธอตกใจจนอึ้งไปเลย
เธอก็เพิ่งจะเข้าใจ ว่าบุญคุณที่เกาเหวินช่วยชีวิตเขาไว้หมายความว่าอะไร? ที่แท้ แม้แต่เรื่องนี้เกาเหวินก็แทนที่เธอ
เพียงแต่……
เธอแทนที่เย่หลินได้ยังไง?
เธอผลักหนิงเส่าเฉินออกเบาๆ “แต่ทำไมตอนนั้น พวกคุณถึงคิดว่าเกาเหวินเป็นคนช่วยคุณไว้?”
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว ส่ายหน้า “เรื่องนี้ ก็คงมีแต่แม่ของคุณที่อธิบายได้แล้วล่ะ”
ร่างกายของเย่หลินสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ หรือว่า ตั้งแต่วันนั้นแม่ของเธอก็ได้ตัดสินใจที่จะเสียสละเธอแล้ว? หนิงเส่าเฉินกับพ่อหนิงเหมือนกันทุกอย่าง แม่ของเธอคงจำหนิงเส่าเฉินได้ตั้งแต่ตอนนั้น? ถึงได้ให้เกาเหวินแทนที่เธอ เพื่อปูทางให้เกาไห่พี่ชายของเธอมีอนาคตที่ดี?
นี่คือคำอธิบายที่ดีที่สุดที่เธอคิดได้ตอนนี้
แต่พอคิดถึงความเป็นไปได้เรื่องนี้ หัวใจของเธอก็ยิ่งรู้สึกเย็นขึ้น
“คุณคิดว่าเป็นเพราะเรื่องนี้หรือเปล่า ที่ทำให้หลังจากที่คุณเจอกับฉัน คุณถึงได้นอนหลับอย่างสนิท?”
หนิงเส่าเฉินจ้องเธอ มุมปากก็ยิ้ม “เย่หลิน ขอบคุณนะ ที่ทำให้ผมเจอกับคุณอีกครั้ง”
เย่หลินกระแอมเบาๆ มองไปทางอื่นอย่างเขินอาย
“เย่หลิน……”ทันใดนั้นเย่หลินก็ได้ยินว่ามีคนเรียกเธอจากข้างหลัง
เธอหันไปก็เจอกับผู้หญิงคนหนึ่ง สวมเสื้อขนมิงค์สั้นทันสมัย กระโปรงสีดำ รองเท้าบูทยาวถึงหัวเข่า ผมยาวถึงเอว ตรงและดำสนิท
แม้ว่าจะไม่ได้เจอกันหลายปี แต่เย่หลินก็สามารถจำเธอได้อย่างรวดเร็ว “ซู่ซู่?”
“พระเจ้า เป็นเธอจริงๆด้วย เมื่อกี้ฉันมองเธอจากบ้านของฉันอยู่นาน นึกว่าตัวเองตาฝาดไปซะอีก เย่หลิน สิบกว่าปีมานี้ เธอไปไหนมา?”
ซู่ซู่เป็นเพื่อนบ้านของเธอ ถูกแม่ของเธอจับแต่งตัวมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้หน้าตาจะธรรมดา แต่แต่งตัวเป็น ตอนเด็กๆจึงมีผู้ชายมาชอบเธอเยอะมาก
ส่วนเธอนั้น ถึงหน้าตาจะดี แต่มีนิสัยเหมือนผู้ชาย กับคนแปลกหน้า ก็จะเย็นชาหน่อยๆ ถึงทำให้พวกเด็กผู้ชายได้แต่มองแต่ไม่มีโอกาสได้เข้าใกล้
แม่ไม่ค่อยชอบเธอ สั่งเธอห้ามเล่นกับซู่ซู่ทุกวัน แต่ทั้งสองคนอายุเท่ากัน แล้วยังอยู่โรงเรียนเดียวกัน ห้องเดียวกันอีก ไม่เล่นด้วยกันก็คงไม่ได้
เย่หลินย้อนกลับไปคิด ถ้าจะถามหาเพื่อนที่ดีในเมืองs ถ้าอย่างนั้นซู่ซู่คงเป็นหนึ่งในนั้นแล้วล่ะ
เพราะฉะนั้นตอนนี้ถึงทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เจอกัน
เธอเหลือบมองหนิงเส่าเฉิน ปล่อยมือของเขา แล้วเดินหน้าขึ้นไปไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะหยุดมองซู่ซู่แล้วยิ้ม: “เธอยังไม่เปลี่ยนไปเลย ผมตรงสีดำสนิทนี้เหมือนกับตอนที่เธอยังเป็นเด็ก”
ซู่ซู่จับมือเธอไว้“เธอเปลี่ยนไปนะ สวยขึ้น”พูดไปก็เหลือบไปมองข้างหลัง “เธอแต่งงานแล้วเหรอ? นั่นสามีเธอ?”
เย่หลินสูดหายใจเข้า กัดปากล่างไว้ คิดพักหนึ่ง “อืม พ่อของลูก”
ในเวลานี้ เธอถึงได้ค้นพบว่า เธอไม่สามารถบอกใครๆได้ว่าเธอแต่งงานแล้ว และเธอก็ไม่สามารถยอมรับได้ว่าหนิงเส่าเฉินเป็นสามีของเธอ
เพราะว่า ระหว่างพวกเธอ ยังมีเกาเหวินอีกคน
คิดถึงตรงนี้ ก็ผิดหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“นี่เธอมีลูกแล้ว?”ซู่ซู่ปิดปาก พูดขึ้นอย่างตกใจ “ไปๆๆ วันนี้ฉันนัดพวกเขาไว้พอดี เธอไปกับฉันเถอะ ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอกลับมา คงจะดีใจจนเป็นบ้าแน่ๆ”
“หืม พวกเขา?”เสียงเย่หลิน
“พวกเขาที่นั่งโต๊ะด้านหน้าและด้านหลังของเธอตอนอยู่ในชั้นเรียนไง จำได้ไหม?”
เย่หลินนึกขึ้นได้ แต่เธอไม่คิดว่าพวกเขาจะดีใจที่ได้พบเธอ ในความความทรงจำของเธอ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับคนที่นั่งโต๊ะด้านหน้าและด้านหลังนั้นไม่ค่อยดี พวกเขามักจะแยกออกห่างจากเธอ เพียงเพราะออร่าของเธอแรง
“คือว่า……หรือ ฉันไม่ไปแล้วดีกว่า? พ่อของลูก……”เธออยากเอาหนิงเส่าเฉินมาเป็นข้ออ้าง
แต่…….ไหล่ก็อุ่นขึ้น หนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างเธอ ก้มศีรษะลง แล้วพูดขึ้นเบาๆว่า “อยากไปก็ไปเถอะ ผมไม่เป็นไร”
พูดจบ ก็ถอดถุงมือ มือเรียวนั้นปัดผมเธอที่ถูกลมพัดเข้าปากไปทัดไว้ที่หู
เดิมทีซู่ซู่มองจากระยะไกล หนิงเส่าเฉินใส่เสื้อสีดำตัวใหญ่ พันผ้าพันคอ และสวมหมวกถักนิตติ้งสีดำแบบเดียวกับเย่หลิน ไม่ได้สะดุดตาขนาดนั้น แต่ตอนนี้ ได้มองใกล้ๆ ใจของเธอก็เต้นแรงดังตึกตักๆเหมือนจะทะลุออกมา
ผู้ชายคนนี้ หล่อมาก หาได้ยากนะเนี่ย!
“คือ คุณผู้ชายคนนี้หากไม่รังเกียจ ก็เชิญไปด้วยกันสิคะ”เธอพบว่าเสียงของตัวเองสั่นเล็กน้อย
สายตาของเย่หลินตกมาที่หนิงเส่าเฉิน ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของซู่ซู่
หนิงเส่าเฉินไม่ตอบเธอ เขากำลังปลดกระดุม เย่หลินคิดๆแล้ว ก็พูดขึ้นว่า “คุณเองก็สืบได้แล้วใช่ไหมว่าสายนั้นโทรออกจากบ้านหลังนี้?”
เย่หลินเห็นมือของหนิงเส่าเฉินนิ่งไป ก็พูดต่อว่า “ฉันคิดว่าน่าจะเป็นน้าทำความสะอาดที่เพิ่งมาใหม่ ที่จริงตอนเย็นอยากจะถามเธอตรงๆ แต่พอคิดดูแล้ว ก็รอคุณกลับมาก่อนดีกว่า”
หนิงเส่าเฉินหันมา ลูบหัวเธอ แล้วก้มหน้ามองดูเธอ “ที่จริง คุณเองก็น่าจะเดาออก ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือใคร ไม่ใช่เหรอ?”
เย่หลินทิ้งน้ำหนักลงที่เท้าข้างหนึ่ง เตะพื้นเบาๆ ใช่ เรื่องนี้ ที่จริงจะว่าเป็นเรื่องใหญ่ก็ไม่ใช่ เป็นเรื่องเล็กก็ไม่ได้ ถ้ามองในมุมเล็กๆ คนคนนั้นอาจจะแค่อยากหลอกให้เธอตกใจ มองในมุมใหญ่ๆ วันนี้เป็นวันเปิดตัวของบริษัทซีเอกซ์ เธอเชิญผู้คนมามากมายขนาดนั้น แต่ตัวเองกลับไม่ออกงาน ถ้าหากมีคนใช้โอกาสนี้บอกว่าเธอดูถูกทุกคน หลอกทุกคนมางาน ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะมีผลกระทบต่อการพัฒนาของบริษัทซีเอกซ์ในอนาคต
และคนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้ นอกจากเกาเหวิน เธอก็นึกไม่ออกแล้วว่าจะมีใครอีก
แต่ว่าหนิงเส่าเฉินบอกว่าเกาเหวินบ้าไปแล้ว
เธอจึงไม่กล้าพูดไปเรื่อย
หนิงเส่าเฉินกอดเธอไว้ “คุณน่ะ ยังคิดว่าผมเป็นคนนอกใช่ไหม?”
เย่หลินส่ายหัว แน่นอนว่าเธอไม่ได้คิดแบบนั้น เพียงแต่ ตอนนั้นเคยรับปากกับพ่อหนิงว่าจะไม่บังคับให้หนิงเส่าเฉินหย่ากับเกาเหวิน
อีกอย่าง เธอก็ไม่อยากเพิ่มความกดดันให้หนิงเส่าเฉินจริงๆ
“เธอไม่ได้บ้า ที่จริงผมรู้มาตลอด แต่ผมต้องการหาหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าเธอไม่ได้บ้า และมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน เดิมที ผมยังคงคิดอยู่เลยว่าจะพิสูจน์ยังไง แต่เธอกลับส่งตัวเองมาซะแล้ว”
เย่หลินดีใจ “คุณหมายความว่า แค่มีคนเป็นพยานเรื่องนี้ว่าเกาเหวินเป็นคนสั่ง ก็จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้บ้า ใช่ไหม?”
หนิงเส่าเฉินพยักหน้า
ต่อมา เย่หลินเดาไม่ผิดเลย ว่าเป็นน้าคนทำความสะอาดบ้านจริงๆ เธอยอมรับว่าเกาเหวินให้เงินกับเธอก้อนหนึ่ง ให้เธอแอบเปลี่ยนเบอร์มือถือในโทรศัพท์ แล้วโทรหาเย่หลิน
จากที่คิดว่าเรื่องมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็จะทำสำเร็จแล้ว
แต่ว่าตอนที่หนิงเส่าเฉินเตรียมทนายไว้จะไปหาเกาเหวิน เกาเหวินก็ได้หายตัวไป
เธอขายหุ้นทั้งหมดของเธอให้กับบริษัทตระกูลเกาในราคาที่ต่ำ เอาเงินเล็กน้อยเหล่านั้น แล้วหายตัวไป
เธอเหมือนระเหยหายไปจากโลกมนุษย์ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หนิงเส่าเฉินส่งคนไปค้นหาที่สนามบิน สถานีรถไฟ และสถานีขนส่ง แต่ก็ไม่พบบันทึกการเดินทางของเธอเลย เห็นได้ชัดว่าเธอได้หลบหนีออกจากเมืองc ด้วยตัวตนของบุคคลอื่น
เรื่องนี้ ทำให้เย่หลินรู้สึกกลัวเล็กน้อย กังวลว่าระเบิดเวลาลูกนี้ อาจจะระเบิดได้ทุกเมื่อ
เห็นได้ชัด ว่ากับสถานการณ์ตอนนี้หนิงเส่าเฉินเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
“โทษฉันคนเดียวเลย ที่ต้องการอยากจะเล่นเกมกับเธอช้าๆ ฉันควรทำให้เธอเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาตั้งแต่ฉันกลับมาแล้ว ตอนนี้ยุ่งเลย ไม่รู้ว่าเธอหนีไปอยู่ที่ไหน ต่อไป เธออยู่ในที่มืด ฉันอยู่ในที่สว่าง คิดๆแล้วก็รู้สึกกลัว”คืนที่รู้ว่าเกาเหวินหายตัวไป เย่หลินนอนบ่นอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน
รู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจเมื่อตอนนั้น
มือใหญ่ของหนิงเส่าเฉินสอดไว้ระหว่างผมของเธอ“ อย่าโทษตัวเองมากไป ผมจะส่งคนไปหาเธอเอง”
“เธอมีเจตนาที่จะซ่อน ตราบใดที่เธอไม่ออกมา โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ พวกเราคงหาตัวเธอยาก”
ตั้งแต่เกาเหวินจากไป หนิงเส่าเฉินก็พาแม่นมหลิวกับลุงจางและคนอื่นๆที่ดูเชื่อถือได้มาพักยังที่ที่พวกเขาอยู่ และเพิ่มการรักษาความปลอดภัยรอบๆบ้าน
ไม่มีเกาเหวิน ชีวิตของพวกเธอ ก็กลับไปเป็นปกติ
พัฒนาการของบริษัทซีเอกซ์ดีเกินคาด หนิงเส่าเฉินเองก็ดีต่อเธอและครอบครัวนี้มาก นอกจากสถานะคุณนายหนิงที่เขาไม่ได้ให้ เขามอบทุกสิ่งที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่ฝันกับเธอ เขารักเธอ ความมั่งคง ความเข้าใจ ความอดทน การสนับสนุน…
ระหว่างนี้ เธอก็โทรหาคุณตาหลายครั้ง แต่กลับไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องพ่อเกาเลยสักคน
เกาไห่เองก็ได้ส่งโพสต์การ์ดมาให้เธอจากหลายๆประเทศ เห็นได้ชัดว่าเขากลับมามีชีวิตปกติแล้ว เธอดีใจแทนเขามาก
ชีวิตที่เป็นขั้นเป็นตอนแบบนี้ ผ่านไปเร็วมาก แค่กะพริบตาก็จะสิ้นปีแล้ว
เย่หลินได้รับโทรศัพท์จากแม่หนิง บอกว่าปีนี้พวกเขาจะไม่กลับมาฉลองปีใหม่ อยากไปเที่ยวประเทศอื่นๆ
นึกถึงท่องเที่ยว เย่หลินก็นึกถึงเมืองs จึงเสนอความคิดเห็นกับหนิงเส่าเฉินว่า สิ้นปีนี้ กลับเมืองsไหม เพราะเมืองcเป็นเมืองที่ติดทะเล จึงแทบจะไม่เคยเห็นหิมะเลย เธออยากพาเย่เสี่ยวโม่กับหนิงเสี่ยวซีไปดูวิวหิมะ
และก็อยากให้พวกเขาเห็นที่ที่เธอโตมาตั้งแต่เด็ก
หนิงเส่าเฉินตามใจเธอ และบอกเธอว่าปีนี้จะจัดการงานให้เสร็จโดยเร็ว จากนั้นจะใช้เวลาอยู่กับเธอและลูกๆ
วันที่ถึงเมืองs หิมะตกหนักมาก เด็กทั้งสองคนดีใจมากจนกระโดดโลดเต้น มุมปากของหนิงเส่าเฉินเองก็ยิ้ม
ตอนที่ตื่นขึ้นมา ก็มีหนิงเชี่ยนกับหลิวซู พี่ซวี่ แม่นมหลิว ลุงจาง เจอกับคนกลุ่มใหญ่
ตอนที่รู้เรื่องของหนิงเชี่ยนกับหลิวซู เย่หลินตกใจมาก แต่ก็คิดว่าทั้งสองคนเหมาะสมกันดี
เดิมทีเธอต้องการเช่าบ้านพักตากอากาศที่นี่ เพื่อให้ทุกคนได้อยู่ด้วยกันในช่วงปีใหม่ ให้มันมีชีวิตชีวาหน่อยๆ
แต่ใครจะรู้ ว่าหนิงเส่าเฉินจะรวยถึงขนาดให้หลิวซูซื้อบ้านพักตากอากาศหลังนี้ในนามของเธอ
เมืองsไม่ถือว่าเป็นเมืองใหญ่ บ้านพักตากอากาศหลังนี้อยู่ในเมืองใหม่ ดูเงียบสงบ สภาพแวดล้อมดี
มีพื้นที่เปิดโล่งกว้างใหญ่ด้านหน้าของบ้านพัก และในบ้านพักมีเครื่องทำความร้อน ทุกคนเองก็คิดว่ามันไม่เลว หนิงเสี่ยวซีเอาแต่พูดว่าจะมาฉลองปีใหม่กันที่นี่ทุกปี
“คุณดูสิ นี่เป็นโรงเรียนมัธยมต้นกับมัธยมปลายของฉัน ฉันกับหยูจี้ก็รู้จักกันที่นี่แหละ ” เย่หลินชี้ไปยังโรงเรียนที่ถูกหิมะปกคลุมข้างหน้า พูดขึ้นอย่างดีใจ
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว “ถ้ารู้จักกับคุณเร็วกว่านี้ก็ดี เราจะได้เป็นคู่รักที่มีใจให้กันตั้งแต่เด็กๆ”
เย่หลินปิดปากหัวเราะ “ไป ฉันจะพาคุณไปดูบ้านที่ฉันเติบโตมายี่สิบปี”
เป็นเรื่องที่หาได้ยากที่จะมีคนมาช่วยดูแลเด็ก และหาได้ยากที่จะมีโอกาสพาเขาไปดูเส้นทางชีวิตของเธอที่ผ่านมา
เย่หลินมีความสุขมากจนเหมือนเด็กๆ
เนื่องจากหิมะตกหนักมาก หลังคาบ้านเก่าที่เย่หลินเคยอาศัยอยู่ จึงถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ
“คุณดูสิ ตอนเด็กฉันเติบโตมาในที่แห่งนี้ นี่คือบ้านของฉัน มีทางรถไฟอยู่หลังบ้าน ทางรถไฟมีเนินเล็กน้อย ตอนเด็กๆ มีหิมะตกหนักเมื่อไหร่ ฉันกับเพื่อนบ้านข้างๆก็จะเอาถุงผ้าไปเล่นสไลด์ที่นั่น และในฤดูใบไม้ผลิ เดินผ่านเส้นทางรถไฟนั้นขึ้นไป บนภูเขาจะมีบ่อน้ำแร่ น้ำแร่ที่นั่นหวานมากเลย พอถึงฤดูร้อน ทั้งภูเขา……”
เย่หลินหยุดพูดไป เพราะเห็นสีหน้าของหนิงเส่าเฉินผิดปกติ
“เส่าเฉิน คุณ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เห็นเพียงหนิงเส่าเฉินหลับตาไว้ ขมวดคิ้ว สักพัก เขาก็ถามเย่หลินอย่างตื่นเต้นว่า“หลังบ้านหลังนี้มีคูน้ำเล็กๆใช่ไหม?”
“……”เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังของเธอ เธอเคยได้ยินเสียงเรียกเข้าของหลิวซูหลายครั้ง มันมีเอกลักษณ์ น่าฟังและจำได้ง่าย
เธอค่อยๆหันหลัง ก็เห็นหลิวซูที่ในมือถือแก้วไวน์แล้วเดินมาทางเธอ เห็นเธอหมดสภาพแบบนี้ เขาก็ตกตะลึง พูดพร้อมกับมีสายตายิ้มๆว่า“พี่สะใภ้ นี่คุณไปทำอะไรมาน่ะ? ถึงมีสภาพแบบนี้?”เขาเรียกเย่หลินว่าพี่สะใภ้ตามหนิงเชี่ยน
เพราะในใจเย่หลินห่วงแต่หนิงเส่าเฉิน จึงไม่เห็นรอยยิ้มในสายตาของเขา คว้ามือของเขามาเขย่าอย่างแรง “หลิวซู เส่าเฉินล่ะ?เส่าเฉินเป็นยังไงบ้าง?เขาอยู่ที่ไหน?”
เสียงที่เธอพูดออกมานั้นสะอึกสะอื้น ทำให้หลิวซูต้องปรับสีหน้า
เขาเชยคางเย่หลิน มือชี้ไปทางด้านหลังของเธอ “นู่น นั่นไม่ใช่เขาเหรอ?”
เย่หลินเช็ดน้ำตา กลั้นหายใจแล้วหันหลังกลับไป ไม่ไกลจากนี้ เธอเห็นหนิงเส่าเฉินยืนอยู่ข้างใน ถึงแม้จะหันหลัง แต่เธอก็สามารถยืนยันได้ว่านั่นคือเขา “โฮ”เธอนั่งลงกับพื้น แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง
หนิงเส่าเฉินเมื่อได้ยินเสียงเธอ ก็รีบวางแก้วไวน์ในมือแล้วเดินมาหาเธอ พยุงให้เธอลุกขึ้น เห็นเธอหมดสภาพแบบนี้ ขมวดคิ้วถามว่า“เกิดอะไรขึ้นกับคุณ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่า? ทำไมสภาพเป็นแบบนี้?”
“จริงด้วยประธานเย่ งานทางนี้ก็เลิกแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหนิงเส่าพวกเขามาช่วย วันนี้คุณคงต้องกลายเป็นเรื่องตลกของคนอื่นไปแล้วล่ะ”
เย่หลินดูเวลา โรงพยาบาลนั้นเป็นโรงพยาบาลที่ห่างไกลที่สุดในเมืองc ใช้เวลาประมาณสามถึงสี่ชั่วโมงในการเดินทางไปกลับ
เธอสูดจมูก หันไปมองหลิวซู ขมวดคิ้ว“ไม่ใช่ว่านายเป็นคนให้คนอื่นบอกฉันว่าหนิงเส่าเฉินเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หรอกเหรอ? ฉันรีบตามไป แต่ไม่เจอใครในโรงพยาบาลเลย แล้วฉันก็ไม่ได้เอามือถือไปด้วย ดังนั้นถึงได้กลับมาอีกรอบ กำลังจะเอามือถือโทรหานายเนี่ยแหละ”
เธอยิ่งพูดยิ่งน่าสงสาร น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหล ก็ร่วงลงมาอีกครั้ง
หลิวซูขมวดคิ้ว ชี้มาที่ตัวเอง แล้วชี้ไปที่หนิงเส่าเฉิน “ผม ผมโทรหาคุณ ไม่นะ!เมื่อเช้าผมไปรับหนิงเส่าเฉิน แล้วพวกเราก็มาหาคุณที่นี่ อุบัติเหตุอะไร? ทำไมผมฟังที่คุณพูดไม่รู้เรื่อง?”
เย่หลินอึ้งไปสักพัก หยิบมือถือขึ้นมา เปิดเข้าไปในประวัติการโทร ส่งให้หลิวซูดู “นายดูสิ ตอนเจ็ดโมงกว่า นายโทรหาฉันไม่ใช่เหรอ?”
หลิวซูรับไปดู บนนั้นปรากฏชื่อของหลิวซูจริงๆ ทำให้เขาตะลึงไปเล็กน้อย
หนิงเส่าเฉินได้ยินแบบนั้น หยิบมือถือจากมือของหลิวซู คลิกเข้าไปในชื่อนั้น ก็ปรากฏตัวเลขขึ้นมา สายตาเขานิ่งไป“มีคนมายุ่งกับโทรศัพท์มือถือของคุณ ที่บันทึกไว้เป็นชื่อของหลิวซูแต่กลับไม่ใช่เบอร์มือถือของเขา”
เย่หลินผงะ รับมันมาดู ในบันทึกการโทรมีชื่อหลิวซูขึ้นสองชื่อจริงๆ ก่อนหน้านี้ที่เธอโทรออกไป เธอโทรมันจากสมุดรายชื่อ ตอนนั้นก็ไม่ได้สังเกตว่ามีชื่อหลิวซูกี่ชื่อ แล้วก็กดเข้าไปในบันทึกการโทรหนึ่งปี มันมีสองเบอร์จริงๆ รู้ว่าตัวเองโดนหลอก สีหน้าก็นิ่งลง มีเงาคนคนหนึ่งผ่านหน้าไป
พอคิดถึงตรงนี้ ก็ร้องไห้และหัวเราะออกมาพร้อมกัน ยื่นแขนออกไปกอดหนิงเส่าเฉินและฝังใบหน้าไว้บนหน้าอกของเขา “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฉันตกใจมากเลย”
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้ว กอดเธอกลับ มือใหญ่ตบที่หลังเธอเบาๆ “ทีหลังเจอเรื่องอะไร อย่าเพิ่งรีบร้อนจนเกินไป นี่ยังไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับผมนะ คุณก็เป็นถึงขนาดนี้ แล้วถ้าหาก……”
เย่หลินเงยหน้า ปิดปากเขาไว้ “ไม่มีถ้าหาก!”สายตาเธอแน่วแน่
มุมปากของหนิงเส่าเฉินยกขึ้น ใกล้เข้ามาพูดข้างหูเธอ “แต่ยังไงผมก็ดีใจนะ ที่เห็นคุณหนูเย่กลายเป็นแบบนี้เพราะห่วงผม”
เขากำลังหยอกล้อเธอ แต่ในมุมที่เย่หลินไม่เห็น หนิงเส่าเฉินกลับทำหน้าเย็นชาส่งสายตามองไปที่หลิวซู
เพราะเรื่องเมื่อเช้าที่ทำให้เกิดการเข้าใจผิด ทำให้เย่หลินรู้สึกเหนื่อยมากๆ พอตอนเย็นจัดการเรื่องต่างๆเสร็จแล้ว เธอก็กลับบ้านเลย
หนิงเสี่ยวซีเห็นอาการของเธอไม่ค่อยดีนัก ก็ใกล้เข้ามาถามว่า“แม่ครับ เป็นอะไรหรือเปล่า?”
เย่หลินอุ้มหนิงเสี่ยวซี นาทีนี้ เธอรู้สึกว่าขอแค่พวกเธอสี่คนพ่อแม่ลูกปลอดภัย เรื่องอื่น เธอก็ไม่สนใจแล้ว
ถึงแม้หนิงเสี่ยวซีจะอายุสิบขวบ แต่ เขามีไอคิวสูง เพราะฉะนั้น จึงดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเพื่อนวัยเดียวกัน
เย่หลินคิดแล้ว ก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อเช้าให้หนิงเสี่ยวซีฟัง
“แม่ แม่บอกเบอร์มือถือนั้นกับผม เดี๋ยวผมตรวจสอบดูหน่อย ดูข้อมูลของคนคนนั้นและตำแหน่งของเขาตอนคุยกับแม่”
เย่หลินตกใจ“ลูก นี่ก็ตรวจสอบได้เหรอ?”
หนิงเสี่ยวซีพยักหน้า รับมือถือจากเย่หลินมา แล้วป้อนหมายเลขนั้นลงไป ไม่นาน ก็ได้ยินเขาพูดว่า“คนที่ลงทะเบียน เป็นผู้ชายอายุสิบแปดปี สถานที่ที่โทรออกคือบ้านของพวกเรา?”
เย่หลินตกใจ ลุกยืนขึ้น “ลูก ลูกบอกว่าบ้านไหนนะ?”
หนิงเสี่ยวซีชี้ลงพื้น “ที่นี่”
ตอนนี้เย่หลินอึ้งไปแล้ว ในบ้านนี้นอกจากพวกเธอสี่คนแล้ว ก็มีคนทำความสะอาดบ้านหนึ่งคน คนซักผ้าทำกับข้าวหนึ่งคน คนขับรถอีกสองคน แล้วก็คนที่ดูแลน้ำกับไฟฟ้าและเรื่องอื่นๆอีกหนึ่งคน และสุดท้ายก็คือพี่ซวี่ที่ตามมาจากต่างประเทศ
คนที่โทรหาเธอเมื่อเช้าเป็นเสียงของผู้หญิง
พี่ซวี่ ตัดออกไปได้เลย เธออยู่กับพวกเรามาหลายปี เธอรู้จักเธอดี
ส่วนคุณน้าที่ทำอาหาร เพราะหนิงเส่าเฉินเป็นคนเลือกทาน คนคนนี้จึงถูกเรียกมาจากคฤหาสน์หนิง ก็ตัดออกไปได้เลยเหมือนกัน
งั้นก็คงเป็นน้าที่ทำความสะอาดบ้านแล้วล่ะ คิดถึงตรงนี้ เธอก็ลุกขึ้นอยากจะไปถามเธอ แต่พอคิดๆดูแล้ว ก็กลับมานั่งที่เดิม มองหนิงเสี่ยวซี “รอพ่อลูกกลับมาก่อนดีกว่า ปรึกษาเขาก่อน แล้วค่อยดูอีกทีว่าจะจัดการยังไง”
พอตกกลางคืนหนิงเส่าเฉินคิดว่าเย่หลินอาจจะเสียขวัญจากเรื่องเมื่อเช้าอยู่ อยากจะกลับมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ หนึ่งทุ่มก็กลับถึงบ้าน
ตอนเขากลับมาถึง ก็เห็นเย่หลินกำลังเล่นเกมตั้งเตกับเย่เสี่ยวโม่อยู่ ทั้งๆที่เป็นแม่ลูกสองแล้ว แต่กลับยิ้มเหมือนเด็กผู้หญิง เขายืนอยู่หน้าประตู หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายไว้ จากนั้น ก็เหม่อมองดูพวกเขา
ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก ที่หนิงเสี่ยวซีจะไม่เล่นแท็บเล็ตของเขา นั่งพิงอยู่หลังโซฟามองดูพวกเขาสองคน แล้วคอยตำหนิเย่เสี่ยวโม่เป็นครั้งคราว
“เย่เสี่ยวโม่ สมองเธอล่ะ? ที่ตรงนั้นเธอเคยโดดแล้ว ยังจะโดดอีก?”
“เย่เสี่ยวโม่ เธอเป็นหมูเหรอ? เธอควรโดดตรงนี้ก่อน……”
หนิงเสี่ยวซียิ่งดูก็ยิ่งหงุดหงิด เขาจึงอุ้มเย่เสี่ยวโม่ออกจากช่องตาราง “เธอมานี่ พี่โดดหนึ่งรอบ เธอดูไว้!จริงๆเลย คลอดน้องสาวโง่ๆแบบเธอออกมาได้ยังไง?”
เย่หลินที่อยู่ข้างๆหัวเราะจนท้องแข็ง “หนิงเสี่ยวซี ลูกกำลังว่าแม่ทางอ้อมอยู่หรือเปล่า?”
หนิงเสี่ยวซีมองเย่หลิน เกาศีรษะตัวเองอย่างเขินๆ
เย่เสี่ยวโม่แปลกมาก เธอจะมีอารมณ์โกรธกับคนทุกคน ยกเว้นแค่กับหนิงเสี่ยวซี ไม่ว่าเขาจะด่า จะรังแกเธอยังไง เธอก็ยิ้มรับตลอด
บ้านอื่นมีแต่พี่ชายที่หลงน้องสาว แต่บ้านนี้ กลับกัน น้องสาวหลงพี่ชาย หลงแบบห้ามไม่อยู่
“เสี่ยวซี ต่อไปอย่าว่าน้องแบบนี้อีก รู้ไหม?”
เสียงของหนิงเส่าเฉิน
สายตาของทุกคนไปตกอยู่ที่เขา
เย่เสี่ยวโม่กระตือรือร้นมาก วิ่งเหยาะๆเข้าไปในอ้อมกอดของหนิงเส่าเฉิน “ปะป๋า กลับมาแล้วเหรอคะ?”
เย่หลินกอดหนิงเสี่ยวซีเอาไว้ มองดูหนิงเส่าเฉินเดินมาทางพวกเธออย่างยิ้มๆ
หนิงเส่าเฉินอุ้มเย่เสี่ยวโม่ไว้สักพัก ถึงได้ให้หนิงเสี่ยวซีพาเธอไปอาบน้ำกับพี่ซวี่
แล้วตัวเองก็ไปดึงเย่หลินตรงเข้าไปที่ห้อง
“ทำไมเหรอ?มีเรื่องอะไรถึงต้องเข้าไปคุยในห้อง?”
“หนิงเส่าเฉิน คุณมีเรื่องอะไรปิดบังฉันใช่ไหม?” เย่หลินหรี่ตามอง พูดถามขึ้น ถึงแม้หนิงเส่าเฉินจะอธิบายเรื่องที่เธอสลบไปวันนั้นแล้ว แต่ เธอก็ยังคิดว่ามันแปลก
หนิงเส่าเฉินเลิกคิ้วขึ้น พูดเสียงต่ำ“หมายความว่าอะไร?”
“เมื่อกี้คุณเพิ่งบอกว่าพ่อเกายังอยู่กับตาของฉัน เพราะอะไร? ในเมื่อเขาไม่ใช่พ่อแท้ๆของฉัน ทำไมคุณตาไม่ปล่อยเขาไป?”
ความรู้สึกผิดปรากฏขึ้นภายใต้สายตาของหนิงเส่าเฉิน เอ่ยปากพูดเบาๆ“คุณตา คงจะคิดว่าเขารู้เรื่องของแม่คุณ เขาปากแข็งไม่ยอมพูด ก็เลยขังเขาไว้ที่นั่น”
เย่หลินตะลึง พยักหน้า และไม่สงสัยเขาอีก
“พระราชวังความงามของคุณจะเปิดตัวเมื่อไหร่? เลือกวันหรือยัง?”หนิงเส่าเฉินเปลี่ยนประเด็น
“อืม ไม่เลือกวัน ฉันไม่เชื่อเรื่องพวกนั้น เตรียมเปิดตัววันเสาร์นี้ เหลืออีกสามวัน”พูดถึงตรงนี้ เย่หลินเงยหน้ามองหนิงเส่าเฉิน “ฟังจากคำถามของประธานหนิง แสดงว่าวันนั้นเตรียมตัวจะมางานด้วยใช่ไหม?”
หนิงเส่าเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับไป“พยายามจัดการให้ดี”ก็หันหลังไปปิดไฟ
เย่หลินมองอาการของเขาไม่ออก แต่ในใจก็มีความคาดหวังอยู่บ้าง
ระยะเวลาสามวัน แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
เพราะต้องไปดูเค้าโครงของสถานที่ ดังนั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เย่หลินตื่นก่อนหนิงเส่าเฉิน
ตั้งใจแต่งหน้าให้ตัวเองอย่างละเอียดอ่อน แล้วเปลี่ยนไปใส่ฮั่นฝูที่อู่เล่อเล่อเตรียมไว้ให้เธอเมื่อวาน เธอมัดผมจุกเรียบๆ ก็ออกบ้านไป
เพราะขับรถไม่เป็น หนิงเส่าเฉินจึงหาคนขับรถให้เธอเพื่อความสะดวกในการเดินทาง
แต่ว่า เธอมักจะออกไปข้างนอกช้า เวลาเข้างานของคนขับรถจึงถูกเลื่อนไปสายหน่อย แต่ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาแล้ว คิดพักหนึ่ง เธอก็ให้คนขับรถของหนิงเส่าเฉินไปส่งเธอก่อน และเพราะคนขับรถจะรับผิดชอบรถหนึ่งคันต่อหนึ่งคน ดังนั้น สุดท้ายเย่หลินก็นั่งรถคันของหนิงเส่าเฉิน
พอถึงบริษัท อู่เล่อเล่อก็เตรียมงานเกือบจะเสร็จแล้ว ไม่รู้ว่าเธอหาชุดโต๊ะโบราณและฉากกั้นที่เตรียมไว้รับแขกเหล่านั้นมาจากไหน ยังมีชุดน้ำชาอีก มองโดยภาพรวมแล้ว ดูโบราณ โดดเด่นมีเอกลักษณ์มาก สอดคล้องกับคำว่าพระราชวังความงามพอดี
ผู้คนมากมายที่เดินผ่าน ก็หยุดแวะมาถ่ายรูปกัน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบราบรื่น ไปได้ดีมาก แต่กลับไม่สามารถระงับความวิตกภายในใจของเย่หลินได้เลย
“ประธานเย่ วันนี้ หนิงเส่าก็จะมาเข้าร่วมด้วยใช่ไหมคะ?”อู่เล่อเล่อเห็นเธอขมวดคิ้ว นึกว่าเธอตื่นเต้นเกินไป จึงตั้งใจหาหัวข้อมาสนทนากับเธอ
เย่หลินพยักหน้า เมื่อวาน ก่อนนอนเขาบอกไว้ว่า วันนี้จะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับเธอ นั่นคงหมายถึงว่าเขาจะมา
คิดถึงตรงนี้ สีหน้าก็ดีขึ้น “อืม มาสิ”
จากนั้น แขกก็เข้าร่วมงาน เดิมทีวันนี้เธอไม่ได้อยากเชิญคนมากเกินไป นอกจากชูหยูจี้พวกเขาแล้ว ก็คือคนที่เป็นหุ้นส่วนใหญ่ไม่กี่คน และช่างแต่งหน้าที่จำเป็นบางคน แต่เมื่อวานอู่เล่อเล่อบอกเธอว่า มีคนอยากมาแสดงความยินดีด้วยไม่น้อย เธอจึงปฏิเสธน้ำใจคนอื่นยาก
ผู้คนตรงหน้ามากันเกือบจะครบแล้ว
แต่ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของหนิงเส่าเฉินเลย เย่หลินอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เตรียมจะส่งข้อความ ก็เห็นเบอร์ของหลิวซูโทรเข้ามาพอดี เธอรับสายอย่างดีใจ
จากนั้น อู่เล่อเล่อก็เห็นสีหน้าของเย่หลินซีดลงอย่างกระทันหัน โทรศัพท์ที่อยู่ในมือตกลงบนพื้น
เธอช่วยเก็บมันขึ้นมา จะส่งคืนให้เย่หลิน แต่เย่หลินกลับไม่อยู่ตรงหน้าเธอแล้ว เงยหน้าขึ้น ก็เห็นเพียงแค่แผ่นหลังของเธอที่กำลังเดินโซเซออกไปไม่ไกล
เย่หลินจำได้ว่าครั้งที่แล้วที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ คือตอนที่หนิงเสี่ยวซีประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ถึงแม้สุดท้ายจะเป็นแค่การเข้าใจผิด แต่อารมณ์ในขณะนั้นก็เหมือนกับในตอนนี้ วิตกกังวล และหมดหนทาง
เธอก็ว่า สองสามวันมานี้ตัวเองรู้สึกใจไม่ดี จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่า คนที่เกิดเรื่องจะเป็นหนิงเส่าเฉิน
พอมาถึงโรงพยาบาลที่หลิวซูบอก มันเงียบผิดปกติ เดิมทีเธอคิดว่าเกิดเรื่องขึ้นกับหนิงเส่าเฉิน มันจะต้องวุ่นวาย แต่กลับไม่เห็นใครที่เกี่ยวข้องเลยสักคน
เธอดึงพยาบาลคนหนึ่งมาถาม“คุณรู้ไหมว่าหนิงเส่าเฉินพักอยู่ห้องไหน?”
พยาบาลส่ายหน้า……คนที่สอง ก็ยังคงส่ายหน้าเหมือนกัน……
เย่หลินวิ่งขึ้นลงทุกชั้น วิ่งหาห้องฉุกเฉินเกือบทุกห้อง ก็ยังไม่เจอกับหลิวซู ถามใครก็ไม่มีคนรู้
“หนิงเส่าเฉิน คุณอยู่ไหน?”ตอนเธอออกมา ก็ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาด้วย ตอนนี้หาใครไม่เจอ ก็ร้อนรนจนทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้น
แต่ไม่มีใครตอบกลับเธอ
เธอเป็นคนไม่จำเบอร์มือถือคนอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอจึงเหมือนกับแมลงวันที่ไร้หัว
“คุณผู้หญิงคะ คุณจำโรงพยาบาลผิดหรือเปล่าคะ? หนิงเส่าที่คุณหมายถึงคือประธานบริษัทตระกูลหนิงคนนั้นใช่ไหมคะ? คนใหญ่คนโตแบบนั้น เกิดเรื่องขึ้นกับเขา ไม่มีทางที่จะเงียบขนาดนี้ ทุกคนเองก็กระจายข่าวไปนานแล้ว”แพทย์หญิงที่มีอายุเยอะหน่อยแล้ว เห็นเธอเดินขึ้นลงหลายรอบ ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเธอ
เย่หลินมองไปที่เธอ สูดจมูก “ก็คนคนนั้นบอกว่าเป็นโรงพยาบาลนี้ ฉันฟังไม่ผิดแน่”เธอจะฟังเรื่องที่สำคัญขนาดนี้ผิดได้ยังไง ไม่มีทาง
แต่ ก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงไม่เจอหนิงเส่าเฉิน อีกอย่าง ไม่เจอใครที่รู้จักหน้าห้องฉุกเฉินเลยสักคน
คิดได้ดังนั้น เธอก็ออกจากโรงพยาบาล โบกรถคันหนึ่ง จะกลับไปเอาโทรศัพท์ที่พระราชวังความงามอีกครั้ง
แต่ว่า เพิ่งจะลงรถ ก็ถูกคนดึงไว้ เห็นเธอใส่ชุดแปลกๆทั้งตัว ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ “คุณผู้หญิง คุณทะลุมิติมาหรือไง? คุณไม่รู้เหรอว่านั่งรถต้องจ่ายค่าโดยสาร?”
เย่หลินสะบัดมือคนนั้นออก ตะโกนเสียงดังว่า“สามีฉันเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ คุณจะให้ฉันหยิบมือถือโทรสายก่อนไม่ได้หรือไง? ฮือ……..”พูดถึงตรงนี้ เธอก็ร้องไห้ออกมา เศร้ายิ่งกว่าเดิม
คนขับรถโดยสารคนนั้นได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็ขมวดคิ้ว หันหลังกลับเข้าไปในรถ แล้วเหยียบคันเร่งออกไปทันที
เพราะฉะนั้น ตอนเย่หลินมาถึงสถานที่จัดงาน เครื่องสำอางเธอก็หลุดหมดแล้ว เสื้อผ้าก็ถูกดึงจนหลุดลุ่ย ขนาดผมที่มัดไว้ข้างหลังก็หลวมตกลงมาปรกแก้มทั้งสองข้างของเธอ มองดูแล้วก็คือหมดสภาพ
อีกอย่าง น้ำตาเธอยังคงไหลไม่หยุด
ในใจเธอห่วงแต่หนิงเส่าเฉิน เธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง เห็นอู่เล่อเล่อยืนอยู่หน้าประตู เธอจึงวิ่งเหยาะๆเข้าไปหา คว้าเธอเอาไว้ “เล่อเล่อ มือถือของฉันล่ะ?”
อู่เล่อเล่อเห็นเธอสภาพนี้ก็ตกใจลืมตอบสนองไปชั่วขณะ หยิบมือถือออกมาจากกระเป๋าส่งให้เธอ“นี่คุณไปฉุดงานแต่งที่ไหนมาเหรอ? หรือว่าไปถูกใครตีมา?”
เย่หลินไม่มีอารมณ์มาอธิบายให้เธอฟัง หยิบมือถือขึ้นมา เข้าไปในรายชื่อ แล้วโทรหาหลิวซู
แต่ว่า……
“……”เสียงเรียกเข้าที่คุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลังเธอ เธอเคยได้ยินเสียงเรียกเข้าของหลิวซูหลายครั้ง มันมีเอกลักษณ์ มันน่าฟัง