ตอนที่ 99: กลับไปยังเมืองเวค
พลังเซียนธาตุแสงภายในพลังงานของโลกได้มารวมกันรอบเจี้ยนเฉินและเริ่มรักษาเขาอย่างรวดเร็ว อย่างไรไรก็ตาม บาดแผลของเจี้ยนเฉินนั้นก็รุนแรงมาก ดังนั้นแม้แต่ผลรักษาที่มหัศจรรย์ของพลังเซียนธาตุแสงก็ยังใช้เวลานานเพื่อที่จะให้เจี้ยนเฉินฟื้นตัว
การควบคุมพลังเซียนธาตุแสงใช้พลังจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินเป็นจำนวนมาก หลังจากที่ผ่านไป 2 ชั่วยาม เขาก็ใช้พลังจิตวิญญาณของเขาไปจนเกือบหมดซึ่งทำให้เขาต้องหยุด ในตอนนี้เขากำลังเผชิญกับการเสียเลือดมากและอาการเวียนหัว เขาเหนื่อยและต้องการนอนมาก มันเกือบเหมือนว่าเขาไม่ได้นอนมา 3 วัน 3 คืนและเขาเกือบจะหมดสติแล้ว
หลังจากที่รักษาตัวเองมา 2 ชั่วยาม อวัยวะภายในของเขาก็รักษาตัวไปได้เกือบครึ่ง อวัยวะภายในของเขาถูกรักษาโดยพลังเซียนธาตุแสง และแม้ว่ามันจะยังไม่ได้ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ แต่ส่วนที่บาดเจ็บก็เติบโตขึ้นมาใหม่แล้ว ทั้งหมดที่เหลืออยู่คือกระดูกที่หน้าอกซึ่งแตกของเขาที่เป็นปัญหามากกว่าอวัยวะของเขาเล็กน้อย
จากอาการบาดเจ็บที่รุนแรงที่หน้าอกของเขา กระดูกที่แตกได้แทงเข้าไปที่เนื้อของเขา ดังนั้นในตอนที่เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย แผลที่หน้าอกของเขาก็ยิ่งรู้สึกเจ็บมากขึ้นไปอีก แผลนั้นรุนแรงจนสัญญาณที่สมองของเขาได้รับเหมือนกับเป็นความทรมาน เขานอนไปบนหญ้าอย่างช้า ๆ เขาหลับตาและเริ่มที่จะใช้พลังจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ในการรักษาตัวเอง อย่างไรก็ตาม โชคดีที่เจี้ยนเฉินจำเนื้อหาทั้งหมดของบัญญัติกระบี่นภาได้ ‘วิธีการฟื้นฟู’ ด้วยวิธีการฟื้นฟูนี้ เขาสามารถฟื้นคืนพลังจิตวิญญาณมากลับมาได้อย่างช้า ๆ
เจี้ยนเฉินนอนอยู่บนหญ้าทั้งวันทั้งคืน เขาไม่ขยับร่างกายเลยแม้แต่ครั้งเดียว ตาของเขาปิดลงไปนานมาก
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและยามบ่ายก็เข้ามา รังสีที่ร้อนแรงจากวงอาทิตย์ทำให้อากาศอุ่นขึ้นอย่างช้า ๆ ในขณะที่ดวงอาทิตย์สาดส่องไปที่ภูเขา
ในตอนนี้เอง เจี้ยนเฉินที่นิ่งเหมือนหินก็ลืมตาขึ้นในที่สุด หลังจากที่รักษาตัวเองมา 1 วัน 1 คืนเต็ม ๆ พลังจิตวิญญาณที่เขาใช้ไปก็กลับมาเต็มในที่สุด
เมื่อเห็นสีของท้องฟ้า เจี้ยนเฉินก็ไม่ลังเลและเริ่มรวบรวมพลังเซียนธาตุแสง เขาเริ่มที่จะรักษาหน้าอกของเขาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ในขณะที่พลังเซียนธาตุแสงเข้าไปที่หน้าอกของเขา ชิ้นส่วนกระดูกที่แตกก็เริ่มติดกันและเริ่มได้รับการรักษา อีก 2 ชั่วยามต่อมาที่เขาใช้พลังจิตวิญญาณไปอย่างไม่หยุด มันก็ถูกใช้จนหมดอีกครั้งในที่สุด
อย่างไรก็ตามหลังจากที่รักษามา 2 ชั่วยาม หน้าอกของเจี้ยนเฉินก็ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม พลังจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินก็ยังไม่ฟื้นฟูและมันมีผลกับการเคลื่อนที่ของเขา ดังนั้น เจี้ยนเฉินจึงนั่งขัดสมาธิลงไปบนหญ้าและเริ่มวิธีการฟื้นฟูจิตวิญญาณที่ใช้ไปของเขาอีกครั้ง
แม้ว่าจะไม่ไกลนักจากเมืองเวค แต่การใช้พลังเซียนธาตุแสงก็เด่นเกินไปเพราะแสงที่สว่างจ้าของมัน และการรักษาในเมืองเวคก็ไม่ค่อนสะดวกเท่าไรนัก ไม่มีใครสามารถที่จะตรวจจับพลังเซียนธาตุแสงได้ ยกเว้นเซียนธาตุแสง อย่างไรก็ตาม ใครจะรับรองได้ล่ะว่าจะไม่มีเซียนธาตุแสงอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเมืองเวค ? เซียนธาตุแสงนั้นหาพบได้ยากมากบนทวีปเทียนหยวน ดังนั้นหลายคนจึงไม่สามารถหาและเรียกให้คนพวกนี้ไปช่วยพวกเขาได้ เจี้ยนเฉินคิดว่าถ้าเขาเปิดเผยความสามารถในการใช้พลังเซียนธาตุแสงเหมือนเซียนธาตุแสง เขาก็คงได้รับผลประโยชน์เยอะแยะและไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดแคลนแกนอสูรเลย อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินไม่ต้องการที่จะเผยความสามารถที่เหมือนกับเซียนธาตุแสงที่สามารถใช้พลังเซียนธาตุแสงได้ เพราะจิตใต้สำนึกบอกให้เขาเก็บเป็นความลับในตอนนี้ เพราะมันจะช่วยเขาได้ในอนาคตแน่นอน
หลังจากที่ผ่านมาสามวันจากการรักษาที่ต่อเนื่อง ร่างของเจี้ยนเฉินกลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ หลังจากที่ลุกขึ้นมา เขาก็ออกไปสู่ถนนหลักเพื่อไปยังเมืองเวคทันที
ถนนหลักเต็มไปด้วยขบวนรถม้าที่ถูกคุ้มกันไปด้วยทหารรับจ้างในชุดเกราะที่มีเลือดโซก แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นผู้ที่เดินทางคนเดียว แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา แม้ว่าเสื้อของเขาจะเต็มไปด้วยเลือดจากบาดแผลที่เขาได้มา แต่สำหรับทหารรับจ้างทุกคนในทวีปเทียนหยวน นี่เป็นภาพที่เห็นได้ธรรมดาในทุก ๆ วัน
เจี้ยนเฉินกำลังเดินไปที่ถนนและคิดกลับไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามวันก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะสาวงามคนนั้นและร่างเปลือยของนางที่ปรากฎอยู่ต่อหน้าเขา นี่เป็นภาพที่มีผลกระทบกับเขามากเพราะแม้แต่ในชาติที่แล้วของเขา เขาก็ไม่เคยพบพานกับเรื่องแบบนี้มาก่อน สามวันที่แล้วเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นร่างที่ราวกับหยกของหญิงสาว และร่างของหญิงคนนี้ก็ไม่เหมือนมาจากโลกมนุษย์
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เจี้ยนเฉินคิดถึงความแข็งแกร่งที่มหาศาลของหญิงคนนั้น ใจของเขาก็แทบจะไม่เชื่อมัน หญิงคนนั้นดูอายุสิบแปดหรือมากสุดก็ยี่สิบปี ความแตกต่างในอายุของนางกับเจี้ยนเฉินนั้นแทบจะไม่มี แต่การที่ได้เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษด้วยอายุแค่นั้น เจี้ยนเฉินได้แต่อายในพรสวรรค์โดยกำเนิดของนาง
ไม่นานหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็เข้าไปที่เมืองเวคและรอให้ทหารยามรักษาการณ์เมืองเข้ามาตรวจสอบเขา เขาดูเหมือนได้รับบาดเจ็บและรอดชีวิตมาได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องจ่ายเงินภาษีในการเข้าเมือง แม้ว่ายามรักษาการณ์จะอยากได้เงิน แต่ความละโมบก็ไม่ได้ไร้ซึ่งคุณธรรม
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเข้าไปในเมือง เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้เดินไปไหนและมุ่งหน้าไปที่โรงเตี๊ยมทันที ในตอนที่เขาได้ห้องแล้ว เจี้ยนเฉินก็เริ่มฝึกฝน แม้ว่ามันจะยังไม่ถึงเดือนที่เขาได้กลายเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญ แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้เขาปกป้องตัวเองได้ในทวีปเทียนหยวน ไม่เพียงแต่หญิงที่เขาพบเมื่อสามวันก่อนจะทำให้เขารู้จักกับความพ่ายแพ้เท่านั้น แต่นางยังทำให้เขาตระหนักว่าเขาต้องแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด
หลังจากที่จ่ายค่าห้องไป เจี้ยนเฉินก็อยู่ในห้องเป็นเวลา 10 วัน ในสิบวันเหล่านี้ เจี้ยนเฉินไม่ได้ก้าวออกจากห้องเลย และเขาใช้แกนอสูรที่เขามีในการฝึกฝน แม้แต่การกินอาหาร เขายังให้เสี่ยวเอ้อนำมาส่งตรงถึงที่ห้องของเขา
หลังจากที่สิบวันผ่านไป ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินก็พัฒนาไปมาก เขาอยู่ในระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางแล้ว พลังเซียนในร่างของเขาแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน แม้แต่กระบี่วายุโปรยที่เป็นอาวุธเซียนของเขาก็พัฒนาขึ้นและแข็งแรงกว่าแต่ก่อน
ในสิบวันของการฝึกฝน แกนอสูรระดับสามที่เจี้ยนเฉินมีทั้งหมดก็หมดไป ทำให้เจี้ยนเฉินเหลือแกนอสูรระดับสี่ 2 อัน
เจี้ยนเฉินออกจากเตียงและเดินไปที่หน้าต่างเพื่อมองไปบนท้องฟ้า เพราะว่าเขาใช้เวลามากไปในการฝึกฝน เขาจึงไม่สามารถแยกแยะเวลาได้ และเขาได้แต่ดูตำแหน่งของดวงอาทิตย์เพื่อคาดเดาเวลาเท่านั้น
ที่ด้านนอก ดวงอาทิตย์สาดแสงจ้าโดยไม่มีเมฆเลยในรัศมีหลายกิโลเมตร วงกลมสีแดงใหญ่ที่แผดเผาในท้องฟ้าปล่อยรังสีความร้อนรุนแรงออก มันบ่งบอกว่าตอนนี้มันเข้าสู่ช่วงบ่ายแล้ว
ตอนนี้ น่าจะถึงเวลาที่ต้องจัดการกับอสรพิษทองริ้วเงินแล้วล่ะ ข้าตั้งหน้าตั้งตารอหมื่นต้านพิษจริง ๆ เจี้ยนเฉินพูดออกมาในขณะที่เขาสังเกตไปที่ผู้คนด้านนอก
ตอนที่ 98: ความสูญเสียใหญ่อีกครั้ง
ท่านลุงเฟิง ท่านกำลังพล่ามเรื่องอะไรกับมัน ? ช่วยฆ่าข้ามันซะ ! หญิงคนนั้นร้องออกมาด้านหลังเขาด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยวของนาง นางน้ำตาคลอจากการที่คิดว่าเจี้ยนเฉินได้เห็นร่างที่เปลือยเปล่าทั้งหมดของนาง แค่คิดว่านางได้เปลือยต่อหน้าเจี้ยนเฉินก็ทำให้นางโกรธอย่างเหลือเชื่อแล้วและทำให้นางรู้สึกผิดด้วย นี่เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่นางเกิดมาที่นางถูกผู้ชายเห็นแบบนี้และนี่ยังเป็นคนแปลกหน้าอีก สำหรับหญิงที่รักนวลสงวนตัว การที่ถูกเห็นแบบนี้มันแย่ยิ่งกว่าการตายเสียอีก
ฮ่าฮ่า คุณหนู แม้แต่ลุงเฟิงของเจ้ายังไม่อยากจะช่วยเจ้าเลย ถ้างั้นให้ลุงหยุนของเจ้าช่วยสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าบัดซบคนนั้นเอง ในตอนนี้ เสียงอีกเสียงก็ดังชัดขึ้นมา ในขณะที่ชายอาวุโสในชุดขาวอีกคนเข้ามาในสายตา เขาปรากฏขึ้นตรงหน้าเจี้ยนเฉิน เขาเหวี่ยงหมัดของเขาอย่างเร็วและโจมตีไปที่เจี้ยนเฉิน
ความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสคนนี้นั้นมากมายอย่างเหลือเชื่อ แค่เพียงหมัดเดียว เจี้ยนเฉินก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันแข็งแกร่งมาก ทันทีที่เขาหลบไปด้านข้าง ร่างของเจี้ยนเฉินก็ตกอยู่ในความดันอย่างมหาศาล แรงกดดันนี้มากเหมือนเขารู้สึกว่าทั้งร่างของเขาถูกถ่วงไปด้วยน้ำหนักเป็นพันปอนด์ หรืออาจจจะเป็นภูเขาทั้งลูกด้วยซ้ำ แม้แต่การหายใจยังเป็นเรื่องที่ยากมาก ร่างทั้งร่างของเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกบดขยี้
ในตอนที่แรกกดดันหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ แสงสีม่วงและสีฟ้าที่สว่างอยู่ในปราณของเขาก็เริ่มกระพริบอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ในตอนที่ปราณของเขาเป็นแบบนั้น เจี้ยนเฉินเองก็ไม่ทันได้สังเกต เจ้าเฒ่าหยุน หยุดก่อน ! ผู้เฒ่าคนแรกที่หญิงคนนั้นเรียกว่าลุงเฟิงร้องออกมาในขณะที่ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
โชคร้ายที่เขาพูดช้าไป คนที่ชื่อลุงหยุนมองไปยังหมัดที่เขาชกไปที่อกของเจี้ยนเฉินอย่างแม่นยำ
เลือดกระอักออกมาในขณะที่อวัยวะภายในของเขาได้รับความเสียหาย ผู้เฒ่าชกไปที่หน้าอกของเจี้ยนเฉินแรกพอจนทิ้งรอบบุ๋มเอาไว้ ไม่เพียงแต่ผู้เฒ่าจะทำให้กระดูกของเจี้ยนเฉินหักในจุดที่เขาโจมตีเท่านั้น อวัยวะภายในของเขายังได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในขณะที่ผู้เฒ่าโจมตีไปที่เจี้ยนเฉิน แสงสีฟ้าและสีม่วงก็กระพริบขึ้นมาในขณะที่มันสัมผัสเข้ากับฝ่ามือของผู้เฒ่าก่อนที่มันจะหายไปทันที ในอีกมุมหนึ่ง เจี้ยนเฉินนั้นถูกกระแทกให้กระเด็นถอยไป
ยี่! ใบหน้าของผู้เฒ่าเปลี่ยนไปในขณะที่เขากระตุกเล็กน้อย เขามองไปที่เจี้ยนเฉินที่ลอยไปในอากาศด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง ตาของเขาเป็นประกายเหลือเชื่อและตกใจ
เจี้ยนเฉินลอยไป 30 เมตรในอากาศก่อนที่จะกระแทกลงบนพื้นเสียงดัง ตอนที่เขานอนอยู่บนพื้น เขาก็กระอักเลือดออกมาอีก ในขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดจากอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บของเขา ใบหน้าของเขาขาวซีดไร้สีเลือดราวกับกระดาษ
เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินเกือบจะไม่รอดแล้ว คนที่ชื่อลุงหยุนก็จ้องแล้วกระพริบตาช้า ๆ ก่อนที่จะอ้าปากพูดออกมา เจ้าหนุ่ม เจ้าช่างมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่ง เจ้าสามารถรับการโจมตีของข้าได้ 1 ครั้งโดยไม่ตาย ดี ถ้างั้น ข้าจะปล่อยเจ้าไปในวันนี้ หลังจากพูดแบบนั้น คนที่ชื่อลุงหยุนก็เดินกลับไปที่หญิงคนนั้น
เฮ้อ ข้าหวังว่าจะไม่มีความวุ่นวายอะไรอีกนะ ผู้เฒ่าด้านหลังหญิงคนนั้นพูด คนที่ชื่อลุงเฟิงโบกมือและส่งกระบี่วายุโปรยที่อยู่ระหว่างนิ้วของเขากลับไปที่เจี้ยนเฉิน ในขณะที่มันสัมผัสถูกเจี้ยนเฉิน มันก็หายไป
คุณหนู พวกเราไปกันเถอะ คนที่ชื่อลุงเฟิงพูดออกมาเสียงดัง ในขณะที่มีสัตว์อสูรที่บินได้ตัวใหญ่ลงมาที่พื้นใกล้ใกล้
อย่างไรก็ตาม ความโกรธของหญิงคนนั้นยังไม่หายไป นางหันหน้าไปแล้วพูด ลุงเฟิง คนนั้นยังไม่ตายเลย แบบนั้นไม่ได้ ข้าต้องการให้มันตายวันนี้ นางเดินไปทางเจี้ยนเฉินพร้อมกับกระบี่ที่พร้อมโจมตี เห็นได้ชัดว่านางไม่ต้องการปล่อยเจี้ยนเฉินที่เห็นนางอาบน้ำไป
คุณหนู อย่างสร้างปัญหาเลย ลุงเฟิงยืนอยู่ด้านหน้าเพื่อขวางหญิงคนนั้นไม่ให้เข้าไปใกล้เจี้ยนเฉินมากกว่านี้
ลุงเฟิง ! หญิงสาวแย้งออกมา นางยังรู้สึกผิดจนน้ำตาซึม จนเกือบจะไหลออกมาในตอนนี้
คุณหนู อย่าดื้อเลย มันก็สายมากแล้ว พวกเราควรไปกันได้แล้วตอนนี้ ผู้เฒ่าด้านหลังนางพูดอย่างราบเรียบ เขาโบกมือ และบอลพลังเซียนขนาดใหญ่ก็หุ้มหญิงคนนั้นเอาไว้ และพานางไปยังหลังของสัตว์อสูร
บนหลังของสัตว์อสูรที่บินได้ หญิงก็กระทืบเท้าอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่ผู้เฒ่าที่พานางไปที่นั่น ลุงหยุน ทำไมท่านไม่ตามใจหลวนเอ๋อล่ะ ?
ผู้เฒ่าทั้งสองมองตากันอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาก้าวขึ้นไปบนหลังสัตว์อสูรที่บินได้และออกไปทันทีเหมือนสายลม และบินลับขอบฟ้าไป
กลางอากาศ หญิงคนนั้นยืนขึ้นบนหลังของสัตว์อสูรและมองลงไปยังร่างของเจี้ยนเฉินที่หายไปอย่างรวดเร็ว ตาของนางมีประกายความโกรธที่ไม่ได้เลือนหายไป
ลุงเฟิง ลุงหยุน เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านทั้งสอง? พวกท่านปล่อยเจ้าเลวนั่นไปได้ไง? นางกระทืบเท้าวยความโกรธและขับข้องใจ น้ำตาของนางกำลังจะไหลออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น คนที่ชื่อลุงเฟิงก็ถอนหายใจ เมื่อตัสินจากผมของนางที่ยุ่งและเปียกแล้ว เขาก็รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับนาง
คุณหนู ตัวตนของผู้ชายคนนี้ค่อนข้างซับซ้อน ในตอนนี้ตระกูลของพวกเราอยู่ในความกดดันมาก ในช่วงเวลาที่ล่อแหลมนี้ มันจะดีที่สุดถ้าเราไม่ไปสร้างศัตรูใหม่ เพราะมันอาจจะนำปัญหาใหม่มายังตระกูลของพวกเราได้ ลุงเฟิงพูดอย่างช่วยไม่ได้
ลุงเฟิง ตั้งแต่เมื่อไรกันที่ท่านเป็นคนขี้ขลาดกลัวตาย ? ความแข็งแกร่งของเจ้าเลวนั่นไม่ได้มากเลย ? ท่านคิดว่าเขาจะเป็นอันตรายกับตระกูลของพวกเราได้อย่างไร ? หญิงคนนั้นพูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว
คุณหนู ชายคนนั้นไม่ธรรมดา มันดีกว่าที่จะไม่ไปทำให้ใครโกรธเข้า แม้ว่าพลังของเขาจะค่อนข้างอ่อนแอ แต่คนที่หนุนหลังเขาต้องแข็งแกร่งแน่ คนที่โจมตีเจี้ยนเฉินพูดออกมาอย่างเคร่งเครียดด้วยใบหน้าที่กังวล จากนั้นเขาก็ยกมือที่พันผ้าขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงแผลลึกสองแผลบนมือขวาของเขา แม้ว่าเลือดจะหยุดไปแล้ว แต่มือขวาของผู้เฒ่าก็ยังเห็นแผลสองแผลที่โบ๋เข้าไปในฝ่ามือของเขาทะลุไปถึงหลังมือ เหมือนว่ากระบี่ตัดผ่านมันไป
ในตอนที่หญิงคนนั้นเห็นมือที่บาดเจ็บของผู้เฒ่า ปากแดง ๆ ของนางก็อ้ากว้างพร้อมทำสายตาที่เหลือเชื่อออกมา ลุงหยุน! ทะ ท่านได้รับบาดเจ็บ ! นางร้องออกมาอย่างตกตะลึง
ชายที่ชื่อลุงเฟิงพยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมา เจ้าเฒ่าหยุน ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บ
ลุงหยุนหยักหน้าช้า ๆ แผลนี้ได้มาจากเจ้าหนุ่มที่อายุยี่สิบปีนั้น
เป็นไปได้ยังไงกัน ลุงหยุน เจ้าต้องล้อเล่นแน่ ความแข็งแกร่งของเจ้าเลวนั่นไม่ได้มากมายเลย เขายังทำอะไรข้าไม่ได้เลย แล้วเขาไปทำร้ายท่านได้อย่างไร ? นางโดดไปข้างหน้าอย่างประหลาดใจ
เจ้าเฒ่าหยุน เจ้าไปได้แผลแบบนี้มาได้ยังไง ? ลุงเฟิงพูดออกมาด้วยความสงสัย
ลุงหยุนทำได้แค่มองกลับไปด้วยสีหน้างุนงง ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ในตอนที่ข้าโจมตีมันไปก่อนหน้านี้ ข้าก็รู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือและจากนั้นข้าก็เห็นแผลนี้ ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าข้าได้บาดแผลนี้มาได้อย่างไร
เมื่อได้ยินดังนี้ ลุงเฟิงก็อ้าปากค้างออกมา เจ้าหนุ่มนี้ซับซ้อนจริงจริง ในตอนที่ข้าเห็นอาวุธเซียนของเขา ข้าก็รู้สึกว่ามันแปลก ๆ อาวุธเซียนของเขาไม่เหมือนของคนอื่น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในตัวเขา มันทำให้อาวุธเซียนยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก แม้แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่เข้ากับกับสิ่งที่มันควรจะเป็นเลย
หญิงนิ่งอึ้งไปจากคำพูดของลุงหยุน
มันเป็นสิ่งที่ดีที่พวกเราไม่ฆ่าเขา ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่เบื้องหลังเขาจะเป็นปัญหาใหญ่กับตระกูลของพวกเรา ถ้าพวกเขาออกมา ในตอนนี้ พวกเราได้แต่หวังว่าคนที่สนับสนุนเขาอยู่จะไม่ได้แข็งแกร่งมาก
….
ที่ริมน้ำ เจี้ยนเฉินนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับเลือดที่ย้อมเสื้อเขาจนเป็นสีแดง หมัดของผู้เฒ่าทำให้เจี้ยนเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก กระดูกที่หน้าอกของเขาแตกและอวัยวะของเขาก็ได้รับบาดเจ็บภายใน ในตอนนี้ เจี้ยนเฉินมีสติเต็มที่แต่เขาไร้พลังที่จะขยับเขยื้อน พูดได้เลยว่า ตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินเกิดมา นี่เป็นอาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดที่เขาเคยได้รับ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาฝึกฝนในเส้นทางที่เป็นเอกลักษณ์และขัดเกลาร่างกายมาให้เหนือกว่าคนอื่น ฝ่ามือของผู้เฒ่าคงทำให้เขาตกตายไปแล้ว
พลังเซียนธาตุแสงจากพลังงานของโลกได้เริ่มพวยพุ่งออกมาและควบแน่นไปที่เจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินถูกล้อมด้วยแสงสีขาวนวลอย่างรวดเร็วและมันก็ซึมเข้าไปในรูขุมขนของร่างของเขา หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็เริ่มฟื้นตัวด้วยอัตราที่เร็วมาก
ตอนที่ 97: ชายชราลึกลับ
ฝ่ามือส่งเจี้ยนเฉินลอยถอยไป 20 เมตรก่อนที่จะจมลงไปในแม่น้ำ ตาของเจี้ยนเฉินแสดงความประหลาดใจออกมาเพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานที่แข็งแกร่งจากฝ่ามือของนาง การโจมตีเพียงครั้งเดียวทำให้เขาบาดเจ็บพอสมควรได้ ในขณะที่ส่วนที่ถูกนางโจมตีก็เริ่มเจ็บเหมือนมีบางอย่างแข็ง ๆ มากระแทก
แขนของเจี้ยนเฉินพายไปที่น้ำอย่างเร็วก่อนที่เขาจะกระโจนเข้าไปในป่าที่อยู่ตรงข้างกับแม่น้ำ เขาซ่อนตัวเองอยู่หลังต้นไม้กว้าง เขาใช้พลังเซียนของเขาเพื่อระเหยหยดน้ำที่อยู่บนตัวเขาออกก่อนที่จะเอาแหวนมิติออกมาจากสร้อยของเขา เขาดึงเอาเสื้อผ้าชุดสุดท้ายออกมาและสวมมัน
ในตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังจะใส่เสื้อ หน้าที่ซีดของเขาก็แข็งทื่อทันทีก่อนที่เขาจะกระโจนไปข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว
ปัง!
ในตอนที่เจี้ยนเฉินหลบไปข้าง ๆ ต้นไม้ที่เขาใช้หลบก่อนหน้านี้ก็ระเบิดออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในขณะที่พลังเซียนที่บริสุทธิ์ปริมาณมหาศาลก็ระเบิดออกมาด้วย ในขณะที่มันกระทบลงมาตรงที่ที่เจี้ยนเฉินเคยอยู่ ดิบรอบ ๆ ก็กระจายไปทั่วในขณะที่หลุมใหญ่ก็เกิดขึ้นตรงบริเวณนั้น
เจ้าตัวร้าย คิดว่าเจ้าจะแอบดูข้าอาบน้ำงั้นหรือ ข้าจะฆ่าเจ้าแน่ !
มีน้ำเสียงเสียใจนิด ๆ ปนอยู่ในคำพูดที่โกรธเกรี้ยวของนางในขณะที่ใบหน้าของนางก็แดงขึ้นแดงขึ้นด้านหน้าเจี้ยนเฉิน มือที่ขาวเหมือนหยกของนางมีพลังเซียนสีฟ้าอยู่ก่อนที่มันจะพุ่งไปที่เจี้ยนเฉินเร็วมากจนมีเสียงหวีดหวิวในอากาศ
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังเซียนปริมาณมหาศาลในฝ่ามือของนาง ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วกลายเป็นเคร่งเครียด เขารวบรวมพลังเซียนในตัวเองและตั้งสมาธิไปที่มือข้างขวาแล้วปล่อยมันออกไป
ปัง!
ฝ่ามือทั้งสองปะทะกันทำให้เกิดเสียงระเบิดดังอื้ออึงออกมาในขณะที่คลื่นกระแทกก็ลอยออกไปทุกทิศทาง เจี้ยนเฉินกระเด็นถอยไปอย่างรุนแรง และปะทะเข้ากับพุ่มไม้หลายพุ่มก่อนที่กระแทกลงบนพื้น
อุ๊บบ! เจี้ยนเฉินกระอักเลือดออกมาเป็นสายเหมือนหมอกเลือดในช่วงเวลาสั้นสั้น ในขณะที่เลือดออกจากปากของเขาหน้าของเขาก็ซีดมาก
เจี้ยนเฉินขยับหัวไปข้างหน้าอย่างยากลำบากด้วยความเหลือเชื่อในหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขา นางไม่ได้อายุห่างจากเจี้ยนเฉินมาก แต่นางมีความแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อ เขาคาดว่านางน่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษเป็นอย่างน้อย เขาคาดการณ์ได้เนื่องจากเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาดีเหมือนมันอยู่หลังฝ่ามือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่สู้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญในขณะที่อยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูร ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญก็ไม่สามารถสู้กับเขาได้ ดังนั้นหญิงที่อยู่ด้านหน้านี้ต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเหลือเชื่อที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้อย่างสบายด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ได้แน่
เซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ! เจี้ยนเฉินกลืนน้ำลายอย่างกังวล เมื่อคิดว่าหญิงตรงหน้าเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด เขาก็เชื่อมันไม่ลง ในสำนักคากัตซึ่งทุกคนที่มีพรสวรรค์ในอาณาจักรเกอซุนมารวมกัน ยังมีหญิงสาวอยู่ค่อนข้างน้อยที่มีอายุเท่ากับหญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาที่ยังไม่สามารถควบแน่นอาวุธเซียนและเป็นเซียนได้เลย
หญิงคนนั้นเดินเข้ามาที่เจี้ยนเฉินช้า ๆ อย่างสวยงามเหมือนมนุษย์ที่หาไม่ได้ในโลก ดวงตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความอายและความไม่พอใจ ความโกรธของนางค่อย ๆ ลดเสน่ห์ของนางลงไป นางปกคลุมไปด้วยจิตสังหารที่แข็งแกร่งในขณะที่นางจ้องอย่างเอาชีวิตไปที่เจี้ยนเฉิน มันเหมือนว่านางไม่ต้องอะไรนอกจากสับเนื้อของเขาให้เป็นชิ้น ๆ
หญิงคนนี้สวมชุดหนังสีชมพูที่ดูค่อนข้างยุ่ง ๆ เห็นได้ชัดว่านางใส่มันอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่มีเวลาพอที่จะจัดการให้เรียบร้อย ผมยาวของนางปรกอยู่บนไหล่ของนางและเกาะไปถึงเอวของนางในขณะที่น้ำที่หยดลงมาอย่างช้า ๆ ก็สัมผัสกับชุดของนาง รองเท้าสีชมพูของนางไม่มีเสียงเลยในขณะที่นางเดิม หญิงคนนี้เดินไปที่เจี้ยนเฉินอย่างช้า ๆ พร้อมกับกระบี่สีฟ้าที่อยู่ในมือของนาง เมื่อเห็นกระบี่เป็นสีแบบนั้นใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไป
เจี้ยนเฉินตะกายขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบากในขณะที่มือขวาของเขาเริ่มสั่น หญิงคนนี้แข็งแกร่งอย่างแน่นอน เพียงการโจมตีเพียงครั้งเดียว มือขวาของเจี้ยนเฉินก็ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีที่รุนแรงนั้น
เจี้ยนเฉินควบคุมพลังเซียนธาตุแสงในอากาศ เขาทำให้มั่นใจว่าคู่ต่อสู้ของเขาจะไม่เห็นผลการรักษาจากหลังเซียนธาตุแสงเอาซะก่อน ถ้าเป็นเรื่องความสามารถพิเศษของพลังเซียนธาตุแสง เขาไม่ต้องการให้ใครรู้เกี่ยวกับแสงสีขาวนวลหรือความสามารถในการรักษาของมัน
หยุดก่อน ท่านหญิง! นี่มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าไม่ได้มีเจตนาที่จะแอบดูท่านหญิงอาบน้ำเลย ! เจี้ยนเฉินหัวเราะออกมา พลังในความแข็งแกร่งของหญิงคนนี้ทำให้เขาประหลาดใจ
เจ้าคนทราม หุบปากซะ ! ใบหน้าที่สวยงามของหญิงคนนี้ซีดเผือดในขณะที่นางได้ยินเจี้ยนเฉิน เห็นชัดว่านางไม่รู้สึกดีขึ้นเลย และนางก็ก้าวและรองเท้าสีชมพูของนางก็พุ่งไปที่เป้าของเจี้ยนเฉิน
ร่างของเจี้ยนเฉินเบี่ยงไปด้านข้างและหลบในระยะใกล้ ทันทีหลังจากนั้น นางก็หันมาและฟันเจี้ยนเฉินด้วยกระบี่สีฟ้าของนาง
กระบี่สีฟ้าเคลื่อนที่เร็วมาก และในพริบตาเดียว มันก็ถึงที่ร่างของเจี้ยนเฉินแล้ว เมื่อเห็นอย่างนี้ เจี้ยนเฉินก็เริ่มหันไปแต่ถึงแม้อย่างนั้นมันก็ยังเกิดรอยแผลใหญ่จากกระบี่ที่ปรากฎที่หน้าอกของเจี้ยนเฉินอยู่ดี เลือดพุ่งออกอย่างรุนแรงจากร่างกายเหมือนน้ำพุในพริบตา เสื้อชุดใหม่ของเจี้ยนเฉินย้อมไปด้วยเลือดสีแดง
เขาไม่รู้ตัวว่าโดนฟัน ความรู้สึกปวดร้อนก็เกิดขึ้นในร่างของเจี้ยนเฉินในขณะที่เขาตระหนักได้ถึงความเจ็บที่เกิดขึ้น เขาเริ่มทิ้งระยะห่างออกจากนางในขณะที่กระบี่วายุโปรยก็ปรากฏขึ้นมาในมือของเขา แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะมีโอกาสได้เห็นร่างเปลือยเปล่าของนาง แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจ เขาได้ขอโทษไปแล้วสามสี่รอบ แต่หญิงคนนั้นก็ยังคงโกรธและจะเอาเขาให้ตาย นางโกรธไม่น้อยเลยทีเดียว
หญิงสาวไม่คิดที่จะปล่อยเจี้ยนเฉินไปเลยและไล่ตามเขาไป กระบี่สีฟ้าของนางมีพลังเซียนที่ดูเหมือนคลื่นในขณะที่มันฟันไปที่เจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินโอดโอยออกมาในขณะที่ตาของเขาก็เป็นประกายเย็นชา แม้ว่าหญิงคนนี้จะแข็งแกร่งกว่า แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่จะรอเฉย ๆ ให้โดนจับ เขาโบกมือ แล้วกระบี่วายุโปรยก็พร้อมที่จะเข้าร่วมการต่อสู้ กระบี่เข้าไปโจมตีที่คอของคนที่จะฆ่าเขา
กระบี่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่มันจะทำได้ แต่ความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้เขาก็มีมากจนเขาไม่กล้าที่จะป้องกันการโจมตี เขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อให้ชนะ แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นผู้หญิง แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ในตอนที่กระบี่สีฟ้ากำลังจะมาถึงเจี้ยนเฉินอีกครั้ง เขาก็บิดร่างกายและทำให้กระบี่ถูผ่านช่องใต้รักแร้ของเขาไป ในอีกมุมหนึ่งนั้น เจี้ยนเฉินได้ใช้กระบี่ชี้ไปที่คอของนางเรียบร้อยแล้ว
ในตอนนั้นเอง หญิงคนนี้ก็ปล่อยท่าทางตระหนกออกมา ในขณะที่นางร้องออกมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเอง นางก็หันคอของนาง นางหลบการแทงของเจี้ยนเฉินที่คอ แต่นางก็ยังมีเลือดไหลออกมาจากรอยแผลเล็ก ๆ ที่เกิดจากกระบี่อยู่
เมื่อรู้สึกเจ็บเล็กน้อยที่คอ หญิงคนนี้ก็แสดงท่าทีตระหนกออกมาในขณะที่ดวงตาคู่สวยของนางเริ่มที่จะแสดงความกลัวออกมาเล็กน้อย
เมื่อได้เห็นดังนี้เจี้ยนเฉินก็ยิ้มออกมาในใจ แม้ว่าหญิงคนนี้จะแข็งแกร่ง แต่นางก็ยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ที่เพียงพอ ดังนั้นในการต่อสู้ครั้งนี้ นางจึงเสียเปรียบ
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินไม่คิดที่จะปล่อยหญิงคนนี้ไปเช่นกัน เขารู้สึกถึงความเจ็บปวดแสบปวดร้อนที่นางลงโทษเขา กระบี่ของเจี้ยนเฉินก็ไล่ตามหญิงคนนั้นไป
หน้าของหญิงคนนั้นก็ตื่นตระหนกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่กระบี่วายุโปรยเริ่มที่จะแทงทะลุร่างของนาง ทันใดนั้นเอง ร่างของหญิงคนนั้นก็หายไปจากสายตาของเจี้ยนเฉินก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้งห่างจากเขาไป 10 เมตร ด้วยเหตุผลบางอย่างที่แปลก ๆ เหมือนกับว่ามันเป็นเวทมนตร์บางอย่าง
หัวใจของเจี้ยนเฉินสั่นในขณะที่เขาเห็นหญิงคนนี้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งห่าง 10 เมตรจากเขา แต่เมื่อเขาเห็นหน้าที่ซีดเผือดของหญิงคนนี้ มันก็ดูเหมือนว่ามันคงต้องใช้พลังงานปริมาณมากที่จะใช้ทักษะการเคลื่อนที่ที่รวดเร็วแบบนี้
เป็นไปได้ไหมว่านี่คือทักษะการต่อสู้ชนิดพิเศษ ? ! เจี้ยนเฉินคิด
เจ้าคนเลว คิดว่าเจ้าจะทำร้ายผู้หญิงได้อย่างนั้นหรือ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่ !
เมื่อถูกกดให้อยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง หญิงคนนี้ก็โกรธจัด หลังจากที่ตะคอกไปที่เจี้ยนเฉิน กระบี่สีฟ้าในมือของนางก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ในขณะที่พลังเซียนภายในร่างของนางก็พุ่งออกมาและกระเพื่อมไปรอบ ๆ กระบี่
หญิงคนนั้นยกกระบี่ของนางขึ้นมาและตะโกนออกมา ร่างแรกของทักษะวารีจักรพรรดิ – มังกรวารีโจมตี! ในขณะที่นางพูดออกมา พลังเซียนปริมาณที่หนาแน่นภายในกระบี่ของนางก็กลายร่างเป็นมังกรในเกือบจะทันที ก่อนที่จะออกจากกระบี่และพุ่งไปที่เจี้ยนเฉิน
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปในวินาทีที่เขาเห็นร่างของมังกรราง ๆ ที่ออกมาจากกระบี่ เมื่อเจี้ยนเฉินเห็นมังกรเข้ามา เขาก็รู้สึกถึงความกดดันรุนแรง ทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเขาแบกหินหนักเป็นพันปอนด์เอาไว้บนหลัง แค่การหายใจก็ยังยากแล้ว อย่าว่าแต่การหลบเลย
ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเคร่งเครียดมากกว่าเดิมในขณะที่เขาตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันของเขา ทางเดียวที่เขาจะป้องกันตัวเองจากมังกรวารีนี้ได้คือการหลบ แต่เขาไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เขารู้ว่าปริมาณของพลังเซียนที่อยู่ในมังกรวารีนั้นแข็งแกร่งมากเกิดกว่าที่เขาจะรับมันได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ช่างเป็นคนที่น่ากลัวอะไรแบบนี้ อย่าหาว่าข้าปฏิบัติไม่ดีกับเจ้าเลย ! ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายอย่างน่ากลัว ในขณะที่ปราณกระบี่ก็หมุนวนรอบกระบี่ของเขาอีกครั้ง เมื่อมันคลุมกระบี่ทั้งหมดแล้ว กระบี่ก็ลอยขึ้นจากมือของเจี้ยนเฉินและพุ่งไปที่หญิงคนนั้นด้วยความเร็วที่ตาเปล่ายังยากที่จะเห็นได้ เมื่อหญิงคนนั้นเห็นกระบี่ที่กำลังเข้ามาหานาง แผลที่คอของนางก็เหมือนถูกกัดเบา ๆ
หญิงคนนั้นหน้าซีดไปด้วยความกลัว ทักษะลับที่นางใช้ในการหลบการโจมตีของเจี้ยนเฉินก่อนหน้านี้นั้นใช้พลังงานมากเหมือนมังกรวารี ดังนั้นนางจึงไม่สามารถหลบกระบี่ได้
นางสั่งให้มังกรวารีกลับมาอย่างหมดท่าเพื่อที่จะป้องกันกระบี่ที่กำลังเข้าไปหานาง ทันใดนั้นเอง มังกรวารีหันกลับไปและไล่ตามกระบี่วายุโปรยไป มันอ้าปากกว้างของมันและงับไปที่กระบี่วายุโปรย
อย่างไรก็ตาม กระบี่วายุโปรยนั้นเร็วกว่ามังกรอย่างเทียบไม่ได้ ในขณะที่ปากของมังกรวารีกำลังจะงับปิด มันก็งับได้เพียงอากาศในขณะที่กระบี่อยู่ห่าง 1 เมตรออกไปจากคอของผู้หญิงคนนี้
ช่างอุกอาจเหลือเกินที่ช่างกล้ามายกกระบี่ใส่คุณหนู !
ในวินาทีสำคัญ ชายมีอายุที่ดูโกรธเกรี้ยวก็บินมาจากฟ้า และตะโกนออกมาดังและก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ร่างของชายตัวใหญ่บินมาและมายืนอยู่ด้านหน้าของหญิงคนนี้ และขวางกระบี่วายุโปรยเอาไว้
นี่เป็นชายชราสูงอายุ เขามีร่างใหญ่ที่ดูเหมือนจะสูง 2 เมตร เขาใส่ชุดสีขาวและผมขาวของเขาก็ลากอยู่ด้านหลังของเขาพร้อมกับมีกวานรัดผมของเขาอยู่ ตาที่แหลมคมของเขาเข้ากันกับคิ้วขาวของเขาทำให้เขาดูมีบุคลิกที่เฉียบคมมาก
เมื่อเห็นกระบี่วายุโปรยกำลังพุ่งมาที่เขา ชายชราก็กดไม่ได้ที่จะเหยียดออกมา จากนั้นเขาก็ยกแขนขวาที่ทรงพลังของเขาออกขึ้นมากลางอากาศและรับกระบี่ไว้ด้วยนิ้วสองนิ้วของเขา แม้ว่ากระบี่จะมีปริมาณปราณกระบี่ที่มากแต่มันก็ทำร้ายชายชรานี้ไม่ได้เลย
หลังจากนั้น ผู้เฒ่าก็โบกมืออีกข้างไปที่มังกรวารีที่กำลังเข้ามาซึ่งทำให้มันหยุดทันที ในตอนต่อมา มังกรวารีก็สลายไปไปก่อนที่จะกระจายปราณกระบี่กลับไปในธรรมชาติ
ลุงเฟิง ช่วยข้าฆ่ามันเร็ว ! เมื่อเห็นผู้เฒ่ามาถึง หน้าของหญิงคนนี้ก็ไม่ได้ดูกลัวอีกต่อไป กลับกันน้ำเสียงน่ารักของนางก็กลับมาในขณะที่นางพูดอย่างโกรธเกรี้ยว
ชายอาวุโสไม่ได้สนใจนาง กลับกัน ตาของเขามองไปที่กระบี่วายุโปรยที่เขาหยุดเอาไว้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เขาหันหน้าไปมองเจี้ยนเฉินแล้วเขาจึงพูด เจ้าชื่ออะไร ใครคืออาจารย์ของเจ้า ?
ตอนที่ 96: การพบกันที่โชคดีกับหญิงที่แม่น้ำ
ในระหว่างเวลาสิบวันนี้ เจี้ยนเฉินได้สู้กับสัตว์อสูรระดับสามไปหลายตัว แม้ว่าไม่ได้มีสัตว์อสูรมากเท่าเหมือนในตอนที่เขาล่าอยู่ในป่าที่สำนักคากัต แต่ผลกำไรที่เขาได้ก็ยังคงมากอยู่ เขาได้แกนอสูรระดับสามมาประมาณ 20 อัน ซึ่งมากกว่าแกนอสูรระดับสองที่เขามีเล็กน้อย เมื่อพิจารณาจากความรวดเร็วการฝึกจากแกนอสูรระดับสาม 3 แกน ในตอนแรก เขาจะฝึกฝนโดยใช้แกนอสูรที่เหลืออยู่ได้เป็นเวลา 7 วัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เจี้ยนเฉินไม่รู้คือ ตั้งแต่ที่เขาเดินทางคนเดียวในเทือกเขาสัตว์อสูร สัตว์อสูรก็ออกมาเผชิญหน้ากับเขาบ่อยมากขึ้น มากกว่าทหารรับจ้างที่มาเป็นกลุ่ม นี่เป็นเพราะสัตว์อสูรหลายตัวในแนวเทือกเขามีสัมผัสในการระวังตัวและการดมกลิ่มที่อ่อนไหวมาก เพราะว่าพวกมันใช้ชีวิตทั้งชีวิตในเทือกเขา ความสามารถในการแกะรอยเท้าของพวกมันจึงยอดเยี่ยมมาก และเมื่อมันพบกับกลุ่มทหารรับจ้างที่มีรอยเท้าหลายรอย สัตว์อสูรก็จะระมัดระวังแล้วหนีไป ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรจะไม่มีสติปัญญา แต่สัญชาติญาณเอาตัวรอดของพวกมันก็ฝังแน่นอยู่ในจิตใจ
แต่ถ้าพวกมันไปเจอเข้ากับคนที่อ่อนแอหรือมาคนเดียวที่พวกมันมั่นใจว่าจะสังหารกินได้ สัตว์อสูรที่เคยหลบซ่อนอยู่ก่อนหน้านี้ก็จะออกมาเพื่อตามล่าคนผู้นั้น พวกมันจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังงานมากในการไล่ล่าเหยื่อของพวกมัน เมื่อเจี้ยนเฉินนั้นอยู่ตัวคนเดียวแล้ว โอกาสในการพบเจอกับสัตว์อสูรจึงเพิ่มขึ้นมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเจี้ยนเฉินมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอที่จะตรวจจับการเคลื่อนไหวรอบ ๆ ตัวเขาได้ เขาก็คงถูกโจมตีจนอ่วมจากสัตว์อสูรหลายตัวที่ลอบเข้ามาโจมตี
วันต่อมา เจี้ยนเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ในขณะที่เขาตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝนบนกิ่งไม้ เขากระโดดลงมาบนพื้น เขาปัดฝุ่นและเอาแกนอสูรที่เขาเก็บไว้ในเข็มขัดมิติออกมา ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ เขาได้แกนอสูรมาปริมาณพอสมควร และแม้ว่าเขาจะใช้แกนอสูรหลายแกนไปในการฝึกฝน แต่เขาก็ยังมีเก็บไว้อีกมากในแหวนมิติของเขา
ยังมีแกนอสูรระดับสองอยู่ 50 อัน และแกนอสูรระดับสามอีก 120 อัน เขาตรวจสอบแกนอสูรในเข็มขัดมิติของเขา เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างพอใจ ในตอนนี้เขาใช้แกนอสูรระดับสอง 20 อันในการฝึกฝน 1 คืน และเข็มขัดมิติของเขาก็มีแกนอสูรระดับสองให้พอฝึกได้ 2 วันเท่านั้นเป็นอย่างมาก แกนอสูรระดับอื่นทั้งหมดรวมกันมีพอให้เขาใช้ฝึกฝนได้สิบกว่าวัน
เออ ข้ายังมีแกนอสูรระดับสี่อยู่ 2 อัน อันหนึ่งมาจากรางวัลที่ได้จากสำนักคากัต และอีกอันท่านพ่อได้ให้ข้ามา เมื่อแกนอสูรระดับสี่มีพลังงานที่อยู่ด้านในมากกว่าแกนอสูรระดับสาม ข้าไม่รู้ว่าแกนอสูรระดับสี่อันหนึ่งจะใช้ได้นานขนาดไหน เจี้ยนเฉินคิด เขาไม่ตระหนักเลยว่าจำนวนแกนอสูรที่เขามีนั้นจัดได้ว่าเยอะมาก สำหรับเจี้ยนเฉินแล้ว มันใช้สำหรับการฝึกฝนได้ประมาณ 10 วันเท่านั้น
เมื่อมองไปที่พระอาทิตย์ที่อยู่เหนือหัว เขาก็รู้ตำแหน่งของเขาและเขาก็เริ่มเดินไปที่รอบนอกของเทือกเขาสัตว์อสูรไม่หยุดกินอาหารเช้าเลย
มาถึงจุดนี้ เจี้ยนเฉินได้ใช้เวลาในเทือกเขามาค่อนข้างนาน แกนอสูรในแหวนมิติของเขาเพียงพอที่จะให้เขาใช้ฝึกได้อีกสองสามวัน แต่ของใช้ที่เขามีเริ่มที่จะหมดไปแล้ว ดังนั้นด้วยเหตุผลแบบนั้น เจี้ยนเฉินจึงต้องกลับไปที่เมืองเวคเพื่อที่จะเติมเสบียงของเขา ไม่เพียงแค่นั้น เขายังจำเป็นต้องจัดการกับอสรพิษทองริ้วเงินในแหวนมิติของเขาอีก ไม่เช่นนั้นถ้าปล่อยเอาไว้นาน ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น? ยกตัวอย่างเช่น ร่างอาจจะเน่าไป เจี้ยนเฉินไม่มั่นใจกับสิ่งนั้น เพราะว่าเขาไม่เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือ ดังนั้นเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมายของเขา เจี้ยนเฉินจึงต้องการที่จะจัดการเรื่องอสรพิษทองริ้วเงินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายในเทือกเขาสัตว์อสูรเป็นที่แห่งการนองเลือด เป็นบางอย่างที่สัตว์อสูรนั้นอ่อนไหวเป็นพิเศษ มันคงเป็นการไม่ฉลาดมากถ้าเขาจะเก็บศพของอสรพิษทองริ้วเงินเอาไว้ที่นี่ เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะกลับไปที่เมืองเวคเพื่อที่จะเริ่มวางแผนที่นั่น
เทือกเขาสัตว์อสูรมีหญ้าสูงอยู่หนาแน่นมากและมีหนองน้ำอยู่มากเช่นกัน มันยากที่จะหาเจอได้ด้วยตาเปล่า แต่ในขณะที่เจี้ยนเฉินเดินไปตามทาง เขาก็มองออกไปทุกที่ ในระหว่างสองสามวันที่เขาใช้เวลาอยู่ในเทือกเขา เขาก็ได้ตกลงไปหนองน้ำสองสามครั้งก่อนที่จะขึ้นมาจากมันได้
ภายใต้การนำทางของพระอาทิตย์ที่แผดเผา เจี้ยนเฉินก็ออกมาจากเทือกเขาสัตว์อสูรได้โดยไม่ได้ออกจากเส้นทางมากไป หลังจากที่เดินมาสองวัน เขาก็ออกมาจากส่วนลึกของเทือกเขาได้ในที่สุดและเข้ามาถึงที่ป่าราบ ในสองวันเหล่านี้ เจี้ยนเฉินก็ได้แกนอสูรระดับสองมากขึ้นในเข็มขัดมิติของเขา
เจี้ยนเฉินสูดอากาศบริสุทธิ์ในป่าเข้าไปก่อนที่จะหันหน้าไปมองเสื้อผ้าที่เขาดัดแปลงมาจากหนังสัตว์ แล้วเขาก็ยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย รูปลักษณ์ของเขาในตอนนี้ดูเหมือนขอทาน มันน่าเสียดายที่ไม่มีน้ำมากนักในเทือกเขา ทำให้เป็นไปไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะล้างสิ่งปฏิกูลออกจากตัวเขาเอง
เจี้ยนเฉินยังไม่ลืมว่ามีแม่น้ำอยู่ที่รอบนอกของป่า เขาโยนชุดที่ทำจากหนังสัตว์ออกไปและกระโจนลงไปในน้ำ และเริ่มทำความสะอาดตัวเองจากสิ่งสกปรกที่เขาสะสมมา
ปริมาณของดินและกลิ่นตัวที่สะสมมามากมายหลายวันได้ปกคุลมตัวเขาเหมือนเป็นชุดเกราะ เขารู้สึกอยากอ้วกทุกทีที่เขาเคลื่อนไหว เขาไม่สบายตัวจากผิวหนังที่เหนียวมัน แต่เขาอดทนเอาไว้ตอนที่อยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูร แต่ทันทีที่เขาเห็นแม่น้ำ เขาก็อดไม่ไหวและกระโจนลงไปในน้ำ
เจี้ยนเฉินห่อเข็มขัดมิติเอาไว้รอบคอของเขาในขณะที่เขาเริ่มถูไปทั่วทั้งร่างของเขา แขนของเขาถูไปทุกที่ในขณะที่น้ำใกล้ ๆ เขาก็กลายเป็นสีดำ
แม้ว่าหลังจากที่เขาชำระล้างตัวเองในแม่น้ำเสร็จแล้ว เขาก็ยังไม่ขึ้นจากน้ำ เขาหงายตัวลอยอยู่และหลับตาลงช้า ๆ และปล่อยให้แม่น้ำไหลผ่านชำระล้างร่างกายเขาไป เป็นครั้งแรกหลังจากที่ผ่านมานานที่จิตใจของเขาได้พักผ่อนในขณะที่เขาผ่อนคลายไปด้วยความพอใจจากสายน้ำที่ไหลเย็น สองสามวันที่ผ่านมา เขาใช้ความพยายามอย่างมากในขณะที่เขาเดินทางอยู่ในเทือกเขา ในตอนนี้จิตใจของเขาได้ผ่อนคลาย ส่วนลึกในวิญญาณของเขารู้สึกเป็นอิสระ ซึ่งทำให้เจี้ยนเฉินหลับได้อย่างสงบ
เจี้ยนเฉินหลับตาและเอนลงไปในน้ำเพื่ออาบแสงอาทิตย์ที่อบอุ่นและสายน้ำเย็นจากแม่น้ำ ร่างเปลือยของเขาผลุบขึ้นลงในแม่น้ำในขณะที่เขาลอยไปตามคลื่น
ในขณะที่แม่น้ำไหลไป เขาก็เริ่มลอยไปที่ทิศทางของเมืองเวค มันเหมือนกับเจี้ยนเฉินได้เดินทางฟรี ดังนั้นในขณะที่เขาลอยไปเรื่อย ๆ เขาก็เพลิดเพลินไปกับมัน
หลังจากนั้นสักพัก เจี้ยนเฉินก็ลืมเวลา เขาไม่รู้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขาลอยไปตามแม่น้ำ แต่ในตอนนี้เอง หัวของเจี้ยนเฉินก็ไปชนกับบางอย่างนุ่ม ๆ เข้า ในตอนที่เขารู้สึกว่าชน เจี้ยนเฉินก็ตั้งสติและเพ่งสมาธิไปกับสิ่งที่เขาชน อะไรก็ตามที่เขาชนนั้นมันเคลื่อนไหวได้
สัตว์ร้าย ! เจี้ยนเฉินคิดอยู่ในสภาพจิตใจที่เซื่องซึม ทันที่ทันใดเขาก็ตั้งสติอีกและเปิดใช้วิญญาณของเขาขึ้นมา เจี้ยนเฉินรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ในขณะที่เขาเปลี่ยนจากสภาวะเฉื่อยชาเป็นการตั้งสมาธิ ตาของเขาที่หลับอยู่ก่อนหน้าก็เปิดขึ้นเผยให้เห็นตาที่สดใสของเขา ทันใดนั้นเอง เขาก็พลิกตัวจากที่นอนหงายอยู่ขึ้นมายืน น้ำสูงเท่าเอวของเขา เผยให้เห็นครึ่งร่างบนของเขาเหนือน้ำ
ตอนที่เขายืนขึ้นเสร็จ หน้าของคนคนหนึ่งก็เข้ามาในสายตา มันเป็นใบหน้าของสาวงามล่มเมือง และใบหน้าที่ขาวดุจหิมะของนางก็สมบูรณ์แบบ ปากคอคิ้วคางนั้นสัมพันธ์กันอย่างสมบูรณ์จนหาที่ติไม่ได้ นางเหมือนนางฟ้าที่ลงมายังโลกมนุษย์
หญิงสาวคนนี้ไม่ดูแก่ขนาดนั้น นางอายุประมาณ 20 ปี ดวงตาของนางเป็นประกายมีจุดสีดำตรงกลาง นางจ้องอย่างตกตะลึงไปที่เจี้ยนเฉิน ด้านล่างของนาง มีหน้าอกใหญ่เปลือยอยู่กลางอากาศ และมันอยู่ห่างจากเจี้ยนเฉินเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โชคร้ายอะไรแบบนี้! มีผู้หญิงมาอาบน้ำที่นี่ เจี้ยนเฉินคิดทันทีในขณะที่ใบหน้าของเขามืดครึ้ม ต้องขอบคุณประสบการณ์จากชาติที่แล้วของเขา เขาจึงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
เขาไม่คิดว่าในขณะที่เขาลอยตามแม่น้ำมาอย่างผ่อนคลายหลังจากที่เดินทางไปในเทือกเขาสัตว์อสูร เขาจะได้มาพบกับหญิงสาวที่กำลังอาบน้ำในแม่น้ำเดียวกับที่เขาอยู่
อ่า !
ในตอนที่เจี้ยนเฉินรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตาเล็ก ๆ ของหญิงคนนั้นที่อยู่ด้านหน้าเขาก็เปิดกว้างออก ในขณะที่นางก็เพิ่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเช่นกัน และนางก็กรีดร้องออกมา
เจ้าวายร้ายโสโครก !
สายตาที่ตกตะลึงของนางก่อนหน้านี้เปลี่ยนเป็นแดงก่ำและเอียงอาย ในขณะที่นางกรีดร้องออกมาและเหวี่ยงแขนของนางไปที่หน้าอกของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
ปัง !
ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะทันได้ทำอะไร ฝ่ามือของหญิงคนนี้ก็ตีไปที่หน้าอกของเขาทำให้เกิดเสียงดังออกมา เจี้ยนเฉินลอยถอยไปด้านหลังเหนือน้ำในขณะที่เลือดไหลออกมาจากปากของเขา
ตอนที่ 95: กำไรที่น่าอนาถใจ
เจี้ยนเฉินกำลังใช้จิตวิญญาณกระบี่เพื่อที่จะไล่ตามเซียนผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้ตั้งตัวและฆ่าเขา ทหารรับจ้างคนอื่นที่หนีไปทุกทิศทางได้พลาดพลั้งไปทีละคนด้วยกระบี่ของเจี้ยนเฉิน
แสงสีเงินจากกระบี่ได้ส่องสว่างขึ้นมาในขณะที่มันพุ่งไปที่เจี้ยนเฉิน เขาชูมือขึ้นในอากาศ แล้วกระบี่ก็ก็กลับมาอยู่ในมือของเขาทันที ในขณะที่มันกระแทกเข้ากับฝ่ามือของเขา ปราณกระบี่จำนวนมากจากกระบี่ก็พุ่งมาที่เขาในเวลาอันสั้น
ไม่กี่ช่วงอึดใจที่กระบี่วายุโปรยกลับมาที่เจี้ยนเฉิน บรรยากาศที่ตึงเครียดที่อกมาจากกระบี่ก็หายไปทันทีอย่างไม่มีร่องรอย หลังจากนั้นไม่นาน กระบี่วายุโปรยก็ค่อย ๆ หายไป
เฮ้อ… เจี้ยนเฉินถอนหายใจออกมายาว เขาได้สู้สองศึกติดต่อกัน นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ หลังจากที่ฆ่าอสรพิษทองริ้วเงินและจากนั้นเขาก็ฆ่าทหารรับจ้างที่เป็นเซียนผู้เช่ยวชาญพิเศษไป 2 คน พลังเซียนในร่างของเจี้ยนเฉินถูกใช้ไปจนหมด ถ้าไม่ใช่ว่าเพราะเขาใช้ทักษะเฉพาะของบัญญัติกระบี่นภา พลังเซียนของเขาก็คงไม่ได้รับผลที่ลึกลับแบบนี้ ถ้าไม่มีมัน เจี้ยนเฉินคงไม่สามารถฆ่าอสรพิษทองริ้วเงินได้ อย่าว่าแต่การต่อสู้หลังจากนั้นเลย
เจี้ยนเฉินขยับตัว ในตอนที่เขากำลังจะเคลื่อนที่ แผลที่หลังของเขาก็ปวดแสบปวดร้อนขึ้นมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเจี้ยนเฉินบิดเบี้ยวไปหลายครั้งเนื่องจากความเจ็บปวดรุนแรง
มันเจ็บจริง ๆ ! เจี้ยนเฉินพ่นลมออกมา เขาต้องการที่จะขยับไปได้ เขาจึงใช้วิญญาณที่ทรงพลังของเขาในการรวมรวมพลังเซียนธาตุแสงจากแก่นแท้ของโลกเข้ามาที่เขา บอลแสงสีขาวขนาดใหญ่ที่ดูไม่ชัดก็ปรากฎขึ้นรอบ ๆ เขาและเริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นสีขาวนวล แม้ว่าแสงจะสว่างจ้า แต่มันก็อบอุ่นมาก และมันไม่แสบตาเลย
เจี้ยนเฉินถูกล้อมไปด้วยแสงสีขาวนวล และร่างของเขาก็มองไม่ชัดภายในแสงนั้น แม้แต่แผลลึกที่หลังของเขาก็รักษาตัวเองอย่างรวดเร็วภายใต้พลังเซียนธาตุแสง
ภายใต้พลังเซียนธาตุแสงนี้ เขารู้สึกได้ถึงความสดชื่นและสบายที่พุ่งขึ้นมาจากหน้าอกของเขา และมันก็กระจายไปทั่วร่างของเขาอย่างรวดเร็ว มันไหลผ่านไปเหนือการควบคุมของเจี้ยนเฉิน
แม้ว่าเขาจะใช้หลังเซียนธาตุแสงมาก่อนในขณะที่พยายามที่จะต่อต้านพิษของอสรพิษทองริ้วเงิน แต่จุดประสงค์ของเขาในตอนนั้นคือการใช้เพื่อยืดเวลา ดังนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตความสุขที่พลังเซียนประกายแสงมอบให้แก่เขา แต่ในตอนนี้ที่เขาตั้งใจเต็มที่ เจี้ยนเฉินก็ตระหนักได้ว่าพลังเซียนธาตุแสงนั้นน่าพึงพอใจเพียงใด
พลังเซียนธาตุแสงยังอยู่สักพักก่อนที่จะค่อย ๆ หายไป และเผยให้เห็นร่างของเจี้ยนเฉินอีกครั้ง
เจี้ยนเฉินบิดแขนไปด้านหลังเพื่อที่จะสัมผัสกับแผลที่อยู่ที่หลัง แต่เขาก็สัมผัสได้เพียงผิวเรียบเรียบ แม้ว่าเสื้อที่เขาใส่จะชุ่มไปด้วยเลือด แต่เขาก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวเลย และไม่มีร่องรอยของแผลเหลืออยู่
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างพอใจและเริ่มยิ้มให้กับผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์ที่พลังเซียนธาตุแสดงออกมา ด้วยทักษะแบบนี้ ความสามารถที่เจี้ยนเฉินจะรักษาชีวิตเอาไว้ได้ในทวีปเทียนหยวนคงเพิ่มมากขึ้นจากนี้ไป
จากนั้น ความรู้สึกวิงเวียนหัวก็ถาโถมไปที่เจี้ยนเฉินในขณะที่โลกดูเหมือนจะโคลงไปมาสำหรับเขา ความรู้สึกวิงเวียนในตอนนี้เข้ามาแทนที่กับความเหนื่อยล้าของเขา ในตอนนี้เอง เจี้ยนเฉินก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้นอนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มเต็ม และเขาก็อ่อนเพลียมาก เจี้ยนเฉินต้องการที่จะหาเตียงและหลับไปเสียให้ได้ทันที
น่าเสียดายที่จิตวิญญาณกระบี่และพลังเซียนธาตุแสงใช้พลังงานไปเป็นปริมาณมาก ในตอนนี้พลังวิญญาณของข้าก็ถูกใช้ไปจนหมด เจี้ยนเฉินถอนหายใจอย่างเศร้า ๆ กับตัวเอง เขารู้ว่าในอนาคต เขาต้องเว้นจากการใช้จิตวิญญาณกระบี่และพลังเซียนธาตุแสงให้มาก ไม่เช่นนั้น ถ้าเขาใช้พลังวิญญาณหมดไปในอนาคต มันก็คงมีผลกระทบกับกำลังในการต่อสู้ของเขามาก
โชคดีที่วิญญาณของเขาส่วนใหญ่นั้นอ่อนล้า แต่มันก็ไม่ถึงจุดสูงสุด ดังนั้นกำลังในการต่อสู้ของเขาจึงไม่ไดดรับผลกระทบมาก
เจี้ยนเฉินเอาเสื้อผ้าใหม่ออกมาจากเข็มขัดมิติของเขา เขาก็มองไปที่ทหารรับจ้างบางคนที่อยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็มองไปที่เข็มขัดมิติที่อยู่ที่เอวของพวกเขา และสายตาของเขาก็เป็นประกายจดจ่อ
ข้าหวังว่าจะมีของดีอยู่ในนั้นบ้างนะ เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง บนทวีปเทียนหยวนนั้น คนส่วนมากเก็บของมีค่าทั้งหมดไว้ในเข็มขัดมิติ พูดกันว่าเข็มขัดมิติหนึ่งอันนั้นเป็นที่เก็บออมทั้งหมดในชีวิตของคนคนนั้น แน่นอนว่าทหารรับจ้างที่อ่อนแอหลายคนนั้นจนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอะไรมากในเข็มขัดมิติ
เจี้ยนเฉินเดินผ่านทหารรับจ้างไปโดยไม่ได้แตะต้องเข็มขัดมิติของพวกเขา เขาเดินอย่างรวดเร็วไปที่อสรพิทองริ้วเงิน และเก็บมันเข้าไปในแหวนมิติของเขา
เนื่องจากอสรพิษทองริ้วเงินนั้นตัวใหญ่มาก มันจึงทำใช้เจี้ยนเฉินใช้เวลามากในการที่จะเก็บงูเข้าไปในแหวนมิติ เขาเก็บแหวนมิติเขาไปในสาบเสื้อด้านในของเขาอีกชั้น จากนั้นเจี้ยนเฉินก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายในขณะที่ความรู้สึกยินดีที่ปิดบังไว้ไม่ได้ก็ออกมาแทนที่
ร่างกายที่ไม่ติดพิษ! เขานึกถึงผลประโยชน์จากหมื่นต้านพิษในหัว ในตอนนี้ที่เขามีร่างของอสรพิษทองริ้วเงิน และแม้ว่าเขาจะดื่มเลือดเข้าไปในปริมาณมาก แต่เลือดที่เหลือก็ยังอยู่ในร่างของงู ถ้ามีเวลามากพอ เจี้ยนเฉินสามารถเอาเลือดของอสรพิษทองริ้วเงินและถุงน้ำดีของมันมาสกัดเพื่อที่จะเขาได้ร่างที่ไม่ติดพิษมาได้
เขาสงบใจลงช้า ๆ และเดินไปที่ร่างของทหารรับจ้างอีกครั้งเพื่อเอาเข็มขัดมิติออก เขาออกจากบริเวณและหายเข้าไปในป่า
เมื่อเจี้ยนเฉินอยู่ไกลมากพอแล้ว เขาก็พบจุดว่างเพื่อที่จะนั่งขัดสมาธิลงไป จากนั้นเขาก็ค้นเข้าไปในเข็มขัดมิติทั้งยี่สิบเส้น
ของที่อยู่ในเข็มขัดมิติมีจำนวนมาก ของส่วนใหญ่นั้นจำเป็นในการใช้เพื่อการรอดชีวิตบนทวีปเทียนหยวน สิ่งอำนวนความสะดวก กระโจม อาหารและน้ำนับได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนของทั้งหมด ในขณะที่ของที่เหลือมีค่าเล็กน้อย มีเหรียญเงินและเหรียญทองแดงกองอยู่เล็กน้อยในเข็มขัดมิติ แต่เจี้ยนเฉินก็ปฏิเสธที่จะเอาของปริมาณเล็กน้อยอย่างนั้น
หลังจากที่ดูผ่านไปหลายเข็มขัดมิติ เจี้ยนเฉินก็ยังไม่พอใจกับของมีค่าที่เจอ เข็มขัดมิติมีของใช้ประจำวัน อย่างผ้าพันแผลและสมุนไพร แต่กลับไม่มีแม้แต่แกนอสูรระดับหนึ่งข้างในเลย
เจี้ยนเฉินไม่ได้มีสีหน้าที่ประหลาดใจเลย เพราะเขารู้ว่าทหารรับจ้างเหล่านี้เข้ามาในแนวภูเขาสัตว์อสูรเพื่อที่จะเข้ามากำไรตั้งแต่แรก เขาพยายามที่จะเข้ามาหากำไรในที่แบบนี้นั้นหมายถึงว่าพวกเขานั้นยากจน สิ่งของที่มีค่าที่สุดที่พวกเขามีอาจจะเป็นเพียงแกนอสูรระดับต่ำนิดหน่อยเท่านั้น
หลังจากที่ตรวจดูเข็มขัดมิติไปกว่าครึ่ง เจี้ยนเฉินก็พบกองแกนอสูรที่มีประมาณสิบกว่าอัน แต่พวกมันทั้งหมดเป็นระดับที่หนึ่งหรือสอง
เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติ และค้นไปที่เข็มขัดมิติอื่นอื่นต่อ
เจี้ยนเฉินค้นเข็มขัดมิติทั้งยี่สิบเส้นเสร็จอย่างรวดเร็วและโยนพวกมันออกไปข้างข้าง
จากเข็มขัดมิติทั้งหมด 20 เส้น เขาได้แกนอสูรมาประมาณ 20 อันและเหรียญทองเกือบร้อยเหรียญเท่านั้น ในพวกแกนอสูร มีแกนระดับ 3 อยู่ 1 อัน ระดับ 2 อยู่ 6 อัน และที่เหลือเป็นระดับหนึ่ง
เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาส่วยหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น กำไรครั้งนี้ไม่น้อยไปหน่อยหรือ? มีเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษถึง 2 คนในกลุ่มของพวกเขายังมีแกนอสูรแค่น้อยนิด ข้าสามารถหาเท่านั้นได้ในเวลาเพียงวันเดียว เจี้ยนเฉินเก็บแกนอสูรและเหรียญทองเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขา และออกจากที่นั่นไป
วันต่อมา เจี้ยนเฉินก็ผ่านเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาสัตว์อสูร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ถูกไล่ล่าจากอสรพิษทองริ้วเงิน เขาก็ใกล้มาถึงที่เหวของภูเขาสัตว์อสูรมากแล้ว สัตว์อสูรส่วนใหญ่ที่นี่เป็นระดับ 3 และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นระดับ 2
เทียบกับเจี้ยนเฉินที่เป็นเซียนระดับสูงแล้ว สัตว์อสูรระดับ 3 ไม่ได้เป็นอันตรายกับเขามากถ้ามีเพียง 1 ตัว แม้ว่ามันจะต้องใช้ความพยายามมากในการฆ่ามัน แต่กำไรที่ก็ดีกว่าเพราะมันมีสัตว์อสูรระดับ 3 มากกว่าระดับ 2 แกนอสูรระดับสาม 1 อันมีพลังงานเท่ากับแกนอสูรระดับสอง 10 อัน พวกมันจำเป็นสำหรับเจี้ยนเฉินเพื่อที่จะใช้การฝึกฝน ในขณะที่แกนอสูรระดับสามนั้นทำให้เขาใช้เวลาทั้งคืนในการดูดซึมด้วยอัตราที่เร็วอย่างน่ากลัวของเขา
ในพริบตาเดียว เจี้ยนเฉินก็อยู่ในป่าไปอีกสิบวัน ที่ที่เขาล่าสัตว์อสูรในตอนกลางวันและฝึกฝนในตอนกลางคืน หลังจากสิบวันเหล่านั้น ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าเขายังเป็นเซียนระดับสูงขั้นต้น แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเขาจะตัดผ่านไปอยู่ในขั้นกลางได้ในไม่ช้า
ในระหว่างสิบวันเหล่านี้ เจี้ยนเฉินใช้เวลาในแต่ละวันในการเดินทะลุเข้าไปในภูเขาอย่างระมัดระวังในขณะที่ถือแกนอสูรระดับสามเอาไว้ 1 อัน ในตอนหนึ่งที่เจี้ยนเฉินเจอกับสัตว์อสูรระดับสี่ สัตว์อสูรระดับสี่นั้นแข็งแกร่งเกินไปที่เขาจะสู้ หลังจากที่โจมตีไปสิบกว่าครั้ง เจี้ยนเฉินก็หนีมาโดยได้รับบาดเจ็บหนัก ตั้งแต่นั้นมา เจี้ยนเฉินก็รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรระดับสี่ ดังนั้นเขาจึงสู้กับสัตว์อสูรระดับสามแทน หลังจากนั้น เมื่อไรที่เขาไปเจอกับสัตว์อสูรระดับสี่เข้า เขาก็จะหนีทันทีโดยไม่ไปยั่วยุพวกมัน
ตอนที่ 94: กำจัดทุกคน
เมื่อหลบกระบี่ใหญ่ของชายวัยกลางคนได้ เจี้ยนเฉินก็ปรากฎขึ้นด้านหน้าของทหารรับจ้างคนอื่นพร้อมกระบี่วายุโปรยของเขา เขาแทงออกไปหลายครั้งต่อกัน ในเวลาเดียวกัน ทหารรับจ้างก็ยกอาวุธเซียนขึ้นมาและเหวี่ยงไปที่เขา
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง!
เสียงอาวุธหลายอันปะทะกันเกิดขึ้นมา ในช่วงเวลาสั้น ๆ เจี้ยนเฉินใช้ความเร็วสูงเหนือจินตนาการในการฟันออกไปสิบกว่าครั้ง ทำให้อาวุธเซียนที่โจมตีเขาเข้ามาเบี่ยงเบนจากทิศทางเดิม หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ไม่ลังเลในขณะที่กระบี่วายุโปรยในมือของเขาเปล่งแสงราง ๆ ออกมา เขาใช้ความได้เปรียบจากการที่ทหารรับจ้างพยายามที่จะกลับมาควบคุมอาวุธเซียนของพวกเขา กระบี่วายุโปรยของเขากลายเป็นแสงไฟสีขาวเงินหลายสิบเส้นซึ่งพุ่งออกไป
ฟุบ! ฟุบ! ฟุบ!
ในช่วงเวลาสั้นสั้น กระบี่วายุโปรยของเจียนฉินแทงออกไปอีก 3 ครั้ง แต่ละครั้งแทงอย่างแม่นยำไปที่คอของทหารรับจ้างสามคน ร่างของพวกเขาแข็งทื่อในขณะที่คอของพวกเขาเริ่มมีเลือดไหลออกมา และย้อมคอของพวกเขาจนเป็นสีแดง และร่างกายของพวกเขาก็หล่นลงไปที่พื้นช้า ๆ
ในตอนนี้เอง เสียงแหลมคมที่มีพลังงานที่แข็งกร่งก็แทงผ่านอากาศมา แสงดังมาจากด้านข้าง เมื่อสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่โผล่มาจากที่ใดก็ไม่รู้ทำให้เจี้ยนเฉินหันไปและฉากหลบไปด้านข้าง 2 เมตร แต่ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะหลบไปที่ข้างข้างได้อย่างปลอดภัย ลมแรงอีกชุดก็มาที่เจี้ยนเฉินและมาถึงตรงหน้าของเขาในพริบตา
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ในขณะที่เขาเอากระบี่วายุโปรยของเขาเพื่อมาป้องกันการโจมตีด้านหน้า
แกร้ง!
กระบี่ใหญ่ปะทะกันอย่างรุนแรงกับกระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินทำให้เจี้ยนเฉินลอยถอยไปหลายเมตรอย่างควบคุมไม่ได้
วูซซ!
ในขณะที่เจี้ยนเฉินลอยผ่านอากาศไป หอกยาวสีเงินก็ไล่ตามและพุ่งเป้าไปที่หัวใจของเจี้ยนเฉินด้วยเสียงหวีดหวิว
เมื่อสัมผัสได้ว่าหอกเงินมีพลังเซียนปริมาณมหาศาลในนั้น เจี้ยนเฉินก็เครียดในขณะที่เขาเห็นเซียนผู้เชี่ยวชาญเข้ามาในที่สุด
เจี้ยนเฉินกระทืบพื้นอย่างรุนแรงและทิ้งรอยเท้าลึกเอาไว้ที่พื้นในขณะที่เขาพยายามหยุดร่างของเขาจากการถอยไปอย่างต่อเนื่อง มือขาของเขากระตุกในขณะที่กระบี่วายุโปรยฟันไปที่หอกด้านหน้าเขาอย่างไม่กลัว
ชิ้ง!
ปลายของกระบี่วายุโปรยและหอกปะทะกันกลางอากาศ เมื่อเห็นดังนี้ ตาของเจี้ยนเฉินก็เป็นประกายในขณะที่ปราณกระบี่ปริมาณมหาศาลก็ไหลออกจากกระบี่ของเขาไป มันถ่ายปราณกระบี่ไปที่หอกของชายวัยสามสิบปี
เมื่อจับได้ว่าเจี้ยนเฉินกำลังคิดอะไร ชายวัยสามสิบก็เหยียดออกมา หลังจากนั้น พลังเซียนปริมาณมหาศาลก็ไหลออกมาจากร่างกายของเขาและไหลไปตามหอกไปที่กระบี่วายุโปรย มันหยุดปราณกระบี่ของเจี้ยนเฉินไม่ให้เข้ามาใกล้กว่านี้ ทันทีหลังจากนั้น ปราณกระบี่ก็หยุดเคลื่อนไปข้างหน้าเนื่องจากมันปะทะเข้ากับพลังเซียนที่ควบเข้ามาเหมือนม้า นี่ทำให้การเคลื่อนไหวของปราณกระบี่หยุดลง
ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายอันตรายในขณะที่เขาเริ่มเพิ่มพลังงานเพื่อที่จะสู้กับชายคนนั้น ทันใดนั้นเองปราณกระบี่ปริมาณมากก็พวยพุ่งออกไปและปะทะไปที่พลังเซียนของชายอีกคนอย่างไม่เกรงกลัว
ปัง!
ในขณะที่ปราณกระบี่ของเจี้ยนเฉินที่เป็นเอกลักษณ์ปะทะกับพลังเซียนของทหารรับจ้างอีกคน เสียงระเบิดดังก็เกิดขึ้น พลังงานจากการปะทะกันระเบิดออกไปโดยมีการปะทะกันระหว่างอาวุธเซียนเป็นจุดศูนย์กลาง
คลื่นกระแทกทำให้นักสู้ทั้งสองถอยกระเด็นไป แต่ละก้าวที่ทหารรับจ้างถอยไป เขาก็ทิ้งรอยเท้าลึกเอาไว้ที่พื้น อย่างไรก็ตาม ร่างของเจี้ยนเฉินก็คล่องแคล่วกว่าอย่างเทียบไม่ได้ ในขณะที่นิ้วเท้าของเขาสัมผัสเบา ๆ กับพื้น เขาก็เซไปมาก่อนที่จะกลับมานิ่งได้อย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เจี้ยนเฉินตั้งตัวได้ พลังรุนแรงก็มาจากด้านหลังเขาและเข้ามาใกล้ร่างของเขาในพริบตา
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย จากการที่เขาปะทะกับทหารรับจ้างก่อนหน้านี้นั้น เขาก็ใช้พลังงานไปมาก ในตอนนี้ เขาขาดกำลังและไม่สามารถที่จะรวมรวมพลังเซียนเพื่อที่จะต้านรับการโจมตีของเซียนผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่มาจากด้านหลังของเขาได้ ในช่วงเวลาแห่งความล่อแหลม เจี้ยนเฉินก็กลิ้งไปบนพื้นเพื่อหลบ แต่ถึงอย่างนั้น กระบี่ใหญ่ก็ฝากแผลไว้บนหลังของเขาลึกมาจนเห็นกระดูก
ฮ่าห์! เมื่อเห็นว่าเขาได้เปรียบ เขาก็ชูกระบี่ของเขาขึ้นมาอย่างไม่ปราณีอีกครั้งเพื่อที่จะฟันเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงความเจ็บร้อนที่ด้านหลังของเขา เขากัดริมฝีปากของเขาในขณที่มือซ้ายของเขาสัมผัสไปที่พื้น ร่างของเขาลอยไปด้านหลังทันที จากนั้นร่างของเขาก็บิดไปด้านข้างเล็กน้อยและหลบการโจมตีที่สองจากชายคนนั้นได้เพียงปลายผม อย่างไรก็ตาม กระบี่วายุโปรยของเขาก็เหมือนสายฟ้าในขณะที่มันแทงไปที่ทหารรับจ้างที่แก่กว่าด้วยความเร็วที่สูงมาก
ชายที่แก่กว่ารู้ตัว เขาเพิ่งเหวี่ยงอาวุธเซียนของเขาออก มันจึงสายไปที่เขาจะดึงมันกลับมาเพื่อป้องกันตัวเอง เออยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลมนี้ ชายคนนี้ก็เอียงหัวเพื่อที่จะหลบกระบี่ที่แทงมาที่คอของเขา อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะหลบการโจมตีที่ถึงตายได้ แต่กระบี่ก็ทิ้งรอยเล็กไว้ที่คอเขาทำให้เลือดไหลออกมา
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วบิดข้อมือเพื่อที่จะให้กระบี่วายุโปรยของเขาไล่ตามชายชราที่แก่กว่าและเล็งเข้าไปที่คออีกครั้งก่อนที่ชายคนนั้นจะได้ตั้งตัว
ทันทีหลังจากที่กระบี่วายุโปรยสีเงินวาบผ่านคอของชายคนนั้นไป หน้าของเขาก็แข็งทื่อในขณะที่เลือดเริ่มไหลออกมาจากคอของเขาเป็นคลื่นเล็ก ๆ
จะ เจ้า… ตาของชายชราเบิกกว้างในขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างเหลือเชื่อ เขายกมือขึ้นมา แล้วนิ้วของเขาก็สั่นในขณที่ชี้ไปที่เจี้ยนเฉิน มันดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะพูดบางอย่าง แต่แผลที่คอของเขาก็ทำให้เขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ในตอนท้าย ชายคนนั้นก็ทรุดลงที่พื้นอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นชายคนนี้ตาย ทหารรับจ้างที่เหลือก็ตกใจมาก พวกเขาเริ่มมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยท่าทางที่กลัวมาก
หลังจากที่ฆ่าชายวัยกลางคนแล้ว เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ให้เวลาทหารรับจ้างคนอื่นได้หายใจ เขาเริ่มเคลื่อนที่ไปหาคนที่เหลือพร้อมกับกระบี่วายุโปรย
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินเข้ามาใกล้ เซียนผู้เชี่ยวชาญที่ยังเหลืออยู่ก็เคลื่อนที่เพื่อไปขวางเจี้ยนเฉิน เขาแทงออกไปและหอกยาวของเขาก็หายไปทันทีและมาโผล่ขึ้นอีกทีเป็นเหมือนภาพราง ๆ เข้าไปทางเจี้ยนเฉิน
ทหารรับจ้างที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญสูงถูกข่มขวัญจากการตายของเซียนผู้เชี่ยวชาญวัยกลางคน และกลัวที่จะพุ่งเข้าไป พวกเขามีความคิดที่จะล่าถอยอยู่ในหัวใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมีทหารรับจ้างที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญอีกคนอยู่ พวกเขาก็คงจะหนีไปนานแล้ว
ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง…
เสียงปะทะกันอย่างต่อเนื่องดังผ่านป่าไปในขณะที่เจี้ยนเฉินและทหารรับจ้างวัยสามสิบปีก็สลับกันโจมตีด้วยความเร็วสูงในช่วงเวลาสั้น ๆ ในตอนนี้เมื่อไม่มีคนอื่นมายุ่งแล้ว ปราณกระบี่ของเจี้ยนเฉินช่วยให้เขาได้เปรียบอย่างรวดเร็วและกดดันคนอื่นได้ ในพริบตาเดียว เจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนมาเป็นฝ่ายรุก
เพราะการใช้กระบี่ของเจี้ยนเฉินนั้นเร็วมาก ทหารรับจ้างที่อายุสามสิบปีก็ไม่กล้าที่จะโจมตีกลับ เขากำลังปกป้องตัวเองและตอบโต้จากการเคลื่อนที่ของเจี้ยนเฉิน เขากลัวว่าถ้าเขาพยายามที่จะโจมตี เจี้ยนเฉินจะสามารถใช้ช่วงอันสั้นนั้นในการฆ่าเขาก่อนที่เขาจะโจมตีเสร็จ
ไม่เพียงแค่นั้น เจี้ยนเฉินกำลังสู้กับเขาในระยะใกล้ ทหารรับจ้างวัยสามสิบปีไม่สามารถที่จะแสดงพลังที่แท้จริงของหอกยาวออกมาออกมาได้ในการต่อสู้ระยะประชิดตัว ดังนั้นเขาจึงมีความรู้สึกเหมือนว่าถูกผูกแขนข้างหนึ่งไว้ข้างหลัง
หลังจากที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญระดับสูง ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเจี้ยนเฉินก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า ดังนั้นด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้นั้นทำให้เขาสามารถต่อสู้กับคนที่มีระดับสูงกว่าเขาได้อย่างเท่าเทียม
หลังจากที่โจมตีด้วยความเร็วสูงไปหลายครั้ง ทั้งสองก็แยกออกจากกัน อย่างไรก็ตาม ชายวัยสามสิบก็อยู่ในสภาพที่น่าสลด เสื้อของเขาขาดจนหมด บางส่วนบนร่างของเขามีบาดแผลที่ดูลึก และแม้แต่คอของเขาก็มีรอยบาง ๆ จากการที่เจี้ยนเฉินพยายามที่จะตัดคอของเขา
ในทางด้านเจี้ยนเฉิน นอกจากแผลเดียวที่หลังของเขา เขาก็ดูไม่แตกต่างไปจากเดิมเลย สิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเดียวคือหน้าของเขาที่ซีดขึ้น
ทหารรับจ้างวัยสามสิบปีจ้องไปที่เจี้ยนเฉินด้วยหน้าที่ไร้ความรู้สึกแล้วพูด ศัตรูแข็งแกร่งเกินไป ! ข้าจะรั้งเขาเอาไว้แล้วพวกเจ้าทุกคนหนีไปซะ ! หลังจากที่ต่อสู้กับเจี้ยนเฉิน ทหารรับจ้างวัยสามสิบปีก็รู้ว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งและรวดเร็วเพียงใด ในใจของทหารรับจ้าง เขารู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะรอดชีวิตไปจากที่นี่ ดังนั้นเขาจึงใช้แผนที่เลวร้ายที่สุดกับตัวเอง
เขาตระหนักว่าเขาตระหนักถึงบางสิ่งได้จากสถานการณ์ที่เกี่ยวกับอสรพิษทองริ้วเงินนี้ เพื่อที่จะรักษาเรื่องนี้ให้เป็นความลับ เจี้ยนเฉินคงจะฆ่าทุกคนที่พยายามจะออกไปจากที่นี่แน่ เขาคงไม่ปล่อยให้ใครออกไปแพร่งพรายรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเป็นตัวทหารรับจ้างเองที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็คงจะทำเหมือนกันกับที่เจี้ยนเฉินทำ
นี่เป็นกฏของความอยู่รอดบนทวีปเทียนหยวน ทุกอย่างตัดสินด้วยกำปั้น ใครก็ตามที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะได้หัวเราะเป็นคนสุดท้าย
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทหารรับจ้างที่เหลือทั้งหมดก็จ้องออกไปเล็กน้อยก่อนที่จะหนีออกไปทุกทิศทุกทาง
เมื่อเห้นว่าทหารรับจ้างทุกคนกำลังจะหนี ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็มืดมน เขาฟันกระบี่ออกไปเพื่อที่จะฆ่าชายคนนั้นให้ได้ไว ๆ
ฮ่า! ทหารรับจ้างวัยสามสิบปีร้องใจสู้ออกมาในขณะที่เขาเคลื่อนไปหาเจี้ยนเฉินอย่างไม่เกรงกลัว เพราะด้วยความเร็วที่เจี้ยนเฉินแสดงออกมา เขาจึงรู้ดีว่าเขาคงไม่รอดออกไปจากที่นี่ เขาตัดสินใจที่ว่ามันคงจะดีกว่าที่จะใช้ชีวิตของเขาในการซื้อเวลาให้กับคนอื่น มากกว่าที่จะต้องมาตายด้วยกันทุกคน เมื่อเขาเรื่องอสรพิษทองริ้วเงินรั่วไหลออกไป ก็จะมีคนมาแก้เค้นเขาอย่างไม่ขาดสาย
ชิ้ง!
กระบี่วายุโปรยปะทะกับหอกยาวอีกครั้งทำให้เกิดประกายไฟออกมาจากทั้งสองอาวุธ จากนั้น ภายใต้การควบคุมของทหารรับจ้างวัยสามสิบปี กระบี่ก็พลิกไปที่ด้านบนของหอกและมันก็ลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศในขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปตามสัญชาติญาณ
ในตอนนี้ ชายคนนี้ก็ดูประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม ความยินดีก็ปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาในไม่ช้าในขณะที่เขาจัดการใช้หอกแทงไปที่คอของเจี้ยนเฉินทันที
เจี้ยนเฉินยิ้มเยาะออกมาในขณะที่ฝ่ามือของเขาก็เต็มไปด้วยพลังเซียนที่แข็งแกร่งทันที ฝ่ามือทั้งสองหายไปเหมือนภาพราง ๆ และมือของเขาก็พุ่งออกไปจับที่ด้ามของหอกเอาไว้แน่น
ในเวลาเดียวกัน กระบี่วายุโปรยที่ถูกกระแทกลอยไปในอากาศจู่จู่ก็หยุด ในขณะที่ปราณกระบี่ก็เริ่มปกคลุมกระบี่ กระบี่วายุโปรยส่องสว่างออกมา และเคลื่อนไปผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายฟ้า เหมือนว่ามันจะสามารถตัดมิติให้เปิดออกมาได้กลางอากาศ เสียงดังบาดหูเกิดขึ้น และกระบี่ก็ทะลุคอของชายคนนั้นและหายไปในบริเวณป่าใกล้ใกล้
อ๊าก!
อ๊าก!
ทันใดนั้นเอง เสียงร้องดังจากบางคนก็ดังออกมาจากในป่า
จิตวิญญาณกระบี่เป็นที่พึ่งสุดท้ายของเจี้ยนเฉิน ถ้าไม่ใช่เวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน เจี้ยนเฉินคงไม่ใช้มันออกมาง่าย ๆ
ตอนที่ 93: ฆ่าปิดปาก
เมื่อได้เห็นว่าเจี้ยนเฉินพุ่งไปที่พวกเขาด้วยความเร็วสูง ทหารรับจ้างทุกคนก็ตั้งสติแล้วเรียกเอาอาวุธเซียนของพวกเขาออกมาเพื่อเตรียมตัวที่จะโจมตี
เจี้ยนเฉินไม่ต้องการจะพัวพันอยู่กับการต่อสู้นาน ดังนั้นแทนที่จะรับการโจมตีพวกนั้นไปตรง ๆ เขาก็หลบการโจมตีและเคลื่อนไปข้าง ๆ อย่างรวดเร็ว กระบี่ของเขาตัดไปที่คอของทหารรับจ้างสองคนทันที
ในขณะที่แสงสีเงินหายไป ทหารรับจ้างสองคนก็ตาย ในขณะที่ประกายในดวงตาของพวกเขาค่อย ๆ จางหายไป ที่คอของพวกเขามีหยดเลือดที่เริ่มไหลอกมาให้ทุกคนเห็นได้ ในตอนต่อมา เลือดก็พุ่งออกมาจากแผลของพวกเขาในขณะที่ร่างของพวกเขาก็ล้มลงไปที่พื้น
เจี้ยนเฉินไม่รอช้าและข้ามผ่านศพของทั้งสองคนไปและพุ่งไปที่ทหารรับจ้างที่อยู่ด้านหลังสุดในพริบตาเดียว คนพวกนี้ที่เป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มทหารรับจ้างเป็นเป้หมายแรกของเจี้ยนเฉิน แม้ว่าจะมีทหารรับจ้างทั้งหมดประมาณ 20 คน แต่พวกเขาส่วนใหญ่ก็เป็นแค่เซียนและเซียนระดับสูง มีเพียงชายวัยกลางคนเท่านั้นที่เป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญ
เจี้ยนเฉินใช้ย่างก้าวพริบตาและไปโผล่ที่ด้านหลังกลุ่ม กระบี่วายุโปรยของเขาแว่บขึ้นมา ในขณะที่ทหารรับจ้างก็พลาดพลั้งให้กับกระบี่ของเขา ทหารรับจ้างที่เป็นแค่เซียนไม่สามารถทำอะไรกับการโจมตีที่รวดเร็วนี้ได้ เมื่อพวกเขาไม่สามารถตอบโต้ได้ ก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะรับมือได้
ในเวลาเพียงอึดใจเดียว ทหารรับจ้างที่อยู่ในระดับเซียนธรรมดาได้ตายด้วยกระบี่ของเจี้ยนเฉิน คนที่เหลืออยู่ที่เป็นเซียนระดับสูงและเหนือกว่านั้นเริ่มเตรียมตัวที่จะป้องกันการโจมตีจากเจี้ยนเฉิน
แม้แต่หลังจากที่ฆ่าเซียนที่อ่อนแอไปแล้ว เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้หยุดเลย กระบี่วายุโปรยก็กลายเป็นแสงสีเงินในขณะที่เขาเหวี่ยงไปที่ทหารรับจ้างที่เป็นเซียนระดับสูงที่อยู่ถัดไปจากเขา
เมื่อเห็นว่าการโจมตีที่รวดเร็วกำลังเข้ามาทางเขา ใบหน้าของทหารรับจ้างก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อไม่มีเวลาทันให้หลบ เขาก็ทำได้เพียงยกขวานศึกขึ้นมาข้างหน้าเขาอย่างไร้หนทางเท่านั้น
แต่กระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินก็เหมือนกับงูพิษ ด้วยการขยับเพียงครั้งเดียว ทิศทางของมันก็ต่ำลงและเปลี่ยนจากเป้าหมายที่คอไปเป็นที่หัวใจของเขา
ฟุบ! ในครั้งนี้ ทหารรับจ้างที่เป็นเซียนระดับสูงไม่สามารถโต้ตอบได้ทัน แสงสีเงินของกระบี่วายุโปรยได้ฝังตัวเองเข้าไปที่ด้านซ้ายของหน้าอกของชายคนนั้น มันแทงทะลุผ่านหัวใจของเขาไป
กระบี่ถูกดึงออกมาจากหน้าอกของชายคนนั้นทันทีเร็วเหมือนที่มันแทงเข้าไป เจี้ยนเฉินเริ่มเคลื่อนไหวต่อและโจมตีอย่างดุร้ายไปที่ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ
เมื่อเห็นพรรคพวกตายไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตา ทหารรับจ้างที่เหลือก็ร้องออกมาด้วยความโกรธและตกใจ
เจ้าสารเลว ไปตายซะ!
เอาชีวิตของพรรดพวกของพวกเราคืนมานะ!
เซียนระดับสูงที่เหลือมารวมตัวกันและยกอาวุธเซียนของพวกเขาขึ้นมาเพื่อโจมตีไปที่เจี้ยนเฉินจากหลายหลายทิศทาง และพยายามที่จะปิดทางหนีของเจี้ยนเฉินเอาไว้
เจี้ยนเฉินเหยียดออกไปก่อนที่เหวี่ยงกระบี่ของเขาไปทำให้เห็นเหมือนเป็นเส้นรูปพระจันทร์เสี้ยวเหลืออยู่ กระบี่ของเขาแทงไปที่เซียนระดับสูงคนอื่นดุจสายฟ้า
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
ในเวลาอันสั้น กระบี่ของเจี้ยนเฉินก็โจมตีไปโดยอาวุธเซียนของทหารรับจ้างสามคน ในการปะทะแต่ละครั้ง เสียงโลหะกระทบกันก็ดังขึ้นมา เจี้ยนเฉินเหวี่ยงออกไปเร็วมาก มันยากที่จะแยกเสียงของการกระทบกับของแต่ละอาวุธออก เพราะเสียงของมันดังเหมือนเกิดการปะทะเพียงครั้งเดียว
ในตอนที่กระบี่วายุโปรยปะทะกัน พลังปริมาณมากได้ถ่ายทอดกลับไปที่อาวุธเซียนของทหารรับจ้าง
เมื่อรู้สึกถึงพลังที่ถูกส่งถ่ายมาที่พวกเขา ใบหน้าของพวกทหารรับจ้างทั้งหมดก็เปลี่ยนไป พวเขาไม่สามารถควบคุมร่างกายของพวกเขาได้และถอยกลับไปหลายก้าว ไม่มีใครคิดว่ากระบี่ที่เล็กเรียวขนาดนั้นจะมีพลังที่ไม่ด้อยไปกว่ากระบี่ของพวกเขาเลย
ตาของเขาเป็นประกายทันทีด้วยจิตสังหาร เจี้ยนเฉินใช้โอกาสที่คนพวกนั้นมือชาไปชั่วขณะ และเขาไปใกล้ทหารรับจ้างที่เคลื่อนไหวไม่ได้ กระบี่วายโปรยถูกคลุมไปด้วยชั้นปราณกระบี่ที่หนาและมันก็พุ่งไปที่คอของทหารรับจ้างอย่างรวดเร็ว
เมื่อต้องเผชิญกับกระบี่ที่รวดเร็วแบบนี้ ทหารรับจ้างก็ไม่สามารถทำได้แม้แต่จะต่อต้านเลย ในตอนสุดท้าย ท่าทางของของพวกเขาก็ทั้งโกรธและตกใจในขณะที่กระบี่วายุโปรยได้แทงทะลุเข้าไปที่คอของพวกเขาแล้ว เลือดสด ๆ พุ่งกระฉูดออกมาจากรูและเปรอะเต็มเจี้ยนเฉินไปหมด ในขณะที่กระบี่แทงเข้าไป
ในตอนนี้ พายุการโจมตีที่รุนแรงก็โจมตีมาที่เจี้ยนเฉินจากด้านหลัง ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายในขณะที่เขาดึงกระบี่ออกมาจากคอของทหารรับจ้างที่เขาเพิ่งฆ่าออกมาทันที เจี้ยนเฉินหันไปและใช้กระบี่วายุโปรยที่เสริมพลังด้วยปราณกระบี่แทงไปที่ด้านหลังของเขาอย่างรวดเร็วเหมือนเป็นสายฟ้าสีเงิน
แกร้ง!
กระบี่กว้าง 2 นิ้วปะทะกับกระบี่กว้าง 3 นิ้วกลางอากาศ ไม่มีอาวุธเซียนใดที่โดนกระแทกถอยหลัง และอาวุธทั้งสองก็ติดค้างกับอยู่อย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสังเกตว่าในตอนที่กระบี่ปะทะกัน มือขวาของเจี้ยนเฉินได้กระตุกไปสองครั้งหลังจากนั้น
ตาของเจี้ยนเฉินกลอกไปดูที่เจ้าของกระบี่ใหญ่อย่างเย็นชา เขาเป็นทหารรับจ้างวัยกลางคนที่เป็นคนที่พูดในตอนแรก ชายคนนั้นกำลังมองไปที่เขาด้วยท่าทางที่มืดมนมาก แต่ตาของเขาก็เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฮ่าห์ ! ชายวัยกลางคนร้องออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว ตาของเขาแดงก่ำ มือซ้ายของเขากำหมัดและต่อยไปที่เจี้ยนเฉิน ทำให้เกิดเสียงลมตามมา
ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายเย็นชาในขณะที่เขาเหยียดออกไป เมื่อต้องเจอกับหมัดที่แข็งแกร่งของชายวัยกลางคนนี้ เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้หลบแต่เขายกหมัดของเขาขึ้นมาสู้อย่างไม่เกรงกลัว
ปัง !
หมัดปะทะกันทำให้เกิดเสียงระเบิดดังออกมา ในตอนที่พวกมันปะทะกัน คลื่นสั่นสะเทือนที่ทรงพลังก็ออกมาจากพวกมันและส่งผลไปถึงทุกสิ่งที่อยู่รอบ ๆ ภายใต้พลังรุนแรงที่มองไม่เห็นนี้ ต้นไม้รอบ ๆ ใกล้ใกล้ทั้งสองก็ไหวเอน แม้แต่วัชพืชก็ราบไปกับพื้น
สำหรับคนที่สู้กันทั้งสอง พลังจากการโจมตีของพวกเขาทำให้เกิดแรงสะเทือนตามมาและทำให้พวกเขาถอยไปหลายก้าว ในที่สุด พวกเขาก็เอนไปมาหลังจากที่ถอยไป 10 เมตรในขณะที่กำลังรอคู่ต่อสู้อยู่
ชายวัยกลางคนมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างจริงจัง เจ้าหนุ่ม เจ้าค่อนข้างเร็วทีเดียว ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะได้กำจัดเจ้า
ทหารรับจ้างที่เป็นเซียนระดับสูงที่เหลือเริ่มมารวมด้านหลังชายวัยกลางคน แต่ละคนมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่โกรธเกรี้ยว
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่กลุ่มทหารรับจ้างอย่างเย็นชาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร ในเมื่อพวกเขาเจออสรพิษทองริ้วเงินแล้ว เจี้ยนเฉินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดปากพวกเขา ด้วยประสบการณ์จากชาติที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินจึงไม่ใช่ชายหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์ในตอนนี้ เขารู้ว่าถ้าข่าวเรื่องอสรพิษทองริ้วเงินหลุดออกไป มันจะสร้างปัญหามากมายไม่รู้จบเพราะงูนี้สร้างกำไรได้อย่างมาก ถ้าเขาต้องเจอกับตระกูลเหล่านั้นเข้า มันก็คงเป็นปัญหามากกว่าปัญหาในตอนนี้ของเขากับสำนักหัวหยุน ดังนั้นมันจึงเรื่องที่เจี้ยนเฉินอยากจะเลี่ยงเป็นที่สุด เจี้ยนเฉินต้องการที่จะฆ่าทหารรับจ้างที่นี่เพื่อที่จะหยุดข่าวลือก่อนที่มันจะเริ่ม
มีทหารรับจ้างเหลือเพียง 11 คนในกลุ่มเท่านั้นที่อยู่ข้าง ๆ เซียนผู้เชี่ยวชาญวัยกลางคน ชายอีกคนที่ดูอายุประมาณ 30 ปีก็มีพลังใกล้เคียงกับเซียนผู้เชี่ยวชาญ ท่ามกลางกลุ่มทหารรับจ้างนี้ มีเพียงชายวัยสามสิบและชายวัยกลางคนเท่านั้นที่ทำอันตรายกับเจี้ยนเฉินได้
เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินไม่ได้พูดอะไร ชายวัยกลางคนก็พูดออกมาเสียงดัง พี่น้องของข้า โจมตีไปพร้อม ๆ กับข้า ! ถ้าพวกเราฆ่ามัน ไม่เพียงแต่เราจะแก้เค้นให้พรรคพวกที่ตายได้เท่านั้น แต่อสรพิษทองริ้วเงินจะเป็นของพวกเรา! ถ้าพวกเราเอาอสรพิษทองริ้วเงินนั่นไปได้ พวกเราก็จะไม่ต้องเสี่ยงชีวิตในเทือกเขาสัตว์อสูรเพื่อหาเงินอีกต่อไป !
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็พุ่งไปที่เจี้ยนเฉิน พร้อมกับทหารรับจ้างที่เหลือที่ตามเขาอยู่ด้านหลัง
เจี้ยนเฉินยังคงไม่พูดอะไร แต่จิตวิญญาณต่อสู้ในใจของเขาพุ่งไปถึงจุดสูงสุดโดยไม่รู้ตัว เจี้ยนเฉินยกกระบี่วายุโปรยขึ้นมาและใช้ย่างก้าวพริบตาพุ่งไปทางกลุ่มทหารรับจ้าง
ฮ่าห์ ! เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินที่พุ่งเข้ามา ตาของชายวัยกลางคนก็แสดงจิตสังหารออกมาในนั้น เขาชูกระบี่ใหญ่ของเขาขึ้นไปบนอากาศเพื่อเตรียมที่จะผ่าหัวของเจี้ยนเฉินเป็นสองส่วนหลังจากนี้
เจี้ยนเฉินแค่นเสียงออกมาอีกครั้ง เขาไม่อยากที่จะปะทะกับชายวัยกลางคนอีก เขาเปลี่ยนทิศทาง เขาเลี่ยงชายวัยกลางคนและพุ่งไปสู้กับทหารรับจ้างที่อ่อนกว่า
แต่ชายวัยกลางคนก็พลาดจากกลวิธีนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว เจี้ยนเฉินเห็นกระบี่ใหญ่เปลี่ยนทิศทางกลางอากาศไปในทิศทางที่เขาไป หลังจากนั้น กระบี่ใหญ่ก็ตามหลังเจี้ยนเฉินไปและกวาดผ่านเงาของเขา จากนั้นมันก็ฟันในแนวนอนไปที่เจี้ยนเฉิน
กระบี่ใหญ่ก็รวดเร็วมาเช่นกัน ในขณะที่มันเคลื่อนไปที่หลังของเจี้ยนเฉิน มันก็พาสายลมรุนแรงไปตัดที่เอวของเจี้ยนเฉินทันทีอย่างไม่ยากเย็น
อย่างไรก็ตาม ไม่มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่หน้าของชายวัยกลางคนเลย สายตาของเขาแข็งทื่อในขณะที่เขาตระหนักว่าร่างของเจี้ยนเฉินค่อย ๆ หายไป ภาพติดตา ! เขาคำรามออกมา
ตอนที่ 92: โชคร้าย
เมื่อเจี้ยนเฉินอิ่มจากเลือดสด ๆ ของอสรพิษทองริ้วเงินและไม่สามารถดื่มมันต่อไปได้อีก เขาก็หยุด
อาห์ ! เจี้ยนเฉินเอนหัวไปด้านหลังและส่งเสียงสบายใจออกมา จากนั้นเขาก็สูดอากาศเข้าไป
ในร่างของเขา พลังงานปริมาณมหาศาลจากเลือดของงูกำลังสะสมอยู่ในท้องของเขา ในที่สุด มันก็เริ่มดูดซึมเข้าไปในเส้นเลือดของเขาอย่างช้า ๆ ในเวลาเดียวกัน ที่ส่วนซ้ายของร่างกายของเขารวมไปถึงไหล่ของเขาที่ที่มีพิษอยู่ ผิวหนังที่เคยเป็นสีดำก็จางไปอย่างรวดเร็วและกลับไปเป็นสีผิวตามปกติ
แม้ว่าความเป็นพิษของพิษอสรพิษทองริ้วเงินนั้นจะรุนแรงอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ และมีเพียงเลือดของมันเท่านั้นที่แก้พิษได้ แต่กระบวนการการแก้พิษก็เป็นไปอย่างรวดเร็วมาก
ไม่นานหลังจากนั้น พิษในร่างของเจี้ยนเฉินก็ถูกชำระล้างไปจนหมด นอกเหนือไปจากรอยกัดสองรอยตอนแรกที่อยู่ที่ไหล่ของเขาแล้ว ผิวหนังของเขาก็กลับมาเป็นเหมือนปกติ
เฮ้อ ! เมื่อเห็นว่าร่างกายของเขากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง เจี้ยนเฉินก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกมา โชคดีที่ในตอนท้ายที่เขาต่อสู้กับอสรพิษทองริ้วเงิน เขาสามารถฆ่ามันได้สำเร็จ ถ้าเขาฆ่ามันไม่ได้ และถึงแม้ว่าพลังเซียนธาตุแสงจะช่วยข่มพิษเอาไว้ชั่วคราวได้ เขาก็คงอยู่ได้ไม่เกินสามวัน เพราะว่าเขาไม่สามารถที่จะคงพลังเซียนธาตุแสงเอาไว้ได้เป็นระยะนานขนาดนั้น เพราะการใช้จิตวิญญาณนั้นเป็นการใช้พลังงานจำนวนมาก
เจี้ยนเฉินยืนขึ้นด้วยขาทั้งสองข้างอย่างช้า ๆ เจี้ยนเฉินมองดูงูสีทองที่นอนอยู่บนพื้นข้างหน้าเขาอย่างไม่ได้มีความตื่นเต้นแม้แต่น้อย จำนวนประชากรอสรพิษทองริ้วเงินนั้นไม่เกินเลขสามหลักในทวีปเทียนหยวน ดังนั้นมันจึงเป็นสายพันธุ์ที่หาได้ยากมาก นอกเหนือไปจากนั้น ร่างของอสรพิษทองริ้วเงินนั้นยังเป็นสินค้าที่มีค่ามาก นี่ไม่เป็นการกล่าวเกินจริงไปเลย ความร้ายแรงของพิษของมันนั้นหาใดเปรียบไม่ได้ และทั้งร่างของมันก็เหมือนขุมสมบัติ ว่ากันว่าเนื้อของงูนี้นั้นไม่ได้ช่วยเพิ่มความต้านทานพิษเท่านั้น แต่มันยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายอีกด้วย แม้ว่ามันจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับของอสรพิษทองริ้วเงิน แต่มันก็ทำให้แข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
และถุงน้ำดีของอสรพิษทองริ้วเงินนั้นว่ากับว่าเป็นวัตถุดิบเกี่ยวกับยาขั้นสูงที่สามารถเพิ่มความต้านทานพิษได้ ถ้าสกัดมันเข้ากับเลือดของอสรพิษทองริ้วเงินด้วยวิธีการพิเศษ มันยังเป็นไปได้ที่จะทำให้ร่างกายต้านพิษได้หลายพันชนิด เว้นเสียแต่ว่าพิษนั้นจะร้ายแรงกว่าของอสรพิษทองริ้วเงิน หรือพิษจากงูอื่นที่ร้ายแรงเท่ากัน นอกเหนือไปจากนั้นก็ไม่มีพิษใดใต้หล้าที่เป็นอันตรายกับหมื่นต้านพิษได้อีกแล้ว
เขี้ยวของอสรพิษทองริ้วเงินสามารถนำไปทำเป็นอาวุธสังหารที่น่ากลัวได้ เขี้ยวของมันชุ่มไปด้วยพิษอันตรายทั้งวันทั้งคืนจนทำให้คุณภาพของเขี้ยวพัฒนาไปอย่างช้า ๆ จุดนี้เองที่ทำให้พิษเข้าไปปนเปื้อนในเขี้ยวและไม่สามารถเอามันออกได้ และการถูกโจมตีเพียงครั้งเดียวจากเขี้ยวนั้นก็จะทำให้ศัตรูติดพิษของอสรพิษทองริ้วเงิน ถ้าไม่มีเลือดของอสรพิษทองริ้วเงินเพื่อใช้ทำยาแก้พิษ ผลลัพธ์ของคนที่ติดพิษคือความตาย พิษชนิดนี้สามารถทำให้แม้กระทั่งเซียนสวรรค์ติดพิษได้
แน่นอนว่า พิษของอสรพิษทองริ้วเงินนี้จะไม่ร้ายแรงพอที่จะฆ่าเซียนสวรรค์ได้ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ร้ายแรงพอที่จะไม่สามารถกำจัดมันไปได้จนหมด พวกเขาจะตายจากพิษถ้าไม่ได้รับยาแก้พิษ ซึ่งก็คือเลือดงู
พิษของมันขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของอสรพิษทองริ้วเงิน ยิ่งงูแข็งแกร่งมากเท่าไร พิษก็ร้ายแรงตามขึ้นไปเท่านั้น ถ้าอสรพิษทองริ้วเงินเป็นสัตว์อสูรระดับ 6 แล้วละก็ พิษของมันก็จะสามารถฆ่าเซียนสวรรค์ได้ในพริบตา
ผิวหนังของงูไม่เพียงแต่นุ่มเท่านั้น แต่ในยังทนทานมาก ทำให้มันเป็นวัตถุดิบที่มีค่ามากในการผลิตชุดเกราะ นี่ทำให้มันมีค่ามหาศาลอย่างเหลือเชื่อ
และถุงพิษของมันก็ประเมินค่าไม่ได้ พิษนี้เมื่อสกัดอย่างถูกวิธีแล้ว มันจะกลายเป็นพิษที่ไร้กลิ่นและสีและสามารถผ่านการตรวจจับผิดได้ทุกแบบ ด้วยพิษนี้ แม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังยากที่จะหนีจากความตายได้ เมื่อทางแก้พิษมีเพียงเลือดของอสรพิษทองริ้วเงินเท่านั้น
พิษของอสรพิษทองริ้วเงินปรากฏขึ้นในตลาดหลายครั้ง แต่ทุกครั้งที่มันปรากฏขึ้นมา คนที่มีเจตนาพิเศษบางอย่างก็จ่ายในราคาสูงเพื่อที่จะซื้อมันไป
เมื่อเขาค่อย ๆ นึกถึงข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบจากอสรพิษทองริ้วเงินที่เขาจำมาได้จากหนังสือออกมา เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น นี่เป็นกำไรชิ้นงามที่สุดที่เขาได้มาตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเทือกเขาสัตว์อสูร เจี้ยนเฉินยังได้ความสามารถในการต้านพิษส่วนมากมาอีก
เจี้ยนเฉินไม่ลังเลที่จะเริ่มลงมือกับร่างของอสรพิษทองริ้วเงิน เมื่อเป็นศพนี้แล้ว เจี้ยนเฉินก็ไม่ปล่อยผ่านไปเหมือนที่เขาทำกับศพของสัตว์อสูรอื่น ๆ
หลังจากที่ใช้หลังงานไปเล็กน้อย เจี้ยนเฉินก็ลากส่วนที่เหลือของร่างกายของงูออกมาจากหญ้าสูงและกองมันเอาไว้ที่หนึ่ง เจี้ยนเฉินเพิ่งมารู้ตอนที่เขาลากงูมาว่าจริง ๆ แล้วตัวมันยาว 70 เมตร
ความแข็งแกร่งของอสรพิษทองริ้วเงินสามารถวัดได้จากความยาวของมัน ตัวมันยาวขึ้นตามระดับของมัน มันจะยาว 20 เมตร ถึงสูงสุด 100 เมตรในระดับ 5 อสรพิษทองริ้วเงินในระดับ 6 หรือสูงกว่านั้นสามารถปรับขนาดร่างกายของมันได้ตามชอบ ดังนั้นมันจึงบอกขั้นไม่ได้จากความยาวของมัน
เมื่อดูจากความยาวของงูตัวนี้แล้ว มันดูเหมือนว่ามันเพิ่งจะบรรลุเป็นระดับ 4
เจี้ยนเฉินเอาแหวนมิติที่พ่อของเขาให้มาตอนที่เขาออกมาจากคฤหาสน์เจียงหยางที่อยู่ที่คอของเขาออกมา มิติในแหวนมิตินั้นใหญ่กว่าอย่างเทียบไม่ได้กับเข็มขัดมิติ ถ้าเขาต้องการที่จะเอางูที่ยาว 70 เมตรนี้ไป ทางออกเดียวที่เป็นไปได้คือการใช้แหวนมิติในการเก็บมัน ไม่มีทางที่เข็มขัดมิติที่มีพื้นที่มิติน้อยจะเก็บร่างนี้ได้
แต่ถ้าเจี้ยนเฉินต้องการที่จะเก็บร่างของอสรพิษทองริ้วเงินที่ยาว 70 เมตรไว้ในแหวนมิติของเขา มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในตอนที่เขากำลังจะเริ่มลงมือ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที ในขณะที่เขาหันหัวไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว
ที่ที่เจี้ยนเฉินกำลังมองไป เขาเห็นเงาของบางคนในพุ่มไม้กำลังเดินออกมา ในตอนที่เจี้ยนเฉินเห็นพวกมัน พวกมันก็เห็นเขาพอดี
โชคร้ายอะไรอย่างนี้ ! เจี้ยนเฉินสบถออกมา เพราะเขาเกรงว่าเขากำลังจะเจอกับปัญหา
มีคนทั้งหมดยี่สิบคนที่ดูเหมือนทหารรับจ้างจากการแต่งกาย ในตอนที่พวกเขาเห็นเจี้ยนเฉิน ทหารรับจ้างก็ดูมึนงงเล็กน้อย การที่เขามาเจอเจี้ยนเฉินนั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ อย่างไรก็ตาม ทันทีหลังจากนั้น ตาของพวกเขาก็หยุดไปที่ร่างที่ขดอยู่ของอสรพิษทองริ้วเงิน
คนที่เดินมาด้านหน้าของทหารรับจ้างคนอื่นเป็นชายวัยกลางคนที่ดูจะมีอายุประมาณ 40 ปี หลังจากที่สายตาของเขาหยุดไปที่อสรพิษทองริ้วเงินแล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อยและแสดงท่าทีครุ่งคิดออกมา จากนั้น ก็เหมือนว่าเขาจำบางอย่างได้ ตาของเขาเป็นประกาย ใบหน้าของเขาทั้งหมดแสดงความยินดีออกมาทันที เหมือนว่าเขาไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาเพ่งไปที่ร่างของงูที่อยู่ด้านหลังของเจี้ยนเฉินต่อ เขาร้องออกมา อสรพิษทองริ้วเงิน ! นี่มันอสรพิษทองริ้วเงินจริง ๆ !
คำพูดของทหารรับจ้างทำให้ทหารรับจ้างคนอื่นด้านหลังเขานิ่งอึ้ง เหมือนว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อสัตว์อสูรนี้มาก่อน ไม่นานหลังจากนั้น พวกเขาก็นึกถึงเรื่องที่เกี่ยวกับอสรพิษทองริ้วเงินได้ ทำให้หน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทีละคน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสงสัยในขณะที่พวกเขามองไปที่ศพของงูที่อยู่ด้านหลังเจี้ยนเฉิน หลังจากที่ดูใกล้ ๆ แล้ว พวกเขาก็ร้องออกมาอย่างประหลาดใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้างั้นนี่ก็คืออสรพิษทองริ้วเงินใช่หรือไม่ ?
นี่เป็นอสรพิษทองริ้วเงินจริง ๆ มันเหมือนกับที่ข่าวลือบอกมาเลย
ข้าไม่คิดว่าพวกเราจะมาเจออสรพิษทองริ้วเงินที่นี่เลย พวกเรารวยแล้ว
……
เสียงพูดคุยประหลาดใจทุกอย่างออกมาจากปากของพวกทหารรับจ้าง ในขณะที่ตาของพวกเขาก็เริ่มลุกวาวเมื่อมองไปที่อสรพิษทองริ้วเงิน ความโลภในตาของพวกเขาปรากฎออกมาทางใบหน้าที่พวกเขาไม่พยายามจะปกปิดมันเอาไว้เลย
เจี้ยนเฉินถอนหายใจกับตัวเอง เขาไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องโชคร้ายแบบนี้ขึ้นในตอนสำคัญ นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการ น่าเสียดายที่ชะตาไม่เป็นไปอย่างที่เขาคาดหวัง
เขาซ่อนแหวนมิติของเขาไปอย่างเร็ว กระบี่วายุโปรยสีเงินปรากฏขึ้นมาในมือของเขาอีกครั้ง เขาไม่ลังเลและหายไปเหมือนภาพติดตาในขณะที่เขาพุ่งไปที่กลุ่มทหารรับจ้าง
คนที่อยู่ข้างหน้าเขารู้จักอสรพิษทองริ้วเงินและค่าของมัน ไม่มีอะไรที่ต้องคิดเพิ่มแล้ว เมื่อเจี้ยนเฉินรู้ว่าทหารรับจ้างพวกนี้พยายามที่จะเอาร่างจากเขาไปทุกวิถีทาง ไม่มีทางที่จะเจรจาได้
เจี้ยนเฉินตัดผ่านระยะ 30 เมตรไปในพริบตา กระบี่วายุโปรยโจมตีออกไปทันที
หืม มาเลย ดี! ชายวัยกลางคนที่เป็นคนนำไม่ได้อ่อนแอเลย และเขาก็ตั้งสติได้ ท่าทางเย็นชามาแทนที่ความยินดีที่เขามีก่อนหน้านี้ในขณะที่เขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉิน เขาเหยียดแล้วเรียกกระบี่ใหญ่ออกมาที่มือของเขา เขาเคลื่อนไหวและฟันไปที่เจี้ยนเฉินที่กำลังพุ่งเข้ามา
ในตอนที่กระบี่ของชายวัยกลางคนกำลังจะถูกตัวเจี้ยนเฉิน ทิศทางของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาหลบกระบี่และเคลื่อนไปรอบชายวัยกลางคน และโจมตีกลุ่มทหารรับจ้างที่อยู่ด้านหลังแทน
ตอนที่ 91: ฆ่าฟัน
อสรพิษทองริ้วเงินจ้องอย่างระวังไปที่กระบี่วายุโปรยพร้อมกับลิ้นที่เป็นแฉกของมันที่ขยับอยู่ในปาก ปราณกระบี่ที่แหลมคมและแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อทำให้อากาศรอบ ๆ ดูเป็นอันตราย ดังนั้นอสรพิษทองริ้วเงินจึงไม่กล้าที่จะโจมตีออกไปอย่างบุ่มบ่าม
เจี้ยนเฉินหลับตาลงช้า ๆ ในขณะที่เขาค่อยค่อยซึมซาบความรู้สึกที่ลึกลับที่เกิดจากการใช้จิตวิญญาณของเขาในการควบคุมกระบี่ เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ความตั้งใจของเขาก็เปลี่ยนไป และกระบี่วายุโปรยในมือของเขาก็กลายเป็นแสงสีเงินและพุ่งไปที่งูโดยที่ไม่ได้มีใครแตะต้องกระบี่เลย มันเคลื่อนไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
วูซซซ!
ในขณะที่กระบี่พุ่งผ่านอากาศไปที่หัวของอสรพิษทองริ้วเงิน มันก็ส่งเสียงบาดอากาศออกมา ก่อนที่อสรพิษทองเขี้ยวเงินจะได้ทันตอบโต้ กระบี่วายุโปรยก็แทงเข้าไปที่หัวสมองของมันแล้ว ทันใดนั้นเอง แผลลึกก็ปรากฏขึ้นที่หัวของมันในขณะที่เลือดสดสดก็ไหลออกมาจากแผลและย้อมหัวของงูจนกลายเป็นสีแดงสด
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะถูกหางของงูรัดเอาไว้กลางอากาศ แต่การที่เห็นบาดแผลของงูก็ทำให้เขามีความสุขมาก เมื่อเขาสามารถทำลายการป้องกันชั้นแรกของงูได้แล้ว นี่ก็หมายความว่า เจี้ยนเฉินนั้นมีโอกาสในการตัดหัวและฆ่างูได้
เจี้ยนเฉินใช้จิตวิญญาณในการควบคุมกระบี่อีกครั้งเพื่อโจมตีไปที่งูอย่างต่อเนื่อง
วู๊ซซซซ!
กระบี่วายุโปรยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจี้ยนเฉินกลายเป็นแสงสีเงินในขณะที่มันแทงไปทางอสรพิษทองริ้วเงินอย่างซ้ำไปซ้ำมา อย่างไรก็ตาม ทิศทางที่เขาโจมตีไปในตอนนี้คือร่างของงู
เมื่อแสงสีเงินสว่างวาบขึ้นที่ร่างของอสรพิษทองริ้วเงิน แผลลึกอีกแผลก็ปรากฏขึ้นมา แม้ว่าแผลจะไม่ใช่น้อย ๆ แต่มันก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้สร้างความเสียหายให้บริเวณที่เป็นพลังชีวิตของงู
หัวใจของงูอยู่ห่างเจ็ดนิ้วจากหัวของมัน แม้ว่าการโจมตีนี้จะทำลายผิวหนังส่วนที่อยู่เหนือหัวใจของมัน แต่การป้องกันของมันที่มีพลังต้านทานสูงของมันก็ทำให้กระบี่วายุโปรยไม่สามารถทำอันตรายกับหัวใจของมันได้เลย
เมื่อสัมผัสได้ว่าชั้นผิวหนังที่อยู่เหนือหัวใจกำลังถูกโจมตี งูก็โกรธเกรี้ยวมาก งูขดรอบตัวเองอย่างรวดเร็วเพื่อที่มันจะได้ปกป้องส่วนที่เพิ่งถูกโจมตีเอาไว้ได้ ในเวลาเดียวกัน หางที่สร้างบาดแผลให้กับเจี้ยนเฉินก็คลายออกและปล่อยเจี้ยนเฉินไป
เมื่อไม่ได้ถูกงูรัดตรึงเอาไว้ เจี้ยนเฉินก็ตกลงไปที่พื้น หลังจากที่เขาลงไปที่พื้น เจี้ยนเฉินก็รู้สึกถึงความวิงเวียนอย่างมากที่พุ่งขึ้นในหัวของเขา แต่มันก็ถูกข่มลงไปอย่างรวดเร็วด้วยจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินใช้มือขวาพยุงตัวเองขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก เขามองไปที่แขนซ้ายซึ่งไร้ความรู้สึกของเขา เมื่อเจี้ยนเฉินสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขานั้นอ่อนแอมาก ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไป เขาระเบิดพลังขึ้นมาที่แขนขวาของเขาและฉีกเสื้อของเขาออก เขาเห็นว่าร่างทั่วทุกส่วนจากปลายแขนขวาของเขาไปจนถึงครึ่งซ้ายของหน้าอกของเขานั้นเป็นสีดำสนิท สีนั้นก็กระจายไปที่ทั่วทั้งร่างของเขาอย่างสังเกตเห็นได้
ช่างเป็นพิษที่ร้ายแรงอะไรแบบนี้ หน้าของเจี้ยนเฉินหมองลง แค่ไม่กี่อึดใจที่เพิ่งผ่านไปหลังจากที่เขาถูกงูกัด แต่ภายในเวลาสั้น ๆ นี้ พิษก็ได้กระจายไปครึ่งร่างของเขาแล้ว ความเร็วในการกระจายทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกกลัว นอกเหนือไปจากนั้น ส่วนที่น่ากลัวที่สุดก็คือ พลังเซียนของเขาไม่สามารถกดพิษเอาไว้ได้
เมื่อเจี้ยนเฉินจำได้ว่าพลังเซียนธาตุแสงสามารถช่วยในการกดพิษได้ เขาก็ไม่ลังเลเลย ในขณะที่เขาใช้กระบี่วายุโปรยในการต่อสู้กับอสรพิษทองริ้วเงินและเพื่อป้องกันไม่ให้มันโจมตีมา เขาก็เริ่มรวบรวมพลังเซียนธาตุแสงมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
ภายใต้การควบคุมของเจี้ยนเฉิน พลังเซียนธาตุแสงก็เริ่มมารวมที่เจี้ยนเฉินด้วยความเร็วสูง เมื่อความหนาแน่นได้ที่แล้ว แสงสีขาวมัวมัวก็ปรากฏขึ้นรอบ ๆ เขา และมันสว่างขึ้นอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่อึดใจ ชั้นแสงสีขาวมัวมัวก่อนหน้านั้นก็เปลี่ยนไปเป็นประกายสีขาวนม ซึ่งหุ้มเจี้ยนเฉินเอาไว้ด้านใน มันเหมือนกับว่าเขาถูกหุ้มอยู่ในรังไหมสีขาว และแสงสีขาวที่เปล่งประกายออกมาอย่างมากก็ไม่ได้ทำให้แสบตาเลย
ภายในรัง พลังเซียนธาตุแสงก็เริ่มเข้าไปในร่างของเจี้ยนเฉินเป็นสาย พิษที่มีปฏิกิริยาที่รวดเร็วก็เจอกับ
อุปสรรค และมันก็เริ่มช้าลงเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามมันก็ทำได้แค่นั้น แม้ว่าพลังเซียนธาตุแสงจะมีพลังรักษาที่มหัศจรรย์และสามารถรักษาพิษของงูที่ร้ายแรงที่สุดได้หลายชนิดอย่างง่ายดาย แต่ก็ไม่ใช่กับพิษของอสรพิษทองริ้วเงิน พลังเซียนธาตุแสงทำได้แค่หยุดมันชั่วคราวเท่านั้น
ในอีกด้านหนึ่งจากรังไหม กระบี่วายุโปรยก็ที่เป็นประกายสีเงินก็ขดวนรอบงูไปอย่างไม่สิ้นสุด และทิ้งรอยแสงสีเงินเป็นวงอยู่ในอากาศ อสรพิษทองริ้วเงินติดอยู่ในวงกระบี่และจ้องอย่างระมัดระวังไปที่แสงนั้นในขณะที่มันกำลังปกป้องส่วนที่บาดเจ็บของร่างของมันโดยที่ไม่ได้เปิดจุดอ่อนออกมาเลย แม้แต่งูก็ยังตระหนักว่าชีวิตของมันกำลังอยู่ในอันตรายอย่างมาก
วูซซซซ!
กระบี่วายุโปรยหมุนวนรอบ ๆ งูและส่งเสียงบาดอากาศออกมา ในเสี้ยววินาทีเดียว กระบี่ก็แทงเข้าไปที่หัวของงู
ภายใต้การควบคุมด้วยจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉิน กระบี่วายุโปรยก็เร็วเร็วเหลือเกิน มันเร็วกว่าที่เจี้ยนเฉินเหวี่ยงมันหลายเท่า ก่อนที่งูจะได้ทันตั้งตัว กระบี่ก็แทงเข้าไปที่หัวของมันอีกครั้ง
ฉึบ!
อสรพิษทองริ้วเงินรู้สึกเจ็บแปลบในขณะที่ลิ้นที่เป็นแฉกของมันก็แลบไปมา ในที่สุด มันก็อ้าปากออกมากว้าง และหมอกงูพิษสีเทาเข้มก็ลอยออกมา หมอกกระจายออกไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว ในพริบตาเดียว พืชต่าง ๆ ก็เริ่มเหี่ยวเฉาไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่ต้นไม้ที่มีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมากใกล้ ๆ ก็ไม่สามารถทนพิษได้ มันเริ่มเหี่ยวเฉาในขณะที่ใบไม้ที่เคยเขียนชอุ่มก็กลายเป็นสีส้มและร่วงหล่นลงมาที่พื้นอย่างช้า ๆ เหมือนว่ามันเป็นฤดูใบไม้ร่วง
ในขณะที่หมอกพิษกระจายไปในอากาศรอบรอบบริเวณ ต้นไม้ที่เคยเขียวขจีก็เหี่ยวแห้งในตอนที่มันสัมผัสกับหมอกพิษ
ในตอนที่หมอกพิษปรากฏขึ้นมาตอนแรก เจี้ยนเฉินก็กลั้นหายใจเอาไว้ ในขณะที่รังสีขาวนวลที่หุ้มเขาไว้ก็กระจายหายไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่พลังเซียนธาตุแสง แต่มันก็ไม่สามารถรักษาพิษที่อันตรายของงูได้ ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงกลัวหมอกนี้มาก
อสรพิษทองริ้วเงินใช้หมอกพิษในการอำพรางแล้วเริ่มเคลื่อนไหว มันเลื้อยถอยหลังไปเพื่อจะหนี งูที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีที่ทำให้คนกลัวได้เพียงแค่ชื่อได้ยินชื่อของมันยังรู้สึกกลัวจับใจจากความเร็วของกระบี่วายุโปรย เพราะไม่สามารถตามความเร็วของกระบี่ได้ทัน ในสถานการณ์เป็นตายแบบนี้ อสรพิษทองริ้วเงินก็เลิกล้มในการไล่ล่าเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้เห็นว่างูพยายามที่จะหนี เจี้ยนเฉินก็กังวล เขาไม่ลังเลและสั่งให้กระบี่วายุโปรยไล่ตามไปด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่ทำได้
ในเมื่อเขาได้รับพิษมาก่อนหน้านี้ เขาจึงจำเป็นที่จะต้องได้เลือดของอสรพิษทองริ้วเงินเพื่อที่จะมารักษาตัวเอง นอกเหนือไปจากนั้น แม้ว่าเขาจะใช้พลังเซียนธาตุแสงในการกดการกระจายของพิษเอาไว้ แต่เขาคงต้องตายในตอนท้ายอยู่ดี นี้เป็นเพราะพลังเซียนธาตุแสงเป็นใช้การได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น
กระบี่วายุโปรยพุ่งเหมือนเป็นสายลำแสงใหญ่เข้าไปในป่า ในพริบตาเดียว มันก็ไล่ตามอสรพิษทองริ้วเงินไปได้ทัน และมันก็แทงเข้าไปที่ร่างของมันตรงหัวใจ
เมื่อต้องเจอกับความเร็วสูงของกระบี่วายุโปรย งูก็ไม่มีเวลาทันได้โต้ตอบเลย กระบี่แทงเข้าไปด้านใต้และทะลุหัวใจของมัน
ในตอนที่กระบี่แทงเข้าไปที่หัวใจของมัน อสรพิษทองริ้วเงินก็สั่นเทาอย่างรุนแรงก่อนที่มันจะหยุด มันตกลงไปที่พื้นอย่างไร้ชีวิต
ฟู่ ! เจี้ยนเฉินถอนหายใจยาวออกมา หัวใจของเขาที่เต้นแรงก็สงบลงในที่สุด เพราะว่าเจี้ยนเฉินได้ปกป้องชีวิตของเขาเอาไว้ได้แล้ว
เสียงโลหะดังขึ้นมาในขณะที่กระบี่วายุโปรยลอยออกมาจากร่างกายของอสรพิษทองริ้วเงินก่อนที่มันจะบินไปรอบ ๆ ท้องฟ้า จากนั้นมันก็พุ่งไปทางเจี้ยนเฉินและกลับไปที่มือขวาของเขา
เมื่อได้เห็นกระบี่ลอยกลับมา เจี้ยนเฉินก็ข่มความอิ่มเอมในใจเอาไว้ เขาไปที่ร่างของอสรพิษทองริ้วเงินทันที เขาต้องการที่จะเอาเลือดของมันมาเพื่อที่จะแก้พิษให้กับตัวเอง เขาต้องทำมันในตอนนี้เพราะว่าเขาอยู่ในแนวภูเขาสัตว์อสูร ทุก ๆ ขณะที่เขาช้าลงจะทำให้มีอันตรายที่เขาไม่รู้เพิ่มขึ้นมาอีก
เขาเดินตัวสั่นไปที่ซากงูยาว 50 เมตร จากนั้นเจี้ยนเฉินก็คุกเข่าลง เขาคว้าเอาส่วนที่เลือดออกของงูมาและเอามันเข้าไปในปากของเขา เขาเริ่มดูดเลือดอย่างไม่ลังเล
อึก! อึก!
เจี้ยนเฉินดูดเลือดของงูเข้าไปไม่หยุด เขารู้สึกได้ชัดเจนถึงพลังงานพิเศษจากเลือดของงูในขณะที่มันไหลไปที่ท้องของเขา ที่ใดที่เลือดผ่านไป พิษที่คลืนคลานไปอย่างช้า ๆ ก็ลดน้อยลงทันที เหมือนว่าร่างกายของเขากำลังตอบโต้และรักษาอาการพิษ
เมื่อเจี้ยนเฉินสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เขาก็ดื่มเลือดของงูเข้าไปมากกว่าเดิมอีกอย่างเร็ว เหมือนว่ามันเป็นอาหารอันโอชะที่เขาหยุดกินไม่ได้
ตอนที่ 90 – พลังเวทมนตร์ของจิตวิญญาณกระบี่
ในขณะที่เจี้ยนเฉินมึนงง หัวขนาดเล็กที่ไม่ได้สัดส่วนเมื่อเทียบกับปากขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าคู่กันของอสรพิษทองริ้วเงินหันกลับมางับเข้าที่คอของเจี้ยนเฉินอีกครั้ง เขี้ยวของมันแกว่งไปมา กระแสของหมอกพิษสีเทาไหลออกมาจากปากของมัน
เมื่อรู้สึกว่าปากที่เปิดกว้างของอสรพิษกัดเขา เจี้ยนเฉินเอียงหัวไปทางด้านข้างทันทีเพื่อหลบปากที่อ้าค้างไว้ของสัตว์อสูร ในทันใดนั้น ฝีเท้าอันดุดันของเขาก็ขยับพาเขาไปทางด้านหลังของอสรพิษทองริ้วเงิน กระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายอย่างเจิดจ้า ในขณะที่เขาเหวี่ยงมันลงบนร่างของอสรพิษอีกครั้งอย่างปฏิเสธที่จะเชื่อว่ามันจะไม่ได้ผล
กระบี่วายุโปรยแทงลงบนผิวหนังของอสรพิษทองริ้วเงินอย่างแม่นยำ แต่ก็หยุดที่ชั้นแรกสุดของเกล็ดอสรพิษเท่านั้นไม่สามารถเจาะทะลุไปได้อีก ผิวสีทองบาง ๆ เป็นเหมือนป้อมปราการที่ไม่สามารถทะลุทะลวงได้ ไม่มีรอยใดที่จะคงอยู่แม้เขาจะใช้พลังโจมตีเต็มสิบส่วน
เมื่อเห็นอย่างนี้สีหน้าของเจี้ยนเฉินก็ยิ่งน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม อารมณ์ของเขาหดหู่หลังจากค้นพบว่ากระบี่ของเขามีประสิทธิภาพลดลง การป้องกันอันทรงพลังของอสรพิษทองริ้วเงินได้ทำให้เจี้ยนเฉินไม่มีทางเลือก เนื่องจากการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาต่อการป้องกันของอสรพิษนั้นเป็นเหมือนรอยขีดข่วนของเด็ก ๆซึ่งจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ
เจี้ยนเฉินไม่ลังเลเลย เขาเรียกกระบี่ของเขากลับทันที เขารวบรวมกำลังไว้ที่ขาทั้งสองเพื่อกระโดดขึ้นจากพื้นดิน ก่อนที่อสรพิษจะตอบสนอง ร่างกายของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศแล้ว หลังจากได้กำหนดทิศทางแล้ว เขายืมพลังของกิ่งไม้และลอยไปที่ส่วนลึกของเทือกเขาสัตว์อสูร
การป้องกันที่แข็งแกร่งของอสรพิษทองริ้วเงินไม่ใช่สิ่งที่เจี้ยนเฉินสามารถรับมือได้ ด้วยทุกอย่างที่เจี้ยนเฉินมี เขาวิ่งหนีเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขาด้วยความหวังว่าสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งอีกตัวจะดึงดูดความสนใจของอสรพิษทองริ้วเงิน นี่เป็นวิธีเดียวที่เจี้ยนเฉินจะสามารถหลบหนีได้ แม้ว่าวิธีนี้จะเป็นอันตราย แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น
เจี้ยนเฉินรู้ว่ามีทหารรับจ้างจำนวนมากอยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูรซึ่งเขาอาจจะได้รับการช่วยเหลือจากพวกเขาในการหยุดยั้งอสรพิษทองริ้วเงิน อย่างไรก็ตามเทือกเขานั้นกว้างใหญ่เกินไป โอกาสที่จะพบกับทหารรับจ้างคนอื่นนั้นค่อนข้างยาก
เจี้ยนเฉินบินขึ้นไปในอากาศโดยใช้กิ่งไม้ทั้งสองข้างเพื่อส่งตัวเองไปในทิศทางของภูเขา ข้างหลังเขาคืออสรพิษทองริ้วเงินที่กำลังติดตามอย่างกระชั้นชิด ลิ้นของมันแลบเข้าแลบออกอย่างต่อเนื่อง ส่วนบนของร่างกายมีความยาว 6-7 เมตร
อสรพิษตัวนี้ยังไม่ทราบความยาวของมัน ในขณะนั้นเจี้ยนเฉินยังไม่เห็นร่างของงูทั้งตัว อย่างไรก็ตาม เขาสามารถประมาณได้จากการตัดสินจากสิ่งที่เขาเห็นจากอสรพิษทองริ้วเงิน จนถึงตอนนี้มันมีความยาวอย่างน้อย 50 เมตร
เจี้ยนเฉินยังคงวิ่งซิกแซกไปมา ในขณะที่มองหาสิ่งกีดขวางด้วยความหวังว่าอสรพิษทองริ้วเงินจะถูกสกัดกั้น
โฮก!
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงคำรามของเสืออยู่ใกล้ ๆ เสียงนั้นมุ่งหน้าไปยังทิศทางของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นไม่นานเจี้ยนเฉินก็เห็นเสือดำยาว 3 เมตรปรากฏในแนวสายตาของเขา ดวงตาของเสือแวววาวด้วยความรู้สึกเป็นลางร้ายเมื่อมองไปที่เจี้ยนเฉิน แต่เมื่อมันจ้องเขม็งมายังเขา ร่างคล้ายเถาวัลย์สีทองยาว 50 เมตรก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า
เมื่อมันเห็นอสรพิษทองริ้วเงิน มันก็เหมือนกับว่าเสือดำถูกสายฟ้าฟาด ขนทั้งหมดในร่างกายของมันลุกชัน แววตาของมันเหี่ยวเฉาลงในทันที ความกลัวได้เข้ามาแทนที่แววตาที่วาววับน่ากลัวเมื่อมองเห็นอสรพิษ มันไม่กล้าที่จะอยู่อีกต่อไป เสือดำวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วด้วยหางจุกตูด
แม้ว่าอสรพิษทองริ้วเงินนั้นเป็นอสรพิษ แต่ถ้าหากมีมันอยู่ในฝูงสัตว์อสูรจำนวนมาก สัตว์อสูรส่วนใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะรบกวนมัน
สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในภูเขาหลายครั้งก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินพบสัตว์อสูรหลายชนิด แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นการล่าถอยอย่างรวดเร็วหลังจากเห็นอสรพิษทองริ้วเงิน เขาสาปแช่งเสือดำตัวนี้โดยไม่ส่งเสียง เพราะมันเริ่มวิ่งหนีไปอย่างเศร้าโศก ไม่ได้มีสัตว์อสูรสักตัวเดียวที่กล้ายั่วยุอสรพิษทองริ้วเงินด้านหลังเขา
อีกครึ่งชั่วยามต่อมาเจี้ยนเฉินก็อยู่ใกล้กับส่วนลึกของเทือกเขาสัตว์อสูร ป่าไม้มีความเขียวชอุ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เจี้ยนเฉินเผชิญกับอุปสรรคมากขึ้นในระหว่างทางของเขา ข้างหลังเขา อสรพิษทองริ้วเงินกำลังไล่ล่าเขาอย่างไม่ลดละ ราวกับว่าอสรพิษทองริ้วเงินตัดสินใจเลือกเจี้ยนเฉินเป็นเหยื่อของมัน แม้จะเจอสัตว์อสูรมากมาย แต่การจ้องมองของมันยังคงยึดติดอยู่กับเจี้ยนเฉิน
ฟ่อ! หัวอสรพิษหายไปพร้อมกับภาพพร่ามัวขณะที่มันฉกไปที่เจี้ยนเฉินอีกครั้ง
เจี้ยนเฉินคอยติดตามสถานการณ์อยู่ข้างหลังเขาตลอดเวลาและเมื่อเขาเห็นอสรพิษขยับเข้ามาหาเขา ขาของเขาดันกิ่งไม้ที่แข็งแรงที่เขาอาศัยอยู่ ผลักดันเขาไปด้านข้างอย่างฉับพลันทำให้อสรพิษพลาด
ซ้ำแล้วซ้ำอีก เจี้ยนเฉินยังคงหลบการโจมตีของอสรพิษต่อไป อสรพิษทองริ้วเงินโกรธยิ่งขึ้นในความล้มเหลวแต่ละครั้ง ประกายตาที่เป็นอันตรายของมันทวีความดุร้ายมากขึ้น ทันใดนั้นหางอสรพิษทองริ้วเงินก็บินออกจากหญ้าสูงไปทางเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปเมื่อเขาสังเกตเห็นว่าหางพุ่งมาหาเขา เมื่อเห็นกิ่งไม้ที่แข็งแรงอยู่ด้านข้างเขา เขาก็กระโดดและถีบตัวออกไปจากจุดของเขาในทันทีโดยไม่ลังเล ร่างกายทั้งหมดของเขาถูกส่งไปยังต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านหนาทึบ
หางของอสรพิษเปลี่ยนทิศทางทันทีและพุ่งไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความเร็วทะลุคอขวด มันรัดเจี้ยนเฉินในไม่ช้าและเริ่มหมุนรอบเอวของเขาอย่างแน่นหนา
ขณะที่หางพันรอบเอวของเขาใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็ซีดด้วยความตกใจ กระบี่วายุโปรยเริ่มส่องแสงอย่างสว่างไสวลงมาที่หางของมันทันที แต่เนื่องจากเกล็ดด้านนอกนั้นแข็งแกร่งมาก กระบี่ของเจี้ยนเฉินไม่อาจทิ้งร่องรอยใด ๆ ไว้ได้เลย
ในขณะนั้นมีกลิ่นเหม็นกำลังออกมาจากปากของอสรพิษทองริ้วเงินซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าร่างของมันจนสามารถมองเห็นได้ชัด ในพริบตามันพุ่งไปที่คอของเจี้ยนเฉินและกำลังจะยึดมันไว้
เจี้ยนเฉินรีบส่งกระบี่วายุโปรยไปที่ปากงูทันที
แต่อสรพิษก็ฉลาดแกมโกงและมันบิดหัวเพื่อหลบกระบี่ หลังจากนั้นงูก็เปิดปากกว้างและกัดด้วยเขี้ยวอันแหลมคมลงไปที่ไหล่ซ้ายของเจี้ยนเฉิน
เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมากที่ไหล่ซ้ายของเขา ใบหน้าของเจี้ยนเฉินไร้สีเลือด พิษของอสรพิษทองริ้วเงินนั้นแข็งแกร่งมากและเมื่อถูกอสรพิษกัด ยาแก้พิษตัวเดียวก็คือเลือดของอสรพิษ ไม่มีวิธีอื่น แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้
แต่เกล็ดอสรพิษทองริ้วเงินนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าเจี้ยนเฉินจะสร้างบาดแผลให้กับมันได้
เมื่อเห็นอสรพิษกัดแน่นอยู่บนไหล่ของเขา เจี้ยนเฉินก็ตื่นตระหนกยิ่งขึ้นในวินาทีนั้นและสีหน้าของเขาก็บ้าคลั่ง จิตใจของเจี้ยนเฉินได้รับอิทธิพลจากสภาพจิตใจเช่นนี้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนเนื่องจากภาพทิวทัศน์รอบตัวเขากลายเป็นภาพพร่ามัวในใจ แม้ว่าความรู้สึกนี้จะจางมาก หากเจี้ยนเฉินไม่รู้สึกถึงความตั้งใจ เขาจะไม่สามารถรู้สึกอะไรเลย อย่างไรก็ตามในขณะที่อารมณ์ของเขากำลังปั่นป่วนมาก เขาไม่ได้สังเกตความจริงนี้
อ๊าก ! เจี้ยนเฉินตะโกนขึ้นไปบนฟ้า โดยไม่สนใจว่าเขาจะสามารถฝ่าแนวป้องกันของอสรพิษได้หรือไม่ เขาชูกระบี่วายุโปรยขึ้นสู่อากาศก่อนที่จะเหวี่ยงกระบี่กลับลงมาโดยหวังว่าจะตัดหัวมัน
ชั่วขณะที่กระบี่วายุโปรยถูกเหวี่ยงลงมาราวกับว่าจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินเชื่อมโยงกับกระบี่ในมือของเขา มันเหมือนกับว่าทั้งสองได้หลอมรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่มีความแตกต่าง การหลอมรวมเป็นไปอย่างราบรื่นจนทำให้เกิดความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ในใจราวกับว่ากระบี่ของเขาคือจิตวิญญาณของเขาและจิตวิญญาณของเขาคือกระบี่ของเขา
ในเวลาเดียวกัน แสงสีฟ้าและสีม่วงในจุดตันเถียนของเขาก็เริ่มสั่นไหว ขณะที่ลำแสงสีอ่อนเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขาจากจุดแสงทั้งสองนี้ ในขณะที่เจี้ยนเฉินเองก็ไม่ทราบเรื่องนี้ แต่ลำแสงก็เริ่มแผ่ออกจากศีรษะของเขา
ชิ้ง ! กระบี่ในมือของเจี้ยนเฉินเปล่งเสียงดังออกมาราวกับปราณกระบี่ห่อหุ้มกระบี่ไว้อย่างสมบูรณ์ คราวนี้ปราณกระบี่ดูราวกับมีหมอกหนาทึบปกคลุมกระบี่อยู่ ใบมีดด้านในพร่ามัวทำให้มองเห็นได้ยาก
ติ๊ง! กระบี่วายุโปรยฟาดเข้าไปที่หัวของอสรพิษทองริ้วเงิน เสียงเบา ๆ ดังขึ้น คราวนี้ปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งได้ทำให้กระบี่ตัดผ่านชั้นแรกของเกล็ดอสรพิษที่มีพลังป้องกันสูง ทันใดนั้นบาดแผลที่ดูลึกก็ปรากฏขึ้นบนหัวของอสรพิษและเลือดสดก็เริ่มไหลจากบาดแผลอย่างล้นเหลือ
ฟ่อ ! อสรพิษทองริ้วเงินเปล่งเสียงดังกล่าวอย่างเจ็บปวด การกัดที่ไหล่ของเจี้ยนเฉินนั้นคลายออกแล้วก็หลุดออกไปจากเขา ดวงตาของมันถูกตรึงอย่างใกล้ชิดกับเจี้ยนเฉิน ขณะที่ลิ้นแลบออกมาซ้ำ ๆ
เมื่อเห็นบาดแผลที่นองด้วยเลือดบนหัวอสรพิษ เจี้ยนเฉินก็ตกตะลึงในไม่ช้า แต่หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าที่ยินดีก็เกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา
ดังนั้นดูเหมือนว่าจิตวิญญาณกระบี่จะสามารถทะลวงการป้องกันของอสรพิษทองริ้วเงินได้ เจี้ยนเฉินนึกยินดีอยู่ในใจ ภายใต้การควบคุมอย่างรอบคอบของเขา กระบี่และจิตวิญญาณของเขาได้ร่วมมือกันเพื่อให้กระบี่กลายเป็นจิตวิญญาณและจิตวิญญาณกลายเป็นกระบี่ มันเป็นการรวมกันของปาฏิหาริย์ซึ่งเจี้ยนเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจน ทำให้เขารู้สึกราวกับว่ากระบี่เล่มนี้เป็นชีวิตของเขา เป็นจิตวิญญาณของเขา
ในขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างกระบี่และจิตวิญญาณของเขาลึกซึ้งขึ้น ปราณกระบี่ที่มีความรุนแรงรอบกระบี่วายุโปรยของเขาก็ยิ่งคมชัด ราวกับว่าปราณกระบี่ในปริมาณมหาศาลนั้นถูกควบคุมโดยจิตวิญญาณของเขาอย่างสมบูรณ์
ไม่ได้มีประสบการณ์กับความรู้สึกลึกลับเช่นนี้ เจี้ยนเฉินปล่อยมือจากการถือครองกระบี่วายุโปรย กระบี่ที่ห่อหุ้มด้วยปราณกระบี่ไม่ได้ล้มลงกับพื้น แต่กลับกันมันลอยอยู่กลางอากาศ มันค่อย ๆ ลอยขึ้นอย่างช้า ๆ ในที่สุดก็หยุดอยู่ระดับจมูกของเจี้ยนเฉิน ห่างจากเขาเพียง 1 เมตร ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่อสรพิษทองริ้วเงิน
ชิ๊ง ! ได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายในกระบี่วายุโปรย
ตอนที่ 89 – อสรพิษทองริ้วเงิน
ขณะที่เจี้ยนเฉินแทงลงด้วยกระบี่วายุโปรยของเขา สิ่งที่เหมือนเถาวัลย์สีทองก็บินออกมาจากน้ำและโจมตีเจี้ยนเฉิน
เมื่อกระบี่ของเจี้ยนเฉินและสิ่งที่คล้ายเถาวัลย์สีทองปะทะเข้าด้วยกัน แรงกดลงของเจี้ยนเฉินก็หยุดลง ร่างกายของเขาทั้งหมดยังคงอยู่ในท่าที่แทงลง ในขณะที่เขาลอยค้างอยู่กลางอากาศ ปลายกระบี่ของเขาเจาะทะลุศีรษะของสิ่งมีชีวิตที่คล้ายเถาวัลย์อย่างแม่นยำ
ฉากนี้กินเวลาสองชั่วลมหายใจ ทันใดนั้นจากป่าที่อยู่ติดกับแม่น้ำ เถาวัลย์สีทองอีกเส้นหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาจากหญ้าสูงแล้วบินไปที่เจี้ยนเฉิน
สีหน้าของเจี้ยนเฉินไม่ได้เปลี่ยนไปจากการซุ่มโจมตีอย่างกะทันหัน รั้งแขนของเขาในขณะที่เขาเตรียมที่จะยืมพลังของสิ่งที่คล้ายเถาวัลย์สีทองด้านล่างเขาเพื่อรับแรงผลักดัน เขาเตะออกจากการโจมตีของเขาและหมุนวนไปในอากาศแล้วลงสู่ด้านข้างลำธาร ทันทีที่เขากระทบพื้น เขารีบวิ่งไปที่เสื้อผ้าของเขาแล้วสวมใส่
หลังจากใส่เสื้อผ้าของเขา เจี้ยนเฉินเงยหน้าขึ้นมองเพื่อประเมินสิ่งที่เหมือนเถาวัลย์นั้นก็พบว่ามันเป็นอสรพิษสีทอง ลำตัวทั้งหมดเป็นสีทอง แต่มีเส้นเงินสองสามเส้นลากยาวจากส่วนบนของหัวถึงหาง มันยาวมาก เพียงแค่พื้นที่เปิดเผยเพียงอย่างเดียวก็มีความยาวเกือบ 6 เมตร ขณะที่เจี้ยนเฉินสังเกตเห็นริ้วสีเงินบนร่างกายของมัน เขาก็ตะลึง ดูเหมือนว่าเขาจะจำบางสิ่งบางอย่างได้ เนื่องจากสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงดัง อสรพิษทองริ้วเงิน !
อสรพิษทองริ้วเงินเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินอ่านมาก่อนจากหนังสือในห้องสมุดของสำนัก มันเป็นสัตว์อสูรที่หายากที่ถูกมองว่าเป็นจักรพรรดิแห่งอสรพิษ ในทวีปเทียนหยวนทั้งหมดเมื่อพิจารณาสัตว์อสูรจำนวนหลายแสนตัว จำนวนอสรพิษทองริ้วเงินแทบจะไม่ถึงเลขสามหลักเลยแม้แต่น้อย
อสรพิษทองริ้วเงินไม่ได้มีค่าเพราะความหายาก แต่เนื่องมาจากร่างกายของมัน ไม่ว่าจะเนื้อหรือเลือดมันมีค่ามาก พิษในร่างมันมีค่าอย่างยิ่ง มันเป็นสินค้าขาดตลาดในทวีปเทียนหยวนแม้ว่าผู้คนจะเสนอราคาสูงสำหรับพวกมัน
นี่เป็นเพราะถ้าพิษนี้ที่เป็นพิษชั้นสูงถูกปรับปรุงเป็นพิเศษมันอาจจะฆ่าเซียนสวรรค์ขั้นสูงได้ ยิ่งกว่านั้นการกำจัดพิษนี้เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีเลือดของอสรพิษทองริ้วเงินก็จะไม่มีวิธีอื่น แม้แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงก็ไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับมันได้ แม้ว่าพลังเซียนธาตุแสงจะมีผลการรักษาที่ลึกลับและสามารถกำจัดพิษได้มากมาย แต่ก็ไม่สามารถกำจัดพิษที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นพิษชั้นสูงที่อสรพิษทองริ้วเงินครอบครอง อย่างน้อยที่สุด เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงจะสามารถระงับพิษได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามการขจัดพิษอย่างสมบูรณ์นั้นมันเป็นไปไม่ได้
นอกจากนี้อสรพิษทองริ้วเงินก็มีความแตกต่างเมื่อเปรียบเทียบกับอสรพิษชนิดอื่น ไม่เพียงมันก็ค่อนข้างยาวเหมือนเทียบกับลำตัวที่ค่อนข้างบาง อาจกล่าวได้ว่าอสรพิษทองริ้วเงินสองสามตัวที่มาถึงระดับ 5 สัตว์อสูรจะมีความยาวถึง 100 เมตร แต่ความกว้างของลำตัวมันจะไม่ถึง 30 เซนติเมตร
อสรพิษทองริ้วเงินระดับที่ 6 สามารถควบคุมขนาดของร่างกายและยังสามารถย่อตัวลงให้ยาวหนึ่งหรือสองเมตรได้
ไม่เพียงเท่านั้น แต่อสรพิษทองริ้วเงินระดับ 6 ยังแข็งแกร่งมาก มีข่าวลือว่าพวกมันสามารถบินผ่านอากาศและมุดลงไปในพื้นดินได้ พิษของมันนั้นหาที่เปรียบไม่ได้และแม้แต่เซียนสวรรค์ก็ยังกลัวที่จะได้รับผลกระทบจากการติดพิษของมัน
ในบันทึกโบราณ เมื่อหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมาในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ อสรพิษทองริ้วเงินระดับ 6 ได้ทำลายเมืองชั้น 1 ที่มีประชากรสิบล้านคนได้ในเวลาที่เทียนไหม้หมดแท่ง ทุกคนถูกฆ่าโดยพิษที่ทรงพลังแม้กระทั่งซากศพยังผุพัง สิ่งที่เหลืออยู่ในเมืองคือกลิ่นคาวของเลือดสดที่ลอยอยู่ในอากาศไม่รู้จบ
หลังจากเหตุการณ์ที่น่าสยดสยองนี้จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้ส่งเซียนสวรรค์มากกว่าสิบคนออกไปเพื่อฆ่าอสรพิษทองริ้วเงิน แต่ก่อนที่จะหมดครึ่งวัน เซียนสวรรค์ 7 คนถูกฆ่าตายโดยพิษที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่บาดเจ็บสาหัสหรือถูกวางยาพิษอย่างหนัก อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นไม่นานผู้เชี่ยวชาญที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ได้รับพิษก็เสียชีวิตเช่นกัน
เหตุการณ์นี้ทำให้เซียนผู้คุมกฏในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึง ในท้ายที่สุด เซียนผู้คุมกฏก็ต่อสู้กับอสรพิษทองริ้วเงินในการต่อสู้ที่สั่งสะเทือนฟ้าดินซึ่งนำไปสู่การล่าถอยของสัตว์อสูรแทนที่จะฆ่ามัน
แต่ในท้ายที่สุด ทุกคนก็รู้ว่าอสรพิษทองริ้วเงินนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
เมื่อนึกถึงข้อมูลที่เขาได้อ่านเกี่ยวกับสัตว์อสูรตัวนี้ในหอหนังสือสำนักคากัต เจี้ยนเฉินมองดูอสรพิษทองริ้วเงินอย่างไม่อยากเชื่อว่าเขาจะเจอกับมัน หัวใจของเขาอดไม่ได้ที่จะเริ่มเต้นเร็ว เขาไม่คิดว่าเขาจะเจออสรพิษทองริ้วเงินที่หายากในสถานที่ที่รกร้างเช่นเทือกเขาสัตว์อสูร มันเป็นเพียงเขตรอบนอกของเทือกเขาที่ซึ่งมันยากที่จะพบแม้แต่ตัวเดียวในทวีปเทียนหยวนทั้งหมด
การกวาดสายตาของเขาไปทั่วอสรพิษขนาดข้อมืออย่างตั้งใจ เจี้ยนเฉินต้องยอมรับความจริงที่ว่าเขาเจออสรพิษทองริ้วเงิน
โชคร้ายอะไรเช่นนี้ ข้าเจอเรื่องแบบนี้ได้ยังไง ? เจี้ยนเฉินสงบตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่ข้างในเขายังคงสาปแช่งตัวเอง เขารู้ว่าอสรพิษทองริ้วเงินน่าสะพรึงกลัวถึงแม้ว่าจะไม่เคยพบเห็นในชีวิตจริง เพียงแค่อ่านเกี่ยวกับมันก็เพียงพอแล้วสำหรับเจี้ยนเฉินที่จะเข้าใจว่าด้วยความแข็งแกร่งของเซียนระดับสูงในปัจจุบันของเขา การต่อสู้กับอสรพิษทองริ้วเงินเป็นปัญหาอย่างยิ่ง
เจี้ยนเฉินจ้องไปที่อสรพิษทองริ้วเงินซึ่งห่างจากเขาเพียง 10 เมตรอย่างหนักใจ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เขาจับกระบี่ของเขาแน่น ขณะที่เขาคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าอสรพิษทองริ้วเงินที่เขาพบนั้นไม่ใช่สัตว์อสูรธรรมดา ความผิดพลาดเพียงครั้งเดียวอาจทำให้เขาต้องสูญเสียชีวิตในวันนี้
นี่เป็นการเผชิญหน้าที่อันตรายที่สุดซึ่งเจี้ยนเฉินเคยสัมผัสมาเป็นครั้งแรกที่เขาเข้ามาในเทือกเขาสัตว์อสูร ถึงจุดที่เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะรอดออกจากสถานที่นี้ได้หรือไม่
หากมันเป็นสัตว์อสูรชนิดอื่น ๆ ที่เจี้ยนเฉินไม่สามารถเอาชนะได้ เขาก็ยังสามารถหนีไปได้ แต่ช่วงเวลาที่เขาตระหนักถึงอสรพิษทองริ้วเงินได้ เขาก็เลิกคิดไปแล้วว่าเขาเร็ว แม้ว่าเขาจะพึ่งพลังเซียน เขาก็ไม่สามารถเร่งความเร็วได้เหนือกว่าผู้ฝึกธาตุลม อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินมั่นใจว่าความเร็วของเขานั้นเทียบไม่ได้กับความเร็วของมัน เขาจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถือรองเท้าให้กับมันได้ถ้ามันมี
นั่นเป็นเพราะอสรพิษทองริ้วเงินนั้นเร็วมากในขณะที่วิ่งเป็นเส้นตรง แม้ว่ามันจะไม่ใช่สัตว์อสูรที่เร็วที่สุด แต่ถ้าเป็นสัตว์ที่คลานไปบนพื้น อสรพิษทองริ้วเงินอยู่ในสามอันดับแรก เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษยชาติเว้นแต่ว่าเจ้ามีคุณลักษณะของธาตุลมและมีระดับสูงกว่าอสรพิษหลายขั้น ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่เร็วพอที่จะวิ่งหนี
เมื่อเห็นอสรพิษทองริ้วเงิน เราไม่สามารถวิ่งหนีเป็นเส้นตรงได้มิฉะนั้นความตายจะเป็นสิ่งเดียวที่จะทักทายพวกเขา ข้าไม่รู้ว่าอสรพิษตัวนี้แข็งแกร่งแค่ไหน; ถ้ามันเป็นสัตว์อสูรระดับ 1 แล้วอันตรายจะน้อยลงอย่างมากและข้าอาจจะฆ่ามันได้ ถ้ามันเป็นสัตว์อสูรระดับ 2 แล้วมันจะเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่มากในชีวิตของข้า แต่ข้าควรจะหนีจากมันได้โดยไม่มีปัญหา เจี้ยนเฉินบ่นพึมพำ ตอนนี้ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของเขาคือขอให้อสรพิษทองริ้วเงินไม่แข็งแกร่งเกินไป ไม่เช่นนั้นเขาไม่คิดว่าเขาจะสามารถรอดออกจากสถานที่แห่งนี้ได้
ในขณะที่เป็นเจี้ยนเฉินกำลังขบคิดกับตัวเองในช่วงเวลาสั้น ๆ จู่ ๆ อสรพิษทองริ้วเงินก็อ้าปากและพ่นหมอกพิษสีเทาที่ลอยได้อย่างรวดเร็วไปที่เจี้ยนเฉินยืน เมื่อหมอกลอยไป ทุกชีวิตของพืชในหมอกก็เริ่มเหี่ยวเฉาทันทีและแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในพริบตา มันดูราวกับว่าพลังชีวิตของมันกำลังหมดไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อหมอกสีเทาเข้ามาใกล้ เจี้ยนเฉินก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันเจี้ยนเฉินรู้สึกราวกับว่าความแข็งแกร่งถูกดูดออกไปจากเขา
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขา ดวงตาของเจี้ยนเฉินเบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาตระหนักว่าอสรพิษทองริ้วเงินสามารถแพร่พิษในอากาศได้โดยตรงด้วยพิษของมัน ในที่สุดเขาก็รู้ว่าพิษนั้นน่ากลัวเพียงใด ไม่น่าแปลกใจที่พิษจะฆ่าเซียนสวรรค์อย่างง่ายดาย
เขากัดลิ้นโดยไม่ลังเล ในที่สุดความเจ็บปวดจากลิ้นของเขาก็ทำให้อาการวิงเวียนศีรษะที่เขารู้สึกหมดไป หลังจากนั้นเขาก็กระโดดไปด้านหลังและเริ่มโคจรพลังเซียนของเขาไปรอบ ๆ เพื่อให้การระบายพลังชีวิตลดลง
อีกครั้งที่ใจสงบลงเจี้ยนเฉินจึงหรี่ตาของเขาเพื่อเพ่งความสนใจ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้ต่อสู้กับอสรพิษทองริ้วเงินและมีประสบการณ์เกี่ยวกับพิษของมัน เจี้ยนเฉินสามารถอนุมานได้ว่าอสรพิษนี้เป็นสัตว์อสูรอย่างน้อยระดับ 2
เมื่อเห็นละอองหมอกพิษใกล้เข้ามา เจี้ยนเฉินก็ไม่ลังเลเลยที่จะกลั้นหายใจทันที ขาของเขาร่อนไปทั่วพื้นในขณะที่เขาวิ่งหนีห่างจากพิษ
ขณะที่เจี้ยนเฉินเริ่มเคลื่อนไหวอสรพิษก็เช่นกัน มันเปลี่ยนเป็นแสงสีทอง มันพุ่งไปหาเจี้ยนเฉินด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเขาหลายเท่า
แม้ว่าอสรพิษทองริ้วเงินมีเพียงขนาดลำตัวเท่าข้อมือของเขาแต่มันก็ยังคงเร็วมาก ในพริบตาเดียวมันก็อยู่กับที่ที่เจี้ยนเฉินอยู่พร้อมกับอ้าปากกว้าง: พร้อมที่จะกัดคอของเขา
ทันทีที่อสรพิษทองริ้วเงินกำลังจะกัดคอของเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินเงยหัวของเขาในช่วงเวลาที่สำคัญนี้และถอยกลับไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันกระบี่วายุโปรยของเขาก็สะบัดอยู่ทางด้านขวามือของเขา ด้วยการสะบัดเพียงครั้งเดียว แสงสีเงินเข้ามาด้านหลังใบมีด ฟันไปที่อสรพิษ ด้วยจำนวนของปราณกระบี่ที่รวมกันเป็นจำนวนมาก เส้นทางกระบี่ที่ทิ้งไว้ข้างหลังดูเหมือนดวงจันทร์และทำให้เกิดประกายไฟ เจี้ยนเฉินใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาในการตวัดเพียงครั้งเดียว
กระบี่วายุโปรยไม่พบสิ่งกีดขวางใด ๆ เนื่องจากมันแทงเข้าหาอสรพิษทองริ้วเงิน แต่สีหน้าของเจี้ยนเฉินไม่ตื่นเต้น ในความเป็นจริงสีหน้าของเขาเริ่มที่จะดูไม่น่าดู เพราะกระบี่ของเขาไม่ทะลุผ่านเกล็ดของอสรพิษ ไม่มีรอยใด ๆ ปรากฏบนเกล็ด
ช่างเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่ง เจี้ยนเฉินอ้าปากค้าง หน้าของเขาซีด เนื่องจากวิธีการฝึกฝนของเขาพลังโจมตีของเขานั้นแข็งแกร่งเป็นพิเศษ แม้ว่าเขาจะมีพลังของเซียนระดับสูงเท่านั้น แต่การโจมตีของเขาก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญ แต่การโจมตีด้วยความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาไม่ได้ทิ้งร่องรอยแม้แต่นิดเดียวให้กับอสรพิษทองริ้วเงิน จากจุดนี้ เจี้ยนเฉินก็ตระหนักว่าอสรพิษทองริ้วเงินตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับ 3 เป็นอย่างน้อย มากที่สุดอาจเป็นสัตว์อสูรระดับ 4 นี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่เจี้ยนเฉินสามารถรับมือได้
ถ้ามันเป็นสัตว์อสูรระดับ 3 ธรรมดา เจี้ยนเฉินจะต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยเพื่อฆ่ามัน แต่อสรพิษทองริ้วเงินไม่สามารถประเมินแบบเดียวกับสัตว์อสูรทั่วไปได้
ตอนที่ 88 – เซียนระดับสูง
โฮก ! ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์อสูรที่เหมือนเสือดำก็ดังขึ้น มันกระโจนขึ้นไปในอากาศอย่างแรงจนรอยเท้าถูกกดลงอย่างเห็นได้ชัดบนพื้นดินที่เป็นสีดำ ร่างทั้งหมดของมันกลายเป็นเงาสีดำที่พุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตร ในขณะที่ลอยอยู่กลางอากาศ เสือดำเริ่มอ้าปากขนาดใหญ่เผยให้เห็นฟันที่แหลมคมที่สามารถเติมเต็มความกลัวของคน
เด็กหนุ่มยิ้มอย่างเย็นชาในขณะที่กระบี่สีขาวเงินอยู่ในมือของเขาเริ่มเปล่งประกายสีขาวจาง ๆ ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียวปลายกระบี่บินไปทางปากที่เปิดออกของเสือดำ
กระบี่เคลื่อนที่เร็วมากเหมือนสายฟ้า อย่างไรก็ตามปฏิกิริยาของเสือดำนั้นเร็วมาก ดังนั้นเมื่อกระบี่ถึงปากของมัน เสือดำตัวนั้นก็หันหัวไปทางด้านข้าง เพื่อหลบการโจมตีที่เข้ามา อย่างไรก็ตามกระบี่ยังคงพุ่งเร็วเกินไปที่จะหลบหลีกได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงเฉี่ยวหัวของมัน มันทิ้งบาดแผลที่เห็นได้ชัดเจนบนหัวที่เต็มไปด้วยขนของเสือดำ.. อย่างไรก็ตามความเร็วของเสือดำไม่ได้ช้าลงเลย ด้วยความเร็วเท่าเดิมมันพุ่งไปยังเด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหน้าของมัน
มุมปากของเด็กนั้นโค้งขึ้นด้านบนราวกับเผยให้เห็นถึงการล้อเลียน ดวงตาของเขาเผยให้เห็นเจตนาฆ่า กระบี่ในมือขวาของเขาแทงเข้าหาเสือดำอีกครั้งทันที
ความเร็วนี้เร็วขึ้นกว่าเดิมจนเกือบจะนึกไม่ถึง เสือดำไม่สามารถที่จะหลบกระบี่ในครั้งนี้และกระบี่ได้แทงผ่านลำคอของมันก่อนที่มันจะได้โต้ตอบ เนื่องจากแรงปะทะของเสือดำ กระบี่ในลำคอจึงแทรกลึกยิ่งขึ้น กระบี่หยุดหลังจากที่มันถูกฝังอยู่ในลำคอของเสือดำจนสุดด้าม อีกด้านหนึ่งของกระบี่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดขณะที่มันทะลุผ่านคอของเสือดำ เลือดเริ่มหยดลงจากกระบี่ที่เอียงไปทางด้านหลังของเสือดำ
เด็กหนุ่มดึงกระบี่ของเขาออกมาจากจากเสือดำอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นเลือดบนกระบี่ก็เริ่มรวมตัวกันที่ปลายกระบี่แล้วหยดลงบนพื้น ในชั่วพริบตา กระบี่ที่เต็มไปด้วยเลือดก็ฟื้นคืนความสดใสดังเดิม
บนด้ามจับของกระบี่มีคำสองคำ – วายุโปรย
เด็กหนุ่มคนนี้คือเจี้ยนเฉินผู้ซึ่งกำลังผจญภัยอยู่รอบเทือกเขาสัตว์อสูรเพียงลำพัง โดยไม่รู้ตัวเขาพักอยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูรนาน 1 เดือนแล้ว ตลอดทั้งเดือนนี้เจี้ยนเฉินยังคงอยู่ในเขตรอบนอกของภูเขาไม่ได้เข้าไปลึกหรือไกลออกไป
ในช่วงเดือนนี้ เจี้ยนเฉินจะสำรวจรอบนอกของภูเขาในตอนกลางวันและฝึกฝนในตอนกลางคืน ในช่วงเวลานี้เขาได้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากตอนที่คฤหาสน์เจียงหยางซึ่งเขาจะต้องชะลอความเร็วการบ่มเพาะของเขาเพื่อให้สถานะของเขาจะได้ไม่โดดเด่นจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินจึงพุ่งสูงขึ้นในช่วงเดือนนี้ เขาได้ทะลวงผ่านจากเซียนขั้นสูงไปยังเซียนระดับสูง
ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นี้ เจี้ยนเฉินเปลี่ยนจากเซียนขั้นสูงไปเป็นเซียนระดับสูง ถ้าความเร็วนี้ถูกค้นพบโดยสาธารณชนแล้วมันจะส่งคลื่นกระทบขนาดใหญ่ไปทั่วทั้งทวีป นี่เป็นเพราะสำหรับบุคคลทั่วไปใด ๆ มันจะใช้เวลาสองหรือสามปีในการเปลี่ยนจากเซียนขั้นสูงสู่เซียนระดับสูง แม้แต่อัจฉริยะยังอาจต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี ดังนั้นความเร็วที่น่ากลัวของเจี้ยนเฉินนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน ขณะที่เขาไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนอื่น เขาได้สร้างสถิติใหม่ในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนหยวนแล้ว แต่นี่จะเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่จะถูกฝังลึกโดยที่ทุกคนไม่เคยรับทราบ
เนื่องจากเขาฝ่าฟันจนถึงเซียนระดับสูงความแข็งแกร่งของการต่อสู้ของเจี้ยนเฉินก็พุ่งสูงขึ้นเช่นกัน ในปัจจุบันเขาสามารถตามล่าสัตว์อสูรระดับ 2 ได้อย่างง่ายดาย
กระบี่วายุโปรยผ่าเสือดำก่อนที่แกนอสูรสีขาวที่มีเลือดติดอยู่จะถูกเจี้ยนเฉินนำออกมา
เจี้ยนเฉินใช้หญ้าหนึ่งกำมือเพื่อเช็ดแกนอสูรที่เปื้อนเลือดให้สะอาด แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่สนใจปริมาณเลือดที่เล็กน้อยก็ตาม
เจี้ยนเฉินมองไปที่แกนอสูรอันเดียวในมือของเขาแล้วยิ้มและบ่นกับตัวเองว่า โชคของข้าในวันนี้ไม่เลวเลยข้าได้รวบรวมแกนอสูรระดับ 2 ได้ 2 ชิ้นแล้ว
หลังจากหยิบแกนอสูรแล้ว เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจอะไรอีกต่อไปกับศพของเสือดำและออกจากพื้นที่ไป
เจี้ยนเฉินเดินป่าอย่างระมัดระวังภายในเทือกเขา ตอนนี้เขาเป็นเซียนระดับสูงจึงอาจกล่าวได้ว่าเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก อย่างไรก็ตามเขาอยู่ในเทือกเขาสัตว์อสูร ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาท เขารู้ชัดอย่างชัดเจนว่าในขณะที่ตำแหน่งของเขาอยู่ในเขตเชิงเขา เขาจะยังสามารถพบสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่าซึ่งมาจากส่วนลึกของภูเขา สัตว์อสูรที่เจี้ยนเฉินไม่สามารถรับมือได้
อาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันเจี้ยนเฉินตื่นตัวมาก มองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เขาจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะกับหนองน้ำที่ซ่อนอยู่เนื่องจากยากต่อการตรวจจับ จากที่ไกล ๆ ที่ราบและหนองน้ำไม่สามารถแยกความแตกต่างได้จริง ๆ แต่ช่วงเวลาที่คนเดินข้ามหนองน้ำพวกเขาจะถูกกลืนกินไปและจะไม่สามารถหลบหนีได้หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากบุคคลอื่น
ณ เวลานี้หูของเจี้ยนเฉินก็กระดิก เขาเริ่มตะโกนด้วยรอยยิ้มน้อยรอยยิ้มใหญ่ น้ำ ข้าได้ยินเสียงน้ำ! แถวนี้มีน้ำ เจี้ยนเฉินมุ่งหน้าไปยังทิศทางของน้ำทันทีด้วยความเร็วที่ยอดเยี่ยม
หลังจากนั้นไม่นานเจี้ยนเฉินเดินผ่านวัชพืชสูงและในที่สุดก็มาถึงลำธารเล็ก ๆ ลำธารนี้กว้างเพียง 3 เมตรและไม่ลึกเกินไป นอกจากนั้นน้ำก็ยังใสจนเห็นหินที่อยู่ด้านล่างของลำธารได้อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นสำธารสายนี้เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างมีความสุข นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอแหล่งน้ำตั้งแต่เข้าสู่เทือกเขาสัตว์อสูร และตลอดเวลาที่เขาใช้เวลาอยู่ที่นี่ น้ำสะอาดที่เขามีในเข็มชัดมิติของเขาเกือบจะหมดไปแล้ว หากเขาไม่พบแหล่งน้ำในไม่ช้าเขาก็คิดจะออกจากป่า
เมื่อมองไปรอบ ๆ สถานที่ เขาตรวจสอบมันเพื่อให้แน่ใจว่าปลอดภัย ก่อนที่จะดึงกระบอกน้ำออกมาสองสามกระบอกจากภายในเข็มขัดมิติของเขาก่อนที่จะคุกเข่าลงเพื่อเติมน้ำให้เต็ม
หลังจากเติมน้ำไปสองสามกระบอก เจี้ยนเฉินก็ถอดเสื้อผ้าของเขาออกแล้วกระโดดลงไปในลำธารเพื่อล้างเหงื่อที่เขาสร้างขึ้นมาบนร่างกายของเขา
ไม่กี่วินาทีหลังจากที่เจี้ยนเฉินเริ่มอาบน้ำ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นจากการผ่อนคลายไปเป็นการการเตรียมพร้อมในการต่อสู้ในทันที กระโดดขึ้นจากน้ำไปในอากาศทันที กระบี่วายุโปรยของเขาปรากฏในมือขวาของเขาและแทงลงไปในน้ำ
ตอนที่ 87 – การเอาชีวิตรอดในเทือกเขา
เจี้ยนเฉินมองไปที่แกนอสูรแทบจะอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แต่ มันเป็นสัตว์อสูรระดับ 2 จริง ๆ ถ้าดูจากความบริสุทธิ์ของพลังงานภายใน ! ไม่เพียงเท่านั้น แกนอสูรระดับ 2 นี้ดีกว่าที่พบในสำนักคากัตมาก เป็นความจริงที่ว่าสัตว์อสูรในเทือกเขาสัตว์อสูรนั้นแข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรในสำนักคากัต
หลังจากรวบรวมแกนอสูร เจี้ยนเฉินก็ก้มศีรษะลงมองดูร่างของเขาซึ่งตอนนี้เป็นเงาสีเขียวเข้ม อย่างไรก็ตามร่างกายของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บเลย เนื่องจากเขาได้ปรับสภาพร่างกายของเขาตั้งแต่ยังเด็กด้วยเคล็ดลับพิเศษจากบัญญัติกระบี่นภา ร่างกายของเขาจึงแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแม้ว่าพิษจะทำให้ร่างกายของเขารู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่สามารถผ่านผิวหนังของเขาและเข้าสู่ร่างกายของเขาได้ ความเสียหายส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขด้วยพลังเซียนของเขา ดังนั้นในขณะที่ร่างกายของเขาทั้งหมดถูกปนเปื้อนด้วยพิษสีเขียวอาการเดียวที่เขารู้สึกคือความรู้สึกแสบร้อนเล็กน้อย
เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ตัวเขาและฟังอย่างตั้งใจ อาจจะไม่มีแหล่งน้ำที่นี่ ดังนั้นข้าจะไม่สามารถล้างสิ่งนี้ออกได้ ข้าเดาว่าข้าจะต้องจัดการกับเรื่องนี้อย่างคร่าว ๆ เด็ดใบไม้ออกมาสองสามใบ เขาเริ่มกำจัดพิษส่วนเกินในขณะที่หยิบเอาเสื้อผ้าใหม่ออกมาจากในเข็มขัดมิติของเขา แม้ว่าสถานที่นี้จะมีขนาดใหญ่มากและไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เจี้ยนเฉินก็ไม่มีงานอดิเรกในการเดินเปลือยกาย
หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา เจี้ยนเฉินก็เดินออกไปจากซากของแมงป่องที่วางอยู่โดยไม่สนใจเลย แม้ว่าสัตว์อสูรจะมีส่วนสำคัญหลายอย่างที่สามารถเก็บเกี่ยวและขายได้ในราคาสูง แต่แมงป่องนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับ 2 ถ้าเขาจะขายสิ่งนี้เขาจะไม่ได้รับเงินมากนักเพราะมันไม่ใช่วัสดุที่มีค่าบวกกับเจี้ยนเฉินมีเหรียญม่วงมากมายเหลือเฟือ ดังนั้นวันนี้เขาจึงไม่สนใจเงินจำนวนเล็กน้อย
ในขณะที่สัตว์อสูรที่เกิดและเติบโตในเทือกเขาสัตว์อสูรมีพลังมากกว่าสัตว์อสูรในป่าของสำนักคากัต พวกมันหายากกว่าสัตว์อสูรในสำนักคากัต อย่าลืมว่าในขณะที่เทือกเขาสัตว์อสูรอาจจะไม่ใหญ่ที่สุดในทวีปเทียนหยวน แต่ก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง สัตว์อสูรในเทือกเขาล้วนกระจัดกระจาย ดังนั้นการพบสัตว์อสูรนั้นมิใช่เป็นไปไม่ได้ แต่ค่อนข้างหายาก
ตลอดทั้งวัน เจี้ยนเฉินค่อย ๆ เดินลึกเข้าไปในภูเขา เมื่อถึงเวลากลางคืนเขาเห็นสัตว์อสูรเพียงสองตัวเท่านั้นยกเว้นแมงป่องพิษระดับ 2 ก่อนหน้า ทั้งสองเป็นสัตว์อสูรระดับ 1
ดวงจันทร์กำลังลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าและทำให้แผ่นดินสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เข้าไปในป่าที่ความมืดครอบงำ ดังนั้นไม่มีใครที่จะสามารถมองเห็นนิ้วมือของพวกเขา หากพวกเขาเหยียดมือออกไปด้านหน้าใบหน้าของพวกเขา ด้วยใบไม้ที่ปกคลุมป่าจำนวนมาก แสงจาง ๆ จากดวงจันทร์จะไม่สามารถทะลุผ่านลงไปยังพื้นดินด้านล่าง
ในขณะเดียวกันบนพื้นราบกองไฟขนาดใหญ่ก็ปะทุขึ้นมาเหมือนมีชีวิตและลุกขึ้นในยามค่ำคืนด้วยเปลวไฟที่โบกสะบัด
เจี้ยนเฉินคุกเข่าอยู่ข้างกองไฟพร้อมด้วยไม้ในมือของเขา ขณะที่เขาค่อย ๆ ย่างเนื้อชิ้นหนึ่งที่เสียบด้วยกิ่งไม้ อย่างช้า ๆ เนื้อสัตว์เริ่มมีสีทองไหลเยิ้มเมื่อไขมันเริ่มไหลช้าลงบนกองไฟด้านล่างที่ส่งความร้อนออกมา
เจี้ยนเฉินดึงเอาสมุนไพรที่มีกลิ่นเฉพาะตัวออกมาจากแหวนมิติของเขาแล้วโรยลงไปรอบ ๆ สมุนไพรนี้เป็นหนึ่งในสองสามสิ่งที่ทหารรับจ้างทุกคนจะต้องเตรียม ก่อนพักถ้าใครจะโรยสมุนไพรนี้ไปรอบ ๆ ตัวเขา มันจะสามารถขับไล่สิ่งมีชีวิตที่เป็นพิษส่วนใหญ่ที่จะมาการรบกวนพวกเขา แน่นอนว่ายานี้มีประโยชน์สำหรับสัตว์ทั่วไปเท่านั้นและไม่มีผลต่อสัตว์อสูร
หลังจากใช้สมุนไพร เจี้ยนเฉินกระโดดขึ้นต้นไม้บริเวณใกล้เคียงทันที เจี้ยนเฉินนั่งขัดสมาธิบนกิ่งที่ค่อนข้างราบเรียบ แล้วหยิบเอาสมุนไพรที่มีกลิ่นหอมจาง ๆ ออกมาจากแหวนมิติของเขาและเริ่มโรยลงบนร่างกายของเขา สมุนไพรสีขาวนี้มีประสิทธิภาพมากในการยับยั้งปราณ, ป้องกันปราณของเขาไม่ให้รั่วไหลออกไปซึ่งอาจดึงดูดสัตว์ป่าชนิดใดก็ได้ในขณะที่เขาหลับตอนกลางคืน อย่าลืมว่าทั้งสัตว์ป่าและสัตว์อสูรในเทือกเขาแห่งนี้มีประสาทสัมผัสที่เฉียบคมมาก แม้ว่าผงนี้จะไม่สามารถซ่อนปราณของเจี้ยนเฉินได้อย่างสมบูรณ์แต่อย่างน้อยก็สามารถปกปิดจากประสาทสัมผัสของสัตว์ทั่วไป
เทือกเขามีสัตว์อสูรมากมายเช่นเดียวกับสัตว์ป่า สาเหตุที่สัตว์ป่าถูกเรียกเช่นนั้นก็เพราะพวกมันไม่มีแก่นสัตว์อสูรในร่างกาย สัตว์ป่าก็ไม่แข็งแกร่งเหมือนสัตว์อสูรระดับ 1 เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ยังไม่ได้สร้างอาวุธเซียนของพวกเขา
แม้ว่าสัตว์ป่าจะไม่แข็งแกร่งและใครก็ตามที่กล้าที่จะเข้าสู่เทือกเขาสัตว์อสูรจะสามารถฆ่าพวกมันได้อย่างง่ายดายเมื่อมันมาถึง การบ่มเพาะหรือนอนหลับในเวลากลางคืนก็ไม่มีใครอยากจะถูกรบกวนโดยสัตว์ป่า ดังนั้นทหารรับจ้างทุกคนที่เข้ามาฝึกฝนในภูเขาหรือนอนกลางแจ้งในชั่วข้ามคืน จะนำสมุนไพรชนิดนี้มาในปริมาณที่เหมาะสม
หลังจากการเตรียมการด้านความปลอดภัยเสร็จสมบูรณ์ เจี้ยนเฉินหยิบแกนอสูรขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งออกมาและวางเรียงระหว่างมือทั้งสองของเขา เจี้ยนเฉินหลับตาลงอย่างช้า ๆ และเริ่มดูดซับพลังงานจากแกนอสูร
พลังงานจากแกนอสูรเริ่มไหลออกมาด้วยความเร็วที่น่าตกใจเป็นอย่างมากต่อเจี้ยนเฉินก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางรูขุมขนและรูจมูกของเขาอย่างบ้าคลั่ง อัตราการดูดซับเช่นนี้เป็นภาระของเจี้ยนเฉินเล็กน้อยทำให้รูขุมขนรู้สึกปวดเล็กน้อยจากการขยายตัว ทั่วทั้งร่างกายของเขาไม่มีพื้นที่ที่ไม่เจ็บ
แม้ว่ามันจะรู้สึกเจ็บปวดนิดหน่อย แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับเจี้ยนเฉินผู้มีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะไปนึกถึงมันมาก
พลังงานของแกนอสูรมีองค์ประกอบที่บ้าคลั่ง ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเจี้ยนเฉินใช้พลังงานโลกเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างกายของเขาตั้งแต่เขายังเด็กซึ่งหมายความว่าอวัยวะภายในของเขาและปัจจัยพื้นฐานของเขาถูกทำให้แข็งแกร่งกว่าคนอื่น ๆ เขาจะได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรงโดยองค์ประกอบที่บรรจุอยู่ภายในพลังงานของแกนอสูร โดยไม่ต้องสนใจกับความจริงที่ว่าเขาดูดซับพลังงานเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากการดูดซับพลังงานจำนวนมาก องค์ประกอบที่บ้าคลั่งก็สะสมอยู่ในร่างกายของเจี้ยนเฉิน เมื่อองค์ประกอบที่บ้าคลั่งมาถึงจุดหนึ่ง พลังดูดซับขนาดใหญ่ก็เริ่มพุ่งออกมาจากจุดตันเถียนของเจี้ยนเฉิน ชักนำองค์ประกอบเหล่านี้ไปยังจุดตันเถียนอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะถูกดูดกลืนด้วยแสงสีฟ้าและสีม่วง
ในทวีปเทียนหยวนหากผู้ฝึกตนต้องการพึ่งพาแกนอสูรเพื่อฝึกฝน พวกเขาจะต้องกำจัดองค์ประกอบที่บ้าคลั่งภายในพลังงานและดูดซับพลังงานบริสุทธิ์ที่เหลืออยู่ เพียงแค่ลบองค์ประกอบนั้นออกจากพลังงานจะใช้เวลานานและถึงกระนั้นองค์ประกอบที่บ้าคลั่งก็จะไม่ถูกลบออกไปอย่างสมบูรณ์และจะทิ้งสิ่งที่เป็นอันตรายไว้ภายในร่างกาย ดังนั้นในขณะที่มีคนจำนวนมากที่พึ่งพาการใช้แกนอสูรเพื่อฝึกฝน แต่หลายคนก็ยังคงเดินหน้าต่อไปไม่ได้ บ่อยครั้งที่แต่ละคนจะต้องหยุดใช้แกนอสูรและปรับแต่งพลังงานที่ดูดซับไว้ให้สมบูรณ์เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบด้านลบใด ๆ
แม้ว่าจะมีเจี้ยนเฉินเขาสามารถดูดซับและปรับแต่งการใช้พลังงานจากแกนอสูรโดยไม่ต้องกลัวผลที่ตามมาซึ่งอาจจะเป็นเพราะจุดเรืองแสงภายในจุดตันเถียนของเขา ขณะที่พลังงานเข้าสู่ร่างกายของเขา องค์ประกอบที่บ้าคลั่งจะถูกดูดซับโดยพวกมันทันทีอนุญาตให้เจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานจากแกนอสูรโดยไม่ต้องกลัว นี่คือเหตุผลที่เจี้ยนเฉินได้เปรียบกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น ๆ
ตามการดูดซับอย่างมั่นคงของแกนอสูร เจี้ยนเฉินสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังเซียนเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในจุดตันเถียนของเขา แม้ว่ามันอาจจะดูเชื่องช้าเมื่อมองด้วยตาเปล่า เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าความเร็วนี้เมื่อเทียบกับคนอื่นนั้นเร็วมาก ด้วยอัตรานี้มันจะไม่นานจนกว่าเขาจะทะลวงให้เป็นเซียนระดับสูง
ในวันที่สองเมื่อแสงอาทิตย์ส่องผ่านรอยแยกเล็ก ๆ ระหว่างใบไม้ที่หนาแน่น เจี้ยนเฉินซึ่งนั่งขัดสมาธิและบ่มเพาะค่อย ๆ ลืมตาของเขา จากนั้นเขาก็พลิกตัวขึ้นไปในอากาศกระโดดลงมาจากต้นไม้ร่อนลงบนพื้นด้านล่างอย่างราบรื่น
เจี้ยนเฉินเหยียดร่างกายของเขาสักเล็กน้อย หลังจากรู้สึกถึงพลังเซียนของเขา เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้ม เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังเซียนในปัจจุบันของเขามีพลังมากกว่าตอนที่เขาหลอมรวมอาวุธเซียนของเขาเป็นครั้งแรก จากการคำนวณของเขาความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขามีแนวโน้มมากที่สุดที่ระดับเซียนขั้นกลาง
แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เซียนขั้นกลาง แต่มันก็ใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งเดือนนับตั้งแต่เจี้ยนเฉินได้หลอมรวมอาวุธของเขาเป็นครั้งแรกและทะลวงสู่ระดับเซียน หากใครอื่นได้ยินว่าเจี้ยนเฉินสามารถกลายเป็นเซียนขั้นกลางได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้นพวกเขาจะพบว่ามันยากที่จะเชื่อ
หลังจากกินอาหารเพื่อเติมเต็มท้องของเขา เจี้ยนเฉินยังคงเดินทางต่อไปอีกครั้ง
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในชั่วพริบตาหนึ่งเดือนผ่านไปแล้วที่เชิงเขาสัตว์อสูร เด็กหนุ่มสวมชุดหยาบ ๆ กำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรสีดำประเภทเสือดำที่มีความสูง 1 เมตรและยาว 3 เมตร
เด็กหนุ่มถือกระบี่สีเงินเรียวยาว เขาดูสูงและหลังเหยียดตรงดูมั่นคงเหมือนภูเขา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยสีสันสดใสด้วยโคลนและฝุ่นละอองทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นส่วนที่สำคัญที่ใบหน้าของเขา
สัตว์อสูรชนิดเสือดำจ้องมองไปที่เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามของมันด้วยแววตาที่ดุร้าย มันคำรามลึกและเริ่มหมอบตัวลง ขาหลังของมันแนบลงบนพื้นอย่างมั่นคงเตรียมที่จะโจมตีได้ทุกเวลา
ตอนที่ 86 – การล่าแมงป่องพิษ
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเคยฆ่าสัตว์อสูรระดับ 2 สองสามตัวมาก่อนที่สำนักคากัต แต่สัตว์ในเทือกเขาสัตว์อสูรนั้นอยู่ในระดับที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง สัตว์อสูรระดับ 2 ในสำนักคากัตเทียบไม่ได้กับสัตว์อสูรในภูเขานี้ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรที่เขาเจอนั้นเป็นสัตว์ที่มีอยู่ทั่วไปในเทือกเขาสัตว์อสูร
ขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังสับสน แมงป่องพิษไม่ได้ให้เวลาเขาที่จะผ่อนคลาย ขาหกขาที่ทรงพลังเริ่มที่จะวิ่งไปรอบๆ ชั่วพริบตามันครอบคลุมหลายสิบเมตรและมาถึงด้านหน้าของเฉินเฉิน และชูก้ามที่มีพิษสีเขียวอย่างน่ากลัวหันไปทางหัวของเจี้ยนเฉิน
เมื่อพบกับสัตว์อสูรที่อยู่ทั่วไปในภูเขาเป็นครั้งแรกเจี้ยนเฉินไม่กล้าที่จะประมาท เขาได้เรียนรู้มาอย่างยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ความประมาทจะนำไปสู่ความหายนะ
สีหน้าของเจี้ยนเฉินพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขาเงยหัวขึ้นหลบแมงป่องยักษ์อย่างเฉียดฉิว หลังจากนั้นเขาก็รวบรวมกำลังไปที่เท้าของเขากระโดดขึ้นจากพื้น ทิ้งรอยเท้าลึกลงบนพื้นในขณะที่ร่างของเขาพุ่งไปข้างหน้าสู่หัวแมงป่องพิษที่มีขนาดเล็กกว่า กระบี่วายุโปรยในมือของเขาเปล่งประกายสีขาวสลัวอีกครั้งขณะที่เจี้ยนเฉินเล็งตรงไปที่ดวงตาเล็ก ๆ ของแมงป่อง
ดวงตา คอและหัวใจทั้งสามส่วนเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและอ่อนแอที่สุดของร่างกาย นั่นเป็นเรื่องที่เจี้ยนเฉินเข้าใจเป็นอย่างดี แต่แมงป่องพิษมีคอที่ไม่ง่ายที่จะแทงเนื่องจากมุมที่จำกัด ไม่เพียงแต่เป็นคอที่ค่อนข้างสั้น แต่ยังมีเกล็ดที่ทับซ้อนกันเพื่อป้องกันมัน ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินว่าเกล็ดที่ปกป้องคอนั้นแกร่งเพียงใด เจี้ยนเฉิน จึงตัดสินใจโจมตีดวงตาของมัน
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะมีความมั่นใจในการแทงที่แม่นยำและทรงพลังของเขา แต่การป้องกันของสัตว์อสูรบางตัวก็แข็งแกร่งเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่แน่ใจ 100% ว่าเขาจะสามารถเจาะผ่านเกล็ดและจัดการกับสัตว์อสูรที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
กระบี่ของเจี้ยนเฉินพุ่งไปยังแมงป่องด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้ กระบี่ของเขามาถึงดวงตาของแมงป่องแล้ว
เช่นเดียวกันกับที่ปราณกระบี่ได้เสริมกระบี่วายุโปรย ขณะที่เขากำลังจะเจาะดวงตาแมงป่องทันใดนั้นมันก็เปิดปากแล้วพ่นพิษสีเขียวที่มีกลิ่นฉุนออกมา ราวกับว่ามันถูกควบคุมโดยพลังลึกลับ มันบินไปหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันดวงตาของแมงป่องก็ปิดและหัวก็หลบไปทางด้านข้างเพื่อหลีกเลี่ยงกระบี่วายุโปรย
ความเร็วของกระบี่วายุโปรยนั้นไม่มีใครเทียบได้ และในช่วงเวลาสำคัญนี้ที่แมงป่องพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบหนี แมงป่องไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระบี่ได้อย่างสมบูรณ์ ในที่สุดกระบี่ก็เปิดเปลือกตาด้านนอกของแมงป่อง
ในขณะที่กระบี่วายุโปรยฟันเข้าที่เปลือกตาด้านนอกของแมงป่องและหยุดชะงักเมื่อพบกับการต้านทาน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ปราณกระบี่จำนวนมากรอบตัวกระบี่ได้ทำให้กระบี่ทะลุการป้องกันที่แข็งแกร่งของเปลือกตาและแทงทะลุเข้าไปในดวงตาของแมงป่องได้สำเร็จ
ในขณะเดียวกันร่างของเจี้ยนเฉินก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกพิษสีเขียว
ฟ่อ!
ขณะที่มันรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงในดวงตา แมงป่องปล่อยเสียงกรีดร้องแหบแห้ง ของเหลวสีเขียวเข้มเริ่มไหลออกมาจากดวงตาที่บาดเจ็บของมันและปากอันกว้างของมันก็อ้ากว้างเผยให้เห็นแถวฟันที่แหลมคมเหมือนเข็ม ลักษณะโดยรวมของมันช่างน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง
หมอกพิษลอยไปรอบ ๆ เจี้ยนเฉินที่ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหลบ หนีออกไปข้างนอกในสภาพที่ย่ำแย่ด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ตอนนี้ สภาพของเจี้ยนเฉินตรงกันข้ามกับสภาพก่อนหน้านั้นของเขาทั้งหมด ร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นพิษสีเขียวเข้ม เสื้อผ้าที่หยาบของเขาเริ่มสลายตัวในอัตราที่น่าตกใจ แม้กระทั่งผมสั้นของเขาก็เริ่มร่วงหล่นเหมือนเส้นสีเขียว
รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แผดเผาอยู่ทั่วร่างกาย ใบหน้าของเจี้ยนเฉินแข็งทื่อก่อนที่จะคำราม ช่างเป็นพิษที่แข็งแกร่งนัก ! เจี้ยนเฉินฉีกเสื้อผ้าที่ละลายด้วยพิษออกจากร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใช้ในพลังเซียนของเขาจะตอบโต้พิษที่สัมผัสกับผิวหนังของเขา
เจี้ยนเฉินสบตากับแมงป่องที่ยังคงร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่ เขารู้ในใจว่านี่เป็นเวลาที่เหมาะที่สุดในการฆ่าแมงป่อง ด้วยจิตสังหารที่วูบขึ้นมา เขาก็พุ่งเข้าหามันโดยไม่หยุดแม้แต่จะหยิบเสื้อผ้าออกมาจากแหวนมิติของเขา ทำให้เขาเปลือยกายล่อนจ้อนในขณะที่พุ่งเข้าหาแมงป่อง
การเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉินนั้นคล่องแคล่ว เขาก็พุ่งไปด้านข้างของแมงป่องพิษอย่างรวดเร็ว ด้วยการสั่นแขนของเขา เขาก็ยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า กวัดแกว่งกระบี่วายุโปรยในมือของเขาอย่างรวดเร็วจนดูเหมือนจะเป็นเพียงแสงสีเงิน มันพุ่งไปที่คอของแมงป่องและในทันใดนั้นใบมีดก็ระเบิดด้วยปราณกระบี่อันแหลมคม แม้ว่าดูเหมือนจะไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่ปราณกระบี่นั้นก็เหมือนกับคมกระบี่
เหมือนสายฟ้าที่ส่องแสงสว่างไปทั่วโลกในช่วงเวลาสั้น ๆ ด้วยแสงที่สว่างไสวและงดงาม มันก็หายไปทันทีโดยไม่มีร่องรอยหลังจากนั้นไม่นาน
ติ๊ง!
กระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินกระแทกคอแมงป่องพิษอย่างแม่นยำ เมื่อใบมีดสัมผัสกับเกล็ดที่หนาแน่นซึ่งปกคลุมคอของแมงป่อง เสียงที่ชัดเจนคล้ายกับเสียงโลหะกระทบกันก็ดังขึ้น อย่างไรก็ตามการป้องกันของเกล็ดนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง มันสามารถต้านทานกระบี่วายุโปรยได้เพียงชั่วครู่ก่อนที่คมกระบี่ของปราณกระบี่จะเจาะทะลุผ่านเข้าไปในลำคออย่างลึกล้ำ
ซี่!
แมงป่องพิษร้องอีกครั้งอย่างน่าเวทนา ดวงตาข้างที่สมบูรณ์ได้ทอประกายสีเขียวเข้ม ในขณะที่ก้ามยักษ์ได้แทงออกมาอย่างรุนแรงไปทางเจี้ยนเฉิน หางพิษยาว 5-6 เมตรด้านหลังพร่ามัวขณะที่มันลอยอยู่เหนือหัวของเจี้ยนเฉินและพยายามจะเจาะด้านหลังศีรษะของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินดึงกระบี่วายุโปรยที่ฝังอยู่ในลำคอของแมงป่องออกมา เท้าของเขาดันจากพื้นดิน ร่างของเขาพุ่งผ่านอากาศในขณะที่เขากระโดดขึ้นไปบนหลังของแมงป่อง
ฟ่อ! ฟ่อ!
แมงป่องพิษรู้สึกรำคาญเป็นอย่างมากจากการที่เจี้ยนเฉินกระโดดขึ้นไปด้านหลัง มันเริ่มสะบัดร่างกายอย่างรุนแรง ร้องอย่างไม่พอใจขณะที่ชูก้ามยักษ์ส่ายไปรอบ ๆ ไปในอากาศ
จากสถานะปัจจุบันของแมงป่อง ปรากฏว่าอาการบาดเจ็บที่คอที่เจี้ยนเฉินเพิ่มบาดแผลให้นั้นไม่ได้ทำร้ายมันมากนัก
เมื่อเห็นว่าแมงป่องยังคงดุร้ายเหมือนเดิม เจี้ยนเฉินขมวดคิ้ว เขาอดไม่ได้ที่จะพูดพึมพำว่า ความสามารถในการเอาตัวรอดนั้นยอดเยี่ยมเกินไปจริง ๆ คิดว่ามันยังไม่ตาย เนื่องจากร่างของแมงป่องนั้นใหญ่มาก เจี้ยนเฉินจึงได้ตระหนักอีกครั้งถึงความแข็งแกร่งของเขาที่มีอย่างจำกัด นอกเหนือจากการโจมตีบริเวณสำคัญทั้งสองของดวงตาและลำคอแล้ว เขาไม่สามารถหาวิธีอื่นที่จะทำร้ายแมงป่องได้
ในขณะนั้น เจี้ยนเฉินได้ยินเสียงอันแผ่วเบา เจี้ยนเฉินพุ่งไปทางด้านข้างโดยไม่ลังเล
ในขณะที่เจี้ยนเฉินหลบไปที่ด้านข้าง หางพิษสีเขียวเข้มที่เปล่งประกายลอยอยู่เหนือหัวของเขาและหลังจากนั้นก็เจาะทะลุหลังของตัวแมงป่องเอง
จะได้ยินเสียงเบา ๆ ในขณะที่ส่วนที่แข็งแรงของเปลือกนอกของมันถูกเจาะผ่านโดยหางพิษที่แหลมคมของตัวมันเอง ภายใต้ตะขอพิษที่แหลมคมของตัวมันเองเปลือกของมันไม่ได้มีความต้านทานแม้แต่น้อย มันถูกเจาะทะลุได้อย่างง่ายดาย ตะขอแหลมคมฝังลึกในร่างของแมงป่อง เลือดสีเขียวเข้มเริ่มไหลออกมาจากบาดแผล
เมื่อเห็นฉากนี้สีหน้าของเจี้ยนเฉินก็ว่างเปล่าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามทันทีหลังจากนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่แน่ใจว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาไม่เคยคิดเลยว่าแมงป่องพิษจะโง่พอที่จะทำร้ายตัวเองได้
แมงป่องดึงหางพิษออกมา แต่เนื่องจากมันถูกฝังอยู่ลึกเข้าไปในร่างกายของมัน การเคลื่อนไหวของมันจึงดึงเนื้อก้อนออกมาทันที แมงป่องรู้สึกเจ็บปวดอย่างมากจนร่างกายสั่นสะท้าน ความเจ็บปวดที่โหดร้ายนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะยกเลิกความคิดที่จะดึงหางออก
เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์หรือสัตว์ได้รับบาดเจ็บสาหัส จะมีช่วงเวลาที่ความแข็งแกร่งที่พวกเขาแสดงออกมารวมทั้งความเร็วในการตอบสนองของพวกเขาจะแย่ที่สุด
เจี้ยนเฉินเห็นสิ่งนี้และจับจังหวะที่สมบูรณ์ ร่างกายของเขาลอยขึ้นไปในอากาศในขณะที่เขากระโดดลงจากหลังแมงป่อง กระบี่วายุโปรยในมือของเขาส่องประกายแสงสีเงินและเจาะไปที่ดวงตาอีกข้างของแมงป่อง
เนื่องจากแมงป่องรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากหลัง ปฏิกิริยาของมันจึงช้าลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปกติ นอกจากนี้ใบมีดของเจี้ยนเฉินยังมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีที่เปรียบ ในสถานะปัจจุบันของแมงป่องมันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยงหรือทนต่อกระบี่อันรวดเร็วของเจี้ยนเฉิน
กระบี่วายุโปรยเจาะดวงตาอีกข้างของแมงป่องพิษอย่างแม่นยำโดยไม่มีการต่อต้าน
เจี้ยนเฉินมีสีหน้ายินดี เขาออกแรงบังคับกระบี่วายุโปรยในมือของเขามากขึ้นเพื่อให้เข้าลึกไปในดวงตาของแมงป่อง ในที่สุดหลังจากผลักเข้าไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของใบมีดเข้าไปในดวงตาของแมงป่อง ในที่สุดเขาก็สามารถทำร้ายสมองได้
คราวนี้แมงป่องพิษไม่ดิ้นรนอีกต่อไป ร่างกายของมันสั่นสะท้านสองสามครั้งก่อนที่มันจะร่วงลงพื้นเหมือนกับวุ้น ด้วยเสียงดังโครม ร่างสูง 1 เมตรตกลงมาที่พื้น
เจี้ยนเฉินดึงกระบี่วายุโปรยของเขาออกมาอย่างช้า ๆ คิ้วของเขาขมวดรวมกันเมื่อเห็นเลือดสีเขียวสดใสและของเหลวสีขาวของแมงป่องซึ่งปกคลุมกระบี่ที่มีค่าของเขา ด้วยความคิดแวบเดียว ของเหลวสีเขียวและสีขาวที่ปกคลุมกระบี่ของเขาไหลออกจากใบมีดและมันก็กลับคืนสู่ลักษณะเดิมทันที
เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ศพแมงป่องพิษสักพักหนึ่ง จากนั้นยกกระบี่วายุโปรยของเขาขึ้นเพื่อเจาะทะลุกะโหลก อย่างไรก็ตามกระบี่วายุโปรยเพิ่งผ่านเปลือกนอกของหัวก่อนจะถูกหยุดไว้ แม้ว่าแมงป่องพิษนั้นตายไปแล้ว การป้องกันของเปลือกนอกก็ยังคงแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะบุกทะลวงเกล็ดด้วยกระบี่ของเขาได้
เกล็ดแมงป่องนี่หนาจริง ๆ ! เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วและถอนหายใจ ลืมไปซะ ข้าอาจประหยัดพลังงานได้เช่นกัน สัตว์อสูรอาจมาที่นี่โดยบังเอิญ หากข้ารักษาความแข็งแกร่งเป็นพิเศษของข้าไว้ นั่นจะเป็นการป้องกันเพิ่มเติมสำหรับชีวิตของข้า ข้าจะดึงแกนอสูรนี้โดยผ่านดวงตาของมัน เมื่อพูดเช่นนี้เจี้ยนเฉินกลับมาดำเนินการต่อ ในที่สุดเขาก็สามารถดึงแกนอสูรที่เก็บอยู่ในกะโหลกศีรษะของแมงป่องได้
ตอนที่ 85 – เดินทางเข้าไปในเทือกเขาสัตว์อสูรเพียงลำพัง
หลังจากคุ้มกันกองคาราวานไปที่เมืองเวคเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจี้ยนเฉินก็ออกจากกองคาราวานและมุ่งหน้าตรงไปยังสมาคมทหารรับจ้างเพื่อแจ้งภารกิจที่เสร็จสมบูรณ์ ด้วยสิ่งนี้เขาสามารถได้รับชื่อเสียงและเงินจำนวนเล็กน้อย
เนื่องจากเมืองเวคนั้นอยู่ใกล้กับเทือกเขาสัตว์อสูร จำนวนทหารรับจ้างที่หยุดพักที่นี่จึงมากกว่าเมืองอื่น ๆ ทหารรับจ้างส่วนใหญ่มองเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่ดีที่นี่และมักจะอยู่ต่อในระยะยาว มันสะดวกมากในการเข้าสู่เทือกเขาสัตว์อสูรและล่าสัตว์อสูรเพื่อแลกกับเงิน
แม้ว่าปัจจัยที่เป็นอันตรายของการล่าสัตว์อสูรนั้นมีมากกว่าการคุ้มกันกองคาราวาน แต่มันก็เป็นงานที่ทำกำไรได้เป็นอย่างมาก มีคนหลายคนที่เสียชีวิตไปกับสัตว์อสูรทุกวัน แต่เนื่องจากแกนอสูรมีค่าสูงมากและเป็นที่ต้องการอย่างสูง ทหารรับจ้างหลายคนจึงเต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อหากำไรที่ได้จากการล่าสัตว์อสูร
อย่าลืมว่าแกนอสูรก็มีค่ามากเกินไปในทวีปเทียนหยวน เนื่องจากเกือบทุกคนต้องการพวกมัน จำนวนความต้องการจึงค่อนข้างมาก หลังจากได้รับแกนอสูร พวกเขาสามารถดูดซับพลังงานโดยตรงเพื่อเร่งอัตราการบ่มเพาะ นอกจากนี้แม้ว่าจะไม่ได้ใช้มันเป็นการส่วนตัว แต่ก็สามารถแลกเปลี่ยนแกนอสูรกับเงินจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย
สมาคมทหารรับจ้างมีเสียงที่ดังมากเนื่องจากมีทหารรับจ้างจำนวนมากอยู่ภายใน สมาคมที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้เต็มไปด้วยผู้คนหลายร้อยคน ผู้ชายส่วนใหญ่เปลือยอกและร่างกายที่แข็งแรงของพวกเขาสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากกล้ามเนื้อที่เปลือยเปล่าของพวกเขา ดูเหมือนว่าพวกเขาเปิดเผยร่างกายของพวกเขาเพื่อแสดงให้เห็นถึงพลังของพวกเขา
ภายใต้อุณหภูมิที่ร้อนจัดเช่นนี้รวมถึงระบบการระบายอากาศที่ไม่ดีภายในสมาคม กลิ่นเหงื่อจึงกระจายไปทั่วและลอยเข้าจมูก มันทำให้เจี้ยนเฉินที่ไม่ค่อยมีประสบการณ์กับกลิ่นแบบนี้มากนัก เขาขมวดคิ้วและใช้มือบีบจมูกเล็กน้อย
หลังจากออกจากสมาคมทหารรับจ้าง เจี้ยนเฉินเดินไปรอบ ๆ เมืองเพื่อเติมเสบียงของเขา เขาซื้อแผนที่ของเทือกเขาสัตว์อสูรแล้วมุ่งหน้าออกจากเมืองเวค ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา เขาจึงมุ่งไปข้างหน้าเพียงลำพังเพื่อไปยังเทือกเขาสัตว์อสูร
เทือกเขาสัตว์อสูรอยู่ห่างจากเมืองเวคเพียง 30 กิโลเมตร หลังจากขี่ม้าขึ้นไปที่ภูเขา ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็มาถึงรอบนอกของเทือกเขาสัตว์อสูรในสองชั่วโมงต่อมา
ป่าที่ทอดยาวไปตามขอบของเทือกเขาสัตว์อสูรและลึกเข้าไปในป่าเป็นเทือกเขาขนาดใหญ่ ภายในเทือกเขามีสัตว์อสูรจำนวนมาก มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย และเป็นไปตามรายละเอียดในแผนที่ของเทือกเขาสัตว์อสูรที่มีงูพิษจำนวนนับไม่ถ้วนและแมลงที่อยู่ในป่า ไม่เพียงแค่นั้นหนองน้ำยังสามารถพบได้ทั่วไปและถ้าคนไม่ระวัง พวกเขาก็จะจมลงไปในทีเดียว หากปราศจากความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทาง มันจะยากมากที่จะหลบหนีไปพร้อมกับชีวิตของพวกเขา
สุภาษิตเคยกล่าวไว้ว่าโชคลาภและอันตรายนั้นอยู่คู่กัน ดังนั้นในขณะที่เทือกเขาสัตว์อสูรมีอันตรายหลายอย่างในเวลาเดียวกันก็มีสมบัติที่สามารถพบได้ สัตว์อสูรมักต่อสู้กันเอง ดังนั้นเมื่อถึงแก่ความตาย แกนอสูรของพวกมันก็จะได้รับการเก็บรักษาไว้ หากโชคดีพวกเขาก็จะสามารถพบศพสัตว์อสูรสองสามตัวที่ยังคงมีแกนของพวกมันและรวบรวมพวกมัน แต่โอกาสในการเกิดขึ้นนั้นยังค่อนข้างต่ำ
สัตว์อสูรสามารถนำมาใช้ได้ด้วยเช่นกัน แต่สัตว์อสูรระดับต่ำสุดไม่รู้ว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างไร พวกมันใช้สัญชาตญาณเพียงอย่างเดียว
เจี้ยนเฉินนั่งบนหลังม้าโดยบ่ายหน้าไปทางป่าเขียวขจีตรงหน้าเขา ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ป่านี้จะเป็นพื้นที่ฝึกฝนของข้าซึ่งข้าจะได้รับประสบการณ์บางอย่าง จากนั้นเขาก็ลูบม้าอย่างเบามือโดยไม่สนใจว่าม้าที่ติดตามเขามานานหลายวันจะเข้าใจสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ เขาเอ่ยว่า ไปเลย ตอนนี้เจ้าเป็นอิสระแล้ว ไปทุกที่ที่เจ้าอยากไป หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินหันหลังกลับและมุ่งหน้าไปยังป่าด้านใน
ฮี้ !
ม้าข้างหลังเขากระทืบเท้าลงบนพื้นอย่างหนักแน่นขณะที่มองเจี้ยนเฉินเหมือนกำลังจะกล่าวคำอำลา
……
ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้ามาในป่าลึกโดยไม่มีการหยุดแวะ และเดินทางอย่างต่อเนื่องไปบนเส้นทางสู่เทือกเขาสัตว์อสูร
ป่ามีวัชพืชอยู่ทุกที่โดยมีความสูงเท่ากับความสูงของคนปกติซึ่งปิดบังทรรศวิสัยของเขาอย่างสมบูรณ์ ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ใคร ๆ ก็สามารถหลงทางได้ถ้าไม่ระวัง
ทุกสองสามก้าว เจี้ยนเฉินจะกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่เพื่อดูเส้นทางรอบ ๆ เขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่หลงทาง ทำให้เขารู้ตัวว่าเขาอยู่ที่ไหน บ่อยครั้งที่เขาจะพบงูที่ซ่อนอยู่ระหว่างใบหญ้า แต่ด้วย จิตวิญญาณ ของเขา เขาสามารถรับรู้ได้อย่างง่ายดายและรับมือกับงูพิษเมื่อใดก็ตามที่มันปรากฏ
หลังจากเดินทางเป็นเวลา 4 ชั่วโมงในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้าสู่ส่วนลึกของป่าซึ่งสัตว์ดุร้ายก็เริ่มปรากฏตัวขึ้นทีละน้อย
ทันใดนั้นร่างสีเขียวเข้มกระโจนออกมาจากวัชพืชและพยายามโจมตีเจี้ยนเฉินจากทางด้านหลังด้วยความเร็วสูง
ในขณะที่ร่างสีเขียวเข้มเข้าหาเจี้ยนเฉิน แสงสีขาวก็พลันสว่างวาบและกระบี่สีเงินก็ปรากฏขึ้นทันที มันเจาะเข้าไปในร่างที่ปกคลุมไปด้วยสีเขียวอย่างแม่นยำด้วยความรวดเร็วที่ไม่มีใครเทียบ
ไม่นานหลังจากที่กระบี่ปะทะกัน ร่างของเจี้ยนเฉินก็แกว่งไปมาและเขาขยับออกไปทางด้านข้างครึ่งเมตร ทันทีที่เขาขยับออกไป ก็ได้ยินเสียง ‘ปัง’ เบา ๆ เมื่อร่างเขียวเข้มหล่นลงมาตรงที่เจี้ยนเฉินยืนอยู่
ตอนนี้เขาสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าร่างสีเขียวเข้มนั้นเป็นสัตว์ที่ดูเหมือนเสือดาว คอของมันชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากบาดแผลลึกอย่างต่อเนื่อง
เจี้ยนเฉินกวาดตามองไปที่สัตว์ร้ายประเภทเสือดาวที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็ยังคงบุกเข้าไปในป่า เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าสัตว์นั้นเป็นเพียงสัตว์ป่า มันไม่ได้เป็นสัตว์อสูรระดับ 1 ไม่มีแกนอสูรที่สามารถดึงออกมาจากภายในร่างกายได้ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย
โฮก!
ฮูว์!
ขณะที่เจี้ยนเฉินเดินทางต่อไปในป่าลึกยิ่งขึ้น เสียงหอนของสัตว์อสูรค่อย ๆ ลอยมาในอากาศ มีเสียงร้องหลายประเภท บางคนไม่พอใจเพราะเมื่อพวกเขาฟังแล้วมันราวกับเสียงคร่ำครวญของวิญญาณร้ายที่ทำให้ทุกคนได้ยินมันรู้สึกหวาดกลัว
ในขณะนั้น เจี้ยนเฉินก็พลันหยุดในเส้นทางที่เขากำลังเดิน เขาหันหลังกลับและดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเคร่งเครียดเล็กน้อย ขณะที่จ้องมองไปที่ด้านข้างของเขา กระบี่วายุโปรยสีเงินปรากฏขึ้นในมือของเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินมีท่าทีจริงจังเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เขาเข้าป่ามา
เสียง ‘ซ่า ซ่า’ ดังแผ่ว ๆ ออกมาจากที่ที่เจี้ยนเฉินกำลังมองอยู่ หลังจากนั้นไม่นานแมงป่องสีเหลืองฝุ่นก็ปรากฏขึ้นอย่างช้า ๆ ภายในสายตาของเจี้ยนเฉิน
แมงป่องมีขนาดใหญ่มาก เฉพาะลำตัวกว้างประมาณ 1 เมตรและยาว 2 เมตร เหล็กในที่มีพิษแขวนอยู่ที่ปลายหางซึ่งมีความยาวอย่างน้อย 5-6 เมตร บนหัวของมัน มีหยกคู่หนึ่ง ดวงตาที่เป็นประกายเริ่มสั่นไหวด้วยแสงแปลก ๆ
แมงป่องมุ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉิน หลังจากห่างจากเจี้ยนเฉินเพียง 5 เมตรเท่านั้น มันหยุดยั้งการพุ่งมาหน้าของมัน ดวงตาที่สดใสของมันส่องประกายแวววาวแปลก ๆ ขณะที่จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินพร้อมกับมีเสียง ซี่ ซี่ ดังมาจากปากของมัน
กระบี่วายุโปรยสีเงินในมือของเจี้ยนเฉินถูกห่อหุ้มด้วยแสงสลัว ๆ ทันใดนั้นเขาก็โจมตีครั้งแรกและร่างของเขาพร่ามัวเมื่อเขาพุ่งไปทางแมงป่องพร้อมกับกระบี่ในมือของเขา
ความตั้งใจดั้งเดิมของเขาในการมาที่นี่ก็คือการฆ่าสัตว์อสูร ดังนั้นเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่หยุดยั้งหลังจากเผชิญหน้ากัน
ปฏิกิริยาของแมงป่องนั้นรวดเร็ว ทันทีที่เจี้ยนเฉินเริ่มขยับ เหล็กไนพิษที่ปลายหางพร่ามัวและพุ่งอย่างรวดเร็วไปที่เจี้ยนเฉิน
ติ๊ง!
กระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินพุ่งไปทางเหล็กในพิษของแมงป่องพร้อม ๆ กัน ในขณะที่ทั้งสองสัมผัสกันกลางอากาศ เสียงที่ชัดเจนซึ่งคล้ายกับโลหะปะทะกันดังขึ้น การปะทะกันสร้างคลื่นกระแทกอันทรงพลังซึ่งทำให้ทั้งกระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินและเหล็กไนของแมงป่องหดตัวถอยหลัง
เจี้ยนเฉินได้ถอยห่างไปเพียงไม่กี่เมตรด้วยร่างที่ส่ายเพียงเล็กน้อยของเขา เขามองดูเหล็กไนพิษของแมงป่องตัวใหญ่ด้วยความตกใจ ความแข็งของมันเกินความคาดหมายของเขา เจี้ยนเฉินคิดว่าถึงแม้เหล็กชนิดที่ยอดเยี่ยมก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับเหล็กไนแมงป่องนี้ ยิ่งกว่านั้นพลังที่บรรจุอยู่นั้นยิ่งใหญ่ หลังจากการปะทะเพียงครั้งเดียวแขนของเจี้ยนเฉินก็เริ่มรู้สึกด้านชา
แมงป่องที่อยู่ตรงหน้าข้าควรจะเป็นสัตว์อสูรระดับ 2 เจี้ยนเฉินพึมพำกับตัวเองในขณะที่จับจ้องที่แมงป่อง
ตอนที่ 84 – เมืองเวค
เมื่อเห็นทหารรับจ้างที่เหลือสองคนลงมือดังกล่าว ทุกคนในโรงเตี๊ยมต่างก็ตกใจ ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปตามที่คาดไว้ มีผู้คนมากมายในทวีปเทียนหยวน บางคนยอมเสียชีวิตมากกว่าที่จะก้มหัวและยอมรับความผิดพลาด คนอื่น ๆ ยึดติดกับชีวิตของพวกเขาและกลัวความตาย คนเหล่านี้จะขายพี่น้องของพวกเขาหรือแม้แต่เพื่อนของพวกเขา เมื่อชีวิตของพวกเขาถูกคุกคาม
เจี้ยนเฉินค่อย ๆ ลดกระบี่ลง ตอนนี้ปลายกระบี่ชี้ไปที่พื้นดิน เจี้ยนเฉินจ้องมองอย่างเฉยเมยไปยังทั้งสองคนที่ร้องขอชีวิตของพวกเขา เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วขณะที่เขาจ้องมองดูทั้งสองด้วยความดูถูก คนที่กลัวตายเช่นนี้ เขารังเกียจพวกเขา
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินลดกระบี่ลง ทหารรับจ้างสองคนคิดว่าเขาปล่อยพวกเขาไปและพวกเขายิ้มอย่างโล่งอก แต่ก่อนที่พวกเขาจะมีความสุขได้นานเกินไป วลีเดียวก็ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาแข็งค้าง
ข้าปล่อยให้เจ้าไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่มันเป็นความอัปยศที่เจ้าไม่รับมัน เวลาแห่งการให้อภัยสิ้นสุดลงแล้ว เสียงที่เย็นชาและไม่แยแสดังมาจากปากของเจี้ยนเฉิน ขณะที่เขาพูดจบมือขวาของเขาพุ่งออกมาเป็นท่าทางเหมือนเงาพร่ามัว พลันกวาดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วสูง กระบี่วายุโปรยเปลี่ยนเป็นเส้นสีเงินแทงไปที่คนสองคน
กระบี่วายุโปรยเคลื่อนที่เร็วมากจนคนสองคนไม่ได้มีโอกาสโต้ตอบ พวกเขาเจ็บปวดเล็กน้อยที่ลำคอของพวกเขา แผลขนาดเล็กสามารถมองเห็นได้และเลือดจำนวนมากเริ่มไหลออกมาจากคอที่แดงของพวกเขา
หากทหารรับจ้างสองคนต้องการที่จะต่อต้านในขณะที่เจี้ยนเฉินต้องการฆ่าพวกเขา เขาจะต้องใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย และพวกเขาอาจหนีจากเจี้ยนเฉินได้หากโชคดี น่าเสียดายที่พวกเขาถูกข่มขู่ด้วยพลังของเจี้ยนเฉินซึ่งแสดงให้เห็น เมื่อเขาฆ่าสหายทั้งสองของพวกเขาด้วยความเร็วสูง สิ่งนี้ทำให้ความคิดที่จะวิ่งหนีหรือต่อต้านหายไป ทำให้เจี้ยนเฉินง่ายต่อการฆ่าพวกเขา
หลังจากฆ่าคนทั้งสองได้อย่างง่ายดาย เจี้ยนเฉินหันกลับมามองทหารรับจ้างที่กำลังหวาดกลัวคนสุดท้าย เหมือนลำแสงที่ส่องแสง กระบี่วายุโปรยเชือดเข้าที่คอของเขาเช่นกัน
สมาชิกห้าคนของทหารรับจ้างทะเลทรายถูกสังหารโดยเจี้ยนเฉินภายในไม่กี่สิบลมหายใจ
เจี้ยนเฉินไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ต่อการเสียชีวิตของคนทั้งห้า เขาดึงเหรียญทองสองสามอันออกมาจากเข็มขัดมิติและวางไว้บนโต๊ะ เหรียญทองเหล่านี้สำหรับเจ้าในการทำความสะอาดสถานที่แห่งนี้ จากนั้นเจี้ยนเฉินก็ออกจากโรงเตี๊ยมโดยไม่รีบร้อน
ทวีปเทียนหยวนเป็นสถานที่ที่โหดร้ายที่มีข้อพิพาทและการฆาตกรรมอาละวาดอยู่ทั่วไป ดังนั้นการฆาตกรรมจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนคุ้นเคย แม้ว่าการฆาตกรรมเกิดขึ้นภายในโรงเตี๊ยม ลูกค้ารายอื่นก็ไม่สนใจ ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้มีส่วนร่วม พวกเขาก็จะถือว่ามันเป็นการแสดงที่ดีที่จะดูโดยไม่มีผลกระทบต่อความอยากอาหารของพวกเขา
ลูกค้ารายอื่นเฝ้าดูเจี้ยนเฉินออกจากโรงเตี๊ยมแล้วทั้งร้านก็คืนสู่ความเงียบ ณ จุดนี้ทุกคนได้ลืมเกี่ยวกับอาหารของพวกเขาและเพียงแค่จ้องอย่างว่างเปล่าไปที่เจี้ยนเฉินและจากนั้นก็กลับมาที่ห้าทหารรับจ้างที่ตาย พวกเขาไม่เชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมนี้
ชั่วครู่หนึ่งความเงียบแปลก ๆ ก็แทรกซึมเข้าไปในโรงเตี๊ยมก่อนที่จะได้ยินเสียงถอนหายใจดัง ๆ
ช่างเป็นกระบี่ที่รวดเร็ว พวกเขาไม่สามารถตอบสนองต่อมันได้ และเขาสามารถควบคุมได้แม่นยำอะไรเช่นนี้ ข้าเดินทางไปทั่วทวีปเทียนหยวนมาหลายปีแล้วข้าไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย ! ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีฟ้ากล่าว เขาเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถเห็นการเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉิน
ชายคนนั้นดูเหมือนจะยังเด็กแต่ก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง การเคลื่อนไหวของเขาก็ดุดันเช่นกันและการใช้กระบี่ในแต่ละครั้งก็เป็นเรื่องที่อันตรายถึงชีวิต หากเขาไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ เขาจะต้องมีปรมาจารย์ที่ยอดเยี่ยมคอยหนุนหลังเขา
ข้าไม่รู้ว่าชื่อของเขาคืออะไร แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขา มันคงจะดีถ้าเขาเข้าร่วมกลุ่มทหารรับจ้างของข้าได้ ถ้าเขาทำเช่นนั้นความแข็งแกร่งของกลุ่มข้าจะเพิ่มขึ้น ชายคนนั้นพูด
เด็กหนุ่มอีกคนพูดตอบเขาออกมาว่า อย่าแม้แต่จะฝันเลย เขาดูเด็กกว่าเจ้ามาก แต่เขาก็มีความแข็งแกร่งมากมาย คนประเภทนี้จะไม่มีภูมิหลังที่เรียบง่าย เราเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขนาดเล็กที่ไม่มีโอกาสดึงดูดผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว ไม่เพียงเท่านั้น เขายังฆ่าทหารรับจ้าง 5 คนจากทหารรับจ้างทะเลทราย กลุ่มของพวกเขาจะไม่ปล่อยความผิดนี้ให้ผ่านไป ดังนั้นแม้ว่าเราจะสามารถนำเขาเข้าสู่กลุ่มของเราในฐานะสมาชิกได้ มันก็เป็นไปได้มากที่เราจะดึงดูดปัญหาใหญ่เช่นกัน ท้ายที่สุด เรายังคงเป็นกลุ่มที่เล็กและอ่อนแอเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับทหารรับจ้างทะเลทรายผู้ที่แข็งแกร่งนับพันคน
……
หลังจากออกจากโรงเตี๊ยม เจี้ยนเฉินมาถึงสมาคมทหารรับจ้างเพื่อค้นหาภารกิจเพื่อปกป้องกองคาราวาน เนื่องจากพวกเขาทุกคนกำลังเดินทางไปยังเมืองที่อยู่ใกล้เคียงเจี้ยนเฉิน สามารถทำภารกิจเหล่านี้ได้แม้จะเป็นทหารรับจ้างระดับต่ำ
เมืองเวคเป็นเมืองชั้นสาม แต่ถ้ามีการจัดอันดับกำแพงเมือง มันก็ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับชั้นหนึ่ง นี่เป็นเพราะเทือกเขาใกล้เคียงนั้นเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย สัตว์อสูรเหล่านั้นมักจะโจมตีเมืองด้วยการจู่โจมจากด้านหน้า ดังนั้นในขณะที่เมืองเวคไม่ใหญ่มากและสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นแค่เมืองชั้นสาม พลเมืองได้สร้างกำแพงที่แข็งแกร่งและปลอดภัยเป็นพิเศษเพื่อปกป้องตัวเองจากสัตว์อสูร
ในช่วงบ่าย ดวงอาทิตย์ที่โหดร้ายเริ่มเปล่งแสงอันแข็งแกร่งและการส่องสว่างที่รุนแรงทำให้ทุกคนไม่สามารถเงยหัวขึ้นได้ ทหารรับจ้างหลายคนบนท้องถนนเริ่มหรี่ตาเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาของพวกเขาถูกทำร้ายจากรังสีของดวงอาทิตย์
นอกเมืองเวค กลุ่มคาราวานสองหรือสามร้อยคนเดินทางไปที่ประตูเมืองอย่างช้า ๆ
อากาศทำไมถึงร้อนนัก ? ผู้คนจะอยู่รอดในสภาพอากาศนี้ได้อย่างไร?
ภายในขบวนคาราวาน เด็กหนุ่มกำลังด่าเสียงดัง และคว้ากระติกน้ำของเขาดื่มอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่ไกลจากชายหนุ่มที่กระหายน้ำ เด็กหนุ่มที่มีเสื้อผ้าเรียบง่ายนั่งอยู่บนม้าขาวพร้อมกับใบหน้าที่ดูสงบราวกับกำลังนอนหลับอยู่
เด็กหนุ่มค่อนข้างดูธรรมดาและมีลักษณะที่เหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป จากรูปลักษณ์ของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะอายุประมาณยี่สิบปีหรือมากกว่านั้น
แม้จะเป็นความจริงที่ว่าดวงอาทิตย์ที่แผดเผาอยู่ในท้องฟ้าในขณะนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ถูกห่อด้วยเสื้อผ้าอย่างแน่นหนา เสื้อผ้าไม่ได้หนามาก แต่คนปกติยังคงไม่สามารถรับความร้อนในสถานะดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือไม่มีเหงื่อหยดลงมาจากหน้าผากของเด็กหนุ่ม
เมื่อเปรียบเทียบกับทหารรับจ้างและพ่อค้าในกองคาราวานที่มีเนื้อตัวเปล่า ๆ หรือมีเหงื่อออกมาก ๆ รูปร่างหน้าตาของเด็กคนนี้ดูแปลก แม้ว่าจะมีทหารรับจ้างและพ่อค้าเพียงไม่กี่คนที่ดูอย่างแปลกใจไปที่เขา แต่พวกเขาก็ไม่ได้พยายามคุยกับเขา
เด็กหนุ่มคนนี้คือเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินลืมตาของเขาอย่างช้า ๆ และมองกำแพงเมืองใหญ่ด้านหน้าเขาอย่างเฉยเมย ในช่วง 2 วันที่ผ่านมาบนถนน เขาได้ติดตามคาราวานและในที่สุดก็มาถึงเมืองเวค เจี้ยนเฉินเลือกเมืองเวคเป็นพิเศษเพราะเป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการพักอาศัย เขาวางแผนที่จะใช้ชีวิตในเมืองเวคเป็นระยะเวลาหนึ่ง ด้วยวิธีนี้เขาจะสามารถพัฒนาความแข็งแกร่งของเขาในระดับใหม่ทั้งหมดด้วยความช่วยเหลือของแกนอสูรจากเทือกเขาสัตว์อสูรที่อยู่ใกล้เคียง
ตอนที่ 83 – กลุ่มทหารรับจ้างทะเลทราย
เมื่อได้ยินคำพูดของกันฮ่าว ใบหน้าที่เรียบเฉยของเจี้ยนเฉินก็กลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร แม้ว่าเจี้ยนเฉินในปัจจุบันจะค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะถูกข่มขู่ได้ง่าย
เขาค่อย ๆ วางตะเกียบอย่างระมัดระวัง ริมฝีปากของเจี้ยนเฉินขยับช้า ๆ ในขณะที่เขาพูด ด้วยพลังเล็กน้อย ของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์ที่ให้ข้าย้ายจากโต๊ะนี้
กันฮ่าวดูตะลึงกับคำตอบนี้สักครู่ก่อนที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชาไปที่เจี้ยนเฉิน แววตาของเขาเปิดเผยเจตนาฆ่า ดูเหมือนว่าเจี้ยนเฉินจะไม่รู้ว่าความเมตตาคืออะไรที่มอบให้เขา กันฮ่าวจะไม่ว่าอะไรที่จะสอนบทเรียนให้กับเขา สำหรับกันฮ่าว รูปร่างหน้าตาที่อ่อนแอของเจี้ยนเฉินพร้อมด้วยอายุที่ยังน้อยทำให้เขาดูเหมือนคนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
เจ้าหนู เจ้าไม่รู้จักความเมตตาจริง ๆ เมื่อมันมอบให้เจ้า ทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้พี่ฮ่าวสอนบทเรียนให้แก่เจ้า ! อย่าลืมจดจำไว้ ! เขาพลันฟาดฝ่ามือออกมาในทันทีไปที่ใบหน้าของเจี้ยนเฉิน ฝ่ามือของเขาพุ่งไปอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะไปถึงปลายทาง ลมฝ่ามืออันรุนแรงก็พัดผ่านผมของเจี้ยนเฉิน นี่แสดงว่าฝ่ามือของกันฮ่าวไม่ได้ไร้ซึ่งความแข็งแกร่งเลย
ดวงตาของเจี้ยนเฉินทอประกายดุร้ายขณะที่มือขวาจับตะเกียบแล้วแทงเข้าไปในฝ่ามือที่เหยียดออกมาของกันฮ่าว
มือขวาของเจี้ยนเฉินขยับอย่างรวดเร็วจนไม่มีใครเห็นความเคลื่อนไหวของเขา ก่อนที่กันฮ่าวจะตอบสนองได้ มือขวาของเจี้ยนเฉินก็ได้สัมผัสกับฝ่ามือของกันฮ่าวแล้ว สิ่งที่ทุกคนเห็นก็คือตะเกียบของเจี้ยนเฉินแทงลึกผ่านฝ่ามือของกานห่าวได้อย่างง่ายดายราวกับว่ามันเป็นมีดโลหะร้อนตัดผ่านเนย
อ๊าก ! ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากฝ่ามือของเขาทำให้กันฮ่าวร้องอย่างเจ็บปวดขณะที่ยังจับมือข้างที่บาดเจ็บ เสียงกรีดร้องของเขาดังก้องไปทั่วโรงเตี๊ยม ทำให้ทุกคนได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจน
ทันทีหลังจากนั้นโรงเตี๊ยมก็เต็มไปด้วยความตกใจ สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างจากสิ่งที่พวกเขาคาดหวังไว้มาก ทำให้ทุกคนมองดูเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตามผู้ที่ฉลาดกว่านี้เล็กน้อยเห็นว่าเจี้ยนเฉินใช้ตะเกียบอันเดียวแทงผ่านมือของกันฮ่าว ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นด้านชา การมองไปยังเจี้ยนเฉินนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน พวกเขาจำนวนไม่น้อยตกตะลึงอย่างแท้จริง
หากต้องการใช้ตะเกียบไม้ที่บอบบางเพื่อแทงมือของใครบางคนนั้นต้องใช้ความแข็งแกร่งขนาดไหนกันในการทำเช่นนั้น? อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครในโรงเตี๊ยมที่สามารถทำได้
ทันทีหลังจากแทงกันฮ่าว ขาขวาของเจี้ยนเฉินก็พุ่งออกมาสัมผัสกับหน้าอกของกันฮ่าว การเตะส่งผลให้ร่างกายที่อ่อนแอของกันฮ่าวลอยออกไป 3 เมตรก่อนที่เขาจะชนเข้ากับโต๊ะและตกลงไปที่พื้นอย่างน่าเวทนา
ทหารรับจ้างที่นั่งอยู่ที่โต๊ะนั้นลุกออกจากพื้นที่อย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยว แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะดูไม่แก่ แต่ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาเช่นเดียวกับวิธีการที่ดุร้ายที่เขาจัดการกับสิ่งต่าง ๆ ทำให้ผู้คนจำนวนมากในโรงเตี๊ยมถูกข่มขวัญ หลังจากการแสดงนี้ทหารรับจ้างเพียงไม่กี่คนที่กำลังรับประทานอาหารที่โต๊ะนั้นโดยธรรมชาติไม่กล้าที่จะทำให้เจี้ยนเฉินโกรธเคืองด้วยเรื่องเล็กน้อย
เมื่อเห็นจุดจบของกันฮ่าว ทหารรับจ้างอีกสี่คนที่มาพร้อมกับกันฮ่าวก็มองดูด้วยความไม่เชื่อทันที แม้ว่าสีหน้าของพวกเขาจะฟื้นคืนกลับมาภายหลัง พวกเขามองดูเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยจิตสังหารที่เย็นชา
เมื่อคิดว่าเจ้ากำลังต่อสู้กับทหารรับจ้างทะเลทราย เจ้าต้องเหนื่อยต่อการมีชีวิต ชายหนุ่มคนหนึ่งตะโกนด้วยความโกรธ มีกระบี่ยักษ์ปรากฏขึ้นในมือของเขาและเขาก็พุ่งไปหาเจี้ยนเฉินในทันที
เจี้ยนเฉินแอบยิ้มเยาะอย่างเงียบ ๆ ในทันใดนั้นกระบี่สีขาวเงินที่มีคำว่า วายุโปรย สลักอยู่บนมือของเขาเอง
กระบี่วายุโปรยเป็นกระบี่ของเจี้ยนเฉินในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา ในช่วงเวลาที่เขาเป็นคนพเนจร กระบี่ของเขามีชื่อเสียงอย่างน่ากลัวที่นักสู้ทุกคนรู้จักกันดี และในโลกใบใหม่นี้ เขายังคงใช้กระบี่วายุโปรยเหมือนเดิม เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงกระบี่ของเขาอย่างลึกซึ้ง
เมื่อกระบี่วายุโปรยปรากฏขึ้นในมือของเจี้ยนเฉิน มันพลันเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีเงินทันทีภายใต้การควบคุมของเจี้ยนเฉินและบินไปที่ชายอีกคนด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง ก่อนที่กระบี่ของชายหนุ่มจะพุ่งมาได้ครึ่งทาง กระบี่ของเจี้ยนเฉินก็แทงเข้าที่คอของชายหนุ่มด้วยความเร็วเหมือนปีศาจ ปลายกระบี่หยุดลงในขณะที่สัมผัสกับผิวหนังชั้นนอกสุดที่คอทำให้เลือดบางหยดไหลลงอย่างช้า ๆ เพื่อให้ทุกคนเห็นอย่างชัดเจน
รู้สึกเจ็บเล็กน้อยจากลำคอของเขา สีหน้าของชายหนุ่มเริ่มซีดขาวอย่างทันทีทันใดโดยมีเลือดไหลออกมา เหงื่อเริ่มที่ครอบคลุมหน้าผากทั้งหมดของเขาในพริบตา เขาใช้ความพยายามอย่างมากในการประคองกระบี่ใหญ่ไว้ในมือของเขาที่ถูกตรึงอยู่กลางอากาศ ร่างกายของเขาถูกตรึงอยู่ในท่าที่มั่นคงเพราะเขาไม่กล้าขยับแม้แต่นิ้วเดียว รูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มดูราวกับว่ากำลังถูกแรงลึกลับทำให้เขาถูกตรึงอยู่กับที่
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครรู้ว่ากระบี่สีเงินปรากฏขึ้นที่คอของชายหนุ่มตั้งแต่เมื่อไร เสียงโห่ร้องรอบตัวพวกเขาจึงพลันเงียบลงอย่างประหลาด ดวงตาของทุกคนเบิกกว้างเมื่อมองไปที่เจี้ยนเฉินที่ใช้กระบี่วายุโปรยของเขา ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น
ในเรื่องที่ว่ากระบี่มาถึงคอของชายหนุ่ม มีเพียงสองหรือสามคนในโรงเตี๊ยมที่ได้เห็นกระบี่เดินทางผ่านอากาศ คนส่วนใหญ่ที่นั่นไม่สามารถเห็นประกายแสงสีเงินและเห็นเพียงปลายของใบมีดปรากฏขึ้นที่คอของชายหนุ่ม
ราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งเมื่อทุกคนกลั้นหายใจ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของทุกคนที่สูดลมหายใจอันหนาวเหน็บที่ทำลายความเงียบของโรงเตี๊ยม ในขณะนั้นทุกคนมองดูเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจ
สำหรับชายหนุ่มที่ถูกจ่อด้วยปลายแหลมของกระบี่ เขาไม่กล้าเคลื่อนไหว ความกลัวของเขาคือว่าถ้าเขาจะเคลื่อนไหว กระบี่ก็จะแทงเข้าไปในลำคอของเขา
พี่ชายโปรดยั้งมือของท่านด้วย เราเป็นส่วนหนึ่งของทหารรับจ้างทะเลทรายและนี่คือความผิดของเรา ข้าหวังว่าเจ้าจะปล่อยเพื่อนของเราไป ชายวัยกลางคนพูดด้วยความเหมาะสมและแสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจี้ยนเฉินก็หันไปมองทางชายวัยกลางคนที่พูด หลังจากลังเลครู่หนึ่งเขาก็ค่อย ๆ ลดกระบี่วายุโปรยในมือลงและพูดกับชายหนุุ่มว่า สวะ !
ได้ยินเจี้ยนเฉิน ชายหนุ่มที่จับตามองอยู่ที่คมกระบี่ที่่จ่อคอเขาด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นเวลาสั้น ๆ แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าเขาเพิ่งหนีเคราะห์กรรมมาได้ เขาไม่กล้าพูดอะไรสักคำเดียว
กระบี่วายุโปรยหายไปจากมือของเจี้ยนเฉินเมื่อเขาจ้องมองอย่างเย็นชาผ่านพวกเขาไป จากนั้นเขาก็ดึงเหรียญทองออกมาวางไว้ที่โต๊ะ เสี่ยวเอ้อ นี่สำหรับค่าอาหาร ! เขาพูดเรียบ ๆ ก่อนออกจากโรงเตี๊ยม
หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว เจี้ยนเฉินไม่ต้องการอยู่ที่นั่นอีกต่อไป เนื่องจากเขากินและดื่มไปแล้ว เขาจึงสบายใจ
หลังจากนั้น ชายหนุ่มที่เจี้ยนเฉินปล่อยตัวไป เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยเจตนาฆ่า มองดูสหายทั้งสามของเขาด้วยท่าทางที่รู้กัน พวกเขาทั้งหมดพยักหน้าในเวลาเดียวกัน ตามนี้พวกเขาทั้งสี่ทำตัวพร้อมเพรียงราวกับว่าพวกเขาเตรียมพร้อมมานานกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น พวกเขาเรียกอาวุธเซียนของพวกเขาและพุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉินทันทีจากตำแหน่งที่แตกต่างกันโดยมุ่งไปยังจุดสำคัญหลายจุดบนร่างของเจี้ยนเฉินในเวลาเดียวกัน
เมื่อได้ยินเสียงของการกระทำที่เกิดขึ้นข้างหลัง ดวงตาของเจี้ยนเฉินหรี่ลง เมื่อเขาเริ่มที่จะเผยจิตสังหารออกมาอย่างตั้งใจในดวงตาของเขา ขยับร่างกายของเขาเล็กน้อยพุ่งไปข้างหน้าประมาณ 2 เมตรด้วยความเร็วสูงเช่นเดียวกับอาวุธที่ฟันลงที่หลังของเขาเมื่อไม่นานมานี้ทำให้พวกเขาฟันพลาดไปอย่างหวุดหวิด ด้วยการใช้ทักษะที่แท้จริงเขาสามารถหลบหนีจากวงล้อมได้ ในขณะนั้นกระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินปรากฏขึ้นในมือขวาของเขาอีกครั้งเนื่องจากเจี้ยนเฉินหันกลับมาเผชิญหน้ากับชายทั้งสี่ในทันที เพียงก้าวเดียวเขาก็ลดระยะระหว่างตัวเขากับคนทั้งสี่ แขนขวาของเขาสั่นทันทีและกระบี่วายุโปรยของเขาก็แทงไปยังชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง
เหมือนสายฟ้าสีเงิน กระบี่วายุโปรยได้พุ่งไปที่ชายวัยกลางคนแล้วแทงเข้าที่คอของเขา
ชายวัยกลางคนนั้นไม่ได้อ่อนแอเลยและยังแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มคนแรก ในขณะที่เขาเห็นกระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินแทงเข้าหาเขา ใบหน้าของชายวัยกลางคนแข็งทื่อทันทีก่อนที่จะนำกระบี่ของเขากลับคืนมาว่าเขาได้ฟันออกไปด้านนอกเพื่อแทนที่มันอย่างปลอดภัยที่คอ
ติ๊ง!
เมื่อชายวัยกลางคนทำกระทำสิ่งนี้เสร็จ ปลายของกระบี่วายุโปรยก็แทงทะลุด้านข้างของกระบี่ทำให้เกิดเสียงโลหะดังขึ้น มีรอยตื้น ๆ ปรากฏขึ้นที่ด้านแบนของใบกระบี่
เมื่อเห็นว่ากระบี่ของเขาถูกสกัด เจี้ยนเฉินเย้ยหยันและดวงตาของเขาก็เปล่งประกายอีกครั้ง ในเวลาต่อมากระบี่วายุโปรยจะมีแสงสลัว ๆ ออกมาจากใบกระบี่ มันดูไม่แข็งแรง แต่จริง ๆ แล้วมันปกปิดความคมกล้าของมัน ไม่มีใครในโรงเตี๊ยมที่สามารถตรวจจับพลังที่ซ่อนอยู่นั้นได้และเมื่อเจี้ยนเฉินกระทืบเท้าพุ่งไปข้างหน้า เขาก็พลันบิดร่างกายของเขาขึ้นกลางอากาศเพื่อสร้างแกนหมุนแนวนอน กระบี่วายุโปรยของเขาเริ่มหมุนด้วยความเร็วสูงเช่นกันก่อนที่จะบินไปข้างหน้าด้วยปราณกระบี่ซึ่งเพิ่มพลังให้กับมัน
ฟิ้ว!
เสียงที่ไม่พึงประสงค์ดังก้องไปทั่วโรงเตี๊ยมในขณะที่กระบี่วายุโปรยด้วยความเร็วดุจสายฟ้า พลังทะลุทะลวงที่รุนแรงอย่างรุนแรงเจาะรูกว้างสองนิ้วผ่านกระบี่ของมนุษย์เหมือนมีดร้อน ๆ ตัดผ่านเนยทิ้งไว้ข้างหลังเป็นโพรงลึก เมื่อเข้าไปในโพรงและภายใต้สายตาที่ไม่เชื่อของชายวัยกลางคน กระบี่ของเจี้ยนเฉินเจาะทะลุลำคอของเขา
เจี้ยนเฉินลงน้ำหนักบนนิ้วเท้าอย่างสง่างามขณะดึงกระบี่ออกจากลำคอของชายวัยกลางคน โดยไม่มีการหยุดเขาพุ่งไปหาอีกสามคนก่อนที่พวกเขาจะสามารถตอบสนองได้และด้วยกระบี่เงินอีกอันหนึ่งของเขา เขาแทงที่ชายหนุ่มผู้ซึ่งทำร้ายเขาในตอนแรก
อ๊าก!
จากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วของกระบี่ของเจี้ยนเฉิน ชายหนุ่มคนแรกอ่อนแอเกินกว่าที่จะทำทุกอย่างเพื่อต่อต้าน ก่อนที่เขาจะสามารถตอบสนอง กระบี่วายุโปรยได้เจาะทะลุคอของเขาแล้วทำให้เลือดไหลทั่วทุกหนทุกแห่ง
ก่อนที่ทุกคนจะได้หายใจ เจี้ยนเฉินก็ฆ่าคนสองคนได้อย่างรวดเร็ว ความเร็วประเภทนี้ไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแน่นอนสำหรับทุกคนที่รับชม
แม้หลังจากที่ฆ่าคนสองคนแล้ว เจี้ยนเฉินก็ยังไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่เขาจ้องไปที่คนสองคนที่เหลือและกระบี่ของเขาก็พลันสั่นขึ้นอีกครั้ง แต่เมื่อเขาตั้งใจจะฆ่าคนทั้งสองอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาเก็บอาวุธของพวกเขาในทันที พวกเขาเริ่มคุกเข่าลงกับพื้นขณะร้องเสียงดัง ไว้ชีวิตพวกเราด้วย โอ้ ท่านนักกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ไว้ชีวิตพวกเราด้วย ! พวกเราขอร้องให้ท่านเมตตาไว้ชีวิตพวกเรา พวกเราจะไม่หันอาวุธของเราไปหาท่านอีกเลย !
ตอนที่ 82 – อุบัติเหตุที่โรงเตี๊ยม
เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิงเทียนกล่าวทหารรับจ้างในห้องต่างมองหน้าซึ่งกันและกันด้วยสายตาอันตื่นตะลึง ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเพิ่งได้ยิน
หลิงเทียนกล่าวต่อไปว่า หัวหน้าไป่เฟยหยุน ข้าเดาว่าเจ้าสงสัยว่าคนแปลกหน้าลึกลับและมู่หยุนกำลังทำงานร่วมกัน
ไป่เฟยหยุนพยักหน้า หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามู่หยุนได้เผยทักษะการต่อสู้ของเขาออกมาในเวลาเดียวกันกับที่คนแปลกหน้าลึกลับปรากฎตัวขึ้น ข้าคงไม่สามารถเชื่อมโยงมันเข้าด้วยกัน
‘คำพูดของเจ้ามีเหตุผล หลิงเทียนกล่าว ถ้าหากมู่หยุนทำงานร่วมกับคนแปลกหน้าลึกลับจริง ๆ เราคงไม่สามารถลงมือกับเขาได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นเราจะตกอยู่ในอันตรายอย่างร้ายแรง ถ้าหากเราต้องพบเจอกับคนแปลกหน้าลึกลับ
คนแปลกหน้าลึกลับคนนั้นจะสามารถกำจัดพวกเราได้อย่างง่ายดาย ไป่เฟยหยุนกล่าว
ออกคำสั่งห้ามไม่ให้ยุ่งกับมู่หยุนและทุกคนต้องแกล้งทำเป็นว่าพวกเขาไม่เห็นอะไรเลย
……
หลังจากที่เขากล่าวคำอำลากับมู่หยุน เจี้ยนเฉินก็ออกมาเดินเล่นที่เมืองวายุทมิฬ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่มันก็อยู่ใกล้กับป้อมปราการชายแดน ดังนั้นด้วยเหตุผลดังกล่าวทั้งสี่ทิศของเมืองจึงเต็มไปด้วยพ่อค้าและนักเดินทางที่คึกคักเช่นเดียวกับคาราวานที่มีทหารรับจ้าง
หลังจากมาถึงไม่ไกลจากสมาคมทหารรับจ้าง เจี้ยนเฉินเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเพราะมันเป็นเวลานานมากนับตั้งแต่เขาทานเนื้อครั้งสุดท้าย เขารีบเดินทางมาหลายวันจนเกือบลืมรสชาติของมันไปแล้ว
หลังจากรับประทานอาหารและดื่มด้วยความพอใจในหัวใจของเขาแล้ว เฉินเจียนก็ถูกพาไปที่ห้องของเขาโดยเสี่ยวเอ้อ
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนเตียงเพื่อหยิบแกนอสูรระดับ 1 ออกมาเพื่อฝึกฝน ตอนนี้เจี้ยนเฉินไม่ต้องการเสียเวลาและฝึกฝนอย่างช้า ๆ เขาต้องการที่จะใช้แกนอสูรทุกอันเพื่อช่วยให้เขาฝึกฝนเพื่อช่วยให้เขาเติบโตอย่างแข็งแกร่งแม้กระทั่งสำนักหัวหยุนก็ยังต้องกลัวเขา จากนั้นเขาก็สามารถกลับไปหาครอบครัวของเขาได้อย่างภาคภูมิ แม้ว่าเขาจะสามารถแอบกลับไปได้โดยที่สำนักหัวหยุนไม่ทันได้สังเกตเห็น แต่เจี้ยนเฉินก็มีภาคภูมิใจในตัวเองมาก ดังนั้นเขาจะไม่ทำสิ่งนี้
พลังงานภายในแกนอสูรถูกใช้ออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่ากลัวและถูกดูดซึมเข้าไปในทุกรูขุมขนในร่างของเขา อย่างไรก็ตามเฉินเจียนสามารถดูดซับได้เพียง 1% ของพลังงานในขณะที่อีก 99% ถูกดูดซึมเข้าสู่จุดตันเถียนของเขา จุดส่องสว่างทั้งสองภายในจุดตันเถียนของเขาเหมือนหลุมลึกที่ดูดซับพลังงานทั้งหมดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่เพียงครั้งเดียว
เมื่อมันมาถึงจุดตันเถียน เจี้ยนเฉินทำอะไรไม่ได้มากเพราะมันไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แม้ว่าจุดส่องสว่างทั้งสองในจุดตันเถียนของเขาใช้พลังงานทั้งหมด แต่สิ่งที่ทำให้เจี้ยนเฉินมีความสุขก็คือความเร็วในการดูดซับของเขานั้นเร็วกว่าเดิมมาก แม้แต่อัตราการบ่มเพาะของเขาก็เร็วขึ้นเล็กน้อยซึ่งทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ในช่วงเช้าของวันถัดไป แสงของดวงอาทิตย์ส่องลงมาที่พื้นขณะที่เจี้ยนเฉินตื่นขึ้นจากการบ่มเพาะของเขา แกนอสูรระดับ 1 ที่เขาถืออยู่ในมือของเขานั้นไร้พลังงานอย่างสมบูรณ์ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น อัตราการบริโภคนี้มากเกินไป ข้าใช้แกนอสูรระดับหนึ่ง 50 อันในคืนเดียว แม้ว่าข้าจะยังมีแกนอสูรเหลืออีกเล็กน้อยในเข็มขัดมิติ ข้าก็จะใช้มันหมดภายใน 10 วันด้วยอัตราความเร็วนี้
เจี้ยนเฉินลุกจากเตียงแล้วก็ขยับเท้า หลังจากนั้น เขาก็เดินไปที่หน้าต่างและมองออกไปที่ผู้คนที่เดินไปมาตามถนนสายหลัก เขาบ่นกับตัวเองว่า การบ่มเพาะไม่สามารถหยุดได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าข้าไม่มีแกนอสูรใด ๆ และพึ่งการดูดซับพลังงานโลก ความเร็วในการบ่มเพาะจะเท่ากับ 10% ของความเร็วปกติและผลลัพธ์ก็ไม่เป็นที่พึงประสงค์ ดูเหมือนว่าข้าจะต้องคิดหาวิธีที่จะเติมเต็มแกนอสูรของข้า
เจี้ยนเฉินเดินออกจากห้องไปที่ชั้นล่างของโรงเตี๊ยมเพื่อมองหาโต๊ะว่าง ๆ
ลูกค้า ท่านต้องการสั่งอะไร? เสี่ยวเอ้อต้อนรับอย่างจริงใจต่อเจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้มขณะที่เจี้ยนเฉินนั่งลงบนที่นั่งของเขา
พยัคฆ์บุปผาผัด 1 จานกับอาหารอย่างอื่น 2 อย่าง ข้าต้องการข้าวสวยอีก 1 ถ้วยด้วย เจี้ยนเฉินสั่งอาหารสองสามจาน
ขอรับ ลูกค้าโปรดรอสักครู่
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างเบื่อหน่ายมองดูรอบ ๆ ร้านอย่างผ่าน ๆ มันไม่ได้ใหญ่มากและภายในเมืองวายุทมิฬ มันอาจมีคุณสมบัติเป็นร้านขนาดกลางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เป็นเวลาอาหารเช้าและพ่อค้าและทหารรับจ้างจำนวนมากมารวมตัวกันภายในร้านเพื่อรับประทานอาหาร ส่วนใหญ่ของโต๊ะ 30-40 ตัวเต็มไปแล้ว; เหลือเพียง 5 ตัวที่ยังคงว่างอยู่
โรงเตี๊ยมเสียงดังมากเพราะมีทหารรับจ้างสองสามคนพูดกันเสียงดังโดยที่ไม่คำนึงถึงคนรอบข้าง
ลูกค้า อาหารของท่านมาแล้ว โดยใช้เวลาไม่มากนักสำหรับเจี้ยนเฉินที่รอเสี่ยวเอ้อนำอาหารมาให้อย่างรวดเร็วตามที่เจี้ยนเฉินสั่งและวางมันอย่างระมัดระวังบนโต๊ะของเขา
ในขณะที่เจี้ยนเฉินกินอาหารเช้า เขาก็ฟังเสียงซุบซิบนินทาจากทหารรับจ้างรอบ ๆ ถึงแม้ว่าโรงเตี๊ยมจะวุ่นวายมาก แต่ทหารรับจ้างที่มารวมตัวกันที่นี่ล้วนแต่เดินทางกันอย่างกว้างขวางและสามารถรับรู้เรื่องราวที่น่าสนใจที่เป็นปัจจุบันจากคำพูดของพวกเขา
ในขณะนี้ทหารรับจ้างบางคนเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยม มีทั้งหมด 5 คน มีสามคนที่ดูเหมือนเป็นชายหนุ่มอายุ 20-30 ปีในขณะที่อีกสองคนดูเหมือนชายวัยกลางคนอายุ 40 ปี พวกเขาสวมเสื้อคลุมสีฟ้าสีเดียวกันและมีสัญลักษณ์สีเงินเหมือนกันที่หน้าอก พวกเขาทั้งหมดมาจากกลุ่มทหารรับจ้างเดียวกันโดยตัดสินจากตราสัญลักษณ์ของพวกเขา และกลุ่มของพวกเขานั้นก็ไม่ได้อยู่ในระดับต่ำเช่นกัน
ทั้งห้าคนเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยกัน พวกเขาทุกคนมองไปรอบ ๆ เพื่อหาที่นั่งอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วนและโต๊ะภายในโรงเตี๊ยมทั้งหมดก็เต็มไปหมดแล้ว มันไม่มีที่ว่างเหลืออยู่
โชคร้ายอะไรเช่นนี้ หากคิดว่าไม่มีที่นั่งอีกต่อไป ชายหนุ่มร่างผอมเพรียวสวมเสื้อคลุมสีฟ้าครามสาปแช่ง
ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างหนึ่ง เขาจ้องมองไปที่โรงเตี๊ยม ในที่สุดมันก็หยุดที่โต๊ะของเจี้ยนเฉินครอบครองอยู่ในขณะนี้และเขาก็หัวเราะ กันฮ่าว ใครบอกว่าไม่มีโต๊ะอีกแล้ว ? ดูนั่นไม่ใช่โต๊ะว่างหรือ ? แม้ว่ามันจะค่อนข้างแออัด ถ้าเราทุกคนอัดเข้าไปในโต๊ะเดียว แต่มันก็มิใช่เป็นไม่ไปได้
นอกเหนือจากเจี้ยนเฉินยังมีคนไม่กี่คนที่ครอบครองโต๊ะด้วยตัวคนเดียว อย่างไรก็ตามกลุ่มคนดังกล่าวสามารถบอกได้ว่าคนอื่น ๆ ไม่ใช่คนที่พวกเขาสามารถต่อสู้ได้ มีเพียงเจี้ยนเฉินที่ไร้พลังอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นความสนใจของชายหนุ่มจึงพุ่งไปที่เจี้ยนเฉิน
สายตาของผู้คนทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่เจี้ยนเฉิน หลังจากสังเกตว่าอายุของเจี้ยนเฉินไม่น่าจะเกิน 20 ปีพวกเขายิ้มอย่างชั่วร้าย หลังจากนั้นทั้งห้าก็เดินเข้าไปด้วยกัน
เมื่อเขามาถึงด้านหน้าของเจี้ยนเฉิน ชายหนุ่มที่ชื่อว่า กันฮ่าว ตบเข้าที่ไหล่ของเจี้ยนเฉินและพูดด้วยรอยยิ้มที่ไปไม่ถึงตาว่า สหายน้อย ตอนนี้โต๊ะตัวนี้ตกเป็นของพวกเราแล้ว มันจะดีกว่าถ้าเจ้าสลับไปนั่งที่อื่น
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วของเขาแล้วเงยศีรษะ สายตาของเขากวาดไปทั่วทั้งห้าคน เมื่อจิตวิญญาณของเขาระบุว่าห้าคนนั้นไม่แข็งแกร่งจริง ๆ จิตใจของเขาสงบลงในทันทีและพูดว่า ข้าขอโทษ แต่ข้าก็ต้องการโต๊ะนี้เหมือนกัน เจี้ยนเฉินไม่กลัวผลที่จะตามมา แม้ว่าคนสองคนนั้นค่อนข้างชรา แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่สำคัญมากนัก
ท้ายที่สุดความแข็งแกร่งของพลังไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุเท่านั้น มีบางคนที่มีความสามารถโดดเด่นและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงสุดที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย ในทางกลับกันคนที่มีระดับปานกลางจำนวนมากบางคนจะใช้ชีวิตทั้งชีวิตของพวกเขาไม่สามารถหลอมรวมอาวุธวิญญาณและเอาชนะเกณฑ์ที่จะกลายเป็นเซียน
สีหน้าของกันฮ่าวขุ่นมัวและจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างเย็นชาในขณะที่เขาพูดว่า เจ้าเด็กเหลือขอ อย่าปฏิเสธสุรามงคลแต่จะดื่มสุราลงทัณฑ์* หากเจ้าฉลาดจงออกไปจากสายตาของข้าตอนนี้
*TL หมายเหตุ: อย่าลังเลทำอะไรจนกว่าจะถูกบังคับให้ทำ
แม้ว่าสถานการณ์ของเจี้ยนเฉินจะดึงดูดความสนใจของผู้อื่นในโรงเตี๊ยม แต่สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทวีปเทียนหยวนและไม่มีอะไรแปลกใหม่ ดังนั้นทุกคนเฝ้าดูสถานการณ์ลุกลามราวกับว่าดูการแสดงและไม่มีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือ
ตอนที่ 81 – ปรึกษาหารือ
หลังจากเก็บสินค้าแล้ว ทหารรับจ้างก็ออกไปเพื่อสนุกกับวันหยุด และพ่อค้าก็ไปจัดกำลังทหารใหม่ หลังจากใช้เวลาหลายวันหลายคืนในการเดินทางอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุด ทุกคนก็เหนื่อยล้า ดังนั้นช่วงเวลาที่พวกเขาได้หยุด พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังโรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุดทันทีและเริ่มพักผ่อน ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บก็มุ่งหน้าไปยังโรงหมอเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของพวกเขา
เจี้ยนเฉินผูกม้าของเขาไว้ที่บริเวณคอกม้าและมองไปรอบ ๆ เขาเห็นแค่คนเพียงคนเดียวที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา ๆ ยืนอยู่รอบ ๆ หลังจากกวาดสายตาแวบหนึ่ง เขาก็รีบเดินไปหาบุคคล ๆ นั้น
เมื่อมาถึงด้านหลังบุคคลนั้น เจี้ยนเฉินก็กระซิบว่า มู่หยุน ทักษะการต่อสู้ของเจ้าได้รู้กันไปทั่วในหมู่ทหารรับจ้างจำนวนมากแล้ว ฉวยโอกาสนี้ออกไปจากที่นี่เร็วเถอะ ไม่เช่นนั้นข้ากลัวว่าพวกเขาอาจพยายามทำอะไรบางอย่างกับเจ้า
เมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าว มู่หยุนส่ายหัวของเขาไปรอบ ๆ และยิ้มให้เขา อย่ากังวล หากพวกเขาต้องการเอาทักษะการต่อสู้ของข้า พวกเขาจะพบว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำ
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วขณะที่มองดูมู่หยุนอย่างระมัดระวัง ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอีก เขาหยุดคิดก่อนที่จะถามอีกครั้ง แต่ตอนนี้เราได้มาถึงอาณาจักรวายุครามแล้ว มันเกือบจะเป็นเวลาที่ข้าจะแยกจากกลุ่มทหารรับจ้าง จากถนนสายนี้ เราจะไม่เดินร่วมทางกันอีกต่อไป พี่มู่หยุนโปรดดูแลตัวเองด้วย เขาป้องมือคำนับด้วยความเคารพ แม้ว่ามู่หยุนและเขาเพิ่งจะพบกัน แต่พวกเขาก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน อีกทั้งมู่หยุนเปิดเผยความลับทักษะการต่อสู้ของเขาเพื่อช่วยเหลือเจี้ยนเฉิน ดังนั้นในใจของเขามู่หยุนจึงเป็นคนดี อย่างไรก็ตามนี่ไม่เพียงพอสำหรับเจี้ยนเฉินที่จะพิจารณาว่าเขาเป็นเพื่อนที่ดี
เจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย ! มู่หยุนคำนับเขาตอบเช่นกัน
สหายทั้งสองคนนี่กำลังเตรียมตัวจะจากไปแล้วใช่ไหม? ทุกคนเหนื่อยอ่อน ดังนั้นเราจึงเตรียมโรงเตี๊ยมติดอันดับยอดนิยมไว้ให้ทุกคนได้เพลิดเพลิน ควรดื่มกินกับทุกคนก่อนดีกว่าไหม ในขณะนั้นมีเสียงที่เปล่งออกมาพูดกับทั้งสองคน มู่หยุนและเจี้ยนเฉินหันไปมองชายชราที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
เมื่อเห็นชายคนนั้น เจี้ยนเฉินก็ตกตะลึงนิดหน่อย แต่เขาก็กลับสงบลงได้อย่างรวดเร็ว เขายกมือคำนับขึ้นอีกครั้งด้วยความเคารพเขากล่าวว่า คารวะหัวหน้าหลิงเทียน ! ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้คุ้นเคยกับกลุ่มทหารรับจ้างทั้งสาม ชายที่แข็งแกร่งที่สวมเสื้อคลุมสีดำคือหัวหน้าหลิงเทียนผู้เชี่ยวชาญที่บรรลุถึงระดับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ
เมื่อได้เห็นหัวหน้าหลิงเทียน มู่หยุนก็ป้องมือของเขาทำความเคารพ แม้จะมีการหัวเราะ แต่ก็ยังถือว่าเป็นการทักทายที่น่าเคารพ
สหายทั้งสองของข้า ข้าไม่รู้จะเรียกพวกเจ้าสองคนว่าอย่างไร แต่เมื่อพวกโจรไร้ขอบเขตโจมตีเรา พวกเราก็ได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมาก ต้องขอบคุณเจ้าสองคนที่ทำให้การบาดเจ็บล้มตายของเราไม่เลวร้ายลงไปอีก หลิงเทียนยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเมตตา
อันที่จริงข้ามีชื่อว่าเจี้ยนเฉิน หัวหน้าหลิงเทียนใจกว้างเกินไปแล้ว ในระหว่างการซุ่มโจมตีกับโจรไร้ขอบเขต ผู้ที่มีส่วนร่วมมากที่สุดคือหัวหน้าหลิงเทียนซึ่งเป็นผู้สังหารผู้เชี่ยวชาญหลายคน
ผู้ต่ำต้อยผู้นี้เรียกว่ามู่หยุน สิ่งที่น้องเจี้ยนเฉินพูดนั้นถูกต้อง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราประสบความสำเร็จในผลักดันโจรไร้ขอบเขต ก็คือหัวหน้าหลิงเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะหัวหน้าแล้ว ข้าก็กลัวว่าชีวิตของพวกเราจะถูกปลิดไปเสียแล้ว มู่หยุนหัวเราะ
เมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินและมู่หยุน ดวงตาของหลิงเทียนก็ทอประกายวูบหนึ่งก่อนที่เขาจะปกปิดมันไว้ สหายของข้า เจี้ยนเฉินและมู่หยุนนั้นสุภาพเกินไปแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์ของการซุ่มโจมตีจะเป็นอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอขอบคุณในฐานะหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างของข้า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ทุกคนต่างก็กังวลเกี่ยวกับโจรไร้ขอบเขตที่ตามเรามา ดังนั้นเราจึงใช้เวลาทั้งกลางวันและกลางคืนในการเดินทางให้มากที่สุด โดยไม่หลับไม่นอน เราสร้างภาระให้กับเจ้าทั้งสองคนจริง ๆ ข้าได้เตรียมงานฉลองที่ยิ่งใหญ่ไว้แล้ว คงจะดีถ้าเราได้ร่วมดื่มกินด้วยกันพร้อมด้วยรอยยิ้มที่สนุกสนาน หลังจากนั้น เราทุกคนสามารถพักผ่อนได้ดีในอีกสองสามวันและรักษาบาดแผลของเรา
เอาล่ะ หลังจากทานอาหารแห้งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ข้าเกือบลืมไปแล้วว่าเนื้อสัตว์มีรสชาติเป็นเยี่ยงไร ข้ากำลังจะเตรียมตัวเพื่อรับประทานอาหารมื้อใหญ่ แต่เนื่องจากหัวหน้าหลิงเทียนได้เตรียมงานฉลองไว้แล้วข้าจึงสามารถประหยัดเงินไว้ได้ มู่หยุนเห็นด้วยอย่างง่ายดาย หันหน้าไปทางเจี้ยนเฉินเขาพูดว่า น้องเจี้ยนเฉินมันคงจะดีที่สุดถ้าเราทั้งคู่ไป หลังจากกินอาหารแห้งในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เจ้าจะต้องป่วยเพราะมัน
เจี้ยนเฉินส่ายหัวเบา ๆ ข้าขอขอบคุณในความมีน้ำใจของท่านหลิงเทียนครั้งนี้ แต่ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำ ข้าจะต้องจากไปในทันทีและไม่สามารถไปกับทุกคนได้ ถ้าข้าทำผิดต่อหัวหน้าหลิงเทียน ข้าก็ขออภัย
หลิงเทียนดูเสียใจ แต่เขาก็ไม่ได้พยายามชักชวนเจี้ยนเฉินให้อยู่ต่อไป เขาป้องมือคำนับพร้อมกับพูดว่า ถ้าน้องเจี้ยนเฉินมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปทำละก็ ข้าก็จะไม่เหนี่ยวรั้งน้องชายไว้อีกต่อไป
หลังจากที่เจี้ยนเฉินกล่าวคำอำลากับหลิงเทียน เขาก็ออกจากพื้นที่ทันที ตอนนี้เขาแยกตัวออกจากกลุ่มทหารรับจ้าง เขาก็ไม่มีหน้าที่ใด ๆ อีกต่อไป หากเขาต้องการจากไป เขาสามารถจากไปโดยไม่ต้องแจ้งให้ใครทราบ
หลังจากเจี้ยนเฉินจากไปแล้ว หลิงเทียนที่สวมเสื้อคลุมสีดำและทหารรับจ้างอีกสองสามคนกำลังพูดคุยกันอย่างเงียบ ๆ ในห้องอาหาร
คาเลบ เจ้าแน่ใจว่าทหารรับจ้างคนที่ชื่อมู่หยุนมีทักษะการต่อสู้เช่นนั้นหรือ ? ชายชราคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีขาวติดที่กับหลิงเทียนถาม เขามีผมสีดำยาวที่ด้านหลังศีรษะของเขา ใบหน้าของเขาเป็นสีทองแดงและมีบาดแผลที่ดูดุดันมากมาย เนื่องจากยังมีเลือดอยู่บนบาดแผลของเขา อาจบอกได้ว่าบาดแผลไหนเป็นแผลใหม่และบาดแผลไหนเป็นบาดแผลเก่าแล้ว
ใช่แล้ว หัวหน้าไป่เฟยหยุน เมื่อทหารรับจ้างที่เรียกว่ามู่หยุนได้ใช้ทักษะในการต่อสู้ของเขา หลาย ๆ คนรอบ ๆ ได้เห็นมันและข้อมูลนี้ไม่ผิดเลย คาเลบตอบ
ถูกต้อง หัวหน้าไป่เฟยหยุน หัวหน้าหลิงเทียน ทุกคนที่รอดชีวิตจากการซุ่มโจมตีสามารถเป็นพยานได้ สิ่งที่มู่หยุนใช้เป็นทักษะการต่อสู้แน่นอนและมันก็เป็นทักษะขั้นสูงอีกด้วย ทหารรับจ้างอีกคนกล่าว
แต่เดิมนี่เป็นลักษณะสำคัญที่ทหารรับจ้างควรรายงานก่อนหน้านี้ น่าเสียดายที่พวกเขาถูกซุ่มโจมตีโดยโจรไร้ขอบเขต ทักษะการต่อสู้เป็นสิ่งสุดท้ายในใจของพวกเขาแต่เนื่องจากชีวิตของพวกเขามีความสำคัญมากกว่า แม้ว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้ทักษะการต่อสู้ หากพวกเขาไม่ได้มีชีวิตรอดเพื่อที่จะได้สนุกกับมัน ในที่สุดมันจะไม่ใช่จุดหมายที่สมบูรณ์
ยิ่งกว่านั้นสถานการณ์ปัจจุบันก็แตกต่างกัน เนื่องจากพวกเขาเข้าสู่อาณาจักรวายุคราม พวกเขาปลอดภัยชั่วคราว ตอนนี้พวกเขาสามารถพูดถึงทักษะการต่อสู้ที่มู่หยุนมี
แม้ว่าทหารรับจ้างทุกคนจะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่ชีวิตในทวีปเทียนหยวนนั้นโหดร้ายอย่างยิ่ง แม้แต่ทหารรับจ้างเหล่านี้ก็ยังพยายามบังคับเอาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้เหมือนพวกโจรไร้ขอบเขต สถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตลอดเวลาในทวีปเทียนหยวน
เมื่อได้ยินทหารรับจ้างสองคนนี้พูดคุยกัน ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ในห้องต่างขมวดคิ้ว
ชายเสื้อคลุมสีขาวมองไปที่หลิงเทียนและพูดว่า หัวหน้าหลิงเทียน เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับสถานการณ์เช่นนี้ ?
หลิงเทียนขมวดคิ้วของเขาเข้าด้วยกันในการไตร่ตรองก่อนที่จะเอ่ยออกมาช้า ๆ ข้ามั่นใจว่ามู่หยุนรู้ดีว่าทักษะการต่อสู้ของเขารั่วไหลไปยังทหารรับจ้าง แต่สิ่งที่ข้าไม่เข้าใจก็คือด้วยพละกำลังอันยิ่งใหญ่ของเขา ทำไมเขาไม่หนีไปในโอกาสแรกที่เขามีเมื่อเขารู้ว่าทักษะการต่อสู้ของเขาถูกเปิดเผยออกมา ? เป็นไปได้ไหมที่เขาเชื่อว่าเราจะไม่ทำอะไรกับเขา ?
คิดย้อนกลับไป แม้ว่าเขาจะเชื่อใจเรา เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาไม่ได้เป็นกังวลกับเราที่พยายามบังคับให้เขามอบทักษะการต่อสู้ของเขาออกมา? สิ่งนี้จะนำเขาไปสู่ความยากลำบากอย่างไม่มีที่สิ้นสุดจนอาจถึงขั้นเสียชีวิต หลิงเทียนวิเคราะห์ แม้ว่าเขาจะดูเหมือนเป็นคนตรงไปตรงมา แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่
นั่นหมายความว่าบรรดาทหารรับจ้างที่เรียกว่ามู่หยุนว่าเป็นคนงี่เง่าที่ไร้สติหรือเขาพึ่งการสนับสนุนบางประเภทที่ทำให้เขาไม่กลัวเลย ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อสีขาวพึมพำกับตัวเอง
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หัวหน้าหลิงเทียนถามว่า ก่อนหน้านี้ข้าเคยได้พูดคุยกับมู่หยุน ในความคิดของข้า มู่หยุนไม่ใช่คนโง่เขลา เขาเป็นทหารรับจ้างผ่านศึกที่มีประสบการณ์ คนอย่างนั้นจะทำผิดอย่างร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่มีใครรู้บ้างหรือว่ามู่หยุนมาจากไหน? ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมสีขาวคลุมถามต่อ
มู่หยุนเข้าร่วมกับเราระหว่างทางและมีอาชีพเดียวกับเรา ข้าไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอน อย่าลืมว่า ทหารรับจ้างตัวคนเดียวเกือบทั้งหมดจะวางแผนในการเดินทางไกลโดยจะเข้าร่วมคาราวานและรับประกันได้ว่าการเดินทางจะราบรื่น เราไม่สามารถตั้งคำถามกับคนแบบนี้ได้ ชายวัยกลางคนตอบโต้ เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าและใบหน้าของเขาซีดเล็กน้อย ถ้าเจี้ยนเฉินอยู่ที่นี่เขาจะจำได้ทันทีว่าชายคนนี้เป็นคนที่ตกลงให้เขาเข้าร่วมกองคาราวานในอาณาจักรเกอซุน
ทหารรับจ้างในห้องทั้งหมดเงียบสนิท หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดทหารรับจ้างคนหนึ่งก็ไม่สามารถยับยั้งอีกต่อไปแล้วพูดว่า หัวหน้า เราจะทำหรือไม่? หากเราประสบความสำเร็จในการได้รับทักษะการต่อสู้ เราจะได้รับความมั่งคั่ง แม้ว่าเราจะไม่ใช้มันเอง เราก็สามารถขายได้ เมื่อพิจารณาว่าทักษะการต่อสู้ที่มีค่าในทวีปเทียนหยวนนั้น เราสามารถได้รับราคาที่สูงเทียมฟ้าอย่างแน่นอน อย่าลืมว่าทักษะการต่อสู้นี้มีคุณภาพค่อนข้างสูง
หัวหน้า ทำไมเราไม่ใช้กำลังของพวกเราทั้งหมดในการต่อสู้ครั้งนี้ ? ทหารรับจ้างอีกคนหนึ่งกล่าว แววตาที่กระตือรือร้นอยู่ในดวงตาของเขา
หัวหน้าหลิงเทียนขมวดคิ้ว แต่เขาก็ไม่ได้ตอบทันที เขาหันกลับมามองชายสวมเสื้อคลุมสีขาวข้าง ๆ เขาแล้วถามว่า หัวหน้าไป่เฟยหยุน เจ้ามีความคิดเห็นประการใดเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ ?
ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อสีขาวเรียกว่าไป่เฟยหยุนขมวดคิ้วของเขา ดวงตาของเขาทอประกายและดูเหมือนว่าเขาลังเลที่จะตอบ
หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หัวหน้าไป่เฟยหยุนก็พูดอย่างช้า ๆ ว่า หัวหน้าหลิงเทียน ข้าแน่ใจว่าเจ้ายังจำการต่อสู้ที่เรามีต่อผู้เชี่ยวชาญจากโจรไร้ขอบเขตไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้เชี่ยวชาญลึกลับแอบช่วยเราได้หรือไม่ ? เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าไป่เฟยหยุน สีหน้าของทหารรับจ้างบางคนที่ไม่ทราบสถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน นอกเหนือจากคนทั้งห้าที่กลับมาไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้ ในขั้นต้นทหารรับจ้างเหล่านี้สันนิษฐานว่าผู้เชี่ยวชาญจากโจรไร้ขอบเขตถูกสังหารโดยหัวหน้าชั้นสูงของพวกเขาเอง อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าหลิงเทียนขยับเล็กน้อยและพูดด้วยเสียงหนัก ๆ เต็มไปด้วยอารมณ์ แน่นอนว่าข้าจำได้ หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญลึกลับนั้นในความมืด ข้ากลัวว่าเราจะไม่รอดจากความเจ็บปวด
ตอนที่ 80: อาณาจักรวายุคราม
เจี้ยนเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกและค่อย ๆ พยายามสงบใจของเขา หลังจากที่เขาสงบลงแล้วเขาก็หลับตาทันทีและเริ่มบ่มเพาะพลังงานของโลกรอบ ๆ ตัวของเขา อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างในระหว่างการดูดซับพลังงานของโลกต่างจากอดีตเมื่อเทียบกับตอนนี้ เจี้ยนเฉินสามารถแยกพลังงานพิเศษออกจากพลังงานของโลกและดูดซับพลังงานเฉพาะนั้นเข้าสู่ร่างกายของเขา
แม้ว่าในทางทฤษฏีแล้วมันค่อนข้างง่าย แต่ก็ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝึกฝน อย่างไรก็ตามสำหรับเจี้ยนเฉินผู้ที่ใช้การบ่มเพาะ วิญญาณ สิ่งนี้ไม่ยากอย่างนั้น เพียงแต่เขาต้องตั้งสมาธิให้มากขึ้น
สำหรับเจี้ยนเฉินผู้ที่มีวิญญาณที่แข็งแกร่ง เขาสามารถตรวจจับพลังงานพิเศษที่อยู่ในพลังงานของโลกได้ นอกเหนือจากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงแล้วก็ไม่มีใครสามารถตรวจจับมันได้ หลังจากที่เขาตรวจพบพลังพิเศษ เขาก็ใช้ วิญญาณ ของเขาในการเหนี่ยวนำพลังงานพิเศษเข้ามา ขณะที่มันได้ถูกรวบรวมเจี้ยนเฉินก็ได้ซึมซับพวกมันเข้าไปในร่างกาย
เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าเมื่อพลังงานพิเศษควบแน่นถึงระดับหนึ่ง มันจะเปล่งแสงสีขาวจาง ๆ เพื่อป้องกันสิ่งที่เกิดขึ้น เจี้ยนเฉินดูดซับอย่างช้า ๆ และมันก็ช้าราวกับจะเป็นหอยทาก
หลังจากที่เจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานพิเศษเข้าไปในร่างกายของเขาแล้ว ก็เกิดความรู้สึกแผ่กระจายไปทั่วทั้งร่างกายของเขาทันที มันเดินทางอย่างรวดเร็วจนเจี้ยนเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาถูกห่อหุ้มด้วยบอลแสง เมื่อเขาได้สัมผัสกับความสบาย ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็แสดงออกถึงความพึงพอใจ
เมื่อพลังงานพิเศษหลอมรวมกับการบาดเจ็บสาหัสของเจี้ยนเฉิน พวกมันก็เริ่มรักษาตัวอย่างรวดเร็วจนเจี้ยนเฉินตื่นตกใจและไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย ด้วยวิธีนี้ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้าใจว่าพลังเซียนธาตุแสงที่เอาไว้ใช้รักษาผู้อื่นนั้นน่ากลัวเพียงใด เมื่อพวกเขาใช้พลังของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง
หนังสือได้บอกว่ามีเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้นสูงเท่านั้นที่จะทำให้แขนงอกกลับมาได้ แม้กระทั่งพวกเขายังอาจจะชุบชีวิตของคนตายได้อีกด้วย ดูเหมือนว่านี่ไม่ใช่เรื่องโกหก หากพวกเขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้เช่นนี้ บางทีเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุอาจจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดหากมีทักษะที่แท้จริง ก่อนหน้านี้เจี้ยนเฉินได้แต่สงสัยว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงสามารถงอกแขนและชุบชีวิตได้หรือไม่ แต่หลังจากที่ได้เห็นประสิทธิภาพของมันหลังจากที่เจี้ยนเฉินใช้ เขาก็เชื่อว่ามันเป็นความจริง
ในขณะที่ขี่ม้า เจี้ยนเฉินยังคงใช้วิญญาณของเขารวบรวมพลังธาตุแสงจากพลังงานของโลกก่อนที่จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างช้า ๆ เป็นผลให้เจี้ยนเฉินเสมือนมีหมอกห่อหุ้มร่างกายหลังจากที่กำลังดูดซึม มันเป็นพลังงานแปลก ๆ ที่พิเศษซึ่งเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงใช้ แม้ว่าจะมีทหารรับจ้างจำนวนมากอยู่ใกล้ ๆ แต่บางคนอย่างเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ ก็ยังไม่มีใครสังเกตเห็นถึงท่าทางแปลก ๆ ของเจี้ยนเฉิน
พลังเซียนธาตุแสงนี่เป็นพลังงานพิเศษชนิดหนึ่งนอกเหนือจากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง ไม่มีผู้บ่มเพาะคนไหนสามารถรับรู้มันได้ แม้ว่าจะเป็นผู้เชียวชาญอย่างเซียนสวรรค์ขั้นสุดยอด ก็ไม่อาจรับรู้ถึงมันได้ ด้วยเหตุนี้เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงจึงหายากอย่างยิ่งในทวีปเทียนหยวน เนื่องจากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงทุกคนจะต้องเกิดมาพร้อมกับความสามารถโดยกำเนิดนี้ ตั้งแต่แรกเกิดวิญญาณของพวกเขาก็ได้ทำสัญญากับพลังเซียนธาตุแสง ดังนั้นเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงจึงสามารถรับรู้การคงอยู่ของมันได้และเมื่อ วิญญาณ เติบโตขึ้นทำให้พวกเขาค่อย ๆ ควบคุมพลังงานได้
เมื่อความเข้มข้นของพลังเซียนธาตุแสงเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่งมันจะกลายเป็นสีขาวขุ่น เมื่อมาถึงจุดนี้ผู้บ่มเพาะจะสามารถเห็นการคงอยู่ของมันได้ด้วยตาของตัวเอง อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่อาจมองเห็นพลังเซียนได้เหมือนกับที่พวกเขาเห็นมันในพลังงานของโลก พวกเขาจะมองเห็นว่ามันเป็นแค่พื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น
ค่ำคืนผ่านไปความเร็วของกองคาราวานและทหารรับจ้าง ตลอดทั้งคืนไม่มีใครนอนเลย หากพวกเขาไม่พยายามทำความสะอาดบาดแผล พวกเขาก็พยายามยกระดับตรวจสอบการเคลื่อนไหวโดยรอบอย่างหนัก ไม่มีใครอยากจะถูกปล้นโดยโจรไร้ขอบเขตอีกแล้ว
ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่ตึงเครียดของทหารรับจ้าง ค่ำคืนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นตอนเช้า อย่างไรก็ตามอารมณ์ของพวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย พวกเขารู้สึกว่ายังไม่ปลอดภัย ในบริเวณนี้กลุ่มโจรที่แตกต่างกันก็ยังคงวนเวียนเข้ามาโจมตีพวกเขา
หากทหารรับจ้างอยู่ในสภาพดี พวกเขาก็จะไม่กลัวกลุ่มโจร อย่างไรก็ตามหลังจากที่โจรไร้ขอบเขตโจมตีพวกเขาต่างก็บาดเจ็บสาหัสและเกิดความสูญเสียเป็นจำนวนมาก ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของพวกเขาหากพวกเขาต้องเจอกับกลุ่มโจรไร้ขอบเขตอีก กลุ่มพวกเขาต้องกล้ำกลืนรับศึกอีกครั้ง
แม้ว่าพวกเขารู้ว่าการละทิ้งสิ่งของบางอย่างจะช่วยให้เขารอดชีวิตได้ แต่สิ่งที่พวกเขาทิ้งไปนั้นต่างก็มีค่ามาก เว้นแต่ว่าจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ทหารรับจ้างหรือพ่อค้าต่างไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น
ในขณะที่ดวงอาทิตย์สีแดงสาดส่อง เจี้ยนเฉินที่นั่งโดยไม่ได้ขยับมาตลอดทั้งคืนในที่สุดก็ลืมตาขึ้น เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงความรู้สึกที่น่าพึงพอใจและยินดีอย่างมากขณะที่เขาเหยียดแขนขา
หลังจากรักษามา 1 คืน ร่างกายของเจี้ยนเฉินซึ่งปกติจะใช้เวลา 5-6 วันในการรักษาบาดแผลให้หายสมบูรณ์ แม้แต่ตอนที่พลังเซียนเกือบจะใช้หมดแล้ว ร่างกายของเจี้ยนเฉินกลับมาในสภาพสมบูรณ์เต็มที่ของเขา
ไม่เพียงแค่นั้น เจี้ยนเฉินก็สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าพลังเซียนของเขามากขึ้นกว่าเดิม
ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถควบคุมพลังเซียนได้เหมือนกับที่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงทำได้ ! เจี้ยนเฉินยินดีอยู่ภายใน เขาค่อนข้างดีใจที่ได้ค้นพบสิ่งนี้เพราะมันเป็นความประหลาดใจที่น่ายินดีสำหรับเขา ด้วยพลังพิเศษนี้ชีวิตของเขาก็มีสิ่งปกป้องเพิ่มเติม ไม่ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใดในอนาคต เขาจะสามารถรักษาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือสถานที่ใด ๆ
ในขณะที่มีความสุขกับการค้นพบสิ่งนี้ เจี้ยนเฉินก็รู้สึกตกใจอย่างมากกับความสามารถรักษาของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง หากเขาต้องใช้ยาสมุนไพรแล้วมันจะใช้เวลา 4-5 วันเพื่อที่จะรักษาบาดแผลของเขาให้หายอย่างสมบูรณ์ แต่ด้วยพลังธาตุเซียน เขาจะสามารถหายจากอาการบาดเจ็บได้อย่างสมบูรณ์ในคืนเดียว นอกจากนี้เจี้ยนเฉินยังดูดซับพลังเซียนธาตุแสงอย่างช้า ๆ เขาไม่อาจเร่งอัตราการดูดซับของเขาได้หลังจากที่ได้รับความสามารถนี้
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินรู้ว่าเขาสามารถใช้พลังเซียนธาตุแสงได้แค่ทางเลือกสุดท้ายเท่านั้น มันจะเป็นการดีกว่าที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับ เขาได้พิจารณาปัญหานี้อย่างละเอียด มีความเป็นไปได้ที่ความสามารถของเขาในการควบคุมพลังเซียนธาตุแสงจะทำให้เกิดปัญหาได้อย่างไม่คาดคิด ในข่วงเวลาวิกฤติแม้ว่าเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงจะได้รับการยกย่องอย่างสูงในทวีปเทียนหยวน แต่ชื่อเสียงจอมปลอมอันนี้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรหากเทียบกับชีวิตของเขา
ในขณะเดียวกันเส้นทางก็เริ่มค่อนข้างอยู่ในความสงบสำหรับกองคาราวาน ไม่มีอะไรนอกจากสัตว์อสูรที่อ่อนแอเป็นครั้งคราว พวกเขาไม่เจอพวกโจรหรือสัตว์อสูรใด ๆ ด้วยความเร็วในการเดินทางที่เพิ่มขึ้นพวกเขาจึงเดินทางมาถึงใน 16 วัน และสามวันสุดท้ายของกองคาราวานในที่สุดก็ได้ผ่านพ้นจากอันตรายมาสู่ความสงบ ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงป้อมปราการชายแดนของอาณาจักรวายุคราม
เมื่อเห็นกำแพงยาวสุดลูกหูลูกตาขนาดใหญ่ ทหารรับจ้างทุกคนก็มีรอยยิ้มราวกับว่ามีภาระมากมายที่ถูกยกออกจากอก แม้ว่าพวกเขายังคงต้องเดินทาง แต่ฟ้าหลังฝนย่อมดีกว่า มีเพียงไม่กี่เมืองที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ อาณาจักวายุคราม กองคาราวานจะสามารถจ้างทหารรับจ้างใหม่ในเมืองเหล่านี้เพื่อเสริมกำลังรบของพวกเขา
เรามาถึงอาณาจักรวายุครามแล้ว ในที่สุดเราก็มาถึงอาณาจักรวายุคราม !
ตอนนี้เราปลอดภัยแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับโจรไร้ขอบเขตที่จะตามมาไล่ล่าเรา
ทหารรับจ้างหลายคนเริ่มโห่ร้องด้วยความยินดี แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มบาง ๆ ในขณะนี้หัวใจของเขารู้สึกเบาลง ในที่สุกเขาก็ยังคงอ่อนแรงอยู่ ดังนั้นถ้าเขาออกจากทหารรับจ้างแล้วเขาก็จะตกอยู่ในสภาวะเลวร้าย
แม้ว่าจะมองเห็นกำแพงขนาดใหญ่จากระยะไกล แต่ก็ยังมีถนนยาว 5,000 เมตร ระหว่างทางมีผู้คนมากมายและกองคาราวานที่กำลังเดินทาง
ในที่สุดกองคาราวานก็มาถึงประตูป้อมปราการชายแดน อย่างไรก็ตามทหารรักษาการณ์ก็มาขวางกั้นเส้นทางของพวกเขา
หยุดดด พวกเจ้ามาจากไหน? เขาถามขณะที่ตาของเขากวาดมองไปยังหัวหน้าพ่อค้า
เหตุการณ์ประเภทนี้มักจะเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพ่อค้า มีทหารรับจ้างคนหนึ่งเข้ามาเจรจากับเขาทันที ในขณะเดียวกันทหารรับจ้างก็มอบทองลงในฝ่ามือที่ยื่นออกมาอย่างระมัดระวัง
ยามรักษาการณ์ตรวจสอบสิ่งของอยู่ในมือของเขาอย่างใกล้ชิดก่อนที่จะยิ้มกว้างให้กับพวกเขา พร้อมกับโบกมือของเขาและพูดว่า พวกเจ้าเข้าไปได้ !
ในที่สุดกองคาราวานก็ผ่านประตูยักษ์ของป้อมปราการและเข้าสู่อาณาจักรวายุคราม
หลังจากที่ผ่านเข้ามาในป้อมปราการ เจี้ยนเฉินก็สงบทันที อย่างน้อยที่สุดเขาก็หลบหนีจากอำนาจของสำนักหัวหยุนได้ แม้ว่าพวกเขาจะมีอำนาจที่น่าเกรงขามในอาณาจักรเกอซุนแต่เจี้ยนเฉินก็เชื่อมั่นว่าพลังของพวกเขาก็ไม่ได้แผ่ขยายเข้ามาถึงอาณาจักรวายุคราม
ไม่นานหลังจากที่ผ่านป้อมปราการชายแดนพวกเขาก็เจอเมืองที่เหมาะสม พ่อค้าหยุดพักและทหารรับจ้างก็แยกย้ายกันไปทันที พวกเขาสองคนยังคงป้องกันสินค้า
ตลาดได้จัดสรรพื้นที่ให้พ่อค้าได้มาพักสินค้า ดังนั้นพ่อค้าจึงได้ทิ้งสินค้าของพวกเขาไว้ที่นั่น เนื่องจากพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คนเพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะได้รับการคุ้มครอง ทหารรับจ้างจึงไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่สินค้าจะถูกโจรขโมย
ตามความจริงแล้ว ไม่มีทหารรับจ้างคนใดกล้าที่จะปล้นสินค้าที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็ไม่อาจออกจากประตูเมืองใด ๆ ได้และจะถูกล้อมรอบด้วยทหารรักษาการณ์
ตอนที่79: ชิ้นส่วนปะติดปะต่อ
ในขณะนั้นร่างเงาสองร่างก็วิ่งกลับมาก่อนที่จะหยุดต่อหน้ากลุ่มทหารรับจ้าง เหล่านี้เป็นทหารรับจ้างไล่ตามชายวัยกลางคน
ชายสองคนดูเหมือนจะอายุประมาณ 30-40 ปี ใบหน้าทั้งสองของเขาถูกปกคลุมไปด้วยเลือดและร่างกายของพวกเขาก็เต็มไปด้วยบาดแผลที่ย้อมจนเสื้อผ้ากลายสีแดงเลือด อย่างไรก็ตามในขณะที่ใบหน้าของพวกเขาซีดจากความเหนื่อยล้าของพวกเขา ดวงตาพวกเขายังคงเต็มไปด้วยพลัง
เมื่อเห็นว่าทั้งสองกลับมามือเปล่าก็เห็นได้ชัดว่าชายกลางคนหนีรอดไปได้
เฮ้อ ชายคนนั้นเขามีธาตุลม เพราะงั้นเราเลยไม่ได้เปรียบในการไล่ล่าเขาได้เพราะว่าเขานั้นเร็วกว่า แม้ว่าเราจะแข็งแรงกว่าเขา แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เราไม่อาจไล่ล่าเขาได้ ดังน้นเขาจึงหนีไปได้ในที่สุด หนึ่งในสองคนพูดพร้อมกับน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
ลืมไปเถอะ ถ้าเขาจะหนี เขาก็หนี ข้าไม่คิดเว่าเราจะวิ่งเข้าใส่โจรไร้ขอบเขตได้ ไม่ต้องสงสัยว่าพวกเขาก็แข็งแกร่งมาก หากไม่ใช่เพราะผู้มีพระคุณลึกลับของเราที่ซ่อนอยู่ในเงา ข้าก็สงสัยว่าเราอาจจะไม่ได้กลับมา สำหรับที่เขาได้ช่วยชีวิตพวกเรา เขาต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้แน่นอน ผู้อาวุโสกล่าวขณะที่เขายืนอยู่หากจากเปลวไฟที่สดใส ตอนนี้ผิวหนังของเขาเริ่มดูเหมือนกับว่าจะมีรอยไหม้นิด ๆ
เมื่อได้ยินคนพูด ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ที่กลับมาจากการไล่สังหารโจรบางส่วนทั้งหมดก็ตกตะลึง จากนั้นใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความสุข แต่บางคนก็ยังมีความกลัวอยู่จาง ๆ บ้าง
หัวหน้าหลิงเทียน ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่ ? ทหารรับจ้างคนหนึ่งเดินเข้ามาและถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
คนที่เข้ามาใหม่ที่พูดชื่อหลิงเทียนมองดูบาดแผลช้า ๆ ก่อนที่จะส่ายหน้า ข้าบาดเจ็บ แต่มันก็ไม่อาจฆ่าข้าได้ เขามองไปที่ทหารรับจ้างไม่กี่คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขาก่อนที่จะถอนหายใจ พร้อมกับพูดด้วยเสียงที่เศร้าโศกว่า มันเป็นความอัปยศ หยุนไป่มู่หัวหน้าของกลุ่มทหารรับจ้างเงาทะเลทรายถูกสังหารโดยผู้เชี่ยวชาญของโจรไร้พรมแดน
เมื่อได้ยินการประกาศดังนั้น บรรดาทหารรับจ้าจำนวนมากก็เริ่มแสดงออกถึงความเสียใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารรับจ้างของกลุ่มเงาทะเลทราย พวกเขาต่างเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หนักอึ้ง อย่างไรก็ตามการเดินทางในทวีปเทียนหยวนนั้นมักจะเห็นว่ามีบางคนที่มักจะตายจากไป นั่นเป็นประสบการณ์ที่หลายคนคุ้นเคย หลังจากช่วงเวลาไว้ทุกข์เล็ก ๆ ทหารรับจ้างต่างก็กลับมาสงบอีกครั้ง
สหายของข้า แม้ว่าเราจะสามารถเอาชนะกลุ่มโจรไร้ขอบเขตได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของมัน หากเราเจอกลุ่มใหญ่หรือแม้กระทั้งเหล่ายอดฝีมือ เราก็อาจจะตายอย่างหมาข้างถนน ดังนั้นเราจึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นาน รีบจัดการบาดแผลของเจ้าและฝังพี่น้องที่ตายไปแล้ว เราจะออกไปทันทีหลังจากนั้น หลิงเทียนประกาศ
ทหารรับจ้างแต่ละคนต้องทำงานทันทีโดยช่วยเหลือกันพันผ้าพันแผลและพร้อมกับทายาสมุนไพร คนที่ยังแข็งแรงและคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยต่างก็ออกไปช่วยกันขุดหลุมฝังศพและขนศพ
ทุกคนตั้งใจทำงานอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครพูดอะไรและเมื่อทหารรับจ้างแต่ละคนทำสิ่งที่ตนเองควรทำแล้ว บรรยากาศก็พลันหนักหน่วงขึ้นมาอีกครั้ง
เจี้ยนเฉินมองไปรอบ ๆ ตัวเองก่อนที่จะถอนหายใจ พวกเขาได้รับชัยชนะกับการต่อสู้กับโจรไร้ขอบเขต แต่สำหรับเขานี่คือชัยชนะที่น่าอนาถใจ หลังจากผ่านการรบไปเพียงครั้งเดียว กลุ่มทหารรับจ้างทั้งสามกลุ่มต่างก็หายไปกว่า 100 คน 100 คนบาดเจ็บซะส่วนใหญ่ ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาเหลือเพียงหนึ่งในสามของกำลังหลักของพวกเขาและผู้เชี่ยวชาญสิบคนแรกที่เป็นผู้นำหายเข้าประจัญบาน 5 คน ต่างก็กลับมาพร้อมกับบาดแผลหนัก หัวหน้าทหารรับจ้างคนหนึ่งถูกฆ่าตายในสนามรบทำให้พลังของพวกเขาลดลง
เจี้ยนเฉิน เจ้ายังไหวหรือไม่ ? บาดแผลของเจ้าร้ายแรงหรือเปล่า ? เสียงที่คุ้นเคยดังออกมาจากข้างหลังเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เจี้ยนเฉินก็หันหน้ากลับไปทางต้นเสียงและเห็นมู่หยุน เขาไม่รู้ว่ามู่หยุนตามเขามาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนนี้เขามาอยู่ที่นี่แล้ว
ในขณะนี้สภาพของมู่หยุนนั้นไม่ดีเลย สีหน้าที่ใบหน้าของเขาซีดเซียวผิดปกติและถึงแม้ว่าเขาจะดูดีขณที่สู้กับชายวัยกลางคน ทักษะการต่อสู้ทำให้เกิดภาระหนักแก่ร่างกายของมู่หยุนหลังจากที่เขาใช้มัน
เจี้ยนเฉินส่ายหัวเบา ๆ ข้าสบายดี หยุดไปเล็กน้อยก่อนที่จะมองไปที่มู่หยุนด้วยท่าทีที่ซับซ้อน มู่หยุน ทักษะการต่อสู้ของเจ้าถูกเปิดเผยต่อทหารรับจ้างทุกคนที่นี่ ขณะเดินทางเจ้าต้องระมัดระวังให้มากขึ้นในตอนนี้และเมื่อเจ้าถึงจุดปลอดภัยให้ออกจากกลุ่มไปให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นข้าเกรงว่าพวกเขาอาจจะพยายามทำบางอย่าง
มู่หยุนมองไปรอบ ๆ ยังทหารรับจ้างที่พลุกพล่าน เจี้ยนเฉิน ข้าขอบคุณเจ้ามาก สำหรับความห่วงใยของเจ้า ข้าจะระวังให้ดีนับแต่นี้ ถึงแม้ว่าเขาจะพูดว่าเขาไม่สนใจคนรอบ ๆ เมื่อทหารรับจ้างมาถึงมู่หยุนก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะทำบางอย่างที่ท้าทาย
เมื่อสังเกตถึงการจ้องมองของมู่หยุนที่ไม่สนใจ เจี้ยนเฉินก็รู้สึกทึ่งเล็กน้อย แม้จะมีจุดแข็งของมู่หยุนที่แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้ระหว่างเขา เจี้ยนเฉินก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะไม่อาจป้องกันคนในกลุ่มได้
มู่หยุนหยิบขวดหยกขาวออกมาจากแหวนมิติของเขาและยื่นให้เจี้ยนเฉิน นี่คือยารักษาชั้นสูง ดื่มและมันจะรักษาตัวเจ้า
ขอบคุณ เจี้ยนเฉินไม่ปฏิเสธความมีน้ำใจและรับขวดไว้ในมือ
ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน ข้าจะรักษาบาดแผลตัวเองก่อนที่จะรักษาคนอื่น ๆ มู่หยุนโบกมือให้ก่อนที่จะเดินแยกทางจากเจี้ยนเฉิน
หนึ่งชั่วยามต่อมา ทุกอย่างก็เป็นไปตามคำสั่ง ทหารรับจ้างที่ตายและถูกฝัง ในขณะที่ไม่สนใจศพของโจรไร้ขอบเขต ทหารรับจ้างเกลียดพวกโจรไร้ขอบเขต แม้หลังจากที่พวกเขาจะตายไปแล้วพวกเขาก็ไม่สนใจที่จะแสดงความเคารพด้วยการฝังศพ
ในช่วงหนึ่งชั่วยามที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินก็ได้ทำการรักษาบาดแผลของเขาและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดออก ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทาง เจี้ยนเฉินได้เตรียมเสื้อผ้าไว้สองสามชุด ดังนั้นเขาจึงไม่กังวลว่ามันจะหมด
ออกเดินทางได้ !
หลังจากทุกคนพร้อมแล้วมีคนเรียกร้องให้พวกเขาทั้งหมดเริ่มเคลื่อนไหว ทุกคนเตรียมพร้อมที่จะเดินทางตอนกลางคืนโดยไม่หยุดพักหรือนอนหลับ นับตั้งแต่การซุ่มโจมตีของกลุ่มโจรไร้ขอบเขต คาราวานจึงไม่ต้องการที่จะหยุดอยู่อีกต่อไป แม้แต่การหยุดพักก็ไม่ทำ
หลังจากการซุ่มโจมตีจากกลุ่มโจรไร้ขอบเขต ความแข็งแกร่งของกองคาราวานก็ได้ลดลงอย่างมากทำให้พวกเขามีกำลังคนน้อยมาก เนื่องจากสมาชิกหลายคนของโจรไร้ขอบเขตได้หลบหนีไป หากพวกเขาจะต้องนำกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลับมาโจมตีพวกเขา กองคาราวานก็ไม่อาจอยู่รอดได้ หากคิดอย่างไร้เดียงสาอย่างนั้นสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ก็จะย้อนกลับมาเช่นกัน
เจี้ยนเฉินพยายามปีนขึ้นไปบนม้าของตัวเองพร้อมกับความเจ็บปวดและเริ่มตามคาราวานในความมืด เจี้ยนเฉินนั่งอยู่หลังม้าขณะหลับตาและใช้พลังเซียนอย่างเงียบ ๆ เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บภายใน ก่อนหน้านี้ที่จะได้รับการโจมตีอย่างหนักจากชายกลางคน ความเสียหายจำนวนหนึ่งที่เขาได้รับนั้นค่อนข้างรุนแรงอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ใช้กำลังภายในของเขาไปเป็นจำนวนมาก สภาพร่างกายของเขาในปัจจุบันทำได้เพียงแค่เคลื่อนไหวอย่างง่าย ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากปัจจุบันเจี้ยนเฉินเดินทางข้ามทวีปเทียนหยวนและอาจเผชิญกับอันตรายได้ตลอดเวลา ความแข็งแกร่งของเขาจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ดังนั้นเจี้ยนเฉินยังคงใช้ความพยายามทั้งหมดของเขาในการพยายามฟื้นฟูความแข็งแกร่งของตัวเองโดยไม่กล้าหยุดแม้แต่วินาทีเดียว
กองคาราวานเดินไปตามถนนอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้คนกลัวกำลังเสริมของโจรไร้ขอบเขตที่จะไล่ตามมา ความเร็วตอนนี้ของพวกเขาจึงเร็วกว่าการเดินทางไปครั้งก่อน ๆ หลายเท่า อย่างไรก็ตามมันก็แค่เร็วกว่าคนเดินปกติทั่วไปเท่านั้น ท้ายที่สุดรถม้ามีสิ่งของมากมายดังนั้นการเร่งความเร็วก็ไม่อาจทำให้เร็วกว่าเดิมได้มากนักแม้ว่าเขาไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นก็ตาม ความเร็วตอนนี้ก็เกือบจะทำให้รถม้าพลิกคว่ำไปหลายครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอพื้นที่ไม่มีความสม่ำเสมอของถนน
เนื่องจากในสถานการณ์ปัจจุบัน เจี้ยนเฉินไม่กล้าที่จะรักษาตนเองจนไม่ได้ระวังตัว ดังนั้นจึงทำได้เพียงการพึ่งให้มันฟื้นตัวได้ในเร็ววัน
ในขณะนั้นเจี้ยนเฉินไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่นึกถึงไป๋หยุนเทียนแม่ของเขา เขายังจำได้อย่างชัดเจนว่าในเวลานั้นไม่กี่ปีก่อนเมื่อเขาได้รับบาดเจ็บจากพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ ไป๋หยุนเทียนรักษาอาการบาดเจ็บของเขาโดยไม่คาดคิดราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดในโลกโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นใด ๆ หากมีเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงในที่เกิดเหตุ อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของพวกเขาอาจจะหายเร็วขึ้น น่าเสียดายที่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงหายากเกินไปและสถานะของพวกเขาได้รับความนิยมอย่างสูง ด้วยความแข็งแกร่งของกลุ่มทหารรับจ้างทั้งสามในปัจจุบันจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเชิญเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงเข้าร่วมกลุ่ม
เพียงเจี้ยนเฉินคิดเกี่ยวกับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง ทันใดนั้นแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงอยู่ในใจของเขา ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาและทันใดนั้นก็เปิดแสงสว่างแวบอยู่ในสายตาของเขาก่อนที่จะหายไปทันทีด้วยความประหลาดใจ
ถูกต้อง ข้ารู้สึกได้ถึงพลังเซียนและมันก็รวมตัวกันเบาบาง ข้าสงสัยว่าข้าจะสามารถควบคุมพลังเซียนธาตุแสงเหมือนกับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงได้หรือไม่ และสามารถรักษาบาดแผลของข้าได้ เจี้ยนเฉินได้ไต่ตรองเรื่องนี้อย่างดุเดือด เมื่อเขานึกถึงความเป็นไปได้ที่ว่าเขาจะสามารถควบคุมพลังเซียนธาตุแสงได้เช่นเดียวกับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง ทำให้หัวใจของเขาพลุ่งพล่านด้วยด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่อาจควบคุมได้
นับตั้งแต่ที่เขาเห็นไป๋หยุนเทียนใช้พลังเซียนธาตุแสงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของเจียงหยางเค่อที่คฤหาสน์เจียงหยาง เจี้ยนเฉินได้ตระหนักว่าพลังนี้เป็นพลังพิเศษซึ่งเขารู้สึกได้ทุกครั้งที่เขาได้ดูดซับพลังงานของโลกในการบ่มเพาะ ในเวลานั้นเจี้ยนเฉินต้องการทดสอบและดูว่าเขาสามารถใช้พลังเซียนธาตุแสงได้หรือไม่ น่าเสียดายเนื่องจากสถานการณ์ต่าง ๆ ของเขาที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้นมาทำให้เขาก็ไม่เคยทดสอบตามความคิดของเขาอีกเลย หลังจากนั้นความคิดเหล่านี้ก็ถูกทับถมขึ้นเรื่อย ๆ และเขาก็ลืมไปจนถึงตอนนี้
ตอนที่ 78: ชัยชนะที่โหดร้าย
มู่หยุนยิ้มเย็นและพูดว่า เจ้ารู้อะไรมากมาย ถูกต้องนี่เป็นทักษะการต่อสู้จริง ๆ !
ชายคนนั้นสูดลมหายใจอย่างฉับพลันขณะที่มองดูมู่หยุนพร้อมกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความโลภ ทักษะการต่อสู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงในทวีปเทียนหยวนและนอกเหนือจากตระกูลที่ถ่ายทอดกันมาหลายชั่วอายุคนและผู้เชี่ยวชาญแล้ว แม้ว่าผู้บ่มเพาะอาจจะเจอทักษะการต่อสู้ด้วยโชค แต่เหตุการณ์ดังกล่าวมีน้อยมากในทวีปเทียนหยวน หากไม่มีโชคชะตาที่ลึกซึ้งและโชคลาภที่ยิ่งใหญ่ การจะได้รับทักษะต่อสู้นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้
แม้ว่าชายคนนี้จะเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษขั้นกลางที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มโจรไร้ขอบเขต แต่เขาก็ยังไม่อาจมีทักษะการต่อสู้ โดยดูจากการที่เขาน้ำลายไหล น่าเสียดายเพราะว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่พอที่จะได้รับทักษะต่อสู้จากกลุ่มโจร
ชายวัยกลางคนขยับหมัดขวาเบา ๆ และรู้สึกเจ็บปวดจากการถูกเผา แต่เขาก็ไม่มีความโกรธ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ด้วยความรู้สึกนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะแยกแยะว่าทักษะต่อสู้ที่มู่หยุนมีนั้นมันยอดเยี่ยมแค่ไหน แม้ว่าเขาจะมีพลังธาตุลม แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้หยุดชายคนนั้นจากความต้องการทักษะต่อสู้เลย ท้ายที่สุดแล้วทักษะการต่อสู้ก็เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าในทวีปเทียนหยวน และยิ่งทักษะที่แข็งแกร่งเช่นนี้แล้วมันก็มีราคาแพงอย่างมาก
ฮ่าฮ่า ฟ้าเข้าข้างข้าวันนี้ เด็กน้อย ทักษะของเจ้าจะกลายเป็นของข้า ! ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดังด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ สำหรับเขาแล้วทั้งทักษะลับด้านความเร็วของเจี้ยนเฉินและทักษะการต่อสู้ของมู่หยุนจะถูกเขาแย่งชิงได้อย่างง่ายดาย
โอหังจริง ๆ ! เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป มู่หยุนเยาะเย้ย เมื่อเขายกกระบี่สีแดงขึ้นมาเปลวเพลิงก็ลุกไหม้อย่างรุนแรงทันที ความร้อนนั้นทำให้ผิวรู้สึกแสบจากความร้อนที่มันแผ่ไปทั่วทุกทิศทาง อย่างไรก็ตามมันมีขนาดเล็กมากจนแม้กระทั่งไม่อาจรู้สึกได้ด้วยกลิ่นอาย
แต่สำหรับใครบางคนอย่างเจี้ยนเฉินที่มี ‘วิญญาณ’ กลิ่นอายที่เบาบางนี้ก็สามารถที่จะถูกเขาตรวจจับได้ ทันทีที่เขาตระหนักถึงแหล่งที่มาของกลิ่นอายเหล่านั้น เขาก็ตะลึงทันทีด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นกระบี่ที่แผ่พลังกดดันออกมา ชายคนนั้นก็เย้ยหยันว่า เด็กน้อย แม้ว่าเจ้าจะมีทักษะการต่อสู้ที่พิเศษ แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าก็อ่อนแอกว่าข้ามากนัก ! ขณะนั้นกระบี่ใหญ่ก็ประชิดกับเสื้อผ้าของชายคนนั้น หลังจากนั้นภาพที่ได้เห็นคือ กระบี่ของมู่หยุนลอยขึ้นมากลางอากาศ
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หายตัวออกไปจากสายตา ใบหน้าของมู่หยุนก็จริงจังมากขึ้น ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดอากาศจากด้านหลัง มู่หยุนเปลี่ยนท่ากระบี่ของเขาทันที มันกลายเป็นงูยักษ์สามตัวและพุ่งออกไปจากด้านหลังของเขา ในขณะที่อยู่กลางอากาศ งูทั้งสามรวมตัวกันและกลายเป็นงูเพลิงที่ใหญ่โตยิ่งกว่าเดิม
เช้ง!
เกิดเสียงของโลหะกระทบกันกลางอากาศขณะที่งูยักษ์ล้อมรอบมู่หยุนทุกทิศทางและพร้อมกับคู่ต่อสู้ของเขา การปะทะกันทำให้ไฟกระจายไปทุกทิศทุกทางไม่กี่เมตร เมื่อพลังงานสีแดงพุ่งผ่าน เจี้ยนเฉินก็รู้สึกได้ถึงความร้อนของมันทำให้เสื้อผ้าของเจี้ยนเฉินกลายเป็นสีดำจากการถูกเผาด้วยความร้อน ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ว่าเสื้อผ้าของเขาเปียกชื้นจากเลือดแล้วล่ะก็ เสื้อผ้าของเขาอาจจะติดไฟก็เป็นได้
ในเปลวเพลิง ทั้งมู่หยุนและชายกลางคนก็เดินโซเซถอยหลังออกมา ทั้งคู่ต่างก็ดูซีดเซียวจากการประกระบี่กัน ผมที่เป็นระเบียบเรียบร้อยของมู่หยุนได้กลายเป็นยุ่งเหยิงพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียว แม้กระทั่งกระบี่ใหญ่ของเขาก็เริ่มที่จะบิ่นออกมาเล็กน้อย
สำหรับชายกลางคน ในขณะที่เขาถูกห่อหุ้มด้วยเพลิง สายลมที่เกิดจากพลังเซียนของเขาเป็นเหตุให้เสื้อผ้าที่สะอาดของเขาเริ่มมีรอยไหม้ แขนทั้งสองข้างของเขาถูกเผาไปหมดแล้ว
เนื่องจากการใช้ทักษะการต่อสู้ในระหว่างการต่อสู้มู่หยุนและชายกลางคนนั้นมีพลังมากกว่าเจี้ยนเฉิน เปลวไฟนั้นดึงดูดทั้งทหารรับจ้างและโจรรอบ ๆ ตัวทำให้ทั้งสองฝ่ายสังเกตเห็นการต่อสู้จากหางตา ทันทีที่พวกเขาเห็นเปลวเพลิงที่สดใส ทหารรับจ้างบางคนก็ร้องออกมาด้วยความกลัว
นั่นคือเพลิงแท้ ! นอกจากนี้ยังไม่มีใครที่ได้เป็นเซียนปฐพีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกไฟออกมาจากความว่างเปล่า เป็นไปได้ไหมว่า…นั่นคือทักษะการต่อสู้ !
ทักษะการต่อสู้? มันเป็นทักษะการต่อสู้!
อย่างนั้นก็หมายความว่ามีบางคนเรียนรู้ทักษะการต่อสู้!
ไม่ว่าจะเป็นโจรหรือทหารรับจ้างเมื่อพวกเขาเห็นว่ามู่หยุนมีทักษะการต่อสู้ พวกเขาต่างก็ตะโกนด้วยความประหลาดใจ ไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าพวกเขาจะได้เห็น ทักษะต่อสู้นั้นหายากและมีราคาแพงในทวีปเทียนหยวน โดยปกติแล้วแม้ว่าจะทำงานเป็นทหารรับจ้างมาทั้งชีวิต พวกเขาก็ยังไม่อาจมีทักษะต่อสู้ได้
หลังจากการปะทะของพวกเขาหยุดลง สายตาของทหารรับจ้างและโจรต่างก็เต็มไปด้วยความโลภ ทักษะการต่อสู้เป็นสิ่งที่ผู้บ่มเพาะในทวีปเทียนหยวนต้องการมากที่สุด ความต้องการในทักษะเหล่านี้มากกว่าความต้องการความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะ ทักษะการต่อสู้จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเขามากมายหลายเท่า ดังนั้นผู้คนจำนวนมากมักจะยอมตายเพื่อที่จะได้แย่งชิงทักษะเหล่านี้ การมีทักษะการต่อสู้หมายถึงการได้รับการป้องกันเพิ่มขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเห็นความโลภในดวงตาของพวกเขา เจี้ยนเฉินก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ เขาทำได้เพียงหรี่ตาลง เขารู้ดีว่าทุกคนอิจฉาความแข็งแกร่งกว่าคนอื่น ทักษะการต่อสู้ของมู่หยุนนั้นเหนือกว่าที่เจี้ยนเฉินคิดเอาไว้และตอนนี้มันได้ถูกเผยต่อหน้าทหารรับจ้างทั้งหมด ทักษะการต่อสู้ล้ำค่าอย่างยิ่งและมันจะสร้างความยุ่งยากให้กับทุกคนที่มีมัน แม้กระทั่งยอมถวายชีวิตเพื่อต่อสู้แย่งชิง ทักษะต่อสู้ในครั้งนี้ก็ไม่น่าจะห่างจากจุดนั้นและในเมื่อมู่หยุนยังคงอ่อนแรงอีก
ตอนนี้เจี้ยนเฉินไม่เพียงแต่ได้รับการดูแลจากมู่หยุนเท่านั้น เขายังคงห่วงความเป็นอยู่ของเขาอีกด้วย แม้ว่าทั้งสองจะรู้จักกันไม่นานและเพิ่งจะเจอกันในบางโอกาส เจี้ยนเฉินรู้ว่ามู่หยุนได้ต่อสู้กับชายกลางคนและเผยทักษะต่อสู้เพื่อช่วยเขา
เมื่อมองดูมู่หยุน ชายคนนั้นก็หัวเราะ ช่างเป็นทักษะต่อสู้ที่น่าทึ่งมาก เจ้ายังสามารถป้องกันการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของข้าได้ ในฐานะเซียนผู้เชี่ยวชาญ! เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดอีกครั้ง อย่างไรก็ตามเจ้าสามารถป้องกันการโจมตีของข้าด้วยพลังเซียนผู้เชี่ยวชาญบวกกับทักษะต่อสู้ แต่สุดท้ายมันก็ยังไม่ใช่จุดแข็งของเจ้าเอง ข้าสงสัยว่าเจ้าจะทนอยู่ได้นานแค่ไหน หลังจากที่เขาพูดเสร็จเขาก็ยกง้าวของเขาขึ้นไปบนอากาศ เช่นเดียวกับที่เขาเตรียมจะลงมือกับเจี้ยนเฉิน เหนือหัวมู่หยุนก็ได้มีพลังงานที่แข็งแกร่งพุ่งลงมาจากระยะไกล
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังงาน ชายกลางคนก็เริ่มที่จะมีความสุข เขาสันนิษฐานว่ามันมาจากผู้เชี่ยวชาญ หัวหน้าทหารรับจ้างพยายามจะฆ่าเขา แต่มันล้มเหลวและตอนนี้สหายของเขาก็กำลังมาช่วยเขา
เมื่อมาถึง เงาที่อยู่ห่างไม่ไกลก็วิ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว ในไม่กี่นาทีเงาร่างก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของทุกคน ทันทีที่ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน เหล่าทหารรับจ้างต่างก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ
หัวหน้า! นั่นหัวหน้ากลับมาแล้ว !
หัวหน้าหลิงเทียนกลับมาแล้ว!
มีหัวหน้าเซียเฮ่าอีกด้วย พวกเขาได้ฆ่าผู้เชี่ยวชาญของโจรไร้ขอบเขตแล้ว!
ทุกคนเห็นว่าสมาชิกที่กลับมาทั้งห้าคนต่างก็เต็มไปด้วยบาดแผล เสื้อผ้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเลือดและบางคนก็แบกซากศพไว้บนบ่า
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของทหารรับจ้าง ชายวัยกลางคนและโจรคนอื่น ๆ ก็หันมามองหน้ากันและกันอย่างไม่น่าดู ทันใดนั้นชายคนนั้นก็หันหน้าของเขากับไปจ้องที่เซียเฮ่าและคนของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ได้ไง…เป็นไปได้อย่างไร…เจ้ารอดชีวิตกลับมาได้อย่างไร ? ชายคนนั้นถามด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะที่เขากลืนน้ำลายบางส่วนอย่างประหม่า ขณะที่เขาพยายามที่จะเค้นคำพูดของเขาออกมา ชายวัยกลางคนก็รู้ว่าการกลับมาของพวกเขาเป็นการบ่งชี้ว่ากลุ่มโจรของเขาต้องเผชิญหน้ากับหายนะที่จะมาถึงแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่กลับมาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญของอีกฝ่ายได้อย่างไร
คำพูดของชายคนนั้นทำให้สมาชิกทั้งห้าคนมองมาที่เขา ทันใดนั้นทั้งห้าคนก็วางศพที่พวกเขาถือและจ้องมองด้วยความต้องการฆ่า
เมื่อรู้สึกถึงเจตนาฆ่าของคนทั้งห้าคน หัวใจของชายกลางคนก็บินหนีออกไป เขาเปิดปากพูดโดยไม่ลังเลว่า สถานการณ์ดูไม่ดีแล้ว หนี ! โดยที่ยังไม่ทันพูดได้จบประโยค ชายวัยกลางคนก็เก็บง้าวและใช้ความเร็วที่สุดในการหลบหนีไป แม้ว่าทหารรับจ้างทั้งห้าคนจะได้รับบาดเจ็บอยู่บ้าง แต่อูฐที่หิวโซก็ใหญ่กว่าม้า การที่มีคนทั้งห้าอยู่ ชายกลางคนก็ไม่มีหวังที่จะชนะได้
ทันที่ชายคนนั้นเริ่มเคลื่อนไหว ทหารรับจ้างสองในห้าคนก็ไล่ตามเขาออกไปทันที
เมื่อได้ยินคำพูดก่อนหน้านี้ของชายคนนั้น โจรทั้งหมดก็เริ่มยอมแพ้และกระจายออกไปทั่วทั้งสี่ทิศทาง
ฆ่า! อย่างให้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว !
เมื่อได้ยินคำสั่ง ทหารรับจ้างทั้งหมดต่างก็เริ่มไล่ล่าโจรที่หลบหนี ทหารรับจ้างเกลียดโจรไร้ขอบเขตจนถึงกระดูกดำของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยให้เหล่าโจรหลบหนีไปได้ง่าย ๆ
เมื่อผู้เชี่ยวชาญของพวกเขาตายและสมาชิกที่มีความสามารถเพียงคนเดียวหลบหนีไป โจรทุกคนต่างก็มุ่งความสนใจไปที่การหลบหนีทันที วิญญาณต่อสู้ของพวกเขาทั้งหมดหายไปทันที ในทางตรงกันข้ามทหารรับจ้างมีความกล้าหาญเข้ามาแทนที่หลังจากที่หัวหน้าของพวกเขากลับมาอย่างมีชีวิตอีกครั้งหลังจากที่เอาชนะผู้เชี่ยวชาญของกลุ่มโจร แม้กระทั่งคนที่อ่อนล้าก็ยังมีเรี่ยวแรงฮึดสู้ขึ้นมาและทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อไล่ล่าโจรที่หลบหนี
เสียงของการสังหารดังตลอดทั้งคืน แต่มันก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญของทหารรับจ้างสามคนได้นำทหารรับจ้างไปฆ่าโจรซะส่วนใหญ่ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถหลบหนีได้อย่างรวดเร็ว
ชนะ! เราชนะ!
โจรไร้ขอบเขตถูกเราตีจนพ่ายแล้ว!
พวกเราชนะพวกโจรไร้ขอบเขตได้แล้ว!
เมื่อการต่อสู้จนลงทหารรับจ้างที่เหลือก็เริ่มส่งเสียงดีใจ โจรไร้ขอบเขตเป็นฝันร้ายที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าทหารรับจ้างที่เป็นดั่งเทพแห่งความตายที่ไม่สามารถเอาชนะได้ การเอาชนะโจรไร้ขอบเขตเป็นความสำเร็จที่พวกเขาภูมิใจอย่างยิ่ง
ตอนที่ 77: ทักษะต่อสู้
การโจมตีที่ดุดันของชายคนนั้นผลักดันให้เจี้ยนเฉินถึงขีดจำกัดของเขา ท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ต้องใช้ความสามารถทั้งหมดของเขาและยังต้องใช้ความรู้ของเขาในการใช้ท่าไทเก๊กเพื่อเบี่ยงวิถีการโจมตีของชายคนนั้น ทุกครั้งที่เจี้ยนเฉินได้ป้องกันและเบี่ยงวิถีง้าว พลังเซียนของเขาก็จะต้องใช้ออกไป เมื่อพวกเขาทั้งคู่สู้กันอย่างดุเดือด พวกเขาก็ได้ใช้พลังเซียนไปมากกว่าครึ่งของพลังเซียนทั้งหมดที่พวกเขามี ตั้งแต่ที่เจี้ยนเฉินได้รับบาดเจ็บรุนแรงที่หน้าอกของเขา เขาจึงเริ่มสู้สึกอ่อนล้าเมื่อเวลาผ่านไปแม้กระทั่งการป้องกันก็ยากมากยิ่งขึ้น
ความแข็งแกร่งระดับเซียนของเจี้ยนเฉินนั้นสามารถต่อกรได้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางที่สูงกว่า พร้อมทั้งกระบี่และประสบการณ์ของเขาจากชีวิตที่แล้ว ถ้าเป็นคนที่มีระดับเดียวกับเจี้ยนเฉินมันก็เป็นการยากที่จะบอกว่าพวกเขาจะสามารถรับมือกับ 10 กระบวนท่าที่ต่อเนื่องราวกับพายุของชายคนนั้นได้หรือไม่
ท้ายที่สุดความแตกต่างระหว่างเซียนและเซียนผู้เชี่ยวชาญนั้นมีขนาดใหญ่มาก มีอย่างน้อยถึงสองระดับ
ใบมีดสีฟ้าตัดผ่านอากาศอีกครั้งเมื่อมันพุ่งเข้าใส่กระบี่วายุโปรย ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็ไม่อาจเบี่ยงวิถีของง้าวที่น่ากลัวได้และกระบี่ของเขาก็ลอยกลับมา ในขณะที่กระบี่วายุโปรยไม่ได้รับเสียหายใด ๆ แต่อย่างไรก็ตามมันก็ถูกบังคับให้กลับมาที่หน้าอกของเจี้ยนเฉินพร้อมกับเสียงดัง ‘ปัง ! ‘
ด้วยความผิดพลาดนี้ทำให้เจี้ยนเฉินถูกส่งลอยไปทางด้านหลัง 10 เมตรก่อนที่จะตกลงบนพื้น เขากระอักเลือดอีกคำและพ่นมันเป็นละอองไปบนฟ้า
เจ้าเด็กเหลือขอ ข้าสามารถบอกได้ว่าเจ้าไม่มีพลังพอที่จะหนีการโจมตีของข้าได้อีกแล้ว เชื่อฟังข้าและกลับไปพร้อมกับข้า ชายคนนั้นเยาะเย้ย โดยไม่รอให้เจี้ยนเฉินตอบออกมา เขาขยับอีกครั้งและในเวลาไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวห่างจากเจี้ยนเฉินไป 10 เมตร เขายื่นมือออกมาเพื่อคว้าคอเจี้ยนเฉินด้วยสองมือของเขา
ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายเย็นชา ขณะที่ตาของเขาแวบขึ้นด้วยประกายที่อันตราย ก่อนที่จะถอนหายใจ ไฮ้ ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายของข้า
ทางเลือกสุดท้ายคือทักษะที่สุดยอดในการช่วยชีวิตของเจี้ยนเฉิน มันเป็นทักษะเดียวกับที่คนในทวีปเทียนหยวนรู้จัก – กระบี่วิญญาณ
ย้อนกลับไปเขาได้เรียนรู้หลังจากที่กระบี่วิญญาณเมื่อเขาได้ต่อสู้กับต๊กโกวคิ้วป่าย เมื่อนานมาแล้ว ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เขาได้พัฒนาและเรียนรู้ทักษะที่ยอดเยี่ยมนี้
ถึงอย่างนั้นเช่นเดียวกับที่เจี้ยนเฉินได้บรรลุถึงความสามารถขั้นสูงสุดของเขาในสถานการณ์เดียวกันนี้ แสงสีแดงเจิดจ้าเต็มท้องฟ้ายามค่ำคืนมันมุ่งหน้าไปยังชายกลางคนซึ่งตอนนี้กำลังจะจับตัวเจี้ยนเฉิน
เมื่อเห็นกระบี่ยักษ์สีแดงเข้ามาทางหางตา ชายคนนั้นก็แค่นเสียงออกมาอย่างดูถูกเหยียดหยาม เมื่อเขาเคลื่อนไหวออกห่างจากเจี้ยนเฉิน แสงสีฟ้าที่แขนขวาของเขาก็เริ่มส่องแสงขึ้นอย่างเจิดจ้าโดยคลุมไปทั่วแขนของเขาราวกับผ้าห่อศพ ธาตุลมของชายคนนั้นเกิดมาจากพลังเซียน เขายกแขนขึ้นและกระแทกใส่กระบี่สีแดงพร้อมกับจับมันไว้ในมือของเขา
ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เจี้ยนเฉินก็คลานขึ้นมาจากพื้นทันทีและมองไปที่ชายคนนั้นด้วยสายตานิ่งเฉย
เจ้าของกระบี่สีแดงเป็นหทารรับจ้างที่ดูเหมือนจะอายุประมาณ 20-30 ปี มีรูปร่างหน้าตาธรรมดา -คนประเภทนี้สามารถที่จะกลมกลืนเข้ากับฝูงชนได้ง่าย ๆ แต่ทหารรับจ้างคนนี้ก็ไม่ใช่ชายแปลกหน้าของเจี้ยนเฉิน นี่คือคนใจดีที่คุยกับเขาระหว่างเดินทาง มู่หยุน
ชายกลางคนหัวเราะเยาะกระบี่ที่มู่หยุนถือและพูดว่า เจ้าประเมิณตนเองสูงเกินไปแล้ว
เมื่อได้ยินอย่างนั้นมู่หยุนก็ยิ้มออกมาอย่างแปลก ๆ และหัวเราะ เจ้าเป็นแค่เซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางเท่านั้น มันไม่ได้แข็งแกร่งกว่าข้า ข้าสามารถพูดในสิ่งที่ข้าต้องการได้ กระบี่ของมู่หยุนเปล่งแสงอย่างงดงามและกดดัน ในตอนกลางคืนกระบี่ของเขาส่องสว่างออกไปรอบ ๆ ตัวของเขาด้วยแสงที่เจิดจ้า อุณภูมิรอบ ๆ ตัวของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีกระบี่สีแดงก็กลายเป็นสีแดงเพลิง แสงไฟสั่นไหววิบวับอย่างต่อเนื่องเสมือนถูกไฟเผาไหม้อยู่
เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังเซียนที่ไม่มีสิ้นสุด ชายคนนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาปล่อยมือจากคมกระบี่และกระแทกเข้าในใบกระบี่อย่างรุนแรง
ปัง!
เมื่อได้รับแรงปะทะจากชายคนนั้น กระบี่ของมู่หยุดก็ปลิวมาตกอยู่ข้าง ๆ แต่ด้วยประสบการณ์ของมู่หยุน เขาใช้ประโยชน์ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลันเพื่อเก็บกระบี่ กระบี่หมุนเป็นวงกลมก่อนที่จะเฉือนชายคนนั้นทันที
ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าจะทำให้เจ้าสมปรารถนา ! ชายคนนั้นตะโกน ง้าวของเขากระพริบด้วยแสงสีฟ้าเมื่อเขาโบกอาวุธไปรอบ ๆ ตัว สายลมโชยเบา ๆ พร้อมกับอาวุธของเขาบินเข้าหากระบี่สีแดงเพลิง
เคร้ง !
กระบี่ของมู่หยุนและง้าวของชายคนนั้นก็ปะทะกันทำให้เกิดเสียงดังของโลหะกระทบกันออกมา ทันทีที่อาวุธเซียนสองชิ้นแยกออกจากกัน มู่หยุนก็เซไปด้านหลังกว่า 10 เมตร ขณะที่ชายกลางคนยังคงยืนนิ่งอยู่ราวกับเทือกเขาไท่ซานโดยไม่มีการแสดงอาการใด ๆ
เพียงครั้งเดียวก็เพียงพอที่จะดูออกว่าใครอ่อนแอกว่าและใครแข็งแกร่งกว่า
เจี้ยนเฉินที่อยู่ข้าง ๆ รู้ว่ามู่หยุนอ่อนแอกว่าชายคนนั้นมาก อย่างไรก็ตามมู่หยุนยังคงแข็งแกร่งกว่าตัวของเขาและจากการประเมิณของเจี้ยนเฉิน ความแข็งแกร่งของมู่หยุนควรจะอยู่ในขอบเขตเซียนระดับสูงขั้นกลางหรือขั้นสุดยอด เนื่องจากชายคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญธาตุลมที่มีความเร็วอย่างมาก พลังของเขาจึงอ่อนแอกว่าของมู่หยุนที่เป็นธาตุไฟที่หายากอย่างมาก ต่อจากธาตุแสงและธาตุมืดที่เป็นที่รู้จักกันดีว่าธาตุไฟมีพลังที่แข็งแกร่งที่สุด
ถ้าชายคนนั้นพึ่งพาธาตุลมของเขาซึ่งทำให้พลังเซียนในการต่อสู้ได้ครอบงำธาตุไฟของมู่หยุนได้ ถ้าชายคนนี้ได้แสดงออกมาพร้อมกับธาตุลมของเขา เจี้ยนเฉินมั่นใจว่ามู่หยุนจะไม่อาจต่อสู้ได้นานนัก
แต่ถ้าเขาและมู่หยุนรวมกันต่อสู้ เขาก็มั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะชายวัยกลางคนได้
สิ่งที่โชคร้ายคือเจี้ยนเฉินได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว ส่วนสำคัญที่สุดของร่างกายของเขาและแต่ละคนต่างก็พากันต่อสู้อย่างตื่นเต้น ในสถานการณ์ปัจจุบันของเขา การช่วยเหลือมู่หยุนก็ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไรนัก เพียงแค่ยืนอยู่เฉย ๆ เขาก็ต้องใช้พลังมากแล้ว
การโจมตีของมู่หยุน ทำให้ตาของชายกลางคนมีจิตสังหารอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ให้เวลากับมู่หยุนเพื่อปรับสมดุลก่อนที่เขาจะรวบรวมกระแสลมไว้รอบ ๆ ง้าวของเขาและวิ่งไปข้างหน้าจนทิ้งภาพติดตาจากจุดที่เขายืนอยู่ ไม่นานเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้ามู่หยุนและฟันออกมาด้วยความเร็วสูง
เมื่อมันมาถึงมู่หยุน อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจอะไร ทันใดนั้นก็เกิดรอยยิ้มที่มุมปากของมู่หยุน ชายคนนั้นปรากฏตัวพร้อมกับที่จะฆ่าเขา อย่างไรก็ตามมู่หยุนไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด
ใบหน้าของมู่หยุนตึงเตรียด เขาตะโกนด้วยความโกรธขณะที่กระบี่สีแดงในมือของเขาเพิ่มอุณหภูมิร้อนอย่างมาก ในเวลาเดียวกันนั้นเปลวไฟก็ปะทุขึ้นมาครอบคลุมใบกระบี่ พร้อมกับที่มู่หยุนฟันกระบี่ไปปะทะกับง้าว
ทันทีที่มู่หยุนฟันกระบี่ของเขา มันก็กลายเป็นงูเพลิงสามตัว สองตัวแรกพุ่งไปที่ง้าวขณะที่อีกตัวที่เหลือพุ่งเข้าใส่ศัตรูของเขา
ปัง!
ง้าวและงูเพลิงเข้าปะทะกันครั้งใหญ่ งูสองตัวถูกผ่าครึ่งด้วยง้าว ทำให้เกิดประกายไฟกระจายออกไปทั่วบริเวณ ถ้าใครมองจากไกล ๆ พวกเขาจะคิดว่าเป็นดอกไม้ไฟที่ใหญ่อย่างมาก
ในขณะที่งูสองตัวแรกถูกฟันจนหายไปโดยง้าว งูตัวที่สามก็เหมือนกับเสือที่ดุร้ายและเพิ่มความร้อนมากขึ้นขณะที่ลอยอยู่ในอากาศไปหาชายคนนั้น
งูไฟตัวที่สามลอยเข้าหาชายคนวัยกลางคน มือขวาของเขาปล่อยง้าวและจากนั้นชายคนนั้นก็รวบรวมพลังเซียนธาตุลมเข้ามาในกำปั้นก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหางูไฟ
กำปั้นนั้นปะทะกับงูไฟทำให้เกิดเสียงดังกึกก้อง งูไฟกระจายไปทั่วท้องฟ้าในตอนกลางคืนก่อนที่จะหายไปในอากาศ
หลังจากที่กำจัดงูไฟด้วยกำปั้นแล้ว ชายคนนั้นก็หยุดโจมตีใส่มู่หยุน ขณะที่ร้องออกมาด้วยความตกใจ นี่คือทักษะการต่อสู้ ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ด้วย ไม่มีใครรู้ว่ากำปั้นของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงและขยายใหญ่ขึ้น
เมื่อได้ยินสิ่งที่ชายคนนั้นพูด เจี้ยนเฉินก็มองมาที่มู่หยุนอย่างแปลกใจ เจี้ยนเฉินไม่รู้จักทักษะการต่อสู้ แต่เขารู้ว่าพวกมันเป็นดั่งของล้ำค่าสำหรับผู้บ่มเพาะในทวีปเทียนหยวน เป็นไปได้ที่พวกมันจะช่วยจะเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาอีกหลายขั้นและไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถจัดการได้ เจี้ยนเฉินไม่คิดว่าทหารรับจ้างที่ดูธรรมดาอย่างมู่หยุนจะมีสิ่งของที่ราคาแพงขนาดนี้ เนื่องจากทักษะการต่อสู้นั้นหายากและมีราคาแพง แม้กระทั่งเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษก็ยังไม่อาจครอบครองได้
ทักษะการต่อสู้มีทั้งระดับสูงและต่ำ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินออกจากบ้านเดินทางมาที่ทวีปเทียนหยวน แต่เขาก็ยังได้อ่านหนังสือหลายเล่มในหอหนังสือและไม่ด้อยไปกว่าประสบการณ์ของทหารรับจ้างในแง่ของความรู้ ด้วยการมองการณ์ไกลของเขา เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าทักษะการต่อสู้และวิธีการบ่มเพาะของมู่หยุนนั้นอยู่ในระดับต้น ๆ นี่เป็นเพราะทักษะการต่อสู้และวิธีการบ่มเพาะที่คนธรรมดาไม่สามารถทำได้ การจะสร้างเปลวเพลิงโดยอาศัยจุดแข็งของมู่หยุนในฐานะเซียนระดับสูง
ตอนที่ 76: ใช้ไทเก๊กกับศัตรู
เจี้ยนเฉินถอยหลังออกไปกว่า 20 เมตรก่อนที่จะหยุด ใบหน้าของเขาดูหนักใจอย่างมาก ตอนนี้เขาหน้าซีดไปแล้ว
มีความแตกต่างกันมากระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขา เจี้ยนเฉินไม่อาจต่อสู้ได้แม้กระทั่งความเร็ว แต่เขาก็เพิ่งพ่ายแพ้จากการที่อาวุธปะทะกัน แม้ว่าจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับเขามาก แต่พลังเซียนของชายวัยกลางคนก็แข็งแกร่งกว่าของเจี้ยนเฉินหลายเท่าและการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็ทำให้กระบี่วายุโปรยของเขาสั่นสะท้านน้อย ๆ ซึ่งทำให้เกิดอาการบาดเจ็บภายใน
ชายคนนั้นจ้องมองเจี้ยนเฉิน มันเป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาอาจจะได้รับความบาดเจ็บ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าดูแคลนเจี้ยนเฉินอีกต่อไป แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะอ่อนแอกว่าเขา แต่เขาก็มีเพียงความเร็วเท่านั้นที่มากกว่าเจี้ยนเฉิน นี่เป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อชายคนนั้นและเขาก็ยอมรับว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งกว่าบางคนที่อยู่ในระดับเดียวกับชายคนนั้น
อย่างไรก็ตามจณะที่เขากำลังมองสภาพของเจี้ยนเฉิน เขาก็เข้าใจทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นและเริ่มหัวเราะ เจ้าเด็กเหลือขอ ข้ายอมรับว่าเจ้าเร็วมาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้ายังอ่อนด้อยเกินไปนัก โดยไม่รีรอให้เจี้ยนเฉินได้มีเวลาพักหายใจ เขาก็พุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินที่ห่างออกไป 2 เมตรทันที ง้าวของเขาก็พร้อมที่จะแยกตัวเจี้ยนเฉินออกเป็นสองส่วน
เนื่องจากการปะทะกันระหว่างกระบี่วายุโปรยและง้าวทำให้เจี้ยนเฉินได้รับความบาดเจ็บ เนื่องจากคู่ต่อสู้ของเขาห่างจากตัวเขาถึง 2 ระดับและยังเป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลาง ปะทะกันเบา ๆ เขาก็ได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ ท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ใช้ย่างก้าวพริบตาเพื่อต่อสู้กับคู่ต่อสู้ด้วยพลังที่มากที่สุดเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสภาพที่ได้รับบาดเจ็บ เขาไม่อาจว่องไวได้เหมือนเก่าอีกต่อไป เพียงแค่หลบการโจมตีเขาก็ต้องใช้พลังไปมากแล้ว
เมื่อชายคนนั้นยังโจมตีกับเจียนเฉิยนไม่หยุดหย่อน เขาก็ตระหนักได้ว่าภัยคุกคามของเจี้ยนเฉินนั้นได้ลดลงไปแล้ว ในทำนองเดียวกันเขาก็ใช้พลังทั้งหมดของเขาพุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉินโดยไม่เสียดายชีวิต ความเร็วของเขาก็เร็วยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน
ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของชายคนนั้น เจี้ยนเฉินจึงต้องใช้พลังมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเขาอยู่ในสถาพที่สมบูรณ์ ไม่เพียงแต่เจี้ยนเฉินจะสามารถหลบได้ง่าย ๆ แต่เขาก็สามารถที่จะโจมตีโต้ตอบได้เช่นกัน แต่ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เขาจึงไม่อาจหลบหลีกได้ง่าย ๆ และเนื่องจากความเร็วของชายคนนั้นเพิ่มขึ้น การเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉินเพื่อหลบหลีกก็ทำได้เพียงฉิวเฉียดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ชายคนนั้นเริ่มโจมตีเร็วขึ้นเรื่อย ๆ เขาสามารถโจมตีได้หลายสิบครั้งภายในกระบวนท่าเดียว ไม่นานก็มีรอยเลือดปรากฏอยู่บนเสื้อผ้าของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากเขาไม่อาจโต้ตอบได้อีกต่อไป อน่างไรก็ตามก็สามารถเห็นได้ว่าบาดแผลของเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้ลึกสักเท่าไรนัก
มีแสงสีฟ้าสว่างภายใต้ยามค่ำคืนออกมาจากง้าวของชายคนนั้นที่พุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะพยายามอย่างมากเพื่อหลบคมง้าว แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลงเรื่อย ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจหลบง้าวของชายคนนั้นได้อย่างหมดจดอีกต่อไป ง้าวได้ทิ้งรอยบาดที่ลึกจนเห็นกระดูกบนหน้าอกของเจี้ยนเฉินและเลือดจำนวนมากก็เริ่มที่จะไหลออกมาย้อมเสื้อผ้าของเขา
ชายคนนั้นหัวเราะอย่างดุดันในขณะที่เขายังคงฟันต่อไป ใช้ประโยชน์ที่เจี้ยนเฉินไม่ได้ขยับอีกต่อไป ชายคนนั้นก็ยิ่งเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ เร็วดั่งสายฟ้า เขาเตะเท้าขวาที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีฟ้าไปยังหน้าอกของเจี้ยนเฉิน
ปัง!
การเตะของชายคนนั้นได้ส่งเจี้ยนเฉินปลิวไปด้านหลังดั่งลูกกระสุน ในขณะที่ร่างของเจี้ยนเฉินยังคงลอยอยู่บนอากาศ เจี้ยนเฉินไม่อาจทำอะไรได้นอกจากกระอักเลือดออกมาคำโต ขณะที่เขาลอยไปด้านหลัง 20 เมตรพร้อมกับผ่านหน้าโจรไปสองสามคนก่อนที่จะตกลงที่พื้น หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็กระเลือดออกมาอีกครั้ง ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับคนตาย
ชายคนนั้นก็เดินเข้าหาเจี้ยนเฉินพร้อมกับแสงสีฟ้าที่อยู่ห่างออกไป 20 เมตรและพูดว่า ข้าจะให้โอกาสครั้งสุดท้ายกับเจ้า หากเจ้ามีความลับอะไรที่ทำให้ความเร็วของเจ้าเท่ากับข้า ข้าจะปล่อยชีวิตของเจ้า ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างแน่นอน ! ดวงตาของชายคนนั้นเปล่งประกายด้วยความอยากรู้และหัวใจของเขาก็เต้นเร็วพอ ๆ กับความคิดของเขาพร้อมกับหวังที่จะได้ทักษะของเจี้ยนเฉิน ความเร็วของธาตุลมเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากสำหรับเขา แม้ว่าเขาจะไม่กล้าใช้ความเร็วของเขาไปจนถึงระดับใหม่แต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถปรับปรุงความแข็งแกร่งของเขาได้และเพิ่มสถานะในกลุ่มโจรไร้ขอบเขต
เมื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ชายคนนั้นก็ตื่นเต้นอย่างมาก เขาสั่นราวกับว่าเขานั้นโกรธมาก แต่จริง ๆ แล้วมันสั่นมาจากสภาวะทางอารมณ์ที่อดกลั้นไม่ให้แสดงออกมาของเขา
เจี้ยนเฉินเช็ดเลือดออกจากปากของเขาและค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน เขาจ้องมองไปยังชายคนนั้นด้วยท่าทีที่เยือกเย็น พร้อมกับพูดเยาะเย้ยน้อย ๆ ว่า ข้าเกรงว่าเจ้าไม่อาจแข็งแกร่งพอที่จะใช้มัน แม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้กลัวความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของพวกเขา
ขณะที่เขาพูด เจี้ยนเฉินก็จัดท่าทางให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดอย่างผ่อนคลายราวกับว่าเขาไม่สนใจที่จะป้องกันอีกแล้ว มือขวาของเขากำกระบี่หลวม ๆ สถานภาพตอนนี้ของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก
คำพูดของเจี้ยนเฉินทำให้ใบหน้าชายคนนั้นมืดครึ้ม เขาตะโกนกลับมาว่า เจ้าเด็กเหลือขอ ด้วยกำลังของเจ้า เจ้าไม่มีสิทธิ์พูดถึงเรื่องนี้ หากเจ้าไม่เต็มใจที่จะบอกข้า เจ้าก็ควรเตรียมพร้อมที่จะรับผลจากการกระทำของเจ้าเอง เมื่อจบคำพูดชายคนนั้นก็วิ่งเข้าหาเจี้ยนเฉินพร้อมกับแกว่งง้าว ให้ปลายง้าวไปยังด้านขวาฟันสะพายแล่งลงไปที่เจี้ยนเฉิน
แม้จะเห็นวิธีการที่ชายคนนั้นทำ เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้แสดงออกว่าเขาจะหลบ เขายกกระบี่ของเขาขึ้นมาแทน แม้ว่ากระบี่ของเขาจะเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่เท่ากัน แต่ดูเหมือนว่ากระบี่นั้นจะเบาราวกับขนนกและลอยอยู่กลางอากาศได้อย่างดี สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับจิตสังหารที่ได้ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้
กระบี่วายุโปรยและง้าวปะทะกันโดยไม่มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้น หลังจากนั้นกระบี่วายุโปรยก็เหมือนจะเกาะติดง้าวอย่างนุ่มนวล มันเกาะง้าวราวกับหนอนเกาะอยู่บนต้นไม้และเบนวิถีของง้าวออกไป มันหมุนควงอยู่สองสามครั้งจากนั้นก็กระชากง้าวไปด้านข้างก่อนที่ตัวง้าวจะตกลงพื้น
ใบหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไปเมื่อเขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างประหลาดใจ ตอนนี้เขาไม่อาจควบคุมการเคลื่อนไหวของง้าวได้อีก หากเขาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอว่าเขาเพียงเล็กน้อย เขาจะไม่ประหลาดใจมากนัก แต่กับเจี้ยนเฉินซึ่งอ่อนแอกว่าเขามาก ทำให้เขาไม่อาจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้
นี่มันเพลงกระบี่อะไร ? ชายคนนั้นถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ
ไทเก๊ก เจี้ยนเฉินตอบ เมื่อพูดถึงไทเก๊กเขาก็ไม่ได้มีความชำนาญเท่าไรนัก อย่างไรก็ตามเขายังฝึกมันได้มากพอที่จะเข้าใจปรัชญาของไทเก๊กที่ว่า อ่อนสยบแข็ง มันเป็นหลักการในการเบี่ยงอาวุธ ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่อ่อนแอกว่าคู่ต่อสู้เท่านั้น แต่ยังอยู่ในสภาพที่พลังจะหมดไปอีกต่างหาก แต่ตอนนี้เจี้ยนเฉินถูกบังคับให้ใช้เคล็ดวิชาไทเก๊ก ซึ่งเขาไม่ชำนาญในการปัดป้องการโจมตี
ไทเก๊กเน้นไปที่ความคิด อ่อนสยบแข็ง เพื่อให้คนที่อ่อนแอสามารถเอาชนะคนที่แข็งแกร่งกว่าได้ ด้วยความสามารถที่ใช้เบี่ยงเบนการโจมตีในลักษณะนี้ มันพิสูจน์ได้ว่ามันมีประโยชน์อย่างมากต่อเจี้ยนเฉินในตอนนี้ ข้อบกพร่องมันเพียงอย่างเดียวคือเจี้ยนเฉินมีความรู้เพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแนวคิดของไทเก๊กและมันก็ไม่แย่เท่าไรนัก ในที่สุดเขาก็เชี่ยวชาญในการปลดอาวุธ ถึงอย่างนั้นก็มีประโยชน์กับเจี้ยนเฉินในเวลานั้น
คิ้วของชายคนนั้ก็ขมวดเข้าหากันขณะที่เขาพูดออกมา หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า ไทเก๊ก ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน ดวงตาของมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่าสับสนก่อนที่จะหัวเราะ เจ้าเด็กเหลือขอ แต่เจ้าก็ยังอ่อนแอกว่าข้ามาก ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะรู้เคล็ดวิชามากมาย ดูเหมือนว่าการจะฆ่าเจ้าจะเป็นการสิ้นเปลือง ข้าควรจะจับเจ้าแทน นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับตัวเจ้าเช่นกัน ชายคนนั้นเคลื่อนไหวไปหาเจี้ยนเฉินอีกครั้งพร้อมกับเสริมความสามารถเข้าไปในง้าวที่อยู่ในมือ เขาได้ตัดสินใจว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็จะจับเจี้ยนเฉิน แม้ว่าเคล็ดวิชาไทเก๊กไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะเรียนรู้ แต่ชายคนนั้นต้องการที่จะเข้าใจเคล็ดวิชาที่ทำให้เจี้ยนเฉินสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว
เจี้ยนเฉินใช้ไทเก๊กเพื่อจัดการกับคู่ต่อสู้ของเขา ด้วยวิธีการที่ลึกซึ้งในการรับมือกับการโจมตีแต่ละครั้งจากชายคนนั้น เขาก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจควบคุมง้าวของเขาได้อีกต่อไป
แม้ว่าเขาจะไม่เชี่ยวชาญในเรื่องนี้มาก แต่ไทเก๊กของเจี้ยนเฉินก็ทำให้ความแข็งแกร่งของเขาดูเหมือนจะไม่มีความหมายเลย อย่างไรก็ตามมันใช้ความพยายามอย่างมากในส่วนของเจี้ยนเฉินแม้ไทเก๊กจะทำให้เขาสามารถเบี่ยงเบนการโจมตีของอีกฝ่าย เจี้ยนเฉินเป็นเพียงเซียนดังนั้นจึงต้องใช้พลังงานทั้งหมดของเขาเพื่อสลายพลังส่วนใหญ่ของเขาจากง้าวและส่งไปที่อื่น ดังนั้นในขณะที่ดูง่ายแต่จริง ๆ แล้วมันก็ยากที่จะใช้ออกมา
แต่การที่ใช้ไทเก๊กนั้นเป็นวิธีการป้องกันชั่วคราวและเขาไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ตลอดโดยไม่ใช้โอกาสเหล่านี้ตอบโต้กลับได้ ถ้ามันไม่ได้เป็นความจริงที่ว่าฝ่ายตรงข้ามถูกกดดันจากการโจมตีของเขา เจี้ยนเฉินจะไม่ใช้วิชาไทเก๊กแน่นอน
หลังจากนั้นอีกไม่กี่นาทีของการต่อสู้ระยะใกล้ชายคนนั้นก็เริ่มโกรธและโกรธมากขึ้น ทุกครั้งที่เขาโจมตีไปกับคนที่อ่อนแอกว่า เจี้ยนเฉินก็ได้ใช้วิชาแปลก ๆ ของเขาเพื่อเบี่ยงวิถีโจมตี สิ่งนี้ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมอาวุธของเขาและสำหรับเขานี่คือความอัปยศสูงสุด
เจ้าบัดซบ ข้าไม่เชื่อว่านี่คือทั้งหมดที่ข้าจะสามารพจัดการเจ้าได้ ! ชายคนนั้นโกรธจนถึงขีดสุด เขาไม่อาจเก็บความโกรธของเขาได้อีกต่อไปขณะที่เขายังคงสบถใส่เจี้ยนเฉินอย่างดุดัน
หลังจากนั้นไม่นานความแข็งแกร่งของชายคนนั้นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เจี้ยนเฉินต้องดิ้นรนในการป้องกันมากขึ้น ใบหน้าของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อขณะที่พลังเซียนของเขาเริ่มหมดลง
ตอนที่ 75: ต่อสู้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญ
กระบี่วายุโปรยเป็นเหมือนกับมีดร้อน ๆ ที่ตัดผ่านเนยเพราะมันได้ฟันผ่าพลังเซียนออกเป็นสองส่วน อย่างไรก็ตามพลังของมันได้ถูกลดทอนลงเมื่อทะลวงผ่านเกราะป้องกันของเขา ปลายกระบี่นั้นไม่เบี่ยงเบนแม้แต่น้อยขณะที่ยังคงทะลวงเข้าไปหาชายวัยกลางคน การป้องกันทั้งสองชั้นของชายคนนั้นถูกผ่าออกเป็นเสี่ยง ๆ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่กระบี่วายุโปรยทะลวงชั้นพลัง ชายคนนั้นก็รั้งพลังเซียนธาตุลมผลักตัวเองให้ถอยไปด้านหลัง.
ชายวัยกลางคนยืนห่างออกไปไม่กี่เมตรขณะที่มองเจี้ยนเฉินอย่างดุดัน ใบหน้าของเขาแข็งกระด้างขณะพูด “เป็นความเร็วที่น่าทึ่งนัก”
เจี้ยนเฉินมองกลับไปที่ชายคนนั้นโดยไม่พูดอะไรอีก เขารู้สึกว่าไม่เป็นไรแม้ว่าจะใช้พลังถึงขีดสุดแล้ว เขาใช้ความเร็วในแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน แต่การโจมตีของเขาก็ถูกหลบได้โดยชายคนนั้น ถ้าเจี้ยนเฉินต้องการที่จะสังหารชายคนนั้น เขาก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าเจี้ยนเฉินเลยและเขาก็เป็นเซียนธาตุลม แน่นอนว่าเขาจะต้องเชี่ยวชาญเรื่องความเร็วอย่างมาก พูดอีกอย่างคืออาจกล่าวได้ว่าเจี้ยนเฉินไม่ได้เปรียบเขาในด้านอื่น ๆ เลย
หากว่าไม่คำนึงถึงความปราณีตในการใช้กระบี่ของเขา มันก็ไม่เร็วกว่าการโต้ตอบของคู่ต่อสู้และทุกอย่างก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้เนื่องจากมีความแตกต่างอย่างมากในจุดแข็งของพวกเขา เจี้ยนเฉินจึงไม่กล้าที่จะต่อสู้กับชายกลางคนในระยะประชิด
“ความแข็งแกร่งของเจ้าอยู่ในขอบเขตเซียนผู้เชี่ยวชาญแล้ว ? ” เจี้ยนเฉินถามขณะที่จ้องมองไปยังชายคนนั้น
ชายคนนั้นไม่อาจซ่อนความตกใจได้ “ถูกต้อง ข้าอยู่ในขอบเขตเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลางแล้ว” หลังจากนั้นเขาก็พูดหยุดพูดก่อนที่จะจ้องมองมาที่เจี้ยนเฉินและพูด “เจ้ายังไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเจ้าและไม่ได้มีธาตุลม แม้ว่าตอนนี้ความเร็วของเจ้าก็ไม่ได้ช้านัก ดังนั้นข้าเลยไม่แน่ใจว่าเจ้ามีความเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น ตอนนี้ในความคิดของเขานั้น ตัวเขาอยากจะรู้จริง ๆ ในฐานะที่เขาเป็นเซียนธาตุลมถ้าเขาอ่อนแอกว่าอีกฝ่ายในด้านอื่น ๆ มันก็ไม่เป็นไร แต่ในด้านความเร็วนั้นเขาไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้ง่าย ๆ เจี้ยนเฉินฟันเขาอย่างรวดเร็วในขณะที่ตัวเจี้ยนเฉินนั้นอ่อนแอกว่าเขามากและไม่ได้เป็นเซียนธาตุลม ดังนั้นชายคนนี้จึงอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น
“ข้าขอโทษ แต่ข้าไม่ต้องการตอบในเรื่องนี้” เจี้ยนเฉินตอบ
เมื่อได้ยินอย่างนี้ชายคนนั้นก็จ้องมองอย่างเฉยเมยก่อนที่จะแค่นเสียง “ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้าใช้ทักษะอะไรจึงได้รวดเร็วกว่าข้า ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปออกจากที่นี่ทั้ง ๆ ที่เจ้ายังมีชีวิต ฮึ่ม เจ้าคิดว่าเจ้าจะแข่งกับข้าด้านความเร็วได้รึ ? “
“ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เร็วกว่าเจ้า ทำไมเจ้าไม่เข้ามาทดสอบด้วยตัวเองล่ะ ? ” เจี้ยนเฉินตอบพร้อมกับคุกคามชายคนนั้น เจี้ยนเฉินไม่กลัว ตรงกันข้ามเขาพร้อมที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่ ขณะที่เขากำกระบี่แน่นจนเส้นเลือดที่มือของเขาปูดโปน พร้อมกับปล่อยปราณกระบี่ออกมาจากปลายกระบี่อย่างต่อเนื่องและแผ่ไปทั่วทั้งร่างของเจี้ยนเฉิน
ชายคนนั้นจ้องไปที่เจี้ยนเฉิน มีประกายแสงวาบที่ตาของเขา ในใจของเขายังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเร็วของเจี้ยนเฉิน แม้ว่าตัวเจี้ยนเฉินจะมีความเร็วที่รวดเร็วมาก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นเซียนธาตุลม ดังนั้นเขายังไม่มีความได้เปรียบในจุดแข็งของชายกลางคน ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่ต้องการประลองความเร็วของเจี้ยนเฉิน การหลบการโจมตีของกระบี่ก่อนหน้านี้มันได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาในการเคลื่อนไหว หากเขาช้าลงกว่านี้อีกหน่อยก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระบี่ของเจี้ยนเฉินได้แทงทะลุหัวใจของเขาไปแล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างกลัวที่จะต่อสู้กับเจี้ยนเฉิน
ไม่เพียงแค่นั้น มองไปที่เสื้อผ้าเนื้อหยาบของเจี้ยนเฉิน เขาสามารถเดาได้ง่าย ๆ ว่าความเร็วของเจี้ยนเฉินนั้นรวดเร็วเพียงใดในการเคลื่อนไหวโดยไม่มีแม้แต่เหงื่อ ถ้าเจี้ยนเฉินสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วต่อเนื่อง หากมันเป็นแบบนี้เขาจะต้องเครียดมากเป็นแน่แท้
เมื่อเห็นว่าชายคนนี้ไม่โจมตี เจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะเพิกเฉยและดูการเคลื่อนไหวทุกอย่างช้า ๆ เจี้ยนเฉินรู้ว่าในกรณีนี้เขาเร็วน้อยกว่าศัตรูของเขา ดังนั้นหากได้โอกาสเขาจะต้องลงมืออย่างรุนแรงโดยไม่ออมมือเอาไว้แม้แต่น้อย สิ่งที่เขาได้ทำตอนนี้คือขัดขวางชายคนนั้นเพื่อที่เขาจะไม่สามารถไปฆ่าทหารรับจ้างที่อ่อนแอกว่าได้ หากเขาถ่วงเวลาได้นานพอจนผู้เชี่ยวชาญของหทารรับจ้างมาและช่วยจัดการเขาแทนเจี้ยนเฉิน
การต่อสู้ยังไม่หยุดขณะที่ทั้งสองยังคงจ้องมองกัน เสียงของการต่อสู้ยังสามารถได้ยินขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็เสียกำลังพลเป็นจำนวนมาก พื้นดินถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด จนถึงตอนนี้มันแทบจะเป็นบ่อน้ำแล้ว
พวกโจรยังคงต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่พวกเขามี คนที่สามารถรอดได้นั้นเป็นคนที่มีสองอย่างคือความแข็งแกร่งและสมอง ในขณะที่ทหารรับจ้างและโจรมีจำนวนเท่ากัน
ทั้งสองยังคงยืนอยู่ที่นั่นก่อนหน้านี้และในที่สุดก็เริ่มเคลื่อนไหว พร้อมกับสายลมใบมีดของง้าวก็ส่องแสงจนคล้ายกับพระจันทร์เสี้ยวในตอนกลางคืนขณะที่ชายคนนั้นวิ่งพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉินที่ห่างจากเขาอยู่สองเมตร
เมื่อเห็นชายคนนั้นพุ่งเข้ามา ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็แวบออกมาอย่างอันตราย ขณะที่เขาใช้กระบี่วายุโปรยยกขึ้นมาปัดป้องอย่างแผ่วเบา
ชายคนนั้นฟันง้าวลงมาที่เจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วพร้อมกับทิ้งเส้นแสงสีเขียวเอาไว้
เจี้ยนเฉินไม่ได้วางแผนที่จะต่อสู้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลาง ครั้งนี้เขาหลบหลีกการโจมตีที่ชายคนนั้นทำต่อเขา
อย่างไรก็ตามขณะที่เจี้ยนเฉินแทงกระบี่ ง้าวของชายคนนั้นก็เปลี่ยนทิศทางอย่างฉับพลันและวาดกระบี่ออกไปด้านข้างพร้อมกับปัดป้องการโจมตีของเจี้ยนเฉิน
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปขณะที่เขารั้งกระบี่ของเขากลับทันทีอย่างไม่เต็มใจที่จะเข้าปะทะกับชายคนนั้นตรง ๆ
กระบี่วายุโปรยของเจี้ยนเฉินนั้นเทียบเท่ากับชีวิตของพลังเซียน มันเชื่อมโยงกับพลังชีวิตของเขา หากกระบี่บิ่นหรือกระบี่ร้าว ชีวิตของเขาก็เหมือนกัน และถ้ากระบี่วายุโปรยของเขาพัง เขาก็จะเสียการฝึกฝนทั้งหมดและชีวิตของเขาก็จะแย่ลง
ในทวีปเทียนหยวนมีคนเคยตายมาแล้วเนื่องจากอาวุธของเขาถูกทำลาย มันพบเห็นได้ทั่วไป แต่ด้วยอาวุธเซียนเป็นตัวแทนของแก่นพลังเซียนที่อยู่ถายใน เมื่อมันถูกเรียกใช้มันก็จะกลายมาเป็นรูปธรรมอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งกว่านั้นกว่ามันจะมาได้ขนาดนี้มันก็ลำบากอย่างมาก ดังนั้นไม่มีใครจะต่อสู้กับใครบางคนที่แข็งแกร่งกว่าตัวของพวกเขาแม้ว่าจะมีอาวุธมากมาย อาวุธที่เกิดจากพลังเซียนนั้นจะไม่มีวันแตกสลาย
เนื่องจากความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ของเขาเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญขั้นกลาง เขาแข็งแกร่งกว่าเจี้ยนเฉินถึง 2 ระดับ ดังนั้นกระบี่วายุโปรยของเขาไม่อาจปะทะเข้ากับง้าวของชายคนนั้นได้ เขาอาจจะต้องได้รับความเสียหายแน่นอนหากทำอย่างนั้น เจี้ยนเฉินไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ เขาจึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้อาวุธปะทะกันมากที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะเป็นคนเดียวที่ต้องทรมานจากการสูญเสียอาวุธ
อีกครั้งที่หลบเลี่ยงการโจมตีของชายคนนั้น เจี้ยนเฉินได้สังเกตเห็นการป้องกันของชายคนนั้นมีจุดอ่อนขนาดใหญ่ เจี้ยนเฉินใช้ประโยชน์จากโอกาสที่หาได้ยากนี้ทันที เขาเคลื่อนที่ไปหาชายคนนั้นอย่างเงียบเชียบและแทงกระบี่วายุโปรยที่ส่องแสงสีแดง เสียงของกระบี่นั้นบางเบาขณะที่เคลื่อนไหวไปในอากาศทำให้ดูเหมือนว่ากระบี่นั้นได้ฉีกอากาศออก ความเร็วของมันเร็วจนถึงจุดสูงสุดเมื่อมันเคลื่อนที่ไปถึงด้านหลังชายคนนั้นปราณกระบี่ที่ห่อหุ้มกระบี่ก็ได้แทงทะลุเสื้อผ้าผ่านเข้ายังผิวหนังด้านหลังของชายคนนั้น
ความเจ็บปวดปรากฏอยู่ที่หลังของเขา ชายคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที แต่เขาก็ไม่ได้แสดงอาการตกใจ เขายังไม่ได้ป้องกันความเร็วของเจี้ยนเฉินอย่างเต็มที่ ทำให้เขาได้แผลที่หลังและกระอักเลือดออกมา ขณะที่โคจรพลังเซียนเพื่อปิดปากแผล ในขณะเดียวกันร่างกายของชายคนนั้นก็เรืองแสงสีฟ้าเนื่องจากความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะทิ้งภาพติดตายังจุดที่เจี้ยนเฉินได้แทงมาที่ด้านหลังของเขา เขาก็เอนตัวไปด้านหน้าและพุ่งออกไปทันทีเพื่อหลบหนีให้พ้นระยะแทงของกระบี่วายุโปรย
ชายคนนั้นเดาแล้วว่าเจี้ยนเฉินจะต้องแทงกระบี่ออกมาด้วยพลังทั้งหมด ในขณะที่การป้องกันของเจี้ยนเฉินนั้นอ่อนแอจนถึงขีดสุด ดังนั้นชายกลางคนจึงใช้โอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้แทงง้าวของเขาสวนกลับไปพร้อมกับส่องแสงพร่างพราวอยู่บนอากาศราวกับดาวประดับแสง เมื่อง้าวพุ่งออกไปก็เกิดเสียงแหลมเสียดหูขณะที่บินไปยังเจี้ยนเฉิน การโจมตีเหล่านี้แทบจะเรียกได้ว่าต้องใช้ความแข็งแกร่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดของชายคนนั้น
เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินทำอย่างไรก่อนหน้านี้ ชายคนนั้นก็รู้ได้ว่าเจี้ยนเฉินเป็นคู่ต่อสู้ที่สูสีและยากที่จะจัดการของเขาอย่างมาก เนื่องจากประสบารณ์ที่ยาวนานของเจี้ยนเฉินทำให้เขาไม่เผยช่องโหว่ใด ๆ ของการป้องกันของเขา ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีหรือการป้องกันตามจังหวะการต่อสู้ อาจกล่าวได้ว่านั้นไร้ที่ติอย่างแท้จริง มันไม่มีช่องว่างเลย นี่เป็นเรื่องจริงอย่างยิ่งเมื่อเจี้ยนเฉินได้ใช้ความพยายามทั้งหมดของเขาในครั้งนี้ เป็นไปได้มากที่สุดว่าสถานการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับชายคนนั้นที่พยายามสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุดกับเจี้ยนเฉิน ถ้าทักษะของเจี้ยนเฉินไม่ดีพอ ชายวัยกลางคนนั้นก็จะไม่มีความตั้งใจที่จะป้องกันการโจมตีของเขา
ง้าวพุ่งออกอย่างรวดเร็วถ้ามันพุ่งไปที่เหล่าคนที่อ่อนแอ พวกเขาก็อาจจะไม่มีเวลาแม้แต่การตอบสนอง
“คว้ามม ! “
พร้อมกับเสียงคำรามของชายคนนั้น แสงสีฟ้าของง้าวก็แว่บไปยังศีรษะของเจี้ยนเฉินที่ไม่อาจป้องกันได้ จากจังหวะการเคลื่อนไหวของเขา ง้าวไม่ได้มีความเร็วที่ลดลงเลยแม้แต่น้อยและกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ชายคนนั้นโจมตีด้วยพลังทั้งหมดที่มีและง้าวก็ได้ระเบิดพื้นจนเป็นหลุม เศษหินกระจายไปรอบ ๆ และมีหลุมกว้าง 1 เมตรปรากฏขึ้นมา ในขณะเดียวกันเงาของเจี้ยนเฉินก็หายไปอย่างสมบูรณ์เนื่องจากการเคลื่อนไหวอย่างฉับพลัน
อย่างไรก็ตามบนใบหน้าของชายคนนั้นก็ไม่มีความดีใจแม้แต่น้อยกลับเป็นใบหน้าที่ตึงเครียดแทน
“ภาพติดตา ! ” ชายคนนั้นร้องออกมาด้วยความตกใจ อย่างไรก็ตามเมื่อความคิดของเขาประมวลผลเสร็จเขาก็สรุปได้แบบนี้ พร้อมความรู้สึกถึงวิกฤตที่ร้ายแรง ชายคนนั้นกระโจนออกไปด้านข้างต้องกับดึงง้าวออกมาจากพื้นดิน
“เคร้ง ! “
เกิดเสียงดังขณะที่ชายคนนั้นยกง้าวขึ้นมาป้องกันกระบี่ที่ส่องแสงโลหิตของเจี้ยนเฉิน
ในขณะที่กระบี่และง้าวเข้าปะทะกันใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปทันที เขาเดาะลิ้นและเกิดความรู้สึกปั่นป่วนอย่างรุนแรงในท้องของเขาและเขาก็ถอยกลับทันที
ตอนที่ 74: การต่อสู้ที่รุนแรง
เจี้ยนเฉินสามารถต่อสู้กับศัตรูมากมายด้วยตัวเพียงคนเดียว ทั้งสนามรบรอบตัวเขาเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและครวญครางพร้อมกับเลือดที่กระจายไปทั่วทุกที่ สำหรับเจี้ยนเฉินนั้นมันเป็นภาพที่เห็นมาจนชินตา ดังนั้นมันจึงไม่อาจทำให้เขาไขว้เขวแม้แต่น้อย
เจี้ยนเฉินยังคงแทงกระบี่ของเขาออกไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากการโจมตีเสร็จสิ้นโจรไร้ขอบเขตก็จะล้มลง ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าเขาไม่มากก็ยังไม่อาจต้านทานกระบี่ของเจี้ยนเฉินได้มากกว่าสามกระบวนท่าและยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังคงถูกฆ่าตายด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ในแง่ของความแข็งแกร่ง เจี้ยนเฉินนั้นอ่อนแอกว่าเมื่อเทียบกับเหล่าโจร อย่างไรก็ตามเมื่อพูดถึงการฆ่าโจรกลับไม่มีใครเทียบกับเขาได้ ในช่วงเวลาไม่นานโจรกว่าสิบคนก็ถูกสังหารโดยเจี้ยนเฉินทำให้กระบี่วายุโปรยนั้นโชกไปด้วยเลือด ในทางกลับกันเสื้อผ้าของเจี้ยนเฉินยังคงเป็นสีน้ำตาล-ขาวสะอาดเนื่องจากไม่มีเลือดกระเซ็นมาโดนแม้แต่หยดเดียว
เจี้ยนเฉินบุกเข้าไปยังแกนกลางของกลุ่มกองโจรโดยไม่รู้ตัว โจรไร้ขอบเขตล้อมเขาไว้ในระยะ 20 เมตรทุกทิศทาง โดยไม่มีทหารรับจ้างให้เห็น คนที่อยู่ใกล้ที่สุดกำลังสู้กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ 3-5 คนตรงแถวหน้าโจร
ฆ่า ! โจรทั้งสามคนกู่ร้องพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินอย่างกระหายเลือด พร้อมกับการยกอาวุธเซียนของพวกเขาด้วยความหวังที่ว่าจะจัดการเจี้ยนเฉินลงได้
เจี้ยนเฉินเหาะไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจเข้าหาหนึ่งในโจรที่พุ่งเข้ามา กระบี่วายุโปรยของเขาซึ่งอาบไปด้วยแสงสีเลือดและพุ่งเข้าไปที่คอของโจร
เจี้ยนเฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญกระบี่ เมื่อเขาขยับเขาก็ทำมันได้อย่างรวดเร็วจนเหล่าโจรไม่มีเวลาตอบสนอง เขามองเห็นเพียงแค่เลือดกระฉูดออกมาจากลำคอของเขา จากนั้นสิ่งที่เขารู้สึกต่อมาก็คือเขาไม่อาจหายใจได้ ราวกับว่ามีบางอย่างขวางคอของเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจตะโกนขอความช่วยเหลือได้เช่นกัน ทันใดนั้นเลือดก็ไหลออกมาจากคอของเขาขณะที่พวกโจรล้มลงกับพื้นโดยไม่ได้ส่งเสียงอะไรอีก
แม้แต่ช่วงเวลาสุดท้ายโจรก็ไม่ได้ตระหนักว่าพวกเขากำลังจะตาย บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ว่าคอของพวกเขาถูกแทงโดยเจี้ยนเฉิน เนื่องจากการฟันกระบี่ของเขานั้นเร็วมาก ๆ โจรจึงไม่มีเวลาตอบสนอง ยิ่งไปกว่านั้นใบกระบี่ของเขาก็บางมากเสียจนทำให้พวกเขาไม่ทันรู้สึกเจ็บหลังจากการโดนแทง
แม้ว่าหลังจากกระบี่วายุโปรยจะแทงไปที่ลำคอของโจร เจี้ยนเฉินก็ยังไม่หยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา และมุ่งเข้าไปหาโจรอีกสองคนมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ตัวเขาพร้อมกับอาวุธของพวกเขาเพื่อฟันใส่เจี้ยนเฉิน
เมื่อเผชิญหน้ากับโจรทั้งสองพร้อมกับอาวุธของพวกเขา เจี้ยนเฉินก้ไม่ได้ดูหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย พร้อมกับใบหน้าที่สงบ เขาจับกระบี่ของเขาและใช้ย่างก้าวพริบตาเพื่อเข้าไปใกล้โจรด้วยความเร็วสูง ในเวลาเดียวกันกระบี่สีแดงเลือดในมือของเขาก็แทงไปที่ลำคอของหนึ่งในสองโจรนั่น
โจรไม่อาจด้านทานกระบี่วายุโปรยได้ขณะที่แทงมา มันเจาะเข้าไปในลำคอของเขาและเมื่อเจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวมันก็ออกมาจากลำคอของพวกเขาและแทงไปที่โจรคนที่สามด้วยรูปแบบเดียวกัน
การแทงจากเจี้ยนเฉินเพียงครั้งเดียวนั้นเร็วมากจนตาเปล่าไม่อาจตามทัน ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงกระบวนท่าของเขาได้ ดังนั้นโจรทั้งสามคนก็ไม่อาจรอดชีวิตจากการถูกแทงไปที่ลำคอของเขาได้เช่นกัน
สำหรับเจี้ยนเฉิน การฆ่าคนเป็นดั่งเรื่องธรรมดาเหมือนกับการหายใจ การได้เห็นชีวิตที่หลุดลอยออกไปจากคนอื่นนั่นไม่ใช่เรื่องแปลกใจและเขาก็ไม่ได้ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะเอาชีวิตของโจร ดังนั้นกระบี่วายุโปรยก็ยังคงมุ่งไปยังพวกโจรต่อไป
ท่ามกลางการปะทุที่ดุเดือด ไม่มีใครปลอดภัยจากการต่อสู้ในครั้งนี้ แม้แต่คนขับรถคาราวานที่ไม่ได้เป็นเซียนก็ถูกรวมกลุ่มกับทหารรับจ้างสองสามคนช่วยกันขับไล่เหล่าโจร
การต่อสู้ทำให้ทั้งสองฝ่ายสูญเสียไปหลายคน ทั้งโจรและทหารรับจ้างได้รับความทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บล้มตายอย่างรุนแรง นอกเหนือจากเจี้ยนเฉินที่ยังคงสะอาดโดยไม่เปื้อนโลหิตเลย ทุกคนต่างเต็มไปด้วยเลือดตั้งแต่หัวจรดเท้าและบาดแผล
ถึงแม้ว่าโจรจะมีจำนวนคนมากกว่าทหารรับจ้าง แต่ความแข็งแกร่งและการทำงานเป็นทีมของพวกเขายังห่างชั้นกับเหล่าทหารรับจ้างซึ่งใช้เวลาส่วนใหญ่ร่วมกัน ดังนั้นเมื่อทั้งสองต่อสู้กันแม้ว่าพวกเขาจะมีจำนวนที่มากกว่าก็ยังต้องสู้กันอย่างดุเดือดของทหารรับจ้าง
เจี้ยนเฉินเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ในขณะที่เขาหลบการโจมตีจากทุกทิศทุกทางในขณะที่กระบี่วายุโปรยแทงไปยังหัวใจและลำคอของเหล่าโจรในทุก ๆ การเคลื่อนไหว ดังนั้นนี่จึงเป็นการโจมตีที่ร้ายแรงสำหรับคนที่ไม่อาจป้องกันกระบี่ของเจี้ยนเฉินได้ พวกเขาก็ยังคงได้รับความบาดเจ็บอย่างสาหัสและมันก็ลึกลงจนเห็นกระดูก ไม่มีโจรคนไหนที่อยู่รอบตัวเขาต่อสู้กับเขาได้ ส่วนใหญ่ไม่อาจเห็นการเคลื่อนไหวของกระบี่ของเขา เมื่อใดก็ตามที่พวกโจรฟันกระบี่ไปยังจุดสำคัญ เจี้ยนเฉินก็ยังหลบหลีกพร้อมกับฟันสวนกลับมา ก่อนที่พวกเขาจะเข้าใจสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกเขาทั้งหมดก็จะร่วงลงไปกับพื้น
จำนวนโจรที่ถูกสังหารภายใต้น้ำมือของเจี้ยนเฉินนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โจรทั้งหมดค่อย ๆ เริ่มรู้สึกถึงความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินและเริ่มตีตัวถอยห่างจากเขา ท้ายที่สุดในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ไม่มีใครเต็มใจที่จะออกไปตายอย่างโง่เขลา
ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก ให้ข้าลองทดสอบมัน ในเวลานั้น มีเสียงพูดออกมาอย่างแผ่วเบาก่อนที่แสงสีฟ้าจะพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
เมื่อรู้สึกถึงพลังงานที่หลั่งไหลออกมาจากลำแสงสีฟ้า ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อเขาตระหนักว่าผู้ที่มาใหม่คนนี้แข็งแกร่งมาก จริง ๆ แล้วศัตรูก็แข็งแกร่งกว่าเจี้ยนเฉินจริง ๆ เขาไม่กล้าที่จะสู้กับอีกฝ่ายตรง ๆ ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะบาดเจ็บสาหัส
แสงสีฟ้าเดินพุ่งผ่านอากาศมาอย่างรวดเร็ว พริบตามันก็มาถึงหน้าเจี้ยนเฉินแล้ว ในขณะนั้นใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็แข็งค้างขณะที่ทุ่มเทแรงทั้งหมดไปที่ร่างกายเพื่อกระโดดให้สูงที่สุดเพื่อหลบมัน
การโจมตีดังกล่าวถูกเข้าที่ไหล่ของเจี้ยนเฉินก่อนที่จะกระแทกพื้นดัง ปึง ! และเหลือหลุมขนาดใหญ่เอาไว้
เจี้ยนเฉินถอยห่างจากศัตรูไป 15 เมตรทันทีก่อนที่จะหยุดเพื่อมองหลุมบนพื้นดินและหันไปมองด้านหลัง ในตอนดึกเจี้ยนเฉินสามารถมองเห็นร่างหนึ่งที่ส่งการโจมตีที่รุนแรงออกมา
เมื่อเห็นคนที่โจมตี เขาเป็นชายอายุ 30-40 ปี เจี้ยนเฉินไม่คิดว่าเขาจะดูแข็งแกร่งขนาดนี้ เสื้อผ้าของเขาดูธรามดา ๆ ทำให้เขาดูเหมือนชายกลางคนธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป เขายกมือขวาของเขาขึ้นมาพร้อมกับปลายง้าวที่ส่องแสงสีฟ้าอยู่ในมือ เขาไม่ได้ดูอันตรายเท่าไรนัก ไม่มีอะไรของเขาที่จะโดดเด่นพอที่จะดึงดูดความสนใจของคนคนนี้ต่อเจี้ยนเฉิน
ในขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังมองชายตรงหน้า ชายคนนั้นก็จ้องมองกลับไปที่เจี้ยนเฉินขณะพูดว่า เจ้าแข็งแกร่งมาก ดังนั้นเจ้าจึงต้องเป็นคู่ต่อสู้กับข้า ! เขามองเจี้ยนเฉินด้วยความสนใจมาก ดูเหมือนว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคนเดียวที่ดึงดูดความสนใจของเขาได้มากพอ ชายคนนั้นไม่สนใจเสียงกรีดร้องและตะโกนไปยังคงที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเขา
สายตาของเจี้ยนเฉินมองไปรอบอย่างช้า ๆ ชายคนนั้นยืนอยู่ใจกลางของกลุ่มโจรมันบอกฐานะของเขาในกลุ่มอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีโจรจำนวนมากล้อมเจี้ยนเฉิน แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นชายคนนั้นต่อสู้กับเจี้ยนเฉินพวกเขาก็หันไปทหารรับจ้างคนอื่นเพื่อต่อสู้
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปเมื่อเขารู้ว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งแรกว่าจะรอดหรือตาย หลังจากที่เขามาอยู่ในโลกใบนี้ แม้จะผ่านมาเป็นร้อย ๆ การต่อสู้และมีความมั่นใจว่าไม่มีใครเทียบได้ในวิถีกระบี่ เจี้ยนเฉินไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถฆ่าคนได้ในร่างใหม่นี้ จากการโจมตีครั้งก่อนของชายที่แข็งแกร่งกว่าเขาและแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีคุณสมบัติของธาตุลมแต่การเคลื่อนไหวก็ไม่ช้าแม้แต่น้อย
ชายวัยกลางคนมองดูเจี้ยนเฉินแล้วค่อน ๆ ชูง้าวขึ้นฟ้า ใบมีดของง้าวถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีฟ้าพร้อมกับลมหมุนรอบ ๆ ตัวเขาอย่างช้า ๆ
จากการเคลื่อนไหวของชายคนนั้น เขาได้มุ่งเน้นมาที่เจี้ยนเฉินอย่างเต็มที่ขณะที่เขาเตรียมตัว แม้ว่าเขาจะใช้ย่างก้าวพริบตา ศัตรูของเขาก็แข็งแกร่งกว่าตัวเขาอย่างมากและเขายังมีความสามารถของธาตุลม ด้วยพลังเซียนของชายคนนั้นทำให้เขาเชี่ยวชาญในด้านความเร็วมาก เขาก็ไม่กล้าที่จะลองดูว่าผลลัพธ์มันจะเป็นอย่างไร
ย่าห์ !
ทันใดนั้นชายคนนั้นก็ตะโกนเสียงดังและพุ่งมาด้วยความเร็วมาเบื้องหน้าเจี้ยนเฉิน ด้วยความเร็วของชายกลางคนนั้น เกือบแทบจะในพริบตาตัวง้าวเองก็แทบจะมองไม่เห็นเมื่อมันพุ่งมาที่คอของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินเอี้ยวหัวหลบง้าวไปด้านข้างและมันก็วาดผ่านศีรษะของเขาไป ใบมีดของง้าวได้ตัดผมบางเส้นของเขาออกจากศีรษะของเจี้ยนเฉิน
ในขณะที่ศีรษะของเจี้ยนเฉินเอี้ยวไปอีกทาง เขาก็ยกขาก้าวก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปด้านหน้าพร้อมกับออกแรงพุ่งสวนกลับไปยังจุดตายของชายคนนั้น กระบี่วายุโปรยของเขาเปล่งแสงสีแดงเลือดมันพุ่งเข้าหาหัวใจของชายคนนั้นราวกับสายฟ้า
ด้วยความแข็งแกร่งของบุรุษ เจี้ยนเฉินละทิ้งการกระทำทุกอย่างโดยไม่ลังเล พร้อมกับมุ่งไปที่ความเร็วเพียงอย่างเดียวทำให้เจี้ยนเฉินเร็วมากจนถึงขีดสุด พริบตากระบี่วายุโปรยก็ได้กระทบไปยังท้องของชายวัยกลางคนพร้อมกับปราณกระบี่ที่ห่อหุ้มปลายกระบี่เอาไว้ก่อนที่จะทะลวงเข้าไปในร่างกายของชายคนนั้น
เมื่อเห็นว่าปลายกระบี่ได้แทงเข้าไปในร่างกายของเขา ชายกลางคนก็แสดงออกถึงความตกใจ อย่างไรก็ตามชายกลางคนก็ยังคงมีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ช้านัก จากนั้นพลังเซียนที่รุนแรงก็ปะทุออกมาจากภายในร่างกายของเขา มันเป็นรูปแบบที่สุดยอดที่สามารถเป็นได้ทั้งการโจมตีและป้องกันที่มากมาย ถึงแม้ว่าพลังเซียนที่อยู่รอบ ๆ ร่างกายของเขาจะบางกว่าที่เขาคิดไว้ในตอนแรก
ตอนที่ 73: กลุ่มโจรไร้ขอบเขต (2)
เมื่อได้ยินชื่อกลุ่มโจรไร้ขอบเขตใบหน้าของทหารรับจ้างทุกคนก็หดหู่ลง
กลุ่มโจรไร้ขอบเขต ! คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าหากัน เขาไม่คุ้นเคยวกับโจรกลุ่มนี้ เมื่อเขาอ่านหนังสือในคฤหาสน์เซียงหยางและหอหนังสือของสำนักคากัต สิ่งเดียวที่เขาสามารถรู้นั้นคือกลุ่มโจรไร้ขอบเขตเป็นกลุ่มโจรที่แข็งแกร่งมากซึ่งอยู่มาถึง 200 ปีแล้ว.
กลุ่มโจรไร้ขอบเขตเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งตั้งแต่ต้น พวกเขาอยู่ตามชายแดนอาณาจักรและกลายเป็นฝันร้ายที่สุดของกองคาราวาน กลุ่มโจรไร้ขอบเขตไร้ความปราณีและเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาปล้นพ่อค้าพวกเขาจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตเอาไว้ ทหารรับจ้างนับไม่ถ้วนเสียชีวิตจากกลุ่มโจรไร้ขอบเขต กลุ่มโจรไร้ขอบเขตได้โจมตีหมู่บ้านหลายแห่งเป็นครั้งคราวและแม้กระทั่งเมืองเล็ก ๆ ชั้นสองในอดีตก็ถูกพวกเขาปล้นและเมืองชั้นสองก็ได้รับความเสียหายอย่างมาก ทุกหมู่บ้านที่พวกเขาปล้นสังหารได้เพิ่มความน่ากลัวของพวกเขาต่อพ่อค้าที่มักจะเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกล สิ่งนี้ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงสำหรับอาณาจักรใหญ่ ๆ
ในเวลานั้นสี่อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ อาณาจักรเกอซุน, อาณาจักรจันทร์คราม, อาณาจักรวายุครามและอาณาจักรวาร์ ได้พบสถานที่ส้องสุมของกลุ่มโจรไร้ขอบเขตและในที่สุดก็ได้ส่งทหารไปทำลายล้างพวกเขา น่าเสียดายที่กลุ่มโจรไร้ขอบเขตมีพลังมากกว่าที่คาดการณ์เอาไว้และถึงแม้ว่าอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ทั้งสี่จะประสบความสำเร็จในตอนท้าย พวกเขาก็ยังได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
หลังจากประสบความสำเร็จได้ไม่นาน สี่อาณาจักรใหญ่ก็ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาเพื่อต่อสู้กับกลุ่มโจรไร้ขอบเขตที่ฐานหลักของพวกเขา ภูเขาไร้ขอบเขต ผู้เชียวชาญทั้งสี่คนนั้นมาที่ภูเขาไร้ขอบเขตและต่อสู้กันอย่างหนักจนภูเขาทั้งลูกได้สั่นสะเทือนและถูกแยกออกจากกัน การต่อสู้ได้ดำเนินการต่อเนื่องกันเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ก่อนที่จะหยุดพักเป็นบางครั้ง ในระหว่างการต่อสู้นั้นภูเขาหกลูกได้พังทลายลง
เมื่อผู้เชี่ยวชาญจากสี่อาณาจักรใหญ่กลับมาใบหน้าของพวกเขาก็ไม่ได้ดูดี พวกเขาไม่ได้พูดอะไรและจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังจากนั้นผู้บัญชาการที่ได้รับภารกิจให้มาปราบปรามกลุ่มโจรไร้ขอบเขตก็ได้รับคำสั่งจากราชาให้ทหารทุกคนหนีออกมาจากภูเขาไร้ขอบเขต
แม้ว่าจะไม่มีใครได้เห็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ของอาณาจักรได้ทำไว้ในภูเขา แม้กระทั่งคนที่ไร้สมองก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้เกิดอะไรขึ้น ผลลัพธ์เหล่านี้แม้กระทั่งทหารรับจ้างและบรรดาพ่อค้าต่างก็รับมันได้ยากยิ่งและด้วยเหตุนี้กลุ่มโจรไร้ขอบเขตจึงมีชื่อเสียงพุ่งสูงขึ้นมาก สำหรับทหารรับจ้างและพ่อค้า กลุ่มโจรไร้ขอบเขตได้กลายมาเป็นบุคคลในตำนานที่ทำให้อาณาจักรไม่กี่แห่งใกล้ ๆ หวาดกลัว
อย่างไรก็ตามยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ดีอยู่ หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญได้ต่อสู้บนภูเขาไร้ขอบเขต การกระทำของพวกมันก็ลดลงเป็นอย่างมาก แม้ว่าพ่อค้าและทหารรับจ้างจำนวนมากจะเสียชีวิตด้วยน้ำมือของพวกเขาทุกปี แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเหมือนกับในอดีต มันเกิดขึ้นทุกสองเดือนและวิธีการของพวกมันก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนเมื่อก่อน สิ่งนี้ทำให้พ่อค้ามากมายฉกฉวยโอกาสคว้าเอาไว้ ข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือพวกเขาไม่อาจทำนายเวลาที่กลุ่มโจรไร้ขอบเขตจะโจมตี ดังนั้นแม้ว่ากองคาราวานบางกลุ่มต้องการเดินทางให้ทันกำหนดเพื่อหลีกเลี่ยงพวกโจรที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
บัดซับ กลุ่มโจรไร้ขอบเขตนี่มันก็ไม่มีฝีมือเท่าไร มันก็ง่ายเหมือนกับตัดหญ้า ทหารรับจ้างตะโกนออกมาด้วยความเกลียดชังขณะที่เขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มโจรไร้ขอบเขตโดยไร้ความกลัวอยู่ในแววตาของเขา
นอกเหนือจากเขาแล้วทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ก็มองดูกลุ่มโจรไร้ขอบเขตที่เดินเข้ามาพร้อมกับความเกลียดชัง กลุ่มโจรไร้ขอบเขตได้สังหารทหารรับจ้างและพ่อค้าไปมากมายและแม้กระทั่งชีวิตของครอบครัวของพวกเขาและเพื่อนสนิทของเขาก็ถูกพวกโจรเหล่านี้สังหาร ดังนั้นหัวใจของพวกเขาที่หวาดกลัวในตอนแรกก็เปลี่ยนแปลงเป็นความเกลียดชังอย่างรุนแรง
ในฐานะนักเดินทาง จุดแข็งของพวกเขาอยู่ที่ความอยู่รอดด้วยทหารรับจ้าง เป็นธรรมชาติที่พวกเขาจะต่อต้านการฆ่าล้างโคตรของพวกเขา เนื่องจากมโนธรรมของพวกเขาและทำให้พวกเขากลายเป็นชายที่ไม่กลัวเกรงสิ่งใดแม้แต่ความตาย
10 ปีก่อน บิดาข้าถูกสังหารด้วยกลุ่มโจรไร้ขอบเขต วันนี้ข้าจะแก้แค้นให้บิดาของข้า ทหารรับจ้างอายุ 20 ปี มองเหล่าโจรด้วยดวงตาที่แดงก่ำ ความเศร้าและความโกรธทำให้เขาเปลี่ยนมันเป็นความเกลียดชัง
ชายอีกคนที่ดูมีอายุ มองไปที่พวกเขาพร้อมกับจิตสังหารอย่างรุนแรงขณะที่เขากัดฟันพูดออกมาว่า กลุ่มโจรไร้ขอบเขตฆ่าพี่ชายของข้าเมื่อ 5 ปีก่อน แม้ว่าข้าต้องตาย อย่างน้อยข้าจะต้องลากมันไปด้วยสักคนเพื่อเซ่นวิญญาณของมันให้กับพี่ชายของข้าเพื่อแก้แค้น !
เงาดำยังคงวูบวาบมาทางพวกเขาอย่างไม่หยุด จนถึงตอนนี้นักธนูของทหารรับจ้างบางคนยังคงตกเป็นเหยื่อของแสงแปลก ๆ เหล่านั้น ในขณะที่ทหารรับจ้างพยายามปกปิดตัวเองจากคนอื่น ๆ และยังคงยิงธนูใส่โจร
เมื่อโจรเข้ามาใกล้มากขึ้นทหารรับจ้างจำนวนมากก็ยิ่งคลั่งมากขึ้น จำนวนโจรที่พุ่งเข้าใส่พวกเขามีอิทธิพลอย่างมากต่อทหารรับจ้างและทำให้พวกเขากลัวมากจนถอยหนี จิตวิญญาณที่ต่อต้านได้หายไป เนื่องจากทุกคนไม่เต็มใจที่จะสู้กลับ มีบางคนเกิดความขี้ขลาดออกมาจากทหารรับจ้างในระดับนี้
เมื่อเห็นว่าทหารรับจ้างสูญเสียการควบคุมในสถานการณ์นี้อย่างช้า ชายวัยกลางคนก็เริ่มกังวลและตะโกน อย่าตกใจ ! คนพวกนี้เป็นเพียงกลุ่มเล็ก ๆ ของโจรไร้ขอบเขต พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งกว่าเรา ตราบใดที่เรายังคงช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเราสามารถเอาชนะมันได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะตายด้วยกัน พี่น้อง ! เพื่อชีวิต เราต้องร่วมแรงร่วมใจกัน !
เมื่อได้ยินเสียงของชายวัยกลางคน แม้กระทั่งทหารรับจ้างที่ขี้ขลาดที่สุดก็รู้สึกถึงความกล้าหาญกลับมาในใจ หากพวกเขาต้องการที่จะรอดพวกเขาจะต้องสู้ ความปรารถณาอันแรงกล้าที่จะเอาชีวิตรอดบังคับให้พวกเขาละทิ้งธรรมชาติที่ขี้ขลาดของพวกเขาและตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยงชีวิต
ทหารรับจ้างพยายามคิดหาวิธีเป็นไปได้ที่จะหลบหลีกแสงสีดำในขณะที่ยังคงยิงใส่พวกโจร หลังจากโจรได้ถูกสังหารไปหนึ่งร้อยคนในที่สุดกลุ่มโจรไร้ขอบเขตก็มาประจันหน้ากับทหารรับจ้าง เมื่อมาถึงจุดนี้ทหารรับจ้างแต่ละคนได้ยิงธนูจนลูกศรดอกสุดท้ายหมดแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทิ้งธนูและคว้ากระบี่ขึ้นมาต่อสู้กับโจรในระยะประชิด
ย่าห์ !
ย่าห์ !
ทั้งสองฝ่ายต่างแผดเสียงพร้อมกับปะทะกันด้วยอาวุธ แต่ทหารรับจ้างที่ไม่อาจมองเห็นด้านหลังของโจรและแสงสีดำก็แวบเข้ามาโจมตีทหารรับจ้างแต่ละคนอย่างแม่นยำ ภายในไม่กี่นาทีทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งก็ได้ล้มลง
หัวหน้ากำลังถูกโจรร้ายขัดขวางอยู่ ชาลี,เกอซือเอ่อร์และเมอร์ พวกเจ้าทั้งสามตามข้ามา เราจะไปจัดการนักธนูที่ซุ่มอยู่ ทหารรับจ้างกระชับอาวุธและคำรามออกมาในช่วงเวลาโกลาหล หลังจากที่พูดเสร็จพวกเขาก็กระโดดข้ามร่างของโจรและพุ่งเข้าหาต้นตอของแสงสีดำ
เมื่อทหารรับจ้างทะยานเข้าใส่พร้อมกับอีกสามคนที่ตามเขามา พวกเขาได้ใช้หัวของโจรร้ายเพื่อป้องกันเส้นแสงสีดำ พวกเขายังคงมุ่งหน้าต่อไป
ทหารรับจ้างทั้งสี่คนกระโดดข้ามโจรที่ล้มลง โจรคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ แม้ว่ากลุ่มโจรไร้ขอบเขตจะแข็งแกร่งมากพอที่จะต่อสู้กับอาณาจักร แต่กลุ่มเล็ก ๆ นี้ก็ยังไม่เท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกชั้นยอดของพวกเขายังถูกป้องกันโดยผู้เชี่ยวชาญสองสามคนในช่วงแรก ดังนั้นจึงไม่มีโจรที่มีความแข็งแกร่งพอที่จะสกัดกั้นทหารทั้งสี่
มีแสงอีกสามเส้นพุ่งไปยังทหารรับจ้างทั้งสี่คน เห็นได้ชัดว่านักธนูที่อยู่ในความมืดที่หลบซ่อนนั้นได้เล็งเห็นถึงเจตนาของพวกเขา
หลังจากที่เส้นแสงสามเส้นที่ถูกยิงออกมา ยังมีเส้นแสงอีกสามเส้นพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ทำให้เส้นทั้งหกเส้นนั้นพุ่งเข้ามาที่ทหารรับจ้างทั้งสี่อย่างเงียบ ๆ
ทหารรับจ้างทั้งสี่คนนั้นไม่ได้อ่อนแอแถมยังแข็งแกร่งกว่าทหารรับจ้างทั่ว ๆ ไปอีก พวกเขาแค่ละคนเรียกอาวุธเซียนของพวกเขาออกมาและฟาดฟันใส่เส้นแสงที่พุ่งมาหาเขา เมื่อทั้งสองชนกันแสงสีดำก็กระจายหายไป ทหารรับจ้างเหล่านั้นยังไม่มีการสะดุดใด ๆ แม้แต่น้อยในระหว่างทาง พวกเขายังคงพุ่งเข้าหาโจรนักธนูเหล่านั้น พวกเขาทั้งสี่รู้ว่าหากพวกเขาไม่อาจแก้ปัญหาของมือธนูได้ กลุ่มทหารรับจ้างของพวกเขาจะต้องประสบความสูญเสียอย่างหนัก
แม้ว่ากลุ่มทหารรับจ้างสามกลุ่มนั้นจะมีกำลังหลายร้อยคน แต่ความแข็งแกร่งของเหล่าทหารพวกนี้ค่อนข้างต่ำกว่าปกติ ทหารรับจ้างส่วนใหญ่จะอยู่ในระดับเซียน เซียนขั้นสูงนั้นมีน้อยมาก นอกจากนี้ยังมีเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษไม่กี่คนในกลุ่ม นั่นก็คือหัวหน้าทหารรับจ้างทั้งสามและรองหัวหน้า อย่างไรก็ตามพวกเขาทั้งสี่รับมือกับผู้เชี่ยวชาญของกองโจรและไม่มีเวลาตามหานักธนู
เมื่อทหารรับจ้างทั้งสี่คนหลุดรอดออกมาได้ แสงสีดำก็หยุดยิงออกมาแล้วเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขาจะจัดการนักธนูได้หรือไม่ เวลาก็เป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับทหารรับจ้าง ท้ายที่สุดแล้วแสงสีดำก็ยังเป็นอันตรายต่อทหารรับจ้างเนื่องจากพวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ในเวลากลางคืน ความเร็วในการเดินทางของพวกเขานั้นเร็วมาเช่นกัน ดังนั้นทหารรับจ้างที่อ่อนแอก้ไม่อาจมองเห็นเส้นแสงเหล่านั้นได้
พร้อมกับอันตรายที่หายไป ทหารรับจ้างไม่ต้องป้องกันการโจมตีจากระยะไกลอีกแล้ว ตอนนี้พวกเขาสามารถสู้กับกองโจรได้ด้วยพลังเต็มร้อยและฉีกพวกเขาออกจากกัน
เมื่อมาถึงจุดนี้ ทหารรับจ้างทุกคนได้ทิ้งความกลัวทั้งหมดที่พวกเขามีต่อกลุ่มโจรไร้ขอบเขต เพื่อความอยู่รอดของพวกเขา ทุกคนได้พยายามอย่างมากเพื่อฆ่าเหล่าโจร ด้วยความหวังที่ว่าจะได้รับชัยชนะ
การต่อสู้เพิ่มขึ้นจนถึงจุดที่หูอื้อเมื่ออาวุธเซียนปะทะกันและเลือดก็ย้อมไปทั่วทุกที่ เมื่อการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ผู้คนหลายสิบคนจากทั้งสองฝ่ายต่างก็ตกเป็นเหยื่อของฝ่ายตรงข้ามเสียเอง
เจี้ยนเฉินเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยเช่นกัน แม้จะใช้พลังเซียนเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามพลังการต่อสู้ที่น่าเกรงขามของเขานั้นก็เพียงพอให้ทุกคนนั้นตกใจ พวกเขาเห็นเพียงเจี้ยนเฉินใช้ท่าเท้าเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีที่มาจากทุกทิศทาง ในมือของเขายังมีกระบี่ยาวที่ยาว 1.3 เมตรและกว้าง 2 นิ้ว มันวูบวาบอย่างต่อเนื่องในมือของเขาด้วยความเร็วที่เร็วมาก มันแทงทะลุพวกเขาเร็วเสียจนเห็นเพียงเส้นแสงบาง ๆ เท่านั้นที่เคลื่อนไหว มันไม่อาจที่จะมองเห็นตัวกระบี่ได้ด้วยตาเปล่าว่ากระบี่เล่มนั้นเป็นอาวุธแบบใด
กระบี่ของเจี้ยนเฉินนั้นไม่เพียงแต่จะเร็ว มันยังไม่มีใครป้องกันได้ นอกจากนี้การฟันกระบี่ของเขาแค่ละครั้งก็แม่นยำอย่างมาก ทุกครั้งที่กระบี่แทงทะลุออกมา เขาสามารถใช้มันแทงไปที่คอของศัตรูได้อย่างแม่นยำ การฆ่าศัตรูทั้งหมดได้เพียงแค่กระบวนท่าเดียว มีไม่กี่คนที่จะมีความแข็งแกร่งเท่ากับเขา ที่สามารถหลบหลีกกระบี่ที่เร็วดุจสายฟ้าของเจี้ยนเฉินได้
ตอนที่ 72: กลุ่มโจรไร้ขอบเขต
ค่ำคืนได้เข้ามาถึง เจี้ยนเฉินก็จัดการส่วนของเขาเสร็จและเข้าไปในกระโจม เขาถือแกนสัตว์อสูรระดับ 1และเริ่มบ่มเพาะ ตอนที่เขากำลังเดินทางไปยังทวีปเทียนหยวนมันก็มักจะมีอันตรายซุ่มไปอยู่ทั่วทุกที่ นี่หมายความว่าเขาจะต้องแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้อยู่อย่างปลอดภัย ดังนั้นเจี้ยนเฉินจังไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียวในการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขา ไม่เพียงแค่นั้น แต่เขาก็รู้ว่าถ้าเขาแข็งแกร่งขึ้น เขาจะสามารถกลับไปยังอาณาจักรเกอซุนและอยู่กับครอบครัวของเขาได้ โดยไม่ต้องกลัวสำนักหัวหยุน ไม่อย่างนั้นถ้าเข้ากล้าที่จะเสนอหน้าของเขาไปที่นั่น เขาจะถูกไล่ล่าไปยังสุดขอบโลกโดยคนของสำนัก
ตอนนี้ข้างนอกค่อนข้างสงบ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่ได้ยินเป็นบางครั้ง ทหารรับจ้างสองสามคนกำลังลาดตะเวนรอบ ๆ ที่ตั้งค่าย
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ อย่างช้า ๆ ในขณะที่ทหารรับจ้างส่วนใหญ่นั้นอยู่ในกระโจมของพวกเขาและมีทหารรับจ้างกำลังลาดตะเวนอยู่ พวกเขานั้นง่วงนอนจนไม่ได้ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
ทันใดนั้นเงาสีดำก็วูบวาบ มันเดินทางภายใต้ยามค่ำคืนและปาดคอของทหารรับจ้างคนหนึ่งที่กำลังลาดตระเวนอย่างเงียบ ๆ เงาสีดำกระพริบอีกครั้ง คราวนี้เห็นได้ชัดว่ามันเป็นฝีมือของนักฆ่าที่ไร้เสียงจนกระทั่งทหารล้มลงและตายอยู่บนพื้น
เงาสีดำเคลื่อนที่บนอากาศอย่างเงียบเชียบและรวดเร็ว ไม่มีใครสามารถสัมผัสได้ถึงใบกระบี่นี้ได้ เนื่องจากค่ายนั้นกว้างและเป้าหมายก็เป็นทหารรับจ้างที่ลาดตระเวนอยู่คนเดียวในสถานที่ห่างไกล ทำให้ไม่มีใครจะสามารถสังเกตเห็นถึงตอนที่เขาตายได้ก่อนที่เขาจะล้มลงบนพื้น
ในขณะที่ทหารรับจ้างคนแรกล้มลงกับพื้น เงาสีดำนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้ามาที่ค่ายและฆ่าทหารรับจ้างทั้งหมดที่กำลังลาดตระเวนอยู่ไม่ไกลจากค่ายเล็กน้อย
เจี้ยนเฉินไม่ได้อยู่ไกลจากค่ายนักและเมื่อทหารรับจ้างล้มลงบนพื้นซึ่งห่างจากเจี้ยนเฉินเพียง 30 เมตร ใบหูของเจี้ยนเฉินขยับเล็กน้อยขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิ เมื่อเขาได้ยินเสียงเหล่านั้นตาของเขาก็ลืมขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ เจี้ยนเฉินก็ก้มหน้าเปิดกระโจมเล็กน้อยเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น
เพียงเจี้ยนเฉินเปิดกระโจมและมองออกไปด้านนอก เขาก็ตรวจสอบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นและมีเงาสีดำกระพริบวูบวาบปรากฏออกมาให้เห็น ผ่านทหารรับจ้างที่กำลังลาดตระเวน เหมือนกับคนอื่น ๆ ชายคนนั้นล้มลงโดยไม่มีเสียง
ดวงตาของเจี้ยนเฉินเบิกกว้างอย่างตกอกตกใจ เห็นได้ชัดว่ากองคาราวานกำลังถูกโจมตี แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาทำให้เขาได้ไม่ได้ตื่นตระหนกมากนัก เขาส่งเสียงคำรามออกมาจากกระโจมว่า ระวังตัวด้วย เรากำลังถูกโจมตี !
เสียงตะโกนของเจี้ยนเฉินนั้นดังพอที่จะได้ยินทั่วทั้งค่าย ด้วยคำเตือนของเขา ค่ายที่เงียบก่อนหน้านี้ก็มีเสียงอึกทึกของทหารรับจ้างจำนวนนับไม่ถ้วนออกมาจากกระโจมของพวกเขา ในเวลาสั้น ๆ ทหารรับจ้างหลายร้อยคนที่มักจะสนุกสนานก็ปรากฏออกมาด้วยความตึงเครียด
จากคำพูดของเจี้ยนเฉิน มันเป็นธรรมดาสำหรับทุกคนที่เคยเดินทางไปทวีปเทียนหยวน คนที่มีชีวิตอยู่ด้วยอาวุธของตัวเอง พวกเขานั้นไวต่อเสียงมากและเมื่อพวกเขาได้ยินเจี้ยนเฉินพวกเขาก็พุ่งออกมาจากกระโจมทันที อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนรีบออกมาจากกระโจม พวกเขาก็มองไปรอบ ๆ และมองเห็นทหารรับจ้างของตนเองโดยไม่มีร่องรอยของศัตรู
ศัตรู? ศัตรูอยู่ไหน..
ใครเป็นคนตะโกนเมื่อกี้ ข้าไม่เห็นใครเลย..
ศัตรูอยู่ไหน ใครมันบัดซบที่หอนออกมาเมื่อกี้..
ทหารรับจ้างหลายคนเริ่มส่งเสียงดังโวยวายด้วยความโกรธและควานหาคนที่ตะโกนออกมาเมื่อกี้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่ออกมาง่าย ๆ
ไม่ดีแล้วหัวหน้าหลิงเทียน ตูมู่หลานตายแล้ว !
เช่นเดียวกับทหารรับจ้างหลายคนที่กำลังส่งเสียงก่นด่าอยู่นั่นเอง ก็มีอีกคนตะโกนขึ้นมาและทำให้คนอื่น ๆ ต่างพากันหันไปมองพร้อมกัน
เมื่อได้ยินอย่างนั้นทหารรับจ้างทุกคนต่างก็หันไปมองทางต้นเสียง ในเวลาเดียวเส้นแสงพุ่งเข้ามาในกลุ่มและเกิดเสียงดังปังบนหน้าอกของทหารรับจ้าง 3 คน
ทหารรับจ้างทั้งสามถูกฆ่าและไม่มีโอกาสแม้แต่จะร้องออกมาสักน้อยก่อนที่พวกเขาจะล้มลงไปที่พื้น แต่ก่อนที่พวกเขาจะล้มลงถึงพื้นเส้นแสงอีกสามเส้นก็ลอยเข้ามาอีกและชีวิตของทหารรับจ้างอีกสามคนก็หลุดลอยออกไป
เงาสีดำยังคงไม่หยุดและมุ่งหน้าไปยังทหารรับจ้างคนอื่น ภายใต้หน้ากากในตอนกลางคืนมันยากมากที่จะคาดเดาว่าเขาจะมาจากไหนหรือเขาเล็งใครอยู่
ดังนั้นเส้นแสงที่ถูกยิงเข้ามาในกลุ่มของทหารรับจ้าง ก็มีหลายสิบคนล้มลงก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตอบโต้ ในเวลานี้ทหารรับจ้างก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว ระวังตัว ศัตรูกำลังจะโจ-.. แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบประโยค เส้นแสงก็พุ่งเข้ามาหาและฆ่าเขา
ทุกคนกระจายตัวและดูแลให้ทั่ว ! ทหารรับจ้างอีกตะโกน มันเป็นชายวันกลางคนที่ใบหน้ามีแผลเป็น พร้อมกับค้อนสีแดงปรากฏอยู่ที่มือทั้งสองข้าง เขาพุ่งไปยังทิศทางที่มีการโจมตี
หัวหน้าหลิงเทียน ระวังตัวด้วย..’
เมื่อมองดูชายคนนั้นพุ่งเข้าไปยังทิศทางที่ศัตรูโจมตี ทหารรับจ้างจำนวนมากก็ตะโกนออกมาด้วยความกังวล
ในขณะที่ชายคนนั้นพุ่งไปด้านหน้า ทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งกว่า 10 คนก็เริ่มตามหัวหน้าของเขาและเริ่มพุ่งเข้าไปยังแหล่งที่มาของการโจมตี
แต่ก็มีเส้นแสงลอยออกมา คราวนี้พวกมันเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นเหล่าทหารรับจ้างที่พุ่งใส่พวกมันแทน.
แม้ว่านี่จะเป็นการพุ่งเข้าไปอย่างรีบร้อนโดยไม่ทันได้ดูสถานการณ์ทั้งหมด แต่ทหารรับจ้างจำนวนมากเหล่านี้ก็ไม่ได้อ่อนแอ หัวหน้าหลิงเทียนยังคงพุ่งเข้าไปพร้อมกับเหวี่ยงค้อนคู่สีแดงของเขาและพื้นที่รอบ ๆ ก็สว่างวาบราบกับโคมไฟตามท้องถนน
ในขณะที่พวกเขาเห็นเส้นแสงวูบเข้าหาพวกเขา หลิงเทียนก็เย้ยหยันก่อนที่จะเหวี่ยงค้อนออกไป
ในขณะที่ทั้งสองปะทะกัน ค้อนของหลิงเทียนก็พุ่งผ่านและเส้นแสงก็จางหายไป แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งพอที่จะเอาชีวิตของผู้อื่น แต่พวกเขาก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะต้านทานการโจมตีที่เข้ามาถึงตัวของพวกเขาได้
ทหารรับจ้างที่อยู่ด้านหลังหลิงเทียนก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกันและโดยไม่เกรงกลัวต่ออาวุธของพวกเขา พวกเขาได้เริ่มจัดรูปแบบและทำลายเงาสีดำที่พุ่งเข้ามาหาพวกเขา
ในเวลานั้นมีสถานการณ์อื่นเกิดขึ้นอีก เสียงแหลมเสียดหูปรากฏจากความเงียบงัน เมื่อทหารรับจ้างหันไปทางเสียงเหล่านั้น พวกเขาก็เห็นลูกธนูพุ่งเข้ามาราวกับฝูงตั๊กแตน
เมื่อเห็นจำนวนลูกศรมากมาย ทหารรับจ้างก็ไม่ได้ที่จะหยุดพุ่งเข้าใส่และพร้อมกับระแวดระวังในทันที
ติ้งๆๆๆ..
เสียงของลูกศรที่พุ่งเข้ามาปะทะกับอาวุธเซียนพร้อมกับส่งเสียงกังวาน
หลิงเทียนและทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ก็ไม่สนใจที่จะหยุดพุ่งเข้าใส่ เมื่อเผชิญหน้ากับพายุลูกศร ทหารรับจ้างจำนวนมากก็ส่งเสียงดังและใช้พลังเซียนเพื่อป้องกันตัวเองทันที แม้ว่ามันจะเป็นแผ่นบาง ๆ แต่พลังป้องกันก็แข็งแกร่งมาก ลูกศรเหล่านี้แฉลบผ่านเขาไปหรือไม่ก็พุ่งลงพื้นเนื่องจากไม่สามารถทะลุการป้องกันได้เลยแม้แต่น้อย
พี่น้องตามข้ามา ไปฆ่ามัน !
ทหารรับจ้างที่ตามมาก็ทำตามคำสั่ง พวกเขาพุ่งเข้าไปหาศัตรูที่อยู่กับพื้นพร้อมกับตะโกนออกมาใส่เงามืดในกลางดึก เสียงกู่ร้องดังไปถึงสวรรค์และด้วยความกลัว เงามืดก็วิ่งเข้าหาทหารรับจ้าง
โจรร้ายออกมาแล้ว เตรียมลูกศรของพวกเจ้าให้พร้อม!
ภายในค่ายทหารรับจ้าง เหล่าทหารรับจ้างต่างพากันร้องตะโกนเนื่องจากพวกเขาเริ่มทำธนูพร้อมกับเล็งไปยังเงาที่มืดเลือนราง พวกเขารอให้มันเข้ามาในระยะก่อนที่จะยิง
เจี้ยนเฉินยืนอยู่นอกขอบเขตการต่อสู้ ดวงตาของเขาจ้องเขม็งไปยังในเงามืด แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ค่อนข้างไกลจากที่ตั้งกระโจมและตรงกลางก็ไม่อาจจะเห็นได้อย่างสมบูรณ์ แต่เจี้ยนเฉินก็สามารถนับเงาเหล่านั้นได้ 2-300 เงา จำนวนนี้ถือว่าไม่ได้น้อยกว่าทหารรับจ้างเลย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีลูกศรที่พัดมาราวกับพายุทำให้ทหารรับจ้างจำนวนหนึ่งถูกฆ่าตายและมันยิ่งทำให้น้อยลงเข้าไปอีก
ยิง !
เมื่อโจรได้เข้ามาถึงในระยะยิง หัวหน้าก็ออกคำสั่ง บรรดาทหารรับจ้างกว่าร้อยคนก็ยิงขึ้นบนอากาศพุ่งเข้าไปหาพวกโจร
ในหมู่โจรมีคนที่แข็งแกร่งไม่เพียงกี่คน แต่ส่วนใหญ่ของพวกเขาค่อนข้างอ่อนแอและมีไม่กี่คนที่ตกเป็นเหยื่อของพายุลูกศร
เงาดำสามเงาได้พุ่งออกมาอย่างเงียบ ๆ จากด้านหลังของเหล่าโจรและจัดการกับทหารรับจ้างที่กำลังยิงธนู เงาดำทั้งสามนี้ได้ทิ้งรูเล็ก ๆ เอาไว้ก่อนที่ทหารรับจ้างจะร่วงลงกับพื้น
ความถี่ของเงาเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ และมักจะมีเป็นกลุ่มสามคนเสมอ ในเวลานั้น นักธนูทั้งเก้าก็ได้ตายไป
เมื่อเห็นบาดแผลบนซากศพของทหารรับจ้าง ชายกลางคนก็ร้องออกมา ทุกคนระวัง มีเซียนธาตุความมืดในหมู่โจร
ในขณะที่เขาพูดเส้นเงาดำสามสายก็พุ่งเข้าหาชายที่เพิ่งพูด
ชายกลางคนนั้นไม่ได้อ่อนแอ ใบหน้าของเขาตึงเขม็งพร้อมกับขวานที่ปรากฏขึ้นที่มือขวาของเขา พร้อมกับใช้มันตัดไปที่เงาดำ
ปัง !
เส้นแสงดำปะทะกับขวานของชายกลางคนทำให้เกิดเสียงดังสนั่นก่อนที่พวกมันจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดการปะทะกันมาก่อน
ชายคนนั้นสั่นเล็กน้อยขณะที่ใบหน้าของเขาตึง เวรเอ้ย ศัตรูมีเซียนธาตุความมืดถึง 3 คนแถมยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธนู ในพื้นที่แถวนี้มีแต่กลุ่มโจรไร้ขอบเขตเท่านั้นที่มีพลังประเภทนี้
รองหัวหน้าหลิว ท่านกำลังพูดว่า มันอาาจจะเป็นกลุ่มโจรไร้ขอบเขตงั้นหรือ?
ดี! สวรรค์ คนพวกนี้เป็นกลุ่มโจรไร้ขอบเขต..
มันต้องเป็นหายนะแค่ไหนที่เรามาเจอกลุ่มโจรไร้ขอบเขต..
ตอนที่ 71: มู่หยุน
เจี้ยนเฉินแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยนขณะที่เขาป้องหมัดทักทาย ดูเหมือนว่าพี่ชายจะเห็นดวงอาทิตย์จากหลายแห่งที่แตกต่างกันขณะที่เดินทางไปยังทวีปเทียนหยวน
ทหารรับจ้างหุบยิ้มของเขา มันไม่ใช่เวลานาน แค่ไม่กี่แห่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ออกจากบ้านและเดินทางเป็นเวลา 10 หรือ 100 ปี ข้าก็ยังเป็นแค่มือใหม่เท่านั้น.
ข้าไม่ทราบว่าพี่ชายมีนามว่าอะไร เจี้ยนเฉินพูด.
ชื่อของข้าคือมู่หยุน แล้วเจ้าล่ะ ? ทหารรับจ้างพูดอย่างกระตือรือร้น
ข้าชื่อว่าเจี้ยนเฉิน. เจี้ยนเฉินตอบ เขาตั้งใจที่จะใช้ชื่อ เจี้ยนเฉิน นี้ในอนาคตในทวีปเทียนหยวน.
เหตุนี้เอง เจี้ยนเฉินและมู่หยุนก็เริ่มสนทนาและคุยเกี่ยวกับประเด็นที่น่าสนใจในทวีปเทียนหยวน.
แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินเดินทางไปยังทวีปเทียนหยวน แต่เขาก็ได้อ่านหนังสือมากมายเกี่ยวกับทวีปเทียนหยวนในหอหนังสือของสำนักคากัตและคุ้นเคยบางอย่างรวมทั้งประวัติศาตร์ มู่หยุนได้เดินทางข้ามทวีปเทียนหยวนมาหลายปีแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ของเขาอาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว ทั้งสองต่างก็พูดชมกันไปชมกันมาและเมื่อพวกเขาพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น ทั้งสองก็สนิทกันโดยไม่รู้ตัว.
ขณะที่กองคาราวานเข้าใกล้ประตูป้อมปราการ เจี้ยนเฉินก็สังเกตเห็นรูปวาดติดอยู่ด้านนอกประตูบ้านหนึ่ง เป็นภาพของคนที่ชื่อว่า เจียงหยางเซียงเทียน ถูกประกาศอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งรางวัลมากมายอยู่ด้านล่าง.
ถ้าใครมีเบาะแสหรือสถานที่อยู่ใด ๆ ของเจียงหยางเซียงเทียนและพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริง พวกเขาจะได้รับรางวัล 1,000 เหรียญม่วง หากข้อมูลของพวกเขาได้พาไปจับกุมคนในรูป เขาจะได้รับเหรียญม่วงอีก 4,000 เหรียญ
เหรียญทองก็เพียงพอแล้วที่จะเลี้ยงครอบครัวเล็ก ๆ 3 คนได้ถึงหนึ่งเดือนและเหรียญม่วงก็เทียบเท่ากันเหรียญทอง 100 เหรียญ ดังนั้นเหรียญม่วงจึงมาค่าเท่ากับ 1,000 เหรียญทองซึ่งเป็นเงินก้อนใหญ่ของทหารรับจ้าง ด้วยจำนวนเงินมหาศาลเหล่านี้ ทหารรับจ้างหรือใครก็ตามที่ได้รับเงิน พวกเขาก็สามารถที่จะซื้อบ้านและจมอยู่กับความฝันที่สวยงามโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกต่อไป มันง่ายที่จะบอกว่ารางวัลนี้ยากที่จะต้านทานและไม่มีใครที่จะสามารถสงบได้.
รางวัลที่ดีที่สุดที่ผู้คนหวังว่าจะได้คือ หากสามารถจับกุมเซียงหยางเซียงเทียนและนำไปส่งพวกที่สำนักหัวหยุน พวกเขาก็จะได้เงิน 10,000 เหรียญม่วง
เมื่อเห็นถึงของรางวัลขนาดนี้หากว่าจับเขาได้ ดวงตาที่ไร้อารมณ์ของเจี้ยนเฉินก็มีประกายเย็นชา.
สำนักหัวหยุน เจ้าคิดว่าตัวเองสูงส่งจริง ๆ รึ แถมยังให้รางวัลที่ยอดเยี่ยมและติดประกาศนำจับข้าทั่วอาณาจักรเกอซุน ไม่คิดว่าเจ้าจะ ใช้สมาคมทหารรับจ้างเพื่อพยายามหาตัวข้า อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินเยาะเย้ยอยู่ในใจ แต่เขารู้สึกถึงความสิ้นหวังเล็กน้อย ในทวีปเทียนหยวนความแข็งแกร่งครอบครองทุกสิ่งและความแข็งแกร่งของเขาก็ยังแกร่งไม่พอ เนื่องจากสำนักหัวหยุนเขาต้องละทิ้งชื่อ, รูปลักษณ์, บ้านและอาณาจักรของเขา ในสถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่เขาไม่อาจทำอะไรได้ แต่แม้กระทั่งหนึ่งในสี่ตระกูลหลักของเมืองลอร์ ตระกูลเจียงหยางของเขา ก็ยังไม่มีอำนาจมากพอที่จะหยุดสำนักหัวหยุน
เฮ้อ ! เจี้ยนเฉินถอนหายใจ ในขณะนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงภาพที่มารดาของเขาร้องไห้อย่างเศร้าใจเมื่อเขาจากมา
หลังจากที่คิดย้อนกลับไปแล้วดวงตาของเจี้ยนเฉินก็อ่อนลง หลังจากนั้นช่วงเวลาหนึ่งเขาก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะอุทิศตัวเพื่อฝึกฝนและพัฒนาความแข็งแกร่งของเขา ไม่อย่างนั้นภายใต้พลังที่ยิ่งใหญ่ของสำนักหัวหยุน เขาจะไม่อาจกลับไปที่อาณาจักรเกอซุนและพบมารดาของเขาได้อีกครั้ง ที่สำคัญคือเขาไม่สามารถที่จะได้รับความรักของมารดาได้อีกเลย.
เจี้ยนเฉินในชีวิตที่แล้วเป็นเด็กกำพร้าและไม่เคยได้รับรู้ว่าความรักของมารดานั้นเป็นอย่างไร สวรรค์ไม่เพียงแต่ทำให้เขาได้รับชีวิตใหม่ แต่ยังรวมถึงครอบครัวที่มีความสุขด้วย เจี้ยนเฉินได้รับความรู้สึกถึงความรักจากสายสัมพันธ์ของเขากับมารดา
แม้กระทั่งคนที่เกิดมาในครอบครัวที่มีความสุขก็ไม่อาจสัมผัสในสิ่งที่เจี้ยนเฉินสัมผัสได้ ในฐานะของคนที่เคยมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นเขา เขาจึงต้องการครอบครัวอยู่เสมอ แต่เนื่องจากเขาอยู่อย่างสันโดษเสมอ ใจเขาจึงรู้สึกว่าเขาเหมือนอยู่คนเดียว.
เลยประตูที่ว่างเปล่าออกไป มีทหารประมาณ 200 คนยืนอยู่และทุกคนจ้องมองมายังผู้คนที่เข้าและออกจากประตูเมือง เมื่อใดก็ตามที่มีใครบางคนที่ปกปิดใบหน้า เหล่าทหารจะเข้าไปหยุดและเปรียบเทียบกับคนในรูปก่อนที่จะยอมให้ทำสิ่งที่ค้างอยู่ต่อไป
แม้ว่าทหารจะขวางทหารรับจ้างจำนวนมาก แต่ก็ไม่มีใครรีบร้อน นี่เป็นเพราะนอกเหนือจากอาณาจักรเกอซุน มีป้อมทหารกว่าหมื่นคนและไม่เคยขาดผู้เชี่ยวชาญแม้แต่น้อย ดังนั้นหากเกิดการต่อสู้ขึ้นมามันก็จะเห็นได้ชัดว่าใครเป็นผู้แพ้
ประตูของป้อมปราการมีขนาดใหญ่โต แม้ว่าจะมีห้าคาราวานเดินเข้าไปพร้อมกันมันก็ยังไม่แออัดเท่าไรนัก ขณะที่เจี้ยนเฉินและกองคาราวานของเขาเดินไปข้างหน้าอย่างช้า กองคาราวานขนาดเล็กอีกแห่งก็เร่งความเร็วจากด้านหลังและเมื่อเขาเห็นประตูป้อมปราการพวกเขาก็เริ่มพูด.
เขาคือใครกันที่ถูกตั้งค่าหัวและถูกไล่ล่าจากทุกฝ่าย ข้าไม่คิดว่าแม้กระทั่งป้อมปราการของอาณาจักรเกอซุนก็จะมีภาพของเขาอยู่ด้วย.
ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะทำผิดอย่างใหญ่หลวง ข้าเคยไปมาสามเมืองแล้วและเห็นภาพนี้อยู่ทุกแห่งหน แม้กระทั่งสมาคมทหารรับจ้างก็ยังออกประกาศนำจับเพื่อจับกุมเขา
ถูกต้อง ชายคนนี้ต้องเป็นคนที่ทำผิดกฏหมายบางอย่างหรือสะดุดเส้นของผู้มีอิทธิพลมากแน่ๆ ตอนนี้สมาคมทหารรับจ้าง ได้จัดค่าหัวอยู่ในระดับ A และทหารที่เข้าร่วมได้นั้นก็ไม่มีข้อจำกัดที่จะรับได้ ดังนั้นแม้กระทั่งทหารรับจ้างระดับ D ก็สามารถรับค่าหัวอันนี้ได้
ถูกต้องแล้ว ค่าหัวในครั้งนี้ก็สูงมาก ตราบใกที่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับตัวของเขาหรือที่อยู่ของเขา เราก็ได้รับแน่ ๆ 1,000เหรียญม่วงและหากเขาสามารถจับตัวเขาได้ด้วยข้อมูลที่เราให้ เราก็ได้อีก 4,000 เหรียญม่วง
แค่ไม่กี่พันยังไม่เท่าไร หากว่าเราจับเขาได้ด้วยตัวเองและนำไปส่งสำนักหัวหยุนนั่นก็เท่ากับว่าเราได้ถึง 10,000 เหรียญม่วง 10,000 เหรียญม่วง แค่คิดมันก็น่ากลัวเท่าไรแล้ว ข้าไม่เคยแม้กระทั่งเห็นเงินสัก 1 เหรียญม่วงสักครั้งในชีวิตเลยอย่าว่าแต่ 10,000 เหรียญม่วงเลย !
…..
เมื่อได้ยินเหล่าพ่อค้าพูดคุยกัน มู่หยุนก็หันไปหาเจี้ยนเฮินและหัวเราะ ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นความผิดประเภทไหนที่เจียงหยางเซียงเทียนทำ สำนักหัวหยุนได้ทุ่มเทเงินเป็นจำนวนมากเพื่อหาตัวเขา แต่นั่นไม่ใช่ข้ออ้างเพื่อตัดสิน คนในภาพนั้นเป็นแค่เซียนขั้นต้นเท่านั้น มันน่าแปลกใจแค่ไหนที่สำนักหัวหยุนถึงได้เกลียดเขามากขนาดนี้? เป็นไปได้ไหมที่เจียงหยางเซียงเทียนคนนี้ไปแอบมองบุตรสาวของผู้นำสำนักอาบน้ำ?
เมื่อได้ยินมู่หยุนพูด เจี้ยนเฉินก็ทำได้เพียงหัวเราะอย่างเย็นชา เขามองดูมู่หยุนอย่างท้อแท้ พี่มู่ ข้าอาศัยอยู่ในอาณาจักรเกอซุนมากกว่าสิบปีแล้วและได้ข่าวเกี่ยวกับสำนักหัวหยุนมามาก อย่างไรก็ตามที่ข้าได้ยินเกี่ยวกับบุตรของหัวหน้านิกายคือบุตรชาย ไม่ใช่บุตรสาว ดังนั้นการดูถูกว่าบุตรสาวของเขาถูกถ้ำมองตอนอาบน้ำ นั่นมันเป็นไปไม่ได้.
มู่หยุนมองอย่างรังเกียจไปที่เจี้ยนเฉิน เจ้าจะรู้อะไร ใครบอกกันว่าผู้นำนิกายไม่มีบุตรสาว? สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน บางทีนางอาจจะซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ก็ได้
เจี้ยนเฉินส่ายหัวอย่างท้อแท้ เขาตัดสินในใจว่าจะไม่เถียงกับมู่หยุนกว่าผู้นำสำนักมีบุตรสาวหรือไม่
กองคาราวานวิ่งเข้าไปในป้อมโดยไม่มีมีปัญหาใด ๆ และรูปลักษณ์ของเจี้ยนเฉินก็ผ่านเข้าไปง่ายดายโดยไม่มีปัญหา ไม่มีใครจับได้เลยว่าเขานั้นแปลงโฉม ในเมื่อเจี้ยนเฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉม ดังนั้นแม้ว่าเขาจะใช้สมุนไพรทั่วไปเพียงไม่กี่อย่าง การแปลงโฉมของเขาก็ยังคงไร้ที่ติ
นอกจากนี้ทักษะการแปลงโฉมนี้เป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินได้มาจากโลกก่อน มันดูเรียบง่ายแต่จริง ๆ แล้วมันค่อนข้างลึกซึ้งและไม่อาจเรียนรู้ได้ง่ายๆ ในโลกนี้วิธีการแบบนี้ยังไม่เคยมีใครคิดขึ้นมาได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ไม่มีใครจะเอะใจเขาถึงสองครั้ง ตราบใดที่ใบหน้าของเขาไม่ฉีกขาด ก็จะไม่มีใครสามารถค้นหาเขาได้
หลังจากผ่านป้อมปราการเข้ามาแล้วพวกเขาก็ได้รับการต้อนรับเป็นที่ราบที่มองเห็นได้สุดสายตา มีคนน้อยมากบนถนนและมีคาราวานเพียงไม่กี่คันเท่านั้น นี่คือถนนที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักรและเป็นดินแดนที่ไม่มีระเบียบมาควบคุม โจรผู้ร้ายและพวกนอกกฏหมายเดินไปทั่วทุกที่ ดังนั้นกลุ่มคาราวานและกลุ่มเดินทางอื่น ๆ จึงจ้างทหารรับจ้างที่แข็งแกร่งเพื่อปกป้องพวกเขา.
ดินแดนแห่งนี้กว้างใหญ่มากเช่นกัน การเดินทางหนึ่งวันของพวกเขาเท่ากับระยะทางหนึ่งในสี่ของที่นี้ หากพวกเขาต้องการไปอาณาจักรวายุคราม พวกเขาจะต้องผ่านภูเขาเพื่อไปที่ป้อมชายแดน ด้วยความเร็วของกองคาราวานที่เป็นอยู่ หากพวกเขาต้องเดินทางไปยังป้อมปราการจริง พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน แม้ว่าจะมีถนน แต่พวกเขาก็ไม่อาจเดินทางไปได้เร็วนักเนื่องจากกองคาราวานบรรทุกสินค้าเป็นจำนวนมาก
เมื่อกลางวันผ่านไปกลางคืนเข้ามา กองคาราวานก็หยุดเดินทางและจัดค่ายรอบ ๆ กองคาราวาน ขณะที่คนขับรถกองคาราวานก็เอาอาหารให้ม้ากิน
ควันพุ่งขึ้นมาเหนือค่าย ขณะที่ทหารรับจ้างนั่งลงย่างเนื้อสัตว์อสูรหรืออาหารแห้งที่พวกเขาเตรียมไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตามใช่ว่าทุกคนจะนั่งด้วยกัน ทหารรับจ้างสองสามคนยืนอยู่ใกล้กันและเริ่มกินอาหารของตัวเอง
เจี้ยนเฉินกางกระโจมที่นำออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาและมองหาผืนดินแห้ง ๆ และราบเพื่อตั้งกระโจม เนื่องจากเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทหารรับจ้างกลุ่มใด กฎของกลุ่มทหารรับจ้างจึงไม่อาจใช้กับเขาได้ เจี้ยนเฉินจึงต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคาราวาน
ทันทีที่เจี้ยนเฉินกางกระโจมของเขาเสร็จ มู่หยุนก็เดินเข้ามาหาเจี้ยนเฉินและพูดว่า เจี้ยนเฉิน ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้าร่วมกองคาราวานนี้เพียงครึ่งทาง เจ้าวางแผนที่จะไปไหนหรือไม่?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและพูด ข้าต้องการไปที่อาณาจักรวายุคราม แล้วพี่มู่หยุนเล่า ?
มู่หยุนหัวเราะและพูด ข้าก็ต้องไปอาณาจักรเคจซึ่งหมายความว่าข้าต้องผ่านอาณาจักรวายุคราม ขณะที่เขาพูด มือของเขาก็ดึงกระโจมของเขาออกมาจากเข็มขัดมิติและเขาก็เริ่มตั้งกระโจมไม่ไกลจากของเจี้ยนเฉิน
ตอนที่ 70: ออกจากอาณาจักรเกอซุน
หลังจากออกจากสมาคมทหารรับจ้าง เจี้ยนเฉินก็เดินไปที่ตลาด มีสินค้าที่หลากหลายวางขายอยู่จึงมีกองกำลังติดอาวุธจำนวนหนึ่งคอยปกป้องขณะที่ผู้คนซื้อขาย เมื่อมีพวกเขาคอยเฝ้าจึงไม่มีใครกลัวว่าสินค้าของพวกเขาถูกขโมย
เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงก็มีคนซื้อขายกันอย่างคึกคักในขณะที่คนอื่น ๆ กำลังเข้าออกจากพื้นที่ ทหารยามขี่สัตว์อสูรหลายชนิด มีบางคนที่ใช้เพียงม้าธรรมดา
ม้าเป็นสัตว์ที่พบได้ทั่วไปในทวีปเทียนหยวน พวกมันเป็นพาหนะที่ใช้กันโดยทั่วไป มันจึงดูธรรมดาที่สุด
ในขณะนั้นพ่อค้าคนหนึ่งเดินไปที่ด้านข้างของเจี้ยนเฉินพร้อมสินค้ามากมาย เจี้ยนเฉินจับมือพ่อค้าคนหนึ่งและถามว่า พี่ชาย ข้าขอถามท่านได้ไหมว่าพ่อค้าคนใดบ้างที่กำลังจะออกจากอาณาจักรเกอซุน?
พ่อค้ามองเจี้ยนเฉินด้วยความสงสัยก่อนจะชี้ไปยังกองคาราวานขนาดใหญ่ กองคาราวานนี้กำลังเตรียมออกจากอาณาจักรเกอซุน
เจี้ยนเฉินเดินตามไปและเห็นรถม้า 10 คันรวมกันเป็นกลุ่ม รอบกองคาราวานเป็นกลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ที่ปกป้องสิ่งของ ในขณะที่ชายวัยกลางคนสวมเสื้อคลุมที่ดูหรูหรากำลังสั่งให้ผู้คนบรรจุสินค้าลงบนรถม้า
มองเพียงแวบเดียวเจี้ยนเฉินก็รู้ว่าชายวัยกลางคนเป็นคนรับผิดชอบกองคาราวาน เขาก็รีบเดินไปถามชายคนนั้นว่า ท่าน ข้าขอถามว่าคาราวานของท่านกำลังจะออกจากอาณาจักรเกอซุนใช่หรือไม่ ?
เมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินถาม ชายวัยกลางคนหันมามองเขาและพูดว่า เจ้าถามทำไม ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะพลางตอบว่า ท่านลุง ถ้ากองคาราวานของท่านกำลังจะออกจากอาณาจักรเกอซูน ข้าจะขอไปกับท่านด้วยได้หรือไม่ ? แม้ว่าข้าจะไม่แข็งแกร่งมาก ข้าก็ยังเป็นทหารรับจ้าง ข้าไม่ต้องการสิ่งของตอบแทนด้วย ท่านจะว่าอย่างไร ?
ชายวัยกลางคนดูโล่งใจเมื่อได้ยินเจี้ยนเฉินพูดประโยคสุดท้ายและพูดว่า ได้สิ ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องอยู่ใกล้ ๆ เราในระหว่างการเดินทาง นอกจากนี้เจ้าต้องชำระค่าผ่านด่านเองและจะไม่ได้รับค่าชดเชยจากเรา ท้ายที่สุดถ้าเราถูกโจมตี เจ้าต้องช่วยปกป้องกลุ่มและต่อสู้ร่วมกับเรา
ในทวีปเทียนหยวน ทหารรับจ้างที่อ่อนแอส่วนใหญ่มักจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือเข้าร่วมกลุ่มคาราวานเพื่อเดินทางจากอาณาจักรหนึ่งไปอีกอาณาจักรหนึ่ง
เนื่องจากถนนที่เชื่อมต่ออาณาจักรนั้นยาวและมีอันตรายอยู่มากมาย จึงมีโอกาสสูงมากที่จะได้พบกับพวกโจร การถูกซุ่มโจมตีจากสัตว์อสูรก็เป็นเหตุการณ์ปกติ และในบางพื้นที่การโจมตีเหล่านั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ด้วยเหตุนี้ ทุกกองคาราวานจึงยินดีต้อนรับทหารรับจ้างอย่างเป็นมิตรและโดยทั่วไปจะไม่ปฏิเสธพวกเขา. ท้ายที่สุดแม้กระทั่งผู้ชายหนึ่งคนก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมและสามารถช่วยปกป้องชีวิตของใครบางคนได้
เจี้ยนเฉินไม่ลังเลเลยที่จะยอมรับเงื่อนไขของชายคนนั้น
กองคาราวานของเราจะออกเดินทางในอีกครึ่งชั่วโมง ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อม หลังจากนั้นชายผู้นั้นไม่ได้สนใจเจี้ยนเฉินอีกเลยและกลับมาสั่งการให้ผู้คนทำงาน
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็มุ่งหน้าไปที่คอกม้าของเมืองเมฆขาวและใช้เงิน 50 เหรียญทองเพื่อซื้อม้า 1 ตัว เขานำม้ากลับมา อดทนรอให้กองคาราวานออกเดินทาง
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่เจี้ยนเฉินขี่ม้าและตามกองคาราวานจากด้านหลัง ทหารรับจ้างที่ถูกว่าจ้างมาแต่เดิมเพื่อปกป้องกองคาราวานมองเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่มีใครสนใจที่จะคุยกับเขา เนื่องจากมีกองคาราวาน 3 กลุ่มที่รวมกันเป็น 1 กลุ่ม จึงมีทหารรับจ้าง 3 กลุ่ม นอกเหนือจากสามกลุ่มนี้ ยังมีทหารรับจ้างจำนวนมากที่เดินทางด้วยตัวเอง มันเป็นเพราะอันตรายที่ไม่อาจเกิดโดยไม่คาดคิด กองคาราวานต้องรวมกลุ่มกันทั้งตัวเองและทหารรับจ้างทำให้มีจำนวนผู้เดินทางประมาณ 500 คน เป็นเรื่องปกติที่คน ๆ หนึ่งจะไม่รู้จักอีกคน
ในไม่ช้าพวกเขาก็ออกจากประตูเมือง แม้ว่าผู้ดูแลกองคาราวานจะมีผู้คุมกันส่วนตัวและทหารรับจ้างจำนวนหนึ่ง แต่เขาไม่ได้อยู่ที่ประตูเมืองนานนักและสั่งให้กองคาราวานออกเดินทางทันทีเมื่อการเจรจาสิ้นสุดลง
ช้าก่อน ในขณะนั้นก่อนที่ทุกคนจะได้เคลื่อนไหว ชายคนหนึ่งสวมชุดเกราะเดินลงมาจากหอคอยเมืองพร้อมกับม้วนกระดาษ
ชายวัยกลางคนข้ามประตูเมืองและส่งม้วนกระดาษไปยังหนึ่งในผู้คุ้มกันส่วนตัว นำรูปวาดนี้ไป แล้วแปะไว้ที่ประตูเมือง จากนั้นหานักวาดภาพที่เก่งสุดและส่งเขามาหาข้า ข้าต้องการให้เขาวาดภาพนี้ซ้ำและแปะมันทุกที่ในเมือง หากใครสามารถหาคนในภาพนี้ได้ ให้จับกุมเขาและถ้าเขาขัดขืนก็ให้ฆ่าได้ทันที
ขอรับท่าน ! ทหารคนหนึ่งหยิบม้วนกระดาษแล้วตรึงมันไว้กับกำแพงเมืองทันที
ภาพวาดเหล่านี้เป็นอาชญากรที่ถูกหมายหัวในอาณาจักรเกอซุน ดูให้ดีตอนนี้ ตามหาชายคนนี้ในทุก ๆ เมืองที่พวกเจ้าแวะไป พวกเจ้าต้องไม่ปล่อยให้อาชญากรหลุดรอดไปได้ เข้าใจไหม ? ชายผู้นั้นพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่สามารถได้ยินได้ชัดเจนในระยะไกล
ในขณะที่ผู้คุ้มกันติดรูปลงบนประตูเมือง ทุกคนต่างก็เหลียวมองรูปนั้น บุคคลนั้นดูเหมือนจะอายุน้อยกว่า 16 ปีและไม่เกิน 20 ปี แม้ว่าบุคคลนั้นจะดูเด็กมากแต่รูปร่างหน้าตาของเขานั้นหล่อเหลาและดูสมจริงมากแม้ว่ามันจะเป็นภาพวาด ใครก็ตามที่วาดภาพนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะอย่างแท้จริง.
หลังจากติดภาพวาด ชายคนนั้นโบกแขนให้กับผู้นำกองคาราวาน ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าไปได้
กองคาราวานก็เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งโดยไม่มีใครขัดขวาง อย่างไรก็ตามผู้คุมที่ประตูเมืองได้เปลี่ยนจากจำนวนสิบไปเป็นร้อยแล้ว ทุกคนจะตรวจสอบแต่ละคนขณะที่พวกเขาเข้าหรือออกจากประตูแล้วเปรียบเทียบพวกเขากับบุคคลในภาพวาด
เมื่อเจี้ยนเฉินกำลังจะออกจากประตู เขาเห็นภาพวาดบนประตูและดวงตาของเขาแข็งเป็นหิน คนที่อยู่ในภาพวาดคือเขาเองก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
เมื่อเห็นอย่างนี้ เจี้ยนเฉินก็รู้สึกกลัวสำนักหัวหยุนขึ้นมาในใจ เมืองนี้อยู่ห่างจากเมืองลอร์นับร้อยไมล์ เขาเพิ่งออกจากเมืองลอร์เมื่อวานและมาถึงเมืองเมฆขาวเมื่อคืนที่ผ่านมา สำนักหัวหยุนสามารถวาดภาพของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และพวกเขาก็ยังสามารถส่งรูปวาดไปยังเมืองที่อยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ได้อย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพเช่นนี้ทำให้ทุกคนเกิดความหวาดกลัว และเจี้ยนเฉินสงสัยว่าสำนักหัวหยุนคงไม่ได้ส่งรูปวาดมายังเมืองเมฆขาวเท่านั้น ตอนนี้เขากลัวว่าเกือบทุกเมืองในอาณาจักรเกอซุนมีหมายจับตัวเขาอยู่
เจี้ยนเฉินชื่นชมในการตัดสินใจเปลี่ยนรูปร่างหน้าตา ไม่เช่นนั้นเขาจะถูกกดดันอย่างหนักในการหลบหนีเมืองเมฆขาว
ในขณะที่เจี้ยนเฉินขี่ม้าไปข้างหน้า ทหารสองคนที่ประตูตรวจสอบเขาด้วยสายตาที่จ้องมองอย่างละเอียด อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินได้เปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาไปแล้ว เขาแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง หากคนที่คุ้นเคยกับเขาจะไม่สามารถจำเขาได้ ดังนั้นคนแปลกหน้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นใคร
เจี้ยนเฉินปะปนไปกับทหารรับจ้างคนอื่น ๆ โดยไม่มีอุปสรรคและออกเดินทางจากเมืองเมฆขาวไปตามขบวนในแนวยาว
จุดหมายสุดท้ายสำหรับสามกองคาราวานคืออาณาจักรเพื่อนบ้าน อาณาจักรวายุคราม แต่เนื่องจากกองคาราวานมีสินค้ามีค่าอยู่มากมาย พวกเขาจึงไปช้า ๆ แม้ว่าป้อมชายแดนจะอยู่ไม่ไกลเกินไป แต่ก็ใช้เวลา 2-3 วันในการเดินไปถึงชายแดนและการข้ามไปยังอาณาจักรวายุครามจะต้องใช้เวลาอีกครึ่งเดือน
เจี้ยนเฉินมองไปที่กองคาราวานอันยิ่งใหญ่ พวกเขาไม่ได้ใช้ม้าทั่วไปลากเกวียน แต่เป็นสัตว์อสูรระดับหนึ่ง 4 ตัวซึ่งเป็นสายพันธุ์เพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ รอบสัตว์อสูรที่ลากเกวียนมีทหารรับจ้างสองสามคนที่ขี่บนสัตว์อสูรของตัวเอง พวกเขาดูแข็งแกร่งมาก ชายที่เจี้ยนเฉินเคยคุยด้วยก่อนหน้านี้ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน ดูเหมือนว่าพวกเขาทุกคนกำลังปกป้องกองคาราวานร่วมกัน
เจี้ยนเฉินคิดอย่างเงียบ ๆ ว่าคนที่อยู่ตรงกลางกองคาราวานนั้นเป็นผู้นำ ถ้าไม่ใช่ก็เป็นคนสำคัญ นี่เป็นเพราะกองคาราวานนี้ดูยิ่งใหญ่และยังมีคาราวานเล็กอีก 2 กลุ่มอยู่ข้าง ๆ
กลุ่มคาราวานใช้เวลาประมาณ 4 วันกว่าจะถึงป้อมชายแดนซึ่งเป็นกำแพงยาวหลายไมล์ มันสูง 50 เมตรและหนา 20 เมตร จากระยะไกล กำแพงอันยิ่งใหญ่นี้ดูเหมือนมังกรตัวยาวที่ทำให้ผู้คนสั่นคลอนด้วยความกลัว
เจี้ยนเฉินมองผนังด้านหน้าของเขาขณะที่เงาของมันยื่นออกมา ภายใต้การป้องกันของกำแพง พระอาทิตย์จึงถูกบดบังอย่างสมบูรณ์ และพื้นที่ด้านหน้าของกำแพงก็ถูกปกคลุมในความมืด .. ภาพนี้เพียงพอที่จะทำให้คนที่ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้มาก่อนต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนกำแพงมีพลังที่น่ากลัวและลึกซึ้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินได้เห็นกำแพงของอาณาจักรเกอซุน เจี้ยนเฉินมองเห็นความยิ่งใหญ่ที่น่าเกรงขาม ในโลกก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นกำแพงหลายแห่งแต่ไม่มีที่ไหนเทียบได้กับสิ่งนี้ กำแพงที่ใหญ่ที่สุดที่เขาเคยเห็นมีความสูง 20 เมตร แต่กำแพงด้านหน้าของเขานั้นสูง 50 เมตร มันเหมือนกับการเปรียบเทียบผู้ใหญ่กับเด็ก
ช่างเป็นกำแพงที่ยอดเยี่ยม ข้านึกไม่ออกเลยว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการสร้างกำแพงที่ใหญ่ขนาดนี้ เจี้ยนเฉินถอนหายใจด้วยความชื่นชม
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด ทหารรับจ้างซึ่งขี่ม้าถัดจากเขาก็กลั้นเสียงหัวเราะ กำแพงขนาดนี้เป็นเรื่องปกติในทวีปเทียนหยวน แทบทุกอาณาจักรมีกำแพงขนาดนี้ ทหารรับจ้างจ้องเจี้ยนเฉินแล้วพูดว่า ถ้าเจ้าไม่เคยไปสามจักรวรรดิใดมาก่อน ข้าขอบอกเจ้าว่า กำแพงแต่ละแห่งมีความสูงอย่างน้อย 100 เมตรและหนา 50 เมตร กำแพงเมืองเล็ก ๆ เหล่านี้ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลย !
เจี้ยนเฉินหันกลับไปมองทหารรับจ้างที่พูดกับเขา เขาดูเหมือนจะอายุประมาณ 20 ปีและมีใบหน้าที่คล้ำแดด เขาสวมเสื้อผ้าหนังหยาบ ๆ ที่ทำให้เขาดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อมีโอกาส ข้าจะไปดูกำแพงของทั้งสามจักรวรรดิ เจี้ยนเฉินหัวเราะ
ถนนที่เชื่อมต่อทั้งสามจักรวรรดินั้นค่อนข้างยาวและอันตราย ในขณะเดียวกัน สัตว์อสูรก็วิ่งอาละวาดที่นั่น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเดินทางข้ามไปในระหว่างจักรวรรดิ ทหารรับจ้างกล่าว
ตอนที่ 69: ทหารรับจ้าง.
ทั่วทั้งทวีปเทียนหยวน ในแต่ละเมืองของทุกอาณาจักร สมาคมทหารรับจ้างจะตั้งอยู่ตรงกลางเมืองเสมอ และถัดจากสมาคมทหารรับจ้างจะเป็นร้านแลกเงินสองสามร้าน
เมืองเมฆขาวเป็นเพียงเมืองชั้นสอง แต่ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ เจี้ยนเฉินเดินมาเป็นเวลา 2 เค่อก่อนที่จะถึงถนนที่จอแจในย่านใจกลางเมือง ด้านหน้าของเขาเป็นอาคารสูง 20 เมตรที่ตั้งตระหง่านเหนืออาคารอื่น ๆ นี่คือสมาคมทหารรับจ้าง
อาคารของสมาคมทหารรับจ้างค่อนข้างใหญ่และถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะคล้ายกับสัตว์อสูรขนาดยักษ์ ที่ทางเข้าของอาคาร ทหารรับจ้างจำนวนมากเดินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง
เจี้ยนเฉินเข้าไปในสมาคมทหารรับจ้าง และแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าไปในสถานที่เช่นนี้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาต้องการที่จะเป็นทหารรับจ้างที่มีประสบการณ์ เขาจึงอ่านข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ ไว้จากหอหนังสือของสำนัก
มีผู้คนจำนวนมากในสมาคมและมีงานหลายประเภทข้างในนั้น ผู้คนหลายคนพยายามส่งมอบภารกิจของพวกเขา แต่ในอาคารที่ลึกที่สุด มีโต๊ะลงทะเบียนทหารรับจ้างที่มีบรรยากาศที่เย็นยะเยือกและรกร้าง
เจี้ยนเฉินเดินไปที่นั้นและพูดว่า สวัสดี ข้าต้องการสมัครเป็นทหารรับจ้าง
บุคคลที่ประจำโต๊ะนี้เป็นชายชราที่ดูเหมือนจะอายุประมาณ 60 ปี แม้ว่าเขาจะแก่แล้ว ใบหน้าของเขาก็ยังเป็นสีแดงและดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
ชายชราคนนั้นมองเจี้ยนเฉินอย่างเฉยเมยและพูดอย่างราบเรียบว่า ในการเป็นทหารรับจ้าง,คนสมัครต้องเป็นเซียนก่อน เจ้าบรรลุถึงระดับนั้นหรือยัง ?
ข้าถึงระดับเซียนแล้ว เจี้ยนเฉินตอบ
ชายชรามองดูเจี้ยนเฉินและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วถามว่า เจ้าชื่ออะไร?
เจี้ยนเฉิน ! เห็นได้ชัดว่าเจี้ยนเฉินไม่ต้องการใช้ชื่อเจียงหยางเซียงเทียนเมื่อเขาพยายามปกปิดตัวตน ดังนั้นเขาจึงใช้ชื่อดั้งเดิมของเขาจากชีวิตก่อนหน้านี้เป็นชื่อใหม่
ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ? ชายคนนั้นถาม
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจี้ยนเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า อายุ 20 ปี เจี้ยนเฉินไม่สามารถระบุอายุที่แท้จริงของเขาได้เนื่องจากเซียนที่อายุ 15 ปีเป็นสิ่งที่หายากมากในทวีปเทียนหยวน ถ้าเขาบอกอายุที่แท้จริงของเขา มันอาจจะสร้างปัญหายุ่งเหยิงขึ้นในภายหลัง แม้ว่าหลายคนจะรู้ว่าเจี้ยนเฉินมีความสามารถมากเพียงใดในสำนักคากัต แต่มีเพียงอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่รู้อายุจริง ๆ ของเขา
อายุ 20 ปีเป็นอายุปกติสำหรับเซียนและเนื่องจากร่างกายภายนอกที่เติบโตแซงหน้าคนรุ่นเดียวกัน คนอื่นจะไม่มีใครรู้ถ้าเขาบอกว่าเขาอายุ 20 ปี รูปร่างหน้าตาของเขาแทบไม่มีความแตกต่างกับคนอายุ 20 ปีเลย
ระดับความแข็งแกร่งของเจ้าล่ะ ? ชายผู้นั้นเริ่มเขียนลงบนแผ่นกระดาษ
เซียนขั้นต้น เจี้ยนเฉินกล่าวตอบ
กระบวนการที่เหลือในการเป็นทหารรับจ้างนั้นค่อนข้างง่าย หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียม 1 เหรียญเงิน เจี้ยนเฉินได้กลายเป็นทหารรับจ้างอย่างเป็นทางการ เขาหยิบตราทหารรับจ้างขึ้นมาซึ่งเป็นตำแหน่งที่ต่ำที่สุดเพราะเขาเป็นเพียงเซียนขั้นต้น
หลังจากเก็บตรา เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้สนใจที่จะรอช้าอยู่ในสมาคม เขารีบออกจากอาคารอย่างรวดเร็วและถามหาเส้นทางไปยังร้านขายโอสถ
ในทวีปเทียนหยวนขาดแคลนเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้หลากหลายประเภท พวกเขามีจำนวนน้อยมาก ด้วยเหตุนี้เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงจึงมีสถานะที่สูงส่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับทหารรับจ้างซึ่งอยากได้เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงเข้ามาในกลุ่มของพวกเขา เฉพาะกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่สามารถเชิญเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงให้มาเข้าร่วมกลุ่มได้สำเร็จ คนที่อยู่คนเดียวหรือไม่แข็งแกร่งพอจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงนอกจากต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก
ทหารรับจ้างในทวีปเทียนหยวนมีจำนวนมากทำให้ทุกวันมีผู้บาดเจ็บนับไม่ถ้วน เนื่องจากเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงมีไม่เพียงพอกับความต้องการ วิธีการใหม่ในการใช้โอสถและสมุนไพรจึงถูกสร้างขึ้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ แน่นอนว่าการใช้โอสถเหล่านี้ด้อยกว่าความสามารถในการรักษาของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงอย่างมาก แต่ก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในหมู่ทหารรับจ้าง เพราะถ้าไม่นับรวมโอสถคุณภาพสูงที่มีราคาแพง โอสถทั่วไปก็ราคาถูกมาก
ร้านโอสถขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มันไม่เหมือนกับสมาคมทหารรับจ้างที่มีกำแพงกันเสียงรอบด้าน ในขณะที่อยู่ในสมาคมทหารรับจ้าง ทหารรับจ้างทุกคนในนั้นจะตะโกนเรียกกันเสียงดัง ส่วนในร้านขายโอสถผู้คนสามารถพูดคุยกันได้อย่างง่ายดาย
ร้านขายโอสถมีผู้คนมากมาย หลังจากกวาดตามองไปรอบ ๆ ร้าน เจี้ยนเฉินก็พบแถวที่มีคนไม่มากนักรออยู่
ท่านต้องการซื้ออะไรหรือ ?
ในที่สุดมันก็ถึงตาของเจี้ยนเฉิน เขาได้รับการต้อนรับอย่างกระตือรือร้นจากคนที่อยู่ข้างหลังโต๊ะกั้น
ข้าต้องการสมุนไพรบางอย่าง ท่านมีพวกมันบ้างหรือไม่ ? เจี้ยนเฉินถาม
ผู้ช่วยจ้องมองเจี้ยนเฉิน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นลูกค้าที่มาซื้อโอสถที่ไม่มีบาดแผล ชายคนนี้ต้องการซื้อสมุนไพร แม้จะมีความอยากรู้อยากเห็น ผู้ช่วยก็ตอบว่า แน่นอนเรามีอยู่ ข้าไม่รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่สิ่งที่อยู่ในร้านนั้นก็มีไว้เพื่อขาย
ข้าต้องการหญ้ากิเลน, หญ้าจำฉ่าย, หญ้าหวาน, หญ้ากะโหลก, ดอกโทวจือ, กวงพั้ง, ดอกลิลลี่, ไป่เหอฮวา….ท่านมีสิ่งเหล่านี้หรือไม่ ? เจี้ยนเฉินบอกชื่อสมุนไพรเกือบ 10 ชนิด.
ผู้ช่วยพยักหน้าทันที เรามี สมุนไพรเหล่านี้พบได้ทั่วไปและไม่แพงเลย เรามีทั้งหมด ท่านต้องการเท่าไหร่ล่ะ ?
เจี้ยนเฉินยิ้มแย้มแจ่มใส เขาหยิบเหรียญทองออกมาแล้ววางลงบนโต๊ะขณะที่เขาพูดว่า ข้าขออย่างละนิดพอ ! สมุนไพรเหล่านี้ล้วนเป็นสินค้าที่พบได้ทั่วไป เหรียญทองเพียงเหรียญเดียวก็เพียงพอที่จะซื้อสมุนไพรได้เป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นเหรียญทองบนโต๊ะ ชายผู้นั้นก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ได้เลย รอสักครู่ ข้าจะไปเอามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ ! หลังจากพูดจบ เขารีบเข้าไปรวบรวมสมุนไพรในห้องด้านหลัง
หลังจากจ่ายเงินค่าสมุนไพรที่เขาต้องการ เจี้ยนเฉินก็ออกจากร้านและมุ่งหน้าออกไปนอกเมือง
เขามาถึงด้านนอกกำแพงเมือง 10 ไมล์และเข้าไปในป่าเล็ก ๆ ที่นั่นเขาขุดดินหลายกองและถอนต้นหญ้าขึ้นมา จากนั้นเขาก็เก็บมันไว้ในเข็มขัดมิติของเขาและเดินกลับไปที่เมืองเมฆขาว
ในเมืองเมฆขาว เจี้ยนเฉินได้ซื้อเสื้อผ้าธรรมดาชุดใหม่และกลับเข้าไปในตรอกซอกซอยของเมืองซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของประชาชนทั่วไป หลังจากมองไปทางซ้ายและขวาเพื่อตรวจสอบว่าไม่มีคนผ่านไปมา เขาก็หยิบเอาสมุนไพรแต่ละชนิดที่เขาซื้อมาก่อนหน้านี้ขึ้นมา
เขาเริ่มบดสมุนไพรเป็นผงละเอียดโดยใช้มือก่อนที่จะผสมกับน้ำที่เขาตักมา เขาเพิ่มส่วนผสมของโคลนนุ่มและใบไม้ลงไป เขาบดทั้งหมดให้เป็นผงเช่นกัน เขาผสมมันจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันก่อนที่จะบีบน้ำที่เหลือออก เจี้ยนเฉินหยิบน้ำที่ออกมาแล้วทาลงบนใบหน้าทันที
เจี้ยนเฉินเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงใบหน้าที่สมบูรณ์สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ในขณะนี้เจี้ยนเฉินดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แม้แต่คนที่คุ้นเคยกับรูปร่างหน้าตาของเขาก็ยังไม่สามารถจำเขาได้ สำหรับเจตนารมณ์และวัตถุประสงค์ทั้งหมด ตอนนี้เจี้ยนเฉินกลายเป็นคนใหม่ที่แตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หน้าตาที่หล่อเหลาก่อนหน้านี้กลายเป็นหน้าตาธรรมดาทั่วไปและแม้แต่คิ้วและขนตาของเขาก็ถูกเปลี่ยนให้สั้นลง คุณสมบัติเดียวที่ไม่ได้เปลี่ยนคือดวงตาที่มีเสน่ห์
เจี้ยนเฉินไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น กระบี่วายุโปรยปรากฏขึ้นมาในมือของเขา ทันใดนั้นเขาวางกระบี่ไว้ที่ด้านหลังเอวขณะที่ผมยาวลอยขึ้นไปในอากาศ
แสงไฟสีเงินกระพริบ กระบี่วายุโปรยตัดผ่านเส้นผมยาวของเขาภายในพริบตาด้วยความเร็วที่แทบจะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ตอนนี้เขามีผมยาวประไหล่ เขาเปลี่ยนชุดใหม่จากชุดหรูหราเดิมก่อนหน้านี้ที่เป็นเสื้อทำจากผ้าไหมทอมือไปเป็นชุดหนังหยาบ.
ณ จุดนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินคนเดิมหลงเหลือ แม้กระทั่งคนที่รู้จักเขาดีที่สุดก็ไม่มีทางจำเขาได้
เจี้ยนเฉินใช้เวลาอีกสักครู่เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้มองข้ามสิ่งใดในการปลอมแปลงใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบ เขาตรวจสอบอย่างพอใจและเผาเสื้อผ้าชุดเก่าของเขาทันที หลังจากนั้นเขาจึงออกจากซอยแคบ
เจี้ยนเฉินไปที่สมาคมทหารรับจ้างอีกครั้ง,เขามุ่งหน้าไปที่สถานที่รับภารกิจ ห้องโถงภารกิจในสมาคมทหารรับจ้างแบ่งภารกิจออกเป็น 5 ระดับ S, A, B, C, และ D ระดับสูงสุดคือ S และต่ำสุดคือ D ในเวลาเดียวกันทหารรับจ้างก็แยกออกเป็นแบบเดียวกัน 5 กลุ่มเช่นกัน ในตอนนี้เจี้ยนเฉินเป็นเพียงทหารรับจ้างระดับ D และดังนั้นเขาจึงสามารถทำภารกิจจัดระดับ D ได้เท่านั้น
ระดับขั้นของทหารรับจ้างนั้นพิจารณาจากจำนวนภารกิจที่เสร็จสมบูรณ์ ภูมิหลังและความแข็งแกร่งของพวกเขา ทหารรับจ้างระดับ D อย่างน้อยจะต้องเป็นเซียน ในขณะที่ทหารรับจ้างระดับ C อย่างน้อยต้องเป็นเซียนระดับสูง ด้วยระบบนี้ ทหารรับจ้างระดับ S ต้องแข็งแกร่งและเป็นเซียนปฐพี
แม้ว่าคนที่มีความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับเซียนปฐพี หากพวกเขาไม่มีชื่อเสียงเท่าเทียมกัน พวกเขาก็จะไม่ถือว่าเป็นทหารรับจ้างระดับ S ดังนั้นระบบการจัดระดับทหารรับจ้างนี้จึงไม่มีทางลัด
ภารกิจติดอันดับมากมาย แต่ส่วนใหญ่น่าเบื่อมาก ส่วนใหญ่เกี่ยวกับการค้นหาสิ่งของที่หายไปหรือช่วยร้านค้าซื้อและจัดส่งสินค้าไปยังร้านอื่น ไม่มีภารกิจใดที่เจี้ยนเฉินสนใจ
ตอนนี้เจี้ยนเฉินต้องการเพียงภารกิจที่จะให้เขาออกจากอาณาจักรเกอซุน เพราะเขารู้ว่าสำนักหัวหยุนมีอำนาจมากในอาณาจักร แม้ว่าเขาจะแปลงโฉมไปแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะไม่มีใครค้นพบตัวตนที่แท้จริงของเขาและนำข่าวไปบอกสำนักหัวหยุนให้ตามรอยมาจับเขา ในกรณีที่เขาเปิดเผยตัวเองกับสำนักหัวหยุนโดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นการดีที่สุดสำหรับเขาที่จะออกจากอาณาจักรเกอซุนไปยังสถานที่ที่สำนักหัวหยุนไม่มีอำนาจ
น่าเสียดายที่มีภารกิจน้อยมากในระดับ D ที่อนุญาตให้ทหารรับจ้างเดินทางข้ามอาณาจักร ภารกิจส่วนใหญ่เช่นนั้นมีไว้สำหรับทหารรับจ้างที่มีระดับสูงกว่าและมักจะไม่ค่อยแจกจ่ายไปให้กับคนที่อยู่ระดับ D ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินได้ดูรายการภารกิจทั้งหมดสำหรับทหารรับจ้างระดับ D เขาไม่เห็นภารกิจไหนเลยที่จะพาเขาไปนอกอาณาจักร
เจี้ยนเฉินถอนหายใจพลางเดินออกจากสมาคมทหารรับจ้าง ถ้าเขาต้องการที่จะออกจากอาณาจักรเกอซุน เขาจะต้องพึ่งพากองคาราวาน มิฉะนั้นถ้าเขาต้องเดินทางคนเดียว เขาจะถูกกลุ่มโจรปล้นทำร้ายซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหา ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เจอโจร แต่ป้อมปราการชายแดนก็เป็นสถานที่ที่เจี้ยนเฉินคงไม่สามารถผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ตอนที่ 68: เมืองเมฆขาว
หลังจากที่ทุกคนพูดจบ เจี้ยนเฉินก็ออกไปกับเจียงไป่ พวกเขาขี่หลังสัตว์อสูรและออกจากเมืองลอร์ทันที
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนหลังของอสูรอินทรี เขาจ้องมองกำแพงเมืองที่กำลังเลือนหายไปด้วยท่าทีซับซ้อน เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วที่เขาเข้ามาในโลกนี้ และเขาเพิ่งออกจากเขตของคฤหาสน์และเมืองลอร์มา 2 ครั้งเท่านั้น
ครั้งแรกที่เขาออกจากเมืองลอร์คือการเดินทางไปสำนักคากัต แต่คราวนี้เหตุผลไม่เหมือนกันอีกต่อไป เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าหลังจากจากไปแล้ว เขาจะไม่ได้เห็นครอบครัวของเขาอีกเป็นเวลานานและจะต้องดูแลตัวเอง ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายนี้ซึ่งเรียกว่าทวีปเทียนหยวนนั้นเจี้ยนเฉินต้องพึ่งพาตนเอง
เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดว่าเขาจะไม่ได้เจอครอบครัวของเขาอีก แต่เขาได้อ่านจากหนังสือว่าโลกนี้ถูกครอบงำด้วยความแข็งแกร่ง ทวีปเทียนหยวนนั้นมีอันตรายมากกว่าโลกก่อนของเขา และในขณะที่เขามีความแข็งแกร่งพอสมควรสำหรับอายุของเขา ไม่มีการรับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น
เจียงไป่ที่นั่งอยู่บนหลังของอสูรอินทรีจ้องเจี้ยนเฉิน นายน้อยสี่ เริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ท่านจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง .. โปรดระวังเมื่อท่านเดินทางผ่านทวีปเทียนหยวน
ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร เจียงไป่ เจี้ยนเฉินพูดโดยไม่หันศีรษะ
เจียงไป่หยุดดูเจี้ยนเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็นก่อนที่จะถอนหายใจเพราะเขาไม่มีอะไรจะพูดอีกแล้ว
อสูรอินทรีบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือพื้นดินหลายพันเมตรพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าราวกับเป็นแสงไฟ ลมพัดแรงขึ้น ผมของเจียงไป่และเจี้ยนเฉินรวมทั้งเสื้อผ้าของพวกเขาพัดปลิวไปอย่างรวดเร็วในสายลม
อสูรอินทรีพุ่งสูงขึ้นไปตามกำแพงของหมู่บ้านเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนก่อนที่ในที่สุดมันจะหยุดลงอย่างช้า ๆ กลางท้องฟ้าด้านหน้ากำแพงเมืองใหญ่
เจี้ยนเฉินมองลงไปเห็นเมืองและถามว่า เจียงไป่ เจ้าควรส่งข้าที่นี่
เมื่อได้ยินอย่างนี้ เจียงไป่มองลงไปเห็นเมืองเล็ก ๆ ก่อนที่จะพยักหน้าว่า ตามใจท่านเลย ! ทันใดนั้นสัตว์อสูรก็บินลงไปที่พื้นภายใต้การควบคุมของเขา
เจี้ยนเฉินกระโดดลงจากสัตว์อสูรและพูดกับเจียงไป่ว่า เจียงไป่ เจ้าควรรีบกลับบ้าน ข้าแน่ใจว่าสำนักฮัวหยุนมาถึงคฤหาสน์เจียงหยางแล้ว
เจียงไป่รีบขึ้นกลับไปบนหลังอสูรอินทรีของเขา นายน้อยสี่ ดูแลตัวเองด้วย
เจี้ยนเฉินโบกมือลาเจียงไป่และหันกลับมาเดินตรงไปที่เมืองตรงหน้าเขา
เจียงไป่ลังเลขณะที่เขานั่งอยู่บนอสูรอินทรีและเฝ้าดูเจี้ยนเฉินเดินไกลออกไป หลังจากที่เขาหายตัวไป เจียงไป่จึงเอ่ยว่า นายน้อยสี่ ข้าหวังว่าเราจะได้เจอกันเร็ว ๆ นี้ ท่านมักจะทำให้ข้าประหลาดใจอยู่เสมอ อสูรอินทรีเริ่มกระพือปีกและบินไปบนท้องฟ้า พัดฝุ่นฟุ้งกระจายขึ้นมาในอากาศ ในไม่ช้าเจียงไป่ก็บินไปในอากาศสู่ทิศทางของคฤหาสน์เจียงหยาง
ดวงอาทิตย์ลับหายไปจากขอบฟ้าไปแล้ว ด้วยสีสันยามค่ำคืนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วเจี้ยนเฉินก็เดินไปที่เมืองเล็ก ๆ พร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไป นักเดินทางหลายคนเดินทางด้วยกับเกวียนที่สัตว์อสูรลาก
รูปร่างของเจี้ยนเฉินทำให้นักเดินทางคนอื่นสงสัยและทำให้ทหารรับจ้างจำนวนมากตื่นตัว แต่เมื่อพวกเขาตระหนักว่าเจี้ยนเฉินยังเด็กอยู่พวกเขาก็หมดความตื่นตัวทันที
เจี้ยนเฉินมองดูทหารรับจ้างที่ขี่สัตว์อสูร บางคนมีอายุตั้งแต่ 20 – 50 ปี บางคนสวมเสื้อเกราะหนังและบางคนก็สวมเสื้อผ้าธรรมดา อย่างไรก็ตามเมื่อเจี้ยนเฉินเดินเข้าไปใกล้พวกเขา เขาก็ได้กลิ่นเลือด สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์อย่างเจี้ยนเฉิน เขารู้ว่าทหารรับจ้างเหล่านี้มีเลือดของศัตรูติดมาด้วย
10 ไมล์นั้นไม่ไกลสำหรับเจี้ยนเฉิน และหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เห็นกำแพงเมืองสูง 20 เมตร เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่ากำแพงเก่าแค่ไหน แต่การต่อสู้อย่างต่อเนื่องตามกาลเวลาดูเหมือนจะทิ้งร่องรอยไว้ บนผนังกำแพงมีรอยขีดข่วน ใกล้ประตูถูกเขียนด้วยตัวอักษรหนาเป็นคำว่า – เมืองเมฆขาว
เฮ้ หยุดก่อน เจ้ามีจุดประสงค์อะไรถึงเข้ามาที่นี่ ?
ยามเฝ้าประตูเมืองกั้นเส้นทางไว้.
เจี้ยนเฉินยิ้มเล็กน้อยและยื่นเหรียญทองสองสามเหรียญและพูดว่า พี่ชาย ข้าเป็นแค่ทหารรับจ้างที่มาเมืองเมฆขาวเพื่อทำภารกิจ
ยามเอาเหรียญทองไปและยิ้มให้เขาอย่างสดใส อืม เจ้ามีภารกิจต้องทำ ข้าไม่ควรทำให้เจ้าเสียเวลาอันมีค่า เข้าไปสิ
หลังจากเข้าไปในเมือง เจี้ยนเฉินเดินไปตามถนน 3 กิโลเมตร,และมาถึงส่วนที่จอแจมากของเมือง แม้ว่ามันจะเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดิน ถนนก็ยังคึกคักไปด้วยผู้คนที่วิ่งไปมาตามร้านค้าและมีการค้าขายกันหลากหลายประเภท
ถนนถูกปูด้วยหินที่ดูเหมือนจะเปล่งประกายสดใสอย่างราบเรียบ แม้ว่ารถม้าจะผ่านมาด้วยความเร็วสูง ผู้โดยสารจะไม่รู้สึกถึงการกระแทกเลย
เจี้ยนเฉินที่เริ่มหิวลูบท้องตัวเองขณะที่เขาเดินไปที่โรงเตี๊ยมที่ใกล้ที่สุด ไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขามาหนึ่งวันเต็ม ท้องของเขาก็เริ่มส่งเสียงร้องประท้วงออกมาเป็นธรรมดา
ยินดีต้อนรับ !
ภายใต้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้นของเสี่ยวเอ้อ เจี้ยนเฉินเดินไปที่โต๊ะว่างแล้วนั่งลง
นายท่านมาที่นี่เพื่อทานอาหารหรือค้างแรม ? เสี่ยวเอ้อเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปี,เขามีรอยยิ้มที่จริงใจบนใบหน้า
เจี้ยนเฉินมองไปที่ทหารรับจ้างคนอื่น ๆ ในโรงเตี๊ยมและพูดว่า แม้แต่คนที่ต้องการพักค้างแรมก็ต้องการอาหาร ที่นี่มีอะไรให้กินบ้าง ?
เสี่ยวเอ้อยิ้มและแนะนำเจี้ยนเฉินให้รู้จักกับอาหารหลากหลายชนิด แต่ทุกจานที่เขากล่าวถึงนั้นเป็นอาหารที่แพงที่สุด เสี่ยวเอ้อสังเกตตั้งแต่แรกว่าเจี้ยนเฉินสวมใส่เสื้อผ้าที่หรูหราและคิดว่าเขาเป็นบุตรชายของตระกูลที่ร่ำรวย
แต่เจี้ยนเฉินไม่สนใจราคาอาหารและเลือกที่จะกินหนึ่งในเมนูที่เขาแนะนำอย่างเกียจคร้าน
หลังจากท้องอิ่ม เจี้ยนเฉินจ่ายค่าห้องพักขนาดกลางสำหรับพักแรมและรีบเข้าห้องพักทันที
โรงเตี๊ยมแห่งนี้ไม่ได้หรูหรามากนัก ดังนั้นห้องพักขนาดกลางจึงไม่ใช่สิ่งที่สุรุ่ยสุร่ายเกินไป เมื่อเทียบกับคฤหาสน์เจียงหยาง ความแตกต่างเปรียบเหมือนการเปรียบเทียบฟ้ากับดิน ห้องพักมีเตียงไม้เนื้อแข็งพร้อมกับชุดโต๊ะเดี่ยวและเก้าอี้สองสามตัว แต่นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรเพิ่มเติม โดยรวมห้องพักได้ทำความสะอาดอย่างดี
เจี้ยนเฉินไม่ใช่คนจู้จี้จุกจิกและห้องนี้ทำให้เขาพึงพอใจมาก
หลังจากปิดประตู เจี้ยนเฉินก็เดินไปที่เตียงและหยิบแหวนมิติของพ่อที่มอบให้เขาก่อนออกเดินทางและค้นหาสิ่งของที่อยู่ด้านใน
แหวนมิติสมควรได้รับการขนานนามว่าเป็นสมบัติที่มีคุณภาพสูงเนื่องจากสามารถบรรจุวัตถุมากมายได้ภายใน พื้นที่ภายในมีขนาดถึงร้อยลูกบาศก์เมตรมีกองสิ่งของซ้อนกันอยู่ตรงกลาง แหวนยังไม่เต็ม แต่บิดาของเขาได้ใส่สิ่งของไว้มากมายข้างใน
ท่ามกลางกองสิ่งของ มีเหรียญสีม่วงนับพันที่ส่องประกายระยิบระยับพร้อมกับเหรียญทองอีกสองสามพันกองซ้อนกันสูง มีแกนอสูรขนาดเล็กกองอยู่เป็นแกนอสูรระดับสอง 40 อัน, แกนอสูรระดับสาม 10 อัน และมีแกนอสูรระดับสี่ 1 อัน
เจี้ยนเฉินรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่ามีสิ่งของมากมายถูกเก็บไว้ในแหวนมิติ แม้ว่าจะไม่ได้มีสิ่งของจำนวนเหลือล้น แต่ก็มีของที่เจี้ยนเฉินสามารถใช้ประโยชน์ได้ตามความต้องการเบื้องต้น ด้วยสิ่งนี้มันแสดงให้เห็นว่าเจียงหยางป้ารักและเป็นห่วงเจี้ยนเฉินมากแค่ไหน
เจี้ยนเฉินเก็บแหวนมิติ เขาจำคำพูดของบิดาได้อย่างชัดเจน จนกว่าเขาจะแข็งแกร่งพอ เขาคงไม่กล้าเปิดเผยแหวนมิติให้ใครเห็นเพราะมันเป็นของมีค่าในทวีปเทียนหยวน แม้ว่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีแหวนมิติ แต่พวกเขาล้วนเป็นสมาชิกที่แข็งแกร่งของกลุ่มที่มีอิทธิพลและร่ำรวยและสามารถป้องกันตัวเองจากอันตรายได้อย่างง่ายดาย
เจี้ยนเฉินล้มตัวนั่งลงบนเตียง เขาเอาแกนอสูรออกมาจากแหวนมิติสองสามอันและหลับตาเมื่อเขาเริ่มฝึกฝนโดยใช้พลังงานจากภายในแกนอสูร
ตามปกติแล้วเจี้ยนเฉินเริ่มดูดซับพลังงานภายในแกนอสูรอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ หากมีใครเห็นเขาตอนนี้พวกเขาก็จะเห็นแกนอสูรเปล่งแสงจำนวนหนึ่งออกมาเนื่องจากพลังงานภายในเริ่มไหลเข้ามาในตัวเขาเหมือนลำธาร เมื่อมองด้วยตาเปล่า พลังงานนั้นล้อมรอบร่างของเจี้ยนเฉินในขณะที่แกนอสูรกำลังหดตัวอยู่ในมือของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่เจี้ยนเฉินตัดผ่านมาจนกลายเป็นเซียน มีความลึกลับที่หยั่งรู้ไม่ได้ในตำแหน่งตันเถียนของเขาในรูปแบบของแสงสีฟ้าและสีม่วง ด้วยเหตุนี้เส้นทางการฝึกฝนของเขาจึงกลายเป็นเรื่องยากกว่าเดิมมาก และถึงแม้ว่าอัตราการดูดซับพลังงานของโลกนั้นเร็วกว่าหลายเดิมหลายเท่า แต่เขาก็สามารถดูดซับได้เพียง 1% ,ที่เหลือถูกตันเถียนดูดซับไปหมด ดังนั้นสำหรับตอนนี้เขาจะต้องดูดซับพลังงานจากแกนอสูร แต่ถ้าเขาเก็บมันไว้ เขาจะไม่สามารถรักษาอัตราการใช้ไปให้คงที่ได้
หลังจากผ่านไป 1 ชั่วยาม เจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานจำนวนมากจากแกนอสูร แต่เจี้ยนเฉินยังคงดึงแกนอสูรออกมาเพิ่มจากแหวนมิติและยังคงฝึกฝนต่อไป เขายังคงมีแกนอสูรระดับ 1 มากมายและยังมีแกนอสูรระดับ 2 ที่สามารถนำมาใช้ได้อีกสักพัก โชคดีที่บิดาของเขายังมอบแกนอสูรระดับ 3 ให้กับเขาถึง 10 อันและแกนอสูรระดับ 4 อีก 1 อัน.
ในวันที่สอง ดวงอาทิตย์มาถึงจุดสูงสุดบนท้องฟ้าก่อนที่เจี้ยนเฉินจะบ่มเพาะเสร็จในที่สุด เมื่อมาถึงจุดนี้ แกนอสูรระดับ 1 ของเขาก็หมดพอดี
อืม.. หลังจากตระหนักถึงถึงจำนวนของแกนอสูรในเข็มขัดมิติ เขาก็ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง การส่องสว่างของแสงทั้งสองภายในจุดตันเถียนของเขาทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์อย่างมาก
เจี้ยนเฉินปลอบใจตัวเอง เขาออกจากห้องและโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปยังถนนที่พลุกพล่านไปด้วยผู้คน
ท้องฟ้ายามเช้าค่อนข้างส่องสว่างและดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงยังไม่ได้เริ่มที่จะเพิ่มอุณหภูมิของอากาศในปริมาณมาก ด้วยแสงที่อบอุ่นทุกคนรู้สึกสบายใจ บนถนนที่พลุกพล่าน มีทหารรับจ้างสองสามคนที่กำลังรีบร้อนขณะที่พ่อค้าเร่บางคนกำลังเดินไปอย่างช้า ๆ
ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็มาถึงสมาคมทหารรับจ้าง เขาคิดอยู่แล้วว่าเขาต้องการทำงานอะไร ดังนั้นเขาจะต้องเป็นทหารรับจ้างก่อน
ตอนที่ 67: ตระกูลไป๋
เจียงหยางป้าต้องการปฏิเสธข้อเสนอของเจี้ยนเฉินที่จะไปคนเดียว แต่เจี้ยนเฉินก็ยืนกรานในการตัดสินใจของเขา ดังนั้นในที่สุดเจียงหยางป้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ
หลังจากการปรึกษาหารือจบลง ไป๋เต๋ากล่าวว่า จากสิ่งที่ข้าได้ยินมาในพระราชวัง สำนักหัวหยุนได้รับข่าวและกำลังมุ่งหน้าตรงมาเมืองลอร์ พวกเขาคงจะมาถึงเมืองลอร์ตอนบ่ายแก่ ๆ มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าส่งเจียงหยางเซียงเทียนออกจากเมืองลอร์โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นมันจะสายเกินไปหากเป็นเวลากลางคืน
ใบหน้าของทุกคนเคร่งขรึมอีกครั้ง จากนั้นเจียงไป่ก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า ถ้าเช่นนั้นก็ให้นายน้อยสี่ไปเก็บของและข้าจะส่งเขาไปกับอสูรอินทรี
หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็เริ่มออกจากห้องโถงใหญ่
เซียงเอ๋อ ตามไปที่ห้องของแม่ มีเรื่องที่เราต้องคุยกัน ไป๋หยุนเทียนกล่าวขณะที่นางเดินไปที่ห้องของนาง
หลังจากเข้าไปในห้อง ไป๋หยุนเทียนดึงเจี้ยนเฉินให้นั่งลงกับนาง เมื่อถึงจุดนี้ ไป๋หยุนเทียนก็หลั่งน้ำตาลงมาอาบแก้ว นางรู้แก่ใจว่าหลังจากเจี้ยนเฉินออกจากคฤหาสน์เจียงหยางไปแล้ว คงจะอีกนานกว่ามารดาและบุตรชายจะได้พบกันอีก ชีวิตในทวีปเทียนหยวนนั้นซับซ้อน และเจี้ยนเฉินก็ไม่รู้ว่าความยากลำบากอะไรที่เขาจะต้องเผชิญหรือเรื่องโชคร้ายอาจจะเกิดขึ้นกับเขา ดังนั้นนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่มารดาและบุตรชายจะได้พบหน้ากัน
เซียงเอ๋อ เจ้าไม่ใช่เด็กและอีกไม่นานเจ้าจะจากที่นี่ไป ดังนั้นมีสิ่งที่แม่ควรบอกเจ้าก่อน น้ำตาของไป๋หยุนเทียนเป็นประกายระยิบระยับขณะที่มันหยดลงมาจากใบหน้าของนาง เซี่ยงเอ๋อ เจ้าไม่เคยคิดหรือว่าทำไมมันแปลกที่เจ้าไม่มีตาหรือยาย
เจี้ยนเฉินพยักหน้าโดยไม่ส่งเสียง
ไป๋หยุนเทียนกล่าวต่อไปว่า เซียงเอ๋อ จริง ๆ แล้วแม่ไม่ได้มาจากอาณาจักรเกอซุน บ้านเกิดของแม่มาจากอาณาจักรใหญ่แห่งหนึ่ง นั่นคือจักรวรรดิคาร์ล ไม่เพียงแค่นั้น,แต่ตระกูลไป๋ของแม่เป็นตระกูลที่ทรงพลังที่ย้อนกลับไปกว่าพันปี เรามีอิทธิพลที่มีพลังแข็งแกร่งกว่าสำนักหัวหยุนและอาศัยอยู่ในอาณาจักรเฮลไฟร์ ตาของเจ้าเป็นเซียนผู้คุมกฎที่ทรงพลัง ในขณะที่เรามีผู้อาวุโสที่ยอดเยี่ยมอีก 4 คนเป็นเซียนสวรรค์และมีตำแหน่งระดับสูงในตระกูลไป๋ของเรา
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจ ช่างน่าเวทนาที่ความรุ่งเรืองไม่ได้อยู่กับเรานาน ในขณะที่แม่ยังเด็ก ตาของเจ้าได้รับจดหมายและไม่เคยกลับมา เขาจากไปโดยไม่มีข้อมูลเลย 20 ปีหลังจากการหายตัวไป ผู้อาวุโส 4 คนของตระกูลจึงได้ส่งผู้อาวุโส 2 คนออกไปตามหาเขา สองวันหลังจากการค้นหาเริ่มขึ้น มีการรายงานข้อมูลที่ตกตะลึง ผู้อาวุโสทั้งสองที่ถูกส่งไปถูกฆ่าตายในชนบท ! ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนเต็มไปด้วยความเศร้าหลังจากที่พูดอย่างนั้น
ข้อมูลชิ้นนี้เหมือนสายฟ้าที่ฟาดมาจากท้องฟ้าแจ่มใส ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองเป็นเซียนสวรรค์ พวกเขายังถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปเทียนหยวน ดังนั้นจึงคิดไม่มีใครคาดคิดว่าพวกเขาจะถูกฆ่าได้ ผู้อาวุโสที่ตายหนีไม่ทันด้วยซ้ำและจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นปริศนาในตระกูลของเรา เราไม่รู้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่งพอที่สร้างความบาดหมางให้กับตระกูลไป๋คือใคร ตาของเจ้าก็อาจเจอชะตากรรมเช่นเดียวกัน
น่าเสียดายที่ศัตรูลึกลับของเราไม่ได้ให้เวลาเราหายใจ ในคืนเดียวกันที่เกิดเหตุฆาตกรรม กลุ่มชายลึกลับกลุ่มหนึ่งได้บุกเข้ายึดตระกูลไป๋ของเรา พวกเขาแข็งแกร่งมากและผู้อาวุโสสองคนที่เหลือไม่สามารถขับไล่พวกเขาได้ ในที่สุดผู้อาวุโสทั้งสองก็ถูกฆ่าตาย เมื่อไม่มีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งจึงไม่มีใครจะปกป้องเรา ในขณะนั้น สมาชิกที่ภักดีของตระกูลพยายามช่วยพวกเรากลุ่มหนึ่งให้หนีรอดจากการสังหารหมู่ แต่ในที่สุดมีเพียงแม่และลุงของเจ้าที่รอดมาได้หลังจากที่ซ่อนตัวอยู่ในบ้านของครอบครัวหนึ่ง เราจึงสามารถหลบหนีจากการฆ่าล้างตระกูลที่โหดเหี้ยม
หลังจากซ่อนตัวอยู่สองชั่วยาม เราก็รีบออกมาพร้อมกับคาราวานทหารรับจ้างและมุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเกอซุนทันที
น้ำตายังคงไหลออกมาจากใบหน้าของไป๋หยุนเทียนขณะที่นางร้องไห้ด้วยความเศร้าโศก เซียงเอ๋อ ในช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่นั้นเรามีสมาชิกกว่าพันคนในตระกูล แต่จนถึงทุกวันนี้สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือลุงและพวกเราสองคน เจ้าต้องจำไว้ว่าเจ้าไม่ได้มีเลือดของตระกูลเจียงหยางในตัว เจ้ายังมีเลือดของตระกูลไป๋ด้วยเช่นกัน เจ้าต้องสืบทอดตระกูลไป๋ รักษาตัวด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่จิตใจของเขาปั่นป่วน เขาใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ เนื่องจากยังติดใจข่าวที่มารดาบอก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เจี้ยนเฉินก็สงบลงและพูดว่า ท่านแม่ เรายังไม่สามารถระบุตัวตนของศัตรูลึกลับของเราว่าพวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนหรือ ?
ไป๋หยุนเทียนส่ายหน้า แม่เองก็ไม่รู้ แม่กับลุงยังเด็กอยู่ เราจึงไม่เข้าใจมากนัก เราจึงไม่รู้เลยว่าพวกเขาเป็นใคร คนที่รู้คงจะมีแต่ผู้อาวุโสที่เสียชีวิตไปแล้ว
หลังจากนั้นไป๋หยุนเทียนก็หยิบถุงผ้าสีแดงที่มีลวดลายออกมาแล้วมองดูราวกับว่ามันนำความทรงจำเก่า ๆ กลับคืนมา เซียงเอ๋อ ก่อนที่ตาของเจ้าจะหายไป เขามอบถุงผ้าสีแดงนี้ให้แม่และบอกว่ามันเป็นมรดกตกทอดของตระกูลที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้มันมีอายุกว่าพันปี จงรักษามันให้ดี คนลึกลับเหล่านั้นน่าทำลายตระกูลไป๋ของเราเพื่อหาสมบัตินี้
ดวงตาของเจี้ยนเฉินมองไปที่ถุงผ้าสีแดงที่มีลวดลายแล้วพูดว่า ท่านแม่ แล้วในนี้มีอะไรกันแน่?
มีขนชิ้นเล็ก ๆ ที่เล็กกว่าขนาดของฝ่ามือด้านใน แม่ไม่รู้ว่ามันใช้ทำอะไร วางถุงผ้าสีแดงไว้ในมือของเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า เซียงเอ๋อ แม้ว่าถุงผ้าใบนี้จะมีเพียงขนอยู่ข้างใน แต่มันก็ยังคงเป็นมรดกตกทอดของตระกูล ขนดังกล่าวก็คงไม่ใช่ของธรรมดา ตอนนี้เจ้าเป็นความหวังเดียวของตระกูลไป๋ แม่จึงควรมอบมรดกสืบทอดของตระกูลให้แก่เจ้า แม่หวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองได้ แต่มันจะดีที่สุดถ้าเจ้าจะซ่อนถุงผ้าใบนี้ไว้อย่างปลอดภัย แม้ว่าเจ้าไม่น่าจะเจอคนที่รู้ค่าของมัน เจ้าก็ควรระวังไว้จะดีกว่า
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่เขาหยิบถุงผ้าสีแดงขึ้นมา
ตึก, ตึก, ตึก !
ในขณะนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นและมีเสียงเรียกจากข้างนอก ไป๋หยุนเทียนเช็ดคราบน้ำตาและถามว่า นั่นใครกัน ?
ไม่มีเสียงนอกประตูสักพักหนึ่ง ในที่สุดเสียงพูดว่า ข้าเอง
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยคนที่เพิ่งได้ยินมา เจี้ยนเฉินก็จ้องมองที่หน้าประตู มันคือเสียงของผู้ชายจากพระราชวัง: ไป๋เต๋า
ไป๋หยุนเทียนดีใจที่ได้ยินเสียงนี้นางพูดว่า เข้ามาสิ
ประตูถูกเปิดออกในขณะที่ชายเสื้อคลุมสีดำเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ เขาคือไป๋เต๋า
ไป๋หยุนเทียนค่อย ๆ ยืนขึ้นจากเก้าอี้ขณะที่นางมองเขาด้วยความเจ็บปวด พี่ชาย มันผ่านมา 20 ปีแล้วตั้งแต่ท่านเจอข้าครั้งสุดท้าย ข้าคิดว่าท่านลืมข้าไปแล้ว
เจี้ยนเฉินจ้องเขม็ง จากความจริงที่ว่ามารดาของเขาเรียกเขาว่าพี่ชาย เขาสามารถบอกได้ว่าชายวัยกลางคนข้างหน้าเขาคือลุงของเขา.
อืม.. ไป๋เต๋าถอนหายใจ น้องสาว ข้าขอโทษ ข้าผิดเองที่ไม่ได้มาเยี่ยมเจ้าเลยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา อันที่จริงข้าไม่เคยลืมเจ้า แต่เป็นเพราะหน้าที่ของข้ามันหนักเกินไป การล้างแค้นให้กับตระกูลไป๋ของเราต้องเกิดขึ้นแน่นอน น้องสาว ! ข้าจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อการแก้แค้น ..
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจเช่นกันก่อนที่จะหันไปมองเจี้ยนเฉิน เซียงเอ๋อ นี่คือลุงของเจ้า – —ไป๋เต๋า
ท่านลุง ! เจี้ยนเฉินพูด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พูดคำนั้นและเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นไป๋เต๋า
ไป๋เต๋ามองเจี้ยนเฉินและยิ้มให้ เซียงเทียน ข้าเคยได้ยินเรื่องของเจ้า ความสำเร็จของเจ้าดังก้องผ่านเมืองหลวงและยังเป็นที่โจษขานในพระราชวัง เจ้าคู่ควรกับสายเลือดของตระกูลไป๋ของเราจริง ๆ ข้าคาดหวังอยากจะเห็นวันที่เจ้าเติบโตแข็งแกร่งและมีเกียรติ อย่าทำให้ข้าผิดหวัง
หลังจากสนทนากันแล้ว ไป๋เต๋าก็เคร่งขรึมอีกครั้งเมื่อเขาเผชิญหน้ากับไป๋หยุนเทียน น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากเห็นเซียงเทียนจากไป แต่มันไม่มีวิธีอื่น สถานการณ์ตอนนี้ตระกูลเจียงหยางไม่สามารถรับมือสำนักหัวหยุนได้ แต่ถ้าเซียงเทียนจากไป สถานการณ์จะดีขึ้นอย่างมากสำหรับตระกูลและเซียงเทียน การปล่อยให้เซียงเทียนอยู่ในคฤหาสน์จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ มันอาจทำให้ตระกูลเจียงหยางต้องจบลงเหมือนตระกูลไป๋ของเรา ตอนนี้เราเพียงแค่ต้องลักลอบนำตัวเซียงเทียนออกไปก่อนค่ำ มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถจากไปได้แม้ว่าเจ้าจะยอมปล่อยเขาไป
ไป๋หยุนเทียนพยักหน้าช้า ๆ เนื่องจากจักรพรรดิไม่เต็มใจที่จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างเปิดเผยตอนนี้ นางจะไม่เข้าใจเหตุผลนี้ได้อย่างไร ?
หลังจากนั้นไป๋หยุนเทียนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาก็ช่วยเจี้ยนเฉินรวบรวมเสื้อผ้าและสิ่งของบางอย่างก่อนที่จะพาเขาออกไป
เมื่อทั้งสองมาถึงที่ลานด้านหลัง พวกเขาเห็นป้าของเจี้ยนเฉิน, บิดาของเขาและเจียงไป่รออยู่ที่นั่น ข้างหลังพวกเขามีอสูรอินทรีที่ใหญ่โตและสง่างาม
เจียงหยางหู่คว้าแขนของเจี้ยนเฉินไว้ เขามีสีหน้าเศร้าหมองในขณะที่เขาพูดด้วยความกังวลว่า น้องสี่ เจ้าควรจะระมัดระวังตัวให้มากในโลกภายนอกเข้าใจหรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าก่อนที่จะพูดด้วยรอยยิ้มว่า อย่ากังวลพี่ใหญ่ ข้าจะระวังตัวให้มาก แต่หลังจากที่ข้าไป ท่านต้องไม่โศกเศร้า ท่านต้องฝึกวรยุทธ์ต่อไป ..
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างจริงจังและพูดว่า ได้เลยน้องสี่ เป็นเพราะข้าอ่อนแอจึงทำให้เจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ จากนี้ไปข้าจะพยายามให้หนักขึ้นเพื่อฝึกฝนเพื่อที่จะได้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
เจียงหยางหมิงเย่ว พี่รองของเจี้ยนเฉินเดินไปหาเขาและมอบถุงเครื่องรางให้แก่เขา น้องสี่ พี่ทำเครื่องรางนำโชคมาให้เจ้าและหวังว่าเจ้าจะเดินทางอย่างปลอดภัย เจ้าควรเก็บมันไว้ติดตัวตลอดเวลา
ตอนนี้เจียงหยางหมิงเย่วอายุ 18 ปี นางกลายเป็นหญิงสาวร่างสูงผอมเพรียวที่สามารถทำให้ชายหนุ่มทั้งเมืองต่อสู้แย่งชิง
เจี้ยนเฉินนำเครื่องรางนำโชคมาจากนาง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเครื่องรางนั้นไม่ได้ให้การป้องกันอะไรมากมาย แต่ก็ยังเป็นของขวัญจากพี่สาวที่เป็นห่วงเขา
ขอบคุณพี่รอง ข้าจะเก็บเครื่องรางนี้ไว้กับตัว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม
เจียงหยางป้าเดินไปข้างหน้าพร้อมกับแหวนแล้วพูดว่า เซียงเอ๋อ นี่คือแหวนมิติที่พ่อเตรียมไว้ให้เจ้า นี่คือของขวัญที่พ่อตั้งใจจะมอบให้เจ้าตอนที่เจ้าสำเร็จการศึกษาจากสำนักคากัต พ่อไม่คิดว่าเจ้าจะได้รับมันในตอนนี้ พ่อขอมอบแหวนมิตินี้ให้เจ้า มีบางสิ่งที่พ่อเตรียมไว้ข้างใน
ขอบคุณมาก ท่านพ่อ ! เจี้ยนเฉินหยิบแหวนมิติขึ้นมาด้วยความซาบซึ้ง
เซียงเอ๋อ แหวนมิติเป็นของมีค่าในทวีปเทียนหยวน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น อย่าเปิดเผยแหวนมิติให้ใครต่อใครเห็น แม้ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เจียงหยางป้าเตือน
เจี้ยนเฉินพยักหน้า ท่านพ่อ เซียงเอ๋อเข้าใจแล้ว
ตอนที่ 66: แขกจากพระราชวัง.
ใช่,เซียงเอ๋อ,ที่แม่ของเจ้าพูดนั้นถูกต้องแล้ว. โลกไม่ได้สงบสุขเหมือนในสำนัก มันเต็มไปด้วยการสังหาร และด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเจ้า การรักษาชีวิตให้อยู่รอดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ลืมความคิดนี้ไปได้เลย ข้าไม่เห็นด้วยหรอก เจียงหยางป้าพูดอย่างจริงจัง แม้ว่าเขาจะพูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา แต่เขาก็ปฏิเสธความคิดของเจี้ยนเฉินอย่างสิ้นเชิง
เจี้ยนเฉินรู้อยู่แล้วว่ามันยากที่จะทำให้ครอบครัวของเขาเห็นด้วยกับแผนนี้ แต่เขาก็ยังพูดต่อไปว่า ท่านพ่อ,ท่านแม่ โปรดอย่าได้กังวลไปเลย ข้าอาจไม่แข็งแกร่งพอแต่ข้าสามารถป้องกันตัวเองได้ ข้าอ่านหนังสือหลายเล่มจากหอหนังสือในสำนัก ข้าจึงมีความคุ้นเคยกับวิธีการอยู่รอดในทวีปเทียนหยวน หากข้าออกจากคฤหาสน์เจียงหยาง ตระกูลของเราก็จะไม่มีปัญหา
นายน้อยสี่ สถานการณ์ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากสำนักหัวหยุนรู้ว่านายน้อยไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์เจียงหยางอีกต่อไป ข้าเกรงว่าพวกเขาจะส่งตัวคนจำนวนมากไปตามล่าท่าน สำนักหัวหยุนมีอิทธิพลมากคงไม่ยากนักที่จะหาตัวท่านพบ ผู้อาวุโสผมขาวพูด เขายกให้เจี้ยนเฉินเป็นความหวังสำหรับอนาคตของตระกูล และแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการเห็นเจี้ยนเฉินตายก่อนเวลาอันควร
เขาบรรลุเป็นเซียนตอนอายุ 15 ปีโดยแข็งแกร่งกว่าเซียนซึ่งอยู่ในขั้นที่สูงกว่า และด้อยกว่าพลังของเซียนระดับสูงเพียงเล็กน้อย นั่นหมายความว่าเขาเป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ที่จะสั่นคลอนทั้งทวีปเทียนหยวน. สำหรับผู้ชายบางคนที่นี่ เจี้ยนเฉินไม่ได้เป็นเพียงแค่คนธรรมดาอีกต่อไป แต่เป็นสมบัติมีชีวิตที่เปล่งประกายซึ่งสามารถให้ความมั่งคั่งไร้ขอบเขตแก่พวกเขา
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ในใจของผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูง พวกเขาทุกคนแค่ต้องการปกป้องเจี้ยนเฉินไม่ให้เขาต้องประสบกับหายนะในอนาคต
เจี้ยนเฉินยิ้มกว้าง ทุกคนไม่ต้องกังวล ข้าอ่านหนังสือเกี่ยวกับทวีปมามาก ข้าแน่ใจว่าข้าสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนสำนักหัวหยุนจับได้
ไม่ เซี่ยงเอ๋อ มันยังมีความเสี่ยงสูงเกินไปซึ่งไม่คุ้มกันเลยหากเจ้าบาดเจ็บ เจียงหยางป้าปฏิเสธข้อเสนอทันที เซียงเอ๋อไม่ต้องกังวลอะไร แม้ว่าสำนักหัวหยุนอาจแข็งแกร่งมาก แต่ตระกูลเจียงหยางของเราก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่าบรรพชนของเราจะหายไปนานหลายปี ชื่อเสียงของเขาก็ยังเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง สำนักหัวหยุนจะไม่กล้าที่จะทำอะไรรุนแรงกับเรา เจ้าควรอยู่ในคฤหาสน์นี้ ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องเจ้า
เจี้ยนเฉินถอนหายใจกับตัวเอง ด้วยการคัดค้านอย่างเด็ดเดี่ยวจึงไม่มีทางที่เขาจะโน้มน้าวบิดาของเขาได้
ใช่แล้ว เซียงเอ๋อ ความคิดของเจ้ามีความเสี่ยงมากเกินไป แม้ว่าเจ้าจะสามารถหลบหนีจากสำนักหัวหยุนได้ การดำเนินชีวิตในทวีปเทียนหยวนนั้นไม่ได้ตรงไปตรงมาและเรียบง่ายเหมือนที่หนังสือเขียนไว้ โปรดอยู่ในคฤหาสน์เจียงหยางอย่างเชื่อฟัง ท่านพ่อและท่านลุงของเจ้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อปกป้องเจ้า ไป๋หยุนเทียนอ้อนวอนเจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน.
อะแฮ่ม เจียงหยางป้ากระแอมและเอ่ยว่า พอแล้ว ก่อนอื่นเรามาพูดเกี่ยวกับวิธีที่เราจะรับมือกับสำนักหัวหยุนดีกว่า ข้าแน่ใจว่าพวกเขารู้เรื่องนี้แล้ว และพวกเขาจะมาถึงเมืองลอร์เร็ว ๆ นี้ ฉะนั้นเราจึงมีเวลาไม่มากนักในการเตรียมการรับมือ เจียงหยางป้ากล่าวอีกครั้ง
ฝูงชนทั้งหมดภายในห้องโถงใหญ่เงียบไปเพราะพวกเขาเริ่มคิดถึงสถานการณ์
ถ้าฝ่าบาททรงช่วยเรา นั่นแปลว่างานแต่งงานที่จัดขึ้นระหว่างนายน้อยสี่กับองค์หญิงเกอหลันนั้นยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดนายน้อยสี่ก็จะยังคงเป็นลูกเขยของฝ่าบาท ข้าจึงมั่นใจว่าฝ่าบาทจะไม่นิ่งดูดายและไม่ทำอะไรเลย มีบางคนพูดขึ้นมา
เจียงไป่พยักหน้าด้วยการไตร่ตรองและกล่าวว่า หากฝ่าบาทต้องการสนับสนุนเรา ฝ่าบาทก็ทรงสามารถยุติข้อขัดแย้งนี้ได้ชั่วคราว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่าบาทจะทรงปวดพระเศียรกับเรื่องนี้แน่นอน มันเป็นช่วงเวลาที่โชคร้ายเช่นกัน อาณาจักรเพื่อนบ้านก็คอยส่งกำลังทหารไปยังชายแดนอย่างไม่ลดละ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาต้องการบุกยึดดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรเกอซุน ดังนั้นตอนนี้ฝ่าบาทก็ไม่ต้องการที่จะเป็นศัตรูกับสำนักหัวหยุน เพราะเรื่องนี้มันเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของอาณาจักร หากไม่มีเซียนสวรรค์ทั้งสองจากสำนักหัวหยุน แม้แต่จอมยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดก็จะถูกกดดันอย่างหนักเพื่อต่อสู้กับทหารของอาณาจักรอื่น
ถึงแม้ว่านายน้อยสี่จะมีศักยภาพที่แข็งแกร่งมากและยังมีความคาดหวังสูงจากฝ่าบาท แต่ความสำเร็จในอนาคตของนายน้อยสี่ในปัจจุบันยังไม่ถูกยืนยัน ไม่เพียงแค่นั้น แต่นายน้อยสี่ยังเด็กอยู่จึงยังมีเวลาอีกนานกว่าเขาจะเติบโต เมื่ออาณาจักรใกล้จะเกิดสงคราม มันก็ไม่มีเวลาพอที่จะรอนายน้อยสี่ได้ เพราะเราไม่แน่ใจว่ามันจะนานแค่ไหนก่อนที่อาณาจักรจะชนะหรือแพ้ อาณาจักรจะต้องมีเซียนที่เข้มแข็งมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อช่วยให้ชนะสงคราม มันจึงไม่ชัดเจนว่าฝ่าบาทจะช่วยเราได้หรือไม่
ผู้คนในห้องโถงยังคงพยายามหาวิธีอื่น อย่างไรก็ตามแม้จะไตร่ตรองตลอดทั้งบ่าย พวกเขาก็ยังไม่สามารถหาวิธีการที่เหมาะสมได้
คืนนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วภายใต้บรรยากาศที่ตึงเครียดกับผู้คนหลายสิบคน ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้นแล้ว มันใกล้จะถึงรุ่งเช้า หลังจากการสนทนาตลอดทั้งคืน ทุกคนก็เริ่มอ่อนล้า
ในขณะนี้ยามของตระกูลเจียงหยางก็วิ่งเข้ามาในห้อง ข้าขอรายงานท่านผู้นำ มีคนชื่อไป๋เต๋ารออยู่นอกคฤหาสน์ เขาอยากจะเจอท่าน
ไป๋เต๋า ! เจียงหยางป้าอุทาน เขามีแววตาครุ่นคิด ดวงตาของเขาเปล่งประกายขณะยืนขึ้นจากที่นั่ง เชิญเขาเข้ามาเร็ว ๆ !
ขอรับ ! ยามตอบโต้และออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อไป๋หยุนเทียนได้ยินชื่อของไป๋เต๋า นางก็สบายใจขึ้น แต่ในไม่ช้าสายตาของนางก็เปลี่ยนไปอย่างเป็นปริศนา
เจี้ยนเฉินเริ่มสับสนเมื่อเขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในท่าทีของมารดาเขา เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับไป๋เต๋ามาก่อน แต่เมื่อตัดสินจากปฏิกิริยาของมารดาเขา ไป๋เต๋าคนนี้น่าจะมีความสัมพันธ์บางอย่างกับนาง
เจี้ยนเฉินเดินเข้ามาหานางช้า ๆ ก่อนถามว่า ท่านแม่ ไป๋เต๋าคือใครกันหรือขอรับ ?
ไป๋หยุนเทียนหันกลับมาช้า ๆ นางมองลูกชายด้วยความรัก เซียงเอ๋อ แม่จะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าฟังทีหลัง
ขอรับ ! เจี้ยนเฉินพยักหน้าและไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติม
ไม่นานหลังจากนั้นชายเสื้อคลุมสีดำก็ก้าวเข้ามา ชายผู้นั้นมีใบหน้าที่แน่วแน่และดวงตาของเขาก็เปล่งประกายด้วยพลัง เมื่อมองไปที่หน้าผากของชายคนนั้นจะเห็นรอยแผลเป็นที่แตกต่างกันมากมาย
เจียงหยางป้าหยุดการเคลื่อนไหวและเดินขึ้นไปที่กลางห้อง เขาทักทายและยิ้ม พี่ไป๋เต๋า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันผ่านมา 20 ปีแล้วที่เราพบกันครั้งล่าสุด ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?
ชายวัยกลางคนชื่อไป๋เต๋ากล่าวทักทายกลับไปว่า ข้าสบายดี เขาหยุดพักครู่หนึ่ง สายตาจ้องมองเจี้ยนเฉินและมารดาของเขาก่อนที่จะพูดต่อว่า ข้าจะไม่พูดอ้อมค้อม ข้ามาคราวนี้ภายใต้คำสั่งของจักรพรรดิ ในเวลาเดียวกันข้าก็มาส่งสาสน์ของเขาด้วย !
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเจียงหยางป้าก็เคร่งขรึม เขาถามว่า พี่ไป๋เต๋า เรื่องนี้เกี่ยวกับเซียงเอ๋อใช่หรือไม่ ?
ไป๋เต๋าพยักหน้า ถูกต้อง ฝ่าบาททรงอนุญาตให้เจียงหยางเซียงเทียนหนีออกไปจากเมืองลอร์ การทำเช่นนี้จะทำให้ความขัดแย้งระหว่างตระกูลเจียงหยางและสำนักหัวหยุนลดลงชั่วคราว
เจียงหยางป้าขมวดคิ้วเข้าด้วยกัน ในใจของเขาไม่ต้องการทำตามวิธีนี้
ไป๋เต๋ากล่าวต่อไปว่า ปัญหาในครั้งนี้ยิ่งใหญ่เกินไป เฉิงหมิงเซียงเป็นลูกชายคนเดียวของผู้นำสำนักหัวหยุน และเขาเป็นคนที่มีความสามารถที่จะกลายเป็นผู้นำคนต่อไปของนิกาย การที่เจียงหยางเซียงเทียนตัดแขนขวาของเฉิงหมิงเซียงมันคือการทำลายอนาคตของเขา สำนักหัวหยุนจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ อย่างแน่นอน
สำนักหัวหยุนมีเซียนสวรรค์ 2 คนซึ่งตระกูลเจียงหยางไม่สามารถรับมือได้ ฝ่าบาทมีเซียนสวรรค์สองคนอยู่เคียงข้างก็จริง แต่ด้วยปัญหาวุ่นวายที่ชายแดนอาจทำให้อาณาจักรเกอซุนต้องเข้าร่วมในสงครามเร็ว ๆ นี้ เพราะฉะนั้นฝ่าบาทจึงไม่อยากมีปัญหากับสำนักหัวหยุน แค่พาตัวเจียงหยางเซียงเทียนออกไปจากเมืองลอร์ ทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่าบาท สถานการณ์นี้สามารถแก้ไขได้ชั่วคราวและเราสามารถแก้ไขปัญหาภายในอาณาจักรเกอซุน
ไม่มีวิธีอื่นที่เป็นไปได้แล้วหรือ ? ป้ารองของเจี้ยนเฉิน ไป๋ยู่ซวงถาม
ไม่มี ! ไป๋เต๋าส่ายหน้า น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ไป๋หยุนเทียนหน้าซีด นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาว่า ผู้คนที่อยู่ข้างนอกก็อันตราย เซียงเอ๋อยังอ่อนแอ เขาจะต้องตกระกำลำบากอย่างแน่นอน
ไป๋เต๋ามองเจี้ยนเฉินที่นั่งใกล้ไป๋หยุนเทียนอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า เขาจะต้องตกระกำลำบากในชีวิต ในขณะเดียวกันก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีในฐานะบุคคล แต่หลังจากที่ตกระกำลำบาก เขาจะสามารถเติบโตเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใคร .. พวกเจ้าทั้งคู่ตามใจเขามากเกินไป มันไม่ใช่สิ่งที่ดีทั้งหมดแต่มันทำอันตรายเขาจริง ๆ
หลังจากที่ไป๋เต๋าพูดจบ ทั้งคนสองคนก็กันพยักหน้าเห็นพ้องต้องกัน มีเหตุผลมากมายในคำพูดของเขา
เจียงหยางป้ายังคงลังเลในความคิดนี้
เจี้ยนเฉินกวาดสายตาของเขาไปรอบ ๆ เขารู้ว่านี่เป็นโอกาสของเขาที่จะหาประสบการณ์ชีวิตเพื่อหาข้อได้เปรียบ เขากล่าวว่า ท่านพ่อ ปล่อยข้าไปเถอะ ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถรับมือกับเรื่องที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ยิ่งกว่านั้นข้าก็อยากออกไปเห็นโลกภายนอกจริง ๆ
ท่านผู้นำ นายน้อยสี่ได้วางแผนที่จะออกจากคฤหาสน์อยู่แล้ว สิ่งที่ไป๋เต๋าพูดก็ถูกต้อง นี่อาจเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างทั้งสองกลุ่ม นายน้อยสี่จะได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างด้วยวิธีนี้ แม้ว่านายน้อยสี่จะเป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าคนอื่น ๆ ประสบการณ์ของเขาก็ยังคงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เจียงไป่กล่าว
เจียงหยางป้าถอนหายใจอย่างอับจนหนทางและพูดว่า สบายดี เนื่องจากเจียงไป่ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะที่เซียงเอ๋อต้องออกจากเมืองลอร์และต้องไปใช้ชีวิตข้างนอกสักพัก ข้าจะให้ทหารที่ไว้ใจได้สองสามคนไปกับเซียงเอ๋อเพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัยภายนอก
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อได้ยินว่าทหารจะถูกส่งตัวไปปกป้องเขา เขารีบพูดว่า ท่านพ่อ ไม่จำเป็นต้องส่งผู้คุ้มกันไป ข้าอยากออกไปผจญภัยภายนอกเพียงลำพัง
เซียงเอ๋อ การออกไปผจญโลกภายนอกด้วยตัวเองยังคงอันตรายเกินไป อย่างน้อยที่สุดเอาทหารไปกับเจ้าด้วย เผื่อว่าเจ้าไปเจอปัญหา ไป๋หยุนเทียนจับมือเจี้ยนเฉินด้วยความกังวล ในเรื่องนี้ นางไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ นางทำได้เพียงพยายามยอมรับการตัดสินใจนี้อย่างใจเย็นเท่านั้น
ไม่จำเป็นเลย ท่านแม่ ข้าไม่อยากพาทหารไปด้วย หากข้าเอาไป เราจะตกเป็นเป้าได้มากขึ้น ข้าคิดว่าการออกไปคนเดียวนั้นง่ายกว่า ทัศนคติของเจี้ยนเฉินมั่นคงมาก ในความเป็นจริง ตามความเห็นของเขา การมีผู้คุ้มกันอยู่ข้าง ๆ เขาเป็นภาระอย่างหนึ่ง นอกจากนี้ เมื่อออกไปข้างนอกเขาไม่จำเป็นต้องระมัดระวังในการปกปิดความแข็งแกร่งเหมือนอยู่ในบ้าน เขายังคงมีความลับมากมายที่ไม่สามารถบอกให้ใครในตระกูลรู้ได้
ตอนที่ 65: แขกจากพระราชวัง 1
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่รีบวิ่งไปหามารดาของพวกเขาและเดินไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ไปยังห้องโถงใหญ่ของคฤหาสน์เจียงหยาง.
อ๊า เจียงหยางหู่ เจ้าคงเจ็บมาก ดูรอยแผลของเจ้าสิ …
ระหว่างทาง ป้าใหญ่ของเจี้ยนเฉิน หลิงหลงมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจียงหยางหู่ด้วยตาที่เปียกชุ่มด้วยน้ำตาที่ไหลอย่างต่อเนื่อง
เจียงหยางหู่ทำได้เพียงหัวเราะเมื่อเขาตอบว่า ท่านแม่ แผลนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล โชคดีที่น้องสี่เจอข้า ไม่เช่นนั้น,ตอนนี้ข้าคงลุกจากเตียงไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนั้น,หลิงหลงก็หันหน้าไปมองเจี้ยนเฉินด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน เซียงเทียน ข้าต้องขอบใจเจ้าจริง ๆ ที่ช่วยอาหู่
เจี้ยนเฉินยิ้มตอบ ป้าใหญ่ ท่านพูดอะไรเช่นนี้ ? หากพี่ใหญ่เจอปัญหาแน่นอนว่าข้าต้องช่วย นอกจากนี้เรื่องนี้ยังทำให้ข้ากับพี่ใหญ่ต้องออกจากสำนัก ข้าจะมีความสุขมากหากป้าใหญ่ไม่โทษข้า
หลิงหลงยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า เซียงเทียน เจ้าช่างฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้เจ้าเกือบจะกลายเป็นเหมือนอาหู่แล้ว
ขอบคุณป้าใหญ่ ! เจี้ยนเฉินหัวเราะ เขาสามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าทัศนคติของป้าหลิงหลงที่มีต่อเขาดีขึ้นมาก นางไม่ได้เคร่งขรึมและเฉยเมยต่อเขาอีกต่อไป นางไม่เหมือนป้าใหญ่คนก่อนที่ไม่สนใจเขา
ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าความแข็งแกร่งของน้องสี่ช่างน่าทึ่งจริง ๆ ! ก่อนที่เขาจะเป็นเซียน เขาสามารถตามล่าและฆ่าสัตว์อสูรระดับสองได้อย่างง่ายดาย และหลังจากที่เขากลายเป็นเซียน พลังของอัจฉริยะของสำนักคากัตรวมกัน แม้ว่าจะมีอัจฉริยะเซียนขั้นสูงกว่าอย่างเฉิงหมิงเซียนในหมู่พวกเขา – พวกเขาก็พ่ายแพ้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป น้องสี่โจมตีอีกสิบคนที่ติดตามพวกเขามาอย่างง่ายดายเช่นกัน เจียงหยางหู่รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก เสียงของเขาดังขึ้นเมื่อเขาพูด ท่านแม่ ท่านไม่เห็นการต่อสู้แต่ข้าเห็น น้องสี่ตัวคนเดียวแต่เขาก็จัดการคนสิบกว่าคนจนพวกเขาบาดเจ็บในพริบตา หลายสิบคนเหล่านั้น อย่างน้อยที่สุดก็เป็นเซียนแต่พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมกับน้องสี่เลย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ไป๋หยุนเทียน มารดาของเจี้ยนเฉินก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นางมองลูกชายด้วยความรัก
ฮึ่ม !
มีเสียงเยาะเย้ยดังมาจากด้านข้าง มันมาจากป้าสามของเจี้ยนเฉิน หยูเฟิงหยาน นางยังพูดต่อไปว่า น่าอัศจรรย์มาก แต่มันเป็นความมหัศจรรย์ที่รุกรานสำนักหัวหยุน ความน่าอัศจรรย์ของเจียงหยางเซียงเทียนกำลังเชื้อเชิญอันตรายมายังคฤหาสน์เจียงหยางของเรา
คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าด้วยกัน หยูเฟิงหยานมีอคติกับเขาตั้งแต่เขายังเด็ก มารดาของเจี้ยนเฉิน ไป๋หยุนเทียนไม่พอใจอย่างมาก อย่างไรก็ตามคนที่สร้างปัญหาคือลูกชายของนางเองและนางก็รู้สึกว่าเขาผิด นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขากับหยูเฟิงหยานก็ไม่เคยดีนัก นางจึงไม่สามารถอ้างได้ว่าเขาไร้ความผิด มิเช่นนั้นความบาดหมางระหว่างคนทั้งสองจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้
ลืมมันไปเถอะ พี่สาม สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ได้ผ่านไปแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่เราจะพูดถึงมัน สิ่งที่เราควรทำตอนนี้คือการพิจารณาอย่างเหมาะสมว่าเราควรจัดการกับมันอย่างไร ป้ารองของเจี้ยนเฉิน ไป๋ยู่ซวงอธิบาย
ลืมมันไปเถอะ น้องสาม ท้ายที่สุดเซียงเทียนสร้างปัญหานี้เพื่อปกป้องอาหู่ เจ้าจะโทษเซียงเทียนไปทุกเรื่องไม่ได้ หลิงหลงเข้าข้างเจี้ยนเฉิน
เมื่อเห็นว่ามีคนสองคนสนับสนุนเจี้ยนเฉิน หยูเฟิงหยานก็ทำได้แค่พ่นลมทางจมูกแล้วเงียบไป
ไป๋หยุนเทียนถอนหายใจ นางจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความรักและความกังวล นางพูดว่า เซียงเอ๋อ เรารู้ถึงความสำเร็จของเจ้าที่สำนักคากัต เจ้าเป็นความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของข้า แต่ครั้งนี้ข้าคิดว่าเจ้าทำรุนแรงเกินไป ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตัดแขนของลูกชายของผู้นำสำนักหัวหยุน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าไม่เพียงสร้างปัญหาให้กับตัวเอง เจ้ายังได้ลากตระกูลเจียงหยางเข้าไปพัวพันด้วยเช่นกัน?
เจี้ยนเฉินรู้สึกผิดในขณะที่เขาพูดว่ า ท่านแม่ ข้าขอโทษที่ได้นำปัญหาใหญ่มาสู่ตระกูลของเรา
เซียงเทียน มันได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าควรหยุดโทษตัวเอง ตอนนี้เราต้องไปที่ห้องโถงหลักอย่างรวดเร็วเพื่อพูดคุยถึงวิธียุติความขัดแย้งนี้ ป้ารองรีบพูดขึ้นมา
หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มมุ่งหน้าไปยังห้องโถงใหญ่
ในช่วงเวลานี้ภายในวังที่งดงาม จักรพรรดิของอาณาจักรเกอซุนถือจดหมายไว้ในมือของเขา เขาขมวดคิ้ว ถอนหายใจยาว ๆ ก่อนจะพูดว่า เจียงหยางเซียงเทียนคนนี้หุนหันพลันแล่นมากเกินไป เขาทำผิดพลาดครั้งใหญ่โดยตัดแขนขวาของเฉิงหมิงเซียงจากสำนักหัวหยุน สถานการณ์ประเภทนี้เป็นสิ่งที่ตระกูลเจียงหยางไม่สามารถรับมือได้
จักรพรรดิปล่อยจดหมายลงและดูมันหล่นลงไปที่โต๊ะ ไปเรียกผู้บัญชาการกองทัพไป๋เต๋ามาเดี๋ยวนี้
พะยะค่ะ !
ขณะที่จักรพรรดิออกคำสั่ง ขันทีรับใช้ก็รีบออกไปทำตามคำสั่งของเขา
ในไม่ช้าชายวัยกลางคนที่สวมเกราะสีดำก็เดินเข้ามาในห้อง รูปร่างหน้าตาของชายคนนี้ดูค่อนข้างธรรมดา แต่เขามีสีหน้าที่แน่วแน่ ดวงตาของเขาเปล่งประกายภายใต้ใบหน้าที่มีรอยแผลเป็น รอยแผลเป็นทั่วหน้าผากของเขาทำให้ผู้คนต้องตกใจเมื่อมองเห็น
ชายคนนั้นเดินไปหาจักรพรรดิก่อนจะหยุดห่างจากเขา 10 เมตร องค์จักรพรรดิ ข้าไม่ทราบว่าทำไมพระองค์เรียกข้ามาที่นี่
จักรพรรดิยืนขึ้นอย่างช้า ๆ ขณะที่เขาคว้าจดหมายขึ้นมาในมือแล้วส่งมอบให้กับชายคนนั้น ลองอ่านดูสิ !
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะสีดำจึงรับจดหมายจากจักรพรรดิ เขาเปิดมันและเริ่มอ่าน หลังจากที่เขาอ่านเสร็จ เขาก็มีสีหน้าตกตะลึง
อืม ข้าไม่คาดว่าเขาจะก่อปัญหามากมายเช่นนี้ ชายชุดเกราะสีดำถอนหายใจยาว สีหน้าของเขาเริ่มกังวล
คนรุ่นใหม่ดูเหมือนจะโอหังและหุนหันพลันแล่นอยู่เสมอ จักรพรรดิถอนหายใจ ไป๋เต๋า,นับตั้งแต่ที่เจ้าเข้าร่วมกองทัพเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว เจ้ายังไม่เคยกลับไปที่บ้านเกิดของเจ้าเลย ใช้โอกาสในวันนี้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดของเจ้า
พะยะค่ะ ฝ่าบาท ! ในแววตาของชายในชุดเกราะเต็มไปด้วยความซับซ้อน
ท่าทีของจักรพรรดิจู่ ๆ ก็เคร่งขรึมมากขึ้นในขณะที่เขาพูดว่า ไป๋เต๋า เมื่อเจ้ากลับไปในเวลานี้ เจ้าต้องชักชวนให้คนในตระกูลเจียงหยางส่งตัวเจียงหยางเซียงเทียนมาที่นี่โดยเร็วที่สุด มิฉะนั้นเมื่อสำนักหัวหยุนไปตามหาเขา ความขัดแย้งก็จะเพิ่มมากขึ้น การส่งตัวเจียงหยางเซียงเทียนมาที่นี่โดยให้เราเป็นสื่อกลางระหว่างพวกเขา ความขัดแย้งระหว่างตระกูลเจียงหยางและสำนักหัวหยุนจะหยุดนิ่งไปชั่วคราว ตอนนี้ทุกอาณาจักรเพื่อนบ้านเริ่มตื่นตัว ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่เคยละทิ้งความคิดที่จะโจมตีอาณาจักรเกอซุนของข้า ในช่วงเวลาที่มีความสำคัญอย่างนี้ เราไม่ควรปล่อยให้มีเรื่องบาดหมางเกิดขึ้นในอาณาจักรของเรา มิฉะนั้นผลลัพธ์ก็จะน่ากลัวเกินกว่าที่จะคิด
เจียงหยางเซียงเทียนเป็นอัจฉริยะจากสวรรค์ที่มีศักยภาพไม่จำกัด อนาคตของเขาไม่สามารถวัดได้อย่างแท้จริง เขาอาจเป็นแหล่งความหวังเดียวที่อาณาจักรเกอซุนมีในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลนี้เจียงหยางเซียงเทียนจึงต้องได้รับการคุ้มครองในทุกเรื่อง แม้ว่าเราไม่สามารถรับประกันความสำเร็จในอนาคตของเขาได้อย่างราบรื่น แต่เราไม่สามารถปล่อยให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในการล้างแค้นครั้งนี้ได้ จักรพรรดิพูดด้วยใบหน้าที่แข็งกร้าว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ชายหนุ่มที่สวมเกราะเผยให้เห็นความภาคภูมิใจและความสุข เขาระงับอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นภายในใจของเขาและกล่าวว่า ฝ่าบาท ไป๋เต๋าเข้าใจในสิ่งที่ควรทำตอนนี้แล้ว
องค์จักรพรรดิพยักหน้าและกล่าวว่า ไป๋เต๋า อย่าเสียเวลา เจ้าต้องตรงไปยังคฤหาสน์เจียงหยางทันที คนที่แข็งแกร่งอย่างเจ้าควรจะไปถึงที่นั่นก่อนพระอาทิตย์ขึ้น
พะยะค่ะ ฝ่าบาท
……..
ภายในห้องโถงอันกว้างใหญ่ของคฤหาสน์เจียงหยาง เจียงหยางป้านั่งลงบนบัลลังก์ของเขาโดยมีเจี้ยนเฉินอยู่ด้านหนึ่งและฮูหยินของเขาอยู่อีกด้านหนึ่ง ส่วนคนที่นั่งอยู่ไม่กี่ขั้นด้านล่างคือพ่อบ้านที่โล่งใจ เจียงไป่
เจียงหยางป้ามีสีหน้าที่วิตกกังวลขณะที่เขามองดูลูกชายของเขาเจี้ยนเฉิน เซียงเอ๋อ ทุกคนคงรู้สถานการณ์ที่สำนักคากัตกันหมดแล้วว่า ลูกชายของผู้นำสำนักหัวหยุนถูกตัดแขนขวาออก สำนักหัวหยุนจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่าย ๆ แน่ มีใครอยากจะเสนอวิธีแก้ไขปัญหาหรือไม่ ?
เมื่อได้ยินอย่างนี้ทุกคนในห้องโถงก็เงียบ สำนักหัวหยุนมีอำนาจที่สุดนอกเหนือจากราชวงศ์ในอาณาจักรเกอซุน พวกเขาไม่ได้เกรงกลัวอำนาจของจักรพรรดิเลย ตระกูลเจียงหยางจะไม่สามารถต้านทานสำนักของพวกเขาได้เนื่องจากเฉิงหมิงเซียนเป็นบตรชายหัวแก้วหัวแหวนของผู้นำ เขาเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจกว่าคนอื่น การถูกเจี้ยนเฉินตัดแขนจะมีผลต่อความสำเร็จในอนาคตของเขาอย่างแน่นอน คงจะไม่มากไปหากจะพูดว่าเจี้ยนเฉินทำลายเฉิงหมิงเซียงจนพินาศ ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีทางที่สำนักหัวหยุนจะให้อภัยในเรื่องนี้
ทุกคนยังคงนิ่งเงียบ ในที่สุดผู้อาวุโสที่มีอายุ 60 ปีกล่าวว่า วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหานี้คือการค้นหาและเชิญเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงมาช่วยรักษาแขนของเฉิงหมิงเซียน อย่างไรก็ตาม มีเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 เท่านั้นที่มีพลังพอที่จะทำอะไรเช่นนั้น คงไม่ง่ายนักที่ตระกูลเจียงหยางของเราจะสามารถเชิญบุคคลดังกล่าวมา ไม่เพียงแค่นั้น แต่เซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงระดับ 7 นั้นหาได้ยากมากในทวีปเทียนหยวน ส่วนมากพวกเขาเป็นพวกท่องยุทธภพ การปีนป่ายขึ้นไปบนสวรรค์คงจะง่ายกว่าที่จะตามหาพวกเขา ข้าจึงคิดว่าความเป็นไปได้ในการรักษาแขนของเฉิงหมิงเซียงนั้นแทบจะเป็นศูนย์
ที่ท่านพูดมามันก็ถูก ในความคิดของข้า โอกาสเดียวของเราที่จะหลีกเลี่ยงการแก้แค้นของสำนักหัวหยุนนอกเหนือจากการตามหาเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงคือการให้ราชวงศ์มาสนับสนุนเรา อย่างไรก็ตามสำนักหัวหยุนจะไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน สิ่งที่รับประกันได้คือการปกป้องนายน้อยสี่คงไม่ใช่เรื่องง่าย ชายวัยกลางคนกล่าว
มีผู้อาวุโสอีกสองสามคนที่มีอิทธิพลอย่างมากในตระกูลยืนอยู่ใกล้ ๆ กับชายวัยกลางคน พวกเขาได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของเจี้ยนเฉินในสำนักมานานแล้ว พวกเขาเริ่มมีความหวังและคิดจะฝากความอยู่รอดของตระกูลไว้กับเจี้ยนเฉินในใจ ดังนั้นแม้ว่าตระกูลจะมีปัญหาใหญ่ แต่ก็ไม่มีใครตำหนิเขาและพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อหาวิธีปกป้องเขา ไม่เพียงแค่นั้นหากจัดการแต่งงานระหว่างเขากับองค์หญิงเกอหลัน หลังจากการแต่งงานตระกูลเจียงหยางก็จะสามารถมีอำนาจเพิ่มขึ้นได้
คงจะดีไม่น้อยหากท่านบรรพชนยังอยู่ที่นี่ ผู้อาวุโสถอนหายใจอย่างหมดหนทาง
เมื่อได้ยินอย่างนี้ ดวงตาของเจียงไป่ก็เปล่งประกาย ถูกต้อง ถ้านายใหญ่อยู่ที่นี่ ตระกูลของเราก็ไม่จำเป็นต้องมารวมตัวกันเพื่อหาทางออกในวันนี้ มันเป็นเรื่องน่าละอายใจ นายใหญ่จากไปหลายปีโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
สมาชิกในตระกูลเงียบไปหลังจากได้ยินเช่นนั้น
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นเป็นจังหวะหลังจากได้ยินเรื่องที่เจียงไป่พูด เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาที่เขาอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เจียงหยาง เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับบรรพชนหรือนายใหญ่ของเจียงไป่มาก่อน แม้ว่าเขาเพิ่งจะได้ยินเกี่ยวกับคนทั้งสอง แต่เขาก็มั่นใจในใจว่าคนสองคนนี้แข็งแกร่งมากและมีอำนาจเหนือใคร ๆ ทั้งสองคงเป็นผู้อาวุโสของตระกูลและไม่กลัวสำนักหัวหยุน
เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดใคร่ครวญนาน เขารีบสลัดความคิดนั้นออกไป เจี้ยนเฉินเห็นว่าห้องโถงเงียบอยู่สักพัก เขาลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูดว่า ท่านพ่อขอรับ มันจะดีกว่าถ้าให้อสูรอินทรีของเจียงไป่ส่งข้าออกไป ตราบใดที่ข้าไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์เจียงหยาง ข้ามั่นใจว่าหากสำนักหัวหยุนมาที่นี่จริง พวกเขาก็จะไม่กล้าดำเนินการใด ๆ
ไม่ !
ไม่ได้อย่างแน่นอน ! !
ในขณะที่เจี้ยนเฉินพูด เสียงคัดค้านของไป๋หยุนเทียนและเจียงหยางป้าก็ดังขึ้นมาพร้อมกัน
ไป๋หยุนเทียนจับมือของเจี้ยนเฉินแน่นขณะที่ดวงตาของนางค่อย ๆ พร่ามัวไปด้วยน้ำตาซึ่งไหลลงมาบนใบหน้า นางร้องไห้ เซียงเอ๋อ อย่าพูดเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ ! ทวีปเทียนหยวนนั้นอันตรายมาก มันไม่ง่ายอย่างที่เจ้าคิด เจ้ายังไม่เคยเดินทางไปทั่วโลกกว้าง เจ้าจึงไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติตามกฎใดเพื่อความอยู่รอด เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอ แม่จะไม่ปล่อยให้เจ้าต้องออกไปทรมานอย่างโง่เขลาเช่นนี้ !
ตอนที่ 64: ลาก่อน
อาจารย์ใหญ่พึมพำอย่างเงียบ ๆ ที่เจ้าพูดมามันก็ถูก เราต้องปกป้องเจียงหยางเซียงเทียน ไป่เอิน เจ้าอยู่ที่นี่และแก้ไขปัญหาในห้องรักษา ข้าจะไปคฤหาสน์ตระกูลเจียงหยาง มิฉะนั้นถ้าเรารอให้ผู้เชี่ยวชาญของสำนักหัวหยุนมาถึง สถานการณ์ก็จะแย่ลงไปกว่านี้
หลังจากนั้นอาจารย์ใหญ่ก็เดินไปทางขอบหน้าต่างแล้วกระโดดออกมา เขาบินขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วที่น่าตกใจและบินออกไปสู่โลกกว้างเหมือนนกเหยี่ยว
ไป่เอินถอนหายใจตามลำพังเมื่อเห็นว่าอาจารย์ใหญ่หายตัวไปในท้องฟ้า เจียงหยางเซียงเทียนได้รบกวนความสงบสุขในครั้งนี้ หากเขาเพียงทำร้ายร่างกายพวกเขา สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายนัก แต่เขาทำสิ่งที่โหดร้ายมาก เขาตัดแขนของเฉิงหมิงเซียง ! ไม่ใช่ว่าไม่มีคนที่สามารถต่อแขนกลับมาใหม่ได้ แต่ความแข็งแกร่งที่จำเป็นสำหรับสิ่งนี้สูงเกินไป สำนักหัวหยุนคงไม่สามารถเชิญเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงขั้น 7 มาได้ง่าย ๆ
ข่าวเรื่องที่เจียงหยางเซียงเทียนตัดแขนศิษย์สามคนแพร่กระจายไปทั่วสำนัก มันเป็นเรื่องที่ศิษย์ทุกคนโจษขาน ความแข็งแกร่งของเจียงหยางเซียงเทียนทำให้ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ต้องตกใจอีกครั้ง
ในขณะที่ทุกคนในสำนักกำลังพูดถึงเรื่องนี้ เจี้ยนเฉินก็นั่งสมาธิอยู่บนเตียง เขาเริ่มไตร่ตรองถึงการกระทำของเขา เขารู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อเขาตัดแขนของเฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยนและกาดิหยุนว่าเขาได้สร้างปัญหามากมายให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่เขาทำเลย ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าเขาจะรับมือกับความโกรธแค้นของทั้งสามกลุ่มได้อย่างไร
วันที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วและในไม่ช้าก็กลายเป็นเวลากลางคืน
ปัง ปัง ปัง !
เสียงเคาะดังมาจากอีกด้านหนึ่งของห้องของเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินเสียงนั้นเจี้ยนเฉินไขว่ห้างก็ลืมตาขึ้น เขามองแกนอสูรขั้น 1 มากมายที่ปราศจากพลังงาน เขาถอนหายใจเงียบ ๆ ก่อนที่จะมองไปที่ประตู นั่นใคร ?
เจียงหยางเซียงเทียน ข้าเอง รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอิน ! น้ำเสียงที่คุ้นเคยของจางไป่เอินดังมาจากด้านนอกประตู
เจี้ยนเฉินรีบลุกขึ้นมาจากเตียงทันทีแล้วเดินไปเปิดประตู รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินยืนอยู่ข้างนอกประตูด้วยสีหน้ากระวนกระวายใจ
ท่านรองอาจารย์ใหญ่ มีอะไรผิดปกติหรือไม่ ? เจี้ยนเฉินถามกลับไป เขาพอจะเดาได้ว่ารองอาจารย์ใหญ่มาทำอะไร แต่จิตใจของเขาก็ยังสงบและไม่เปลี่ยนแปลง
รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทางที่ซับซ้อนและถอนหายใจพลางเอ่ยว่า เจียงหยางเซียงเทียน เก็บของแล้วรีบตามข้าไปที่ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ทันที
โอ้ ! เจี้ยนเฉินตอบอย่างเฉยเมย เขาไม่ได้พูดอะไรเลยหลังจากนั้น และเดินกลับไปที่ห้องอย่างเงียบ ๆ เพื่อเก็บข้าวของของเขา
เจี้ยนเฉินมีข้าวของไม่มาก เขาคว้าโอสถของตัวเองแล้วเก็บไว้ในเข็มขัดมิติของเขา จากนั้นเขาก็เดินตามไป่เอินไปยังจุดศูนย์กลางของสำนักซึ่งมีหอคอยที่โดดเดี่ยว
นั่นใช่เจียงเซียงเทียนหรือไม่ ?
มันดูเหมือนว่าเขากำลังเดินไปกับรองอาจารย์ใหญ่ บางทีเขาอาจถูกลงโทษรุนแรงมาก..
………..
ขณะที่พวกเขาเดินผ่านสนาม ศิษย์หลายคนเริ่มรวมตัวและพูดคุยกัน
เจี้ยนเฉินไม่สนใจบทสนทนาที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา เขาตามหลังรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิน และในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงหอคอยกลาง และเข้าไปในห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่โดยตรง
มีผู้อาวุโสสองคนนั่งอยู่ถัดจากโต๊ะของอาจารย์ใหญ่ หนึ่งในนั้นคืออาจารย์ใหญ่ที่ทำตัวสบาย ๆ ในขณะที่ผู้อาวุโสอีกคนสวมชุดสีฟ้าและเกล้าผมยาวดำไว้ข้างหลัง จากด้านหลังโต๊ะ มีชายชราดูธรรมดาเหมือนคนอื่น ๆ
อาจารย์ใหญ่ ข้านำตัวเจียงหยางเซียงเทียนมาแล้ว ! รองอาจารย์ใหญ่ทักทายอย่างสุภาพ
เมื่อได้ยินอย่างนี้อาจารย์ใหญ่ก็จ้องมองเจี้ยนเฉินทันที และเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบว่า ไป่เอิน เจ้าออกไปได้ !
ขอรับ ! ไป่เอินออกไปอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นคนที่เหลืออยู่ในห้องคืออาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต รวมถึงผู้อาวุโสในชุดคลุมสีฟ้า
นับตั้งแต่เจี้ยนเฉินเข้ามาครั้งแรก,ผู้อาวุโสในชุดฟ้าเขียวก็จับตามองเขาเสมอ. อาวุโสคนนี้ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเจี้ยนเฉิน เขาคือพ่อบ้านของตระกูลเจียงหยาง เจียงไป่
เจียงไป่j เจ้ามาทำอะไรที่นี่ เจี้ยนเฉินพูดขณะมองผู้อาวุโส
เจียงไป่มองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อนก่อนที่จะถอนหายใจและเอ่ยว่า นายน้อยสี่ เราเฝ้าดูทุกการเคลื่อนไหวของท่านในสำนักคากัต ไม่ว่าจะเป็นบิดาหรือมารดาของท่าน พวกเขาทั้งคู่รู้สึกภูมิใจอย่างมาก แต่การกระทำของท่านในวันนี้รุนแรงเกินไป
เจี้ยนเฉินเข้าใจในสิ่งที่เจียงไป่กำลังพูด เขาตอบอย่างแน่วแน่ว่า เจียงไป่ ข้าไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย พวกเขาหาเรื่องใส่ตัวเอง พี่ใหญ่ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาก็ยังทำให้เขาบาดเจ็บปางตาย หากให้ข้าย้อนกลับไป ข้าก็ขอทำเช่นเดิม
เจียงไป่ถอนหายใจ นายน้อยสี่ ข้าเห็นด้วยกับวิธีการของท่าน ในทวีปเทียนหยวน คนที่แข็งแกร่งคือคนที่ปกครองคนอื่น แม้ว่านายน้อยจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาแต่ท่านไม่ได้คิดถึงอำนาจหนุนหลังพวกเขาอยู่ หากเป็นเพียงตระกูลกาดิหรือตระกูลลั่ว ตระกูลเจียงหยางของเราจะไม่ประสบปัญหามากนักในการจัดการกับพวกเขา แต่เฉิงหมิงเซียงเป็นบุตรชายที่รักของผู้นำสำนักหัวหยุน สำนักหัวหยุนมีอิทธิพลมากที่สุดในอาณาจักรเกอซุนนอกเหนือจากราชวงศ์ ดังนั้นตระกูลเจียงหยางไม่ควรไปล่วงเกิน
เจียงหยางเซียงเทียน อำนาจของสำนักหัวหยุนค่อนข้างน่ากลัว แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอิทธิพลเท่ากับราชวงศ์ แต่ราชวงศ์ก็กลัวผลกระทบใด ๆ จากการเข้าไปยุ่งกับพวกเขา ในปัจจุบันในบรรดาผู้เชี่ยวชาญหกอันดับแรกในอาณาจักรเกอซุน มีคนของสำนักหัวหยุนถึง 2 คน อาจารย์ใหญ่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เจี้ยนเฉินเคร่งเครียดมากขึ้นจากคำพูดเหล่านี้
ในขณะนั้นเสียงเคาะดังมาจากนอกประตู เสียงที่น่านับถือดังออกมาจากข้างนอก อาจารย์ใหญ่ ข้านำตัวเจียงหยางหู่มาแล้ว !
เข้ามา ! อาจารย์ใหญ่กล่าว
ประตูเปิดออกและมีอาจารย์คนหนึ่งเดินนำหน้าเจียงหยางหู่มา เจียงหยางหู่สวมเครื่องแบบใหม่แต่ยังคงเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เจียงไป่ ! เจียงหยางหู่ตะโกนเมื่อเขาเดินเข้ามา เขาไม่สามารถเก็บอารมณ์ไว้ได้ขณะที่เขาพูดด้วยความประหลาดใจ
อาจารย์คนนั้นไม่ได้เดินเข้ามาในห้องของอาจารย์ใหญ่ หลังจากที่ส่งตัวเจียงหยางหู่เข้าไปและคำนับอาจารย์ใหญ่ เขาก็ปิดประตูและเดินออกไปเงียบ ๆ
ดวงตาของเจียงไป่จ้องมองรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเจียงหยางหู่ ในที่สุดดวงตาที่ดูธรรมดาของเขาก็เผยความโกรธออกมา เขาพูดอย่างโศกเศร้าว่า นายน้อยคนโต ท่านคงเจ็บปวดมาก
เจียงหยางหู่ส่ายหัวโดยไม่คิดอะไรเลยและพูดว่า มันแค่บาดแผลเล็กน้อย ไม่มีอะไรสำคัญ ช่างมันเถอะ เจียงไป่ เจ้ามาทำอะไรที่สำนัก ? เจียงหยางหู่ถามด้วยความสับสน
ใบหน้าของเจียงไป่ไม่ได้บ่งบอกอารมณ์ใด ๆ เขาพูดเบา ๆ ว่า นายน้อยทั้งสองควรไปเก็บข้าวของ
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ
ข้าเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจียงไป่ เจ้ามารับข้าหรือ ? เจียงหยางหู่ถามด้วยน้ำเสียงไม่เต็มใจ
เจียงไป่พยักหน้า ถูกต้อง ข้ามาวันนี้เพื่อรับตัวท่านสองคนออกจากสำนัก มันคงไม่ฉลาดนักที่หากท่านทั้งสองยังอยู่ที่สำนักคากัตต่อไป
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจียงหยางหู่ก็มืดแปดด้าน เขาอยู่ที่สำนักคากัตมานานพอควรและรู้สึกผูกพันกับมันเป็นพิเศษ
เจียงหยางหู่ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าสองคนควรออกไปก่อน ข้ายังมีบางสิ่งที่อยากคุยกับเจียงไป่ อาจารย์ใหญ่กล่าว
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่ไม่ได้คัดค้าน พวกเขาก็หันหลังให้เดินออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่.
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่ไม่ได้รอนาน เจียงไป่ออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ในไม่ช้าหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามเมื่อเขามองดูทั้งสองคน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่มีความสุข
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่ติดตามเจียงไป่ลงจากหอคอยและขึ้นขี่หลังสัตว์อสูรที่บินได้เพื่อออกจากสำนักคากัต มันบินขึ้นไปในอากาศโดยตรงและเริ่มมุ่งหน้าไปยังเมืองลอร์
เจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่ไม่ได้พูดคุยกันบนหลังสัตว์อสูร ในขณะที่ทั้งสองกำลังรีบกลับบ้าน ทั้งคู่ดูเหมือนจะหนักใจมาก
ภายในหัวของเจี้ยนเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงเรื่องความรักที่เขาได้รับจากมารดา แม้ว่าในใจเขารู้ดีว่าเขาไม่ใช่เด็ก แต่เขาไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ดังนั้นความรักของแม่นี้จึงเป็นเรื่องใหม่ที่เขาไม่เคยสัมผัส
ในความคิดของเจี้ยนเฉิน เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงการใช้ชีวิตในตระกูลเจียงหยาง มารดาของเขาใส่ใจเขาและรักเขาหมดหัวใจ สิ่งนี้ทำให้จิตใจที่เย็นชาของเจี้ยนเฉินซึ่งไม่เคยได้รับความรักของมารดามาก่อนกลายเป็นทะเลแห่งความอบอุ่น เขามีความสุขและถะนุถนอมความรู้สึกนั้น
เวลาผ่านไปอย่างเงียบ ๆ ในขณะที่สัตว์อสูรระดับสี่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศด้วยความเร็วสูงและลมพัดจนเจี้ยนเฉินหูอื้อ ผมสีดำที่มีความยาวระดับเอวของเจี้ยนเฉินปลิวว่อนอยู่กลางอากาศในขณะที่มันปลิวไหวไปตามสายลม โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้เขามีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาและสง่าผ่าเผย เขาดูมีความมั่นใจในขณะที่ขี่หลังสัตว์อสูร
สัตว์อสูรบินผ่านข้ามหมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ มากมายภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิด หลังจากการบินผ่านสูงหนึ่งพันกิโลเมตรเหนือพื้นดินผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ พวกเขาก็มาถึงเมืองลอร์
เจียงไป่ควบคุมให้อสูรอินทรีบินลงมาสู่บริเวณของคฤหาสน์เจียงหยาง คนรับใช้ที่จัดการสวนด้านหลังออกไปนานแล้ว เหลือเพียงคนที่จงรักภักดีที่สุด
ลมกระโชกแรงพัดลงมาบนลานกว้างขณะที่อสูรอินทรีลงมาจากท้องฟ้าและหยุดลงสู่พื้นดิน ชายสามคนจึงปีนลงมา
กลุ่มคนรีบมารวมตัวกันรอบ ๆ อสูรอินทรีโดยมีชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีดำขาวเป็นผู้นำกลุ่ม นี่คือผู้นำตระกูลเจียงหยางและเป็นบิดาของเจี้ยนเฉิน – เจียงหยางป้า ข้าง ๆ เขามีหญิงงาม 4 คนคือไป๋หยุนเทียนมารดาของเจี้ยนเฉินและป้าทั้งสามคน ข้าง ๆ ป้าสี่มีเด็กสาวที่ดูเหมือนจะอายุประมาณ 18 ปี นี่คือพี่รองของเขาที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายเดือน – เจียงหยางหมิงเย่ว ใกล้กับนางมีชายอีกคนที่ดูเหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดีวกับเจี้ยนเฉิน เขาคือเจียงหยางเค่อ พี่รองของเขานั่นเอง อย่างไรก็ตามในสายตาของเจียงหยางเค่อนั้นดูมีความสุขราวกับว่าเขายินดีที่ได้เห็นเจี้ยนเฉินต้องทุกข์ยากและต้องออกจากสำนักคากัต
ข้างหลังสมาชิกในครอบครัวมีชายวัยกลางคนและผู้อาวุโส พวกเขาเป็นสมาชิกระดับสูงของตระกูล แต่ละคนก็มีสีหน้าที่น่าเกรงขามขณะที่พวกเขามองดูเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อน บางคนมองเขาอย่างมีความสุข บางคนมองด้วยท่าทางที่คาดหวังและบางคนก็ถอนหายใจ
เจียงไป่เดินไปหาเจียงหยางป้าและยิ้มเล็กน้อย นายท่าน ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง ข้านำตัวนายน้อยคนโต และนายน้อยสี่กลับบ้านมาอย่างปลอดภัย เขาป้องมือ
เจียงหยางป้ามองเจียงไป่และป้องมือให้ ขอบใจมากที่อุตส่าห์ช่วย
นายท่านชมข้าเกินไป มันเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วขอรับ เจียงไป่กล่าว
เจียงหยางป้าชำเลืองมองเจี้ยนเฉินและเจียงหยางหู่ ดวงตาของเขาแสดงออกทั้งความพึงพอใจและความชื่นชมขณะที่เขามองเจี้ยนเฉิน เขาตื่นเต้นในสภาพที่ยังวิตกกังวล ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจยาวและพูดว่า เซียงเอ๋อ, เจียงหยางหู่, เจ้าทั้งคู่มากับข้าที่โถงกลาง เจียงหยางป้าหันหลังกลับและเริ่มเดินออกไป
ตอนที่ 63: ตัดแขน.
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้า..เจ้ากำลังคิดจะทำอะไร? ปล่อยพวกเราไปเดี๋ยวนี้ ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ซะ ไม่งั้นเจ้ารอให้สำนักหัวหยุนมาแก้แค้นได้เลย เฉิงหมิงเซียงพูดอย่างโหดเหี้ยม แม้แต่คนโง่ก็มองออกว่าเจี้ยนเฉินไม่ได้คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ ตอนนี้เฉิงหมิงเซียงไม่ต้องการอะไรอย่างอื่นนอกจากเสียจากการได้ออกไปจากที่นี่และวางแผนกลับมาแก้แค้นทีหลัง
เจี้ยนเฉินยิ้มเยาะ ปล่อยเจ้าไปรึ ? มันจะไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนก็หน้าเสีย กาดิหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก เจียงหยางเซียงเทียน เราอาจทำร้ายพี่ชายของเจ้า แต่ตอนนี้เจ้าก็ได้ทำให้พวกเรารับบาดเจ็บ เราควรลืมเรื่องที่ผ่านมา
เจี้ยนเฉินเดินไปหาทั้งสามอย่างช้า ๆ กระบี่วายุโปรยของเขาปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่อง สามคนมองไปที่กระบี่ ราวกับว่ามันห่อหุ้มตัวเองอย่างช้า ๆ ด้วยแสงสีเงินสว่าง
ลืมเรื่องที่ผ่านมาหรือ ? มันควรง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ? วันนี้ข้าจะแค่ตัดแขนของพวกเจ้าทิ้ง หากมีวันหน้า พวกเจ้าคงไม่มีชีวิตรอดกลับไป
เจี้ยนเฉินเดินทางมาถึงด้านหน้าของกาดิหยุนแล้ว กระบี่วายุโปรยก็พุ่งลงมาในแนวโค้งราวกับสายฟ้าสีเงินพุ่งเข้าหาไหล่ของกาดิหยุน
อ๊า …
กาดิหยุนส่งเสียงกรีดร้องดังลั่น ใบหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง เขาหน้าซีดเผือด เลือดพุ่งออกมาจากจากไหล่ของแขนขวา มันตกลงมาบนพื้นดินอย่างไร้ค่า
เจี้ยนเฉินตัดแขนขวาของกาดิหยุน
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยนเปลี่ยนไปทันที พวกเขาเฝ้าดูในสภาพที่ตัวสั่น พวกเขามองแขนที่ถูกตัดออกอย่างโหดเหี้ยม แล้วจากนั้นเสียงกรีดร้องของกาดิหยุนทำให้พวกเขาหน้าซีด
ศิษย์คนอื่น ๆ อีกสิบคนมองเจี้ยนเฉินด้วยความกลัว การกระทำแบบนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะได้เห็น ใครจะรู้ว่าเขาเป็นคนไร้ความปราณีและสามารถตัดแขนใครบางคนอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเล ? การกระทำที่โหดร้ายนี้ทำให้พวกเขาวิตกกังวลและหวาดกลัวอย่างมาก แต่มีประกายแห่งความหวังเล็ก ๆ พวกเขาโชคดีที่ไม่ได้ทำร้ายเจียงหยางหู่ หากไม่ใช่เพราะความจริงนี้ ไม่สงสัยเลยว่าพวกเขาต้องมีชะตากรรมเจ่นเดียวกับลั่วเจี้ยน, เฉิงหมิงเซียงและกาดิหยุนในการสูญเสียแขน
เจี้ยนเฉินทำราวกับว่าเหตุการณ์ตรงหน้ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย ใบหน้าของเขาไม่เปิดเผยอารมณ์ใด ๆ ในระหว่างการกระทำที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเลือดที่สาดกระเซ็นบนพื้นดินหรือเสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดของกาดิหยุนก็ไม่มีผลกับเขา เขามองลั่วเจี้ยนและเดินเข้าไปใกล้เขาด้วยกระบี่ที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือด
ขณะที่เจี้ยนเฉินเดินเข้าไป ใบหน้าของลั่วเจี้ยนก็เต็มไปด้วยความกลัว เขาไม่สนใจความเจ็บปวดจากบาดแผล เขาเริ่มคลานถอยหนีเจี้ยนเฉินอย่างช้า ๆ เหมือนหอยทากที่คืบคลานขณะที่ร้องตะโกนว่า เจียงหยางเซียงเทียน … เจ้ากำลังทำจะอะไร ? อย่า..อย่าเข้ามาใกล้ !
เจี้ยนเฉินยังคงเดินช้า ๆ ไปหาลั่วเจี้ยน ด้วยสายตาที่จ้องมองอย่างเย็นชาไร้ความเมตตา เขาค่อย ๆ ยกกระบี่วายุโปรยขึ้นมา
เมื่อลั่วเจี้ยนเห็นเจี้ยนเฉินยกกระบี่สีเงิน เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น เขาทิ้งท่าทางหยิ่งยโสและเริ่มวิงวอนต่อเขาว่า เจียงหยางเซียงเทียน ได้โปรด..ข้าขอร้องเจ้า..ได้โปรดอย่าตัดแขนของข้า ถ้าเจ้าปล่อยข้าไป ข้า ลั่วเจี้ยน ขอสาบานว่าข้าจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน
เจี้ยนเฉินไม่แสดงท่าทีว่าจะหยุด เขาแกว่งกระบี่กลายเป็นแสงสีเงินโค้งอีกครั้งหนึ่ง เขาตัดแขนของลั่วเจี้ยนอย่างรวดเร็วภายใต้สายตาที่ไม่เชื่อของเจ้าของ
อ๊า !
ลั่วเจี้ยนส่งเสียงกรีดร้องอันน่าสะพรึงกลัว แขนขวาของเขาถูกแยกออกจากไหล่ ทำให้เลือดพุ่งกระจายไปทั่วพื้น
เจียงหยางเซียงเทียน ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป.. ลั่วเจี้ยนมีสีหน้าฉุนเฉียวในขณะที่เขาส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธ ดวงตาของเขาแดงก่ำเมื่อเขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความเกลียดชังที่รุนแรง
เจี้ยนเฉินไม่สนใจเสียงร้องของลั่วเจี้ยนและเดินไปหาเฉิงหมิงเซียงแทน
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงยังคงเป็นสีขาวซีด มีเพียงความเสียใจเพียงอย่างเดียวในใจเมื่อเขาตระหนักว่าตัวเองอ่อนแอกว่าเจี้ยนเฉิน หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเขามีพรรคพวกสิบคนในระดับเซียน เขาคงไม่ถูกบีบบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเช่นนี้
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับลั่วเจี้ยน เฉิงหมิงเซียงไม่สามารถระงับความรู้สึกหวาดกลัวในหัวใจขณะที่เขาพยายามสงบจิตใจลง เจียงหยางเซียงเทียน ถ้าเจ้าไม่ต้องการนำหายนะมาสู่..
เมื่อได้ยินคำพูดของเฉิงหมิงเซียงทำให้เกิดปฏิกิริยาตอบโต้จากเจี้ยนเฉินทันที แสงจ้าปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาขณะที่เขาพุ่งไปข้างหน้าเข้าหาเฉิงหมิงเซียง ก่อนที่เขาจะสามารถพูดจบประโยค เจี้ยนเฉินได้ตัดแขนขวาของเขาไปแล้ว
เฉิงหมิงเซียงหยุดตะโกน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เขาไม่เหมือนกาดิหยุนหรือลั่วเจี้ยนที่กรีดร้อง เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดได้ถูกระงับไว้ในลำคอของเขา แต่ใบหน้าของเขายังคงบิดเบี้ยวไปกับการแสดงออกที่แตกต่างกัน ดูเหมือนว่าความเจ็บปวดของเขาจะมากกว่าอีกสองคน
เจี้ยนเฉินมองทั้งสามคนด้วยสายตาที่ไม่แยแสและเขาก็พูดอย่างเย็นชาว่า วันนี้ข้าตัดแขนของพวกเจ้า ครั้งต่อไป ข้าจะไม่ไว้ชีวิตของพวกเจ้าแน่ อย่าคิดว่าข้าแค่ขู่ ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ดวงตาของเจี้ยนเฉินมองไปที่ศิษย์คนอื่น
ขณะที่เขามองศิษย์แต่ละคน พวกเขารีบหลบสายตาและจ้องมองลงไปที่พื้นด้วยความกลัว เมื่อใดก็ตามที่เจี้ยนเฉินมองพวกเขาด้วยกระบี่ที่เปื้อนเลือด ไม่มีใครคิดที่จะพยายามตอบโต้เลย
เจี้ยนเฉินมองกระบี่วายุโปรย เขาคิดครู่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาจึงถือกระบี่หันลงไปที่พื้น เลือดทั้งหมดที่สะสมอยู่บนกระบี่เริ่มไหลไปที่ปลายกระบี่แล้วค่อย ๆ หยดลงบนพื้นดินที่มีฝุ่นละอองช้า ๆ ทำให้กระบี่วายุโปรยกลับมาส่องแสงระยิบระยับเปล่งประกายอีกครั้ง
เมื่อกระบี่วายุโปรยสะอาด เจี้ยนเฉินก็กลับไปยังเจียงหยางหู่ หลังจากที่ได้เห็นพี่ชายที่โชกเลือด ความเย็นชาในสายตาของเจี้ยนเฉินค่อย ๆ อ่อนลง เขาพูดด้วยความกังวลว่า พี่ใหญ่ กลับกันเถอะ
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างตกตะลึง ตอนนี้ตาของเขาเบิกกว้างหลังจากจ้องมองการต่อสู้ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้น เขาได้เห็นชัยชนะของเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
เจี้ยนเฉินยื่นมือไปทางเจียงหยางหู่ที่โชกเลือดและทั้งคู่ก็หันหลังกลับ เดินกลับไปที่หอพักทางถนนที่เงียบสงบ แต่อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็ยังเห็นผู้คนจำนวนมากพอที่จะกระจายข่าวไปทั่วสำนักว่าเจียงหยางหู่ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก
ไม่นานหลังจากที่เจี้ยนเฉินกลับไปที่ห้อง ศิษย์ที่อยู่ในป่าก็ช่วยทั้งสามคนที่บาดเจ็บและเริ่มเดินไปเรื่อย ๆ จนถึงสำนัก ช่วงเวลาที่พวกเขามาถึง ทุกคนต่างตกตะลึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นศิษย์สามคนแขนขาด ไม่มีใครเชื่อสายตาตัวเอง
ข่าวของศิษย์ที่ได้รับบาดเจ็บแพร่กระจายทั่วสำนักเหมือนการจุดกองฟาง ข่าวดังกล่าวแพร่กระจายไปยังอาจารย์ ซึ่งเขารีบรายงานรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินทันที เมื่อไป่เอินได้ยินว่าเฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยนและกาดิหยุนถูกตัดแขน เขาจึงได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับเรื่องนี้และส่งพวกเขาไปหาหมอของสำนักทันที
ขณะที่ไป่เอินมาถึงห้องรักษาของสำนัก กลุ่มคนจำนวนมากได้รวมตัวกันที่ด้านนอก พวกเขามารอฟังข่าวและส่งเสียงดังอื้ออึง
รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินผลักเหล่าศิษย์ออกไปและเดินเบียดเสียดเข้าไปในห้องรักษาเพื่อดูสถานการณ์ มีศิษย์ที่เลือดท่วมนับสิบคนนอนอยู่บนแคร่ ตรงกลางห้องมีชายวัยกลางคน 2 คนและมีผู้หญิงกำลังยืนปิดตาอยู่ พวกเขาวางมือด้านบนศิษย์ทั้งสามคน เปล่งแสงสีขาวน้ำนมจากมือของพวกเขาให้ส่องไปทางศิษย์เหล่านั้น
แสงไฟสีขาวน้ำนมปกคลุมไปด้วยบาดแผลที่น่ากลัวของนักเรียนทั้งสามคน มันปิดบาดแผลอย่างรวดเร็ว การรักษานั้นเป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไม่อาจหยั่งรู้ และภายในระยะเวลาอันสั้น บาดแผลของศิษย์ทั้งสามก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อบาดแผลหายไป สีหน้าของทั้งสามคนก็เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ตอนนี้พวกเขาไม่แสดงสีหน้าที่บ่งบอกถึงความเจ็บปวด ในทางตรงกันข้ามพวกเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น ในเวลาเดียวกันสามารถเห็นร่องรอยของความตกใจลึกลงไปในดวงตา
หลังจากรักษาศิษย์ทั้งสามคน ชายสองคนและหญิงหนึ่งคนก็คำนับไป่เอิน หลังจากนั้นพวกเขาจึงรักษาศิษย์ที่เหลืออีกสิบคนหรือมากกว่านั้นที่นอนอยู่ตรงกลางห้อง
รองอาจารย์ใหญ่มีสีหน้าวิตกกังวลในขณะที่สายตาของเขากวาดไปทั่วศิษย์นับสิบ เขาจ้องมองเฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนที่เสียแขนขวาเป็นเวลานาน ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปเมื่อเขาแผดเสียงว่า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ? ใครทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บถึงขั้นนี้ ? เป็นคนร้ายต่างเมืองหรือ? หืมม พวกเขาไม่รู้หรือว่าทุกอย่างภายในขอบเขต 100 กม. นี้เป็นอาณาเขตของสำนักคากัต? แค่คิดว่ามีคนกล้าเข้ามาในสำนักคากัตและทำร้ายศิษย์ที่นี่ มันช่างกล้าดีมาก ไป่เอินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าเฉิงหมิงเซียงและศิษย์อีกสิบกว่าคนได้รับบาดเจ็บจากคนนอก
รองอาจารย์ใหญ่ นี่เป็นฝีมือของเจียงหยางเซียงเทียน เขาทำร้ายเรา ศิษย์คนหนึ่งพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
ใช่แล้ว รองอาจารย์ใหญ่ ท่านต้องเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเรา เจียงหยางเซียงเทียนไม่เพียงแต่ทำให้เราบาดเจ็บ เขายังตัดแขนของนายน้อยเฉิงและอีก 2 คน..
รองอาจารย์ใหญ่…
ไป่เอินตกตะลึงกับเสียงเหล่านั้น เขาไม่อยากจะเชื่อ ในบรรดาศิษย์เหล่านี้คนที่อ่อนแอที่สุดคือเซียนขั้นต่ำ บางคนคือเซียนขั้นกลาง และบางคนคือเซียนขั้นสูง แม้ว่าพวกเขาจะพบกับเซียนขั้นสูง พวกเขาก็น่าจะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน เขาไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ว่าน้องใหม่ที่เพิ่งตัดผ่านระดับเซียนเมื่อไม่กี่วันก่อนทำร้ายศิษย์หลายคน ไป่เอินไม่อยากจะยอมรับความจริงนี้เลย
หลังจากได้รับการยืนยันสิ่งที่เกิดขึ้น ไป่เอินมีสีหน้าเคร่งเครียด จิตใจของเขาหนักอึ้ง เขามองหาอาจารย์ใหญ่ทันที สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ซับซ้อนเกินกว่าที่ไป่เอินจะแก้ไขได้
หลังจากที่ไป่เอินเล่าถึงสถานการณ์ทั้งหมดให้กับอาจารย์ใหญ่ฟัง อาจารย์ใหญ่ถึงกับตกตะลึง เขาลุกพรวดจากเก้าอี้ด้วยท่าทางตกใจและพูดว่า อะไรนะ ? ที่เจ้าพูดมามันจริงรึ? เฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยนและกาดิหยุนถูกเจียงหยางหมิงเซียงตัดแขนจริง ๆ หรือ ?
ขอรับ อาจารย์ใหญ่ ข้าไปเห็นมาด้วยตาของตัวเองแล้ว แขนของทั้งสามถูกตัดออกไปจริง ๆ ไป่เอินกล่าวอย่างเคร่งขรึม
อ้า.. อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจอย่างหนักและพูดว่า คราวนี้สถานการณ์แย่มาก..เจียงหยางเซียงเทียนคนนี้บ้าบิ่นเกินไป กาดิหยุนและลั่วเจี้ยนนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ตระกูลเจียงหยางจะรับมือกับสำนักหัวหยุนไหวรึ ?
อาจารย์ใหญ่ แล้วเราควรทำเช่นไรดี ? ในอาณาจักรเกอซุนของเรา ไม่ใช่จะหาอัจฉริยะเช่นเจียงหยางเซียงเทียนได้ง่าย ๆ เราไม่สามารถยืนนิ่งเฉยดูอัจฉริยะที่ไร้ขีดจำกัดตายต่อหน้าต่อตาโดยที่เขายังไม่เติบโตได้ มิฉะนั้นสิ่งนี้จะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่มากสำหรับอาณาจักรเกอซุน รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักใจ
ตอนที่ 62: ความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงแข็งทื่อ ในครั้งนี้แม้ว่าคู่ต่อสู้เพิ่งจะตัดผ่านระดับเซียน,แต่เขาก็เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก
เฉิงหมิงเซียง เจ้าทำร้ายพี่ชายของข้า อย่าคิดว่าตัวเองจะได้ออกจากที่นี่โดยปราศจากบาดแผล เจี้ยนเฉินกล่าวอย่างเย็นชา
เฉิงหมิงเซียงยิ้มเยาะและพูดว่า เจียงหยางเซียงเทียน ข้ายอมรับว่าข้าดูเบาเจ้าเกินไป แต่ถ้าเจ้าต้องการเอาชนะข้าด้วยระดับเซียนที่เจ้าเพิ่งตัดผ่าน มันคงจะเป็นไปไม่ได้
เจี้ยนเฉินแสยะยิ้ม เขามองเฉิงหมิงเซียงด้วยความรังเกียจ เจ้าก็รอดูว่าข้าจะทำได้หรือไม่ ! เจี้ยนเฉินกระโจนไปข้างหน้า ข้อมือของเขาควบคุมกระบี่วายุโปรยและหลบหนีการตรึงกระบี่ของเฉิงหมิงเซียงโดยการกระแทกกับด้านข้างของกระบี่อย่างรุนแรง.
เคร้ง !
เมื่อเสียงของโลหะดังขึ้นในอากาศ กระบี่ของเฉิงหมิงเซียงก็ตกเป็นรองกระบี่วายุโปรย เจี้ยนเฉินฟันกระบี่ของเขาไปอย่างแรงจนแขนที่ถือกระบี่ของเฉิงหมิงเซียงชาด้วยความเจ็บปวด.
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ แล้วแทงกระบี่วายุโปรยเหมือนลำแสงสีเงินพุ่งเข้าหาหน้าอกของเฉิงหมิงเซียง
เฉิงหมิงเซียงเริ่มหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว เจี้ยนเฉินรวดเร็วเกินไปสำหรับเขาที่จะตามทัน เขาตั้งตัวไม่ทันและทำได้เพียงมองดูเมื่อใบมีดสีเงินพุ่งเข้ามาทางเขาด้วยความเร็วที่นึกไม่ถึง เขาไม่สามารถตอบโต้หรือเคลื่อนไหวได้เลย
กระบี่วายุโปรยแทงทะลุเครื่องแบบของเฉิงหมิงเซียงและปักลงไปในอกของเขาทันที แต่ด้วยการควบคุมที่เหนือกว่าของเจี้ยนเฉินกระบี่ไม่ได้ปักลงลึกเกินไป
หลังจากรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หน้าอก เฉิงหมิงเซียงก็ถอยหนีทันที ทำให้กระบี่ของเจี้ยนเฉินถูกดึงออกมา
เฉิงหมิงเซียงมองลงไปที่เลือดซึ่งหยดลงบนเครื่องแบบของเขาด้วยสีหน้าหวาดกลัว ฉากเมื่อสักครู่ฉายซ้ำไปซ้ำมาในหัวของเขา เขาไม่สามารถหลบกระบี่ได้เลย ในชีวิตทั้งชีวิตของเขา เขาสามารถสาบานได้ว่านี่คือการฟันกระบี่ที่เร็วที่สุดที่เขาเคยเห็นมา เขาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าเซียนมือใหม่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร
เจี้ยนเฉินไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยเขาไปอย่างง่ายดายเกินไป เขาใช้ย่างก้าวพริบตาทันที เขาพุ่งเข้าไปอีกครั้งเหมือนปีศาจที่ถูกครอบงำและมีแสงสีเงินวูบวาบ เขาใช้กระบี่ปักหน้าอกของเฉิงหมิงเซียงด้วยความเร็วสูง
อ๊า !
เฉิงหมิงเซียงตะโกนออกมาอย่างน่าสังเวชในขณะที่เขาเห็นเลือดพุ่งกระฉูดออกมาอีกครั้ง เลือดจากด้านซ้ายของหน้าอกเริ่มกระเด็นไปทางด้านขวา บาดแผลนั้นลึกจนสามารถมองเห็นกระดูกข้างใน ขณะที่เลือดในร่างกายของเขาฉีดพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ทำให้เปื้อนครึ่งบนของเครื่องแบบทั้งหมด
ความโกรธเกรี้ยวในดวงตาของเจี้ยนเฉินไม่ได้จางหายไปเลยในขณะที่เขากวัดแกว่งกระบี่วายุโปรยหลังจากที่สร้างบาดแผลบนร่างของเฉิงหมิงเซียง
บาดแผลของเฉิงหมิงเซียงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันดูน่ากลัวกว่าแผลก่อนหน้านี้ในขณะที่มันลึกเข้าไปในร่างกาย ไม่เพียงแต่ร่างกายของเขาจะถูกหั่นบาง ๆ เท่านั้น แต่เครื่องแบบของเขาก็เริ่มขาดและผ้าที่เหลือก็กลายเป็นสีแดงในพริบตาต่อมา
เมื่อเห็นว่าสมาชิกที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา เฉิงหมิงเซียงดูไร้พลังเมื่อต่อกรกับเจี้ยนเฉิน ลูกศิษย์คนอื่น ๆ นับโหลจึงเงียบสนิทเหมือนท่อนไม้ เมื่อเห็นว่าเฉิงหมิงเซียงกำลังกรีดร้องอย่างไม่หยุดหย่อน สิ่งนี้ได้พลิกคว่ำสิ่งที่พวกเขาคิดเกี่ยวกับเฉิงหมิงเซียงอย่างสมบูรณ์ เมื่อพวกเขามองเฉิงหมิงเซียงด้วยสีหน้าตกตะลึง
ลั่วเจี้ยนตอบโต้เป็นคนแรก ถึงแม้เขาจะประหลาดใจกับการแสดงความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน แต่เขาก็มีสหายอีกอย่างน้อยสิบคนที่อยู่ในระดับเซียน เขาส่งเสียงขึ้นมาด้วยความกล้าหาญที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทุกคน เตรียมพร้อมโจมตี แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแต่เขาก็ตัวคนเดียว เราจะกลัวเพียงแค่คนเพียงคนเดียวได้อย่างไร ลั่วเจี้ยนยกกระบี่สีเขียวขึ้นมา เขากัดฟันและพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน
เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วเจี้ยน ลูกศิษย์ต่างก็ตื่นตัว เมื่อมองหน้ากันเอง ความกลัวที่เจี้ยนเฉินฝังไว้ในใจของพวกเขาก็ถูกขับออกไปทันที ลูกศิษย์แต่ละคนพุ่งเข้าใส่เจี้ยนเฉินด้วยความเย่อหยิ่งพร้อมกับอาวุธ, กระบี่, มีด, และหอกในมือของตัวเอง
ดวงตาของเจี้ยนเฉินเปล่งประกายเมื่อเขามองผู้คนที่วิ่งเข้ามา เขาไม่ได้ถอยหนี เขาโจมตีโดยการใช้กระบี่วายุโปรยแทงเข้าไปในท้องของคนที่อยู่ใกล้ที่สุดทันที
พัพ !
กระบี่ของเจี้ยนเฉินไถลเข้าสู่ร่างกายของบรรดาศิษย์ได้อย่างง่ายดาย ลูกศิษย์เหล่านี้ไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ ดังนั้นจึงไม่มีวิธีที่พวกเขาจะสามารถตอบโต้ได้
อ๊า !
ไปตายซะ!
ในขณะนั้นเจี้ยนเฉินได้ถูกล้อมรอบแล้ว
เจี้ยนเฉินเยาะเย้ย กระบี่วายุโปรยเปล่งประกายเล็กน้อยเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันทรงพลัง มือขวาของเจี้ยนเฉินกลายเป็นภาพพร่ามัว เนื่องจากกระบี่วายุโปรยดูเหมือนจะพุ่งทะลุทั้งสี่ทิศทางอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า ทุกครั้งที่เขากวัดแกว่งกระบี่ออกไป เขาสามารถปะทะอาวุธอื่นได้อย่างแม่นยำ หลังจากระยะเวลาอันสั้น เจี้ยนเฉินก็กวัดแกว่งกระบี่ของเขาออกไป 10 ครั้ง
เคร้ง เคร้ง ! เคร้ง !
เสียงโลหะปะทะกับโลหะดังขึ้น เสียงทั้งหมดรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อกระบี่วายุโปรยในมือของเจี้ยนเฉินปะทะกับอาวุธเซียน ท่าทางของลูกศิษย์ที่เป็นเซียนขั้นกลางที่อยู่รอบ ๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก พวกเขาถอยกลับ อาวุธเซียนในมือสั่นจากการปะทะกัน กระบี่ของเจี้ยนเฉินดูเหมือนจะเล็กมากแต่มันก็ซ่อนพลังรุนแรงไว้เบื้องหลัง หลังจากการปะทะกันครั้งเดียวด้วยกระบี่ อาวุธเซียนของทุกคนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้แขนของศิษย์เหล่านั้นชา
ในขณะที่ปิดกั้นการโจมตีทั้งหมด ท่าทีของเจี้ยนเฉินก็ไม่เปลี่ยนแปลง เขาไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหวเลยและเท้าของเขาทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นในขณะที่เขาใช้การเคลื่อนไหวเหมือนสัตว์ดุร้ายเพื่อพุ่งเข้าหากลุ่มคน กระบี่วายุโปรยในมือของเขากวัดไกวในอากาศด้วยความเร็วสูงกลายเป็นสีเงินเรืองแสง แสงทำให้มันดูเหมือนว่ามีภาพกระบี่หลายล้านภาพที่ค้างอยู่ในอากาศโดยที่มันหายไปในชั่วพริบตา
อ๊า !
อ๊า !
ด้วยการเคลื่อนไหวที่เหมือนสัตว์ดุร้าย เสียงโอดโอยจึงดังกระหึ่มดังขึ้นในอากาศ เสียงร้องโหยหวนทำให้คนที่มีจิตใจอ่อนแอกว่าหวาดกลัวอย่างแน่นอน ความเยือกเย็นจึงแผ่ซ่านไปทั่วผืนป่า
เจียงหยางหู่ที่มีเลือดปกคลุมยืนอยู่ด้านข้าง เขาจ้องมองการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาราวกับปีศาจของเจี้ยนเฉินด้วยความมึนงง เจี้ยนเฉินกำลังทำให้ศิษย์หลายคนร้องด้วยความตกใจ ในขณะนี้ความคิดของเขาเริ่มหยุดชะงัก เขาสูญเสียความคิดของเขาไปโดยสิ้นเชิง
ในขณะนั้นศิษย์หลายสิบคนล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ใบหน้าที่ไร้ชีวิตชีวาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเครื่องแบบที่สะอาดและเรียบร้อยของพวกเขาถูกฉีกขาดไปทั่ว แต่ละรอยมีคราบเลือด ทำให้เครื่องแบบกลายเป็นสีแดงเข้ม ยิ่งไปกว่านั้นแสงสีขาวยังส่องประกายอยู่ทั่วร่างกาย เพิ่มบาดแผลบนร่างกายอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ลำตัวส่วนบนจนถึงขา ทั้งร่างมีบาดแผลที่น่ากลัว เลือดจากบาดแผลไหลราวแม่น้ำ ร่างของแต่ละคนมีชุ่มไปด้วยเลือด
เจี้ยนเฉินล้อมรอบศิษย์เหล่านั้นเป็นวงกลมด้วยความเร็วสูง กระบี่วายุโปรยในมือของเจี้ยนเฉินเฉือนร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เลือดกระเด็นและเสื้อผ้าที่ฉีกขาดลอยออกไปในอากาศ
อาการบาดเจ็บของเจียงหยางหู่ส่งผลต่ออารมณ์ของเจี้ยนเฉินเป็นอย่างมาก เจี้ยนเฉินยังไม่ได้สังหารใครแต่เขาจะไม่ยอมเบามือกับศิษย์เหล่านี้แน่ ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าเรียนในสำนักเดียวกันกับเจี้ยนเฉิน และถ้าเจี้ยนเฉินไม่กังวลเกี่ยวกับการสร้างเรื่องบาดหมางกับตระกูลของพวกเขา เขาคงจบชีวิตของคนเหล่านี้โดยไม่ลังเล
เจียงหยางเซียงเทียน โปรดเมตตาเราด้วย ได้โปรดเมตตาพวกเราด้วย เราจะไม่กล้าทำแบบนี้อีกแล้ว
ท่านเจียงหยางเซียงเทียน โปรดปล่อยเราไปไปคราวนี้ เราจะไม่ทำอีกแล้ว
ในที่สุดคนที่ไม่สามารถทนทรมานได้อีกต่อไปเริ่มร้องขอความเมตตา ทันทีที่คนแรกเริ่มร้องขอความเมตตา คนอื่น ๆ ทั้งหมดก็เริ่มร้องขอชีวิตของพวกเขาเช่นกัน อย่างไรก็ตามคนที่มีอารมณ์แปรปรวนบางคนยังคงกัดฟันและรั้งตัวเองไว้ พวกเขาคิดที่จะวิ่งหนีแต่ทั้งขาและแขนของพวกเขามีบาดแผลที่น่าสยดสยอง การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยทำให้พวกเขาต้องกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ไม่มีทางที่พวกเขาจะวิ่งหนีได้เพราะพวกเขาไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดที่รุนแรงเช่นนี้ได้เลย
เจี้ยนเฉินหยุดการเคลื่อนไหว ท่าทางของเขาเย็นชาและไม่แยแส สีหน้าของเขาสงบมากอีกทั้งเขายังหายใจตามปกติ เขาถือกระบี่วายุโปรยที่กำลังมีเลือดหยดลงมา
ร่างของเจี้ยนเฉินสูงและเหยียดตรงราวกับอยู่บนภูเขา เขายืนนิ่งไม่ไหวติง ดวงตาของเขาส่องประกายเย็นชาราวกับว่ามันสามารถทะลุจิตวิญญาณของคนได้ เขาค่อย ๆ กวาดสายตามองไปทั่วศิษย์หลายคนที่กำลังนอนซมอยู่บนพื้นและพูดว่า ข้าจะปล่อยพวกเจ้าไป แต่พวกเจ้าต้องตอบคำถามข้ามาว่าใครทำร้ายพี่ชายของข้า
นายน้อยเฉิง, ลั่วเจี้ยน, และกาดิหยุนเป็นคนทำ …
ใช่แล้ว สามคนนั้นทำร้ายเจียงหยางหู่..
ทั้งสามทำให้เจียงหยางหู่บาดเจ็บ เราไม่ได้ทำอะไรเลย
เหล่าลูกศิษย์พยายามดิ้นรนที่จะพูดแก้ตัวก่อน พวกเขากลัวว่าถ้าพวกเขาตอบช้าไปเจี้ยนเฉินจะไม่พอใจ ในตอนนี้พวกเขาละทิ้งความคิดที่จะทำร้ายเจี้ยนเฉินและเสียใจอย่างสุดซึ้งกับการกระทำของตัวเอง
ในบรรดาคนเหล่านั้น ครึ่งหนึ่งเป็นพวกที่เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรของพวกเขาไปในป่า อีกครึ่งหนึ่งไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกับเจี้ยนเฉิน เฉิงหมิงเซียงเรียกตัวพวกเขามาเอง
ดวงตาของเจี้ยนเฉินทอประกายโหดเหี้ยม เขาจ้องเขม็งไปที่เฉิงหมิงเซียง, ลั่วเจี้ยน, และกาดิหยุนอย่างเห็นได้ชัดถึงความอำมหิตในแววตาของเขา
ภายใต้การจ้องมองของเจียนนเฉิน เฉิงหมิงเซียงและอีกสองคนรู้สึกหนาวเหน็บใจ และทุกคนแสดงความหวาดกลัว
ตอนที่ 61: ใครกันที่ทำร้ายพี่ชายของข้า.
เจี้ยนเฉินเคลื่อนตัวผ่านหญ้าอย่างรวดเร็วดุจสายฟ้า กระบี่วายุโปรยได้กลายเป็นแสงสีขาว เขาใช้กระบี่คมฟันไปด้วยความเร็วที่รวดเร็วในหลายทิศทาง เพลงกระบี่ของเขาว่องไวและแม่นยำ.
หลังจากการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเจี้ยนเฉิน ลมก็พัดผ่านใบไม้แห้งในอากาศให้โปรยปรายรอบเจี้ยนเฉินราวกับผีเสื้อที่โบยบิน.
เจี้ยนเฉินเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่อย่างฉับพลัน แม้ว่าเพลงกระบี่ของเขาจะรวดเร็วมาก แต่ด้วยการใช้กระบี่แทงไปข้างหน้าจึงมีเสียงดังขึ้นในอากาศและทิ้งร่องรอยไว้ ไม่มีคนธรรมดาคนใดที่สามารถมองเห็นได้
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น กระบี่ที่ร่ายรำในมือของเจี้ยนเฉินก็หยุดลงทันที. แต่หลังจากใช้กำลังอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน เขาก็ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการหายใจติดขัดและยังคงหายใจตามปกติ
และในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็หยุดการเคลื่อนไหว ใบไม้ที่ก่อนหน้านี้บินว่อนไปรอบ ๆ ตัวเขาสลายตัวเป็นผงและกระจายไปบนพื้น มีเพียงไม่กี่ใบเท่านั้นที่ยังคงสภาพเหมือนเดิม และบางใบก็มีคำที่ถูกเขียนว่า กระบี่ . ถึงแม้ว่าขนาดจะแตกต่างกัน มันถูกเขียนอย่างชัดเจนและครอบคลุมพื้นที่รอบ ๆ ทั้งหมด แม้ว่าจะมีใบอื่น ๆ ที่มีคำว่า กระบี่ อยู่บนนั้น บางใบมีอักษรที่ไม่ชัดเจนหรือไม่สมบูรณ์
หากใครเห็นภาพนี้พวกเขาจะต้องประหลาดใจจนอ้าปากค้างอย่างแน่นอน ฉากนี้น่าอัศจรรย์เกินกว่าที่จะเชื่อได้เนื่องจากใบไม้นั้นลอยอยู่ในอากาศอย่างดุเดือดและประสานกับอีกใบเป็นระยะ ๆ เพียงแค่การมองใบไม้ใบเดียวที่หมุนเปลี่ยนทิศทางไปมาในอากาศอย่างต่อเนื่องก็ทำให้คนที่มองดูตาลายและเวียนหัวอย่างแน่นอน คงเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่ามีใครบางคนสามารถเขียนคำว่า กระบี่ ได้อย่างชัดเจนลงบนใบไม้เหล่านั้น
ที่สำคัญที่สุดใบไม้นั้นบอบบางและมีแนวโน้มที่จะฉีกขาดทันทีที่สัมผัสมันเบา ๆ การใช้กระบี่ทำสิ่งดังกล่าวโดยไม่ทิ้งร่องรอยฉีกขาดใด ๆ เป็นเรื่องยากเหมือนการปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์
หากผู้คนทราบว่าเจี้ยนเฉินทำอะไรได้บ้าง ชื่อของเขาจะถูกประกาศและเป็นที่รู้จักทั่วทั้งทวีปเทียนหยวนภายในพริบตา
เจี้ยนเฉินมองดูใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมาบนพื้นทีละใบด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มและพูดพึมพำกับตัวเองว่า แม้ว่าความเร็วในการใช้กระบี่ของข้าจะลดลง แต่การควบคุมก็พัฒนาขึ้นอย่างมากจนถึงระดับที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับอดีตได้ ราวกับว่ากระบี่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของข้า บางทีนี่อาจเป็นข้อได้เปรียบของอาวุธเซียนของโลกนี้
ทันใดนั้นหูของเจี้ยนเฉินก็ตรวจพบเสียงบางอย่าง เจี้ยนเฉินมุ่งเน้นไปที่ต้นกำเนิดของเสียง เขาหันไปทางบริเวณพุ่มไม้และปล่อยให้กระบี่สีเงินหายไป
ในช่วงต่อมา พุ่มไม้ที่เจี้ยนเฉินมองดูก็เริ่มสั่นไหวมากขึ้นก่อนที่ร่างที่เปื้อนเลือดพร้อมกับชุดที่ฉีกขาดจะพรวดพราดออกมา
เพียงแค่มองดูเสื้อผ้าของคนผู้นั้น เจี้ยนเฉินก็รู้โดยทันทีว่านี่เป็นลูกศิษย์ของสำนักคากัต เขาสงสัยมากว่าทำไมลูกศิษย์คนนี้ถึงโชกเลือดทั้งร่างกาย ไม่มีสัตว์อสูรอยู่แถว ๆ นี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้รับบาดเจ็บ สำนักคากัตยังมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างลูกศิษย์ด้วยกันเอง อนุญาตให้มีการฝึกซ้อมกัน ส่วนการต่อสู้ที่อาจนำไปสู่การบาดเจ็บสาหัสไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาด
อย่างไรก็ตามเมื่อเจี้ยนเฉินมองหน้าลูกศิษย์คนนั้น เขาก็ตกตะลึงทันที ใบหน้าของเขาแข็งทื่อด้วยความตกใจขณะที่เขามองดูปริมาณของเลือดที่ครอบคลุมครึ่งใบหน้าของลูกศิษย์คนนั้น เจี้ยนเฉินไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น เขาอ้าปากร้องตะโกนเสียงดังออกมา
พี่ใหญ่ ! เสียงตะโกนดังกึกก้อง ในไม่ช้าเขาก็พุ่งกระโดดข้ามผ่านมา 30 เมตรด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขามายืนอยู่ตรงหน้าพี่ชายที่โชกเลือดและได้รับบาดเจ็บ
แววตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายโกรธแค้นเมื่อเห็นบาดแผลที่น่าสยดสยองของเจียงหยางหู่และเลือดที่ยังคงไหลออกมาจากหัวของเขา พี่ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกับท่าน ใครทำร้ายท่าน ? ความแค้นพุ่งพล่านไปทั่วร่างกายในขณะที่เขามองไปยังพี่ชายของเขาที่บาดเจ็บสาหัส
เมื่อพูดถึงเจียงหยางหู่พี่ชายของเขา นอกจากมารดาแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่เจี้ยนเฉินรักและห่วงใยเพราะเจียงหยางหู่ปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นน้องชายคนเล็กจริง ๆ เจี้ยนเฉินจึงต้องการที่จะตอบแทนความดีนั้น เมื่อเขามาที่สำนักคากัตเป็นครั้งแรก เจียงหยางหู่เป็นคนพาเขาไปเที่ยวชมรอบ ๆ สถานที่และอธิบายกฎให้เขาฟัง เขาเผชิญหน้ากับอันตรายที่โหดร้ายหลังจากต้องปะทะกับสัตว์อสูรระดับ 1 และเขาฆ่ามันเพื่อนำแกนอสูรเป็นของขวัญแก่เจี้ยนเฉินโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของตัวเอง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรระดับ 1 จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเจี้ยนเฉิน แต่เจียงหยางหู่ก็ไม่ได้มีประสบการณ์การต่อสู้หรือทักษะการต่อสู้มากเท่าเจี้ยนเฉิน ในเวลานั้น เจียงหยางหู่มีความแข็งแกร่งของพลังเซียนระดับ 10 ดังนั้นการต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 1 จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลย
ต่อมาพี่ชายของเขาได้ต่อสู้กับกาดิหยุนแทนเขาทั้ง ๆ ที่รู้ตั้งแต่ก่อนท้าประลองว่าพละกำลังของตัวเองนั้นด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับคู่ต่อสู้
เจี้ยนเฉินรู้สึกอย่างชัดเจนว่าเจียงหยางหู่ห่วงใยเขาจากส่วนลึกของจิตใจ และจากนั้นเป็นต้นมาเจี้ยนเฉินก็ปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่น้องที่สนิทสนมรักใคร่กลมเกลียว
ในชีวิตก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินเป็นเด็กกำพร้าที่บิดามารดาของเขาถูกสังหารโดยกองทัพของศัตรูในสงคราม ตั้งแต่แรกเกิดเขาไม่มีครอบครัวหรือเพื่อนและไม่เคยรู้จักอ้อมกอดอันอบอุ่นของครอบครัว แต่ตอนนี้พระเจ้าได้ทรงจัดสรรชีวิตที่ดีให้แก่เจี้ยนเฉิน เขาจะรักษาทะนุถนอมมันไว้อย่างแน่นอน และเจียงหยางหู่ก็คือบุคคลที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขารองลงมาเป็นอันดับสองหลังจากมารดาของเขา ไป๋หยุนเทียน ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินเห็นว่าเจียงหยางหู่ถูกทำร้ายจนอยู่ในสภาพเช่นนี้ จิตใจของเจี้ยนเฉินจึงเดือดดาลด้วยความโกรธแค้นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สายตาของเขาในตอนนี้น่ากลัวมากจนสามารถสังหารคนได้
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินปรากฏตัวขึ้น เจียงหยางหู่ก็มองเขาด้วยท่าทางงุนงง อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอีกครั้งเมื่อเขาพูดอย่างกระวนกระวาย น้องสี่ ทำไม..ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ รีบหนีไป ! ออกไปให้พ้นจากตรงนี้ พวกเขากำลังตามมา ! เจียงหยางหู่ดูร้อนใจ เขาไม่ได้คิดว่าเขาจะเจอเจี้ยนเฉินที่นี่
แทนที่จะวิ่งไปข้างหน้า เจี้ยนเฉินกลับทำหน้าถมึงทึง เขาถามเบา ๆ ว่า พี่ใหญ่ ใครกันที่ทำร้ายท่านจนได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ? ในน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
มือของเจียงหยางหู่จับตัวเจี้ยนเฉินไว้แน่น เขาพูดต่อไปอย่างรีบเร่งว่า น้องสี่ ไม่ต้องห่วงข้าและรีบหนีออกจากที่นี่ทันที ใช้เส้นทางหลังอ้อมกลับไปที่สำนัก ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะเจอเจ้าแน่นอน เขารู้ว่าพลังของเจี้ยนเฉินนั้นแข็งแกร่งมากเนื่องจากเขาสามารถจัดการกับเซียนขั้นกลางได้ แต่เจียงหยางหู่ก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถรับมือกับเซียนนับสิบคนได้ อีกทั้งยังมีเฉิงหมิงเซียงที่อยู่ในขั้นสูง
เจี้ยนเฉินไม่ยอมขยับไปไหนเหมือนรูปปั้นหินที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ เจียงหยางหู่พยายามผลักไสเขาแต่ไม่ได้ผล ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต เขาจ้องมองไปที่พุ่มไม้ รอให้ใครบางคนออกมา
ในที่สุดลูกศิษย์ที่ใส่เครื่องแบบสิบกว่าคนก็เดินเข้ามาในระยะสายตา โดยมีลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียงเดินนำข้างหน้ากลุ่ม
เมื่อเฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยนเห็นเจี้ยนเฉิน พวกเขาก็รู้สึกตื่นเต้นมาก ลั่วเจี้ยนยิ้มกว้างพลางกล่าวว่า เจียงหยางเซียงเทียน ในที่สุดเราก็เจอตัวเจ้าจนได้ เจ้าปล่อยให้ข้าสงสัยอยู่ตั้งนานว่าเจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน โดยไม่จำเป็นต้องแนะนำตัว กลุ่มคนนั้นล้อมรอบเจี้ยนเฉินและพี่ชายของเขาเป็นวงกลมทันที
เจียงหยางหู่ตกใจที่เห็นว่าเขาและน้องชายของเขาถูกล้อมรอบ เขาไม่ได้พูดอะไรนอกจากถอนหายใจ
แม้กลุ่มคนที่ล้อมรอบจะหยิ่งผยอง เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้มีสีหน้าหวาดกลัวเลยและยังคงสงบนิ่งอยู่ ราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นผู้คนมากมายที่อยู่รอบตัวเขาเลย
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินแข็งกระด้างขณะที่ดวงตาของเขากวาดไปทั่วใบหน้าของผู้คนที่อยู่รอบตัวเขา บางคนมีสีหน้าตกใจกลัว พวกเขารู้สึกเย็นเยือกในใจราวกับว่าการจ้องมองของเจี้ยนเฉินเป็นกระบี่ที่เยือกเย็นซึ่งแทงทะลุจิตวิญญาณของพวกเขา
ใครคือคนที่ทำร้ายพี่ชายของข้า ! เจี้ยนเฉินตะโกน ก้าวออกมาข้างหน้าเดี๋ยวนี้ ! ทันใดนั้นมีพลังจำนวนมากถูกปล่อยขึ้นสู่อากาศ แม้จะมีกลุ่มคนนับสิบอยู่ตรงหน้า เจี้ยนเฉินก็ไม่หวาดหวั่นและเชิดหน้าของเขาขึ้นสูงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้
คำสั่งอันทรงพลังของเจี้ยนเฉินนั้นมาพร้อมกับการปล่อยพลังปรานที่แข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาทุกคนก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ ท้ายที่สุดแล้วเจี้ยนเฉินก็กำลังเดือดพล่านไปด้วยความโกรธแค้นซึ่งเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าเขา พวกเขาจะไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับมันได้
เฉิงหมิงเซียงตระหนักว่าเจี้ยนเฉินข่มขู่เขาด้วยคำสั่ง เขาก็โกรธมาก เขาคิดว่าด้วยความแข็งแกร่งของพลังเซียนระดับสูง มันควรจะเป็นเขาที่เป็นคนข่มขู่ เขาไม่สามารถยอมรับผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามกันได้
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้ากำลังรนหาที่ตายตอนนี้ ! เฉิงหมิงเซียงส่งเสียงคำราม กระบี่สีแดงที่ลุกเป็นไฟปรากฏอยู่ในมือของเขา และเปล่งประกายสีแดงออกมาเมื่อมันพุ่งไปยังหน้าอกของเจี้ยนเฉิน
ฮึ่ม ! เมื่อเห็นแสงกระบี่พุ่งเข้ามา สายตาของเจี้ยนเฉินก็เปล่งประกายออกมาด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า กระบี่วายุโปรยของเขาปรากฏขึ้นในมือขวาทันที เขาสกัดกั้นการแทงจากกระบี่อีกเล่มไว้ได้เร็วพอ ๆ กับสายฟ้า
ดิ๊ง
เสียงดังที่คมชัดดังขึ้นเมื่อกระบี่ทั้งสองปะทะกัน ปลายกระบี่ของทั้งสองกดทับกัน
เมื่อเห็นว่ากระบี่ทั้งสองปะทะกันอย่างไร ดวงตาของเฉิงหมิงเซียงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ เขาไม่อยากว่าจะเชื่อว่ามีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา แต่การที่กระบี่สองเล่มบรรจบกันเมื่อนักกระบี่ทั้งคู่แทงออกมาพร้อมกัน มันไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั่วไปสามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความแตกต่างของขนาดระหว่างกระบี่ทั้งสอง และความเร็วที่พวกเขาแทงกระบี่ของพวกเขาไปข้างหน้า และการที่เขาสามารถทำสิ่งดังกล่าวอย่างไร้ที่ตินี่ไม่ใช่สัญญาณของคนอ่อนแอ มันบ่งบอกว่าการควบคุมอาวุธเซียนของบุคคลนั้นทำได้ดีกว่าอาวุธเซียนทั่วไป
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินเซียนมือใหม่กลับทำเช่นนั้นได้อย่างง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้เฉิงหมิงเซียงแทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาคิดว่านี่เป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อเขาเห็นใบหน้าอันสงบของเจี้ยนเฉิน หัวใจของเขาก็ขจัดความคิดฟุ้งซ่านในทันที
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เฉิงหมิงเซียงตกตะลึงคือกระบี่ในมือของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากกระบี่นั้นเล็กมากเมื่อเปรียบเทียบกับกระบี่ของเขา เขาจึงคิดว่ามันเป็นเพียงเข็มชุนผ้า มันยาว 4 ฟุตและกว้าง 2 นิ้ว ดังนั้นมันจึงดูบอบบางในสายตาของเขา จนดูเหมือนว่าหากมีอาวุธที่แข็งแกร่งโจมตีมัน มันอาจหักเป็นสองท่อน
เฉิงหมิงเซียงสาบานได้ว่าตั้งแต่เกิดมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกระบี่เช่นนี้ ภายในทวีปเทียนหยวน เซียนทุกคนมีอาวุธเซียนซึ่งส่วนมากจะเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ เพราะพวกเขาได้รวมพลังเซียนของพวกเขาไว้ในอาวุธหนักที่แข็งแกร่ง นี่เป็นความจริงที่ได้รับการยอมรับจากผู้บ่มเพาะเกือบทุกคน
ถ้ากระบี่ขนาดเล็กของเจี้ยนเฉินไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีของเฉิงหมิงเซียงได้ เขาคงได้เยาะเย้ยเจี้ยนเฉินไปแล้ว
ตอนที่ 60: เจียงหยางหู่บาดเจ็บ
ลั่วเจี้ยนโกรธเกรี้ยวและรวบรวมพลังงานเอาไว้ที่มือขวาของเขาทันทีก่อนที่จะพุ่งเข้าไปหาเจียงหยางหู่
ปฏิกิริยาของเจียงหยางหู่ก็ไม่ได้ช้าเลย เขาเตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ตั้งแต่ตอนที่เขาถูกล้อมแล้ว ดังนั้นในตอนที่ลั่วเจี้ยนเอาอาวุธเซียนออกมา เขาก็เอาขวานศึกสีเหลืองของเขาออกมาอย่างไม่กลัวลั่วเจี้ยนที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่อาวุธเซียนทั้งสองเริ่มเคลื่อนไหว คนที่อยู่รอบ ๆ ก็ก้าวถอยไปโดยสัญชาตญาณเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ
เคร้ง !
กระบี่ของลั่วเจี้ยนและขวานศึกของเจียงหยางหู่ปะทะกันและส่งเสียงดังออกมา หลังจากที่อาวุธทั้งสองปะทะกันแล้ว พลังที่พวกเขาปะทะกันก็ทำให้ทั้งสองสั่น เท้าของพวกเขาลาถอยกลับไป เจียงหยางหู่ถอยไปสี่ห้าก้าว ในขณะที่ลั่วเจี้ยนถอนไปสองสามก้าว
ทั้งสองเริ่มต่อสู้กันในระยะประชิด แต่คนที่ดูอยู่ก็บอกได้เลยว่าเจียงหยางหู่นั้นเสียเปรียบ แม้ว่าอาวุธเซียนธาตุลมของลั่วเจี้ยนจะเน้นไปที่ความเร็วและการโจมตีของเขาก็อ่อนแอกว่าเล็กน้อย แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็อยู่ในระดับเซียนขั้นกลาง แม้ว่าพลังเซียนธาตุดินของเจียงหยางหู่จะมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็ยังเทียบกับลั่วเจี้ยนไม่ได้ เพราะว่าเจียงหยางหู่เพิ่งตัดผ่านระดับเซียนได้ไม่นาน
ลั่วเจี้ยนไม่คิดที่จะปล่อยเจียงหยางหู่ไปง่าย ๆ ร่างของเขาส่องประกายสีฟ้าออกมา และลมก็เริ่มหมุนรอบตัวเขาอย่างไม่หยุด ร่างของลั่วเจี้ยนปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจียงหยางหู่ทันที กระบี่ใหญ่ซึ่งเปล่งแสงสีฟ้าชูขึ้นสูงไปในอากาศ เขาฟันมันลงไปที่เจียงหยางหู่ด้วยความเร็วที่น่ากลัว เพราะพลังเซียนของลั่วเจี้ยนนั้นเป็นธาตุลม ความเร็วของเขาจึงมากกว่าคนอื่น ๆ
ท่าทางของเจียงหยางหู่เปลี่ยนไปทันที ความเร็วในการโจมตีของลั่วเจี้ยนเร็วมากจนเขาไม่มีเวลาพอที่จะตอบโต้ สุดท้าย เขาก็พยายามยกขวานที่อยู่ในมือของเขาขึ้นมาอย่างยากลำบากเพื่อป้องกันการโจมตี
เจียงหยางหู่ ตายซะเถอะ !
ในขณะที่ขวานของเจียงหยางหู่ปะทะกับกระบี่ของลั่วเจี้ยน เสียงร้องอีกเสียงก็ดังมาจากข้างข้าง เขาคือคาดิหยุนที่ถือกระบี่และตรงเข้ามาที่เจียงหยางหู่ และจากนั้นเขาก็ฟันมันลงไปที่แขนขวาของเจียงหยางหู่ทันที
ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้เจียงหยางหู่ร้องโหยหวนออกมา เห็นได้ชัดว่าการโจมตีนี้นั้น คาดิหยุนใช้กำลังไปบ้าง มันทิ้งบาดแผลลึกมากจนเห็นกระดูกไว้ที่ไหล่ของเจียงหยางหู่
แขนของเขาได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง เจียงหยางหู่จึงไม่สามารถที่จะถืออาวุธเซียนไว้ในมือของเขาได้ และขวานใหญ่ก็ได้หายไป
ตาของลั่วเจี้ยนเป็นประกายเย็นชาและเขาก็เหวี่ยงกระบี่ของเขาไปที่ท้องของเจียงหยางหู่ ปลายกระบี่ฉีกเครื่องแบบของเขาขาดและทิ้งรอยแผลลึกไวที่ท้องของเจียงหยางหู่ ทันใดนั้นเอง เลือดเป็นสายก็ไหลออกมาจากแผล ทำให้เครื่องแบบย้อมไปด้วยสีแดงจากเลือด
ใบหน้าของเขาแสดงความเจ็บปวดออกมามาก แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา
เจียงหยางหู่ ข้ายังไม่คิดว่าสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับมันจะจบเร็วขนาดนี้นะ ลั่วเจี้ยนคำรามออกมาพร้อมหัวเราะ ความเกลียดที่เขามีต่อเจียงหยางหู่นั้นไม่จบง่าย ๆ เขาฟันกระบี่ออกไปอีก และทิ้งแผลอีกแผลไว้ที่ร่างของเจียงหยางหู่
ตาของเจียงหยางหู่เต็มไปด้วยความดุร้ายที่จ้องไปที่ลั่วเจี้ยนในขณะที่เขาเย้ยเยาะออกมา ลั่วเจี้ยน เจ้ามันไร้ประโยชน์จริง ๆ แค่เจ้าไม่สามารถเอาชนะน้องสี่ของข้าได้ เจ้าถึงต้องมาสู้กับข้า มาคอยดูให้น้องของข้าอัดเจ้าให้เละ
เมื่อได้ยินเจียงหยางหู่พูด ใบหน้าของลั่วเจี้ยนก็มืดครึ้ม เขาก้าวไปข้างหน้าและเตะไปที่เจียงหยางหู่
ตาของเจียงหยางหู่เป็นประกายในโอกาสนี้ ในตอนที่ขาของลั่วเจี้ยนกำลังจะถูกเขา แขนซ้ายของเขาก็พุ่งออกมาและจับมันเอาไว้ ด้วยความแข็งแกร่งที่มหาศาล เจียงหยางหู่ก็กระชากมัน
สมดุลของลั่วเจี้ยนเสียไป ทำให้เขาล้มลงกับพื้น
ฮ่าห์! เจียงหยางหู่คำราม มือซ้ายของเขากำหมัดในขณะที่พลังเซียนก็เข้าไปที่มือของเขา เขาเหวี่ยงลงไปที่ลั่วเจี้ยนที่อยู่บนพื้น
อย่างไรก็ตาม ลั่วเจี้ยนไม่ได้มีปฏิกิริยาที่ช้าเลย ทันทีที่เขาล้มลงกับพื้น เขาก็กลิ้งไปข้าง ๆ ให้ห่างจากเจียงหยางหู่ ทำให้หมัดพลังเซียนของเขาพลาดเป้าไป
ปัง!
หมัดของเจียงหยางหู่กระแทกลงที่พื้นและทิ้งหลุมใหญ่ที่จมลงที่พื้นไว้
เจียงหยางหู่ เจ้ามันรนหาที่ตายเสียจริง! ใบหน้าอันหล่อเหลาของลั่วเจี้ยนขาวซีด หลังจากที่เขาคำรามออกมา พลังเซียนธาตุลมสีเขียวก็ควบแน่นอยู่ในมือของเขา และเขาก็ชกไปที่ท้องของเจียงหยางหู่เหมือนสายฟ้า
เฮือก ! เจียงหยางหู่กระอักเลือดออกมาในขณะที่ร่างของเขากระเด็นถอยไป หลังจากนั้นสี่ห้าเมตรเขาก็ตกลงที่พื้นเสียงกระแทกดัง
ในตอนที่หลังเจียนกำลังตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าไปโจมตีเจียงหยางหู่ต่อ เฉิงหมิงเซียงก็ขวางทางเขาเอาไว้ เจ้าสั่งสอนมันไปแล้ว จุดประสงค์หลักของพวกเราในวันนี้คือเจียงหยาง เซียงเทียน ไม่ใช่เจียงหยางหู่ อย่างน้อยก็ให้พวกเราซ้อมมันเพื่อถามที่อยู่ของเจียงหยาง เซียงเทียนก่อน
ลั่วเจี้ยนพยักหน้าเงียบ ๆ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฉิงหมิงเซียง เขาก็คงจะไม่สนคำแนะนำ แต่เฉิงหมิงเซียงเป็นคนที่เขาไม่กล้าที่จะไปทำให้โกรธ
เฉิงหมิงเซียงเข้าไปหาเจียงหยางหู่พร้อมหัวเราะอย่างเย็นชา เจียงหยางหู่ เจียงหยาง เซียงเทียนอยู่ที่ไหน
เจียงหยางหู่ลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างยากลำบาก หน้าของเขาซีดเนื่องจากไม่มีเลือด และปากของเขาก็มีเลือดไหลออกมา แต่เพราะพลังเซียนของเขาเป็นธาตุดิน การป้องกันของเขาจึงค่อนข้างแข็งแกร่ง ถ้าเป็นคนอื่น คนผู้นั้นก็คงไม่มีกำลังพอแม้แต่จะกระดิกนิ้วได้
เจียงหยางหู่จ้องไปที่คนที่อยู่รอบ ๆ เขาแล้วคำรามออกมา ข้าไม่รู้ แต่ถึงข้าจะรู้ ข้าก็คงไม่บอกพวกเจ้า แม้ว่าเขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน แต่ทุกคนที่อยู่ที่นี่อยู่ในระดับเซียน และเขาไม่ต้องการที่จะให้น้องของเขาต้องสู้กับกลุ่มทั้งหมดคนเดียว
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงมืดมนในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา เจียงหยางหู่ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจียงหยาง เซียงเทียนอยู่ที่ไหน?
เจียงหยางหู่ขึ้นไปที่เขาและยิ้มอย่างเลือดเย็น ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่รู้
หืม! เฉิงหมิงเซียงเหยียดออกมา เขาต่อยไปที่หน้าของเจียงหยางหู่ เขานั้นเขาก็ทุ่มเจียงหยางหู่ลงไปที่พื้นอีกครั้ง เจ้าจะพูดหรือไม่ ?
ความโกรธของเจียงหยางหู่เพิ่มขึ้นอย่างมากในขณะที่เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการลุกขึ้นมาจากพื้น ข้าจะไม่บอกเจ้า! เฉิงหมิงเซียง เจ้าฆ่าข้าไปเลยเสียดีกว่า ไม่อย่างนั้น ข้า เจียงหยางหู่สาบานว่าเจ้าจะต้องเสียใจแน่ !
เฉิงหมิงเซียงมองไปที่เขาด้วยความเย่อหยิ่ง เจียงหยางหู่ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดแบบนั้น เพราะว่าเจ้าเป็นนายน้อยของตระกูลเจียงหยางอย่างนั้นหรือ? หืม แค่ตระกูลเจียงหยางธรรมดาสามัญ สำนักหัวหยุนของข้าไม่สนใจตระกูลของเจ้าหรอก ตาของเฉิงหมิงเซียงเป็นประกายอีกครั้งในขณะที่เขาง้างมือขวาไปด้านหลัง หมัดของเขาเป็นประกายสีแดง และเขาก็ชกมันไปที่หน้าของเจียงหยางหู่ เจ้าจะพูดหรือไม่ ?
ร่างของเจียงหยางหู่บอบช้ำไปหมดจากหมัด หัวของเขามีเลือดหยดออกมา แต่ท่าทางของเขายังคงเด็ดเดี่ยวและดูดุร้ายเหมือนทุกครั้ง
เจ้าและข้าต้องตายไปด้วยกัน ! เจียงหยางหู่ทนอีกไม่ไหวแล้ว แสงสีเหลืองมารวมอยู่ที่มือซ้ายของเขา และเขาก็ฟันอาวุธเซียนที่สร้างขึ้นมาใหม่ไปที่เฉิงหมิงเซียง
กระบี่สีแดงเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเฉิงหมิงเซียงและเขาก็ป้องกันการโจมตีของเจียงหยางหู่ได้อย่างง่ายดาย ไม่เพียงแต่เจียงหยางหู่จะได้รีบบาดเจ็บหนักเท่านั้น เขายังไม่คุ้นเคยในการใช้มือซ้ายในการควบคุมขวานของเขา แม้ว่าเขาจะอยู่ในสภาพเต็มร้อย เขาก็คงเทียบกับเฉิงหมิงเซียงไม่ได้อยู่ดี
เฉิงหมิงเซียงมองไปที่เจียงหยางหู่ด้วยท่าทีเยาะเย้ย เจียงหยางหู่ ข้าแนะนำให้เจ้าเชื่อฟังและบอกพวกเรามาว่าเจียงหยาง เซียงเทียนอยู่ที่ไหน เจ้าจะเจ็บตัวน้อยกว่านี้ถ้าทำแบบนั้น
เจียงหยางหู่สูดลมหายใจเขาเข้าไป ก่อนที่จะสงบลงอย่างแปลก ๆ เขาเข้าใจว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ มันต้องเป็นหายนะแน่แน่ เขามองไปที่บริเวณรอบ ๆ และหาโอกาสก่อนที่เขาจะสลายอาวุธเซียนในมือของเขาและเริ่มวิ่งไปที่ลานกีฬา
ป่าเล็กนี้ค่อนข้างอยู่ห่างไกล ปกติแล้วมีน้อยคนนักที่จะผ่านมามันไป ดังนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นที่นี่คนข้างนอกก็คงไม่มีทางรู้ เจียงหยางหู่เชื่อว่าเมื่อเขาวิ่งไปที่ที่มีคนพลุกพล่าน กลุ่มของเฉิงหมิงเซียงก็คงไม่กล้าทำอะไร นอกเหนือไปจากนั้น เขายังมีเพื่อนรักมากมายในสำนัก แม้ว่าเจียงหยางหู่จะไม่ได้หวังให้พวกเขาช่วยต่อต้านเฉิงหมิงเซียง แต่เขาก็รู้ว่าอย่างน้อยพวกนั้นก็จะวิ่งไปบอกอาจารย์หรืออาจจะบอกรองอาจารย์ใหญ่
เมื่อเห็นเจียงหยางหู่วิ่งหนีไปทางลานกีฬา ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงก็เปลี่ยนไป หยุดมันไว้ ! เขาตะโกนออกมา
คนสิบกว่าคนที่ไม่ได้เคลื่อนไหวในตอนแรกก็เริ่มเคลื่อนที่และไล่ตามเจียงหยางหู่ไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่เฉิงหมิงเซียงยังเริ่มวิ่งเต็มกำลังไปยังทิศทางที่เจียงหยางหู่ไป
เจียงหยางหู่ได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถหนีคนพวกนั้นได้ มันคงอีกไม่นานนักก่อนที่คนที่ไล่มาจะตามเขาทัน
เมื่อได้เห็นศัตรูของเขาใกล้จะไล่มาถึง เจียงหยางหู่ก็รู้สึกกลัวออกมาจากหัวใจเพราะเขารู้ดีว่าเขาคงออกไปจากป่าไม่ได้ เมื่อเขาคิดได้แบบนั้น เขาจึงคำรามแล้วหยุดไปในเส้นทางเดิมก่อนที่มุ่งหน้าไปอีกเส้นทางในป่า
การที่จู่ ๆ เจียงหยางหู่ก็เปลี่ยนเส้นทางทำให้คนที่ไล่ตามเขามาสงสัย อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้า พวกเขาก็ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา และยังไล่ตามช้าลงไปอีก
กลุ่มคนด้านหลังยืนอยู่เป็นรูปครึ่งวงกลมในขณะที่พวกเขาไล่ตามเจียงหยางหู่ไป ลั่วเจี้ยนยืนอยู่ข้างข้างเฉิงหมิงเซียงและเหยียดออกมา ตามทิศทางที่เจียงหยางหู่กำลังหนีไปนั้น เขาน่าจะกำลังไปหาเจียงหยาง เซียงเทียน
เฉิงหมิงเซียงพยักหน้า จริง ดูเหมือนว่าเจียงหยาง เซียงเทียนจะไม่อยู่ในสำนักจริงจริง
เจียงหยางหู่ใช้กำลังทั้งหมดในการวิ่ง แต่สภาพของเขาในตอนนี้ก็ดูไม่ดีเท่าไร หัวของเขาชุ่มไปด้วยเลือดในขณะที่เครื่องแบบของเขาเปรอะไปด้วยเลือดและดิน เขาดูน่าเวทนา เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าเจี้ยนเฉินอยู่ที่ไหน แต่เขารู้ว่าภายในป่ามีเชิงเขาที่ซับซ้อนและมีต้นไม้เขียวชอุ่มอยู่ซึ่งเหมาะแก่การซ่อนตัว เมื่อความคิดที่จะหนีเข้าไปที่สำนักใช้ไม่ได้แล้ว ทางเดียวที่เป็นไปได้สำหรับเจียงหยางหู่คือซ่อนตัวอยู่ที่เชิงเขาและหวังที่จะสลัดศัตรูให้หลุดให้ได้
อย่างไรก็ตาม เจียงหยางหู่ก็ลืมไปว่า สถานที่ที่เจี้ยนเฉินสอนเขาเมื่อเช้านี้นั้นอยู่ในทางตรงข้ามในตอนนี้
ที่น้ำตกตรงไหล่เขา เด็กหนุ่มที่อยู่ในเครื่องแบบกำลังฝึกฝนอยู่ที่บ่อไม่ไกลจากต้นหญ้า ร่างนั้นดูค่อนข้างผอมบางและอ่อนแอและมีผมดำยาวประบ่า เขาดูค่อนข้างหล่อเหล่าและเขามีตาที่สว่างสดใสคล้ายกันประกายที่สะท้อนออกมาจากกระบี่ของเขา
คนหนุ่มนี้มีกระบี่สีเงินยาว 1.3 เมตรและกว้าง 2 นิ้ว ที่ด้ามกระบี่มีคำสองคำเขียนอยู่อย่างสวยงาม วายุโปรย
เด็กหนุ่มยืนอยู่อย่างสงบตรงนั้น กระบี่ในมือของเขาชี้ไปที่พื้นดิน และร่างของเขาทั้งร่างก็ไม่เคลื่อนไหวเหมือนภูเขา
ในตอนนี้เอง ตาของเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นประกาย ร่างของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอย่างไม่มีสัญญาณ มีเพียงภาพติดตาของเขาเท่านั้นที่เหลืออยู่ กระบี่เงินในมือของเขากลายเป็นภาพพร่ามัวสีขาว และเงาของกระบี่ที่นับไม่ถ้วนก็ผสมกลมกลืนกันเหมือนภาพลวงตาที่ส่องประกายไปพร้อมกับแสงไฟ ในขณะที่เคลื่อนไหวในอากาศ ก็เกิดภาพติดตาจำนวนมาก
เด็กหนุ่มร้องออกมา ‘ย่างก้าวพริบตา’ ในขณะที่เคลื่อนไหวไปที่ไปบนพื้นอย่างรวดเร็วเหมือนว่าเขากำลังร่อนไปด้วยความคล่องตัวและความเร็วสูง เขาเห็นกระต่ายแล้วเขาก็แทงไปที่มันอย่างรวดเร็วด้วยกระบี่ของเขา ใครก็ตามที่เห็นภาพนี้คงจะตกตะลึง
คนหนุ่มนี้คือเจี้ยนเฉิน หลังจากที่ออกจากป่าไป เขาก็มุ่งหน้ามาที่ทิวทัศน์ที่สวยงามนี้ เขากำลังจำความรู้สึกในการใช้กระบี่ที่เขามีประสบการณ์มาจากชาติที่แล้ว
ตอนที่ 59: แก้แค้น
ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงเคร่งเครียดขึ้นในขณะที่เขาได้ยินศิษย์คนนั้นตะโกนออกมา เขาเอาจดหมายมาแล้วเฉิงหมิงเซียงก็ฉีกมันออก
ในขณะที่เขาอ่านข้อความในจดหมาย ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงก็หม่นลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ตาของเขาก็เริ่มมีแววโกรธออกมา
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเฉิงหมิงเซียงแล้ว เด็กหนุ่มที่เพิ่งประมือกับเขาก็ถามออกมาอย่างสงสัย นายน้อยเฉิง เกิดอะไรขึ้น มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนักหรือไม่ ?
เขากำหมัดแน่น ขยำจดหมายลงไปเหมือนเป็นลูกบอลกระดาษ ในขณะที่เฉิงหมิงเซียงโกรธมากขึ้นมากขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เจียงหยาง เซียงเทียน… เฉิงหมิงเซียงขบฟันในขณะที่นิ้วของเขาจิกไปที่ฝ่ามือ แค่มองก็บอกได้แล้วว่าเขานั้นโกรธเพียงใด
เมื่อได้ยินเฉิงหมิงเซียงเอ่ยถึงชื่อของเจียงหยาง เซียงเทียน เด็กหนุ่มนั้นก็ยิ่งงงเข้าไปอีก เขาอ้าปากถามอีกครั้ง นายน้อยเฉิง เกิดอะไรขึ้นกัน ?
เฉิงหมิงเซียงตอนกลับด้วยเสียงที่มืดมน ฝ่าบาทยกองค์หญิงเกอหลันให้กับเจียงหยาง เซียงเทียนและมันก็ประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้วด้วย
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้ยินแบบนั้น เขารู้ว่าเฉิงหมิงเซียงมีใจให้องค์หญิง ตั้งแต่ที่เฉิงหมิงเซียงเห็นนางครั้งแรกที่พระราชวัง เขาก็ยกย่องความงามของนางอย่ในระดับเดียวกันกับเทพธิดาและตกหลุมรักนาง ตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็ไม่สามารถลดความรู้สึกนั้นได้เลย
ภายในใจของเฉิงหมิงเซียงเอง เขาได้คิดว่าองค์หญิงเกอหลันนั้นเป็นของเขาแล้ว เพราะว่า ภายในอาณาจักรเกอซุนแล้วนั้น เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะกับองค์หญิงเช่นนาง ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานทางครอบครัวหรือพรสวรรค์ในการฝึกฝน เฉิงหมิงเซียงไม่ได้ขาดสองสิ่งนี้เลย ด้วยสำนักหัวหยุนของเขา พวกเขามีพลังเกือบที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของราชนิกูลของอาณาจักรเกอซุนได้ และภายในสำนักเอง สถานะของเฉิงหมิงเซียงก็ยิ่งใหญ่เหนือกว่าคนอื่น
ในอดีตที่ผ่านมา เฉิงหมิงเซียงต้องการให้บิดามารดาของเขามาสู่ขอองค์หญิงแต่งงานหลายครั้ง แต่บิดามารดาของเขานั้นต้องการให้เขาจดจ่อในการฝึกฝนมากกว่า พวกเขาไม่ต้องการให้การฝึกฝนถูกรบกวนจากเรื่องผู้หญิง
การปฏิเสธของบิดามารดาของเขาที่จะช่วยเขาในการสู่ขอองค์หญิงทำให้เขาไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ในใจของเขาแล้ว เฉิงหมิงเซียงได้ตัดสินใจแล้วว่าองค์หญิงเกอหลันนั้นเป็นของเขาและไม่มีใครจะเอานางไปจากเขาได้ เพราะว่าไม่มีใครควรค่ากับองค์หญิงเกอหลันซึ่งทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเขาจะพบบางคนในสำนักคากัตที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา พรสวรรค์ในการฝึกฝนของเจียงหยาง เซียงเทียนนั้นเกินกว่าที่เขามี และเขายังเอาตำแหน่งที่หนึ่งในด้านอัจฉริยะการฝึกฝนในสำนักคากัตของเขาไปอีก ไม่เพียงแต่เขาจะเอาสิ่งนั้นไป แต่เจียงหยางเซียงเทียนยังเอาคนที่เขารักไปอีก มันทำให้เฉิงหมิงเซียงอดทนมากไปกว่านี้ไม่ได้
เด็กหนุ่มที่สู้กับเฉิงหมิงเซียงมองไปที่เขาอย่างระมัดระวังก่อนที่จะกระซิบออกมา นายน้อย ท่านมีแผนการเช่นไร ?
ตาของเฉิงหมิงเซียงเป็นประกายไปด้วยความอาฆาตในขณะที่เขาคำรามออกมา องค์หญิงเกอหลันเป็นของข้า ภายในอาณาจักรเกอซุน ข้าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เหมาะที่จะแต่งงานกับนาง น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธโดยไม่สนใจอะไร ชาลา พาคนมา พวกเราจะไปหาเจียงหยาง เซียงเทียน ครั้งนี้ พวกเราจะสั่งสอนมันที่พยายามจะขโมยผู้หญิงของคนอื่น
ขอรับนายน้อย เด็กหนุ่มรีบออกไปเพื่อรวบรวมคนทันที
เนื่องด้วยความแข็งแกร่งของเฉิงหมิงเซียง เขาจึงรวบรวมคนกลุ่มใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว มีคนอย่างน้อยสิบหกคนจากตระกูลที่มีชื่อเสียงและพวกเขาทั้งหมดก็เป็นเซียน ไม่เพียงแค่นั้น คนส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้ยังเคยถูกเจี้ยนเฉินชิงเอาแกนสัตว์อสูรไป ทำให้พวกเขาล้มเหลวในภารกิจในป่า เพราะอย่างนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงเก็บความขุ่นแค้นเจี้ยนเฉินเอาไว้ เมื่อเฉิงหมิงเซียงเริ่มรวบรวมคน แต่ละคนจึงกระหายที่จะเข้าร่วมด้วย
ในกลุ่มนี้ มีสองคนที่เจี้ยนเฉินคุ้นเคยด้วย พวกนั้นคือ ลั่วเจี้ยนจากตระกูลลั่ว และกาดิหยุนจากตระกูลกาดิ
เฉิงหมิงเซียงกวาดตามองทุกคนอย่างรวดเร็ว เขายิ้มกว้าง ดี มีคนมากมายอยู่ที่นี่ ถ้าพวกเราทำให้เจียงหยาง เซียงเทียนพิการไปได้ ตระกูลเจียงหยางก็คงไม่กล้าที่จะพูดอะไร คนที่มารวมกันที่นี่ในวันนี้มีอิทธิพลไม่น้อยน้อย แม้แต่จักรพรรดิยังต้องปวดหัวถ้าเขาพยายามที่จะปกป้องเจียงหยาง เซียงเทียน
เฉิงหมิงเซียงมั่นใจว่าเขาสามารถเอาชนะเจียงหยาง เซียงเทียนในการต่อสู้ที่ยุติธรรมได้ แต่ในตอนนี้จักรพรรดิของเขาได้ประกาศการแต่งงานระหว่างเจียงหยาง เซียงเทียนและองค์หญิงเกอหลันไปแล้ว สถานภาพของเขาก็เหมือนขาวกับดำเมื่อเทียบกับแต่ก่อน ไม่เพียงแต่เจียงหยาง เซียงเทียนจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูล เขายังมีราชนิกุลคอยสนับสนุนอีก ด้วยสองอย่างนั้นรวมกัน แม้แต่เฉิงหมิงเซียงที่ถือว่าทรงอิทธิพลและอำนาจยังต้องวางแผนอย่างรอบคอบ ถ้าเขาต้องการที่จะสั่งสอนบทเรียนธรรมดาสามัญ นั่นคงจะไม่ใช่ปัญหา แต่เฉิงหมิงเซียงไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนั้น ด้วยเหตุผลนี้ เขาจึงเรียกหลายคนที่มีอิทธิพลให้มาเข้าร่วมกับเขา ด้วยการร่วมมือกันแบบนี้ แม้แต่จักรพรรดิยังต้องคิดแล้วคิดอีกที่จะทำการสอบสวน แม้แต่ตระกูลเจียงหยางเองก็ไม่มีสิทธิ์มีเสียงกับกลุ่มคนเหล่านี้ได้
ชาลา เอาตัวบางคนไปหาตำแหน่งของเจียงหยาง เซียงเทียน จำไว้ว่าอย่างให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ถ้ารองอาจารย์ใหญ่หรืออาจารย์ใหญ่รู้เข้า แผนทั้งหมดจะเสียเอา เฉิงหมิงเซียงบอกกับคู่ฝึกของเขา
ขอรับ นายน้อย
หลังจากนั้น ชาลาก็ใช้เงินและเส้นสายของเขาในสำนักเพื่อที่จะได้รู้ถึงที่อยู่ของเจียงหยาง เซียงเทียน ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งบางคนที่เขาไว้ใจให้ไปค้นหาทั่วสำนัก
มันเงียบสงบมากในสำนักคากัต ไม่มีอะไรน่าสงสัยจากการเคลื่อนไหวจากเฉิงหมิงเซียงและพวกของเขา
หนึ่งชั่วยามต่อมา ศิษย์ 20 คนที่ชาลาส่งไปก็กลับมาทีละคน
นายน้อยเฉิง พวกเราหาไปทั่วทั้งสำนักคากัตแล้ว แต่ไม่มีวี่แววของเจียงหยาง เซียงเทียนเลย มีคนรายงานเขา
เฉิงหมิงเซียงขมวดคิ้วแล้วพูด เป็นไปได้ยังไง? เจียงหยาง เซียงเทียนไม่ได้อยู่ในสำนักตอนนี้งั้นหรือ?
ข้าได้ยินมาว่าเจียงหยาง เซียงเทียนนั้นชอบอ่านหนังสือในหอหนังสือ เข้าไปหาที่อาคารนั้นหรือยัง? ลั่วเจี้ยนถามอยู่ข้างข้าง แม้ว่าลั่วเจี้ยนจะถูกเจี้ยนเฉินแทง แต่ยาก็ทำให้ร่างกายของเขาหายดีเหมือนเดิมแล้ว
พวกเราก็หาที่หอหนังสือด้วย แต่เจียงหยาง เซียงเทียนก็ไม่อยู่ที่นั่น ผู้นำกลุ่มค้นหาพูดต่อ
ในตอนนี้เอง เด็กหนุ่มที่อ้วนจ้ำม่ำก็พูดออกมา ข้าได้ยินมาว่าเจียงหยาง เซียงเทียนเป็นผู้คุมกฎของเด็กใหม่ ผู้คุมกฎของเด็กใหม่มีสิทธิพิเศษที่จะเข้าไปในหอหนังสือชั้นที่ห้าได้ เป็นไปได้ไหมว่าเจียงหยาง เซียงเทียนอยู่ในนั้น? ถ้าเป็นแบบนั้น พวกเราคงได้แค่รอให้เขาออกมาก่อนที่พวกเราจะลงมือ
เมื่อได้ยินแบบนั้น ทุกคนในกลุ่มก็พยักหน้า สิ่งที่เด็กหนุ่มอ้วนพูดมาฟังดูมีเหตุผล
ผู้นำกลุ่มค้นหาส่ายหัวแล้วพูด เป็นไปไม่ได้ ข้าถามเจ้าหน้าที่หญิงในหอหนังสือแล้ว นางบอกว่าเจียงหยาง เซียงเทียนไปได้เข้าไปในหอหนังสือวันนี้
เป็นไปได้ไหมว่า เจียงหยาง เซียงเทียนไม่ได้อยู่ในพื้นที่สำนักจริง ๆ ? เฉิงหมิงเซียงขมวดคิ้ว
ในตอนนี้เอง ศิษย์คนอื่นก็ลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะพูออกมา นายน้อยเฉิง แม้ว่าพวกเราจะหาเจียงหยาง เซียงเทียนไม่พบ แต่พวกเราพบเจียงหยางหู่ที่ป่าเล็กทิศตะวันออก เจียงหยางหู่เป็นพี่ใหญ่ของเจียงหยาง เซียงเทียน ข้าว่าเขาอาจจะรู้ว่าเจียงหยาง เซียงเทียนอยู่ที่ไหน
สายตาของลั่วเจี้ยนเป็นประกายขึ้นมา แต่อารมณ์ของเขาก็กลับมาเหมือนเดิมในไม่ช้า เขาจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนั้นได้ แกนสัตว์อสูรที่เขาครอบครองทั้งหมดถูกน้องของเจียงหยางหู่และเถี่ยต้าขโมยไป แม้ว่าเขาไม่กล้าที่จะล้างแค้นเถี่ยต้า แต่ว่าเขาไม่กลัวที่จะต้องเผชิญหน้ากับน้องชายของเจียงหยางหู่ เจียงหยาง เซียงเทียน
ไม่เลว เจียงหยางหู่รู้แน่ว่าเจียงหยาง เซียงเทียนไปไหน ข้าแนะนำให้พวกเราไปถามเขา ลั่วเจี้ยนพูดเสียงทุ้ม ตาของเขาเป็นประกายอันตราย
เอาล่ะ พวกเราไปตามหาเจียงหยางหู่กันก่อน
ทุกคนตกลงกับข้อแนะนำของลั่วเจี้ยนอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะไม่ให้ศิษย์คนอื่นสงสัย พวกเขาก็แบ่งเป็นกลุ่มและใช้เส้นทางต่างกันในการไปที่ป่าเล็กทิศตะวันออก
ในตอนที่พวกเขามุ่งไปที่ป่าเล็ก พวกเขาก็เห็นว่าเจียงหยางหู่ยังอยู่ที่นั่นและกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่
เมื่อเห็นเจียงหยางหู่ สายตาของลั่วเจี้ยนก็ลุกไหม้ไปด้วยความเกลียดชังทันที เหมือนว่าเขาจะสามารถพ่นไฟออกมาได้ บางทีเจียงหยางหู่อาจจะฝึกอย่างเคร่งเครียดจนไม่ทันสัมผัสได้ว่ากลุ่มคนของเฉิงหมิงเซียงได้เข้ามาแล้ว
กลุ่มของเฉิงหมิงเซียงเดินไปที่เจียงหยางหู่พร้อมกัน พวกเขายืนเป็นวงกลมล้อมเอาไว้ เมื่อรู้ตัวแล้ว เจียงหยางหู่ก็ละสมาธิจากการฝึกในที่สุด ก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร เขาก็ถูกล้อมไปด้วยศิษย์สิบกว่าคนแล้ว
สายตาของเจียงหยางหู่มองไปรอบ ๆ หลังจากที่เขาเห็นท่าทางบนใบหน้าของอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็หยุดเต้นเหมือนว่าเขามีลางสังหรณ์ร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ได้เห็นสายตาที่เกลียดชังของลั่วเจี้ยนที่มองมาที่เขา ท่าทางของเจียงหยางหู่ก็อดไม่ได้ที่หนักใจ
พวกเจ้าต้องการอะไร? เจียงหยางหู่ถาม แม้ว่าจะมีคนสิบกว่าคนล้อมเขาอยู่ แต่ใบหน้าของเขาก็ไม่แสดงความหวาดกลัวออกมา
ลั่วเจี้ยนเหยียด เจียงหยางหู่ เจ้าจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในป่าเมื่อสองสามวันก่อน? หน้าของเขามืดมนในขณะที่เขาพูดและจ้องมองออกไป กลุ่มของเจ้ากล้าขโมยผลงานที่ข้าทำมาอย่างหนักถึงสามวัน และทำให้ข้าตก ข้าจะให้เจ้าได้ชดใช้แบบตาต่อตาแน่
เจียงหยางหู่พ่นลมออกทางจมูกและสายตาของเขาที่มองไปที่ลั่วเจี้ยนก็ไม่แสดงท่าทางกลัวเลยในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา ลั่วเจี้ยน นั่นเป็นปัญหาที่เจ้าสร้างเอง ไม่มีทางที่พวกเราจะไปบ่นสิ่งที่เกิดได้ ถ้าเจ้าไม่พยายามที่จะขโมยแกนสัตว์อสูรของพวกเราก่อน เหตุการณ์แบบนั้นก็คงไม่เกิด ทุกอย่างเป็นความผิดของเจ้าเอง ถ้าเจ้าต้องการที่จะโทษอะไรละก็ ก็โทษตัวของเจ้าเองที่ไม่มีความแข็งแกร่ง เจ้ายังพ่ายแพ้ให้กับน้องสี่ของข้าที่ยังไม่ได้เป็นเซียนเลยด้วยซ้ำ เจียงหยางหู่หัวเราะเยาะ ในขณะที่เขามองไปที่ลั่วเจี้ยนอย่างเหยียดหยาม
เจ้า… ลั่วเจี้ยนไม่พอใจไปชั่วครู่กับการตอกกลับของเจียงหยางหู่ที่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าคืนนั้นเป็นอะไรที่น่าอับอายและจะไม่มีวันหายไปจากความทรงจำของเขา แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับเซียนชั้นกลาง แต่เขาก็ยังมาแพ้เด็กใหม่ที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เซียนอีก นอกเหนือไปจากนั้น แกนสัตว์อสูรที่เขาใช้เวลาสามวันในการรวบรวมมาอย่างยากลำบากยังถูกเอาไปอีก ผลลัพธ์แบบนี้เป็นอะไรที่นายน้อยของตระกูลลั่วไม่สามารถรับได้
ถ้าคำเยาะเย้ยนี้ไปถึงตระกูลล่ะก็ ลั่วเจี้ยนคงไม่สามารถเชิดหน้าชูตาได้ในอนาคต
ตอนท่ี่ 58: การรบกวนจากปราณ
เจี้ยนเฉินถอนลมหายใจยาวออกมาเพื่อทำให้อารมณ์ของเขาคงที่ในขณะที่เขามองไปที่แกนอสูรที่อยู่ในมือ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดูดซับพลังงานจากแกนอสูรมานานแล้ว แต่เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานในแกนอสูรระดับหนึ่งนั้นน้อยกว่าแต่ก่อน แกนอสูรยังมีขนาดลดลงมาอีกด้วย
เจี้ยนเฉินสูดลมหายใจเข้าไปลึกด้วยความตกตะลึงในการเปลี่ยนแปลงนี้ แม้ว่าแกนอสูรระดับหนึ่งจะไม่ได้มีพลังงานในปริมาณมาก แต่ก่อนหน้าที่เขาจะเป็นเซียน การดูดซับพลังงานจากแกนอสูรระดับหนึ่งจนหมด เขาต้องใช้เวลาถึง 3 คืน แต่ในเวลาสั้น ๆ ที่เขาในการดูดซับพลังงานจากแกนอสูรระดับหนึ่งในครั้งนี้ พลังงานในแกนก็ลดลงไปอย่างมากจนเจี้ยนเฉินไม่กล้าจะคิดว่ามีพลังงานมากมายขนาดไหนกันที่เข้าไปในร่างกายของเขาในเวลาอันสั้นขนาดนี้
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ตรวจสอบดูร่างกายด้านในของเขาทันทีอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เขาก็ประหลาดใจที่เขาไม่พบพลังงานที่เขาเพิ่งดูดซับเข้าไปเลย ปราณของเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงและพลังงานด้านในก็ไม่มีทีท่าว่าจะเติบโตเช่นกัน มันเหมือนว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นภาพลวงตาและไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถ้าไม่ใช่ว่าเจี้ยนเฉินสามารถสัมผัสได้ว่าพลังงานจากแกนอสูรนั้นน้อยลงกว่าแต่ก่อน เจี้ยนเฉินก็คงคิดว่าปัญหานั้นเกิดขึ้นเพราะเขาเอง แต่เหตุการณ์นี้มันแปลกเกินกว่าที่จะเข้าใจได้
คิ้วของเขาขมวดเพราะคิดมาก แต่ไม่ว่าเขาจะคิดสักเพียงใด เจี้ยนเฉินก็สับสนเป็นที่สุด ในตอนท้าย เจี้ยนเฉินจึงทำได้แค่ปล่อยปัญหาไว้ก่อนและเริ่มฝึกฝนเพื่อดูดซับพลังงานอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประสบกับอัตราในการดูดซับพลังงานที่รวดเร็วไปแล้ว เจี้ยนเฉินก็ระวังมากกว่าเดิมมากและเขาก็มุ่งความสนใจไปทั่วทั้งร่างของเขาเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์เหมือนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
แต่ใครจะคิดล่ะว่าตอนที่เขากำลังจะเริ่มฝึกฝน เหตุการณ์เหมือนครั้งที่แล้วก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แกนอสูรในมือของเขาเปล่งแสงจาง ๆ ออกมาในขณะที่พลังงานข้างในก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง ก่อนที่มันจะสลายเข้าไปในเส้นปราณที่แขนของเขา
เจี้ยนเฉินนิ่งเหมือนรูปปั้นหินอยู่บนเตียงของเขาโดยไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ในตอนนี้ เขามั่นใจแล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันจริง และมันไม่ใช่ภาพลวงตา ในตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังจะหยุดดูดซับพลังงานที่อยู่ในแกนอสูร เขาก็เปลี่ยนใจทันที เขายกระดับการทำสมาธิให้สูงขึ้นเท่าที่เขาจะทำได้ ในขณะที่เขาพยายามที่จะทำตัวให้คุ้นเคยกับสถานการณ์นี้ เขาต้องการที่จะเข้าใจให้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา และอะไรคือเหตุผลที่ทำให้ความเร็วในการดูดซับมันน่ากลัวขนาดนี้ นอกเหนือไปจากนั้น เจี้ยนเฉินยังต้องการที่จะรู้ว่าทำไมพลังงานถึงได้หายไปในปราณของเขาเหมือนโดยโยนหินลงไปในมหาสมุทรโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรเอาไว้เลย
แกนอสูรในมือของเจี้ยนเฉินหดลงอย่างสังเกตได้ และพลังงานข้างในก็ไหลเข้าไปในเส้นปรานของแขนของเขาผ่านทางรูขุมขน เนื่องด้วยมีด้วยพลังงานจำนวนมากไหลเข้าไปในแขนของเขา ผิวหนังของเจี้ยนเฉินจึงรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเหมือนว่ามีน้ำจำนวนมากมากระแทก
ในตอนที่เขาดูดซับพลังงานของโลกไปเมื่อสองวันก่อน มันนุ่มนวลมากกว่านี้ ดังนั้นการดูดซับอย่างเร็วในตอนนั้นจึงไม่ได้รบกวนใจเขามาก แต่กับแกนอสูรนั้นมันต่างไป แกนอสูรมีพลังงานของสัตว์อสูรที่หนาแน่นอยู่ด้านใน ไม่ว่าพลังงานจะแข็งแกร่งขนาดไหนหรือวิญญาณจะบริสุทธิ์แค่ไหน มันก็เหนือกว่าความสามารถของพลังงานของโลกมาก แกนอสูรนั้นมีธาตุที่บ้าระห่ำอยู่ด้านใน ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานจากมันเข้าไป เขาจึงรู้สึกมีผลย้อนกลับ
เจี้ยนเฉินไม่สนใจในความเจ็บปวดเลย และแทนที่กันเขากลับสนใจไปที่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในร่างของเขา พลังงานส่วนใหญ่จากแกนอสูรไปตรงเข้าไปที่ปราณของเขาแล้วก็หายไป มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกดูดซึมเข้าไปในร่างกายของเขา
อย่างไรก็ตาม ในตอนที่เจี้ยนเฉินพบว่าพลังงานไปไหน ใบหน้าของเขาก็สดใสขึ้น พลังงานกำลังไหลไปที่แสงสีฟ้าและสีม่วงที่อยู่ภายในปราณของเขา พลังงานถูกดูดไปโดยบอลเปล่งแสงสองดวงนั้นจนหมดอย่างคาดไม่ถึง
เจี้ยนเฉินลืมตาขึ้นช้า ๆ ในขณะที่เขาจ้องเขม็งไปที่แกนอสูรที่อยู่ในมือ เขาโยนมันทิ้งไปแล้วก็หลับตาอีกครั้ง เขาเริ่มฝึกฝนโดยใช้พลังงานของโลกเหมือนที่เขาทำอย่างปกติ
พลังงานของโลกได้ไหลเข้ามาหาเขาเหมือนสายน้ำที่เร็วขึ้นเรื่อย ๆ แม้ว่าความเร็วจะน้อยกว่าความเร็วปกติของเขาเป็นสิบเท่า แต่ประมาณเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ของพลังงานก็ถูกดูดซึมไปโดยแสงสองดวงที่อยู่ในปราณของเขา ในขณะที่มีเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่เหลือเท่านั้นที่เข้าไปในร่างกายของเขา
หลังจากที่รู้แบบนี้แล้ว เจี้ยนเฉินก็ตัดสินใจที่จะฝึกฝนโดยใช้พลังงานของโลก อย่างไรก็ตาม ความเร็วที่เขาฝึกฝนและกลั่นพลังงานของโลกนั้นก็ช้ากว่าสิบเท่าจากความเร็วปกติของเขา
เมื่อได้ข้อสรุปแบบนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็น่ากลัว การฝึกฝนส่วนตัวของเขาต้องถึงลดลงเป็นสิบเท่าจากความเร็วปกติ มันเป็นอะไรที่เขาไม่ต้องการเลย เขาไม่คิดว่าแสงสองดวงในปราณของเขาจะเป็นปัญหาแบบนี้
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็พยายามที่จะดูดซับพลังงานจากแกนอสูรอีกครั้ง ใบหน้าที่เครียดของเขาค่อย ๆ ผ่อนคลายลงในขณะที่เขาเริ่มคิด ถ้าเขาฝึกฝนโดยใช้พลังงานจากแกนอสูรแบบนั้น ความเร็วในการฝึกฝนของเขาก็จะไม่น้อยไปกว่าก่อนที่เขาจะเป็นเซียน กลับกันมันจะเร็วกว่าถึง 3 เท่า สิ่งที่เป็นข้อเสียก็คือมันต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการดูดซึมพลังงานนั้น เจี้ยนเฉินเริ่มเหงื่อออกจากการที่เขาออกแรงมาก เขาหยุดฝึกฝนหลังจากนั้นสักพัก เขามองไปนอกหน้าต่างไปยังท้องฟ้าที่มืดสนิท สถานการณ์ในอนาคตของเขาคงยากมากไปกว่านี้ เพราะว่าเขาพึ่งพาการดูดซับพลังงานของโลกซึ่งจะทำให้ความเร็วในการฝึกฝนของเขาลดลงหนึ่งในสิบ การดูดซับพลังงานจากแกนอสูรจะทำให้ความเร็วในการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้น 3 เท่า แต่มันก็จะใช้พลังงานและสมาธิที่เจี้ยนเฉินไม่สามารถทนได้
แกนอสูร 1 อันซึ่งเจี้ยนเฉินเคยใช้เวลา 3 คืนในการดูดซับ ในตอนนี้ การดูดซับพลังงานปริมาณเดียวกันนั้นใช้เวลาเพียงชั่วจิบชาเท่านั้น หมายความว่าเพียงแค่คืนเดียว เจี้ยนเฉินสามารถดูดซับแกนอสูรระดับหนึ่งได้ถึง 50 อัน แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ยากที่จะพูดได้ว่าเขาจะสามารถทนได้ไหมกับอัตราเร็วในการดูดซับใหม่นี้
(10 นาทีต่อแกนอสูรระดับหนึ่ง)
เจี้ยนเฉินสงบตัวเองลงทันที อ้างอิงตามความรู้ของเขา เขารู้ว่าอุปสรรคเล็กน้อยมันก็ไม่ยากที่จะเอาชนะได้ เฮ้อ ทีละขั้น ถ้าข้าไม่เหลือแกนอสูร ข้าก็จะไปล่าเอามาอีก ไม่ใช่พลังงานจะถูกเอาไปแบบนี้อีกในอนาคตซะหน่อย หลังจากคิดในใจแบบนั้น เจี้ยนเฉินก็เอากองแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาแล้วเริ่มฝึกฝนต่ออีกครั้ง
กลางคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันที่สองมาถึงในช่วงเวลาการฝึกฝนของเจี้ยนเฉิน เขาตรวจสอบปริมาณแกนอสูรที่เขาใช้ เขาสูดลมหายใจเข้าไปด้วยความตกใจ ในเวลาแค่คืนเดียว เขาไม่คิดว่าเขาจะใช้แกนอสูรระดับหนึ่งไปถึง 56 อันแล้ว
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างขมขื่น แม้ว่าเขาจะมีแกนอสูรอยู่เป็นจำนวนมากในเข็มขัดมิติ แต่ด้วยอัตราการใช้ขนาดนี้ แกนอสูรที่มีคงจะอยู่ได้แค่สองสามวัน ซึ่งถ้ามันไม่มีอีก เจี้ยนเฉินก็ต้องพึ่งพลังงานของโลกแทน ในตอนนี้ ความหวังเดียวของเจี้ยนเฉินก็คือปราณของเขาและแสงสว่างสองดวงที่สว่างอยู่ด้านในนั้นจะอิ่มตัวในพลังงาน และหยุดเอาพลังงานจากที่เขาฝึกฝนไป
ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องไปในป่าสัตว์อสูรเพื่อหาแกนอสูรหลังจากนี้ เจี้ยนเฉินพึมพำ
ด้วยหัวใจที่สงบ เจี้ยนเฉินก็ออกจากห้องของเขาไปและเดินไปที่ป่าเล็กข้าง ๆ สำนักเพื่อที่จะช่วยสอนพี่ใหญ่ของเขาในเรื่องทักษะการต่อสู้ เช่นเดียวกับช่วยสอนประสบการณ์ต่อสู้ให้กับเขา ในตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น เจี้ยนเฉินทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะสอนเจียงหยางหู่ ในที่สุดในตอนที่พระอาททิตย์อยู่จุดที่สูงที่สุด เจี้ยนเฉินก็อธิบายสรุป
พี่ใหญ่ พวกเราจะหยุดก่อนตอนนี้ ตราบใดที่มีการใช้และการเปลี่ยนแปลงพลังงาน ท่านจะต้องใช้เวลาบ้างเพื่อให้มันสงบลง แต่เมื่อมาเรื่องประสบการณ์การต่อสู้แล้ว ท่านจะต้องสู้กับคนอื่นเพื่อที่จะให้มันพัฒนาอย่างช้า ๆ ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์ที่ท่านจะฝึกเข้มงวดมากเกินไป เจี้ยนเฉินพูดกับพี่ใหญ่ สำหรับสองสามวันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินใช้เวลาในตอนเช้าเพื่อสอนเจียงหยางหู่เกี่ยวกับทักษะการต่อสู้หลายอย่าง
เจียงหยางหู่พยักหน้า ข้าเข้าใจน้องสี่ ในตอนนี้ ในตอนนี้ เจียงหยางหู่ไม่คิดว่าการเรียนรู้จากน้องสี่ของเขานั้นเป็นเรื่องแปลก เขาไม่รู้ว่าเจี้ยนเฉินใช้ชีวิตอย่างไรในตอนที่เขาอยู่ที่ตระกูลเจียงหยาง แต่เขาบอกได้เลยว่าน้องของเขานั้นเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ การได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากนั้นก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่จะคิดว่าเจี้ยนเฉินได้เรียนรู้หลายสิ่งมาจากผู้เฒ่าของตระกูล นอกเหนือไปจากนั้น เจียงหยางหู่รู้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นชอบอ่านหนังสือ และเขาใช้เวลาทั้งวันอยู่ในหอหนังสือบ่อย ๆ ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ที่บางอย่างที่เขาได้เรียนรู้มานั้นมาจากหอหนังสือ
พี่ใหญ่ ท่านควรจะฝึกอย่างช้า ๆ ด้วยตัวเองไปก่อน ข้าไปก่อน หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ออกจากป่าเล็กไป และทิ้งให้พี่ชายของเขาฝึกด้วยตนเอง
….
ที่กึ่งกลางของลานฝึกของสำนัก เด็กสองคนที่ใส่ชุดเครื่องแบบเดียวกันกำลังต่อสู้กับอย่างดุเดือด หนึ่งในนั้นถือกระบี่ใหญ่ที่มีสีแดงร้อนแรงที่กำลังปล่อยปรานที่แผดเผาออกมา เจ้าของกระบี่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้เป็นอัจฉริยะในการฝึกฝนที่มีพรสวรรค์ของสำนัก เฉิงหมิงเซียง
คู่ต่อสู้ของเฉิงหมิงเซียงกำลังถือกระบี่ใหญ่สีฟ้า เขาดูเหมือนจะอายุมากกว่าเฉิงหมิงเซียง อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขานั้นเต็มไปด้วยเหงื่อในขณะที่เขาจดจ่ออยู่ในการต่อสู้
พวกเขาต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่จากมุมมองของคนที่เข้าใจก็จะสามารถบอกได้ว่าคนที่ถือกระบี่สีฟ้านั้นกำลังถูกบังคับให้ตั้งรับจากคนที่ถือกระบี่สีแดงอยู่
นายน้อย ข้ายอมแล้ว ข้าไม่สามารถป้องกันไปได้นานกว่านี้แล้ว คนถือกระบี่สีฟ้าร้องออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉิงหมิงเซียงก็หยุดทันทีและปล่อยให้กระบี่ในมือของเขาหายไป ชาลา ดูเหมือนว่าเวลาที่เจ้าจะสามารถป้องกันตัวเองได้มันสั้นลงเรื่อย ๆ ดูเหมือนเจ้าต้องพยายามมากขึ้นในภายภาคหน้า เจ้าในตอนนี้อ่อนแอกว่าเมื่อก่อน
เด็กหนุ่มยิ้มออกมาอย่างขมขื่นในขณะที่เขาหัวเราะ นายน้อย ไม่ใช่ว่าความแข็งแกร่งของข้าลดลง แต่ความแข็งแกร่งของท่านก้าวหน้าเร็วกว่าข้า ข้าไม่เหมาะที่จะเป็นคู่มือของท่านแล้ว
เฉิงหมิงเซียงดูภูมิใจในตัวเองเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านั้น
ในตอนนั้นเอง ศิษย์อีกคนที่ใส่เครื่องแบบของสำนักก็วิ่งไปที่เฉิงหมิงเซียงพร้อมกับซองจดหมายที่อยู่ในมือของเขา นายน้อยเฉิง มีจดหมายจากผู้เฒ่าของตระกูลมาถึง
ตอนที่ 57: คลุมถุงชน
เจี้ยนเฉินสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ลงก่อนที่จะเดิมไปที่ชั้นหนังสือ สายตาของเขากวาดไปทั่วชั้นหนังสือทีละเล่มก่อนที่จะเอาหนังสือเล่มหนึ่งออกมา เขาเดินไปที่กึ่งกลางของชั้นไปที่โต๊ะและนั่งลง หนังสือมีข้อมมูลเชิงลึกเช่นเดียวกับกับทักษะสำหรับการตัดผ่านช่วงคอขวด แม้แต่เซียนปฐพีก็ยังสามารถได้รับประโยชน์จากบันทึกที่เขียนไว้อย่างชัดเจนนี้ได้
แม้ว่าจะไม่ได้มีหนังสือมากที่ชั้นนี้ แต่คุณภาพของเนื้อหาด้านในนั้นมีมากมาย ถ้าหนังสือหนึ่งในนี้ถูกปล่อยออกไปสู่สายตาคนทั่วไป มันคงต้องเกินการฆ่าชิงเพื่อเอามันมาแน่
เจี้ยนเฉินพลิกหน้าหนังสือไปทีละหน้าในขณะที่เขาอ่านมัน ในไม่ช้าหนังสือก็ถูกอ่านจนจบ แล้วเจี้ยนเฉินก็จมอยู่ในห้วงสมาธิ หนังสืออะไรก็ตามที่เขาอ่านได้ช่วยเปิดโลกแห่งความเป็นไปได้ให้กับเขา ระบบการฝึกฝนของโลกนี้ได้ล้มล้างความรู้ระบบการฝึกฝนของโลกก่อนของเขา จากหนังสือเล่มนี้ เจี้ยนเฉินก็รู้สึกเหมือนเข้าใจในระบบการฝึกฝนของของโลกนี้มากขึ้นในตอนนี้
ไม่นานหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็อ่านหนังสือสิบกว่าเล่มจากชั้นจบ หนังสือครึ่งหนึ่งที่เขาอ่านพูดถึงเชิงลึกในการฝึกฝนและปัญหาที่อาจพบ อีกครึ่งหนึ่งเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับเทคนิคการฝึกฝน แต่เทคนิคที่แข็งแกร่งที่สุดเหล่านี้อยู่ในระดับปฐพีขั้นสูงเท่านั้น สิ่งที่เจี้ยนเฉินพบว่ามีประโยชน์ที่สุดคือจดหมายส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่คนแรก ไบรอัน
สายตาของเจี้ยนเฉินกวาดไปที่กล่องเหรียญม่วง ตามที่อาจารย์ใหญ่บอกมา กล่องเหรียญม่วงนั้นมีทักษะระดับปฐพีขั้นต้นเก็บเอาไว้ แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่รู้ว่าทักษะระดับปฐพีจะมีค่าเพียงใด แต่เขาก็รู้ว่ามันเป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้
เพราะว่าทักษะระดับปฐพีนั้นเป็นทักษะที่แข็งแกร่งเป็นอันดับที่สองบนทวีปเทียนหยวน มีเพียงระดับที่สูงกว่าระดับเดียวคือระดับเซียน
เจี้ยนเฉินเปิดกล่องม่วงขึ้นช้า ๆ และเห็นเพียงหนังสือขนาดเท่าฝ่ามือด้านใน บนสุดของปกหนังสือมีคำเขียนว่า หัวใจสุตรา ที่เขียนไว้บนตัวหนังสือติดกัน ในตอนที่หนังสือสัมผัสถูกกับมือของเขา เจี้ยนเฉินก็รู้สึกถึงความนุ่มนวลที่เข้ามาในมือของเขา มันเหมือนว่ามันเป็นสัมผัสของความอุ่นของหนังสือแม้ว่าหนังสือจะไม่เคยถูกสัมผัสมาก่อน
หนังสือทำมาจากหนังสัตว์อสูรบางอย่าง มันอ่อนนุ่มและแข็งแกร่งซึ่งยากที่จะทำลายได้
เขาเอาหนังสือออกมาจากกล่องช้า ๆ และพลิกไปเพื่ออ่านมันอย่างระมัดระวัง เขากำลังอ่านมันด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียดเพราะเจี้ยนเฉินรู้ว่านี่เป็นวิธีการฝึกฝนที่แข็งแกร่งและยากที่จะพบได้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้วางแผนว่าจะฝึกฝนมันแต่แรก แต่การอ่านมันนั้นอย่างน้อยก็ทำให้เขาได้ประโยชน์ แม้ว่าเขาจะไม่มั่นใจว่าเขาจะพบบางอย่างที่มีค่าที่จะช่วยเขาในการแก้ปัญหาของเขาได้หรือไม่
สองชั่วยามต่อมา เจี้ยนเฉินก็ละสายตาจากหนังสือในที่สุด ในขณะที่เขาก้มหัวทำสมาธิอยู่ หลังจากที่เขามั่นใจว่าเขาจำเนื้อหาในหนังสือได้แล้ว เขาก็คืนมันกลับไปที่กล่องเดิมและจากนั้นเขาก็เดินกลับมาที่โต๊ะ
สายตาของเขามองไปที่ชั้นหนังสือก่อนที่ถอนหายใจออกมา เจี้ยนเฉินเดินลงมาด้านล่างอย่างไม่เสียใจ เพราะเขาได้ประโยชน์มากมายในวันนี้ที่หอหนังสือชั้นที่เจ็ด
ตอนที่เจี้ยนเฉินกำลังลงมา เขาก็มองไปที่หอหนังสือชั้นที่หก แม้ว่าหนังสือภายในชั้นที่หกจะไม่ได้มีค่าเท่าในชั้นที่เจ็ด แต่ประโยชน์จากความรู้ที่ได้จากมันก็ถือว่าดีเยี่ยม สำหรับเจี้ยนเฉินแล้ว คนรุ่นก่อนนั้นเป็นคนส่งต่อความรู้และข้อมูลเชิงลึกของพวกเขาลงไปในหนังสือเหล่านั้น ดังนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
เจี้ยนเฉินได้รู้เรื่องสมบัติจิตวิญญาณหลายอย่างของทวีปเทียนหยวน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ไม่สามารถหาได้ที่หอหนังสือห้าชั้นแรก
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเดินออกมาจากหอหนังสือ ท้องฟ้าก็มืดแล้ว เขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาได้ใช้เวลาทั้งวันไปในหอหนังสือ เขาลืมแม้แต่ความหิว
จ้อก… ในตอนนี้เอง ท้องของเจี้ยนเฉินก็ส่งเสียงดังออกมาอย่างกะทันหัน
เจี้ยนเฉินลูบท้องตัวเองที่ว่างเปล่าซึ่งมันก็เริ่มปวดนิด ๆ เขาอดยิ้มไม่ได้ และจากนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องอาหาร
หลังจากที่กินข้าวเย็นอย่างเร็วแล้ว เจี้ยนเฉินก็กลับไปที่หอ ระหว่างทาง เขาได้เจอกับสายตาของศิษย์หลายคน มันมีทั้งความอิจฉา ริษยา ความเคารพ และท่าทางอื่น ๆ ในสายตาของพวกนั้น
เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจรอบ ๆ และเดินไปที่หอโดยไม่ได้มองไปที่ใดเลย หลังจากที่เขาเข้าไปในหอ เขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยไกล ๆ ยืนอยู่ที่หน้าห้องของเขา เขารู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่านั่นคือพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่
มันก็ดึกมากแล้ว แต่ท่านพี่ก็ยังรอข้ากลับมาอีก มีบางอย่างเร่งด่วนที่เขาต้องการจะบอกข้าหรือเปล่า? เจี้ยนเฉินเดาในใจ เขารีบเดินไปที่นั่น
ท่านพี่ มันก็ดึกมากแล้ว ทำไมท่านถึงรอข้าอยู่ที่นี่? อะไรที่ทำให้ท่านต้องพูดคุยในวันนี้เลยหรือ ? เจียนฉินถามในขณะที่เขาเดินไปหาเจียงหยางหู่
เมื่อได้เห็นเจี้ยนเฉินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของเขาขมขื่น และเขาก็พูดพร้อมถอนหายใจ เห้อ… น้องสี่ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาซะที เจ้าไปไหนกันวันนี้ ? ข้าตามหาเกือบทั่วทั้งสำนัก แต่ข้าก็หาเจ้าไม่พบ ข้าก็เลยมารอเจ้าอยู่ที่นี่ทั้งวันจนถึงตอนนี้
เจี้ยนเฉินพูดแบบขอโทษขอโพย พี่ใหญ่ ท่านตามหาข้าเพราะมีเรื่องสำคัญมากหรือไม่ ?
เมื่อได้ยินดังนั้น เจียงหยางหู่ก็ยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แน่นอน มีซิ นอกเหนือไปจากนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่ด้วย มาน้องสี่ พวกเราเข้าไปคุยกันในห้อง
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและเอากุญแจออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาเพื่อที่จะเปิดประตูห้อง ประตูห้องถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ตั้งแต่ที่บานเก่ากลายเป็นซากเพราะเพราะรองอาจารย์ใหญ่
ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในห้อง เจียงหยางหู่ก็ปิดประตูและพูดอย่างรีบร้อน น้องสี่ ทางตระกูลเพิ่งส่งข้อความมา เจ้าโชคดีมาก พี่ใหญ่อิจฉาเจ้าจริง ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น เจี้ยนเฉินก็งงและเขาก็ถามออกไปอย่างสับสน พี่ใหญ่ มีอะไรเกิดขึ้นกันแน่?
เจียงหยางหู่นั่งลงที่เตียงของเจี้ยนเฉินแล้วยิ้มอย่างมีความสุข น้องสี่ ข้าเดาว่าเจ้ายังไม่รู้ ท่านพ่อได้จัดการเรื่องงานแต่งให้กับเจ้า
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็ผวาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่ตั้งสติแล้ว เขาก็ถามด้วยน้ำเสียงไม่เชื่อและตกใจ อะไรนะ! จัดการเรื่องแต่งงาน?!
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างจริงจังและตอบกลับอย่างตื่นเต้น ถูกต้องน้องสี่ นอกเหนือไปกว่านั้น คู่หมายของเจ้านั้นเป็นถึงองค์หญิงสามของจักรพรรดิ องค์หญิงเกอหลัน ข้าได้ยินมาว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นคำแนะนำจากจักรพรรดิเอง
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียดมากกว่าเดิม เขารู้สึกว่าสถานการณ์มันผิดปกติ และนอกเหนือไปจากนั้น เขาก็ยังไม่ได้ตกลง เขารู้สึกไม่พอใจที่การแต่งงานของเขาถูกตระกูลตัดสินใจให้โดยไม่บอกเขา การที่ถูกคนอื่นกำหนดชะตาทำให้เจี้ยนเฉินเบื่อหน่าย
เมื่อได้เห็นท่าทางของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ก็คิดว่าเจี้ยนเฉินนั้นกังวลเกี่ยวกับหน้าตาขององค์หญิงเกอหลัน เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้องสี่ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นองค์หญิงเกอหลัน แต่ข้าก็ได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง องค์หญิงเกอหลันเป็นพระธิดาคนที่สามของจักรพรรดิ นางงดงามล่มเมือง ตั้งแต่ที่นางยังเด็ก นางก็เป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ นางไม่เพียงแต่ชำนาญในด้านศิลปะทั้งสี่ แต่นางยังมีความสามารถในการฝึกฝนอีกด้วย ตอนที่นางอายุสิบห้า นางก็อยู่ในระดับพลังเซียนขั้นที่เจ็ดแล้ว นางได้รับความรักจากจักรพรรดิค่อนข้างมาก นางเป็นคนโปรดของจักรพรรดิ จักรพรรดิรักทุกอย่างที่เป็นนาง
ตัวตนขององค์หญิงเกอหลันไม่ใช่เพียงข้อดีอย่างเดียวของนาง แค่พรสวรรค์ในการฝึกฝนของนางแล้ว แม้แต่พี่ใหญ่ของเจ้าเองก็ยังเทียบกับนางไม่ได้เลย น้องสี่ จักรพรรดิยกนางให้กับเจ้า ถือเป็นโชคดีของเจ้า อย่าทำหน้าบูดไปเลย
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาในใจ เจียงหยางฮูไม่เข้าใจความคิดของเขาเลย แม้ว่าองค์หญิงเกอหลันจะงดงาม แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้สนใจเลย ทั้งหมดที่เขาต้องการทำในตอนนี้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาเอง เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับผู้หญิงในตอนนี้ เจี้ยนเฉินรู้ว่าจักรพรรดิตระหนักถึงความสำเร็จของเขาในสำนักคากัต ไม่อย่างนั้น จักรพรรดิคงไม่มีทางมั่นใจที่จะยกพระธิดาของพระองค์ให้กับเขาเป็นแน่
เพราะว่านี่เป็นการคลุมถุงชนโดยจักรพรรดิ เจี้ยนเฉินก็ไร้อำนาจในการต่อต้านการแต่งงานนี้ พ่อแม่ของเขาไม่กล้าที่จะทิ้งโอกาสที่จะสร้างความสัมพันธ์กับราชนิกุล นอกไปเสียจากจักรพรรดิยกเลิกเรื่องนี้เอง ไม่อย่างนั้นมันคงไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะปฏิเสธได้ ดังนั้นเขาคงต้องยอมรับอย่างเงียบ ๆ ไป
สิ่งเดียวที่ทำให้เจี้ยนเฉินสบายใจก็คือเรื่องนี่เพิ่งเป็นเรื่องที่ตัดสินใจขึ้นมา วันจัดงานแต่งอย่างเป็นทางการยังไม่ได้ประกาศออกมา ซึ่งหมายความว่าการแต่งงานต้องเลื่อนไปเรื่อย ๆ ตามเวลา นี่ทำให้เขาได้มีเวลาหายใจ เพราะว่าเจี้ยนเฉินไม่ต้องการที่จะพูดถึงเรื่องนี้เลย ชีวิตที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินเป็นคนพเนจรที่เดินทางไปรอบโลกโดยไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เขาใช้ผืนแผ่นดินเป็นที่นอน ถ้ามีคนอื่นอยู่ข้าง ๆ เขา เขาก็คงไม่สามารถใช้ชีวิตแบบนั้นได้อีก
หลังจากที่เจียงหยางหู่จากไป เจี้ยนเฉินก็นั่งอยู่บนเตียงคนเดียวและเขาก็ใคร่ครวญอย่างหนัก ต้องยอมรับว่าข่าวที่ได้รับจากตระกูลนั้นกะทันหันเกินไป และทำให้เจี้ยนเฉินไม่ทันตั้งตัว
เฮ้อ ข้าอาจจะต้องใช้เวลาที่เหลือในการฝึกฝน พลังเท่านั้นถึงจะเป็นตัวตัดสินทุกอย่างในตอนท้าย เมื่อความแข็งแกร่งของข้ามีมากพอ แม้แต่จักรพรรดิก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ เจี้ยนเฉินถอนหายใจในขณะที่เขาฝึกฝนต่อไป
เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับหนึ่งที่อยู่ในแหวนมิติออกมา เขาหลับตาลงช้า ๆ และเริ่มดูดซับพลังภายในแกนอสูรเพื่อที่จะฝึกฝน ตั้งแต่ที่เขาพัฒนาเป็นเซียนได้เมื่อสองวันที่แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาฝึกฝน ตอนเย็นในสองวันที่ผ่านมานั้น เขาได้ทำตัวให้คุ้นเคยกับการใช้และการควบคุมอาวุธเซียน
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเริ่มดูดซึมพลังงานในแกนอสูร ความเร็วในการดูดซึมก็มากขึ้นเรื่อย ๆ พลังงานไหลเข้าไปในตัวเขาอย่างรวดเร็วมาก อัตราความเร็วเพิ่มขึ้นหลายร้อยเท่าจากปกติ
ความเร็วในการฝึกฝนที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ใบหน้าของเจี้ยนเฉินบิดเบี้ยวไปด้วยความประหลาดใจ แม้ว่าผู้ฝึกตนทุกคนจะปรารถนาที่จะให้ความเร็วในการฝึกฝนเพิ่มขึ้น แต่ความเร็วในการฝึกฝนของเจี้ยนเฉินก็ถึงระดับที่น่ากลัว ด้วยความเร็วในการดูดซับพลังงานจากแกนอสูรขนาดนี้ เจี้ยนเฉินก็ไม่มีเวลาพอที่จะสกัดมันได้ซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์กับเขาเลยแม้แต่น้อย เพราะพลังงานที่ไม่ได้ถูกเขาสกัดนั้นจะไม่สามารถควบคุมได้และจะต่อต้านร่างกายของเขาเอง และถ้าผลสุดท้ายเป็นแบบนั้นก็จะทำให้เจี้ยนเฉินต้องพบกับการตัดสินใจที่ยากลำบาก
เจี้ยนเฉินหยุดดูดซับพลังงานจากแกนอสูรทันที สิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การดีใจก็คือขั้นตอนในการหยุดดูดซับพลังงานจากแกนอสูรนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีความน่ากลัวหรือการควบคุมไม่ได้เกิดขึ้น ไม่เช่นนั้น เขาก็กลัวว่ามันอาจจะนำไปสู่ปัญหามากกว่าเดิม
ตอนที่ 56: หอหนังสือชั้นที่เจ็ด
เช้าตรู่วันต่อมา เจี้ยนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาช้า ๆ เขาไม่ได้ฝึกฝนเลยในช่วงสองวันที่ผ่านมา และกลับกันเขาใช้เวลาในหอหนังสือเพื่ออ่านหนังสือทุกคืน เขาพยายามที่จะทำความเข้าใจกระบี่ที่อยู่ในปราณของเขา เพื่อที่จะเรียนรู้การใช้อาวุธเซียนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
เจี้ยนเฉินเพิ่งตัดผ่านเป็นเซียนได้และแม้ว่าอาวุธเซียนจะเชื่อมโยงกับจิตใจของเขา แต่เขาก็ยังไม่รู้วิธีที่จะใช้อาวุธเซียนอย่างแท้จริง เจี้ยนเฉินที่มีประสบการณ์มาจากชาติที่แล้วก็ยังพบว่าอาวุธเซียนในโลกนี้นั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ถ้าเขาไม่ใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับมัน และถึงแม้ว่าวิญญาณของเขาจะเชื่อมโยงกับอาวุธของเขาเหมือนกิ่งของต้นไม้ แต่มันก็คงจะยากมากที่เขาจะแสดงความแข็งแกร่งสูงสุดของเขาได้
เหตุผลนี้ก็หมือนกับคนบาดเจ็บหนักที่แขนไปเป็นสิบยี่สิบปี แต่จู่ ๆ แขนก็กลับมาใช้ได้อีกครั้ง คนคนนั้นคุ้นเคยกับการใช้แขนที่บาดเจ็บและในตอนนี้เขาต้องมาเผชิญกับการใช้แขนใหม่ เขาคนนั้นคงรู้สึกไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงใหม่ ต้องใช้เวลาเพื่อที่จะเข้าใจช้า ๆ และทำให้คุ้นเคยกับมัน
เจี้ยนเฉินยืนขึ้นจากเตียงและเดินออกไปจากห้องของเขาและไปที่ห้องอาหาร จากนั้น เขาก็ไปที่หอหนังสือเหมือนปกติ
ประตูหอหนังสือเปิดอยู่ แต่ก็มีคนไม่มากอยู่ด้านใน มีเพียงเจ้าหน้าที่หญิงธรรมดาเท่านั้นที่อยู่ด้านใน
เจี้ยนเฉินมองไปที่หอหนังสือที่เกือบจะว่างเปล่าและเดินเข้าไปที่ชั้นที่ห้าของหอหนังสือ หลายวันที่ผ่านมา หนังสือทุกเล่มที่เขาสนใจจากชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สี่ถูกเขาอ่านไปจนหมดแล้ว
หอหนังสือมีทั้งหมด 7 ชั้น สองชั้นแรกอนุญาตให้คนที่ต่ำกว่าเซียนเขาไปได้ ในขณะที่ชั้นที่สามและสี่จะเข้าไปได้เมื่ออยู่ในระดับเซียน ชั้นที่ห้าของหอหนังสือไม่ได้เปิดให้ศิษย์ทั่วไปเข้ายกเว้นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของศิษย์ใหม่ ดังนั้นใครที่ต้องการที่จะอ่านหนังสือที่ชั้นนี้ จะต้องเป็นอาจารย์ของสำนักเท่านั้น ส่วนชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดของหอหนังสืออยู่ในอาคารที่แข็งแรง และมีเพียงอาจารย์ใหญ่กับรองอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่เข้าไปได้ ใครที่ต้องการจะเข้า ต้องไปรับการอนุญาตจากอาจารย์ใหญ่หรือรองอาจารย์ใหญ่ก่อน
แม้ว่าชั้นที่ห้าของหอหนังสือจะไม่ได้เปิดให้ศิษย์ทั่วไปเข้า แต่เจี้ยนเฉินซึ่งเป็นผู้ที่ได้อันดับหนึ่งของเด็กใหม่สามารถเข้าไปได้
พื้นที่ของชั้นที่ห้าไม่ได้ใหญ่มากและจำนวนของหนังสือก็ไม่มากเช่นกัน ถ้ารวมกันทั้งหมดก็มีหนังสืออยู่ประมาณร้อยเล่มเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับหนังสือเป็นหมื่นเล่มที่อยู่ชั้นที่หนึ่ง
แต่เจี้ยนเฉินรู้ว่าหนึ่งในหนังสือพวกนี้นั้นมีค่ามากกว่าหนังสือเล่มอื่นที่เขาเคยอ่านมาก่อนหน้านี้
ชั้นที่ห้าของหอหนังสือเงียบมาก แม้ว่าจะไม่มีคนมาที่นี่มาก แต่เจี้ยนเฉินก็เห็นว่าที่นี่ถูกทำความสะอาดบ่อยมาก ทั้งห้องสะอาดและไม่พบฝุ่นแม้แต่นิดเดียวเลย
เจี้ยนเฉินเดินไปที่ชั้นหนังสือและเลือกหนังสือที่เกี่ยวกับการฝึกฝนมาก่อนที่จะเดินไปที่โต๊ะ เนื้อหาในหนังสือเกี่ยวกับการฝึกฝนเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าเนื้อหาในหนังสือจะช่วยเขาได้หรือเปล่า แต่อย่างน้อยมันก็เติมเต็มจิตใจของเขาไปด้วยข้อมูลอื่นที่เขาคิดว่ามีประโยชน์
เจี้ยนเฉินชอบอ่านหนังสือมากจนเหมือนติด แม้ว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกในหนังสือจะแทบไม่มีอะไรที่ช่วยเขาได้ แต่มันก็ยังช่วยเปิดหูเปิดตาและขยายความรู้ของเขาในการฝึกฝนของโลกนี้ ข้ามูลที่เขาพบเป็นอะไรที่เขาไม่เคยคิดเลยในชีวิตที่แล้ว
ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกฝนที่อยู่ในหนังสือนั้นไม่ได้ลึกซึ้งและมันก็มีไม่กี่สิบหน้าเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงอ่านจบอย่างรวดเร็ว หลังจากที่อ่านจบ เจี้ยนเฉินก็เก็บหนังสือไว้บนชั้นและก็เริ่มพึมพำกับตัวเอง เหมือนว่าเขาพยายามที่จะเก็บความรู้ไว้ในความทรงจำของเขา
หลังจากที่เก็บหนังสือเข้าไปที่เดิมแล้ว เจี้ยนเฉินก็เอาหนังสือเล่มอื่นออกมาและเริ่มกระบวนการอ่านอีกครั้ง ภายในชั้นที่ห้าของหอหนังสือ หนังสือทุกเล่มถูกทิ้งไว้โดยคนรุ่นก่อนเพื่อช่วยผู้คนการฝึกฝนทักษะ อย่างไรก็ตาม หลักหญ่ของเทคนิคการฝึกฝนเหล่านี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมาก พวกมันส่วนใหญ่อยู่เหนือระดับปฐพีขั้นต้นไปเล็กน้อย
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่เจี้ยนเฉินอยู่ที่ชั้นที่ห้าและอ่านหนังสือไปเล่มแล้วเล่มเล่า เขาหลงลืมวันเวลา เขาไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียว ในขณะที่มีชายวัยกลางคนสองคนปรากฏขึ้นมา เพียงแค่มองปราดเดียวก็รู้วาคนพวกนี้คืออาจารย์ของสำนัก
ชายวัยกลางคนสองคนรู้จักเจี้ยนเฉินพอดีเมื่อเห็นเขาเข้า สายตาของพวกเขาประหลาดใจมาก อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเจี้ยนเฉิน
จากนั้น ชายชราที่ใส่ชุดสีฟ้าอ่อนหรูหราก็เดินมาจากข้างล่าง เขาดูเหมือนอายุห้าสิบหรือหกสิบ ผมของเขาขาวเหมือนนกกระเรียนแต่หน้าตาของเขานั้นเหมือนคนหนุ่ม แววตาของเขาดูลึกลับ
ชั้นที่ห้าของหอหนังสือไม่ได้ใหญ่มาก และหลังจากที่ชายชราเข้ามาที่ชั้นที่ห้าของหอหนังสือ เขาก็เดินขึ้นไปข้าง ๆ บันไดที่จะไปยังชั้นที่หกทันที จู่ ๆ เขาก็สังเกตเห็นเด็กหนุ่มทางหางตาของเขาพอดี
ชายชราหยุดทันทีเพราะเขาเห็นตัวของเด็กคนนี้ ทันทีที่เขาจำเครื่องแบบของสำนักที่อยู่ในเด็กที่รูปร่างสูงแต่ผอมบางได้ เขาก็พูดขึ้นมา เจียงหยาง เซียงเทียน!
เจี้ยนเฉินได้สติและมองกลับไปที่ชายชราที่เรียกเขา หน้าของเขาเฉื่อยชาเล็กน้อยก่อนที่จะกระตุกขาของเขาพร้อมยิ้ม ท่านอาจารย์ใหญ่ ทำไมท่านถึงได้มาที่นี่ล่ะ?
ชายคนนี้เป็นอาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต
เสียงของอาจารย์ใหญ่ทำให้อาจารย์ทั้งสองตกใจ ในตอนที่เขาเห็นอาจารย์ใหญ่ พวกเขาก็ดูตระหนกและวางหนังสือบนมือของพวกเขาลงบนโต๊ะก่อนที่จะยืนขึ้นมา พวกเขาประสานมือเพื่อที่จะคารวะอาจารย์ใหญ่ พวกเขาร้องออกมาด้วยความเคารพ พวกเราขอคารวะท่านอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตเป็นคนที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งอาณาจักรเกอซุน ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ และเขาเป็นหนึ่งในหกผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรเกอซุน
เซียนสวรรค์บนทวีปเทียนหยวนยังคงถือว่าแข็งแกร่งและกล้าหาญมาก
สายตาของอาจารย์ใหญ่กวาดไปที่ชายวัยกลางคนทั้งสองและเขาก็โบกมือในขณะที่พูด อย่าใส่ใจข้าเลย โปรดอ่านหนังสือของพวกเจ้าต่อเถอะ
ขอรับ ท่านอาจารย์ใหญ่ ชายวัยกลางคนสองคนนั่งลงอีกครั้งทันที แต่พวกเขาก็ไม่มีสมาธิที่จะสนใจหนังสือที่อยู่ในมือของพวกเขา
ตาของอาจารย์ใหญ่มองไปที่หนังสือที่อยู่ในมือของเจี้ยนเฉิน เขายิ้มและพยักหน้าอย่างพอใจ เขาพูดด้วยน้ำเสียงน่าพอใจ เจียงหยาง เซียงเทียน เจ้าชอบหอหนังสือนี้หรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล ขอรับ หอหนังสือนี้ทำให้ข้าเรียนรู้หลายสิ่ง ถึงแม้ว่าข้อมูลที่นี่จะไม่ได้ช่วยใครหรือช่วยได้น้อย แต่มันก็ยังเป็นการเพิ่มความรู้อยู่ดี
เมื่อได้ฟังเจี้ยนเฉิน อาจารย์ใหญ่ก็มองเขาอย่างชื่นชม ดี ดี เจียงหยาง เซียงเทียน คนที่เข้าใจและมีตรรกะอย่างเจ้าหาได้ยากนัก ในเมื่อเจ้าชอบหอหนังสือเช่นนี้ ถ้างั้นข้าจะช่วยเจ้า มากับข้า อาจารย์ใหญ่หันหลังไปและเดินไปที่บันไดที่ไปยังชั้นที่หก
เมื่อได้เห็นทิศทางที่อาจารย์ใหญ่เดินไป เจี้ยนเฉินก็เข้าใจความหมายของชายชรานี้และเขาก็ยินดีขึ้นมาทันที เขาเก็บหนังสือในมือของเขาเข้าชั้นหนังสือตามเดิมและตามหลังอาจารย์ใหญ่ไปที่ชั้นที่หกของหอหนังสือ
หลังจากที่เห็นเจี้ยนเฉินหายไปบนขั้นบันไดแล้ว อาจารย์ทั้งสองก็มองไปทิศทางนั้นด้วยความอิจฉา ชั้นที่หกและที่เจ็ดของหอหนังสือมีเพียงอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่เท่านั้นที่เข้าไปได้ ใครที่ต้องการจะเข้าไปต้องได้รับความยินยอมจากทั้งสองคนนี้ก่อน สำหรับชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดของหอหนังสือแล้ว มันเป็นที่ซึ่งอาจารย์ทุกคนต้องการที่จะขึ้นไป เพราะส่วนใหญ่เป็นเพราะสองชั้นนั้นมีทักษะระดับสูงจำนวนมาก สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ชั้นที่หกและเจ็ดของหอหนังสือมีบันทึกจำนวนมากของสมบัติจิตวิญญาณหลายประเภทที่อยู่บนทวีปเทียนหยวน
เจี้ยนเฉินตามอาจารย์ใหญ่ไปอย่างเร็วที่ทางเข้าของชั้นที่หก เจี้ยนเฉินเห็นผนึกโปร่งใสที่ปิดผนึกประตูอยู่อย่างชัดเจน
ผนึกของชั้นที่หกและชั้นที่เจ็ดถูกทำขึ้นมาโดยอาจารย์ใหญ่รุ่นก่อน ๆ การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก และแม้ว่าจะเป็นเซียนสวรรค์ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปในเวลาสั้นสั้น น้ำเสียงของอาจารย์ใหญ่มีความภูมิใจเล็กน้อย และเขาก็เอาเหรียญที่สร้างจากเหรียญม่วงขึ้นมา เหรียญมีลวดลายแปลก ๆ บนมัน และดูเหมือนมันจะถูกออกแบบมาเพื่อบางอย่าง
เหรียญม่วงที่อยู่ในมือของอาจารย์ใหญ่เปล่งแสงสีม่วงจาง ๆ ออกมา และในไม่ช้าแสงสีม่วงก็สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุด ลำแสงที่เหมือนเป็นวัตถุก็พุ่งออกมาและไปหยุดบนผนึก
ผนึกที่โปร่งแสงกระเพื่อมอย่างช้า ๆ 2 ครั้งเหมือนน้ำ และกึ่งกลางของมันก็แยกออกจากกันช้า ๆ และกลายเป็นรูใหญ่ที่ให้คนเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
เจียงหยาง เซียงเทียน ตามข้ามาด้านใน อาจารย์ใหญ่เรียกเจี้ยนเฉินและเดินตรงเข้าไปด้านใน
เจี้ยนเฉินตามหลังอาจารย์ใหญ่ไป และพวกเขาก็เดินตรงไปที่ชั้นที่หกไปยังชั้นที่เจ็ด ชั้นที่เจ็ดของหอหนังสือว่างเปล่ามาก มันขนาดเท่าห้องธรรมดาเท่านั้น และมันยังมีเพียงโต๊ะไม้เพียงตัวเดียวตรงกลาง ข้างหน้าโต๊ะไม้มีชั้นหนังสือที่มีหนังสือบาง ๆ อยู่สองสามเล่ม มีกล่อง 2 กล่องอยู่ด้านบนสุดของชั้นหนังสือ หนึ่งในกล่องนั้นทำมาจากหยกที่มีค่ามาก ในขณะที่อีกกล่องนั้นทำมาจากเหรียญม่วง ค่าของทั้งสองกล่องไม่น้อยเลย และของที่อยู่ในกล่องทั้งสองก็ต้องสำคัญมากแน่
ตั้งแต่ที่สำนักคากัตก่อตั้งมาตั้งแต่แรก หอหนังสือก็มีอยู่จนมาถึงตอนนี้ มันอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปีแล้ว ในสองสามศตวรรษที่ผ่านมา จำนวนคนที่มาที่ชั้นที่เจ็ดในแต่ละยุคนอกเหนือไปจากอาจารย์ใหญ่นั้นมีไม่มาก อย่างไรก็ตาม ทุก ๆ คนนั้นมีอิทธิพลมาก ถ้าไม่ใช่ก็เป็นจอมยุทธที่น่าประทับใจของทวีปเทียนหยวน เจ้าเป็นศิษย์คนแรกของสำนักคากัตที่ได้มายังชั้นที่เจ็ดในสองสามศตวรรษที่ผ่านมา อาจารย์ใหญ่อธิบายช้า ๆ ด้วยน้ำเสียงที่สงบมาก
เจียงหยาง เซียงเทียน ชั้นที่เจ็ดของหอหนังสื อเป็นที่ซึ่งเก็บความมั่งคั่งของสำนักคากัตของข้าเอาไว้ ทั่วทั้งชั้นที่เจ็ดถูกปกคลุมไปด้วยชั้นผนึกที่ทรงพลัง ชั้นผนึกถูกสร้างขึ้นมาอย่างระมัดระวังโดยเซียนผู้คุมกฎ ไบรอัน อาจารย์ใหญ่คนแรก ของที่อยู่ในนี้ทั้งหมดนี้มีเครื่องมือพิเศษ ตราบใดที่ผนึกยังไม่ถูกทำลาย ก็ไม่มีทางที่จะเอามันออกไปข้างนอกได้ นอกเหนือไปจากนั้น หนังสือด้านในทั้งหมดที่นี่ยังเป็นวิธีการฝึกฝนที่อาจารย์ใหญ่ไบรอันได้เก็บรวบรวมมาด้วยตนเอง ถ้าเขาไม่ได้เขียนมันขึ้นมา เหล่านี้คือความมั่งคั่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสำนักคากัต
เมื่อได้ยินแบบนั้น ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียด เขาไม่คิดว่าหอหนังสือชั้นที่เจ็ดจะสำคัญมากขนาดนี้ เรื่องที่อาจารย์ใหญ่คนแรกของสำนักคากัตเป็นเซียนผู้คุมกฎนั้นก็เป็นอะไรที่ทำให้เจี้ยนเฉินตกใจ
สายตาของอาจารย์ใหญ่มองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างสดใส และท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปและเขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด เจียงหยาง เซียงเทียน ในตอนนี้ ข้าใช้อำนาจของข้าในฐานะอาจารย์ใหญ่เพื่ออนุญาตให้เจ้าอ่านหนังสือใดก็ได้ยกเว้นในกล่องหยก เจ้ามีโอกาสนี้เพียงโอกาสเดียวเท่านั้น ข้าหวังว่าเจ้าจะใช้มันอย่างเหมาะสม
เจี้ยนเฉินพยังหน้าอย่างเคร่งเครียด ข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์ใหญ่ที่ช่วยเหลือ
กล่องหยกมีของที่ไม่มีประโยชน์กับเจ้าในตอนนี้ และมันอาจจะขัดขวางการเติบโตของเจ้า ดังนั้น เจ้าต้องไม่ดูของในกล่องหยก อย่างไรก็ตาม กล่องเหรียญม่วงมีเทคนิคการฝึกฝนระดับปฐพีขั้นต้นอยู่ เจ้าสามารถอ่านมันได้ตามที่เจ้าต้องการ อย่างไรก็ตาม กฎของปราณหยางที่ได้รับการสืบทอดมาจากตระกูลเจียงหยางของเจ้าก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหัวใจสุตราเลย ดังนั้น การเลือกวิธีการฝึกฝนไม่ใช่อะไรที่เจ้าควรจะรีบร้อน
เจ้าสามารถอยู่ที่นี่คนเดียวได้และใช้เวลาอ่านหนังสือไป จำไว้ว่า เจ้ามีโอกาสเดียวเท่านั้นที่จะเข้ามาที่หอหนังสือชั้นที่เจ็ด ข้าหวังว่าเจ้าคงจะเห็นค่ามัน ผนึกที่อยู่ที่ทางเข้าจะป้องกันไม่ให้คนเข้ามาเท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการจะออก เจ้าก็ออกได้เลย หลังจากพูดจบ อาจารย์ใหญ่ก็หันแล้วออกไปทันที เขาหายไปนอกผนึกของชั้นที่เจ็ดและทิ้งให้เจี้ยนเฉินยืนงงอยู่ตรงนั้น
ตอนที่ 55: ได้รับการยอมรับจากจักรพรรดิ
อาจารย์ใหญ่หัวเราะออกมาอย่างยินดี เจียงหยาง เซียงเทียน ดูเหมือนเจ้าจะบรรลุเป็นเซียนแล้ว
เจี้ยนเฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด ใช่ ข้าเพิ่งควบแน่นอาวุธเซียนของข้าได้
แต่ข้าก็ยังไม่ไม่ใจว่าเจ้าได้กลายเป็นเซียนขั้นสูงหรือขั้นกลางกันแน่ อาจารย์ใหญ่ยิ้ม สำหรับเขาแล้วเจี้ยนเฉินนั้นแข็งแกร่งเท่ากับเซียนขั้นกลาง เพราะว่าเขาได้เห็นพลังงานของโลกปริมาณมหาศาลที่เจี้ยนเฉินดูดซับไปกับตา แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้ว่าเจี้ยนเฉินใช้วิธีการใดในการดูดซับมันเข้าไป แต่อย่างน้อยเขาก็เข้าใจว่า หลังจากที่ดูดซับพลังงานของโลกไปเป็นจำนวนมากอย่างนี้ คงไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะเป็นเซียนขั้นต้นแน่
เมื่อได้เห็นว่าเจี้ยนเฉินนั้นข้ามระดับเซียนจากขั้นต้นไปเป็นขั้นกลางเลยนั้น อาจารย์ใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขมาก เพราะสิ่งนี้ สำนักคากัตก็จะสามารถภูมิใจได้ว่าพวกเขานั้นมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์
ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าเพิ่งควบแน่นอาวุธเซียนได้เท่านั้น ดังนั้น ความแข็งแกร่งของข้าควรจะอยู่ในขั้นต้น เจี้ยนเฉินรู้ว่าอาจารย์ใหญ่เชื่อว่าเขาได้ดูดซึมเอาพลังงานของโลกไปทั้งหมดแล้วจึงถามคำถามนี้ขึ้นมา
ขั้นต้น ! เสียงร้องดังออกมา ครั้งนี้ไม่ใช่อาจารย์ใหญ่ที่เป็นคนพูด แต่เป็นไป่เอินที่ยืนอยู่ด้านหลัง พูดอย่างเหลือเชื่อ
จะเป็นไปได้อย่างไร เจ้าดูดซับพลังงานของโลกปริมาณมหาศาลเข้าไป แล้วทำไมเจ้าถึงได้อยู่แค่ระดับเซียนขั้นต้นได้ล่ะ?
ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ขมขื่น เขาไม่อยากจะเปิดเผยสิ่งที่เกิดขึ้นในปราณของเขา
เอาล่ะ ในเมื่อเจียงหยาง เซียงเทียนสบายดี พวกเราก็ควรจะกลับ สายตาของอาจารย์ใหญ่มองตรงไปที่เจี้ยนเฉินในขณะที่เขาพูดออกมา เจียงหยาง เซียงเทียน ในตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นเซียนแล้ว เจ้าก็ควรทำตัวให้เคยชินกับการใช้อาวุธเซียน หลังจากพูดจบ ทั้งอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่ก็ออกจากห้องของเจี้ยนเฉินไป
หลังจากที่ออกไปจากหอ รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินซึ่งมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยก็ถามขึ้นมา ท่านอาจารย์ใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเจียงหยาง เซียงเทียนนั้นดูดซับพลังงานของโลกเข้าไปเป็นจำนวนมาก เขาจะยังเป็นเซียนขั้นต้นได้อย่างไร นี่ไม่สมเหตุผลเลย
เมื่อได้ฟัง อาจารย์ใหญ่ก็พยักหน้าแล้วพูดออกมา ใช่ มันไม่สมเหตุผล หรืออาจจะมีความลับที่เจียงหยางเซียงเทียนมี แต่พวกเราไม่รู้ ไม่เช่นนั้นเขาจะไปดูดซับพลังงานของโลกทั้งหมดที่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตรได้อย่างไร? มันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หลังจากที่พูดจบ อาจารย์ใหญ่ก็หยุดสักพักก่อนที่จะพูดต่อ เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราจะเข้าไปยุ่ง ตราบใดที่เขาไม่ได้สร้างความวุ่นวายมาก พวกเราจะไม่เข้าไปวุ่นวาย ปล่อยให้เขาเติบโตตามใจ หนทางแห่งอัจฉริยะจะเกิดได้จากเขาเอง ถ้าเขาไม่ไปเผชิญพายุด้วยตัวเอง เขาก็จะไม่เติบโตอย่างแท้จริง และเวลาที่เขาไม่ได้เจอปัญหา เขาก็จะไม่พัฒนา
ขอรับ ไป่เอินเข้าใจ รองอาจารย์ใหญ่ตอบอย่างเคารพ จิตใจของเขาโล่ง ในการที่จะฝึกฝนอัจฉริยะนั้น นี่เป็นอะไรที่สำนักคากัตควรจะต้องทำ
อาจารย์ใหญ่จ้องออกไปที่ท้องฟ้าสีครามในขณะที่เขาพึมพำออกมากับตัวเอง เจียงหยางเซียงเทียนอายุสิบห้าในปีนี้ การที่ได้เป็นเซียนตั้งแต่อายุ 15 ปีเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าตกใจในทวีปเทียนหยวน ดูเหมือนเจียงหยาง เซียงเทียนจะเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ดังนั้น ข้าหวังจริง ๆ ว่าเขาจะได้เดินต่อไปตามเส้นทาง และไม่ตายก่อนวัยอันควร ไม่เช่นนั้น มันจะเป็นการสูญเสียอย่างยิ่งใหญ่ของอาณาจักรเกอซุน เฮ้อ น่าเสียดายที่หัวหน้าตระกูลของตระกูลเจียงหยางได้หายไปเป็นร้อยปีแล้ว ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ แผนของเขาจะต้องสำเร็จแน่
…..
หลังจากที่อาจารย์ใหญ่ออกไป เจี้ยนเฉินก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงอีกครั้งและสำรวจไปที่แสงสีฟ้าและสีม่วงซึ่งส่องสว่างในปราณของเขา เขาถอนหายใจออกมา ไม่เพียงแต่เขาจะไม่รู้ว่าแสงนี้คืออะไร แต่เขายังควบคุมมันไม่ได้อีกด้วย
เจี้ยนเฉินถอนหายใจอีกรอบ เขาตัดสินใจที่จะลืมเกี่ยวกับมันไปเพราะว่ามันจะเป็นการเสียเวลาที่มีค่าไป เขาได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่งและก็ได้พบเจอมาหลายสิ่ง นอกเหนือไปจากความรักที่มีให้มารดาของเขา ไป๋หยุนเทียน ก็ไม่มีอะไรที่เจี้ยนเฉินจะต้องใส่ใจมากอีกแล้ว
เจี้ยนเฉินสูดลมหายใจเข้าไปลึกและสงบใจลง เขาจดจ่อไปที่มือขวาของเขา ใจของเขาเต้นแรงก่อนที่พลังงานที่แข็งแกร่งจะแว่บออกมา ในขณะที่กระบี่เล่มบางก็ปรากฎขึ้นที่มือขวาของเขา
กระบี่ยาวนี้บางกว่ากระบี่ปกติและพื้นผิวของกระบี่ก็ขาวจนเกือบเหมือนกระจกที่สะท้อนบริเวณรอบ ๆ ออกมา
กระบี่ยาวประมาณ 4 ฟุตและกว้าง 2 นิ้ว มีคำสองคำสลักอยู่ที่ตัวกระบี่ วายุโปรย
รูปร่างของกระบี่เกือบจะเหมือนกับกระบี่ที่เป็นสมบัติของเจี้ยนเฉินในชาติที่แล้ว แม้แต่ชื่อของมันยังเป็นชื่อเดียวกัน มันถูกเรียกว่า กระบี่วายุโปรย
วิถีกระบี่ของเจี้ยนเฉินนั้นเน้นหนักไปที่ความเร็วและความคล่องตัว ด้วยความสามารถที่โจมตีได้มากกว่าพันรูปแบบ เขาก็เหมือนลมที่ไปมาอย่างไร้เงาและจากไปโดยไร้ร่องรอย
เมื่อจับกระบี่วายุโปรย เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ในตอนที่เขาจับกระบี่อยู่ เขาก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันเหมือนว่าเขาได้กลับไปในชาติที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แตกต่างคือ เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนว่ากระบี่เป็นส่วนหนึ่งของแขนของเขา เขาไม่จำเป็นต้องใช้กำลังมากในการควบคุมมัน เจี้ยนเฉินรู้สึกได้ว่าเขาและกระบี่ได้เชื่อมต่อจิตวิญญาณซึ่งกันและกัน ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวไม่แยกออกจากกัน นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชาติที่แล้ว
เจี้ยนเฉินแทงกระบี่ของเขาออกไป และปล่อยให้ใบกระบี่สีเงินเป็นประกายในตอนที่มันพุ่งออกไป
ชิ้ง ! เสียงดังชัดขึ้นมาเหมือนว่ากระบี่วายุโปรยกำลังหวีดหวิวในอากาศ มันเหมือนว่ากระบี่นี้อยู่ในระดับเดียวกันกับกระบี่ที่ตีมาจากเหล็กชั้นดี
เจี้ยนเฉินลูบใบกระบี่ด้วยมือซ้ายของเขาอย่างยินดีเหมือนว่ากระบี่เป็นคนรักของเขา
สำหรับนักกระบี่ที่แท้จริงแล้ว กระบี่เป็นของที่พวกเขารักที่สุดและไม่สามารถแทนที่ได้ กระบี่เป็นเหมือนชีวิตและวิญญาณของพวกเขา และเจี้ยนเฉินก็เชื่อมั่นแบบนั้นมากเช่นกัน
ในตอนที่เจี้ยนเฉินเรียกกระบี่วายุโปรยออกมา มันก็หายไปจากปราณของเขาและพลังงานก็รวมไปอยู่ที่มือของเขาและกลายร่างเป็นกระบี่จริง ๆ ไม่เพียงแต่กระบี่นี้จะสร้างความเสียหายได้มาก แต่มันยังเป็นแหล่งพลังงานของเจี้ยนเฉินและมันก็แทนที่ปราณกลายเป็นแหล่งพลังงานของเขา
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นแรงอีกครั้งขณะที่กระบี่ก็เริ่มหายไปและกลับไปสู่ปราณของเขาในรูปแบบกระบี่เล่มเล็กของกระบี่วายุโปรย
สองวันหลังจากที่เจี้ยนเฉินตัดผ่านเป็นเซียน เขาก็ใช้เวลาในการสำรวจแสงสว่างสองสีที่ส่องสว่างอยู่ในปราณของเขา นอกเหนือไปจากนั้น เขายังใช้เวลาส่วนมากอยู่ในหอหนังสือเพื่อที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของปราณของเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับมามือเปล่าเสมอ
ในระหว่างสองวันเหล่านี้ ข่าวที่เจี้ยนเฉินตัดผ่านเป็นเซียนได้สำเร็จก็ได้กระจายไปทั่วสำนักเหมือนคลื่นใหญ่ เพราะพวกเขารู้ว่าเจี้ยนเฉินไปถึงในระดับนั้นได้เร็วมาก ศิษย์ทุกคนในสำนักคากัตที่เข้ามาเมื่อสองสามเดือนที่แล้วมีพลังเซียนระดับแปด และหลังจากนั้นอีกสองสามเดือน จู่ ๆ ก็มีศิษย์ที่กลายเป็นเซียนได้ ความเร็วในการฝึกฝนแบบนี้นั้นเร็วเกินไปและทำให้ทุกคนตกตะลึง สถิตินี้ถูกทำลายไปสิ้นจากที่หนึ่งของอัจฉริยะในการฝึกฝน เฉิงหมิงเซียง
ไกลออกไปจากสำนักคากัตในปราสาทที่เจิดจ้า ชายวัยกลางคนในชุดประดับอัญมณีนั่งอยู่กลางห้องทำงานในขณะที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
ฝ่าบาท มีจดหมายมาถึง เสียงทุ้มแต่มีความเคารพดังออกมาจากด้านนอกห้อง
เมื่อได้ยินแบบนั้น ชายวัยกลางคนก็วางหนังสือลงช้า ๆ และมองไปที่ทางเข้าห้อง เข้ามา เขาบอก ชายวัยกลางคนนี้เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรเกอซุน คาดีเซน
ในขณะที่จักรพรรดิพูด ประตูห้องทำงานก็เปิดออกมา แล้วชายที่ใส่ชุดดำก็เข้ามา เขามีอายุประมาณ 30 ปีและเขาก็เดินเข้ามาในห้องอย่างรวดเร็ว ในตอนที่เขาอยู่ห่าง 30 ก้าวจากจักรพรรดิ เขาก็หยุดอยู่กับที่และคุกเข่าลงทันที ฝ่าบาท จดหมายมาจากอาจารย์ใหญ่คาเฟอร์ของสำนักคากัต
ในตอนแรก จักรพรรดิไม่สนใจจดหมายนั้นเลย แต่ในตอนที่เขาได้ยินชื่อคาเฟอร์ หน้าของเขาก็เคร่งเครียดและเขาก็วางหนังสือลงบนโต๊ะ เอาจดหมายมาเดี๋ยวนี้
พะยะค่ะ ฝ่าบาท ! องครักษ์ที่ยืนถัดจากจักรพรรดิซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ตอบกลับด้วยความเคารพ เขามองไปที่จดหมายในมือของเขา และตรวจดูมันอย่างใกล้ ๆ หลังจากที่ตรวจสอบดูแล้วว่าไม่มีปัญหา เขาจึงเดินไปส่งมันให้กับจักรพรรดิ
จักรพรรดิรับจดหมายมาและเปิดมันออกทันที ใบหน้าที่นิ่งสงบของเขาเริ่มมีรอยยิ้มออกมา ในขณะที่เขาพึมพำออกมา เจียงหยาง เซียงเทียนเป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ส่งมาจริง ๆ ไม่เพียงแต่เขาจะเอาชนะเซียนในตอนที่เขามีพลังเซียนขั้นแปดเท่านั้น เขายังเอาชนะเซียนขั้นกลางได้ในตอนที่เขาอยู่ขั้นที่สิบอีก นอกเหนือไปจากนั้น เขายังควบแน่นอาวุธเซียนของเขาได้สำเร็จตอนอายุสิบห้า นี่มันอัจฉริยะจริง ๆ ไม่สงสัยเลยที่เขาได้รับคำชมมากมายจากท่านลุง ด้วยสายตาอันหลักแหลมของท่านลุง เขาสามารถเห็นความแตกต่างของคนได้จริง ๆ ถ้าท่านลุงแนะนำเจียงหยาง เซียงเทียนมาขนาดนี้ เช่นงั้นข้าก็ควรจะทำอะไรสักอย่างเช่นกัน
เจียงหยาง เซียงเทียนมีตระกูลเจียงหยางคอยสนับสนุนเขาอยู่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นนายน้อยสี่ ดูเหมือนการดึงเขามาคงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าก็ได้แต่พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะล่อเขาเข้ามา แม้ว่าตระกูลเจียงหยางจะเงียบมาเป็นสิบปีแล้ว แต่ข้อมูลภายในตระกูลก็ยังเป็นความจริง ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะดูถูกไม่ได้ เมื่อเป็นแบบนั้น ข้าจะทำอย่างนี้ จักรพรรดิดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในขณะที่เขาพูดออกมาทันที เอาพู่กันกับแท่นหมึกมา
ไม่ช้าหลังจากนั้น มหาดเล็กก็มาถึงพร้อมกับพู่กันและหมึก จักรพรรดิจับพู่กันและเริ่มเขียนอย่างนุ่มนวล เขาบรรจงในการเลือกกระดาษและอ่านทวนคำพูดที่เขียนลงไป ก่อนที่จะพับมันอย่างช้า ๆ และออกไปจากห้องทำงาน
จักรพรรดิถือม้วนกระดาษในมือ และได้รับการคุ้มกันโดยกลุ่มองครักษ์ที่ตามติดกับเขาแจ ผ่านห้องโถงหลายห้องไปก่อนที่จะมาถึงลานที่สวยงาม
เมื่อจักรพรรดิก้าวเข้าไปในลาน ผู้เฒ่าอายุ 50-60 ปีก็ออกมาจากห้องในลาน เขามองไปที่จักรพรรดิอย่างสงบแล้วยิ้ม ท่านจักรพรรดิมาน่ะเอง กรุณาเข้ามา
จักรพรรดิเดินเข้าไปหาผู้เฒ่า แต่ยังไม่ได้เข้าไปในห้อง เขาส่งม้วนกระดาษที่อยู่ในมือของเขาให้ผู้เฒ่าและยิ้มอย่างจริงจัง ผู้เฒ่ายี่หมิง นี่เป็นจดหมายที่สำคัญมากและข้าต้องการให้ท่านไปส่งมันด้วยตัวเองที่ตระกูลเจียงหยางในเมืองลอร์
เมื่อได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของผู้เฒ่าก็เคร่งเครียดมากขึ้น เขายื่นมือไปรับม้วนกระดาษจากจักรพรรดิแล้วพูด ฝ่าบาท อย่ากังวลไปเลย ข้าจะส่งให้ถึงแน่นอน ผู้เฒ่าเข้าใจอย่างชัดเจนว่า ในเมื่อเขาต้องไปส่งด้วยตัวเองแบบนี้แล้ว มันต้องไม่ใช่เรื่องธรรมดาแน่
หลังจากที่ส่งจดหมายในมือออกไป จักรพรรดิก็ถอนหายใจในใจ ในขณะที่เขาคิดกับตัวเอง เยว่เอ๋อ คิดเพื่ออาณาจักรเถอะ เพื่ออนาคตของอาณาจักร บิดาของเจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากที่จะต้องให้เจ้าเสียสละ
ตอนที่ 54: การเปลี่ยนแปลงของปราณ
เจี้ยนเฉินไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขาเลย ตั้งแต่ที่เขาเสียการควบคุมของร่างกายไป เขาก็ไม่สามารถหยุดการดูดพลังงานของโลกรอบ ๆ เขาได้ เมื่อรู้สึกว่าร่างกายของเขาเองได้ดูดซึมพลังงานของโลกไปด้วยความเร็วที่น่ากลัว เจี้ยนเฉินก็ยังคงมั่นคงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างเครียด ถ้าร่างของเขายังคงดูดซึมพลังงานของโลกไปด้วยอัตราเร็วแบบนี้เรื่อย ๆ ก็ไม่รู้ว่าร่างกายของเขาจะทนได้นานขนาดไหนก่อนที่มันจะระเบิดเนื่องจากปราณเข้มข้นที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน แต่สิ่งที่เจี้ยนเฉินเฉินสงสัยที่สุดคือ เขาไม่รู้ว่ามันเริ่มเกิดแบบนี้ได้อย่างไร ทำไมปราณของเขาถึงได้เริ่มดูดซึมพลังงานของโลกด้วยอัตราที่เร็วเยี่ยงนี้ ? นี่ทำให้เจี้ยนเฉินกลัว
เขารู้ในใจว่าพลังงานของโลกรอบ ๆ เขานั้นได้มารวมกันอย่างรวดเร็วและรอบ ๆ ตัวเขาก็เหมือนพายุในขณะที่มันไหลไปด้วยความเร็วที่บ้าคลั่ง พายุปราณคำรามและหวีดดังไปทั่วสำนักคากัต ในขณะที่ใบไม้และหินลอยกระเด็นไปอากาศ
แต่ในตอนที่พลังงานของโลกเข้าไปในปราณของเจี้ยนเฉิน มันก็เหมือนโยนหินเข้าลงไปในมหาสมุทร เหมือนว่าพลังงานของโลกได้หลอมรวมเข้ากับร่างของเขาโดยไม่มีทีท่าว่าจะเต็มเลย ด้วยเหตุผลแบบนั้น เจี้ยนเฉินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าอะไรทำให้ปราณของเขาเปลี่ยนแปลงไปมากมายขนาดนี้ แต่เขาก็ดีใจที่ร่างกายของเขาไม่ระเบิดออกเพราะพลังงานของโลก
ในเวลาเดียวกันภายในหอคอยกลางของสำนักคากัต อาจารย์ใหญ่ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพลังงานของโลกถึงได้กระเพื่อมขึ้น ๆ ลง ๆ รุนแรงแบบนี้! ในขณะที่เขาพูด อาจารย์ใหญ่เหาะออกไปทางหน้าต่าง ทิ้งเพียงภาพติดตาเอาไว้ ในตอนที่เขาบินผ่านหน้าต่างออกไป เขาก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงและเขาก็มาถึงที่หอของเจี้ยนเฉินในเวลาไม่กี่วินาที เขามองลงไปด้วยความสงสัยในขณะที่เขายังคงจ้องไปที่ห้อง
ในขณะเดียวกัน แสงสีขาวที่เป็นเหมือนภาพเบลอก็เข้ามาและหยุดอยู่ด้านหลังอาจารย์ใหญ่หลายร้อยเมตร เขาคือรองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอิน
แม้ว่าหลังจากที่ไป่เอินมาถึงแล้ว คนอีกกว่าสิบคนก็บินมาอย่างเร่งรีบก่อนที่จะหยุดอยู่ด้านหลังไป่เอินและมองไปที่ที่พลังงานของโลกกำลังหลอมรวม
พวกเขาทั้งหมดเป็นอาจารย์ของสำนักที่มีความแข็งแกร่งกว่าคนอื่น และด้วยการกระเพื่อมที่รุนแรงของพลังานของโลก มันไม่มีทางที่พวกเขาทั้งหมดจะไม่สังเกตเห็น
ไป่เอินมองไปที่พลังงานของโลกที่น่าทึ่งด้วยความฉงนในขณะที่เขาร้องออกมาอย่างมหัศจรรย์ ท่านอาจารย์ใหญ่ เกิดอะไรขึ้นที่นี่? ทำไมพลังงานของโลกถึงได้มารวมกันอยู่ที่นี่ล่ะ ?
แม้ว่าใบหน้าของอาจารย์ใหญ่จะดูจดจ่อ แต่ตาของเขาก็จ้องอย่างเฉยเมยในขณะที่เขาตอบกลับ แม้แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ พวกเราไปดูกันเถอะ
หลังจากนั้น อาจารย์ใหญ่ก็ดิ่งลงไปที่พื้นพร้อมกับมีไป่เอินที่ตามอยู่ด้านหลังเขา
พวกเจ้าที่เหลืออยู่ที่นี่ อย่าให้คนอื่นเข้ามาใกล้ เขาร้องบอกอาจารย์คนอื่น
อาจารย์ทั้งหมดต้องการที่จะตามอาจารย์ใหญ่ไปเพื่อหาคำตอบของสิ่งลึกลับนี้ แต่จากคำพูดของไป่เอิน อาจารย์ทุกคนก็หยุดเคลื่อนไหวและกลับไปอยู่ที่จุดเดิมอย่างเชื่อฟัง เมื่อไป่เอินพูด ก็ไม่มีอาจารย์ท่านไหนที่กล้าขัด
ทั้งอาจารย์ใหญ่และไป่เอินมาถึงที่ด้านนอกของประตูห้องของเจี้ยนเฉิน ที่ที่มีพลังงานของโลกที่อยู่ด้านในอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ไป่เอินเคาะประตู มันก็แตกกลายเป็นเสี่ยง ๆ และทั้งสองก็เห็นภาพด้านใน
ด้านในนั้น พวกเขาเห็นเจี้ยนเฉินนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่บนเตียงในขณะที่เขายังคงทำสมาธิอยู่ พลังงานของโลกยังถูกดูดเข้าไปในปราณของเขาด้วยอัตราเร็วที่น่ากลัว ซึ่งทำให้เส้นร่างของเขากลายเป็นเหมือนภาพเบลอเหมือนว่ามีหมอกจาง ๆ กำลังปกคลุมเขาอยู่
เมื่อได้เห็นปรากฎการณ์นี้แล้ว ทั้งไป่เอินและอาจารย์ใหญ่ก็พูดไม่ออก พวกเขาไม่คิดว่าพลังงานของโลกจะหนาแน่นมาขนาดนี้ที่นี่เพียงเพราะการฝึกฝนของคนคนเดียว ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังคงทึ่งในความเร็วที่เจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานของโลกอีกด้วย
นั่นคือเจียงหยาง เซียงเทียน ! มัน มันเป็นไปได้ยังไง ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เขาทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้อย่างไร
แม้แต่อาจารย์ใหญ่ยังสั่นเทาในขณะที่สายตาของเขาก็จ้องเขม็งไปที่เจี้ยนเฉิน หลังจากนั้นสักพัก เขาก็ถอนหายใจออกมา เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงจริง !
เมื่อได้ยินอาจารย์ใหญ่พูด ไป่เอินก็พยักหน้าด้วยความเหลือเชื่อให้กับอาจารย์ใหญ่ ในใจของเขา เขารู้มาตลอดว่าเจี้ยนเฉินนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์ธรรมดา
ท่านอาจารย์ใหญ่ เช่นนั้นพวกเราควรจะทำอย่างไรดี ? เขาถาม
พวกเราจะรอดู ! เขาตอบกลับ
หลังจากนั้นอาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่ก็ยืนอยู่ด้านนอกห้องของเจี้ยนเฉินและรอให้เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาไม่ได้เข้าไปในห้องของเจี้ยนเฉินและไม่ได้ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าพวกเขากลัวว่ามันจะเป็นการไปรบกวนการฝึกของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินรู้มานานแล้วตั้งแต่ที่ประตูถูกทำลาย แต่เขาก็ไม่สามารถขยับได้ทั้งร่างและปากของเขาในเมื่อเขาควบคุมมันไม่ได้ และแกนอสูรระดับสี่ที่อยู่ในมือของเขาก็เล็กลงอย่างสังเกตเห็นได้ ขนาดของมันเท่ากับลูกปิงปองตอนนี้
พลังงานทั้งหมดและแก่นแท้ของโลกกำลังถูกเจี้ยนเฉินดูดซึมเข้าไปในปราณ ซึ่งมันก็หายไปเหมือนโยนกินลงไปในมหาสมุทรโดยไม่ได้ทิ้งริ้วคลื่นอะไรไว้เลย
จากสถานการณ์ของปราณของเขา เจี้ยนเฉินไม่รู้และไม่เข้าใจเลยว่าพลังงานของโลกนั้นไปที่ไหน
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก พลังงานในแกนอสูรระดับสี่ก็ถูกเขาดูดซึมไปตนหมด ในที่สุด ภายในปราณของเขาก็มีจุดแสงสีฟ้าและสีม่วงปรากฎขึ้นมา ในตอนที่จุดแสงเกิดขึ้นมา ปราณของเขาก็ยิ่งดูดซับแก่นแท้เข้าไปด้วยอัตราที่เร็วมาขึ้นกว่าเดิมอีก และมันยังเริ่มดูดซับพลังงานของโลกที่อยู่ไกลออกไปจากเดิม ตอนที่มีแสงสีม่วงและสีฟ้าปรากฎออกมา พลังงานของโลกที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่ากิโลเมตรก็ถูกดึงให้พุ่งไปที่เจี้ยนเฉินก่อนที่มันจะถูกดูดเข้าไปในร่างกายผ่านรูขุมขนของเขาไปที่จุดแสงสว่างนั้น
เพราะว่าอัตราเร็วที่เจี้ยนเฉินดูดซับพลังงานของโลกเข้าไป หมอกสีขาวจาง ๆ ก็สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ปรากฎล้อมรอบเขา เพราะหมอกสีขาวนี้ ร่างของเขาเองจึงมองเห็นได้เพียงรางราง ทั้งเขาและบริเวณรอบ ๆ เขาดูลึกลับมากกว่าเดิม
การเพิ่มขึ้นของอัตราการดูดซึมถูกสังเกตเห็นโดยชายสองคนที่อยู่ด้านนอกประตูด้วย พวกเขาจ้องมองกันและกัน พวกเขาทั้งคู่ตะลึงในสิ่งที่พวกเขาทั้งสองกำลังเห็น
ในตอนนี้ ทั่วทั้งสำนักคากัตก็ตระหนักถึงพลังงานของโลกที่จู่ ๆ ก็ไหลเข้ามา แต่จากการปิดบังของอาจารย์ ลูกศิษย์แต่ละคนจึงถูกบอกให้ทราบว่ามันเป็นสายลมแรงที่เกิดขึ้นกะทันหัน และไม่ได้สนใจมันต่อ
ปราณของเจี้ยนเฉินยังคงดูดซับพลังงานของโลกเข้าไปเรื่อย ๆ ต่ออีกครึ่งวันก่อนที่จะหยุดลงในที่สุด เจี้ยนเฉินดูดพลังงานของโลกที่อยู่ในรัศมีสิบกว่ากิโลเมตรไปจนหมด ในตอนนี้เอง นอกเหนือไปจากกระบี่ที่เขาได้มาจากการควบแน่นพลังเซียน ปราณของเจี้ยนเฉินก็ยังมีจุดแสงสีฟ้าและสีม่วงอีก จุดนั้นเล็กมากและพวกมันก็เปล่งแสงจาง ๆ เช่นกัน ประกายของมันทำให้มันดูเหมือนกับว่ามันพร้อมที่จะระเบิดออกมาทุกเมื่อ
จุดแสงสีฟ้าและสีม่วงที่ปรากฏขึ้นมาภายในปราณของเขาทำให้เจี้ยนเฉินหนักใจไปชั่วครู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ในปราณของเขา เขาไม่ต้องการที่จะเจอเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาบอกได้อย่างมั่นใจก็คือ แสงสีฟ้าและสีม่วงเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการดูดซึมที่ควบคุมไม่ได้อย่างบ้าคลั่งของพลังงานของโลกที่เขาประสบมาก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
เป็นไปได้ไหมว่าแสงสีฟ้าและสีม่วงถูกสร้างมาจากพลังงานของโลกก่อนหน้านี้? เจี้ยนเฉินเดาในใจ พลังงานของโลกปริมาณมหาศาลที่ได้เข้าไปในปราณของเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนกับหินในทะเล นี่เป็นอะไรที่หยั่งไม่ถึงจริงจริง นอกเหนือไปจากนั้น หลังจากที่ดูดซับพลังงานของโลกไปในปริมาณมากแล้ว จุดแสงประหลาดเหล่านี้ก็ปรากฏขึ้นมาในปราณของเขาอีก นี่ทำให้มันทำให้เจี้ยนเฉินเห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ทั้งสองอย่างนี้เชื่อมโยงกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้เจียนเจี้ยนเฉินสงสัยและกังวลก็คือคำถามที่ว่า จุดแสงแปลกแปลกในปราณของเขามันคืออะไรกันแน่ และพวกมันทำอะไร? การมีอยู่ของมันเป็นอันตรายกับเขาหรือเปล่า? คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่เจี้ยนเฉินเป็นกังวล โดนเฉพาะคำถามหลังนี้เป็นคำถามที่ทำให้เขากระวนกระวาย
หลังจากที่ลังเลเล็กน้อย เจี้ยนเฉินก็พยายามที่จะควบคุมแสงสีฟ้าและสีม่วงในที่สุด อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ทดลองไปสองสามครั้ง อารมณ์ของเขาก็เคร่งเครียดมากกว่าเดิม หลังจากที่ตรวจสอบภายในแล้ว แม้ว่าเขาจะเห็นจุดแสงได้อย่างชัดเจน แต่ทุก ๆ ครั้งที่เขาพยายามจะจัดการกับพวกมัน เขาก็พบว่าจู่ ๆ จุดแสงในปราณของเขาก็กลายเป็นเหมือนภาพลวงตาไป เขาสามารถผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย และเขาไม่สามารถจับมันและควบคุมมันได้เลย มันเหมือนว่าพวกมันไม่ได้มีอยู่ตรงนั้น
สำหรัดผู้ฝึกฝนทุกคน ปราณนั้นเป็นส่วนสำคัญของร่างกาย เจี้ยนเฉินไม่อยากจะเห็นปราณของเขากลายไปเป็นอะไรที่เขาควบคุมไม่ได้ ไม่เช่นนั้น จากทั้งหมดที่เขารู้ มันจะสามารถเป็นอันตรายร้ายแรงได้ในช่วงเวลาที่สำคัญหลังจากนี้
เฮ้อ ช่างมันเถอะ ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ข้าก็ทำอะไรเกี่ยวกับมันไม่ได้อยู่แล้ว ยังไงซะข้าเป็นคนที่เคยตายมาแล้วครั้งหนึ่งอยู่ดี ทำไมข้าต้องไปสนใจเรื่องพวกนี้ด้วย ? ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็สรุปออกมาเขาไม่ควรไปวุ่นวายกับการเปลี่ยนแปลงแปลก ๆ ภายในปราณของเขาอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อเหตุการณ์มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา เขาทำได้แต่ยอมรับมันอย่างสงบเท่านั้น
เจี้ยนเฉินลืมตาขึ้นช้าช้า สายตาของเขาสงบเป็นที่สุด แม้ว่าการเป็นเซียนได้สำเร็จจะเป็นความสำเร็จที่น่าตื่นเต้น แต่เพราะว่าเหตุการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ที่เกิดขึ้นกับปราณของเขา เขาจึงไม่สามารถทำให้ตัวเองยินดีได้
ในตอนที่เจี้ยนเฉินลืมตานั้น อาจารย์ใหญ่และรองอาจารย์ใหญ่ที่รออยู่ด้านนอกมาตลอดเวลาก็เดินเข้ามาด้วยกัน
เมื่อได้เห็นอาจารย์ใหญ่เดินเข้ามา เจี้ยนเฉินก็ลุกออกจากเตียงและทักทายพวกเขา ท่านอาจารย์ใหญ่ ท่านรองอาจารย์ใหญ่
อาจารย์ใหญ่ฉีกยิ้มกว้างในขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างแน่วแน่ เจียงหยาง เซียงเทียน พลังงานของโลกที่เจ้าปล่อยออกมาไม่ปกติ เจ้าพบปัญหาในระหว่างการฝึกฝนหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นไม่ต้องเกรงใจแล้วบอกข้ามาเลย บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้ อาจารย์ใหญ่พูดด้วยน้ำเสียงห่วงใย
ขอบคุณที่ห่วงใย ท่านอาจารย์ใหญ่ ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ข้าไม่ได้ประสบปัญหาอะไร เจี้ยนเฉินพูดออกไปอย่างใจเย็น เขาไม่คิดว่าสถานการณ์เกี่ยวกับปราณของเขาจะเป็นอะไรที่อาจารย์ใหญ่จะแก้ไขได้ การพูดออกไปจะยิ่งทำให้ปัญหาบานปลาย และมันจะดีกว่าถ้าเขาเงียบไว้
ตอนที่ 53: กลายเป็นเซียน
หลังจากที่งานฉลองจบ ลูกศิษย์ที่อยู่ที่ลานกิจกรรมก็ค่อย ๆ ออกไป และกระจายกันออกไปจนไม่มีใครเหลืออยู่ ระหว่างสามวันที่ผ่านมาในการต่อสู้กับสัตว์อสูรในป่า ลูกศิษย์เกือบทุกคนก็ได้รับบาดเจ็บหลายที่ ในตอนนี้ที่งานฉลองได้จบลง ทุกคนก็กลับไปที่หอและรักษาอาการบาดเจ็บ ลูกศิษย์ที่เหลืออยู่ในลานกิจกรรมที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยคือศิษย์ที่ยอมแพ้ในภารกิจไปตั้งแต่แรกแรก
อย่างไรก็ตาม หลังจากจบเหตุการณ์นี้ ชื่อเสียงของเถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินในสำนักคากัตก็เพิ่มจนถึงขีดสุด พวกเขาได้กลายเป็นดาวเด่นที่สุดในสำนัก ไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะมีเสียงพูดคุยเกี่ยวกับพวกเขา
กลุ่มสามคนของเจี้ยนเฉิน เถี่ยต้า และเจียงหยางหู่ก็ร่ำลากัน และกลับที่หอของพวกเขาเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
ที่กึ่งกลางของสำนักมีหอคอยสูงและกว้างร้อยตารางเมตรอยู่ รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน กำลังยืนอยู่อย่างเคารพที่กึ่งกลางของห้องที่ชั้นบนสุดของหอคอย ด้านหน้าเขามีอาจารย์ใหญ่สำนักคากัตนั่งอยู่อย่างเกียจคร้านด้านหน้าโต๊ะทำงานของเขาพร้อมด้วยท่าทางยิ้มแย้ม สายตาที่ลึกซึ้งของเขาก็เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นที่สะท้อนอยู่ด้านใน
อ่าห์ ไป่เอิน ดูเหมือนว่าจะมีอัจฉริยะปรากฎขึ้นในสำนักคากัตของพวกเราแล้วครั้งนี้ อาจารย์ใหญ่พูดออกมาอย่างตื่นเต้นพร้อมรอยยิ้ม
รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินพยักหน้าและยิ้มรับ ท่านอาจารย์ใหญ่ นั่นไม่ถูกซะทีเดียว ครั้งนี้สำนักคากัตได้มามากว่าหนึ่งอัจฉริยะ พวกเราได้มาถึงสอง สองคนนี้คือ เจียงหยาง เซียงเทียนและเถี่ยต้า
เจ้าสำนักส่ายหัวแล้วยิ้ม ไม่ มันไม่ผิดหรอก พรสวรรค์ของเถี่ยต้านั้นสูงมาก และเขาก็ยังมีความแข็งแกร่งของเทพเจ้า อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับเจียงหยาง เซียงเทียน เขายังต้องเดินทางอีกไกล
รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน ประหลาดใจกับการตอบกลับนี้ และเขาก็ถามออกมาอย่างสงสัย ท่านอาจารย์ใหญ่ ทำไมท่านถึงพูดเช่นนั้น ?
อาจารย์ใหญ่ถอนหายใจออกมายาว ๆ แล้วพูดออกมา เจ้าจะประเมินเจียงหยาง เซียงเทียนต่ำไปไม่ได้ เขาค่อนข้างเป็นคนที่ซับซ้อน ไม่แปลกใจเลยที่สหายเฒ่าของข้าที่ตระกูลเจียงหยางชมเขาอยู่เรื่อย
จริง ๆ แล้วบ่ายเมื่อวาน หลังจากที่ข้าได้ยินข่าวว่าเจียงหยาง เซียงเทียนและเถี่ยต้าฆ่าสัตว์อสูรระดับสองที่เขตแดนชั้นสามได้ ข้าก็รีบแอบไปดูพวกเขา แม้ว่าทั้งสองจะยังไม่เป็นเซียน แต่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขาก็ดูถูกไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจียงหยาง เซียงเทียน แค่แท่งเหล็กพังพัง เขาก็แทบจะไร้เทียบทานในเขตแดนชั้นสาม ไม่เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเขาจะไวแต่มันยังแม่นยำมากอีกด้วย ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาไม่เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบห้าปี ตรงกันข้าม มันเหมือนเป็นคนที่เคยสู้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว แกนอสูรระดับสองในมือของทั้งสองคนส่วนใหญ่เกิดจากการสังหารของเจียงหยาง เซียงเทียนคนเดียว เถี่ยต้าแค่เข้าไปร่วมในการต่อสู้ด้วย
เมื่อได้ยินแบบนี้ สายตาของรองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินก็แสดงท่าทางไม่เชื่อแล้วพูดออกมา ท่านอาจารย์ใหญ่ เจียงหยาง เซียงเทียนน่ากลัวเหมือนที่ท่านพูดจริงหรือ ?
อาจารย์ใหญ่พยักหน้าแล้วพูดออกมา ถ้าข้าไม่ได้ไปเห็นกับตาตัวเอง ข้าก็คงไม่เชื่อว่าเด็กอายุสิบห้าปีจะมีความแข็งแกร่งขนาดนี้เช่นกัน ส่วนที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์การต่อสู้ที่มากมายของเขาและทักษะการต่อสู้ นี่ไม่ใช่อะไรที่เรียกรู้กันได้เมื่ออยากจะเรียน หากไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้มาหลายร้อยครั้ง ก็ไม่สามารถเข้าใจหลักการได้ ไม่แปลกเลยที่เจ้าแก่เจียงชมเจียงหยาง เซียงเทียนมากมาย เขาเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์มากจริง ๆ ดูเหมือนเจ้าแก่นั่นจะเป็นคนสอนเขา
รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินมองไปอย่างโล่งใจในขณะที่เขาพูดออกมา ภายใต้การแนะนำของจอมยุทธเจียง เจียงหยาง เซียงเทียนต้องเป็นที่รู้จักแน่
…..
เจ้าสำนักพยักหน้าแล้วพูดออกมา แม้ว่าเจ้าแก่เจียงจะแนะนำเขาอยู่ข้าง ๆ แต่ถ้าเจียงหยาง เซียงเทียนไม่ได้มีพรสวรรค์ที่บรรเจิดอยู่แล้วแต่แรก เจ้าแก่เจียงก็คงไม่สามารถสอนเขาได้มากหรอกแม้จะเอาใจใส่มาก ถ้าเจียงหยาง เซียงเทียนไม่ใช่นายน้อยสี่ของตระกูลเจียงหยาง ข้าก็คงให้เขามาเป็นเด็กฝึกงานของข้าแล้ว เพราะว่า อัจฉริยะแบบนั้นหายาก ถ้าเขายังเติบโตอยู่อย่างนี้ต่อไป มันคงจะเป็นโชคที่ดีของอาณาจักรเกอซุน
….
หลังจากงานฉลอง เจี้ยนเฉินก็ได้รับชุดเครื่งแบบใหม่ และจากนั้นเขาก็เข้าไปอาบน้ำและชำระล้างสิ่งสกปรกบนร่างกายของเขาที่เขาได้มาจากป่าเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา หลังจากที่เขาใส่เครื่องแบบใหม่แล้ว เขาก็รู้สึกสดชื่นและกลับไปที่หอของเขา แม้ว่าเขาจะต่อสู้มาตลอดในระหว่างสามวันที่อยู่ในป่า แต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนออกมาเลย ในชาติที่แล้วของเขา เขาเจอสภาพแย่กว่านี้มาเยอะ
หลังจากที่กลับไปที่ห้องของเขา เจี้ยนเฉินก็นั่งขัดสมาธิบนเตียง เขาถือแกนอสูรระดับหนึ่งเอาไว้ในมือแต่ละข้าง และเริ่มฝึกฝน แม้ว่าพลังของเจี้ยนเฉินจะจะอยู่ในขั้นสูงสุดของพลังเซียนระดับสิบ เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงพลังเซียนที่อย่ในร่างของเขาที่ยังไม่ถึงสภาวะอิ่มตัว
ในขณะที่เขาค่อย ๆ ดูดซับพลังงานภายในแกนอสูร พลังเซียนของเจี้ยนเฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ความเร็วในการฝึกฝนของเขานั้นเร็วกว่าที่เขาดูดซับพลังงานของโลกถึงสิบเท่า
สามวันต่อมา นอกเหนือไปจากการกินอาหาร เจี้ยนเฉินก็ใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนในห้องของเขา ในที่สุด พลังเซียนของเขาก็ถึงจุดอิ่มตัว ไม่ว่าเจี้ยนเฉินพยายามที่จะดูดซับพลังงานในแกนอสูรอย่างไร พลังเซียนด้านในของเขาก็ไม่เติบโตขึ้นไปอีก
เจี้ยนเฉินเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าเขาเพิ่มรับพลังเซียนของเขาและควบแน่นอาวุธเซียนขึ้นมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นพลังเซียนในตัวเขาก็ยังจะอยู่นิ่งตลอดไป
ในการที่จะควบแน่นอาวุธเซียนขึ้นมา เจี้ยนเฉินได้เรียนถึงวิธีการในการเป็นเซียนจากหอหนังสือของสำนัก ในตอนสุดท้าย เราต้องใช้วิญญาณของพวกเราในการผสมผสานเข้าไปกับมัน เมื่อพลังเซียนภายในควบแน่นไปเป็นอาวุธได้อย่างสมบูรณ์แล้ว คนคนนั้นจะถูกเรียกว่าเป็นเซียนอย่างเป็นทางการ
เจี้ยนเฉินไม่ได้หยุด เขาเอาแกนอสูรระดับสี่ออกมาจากเข็มขัดมิติของเขา และเตรียมที่จะใช้มันเมื่อจำเป็น และเขาก็เริ่มควบแน่นอาวุธเซียนทันทีเพื่อที่จะรีบไปให้ถึงระดับเซียน
พลังเซียนในปราณของเจี้ยนเฉินถูกกักอยู่โดยวิญญาณของเขา ในการที่เขามีวิญญาณที่ทรงพลัง เจี้ยนเฉินจึงควบคุมพลังเซียนในปราณของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เจี้ยนเฉินใช้จิตใจของเขาในการควบคุมพลังเซียนทั้งหมดและค่อย ๆ รวบรวมมัน เขาสร้างมันเป็นรูปกระบี่อย่างช้าช้า และเขาก็ควบแน่นมันได้ในที่สุด
วิญญาณที่ทรงพลังของเจี้ยนเฉินถูกนำมาจากชาติที่แล้ว ตั้งแต่ที่เขาเกิด มันก็เหนือกว่าคนอื่นและภายใต้พลังนี้ พลังเซียนที่อ่อนแอไม่มีทางที่จะต้านมันได้ พลังเซียนถูกกดไว้อย่างสมบูรณ์โดยเจี้ยนเฉิน และเขาก็ควบแน่นมันเป็นกระบี่พลังเซียนอย่างมั่นคง
ในขณะที่พลังเซียนควบแน่นเล็กลงเล็กลง ปราณของเจี้ยนเฉินในตอนแรกที่เต็มไปด้วยพลังเซียนก็เริ่มที่จะเล็กลงเช่นกัน แต่พลังเซียนของเขานั้นเพิ่มสูงขึ้นและกระบี่ก็เป็นรูปแบบชัดเจนขึ้นเช่นกัน ในที่สุด มันก็กลายเป็นกระบี่เล็กเล็กในปราณของเขา
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็ยังคงพยายามที่จะควบแน่นมันมากไปกว่าเดิมอีก
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรวบรวมและควบแน่นพลังเซียนไปเป็นกระบี่ได้สำเร็จ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขากลายเป็นเซียนแล้ว ยังมีขั้นตอนสุดท้ายที่ยากที่สุดเหลืออยู่ ขั้นตอนนี้เป็นสิ่งที่กีดขวางไม่ให้หลายคนในทวีปเทียนหยวนกลายเป็นเซียนได้ตลอดชีวิตของพวกเขา
ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ เขารวมส่วนหนึ่งของวิญญาณของเข้าไปในปราณของเขาเพื่อที่จะควบแน่นมันได้ให้กลายเป็นรูปแบบกระบี่อย่างสมบูรณ์และสร้างความสัมพันธ์ทางวิญญาณกับมันให้ได้ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาวุธเซียน แม้ว่ามันจะดูเป็นขั้นตอนธรรมดา แต่มันก็ยากมากที่จะทำได้จริง
แม้ว่าขั้นตอนนี้จะยากมากสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่พวกนั้นก็ไม่ได้มีวิญญาณที่แข็งแกร่งเหมือนเจี้ยนเฉิน นี่เป็นอะไรที่เขาสามารถทำได้อย่างง่ายดาย เจี้ยนเฉินแบ่งส่วนหนึ่งของวิญญาณของเขาและเริ่มรวมมันเข้าไปกับอาวุธเซียนที่ควบแน่นขึ้นมาในปราณของเขา จากนั้นเขาก็ใช้การควบคุมที่เขาฝึกฝนมาในการเชื่อมมันทั้งสองเข้าด้วยกัน ในที่สุด ทั้งสองก็ผสมกลมกลืนกันสำเร็จ พวกมันไม่ได้แยกออกจากกันอีกต่อไปแล้ว
มันเป็นช่วงเวลาที่เจี้ยนเฉินได้กลายเป็นเซียนอย่างแท้จริง ขั้นตอนสุดท้ายนี้ไม่เป็นอุปสรรค์ใดกับเขา
ในตอนที่เจี้ยนเฉินผสมผสานวิญญาณของเขากับอาวุธเซียนของเขาได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็รู้สึกแปลกทันที เหมือนกับว่ากระบี่ที่ควบแน่นขึ้นมาภายในร่างของเขานั้นเป็นแขนขาของเขา เขาสามารถควบคุมมันได้อย่างง่ายดาย และเขาสามารถสัมผัสได้ชัดเจนถึงทุกส่วนของกระบี่
ในตอนนี้ ปราณของเจี้ยนเฉินไม่ได้มีพลังเซียนเหลืออยู่ด้านในเลย สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือกระบี่ที่ควบแน่นขึ้นมา ซึ่งมันเหมือนพลังงานแหล่งใหม่ กระบี่ดูเหมือนจะเล็กมากจากความกว้างและความยาวของมัน มันดูไม่แตกต่างไปจากเข็มเย็บผ้าเลย
ในตอนนี้ที่เขามีอาวุธเซียนที่ควบแน่นมากแล้ว เจี้ยนเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมจากอาวุธเซียนได้ชัดเจนกว่าเมื่อก่อน มันไม่เป็นการพูดเกินจริงไปเลยว่า ในฐานะที่เขาเป็นเซียนธรรมดา เขาสามารถเอาชนะคนที่อยู่ในขั้นสูงสุดของพลังเซียนระดับสิบได้อย่างง่ายดาย เว้นเสียแต่ว่าเหตุการณ์พิเศษบางอย่างจะเกิดขึ้น ไม่งั้นคนที่อยู่ในระดับสิบก็ไม่ใช่คู่มือ
ทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้านั้นมหัศจรรย์มาก ด้วยความแข็งแกร่งราวกับเทพเจ้าของเถี่ยต้า เช่นเดียวกันกับร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา แม้แต่เจี้ยนเฉินที่ฝึกพลังเซียนมาตั้งแต่ที่เขายังเด็ก เขาก็ยังไม่ทรงพลังเท่าเถี่ยต้าเลย ความแข้งแกร่งที่ผิดปกติของเถี่ยต้าบวกกับการป้องกันที่น่ากลัวของเขาชดเชยการขาดพลังเซียนของเขา เว้นเสียแต่ว่าความแตกต่างในพลังจะมีมาก ไม่เช่นนั้นคนคนนั้นคงไม่มีทางเทียบกับเถี่ยต้าได้
ก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินใช้พลังของเขาที่อยู่ในขั้นสูงสุดของระดับสิบเอาชนะเซียนชั้นกลางมาได้ แม้ว่าเขาจะพึ่งประสบการณ์และเทคนิคการต่อสู้จากชาติที่แล้วของเขา แต่เทคนิคกระบี่ที่รวดเร็วของเจี้ยนเฉินและความเข้าใจชั้นสูงในหกวิถีแห่งกระบี่ เช่นเดียวกันกับใจสู้ที่เขาได้รับมาจากการต่อสู้เสี่ยงตายมานับไม่ถ้วนในชาติที่แล้ว ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาไร้เทียบทานกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับเขา นอกเหนือไปจากนั้น ยังไม่ได้พูดถึงการต่อสู้กับคนที่ระดับสูงกว่าเขาด้วยซ้ำไป
ในตอนนี้เอง ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไป ปราณของเขาเริ่มสั่นไหวอีกครั้งอย่างกะทันหัน ปราณทั้งหมดของเขาเริ่มกระเพื่อมอย่างไม่มั่นคงรุนแรง ทันทีที่มันเริ่มกระเพื่อม ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะได้ทันทำอะไร พลังงานของโลกก็เริ่มพุ่งไปข้างหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ พลังงานของโลกรอบ ๆ ดูเหมือนจะได้รับผลจากแรงดึงที่มองไม่เห็น และมันก็ค่อย ๆ มารวมกันตรงที่ที่เจี้ยนเฉินอยู่ ในตอนนี้ ร่างของเจี้ยนเฉินดูเหมือนจะเสียการควบคุม และเขารู้สึกเหมือนรูขุมขนทุกรูของเขาจู่ ๆ ก็ขยายออก มันเริ่มดูดแก่นแท้ของโลกที่หนาแน่นรอบ ๆ เขาเข้าไปอย่างควบคุมไม่ได้
พลังงานภายในแกนอสูรที่อยู่ในมือเจี้ยนเฉินก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นสายพลังงานที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งไหลเข้ามาในร่างของเจี้ยนเฉิน
ในตอนนี้ ร่างของเจี้ยนเฉินก็เหมือนหลุมที่ไร้ก้น มันไม่เกี่ยวว่าแก่นแท้ของโลกรอบรอบเขานั้นจะรุนแรงเพียงใด มันถูกร่างของเขาดูดเอาไว้หมดเหมือนปลาวาฬที่กำลังสูบน้ำเข้าไป ในเวลาเดียวกัน พลังงานของแกนอสูรระดับสี่ในมือของเขาก็ลดไปอย่างรวดเร็ว และความเร็วที่มันถูกดูดซึมไปก็เร็วเหลือเชื่อ แกนอสูรที่เคยขนาดเท่ากำปั้นก็หดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน
ตอนที่ 52: แกนอสูรขั้นที่สี่ (2)
หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจบแล้ว ทุกคนก็สูดลมหายใจไปด้วยความตกใจ ทั้งลานเงียบสงัด จนกระทั่งได้ยินเสียงเข็มตกได้
จำนวนแกนอสูรนี้ทำให้แม้แต่รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน พูดไม่ออก สายตาของเขาจดจ้องไปที่แกนอสูรระดับสองกองใหญ่บนโต๊ะด้วยท่าทางตกตะลึง จำนวนนี้มากกว่าจำนวนแกนอสูรซึ่งผู้ที่ได้ที่หนึ่ง โบกาดิได้มามาก
สักพักผ่านไปก่อนที่ลูกศิษย์บางคนอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา ไม่มีทาง นี่มันเป็นไปไม่ได้แน่ เขาจะทำได้ไง เขายังไม่เป็นเซียนเลย ทำไมเขาถึงได้แกนอสูรมากมายในเขตแดนชั้นสาม และยังมากกว่าจอมยุทธชั้นนำของสำนัก โบกาดิอีก? นี่มันเป็นไปไม่ได้ เขาจะต้องเอาแกนอสูรพวกนี้มาจากข้างนอกเป็นแน่
เสียงค้านเพียงหนึ่งนี้ ทำให้ลูกศิษย์หลายคนร้องคัดค้านออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำนวนแกนอสูรเกือบร้อยที่เจี้ยนเฉินเอามาได้ทำให้หลายคนอิจฉาและรู้สึกไม่ยุติธรรม ในตอนนี้ที่เขาเอาแกนอสูรออกมาถึง 118 อันอีก ซึ่งมากกว่าจำนวนแกนอสูรระดับหนึ่งที่เขาเอามาเสียอีก ลูกศิษย์หลายคนยอมรับไม่ได้
ด้านล่างแท่น คนที่อยู่ในรายชื่อจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ ก็กำลังจ้องไปด้านหลังของเจี้ยนเฉินด้วยความตะลึงในขณะที่เขาพึมพำออกมา เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่ถึงขั้นเซียนเลย เขาไปได้แกนอสูรระดับสองมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร? เขาเอามากจากด้านนอกจริงจริงหรือ ? โบกาดิอดไม่ได้ที่จะคิดออกมาเหมือนคนอื่น อย่างไรก็ตาม เขาก็ปฏิเสธสมมุติฐานนี้ ตั้งแต่ก่อนที่จะเข้าไปในป่า ผู้บริหารของสำนักยึดเอาอุปกรณ์มิติทุกอย่างของลูกศิษย์ไป และลูกศิษย์ก็ได้รับการตรวจอย่างเข้มงวด นอกเหนือไปจากนั้น ป่ายังมีเพียงทางเข้าเดียว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่บางคนจะแอบเอาแกนอสูรเข้ามาจากข้างนอกได้
นอกเหนือไปจากนั้น ถ้าบางคนหาวิธีเอาสัตว์อสูรเข้ามาได้จริง โบกาดิเชื่อว่า คงไม่มีใครที่จะโง่มากที่เอาแกนสัตว์อสูรระดับสองร้อยกว่าอันเข้ามาในทีเดียว นี่จะทำให้สำนักทั้งหมดตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย และผู้บริหารจะต้องจ้างคนมาเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้แน่
ใกล้ ๆ กัน มีหญิงสวยในชุดที่ขาดรุ่งริ่งมองไปที่ร่างของเจี้ยนเฉินที่อยู่บนแท่นอย่างใจลอยแล้วพึมพำ เป็นไปได้อย่างไร? เด็กใหม่แบบเขาที่ยังไม่ได้เป็นเซียนเลยจะไปเอาแกนอสูรระดับ 2ร้อยกว่าอันมาได้อย่างไร ? น้ำเสียงที่ไพเราะของหญิงคนนี้เต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเขาได้ยินเสียงอาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจำนวนแกนอสูรของเจี้ยนเฉิน เฉิงหมิงเซียงก็ตกใจในขณะที่เขาจ้องอย่างเหลือเชื่อไปที่เจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าท่าทางของเขาก็มืดมน และมันก็ถูกแทนด้วยโทสะในที่สุด นี่เป็นเพราะคนที่ได้หนึ่งในสามในการแข่งขันแกนอสูรถึงจะได้รางวัล แม้ว่ารางวัลนี้จะไม่ได้มากมายสำหรับคนที่เกิดในตระกูลใหญ่อย่างเขา แต่มันคือเกียรติที่ยิ่งใหญ่และบ่งบอกถึงความแข็งแกร่ง ในตอนแรกนั้นเฉิงหมิงเซียงนั้นได้ที่สาม แต่ในตอนนี้เมื่อเจี้ยนเฉินเข้ามาแทรก เขาจึงถูกดันตกจากสามอันดับแรก นี่ทำให้เขาโกรธมาก และสิ่งที่ยิ่งยากที่จะยอมรับมากกว่าคือการที่เจี้ยนเฉินยังไม่ได้เป็นเซียนด้วยซ้ำ
เจียงหยาง เซียงเทียน… เขามองออกไป ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงมืดมนมากกว่าเดิมมากในขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
ในฝูงชน ท่าทางของลั่วเจี้ยนก็มืดมนเช่นกัน เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างเกลียดชัง เหมือนว่าเขาจะกลืนกินเจี้ยนเฉินไปด้วยสายตาของเขา
แม้ว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินในตอนนี้จะยังคงค่อนข้างอ่อนแอ แต่จิตวิญญาณของเขานั้นทรงพลังมาก บางทีเขาคงไม่สามารถสังเกตได้จากสายตาธรรมดา แต่เมื่อมีสายตาบางคนจับจ้องมาที่เขา จิตวิญญาณของเขาก็จับได้ทันที ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงรู้ได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตของลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียง เขาหันไปและใช้จิตวิญญาณที่ทรงพลังของเขาในการหาแหล่งสายตาที่จ้องมา และเขาก็พบลั่วเจี้ยนที่อยู่ในกลุ่มได้อย่างง่ายดาย
เมื่อเห็นท่าทางที่มืดมนของลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินก็เหยียดออกมา แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาชิงแกนสัตว์อสูรของลั่วเจี้ยนมา และทำให้เขาปฏิบัติภารกิจไม่สำเร็จ นอกเหนือไปจากนั้น เจี้ยนเฉินยังทำให้ลั่วเจี้ยนบาดเจ็บเช่นกัน ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมดาที่ลั่วเจี้ยนจะเกลียดเจี้ยนเฉินมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่สายตาของเจี้ยนเฉินหันไปหาเฉิงหมิงเซียง คิ้วของเขาก็ขมวดในขณะที่เขาแสดงท่าทีช่วยไม่ได้ออกมา เขาไม่ได้มีความเค้นกับเฉิงหมิงเซียง อุบัติเหตุก่อนหน้านี้ที่หอหนังสือนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยกว่าที่จะทำให้เกิดความเกลียดชังรุนแรง เหตุผลหลักคือการที่เจี้ยนเฉินเตะเฉิงหมิงเซียงหลุดออกจากสามอันดับแรก
การที่ได้ติดหนึ่งในสามของสำนักนั้นเป็นความสำเร็จที่เป็นเกียรติมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคนที่เกิดในตระกูลชั้นสูง เพราะว่าเกียรตินี้จะเพิ่มสถานะของพวกเขาได้มาก
ถ้าคนที่เป็นสิบยอดจอมยุทธเป็นคนที่เขี่ยให้เขาตกจากสามอันดับแรก เขาก็คงไม่รู้สึกไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อคนที่เขี่ยให้เฉิงหมิงเซียงตกจากสามอันดับแรกไม่ใช่แม้แต่จะอยู่ในรายชื่อสิบคน แต่ยังเป็นเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้เป็นเซียนเลยด้วยซ้ำ นี่ทำให้เฉิงหมิงเซียงที่เป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกฝนของสำนักคากัตรู้สึกอับอาย เขาไม่คิดเลยว่าเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามาที่สำนักจะมาถึงในระดับนี้ และทำให้เขารู้สึกเกลียดเจี้ยนเฉินขึ้นมา
แม้ว่าจะยังมีเถี่ยต้าที่เป็นเด็กฝึกหัดของเจ้าสำนักและมีผู้ที่มีอำนาจมากกว่าที่เขามีหนุนหลังอยู่ แน่นอนว่า เฉิงหมิงเซียงก็ไม่กล้าที่จะไปทำให้อาจารย์ใหญ่โกรธอยู่แล้ว
อาจารย์ผู้ตรวจสอบประเมินสูดหายใจลึกและบังคับให้ตัวเองสงบลง เขามองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งแล้วยิ้ม เจียงหยาง เซียงเทียน เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจจริง ๆ ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่าคนแบบเจ้าที่ยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียนจะได้แกนอสูรระดับสองมามากมายแบบนี้ เจ้าเหนือกว่าคนที่ได้ที่หนึ่งในตอนแรก โบกาดิ มาก ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนได้ที่หนึ่งในการแข่งขันนี้ไป อาจารย์ยื่นเข็มขัดมิติและเข็มกลัดเกียรติยศให้เจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินหัวเราะและยื่นมือออกไปรับสิ่งของ ท่านอาจารย์พูดเกินไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าใครจะได้ที่หนึ่ง เพราะว่ายังมีเถี่ยต้าอีกคน จำนวนแกนอสูรที่เขามีไม่ได้น้อยไปกว่าข้าเลย หลังจากพูดจบ เจี้ยนเฉินก็เก็บเอาแกนอสูรทั้งหมดเข้าไว้ในเข็มขัดมิติของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน อาจารย์ก็มองเจี้ยนเฉินและยิ้มอย่างไม่พูดอะไร
หลังจากที่เจี้ยนเฉินเก็บแกนอสูรระดับสองบนโต๊ะทั้งหมดไปแล้ว เขาก็เดินลงมาจากแท่น หลังจากนั้น เถี่ยต้าก็เดินขึ้นไปบนโต๊ะและเริ่มเอาแกนอสูรระดับสองของเขาออกมาจากเข็มขัดมิติ
เถี่ยต้าเข้ามาในเขตแดนชั้นสามกับเจี้ยนเฉิน และเขาก็แบ่งแกนอสูรเท่า ๆ กัน ดังนั้น พวกเขาจึงมีแกนอสูรปริมาณเท่า ๆ กับที่เจี้ยนเฉินมี หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบนับเสร็จแล้ว มันก็แสดงให้เห็นว่าเถี่ยต้านั้นมีแกนอสูรระดับสองอยู่ 119 อัน ซึ่งมากกว่าเจี้ยนเฉิน 1 อัน
หลังจากที่อาจารย์ผู้ตรวจสอบประกาศจำนวนแกนอสูรของเถี่ยต้าแล้ว คนทั้งหมดในสนามก็ตกใจพูดไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง
ด้านล่างแท่น คนที่เป็นอันดับที่ห้าจากสิบยอดจอมยุทธของสำนักคากัต จิงหมิงเยว่ ก็นิ่งอึ้งไป เมื่อมองดูที่นาง นางเหมือนวิญญาณออกจากร่าง นางถูกดันไปสองอันดับจากเด็กใหม่สองคน ผลลัพธ์นี่มันยากเกินยอมรับได้ เพราะว่านางใช้ความพยายามและพลังงานมากในการรวบรวมแกนอสูรเหล่านั้นมา นางไม่คิดว่าเด็กใหม่ที่ยังไม่เป็นเซียนสองคนจะได้แกนอสูรมากมายได้อย่างไร
ในตอนนี้เอง หญิงที่สวยงามมากก็เดิมไปที่จิงหมิงเยว่และนางก็เข้าไปเอาแขนโอบเอวจิงหมิงยู่เอาไว้ นางหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านพี่จิง ท่านไม่คิดซินะว่าท่านจะถูกดันให้ตกจากอันดับสองจากเด็กใหม่สองคน ใช่หรือไม่ ?
จิงหมิงเยว่ถอนหายใจและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น คิดไม่ถึงจริง ๆ เด็กใหม่สองคนนั้นยังไม่เป็นเซียนเลยด้วยซ้ำ แต่พวกนั้นยังได้แกนอสูรมามากมาย สองคนนั้นยังเขี่ยจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ ให้ตกไปอยู่ที่สามอีกด้วย ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าพวกเขาได้แกนอสูรมากมายเช่นนั้นมาได้อย่างไร มันเป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเขาจะพวกมันเข้ามาจากด้านนอก ?
หญิงสาวหัวเราะคิกคักตอบกลับ ท่านพี่จิง ท่านเดาผิดแล้ว ข้าเชื่อว่าแกนอสูรระดับสองเหล่านั้นได้มาจากความแข็งแกร่งของพวกเขาเอง ไม่ใช่เอามาจากด้านนอกเหมือนที่ท่านสงสัย
คำพูดของหญิงคนนี้ทำให้จิงหมิงเยว่ผงะ จิงหมิงเยว่หันไปและจ้องอย่างสงสัยไปที่หญิงคนนี้และถามด้วยน้ำเสียงอยากรู้ เซียวลี่ ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนั้นล่ะ?
หญิงคนนั้นยิ้มอย่างลึกลับ ในขณะที่นางแสดงท่าทีมีเกียรติออกมา นางพูดเสียงเบาเบา ท่านพี่จิง ข้าเจอสองคนนั้นในเขตแดนชั้นสองและอยู่กับพวกเขามาทั้งวัน ท่านจะประเมินพวกเขาต่ำไม่ได้ พวกเขาทั้งคู่นั้นน่ากลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เจียงหยาง เซียงเทียน เขาฆ่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งไปหลายตัวด้วยแท่งเหล็กธรรมดา โดยการแทงทะลุไปที่คอของพวกมัน
จริงหรือ ? จิงหมิงเยว่ถามออกมาอย่างตกใจ เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อ
แน่นอน ข้าเห็นมันกับตา ไม่มีทางที่จะไม่ใช่ได้ หญิงคนนั้นยืดอกขึ้นมาและพูดอย่างมั่นใจ อีกทั้ง คืนนั้น พวกเราได้เจอกับการโจมตีลับจากหมาป่าสีน้ำเงินมากกว่ายี่สิบตัว ทั้งสองฆ่าพวกมันทั้งหมดอย่างไม่ต้องพยายามมากเลย
อะไรนะ? เจ้าพูดว่าพวกนั้นสองคนฆ่าหมาป่าสีน้ำเงินมากกว่ายี่สิบตัวด้วยตัวของพวกเขาเองอย่างนั้นหรือ? เมื่อได้ยินแบบนี้ จิงหมิงเยว่ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บอาการตกใจเอาไว้ แม้ว่านางจะเป็นเซียนระดับสูง แต่นางก็ยังต้องหนีหากนางไปเจอกับสัตว์อสูรระดับหนึ่งยี่สิบกว่าตัวเข้า อย่าว่าแต่การจะฆ่าพวกมันเลย
หญิงสาวคนนั้นพยักหน้าออกมากระฉับกระเฉงแล้วพูดออกมา ใช่แล้ว ท่านพี่จิง ข้าเห็นมันมาเองเลย แม้ว่าเจียงหยาง เซียงเทียนและเถี่ยต้าจะยังไม่ได้ควบรวมอาวุธเซียนของพวกเขา แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนไปกว่าเซียนเลย นี่เป็นเหตุผลที่ข้าบอกว่าแกนอสูรของพวกเขานั้นไม่ได้เอาเข้ามาจากด้านนอกแน่
เมื่อยินแบบนี้ จิงหมิงเยว่ก็ก้มหัวลงและคิดอย่างเคร่งเครียด แม้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะเขี่ยให้นางตกจากหนึ่งในสาม แต่นางก็ไม่ได้แสดงร่องรอยของความผิดหวังออกมาก เห็นได้ว่า จิงหมิงเยว่นั้นไม่ใช่คนที่ใจแคบ
หลังจากที่การประเมินจบ พิธีมอบรางวัลก็เริ่มขึ้น ในครั้งนี้ หนึ่งในสามสำหรับแกนอสูรระดับหนึ่งและที่สองจะได้รับรางวัลเดียวกัน รางวัลที่หนึ่งเป็นแกนอสูรระดับสี่และเหรียญเกียรติยศที่ทำมากจากเหรียญม่วง ทั้งที่สองและที่สามจะได้แกนอสูรระดับสามและเหรียญเกียรติยศที่ทำมาจากเหรียญทอง
เหรียญเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่ามาก แต่มันก็แสดงถึงความสำคัญมาก ดังนั้น แม้แต่ชนชั้นสูงที่มีคนหนุนหลังที่ทรงพลังยังไม่สามารถละสายตาของเหรียญเกียรติยศพวกนี้ได้
เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้สองอันดับแรกสำหรับแกนอสูรขั้นที่หนึ่งและขั้นที่สอง พวกเขาจึงได้รางวัล 2 ครั้ง ที่สามสำหรับแกนอสูรระดับหนึ่งยังเป็นของมู่เทียน และที่สามของแกนอสูรระดับสองเป็นของจอมยุทธอันดับหนึ่งของสำนักคากัต โบกาดิ
หลังจากที่พิธีรับรางวัลจบลง เจี้ยนเฉินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้นไปที่พลังงานที่บริสุทธิ์พวยพุ่งออกในแกนอสูรระดับสี่ที่เขาถือเอาไว้ในมือ ด้วยการที่มีแกนอสูรระดับสี่ พร้อมกับแกนอสูรอื่นมากกว่าสองร้อยอันในเข็มขัดมิติของเขา มันก็ทำให้เขาใช้ได้ไปอีกนาน ตามการคาดการของเจี้ยนเฉิน เขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการไม่มีแกนอสูรให้ใช้ไปอย่างน้อย 1 ปี
ตอนที่ 51: แกนอสูรระดับสี่ (1)
คนทั้งสิบผ่านการตรวจสอบอย่างรวดเร็ว ในครั้งนี้ ชายหนุ่มที่ดูธรรมดาก็ได้โผล่ขึ้นมา ชายหนุ่มคนนี้ใส่เสื้อขาดรุ่งริ่ง แต่ความเย่อหยิ่งก็ปรากฏออกมาผ่านทางคิ้วของเขาเสมอ ตอนที่เขามาที่โต๊ะ เขาก็เอาแกนอสูรกองใหญ่ออกมาวางไว้บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว
อาจารย์ที่รับผิดชอบในการตรวจสอบรู้จักชายหนุ่มคนนี้ดีและหลังจากที่นับจำนวนแกนอสูรบนโต๊ะแล้ว เขาก็พูดออกมาอย่างชื่นชม มีแกนอสูรทั้งหมด 93 อัน ค่อนข้างดีทีเดียว เฉิงหมิงเซียง คะแนนของเจ้าดีมากจริง ๆ
เมื่อได้ยินชื่อของเฉิงหมิงเซียง เถี่ยต้าที่อยู่ปลายสุดของแถวก็มองไปที่เฉิงหมิงเซียงที่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะเพื่อรอให้การประเมินสิ้นสุด สายตาของเถี่ยต้าเป็นประกายและเต็มไปด้วยวิญญาณนักสู้ เขายังไม่สามารถลืมการต่อสู้ที่ยังไม่จบระหว่างเขากับเฉิงหมิงเซียงได้ ในตอนนั้น เขาไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนตอนนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฆ่าสัตว์อสูรในป่ามาสามวัน ตั้งแต่เขาได้รับการชี้แนะจากเจี้ยนเฉิน ความสามารถในการต่อสู้ของเถี่ยต้าในตอนนี้ก็เหนือกว่าที่เขามีแต่ก่อนมาก เขาเชื่อว่าด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ เช่นเดียวกันกับประสบการณ์ในการต่อสู้ที่เขาได้รับมา เขาคงจะสามารถใช้ความแข็งแกร่งราวกับพระเจ้าในการต่อสู้ เพื่อชดเชยความแตกต่างในพลังเซียนระหว่างพวกเขาทั้งสองคนได้ มันไม่มีทางที่เขาจะแพ้เฉิงหมิงเซียง
แม้ว่าเถี่ยต้าจะหัวทึบ แต่เขาก็เข้าใจชัดเจนว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกับเฉิงหมิงเซียง ดังนั้นเขาจึงทำได้แต่มองอย่างโกรธเกรี้ยวไปที่ด้านหลังของเฉิงหมิงเซียง ในที่สุด เขาก็ข่มความต้องการที่จะสู้กับเฉิงหมิงเซียงเอาไว้ได้
เมื่อได้ยินคำชมจากอาจารย์ เฉิงหมิงเซียงก็ยิ้มและแววตาของเขาก็แสดงความภูมิใจออกมา และดวงตานั้นก็ซ่อนความเย่อหยิ่งอยู่ภายใน
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินได้จดบันทึกในสมุด แล้วพูดต่อ แกนอสูรระดับสอง 93 อัน ฮ่าห์! ถ้าไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น เจ้าจะติดหนึ่งในสามสำหรับแกนอสูรขั้นที่สองแน่ นอกเหนือไปจากนั้น เจ้านั้นเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝน ดังนั้นอนาคตของเจ้าต้องไกลไร้ขอบเขตแน่ พยายามต่อไป
ขอบคุณมากสำหรับคำชม อาจารย์สตีฟ !
คำชมของอาจารย์ทำให้เฉิงหมิงเซียงยิ่งมีท่าทางเย่อหยิ่งมากขึ้นไปอีก
หลังจากนั้น เฉิงหมิงเซียงก็คืนเข็มขัดมิติของสำนักและรับเข็มกลัดเกียรติยศก่อนจะลงจากแท่นไป
หลังจากที่เฉิงหมิงเซียงลงไป ศิษย์คนอื่นที่อยู่ในเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งเหมือนกันก็เดินไปที่โต๊ะ เขาดึงแกนอสูรกองใหญ่ออกมา มันดูเหมือนเขาจะมีแกนอสูรไม่น้อยไปกว่าเฉิงหมิงเซียงเลย
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินยิ้มและพยักหน้า สายตาของเขาหยุดที่ใบหน้าของชายหนุ่มนี้ในขณะที่เขาพูดออกมาอย่างช้าช้า ไม่เลว ฮวงดง ดูเหมือนการเก็บเกี่ยวของเจ้าในครั้งนี้จะมากพอดูเลย
เมื่อได้ยินชื่อของฮวงดง ศิษย์บางคนด้านล่างแท่นก็อุทานออกมาอย่างตกใจ ท่าทางของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไป สายตาของเขาจดจ้องไปที่ร่างคนหนุ่มนั้นทันที เจี้ยนเฉินคุ้นกับชื่อของฮวงดงดี ความแข็งแกร่งของเขาเป็นอันดับที่สามจากสิบอันดับจอมยุทธของสำนักคากัต เจี้ยนเฉินได้ยินมาว่าพลังของเขานั้นอยู่ในขั้นสูงสุดของระดับเซียนเมื่อปีก่อน และอีกเพียงนิดเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้เป็นเซียนระดับสูง นอกเหนือไปจากนั้น เมื่อเขาพัฒนาไปได้สำเร็จแล้ว มันก็จะเป็นเครื่องหมายว่าเขาจบการศึกษาจากสำนักได้
รายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธของสำนักคากัตบอกถึงศิษย์ที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามที่สุด 10 คน ทั้งหมดเป็นเซียนขั้นสูงสุด และอีกไม่ไกลที่พวกเขาจะได้เป็นเซียนระดับสูง เมื่อพวกเขาพัฒนาการแล้ว พวกเขาก็จะหลุดจากรายชื่อนี้
ฮวงดงตอบกลับคำชมของอาจารย์ด้วยรอยยิ้มเท่านั้น และไม่ได้พูดอะไรกลับไป
ในไม่ช้า อาจารย์ก็นับจำนวนแกนอสูรบนโต๊ะเสร็จ ฮวงดงได้แกนอสูรขั้นที่ 2 ทั้งหมด 91 อัน น้อยกว่าเฉิงหมิงเซียง 2 อัน
เมื่อฮวงดงลงจากแท่นไป คนจำนวนมากขึ้นจากในรายชื่อสิบจอมยุทธก็ปรากฏขึ้นบนแท่น เกือบทั้งหมดทุกคนได้แกนอสูรมาเป็นจำนวนมาก และศิษย์ที่อยู่ในอันดับหนึ่งจากรายชื่อสิบจอมยุทธ โบกาดิ ก็ได้มาทั้งหมด 103 อัน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างจอมยุทธสุดยอดทั้งสิบ มีเพียง 4 คนในพวกนั้นเท่านั้นที่ปฏิบัติงานสำเร็จ ที่เหลืออีก 6 คนล้มเหลว พวกเขาเจอกับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับพวกเขา แต่พวกเขาแพ้ให้กับกลุ่มตรงข้ามเนื่องด้วยความแตกต่างในด้านจำนวน ดังนั้นแกนอสูรของพวกเขาจึงถูกชิงไป
ในไม่ช้า ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธก็ลงจากแท่นไป คนที่เหลืออยู่ทั้งหมดเป็นที่รู้จักกันดี ในตอนนี้ คนที่มีจำนวนแกนอสูรมากที่สุดคือคนที่อยู่ที่หนึ่งในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธ โบกาดิ ซึ่งมีทั้งหมด 103 อัน
คนที่ได้ที่สองอยู่ในอันดับที่ห้าของหนึ่งในสิบสุดยอดจอมยุทธ จิงหมิงเยว่ นางเป็นหญิงเพียงผู้เดียวที่อยู่ในรายชื่อนี้ นางได้แกนอสูรไปทั้งหมด 101 อัน น้อยกว่าโบกาดิ 2 อัน
คนที่ได้ที่สามคือ เฉิงหมิงเซียง ซึ่งได้ 93 อัน แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในรายชื่อสิบสุดยอดจอมยุทธ แต่พลังของเขาก็อยู่ในระดับเซียนขั้นสูง เขาเป็นพวกหัวกะทิของสำนักคากัต ความสามารถของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าจอมยุทธที่อยู่ในรายชื่อสิบคนมาก และที่สำนักคากัต เขาก็ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะในการฝึกฝน ความเร็วในการฝึกฝนของเขานั้นสูงกว่าคนส่วนมาก และความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็ไม่สามารถมองข้ามได้ด้วยเช่นกัน
หลังจากที่ทั้งสามคนออกไป ทุกคนก็คาดการได้ถึงผู้ชนะที่ได้อันดับสามอันดับที่ดีที่สุด เพราะว่าคนที่เหลืออยู่นั้นไม่ใช่คนที่เป็นที่รู้จักดีในสำนักคากัต พลังของพวกเขาทั้งหมดแค่เป็นเซียนขั้นต้นหรือขั้นกลางเท่านั้น และไม่มีทางที่จะเทียบกับทั้งสามคนนั้นได้
กลุ่มสี่คนของเจียงหยางหู่ก็แย่งชิงแกนอสูรมาได้บ้างซึ่งต้องขอบคุณเจี้ยนเฉิน แม้ว่าทั้งสี่คนจะแบ่งแกนอสูรไปเท่า ๆ กัน แต่ทุกคนยังมีได้รับแกนอสูรคนละ 30-40 อัน แม้ว่านี่จะไม่ใช่จำนวนที่มากมาย แต่เมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วนั้น ปริมาณขนาดนี้ก็ถือว่าค่อนข้างดีแล้ว เพราะว่าพวกเขายังเป็นแค่เซียนขั้นต้นเท่านั้น
ในไม่ช้า เซียนทั้งหมดก็ถูกประเมินจนครบ แม้ว่าจะมีบางคนที่มีแกนอสูรอยู่มากบ้าง แต่ก็ไม่มีใครที่มีมากไปกว่าที่สาม ในตอนนี้ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เหลืออยู่คือ เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉิน
ในตอนนี้ ทั้งคู่และอาจารย์อยู่บนแท่นและสายตาของศิษย์หลายคนก็จับจ้องไปยังเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า ทั้งสองคนยังไม่ได้เป็นเซียน แต่พวกเขาก็อยู่ในระดับที่สามารถสังหารสัตว์อสูรระดับสองได้ นี่ทำให้บางคนรู้สึกอิจฉามากและมีอารมณ์สับสน ในตอนนั้น ทุกคนพยายามที่จะเดาว่าพวกเขาทั้งสองที่ยังไม่ได้เป็นแม้แต่เซียนจะมีแกนอสูรเท่าไร แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าที่จะใช้มาตรฐานที่สูงเป็นพื้นฐานในการตัดสินสิ่งที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้มา พวกเขาทั้งหมดเดาว่าพวกเขาทั้งสองคงมีแกนอสูรขั้นที่สองอยู่ไม่มาก
เจี้ยนเฉินเดินไปหาอาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินและเอาเข็มขัดมิติของเขาออก ในตอนนี้ อาจารย์มองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทางชื่นชม การตัดสินเจี้ยนเฉินที่เขามีในตอนแรกได้หายไปจนหมดสิ้น แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าคงไม่ได้ครอบครองแกนอสูรมากกว่าสิบอันแน่ แต่เรื่องที่พวกเขาทั้งสองได้เข้ามาในเขตแดนที่สามและเอาแกนอสูรขั้นที่สองมาครอบครองได้โดยยังไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียน ก็เป็นอะไรที่อาจารย์นับถือแล้ว เพราะว่านี่เป็นครั้งแรกที่คนที่ไม่ใช่เซียนสามารถฆ่าสัตว์อสูรขั้นที่สองได้ในประวัติศาสตร์ของสำนักคากัต
ในตอนนี้เอง อาจาร์ยที่กระสับกระส่ายนั่งอยู่บนแท่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขามองไปที่เจี้ยนเฉินทีละคน ๆ
เจี้ยนเฉินกวาดสายตามองอาจารย์ที่อยู่รอบ ๆช้า ๆ ในตอนที่เขามั่นใจแล้วว่าอาจารย์นั้นกำลังจ้องมาที่เขาด้วยสายตาที่ตั้งหน้าตั้งตารอ ท่าทีนิ่งเฉยของเขาก่อนหน้านี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน เขาเอื้อมเข้าไปในเข็มขัดมิติและเอาแกนอสูรระดับสองจำนวนหนึ่งออกมาและกองมันไว้บนโต๊ะ มันดูเหมือนจะมีประมาณ 10 อัน
หลังจากที่ได้เห็นเจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับสองออกมา 10 อัน อาจารย์หลายคนที่อยู่บนแท่นก็มีท่าทางตกใจและเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดว่าจำนวนนั้นเกินกว่าที่พวกเขาส่วนใหญ่คาดหวังเอาไว้ เพราะว่าในด้านของความแข็งแกร่งนั้น มันมีความแตกต่างอย่างมากระหว่างสัตว์อสูรระดับหนึ่งและระดับสอง ตามการคาดการตอนแรกของพวกเขา มันก็ค่อนข้างมหัศจรรย์แล้วที่เจี้ยนเฉินจะได้แกนอสูรระดับสองมาสามหรือสี่อัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่คิดเลยว่าเจี้ยนเฉินจะได้มาถึง 10 อัน
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ไม่รีรอให้คนอื่นคิดอะไรต่อ แล้วเขาก็เอาแกนอสูรระดับสองเต็มกำมือออกมาจากเข็มขัดมิติของเขาอีก
ในตอนนี้ จำนวนของแกนอสูรระดับสองที่อยู่บนโต๊ะนั้นมีหลายสิบอันแล้ว จำนวนนี้เท่ากับจำนวนของศิษย์เซียนบางคนที่ทำได้ในช่วงสามวันที่ผ่านมา
เมื่อได้เห็นภาพนี้ อาจารย์ทั้งหมดบนแท่นก็แสดงท่าทางกังขาออกมา แม้แต่อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินก็อดไม่ได้ที่จะตกใจจนพูดไม่ออกกับจำนวนแกนอสูรหลายสิบอันที่เจี้ยนเฉินเอาออกมา แม้ว่าจะมีแกนอสูรระดับสองจำนวนไม่กี่สิบอัน แต่นี้ก็ทำให้อารมณ์ของอาจารย์พุ่งพรวดมากกว่าเดิมในตอนที่เจี้ยนเฉินเอาแกนอสูรระดับหนึ่งประมาณร้อยอันออกมาอีกในครั้งเดียว เพราะว่า คนที่เอาแกนอสูรออกมาครั้งนี้นั้นยังไม่ได้เป็นเซียนด้วยซ้ำ
ในตอนนี้เอง อาจารย์ทั้งหมดก็ตระหนักขึ้นได้ทันทีว่าถ้าแกนอสูรระดับสองทั้งหมดที่อยู่ตรงนี้ได้มาจากการที่เจี้ยนเฉินฆ่าสัตว์อสูรระดับสองด้วยตัวเอง การพัฒนาการในอนาคของเขาก็คง…
ในตอนที่อาจารย์คิดถึงศิษย์ที่ยังไม่ใช่เซียนแต่ยังฆ่าสัตว์อสูรระดับสองได้ พวกอาจารย์สิบกว่าคนก็อดไม่ได้ที่จะพบว่ามันเหลือเชื่อ
รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน คนที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็ยิ้มออกมาอย่างพอใจและพึมพำออกมา ไม่เลว ไม่เลว ไม่เลวเลย สิ่งเดียวที่ยังไม่รู้ในตอนนี้คือแกนอสูรที่เจ้าได้จากการฆ่าสัตว์อสูรด้วยกำลังของเจ้านั้นมีจำนวนเท่าไรกันแน่ ดูเหมือนนี่จะต้องตรวจสอบดูกันต่อไป
หลังจากที่เอาแกนอสูรออกมาหลายสิบอัน การเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้หยุด มือของเขาล้วงเข้าไปในเข็มขัดมิติอีกครั้งแล้วเอาแกนอสูรอีกจำนวนหนึ่งออกมา หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ทำอย่างเดิมซ้ำ ๆ และภายใต้สายตาที่เหลือเชื่อและตกใจของอาจารย์ เขาก็เอาแกนอสูรระดับสองหลายขนาดออกมาจนเต็มไปทั้งโต๊ะ
เมื่อเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยแกนอสูรระดับสอง อาจารย์ทั้งหมดที่อยู่บนแท่นก็นิ่งอึ้ง แม้แต่ศิษย์ที่อยู่ด้านล่างแท่นที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะก็ยังมีท่าทางเหลือเชื่อเหมือนกับว่าพวกเขาได้เห็นภาพที่พวกเขาไม่เข้าใจ
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินสูดหายใจเข้าลึก และพยายามระงับอารมณ์ตกใจเอาไว้และพยายามสงบสติลง แกนอสูรบนโต๊ะจำนวนขนาดนี้เป็นจำนวนที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ถึงเขาจะเคยเห็นแกนอสูรระดับสูงกว่านี้มามากแล้ว
อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างตึงเครียดก่อนที่จะก้มหน้าลงแล้วนับแกนอสูร ในไม่ช้า การประเมินก็สิ้นสุด อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็มีท่าทางเหลือเชื่อและตกใจบนใบหน้าของเขา อารมณ์ที่สงบลงของเขาก็พุ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้อีกครั้ง เขานั่งลงที่หน้าโต๊ะอย่างมึนงง และไม่สามารถเปิดปากรายงานจำนวนของแกนอสูรได้
หลังจากที่หายใจไปสองสามเฮือก รองหัวหน้า จางไป่เอิน ที่นั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธานก็ไม่อยากที่จะรอนานกว่านี้แล้วพูดออกมา สตีฟ เร็วข้า รายงานจำนวนของแกนอสูรมา น้ำเสียงของรองหัวหน้าไป่เอินสั่นเล็กน้อยเนื่องจากตื่นเต้น แม้ว่าท่าทางของเขาจะสงบมาก
เมื่อได้ยินคำพูดของรองหัวหน้า อาจารย์ที่ทำหน้าที่ประเมินก็สูดหายใจลึกก่อนจะประกาศออกมา เจียงหยาง เซียงเทียน แกนอสูรระดับสองที่ได้มา 108 อัน
Chaotic Sword God ตอนที่ 50 แกนอสูรระดับ 1 เกือบร้อยอัน
แกนอสูรถูกนับอย่างรวดเร็ว อาจารย์ผู้ตรวจสอบกล่าวว่า มีแกนอสูรทั้งหมด 98 อัน นี่คือเข็มขัดมิติของเจ้า โปรดส่งคืนเข็มขัดมิติของสำนักในตอนนี้ ผู้อาวุโสส่งมอบเข็มขัดสีเขียวมรกตไปให้เจี้ยนเฉิน นี่เป็นเข็มขัดมิติที่บิดาของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางป้า ได้ให้เขาเป็นของขวัญก่อนที่จะจากตระกูลเจียงหยางมา
เจี้ยนเฉินเหลือบมองไปยังเข็มขัดของทางสำนักเล็กน้อย และกล่าวออกมาด้วยท่าทีลังเลบางอย่าง ท่านอาจารย์ ได้โปรดให้ข้าเก็บเข็มขัดมิติของข้าไว้ก่อน หลังจากการตรวจสอบจบลง ข้าจะส่งคืนเข็มขัดมิติของทางสำนักให้กับท่าน
ได้ยินเช่นนี้แล้ว คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันและถามด้วยท่าทีสับสน อะไร ? บางทีมันอาจจะเป็นเพราะ เจี้ยนเฉินได้รับแกนอสูรเกือบ 100 อัน แต่ทัศนคติของผู้อาวุโสที่มีต่อเจี้ยนเฉินนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด
ท่านอาจารย์ ข้ายังมีแกนอสูระดับ 2 ในเข็มขัดมิติของข้า ดังนั้นดังนั้นข้าต้องการที่จะมีส่วนร่วมในการตรวจสอบแกนอสูรในภายหลัง เจี้ยนเฉินกล่าวออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ตอนนี้เป็นเพียงการตรวจสอบแกนอสูรระดับ 1 เท่านั้น ซึ่งการตรวจสอบแกนอสูรระดับ 2 จะไม่เริ่มต้น การตรวจสอบอย่างแรกจะเสร็จสิ้นลงไป
หืม เช่นนั้นแล้ว? เจ้ายังคงมีแกนอสูรระดับ 2 หรือ ? ได้ยินอย่างนี้แล้ว ก็ปรากฏความไม่เชื่อเด่นชัดบนใบหน้าของเขา และเขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความสงสัย มันไม่ได้แต่เพียงเพียงกับอาจารย์ท่านนี้ แต่อาจารย์ท่านอื่น ๆ ที่นั่งอยู่บนแท่นเวที กลับมองไปยังเจี้ยนเฉินด้วยแววตาเช่นเดียวกัน
เจี้ยนเฉินพยักหน้า ใช่ขอรับ ท่านอาจารย์!
ได้ยินอย่างนี้แล้ว อาจารย์สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สายตาของเขาที่มีต่อเจี้ยนเฉินมีความจริงจังมากขึ้น ตอนนี้เขาเพียงแค่ตระหนักถึงข่าวลือรอบ ๆ บริเวณสำนักเกี่ยวกับเจียงหยางเซียงเทียนดูจะไม่เกินจริงเลยสักนิด แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องเช่นนี้ และโบกมือ เอาล่ะ จัดเก็บแกนอสูรเหล่านี้ เจ้ายังคงสามารถที่จะเข้าร่วมการตรวจสอบรอบสองได้
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็ได้เก็บแกนอสูรเข้ามาในเข็มขัดมิติของเขาและเดินออกจากแท่นนั้น แต่ตอนนี้ทั้งอาจารย์บนแท่นเวทีและลูกศิษย์ที่อยู่รอบตัวเขาต่างมองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง อาศัยการมองตาของพวกเขา จะเห็นถึงความซับซ้อนผสมกับความอิจฉาริษยาและแม้กระทั่งความรังเกียจ
หลังจากที่เดินออกจากแท่นเวที เจี้ยนเฉินไม่ได้ไปสมทบกับฝูงชน แต่เขาเดินขึ้นไปยังกลุ่มคนที่รอคอยการตรวจสอบแกนอสูรระดับ 2 และเข้าแถวรออยู่ตรงนั้น ลูกศิษย์ทุกคนที่รอตรวจสอบ ต่างก็เป็นระดับเซียนทั้งสิ้น และนอกเหนือจากกลุ่มเจียงหยางหู่ ทุกคนมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างตกตะลึงและสงสัย ในขณะที่เจี้ยนเฉินเดินขึ้นไปยังพวกเขา พวกเขาไม่เคยได้พบกับเจี้ยนเฉินในเขตแดนชั้น 3 และมันก็เห็นได้ชัดว่า พวกเขาพบว่ามันผิดปกติมากสำหรับคนที่ยังไม่ได้อยู่ในระดับเซียนซึ่งจะสามารถมีแกนอสูรระดับ 2 ได้ จริง ๆ พบว่ามันเป็นสิ่งที่ยากจะเชื่อว่าเจี้ยนเฉินได้เข้ามายังเขตแดนชั้น 3 และสังหารสัตว์อสูรระดับ 2 ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขากลับได้รับมันอย่างน้อยถึง 2 อัน
จากนั้นก็เป็นคราวของเถี่ยต้า หลังจากเจี้ยนเฉินเดินออก เถี่ยต้าก็เดินมายังด้านหน้าของอาจารย์ผู้ตรวจสอบ
ในตอนนี้ การที่เถี่ยต้านั้นเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่นั้นไม่ใช่ความลับอีกต่อไป อาจารย์ทุกคนจำเขาได้ เมื่อเถี่ยต้าเดินขึ้นไป ช่วยไม่ได้ที่อาจารย์ท่านนั้นจะยิ้มขณะออกมา ในขณะที่เขากล่าวว่า เถี่ยต้า ข้าสงสัยว่าผลลัพธ์ของเจ้าจะเป็นเช่นไร
เถี่ยต้าหัวเราะแต่ไม่ได้กล่าวตอบอะไร เช่นเดียวกับเจี้ยนเฉิน เขาเอื้อมมือเข้าไปยังเข็มขัดมิติโดยตรงและดึงแกนอสูรออกมาหนึ่งกำมือ ก่อนที่จะวางเบา ๆ ลงบนโต๊ะ กำมือหนึ่งของเถี่ยต้ามีขนาดใหญ่กว่าเจี้ยนเฉินเล็กน้อย ดังนั้นทุกครั้งที่หยิบออกมามันจึงได้ออกมาราว 14-15 ชิ้น
เห็นแกนอสูร 14-15 ชิ้น บนโต๊ะ อาจารย์ตรวจสอบเริ่มที่จะยิ้มในใจ ขณะที่เขาคิดกับตัวเอง เป็นเช่นที่คาดคิดไว้ บุคคลที่ถูกจับจองโดยอาจารย์ใหญ่ แม้ว่าเขาจะมีหัวใจและร่างกายของพยัคฆ์ และดูเหมือนจะขาดความอดทน แต่ความสามารถของเขานั้นอดที่จะชมเชยมันออกมาไม่ได้
หลังจากนำแกนอสูรออกมา 14-15 ชิ้น การเคลื่อนไหวของเถี่ยต้านั้นก็ไม่ได้หยุดลง เขาเอื้อมมือเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขาอีกครั้ง เพื่อที่จะดึงแกนอสูรออกมาอีกหนึ่งกำมือ ลูกศิษย์และอาจารย์ทุกคน จ้องมองมาที่โต๊ะ จำนวนแกนอสูรค่อย ๆ เพิ่มขึ้นมากขึ้นและมากขึ้นจนมีหลายโหล
เพียงไม่นาน หลังจากนั้น ในที่สุดเถี่ยต้าก็หยุดมือ เห็นแกนอสูรกองอยู่เกือบ 100 อัน เมื่อเห็นแกนอสูรทั้งหมดที่เขาได้รับ เถี่ยต้าหัวเราะอย่างตรงไปตรงมาและมีความสุข กล่าวว่า อาจารย์ เหล่านี้เป็นแกนอสูรที่ข้าได้รับ
ในขณะที่อาจารย์และลูกศิษย์ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงถึงกับตกตะลึง พวกเขาทุกคนเหลือบมองไปยังแกนอสูรเกือบ 100 ชิ้น ด้วยสายตาที่ไม่อยากเชื่อ
อาจารย์ผู้ตรวจสอบถอนหายใจยาวออกมา และจ้องไปที่เถี่ยต้าด้วยสายตาจริงจัง กล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า เยี่ยม เยี่ยม เถี่ยต้า เจ้าทำได้ดีมากและไม่ได้ทำให้อาจารย์ของเจ้าเสียชื่อเลยสักนิด หลังจากพูดเช่นนี้ อาจารย์เริ่มก้มหน้านับแกนอสูร เขาไม่ได้สอบถามวิธีการที่เถี่ยต้าได้รับแกนอสูรเหล่านั้น ในหัวใจของเขาเขามีการเชื่อมโยงเข้าด้วยกันกับการเก็บรวบรวมแกนอสูรของเจี้ยนเฉิน
อาจารย์ได้นับแกนอสูรเสร็จสิ้นแล้วและกล่าวออกมา มีแกนอสูรที่นี่ทั้งหมด 97 อัน คำพูดนี้ที่อาจารย์บันทึกลงไปในสมุดจด
หลังจากที่เขาจดบันทึกเสร็จสิ้น อาจารย์หยิบเอาเข็มขัดสีดำที่ประดับไปด้วยอัญมณีไม่กี่ชิ้นและส่งมันไปพร้อมกับเข็มกลัดเกียรติยศ และกล่าวว่า เถี่ยต้า นี่เป็นเข็มขัดของเจ้าที่อยู่ในการดูแลของเรา เช่นเดียวกับเข็มกลัดเกียรติยศที่เจ้าได้รับ เก็บแกนอสูรของเจ้าและส่งคืนเข็มขัดของสำนัก
มันเห็นได้ชัดจากการจ้องมองว่าเข็มขัดมิติระดับสูงของเถี่ยต้านั้นได้รับมาจากอาจารย์ใหญ่ หลังจากได้กลายเป็นศิษย์ส่วนตัว มิฉะนั้นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ธรรมดาสามัญเช่นเขาจะมีปัญญาซื้อสินค้ามีคุณภาพสูงเช่นเข็มขัดมิตินี้ได้หรือ แม้ว่าเข็มขัดนี้จะมีลักษณะที่ไม่ธรรมดา ในทวีปเทียนหยวน มันไม่ใช่สิ่งของที่บุคคลธรรมดาจะมีไว้ในครอบครองได้
เถี่ยต้าจ้องมองไปยังเข็มขัดมิติสีดำครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะส่ายหัวและกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ข้าอยากจะให้เข็มขัดมิตินี้อยู่ภายใต้การดูแลของท่าน ข้ายังคงมีแกนอสูรระดับ 2 อีก
อะไรนะ! เจ้ายังมีแกนอสูรระดับ 2 อีกงั้นหรือ? ได้ยินอย่างนี้แล้ว อาจารย์ผู้ตรวจสอบมองไปที่เขาอย่างตกใจมาก ซึ่งท่าทีไม่อาจเชื่อก็ปรากฏอยู่ในนั้นด้วย
ได้ยินคำพูดของเถี่ยต้า อาจารย์คนอื่น ๆ ที่ยังคงนั่งอยู่บนแท่นเวทีสบตากันด้วยสายตาที่ไม่อาจเชื่อ พวกเขาไม่เคยคิดว่านอกจากเจี้ยนเฉินแล้ว จะมีลูกศิษย์คนอื่น ๆ ไม่ได้อยู่ที่ในระดับเซียนได้รับแกนอสูรระดับ 2 ด้วย
อาจารย์ผู้ตรวจสอบลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตอบ เถี่ยต้า เจ้าเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3 ? แม้ว่าคำถามของอาจารย์จะอยู่เหนือขอบเขตความรับผิดชอบของเขา แต่เขาไม่อดถามออกมาด้วยความสงสัยไม่ได้ แม้เขาจะเดาได้อยู่แล้วถึงคำตอบนั้น แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่กล้าที่จะเชื่อ เว้นแต่ว่าเถี่ยต้าจะยืนยันมันออกมา
เถี่ยต้าพยักหน้าและพูดด้วยเสียงอู้อี้ ใช่ ข้าไปเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3.
อาจารย์ผู้ตรวจสอบยังคงถามอย่างต่อเนื่องว่า เจ้าได้รับแกนอสูรระดับ 2 จากการสังหารสัตว์อสูรงั้นหรือ? แม้จะมีความจริง สิ่งที่เขาถามจะเกินขอบเขตของเขา แต่ไม่มีใครพยายามที่จะหยุดเขาเพราะมันไม่ได้เป็นเพียงอาจารย์ผู้ตรวจสอบเท่านั้นที่อยากรู้คำตอบ แม้แต่อาจารย์ทุกคนบนเวทียังรู้สึกแบบเดียวกันและพวกเขาต้องการการยืนยันให้ชัดเจน
ส่วนหนึ่งของมันได้มาจากการที่เจียงหยางเซียงเทียนและข้าได้ฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้น เถี่ยต้าไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปกปิดแต่อย่างใด แต่เขากล่าวเพียงครึ่งเดียวของเรื่อง
ได้ยินเช่นนี้แล้ว อาจารย์ผู้ตรวจสอบถามออกมาด้วยความตกตะลึงและไม่อาจเชื่อ อะไรนะ ! เจ้ากำลังบอกว่า เจ้าและเจียงหยางเซียงเทียนได้สังหารสัตว์อสูรระดับ 2 งั้นหรือ?
เถี่ยต้าพยักหน้าและตอบว่า ใช่
คำตอบนี้ทำให้อาจารย์ทุกคนบนเวทีต้องตกตะลึง พวกเขาหลายคนไม่สามารถเชื่อว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยินนั้นจะเป็นเรื่องจริง สำหรับลูกศิษย์สองคนที่ยังไม่เป็นเซียนแต่กลับสามารถสังหารสัตว์อสูรระดับ 2 ได้ เรื่องนี้มันเป็นประวัติศาสตร์ของสำนักคากัตเลยด้วยซ้ำ
หลังจากนั้นเถี่ยต้าเก็บแกนอสูรของเขาและเดินออกจากเวที เขาเข้าร่วมกลุ่มกับคนที่รอการตรวจสอบแกนอสูรระดับ 2 และยืนอยู่ข้างหลังเจี้ยนเฉิน แต่ ณ จุดนี้ เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินได้กลายเป็นศูนย์รวมความสนใจของทุกคน และคนที่ล้มเหลวในภารกิจซึ่งกำลังยืนอยู่เบื้องล่าง พวกเขามองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาริษยาเป็นอย่างมาก มีคนอีกจำนวนมากที่หนีไปทั่วอย่างน่าสงสารและพยายามที่จะเสาะหาแกนอสูรระดับ 1 อย่างยากลำบาก และพวกเขาก็ไม่เคยคิดว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะอยู่ในระดับสูงที่ซึ่งเขาไม่สามารถจัดการได้ ไม่เพียงแต่ได้รับแกนอสูรระดับ 1 นับร้อยในเขตแดนชั้น 2 แต่ยังได้รับแกนอสูรระดับ 2 อีก นี่เองที่ทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงเป็นอย่างมาก และคนที่อยู่ในระดับสูงกว่าพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกละอายใจ
หลังจากนั้นไม่นานชั้น การตรวจสอบแกนอสูรระดับ 1 ก็จบลง คนที่มีจำนวนมากที่สุดของแกนอสูรนั้นคือ เจี้ยนเฉินที่มีทั้งหมด 98 แกนอสูร ในขณะที่เถี่ยต้าอยู่ในลำดับ 2 ซึ่งห่างเพียงแค่ชิ้นเดียว ทั้งสองคนได้รับแกนอสูรมากมาย ซึ่งมากกว่ามู่เทียนซึ่งเป็นที่ 3 เป็นเท่าตัว
ท่ามกลางฝูงชน ตาของมู่เทียนเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ ขณะมองไปยังเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า และเขาก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า เถี่ยต้า เจียงหยางเซียงเทียน ชื่อเสียงของเจ้านั้นเป็นสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองควรได้รับจริง ๆ เจ้าทั้งสองคนถึงกับสามารถโค่นล้มเซียนลงได้ มันคงดี หากข้าจะมีโอกาสที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับเจ้าทั้งคู่
แม้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะขโมยความเป็นจุดสนใจไปจากเขา แต่มู่เทียนไม่ได้ความไม่พอใจออกมาแต่อย่างใด เขายังคงมีท่าทีไม่แตกต่าง ราวกับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ไม่มีนัยสำคัญกับเขาแต่อย่างใด
ในขณะที่เจียงหยางหู่เดินไปหาเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้ามีความสุขและพูดด้วยเสียงเบา น้องสี่ พวกเจ้าสองคนไม่ธรรมดาจริง ๆ ภายใน 3 วัน พวกเจ้านั้นกลับได้รับแกนอสูรมาเกือบคนละ 100 อัน น้ำเสียงของเจียงหยางหู่ไม่สามารถที่จะปกปิดความสุขได้มิด ขณะที่เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความภาคภูมิใจ
เจี้ยนเฉินยิ้ม ไร้ซึ่งคำพูดใด ๆ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปในขณะที่เขารู้สึกถึงบางอย่าง เขามองอยู่ข้างหลังของเขา ที่จะเห็นเด็กหนุ่มที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังจ้องมองเขาท่าทีเกลียดชัง เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องกลับมีสายตาที่แสดงเจตนาฆ่าอย่างชัดเจน และช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะขมวดคิ้วของเขา
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจี้ยนเฉินตรวจสอบรูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้วเขาก็ใม่ได้สนใจ คนผู้นั้นคือลั่วเจี้ยนที่แกนอสูรของเขาถูกปล้นทั้งหมดโดยเจี้ยนเฉิน แกนอสูรที่ถูกขโมยไปอย่างไร้ความปราณีและเขาได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แม้ว่ามันจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมากในการเคลื่อนไหวของเขา เนื่องจากเขาและกลุ่มเพื่อนฝูงของเขาสูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ไปหมด พวกเขาไม่สามารถรวบรวมพลังเพื่อขโมยแกนอสูรของผู้อื่นหรือล่าสัตว์อสูรได้หลังจากนั้น ดังนั้นลั่วเจี้ยนจึงจบภารกิจลงด้วยความล้มเหลว
เจี้ยนเฉินยิ้มออกมา เขาแสดงให้เห็นถึงท่าทีดูถูก เจี้ยนเฉินไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ ไปที่ลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินพบคนเป็นจำนวนมากจากการเดินทางในชีวิตก่อนของเขา แต่อย่างไรก็ตาม มีจำนวนน้อยมากที่จะสามารถกระตุ้นอารมณ์ของเขาได้
รอบที่สองของการตรวจสอบแกนอสูรกำลังจะเริ่มในไม่ช้า ลูกศิษย์ที่มาถึงระดับเซียน จากนั้นก็เดินไปยังแท่นเวทีด้วยท่าทีได้รับชัยชนะ แต่ยกเว้นเพียงแต่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าที่ยังก้าวมาไม่ถึงระดับเซียนเหมือนกับทุกคน
อาจารย์ที่ทำการประเมินแกนอสูรระดับสอง ยังเป็นอาจารย์คนเดียวกันและการตรวจสอบนั้นก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะทุกการขโมยที่เกิดขึ้นในเขตแดนที่ 3 แกนอสูรของลูกศิษย์นับร้อยกลับรวบรวมที่อยู่ที่คน ๆ เดียว ดังนั้นทั้งหมดของพวกเขามีมากกว่า 2 อันขึ้นไป และอีกหลายคนที่มีมากกว่า 10 อัน หรือมีแม้กระทั่งคนที่ได้รับแกนอสูรถึง 23 อัน
Chaotic Sword God ตอนที่ 49 ตกตะลึง
ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นของเจี้ยนเฉิน ลูกศิษย์ทั้งหมดที่ยืนเรียงกันอยู่ข้างหลังเขา นอกเหนือจากเถี่ยต้าแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็มีท่าทีตกตะลึงออกมา พวกเขาทั้งหมดจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างประหลาดใจและคนจำนวนไม่น้อยต่างคิดว่าพวกเขาฟังผิดไป ในมุมมองของพวกเขา ถ้าต้องการส่งมอบแกนอสูร แล้วทำไมไม่ส่งมันไปเล่า ทำไมต้องวุ่นวายเกี่ยวกับขนาดของโต๊ะที่ใช้ด้วย ? นี่มันเป็นเป็นการหาเรื่องกันหรืออย่างไร ?
คน ๆ นั้นคือใครกัน ? เขาช่างสะเพร่าจริง ๆ ถึงกระทั่งต้องการให้ท่านอาจารย์เปลี่ยนโต๊ะ … .
เขาช่างโง่จริง ๆ กล้าบอกอาจารย์สตีฟ ว่าโต๊ะมีขนาดเล็กเกินไปต่อหน้าผู้คนได้อย่างไรกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาต้องการที่จะให้อาจารย์สตีฟเปลี่ยนโต๊ะเพื่อเขาอีกต่างหาก สวรรค์ สำหรับเขาที่เผชิญหน้ากับอาจารย์สตีฟเกี่ยวกับเรื่องโต๊ะนั่น นั่นเขาไม่ทราบหรืออย่างไรว่าอาจารย์สตีฟเป็นอาจารย์ที่เข้มงวดที่สุดในสำนักคากัต ?
…..
คนจำนวนไม่น้อยเริ่มที่จะชี้ไปยังเจี้ยนเฉิน มองเขาราวกับว่าเขาเป็นคนโง่เขลา
อาจารย์ผู้ตรวจสอบมีท่าทีเปลี่ยนไปทันที ในขณะที่เขาขมวดคิ้วของเขาและจ้องมองอย่างจริงจังไปที่เจี้ยนเฉิน เขาส่งเสียงขึ้นจมูกและจากนั้นก็กล่าวเสียงต่ำว่า เจ้ามีนามว่าอะไร? เจ้าถึงกับกล้ากล่าวเช่นนี้กับอาจารย์ โต๊ะนี้เป็นได้ถูกเตรียมมาชั่วอายุคนแล้ว มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เพียงเพราะเจ้าบอกว่ามันควรเปลี่ยน
ในคำพูดของเจี้ยนเฉิน ไม่เพียงแต่ทำให้อาจารย์ผู้ตรวจสอบรู้สึกหงุดหงิด อาจารย์ผู้ตัดสินที่อยู่ด้านหลัง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วของเขา ขณะที่พวกเขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยท่าทางไม่พอใจ คำกล่าวของเจี้ยนเฉินนั้นไม่สุภาพอย่างมากกับพวกเขาที่เป็นอาจารย์
ไม่มีเพียงสักคนเดียวที่พิจารณาว่าในความจริงแล้ว เจี้ยนเฉินได้ร้องขอเปลี่ยนโต๊ะนั้นเพราะขนาดของโต๊ะที่ไม่เหมาะสมกับแกนอสูรทั้งหมดในเข็มขัดมิติของเขา
แน่นอน ยกเว้นอาจารย์บางคน ท่าทีของพวกเขาก็ยังคงเงียบสงบมาก ใบหน้าของพวกเขายังคงมีรอยยิ้ม อาจารย์กลุ่มนี้เป็นเหล่าคนที่ได้เห็นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเอาชนะฝูงหมาป่าสีน้ำเงินได้
ในเวลานี้อยู่เบื้องหลังพวกเขาเป็นสาวสวย ดวงตาที่ส่องประกายของนางเริ่มเต็มไปด้วยท่าทีสงสัย จมลงไปในความคิดและกระซิบเบา ๆ นั่นแปลก ทำไมข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับเงาของเขานัก อาจเป็นเพราะข้าได้พบกับเขาในสักแห่ง ? คิ้วของหญิงสาวเริ่มขมวดจากการใช้ความคิด ทันใดนั้นดวงตาของนางประกายและความคุ้นเคยเป็นอย่างมากได้ปรากฏขึ้นในใจของนาง ช่วงเวลาต่อไป ดวงตาของนางแสดงให้เห็นท่าทีของความประหลาดใจ นางตะโกนออกมาอย่างไม่ทันรู้ตัว เจียงหยางเซียงเทียน เขาคือเจียงหยางเซียงเทียน
หญิงสาวไม่ได้ออมเสียง นั่นทำให้ผู้คนจำนวนมากได้ยินเสียงนาง ทุกคนในช่วงเวลานี้ที่ได้ยินชื่อเจียงหยางเซียงเทียน ใบหน้าของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไปทันที เป็นลูกศิษย์ที่ก่นด่าว่าเจียงหยางเซี่ยงเทียนว่าสะเพร่าเกินไป เริ่มที่จะปิดปากของพวกเขาทันที เหมือนเด็กที่เชื่อฟัง
เจียงหยางเซียงเทียนเป็นนามที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสำนักคากัตและเป็นคนที่ทุกคนล้วนรู้จัก แต่อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีใครจดจำเขาได้ ใบหน้าเจี้ยนเฉินเต็มไปโดยโคลนและสิ่งสกปรกจำนวนไม่น้อย เสื้อผ้าของเขาก็ยังขาดรุ่งริ่งซึ่งมองดูคล้ายกับขอทาน กับรูปลักษณ์ในปัจจุบันของเขา ไม่มีใครจะสามารถที่จะจำเขาได้ แม้เขาจะอยู่ด้านหน้าของทุกคนก็ตาม
หลังจากที่ได้ยินชื่อเจียงหยางเซียงเทียน สีหน้าของอาจารย์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบแกนอสูรก็ว่างเปล่า ในขณะที่เขาเพ่งดูอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดว่าเจียงหยางเซียงเทียนเป็นชื่อที่แม้กระทั่งอาจารย์ก็คุ้นเคยกับมัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเจี้ยนเฉินจะมีอำนาจที่จะสามารถที่จะสั่งให้เขานำโต๊ะมาเปลี่ยนใหม่ ปากของอาจารย์อ้า และหุบอีกครั้งหนึ่งอย่างไม่เชื่อ ก่อนที่จะเตรียมที่จะพูดอีกครั้ง แต่ในตอนนั้นไป่เอินก็กล่าวออกมาจากคณะกรรมการของสำนัก จงนำโต๊ะที่ใหญ่กว่านี้ออกมาให้เร็ว รอยยิ้มกลับปรากฏบนใบหน้า แทนที่จะเป็นท่าทีไม่พอใจ ทันใดนั้นเขามองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาคาดหวัง ราวกับเขารู้เหตุผลว่าทำไมเจี้ยนเฉินนั้นต้องการที่จะเปลี่ยนเป็นโต๊ะขนาดใหญ่
รองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอิน แม้ว่าเขาจะอายุเพียง 34 ปี แต่ศักดิ์ศรีของเขาภายในสำนักคากัตอยู่ในระดับสูงมาก ซึ่งเป็นรองเพียงอาจารย์ใหญ่เท่านั้น เมื่อเขาพูดออกมา อาจารย์ทั้งหมดก็เงียบไปทันที นอกเหนือจากอาจารย์ไม่กี่คนแล้ว อาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าใจถึงสิ่งที่รองอาจารย์ใหญ่ได้พยายามจะสื่อ โดยพวกเขาต่างก็คิดว่า โต๊ะเดิมนั้นก็ใหญ่ก็มากเกินพอที่จะนับแกนอสูรแล้ว ซึ่งโต๊ะขนาดใหญ่กว่านั้นมันไม่จำเป็นด้วยซ้ำ
ไม่นานหลังจากนั้น โต๊ะขนาดยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ถูกยกขึ้นไปบนเวทีและโต๊ะเดิมที่เคยใช้ตรวจสอบก็ถูกนำออกไป
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าควรจะมีความพอใจกับเรื่องนี้ใช่ไหม? อาจารย์ตรวจสอบนั่งอยู่ในด้านหน้าของโต๊ะที่มีขนาดใหญ่ ทัศนคติที่เขามีต่อเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้ดีนัก มันเห็นได้ชัดว่าการร้องขอของเจี้ยนเฉินสำหรับโต๊ะขนาดใหญ่ ได้สร้างความประทับใจที่ไม่ดีนักกับอาจารย์อาวุโสที่อายุราว 50-60 ปี
ความเห็นในใจของผู้อาวุโสที่มีอคติ ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินต้องยิ้มออกมาอย่างขมขื่น เขาไม่เคยคิดว่าเพียงเพราะอะไรบางอย่างเช่นนี้ อาจารย์ถึงกับต่อต้านเขาลึก ๆ นี่แน่นอนความคาดหวังได้ปลิวหายไปด้วย แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้ใส่ใจมันนัก
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินหยิบของในเข็มขัดมิติ ซึ่งแตกต่างจากลูกศิษย์คนอื่น ๆ ที่ได้นำมันออกมาเพียงทีละ 1 อัน โดยครั้งหนึ่งเขาคว้ามันออกมากว่า 10 อัน และดึงออกมาวางอย่างเบามือ แกนอสูรทั้งหมดเหล่านี้เป็นสีขาวจาง ๆ และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางไม่มากไปกว่านิ้วของผู้ใหญ่
เห็นเจี้ยนเฉินดึงแกนอสูรออกมาถึง 10 ชิ้นในครั้งเดียว ผู้อาวุโสตรวจสอบถึงแม้ว่าจะไม่พอใจกับเจี้ยนเฉินในการกระทำก่อนหน้านี้ แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาจะพยักหน้าออกมา แต่เช่นเดียวกับผู้อาวุโสสันนิษฐานว่าแกนอสูรเหล่านี้ล้วนมาจากฝีมือของเจี้ยนเฉินทั้งหมด เจี้ยนเฉินเอื้อมมืออีกครั้งเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขาและยังคงดึงมันออกมาด้วยแกนอสูรที่เต็มกำมืออีกครั้งหนึ่ง ที่ยังมีถึง 10 ชิ้นในกำมือของเขา
ตอนนี้จำนวนแกนอสูรทั้งหมด 20 ชิ้นได้วางเรียงกันอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เห็นอย่างนี้ตาของผู้อาวุโสตรวจสอบสว่างขึ้น เขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจและคิดในใจว่า ชื่อเสียงของเจี้ยนเฉินไม่ได้เกินจากที่ร่ำลือเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะยังไม่ถึงระดับเซียน เขาก็สามารถที่จะเอาชนะเซียนได้ ดูเหมือนว่าเขาจะมีฝีมือมากจริง ๆ
หลังจากนี้ เจี้ยนเฉินยังคงสอดมือเข้าไปในเข็มขัดมิติและดึงแกนอสูรออกมาอีกหนึ่งกำมือ ก่อนที่จะวางเบา ๆ ลงบนโต๊ะ ตึง ตึง ตึง เสียงดังออกมานั้นเป็นเสียงแกนอสูรที่สัมผัสกับโต๊ะไม้
หลังจากที่เห็นเจี้ยนเฉินนำแกนอสูรออกมาอีก 10 อันจากเข็มขัดมิติของเขา อาจารย์ตรวจสอบนั้นได้เปลี่ยนแปลงท่าทีในทันที ดวงตาของเขาในขณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตกตะลึง เนื่องจากตอนนี้เจี้ยนเฉินได้นำแกนอสูรออกมาถึง 30 อัน ซึ่งมันมากกว่ามู่เทียนมีถึง 7 อัน
สำหรับลูกศิษย์ที่ยังไม่ถึงระดับเซียนแต่กลับสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 ในป่าได้ถึง 30 ตัวภายใน 3 วัน นั่นไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันจะต้องถูกจดจำ แม้กระทั่งผู้อาวุโส ที่ได้เดินทางไปทั่วโลกและร่วมเป็นสักขีพยานตั้งหลายสิ่งหลายอย่าง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะถึงกับอ้าปากค้างด้วยความไม่อาจเชื่อ แม้ว่าสัตว์อสูรเหล่านี้จะมีพลังโจมตีที่ค่อนข้างต่ำ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นงานง่าย สำหรับผู้ที่อยู่เพียงขั้นสูงสุดของระดับ 10 จะสังหารพวกมันได้
เมื่อเจี้ยนเฉินคว้ามันออกมาถึง 30 ชิ้น อาจารย์ผู้ตรวจสอบนั้นได้กลายเป็นประหลาดใจ พร้อมกับอาจารย์คนอื่น ๆ ที่อยู่เบื้องหลังเขา ขณะที่พวกเขาเฝ้าดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ไม่เคยคาดคิดมาก่อน เพียงอาจารย์ไม่กี่คน ที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่อง บนใบหน้าของพวกเขาปรากฏรอยยิ้ม ขณะที่ลูกศิษย์ที่เรียงรายอยู่ด้านหลังเขา ได้แต่ตะลึงเมื่อเขาได้ดึงแกนอสูรออกมาทั้งหมด 30 ชิ้น
แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจที่จะมองท่าทางของบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์โดยรอบ ในขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองที่เขา มือของเขาเอื้อมเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขาอีกครั้ง และคว้าแกนอสูรออกมาวางบนโต๊ะอีกครั้ง เมื่อมือของเขายังไม่หยุด อาจารย์ทุกคนมองด้วยอย่างนิ่งงัน ขณะที่เป็นวงจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเอื้อมมือเข้าไปในเข็มขัดมิติและคว้าออกมาอีกครั้ง …
หลังจากนั้นไม่นาน เจี้ยนเฉินไว้วางแกนอสูรที่เต็มมือของเขาลงบนโต๊ะ ไม่นานโต๊ะขนาดใหญ่ก็เต็มไปด้วยแกนอสูร แม้ว่าทั้งหมดจะเป็นแกนอสูรระดับ 1 ทั้งหมด เพราะพวกมันมาจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน แกนเหล่านั้นจึงไม่ได้มีขนาดเดียวกันทั้งหมด บางแกนอสูรที่มีขนาดเล็กก็เกือบขนาดของนิ้วหัวแม่เท้าของคนและบางแกนที่ใหญ่ที่สุดก็มีขนาดเท่ากับกำปั้นของเด็ก
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าอาจารย์และลูกศิษย์นั้นต่างตกอยู่ในความตกตะลึง สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเซียน และฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 กว่า 100 ตัว ในช่วงระยะเวลาเพียง 3 วัน; ถ้าหากมีคนพยายามที่จะพูดแบบนี้กับคนอื่น พวกเขาจะไม่เชื่อ ในขณะนี้ นอกเหนือจากคนกลุ่มเล็ก ๆ ส่วนใหญ่หลายคนไม่เชื่อ หลายคนมีความคิดที่ว่าจำนวนแกนอสูรที่มากถึงเพียงนั้นเป็นผลมาจากหลาย ๆ คนช่วยเขาเก็บแกนอสูรหรือไม่ก็ได้มาจากการขโมย ความเห็นของคนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้คิดว่าเขาได้ฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว
เห็นโต๊ะนั้นเต็มไปด้วยแกนอสูรนับร้อยจากเจี้ยนเฉิน อาจารย์ผู้ตรวจสอบได้แต่สูดหายใจเข้าลึก ๆ แม้ว่าในใจของเขาคิดว่าเจี้ยนเฉินจะต้องได้รับมันจากการต่อสู้กลุ่มอื่น ๆ อีกมากมาย สำหรับจำนวนแกนอสูรของเจี้ยนเฉิน เขาได้แต่ชื่นชมในความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตาม แม้พวกมันจะได้มาจากการแย่งชิง แต่อาจารย์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจ เพราะมันเป็นเหตุการณ์ปกติในทวีปเทียนหยวน
เห็นแกนอสูรนับร้อยจากเจี้ยนเฉิน รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินมองดูอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขารู้ดีแก่ใจว่าทำไมเขตแดนที่ 2 ถึงมีผู้คนน้อยนิดที่ล่าแกนอสูร เพราะว่าพวกมันถูกปล้นโดยเจี้ยนเฉิน ที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เจี้ยนเฉินขโมยแกนอสูรมาจากบางคน มิฉะนั้นทุกคนคงจะต้องผ่านการทดสอบแกนอสูรเป็นแน่
ด้วยสิ่งเหล่านี้ รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินเงียบ ขณะที่ในใจของเขาตกตะลึง ในขณะเดียวกันก็มีข้อสงสัยเล็ก ๆ ว่ามันอาจเป็นไปได้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าสามารถฆ่าสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดายโดยไม่จำเป็นต้องใส่ปราณลงในอาวุธ ? แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่ต้องบ่มเพาะพลังอีกต่อไปแล้ว? โดยไม่คาดคิดเลยว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า พวกเขาทั้งสองคนได้สังหารสัตว์อสูรกว่า 100 ตัว โดยระยะเวลาเพียง 3 วันจริง ๆ
มองเข้าไปในสายตาของอาจารย์ค่อนข้างซับซ้อน หลังจากที่เขาได้เริ่มต้นที่จะนับแกนอสูรบนโต๊ะ อาจารย์ไม่ได้ถามเขาว่าได้รับมาอย่างไร เนื่องจากเขาได้สรุปมันออกมาในใจของตัวเองแล้ว
Chaotic Sword God ตอนที่ 48 มู่เทียน
ในบรรดาคนกว่า 100 คน คนส่วนใหญ่ของพวกเขาจะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเซียน และการเข้าร่วมกิจกรรมในเขตแดนชั้น 2 เมื่อลูกศิษย์ที่มีแกนอสูรระดับ 1 เดินขึ้นไปมีเพียงแค่ 30 คนเท่านั้นที่ยังคงอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ลูกศิษย์ผู้ซึ่งไม่รู้เกี่ยวกับเงื่อนไขของเขตแดนที่ 3 ถึงกับตกตะลึง
แม้ว่าเขตแดนที่ 3 มีสัตว์อสูรระดับ 2 แต่พวกมันล้วนแล้วแต่มีพลังโจมตีที่ต่ำทั้งสิ้น สำหรับเซียนที่หลอมรวมอาวุธเซียนขึ้นมา แม้ว่ามันอาจเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาหรือนางในการต่อสู้กับสัตว์อสูรเพียงลำพัง แต่ตราบใดมีคนสักเล็กน้อยร่วมมือกัน การล่าสัตว์อสูรในเขตแดนชั้น 3 มันไม่ควรจะเป็นเรื่องยากมาก แน่นอนมันควรเป็นเรื่องง่ายกว่ามาก หากเทียบกับลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้ก้าวมาถึงระดับเซียนในการฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 แต่อย่างไรก็ตาม อาวุธเซียนนั้นทรงพลังเป็นอย่างมาก และมันห่างไกลกว่าที่จะเทียบกับอาวุธธรรมดานัก
ตรรกะของคนที่ประสบความสำเร็จในภารกิจของเขตแดนที่ 3 แน่นอนควรจะสูงกว่าผู้ที่อยู่ในเขตแดนที่ 2 แต่ไม่มีใครเคยคิดว่า เหตุการณ์นั้นจะจบลงด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ แต่ถึงอย่างไร ในเขตแดนที่ 3 มีเพียงลูกศิษย์กว่า 30 คนที่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ ซึ่งจำนวนนั้นน้อยกว่าคนที่สำเร็จภารกิจจากเขตแดนที่ 2
เมื่อลูกศิษย์คนแรกที่เข้ามายังด้านหน้าของอาจารย์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบแกนอสูร ทันใดนั้นเขาเอื้อมหยิบแกนอสูรจากในเข็มขัดมิติ และวางมันทั้งหมดลงบนโต๊ะอย่างเบามือ ลูกศิษย์คนนี้นำออกมาเพียง 3 ชิ้นเท่านั้น
กวาดสายตามมองไปยังแกนอสูรระดับ 1 สามชิ้น อาจารย์ที่อายุราวสัก 50 ปีเริ่มพินิจดูแกนอสูร ก่อนจะพยักหน้าและกล่าวว่า อืม ไม่เลว คุณสมบัติของเจ้าผ่าน เจ้าชื่ออะไร?
ท่านอาจารย์ ข้าชื่อเฉิงหยุนเฟิง เด็กหนุ่มที่ถูกตรวจสอบกล่าวออกอย่างตื่นเต้น เพียงแค่สองคำ ไม่เลว มันยืนยันได้ถึงความจริงที่ว่าอาจารย์ชื่นชมเขา ได้รับคำชมเชยจากอาจารย์ นั่นเป็นเกียรติอย่างสูงกับเขานัก
อาจารย์หยิบพู่กันของเขาและบันทึกข้อมูลลงในกระดาษ ไป นำเข็มขัดมิติของเจ้าไปยังสำนัก ใช้แกนอสูรของเจ้า นี่คือเข็มกลัดเกียรติยศของเจ้า เจ้าจะต้องดูแลมันให้ดี อาจารย์ดึงป้ายออกมาจากใต้โต๊ะและส่งมอบให้ลูกศิษย์
ลูกศิษย์เต็มไปด้วยความสุข เขารับเข็มนั้นมาอย่างระมัดระวังและประคองมันอย่างเบามือ แล้วเขาก็เดินออกจากแท่นเวทีด้วยความภูมิใจเป็นอย่างมาก
ต่อไป!
…..
หลังจากนั้นลูกศิษย์เดินขึ้นอย่างต่อเนื่องและส่งมอบแกนอสูรของพวกเขา เพื่อให้อาจารย์ตรวจสอบและในเวลาเดียวกันมันก็ถูกบันทึก เป็นการดำเนินการที่ค่อนข้างเร็วและในพริบตา หลายสิบคนก็ผ่านไป จำนวนน้อยที่สุดของแกนอสูรในหมู่พวกเขา ที่ได้รับนั้นคือ 2 และจำนวนมากที่สุดที่นำออกมาคือ 8 ชิ้น ที่ซึ่งสร้างความตกใจให้กับผู้อาวุโสชั่วขณะ
ในเวลานั้นเอง ชายหนุ่มรูปงามเดินขึ้นไปเพื่อรับการตรวจสอบแกนอสูร ที่ซึ่งบนใบหน้าของเยาวชนคนนั้น มีรอยแผลเล็ก ๆ บนหน้าผากของเขาและมันก็น่าจะเป็นแผลที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เนื่องจากรอยแผลนั้นยังมีเลือดบางส่วนติดอยู่
ชายหนุ่มเดินขึ้นไปยังผู้อาวุโสอย่างใจเย็น และถอดเข็มขัดออกมาอย่างเงียบ ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มที่จะนำแกนอสูรออกมาและวางไว้บนโต๊ะด้วยแกนอสูรระดับ 1 ทั้ง 6 ชิ้น แต่เขากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาดึงแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไหวของเขาไม่รีบร้อนและด้วยสีหน้าไม่แยแสทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นคนที่แน่วแน่มาก
เมื่อครั้งแรกที่ชายหนุ่มคนนี้หยิบแกนอสูร 6 ชิ้นออกมา อาจารย์ผู้ตรวจสอบก็เริ่มที่จะสนใจ รอยยิ้มที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ บนใบหน้าของเขาและเขาก็พยักหน้าเบา ๆ ในขณะที่มองชายหนุ่มด้วยท่าทีชื่นชมเป็นอย่างมาก
ในไม่ช้าชายหนุ่มผู้นั้นก็ดึงมันออกมาถึง 10 ชิ้น ในขณะนี้การแสดงออกของผู้อาวุโสที่ทำการตรวจสอบแกนอสูรมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาของเขาต่อชายหนุ่มนั้นไม่ได้มีแต่ความชื่นชมเท่านั้น แต่มันเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สำหรับคนที่ยังไม่ถึงระดับเซียน กลับสามารถจัดการสัตว์อสูรระดับ 1 ได้ถึง 10 ตัว แน่นอนไม่ใช่งานที่ง่าย นอกจากนี้ชายหนุ่มคนนั้นยังดึงแกนอสูรออกมาอย่างไม่หยุดมือแต่อย่างใด แสดงให้ทุกคนเห็นว่าในตอนนี้เขายังเอาแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติไม่หมด
ลูกศิษย์ที่เข้าแถวต่อจากชายหนุ่มคนนี้ต่างตกตะลึง ไร้ซึ่งคำพูด ได้แต่จ้องมองไปยังแกนอสูรที่ถูกดึงออกมาจำนวนมาก พวกเขาคิดว่าพลังมากมายเท่าไหร่ที่เขาสูญเสียไปกว่าที่จะได้รับแกนอสูร มา 2-3 ชิ้น สำหรับพวกเขานี้การได้รับเพียงแค่นั้นก็ถือว่าเป็นประสบความสำเร็จที่น่าตื่นตาตื่นใจ หลายคนมีความรู้สึกแม้จะค่อนข้างมีความภาคภูมิใจนี้ แต่ชายคนนี้กลับดึงมันออกมาด้วยจำนวนที่มากกว่าที่พวกเขาจะหามันได้อย่างยากลำบากถึง 3 วัน ด้วยเพียงอึดใจเดียว อย่างนี้แล้วพวกเขาจะไม่ตื่นตระหนกได้อย่างไรกัน? วิธีการใดที่จะต่อสู้กับสัตว์อสูรด้วยระยะเวลาอันสั้น พวกเขายิ่งตระหนักลึกลงไปอีกว่า โดยปราศจากการก้าวไปถึงระดับเซียน การใช้อาวุธเหล็กธรรมดาในการสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 ซึ่งผิวหนังมันนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่ยากมาก
ชายหนุ่มคนนั้นไม่ได้ให้ความสนใจไปยังท่าทีของผู้เฝ้ามองราวกับว่าไม่ได้เห็นมัน เขายังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดและเขายังคงที่จะดึงแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติของเขา หลังจากที่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดมือนั้น เร็ว ๆ นี้กลับมีแกนอสูรถึง 15 อันวางอยู่บนโต๊ะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าแม้แต่น้อยว่าจะหยุด เขายังคงหยิบออกมาด้วยจำนวนที่เท่ากัน และยังคงนำแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติอย่างเงียบงัน
ในช่วงเวลานั้นเอง อาจารย์ทุกคนบนแท่นเวที จ้องมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาตกตะลึงและไม่อาจเชื่อ สำหรับคนที่ยังไม่ได้เป็นเซียน การที่พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 ไปกว่า 10 ตัว ภายในระยะเวลา 3 วันอาจจะเป็นไปได้ ถ้าเขาร่วมมือกันสัก 5-6 คน แต่การที่จะล่าสัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ในระยะเวลา 3 วันด้วยตัวคนเดียว เรื่องนี้ แม้กระทั่งอาจารย์ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าสัตว์อสูรเหล่านั้นจะบาดเจ็บสาหัสอยู่แล้ว
นั่งบนแท่นเวที รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน ยิ้มและกล่าวว่า ชื่อของเขาน่าจะเป็นมู่เทียน เขาพึ่งเข้ามายังสำนักเมื่อปีที่แล้ว หลังจากนั้นเพียงปีเดียว เขาก้าวจากพลังเซียนระดับ 8 ไปยังขั้นสูงสุดของระดับ 10 ด้วยความเร็วนี้ค่อนข้างดีนัก เขายังคงพยายามที่จะต่อสู้กับคนระดับเซียน แม้ว่ามันจะล้มเหลวในที่สุดก็ตาม มันต้องยอมรับเลยว่า ตระกูลมู่นั้นได้ส่งทายาทหนุ่มที่ยอดเยี่ยมมาจริง ๆ .
รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน หยุดชั่วคราว ก่อนจะขยับสายตา แล้วจ้องมองไปยังเจียงหยางเซียงเทียนและเถี่ยต้า และพึมพำออกมาว่า ข้าได้คาดหวังกับการเก็บเกี่ยวของเจียงหยางเซี่ยงเทียนและเถี่ยต้าจริง ๆ มันมีคนมาบอกข้าว่า พวกเขาทั้งสองได้เข้าไปยังเขตแดนที่ 3 เพื่อล่าสัตว์ล่าสัตว์อสูรระดับ 2 ในวันสุดท้าย พลังของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ายังไม่อยู่ในระดับเซียนด้วยซ้ำ สวรรค์ การที่จะใช้อาวุธเหล็กธรรมดาล่าสัตว์อสูรระดับ 2 นั้น ถ้าข้าไม่ได้ร่วมเป็นสักขีพยานให้กับทั้งสองคนที่สังหารสัตว์อสูรระดับ 2 ข้าจะไม่กล้าที่จะเชื่อเลยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องจริง มันดูเหมือนว่า แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ก็ยังยอมรับเด็กคนนี้ เจียงหยางเซียงเทียน เห็นทีตระกูลเจียงหยางแห่งเมืองลอว์ที่เคยเงียบหายไปเป็นเวลานาน จะกลับไปรุ่งเรืองเช่นในอดีตของพวกเขา ในอนาคตอันใกล้นี้อย่างแน่นอน
แต่หลังจากที่ชายหนุ่มได้นำออกมาแกนอสูรระดับ 1 ออกมา 23 ชิ้น ในที่สุดเขาก็หยุดมือ เขามองอย่างนิ่งงันไปยังผู้อาวุโสตรวจสอบและบันทึก และกล่าวว่า ท่านอาจารย์ นี่เป็นแกนอสูรทั้งหมดที่นำกลับมาได้
อาจารย์ตรวจสอบอย่างรวดเร็ว กวาดสายตาไปยังแกนอสูรทั้ง 23 ชิ้นและถอนหายใจยาว เขามองไปชายหนุ่มด้วยประกายที่เต็มไปด้วยอารมณ์และถามว่า เจ้ามีนามว่าอะไร?
มู่เทียน! ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงเรียบเฉย
อาจารย์กวาดสายตา ก่อนจะกลายเป็นจริงจังมากขึ้น ในขณะที่เขายังคงถามต่อว่า มู่เทียน เจ้าได้รับแกนอสูรนั้นมาด้วยตัวเจ้าเพียงคนเดียว หรือเจ้าร่วมมือกับใคร?
การแสดงออกมู่เทียนไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ทุกคนคาดหวังในคำกล่าวที่จะเกิดขึ้น ท่านอาจารย์ แกนอสูรเหล่านี้ ข้าได้รับมาอย่างยากลำบากด้วยตัวข้าเพียงคนเดียว
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ท่าทีของอาจารย์ก็มีการเปลี่ยนแปลงได้ทันที เขามองอย่างจริงจังไปที่มู่เทียน ร่วมกับการแสดงถึงความชื่นชม ยิ้มและพยักหน้า ดี! ดี! ดี! มู่เทียน ใช่หรือไม่ ? ดีมาก ผลลัพธ์ของเจ้ามีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก ข้าหวังว่าเจ้าจะพยายามอย่างหนักต่อไปในอนาคต อาจารย์ไม่ได้ถามเลยว่ามู่เทียนได้รับแกนอสูร 23 อันมาอย่างไร ส่วนที่สำคัญคือการที่เขารู้ว่าแกนอสูรนี้มากจากการพยายามอย่างหนักของมู่เทียนเพียงคนเดียว อย่างไรก็ตาม ในทวีปเทียนหยวนนี้ ความแข็งแกร่งเป็นตัวแทนของทุกอย่าง ตราบใดที่สามารถบรรลุชัยชนะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นวิธีที่ไม่สุจริตที่นำมาใช้ก็ตาม แต่ก็จะไม่มีใครพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
ได้ยินคำพูดชื่นชมของอาจารย์ ช่วยไม่ได้ที่มู่เทียนจะยิ้มออกมา
ในขณะที่อาจารย์หยิบเข็มขัดสีน้ำเงินและเข็มกลัด เขาส่งมอบพวกมันให้กับมู่เทียนและกล่าวว่า นี่คือเข็มขัดมิติของเจ้าและนี่คือเข็มกลัดของเจ้า จงดูแลมันให้ดี
มู่เทียนรับเข็มขัดมิติและเข็มกลัดเกียรติยศด้วยท่าทีสงบ และเขาเก็บแกนอสูรลงไปอีกครั้งในเข็มขัดมิติ ก่อนที่จะเดินออกแท่นเวที ตั้งแต่ต้นจนจบ มู่เทียนไม่ได้แสดงให้เห็นความเย่อหยิ่งหรือความภาคภูมิใจ ราวกับเขาไม่ได้แยแสอะไรทั้งสิ้น
เจี้ยนเฉินจับจ้องไปยังมู่เทียนจนกระทั่งเขาจะเดินออกจากเวทีไป ในหัวใจของเขา เขาได้จดจำชื่อมู่เทียนไว้เป็นที่เรียบร้อย ตามสัญชาตญาณของเขา เขารู้สึกว่ามู่เทียนเป็นบุคคลที่ซับซ้อนนักและเขายังไม่ได้ใช้ศักยภาพทั้งหมดของเขา ซึ่งในอนาคตแน่นอนว่าเขาจะประสบความสำเร็จ แต่มันยังไม่ทราบว่าเส้นทางใดที่อีกฝ่ายจะเลือกเดิน
เพราะมู่เทียนได้นำแกนอสูรออกมาถึง 20 อัน ลูกศิษย์คนต่อไปจึงไม่ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาใด ๆ เมื่อเขายกแกนอสูรของพวกเขา พวกเขาส่วนใหญ่มีเพียงแกนอสูรอย่างน้อย 2 อัน จำนวนคนที่มีแกนอสูรมากกว่า 2 อันนั้นก็มีน้อยมาก นอกเหนือจากมู่เทียนที่มีแกนอสูรถึง 23 อัน การเก็บเกี่ยวสูงสุดเคยเป็นก่อนหน้านี้ก็เพียง 8 อัน
การตรวจสอบเป็นไปอย่างรวดเร็วและไม่ช้ามันมาถึงเจี้ยนเฉิน ขณะนั้นเอง สายตาของรองอาจารย์ใหญ่ที่นั่งตำแหน่งประธาน เช่นเดียวกับอาจารย์ไม่กี่คนก็สว่างขึ้นทันที สายตาของพวกเขาจับจ้องตามเจี้ยนเฉิน แสดงให้เห็นท่าทีที่จริงจัง รองอาจารย์ใหญ่จางไป่เอินซึ่งก่อนหน้าที่นั่งกึ่งนอนพิงกับที่นั่ง ก็ช่วยไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงทันที หลังของเขาตั้งตรงขึ้น ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังเจี้ยนเฉินด้วยความคาดหวัง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเจี้ยนเฉินได้สังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวน ไม่น้อย ในป่า แต่เขาไม่ทราบจำนวนที่แน่นอน ของคำว่า ไม่น้อย
เจี้ยนเฉินใจเย็นเดินขึ้นไปหาอาจารย์ท่านนั้นเพื่อรับการตรวจสอบแกนอสูร ก้มศีรษะมองไปยังโต๊ะ ที่ยาวราว 2 เมตร ก่อนที่ท่าทีหนักใจบางอย่างจะปรากฏขึ้นบนและหลังจากลังเลอะไรบางอย่างเขาก็กล่าวว่า ท่านอาจารย์ ท่านสามารถเปลี่ยนเป็นโต๊ะขนาดใหญ่กว่านี้ได้หรือไม่?
หือ ? เมื่อได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน อาจารย์ที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ก็ชะงักไปชั่วคราวและถามออกมาด้วยท่าทีสับสน เจ้าว่าอะไรนะ?
เมื่อเห็นว่าโต๊ะนั้นไม่ได้ใหญ่นักและมันสามารถวางสิ่งของที่มีค่าได้น้อยนัก เจี้ยนเฉินจึงแสดงเพียงท่าทีที่ทำอะไรไม่ถูก โต๊ะนี้จะเป็นจริงว่ามันมีขนาดเล็กเกินไป ซึ่งมันไม่เพียงพอที่จะวางแกนอสูรทั้งหมดในเข็มขัดมิติได้หมดสิ้น
ใช่ขอรับ ท่านอาจารย์ ข้าขอร้องให้ท่านได้เปลี่ยนเป็นโต๊ะขนาดใหญ่กว่านี้ได้หรือไม่? โต๊ะตัวนี้มีขนาดเล็กเกินไป เจี้ยนเฉินกล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
Chaotic Sword God ตอนที่ 47 กลับไปยังสำนัก
ชายทั้งหกคนในกลุ่มมุ่งหน้าไปยังบริเวณชายป่า ตอนนี้สามวันของพวกเขาได้จบลงแล้ว หากพวกเขาสามารถปกป้องแกนอสูรจนกระทั่งพวกเขามาถึงด้านนอกแล้ว พวกเขาก็จะสามารถที่จะจบภารกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ และเนื่องจากสำนักไม่ได้นำแกนอสูรไป พวกเขานั้นสามารถที่จะใช้มันได้
เดินไปในเส้นทาง เจี้ยนเฉินและคนที่เหลือก็ระมัดระวังมากทีเดียว นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เนื่องจากพวกเขาอาจจะถูกซุ่มโจมตีตอนไหนก็ได้ เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็ยังคงเต็มไปด้วยพลัง แต่เจียงหยางหู่และคนอื่น ๆไม่ได้อยู่สภาพที่ดีนัก ถ้าพวกเขาจะถูกโจมตีโดยคนแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งแล้วล่ะก็ การต่อสู้นั้นคงไม่อาจเลี่ยงได้ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินต้องการที่จะหลีกเลี่ยง
เจี้ยนเฉินเดินลงถนนโดยมีเถี่ยต้าอยู่ด้านหลังเขา ขณะที่ส่วนที่เหลือเดินตรงไป ที่ซึ่งพวกเขามาถึงเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของป่าที่มีเขตแดนอาคมสีขาวของป่าที่ซึ่งเป็นคลื่นบาง ๆ ครอบคลุมไปด้านนอก ด้วยสามวันที่จบลง เขตแดนอาคมได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เพื่อช่วยให้ลูกศิษย์ที่หลงทางได้พบกับเส้นทางนี้
จิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินถูกส่งออกไปบริเวณรอบตัวเขา ขณะที่เขากำลังสำรวจบริเวณรอบ ๆ เขตแดนชั้น 3 ไม่ได้เงียบสงบเหมือนกับเขตแดนชั้น 2 ไม่เพียงแต่พวกเขาต้องปกป้องเหล่าลูกศิษย์จากสัตว์อสูร แต่พวกเขายังต้องปกป้องตัวเองจากลูกศิษย์คนอื่น ลูกศิษย์คนอื่น ๆ บางคนที่กำลังรอโอกาสที่เหมาะสมแก่การโจมตี ดังนั้นยามที่ใกล้จะถึงบริเวณทางเข้านั้นเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุด อย่างไรก็ตาม ที่เขตแดนอาคมนั้นแสดงถึงหลุมดำบางอย่าง ซึ่งสิ่งนั้นสามารถช่วยนำลูกศิษย์ออกมา ดังนั้นลูกศิษย์จำนวนมากนั้นจะพยายามที่จะออกจากป่า และนั่นมันเป็นการเปิดโอกาสสำหรับลูกศิษย์คนอื่นที่กำลังซุ่มโจมตีพวกเขา
ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าใกล้จะถึงบริเวณทางออกของเขตแดนชั้น 3 การเดินทางทั้งหมดค่อนข้างเงียบสงบ แม้ในช่วงเวลาปกติ พวกเขาจะได้พบซากสัตว์อสูร บางครั้งก็อาจเจอซากสัตว์อสูรราว 2-3 ตัวนอนอยู่ในสถานที่เดียวกัน
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ในที่สุดกลุ่มของเจี้ยนเฉินก็มาถึงด้านนอกของประตูทางออกที่ชั้น 3 ได้อย่างราบรื่นผ่านและเข้าเขตแดนชั้น 2 ในขณะนี้มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก พวกเขาทุกคนรับรู้ว่าแกนอสูรของพวกเขาปลอดภัยเพราะหลังจากที่ออกจากเขตแดนชั้น 3 ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่อยู่บริเวณนี้ ต่างก็รวบรวมแกนอสูรได้ถึง 2 ชิ้นแล้ว เป็นที่ซึ่งไม่มีใครที่นี่จะกล้าที่จะขโมยแกนอสูรของพวกเขา
ฮ่า ๆ ข้าไม่คิดเลยว่า การเดินทางจะสงบสุขเช่นนี้ มันช่างต่างจากที่ข้าคาดคิดไว้จริง ๆ เจียงหยางหู่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข น้ำเสียงของเขามีความตื่นเต้น
อาโอบะก็ยังกล่าวออกมาด้วยท่าทีมีความสุข ถูกต้อง และที่นี่พวกเรานั้นอาจจะกลายเป็นเหยื่อจากการลอบโจมตี ข้าไม่คิดเลยว่าทางเดินจะสงบเช่นนี้ แต่มันก็ไม่อาจคาดหวังได้ทั้งหมด
ดาเรี่ยนยกมือของเขาออกไปสัมผัสเข็มขัดมิติของเขาและยิ้ม ข้าคิดว่าคนขโมยแกนอสูรในเขตแดนที่ 3 อาจได้รับบาดเจ็บและไม่ได้มีพลังพอที่จะขโมยจากคนอื่น ๆ บนท้องถนน นอกจากนี้ส่วนใหญ่อาจจะมีความคิดเช่นเดียวกับเราซึ่งเน้นหนักในการป้องกันตัวเอง ตราบใดที่เราได้ออกมาจากเขตแดนที่ 3 อย่างปลอดภัย พวกเราก็จะสบาย ไม่มีใครในหมู่พวกเราที่มีความสนใจในความคิดของการขโมยแกนอสูรอีกต่อไป
ใช่ นั่นถูก สิ่งที่เจ้ากล่าวมาก็สมเหตุสมผล เถี่ยต้าพยักหน้าในความเห็นนั้น
เจี้ยนเฉินส่ายหัวและกล่าวว่า สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เจ้าคิด อันที่จริงตลอดการเดินทางยังคงมีบางคนนอนรออยู่ในที่ซ่อนพร้อมที่จะซุ่มโจมตีเรา พวกเจ้าไม่ได้สังเกตเห็นพวกเขา พวกที่ซ่อนอยู่ในความมืด อาจจะสังเกตเห็นว่าเรามากันหลายคน หรือพวกเขาไม่สามารถที่จะแยกแยะความแข็งแกร่งของเรา นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ทำการจู่โจมเรา มิฉะนั้นแล้วคงไม่มีทางใดที่เราจะได้ออกจากเขตแดนชั้น 3 ได้อย่างปลอดภัย
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงทั้งหมด
เจียงหยางหู่ถอนหายใจยาวและกล่าวว่า ดีที่น้องสี่ให้พวกเราวางท่าเหมือนกับว่าพวกเราไม่ได้รับบาดเจ็บ มิฉะนั้นถ้าคนกลุ่มนั้นรู้ว่าเราสี่คนได้รับบาดเจ็บแล้ว ข้าเกรงว่าเราจะไม่ได้รับโชคดีขนาดนั้น ได้ยินอย่างนี้แล้ว อาโอบะและคนอื่น ๆ พยักหน้าในความเห็นนั้น และมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
เอาล่ะเราควรจะรีบเร่งออกไป หลังจากที่เรากลับไปที่สำนัก พวกท่านจำเป็นต้องได้รับการรักษา
กลุ่มคนทั้งหกยังคงที่จะก้าวเดินไปทางเขตแดนชั้น 1 อย่างต่อเนื่อง ขณะที่พวกเขาได้ใกล้ทางออกมากยิ่งขึ้น กระทั่งประตูทางออกของสำนักก็ปรากฏให้เห็นในสายตาของพวกเขา แน่นอน แม้ว่าผู้คนมากมายนั้นไม่อาจที่จะอดทนและกลายเป็นเลิกล้มกลางคัน อย่างน้อยคนนับพันคนที่ได้เข้าป่าด้วยกัน แม้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งนั้นจะยอมแพ้ แต่ทว่าก็ยังมีคนอีกจำนวนอย่างน้อยกว่าร้อยคนที่ยังคงอยู่ อย่างไรก็ตาม กว่าร้อยคนที่จะกระจายกันออกไปในป่า ก็มีโอกาสที่จะได้พบกับผู้อื่นในป่าอันกว้างใหญ่นี้ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องยากที่จะเจอคนอื่น ๆ ที่ได้ตัดสินใจจะยังคงอยู่ในป่า
เจี้ยนเฉินกวาดสายตาไปยังผู้คนรอบ ๆ ตัวเขา ในขณะที่กำลังมุ่งหน้าออกจากเขตแดนชั้น 1 ไปยังสำนัก เขาเห็นว่าผู้ชายส่วนใหญ่เปลือยกายท่อนบนและมันเต็มไปด้วยบาดแผลอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามโดยปราศจากข้อยกเว้นใด ๆ ผู้คนทั้งหมดเสียใจกับภาวะจำยอมนี้จริง ๆ ลำตัวเปลือยเปล่าของพวกเขามันเต็มไปไปด้วยสิ่งสกปรกและใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยคราบสกปรกที่ปกคลุมมันอยู่
มีเพียงหญิงสาวบางส่วนที่ยังคงสวมเครื่องแบบสำนัก อย่างไรก็ตาม เครื่องแบบทุกตัวก็กลายเป็นยิ่งกว่าสกปรกและเต็มไปด้วยรอยขาดขนาดที่แม้กระทั่งเสื้อผ้าของขอทานก็ยังดีกว่าพวกนาง เท่านั้นไม่พอ พวกนางยังใช้ใบไม้ขนาดใหญ่นั้นปกปิดบางส่วนของเสื้อผ้านั้นด้วย ทำให้พวกนางดูเสียใจอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเลย
ในบรรดาทุกคน มีไม่กี่คนที่ได้รับบาดเจ็บที่ขาอย่างรุนแรง แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่อาจเดินได้อย่างปกติ พวกเขาจะถูกประคับประคองโดยสหายของพวกเขาตลอดทางและเดินออกมาจากป่า ทีละก้าว ทีละก้าว
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะมีคนจำนวนมากอยู่ที่นี่ จึงทำให้ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดอยู่บริเวณนี้ ซึ่งมันปลอดภัยกว่าก่อนนัก
ไม่นานหลังจากนั้น กลุ่มเจี้ยนเฉินได้ตามเขตอาคมบนท้องฟ้าที่บอกตำแหน่งทางออกจากเขตแดนชั้น 1 และในที่สุด พวกเขาก็เดินออกมาจากป่า ที่ด้านนอก มีรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินยืนรออยู่ เขาสวมชุดจางเป่าสีขาว ยืนรอด้วยหลังที่ตรงแน่ว เบื้องหลังมีอาจารย์จำนวนไม่น้อยที่ยืนมองด้วยใบหน้าที่นิ่งสงบ สิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเป็นลูกศิษย์กลุ่มใหญ่ของสำนักคากัตเกือบ 1,000 คน พวกเขาจะถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มทางด้านขวามีคนมากกว่าอีกด้าน บางคนสวมเครื่องแบบสำนักที่สกปรกแต่มีรอยฉีกขาดเล็กน้อย โดยรวมดูเหมือนว่าพวกเขาอยู่ในสภาพดีเยี่ยมและไม่เสียหาย
ขณะที่อีกกลุ่มนั้นดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่า เครื่องแบบของพวกเขาขาดรุ่งริ่งเกือบทั้งหมดและเต็มไปด้วยคราบเลือด ภายใต้การฉีกขาดบนเสื้อผ้าของพวกเขา อาจเห็นได้ชัดว่าพวกเขามีบาดแผลเป็นจำนวนมากบนร่างกายของพวกเขา
คนที่อยู่ในกลุ่มซ้าย มีเพียงราว 200 คน พวกเขาทั้งหมดมีท่าทีเสียใจ คนส่วนใหญ่มีการสวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากเปลือกไม้หรือหนังสัตว์ และมีเพียงไม่กี่คนที่เปลือยช่วงบน แต่ทุกคนที่เดินออกมาจากป่า อาจารย์จะทำการจัดพวกเขาให้อยู่ในกลุ่มซ้าย
หลังจากนั้น กลุ่มเจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนพื้นหญ้าเงียบ ๆ อย่างรอคอย โดยจุดนี้ เขาได้เข้าใจแล้วว่าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มที่เหลือเป็นผู้ที่อยู่ในป่าครบสามวันและเพิ่งออกจากป่าในวันนี้ ในทางกลับกันคนที่อยู่ในกลุ่มด้านขวา เป็นทุกคนที่หนีออกมาก่อนที่จะครบสามวัน ตามกฎของโรงเรียน ที่ใม่ว่าพวกเขาจะมีแกนอสูรมากกว่าสองชิ้นก็ตาม แต่พวกเขานั้นก็ยังคงไม่สำเร็จภารกิจอยู่ดี
ในขณะที่เขากวาดสายตาของเขาไปรอบ ๆ เจี้ยนเฉินค้นพบว่าหลายคนในกลุ่มนั้นดูเศร้า บางคนที่จ้องมองมายังคนในกลุ่มด้วยสายตาที่เกลียดชังลึก ๆ เขามองราวกับว่าจะพ่นไฟออกมาจากสายตา
ในขณะนั้นเอง เจี้ยนเฉินสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาหันไปมองด้านหลัง และเห็นชายสองคนที่มีใบหน้าสกปรกและเสื้อผ้าที่สวมใส่ที่ทำจากหนังสัตว์ในชุดที่คล้ายกัน ขณะที่ทั้งสองได้จ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความเกลียดชังอาฆาต เช่น หากพวกเขาสามารถเผาไหม้คนได้ด้วยสายตาเพียงคู่เดียวคงทำไปแล้ว … .มันเป็น เจตนาฆ่ารุนแรงนัก
หลังจากที่เจี้ยนเฉินพิจารณาอย่างใกล้ชิด ปากของเขาก็ปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้น เขาจดจำได้ว่ามันคือลั่วเจี้ยน แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับลั่วเจี้ยนในคืนที่ผ่านมา มันอยุติธรรมกับลั่วเจี้ยนนัก แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้สนใจมากนัก ในแง่ของความแข็งแรง เขาไม่ได้ด้อยกว่าลั่วเจี้ยนแต่อย่างใด ซึ่งในยามที่เขาสามารถหลอมรวมอาวุธเซียนและกลายเป็นเซียน ลั่วเจี้ยนจะไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามใด ๆกับเขาเลย
ในแง่ของภูมิหลังครอบครัว แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่แน่ใจว่าความแข็งแกร่งของตระกูลเจียงหยาง แต่มันไม่ได้หมายความว่าจะอ่อนแอแต่อย่างใด ลั่วเจี้ยนเป็นบุตรชายของผู้นำตระกูลที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากของเมืองต้องห้าม แต่ในมุมมองของเจี้ยนเฉิน มันไม่มีทางที่ตระกูลหลิวจะลดตัวมายุ่งกับเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ลั่วเจี้ยนได้รับบาดเจ็บจากเจี้ยนเฉินนั้น ก็เป็นเพราะกิจกรรมการฝึกอบรมที่สำนักคากัตได้ส่งพวกเขาเข้าไป และในสถานการณ์นี้มันเพราะลั่วเจี้ยนได้โจมตีกลุ่มของพี่ชายเขาก่อน
หลังจากนั้น เมื่อทุกคนได้เดินออกมาจากป่าทั้งหมดแล้ว กลุ่มเจี้ยนเฉินก็เพิ่มขึ้นราวสัก 300-400 คน
ขณะนี้รองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน เดินขึ้นไปยังด้านหน้าของฝูงชน เขามองไปรอบ ๆ ที่กลุ่มคนซึ่งได้รับความเดือดร้อนอย่างเห็นได้ชัดว่าผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขายิ้มและกล่าวเสียงดังว่า ดีมาก เป็นไปตามความคาดหมาย เจ้าไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังเลยสักนิด ข้าไม่ได้คิดว่าจากกิจกรรมล่าสัตว์อสูรและอยู่ในป่าเป็นเวลา 3 วัน จะมีจำนวนคนเหลือมากเช่นนี้ เมื่อเทียบกับทุกครั้งที่ผ่านมาซึ่งกิจกรรมนี้ถูกจัดขึ้น ตอนนี้ข้าต้องการให้ทุกคนรักษากลุ่มกันเช่นนี้ และจงเริ่มเดินกลับไปยังสำนัก
หลังจากนั้น ทั้งสองกลุ่มก็รวมกลุ่มกันแน่นและตรงไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงระหว่างการเดินทาง เมื่อพวกเขาพบแม่น้ำสายเล็ก ๆ ทุกคนหยุด เพื่อล้างทำความสะอาดใบหน้าของพวกเขา และจากนั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปข้างหน้า เร็ว ๆ นี้กลุ่มของลูกศิษย์ เริ่มต้นที่จะเข้าใกล้สำนักและอยู่ในระยะที่สามารถมองเห็นแท่นสูงที่อยู่บริเวณตรงกลางของสนามกีฬา
กลุ่มคนหยุดที่ด้านหน้าของแท่น และรองอาจารย์ใหญ่ จางไป่เอิน เช่นเดียวกับอาจารย์ไม่กี่คนเดินขึ้นไปด้วย รองอาจารย์ใหญ่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน เขาจ้องมองด้วยสายตาตรงไปตรงมาและกล่าวอย่างสงบว่า การแข่งขันการล่าสัตว์อสูรที่ถูกจัดขึ้นทุกสามปี ในตอนนี้ได้จบลงอย่างเป็นทางการแล้ว ตามกฎของสำนัก หลังจากกิจกรรมจบลงแล้ว ในตอนนี้เราจะมอบรางวัล ข้าขอเชิญทุกคนที่ได้อยู่ในป่าครบสามวันและได้รวบรวมแกนอสูรครบ 2 ชิ้นได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้า
ทันทีที่รองอาจารย์ใหญ่พูดจบ ลูกศิษย์จำนวนราวสักร้อยคนได้เดินออกมาจากฝูงชน
ข้าจะเริ่มนับแกนอสูรระดับ 1 ก่อน ลูกศิษย์ที่ออกล่าสัตว์อสูรระดับ 1 โปรดขึ้นมาบนแท่นเวที เพื่อนับจำนวนของแกนอสูรที่อยู่ในความครอบครองของเจ้า รองอาจารย์ใหญ่กล่าวออกมาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้น ลูกศิษย์ทุกคนที่เคยฆ่าสัตว์อสูรมนตราระดับ 1 รวมทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าด้วย ทั้งหมดเดินขึ้นไปยังแท่นเวที ซึ่งมีอาจารย์ที่ได้รับมอบหมายเฉพาะ เพื่อนับและบันทึกจำนวนของแกนอสูรที่ลูกศิษย์ได้รับ
Chaotic Sword God ตอนที่ 46 ผลประโยชน์มหาศาล
ฮ่า ๆ สิ่งที่น้องสี่กล่าวมานั้นถูกต้อง นี่คือสิ่งที่เราทุกคนทำงานอย่างหนัก ดังนั้นปล่อยให้เป็นไปตามที่น้องสี่คิด ครึ่งหนึ่งของมันให้กับน้องสี่และเพื่อนอีกคนของเขา ที่นี้อีกครึ่งหนึ่งจะถูกแบ่งเท่า ๆ กันในหมู่พวกเราทั้งสี่คน เจียงหยางหู่หัวเราะ เขาและเจี้ยนเฉินเป็นพี่น้องต่างมารดา แต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา เขาจะไม่ตระหนี่กับมัน
ด้วยการตัดสินใจของเจียงหยางหู่ สำหรับลูกศิษย์คนอื่น ๆ ทั้งสามคนไม่สามารถปฏิเสธใด ๆ เพิ่มเติมได้อีกและรับแกนอสูรด้วยความตื่นเต้น หลังจากแบ่งมันเป็นกอง ๆ พวกเขาตื่นเต้นไม่น้อยเลย ด้วยจำนวนนี้ มันเป็นมากกว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับกันในช่วงสองวันสุดท้ายเสียอีก
หลังจากเหตุการณ์นี้ ไม่มีใครมีแผนการที่จะอยู่ที่อีกต่อไปและหลังจากการย้ายที่พักของพวกเขา พวกเขาเริ่มที่จะจุดไฟกองใหม่และย่างเนื้อ
คนหกคนนั่งอยู่เป็นวงกลมล้อมรอบกองไฟ ขณะที่เจียงหยางหู่หัวเราะ น้องสี่ ให้ข้าแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับทุกคน ทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของข้า ออซ อาโอบะ และดาเรี่ยน เขาชี้ไปที่สามชายทั้งสามคน น้องสี่ ออซและอาโอบะเป็นฝาแฝดกัน ข้ากล้ารับประกันว่า เมื่อพวกเขาล้างคราบสกปรกบนใบหน้าของพวกเขาออก เจ้าจะไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าใครเป็นใคร !
เจี้ยนเฉินยิ้มและทักทายทั้งสามคน หลังจากที่พูดคุยในขณะที่พวกเขาได้เริ่มต้นที่จะได้คุ้นเคยกัน แม้กระทั่งเถี่ยต้าก็ยังเป็นที่รู้จักกัน
ทันใดนั้น ใบหน้าของเจียงหยางหู่ยังคงสงสัยและเอ่ยถาม น้องสี่ ข้าจำได้ว่าก่อนที่จะเดินเข้าไปในป่า พลังของเจ้ายังไม่ถึงระดับเซียนเลย ดังนั้นทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ในเขตแดนชั้น 3 ? และตอนนี้เจ้ายังโค่นล้มได้แม้กระทั่งหลิวเจี้ยนที่เป็นเซียนธาตุลมขั้นกลาง มันอาจจะเป็นไปได้ว่า ในช่วงสามวันที่เจ้าอยู่ในป่า หรือเจ้าได้สามารถตัดผ่านระดับได้แล้ว?
เพื่อนของเจียงหยางหู่อีกสามคนก็ได้ให้ความสนใจของคำถามนี้ ทั้งดาเรี่ยนและสองแฝดหันมาสนใจหลังจากที่ได้ยินคำถามของเจียงหยางหู่ และเบนความสนใจของพวกเขามายังเจี้ยนเฉิน เจียนเฉียนสามารถโจมตีหลิวเจี้ยนได้ นั่นเป็นผลกระทบอย่างใหญ่หลวงนัก แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินมานานตั้งแต่ข่าวลือที่ลือกันอยู่ตลอดทั้งสำนักที่ว่าเขาแข็งแกร่งนัก ก็ดูว่าข่าวลือนั้นจะไม่ได้พูดเกินจริงเลยสักนิด
เจี้ยนเฉินหัวเราะและยกแท่งเหล็กของเขาขึ้นไปให้เจียงหยางหู่ พี่ใหญ่ดู ถ้าข้าเป็นเซียน ข้าจะยังคงใช้อาวุธเช่นนี้หรือ?
เจียงหยางหู่เงยหน้าขึ้นและก้มลงมองแท่งเหล็ก แต่มันดูเหมือนกับว่าเขาจะได้ตระหนักถึงแท่งเหล็กในมือของเจี้ยนเฉินและและมันยังคงเป็นเพียงแท่งเหล็กสนิมเขรอะที่ใกล้จะหักอยู่รอมร่อ
นั่นคือ … นั่น … ตาของเจียงหยางหู่เบิกกว้างขึ้น เขาตกอยู่ในภาวะที่ตกตะลึง ในขณะที่เขาคิดเป็นรอบที่ล้าน เขาก็ไม่เคยคิดว่าเจี้ยนเฉินจะสามารถเอาชนะหลิวเจี้ยนโดยใช้เพียงแท่งเหล็กสนิทเขรอะ และถ้าเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของตัวเอง ต่อให้เขาตาย เขาก็ไม่มีทางที่จะเชื่อมัน
ในขณะเดียวกัน ดาเรี่ยนและสองฝาแฝดมองที่แท่งเหล็กในมือขงเจียงหยางหู่ ทั้งสามคนเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ และจ้องมองเจี้ยนเฉินราวกับว่าเป็นสัตว์ประหลาด
เห็นความไม่เชื่อบนใบหน้าของพวกเขา เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า ด้วยการผสานพลังระหว่างข้าและเถี่ยต้า ไม่มีสัตว์อสูรตัวใดที่จะสู้กับพวกเราได้ ดังนั้นเราจึงตัดสินใจที่จะย้ายมายังเขตแดนชั้น 3
ได้ยินอย่างนี้แล้ว เจียงหยางหู่และคนอื่นอีกสามคนไม่อยากจะเชื่อหูของพวกเขา เขตแดนชั้นสองก็เต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับ 1 จำนวนมาก แม้ว่าพวกมันจะถูกทำให้อ่อนแอลงและมีพลังโจมตีระดับต่ำ แม้กระทั่งเซียนปกติยังพบว่าการอยู่ในป่าเป็นงานที่ยาก และเจี้ยนเฉิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้เป็นเซียนเลย การที่พูดออกมาว่าในเขตแดนชั้น 2 ไม่มีอะไรที่พอจะท้าทาย แม้กระทั่งเจียงหยางหู่และเพื่อนของเขาก็ยังต้องคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ
หลังจากนั้น เจียงหยางหู่และเพื่อนของเขาก็ได้สติกลับคืนมาในที่สุด เจียงหยางหู่ยังคงถามว่า น้องสี่ เจ้าไม่ได้เป็นแม้แต่เซียน เจ้ายังยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ หากวันหนึ่ง เจ้ากลายเป็นเซียน ข้าไม่อาจคาดเดาความแข็งแกร่งของเจ้าได้เลย เจียงหยางหู่ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว อ่า ใช่ น้องสี่ เมื่อใดที่เจ้าคิดว่าเจ้าจะกลายเป็นเซียน?
เขาพึมพำกับตัวเองมากขึ้น ในตอนนี้ ข้าอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับ 10 หลังจากที่ออกจากป่าแห่งนี้ ข้าตั้งใจที่จะกลายเป็นเซียน
เจียงหยางหู่ถอนหายใจของเขาด้วยความประหลาดใจและตกตะลึง ขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉิน น้องสี่ เจ้าน่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว ไม่แม้กระทั่งไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้ เจ้าพึ่งเป็นลูกศิษย์ใหม่สำนักคากัต ที่เป็นเพียงที่ระดับ 8 ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะถึงขั้นสูงสุดของระดับที่ 10 ด้วยระยะเวลาสั้น ๆ เช่นนี้
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ดาเรี่ยนและสองฝาแฝดยิ่งปรากฎท่าทีเหลือเชื่อ และมุมมองของพวกเขาที่มีต่อเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินนั้นสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าไม่อาจดูแคลนได้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังของเขาช่างมากนัก และไปยังขอบเขตที่ไม่อาจจินตนาการได้ มันแน่ชัดว่า เจี้ยนเฉินเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ขณะนี้เพื่อนทั้งสามคนของเจียงหยางหู่ได้ตัดสินใจอย่างรวดเร็วว่า ในอนาคตพวกเขาจะต้องปฏิบัติต่อเขาอย่างดีและหลีกเลี่ยงการผิดใจกับอีกฝ่าย
เจี้ยนเฉินหัวเราะออกมาอย่างผ่อนคลาย พี่ใหญ่ ข้าได้สังเกตเห็นว่า ภายในเขตแดนชั้น 3 หลายคนหันไปขโมยแกนอสูรจากคนอื่น ๆ นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ?
เจียงหยางหู่ถอนหายใจออกก่อนที่จะพูดว่า ข้าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ริเริ่ม แต่ก็กล่าวว่าในช่วงวันที่ 2 บางคนเริ่มต้นที่จะขโมยแกนอสูรจากคนที่มีแกนอสูรจำนวนมาก ภายหลังจากที่ข่าวนี้แพร่กระจายไป ทุกคนในเขตชั้น 3 เริ่มที่จะทำตาม สร้างกลุ่มปล้นแกนอสูร อย่างไรก็ตาม สัตว์อสูรระดับ 2 เป็นสัตว์หายากเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อสูรระดับ 1 และจะยิ่งยากที่จะฆ่า ฆ่าสัตว์เหล่านั้น เจ้าได้เพียงหนึ่ง แต่ขโมยจากคนอื่นจะง่ายกว่าการล่าสัตว์และหากโชคดี ก็ได้รับมากกว่า 1 ..
ดังนั้นจนถึงขณะนี้ ลูกศิษย์ทุกคนเริ่มที่จะขโมยจากคนอื่น ๆ ในเขตชั้น 3 มีหลายคนที่ได้แกนอสูรมาอย่างยากลำบากแต่พวกเขากลับโดยขโมยไป เมื่อพวกเขาอยู่คนเดียวหรือในกลุ่มมีคนที่ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งมันลดจำนวนคนในพื้นที่นี้ได้มากนัก
ทำไมอาจารย์ที่ซ่อนตัว ถึงไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น? เถี่ยต้าถาม
ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตหรือการได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบเสียชีวิตแล้ว อาจารย์ที่ซ่อนอยู่มักจะไม่แสดงตัวออกมา หลังจากทุกเหตุผลที่ว่าทำไมเราอยู่ในป่าเพื่อล่าสัตว์อสูร สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งในทวีปเทียนหยวน พวกเขาเพียงกำลังทำให้เราได้รับประสบการณ์ในตอนนี้ แทนที่จะได้รับในภายหลัง กล่าวโดยหนึ่งในฝาแฝด
อ่า ! ทันใดนั้นเถี่ยต้าอุทานออกมา เมื่อตระหนักในสิ่งนั้น
เจี้ยนเฉินส่งรอยยิ้มแปลก ขณะที่เขามองไปยังพี่ชายของเขาและเพื่อน ๆ ของเขา เนื่องจากคนอื่นมีความกล้าที่จะปล้นแกนอสูรของเรา ทำไมพวกเราถึงไม่ปล้นพวกมันกลับบ้างล่ะ ? พวกท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ ?
ดวงตาของคนในกลุ่มเป็นประกายเมื่อพวกเขาได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าวเช่นนั้น
เยี่ยม พวกเราจะทำ เจียงหยางเซียงเทียน พวกเราจะทำตามเจ้า ดาเรี่ยนกล่าว ในขณะที่เขายืนขึ้นและจ้องที่เจี้ยนเฉิน ด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญในน้ำเสียงของเขา
ไม่เลว แต่ก่อน เราขาดความแข็งแกร่งนักและได้แต่หนีหัวซุกหัวซุน แต่ตอนนี้เจียงหยางเซียงเทียนอยู่ที่นี่แม้ว่าเราจะได้พบกับเซียนขั้นกลางก็ไม่แน่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากคืนนี้เป็นคืนสุดท้าย พวกเราก็มาสนุกกับมันให้เต็มที่เถอะ อาโอบะและออซหัวเราะ
เอาล่ะ น้องสี่ พี่ใหญ่จะฟังคำของเจ้า เจียงหยางหู่กล่าวอย่างมีความสุข
เถี่ยต้าไม่ได้มีความเห็นใด ในขณะที่เขาได้ตัดสินใจที่จะทำตามเจี้ยนเฉินโดยไม่จำเป็นต้องถาม
หลังจากที่ทุกคนได้กินจนอิ่มและกล่าวถึงแผนการของพวกเขา พวกเขาตัดสินใจที่จะให้ฝาแฝดค้นหาสภาพแวดล้อมสำหรับเป้าหมาย ในขณะที่ส่วนที่เหลือรอการกลับมาของพวกเขา
ในเร็ว ๆ นี้ ฝาแฝดก็กลับมาและรายงานว่าพวกเขาเห็นกลุ่มคน 5 คนอยู่บริเวณใกล้เคียง
ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินติดตามตามฝาแฝดและตรงไปยังพื้นที่ซึ่งพวกเขาได้รายงานว่าได้เห็นพวกคนกลุ่มนั้น
เมื่อกลุ่มเจี้ยนเฉินได้มาถึงสถานที่ซึ่งทั้งห้าคนเตรียมตัวจะพักผ่อนและไม่ได้เตรียมตัวที่จะรับการโจมตีอย่างฉับพลันของเจี้ยนเฉิน เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นเพียงแค่เซียนขั้นต้น พวกเขาจึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือเจี้ยนเฉินและกลุ่มของเขา แต่พวกเขาไม่ได้มีแกนอสูรจำนวนมาก มีเพียงราว 20 อันเท่านั้น
หลังจากเอาแกนแกนอสูรไป พวกเขาก็ไม่ได้ทำร้ายคน พวกเขารีบออกจากพื้นที่ทันที
สำหรับคืนนี้ ทั้งเจี้ยนเฉินและคนอื่น ๆ ก็ไม่ได้นอนกันเลย แต่พวกเขามองไปรอบ ๆ ของป่า หาเป้าหมายมากขึ้น มีคนไม่มากที่อยู่ในเขตแดนชั้น 3 โดยในขณะนี้และนับตั้งแต่เขาได้เริ่มต้นการค้นหาของเขา เขาได้พบเพียงแค่ 3 กลุ่ม แต่สิ่งที่เขาและคนพบว่าน่าขบขันคือ หลังจากที่ผ่านไปครึ่งคืน กลุ่มเจี้ยนเฉินปะทะกับคนกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดเดียวกันพวกเขาและเริ่มที่จะต่อสู้กันทันที ทั้งสองกลุ่มมีถึง 6 คน และในสองกลุ่มนั้นมี 2 คนที่เป็นเซียนขั้นกลาง ที่แน่นอนว่าแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็ตามทั้งสองกลุ่มก็จบลงในเงื้อมมือของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า ในท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ได้รับชัยชนะกับฝ่ายตรงข้ามของเขาและแกนอสูร 150 อัน เป็นรางวัล มันจะดูเหมือนว่าหลายคนถูกแย่งชิงแกนอสูรจากคนในกลุ่มนี้
หลังจากการต่อสู้ทั้งสามรอบ นอกจากเจี้ยนเฉินแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็เหนื่อยอ่อนและไม่สามารถดำเนินการต่อสู้อีกต่อไป ไม่มีทางเลือกอื่น ๆ พวกเขาใช้เวลาที่เหลือของคืนค้นหาสถานที่ลับเพื่อหลบซ่อนและนอนหลับ แม้ว่าเจียเฉินและเถี่ยต้ายังคงต้องการไปต่อ ทั้งสี่คนก็ไม่ได้ต้องการที่จะอยู่รออยู่เบื้องหลังและปกป้องพวกเขาจากการโจมตีที่ไม่คาดคิด
โดยปราศจากคำพูด เจี้ยนเฉินและกลุ่มได้เก็บเกี่ยวกันมากทีเดียว ไม่รวมกับกลุ่มแรกกับแกนอสูร 20 อันของพวกเขา อีกสองกลุ่มมี 70 อันและ 150 อัน ดังนั้นในการรวมตอนนี้พวกเขามี 260 อัน
เห็นแกนอสูรจำนวนมากเช่นนี้ เจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะสงสัยว่าที่มันเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของแกนอสูรทั้งหมดในเขตชั้น 3 แล้วหรือยัง
คืนที่ผ่านไปอย่างสงบและกลุ่มได้เริ่มต้นที่จะเดินทางไปทางด้านนอกของป่า ด้วยยาสมุนไพรบางอย่าง บาดแผลของเจียงหยางหู่และคนอื่นได้เริ่มต้นรับการเยียวยาอย่างช้า ๆ เมื่อพวกเขาเข้าไปในป่าในวันแรก คณะบริหารของสำนักได้เตรียมยาเหล่านี้ไว้ภายในเข็ดขัดมิติของพวกเขา
ช่วงเวลานั้นเอง เจียงหยางหู่และเพื่อน ๆ ของเขาทุกคนสวมชุดทำมาจากหนังหมาป่า ที่ทำให้พวกเขาถูกมองราวกับว่าไม่มีการบาดเจ็บใด ๆ ชุดหมาป่านั้นเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้ทำขึ้นหลังจากที่พวกเขาได้ฆ่าฝูงหมาป่า พวกเขาได้เก็บรวบรวมมันไว้เป็นจำนวนมาก
Chaotic Sword God ตอนที่ 45 ลั่วเจี้ยนพ่ายแพ้
เอาล่ะถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว น้องสี่ต้องระวังให้มาก ความแข็งแกร่งของลั่วเจี้ยนนั้นไปถึงขั้นกลางของระดับเซียน เจียงหยางหู่รีบรุดไปช่วยเพื่อน ๆ ของเขา แม้ว่าการที่ได้เห็นเจี้ยนเฉินอยู่ในเขตแดนชั้น 3 จะเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย เขารู้แต่เขาไม่มีเวลาพอที่จะไปซักถามว่าความเป็นมาและเหตุผล
เพราะการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า แรกเริ่มเดิมที เจียงหยางหู่และกลุ่มของเขานั้นเสียเปรียบมากทีเดียว แต่ตอนนี้ มันราวกับว่าเขากำลังเดินเล่นอยู่ในบ้านตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เพราะการดำรงอยู่ของเถี่ยต้าซึ่งราวกับมีสายลมแห่งความโปรดปรานกำลังโชยมา ที่ตอนนี้มันเป็นพวกเขาที่สบโอกาสบ้างแล้ว
มองไปยังใบหน้าที่มืดลงของลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินหัวเราะ ลั่วเจี้ยน ดูเหมือนว่าแผนการที่จะขโมยแกนอสูรนั้นจะได้จบลงเสียแล้ว และเจ้าจะเป็นฝ่ายที่ต้องสูญเสียแกนอสูรมาให้เราแทน
ใบหน้าลั่วเจี้ยนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เพียงชั่วพริบตานั้นปรากฏประกายตาบางอย่างที่อันตราย เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าไม่ได้มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะแย่งชิงแกนอสูรไปจากข้า
เจี้ยนเฉินมองไปที่ลั่วเจี้ยนด้วยท่าทีรังเกียจ ก่อนจะกล่าวบางอย่างว่า เช่นนั้นแล้วไม่ลองดูล่ะ เรามาดูกันว่าข้ามีพลังมากพอที่จะฉกฉวยแกนอสูรไปจากเจ้าได้หรือไม่ เจี้ยนเฉินไม่ได้กล่าวอะไรหลังจากนั้น ในขณะที่ร่างกายของเขาเริ่มที่จะแกว่งไปแกว่งมาก่อนพุ่งโจมตีไปที่ลั่วเจี้ยนอย่างรวดเร็ว มือของเขาถือแท่งเหล็กและแทงไปที่หน้าอกของลั่วเจี้ยนราวกับอสรพิษ โดยใช้ประโยชน์จากความมืดมิดในยามค่ำคืน
รังสีอำมหิตพาดผ่านสายตาของลั่วเจี้ยนไป ในขณะที่เขาจับกระบี่เขียวแกมน้ำเงินนั้นขึ้น เขากวัดแกว่งด้วยท่าทางที่ต้องการจะจัดการเจี้ยนเฉินอย่างเจ็บแสบ เนื่องจากลั่วเจี้ยนเป็นเซียนและไม่เพียงแต่เขาอยู่ขั้นกลางของระดับเซียน แต่เขายังมีพลังเซียนที่มีคุณสมบัติของธาตุลม การโจมตีนั้นรวดเร็วกว่าในคราแรกนัก ดังนั้น เมื่อเขาเหวี่ยงกระบี่ออกไปแล้ว หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นภาพมายาในทันที
เห็นกระบี่ที่กำลังจะลงบนหัวของเขา เจี้ยนเฉินหลบไปด้านข้างและยังคงแทงแท่งเหล็กนั้นไปที่หน้าอกของลั่วเจี้ยน
ใบหน้าของลั่วเจี้ยนเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่เขาตระหนักถึงความเร็วของแท่งเหล็กว่าอยู่ในระดับสูงมาก ในยามสำคัญ กระบี่ของเขาก็ยังห่างไกลเกินไปที่จะยกมันขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง แต่ความเร็วของปฏิกิริยาของเขาไม่ได้ช้าเกินไป เขาดูดซับพลังเซียนธาตุลมเข้าไปในร่างกายของเขา เขาใช้แรงเพื่อที่จะย้ายร่างกายทางด้านหลังและนำกระบี่ของเขากลับขึ้นมาอีกครั้ง
ความเร็วของลั่วเจี้ยนแปรเปลี่ยนเป็นเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่แท่งเหล็กของเจี้ยนเฉินสัมผัสเสื้อผ้า ลั่วเจี้ยนได้หลบหนีไปจากการโจมตีของเจี้ยนเฉิน ทันทีที่เขาได้หลบหนีการโจมตีนั้น ทันใดนั้น เขาเริ่มรวบรวมพลังเซียนในมือของเขาอีกครั้งเพื่อที่จะโจมตีเจี้ยนเฉินอีกครั้งด้วยกระบี่
การโจมตีของลั่วเจี้ยนช่างเรียบง่ายนักในสายตาของเจี้ยนเฉิน ไม่ได้ใช้ทักษะหรือกลยุทธเพียงอย่างเดียวที่ถูกนำมาใช้ อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินยังคงไม่กล้าที่จะดูถูกมันมากเกินไป
เจี้ยนเฉินกระโดดไปในอากาศเพื่อที่จะหลบกระบี่ของลั่วเจี้ยน ทันใดนั้นเขาดีดตัวออกจากต้นไม้และพุ่งตรงไปที่ลั่วเจี้ยน แขนของเขาสั่นไหว ก่อให้เกิดภาพสะท้อนจาง ๆ ปรากฏอยู่ข้างหลังเขา แขนเจี้ยนเฉินพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูงและความเร็วของแท่งเหล็กนั้นก็ราวกับว่ามีสายฟ้ากำลังฟาดใส่ลั่วเจี้ยน ดังนั้นแล้วแม้กระทั่งสายตาก็ยังไม่อาจที่จะมองเห็นได้ทัน
ตาหลิวเจียนเบิกกว้างขึ้น ตระหนักถึงแท่งเหล็กที่มาถึงเขาแล้ว คราวนี้ลั่วเจี้ยนกลับไม่อาจที่จะปกป้องตัวเองจากการโจมตีของเจี้ยนเฉินหรือแม้แต่สามารถที่จะหลบมัน ในยามที่แท่งเหล็กเจาะลึกลงไปในหน้าอกของเขา
ใบหน้าของลั่วเจี้ยนแข็งขึ้น ในขณะที่เขาจ้องไปยังแท่งเหล็กที่เสียบอยู่ ดังนั้นแล้วท่าทีตกตะลึงจึงปรากฏบนใบหน้าของเขา ไม่เพียงสีหน้าที่ไม่อาจเชื่อได้ปรากฏขึ้นเท่านั้น แต่มีความสิ้นหวังและความกลัวเช่นกัน เมื่อแท่งเหล็กได้เจาะเข้าไปในตัวเขา เขาไม่สามารถที่จะต้านทานมันได้ เขาไม่มีการป้องกันเนื่องจากแท่งเหล็กมีความเร็วเป็นอย่างมาก ด้วยความเร็วนั้นที่เกินกว่าเขาสามารถที่จะตอบสนองต่อการโจมตีนั้น แม้ว่าเขาจะเป็นเซียนธาตุลม แต่แท่งเหล็กนั้นกลับเสียบเขาโดยที่เขาไม่อาจต้านทานได้ ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้เขาบาดเจ็บสาหัส
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมันเกินความคาดหมายของผู้คนนัก ขณะที่เจี้ยนเฉินใช้แท่งเหล็กแทงเข้าหน้าอกของลั่วเจี้ยน ทุกคนได้หยุดเคลื่อนไหว พลังบริสุทธิ์จำนวนมากของพลังเซียนถูกส่งผ่านไปยังแท่งเหล็กและเข้าไปยังร่างกายของลั่วเจี้ยน ด้วยการถอนแท่งเหล็กนั้นออก และลั่วเจี้ยนก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เมื่อเจี้ยนเฉินได้ส่งพลังเซียนเข้าไปยังร่างกายของลั่วเจี้ยน มันก็เหมือนกับว่าร่างกายของเขาระเบิด พลังบางอย่างที่ไหลเวียนในร่างกายลั่วเจี้ยนกลับมีคลื่นพลังบางอย่างที่สร้างความเสียหายให้กับอวัยวะภายในของเขา
อั๊ก ! ทันใดนั้นลั่วเจี้ยนกระอักเลือดออกมา ความเจ็บปวดที่รุนแรงซึ่งเขารู้สึกจากภายในร่างกายของเขา มันเป็นสิ่งที่แปลกและและเขาไม่เคยได้สัมผัส เขาปล่อยให้เลือดนั้นไหลออกมาไม่หยุด ในขณะที่เขากลิ้งอยู่บนพื้นดิน
เสียงกรีดร้องของลั่วเจี้ยนนั้นโหยหวนอย่างผิดปกติและนั่นก็เรียกความสนใจของทุกคนที่ยังคงต่อสู้ อย่างไรก็ตามในขณะที่สายตาของพวกเขามองไปยังลั่วเจี้ยนที่ม้วนตัวอยู่กับพื้น ทุกคนยกเว้นเถี่ยต้าต่างเงียบด้วยความตกตะลึง สิ่งที่พวกเขากำลังเฝ้าดู เป็นเหตุให้พวกมันตกตะลึงไม่น้อย และอีกหลายคนก็ยังไม่อยากจะเชื่อสายตาของพวกเขาเอง
แม้ว่าหลังจากนั้นจะจัดการกับลั่วเจี้ยนได้สำเร็จ แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดจะปล่อยคนกลุ่มนั้นไป ถือแท่งเหล็กของเขา ขณะที่เขายืนอยู่ตรงกลาง เขาคิดว่ามันเป็นโชคดีที่เขาได้พบกับพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ในเวลานี้ หากเขาได้พบเจียงหยางหู่ช้ากว่านี้สักนิด จากนั้นแล้วเจี้ยนเฉินกลัวว่าพี่ชายของเขาจะสูญเสียแกนอสูรทั้งหมดไปให้กับกลุ่มของลั่วเจี้ยนและถูกทิ้งไว้ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส
ด้วยเจี้ยนเฉินเข้าร่วมมาในการต่อสู้ครั้งนี้ หากแต่มันเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญนัก แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่ได้เป็นเซียนเหมือนคนอื่น ๆ แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคนตอนนี้
ในชีวิตที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินเป็นคนพเนจร เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ เพื่อฝึกฝนวิถีของกระบี่ ไปยังจุดที่กล่าวได้ว่า สมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวของเขาเป็นเรื่องที่ตรวจสอบได้ยาก เนื่องจากเขาเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วน่าเหลือเชื่อ อาศัยเพียงสายตาของพวกเขา ก็ไม่อาจที่จะเห็นเขาได้ เนื่องจากสิ่งที่เขาใช้เป็นเพียงแค่แท่งเหล็กซึ่งไม่สามารถดึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาออกมาได้ ฝ่ายตรงข้าม ด้านหน้าของเขาเป็นเพียงที่ลูกศิษย์ซึ่งประสบการณ์การต่อสู้ยังอ่อนด้อยนัก ด้วยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบี่ที่ต่างจากสามัญนัก เขาจึงจบการต่อสู้นี้ได้อย่างรวดเร็ว
จนกว่าจะสิ้นสุดการต่อสู้ ไม่มีใครได้ตระหนักว่าอาวุธเจี้ยนเฉินใช้นั้นแท้จริงไม่ใช่อาวุธเซียน แต่ที่จริงกลับเป็นเพียงแค่แท่งเหล็กธรรมดาเท่านั้น
หลังจากการต่อสู้ ลูกศิษย์ทั้งหมดก็ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคนเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มโจรที่นั่งลงอยู่บนพื้น แต่ละคนมีแผลที่แตกต่างกันในแต่ละจุด และพวกเขาทั้งหมดมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความหวาดกลัว
จ้องไปยังกลุ่มคนทั้งแปดบนพื้นดิน เจียงหยางหู่และกลุ่มของเขา ทั้งสี่คนได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก แต่ช่วยไม่ได้ที่ใบหน้าของเขาจะเปิดเผยความสุขจากชัยชนะ ในขณะที่มองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยเคารพความชื่นชม
เจียงหยางหู่ ข้าไม่คาดคิดเลยว่า เจ้ามีจะน้องชายที่แข็งแกร่งอย่างน่าตกตะลึง ดั่งเช่นน้องชายของเจ้า ความแข็งแกร่งของเขาทำให้ข้าประหลาดใจมากทีเดียว !
ใช่แล้ว เจียงหยางหู่ ถึงแม้ว่าเราจะเคยได้ยินเกี่ยวกับความแกร่งของน้องสี่เจ้าเป็นเวลานาน ที่ผ่านมาข้าไม่ได้คิดเลยว่าเขาเป็นคนที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้ จนมาถึงขณะนี้ แม้แต่ขั้นกลางของระดับเซียนอย่างลั่วเจี้ยนยังพ่ายแต่ต่อเขา ถ้ามันไม่ได้ความช่วยเหลือน้องสี่ ข้ากลัวว่ากลุ่มของเราจะคงไม่อาจปกป้องแกนอสูรที่เราลงแรงไปอย่างหนักได้อย่างแน่นอน
…….
เด็กหนุ่มทั้งสามและเจียงหยางหู่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่คนหนึ่งของพวกเขาถอนหายใจอย่างโล่งอก ในความสุขที่พวกเขาเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ตื่นเต้นที่ผ่านมา
ขณะนั้นเอง เจี้ยนเฉินมาถึงบริเวณด้านข้างของเจียงหยางหู่และมองไปที่บาดแผลของเขาด้วยความกังวลบางอย่าง เขาถามว่า พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสใช่หรือไม่?
ได้ยินเช่นนี้ เจียงหยางหู่ส่ายหัว เขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความสุขและความประหลาดใจและตอบว่า ข้าสบายดี มันเป็นเพียงแผลเล็ก ๆ อย่าลืมว่าพี่ชายของเจ้ามีพลังเซียนธาตุดิน ที่ซึ่งปกป้องข้าได้มากทีเดียว เจียงหยางหู่หยุดชั่วขณะหนึ่งและถามว่า เอาล่ะ น้องสี่ เจ้าเข้ามาในเขตแดนชั้น 3 ได้อย่างไร ข้าจำได้ว่าก่อนที่เราจะเข้าไปในป่า พลังของเจ้านั้นยังไม่ถึงระดับเซียน ? นอกจากนี้เจ้าใช้วิธีการอะไรกันที่ทำให้ลั่วเจี้ยนพ่ายแพ้นั้น มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก? เจียงหยางหู่ถามด้วยความสงสัย
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า พี่ใหญ่ ในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะอธิบายในภายหลังมากกว่า ตอนนี้เรายังคงต้องจัดการปัญหาที่อยู่เบื้องหน้าของเรา เจี้ยนเฉินกวาดสายตาของเขาไปยังลูกศิษย์หลายคนที่อยู่บนพื้นดิน พี่ใหญ่ ท่านคิดจะลงโทษคนพวกนี้เช่นไร?
ด้วยคำถามนั้น เขาครุ่นคิดก่อนจะกล่าว น้องสี่ เจ้าควรเป็นคนตัดสินใจ ถ้าไม่ได้เจ้า ข้ากลัวว่าสุดท้ายแกนอสูรของกลุ่มเราคงจะถูกขโมยไป
บนใบหน้าเจี้ยนเฉินปรากฏรอยยิ้ม มุมปากของเขาได้กดลึกลงไป ในขณะที่เขากล่าวว่า ในกรณีนี้ เราคงต้องมอบความเมตตาให้พวกเขาบ้าง อย่างน้อยที่สุดเราควรจะเก็บรวบรวมแกนอสูรทั้งหมดในเข็มขัดมิติของเขา
ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วโดยทุกคน และภายใต้ดวงตาที่จ้องมาอย่างอาฆาตและความเกลียดชังของกลุ่มลั่วเจี้ยน พวกเขารีบคว้าเข็มขัดทั้งหมดของพื้นที่และเก็บรวบรวมแกนอสูรที่อยู่ภายใน หลังจากการตรวจสอบแล้ว ทั้งแปดคนนี้มีจำนวนแกนอสูรทั้งหมดถึง 130 อัน
เมื่อเห็นแกนอสูรจำนวนดังกล่าว แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินก็ยังประหลาดใจในจำนวนนั้น เจียงหยางหู่อุทานในการชมเชยว่า ข้าไม่คิดว่าพวกมันจะมีแกนอสูรมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าพวกมันปล้นหลาย ๆ คนก่อนหน้าเรา มิฉะนั้นแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งของพวกมัน พวกมันคงไม่สามารถได้รับแกนอสูรมากเช่นนี้ภายในระยะเวลา 3 วัน
เจี้ยนเฉินพยักหน้าในการยอมรับ ก่อนที่จะพูดว่า พี่ใหญ่ เราจะแยกออกเป็น 6 ส่วน เช่นนั้นแล้วเราจะแบ่งด้วยจำนวนที่เท่ากัน
นั่นไม่ดี เจี้ยนเฉินหันไปทางผู้พูดคนใหม่จากกลุ่มของเจียงหยางหู่ เจียงหยางเซียงเทียน เหตุผลเดียวที่เราสามารถที่จะได้รับแกนอสูรเหล่านี้เป็นเพราะเจ้าและเพื่อนของเจ้าอยู่ที่นี่ เราไม่ได้ทำอะไรเลย ดังนั้นเจ้าจึงไม่ควรแบ่งแกนอสูรกับเรา มันควรเป็นของพวกเจ้าสองคน
ข้อเสนอแนะของพวกเราได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็ว โดยอีกสองนักเรียน หนึ่งของพวกเขาทันทีกล่าวว่า โอ้ นั่นถูกต้องแล้ว เจียงหยางเซียงเทียน ถ้ามันไม่ได้เป็นเพราะเจ้าและเพื่อนของเจ้า ด้วยความแข็งแกร่งของเรา 4 คนคงไม่เพียงพอที่จะเอาชนะ ข้ากลัวว่าเราคงจะไม่สามารถปกป้องแกนอสูรของพวกเราได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ที่แกนอสูรของเรา ความปลอดภัยเช่นนั้นเราก็พอใจแล้ว แกนอสูรที่เจ้าได้จากลั่วเจี้ยนและเพื่อนของเขาเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการ.
ใช่ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าได้รับแกนอสูรนั้นมาด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าและเพื่อนของเจ้า แล้วพวกเราจะทำสิ่งที่น่าละอายโดยไปแบ่งกับพวกเจ้าได้อย่างไรกัน?
ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายสดใส ในขณะที่เขามองไปที่ใบหน้าของพวกเขาหาสัญญาณของการโกหก แต่เขาพบเห็นแต่ท่าทีบริสุทธิ์ใจเท่านั้น ไร้ซึ่งท่าทีไร้ความจริงใจ ความเคารพของเขาที่มีต่อคนทั้งสามก็เพิ่มขึ้นมา แต่เขาย่อมชื่นชมพี่ชายของเขาเป็นอย่างมาก เขาไม่คิดว่าพี่ชายของเขาจะสามารถที่จะหาสหายที่ดีอย่างนี้ได้ถึงสามคน แม้ว่าเจียงหยางหู่จะมีร่างกายและสมองเสือ แต่เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าพี่ชายของเขาไม่ได้โง่ทั้งหมด
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า ทุกคนมีส่วนร่วมในการสถานการณ์เช่นนี้ ถ้ามันไม่ได้พวกท่านถ่วงเวลาไว้ หากพวกเขาได้ร่วมมือกับลั่วเจี้ยนเพื่อที่จะโจมตีข้า ข้ากลัวว่ามันคงเป็นข้าเองที่จะต้องพ่ายแพ้ ปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ เช่นนั้นแล้ว เอาเป็นว่า ข้าและเถี่ยต้าจะรับเอาแกนอสูรครึ่งหนึ่งและพวกท่านก็แบ่งกันในส่วนที่เหลือ เช่นนั้นยอมรับได้หรือไม่?
Chaotic Sword God ตอนที่ 44 บังเอิญได้พบพี่ใหญ่
เถี่ยต้าดูเหมือนว่าจะไม่ได้ใส่ใจสิ่งอื่น ข้าเดิมพันว่ามันต้องเป็นคนที่ต่อสู้กับสัตว์อสูร
คราแรกเจี้ยนเฉินก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ประสบการณ์จากสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากชีวิตก่อนหน้านี้ได้บอกเขาว่าเสียงนี้เป็นเสียงของการต่อสู้ระหว่างผู้คนด้วยกัน ในสภาพแวดล้อมนี้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงใด เจี้ยนเฉินก็ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ที่เขาถูกโจมตีจากลูกศิษย์ด้วยกันเป็นจำนวนมาก จากช่วงเวลาก่อนนี้ เจี้ยนเฉินได้เห็นผู้คนที่มีอายุมากแตกต่างกันไปและลูกศิษย์ที่มากประสบการณ์พวกนั้นกลับร่วงลงไปที่พื้นตั้งแต่ยังไม่ทันป้องกันตัวด้วยซ้ำ เจี้ยนเฉินไม่ได้วางแผนที่จะให้ตัวเองจบลงเช่นนั้น
หูของเขาจับเสียงนั้นเป็นเวลาหลายนาทีนัก เจี้ยนเฉินพยายามที่จะจับเสียงที่เขาได้ยินก่อนหน้านี้ แต่ทันทีที่เขาได้ยิน เขากลับขมวดคิ้วขึ้นใช้ความคิด เสียงที่เขาได้ยินอีกครา มันไม่ได้เป็นเสียงของคนที่ต่อสู้กับสัตว์อสูร แต่กลับเป็นเสียงต่อสู้กันระหว่างคน นอกจากนี้เสียงนั้นยังเข้ามาใกล้นัก
เจี้ยนเฉินมองที่เถี่ยต้าและกล่าวว่า เถี่ยต้า นั่นไม่ใช่เสียงของคนที่ต่อสู้กับสัตว์อสูร แต่เป็นเสียงของคนสองคนต่อสู้กัน เสียงที่ได้ยินนั้นดังใกล้เข้ามา ดังนั้นเจ้าจึงควรเตรียมตัวเองให้พร้อม พวกเราอาจจะลงเอยด้วยการต่อสู้ เจี้ยนเฉินไม่ได้เลือกที่จะออกไปจากพื้นที่นี้ ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของพวกเขา ซึ่งสามารถปกป้องตัวเองได้อย่างง่ายดาย นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องกลัว
ทันใดนั้นเถี่ยต้ากลายเป็นให้ความสนใจทันที ในขณะที่เขาคว้าขวานรบของเขาและถามว่า เจ้าคิดว่ามีกี่คนกันที่กำลังต่อสู้? เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าคิดว่าพวกเราควรไปดูหรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินถือแท่งเหล็กไว้เหนือกองไฟ ไม่จำเป็น ต่อให้พวกเราไม่ต้องสอดมือเข้าไป อีกไม่นานพวกเขาจะเข้ามาใกล้ในไม่ช้า
อ่า ! เถี่ยต้ากลับไปนั่งลงทันที หลังจากนั้นใบหน้าก็เรียบสงบ
ในไม่ช้า เสียงของการต่อสู้ก็กลายเป็นดังขึ้นและดังไปยังขั้นที่แม้แต่เถี่ยต้ายังสามารถได้ยินมัน ร่างของคนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็วจากทางพุ่มไม้และวิ่งตรงมาบริเวณที่จุดไฟ
ทันใดนั้น ด้านหลังพวกเขานั้นก็เป็นกลุ่มคนที่สวมใส่ชุดคลุมสีดำ ซึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังไล่คนกลุ่มนี้
เพื่อนทั้งสองคนนั้น กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลังนั้นต้องการที่จะขโมยแกนอสูรของเรา ไม่เพียงแต่พวกเขาแข็งแกร่ง แต่จำนวนของพวกเขานั้นยังมากกว่าของพวกเรา ข้าหวังว่าเราสามารถรวมพลังและต่อสู้กับพวกเขาให้ออกไป มิฉะนั้นหลังจากลงแรงอย่างหนัก ในช่วง 2 วันนี้คงต้องสูญเปล่าโดยพวกเขาแน่ คนหนึ่งตะโกนออกมาจากระยะไกล แม้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะมีกันแค่ 2 คน แต่ถ้าทั้งสองคนเข้าร่วมกับพวกเขา แล้วพวกเขาอาจจะสามารถต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียมกับฝ่ายตรงข้ามได้
ได้ยินเสียงเช่นนั้น คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าหากัน เขารู้สึกว่าเขาคุ้นเคยกับเสียงนี้ราวกับว่าเขาเคยได้ยินมันมาก่อน แต่อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถจดจำชื่อนั้นได้ เห็นได้ชัดว่าเขาคงไม่ได้ใส่ใจมันเท่าไหร่นัก
ทั้งสี่คนกำลังวิ่งหนีใกล้เข้ามาหาเจี้ยนเฉินเรื่อย ๆ ในตอนนี้ คนที่ไล่พวกเขาจากด้านหลังจู่ ๆ ก็เร่งไปสกัดข้างหน้าและไม่ให้ทั้งสี่คนได้ก้าวไปไหนอีก ถือกระบี่ยักษ์ขึ้น เขาเหวี่ยงกระบี่ของเขาออกอย่างต่อเนื่อง
หนึ่งในผู้นำกลุ่มนั้นหันกลับไปสู้ด้วยอาวุธเซียนของเขาเพื่อรับมือกับกระบี่ของฝั่งตรงข้าม
ตึ้ง
ทั้งสองคนมีความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันมากอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากคนที่ขัดขวางการโจมตีนั้นก็ปลิวไปทางด้านหลังอย่างรุนแรง.
ด้วยความว้าวุ่นใจอันมาจากผู้ที่ไล่ล่ามาจากด้านหลังได้ตามทันอีกครั้งและเริ่มโจมตีผู้ที่พยายามหลบหนีอีกครั้ง มี 8 คนที่ติดตามมาและพวกเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง ความแตกต่างของจำนวนระหว่างพวกเขานั้นเพิ่มความกดดันมากขึ้น หากไม่มีกำลังเสริมคนที่พยายามหลบหนีไปจะสูญเสียไปในที่สุด
ลั่วเจี้ยน หยุดอยู่ตรงนี้ ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าไปแน่ หนึ่งในคนกลุ่มนั้นคำรามออกมาและวิ่งไป
ได้ยินเสียงนี้ เจี้ยนเฉินที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลถึงกับนิ่งงัน เสียงที่พูดออกมาเป็นหนึ่งเสียงที่เขาคุ้นเคยนัก มันเป็นเสียงของพี่ชายใหญ่ของเขา เจียงหยางหู่
พี่ใหญ่ ! เจี้ยนเฉินร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นตื่นตระหนกและโดยปราศจากความลังเลใจ เขาพุ่งตรงไปบริเวณนั้นด้วยแท่งเหล็กในมือของเขา
มองเห็นเจี้ยนเฉินเคลื่อนไหว เถี่ยต้าก็เริ่มที่จะตามเจี้ยนเฉินไปอย่างติด ๆ ขวานของเขาที่อยู่ในมือ สำหรับที่ผ่านมา 3 วัน เถี่ยต้าเริ่มที่จะทำตามคำสั่งของเจี้ยนเฉินโดยปราศจากความเหตุผล
ในช่วง 3 วัน นี้ ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินได้ถูกเปิดเผยออกมา ด้วยประสบการณ์ของเขาในการอยู่รอดในป่าและกลยุทธ์ของเขา เถี่ยต้ายังคิดว่าเขานั้นเป็นรองเจี้ยนเฉินในด้านพรสวรรค์นัก
เจี้ยนเฉินลอยข้ามพื้นดิน วิ่งตัดพงหญ้าไปยังสถานที่ซึ่งมีต่อการต่อสู้กำลังเกิดขึ้น มือของเขาพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว เป็นแท่งเหล็กที่บินผ่านอากาศและแทงทะลุไปยังคนที่กำลังต่อสู้กับเจียงหยางหู่ เขาโล่งใจที่ได้ยินว่าคนที่เข้ามาหาเขาคือพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่
แม้ว่าทุกคนได้สังเกตเห็นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า และได้ป้องกันอย่างระมัดระวังกับทั้งสองคนที่มาใหม่ แต่เจี้ยนเฉินนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ระวังตัว ท่ามกลางความมืดสายตาของพวกเขามีขีดจำกัด ที่ไม่มีใครได้สังเกตเห็นแท่งเหล็กในมือของเจี้ยนเฉิน
ปลายแหลมของแท่งเหล็กแทงเข้าไปยังคู่ต่อสู้ของเจียงหยางหู่ ทำให้เขากรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขึ้นไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ขณะที่เขาหมุนตัวไปรอบโดยให้อีกฝ่ายได้โต้กลับ เจี้ยนเฉินใช้ขาของเขาเตะไปยังทรวงอกของอีกฝ่าย ให้อีกฝ่ายกระเด็นไปในอากาศ
ย้ากกกก ! ในขณะนั้น เถี่ยต้าก็เข้าโจมตี เขาเหวี่ยงขวานออกไปรอบ ๆ ส่งผลให้ศัตรูที่อยู่รอบช้างกระเด็นออกไป
แต่คนที่เถี่ยต้าได้เหวี่ยงขวานใส่ ไม่ได้มีการตอบสนองช้าแต่อย่างใด มองดูขวานลงมาที่พวกเขา ใบหน้าของเขาไม่ได้เปิดเผยร่องรอยสักนิดแห่งความกลัว และเขาเอากระบี่มาหยุดขวานนั้น
เติ้ง
เมื่อขวานปะทะกับกระบี่ เถี่ยต้าและชายคนนั้นถึงกับชะงัก อาวุธของพวกเขาสั่น เถี่ยต้ายังคงยืนอยู่กับที่ขณะที่ชายอีกคนถูกแรงผลักให้กระเด็นไปทางด้านหลัง
ด้วยร่างกายแข็งแกร่งราวกับฟ้าประทาน คงต้องเป็นยักษ์เท่านั้น ไม่ว่าเขาหรือนางก็ไม่อาจที่จะตอบโต้เถี่ยต้า แต่คนผู้ซึ่งกำลังต่อสู้กับเขาไม่ใช่ยักษ์ และดังนั้นแล้วเขาจึงสูญเสียพลังเป็นอันมาก
อย่างไรก็ตาม แม้จะเหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนั้น แต่ขวานของเถี่ยต้าก็ถึงกับบิ่นไปเล็กน้อย แม้ว่าความแข็งแกร่งจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก ถ้าเถี่ยต้าไม่ได้ใช้พลังเซียนเช่นนั้นแล้ว ขวานของเขาคงต้องถูกทำลายลงไป
อ่า ! เถี่ยต้าปล่อยคำราม ในขณะที่เขากวัดแกว่ง ขวานของเขาก็ส่งไปยังอีกสองคนที่เผชิญหน้ากับเถี่ยต้า
ตึง ! หลังจาก เกิดเสียงกังวานอยู่นาน ชายคนนั้นกลับไม่เข้าใจความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าที่ได้ปะทะกับเขาอีกครั้ง ทันใดนั้น เขาลอยขึ้นจากการโจมตีด้วยขวานของเถี่ยต้า ซึ่งสาเหตุจากขวานนั้นได้ตัดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าขวานของเถี่ยต้านั้นจะแข็งแกร่ง แต่มันก็ยังห่างไกลระดับอาวุธเซียนนัก เพราะทุกอาวุธเซียนนั้นมีพลังอยู่ภายในจำนวนมาก ด้วยอาวุธเซียนสามารถโจมตีได้รุนแรงกว่าปกติ แต่คนเหล่านี้ที่เจี้ยนเฉินกำลังต่อสู้อยู่ นั้นอ่อนแอเกินไปและบางส่วนของพวกเขาคงอยู่ในขั้นต้นของระดับเซียน ขณะที่เถี่ยต้านั้นกำลังจะก้าวมาเหยียบในระดับเซียนชั้นต้น ขวานของเขาจึงสามารถปะทะได้อย่างยาวนาน
ระวังให้มาก ความแข็งแกร่งของมันแตกต่างไปจากปกตินัก และอย่าได้ละสายตาจากขวานของมัน เป็นผู้หนึ่งที่ถูกปัดให้กระเด็นออกไป จากนั้นเขาตะโกนเตือนออกมา
ได้ยินคำเตือนสหายของเขา เด็กหนุ่มที่เหลือกลับกลายเป็นระมัดระวัง เขาหลบขวานและคว้าลงบนเข็มขัดมิติของเถี่ยต้า …
เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า ขณะที่ชั่วพริบตานั้น เขาส่งแท่งเหล็กออกไปกับการเคลื่อนไหวร่างกายที่คล้ายเหล่าภูตจพราย เขาต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเจียงหยางหู่ด้วยแท่งเหล็กที่ถูกย้อมไปด้วยเลือดซึ่งหลบซ่อนในเงาของความมืดราวกับว่ามันเป็นอสรพิษ ในขณะที่เขาเดินไปในท่ามกลางความมืดโดยแท่งเหล็กของเขาถูกส่งออกไปอย่างเงียบงัน ในความเงียบงันนี้ มันเป็นการยากที่ศัตรูของเขาจะตรวจพบได้
เจี้ยนเฉินโจมตีด้วยแท่งเหล็กนั้นอย่างรวดเร็วมาก แม้แต่คนที่ต่อสู้กับเจียงหยางหู่ก็ไม่สามารถที่จะตอบสนองได้ทัน ในเวลาที่ต้นขาของเขาถูกแท่งเหล็กแทงผ่าน
ใบหน้าของผู้นั้นเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่เขากรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดและมือของมันแน่น เจียงหยางหู่ไม่ใช่คนดีมากพอที่จะคอยให้เขากลับมายืนอีกครั้ง และทันใดนั้นก็ส่งกระบี่ตัดไปที่ไหล่ซ้ายของอีกฝ่าย
ทันใดนั้นมันร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง ขณะที่แขนซ้ายของมันขาด รอยตัดของกระบี่นั้นเรียบนัก และแขนเขาก็ขาดออกจากตัวทันที เลือดสดจำนวนมากก็พุ่งออกมาราวกับสายฝน ขณะที่เขารีบคว้ามัน
แสงสีเขียวแกมน้ำเงินสว่างในยามกลางคืน ขณะที่พวกเขาทุกคนเห็นกระบี่ยักษ์ปรากฏและเฉือนลงไปที่เจี้ยนเฉิน
พลังวายุเซียน โจมตี ! เห็นแสงสีฟ้าเขียวที่ห่อหุ้มกระบี่ ใบหน้าของของเจี้ยนเฉินก็แข็งกร้าว ทันใดนั้น เขาเริ่มใช่ ย่างก้าวพริบตา ทันที และเขาก็ได้สลายไปราวกับอากาศ เร็วที่สุดเท่าที่เขาได้หายไป กระบี่สีฟ้าประกายเขียวนั้นเฉือนผ่านตรงจุดที่เจี้ยนเฉินเคยยืนอยู่
เจี้ยนเฉินปรากฏออกไปที่ระยะสามเมตร ที่ไม่ไกลออกไป บุคคลที่กำลังจะฟันเจี้ยนเฉินนั้นสวมเครื่องแบบสำนักซึ่งย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมในความมืด ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่อาจจำเขาได้
ตาเจี้ยนเฉินมุ่งเน้นไปที่กลุ่มนั้น เขาส่งเสียงขึ้นจมูกและพูดด้วยเสียงต่ำ ลั่วเจี้ยน ข้าไม่คิดว่าข้าจะได้พบเจ้าที่นี่
คนที่เจี้ยนเฉินระบุชื่อถึงกับสะดุ้ง เขาคิดว่าคุ้นเสียงนั้นมาก ดังนั้นเขาจึงจ้องไปที่เจี้ยนเฉินอย่างระมัดระวัง แม้ว่ามันจะเป็นตอนกลางคืน แต่ก็ยังคงมีแสงดาวที่ส่องอยู่ท้องฟ้าที่ทำให้เขาสามารถเห็นใบหน้าของเจี้ยนเฉินได้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม หลังจากสามวันในป่าแห่งนี้ โดยปราศจากน้ำ ใบหน้าของทุกคนมีคราบดำ เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนจะได้เห็นหน้าตาของกันและกัน
อย่างไรก็ตาม ใกล้ ๆ กันเจียงหยางหู่ได้ยินเสียงของเจี้ยนเฉินและใบหน้าของเขาก็กลายเป็นตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อตาหรือหูของเขา เจ้า เป็นเจ้า น้องสี่ ! เจียงหยางหู่ประหลาดใจนัก เมื่อมันกลายมาเป็นน้ำเสียงของเจี้ยนเฉิน เขาคุ้นเคยกับเสียงนั้นอย่างมาก
ทันใดนั้นลั่วเจี้ยนก็ได้ตระหนักถึงบางอย่าง ขณะที่เขาหัวเราะ ไม่แปลกใจเลย ทำไมข้าถึงคุ้นเสียงเจ้านัก มันเป็นเจ้า เจียงหยางเซียงเทียน ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะตัดผ่านและกลายมาเป็นเซียน ข้ารู้สึกตื่นตระหนกจริง ๆ หลังจากที่กล่าวออกมา ดวงตาของเขาก็เปลี่ยนเป็นประกายอันตรายทันที
เจี้ยนเฉินหันไปรอบ ๆ และมองไปยังใบหน้าของเจียงหยางหู่ พี่ใหญ่ เราจะพูดคุยเรื่องนี้กันในภายหลัง ในตอนนี้ ข้าจะจัดการกับวิกฤตด้านหน้าของพวกเราก่อน ท่านไปช่วยคนอื่นและปล่อยลั่วเจี้ยนให้ข้าจัดการเอง
Chaotic Sword God ตอนที่ 43 ตอบโต้การขโมย
ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าพุ่งหลบไปทางด้านข้าง หลังจากผ่านการต่อสู้กับสัตว์อสูรมาถึงสองวัน แม้แต่คนกะโหลกหนาอย่างเถี่ยต้าก็เริ่มต้นที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่อสู้นั้น นี่เป็นการตอบโต้กลับ เถี่ยต้าหลบการโจมตีที่เข้ามาตามสัญชาติญาณ ก่อนจะตวัดขวานของเขาไปที่ขาของคนร้ายอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนด้านหน้าของพวกเขาก็พิสูจน์ได้ว่ามันจัดการได้ลำบาก เช่นเดียวกับขวานนั้นที่ได้โจมตีพวกมันครั้งหนึ่งที่ต้นขา กระบี่นั้นก็ยกขึ้นต้านและปะทะเข้ากับขวานด้วยเสียงอันดังก้อง
ตึ้ง!
โลหะปะทะโลหะ ขณะที่ขวานของเถี่ยต้าถูกขัดขวางด้วยความแข็งแกร่งอันน่ากลัว เถี่ยต้ายังคงใช้แรงผลักขวานเข้าไปทางด้านในของกระบี่ ก่อนที่จะหยุดโจมตี ทันใดนั้น ชายหนุ่มที่ถือกระบี่ก็รู้สึกแขนของเขามันชาไปทั้งแถบจากการที่มันได้ปะทะกับขวานอย่างแรง เป็นเหตุให้มือทั้งมือของเขาสั่นไปทั้งมือ
เด็กหนุ่มคนนั้นรู้สึกประหลาดใจก่อนจะร้องเตือนเพื่อน ๆ ของเขา ทุกคน ต้องระวังความแข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดาของไอ้หนุ่มนี่ให้มาก มันจะดีที่สุด ถ้าเจ้าไม่อยู่ในระยะที่แขนของมันเอื้อมถึง !
ได้ยินคำเตือนนั้น ลูกศิษย์คนอื่น ๆ อีกสองคนที่ต่อสู้เถี่ยต้า ทันใดนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีกลายเป็นระมัดระวังมากขึ้น และพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับขวานยักษ์ของอีกฝ่าย
อีกด้านหนึ่ง เจี้ยนเฉินกำลังต่อสู้อย่างเข้มข้นกับชายอีกคนที่ถือกระบี่ แม้ว่าอาวุธเจี้ยนเฉินนั้นจะเป็นเพียงแท่งเหล็กที่สึกกร่อน แต่ความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเถี่ยต้าเลย เขาไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใดเลย เขาใช้ความเร็วในการเคลื่อนไหวไปรอบ ๆ อย่างง่ายดาย เมื่อเห็นจุดอ่อน เจี้ยนเฉินได้แทงแท่งเหล็กของเขาไปที่ต้นขาของฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด เนื่องจากพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนัก เขาจึงไม่กล้าที่จะลงมือฆ่าแต่เปลี่ยนเป็นมุ่งทำร้ายแทน
ความเร็วของเจี้ยนเฉินช่างรวดเร็วนัก ทำให้ลูกศิษย์ไม่ได้มีเวลาที่จะตั้งตัว และเขาทำได้เพียงจ้องมองไปยังแท่งเหล็กที่แทงเข้ามายังต้นขาของเขาอย่างตกตะลึง
อ๊าก ! ชายหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ขณะใบหน้าไร้ซึ่งสีเลือดและมีเหงื่อหยดลงมาตามหน้าผากของเขา
ได้ยินเพื่อนของเขาร้องออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของนักกระบี่คนอื่นก็เปลี่ยนแปลง เมื่อรู้ว่าไม่สามารถที่จะต่อสู้กับเจี้ยนเฉินได้โดยตรง เขาร้องออกมาถามเพื่อนของเขา แฮรี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ?
แม้ว่าชายคนนั้นจะไม่ได้โจมตีเจี้ยนเฉินอีกต่อไป แต่เจี้ยนเฉินก็ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายปลีกตัวออกอย่างง่ายดายนัก ขณะที่เจี้ยนเฉินเคลื่อนตรงไปที่เขา บีบอัดพลังเซียนลงในกำปั้นของตนเอง และชกหมัดนั้นออกไปยังทรวงอกของชายคนนั้นทันที
เขายังคงเคลื่อนไหวออกอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจที่จะรับฟังคำพูดของอีกฝ่ายหรือแม้กระทั่งจะรอให้อีกฝ่ายได้ตอบโต้ ฝ่ามือของเขาก็ถูกส่งออกไปอย่างเงียบ ๆ ราวกับงูและโจมตีที่ทรวงอกของชายอีกคน
ปัง ชายหนุ่มถูกส่งให้ลอยละลิ่วด้วยกำปั้นของเจี้ยนเฉิน จากนั้น เลือดจำนวนมากก็กระอักออกมาจากปากของเขา
หลังจากส่งชายสองคนออกไป ทันใดนั้นเขาก็เดินตรงไปเพื่อช่วยเหลือเถี่ยต้า ในช่วงเวลานั้นเอง เถี่ยต้าได้พัวพันกับการต่อสู้ที่ยากและได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากการโจมตีของคนทั้ง 3 คน หนังหมาป่าที่เขาสวมถูกเฉือนออกจากกันและถูกทำลาย เลือดไหลออกจากบาดแผลของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะร่างกายที่คงทนและความแข็งแกร่งที่พระเจ้าประทาน คนอื่นคงจะไม่กลัวที่จะต้องต่อสู้กับเขา และเขาคงจะถูกทำให้หมดสติไปกับพื้นเสียแล้ว
ด้วยการปรากฏตัวของเจี้ยนเฉิน ความกดดันของเถี่ยต้าก็บรรเทาลงไม่น้อย พลังของเจี้ยนเฉินในสนามรบนั้นแข็งแกร่งมาก และแม้แต่เซียนปกติยังไม่อาจต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียมกันได้ หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีของการต่อสู้ระยะประชิด ชายสามคนที่อยู่ล้อมรอบเถี่ยต้าได้ล้มลงทีละคน แต่ละคนได้รับบาดเจ็บและหลังจากนั้นไม่นาน ชายทั้งห้าคนก็ลงไปกองกับพื้นด้วยความเจ็บปวดและไม่มีแรงเคลื่อนไหวจากตรงนั้นเลยสักนิด
เจี้ยนเฉินมองไปที่บาดแผลจำนวนมากบนร่างกายของเถี่ยต้าและถามด้วยด้วยความกังวล เถี่ยต้า เจ้าสบายดีหรือไม่ ?
เถี่ยต้าพยักหน้าและกล่าวว่า ข้าสบายดี ข้ามันหนังเหนียวนัก เขาชี้ไปที่กลุ่มคนทั้งห้าซึ่งกำลังบิดตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดอยู่บนพื้น เราควรจะทำเช่นไรกับพวกเขาดี ?
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างแปลก ๆ เถี่ยต้า ไปรวบรวมเข็มขัดมิติและเอาแกนอสูรทั้งหมดออกมา จากนั้นค่อยคืนเข็มขัดกลับไปให้พวกเขา
ได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ชายทั้งห้าคนบนพื้นดินก็นิ่งไปทันที ขณะที่ใบหน้าของพวกเขาซีดลง ชายไม่กี่คนในพวกเขามีสีหน้าไม่พอใจทันที เข็มขัดมิติของพวกเขามีแกนอสูรที่ได้รับมาจากช่วง 2 วันของการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะนี้ เพียงแค่ครึ่งวันของวันที่สามกำลังจะผ่านพ้นไป ถ้าพวกเขาสูญเสียแกนอสูรทั้งหมดในตอนนี้แล้วละก็ มันแน่ชัดแล้วว่าเขาจะล้มเหลวในภารกิจนั้น
เถี่ยต้าหัวเราะออกมา โดยปราศจากความลังเล เขาทำตามที่เจี้ยนเฉินสั่งออกมาทันทีและคว้าเข็มขัดมิติจากพวกเขาทั้งห้าคน เจี้ยนเฉินจ้องมองพวกเขาด้วยแท่งเหล็กที่ถูกอาบไปด้วยเลือดในมือ เฉกเช่นเสือกำลังลอบมองเหยื่อของมัน เพื่อให้ไม่ให้พวกมันได้เคลื่อนไหว
เดิมทีแล้ว ลูกศิษย์ทั้งห้าคนวางแผนที่จะกลับมาสู้อีกครั้ง แต่เมื่อพวกเขาเห็นเจี้ยนเฉินจับแท่งเหล็กที่เปื้อนเลือดพวกเขา ทันใดนั้น พวกมันทั้งหมดก็ยอมแพ้ ไม่กล้าที่จะต่อต้านออกมาแต่อย่างใด และยินยอมให้เถี่ยต้านำเข็มขัดมิติของพวกเขาไป
หลังจากรวบรวมเข็มขัดมิติทั้งหมด เถี่ยต้านำมันกลับไปให้เจี้ยนเฉิน และเริ่มที่จะนับแกนอสูรทีละอัน ๆ โดยรวมแล้วพวกเขามีเพียงแกนอสูร 12 อัน ซึ่งทั้งหมดเป็นแกนอสูรระดับ 2
เจี้ยนเฉินหัวเราะในขณะที่เขาคว้าแกนอสูร 6 อันและใส่ไว้ในเข็มขัดมิติของตัวเอง ก่อนที่จะพูดว่า เถี่ยต้า แบ่งครึ่งกัน ข้า 6 อัน เจ้า 6 อัน
เยี่ยม ! เถี่ยต้ากล่าว ในขณะที่เขาเก็บส่วนแบ่งที่ได้รับเข้าไปในเข็มขัดมิติของเขา
แต่เมื่อทั้งห้าคนได้ยินชื่อของเถี่ยต้า ใบหน้าทั้งห้าคนเริ่มเปลี่ยนไปเป็นไม่น่าดูทันที หากจะกล่าวถึงชื่อของเขา ทุกคนในสำนักคากัตย่อมรู้จัก เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ ที่แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในระดับเซียน แต่ภายในสำนักนี้ก็ไม่มีใครที่จะกล้าเข้าไปตอแยกับเขา
ในจุดนี้ ลูกศิษย์ทั้งห้าคนเริ่มที่จะเสียใจในการกระทำของตน ลำไส้ของพวกเขากลายเป็นสีเขียว ถ้าพวกเขารู้มาก่อนหน้านี้ว่าหนึ่งในนั้นคือเถี่ยต้าแล้วละก็ พวกเขาก็จะไม่พยายามที่จะขโมยของจากศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่เป็นอันขาด แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกเขาถูกปล้นจากคนที่พวกเขากำลังจะปล้นเท่านั้น แต่พวกเขากลับไม่สามารถที่จะแก้แค้นคนที่พวกเขารู้ดีว่าเป็นใคร พวกเขาช่างทรมานจนไม่อาจบรรยายออกมาได้
TL: ลำไส้จะกลายเป็นสีเขียวก็ต่อเมื่อพวกเขาตาย โดยในที่นี้ หมายความว่า พวกเขาเสียใจกระทำของพวกเขามากขนาดที่ต้องการจะตายกันเลยทีเดียว
หลังจากได้จัดเก็บแกนอสูรระดับ 2 ทั้งหมด เถี่ยต้าก็ยิ้มออกมากว้าง เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าช่างยอดเยี่ยมและล้มพวกมันทั้งหมดได้อย่างรวดเร็วนัก ข้า เถี่ยต้า ไม่อาจเทียบกับเจ้าได้เลยสักนิด
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า เอาล่ะ กลับกันเถอะ และหวังว่าพวกเราสามารถฆ่าสัตว์อสูรได้ไม่น้อย เพื่อมันจะได้เป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะพลังของพวกเรา
ไม่นานหลังจากนั้นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าไม่เห็นท่าทางแข็งทื่อของลูกศิษย์ทั้ง 5 คน บนพื้นขณะที่พวกเขาเดินออกไป
เมื่อทั้งสองหายเข้าไปในป่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งเริ่มที่จะสาปแช่งออกมาดัง ๆ เวรเอ๊ย นี่มันนรก โชคร้ายอันใดที่เรามี! ถึงได้เจอศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่แถมยังล้มเหลวในภารกิจอีก ไม่เพียงเท่านั้น แกนอสูรที่พวกเรามีกลับถูกขโมยไป โดยพวกเราไม่อาจที่จะแก้แค้นได้ นี่นับว่าเป็นโชคร้ายแบบไหนกันวะ!
เด็กหนุ่มอีกคนที่ถือค้อนก่อนหน้านี้พูดด้วยเสียงแหบแห้ง นั่นไม่ใช่ทั้งหมด อย่าลืม นอกจากเถี่ยต้า คนที่โจมตีพวกเรายังมีอีกคน
สายตาของทุกคนสว่างขึ้น เจ้ากำลังกล่าวถึงเจียงหยางเซียงเทียน
ลูกศิษย์ถือค้อนขนาดใหญ่พยักหน้า ถูกต้อง กับเถี่ยต้าที่มีอาจารย์ใหญ่หนุนหลัง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถที่จะแก้แค้นเขาได้ แต่เจียงหยางเซียงเทียนไม่ได้มีใครหนุนหลังเช่นเดียวกัน
แต่พลังของเจียงหยางเซียงเทียนนั้นแข็งแกร่งนัก ดังนั้นพวกเราทั้งห้าคนก็ไม่อาจล้มเขาที่มีเพียงคนเดียวได้ แล้วเจ้าจะแก้แค้นมันได้อย่างไร ? อีกคนหนึ่งถาม
ถูกต้อง และข้อเท็จจริงที่สำคัญมากนั้นก็คือ เจียงหยางเซียงเทียนนั้นว่องไวมากนัก พวกเราไม่สามารถที่จะหลบการโจมตีใด ๆ ของมันได้ ชายที่ถือกระบี่กล่าว มันเป็นคนเดียวกันกับคนที่ถูกแทงโดยเจี้ยนเฉิน
จากนั้นชายคนที่ถือขวานก็เปิดปากของเขาอย่างกะทันหัน พวกเจ้าอย่าลืมว่าเจียงหยางเซียงเทียนสร้างปัญหาให้กับนายน้อยเฉิงและนายน้อยลั่ว ซึ่งพวกเขาแข็งแกร่งกว่าเรานัก ถ้าเราสามารถหาโอกาสที่จะเข้าร่วมกับพวกเขา ไม่ช้าก็เร็วเราจะมีโอกาสที่จะได้โจมตีมันแน่
……
ชั่วพริบตา ท้องฟ้าก็เริ่มมีแสงสลัว สัตว์อสูรในเขตแดนชั้น 3 นั้นอุดมสมบูรณ์น้อยกว่าชั้น 2 มากนัก ครึ่งวันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้พบกับสัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตัว ทุกครั้งที่เขาได้พบกับหนึ่งในนั้น พวกเขาก็ฆ่ามันได้อย่างยากลำบาก ภายในบ่ายวันนั้น ทั้งสองคนได้รับแกนอสูรเพียงอีกแค่ 7 อัน เมื่อเทียบกับจำนวนที่เขาได้รับจากเขตแดนชั้น 2 ตัวเลขนั้นไม่ได้สำคัญนัก แต่เมื่อพวกเขาคิดถึงลูกศิษย์ทั้งห้าคนที่มีเพียงแค่แกนอสูร 12 อันทั้งที่เป็นถึงเซียน พวกเขารู้สึกโล่งใจมากขึ้นเล็กน้อย
พวกเขาแทบไม่ได้พักเลย เนื่องจากสัตว์อสูรนั้นยากต่อการสังหารนัก นอกจากนี้เนื่องจากจำนวนของสัตว์อสูรที่น้อยกว่าคนมาก ยังมีคนที่เต็มใจจะปล้นแกนอสูรของพวกเขาอีก หลังจากที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้ต่อสู้กับลูกศิษย์ทั้ง 5 คน พวกเขายังพบกับโจรอีก 3 กลุ่มและแต่ละกลุ่มมีอย่างน้อยที่สุดถึงสี่คนในนั้น และที่มากที่สุดนั้นก็มีถึง 7 คน แต่ในท้ายที่สุด พวกเขาได้ปะทะและเอาชนะมาได้ และเอาแกนอสูรทั้งหมดของกลุ่มอื่น ๆ แต่เรื่องน่าเศร้าสำหรับเจี้ยนเฉิน ก็คือการที่หนึ่งในสี่กลุ่มที่โจมตีพวกเขามันกลับไม่มีแกนอสูรแม้แต่เพียงอันเดียว แต่ยังดีที่อีกสองกลุ่มนั้น มีแกนอสูรระดับ 2 รวมกันแล้วถึง 33 อัน
เมื่อยามกลางคืนมาถึง เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้านั่งลงข้างกองไฟที่พวกเขากำลังย่างสัตว์อสูร ทั้งสองคนดูเหนื่อยมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับยามที่ยังอยู่ในเขตแดนชั้น 2 เขตแดนชั้น 3 นี้มันช่างเหนื่อยยากนัก
ณ จุด ๆ นี้ เครื่องแบบสำนักของเถี่ยต้าได้หายไปแทบจะหมด เฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยหนังป่า จนทำให้เขามีลักษณะเหมือนคนป่าเถื่อน เขาถูกปกคลุมไปด้วยรอยแผลแทบจะทุกส่วนและซึ่งดูเหมือนจะเจ็บปวดมาก แต่พวกมันก็เป็นเพียงแผลตื้น ๆ ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเถี่ยต้าเท่าไหร่นัก นี่คือร่างกายที่แข็งแกร่งซึ่งแม้กระทั่งเจี้ยนเฉินยังมองด้วยความอิจฉา
ในด้านของเจี้ยนเฉินเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แม้ว่าเขาจะยังอยู่ในเครื่องแบบสำนัก แต่พวกมันก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดที่เริ่มแห้งกรังซึ่งเปลี่ยนแปลงเป็นสีดำ
ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินได้ยินเสียงของการต่อสู้ที่ห่างไกลออกไป ด้วยการได้ยินอย่างเฉียบพลันเขาได้ยินเสียงแผ่วเบาที่ลอยเข้ามา
เจี้ยนเฉินลุกขึ้นยืนจากบริเวณที่เคยนั่งและมองออกไปในทิศที่เขาได้ยินเสียง เถี่ยต้า มีการต่อสู้กันบริเวณแถบนี้
Chaotic Sword God ตอนที่ 42 การปล้น
เถี่ยต้า เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ? เจี้ยนเฉินถามด้วยความกังวล
เถี่ยต้าส่ายศีรษะ เขาถอนหายใจออกมายาวและกล่าวออกมาด้วยเสียงอู้อี้ ข้าสบายดี แต่ความร้อนที่ข้าได้รับนี่มันยากจะทานทนจริง ๆ
ตราบเท่าที่เจ้าไม่เป็นไร มันก็ดีแล้ว เจี้ยนเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเขาเห็นว่าเถี่ยต้าถูกปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ เจี้ยนเฉินรู้สึกกังวลอย่างแท้จริงว่าเถี่ยต้านั้นยังคงสบายดีอยู่หรือไม่
ทันใดนั้นสายตาเจี้ยนเฉินแข็งกร้าวขึ้น ในขณะที่เขาหันกลับไปดูต้นไม้ที่เขียวชอุ่ม ดวงตาของเขาเป็นประกาย ขณะที่มุมปากของเขาก็กระตุกขึ้นเพื่อเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็ก ๆ
ฮึง ฮึง ฮึง
พื้นดินก็เริ่มสั่นอีกครั้ง ขณะที่สัตว์อสูรเมฆาอัคคียืนกระทืบเท้าอยู่หน้าเจี้ยนเฉิน แต่ละย่างก้าวก็สร้างความสั่นสะเทือนให้กับพื้นดินเป็นอย่างมาก สัตว์อสูรเมฆาอัคคีเก็บลมหายใจแห่งเปลวเพลิงไว้ ไม่ให้มันออกจากปาก ราวกับว่ามันกำลังตื่นเต้น
ใบหน้าเถี่ยต้าแข็งกระด้างขึ้น ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังสัตว์เดรัจฉานอย่างสัตว์อสูรเมฆาอัคคี เจียงหยางเซียงเทียน ผิวของเจ้าสัตว์ตัวนี้มันหนานัก แล้วเราจะสังหารมันได้อย่างไรเล่า ?
เจี้ยนเฉินยังมองสัตว์อสูรตัวนั้นด้วยใบหน้าอึมครึม ร่างกายของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีนั้นปกคลุมด้วยชั้นผิวหนังที่แข็งแกร่ง ถ้าพวกเราไม่สามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้แล้วละก็ อาวุธของพวกเราก็แทบจะไม่สามารถที่จะตัดผ่านผิวหนังของมันได้ ในเวลานี้ โอกาสที่พวกเราจะโจมตีสัตว์อสูรเมฆาอัคคีได้ก็เป็นแค่เพียงบริเวณดวงตาและแทงทะลุไปยังสมองของมัน
ขณะที่สัตว์อสูรเมฆาอัคคีคำรามลั่นและเปิดขากรรไกรของมันเพื่อที่จะปล่อยอะไรบางอย่างที่คล้ายกับงูอัคคีออกมา เจี้ยนเฉินก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าทั้งสองคนเคลื่อนไปทางด้านข้างเพื่อหลบมัน เจี้ยนเฉินกำแท่งหล็กแน่นในขณะที่เขาร้องออกมา เถี่ยต้า ถ่วงเวลาให้ข้า !
ไม่ต้องกังวล ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ! เถี่ยต้าหยิบขึ้นอะไรบางอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียงกับหินและขว้างมันไปยังสัตว์อสูรเมฆาอัคคีและวิ่งไปยังด้านตรงข้ามทันที
หินหมุนคว้างอยู่กลางอากาศก่อนที่มันจะตกกระทบกับสัตว์อสูรเมฆาอัคคีได้อย่างแม่นยำราวกับจับวาง
เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นจุดที่เปราะบางที่สุดของสัตว์อสูรเมฆาอัคคี ตาของมันเริ่มกลายเป็นสีแดงด้วยความกระหายเลือด ขณะที่มันเริ่มจะใช้ลมหายใจแห่งเปลวเพลิงเพื่อจัดการกับเถี่ยต้าอีกครั้ง
เจี้ยนเฉินจ้องมอง ขณะที่เถี่ยต้ากำลังดึงดูดความสนใจจากสัตว์อสูรเมฆาอัคคี เขาจับแท่งเหล็กอย่างแน่นหนาซึ่งเขาจะใช้มันเริ่มที่จะฆ่าสัตว์อสูร เขาวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว เขาพุ่งเข้าไปยังหัวของสัตว์อสูรเมฆาอัคคี
ความเร็วเจี้ยนเฉินนั้นเร็วพอ ๆ กับภูตพราย ในขณะที่เขาแตะลงพื้น หญ้ารอบ ๆ ตัวเขาลู่ลมไปมากับอากาศที่หมุนวนอย่างรวดเร็วราวกับว่าเขากำลังบินอยู่
ในช่วงเวลาอันสั้น ๆ เจี้ยนเฉินก็มาถึงหัวของเมฆาอัคคี โดยไม่แม้แต่จะโดนความร้อนจากกระแสความร้อนที่ถูกคายออก เขากระโดดกลางอากาศอีกครั้งก่อนจะตกลงบนหัวของสัตว์อสูรตัวนั้น ด้วยแท่งเหล็กในมือขวาของเขา เขาแทงมันลงไปที่ตาของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
แม้ว่าเจี้ยนเฉินได้เคลื่อนย้ายมาอย่างอย่างรวดเร็ว แต่สัตว์อสูรเมฆาอัคคีนั้นก็ไม่ได้มีการตอบสนองที่ช้าแต่อย่างใด ก่อนที่แท่งเหล็กนั้นจะแทงทะลุดวงตา ทันใดนั้นสัตว์อสูรตัวนั้นก็ปิดตาของมันลง.
ตาเจี้ยนเฉินเป็นประกายเพียงสองช่วงสั้น ๆ ในขณะที่เขาเห็นสัตว์อสูรเมฆาอัคคีปิดตาของมัน รวบรวมสมาธิ ส่งพลังวิญญาณของเขาและใส่มันลงไปที่ใจกลางของแท่งเหล็ก ในขณะที่มันครอบคลุมความคมของแท่งเหล็กที่เขาพยายามจะยัดมันเข้าไปที่เปลือกตาของเมฆาอัคคี
แท่งเหล็กนั้นแทงทะลุผ่านเปลือกตาอย่างไม่ยากลำบากนัก ราวกับมันไร้ซึ่งแรงเสียดทาน ทันทีนั้น เลือดไหลออกมาจากดวงตาของสัตว์อสูรเมฆาอัคคี.
โฮ่ววววว ! ทันใดนั้น สัตว์อสูรเมฆาอัคคีก็ปล่อยเสียงร้องโหยหวนออกมา ที่ซึ่งราวกับว่ามันต้องการสั่นสะเทือนสวรรค์ด้วยตัวของมัน ในขณะที่มันหมุนและพุ่งออกมาแบบไร้ทิศทาง
เจี้ยนเฉินทุ่มเทแรงกดมาที่แขนข้างขวาของเขามากขึ้น เขาพยายามดันแท่งเหล็ก พยายามที่จะทำให้มันแทงลึกลงไปโจมตีสมองของมันจากบริเวณตา
เสียงกรีดร้องของเมฆาอัคคีกลายเป็นโหยหวนมากขึ้น ขณะที่มันเริ่มแกว่งไปมาและมันพยายามที่จะเอาแท่งเหล็กออกจากดวงตาของมัน แต่แท่งเหล็กนั้นจมเข้ามาลึกเกินกว่าที่จะเอามันออกมาได้ ในขณะที่มันส่ายหัวเพื่อทำให้มันหลุดพ้นจากเจี้ยนเฉิน ความเจ็บปวดขยายตัวรุนแรงมากขึ้น หลังจากมันพยายามที่จะสั่นหัวของมัน ความเจ็บปวดนั้นมากพอที่จะทำให้มันไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวอะไรทั้งหมดอีกต่อไป
เสียงร้องครวญครางอย่างไม่มีที่สิ้นสุดด้วยความเจ็บปวด สัตว์อสูรเมฆาอัคคีทิ้งตัวลงไปกับพื้น ซึ่งมันยังคงดิ้นรนเป็นคราสุดท้าย แม้ว่าแผลจะไม่ได้สร้างความเสียหายร้ายแรง แต่ความเสียหายนั้นส่งผลร้ายแรงนักต่อเส้นประสาทของมันซึ่งสร้างความเจ็บอย่างมากเกินกว่าที่จะทานทน
เห็นสัตว์อสูรเมฆาอัคคีร่วงลงไปกับพื้นดิน ดวงตาเจี้ยนเฉินเป็นประกายปิติยินดี ในขณะที่เขาตะโกน เถี่ยต้า เร็วเข้า ผลักให้แท่งเหล็กเข้าไปลึกกว่านี้ ด้วยความแข็งแกร่งฟ้าประทาน ไม่มีงานใดจะเหมาะสมไปกว่าเขานอกจากงานนี้อีกแล้ว
ดี เป็นตาของข้าบ้างล่ะ เถี่ยต้าร้องตะโกนออกมาอย่างมีความสุข ในขณะที่เขาวิ่งไปด้วยความตระหนักว่า ชัยชนะอยู่ในเงื้อมมือของเขา
เถี่ยต้าเดินเข้ามาใกล้สัตว์อสูรเมฆาอัคคีอย่างรวดเร็วและคว้าแท่งเหล็ก ก่อนที่จะผลักมันให้เข้าไปลึกในดวงตาของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีกว่า 1 เมตร ด้วยมือขวาของเขา จนเห็นบางส่วนของแท่งเหล็กที่โผล่ออกมาจากอีกทาง
โฮ่ววววววว! เสียงร้องโหยหวนดังก้องออกมาจากสัตว์อสูรเมฆาอัคคี ซึ่งมันทำให้เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินถึงกับหูหนวกไปชั่วขณะ มันเป็นพลังที่สัตว์อสูรเมฆาอัคคีใช้มันเป็นเฮือกสุดท้าย ก่อนที่มันจะค่อย ๆ ล้มลงสู่พื้นดิน มันกระตุกอยู่หลายครา และท้ายที่สุดดวงตามันก็ปิดลงสนิท
เห็นว่าในที่สุดแล้ว สัตว์อสูรเมฆาอัคคีก็ตายลง ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ สัตว์อสูรเมฆาอัคคีไม่ได้เป็นอะไรที่มหัศจรรย์นัก แต่การป้องกันของมันอยู่ในระดับสูงมากเป็นพิเศษ ดังนั้นการที่จะสังหารมันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ในที่สุดมันก็ตายเสียที สัตว์อสูรตัวนี้เป็นอะไรที่ลำบากเกินไป กระทั่งลมหายใจของมันที่ปล่อยออกมาก็เผาผมของข้าไปจนหมดสิ้น เถี่ยต้าจับหัวของเขาที่กลายเป็นหัวโล้นด้วยท่าทีหดหู่
เจี้ยนเฉินเพียงแค่หัวเราะออกมา ในขณะที่เขาดูเถี่ยต้าซี่งเต็มไปด้วยความเศร้าโศกอย่างมากกับผมและเสื้อผ้าของเขา สิ่งที่ควรทำในตอนนี้ อย่างน้อยเจ้าก็ควรใส่อะไรเสียบ้าง ! เขากล่าวออก ในขณะที่เขาหยิบเอาหนังหมาป่าผืนอื่นจากเข็มขัดมิติของเขา เสื้อผ้าหนังสัตว์เป็นอะไรที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว มีหลายชุดที่เก็บไว้ในเข็มขัดของพวกเขา เพราะว่าในป่านี้ซึ่งเต็มไปด้วยการต่อสู้ มันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเสื้อผ้านั้นไม่มีความทนทาน
เถี่ยต้าหยิบมันโดยไม่พูดอะไรอีกและในชั่วพริบตา เขาได้เปลี่ยนชุดนั้นทันที
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็เอาแกนอสูรออกมาและยังคงที่จะเดินไปตามทางของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
หลังจากที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า หายไปจากมุมมอง ร่างของหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงก็ลงมาจากต้นไม้ ร่างนั้นเป็นผู้หญิงร่างสูง อายุราว 30 ปี นางอยู่ในชุดเสื้อผ้าสีแดงเพลิง การปรากฏตัวของนางไม่ได้งดงามมาก แต่นางก็เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ดูสงบเยือกเย็น
ผู้หญิงนางนั้นจ้องมองมาที่ซากของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีด้วยความประหลาดใจที่มันถูกเขียนไว้อย่างชัดเจนบนใบหน้าของนาง หายใจเข้าลึก ๆ หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง เถี่ยต้าและเจียงหยางเซียงเทียน พวกเจ้าทั้งสองคนสมควรแล้วที่จะได้รับชื่อเสียง ความแข็งแกร่งของพวกเจ้านับว่าน่าตื่นตาตื่นใจนัก พวกเจ้าทั้งสองยังไม่ได้เป็นเซียนด้วยซ้ำ และเจ้ายังสามารถใช้อาวุธธรรมดาเช่นแท่งเหล็กนั้นจัดการกับสัตว์อสูรระดับ 2 สัตว์อสูรที่รู้จักกันดีว่ามีความป้องกันเป็นอย่างดี ข้าตกตะลึงอย่างแท้จริงนัก ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ หลังจากที่กล่าวจบ ทันใดนั้นนางก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทันทีที่หญิงสาวนางนั้นหายไป ชายหนุ่มอีก 5 คนก็เข้ามา ทั้งห้าคนผู้ซึ่งถูกคลุมด้วยความมืดมิดจึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าได้ง่ายนัก อย่างไรก็พวกเขาก็อยู่ในเครื่องแบบสำนักที่เก่าโทรม ขณะที่พวกเขาถืออาวุธ มีกระบี่สองเล่ม ในขณะที่อีกคนถือขวานขนาดใหญ่ ชายหนุ่มที่เข้ามามีร่างกายสูงใหญ่และกำยำถือค้อนขนาดใหญ่ของเขาขึ้น ในขณะที่เขาเดินตามกลุ่มนั้น
คาดว่าเสียงร้องนั้นคงดังมาจากบริเวณนี้ ชายคนหนึ่งผู้ถือกระบี่ไว้ในมือกล่าวออกมาในขณะพัก
ลูกศิษย์อีกคนที่แบกขวานพยักหน้าของเขา ไม่เลว ถ้าสัตว์อสูรไม่ได้วิ่งไกลเกินไปแล้วละก็ มันควรจะยังคงอยู่ในบริเวณอันใกล้นี้ … : ขณะที่เขาถึงกับกลั้นหายใจ ดวงตาเบิกกว้างเมื่อมองไปยังด้านหน้าของพวกเขา พวกเจ้า ดู! นั่นคือ. … เขาชี้
ได้ยินเพื่อนของพวกเขา ตาของทุกคนมองไปข้างหน้า ขณะที่พวกเขาเห็นเป็นภูเขาสีแดงพลิกคว่ำนอนอยู่บนพื้นดิน ที่ดูเหมือนจะมีลักษณะคล้ายกับสัตว์อสูร
ลองไปดูกัน
ทันใดนั้น ทั้งพวกเขาทั้งห้าคนก็เดินเข้ามาใกล้ร่างของสัตว์อสูร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาได้รับการยอมรับว่ามันเป็นสัตว์อสูร ใบหน้าของพวกเขาทุกคนจริงจังมากขึ้นเรื่อย ๆ
หนึ่งในคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในหมู่พวกเขาเดินเข้าไปใกล้ร่างกายและสัมผัสกับขนสัตว์เปื้อนเลือดด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า นี่คือสัตว์อสูรเมฆาอัคคี มันมีการป้องกันที่สูงมาก แต่การโจมตีไม่ได้แรงเท่าไหร่นัก เลือดยังไม่แห้งและยังคงอบอุ่น ดังนั้นมันคงพึ่งจะตาย ซึ่งเสียงร้องโหยหวนนั้นคงมาจากมัน .
ชายหนุ่มที่ถือกระบี่ มองไปรอบ ๆ ตัวเองก่อนที่จะมองที่รอยเท้าเจี้ยนเฉิน ติดตามดูรอยเท้านั้น และดูว่าใครเป็นคนฆ่าสัตว์อสูรเมฆาอัคคีตัวนี้ ถ้าพวกเขาแข็งแกร่งมากพอ เราจะเพิ่มพวกเขามาอยู่ในกลุ่มของพวกเรา เพื่อให้เราสามารถล่าสัตว์อสูรได้มากขึ้น แต่ถ้าพวกเขาอ่อนแอกว่าพวกเราแล้วละก็ … รอยยิ้มเล็ก ๆ เริ่มที่จะเกิดขึ้นบนใบหน้าของเขา.
ได้ยินอย่างนี้แล้วอีก ชายหนุ่มอีก 4 คน ก็คิดออกมาทำนองเดียวกัน ใบหน้าของพวกเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มอันชั่วร้าย ไม่นานหลังจากนั้น ทั้งห้าคนก็ไล่ตามเถี่ยต้าและเจี้ยนเฉิน
ในขณะนั้น เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าออกเดินอย่างระมัดระวังภายในป่า เพื่อที่จะป้องกันตัวเองจากสัตว์อสูร เช่นเดียวหนองน้ำไม่กี่แห่งบนพื้นดิน ซึ่งนั้นทำให้เขาช้ากว่าที่ควร
ในช่วงเวลานั้นเอง หูของเจี้ยนเฉินตรวจพบบางสิ่งบางอย่าง เขายกมือของเขาขึ้นเพื่อหยุดเถี่ยต้า เขากล่าวว่า ระวัง มีบางคนกำลังมาจากทางด้านหลังของเรา
ทันใดนั้นเถี่ยต้าหยุดเคลื่อนไหวและหันไปรอบ ๆ อย่างสงสัย
ชั่วพริบตา ชายทั้งห้าคนที่ติดตามเจี้ยนเฉินก็ได้ปรากฏออกมา มีจำนวนทั้งหมด 5 คน แต่เจี้ยนเฉินไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของพวกเขาเพราะมันถูกปิดบังด้วยผ้าคลุม แต่เขาสามารถบอกได้ว่ามีความแข็งแกร่งจากพลังเซียนซึ่งถูกปล่อยออกมาจากอาวุธ
เมื่อทั้งห้าคนเห็นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า พวกเขายิ้มบาง ๆ ให้กัน ราวกับว่าพวกเขาได้ตกลงร่วมกันในบางสิ่งบางอย่าง ชายทั้งห้าคนเพิ่มความเร็วขึ้น แล้วก็ก้าวไปล้อมรอบเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าอย่างรวดเร็ว
เห็นสิ่งนี้ ทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้ารู้สึกสังหรณ์ใจถึงสิ่งเลวร้ายด้วยตัวเอง
สหาย ถามได้ไหมว่าพวกท่านต้องการทำอะไร ? เจี้ยนเฉินถาม
หนึ่งในเด็กหนุ่มที่กวัดแกว่งกระบี่ของเขา พูดพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย เจ้าถามเราว่าเรากำลังทำอะไร?
มอบเข็มขัดมิติออกมาแต่โดยดี แน่นอนเราไม่ต้องการที่จะก่อปัญหาให้กับพวกเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ปฏิบัติตาม … ฮ่าฮ่าฮ่า … ชายถือค้อนควงมันไป ขณะที่เขาส่งเสียงขึ้นจมูกเมื่อมองมายังพวกเขา
ใบหน้าเถี่ยต้าเริ่มโกรธขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงความต้องการของพวกมัน เจ้าต้องการให้ข้ามอบเข็มขัดมิติหรือ ฮึ่ม อย่าแม้แต่จะนึกถึงเรื่องนี้ เถี่ยต้าเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นทันที นี่มันเป็นการปล้นชัด ๆ
เจี้ยนเฉินตบเข็มขัดมิติของเขาเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม เข็มขัดมิติมีแกนอสูรมากมายอยู่ภายใน ถ้าเจ้ามีความสามารถ ก็จงมาเอามันไป .
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาทั้งห้าเป็นเซียน แต่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว
ฮึ่ม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จากนั้นจะมาโทษพวกข้าไม่ได้ ทุกคนโจมตี ! ทันใดนั้น พวกเขาทั้ง 5 คนก็รีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อโจมตีชายทั้งสอง แต่การโจมตีของพวกเขาไม่ได้มุ่งเป้าไปที่บริเวณที่อันตรายถึงชีวิต ทั้งห้าคนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าพวกเขายังคงลูกศิษย์ การขโมยนับเป็นการต่อสู้ แต่พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ฆ่าใคร
Chaotic Sword God ตอนที่ 41 สัตว์อสูรเมฆาอัคคี
นั่นมันเป็นไปไม่ได้ เสี่ยวเล่อ เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอะไรอยู่ ทั้งสองคนยังไม่ได้เป็นเซียน ที่คิดว่าพวกเขาสามารถฆ่าสัตว์อสูรไปกว่า 70 ตัว นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มที่ถือหอก เขากล่าวออกมาอย่างไม่เชื่อ
ใช่ มันเหลวไหลเกินไป แม้กระทั่งเซียนเองก็ยังเป็นไปได้ไม่ได้ด้วยซ้ำ เพียงลำพังคนเดียว ข้าคิดว่าแม้จะเป็นเซียนก็ยังไม่อาจที่จะฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 หลาย ๆ ตัว ภายในวันเดียวได้ ข้าสงสัยนัก ว่าพลังเซียนของพวกเขานั้นไม่มีขีดจำกัดเลยหรืออย่างไร นักธนูสาวกล่าวออกด้วยความสงสัย
ในช่วงยามนั้นเอง ชายผู้ที่เชิญเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเข้าร่วมกลุ่มกล่าวออกมาว่า เหลียงเสี่ยวเล่อ เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร? ในสำนักของเรามีคนที่น่าสนใจเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? พวกเขาไม่ใช่เซียน แต่กลับล้มสัตว์อสูรระดับ 1 ลงได้อย่างง่ายดายนัก? พวกเขาเป็นใครกันนะ? ขณะที่กำลังพูด ราวกับว่าเขาได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง ที่เปลี่ยนให้ใบหน้านั้นเปลี่ยนสีไปอย่างรวดเร็วนัก
ใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อ ดูภาคภูมิใจ ราวกับว่านางกำลังทำสิ่งที่เป็นเกียรติ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ข้าสามารถบอกเจ้าได้เพียงว่า ผู้ชายคนที่แลกเปลี่ยนแกนอสูรกับขวานของเจ้า เป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสำนักนี้ ที่ชื่อว่าเถี่ยต้า เขาเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ และอีกคนนั่นคือนักเรียนคุมกฎของเหล่าเด็กใหม่จากการแข่งขันการประลองนักเรียนใหม่ เจียงหยางเซียงเทียน
ทุกคนร้องออกมาเป็นเสียงเดียวกันก่อนที่พูดกันเองด้วยความตื่นเต้น
ว่าแล้วเชียว พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดานี่เอง ไม่ต้องแปลกใจเลยว่า ทำไมพลังของพวกเขาถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เขากล่าวกันว่าเถี่ยต้านั้นสามารถสู้กับนายน้อยเฉิงและสามารถรับมือเขาได้ที่บริเวณหอหนังสือ …
นั่นเจียงหยางเซียงเทียนซึ่งเป็นคนที่ล้มเซียนกาดิหยุน ในการต่อสู้อันเข้มข้นนั้น ข้าได้ดูการต่อสู้นั้น ความแข็งแกร่งของเจียงหยางเซียงเทียนนั้นช่างน่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง
ข้ายังได้ยินมาอีกว่าเซียนขั้นกลางอย่างลั่วเจี้ยนก็ไม่สามารถจัดการกับเจียงหยางเซี่ยงเทียนได้ และในท้ายที่สุดก็ถูกบีบให้เขาใช้อาวุธเซียนออกมา
….
โดยปราศจากภาระเช่นเหลียงเสี่ยวเล่อ เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินก็ได้เพิ่มความเร็วขึ้นไป และในไม่ช้าไม่นานนั้น ทั้งสองคนก็ก้าวเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3
ครั้งแรก ตอนที่พวกเขาเข้ามายังเขตแดนชั้น 3 ทีแรก พวกเขาไม่เห็นความแตกต่างระหว่างสองเขตแดน แต่เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปลึก คงต้องเรียกมันว่านรก หากเปรียบมันกับเขตแดนชั้น 3 ขณะที่เขตแดนชั้น 2 อาจกล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์
มีสัตว์อสูรทุกประเภทอยู่ในป่านี้ และบริเวณพื้นดินนั้นก็เต็มไปด้วยหนองน้ำ ดังนั้นถ้าหากพวกเขาไม่ระวังแล้วละก็ คงต้องจมลึกลงไปในน้ำอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม หนองน้ำต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นแล้วมันจึงไม่ได้ลึกเกินไปนัก มิฉะนั้นหากไม่มีใครมาช่วยพวกเขา พวกเขาจะไม่อาจหลบหนีไปได้อย่างมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
บางทีมันอาจจะเป็นเพราะพื้นดิน แต่มันไม่มีหญ้ามากนักในเขตแดนชั้น 3 ดังนั้นระดับการรับรู้จึงดีมากกว่าเขตแดนชั้น 2
เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้ทาผงบางอย่างบนตัวพวกเขาอย่างระมัดระวัง ผงประเภทนี้เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อป้องกันไม่ให้แมลงกัดพวกเขา
เจียงหยางเซียงเทียน ดูเหมือนว่าเจ้าคุ้นเคยกับป่านัก เจ้าเคยมาที่นี่มาก่อนหรือ เจ้าช่างเป็นคนที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก ? เถี่ยต้ากล่าวในขณะที่มองฝุ่นผงสีเขียวที่เคลือบอยู่บนร่างกายของเขา
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า ข้าอ่านหนังสือในหอหนังสือเกี่ยวกับสถานที่ต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ข้าจึงมีความเข้าใจในป่านี้มากทีเดียว
อา นั่นไม่น่าแปลกใจ เถี่ยต้าตระหนัก
หลังจากที่เถี่ยต้าพูด ใบหน้าเจี้ยนเฉินนิ่งก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด ในขณะเดียวกัน พื้นดินก็เริ่มสั่นสะเทือนราวกับว่ามีแผ่นดินไหวเกิดขึ้น
แต่ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะพูดอะไร เถี่ยต้านั้นก็ได้กระทำอะไรบางอย่าง โดยการยกขวานใหม่ของเขาด้วยมือทั้งสองข้าง
เจี้ยนเฉินชำเลืองมองไปทางซ้ายของเขาและกล่าวอย่างระมัดระวัง เถี่ยต้า ต้องระวังให้มาก เวลานี้มันดูเหมือนว่าเราได้เจอสัตว์อสูรขนาดใหญ่
เข้าใจแล้ว ! เถี่ยต้าพยักหน้าของเขา ขณะนั้นใบหน้าของเขาเคร่งขรึมมากขึ้น เพราะพวกเขาอยู่ในเขตแดนชั้น 3 นี่ไม่ได้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับ 1 แต่มันเป็นสัตว์อสูรระดับ 2 ที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์อสูรระดับ 1 และที่มากกว่านั้นคือ มีเพียงเซียนระดับสูงเท่านั้นที่จะยืนหยัดสู้กันมันได้
ถึงแม้ว่าพลังโจมตีจะไม่แข็งแกร่งเท่าไร แต่ความรุนแรงของมันยังคงไม่สามารถที่จะประเมินได้
ขณะที่ทั้งสองมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีระแวดระวัง ในที่สุดสัตว์อสูรก็ปรากฏตัวออกมาให้พวกเขาเห็น ทั้งร่างกายขนสีแดงปกคลุมและตัวสูงราว 3 เมตรและกว้าง 5 เมตร มีสองเขี้ยวยาวโผล่ออกมาจากปากของมันซึ่งดูราวกับว่าพวกมันสามารถกัดผ่านชั้นกล้ามเนื้อได้อย่างง่ายดาย ถ้ามันไม่ใช่ความจริงที่ว่าสัตว์อสูรตัวนั้น มีจมูกที่สั้นแล้วละก็ เจี้ยนเฉินจะมีความคิดว่านี่คือสัตว์ที่เขาเคยพบในโลกก่อนหน้านี้ที่ซึ่งถูกเรียกว่าช้าง แต่อสูรตัวนี้ใหญ่กว่าช้างมากนัก
เถี่ยต้า เจ้าต้องระวังให้ดี นี่เป็นสัตว์อสูรระดับ 2 สัตว์อสูรเมฆาอัคคี มันสามารถพ่นออกไฟจากปากและจัดการกับมันได้ค่อนข้างยาก เจี้ยนเฉินเอ่ยชื่อของสัตว์อสูรออกมา เพราะเขาได้อ่านหนังสือมากมายในหอหนังสือ นั่นจึงทำให้เขารู้จักสัตว์อสูรจำนวนมากและรู้แม้กระทั่งว่ามันทักษะพิเศษเช่นไร
เถี่ยต้าเพียงพยักหน้า ในขณะที่เขามุ่งเน้นความสนใจของเขาทั้งหมดไปยังสัตว์อสูรเมฆาอัคคีที่เหมือนจะหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น
โฮ่วววว ! สัตว์อสูรเมฆาอัคคีขนาดยักษ์คำราม ในขณะที่มันเริ่มที่จะขยับขาแต่ละข้างมายังบริเวณที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าอยู่ซึ่งทำให้รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินไหว
ตาเจี้ยนเฉินเป็นประกายเข้มขึ้น ข้าจะโจมตีมันจากด้านหน้า เถี่ยต้า เจ้าหมุนไปรอบ ๆ และหาโอกาสโจมตีจากด้านหลัง เขากระโดดขึ้นไปข้างหน้าในอากาศ ตรงไปยังหัวของสัตว์อสูรตัวนั้น
ในขณะที่เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหว เถี่ยต้านั้นก็เริ่มจะเคลื่อนไหวออกมาอย่างรวดเร็วและก้าวเดินเป็นวงกลมรอบสัตว์อสูรที่อยู่เบื้องหลัง
ยืนอยู่ด้านบนของหัวของมัน เจี้ยนเฉินได้ตะโกนออกมาขณะที่เขารวบรวมพลังเซียนให้เข้าไปภายในแท่งเหล็กของเขา ก่อนที่จะแทงอย่างรุนแรงลงไปยังหัวของสัตว์อสูรตัวนั้น
ตึง ! ในขณะที่ราวกับว่าหัวของมันทำจากเหล็ก หัวของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีนั้นแข็งนัก บนหัวของมันมีเพียงแค่รอยถากไปเท่านั้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามันไม่สามารถที่จะเจาะผ่านการป้องกัน
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง แม้ว่าเขาจะรู้ว่าสัตว์อสูรเมฆาอัคคีมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง เขาไม่ได้คิดว่ามันจะมีความแข็งแรงขนาดที่ว่าแท่งเหล็กของเขาไม่สามารถสร้างบาดแผลให้กับมันได้ เขาใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาในการโจมตีนั้น และมันราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ย้าก ! ด้วยเสียงคำราม เถี่ยต้ากระโดดไปข้างหน้าและใช้ความแข็งแรงมหาศาลของเขาเฉือนที่ก้นของ สัตว์อสูรเมฆาอัคคี แต่เขาไม่ได้ทำได้ดีไปกว่าเจียเฉิน แม้ว่าขวานของเขาได้ตัดผ่านผิวหนังของสัตว์อสูร แต่ไม่อาจสร้างความเสียหายได้ทั้งหมด
การโจมตีของพวกเขาถูกพบเห็นได้อย่างชัดเจน สัตว์อสูรเริ่มโกรธจัดเพราะมันคำรามการตอบสนองเจี้ยนเฉินที่อยู่ด้านหน้า
ขณะที่เจี้ยนเฉินบินผ่านอากาศ เขาได้ปรับตัวเองอย่างรวดเร็ว ใช้เท้าทั้งสองของเขายันลำต้นของต้นไม้ เขาพลิกตัวเองและตรงไปยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียง
หลังจากเจี้ยนเฉินพุ่งตัวไป สัตว์อสูรเมฆาอัคคีหันไปรอบ ๆ และพยายามที่จะกัดเถี่ยต้า
ทันใดนั้นเถี่ยต้ากระโจนเพื่อหลบเลี่ยงปากของมันและในขณะเดียวกันก็เหวี่ยงขวานรบซึ่งใหญ่มากทีเดียวของเขา
ตึง! ขวานทุบทำลายเขี้ยวยาวของมันหลุดออกมาราวกับถอนราก อย่างไรก็ตาม หลังจากเขี้ยวยาวถูกหักออก ขวานรบของเถี่ยต้าก็บิ่นเสียหายออกไปหลายส่วน
โฮ่ว ! สัตว์อสูรเมฆาอัคคีคำรามด้วยความโกรธ ขณะที่มันขยับตรงไปหาเถี่ยต้า
แววตาของเถี่ยต้ามีประกายอันตราย ในขณะที่เขาจ้องดูสัตว์อสูรเมฆาอัคคีพุ่งไปหาเขา โดยไม่ต้องกังวลที่จะหลบ เขาทิ้งขวานรบลงบนพื้นดินและใช้มือทั้งสองข้างของเขาที่จะคว้าบนเขี้ยวที่เหลืออยู่หรือรากของมัน ก่อนที่จะผลักดันกลับไปสัตว์อสูรให้หยุดชะงักอีกครั้ง
ช่วงเวลานั้นเอง เถี่ยต้าได้กลายเป็นสัตว์ป่าที่ดุร้าย เขาคำรามออกมาดัง ๆ มือของเขาผลักกับเขี้ยวสัตว์อสูรเมฆาอัคคีราวกับพยายามที่จะวัดความแข็งแกร่งของเขากับมัน
แม้เถี่ยต้าจะมีความแข็งแรงราวสวรรค์ เขายังคงมีรูปร่างเล็ก หากเปรียบเทียบกันสัตว์อสูรเมฆาอัคคี ดังนั้นแม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาเองไม่ได้หมดไป เขาก็พบว่าตัวเองถูกผลักดันไปข้างหลังเป็นระยะทางที่กว้างใหญ่ เท้าของเขาทิ้งไว้ข้างหลังสองรอยลึกลงไปในพื้นดิน
อา! เถี่ยต้าเผยให้เห็นความบ้าคลั่งภายในแววตาของเขาขณะที่เขาคำราม เส้นเลือดที่อยู่ในแขนของเขาโป่งพองขึ้นขณะที่แขนทั้งสองข้างของเขาขยายตัวขึ้นในทันทีขณะที่เขาเริ่มใช้กำลังมากขึ้น
ปัก ! ! อีกเสียงที่คมชัดก็ดังขึ้นมา เป็นเสียงเขี้ยวที่เหลือซึ่งหักออกด้วยฝีมือของเถี่ยต้า ทำให้สัตว์อสูรเมฆาอัคคีร้องคำรามดังสนั่นเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและเลือดที่ไหลออกมา
แม้ว่าเถี่ยต้าจะใช้ด้วยความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เขาก็ยังไม่พอใจ ในขณะที่เขาคว้าบางอย่างออกมาจากเขี้ยวและใช้มันแทงเข้าไปในหัวของสัตว์อสูรเมฆาอัคคี
เขี้ยวของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีคมมากทีเดียวและก็ยังแข็งแกร่งกว่าอาวุธเจี้ยนเฉิน ถึงแม้จะคมแต่มันได้ทะลุเข้ามาในหัวเพียงแค่ตื้น ๆ เท่านั้น ซึ่งเป็นเหตุให้เลือดบางส่วนไหลออกจากบาดแผลเล็ก ๆ ที่ถูกแทงนั้น
เห็นเถี่ยต้าใช้เขี้ยวของมันแทงมัน ดวงตาของสัตว์อสูรเมฆาอัคคีกลายเป็นสีแดงก่ำ มันส่งเสียงคำรามดังและอ้าปากกว้าง ก่อนจะพ่นไฟออกมาบริเวณรอบ ๆ ที่เกือบจะเหมือนงูขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากขากรรไกรที่อ้ากว้าง ด้วยความตั้งใจที่จะเผาเถี่ยต้าที่ยังมีชีวิต โดยอุณหภูมิรอบ ๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทันที
สัมผัสได้ถึงรังสีความร้อนที่ออกมาจากไฟ เถี่ยต้ามีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ในขณะที่เขาทิ้งตัวเองให้ไกลจากการโจมตี แต่แม้จะทำเช่นนั้น ความพยายามกลับไม่เป็นผล มันไม่อาจหลบได้ทันทั้งหมดและร่างกายของเขาก็อยู่ท่ามกลางไฟ
เห็นเถี่ยต้าถูกล้อมไปด้วยไฟ เจี้ยนเฉินหน้าซีดด้วยความตกใจ เขาหักกิ่งไม้หนาออกทันทีและกระโดดถีบกับลำต้นของต้นไม้และเร่งความเร็วไปที่เถี่ยต้าราวกับกระสุน
โฮ่วววว ! สัตว์อสูรเมฆาอัคคีคำรามอีกครั้ง ในขณะที่มันยังคงพยายามเผาเถี่ยต้า มันอ้าขากรรไกรกว้างและพยายามที่จะกลืน โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายติดอยู่ในไฟหรือไม่
ขณะที่สัตว์อสูรเมฆาอัคคีกำลังจะเขมือบเถี่ยต้าลงไป ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็มาถึงเถี่ยต้า โดยเจี้ยนเฉินใช้แขนทั้ง 2 ข้างดึงกิ่งไม้ในมือของเขาเพื่อลากเถี่ยต้าออกมาเกือบสิบเมตรจากสัตว์อสูร
เจี้ยนเฉินปล่อยเถี่ยต้าจากกิ่งไม้อย่างรวดเร็วและไม่ความสนใจในความร้อนจากไฟนั้น ที่มันเริ่มลามออกมาที่แขนและไปทั่วชุดหนังสัตว์จากหมาป่าที่เถี่ยต้าสวมอยู่
เพราะไฟเผาไหม้ชุดคลุมนั้น เขาจึงรีบโยนชุดหนังหมาป่าออกไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานั้นเอง เถี่ยต้าก็ไม่ได้โดนไฟไหม้อีกต่อไป เถี่ยต้านั้นเหลือเพียงเครื่องแบบสำนักที่ขาดหลุดรุ่ยวิ่นทั้งชุด
แทนที่เถี่ยต้าได้รีบลุกขึ้นจากพื้น เขาก็เริ่มต้นที่จะกลิ้งบนพื้น ในขณะที่เขาบ่น ร้อนร้อน ! ข้ากำลังจะตายจากความร้อน, มันเผาข้า … เห็นเขาบ่นได้เช่นนั้น เจี้ยนเฉินอนุมานได้ว่าเถี่ยต้าไม่ได้รับความเดือดร้อนหรือเป็นอันตรายใด ๆ แต่ผมของเขาไหม้ทั้งหมดจนหัวล้าน ไม่ใช่อย่างเดียวที่หายไป แม้แต่คิ้วและขนตาของเขาได้ถูกไฟไหม้ไปด้วย !
Chaotic Sword God ตอนที่ 40 การแลกเปลี่ยนอาวุธ
ใช่แล้ว หลี่ฉา เป็นข้าเองเสี่ยวเล่อ เหลียงเสี่ยวเล่อกล่าว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่นางยืนยันในคำพูดของเพื่อนนาง
เสี่ยวเล่อ นั่นเป็นเจ้าจริง ๆ ดีจริง ๆ ! ข้าคิดว่าเจ้าหนีไปเสียแล้ว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้พบกับเจ้าที่นี่อีก หลี่ฉา เด็กสาวที่อยู่ด้านหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อเต็มไปด้วยความสุขและยังคงกอดนางราวกับว่าจะกลัวเพื่อนของนางหายไป
เด็กสาวทั้งสองคนกอดกันแน่น หลี่ฉาหัวเราะออกมาดัง ๆ เหลียงเสี่ยวเล่อ ข้าไม่คิดว่าเราจะสามารถพบกันอีกครั้ง หลังจากที่พวกเราต่างก็พลัดหลงกันในป่านี้ นี่มันทำให้ข้ามีความสุขจริง ๆ !
สวัสดี มันถูกกล่าวโดยชายหนุ่ม ขณะที่จ้องมองไปยังเด็กหนุ่มสองคนที่สวมชุดขาดวิ่น ข้าดีใจที่พวกเจ้าทั้งสองคนได้พบกันที่นี่ อืม … ข้าควรทำอย่างไร ? ข้าไม่แน่ใจ เจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกลุ่มของเราหรือไม่ ถ้าเจ้าเข้าร่วม แน่นอนข้าสามารถรับประกันได้ว่า หากพวกเจ้าเข้าร่วม กลุ่มของพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีกอย่างแน่นอน และพวกเราจะสามารถล่าสัตว์อสูรจำนวนมากได้อย่างง่ายดาย และนอกจากนี้มีอันตรายอยู่ทั่วทุกซอกทุกมุมในป่าแห่งนี้ มันจะดีกว่าถ้าเราร่วมมือกัน น้ำเสียงแรกเต็มไปด้วยความชื่นชม ในขณะที่เขาเดินขึ้นไปยังเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า แต่ทันทีที่เขาเห็นว่าเสื้อผ้าเจี้ยนเฉินที่มีสีแดงเข้มจากเลือดสด ช่วยไม่ได้ที่เขาจะตื่นตระหนก พวกเขาสงสัยอย่างแท้จริงว่าเลือดนั้นมาจากเจี้ยนเฉิน เพราะทุกคนที่สูญเสียเลือดมากเกินไปจะอ่อนแอ ไม่มีทางที่บุคคลดังกล่าวจะสามารถยืนได้อย่างมั่นคงและมองมาด้วยสายตาที่เฉียบคมเช่นนี้
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าและเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ ข้าขอโทษ แต่พวกเราวางแผนที่จะออกจากสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มของเจ้าได้
ชายหนุ่มมีท่าทีเสียใจบนใบหน้า แต่เขาก็ยังคงพยายามเกลี้ยกล่อมต่อไป สหายทั้งสอง ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรที่นี่จะน่ากลัว แต่พวกเราก็มีความแข็งแกร่งมากเช่นกัน ตราบใดที่ทุกคนยินดีที่จะร่วมมือกัน แม้ว่าเราจะได้พบสัตว์อสูร 2 ตัวในคราเดียวกัน มันย่อมแน่นอนว่าพวกเราไม่มีทางที่จะพ่ายแพ้ ถ้าทุกคนต้องการเพียงแค่แกนอสูรระดับ 1 ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานพวกเราคงจะรวบรวมมันได้ครบ ชายหนุ่มยังคงกล่าวในประเด็นนั้นอย่างต่อเนื่อง สายตาของเขาค่อนข้างคมชัดนัก และมันก็เห็นได้ชัดว่าเขาได้ตระหนักแล้วว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้านั้นสูงกว่าทุกคน
จริง ๆ เราไม่ได้มีทางเลือกอื่น พวกเราทั้งสองได้ตัดสินใจแล้วที่จะออกจากที่นี่ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถเข้าร่วมกลุ่มของท่านได้ โปรดยกโทษให้เรา เพื่อปฏิเสธการร้องขออย่างเป็นทางการ น้ำเสียงของเจี้ยนเฉินนั้นดูเป็นเป็นมิตรมาก
เมื่อได้ยินว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้ากำลังจะออกไป ช่วยไม่ได้ที่เหล่าเยาวชนเหล่านี้จะรู้สึกผิดหวัง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไม แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในสามวันที่เหลืออยู่ ทั้งสองคนกลับเลือกปฏิเสธที่จะเข้าร่วม ตราบใดที่พวกเขาใช้เพียงแกนอสูรระดับ 1 จำนวน 2 ชิ้น พวกเขาก็จะสามารถเข้าร่วมได้แล้ว แต่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้ายังคงเลือกที่จะออกจากพื้นที่ หรือเพราะทั้งสองคนเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสที่ดีเช่นนี้
พวกเขาคิดว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเลือกที่จะยอมแพ้และต้องการออกไปจากป่า เขาไม่เคยคิดว่า คำว่า ออกไป แท้จริงแล้วหมายถึงออกจากเขตแดนชั้น 2 เพื่อเข้าสู่เขตแดนชั้น 3 ซึ่งไม่ได้หมายถึงการออกจากป่าจริง ๆ
ในช่วงเวลานั้น เถี่ยต้าเหลือบมองไปยังขวานที่ลูกศิษย์คนหนึ่งกำลังถือ ดวงตาของเขาสดใสขึ้นในความสุขและเขาเดินตรงไปยังลูกศิษย์ด้วยท่าทีองอาจ และถามด้วยเสียงดังสนั่น เฮ้ ถ้าข้าให้แกนอสูรระดับ 1 สองชิ้นกับเจ้า เจ้าจะสามารถแลกเปลี่ยนขวานของเจ้ากับข้าได้หรือไม่ ? เถี่ยต้าถามออกมา หลังจากดึงขวานบนหลังออกมาด้วยมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างที่จะดึงแกนอสูรระดับ 1 ออกมา 2 ชิ้น ออกมาจากเข็มขัดที่ยังคงปกคลุมไปด้วยเลือดสด
มันเป็นช่วงเวลาที่กลุ่มของผู้คนตระหนักว่า ขวานรบขนาดใหญ่ในมือเถี่ยต้าที่ถูกปกคลุมไปด้วยเลือดสด ๆ บนขวานถูกย้อมไปด้วยสีแดงเข้ม มันเป็นอะไรที่น่าตกใจ มันดูราวกับว่าเป็นอาวุธสังหารที่ได้รับการใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง ที่น่าเหลือเชื่อขึ้นไปอีกคือขวานรบนั้นทำจากโลหะ แต่ทั้งหมดของมันกลับเต็มไปด้วยรอยแตก นอกจากนี้บางส่วนของใบมีดก็คดงอ
คนส่วนใหญ่ก็ไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้นี้ พวกเขาคิดว่าเถี่ยต้าได้เลือกอาวุธเช่นนี้มาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่มีทางที่พวกเขาจะคิดได้ว่า ความเสียหายทั้งหมดของขวานนั้นมาจากตัวของเถี่ยต้าเอง
ลูกศิษย์บางคนมองอย่างกล้าหาญไปยังร่องรอยความเสียหายของขวานด้านหน้าของเขา ที่ซึ่งมีเลือดสีแดงราวกับสีน้ำ เมื่อลูกศิษย์คนอื่น ๆ ได้ยินคำขอของเถี่ยต้า แววตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมาทันทีและมองไปที่ลูกศิษย์คนนั้น พร้อมกับท่าทีที่เต็มไปด้วยความอิจฉา ราวกับว่าพวกเขามีอาวุธที่จะสามารถแลกเปลี่ยนกับเถี่ยต้าได้
สหาย ข้าสามารถแลกเปลี่ยนกระบี่ของข้าเล่มนี้กับเจ้าได้ ลูกศิษย์คนหนึ่งแบกกระบี่มือเดียวเล่มยักษ์ เดินไปเถี่ยตาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ได้ยินเช่นนั้น เถี่ยต้ามองลงไปที่ขวานรบ ที่อยู่ในกำมือของเขาส่ายหัวและพูดว่า นั่นไม่จำเป็น ข้ายังคงที่จะชื่นชอบการใช้ขวานรบมากกว่า
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ชายผู้นั้นก็มีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ขณะนี้การได้รับแกนอสูรระดับ 1 สองชิ้น สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ถ้าเป็นคนอื่น ๆ พวกเขายังคงที่จะยินดีทำการแลกเปลี่ยนอาวุธของพวกเขากับแกนอสูร แม้ว่าอาวุธของพวกเขาจะมีมูลค่ามากกว่าแกนอสูรระดับ 1 สองชิ้นก็ตาม
ชายร่างสูงใหญ่นั้นไม่ได้โง่ หลังจากพิจารณาเพียงชั่วครู่ เขาเต็มไปด้วยความสุขและส่งมอบขวานรบของเขาเพื่อแลกเปลี่ยน ใครจะโง่พอที่จะปฏิเสธการแลกเปลี่ยนที่เต็มไปด้วยกำไรเช่นนี้ได้กัน?
หลังจากแลกเปลี่ยนเสร็จ กลุ่มคนเริ่มที่จะมองเถี่ยต้าด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป ลูกศิษย์ที่ชาญฉลาดบางคน เชื่อมโยงถึงความเป็นไปได้จากใช้งานขวานรบนั้นว่ามันอาจมีสาเหตุมาจากเถี่ยต้า จากจุดนี้พวกเขาสามารถยืนยันได้ว่าความแข็งแกร่งของเถี่ยต้านั่นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มิฉะนั้น ทำไมเขาถึงหยิบแกนอสูรระดับ 1 ออกมาอย่างง่ายดายนัก? สถานที่แห่งนี้ไม่เหมือนกับด้านนอก ก่อนที่จะเข้าป่า คณะบริหารของสำนักได้ยึดอุปกรณ์ของพวกเขาทั้งหมด พวกเขาตบลงบนร่างกายของลูกศิษย์เพื่อตรวจสอบอย่างละเอียด ไม่มีทางที่จะมีแกนอสูรหลุดรอดเข้ามาจากภายนอกได้ เพียงวิธีเดียวที่จะได้รับแกนอสูร นั่นคือการล่าพวกมันเท่านั้น
แต่มีเพียงสิ่งหนึ่งที่คนไม่เข้าใจ ถ้าเถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินมีความแข็งแกร่งในการล่าสัตว์อสูร ทำไมพวกเขาถึงไม่อยู่ที่นี่ 3 วันเล่า? หลังจากที่ทางสำนักกำหนดกฎระเบียบไว้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาสามารถผ่านการทดสอบก็ต่อเมื่ออยู่ในนี้เป็นระยะเวลา 3 วัน และจะต้องใช้แกนอสูรระดับ 1 สองชิ้น ถ้ามีเพียงทำสำเร็จเพียงอย่างเดียว พวกเขาก็จะไม่ผ่าน
มันอาจเป็นไปได้ว่า พวกเขาไม่สนใจเกี่ยวกับรางวัลหรือไม่ หรือบางทีพวกเขาได้โกหกเกี่ยวกับการออกและที่จริงแล้ว พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะสังหารสัตว์อสูรร่วมกับพวกเรา ? ช่วยไม่ได้ ที่คนส่วนใหญ่จะคิดเช่นนี้ เมื่อพิจารณาความคิดเหล่านี้ ไม่กี่คนก็เริ่มจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าด้วยท่าทีไม่พอใจทันที
เจี้ยนเฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับท่าทีของคนเหล่านั้น เขามองไปที่เหลียงเสี่ยวเล่อและเด็กสาวที่นางกอดและกล่าวว่า เหลียงเสี่ยวเล่อ เนื่องจากเจ้าได้พบสหายของเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าไม่ไปกับคนกลุ่มนี้? พวกเขามีคนมากทีเดียว
เหลียงเสี่ยวเล่อแยกออกมาจากหญิงสาวและมองกลับไปที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า นางพยักหน้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าทั้งสองคนระวังให้มาก
หลังจากนั้นเถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินไม่ได้เสียเวลาใด ๆ และออกจากพื้นบริเวณนั้นทันที
หลังจากที่ทั้งสองคนจากไป หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าหลี่ฉาถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ เสี่ยวเล่อ พวกเขาเป็นใคร? ทำไมพวกเขาจึงหยิ่งขนาดที่ว่าไม่ควรอยู่ด้วยกันกับพวกเรา
หลี่ฉา เจ้าเข้าใจผิดแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการที่จะร่วมกลุ่มกับพวกเจ้า พวกเขาต้องการที่จะออกจากที่นี่จริง ๆ เหลียงเสี่ยวเล่ออธิบาย
นั่นเป็นไปไม่ได้! หลี่ฉาอุทานในการปฏิเสธที่จะเชื่อ เสี่ยวเล่อ ความจริงที่ว่าพวกเขามีแกนอสูรระดับ 1 ได้ นั่นมีความหมายว่า พวกเขาต้องแข็งแกร่งมากพอที่จะสังหารสัตว์อสูรลงได้ นอกจากนั้น พวกเขายังทำการแลกเปลี่ยนอาวุธ มันก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังวางแผนอย่างต่อเนื่องที่จะต่อสู้ มันเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาจะออกจากสถานที่แห่งนี้?
นั่นถูกแล้ว เสี่ยวเล่อ เจ้ากำลังถูกพวกเขาหลอก เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวเพิ่มเติม
เหลียงเสี่ยวเล่อยิ้ม แน่นอน พวกเขาต้องการที่จะออกจากที่นี่ แต่พวกเขาไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจนกับพวกเจ้า พวกเขาต้องการที่จะย้ายออกจากเขตแดนที่ 2 ไปยังเขตแดนที่ 3 เพื่อที่จะล่าสัตว์อสูรระดับ 2
อะไรนะ ! เหลียงเสี่ยวเล่อ เจ้ากำลังกล่าวเรื่องตลกอันใดออกมา? มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาทั้งสองคนที่จะไปยังเขตแดนชั้น 3 เพื่อล่าสัตว์อสูรระดับ 2 !
มันอาจเป็นไปได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาก้าวไปถึงระดับเซียนแล้ว? แต่มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร ถ้าพวกเขามาถึงระดับเซียนแล้ว จากนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องแลกเปลี่ยนอาวุธ
ทั้งสองคนช่างประมาทจริง ๆ ที่ต้องการจะเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3
พวกเขาคงต้องการที่จะรนหาที่ตาย
….
ทันใดนั้น หลังจากคำพูดของเหลียงเสี่ยวเล่อ กลุ่มคนพวกนั้นก็ตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย ขณะที่พวกเขาเริ่มที่จะหารือกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีใครสักคนในพวกเขาจะคิดว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะสามารถเอาชีวิตรอดในเขตแดนชั้น 3 ได้
หลี่ฉาดึงมือของเหลียงเสี่ยงเล่อ ถามออกในลักษณะที่ชัดเจนว่านางไม่เชื่อ เสี่ยวเล่อ พวกเขาคงไม่บ้าพอที่จะเข้าไปในเขตแดนชั้น 3 จริง ๆ ใช่หรือไม่ ?
เหลียงเสี่ยวเล่อพยักหน้า นั่นไม่ผิดแน่ พวกเขาทั้งสองต้องการที่จะเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3 หลี่ฉา เจ้าไม่สามารถประมาทพวกเขาสองคนได้ พวกเขาน่ากลัวกว่าที่คิดนัก เหลียงเสี่ยวเล่อกล่าวด้วยความเชื่อมั่น
มันอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งสองคนแท้จริงแล้วเป็นเซียน ? หลี่ฉาถามในความตกตะลึง คณะบริหารสำนักได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าลูกศิษย์ทุกคนที่เป็นเซียนจะต้องเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3 ไม่มีทางที่พวกเขาจะได้ปรากฏตัวขึ้นในเขตแดนชั้น 2 เด็ดขาด
เหลียงเสี่ยวเล่อ ส่ายหัว ไม่ พลังของพวกเขายังไม่ถึงระดับเซียน เพราะพวกเขายังไม่สามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้
ได้ยินอย่างนี้แล้ว หลี่ฉายิ่งมีทีท่าทีตกตะลึงเพิ่มขึ้นไปอีก หากปราศจากการตัดผ่านถึงระดับเซียน เป็นเรื่องยากหากจะเอาชีวิตรอดในเขตแดนที่ 2 ซึ่งหากก้าวไปในเขตแดนที่ 3 หลังจากนั้นทั้งหมดจะเป็นสัตว์อสูรระดับ 2 ซึ่งความแข็งแกร่งของพวกมันมากกว่าสัตว์อสูรระดับ 1 ไม่น้อยเลย ขนาดถึงที่ว่าไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้
หลี่ฉาและเหลียงเสี่ยวเล่อเป็นเพื่อนสนิทกัน ดังนั้นเหลียงเสี่ยวเล่อไม่ได้รู้สึกว่าต้องปกปิดอะไรหลี่ฉา นางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า หลี่ฉา ข้าบอกเจ้าได้เพียงว่า เมื่อวานนี้ข้าเองได้เห็นพวกเขาทั้งสองคนสังหารสัตว์อสูรไปกว่า 70 ตัว
หลี่ฉาตกใจเหลือเกิน ขณะที่นางอุทานออกมาว่า อะไรนะ ! เสี่ยวเล่อ เจ้ากำลังล้อเล่น ? สองคนนั้นฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้กว่า 70 ตัวในวันเดียวงั้นหรือ หลี่ฉาได้แต่ประหลาดใจ นางไม่สามารถรวบรวมคำพูดของนางออกมาได้ นางค่อย ๆ พูดเสียงดังเพิ่มขึ้น จนทั้ง 8 คนก็สามารถที่จะได้ยินเสียงของนางค่อนข้างชัดเจน ในทันทีที่ท่าทีและความคิดของพวกเขาได้มองเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเปลี่ยนไป ความสำเร็จของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าตามเหลียงเสี่ยวเล่อกล่าวมา พวกเขาได้แต่มีท่าทีที่เหลือเชื่อ
หลี่ฉา, เจ้าพูดว่าอะไร? สองคนนั้นสามารถที่จะจัดการสัตว์อสูรระดับ 1 ไปกว่า 70 ตัว ภายในวันเดียว? ลูกศิษย์คนหนึ่งถาม เขาไม่อาจยอมรับความเป็นไปได้นั้น คนเพียงสองคน นั่นเป็นเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าที่เขาพึ่งพบจริงหรือ
หลี่ฉาพยายามที่จะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆและทาบที่หน้าอกของนาง ก่อนที่จะชี้ไปที่เหลียงเสี่ยวเล่อ นางกล่าวด้วยเสียงสั่นว่า เสี่ยวเล่อ บอกว่าเจ้าเองเห็นสองคนนั้นฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ไปกว่า 70 ตัวในวันเพียงวันเดียวเท่านั้น น้ำเสียงหลี่ฉาสะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่านางก็คิดไม่ถึงเช่นกันกับความเป็นไปได้ที่น่าเหลือเชื่อนั้น
Chaotic Sword God ตอนที่ 39 แผนการ
ขณะรับประทานอาหารเช้า เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าคว้าอาวุธของเขาทั้งคู่ และเริ่มที่จะออกเดินทาง แต่อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังของพวกเขา คือเหลียงเสี่ยวเล่อ ผู้ซึ่งมือของนางว่างเปล่า นางมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีระมัดระวัง เนื่องจากอาวุธของนางได้หายไปหลังจากที่นางพลัดจากกลุ่มและเร่งรีบหนีออกจากป่า
เถี่ยต้าทิ้งขวานของเขา เขาโยนเสื้อผ้าทิ้ง ในตอนนี้ เขาได้สวมหนังของหมาป่าสีน้ำเงินและใช้รากของหญ้าบางอย่างที่รั้งมันไว้ด้วยกัน เครื่องแบบสำนักของเขาฉีกออกจากกันตั้งแต่การต่อสู้เมื่อวานจนถึงขนาดที่ว่าเขาไม่สามารถสวมใส่มันได้อีกต่อไป
ชั่วพริบตาอีกวันก็ผ่านไป โดยดูจากผลลัพท์ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ดีกว่าในวันแรก แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นัก โดยรวมแล้วพวกเขาได้สังหารสัตว์อสูรไปกว่า 70 ตัว ซึ่งนั่นทำให้ เหลียงเสี่ยวเล่อตกใจยิ่งนัก
ในวันที่สองนี้ เหลียงเสี่ยวเล่อนั้นก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่นัก นับตั้งแต่ปรากฏการณ์ของหมาป่าสีน้ำเงินในครานั้น บุคลิกของนางก็เริ่มที่จะเปลี่ยนไป อย่างน้อยที่สุด เมื่อใดก็ตามที่นางเห็นเป็นสัตว์อสูร นางก็จะไม่กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวอีกต่อไป และเมื่อใดก็ตามที่เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินจะฆ่าเหล่าสัตว์ร้าย ซึ่งนางก็ไม่ได้สะดุ้งอะไรเมื่อเห็นเลือด นางค่อย ๆ เริ่มที่จะปรับตัวอย่างช้า ๆ กับสถานการณ์เหล่านั้น
ไม่เพียงแค่นั้น แต่ในวันแรก นางได้เรียนรู้อันตรายที่ไม่คาดคิดเกี่ยวกับป่านี้ และนางก็ได้รับความรู้ที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ความทรงจำของนางช่างอยู่ในระดับสูงนัก ที่แม้แต่เจี้ยนเฉินก็ช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกชื่นชม แน่นอนอะไรที่สำคัญนั้น มันถูกมองว่าเป็นพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังของนาง เนื่องจากในทวีปเทียนหยวน มีพวกหนึ่งซึ่งความแข็งแกร่งนั้นคือการจดจำ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นมีสิ่งที่เหนือกว่าสิ่งใด
เหลียงเสี่ยวเล่อฉลาดมากทีเดียว แม้ว่านางจะไม่ได้แข็งแกร่งมาก แน่นอนนางก็ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหากับเถี่ยต้าหรือเจี้ยนเฉิน เหมือนที่ทั้งสองคนคิดว่านางคือภาระ นางจะยืนอยู่ข้างหลังทั้งสองคนและเมื่อใดก็ต่อสู้กับสัตว์อสูร นางจะยืนไกลจากตรงนั้น ดังนั้นนางจึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
หลังจากวันนั้นทั้งเจี้ยนเฉินหรือเถี่ยต้าเพิ่มความเอาใจใส่ในอีกระดับต่อเหลียงเสี่ยวเล่อ และในใจของพวกเขาก็ไม่ได้ดูถูกนางอีกต่อไป
หลังจากนั้น กลางคืนก็ล่วงเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งสามคนนั่งอยู่ข้างหน้ากองไฟ ในการนับกองของแกนอสูร
ศิษย์พี่ เป็นความจริงหรือที่ว่าพวกท่านยังไม่สามารถหลอมรวมอาวุธเซียนและกลายเป็นเซียนแล้ว ? เหลียงเสี่ยวเล่อถามขณะที่นางจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยดวงตาที่สดใสของนาง สิ่งที่เป็นคำถามที่แปลก เสื้อผ้าของนางเต็มไปด้วยร่องขีดข่วนจากต้นไม้และหนาม และใบหน้าของนางก็คล้ายกับหนวดของแมว เนื่องจากไม่มีแหล่งน้ำที่นางจะสามารถล้างมันออกได้ เพื่อป้องกันการกระหายน้ำและดังนั้นจึงไม่มีทางที่นางจะสามารถล้างสิ่งสกปรกไปจากใบหน้าของนาง
ถ้าพวกข้าเป็นเซียน แล้วข้าจะใช้ขวานนี้ไปทำไมกันล่ะ เถี่ยต้ามองพร้อมแกว่งขวานหนักของเขา โดยไม่มีสักส่วนที่จะแสดงความไม่พอใจออกมา
หลังจากใช้งานอย่างต่อเนื่องด้วยความแข็งแกร่งของเถี่ยต้า สุดท้ายแล้วขวานรบที่เคยเฉียบคมก่อนหน้านี้ตอนนี้ก็เริ่มที่จะทื่อลง หลังจากที่ใช้งานมันไป แม้แต่แท่งเหล็กของเจี้ยนเฉินที่เคยมีจุดคม ก็เริ่มที่จะแบนอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อเต็มไปด้วยความชื่นชมขณะที่นางมองไปยังทั้งสองคน พวกเจ้าสองคนช่างน่าอัศจรรย์จริง ๆ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในระดับเซียนกลับสามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้อย่างง่ายดาย ในความคิดของข้า เมื่อเจ้าก้าวไปถึงระดับเซียน เจ้าคงจะสามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับ 2 อย่างง่ายดายนัก
เจี้ยนเฉินส่ายหัวว่า มันจะง่ายได้อย่างไร สัตว์เหล่านี้เป็นสัตว์อสูรที่ทางโรงเรียนได้จัดเตรียมไว้ ดังนั้นพลังโจมตีของมันจึงเบานัก หากเมื่อเราพบกับสัตว์อสูรที่โจมตีได้อย่างรุนแรงแล้วละก็ มันจะต้องเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับพวกเราอย่างแน่นอน
เหลียงเสี่ยวเล่อ พยักหน้าและพูดว่าเคร่งขรึม นั่นถูกต้อง ข้าเคยได้ยินท่านพ่อกล่าวก่อนหน้านี้ว่า มันมีสัตว์อสูรระดับ 1 ที่น่าตื่นตาตื่นใจซึ่งมันสามารถร่ายเวทระดับต่ำสร้างแรงโจมตีที่สูง พวกมันแข็งแกร่งขนาดที่เซียนธรรมดาก็ไม่มีพลังมากพอที่จะล้มพวกมัน
เจี้ยนเฉินมองที่เถี่ยต้า ผู้ซึ่งจ้องมองไปยังกองไฟ เถี่ยต้า ไม่มีอะไรในเขตแดนชั้น 2 ที่จะต่อสู้กับพวกเราได้ ดังนั้นข้าต้องการที่จะย้ายไปยังเขตแดนชั้น 3 เจ้าคิดว่าอย่างไร ?
เถี่ยต้าฉุกคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวออกไป ถูกต้อง ในเขตแดนชั้น 2 มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพวกเรา ไม่มีตัวอะไรที่สามารถสู้กับพวกเราได้อีกต่อไป เอาล่ะ แล้วจากนั้นล่ะ เจียงหยางเซียงเทียน ข้าจะเข้าสู่เขตแดนชั้น 3 ด้วยกันกับเจ้า มันถึงเวลาแล้วที่จะได้เห็นว่าแท้จริงแล้ว สัตว์อสูรระดับ 2 นั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
ได้ยินทั้งสองคนคุยกัน เหลียงเสี่ยวเล่อซึ่งนั่งอยู่บริเวณใกล้เคียงกล่าวว่า มันเป็นไปไม่ได้ พวกเจ้าทั้งสองคนยังไม่ถึงระดับเซียนและเจ้ายังต้องการที่จะเข้าไปยังเขตแดนชั้น 3? เพื่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 2 โดยปราศจากอาวุธเซียน โดยไม่มีอะไรรับประกันการเอาชีวิตรอด และผิวของสัตว์อสูรระดับ 2 ก็แข็งกว่าสัตว์อสูรระดับ 1 ดังนั้นมันหนาเกินกว่าที่เจ้าทั้งสองจะใช้เพียงขวานทื่อ ๆ และแท่งเหล็กกร่อน ๆ นี้สังหารพวกมันได้ และไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมในเขตแดนที่ 3ข้าเคยได้ยินว่า มีแม้กระทั่งบึงที่ภายในเต็มไปด้วยงูพิษ ซึ่งเป็นไปได้มากว่าเจ้าจะมีโอกาสสูญเสียชีวิตในเขตแดนชั้น 3
เถี่ยต้าหัวเราะในขณะที่เขามองไปที่อาวุธของตัวเอง นั่นถูกต้อง เจียงหยางเซียงเทียน อาวุธนี้ได้ผ่านการใช้งานมาถึงสองวัน อาวุธของเราได้รับในการใช้งานอย่างต่อเนื่องและขวานของข้าได้สูญเสียความคม แม้กระทั่งแท่งเหล็กของเจ้าเองก็เกือบจะแบนไปเสียแล้ว ดังนั้นมันจึงเป็นการยากที่จะฆ่าสัตว์อสูรระดับ 2
เจี้ยนเฉินหัวเราะ ไม่รีบเช่นนั้น ยังคงมีลูกศิษย์มากมายในเขตแดนชั้น 2 นี้ พวกเรายังไม่ได้พบกับลูกศิษย์คนอื่น ๆ เพราะเรายังคงห่างไกลจากพวกเขา เราควรจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ และแลกเปลี่ยนแกนอสูรกับอาวุธ แน่นอนว่าลูกศิษย์จะต้องสนใจมันอย่างมากทีเดียว
ใช่ มันเป็นความคิดที่ดี เถี่ยต้าพยักหน้าเพื่อตอบรับ
เจี้ยนเฉินกล่าวต่อว่า เหลียงเสี่ยวเล่อ พรุ่งนี้เราคงจะแยกทางกัน ถ้าเจ้าได้พบกับลูกศิษย์คนอื่น ๆ แล้ว เจ้าจะปลอดภัยไปจนวันสุดท้ายของเจ้านี้ ซึ่งหลังจากที่ทุกคนสามารถอดทนได้ถึงสองวันนี้แล้วละก็ พวกเขาคงต้องมีทักษะบางอย่างที่แท้จริง
เหลียงเสี่ยวเล่อพยักหน้าอย่างอับจนคำพูด นางมีท่าทีผิดหวังออกมาเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม นางก็รู้ถึงอันตรายในเขตแดนชั้น 3 นางไม่แน่ใจว่า ถ้าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าต่อสู้กับสัตว์อสูร หากนางยังคงยืนยันว่าจะไปกับพวกเขา แม้ว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะยอมให้นางไปกับพวกเขาด้วย แต่นางก็จะเป็นเพียงตัวถ่วงของพวกเขา
อีกคืนผ่านไป โดยไม่มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ท้องฟ้าเริ่มจะสว่างขึ้นเร็ว ๆ นี้ เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าบ่มเพาะพลังเซียนเสร็จ และก็เริ่มที่จะเตรียมอาหารเช้า
หลังจากที่ทั้งสามคน รับประทานอาหารเสร็จ แล้วดวงอาทิตย์ได้แล้วค่อยเริ่มขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเขายังคงอยู่บนทางของพวกเขา แต่ในเวลานี้พวกเขาเริ่มที่จะเดินย้อนกลับไปทางเดินที่พวกเขาเคยผ่านมา
หลังจากสองวันของการต่อสู้ ชายทั้งสองคนได้กลายเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างมากในการตรวจจับและหลีกเลี่ยงอันตรายที่เกิด ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่นาน สำหรับการที่พวกเขาจะมาถึงปลายจุดหมาย
ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ลูกศิษย์เก้าคนที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งกำลังนั่งอยู่ข้างใต้ พวกเขาหายใจเข้าอย่างเหนื่อยล้า พวกเขาเป็นกลุ่มสามัญชนผสมกับเหล่าชนชั้นสูง ในขณะที่เสื้อผ้าของพวกเขาถูกฉีกขาดไปทั่ว มีบางคราบเลือดแห้งปกคลุมรอบพวกเขา พวกเขายังได้รับบาดเจ็บบนร่างกายของพวกเขาและไม่ไกลจากพวกเขา มันก็เป็นซากสัตว์อสูรที่นอนอยู่กับพื้น
ทุกคน ทนต่อไปอีกนิด นี่มันมาถึงวันสุดท้ายแล้ว หลังจากจบวันนี้ เราจะสามารถออกไปได้ ลูกศิษย์ธรรมดากล่าวออกมาด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ
มันเป็นเรื่องโชคร้ายที่เราไม่มีแกนอสูรเพียงพอ ดูเหมือนว่าเรายังคงต้องฆ่าสัตว์อสูรอีก 5 ตัว พวกเราถึงจะผ่าน ชายหนุ่มชนชั้นสูงกล่าว แต่เดิมชนชั้นสูงไม่ได้ยินดีที่จะอยู่ร่วมกับสามัญชน แต่หลังจากเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร พวกเขากลับกลัวในทันที เมื่อต้องเผชิญกับความเป็นหรือความตาย ใครจะสนใจสถานะของผู้อื่นกันเล่า? การปกป้องตัวเองเป็นเรื่องสำคัญกว่า ดังนั้นพวกชนชั้นสูงบางส่วนจึงค่อยตัดสินใจเข้าร่วมกับลูกศิษย์สามัญ หลังจากที่ทุกคนรู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา นอกจากนี้บางทีอาจเป็นเพราะพวกคนยากจนที่ได้รับการเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงพวกเขาไม่ได้แสดงอาการท้อถอยใด ๆ เมื่อต้องเผชิญกับสัตว์อสูร นี้มีการเปลี่ยนแปลงมุมมองชนชั้นสูงที่หยิ่งของสามัญชน ในที่สุดพวกเขาก็ค่อย ๆ กลายเป็นเพื่อนกัน
นอกจากนี้หลังจากอย่างต่อเนื่องการต่อสู้กับสัตว์อสูรตัวที่ 9 ของพวกเขา ซึ่งมันได้กลายเป็นที่เข้าขากันมากขึ้นจากการทำงานร่วมกัน ในที่สุดพวกเขาได้กลายเป็นความผูกพันที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ภายหลังที่พวกเขาได้ใกล้ชิดกัน
ในขณะนั้นเองก็มีการเคลื่อนไหวของหญ้าจากด้านนอก
ทุกคนต้องระวังให้มาก อาจมีสัตว์อสูรโจมตี ลูกศิษย์มีปฏิกิริยาตอบสนองทันทีและส่งเสียงดังเตือนคนอื่น ทันทีที่พวกเขาทั้ง 9 คน ยืนขึ้นและจ้องไปยังทิศทางที่ปรากฏเสียงออกมา
หญ้าแกว่งแรง ในที่สุดพวกเขาได้เห็นร่างที่สวมหนังสัตว์ ควงขวานขนาดใหญ่ แกว่งรอบ ๆ ตัดวัชพืช ระหว่างทางเดินของเขา หลังจากที่กลุ่มสังเกตเห็นเขา ก็พบว่ามีอีกคนที่กำลังเดินตามมา แม้ว่าเสื้อผ้าจะขาดรุ่งริ่งออกมา แต่มันก็ยังพอที่จะบอกได้ว่าพวกเขาสวมเครื่องแบบของสำนัก
บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาได้เดินทางผ่านป่าไม้เขียวชอุ่มเป็นเวลานาน แต่ใบหน้าของพวกเขามืดลงและพวกเขามีกิ่งไม้ติดในผมของพวกเขา เพียงโครงสร้างใบหน้าทั่วไปของพวกเขาอาจจะเห็น; การปรากฏตัวนั้นอาจจะแยกไม่ออก
ตระหนักว่าเป็นร่างคนไม่ใช่ร่างของสัตว์อสูร ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันทีและรอยยิ้มกระจายไปทั่วใบหน้าของพวกเขา ณ จุดนี้ถ้าพวกเขาสามารถรับรู้ถึงการมาถึงของคนใหม่ ผู้ที่จะเข้าร่วมพวกเขา แล้วความแข็งแกร่งโดยรวมของกลุ่มจะเพิ่มขึ้นแน่นอน การล่าสัตว์อสูรจะง่ายขึ้นมาก นอกจากนี้พวกเขาทั้งหมดก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าคนเหล่านี้ที่สามารถอยู่ได้มาถึงสามวันต้องแข็งแกร่งไม่น้อยเลย
แน่นอน ทั้งสามคน เจี้ยนเฉิน เถี่ยต้าและเหลียงเสี่ยวเล่อ หลังจากที่เดินกลับกว่าครึ่งวัน ในที่สุด เขาก็ได้พบกับกลุ่มคน
เนื่องจากมันเป็นวันสุดท้าย จึงไม่พบคนจำนวนมากที่อยู่ในป่าแห่งนี้ ที่สำคัญ ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็วิ่งหนีไปและมีลูกศิษย์เพียงไม่กี่คนที่ยังคงอยู่ที่นี่
เมื่อมองเห็นเหลียงเสี่ยวเล่อ สาวสวยที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มของเก้าคนเธอแสดงให้เห็นการแสดงออกที่น่าประหลาดใจเป็นสุข
อา! หลี่ฉา ! เหลียงเสี่ยวเล่อตะโกนออกมาด้วยเสียงตื่นเต้น ขณะเดียวกันนางก็เดินตรงไปยังเด็กสาวผู้สง่างามคนนั้น
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเล็กน้อย หญิงสาวก็กระพริบตาและเบิกตากว้างจ้องมองไปที่เหลียงเสี่ยวเล่อซึ่งวิ่งตรงมาหานางด้วยแววตาสับสน ซึ่งปัจจุบันใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกคล้ายกับแมวลาย แม้ว่าเด็กสาวคนนี้เรียกนางว่าหลี่ฉา ซึ่งมันก็เป็นไปได้ยากที่นางจะจดจำเหลี่ยงเสี่ยวเล่อในปัจจุบันได้
เหลียงเสี่ยวเล่อรีบวิ่งไปหาเด็กสาวและตื่นเต้น เหลียงเสี่ยวเล่อกอดนางไว้แน่นพร้อมเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุขนางกล่าวว่า หลี่ฉา ข้าไม่คิดเลยว่าข้าจะสามารถได้พบเจ้าอีกครั้งที่นี้ ข้าคิดว่าเจ้าได้ออกจากป่าไปแล้ว.
ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เด็กสาวที่มีชื่อว่าหลี่ฉา ในที่สุดนางก็สามารถจดจำเหลียงเสี่ยวเล่อได้ ด้วยท่าทีประหลาดใจ นางกล่าว เจ้า….เจ้าคือเสี่ยวเล่อ
Chaotic Sword God ตอนที่ 38 เหลียงเสี่ยวเล่อ
โอ้ อีกอย่างหนึ่ง เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าตรวจพบพวกเราได้อย่างไร? ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถาม เสียงของเขาเต็มไปด้วยสงสัย
อาจารย์คนอื่น ๆ อีกสามคนก็อยากรู้เช่นเดียวกัน พวกเขาจ้องมองมาที่เจี้ยนเฉิน พวกเขาทั้งสี่มีความสนใจอย่างมากในวิธีการที่เจี้ยนเฉินใช้ในการตรวจพบพวกเขาขณะที่ซ่อนตัวอยู่ในหญ้าสูง เพราะพวกเขาไม่ได้ส่งเสียงหรือเคลื่อนไหวแต่อย่างใด ดังนั้นมันไม่มีทางที่เจี้ยนเฉินจะมองเห็นพวกเขาได้
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า ข้าตรวจพบพวกท่านตั้งแต่ที่ท่านอาจารย์มาถึง
อะไร! เจ้าตรวจพบตั้งแต่พวกข้ามาถึง นั่นมันเป็นไปได้อย่างไร ผู้หญิงร้องออกมาด้วยท่าทีไม่อาจเชื่อ
ทั้งสามคนก็ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เจี้ยนเฉินกล่าวออกมา
เจี้ยนเฉินเปิดปากของเขา ขณะที่ข้ากำลังต่อสู้กับฝูงหมาป่า ขณะนั้นข้าก็ยังให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมโดยรอบ มิฉะนั้นพวกเราอาจจะถูกโจมตีจากใครบางคน แล้วข้าจะกล้าสูญเสียความสนใจของสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวข้าได้อย่างไร นั่นมันสำคัญยิ่งนัก ?
ได้ยินอย่างนี้แล้วอาจารย์ทั้งสี่พยักหน้าเห็นด้วยในสิ่งที่เจี้ยนเฉินได้กล่าว
เจี้ยนเฉินอธิบายอย่างต่อเนื่องว่า ท่านอาจารย์ แม้ทุกคนจะไม่ได้ส่งเสียงอะไร แต่เมื่อพวกท่านมาถึงข้าเห็นกิ่งไม้ขยับอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นข้าจึงค้นพบพวกท่านตั้งแต่แรก
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ทั้งสี่คนตระหนักถึงความผิดพลาดของพวกเขาด้วยท่าทีชื่นชม ยอดเยี่ยม! นั่นมันยอดเยี่ยมยิ่งนัก เจียงหยางเซียงเทียน ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะชื่นชมเจ้า และคิดว่าเมื่อข้าอายุเท่าเจ้า ข้าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับที่เจ้าเป็นในตอนนี้ ผู้อาวุโสกล่าวแล้วหยุดชั่วคราวก่อนที่จะพูดว่า เนื่องจากลูกศิษย์ไม่ตกอยู่ในอันตรายใด ๆ แล้ว พวกเราคงต้องจากไปในตอนนี้ ยังคงมีลูกศิษย์ที่ต้องการความช่วยเหลือ แม้ว่าผู้อาวุโสได้กล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็มีท่าทีลังเลที่จะจากไป
กรุณาคอยก่อน ! ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินก็ร้องบอกไปทางเหล่าอาจารย์ทั้งสี่ ชี้ไปที่เหลียงเสี่ยวเล่อที่ยังคงหลบซ่อนตัวอยู่ในต้นไม้เขากล่าวว่า อาจารย์ที่เคารพ ท่านสามารถนำลูกศิษย์ออกไปได้หรือไม่? นางไม่ได้มีความกล้าพอที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป
อาจารย์ขมวดคิ้ว ขณะที่เขาคิดเรื่องนี้ นั่นมันไม่น่าจะมีปัญหา แต่แม้ว่านางจะมีแกนอสูรระดับหนึ่ง 2 ชิ้น นั่นยังถูกพิจารณาว่าสูญเสียสำหรับนาง อย่างไรก็ตาม เพราะว่านางไม่ได้อยู่ที่นี่ทั้งสามวัน
ไม่ ข้าจะไม่จากไป แน่นอนข้าจะอยู่ที่นี่จนครบสามวัน เหลียงเสี่ยวเล่อส่งเสียงดังขึ้นจากยอดไม้ ที่นางกระโดดลงมา 5 หรือ 6 เมตร ลงสู่พื้นดิน และก้าวยาว ๆ ไปยังบริเวณที่เจี้ยนเฉินอยู่
เฮ้ อาจารย์ สามารถนำเจ้า ออกจากป่านี้ ดังนั้นเจ้าจะไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการถูกสัตว์อสูรทำร้าย ทำไมเจ้าไม่อยากกลับบ้านหรือ ? เถี่ยต้าค่อนข้างไม่พอใจเนื่องจากความจริงที่ว่าเหลียงเสี่ยวเล่อขี้ขลาดเกินไป ช่วงเวลาที่นางเห็นสัตว์อสูร นางจะร้องออกมาดัง ๆ นี่มันช่างน่ารำคาญสำหรับเถี่ยต้าจริง ๆ …
เหลียงเสี่ยวเล่อมองเถี่ยต้าด้วยท่าทีขลาดเขลาและกระซิบว่า ข้าไม่ต้องการที่จะไป
เจ้าไม่กลัวสัตว์อสูรแล้วหรือ ? เถี่ยต้าถามอยากรู้อยากเห็น
ข้า..!
ดังนั้นเมื่อเจ้ากลัว แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ต้องการที่จะออกจากที่นี่?
นั่นเพราะเจ้าทั้งสองยังคงอยู่ที่นี่
ด้วยคำตอบที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ เถี่ยต้าไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร
เจี้ยนเฉินมองที่เหลียงเสี่ยวเล่ออย่างช่วยไม่ได้ ก่อนที่จะพยายามที่จะชักชวนนาง เหลียงเสี่ยวเล่อ เจ้าควรจะออกไปกับอาจารย์ สัตว์อสูรในป่านี้มีจำนวนมากเกินไปและข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถปกป้องเจ้าได้
ใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อกลายเป็นลำบากใจ ขณะที่นางตระหนักว่า นางจำเป็นต้องพึ่งพาและร้องเรียกเจี้ยนเฉิน นางกล่าว ศิษย์พี่ โปรดยินยอมให้ข้าไปกับท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นสัตว์อสูร นั่นเป็นเหตุผลที่ข้ากลัวในตอนแรก แต่ข้ารับประกันว่าถ้าข้าพบมันอีกข้าจะไม่ส่งเสียงดัง หลังจากที่ได้พบกับความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า นั่นไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับปัญหาใด บวกกับว่าเหลียงเสี่ยวเล่อได้ยินเสียงอาจารย์ทั้งสี่คน กล่าวว่าป่าเขตแดนชั้น 2 นี้ไม่มีอะไรที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้ ดังนั้น มันย่อมไม่เกิดอะไรขึ้นกับนางอย่างง่าย ๆ แน่นอน
เจี้ยนเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา เหลียงเสี่ยวเล่อเป็นชนชั้นสูงมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นแน่นอนว่านางย่อมจะเป็นภาระให้กับพวกเขา เมื่อพวกเขาต่อสู้สัตว์อสูร ในอนาคตพวกเขาจะต้องคอยดูแลนางอีกด้วย
เจียงหยางเซียงเทียน ด้วยเจ้าและเถี่ยต้า ไม่มีสัตว์อสูรตัวในในเขตแดนชั้น 2 นี้จะทำร้ายเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าก็พานางไปด้วยเถอะ ลูกศิษย์ควรระวังหลังให้กับอีกคน และนอกจากนี้ จริง ๆ แล้วสำหรับเจ้าทั้งสองนี้ ไม่ควรได้รับการพิจารณาให้ทำการทดสอบอีกต่อไปด้วย หญิงวัยกลางคนหัวเราะ
เจี้ยนเฉินถอนหายใจด้วยความโกรธเคือง เนื่องจาก แม้กระทั่งอาจารย์ก็ยัวอยากให้เหลียงเสี่ยวเล่อติดตามพวกเขาไป เขาก็ไม่อาจหาเหตุผลใด ๆ ได้อีก
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะอนุญาต แต่เถี่ยต้าก็ยังไม่พอใจ แต่เขาไม่ได้พูดอะไร หลังจากวันแรกนี้ เขาได้เริ่มเห็นเจี้ยนเฉินเป็นเสาหลักของทีม ไม่ว่าการตัดสินใจของเขาจะถูกหรือไม่ เถี่ยต้าจะไม่คัดค้านมัน เขารู้แก่ใจดีว่าเจี้ยนเฉินนั้นมีกลวิธีและมีประสบการณ์มากในการจัดการกับสัตว์อสูร ซึ่งมันมากกว่าเถี่ยต้า ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ตาม เถี่ยต้าย่อมยอมรับว่าเจี้ยนเฉินถูก
หลังจากที่อาจารย์ทั้งสี่คนจากไป เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าไม่ได้ให้ความสนใจกับเหลียงเสี่ยเล่อ แต่กลับเดินไปที่ศพของหมาป่าสีน้ำเงิน มันมีแกนอสูรมากกว่า 20 ชิ้น พวกเขาไม่กล้าที่จะปล่อยมันทิ้งไว้เช่นนั้น
เพราะแกนอสูรของหมาป่าสีน้ำเงินอยู่ในหัวของพวกมัน เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินกำลังพยายามที่จะหาวิธีที่จะดึงพวกมันออกมา พวกเขาจำเป็นต้องโจมตีและทำลายส่วนหนึ่งของหัวที่ซึ่งมีแกนอสูรอยู่ ดังนั้นใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อซีด ขณะที่นางลอบมองพวกเขา บางทีเหลียงเสี่ยวเล่อมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ด้วยความยากลำบาก นางก็สามารถระงับความขี้ขลาดภายในตัวของนาง ขณะที่นางเฝ้าดูเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าแยกแกนอสูรอย่างขยันขันแข็ง มันกลายเป็นว่านางกำลังเรียนรู้จากสิ่งเหล่านั้น
ยามค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วและมันสงบสุขนัก หลังจากการโจมตีของหมาป่าสีน้ำเงินจบลง
ขณะที่ดวงอาทิตย์ยามเช้าค่อย ๆ สูงขึ้นมาจากขอบฟ้า เจี้ยนเฉินกำลังนั่งขัดสมาธิหลังจากบ่มเพาะพลังเสร็จและลุกขึ้นยืนเพื่อยืดเส้นยืดสาย
เช่นเดียวกับเมื่อเจี้ยนเฉินยืนขึ้น เขาได้ยินเถี่ยต้าที่เริ่มตื่นขึ้นมาเช่นกัน เขาเดินตามเจี้ยนเฉินมา และแม้ว่าทั้งสองอยู่ในช่วงที่กำลังบ่มเพาะพลัง พวกเขาก็ยังคงตระหนักถึงสภาพแวดล้อมรอบตัว และตราบใดที่ลมพัดผ่านหญ้าสูงแล้ว ทั้งคู่จะสามารถรับรู้ถึงทุกคน
เถี่ยต้า ไปหากิ่งไม้แห้งมาก่อไฟ ข้าจะไปหาเนื้อสัตว์อสูร มันเป็นเวลาที่เราควรเตรียมอาหารเช้าบางอย่าง เจี้ยนเฉินกล่าว
โอ้! โดยปราศจากการขัดแย้งใด ๆ เถี่ยต้าหันไปรอบ ๆ และเข้าไปในป่าเพื่อค้นหาฟืนแห้ง
ไม่นานหลังจากนั้นเถี่ยต้าก็นำเอาฟืนแห้งกลับมา ในเวลาเดียวกัน, เจี้ยนเฉินได้เตรียมเนื้อก้อนใหญ่ของสัตว์อสูรที่ได้มาจากหมาป่าสีน้ำเงินที่ถูกพวกเขาฆ่าเมื่อคืนที่ผ่านมา
เนื่องจากปราศจากแหล่งน้ำในพื้นที่ตรงนี้ เนื้อสัตว์จึงไม่ได้ถูกล้าง แต่มันถูกเสียบโดยตรงกับด้วยแท่งบางอย่างและถูกวางไว้ด้านบนกองไฟที่จะเริ่มต้นการย่าง
หลังจากนั้นไม่นานเนื้อสัตว์ที่ถูกย่าง เริ่มที่จะส่งกลิ่นหอม แม้ว่ามันจะไม่ได้มีเครื่องเทศใด ๆ แต่คุณภาพของเนื้อสัตว์อสูรย่อมอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ด้วยเพราะเป็นเนื้อสัตว์อสูร มันจึงอร่อยและมีประโยชน์อย่างมาก มันสามารถกล่าวได้ว่า เนื้อสัตว์อสูรระดับ 5 สามารถเติมเต็มความแข็งแกร่งให้กับใครคนหนึ่งได้เลย
บางทีอาจเป็นเพราะนางได้กลิ่นหอมของเนื้อสัตว์ เหลียงเสี่ยวเล่อตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลด้านบนของต้นไม้และกระโดดลง ด้วยความสูง 5-6 เมตรไม่ได้เป็นอะไรที่ยากเกินไปสำหรับคนที่ก้าวมาถึงระดับ 8 ของพลังเซียน
หวา … มันเป็นกลิ่นที่หอมจริง เหลียงเสี่ยงเล่อเต้นไปยังกองไฟและเห็นหยดน้ำสีทองที่ไหลมาจากเนื้อสัตว์อสูร ช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกน้ำลายยืด แม้ว่านางจะได้กินอาหารที่แปลก ๆ มามากมาย นางไม่เคยกินสัตว์อสูรเช่นนี้มาก่อน หลังจากกินเนื้อสัตว์ชนิดเดียวกันมาเป็นเวลานานแล้วเราก็คิดอย่างอื่นว่าน่ารับประทานมากขึ้นแม้ว่าจะเป็นแค่กะหล่ำปลีก็ตาม เถี่ยต้าหันมองไปยังเหลียงเสี่ยวเล่อด้วยสายตาไม่พอใจ และบ่นอย่างเงียบ ๆ เมื่อคืนเจ้าร้องไห้เสียงดัง ตอนนี้เจ้าลืมเกี่ยวกับมันทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ข้าหวังว่าเมื่อพวกเราพบสัตว์อสูรอีกครั้ง แล้วเจ้าจะไม่ร้องเสียงดัง .
เสียงเถี่ยต้าเบาและพึมพำอยู่ในลำคอ ดังนั้นนอกเหนือจากตัวเขาเองไม่มีใครจะสามารถได้ยินในสิ่งที่เขาบ่นพึมพำ แม้ว่าจะเป็นเจี้ยนเฉินก็ตาม
เหลียงเสี่ยวเล่อมองที่เถี่ยต้าอย่างสงสัย เถี่ยต้า เจ้ากำลังพูดอะไรอยู่หรือ? เมื่อคืนที่ผ่านมา อาจารย์ทั้งสี่คนได้เรียกทั้งชื่อเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าแล้ว ดังนั้นเหลียงเสี่ยวเล่อจึงได้รู้จักชื่อของพวกเขา
อ่า ไม่มีอะไร เถี่ยต้าโบกมือราวกับว่าเขารู้สึกผิดขึ้นมา
เหลียงเสี่ยวเล่อไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก นางจ้องมองเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าและยิ้ม ตั้งแต่เจ้าทั้งสองได้ต่อสู้อย่างมีประสิทธิภาพ พวกเจ้าสามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้ถึง 20 ตัว มันเปิดเผยให้ข้ารู้ แท้จริงแล้วพวกเจ้าคือเจียงหยางเซียงเทียนและเถี่ยต้า ความจริงที่ข้าได้พบกับพวกเจ้าทั้งสอง นับว่าโชคดีจริง ๆ เหลียงเสี่ยวเล่อในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นคนที่แตกต่างจากช่วงเย็นวานนี้อย่างสิ้นเชิง หลังจากผ่านไปชั่วข้ามคืนราวกับว่านางลืมเหตุการณ์ของเมื่อวานนี้ไปหมด ตอนนี้ใบหน้าของนางไม่ได้แสดงให้เห็นร่องรอยของความกลัวและนึกถึงความน่ากลัวของสัตว์อสูร
เจี้ยนเฉินยกเนื้อสัตว์ที่สุกดีขึ้นและจากนั้นฉีกส่วนหนึ่งโยนมันไปที่เหลียงเสี่ยวเล่อ และถาม มีสัตว์อสูรจำนวนมากอยู่ในป่าแห่งนี้ นอกจากนี้ถ้าพวกเราไม่ได้อยู่ครบจน 3 วัน พวกเราย่อมออกไปไม่ได้ เจ้ากลัวหรือไม่ ?
เหลียงเสี่ยวเล่อยอมรับเนื้อสัตว์ชิ้นนั้นและในขณะที่นางเคี้ยวมันเบา ๆ นางกล่าวว่า ถึงแม้ว่าข้ายังคงกลัว แต่ข้าเชื่อว่าข้าจะคุ้นเคยกับมันได้ นอกจากนี้เจ้าสองคนก็อายุไม่มากกว่าข้า แต่เจ้าทั้งสองต้องเผชิญกับฝูงหมาป่าสีน้ำเงินอย่างรุนแรง ในคืนที่ผ่านมาโดยไม่มีร่องรอยของความกลัว เจ้าสองคน ยังสามารถฆ่าพวกมันได้ทั้งหมด นี่เป็นสิ่งที่น่าประทับใจมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ เหล่านั้น ฮึ่ม เด็กเหล่านั้นไร้ประโยชน์ พวกเขา 5 คนร่วมมือกันไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรได้แม้แต่ตัวเดียว ในท้ายที่สุดความไร้ความสามารถของพวกเขาก็บังคับให้ข้าต้องพลัดกับน้องสาวของข้า .
เหลียงเสี่ยวเล่อจู่ ๆก็ลุกขึ้นยืนและประกาศเสียงดังว่า ข้าได้ตัดสินใจแล้วในตอนนี้ แน่นอนข้าจะใช้เวลาสองวันนี้ เพื่อเรียนรู้จากเจ้าทั้งสองคน
ได้ยินอย่างนี้แล้วเจี้ยนเฉินพอใจนัก เขาพยักหน้าให้กับตัวเอง คำกล่าวของเหลียงเสี่ยวเล่อได้รับการยอมรับจากเจี้ยนเฉิน แม้ว่านางจะเป็นคนขี้อายและกลัวสัตว์อสูรเป็นอย่างมาก ปัจจัยที่สำคัญที่สุดก็คือนางเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการของนางเพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม ทุกคนไม่มีใครเกิดมาพร้อมกับความสามารถในการทำและเข้าใจทุกอย่าง ความรู้ทั้งหมดที่เก็บไว้เป็นผลมาจากการเรียนรู้พวกมัน แน่นอนเจี้ยนเฉินเป็นข้อยกเว้น.
ในทางกลับกัน เหลียงเสี่ยวเล่อเกิดเป็นลูกสาวคนโตในครอบครัวชนชั้นสูง นางได้รับการตามใจตั้งแต่นางยังเป็นเด็กและเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่มีการปกป้อง เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความยากลำบากใด ๆ ดังนั้นมันจึงไม่เป็นที่คาดหวังว่านางจะหลีกเลี่ยงความกลัวในระหว่างการเผชิญหน้ากันครั้งแรกของนางกับสัตว์อสูรที่โหดร้าย หลังจากทั้งหมดนี้คือเทียบได้กับคนธรรมดา กลับพบเจอผีครั้งแรก ใคร ๆ ก็ย่อมกลัว
Chaotic Sword God ตอนที่ 37 บรรดาอาจารย์ตื่นตระหนก
ไม่กี่วินาทีผ่านไป หมาป่าอีกตัวก็ได้จบชีวิตลงด้วยมือของเจี้ยนเฉิน ขณะที่ตัวอื่น ๆ ล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน
เหลียงเสี่ยวเล่อตัวงอด้วยความหวาดกลัว นางไม่ได้ยินเสียงเถี่ยต้าหรือเจี้ยนเฉินกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเลย ทั้งหมดที่นางได้ยินเป็นเสียงหอนผสมกับเสียงโหยหวนของหมาป่าสีน้ำเงิน ด้วยความสงสัยนางจึงต่อสู้กับความกลัวของนางและมองลงไปที่พื้นดิน ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง นางไม่เชื่อว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจะยังคงต่อสู้กับหมาป่าสีน้ำเงิน นางถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก
ทุกครั้งที่เหวี่ยงขวานออกไปก็สามารถที่จะส่งหมาป่าให้ลอยขึ้นไปในอากาศได้อย่างง่ายดาย เพราะเช่นนั้นจึงไม่มีหมาป่าตัวใดที่จะสามารถเข้าใกล้เขาได้ ทุกส่วนของหมาป่าถูกปกคลุมไปด้วยแผลเหวอะหวะที่ซึ่งเต็มไปด้วยเลือด ในทางตรงกันข้าม เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วระหว่างหมาป่าตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่งและโจมตีพวกมันจากทุกทิศทาง เมื่อใดก็ตามที่เขาแทงแท่งเหล็กไปด้านหน้าก็จะมีหมาป่าถูกแทงทะลุ เขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่แม้แต่เหลียงเสี่ยวเล่อก็ไม่อาจมองตามทัน สิ่งเดียวที่นางได้เห็นเป็นเพียงแค่ภาพพร่าเลือนอย่างต่อเนื่อง
นางไม่เคยมีประสบการณ์โชกเลือดน่าตื่นเต้นเช่นสิ่งที่นางได้เห็น ใบหน้าของนางเริ่มที่จะมีสีสันบ้าง ร่างกายของนางไม่อาจหยุดสั่นได้เลย อย่างไรก็ตาม มันเป็นครั้งแรกที่นางเห็นเลือดมากขนาดนี้ และไม่ว่าใครก็ไม่สามารถที่จะมองมันอย่างง่ายดายหากมันเป็นครั้งแรกของพวกเขา
ในขณะเดียวกัน หมาป่าสีน้ำเงินฉวยโอกาสที่เถี่ยต้าละความสนใจ และมันก็กระโดดขึ้นไปที่ไหล่และใช้ฟันแข็งแรงของมันก็กัดลึกลงบนไหล่ของเขา และเลือดเริ่มที่จะไหลได้ออกมาจากบาดแผลนั้น
อาการเจ็บปวดเฉียบพลันเป็นสาเหตุให้ใบหน้าเถี่ยต้าของเขาเริ่มเข้มขึ้น ขณะที่เขามองไปที่หมาป่าสีน้ำเงินที่ไหล่ของเขา ตาของเถี่ยต้ากระพริบด้วยความเจ็บปวด ขณะที่เขามองที่หมาป่าสีน้ำเงินด้วยสายตาดุร้าย ทิ้งขวานในมือขวาของเขา คว้าลงบนหัวหมาป่าและด้วยความแข็งแกร่งมหาศาลของเขา เขากระชากหมาป่าออกจากไหล่ของตนเอง หลังจากนั้นก็ปรากฏแผลลึกในผิวหนังของเขา
เถี่ยต้าคว้าจมูกหมาป่าด้วยมือทั้งสองข้างและเส้นเลือดที่แขนของเขาพองตัวขึ้นกับกล้ามเนื้อของเขา เขาคำรามด้วยความโกรธ มือของเขาจับหัวของหมาป่า คำรามออกมาและฉีกหัวออกจากร่างกายของมัน ในเวลาเดียวกัน เลือดก็สาดกระจายไปบนตัวของเถี่ยต้าจนเขาถูกย้อมไปด้วยเลือด
ความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าเป็นสาเหตุให้หมาป่าโดยรอบตัวโก่งตัวด้วยความหวาดกลัว ขณะที่พวกมันจ้องมองเถี่ยต้าและซากหมาป่าสลับไปมา
แต่เถี่ยต้าไม่ได้วางแผนที่จะปล่อยให้หมาป่าหลุดรอดออกไป เขาก้มตัวลงหยิบขวานรบของเขาขึ้นมาและสับมันลงไปที่หัวของหมาป่าอีกตัว
หมาป่าเอียงหัวของมันและหลบขวานของเถี่ยต้า มันเงยหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าหอนเสียงดังก่อนที่หันมามองเขา
เมื่อได้ยินเสียงหอน หมาป่าทั้งหมดราวกับว่าความกลัวของพวกมันหายไปในบัดดล ขณะที่พวกมันเริ่มที่จะเข้าปะทะกับเถี่ยต้า
เถี่ยต้าตวัดขาเตะไปที่ท้องของหมาป่า ส่งให้มันลอยเคว้งไปในอากาศ ใบมีดที่คมของขวานรบได้ตัดคอของหมาป่า ทิ้งไว้เพียงรอยเลือด หมาป่าไม่กี่ตัวล่าถอยไปคล้ายกับจรวด
หลังจากที่เขาได้ใช้ขวานรบสับลงไปยังหัวของหมาป่า เถี่ยต้าหยุดกับที่ เขากวัดแกว่งขวานของเขามันช่างเป็นภาพที่อันตรายสำหรับหมาป่าตัวอื่นที่มองอยู่
เพ้ง หมาป่าล่าช้าเกินกว่าที่จะหลบได้และมันถูกฟันโดยขวานของเถี่ยต้า หมาป่าถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ขณะที่มันส่งเสียงหอนครั้งหนึ่งก่อนจะสิ้นใจลงไป
หลังจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ แล้วดูเหมือนเถี่ยต้าจะแข็งแกร่งขึ้น เพียงชั่วพริบตาเขาฆ่าหมาป่าไปถึง 2 ตัว
ในทางตรงกันข้าม เจี้ยนเฉินยังคงต่อสู้อย่างดุเดือดกับหมาป่า ทันใดนั้นหมาป่ากระโดดลงมาจากด้านบนเข้าไปหาเจี้ยนเฉิน
ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินหันไปรอบ ๆ และจ้องมองไปยังหมาป่า ด้วยประกายในดวงตา แท่งเหล็กในมือของเขายังคงรวดเร็วเหมือนฟ้าผ่าและแทงลึกเข้าไปในช่องท้องของหมาป่า มันแทงทะลุเข้าไปที่หัวใจของมัน ในช่วงเวลานั้นเอง เขาหยุดมือและเขาก็ดึงมันออกมาในทันที
ช่วงเวลานั้นเอง เขาได้เคลื่อนตัวออกจากบริเวณนั้น ทันใดนั้นฝูงหมาป่าก็กระโจนเข้าหาเขา
หมาป่าที่ถูกแทงลึกเข้าไปยังหัวใจ ร้องเสียงแหลม ขณะเดียวกันมันก็เป็นลมหายใจสุดท้ายของมันและล้มลงไปที่พื้น เกร็งกระตุก ก่อนจะจากไป
การต่อสู้ได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และเมื่อเวลาผ่านไป ปริมาณของหมาป่าน้ำเงินที่เพิ่งเสียชีวิตไปด้วยมือของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทีละน้อย แรงกดดันของเด็กหนุ่มทั้งสองคนก็ค่อย ๆ ลดลง ขณะที่จำนวนหมาป่าก็ค่อย ๆ ลดลง
เจี้ยนเฉินดึงแท่งเหล็กออกมาจากคอของหมาป่าอีกตัว เขาได้ฆ่าหมาป่าไปมากกว่า 10 ตัว แต่เสื้อผ้าของเขากลับไม่มีคราบของเลือดเลยสักนิด
เจี้ยนเฉินมองไปยังเถี่ยต้า เห็นเพียงหมาป่าประมาณ 7 – 8 ตัวที่อยู่ด้านซ้าย อย่างไรก็ตาม หมาป่าทั้งแปดก็เต็มไปด้วยเลือด ราวกับมันถูกอาบด้วยเลือด เสื้อผ้าที่ขาดอยู่แล้วของเขายิ่งแย่ลงและเกือบจะเป็นเหมือนเศษผ้าในขณะนี้ เสื้อผ้าของเขาแทบจะไม่ปกปิดร่างกายของเขา และมันเผยให้เห็นถึงหน้าอกด้านใน แม้กางเกงฉีกขาดจนเห็นได้ว่ามีบาดแผลอยู่ข้างในนั้น
โดยปราศจากการลังเล เจี้ยนเฉินรีบวิ่งไปทางเถี่ยต้าและเริ่มที่จะต่อสู้กับหมาป่า 8 ตัวนั้นด้วยแท่งเหล็กของเขาทันที
เพราะเถี่ยต้าได้ทำให้หมาป่าได้รับบาดเจ็บอย่างหนักในการต่อสู้อันยาวนาน หมาป่าทุกตัวเหนื่อยเกินกว่าจะหลบหลีกได้ ดังนั้นมันจึงเป็นงานง่ายสำหรับเจี้ยนเฉิน โดยไม่ต้องเสียพลังงานมาก เขาจบชีวิตของพวกมันด้วยการแทงทะลุคอของหมาป่าได้อย่างแม่นยำ
หลังจากการบุกรุกของฝูงหมาป่า แม้จะเป็นเจี้ยนเฉินก็ช่วยไม่ได้ที่จะหายใจอย่างยากลำบาก แม้เขาจะไม่ได้อ่อนแอแต่เขาก็ใช้พลังมหาศาลในการต่อสู้กับฝูงหมาป่าเหล่านั้น
เถี่ยต้าถอนหายใจออกยาว ในขณะที่เขามองไปที่กองศพรอบ ๆ ตัวเขา บนใบหน้าของเขาปรากฏเป็นรอยยิ้มที่มีความสุข แม้ว่าพวกเขาจะต่อสู้อย่างยาวนานและยากลำบาก เขาก็ไม่ได้แสดงให้เห็นร่องรอยของความอ่อนล้า จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขากลับถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ที่เหลือได้ เถี่ยตาหัวเราะ ในชีวิตของเขาเขาไม่เคยฆ่าฝูงสัตว์อสูรระดับ 1 มาก่อน ดังนั้นมันเป็นธรรมชาติที่เขารู้สึกตื่นเต้น
เจี้ยนเฉินยิ้ม ก่อนที่จะมองไปที่บาดแผลบนตัวเถี่ยต้า เจ้าได้บาดเจ็บ มันร้ายแรงหรือไม่?
เถี่ยต้ามองลงไปในร่างกายของเขา ตรวจบาดแผลของเขาก่อนที่จะพูดว่า มันไม่มีปัญหา แม้ว่าจะถูกกัด แต่ส่วนใหญ่พวกมันก็เป็นเพียงแค่แผลตื้น ๆ เท่านั้น เฮ้ เฮ้ ผิวของข้าหนามากตั้งแต่ข้ายังเด็ก ดังนั้นสัตว์อสูรธรรมดาไม่เคยได้กัดข้ามาก่อน
เจียนพยักหน้าในการทำความเข้าใจด้วยใบหน้าครุ่นคิด เขารู้เกี่ยวกับความแข็งแกร่งและพละกำลังของเถี่ยต้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน เถี่ยต้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็ก ดังนั้นหมาป่าสีน้ำเงินที่ดุร้ายก็ไม่อาจกัดทะลุผิวหนังของเขาไปได้
อ่า ใช่สิ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าบาดเจ็บหรือเปล่า ? เถี่ยต้าถามด้วยความกังวล ในขณะที่เขามองไปที่เจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินส่ายหัว ไม่ต้องกังวล หมาป่าไม่อาจทำร้ายข้าได้เลย เขาเคลื่อนย้ายสายตา จ้องมองไปบริเวณหญ้าสูงและกล่าวเสียงดังว่า ท่านมองเพียงพอแล้วหรือยัง ท่านวางแผนที่จะหลบซ่อนอีกนานแค่ไหน?
ได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าว เถี่ยต้าก็รู้สึกว่างเปล่าเป็นครั้งที่สอง ขณะที่เขากำลังงงงวยว่าเจี้ยนเฉินพูดอะไรออกมา แต่ในไม่ช้า เขาก็คิดมันออกและทันใดนั้นเขาก็คว้าขวานรบด้วยมือทั้งสองของเขา
ใครซ่อนอยู่? รีบและออกมาซะ มิฉะนั้นข้าจะสับเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ ! เถี่ยต้าตะโกน
ขณะที่เถี่ยต้าพูด หญ้าสูงก็เริ่มสั่นไหว ก่อนที่ทั้งสี่ร่างจะกระโจนไปที่ด้านหน้าของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า
เห็นเงาทั้งสี่กระโดดออกมา ทันใดนั้น เถี่ยต้าก็มีท่าทีป้องกัน ในขณะที่เจี้ยนเฉินไม่ได้ขยับกล้ามเนื้อบนใบหน้าเลยสักนิด ยกเว้นแต่รอยยิ้มเล็ก ๆ บนใบหน้าของเขา แม้ว่าเขาจะไม่สามารถมองเห็นการปรากฏตัวของทั้งสี่คนจากในความมืด แต่เจี้ยนเฉินก็พอจะคาดเดาตัวตนได้ตั้งแต่แรก
เมื่อเงาทั้งสี่มาถึง ห่างจากเจี้ยนเฉินราว 2 เมตร พวกเขาก็หยุด ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็ได้เห็นใบหน้าของพวกเขาอย่างชัดเจน สองคนเป็นชายวัยกลางคนและหญิงสูงอายุและหญิงอายุ 30 ปี ทั้งสี่คนมีความประหลาดใจและรู้สึกท้อแท้ราวกับว่าพวกเขาเห็นเหตุการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้
ท่านอาจารย์ที่เคารพ ที่แท้ก็เป็นพวกท่าน ในที่สุด เถี่ยต้าก็จำคนทั้งสี่ได้และร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ
ทั้งสี่คนคืนสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็ว แต่สายตาของพวกเขายังเผยให้เห็นร่องรอยของความตกใจ
เจียงหยางเซียงเทียน ไม่แปลกใจเลยว่าที่มีข่าวลือว่าเจ้าเอาชนะเซียนได้ ข้าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ในตอนแรก แต่หลังจากที่ได้เห็นสิ่งนี้ ข่าวลือพวกนั้นเกรงว่าจะมีสักหลายส่วนของความจริง สำหรับคนเพียงคนเดียว ที่จะใช้แท่งเหล็กสึกกร่อนฆ่าสัตว์อสูรหลายสิบตัว ที่แม้แต่เซียนที่สามารถหลอมรวมอาวุธเซียนของพวกเขาได้ ก็ไม่อาจที่จะทำเช่นนี้ได้อย่างง่ายดายนัก ผู้อาวุโสกล่าวพร้อมกับหัวเราะ ขณะเดียวกันก็ได้ชื่นชมเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า อาจารย์ที่เคารพ ท่านชื่นชมข้ามากไปแล้ว ความแข็งแกร่งของข้าไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ท่านคิด หมาป่าพวกนั้นอาจจะถือว่าเป็นสัตว์อสูรระดับ 1 แต่พลังโจมตีของพวกมันไม่ได้สูงมากนัก ถ้าข้าได้พบกับสัตว์อสูรระดับ 1 ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้แล้ว ข้าเกรงว่าข้าคงต้องต่อสู้มากกว่านี้
ได้ยินอย่างนี้แล้วผู้อาวุโสมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาชื่นชม ก่อนที่จะมองไปที่เถี่ยต้าพร้อมกับหัวเราะ เถี่ยต้า ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นมากนัก ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมท่านอาจารย์ใหญ่จึงประกาศตามหาเจ้าและนำเจ้ามาเป็นศิษย์ส่วนตัว
เถี่ยต้าเกาหัวของเขา ด้วยรอยยิ้มเจียมเนื้อเจียมตัว แต่เขาไม่รู้ว่าจะพูดเช่นไรออกมา
ผู้อาวุโสหยุน ปรากฏว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไรกัน เด็กสองคนนี้มีความแข็งแกร่งที่ผิดปกตินัก ไม่มีอะไรในเขตสองจะสามารถเป็นคู่มือของพวกเขา หญิงสาวอายุราวสัก 30 ปี กล่าวออกมา
สามคนยิ้มออกมาอย่างขมขื่นขณะที่เขาฟังนาง เมื่อพวกเขาเคยได้ยินเสียงหอนของหมาป่า พวกเขารู้ทันทีด้วยสัญชาติญาณว่าลูกศิษย์ตกอยู่ในอันตราย ด้วยเหตุผลนั้น พวกเขาทั้งหมดจึงได้รีบวิ่งไปยังเสียงหอนนั้น ด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา ต่างคนต่างภาวนาให้ลูกศิษย์สามารถที่จะอดทนได้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่เมื่อพวกเขามาถึง พวกเขาต่างไม่อาจเชื่อว่าลูกศิษย์ทั้งสองคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเซียน ต่างก็รับมือกับหมาป่าสีน้ำเงินโดยปราศจากปัญหา ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สามารถที่จะสังหารทั้งพวกมันทั้ง 20 ตัวลงได้ และไม่มีใครในสี่คนจะสามารถเชื่อสายตาของพวกเขาในผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย
Chaotic Sword God ตอนที่ 36 ฝูงหมาป่า
ในช่วงกลางคืนเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้และบ่มเพาะพลัง คบไฟที่อยู่ข้างตัวพวกเขาทั้งสองได้มอดดับไปนานแล้ว และบนกิ่งไม้ 5 หรือ 6 เมตรเหนือพวกเขาคือเหลียงเสี่ยวเย่ นางมองไปรอบ ๆ อย่างกระวนกระวาย เมื่อใดก็ตามที่นางได้ยินเสียงเห่าหอนของสัตว์อสูรในยามค่ำคืน นางก็ไม่อาจข่มตาหลับลงได้เต็มตา
ดวงตาอันเป็นประกายของเหลียงเสี่ยวเย่มองจ้องไปที่เจี้ยนเฉินกับเถี่ยต้า ราวกับว่านางกำลังจับตามองพวกเขา ในสายตาของนางนับว่าเป็นเรื่องเป็นหรือตายเลยทีเดียว นางไม่ได้ต้องการที่จะให้คนสองคนที่นางได้พบหลังจากค้นหามานานละทิ้งนางและและนางก็จะสูญเสียการป้องกันนั้นไป
ในขณะนั้นมีสายลมอ่อนพัดผ่านป่าและผ่านหญ้าสูง ในขณะเดียวกัน เจี้ยนเฉินก็ลืมตาของเขาขึ้นมาทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายในขณะที่เขาจ้องมองลึกเข้าไปในหญ้าสูงนั้น ก่อนที่จะลุกขึ้นยืนบนพื้นดินโดยมีแท่งเหล็กในมือของเขา
เหลียงเสี่ยวเย่สับสนขณะที่นางเฝ้าดูเจี้ยนเฉินลุกขึ้นยืน ไม่รู้เพราะอะไรหรือเกิดอะไรขึ้น หัวใจของนางก็เต้นแรงด้วยความตื่นตระหนก
เฮ้ เกิดอะไรขึ้น ? เหลียงเสี่ยวเย่กระซิบถามอย่างระมัดระวัง ในสถานการณ์เช่นนี้นางไม่กล้าใช้เสียงดังที่จะพูดเพราะกลัวว่ามันจะไปดึงดูดสัตว์อสูร
เจี้ยนเฉินไม่ได้คำตอบของนางและหันมองไปยังเถี่ยต้าที่กำลังบ่มเพาะพลังอยู่ เถี่ยต้า ตื่นได้แล้ว เหมือนจะมีสัตว์อสูรบางตัวกำลังจะโจมตีเรา
อ่า เจ้าพูดว่าอะไรนะ? สัตว์อสูรโจมตี ? เหลียงเสี่ยวเย่กลายเป็นตื่นกลัว ใบหน้าของนางไร้สีเลือดทันที เมื่อคิดเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งร่างกายของนางก็เริ่มสั่นเทาด้วยความกลัว
ในขณะที่เถี่ยต้ากำลังบ่มเพาะพลัง เขาไม่กล้าที่จะหมกมุ่นมากเกินไป ดังนั้นเมื่อเจี้ยนเฉินเรียกร้องเขา เถี่ยต้าก็ลืมตาขึ้นออกจากการบ่มเพาะพลังและลุกขึ้นยืนพร้อมกับขวานรบของเขาที่พาดอยู่บนไหล่
เจียงหยางเซียงเทียน สัตว์อสูรอยู่ตรงไหน ? เขาถามในขณะที่เขามองไปรอบ ๆ เขาไม่สามารถมองเห็นรอยเท้าใด ๆ รอบตัวพวกเขาหรือแม้กระทั่งได้ยินเสียงอะไรเลย
เจี้ยนเฉินหันศีรษะของเขาอย่างช้า ๆ ในขณะที่เขามองไปรอบ ๆ เถี่ยต้า คราวนี้ต้องระวังให้มาก คราวนี้มันไม่ใช่แค่สัตว์อสูรเพียงตัวเดียว แต่มันเป็นฝูง
เป็นฝูง ! ใบหน้าเถี่ยต้าเปลี่ยนไปทันที จากท่าทีประมาทเป็นท่าทีจริงจังขึ้นมา
อา! อะไร! เป็นฝูง ! เป็นไปไม่ได้ ! เฮ้ เจ้า โปรดอย่าทำให้ข้ากลัวเช่นนั้น เหลียงเสี่ยวเย่ที่ซ่อนบนต้นไม้ อ้อนวอนกับพวกเขา นางได้ยินสิ่งที่น่ากลัวจากเจี้ยนเฉินมากเหลือเกิน
คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าหากัน ก่อนจะออกคำสั่งเบา ๆ กับเสียงร้องของเหลียงเสี่ยวเย่ เจ้าเงียบได้หรือไม่? เจ้าต้องการที่จะดึงดูดสัตว์อสูรจากทั่วทุกมุมหรือ ?
คำสั่งเจี้ยนเฉินพิสูจน์ให้เห็นว่ามันมีประโยชน์อย่างยิ่ง เหลียงเสี่ยวเย่รีบใช้มือปิดปากตัวเองทันที เพื่อให้แน่ใจว่านางไม่ได้พูดอะไร
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าคิดว่าสัตว์อสูรมีอยู่ประมานกี่ตัว ? เถี่ยต้าถาม
มากทีเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ 10 ตัว พวกมันกำลังเตรียมที่จะโจมตีพวกเรา พวกมันล้อมเราไว้โดยรอบแล้ว ใบหน้าเจี้ยนเฉินเคร่งขรึมมากขึ้น
เถี่ยต้าเริ่มแสดงท่าทีหนักใจขณะที่เขาฟังเจี้ยนเฉิน ถ้ามันเป็นเพียงสัตว์อสูรตัวเดียวเขาจะไม่กังวลเลย พวกเขาทั้งสองคนจะร่วมมือกัน แต่ตอนนี้มีอย่างน้อย 10 ตัว ในตอนนี้เถี่ยต้าไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เมื่อเหลียงเสี่ยวเย่ได้ยินที่เจี้ยนเฉินพูดแล้ว ใบหน้าของนางก็ได้ขาวซีดและจิตใจของนางก็เต็มไปด้วยความกลัว เพียงอย่างเดียวที่นางคิดในหัวของนางว่า ไม่รอดแน่แล้ว! พวกเราถูกปิดล้อม พวกเราไม่อาจเอาตัวรอดได้ …
หญ้าสูงเริ่มแกว่งไปแกว่งมาเป็นแสงสีฟ้าที่ปรากฏอยู่ในด้านหน้าของพวกเขา มันอยู่ในทุกทิศทาง ด้วยจุดกำเนิดของแสงสีฟ้ากว่า 50 จุดนั่น ในขณะที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้ามองอย่างประหลาดใจ พวกเขาตระหนักในจุดสว่างของแสง แท้จริงคือสายตาของสัตว์อสูร และมันมีอย่างน้อยที่สุด 20 ตัว
นี่สัตว์อสูรระดับ 1 หมาป่าน้ำเงิน เถี่ยต้า ถ้าเจ้าต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ จงรีบปีนขึ้นไปบนต้นไม้ตอนนี้ เจี้ยนเฉินกล่าว ในขณะที่เขามองไปที่หมาป่าสีน้ำเงิน 20 ตัวจากทุกทิศทาง
เถี่ยต้าจ้องด้วยความโกรธ ก่อนควงขวานรบของเขา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่กล้าหาญว่า ไม่ต้องกังวล เจียงหยางเซียงเทียน มีเพียงแค่ 20 ตัว ข้ายืนยันว่าพวกเราไม่พ่ายแพ้ให้กับพวกมันแน่
ช่วงเวลาที่นางได้ยินว่ามีหมาป่า 20 ตัวกำลังบุก เหลียงเสี่ยวเย่กำลังกลัวตายอย่างแท้จริง ในเวลานี้แม้ว่า นางเชื่อว่าเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าแข็งแกร่ง แต่นางจะไม่เชื่อว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะสามารถเอาชนะ สัตว์อสูร 20 ตัวได้ ขณะที่พวกมันยังไม่ถึงระดับเซียน ยกเว้นแต่ว่าจะมีอาจารย์คนหนึ่งของสำนักที่จะมาช่วยให้เขารอด ตอนนี้พวกเขาไม่อาจที่จะหลบไปไหนได้
อาจารย์ ท่านอยู่ที่ไหน? กรุณามาช่วยเรา … เหลียงเสี่ยวเย่มองไปรอบ ๆ ในทุกทิศทาง ขณะที่นางอ้อนวอนขอให้อาจารย์มา มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่จะช่วยเหลือพวกนางได้ แต่มันน่าละอายเหลือเกินที่มันมีสัตว์อสูรจำนวนมาก ดังนั้นนางจึงร้องออกมาเสียงดัง และเมื่อเป็นเช่นนั้น สัตว์อสูรก็เริ่มที่จะให้ความสนใจนาง
หมาป่าสีน้ำเงิน 20 ตัวค่อย ๆ เดินไปทางเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า โดยสายตาของพวกมันจ้องมองพวกเขาอย่างระมัดระวัง เมื่อระยะห่างของพวกเขาอยู่ห่างจากพวกมันไม่ถึง 5 เมตร พวกมันก็หยุดเคลื่อนไหว
เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าคว้าอาวุธของตน แม้ว่าพวกเขาจะถูกล้อมรอบไปด้วยสัตว์อสูร แต่ทั้งสองคนกลับไม่มีท่าทีหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
อ๋าววววว !
ทันใดนั้น หมาป่าสีน้ำเงินเริ่มที่จะหอนขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นหมาป่า 20 ตัวที่อยู่รอบพวกเขาก็เริ่มที่จะเห่าหอนตาม เสียงหอนของพวกมันเริ่มทับซ้อนกันและกัน ก่อนที่จะกลายเป็นคลื่นเสียงขนาดใหญ่ที่มุ่งเป้าหมายไปที่พื้นที่กว้าง
ได้ยินหมาป่าเห่าหอน ร่างกายของเหลี่ยงเสี่ยวเย่ก็ลื่น ร่างของนางล้มลงกับพื้นขณะที่นางเริ่มสั่น เมื่อถึงจุดนี้ใบหน้าของนางไร้สีเลือดและกลายเป็นซีดเหมือนคนตาย
ห่างจากเจี้ยนเฉิน 5 กิโลเมตร ชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่บนกิ่งไม้ เมื่อเขาได้ยินเสียงหอนใบหน้าของเขาเปลี่ยนไป ตาที่เคยปิดก่อนหน้านี้ของเขาเปิดออกในขณะที่เขาจ้องมองไปทางทิศทางของเสียง
ไม่ดีแล้ว ฝูงหมาป่าสีน้ำเงิน ตัดสินโดยเสียงหอน มันต้องมีอย่างน้อยสัก 10 ตัวเห็นจะได้ ดูเหมือนว่ามีคนได้พบกับอันตรายเสียแล้ว ใบหน้าของชายวัยกลางคนโตเคร่งขรึม เป็นมือของเขาสัมผัสต้นไม้ที่เขากำลังยืนอยู่บน เขากระโดดลงมาจากต้นไม้ก่อนที่จะวิ่งออกไปทางทิศทางของเสียงหอนอย่างไม่รีรอ
ข้าหวังว่าจะทัน ชายวัยกลางคนเป็นกังวลยิ่งนัก แต่เขากำลังตรงไปด้วยความเร็วเท่าที่จะเร็วได้ สัตว์อสูรในเขตแดนชั้น 2 นั้นไม่ได้แข็งแกร่งนัก แต่ฝ่ายตรงข้ามที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้ากำลังเผชิญอยู่นั้นคือ สัตว์อสูรระดับ 1 หมาป่าสีน้ำเงิน โอกาสที่พวกเขาจะเอาชนะได้นั้นไม่มีเลย
ในเวลาเดียวกันใน 3 สถานที่แตกต่างกัน 3 คนต่างได้ยินเสียงหอนก่อนที่จะวางอะไรก็ตามที่อยู่ในมือของพวกเขาและรีบวิ่งไปทางเสียงหอน
เหล่าหมาป่าส่งเสียงหอน มันเป็นสัญญาณสำหรับการโจมตี หมาป่านั้นรีบพุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าในทันที
ตายซะ ! เถี่ยต้าคำรามในขณะที่เขาเงื้อขวานรบของเขาขึ้นเตรียมพร้อมโจมตี เขาเหวี่ยงขวานลงใกล้ ๆ หมาป่า กระแทกขวานเข้าไปในท้องของมัน หมาป่าร้องออกมาพร้อมกับเสียงกรีดร้องก้องหู
เพล้ง
หมาป่าสีน้ำเงินที่ถูกเถี่ยต้าโจมตีถูกตัดขาดทันทีด้วยการโจมตีที่ทรงพลังของขวานรบ และตอนนี้มันมีบาดแผลยักษ์บนร่างของมัน หมาป่าถูกส่งให้ลอยออกไปจากการแกว่งขวานอันยิ่งใหญ่ แม้ว่ามันจะเป็นถึงสัตว์อสูรระดับหนึ่ง แต่มันก็ไม่ใช่คู่มือของเถี่ยต้าที่แข็งแกร่ง
เถี่ยต้ากวัดแกว่งขวานรบที่หนักราว 100 ปอนด์ของเขาได้อย่างง่ายดาย ราวกับว่ามันไม่หนักเลยสักนิด เมื่อใดก็ตามที่หมาป่าสีน้ำเงินเข้าหา เขาจะส่งมันบินออกไป ดังนั้นหมาป่าที่เข้ามาใกล้ตัวเขามากเกินไปจึงถูกส่งตัวไปพร้อม ๆ กับแผลใหม่บนร่างของมัน แต่ผิวหนังของหมาป่าสีน้ำเงินทนทานเป็นอย่างมาก แม้แต่เถี่ยต้าจึงไม่สามารถฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย
ขณะที่หมาป่าเดินเข้ามาหาเขาในเวลาเดียวกันดวงตาของเจี้ยนเฉินก็เป็นประกายเย็นชามากขึ้น เมื่อเขารีบวิ่งไปข้างหน้า ในทันใดนั้นเขาก็นำแท่งเหล็กแหลมขึ้นมาแทงทะลุคอของหมาป่าตัวที่อยู่ใกล้ ๆ
บู๊ววว
มีความต้านทานบางอย่าง แท่งเหล็กทะลุหมาป่าที่ซ่อนอยู่และเจาะผ่านลำคอหมาป่าอีกตัว เขากระชากแท่งเหล็กออกและเอียงตัวไปทางด้านข้างเพื่อหลบการโจมตีของหมาป่าตัวอื่นที่กระโดดลงมาที่เขา
หมาป่าที่ถูกเจี้ยนเฉินแทงคอทะลุล้มลงที่พื้นอย่างสิ้นหวัง สี่ขาของมันกระตุกและท้ายสุดมันก็ตายลง มันไม่สามารถยืนขึ้นด้วยขาของมันเองไม่ว่ามันพยายามมากเท่าไร เลือดสีแดงสดใสไหลออกมาจากบาดแผลของมัน
คอเป็นจุดที่อ่อนแอของเกือบทุกสิ่งมีชีวิตและสัตว์อสูรนั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ตอนนี้ตั้งแต่หมาป่าสีน้ำเงินได้ถูกแทงคอมันก็ตายลงอย่างรวดเร็ว แม้ว่ามันจะพยายามที่จะหลีกเลี่ยงความตายแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็อยู่ได้ไม่นาน
เจี้ยนเฉินอาศัยความคล่องแคล่วของร่างกายของเขาในการเคลื่อนไหวไปมา แท่งเหล็กของเขาจะทิ้งบาดแผลที่ถูกแทงในทุกครั้งของการโจมตี แม้จะถูกล้อมรอบไปหมาป่านับสิบตัว เจี้ยนเฉินก็ได้ใช้รูปแบบการเคลื่อนที่ที่แปลกและคาดเดาไม่ได้ของเขา ในการเคลื่อนไหวที่จะหลบได้อย่างง่ายดาย ฟันที่คมและกรงเล็บของหมาป่าก็ไม่สามารถสัมผัสเขาได้เลย และเมื่อใดก็ตามที่ดูเหมือนว่าจะคับขัน เจี้ยนเฉินก็สามารถหลุดรอดออกมาได้ในทันใด
การต่อสู้ไม่ได้กินเวลานานมากนัก ก่อนที่หมาป่าทั้งสามตัวจะถูกเจี้ยนเฉินแทงทะลุคอ ในขณะที่หมาป่าสูญเสียเลือด พวกมันสะดุดลงกับพื้นดินในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่จะมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากลมหายใจเฮือกสุดท้ายพวกมันก็ตายบนพื้นดิน มีหมาป่าหลายตัวได้รับความบาดเจ็บจากบาดแผลแต่ไม่มีตัวไหนตายและถูกทำร้ายโดยมุ่งไปที่ข้อต่อของสัตว์
เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวไปมาระหว่างหมาป่าขณะที่แท่งเหล็กอยู่ในมือของเขาแทงต่อไปยังพวกมัน เขาไม่เพียง การเคลื่อนไหวของเขาไม่เพียงแต่รวดเร็วเท่านั้นแต่มันยังงดงามอีกด้วย มันเกือบจะเหมือนกับการร่ายรำมากกว่าที่จะต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
ในอีกด้านหนึ่ง เถี่ยต้าปล่อยเสียงคำรามและนำเอาขวานหนักนับ 100 ปอนด์ ตวัดไปกลางอากาศ ผลลัพธ์ความเร็วนั้น ก่อให้เกิดภาพหมาป่ารอบตัวเขาถูกส่งไปอย่างไม่หยุดหย่อนตลอดเวลาโดยมีบาดแผลที่น่าสะพรึงกลัว แม้ว่าบาดแผลจากคมงขวานเหล่านี้จะไม่เป็นภัยคุกคามต่อชีวิตของพวกมันก็ตาม
แม้ว่าเมื่อมองดูแล้ว เถี่ยต้าค่อนข้างแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน และมันก็ยังห่างไกลนักจากความสำเร็จของเจี้ยนเฉิน หลังจากที่นับตั้งแต่การต่อสู้เริ่มต้น เถี่ยต้านั้นไม่สามารถสังหารหมาป่าสีน้ำเงินได้เลยแม้แต่ตัวเดียว
Chaotic Sword God ตอนที่ 35 เหลียงเสี่ยวเล่อ
หลังจากนำแกนอสูรออกมาจากตัวของเสือดำ เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็ยังเดินทางต่อไปและได้สังหารสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง
มันง่ายมากสำหรับการที่เซียนจะสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 แต่สำหรับลูกศิษย์ใหม่ ก็กล่าวได้ว่าเป็นงานที่ยากเหลือใจนัก มันเป็นอันตรายถึงชีวิต เป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แต่เจี้ยนเฉินกับเถี่ยต้ากลับทำราวกับว่ามันเป็นเกม เขตแดนชั้น 2 เป็นเหมือนขุมทรัพย์แกนอสูรสำหรับทั้งสองคน
หนึ่งวันผ่านไปได้อย่างรวดเร็วและเมื่อยามค่ำมาเยือน ทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าพบว่ามีพื้นที่เปิดโล่งในป่า ระหว่างที่กองไฟของพวกเขาลุกโชนขึ้นเป็นจังหวะชีพจร ขณะที่มันกำลังส่องประกายในความมืด เงาของเด็กทั้งสองคนเต้นสะท้อนอยู่เบื้องหลังของพวกเขา ราวกับว่ามันกำลังขู่ปีศาจตนอื่น
ความมืดที่ล้อมรอบพวกเขาจากทุกแง่มุม และถ้าพวกเขาจะออกไปข้างนอกนอกขอบเขตที่ไฟจะไปถึง พวกเขาจะมองไม่เห็นแม้กระทั่งมือของพวกเขาที่ยื่นออกไปข้างหน้าท่ามกลางความมืดมิด มันไม่ได้เงียบสงัดนัก แต่เป็นที่ไหนสักแห่งในป่าที่ห่างไกล เป็นเสียงสัตว์อสูรที่กำลังส่งเสียงร้องโหยหวนออกไป เพียงแค่เสียงนั้น มันก็สร้างความหวาดกลัวให้ทุกคนและและบางคนที่หวาดกลัวอย่างสมบูรณ์ เสียงนั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขากลัวจนแข็งค้าง
เถี่ยต้าหมุนแกนอสูรในมือของเขา ก่อให้เกิดประกายหยอกล้อกับแสงไฟนั้น มองหนึ่งคราก็จะแสดงให้เห็นเสื้อของพวกเขาที่ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีนักและแปดเปื้อนเต็มไปด้วยเลือด
เลือดทั้งหมดมาจากสัตว์อสูร ขณะที่เสื้อที่ขาดวิ่นของพวกเขามาจากพุ่มไม้หนาม
เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าช่างน่ากลัวจริง ๆ ! ข้าไม่เคยคิดเลยว่า เจ้าจะสามารถควงแท่งเหล็กผุ ๆ พัง ๆ นี้ได้ระดับที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ สัตว์อสูรทั้งหมดที่เราสู้ในวันนี้ ถูกฆ่าโดยเจ้า ! มันมีเพียงอสรพิษตัวแรกที่ข้าจัดการฆ่า เถี่ยต้าอุทานออกมา ในขณะที่เขาชื่นชมเจี้ยนเฉิน
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินปรากฏรอยยิ้มกว้าง ข้าเพียงแค่ฉกฉวยเอาโอกาสนั้นมา เมื่อข้าเห็นสิ่งหนึ่ง ถ้าเจ้าไม่ได้สร้างความเสียหายโดยใช้ขวานของเจ้าแล้วล่ะก็ มันจะเป็นเรื่องยากที่จะฆ่าสัตว์อสูรเหล่านั้น
เถี่ยต้าหัวเราะ เขารู้สึกสะดวกใจมากขึ้นในคำพูดนั้น เจียงหยางเซียงเทียน โปรดบอกข้า เจ้าสามารถบอกว่ามีสัตว์อสูรอยู่บริเวณใกล้ ๆ เราได้อย่างไร ? เป็นธรรมดาที่เถี่ยต้าจะสงสัยในเรื่องนี้มาตลอดทั้งวัน แต่มันก็เป็นเพียงตอนนี้ที่เขาพบว่าเหมาะที่จะถามออกไป
เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดจะปกปิดอะไร และเขาเริ่มชี้ไปที่หูและหัวของเขา ข้าใช้นี่และนี่
เจี้ยนเฉินมองไปยังตำแหน่งที่ถูกชี้ หูและหัว ด้วยท่าทีสงสัย ก่อนจะถามออกมาว่า เจ้าใช้หูฟังและใจของเจ้าเพื่อที่จะคิด ?
นั่นเจ้าถูกแค่เพียงครึ่งหนึ่ง ! เจี้ยนเฉินเอาท่อนเหล็กออกมาจากด้านข้างของเขาและเริ่มที่จะลับคมของแท่นเหล็ก ด้วยการตอบสนองอย่างเลื่อนลอย เขากล่าวว่า นอกเหนือจากการพึ่งหูของข้าที่จะฟัง ข้าใช้จิตวิญญาณของข้ารับรู้บริเวณโดยรอบ แต่วิธีนี้จะเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเจ้าที่จะทำ
โอ้ ! เถี่ยต้าพยักหน้าในการทำความเข้าใจ ในขณะที่กำลังใช้ความคิดในหัว
เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าท่อนเหล็กท่อนนั้นได้คมมากพอแล้ว ก่อนจะวางมันลง คว้าเข็มขัดมิติของเขาขึ้นมา เขากล่าวว่า เถี่ยต้า มาตรวจสอบจำนวนแกนอสูรที่เราได้รับในวันนี้กัน เขาเขย่าเข็มขัดมิติของเขาที่ใช้จัดเก็บแกนอสูร พวกมันเริ่มที่จะร่วงหล่นลงมา
แกนอสูรค่อย ๆ ร่วงหล่นทีละอัน และบริเวณพื้นที่ด้านหน้าเจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะเต็มไปด้วยแกนอสูรที่รวมกันจนกระทั่งมันเป็นกองสูงขึ้นไป
เถี่ยต้าทำตามและเริ่มที่จะเขย่าเข็มขัดมิติของตัวเอง ในท้ายที่สุดก็สามารถเห็นภูเขากองเล็กที่อยู่ด้านหน้าของเขาได้เป็นอย่างดี
ข้ามีแกนอสูร 48 ชิ้นในตอนนี้ เจี้ยนเฉินหัวเราะ ผลกำไรของเขาสำหรับวันนี้ได้มากทีเดียว
ข้ามี 49 ชิ้นในตอนนี้ ข้าชนะเจ้า 1 ชิ้น เถี่ยต้ามีความสุขมาก เขาไม่เคยเห็นแกนอสูรจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขา เขาไม่เคยเห็นแกนอสูรตัวใดมาก่อนเลย เถี่ยต้าเกิดมาในครอบครัวธรรมดา แกนอสูรเหล่านี้มีราคาแพงแม้ว่าแกนอสูรทั้งหมดจะเป็นระดับ 1″
สำหรับวันแรก นี่เป็นกำไรที่ไม่เลวเลย! ข้าไม่รู้ว่าแกนอสูรจำนวนเท่าไหร่ที่พวกเราต้องการเพื่อที่จะเป็นผู้ชนะและได้รับรางวัลเป็นแกนอสูรระดับ 4 และแหวนมิติ แม้แต่เจี้ยนเฉินยังถูกล่อลวงโดยรางวัลที่เขาอยากได้รับ แกนอสูรระดับ 4 พลังภายในนั้นแข็งแกร่งมากกว่าแกนอสูรระดับ 1
ในขณะนี้ ตาของเจี้ยนเฉินจู่ ๆ ก็เข้มขึ้น ในขณะที่เขากระซิบ เก็บแกนอสูรโดยเร็ว ก่อนที่คนจะเข้ามา หลังจากพูดจบ พวกเขาก็เริ่มที่จะเก็บแกนอสูรทั้งหมดลงในเข็มขัดทันทีและใส่มันอย่างรวดเร็ว
เถี่ยต้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเช่นกัน หลังจากได้ยินเจี้ยนเฉินพูด เขาเริ่มที่จะเก็บแกนอสูรของเขา เถี่ยต้าก็เก็บพวกมันได้ทัน
หลังจากที่ทั้งสองได้เก็บแกนอสูร หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ ตรงบริเวณหญ้าที่ถัดไปไม่ไกล มีเสียงพึมพำอันบางเบาของใครสักคนดังออกมา ทันทีที่คนผู้นั้นเห็นเถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินนั่งอยู่บริเวณไฟ ก็มองพวกเขาด้วยท่าทีประหลาดใจแกมดีใจ ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยท่าทีโล่งใจ นางเป็นหญิงสาวร่างเล็กที่บอบบางนัก ผู้ซึ่งมาสะดุดล้มอยู่ตรงหน้า
ในที่สุดข้าก็ได้เจอผู้คน ในที่สุดข้าก็ได้เจอผู้คน ! ข้าขอร้องเจ้า ได้โปรดอย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว ข้ากลัว ข้ากลัวจริง ๆ สัตว์อสูรต้องการจะกินข้า … น้ำเสียงของนางนั้นกระหืดกระหอบและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่เสียงของนางยังมีประกายอ่อนโยนแฝงอยู่นั้น
ได้ยินที่นางพูด เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็ตระหนักว่าบุคคลที่ยืนด้านหน้าพวกเขาเป็นเด็กผู้หญิง ไฟที่ส่องสว่างอยู่เบื้องหลังพวกเขา แสดงให้เห็นถึงเครื่องแบบของนางที่เป็นของสำนักคากัต อย่างไรก็ตามเครื่องแบบนั้นได้ขาดวิ่นโดยกิ่งหนาม เผยให้เห็นผิวในร่มผ้าบางส่วนของนางออกมาด้านนอก และแม้กระทั่งชุดชั้นในของนางก็อาจจะเห็นโผล่ออกมา เครื่องแบบของนางเต็มไปด้วยโคลนราวกับว่านางสะดุดล้มมาหลายรอบ
ใบหน้าของหญิงสาวก็สกปรกเต็มด้วยโคลน จนถึงจุดที่รูปร่างหน้าตาของนางไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของนางซึ่งร้องไห้ขณะที่นางมองอย่างอ้อนวอนที่เจี้ยนเฉิน มองเห็นแต่ท่าทีน่าสงสาร ในดวงตาของนางสะท้อนออกมาถึงท่าทีอับจนหนทาง
นั่งลง เจี้ยนเฉินพยายามทำสิ่งที่เป็นความคาดหวัง มองไปที่สถานการณ์ของนาง เขาคาดเดาถึงประเภทของปัญหาที่เกิดขึ้น ในสภาพแวดล้อมนี้ หากประมาท แม้กระทั่งเด็กผู้ชายยังมีท่าทีหวาดกลัว ไม่ต้องพูดถึง เด็กผู้หญิงที่อยู่คนเดียว
เห็นนางนี้ ก็พอจะบอกได้ว่าเป็นสตรีน่ารักคนหนึ่ง เถี่ยต้าลดความระมัดระวัง วางขวานรบในมือของเขาลง เขามองไปที่เด็กสาวด้วยท่าทีสงสัย
เจี้ยนเฉินใจเย็นก่อนมองไปที่เด็กสาวและถามว่า เจ้าสามารถบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าชื่ออะไร?
ข้า … ข้าชื่อเหลียงเสี่ยวเล่อ เด็กสาวพูดติดอ่าง มองไปที่ทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า ช่วยไม่ได้ที่นางจะรู้สึกกลัว มันมีความกังวลและความไม่มั่นคงบางส่วน
ทำไมสตรีเช่นเจ้าจึงไม่ได้อยู่กับคนอื่น ? ถ้าเจ้ากลัวมาก ทำไมเจ้าถึงมาเดินในป่าตามลำพัง? เสียงดังไม่กี่ครั้งเจ้าก็รู้สึกกลัวเช่นกัน เถี่ยต้าถามด้วยเสียงดังสนั่น
เหลียงเสี่ยวเล่อมองที่เถี่ยต้าด้วยท่าทีขลาดกลัว ก่อนที่นางจะพูดเบา ๆ ข้ามาที่นี่กับเพื่อนสนิทในตอนแรก แต่น่าเสียดายที่เรามาพบสัตว์อสูร มันเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมากและกลุ่มเพื่อนของข้าไม่สามารถที่จะเอาชนะมันได้ หลังจากที่พวกเราหลายคนได้รับบาดเจ็บและเราทุกคนก็กระจัดกระจายไปหมด แต่ข้าหลงทาง
ได้ยินอย่างนี้แล้ว เถี่ยต้าเริ่มที่จะกลืนน้ำลายของตัวเองก่อนที่จะพูดว่า ถึงแม้จะมีกลุ่ม เจ้าก็ไม่อาจเอาชนะสัตว์อสูรระดับ 1 งั้นหรือ? ไร้ประโยชน์ถึงเพียงนี้ เจียงหยางเซียงเทียนและข้าได้ฆ่ามันไปกว่าร้อยตัวในวันนี้ ท่าทีภาคภูมิใจปรากฏบนใบหน้า ขณะที่เขาตระหนักในข้อเท็จจริงนั้น
โครก..!
ในขณะนั้นเองก็ใด้เสียงแปลก ๆ ดังออกมาอย่างกะทันหัน ใบหน้าของเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าจ้องตามเสียงนั้น มันเป็นเสียงท้องของเหลียงเสี่ยวเล่อ ซึ่งในขณะนี้มันยังร้องไม่หยุด
เจ้าคงจะหิว เจี้ยนเฉินยิ้ม
ใช่ ! เหลียงเสี่ยวเล่อ พยักหน้าด้วยความลำบากใจและกล่าวด้วยเสียงเบา ข้ายังไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน ในแววตานางมีความลำบากใจส่วนหนึ่ง แต่มันเป็นประกายขณะที่นางเหลือบมองไปที่กองไฟที่มีเนื้อสีทองของสัตว์อสูรถูกปรุงสุกอย่างประณีต เนื้อนั้นมีน้ำมันหยดลงมาเรื่อย ๆ นางสูดดมกลิ่นหอมของมันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ยิ่งนางทำเช่นนี้ท้องของนางก็ยิ่งร้องออกมาไม่หยุด ในที่สุดทั้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าก็ได้ยินเพียงเสียงท้องของนางร้อง
เจี้ยนเฉินยิ้ม เขาหยิบเนื้อสัตว์อสูรขึ้นมา โดยไม่กลัวความร้อน เขาใช้มือของเขาโดยตรง ฉีกก้อนเนื้อขนาดใหญ่นั้น ยื่นมันเหลียงเสี่ยวเล่อ เขากล่าวว่า รับไปและกินมัน ระวังด้วยมันร้อนมาก
เหลียงเสี่ยวเล่อบิดมือของนางและฉีกมุมของเสื้อผ้าของนางเพื่อเช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกบนมือของนาง นางรับมันอย่างอ่อนโยน เมื่อมันได้เย็นลงนางก็กัดมันคำใหญ่อย่างไม่ระมัดระวังถึงภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย
เหลียงเสี่ยงเล่ออาจจะหิวเพราะหลังจากที่นางได้กินเนื้อชิ้นนั้นลงไปแล้ว นางยังคงจ้องไปที่ชิ้นส่วนที่เหลือด้วยดวงตาที่โหยหา
เจี้ยนเฉินยิ้มและฉีกเนื้อขนาดใหญ่ เขาส่งมันไปยังเหลียงเสี่ยวเล่อและกล่าวว่า รับไปและกินมัน .
เห็นชิ้นส่วนของเนื้อสัตว์วางไว้ตรงด้านหน้าของนาง เหลียงเสี่ยวเล่อลังเลเล็กน้อยและในท้ายที่สุดก็ยังไม่ยื่นมือออกไปรับมัน แต่นางจ้องมองเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าและถามเบา ๆ ว่า ถ้ามันหมด แล้วพวกเจ้าจะกินอะไร?
เถี่ยต้าหัวเราะ ไม่ต้องกังวล เรายังมีอีกหนึ่ง มองดูไปที่ใต้ต้นไม้นั่น ในขณะที่เขากล่าวว่า เถี่ยต้าขยายความโดยการชี้นิ้วไปในทิศทางนั้น
เหลียงเสี่ยวเล่อ มองไปยังที่ที่เถี่ยต้าชี้และนางสังเกตเห็นจนแน่ใจว่าใต้ต้นไม้ใหญ่ ในบริเวณนั้นมีสัตว์อสูรที่นางไม่รู้จักล้มลงอยู่ ขาข้างหนึ่งของมันได้หายไปแล้วและพื้นดินก็เต็มไปด้วยเลือดสด
จ้องมองที่ซากสัตว์อสูร เหลียงเสี่ยวเล่อกลืนน้ำลายอย่างหนักและกล่าวว่า พวกเจ้าช่างน่ากลัวจริง ๆ เพียงคิดว่าแค่พวกเจ้าสองคนก็สามารถฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้
เชอะ … เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันเนี่ย ? เถี่ยต้ากล่าวออกมา
หลังจากที่เวลาผ่านไป เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าได้ทานอาหารเสร็จสิ้นและตอนนี้กำลังเตรียมตัวที่จะพักผ่อน
เอ่อ ข้าควรนอนตรงไหนหรือ ? เหลียงเสี่ยวเล่อถามด้วยความยากลำบาก
เจี้ยนเฉินชี้ไปที่ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลไม่มากเกินไปและกล่าวว่า ขึ้นไปพักที่บนต้นไม้ ด้วยการทำเช่นนี้ แม้จะมีสัตว์อสูรที่พยายามโจมตีในตอนกลางคืน เจ้าก็จะไม่เป็นอันตราย
อ่า สัตว์อสูรยังคงโจมตีในช่วงเวลากลางคืน ? ใบหน้าของเหลียงเสี่ยวเล่อซีดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและร่างกายทั้งหมดของนางเริ่มสั่นเทา
แล้วพวกเจ้าล่ะ ? พวกเจ้าจะไปที่ไหน ? อย่าทิ้งข้าไว้ด้านหลัง มิฉะนั้นแล้วข้าคงถูกกินโดยสัตว์อสูรโหดร้ายนี้สักตัวกินแน่นอน เหลียงเสี่ยวเล่อถามด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก นางเหลือบมองอย่างประหม่าไปที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้า ราวกับนางกลัวว่าพวกเขาจะวิ่งหนีและทิ้งนางไว้
เจี้ยนเฉินลอบถอนหายใจ เขาไม่รู้จริง ๆ ว่าควรทำอย่างไรกับคนขี้ขลาดเช่นเหลียงเสี่ยงเล่อ คนอย่างนางที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวขุนนาง เป็นสาวน้อยสูงส่งและไม่เคยมีประสบการณ์อะไรทั้งสิ้น ตั้งแต่แรกเกิดนางเติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่มีเกราะกำบังเพื่อป้องกันการเผชิญหน้ากับอันตรายใด ๆ ทำให้จิตใจของนางวุ่นวายเช่นนี้
ไม่ต้องกังวล เราจะไม่ไปไหนไกล เรากำลังจะไปพักผ่อนที่ต้นไม้ต้นอื่น เจี้ยนเฉินกล่าว
เหลียงเสี่ยวเล่อรู้สึกได้รับคำปลอบโยนเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ แต่ร่องรอยของความกลัวยังคงอยู่ในหัวใจของนางอย่างไม่จางหายไปง่าย ๆ
สำนักบ้า ! อาจารย์ใหญ่ก็บ้า ทำไมพวกเขาจะต้องบังคับให้ทุกคนเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย ? มันไม่มีเหตุผลเลย นี่ไม่ใช่ว่าพยายามส่งพวกเราไปตายหรอกหรือ ? เมื่อใดก็ตามที่นางคิดถึงสถานการณ์ที่นางเป็นอยู่ในปัจจุบัน เหลียงเสี่ยวเล่อไม่สามารถทำอะไร ได้แต่เริ่มแช่งด้วยความโกรธ ในที่สุดคำพูดของนางค่อย ๆ เริ่มที่จะกลายเป็นเสียงสะอื้น
Chaotic Sword God ตอนที่ 34 ออกล่าแกนอสูรอย่างต่อเนื่อง
จ้องมองไปยังศีรษะของมันที่ลอยคว้างอยู่ในอากาศ ลำตัวของมันฉีดพ่นเลือดออกมามากมาย ใบหน้าของเถี่ยต้ายังคงระมัดระวัง ตอนนี้พวกเขาได้ฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ตัวเองรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพวกเขา อสรพิษมรกตนั้นไม่ได้ทำให้เถี่ยต้าต้องใช้พลังทั้งหมดของเขาออกมา
เจี้ยนเฉินแยกร่างของอสรพิษอย่างช้า ๆ ด้วยแท่งเหล็กและสะบัดเลือดไปบนพื้นหญ้าโดยรอบ ความจริงแล้วเจี้ยนเฉินมีส่วนร่วมอย่างมากทีเดียวในการฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ถ้าเขาไม่ได้โจมตีอย่างรวดเร็วราวกับฟ้าผ่า ตัดผ่านร่างกายของอสรพิษร้าย และกลายเป็นบาดแผลที่ถูกแทงขนาดใหญ่แล้วล่ะก็ ขวานรบของเถี่ยต้าคงไม่อาจตัดผ่านหัวอสรพิษได้อย่างง่ายดายนัก
เถี่ยต้าควงขวานในมือ ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ขณะที่เหยียบหัวของอสรพิษ เจียงหยางเซียงเทียน นี่คือสัตว์อสูรระดับ 1 จริงหรือ ไม่ใช่ว่ามันอ่อนแอเกินไปหรือ !
เจี้ยนเฉินหัวเราะเมื่อเขาได้ยินเถี่ยต้ากล่าวเช่นนั้น มันไม่ใช่เพราะสัตว์อสูรอ่อนแอ แต่เพราะเมื่อเราทั้งสองคนร่วมมือกันนั้นมันแข็งแกร่งมากเกินไป นอกจากนี้สัตว์อสูรระดับ 1 ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับคนที่กำลังจะตัดผ่านไปยังระดับเซียน
เถี่ยต้าหันกลับมายิ้มให้เจี้ยนเฉินและเช็ดขวานที่เต็มไปด้วยเลือดให้แห้ง พาดมันไว้บนไหล่ของเขา เขาหัวเราะและกล่าวว่า ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น คงไม่ได้หมายความว่า พวกเราสามารถที่จะเดินไปรอบ ๆ และฆ่าสัตว์อสูรระดับหนึ่งได้หรือ… ?
ราวกับว่าเจี้ยนเฉินตระหนักได้ถึงจุดนี้ เขาเผยให้เห็นรอยยิ้มกว้าง ไม่เลว ด้วยความแข็งแกร่งของเราสองคน ต่อสู้กับสัตว์อสูรระดับ 1 ด้วยตัวพวกเราเอง เราก็สามารถที่จะฆ่ามันได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าเราจะร่วมกันแล้ว ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนในเขตแดนชั้น 2 นี่จะสร้างปัญหาให้กับเราได้ สัตว์อสูรที่นี่ไม่ได้แข็งแกร่งนักเพราะต้องการเพียงแค่ให้บรรดาลูกศิษย์ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากการต่อสู้เท่านั้น จึงไม่มีสัตว์อสูรใด ๆ ที่แข็งแกร่งที่นี่ ยกเว้น … เขาหายไปในความคิด
เจี้ยนเฉินหยุดพูด ส่งผลให้เถี่ยต้าชะงัก ยกเว้น …
ถ้าหากเราพบกับกลุ่มของสัตว์อสูร แต่อย่างไรก็ตาม เรายังไม่รู้ว่ามันอยู่กับที่หรือไม่ ใบหน้าเจี้ยนเฉินมีท่าทีเคร่งเครียดในขณะที่เขาพูด ด้วยความแข็งแกร่งของเขา เจี้ยนเฉินย่อมไม่พบปัญหา เขาย่อมผ่านสัตว์อสูรระดับ 1 ไปได้ แต่ถ้าพวกมันมาเป็นกลุ่มแล้วพวกเขาคงไม่อาจจัดการมันได้หมด
เถี่ยต้าย่นคิ้วของเขาเข้าหากันและกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ข้าอยู่ในป่ามาก็หลายครั้ง แต่ไม่เคยเจอสัตว์อสูรอยู่ด้วยกัน
มันไม่อาจแน่ใจได้ทั้งหมด ข้าเคยอ่านหนังสือในห้องสมุดที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อสูร ซึ่งกล่าวถึงประเภทของสัตว์อสูรที่อยู่รวมกัน ความแข็งแกร่งของพวกมันมากนัก และมันยากที่จะออกเดินทางตัวเดียว เจี้ยนเฉินเดินไปที่หัวอสรพิษ และเขาก็ตระหนักว่าอสรพิษยาวเพียง 6-7 เมตร โดยใช้แท่งเหล็กตัดผ่านไปในระยะ 7 เมตร เขาใช้ท่อนเหล็กเขี่ยบางอย่างออกจากร่างกายของอสรพิษ ซึ่งเผยให้เห็นเป็นผลึกสีเลือด
ภายในทวีปเทียนหยวน มีแกนอสูรมากมายหลายชนิด ในขณะที่ไม่ได้มีแกนอสูรอยู่ในจุดเดียวกันทุกตัว บางครั้งสัตว์อสูรก็มีแกนอสูรอยู่บริเวณหัว บ้างก็อยู่ที่บางส่วนของกระเพาะอาหาร บ้างก็อยู่ที่ช่องท้อง เช่น อสรพิษตัวนี้มีแกนอสูรอยู่ที่ส่วนหาง แต่เจี้ยนเฉินก็รับรู้มันมานานแล้ว
ปัง! เถี่ยต้ายกขวานออกจากบ่าเหวี่ยงมันไปที่ต้นไม้ มันจมลงไปในต้นไม้เป็นอย่างง่ายดาย เหมือนเทน้ำในถัง ก่อนที่เขาจะร้องออกมาเสียงดังว่า ถ้ามีสัตว์อสูรที่รวมกันเป็นกลุ่มจริง ๆ ล่ะก็ ข้า เถี่ยต้า แน่นอนจะฆ่าพวกมันทั้งหมด !
เจี้ยนเฉินหยิบแกนอสูรออกมาจากส่วนหางของอสรพิษและลูบมัน เช็ดเลือดกับหญ้าบริเวณใกล้เคียง และโยนมันไปทางเถี่ยต้า เอาล่ะ อย่าได้ตะโกนมาก มีสัตว์อสูรมากมายที่เดินทางเป็นฝูงในทวีปเทียนหยวน แต่มันไม่ได้หมายความว่าเราจะพบหนึ่งในพวกมัน แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน ก็หลังจากที่พวกเราเข้ามาภายในป่าอสูรแห่งนี้
เถี่ยต้าคว้าแกนอสูรที่โยนมา เขาจ้องมองอย่างแปลกประหลาด เจ้าให้กับข้างั้นหรือ ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า เจ้าเป็นคนสังหารอสรพิษตัวนี้ ดังนั้นแกนอสูรนี้จึงควรเป็นของเจ้าอย่างแท้จริง เห็นเถี่ยต้าพยายามที่จะหาเหตุผลในเรื่องนี้ เจี้ยนเฉินยังคงกล่าวว่า แกนอสูรนี้เป็นของเจ้า อย่าได้พูดเป็นอย่างอื่น เพียงแค่รับมันไป นอกจากนี้พวกเรายังมีเวลาถึง 3 วัน ด้วยความเร็วของพวกเราในปัจจุบัน แน่นอนว่ามันควรได้รับมากกว่านี้ ดังนั้นข้าไม่ได้สนใจแกนอสูรชิ้นนี้สักเท่าไรนัก
ฮ่า ๆ เข้าใจแล้ว ข้าจะรับเอาแกนอสูรนี้ไป แกนอสูรต่อไปจะเป็นของเจ้าไม่ว่าผู้ใดจะเป็นคนฆ่ามันก็ตาม ถือแกนอสูรสีเลือด โยนมันสูงขึ้นไปในอากาศ เถี่ยต้ามีความสุขมาก แน่นอนเพราะมันเป็นครั้งแรกที่เขาได้รับมัน หลังจากที่ฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1
หลังจากนั้นทั้งสองก็ยังคงออกเดินอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเจี้ยนเฉินมีสัญชาตญาณรับรู้ว่ามีอันตรายหรือไม่ได้อย่างรวดเร็ว เถี่ยต้าจึงทำได้เพียงยกหน้าที่ลาดตระเวนให้กับเจี้ยนเฉิน ในทางกลับกัน เขาเริ่มที่ฟันไปที่หญ้าอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อทำให้ทางเดินโล่งขึ้น แม้ว่าตลอดเวลาเขานั้นได้โบกขวานอันหนักออก แม้หนึ่งรอบจะใช้พลังงานมาก แต่เถี่ยต้าก็ทำมันออกง่ายราวกับทานอาหาร ด้วยความแข็งแกร่งที่พระเจ้ามอบให้ เขาทำงานไปอย่างราบรื่นและดูเหมือนว่าเขาจะมีความแข็งแกร่งอันมหาศาลนัก ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่มันจะหมดในสถานการณ์เช่นนี้
ไม่นานหลังจากที่ทั้งคู่ได้ออกจากบริเวณนั้น หูของเจี้ยนเฉินกระตุกขึ้นและเสียงฝีเท้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน เขาเหยียดมือของเขาไปทางเถี่ยต้าที่กำลังตัดวัชพืชเหล่านั้น ชี้ไปด้านหน้าของพวกเขาและทำมือเป็นสัญลักษณ์ให้หยุด
เถี่ยต้าสังหรณ์ใจและเข้าใจสถานการณ์และการถางวัชพืช เขาจับขวานรบของเขาไว้แน่นทางด้านหน้า เขากลับไปอยู่ข้างเจี้ยนเฉินและยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจี้ยนเฉิน ตาของเถี่ยต้าเป็นประกายชั่ววูบหนึ่ง ในขณะที่เขาตรวจสอบบริเวณโดยรอบของพวกเขาด้วยความระมัดระวัง
หายใจออกอย่างค่อย ๆ ในขณะที่พวกเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคน คือ การที่เถี่ยต้ามองไปรอบ ๆ อยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เจี้ยนเฉินกลับหลับตาลง พยายามที่จะสัมผัสทุกสิ่งที่โดยรอบตัวเขา
มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมองเห็นอะไรในดงหญ้า แต่ทว่าจริง ๆ แล้วมีอันตรายที่ไม่รู้จักซุ่มซ่อนอยู่รอบ ๆ และมันน่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นสิ่งที่สามารถใช้ตาเปล่าในการมองเห็น ดังนั้นเถี่ยต้าจึงไม่สามารถค้นพบอะไร แม้จะกวาดสายตาไปทุกทิศด้วยระยะเวลาอันยาวนาน
เจี้ยนเฉินหลับตาลง หูของเขาก็กระตุกเป็นระยะ ๆ ขณะที่พวกเขาพยายามที่จะจับเสียงทั้งหมดที่มาจากบริเวณโดยรอบ ในเวลาเดียวกันที่สัมผัสการรับรู้ของเขาก็ก้าวผ่านไปในระดับที่สูงขึ้น และเขาใช้พลัง จิตวิญญาณ ในการเข้าถึงและสัมผัสโลกที่อยู่รอบตัวเขา
ในขณะนั้นเอง ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะรำลึกถึงการต่อสู้ของเขากับต๊กโกวคิ้วป่าย ในที่สุด ขณะที่เขากำลังจะตาย พลังของเขาก็สามารถตัดผ่านและก้าวผ่านถึงระดับขอบเขตพระเจ้า ในขณะที่ จิตวิญญาณ ของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างหาที่เปรียบมิได้และยังสามารถทำให้มันประจักษ์ออกมานอกร่างกายของเขา ไปในอากาศโดยรอบ เมื่อใดก็ตามที่ส่งผ่าน จิตวิญญาณ ของเขาออกไปในพื้นที่นั้นแล้ว ก็จะไม่มีทางที่ใครหรืออะไรที่อยู่ภายในนั้นจะสามารถที่จะหลบหนีการรับรู้ของเขา
แต่สิ่งที่ทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกเสียใจก็คือ หลังจากที่เข้ามาในโลกนี้แม้จิตวิญญาณของเขาจะมีพลังมาก แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะขยายมันออกไปได้อีก มิฉะนั้น ป่าทึบนี้มันจะไม่ยากสำหรับเจี้ยนเฉินเลยในการที่จะค้นหาสัตว์อสูร
จิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินรวมตัวเข้าด้วยกันอย่างทรงพลัง และเขาพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้รู้สึกถึงสภาพแวดล้อมของเขา วิญญาณของเขาเข้าสู่สถานะที่เป็นเอกลักษณ์อย่างช้า ๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ขยายจิตวิญญาณของเขาออกไป แต่จิตวิญญาณของเขาดูเหมือนมีปฏิสัมพันธ์กับพืชต่าง ๆ รอบ ๆ ตัวเขาอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ลึกลับมาก
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เจี้ยนเฉินเข้ามาในสภาวะนี้ สัมผัสของเขาถูกยกระดับขึ้นไปในอีกระดับ ท้ายที่สุดเสียงหายใจค่อย ๆ เปลี่ยนเมื่อเข้าสู่ช่วงการรับรู้ของเขากลายเป็นลมหายใจจาง ๆ จนแม้แต่คนเดียวที่ยืนข้าง ๆ มันก็คงไม่มีใครฟังได้ยิน ในทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็ลืมตาและกระพริบขึ้นเขาก็หายตัวไปจากที่เดิมแล้วก็บินไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง ในขณะที่เคลื่อนไหวเจี้ยนเฉินก็บิดตัวไปมาอย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนร่างกายของเขาเพื่อหลีกเลี่ยงกิ่งไม้ที่กีดขวางทางเดินของเขา
ทันทีทันใดเจี้ยนเฉินได้ข้ามระยะทาง 10 เมตรแล้ว เขารีบผลักแท่งเหล็กไว้ในมือด้วยความเร็วที่รวดเร็วฟ้าผ่า ตัดใบไม้และวัชพืชออกโดยรอบ ปลายเหล็กเล็งไปที่ตัวสีดำซ่อนตัวอยู่ภายในหญ้า
อ๋าว!
เสียงร้องโหยหวนดังออกมา ทันในนั้นเงาสีดำก็กระโดดออกจากพงหญ้าเข้าหาเจี้ยนเฉินอย่างดุร้าย ปากของมันอ้าขึ้น
นี่คือเสือดำยาวประมาณ 2 เมตร หัวของมันมีแผลเปิดที่เลือดสดพวยพุ่งออกมาจากตรงนั้น เลือดไหลลงผ่านขนสีดำบนใบหน้าของมัน ซึ่งมันทวีความรุนแรงมากขึ้น
เจี้ยนเฉินจ้องมองไปยังท่อนเหล็กที่ลักษณะคล้ายกระบี่ ส่งเสียงขึ้นจมูกคราหนึ่ง เขาสะบัดแขนของเขาออกและฟาดออกมาอีกครั้งพร้อมกับแท่งเหล็กในมือของเขา ด้วยความเร็วและมันแทงลึกไปที่บริเวณลำคอของเสือดำ จนกระทั่ง ท้ายที่สุดเสือดำไร้ซึ่งการตอบสนอง จุดคมของแท่งเหล็กกดลงผ่านทะลุคอไปลึกนัก นอกจากนี้เพราะร่างกายเสือดำมันทะยานเข้ามากลางอากาศ ร่างกายอันหนักของมันปะทะเข้ากับแท่งเหล็กและทะลุลึกผ่านคอของมัน มันก็กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่และเป็นจุดจบของมัน
ในเวลานี้เอง เสือดำไม่มีเวลาแม้แต่ที่จะร้องออกมาก่อนที่มันจะตาย มันล้มลงกับพื้นด้วยตาที่เปิดกว้าง กลายเป็นความน่าสลดในสายตาผู้พบเห็น
ในเวลานั้นเอง เถี่ยต้าก็เดินออกมาจากด้านหลัง เมื่อเขามองไปบริเวณนั้น เขาเห็นท่อนเหล็กสึกกร่อนทะลุลำคอของเสือดำ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
เจียงหยางเซียงเทียน นี่… นี่ …เจ้าฆ่ามันงั้นหรือ ? เสียงเถี่ยต้าสั่นเทิ้มไปด้วยความตกใจ แม้เขาจะได้เห็นช่วงเวลาที่อาวุธของเจี้ยนเฉินได้ทะลุลำคอเสือดำ เขาก็ยังคงไม่สามารถเชื่อว่า มันเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น นั่นเป็นเพราะในช่วงเวลาที่ผ่านไปมันสั้นเกินไป ในตอนที่เจี้ยนเฉินได้พุ่งเข้าหามัน อย่างไรก็ตามในเวลาที่เขามองเห็นได้อย่างชัดเจนคือ สัตว์อสูรระดับ 1 ได้ตายลงด้วยน้ำมือของเจี้ยนเฉิน ระยะเวลาที่ใช้แน่นอนว่ามันไม่ได้นานพอที่จะนับเป็นหนึ่งลมหายใจ หรือไม่พอแม้กระทั่งกับเป็นครึ่งลมหายใจด้วยซ้ำ
ความสามารถในการฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ในครึ่งเวลาลมหายใจเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างไรก็ตามเถี่ยต้ารู้อย่างชัดเจนว่าความสามารถเจี้ยนเฉินยังไม่ถึงระดับเซียน นอกจากนี้อาวุธที่ใช้ออกมาก็เป็นเพียงท่อนเหล็กที่สึกกร่อน
เจี้ยนเฉินวางเท้าของเขาบนหัวของเสือดำและค่อย ๆ ดึงออกแท่งเหล็กออกมา ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขากล่าวว่า นั่นถูกต้อง ข้าฆ่ามัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญ ความจริงแล้ว มันไม่ควรที่ตายอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่มันกลับพุ่งเข้ามาหาอาวุธนั้นและในที่สุดชีวิตของมันก็ดับลงก่อนที่จะได้ร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เถี่ยต้าลูบศีรษะของเขาและเหลือบมองอย่างหวาดระแวงไปที่ใบหน้าที่ไร้ซึ่งความเปลี่ยนแปลงของเจี้ยนเฉิน ในความไม่อาจเชื่อนั้น เขาถามว่า นั่นจริงหรือ? เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่ ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะ แน่นอน มันเป็นความจริง ข้าจะโกหกเจ้าเพื่ออะไร ?
เห็นท่าทางการแสดงออกอย่างจริงใจของเจี้ยนเฉิน, เถี่ยต้าก็ยิ่งสับสนขึ้นไปอีก และพึมพำออกมาว่า นี่มันมีสัตว์อสูรที่โง่เช่นนี้จริงหรือ กระโจนเข้าหาอาวุธด้วยตัวของมันเอง?
ตอนที่ 33 อสรพิษ
หลังจากเจี้ยนเฉินได้แนะนำเถี่ยต้าให้รู้จักกับพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ จากนั้นพวกเขาก็สนทนากันสักพัก ทันใดนั้นเอง เสียงของรองอาจารย์ใหญ่ก็ดังขึ้น
หลังจากรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินกล่าวสุนทรพจน์จบ เขาก็ทิ้งช่วงให้ลูกศิษย์พักครู่หนึ่ง ก่อนจะแจกเข็มขัดมิติให้กับทุกคนเพื่อเตรียมให้ทุกคนใช้สำหรับเก็บแกนอสูรไว้ภายในมัน เขาแจกเข็มขัดมิติราคาถูกเป็นการชดเชยที่โรงเรียนได้เอาเข็มขัดนั้นไป อาจกล่าวได้ว่ามันไม่ได้แพงไปเสียทั้งหมดและมันเป็นสิ่งของที่ธรรมดายิ่งนัก ดังนั้นสำนักจึงสามารถแจกจ่ายพวกมันออกไปได้นับพัน
พื้นที่ในเข็มขัดมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กมาก ซึ่งมันมีพื้นที่ในนั่นแค่เพียง 1 ตารางเมตร แต่อย่างไรก็ตาม มันก็เพียงพอแล้วที่จะใส่แกนอสูร สำหรับตอนนี้ ในเข็มขัดของเขามันได้มียาจำนวนเล็กน้อย มันถูกบรรจุไว้เพื่อใช้ในกรณีที่บาดเจ็บ
หลังจากการเตรียมตัวได้เสร็จสิ้นลง ลูกศิษย์กว่าพันคนก็เดินออกจากสำนักผ่านประตูใหญ่เพื่อมุ่งหน้าไปยังป่าที่ไกลออกไปราว 20 ไมล์ อาจารย์จำนวนมากก็ติดตามพวกเขาไป
หลังจากออกจากสำนัก ทุกคนก็เร่งความเร็วในการเดินทางของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดซึ่งอยู่ราว ๆ ระดับแปดของพลังเซียนก็เร่งความเร็วขึ้นไปอีก
หลังจากเดินทางมากว่าหนึ่งชั่วยาม ทุกคนก็เริ่มถึงชายป่า ซึ่งทุกคนเริ่มมองเห็นแสงสลัว ๆ รำไรอยู่ภายในนั้น
เจี้ยนเฉินมองไปยังแสงสีขาวที่ปกคลุมทั่วป่าด้วยแววตาแปลกประหลาด เขาอ่านหนังสือมากมายในหอหนังสือ ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในแสงสีขาวนั้น
สามร้อยปีก่อน สถานที่แห่งนี้ต่างเต็มไปด้วยผืนหญ้า ดินแดนอันไร้ประโยชน์ซึ่งปราศจากป่า ใช้คนกว่าพันคนจากสำนักคากัต ในที่สุดก็พัฒนาที่ดินผืนนั้นได้หลังจากที่ใช้เวลาเกือบปี ป่าถูกสร้างขึ้น แม้ในขณะนั้น บริเวณนั้นจะมีป่าเพียง 50 กิโลเมตร หลังจากผ่านไปร้อยปี ป่านั้นก็กลายเป็นป่าที่เห็นในวันนี้
หลังจากที่ป่าเติบโตขึ้นมา อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต ไบรอันใช้เวลาคิดถึงสามวันสามคืน ก่อนจะแบ่งพื้นที่นั้นเป็น 3 ส่วน แต่ละส่วนจะมีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน ที่กลางป่า อาจารย์ใหญ่ปล่อยสัตว์อสูรที่อ่อนแอเพื่อใช้เพาะพันธุ์ พวกเขาสร้างสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งขึ้นมา สำหรับลูกศิษย์ในสำนักไว้ใช้เรียนรู้ประสบการณ์ในการต่อสู้
อาจารย์ใหญ่ไบรอันสร้างป่าไว้สำหรับเหล่าอัจฉริยะของอาณาจักรเกอซุนและขยายเพิ่มกลายเป็นป่าขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่อาจารย์ใหญ่ไบรอันเกษียณไปก็มีคนอื่นทำตามเขา
ในเวลานั้นเอง อาจารย์ใหญ่เดินมาด้านหน้าและกล่าวว่า บรรดาลูกศิษย์ที่รัก เริ่มจากวันนี้ เจ้าจะต้องเอาชีวิตรอดในป่าเป็นระยะเวลา 3 วัน และต้องหาแกนอสูรกลับมาอย่างน้อย 2 อัน ถ้าเจ้ายอมแพ้กลางทางหรือมีแกนอสูรน้อยกว่า 2 อัน พวกเจ้าจะถูกพิจารณาว่าไม่ผ่านและเจ้าจะไม่ได้รับรางวัล
ตอนนี้ ทุกคนจงแยกย้ายกัน บรรดาลูกศิษย์ผู้ซึ่งไม่ถึงระดับเซียนอาจจะจับคู่กับใครบางคนในเขตอาคมชั้น 2 เพื่อล่าแกนอสูร สำหรับลูกศิษย์ที่อยู่ในระดับเซียน โปรดตรงไปในเขตอาคมชั้น 3
ไม่กี่นาทีให้หลัง ทุกคนก็เริ่มแยกย้ายกันออกไป ขณะที่เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเริ่มเดินไปด้วยกัน เพราะพื้นที่นั้นถูกลงเขตอาคมปิดกั้นสัตว์อสูร ทุกคนที่เข้าไปในบริเวณนั้นจะไม่ถูกสัตว์อสูรอื่น ๆ โจมตี
ขณะที่พวกเขาผ่านเข้าไปในเขตอาคม เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าทั้งสองคนก็เข้าไปยังเขตอาคมชั้นแรก ชั้นแรกนั้นมีสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งไม่มากนัก ดังนั้นพวกมันจึงอ่อนแอซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับสัตว์อสูรระดับ 1 เมื่อสัตว์อสูรมันอ่อนแอเช่นนี้ ภายในทวีปเทียนหยวนจะเรียกมันว่าสัตว์ป่า และเมื่อพวกมันก้าวถึงขั้น 1 พวกมันถึงจะถูกเรียกว่าสัตว์อสูร
ลูกศิษย์ทั้ง 1,000 คนเข้ามาในเวลาเดียวกัน ทำให้สัตว์ป่ารู้สึกกลัวและทำให้การเดินทางค่อนข้างสงบ ลูกศิษย์ทุกคนได้เดินผ่านเขตอาคมอย่างรวดเร็วและเข้าไปยังชั้นที่ 2 สัตว์อสูรทั้งหมดในพื้นที่นี้เป็นสัตว์อสูรระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงเหมาะสมกับคนที่ยังไม่ถึงระดับเซียน แม้แต่สัตว์ระดับ 1 อาจเป็นภัยคุกคามต่อพวกเขา
เข้าไปยังเขตแดนชั้น 2 เถี่ยต้าและเจี้ยนเฉินก็แยกตัวออกมาจากกลุ่มลูกศิษย์ที่กำลังพักอยู่ และนำหน้าไปยังป่าส่วนที่หนาแน่นด้านใน บริเวณโดยรอบมีวัชพืชที่สูงเทียบเท่ากับคนและส่งผลกระทบอย่างหนักกับสายตาของพวกเขา ทำให้ไม่อาจจะเห็นเส้นทาง พวกเขาทำได้เพียงมองต่ำลงและตามรอยเท้าของสัตว์อสูรมนตราไป
เจียงหยางเซียงเทียน จากนี้ไปสัตว์อสูรจะปรากฏบ่อยขึ้น มันแน่ชัดว่าพวกเราไม่อาจไม่ระวังได้ เถี่ยต้ากล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาเคยล่าสัตว์อสูรตั้งแต่เขายังเด็ก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเขามีประสบการณ์มากมายเกี่ยวกับพวกมัน จึงทำให้เขาเข้าใจอันตรายที่อยู่ภายในป่า และถ้าไม่ระวังแล้วละก็ พวกเขาคงจะสิ้นชีวิตไปอย่างง่าย ๆ
ใบหน้าเจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ไม่ต้องกังวล แม้ว่าเจ้าจะประสบปัญหา ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะประสบปัญหา ด้วยความทรงจำจากชีวิตที่แล้วของเขา เขาไม่เคยเข้าไปในป่าขนาดเล็กเช่นนี้ ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา เขาเดินทางผ่านป่าใหญ่และประสบการณ์ของเขาก็มากนัก เมื่อมันนำมาเปรียบเทียบกับเถี่ยต้า ร่วมกับความจริงที่ว่าเจี้ยนเฉินได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์อสูรในหนังสือ เขาจึงได้เรียนรู้การจัดการที่ดีกับสัตว์อสูรในป่ามากทีเดียว
เถี่ยต้าจับขวานรบขนาดยักษ์ของเขา เขาเฝ้ามองไปรอบ ๆ ตัวเองด้วยความระมัดระวังไม่น้อย ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา ข้าเคยฆ่าสัตว์ป่าจำนวนมาก แต่ข้าก็ไม่เคยฆ่าสัตว์อสูร พวกมันมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับระดับเซียน ดังนั้นแม้จะเป็นเซียนก็ยังไม่อาจฆ่าพวกมันลงได้ง่ายดายนัก ข้าไม่แน่ใจว่าเราจะสามารถที่จะฆ่าสัตว์อสูรระดับ 1 ได้ ถ้าเราเจอพวกมันและถ้ามันวิ่งหลบหนีไป พวกเราไม่อาจที่จะตามทันได้
เจี้ยนเฉินยิ้มและกล่าว เถี่ยต้า เจ้าไม่ได้เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของเจ้าหรือ ?
ใบหน้าของเถียต้าเริ่มที่จะกลายเป็นสีแดง ขณะที่เขาเกาหัวของเขาและกล่าวออกมาด้วยท่าทีซื่อ ๆ มันไม่ใช่ว่าข้าไม่มีความเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเอง แม้อาจารย์ของข้าจะบอกว่ากำลังของข้ามีความแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะเซียนทั่วไป แต่ตัวข้านั้นไม่เคยฆ่าสัตว์อสูรด้วยตัวคนเดียวมาก่อน …
ในขณะที่เถี่ยต้าพูด ใบหน้าของของเจี้ยนเฉินก็แข็งทื่อขึ้น ก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเพื่อหยุดไม่ให้เถี่ยต้าพูด ดวงตาของเขาหรี่ลงขณะที่เขาเริ่มมองไปรอบ ๆ
สังเกตเห็นว่าใบหน้าของเจี้ยนเฉินเริ่มจริงจังขึ้น เถี่ยต้ารับรู้ถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา เขาถือขวานไว้ข้าง ๆ และมองไปรอบ ๆ ผืนหญ้าอย่างระมัดระวัง
เจี้ยนเฉินมองรอบ ๆ ตัวเอง ในบริเวณจุดที่น่าจะเป็นอันตรายมากที่สุด แต่ต้นหญ้าสูงที่ได้เติบโตงอกงามมาเป็นปี ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
มือข้างขวาของเจี้ยนเฉินกุมแท่งเหล็กในมือของเขาไว้แน่น ในขณะที่เขาหลับตาลง หูของเขาเริ่มสั่นไหว เขาจับการเคลื่อนไหวบริเวณโดยรอบอย่างเคร่งเครียด
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ต่อมาเจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้น แสดงให้เห็นดวงตาที่เปล่งประกายจ้องไปข้างหน้า เจี้ยนเฉินกระชับแท่งเหล็กสนิมเขรอะที่เริ่มที่จะเปล่งประกายสีเหลืองอ่อน ๆ ในมือข้างขวาของเขา เจี้ยนเฉินพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยเสียงอันดังก้องราวกับฟ้าผ่า
ในเวลานั้นเอง แท่งไม้สีเขียวก็พุ่งตรงมาจากข้างหน้าจากพงหญ้าราวกับลูกกระสุน และตรงมาที่เจี้ยนเฉินด้วยความเร็วอันน่าหวาดหวั่นนัก
แท่งเหล็กของเจี้ยนเฉินได้ปะทะกับกิ่งไม้สีเขียวกลางอากาศ ทำให้กิ่งไม้นั้นเริ่มที่จะหยุดเคลื่อนไหว มันค่อย ๆ หยุด เจี้ยนเฉินเห็นส่วนหนึ่งของแท่งเหล็กทะลุผ่านตัวมันไป
ในขณะเดียวกัน พวกเขาสองคนก็ตระหนักว่ากิ่งไม้สีเขียวนั้นแท้ที่จริงแล้วมันคืออสรพิษมรกต มันมีลำตัวเท่าแขนของผู้ใหญ่และส่วนที่ปรากฏออกมาในเวลานี้ก็ยาวกว่า 2 เมตร
ลมแรงพัดผ่านหูของเจี้ยนเฉิน เขาเห็นเถี่ยต้าใช้ขวานรบขนาดยักษ์นั้นโจมตีอสรพิษด้วยเสียงตัดผ่านอันดังก้อง
ด้วยขวานขนาดยักษ์ที่ใช้ฟันร่างของอสรพิษและพลังของมันนั้นแข็งแกร่งมาก งูถูกเหวี่ยงกลับไปข้างหลังเกือบ 10 เมตรก่อนที่จะร่วงลงกับพื้น อย่างไรก็ตาม วัชพืชรอบตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ มันเติบโตงอกงามเกือบสิบเมตร เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเห็นมันเพียงระยะ 5 เมตรตรงหน้าพวกเขาเท่านั้น
รีบลุกขึ้นและวิ่งไล่มัน เราไม่สามารถปล่อยให้มันซ่อนตัวเองได้ เจี้ยนเฉินเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยกับพวกเขามากนัก ร่างกายของเขาเป็นประกายแสดงวูบวาบ ในขณะที่เขาไล่ตามอสรพิษตัวนั้นด้วยความเร็วสูง ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ถ้าอสรพิษสามารถซ่อนตัวจากสายตาพวกเขาได้ มันจะเป็นสถานการณ์ยุ่งยาก หลังจากที่ทุกอย่างนั้นถูกปกคลุมด้วยวัชพืชและมันก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นอะไรบนพื้นดิน มันจึงเป็นเรื่องยากมากที่จะป้องกันการโจมตีของอสรพิษ ถ้าหากมันซุ่มดักอยู่
โดยปราศจากการลังเล เถี่ยต้าวิ่งไปทิศทางเดียวกับที่เจี้ยนเฉินวิ่งไป เมื่อเถี่ยต้าประชิดตัวเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินก็หยุดเคลื่อนที่ ในระยะประมาณ 3 เมตร โดยอสรพิษยกหัวของมันขึ้นมองพวกเขาด้วยดวงตาที่เยือกเย็น และลิ้นสองแฉกของมันก็สะบัดออกไปมา
เมื่ออสรพิษยกร่างของมันขึ้น มันสูงราว 1.5 เมตร ลำตัวที่หนาเท่าแขนผู้ใหญ่นั้นมีแผลอยู่ 2 จุด หนึ่งในนั้นคือรูเลือดขนาดใหญ่ที่เจี้ยนเฉินทำ มันลึกมากพอที่จะเห็นกระดูกของมัน ส่วนอีกแผลนั้นมีขนาดยาวลงไป ซึ่งเถี่ยต้านั้นได้ฟันร่างกายอันหนาของอสรพิษ ด้านนอกของแผลเป็นเนื้อสด เลือดสีแดงไหลลงมาไม่หยุดหย่อนจากบาดแผล
ตาของเจี้ยนเฉินมองตามการเคลื่อนไหวของอสรพิษอย่างระมัดระวัง แม้ว่าอสรพิษในเบื้องหน้าของพวกเขาเป็นสายพันธุ์ที่โจมตีได้ไม่รุนแรง แต่มันก็ยังเป็นถึงสัตว์อสูรระดับ 1 มันไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าเซียนที่สามารถหล่อหลอมอาวุธเซียนได้เลย
เถี่ยต้ามองไปยังอสรพิษด้วยแววตาเคร่งเครียด เขากำขวานรบแน่นจนเห็นเส้นเลือดที่ปูดออกมา เตรียมพร้อมที่จะโจมตีอย่างหนักอีกครั้ง
ขณะที่ทั้งสองฝ่ายหยุดชะงัก ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เริ่มเคลื่อนไหว ระยะเพียง 3 เมตรไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขานัก เมื่อขยับร่างกาย เจี้ยนเฉินก็เคลื่อนที่ไปกว่าสองเมตร ในทันใดนั้นที่เขาปรากฏตัวในด้านหน้าของอสรพิษ แท่งเหล็กในมือของเขาแทงทะลุไปยังตาของอสรพิษที่ไร้ซึ่งการป้องกัน ด้วยความเร็วเกินกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็น ในระยะที่ห่างเพียง 7 นิ้ว
อสรพิษกรีดร้องเสียงดัง ก่อนจะเลื้อยหลบการโจมตีร้ายแรงนั้น
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ท่อนเหล็กผุ ๆ แต่มันก็แทงทะลุผ่านลำตัวออกมา จนเห็นคมปลายยื่นออกมาจากลำตัวของอสรพิษ
ชี่ !! ความเจ็บปวดมหาศาลนั้นทำให้อสรพิษมรกตกรีดร้องออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง ปากของมันเปิดกว้างขึ้น
ย้าก! เถี่ยต้าเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาใช้ความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดเพื่อที่จะใช้ขวานรบฟันลงบนหัวของอสรพิษ
ขวานรบตัดผ่านหัวงูขนาดเท่ากำปั้น ส่งมันบินสูงขึ้นไปในอากาศ พายุฝนเลือดพากันเทลงมาและเลือดสด พุ่งออกจากมาแผลในลำตัวสีเขียวนั้น ทันใดนั้นวัชพืชโดยรอบก็ถูกปกคลุมไปด้วยสีแดง
Chaotic Sword God ตอนที่ 32 ล่าแกนอสูร
เจี้ยนเฉินมองออกไปข้างนอก จ้องมองไปยังท้องฟ้าจากหน้าต่างของเขา ดวงอาทิตย์โผล่ออกมาในขณะนั้น ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงรู้ได้ไม่ยากว่ามันใกล้เช้าแล้ว
วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับสำนักคากัต ตั้งแต่ที่พวกเขาจัดงานครั้งสำคัญซึ่งลูกศิษย์และอาจารย์ต้องมีส่วนร่วม โดยเหตุการณ์สำคัญนี้ถูกเรียกว่าการเอาชีวิตรอดในป่า ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักคากัตจะต้องไปอาศัยอยู่ในป่าลึกซึ่งห่างออกไปเกือบ 20 ไมล์ เป็นระยะเวลา 3 วัน ภายใน 3 วันนี้ลูกศิษย์ทุกคนจะต้องหาแกนอสูรระดับ 1 อย่างน้อย 2 ชิ้น สำหรับผู้ที่มาถึงระดับเซียนจะต้องหาแกนอสูรระดับ 2 อย่างน้อยถึง 2 ชิ้น แกนอสูรมีมากมายไม่จำกัด แต่ใครก็ตามที่ได้รับแกนอสูรมากที่สุดจะได้รับรางวัลเป็นแกนอสูรธาตุดินระดับ 4 ร่วมกับแหวนมิติ
รางวัลเป็นที่น่าดึงดูดใจมาก ต่อให้วางไว้ตรงหน้าของบรรดาเด็กที่มีปูมหลังร่ำรวย พวกเขาเองก็ไม่อาจละความสนใจไปจากมันได้
ในขณะเดียวกัน ลูกศิษย์คนใดที่ก้าวถึงมาตรฐานที่กำหนด พวกเขาจะมีสิทธิ์ที่จะได้อ่านทักษะการต่อสู้ที่หลากหลายและวิธีการบ่มเพาะพลังในหอหนังสือชั้น 4 รางวัลนี้ล่อตาล่อใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มาจากครอบครัวธรรมดาสามัญ
ทักษะการต่อสู้เป็นทักษะที่สามารถสร้างการโจมตีที่รุนแรงมาก หากมันถูกใช้ร่วมกับพลังเซียนก็สามารถเพิ่มพลังของคนขึ้นไปได้อีกกว่าเท่าตัว ทำให้ทักษะนั้นช่างสมบูรณ์แบบเกินกว่าความสามารถดั้งเดิมของคน ๆ หนึ่งได้
ในทางกลับกัน วิธีการบ่มเพาะสามารถนำมาใช้เมื่อคนไปถึงระดับเซียนเท่านั้น แต่บางครอบครัวสามัญชนไม่รู้จักแม้แต่วิธีการบ่มเพาะระดับต่ำ และเด็กที่เกิดในครอบครัวเหล่านี้ต้องพึ่งพาวิธีการหายใจอย่างผิวเผินเท่านั้นในการบ่มเพาะพลังเซียน การหายใจเหล่านี้ถูกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งทวีปเทียนหยวน ขั้นตอนของพวกมันง่ายมาก ดังนั้นครอบครัวสามัญชนส่วนใหญ่จึงรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวิธีการเหล่านี้ ข้อเสียอย่างเดียวคือว่าวิธีการหายใจเหล่านี้เท่านั้นที่จะช่วยให้พวกเขาบ่มเพาะพลังถึงระดับสิบ หลังจากนั้นแล้วก็ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงกับคนที่ก้าวมาถึงระดับเซียน ดังนั้นทักษะการต่อสู้และวิธีการบ่มเพาะพลังจึงถูกมองว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าได้
ในทวีปเทียนหยวน ทุกทักษะการต่อสู้และวิธีการบ่มเพาะพลังถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ระดับมนุษย์ ระดับปฐพี ระดับสวรรค์ และระดับเซียน ทุก ๆ ระดับ ถูกแบ่งย่อยไปอีก 3 ขั้น คือ ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง
หลังจากออกจากหอพัก เจี้ยนเฉินมุ่งตรงไปที่สนามกีฬา เหตุการณ์นี้ได้รับการประกาศออกก่อนหน้านี้สามวัน และตอนนี้ลูกศิษย์เกือบทั้งหมดได้เตรียมตัวพร้อมแล้วสำหรับการฝึกฝนตนเองไปยังขีดสูงสุดของความสามารถของพวกเขา
ทันทีที่เจี้ยนเฉินได้เดินมาถึงยังสนามกีฬา สถานที่ซึ่งผู้คนรวมกลุ่มกันอยู่ แต่มันก็ยังคงเห็นได้ชัดว่า คนถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งรวบรวมเหล่าชนชั้นสูง และอีกกลุ่มรวบรวมเหล่าคนธรรมดาสามัญที่ไม่ได้มีปูมหลังที่สำคัญ
ลูกศิษย์ทุกคนที่ยังไม่ถึงระดับเซียนกำลังถืออาวุธเหล็กที่สะท้อนแสงจ้าภายใต้ดวงอาทิตย์ เนื่องด้วยพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับสัตว์อสูร ผู้ใหญ่ในสำนักจึงอนุญาตให้พวกเขาเลือกอาวุธของตัวเอง
เจี้ยนเฉินเดินไปที่ชั้นวางอาวุธ แต่เมื่อเขาเห็นว่าอาวุธทั้งหมด คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันอย่างช่วยไม่ได้ อาวุธที่ดีส่วนมากถูกลูกศิษย์ส่วนใหญ่เลือกไปแล้ว และอาวุธคุณภาพดีที่เหลืออยู่ก็เป็นอาวุธหนักชนิดที่จำเป็นต้องใช้แรงจำนวนมาก พวกมันทั้งหมดไม่เหมาะสำหรับเจี้ยนเฉินเลยสักนิด
เจี้ยนเฉินกวาดสายตาอย่างรวดเร็วไปยังชั้นอาวุธเหล่านั้น เมื่อเขาเห็นแท่งเหล็กขนาดยาวที่มันเหมาะสมกับมือของเขา ดวงตาของเขาสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน เขาใช้แรงเพื่อที่จะดึงมันออกมา เพียงเพื่อจะพบว่าแท่งเหล็กมีความยาวประมาณ 3 นิ้วและพื้นผิวของมันถูกปกคลุมไปด้วยสนิมสีเหลืองเข้มแล้ว ส่วนหนึ่งของปลายนั้นเป็นจุดที่คมมาก .
เจี้ยนเฉินชั่งน้ำหนักแท่งเหล็กสนิมเขรอะในมือของเขาแล้วทดสอบความทนทานของมัน ก่อนที่จะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แท่งเหล็กนี้แม้จะดูว่าไม่ค่อยเหมาะสมนักแต่ความหนักเบาและความยาวของมันก็เข้ากันได้ดีกับเจี้ยนเฉิน และในบรรดาอาวุธที่เหลืออยู่ มีเพียงแท่งเหล็กด้ามนี้ที่จะสามารถดึงความสามารถของเจี้ยนเฉินออกมาได้มากที่สุด
ขณะนั้นเอง เถี่ยต้าเดินออกมาจากฝูงชน บนหลังของเขาเป็นขวานใหญ่ซึ่งมันใหญ่กว่าตัวของเขามาก มันทำให้เถี่ยต้าดูน่าประทับใจและเต็มไปด้วยพลัง
เถี่ยต้าเดินเข้าไปหาเจี้ยนเฉินและจ้องมองท่อนเหล็กในมือเจี้ยนเฉิน ดวงตาของเขาแสดงถึงความสับสนอย่างช่วยไม่ได้ ไฮ้! เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าจะทำอะไรกับแท่งเหล็กนี้กัน ?
เจี้ยนเฉินหัวเราะ ข้าจะทำอะไรหรือ ข้าก็จะใช้เป็นอาวุธยังไงล่ะ
ไม่มีทาง เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าคิดจะใช้แท่งเหล็กน่ารังเกียจนี้เป็นอาวุธ ? เจ้า … เจ้า … .นี่สมองของเจ้ายังปกติดีอยู่หรือไม่ ? เถี่ยต้าถามอย่างตกใจ
เจี้ยนเฉินหัวเราะและไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
แม้ว่าเถี่ยต้าจะไม่เข้าใจว่าทำไมเจี้ยนเฉินจึงใช้ท่อนเหล็กเป็นอาวุธแต่เขาก็ไม่ได้ถามต่อ แต่เขาเอ่ยว่า เจียงหยางเซียงเทียน พวกเราทั้งสองคนจับกลุ่มกันดีหรือไม่ ? ถ้าพวกเราร่วมมือกันแล้ว ไม่มีทางที่สัตว์อสูรระดับ 1 จะขวางทางเราได้ เราอาจจะสามารถที่จะเอาชนะสัตว์อสูรระดับ 2 ได้ด้วย นอกจากนี้ข้ายังมีประสบการณ์ในการล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังเด็ก และข้าได้ค่อย ๆ เรียนรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับการมีชีวิตรอดในป่ามาอย่างยาวนาน หากเจ้าอยู่กับข้า ข้าให้สัญญาว่าเจ้าจะไม่ลำบากแน่
เจี้ยนเฉินพิจารณามันชั่วอยู่ขณะหนึ่ง ในที่สุดเขาพยักหน้าตกลงในข้อเสนอของเถี่ยต้า สำนักไม่ได้ห้ามไม่ให้ลูกศิษย์รวมกลุ่มกันเพื่อที่จะฆ่าสัตว์อสูร ลูกศิษย์หลายคนจึงลงเอยด้วยการรวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ
ในขณะที่ชนชั้นสูงรูปงามท่าทางหยิ่งยโสเดินเข้าไปหาเถี่ยต้าและยิ้ม สวัสดีเถี่ยต้า ชื่อของข้าคือซิ่วหมี่ซี ข้าอยู่ในขั้นสูงสุดของพลังเซียนระดับสิบแล้ว เจ้าต้องการที่จะเป็นคู่หูกับข้าหรือไม่ ? ข้าเชื่อว่าถ้าเราร่วมมือกันล่าสัตว์อสูร มันจะง่ายขึ้นสำหรับพวกเราสองคน
เถี่ยต้าเหลือบมองไปที่ซิ่วหมี่ซี่และส่ายหัว ไม่จำเป็น เจียงหยางเซียงเทียนและและข้าสองคนก็เพียงพอแล้ว เราไม่ต้องการให้ใครเข้าร่วมอีก
เมื่อเผชิญกับการปฏิเสธของเถี่ยต้า ซิ่วหมี่ซี่ไม่ได้แสดงความสิ้นหวังใด ๆ เขาหันไปดูที่เจี้ยนเฉินและใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง คนนี้จะต้องเป็นเจียงหยางเซียงเทียน นายน้อยสี่แห่งตระกูลเจียงหยาง จากเมืองลอว์ พ่อของข้าเป็นผู้นำของตระกูลซิ่วหมี่ในเมืองต้องห้าม แล้วเหตุใดเจียงหยางเซียงเทียนไม่ยินดีต้อนรับข้าเข้าไปในกลุ่มของเจ้า ? ถึงแม้ว่าคำกล่าวของซิ่วหมี่ซี่ยังคงอยู่ในน้ำเสียงค่อนข้างสุภาพ แต่เบื้องหลังนั้นกลับเต็มไปด้วยความคุกคาม
เมืองต้องห้ามเป็นเมืองราชาและเมื่อเทียบกับอาณาจักรเกอซุน เมืองต้องห้ามถูกพิจารณาว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่มากเพราะมีพระราชวังขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองต้องห้ามนั้น
ได้ยินคำกล่าวของซิ่วหมี่ซี่ เจี้ยนเฉินขมวดคิ้ว เขากวาดสายตามองทั่วรูปโฉมของซิ่วหมี่ซี่และตอบอย่างเย็นชาว่า ข้าขอโทษแต่เราไม่ต้องการคนเพิ่ม นอกจากนี้ เราทุกคนกำลังจะเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรระดับ 1 ดังนั้นเราจึงไม่ได้มีเวลาว่างพอที่จะเป็นพี่เลี้ยงเด็ก
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ใบหน้าของซิ่วหมี่ซี่ก็แดงก่ำ ใบหน้าของเขามืดครึ้มลงทันทีที่เข้าใจความหมายของเจี้ยนเฉิน มันเห็นได้ชัดว่าเจี้ยนเฉินกำลังดูถูกความสามารถของซิ่วหมี่ซี่
ใบหน้าซิ่วหมี่ซี่กลายเป็นดุดันและเขาจ้องไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตามุ่งร้ายก่อนที่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาส่งเสียงขึ้นจมูกและเดินจากไป
หลังจากซิ่วหมี่ซี่จากไป คนที่มีภูมิหลังอันซับซ้อนอีกไม่กี่คนก็เข้ามา คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการที่จะทักทายเถี่ยต้า แต่เพียงต้องการที่จะเข้าร่วมกลุ่มของเขา แต่พวกเขาทั้งหมดก็ถูกปฏิเสธ เถี่ยต้าไม่ได้รู้สึกใด ๆ กับคนเหล่านี้และเขาก็ไม่เต็มใจที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขามาก
หลังจากที่เดินจากไป ก็มีชายหนุ่มอายุราว 20 ปีมีสัดส่วนความสูงและความแข็งแกร่งที่ไม่แตกต่างจากเถี่ยต้า จากในระยะไกล เขาเดินตรงไปยังเจี้ยนเฉินและเอามือตบไหล่ของเจี้ยนเฉินพลางหัวเราะ น้องสี่ เจ้ากลายเป็นคนดังในสำนักนี้ไปเสียแล้ว ในบรรดาลูกศิษย์ของสำนักคากัต ข้าแน่ใจว่า ณ จุดนี้ ไม่มีใครที่ไม่ทราบชื่อของเจ้า ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย เจ้าไม่ได้ทำให้ตระกูลเจียงหยางขายหน้าและพี่ชายของเจ้าก็พลอยมีชื่อเสียงไปด้วย ชายหนุ่มที่แข็งแกร่งนั้นคือพี่ชายของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ ขณะนี้เขาดูมีความสุขและชัดเจนว่าเขาตื่นเต้นมากอย่างแท้จริง
เจี้ยนเฉินยิ้ม พี่ใหญ่ หยุดล้อข้าเล่นเถอะ โอ้ ท่านมาได้ทันเวลาพอดี ทำไมเราไม่ร่วมกลุ่มกันล่ะ?
เจียงหยางหู่ส่ายหัวในขณะที่เขาดูเหมือนจะมีความคิดบางอย่าง เขาตอบด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขว่า น้องสี่ ถ้าในสัปดาห์ที่แล้วเจ้าเอ่ยปากชวน พี่ชายของเจ้าจะไม่ปฏิเสธออกเลย แต่ข้าไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะในสัปดาห์ที่ผ่านมา พี่ชายของเจ้าตัดผ่านไปถึงระดับเซียน ซึ่งหมายความว่าในระหว่างการแข่งขันในวันนี้ข้าจะต้องเข้าไปยังป่าชั้น 3 เพื่อฆ่าสัตว์อสูรระดับสอง ดังนั้นข้าจึงไม่อาจรวมกลุ่มกับเจ้าได้ ในขณะที่พูด พลังเซียนถูกปล่อยออกมา มือของเจียงหยางหู่ร้อนขึ้น มีแสงสีเหลืองขึ้นรูปเป็นขวานรบขนาดใหญ่ ขวานรบขนาดใหญ่เท่ากับอ่างน้ำและเรืองแสงไปด้วยแสงสีเหลือง
น้องสี่ ไม่เลวเลยใช่ไหม ? หลังจากที่ข้าตัดผ่านไปถึงระดับเซียน ที่น่าตกใจกว่านั้นคือข้าพบว่าข้านั้นมีธาตุดิน เจียงหยางหู่กล่าวอย่างภูมิใจ พลังเซียนที่มีพลังธาตุแฝงตามปกติแล้วก็มีความได้เปรียบมาก เมื่อเทียบกับพลังเซียนที่ไม่มีพลังธาตุแฝงอยู่ หากทั้งสองคนอยู่ที่ความแข็งแกร่งระดับเดียวกันและต่อสู้กันภายใต้สถานการณ์ ปกติเซียนที่มีพลังธาตุจะเป็นฝ่ายชนะ
คนที่จะค้นพบว่าพลังเซียนของเขามีพลังธาตุหรือไม่ จะถูกค้นพบหลังจากที่ข้ามผ่านไปยังระดับเซียน ดังนั้นทุกคนที่ยังไม่ได้กลายเป็นเซียนจะไม่สามารถที่จะตรวจสอบว่าพลังเซียนมีพลังธาตุอะไร ซึ่งมันมีโอกาสต่ำมาก โดยเฉลี่ยถึง 1 ใน 1,000 ของคนที่สามารถใช้พลังเซียนจะมีพลังธาตุ.
นอกจากนี้ ส่วนมากทั้งหมดของคนที่รวมตัวกันในสำนักคากัต เป็นคนที่มีศักยภาพสูงสุดของอาณาจักรเกอซุน มันปกติมากสำหรับเซียนหลายคนที่จะมีพลังเซียนมีที่พลังธาตุแฝงอยู่ในกลุ่มลูกศิษย์กว่าพันคน
เห็นขวานรบสองคมในมือของเจียงหยางหู่ ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็ยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พี่ใหญ่ ขอแสดงความยินดีสำหรับการประสบความสำเร็จในการตัดผ่านและกลายเป็นเซียน และนอกจากนี้ยังมีพลังธาตุแฝงอีกด้วย
ท่าทีของเจียงหยางหู่มีความสุขมากและเขาชี้มือไปยังกลุ่มคนที่อยู่ด้วยกันกับเขา น้องสี่ คนเหล่านี้เป็นเด็กที่ค่อนข้างโดดเด่นและขึ้นตรงอยู่ภายใต้คำสั่งของข้า ชื่อของพวกเขาคือ เจียงหยางอ่าวเจี้ยน เจียงหยางเฟิงและเจียงหยางเสี่ยวเทียน
ยินดีที่ได้พบท่าน นายน้อยสี่! เด็กหนุ่มสามคนพร้อมกันโค้งคำนับให้กับเขา ลำดับชั้นในตระกูลเจียงหยางเข้มงวดมาก ดังนั้นแม้ว่าพวกเขาจะเป็นสมาชิกที่โดดเด่นของตระกูลเจียงหยาง แต่สถานะของพวกเขาก็ต่ำกว่าเจี้ยนเฉินมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะอายุมากกว่าเจี้ยนเฉิน แต่พวกเขายังคงรักษาท่าทีเคารพต่อเจี้ยนเฉิน
นอกจากนี้ ในขณะที่เขาต้องคารวะเจี้ยนเฉิน แต่บนใบหน้าของทั้งสามคนก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันอยุติธรรมแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม พวกเขารู้สึกภูมิใจอย่างแท้จริง หลังจากที่เจี้ยนเฉินนั้นสามารถเอาชนะเซียนกาดิหยุนทั้งที่เขามีพลังเซียนระดับแปดเท่านั้น และยังสามารถรับมือหลิวเจี้ยนในการต่อสู้มือเปล่ากับอีกฝ่าย และในที่สุดก็บีบคั้นให้หลิวเจี้ยนนำอาวุธเซียนออกมาใช้ ความสำเร็จทั้งหมดของเจี้ยนเฉินทำให้ผู้คนในสำนักคากัตทั้งหมดพากันถอนหายใจด้วยความชื่นชม
ในการปรากฏตัวของสมาชิกในตระกูลเจียงหยาง ช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะภาคภูมิใจ ไม่เพียงเพราะเจี้ยนเฉินเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลของพวกเขา แต่เพราะเขาเป็นถึงนายน้อยสี่แห่งตระกูลเจียงหยาง
Chaotic Sword God ตอนที่ 31 ตัดผ่านไปยังขั้นสูงสุดของระดับสิบ
ไป่เอินจ้องมองไปทางลั่วเจี้ยนอย่างน่ากลัวก่อนจะส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างดัง เขาจ้องมองแล้วเลื่อนสายตาไปมองการต่อสู้ของเถี่ยต้าและเฉิงหมิงเซียง ก่อนที่เขาจะพูดด้วยเสียงต่ำ เจ้ายังไม่หยุด ? เสียงของเขาดังเช่นฟ้าร้อง ขณะที่ทั้งสองคนถูกโจมตีด้วยเสียงสะท้อนอันดัง ทำให้พวกเขาถึงกับหูหนวกไปชั่วครู่
ทันใดนั้นเถี่ยต้าและเฉินหมิงเซียงก็หยุดทันที ขณะที่พวกเขาเห็นรองอาจารย์ใหญ่ เถี่ยต้ายิ้มออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย ใบหน้าเฉิงหมิงเซียงแปรเปลี่ยนเป็นความกลัวอย่างถึงที่สุด
เถี่ยต้าเดินตรงเข้าไปหาเจี้ยนเฉินและค่อย ๆ มองสำรวจร่างกายของเขาอย่างระมัดระวัง เขากระซิบถามว่า เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?
เจี้ยนเฉินเพียงแต่ส่ายหน้าหัว ก่อนที่จะปล่อยให้เขามองสำรวจอย่างเงียบ ๆ
เถี่ยต้าเพียงแต่หัวเราะออกมา แม้ว่าเขาจะมีหัวใจและร่างกายที่ราวกับพยัคฆ์ เขาเข้าใจความหมายของการกระทำของเจี้ยนเฉิน เขายืนอยู่ข้างหลังเจี้ยนเฉินและยังคงนิ่งเงียบตามความปรารถนาของเขา อย่างไรก็ตามเถี่ยต้ายังคงมองไปที่เฉิงหมิงเซียงและขยิบตาให้เขาราวกับจะยั่วยุ เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้นี้ไม่เพียงพอให้เขาได้สนุกกับมันอย่างเต็มที่
รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินตวัดสายตามองลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียง ลั่วเจี้ยน เจ้าฝ่าฝืนกฏของสำนัก เจ้ารู้ถึงการกระทำผิดที่เจ้าก่อขึ้นหรือไม่ ?
ลั่วเจี้ยนเงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รองอาจารย์ใหญ่ การให้คำแนะนำแก่ศิษย์น้องเป็นเรื่องปกติ เจียงหยางเซียงเทียนและข้าเพียงแต่ทำสิ่งนั้นและไม่ได้ทำสิ่งอื่น ข้าฝ่าฝืนกฎของสำนักหรือ ข้าขอถามท่านได้หรือไม่ ว่าข้าได้ฝ่าฝืนกฎข้อใด ?
หืม! เจ้ายังกล้าที่จะกล่าววาจาเครือเช่นนี้! ไป่เอินคำราม ลั่วเจี้ยน กฎข้อที่ 66 ของสำนักคากัตคืออะไร ?
ลั่วเจี้ยนจมดิ่งในความคิดก่อนที่จะตอบว่า กฎข้อที่ 66 คือการต่อสู้ในหอหนังสือและการทำลายสิ่งของในหอหนังสือนับเป็นสิ่งต้องห้าม
ไปเอิ้นยังคงจ้องมองอย่างต่อเนื่อง ถ้ามันไม่ใช่เพราะว่าข้าปิดกั้นปราณกระบี่ของเจ้าแล้วละก็ ประตูหอหนังสือจะต้องถูกทำลายลงโดยเจ้า ลั่วเจี้ยนเจ้ารู้ถึงการกระทำผิดที่เจ้าได้ก่อขึ้นแล้วหรือยัง ?
ใบหน้าของลั่วเจี้ยนซีดลงหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น สิ่งที่รองอาจารย์ใหญ่กล่าวนั้นถูกต้อง ถ้าปราณกระบี่ของเขาถูกส่งออกไปและเจี้ยนเฉินหลบมัน มันคงจะไปโดนประตูหอหนังสือซึ่งมันคงจะแตกออก ภายใต้การซ่อมแซมที่ยากและมิหนำซ้ำยังอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บแก่คนที่ยืนดูอยู่
ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะสามารถหลบปราณกระบี่นั้นได้หรือไม่ ลั่วเจี้ยนก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมา ถ้าเขาพูดออกมาในสถานการณ์นี้แล้วละก็ เขากลัวว่าทุกอย่างจะส่งผลต่อเขามากขึ้น เพราะสำนักมีกฎระเบียบที่ชัดเจนบอกว่าลูกศิษย์มีอิสระในการให้คำชี้แนะ แต่ถ้าพวกเขาจงใจทำร้ายคนแล้วละก็ พวกเขาจะได้รับบทลงโทษอย่างรุนแรง นอกจากนี้เขาได้จงใจใช้ปราณกระบี่ของเขาเพื่อทำร้ายคนที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเซียน ดังนั้นสถานการณ์จึงยิ่งซับซ้อนมากขึ้น แม้ว่าเขาจะเคยคาดเดาเกี่ยวกับจุดจบเช่นนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะสามารถเอาตัวรอดจากมันได้ แต่เนื่องจากรองอาจารย์ใหญ่อยู่ที่นี่ มันเป็นสถานการณ์ที่เขาไม่ได้คาดคิดไว้ ตอนนี้ในจิตใจของหลิวเจียนหวังเพียงว่ารองอาจารย์ใหญ่จะไม่ลงโทษพวกเขารุนแรงเกินไป
ลั่วเจี้ยน ยอมรับการกระผิดขอรับ เขาพูดไปในทิศทางที่รองอาจารย์ใหญ่ยืนอยู่ เขาไม่กล้าที่จะแสดงท่าทีหยิ่งผยอง
ไป่เอินส่งเสียงขึ้นจมูกขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะพูดว่า ลั่วเจี้ยน เจ้าได้ละเมิดกฎของสำนัก 1 ข้อ ข้าขอสั่งให้เจ้าไปที่หอสำนึกตน เพื่อสำนึกต่อการกระทำผิดของเจ้าเป็นเวลา 1 เดือน เจ้าต้องการคัดค้านหรือไม่ ?
หอสำนึกตนเป็นที่สำหรับลูกศิษย์ที่ได้ละเมิดกฎของสำนักต้องไป แม้ว่ามีคำว่า หอ ในชื่อของมันก็ไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าบ้านหินขนาดเล็ก มันมีขนาดเล็กยิ่งกว่าห้องพักของหอพักและมีเพียงคนเดียวที่จะอยู่ในนั้นได้ เมื่อประตูถูกปิด คนที่อยู่ภายในจะถูกขังในห้องมืดสนิท ไม่มีทางที่แสงจะส่องผ่านหินเข้ามา นอกเหนือจากการมองไม่เห็นอะไรแล้ว เสียงก็ยังไม่สามารถผ่านเข้าไปให้ได้ยินอีกด้วย ขนาดที่ว่ามีพายุขนาดใหญ่เกิดขึ้นแล้ว แต่ภายในนั้นก็ยังปราศจากเสียงใด ๆ
ลั่วเจี้ยนเข้าใจอย่างแท้จริงและไม่มีอะไรคัดค้าน เขากล่าวพร้อมกับโค้งคำนับ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเคารพแต่ไม่มีใครคาดคิดว่าในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้นราวกับกลับใจ เขายังคงจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างอาฆาต
รองอาจารย์ใหญ่พยักหน้าของเขา แสดงออกถึงความพึงพอใจ เมื่อเจ้าจากไป ก็จงพิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเอง หลังจากนั้นไป่เอินเบนสายตาของเขาไปยังเฉินหมิงเซียงซึ่งมีท่าทางกระวนกระวาย เฉิงหมิงเซียง ด้วยความแข็งแกร่งของเจ้า ไม่คิดว่าเจ้ากำลังรังแกเด็กใหม่ สำนักคากัตจะต้องเสียหน้าเพราะคนอย่างเจ้า !!
เฉิงหมิงเซียงไร้ซึ่งการแสดงออกบนสีหน้า กล่าวว่า คำสอนของรองอาจารย์ใหญ่ถูกต้องนัก หมิงเซียงเข้าใจดีว่าตัวเองผิดและจะไม่ทำผิดซ้ำอีกต่อไป
เฉิงหมิงเซียง ข้าหวังว่าเจ้าจะจำไว้ว่าที่นี่คือสำนักคากัต ไม่ใช่นิกายหัวหยุนของเจ้า หากเจ้ายังต้องการที่จะอาศัยอยู่ภายในสำนักคากัตแล้ว เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะปฏิบัติตามกฎ มิฉะนั้นแม้ว่าเจ้าจะเป็นนายน้อยของนิกายหัวหยุน เจ้าก็จะต้องได้รับการลงโทษตามความเหมาะสม ข้าหวังว่าเหตุการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดซ้ำอีก ไม่อย่างนั้น เจ้าก็ต้องออกไป เมื่อมาถึงเฉิงหมิงเซียง รองอาจารย์ใหญ่ก็หวั่นเกรงถึงผลที่จะตามมาและไม่กล้าที่จะลงโทษอีก
เฉิงหมิงเซียงไม่ได้กล่าวอะไรออกมาอีก ในขณะที่เขาและลูกน้องของออกจากบริเวณนั้นอย่างเงียบ ๆ
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็ผ่านไปแล้ว ลั่วหยุน, เฉินเฟิงและคาร์ลจึงไม่ได้อยู่ต่อ และเดินจากไปด้วยความผิดหวัง
เมื่อฝูงชนได้แยกย้ายกันไป รองอาจารย์ใหญ่จ้องมองเจี้ยนเฉินและยิ้ม เจ้าคงจะเป็นเจียงหยางเซียงเทียน
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ขอรับ เป็นข้าเอง
รองอาจารย์ใหญ่คาดเดาเจียงหยางเซียงเทียนได้อย่างเหมาะสม และท่าทางเคร่งขรึมก่อนหน้านี้หายไป เขายิ้มและกล่าวว่า ยังไม่บรรลุในระดับเซียน แต่กลับกดดันให้ลั่วเจี้ยนเรียกอาวุธเซียนขึ้นมาได้ เจียงหยางเซียงเทียน เรียกได้ว่า เจ้านั้นไม่เลวเลยจริง ๆ
รองอาจารย์ใหญ่ที่ท่านก็พูดเกินจริงไป มันเป็นเพียงเพราะโชคดีเท่านั้น เจี้ยนเฉินตอบออกมาด้วยท่าทีที่ไร้ซึ่งความหยิ่งผยอง
ในขณะที่ดวงตาของเขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย เขาพยักหน้าด้วยท่าทีชื่นชม เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าต้องบ่มเพาะพลังให้มาก และการกลายเป็นเซียนนั้นน่าจะไม่ยากเกินไป
ขอบคุณมากสำหรับความใส่ใจของรองอาจารย์ใหญ่ แน่นอนว่าข้าจะบ่มเพาะพลังอย่างต่อเนื่อง เจี้ยนเฉินยิ้ม
หลังจากนั้นจ้องมอง ไป่เอินหันไปจ้องมองเถี่ยต้า เถี่ยต้า ตอนนี้เจ้าจะเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ สถานะของเจ้าเปลี่ยนไป เจ้าต้องจำไว้ว่าต้องพัฒนาฝีมือของเจ้าเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากผู้คน มีเพียงวิธีเดียวที่จะสามารถสนับสนุนตัวเจ้าเองในทวีปเทียนหยวน เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?
เถี่ยต้าพยักหน้าอย่างชาญฉลาดและตอบด้วยเสียงอู้อี้ เถี่ยต้าเข้าใจแล้ว
ดี ! รองอาจารย์ใหญ่พยักหน้าและกล่าวต่อว่า ถึงแม้ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์มากที่สุด อนาคตของเจ้าไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ เจ้าต้องเผชิญหน้ากับทุกอย่างด้วยความสงบและคุมสติไว้ เจ้ายังไม่สามารถเรียนรู้อะไรจากครอบครัวขุนนางเหล่านั้น เนื่องจากขณะนี้เจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ การฝึกฝนของเจ้าในอนาคตจะลำบากมากขึ้นและเจ้าจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการบ่มเพาะ แน่นอนเจ้าไม่ควรทำให้ความเพียรพยายามของอาจารย์ใหญ่ต้องเสียเปล่า
ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ เถี่ยต้าตบหน้าอกของเขาและสัญญากับไป่เอินว่า รองอาจารย์ใหญ่อย่าได้กังวล ข้า เถี่ยต้ามั่นใจว่า ข้าจะต้องไม่ทำให้ท่านต้องเสียหน้า
รองอาจารย์ใหญ่ยิ้มและพยักหน้าออกจากห้อง เขาได้ทิ้งเจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าให้คุยกันอีกสักพักและหลังจากกล่าวคำอำลา เจี้ยนเฉินก็กลับไปยังหอหนังสือเพื่ออ่านหนังสือของเขา
เมื่อเจี้ยนเฉินกลับไปยังหอหนังสือ ลูกศิษย์ที่เฝ้าดูจากภายในหอหนังสือก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองข่าวก็ได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักคากัตด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง
นี่เป็นสถานที่ที่ลูกศิษย์เกิดการต่อสู้กันครั้งที่ 2 เถี่ยต้ากลายเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ นอกจากนี้ เขาได้ต่อสู้กับเฉิงหมิงเซียง
ผู้คุมกฎของเด็กใหม่จากการแข่งขันการประลองเด็กหน้าใหม่ เจียงหยางเซียงเทียน ใช้เพียงมือเปล่าของเขาและบีบบังคับเซียนขั้นกลางให้ใช้อาวุธเซียน สุดท้าย ลั่วเจี้ยนได้ล่วงเกินรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิน และจบลงด้วยการนั่งสมาธิภายในหอสำนึกตนเพื่อเป็นการลงโทษตั้ง 1 เดือน
ข่าวทั้งสองชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ไปทั่วทุกมุมของสำนักคากัต ในช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 1 ชั่วยาม สร้างความตกตะลึงให้กับทั้งบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ ในเวลาเดียวกัน เถี่ยต้าได้กลายเป็นคนดังที่มีชื่อเสียงที่สุดในสำนักคากัต เดิมทีเขาเป็นเพียงสามัญชน แต่ตอนนี้ตัวตนของเขาได้สร้างความเปลี่ยนแปลงโลก สั่นคลอนขุนนางที่เคยดูถูกเขาเพราะภูมิหลังของเขาต้องเปลี่ยนมุมมองและความคิดใหม่ที่มีต่อเขา จากวันนั้นเป็นต้นมาเถี่ยต้าก็กลายเป็นเด็กซึ่งผู้ที่มีอิทธิพลต่าง ๆ พยายามที่จะเข้าตีสนิทกับครอบครัวของเขา
แม้ว่าชื่อเจี้ยนเฉินได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักแต่มันถูกข่าวของเถียต้ากลบโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่ต้องห่วงเรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม ยังมีลูกศิษย์หญิงอีกหลายคนที่จ้องมองเจียนฉินด้วยความหลงใหล รูปลักษณ์ภายนอกนั้นเจี้ยนเฉินรูปงามและไม่ด้อยกว่าชายหนุ่มคนอื่น ๆ ในสำนักคากัตแน่นอน เมื่อรวมกับความยิ่งใหญ่ที่โดดเด่นและความสามารถอันทรงพลังของเขา เขากลายเป็นชายในฝันอย่างแน่นอน ดังนั้นในสำนักคากัต เจี้ยนเฉินได้กลายเป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวในจิตใจของเด็กสาวไปเสียแล้ว
นับตั้งแต่การต่อสู้ที่หอหนังสือ หลังจากนั้นความสงบก็หายไปจากเขา ทุกครั้งที่เขาเข้ามาในบริเวณสำนัก เขาจะรุมโดยลูกศิษย์ชายนับไม่ถ้วนซึ่งพยายามที่จะท้าสู้กับเขา แม้แต่ตอนที่เขาเดินไปที่หอหนังสือเพื่ออ่านเขาจะยังคงถูกคุกคามโดยคนจำนวนไม่น้อย ทำให้เขาไม่ได้อ่านหนังสืออย่างสงบสุขนัก จนถึงตอนนี้เจี้ยนเฉินก็ยังคงทำตามระเบียบอย่างเคร่งครัด แต่บางทีอาจเป็นเพราะเจี้ยนเฉินอยู่ในระเบียบมากเกินไปและไม่อยากที่จะสู้มากนัก สุดท้ายเมื่อทำอะไรไม่ถูก เจี้ยนเฉินก็นำหนังสือกลับไปที่หอพักของเขา ภายใต้คำอนุญาตของอาจารย์ใหญ่ นอกเหนือจากการอ่าน เจี้ยนเฉินใช้เวลาเกือบทั้งหมดของเขาเพื่อบ่มเพาะพลัง
เวลาผ่านไปและในพริบตาสามเดือนผ่านไปแล้ว มันเป็นตอนเช้าและดวงอาทิตย์พึ่งจะขึ้น เจี้ยนเฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ขณะที่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาและในช่วงนั้นเองเกิดประกายแสงภายในดวงตาของเขา
เจียนก้มหน้าลงและจ้องมองไปยังฝ่ามือ เขาเห็นว่ามือของเขาว่างเปล่า แกนอสูรระดับสามนั่นก็หายไปอย่างสมบูรณ์
เขาพบพลังเซียนจำนวนมากไหลเวียนภายในร่างกายของเขาในลักษณะที่คล้ายคลึงกับแม่น้ำใหญ่ เจี้ยนเฉินก็ยิ้มออกมา ในที่สุดก็ตัดผ่านมาที่ระดับสิบของพลังเซียน
หลังจากสามเดือนของการบ่มเพาะพลังของเขาก็ตัดผ่านมายังระดับสิบ เขาเหลืออีกเพียง 1 ระดับก็จะถึงระดับเซียนและสามารถตัดผ่านตลอดเวลา แกนอสูรระดับสามที่ได้รับหลังจากการแข่งขันประลองได้ถูกใช้ไปหมดแล้ว แม้จะมีการกล่าวว่าแกนอสูรระดับสามนั้นมีพลังงานจำนวนมาก แต่พลังงานที่เจี้ยนเฉินต้องการสำหรับการบ่มเพาะของเขานั้นสูงกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการบ่มเพาะของเขานั้นน่ากลัวมาก แกนอสูรระดับสามที่สามารถทำให้คนทั่วไปในระดับแปดได้ตัดผ่านไปถึงระดับเซียนขั้นกลางนั้น สามารถช่วยให้เจี้ยนเฉินตัดผ่านถึงขั้นสูงสุดของระดับสิบเท่านั้น
Chaotic Sword God ตอนที่ 30 รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิน
พลั่ก !
เถี่ยต้าและเฉิงหมิงเซียงปะทะหมัดกัน นำมาซึ่งเสียงระเบิดอันดังก้อง คลื่นพลังอันร้ายกาจระเบิดออกมาขณะที่ทั้งคู่ต่างเซถอยหลังไป
เมื่อรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าด้วยหมัดของเขา เฉิงหมิงเซียงฉายแววไม่มั่นใจ ก่อนจะกลายเป็นประหลาดใจ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าจะไม่ได้อยู่ในระดับเซียน แต่หมัดของเถี่ยต้านั้นมีบางสิ่งที่แม้ว่าเซียนยังปล่อยมันออกมาไม่ได้ ถ้าไม่เพราะความเป็นจริงที่ว่าเฉิงหมิงเซียงแข็งแกร่งและแข็งแกร่งกว่าเถี่ยต้ามากนัก แต่ทว่าเขากลับต้องได้รับเจ็บปวดอย่างหนักหลังจากการเผชิญหน้ากับเถี่ยต้า และถึงแม้บริเวณที่เขาโดนชกจะไม่ได้อันตรายนัก แต่ไหล่ของเฉิงหมิงเซียงก็เริ่มที่จะทั้งเจ็บและปวด
ยืดไหล่ขวาของเขาคราหนึ่ง เฉิงหมิงเซียงมองเถี่ยต้าด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม ศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง พลังหมัดนั้นช่างน่ากลัวและมีอำนาจเหนือกว่าหมัดของข้ายิ่งนัก ถ้าเขาเป็นเซียนแล้วละก็ หมัดของเขาจะะต้องสร้างความเสียหายอย่างมากเป็นแน่ .
ความแข็งแกร่งของเถี่ยต้านั้นช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก พลังทั้งหมดไม่มีใครเปรียบเทียบได้กับเขา ความแข็งแกร่งของเขามากกว่า แม้แต่เจี้ยนเฉินยังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ กับคู่แข่งที่แข็งแกร่งเช่นนั้น เถี่ยต้านั้นก็ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
เถี่ยต้าหัวเราะลั่นอย่างมีความสุขและกล่าวว่า ลองอีกครั้ง ข้าชักเริ่มที่จะสนุกแล้วสิ เขาเหวี่ยงหมัดของเขาอยู่ในตำแหน่งที่พร้อม ในขณะที่เขาเผชิญหน้ากับเฉิงหมิงเซียง
มองไปที่เถี่ยต้า คิ้วของเฉิงหมิงเซียงขมวดเข้าหากัน ขณะที่เขาหันมองลั่วเจี้ยนที่อยู่ถัดไป ข้าจะถ่วงเวลาเถี่ยต้า เจ้าไปสอนบทเรียนให้กับเจี้ยนเฉินซะ เขาพุ่งเข้าหาเถี่ยต้าและทั้งสองก็เริ่มที่จะสู้กันอีกครั้งโดยไม่หยุดหย่อน
ต้องขอบใจเถี่ยต้าที่มีสถานะพิเศษภายในสำนักนี้ เฉิงหมิงเซียงจึงไม่กล้าใช้อาวุธเซียนของเขาและเลือกที่จะใช้หมัดในการต่อสู้แทน แต่หลังจากแลกหมัดกันไม่กี่รอบ เฉิงหมิงเซียงเริ่มที่จะพึมพำเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเถี่ยต้าที่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไป ไม่เพียงแค่นั้น ร่างกายของเถี่ยต้าแข็งราวกับเหล็ก ดังนั้นเขาไม่มีทางที่จะสามารถเอาชนะเถี่ยต้าโดยไม่ใช้อาวุธเซียน หากจะเอาชนะเถี่ยต้า เขาต้องทุ่มพลังทั้งหมดของเขาแต่ก็น้อยมากที่จะทำสำเร็จ อย่างเช่นว่าจะผลักให้เถี่ยต้าถอยหลัง นอกจากนี้เขายังไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเถี่ยต้าเป็นระยะเวลานาน
ลูกศิษย์ทุกคนจ้องดูเฉิงหมิงเซียงต่อสู้กับเถี่ยต้าที่แข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง พวกเขามองดูการต่อสู้อย่างเลื่อมใส แม้ว่าลูกศิษย์หลายคนจะไม่เคยเห็นเถี่ยต้ามาก่อน ทุกคนรู้จักเขาเพียงแค่ชื่อ หลังจากที่เขาเป็นผู้ชนะอันดับ 2 จากการแข่งขันเด็กหน้าใหม่ และทำให้ชื่อเสียงของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วสำนัก ยังคงมีอีกหลายคนที่ยากจะเชื่อได้ว่าบางคนสามารถต่อสู้กับเซียนเช่นเฉิงหมิงเซียงซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
ข่าวที่ว่าผู้คุมกฎจากการแข่งขันเด็กหน้าใหม่ เจียงหยางเซียงเทียนสามารถที่จะเอาชนะเซียนกาดิหยุนได้ มันสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วสำนัก และในขณะเดียว มันไม่สามารถยอมรับความจริงที่ว่าเถี่ยต้า ผู้ซึ่งไม่เป็นแม้กระทั่งเซียนแต่กลับมีความแข็งแกร่งในระดับเซียน มากพอที่จะหยุดเฉิงหมิงเซียงลงได้
ขณะที่เฉิงหมิงเซียงกำลังต่อสู้กับเถี่ยต้า ลั่วเจี้ยนก็ไม่รอช้า เขาพุ่งเข้าหาเจี้ยนเฉิน ลั่วเจี้ยนไม่คิดจะใช้อาวุธเซียน เขานั้นเป็นถึงเซียนขั้นกลาง เขาจะไม่ใช้มันอย่างเปล่าประโยชน์กับใครบางคนที่ไม่ใช่แม้กระทั่งเซียน
ลั่วเจี้ยนวิ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉินก่อนที่เขาจะได้ทันเตรียมตัวและใช้ขาขวาเตะไปที่เจี้ยนเฉิน ขาของเขาพุ่งตรงไปที่ท้องของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วราวกับลมอันเย็นเฉียบพัดผ่าน ลูกเตะนั้นทั้งเร็วและรุนแรง เพราะเขาคือเจี้ยนเฉิน หลัวเจี้ยนถึงไม่คิดที่จะยั้งมือ
แม้ว่าลูกเตะของลั่วเจี้ยนนั้นจะรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เมื่อดูปฏิกิริยาและความเร็วในการหลบหลีกของเจี้ยนเฉินเพื่อประเมิน ขณะที่ลั่วเจี้ยนครุ่นคิดเกี่ยวกับการเตะ เจี้ยนเฉินหลบได้อย่างหวุดหวิดไปทางด้านข้างและขาของลั่วเจี้ยนก็สะกิดเพียงเสื้อผ้าของเขาไป มองดูเจี้ยนเฉิน ที่แม้ว่าเขาจะหลบมันได้อย่างหวุดหวิด แต่กระนั้น ท่าทีตื่นกลัวก็ไม่ได้เกิดขึ้นบนใบหน้าเขาแม้แต่น้อย มีเพียงแต่ใบหน้าที่ผ่อนคลายเท่านั้น
เมื่อเห็นว่าการโจมตีของเขาพลาด ตาของลั่วเจี้ยนมีประกายแห่งความตระหนก อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้น แสงสีเขียวปรากฏ ทันใดนั้นอาวุธเซียนปรากฏขึ้นจากภายในร่างกายเขา ขณะที่มันเริ่มปรากฏตัว สายลมปริศนาก็เริ่มล้อมรอบตัวเขา
ทันใดนั้นความรู้สึกที่รุนแรงจากลูกเตะของลั่วเจี้ยน เจี้ยนเฉินเผยท่าทีประหลาดใจ จากหนังสือที่เขาได้อ่านก่อนหน้านี้ การโจมตีประเภทนี้เป็นของเซียนธาตุลม
เซียนที่มีธาตุ โดยทั่วไปแข็งแกร่งกว่าเซียนทั่วไปหนึ่งก้าว ไม่เพียงแต่ผู้ที่มีพลังธาตุที่จะเสริมความแข็งแกร่งของเขาได้ ผู้ที่มีธาตุลมนั้นแน่นอนความเร็วของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว และเมื่ออยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป ใครก็ไม่อาจสู้กับเซียนที่มีพลังธาตุลมในเรื่องความเร็วได้อย่างแน่นอน
พลังเซียนสีฟ้าอมน้ำเงินเริ่มที่จะไหลออกมาปกคลุมมือขวาของลั่วเจี้ยนอย่างสมบูรณ์ มันพุ่งตรงอย่างรวดเร็วไปหาเจี้ยนเฉินและโจมตีเขา หมัดนี้เร็วนักราวกับมันเป็นภาพลวงตา ชนิดที่ว่าตาเปล่าไม่อาจมองเห็นหมัดนั้นได้ทั้งหมด
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินแข็งกระด้างขึ้น เขาเอียงศีรษะไปด้านข้างและหลบกำปั้นของลั่วเจี้ยนอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็ตวัดขาขวาของเขาไปยังลั่วเจี้ยนด้วยความเร็วที่ไม่น้อยกว่าหมัดแรก
ตาของลั่วเจี้ยนเป็นประกายอันตราย ในขณะที่เขาตระหนักถึงความเร็วของเจี้ยนเฉินว่าไม่ได้ช้าไปกว่าเขาสักนิด เพราะการเตะที่รวดเร็วนั้น ลั่วเจี้ยนไม่มีเวลาที่จะหลบมัน โดยไม่มีทางเลือก พลังเซียนธาตุลมเริ่มที่จะเข้มข้นขึ้นในมือซ้ายของเขา ในขณะที่เขาทุ่มมันลงไปบนขาของเจี้ยนเฉิน
พลังเซียนธาตุลมของลั่วเจี้ยนที่อยู่ในหมัดนั้นปะทะกับขาของเจี้ยนเฉิน เป็นเหตุให้เจี้ยนเฉินที่อ่อนแอกว่าต้องกระเด็นถอยหลังไป.
ร่างกายเจี้ยนเฉินถูกโยนกลับมาด้วยความเร็ว แต่ทั้งสองขาของเขาลากกับพื้นดิน โดยใช้แรงเสียดทานในการชะลอตัวของเขาซึ่งทิ้งรอยไว้บนพื้นอย่างชัดเจน เจี้ยนเฉินคาดเดาไว้แล้วว่าหากต่อสู้กันเขาจะถูกทำให้ถอยหลังไปกว่าสิบเมตร
ลั่วเจี้ยนหักข้อนิ้วของเขาและเริ่มที่จะจ้องมองใบหน้าของเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีเคร่งขรึม ในการเผชิญหน้ากันอย่างสั้น ๆ ลั่วเจี้ยนตระหนักว่าเขาไม่สามารถดูเบาเจี้ยนเฉินได้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไม่ใช่ระดับเซียน แต่การต่อสู้ของเขาก็เทียบเท่าได้เลย
ตาของลั่วเจี้ยนเริ่มมีประกายความลังเลใจเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะสรุปออกมาว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ถ้าเขาต้องการที่จะเอาชนะเจี้ยนเฉินโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้แล้วเขาจะต้องใช้อาวุธเซียน แม้ว่านี่จะเป็นการยากที่จะหลีกเลี่ยงคำครหาของทุกคน แต่เขารู้ว่าถ้าเขาไม่ได้ใช้อาวุธเซียนของเขา เขาจะไม่สามารถที่จะเอาชนะเจี้ยนเฉินในระยะเวลาสั้น ๆ ได้ ถ้าเขาใช้เวลานานในการประลองกับเด็กใหม่ที่ยังไม่ถึงระดับเซียน มันจะต้องกระทบกับชื่อเสียงของเขาอย่างใหญ่หลวงนัก
เมื่อเขาคิดเกี่ยวกับการที่เขาเป็นเซียนขั้นกลางแต่ไม่สามารถที่จะเอาชนะผู้ที่ยังก้าวไม่ถึงระดับเซียนด้วยซ้ำ และแม้ว่าลั่วเจี้ยนจะใช้อาวุธเซียนด้วยก็ตาม ช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกขุ่นเคือง มันทำให้ความเกลียดชังที่เขาต่อเจี้ยนเฉินนั้นลึกล้ำยิ่งขึ้น การต่อสู้ในวันนี้ไม่ว่าใครจะชนะ คนที่ต้องสูญเสียก็ต้องเป็นเขาอยู่ดี ในขณะที่เจี้ยนเฉินนั้น ชื่อเสียงของเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นจากการต่อสู้ในวันนี้และชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังไปทั่วสำนักคากัตอีกครั้ง
ตาของลั่วเจี้ยนทอประกายเย็นเยียบแบบที่สามารถทำให้คนขนลุก และไม่มีใครกล้าที่จะมองหน้าเขาตรง ๆ ในดวงตาและฝ่ามือประกอบไปด้วยพลังสีเขียวอมน้ำเงินซึ่งค่อย ๆ กลั่นตัวเป็นกระบี่ใหญ่สีฟ้า มันยาวประมาณ 5 ฟุตและกว้าง 3 นิ้ว และกระบี่ทั้งหมดถูกปกคลุมแสงสีฟ้าอ่อน ๆ ใบมีดคมที่เปล่งแสงเจิดจ้าเมื่อสะท้อนกับแสงแดด และเพียงแค่เห็นมันก็ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวได้ไม่ยาก
เจี้ยนเฉินรู้สึกว่ากระบี่ใหญ่สีฟ้าที่อยู่ในมือของลั่วเจี้ยนเปล่งประกายที่ทรงพลังนัก และใบหน้าของเขาค่อย ๆกลายเย็นชามากขึ้นเรื่อย ๆ การใช้อาวุธเซียนทำให้ความแข็งแกร่งของลั่วเจี้ยนเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ มากเกินกว่าที่เคยเป็น ถ้าลั่วเจี้ยนไม่ได้ใช้อาวุธของเขาแล้ว เจี้ยนเฉินก็ยังสามารถที่จะต่อสู้ได้แม้จะมีปัญหาบางอย่าง แต่อย่างไรก็ตามเมื่ออาวุธเซียนปรากฏขึ้น เจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความรู้สึกท้าทาย จากประสบการณ์ในโลกก่อนของเขา ซึ่งเขาเคยต่อสู้เฉียดตายมาอย่างนับไม่ถ้วน บางทีมันก็อาจจะไกลเกินกว่าที่จะโจมตี แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ยากนักที่จะเอาชนะ
ด้วยอาวุธในมือของลั่วเจี้ยน ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มมากขึ้น สายตาของเจี้ยนเฉินจ้องมองอย่างไม่ละสายตา เจียงหยางเซียงเทียน วันนี้ข้าจะกำจัดเจ้า ลั่วเจี้ยนยกกระบี่ใหญ่สีฟ้าขึ้นสูงในอากาศและมันเรืองแสงสีฟ้าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สร้างความตื่นตระหนกให้กับบรรดาลูกศิษย์ที่สังเกตการต่อสู้จากภายในห้องสมุด
อา! ลั่วเจี้ยนคำราม ในขณะที่เขาตวัดกระบี่ใหญ่สีฟ้าลงมาจากเหนือหัวเขา ออกจากวิถีฟ้าที่งดงามที่อยู่เบื้องหลังมัน ขณะที่มันเคลื่อนไหว สิ่งเดียวที่อาจจะเห็นเป็นสีฟ้าเบา ๆ อย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่นั้นพุ่งตรงเข้าไปหาเจี้ยนเฉิน
รับรู้ถึงปราณกระบี่ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เคร่งเครียด มันแน่นอนว่าความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขาไม่อาจทนมันได้ ประกายแสงของปราณกระบี่ตรงเข้าไปที่เจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินไม่ได้มีเวลาที่จะพิจารณาการกระทำของเขา เขารวบรวมพลังทั้งหมดของเขาเข้าไปในขาของเขา เตรียมหลบอย่างสุดกำลัง
ทันใดนั้น ร่างสีขาว ปรากฏตัวมาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าซึ่งเร็วกว่าปราณกระบี่ และและยืนอยู่ตรงหน้าของเจี้ยนเฉินราวกับโล่
เมื่อปราณกระบี่สีฟ้าพุ่งตรงไปหาร่างสีขาวนั้น มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีแม้แต่ประกายแสงเหลือให้มองเห็น
ร่างสีขาวนั้นอาจกล่าวได้ว่าเป็นชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปี ชายคนนั้นสวมชุดสีขาวและใบหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ดวงตาของเขาแตกต่างไปจากดวงตาของคนทั่วไปและมันเต็มไปด้วยความโกรธ
เมื่อลั่วเจี้ยนเห็นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีขาว ท่าทีของเขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดและใบหน้าของเขาก็ซีดเผือด กระบี่ใหญ่สีฟ้าในมือเขาหายวับไปในทันทีและทันใดนั้นเขาก็โค้งคำนับทักทายด้วยความเคารพ รองอาจารย์ใหญ่! เพียงแค่สองคำนี้ มันก็ไม่อาจซ่อนความกลัวในน้ำเสียงของลั่วเจี้ยนไว้ได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินลั่วเจี้ยนเรียกชายวัยกลางคนคนนั้น เจี้ยนเฉินชะงัก สายตาของเขามองไปยังร่างตรงหน้าที่เขาเห็นเพียงด้านหลังเล็กน้อย ใจของเขาตระหนักได้ทันทีว่าชายตรงหน้าเป็นใคร เขามีท่าทีผ่อนคลายลง ในสำนักนี้เขาเป็นรองเพียงแค่อาจารย์ใหญ่เท่านั้น ชายคนนี้คือไป่เอิน
Chaotic Sword God ตอนที่ 29 พบกับเถี่ยต้าอีกครั้ง
เฉิงหมิงเซียงเริ่มที่จะยิ้ม ข้าจะพลาดการต่อสู้ครั้งนี้ไปได้อย่างไร เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความรังเกียจก่อนที่จะพูดว่า นั่นคงเป็นเจียงหยางเซียงเทียน?
ถูกต้อง นายน้อยเฉิง แน่นอนว่าเขาคือเจียงหยางเซียงเทียนที่ทำร้ายสหายของเรา ลั่วเจี้ยนกล่าวในขณะที่เขายืนอยู่ข้างหลังคาร์ล
เฉิงหมิงเซียงพยักหน้าของเขาและเอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว กล้าทำร้ายสหายสนิทของข้า ! เสียงของเขาดุดันขึ้นไปในแต่ละคำที่เปล่งออกมา
เจี้ยนเฉินเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้เหตุผลซึ่งมาจากตระกูลที่ร่ำรวย ดังนั้นหากโต้เถียงกับพวกเขาไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาเพียงใช้แต่กำลัง ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่ได้สนใจ ทิ้งคำพูดลงไปในถังขยะแทน เขากล่าวอย่างเย็นชา ถ้าเช่นนั้น ทำไมเราไม่สู้กันล่ะ ถ้าเจ้าไม่สบายใจก็เข้ามาก่อน แทนที่จะพ่นคำพูดงี่เง่าเช่นนั้น
ได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ใบหน้าของเฉิงหมิงเซียงค่อย ๆ ซีด ดี ดี ดี ถึงเวลาที่เจ้าจะเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง ด้วยร่างกายของเขาที่เรืองแสงขยายออกไป 10 เมตร พุ่งตรงไปยังเจี้ยนเฉิน โผเข้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กำปั้นของเขาชกไปยังจมูกของเจี้ยนเฉิน กับคนที่เป็นศัตรู ผู้ซึ่งไม่ถึงระดับเซียน เขาจะไม่ใช้อาวุธเซียน
แม้เจี้ยนเฉินจะรู้ว่าความแข็งแรงของเฉิงหมิงเซียงไกลเกินกว่ากาดิยุน ความแตกต่างของพลังเซียนนั้นก็ต่างกันมากเกินไป ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่อาจรับกำปั้นนี้ได้ เพียงเมื่อกำปั้นของเฉิงหมิงเซียนได้เข้ามาประชิด ที่หัวของเจี้ยนเฉิน เขาหายตัวไปฉับพลันและหลบกำปั้น ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินใช้สองมือของเขาคว้าเข้าไปที่เฉิงหมิงเซียงราวกับขี่ม้า เกร็งตัวและดึงอีกฝ่ายให้พลิกคว่ำด้วยสองมือของเขา.
แต่เดิมเมื่อเฉิงหมิงเซียงถูกโจมตีทำให้สมดุลย์ของเขาเอียงไปข้างหน้า ตอนนี้เจี้ยนเฉินได้ดึงเขาต่อไป ชั่วขณะที่เขาสูญเสียการควบคุมของร่างกายของเขา และเขาก็เริ่มที่จะหน้าคว่ำลงไป อย่างไรก็ตามเฉิงหมิงเซียงได้ตอบสนองอย่างฉับพลัน เขากระโดดขึ้นไป ทุ่มเทแรงทั้งหมดของเขาพยายามที่จะป้องกันไม่ให้เจียงเฉินดึงอีกครั้ง ขณะที่เขาทำเช่นนั้น แต่เจี้ยนเฉินอยู่ ๆ ก็ปล่อยแขนเฉิงหมิงเซียงและกระหน่ำตีที่ท้องของอีกฝ่ายราวกับน้ำไหลบ่าออกมาจากเขื่อน
ตั้งแต่ที่เขาจะคะมำลงไปข้างหน้า หากแต่ต้องพลิกตัวไปด้านหลัง เมื่อเจี้ยนเฉินได้ชกเขาด้วยแรงทั้งหมด ขาไม่สามารถที่จะช่วยทรงตัวได้ เขาได้แต่ประคองตัวและเซถอยหลังเพื่อไม่ให้ล้ม
หลังจากที่ถอยกลับไปสิบก้าว ในที่สุดเฉิงหมิงเซียงก็ทรงตัวได้ แต่ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีแดงสดราวกับสีของตับหมู ด้วยท่าทีดุดันและเป็นลางไม่ดี เขาจ้องหน้าเจี้ยนเฉินด้วยเจตนามุ่งร้าย เพราะร่างกายอันงดงามของเขา เขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนัก ดังนั้นจะไม่ให้เขาฉุนเฉียวได้อย่างไร? หากคนทั้งสำนักพบว่าร่างกายของเขาถูกโจมตีจริงและได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้แล้วเขาจะไปมีหน้าอยู่ในสำนักนี้ได้อย่างไร และสุดท้ายก็กลายเป็นตัวตลกให้ผู้คนหัวเราะเยาะ
หลังจากที่คิดเกี่ยวกับผลกระทบนี้ เขาจ้องหน้าเจี้ยนเฉินราวกับจะฆ่าเสียให้ได้ นี่นับเป็นความอัปยศที่สุดสำหรับเขา
แล้วทั้งสนามนั้นก็กลายเป็นเงียบสนิท ใบหน้าของลั่วเจี้ยนได้เปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ในขณะที่เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจ นี่มันห่างไกลจากที่เขาจินตนาการไว้นัก และไม่เพียงแต่เขา แต่เป็นทุกคนที่อยู่ตรงนี้ เฉิงหมิงเซียงเป็นอัจฉริยะที่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง และแม้แต่ระดับเซียนเองก็ยังยากที่จะต่อสู้กับเขาด้วยมือเปล่า มีเพียงเจี้ยนเฉินที่ทำให้เขาทุกข์ทรมานจากการพ่ายแพ้ และทำให้เขาอยู่ในสภาพอัปยศ นี่มันเป็นสิ่งที่น่าประหลาดมากนัก
จ้องมองเจี้ยนเฉินอีกครา แขนเฉิงหมิงเซียนเริ่มที่จะปลดปล่อยแสงสีเงิน ซึ่งเป็นพลังปราณ ก่อนที่จะกลายเป็นกระบี่สองมือ เขาคำรามออกมาว่า เจียงหยางเซียงเทียน ข้าจะทำให้เจ้าพิการในวันนี้! ด้วยคำประกาศกร้าว เขาพุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินพร้อมกระบี่สีเงินในมือ
หยุด!
ทันใดทีที่เฉิงหมิงเซียงเริ่มที่จะเคลื่อนไหว มีเสียงตะโกนออกมาจากฝูงชน ทุกคนเห็นเป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำเดินตรงมาเบื้องหน้าอย่างช้า ๆ
เมื่อเจี้ยนเฉินเห็นเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งเดินมาตรงหน้าของเขา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น มันเป็นเพราะคนผู้นี้เข้าร่วมในการแข่งขันนักเรียนหน้าใหม่และและบุคคลที่ราวกับสวรรค์ประทานความแข็งแกร่งให้ นั่นคือ เถี่ยต้า
ขณะที่ลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียนมองไปที่เถี่ยต้า ใบหน้าของพวกเขาเริ่มกลายเป็นหวาดกลัว
ลั่วหยุนไม่รู้จักเถี่ยต้าและร้องถามไปยังเถี่ยต้าว่า เจ้าเป็นใคร? นี่มันเป็นเรื่องของนายน้อยลั่วและนายน้อยเฉิง อย่าได้รบกวน มิฉะนั้นเจ้าจะต้องเสียใจ …
หุบปาก! ไม่ได้รอให้ลั่วหยุนพูดจบ ลั่วเจี้ยนก็ตัดบทคำพูดของลั่วหยุน โดยไม่สนใจสีหน้าของลั่วหยุนที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของลั่วเจี้ยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่ป้องมือต้อนรับ นั่นคงเป็นน้องเถี่ยต้า ข้าประหลาดใจว่าน้องเถี่ยต้ามาทำอะไรที่นี่
เถี่ยต้ามองไปที่เขาด้วยสายตาที่แปลกก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ เจ้าเป็นใคร? ข้าไม่รู้จักเจ้าเลยสักนิด ไม่เข้าใจว่าทำไม ใบหน้าของลั่วเจี้ยนจึงน่าเกลียดเช่นนั้น เถี่ยต้าเดินตรงไปหาเจี้ยนเฉินและยกมือของเขาขึ้นแตะไหล่ของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางเซียงเทียน ข้าไม่คิดว่า ข้าจะพบกับเจ้าที่นี่! มันก็หลายวันมาแล้ว หลังจากครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นเจ้า! เขากล่าวเสียงดัง
เจี้ยนเฉินหัวเราะเบา ๆ เถี่ยต้า พวกเราเลิกสนทนากันก่อนในตอนนี้และช่วยข้าพ้นจากปัญหายุ่งยากเช่นนี้ก่อน
ฟังสิ่งที่เจี้ยนเฉินกล่าว เถี่ยต้าหันขวับไปยังกลุ่มของเฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยน เขาจ้องมองอย่างช้า ๆ ไปที่พวกเขาก่อนจะชี้นิ้ว เจียงหยางเซียงเทียน เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเขากำลังพยายามที่จะรังแกเจ้า ?
เกรงว่าจะต้องกล่าวว่าใช่ เจี้ยนเฉินกล่าว ขณะที่เขายกมือกอดอก
ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ เถี่ยต้าถลกแขนเสื้อทันที เขามองจ้องอย่างดุดันไปที่กลุ่มของฝ่ายตรงข้ามและประกาศเสียงดัง เจียงหยางเซี่ยงเทียนเป็นเสมือนน้องชายของข้า รังแกเขาก็เท่ากับรังแกข้า ใครก็ตามที่ต้องการต่อสู้ก็ออกมา แม้ว่าพลังของข้าจะไม่ได้แข็งแกร่ง ข้า เถี่ยต้า ก็ไม่กลัวพวกเจ้า.
ได้ยินคำพูดของเถี่ยต้า เจี้ยนเฉินลังเลเป็นครั้งที่สอง เขามองเถี่ยต้าด้วยความสับสน ไม่เข้าใจว่าเขาได้กลายเป็นน้องชายของเถี่ยต้าตั้งแต่เมื่อไร
เฉิงหมิงเซียงและลั่วเจี้ยนแสดงออกถึงความเปลี่ยนแปลง พวกเขาเหลือบมองด้วยท่าทีเคร่งเครียด มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาค่อนข้างกลัวเถี่ยต้า แม้ว่าเถี่ยต้าจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนักและพวกเขาสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย แต่เถี่ยต้ามีคนหนุนหลังที่น่ากลัว นี่คือเหตุผลที่พวกเขาไม่กล้าที่จะแตะต้องเถี่ยต้าโดยตรงในสำนักคากัต
เมื่อได้ยินคำกล่าวเช่นนั้น คาร์ลและลั่วหยุนได้ตระหนักถึงทัศนคติของลั่วเจี้ยนที่มีต่อตัวตนของเถี่ยต้าซึ่งไม่ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาได้ตัดสินใจอย่างชาญฉลาดที่จะไม่ส่งเสียงออกมา ในขณะที่บรรยากาศนั้นเปลี่ยนแปลงออกไปเล็กน้อย
หลังจากที่ขบคิดเงียบ ๆ สักพัก ในขณะที่ลั่วเจี้ยนก็ได้ส่งเสียงทำลายความเงียบ น้องเถี่ยต้า ปัญหานี้เป็นปัญหาระหว่างข้ากับเจียงหยางเซียงเทียน ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องของเรา น้ำเสียงของลั่วเจี้ยนสุภาพมาก เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าถึงแม้จะเถี่ยต้าเป็นสามัญชนชั้นต่ำ แต่สถานะปัจจุบันของเขาไม่ด้อยไปกว่าเขาและมันก็ยังสูงกว่าเขา แม้ว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลลั่ว แต่มันยังเทียบไม่ได้กับเถี่ยต้า
คำพูดของลั่วเจี้ยนทำให้ผู้ชมทุกคนตกใจ มีคนน้อยมากที่จะได้รับการยอมรับจากลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียง และพวกเขารู้ว่าถึงแม้ว่าสถานะของพวกเขาจะไม่สูงนัก พวกเขาทั้งสองมีพรรคพวกสนับสนุนพวกเขามากมาย แต่ตอนนี้ พวกเขาสองคนก็ทำตัวสุภาพต่อเถี่ยต้า ทำให้ผู้คนในหอหนังสือเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เถี่ยต้า … พวกเขาไม่สามารถจินตนาการถึงเบื้องหลังของเถี่ยต้าได้เลย และใบหน้าที่เคยยโสของลั่วเจี้ยนและเฉิงหมิงเซียงเต็มไปด้วยความระมัดระวังและความกลัว
แต่น่าเสียดายที่เถี่ยต้าไม่คิดจะยอมรับข้อเสนอนั้น โดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้า เขากล่าวว่า ข้าได้กล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่า เจียงหยางเซียงเทียนเป็นเสมือนน้องชายของข้า ปัญหาของเขาก็เป็นปัญหาของข้า ถ้าหากจะร้องทุกข์ ก็ให้มาร้องทุกข์ที่ข้า!!
การแสดงออกลั่วเจี้ยนเปลี่ยนไปและแววตาของเขาแสดงให้เห็นถึงความเคร่งเครียด เนื่องจากเถี่ยต้า เขาจึงไม่กล้าที่จะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจไปมากกว่านี้
ในเวลานั้นเอง เฉิงหมิงเซียงมองอย่างดูถูกและเขาจ้องไปที่เถี่ยต้า เขากล่าวเสียงหนักว่า เถี่ยต้า เจ้าต้องการที่จะสอดมือในเรื่องนี้? หลังจากที่ได้รับความทรมานจากเจี้ยนเฉิน เฉิงหมิงเซียงได้เกิดความเกลียดชังเจี้ยนเฉินในจิตใจของเขา สำหรับศิษย์น้องที่ไม่ถึงระดับเซียนแต่กลับทำให้เขาต้องเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก นี่นับว่าเป็นความอัปยศสำหรับอัจฉริยะอย่างเขา ถ้าเขาไม่ได้สะสางปัญหาเช่นนี้แล้ว ในอนาคต เขาคงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขในสำนักนี้
ถูกต้อง ข้าต้องการที่จะมีส่วนร่วม เถี่ยต้าตะโกนกลับ เขาแสดงออกอย่างดุดัน แม้เขาจะรู้ได้อย่างชัดเจนถึงพลังของเฉิงหมิงเซียง เถี่ยต้ายังคงไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว
เจี้ยนเฉินดึงเถี่ยตาและกล่าวว่า เถี่ยต้า นี่เรื่องระหว่างข้ากับเขา เจ้าไม่ควรจะมายุ่งเกี่ยว มิฉะนั้นเจ้าจะมีปัญหามากขึ้น
ตาของเถี่ยต้าเป็นประกายด้วยความโกรธและเขาก็หันไปทางเจี้ยนเฉินพลางมุ่ยหน้า เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าพูดอะไรออกมา เจ้าคิดว่าข้า เถี่ยต้า เป็นคนที่จะต้องกลัวเรื่องแบบนี้หรือ ? เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นเพื่อนของเจ้า?
ได้ยินอย่างนี้แล้วช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะเกิดรู้สึกสงสัย เมื่อเขาและเถี่ยต้าไม่ได้สนิทกันถึงขนาดนั้น? พวกเขาเพิ่งจะได้พบกัน เวลาที่พวกเขาพบกันจริง ๆ ก็เพียงแค่ระหว่างการแข่งขันลูกศิษย์ใหม่ก็เพียงเท่านั้น
ฮ่าฮ่า เถี่ยต้า ในเมื่อเจ้าวอนหาเรื่องเองก็อย่าได้ตำหนิข้า อย่าคิดว่าเจ้าเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่แล้ว ข้าจะไม่กล้าทำร้ายเจ้า ข้าขอทดสอบความสามารถของศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่หน่อยเถอะ
เมื่อได้ยินคำพูดเฉิงหมิงเซียง ส่งผลให้เจี้ยนเฉินรู้สึกตกใจ เขาไม่คิดว่าเถี่ยต้าจะเป็นศิษย์ส่วนตัวของอาจารย์ใหญ่ ถ้าข่าวนี้ถูกแพร่กระจายไปทั่วสำนัก มันจะต้องทำให้ผู้คนบ้าคลั่งเป็นแน่
ขณะนี้เฉิงหมิงเซียงปรากฏกายตรงหน้าของเถี่ยต้า เขาชกหมัดเข้าไปที่หน้าอกของเถี่ยต้า เพราะเถี่ยต้ามีสถานะที่พิเศษ เฉิงหมิงเซียงจึงไม่กล้าที่จะทำร้ายเถี่ยต้า เขาใช้ความแข็งแกร่งเพียงห้าส่วน ในความคิดของเขา แม้ว่าเขาจะใช้พลังเพียงแค่ห้าส่วนแต่มันก็มากพอที่จะล้มคนระดับต่ำกว่าอย่างเถี่ยต้า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของเฉิงหมิงเซียง เถี่ยต้าไม่กล้าที่จะประมาทและใบหน้าของเขาแสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็ง เขาคำรามแล้ว ด้วยแขนข้างขวาของเขาซึ่งดูเหมือนมีความทนทานราวกับเหล็ก เขาไม่เกรงกลัวขณะชกหมัดไปยังเฉิงหมิงเซียงเพื่อต่อสู้
Chaotic Sword God ตอนที่ 28 ปัญหาที่ย่างกราย 2
ในพริบตานั้น ลั่วหยุนและลั่วเจี้ยน ก็มาถึงยังประตูหอหนังสือ ห่างเพียงไม่กี่ก้าวจากประตูใหญ่นั้น เฉินเฟิงซึ่งเป็นคนที่คอยตามดูเจี้ยนเฉินอยู่ ยืนพิงต้นไม้ใหญ่ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังเจี้ยนเฉินอย่างไม่คลาดสายตา เจี้ยนเฉินผู้ซึ่งยังคงอ่านหนังสืออย่างเพลิดเพลินและลืมซึ่งทุกอย่างในบริเวณโดยรอบ
เมื่อเฉินเฟิงสังเกตเห็นลั่วหยุนซึ่งยืนด้านข้างลั่วเจี้ยน ทันใดนั้นเขาก็วิ่งออกมาทันทีและโค้งคำนับให้ลั่วเจี้ยน เขากล่าวด้วยความยกย่องว่า ข้าไม่คิดว่าจะได้พบกับนายน้อยลั่วเจี้ยนที่นี่ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้พบกับท่าน เฉินเฟิงนั้นเต็มไปด้วยท่าทีที่เคารพเป็นอย่างมาก แม้ว่าเขาจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของตระกูล แต่ภายในอาณาจักรเกอซุน เขาก็เพียงแค่คนตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เมื่อเขาเข้าร่วมกับเด็กในตระกูลใหญ่ที่พวกเขากล้ารีดไถเงินจากคนที่อ่อนแอกว่า ด้วยสิ่งนี้ เพราะเขามีความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นกับตระกูลลั่วซึ่งนำเอาประโยชน์มหาศาลมาให้ ถ้าเขาโชคดีเขาอาจจะถูกดึงให้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นภายใต้ความช่วยเหลือของลั่วเจี้ยน อย่างไรก็ตาม ลั่วเจี้ยนก็คือทายาทผู้สืบทอดตระกูล
ลั่วเจี้ยนรู้สึกทะนงตัว ขณะที่เขามองท่าทีเคารพของเฉินเฟิงและโบกมือเล็กน้อย อย่าได้พูดไร้สาระอีกต่อไป เจียงหยางเซียงเทียนอยู่ในหอหนังสือนี้ใช่หรือไม่ ?
ถึงแม้ว่าลั่วเจี้ยนจะไม่มีท่าทางสุภาพอ่อนโยนแม้แต่น้อย เฉินเฟิงก็ยังคงมองด้วยความเคารพที่ไม่น้อยไปกว่าเดิม เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า นั่นเขา เจียงหยางเซียงเทียนยังคงอยู่ในหอหนังสือ
ด้วยท่าทีดูแคลนบนใบหน้าของลั่วเจี้ยน ขณะที่เขาได้รับคำตอบที่ต้องการ เยี่ยม เข้าไปข้างในและเรียกมันออกมาพบข้า ในหอหนังสือมีกฎห้ามต่อสู้กันภายในนั้น และแม้แต่ลั่วเจี้ยนก็ต้องเคารพในกฎนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเขาก็ถือว่ามีอิทธิพลมากทีเดียว
รับทราบ นายน้อยลั่ว ข้าจะเอาตัวเจียงหยางเซียงเทียนออกมาทันที เฉินเฟิงกล่าวขณะที่มันเดินเข้าไปข้างใน
ภายในหอหนังสือ เจี้ยนเฉินสนใจเพียงแค่หนังสือของเขา เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในหอหนังสือนี้ การป้องกันตัวของเขาจะลดลงมากทีเดียว เพราะว่าในหอหนังสือนี้ เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวปัญหาหรือคำถามใด ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะระวังตัว
ขณะที่เจี้ยนเฉินจมลงไปในโลกส่วนตัวของเขา ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงมือของใครบางคนซึ่งแตะที่บริเวณไหล่ของเขา เพราะเช่นนั้น เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือนั้นอย่างไม่เต็มใจ เขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนอยู่ด้วยวยรอยยิ้มที่เย็นชาบนใบหน้า จากความทรงจำของเขา เขาจำได้ว่ามันเป็นหนึ่งในสี่คนที่พยายามที่จะเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเขา
เฉินเฟิงยืนข้าง ๆ ด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีที่เจี้ยนเฉินใกล้จะเคราะห์ร้าย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงแปลก ๆ ว่า เจียงหยางเซียงเทียน ข้าไม่คิดว่าจะเจอเจ้าอีกครั้งเร็วขนาดนี้
นั่นเจ้า ! เจี้ยนเฉินคำรามออกมา โดยปราศจากอารมณ์บนใบหน้า เขากล่าว ถ้าเจ้าต้องการที่จะเรียกเก็บค่าคุ้มครอง เจ้าก็แสดงอุบายของเจ้าออกมา
ดวงตาของเฉินเฟิงเต็มไปด้วยประกายความโกรธ แต่มันไม่กล้าที่จะเข้าใกล้เจี้ยนเฉิน ในหอหนังสือมีกฎที่เข้มงวดและที่สำคัญ มันไม่ใช่คู่มือของเจี้ยนเฉิน
เฉินเฟิงกุมหน้าอกของมัน ขณะที่จ้องอย่างมุ่งร้ายไปที่เจี้ยนเฉิน และกล่าวด้วยเสียงเย็นชา เจียงหยางเซียงเทียน ถึงข้าจะไม่ใช่คู่มือของเจ้า แต่สำนักคากัตแห่งนี้ก็ไม่ใช่สถานที่ซึ่งเจ้าจะมาเที่ยวอาละวาดได้ ถ้าเจ้ามีความกล้าหาญมากพอ ก็จงตามข้าออกมาข้างนอกเสีย มิฉะนั้นก็จงเตรียมที่จะพำนักอยู่ในหอหนังสือไปตลอดชั่วชีวิตของเจ้า หลังจากกล่าวเช่นนี้ เฉินเฟิงก็เดินตรงออกไปนอกหอหนังสือ แต่อย่างไรก็ตาม คำพูดที่เขากล่าวออกมาก็ดึงดูดความสนใจของลูกศิษย์ภายในหอหนังสือ ทันใดนั้นผู้คนมากมายเริ่มเบนความสนใจมายังเจี้ยนเฉินด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน ทั้งริษยา เคารพ และระมัดระวัง
เจี้ยนเฉินปิดหนังสือด้วยอารมณ์ที่เข้าขั้นวิกฤต จากคำพูดของเฉินเฟิง ฟังดูเหมือนว่าเขาคงมีคนหนุนหลังคอยให้ความช่วยเหลือ
ดวงตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกาย ขณะที่เขาเก็บหนังสือเข้าชั้นและจากนั้นเขาก็เดินออกไปจากหอหนังสือ เมื่อมองตรงลงไป แม้ว่าเขาจะรู้ว่าจะคนยืนอยู่ด้านนอก ถ้าเขาไม่ออกมา คนพวกนั้นย่อมคิดว่าเขากลัวพวกมัน ถ้าเจี้ยนเฉินต้องการที่จะอ่านหนังสือในหอหนังสืออย่างสงบสุข เขาจำเป็นต้องเปิดเผยความแข็งแกร่งและทำให้ทุกคนหวาดกลัว มิฉะนั้น คนอื่นอีกมากมายจะต้องสร้างปัญหาให้เขาต่อการมาหอหนังสือเฉกเช่นนี้
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าคนที่อยู่ข้างนอกไม่ได้อ่อนแอ มันก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในระดับเดียวกับกาดิหยุน อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบร่องรอยความหวาดกลัวจากเจี้ยนเฉิน เขามั่นใจว่าถ้าเขาเจอเซียน ด้วยระดับปัจจุบันของเขา ถ้าเขาไม่ชนะเขาก็ไม่มีทางพ่ายแพ้อย่างง่ายดายนัก นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะหรือประสบการณ์ในการต่อสู้ของเจี้ยนเฉินนั้นได้ก้าวไกลเกินใครในสำนัก นอกจากนี้ เขายังเป็นคนผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชนหรือผ่านสถานการณ์เฉียดตายมานับไม่ถ้วน
ทันทีที่เจี้ยนเฉินออกจากหอหนังสือ เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหาเด็กหนุ่ม 3 คนซึ่งยืนอยู่ข้างนอกประตู พวกเขาดูไม่ค่อยแตกต่างกัน จากการที่พวกเขาทั้งหมดสวมเครื่องแบบลูกศิษย์สองคน ในคนกลุ่มนั้นเป็นคนที่เจี้ยนเฉินเคยพบมาก่อนและสามคนมองเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง มันเห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ร้องขอความช่วยเหลือจากสองคนนี้
เห็นเจี้ยนเฉินเดินออกไปจากหอหนังสือ ลั่วหยุนเริ่มหัวเราะอย่างชั่วร้าย เขากระซิบที่ข้างหูลั่วเจี้ยนซึ่งยืนอยู่ข้างมัน นายน้อย มันคือเจียงหยางเซียงเทียน
ลั่วเจี้ยนจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาหยิ่งยโส ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม และเขากล่าวอย่างเย็นชาว่า เจ้าสารเลว นี่เจ้าคือเจียงหยางเซียงเทียน?
เจี้ยนเฉินประเมินระดับของหลิวเจียนจากการสังเกต ลั่วเจี้ยนดูอายุราว ๆ 22-23 ปี และมีใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการ แต่อย่างไรก็ตาม อารมณ์เย่อหยิ่งนั้นก็ปิดไม่มิด
เจ้าเป็นใคร? เจี้ยนเฉินถามกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่แตกต่างกัน น้ำเสียงเขาเย็นชายิ่งนัก
ลั่วหยุนที่ยืนข้าง ๆ ลั่วเจี้ยนตะโกนออกมาว่า กล้าดีอย่างไร เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าต้องมีความกล้าขนาดไหนกันจึงกล้าที่จะใช้น้ำเสียงแบบนั้นคุยกับนายน้อยของตระกูลข้า ? เจ้าอยากโดนไล่ออกจากสำนักเช่นนั้นหรือ ?
เจียงหยางเซียงเทียน รีบขอโทษนายน้อย มิฉะนั้น เจ้าคงไม่อาจอยู่ที่โรงเรียนได้นานแน่ เฉินเฟิงไม่พลาดโอกาสที่จะประจบลั่วเจี้ยน เขาตะโกนโต้ตอบกลับมาที่เจี้ยนเฉินด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
ได้ยินสองคำพูดนั้น ใบหน้านายน้อยของตระกูลลั่ว ลั่วเจี้ยน ก็กลายเป็นหยิ่งทะนงและภาคภูมิใจในตัวเอง
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินยังคึงไม่เปลี่ยนแปลง และค่อย ๆ แสดงท่าทีเยาะเย้ย และเขามองไปที่ทั้งสามคนด้วยความรังเกียจและกล่าวว่า อาศัยคำพูดของเจ้า อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตจะฟังพวกเจ้าทั้งสาม หรือเจ้าต้องการบอกว่าสำนักคากัตแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเจ้า ซึ่งใครก็ตามที่เจ้าต้องการให้ออกก็ต้องออก? พวกเจ้าสามคนช่างกล้าหาญเสียจริง กล้าที่จะดูถูกอาจารย์ใหญ่
ได้ยินคำพูดเจี้ยนเฉิน ใบหน้าของทั้งลั่วหยุนและลั่วเจี้ยนเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที แม้ลั่วเจี้ยนมีตระกูลใหญ่หนุนหลัง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ก่อนที่เขาจะจ้องเจี้ยนเฉินด้วยสายตาของอสรพิษ แม้ว่าเขาจะมีผู้มีอิทธิพลหนุนหลัง ตั้งแต่ลั่วเจี้ยนได้เป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลลั่วที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรเกอซุน แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะแสดงความไม่เคารพใด ๆ ต่ออาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตแห่งนี้ หากคำพูดของเจี้ยนเฉินกระจายไปถึงหูของอาจารย์ใหญ่แล้ว พวกเขาก็จะถูกลงโทษอย่างหนัก ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือพวกเขาจะถูกไล่ออกจากสำนักโดยตรง แม้ว่าลั่วเจี้ยนจะมีปูมหลังที่แข็งแกร่ง แม้ว่าบิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลลั่วและแม้ว่าเขาจะเป็นทายาทผู้สืบทอด เขาก็ไม่มีทางหนีรอดจากผลที่ตามมาได้อย่างแน่นอน สำหรับผลประโยชน์นั้น ตระกูลลั่วของเขายังไม่กล้าที่ทำให้อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตไม่พอใจอย่างเด็ดขาด
ใบหน้าของลั่วเจี้ยนมืดครึ้มขึ้นเรื่อย ๆ เขาจ้องมองเจี้ยนเฉิน เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าช่างยโสนัก ข้าสงสัยนักว่าเจ้ามีคุณสมบัติเช่นไรจึงกล้าเย่อหยิ่งได้เช่นนี้
เจี้ยนเฉินหัวเราะอย่างเหยียดหยาม และตอบว่า เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว แค่บอกว่าทำไมเจ้าถึงมาหาข้า
หลิงเจี้ยนเผยให้เห็นรอยยิ้มราวกับฆาตกร เหตุผลที่ข้ามานั้นง่ายมาก ข้าแค่อยากจะดูว่าใครกันที่เอาชนะเซียนได้เมื่อเร็ว ๆ นี้ แม้ว่ากาดิหยุนจะไม่ใช้อาวุธเซียน เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าช่างน่าน่าพิศวงจริง ๆ ลั่วเจี้ยนหักนิ้วมือของเขาทั้งสองข้าง เสียงดังจากนิ้วของเขา มันชัดเจนแล้วซึ่งความแข็งแกร่ง พลังงานเริ่มแผ่ออกมาจากร่างของมันลงไปที่เจี้ยนเฉิน
ในเวลาเดียวกัน คนที่อ่านหนังสือภายในหอหนังสือทั้งหมดก็เริ่มปิดหนังสือ ทุกคนเริ่มพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นขณะที่พวกเขาดูเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีสนุกสนาน
จากพลังปราณที่ปล่อยออกมา เจี้ยนเฉินไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อยและยังคงยืนตรงเหมือนภูเขาสูงตั้งตระหง่าน ความแข็งแกร่งของลั่วเจี้ยนมากกว่าเจี้ยนเฉินอย่างเห็นได้ชัดและไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ากาดิหยุนเลย แต่มันไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำให้เขากลัว แทนที่จะกลัว จิตวิญญาณในการต่อสู้ของเขากลับเพิ่มมากขึ้น
ทันทีที่เห็นพวกเขาทั้งสองกำลังจะเริ่มสู้กัน คนที่อยู่ด้านหน้าของหอหนังสือเริ่มถอยหนีเพราะพวกเขากลัวที่จะได้รับผลกระทบจากลูกหลงบางอย่าง
เราจะพลาดการต่อสู้ที่น่าสนใจนี้ไปได้อย่างไร? ก่อนที่สองคนจะเริ่มการต่อสู้ เสียงก็ดังขึ้นจากด้านหลัง และชายหนุ่มไม่กี่คนที่สวมชุดลูกศิษย์ก็เดินออกมาจากด้านหลัง
มีทั้งหมดห้าคนที่เพิ่งมาถึง ในหมู่พวกมัน หนึ่งในนั้นเป็นคนจากกลุ่มที่เรียกเก็บค่าคุ้มครองซึ่งเจี้ยนเฉินได้พบก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินไม่รู้จักอีกสี่คน แต่ทุกคนสามารถบอกได้ด้วยการมองเพียงแวบเดียวว่าพวกเขามาจากตระกูลใหญ่ พวกเขาดูเหมือนจะถือตัวและแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดจากระยะไกล
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ดึงความสนใจของเจี้ยนเฉินเป็นชายหนุ่มยืนอยู่ตรงกลางของกลุ่มนั้น เห็นได้ชัดจากสายตาของเขาที่เป็นประกายต่างจากเดิม ซึ่งจากลักษณะของเขา เขาน่าจะอายุประมาณ 20 ปี
นะ นั่น ทุกคน นั่นไม่ใช่นายน้อยเฉิงที่หายตัวไปในปีที่ผ่านมา ? ข้าไม่คิดว่าเขาจะมา .
ถูกต้อง มันคือนายน้อยเฉิงจริง ๆ เขาเป็นอัจฉริยะของสำนักของเรา มันอาจกล่าวได้ว่า ในปีที่ผ่านมา พลังของเขาได้ตัดผ่านเซียนขั้นกลางแล้ว ด้วยพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังของเขา ข้าก็คิดว่าในช่วงปีที่ผ่านมา นายน้อยเฉิงได้ตัดผ่านไปยังเซียนขั้นสูงและจบการศึกษาไป ข้าไม่คิดเลยจริง ๆ ว่าเขาจะมาอยู่ที่ลานแห่งนี้
ข้าแปลกใจถึงระดับพลังในปัจจุบันของนายน้อยเฉิง เป็นไปได้หรือไม่ว่า เขาได้ก้าวถึงเซียนขั้นสูง … .
สามคนที่อยู่ข้างนายน้อยเฉิงเป็นเซียนที่แกร่งนัก ซึ่งสามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้ ไม่น่าเชื่อว่าชนชั้นสูงซึ่งยากที่จะพบเห็นจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ . . . . . . .
เห็นพวกลูกศิษย์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ลูกศิษย์พวกนั้นเริ่มที่จะร้องบอกกันเสียงดัง ทันทีเสียงรบกวนนั้นก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เฉิงหมิงเซียง เจ้ามาได้ถูกเวลาจริง ๆ ถ้าเจ้ามาช้าอีกสักนิด เจ้าจะพลาดฉากที่น่าสนใจนี้ เห็นชายหนุ่มในฝูงชน ลั่วเจี้ยนหยุดท่าทีของเขาและหัวเราะ ในขณะที่เขากล่าวต้อนรับชายคนนั้น จากนั้นเขาก็พยักหน้าไปยังสามลูกศิษย์ที่ติดตามอยู่ด้านหลัง
Chaotic Sword God ตอนที่ 27 ปัญหาที่ย่างกราย (1)
ทันใดนั้น ลูกศิษย์ที่เหลือก็วิ่งไปหาลูกศิษย์สองคนก่อนหน้านี้ที่ร่วงไปกับพื้น ด้วยความห่วงใย เขาถามเด็กหนุ่มที่ใบหน้าซีดเผือดซึ่งถูกเจี้ยนเฉินเตะว่า ลั่วหยุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
ลูกศิษย์ที่มีชื่อว่าลั่วหยุนพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอว่า ข้าคงจะหายเป็นปกติหลังจากบ่มเพาะพลังไม่กี่วัน เขาหันไปอีกทางหนึ่งและถามลูกศิษย์ที่บาดเจ็บด้วยด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า คาร์ล เจ้าสามารถหาข้อมูลภายในสำนักได้เร็วกว่าพวกข้า หาชื่อของเจ้าเด็กเหลือขอ จากนั้นส่งให้นายน้อยเฉิงจัดการมันซะ!
ได้ยินเพื่อนของเขากล่าวเช่นนั้น คาร์ลครุ่นคิดอยู่สองครั้ง ก่อนจะตอบออกไป นั่นจำเป็นด้วยหรือ ข้าคิดว่าข้ารู้ว่าเขาเป็นใคร
ใบหน้าของลูกศิษย์ทั้งสองดีขึ้น เป็นลั่วหยุนที่กล่าวว่า นั่นเป็นเรื่องเยี่ยม คาร์ล แล้วเขาเป็นใคร?
ในการแข่งขันเด็กใหม่ประจำปีในปีนี้ มีผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งที่แข็งแกร่งมากและดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเอาชนะเซียนกาดิหยุนได้ ขณะที่เขาอยู่แค่เพียงระดับแปดของพลังเซียน ข้าคิดว่าเขาต้องเป็นคนผู้นั้นเป็นแน่ ใบหน้าของคาร์ลกลายเป็นมืดครึ้มในขณะที่เขากล่าว
ขณะที่ลูกศิษย์สองคนได้ยินคาร์ลพูด ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที มองไปยังคนอื่น ๆ ลั่วหยุนกล่าวออกมาว่า เขาคือเจียงหยางเซียงเทียนจริงหรือ ?
คาร์ลพยักหน้า มันเป็นไปได้มาก ภายในกลุ่มเด็กใหม่ของลูกศิษย์เหล่านั้น มีเพียงเจียงหยางเซียงเทียนเท่านั้นที่จะสามารถเอาชนะข้าได้ ถ้าเขาคือเจียงหยางเซียงเทียนจริง ๆ ดังนั้นจากการพิจารณา พวกเราย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถ้าเขาสามารถล้มกาดิหยุนได้จริง ๆ แม้ว่ากาดิหยุนจะไม่ใช้อาวุธเซียนก็ตาม นั่นมันก็เพียงพอที่จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าเจียงหยางเซียงเทียนนั้นแข็งแกร่ง
ฮึ่ม แม้ว่าจริง ๆ แล้วเขาคือเจียงหยางเซียงเทียนก็ตาม แต่เขากล้าที่จะขวางทางข้า แน่นอนว่าข้าไม่มีทางปล่อยให้เขามีชีวิตอย่างสงบสุขในสำนักนี้แน่ คนแรกกล่าวออกมาเป็นคนที่ถูกโจมตีโดยเจี้ยนเฉิน
ใบหน้าของลั่วหยุนซีดขาวและเริ่มที่จะส่งเสียงขึ้นจมูกและตะโกนออกมา นั่นมันเยี่ยมไปเลย นายน้อยตระกูลลั่วของเราถามหาข่าวเกี่ยวกับเจียงหยางเซียงเทียนเมื่อเร็ว ๆ นี้ หากเขาได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วละก็ นายน้อยจะต้องมีความสุขแน่ แต่มันน่าเสียดายที่เราไม่ได้รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนมา ใครจะรู้ว่าเขาจะมาปรากฎกายต่อหน้าข้าตอนนี้
ลั่วหยุน เจ้าไปหานายน้อยตระกูลลั่วของเจ้า เฉินเฟิงและข้าจะไปเชิญนายน้อยเฉิงมา ข้ามั่นใจว่าเจียงหยางเซียงเทียนจะต้องกลายมาเป็นศัตรูของนายน้อยเฉิงแน่ คาร์ลคำราม
ดี พวกเราจะต้องได้ในสิ่งที่พวกเราต้องการ แต่ข้าขอแนะนำว่า เราควรส่งใครสักคนไปคอยติดตามสังเกตเจียงหยางเซียงเทียน เนื่องจากสำนักมีขนาดใหญ่ ดังนั้นถ้าเจียงหยางเซียงเทียนเลือกที่จะซ่อนตัว เราจะไม่มีทางค้นหาตัวเขาพบ ลั่วหยุนเสนอ
คาร์ลพยักหน้าก่อนจะหันไปทางเพื่อนของเขาอยู่ข้างหลังเขา เฉินเฟิง เจ้าอยู่ที่นี่และคอยจับตาดูเขาให้ดี ข้าจะไปหานายน้อยเฉิง
ไม่มีปัญหา ! เฉินเฟิงให้คำมั่นอย่างไม่คิดลังเล
หลังจากที่แยกย้ายกันไป เฉินเฟิงเดินตามเจี้ยนเฉินไป ขณะที่ลูกศิษย์ 2 คนที่เหลือค่อย ๆ ถูกพยุงขึ้นมา โดยยังไม่ได้สติกลับมาเสียทีเดียวและออกไปดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมาย
……
ภายในหอหนังสือ เจี้ยนเฉินนั่งลงที่โต๊ะและมีหนังสือสองเล่มวางอยู่ใกล้ ๆ เขาเริ่มต้นที่จะอ่านหนังสือด้วยความกระตือรือร้น
เพราะวันนี้ยังคงเช้าอยู่ หอหนังสือว่างเปล่าและเงียบสงบเป็นอย่างมาก นอกจากเจี้ยนเฉินแล้ว มีเพียงหญิงผู้ดูแลอาคารวัยกลางคน อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น
หญิงผู้นั้นอายุราว ๆ 40 ปีโดยประมาณจากลักษณะทั่วไป เพราะนางไม่มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง แม้ว่านางจะอายุ 50 ปีแล้ว แต่นางก็ยังคงอยู่ที่ระดับหกของพลังเซียน แม้กระทั่งลูกศิษย์ที่อ่อนแอที่สุดในสำนักคากัตก็ยังคงแข็งแกร่งกว่านาง
หญิงผู้นั้นเอียงศีรษะของนางมองท่าทางตั้งใจอ่านของเจี้ยนเฉิน และแม้ว่านางจะไม่ทราบว่าชื่อของเขา แต่นางก็ประทับใจในตัวเจี้ยนเฉิน นอกเหนือจากนั้น ตลอด 3 วัน ที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินยังคงเป็นคนแรกที่มายังหอหนังสือและและมักจะใช้เวลาศึกษาอยู่ในนั้นทั้งวัน บางทีเขาถึงกับไม่ทานอาหารกลางวันเพียงเพื่อที่จะอ่านหนังสือต่อ นางเป็นผู้ดูแลที่สำนักแห่งนี้มานาน แต่เจี้ยนเฉินเป็นลูกศิษย์คนแรกที่นางเห็นว่าขยันหมั่นเพียรมาก
ช่างเป็นเด็กที่ขยันอะไรอย่างนี้ นางพึมพำกับตัวเอง ขณะที่นางก็ทำงานของนางไปเรื่อย ๆ
…….
ในห้องที่มีขนาดใหญ่ มีชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปียืนอยู่ตรงกลางของห้องพร้อมกับปิดตา ท่าทางของเขาดูแปลกนัก นิ่งเหมือนกับท่อนซุง เขายังคงยืนอยู่เช่นนั้นโดยปราศจากการเคลื่อนไหว
ตึง ตึง ตึง!
ในช่วงเวลานั้นเอง ก็มีเสียงเคาะจากบริเวณด้านนอก ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มคนนั้นค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ และมันยังคงเป็นท่าทางที่แปลกประหลาด เขาจ้องไปที่ประตู เจ้าเป็นใคร! เขาตะโกนออกมา
นายน้อย ข้าเอง ลั่วหยุน เสียงนั้นมาจากด้านนอก
เข้ามา! เขากล่าว
ประตูถูกเปิดออก คนที่อายุราว 20 ปี ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่คนของลูกศิษย์ทั้งสี่คนที่พ่ายแพ้ให้กับเจี้ยนเฉิน เขาคือลั่วหยุน
ลั่วหยุนมองท่าทางแปลก ๆ ของชายหนุ่มคนนั้นโดยไม่รู้สึกแปลกใจ ขณะที่มันไม่ได้แปลกไปนัก นั่นเพราะว่าท่าทางอันประหลาดนั้นเป็นทักษะการบ่มเพาะพลังของตระกูลลั่ว
ในทวีปเทียนหยวน มีวิธีการฝึกฝนไม่มากนักที่ถูกบันทึกไว้ บางคนนั่งสมาธิเพื่อบ่มเพาะพลังและคนส่วนน้อยจะใช้ท่าทางอันแปลกประหลาดเพื่อบ่มเพาะพลัง ด้วยการบ่มเพาะพลังนั้น ชี้ชัดว่าเป็นตระกูลหลิวอย่างแน่นอนที่ใช้ร่างกายทำท่าทางอันแปลกประหลาดเพื่อบ่มเพาะพลังให้ได้มากที่สุด
ลั่วหยุนเดินไปที่อีกฝ่ายและหยุดด้วยท่าทีเคารพ นายน้อย เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ท่านให้คนออกตามหาเบาะแสเกี่ยวกับเจียงหยางเซียงเทียน แม้ว่าลั่วหยุนจะยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงภายในตระกูลเขาซึ่งจัดอยู่แถวหน้าของเหล่าเด็กวัยรุ่น เขาก็ยังคงไม่กล้าเย่อหยิ่ง มันเป็นเพราะชายหนุ่มคนนี้คือลั่วเจี้ยนซึ่งเป็นบุตรคนแรกของผู้นำตระกูลลั่ว และเขายังเป็นที่รักยิ่งของผู้นำตระกูลลั่ว เขาถือว่าเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลลั่ว ดังนั้นลั่วหยุนจึงต้องการประจบประแจงเขา
เจ้าพบตัวเจียงหยางเซียงเทียนแล้ว ! เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตาของลั่วเจี้ยนเป็นประกายขึ้นมา เขาสังเกตเห็นใบหน้าขาวซีดของลั่วหยุน ตาของลั่วเจี้ยนก็มองลงไปในเสื้อของลั่วหยุน เห็นรอยช้ำบนหน้าอกของเขา ลั่วเจี้ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงหยิ่งผยองว่า เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ มันคงเป็นเจียงหยางเซียงเทียนที่โจมตีเจ้าให้ได้รับบาดเจ็บ
ใบหน้าของลั่วหยุนเผยประกายโกรธ ขณะที่เขาพูดว่า นายน้อยกล่าวได้ถูกต้อง ข้าเพิ่งเห็นเจียงหยางเซียงเทียน ข้าเชื้อเชิญอย่างสุภาพให้เขามาพบกับนายน้อย แต่เจียงหยางเซียงเทียนกลับอุกอาจและหยิ่งเกินกว่าที่คิดนัก ไม่เพียงแค่นั้น และที่มากไปกว่านั้น เขาไม่เกรงใจนายน้อยเลย เขาบอกว่า … เขาบอกว่านายน้อย … นายน้อย … ลั่วหยุนเริ่มที่จะแสดงท่าทีลังเลออกมา
ลั่วเจี้ยนคำราม อย่าได้มัวแต่ยืนอ้ำอึ้ง เจียงหยางเซียงเทียนพูดอะไรเกี่ยวกับตัวข้า?!
ตาของลั่วหยุนเป็นประกายด้วยความไม่พอใจ ในขณะที่เขาลังเลเป็นครั้งสุดท้ายราวกับรวบรวมความกล้า เจียงหยางเซียงเทียน กล่าวว่า นายน้อยไม่มีค่าพอที่เขาจะต้องเข้ามาพบ !
อะไรนะ! ใบหน้าลั่วเจี้ยนเต็มไปด้วยความโกรธ แม้ว่า ตระกูลหลิวจะไม่ได้มีอิทธิพลอย่างมากในทวีปเทียนหยวน แต่ภายในอาณาจักรเกอซุน พวกเขาเป็นหนึ่งในตระกูลที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ด้วยประวัติศาสตร์ที่มีมากว่า 200 ปีในอาณาจักรเกอซุน จำนวนคนที่จะสามารถเอาชนะพวกเขาได้ก็มีเพียงแค่หยิบมือ เมื่อเขาเป็นถึงทายาทของตระกูลลั่ว ก็อาจกล่าวได้ว่า ลั่วเจี้ยนเป็นชนชั้นสูงที่แม้แต่องค์ชายและองค์หญิงของอาณาจักรยังถูกพิจารณาให้อยู่ระดับเดียวกับเขา เขาไม่คิดว่าในสำนักคากัตนี้จะมีเด็กใหม่ที่หลงตัวเองได้เช่นนี้ ในชีวิตของเขา เขาไม่เคยพบคนที่จะเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา
ลั่วเจี้ยนมีประกายตาที่เย็นชายิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เขาจ้องตรงไปที่ลั่วหยุน มันกล่าวเช่นนี้จริงหรือ ? ยากที่จะปกปิดความโกรธจากคำพูดของลั่วเจี้ยน
เห็นปฏิกิริยาของลั่วเจี้ยน ลั่วหยุนแอบดีใจ ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนสีหน้ากลับมาแบบเดิมและกล่าวว่า ขอรับ นายน้อย สิ่งที่ลั่วหยุนกล่าวเป็นเรื่องจริง ข้าไม่กล้าที่จะโกหกท่าน เจียงหยางเซียงเทียนช่างหยิ่งยโสเกินไปจริง ๆ เขาไม่เคยเห็นความสำคัญของท่านแต่อย่างใดและยังกล้าที่จะพูดด้วยถ้อยคำที่หยิ่งผยองเช่นนั้น ถ้าเราไม่ได้สอนบทเรียนให้มันแล้ว ข้ากลัวว่านายน้อยจะต้องขายขี้หน้าและถูกเยาะเย้ยภายในสำนักนี้
ยิ่งลั่วหยุนกล่าว ความโกรธของลั่วเจี้ยนก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ยืนเช่นนั้น เขาคำราม อยู่ที่ไหน เจียงหยางเซียงเทียน มันอยู่ที่ไหน? ข้าต้องการให้เจ้านำตัวมันมาให้ข้า และถ้ามันไม่เห็นว่าข้ามีค่าพอที่จะเหลียวมอง จากนั้นข้าจะแสดงให้มันดูเอง!!
แน่นอน! ได้โปรดตามข้ามา นายน้อย ลั่วหยุนเดินออกมาจากห้องและพาลั่วเจี้ยนที่เต็มไปด้วยความโกรธ ออกจากห้องไปด้วยกันกับเขา และตรงไปยังหอหนังสือ
ในเวลาเดียวกันภายในห้องหนึ่งของสำนักคากัต คาร์ลซึ่งนำชายอายุ 20 กว่าปีอีกหลายคนตรงมายังหอหนังสือ
ในฐานะที่พวกเขาเดินผ่านสนามกีฬา ศิษย์พี่ไม่กี่คนสังเกตเห็นคนกลุ่มนั้น ด้วยความประหลาดใจ, ความคิดเห็นของพวกเขาได้ยินจากทั่วทุกทิศ
ไฮ้ … คนที่เดินนั้น ไม่ใช่นายน้อยเฉิงหรอกหรือ? เขาไม่ได้ถูกพบเห็นในสำนักแห่งนี้มาหลายปีแล้ว ลมอะไรกันที่หอบเขามาที่นี่ในวันนี้ ? ศิษย์พี่ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอีกคนกล่าวด้วยความประหลาดใจ
ข้าได้ยินมาว่า หลายปีที่ผ่านมา นายน้อยเฉิงได้ก้าวถึงขั้นกลางของระดับเซียน ดังนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้.
นายน้อยเฉิงคืออัจฉริยะของสำนักคากัตอย่างแน่นอน เขาหลอมรวมอาวุธเซียนได้ตอนอายุ 19 ปี และกลายเป็นเซียน เมื่ออายุ 20 ปีเขาก็ก้าวมาถึงขั้นกลางของระดับเซียนได้ปีหนึ่งแล้ว ดังนั้นด้วยพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลัง นายน้อยเฉิงต้องมาถึงขั้นสูงของระดับเซียน
แน่นอน นายน้อยเฉิงเป็นหนึ่งในอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลังของสำนักคากัต อาจารย์ใหญ่ได้กล่าวว่าแม้กระทั่งว่า ก่อนอายุ 23 ปีนายน้อยเฉิงจะต้องกลายเป็น เซียนขั้นสูง
กลายเป็นเซียนระดับสูงด้วยอายุเพียง 23 ปี นายน้อยเฉิงเป็นคนที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง ในขณะที่ศิษย์พี่อีกหลายคนในสำนักคากัตแห่งนี้ยังคงอยู่ที่ระดับสิบของพลังเซียน
ขณะที่คาร์ลเดินไปอย่างช้า ๆ ลูกศิษย์ที่อายุมากก็ยังคงนินทา นายน้อยเฉิงเป็นคนซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในสำนักคากัต ไม่ใช่เพราะภาพลักษณ์ของเขา แต่เป็นการบ่มเพาะพลังที่น่าตื่นตระหนก ภายในทวีปเทียนหยวน เขาอาจจะได้รับการพิจารณาให้เป็นอัจฉริยะฟ้าประทาน และในสำนักคากัต เขาถูกพิจารณาให้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งที่สุด
ขณะนี้เจี้ยนเฉินก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในมืออย่างไม่สนใจอะไร โดยไม่รู้ว่าปัญหากำลังย่างกรายเข้ามา
Chaotic Sword God ตอนที่ 26 ค่าคุ้มครอง
ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้นมา ขณะที่เจี้ยนเฉินเดินข้ามสนามกีฬา มีลูกศิษย์ไม่กี่คนกำลังออกกำลังกายอยู่ เขาชำเลืองมองไปที่ลูกศิษย์เหล่านั้นและเดินต่อไปยังหอหนังสือ ใน 3 วันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินบ่มเพาะพลังเซียนอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีเวลาที่จะไปหอหนังสือเลย ในสายตาของเจี้ยนเฉิน สิ่งเดียวที่น่าดึงดูดใจอย่างแท้จริงในสำนักแห่งนี้ก็คือหอหนังสือ เมื่อมาที่ชั้นเรียนซึ่งถูกสอนโดยอาจารย์ เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าไม่ได้จุดที่น่าสนใจแม้แต่จุดเดียวและเขาเองรู้สึกว่ามันเสียเวลา อาจารย์ไม่ได้มีอะไรมากพอที่จะสอนเขา แต่กับหอหนังสือนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หอหนังสือก็มีประวัติศาสต์ของทุกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบนทวีปเทียนหยวน
เฮ้ นั่น ไม่ใช่ เจียงหยางเซียงเทียน หรือ? ข้าได้ยินเขาเอาชนะเซียนกาดิหยุน ในขณะที่เขามีพลังเซียนเพียงระดับแปดเท่านั้น …
ใช่ นั่นคือเขา! ข้ายังเฝ้าดูเจียงหยางเซียงเทียนต่อสู้ในการแข่งขันลูกศิษย์หน้าใหม่ แต่ข้าไม่มีโอกาสที่จะเห็นเขาต่อสู้กับกาดิหยุน มันเป็นอะไรที่น่าเสียดายจริง ๆ…
ในสนามกีฬา ชายสองคนที่เห็นเจี้ยนเฉิน ชี้เขาจากระยะไกลในขณะที่มองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม
ว้าว เจียงหยางเซียงเทียน เขาฉลาดและแข็งแกร่งมาก สำหรับเขาที่ชนะเซียนกาดิหยุน ในขณะเขาอยู่เพียงระดับแปด เขาคือชายในฝันของข้าจริง ๆ … สาวที่เป็นชนชั้นสูงกลุ่มเล็กร้องออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย
ผู้คนเริ่มรวมตัวกันอยู่บนสนามมากขึ้น เมื่อเจี้ยนเฉินเดินข้ามสนามกีฬา หลายคนโดยรอบเริ่มสังเกตเห็นเขา นับตั้งแต่เขาได้เอาชนะกาดิหยุน สามวันที่ผ่านมาชื่อของเขาได้แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วยามและชื่อเสียงของเขาได้พุ่งสูงขึ้นไปยังจุดที่แม้แต่อาจารย์ของสำนักคากัตยังรู้จักชื่อของเขา
เจี้ยนเฉินเดินข้ามสนามอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังพื้นที่ร่มรื่นซึ่งจะพาเขาไปสู่หอหนังสือ เพราะมีคนไม่มากที่จะไปหอหนังสือ เส้นทางไปสู่หอหนังสือจึงค่อนข้างเงียบสงบ แทบไม่มีสักคนที่อยู่บริเวณนั้น ทั้งหมดที่เจี้ยนเฉินเห็นคือวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติ ขณะที่ลมพัดมาทำให้ใบไม้นับไม่ถ้วนกระจายขึ้นไปในอากาศ จนมีเสียงเสียดสีกันของใบไม้
จากนั้น เงาของคนไม่กี่คนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของเจี้ยนเฉิน มันเป็นกลุ่มคนสี่คนที่หัวเราะและพูดคุยกันระหว่างพวกเขา ในชุดเครื่องแบบลูกศิษย์ของพวกเขาสามารถระบุได้ว่าพวกเขาเป็นลูกศิษย์ของสำนักได้อย่างง่ายดาย
เจี้ยนเฉินไม่ได้ให้ความสนใจใด ๆ กับกลุ่มของลูกศิษย์ด้านหน้าของเขาและเดินผ่านพวกเขา แต่ในขณะที่เขาเพียงแค่เดินข้ามไป กลุ่มลูกศิษย์สี่คนก็หยุดพูดแล้วล้อมรอบเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
เจี้ยนเฉินหยุดมองไปที่ลูกศิษย์ซึ่งล้อมเขาอยู่และตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขาเป็นศิษย์พี่ทั้งหมด ด้วยรอยยิ้มเย็นชาเขาถามว่า ศิษย์พี่ สิ่งนี้หมายความเช่นไร ?
ลูกศิษย์ทั้งสี่ยืนล้อมเจี้ยนเฉินอย่างภาคภูมิใจก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพูดขึ้นมาว่า เจ้าหนู เจ้าดูไม่คุ้นหน้าเลย เจ้าคงเป็นเด็กใหม่ใช่ไหม หนึ่งในคนด้านหน้าของเจี้ยนเฉินยิ้มพร้อมกับจ้องมองเขาอย่างไม่เป็นมิตร
เจี้ยนเฉินไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ ในขณะที่เขาจ้องมองกลับไปยังผู้ที่พูดกับเขา ใบหน้าของเขายิ้มจาง ๆ ถูกต้อง? ข้าเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กใหม่ ศิษย์พี่ต้องการสิ่งใดจากเด็กใหม่เช่นข้าหรือ ?
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ศิษย์พี่ที่อายุมากกว่าก็หัวเราะ ถ้าเจ้าต้องการที่จะอยู่อย่างสงบที่สำนักคากัตแล้ว ดังนั้นจะต้องมีคนคอยคุ้มครอง แต่ถ้าเจ้าต้องการความคุ้มครองของเราแล้วเจ้าจะต้องจ่ายเงินให้เรา เนื่องจากเจ้าเป็นศิษย์น้อง เจ้าก็สมควรจ่ายให้พวกข้าสัก 10 เหรียญม่วง วิธีการนี้จึงนับว่าถูกต้องแล้ว ลูกศิษย์มีรอยยิ้มเชื่อมั่นบนใบหน้าของเขา ในใจของเขา เขาได้ข่มขู่เจี้ยนเฉินที่ตัวเล็ก ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่อ่อนแอจะต้องตกเป็นเบี้ยล่างของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า เขาเป็นคนที่มั่นใจในทักษะการเรียกค่าคุ้มครองของเขาเป็นอย่างมาก เขาได้ใช้ออกมาหลายครั้งทำให้เขามีประสบการณ์มาก หากเขาได้พบกับลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่คิดที่จะใช้มันออกมาเป็นแน่ แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้ดูเหมือนลูกศิษย์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นจึงแน่นอนว่าจะต้องประสบความสำเร็จ ต่อให้ขัดขืนไปก็ไร้ผล
หากเจี้ยนเฉินเป็นเพียงลูกศิษย์สามัญชนแล้ว ลูกศิษย์ทั้งสี่จะไม่กล้ารีดไถค่าคุ้มครองจากเจี้ยนเฉิน ถ้าพวกเขาต้องการที่จะยังคงอยู่ในสำนักนี้ เป็นที่รู้กันดีทั้งหมดของพวกที่อยู่ในสำนักคากัตว่าอาจารย์ใหญ่มักจะเข้าข้างชนชั้นล่างของสำนัก แต่ลูกศิษย์ทั้งสี่คนนี้ได้อาศัยอยู่ในสำนักเป็นครั้งคราวและบางครั้งพวกเขาก็สามารถบอกได้ว่าลูกศิษย์คนไหนเป็นสามัญชนหรือคนไหนเป็นชนชั้นสูง ดังนั้นเมื่อพวกเขาเห็นเจี้ยนเฉิน พวกเขาก็สามารถบอกได้เลยว่าเจี้ยนเฉินเป็นชนชั้นสูงอย่างชัดเจน และพวกเขาจึงกล้าที่จะรีดไถเงินเขา
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนเฉินทำเสียงขึ้นจมูก เขาไม่เคยคิดว่าจะมีคนพยายามที่จะเรียกเก็บค่าคุ้มครองจากเขา
ศิษย์พี่ ข้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก แต่ข้าขอปฏิเสธความคุ้มครองจากท่าน เจี้ยนเฉินกล่าว ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนองอะไร เขาใช้ไหล่ดันผ่านลูกศิษย์กลุ่มนั้นและเดินไปทางหอหนังสืออีกครั้ง
การกระทำของเจี้ยนเฉินทำให้ลูกศิษย์กลุ่มนั้นต้องตกใจ ความคาดหวังของพวกเขาได้หายไปกับเหตุการณ์นี้และคาดไม่ถึงว่าเจี้ยนเฉินจะปฏิเสธการคุ้มครองของพวกเขาออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ลูกศิษย์ทั้งสี่หันไปทางเจี้ยนเฉิน ที่กำลังเดินห่างออกไปจากพวกเขาทันที ประกายตาของพวกเขาอันตราย ลูกศิษย์คนหนึ่งที่โดนดันไหล่ตะโกนออกมา ในขณะที่ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
มารดาเจ้าเถอะ เจ้าเด็กเหลือขอ หยุดอยู่ตรงนั้น ! เขาตะโกนด้วยความโกรธ ก้าวเท้าเข้าไปหาเจียงเฉินทันที เขาผลักเจี้ยนเฉินออกจากทางเดิน ในขณะที่อีก 3 ตามเขามาและล้อมรอบเจี้ยนเฉินอีกครั้ง
เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับข้า เจ้าเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่ ? คนพูดเริ่มที่จะตะโกนออกมาเสียงดัง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปตบใบหน้าเจี้ยนเฉิน
เห็นฝ่ามือที่กำลังจะมาสัมผัสใบหน้าของเขา เจี้ยนเฉินจ้องมันด้วยแววตาที่ว่างเปล่าทันที ก่อนจะกลายเป็นแววตาที่เฉียบคมและประกายตาของเขาสร้างความหนาวลึกลงไป เขายกมือข้างขวาของเขาเองขึ้นเพื่อป้องกันมือที่เข้ามาอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่ลูกศิษย์คนอื่น ๆ จะตอบสนองออกมาได้ทัน หลังจากสกัดกั้นมือของลูกศิษย์ซึ่งมาได้เพียงครึ่งทางก่อนจะปะทะใบหน้าของเขา เจี้ยนเฉินยกเท้าของเขาขึ้นและเตะไปยังหน้าอกของลูกศิษย์คนนั้น ด้วยการหอบเล็ก ๆ ของลูกศิษย์ที่ถูกส่งลอยถอยหลัง ก่อนที่เขาจะล้มลงลงบนพื้นดินอย่างแรง
เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน น่าแปลกใจที่ลูกศิษย์ทั้งสามคน ไม่มีใครสักคนในพวกเขาคิดว่าเป้าหมายที่ง่ายนั้นจะกลายเป็นเช่นนี้ ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนอง เจี้ยนเฉินได้เตะสหายของเขาเช่นนี้
แต่ในไม่ช้า พวกเขาเริ่มที่จะได้สติกลับคืนและเริ่มเหงื่อตก พวกเขาทั้งหมดได้ข้อสรุปโดยไม่จำเป็นต้องมีการปรึกษาหารือระหว่างกันว่าพวกเขาต้องการที่จะจัดการเจี้ยนเฉิน
แม้พวกเขาจะรู้ว่าเจี้ยนเฉินมีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดา แต่พวกเขาเหล่านี้ก็อาละวาดมาทั่วสำนักคากัตอย่างไม่ได้เกรงกลัวใคร แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะแข็งแกร่ง แต่พวกเขาสี่คนร่วมมือกันแล้วยังต้องกลัวอะไรกัน ไม่เพียงแต่เท่านั้น พวกเขายังมีตระกูลใหญ่หนุนหลังอยู่ ย่อมไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องหวาดกลัว ดังนั้นจึงนับได้ว่าพวกเขามีเกราะกำบังที่แข็งแกร่งอยู่ในสำนักแห่งนี้
หลังจากตรวจสอบดูระดับพลังเซียนของพวกมัน เจี้ยนเฉินก็มองพวกเขาอย่างดูถูก ขณะที่ทั้งสามคนเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ ระดับของพลังเซียนก็เผยออกมา พวกเขาสามคนอยู่ราว ๆ ระดับสิบของพลังเซียน
ทั้งสามคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเข้าไป และในพริบตาเดียว พวกเขาอยู่ตรงหน้าของเจี้ยนเฉิน อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่สำคัญ ร่างกายของเจี้ยนเฉินก็หลบหลีกการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่การโจมตีของทั้งสามคนล้มเหลว เจี้ยนเฉินก็ไม่รอให้พวกเขาได้ตั้งตัวและชกหมัดของเขาลงไปที่หน้าผากของลูกศิษย์หนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็วในทันทีโดยไม่มีใครจะสามารถตั้งรับได้ทัน
ปัง!! ทันทีที่ถูกชกเข้าที่หน้าผากลูกศิษย์ก็ล้มลงบนพื้น ในเวลาเดียวกัน ขาขวาเจี้ยนเฉินเตะหนึ่งในลูกศิษย์เข้าที่บริเวณหน้าอก
ใบหน้าของพวกเขาเริ่มมืดครึ้มเพราะพวกเขาไม่ทันจะได้วางแผน พวกเขาตั้งรับอย่างอดทนและเซถอยหลังไม่กี่ก้าวหลังจากรับลูกเตะของเจียงเฉินและตั้งหลักอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผิวพรรณของเขาซีดเซียวหลังจากรับรู้ได้ถึงพลังจำนวนมากที่ซ่อนอยู่ในลูกเตะของเจี้ยนเฉิน ซึ่งมันทำให้อวัยวะของเขาชา นอกจากนี้ พลังเซียนบางๆที่ไหลรอบขาของเจี้ยนเฉินก็ได้ไหลผ่านเข้าโจมตีถึงอวัยวะภายในของพวกเขา
ขณะที่เด็กเหล่านี้เริ่มที่จะตั้งหลักขึ้นมาได้ ขาอีกข้างของเจี้ยนเฉินได้เตะออกอีกครั้ง เห็นเพียงภาพติดตาในอากาศ ขาของเขาเตะเข้าที่หน้าอกของเด็กคนเดิมอีกครั้ง นอกจากนี้ลูกเตะยังลงบนจุดเดิมอย่างไม่ผิดเพี้ยนด้วยท่วงท่าที่สวยงาม
หลังจากที่โดนโจมตีสองครั้งอย่างหนัก การบาดเจ็บนั้นสร้างความทรมานที่ไม่น้อยเลย เมื่อลูกเตะสองครั้งของเจี้ยนเฉินลงบนหน้าอกของลูกศิษย์คนนั้น แม้ว่าเขามีความแข็งแกร่งของพลังเซียนระดับสิบ เขาก็ยังคงได้รับบาดเจ็บร้ายแรง ระลอกคลื่นความเจ็บปวดที่ปล่อยออกมาจากอวัยวะสำคัญภายในร่างกายของเขา เปลี่ยนใบหน้าของเขาให้ซีดขาว ปราณภายในเกิดการติดขัด ทำให้เขาหายใจได้ลำบากมาก ก่อนจะเซถอยกลับและค่อย ๆ ยืนได้อีกครั้ง
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินสามารถส่งเพื่อนที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับตัวเองลงไปกองได้ในพริบตา กลุ่มเด็กหนุ่มนั้นเริ่มหน้าซีด เท้าของเขาที่กำลังจะก้าวไปหาเจี้ยนเฉินก็หยุดลงในทันทีราวกับว่ามีรากงอกออกจากขาของเขา เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นไม่กล้าที่จะเคลื่อนเท้าเข้าไป สายตาที่เต็มไปด้วยความระมัดระวังจ้องมองเจี้ยนเฉินราวกับว่าพวกเขาได้สูญเสียความมั่นใจจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และมันเริ่มที่จะกลายเป็นจริงจัง
เจี้ยนเฉินจ้องมองกลุ่มเด็กหนุ่มอย่างสงบ มุมปากของเขากระตุกขึ้น ส่งเสียงขึ้นจมูก โดยปราศจากคำพูด เขาหันหลังเดินไปทางหอหนังสือ
หลังจากที่เจี้ยนเฉินจากไป เด็กหนุ่มสองคนที่ถูกร่วงไปกองกับพื้น คลานขึ้นมาจากพื้นดินอย่างช้า ๆ ดวงตาที่ราวกับหลุมดำของอสรพิษนั้นจ้องมองด้านหลังของเจี้ยนเฉินอย่างเกลียดชัง หนึ่งของพวกเขาบ่นเสียงต่ำ มันเป็นใคร? กลายเป็นว่าความแข็งแกร่งของพวกเรายังห่างไกลจากมันนัก นี่มันเป็นเด็กใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมในปีนี้จริง ๆ หรือ มันแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
ใครจะสนว่ามันเป็นใคร นับตั้งแต่ที่มันกล้าที่จะล่วงเกินเรา พวกเราก็ไม่สามารถที่จะให้อภัยมันได้ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธ คนอื่นก็เริ่มสาปแช่ง น้ำเสียงของเขาก็ยังค่อนข้างอ่อนแอราวกับกำลังหายใจลำบาก นี่คือผู้ที่ถูกเจี้ยนเฉินเตะถึงสองครั้ง ปัจจุบันอวัยวะภายในของเขาได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง ถ้าความจริงไม่เป็นเพราะเขาแข็งแกร่งแล้วละก็ หลังจากที่ถูกเจี้ยนเฉินเตะ เขาคงไม่สามารถยืนหยัดขึ้นมาเช่นนี้ได้
Chaotic Sword God ตอนที่ 25 สอนพี่ใหญ่
ชั่วพริบตา สามวันก็ผ่านไป ตั้งแต่การต่อสู้ระหว่างกาดิหยุนและเจี้ยนเฉินเกิดขึ้น ทุกคนในสำนักคากัตต่างรู้ดีถึงชื่อของเขา เจียงหยางเซียงเทียน ตอนนี้เขาไม่สามารถที่จะเดินไปไหนโดยไม่ได้ยินชื่อของเขาได้
ในช่วงสามวันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินใช้เวลาทุกเช้าในการสอนพี่ใหญ่ของเขาเกี่ยวกับทักษะการต่อสู้ในถ้ำ นอกจากนั้น เขาใช้เวลาที่เหลือของเขาหมดไปการบ่มเพาะพลัง แกนอสูรระดับสามส่งผลอย่างมากต่ออัตราการบ่มเพาะพลังของเขา เขาต้องการที่จะขึ้นไปถึงระดับสิบอย่างรวดเร็ว และเมื่อนั้นเขาจะได้ตัดผ่านไปยังระดับเซียน
เจี้ยนเฉินรู้สึกสงสัยมากเกี่ยวกับการหลอมรวมอาวุธเซียน แต่คำอธิบายจากหนังสือกล่าวว่า เมื่อเขามีพลังเซียนมากพอ ในช่วงเวลานั้น อาวุธเซียนจะถือกำเนิดขึ้น ในขณะที่มันยังคงอยู่ในร่างกายจนกว่ามันจะมีการเรียกใช้ อาวุธเซียนจะกลายเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งมาก ด้วยการใช้อาวุธเซียน การโจมตีก็จะรุนแรงขึ้นทวีคูณ
อาวุธเซียนก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง ถ้ามันแตกสลาย คนผู้นั้นจะสูญเสียการบ่มเพาะพลังของพวกเขาทั้งหมด ขณะเดียวกันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วย ถ้ามันถูกทำลายมากพอ นั่นก็อาจทำให้ถึงตายได้ แต่อย่างไรก็ตาม อาวุธเซียนนั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก มันจะไม่แตกหักอย่างง่ายดายนัก เว้นแต่ฝ่ายตรงข้ามจะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก
เช้าวันรุ่งขึ้นเจี้ยนเฉินลืมตาขึ้นมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการบ่มเพาะพลังเมื่อคืน หลังจากสามวันของการบ่มเพาะพลังเซียน เจี้ยนเฉินเสริมสร้างความแข็งแกร่งและเขาคาดการณ์ว่า ในเมื่อเขาผ่านไปถึงขั้น 9 ได้ เขาคิดว่าในการทดสอบพลังเซียนที่จะมาถึงนั้น ไม่แน่ว่าเขาอาจจะก้าวขึ้นไปถึงระดับ 10 หรือ ระดับเซียนได้
เจี้ยนเฉินลุกขึ้นจากเตียงของเขา เขาสวมเครื่องแบบอย่างรวดเร็วก่อนที่จะมุ่งหน้าออกจากหอพักของเขา ท้องฟ้ายังคงมืดและนักเรียนส่วนใหญ่ก็ยังคงบ่มเพาะพลังหรือนอนหลับอยู่ สนามกีฬาค่อนข้างเงียบสงบเนื่องจากไม่มีคนอยู่ภายในนั้น เพียงแค่มองไกล ๆ เจี้ยนเฉินเห็นผู้ฝึกฝนอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่คน
ผ่านสนาม เจี้ยนเฉินมุ่งหน้าไปยังถ้ำทันที ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เจี้ยนเฉินจะใช้เวลาทุกเช้าจะสอนพี่ชายของเขาเกี่ยวกับความรู้เกี่ยวกับการต่อสู้ อย่างไรก็ตาม ในโลกของเขาก่อนหน้านั้น เจี้ยนเฉินเป็นคนพเนจรและเป็นผู้เชี่ยวชาญในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ดังนั้นเขาจึงมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างนับไม่ถ้วน ประสบการณ์ในการต่อสู้ของเขาไปไกลเกินกว่าอาจารย์ของสำนักนี้เสียแล้ว หากเปรียบเทียบจริง เจี้ยนเฉินมีคุณสมบัติที่จะไปสอนบรรดาอาจารย์ในสำนักคากัตได้เสียด้วยซ้ำ
เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงที่ถ้ำเขาพบว่าพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ ได้รออยู่ก่อนแล้ว และขณะกำลังนั่งอยู่บนตอไม้ เขาดูไร้จุดหมาย ในขณะที่เขากวาดสายตาไปรอบสภาพแวดล้อมของเขาด้วยความเบื่อหน่าย หลังจากเจี้ยนเฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ทันใดนั้นเขากระโดดขึ้นจากตอต้นไม้และลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น เขากล่าวอย่างมีความสุขว่า น้องสี่ ในที่สุดเจ้าก็มา
เจี้ยนเฉินยิ้ม พี่ใหญ่ ทำไมพี่ถึงได้มาเร็วนัก?
เฮ้ เฮ้ มันเป็นนิสัย แค่เพียงนิสัย น้องสี่ เริ่มในตอนนี้เลย ข้าใช้เวลาทั้งวัน เมื่อวานนี้พยายามที่รวบรวมความคิด นึกถึงพลังงานที่เจ้าได้กล่าวถึงในตอนเช้าของเมื่อวาน แต่ข้าก็ยังไม่สามารถที่จะเข้าใจมัน อธิบายรายละเอียดซ้ำให้พี่ชายของเจ้าฟังอีกครั้งได้หรือไม่ ? เจียงหยางหู่ถามขึ้นมาด้วยท่าทางเขินอาย
แน่นอน ข้าสามารถ เจี้ยนเฉินยิ้มและตอบว่า พี่ใหญ่ ข้าจะบอกท่านในวันพรุ่งนี้ แต่ในวันนี้ข้าเองจะสาธิตให้ท่านดู หลังจากพูดเช่นนี้ เจี้ยนเฉินหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ข้างขาของเขา
พี่ใหญ่ ตั้งใจดูให้ดี จบคำพูดนี้ เจี้ยนเฉินเอากิ่งไม้ที่เบาและตวัดมันเบา ๆ ไปทางต้นไม้เล็ก ๆ ด้วยข้อมือนั้น เมื่อกิ่งไม้เล็กนั้นตัดผ่านต้นไม้เล็ก ๆ มันทะลุผ่านไปราวกับไม่มีอะไรขวางกั้น มันดูเกือบจะเหมือนว่าต้นไม้ขนาดเล็กนั้น แต่เดิมเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
ขณะที่จ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาแปลกใจ เจียงหยางหู่เริ่มที่จะมีข้อสงสัยอย่างใหญ่หลวง ในขณะที่ส่งเสียงพึมพำ ก็ได้ยินเสียงจากต้นไม้ขนาดเล็กนั้นเริ่มต้นที่จะแยกออกเป็นครึ่งหนึ่ง ขาดกลางตั้งแต่ด้านบนลงมา
เจียงหยางหู่เบิกตาของเขากว้างและรีบวิ่งไปทางต้นไม้นั้นทันที เห็นรอยตัดที่เรียบลื่นอย่างน่าประหลาด ราวกับว่ามันถูกฟันด้วยกระบี่ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อย่างแท้จริง มันช่างเหลือเชื่ออย่างแท้จริง ตั้งแต่การตัดต้นไม้อย่างราบรื่นนี้โดยใช้เพียงกิ่งไม้เล็ก ๆ เพียงแค่นั้นก็ตัดผ่านต้นไม้เล็ก ๆ นี้ได้
ทันใดนั้น ตาของเจียงหยางหู่เปลี่ยนไปมองกิ่งไม้ในมือเจี้ยนเฉิน เขาวิ่งไปหยิบมัน เอามันไปอยู่ในมือของเขาก่อนจะมองมันไปรอบ ๆ แต่นั่นไม่สำคัญ เมื่อเขาก็เห็นว่ามันเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ธรรมดาเท่านั้น ในขณะที่เขากวัดแกว่งมันเบา ๆ ไปที่ต้นไม้เพียงด้วยมือของเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ ความสงสัยยิ่งเพิ่มมากขึ้น เขาไม่เข้าใจวิธีการดังกล่าว การที่กิ่งไม้เล็ก ๆ จะสามารถตัดต้นไม้ที่มีกิ่งก้านเท่าข้อมือของเขาลงได้ เขาออกแรงเพิ่มขึ้นและกิ่งไม้นั้นก็หักครึ่ง
น้องสี่ เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร กิ่งไม้ที่อ่อนแอนี้สามารถตัดต้นไม้ขนาดเล็กลงได้อย่างไรกัน? เจียงหยางหู่ถามออกมา ความสงสัยอยู่บนใบหน้าของเขาจนเต็มไปหมด
เจี้ยนเฉินหัวเราะ พี่ใหญ่ เพียงแค่ใช้พลังเซียนก็สามารถทำเช่นนี้ได้ อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นเข็มหรือด้ายเย็บผ้า พวกมันทั้งสองก็สามารถตัดผ่านต้นไม้ได้อย่างง่ายดาย แน่นอนความแข็งแกร่งในปัจจุบันของข้าไม่มากพอที่จะทำอย่างนั้น.
อะไรคือ เข็มหรือด้ายเย็บผ้าก็สามารถตัดผ่านต้นไม้ได้? น้องสี่ เจ้ามีไข้หรือไม่? นี่มันไม่สามารถเป็นไปได้ เจียงหยางหู่ร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาไม่สามารถเชื่อในสิ่งที่เจี้ยนเฉินกล่าวได้ นับตั้งแต่เขาเกิดมา เขาก็ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน นี่มันเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อ
เจี้ยนเฉินยิ้มตั้งแต่เจียงหยางหู่ระเบิดคำพูดของเขาออกมา ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาไม่ได้คาดหวังปฏิกิริยาที่ต่างไปจากนี้ แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้รำคาญที่จะอธิบาย เมื่ออธิบายผ่านไปกว่าค่อนวัน เจียงหยางหู่ก็เริ่มที่จะเข้าใจ
เจี้ยนเฉินหยิบกิ่งไม้อีกอันขึ้นมาจากพื้นดินและกล่าวว่า พี่ใหญ่ ท่านยังคงสงสัยว่า ข้าสามารถใช้กิ่งไม้ตัดผ่านต้นไม้ได้จริงหรือ? ลองดูอีกครั้ง ข้าจะสาธิตให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง
เจียงหยางหู่เงียบไปในขณะที่เขาให้ความสนใจไปยังกิ่งไม้ในมือเจี้ยนเฉิน เขาไม่กล้าที่จะฟุ้งซ่านตอนนี้ เพราะเพียงแค่นั้น มันก็เพียงพอที่จะทำให้เขาพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้
โบกกิ่งไม้ในมือของเขา ตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายอีกครั้งก่อนกิ่งไม้นั่นจะเปลี่ยนรูปทรงไป ทำให้กิ่งไม้นั้นโค้งงอตัวค่อยจะค่อย ๆ ยืดตรง มันบิดงอราวกับมันมีชีวิตขึ้นมา การเคลื่อนไหวของมันคล้ายกับงู มันลอยไปในอากาศอย่างช้า ผู้ที่มองเห็นเท่านั้นที่จะสามารถจะอธิบายได้ว่ามันแปลกประหลาด
ตาของเจียงหยางหู่เบิกกว้างขึ้น จากฉากที่แปลกประหลาดตรงหน้า ในขณะนี้เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เขาได้เห็น ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับเห็นผี เขาไม่อยากจะเชื่อเลย มันเป็นเพียงกิ่งไม้และไม่คาดคิดว่ามันจะเคลื่อนที่ไปได้ด้วยตัวของมันเอง
ตาของเจี้ยนเฉินเริ่มที่จะเปล่งประกายที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะที่เขาร้อง พี่ใหญ่ ดูให้ดี เจี้ยนเฉินคว้ากิ่งไม้นั้นได้อย่างสมบูรณ์ก่อนจะเดินตรงไปยังต้นไม้เล็ก ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ได้รวดเร็วนัก ในความเป็นจริงเรียกได้ว่ามันช้ามาก เคลื่อนไปยังต้นไม้ทีละน้อย เขาสัมผัสกับต้นไม้ กิ่งไม้ซึมผ่านเข้าไปในต้นไม้อย่างช้า ๆ จนกระทั่งมันเสียบลึกผ่านทะลุต้นไม้ไป
เจียงหยางหู่ได้แต่ตกตะลึง ในความเงียบ ขณะที่เขามองไปยังต้นไม้ที่ทะลุผ่าน เขาอ้าปากกว้างชนิดที่ว่าพอจจะยัดไข่ไก่เข้าปากได้เลยทีเดียว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยท่าทีเหลือเชื่อ
น้องสี่ เจ้าทำเช่นนั้นได้อย่างไร? เจียงหยางหู่ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว แม้หัวใจของเขาจะเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงขณะที่สายตาของเขายังคงจับจ้องไปยังต้นไม้
ด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เจี้ยนเฉินตอบว่า พี่ใหญ่ ความจริงแล้วมันไม่ได้ยากที่จะทำเช่นนี้ ตราบใดที่ท่านผสานพลังเซียนของท่านกับกิ่งไม้แล้ว แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ปกติมันก็สามารถเป็นอาวุธที่คมได้ ถ้าหากเราแข็งแกร่งมากพอ กิ่งไม้นั้นก็สามารถตัดผ่านอย่างง่ายดายราวกับใช้กระบี่เหล็ก
ผสานพลังเซียนและกิ่งไม้ … คิ้วของเจียงหยางหู่ขมวดเข้าหากัน ท่ามกลางความสนใจนั้น เขาพึมพำ ทันทีที่เขาคว้ากิ่งไม้บนพื้นและทำตามคำแนะนำของเจี้ยนเฉิน เริ่มที่จะผสานพลังเซียนลงบนกิ่งไม้
ปัง
ในเวลานี้เอง ขณะที่พลังเซียนสัมผัสกับกิ่งไม้ กิ่งไม้นั้นก็ระเบิดออกและแตกออกเป็นชิ้น ๆ กลางอากาศ
พี่ใหญ่ พลังเซียนของท่านรุนแรงมากเกินไป ดังนั้นกิ่งไม้ที่เปราะบางจึงไม่สามารถทนทานได้ นอกจากนี้ท่านยังไม่เชี่ยวชาญในการควบคุมพลังเซียนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โปรดจำไว้ว่า เมื่อท่านผสานพลังเซียนเข้าไปในต้นไม้ ท่านจะต้องเปลี่ยนพลังเซียนให้กลายเป็นพลังงานที่ไม่รุนแรง เจี้ยนเฉินเอ่ยสอน
ได้ยินเช่นนั้น เจียงหยางหู่เต็มไปด้วยปริศนา น้องสี่ มีวิธีอะไรที่สามารถเปลี่ยนพลังเซียนให้กลายเป็นพลังที่อ่อนหยุ่น?
การเปลี่ยนพลังเซียนเป็นพลังงานอ่อนหยุ่น ก็เพียงแค่หนทางต่าง ๆ ที่ใช้มัน พยายามที่จะอธิบายความลึกลับนี้ ต่อไปมันก็ไร้ประโยชน์ ท่านจะเข้าใจด้วยตัวของท่านเอง พี่ใหญ่ เริ่มต้นจากวันนี้ เมื่อใดก็ตามที่พี่มีเวลาว่างลองผสานกิ่งไม้ด้วยพลังเซียนของพี่ วิธีนี้จะเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับพลังเซียน ในอนาคต หากพี่สามารถเข้าถึงระดับที่ข้าแสดงให้พี่เห็นในวันนี้ได้ มันจะเป็นประโยชน์มากต่อการบ่มเพาะพลังของพี่ เจี้ยนเฉินอธิบายราวกับว่าเขาเป็นอาจารย์ที่กำลังสอนลูกศิษย์ของเขา
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินรู้ว่าถ้าเจียงหยางหู่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เขาได้แสดงให้เห็น เพียงแค่พยายามที่จะทำให้กิ่งไม้ที่อ่อนแอนั้นแข็งแกร่งพอที่จะทะลุต้นไม้เล็ก ๆ มันชี้ชัดว่าย่อมไม่อาจสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น นี่คือความลึกลับของพลังเซียน และหากปราศจากการฝึกฝนที่เพียงพอ เจียงหยางหู่ไม่มีทางที่จะสามารถผสานทั้งสองเข้าด้วยกันได้ การที่จะเปลี่ยนกิ่งไม้ธรรมดาให้กลายเป็นกระบี่เหล็กนั้นมันไม่ง่ายเลย การผสานพลังเซียนกับกระบี่เหล็กมันจะง่ายกว่า ขณะที่กระบี่เหล็กจะสามารถรองรับพลังเซียนได้มากกว่า ในขณะที่กิ่งไม้นั้นไม่ และมันต้องอาศัยการควบคุมพลังให้กลายเป็นอ่อนหยุ่น
เจียงหยางหู่พยักหน้าและหลังการทำสมาธิ บางครั้งก็หยิบกิ่งไม้ขึ้นเพื่อลองอีกครั้ง อย่างไรก็ตามโดยไม่มีข้อยกเว้น ทุกครั้งที่เขาได้พยายามมันจะกลับกลายเป็นความล้มเหลว เขาไม่ประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว จนที่สุดแล้วเขาก็ยังไม่สามารถผสานพลังลงไปในกิ่งไม้ได้ ทุกครั้งที่ถ่ายเทพลังลงบนกิ่งไม้นั้น มันจะระเบิด ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทนแรงพลังเซียนของเขาได้
เจี้ยนเฉินยืนอยู่บริเวณด้านข้างและเฝ้าดูการฝึกฝนของเจียงหยางหู่ และในเวลาเดียวกันเขาก็ยังคงที่จะสอนพี่ชายของเขาเป็นระยะ ตลอดจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นมาเหนือกว่าพวกเขา เจี้ยนเฉินก็เพียงแค่เดินออกมา โดยมีเพียงเจียงหยางหู่คนเดียว ในขณะที่เขายังคงพยายามที่โดยไม่หยุด ถัดจากเขาแล้วบนพื้นดินก็มีกองกิ่งไม้ที่หักอยู่จำนวนมาก
Chaotic Sword God ตอนที่ 24 ทักษะ
โดยไม่รู้ตัว เจียงหยางหู่หันไปมองที่ฝูงชนก่อนที่จะพยักหน้าของเขา เอาล่ะ น้องสี่ ไปที่ห้องของเจ้า แน่นอนเจ้าต้องบอกข้าว่าเจ้าเอาชนะกาดิหยุนได้อย่างไร และจากนั้น ในคืนนี้ ข้าจะลากคอเพื่อนสนิทข้ามาฉลองกัน!
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างมีความสุขให้กับพี่ชายของเขา พี่ใหญ่ ข้าสามารถสอนท่านได้ถึงวิธีการที่ข้าเอาชนะกาดิยุน แต่ได้โปรดลืมเรื่องการฉลอง
ได้ ข้าจะฟังเจ้า มาสิ น้องสี่ กลับไปที่หอพักของเจ้า สำหรับที่นี่ มันมีเสียงดังมากเกินไป เจียงหยางหู่ เริ่มต้นที่จะดึงน้องชายของเขากลับไปยังทิศทางของหอพัก
เจียงหยาง เซียงเทียน!
ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะก้าวเดินออกไป น้ำเสียงที่อ่อนโยนและไพเราะร้องเรียกเขา
ได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคย เจี้ยนเฉินรู้สึกว่างเปล่าไปชั่วครู่ ก่อนที่จะหันไปรอบ ๆ มองไปที่ผู้ที่เรียกเขาไว้ เขาจดจำในก้าวเดินของเด็กสาวที่วิ่งเข้ามา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวสวยที่ได้นั่งถัดจากเขาในหอหนังสือก่อนหน้านี้
หือ ? เจี้ยนเฉินถามในขณะที่มองไปที่เด็กสาวคนหนึ่ง ผู้ซึ่งงดงามล่มเมือง
น้ำเสียงของเด็กสาวราวกับกระแสน้ำที่อ่อนโยน นางหัวเราะอย่างมีความสุข นางกางแขนอย่างช้า ๆ เผยให้เห็นกระเป๋าเงินของนาง กล่าวออกมาอย่างมีความสุขว่า เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าทำให้ข้าชนะพนัน 100 เหรียญม่วงนี้ ข้าต้องขอบคุณเจ้าจริง ๆ น้ำเสียงของนางที่นุ่มนวลเป็นพิเศษและยังน่าฟังเป็นอย่างมาก คล้ายกับว่านางจะเป็นนกจาบฝน ซึ่งร้องเพลงในวันที่เงียบสงบ ..
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เจียงหยางหู่ดูเหมือนจะได้ตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่างกะทันหัน เขาตบหน้าผากของเขา ไอหยา !! ข้าจำได้ว่าข้าพนันไปถึง 100 เหรียญม่วง นั่นเป็นเงินที่ข้าเก็บหอมรอบริบมาทั้งหมดและข้ายังไม่ได้ไปรับเงิน น้องสี่ เจ้าล่วงหน้าไปก่อน พี่ใหญ่ของเจ้าจะรีบตามไปหลังจากที่ได้รับเงินแล้ว ! และพร้อมกันนั้นเจียงหยางหู่ได้หายไปราวกับสายลม กลับไปที่ฝูงชนที่ซึ่งวางเดิมพัน
มองไปที่เจียงหยางหู่ที่วิ่งกลับเอาเงินของเขา ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะหัวเราะออกมา ในขณะที่เด็กสาวค่อย ๆ เดินไปหาเจี้ยนเฉิน เพ่งพิศใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็นของนาง สวัสดี! เจียงหยางเซียงเทียน ชื่อของข้าคือโหยวเยว่ ข้ามีคำถามที่จะถามเจ้า?
เจี้ยนเฉินหัวเราะและตอบว่า แม่นางโหยวเยว่ ถ้าเจ้ามีคำถาม เจ้าก็ถามมาได้เลย แต่ข้าไม่สามารถรับประกันเรื่องคำตอบนั้นได้
ไม่ต้องกังวล! โหยวเยว่หัวเราะเบา ๆ ก่อนที่จะถาม เจียงหยางเซียงเทียน ความแข็งแกร่งของเจ้านั้นเพียงแค่ระดับแปดของพลังเซียนจริงหรือ ?
เจี้ยนเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพยักหน้า นั่นถูกต้อง ในขณะนี้ข้าอยู่ในระดับแปดของพลังเซียน แต่ข้ามีความรู้สึกว่าข้าจะสามารถตัดผ่านขึ้นไปถึงระดับเก้าได้ในเร็ว ๆ นี้. .
โหยวเยว่รู้สึกประหลาดใจหลังจากที่ได้ยินคำตอบของเขา นางอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าหมายความว่าจริง ๆแล้วเจ้ายังไม่ถึงระดับเซียน? น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่านางไม่เชื่อเขาแม้แต่น้อย
เมื่อสังเกตเห็นความไม่เชื่อถือในน้ำเสียงของนาง เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วของเขาและได้พูดจาหยอกล้อ แม่นางโหยวเยว่ ดูเหมือนว่าข้าจะตอบคำถามของเจ้าไปแล้ว แม้ว่านางจะเป็นสาวงามล่มเมือง เจี้ยนเฉินก็มองนางไม่ต่างไปกับหญิงสาวทั่วไป
โหยวเยว่โบกมือของนางเป็นการขอโทษในทันที ขณะที่นางหัวเราะ ข้าขอโทษ เจียงหยางเซียงเทียน ข้าเพียงแต่ประหลาดใจเกินไป ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่เก็บสิ่งที่ข้ากล่าวไปครุ่นคิด
เสียงของนางหยุดลง ขณะที่เจียงหยางหู่วิ่งกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่มีความสุขและถุงเงิน เมื่อเขามาถึงข้างเจี้ยนเฉิน เขาก็โยนถุงเงินเล่น ในขณะที่เขากล่าวออกมา น้องสี่ พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นคนที่ชาญฉลาดมาก ในเวลาน้อยกว่าครึ่งชั่วยาม ข้าหาเงินได้ 100 เหรียญม่วง 100 เหรียญม่วงไม่ได้หมายถึงเงินจำนวนเล็กน้อย มันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับสามัญชน และสำหรับผู้ที่มีอันจะกิน มันก็เพียงใช้ซื้ออาหารที่เรียบง่ายไปตลอดชีวิต 100 เหรียญม่วงสามารถเลี้ยงครอบครัวที่มีเพียงสามชีวิตไปได้ชั่วชีวิต
จ้องมองที่ถุงเงินในมือของพี่ชายเขา เจี้ยนเฉินเริ่มเผยอยิ้มและกล่าวว่า แม่นางโหยวเยว่ เมื่อเจ้าไม่มีคำถามอื่น ดังนั้นข้าขอตัวอำลา
โหยวเยว่ส่งยิ้มกลับไปให้เขา นั่นดีแล้ว ข้าไม่รั้งเจ้าอีกต่อไป ข้ายังอ่านหนังสือของข้าไม่จบ ดังนั้นข้าจะย้อนกลับไปยังหอหนังสืออีกครั้ง เจียงหยางเซียงเทียน ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีกในภายหลัง !
ไม่นานหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินนำทางพี่ชายของเขากลับไปที่หอพักของเขาและปิดประตูหลังจากพวกเขาทั้งสองเดินเข้ามาด้านใน ทันใดนั้นเจียงหยางหู่ถามอย่างคนใจร้อน น้องสี่ เจ้าควรจะบอกข้าว่าเจ้าเอาชนะกาดิหยุนได้อย่างไร และเจ้าแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร! หรือแท้จริงเจ้านั้นไม่ใช่พลังเซียนระดับแปด แต่เจ้าคือเซียน ! ในขณะที่เขาพูด ใบหน้าของเจียงหยางหู่ไม่อาจปกปิดความร้อนใจไว้ได้ เขารอคอยคำตอบด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้น
เจี้ยนเฉินส่ายหน้าเบา ๆ ไม่ใช่ พี่ใหญ่ ความแข็งแกร่งของข้านั้นอยู่ไม่ไกลจากระดับเก้า ขณะที่การก้าวสู่ระดับเซียน ข้าเชื่อว่าข้ายังคงห่างไกลจากมันมากนัก
เจียงหยางหู่มองไปที่เขาอย่างมีข้อสงสัย น้องสี่ ถ้าเจ้าบอกว่าเจ้ายังไม่ได้ก้าวถึงระดับเซียน เช่นนั้นแล้วเจ้าเอาชนะกาดิหยุนได้อย่างไร?
เจี้ยนเฉินหัวเราะออกมา แล้วตอบว่า ฮ่า ๆ ข้าเอาชนะกาดิหยุนอย่างไร? พี่ใหญ่ ท่านไม่ได้เห็นการแข่งขันนั้นอย่างชัดเจนหรือ?
ศีรษะของเจียงหยางหู่ก้มลงอย่างหดหู่ ในขณะที่เขาพูดอย่างละอายใจว่า นั่นคือ … เอ้อ … น้องสี่ …ที่จริง ที่จริงแล้วข้าไม่สามารถที่จะเห็นการแข่งขันทั้งหมดอย่างชัดเจน เจ้าช่วยบอกพี่ชายของเจ้าได้หรือไม่ แม้ว่า เจียงหยางหู่ได้เห็นการแข่งขันตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยการมองดูเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่าง เจียงหยางหู่ไม่สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเจี้ยนเฉินรับหมัดของกาดิหยุน และโจมตีกลับด้วยหมัดที่ดูเหมือนจะเป็นเบาโหวง แต่แท้จริงมันยังถึงกับทำให้กาดิหยุนบาดเจ็บสาหัสได้เลยทีเดียว
เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนเตียงของเขา จ้องมองเจียงหยางหู่อย่างใจเย็นและกล่าวว่า พี่ใหญ่ นั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ลูกศิษย์ระดับแปดเช่นข้าสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในระดับเซียนเช่นกาดิยุนได้ ข้านั้นอาศัยทักษะบางอย่างเพื่อเอาชนะ
ทักษะ ? เจียงหยางหู่ร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่แปลกใจเมื่อได้ยินเกี่ยวกับทักษะ เพราะในสำนักแห่งนี้ มีอาจารย์ที่มักจะพูดคุยเกี่ยวกับความรู้เรื่องทักษะส่วนตัวของพวกเขา ในการต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในระดับซึ่งเท่าเทียมกัน จะต้องใช้ทักษะที่แข็งแกร่งอย่างมากเพื่อที่จะชนะ แต่ทักษะนั้นไม่ได้สอนกันง่าย ๆ แม้ว่าพวกเขาจะได้เรียนรู้มัน แต่นั่นรวมถึงเรื่องประสบการณ์ในการต่อสู้และจุดที่ทำให้ทักษะนั้นจะสมบูรณ์ได้นั้นจะต้องหลอมรวมกับรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขา เจียงหยางหู่ได้แต่สับสน ไม่เพียงแต่เจี้ยนเฉินจะอายุน้อยกว่าเขา แต่เขาก็ยังพึ่งมาถึงที่สำนักได้ไม่กี่วัน ช่วยไม่ได้ที่เจียงหยางหู่จะได้แต่ตกใจเมื่อเขาเห็นว่าเจี้ยนเฉินได้เข้าใจทักษะนั้นอย่างถ่องแท้
น้องสี่ เจ้าเรียนรู้ทักษะเช่นนั้นมาจากที่ใดกัน? เจียงหยางหู่ถามออกอย่างสงสัย
เจี้ยนเฉินส่ายหัวด้วยท่าทีเศร้าหมอง พี่ใหญ่ ข้าไม่สามารถบอกท่านได้
เมื่อได้เช่นนั้น เจียงหยางหู่ก็มีสีหน้าเศร้าหมอง แต่สิ่งที่เจี้ยนเฉินได้กล่าวเพิ่มเติมหลังจากนั้นราวกับนำวิญญาณของเขากลับมา พี่ใหญ่ ถ้าท่านอยากจะเรียนรู้ทักษะการต่อสู้นั้น ข้าสามารถสอนท่านได้.
นั่นจริงหรือ? นั่นมันเยี่ยมไปเลย! น้องสี่ เมื่อไหร่ที่เจ้าจะเริ่มสอนข้า? ในตอนนี้เลยหรือไม่ เขาตื่นเต้นที่จะเริ่มต้นและต้องการที่จะเรียนรู้ทักษะที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้ทันที เมื่อเขาได้เรียนรู้ทักษะแล้ว มันก็เป็นไปได้ว่าเขาจะสามารถท้าประลองกับเซียน ผู้ซึ่งสามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้ ด้วยพลังในปัจจุบันของเขา!
เจี้ยนเฉินหัวเราะ พี่ใหญ่ มันจะดีกว่าที่จะเริ่มต้นในวันพรุ่งนี้ ข้าจะรอท่านอยู่ในถ้ำทางทิศตะวันออก ที่อยู่บริเวณด้านนอกของสำนักในเช้าวันพรุ่งนี้
เอาล่ะ น้องสี่ ตกลง! เป็นเช้าวันพรุ่งนี้ที่ถ้ำ เจียงหยางหู่รับปาก แม้ว่าในสำนักจะมีอาจารย์หลายคนที่คอยสั่งสอนในการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้ เขารู้ดีแก่ใจว่าทักษะการต่อสู้ที่ดีที่สุดคือทักษะซึ่งสืบทอดกันมาในตระกูล ทักษะการต่อสู้ที่สอนโดยอาจารย์ที่นี่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้
หลังจากนั้นพี่น้องสองคนคุยกันต่อไป จนที่สุดเจียงหยางหู่ก็จากไป เนื่องจากเจี้ยนเฉินนั้นได้ต่อสู้กับกาดิยุนจนเหนื่อยอ่อนและได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้แกนอสูรระดับสามเพื่อฟื้นฟูความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
เขารู้เพียงเล็กน้อยว่าทั้งสำนักอยู่ในความสับสนวุ่นวายเกี่ยวกับวิธีการที่เจี้ยนเฉินโค่นล้มกาดิหยุน ไม่มีใครในสำนักเคยได้ยินเกี่ยวกับมันและมันก็สร้างความตระหนกตกใจให้กับทั้งบรรดาอาจารย์และลูกศิษย์ ทุกคนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อและเหตุการณ์ขนาดนี้แทบไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ทั้งหมดของสำนักคากัต ไม่มีใครเคยได้ยินว่าเซียน ผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะคนที่ขั้นสูงสุดของระดับสิบได้อย่างง่ายดาย จะถูกโต้กลับด้วยใครบางคนที่อยู่เพียงระดับแปดเท่านั้น แม้ว่าเซียนจะไม่ได้ใช้อาวุธเซียนของพวกแต่เขาก็ยังสามารถเอาชนะผู้ที่อยู่ในระดับเก้าได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เป็นเพียงแค่เด็กใหม่ที่อยู่ในระดับแปดเท่านั้น
ข่าวการต่อสู้ระหว่างเจี้ยนเฉินและกาดิหยุน ในไม่ช้าก็ล่วงรู้เข้าไปถึงหูของอาจารย์ใหญ่
ภายในชั้นกลางของป้อมปราการในสำนักคากัต อาจารย์ใหญ่ครุ่นคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ในขณะที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่เปิดอยู่ ในขณะที่คิ้วของเขาขมวด เขาถามว่า ไป่เอิน สิ่งที่เจ้ากล่าวเป็นความจริงหรือ? เจียงหยางเซียงเทียนเอาชนะเซียนกาดิหยุน ในขณะที่เขาอยู่ในระดับแปดของพลังเซียน? แม้กระทั่งอาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อว่ามันในครั้งแรกและดวงตาของเขาส่องประกายระยิบระยับด้วยความอยากรู้
รองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอิน ยืนยันต่ออาจารย์ใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง โดยเขากล่าวว่า อาจารย์ใหญ่ ข้าได้ยินลูกศิษย์ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ข้าไม่แน่ใจว่ารายละเอียดที่แท้จริงเป็นเช่นไร แต่ตอนนี้ในสำนักสับสนวุ่นวาย ผู้ฝึกตนทุกคนรวมถึงอาจารย์ได้รู้ว่าเจียงหยางเซียงเทียนนั้นเอาชนะกาดิหยุนที่มีระดับสูงขึ้นไป มีข่าวลือออกมาว่ากาดิหยุนไม่ได้ใช้อาวุธเซียนและได้ต่อสู้มือเปล่ากับเจียงหยางเซียงเทียน
อาจารย์ใหญ่ลูบเคราสีขาวยาวของเขา เขาจมอยู่ในความคิด ในเมื่อมีข่าวลือแพร่กระจายในวงกว้าง หากปรากฏว่าเป็นจริง ฮ่า ๆ ดูเหมือนว่าเจียงไป่ได้นำเจ้าหนูที่ดูมีลับลมคมในมา สำหรับเซียนที่ถูกโค่นล้มโดยลูกศิษย์ระดับแปด อย่างไรมันก็ไม่ง่ายนักและแม้ว่าเซียนจะไม่ได้ใช้อาวุธของเขา แต่ความแข็งแกร่งของเขาจะยังคงสูงกว่าผู้ที่อยู่ระดับสิบ ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาในสำนักคากัตนี้ ข้าไม่เคยเห็นผู้ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสามารถเอาชนะได้เลย
อาจารย์ใหญ่ เราควรทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ ไม่ช้าก็เร็ว บรรดาศิษย์พี่ของสำนักจะค้นหาลูกศิษย์ระดับแปด ผู้ชนะเซียน และนั่นจะสร้างความลำบากให้กับเจียงหยางเซียงเทียน ไป่เอินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพ ความเคารพที่ไป่เอินมีต่ออาจารย์ใหญ่นั้นไม่สามารถวัดได้
อาจารย์ใหญ่หันไปทางไป่เอินและโบกมือ ลืมมันเสีย ให้พวกเขาจัดการด้วยตัวเอง ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เราจะไม่สอดมือเข้าไปยุ่ง นอกจากนี้เราควรมีการทดสอบสำหรับพวกเขา ถ้าพวกเขาไม่สามารถผ่านมัน ก็โยนพวกเขาทิ้งไปซะ พวกเขาจะไม่มีทางที่จะเติบโตเป็นนักรบที่ดี
Chaotic Sword God ตอนที่ 23 กลายเป็นโด่งดังเพราะทักษะ
ในขณะที่กาดิหยุนรู้สึกเจ็บปวด เขาพยายามเหวี่ยงแขนอีกข้างไปที่แขนของเจี้ยนเฉิน พร้อมกับพยายามเตะเท้าของเขาไปที่ขาของเจี้ยนเฉิน
แม้ว่าแขนข้างหนึ่งของเขาจะใช้การไม่ได้ แต่กาดิยุนก็ยังพยายามที่จะตอบโต้
แม้จะเป็นฉากที่น่าอัปยศสำหรับกาดิหยุนที่มีประสบการณ์ในการประลอง เขาพยายามที่จะหลบหนีออกจากสถานการณ์ดังกล่าว
เห็นบางสิ่งน่าอัศจรรย์ เมื่อแขนและขาวูบผ่านไปจากสายตา เพราะเจี้ยนเฉินรู้ว่าเขาจะไม่สามารถที่จะใช้การโจมตีโดยตรงบนศีรษะได้ ช่วยไม่ได้ที่เขาต้องปล่อยแขนของกาดิหยุนไป และใช้ย่างก้าวพริบตาเพื่อล่าถอย เขาพยายามที่จะหลบการโจมตีกาดิหยุนและวิ่งวนไปรอบ ๆ ก่อนที่จะใช้พลังเซียนโจมตีเข้าที่หลังของกาดิหยุน
หมายเหตุ TL: ย่างก้าวพริบตาได้กล่าวถึงก่อนหน้านี้ ขณะที่เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเมื่อตอนที่อยู่ในห้องที่คฤหาสถ์เจียงหยาง
ความรู้สึกราวกับมีลมพัดแรงอยู่ข้างหลังเขา กาดิหยุนไม่ลังเลเป็นครั้งที่สองและเบี่ยงหลบเจี้ยนเฉินโดยพลิกตัวไปทางด้านข้าง อย่างไรก็ตาม แม้ในขณะที่เขาหลบ กาดิหยุนก็ต้องประหลาดใจ ไม่ว่าเขาจะเคลื่อนไหวไปที่ใด เขามักจะรู้สึกว่าลมพัดอยู่ด้านหลังของเขาตลอด เขาไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวให้ทันกับการเคลื่อนไหวเจี้ยนเฉินได้
พลั่ก
เมื่อกาดิหยุนก้าวหลบไม่ทันเจี้ยนเฉินที่ทุบมือทั้งสองลง เสียงดังขึ้นขณะที่เขากำลังโดนโจมตีรุนแรง สิ่งนี้ทำให้กาดิหยุนเซถลาไปด้านหน้าถึงสองก้าว แต่ยังดีที่เขาเป็นเซียนซึ่งแข็งแกร่ง เขาพยุงตัวเองทันทีแต่ใบหน้าของเขาได้ซีดเผือด ในขณะที่เขาตระหนักว่าเจี้ยนเฉินได้โจมตีจุดเดียวกันถึง 2 ครั้งด้วยกำปั้นของมัน ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินสามารถเทียบได้กับขั้นสูงสุดของระดับเก้า และแม้ว่ากาดิหยุนจะแข็งแกร่งกว่า แต่เขากลับเป็นคนที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่า ในขณะเดียวกัน เขารู้สึกถึงการรั่วไหลของปราณจากเลือดผ่านร่างกายของเขา ราวกับว่าอวัยวะของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ขณะที่กาดิหยุนกำลังประคองตัวเอง เจี้ยนเฉินก็ได้มาถึงด้านหลังของเขาอีกครั้งและโจมตีเข้าที่ด้านหลังของเขาด้วยมือขวาอีกครั้ง แม้ว่ากำปั้นจะพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว มันเร็วราวกับสายฟ้าและดูเบาราวกับขนนก ทุกคนที่ได้เผชิญหน้ากับเจี้ยนเฉินยอมรับว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินแตกต่างไปจากที่คาดเดานัก
กาดิหยุนหันไปรอบ ๆ ทันที สายตาของเขาดูไม่พอใจและโกรธ สำหรับคนที่แข็งแกร่งเช่นเขาต้องมาทนทุกข์ทรมานมากขนาดนี้จากคนอ่อนแอกว่าเขา เขาคิดว่าแผนการที่เรียบง่ายของเขาในการฉีกหน้าเจี้ยนเฉินนั้น มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด
ฮ่ะ! กาดิหยุนคำรามด้วยความโกรธ มือของเขาเริ่มที่จะเรืองแสงสีทองด้วยพลังเซียน ความเข้มข้นขนาดใหญ่ของพลังเซียนถูกย่อไว้ในมือของเขา ในขณะที่เขาต้องเผชิญกับเจี้ยนเฉิน เขาก็เล็งไปที่หน้าอกของเจี้ยนเฉิน เมื่อเห็นการโจมตีที่เตรียมจะฟาดลงบนหัว เจี้ยนเฉินยกกำปั้นที่ล้อมรอบด้วยแสงที่ดูเหมือนกับกาดิหยุน
สถานการณ์เช่นนี้สำคัญอย่างยิ่งกับการแข่งขันที่ขับเคี่ยวสูสี กำปั้นเจี้ยนเฉินดูเหมือนจะเรืองแสงและดูอ่อนแอ หลังจากที่ปะทะกับกาดิหยุน ทันใดนั้น กาดิหยุนร้องออกมาด้วยเสียงอู้อี้ ในขณะที่มันกระแทกเข้ากับร่างกาย ราวกับร่างนั้นถูกระเบิดเป็นชิ้นๆ เครื่องแบบก็ขาดออกเผยให้เห็นผิวสีขาวจนแม้แต่หญิงสาวก็รู้สึกอิจฉา แต่ชั่วพริบตา ผิวนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นม่วงช้ำหลังจากที่รับแรงระเบิดของกาดิหยุน
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!
หลังจากที่ได้รับแรงระเบิดมาจากกาดิหยุน ใบหน้าเจี้ยนเฉินบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและเริ่มไร้สีเลือดบนใบหน้า การระเบิดนั้นมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ขาของเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันไม่ให้เขาไถลออกไป เหลือเพียงระยะไม่กี่นิ้วห่างจากขอบแท่นประลอง ในขณะนี้นอกเหนือจากใบหน้านั้นของเขา เจี้ยนเฉินดูเหมือนจะไม่มีการบาดเจ็บอื่น ทั้งที่กาดิหยุนใช้พลังเซียนในการโจมตี
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นเพียงระดับแปด แต่เพราะเขาเคยฝึกฝนบัญญัติกระบี่นภาอย่างต่อเนื่องเพื่อบ่มเพาะร่างกายของเขาตั้งแต่เขายังเด็ก ทุกอวัยวะที่เป็นส่วนหนึ่งในร่างกายของเขาจึงมีความแข็งแกร่งในระดับสูงสุด ดังนั้นในขณะที่ด้านนอก มันดูเหมือนว่าร่างกายเจี้ยนเฉินอ่อนแอมาก แต่ความสามารถที่แท้จริงของเขานั้นยากที่จะต่อต้านและได้รับความเสียหาย ซึ่งนั่นทำให้คนดูเต็มไปด้วยความมึนงง แม้ว่ากาดิหยุนเป็นเซียนซึ่งไม่ได้ใช้อาวุธเซียน แต่เขากลับไม่อาจสร้างบาดแผลที่ร้ายแรงให้กับเจี้ยนเฉิน บาดแผลที่รุนแรงที่สุดสำหรับเจี้ยนเฉินนั้นก็เป็นเพียงรอยช้ำเล็ก ๆ
ในขณะที่กาดิหยุนกำลังยืนอยู่ในสถานที่เดียวกัน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวขึ้นด้วยความเจ็บปวดสาหัสเช่นเดียวกับร่างกายของเขาที่เริ่มจะเห็นได้ชัดเจนว่ามันกำลังสั่นระริกจากความรู้สึกเจ็บปวด
ก่อนที่กำปั้นของเจี้ยนเฉินที่ดูเหมือนจะเบาดั่งขนนก แต่เมื่อมันปะทะเข้ากับท้องของเขา มันเกิดความรู้สึกอันแปลกประหลาด พลังนั้นผ่านเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่งทันที ทำให้อาการบาดเจ็บภายในของเขากำเริบขึ้นมา
ใบหน้าของกาดิหยุนกลายเป็นสีเข้มขณะที่เขาใช้พลังเซียน ภายในร่างกายของเขาเริ่มที่จะต่อต้านกับพลังที่เจี้ยนเฉินส่งผ่านเข้าไปภายใน พลังเซียนของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าของเจี้ยนเฉิน พลังแปลกปลอมภายในร่างของเขาถูกขจัดทิ้งอย่างรวดเร็ว แต่ความเสียหายยังคงอยู่ ณ จุดนี้ กาดิหยุนกำลังทุกข์ทรมานจากการบาดเจ็บภายในเป็นอย่างมาก ความเสียหายไม่รุนแรงมาก แต่แน่นอนมันจะส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการต่อสู้อย่างมาก ถ้ามันถูกใช้อีกครั้ง
กาดิหยุนจ้องมองเจี้ยนเฉินที่เงียบสงบด้วยสีหน้าตกใจ เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะถูกโจมตีเช่นนั้น เขาซึ่งเป็นเซียนกลับถูกคนที่มีระดับต่ำกว่าเขาโจมตี แม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้อาวุธเซียน แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ยังคงแข็งแกร่งกว่าผู้คนที่จุดสูงสุดของระดับสิบ นั่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจี้ยนเฉินที่อยู่เพียงระดับแปด
ในที่สุดกาดิหยุนก็ตระหนักว่ามันยากที่จะจัดการกับเจี้ยนเฉิน แต่มันก็สายเกินไปที่จะหยุด ในช่วงของการเผชิญหน้าที่ผ่านมาเขาเข้าใจมาตลอดว่าไม่ต้องใช้อาวุธเซียน เขาหาโอกาสได้ยากมากในการที่จะโจมตีเจี้ยนเฉินและเขาอาจพ่ายแพ้ให้แก่เจี้ยนเฉิน ถ้าเขาใช้อาวุธเซียนแน่นอนว่าเขาจะชนะ แต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องที่ดีนัก นอกจากนี้เขายังได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเขาจะไม่ใช้อาวุธเซียนโจมตีเจี้ยนเฉิน ถ้าเขากลับคำพูดของเขาในตอนนี้ แม้ว่าเขาได้รับชัยชนะแต่ชื่อเสียงของเขาจะตกต่ำลงไปอีก หลังจากที่มีคนจับตามองเป็นจำนวนมาก มันไม่เพียงแต่เขาคือบุตรชายคนโต กาดิหยุน แห่งอาณาจักรเกอซุน เขาไม่อาจเสียหน้าได้ในขณะนี้
กาดิหยุนก็เริ่มจะเห็นผลกระทบจากการกระทำของเขาในขณะนี้ แต่แล้วเจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะพุ่งเข้าปะทะ ด้วยแขนทั้งสองข้างของเขาที่ยื่นออกมาอย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินใช้ทักษะอันแปลกประหลาดที่เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วเกินคาดเดาและทำให้เขาดูราวกับสายฟ้า ในสายตาของกาดิหยุน เจี้ยนเฉินนั้นกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจินตนาการได้
กาดิหยุนป้องกันการโจมตีของเจี้ยนเฉินได้อย่างหวุดหวิด แขนข้างขวาของเขาหลุดจากข้อต่อ และเขาไม่มีเวลาพอที่จะใส่มันกลับเข้าที่ เขาใช้ได้เพียงมือซ้ายของเขาเท่านั้นเพื่อป้องกันการโจมตีของเจี้ยนเฉิน กาดิหยุนออกจากตำแหน่งเดิมของเขาและเริ่มที่จะกลับมาต่อสู้อย่างจริงจังในขณะนี้ เขาไม่อาจดูหมิ่นเจี้ยนเฉินและเริ่มที่จะมองว่าเจี้ยนเฉินเป็นศัตรูในระดับเดียวกัน
ทั้งสองคนยังคงต่อสู้กันอย่างรวดเร็ว ภายในแท่นประลองประลองเริ่มรุนแรงมากขึ้น เจี้ยนเฉินก็ไม่กล้าที่จะออมแรง ความแข็งแกร่งของกาดิหยุนมากกว่าเขา ถ้าเขาพลาด เขาย่อมไม่อาจป้องกันตนเองได้
เจี้ยนเฉินเริ่มโจมตีหนักขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่กาดิหยุนพบว่ามันยากที่จะต้านทานขึ้นมาเรื่อย ๆ เช่นกัน ในสายตาของกาดิหยุนเห็นมือนั้นของเจี้ยนเฉินพุ่งมา ดวงตาของเขาล้าเกินกว่าที่จะแยกความแตกต่างของภาพเคลื่อนไหวของเจี้ยนเฉิน เขาได้แต่พึ่งพาความสามารถในการฟังของเขาเท่านั้นที่จะบอกเวลาและจุดที่เจี้ยนเฉินจะโจมตี
สุดท้ายกาดิหยุนความประมาท และเจี้ยนเฉินโจมตีเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขาอย่างแรง ช่วยไม่ได้ที่กาดิหยุนจะรู้สึกอ่อนล้าลงภายหลัง ในขณะที่เจี้ยนเฉินมีพลังเหลือเฟือในการโจมตี มันราวกับว่ากาดิหยุนติดอยู่ในพายุที่มีความรุนแรงมากซึ่งเขาถูกโจมตีอย่างทารุณจากทุกแง่มุม
ปัง ปัง ปัง!
เจี้ยนเฉินโจมตีกาดิหยุนที่ไหล่ซ้ำ ๆ เป็นการโจมตีที่รุนแรงซึ่งแม้แต่เซียนที่แข็งแกร่งเช่นกาดิหยุน ก็ไม่สามารถทนการโจมตีนั้นได้ เขาถอยร่นอย่างต่อเนื่องและพบว่ามีเลือดไหลออกจากมุมปากของกาดิหยุน
เมื่อเห็นว่ากาดิหยุนถูกผลักไปที่ขอบแท่นประลอง แววตาของเจี้ยนเฉินเป็นประกายอย่างรุนแรง ก่อนจะคำราม เจี้ยนเฉินรวบรวมพลังเซียนไว้ในมือของเขาและและโจมตีเข้าที่หน้าอกอีกครั้ง กำปั้นนี้แข็งแกร่งกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาและขณะที่กำปั้นนั้นปะทะ และส่งกาดิหยุนตกลงจากแท่นประลองลงบนพื้นดินด้านล่าง
เจี้ยนเฉินยืนหอบหายใจอยู่บนแท่นประลอง นับตั้งแต่ที่เขาใช้ความแข็งแรงของเขาอย่างต่อเนื่อง จุดที่เคยเก็บพลังเซียนแทบจะไม่มีพลังหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายของเขา หากกาดิหยุนไม่พ่ายแพ้ที่นี่ในตอนนี้แล้ว เจี้ยนเฉินจะไม่สามารถที่จะรักษาความได้เปรียบของเขาได้เป็นเวลานาน
สนามกีฬากลายเป็นเงียบสงบ ทุกคนจ้องมองมาที่ร่างเพียงร่างเดียวที่ยืนอยู่ด้านบนของแท่นประลอง ในขณะนี้ทุกคนยังคงไม่สามารถที่จะยอมรับได้ มันช่างเกินความคาดเดาของทุกคนและไม่มีใครเคยคิดว่าเจี้ยนเฉินจะชนะเซียน สิ่งสำคัญที่สุดเซียนพ่ายแพ้ในขณะที่เขาดูเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าเซียนนั้นไม่ได้ใช้อาวุธเซียน แต่ผลที่ออกมานี้ก็ช่างน่าประหลาดใจเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด
ขณะนี้ที่สนามประลองเงียบสนิท เงียบเสียจนสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่น มีคนที่ได้ดูกว่า 200 คน แต่ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะกล้าส่งเสียงออกมา
พี่ใหญ่..
เสียงที่ทำให้ความเงียบที่ถูกสะกดไว้สิ้นสุดลงในช่วงที่เกิดเหตุ คือสองพี่น้องกาดิซึ่งรีบเข้าไปหากาดิหยุนที่นอนอยู่บนพื้น
เช่นนี้แล้ว ราวกับทุกคนหลุดออกจากการถูกสะกด ทุกคนรอบแท่นประลองพูดเจื้อยแจ้วเสียงดังด้วยความตื่นเต้นและตกใจอย่างยิ่ง
สวรรค์ ข้าไม่ได้กำลังฝัน เป็นนักเรียนระดับแปดโค่นล้มเซียนได้ นี่คือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของสำนักมาก่อน
นั่นเจียงหยางเซียงเทียนอยู่ระดับแปดจริง ๆ หรือ? แม้แต่คนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับสิบก็ไม่สามารถเอาชนะเซียน ผู้ซึ่งไม่ใช้อาวุธเซียน …
ความแข็งแกร่งของเจียงหยางเซียงเทียนนั้น ไม่น่าเชื่อว่าเขาอยู่เพียงระดับแปดของพลังเซียน ใครจะรู้ บางทีเขาอาจจะสามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้แล้ว มิฉะนั้นเขาจะโค่นล้มศิษย์พี่กาดิหยุน .. ซึ่งเป็นเซียน…
บางที เจียงหยางเซียงเทียนอาจจะใช้วิธีที่น่ารังเกียจบางอย่างเพื่อที่จะเอาชนะ …
เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจที่จะตอบความคิดเห็นใด ๆ และกระโดดลงไปตรงที่พี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ เขามองเห็นท่าทีตกใจอย่างมากของพี่ชาย เจี้ยนเฉินหัวเราะ พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำให้ท่านผิดหวัง ข้าชนะ
เจียงหยางหู่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้นและกอดเจี้ยนเฉินด้วยแขนทั้งสองข้าง น้องสี่ เจ้าเป็นคนที่น่าประหลาดใจเหลือเกิน ! เจ้ามีวิธีจัดการกับกาดิหยุน พี่ใหญ่รู้สึกชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง ! เขากล่าวว่าในขณะที่เขากอดเจี้ยนเฉินในอ้อมกอดราวกับหมีใหญ่
เจี้ยนเฉินยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ดึงตัวเองออกจากอ้อมแขนของพี่ชายของเขา พี่ใหญ่ ที่นี่มีคนมากเกินไปที่จะพูดคุย อย่างแรกพวกเราควรจะออกจากที่นี่ก่อน
Chaotic Sword God ตอนที่ 22 ต่อสู้กับกาดิหยุน
ด้วยกระบี่ในมือของเขา เจียงหยางหู่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม แม้จะรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาเป็นถึงระดับเซียน และมีอาวุธเซียนซึ่งทำให้เขามีพลังเพิ่มมากขึ้น
เจียงหยางหู่ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าจะสู้กับข้าด้วยกระบี่เหล็กธรรมดาได้ ? เจ้าคิดอะไรอยู่ตอนนี้ ข้าจะแสดงให้เห็นถึงพลังของเซียน กาดิหยุนใช้เวลาเพียงไม่นานในการพุ่งตรงไปหาเจียงหยางหู่ หลังจากนั้นในขณะที่เขาถือกระบี่สองมือในมือของเขาราวกับว่ามันไม่หนัก เขาฟันกระบี่ลงมาที่เจียงหยางหู่อย่างฉับพลัน กระบี่ตัดผ่านอากาศไปอย่างรวดเร็ว
เจียงหยางหู่ให้ความสนใจกับอาวุธเซียนของกาดิหยุนและหลบการโจมตีนั้นได้อย่างฉิวเฉียด โดยกระบี่นั้นกรีดเสื้อผ้าของเจียงหยางหู่ขาดเป็นริ้ว ๆ
หลังจากกลายเป็นเซียน ความแข็งแกร่งของกาดิหยุนแข็งเพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้มหาศาล และไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับความแข็งแกร่งของเจียงหยางหู่ที่ซึ่งอยู่ในระดับสิบของพลังเซียนได้ จากการกวัดแกว่งกระบี่เพียงครั้งเดียว เจียงหยางหู่ก็ได้ประจักษ์ถึงอันตรายที่เขากำลังเผชิญอยู่
ฮ่ะ! ผ่านไปอีกครึ่งกระบวนท่า กาดิหยุนไม่ลังเลที่จะฟันกระบี่มาอีกครั้ง ในขณะที่เขาก้าวเข้าระยะประชิดตัวเจียงหยางหู่ ทั้งร่างกายของเขาเริ่มที่จะปล่อยพลังปราณที่แข็งแกร่งมาก กาดิหยุนพยายามโจมตีเจียงหยางหู่ด้วยกระบี่สีทองอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เห็นความแข็งแกร่งของกระบี่ที่ยอดเยี่ยมเล่มนั้น, เจียงหยางหู่ไม่สามารถหลบหลีกการปะทะนั้นได้ ขณะที่กระบี่เหล็กในมือของเขาก็ไม่สามารถที่จะทนต่อพลังที่แข็งแกร่งของอาวุธเซียนได้
กระบี่ใหญ่นั้นรวดเร็วมากและมันรวดเร็วเกินกว่าการคาดเดาของเจียงหยางหู่ เขารู้สึกราวกับกระบี่เล่มใหญ่อยู่เหนือศีรษะของเขา เจียงหยางหู่ไม่ลังเลที่จะกลิ้งหลบมัน ในเวลานี้เขาไม่สามารถรับการโจมตีเช่นนี้ได้
ปัง!
ช่วงเวลาที่เจียงหยางหู่กลิ้งตัวหลบ กระบี่ของกาดิหยุนก็ฝังลึกลงกับพื้นตรงจุดที่เจียงหยางหู่เคยยืนอยู่ ความแข็งแกร่งของพลังงานที่เข้มข้นซึ่งกระบี่สร้างขึ้นมา ทำให้เกิดรอยร้าวลึกลงไปภายในพื้นดินของแท่นประลอง ในขณะที่รอยแตกขนาดเล็กเริ่มต้นที่จะกระจายออกไปในทิศทั้งสี่อย่างน้อย 1 เมตรจากบริเวณที่เกิดผลกระทบ
เจียงหยางหู่ฉวยโอกาสที่กาดิหยุนพยายามดึงกระบี่ของเขาขึ้นมา เขาฟาดกระบี่ของเขาไปที่กาดิหยุน
ฮึ่ม! กาดิยุนส่งเสียงขึ้นทางจมูกเป็นการดูถูก ในขณะที่เขาโบกมือ อาวุธเซียนในมือของเขาเริ่มที่จะเปล่งแสงอันงดงาม ในขณะที่มันกลับเข้ามาในมือของเขาและปะทะกับกระบี่เหล็กของเจียงหยางหู่
เสียงดังและชัดสะท้อนไปทั่วเวที เป็นกระบี่เหล็กที่ปะทะกระบี่สีทองก่อนที่มันจะถูกส่งบินไปข้างหลัง กระบี่หลุดจากมือของเจียงหยางหู่หลังจากการปะทะกัน เจียงหยางหู่ไม่อาจป้องกันตัวเองได้ ปากของเขาก็มีเลือดซึมออกมา แสดงให้เห็นว่ากระบี่นั้นก่อความเสียหายให้กับเขาอย่างไร
เท้าของกาดิหยุนเตะออกมาในทันทีและกระแทกเข้ากับหน้าอกของเจียงหยางหู่ ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับสูงพอที่จะสามารถส่งคนที่แข็งแกร่งอย่างเจียงหยางหู่ให้ลอยย้อนกลับไปและออกจากแท่นประลอง ในขณะที่เขาลอยออกไปในอากาศ เขากระอักเลือดออกมาเป็นจำนวนมาก ใบหน้าของเขาขาวซีดด้วยความตกตะลึง
พี่ใหญ่! เจี้ยนเฉินร้องออกมา ท่าทางของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหัน เขาพุ่งตรงไปหาเจียงหยางหู่ที่ถูกส่งให้ลอยออกมาในอากาศทันที ขณะที่ทุกคนจ้องมองเจียงหยางหู่ที่ลอยค้างในอากาศด้วยท่าทีตกตะลึง เจี้ยนเฉินเคลื่อนกายอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเจียงหยางหู่ที่กำลังจะฟาดลงกับพื้น เจี้ยนเฉินเคลื่อนไหวอยู่ข้างตัวและจับเขาก่อนที่จะตกกระทบกับพื้น
แค่ก ! บนพื้นดิน เจียงหยางหู่เริ่มที่จะไออย่างรุนแรง มีเลือดกระเซ็นออกมาจากปากของเขา ความแข็งแกร่งของเซียนก็ยังห่างไกลจากคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน นี่คือความจริง แม้สำหรับเจียงหยางหู่จะอยู่ระดับสิบแล้วก็ตาม เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสภายใน
พี่ใหญ่ ท่านบาดเจ็บสาหัสหรือไม่? เจี้ยนเฉินพยายามที่จะระงับความโกรธภายในตัวเอง ในขณะที่เขาจ้องมองพี่ชายของเขาด้วยความกังวล
เจียงหยางหู่ส่ายหัวด้วยความโกรธ ในขณะที่เขาคงให้ความสนใจกาดิหยุนที่อยู่บนเวที ข้าสบายดี แต่ข้าไม่คิดว่าหลังจากกาดิหยุนบรรลุถึงระดับเซียนเขาจะแข็งแกร่งมากขนาดนี้ ด้วยอาวุธเซียน ณ ตอนนี้พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คู่ต่อกรของเขา เจียงหยางหู่คำราม ความโกรธของเขาไม่ได้สลายไปทั้งหมด
ข้าขอโทษพี่ใหญ่ ข้าดึงท่านเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ มองไปที่ใบหน้าขาวซีดจากการบาดเจ็บของเจียงหยางหู่ เจี้ยนเฉินรู้สึกผิดจริง ๆ ภายในหัวใจของเขา
ได้ยินคำพูดเหล่านี้ เจียงหยางหู่หันไปรอบ ๆ และมองไปที่เจี้ยนเฉิน เขาขมวดคิ้วด้วยความโกรธและตอบว่า น้องสี่ เหตุใดเจ้าถึงได้กล่าววาจาเช่นนั้น? เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้า ? ใบหน้าของเขาเข้มขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ มันโชคร้ายที่พี่ชายของเจ้าไร้ประโยชน์ จนกระทั่งตอนนี้ ข้ายังไม่สามารถที่จะไปถึงระดับเซียน มิฉะนั้น แน่นอนว่ากาดิหยุนไม่ใช่คู่มือของข้าแน่
คำพูดของเจียงหยางหู่กระทบใจของเจี้ยนเฉิน เขาเงยศีรษะของเขาขึ้นและมองไปที่กาดิหยุน ตาของเขาเริ่มที่จะทอประกายเย็นชาก่อนที่จะจางหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ความรังเกียจในแววตาของเขาไม่ได้หายไป ก่อนจะกลับมามองเจียงหยางหู่ อย่างไรก็ตาม ทันใดนั้นเขาได้พูดด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอ่านออกได้ พี่ใหญ่ ท่านควรพักผ่อนเล็กน้อย ข้าจะแก้แค้นให้กับท่านอย่างแน่นอน. ด้วยคำกล่าวนั้น เจี้ยนเฉินจ้องมองและเดินไปยังแท่นประลอง
ใบหน้าของเจียงหยางหู่เปลี่ยนแปลงทันทีหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น และเขาดึงเจี้ยนเฉิน ไม่มีทาง น้องสี่ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อกรของกาดิหยุน อย่าได้ขึ้นไป
เจี้ยนเฉินยิ้มออกมาอย่างลุแก่โทษและกล่าวว่า พี่ใหญ่ โปรดเชื่อมั่นในตัวข้า. ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นอย่างรุนแรงและเขาปัดมือของเจียงหยางหู่ออก เขากระโจนขึ้นไปบนเวที
สวรรค์ นั่น เขาวางแผนอะไรกัน …
มันดูเหมือนว่าเขาต้องการที่จะท้าทายกาดิหยุน พระเจ้า เขาต้องบ้าไปแล้ว!
เขาเป็นเพียงระดับแปดของพลังเซียน ความคิดที่จะท้าประลองกับเซียนเช่นกาดิหยุน นั่นไม่เท่ากับว่าเขารนหาที่หรือ …
ในขณะที่เจี้ยนเฉินกระโจนเข้าสู่เวที ผู้ชมโดยรอบร้องออกมาอย่างตกตะลึง ไม่มีใครเชื่อว่าเจี้ยนเฉินจะเหมาะสมกับการเป็นคู่ประลองของเซียนเช่นกาดิหยุน
เขา เขาช่างใจร้อนเสียจริง กาดิยุนเป็นเซียนที่เพิ่งชนะคนที่เป็นอยู่จุดสูงสุดของระดับสิบ เขาจะเอาชนะคนเช่นนั้นได้อย่างไรกัน? ภายใต้แท่นประลอง เด็กสาวซึ่งนั่งติดกับเจี้ยนเฉินในห้องสมุดพึมพำ ขณะที่นางเฝ้าดูเขาขึ้นไปบนแท่นประลอง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวล
กาดิหยุนมองดูเจี้ยนเฉินซึ่งกระโดดขึ้นมาอย่างนิ่งงัน แต่เขาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วและหัวเราะเยาะเย้ย คิดอะไรผิดไปหรือไม่? เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าคิดหรือว่าจะต่อกรกับข้าได้ ?! กาดิหยุนไม่เคยคิดว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ; หลังจากที่เขากลายเป็นเซียนที่ทรงพลัง
เจี้ยนเฉินตอบอย่างเย็นชา ผิดหรือที่ข้าคิดว่าข้าสามารถ ?
กาดิหยุนตกตะลึง ก่อนที่จะเริ่มหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย ขณะที่เขายิ้มให้เจี้ยนเฉิน แน่นอน ย่อมได้อย่างแน่นอน ตอนนี้กาดิหยุนคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะฉีกหน้าของเจี้ยนเฉิน ในเมื่อเจี้ยนเฉินได้สร้างความอับอายให้กับน้องสาวของเขา กาดิซิ่วหลีในช่วงที่แข่งขันนักเรียนใหม่ สิ่งนี้ได้สร้างความเกลียดชังให้กับกาดิหยุนและกาดิเหลียงซึ่งรักน้องสาวของพวกเขาเป็นอย่างมาก
เจี้ยนเฉินไม่ได้โจมตีในทันที ในขณะที่เขาเดินไปที่กระบี่ของเจียงหยางหู่ ในขณะที่เขาชั่งน้ำหนักกระบี่ในมือของเขา เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย กระบี่นี้ไม่ได้มีน้ำหนัก 100 ปอนด์ แต่มันก็ใกล้เคียงมากทีเดียว ถ้ามันไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าเจี้ยนเฉินอยู่ที่ระดับแปดของพลังเซียนแล้วล่ะก็ เขาจะไม่สามารถที่จะยกกระบี่นี้ขึ้นมาและใช้มันได้.
ในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ ปกติแล้วเจี้ยนเฉินจะใช้กระบี่ที่มีใบกระบี่กว้างสองนิ้ว ด้วยกระบี่นั้น เขาสร้างชื่อเสียงในฐานะนักกระบี่ของเขาขึ้นมาได้ ด้วยกระบี่สองมือนี้ แต่เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนแขนข้างหนึ่งของเขาถูกผูกไว้ด้านหลังของเขา มันหนักมาทีเดียว เขาจะไม่สามารถที่จะใช้พลังได้อย่างเต็มที่และเพียงแค่แกว่งกระบี่ก็กินพลังงานของเขาไปอย่างมาก มันเป็นความน่าอับอายของกระบี่เล่มนี้ เมื่อเทียบกับกระบี่เล่มอื่น
ด้วยความลังเลเล็กน้อย เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะทิ้งกระบี่ยักษ์และต่อสู้กับกาดิหยุนด้วยมือเปล่า ด้วยวิธีนี้ อย่างน้อยที่สุดเขาจะมีความได้เปรียบในเรื่องความเร็วและความฉลาด
เดินทางมาถึงที่ศูนย์กลางของเวที เจี้ยนเฉินมองไปที่กาดิหยุนด้วยใบหน้าไม่ยินดียินร้าย ในขณะที่เขายืดหมัดของเขา เจ้าลงมือได้เลย ข้าจะสู้กับเจ้าด้วยมือเปล่า
ดวงตาของกาดิหยุนหรี่แคบลงอย่างชัดเจน เจี้ยนเฉินดูถูกเขาโดยการต่อสู้มือเปล่า สำหรับพลังเซียนในระดับแปดต่อสู้กับระดับเซียนโดยปราศจากอาวุธ ในขณะที่เซียนมีอาวุธเซียน มันช่างเป็นความน่าอัปยศสำหรับเซียนมากทีเดียว
ดวงตาของกาดิหยุนทอประกายเย็นชา ขณะที่เขาส่งเสียงขึ้นจมูก เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าหยิ่งยโสมากทีเดียว กระบี่สีทองในมือของเขาเริ่มเลือนหายไปอย่างช้า ๆ ในอากาศ มาสิ ข้าจะสู้กับเจ้าโดยปราศจากอาวุธเช่นกัน เจ้าจะได้พูดว่าข้ารังแกเจ้าไม่ได้
ได้ยินอย่างนี้แล้วเจี้ยนเฉินเผยให้เห็นรอยยิ้มแปลก ๆ โดยไม่พูดอะไร เขาพุ่งเข้าไปปะทะกับกาดิหยุนและรวบรวมพลังเซียนของเขาไว้ที่หมัดและโจมตีไปที่หัวของกาดิหยุน ได้ยินเสียงตัดผ่านอากาศด้วยความเฉียบคม
กาดิหยุนจ้องมองครั้งแรกอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะชกหมัดออกมา หมัดทั้งสองปะทะกันเป็นแสงสีทองไหลออกจากกำปั้นกาดิหยุน เพียงผู้ที่เป็นถึงระดับเซียน จึงจะสามารถใช้พลังเซียนเช่นนี้ได้
ขณะที่ทั้งสองหมัดกำลังจะปะทะกัน กำปั้นเจี้ยนเฉินจู่ ๆ ก็กลายเป็นฝ่ามือหลังจากที่ปะทะกัน มือของเขาดูดซับแรงกระแทกและเปลี่ยนแรงกระแทกให้เบาลงราวกับฟองน้ำ ในขณะที่เขาใช้มวยไทเก็กเพื่อรับหมัดของกาดิหยุนไม่ให้เป็นอันตรายต่อตัวเขา แขนของกาดิหยุนถูกบังคับให้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่แปลก เป็นเจี้ยนเฉินที่บิดมันในทันที ความแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังหมัดของกาดิหยุนเหือดหายไป เป็นเจี้ยนเฉินที่ใช้มือของเขาสับลงที่ข้อต่อแขนของกาดิเหลียง
กัซชา!!
เสียงกระดูกหักดังขึ้นมาให้ได้ยิน ขณะที่เจี้ยนเฉินบิดแขนกาดิหยุนแล้วสับมือลงไป กาดิหยุนร้องอู้อี้และเจ็บปวด ความรู้สึกปวดที่แขนพุ่งขึ้นไปยังสมอง ทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกับคนตาย
หลังจากที่มือของเจี้ยนเฉินบิดแขนข้างหนึ่งของกาดิหยุน เจี้ยนเฉินไม่ได้หยุดการเคลื่อนไหว ทั้งสองแขนของเขาคว้าลงบนแขนข้างนั้นของกาดิหยุนและบิดมันอย่างแรง
อ๊า!
ในจุดนี้ กาดิหยุนไม่อาจกลั้นเสียงร้องได้อีกต่อไป เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดราวกับหมูถูกเชือด เขารู้สึกราวกับว่าแขนของเขาได้หักเป็นสองท่อน นับตั้งแต่เขายังเล็ก เขาไม่เคยรับความเจ็บปวดในระดับนี้และดังนั้นในระยะเวลาสั้น ๆ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยหยาดเหงื่อที่ถูกระบายออกมา
ได้ยินเสียงกรีดร้องดังกล่าว ผู้คนที่จ้องมองอยู่ถึงกับเงียบกริบราวกับคนตาย ทุกคนมองดูเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่เหลือเชื่อที่ไม่น่าเกิดขึ้น สถานการณ์นี้เป็นสิ่งตรงข้ามกับที่ทุกคนคาดคิดว่าจะได้เห็น
เมื่อไหร่กันที่น้องสี่มีฝีมือที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ ? เพียงแค่มอง มันแน่ชัดว่ากาดิหยุนจะต้องทรมานอย่างมากด้วยมือของเจียงหยางเซียงเทียน อย่างไรก็ตามแม้ว่ากาดิหยุนไม่ได้ใช้อาวุธเซียนแต่เขายังคงเป็นเซียน ความแข็งแกร่งของเขาย่อมมากกว่าตัวข้าอย่างแน่นอน เจียงหยางหู่พึมพำกับตัวเอง ในขณะที่เขาเฝ้าดูการประลองด้วยใบหน้าตกตะลึง
Chaotic Sword God ตอนที่ 21 เซียนกาดิหยุน
เห็นการโจมตีของเขาพลาดเป้าหมาย กาดิเหลียงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตาม เขาเปลี่ยนกระบวนท่าทันทีและเหวี่ยงเท้าเตะไปที่เจี้ยนเฉิน
ชั่วพริบตา 10 กระบวนท่าผ่านไปโดยปราศจากการโต้ตอบจากเจี้ยนเฉิน ซึ่งใช้เพียงการก้าวเท้าเพียง 1 ก้าวในการหลบการโจมตีของกาดิเหลียงได้อย่างง่ายดาย แต่ทุกคนที่จ้องมองนั้น เจี้ยนเฉินหลบได้อย่างหวุดหวิด ทำให้คนดูทุกคนรวมทั้งเจียงหยางหู่มีเหงื่อไหลเย็น ขณะที่พวกเขาดูด้วยความวิตกกังวล
การโจมตีของกาดิเหลียงรุนแรงและค่อนข้างรวดเร็ว แต่ใน 10 กระบวนท่า ไม่มีครั้งใดที่จะสัมผัสได้แม้แต่ชายเสื้อของเจี้ยนเฉิน กาดิเหลียงก็เริ่มโกรธมากกว่าที่ใครจะคิด
สุดท้ายเจี้ยนเฉินยกหมัดขึ้นป้องกันหมัดของกาดิเหลียง เจี้ยนเฉินเอ่ยออกมาว่า 10 กระบวนท่าผ่านไป ถึงคราวที่ข้าจะโจมตีบ้างแล้ว โดยไม่รอการตอบกลับ ลูกเตะของเขาพุ่งตรงไปยังกาดิเหลียง
ความเร็วของขาที่สลับกันเตะราวกับจักรผัน มันรวดเร็วมากจนไม่มีเวลาให้กาดิเหลียงหลบ ในเวลานั้นเขาพยายามที่จะยกมือของเขาขึ้นเพื่อป้องกันขาเจี้ยนเฉินที่จะเตะเข้ากับหน้าอกของกาดิเหลียง
ตึ้ง ตึ้ง ตึ้ง!
แรงขาของเจี้ยนเฉินส่งผลให้กาดิเหลียงถึงกับเซแซ่ด ๆ ไปด้านหลัง ในขณะที่กาดิเหลียงพยายามตั้งหลัก เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก แม้ว่าเจี้ยนเฉินเป็นเพียงระดับแปดของพลังเซียน แต่เขาก็แข็งแกร่งเกินกว่าที่กาดิเหลียงคาดคิดไว้ มันเป็นสิ่งที่กาดิเหลียงไม่อาจทานทนได้
ในการต่อสู้ที่ผ่านมาในระหว่างการแข่งขัน กาดิเหลียงไม่เคยประหมัดกับเจี้ยนเฉิน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยเข้าใจขอบเขตความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจี้ยนเฉิน จนกระทั่งได้ต่อสู้กัน กาดิเหลียงจึงได้ตระหนักว่าเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งกว่าที่เขาเห็น ในความเป็นจริง อาศัยความแข็งแกร่งของลูกเตะ ตอนนี้กาดิเหลียงก็เริ่มที่จะสงสัยว่าเจี้ยนเฉินบรรลุพลังเซียนเพียงระดับแปดจริงหรือ?
บางทีเจี้ยนเฉินคงต้องการที่จะจบการต่อสู้ครั้งนี้อย่างรวดเร็ว เพราะเขาไม่ได้ให้เวลากาดิเหลียงได้เอ่ยปากพูดอะไร ก่อนที่เขาจะกระแทกหมัดเข้าไปที่จมูกของกาดิเหลียงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของกาดิเหลียงแข็งกระด้างขณะที่เขาถอยหลัง ร่างกายทั้งหมดของเขาพยายามที่ต้านทานหมัดของเจี้ยนเฉิน ก่อนที่เขาจะพยายามที่จะชกหมัดสวนกลับไปที่หัวของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินหัวเราะเสียงเย็นชา ก่อนที่จะปิดกั้นหมัดนั้นด้วยมือของเขาเอง เขาคว้าเข้าที่ไหล่ของกาดิเหลียงด้วยมืออีกข้างของเขาราวกับกุมบังเหียนม้า เขาจับกาดิเหลียงแน่นด้วยมือข้างขวา ก่อนจะเขาใช้แรงบางส่วนทุ่มกาดิเหลียงให้ลอยออกไป
ในชีวิตของเขาก่อนหน้า เจี้ยนเฉินได้เรียนรู้ทักษะมวยปล้ำจากแถบมองโกล เขาจึงค่อนข้างเชี่ยวชาญมวยปล้ำ เขาเคยใช้วิธีการเช่นนี้มาหลายครั้งและประสบการณ์นั้นก็ฝังแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา เจี้ยนเฉินได้เรียนรู้ทักษะที่แตกต่างอื่น ๆ อีกมากมาย มากกว่าแค่เพียงเพลงกระบี่และเชี่ยวชาญมากพอที่นำมาคิดต่อยอดจากเดิม
ร่างกายของกาดิเหลียงราวกับขนนกในขณะที่บินผ่านอากาศไป ต้องขอบคุณเจี้ยนเฉิน เขาบินไปแค่ 4-5 เมตรในอากาศก่อนที่จะตกจากแท่นประลอง
ฟิ้ววว..
เขาเห็นเจี้ยนเฉินดูเหมือนจะอ่อนแอ แต่เจี้ยนเฉินกลับจัดการกาเหลียงได้สำเร็จ ด้วยท่าทางที่ดูอ่อนแอของเขา ในทำนองเดียวกัน ผู้ชมรอบแท่นประลองต่างพากันอ้าปากค้างด้วยความตกใจ พวกเขาเริ่มที่จะประเมินและเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเจี้ยนเฉินใหม่ เห็นผลการต่อสู้ของทั้งสองที่มันออกมาเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครสักคนที่จะกล้าดูถูกเจี้ยนเฉินอีกต่อไปในอนาคต
ใบหน้าของกาดิหยุนและกาดิซิ่วหลี ทั้งสองค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด สถานการณ์เช่นนี้ห่างไกลจากความคาดคิดของพวกเขานัก
ไฮ้ ! เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าก็เพียงแค่อาศัยทักษะเล็กน้อย กาดิหยุนพูดด้วยเสียงต่ำ ในขณะที่กัดฟันแน่น
กาดิเหลียงลุกขึ้นยืนอย่างน่าสงสารบนสนามประลอง เขาแหงนใบหน้ามองไปยังด้านบน เขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต
อ่า! กาดิเหลียงคำราม รวมพลังเซียนระดับเก้าที่บริเวณใจกลางของสองฝ่ามือของเขา เขารีบโจมตีเจี้ยนเฉิน ด้วยแรงของแขนทั้งสองข้าง โจมตีเข้าไปยังทรวงอกของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินทำเสียงขึ้นจมูก และในขณะที่เขารวบรวมพลังเซียนลงบนฝ่ามือของเขาเช่นกัน เขาก็ผลักมือเขาให้พุ่งตรงไปยังกาดิเหลียง ภายหลังจากการปะทะกันของมือทั้งสอง
เพ้ง
ขณะที่มีเสียงสะท้อนออกมา เจี้ยนเฉินและกาดิเหลียงก็หยุดชะงักไป หมัดของพวกเขาได้กระแทกอย่างหนัก จนกลายเป็นคลื่นพลังผลักพวกเขาถอยหลัง
เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นั่น ขาของเขาเริ่มที่จะพร่ามัว ในขณะที่เขาใช้ทักษะเคลื่อนไหวเพื่อที่จะโจมตีอย่างรวดเร็ว มองดูกาดิเหลียงที่กำลังล่าถอย ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินเคลื่อนตัวไปทางด้านหน้าและกระโดดขึ้นมาจากพื้นดิน ทั้งสองขาของเขาเตะไปที่กาดิเหลียง
ก่อนที่กาดิเหลียงจะตั้งหลักได้มั่นคงเช่นเดิม เขาก็ไม่สามารถที่จะต้านการโจมตีนั้นได้ ขณะที่เขาถูกเจี้ยนเฉินเตะเข้าที่ท้อง เขาก็ถูกส่งให้ถลาไปอีกครั้ง
พึ่บบ! ใบหน้ากาดิเหลียงกระแทกพื้นและเปลี่ยนเป็นซีดขาวจากความเจ็บปวด ในขณะที่เขาเริ่มกระอักเลือดออกมา เขาเริ่มจะได้รับบาดเจ็บสาหัส
น้องรอง !
พี่รอง !
กาดิหยุนและกาดิซิ่วหลีวิ่งขึ้นไปที่ด้านข้างของกาดิเหลียงบนพื้นดิน พยุงตัวเขาขึ้นมา ใบหน้าของพวกเขาเหยเกและมองไปยังกาดิเหลียงด้วยความกังวล หลังจากที่พวกเขาเห็นเลือดหยดเล็ก ๆ ไหลออกจากมุมปากของกาดิเหลียง
น้องรอง เจ้าสบายดีอยู่หรือไม่ ? กาดิหยุนถาม ใบหน้าของเขาค่อนข้างน่าเกลียด แม้จะเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างจากครั้งสุดท้าย ตั้งแต่กาดิเหลียงประมาทในการแข่งขันครั้งแรกกับเจี้ยนเฉิน แต่ครั้งที่สองนี้มีความแตกต่าง คราวนี้กาดิเหลียงได้ต่อสู้กับเจี้ยนเฉิน เขาได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของเขา ซึ่งเป็นความแข็งแกร่งกว่าแปดส่วนของพลังเซียนระดับเก้า
พี่รอง ท่านเป็นอย่างไร เจ็บมากหรือไม่? กาดิซิ่วหลีถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวล
กาดิเหลียงได้ถูกช่วยพยุงให้ยืนขึ้นโดยพี่น้องของเขา เขาสั่นศีรษะเบา ๆ เขากล่าวว่า พี่ใหญ่ น้องสาม ข้าสบายดี ข้าเพียงแค่ทรมานจากความเจ็บปวดเล็กน้อยเท่านั้น แต่แม้ในขณะที่เขากล่าวต่อสองพี่น้อง ซึ่งหากสังเกตจะเห็นถึงความอ่อนแรงในน้ำเสียงของเขา
มองไปที่ใบหน้าขาวซีดของกาดิเหลียง กาดิหยุนเพิ่มความโกรธขึ้นไปอีก เขาเงยหน้ามองขึ้นไปหาเจี้ยนเฉิน เขาคำรามออกมา น้องสาม เจ้าดูแลน้องรอง ข้าจะไปสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กยโสนั่น ! เขาผละออกจากพี่น้องของเขาขึ้นไปบนแท่นประลองเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับเจี้ยนเฉิน
พี่ใหญ่ ท่านไม่ควร …
พี่ใหญ่ ท่านไม่สามารถ …
กาดิเหลียงและกาดิซิ่วหลีพยายามที่จะขัดขวางเขา แต่น่าเสียดายที่พวกเขาห้ามไม่ทัน สองพี่น้องถอนหายใจ ไม่ว่ากาดิหยุนชนะหรือแพ้ ตอนนี้ตระกูลกาดินั้นก็ได้สูญเสียศักดิ์ศรีบางอย่างภายในสำนักนี้ เดิมควรเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม ดังนั้นหากพวกเขาได้พ่ายแพ้ แต่พวกเขาก็จะไม่รู้สึกว่ามีผลเสียไปมากกว่าการที่จะเสียหน้าไป แต่ตอนนี้กาดิหยุนกำลังจะไปต่อสู้ ซึ่งสถานการณ์ทั้งหมดนั้นแตกต่างกันออกไป ถ้ามีข่าวว่าน้องใหม่โดนรังแกจากศิษย์พี่บางคนทันทีหลังจากที่เข้ามาในสำนักได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักแล้ว พี่น้องสามคนจะถูกเยาะเย้ยและถูกหัวเราะเยาะคนทั้งสำนัก
เจี้ยนเฉินจ้องมองกาดิหยุน ในขณะที่เขากระโจนขึ้นไปบนแท่นประลองและพูดด้วยเสียงขึ้นจมูก เจ้ามาที่นี่เพื่อล้างแค้นให้กับน้องชายของเจ้าเช่นนั้นหรือ ?
เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความโกรธพร้อมกล่าวว่า เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าแข็งแกร่งจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าได้ทำร้ายน้องชายของข้า ดังนั้นข้าจะไม่ยอมให้เจ้าออกจากที่แห่งนี้ไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บแน่
ผู้คนบริเวณรอบแท่นประลองพากันนิ่วหน้าหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของเขา พวกเขาเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อกาดิหยุน
กาดิหยุน หมายความว่าอย่างไร หรือเจ้าคิดจะวางแผนระรานตระกูลเจียงหยางจนกระทั่งไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา เสียงทุ้มดังขึ้น ก่อนจะมีอีกคนเดินเข้าสู้สนามประลอง หันไปรอบ ๆ เจี้ยนเฉินรู้สึกผ่อนคลาย หลังจากที่เห็นว่าเป็นใคร มันคือพี่ชายคนโตของเขา เจียงหยางหู่
เจียงหยางหู่จ้องที่กาดิหยุนด้วยสายตาดุดัน กาดิหยุน ถ้าเจ้าต้องการที่จะต่อสู้ เจ้าคงต้องสู้กับข้าก่อนเป็นอันดับแรก
เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าคลื่นของความอบอุ่นห้อมล้อมร่างกายของเขา ในขณะที่เขาได้ฟังพี่ชายของเขา หันกลับมองขึ้นไป พี่ใหญ่ ท่านควรลงไป ข้าสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวข้าเอง
เจียงหยางหู่ส่ายหน้าเป็นคำตอบ นั่นไม่สามารถทำได้ น้องสี่ เจ้าควรลงไป ความแข็งแกร่งของกาดิหยุนนั้นอยู่ที่ขั้นสูงสุดของพลังเซียน เจ้าจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้น จงปล่อยให้พี่ใหญ่จัดการเถอะ
หลังจากลังเลเล็กน้อยจากคำพูดเหล่านี้ เจี้ยนเฉินพยักหน้า พี่ใหญ่ ท่านจงระวังให้มาก หลังจากพูด เจี้ยนเฉินเดินออกลงจากแท่นประลอง
กาดิหยุนยิ้มเยาะ ในขณะที่เขามองเจี้ยนเฉินที่ออกจากแท่นประลองอย่างดูถูก เจียงหยางหู่, เจ้ารนหาที่ดังนั้นอย่าได้ต่อว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น
ฮึ่ม เจ้ากำลังจะพูดว่าสายเกินไป ผู้ใดเป็นผู้ชนะและผู้แพ้นั้นเป็นสิ่งที่ยังไม่ตัดสิน เจียงหยางหู่ตอบ เขาและกาดิหยุนได้ก้าวถึงขั้นสูงสุดของพลังเซียน ดังนั้นหากกาดิหยุนไม่สามารถสร้างอาวุธเซียนได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขาย่อมเท่ากัน
กาดิหยุนเยาะเย้ยขณะที่เขามองเจียงหยางหู่อย่างดูหมิ่น เขายกแขนข้างขวาของเขาขึ้น กระแสขนาดใหญ่สีทองของพลังงานเริ่มรวมกันที่จุดบนแขนข้างขวาของเขาและรวมตัวเป็นกระบี่สีทองที่ยอดเยี่ยม กระบี่สีทองมีขนาดใหญ่มากและวัดความยาวได้ประมาณ 5 ฟุตและมันกว้างเท่าฝ่ามือ ตัดสินจากความยาวของด้ามกระบี่ในมือทั้งสองของเขา
มองไปที่กาดิหยุนซึ่งคว้ากระบี่ด้วยมือทั้งสอง คิ้วเจี้ยนเฉินขมวดมุ่นด้วยความกังวล เขาได้อ่านเกี่ยวกับอาวุธเซียนที่คฤหาสน์เจียงหยาง ซึ่งสามารถมองออกได้อย่างง่ายดายว่านั่นคืออาวุธเซียนของกาดิหยุน นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นตั้งแต่ที่เขามายังโลกใหม่ใบนี้ เขาเข้าใจเกี่ยวกับอาวุธเซียนมานานแล้ว เพียงแค่พึ่งเคยเห็นมันด้วยตาของตัวเอง ช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะรู้สึกประหลาดใจ เขาเริ่มคิดเกี่ยวกับการหลอมรวมพลังเซียนเป็นอาวุธเซียน นี่ทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกตื่นเต้นมาก
ขณะที่กระบี่สีทองมันคือกระบี่สองมือ ซึ่งเมื่อปรากฏออกมา ทุกคนต่างร้องด้วยความประหลาดใจและชื่นชม
อาวุธเซียน เขาสามารถหลอมรวมมันได้ … .
ดังนั้น แสดงว่าเขาตัดผ่านไปยังเซียน…
กาดิหยุนกลายเป็นเซียน เจียงหยางหู่ประสบปัญหาแล้วในตอนนี้ …
ระยะห่างระหว่างพลังเซียนระดับสิบกับเซียนนั้นนับว่าไม่ห่างไกล แต่มันก็ยังคงยากมากที่จะก้าวข้ามมัน ภายในสำนักคากัตมีศิษย์พี่จำนวนมากที่ก้าวมาถึงระดับสิบแต่ไม่อาจหลอมรวมพลังเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนได้ ถ้าหากไม่ได้มีพรสวรรค์มากกว่าคนปกติแล้วมันจะเป็นเรื่องยากมากสำหรับพวกเขาที่จะประสบความสำเร็จ ภายในทวีปเทียนหยวน มันก็ไม่ยากที่จะเห็นผู้ฝึกตนอีกมากมายที่จะติดอยู่ที่ระดับสิบจนสิ้นอายุขัยของพวกเขาโดยไม่อาจกลายเป็นเซียน จากสิ่งนี้ เห็นได้ว่าการเป็นเซียนนับว่าประสบความสำเร็จได้ยากอย่างแท้จริง
นอกจากนี้ การตัดผ่านกลายเป็นเซียน ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นเป็นมาก อาวุธเซียนไม่ได้เป็นอาวุธเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังสามารถใช้ความรู้สึกของพวกเขาในการออกคำสั่งโจมตี ซึ่งมันไกลเกินกว่าที่คนปกติจะทำได้
เมื่อมองไปที่กระบี่สีทองของกาดิหยุน ใบหน้าของเจียงหยางหู่กลายเป็นน่าเกลียดมาก ตอนนี้กาดิหยุนมีอาวุธเซียน ความแข็งแกร่งของเขาสามารถพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์ได้ แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ในระดับสิบไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
พี่ใหญ่ สามารถหลอมรวมอาวุธเซียนได้จริง ๆ ! ด้านล่างแท่นประลอง กาดิ ซิ่วหลี ประหลาดใจ ขณะที่นางเฝ้าดูกาดิหยุนที่มีคลื่นพลังของอาวุธเซียนล้อมรอบอยู่
กาดิเหลียงมีความอิจฉาบนใบหน้าของเขาในขณะที่เขาจ้องมองมาที่อาวุธเซียน แต่เขาก็ประหลาดใจมาก พี่น้องทั้งสองไม่ได้ตระหนักว่า พี่ใหญ่ของพวกเขามาถึงระดับเซียนในเวลานี้
ด้วยการถืออาวุธเซียน ความเชื่อมั่นของกาดิหยุนได้เพิ่มขึ้นไปอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะที่ใบหน้าเจียงหยางหู่มืดครึ้มลงอย่างช้า ๆ ใบหน้ากาดิหยุนเปลี่ยนเป็นยโส กาดิหยุนรู้สึกว่าในหัวใจของเขาสุขเกินกว่าจะพรรณนา
ฮ่า ๆ ๆ ๆ , เจียงหยางหู่, ตอนนี้เจ้ากลัวหรือไม่ ถ้าหากเจ้าคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับข้า 3 ครั้ง และเรียกข้าว่าผู้อาวุโส ข้าจะยอมละเว้นเจ้า ถ้าหากเจ้าไม่ทำ … ฮึ่ม เจ้าจะรู้ว่าผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร กาดิยุนหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยน้ำเสียงที่โหดร้าย..
ใบหน้าของเจียงหยางหู่ซีดเผือด ในขณะที่เขาได้ฟังความต้องการของกาดิหยุน เขาคำรามตอบว่า กาดิหยุน เจ้าฝันไปเถอะ! แม้ว่าเจ้าจะเป็นเซียนในตอนนี้ ข้า เจียงหยางหู่ก็ไม่มีวันที่จะยอมก้มหัวให้เจ้า
กาดิหยุนมองเจียงหยางหู่อย่างหยิ่งผยองและกล่าวว่า เจียงหยางหู่ เจ้าจะใช้สิ่งใดในการต่อสู้กับข้า ?
เจียงหยางหู่จ้องกาดิหยุนอย่างโกรธแค้น
เจียงหยางหู่ นั่นกระบี่เจ้า!
ในขณะเดียวกัน กระบี่ลอยออกมาจากผู้ชมด้านล่างแท่นประลอง
เจียงหยางหู่คว้ากระบี่เหล็กในขณะย่อตัวลง กระบี่นั้นดูไม่ได้เบาเลยและก็มีขนาดค่อนข้างยาว กระบี่สีเงินที่มีประกายออกมาสี่ทิศทางและลักษณะภายนอก นั่นคือความแตกต่างเล็กน้อยระหว่างกระบี่ของกาดิเหลียงและกระบี่ของเจียงหยางหู่
Chaotic Sword God ตอนที่ 20 การท้าประลอง
เจี้ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกฉุนเฉียวจากความเย่อหยิ่งของกาดิเหลียง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกาดิเหลียงด้วยความรังเกียจ เจี้ยนเฉินกล่าว ก่อนหน้านี้ เจ้าพ่ายแพ้ให้กับข้า นั่นจึงทำให้เจ้ามาท้าประลองกับข้าในยามนี้ แม้แต่ในตอนนี้ น้ำเสียงในการพูดของเจี้ยนเฉินก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ซึ่งในช่วงชีวิตก่อนหน้าของเขา มันเป็นนิสัยบางอย่างที่ก่อให้เกิดเรื่องร้ายตามมา
ได้ยินคำกล่าวของเจี้ยนเฉิน ใบหน้ากาดิเหลียงเปลี่ยนไปเป็นซีดขาว แววตาของเขาทอประกายความโกรธ แต่เขาไม่กล้าที่จะระเบิดอารมณ์ออกมา หากไม่เป็นเพราะกฏของหอหนังสือ เขาคงจะโจมตีเจี้ยนเฉินไปนานแล้ว
แม้แต่กาดิซิ่วหลีผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างกายของพี่ชายของนางก็ยังเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ขณะที่นางจ้องมองเจี้ยนเฉิน นางเริ่มพูดเย้ยหยันออกมา หืม เจ้าไม่ยอมรับคำท้าของพี่ชายข้า เจ้าเป็นผู้ชายประเภทไหนกัน ?
ได้ยินกาดิซิ่วหลีกล่าวเช่นนี้ ดวงตาของกาดิเหลียงเป็นประกายและเริ่มกล่าวท้าทาย นั่นถูกต้องแล้ว ไม่ยอมรับการประลอง หากคนอื่นทราบจะว่าอย่างไร เจียงหยางเซียงเทียน ข้าจะรอเจ้าที่สนามประลอง หากเจ้าไม่มา เจ้ามันก็แค่ไอ้คนขี้ขลาด น้องสาม ไปที่สนามประลอง ! หลังจากพูดจบ กาดิเหลียงจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉิน ก่อนจะเดินหันหลังออกไปจากหอหนังสือ
หืมม์ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้ามาก็ดี ถ้าเจ้าไม่มาข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนขี้ขลาด ! กาดิซิ่วหลีร้องบอก ขณะที่นางเดินตามพี่ชายของนาง
เจียงหยางเซียงเทียน นั่นไม่ใช่ผู้คุมกฏคนใหม่จากงานประลองนั่นหรอกหรือ?
ดูเหมือนจะใช่ ข้าได้ยินมาว่าเจียงหยางเซียงเทียนนั้นอยู่ระดับแปด แต่กลับล้มลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าได้ นี่มันน่าประหลาดใจมาก
หลังจากที่กาดิซิ่วหลีออกไป ภายในหอหนังสือเริ่มที่จะจ้องมองและแสดงความคิดเห็นกันด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ ทุกคนเริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้คุมกฎคนใหม่ เจียงหยางเซียงเทียน
แม้แต่เด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับเจี้ยนเฉิน นางก็ยังเหลือบมองเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ดวงตาของนางกระพริบเล็กน้อยอย่างรวดเร็ว และมันชัดเจนว่านางไม่ได้คาดคิดว่าเจี้ยนเฉิน คือผู้คุมกฎคนใหม่
เจี้ยนเฉินจับหนังสือไว้แน่น ด้วยใบหน้าของเขาที่ดูหงุดหงิด หลังจากที่สองพี่น้องจากตระกูลกาดิมารบกวนเขา เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะอ่านหนังสืออีกต่อไป เพราะเจี้ยนเฉินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบรับการประลองหลังจากมีประเด็นขึ้นมา มิฉะนั้นคนภายในสำนักนี้จะมองเขาอย่างไร แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่สนใจเกี่ยวกับชื่อเสียงของเขา แต่อย่างไรเขาก็คือหนึ่งในสมาชิกของตระกูลเจียงหยาง เนื่องจากพี่ใหญ่ไม่ได้อยู่บริเวณนี้ เขาจะต้องเริ่มการประลองด้วยตัวของเขาเองเพื่อทำให้มั่นใจว่าตระกูลเจียงหยางจะไม่ถูกดูแคลนเอาได้ ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินไม่ได้ต้องการให้เจียงหยางหู่ถูกเยาะเย้ยว่ามีน้องชายขี้ขลาด
เจี้ยนเฉินลุกขึ้นยืนช้า ๆ เขารวมรวบหนังสือที่เขาหยิบมาอ่านและเดินกลับไปยังชั้นหนังสือเพื่อเก็บหนังสือกลับเข้าชั้น หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากหอหนังสือ
เฮ้ เจียงหยางเซียงเทียน ขณะที่เจี้ยนเฉินก้าวถึงประตูของหอหนังสือ เด็กสาวผู้ซึ่งนั่งตรงข้ามเอ่ยเรียกเขา
เจี้ยนเฉินหันกลับมาด้วยความประหลาดใจ เขามองหญิงสาวผู้งดงามนางนั้นอย่างสงบ หือ ?
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเขา ช่วยไม่ได้ที่หญิงสาวจะแสดงอาการโกรธออกมาเล็กน้อย แต่นางไม่ได้เอ่ยอะไรและเริ่มที่เดินตรงมาที่เจี้ยนเฉิน และเอ่ย เจียงหยางเซียงเทียน เจ้ากำลังจะไปยังสนามประลองเพื่อรับคำท้านั่น ?
แน่นอน เจี้ยนเฉินตอบ
เจ้าไม่จำเป็นต้องยอมรับคำท้านั่น ในหอหนังสือมีกฎห้ามส่งเสียงดังรบกวน ดังนั้นถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนกฎของสำนัก เจ้าควรจะไปรายงานต่ออาจารย์ใหญ่ และเขาจะลงโทษสองคนนั้นอย่างแน่นอน ในสำนักคากัต ไม่มีใครที่กล้าขัดแย้งกับคำสั่งของอาจารย์ใหญ่ หญิงสาวกล่าว
ได้ยินเช่นนี้ เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะมองนางในแง่ดีและหัวเราะออกมาเบา ๆ เขากล่าวว่า พวกเขาประกาศท้าประลอง ดังนั้นข้าจำเป็นต้องยอมรับ หลังจากพูดจบ เขาก็ไม่ได้พูดอย่างอื่นและออกไปจากหอหนังสือ
ขณะที่เด็กสาวจ้องมองเจียงเฉินที่ก้าวเดินลับสายตาไป นางกระพริบตา หลังจากที่ลังเลใจ ทันใดนั้นนางก็วิ่งตรงไปที่บริเวณที่นางนั่งและนำหนังสือเล่มหนาที่นางเคยอ่านไปกลับไปเก็บในชั้นหนังสือ และนางก็รีบวิ่งออกไปจากหอหนังสือตรงไปยังสนามประลอง
หลังจากเด็กสาวนางนั้นออกไป ภายในหอหนังสือก็เงียบงันอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้น ก็มีคนพูดเสียงดังขึ้นมาว่า นี่นับว่าเป็นฉากที่น่าดูนัก ลูกศิษย์ใหม่ ผู้มีพลังเซียนขั้น 8 ประลองกับบุคคลที่ถือว่ามีพลังในขั้น 9 หากใครไม่ดูก็นับว่าโง่แล้ว ชายคนหนึ่งผู้ซึ่งสวมในเครื่องแบบของโรงเรียน กล่าวออกมา และวิ่งออกจากหอหนังสือ
หลังจากนั้น คนอื่นก็ตามออกไป ไม่นานนัก ลูกศิษย์ไม่กี่คนที่กำลังอ่าน ก็นำหนังสือไปเก็บที่ชั้นหนังสือ และออกไปจากหอหนังสือ และวิ่งตรงไปยังสนามประลอง
สนามประลองของโรงเรียนถูกสร้างไว้ที่มุมด้านหนึ่งของสนามกีฬา ซึ่งภายในประกอบไปด้วยแท่นวงกลม 5 แท่น แท่นหนึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 20 เมตร แต่อย่างไรก็ตาม ภายในสนามประลองไม่ได้ใหญ่มากและสามารถจุผู้ชมได้ราว 100 คน มิฉะนั้นการแข่งขันประลองฝีมือของลูกศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านมาไม่กี่วันคงไม่ต้องอาศัยสนามชั่วคราวที่ปรับมาจากเวทีของสนามกีฬา
เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงสนามประลอง เขาเพียงเหลือบมองกาดิเหลียงซึ่งยืนกอดอกอยู่คนเดียวบริเวณนั้นด้วยท่าทีเย่อหยิ่ง กาดิซิ่วหลียืนอยู่ใต้แท่นประลอง ไม่ไกลจากนั้นนัก มีลูกศิษย์จำนวนไม่มากซึ่งสวมเครื่องแบบของสำนักกำลังนั่งพูดคุยกันอย่างถูกคอ
เมื่อมองเห็นเจี้ยนเฉินกำลังเดินมาถึง กาดิเหลียงผู้ซึ่งยืนอยู่บนแท่นประลอง ยิ้มเยาะและตะโกนออกมา มานี่ ข้าคิดว่าเจ้ามันขี้ขลาด ไม่กล้าที่จะมา!
หืม ! เจี้ยนเฉินส่งเสียงดูถูกในท่าทีเหยียดหยามและกระโดดตรงไปยังแท่นประลอง เขายืนอยู่บนแท่นประลอง กอดอกและตอบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เข้ามาได้ ข้ายินยอมให้เจ้าโจมตีข้าก่อน 10 กระบวนท่าโดยไม่โต้ตอบ
เมื่อได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉินที่ยโสโอหัง คนที่อยู่ด้านล่างแท่นประลองอุทานออกมาด้วยความตกใจ และเริ่มที่จะกระซิบกระซาบพูดคุยกัน มีลูกศิษย์ที่เป็นศิษย์พี่อยู่ในเหล่าผู้ชมนั้น และบางคนในกลุ่มของพวกเขาไม่ได้ชอบเจี้ยนเฉิน พวกเขาเชื่อว่า ในการประลองฝีมือครานั้น มีเพียงเหตุผลเดียวที่เจี้ยนเฉินสามารถโค่นกาดิเหลียงลงได้ นั่นเป็นเพราะกาดิเหลียงประมาท
ดวงตาของกาดิเหลียงเป็นประกายด้วยความโกรธ ใครก็สามารถบอกได้ว่า คำพูดของเจี้ยนเฉินนั้นหมายความว่าเขาไม่เห็นกาดิเหลียงอยู่ในสายตาของเขา
เจียงหยาง เซียงเทียน เจ้าร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดไว้ กาดิเหลียงพูดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
เจี้ยนเฉินมองกาดิเหลียงด้วยสายตาที่ไม่ต่างไปจากเดิม และตอบ ถ้าเจ้าต้องการจะสู้ ก็จงเข้ามาโดยเร็ว ข้าไม่มีเวลามากพอที่จะเสียไปกับเจ้า!
หึ กาดิเหลียงคำรามออกมาทางจมูกและทำท่าดูถูก ทำไมเจ้าถึงรีบเร่งนัก คอยให้ทุกคนมารวมกันที่นี่ ข้าต้องการให้ทุกคนเป็นพยาน ในช่วงเวลาที่ข้าโค่นล้มเจ้า ! เพราะว่าเขาพ่ายแพ้ในการแข่งขันประลองฝีมือครั้งนั้น กาดิเหลียงครุ่นคิดอยู่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เจี้ยนเฉินเตะเขาที่ก้นอย่างแรง นี่มันเป็นความน่าอับอายที่ไม่อาจลืม ในความคิดของกาดิเหลียง เขาคิดว่าเหตุผลที่เขาพ่ายแพ้ต่อเจี้ยนเฉินนั้น มันเป็นเพียงเพราะเขานั้นประมาทเกินไป ดังนั้นเขาหาโอกาสที่เขาจะกอบกู้ศักดิ์ศรีของเขา จากช่วงเวลาที่เขาพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ และเขาตั้งใจที่จะทำให้เจี้ยนเฉินต้องขายหน้าบ้าง
ผู้คนเริ่มทยอยกันเข้ามาในสนามประลองทีละน้อย และดูเหมือนว่าผู้คนจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดูจากระยะทางก็ยังคงเห็นลูกศิษย์จำนวนมากเข้ามาที่สนามประลอง การประลองนี้ถูกประกาศก้องโดยกาดิเหลียง
หลังจากผ่านไปไม่นาน ในสนามประลองก็เต็มไปด้วยผู้คนกว่า 200 คน โดยทุกคนจ้องมองด้วยความตื่นเต้น กับฉากที่กำลังจะเกิดขึ้น ท่ามกลางผู้คนเหล่านี้ มีพี่ชายของกาดิเหลียง กาดิหยุน ยืนอยู่ตรงนั้น และมีคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับเขายืนอยู่ข้าง ๆ จำนวนไม่มากนัก
น้องสี่ เจ้าทำมันได้ พี่ใหญ่จะเอาใจช่วยเจ้า ! ทันในนั้น เสียงที่คุ้นเคยท่ามกลางเสียงรบกวนเหล่านั้นส่งตรงมายังแท่นประลอง
ได้ยินเช่นนั้น เจี้ยนเฉินหันไปรอบ ๆ และมองพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ ที่ยืนอยู่ด้านล่างแท่นประลอง กำลังส่งเสียงให้กำลังใจเขา
เจี้ยนเฉินยิ้มและไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา เขาพยักหน้าให้กับเจียงหยางหู่
ในช่วงเวลานั้น บางคนเริ่มที่จะตีโต๊ะของเขาและตะโกนออกมา มาพนันกัน พนันว่าใครจะกลายเป็นผู้ชนะในการต่อสู้นี้ มาสิ
ขอขอพนันข้างกาดิเหลียง 10 เหรียญทอง
ข้าขอพนันข้างเจียงหยาง เซียงเทียน 20 เหรียญทอง
50 เหรียญทองข้างกาดิเหลียง
ผู้คนเริ่มที่จะลงเดิมพันกันในจำนวนเงินไม่มาก ในการประลองระหว่างเจี้ยนเฉินและกาดิเหลียง ซึ่งผู้คนที่มายังที่แห่งนี้ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูง เงินจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา ดังนั้นผู้คนจำนวนมากลงเดิมพันกันตั้งแต่ 10 เหรียญทอง ไปจนถึง 10 เหรียญม่วง กว่าแปดส่วนลงเดิมพันข้างกาดิเหลียง มีเพียงสองส่วนเท่านั้นที่ลงพนันข้างเจี้ยนเฉิน
10 เหรียญม่วง ข้างเจียงหยางเซียงเทียน เจียงหยางหู่วางเงินบนโต๊ะเดิมพัน
ข้าลงพนันข้างเจียงหยางเซียงเทียนด้วย 10 เหรียญม่วง! ด้านหลังเจียงหยางเซียงเทียน มีน้ำเสียงอันบางเบานุ่มนวล กล่าวนั่นคือเด็กสาวจากหอหนังสือ ผู้ซึ่งนั่งถัดไปจากเจี้ยนเฉิน แน่ชัดว่านางมาจากตระกูลใหญ่ ด้วยทุก ๆ คำที่นางพูด น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสง่างามที่เป็นธรรมชาติของนาง
หลังจากเด็กสาววางพนัน 10 เหรียญม่วงข้างเจียงหยางเซียงเทียน ทุกคนเริ่มที่จะแสดงท่าทีประหลาดใจ เจียงหยางหู่เป็นพี่ชายของเจียงหยางเซียงเทียน มันจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายนัก แต่อย่างไรก็ตาม เด็กสาวคนนี้กลับไม่ลังเลใจที่จะวางพนันด้วยเงินจำนวนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะตกใจ แต่ไม่มีลูกศิษย์คนไหนที่ออกปากถามออกมาเลย
บนแท่นประลอง เจี้ยนเฉินจ้องมองกาดิเหลียงด้วยท่าทีประหลาดใจและกล่าวออกมา พวกเราจะเริ่ม ในตอนนี้หรือไม่?
กาดิเหลียงมีท่าทีที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง เขาส่งเสียงดูถูก เจียงหยางเซียงเทียน เจ้ายืนยันว่าจะยินยอมให้ข้าโจมตีก่อน 10 กระบวนท่าโดยไม่ตอบโต้ ข้าหวังว่าเจ้าจะรักษาคำพูด
ลูกผู้ชายพูดคำไหนคำนั้น เจ้าแสดงฝีมือออกมาให้เต็มที่เลย เจี้ยนเฉินตอบ
ช่างโอหังนัก ! กาดิเหลียงพุ่งเข้าโจมตีเจี้ยนเฉินอย่างแรง เพื่อเริ่มการต่อสู้ ในเมื่อเจี้ยนเฉินยินยอมให้เขาโจมตี 10 กระบวนท่าโดยไม่โต้ตอบ เขาไม่ได้กลับคำและปล่อยให้ตัวเองถูกโจมดีอย่างหนัก
กาดิเหลียงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วพุ่งตรงมาที่เจี้ยนเฉิน และออกหมัดของเขาพุ่งตรงตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็วจนมีเสียงแหวกอากาศออกมาให้ได้ยิน
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินกำลังจะปะทะกับหมัด เขาเพียงก้าวถอยหลังไป 1 ก้าวเพื่อหลบ และหมัดของกาดิเหลียงก็หยุดอยู่ตรงหน้า ก่อนที่มันจะสัมผัสถึงตัว
ละ หลบพ้น อาศัยช่องว่างเพียงเล็กน้อย เขากลับไม่โดนชก
นี่ไม่ใช่ว่าเจียงหยางเซียงเทียนแข็งแกร่งเกินไปหรือ ตั้งแต่การประลองเริ่มต้น เขาก็เกือบจะโดนหมัดแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นโดนหมัดนั้น ข้าเกรงว่าเขาคงไม่ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยแน่ และมันชัดเจนแล้วว่าผู้ชนะเป็นใคร
เจียงหยางเซียงเทียนเพียงแต่โชคดีเท่านั้น ที่หลบได้ก็เท่านั้น…
ทุกคนด้านล่างคิดว่าเจี้ยนเฉินแค่โชคดีเท่านั้นที่หลบหมัดของกาดิเหลียงได้ และมีผู้สังเกตเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ตระหนักถึงความเป็นจริง ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุให้พวกเขาเริ่มมองเจี้ยนเฉินใหม่ด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม
Chaotic Sword God ตอนที่ 19 ความไม่สะดวก
ชั่วพริบตา สามวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าสามวันจะเป็นเวลาไม่นานนัก แต่เจี้ยนเฉินก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อมในสำนักคากัตมากขึ้น ภายในระยะเวลาสามวันที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินเข้าชั้นเรียนในวันแรก เวลาที่เหลือนั้น เขาใช้เวลาทั้งหมดสองวันในการบ่มเพาะพลังในห้องของเขาหรือเดินอย่างไม่มีจุดหมายไปที่หอหนังสือ
เนื่องจากความจริงที่ว่าหลักสูตรการสอนของอาจารย์ในสำนักนั้นหมุนเวียนเกี่ยวกับวิธีการเอาตัวรอดเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายและทักษะบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการอยู่รอดในพื้นที่ เจี้ยนเฉินรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่คุ้มค่าที่จะเรียนรู้ เขาเป็นคนพเนจรในชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ ด้วยประสบการณ์ของเขา เขาสามารถสอนอาจารย์ได้ว่าควรจะสอนในชั้นเรียนเช่นไร
ด้วยประสบการณ์ต่อสู้และทักษะการเอาตัวรอดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลก เขาจะสามารถสอนทั้งอาจารย์และลูกศิษย์ได้ด้วยตัวของเขาเอง ขณะที่ประสบการณ์ของอาจารย์ในด้านการต่อสู้ยังไม่มากพอด้วยซ้ำหากนำมาเปรียบเทียบกับเจี้ยนเฉิน
เช้าวันรุ่งขึ้น เจี้ยนเฉินใส่เครื่องแบบของสำนักและมุ่งหน้าตรงไปที่หอหนังสือหลังจากทานอาหารที่ห้องอาหาร สำนักแห่งนี้หละหลวมมากเกี่ยวกับการเรียนในชั้นเรียน ถ้าใครอยากจะเข้าร่วมพวกเขาก็สามารถเข้าร่วมได้ หากไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คนส่วนมากเป็นชนชั้นสูงและเป็นเด็กที่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยซึ่งเรียนหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นความรู้ของพวกเขาก็เพียงพอที่จะเทียบเท่ากับอาจารย์บางคนเลยก็ว่าได้ แต่สิ่งที่พวกเขาขาดคือประสบการณ์ ดังนั้นการเรียนรู้ในชั้นเรียนจึงมีแต่ลูกศิษย์สามัญที่ยากจนซึ่งเข้าร่วม สำหรับพวกมัน มันเป็นเรื่องยากมากที่ชนชั้นสูงจะเข้าร่วมชั้นเรียน และถ้ามีก็เป็นเพียงแค่ชนชั้นสูงบางคนเท่านั้น
ในที่สุดก็มาถึงชั้นที่ 1 ของหอหนังสือ เจี้ยนเฉินหยิบหนังสือออกมาไม่กี่เล่มและเริ่มที่จะอ่านพวกมันด้วยความกระตือรือร้นบริเวณโต๊ะสำหรับอ่านหนังสือ
หอหนังสือของสำนักคากัตกว้างขวางมากเลยทีเดียว และพวกมันเต็มไปด้วยหนังสือหลากหลายมากมาย มันมหาศาลยิ่งกว่าหอหนังสือในคฤหาสน์เจียงหยาง และเจี้ยนเฉินสามารถหาหนังสือหลายเล่มที่ไม่สามารถพบได้ที่บ้าน ซึ่งช่วยให้เขาเข้าใจโลกในระดับที่ดีขึ้น
ตอนนี้หนังสือในมือเจี้ยนเฉินเป็นหนังสือแนะนำเกี่ยวกับสัตว์อสูรทั้งหมดที่สามารถพบได้ในทวีปเทียนหยวน มีอสูรหลายชนิดที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรที่เดินหรือบินได้ จำนวนของสายพันธุ์มีมากกว่า 1,000 ชนิดที่หนังสือเล่มนี้กล่าวถึง และสำหรับสัตว์อสูรที่ไม่ได้อยู่ภายในส่วนลึกที่สุดของเทือกเขาสัตว์อสูร แต่พวกพวกมันอยู่ลึกลงไปในมหาสมุทรอันไร้ที่สิ้นสุด นั่นคือพื้นที่ซึ่งแม้แต่คนที่แข็งแกร่งมากที่สุดยังประสบปัญหาที่จะไปเยือนมัน
ขณะที่เจี้ยนเฉินก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ลูกศิษย์หญิงอายุ 16-17 ปีก็เดินผ่านประตูเข้ามา เด็กสาวคนนั้นเป็นคนที่น่ารักเป็นพิเศษและนางยังสวมเครื่องแบบของสำนัก ผมยาวและสวยงามของนางถูกเกล้าอย่างดี ผมหางม้าเล็ก ๆ ของนาง ทำให้ใบหน้าของนางจะดูดีและงดงามยิ่งขึ้น แต่ใบหน้าของนางหยิ่งมากทีเดียว เพียงมองครั้งเดียวก็บอกได้ว่านางมาจากตระกูลชั้นสูง
เด็กสาวคนนี้แท้จริงแล้วคือกาดิซิ่วหลีจากตระกูลกาดิ
กาดิ ซิ่วหลี เข้ามาในหอหนังสือและเดินไปที่ชั้นวางหนังสือ ขณะที่กำลังตั้งใจเดินเอาหนังสือในมือของนางกลับไปอ่านที่บริเวณอ่านหนังสือ นางเหลือบมองลูกศิษย์คนอื่น ๆ ที่กำลังอ่านหนังสือ แต่ช่วงเวลาที่ตาของนางกวาดมองไปยังบริเวณนั้น นางเห็นด้านหลังของเจี้ยนเฉินทำให้นางหยุดทันที นางยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความประหลาดใจ
กาดิ ซิ่วหลี เพ่งมองไปที่ด้านหลังของเจี้ยนเฉิน แววตาของนางสั่นไหวด้วยอารมณ์บางอย่าง เพียงแค่คิดถึง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นางถูกจับขาและถูกเหวี่ยงออกมาจากเวทีการประลองโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของนาง ทำให้นางรู้สึกโกรธเป็นอย่างยิ่ง เหตุการณ์นี้เป็นความอัปยศอดสูที่ไม่น่าจดจำ ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ใบหน้าของนางก็เป็นสีแดงด้วยความโกรธ ก่อนที่นางจะทำเสียงขึ้นทางจมูก นางไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะอ่านหนังสือ นางโยนมันไว้ข้าง ๆ และประทับตราเดินออกจากหอหนังสือ ขณะเดียวกันก็กัดฟันพูดออกมาว่า เจียงหยาง เซียงเทียน แน่นอนว่าข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นในสักวัน!
แต่เจี้ยนเฉินไม่ได้สังเกตเห็นกาดิ ซิ่วหลี เลยสักนิด ตั้งแต่เขาทุ่มความสนใจทั้งหมดไปในการอ่านหนังสือ ซึ่งไม่มีใครจะกล้าก่อปัญหาในหอหนังสือ ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ
หลังจากกาดิ ซิ่วหลี ออกจากหอหนังสือ นางก็ไปหาพี่รองของนางทันที กาดิเหลียงฝึกวิทยายุทธของเขาอยู่ตามลำพังในป่า
เห็นกาดิ ซิ่วหลีเดินเข้ามา กาดิเหลียงยุติการเคลื่อนไหวของเขาและหัวเราะ น้องสาม เจ้าไม่ได้บอกว่าเจ้ากำลังจะไปหอหนังสือหรอกหรือ ? ทำไมเจ้าถึงมาหาข้าที่นี่? ในใจของเขายังคงเต็มไปด้วยความรักอย่างสุดซึ้งต่อน้องสาวของเขา
กาดิ ซิ่วหลี เดินไปหาเขาด้วยใบหน้าบูดบึ้ง พี่รอง ท่านไม่ได้บอกหรือว่าท่านจะช่วยข้าสอนบทเรียนให้กับเจียงหยางเซียงเทียน?
หลังจากที่ได้ยินชื่อเจียงหยางเซียงเทียน รอยยิ้มบนใบหน้าของกาดิเหลียงก็หายไปทันทีและใบหน้าของเขากลับกลายเป็นมืดครึ้ม เขาครุ่นคิดถึงการแข่งขันของลูกศิษย์เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาและนับตั้งแต่ที่เขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับต่อลูกศิษย์ผู้มีพลังเซียนระดับแปด กาดิเหลียงจะไม่มีวันลืมความรู้สึกในวันนั้น ลูกเตะนั้นสร้างความอับอายขายหน้าให้กับเขาเป็นอย่างมาก
กาดิ ซิ่วหลีพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง พี่รอง เจียงหยางเซียงเทียนอยู่ในหอหนังสือ ในวันนี้ พวกเราควรจะไปที่นั่น และสอนบทเรียนให้กับเขา !
ใช่ แน่นอน เวลานี้เราจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน! มากับข้า น้องสาม กาดิเหลียงเริ่มที่จะเดินทางไปหอหนังสือด้วยความมุ่งมั่น ไม่มีทางที่เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้ต่อเจี้ยนเฉินได้ เขาโทษการพ่ายแพ้อของเขาในวันก่อนว่ามันเกิดจากความประมาทของเขา เป็นเพราะเขาออมมือไว้ทำให้เขาได้พ่ายแพ้ให้กับเจี้ยนเฉิน และที่ยิ่งไปกว่านั้นกาดิเหลียงไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
กาดิ ซิ่วหลี เริ่มแสดงท่าทีตื่นเต้น คราวนี้ แน่นอนพี่รอง ท่านต้องทำให้เจ้าเด็กเหลือขอ เจียงหยางเซียงเทียน ได้รับบทเรียนที่มันจะจดจำไม่มีวันลืม นางกล่าวขณะที่นางเดินตามเขาไปที่หอหนังสือ ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งสองจะอยู่ในระดับเก้า และนางก็ยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพี่ชาย และหากกาดิเหลียงพ่ายแพ้ต่อเจียงหยางเซียงเทียนแล้ว นางย่อมไม่มีทางที่จะเอาชนะได้
ที่หอหนังสือ เจี้ยนเฉินก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือของเขา
สวัสดี เจ้าจะรังเกียจหรือไม่หากข้าจะนั่งลงที่นี่? ในช่วงเวลานี้ เสียงชัดเจนดังมาจากด้านข้างของเจี้ยนเฉิน แม้ว่าเขาจะจดจ่อไปกับหนังสือของเขา แต่จิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินแข็งแกร่งมากและกลับมารับรู้อีกครั้ง
โดยอัตโนมัติ เขาหันศีรษะไป เจี้ยนเฉินเห็นเด็กสาวอายุราว 17-18 ปียืนอยู่ทางขวาของเขา นางสวมเครื่องแบบสำนักและมีผมยาวสีดำประบ่าไหล่ของนาง นางช่างดูบริสุทธิ์ แต่รอยยิ้มและแววตาที่จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความสงสัย ด้วยริมฝีปากสีแดงราวกับผลเชอรี่ของนาง คนจำนวนมากจะต้องแย่งชิงเพื่อที่จะเข้าใกล้นาง แม้ว่านางจะเป็นเพียงเด็กสาวอายุ 17-18 ปี แต่ร่างกายของนางถูกรังสรรค์ขึ้นมาอย่างประณีต ปัจจุบันนางกอดหนังสือเล่มหนานั้นอยู่
เจี้ยนเฉินตั้งใจมองไปที่นาง ก่อนที่จะหันมามองไปรอบ ๆ ห้อง เขาไม่ได้ตระหนักว่าทุกที่นั่งถูกเติมเต็มไปด้วยผู้คน ไม่มีเก้าอี้แม้แต่ตัวเดียวที่จะว่างให้นั่ง
มองกลับไปที่เด็กสาวที่งดงาม เจี้ยนเฉินตอบว่า นั่งลงสิ! ดวงตาของเขากลับมาให้ความสนใจกับหนังสืออีกครั้ง เขาไม่ได้สนใจที่จะมองนาง แม้ว่านางจะสวยมากก็ตาม
เด็กสาวมองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาแปลกประหลาด ดวงตาของนางเป็นประกายประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้น นางนั่งลง ขอบคุณ ! นางกล่าวเบา ๆ น้ำเสียงของนางฟังดูอ่อนโยน ทุกคนที่ได้ยินนางพูดคุยจะรู้สึกถูกปลอบโยน
เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจคำพูดของนาง ขณะเดียวกันเหมือนเขาจะกลับไปสู่โลกของหนังสือในมืออีกครั้ง ในสายตาของเขาจ้องมองเพียงแค่หนังสือเท่านั้น
เด็กสาวมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความสงสัยอีกครั้ง แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรและนั่งลงพร้อมกับหนังสือในมือที่นางถืออยู่ นางดูสง่างาม ขณะที่นางพลิกผ่านหนังสือของนางอย่างช้า ๆ แม้ว่ามันจะเป็นการกระทำที่เรียบง่าย มันเต็มไปด้วยความสงบ นี่เป็นความสามารถโดยธรรมชาติของคนชั้นสูงและนางก็เหมาะสมกับท่าทีเช่นนี้ไม่น้อย
หอหนังสือนี้เงียบสงบมาก ถึงแม้ว่าจะมีหลายคน หากแต่ไม่มีการส่งเสียงใด ๆ ออกมา ขณะที่พวกเขาจดจ่ออยู่กับหนังสือของตน
ในขณะที่ลูกศิษย์ชายและหญิงผ่านประตูของหอหนังสือเข้ามา มันเป็นพี่น้อง กาดิเหลียงและกาดิ ซิ่วหลี
พี่รอง ดูนั่น เขาอยู่ตรงนั้น กาดิซิ่วหลี ชี้ไปที่เจี้ยนเฉิน
กาดิเหลียงมองไปยังที่กาดิซิ่วหลีชี้และแน่ใจว่าใช่ เขาเห็นรูปร่างที่คุ้นตา เขามองด้วยความรังเกียจ ในขณะที่เขาก้าวตรงไปที่อีกฝ่าย ด้วยศีรษะที่ตั้งตรงกับใบหน้าหยิ่งผยอง ศีรษะของเขาสูงขึ้นและยืดหน้าอกตรง เขาเดินไปเจี้ยนเฉิน พร้อมกับกาดิซิ่วหลีที่ตามหลังมาติด ๆ
ปัง!! ขณะที่กาดิเหลียงเดินมาถึงโต๊ะเจี้ยนเฉิน เขาตบโต๊ะอย่างแรง ทำให้เกิดเสียงดังอย่างมากสะท้อนออกมาในห้องที่เงียบสงบก่อนหน้านี้
เสียงดึงดูดความสนใจของทุกคนที่กำลังอ่านโดยฉับพลันและอาศัยการมองตามทิศทางของเสียงที่พวกเขาได้ยินา สายตาของพวกเขาย้ายออกไปจากหนังสือคราหนึ่ง โดยหนึ่งในพวกเขาก็เริ่มที่จะจ้องมองมาที่โต๊ะของเจี้ยนเฉิน นอกเหนือจากไม่กี่คน คิ้วของพวกเขาคนส่วนใหญ่แสดงออกมาอย่างขบขัน
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วของเขาและค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา เขามองตรงไปที่กาดิเหลียงและกล่าวออกมาเสียงแข็งและพูดออกมาอย่างโกรธ เจ้ากำลังทำอะไร !
ในขณะนี้ แม้แต่เด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามจากเจี้ยนเฉินก็ได้ขมวดคิ้วของนางและนางมองไปที่กาดิเหลียงที่กำลังรบกวน สีหน้าของนางแสดงออกถึงความไม่พอใจ เสียงดังอย่างฉับพลัน มันรบกวนนางขณะที่กำลังอ่านหนังสืออย่างสงบสุข
กาดิเหลียงมองเจี้ยนเฉินด้วยความชิงชังและกล่าวว่า เจียงหยางเซียงเทียน ข้า กาดิเหลียง ขอประกาศท้าประลองอย่างเป็นทางการ เจ้ากล้าที่จะยอมรับหรือไม่ ? เสียงกาดิเหลียงดังก้องไปทั่วชั้นแรกทั้งหมดของหอหนังสือราวกับว่าเขากลัวว่าใครจะไม่ได้ยินมัน
ประลอง ! ใบหน้าเจี้ยนเฉินแสดงให้เห็นถึงความรังเกียจของเขา เขาส่งเสียงขึ้นทางจมูก ข้าไม่สนใจ ดังนั้นโปรดออกจากที่นี่ทันที อย่าได้รบกวนการอ่านของข้า ข้าไม่ได้มีเวลามากพอที่จะเสียไปกับเจ้า!
เมื่อเขาตระหนักว่าเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตา ตาของกาดิเหลียงแวววับไปด้วยความโกรธอย่างเห็นได้ชัด เขากัดฟันและคำรามออกมาเสียงดัง เจ้ากล้าหรือไม่ !
Chaotic Sword God ตอนที่ 18 อัตราการบ่มเพาะพลังด้วยแกนอสูร
ได้รับแกนอสูรระดับหนึ่งทุกเดือนและสามารถเข้าไปใน 5 ชั้นแรกของหอหนังสือได้อย่างอิสระ ได้ยินคำอธิบายเช่นนั้นของไป่เอิน หัวใจเจี้ยนเฉินพองโตขึ้นอย่างน่าพิศวง เป็นไปได้หรือที่จะมีลูกศิษย์ได้รับแกนอสูรระดับหนึ่งทุกเดือน และใครจะคาดคิดว่าหอหนังสือที่มีข้อจำกัดมากมายจะถูกอนุญาตได้เช่นนี้กัน
หลังจากรับเหรียญรางวัล เจี้ยนเฉินวางแผนเรียบร้อย ในการที่จะพูดคุยกับพี่ใหญ่ เจียงหยางหู่ เกี่ยวกับสิ่งนี้ทีหลัง เขาอยู่ในสำนักนี้เป็นเวลา 3- 4 วันแล้ว แต่ใช้เวลาถึง 3 วันไปกับการแข่งขันของเหล่าเด็กใหม่ แม้ว่าวันแรกที่เขาแทบให้เวลากับตัวเองกว่าค่อนวัน ดังนั้นเขาจึงมีเวลาน้อยมากที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสำนักนี้
หลังจากเจี้ยนเฉินออกจากเวทีการประลอง เถี่ยต้าและเทียนมู่หยงก็เดินเข้าไปรับรางวัลของพวกเขา หลังจากพิธีสิ้นสุด บรรดาลูกศิษย์ได้เริ่มแล้วจะแยกย้ายกันไป
น้องสี่ เจ้าช่างน่าตื่นตาตื่นใจมากจริง ๆ ! เจ้าได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขันจริง ๆ ด้วย หากท่านพ่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันแน่นอนว่าเขาจะต้องมีความสุขมาก ขณะที่ทั้งสองเดินไปที่ห้องพักของเขา เจียงหยางหู่ นั้นไม่อาจเก็บความสุขของเขาไว้ได้ขณะที่พูดคุยกับเจี้ยนเฉิน
ขณะที่ทั้งสองยังคงพูดคุย เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขารู้สึกอบอุ่นเมื่อระลึกถึงมารดาของเขา
ถ้าท่านแม่รู้เรื่องนี้ มันแน่นอนว่านางจะต้องมีความสุขมากทีเดียว เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง
ชั่วพริบตาเดียวเจียงหยางหู่และเจี้ยนเฉินก็มาถึงที่หอพักและเข้าไปในห้องของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ถามขึ้นด้วยความใจร้อน น้องสี่ เร็วเข้าสิ!. รีบเอาแกนอสูรขั้นสามมาให้ข้าดูหน่อย
เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของเจียงหยางหู่ เจี้ยนเฉินหัวเราะและนำแกนอสูรออกมาจากเข็มขัดมิติ ยื่นมันไปยังเจียงหยางหู่
เจียงหยางหู่รับแกนอสูรมาถือไว้ในมือของเขาและหมุนดูรอบ ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกือบราวกับว่ามันเป็นของรักของหวง เขาเดาะลิ้นตัวเองด้วยความชื่นชม น้องสี่ เจ้าช่างน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เจ้าแทบจะได้รับแกนอสูรขั้นสามทันทีหลังจากที่เข้าสำนัก พี่ชายของเจ้าอยู่ที่สำนักนี้มากว่าสองปี มากที่สุดข้าก็ได้รับเพียงแกนอสูรระดับสอง นอกจากนี้ข้ายังต้องจ่ายเงินสำหรับมัน
ได้ยินอย่างนี้แล้ว เจี้ยนเฉินก็เพียงแค่หัวเราะออกมา พี่ใหญ่ ข้าเคยได้ยินว่าท่านได้มาถึงจุดสูงสุดของระดับสิบ และเร็ว ๆ นี้ท่านจะตัดผ่านไประดับเซียน ท่านควรจะใช้แกนอสูรระดับสามนี้ เจี้ยนเฉินไม่ได้ถือแกนอสูรเป็นสิ่งที่สำคัญนัก ถึงแม้ว่าแกนอสูรระดับสามจะเพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ต้องการมันมากเท่าไหร่นัก
เจียงหยางหู่ตะลึงกับคำพูดของเจี้ยนเฉิน เขารีบยัดแกนอสูรระดับสามใส่มือของเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ แกนอสูรระดับสามอันนี้ น้องสี่ เจ้าได้รับมันด้วยความอุตสาหะของเจ้า แล้วจะให้พี่ใหญ่นำมันไปใช้เช่นนี้ได้อย่างไร
จ้องมองแกนอสูรที่กลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง เจี้ยนเฉินยิ้ม เขาชื่นชมการกระทำของเจียนหยางหู่อย่างแท้จริง อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่ต้องกังวลว่าเจียงหยางหู่จะเป็นเหมือนพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ และจะกลายเป็นอุปสรรคต่อเขา
อีกครั้งหนึ่งที่เจี้ยนเฉินวางแกนอสูรระดับสามใส่มือของเจียงหยางหู่ พี่ใหญ่ นี่เป็นแกนอสูรระดับสามที่เหมาะกับท่าน ครั้งนี้เจี้ยนเฉินอยากให้เจียงหยางหู่ยอมรับแกนอสูรอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าไม่ ! เจียงหยางหู่ปฏิเสธที่ออกมาอย่างหนักแน่นและชัดเจน โดยไม่ต้องลังเลใด ๆ เขาส่งแกนอสูรกลับไปให้เจี้ยนเฉินและกล่าวว่า น้องสี่ แกนอสูรนี้ควรถูกใช้โดยเจ้า นี่คือรางวัลของเจ้าสำหรับการเป็นผู้คุมกฏ แน่นอนว่าสิ่งนี้ พี่ชายของเจ้าย่อมไม่ต้องการเอามันไปจากเจ้าเลยสักนิด
เมื่อเห็นการยืนกรานอย่างหนักแน่นของเจียงหยางหู่ เจี้ยนเฉินจึงรู้สึกช่วยไม่ได้ที่จะนำแกนอสูรระดับสามกลับมา
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะถามพี่ชายของเขา ไม่กี่คำถามเกี่ยวกับความเป็นไปของสำนักนี้ กว่าหนึ่งชั่วยามที่เจียงหยางหู่ค่อย ๆ อธิบายกฎบางข้อที่เจี้ยนเฉินไม่เข้าใจอย่างละเอียดรอบคอบ ในไม่ช้าเจี้ยนเฉินก็คุ้นเคยกับสำนักแห่งนี้ ลำดับแรกคืออาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตนี้ซึ่งเป็นผู้ให้การช่วยเหลือแก่คนที่ไม่ได้มีพื้นเพมาจากตระกูลที่สูงส่ง ถ้าเขาพบว่ามีการกลั่นแกล้งลูกศิษย์สามัญผู้ยากจน แน่นอนว่าผู้ที่ทำจะไม่สามารถที่จะหลบหนีจากการลงโทษได้ หากเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างคนชั้นสูง เขาจะทำเป็นปิดตาข้างหนึ่ง ตราบใดที่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ หรือมากกว่านั้นคือเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับพวกมันทั้งหมด
นอกจากนี้ภายในสำนักคากัต ลูกศิษย์จะต้องก้าวไปเป็นเซียนระดับสูงเพื่อที่จะสำเร็จการศึกษา บรรดาผู้ที่สำเร็จการศึกษา มีทางเลือกที่จะยังคงอยู่ในสำนักนี้หรือด้วยการแนะนำของสำนักคากัต พวกเขาสามารถให้คำมั่นว่าจะจงรักภักดีต่ออาณาจักรและเข้าร่วมในกองทัพได้ สำหรับผู้ที่มีศักยภาพสูงจะสามารถได้รับเงินเดือนที่สูงขึ้นด้วยข้อเสนอของสำนัก
ภายในสำนักแห่งนี้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับเซียนลงไปจะมีโอกาสได้รับแกนอสูรระดับหนึ่งทุกเดือนในการบ่มเพาะพลัง หากเป็นลูกศิษย์ระดับเซียนที่สามารถสร้างอาวุธเซียนจะได้รับแกนอสูรระดับสองทุกเดือน นอกเหนือจากนี้ ลูกศิษย์เหล่านี้ยังจะสามารถที่จะไปยังป่าที่ห่างจากสำนักคากัตราว 20 ไมล์ เพื่อล่าสัตว์อสูรและเอาแกนอสูรของพวกมัน แม้ว่าป่าจะไม่ได้ใหญ่มากนัก มันก็ยังคงกว้างถึง 10 กิโลเมตรจากพื้นที่บริเวณนั้น สัตว์อสูรที่อยู่ภายในป่าทั้งหมดนั้นสามารถล่าได้อย่างอิสระ แต่พวกมันส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำ โดยทั่วไประดับของสัตว์อสูร พวกมันมีความแข็งแกร่งอยู่ในสัตว์อสูรระดับต่ำ และการโจมตีที่ได้รับก็ไม่ได้รุนแรงนัก
สำนักคากัตเพาะพันธุ์สัตว์อสูรระดับต่ำเหล่านี้สำหรับลูกศิษย์เพื่อฝึกฝนวรยุทธ์ของพวกเขาในสถานการณ์ต่อสู้จริง ตลอดจนเพื่อให้สัตว์อสูรปรับตัวให้เข้ากับป่า สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในป่าก็ไม่แข็งแกร่งเกินไปกว่าระดับสอง ในขณะเดียวกันก็มีสัตว์มากมายที่เป็นเพียงแค่สัตว์ป่าปกติ ซึ่งไม่อาจวัดว่าเป็นสัตว์อสูรระดับหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ถ้าสัตว์อสูรระดับสองปรากฏตัวขึ้นมา ทางสำนักจะส่งผู้เชี่ยวชาญไม่กี่คนไปดูแลป้องกันไม่ให้สัตว์อสูรทำร้ายลูกศิษย์บาดเจ็บ
โดยป่าถูกแยกออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกก็เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่ไม่ถึงระดับ 1 ของสัตว์อสูร ส่วนที่สองคือสถานที่ที่มีสัตว์อสูรระดับ 1 อาศัยอยู่ ส่วนสุดท้ายก็เต็มไปด้วยสัตว์อสูรระดับ 2 อาศัยอยู่ ทั้งสามส่วนได้รับการปิดผนึกและได้รับการปิดกั้นจากศัตรูอย่างสมบูรณ์ด้วยฝีมือของอาจารย์ใหญ่คนก่อน จึงไม่มีใครจะมีความกังวลเรื่องสัตว์อสูรหนีออกมาจากป่า
สำนักแห่งนี้ ยังมีหอหนังสือซึ่งได้รับการแยกออกเป็น 7 ชั้น ภายในหอหนังสือเต็มไปด้วยหนังสือจำนวนมากและข้อมูลที่หลากหลาย นอกเหนือจากหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของทวีป นอกจากนั้นยังมีคัมภีร์เคล็ดวิชาลับสำหรับผู้ฝึกยุทธอีกจำนวนหนึ่ง ลูกศิษย์ที่ยังไม่ถึงระดับเซียนจะสามารถเข้าถึงหอหนังสือได้เพียง 2 ชั้นแรกเท่านั้น ขณะที่ลูกศิษย์ระดับเซียนและสามารถกลั่นอาวุธเซียนของตัวเองได้ พวกเขาจะได้รับการยินยอมในการเข้าไปในชั้นสามและชั้นสี่ สำหรับชั้นที่สูงไปกว่านั้น มีเพียงแค่อาจารย์หรือลูกศิษย์ที่เป็นเซียนระดับสูงเท่านั้นที่จะเข้าไปได้
…..
ในที่สุดเจียงหยางหู่ก็สามารถอธิบายข้อมูลเกี่ยวกับสำนักแห่งนี้ให้เจี้ยนเฉินฟังจนหมด มันก็ดึกมากแล้ว เจียงหยางหู่จึงรีบออกมาจากหอพักของเจี้ยนเฉินและวิ่งกลับไปหอพักของเขาเอง
ในขณะเดียวกันที่ด้านบนสุดของหอคอยที่ตั้งอยู่ในใจกลางของสำนักคากัต รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินยืนอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ที่ด้านหน้าของเขาคืออาจารย์ใหญ่ที่เจี้ยนเฉินเคยพบมาก่อน
อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตยกมือของเขาขึ้นมาลูบเครายาวของเขา เขามองไปที่รองอาจารย์ใหญ่และกล่าวว่า ไป่เอิน เจ้าจะบอกว่าชื่อของลูกศิษย์หน้าใหม่ที่ได้รับชัยชนะในการแข่งขัน เป็นเด็กที่ชื่อว่าเจียงหยาง เซียงเทียน? น้ำเสียงอาจารย์ใหญ่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ไป่เอินพยักหน้าและกล่าวว่า ใช่ ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าพบว่า เจียงหยาง เซียงเทียน ค่อนข้างโดดเด่น เขาอยู่เพียงระดับแปดของพลังเซียน แต่แล้วกลับสามารถเอาชนะลูกศิษย์ระดับเก้าได้ การโจมตีของเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้นแต่ยังค่อนข้างคล่องตัวและว่องไว นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าเขาจะมีประสบการณ์ด้านการต่อสู้มากมาย ซึ่งเขาไม่ควรจะมีมัน แม้เถี่ยต้าจะที่มีร่างกายที่ได้รับพลังจากสวรรค์ก็ยังพ่ายแพ้ต่อเจี้ยนเฉินที่ใช้รูปแบบการโจมตีที่เรียบง่ายโดยไม่สามารถตอบโต้ได้
ได้ยินเช่นนี้ อาจารย์ใหญ่ขมวดคิ้วของเขาและถามว่า ไป่เอิน สิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริงหรือ? เจียงหยางเซียงเทียนน่าประหลาดใจถึงเพียงนั้นจริงหรือ?
เรียนอาจารย์ใหญ่ ทุกอย่างที่ข้าพูดคือเรื่องจริง ไป่เอินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
อาจารย์ใหญ่ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและพึมพำว่า มันดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ เจียงหยางเซียงเทียน เป็นอัจฉริยะมากกว่าที่เจียงไป่ได้กล่าวไว้ เขาไม่ได้ใช้แกนอสูรหรือสมบัติสวรรค์ใด ๆ และเขาก็ยังก้าวไปที่ระดับแปดของพลังเซียนด้วยอายุเพียง 15 ปี ช่างเป็นความสำเร็จที่น่าพิศวงนักที่จะคิดว่าเขายังเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการต่อสู้มากมายจนไม่อาจหยั่งถึง แม้อาจารย์ใหญ่ก็ยังคงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ได้ยินเสียงพึมพำของอาจารย์ใหญ่กับตัวเอง ไป่เอินยังมีความประหลาดใจบนใบหน้าของเขา ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้ใช้สมบัติสวรรค์หรือแกนอสูรเพื่อบรรลุระดับแปดโดยที่มีอายุเพียง 15 ปี คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ในอาณาจักรเกอซุนสามารถพิจารณาได้ว่าเป็นอัจฉริยะที่ฟ้าประทานมาเลยก็ว่าได้
อาจารย์ใหญ่ มันดูราวกับว่าเจียงหยางเซียงเทียนมีอนาคตอันไร้ขีดจำกัด ไป่เอินถอนหายใจออกมา
อาจารย์ใหญ่พยักหน้าและกล่าวว่า ตราบใดที่เขายังคงก้าวหน้าในอัตราเช่นนี้ ด้วยทักษะที่เขาแสดงในวันนี้ แน่นอนมันจะพัฒนาไปสู่บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ดูเหมือนว่าสำนักคากัตของเรา ในที่สุดก็จะสามารถที่จะโอ้อวดบุคคลที่แข็งแกร่ง ตราบใดที่เขาไม่ตายบนเส้นทางที่กว้างใหญ่เช่นนี้
ตราบใดที่เขาเติบโตเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งของทวีปเทียนหยวนแล้ว ไม่เพียงแต่สำนักคากัตของเราจะกลายเป็นที่รู้จักกันดี แม้แต่อาณาจักรเกอซุนของเราก็จะมีชื่อเสียงมากขึ้น ภายในทวีปตอนนี้ อาณาจักรรอบตัวเรามีความแข็งแกร่งและระส่ำระสายมากขึ้น หลังจากนี้ 10 ปีหรือถ้าอาณาจักรเกอซุนของเราไม่ได้มีบุคคลที่แข็งแกร่งใด ๆ แล้ว ข้าเกรงว่าไม่ช้าก็เร็วอาณาจักรของเราจะถูกโจมตี
หลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ ใบหน้าไป่เอินเริ่มที่จะจริงจังขึ้นมา อาณาจักรเกอซุนนี้อาจไม่ได้กว้างใหญ่ มันเป็นอาณาจักรเล็ก ๆ แต่ก็อุดมสมบูรณ์ทำให้หลายอาณาจักรโดยรอบก็อิจฉา ถ้ามันไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในอาณาจักรเกอซุนแล้วล่ะก็ เกรงว่าอาณาจักรโดยรอบคงโจมตีพวกเขาไปนานแล้ว
ไปเอิ่นครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนที่ถามอย่างระมัดระวัง อาจารย์ใหญ่ เราควรพิจารณาที่จะให้แกนอสูรระดับหนึ่งและสองอย่างอิสระ ? วิธีการนี้ที่เราจะสามารถกระชับความสัมพันธ์ของเรากับเขาได้
อาจารย์ใหญ่พิจารณาข้อเสนอของรองอาจารย์ใหญ่ ก่อนที่จะส่ายหน้าของเขา นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าการใช้แกนอสูรสามารถใช้ในการเพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังคน ๆ หนึ่ง แต่พวกมันมีผลข้างเคียงว่าเป็นการดูถูกเขา เจียงหยางเซียงเทียนยังเด็กนัก พวกเราไม่ควรให้เขากลายเป็นเด็กที่เสพติดแกนอสูร มิฉะนั้นรากฐานของเขาจะสั่นคลอนมาก ซึ่งจะขัดขวางความก้าวหน้าในอนาคตของเขา ด้วยอายุปัจจุบันของเขา ควรเน้นการฝึกวินัยในตนเองอย่างเงียบ ๆ มันจะช่วยวางรากฐานและเพิ่มโอกาสที่เขาประสบความสำเร็จในการตัดผ่าน
รับทราบ ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าเข้าใจสิ่งที่ต้องทำตอนนี้แล้ว ไป่เอินไม่กล้าที่จะคัดค้านอาจารย์ใหญ่ นอกจากนี้สิ่งที่อาจารย์ใหญ่ได้กล่าวออกมา มันก็ดูสมเหตุสมผลมากทีเดียว
อาจารย์ใหญ่ ท่านวางแผนอย่างไรกับเถี่ยต้า? ไป่เอินถาม
พรุ่งนี้เช้านำเถี่ยต้ามาพบข้า ถ้าเขายินดี ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ส่วนตัว อาจารย์ใหญ่ตอบหลังจากที่ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันในขณะนั้น
รับทราบ ท่านอาจารย์ใหญ่!
หลังจากเจียงหยางหู่ออกจากห้องของเขา เจี้ยนเฉินนั่งอยู่บนเตียงของเขาและแยะแยะข้อมูลใหม่ ในขณะที่ เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและพร้อมกับแกนอสูรระดับสามในมือของเขา และเริ่มที่จะดูดซับพลังงานจากแกนอสูรระดับสามเข้าไปในร่างกายของเขา
ภายในแกนอสูรเป็นจิตวิญญาณของสัตว์อสูร พลังงานภายในนั้นไม่เพียงแต่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ยังเป็นพลังงานธรรมชาติที่แข็งแกร่งมาก ตามที่เจียงหยางหู่ได้เคยได้กล่าว ในเวลานั้นเองเจี้ยนเฉินเริ่มที่จะดูดซับแกนอสูรแล้ว เขาจะเริ่มรู้สึกถึงกระแสที่ยาวนานของพลังงานบริสุทธิ์และแข็งแรงไหลออกมาจากแกนกลาง มันไหลผ่านแขนของเขาและค่อย ๆ ถูกดูดซึมในร่างกายของเขา
เจี้ยนเฉินจัดการกับการรั่วไหลออกไปด้านนอกของแกนอสูรโดยนำทางพลังงานนั้นเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างต่อเนื่อง การปรับแต่งพลังงานเข้าสู่ร่างกายของเขา เขาค่อย ๆ เปลี่ยนพลังงานเป็นพลังเซียน ก่อนที่จะค่อย ๆ ดูดซับลงในจุดตันเถียนของเขา
การใช้แกนอสูรในการบ่มเพาะพลังช่วยให้การบ่มเพาะพลังรวดเร็วขึ้น .. เพราะตามปกติจะมีการดูดซับพลังงานโลกอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะแปลงให้เป็นพลังของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับพลังงานบริสุทธิ์จากแกนอสูรได้ ปราณธรรมชาติ ไม่สามารถเปรียบเทียบกับพลังงานจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ของแกนอสูร นอกจากนั้นจิตวิญญาณของแกนอสูรยังเป็นส่วนที่บริสุทธิ์ที่สุดของสัตว์อสูร ด้วยการใช้พลังงานจากแกนอสูร ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจะเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า ด้วยเหตุนี้แกนอสูรจึงมีราคาแพงมาก ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแกนอสูรระดับหนึ่งก็ตาม
รัศมีของแสงหลากสีค่อย ๆ ปรากฏขึ้นระหว่างท้องฟ้ากับพื้นดิน ดวงอาทิตย์สีแดงสดใสในที่สุดก็พยายามที่จะเคลื่อนตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ส่องแสงออกมาด้วยแสงที่อ่อนโยนและอบอุ่น แสงแดดสีทองที่อาบแผ่นดิน ราวกับพื้นดินโดยรอบถูกเคลือบไปด้วยทองคำ
ในเวลาเดียวกัน เจี้ยนเฉินซึ่งนั่งไขว้ขาอยู่บนเตียง เขาลืมตาขึ้นมาช้า ๆ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความสุขและมุมปากของเขายังคงมีรอยยิ้มที่ติดอยู่ หลังจากการบ่มเพาะพลังเมื่อคืน เจี้ยนเฉินได้รับประโยชน์อย่างมากโดยเทียบได้กับการบ่มเพาะพลังหลายวัน โดยการดูดซับพลังงานภายในแกนอสูรนั้นทำให้ความเร็วการบ่มเพาะพลังของเจี้ยนเฉินได้เพิ่มขึ้นถึงสิบส่วน ตอนนี้เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงพลังเซียนในจุดตันเถียนของเขา บนพื้นฐานการคำนวณของเขา เขาคาดว่าเขาก็อยู่ไม่ไกลจากการบรรลุถึงระดับเก้าของพลังเซียน ด้วยอัตราความเร็วในปัจจุบันของเขา มันไม่ควรจะถึงสัปดาห์ที่เขาจะตัดผ่านระดับเก้าของพลังเซียน
แน่นอนนั้นมันก็เป็นเพียงการคาดการณ์ของเจี้ยนเฉิน ซึ่งมันต้องได้รับการทดสอบ
หากความจริงที่ว่าปริมาณของพลังงานที่เจี้ยนเฉินได้ดูดซับจากภายในแกนอสูรมากกว่าที่บ่มเพาะพลังตามปกติถึงสิบส่วนเปิดเผยออกไป พวกเขาจะต้องรู้สึกตกใจเป็นอันมาก แม้ว่าแกนอสูรสามารถเพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังได้อย่างรวดเร็ว มันก็ยังห่างไกลจากการได้รับมันเต็มสิบส่วน ภายใต้สถานการณ์ปกติ คนปกติใช้แกนอสูรเพื่อบ่มเพาะพลังนั้นจะเพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังได้ 2-3 ส่วนเท่านั้น แม้ว่าคนที่มีพลังมากขึ้นอัตราการบ่มเพาะพลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นเพียง 6-7 ส่วน พิจารณาข้อเท็จจริงที่ว่าพลังของเจี้ยนเฉินยังไม่ถึงระดับเซียน แต่เขาสามารถเพิ่มอัตราการบ่มเพาะได้ถึงสิบส่วน มันชัดเจนว่าเป็นความก้าวหน้าที่น่ากลัวยิ่งนัก
มองแกนอสูรในมือของเขา แม้ว่าสีของแกนอสูรไม่ได้เปลี่ยนไป แต่เจี้ยนเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าแกนอสูรมีขนาดเล็กลงหลังจากที่มันอยู่ในมือของเขาตลอดเวลา
หลังจากออกจากหอพัก เจี้ยนเฉินตรงมาถึงที่ห้องอาหาร เช้านี้อาหารเช้าที่ห้องอาหารอุดมสมบูรณ์มากขึ้น นอกจากนี้ภายในแก้วก็ยังเป็นนมจากสัตว์อสูร ก็ยังมีบางส่วนของเนื้อสัตว์อสูรที่เจี้ยนเฉินเคยได้กินตอนที่อยู่ตระกูลเจียงหยาง ซึ่งในโลกของเขาก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินไม่เคยกินอาหารอร่อยเช่นนี้มาก่อน
Chaotic Sword God ตอนที่ 17 ผู้คุมกฏของเด็กใหม่
หลังจากที่พักไปราว 1 ชั่วยาม ในที่สุดการแข่งขันรอบสุดท้ายก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง ก่อนที่แยกห่างจากกันด้วยระยะประมาณ 10 เมตร
สายตาลูกศิษย์กว่า 1,000 คนได้จับจ้องไปยังเวทีนั้นเป็นที่เรียบร้อย ขณะที่ผู้คนเริ่มพยายามค้นหาที่นั่ง
เจี้ยนเฉินจ้องมองไปที่เถี่ยต้าด้วยรอยยิ้ม เขากล่าวชื่มชมเถี่ยต้า เถี่ยต้า ข้าไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกันในรอบสุดท้าย
ได้ยินประโยคเช่นนั้นของเจี้ยนเฉิน ใบหน้าเถี่ยต้าแดงขึ้นอย่างอาย ๆ มันชัดเจนว่า เขามีความสุขมากในคำชมนั้น ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างซื่อ ๆ เถี่ยต้าพูดเสียงต่ำ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าก็ทำให้ข้าประหลาดใจเช่นกัน
เหยียดแขนและขาของเขาออก เจี้ยนเฉินหัวเราะ เถี่ยต้า นี่คือรอบสุดท้าย หนึ่งในพวกเราที่จะกลายเป็นผู้คุมกฏของเหล่าเด็กใหม่ ดังนั้นถ้าเจ้าจะเอาชนะข้าให้ได้ เจ้าก็ต้องพยายามให้มาก แล้วเจ้าจะได้รับแกนอสูรระดับสามซึ่งมีค่านับร้อยเหรียญม่วง ซึ่งเพียงพอให้เจ้าเลี้ยงดูทั้งครอบครัวไปตลอดชีวิต
เถี่ยต้ากระตือรือร้นทันทีที่ได้ยินคำกล่าวเช่นนั้นจากเจี้ยนเฉิน เจียงหยาง เซียงเทียน แน่นอนว่าข้าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้า ดังนั้นเจ้าจงเตรียมตัวให้ดี
เจี้ยนเฉินเพียงแค่หัวเราะและพยักหน้ารับ ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่ายเช่นนั้น
บูม!
ฟังเสียงสัญญาณให้เริ่มต้นการต่อสู้ ทันใดนั้น เถี่ยต้าก็เข้าจู่โจมไปที่เจี้ยนเฉินหลังจากเสียงการเริ่มประลองดังขึ้น เถี่ยต้าจู่โจมเจี้ยนเฉิน เขาคว้าเจี้ยนเฉินด้วยมือทั้งสองข้าง เขาวางแผนที่จะใช้ความแข็งแกร่งที่พระเจ้าอวยพรให้กับเขา เพื่อยกและขว้างเจี้ยนเฉินออกจากสนามการประลอง
เจี้ยนเฉินตระหนักถึงแผนการของอีกฝ่ายและหัวเราะ เขาคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ของเถี่ยต้านัก สำหรับในทุก ๆ การต่อสู้ เถี่ยต้าจะใช้กลยุทธ์เช่นนี้ซ้ำ ๆ กัน แต่มันก็ได้ผลดีนัก หากเจี้ยนเฉินถูกเขาจับได้ มันจะเป็นการยากที่จะหลบหนี
เจี้ยนเฉินก้าวสั้น ๆ เพื่อล่าถอย หลบหนีจากเถี่ยต้า มือขวาของเขากำเข้าหากันแน่นเป็นหมัด เขาใช้พลังเกือบแปดส่วนของเขา เพื่อโจมตีไปยังบริเวณทรวงอกของอีกฝ่าย
พลั่ก
หมัดของเจี้ยนเฉินเกิดเสียงดังขึ้นจากการปะทะเข้าที่ทรวงอกของเถี่ยต้า แต่อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่พึงพอใจของเจียงเฉินเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ ขณะที่เถี่ยต้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ อะไรกันที่ทำให้หมัดนี้หนักราวกับไม่ใช่หมัดของคน เจี้ยนเฉินรู้สึกราวกับว่าหมัดของเขาได้ปะทะกับกำแพง ไม่เพียงแต่เถี่ยต้าแข็งแกร่ง แต่เขายังมีร่างกายที่ทนทาน ความทนทานนั้นยากที่จะเชื่อยิ่งนัก
อย่างไรก็ตาม หมัดของเจี้ยนเฉินทำให้เถี่ยต้าเซถอยหลังไป แต่เพียงชั่วพริบตา เถี่ยต้าตะโกนเสียงดังและเข้าโจมตีเจี้ยนเฉินอีกครั้งด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยหมัดที่ใช้พลังเพียงแปดส่วนของเจี้ยนเฉิน มันไม่ได้สร้างรอยขีดข่วนอะไรบนตัวของเถี่ยต้าเลย
เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะรู้สึกตื่นเต้น เขามองดูเถี่ยต้าที่เข้ามาประชิดพร้อมกับหมัดของมัน เขาไม่ได้หลบมันแต่อย่างใด เขาเริ่มที่จะเตรียมตัวที่จะใช้พลังเต็มสิบส่วนในการตอบโต้ด้วยมือของเขาเอง
หมัดสองหมัดเข้าปะทะกันกลางอากาศ และผลกระทบของมันสร้างเสียงอันดังก้อง มันดังจนฝูงชนทุกคนในสนามประลองได้ยินมันอย่างชัดเจน
ขณะที่หมัดทั้งสองสัมผัสกัน มันช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะถอยหลังกลับไปถึง 10 เมตร ก่อนจะหยุดลง มือขวาของเขาเริ่มสั่น มันเห็นได้ชัดเจนว่าเจี้ยนเฉินนั้นได้รับความเสียหายนั้นมากทีเดียว ถึงแม้ว่าระดับพลังเซียนของเขาจะเหนือกว่าเล็กน้อย เขายังคงห่างไกลจากระดับที่จะไม่สนใจความเสียหายบางอย่างเช่นนี้ได้
เถี่ยต้านั้นไถลไปไกลเพียง 2 เมตร ใบหน้าของเขาไม่แสดงความรู้สึกและเขาไม่มีท่าทีทรมานแต่อย่างใด ราวกับความเสียหายนั้นมันเล็กน้อยเอามาก ๆ
เจี้ยนเฉินนวดมือของเขา หลังจากทั้งสองคนเผชิญหน้ากัน เขาเข้าใจอย่างชัดเจนถึงความโง่เขลาเมื่อโจมตีเถี่ยต้าตรง ๆ แม้ว่าบางคนจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าเถี่ยต้าก็ไม่อาจนำเอาชัยชนะมาได้ตรง ๆ เพียงสิ่งเดียวที่อาจจะนำเอาชัยชนะมาจากเถี่ยต้า คงต้องพึ่งความเร็วเพียงอย่างเดียว
เถี่ยต้า, ความแข็งแกร่งเกินกว่าที่ข้าจะคาดคิดไว้เสียอีก แต่ข้าจะใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดของข้าในตอนนี้ เจี้ยนเฉินกล่าว ขณะที่เขาเดินไปข้างหน้า
เถี่ยต้าหัวเราะ เข้ามาสิ เจียงหยางเซียงเทียน เจ้าไม่สามารถที่จะทำร้ายข้าได้ น้ำเสียงของเถี่ยต้าก็เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นที่รุนแรง
เจี้ยนเฉินหยุดพูดเช่นกัน เมื่อระยะห่างระหว่างเขาและเถี่ยต้าเริ่มลดลงเหลือเพียง 5-6 เมตร ฝีเท้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ขาของเขากลายเป็นภาพพร่ามัวลึกลับที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งตรงหน้าเถี่ยต้า ก่อนที่จะเถี่ยต้าจะสามารถตอบสนอง หมัดทั้งสองก็ชกลงที่บริเวณด้านหลังของเถี่ยต้า
ตึง ตึง ตึง!
เสียงดังเป็นชุด ดังออกมาจากเวทีเกือบราวกับว่ามันเป็นเสียงที่ต่อเนื่องกัน ภายใต้การโจมตีหนักต่อร่างกาย แม้กระทั่งร่างกายของเถี่ยต้าก็ไม่สามารถช่วยได้ เขาถลาไปข้างหน้ามากจนทำให้เขาเหลือเวลาน้อยมากที่จะหันกลับมา
ฮ่า!
เถี่ยต้าคำรามด้วยความโกรธ ในขณะที่เขาพยายามที่จะทรงตัวให้ได้ ทันใดนั้นเขาก็หันไปรอบ ๆ ยกกำปั้นออกมาและพยายามที่จะชกโครมไปที่เจี้ยนเฉิน
ช่วงเวลาที่เถี่ยต้าพยายามที่จะโจมตีเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินกระโดดเบา ๆ ขึ้นไปในอากาศที่ความสูง 2 เมตร เขาหลบกำปั้นของเถี่ยต้าได้อย่างหวุดหวิด เจี้ยนเฉินใช้ขาทั้งสองข้างของเขาเตะเข้าไปที่เถี่ยต้าจากกลางอากาศ ทั้งสองขาของเขาเต็มไปด้วยพลังอันน่าเกรงขามและพวกมันผลักเถี่ยต้าให้ถอยหลังกลับ
ตึง ตึง ตึง! …
เจี้ยนเฉินเตะออกไปติด ๆ กันหลายครั้ง ก่อนที่จะกลับไปยืนที่พื้น โดยในจุดนี้ ใบหน้าเถี่ยต้าถูกเจี้ยนเฉินเตะหลายครั้งจนก่อให้เกิดรอยช้ำทั่วบริเวณใบหน้า
ทันทีหลังจากที่ลงมายืนบนพื้นดินที่ เจี้ยนเฉินหันไปรอบ ๆ บนพื้นและงอขาของเขาต่ำลงไปเรื่อย ๆ ขาซ้ายของเขาหมุนรอบเกือบ 180 องศา ขาขวาของเขากวาดขาของเถี่ยต้า
เพ้ง
เถี่ยต้าเสียหลักล้มลงกับพื้น แต่ทันใดนั้น เขาเด้งตัวกลับขึ้นไปยืนและคำรามออกมา ในขณะที่เขารีบพุ่งไปหาเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินและเถี่ยต้าเริ่มที่จะเข้าต่อสู้ในระยะประชิดตัว แต่เถี่ยต้าได้รับความแข็งแกร่งและร่างกายที่ทนทานจนน่าตระหนก เจี้ยนเฉินไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ในเมื่อเจี้ยนเฉินเคยมีประสบการณ์มาแล้วถึงสองครั้ง เขาคิดการตอบโต้สำหรับสถานการณ์เช่นนี้ แม้จะคิดว่านั่นไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด แต่เขาก็ไม่มีวิธีการอื่น ๆ ในการต่อสู้กับอีกฝ่าย เจี้ยนเฉินได้ตัดสินใจที่จะพึ่งพาความฉลาดของเขาในการต่อสู้กับเถี่ยต้า แม้ว่าร่างกายเถี่ยต้าจะแข็งแกร่งมาก เจี้ยนเฉินนั้นโจมตีลงไปซ้ำ ๆ ในจุดเดิมบนร่างกายของเถี่ยต้า ดังนั้นเถี่ยต้าจึงรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ที่สุดแล้วใบหน้าของเขาก็บิดเบี้ยว
สถานการณ์ต่อไปตอนนี้กลายเป็นพลิกกลับ เจี้ยนเฉินอาศัยประสบการณ์ที่เขาได้สั่งสมในโลกที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเอาชนะเถี่ยต้าซึ่งวิ่งเอามือกุมหัวของเขาไปรอบ ๆ ถึงแม้ว่าเถี่ยต้าจะพบโอกาสที่จะโต้กลับ แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำร้ายเจี้ยนเฉินได้ การโจมตีของเขาไม่แม้แต่จะสามารถสัมผัสเสื้อผ้าของเจี้ยนเฉินได้ด้วยซ้ำ
ในผลการประลองนี้ ลูกศิษย์ในกลุ่มผู้ชมทำได้เพียงมองการต่อสู้นั้นอย่างตกตะลึง ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวอันรวดเร็วด้วยวิทยายุทธ ความเร็วที่เร็วกว่าค่าเฉลี่ยของคนปกติ ด้วยเหตุนี้ ลูกศิษย์หลายคนจึงมองด้วยความสนใจอย่างมากเพราะมันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
ด้านบนของแท่นพิธี ไป่เอินอ้าปากค้างด้วยความชื่นชมในขณะที่เขามองดูเจี้ยนเฉิน เด็กคนนี้ชัดเจนว่าเขานั้นแตกต่างไปจากคนอื่น เขาเต็มไปด้วยประสบการณ์การต่อสู้และความเร็วของเขาไม่ได้ช้าลงเลยสักนิด ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนี้จะถูกเรียกว่า เจียงหยางเซียงเทียน ดังนั้นเมื่อพิจารณาจากชื่อของเขา เขามาจากเมืองลอว์ ตระกูลเจียงหยาง มันดูเหมือนว่าข้าจะต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานแก่ท่านอาจารย์ใหญ่
ขณะที่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ในที่สุดเถี่ยต้าก็มาถึงขีดจำกัดของเขา เขาอุทานและร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง หยุด หยุด! ข้าไม่สามารถต่อสู้ได้อีกต่อไป ข้ายอมแพ้!
เจี้ยนเฉินหยุดการโจมตีของเขาทันทีและยิ้มสดใสไปที่เถี่ยต้า ทำไมเจ้าไม่ต่อสู้อีกต่อไป?
เถี่ยต้าลูบที่จุดสีแดงที่เจี้ยนเฉินได้ตีซ้ำ ๆ ด้วยใบหน้าที่ทนทุกข์และกล่าวว่า เจ้าเคลื่อนไหวรวดเร็วนักจนข้ามองเห็นเจ้าไม่ชัด แล้วข้าโจมตีเจ้าโดนได้อย่างไร ดังนั้นตลอดเวลามีแต่เจ้าที่ทุบตีข้าอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
เจี้ยนเฉินหัวเราะ แล้วถามต่อ ดังนั้นเจ้าจะยอมแพ้ต่อการเป็นอันดับหนึ่งงั้นหรือ? แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่ได้ยั้งมือขณะที่โจมตีเถี่ยต้า แต่ผิวหนังของเขานั้นหนามากและร่างกายของเขาแข็งแกร่ง ดังนั้นมันแทบจะไม่มีความเสียหายร้ายแรงใด ๆ เกิดขึ้นเลย
เถี่ยต้าพยักหน้าและพูดด้วยเสียงอู้อี้ ข้าไม่สามารถที่จะเอาชนะเจ้าได้ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ใส่ใจต่อการเป็นอันดับหนึ่งนัก การเป็นอันดับสองก็ดีพอแล้ว แกนอสูรระดับสองก็สามารถขายได้ในราคาไม่เลว
หลังจากนั้นลูกศิษย์สองคนเดินลงจากเวที ในขณะที่ผู้ชนะลำดับสามได้รับการประกาศ กาดิเหลียงและเทียนมู่หยงผู้ซึ่งต่อสู้กัน ในศึกการประลองเพื่อหาผู้ชนะ ในท้ายที่สุดมันก็เป็นเทียนมู่หยงซึ่งได้รับชัยชนะและมีชื่อในลำดับที่สามของการแข่งขัน
หลังจากที่แจกรางวัลสำหรับผู้ชนะสามลำดับแรกแล้ว เจี้ยนเฉินถูกเรียกขึ้นไปบนเวที ขณะรองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิน เดินตรงไปหาเขา เขาเหลือบมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความชื่นชมไม่น้อยทีเดียว ทันทีที่ออกไป เขาหันศีรษะของเขามองไปที่ลูกศิษย์พันกว่าคนในบรรดาผู้ชมและประกาศว่า บรรดาลูกศิษย์ที่รักทุกคน การแข่งขันลูกศิษย์หน้าใหม่ในปีนี้ ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป ข้าขอประกาศว่า ผู้คุมกฎของเด็กใหม่ปีนี้คือ ศิษย์ เจียงหยาง เซียงเทียน ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนพลังเซียนระดับแปด
รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดขาด เป็นเหตุให้ทุกคนพากันปรบมือและโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี แต่ในขณะที่บางส่วนของลูกศิษย์ที่อยู่ในระดับเก้าของพลังเซียน ได้ยินว่าลูกศิษย์ผู้คุมกฏเป็นเพียงลูกศิษย์ที่อยู่ระดับแปด พวกเขาจำนวนมากจึงไม่อาจยอมรับได้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ไม่อาจบ่นในเรื่องที่พวกเขาไม่พอใจได้ แต่ความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉิน มันคือสิ่งที่พวกเขาพอจะยอมรับได้และพวกเขาถึงกับตะลึงกับวิธีการต่อสู้ของเจี้ยนเฉินและความเร็วที่ทำให้หลายคนไม่อาจเพิกเฉยได้
เจ้าเด็กใหม่ปีนี้มันไร้ประโยชน์เกินไป เบื้องหน้านั้นมีหลายคนที่ก้าวขึ้นไปถึงระดับเก้าของพลังเซียน ในท้ายที่สุดผู้คุมกฎของเด็กใหม่กลับจบลงด้วยการเป็นเด็กหนุ่มที่มีพลังเซียนอยู่ในระดับแปด นี่นับว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายเกินไปจริง ๆ
นั่นคือความจริง เด็กใหม่ปีนี้อ่อนแอมากจริงๆ ไม่เพียงแต่ฉายาผู้คุมกฎของเด็กใหม่จะถูกเจ้าเด็กที่อยู่เพียงแค่ระดับแปดเอาไป แต่ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเด็กผิวคล้ำนั่นที่ได้อันดับสองก็เป็นเพียงระดับแปดเช่นกัน ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่า เด็กใหม่พวกนี้ฝึกฝนกันอย่างไรถึงเอาชนะคนที่มีพลังเซียนระดับเก้าได้
คนสองคนที่พูดเป็นศิษย์พี่ที่สวมเครื่องแบบของสำนัก น้ำเสียงของพวกมันเต็มไปความเยาะเย้ยต่อผู้ที่ต้องพ่ายแพ้กับทั้งสองคน
ได้ยินลูกศิษย์สองคนบ่น อีกคนหนึ่งของในบรรดาศิษย์พี่เอ่ยตอบพวกมัน พวกเจ้าจะกล่าวเช่นนั้นไม่ได้ มันไม่ใช่พวกระดับเก้าอ่อนแอ แต่มันเป็นเพราะลูกศิษย์ที่อยู่ระดับแปดนั้นแข็งแกร่งกว่าพวกเขาเป็นอย่างมาก เจ้าเด็กผิวคล้ำนั้นมีความแข็งแกร่งที่น่าตกใจ อย่าบอกนะว่าพวกเจ้า ไม่เห็นการที่พวกระดับเก้าถูกโยนลงมาจากเวทีอย่างง่ายดาย ถ้ามันเป็นพวกเราที่กำลังต่อสู้แทน ข้ายังไม่แน่ใจว่าเราจะดีไปกว่าลูกศิษย์พวกนั้น ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ซึ่งเป็นอันดับหนึ่งของบรรดาเด็กใหม่ ความแข็งแกร่งของเขาน่ากลัวมาก เจ้าคิดอย่างไรกับการเคลื่อนที่ไปรอบ ๆ และโจมตี? ถึงแม้ว่าเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน มันก็เป็นเรื่องที่ยากนักที่จะหลบการโจมตีของเขาได้
นอกเหนือจากลูกศิษย์สองคน ศิษย์พี่หลายคนในสำนักต่างก็ถกเถียงกันถึงการประลองของพวกมัน พวกมันอยู่ในสำนักนี้เป็นเวลาหลายปี แต่การแข่งขันในปีนี้ทำให้พวกมันถึงกับพูดไม่ออก ในปีนี้มีลูกศิษย์จำนวนมากที่มาถึงระดับเก้าของพลังเซียน แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าลูกศิษย์สองลำดับแรกนั้นเป็นเพียงลูกศิษย์ที่อยู่ในระดับแปดของพลังเซียน
ไม่นานหลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้รับแกนอสูรระดับสามเป็นรางวัล มันเป็นสีแดงเข้มและขนาดใหญ่กว่า แกนอสูรระดับหนึ่งซึ่งพี่ชายของเขาได้ให้เขาก่อนหน้านี้
เจี้ยนเฉินถือมันขึ้นมาด้วยมือของเขา เขาสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงกลิ่นอายพลังงานจำนวนมหาศาล จากแกนอสูร พลังจำนวนมากในแกนอสูรและพลังปราณในโลกก่อนหน้าของเขามีความแตกต่างที่น้อยมาก แต่เท่าที่เจี้ยนเฉินรู้ พลังงานที่มาจากแกนอสูรมีขนาดใหญ่มาก
นอกเหนือจากแกนอสูร เจี้ยนเฉินยังได้รับเหรียญรางวัลที่ซึ่งถูกหลอมด้วยทองและมีคำจารึกบนเหรียญ
จากสิ่งที่เจี้ยนเฉินเคยได้ยิน ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเหรียญที่เขาได้รับเป็นรางวัล ดังนั้นเขาจึงไม่มีความคิดเกี่ยวกับว่าการใช้งานของมัน แต่ในขณะที่เขากำลังพยายามที่จะคิด รองอาจารย์ใหญ่ไป่เอิ่นอธิบายกับเขาว่า เหรียญนี้เป็นเพียงรางวัลสำหรับลูกศิษย์ที่ได้อันดับหนึ่งในศึกจัดอันดับของเด็กใหม่ ตราบใดที่เจ้ามีสิ่งนี้ เจ้าจะได้รับแกนอสูรระดับหนึ่งทุกเดือน นอกจากนี้ ผู้ที่ครอบครองเหรียญนี้จะสามารถเข้าไปยัง 5 ชั้นแรกของหอหนังสือได้
Chaotic Sword God ตอนที่ 16 เข้าสู่รอบสุดท้าย
ได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ตาของกาดิซิ่วหลีเป็นประกายขึ้นมา เจ้าเป็นคนพูดเองนะ อย่ากลับคำพูดทีหลัง ! กาดิซิ่วหลีจ้องมองเจี้ยนเฉินที่กำลังเตรียมความพร้อมกับตัวเองอย่างมาดหมาย ก่อนที่นางจะพูดจบ นางพุ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการโจมตีในครั้งแรก นางกระโจนขึ้นไปในอากาศและฟาดขาของนางออกไปเตะที่ใบหน้าของเขา แต่เวลานี้ความเร็วในการเตะของนางได้เร็วกว่าเดิมเกือบเท่าตัว
เจี้ยนเฉินยิ้มด้วยรอยยิ้มประหลาด ขณะลูกเตะเข้ามาใกล้ เช่นเดียวกับเขากล่าวว่าก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินไม่คิดจะหลบมัน แต่แทนที่จะหลบหลีก ขณะที่ขาของนางมาถึงตรงหน้าของเจี้ยนเฉิน มือทั้งสองของเขายื่นออกมาด้านหน้า คว้าเข้าที่ขาของกาดิซิ่วหลี ในขณะที่บิดมัน หมุนตัวนางไปรอบ ๆ จากนั้นเขาโยนนางออกไป กาดิซิ่วหลีร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ในขณะที่นางกำลังหมุนไปรอบ ๆ โดยเจี้ยนเฉิน
ลูกศิษย์หลายคนโดยรอบดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นอ้าปากค้าง ดูเหมือนว่าเจี้ยนเฉินไม่เพียงแต่จะไม่สนใจในความงามนั้น และเขายังโยนเด็กสาวที่งดงามขึ้นไปในอากาศด้วยท่าทีโหดร้าย ทำให้พ่ายแพ้เหมือนกับคู่ต่อสู้หกคนที่ผ่านมา
ด้านล่างของเวทีการประลอง กาดิหยุนรู้สึกว่าเส้นเลือดที่หน้าผากของเขากำลังปูดออกมา ในขณะที่เขาเฝ้าดูน้องสาวของเขาถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม เปรียบดั่งฆาตกร เขาจ้องมัน! ถ้าไม่มีรองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอิ่น นั่งเป็นประธานในการแข่งขันอยู่ด้วยแล้วละก็ กาดิหยุนจะตรงขึ้นไปสอนบทเรียนให้กับเจี้ยนเฉินอย่างแน่นอน !
เจี้ยนเฉินมีแขนที่แข็งแกร่ง เหมือนกับปากนกที่แข็งแกร่ง มันหนีบลงบนขาของนางในขณะที่เขาเหวี่ยงตัวของนาง 2 รอบก่อนที่จะปล่อยให้ลอยออกไป ในขณะที่ทุกคนได้เห็นร่างกายของกาดิซิ่วหลีลอยออกไปในอากาศ ก่อนจะตกลงท่ามกลางฝูงชนที่นั่งอยู่โดยรอบ
เขาเรียนรู้กลเม็ดนี้จากเถี่ยต้า หลังจากที่ดูการแข่งขันของเถี่ยต้า เขาเห็นว่าเขาสามารถใช้วิธีการที่คล้ายกันเพื่อให้ง่ายต่อการโยนฝ่ายตรงข้ามของเขาออกจากเวที อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินต้องยอมรับวิธีการนี้เป็นเคล็ดลับที่ง่ายมากที่จะนำเอาชัยชนะนั้นอย่างง่ายดาย
มีความรังเกียจเพียงเล็กน้อยสำหรับผู้คนในกลุ่มผู้ชมซึ่งช่วยกาดิซิ่วหลีให้ยืนขึ้น เจี้ยนเฉินได้ถูกประกาศให้เป็นผู้ชนะ ก่อนที่เขาจะก้าวลงจากเวทีอย่างช้า ๆ
เหม่อมองไปยังเจี้ยนเฉินซึ่งเดินออกไปจากเวทีการประลอง ใบหน้าของนางก้มต่ำลง ตั้งแต่นางเกิด นางได้รับการเอาอกเอาใจจากคนนับร้อยที่อยู่รอบตัวนาง สำหรับนางแล้ว นางรู้สึกถึงความอัปยศอดสูจากการถูกโยนขึ้นไปในอากาศหลังจากที่ถูกเหวี่ยงไปรอบ ๆ มันเหมือนกับว่านางเสียหน้ามากทีเดียว แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บก็ตาม ขณะที่นางคิดว่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตาของกาดิซิ่วหลีเต็มไปด้วยน้ำตา และในที่สุดนางก็เริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ
ในขณะที่เจี้ยนเฉินเดินลงจากเวที พี่ชายของกาดิซิ่วหลี กาดิหยุนปิดกั้นเส้นทางของเขา เขาจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างไม่ไยดีพร้อมกับคำรามออกมา เจ้าเด็กน้อย เจ้าอาศัยความกล้าอะไร ถึงได้กระทำสิ่งบัดซบกับน้องสาวของข้าเช่นนั้น
เจี้ยนเฉินชำเลืองมองท่าทางโกรธเกรี้ยวของกาดิหยุนโดยไม่พูดอะไร เจี้ยนเฉินเดินหนีเขา พูดไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า ๆ เพราะว่าเจี้ยนเฉินไม่อยากจะฟังกาดิหยุนซึ่งพยายามที่จะใช้อิทธิพลของตระกูลของเขาที่จะกลั่นแกล้งผู้อื่น
ดูเจี้ยนเฉินเดินห่างออกไปจากเขา ใบหน้าของกาดิหยุนเองก็ยิ่งมืดครึ้มมากขึ้น
ด้วยการแข่งขันในรอบสี่คนสุดท้าย 4 ชื่อถูกเรียกออกมา ในท้ายที่สุดมันก็มี เจียงหยางเซียงเทียน เถี่ยต้า กาดิเหลียงและเทียนมู่หยง ที่ยังคงอยู่
.
ขณะที่ตัวเถี่ยต้านั้นไม่ได้ผิดไปจากที่เขาคิดเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่คาดคิดว่ากาดิเหลียงจะก้าวขึ้นมาถึงรอบสี่คน
ในรอบสี่คน เทียนมู่หยง ร่างของเขาไม่ได้สูงไปกว่ากาดิซิ่วหลี เขามีร่างกายขนาดกลางและผิวที่ซีด แม้ว่าเขาจะเป็นเด็ก แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขานั้นเป็นหนุ่มหล่อทีมีโครงสร้างใบหน้าที่สมบูรณ์แบบ
ขึ้นไปด้านบน บริเวณที่นั่งของรองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอิ่น กวาดตามองลูกศิษย์ 4 คนที่เข้ารอบอย่างช้า ๆ ด้วยการพยักหน้าเล็กน้อยและหัวเราะ เขาประกาศว่า มันปรากฏว่า เด็กใหม่ในปีนี้แข็งแกร่งกว่าปีก่อนมากทีเดียว ข้าได้แต่หวังว่าสำนักคากัตจะสามารถโอ้อวดเรื่องนี้ในภายภาคหน้าได้
หลังจากการประกาศ เด็กใหม่ทั้งสี่คน พวกเขาได้พัก 1 ชั่วยามก่อนที่จะดำเนินการแข่งขันต่อไป อย่างไรก็ตาม มีโอกาสเพียงเล็กน้อย เจี้ยนเฉินจับฉลากได้ชื่อกาดิเหลียง ขณะที่เถี่ยต้าจับคู่กับเทียนมู่หยง
ด้านล่างเวที กาดิหยุนและพี่น้องของเขารวมตัวกันที่ด้านล่าง ดวงตาของกาดิหยุนเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
พี่รอง ท่านจะต้องสอนบทเรียนให้กับมันในภายหลัง!. กาดิซิ่วหลีกล่าวด้วยความโกรธที่ดุเดือดเลือดพล่านกับกาดิเหลียง ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น
สังเกตเห็นดวงตาแดงก่ำของน้องสาวของเขาและคราบน้ำตาบนใบหน้าของนาง กาดิเหลียงช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธอย่างมากในขณะที่เขาพูด น้องซิ่วหลีอย่าได้กังวล ต่อให้ข้าต้องถูกลงโทษจากสำนัก พี่รองของเจ้าก็จะสั่งสอนบทเรียนให้กับมัน
หืม เจ้าเด็กโหดร้าย กล้าคิดที่จะทำกับน้องสาวของพวกเราแบบนี้ เขาช่างรนหาที่ตายจริง ๆ น้องพี่อย่าได้กังวล ข้ามั่นใจว่า เขาจะต้องทรมานตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในสำนักนี้อย่างแน่นอน ถึงแม้อาจารย์ใหญ่ได้ให้ความช่วยเหลือกับพวกลูกศิษย์สามัญยากจนก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีความหมายอะไร หากข้าทุบตีเขาจนกลายเป็นคนพิการ อาจารย์ใหญ่ก็พูดอะไรไม่ได้ อย่างดีก็แค่ตำหนิพวกเรา ใบหน้าของกาดิหยุนมองราวกับว่าเขาได้กลืนกินยาพิษ เมื่อมันเป็นน้องสาวของพวกเขาซึ่งทั้งกาดิยุนและกาดิเหลียงได้เฝ้าดูแลทนุถนอมนางเป็นอย่างดี แต่เจี้ยนเฉินกลับ กระทำเช่นนั้นกับน้องสาวของเขา พวกเขาจึงได้เกลียดชังเจี้ยนเฉินอย่างรุนแรง
ในไม่ช้าทั้งเจี้ยนเฉินและกาดิเหลียงก็เดินขึ้นไปบนเวทีประลอง และรอสัญญาณสำหรับการเริ่มต้นแข่งขัน ทันใดนั้นเสียงเสียงฆ้องดังขึ้น กาดิเหลียงเข้าประชิดตัวเจี้ยนเฉินและพยายามที่จะชกหมัดไปที่ท้องของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินหลบการโจมตีของกาดิเหลียง ในขณะเดียวกับก็ใช้กำปั้นโต้กลับไปที่ฝ่ายตรงข้ามด้วยความไวที่มากกว่า
พลั่ก!
ก่อนหน้านั้น กาดิเหลียงยังสามารถตอบสนองกำปั้นเจี้ยนเฉินได้ เจี้ยนเฉินส่งมันไปทางด้านหลัง พลังหมัดของเขานั้นจัดว่าแข็งแกร่ง ดังนั้นจึงบังคับให้กาดิเหลียงเซไปข้างหลังก่อนจะล้มลงคุกเข่า
หลังจากหนึ่งลมหายใจ เจี้ยนเฉินไม่ได้คิดจะยั้งมือกลับแต่อย่างใด ขาทั้งสองข้างของเขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เขาส่งมันไปหากาดิเหลียงที่คุกเข่า ทันใดนั้นกาดิเหลียงก็กระเด็นไปอีกครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากถูกโจมตี เขาลอยไปเกือบ 2 เมตรโดยเกือบจะออกจากเวทีการประลอง แม้ว่าครึ่งหนึ่งของร่างกายของเขาได้แล้วห้อยออกมาจากมัน
ดูภาพนี้ ลูกศิษย์ทุกคนร้องออกมาอย่างตกใจ พวกเขาไม่เคยคิดว่าผลการสู้นั้นจะออกมาอย่างง่ายดาย นี่มันน่าตื่นตระหนกมาก ลูกศิษย์ที่มีพลังเซียนในระดับ 9 กาดิเหลียง กลับพ่ายแพ้ต่อผู้ที่มีพลังเซียนในระดับ 8 เจี้ยนเฉิน
เห็นครึ่งหนึ่งของร่างกายกาดิเหลียงตกลงไปจากขอบเวที หัวใจกาดิหยุนและกาดิซิ่วหลีแทบจะกระโจนออกจากทรวงอกของพวกเขา
ไฮ้ เหตุใดพี่รองถึงไม่ระมัดระวัง นี่ นี่มันน่ารำคาญยิ่ง มันจะดี หากเขาไม่พ่ายแพ้ต่อเจ้าคนสารเลวนั่น กาดิซิ่วหลีร้องออกมา ขณะที่นางขยี้เท้าของนางด้วยความโกรธ หลังจากนั้นก็มองไปที่กาดิเหลียง มันง่ายมากที่จะบอกได้ว่าใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความกังวลแทนพี่ชายของนาง
กาดิหยุนถอนหายใจในความโกรธเคือง อะไรคือสิ่งที่น้องรองทำ เขาไม่ระวังตัวและพ่ายแพ้ให้กับเจ้าเด็กสารเลว ที่อยู่เพียงระดับแปดของพลังเซียน?
ด้านบนของเวทีรองอาจารย์ใหญ่ ไป่เอินยิ้มออกมาอย่างตื่นเต้น ในขณะที่เขากล่าวว่า เด็กใหม่ที่เราได้รับมานั้น เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นอัญมณีที่ซึ่งได้รับมาจากสวรรค์ ที่เมื่อหากข้าขัดมัน มันก็จะเปล่งประกายเป็นอย่างมากในอนาคต ในขณะที่การโจมตีของเขามีความเรียบง่าย แต่มันก็เต็มไปด้วยความลึกลับในทุกย่างก้าว ทุกครั้งที่เขาถูกโจมตีในจุดสำคัญ เขาก็ตอบสนองมันในทันที สองคนนี้เป็นลูกศิษย์ที่น่าจับตามองอย่างแท้จริง ข้าเชื่อว่าในอนาคตทั้งสองจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสูงในทวีปเทียนหยวนอย่างแน่นอน ข้าก็ควรจะปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ในภายหลัง
บนเวที กาดิเหลียงดึงตัวเองให้กลับขึ้นไปบนเวที หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยหยดเหงื่อเย็น หากร่างกายของเขาลื่นมากขึ้นเพียงไม่กี่นิ้วแล้วละก็ ไม่ต้องมีข้อสงสัยเลยว่าร่างกายของเขาจะต้องร่วงจากเวทีไปอย่างแน่นอน และนั่นหมายถึงการพ่ายแพ้ต่อคนที่มีพลังเพียงแค่ระดับ 8 เท่านั้น ซึ่งเป็นที่น่าอับอายมากหากถูกตราหน้าด้วยความอัปยศเช่นนั้น
เมื่อกาดิเหลียงคลานกลับขึ้นและหมุนตัวไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมของเขาทันใดนั้นก็เบลอและจู่ ๆ เขาก็ตระหนักถึงอาการปวดในท้องอย่างรุนแรงของเขา ก่อนที่เขาจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่แล้วร่างของเขารู้สึกราวกับเบาโหวง ก่อนที่เขาจะตระหนักถึงเรื่องราวเช่นนั้น จากนั้นเขาก็รับรู้ว่าตัวเองตกกระทบพื้นดินและเสื้อคลุมสีขาวของเขาที่เคยสะอาดสะอ้านก่อนหน้านี้ ตอนนี้ก็กลับเปื้อนไปด้วยฝุ่น
กาดิเหลียงมองเหม่อและยืนขึ้นมาจากพื้นดิน มองรอบ ๆ ตัวเองก่อนที่เขาจะเข้าใจได้อย่างเต็มที่กับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ความไม่พอใจระเบิดออกมาจากดวงตาของเขาในขณะที่เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยแววตาดุดัน แม้ว่าเขาจะบรรลุถึงระดับ 9 แต่ในท้ายที่สุดเขากลับถูกโจมตีโดยอีกฝ่ายซึ่งอยู่ในระดับ 8 เท่านั้น นั่นมันทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก
ทุกครั้งที่เขาคิดเช่นนั้น หัวใจกาดิเหลียงที่เต็มไปด้วยความโกรธไม่มีที่สิ้นสุด มันแน่ชัดว่าเขาได้รับความอับอายอย่างใหญ่หลวง
กาดิหยุนเดินขึ้นไปยังกาดิเหลียงและกล่าวว่า น้องรอง เจ้าทำให้ข้าผิดหวัง เจ้าทำให้ตระกูลกาดิขายหน้า หลังจากทิ้งคำพูดนี้ กาดิหยุนระเบิดอารมณ์กับกาดิเหลียง และออกไปจากพื้นที่ตรงนั้น
ได้ยินคำพูดของกาดิหยุน ใบหน้าของกาดิเหลียงเต็มไปด้วยความอัปลักษณ์
พี่รอง ท่านประมาทเกินไป แม้ว่าท่านจะบอกว่าท่านจะช่วยข้าสอนบทเรียนให้กับเขา แต่ก็ท้ายที่สุดก็กลายเป็นท่านที่ได้รับบทเรียนนั้น กาดิซิ่วหลีกล่าวเสียงขุ่น ในน้ำเสียงที่ผิดหวังของนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ได้ยินอย่างนี้แล้วใบหน้าของกาดิเหลียงเปลี่ยน ก่อนที่จะคำรามออกมา นี่มันเป็นเพียงแค่โชคดี เพราะมันอยู่บนเวทีนี้ มันถึงได้รับรางวัล ถ้าเราจะเปลี่ยนสถานที่แล้วก็ ไม่มีทางที่มันจะต่อกรกับข้าได้ น้องสาม เจ้าไม่ต้องกังวล แน่นอนในอนาคต ข้าจะสอนบทเรียนนี้ให้กับมัน
กาดิซิ่วหลีเริ่มคิด นางรู้สึกว่าเหตุผลของเขาพอรับฟังได้ นางพยักหน้าอย่างช้า ๆ และกล่าวว่า พี่รอง ในครั้งหน้า พี่ต้องสอนบทเรียนให้กับเขานะ!!
ไม่นานหลังจากที่เจี้ยนเฉินได้รับชัยชนะจากการแข่งขันของเขา การแข่งขันระหว่างเถี่ยต้าและเทียนมู่หยงจะยังไม่จบลง แม้ว่าเถี่ยต้าจะมีระดับพลังเซียนในระดับที่ต่ำกว่า แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ได้อาศัยประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้จากการล่าสัตว์ในป่า และในที่สุดก็สามารถที่จะเอาชนะเทียนมู่หยงอย่างเฉียดฉิว
พร้อมกับเจี้ยนเฉิน เถี่ยต้าก็กลายเป็นหนึ่งในผู้เข้ารอบสุดท้าย ในที่สุดแล้วในรอบถัดไป หนึ่งในสองคน คนที่เป็นผู้ชนะ และกลายเป็นผู้อยู่เหนือลูกศิษย์ใหม่ทั้งหมด
Chaotic Sword God ตอนที่ 15 กาดิซิ่วหลี
เมื่อได้ยินเถี่ยต้ากล่าว ช่วยไม่ได้เลยที่เจี้ยนเฉินถาม เถี่ยต้า เจ้าบอกว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่วัตถุหนักเท่าไรที่เจ้าสามารถยกได้?
ตอนที่ข้าอยู่ที่บ้าน ข้าสามารถยกหินหนัก 200 กิโลกรัมได้ เขากล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ใบหน้าเจี้ยนเฉินก็ว่างเปล่าทันทีที่ได้ยินคำตอบนั้น เจ้าลูกศิษย์คนนี้มันเป็นสัตว์ประหลาดหรือไงกัน หิน 200 กิโลกรัมขนาดผู้ใหญ่ยังยกไม่ได้เลย แต่สำหรับเด็กหนุ่มเช่นเถี่ยต้ากลับสามารถยกหินใหญ่ยักษ์ได้ เพียงเท่านั้นเจี้ยนเฉินก็รู้สึกหวาดกลัวจากข้อเท็จจริงนี้
เถี่ยต้า เจ้าอายุเท่าไหร่? เจี้ยนเฉินเริ่มมองเถี่ยต้าด้วยแววตาที่ต่างออกไป
อายุ 16 ปี เถี่ยต้ากล่าว ในขณะที่เขาเคี้ยวอาหารของเขา การเคี้ยวของเขาทำให้คำพูดของเขาเกือบจะไม่ได้ยิน
ความประทับใจของเจี้ยนเฉินเพิ่มมากยิ่งขึ้น ในขณะที่เขากล่าวว่า เถี่ยต้า เจ้ามีความแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เจ้าเป็นเด็กหรือ?
นั่นถูกแล้ว ที่จริงความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นมาก เพราะข้าไม่เคยกินอิ่มเลยเมื่อตอนที่ข้าอยู่บ้าน ข้ามักจะขึ้นไปยังภูเขาและล่าอะไรบางอย่าง เพื่อเป็นอาหารของตัวข้าเอง เถี่ยต้ากล่าวอย่างหนักแน่น
เจี้ยนเฉินสูดหายใจเข้าลึก ๆ มั่นใจว่า ความแข็งแกร่งของเถี่ยต้านั้นมันชี้ชัดว่าเขาได้รับพลังจากพระเจ้า มิฉะนั้นเด็กหนุ่มอย่างเขาจะไม่สามารถที่จะยกหินหนักเช่นนั้นได้ แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจสำหรับเจี้ยนเฉินก็มีเพิ่มมากขึ้น เถี่ยต้าสามารถออกล่าด้วยตัวเองในภูเขา สำหรับคนที่อายุเพิ่งจะ 16 สำหรับความสามารถที่ออกล่าได้อย่างง่ายดายในภูเขานี้ทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกประทับใจ นอกจากนั้นไม่เพียงแต่สัตว์ป่าที่ปรากฏในเทือกเขาอสูรเท่านั้น แต่ยังมีสัตว์อสูรซึ่งแข็งแกร่งกว่าสัตว์ป่าธรรมดามาก
เถี่ยต้าลูบท้องของเขาและลุกขึ้นยืน พร้อมกับหัวเราะออกมา เจียงหยางเซียงเทียน ข้าอิ่มแล้ว ดังนั้นข้าจะกลับไปที่หอพักของข้าเพื่อจะนอน พรุ่งนี้เป็นวันที่มีการแข่งขันรอบสุดท้าย
เจี้ยนเฉินพยักหน้า ข้าหวังว่าเจ้าจะติดสามอันดับแรกในการแข่งขันวันพรุ่งนี้.
เถี่ยต้าพยักอย่างรุนแรงและความเด็ดเดี่ยว ซึ่งอาจจะมองเห็นได้จากดวงตาของเขา แน่นอนข้าจะพยายามอย่างหนักและสำหรับการติดสามอันดับแรก แกนอสูรขั้นหนึ่งสามารถขายได้อย่างน้อย 10 เหรียญม่วง !
ไม่นานหลังจากที่เถี่ยต้าจากไป เจี้ยนเฉินได้กินอาหารของเขาอย่างรวดเร็วเองและกลับไปที่ห้องของเขา ทันใดนั้น ในขณะที่เขาปิดประตู เขาได้ยินเสียงเคาะประตู
น้องสี่ เจ้าอยู่หรือไม่? เจียงหยางหู่ถาม
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เจี้ยนเฉินรู้สึกประหลาดใจ มันเกือบสองวันเต็ม นับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นพี่ชายครั้งสุดท้าย เขาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว เขาได้เชิญเจียงหยางหู่เข้ามาภายในห้องของเขา
น้องสี่ ข้าเสียใจ ข้าไม่ได้ติดตามความคืบหน้าของเจ้าในการแข่งขัน เขารีบกล่าวออกมาก่อนที่เจี้ยนเฉินจะเปิดปากของเขาออกเพื่อถามคำถาม
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและกล่าวว่า ข้าเข้ารอบแปดคนแล้ว วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน.
ในขณะที่เขาฟังเจี้ยนเฉินพูด เจียงหยางหู่นั้นจู่ ๆ ก็มีความสุขเพิ่มขึ้น สำหรับความสำเร็จของน้องชายของเขา เขากล่าวอย่างตื่นเต้นว่า น้องสี่ เจ้าช่างประเสริฐอย่างแท้จริง! นั่นจึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่เจ้ามายังที่นี่ก่อนหน้าน้องสอง น้องสาม
จากนั้นเขาก็หยิบผลึกขนาดเท่าหัวแม่มือออกมาจากกระเป๋าของเขา เจียงหยางหู่ยัดมันใส่ในมือของเจี้ยนเฉิน น้องสี่ นี่เป็นแกนอสูรระดับหนึ่ง สองวันที่ผ่านมานี้ ข้าและเพื่อนของข้า ไปยังป่าที่อยู่ด้านหลังสำนักและร่วมมือกันสังหารสัตว์อสูรระดับ 1 นี่คือแกนอสูรที่ข้าได้ต่อสู้มาเพื่อเจ้า ดังนั้นเจ้าจงรับไป ดูเหมือนมันจะดึกแล้ว พี่ใหญ่จะไม่รบกวนเจ้าอีกต่อไป วันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน ดังนั้นเจ้าต้องพยายามให้หนักและกลายเป็นอันดับหนึ่ง เจียงหยางหู่กล่าว แล้วเดินออกมาจากห้องหลังจากที่ค่อย ๆ ปิดประตู
ในเวลาก่อนที่ที่เจียงหยางหู่จะปิดประตูลง เจี้ยนเฉินเหลือบเห็นร่องรอยของกรงเล็บที่ยาวประมาณ 3 นิ้วที่อยู่บริเวณแขนของเจียงหยางหู่
จ้องมองแกนอสูรระดับหนึ่งที่อยู่ในมือเขาอย่างเงียบ ๆ เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงคลื่นของความอบอุ่นที่ยังคงหลงเหลืออยู่ ในขณะเดียวกันจิตใจของเจี้ยนเฉินก็ไม่อาจสงบลงได้
แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแกนอสูรระดับหนึ่ง เจี้ยนเฉินรู้สึกกังวลถึงเจียงหยางหู่ เมื่อคิดกลับไปถึงบาดแผลบนแขนของเจียงหยางหู่ เจี้ยนเฉินรู้ว่าแผลนั้นมาจากการล่าสัตว์อสูร เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดถึงของขวัญ ช่วยไม่ได้ที่ความรู้สึกภายในใจนั้นอบอุ่นยิ่ง เพราะเขาไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
หลังจากที่ยืนอยู่ตรงกลางของห้องของเขาด้วยท่าทีตกตะลึง ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็สูดลมหายใจลึก ๆ ค่อย ๆ บังคับให้ตัวเองเข้าสู่ภาวะสงบ จากนั้นเขาได้นอนพักบนเตียงของเขา เริ่มต้นบ่มเพาะอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะมีแกนอสูรในตอนนี้ เขาไม่ได้ต้องการที่จะใช้มัน เขาเพียงแต่เก็บมันไว้ในเข็มขัดมิติของเขา การแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เจี้ยนเฉินมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าเขาจะต้องเป็นอันดับหนึ่ง นอกจากนี้ ในโลกก่อนหน้านี้ของเขา เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญเพียงคนเดียวซึ่งที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก และถึงแม้ว่าเขาได้สูญเสียพลังหลังจากที่เกิดใหม่ แต่เขายังคงมีความรู้เกี่ยวกับเพลงกระบี่ เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับกฎแห่งกระบี่ที่มันถูกฝังเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่ได้สูญเสียความเข้าใจในวิถีกระบี่ของเขา และดังนั้นในอนาคตเจี้ยนเฉินจะก้าวขึ้นไปให้สูงสำหรับทวีปนี้
เช้าวันรุ่งขึ้นเจี้ยนเฉินทานอาหารเช้าของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะถึงเวลาแข่งขัน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการแข่งขัน ผู้คนจึงมารวมกันมากขึ้นในวันนี้ มากกว่าสองวันก่อนหน้านี้รวมกันเสียอีก หลายคนที่มาใหม่เหล่านี้ ล้วนแต่เป็นลูกศิษย์เก่า
บริเวณต่อสู้ได้รับการปรับปรุงอย่างเต็มที่ในคืนที่ผ่านมาและจากเดิมที่มีเวทีประลองถึง 5 สนาม แต่มันเปลี่ยนเป็น 4 สนาม ในตอนนี้มีขนาดใหญ่กว่าเมื่อวานนี้เป็นอย่างมาก อยู่ในระดับที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถเปรียบได้กับขนาดใหม่
ในเวลานั้นเอง เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนเห็นบางสิ่งที่อยู่ด้านหลังของเขา เมื่อหันกลับไปเขาเห็นพี่ชายของเขา เจียงหยางหู่เดินฝ่าฝูงชนมาข้างหน้า เพื่อพยายามที่จะเข้ามาหาเขา
เมื่อจำได้ว่าเป็นเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ยิ้มกว้าง ถอนตัวจากฝูงชนอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งไปที่ด้านข้างของเจี้ยนเฉินและตบเข้าบนไหล่ น้องสี่ ในวันนี้เจ้าต้องพยายามให้หนัก พี่ใหญ่ไม่ได้ต้องการให้เจ้าเป็นอันดับหนึ่ง การเข้าสู่สามอันดับแรกนั้นก็เพียงพอแล้ว เจียงหยางหู่กล่าว การได้รับแกนอสูรนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้รับอันดับที่ดี แม้ว่าราคาของแกนอสูรจะไม่อาจดูแคลนได้ง่ายนัก แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่บุตรชายคนโตของตระกูลเจียงหยางต้องการมากนัก
เจี้ยนเฉินหัวเราะและกล่าวว่า พี่ใหญ่ ท่านอย่าได้กังวล แน่นอน ข้าจะไม่ยอมให้ท่านดูถูกข้า
เวลาของการแข่งขันมาถึงอย่างรวดเร็ว แปดอันดับแรกจะเริ่มต่อสู้ในรอบรองชนะเลิศ หลังจากจับฉลากการต่อสู้เสร็จสิ้น ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินเดินเข้าไปยังเวทีการประลอง หลังจากนั้นไม่นาน ฝ่ายตรงข้ามเจี้ยนเฉินก็เดินขึ้นมาบนเวทีอย่างเชื่องช้า แต่ที่น่าแปลกใจ ฝ่ายตรงข้ามของเจี้ยนเฉินเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง เขาจดจำนางได้จากช่วงเวลาที่ผ่านมาอย่างแม่นยำ คู่ต่อสู้ของเขาคือกาดิซิ่วหลี
กาดิซิ่วหลีสวมชุดสีแดงเข้มอันเป็นเอกลักษณ์ และแม้ว่านางจะเป็นเพียงเด็กสาวอายุราว ๆ 16-17 ปี ร่างกายของนางก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เครื่องแบบนั้นแนบไปกับผิวหนังของนาง นางจัดว่าเป็นเด็กสาวที่งดงาม ผิวของนางขาวละเอียดอ่อน และใบหน้างดงามของนาง เช่นนี้จึงทำให้กาดิซิ่วหลีได้รับความสนใจจากเด็กหนุ่มอย่างไม่ต้องสงสัย ความงดงามนั้นมากพอให้คนทั้งเมืองต่อสู้เพื่อนาง แต่เป็นความจริงสำหรับคนส่วนใหญ่ที่เกิดมาในตระกูลที่มีชื่อเสียง นางจึงเดินออกมาอย่างเย่อหยิ่ง
เจี้ยนเฉินมามือเปล่า ที่ด้านบนของเวที เหตุผลที่ว่าทำไมเขามามือเปล่า เป็นเพราะกฎของสถาบัน พวกเขาเชื่อว่าวิธีที่ดีที่สุดที่จะตัดสินความแข็งแกร่งของบุคคลคือการต่อสู้ด้วยมือเปล่า และเพราะอย่างนั้นอาวุธเช่นกระบี่จึงไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้ และเพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนสร้างอาวุธเซียนได้ เด็กหน้าใหม่ทั้งหมดเหล่านี้จึงต่อสู้โดยปราศจากอาวุธ
กาดิซิ่วหลีมองเจี้ยนเฉินด้วยความหยิ่งผยอง เจ้าจะต้องเสียใจสำหรับความโอหังที่ห้องอาหารในวันนั้น ข้าแน่ใจว่าจะสอนบทเรียนกับเจ้าในวันนี้ น้ำเสียงกาดิซิ่วหลีเฉียบคมก้องกังวาน
ได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเจี้ยนเฉินเผยให้เห็นรอยยิ้มของความรังเกียจ คนที่เกิดมาภายในตระกูลที่มีชื่อเสียงมากของพวกเขา มันชี้ชัดว่าพวกเขาไม่เคยรู้ว่าเหนือฟ้ายังคงมีฟ้า
บูม!
เสียงดังออกมาจากเวทีการประลอง เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการแข่งขัน
เพราะเวทีการประลองอยู่ในสถานที่เดียวกัน เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง แปดผู้เข้าแข่งขันต่างก็พร้อมและเริ่มต้นที่จะต่อสู้
กาดิซิ่วหลีได้ก้าวไปหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เมื่อนางอยู่ใกล้กับเขาในระยะ 3 เมตร ทันใดนั้น นางก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ จากนั้นก็ส่งลูกเตะของนางผ่านอากาศมาที่เจี้ยนเฉิน แม้ว่ากาดิซิ่วหลีจะยังเด็ก นางก็มีความแข็งแกร่งมากทีเดียว เห็นได้จากการที่นางบรรลุระดับเก้าของพลังเซียน
เจี้ยนเฉินยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่เคลื่อนย้ายแม้แต่ก้าวเดียว ขณะที่เท้าของกาดิซิ่วหลีกำลังจะสัมผัสกับใบหน้าของเขา เขาเพียงแค่เอียงคอไปด้านข้าง ทำให้ลูกเตะนั้นเฉียดด้านข้างของศีรษะเขา
ปฏิกิริยาของกาดิซิ่วหลีรวดเร็วมาก ทันทีที่นางตระหนักว่าลูกเตะไม่ได้สัมผัสโดนเจี้ยนเฉิน นางเหวี่ยงมือไปที่จมูกของเขา ด้วยกำปั้นที่เต็มไปด้วยพลังเซียน ไม่เพียงแต่กำปั้นของนางถูกส่งมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่มีพลังจำนวนมากที่อยู่ภายในกำปั้นของนาง คนปกติหากโดนหมัดนี้เข้าไปจะได้รับบาดเจ็บสาหัสมากหลังจากโดนมัน แต่เพราะมันเป็นเจี้ยนเฉิน นางจึงไม่คิดดึงมันกลับ ไม่ว่าอย่างไร นางก็จบลงด้วยการเอาชนะเจี้ยนเฉินและก้าวเข้าสู่สี่อันดับ นางเพียงแค่ทำการสอนบทเรียนกับเจี้ยนเฉิน มันชี้ชัดว่านางจะไม่ยั้งมือเป็นแน่
เจี้ยนเฉินรับมือกับการโจมตีของกาดิซิ่วหลีอย่างง่ายดายและถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาเป็นคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเขา แต่เจี้ยนเฉินนั้นไม่เหมือนกับเด็กทั่วไป ด้วยประสบการณ์อันโชกโชนในการต่อสู้ของเขาจากโลกที่ผ่านมา ดังนั้นถ้าเขาไม่ต้องการที่จะต่อสู้ กาดิซิ่วหลีก็จะไม่อาจสัมผัสเสื้อผ้าของเขาได้เลยด้วยเช่นกัน
หลังจากที่กาดิซิ่วหลีได้พยายามที่จะโจมตีเขาอย่างหนักหลายครั้ง แต่นางก็ไม่อาจจะสัมผัสได้แม้แต่เสื้อผ้าของเจี้ยนเฉิน นางเริ่มรู้สึกรำคาญและหยุดลง นางหอบเล็กน้อย มือทั้งสองข้างของนางเท้าเอวและจ้องที่เจี้ยนเฉิน เฮ้? เจ้าจะต่อสู้หรือไม่ ถ้าไม่ ทำไมเจ้าถึงไม่เดินออกจากสนามนี้แล้วกระโดดไปรอบ ๆ แทนล่ะ!
เจี้ยนเฉินหัวเราะในขณะที่เขามองไปที่กาดิซิ่วหลี และกล่าวว่า คนที่ควรจะออกจากที่แห่งนี้เป็นเจ้า ไม่ใช่ข้า เจ้าจะโจมตีข้าได้อย่างไร กระทั่งเสื้อผ้าข้า เจ้าก็ไม่อาจสัมผัสได้
จะ..เจ้า!!… ใบหน้าที่งดงามตามธรรมชาติของกาดิซิ่วหลีเป็นสีแดงด้วยความโกรธ นางชี้หน้าเขาด้วยความโกรธแต่พูดอะไรไม่ออก แต่แล้วนางก็สงบลงและทำท่าเยาะเย้ยพร้อมกับพูดออกมาว่า ถึงแม้ข้าจะไม่สัมผัสเจ้า ? แต่เจ้าล่ะ เจ้าไม่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับข้า ทำได้เพียงแต่หลบหลีกเฉกเช่นคนขี้ขลาดเท่านั้น!!
เอ่อ นั่นก็ถูกแล้ว? ใบหน้าเจี้ยนเฉินเปิดเผยรอยยิ้ม ในขณะที่เขามองนางด้วยท่าทีแปลกใจ
กาดิซิ่วหลีมองอย่างเย่อหยิ่ง กล่าวออกมาอย่างมั่นใจ แน่นอน ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นคนขี้ขลาด เจ้าก็ควรพยายามต่อสู้กับข้าอย่างจริงจังสักที!
เจี้ยนเฉินชำเลืองมองไปที่เวทีอื่น และเห็นว่าการแข่งขันอื่น ๆ ได้เริ่มต้นที่จะสิ้นสุดแล้ว เขาหันกลับไปมองกาดิซิ่วหลี เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง ถ้าเจ้าอยากที่จะต่อสู้กับข้า ก็ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าปรารถนา!!
Chaotic Sword God ตอนที่ 14 เถี่ยต้า
เพล้ง
ขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังเริ่มกินอย่างออกรส มีมือข้างหนึ่งที่ตบลงบนไหล่ของเขา เป็นเหตุให้ทั้งโต๊ะสั่นสะเทือนจากการกระทำนั้น
เจี้ยนเฉินมีสีหน้าบึ้งตึง ในขณะที่เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เจ้าของมือเป็นชนชั้นสูงอายุราว 20 ปี ข้างเขาเป็นเด็กวัยรุ่น 2 คนซึ่งมีใบหน้าที่หยิ่งยโส คนหนึ่งเป็นชายและอีกคนเป็นหญิง ทั้งสองสวมเสื้อผ้าหรูหรา มันบ่งบอกได้อย่างชัดเจนและรวดเร็วว่าพวกเขามาจากครอบครัวที่ร่ำรวย
จ้องมองไปที่ลูกศิษย์สามคนที่แต่งตัวเป็นอย่างดี เขาพูดออกมาด้วยท่าทีรำคาญ มีปัญหาอะไรหรือ ?
ใบหน้าของชนชั้นสูงที่อายุราว 20 ปี เริ่มปรากฏลางร้าย ในขณะที่เขาจ้องมองมาที่เจี้ยนเฉินและพูดเสียงกร้าวว่า เฮ้ เจ้าเด็กเหลือขอ นี่คือโต๊ะของพวกเรา เจ้าควรไสหัวไปนั่งที่อื่น แม้ว่าเหล่าเยาวชนจะรู้ว่าเจี้ยนเฉินนั้นไม่ใช่สามัญชนจากเสื้อผ้าที่เขาใส่ เยาวชนทั้งหมดก็ไม่กล้าที่จะทำให้ตัวเองประสบปัญหาโดยการจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉิน
ได้ยินในสิ่งที่ชนชั้นสูงนั้นกล่าว เจี้ยนเฉินมองเขาด้วยความรังเกียจและกล่าวว่า ถ้าเจ้าต้องการที่จะกิน ก็นั่งลงและกินซะ โต๊ะนี้สำหรับลูกศิษย์ภายในสำนัก นอกจากนี้โต๊ะนี้ไม่ได้มีชื่อของเจ้าเขียนไว้บนนั้น ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่โต๊ะนี้กลายเป็นของเจ้า?
หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของชนชั้นสูงคนนั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ดูเหมือนว่าความอดทนจะหายไปเป็นที่เรียบร้อย เขาตะโกน เจ้าจะย้ายหรือไม่?
ในเวลานี้ ปรากฏการณ์ที่โต๊ะเจี้ยนเฉินเรียกความสนใจของคนอื่นได้มาก แม้ว่าจะมีหลายคนเมียงมอง แต่ดูแล้วก็ไม่มีใครมีความกล้าที่จะก้าวเข้ามาพูดอะไร
รอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนใบหน้าของเจี้ยนเฉิน เหตุการณ์แบบนี้แบบนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในชีวิตที่แล้วของเขา แต่ก็เป็นเขาเองที่มักจะสอนบทเรียนให้แก่คนเหล่านั้น
แน่นอน ข้าจะให้เจ้า เพียงแต่เจ้าต้องรอข้ากินเสร็จก่อน แล้วเจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะก้มหน้าก้มตากินอาหาร เพราะเขาพูดขณะก้มหน้าก้มตากินอาหาร เสียงที่เจี้ยนเฉินพูดออกมาจึงอู้อี้ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง
อย่างไรก็ตาม กับทั้งสามคนนี้ เจี้ยนเฉินอธิบายด้วยเสียงอันดังและชัดเจน
น้องชาย มันดูเหมือนว่าพลังอำนาจของเจ้าจะไม่เพียงพอในสำนักนี้; เจ้าไม่ควรอ้างสิทธิ์ในโต๊ะนี้ ทางที่ดีเจ้าควรจะออกไปทานอาหารด้านนอก เด็กสาวที่อยู่เบื้องหลังชนชั้นสูงคนนั้นกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ
ได้ยินคำพูดแบบนี้ ความอึดอัดบนใบหน้าของชายวัย 20 ปีหายไป หลงเหลือเพียงความโกรธ เขาจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างอาฆาตและตะโกนว่า เจ้าเด็กน้อย เจ้าชื่ออะไรและเจ้ามาจากครอบครัวไหน? ถ้าเจ้ากล้า ก็จงบอกข้า
คิ้วของเจี้ยนเฉินขมวดเข้าหากัน แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรอีก เสียงหนึ่งร้องออกมา กาดิหยุน เจ้าเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ระดับสูงของคากัต เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือที่ไปหาเรื่องกับเด็กใหม่ !
ชายคนหนึ่งพูด ดูเหมือนว่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันกับกาดิหยุน นอกจากนี้เขายังสวมเครื่องแบบสำนักเดียวกันและเขาก็ตรงมาที่พวกเขา
เห็นชายหนุ่มผู้นี้ ใบหน้าของกาดิหยุนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แววตาของเขาแสดงให้เห็นว่าถึงความหวาดกลัวในขณะที่เขากล่าวว่า ไป่โม่หราน เจ้าไม่ควรสอดมือมายุ่งเรื่องของข้า
ในจุดนี้เอง เจี้ยนเฉินก็รู้ว่าชื่อของทั้งสองคน หนึ่งคนก่อนหน้านี้ถูกเรียกว่ากาดิหยุนและคนที่เพิ่งมาถึงถูกเรียกว่าไป่โม่หราน
ชายหนุ่มที่มีนามว่าไป่โม่หรานหัวเราะและกล่าวว่า กาดิหยุน มันเป็นความจริงที่ว่ามันเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องของข้า แต่เนื่องจากข้าเป็นศิษย์พี่ ข้าไม่สามารถละเลยปัญหาของศิษย์น้องได้
ได้ยินอย่างนี้แล้วใบหน้าของเด็กวัยรุ่นสองคนยืนอยู่ข้างหลังกาดิหยุนมีการเปลี่ยนแปลง
ในเวลานี้เด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างหลังกาดิหยุนเริ่มลังเลเล็กน้อยแล้วดึงเบา ๆ ที่เสื้อผ้าของกาดิหยุน นางกระซิบเบา ๆ พี่ใหญ่ มีเก้าอี้ว่างที่นั่งได้อยู่ตรงนั้น เราก็ควรจะไปนั่งที่นั่น
กาดิหยุนมองไปรอบ ๆ ห้องอาหารและนั่นเองเป็นจุดที่ไม่ไกลเกินไปเก้าอี้ได้ว่างลง เขาจ้องมองที่เจี้ยนเฉินด้วยแววตาที่ดุร้าย เขาโบกมือ น้องรอง น้องสาม ไปกัน ! เขากล่าวว่าในขณะที่เขาเริ่มที่จะเดินไปยังโต๊ะที่ว่างเปล่า ถ้าเขายังคงดึงดันต่อไปมันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อเขาเลย นอกจากนี้เขายังจะกลายเป็นผู้แพ้ ตระกูลของไป่โม่หรานไม่ได้อ่อนแอไปกว่าตระกูลกาดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตัวไป่โม่หรานเองที่แข็งแรงกว่าเขา
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เรื่องที่ใหญ่กว่าที่อยู่ในมือคือว่าถ้ามีข่าวออกมาว่า รุ่นพี่ทำการระรานเด็กใหม่ มันจะกลายเป็นเป้าของการเยาะเย้ย นอกจากนี้ หากอาจารย์ใหญ่ได้ยินเรื่องนี้ เขาจะได้รับการลงโทษที่เข้มงวดอย่างแน่นอน.
เหตุผลที่ว่าทำไมกาดิหยุนถึงไม่เต็มใจที่จะนั่งร่วมกับพวกเหล่าคนยากจนนั้นเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงรู้ดีแก่ใจ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรเกอซุน อาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัตได้ให้การช่วยเหลือต่อลูกศิษย์ยากจนเป็นอย่างมาก
ในขณะที่น้องสาวของกาดิหยุนจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยความสนใจ ทันได้ใดนั้น นางจดจำบางอย่างได้ นางเปิดปากของนางออกและกล่าวว่า โอ้ ข้าจำเจ้าได้แล้ว เจ้าเป็นหนึ่งใน 128 คน ที่ผ่านเข้ารอบต่อไป ข้าเคยเห็นเจ้าบนเวทีต่อสู้ ขณะที่นางพูด แววตาของเด็กสาวเต็มไปด้วยเจตนาร้าย
ได้ยินอย่างนี้แล้ว ชายผู้ที่เงียบไปก่อนหน้านี้หันไปพูดอะไรบางอย่าง ข้าหวังว่าข้าจะได้สู้กับเจ้าในการแข่งขันวันพรุ่งนี้ ด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้าย เขาหันไปรอบ ๆ และเดินไปที่โต๊ะที่ว่างเปล่าซึ่งกาดิหยุนกำลังมุ่งหน้าไป
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของศิษย์ชายผู้นั้น เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจที่จะตอบโต้ ควรจะกล่าวว่าเขาไม่สนใจอีกฝ่ายเลย
ไป่โม่หรานเดินไปหาเจี้ยนเฉินและตบไหล่ของเขา พร้อมกับหัวเราะว่า เจ้าช่างกล้าหาญจริง ๆ เจ้าไม่ได้เห็นใบหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของกาดิหยุนหรอกหรือ ถ้าเขาพยายามที่จะรังแกเจ้าในอนาคต เจ้าก็มาหาข้าได้
เจี้ยนเฉินลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ของเขาและยิ้ม ข้า เจียงหยาง เซียงเทียน ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ ในสถานการณ์ที่น่าอายเช่นนี้ มิฉะนั้นข้าเกรงว่ามันคงเป็นปัญหาใหญ่ไปมากกว่านี้
ไป่โม่หรานเริ่มที่จะหัวเราะ น้องชาย ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ตระกูลของกาดิหยุนได้กร่างเป็นอย่างมากหลังจากที่เข้ามาศึกษาที่นี่นานมาแล้ว ข้าก็พบว่าเขาทำตัวน่ารำคาญมาก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยได้พบโอกาสที่จะสอนบทเรียนให้กับเขา เอาละ ข้าชื่อไป่โม่หราน เจ้าสามารถเรียกข้าว่าศิษย์พี่ไป่โม่หรานได้
เจ้าจะต้องระมัดระวังให้ดี ในการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองคนที่อยู่เบื้องหลังกาดิหยุนเป็นน้องสาวของเขา กาดิซิ่วหลี และน้องชายของเขา กาดิเหลียง มีข่าวลือว่าพวกเขาได้ก้าวถึงระดับเก้าของพลังเซียนแล้ว
เจี้ยนเฉินเพียงแต่หัวเราะและกล่าวว่า ศิษย์พี่ไป่โม่หราน อย่าได้กังวล หลังจากที่ข้าพบกับพวกเขา ข้าจะต้องระวังตัวอย่างแน่นอน
ไป่โม่หรานพยักหน้าและกล่าวว่า นี่ก็เริ่มดึกแล้ว ข้าจะกลับไปที่หอพักของข้า น้องชาย ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันอีกครั้ง .
ไป่โม่หรานออกไป เจี้ยนเฉินก็ได้จัดการอาหารส่วนที่เหลือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกลับไปที่ห้องพักของเขา ตลอดทั้งวันเขาไม่เคยเห็นพี่ใหญ่ของเขา เจียงหยางหู่ เลย ไม่รู้ว่าเขากำลังทำสิ่งใดหรืออยู่ที่ใดเลย
เจี้ยนเฉินตบที่นอนเพื่อไล่ฝุ่นก่อนปีนขึ้นไปบนเตียงและเริ่มที่จะบ่มเพาะพลังอีกครั้งตามบทเรียน
วันที่สองของการแข่งขันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วเพราะมีคนน้อยลง ในรอบแปดคนก็ตัดสินได้อย่างรวดเร็วโดยในตอนท้ายของวัน หลังจากแสดงให้เห็นถึง 50 อันดับแรก สำนักได้ยกเลิกกฎที่แยกลูกศิษย์ผู้มีพลังเซียนระดับแปดและระดับเก้าออกจากกัน ลูกศิษย์จึงมีอิสระที่จะต่อสู้กับคนที่พวกเขาถูกจับคู่กัน ดังนั้นนอกเหนือจากเจี้ยนเฉินและลูกศิษย์ผิวคล้ำอีกคนที่มีพลังเซียนระดับแปด ลูกศิษย์อีก 6 คนได้บรรลุพลังเซียนระดับเก้า การที่เจี้ยนเฉินหรือลูกศิษย์ผิวคล้ำอีกคนจะติดแปดอันดับแรกนั้น พวกเขาจะต้องเอาชนะลูกศิษย์ที่มีพลังเซียนระดับเก้า
นอกเหนือจากนั้น เจี้ยนเฉินพบสิ่งที่ไม่คาดคิดอย่างรวดเร็ว ในบรรดาหกลูกศิษย์ใหม่บรรลุพลังเซียนระดับเก้า สองในหกของพวกเขาเป็นลูกศิษย์ที่มีเรื่องกับเขาเมื่อวาน กาดิซิ่วหลีและกาดิเหลียง แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะยังไม่เคยต่อสู้กับทั้งสอง เขาก็เห็นอย่างชัดเจนถึงความเป็นอริระหว่างพวกเขา
จ้องมองไปยังสองพี่น้อง เจี้ยนเฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับพวกเขา ในใจของเขา เขาคิดเกี่ยวกับตัวเองและคู่ต่อสู้ของเขา เจี้ยนเฉินมองเห็นวิธีการต่อสู้อย่างชัดเจน ใครล้วนแต่คิดว่าเขาไม่ได้แตกต่างไปจากคนอื่น แต่ความแข็งแกร่งของเขาค่อนข้างพิเศษ ซึ่งเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเขาถึงติดแปดอันดับแรก โดยไม่มีปัญหาใด ๆ ความแข็งแกร่งของเขาไปไกลเกินกว่าคนอื่นที่อายุเท่ากับเขา และครึ่งหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามของเขายิ้มไม่หุบ
การประลองรอบสุดท้าย ที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้และในที่สุด ผู้คุมกฎของเด็กใหม่จะถูกประกาศออกมา
หลังออกจากสนามกีฬา, เจี้ยนเฉินมุ่งหน้าไปที่ห้องอาหารทันที หลังจากที่ได้รับอาหารของเขา เขาเห็นหนึ่งในคู่แข่งของเขาจากหางตา เขาเป็นลูกศิษย์ผิวคล้ำคนนั้น ปัจจุบันเขากำลังรับประทานอาหารอยู่ตรงมุมของห้อง ดูเป็นลูกศิษย์ที่สวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่ายและมีรอยปะชุนหลายรอย แม้ว่าผู้ชายคนนั้นดูเหมือนจะอายุประมาณ 16 ปี เจี้ยนเฉินดูจากใบหน้าที่ยังดูเด็กของเขา ความสูงและโครงสร้างของเขาไม่เหมาะสมกับอายุของเขา ความสูงของเขานั้นสูงถึง 1.8 เมตร ซึ่งสูงเกือบเท่าพี่ชายของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่ และขนาดตัวนั้นใหญ่กว่าที่ควรเป็นมาก
ด้วยความลังเล เขาเดินไปที่โต๊ะของลูกศิษย์ยากจนคนนั้น เขานั่งลงพร้อมกับวางถาดอาหารของเขา เขาเริ่มทักทายอีกฝ่าย เจี้ยนเฉินยิ้ม ข้า เจียงหยางเซียงเทียน ข้าควรเรียกเจ้าว่าอะไร?
เขาเอียงศีรษะขึ้นเพื่อมองเจี้ยนเฉิน ตาของเขากวาดผ่านเสื้อผ้าของเขา ก่อนที่เขากล่าวว่า ข้าชื่อเถี่ยต้า
เจี้ยนเฉินหัวเราะกล่าวว่า ข้าเพิ่งเห็นเจ้าต่อสู้ในการแข่งขัน การที่จะเห็นลูกศิษย์ที่อยู่ในระดับแปดชนะลูกศิษย์ระดับเก้า เป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจอย่างแท้จริง.
ได้ยินคำเยินยอของเจี้ยนเฉิน, ช่วยไม่ได้ที่เถี่ยต้าจะหัวเราะเช่นกัน ข้าเอาชนะได้เพราะความแข็งแกร่งของข้านั้นดีกว่าพวกเขา อย่างไรก็ตาม มันก็เป็นเรื่องยากนักที่จะจัดการกับพวกเขา ถึงตอนนี้ข้ายังคงบาดเจ็บจากการแข่งขันนัดนั้น
Chaotic Sword God ตอนที่ 13 การแข่งขันของบรรดาลูกศิษย์หน้าใหม่
หัวใจเจี้ยนเฉินเต้นรัว หลังจากได้ยินสิ่งนั้น เขาถามต่อ พี่ใหญ่ แกนอสูรระดับสามมีค่าแค่ไหน? แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะรู้เกี่ยวกับแกนอสูร แต่เขายังคงไม่รู้เกี่ยวกับราคาของพวกมัน
แน่นอน แกนอสูรระดับสามสามารถขายได้มากกว่า 100 เหรียญม่วง ข้าอยู่ในสำนักนี้มา 4 ปี แต่แต่ข้ายังไม่เคยได้แตะต้องแกนอสูรระดับสาม ที่สูงที่สุดที่ข้าเคยใช้เป็นแกนอสูรระดับสอง ซึ่งค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 50 เหรียญม่วง ใบหน้าของเจียงหยางหู่เริ่มเผยให้เห็นถึงความโศกเศร้าหลังจากกล่าวมันออกมา
เจี้ยนเฉินเริ่มวางแผนทั้งหมดในหัวของเขา เขาตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อชัยชนะและได้รับแกนอสูรระดับสามจากการแข่งขัน แม้เขาจะไม่เคยใช้แกนอสูรระดับสามมาก่อน แต่เขารู้ว่าการดูดซับพลังงานที่มีอยู่ภายในนั้นจะช่วยให้เพิ่มอัตราการบ่มเพาะพลังของเขา เขาไม่รู้ว่ามันจะเพิ่มขึ้นรวดเร็วเพียงใดหลังจากที่ดูดซับแกนอสูรระดับสาม แต่เขารู้ว่าหลังจากใช้มัน จุดสูงสุดของของพลังเซียนระดับสิบก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม.
ท้องฟ้าเริ่มเข้มขึ้น เจียงหยางหู่นำเจี้ยนเฉินลงไปที่ห้องอาหารของลูกศิษย์ หลังจากทานอาหารเย็น พวกเขาก็แยกย้ายกันกลับไปยังห้องพักของพวกเขาเอง
หลังจากกลับไปที่ห้องของเขา เจี้ยนเฉินปิดประตูและนั่งอยู่บนเตียงของเขาและที่จะเริ่มต้นการบ่มเพาะพลังอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เจี้ยนเฉินมองไปที่ประตูอย่างสับสน ก่อนที่จะเดินไปที่ประตูและเปิดมันออก
ที่ยืนอยู่ด้านนอกประตูคือหญิงวัยกลางคนอายุราว 30 ปี สวมชุดสีเขียวอ่อน แม้ว่านางจะไม่ได้งดงามถึงขั้นล่มเมือง แต่กระนั้นก็ยังสามารถพิจารณาว่านางงดงามได้ นางปล่อยผมสีเขียวเข้มของเธอสยายยาวลงไปที่ไหล่
ท่านต้องการอะไร? เจี้ยนเฉินถามด้วยความสับสน
เจ้าเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ใหม่ของสำนักคากัต พรุ่งนี้จะเป็นงานการแข่งขันของลูกศิษย์หน้าใหม่ ซึ่งเป็นข้อบังคับสำหรับลูกศิษย์ใหม่ทุกคนที่จะต้องมีส่วนร่วม อย่าลืมที่จะเข้าร่วมงาน นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย รวมถึงการจ้องมองอย่างไม่แยแสนั่นด้วย
ได้ ข้าทราบแล้ว มีสิ่งอื่นอีกหรือไม่? เจี้ยนเฉินถาม
ไม่ หลังจากที่จบคำนี้ ผู้หญิงคนนั้นหันไปรอบ ๆ และเดินไปยังห้องถัดไป มันดูเหมือนกับว่านางจะต้องแจ้งให้ลูกศิษย์ทุกคนทราบด้วยตัวของนางเอง
หลังจากปิดประตู เจี้ยนเฉินกลับไปที่เตียงของเขาและนั่งลง เขากลับไปบ่มเพาะพลังอย่างเงียบ ๆ อีกครั้ง
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เจี้ยนเฉินบ่มเพาะพลังเสร็จ เขาก็เดินออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปยังห้องอาหาร ทานอาหารเพียงลำพังคนเดียว เนื่องจากเขามาค่อนข้างเร็ว เขาจึงพบว่ามีคนไม่มากเลย ดังนั้นเมื่อเขามองไป ก็พบที่ว่างให้นั่งอย่างไม่ยากนัก เนื่องจากห้องอาหารทั้งห้องเกือบจะว่างเปล่า
หลังจากที่เขาทานอาหารเช้า เจี้ยนเฉินก็มุ่งหน้าไปยังศูนย์กลางของบริเวณสำนักที่เป็นสนามกีฬา การแข่งขันจะเกิดขึ้นในสนามนี้
เดินไปตามทาง เจี้ยนเฉินสังเกตเห็นว่าเขาถูกรายล้อมไปด้วยลูกศิษย์เช่นเดียวกับเขาและพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปยังสนามกีฬาเช่นกัน เพราะลูกศิษย์ที่อายุมากกว่าทั้งหมดจะสวมเครื่องแบบสำนัก เจี้ยนเฉินสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าใครคือลูกศิษย์หน้าใหม่ แม้ว่าลูกศิษย์ชั้นสูงบางคนซึ่งดูเหมือนว่าบางทีพวกเขาไม่ได้มีความสนใจมากในการแข่งขันของเด็กใหม่
เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงยังสนามกีฬา เขาจะได้เห็นวงกลม 5 วงแต่ละวงมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 ฟุต อยู่บนสนามกีฬา ซึ่งมีหลายคนล้อมรอบมัน
เจี้ยนเฉินมาถึงต้นไม้ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรจากบริเวณนั้น เขาวิ่งอย่างรวดเร็วไปยังต้นไม้และกระโดดขึ้นไปนั่งลงบนกิ่งไม้ เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะพักผ่อนในร่มเงาของมันเพราะมันยังเร็วเกินไปสำหรับการแข่งขันที่จะเริ่มต้นขึ้น เขาไม่ได้รีบเร่งที่จะไปถึงจุดนัดหมายเร็วเกินไปและเขาไม่เห็นถึงความสำคัญที่เขาจะต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้แสงแดดจ้านั้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อีกไม่นานมันเป็นเวลาสำหรับการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มต้น ในเวลานี้เวทีการแข่งขันถูกบรรจุด้วยลูกศิษย์จำนวนนับพัน เพียงไม่กี่คนที่สวมเครื่องแบบ นอกนั้นทุกคนล้วนเป็นเด็กใหม่
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉิน สังเกตเห็นว่าลูกศิษย์ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในขั้นที่เก้าหรือมากกว่านั้นมาจากครอบครัวสามัญชน เขาตัดสินได้ไม่ยากจากเครื่องแบบลูกศิษย์ใหม่ที่พวกเขาทั้งหมดต้องสวม คนเหล่านี้ได้รับการสวมใส่ผ้าดิบและหยาบจึงทำให้รู้ได้ไม่ยาก ทำให้ทราบว่าอาณาจักรเกอซุนส่วนใหญ่ประกอบด้วยประชาชนและเด็กจากครอบครัวยากจนที่ถูกนำมาใช้ในการทำงานอย่างหนัก ดังนั้นเด็กเหล่านี้ทำงานอย่างหนักเพื่อบ่มเพาะพลังเซียนและเพื่อให้บรรลุถึงระดับแปด และเข้าร่วมในสำนักคากัตแห่งนี้
นอกเหนือจากลูกศิษย์ส่วนที่เหลือดูเหมือนอายุจะประมาณ 16 – 17 ปี ซึ่งตัวของเจี้ยนเฉินเองอายุ 15 ปี เขามาถึงระดับแปด เป็นความสำเร็จที่ไม่อาจลอกเลียนแบบกันได้ และดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงเป็นลูกศิษย์ที่อายุน้อยที่สุดของที่นี่ แม้การเจริญเติบโตทางร่างกายของเจี้ยนเฉินจะไปไกลเกินกว่าคนอื่น แต่จริง ๆ แล้วเขาพึ่งจะอายุ 15 ปีเท่านั้น จึงดูไม่แตกต่างจากเด็กที่โตกว่านัก
หลังจากพักผ่อน ในขณะที่เจี้ยนเฉินกระโดดลงไปอย่างว่องไวและเดินอยู่ในบริเวณการแข่งขัน แม้ว่าฝูงชนได้รวมตัวกันอยู่บริเวณนั้น เจี้ยนเฉินไม่ได้พยายามที่จะเบียดผ่านแต่อย่างใด แต่เขายืนอย่างสงบอยู่ด้านนอก เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจมัน มันดูไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่นัก เหตุผลเดียวที่เขาเข้ามามีส่วนร่วมในวันนี้เป็นเพราะแกนอสูรระดับสาม
ทุกคน เงียบ!
ทันใดนั้นเสียงดังขึ้น เสียงร้องดังเช่นนั้น ซึ่งมันได้ยินไปทั่วทั้งสนามกีฬาและบริเวณพื้นที่ทั้งหมดนั้นกลับเงียบสนิทลงในทันที
ภายใต้เสื้อคลุมสีขาว ชายวัยกลางคนมาเดินขึ้นบนแท่น เขาเป็นชายที่ดูจะไม่แตกต่างจากชายวัยกลางคนคนอื่น ๆ แต่อย่างไรก็ตามดวงตาของเขามันส่องประกายคล้ายกับว่ามันมีอาวุธเซียนซ่อนอยู่ภายใน ทำให้ผู้คนกลัวที่จะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเขาตรง ๆ
เมื่อมองไปที่ทุกคน ชายคนนั้นยิ้มออกมาอย่างปราณี และพูดด้วยเสียงอันดังด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร เขากล่าวว่า ลูกศิษย์ที่รัก ข้าเป็นรองอาจารย์ใหญ่สำนักคากัตแห่งนี้ ไป่เอิน ข้าจะเป็นคนที่ดูแลการแข่งขันประลองฝีมือในวันนี้ เช่นเดียวกับการที่เป็นหนึ่งในผู้ร่างกฎ ข้าเข้าใจว่าทุกคนได้เห็นกฎระเบียบหลังจากที่ก้าวเข้ามาที่หน้าประตูโรงเรียนแล้ว ดังนั้นข้าจะไม่กล่าวซ้ำอีก รางวัลที่ได้รับในปีนี้เช่นเดียวกับปีก่อน อันดับหนึ่งจะได้รับแกนอสูรระดับสาม อันดับสองจะได้รับแกนอสูรระดับสอง อันดับสามจะได้รับแกนอสูรระดับหนึ่ง และห้าสิบอันดับแรกในการแข่งขันครั้งนี้จะได้รับเงิน 1 เหรียญม่วงเป็นรางวัล.
ได้ยินเช่นนี้แล้ว ลูกศิษย์ทุกคนที่สวมเครื่องแบบของคนจนเริ่มต้นจะส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น พวกเขาไม่ได้ใช้จ่ายมากในแต่ละวันและมีเพียงอาหารง่าย ๆ เป็นอาหารของพวกเขาทุกวัน 1 เหรียญทองก็เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวของพวกเขาได้ 3 เดือน และ 1 เหรียญม่วงก็มีมูลค่าถึง 100 เหรียญทอง แม้ว่าแกนอสูรจะเป็นรายการที่มีค่า แต่พวกเขาไม่ได้ความหวังสูงเช่นนั้น สำหรับแกนอสูรนั้น มีเพียง 3 คนที่จะได้รับมัน แต่เหรียญม่วงมีถึง 50 คนที่จะได้รับ
ในขณะนี้ จากบรรดาลูกศิษย์ทั้งหมด มันก็ช่วยไม่ได้ที่ลูกศิษย์ผู้ยากจนเหล่านั้นจะรู้สึกตื่นเต้น พวกเขาทั้งหมดเริ่มสาบานในใจกับตัวเองว่า เพื่อเหรียญม่วง พวกเขาจะต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ติดห้าสิบอันดับแรก
มองไปที่การแสดงออกอย่างร่าเริงบนใบหน้าเหล่าสามัญชนผู้ยากไร้ บางส่วนของคนชั้นสูงก็มองด้วยความรังเกียจ 1 เหรียญม่วงอาจจะเป็นเงินจำนวนไม่น้อยสำหรับสามัญชน แต่สำหรับคนชั้นสูง มันมีค่าเพียงเล็กน้อย แม้แต่เจี้ยนเฉินก็มีถึงเงินติดตัวมาถึง 50 เหรียญม่วงเพื่อที่เขาจะใช้จ่ายได้ตามปรารถนา
การแข่งขันประลองฝีมือของลูกศิษย์เริ่มขึ้นหลังจากนั้นไม่นาน หมายเลขของลูกศิษย์ก็ถูกเขียนขึ้นมา อย่างไรก็ตามชื่อถูกเขียนขึ้นมาในกระดาษเพื่อจับสลาก ทำให้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นตัวเลขบนพวกมัน
ทั้งสองกระถาง มีป้ายชื่อที่แตกต่างกันหนึ่งในกระถางสำหรับลูกศิษย์ที่มาถึงระดับแปด ขณะที่อีกกระถางหนึ่งสำหรับผู้ที่มาถึงระดับเก้า ด้วยวิธีนี้จะทำให้แน่ใจว่าลูกศิษย์คนใดที่ต่อสู้กับลูกศิษย์อีกคนที่มาจากระดับที่แตกต่างกันและทำให้สามารถคาดเดาผลของการต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่มต้น
แม้ว่าเกณฑ์ขั้นต่ำของสำนักคากัตในการรับศิษย์คือการก้าวถึงระดับแปดของพลังเซียน ทุกปียังคงมีอัจฉริยะหน้าใหม่ที่บ่มเพาะพลังได้ตามเกณฑ์ นอกจากนี้ยังอาจจะกล่าวได้ว่ามีอัจฉริยะอยู่ไม่กี่คนในครอบครัวชั้นสูงที่ได้รับสมบัติบางอย่างซึ่งทำให้เด็กใหม่เหล่านี้สำเร็จถึงขั้นเก้า และถูกยอมรับให้เข้าสำนักในทุก ๆ ปี
สลากจำนวนมากใช้เวลาไม่นานก็ทำสำเร็จ และในไม่ช้ามันก็ถึงรอบของเจี้ยนเฉิน เขาหันไปมองไปที่หม้อนั้นและหยิบสลากขึ้นมา 1 แผ่น เขาเปิดมันอ่าน เวทีที่สาม หมายเลข 64
เห็นหมายเลขที่อยู่ในแผ่นสลาก เขาก็เข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามของเขาจะเป็นหมายเลข 136 ในเวทีที่ 3 เพราะการแข่งขันในครั้งนี้ ฝ่ายตรงข้ามนั้นคือ ผลต่างของเลข 200 กับหมายเลขของเขา (200-64 = 136)
หลังจากที่ได้รับสลากของพวกเขา ลูกศิษย์ทุกคนเดินไปอย่างช้า ๆ ไปที่เวทีประลองของตน ในขณะที่เจี้ยนเฉินเดินไปที่เวทีประลองที่สาม
การแข่งขันได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รอบแรกของการแข่งขันใช้เวลาเพียงครึ่งวัน เพราะฝ่ายตรงข้ามเจี้ยนเฉิน ทั้งหมดนั้นไม่ได้รู้เกี่ยวกับวรยุทธ์ เจี้ยนเฉินได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายและก้าวเข้าสู่รอบสอง
หลังจากทานอาหารกลางวัน การแข่งขันประลองฝีมือของลูกศิษย์ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามจำนวนของคู่แข่งได้ลดลงครึ่งหนึ่ง มันดูเหมือนว่ามีเพียง 500 คนในปัจจุบันหลังจากจบการแข่งขันในรอบแรก
รอบที่สองก็ตัดสินในลักษณะเดียวกับรอบแรกด้วยการจับสลาก เนื่องจากปริมาณของคนที่ยังคงอยู่ก็ยังห่างไกลน้อยกว่ารอบแรก มันก็ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วยามจึงเสร็จสิ้น ในรอบสอง ลูกศิษย์ 256 คนยืนอยู่ข้างสนาม เนื่องจากมันเป็นเลขคู่จึงไม่มีลูกศิษย์ที่ผ่านเข้ารอบโดยไม่ต้องต่อสู้
ทันทีที่มุ่งหน้าไปสู่รอบที่สาม คนเริ่มที่จะจับสลากเพื่อหาฝ่ายตรงข้ามของพวกเขา โดยในเวลากลางคืน มีเพียง 128 คน ที่ทะลุเข้ารอบต่อไปพร้อมกับเจี้ยนเฉินซึ่งเริ่มจะขี้เกียจ
ออกจากสนามแข่งขัน เจี้ยนเฉินสังเกตเห็นว่าบนท้องฟ้าได้มืดลง เขาลูบที่ท้องซึ่งส่งเสียงร้องดังและส่ายหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ในโลกของเขาก่อนหน้า เขาอยู่ได้หลายวันและหลายคืนโดยไม่ต้องกินและยังไม่รู้สึกหิว ตอนนี้เขาคุ้นเคยต่อการกินสามมื้อต่อวัน ตอนนี้เขารู้สึกหิวหลังจากไม่ได้ทานอาหารเพียงมื้อเดียว เจี้ยนเฉินค่อนข้างที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยกับตัวเอง
ในไม่ช้า เจี้ยนเฉินมาถึงที่ห้องอาหาร หลังจากที่ได้รับอาหารของเขา เขาพบที่นั่งว่างเปล่าและเริ่มที่จะกินมัน แม้ว่าอาหารที่เรียบง่าย และเปรียบเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขากินตอนอยู่ในตระกูลเจียงหยาง เจี้ยนเฉินยังคงกินมันอย่างเอร็ดอร่อย
ตั้งแต่การแข่งขันของเหล่าเด็กใหม่จบลง เพียงหมายเลขปัจจุบันของคนที่อยู่ในห้องอาหารก็ไม่ได้น้อยกว่าปกติ ในความเป็นจริงมีคนจำนวนมากมายังห้องอาหารหลังจากที่เจี้ยนเฉินนั่งลงไม่นาน ทุกเก้าอี้ในห้องอาหารมีคนนั่งเต็ม ยังคงมีหลายคนที่ไม่สามารถหาที่ว่างได้ แม้ว่าเจี้ยนเฉินกำลังนั่งอยู่คนเดียวที่โต๊ะ แต่ลูกศิษย์สามัญธรรมดามีหรือที่พวกเขาจะกล้านั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกับเจี้ยนเฉินซึ่งสวมเสื้อผ้าหรูหรา ? มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขามาจากตระกูลชั้นสูง
เพล้ง!!
Chaotic Sword God ตอนที่ 12 พี่ใหญ่เจียงหยางหู่
นั่งอยู่ด้านบนของสัตว์อสูรที่บินได้ ใบหน้าเจี้ยนเฉินไม่ได้เปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ถึงแม้ว่าพวกเขากำลังบินด้วยความเร็วที่มากที่สุด สูงขึ้นด้วยความสูง 1,000 ฟุต ตั้งแต่สัตว์อสูรบินด้วยความเร็วสูง เขาได้ยินเสียงดังก้องของลมที่เข้าในหูของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน
จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ บนใบหน้า ช่วยไม่ได้ที่เจียงไป่จะรู้สึกยอมรับ เด็กส่วนใหญ่โดยทั่วไปใบหน้าจะซีดเผือดด้วยความหวาดกลัวสุดขีดหลังจากที่บินอยู่ด้านบนของสัตว์อสูรเป็นครั้งแรก เด็กบางคนตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวตลอดเวลา ในขณะที่บางคนถึงกับปัสสาวะราด แต่มีน้อยมากที่จะมีนิ่งสงบเช่นเดียวกับเจี้ยนเฉิน
เจียงไป่คิดย้อนไปกลับว่า เมื่อตอนที่เขาส่งเจียงหยางหู่ไปยังสำนักคากัตก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี หลังจากที่นั่งบนสัตว์อสูรบินได้ ร่างกายของเขาสั่นเทาด้วยความกลัว ในขณะเดียวกันเขาก็กำคอของสัตว์อสูรแน่น
นายน้อยสี่ดูจะไม่เหมือนคนอื่น ๆ มันทำให้ข้าสงสัยอย่างแท้จริงว่า ความสำเร็จในอนาคตของเขาจะเป็นเช่นไร เจียงไป่ครุ่นคิดกับตัวเอง
เจี้ยนเฉินจ้องมองสัตว์อสูรบินได้ด้านล่างของเขาและถามว่า เจียงไป่ สัตว์อสูรตัวนี้คือตัวอะไร ถึงได้สามารถบินด้วยความเร็วสูงเช่นนี้?
นี่เป็นเพียงธรรมชาติของมัน! เจียงไป่กล่าวด้วยน้ำเสียงยิ่งใหญ่ นายน้อยสี่ ท่านไม่ควรประมาทสัตว์อสูร นี่คือสัตว์อสูร มันถูกเรียกว่าอสูรอินทรีย์ มันเป็นสัตว์อสูรระดับสี่ ซึ่งเปรียบได้กับเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ มันสามารถบินผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงและแม้จะเป็นเพียงระดับสี่ ซึ่งแม้เซียนปฐพีบางคนยังไม่สามารถที่จะต่อสู้กับมันยามที่มันอยู่ในท้องฟ้าได้เลย
นั่นหมายความว่า อสูรอินทรีย์มีราคาแพงมาก เจี้ยนเฉินกล่าว
เจียงไป่พยักหน้า มันเป็นธรรมดา สัตว์อสูรที่บินได้ย่อมมีราคาแพงมาก ไม่เพียงเพราะจะจับพวกมันได้ยาก แต่มันยังยากที่จะทำให้เชื่องด้วยเช่นกัน แม้ว่าสัตว์อสูรบินได้เป็นวิธีที่เร็วที่สุดในการเคลื่อนย้าย แต่การขี่มันนั้นก็เป็นอันตรายมาก ในกรณีที่ว่าเป็นสัตว์อสูรอยู่เหนือการควบคุมของผู้ขับ มันอาจจะทำให้คนร่วงตกลงมานับพันเมตรจากกลางอากาศ แม้แต่เซียนปฐพียังยากที่จะรอดชีวิตมาได้หากร่วงลงมาเช่นนั้น กระทั่งว่า ถ้าเจ้าโชคดี เจ้าจะจบลงด้วยการได้รับบาดเจ็บร้ายแรง และแม้ว่าอสูรระดับ 1 หรือ 2 จะมีราคาแพงมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมันมีลักษณะที่บ้าคลั่งหรือไม่ยอมจำนนต่อมนุษย์ ดังนั้นการฝึกฝนสัตว์อสูรจึงเป็นงานที่ท้าทายต่อความสำเร็จเป็นอย่างมาก
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างช้า ๆ ก่อนจะเงียบไปอีกครั้ง
เจียงไป่หันมองเจี้ยนเฉินที่เงียบไปและกล่าวว่า นายน้อยสี่ พี่ใหญ่ของท่าน เจียงหยางหู่ ก็เรียนอยู่ที่สำนักคากัตนี้เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเป็นเซียนคงไม่ไกลเกินไปสำหรับเขา ถ้าท่านประสบกับปัญหาในสำนัก อย่าได้กลัวที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากพี่ใหญ่ของท่าน
ได้ ข้าทราบแล้ว เจี้ยนเฉินตอบ แต่ใจของเขารู้สึกยุ่งยาก เมื่อเขาคิดถึงพี่ชายที่ลึกลับของเขา เจี้ยนเฉินไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน และเขาก็ไม่ได้รู้ว่านิสัยของพี่ชายเขาเป็นอย่างไร เขาค่อนข้างกังวล ในกรณีที่พี่ชายของเขารู้สึกอิจฉาเกี่ยวกับพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังเหมือนกับพี่สาม เจียงหยางเค่อ การอิจฉาบุคคลที่เหนือกว่าไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิดปกติในตระกูลใหญ่ ในโลกก่อนหน้านี้ เจี้ยนเฉินได้พบกับการปะทะกันทุกรูปแบบในครอบครัว เนื่องจากมีการต่อสู้แย่งชิงอำนาจระหว่างพี่น้องในช่วงเวลาเดินทางท่องเที่ยวไป
ในใจเจี้ยนเฉิน เขาไม่ได้หวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะไม่เกิดขึ้นกับเขา ในโลกของเขาก่อนหน้านี้ เขาเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับความรักภายในครอบครัวใด ๆ หากตั้งแต่ที่เขาได้รับพรจากสวรรค์ สำหรับครอบครัวในยามนี้ มันเป็นของขวัญสุดพิเศษสำหรับเขา
สำหรับอสูรอินทรีย์ ด้วยความเร็วสูงมาก ในที่สุดมันก็มาถึงสำนักคากัตภายในระยะเวลาเพียงครึ่งวัน ภายใต้การควบคุมของเจียงไป่ มันค่อย ๆ ลงมาที่ 100 เมตรเหนือพื้นดิน
สำนักคากัตถูกก่อตั้งขึ้นภายในพื้นที่ราบ ที่มีกำแพงสูงนับ 10 เมตรห้อมล้อมมัน สำนักนี้มีขนาดใหญ่โตอย่างไม่ธรรมดา และดินแดนที่มันครอบครองอยู่ก็มากมายเช่นกัน แม้ว่าเจี้ยนเฉินบินร่อนที่ความสูง 100 เมตรเหนือพื้นดิน เขาก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นบริเวณรอบ ๆ ทั้งหมดของสำนักนี้ได้เลย
สำนักคากัตเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรเกอซุน และวันนี้เป็นวันที่มีพิธีเปิดเรียนซึ่งจะมีเพียงครั้งเดียวในรอบปี จึงเป็นเหตุให้ประตูด้านหน้านั้นดูจอแจเต็มไปด้วยคนเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีพาหนะที่หรูหราอยู่ไม่ไกลจากนั้น อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่รู้จักชื่อของสัตว์อสูรที่ใช้ลากพาหนะได้ เป็นพาหนะที่หลากหลายอย่างแท้จริง และมีผู้คุ้มกันเพียงไม่กี่คนคอยปกป้องพวกมัน
ในท้องฟ้า สัตว์อสูรที่บินได้บางตัวส่งพวกเขาลงลงบนสนามหญ้าสำนัก แต่ละการก้าวเดินล้วนแต่เป็นเด็กเล็ก
เจียงไป่ออกคำสั่งกับอสูรอินทรีย์ให้บินลงไปทางลานรวม พวกมันร่อนลงไปทันทีจากระดับ 100 เมตร ซึ่งทางซ้ายมือมีป้อมปราการสูงอยู่ เขานำเจี้ยนเฉินโดยตรงเข้าไปในป้อมปราการด้านนอกซึ่งยังคงเงียบ สัตว์อสูรไม่มากนักร่อนลงจอดบริเวณนั้น
เจี้ยนเฉินและเจียงไป่ตรงไปที่บริเวณด้านหน้าของป้อมปราการเพื่อไปพบอาจารย์ใหญ่ของสำนักคากัต อายุของอาจารย์ใหญ่นั้นไม่ได้แตกต่างไปกว่าเจียงไป่ และเจี้ยนเฉินมีความรู้สึกว่าทั้งสองนั้นมีความคุ้นเคยกันบางอย่าง
เพราะความคุ้นเคยนี้ เจี้ยนเฉินสามารถผ่านเข้าสู่สำนักได้อย่างง่ายดายโดยปราศจากปัญหา ภายใต้การแนะนำตัวของอาจารย์ใหญ่ พี่ชายของเขา เจียงหยางหู่ ถูกเรียกขึ้นไปด้านบนของปราการ ทำให้เขาได้เห็นพี่ใหญ่ผู้ลึกลับ ที่เขาไม่เคยพบมาก่อน
เจียงหยางหู่อายุ 18 ปี เขารุ่นราวคราเดียวกับพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเยว่ แต่เจียงหยางหมิงเยว่นั้นอายุน้อยกว่าราว 3 เดือน
เจียงหยางหู่เป็นผู้ชายวัยรุ่นที่แข็งแกร่งพอสมควร ความสูงเขานั้นสูงกว่าเจี้ยนเฉิน และเขาสวมเครื่องแบบของสำนัก เขาลงทะเบียนเรียนในสำนักนี้มานานกว่า 2 ปีและและพลังเซียนของเขาก็ก้าวขึ้นมาถึงระดับสิบ แต่อย่างไรก็ตาม เขายังไม่สามารถบีบอัดพลังให้กลายเป็นอาวุธเซียนได้
ระยะห่างระหว่างจุดสูงสุดของขั้นสิบและอาวุธเซียนไม่ได้ใหญ่กว่ากันเลย แต่ช่วงเวลาระหว่างนั้นที่มีความสำคัญมาก การบีบอัดพลังเซียนให้กลายเป็นอาวุธเซียนเป็นงานที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ในทวีปเทียนหยุน หลายคนไม่ได้มีความสามารถในการก่อรูปอาวุธเซียนตั้งแต่เกิดเพราะพวกเขาขาดความเหมาะสม ดั่งเช่นที่อาจารย์ใหญ่กล่าว เจียงหยางหู่ได้มาถึงแล้วจุดสูงสุดของชั้นที่ 10 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและได้พยายามแล้วที่จะสร้างอาวุธเซียนถึง 3 ครั้ง แต่เขาประสบความล้มเหลวทุกครั้ง
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นเด็กอายุ 18 ปีที่อาจจะสามารถก่อรูปอาวุธเซียนได้ มันเป็นสิ่งที่ยากจะเห็นได้ในทวีปเทียนหยวน โดยอายุเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 20 ปี ก่อนที่อาวุธเซียนจะก่อร่างขึ้น กระนั้นก็ยังกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นอัจฉริยะ แน่นอน คนธรรมดาสามารถสร้างอาวุธเซียนขณะที่อายุเท่านั้น แต่พวกเขาส่วนใหญ่จะไม่สามารถที่จะเดินไปตามเส้นทางของผู้ฝึกวรยุทธได้ยาวนานนัก
เพราะว่าจิตปราณของทวีปเทียนหยวนมากมายนัก ช่วงชีวิตเฉลี่ยของคนก็อยู่ที่ประมาณ 200 ปี สำหรับคนที่สามารถสร้างอาวุธเซียนขณะที่อายุ 20 ปี ก็สามารถพิจารณาได้ว่าดีทีเดียว
เจียงไป่ชี้ไปที่เจียงหยางหู่และพูดกับเจี้ยนเฉินว่า นายน้อยสี่ นั่นคือพี่ชายของท่าน เจียงหยางหู่ มองตรงไปทางนั้นและส่งเสียงเรียก นายน้อยคนโต นี่คือน้องชายของท่าน เจียงหยางเซียงเทียน .
พี่ใหญ่! เจี้ยนเฉินมองที่เจียงหยางหู่ด้วยรอยยิ้มในขณะที่เขาตะโกนคำทักทายออกมา ในสายตาของเขา เขารู้สึกว่าเจียงหยางหู่เป็นคนที่แข็งแกร่งและตรงไปตรงมา แต่จิตใจของเขาไม่ได้เห็นพ้องอย่างสมบูรณ์นัก
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางหู่เกาแก้มของเขาพร้อมกับหัวเราะออกมา น้องสี่ เจ้ามาหาข้าได้ตลอดเวลา หากเจ้าถูกรังแกในอนาคตก็จงมาหาข้า และข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ!
หัวเราะในคำกล่าวของพี่ใหญ่ของเขา เจี้ยนเฉินตอบรับ ถึงเวลานั้น ข้าจะขอพึ่งพาท่าน พี่ใหญ่ ด้วยความประทับใจครั้งแรกนี้ เจี้ยนเฉินคิดว่าเจียงหยางหู่เป็นคนดีมากทีเดียวและความกังวลทั้งหมดที่เขามีเกี่ยวกับพี่ใหญ่ของเขาก็เริ่มจางหายไปทันควัน
เจียงหยางหู่ส่ายหัวและหัวเราะอีกครั้ง นั่นมันย่อมไม่เป็นปัญหา ยิ่งกว่าไม่เป็นปัญหา ไม่ว่าเจ้าจะว่าอย่างไร ข้าก็ยังคงเป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ดังนั้นข้าจะต้องปกป้องน้องสี่อย่างแน่นอน หลังจากนั้นเจียงหยางหู่ก็นิ่ง ก่อนที่จะมองไปรอบ ๆ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นข้อสงสัยบางอย่าง
เจียงไป่ น้องสองและน้องสามเล่า? เขาถาม
คุณหนูรองและนายน้อยสามยังมีคุณสมบัติไม่พอที่จะเข้ามาเรียนในสำนัก ดังนั้นจึงมีเพียงนายน้อยสี่ที่สามารถเข้าเรียนได้ เจียงไป่ตอบแบบสงบเงียบ
โอ้ ! เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงหยางหู่ดูจะผิดหวังและเริ่มที่จะพูดพึมพำ พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงความต้องการของระดับแปด ช่างอ่อนแอเสียจริง น้องสี่ช่างน่ากลัวยิ่งนัก เขาก้าวไปถึงระดับ 8 อย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะยอดเยี่ยมกว่าข้าที่เป็นพี่ชายของเขาด้วยซ้ำ
นายน้อยคนโต โปรดดูแลนายน้อยสี่ ข้ายังคงมีธุระบางอย่างในการชำระค่าใช้จ่ายกับอาจารย์ใหญ่ เจียงไป่กล่าว
เจียงหยางหู่พยักหน้าอย่างหนักแน่นและทุบหน้าอกของเขาเองด้วยกำปั้น เจียงไป่ ! อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ยอมให้ใครในสำนักรังแกน้องสี่อย่างแน่นอน !
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้รับป้ายสำนักและถูกทิ้งให้อยู่กับพี่ชายของเขา
หลังจากที่ออกจากปราการ เจี้ยนเฉินมองไปที่ป้ายสำนักในมือของเขา เท่านั้นไม่พอมันก็เป็นหลักฐานของเขาในการเป็นลูกศิษย์ มันยังบรรจุที่อยู่หอพักของเขาด้วย
แม้ว่าเจี้ยนเฉินก็ไม่คุ้นเคยกับรูปแบบของสำนักแต่เพราะเจียงหยางหู่อยู่ที่นี่มาก่อนคอยนำทางเขา พวกเขาทั้งสองถึงที่หมายของเขาเร็วกว่าที่เขาคาดไว้
หอพักของสำนักแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ทนทานมากซึ่งทำมาจากหินและถูกแบ่งออกเป็น 2 พื้นที่ที่แตกต่างกัน หนึ่งในนั้นเป็นที่สำหรับคนธรรมดาสามัญอยู่และอีกด้านที่เป็นพื้นที่สำหรับบุคคลประเภทเจี้ยนเฉินผู้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงสนับสนุนเขา ความแตกต่างระหว่างทั้งสองเมื่อเปรียบกันนั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
สำนักคากัตเป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรเกอซุน ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติที่จะต้องมีลักษณะเฉพาะ สำนักคากัตมีกฎที่เข้มงวดมาก ผู้ที่จะเข้าสำนักต้องบรรลุถึงระดับ 8 ของพลังเซียนก่อนที่จะถึงอายุ 18 จึงจะถึงเกณฑ์ที่ต้องการ ถ้าลูกศิษย์ไม่ถึงระดับนี้แล้วแม้ว่าพวกเขาจะจากครอบครัวที่มีชื่อเสียงหรือร่ำรวยมากแค่ไหน พวกเขาจะไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนในสำนักนี้ได้
เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนการสอนอยู่ในระดับต่ำมาก แม้คนธรรมดาก็สามารถลงทะเบียนเรียนได้อย่างง่ายดาย ลูกศิษย์บางส่วนที่ลงทะเบียนเรียนซึ่งประสบความสำเร็จมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่สำนักคากัต ได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมสำหรับหลาย ๆ คน สำหรับลูกศิษย์หลายคนที่มีเบื้องหลังธรรมดาสามัญและมีระดับการบ่มเพาะพลังที่ดี
ที่สำนักคากัตยังมีอีกกฎเหล็กที่ตั้งไว้ว่า เหล่าชนชั้นสูงนั้นไม่อาจที่จะรังแกลูกศิษย์ธรรมดา มิฉะนั้นจะต้องถูกลงโทษ หากเป็นกรณีร้ายแรงก็อาจจะถูกไล่ออกจากสำนัก แม้จะเกิดขึ้นกับครอบครัวใหญ่ สำนักคากัตได้รับการสนับสนุนจากอาณาจักรเกอซุน นอกจากนี้อาจารย์ใหญ่เป็นหนึ่งในหกชนชั้นสูงของอาณาจักรเกอซุน จึงไม่มีตระกูลใหญ่กล้าที่จะพูดออกมาต่อต้านกฏเหล็กเช่นนี้
ห้องพักของเจี้ยนเฉินมีพื้นที่ประมาณ 10 ตารางเมตรและการตกแต่งห้องเรียบง่ายมาก นอกเหนือจากเตียงและเก้าอี้ก็ไม่มีสิ่งอื่น อย่างไรก็ตามในห้องเล็กนั้นก็สะอาดมากและด้วยการจัดระเบียบมันก็ดูสะอาดสะอ้านอย่างสมบูรณ์
น้องสี่ นี่เป็นห้องของเจ้า จำที่ตั้งมันให้ดีและระวังอย่าได้ไปผิดทาง เจียงหยางหู่หัวเราะออกมา
เจี้ยนเฉินพยักหน้าและหลังจากวางเสื้อผ้าบางส่วนที่เขานำมา ก่อนที่เขาจะถูกพี่ชายของเขาลากพาเดินไปรอบบริเวณสำนัก เจียงหยางหู่อ้างว่า เพื่อให้เจี้ยนเฉินได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมใหม่ของเขา
สำหรับช่วงเวลาตลอดทั้งบ่าย เจี้ยนเฉินถูกเจียงหยางหู่ลากเดินไปรอบ ๆ อย่างไม่มีจุดหมาย
ทันใดนั้น เจียงหยางหู่เริ่มเปิดปากของเขาและกล่าวว่า
น้องสี่ ในวันพรุ่งนี้คือการแข่งขันของลูกศิษย์ที่เข้ามาใหม่ประจำปี มีรางวัลมากมายและผู้มาใหม่ที่ได้อันดับหนึ่ง ราชาองค์ใหม่จะให้แกนอสูรขั้นสาม ผู้ที่ได้อันดับที่สองจะได้รับแกนอสูรขั้นสอง และคนที่ได้อันดับสามจะได้รับแกนอสูรขั้นหนึ่ง เจ้าจะต้องพยายามให้มากและขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง
Chaotic Sword God ตอนที่ 11 สำนักคากัต
ไป๋หยุนเทียนลูบศีรษะเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรัก นางค่อย ๆ เดินตรงไปข้างหน้า พี่สาม นี่ล้วนเป็นการเล่นต่อสู้กันระหว่างเด็กสองคน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรจะต้องวิตกกังวล มันไม่มีประโยชน์หากจะโกรธ ถึงอย่างไรพวกเขานั้นก็เป็นเพียงแค่เด็ก ในตอนนี้ พวกเราที่พวกเราควรจะสนใจคือการรักษาบาดแผลของเค่อเอ๋อ
ด้วยคำพูดของไป๋หยุนเทียน ถึงยังไงก็ตามความโกรธจะยังคงมีอยู่ หยูเฟิงหยานได้แต่พลุ่งพล่านด้วยความโกรธอย่างเงียบ ๆ นางกลัวว่าถ้านางยังคงโวยวายทุกคนเกี่ยวกับการกระทำของเด็กเล็ก ๆ ดังกล่าว พี่น้องทั้งสามคนจะมองว่านางเป็นคนไม่ดี
ไป๋หยุนเทียนเดินไปหาเจียงหยางเค่อซึ่งเอนหลังอยู่ นางหลับตาและนำมือทั้งสองข้างของนางวางเหนือบาดแผลเด็กชาย มือของนางวนเวียนอยู่ที่นั่นสักครู่ก่อนที่แสงสีขาวเรืองจาง ๆ จะปรากฏขึ้น
ดวงตาของเจี้ยนเฉินทอประกายด้วยความสนใจ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังพิเศษบางอย่างค่อย ๆ รวมกันอยู่ในมือของมารดาเขา รวมตัวเป็นแสงสีขาวจาง ๆ นอกจากนี้พลังพิเศษประเภทนี้เป็นอำนาจเดียวกันกับที่เป็นที่ต้องการ การรวบรวมพลังเป็นลูกบอลแสงเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะทำมันได้ในไม่ช้า
เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของมารดาของเขา และในการกระทำเช่นนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาไม่แน่ใจ ถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจวิธีการที่คล้ายคลึงของมารดาเขาในการถ่ายเทพลังงาน อย่างไรก็ตาม เขาก็ค้นพบว่าหากอายุที่เพิ่มขึ้นก็จะมีความสามารถในการผสานความแข็งแกร่งของโลกนี้ได้อย่างซับซ้อน
ประกายแสงสีขาวในมือของไป๋หยุนเทียน ส่องประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม แสงนั่นกลับไม่ระคายเคืองตา หลังจากไม่กี่ลมหายใจ นางสะบัดแขนของนางและประกายแสงสีขาวด้านซ้ายมือของนางก็ลอยลงไปบริเวณท้องของเจียงหยางเค่ออย่างช้า ๆ กลืนกินบาดแผลทีละน้อย ผ้าพันแผลสีขาวที่มีอยู่แล้วบดบังมุมมองของเจี้ยนเฉินว่าสิ่งที่ลูกบอลพลังงานสีขาวนั้นได้ทำลงไปและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากความพยายามอย่างหนักของนางเสร็จสิ้น ไป๋หยุนเทียนผ่อนลมหายใจอย่างช้า ๆ น้องสาม เจียงหยางเค่อสบายดีแล้ว ในตอนนี้ไม่มีบาดแผลปรากฏอีกต่อไป
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยูเฟิงหยาน นางกล่าวขอบคุณไป๋หยุนเทียนสั้น ๆ ก่อนที่จะก้าวไปข้างเตียงของเจียงหยางเค่ออย่างรวดเร็ว นางแสดงความห่วงใยต่อบุตรชายของนางและถามว่า เค่อเอ๋อ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร แผลของเจ้ายังคงเจ็บอยู่หรือไม่?
เจียงหยางเค่อยกมือขึ้นมาแตะที่บริเวณท้องของเขาและหัวเราะ ก่อนที่จะเริ่มฉีกผ้าพันแผลของเขาออก ท่านแม่ ในตอนนี้ ลูกสบายดีเป็นอย่างมาก
หลังจากผ้าพันแผลเปิดออก ก็เป็นที่ชัดเจนว่าแผลบนท้องของเจียงหยางเค่อหายไป เหลือเพียงรอยเลือดขนาดย่อมที่ยังคงอยู่ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีริ้วรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่เลย
เมื่อเห็นนี้ ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็เข้าใจ พลังงานลึกลับประเภทนี้เป็นพลังธาตุที่หาได้น้อยของเซียนธาตุแสง ที่ซึ่งพลังงานของพวกเขามีผลการรักษาที่พิเศษซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บใดก็ตามได้ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด ภายใต้การดูแลของเซียนธาตุแสง ไม่ว่าบาดแผลใด ๆ ก็จะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อแม่ของเขาเป็นเซียนธาตุแสง นางก็สามารถที่จะใช้พลังงานธาตุแสงนี้ ตำนานกล่าวว่าเซียนธาตุแสงบางคนที่แข็งแกร่งมากถึงกับสามารถสร้างแขนของใครบางคน หรือแม้แต่กระทั่งชุบชีวิตคนที่ตาย
ภายในหัวเจี้ยนเฉิน เขาลอบคิด หากเขาสามารถที่จะเข้าใจและดูดซับพลังงานถึงระดับเซียนธาตุแสง เขาอาจสามารถที่จะเป็นเหมือนมารดาของเขาและใช้พลังงานธาตุแสงในการเยียวยาบาดแผล
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ มันช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะรู้สึกกระวนกระวายใจและอยากที่จะทดสอบมันออกมา อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาก็ยังต้องทนต่อสิ่งล่อใจ เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเขามันไม่เหมาะสมสำหรับการทดลองนี้
ในขณะที่ประตูห้องเปิดกว้าง เจี้ยนเฉินเหลือบมองไปที่คนที่เดินเข้ามาด้วยกัน; มันเป็นบิดาของเขา เจียงหยางป้าและพ่อบ้านตระกูลเจียงหยาง เจียงไป่
เค่อเอ๋อเป็นอย่างไร อาการบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ? เจียงหยางป้าถามด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
ข้าขอบคุณท่านพี่ที่เอาใจใส่ แต่น้องสี่รักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เค่อเอ๋อสบายดี ใบหน้าหยูเฟิงหยานเผยให้เห็นรอยยิ้ม เจียงหยางป้าได้แสดงความใส่ใจบางอย่างสำหรับบุตรชายของเขา ดังนั้นนางจึงรู้สึกมีความสุข
เช่นนั้นก็ดีแล้ว! เจียงหยางป้าพยักหน้าและมองไปที่เจี้ยนเฉิน เซียงเอ๋อ หลายวันผ่านมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? แม้เมื่อพูดคุยกับเจี้ยนเฉินความใส่ใจนั้นก็ยังคงอยู่
ข้าขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ของท่านพ่อ ลูกชายของท่านสบายดี น้ำเสียงเจี้ยนเฉินนั้นยังคงเหมือนเดิม นับตั้งแต่การสิ้นสุดของการทดสอบพลังเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหยางป้าและเจี้ยนเฉินได้พูดคุยกัน
ได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าวสั้น ๆ เช่นนั้น มันช่วยไม่ได้ที่เจียงหยางป้าจะลอบถอนหายใจกับตัวเอง เซียงเอ๋อ เจ้าจงตามพ่อมาที่ห้องทำงาน เจียงหยางป้ากล่าวจบ ก็เดินออกไปจากห้องพัก
เจี้ยนเฉินติดตามเจียงหยางป้าและเจียงไป่ไปยังห้องทำงานในทันที ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เจียงหยางป้าจ้องมองเจี้ยนเฉินสักพักก่อนที่จะถามเขาว่า เซียงเอ๋อ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อในตอนเช้าเจ้าทำร้ายบ่าวรับใช้ที่ชื่อซิ่วเอ้อในโรงครัว.
นั่นคือความจริง ! เฉินเจี้ยนได้ตระหนักแล้วว่าพลังที่แท้จริงของเขาได้รับการเปิดเผยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่อาจปกปิด
แววตาของเจียงหยางป้าเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่เขาหัวเราะและกล่าวเบา ๆ ว่า เซียงเอ๋อ? ทำไมเจ้าไม่บอกพ่อว่าเจ้าสามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างแผ่วเบาและก่อนจะตอบออกมาอย่างกลาง ๆ ใช่ ! เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะปกปิดข้อเท็จจริงนี้ เขาจึงยอมรับในคำตอบนั้นอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าเขาจะคาดเดาแล้วว่า เจี้ยนเฉินสามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่การได้ยินมันจากปากของเจี้ยนเฉินเองนั้น มันทำให้เจียงหยางป้าอารมณ์ดี
เจียงไป่ เป็นไปได้ไหม ที่จะทดสอบพลังเซียนของเซี่ยงเอ๋ออีกครั้ง เจียงหยางป้าก็มีความสุขในขณะนี้เป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังพูดกับเจียงไป่อย่างสุภาพ ไม่ใช่ทุกคนที่ผู้นำตระกูลจะพูดด้วยถ้อยคำเช่นนี้กับพ่อบ้านเพื่อให้ทำบางสิ่งบางอย่าง
แต่เจียงไป่เพียงแค่เพียงหัวเราะและโบกมือที่มีแหวนมิติของเขา มีหินศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจี้ยนเฉิน นายน้อยสี่ โปรดวางมือที่ด้านบนของหิน ! เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
ขณะที่เจี้ยนเฉิน วางมือของเขาบนหินศักดิ์สิทธิ์ เจียงไป่กระตุ้นอะไรบางอย่างในนั้น ในทันที ที่มันเริ่มต้นเจี้ยนเฉินรู้สึกอีกครั้งว่าพลังปริศนาบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาจากหินศักดิ์สิทธิ์ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางแขนของเขา มันไหลวนเป็นวงกลมก่อนที่จะกลับไปยังหินศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกันมีเพียงสิ่งเดียวที่เห็นจากภายในหินนั้นก็เปล่งแสงเรืองแสงสีแดงจาง ๆ
เห็นประกายแสงสีแดง เจียงหยางป้าแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ตื่นเต้น แม้แต่เจียงไป่ ขณะนี้มีก็มีรอยยิ้มจาง ๆ และเขามองไปที่เจี้ยนเฉิน ความพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา
เรียนท่านผู้นำตระกูล จากการเปล่งแสงนั้น แสดงให้เห็นว่านายน้อยสี่ก้าวถึงพลังเซียนระดับสี่แล้ว เจียงไป่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
ระดับที่สี่ …. ระดับที่สี่ เจียงหยางป้าค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ของเขาและด้วยความตื่นเต้น เขากำมือแน่น ก่อนหน้านี้เขาได้สงสัยมัน แต่นั่นมันก็เป็นแค่การคาดเดา แต่ตอนนี้เขารู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง เขามีความรู้สึกแปลกใหม่ในจิตใจของเขา
เจี้ยนเฉินได้ก้าวถึงพลังเซียนขั้นที่ 4 ด้วยอายุเพียง 7 ขวบ แม้ว่าบางทีระดับนี้ไม่ได้โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับทั้งทวีปเทียนหยวน แต่ภายในอาณาจักรเกอซุนนี้ก็เพียงพอที่จะมีคุณสมบัติเป็นอัจฉริยะชั้นนำ นอกจากนี้ พลังเซียนของเจี้ยนเฉินยังล้ำหน้าพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ ซึ่งอายุมากกว่าเขา 3 ปี ขึ้นมาถึงระดับสี่
เจียงไป่เก็บหินศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในแหวนมิติของเขา เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ นายน้อยสี่ ท่านไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ
เจียงหยางป้าสงบใจอย่างรวดเร็วและเหลือบมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ดวงตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ, ความตื่นเต้น และความรู้สึกขอบคุณ
จนกระทั่งที่เจี้ยนเฉินออกจากห้องทำงาน มันก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง ทันใดนั้นหลังจากเจี้ยนเฉินออกไป เจียงหยางป้ามองที่เจียงไป่และด้วยน้ำเสียงสงสัยเล็กน้อย เขากล่าวว่า เจียงไป่ ในเมื่อเซี่ยงเอ๋อมีพลังเซียน แล้วทำไมตอนที่เขาได้รับการทดสอบ มันไม่พบ? จนกระทั่งมันทำให้ข้าคิดว่าเซี่ยงเอ๋อนั้นไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน
เจียงไป่ขมวดคิ้วของเขาและหลังจากขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างช้า ๆ กล่าวว่า ข้าไม่แน่ใจ บางทีอาจจะเป็นการทดสอบพลังเซียนในครั้งนั้นมีบางอย่างที่ผิดพลาด แต่นี่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว!
เจียงหยางป้าพยักหน้า ปัจจุบัน เซียงเอ๋ออายุเพียง 7 ปีและเขาได้ตัดผ่านพลังเซียนระดับสี่ ถ้าให้ข้าทำนาย ในที่สุดแล้วเซียงเอ๋อจะจะตัดผ่านระดับพลังเซียนด้วยอายุ 18 ปีและจะสามารถใช้อาวุธเซียน นอกจากนี้เซียงเอ๋อนั้นคืออัจฉริยะที่โดดเด่นตั้งแต่เด็ก ข้าต้องการส่งเขาไปเข้าเรียนที่สำนักคากัต เจียงไป่ เจ้าคิดอย่างไร
ได้ยินคำพูดเหล่านี้เจียงไป่ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า สำนักคากัต เป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรเกอซุนของเรา อย่างไรก็ตามเกณฑ์ที่จะเข้าสู่สถาบันอยู่ในระดับสูง ความแข็งแรงของบุคคลนั้นจะต้องมีพลังเซียนในระดับแปด และอายุของเขาหรือนางไม่สามารถเกินกว่า 18 ปี หากท่านผู้นำตระกูลที่ต้องการส่งนายน้อยสี่ไปที่สำนักคากัตในเร็ว ๆ นี้ ข้าเกรงว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ว่านายน้อยสี่จะอยู่ในระดับสี่ แต่การก้าวจากระดับสี่ไปถึงระดับแปดนั้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะใช้เวลาค่อนข้างนาน และพลังเซียนระดับที่สูงขึ้น มันก็ย่อมที่จะยากขึ้นด้วยเช่นกัน
ข้าหวังว่าเซี่ยงเอ๋อจะสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วจนถึงระดับแปดภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้ เจียงหยางป้าพูดอย่างนุ่มนวล
จางไป่ยิ้ม อย่าได้กังวลเกินไป ท่านผู้นำตระกูล ข้าเชื่อว่านายน้อยสี่จะก้าวไปถึงระดับแปดได้อย่างแน่นอาน ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเดียวคือเวลา เมื่อตอนที่ข้าประเมินพลังของนายน้อยสี่ ข้าค้นพบว่าระดับพลังของนายน้อยสี่อยู่ไม่ไกลจากระดับห้าเลย
ได้ยินคำพูดนี้ เจียงหยางป้าก็ไม่สามารถที่จะเก็บงำความสุขของเขาได้ ในขณะที่เขาพึมพำ ข้าหวังว่าในภายหน้าเซียงเอ๋อจะกลายเป็นเสาหลักสำคัญของตระกูล
เจียงไป่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มออกมาอย่างไร้คำพูด แต่อย่างไร ที่เขามองนั้นมันก็ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก
…….
หลังจากออกจากทำงานนั้น ทันใดนั้นเจี้ยนเฉิน รีบวิ่งกลับไปที่ห้องของเขาเอง เขาปิดประตูแน่นหนาและเขาเรียกความทรงจำ ฉากที่น่ากลัวทั้งหมดของการต่อสู้กับเจียงหยางเค่อ
แม้ว่าเจี้ยนเฉินรู้ว่าในระหว่างการต่อสู้ของเขากับต๊กโกวคิ้วป่ายในโลกของเขาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาพัฒนาและเข้ามาขอบเขตเทพกระบี่ แต่เขาไม่กล้าที่จะคิดว่าหลังจากที่มาเกิดใหม่อีกครั้ง เขาจะยังคงสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่คิดเกี่ยวกับความสามารถที่โดดเด่นก็ทำให้เจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น
แต่เมื่อเจี้ยนเฉินคิดทบทวน เมื่อกิ่งไม้นั้นปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมา เขาเริ่มที่จะสงสัย เขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งเดียวกับที่เขาได้จากโลกก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาควบคุมกิ่งไม้ด้วยสิ่งที่คล้ายกับปราณกระบี่ด้วยวิธีใด
ในขณะที่เขาครุ่นคิดนี้เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะให้ลองมันอีกครั้ง มองรอบ ๆ ห้องพัก, ดวงตาของเขาสังเกตเห็นชั้นไม้ที่วางเสื้อผ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ไม้นั้นยาวเกือบสองฟุต เจี้ยนเฉินจะใช้มันเป็นกระบี่ชั่วคราว
ถือไม้ที่ยาวสองฟุต ทำสมาธิ ลึกลงไปในใจของเจี้ยนเฉินอย่างช้า ๆ เขาเริ่มที่จะทำให้ตัวเองเชื่อว่าไม้ในมือของเขาไม่ได้เป็นไม้ แต่มันคือกระบี่ กระบี่เทพเจ้าที่สามารถเอาชนะสิ่งที่เป็น อย่างช้า ๆ ในขณะที่เขาหลอมรวมตนเองเข้ากับมัน เขารู้สึกถึงลายไม้ในมือของเขาและเห็นพวกมันอย่างชัดเจน เขาเข้าใจถึงองค์ประกอบภายในทั้งหมดของมัน
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาพยายามที่จะระงับความรู้สึกของอารมณ์ ภายในใจของเขา เมื่อเขาควบคุมอารมณ์ได้ สิ่งของในมือของเขาบินไปในอากาศ
ทันใดนั้นจิตใจเจี้ยนเฉินได้เข้าถึงสภาวะนี้แล้ว การเชื่อมต่อระหว่างไม้และจิตวิญญาณของเขา ขณะที่ไม้นั้นค่อย ๆ ลอยออกจากมือของเขาลอยไปกลางอากาศ ขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมเจี้ยนเฉิน มันขยับช้า ๆ ไปข้างหน้าก่อนที่จะเปล่งรังสีของแสงสีขาวเผยให้เห็นปราณกระบี่ที่เขาคุ้นเคยกับมัน
ในเวลานี้เองเจี้ยนเฉินได้ตระหนักถึงจิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมอย่างสมบูรณ์กับไม้นั้น ไปจนถึงจุดที่มันมีความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นแขนของเขาเอง เขาควบคุมมันอย่างง่ายดายด้วยตัวของเขาเอง ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักว่าปราณกระบี่ในไม้นั้นสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยจิตใจของเขา
ด้วยความตระหนักว่า เจี้ยนเฉินได้เห็นรังสีสว่างของแสงที่มาจากไม้และบินโฉบไปทั่วร่างกายของเขาด้วยความเร็วที่รวดเร็ว แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความสุขที่เต็มเปี่ยม เขาไม่ได้คิดว่าเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของเขาในโลกก่อนหน้านี้เขาจะสามารถที่จะเข้าใจจิตวิญญาณของกระบี่
จากวันนั้น ในความสามารถที่โดดเด่นของกระบี่วิญญาณ ไม่ได้เป็นเพียงการโจมตีที่แข็งแกร่งเจี้ยนเฉิน แต่มันยังเป็นทักษะที่สามารถช่วยชีวิตของเขา
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเจี้ยนเฉินอายุ 15 ปีแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกและใช้เวลาทุกวันในห้องของเขาการฝึกฝนบัญญัติกระบี่นภา ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการเปิดเผยและเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลัง ดังนั้นจุดยืนของเขาในตระกูลเจียงหยางมีการเปลี่ยนแปลง; ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในบ้านที่กล้ามองเขาอย่างดูถูก
นอกจากนี้ เจียงหยางป้ายังดูแลเจี้ยนเฉินอย่างดียิ่ง เอาใจใส่ในทุกทางที่เป็นไปได้ ทั้งหมดนี้ คนที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งนั้นก็คือไป๋หยุนเทียน แต่เดิมที่ลูกชายของนางก็ถือว่าเป็นคนพิการไม่สามารถที่จะบ่มเพาะพลัง แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นอัจฉริยะในด้านการบ่มเพาะพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ที่เขาก้าวถึงระดับสี่ของพลังเซียนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ใคร ๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่าไป๋หยุนเทียนมีความสุขแค่ไหนเกี่ยวกับลูกชายที่น่าอัศจรรย์ของนาง
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉิน พบว่านับตั้งแต่ที่เขาได้เผยให้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา ป้าใหญ่ของเขาหลิงหลงและป้าสามหยูเฟิงหยาน ดูเหมือนมักจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร สถานการณ์เช่นนี้ จากความทรงจำของชีวิตของเขาก่อนหน้านั้น มันทำให้เขาตระหนักถึงมันได้ไม่ยาก
ภายในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้มาถึงระดับแปดของพลังเซียน นอกจากนี้เป็นเพราะเจี้ยนเฉินได้จงใจชะลอความก้าวหน้าของเขาลง นั่นเป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้ใช้เกือบครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดในการทำความคุ้นเคยกับบัญญัติกระบี่นภาในชีวิตที่แล้วของเขา มิฉะนั้นเขาคงก้าวผ่านระดับแปดไปนานแล้ว เนื่องจากเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ห่างไกลจากการเข้าถึงระดับเก้าเลย
ทันใดนั้น ภายในตระกูลเจียงหยาง พลังเจี้ยนเฉินได้ก้าวผ่านทั้งพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเย่ว และพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ แม้ว่าเจียงหยางหมิงเย่วจะอายุมากกว่าเจี้ยนเฉินหลายปี พลังเซียนของนางหยุดลงที่ระดับเจ็ด สำหรับเจียงหยางเค่อ เขาไม่เคยมีความสามารถใด ๆ ในการบ่มเพาะพลังและปัจจุบันเขาอายุ 17 ปี และเขาได้ประสบความสำเร็จเพียงระดับห้าของพลังเซียนด้วยความยากลำบาก
ในตอนเช้าซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของคนรวมตัวกันที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ในบรรดากลุ่มครอบครัวของเจี้ยนเฉิน ป้าทั้งสามของเขาและแม้กระทั่งพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ และพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเยว่ อยู่ห่างไปไม่ไกลจากเขา พ่อบ้านตระกูลเจียงหยางยืนอยู่ตรงนั้น มีนกตัวหนึ่ง มันเป็นสัตว์อสูร มันตัวใหญ่ราว 3 เมตรและยืนสงบอยู่บนพื้นดิน ไม่ห่างไปจากฝูงชน
วันนี้เป็นวันที่เจี้ยนเฉินจะออกเดินทางไปยังสำนักคากัตเพื่อเรียนรู้ มาตรฐานขั้นต่ำที่จะเข้าสู่สำนักคากัตได้ จะต้องบรรลุพลังเซียนในระดับที่แปด นอกจากนี้อายุของบุคคลนั้นจะต้องไม่เกิด 18 ปี ปัจจุบันเจี้ยนเฉินเข้าถึงมาตรฐานนี้แล้ว
นอกจากวันนี้ มีวันนี้เท่านั้นที่จะสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าในสำนักคากัตนี้ ที่ซึ่งเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนปกคลุมไปด้วยน้ำตา ขณะที่นางมองที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก นางกล่าวว่า เซียงเอ๋อ เจ้าต้องขยันหมั่นเพียรในการศึกษาที่สำนักแห่งนี้ พยายามอยู่ให้ห่างจากปัญหา เข้าใจหรือไม่ ? ไป๋หยุนเทียน นางกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลลึก ๆ
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและกล่าวว่า อย่าได้กังวลไปเลยท่านแม่ ข้ารู้ดีว่าอะไรคือที่สิ่งที่ข้าควรทำ
เจียงหยางป้าเดินเข้าไปหาเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า เซี่ยงเอ๋อ นี่คือเข็มขัดมิติที่พ่อเตรียมไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ไม่ล้ำค่าและมีพื้นที่ภายในไม่กว้างขวางมากนัก แต่มันก็ยังคงสามารถเก็บสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเจ้าก้าวไปถึงระดับสิบภายในอายุสิบแปดปี และหลอมรวมอาวุธเซียนได้แล้ว พ่อให้รางวัลเจ้าด้วยแหวนมิติและแกนอสูร ขณะที่เอ่ย เข็มขัดที่สวยงามเป็นอย่างมากปรากฏอยู่ในมือของเขา เมื่อเห็นขนาดของเข็มขัด มันก็เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการออกแบบมาให้เจี้ยนเฉินโดยเฉพาะ
เห็นเจียงหยางป้าเอาใจใส่กับเจี้ยนเฉิน หลิงหลงและหยูเฟิงหยานที่กำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ อดไม่ได้ที่จะอิจฉา ได้แต่แสดงให้เห็นร่องรอยของความอิจฉาอยู่ลึก ๆ และความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม อาศัยการมองด้วยตาของทุกคนที่มารวมตัวกัน นอกจากเจี้ยนเฉินแล้วก็ไม่มีใครได้สังเกตเห็นพวกมัน
เจี้ยนเฉินรับเข็มขัดและกล่าวด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างกล้าแข็ง ท่านพ่อ ข้ามั่นใจว่าจะกลายเป็นเซียนในไม่ช้านี้
เจียงหยางป้ายิ้มและเขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
นายน้อยสี่ มันกำลังจะสาย พวกเราควรออกเดินทางในตอนนี้ ในขณะนั้นพ่อบ้าน เจียงไป่ ที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น
เจี้ยนเฉินชำเลืองมองไปที่มารดาของเขาเป็นครั้งสุดท้ายและเดินไปที่เจียงไป่ โดยปราศจากการหันหลังกลับและกล่าวว่า เจียงไป่ ออกเดินทางได้
เจียงไป่ยื่นมือมายกตัวเจี้ยนเฉินขึ้นไปบนด้านหลังของสัตว์อสูร หลังจากนั้นเขากระโดดขึ้นไปด้านบนด้วยเช่นกัน เขานั่งถัดจากเจี้ยนเฉินไป เขายิ้มบาง ๆ ให้เจี้ยนเฉินและกล่าวว่า นายน้อยสี่ โปรดนั่งให้มั่นคง
หลังจากนั้นเจียงไป่เพียงตบเบา ๆ ไปที่สัตว์อสูรในทันที สัตว์อสูรได้รับคำสั่ง มันกางปีกที่ยาว 10 เมตรของมันออก เพื่อที่จะบินขึ้น โดยโผขึ้นตรงไปในอากาศและเริ่มที่จะบินออกไปได้อย่างรวดเร็วในระยะทางอันไกลโพ้น
Chaotic Sword God ตอนที่ 10 เป็นที่นับถืออย่างสูง
มือทั้งสองข้างของเจียงหยางเค่อกำขวานในมือไว้แน่น ขณะที่เขาจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความสนใจ ขอบคุณสำหรับบทเรียน เขาแค่ต้องเรียนรู้ เขาไม่กล้าดูถูกเมินเจี้ยนเฉินเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน ดังนั้น ในรอบนี้ เจียนหยางเค่อเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง
เจี้ยนเฉินเริ่มหัวเราะและจ้องมองไปที่เจียงหยางเค่อ มีร่องรอยความสับสนอยู่ในนั้น พี่สาม เริ่มต่อสู้ในตอนนี้เลยหรือไม่?
เจียงหยางเค่อกุมขวานในมืออย่างมั่นคง ในเวลานี้ มันใช้พลังเซียนเข้าช่วย เขาเริ่มโจมตีไปที่เจี้ยนเฉินอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มันรวดเร็วกว่าเดิมมาก
เจี้ยนเฉินเพียงแค่กวัดแกว่งกิ่งไม้นั้นในมือของเขา เขารู้สึกถึงความอัศจรรย์บางอย่าง บางอย่างที่น่าแปลกประหลาด บางอย่างในกิ่งไม้เชื่อมต่อกับเขา ในเวลาเดียวกัน ภายในจิตใจของเจี้ยนเฉิน เขาอธิบายไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกที่มันคล้ายคลึงกับที่เขาสัมผัสได้ในโลกก่อน ในตอนที่เขาจะจบชีวิตลงตอนที่เขาเข้าใจพลังที่น่าอัศจรรย์ของขอบเขตเทพกระบี่ ระหว่างในช่วงเวลานั้น ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมกระบี่ด้วยจิตวิญญาณของเขาและส่งมันพุ่งออกไปนับร้อยเมตรทะลุผ่านลำคอของต๊กโกวคิ้วป่าย
คิดถึงช่วงเวลานั้น เจี้ยนเฉินดีดตัวเพื่อกระทำบางอย่าง กิ่งไม้ในมือถูกส่งให้ตรงไปยังเจียงหยางเค่อ
วูมมมม!!
ทิศทางหันเหที่เจี้ยนเฉินทำ กิ่งไม้นั้นดูราวกับว่ามีชีวิตและมันบินออกจากมือไปตรงไปยังเจียงหยางเค่ออย่างรวดเร็ว กิ่งไม้นั้นทอประกายแสงสีขาวออกมา ปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งจำนวนมากที่ออกมาจากกิ่งไม้ ทำให้มันดูราวกับสายฟ้า ด้วยประกายแสงที่งดงาม กิ่งไม้นั้นพุ่งไปยังท้องของเจียงหยางเค่อ
ทันใดนั้นเมื่อตระหนักถึงวิถีของกระบี่และปริมาณของปราณกระบี่จำนวนมากจากกิ่งไม้ ใบหน้าของเจี้ยนเฉินซีดเผือดด้วยความตกใจ และเขาพยายามหยุดกิ่งไม้อย่างลนลาน ถ้าไม่สามารถหยุดกิ่งไม้ได้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะต้องแทงไปหาเจียงหยางเค่อและฆ่าเขาเป็นแน่ แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกฆ่าในทันที แต่เจียงหยางเค่อจะได้รับบาดแผลที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดหายนะกับเจี้ยนเฉินได้
ทันใดนั้น ก่อนทีมันจะส่งไปถึงท้องของเจียงหยางเค่อ มันเริ่มช้าลง แต่มันก็ยังคงทิ่มแทงไปบริเวณนั้นอยู่ดี แต่ไม่มาก จ้องมองมันหยุด กิ่งไม้ในมือนั้นก็ทะลุเข้าไปยังชั้นผิวหนัง แต่ถ้าเจี้ยนเฉินไม่สามารถควบคุมมันได้? มันจะต้องทะลุผ่านท้องของเจียงหยางเค่ออย่างแน่นอน มันสร้างความหวาดกลัวให้กับเจี้ยนเฉินอย่างไม่สามารถคาดเดาได้
เหงื่อผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก เจี้ยนเฉินสังเกตสิ่งเล็ก ๆ เกี่ยวกับการเชื่อมโยงจิตวิญญาณเข้ากับกิ่งไม้ ยืนยันมันอีกครั้งด้วยจิตวิญญาณของเขาที่ซึ่งควบคุมให้มันแทงเข้าไปเพียงชั้นผิวหนังของเจียงหยางเค่อ เจี้ยนเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากบริเวณท้องของเขา ช่วยไม่ได้ที่เจียยหยางเค่อจะมีใบหน้าซีดเผือด เมื่อจ้องมองต่ำลงไป เขาเห็นเลือดไหลออกมาจากบริเวณท้อง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขาเริ่มร้องไห้งอแง น้ำตาไหลออกมาอาบแก้มของเขา ราวกับว่าดวงตาของเขาไม่สามารถกักเก็บมันได้
เลือด ข้าเลือดออก หวา ! น้องสี่ เจ้าทำร้ายข้า ! แง !! ท่านแม่ ข้าไปบอกท่านแม่ข้าว่าเจ้าทำร้ายข้า ! ทันใดนั้นเจียงหยางเค่อก็ทำตัวเหมือนกับเด็กที่รู้เพียงแต่วิธีการร้องไห้ เขาเขวี้ยงขวานไม้และออกไปจากสวน ตะโกนออกมาอย่างไม่หยุด จะอย่างไร เจียงหยางเค่อก็เป็นเพียงเด็ก 10 ขวบเท่านั้น เขาไม่สามารถทนต่อการกระทำที่คล้ายดูทารุณเช่นนี้ได้
จ้องมองดูเจียงหยางเค่อที่ลับสายตาไปอย่างช้า ๆ เจี้ยนเฉินไม่อาจทำอะไรนอกจากส่ายศีรษะของเขาช้า ๆ ขณะที่เขาก้าวออกไปจากสวน เริ่มปรากฏความกลัวในหัวใจ การลงโทษประเภทไหนที่เขาจะได้รับ?
…..
อะไรนะ ? เจียงไป่ เจ้าล้อข้าเล่นหรือไร ? ในห้องทำงาน ผู้นำตระกูลเจียงหยาง เจียงหยางป้า ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทีตกใจ เพ่งความสนใจไปที่ผู้อาวุโสที่ยืนด้านหน้า ช่วยไม่ได้ที่เจียงหยางป้าจะไม่สามารถเก็บความประหลาดใจไว้ได้จากสิ่งที่เขาได้ยิน
ผู้อาวุโสที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของเจียงหยางป้า เป็นถึงพ่อบ้านของตระกูลเจียงหยาง เจียงไป่
เจียงไป่พยักหน้ารับอย่างจริงจัง นายท่าน ตอนแรกข้าก็ไม่เชื่อมัน แต่บ่าวรับใช้ในโรงครัวหลายคนต่างยืนยันเป็นเสียงเดียว นายน้อยสี่ตอบโต้กลับไป หนึ่งในบ่าวรับใช้ที่ตัวใหญ่หนักกว่าเขาเกือบ 100 ปอนด์ถูกส่งลอยออกไปไกลถึง 5 เมตร และที่สำคัญ บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็ยังเป็นมีพลังเซียนระดับสามอีกด้วย
เมื่อได้ยินเจียงไป่กล่าว ตาของเจียงหยางป้าเบิกกว้างในข่าวใหม่ที่ได้ยิน
เจียงไป่จ้องมองไปยังท่านผู้นำตระกูลและหลังจากลังเลใจอยู่สักพัก เขายังคงพูดต่อ นายท่าน นอกจากนี้ ข้ายังได้ข่าวอะไรบางอย่างอีก เมื่อเร็ว ๆ นี้นายน้อยสี่ได้ต่อสู้กับนายน้อยสามโดยใช้เพียงกิ่งไม้ นายน้อยสี่ก็โค่นล้มนายน้อยสามลงได้
อะไรนะ! เซียงเอ๋อ ต่อสู้กับเค่อเอ๋อ และเซียงเอ๋อเป็นผู้ชนะ? เป็นครั้งที่สองที่ดวงตาของเจียงหยางป้าเบิกกว้างขึ้นกว่าเดิม
นั่นถูกต้องแล้ว นายท่าน นายน้อยสี่ใช้เพียงกิ่งไม้ ขณะที่นายน้อยสามใช้ขวานไม้ เจียงไป่กล่าวเสริม
นั่นมันเป็นไปได้อย่างไร! เจียงหยางป้าแทบจะบินออกจากเก้าอี้อีกครั้ง เซียงเอ๋อไม่สามารถใช้พลังเซียนขณะที่เจียงหยางเค่ออายุมากกว่าถึง 3 ปี มิหนำซ้ำยังฝึกฝนพลังเซียนระดับสาม ประกอบกับเค่อเอ๋อฝึกฝนวรยุทธ์ในทุก ๆ วัน แล้วเขาจะพ่ายแพ้แก่เซียงเอ๋อได้อย่างไร
ฉวยหยิบกิ่งไม้ที่อยู่ภายในเสื้อ เจียงไป่ส่งมันไปให้เจียงหยางป้าและกล่าวต่อ นายท่าน นี่เป็นกิ่งไม้ที่นายน้อยสี่ใช้โจมตีนายน้อยสาม
เจียงหยางป้าหยิบกิ่งไม้ที่มีขนาดไม่หนาไปกว่านิ้วมือของเขา ตรวจสอบมันไปรอบ ๆ เขาค้นพบลักษณะของคราบเลือดที่แห้งกรัง
เจียงหยางป้าสนใจเพียงคราบเลือดบนกิ่งไม้นั้น ขณะที่ปกปิดอารมณ์บนใบหน้า เจียงไป่ เค่อเอ๋อ ยังสบายดีหรือไม่
นายน้อยสามไม่ได้บาดเจ็บอะไร นอกเหนือไปจากบาดแผลที่ผิวหนัง
เจียงหยางป้าพยักหน้ารับอย่างช้า ๆ ด้วยใบหน้าเป็นกลาง ตรวจสอบกิ่งไม้นั้นอีกครั้ง เขาเริ่มคลางแคลงใจขึ้นไปอีก ในที่สุดเขาก็กล่าวออกมา เจียงไป่ กิ่งไม้นี้ไม่มีอะไรพิเศษ เท่านั้นไม่พอ มันยังไม่แหลมคมพอ อาศัยเพียงแค่แรงของเซียงเอ๋อ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างการบาดเจ็บอะไรก็ตามให้กับเค่อเอ๋อ
เจียงไป่พยักหน้ารับในความเห็นนั้น ตาของเขาส่องประกายสุกใส นายท่าน ข้าขอกล่าวแย้งท่าน ถ้าหากนายน้อยสี่สามารถฝึกฝนพลังเซียนได้ล่ะ ดูสิ่งที่นายน้อยสี่แสดงในวันนี้ มันเป็นที่ยอมรับว่านายน้อยสี่สามารถก้าวถึงขั้นพลังเซียนระดับสี่แล้ว ไม่เช่นนั้น คงไม่มีทางที่นายน้อยสี่จะเอาชนะนายน้อยสามได้
ได้ยินเจียงไป่กล่าวเช่นนั้น สีหน้าของผู้นำตระกูลก็สว่างขึ้นมาทันทีด้วยอารมณ์บางอย่าง สิ่งที่เขาปฏิบัติกับลูกชายซึ่งถูกยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะและกลับกลายเป็นเศษสวะนั้น ในยามนี้เจียงหยางป้ารู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก
เจียงไป่ นั่นเจ้าจะกล่าวว่า เซียงเอ๋อไม่เพียงแต่สามารถใช้พลังเซียนได้ แต่เขายังสมควรถูกกล่าวว่าเป็นอัจฉริยะที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง น้ำเสียงของเจียงหยางป้าสั่นไหวและเต็มไปด้วยอารมณ์ สำหรับเด็ก 7 ขวบที่ก้าวไปถึงขั้นพลังเซียนระดับสี่ น้อยคนนักที่จะทำสำเร็จในทวีปเทียนหยวน อายุเฉลี่ยของคนที่จะก้าวถึงขั้นสี่ย่อมแก่กว่านี้มาก
เจียงไป่พยักหน้า ข้าจ้องมองการเจริญเติบโตของนายน้อยสี่มาตั้งแต่เยาว์วัย อาจกล่าวได้ว่าเขาไม่ใช่อัจฉริยะธรรมดาในสายตาข้า ข้าเชื่อมั่น ข้าสามารถกล่าวได้ว่า นายน้อยสี่จะเหนือกว่าข้าในอนาคตอย่างแน่นอน
เจียงหยางป้าเริ่มที่จะสั่นสะเทือนภายในขณะที่ฟัง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความไม่อาจเชื่อเพียงเล็กน้อย
เจียงหยางไป่ยังคงกล่าวต่อไป หลังจากที่นายน้อยสี่ถูกกล่าวว่าเป็นดั่งคนพิการ ไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน ข้าค้นพบว่ามันแปลกอย่างแท้จริง หากเป็นข้าที่พบเหตุการณ์เช่นนั้น ข้าไม่สามารถจินตนาการได้ว่าอะไรที่ทำให้อยู่มาถึงวันนี้ ด้วยความแข็งแกร่งที่นายน้อยสี่แสดงออกมาในวันนี้ ข้ายืนยัน ในความคาดเดาของข้า นายน้อยสี่ไม่ใช่คนพิการ แต่เป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริง
เจียงหยางป้าสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้น แต่ก่อนจะพูดอะไรอีกต่อไป สมาชิกในตระกูลคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีเคารพ นายท่าน นายน้อยสามได้รับบาดเจ็บ ฮูหยินสามปรารถนาให้นายท่านไปเยี่ยมในตอนนี้
ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปก่อน เจียงหยางป้าโบกมือของเขา ไม่สนใจสมาชิกคนนั้น
ครับ นายท่าน สมาชิกตระกูลทำความเคารพครั้งหนึ่งก่อนจะหายไปอย่างช้า ๆ
เจียงหยางป้ามองกลับไปยังพ่อบ้าน เจียงไป่ มันอาจจะดี ถ้าพวกเราใส่ใจสุขภาพของเซียงเอ๋อบ้าง อย่างไรก็ตาม เขาถูกละเลยมาเป็นระยะเวลานาน หลังจากกล่าวจบ ทันใดนั้น เขาก็พูดเสียงต่ำ
เจียงไป่ บ่าวรับใช้สองคนที่กล้าล่วงเกินเซียงเอ๋อในครัว ข้าจะให้เจ้าขับไล่พวกมันออกจากคฤหาสน์ ฮืมม! เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ชั้นต่ำ แต่พวกมันกล้าล่วงเกินบุตรชายของข้า เจียงหยางป้า โดยปราศจากความเกรงกลัว
เจียงไป่หัวเราะและพูดสั้น ๆ นายท่าน ชายรับใช้สองคนนั้นถูกขับไล่ออกไปเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าคนหนึ่งจะถูกแนะนำโดยฮูหยินใหญ่ หลิงหลง อีกคนเป็นน้องชายของหัวหน้าผู้คุ้มกัน แต่ตั้งแต่พวกเขากล้าตอแยนายน้อยสี่ ก็ไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะอยู่ภายในคฤหาสน์แห่งนี้อีกต่อไป มิฉะนั้น ข้าคงไม่กล้าออกไปบริเวณนอกคฤหาสน์เจียงหยางอีกครั้งแน่
ในห้องที่ถูกประดับอย่างกว้างขวาง มีเจียงหยางเค่อที่นอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาเริ่มจ้องไปที่ผ้าพันแผลที่ถูกพันเมื่อเร็ว ๆ นี้บริเวณท้องของเขา
ที่ขอบเตียงมีมารดาของเจียงหยางเค่อ หยูเฟิงหยาน นั่งอยู่ด้วยความกังวลไกล นางอยู่ไม่ห่างจากบุตรชายของนาง ไม่ไกลจากนั้น เจี้ยนเฉินและมารดาของเขา ไป๋หยุนเทียน นั่งอยู่ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ป้าใหญ่หลิงหลงและป้ารองไป๋ยู่ซวง และพี่รอง เจียงหยางหมิงเยว่ ทั้งหมดก็ยืนอยู่บริเวณรอบเตียง
หยูเฟิงหยานจ้องมองไป๋หยุนเทียนด้วยความโกรธ น้องสี่ ลูกชายของเจ้าได้ฝ่าฝืนกฎ โจมตีเค่อเอ๋อด้วยอาวุธที่อันตรายยิ่ง โชคดีที่เค่อเอ๋อของข้าไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส มิฉะนั้น ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ?
เจี้ยนเฉินมีสีหน้าบึ้งตึงหลังจากที่ได้ฟังนางกล่าว เขาไม่อาจยอมรับคำกล่าวของนางได้ ท่านจะต่อว่าข้าไม่ได้ มันเป็นพี่สามเองที่บอกให้ข้าต่อสู้กับเขา บาดแผลเล็กน้อยเช่นนี้มันย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนั้น ข้ายังไม่ได้ใช้อาวุธอันตรายอันใดเลย แต่มันเป็นเพียงแค่กิ่งไม้ ถ้าหากต้องการจะต่อว่าใคร คงต้องต่อว่าพี่สามที่ฝีมืออ่อนด้อยเอง
ใบหน้าของหยูเฟิงหยานซีดเผือดขณะจ้องมองเจี้ยนเฉิน คำกล่าวของเจี้ยนเฉินมีความเป็นไปได้และนางก็ไม่อาจปฏิเสธพวกมันได้ไม่ว่าในทางใด
แค่คิดเกี่ยวกับมัน อย่างไรคนที่พูดมันออกมากเป็นเพียงแค่เด็กเท่านั้น สวรรค์ก็ไม่อาจเชื่อว่า คำพูดที่ว่า ถ้าหากต้องการจะต่อว่าใคร คงต้องต่อว่าพี่สามที่ฝีมืออ่อนด้อยเอง ใบหน้าของหยูเฟิงหยานเปลี่ยนจากเขียวเป็นขาวสลับกันอย่างรวดเร็ว คำพูดเช่นนั้นมันไม่ได้หมายความว่าลูกชายของนางอ่อนแอกว่าคนพิการผู้ซึ่งไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้หรอกหรือ
ได้ยินในสิ่งที่เด็กคนหนึ่งกล่าวโจมตีหยูเฟิงหยาน ช่วยไม่ได้ที่ไป๋ยู่ซวงจะหัวเราะออกมา ขณะที่หลิงหลงนั่งอยู่ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดใด
Chaotic Sword God ตอนที่ 9 ความแข็งแกร่งที่ถูกซ่อนไว้
ซิ่วเอ้อจ้องมองเจี้ยนเฉินด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ จนดูเหมือนถ้ามันเป็นสัตว์ป่า มันหมายมาดที่จะฉีกเจี้ยนเฉินเป็นชิ้น ๆ
เจ้ามันไอ้สารเลว ข้าจะสอนบทเรียนให้กับเจ้าในวันนี้ !
ซิ่วเอ้อคำรามออกมาด้วยความโกรธ เขาพุ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉินและเตะไปที่หัวของเจี้ยนเฉิน การเตะนั้นรวดเร็วและถ้ามันโดน สำหรับคนธรรมดา มันไม่มีทางที่จะเกิดเป็นเพียงแค่บาดแผลเล็ก ๆ อย่างแน่นอน ด้วยร่างกายเล็ก ๆ ของเจี้ยนเฉิน ถ้าโดนตรง ๆ มันมีโอกาสเป็นอย่างมากที่จะถูกฆ่า.
เมื่อประเมินการเตะของซิ่วเอ้อ บ่าวรับใช้อายุ 20 คนนั้นเกิดความตื่นตระหนกและใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด พร้อมกับร้องตะโกนเตือนเสียงดังขึ้นมาว่า พี่ซิ่วเอ้อ หยุด!!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ยังคงเป็นนายน้อยสี่ซึ่งเป็นบุตรชายของเจียงหยางป้า แม้ว่าจะเป็นสวะ แต่มันก็ยังได้รับความเคารพในบริเวณรอบนอกของคฤหาสถ์เจียงหยาง เขาอาจจะสามารถเยาะเย้ยได้ แต่การปะทะกับนายน้อย แม้ว่าเขาจะมีผู้อาวุโสหนุนหลัง พวกเขานั้นก็ยังคงต้องถูกลงโทษอยู่ดี
หลังมองเห็นการเตะของซิ่วเอ้อ ใบหน้าของเจี้ยนเฉินสงบนิ่ง ตาของเขาทอประกายเย็นชาและโน้มตัวด้านข้างอีกครั้ง ยืนอยู่อย่างสงบด้านนอก เท้าของซิ่วเอ้อมาถึงตัว เขาไม่ได้ถอยหลัง เจี้ยนเฉินเข้าประชิดร่างกายของซิ่วเอ้ออย่างรวดเร็ว เจี้ยนเฉินปลดปล่อยพลังเซียนที่เก็บอยู่ในร่างกายของเขาไปที่ข้อมือและปล่อยมันออกไปด้วยความแรงนับร้อยปอนด์ เกินกว่าที่ร่างกายเล็ก ๆ ของเขาจะทำได้
ร่างกายของซิ่วเอ้อกระเด็นสูงขึ้น เจี้ยนเฉินไม่รอช้าที่จะโต้กลับ ขาทั้งสองข้างของเขาเหวี่ยงไปยังร่างของซิ่วเอ้อที่อยู่ด้านหน้าอย่างหนักหน่วง
ร่างกายของซิ่วเอ้อไถลไปไกลเกือบ 5 เมตร ก่อนที่จะปะทะกับโต๊ะสำหรับตัดผลไม้ดังโครม บังเอิญใต้ร่างกายที่ตกลงของเขาเป็นกองเหล็ก การล้มลงบนนั้นจะทำให้เขามีลักษณะคล้ายกับมนุษย์เม่นที่แปลกประหลาด
ซิ่วเอ้อร่วงลงไปโดนแท่งเหล็กเสียบหลายอัน และอีกเพียงแค่นิ้วเดียวเท่านั้นก่อนที่มันจะทะลุร่างของเขา ทันใดนั้นซิ่วเอ้อกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างกายของเขาผิดรูปไปและจมูกของเขามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ที่ยังส่งผลไปที่จิตใจ
ทันใดนั้นบ่าวรับใช้ทุกคนในโรงครัวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น จากเหตุการณ์ที่ไม่อาจทำใจเชื่อได้ พวกเขาได้แต่ยืนจ้องอยู่เช่นนั้น เด็กเพียง 7 ขวบ ไม่เพียงแต่จะต่อสู้กับชายร่างใหญ่ แต่เขายังทำให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ลง อีกฝ่ายนั่นยังอยู่ในพลังเซียนระดับสาม ถ้าข่าวใหม่นี้แพร่ออกไป คงไม่มีใครในเจียงหยางที่จะเชื่อมัน
เจี้ยนเฉินจ้องมองซิ่วเอ้อที่เต็มไปด้วยความทรมานด้วยแววตาเยือกเย็น ขณะเดียวกันกับความรู้สึกดูถูกเกิดขึ้นบนใบหน้าเขา เขาไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและเลือกที่จะออกจากโรงครัวแทน โดยปราศจากเสียงจากใครทั้งสิ้น
หลังจากออกกำลังกายในโรงครัว เจี้ยนเฉินถอนหายใจช้า ๆ เขาไม่คิดว่าบ่าวรับใช้ในโรงครัวจะกล้าเยาะเย้ยนายน้อยสี่
หลังจากโยนอารมณ์ขุ่นมัวออกไปจากหัวใจ เจี้ยนเฉินเริ่มเดินเล่นไปรอบคฤหาสน์เจียงหยาง คฤหาสน์กว้างใหญ่ เจี้ยนเฉินไม่เคยเห็นคฤหาสน์อย่างเต็มตาสักครั้ง แม้ว่าทิวทัศน์โดยรอบจะดูงดงามแค่ไหนก็ตาม เมื่อมองไปยังสวนที่เป็นสวนทุกตารางนิ้ว มีทะเลสาบหลายแห่งเช่นเดียวกับสวนดอกไม้ที่มีดอกไม้หายากมากมายซึ่งไม่สามารถหาจากที่อื่นได้ และพวกมันส่งกลิ่นหอมหวาน
ในฐานะนายน้อยสี่แห่งตระกูลเจียงหยาง เจี้ยนเฉินมีอิสระที่จะเดินทุกที่ที่เขาต้องการ ในขณะที่เขาเดินไปมาเขาจะเจอถนนสายสำคัญและอาคารที่มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนซ่อนตัวอยู่ทุกที่ เมื่อเขาเห็นผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น แต่เขาได้ตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกี่ยวกับมัน หลังจากที่เขารู้ว่าตระกูลเจียงหยางเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลที่ยิ่งใหญ่ของเมืองลอว์ เมืองลอว์จัดว่าเป็นเมืองชั้นหนึ่งที่ ดังนั้นการเป็นตระกูลใหญ่จึงมีเกียรติ
เขาก้าวเดิน เขาไม่ได้สนใจที่จะไปยังกลางของสวนดอกไม้ที่สงบเงียบ เจี้ยนเฉินไม่ได้สังเกตเห็นพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ ที่ซึ่งกำลังฝึกฝนการต่อสู้โดยใช้ขวานอย่างต่อเนื่อง ที่ซึ่งเขาฝึกฝนภายในสวนดอกไม้อันร่มรื่น แต่อย่างไรก็ตาม ในสายตาที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ในการต่อสู้ของเจี้ยนเฉิน มันดูเหมือนกับว่า ถ้าเจียงหยางเค่อเหวี่ยงขวานสะเปะสะปะ
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเรียนรู้วิธีการใช้กระบี่มาจากโลกที่แล้ว แต่สิ่งที่เขาเรียนรู้มันแตกต่างกับผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้อาวุธขวานและวิธีการอย่างไรที่พวกเขาสู้ ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเคยชินกับวิธีการใช้ขวาน อีกอย่างหนึ่ง เจียงหยางเค่อยกมือค้าง เจี้ยนเฉินไม่ได้กล่าวอะไร นี่นับว่าเป็นการพิจารณาการฝึกหรือ?
ขณะที่เจี้ยนเฉินกำลังจะเดินย้อนกลับไป เจียงหยางเค่อสังเกตเห็นเจี้ยนเฉินจากหางตาของเขา เขาเคลื่อนไหวช้าลงและเริ่มมีความคิดใหม่ขึ้นมา เขาเผยอยิ้มออกมา
น้องสี่ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร มาสิ พี่สามของเจ้า มีขนมหวานให้เจ้ากิน เจียงหยางเค่อร้องเรียกเจี้ยนเฉิน
ได้ยินคำพูดของเจียงหยางเค่อ เจี้ยนเฉินแทบจะสะดุดหัวทิ่มลงกับพื้นด้วยความยากจะเชื่อ เขาลอบคิดในใจ ว่า ต่อให้เป็นเด็ก 7 ขวบ ยังยากที่จะหลงเชื่ออุบายเช่นนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินลืมไปว่านี่คือประสบการณ์ที่ผ่านมาในโลกเก่า เขายังคงอยู่ในรูปกายของเด็ก 7 ขวบในตอนนี้
แต่เขาไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของเจียงหยางเค่อและยังคงเดินโดยไม่หันหน้ากลับ
เมื่อเห็นเจี้ยนเฉินค่อย ๆ เดินจากไป เจียงหยางเค่อเริ่มที่จะโกรธ เขาขว้างขวานไม้ในมือของเขาลงไปปักบนพื้นดิน เขาโผเข้าหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็วและในที่สุดคว้าตัวอีกฝ่าย
น้องสี่ เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือไง !! เจียงหยางเค่อขัดขวางทางเดินของเจี้ยนเฉิน เหมือนกับจุกไม้ก๊อกในขวด ใบหน้าของเขาแดงไปด้วยความโกรธขณะที่เขาเริ่มจ้องมองเจี้ยนเฉิน
มีอะไรผิดพลาดงั้นหรือ
เจี้ยนเฉินจ้องมองที่เจียงหยางเค่อด้วยการมองอย่างนิ่ง ๆ ขณะที่พูดเป็นนัย ๆ ที่เต็มไปด้วยความเย็นชาในคำถามของเขา เจี้ยนเฉินไม่ได้ใส่ใจกับอารมณ์ของพี่สาม เมื่อสองปีที่แล้ว เจียงหยางเค่อยังคงทำทุกวิธีทางเพื่อจะรังแกเจี้ยนเฉิน มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อเจี้ยนเฉินเริ่มกลายเป็นสวะ การกระทำนั้นเริ่มเลวร้ายมากเรื่อย ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเจี้ยนเฉินออกมาข้างนอกน้อยครั้ง เจียงหยางเค่อคงรังแกเจี้ยนเฉินนับครั้งไม่ถ้วน อย่างไรก็ตาม ทุกวัน ทุก ๆ เวลา เขาพยายามรังแกเจี้ยนเฉิน แต่มันก็ล้มเหลวทุกครั้ง เจี้ยนเฉินสามารถโต้กลับได้ทุกครั้ง มันสร้างความไม่พอใจแก่เจียงหยางเค่อ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถเก็บความแค้นไว้ได้อีกต่อไป
น้องสี่ ไปเป็นเพื่อนพี่สามของเจ้าในการฝึกวรยุทธ์บางอย่าง
ขณะที่กล่าวออก เจียงหยางเค่อเริ่มทำการลากเจี้ยนเฉินไปสถานที่ของการฝึกวรยุทธ์โดยไม่ให้โอกาสเจี้ยนเฉินได้ตอบกลับ เจียงหยางเค่อรู้สึกตื่นเต้นมากในช่วงเวลานี้ เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้กับเจี้ยนเฉินทางด้านความฉลาด แต่เขาไม่คิดว่าตัวเองจะอ่อนแอไปกว่าเจี้ยนเฉินในเรื่องความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม น้องสี่ของเขาก็เป็นเพียงสวะพิการในการบ่มเพาะพลังการต่อสู้และไม่มีทางที่จะบ่มเพาะพลังเซียนได้ ในใจของเจียงหยางเค่อถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้แก้แค้น
ไม่นานหลังจากที่เจี้ยนเฉินถูกลากไปอย่างแรงโดยเจียงหยางเค่อ ในที่สุดก็มาถึงยังสถานที่ฝึกวรยุทธ์ เจียงหยางเค่อหยิบขวานไม้เขวี่ยงมันไปด้านข้างอย่างรวดเร็วและจากนั้นก็กล่าวกับเจี้ยนเฉิน น้องสี่ เจ้าพร้อมแล้วหรือยัง ? ข้าจะได้เริ่มโจมตีเจ้าในตอนนี้
เจี้ยนเฉินมองดูเจียงหยางเค่อแล้วยิ้มออกมาอย่างสุภาพ ดวงตาเจี้ยนเฉินปรากฏร่องรอยสนุก เขาถามว่า พี่สาม ท่านมีอาวุธในมือของท่าน อย่าบอกข้านะว่าท่านจะให้ข้าสู้โดยไร้ซึ่งอาวุธ
ได้ยินคำพูดของน้องชาย เจียงหยางเค่อก็รู้สึกไขว้เขวอีกครั้ง เขาจ้องมองขวานไม้ในมือและเริ่มลังเลใจ ก่อนจะโยนขวานให้พุ่งตรงไปที่เจี้ยนเฉิน แล้วกล่าวว่า ข้าให้ขวานแก่เจ้า น้องสี่ และจะเป็นข้าที่สู้ด้วยมือเปล่า
แม้ว่าขวานจะเป็นไม้ มันก็ยังหนักถึง 10 ปอนด์ แม้ว่าจะเป็นเด็กอายุ 10 ปี แต่การเหวี่ยงมันเช่นนั้นก็ชัดเจนว่ามันยากเกินไป เจียงหยางเค่อขว้างมันไปที่เจี้ยนเฉินด้วยเหตุผลที่ว่าเขาต้องการทำให้เจี้ยนเฉินอับอายขายหน้าด้วยตัวของเขา ขณะที่เขาทำเหมือนกับมีน้ำใจ
เจี้ยนเฉินถือขวานไม้ไว้ในมือและเริ่มตรวจสอบ ขวานนี้มันถูกสร้างออกมาอย่างหยาบ ๆ เพียงรูปร่างขวาน ขณะที่ตัวขวานมันก็เกือบจะไม่มีอยู่ แม้ว่าเขาจะพยายามฟันมันไปที่ผู้คน มันแทบจะไม่สามารถสร้างอันตรายในจุดสำคัญได้เลย อย่างดีขวานมันก็แค่สร้างบาดแผลฟกช้ำได้แค่นั้น
มองดูเจี้ยนเฉินถือขวานที่หนักถึงสิบปอนด์ได้อย่างง่ายดาย ดวงตาของเจียงหยางเค่อไม่สามารถปกปิดความตกตะลึง เขาไม่คาดฝันว่าจะเป็นเช่นนั้น
เจี้ยนเฉินจ้องมองไปที่เจียงหยางเค่อและพูดเจือหัวเราะ พี่สาม บางทีท่านควรจะใช้ขวานนี้แทน ทันใดนั้นเขาพูด แล้วขว้างขวานนั้นกลับไปยังเจียงหยางเค่อ
หลังจากจับขวานที่ถูกขว้างมาอย่างง่ายดาย เจียงหยางเค่อเริ่มรู้สึกคลางแคลงใจ น้องสี่ เจ้าจะต้องการสู้กับข้าด้วยมือเปล่า?
เจี้ยนเฉินเริ่มหัวเราะขณะที่เขาสั่นศีรษะ คว้าเอากิ่งไม้ที่ยาวราว 1 เมตร ริดกิ่งไม้เล็ก ๆ ออกไป ในมือขวาเจี้ยนเฉินมีเพียงกิ่งไม้อันเดียว
นี่เป็นอาวุธข้า ยกกิ่งไม้ในมือ เจี้ยนเฉินหัวเราะอย่างอ่อนโยน
เจียงหยางเค่อจ้องมองกิ่งไม้เล็ก ๆ ที่ซึ่งมีขนาดเท่าตะเกียบในมือของเจี้ยนเฉินก็เริ่มหัวเราะ เขาไม่เพียงไม่โกรธ เขาอาจจะทำให้เจี้ยนเฉินพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย ในที่สุดความฝันที่จะทำให้เจี้ยนเฉินกลายเป็นไอ้งั่งก็ได้มาถึง เจียงหยางเค่อรู้สึกมีความสุข
เจียงหยางเค่อกระชับขวานในมือ น้องสี่ ระวังตัวให้มาก พี่สามของเจ้าจะเริ่มโจมตี! ทันใดนั้นหลังจากพูดจบ เจียงหยางเค่อพุ่งตรงไปหาเจี้ยนเฉินราวกับพายุด้วยขวานในมือ ก่อนจะเหวี่ยงลงไปหาเจี้ยนเฉิน
ขวานนี้อาจจะไม่สามารถสร้างรอยแผลที่ถึงชีวิต ดังนั้นเจียงหยางเค่อจึงไม่รอช้าที่จะเหวี่ยงมันด้วยความแข็งแกร่งของตน
ขาของเจี้ยนเฉินก้าวไปข้างหน้าหลบหลีกขวาน เหวี่ยงกิ่งไม้นั้นออกไปด้วยความเร็วอันน่ากลัว ทันใดนั้นกิ่งไม้นั้นก็คล้ายกับมีพลังอำนาจอะไรบางอย่าง ท่าทีของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปอย่างทันที เขาก้าวอย่างกดดันไปข้างหน้า จากกิ่งไม้ธรรมดากลายเป็นคมกระบี่แห่งความตายในมือเขา
เจี้ยนเฉินเหวี่ยงกิ่งไม้แทนกระบี่ด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ ไปทางเจียงหยางเค่อโดยไม่มีช่องว่างให้ตอบโต้ ในที่สุดเมื่อกิ่งไม้นั้นก็ไปจ่อที่คอของเจียงหยางเค่อ
พี่สาม ท่านแพ้แล้ว ด้วยการหยอกเล่น เขาส่งขวานกลับคืนไปหาเจียงหยางเค่อที่ล้มในกลางการต่อสู้
เจียงหยางเค่อทำได้เพียงจ้องมองกิ่งไม้ที่คอของเขา ประกายแสงแห่งความยากจะเชื่อปรากฏในดวงตา เขาไม่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของกิ่งไม้เลยสักนิด สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยเท่านั้น และการต่อสู้นั้นก็จบลง
เจียงหยางเค่อยังคงตกใจและสั่นศีรษะของเขา ปัดกิ่งไม้ซึ่งจ่อที่ลำคอของเขาออก เขาตะโกนร้องออกมาลั่นด้วยความยากจะเชื่อ นั่นมันไม่นับ มันจะนับไม่ได้ น้องสี่ เจ้าต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรม
เจี้ยนเฉินหัวเราะขณะที่จ้องมองไปยังใบหน้าที่เป็นสีแดงของเจียงหยางเค่อ พี่สาม ท่านไม่รู้จริงหรือ ข้าต่อสู้อย่างไม่ยุติธรรมงั้นหรือ ? เขาพูดอย่างแปลกใจ
นั่น ..นั่นมัน เจียงหยางเค่อเกาแก้มของมันและพูดออกมาอย่างตะกุกตะกัก ขณะที่มันเองพยายามหาข้อแก้ตัว ในที่สุดมันยังคงไม่อาจยอมรับผลลัพธ์นั้น และพูด เช่นนี้..การต่อสู้เมื่อครู่ไม่นับ สู้กันใหม่อีกครั้ง!
เจี้ยนเฉินหยิบกิ่งไม้ที่เจียงหยางเค่อปัดทิ้งไปด้วยท่าทีหัวเราะ ตกลง เริ่มต่อสู้อีกครั้งได้ โดยไร้ซึ่งท่าทีวุ่นวายใจ เขาถอยห่างออกไปจากเจียงหยางเค่อราว ๆ 5 เมตร
Chaotic Sword God ตอนที่ 8 ความพินาศ
เจียงหยางหมิงเยว่จ้องมองเจี้ยนเฉินที่นิ่งเงียบ นางกระพริบตาเป็นเวลาไม่นาน จากนั้นนางเดินไปจับไหล่และเอ่ยว่า น้องสี่อย่าได้เสียใจไปเลย ถ้าในอนาคตมีใครกล้ารังแกเจ้า บอกพี่สาวคนนี้ และข้าจะจัดการกับพวกมันเอง เจียงหยางหมิงเยว่คิดว่าเจี้ยนเฉินนั้นเสียใจเพราะว่าเขานั้นพิการ และเขาไร้ความสามารถที่จะปกป้องตัวเองจากคนที่เยาะเย้ยเขา
ได้ยินหมิงเยว่กล่าวเช่นนั้น เจี้ยนเฉินก็จนปัญญา ได้แต่ผงกหัวขึ้นและส่งยิ้มไปยังเจียงหยางหมิงเยว่ อย่ากังวล พี่รอง ข้าไม่ได้ถูกรังแกได้ง่ายดายนัก
เพียงไม่นานเจี้ยนเฉินก็เข้าใจได้ไม่ยากนัก เหตุที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน มันเนื่องมาจากความจริงที่ว่าเขาไม่เคยประสานพลังเซียนเข้าสู่เซลล์ร่างกายของเขา เมื่อเป็นเช่นนั้น แกนพลังงานเขาจึงยังคงว่างเปล่าไม่ต่างกับเปลือกหอย ด้วยไม่มีพลังเซียนในร่างกายของเขา ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนตามวิธีของเขา จากนั้นแล้วผลการทดสอบพลังเซียนจะคงมีผลลัพธ์ที่แตกต่างไปจากนี้
โชคร้ายที่เจี้ยนเฉินไม่อาจอธิบายเหตุการณ์นี้ต่อหน้าคนอื่น แม้ว่าเขาต้องการอธิบาย เขาจะไม่อาจอธิบายเกี่ยวกับวิธีนี้ได้เลย เท่านั้นไม่พอที่ถ้าเขาพูดเกี่ยวกับบัญญัติกระบี่นภา จากนั้นเจี้ยนเฉินกลัวว่าทั้งเคล็ดวิชาและตัวเขาจะกลายเป็นปัญหาใหญ่
แม้ว่าเจี้ยนเฉินเข้าใจในสถานการณ์ตอนนี้ ฐานะของเขาในตระกูลตกต่ำยิ่งนัก เขาไม่สนใจอะไรทั้งหมด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และลึก ๆ แล้วเขาต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น เขาคิดว่าถ้าเป็นเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ ในอนาคต ยามเขาจะออกไปจากคฤหาสน์คงง่ายกว่านัก ถ้าเขายังคงถูกขนามนามว่าอัจฉริยะ การออกจากคฤหาสน์จะไม่ง่ายนัก และอย่างน้อยที่สุดเขาไม่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากใคร พวกเขาจะเพิกเฉยยามเมื่อเขาออกจากคฤหาสน์
เซียงเอ๋อ…เซียงเอ๋อ เสียงเรียกดังมาจากเตียง ในที่สุดมารดาของเจี้ยนเฉินก็ได้ตื่นขึ้น
หลังจากที่ได้ยินมารดาเรียกชื่อ เจี้ยนเฉินก็ดึงความคิดกลับมาทันที ทันใดนั้นเขาเดินไปรอบ ๆ และมองดูที่นาง ท่านแม่ ลูกอยู่ที่นี่ ท่านแม่เป็นเช่นไรบ้างขอรับ ?
ไป๋หยุนเทียนจ้องมองอย่างซับซ้อนและพูดอย่างร้อนรน มารดาของเจ้าสบายดี แต่เซียงเอ๋อ… อ่า… ขณะที่กล่าว บนใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์ที่ปรากฏขึ้นมา ทั้งความเศร้าโศก ความเสียใจและแม้กระทั่งความเจ็บปวด
น้องสี่ อย่าได้สนใจปัญหานี้มากนัก เซียงเทียนมีความชาญฉลาดตั้งแต่เกิด แม้จะน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่ในความคิดของข้า เซียงเทียนไม่ใช่คนธรรมดา หลังจากทั้งหมดแล้ว ข้าก็ยังไม่เห็นคนในตระกูลคนไหนฉลาดไปกว่าเขาเลย ไป๋ยู่ซวงยังคงเอ่ยปลอบใจแก่ไป๋หยุนเทียนที่ยังคงเศร้าสลด
ไป๋หยุนเทียนยกศีรษะของนางขึ้นช้า ๆ ข้าเข้าใจความข้อเท็จจริงนี้ดี นางต้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน เริ่มหันไปลูบศีรษะด้านหลังอย่างทะนุถนอม เซียงเอ๋อ เจ้าอย่าได้เสียใจ ป้าสองของเจ้ากล่าวได้ถูกต้อง แม้ว่าเจ้าจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน เจ้ายังคงฉลาดกว่าเด็กคนอื่นนัก เพียงแต่พวกเรายังไม่ทราบสิ่งที่เหมาะสมกับเจ้าเท่านั้น
เจี้ยนเฉินรู้สึกลังเลใจ เมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนั้น แม้ว่ามารดาเขาจะฟื้นขึ้นมา เขากลับไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ในความเป็นจริง เขาต้องการที่จะบอกกับทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะกับมารดาของเขา เขาต้องการที่จะบอกว่า เขาไม่ใช่คนพิการ เขาไม่ใช่ว่าไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่เจี้ยนเฉินเลือกที่จะอดทนอดกลั้น ท่านแม่อย่ากังวลไป ลูกจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง
เขาใช้เวลาหลังจากนั้นทั้งวันโดยการขลุกอยู่บนเตียงของมารดาเขาตลอดก่อนที่จะจากไปในยามกลางคืน เจียงหยางป้าไม่ได้ลดความสนใจในภรรยาของเขา แต่เขาจะจากไปอย่างรวดเร็วเมื่อเจี้ยนเฉินเข้ามา ทัศนคติของเจียงหยางป้าแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ ด้วยเวลาที่ผ่านไปทีละน้อย ทำให้เจี้ยนเฉินกระจ่างชัดว่าเจียงหยางป้าเลิกให้ความสนใจเขา เจี้ยนเฉินก็ยังคงมีสีหน้าเยือกเย็น
ผ่านไปชั่วพริบตา สี่ปีหลังจากที่การทดสอบพลังเซียนของเจี้ยนเฉิน ระหว่างวันที่เขาไม่ได้ยุ่ง เจี้ยนเฉินจะปิดปากเงียบอยู่ในห้องและฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผลการฝึกฝนในตอนนี้ เมื่อพิจารณาจากที่มันยาวนานกว่าในอดีต ยาวนานมาก เจี้ยนเฉินจะไม่ได้ออกไปจากห้องของเขาตลอดวัน
ในสี่ปีนี้ ฐานะของเจี้ยนเฉินในตระกูลตกต่ำลงไปอย่างมาก ขณะที่ทุกคนคาดว่า เจียงหยางป้าคงทอดทิ้งเขาอย่างเลือดเย็น และไม่มีใครอยากจะมีปัญหาด้วยการเข้าหาเขา มันต่างจากมารดาของเขาเป็นอย่างมากที่นางยังคงเอาใจใส่เขาอยู่ทุกวัน นางยังคงมอบความรักให้เขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เช้าวันหนึ่ง เจี้ยนเฉินเปิดตาของเขาขึ้นช้า ๆ จากขาที่ไขว้กัน แสดงให้เห็นว่าเขาฝึกสำเร็จในคืนนี้ ทันทีที่ยืดแขนทั้งสองข้างลูกบอลแสงทรงกลมก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาโยนลูกบอลที่สวยงามไปมากลางอากาศ และดูมันร่วงลงบนพื้นและมาหยุดที่มือทั้งสองของเขา
มันฟังดูไม่เลวเลย เจี้ยนเฉินปรบมือเล็ก ๆ ทั้งสองข้างของเขาราวกับว่าเขาได้รับโล่ห์รางวัลและเริ่มต้นวิดพื้นบนพื้นที่อ่อนนุ่ม บางครั้งศีรษะของเขาได้โน้มต่ำจนแทบจะจูบพื้นดินได้ และได้ฝากรอยเท้าไว้บนพื้นดินหลังจากนั้น
จ้องมองไปถึงสิ่งที่เขาทำมาอย่างหนักด้วยรอยยิ้มมีความสุข เจียงเฉินหัวเราะ ครึ่งปีหลังจากการทดสอบพลังเซียน เจี้ยนเฉินก็ได้บรรลุขั้นแรกของบัญญัติกระบี่นภาเป็นที่เรียบร้อย นั่นจึงหมายความว่าเขาจะเริ่มบ่มเพาะพลังเซียนโดยไม่ต้องซึมซับมันเข้ามาในร่างกาย การบ่มเพาะพลังจึงเป็นไปด้วยอัตราที่เร็วมาก ด้วยความเร็วเช่นนี้ ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี เขาก็ก้าวไปอย่างน่าประหลาดใจ ขณะที่ในตอนนี้ เขาสามารถใช้พลังเซียนที่อยู่ภายในตัวเขาเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เมื่อมือของเขาเหวี่ยงไปโดนหินก็ปราศจากผลกระทบ
ในช่วงเช้าหลังจากนั้น เจี้ยนเฉินเดินออกจากห้องของเขาและเดินไปรอบ ๆ คฤหาสน์เจียงหยางด้วยตัวคนเดียว แต่อย่างไรก็ตามกลุ่มผู้คุ้มกันเดินตรวจตราไปรอบ ๆ บริเวณนั้น ในเวลานั้นสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป บางคนเยาะเย้ย ขณะที่บางคนมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยาม แต่เพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่มองเขาด้วยความเห็นใจ ในความเป็นจริง เรื่องที่เจี้ยนเฉินพิการเป็นความลับที่รู้กันเพียงแค่ในตระกูลเท่านั้น และแม้กระทั่งเหล่าผู้คุ้มกันก็ยังมองเขาด้วยสายตาที่แตกต่างไป
แต่เจี้ยนเฉินเลือกที่จะมองข้ามพวกเขา ท้องของเขาร้องขึ้นด้วยความหิว และด้วยเหตุนี้เจี้ยนเฉินเลือกที่จะถอนหายใจเล็ก ๆ เวลานี้เขาต้องการไปยังห้องครัว
มันก็ยาวนานมาแล้ว ตั้งแต่ที่เขาไปเป็นเพื่อนกับมารดาของเขามื้อเย็นในห้องโถงด้วยกันกับทุกคน ทุกวันนี้ เขาจะไปห้องครัวด้วยตัวเขาเพื่อที่จะกินอาหารเช้า และมีเพียงมื้อเที่ยงและเย็นที่เขาจะร่วมทานกับมารดาและบางครั้งก็มีป้าของเขาร่วมด้วย
เมื่อเจี้ยนเฉินเดินไปถึงห้องครัว ข้ารับใช้นับร้อยวิ่งตรงมา ในโรงครัวนึ้ค่อนข้างใหญ่แต่วุ่นวาย เมื่อยืนขึ้นจะได้กลิ่นควันไฟจากหม้อน้ำ
โอ้ ! นั่นมันนายน้อยสี่มิใช่หรือ? นายน้อยสี่มายังห้องครัว ไฮ้ นี่มันไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสมนักกับนายน้อยเลยนะ โรงครัวแห่งนี้มันเต็มไปด้วยบ่าวรับใช้ชั้นต่ำ ทำไมท่านถึงมาที่นี่ได้ล่ะ ? เสียงเอ่ยนั้นมาจากชายรับใช้ที่อายุราว 20 ปี เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แปลก มันชัดเจนว่าพวกมันมีเจตนาที่จะเยาะเย้ยเจี้ยนเฉินอย่างแม้จริง
เสียงคนอื่น ๆ ดังขึ้นหลังจากบ่าวรับใช้คนแรกกล่าวจบ ถ้าความสงสัยของข้าถูก นายน้อยสี่มารับหมั่นโถว แต่มันน่าแปลก ทำไมนายน้อยสี่ถึงไม่ทานอาหารที่ห้องโถงล่ะ เขาต้องมาผิดที่เป็นแน่ และหากต้องการหมั่นโถวจากครัว หมั่นโถวนี้มีจำนวนเพียงพอสำหรับบ่าวรับใช้และผู้คุ้มกันเท่านั้น! หลังจากนั้นบ่าวรับใช้อายุ 30 ปีก็ยิ้มเยาะไปทางเจี้ยนเฉิน
นอกเหนือจากชายสองคนกล่าว บ่าวรับใช้คนอื่นก็เริ่มจ้องมองด้วยความสนใจ ทั้งคู่ต่างมีต่างมีระดับสูงด้วยกันทั้งนั้น เช่น ชายอายุ 20 ปี ไม่เพียงแต่เขาถูกแนะนำมาโดยฮูหยินใหญ่ของเจียงหยางป้า หลิงหลง แต่เขายังเป็นบ่าวรับใช้ของป้าใหญ่ของเจี้ยนเฉินด้วย มีข่าวลือเกี่ยวกับการที่ว่าจ้างเขานั้น เป็นเพราะความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่เพราะว่าร่างกายของเขาขาดพลัง เขาจึงทำงานอยู่แต่ในครัวเท่านั้น
ชายอายุ 30 ปี ที่ซึ่งพูดเป็นคนที่สอง พี่ชายของเขาเป็นถึงหัวหน้าของผู้คุ้มกันในคฤหาสน์เจียงหยาง
ได้ยินเสียงของบ่าวรับใช้สองคนเยาะเย้ยเขา เจี้ยนเฉินทำเพียงแค่ตวัดสายตาที่มีประกายของความโกรธ มันเต็มไปด้วยการตำหนิ เขาเคลื่อนไหวไปยังหม้อนึ่งหม้อใหญ่และใช้มือของเขาหยิบหมั่นโถวออกมาทันที
ข้าควรจะนำหมั่นโถวไปให้ผู้คุ้มกันในตอนนี้ ผู้คุ้มกันคงจะไม่กินมันหลังจากนี้ เสียงกระซิบข้าง ๆ ตะกร้า บ่าวรับใช้นิ่งงัน อายอะไรกัน ฮูหยินสี่สี่ยังให้กำเนิดลูกชายที่ไม่ต่างอะไรจากเศษสวะเลย
จากก้าวที่เดินออกไป เจี้ยนเฉินนิ่งค้าง ท้ายที่สุดแล้ว ความโกรธของเขาก็แตกออกจากกัน โดยปราศจากคำพูด ขาของเขาก้าวอย่างรวดเร็วไปยังบ่าวรับใช้ที่ถือตะกร้าภายในไม่กี่วินาที เขายกกำปั้นขึ้นและชกมันลงบนหลังของบ่าวรับใช้
ปัง!
ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ บ่าวรับใช้ผู้ถือตะกร้าถูกส่งลอยกระเด็นไปยังพื้น ตะกร้าที่เขาถือมาตกลงบนพื้นด้วยดังโครมใหญ่ หมั่นโถวหล่นกระจายไปทั่วห้อง
ทุกคนในห้องครัวมองเห็นเหตุการณ์ที่ผิดคาดอย่างสิ้นเชิงด้วยความตระหนก มองเจี้ยนเฉินที่ยืนหยู่ ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น ไม่มีใครสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของเจี้ยนเฉิน สำหรับนายน้อยสี่ที่อายุเพียง 7 ปีสามารถซัดชายอายุ 30 ปี ด้วยหมัดเพียงหมัดเดียวของเขา มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว แม้ว่าตะกร้าจะตกลงบนพื้นและอาหารก็กลายเป็นขยะ ทุกคนก็ยังคงมีสีหน้าไม่เชื่อปรากฏอยู่บนใบหน้าของพวกเขา
ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ชายซิ่วเอ้อเหลา ท่านทำให้ข้าแปลกใจ แม้ว่าท่านจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังเซียนระดับ 3 แต่ท่านกลับล้มลงด้วยหมัดเล็ก ๆ ของเด็กคนหนึ่ง ท่านมันก็ไม่ต่างอะไรกับสวะ ท่านใช้พลังงานไปกับผู้หญิงเมื่อคืนหมดแล้วหรือจึงได้อ่อนแอเช่นนี้ ? มองดูบ่าวรับใช้ที่พื้น บ่าวรับใช้ที่พูดขึ้นคนแรกทำให้เจี้ยนเฉินสนุก และตอนนี้ เขาก็ได้ยินเสียงคำรามจากบ่าวรับใช้คนที่สอง
บ่าวรับใช้ที่ชื่อซิ่วเอ้อลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว ดวงตาของเขาจ้องมองเจียงเฉินด้วยความโกรธ คำพูดของบ่าวรับใช้ที่อายุน้อยกว่าส่งผ่านไปถึงหูเขา สำหรับเด็กอายุ 7 ปีซึ่งสามารถล้มเขาให้นอนกับพื้น และเด็กคนนั้นก็ไม่ต่างกับสวะที่ไม่สามารถบ่มเพาะพลัง นี่มันเกินกว่าที่คนทั่วไปจะยอมรับได้ และมันน่าอายสำหรับเขา หลังจากนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปถึงระดับอาวุธเซียน แต่เขาก็ยังเหนือกว่าพวกคนพิการมากนัก
เขาสั่นหัวด้วยความเดือดดาล แว่บหนึ่งซิ่วเอ้อลืมเลือนไปว่าเจี้ยนเฉินนั้นมีฐานะเป็นถึงนายน้อยสี่ ด้วยเสียงขู่คำราม เขากระโจนพุ่งเข้าไปหาเจี้ยนเฉินซึ่งยืนอยู่และชกหมัดนั้นไปยังช่วงท้อง
ดูหมัดของซิ่วเอ้อที่ใกล้จะประชิดตัว เจี้ยนเฉินมองอย่างดูถูก สำหรับเขา หมัดเช่นนี้ที่ถูกส่งมา มันเต็มไปด้วยข้อผิดพลาดนานัปการ และเขากระโดดหลบหลีกมันได้อย่างไม่ยาก เจี้ยนเฉินยกขาของเขาขึ้นอย่างสวยงามและเตะไปที่จมูกของซิ่วเอ้อ
อ่า!
ซิ่วเอ้อพ่ายแพ้ เลือดของเขาไหลออกมาจากจมูก มันถูกปาดด้วยมือของมัน แม้ว่าเลือดจะไหลออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ขาของเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความปราณี จมูกของซิ่วเอ้อที่ถูกเตะแตกละเอียด ความเจ็บปวดอย่างฉับพลันส่งผลให้ใบหน้านั้นซีดเผือดทันที
Chaotic Sword God ตอนที่ 7 อัจฉริยะที่ถูกลืม
แม้ว่าด้านนอกของโถงนั้นจะใหญ่โต แต่ภายในประตูหลักก็ดูจะใหญ่กว่า ในปัจจุบัน ผู้คนจำนวนมากยืนอยู่ในนั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นชายวัยกลางคน ผู้ซึ่งอยู่ในชุดที่ต่างกันไป ซึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง.
ไป๋หยุนเทียนนำเจี้ยนเฉินไปยังด้านหน้าของประตูหลัก บุคคลที่จะสามารถนั่งตรงนี้ได้จะต้องมีฐานะในตระกูลที่สูงส่ง เจี้ยนเฉินนั้นเป็นบุตรชายคนที่สี่ของผู้นำตระกูล เขามีที่นั่งอยู่ด้านหน้า แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่ได้นั่งในที่ที่ถูกจัดเตรียมไว้ให้ เขานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกับท่านแม่ของเขา
เจี้ยนเฉินนั่งลงบนตักของมารดาอย่างนิ่มนวลและไม่ได้พูดอะไร
เมื่อถึงเวลา ผู้คนเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในห้องโถง ก่อนจะหยุดและนั่งลงบนที่นั่งของพวกเขา ในเวลาเดียวกัน ท่านป้าสามของเจี้ยนเฉินก็เข้ามาพร้อมกับบุตรชายของนาง
เฮ้ น้องสี่ วันนี้ วันนี้เจ้าจะต้องทดสอบพลังเซียน เจ้าต้องตั้งใจทดสอบ ดังนั้นอย่าให้พี่รองดูถูกเจ้าได้เชียวนะ
หมิงเยว่ แม่ของนางจ้องด้วยสายตาเฉียบคมพลางเอ่ยเตือน
เจียงหยางหมิงเยว่หัวเราะ ก่อนจะแลบลิ้นให้เจี้ยนเฉิน โดยไม่ได้พูดอะไร นางนั่งลงบนเก้าอี้ถัดไปจากแม่ของนางด้วยท่าทีสงบ ตาของนางเป็นประกายขณะที่มองไปยังคนอื่น ๆ
ในเวลาไม่นาน ทุกคนที่นั่งอยู่ก็จ้องมองไปดูเจี้ยนเฉิน มันคงถึงเวลา พวกมันจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความคาดหวัง เหตุผลที่คนมากมายมารวมกันอยู่ที่นี่เพราะจะมีการทดสอบพลังเซียน
ถ้าเป็นเด็กคนอื่นในตระกูล มันอาจจะไม่ได้เห็นพวกเขามากันเยอะขนาดนี้ แต่เจี้ยนเฉินไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่เขาเป็นถึงบุตรชายของผู้นำตระกูลเจียงหยาง เท่านั้นไม่พอ ดูเหมือนเขาจะเต็มไปด้วยพรสวรรค์ราวกับได้รับพรจากสวรรค์ ผู้ฝึกฝนพลังต่างคาดหวังในตัวเด็กคนนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม ยามเมื่อเจี้ยนเฉินเข้ารับการทดสอบพลังเซียน ทุกคนในตระกูลจึงมาที่นี่
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จต่าง ๆ นั้นไม่ได้อยู่ในความคาดหวังของเขา และการทดสอบพลังเซียนนั้น ผู้อื่นคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญสำหรับเขา
เมื่อทุกคนนั่งลง พ่อของเจี้ยนเฉิน เจียงหยางป้า เดินตรงไปตรงกลาง และนั่งลงบนเก้าอี้ประธานซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำตระกูลพร้อมกับกระบี่เล่มใหญ่ที่อยู่ถัดไปจากเขา
ดวงตาของเจียงหยางป้ามองมาที่เจี้ยนเฉินเพียงไม่นาน แต่เจี้ยนเฉินก็เห็นรอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้านั้น ทันใดนั้น ภายหลังการพูด ตามความคาดหมาย การทดสอบพลังเซียนของเจี้ยนเฉินได้เริ่มต้นขึ้น
เต๋อชู่ ข้าต้องขอรบกวนท่านมาทำพิธีในวันนี้ เจียงหยางป้าพูดอย่างสุภาพกับผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสที่อายุราว 60-70 ปี ผมของเขาเป็นสีขาว เขาอยู่ในชุดคลุมสีเทา แม้ว่าใบหน้าของเขาจะเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาของเขายังเต็มไปด้วยประกายและมันเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ชายชราหัวเราะ ท่านผู้นำตระกูลถ่อมตัวเกินไปแล้ว จากนั้นเขาเดินตรงไปบริเวณตรงกลาง รอยยิ้มยังคงอยู่บนใบหน้า จ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร นายน้อยสี่ ขอความกรุณาท่านด้วย
ไป๋หยุนเทียนจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก และเอ่ยกระซิบ เซียงเอ๋อ เดินไปหาเต๋อชู่ เขาจะทำการทดสอบพลังเซียนให้เจ้า
ขอรับ! เจี้ยนเฉินตอบอย่างร่าเริง เด็กน้อยชาญฉลาดลุกจากที่นั่งของเขา และเดินไปด้วยก้าวเล็ก ๆ ของเขา เขาเดินไปหาผู้อาวุโสที่ยืนอยู่อย่างช้า ๆ
โดยไม่รอช้า เต๋อชู่ยกมือขวาของเขาซึ่งมีแหวนสีเงินที่ส่องประกายขึ้น มันเป็นแสงสีขาว การสั่นสะเทือนเล็กน้อยบริเวณพื้นที่โดยรอบ ก่อนจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ทางด้านขวาซึ่งไม่มีอะไรอยู่ด้านหน้า กลับปรากฏหินสีขาวที่มีขนาดครึ่งเมตรขึ้นทันที มันเป็นหินสีขาวลักษณะโปร่งใสราวกับมันถูกขัดเกลามาอย่างยาวนาน รูปสี่เหลี่ยมมุมฉากนี้ มีความกว้างและความหนานั้นยาวเกือบเมตร
เมื่อพิจารณาหินสีขาวที่พึ่งปรากฏออกมาสด ๆ ร้อน ๆ นั้น เจี้ยนเฉินกระพริบตาอย่างประหลาดใจ เขารู้สึกว่าควรจะเลิกสนใจเกี่ยวกับหินนี้ แต่มือขวาของเต๋อชู่มีอะไรที่น่าสนใจกว่านั้น เขาเริ่มจ้องมองแหวนบนนิ้วกลางของอีกฝ่าย มันเป็นแหวนที่เขาเคยเห็นมาจากหนังสือ
แหวนมิติถูกสร้างจากวัตถุชนิดพิเศษและจะสามารถเก็บวัตถุภายในแหวนนั้นได้ มันมีพื้นที่เก็บของหลายลูกบาศก์เมตร ขณะที่หากเป็นแหวนมิติระดับสูงกว่านี้จะมีพื้นที่เก็บของได้หลายร้อยลูกบาศก์เมตร สิ่งที่สามารถเก็บและนำออกมาได้นั้นล้วนแต่เป็นสิ่งไม่มีชีวิตทั้งสิ้น สิ่งนี้เป็นอุปกรณ์ที่แพงมากในทวีปเทียนหยวน โดยที่คนธรรมดาอาจจะไม่สามารถหามันได้ด้วยซ้ำ
เมื่อมองเห็นเจี้ยนเฉินกำลังจ้องมองแหวนมิติที่อยู่ในนิ้วกลางมือซ้ายนั้น เต๋อชู่หัวเราะออกมาเล็กน้อย เขาได้นำหินสีขาวนี้ออกมาเพื่อที่จะทำการทดสอบพลังเซียน ทุกคนจ้อง ในความเป็นจริง เขาเห็นสีหน้าเช่นนี้มาบ่อยครั้งจนเขาไม่ได้นับ
นายน้อยสี่ ได้โปรดวางมือลงบนหินศักดิ์สิทธิ์ เต๋อชู่ยิ้ม
หินศักดิ์สิทธิ์มีลักษณะพิเศษ ที่มันจะวัดพลังเซียนภายในร่างกาย ในทวีปเทียนหยวนอันกว้างใหญ่ มีอุปกรณ์มากมายที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของแต่ละคน หินศักดิ์สิทธิ์จะแสดงออกมาเป็นสี ตามความแข็งแกร่งของแต่ละคน แดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้าและม่วง
หากหินส่องประกายสีแดงหมายถึงบุคคลที่ต่ำกว่าชั้นเซียน ขณะที่สีส้มหมายถึงระดับเซียน สีเหลืองเป็นถึงเซียนระดับสูง และสีฟ้าคือเซียนปฐพี สีม่วงเป็นสัญลักษณ์ของเซียนสวรรค์ นอกเหนือไปกว่านั้น เซียนระดับผู้คุมกฏ เซียนระดับราชา เซียนระดับจักรพรรดิ จะไม่สามารถตรวจสอบได้โดยหินศักดิ์สิทธิ์
ได้ยินเต๋อชู่กล่าว เจี้ยนเฉินละความสนใจ ก่อนจะวางมือของเขาบนหินสีขาวที่ถูกเรียกว่า หินศักดิ์สิทธิ์
ในขณะเดียวกัน ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปยังหินศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างคาดเดาเกี่ยวกับความแข็งแกร่ง อะไรคือของขวัญที่เจี้ยนเฉินได้รับ
เมื่อเจี้ยนเฉินวางมือบนหินศักดิ์สิทธิ์ เต๋อชู่ยื่นแขนของเขาออก เพื่อกระทำบางอย่างกับหินศักดิ์สิทธิ์ที่ดูราวกับเวทมนตร์
ทันใดนั้น เจี้ยนเฉินรู้สึกเพียงแค่ชนิดของพลังงานบางอย่างที่พุ่งตรงเข้าสู่แขนของเขา ขณะที่พลังงานอันแปลกประหลาดนั้นเข้าสู่เขา มันก็เข้าไปภายในร่างกายของเขาอย่างเงียบ ๆ โคจรอยู่รอบ ๆ ก่อนจะถูกดึงกลับไปยังหินศักดิ์สิทธิ์
เต๋อชู่จ้องมองหินศักดิ์สิทธิ์ สำหรับการเปลี่ยนสีของมัน หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน มันกลับไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง ไม่มีแม้กระทั่งเฉดสีเดียว อย่างน้อยมันก็ควรปรากฏขึ้นมาสักสีหนึ่ง
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร หินศักดิ์สิทธิ์ไม่มีปฏิกิริยาสะท้อนกลับ เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ที่เต๋อชู่จะร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก รอยยิ้มของเขาหายไปอย่างช้า ๆ จากนั้นใบหน้าของเขาค่อย ๆ หันใบหน้าของเขาจ้องมองไปยังใบหน้าของเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าที่แปลกไป ต่างก็ไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องจะเป็นเช่นนี้
จ้องมองใบหน้าที่ตกตะลึงของเต๋อชู่และหินที่ยังคงเป็นสีขาวนั้น ทุกคนต่างตื่นตระหนก ใบหน้าของทุกคนล้วนแล้วแต่จนปัญญาและเปลี่ยนไปอย่างช้า ๆ พวกเขาต่างก็หันมามองหน้าแล้วก็หันไปมองไปเบื้องหน้า พริบตาเดียว ความน่าสังเวชก็ปรากฏบนใบหน้าของคนส่วนใหญ่ ขณะที่บางคนจ้องมองอย่างสงสาร
ใบหน้าของเจียงหยางป้าแปรเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด ขณะเดียวกันไป๋หยุนเทียนมีใบหน้าซีดเผือด ทั้งสองคนต่างก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
เต๋อชู่กลืนน้ำลาย กับสิ่งที่ไม่อาจเชื่อได้ แม้แต่ตัวเขาเอง ทันใดนั้น เขาเริ่มจ้องมองไปยังหินศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งเขาหวังว่ามันจะเกิดความผิดพลาดในครั้งแรก แต่สามครั้งถัดไปหินนั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
เป็นอีกครั้งที่เต๋อชู่รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ นายน้อยสี่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นของขวัญ เป็นอัจฉริยะตั้งแต่ถือกำเนิด แต่เป็นที่รู้กันดีว่า หากคนผู้นั้นไม่สามารถบ่มเพาะพลังหรือใช้พลังเซียน มันก็ล้วนแล้วแต่ไม่ต่างกับคนพิการ
เต๋อชู่ไร้ซึ่งหนทางช่วย ความผิดหวังยังปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะถอนหายใจ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังเจี้ยนเฉินด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาหันหน้ากลับไปหาเจียงหยางป้า ท่านผู้นำตระกูล ผลเป็นเช่นนี้ นายน้อยสี่ไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม
หลังจากสิ้นสุดคำประกาศ ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนซีด จนเรียกได้ว่าไร้สีเลือด นางจ้องไปยังเจี้ยนเฉินด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก นางพึมพำ นั่น .. นั่น ย่อมเป็นไปไม่ได้ เซียงเอ๋อจะเป็นดั่งคนพิการไปได้อย่างไรกัน หลังจากพูดจบ นางเป็นลมและล้มลงบนพื้นจากเก้าอี้ของนาง ลูกชายของนางที่เป็นที่นับถือกันอย่างกว้างขวางในฐานะอัจฉริยะ กลับถูกค้นพบว่าพิการ มันไม่แปลกเลยที่จะรู้สึกตกใจกับข่าวทั้งหมด ไม่ว่ามารดาคนไหนในทวีปนี้ก็ล้วนแต่เป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะนั่นหากเกิดขึ้นในสมาชิกที่น่านับถือเป็นอย่างมากในตระกูล
ขณะที่ทุกคนกำลังรวบรวมความคิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มองเจี้ยนเฉินด้วยความสงสารและผิดหวัง ด้านหยูเฟิงหยานและหลิงหลงต่างลอบถอนลมหายใจ มองดูคู่แม่ลูกที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แม้ใบหน้าของคนสองคนนั้นจะดูอับจนปัญญา แต่พวกนางก็ลอบยินดีอย่างเงียบ ๆ
อ่า น้องสี่ น้องสี่ เกิดอะไรขึ้น น้องสี่ ตื่นสิ! น้องสี่ ตื่นสิ ตื่น!! เอ่ยอย่างเร่งร้อน ไป๋ยู่ซวงกังวลอย่างยิ่ง นางพยายามที่จะปลุกไป๋หยุนเทียนที่หมดสติ แต่มันก็ไม่เป็นผล
ได้ยินเสียงไป๋ยู่ซวงที่ซึ่งไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ ทันใดนั้นเจียงหยางป้ามุ่งหน้าไปที่ไป๋หยุนเทียน และเริ่มร้องบอก ซวงเอ๋อ นำหยุนเอ๋อไปยังเตียงของนาง
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะเร่งรีบก้าวมาที่ข้างกายของมารดาอย่างรวดเร็ว แต่ทุกคนก็ไม่ได้สังเกตเห็นหรือให้ความสนใจ เขายื่นมือขวาของเขาจับข้อมือเพื่อตรวจสอบชีพจรของนางอย่างรวดเร็ว ไม่นานนัก เขาก็มั่นใจว่าในที่สุดว่าแม่ของเขาไม่ได้เป็นอันตรายแต่อย่างใด
เจี้ยนเฉินมองไปยังท่าทีผิดหวังของบิดาท่ามกลางฝูงคน และแม้ว่าเขาจะรู้สึกจนปัญญา ลอบถอนหายใจ เขาก็เดินตามไป๋ยู่ซวง ผู้ซึ่งกำลังนำพามารดาของเขาออกจากห้องโถง
อ่า!!!…. จ้องมองดูเจี้ยนเฉินที่ออกไป เจียงหยางป้ารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก เขาตั้งความหวังกับเจียงเฉินไว้สูงมาก แต่ขณะที่ยิ่งคาดหวังมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งผิดหวังมากเท่านั้น มันราวกับเป็นจุดจบ บุตรชายคนที่สี่ของเขาไม่ต่างไปกับคนพิการ
ท่านผู้นำตระกูล อย่าได้สนใจมากเกินไป แม้ว่านายน้อยสี่จะไม่สามารถบ่มเพราะพลังเซียนได้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ใช่อัจฉริยะ ชายอายุน้อย ที่ซึ่งเป็นสมาชิกในตระกูลพยายามทำให้เจียงหยางป้าสบายใจ
เจียงหยางป้าโบกมือของเขาและกล่าวว่า ทุกคนออกไปได้ และอย่าได้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป สิ้นเสียง เจียงหยางป้าก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องโถง แม้ว่าในความจริงเจี้ยนเฉินจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม แต่พลังเซียนก็เป็นสิ่งสำคัญเป็นอย่างมากในโลกนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันก็เป็นจุดจบอย่างแท้จริง
ความจริงเกี่ยวกับบุตรชายคนที่สี่ของผู้นำตระกูลเจียงหยางถูกกระจายออกไปในคฤหาสน์เจียงหยางอย่างกับไฟลามทุ่ง บางคนพิจารณาข่าวด้วยความยินดี ขณะที่บางคนเศร้าโศก แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือฐานะของเซียงเอ๋อในตระกูลนั้นได้ตกต่ำลงอย่างรวดเร็วหลังจากเกิดเรื่องอื้อฉาวนี้
ภายในห้องอันกว้างใหญ่ เจี้ยนเฉินนั่งลงอย่างเงียบงันบนเตียง ใบหน้าของเขายังคงสงบ ไม่ได้น้อยเนื้อต่ำใจแต่อย่างใด และทุกคนต่างไม่รู้ในสิ่งที่เขาคิด มารดาของเขา ไป๋หยุนเทียนยังคงไม่ตื่น มีเพียงท่านป้าสามและพี่สอง เจียงหยางหมิงเยว่ ที่ซึ่งอยู่ในห้องนี้เพียงเท่านั้น!
ตอนที่ 6 การทดสอบพลังเซียน
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะสามารถมองเห็นเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของชายชราคนนี้ที่ถูกซ่อนไว้ด้วยท่าทีของชายที่อ่อนแอ เขาก็ยังคงนิ่งเงียบและไม่ได้แสดงอาการอะไรบนใบหน้าของเขา เขาเลือกที่จะพยักหน้าเงียบ ๆ เป็นการแสดงความขอบคุณ ก่อนที่เขาจะก้าวแซงชายชราและเดินลงไปในทางเดินที่ยาวเหยียดทางด้านซ้าย
ในที่สุดก็เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดของทางเดิน ตาของเจี้ยนเฉินเริ่มที่จะทอประกาย ในขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ ไฟในห้องนี้ดูจะสดใสเป็นพิเศษ มันมากพอที่จะเปรียบได้กับแสงจากภายนอก ชั้นวางหนังสือมากมายถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ โดยภายในมีหนังสือหลายพันเล่มเรียงรายกันตามผนังของหอหนังสือ
เจี้ยนเฉินแหงนศีรษะของเขาขึ้น จ้องมองไปที่เพดาน เขารู้ว่าเหตุผลว่าทำไมแสงภายในห้องนี้ถึงสดใส มันต้องเป็นผลมาจากเพดาน เขาคิดไม่ออกว่าวัสดุที่ใช้เพดานทำจากอะไร แต่มันก็แปลกที่สามารถเรืองแสงได้เช่นนี้ แม้ว่าแสงค่อนข้างจ้าแต่มันกลับไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองตา
แม้ว่าเพดานนั้นจะกระตุ้นความสนใจของเขา หากแต่เขาไม่เต็มใจที่จะเปลืองเวลาโดยพยายามที่จะมันคิดออกมา เขาเดินขึ้นไปชั้นวางหนังสือในที่สุดเขาก็หยิบหนังสือและเริ่มที่จะพลิกอ่านมัน
หนังสือเล่มนี้มีการเขียนอธิบายรายละเอียดค่อนข้างชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน แม้ว่ามันจะไม่เหมาะแก่การเริ่มอ่านเพราะมันค่อนข้างหนา เจี้ยนเฉินใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วยามกว่าจะอ่านหนังสือเล่มนี้จบอย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ในที่สุด เขาก็ได้รับข้อมูลเชิงลึกบางประการเกี่ยวกับโลกที่แปลกประหลาดนี้
ทวีปนี้ได้ถูกเรียกว่าทวีปเทียนหยวนและมันจัดได้ว่าค่อนข้างใหญ่ มีหลายอาณาจักร แต่ละอาณาจักรมีเมืองมีหลายเมือง ซึ่งเมืองที่ใหญ่ที่สุดเป็นที่รู้จักกันเป็นเมืองหลวงและแต่ละเมืองที่ห่างไกลกันมากและแต่ละเมืองหลวงเหล่านี้ถูกปกครองโดยเจ้าเมือง เจ้าเมืองแต่ละคนที่มีทหารคุ้มกันตั้งแต่หลายล้านจนถึงสิบล้านคน
อย่างไรก็ตามภายในทั้งทวีปเทียนหยวนมีราชอาณาจักรเพียง 7 แห่ง และราชอาณาจักร 3 ใน 7 แห่งถูกปกครองโดยจักรวรรดิที่มีแข็งแกร่ง โดยจักรวรรดิที่แข็งแกร่งที่สุดคือจักรวรรดิคาร์ล และจักรวรรดิเฟยลี่ โดยจักรวรรดิมีราชอาณาจักรอยู่ในการดูแล 2 แห่ง และจักรวรรดิเฟยลี่มีราชอาณาจักรอยู่ในการดูแลถึง 3 แห่ง
ภายใต้ราชอาณาจักร มีอาณาจักรซึ่งมีขนาดเล็กกว่าราชอาณาจักร ตามปกติแต่ละราชอาณาจักรจะมีอาณาจักรอย่างน้อย 1 แห่งและอาณาจักรจะมีทหารประจำการ 1,000,000 คน ภายใต้การปกครองของอาณาจักร มีเมืองชั้นหนึ่งที่มีทหารประจำการเพียง 800,000 คน รองลงมาเป็นเมืองชั้นสองซึ่งมีทหารประจำการเพียง 400,000 คน ภายใต้การปกครองของเมืองชั้นสองนี้ มีหมู่บ้านมากมายซึ่งมีทหารประจำการไม่ถึง 50,000 คน แต่พวกเขามีความแข็งแกร่งมาก
ทวีปเทียนหยวน ผู้คนล้วนแล้วแต่ฝึกฝนบางสิ่งที่เรียกว่า พลังเซียน เมื่อพลังเซียนก้าวถึงระดับ 10 ซึ่งเป็นรากฐาน พลังเซียนจะถูกบีบอัดให้กลายเป็นอาวุธเซียนที่มีมากกว่า 1,000 รูปร่างโดยขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญแต่ละคน
อันเป็นผลมาจากอาวุธเซียนที่ขึ้นรูปมาจาก พลังเซียน เมื่อมันเกิดขึ้นรูป มันจะถูกเชื่อมโยงพิเศษกับผู้เชี่ยวชาญ บางคนที่มีความโดดเด่นจะได้รับอาวุธเซียนที่มีคุณสมบัติพิเศษ คุณสมบัติเหล่านี้แบ่งออกเป็นชนิดแตกต่างกัน นั่นคือ ลม น้ำ, ไฟ, แสงสว่างและความมืด ในบรรดาองค์ประกอบเหล่านี้ แสงสว่างและความมืดไม่ค่อยถูกพบเห็น แต่มันกลับทรงพลังเป็นอย่างมาก
ธาตุแสงมีความแข็งแกร่งอย่างมากในด้านการรักษา และผู้ซึ่งได้ธาตุแสงมาเป็นอาวุธถูกกล่าวขานฉายาว่าผู้อมตะในทวีปเทียนหยวน พวกเขาได้รับชื่อนี้เนื่องจากความจริงที่ว่าในขณะที่อยู่ในสนามรบที่พวกเขาสามารถฟื้นฟูการบาดเจ็บใด ๆ ในสนามรบได้อย่างง่ายดาย ถ้าพวกเขาไม่ได้ถูกฆ่าตายจากการโจมตีเพียงครั้งเดียว ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอาชนะพวกเขา
ผู้ที่มีธาตุความมืด มีธรรมชาติของมันคือความเสื่อมสลาย ไม่เพียงแต่ธาตุนี้จะหาได้อย่างยากลำบากเท่านั้น แต่ผู้ที่มีธาตุมืดยังเป็นที่ต้องการด้วย ในเวลากลางคืนที่พวกเขาจะมาและไปตามที่พวกเขาต้องการ ฉายาของพวกเขาคือราชารัตติกาล ราวกับค่ำคืนนั้นอยู่ภายใต้คำสั่งของพวกเขา
ส่วนที่เหลือของ 4 ธาตุ แต่ละอันมีจุดแข็งของตัวเองที่สอดคล้องกัน ปริมาณของพลังงานที่พวกเขาได้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของตัวเองและการตัดสิน แน่นอนในทวีปเทียนหยาน ผู้ที่มีอาวุธเซียนที่มีคุณสมบัติพิเศษมีเพียง 1 ใน 10 จากผู้ที่มีอาวุธเซียน ในสงคราม ผู้ถือครองอาวุธเซียนที่มีคุณสมบัติล้วนแต่ยากที่จะต่อกรมากกว่าผู้ครอบครองอาวุธเซียนที่ไม่มีคุณสมบัติ
อาวุธเซียนจัดเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งมากในสงคราม อาวุธเซียนที่สามารถเรียกใช้ได้อย่างอิสระที่จะให้ความช่วยเหลือแก่เจ้าของมันเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัด ในเวลาเดียวกันอาวุธและเจ้าของล้วนแล้วแต่ถูกผสานเข้าหากัน หากอาวุธเกิดความเสียหาย มันจะถูกสะท้อนกลับไปที่เจ้าของด้วยเช่นกัน ถ้าหากอาวุธของเขาแตกสลายลง เจ้าของจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงเช่นเดียวกัน หากอาการบาดเจ็บร้ายแรงก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ถึงแก่ชีวิต.
แต่อย่างไรก็ตามอาวุธเซียนก็ยากต่อการทำลาย ตราบใดที่อาวุธเซียนของอีกฝ่ายไม่แข็งแกร่งเกินกว่ากัน มันไม่มีทางที่จะเกิดอันตราย
หลังจากอาวุธเซียนก่อเป็นรูปร่าง จากนั้นวิธีการบ่มเพาะพลังจะทำได้ด้วยการดูดซับพลังปราณจากโลกจนแข็งแกร่ง นี่เป็นวิธีการที่จะพัฒนาความแข็งแกร่งของแต่ละคน
เมื่ออาวุธเซียนก่อตัวเป็นรูปร่าง ผู้เชี่ยวชาญนั้นจะถูกเรียกว่า เซียน ในเทียนหยวน เซียนจะแบ่งออกเป็น 9 ระดับที่แตกต่างกัน ได้แก่ เซียน เซียนระดับสูง เซียนผู้เชี่ยวชาญ เซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ เซียนปฐพี เซียนสวรรค์ เซียนผู้คุมกฎ เซียนระดับราชา และเซียนระดับจักรพรรดิ ภายในแต่ละระดับ จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้น คือ ต่ำ กลาง และสูง
ภายในทวีปเทียนหยวน มีเทือกเขาที่กระจายออกไปทั่วทวีปที่เรียกว่า เทือกเขาสัตว์อสูร ทิวเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก สัตว์อสูรเหล่านี้ยังถูกแบ่งออกเป็น 9 ระดับ โดยระดับ 1 เทียบเท่ากับเซียน ในขณะที่ระดับ 2 เทียบเท่ากับเซียนระดับสูง อย่างต่อเนื่อง ในระดับ 8 เทียบได้กับเซียนระดับราชา และสุดท้ายก็เป็นระดับ 9 ที่เทียบได้กับเซียนระดับจักรพรรดิ
ในเวลาเดียวกัน, ทวีปเทียนหยวน มีอาชีพที่โดดเด่นมากเรียกว่าทหารรับจ้าง จากที่หนังสือเล่มนี้บอกไว้ทวีปเทียนหยวนมีทหารรับจ้างจำนวนมาก ทหารรับจ้างเหล่านี้จะรับทำภารกิจต่าง ๆ เพื่อเงิน ทหารรับจ้างจำนวนมากจะเข้าสู่เทือกเขาสัตว์อสูรเพื่อที่จะล่าสัตว์อสูรและขายแกนอสูรเป็นเงิน.
แม้ว่าอันตรายจะมีมากมายแต่รางวัลนั้นก็ย่อมสูงตามไปด้วย เนื่องจากแกนอสูรมีมูลค่าสูงในทวีป ยิ่งแกนอสูรระดับสูงมีระดับสูงมากเท่าไร ราคาของมันก็ยิ่งสูงขึ้นไปเท่านั้น ในบางครั้งแกนอสูรระดับสูงก็ไม่สามารถซื้อมาได้ด้วยเงินเพียงอย่างเดียว
แกนอสูรเป็นหนึ่งในรายการที่ต้องการมากที่สุดในทวีป ภายในแกนอสูรประกอบด้วยพลังงานบริสุทธิ์ซึ่งมนุษย์สามารถดูดซับได้และเพิ่มความเร็วในการบ่มเพาะพลังขึ้นไปอีก ในการดูดซับพลังงานจากแกนอสูรนั้นมันเร็วกว่าการดูดซับพลังงานจากโลกเข้าสู่ร่างกาย แต่การใช้แกนอสูรเพื่อเพิ่มความเร็วในบ่มเพาะพลัง ไม่ได้เป็นวิธีการที่คนทั่วไปสามารถทำได้โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองเงิน
สิ่งแปลกประหลาดเพียงไม่กี่สิ่ง ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เริ่มที่จะเข้าใจหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับโลกนี้ โลกนี้เต็มไปด้วยความโหดร้ายและสงครามนั้นเกิดขึ้นได้ทุกที่ คนของโลกนี้เป็นอันตรายมากขึ้นเมื่อเทียบกับโลกเก่าของเขา หากเขาไม่แข็งแกร่ง พวกเขาก็จะพบว่ามันยากที่จะอยู่รอด ส่วนใหญ่ของคนในทวีปเป็นผู้บ่มเพาะพลังอย่างสม่ำเสมอ มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าพวกเขาไม่ได้มีการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและมีการสนับสนุน แม้ว่าความแข็งแกร่งของผู้ฝึกฝนจะมีมาก แต่คนธรรมดาจะไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ถึงระดับ 10 และกลายเป็นอาวุธเซียนได้ หากคนเหล่านี้ไม่ได้รับการฝึกฝนและการสนับสนุนที่เหมาะสม พวกเขาจะยังคงอยู่ในระดับต่ำสุดซึ่งคล้ายกับชาวนาในภูเขา
หลังจากอ่านหนังสือเสร็จ ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้าใจ โลกใหม่ได้ดียิ่งขึ้น ทั้งในเรื่องของอาวุธเซียน ธาตุและคุณสมบัติ สัตว์อสูร แกนอสูรและทหารรับจ้าง ทุกอย่างเป็นประสบการณ์ใหม่ ที่ทำให้หัวใจของเจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความสั่นไหว เขากำลังมองไปข้างหน้ายังโลกใบใหม่และเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะออกจากคฤหาสน์เจียงหยางทันที เพื่อที่จะได้สัมผัสโลกภายนอกซึ่งแปลกใหม่
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินรู้ดีว่าเขาจะไม่สามารถที่จะตอบสนองความต้องการของเขาในเร็ววัน ครอบครัวของเขาไม่มีทางที่จะอนุญาตให้เด็กอายุ 3 ขวบออกจากบ้านของพวกเขาไปยังโลกภายนอก แม้ว่าเขาจะได้ออกจากบ้านของเขา เขาก็ยังไม่สามารถที่จะปกป้องตัวเองได้
หลังจากครุ่นคิดเป็นเวลานาน เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะใช้ความพยายามมากยิ่งขึ้นในการฝึกฝนของเขา นอกเหนือจากอาหารประจำวันของเขา เวลาในชีวิตประจำวันคือการใช้เวลาฝึกฝนด้วยตัวคนเดียวในห้องของเขา เขายังคงไม่ประสบความสำเร็จในขั้นแรกของบัญญัติกระบี่นภา ดังนั้นเมื่อดูดซับพลังงานโลกและมันกระจายไปทั่วร่างกาย ผ่านเข้าไปในเซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของเขา
ในเมื่อร่างกายของเขาไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะตัดผ่านไปยังขั้นที่สอง ที่ซึ่งเขาเริ่มจะฝึกพลังปราณที่แท้จริง เจี้ยนเฉินยังจัดว่ามีร่างกายที่เหนือกว่าคนธรรมดานัก แต่อย่างไรก็ตาม บางพื้นที่ในร่างกายของเขาที่ซึ่งเคยเก็บสะสมพลังงานในโลกเก่า มันก็ยังคงว่างเปล่า
ในโลกของเขาก่อนหน้า เจี้ยนเฉินสามารถบ่มเพาะพลังได้ตั้งแต่ปีแรก ในเมื่อพลังงานโลกนั้นแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อยเป็นสองเท่า ดูเหมือนว่าเขาอาจจะต้องใช้เวลามากกว่า 2 ปีที่จะทำให้การพัฒนาร่างกายของเขาให้แข็งแกร่งและแข็งแรง ร่างกายของเขาในปัจจุบันมีศักยภาพที่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าร่างกายของเขาก่อนหน้านี้มากนัก
แม้ว่าโดยปกติ เจี้ยนเฉินจะใช้เวลาตลอดทั้งวันหมกตัวอยู่ในห้องของเขาเพื่อที่จะบ่มเพาะพลัง ครอบครัวของเขาก็ไม่ได้แสดงออกมาว่าสับสนหรือกังวลหรืออย่างใด เหตุผลนี้เป็นเพราะในคฤหาสน์เจียงหยาง พ่อแม่มักจะสอนเด็กเกี่ยวกับวิธีการหายใจและให้พวกเขาในการฝึกฝนปีหนึ่ง โดยในปีที่สามเด็กเหล่านี้ถูกทดสอบความแข็งแกร่งของพลังเซียน เพื่อประเมินศักยภาพของพวกเขาเช่นเดียวกับความถนัดของพวกเขา เมื่อเจี้ยนเฉินอายุ 2 ปี ไป๋หยุนเทียนได้สอนเขาวิธีการหายใจเช่นเดียวกับเด็กคนอื่น ๆ ได้เรียนรู้ อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินที่ได้รับวิธีการหายใจนี้ เขาไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด สำหรับเจี้ยนเฉิน เขามีความรู้สึกว่าการฝึกฝนนี้เป็นเหมือนการให้ผู้ใหญ่เล่นของเล่นของเด็ก
เป็นผลให้เจี้ยนเฉินได้ขังตัวเองอยู่ในห้องของเขา ซึ่งผู้คนก็คิดเพียงแค่เจี้ยนเฉินฝึกฝนการหายใจและไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเขานัก
ในยามเช้า ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็ฝึกฝนการบ่มเพาะพลังในยามค่ำคืน วันนี้เป็นวันพิเศษสำหรับเขาเพราะมันเป็นวันครบรอบวันเกิดของเขาในปีที่ 3 ในขณะเดียวกัน ในวันเดียวกันนี้จะเป็นวันที่เขาจะได้รับการทดสอบเช่นเดียวกับเด็กอายุ 3 ปีคนอื่นในทวีปเทียนหยวน ในการทดสอบพลังเซียน
เขามาพร้อมกับแม่ของเขา ไป๋หยุนเทียน ไปยังห้องโถงรับประทานอาหาร เจียงเฉินก็ถูกพาตัวไปที่ห้องโถงหลักตระกูลเจียงหยาง
คฤหาสน์เจียงหยางมีอาณาเขตที่กว้างใหญ่และเมื่อเทียบกับบริเวณเจี้ยนเฉินคุ้นเคย เขามีประสบการณ์เพียงแค่ในห้องเล็ก ๆ เจี้ยนเฉินเดินไปตามถนนมองไปที่คฤหาสน์โดยไม่หยุด เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี เจี้ยนเฉินได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการอยู่ในห้องพักของตัวเองและบ่มเพาะพลัง น้อยมากที่เขาจะเดินเล่นรอบคฤหาสน์
ภายในคฤหาสน์เจียงหยาง ยามกลุ่มใหญ่ในเครื่องแบบกำลังเดินอยู่รอบ ๆ พื้นที่ ตาแหลมคมของคนหลายคนกำลังจ้องมองไปรอบ ๆ จากทุกพื้นที่ที่ซ่อนอยู่และแม้ว่ามันจะเป็นเวลากลางวันพวกเขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกของการผ่อนคลาย
ในขณะที่เจี้ยนเฉินเดินกลุ่มผู้ฝึกฝน ความเยาว์วัยและเสียงตะโกนดึงดูดความสนใจของเขา มันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ของเด็กอายุ ราว 10 ปีที่ได้รับการสอนการฝึกฝนวิทยายุทธโดยชายวัยกลางคน
เจี้ยนเฉินเข้าใจในทันที ว่าศิษย์เหล่านี้เกิดจากครอบครัวในสายตรง ตระกูลเจียงหยางมีถึง 1,000 ครอบครัวรอง แม้ว่าครึ่งหนึ่งในนั้นจะเป็นผู้คุ้มกันและข้ารับใช้ อีกครึ่งหนึ่งนั้นเป็นสมาชิกที่ซึ่งเกิดจากสายรอง
เมื่อเดินผ่านสนามฝึกฝน ไป๋หยุนเทียนได้นำลูกชายของเธอไปบริเวณตรงกลางของห้องโถงหลักของตระกูลเจียงหยาง
นี่คือสถานที่ที่เจี้ยนเฉินจะทำการทดสอบพลังเซียน
Chaotic Sword God ตอนที่ 5 ทวีปเทียนหยวน
พี่หงฮัว พี่ตงเหมย ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ พร้อมกับมองไปยังเด็กสาว เจี้ยนเฉินขอบคุณทั้งสองคนอย่างเงียบ ๆ
สาวใช้ทั้งสองคนเป็นสาวใช้ของตระกูลเจียงหยาง พวกนางมีหน้าที่ตอบสนองทุกความต้องการของเจี้ยนเฉิน ตั้งแต่เจี้ยนเฉินหมกตัวอยู่แต่ในห้องของเขา มารดาเขาไป๋หยุนเทียนก็ได้จ้างวานสาวใช้ทั้งสองคนมาคอยรับใช้เขา
เมื่อได้ยินในสิ่งที่เจี้ยนเฉินพูด เด็กสาวทั้งสองก็หัวเราะคิกคักออกมา จากนั้นก็พูดว่า นายน้อยสี่ แน่นอน ท่านอย่าได้สุภาพนัก พวกเราแค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น
ใช่แล้ว นายน้อยสี่ ได้โปรดละเว้นการใช้คำสุภาพด้วย หากท่านผู้อาวุโสได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านปฏิบัติต่อพวกเรา จากนั้นพวกเราอาจถูกลงโทษก็ได้ สาวใช้อีกคนพูดออกมา
เจี้ยนเฉินพูดด้วยรอยยิ้ม อย่าได้กังวลไป ข้าจะไม่พูดเช่นนี้หากมีคนอยู่ เจี้ยนเฉินนั้นมีความฉลาดที่ไม่ธรรมดา คฤหาสน์เจียงหยางมีกฎเกี่ยวกับสถานะที่เข้มงวด หากพวกเขาได้ยินนายน้อยสี่ใช้คำพูดเช่นนั้น แน่นอนว่าเด็กสาวทั้งสองต้องถูกลงโทษสถานหนัก
หลังจากที่ล้างหน้าของเขาเสร็จ เจี้ยนเฉินออกมาจากห้องของเขาเดินไปยังห้องของมารดาเขาเช่นเคย ระยะห่างระหว่างห้องทั้งสองนั้นไม่มากนัก ห่างกับห้องของเขาเพียงแค่ 20 เมตรเท่านั้น
ไม่นานหลังจากที่เขาได้เข้ามาในห้อง เจี้ยนเฉินได้เห็นมารดาเขานั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังแต่งหน้าทาชาด โดยมีสาวใช้ทั้งสองคนให้ความช่วยเหลืออยู่
เซียงเอ๋อ วันนี้เจ้ามาที่นี่เร็วกว่าปกตินะ พร้อมกับชำเลืองมองไปยังเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรัก หัวใจของเจี้ยนเฉินก็อ่อนโยนขึ้น ในโลกที่แล้วของเขา เจี้ยนเฉินสูญเสียครอบครัวตั้งแต่เขายังเป็นเด็ก ทำให้เขาไม่เคยรู้หรือได้สัมผัสถึงความรักของมารดามาก่อน แต่เมื่อเขาได้มายังโลกใบนี้ มันชัดเจนว่าเขารู้สึกถึงความรักของมารดา และด้วยเหตุนี้เองที่เขาเริ่มเก็บรักษาความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความรักเหมือนสมบัติล้ำค่าของเขาอย่างช้า ๆ
เจี้ยนเฉินเดินไปข้างมารดาของเขาพร้อมกับลูบท้องของเขา จากนั้นก็พูดด้วยท่าทีเขินอายว่า ลูกหิวแล้ว ! หลังจากที่ได้ฝึกอย่างหนักเมื่อคืนก่อน เขารู้สึกหิวจนแสบท้อง
ไป๋หยุนเทียนลูบหัวของเจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน และหัวเราะขึ้นมา ถ้าเป็นเช่นนั้น แม่จะพาเจ้าไปยังห้องอาหารเพื่อที่จะกินอาหาร
เย้ ! เจี้ยนเฉินผงกหัวของเขา ใบหน้าของเขาดูพึงพอใจ ภายในใจเขา เขาได้ค่อย ๆ เก็บความสุขที่มารดาของเขาได้แสดงความรัก ความใส่ใจต่อเขา
ไม่กี่วินาทีต่อมา เจี้ยนเฉินก็เปิดปากของเขาอีกครั้ง ท่านแม่!
ไป๋หยุนเทียนมองเจี้ยนเฉินอย่างอบอุ่น แล้วพูดว่า เซียงเอ๋อ ถ้าเจ้ามีอะไรบางอย่างจะพูดก็พูดออกมาเถอะ !
เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อย ก่อนที่จะรวบรวมความคิดของเขา เขาจ้องมองไปยังมารดาของเขาอีกครั้ง จากนั้นพูดว่า ท่านแม่ ท่านได้โปรดเล่าให้ลูกฟัง เกี่ยวกับโลกภายนอกหน่อยได้หรือไม่ขอรับ
หลังจากได้ยินคำพูดของเจี้ยนเฉิน ปี้หยุนเทียนแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด กับคำถามของเขา นางจึงเปิดปาก แล้วถามออกมาว่า เซียงเอ๋อ เจ้าสนใจโลกภายนอกเช่นนั้นรึ?
ลูกเพียงแต่อยากรู้เท่านั้น ! เขาตอบกลับมา
จากนั้นไป๋หยุนเทียนก็หัวเราะออกมา เซียงเอ๋อ โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่ยิ่งนัก นอกจากนี้มันยังเต็มไปด้วยความซับซ้อน เรื่องราวเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่อาจทำความเข้าใจได้จากคำพูดเพียงอย่างเดียว หากเจ้าต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับมัน ทางที่ดีที่สุด เจ้าควรไปหอหนังสือและอ่านสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น ในขณะที่นางเปล่งเสียงตอบ ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนก็ดูเหมือนจะจนปัญญา แต่ว่าเซียงเอ๋อ ตัวเจ้ายังไม่รู้วิธีอ่านหนังสือ แม้เจ้าจะไปหอหนังสือ เจ้าก็อ่านอะไรไม่ออกอยู่ดี
ท่านแม่ เช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่นำใครสักคนมาสอนข้าอ่านหนังสือล่ะ? น้ำเสียงของเจี้ยนเฉินมีร่องรอยของความไม่พอใจ
ไป๋หยุนเทียนหัวเราะจากนั้นก็พูดว่า เซียงเอ๋อ เจ้าอายุเพียง 2 ขวบเท่านั้น แม่ของเจ้าไม่เคยได้ยินหรือเห็นว่าจะมีเด็กคนไหนเรียนรู้วิธีการอ่านมาก่อนเลย แม้แต่ในทวีปเทียนหยวนก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยทั่วไปแล้ว เด็กที่เริ่มอ่านเร็วที่สุดเมื่อตอนที่พวกเขาอายุราวสัก 4-5 ขวบ
เจี้ยนเฉินเข้าใจในทันที ท่านแม่ ข้าอยากเรียนรู้ด้านการอ่าน ได้โปรดหาใครบางคนที่จะพยายามสอนข้า
ไป๋หยุนเทียนถึงกับพูดไม่ออก แต่รอยยิ้มแห่งความสุขค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง เซียงเอ๋อ การเรียนรู้ที่จะอ่านเป็นเรื่องที่ยากและมันน่าเบื่อเป็นอย่างมาก เจ้าต้องเข้าใจคำต่าง ๆ ในทวีปเทียนหยวน ที่มันไม่ใช่จะเรียนรู้กันได้รวดเร็ว เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการที่จะเริ่มต้นเรียนรู้ตอนนี้
เจี้ยนเฉินผงกหัวของเขาเพื่อยืนยัน ข้าต้องการ !
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มของไป๋หยุนเทียนก็ยิ่งงดงามยิ่งขึ้นด้วยเสียงหัวเราะที่มีความสุข จากนั้นนางก็พูดว่า ถ้าหากเป็นความต้องการเซียงเอ๋อ แม่ของเจ้าจะสนับสนุนเจ้าเอง ! นางหันกลับไป แล้วเรียก เสี่ยวหลิว! ในเวลานี้ จงไปที่เมืองลอร์ว่าจ้างอาจารย์ที่ดีที่สุด พาเขากลับมาที่คฤหาสน์ จากนั้นให้เขาสอนเซี่ยงเอ๋อเกี่ยวกับวิธีการอ่าน!
รับทราบเจ้าค่ะ ฮูหยิน สาวใช้ซึ่งกำลังสางผมให้ไป๋หยุนเทียน นางเอ่ยขึ้นด้วยความเคารพ
เซียงเอ๋อ ถึงเวลาแล้ว ไปห้องอาหารกันเถอะก่อนที่เราทั้งคู่จะไปสาย
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันต่อมาอาจารย์ที่ไป๋หยุนเทียนได้ว่าจ้างก็ได้เดินทางมาถึงที่คฤหาสน์ และเริ่มสอนเขาอ่านหนังสือ
ตั้งแต่นั้นมาเจี้ยนเฉินได้ใช้เวลาตลอดทั้งวันในการเรียนรู้การอ่านหนังสือ เนื่องจากเขามีความอดทนและมีความรู้จากความทรงจำในอดีต การเรียนรู้ภาษาของโลกใบใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเรียนรู้ ประกอบกับอาจารย์ได้ใส่ใจและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณในการสอนที่ดี รวมทั้งความสามารถในการจดจำที่น่าทึ่งของเจี้ยนเฉิน ทำให้การเรียนรู้การอ่านเป็นไปได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายยิ่ง เพียงระยะเวลาสั้น ๆ เพียงแค่ 3 เดือน เขาก็เชี่ยวชาญคำพื้นฐานต่าง ๆ ของทวีปนี้ได้แล้ว
ความเร็วในการเรียนรู้ของเจี้ยนเฉินได้ทำให้อาจารย์ต้องร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ ทันทีที่ไป๋หยุนเทียนทราบว่าเจี้ยนเฉินได้เรียนภาษาเขียนส่วนใหญ่ ภายในระยะเวลา 3 เดือน นางไม่อาจเชื่อได้ จนนางจึงได้ทดสอบเจี้ยนเฉินก่อน นางจึงสามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้ได้ ถ้าใครต้องการอ่านและเขียนคำส่วนใหญ่ในทวีปให้ได้เช่นเดียวกับเจี้ยนเฉิน มันต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี แต่เจี้ยนเฉินกลับสามารถทำมันสำเร็จในเวลา 3 เดือน แม้แต่อัจฉริยะก็ยังไม่มีคนไหนสามารถทำได้เสียด้วยซ้ำ
ความสำเร็จนี้ได้ไปถึงหูบิดาของเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว เจียงหยางป้าจึงได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาเป็นการส่วนตัว
เซียงเอ๋อ เพียงเวลาอันสั้น เจ้าอดทนได้ดีมาก ตอนนี้ถึงเวลาที่เจ้าพักผ่อนแล้ว พ่อจะมอบรางวัลให้แก่เจ้า เป็นรางวัลสำหรับความพากเพียรในการเรียนรู้การอ่านของเจ้าในเวลาไม่กี่เดือน ข้าไม่รู้จะมอบอะไรให้แก่เจ้า เซียงเอ๋อ ใบหน้าของเจียงหยางป้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขามองไปเจี้ยนเฉินแล้วพูดออกมา การมีลูกชายที่เป็นอัจฉริยะเช่นเจี้ยนเฉินเป็นสิ่งที่เขาภาคภูมิใจเป็นอย่างมาก เขาห่วงใยเจี้ยนเฉินยิ่งกว่าเด็กคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเจี้ยนเฉินก็ทอประกาย เขาคิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะตอบกลับมาว่า ท่านพ่อ ได้โปรดอนุญาตให้ลูกชายของท่านเข้าไปยังหอหนังสือและอ่านหนังสือบางอย่างที่นั่น ข้าต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์และการเรียนรู้มากกว่านี้
ดวงตาของเจียงหยางป้าทอประกายออกมา มองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความปิติ เขาหัวเราะเสียงดังและพูดว่า นี่มันยิ่งไม่มีปัญหา เซียงเอ๋อ เจ้ามีใจที่จะพัฒนาตัวเอง พ่อของเจ้าก็ภูมิใจกับสิ่งนี้นัก ข้าอนุญาตตามคำขอของเจ้า เจ้าสามารถใช้หอหนังสือได้ตามที่เจ้าต้องการ
ขอบคุณมากท่านพ่อ ! ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเอ่อล้นไปด้วยความสุข การที่เขาสามารถเข้าไปยังหอหนังสือได้ประสบความสำเร็จ นั่นทำให้เจี้ยนเฉินมีความสุขอย่างแท้จริง หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจว่าหอหนังสือมิใช่สถานที่ที่ใครสามารถเข้าไปได้อย่างอิสระ คนที่จะเข้าไปได้ต้องมีอายุหกปีหรือมากกว่านั้น ทั้งยังต้องสืบเชื้อสายตรงจากตระกูลเจียงหยางถึงจะสามารถเข้าไปได้ แน่นอน ข้อกำหนดต่าง ๆ สามารถยกเว้นได้หากได้รับการอนุญาตจากผู้นำตระกูล
หลังจากนั้นไม่นาน เจียงหยางป้าได้พะเน้าพะนอเจี้ยนเฉินอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับไป หลังจากที่เขากลับไปแล้ว เจี้ยนเฉินไม่อาจนั่งอยู่ในห้องของเขาอีกต่อไป เขาออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปยังหอหนังสือในทันที หลังจากที่เรียนรู้เกี่ยวกับการอ่านมากว่าสามเดือน ทั้งหมดก็เพื่อตอนนี้เพื่อที่จะได้เข้าไปยังหอหนังสือ และดูรายละเอียดเกี่ยวกับโลกภายนอก หากในหนังสือมีรายละเอียดเกี่ยวกับโลกภายนอกไม่มากพอ เจี้ยนเฉินก็สามารถสอบถามมารดาของเขาได้ตลอดเวลา แต่หากว่าในหนังสือมีรายละเอียดที่ชัดเจนและครอบคลุมยิ่งกว่าที่มารดาของเขาอธิบายเสียอีก เป็นผลให้เจี้ยนเฉินให้ความสำคัญกับหนังสือมากกว่า
หอหนังสือนั้นสามารถตอบคำถามของเจี้ยนเฉินที่เคยถามเมื่อนานมาแล้ว มันตั้งอยู่ที่สวนด้านหลังของตระกูล อยู่ภายในเจดีย์ขนาดใหญ่ เมื่อเจี้ยนเฉินมาถึงบริเวณสวนด้านหลัง เขารู้สึกได้ในทันทีว่ามียอดฝีมือจำนวนมากในทุกทิศทางคอยจับตาดูเขาราวกับดวงตาของงูพิษ
การที่เขาเป็นคนหัวสูงและถือดี เจี้ยนเฉินจึงแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ถึงเหล่ายอดฝีมือ มุ่งหน้าเข้าไปยังหอคอยต่อไป เขาเป็นแค่เด็กอายุ 2 ขวบไม่มีความรู้เกี่ยวกับวิทยายุทธ์ หากมีใครล่วงรู้ว่าเขาสามารถสัมผัสคนที่กำลังเฝ้ามองเขาได้ จากนั้นก็จะมีปัญหายุ่งยากตามมาเป็นแน่
คฤหาสน์เจียงหยางมีทายาทสายตรงมากมาย แต่มีเพียงไม่กี่คนที่มุ่งหน้ามายังหอหนังสือ ดังนั้นคนที่เห็นเจี้ยนเฉินมีเพียงแค่ผู้คุ้มกันเท่านั้น แทบจะไม่มีคนในตระกูลคนอื่นอยู่เลย
เจี้ยนเฉินไปถึงที่หน้าประตูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหยุดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไปที่ป้ายขนาดใหญ่ ที่แขวนอยู่ข้างบนหน้าประตูหอหนังสือ มีคำว่า หอหนังสือ ด้านล่างมีผู้คุ้มกันสองคนยืนอยู่ เมื่อเขาเห็นผู้คุ้มกันทั้งสอง เจี้ยนเฉินสามารถบอกได้ว่าพวกเขาไม่ได้อ่อนแออย่างแน่นอน
รอจนกระทั่งประตูเปิดออก เจี้ยนเฉินได้เดินเข้าไปในทันทีโดยปราศจากการขัดขวางของผู้คุ้มกันทั้งสอง พวกเขาแทบจะเหมือนกับหุ่นไม้แกะสลัก ที่ยืนหลังตรงไม่แสดงท่าทีใด ๆ แม้แต่ตอนที่เจี้ยนเฉินปรากฏตัว พวกเขาทั้งสองไม่แม้แต่จะทักทายเขาเสียด้วยซ้ำ
เจี้ยนเฉินได้เข้าไปข้างในหอหนังสือ สายตาของเขาได้เผชิญกับทางเดินที่ยาวและแคบ ด้านนอกเป็นช่วงเวลากลางวัน แสงที่สาดส่องเข้ามาภายในช่างสวยงามยิ่งนัก บนผนังทางเดินประดับไปด้วยไข่มุกจันทราเม็ดใหญ่ที่คอยให้ความสว่างแก่ห้องโถงนี้ ทางเดินนี้มีความยาวพอสมควรก่อนจะเจอทางแยกสองทาง เจี้ยนเฉินคาดว่าต้องเดินลัดเลาะไปตามหอคอยแต่ละฝั่งก่อนที่บรรจบกันที่จุดหนึ่ง
นายน้อยสี่ ท่านผู้นำบอกว่าท่านเข้าไปได้เพียงแค่หอหนังสือฝั่งซ้ายเท่านั้น เสียงที่มีอายุดังขึ้นมาช้า ๆ จากเงาที่มีรูปร่างสูงใหญ่
หลังจากที่ได้ยินเสียงนี้เจี้ยนเฉินหันหลังกลับไป แม้ว่าแสงสว่างบนหอหนังสือจะเลือนราง แต่เขาสามารถระบุสิ่งที่อยู่กึ่งกลางของเงานั่นได้ เป็นชายชราผมสีขาวที่เต็มไปด้วยริ้วรอย สวมชุดฉางเป่าสีเงินบริสุทธิ์ เขาดูค่อนข้างธรรมดาไปสักนิด ไม่มีผู้ใดสงสัยว่าเขาเป็นอย่างอื่นนอกจากชายแก่ธรรมดา ๆ เท่านั้น
ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะมองชายแก่มากเท่าไรก็ตาม เขาก็ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากเป็นคนธรรมดาเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่กล้าดูแคลนชายชราคนนี้ เพราะสัญชาตญาณภายในได้บอกแก่เขาว่าชายชราคนนี้เป็นยอดฝีมือที่มีความแข็งแกร่งไม่ธรรมดาเป็นแน่ คนที่แข็งแกร่งที่สุดตั้งแต่เขามาที่โลกใบนี้คือบิดาของเขา เจียงหยางป้า แต่มันดูไม่ดีที่จะเปรียบเทียบบิดาของเขากับ ความรู้สึกอะไรก็ตามที่เจี้ยนเฉินรับรู้มาจากชายชราคนนี้
Chaotic Sword God ตอนที่ 4 การฝึกฝนที่เพิ่มขึ้น
บัญญัติดาบนภาแบ่งออกเป็น 12 ขั้น ขั้นแรกเป็นการบ่มเพาะร่างกาย หากพูดโดยทั่ว ๆ ไปแล้ว หากผู้ใดต้องการที่จะเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้นั้น สิ่งแรกที่พวกเขาต้องมีคือร่างกายที่แข็งแกร่ง นอกจากนั้นยังอาศัยร่างกายที่มีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่าทำไมบัญญัติดาบนภาขั้นแรกจึงเป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกาย
ผู้ฝึกวรยุทธ์ส่วนใหญ่จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกายพวกเขาเพื่อการพัฒนาพละกำลังของตน ดังนั้นพวกเขาจึงเสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย โดยจบลงที่กล้ามเนื้อโป่งตึง มันเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่าถึงวิธีการที่จะได้ความแข็งแกร่งจากการเสริมสร้างเพียงอย่างเดียว บางคนถึงขั้นเพาะกายเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกระดูก มันยากที่จะให้มันแข็งดังเหล็ก
สำหรับเจียนเฉิน วิธีการที่จะฝึกฝนร่างกายประเภทนี้เป็นการทำลายร่างกายอย่างเสียเปล่าและเป็นการจำกัดศักยภาพของร่างกายมนุษย์อีกด้วย ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะทำให้มีพละกำลังเหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไป แต่ในเวลาเดียวกันมันจะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายเป็นอย่างมาก ผู้ที่ฝึกฝนด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะมีอายุขัยที่สั้น เมื่อพวกเขาได้แก่ตัวลง โรคภัยไข้เจ็บและการเสื่อมโทรมภายในร่างกายจะเกิดขึ้นกับพวกเขาบ่อยครั้ง
ผู้ฝึกวรยุทธ์ในโลกนั้นมาจากนิกายที่แตกต่างกัน ในแต่ละแห่งจะมีแนวทางการฝึกฝนร่างกายเป็นของตัวเอง แต่สำหรับเจียนเฉิน วิธีเหล่านั้นธรรมดาสามัญเกินไป มันไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องที่จะนำมาปฏิบัติ แม้กระทั่งแนวทางของอี้จินจิ้งแห่งวัดเส้าหลินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แม้แต่หลักการของอี้จินจิ้งจะมีความเหมาะสมในการฝึกฝนความแข็งแกร่งภายในและมีวิธีการในการเสริมความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อภายนอก แต่วิธีการของอี้จินจิ้ง นั้นก็ยังคล้ายกันการเสริมความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อภายนอก มันไม่ได้เสริมความแข็งแกร่งให้แก่แก่นแท้ของมนุษย์และมุ่งเน้นเพียงแค่พลังกายภายนอกเท่านั้น มันไม่อาจถือได้ว่าเป็นจุดสูงสุดของการบ่มเพาะร่างกาย เนื่องจากว่ามันไม่ได้มีเป้าหมายทั่วทั้งร่างกาย
เคล็ดวิชาบัญญัติดาบนภานั้นลึกซึ้งและวิเศษอย่างแท้จริง ด้วยการดูดซับปราณจากฟ้าดิน แปรเปลี่ยนมันให้เข้าสู่กระดูกภายในร่างกาย มันจะทำให้อวัยวะภายในและแม้กระทั่งเซลล์ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายได้เพิ่มขีดจำกัดของพวกมัน สิ่งที่ดั้งเดิมอ่อนแอจะถูกขจัดออกและร่างกายจะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดขณะที่ร่างกายได้รับประโยชน์อย่างไร้ที่สิ้นสุด เช่นมีอายุที่ยืนยาวยิ่งขึ้น หากเมื่อผู้ใดได้ทำการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ในขั้นถัดไป ร่างกายของเขาจะสามารถที่จะบรรลุระดับขั้นของพละกำลังที่สูงขึ้น และตามที่บัญญัติดาบนภากล่าวว่า หากผู้ใดสามารถที่จะบรรลุขั้นสูงสุดของการบ่มเพาะร่างกาย ยามนั้นพวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ตราบเท่าที่แผ่นฟ้าและผืนดินยังคงอยู่
อย่างไรก็ตามหลักการนี้เกี่ยวข้องกับพละกำลังของคนผู้นั้นด้วย หากว่าปราณของคนผู้นั้นแข็งแกร่งกว่าพลังกาย ในตอนนั้นบัญญัติดาบนภาจะใช้ปราณรวมเข้ากันในร่างกายทำให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากกว่าก่อน หากว่าพลังกายและปราณทั้งคู่สมดุลกัน ตอนนั้นก็จะสามารถที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับขั้นใหม่ได้ เพียงแค่วงจรเหล่านี้ก็สามารถที่จะพัฒนาร่างกายได้ต่อเนื่องโดยไร้ขีดจำกัด
เจียนเฉินได้ดูดซับปราณโลกซึ่งเป็นกระแสปราณที่ไร้ที่สิ้นสุดและได้ชักนำมาโคจรทั่วร่างของเขา ภายใต้การควบคุมของเจียนเฉิน พลังปราณได้รวมเข้ากับเซลล์และอวัยวะของเขา
นับตั้งแต่ที่เขาได้มายังโลกใหม่ที่แปลกประหลาดแห่งนี้ มีเพียงไม่กี่อย่างที่ทำให้เจียนเฉินรู้สึกตื่นเต้นคือลมปราณโลก ซึ่งลมปราณโลกที่นี่มีอยู่หนาแน่นอย่างมาก ในบางทีอาจจะหนาแน่นมากกว่าปราณในโลกของเขานับร้อยเท่า เมื่อเปรียบกับโลกเดิมของเขา ณ เทือกเขาโบราณ สถานที่ที่เขาได้จบชีวิตลง โลกหนึ่งเป็นดั่งสรวงสวรรค์ ขณะที่อีกโลกหนึ่งเป็นดั่งขุมนรก ซึ่งความแตกต่างนี้สามารถที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นเจียนเฉินจึงได้มีความสุขในเรื่องนี้อย่างมาก
อย่างไรก็ตามเจียนเฉินไม่สามารถที่จะเข้าใจถึงความแตกต่างของลมปราณโลกนี้และลมปราณของโลกที่แล้วของเขา ในขณะที่ทั้งโลกสองต่างมีความรู้สึกที่คล้ายคลึงกัน เจียนเฉินก็พบว่าปราณโลกนี้มีพลังงานที่พิเศษอยู่ พลังงานประเภทนี้เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของปราณโลก ได้มีการเชื่อมระหว่างกันดูเหมือนว่าพวกมันไม่สามารถที่จะแยกออกไปได้
เมื่อเขาได้ดูดซับพลังงานพิเศษนี้เข้าไปยังร่างกายของเขา ไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับร่างกาย ด้วยเพราะเหตุนี้เจียนเฉินจึงไม่ได้พยายามย้ายพลังงานออกจากแกนโลกเท่าใดนัก อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เจียนเฉินได้เกิดความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องนี้มาก มีความคิดต่าง ๆ วนเวียนอยู่ภายในหัวของเขา แต่ว่าพลังงานพิเศษนี้ไม่สามารถที่จะไขปริศนาออกได้อย่างง่ายดายนัก
หลังจากที่ได้ดูดซับปราณโลกเข้าสู่ร่างกาย เจียนเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเส้นเลือดและเซลล์ในร่างกายของเขาแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ปราณโลกที่ได้เข้าไปยังร่างกายเขาเปรียบเสมือนยาชูกำลังชั้นเลิศ ทำให้ร่างกายเขามีชีวิตชีวาขณะที่ดูดซับมัน ร่างกายเขาเป็นดั่งยักษ์ที่กำลังกระหาย พยัคฆ์ที่หิวกระหายมากขึ้นมากขึ้น เวลาเดียวกันในขณะนั้น เจียนเฉินรู้สึกพึงพอใจและเป็นอิสระ ความวิตกกังวลได้จางหายไปจากเขา
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกปี เจียนเฉินใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่แปลกประหลาดแห่งนี้ได้ 2 ปีแล้ว เจียนเฉินไม่ได้ออกจากคฤหาสน์เจียงหยางแม้แต่ก้าวเดียว เจียนเฉินฝึกฝนขั้นแรกของบัญญัติดาบนภาด้วยตัวคนเดียว
บางทีอาจเป็นเพราะความหนาแน่นของปราณโลกมีมากกว่าปราณโลกของโลกที่แล้วนับร้อยเท่า ทำให้ภายในหนึ่งปีเจียนเฉินได้ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการฝึกฝนร่างกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในตอนนี้หากคนทั่วไปได้กวัดแกว่งดาบไปยังเขา ร่างกายของเขาก็จะไร้รอยขีดข่วน เขาได้ฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก ร่องรอยขีดข่วนแม้แต่รอยเดียวก็ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของเจียนเฉินแค่นั้น เขาไม่กล้าที่จะลองเผชิญด้วยตนเอง
ในปีที่ผ่านมา ร่างกายของเจียนเฉินมีการพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว มันช่างน่าประหลาดอย่างยิ่ง ภายในหนึ่งปี เขามีความสูงถึง 1.2 เมตร เป็นความสูงที่ผิดปกติสำหรับเด็กสองขวบ ความสูงนี้ทำให้เขาดูเหมือนเด็กวัย 5-6 ขวบ
ด้วยเหตุนี้ ทุก ๆ คนในคฤหาสน์เจียงหยางต่างตกใจ น่าเหลือเชื่อ แม้ว่าพวกเขาหลาย ๆ คนจะคาดหวังต่อเขาไว้มากมาย การคาดหวังโดยหวังว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะที่มีศักยภาพไร้ขีดจำกัด แต่ทุก ๆ คนจะต้องรอเมื่อเขามีอายุ 3 ขวบเพื่อที่จะยืนยันในสิ่งที่ได้คาดหวังไว้
เมื่อมองเห็นความคาดหวังที่มีต่อเขา ช่วยไม่ได้ที่เจียนเฉินจะรู้สึกอับจนหนทาง เขาไม่เข้าใจถึงสาเหตุที่ร่างกายเขาได้เติบโตอย่างรวดเร็ว มันเป็นผลของการที่ฝึกฝนบัญญัติดาบนภา ซึ่งในโลกก่อนของเขาไม่ได้ฝึกฝนบัญญัติดาบนภาด้วยวัยเพียงแค่นี้
แม้ว่าเขายังคงตามมารดาของเขา ไป๋หยุนเทียน ไปที่ห้องอาหาร แต่โดยปกติเขาจะใช้เวลาในการอยู่ในห้องเงียบ ๆ นั่งขัดสมาธิบนเตียง มือของเขาอยู่บนเข่า ปิดตาและหน้าแหงนขึ้นฟ้า
แต่ในเวลานี้ เจียนเฉินไม่ได้บ่มเพาะร่างกาย แต่ตอนนี้เขาได้ครุ่นคิด เขาได้มายังโลกแห่งนี้ได้สองปีแล้ว และในสองปีนี้เขาไม่ได้เห็นโลกภายนอกของคฤหาสน์เจียงหยาง เขาได้ใช้เวลาส่วนใหญ่ในการกักตนฝึกฝนร่างกาย จนถึงตอนนี้เขายังเข้าใจในโลกนี้ได้ไม่มาก ภายนอกคฤหาสน์เจียงหยาง เขาแทบจะไม่รู้สิ่งใดในโลกนี้ แม้แต่โลกภายนอกเป็นเช่นไรก็ตาม
เขาเข้าใจว่าในสายตาของทุก ๆ คน เขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยอายุ 2 ขวบ และโดยทั่วไปเด็กน้อย 2 ขวบจะเป็นที่หวงแหนของบิดามารดาขณะที่ได้เติบโตมาอย่างไร้ความกังวลใจ อย่างไรก็ตามเจียนเฉินไม่ได้เป็นเช่นนั้นแม้แต่น้อย
ขณะที่เขากำลังนอนคิดอยู่บนเตียง ในที่สุดเจียนเฉินได้ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เขาจะขอบิดามารดาเขา มันสำคัญต่อเขาอย่างมากที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจถึงโลกภายนอกของโลกใบนี้
หลังจากที่คิดได้แล้ว เขาค่อย ๆ เปิดตาขึ้นและลุกขึ้นจากเตียง ในคืนนี้เขาไม่ได้ทำการบ่มเพาะร่างกายบนเตียงเหมือนปกติแต่เขาปิดตายืนที่กลางห้องแทน
ในใจของเจียนเฉิน เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งได้ปรากฎ ตอนนั้นภาพได้ปรากฎขึ้นในความคิดของเจียนเฉินเหมือนม้วนหนังฟิล์ม ภาพนั้นไม่เคยหยุดนิ่งแต่มันสามารถเห็นถึงชายสวมชุดสีขาว เป็นชายหนุ่มกำลังถือดาบที่สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วผ่านแดนลึกลับ เขาเดินได้รวดเร็วมาก คนทั่ว ๆ ไปยากที่จะมองเห็นเขาได้ชัดเจน เพราะชายหนุ่มผู้นี้ได้เดินออกไปอย่างรวดเร็วแม้ว่าเขาจะอยู่ในพื้นที่ที่มีขนาดเล็ก ก่อให้เกิดเป็นภาพติดตาตามหลังเขา
คนผู้นั้นเป็นชีวิตที่แล้วของเจียนเฉิน และภาพช่วงที่ได้ปรากฏขึ้นแท้จริงแล้วเป็นสัญลักษณ์ของบัญญัติดาบนภา ช่างเป็นภาพที่ลึกลับนัก
ในช่วงเช้าแสงแดดสาดส่องลงมา ส่องผ่านรอยร้าวของหน้าต่างเข้ามาในห้องของเขา ทันใดนั้นเจียนเฉินได้เปิดตาขึ้นและยืนขึ้นที่ใจกลางห้อง ในชั่วยามนี้ ในที่สุดเขาได้ขยับตัว ขาของเขาสามารถที่จะขยับได้รวดเร็วมากจนพร่ามัว สำหรับขาของเขานั้นสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ได้ชั่วครั้งชั่วคราว แม้แต่ผู้ฝึกวรยุทธ์ส่วนใหญ่ยังไม่สามารถที่จะกระทำเช่นนี้ได้
เจียนเฉินได้เคลื่อนไหวขาอย่างซับซ้อน เขาได้เดินด้วยวิธีการบางอย่าง ขณะที่เขาได้เคลื่อนที่ไปรอบ ๆ ห้องอย่างรวดเร็ว ขาของเขาได้ตวัดเกิดลมกรดเนื่องจากการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน เจียนเฉินได้หยุดเคลื่อนไหว หน้าของเขาซีดเซียวเพียงวินาที หอบหายใจอย่างช้า ๆ ช่วยไม่ได้ที่ขาของเจียนเฉินจะสั่นระริกเมื่อหยุด
เจียนเฉินเดินไปยังหน้าต่างช้า ๆ และนั่งลงข้าง ๆ พิงไปด้านหลัง เขาได้นวดขาอย่างต่อเนื่องด้วยแขนทั้งสองข้างของเขา การที่ได้ใช้การเคลื่อนเท้าที่ลึกลับเพียงชั่วครู่ส่งผลให้ขาของเขาอ่อนแรงอย่างมาก ขาของเขานั้นไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแม้แต่น้อย
เจียนเฉินส่ายหัวอย่างอับจนหนทาง ไม่ว่าวิทยายุทธ์ใดที่เขาได้ฝึก สิ่งแรกที่เขาต้องทำคือเสริมสร้างร่างกายให้สำเร็จเสียก่อน ไม่เพียงแค่นั้น วิทยายุทธ์ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไร คุณสมบัติที่ต้องการก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น เมื่อได้ฝึกฝนการเคลื่อนไหวเท้า หากว่าเขาไม่ได้มีกำลังกายและปราณที่แข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นเขาก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนไหวได้ยาวนาน แน่นอนว่าสำหรับผู้ฝึกฝนทั่ว ๆ ไปจะไม่สามารถที่จะทำได้นานเท่ากับที่เขาได้ทำไป และหากว่าพวกเขาได้ทุ่มพลังกายเกินกว่าที่ร่างกายจะรับได้และจะได้รับบาดเจ็บ
มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับความสามารถที่ลึกซึ้งเช่นนี้
เขาได้นั่งลงบนเตียงหลังจากที่ได้นวดขาเสร็จ เขารอขาฟื้นสภาพสู่สภาพปกติก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิบนเตียงอีกครั้ง เขาได้เริ่มดูดซับปราณโลกอีกคราเข้าสู่ร่างกายของเขา
ค่ำคืนได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยสีสันของวันใหม่ ในขณะนั้น ได้ยินเสียงจากด้านนอกห้องของเจียนเฉิน
นายน้อยสี่ มันเป็นเวลากลางวัน ถึงเวลาตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ! ชัดเจนว่าเป็นเสียงของสตรี
เมื่อได้ยินเสียง เจียนเฉินได้ลืมตาขึ้นช้า ๆ และตะโกนออกมาเหมือนเด็กน้อย ข้ารู้ พี่หงฮัว ข้าตื่นแล้ว! ขณะที่พูดเขาได้ปีนลงจากเตียง
ในเวลาเดียวกัน ประตูเปิดขึ้นและเด็กสาว 2 คนอายุราวสัก 18 ปีได้เข้ามาข้างใน พวกนางทั้งสองถือถาดขนาดเล็กเข้ามาพร้อมอ่าง และข้าง ๆ อ่างมีผ้าเช็ดตัวที่สะอาดสะอ้านสำหรับให้เขาได้ล้างหน้า และอีกถาดหนึ่งมีไว้สำหรับให้เจียนเฉินแปรงฟันสำหรับวันใหม่
เซียงเทียนมองดูร่างกายเล็ก ๆ ของเขาแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสับสน ในรอบปีที่ผ่านมา ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ในช่วงชีวิตที่แล้วของเขา มันได้ฉายซ้ำขึ้นมาในความทรงจำของเขาอีกครั้ง ความทรงจำยังคงแจ่มชัดราวกับทุกสิ่งทุกอย่างเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ราวกับว่ามันได้สลักลึกลงไปในจิตวิญญาณของเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่อาจที่จะลืมมันไปได้ แต่ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่า ในชีวิตที่แล้วของเขา เขามีนามว่าเจี้ยนเฉิน หลังจากที่เขาได้ตายลง วิญญาณของเขามาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำเดิมที่เป็นปริศนา
แม้ว่าเขาจะเพิ่งคลอดออกมาได้ แต่ความทรงจำทั้งหมดของเขายังคงถูกเก็บรักษาไว้ เขาจึงรู้วิธีการพูด ตลอดจนบทสนทนาจากผู้คนรอบตัวของเขา ทำให้เขาได้ข้อสรุปคร่าว ๆ ว่าครอบครัวที่เขาได้อาศัยอยู่เป็นเช่นไร แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือเขาได้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกใบเดิมอีกต่อไป ที่นี่เป็นโลกใบใหม่ที่เจี้ยนเฉินไม่เคยได้ยินมาก่อน
คฤหาสน์ที่เจี้ยนเฉินอาศัยอยู่มีชื่อว่า ‘เจียงหยาง’ คฤหาสน์นี้เป็นของหนึ่งในสี่ตระกูลหลักของเมืองลั่วเอ๋อ แต่ละตระกูลต่างคานอำนาจกันอยู่ บิดาของเขาเป็นผู้นำตระกูลเจียงหยาง มีนามว่า ‘เจียงหยางป้า’ มารดาของเขามีนามว่า ‘ไป๋หยุนเทียน’ ฮูหยินสี่ของเจียงหยางป้า แม้ว่านางจะไม่ใช่ฮูหยินใหญ่ แต่นางก็ถือว่าเป็นกำลังสำคัญของตระกูล เพราะนางได้สมญานามว่า ‘ เซียนผู้เชี่ยวชาญแสง ‘
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะไม่เข้าใจว่า ‘ เซียนผู้เชี่ยวชาญแสง ‘ คือสิ่งใดกันแน่ แต่เป็นเพราะมัน มารดาของเขาจึงมีฐานะสูงส่งภายในตระกูล ผู้คนมากมายต่างให้ความเคารพนับถือนาง
สำหรับตัวเจี้ยนเฉินเอง เขาเป็นนายน้อยสี่ของตระกูลเจียงหยาง มีฐานะสูงส่งในตระกูล เจี้ยนเฉินมีพี่ชาย 2คน พี่สาว 1 คน พี่ชายคนโตมีนามว่า เจียงหยางหู่ พี่สาวมีนามว่า เจียงหยางหมิงเย่ว และพี่ชายคนที่สามมีนามว่า เจียงหยางเค่อ พวกเขาทั้งสี่มีบิดาคนเดียวกันแต่ต่างมารดา นอกจากเจียงหยางหู่แล้ว เขาก็เคยพบกับเจียงหยางหมิงเย่วและเจียงหยางเค่อทั้งสองคนมาหลายครั้ง ทั้งสองคนอายุห่างจากเขาไม่มาก เจียงหยางหมิงเย่วอายุมากที่สุด นางอายุ 4 ปี ห่างจากเจี้ยนเฉินถึง 3 ปี เจียงหยางเค่ออายุมากกว่าเขา 2 ปี นอกจากพวกเขาทั้งสี่ อย่างไรก็ตามมีเด็ก ๆ อีกมากมายในตระกูล
ในขณะนี้มีพ่อบ้านสูงวัยคนหนึ่งเข้ามาหาเจี้ยนเฉินจากด้านหลังแล้วพูดว่า นายน้อยสี่ขอรับ สายแล้วนะขอรับ ฮูหยินกำลังรอท่านอยู่นะขอรับ
เจี้ยนเฉินถึงกับสะดุ้งกลับสู่ความเป็นจริง เมื่อมองไปยังท้องฟ้า เขาก็เห็นว่าท้องฟ้ากำลังทอแสงบ่งบอกว่ายามค่ำคืนกำลังจะมาเยือน เขารู้ทันทีว่าตลอดทั้งบ่ายเขายืนนิ่งโดยไม่รู้สึกตัว ข้าเข้าใจแล้ว ท่านเจียงไป่ อีกสักครู่ข้าจะตามไป
เจียงไป่ เป็นพ่อบ้านตระกูลเจียงหยาง เขาดูแลในทุก ๆ เรื่องของตระกูลเพราะเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างมีความสำคัญในตระกูล แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงพ่อบ้านคนหนึ่ง แต่เขาก็ได้รับความเคารพนับถืออย่างดีเทียบเท่าผู้นำของคฤหาสน์นี้
รอยยิ้มประดับบนใบหน้าของเจียงไป่ ขณะที่มองเจี้ยนเฉินอย่างคาดหวัง ตอนเจี้ยนเฉินอายุเพียง 6 เดือนเขาก็สามารถเดินได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องให้ใครช่วยและเขาเรียนรู้ได้เร็วมาก เขาสามารถพูดได้ตอนอายุเพียง 8 เดือนเท่านั้น ไม่ใช่แค่พูดได้ชัดเจน แต่ยังสามารถสื่อสารกับคนอื่นได้ ด้วยความสำเร็จเพียงสองสิ่งนี้ ทำให้เจี้ยนเฉินได้ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะ หลายคนต่างเฝ้ารอคอยวันที่เขาได้เติบโตขึ้น
ในเวลากลางคืนเจี้ยนเฉินได้ออกไปพร้อมกับมารดาของเขา ‘ ไป๋หยุนเทียน ‘ เพื่อไปทานอาหารเย็นที่ห้องอาหาร ห้องอาหารที่ทั้งคู่นั่งอยู่นั้นมีความพิเศษ มีเพียงผู้นำคฤหาสน์ เหล่าภรรยาและบุตรทั้งหลายเท่านั้น
เมื่อไป๋หยุนเทียนและเจี้ยนเฉินมาถึงห้องอาหาร หญิงสาวที่งดงามทั้งสามได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทรงกลมตัวหนึ่ง พวงนางดูอายุราว 20 ปี สองในสามกำลังอุ้มเด็กอยู่ในอ้อมแขน หนึ่งในนั้นเป็นเด็กชาย อีกหนึ่งเป็นเด็กสาว เด็กชายอายุราว ๆ 3-4 ขวบ แข็งแรงสมบูรณ์แต่อวบอ้วน เขาเป็นลูกคนที่สามของเจียงหยางป้า มีนามว่าเจียงหยางเค่อ
ขณะที่เจียงหยางเค่อมองเห็นเจี้ยนเฉิน ความเป็นอริและความเกลียดชังผุดขึ้นมาในดวงตาของเขา เห็นได้ชัดเจนว่าเขาตั้งใจจะทำอะไรบางอย่าง ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ว่าเขาไม่ถูกกับเจี้ยนเฉิน
หญิงสาวทั้งสี่ต่างรับรู้ถึงความเป็นปรปักษ์ที่ได้แผ่ออกมาจากเจียงหยางเค่อไปยังเจี้ยนเฉิน แต่ก็ไม่มีใครเสียเวลาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในความคิดของพวกนางนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยของเด็ก ไม่ใช่เรื่องราวใหญ่โตอันใด
เด็กอีกคนอายุราว 4-5 ปี นางผูกแกละสองข้าง ดวงตาที่สดใสของนางมองไปยังเจียงหยางเค่อที่ยังคงมีท่าทางไม่เป็นมิตรแล้วหัวเราะขึ้นมา เกิดเป็นลักยิ้มขึ้นบนใบหน้าทั้งสองข้าง ดูน่ารักเป็นพิเศษ แม้ว่าตอนนี้นางจะยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่แน่นอนว่าเมื่อนางเติบโตขึ้น ความงามของนางอาจเทียบเคียงได้กับเทพธิดา เด็กคนนี้มีนามว่าเจียงหยาง หมิงเย่ว เป็นบุตรคนที่สองของเจียงหยางป้า และเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว
น้องสี่ เจ้ามาแล้ว! มาสิ มานั่งตรงนี้สิ ! เด็กหญิงโบกมือให้เจี้ยนเฉิน ในเวลาที่นางได้เห็นเจี้ยนเฉิน รอยยิ้มบนใบหน้านางก็ยิ่งงดงามมากยิ่งขึ้น
เจี้ยนเฉินผงกศีรษะของเขาเป็นเชิงทักทายเจียงหยาง หมิงเย่ว์ แล้วนั่งลงพร้อมกับมารดาของเขา
ไป๋หยุนเทียนเริ่มตามใจเจี้ยนเฉิน นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า เซียงเอ๋อ กล่าวทักทายท่านป้าและพี่ ๆ ของเจ้าสิ
เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น เจี้ยนเฉินมองไปยังเหล่าหญิงสาวที่ดูเอาแต่ใจ คารวะ ท่านป้าใหญ่ ป้ารอง ป้าสาม พี่รอง พี่สาม ตั้งแต่ที่แม่ของเขารู้ว่าเขาสามารถพูดจาได้ฉะฉาน นางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สอนหลักพื้นฐานมารยาทให้เขา ด้วยกรอบความคิดของเจี้ยนเฉินได้ไหลไปตามกระแส เขาไม่ได้คัดค้านการสอนของนาง เพราะสิ่งนี้เป็นประโยชน์ในระยะยาวบนโลกใบใหม่ของเขา
ครั้งแรกเมื่อเขามายังสถานที่ที่เขาไม่รู้จัก เขาต้องต่อสู้ดิ้นรนอย่างมากมายในร่างกายใหม่ เพราะเขาได้กลับชาติมาเกิดใหม่พร้อมกับความทรงจำดั้งเดิม เขายังรู้สึกว่าตัวเขายังเป็นเจี้ยนเฉินอยู่ ลึกเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา เขาไม่ได้คิดว่าชีวิตใหม่นี้จะเป็นของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็ค่อย ๆ ยอมรับร่างกายและชีวิตใหม่นี้ ไม่ว่าจะคิดเช่นไร ไป๋หยุนเทียนก็เป็นมารดาของเขา แม้ว่ายังคงเป็นปริศนาอยู่ว่าความทรงจำในอดีตยังคงอยู่ได้เช่นไร พวกมันมาจากสถานที่แห่งหนึ่งจากอีกโลก ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกับโลกใบใหม่นี้ ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงตัดสินใจซ่อนความทรงจำของเขาไว้ในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะยอมรับชีวิตใหม่และมอบทุกสิ่งให้กับมัน
หญิงสาวทั้งสามยิ้มให้แก่เจี้ยนเฉิน หนึ่งในนั้นเป็นหญิงสาวสวมชุดคลุมสีทองหัวเราะขึ้น น้องหยุน นี่แสดงให้เห็นว่า เซียงเทียนลูกเจ้าฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ และหาได้ยากที่จะได้พบเห็นเด็กเช่นเขา เขาอายุเพียงแค่ 1 ขวบเท่านั้น ข้าอิจฉาเจ้าจริง ๆ ที่มีลูกที่ฉลาดเยี่ยงนี้ หญิงสาวคนที่พูด คือฮูหยินรองของเจียงหยางป้าและเป็นแม่ของเจียงหยางหมิงเย่ว มีนามว่า ไป๋ยู่ซวง
ใช่แล้วน้องหยุน สิ่งที่พี่รองพูดถูกต้อง เมื่อได้พบเจอเขาในแต่ละวัน ข้ายิ่งชอบเซียงเทียนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้ หญิงสาวอีกคนซึ่งนั่งติดกับเจี้ยนเฉิน นางเป็นฮูหยินสามซึ่งมีนามว่าหยูเฟิงหยานพูดออกมา
เซียงเทียนเป็นเด็กอัจฉริยะอย่างแท้จริง เดินได้ตอน 6 เดือน พูดได้ตอน 8 เดือน ไม่มีเด็กคนไหนในวัยเท่าเขาสามารถเลียนแบบเขาได้ ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าพลังเซียนในร่างกายของเขาจะมากขนาดไหน เมื่อเขาได้รับการทดสอบในอีก 2 ปีข้างหน้า ข้าหวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึงเขาจะทำให้พวกเราต้องตกตะลึง หลิงหลงฮูหยินใหญ่ซึ่งดูมีอายุและเจ้าอารมณ์มากกว่าคนอื่นพูด
ขณะที่หลิงหลงพูดจบ ได้มีเสียงอันลุ่มลึกของชายคนหนึ่งว่า ข้าเห็นด้วย ข้าตั้งตารอพบกับความตกตะลึงเมื่อเซียงเทียนอายุ 3 ขวบ ชายวัยกลางคนอายุสามสิบปี เดินเข้ามายังห้องอาหารด้วยท่าทีของผู้นำ ด้วยชุดฉางเป่าสีขาวประดับไปด้วยขอบสีทอง ผมสีดำยาวถึงไหล่ มันทำให้บรรยากาศในห้องอาหารผ่อนคลายลง
ท่านพี่
ท่านพ่อ
ทันใดที่เห็นชายคนนั้น ทั้งเจ็ดคนต่างลุกขึ้นยืนขึ้นพร้อมกันแล้วกล่าวเรียกชายหนุ่มออกมา แม้แต่เจียงเฉินก็ยังไม่มีข้อยกเว้น เขาได้กล่าวออกไปอย่างนุ่มนวล
แท้จริงแล้วชายผู้นี้คือเจียงหยางป้า ผู้นำตระกูลเจียงหยาง
เจียงหยางป้าเดินไปยังโต๊ะอาหารแล้วนั่งลงด้วยรอยยิ้ม เขามองเจี้ยนเฉินแล้วถามว่า เซียงเอ๋อ เจ้าอยู่ที่นี่มีความสุขดีใช่ไหม?
เจี้ยนเฉินพยักหน้าของเขา ขอรับ!
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงหยางป้า เซี่ยงเอ๋อ หากเจ้ารู้สึกเหมือนถูกปิดกั้นให้อยู่แต่ภายในคฤหาสน์ที่น่าเบื่อแห่งนี้ เจ้าสามารถออกไปหาประสบการณ์ภายนอกด้วยตนเองได้ตามสบาย
ข้าทราบแล้วขอรับ ท่านพ่อ เจี้ยนเฉินตอบ
เจียงหยางป้ารู้สึกมีความสุขมากจนยากที่จะอธิบายออกมา ความฉลาดของเจี้ยนเฉินช่างแตกต่างจากเด็กอายุ 1 ขวบคนอื่น ๆ
การทานอาหารระหว่างครอบครัวเป็นไปอย่างมีความสุข อาหารได้หมดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินได้กลับไปยังห้องของเขา ด้วยอายุประมาณเขา เขาควรที่จะนอนห้องเดียวกับมารดาเขา แต่ว่าเขาได้ร้องขอว่าเขาต้องการห้องของตัวเอง ในเรื่องคำขอนี้เจี้ยนเฉินยืนกรานอย่างแน่วแน่ ไม่เปลี่ยนใจ ท้ายที่สุดไป๋หยุนเทียนจึงต้องยอมทำตามคำขอของเขา
ในคืนนั้นเขาได้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงของเขา มือของเขาทั้งสองข้างวางอยู่บนเข่า ฝ่ามือของเขาหงายขึ้น เขามีท่าทางสงบนิ่งเข้าสู่ขั้นแรกของการฝึกบัญญัติกระบี่นภา
บัญญัติกระบี่นภา ในโลกก่อนสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินได้ฝึกฝนมาถึง 20 ปี และได้กลายมาเป็นอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา มันเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะพลังที่หาได้ยากและน่าเกรงขาม เป็นเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งมาก
บัญญัติกระบี่นภาเป็นสิ่งที่เจี้ยนเฉินพบเจอโดยบังเอิญเมื่อครั้งที่เขายังเป็นเด็ก เขาได้ตกลงไปในหุบเขาขณะที่เล่นอยู่ในภูเขา ด้วยวิธีการอะไรบางอย่างเขาได้รอดชีวิตมาได้โดยตกลงในแอ่งน้ำ เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นเขาก็พบว่าเขาติดอยู่ในถ้ำ มีปลาเพียงอย่างเดียวที่เป็นอาหารของเขา หลังจากค้นพบคัมภีร์เล่มนี้ เขาก็ได้แต่ฝึกฝนวิชานี้ หลังจากฝึกฝนมานับสิบปีเขาก็ได้บรรลุเคล็ดวิชา สามารถออกจากถ้ำนี้ได้
เจี้ยนเฉินเป็นเด็กกำพร้าจากสงคราม เขาได้รับการเลี้ยงดูโดยปู่และย่า นับจากที่เขาติดอยู่ในถ้ำก็ผ่านมานับสิบปี เมื่อเขากลับไปถึงก็พบว่าท่านทั้งสองได้จากเขาไปแล้ว หลังจากเคารพศพพวกเขาทั้งสอง เจี้ยนเฉินได้ออกจากหมู่บ้านบนหุบเขาเล็ก ๆ แล้วออกไปเผชิญโลกเพียงลำพัง
เจี้ยนเฉินยอมรับอะไรก็ตามที่ได้มาจากชีวิตเก่าและยอมรับในชีวิตใหม่ของเขา ด้วยการยอมรับนี้ เขาเริ่มบ่มเพาะพลังและชำระล้างกายเป็นเวลาครึ่งปี เพื่อให้ร่างกายของเขาเตรียมพร้อมที่จะกลับมาแข็งแกร่งดังเดิม
ทันใดนั้นกระบี่ในมือของเจี้ยนเฉินเริ่มที่จะควบคุมตัวมันเอง มันเหมือนกับว่ากระบี่ยาวเล่มนี้มีชีวิตจิตใจของมันเอง กระบี่ได้พุ่งตรงไปยังต๊กโกวคิ้วป่ายราวกับสายฟ้าฟาด ด้วยความเร็วสูงมาก ๆ
ความเร็วของกระบี่นั้นน่าเหลือเชื่ออย่างมาก ตอนที่ต๊กโกวคิ้วป่ายตั้งรับนั้นกระบี่ก็ได้มาถึงลำคอของเขา กระบี่เล่มนี้มีปราณกระบี่ที่รุนแรงไม่ธรรมดานัก ต๊กโกวคิ้วป่ายตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวขณะที่กระบี่ได้เจาะทะลวงคอของเขา หลังจากสิ้นสุดการโจมตี หมอกได้ปรากฎขึ้นที่ด้ามจับของกระบี่ หมอกนั้นหมุนวนกลางอากาศชั่วครู่ ก่อนที่กระบี่จะกลับมาสู่มือของเจี้ยนเฉิน
หลุมขนาดเท่ากำปั้นปรากฏขึ้นช้า ๆ ตรงบริเวณกลางของลำคอของต๊กโกวคิ้วป่าย ปลายกระบี่ได้ขยายบาดแผลออกในขณะที่มันแทงผ่านคอต๊กโกวคิ้วป่าย บาดแผลได้ขยายตัวขึ้น ถ้าหากไม่เป็นเช่นนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่กระบี่เล่มบางจะสามารถสร้างบาดแผลใหญ่ขนาดนั้นได้
ดวงตาของต๊กโกวคิ้วป่ายเบิกกว้างขณะที่เขาจ้องมองกระบี่อย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่มองเห็น หลังจากนั้นมันได้เห็นการกระทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เขาได้ขยับปากอย่างช้า ๆ พยายามที่จะพูดบางอย่าง แต่โชคร้ายที่ลำคอของเขาได้ถูกแทงทะลุทำให้เขาพูดไม่ออก ด้วยการมองครั้งสุดท้ายอย่างไม่อยากเชื่อและสยอง เขาได้ทรุดลงบนพื้นและไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย
เจี้ยนเฉินจับกระบี่ของเขาเงียบ ๆ ก่อนที่เขาจะมองไปยังศพของต๊กโกวคิ้วป่าย เสียงสำลักลมหายใจได้ออกมาจากปากของเขา มันเป็นลางร้าย เขาไม่คิดว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต เขาสามารถที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพกระบี่ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไร้ค่า ขณะที่ตัวของเขาเองใกล้จะจบสิ้นลง
เขาถอนหายใจออกมา ตาของเจี้ยนเฉินค่อย ๆ พร่ามัวลงเรื่อย ๆ แม้ว่าเขาได้ทะลวงได้เพิ่มขีดความสามารถแก่ร่างกายเขาแล้ว มันเป็นการยากที่จะหลีกหนีความตายพ้นได้ โดยเฉพาะเมื่ออวัยวะภายในถูกแทงเช่นนี้
หลังจากนั้นไม่นาน เจี้ยนเฉินได้ตกตายตามต๊กโกวคิ้วป่ายไปยังภพหน้า ร่างของเขาร่วงหล่นสู่พื้นและได้ตกลงสู่เหว
หลังจากที่เจี้ยนเฉินร่วงหล่นไป บริเวณที่เขาและต๊กโกคิ้วป่ายได้ร่วงไปนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างมาก มันเหมือนกับยอดเขาที่มีรูปร่างคล้ายกระบี่เกิดเสียงดังออกมา ได้สั่นสะเทือนถึงสวรรค์และได้แยกออกจากกัน ก้อนหินขนาดใหญ่และก้อนหินอื่น ๆ ได้ร่วงหล่นสู่เชิงเขา เกิดหิมะถล่มในทุกทิศทาง ท้องฟ้าได้เปลี่ยนเป็นสีม่วงและสีเขียว และสวรรค์กับปฐพีได้ส่องสว่าง สีต่าง ๆ สลับสับเปลี่ยนไปมาและผสมผสานกันจนกลายเป็นภาพที่งดงามยิ่ง มันน่าเสียดายที่เจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายต่างไม่รอดชีวิตที่จะได้เห็นมันภายหลังจากนี้……
ภายในคฤหาสน์ที่หรูหราและกว้างใหญ่ ภายในห้องได้รับการตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม ด้านนอกห้องกลุ่มคนได้รวมตัวกันอยู่ มีชายหนุ่มผู้เดินไปมาอย่างกระสับกระส่ายที่หน้าประตู ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เขาดูอายุราวสักสามสิบปีและเขามีออร่าที่สูงส่ง แม้ว่าเขายังอายุไม่น้อย ผู้อื่นก็สามารถเห็นได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นชายหนุ่มรูปงามในอดีต เขาได้สวมชุดฉางเป่าเงินลายทองซึ่งทำให้เขาดูหล่อเหลายิ่งขึ้น และให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของคฤหาสน์ ใบหน้าของเขาดูเด็ดเดี่ยว แม้แต่คิ้วยังขมวดเข้าหากันจนแน่น
ห่างออกไป 3 เมตรจากห้อง กลุ่มคนสามสิบคนตั้งแต่หนุ่มยันแก่ ต่างยืนเรียงรายอย่างกระวนกระวาย ผู้ที่อาวุโสของกลุ่มนี้อยู่ในวัย 60-70 ปี ด้วยผมสีขาวและใบหน้าเหี่ยวย่น อย่างไรก็ตาม แม้อายุของเขาเป็นเช่นนี้ แต่ดวงตาของพวกเขานั้นสามารถทำให้ผู้คนสั่นไหวราวกับแสงจากพระเจ้าที่ซึ่งประหัตประหารผู้คน จำนวนผู้คนที่หวาดกลัวว่าจะโดนพวกเขาทำร้ายนั้นมากมาย ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถที่จะปฏิบัติต่อเขาเหมือนคนแก่ที่อ่อนแอไปได้เสียทั้งหมด แต่ชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งและสมบูรณ์ด้วยพละกำลังของพยัคฆ์และมังกรผสานกัน และคนของเขาอายุราว ๆ 30-40 ปี ดูภูมิฐานและดวงตาไม่ได้บอกถึงสิ่งใด ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว มันชัดเจนว่ากลุ่มนี้ไม่ใช่กลุ่มของคนสามัญทั่วไป
และภายในห้องที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นมา
ฮูหยิน เบ่งต่อไปเจ้าค่ะ ทารกกำลังจะออกมาแล้ว ข้าขอย้ำอีกครั้งว่า ทารกกำลังจะออกมาแล้วเจ้าค่ะ… หญิงสูงวัยกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งเต็มไปด้วยความร้อนใจ ผู้ที่ได้ยินเสียงนี้สามารถบอกได้ว่าเจ้าของเสียงเป็นหญิงสูงวัย
ภายนอกห้อง ชายวัยกลางคนผู้ที่กำลังเดินไปมาด้วยความวิตกกังวลได้ตัวแข็งทื่อ และพูดอย่างเร่งรีบว่า ไฮ้!…..นี่ผ่านมาทั้งวันทั้งคืนแล้ว หยุนเอ๋อร์ยังไม่คลอดอีกหรือ หากยืดเยื้อมากกว่านี้ ข้ากลัวว่าหยุนเอ๋อร์อาจจะประสบปัญหาก็ได้ แม้กระทั่งเสียงของชายผู้นี้ยังเต็มไปด้วยความกังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
นายท่าน อย่าได้เป็นกังวลมากนัก ฮูหยินจะต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน ท่านลืมแล้วหรือว่าฮูหยินเป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญแสง ผู้อาวุโสผมขาวพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ แต่ใบหน้าของเขายังไม่อาจซ่อนความเป็นกังวลไว้ได้
เอ๊ะ… เจ้าของคฤหาสน์ในชุดฉางเป่าเริ่มถอนหายใจออกมาอีกคราซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความกังวลและกระวนกระวายบนใบหน้าไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย
ในที่สุด หลังจากที่หลาย ๆ คนได้รออยู่ข้างนอกกว่าหนึ่งชั่วยาม เสียงตื่นเต้นได้ออกมาจากภายในห้อง นายท่าน นายท่าน! ฮูหยินหยุนเอ๋อร์คลอดแล้ว! นางคลอดบุตรอย่างปลอดภัย! และยังเป็นถึงทารกเพศชาย ! น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดังก้องไปทั่วบ้าน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนที่กำลังรอด้วยท่าทีกังวลได้กลายเป็นอ้าปากค้าง ความวิตกกังวลบนใบหน้าของเขาได้ถูกแทนที่ด้วยความปิติยินดี เขาเดินมาอย่างเป็นสุข เขาไม่รู้จะพูดคำใดออกมาในตอนนี้ และเขาเปิดประตูอย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่มีประตูอยู่แต่แรก ความเร็วของเขานั้นไม่น่าเชื่อ ไม่มีชายคนใดที่จะสามารถดึงประตูได้เร็วเท่าที่เขาได้กระทำลงไป
ชายวัยกลางคนได้มาอยู่ข้างเตียงในชั่วอึดใจและนั่งลงข้าง ๆ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วงสตรีที่นอนอยู่บนเตียง หยุนเอ๋อร์ เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง? เจ้าทำได้ดีมาก แม้ว่าเขาจะตื่นเต้นแต่น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความกังวล
บนเตียงมีสตรีวัยยี่สิบปลาย ๆ รูปลักษณ์ของนางงดงามล่มเมือง ใบหน้าของนางซีดดูเหนื่อยอ่อนมากและมีเหงื่อไหลออกมา แต่ก็ยังคงดูดีอยู่
สตรีผู้นี้มองไปยังชายที่อยู่ข้าง ๆ นางด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนและยิ้มให้ ท่านพี่ ขอข้าดูหน้าลูกหน่อย
โอ้! ได้สิ! ตราบเท่าที่หยุนเอ๋อร์ไม่เป็นอะไร ชายคนนั้นยิ้มด้วยความปิติยินดี เขาได้หันไปมองเด็กที่ห่อด้วยผ้าในอ้อมแขนของหมอตำแย ตอนที่เขากำลังจะพูด คิ้วของหมอตำแยขมวดเข้าหากันและใจจดใจจ่อกับทารกที่กำลังอุ้มอยู่ แขนของนางแข็งทื่อและพูดพึมพำออกมา ร้องสิเจ้าหนูน้อย ร้องออกมาสิเจ้าหนูน้อย เป็นอะไรไปเหตุใดเจ้าไม่ร้อง? มันแปลกอะไรอย่างนี้ ข้าทำคลอดเด็กมามากมาย และแม้ว่ายังไม่ถึงพันแต่ข้าก็ช่วยทำคลอดมากว่าเก้าร้อยครั้ง อย่างไรก็ตามนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเด็กแรกเกิดไม่ร้องไห้
แต่ในเวลาเดียวกับที่หมอตำแยพูด ชายทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกได้เข้ามาในห้อง แต่ละคนมีรอยยิ้มอยู่บนหน้าของพวกเขา บางคนในกลุ่มพวกเขาได้เริ่มแสดงความยินดีต่อสตรีที่อยู่บนเตียง
ชายวัยกลางคนยังคงยิ้มกว้างและพูดกับสตรีว่า หยุนเอ๋อร์ เจ้าพักผ่อนก่อนนะ ข้าจะพาลูกมาเดี๋ยวนี้ล่ะ ชายคนนั้นได้ลุกขึ้นและเดินไปหาหมอตำแย มีอะไรรึ? มีปัญหาอันใดเกี่ยวกับเด็กงั้นรึ? เสียงของชายผู้นี้ลดต่ำลงเล็กน้อย บางครั้งเด็กที่เพิ่งเกิดมาอาจมาพร้อมโรค เรื่องขึ้นนี้มันไม่ได้ผิดปกติและมันเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เขากลัวว่าเด็กที่เกิดมาใหม่นั้นจะเกิดมาพร้อมกับปัญหาบางอย่าง
เมื่อได้ยินคำถามของเขา ใบหน้าของหมอตำแยเต็มไปด้วยความกังวลขณะที่มองไปยังเขาและพูดด้วยความเคารพว่า นายท่าน นายน้อยไม่มีปัญหาอันใด ข้าเพียงแค่รู้สึกไปเอง ด้วยประสบการณ์กว่าสิบปีของข้า เด็กที่คลอดใหม่ทุกคนจะร้องเสียงดังกันหมด มีเพียงนายน้อยเท่านั้นที่ต่างออกไป ดูนี่สิคะ แม้ว่าเขาจะเพิ่งกำเนิดมา เขาไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ เหตุการณ์เช่นนี้มันแปลกมากเจ้าค่ะ
หน้าผากของชายคนนั้นมีรอยย่นขึ้นมา เขามองไปที่ทารกที่ห่อผ้าอยู่ ดวงตาทารกส่องประกายบริสุทธิ์ไร้เดียงสา พวกเขาได้มองเด็กคนนี้ไปทั่วร่างกาย จากที่เขามองระยะหนึ่งและครู่ต่อมาเขาก็มองมาอีกครั้ง เด็กคนนี้ช่างน่ารักมาก ๆ และจากที่มองเขาแล้วไม่น่าที่จะเกิดปัญหาใดกับเขา
อย่างไรก็ตามชายคนนี้ไม่ได้สังเกตว่าภายในส่วนลึกของดวงตาที่เป็นประกายของทารกนั้นไม่ได้ไร้เดียงสา ในความเป็นจริง ดูเหมือนว่าดวงตาของทารกผู้นี้นั้นเต็มไปด้วยบางอย่างมากมาย โดยที่หากเขาสังเกตเห็น เขาคงไม่อยากเชื่อมัน
เมื่อเขาวางมือเหนือทารก เขาได้เห็นถึงแสงสีเหลือง ทันใดนั้นมันได้ลอยรอบ ๆ มือของทารก
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของชายวัยกลางคน ใบหน้าของหมอตำแยกลายเป็นไม่สบายใจ นางเป็นเพียงแค่หมอตำแย เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม แต่นางกลัวว่าหากมีปัญหาเกิดขึ้นกับเด็ก หากเป็นเช่นนั้น ชายคนนี้ก็จะโทษนางและหากนางไม่สามารถที่จะชดใช้ได้ แม้ในความจริงเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนางทางใดทางหนึ่ง นางก็ไม่มีอำนาจใดที่จะกล่าวเป็นอย่างอื่นได้
ชายคนนั้นรีบดึงมือกลับ ในใจของเขาในที่สุดก็สบายใจเสียที รอยยิ้มกลับมาที่ใบหน้าของเขาอีกครั้งและหัวเราะออกมา ลูกของข้าปลอดภัยดี และดูเหมือนว่าจะไม่มีปัญหาใด ๆ ด้วย เขารับห่อผ้าไปจากหมอตำแยและหัวเราะอีกครั้ง
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหมอตำแยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อัตราการเต้นของหัวใจนางกลับกลายเป็นปกติ แม้แต่นางก็หัวเราะออกมาอย่างตื่นเต้น ที่นายท่านกล่าวมานั้นถูกต้องแล้ว บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่แสดงถึงอนาคตของนายน้อยเจ้าค่ะ เขาจะต้องกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งและเป็นบุคคลที่มีเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวในยามเมื่อเขาได้เติบโตขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ
เมื่อเขาฟังคำพูดของหมอตำแย ได้รู้ว่าคำพูดนี่มันยังคลุมเครืออย่างมาก แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะหัวเราะ ใช่ ใช่ ใช่แล้ว ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น ใครก็ได้มานี่ซิ! นำรางวัลให้แก่หมอตำแยหง เป็นเงิน 100 เหรียญทอง
ใบหน้าของหมอตำแยเกิดความปิติยินดีขึ้นมา และพูดออกมาในทันที ขอบพระคุณนายท่าน ขอบพระคุณนายท่านจริง ๆ เจ้าค่ะ
ผู้เป็นบิดานำทารกไปสู่เตียงของผู้เป็นมารดาและยิ้ม หยุนเอ๋อร์ ดูนี่สิ! นี่คือลูกของพวกเรา ดูสิว่าเขาน่ารักแค่ไหน!
หยุนเอ๋อร์อุ้มเด็กอย่างทนุถนอมและจูบลงบนหน้าผากและพูดอย่างมีความสุข ท่านพี่ ในเมื่อลูกของพวกเราเป็นผู้ชาย ตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ พวกเราจะเรียกเขาว่า เจียงหยาง เซียงเทียน
สามีได้หัวเราะอีกครั้งและพูดว่า ไม่เลวเลย ข้าขอประกาศอย่างเป็นทางการว่า ชื่อของเด็กคนนี้คือ เจียงหยาง เซียงเทียน! ข้าขอเชิญแขกทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ พรุ่งนี้จะจัดงานฉลองเพื่อเป็นเกียรติแก่บุตรชายของข้า! พวกเราจะจัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่……
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปี ด้านหน้าทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งสูงไม่ถึงเมตรได้ยืนอยู่ด้วยท่าทางว่างเปล่า ดวงตาทั้งสองของเขาได้จับจ้องไปยังก้อนหินกลางทะเลสาบอย่างตั้งอกตั้งใจ เด็กน้อยคนนี้สวมเสื้อผ้าหรูหรา แต่ใบหน้าเขาดูหลากหลายอารมณ์ปะปนกัน เป็นเรื่องแปลกประหลาดที่จะพบเห็นในเด็กวัยหนึ่งขวบ
แน่นอนว่าเด็กคนนี้คือ เจียงหยาง เซียงเทียน และขณะนี้ความคิดของเขามีฉากที่กำลังเล่นอยู่ตลอดเวลา ราวกลับว่าได้ดูหนังม้วนหนึ่ง และเขาสามารถเห็นถึงภูเขาที่มีรูปร่างเหมือนกระบี่ยักษ์สองเล่ม อีกภาพหนึ่งได้ปรากฎขึ้นที่ห้วงความคิดของเขา เป็นภาพชายหนุ่มหน้าตาดีอายุยี่สิบปีและกระบี่เล่มหนึ่ง และภาพของต๊กโกวคิ้วป่ายได้ผ่านการต่อสู้มาตลอดร้อยปี ในที่สุดช่วงเวลาที่เขากำลังจะตาย เขานึกขึ้นได้ว่าได้ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพกระบี่ หลังจากนั้นเขาจำได้ว่าได้แทงทะลุลำคอของต๊กโกวคิ้วป่าย และจบลงด้วยความตายของทั้งสองฝ่าย
ท่ามกลางเทือกเขาที่ทอดยาวดูราวกับไร้ที่สิ้นสุด ภายใต้เมฆที่ล่องลอยเหนือภูเขา มีภูเขาที่มีรูปร่างคล้ายกระบี่สองเล่มปักอยู่ ตั้งตระหง่านอยู่ที่ความสูงราว 10,000 ฟุต และกว้างราว 100 เมตร
ภูเขารูปร่างเหมือนกระบี่ทั้งสองเล่มนี้สูงชันเป็นอย่างมากและดูคล้ายกับเทพสององค์ได้ปักกระบี่ของพวกเขาลงบนพื้นพิภพ ที่ซึ่งไม่มีทางที่ผู้คนจะปีนป่ายขึ้นมาบนภูเขาแห่งนี้ได้
ณ จุดสูงสุดของยอดเขาทั้งสองนี้ ยอดเขาทั้งสองนี้ห่างกันไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร มันถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาซึ่งบดบังวิสัยทัศน์ แต่อย่างไรก็ถึงมันจะพร่ามัว แต่มันก็ยังคงที่จะสามารถมองเห็นคนสองคนยืนอยู่เหนือภูเขาที่ตั้งตระหง่านนั้นด้วยท่าทีสงบและนิ่งงัน ราวกับรูปปั้นหิน มีเพียงเสื้อผ้าของพวกเขาที่ปลิวไสวไปตามสายลมซึ่งพัดกระหน่ำจากบนฟากฟ้า
ระหว่างชายสองคน คนหนึ่งเป็นเพียงชายหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบปี ชายหนุ่มมีใบหน้าที่หล่อเหลางดงามอย่างไร้ที่ติ อาจกล่าวได้ว่ารูปโฉมของเขานั้นเป็นที่ต้องตาของสตรีทั่วโลก ภายใต้ดวงตาที่แสนจะอ่อนโยนนั้นมีเสน่ห์น่าดึงดูดใจเป็นพิเศษ คล้ายกับว่ามันจะสามารถครอบงำจิตวิญญาณใครก็ได้
ชายหนุ่มมีผมดำยาวถึงเอว มันไม่ได้ถูกมัดไว้ มันถูกปล่อยให้พริ้วไปมาอย่างอิสระตามกระแสลมที่รุนแรงราวกับกำลังร่ายรำ ด้านหลังของเขามีกระบี่หนึ่งเล่มที่ซึ่งถูกห่อด้วยผ้าสีขาว ส่วนด้ามกระบี่ที่เผยออกมามีความงดงามประณีตเป็นอย่างมาก สลักไว้ด้วยสองคำอย่างชัดเจน วายุโปรย แต่ที่น่าประหลาดคือ กระบี่เล่มนี้ไม่ได้ผูกติดกับอะไร แต่สามารถติดอยู่บนหลังของชายหนุ่มได้โดยไม่ตกลงมา ยากที่จะอธิบายได้
ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าเจี้ยนเฉิน เขาได้รับสมญานามว่า เทพกระบี่ นามนั้นเป็นที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และยุทธภพ ด้วยเพลงกระบี่ที่รวดเร็วและสมบูรณ์แบบ อาจถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์กระบี่ในหมู่คนรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้ว่าเขาอายุเพียงยี่สิบปี เขาก็ได้ก้าวผ่านขอบเขตที่เหนือกว่าผู้อื่น
รายละเอียดเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินนั้นไม่ได้เป็นที่รู้จักกันมากนักในเจียงหู่ นอกจากทราบเพียงว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มกำพร้าและไม่ได้สังกัดสำนักหรือนิกายใด ความเป็นมาของเขานั้นยังคงเป็นปริศนา และไม่รู้ว่ารูปแบบอันแข็งแกร่งของวิทยายุทธหรือแม้กระทั่งเพลงกระบี่นั้น เขาได้เรียนรู้มาจากที่ใด
ในภูเขาอีกด้านหนึ่งที่ไกลจากเด็กหนุ่มไปไม่ถึงร้อยเมตร มีชายแก่ที่ซึ่งอายุราว 50-60 ปี เขามีร่างกายใหญ่โตสวมเสื้อทับด้วยเสื้อคลุมสีดำ ดวงตาที่มีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ มันส่องประกายออกมา สายตาของเขาเฉียบคมดั่งใบมีดที่คมกริบ ทำให้ไม่มีใครกล้ามองเขาตรง ๆ ในมือของชายแก่คนนี้คือกระบี่เล่มใหญ่สีดำ แต่ที่น่าประหลาดใจคือกระบี่ใหญ่เล่มนั้นเป็นกระบี่ไร้คม
ชายแก่คนนี้มีนามว่า ‘ต๊กโกวคิ้วป่าย’ เขาเป็นคนที่หายตัวไปจากยุทธภพมากว่า 100 ปีแล้ว ชื่อต๊กโกวคิ้วป่ายเป็นเพียงแค่ฉายาเท่านั้น ไม่มีผู้ใดทราบถึงชื่อและตัวตนที่แท้จริง เพราะว่าในหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา เขาได้เอาชนะผู้คนที่แข็งแกร่งและอัจฉริยะหาตัวจับยากมามากมายนับไม่ถ้วน จนถึงวันนี้คนที่ทราบข้อมูลของต๊กโกวคิ้วป่ายและยังมีชีวิตรอดอยู่ก็ดูจะเหลือน้อยเต็มที ถึงกระนั้นชื่อเสียงของเขานั้นได้ส่งผ่านจากรุ่นสู่รุ่น หนึ่งร้อยปีมานี้ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มมากขึ้น จนตอนนี้ไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน
ในความเงียบงัน ต๊กโกวคิ้วป่ายมองไปยังเจี้ยนเฉินที่อายุราว 20 ปี ซึ่งอยู่ห่างราวหนึ่งร้อยเมตร สายตาของเขาคมกริบดุจใบกระบี่และในบางครายังส่องประกายเยือกเย็น
เจี้ยนเฉิน แม้ว่าเจ้ายังเยาว์วัยนัก แต่ความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าข้าเลย เจ้าประสบความสำเร็จในเส้นทางสายกระบี่ สิ่งที่ข้ายังได้แต่หวัง แต่ช่างน่าเสียดายที่เจ้าสังหารศิษย์รักเพียงคนเดียวของข้า ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่น ข้าจำเป็นต้องแก้แค้นให้เขา วันนี้ข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้แก่ศิษย์ข้า ต๊กโกวคิ้วป่ายกล่าวอย่างหนักแน่น น้ำเสียงที่เคยสงบก่อนหน้านี้ กลับเริ่มเต็มไปด้วยความกระหายเลือดอันน่าหวาดหวั่นที่ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นกลัว
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินสงบนิ่งเขามองไปยังต๊กโกวคิ้วป่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน เสื้อคลุมยาวสีขาวกระพือไปตามกระแสลม ผมที่ยาวถึงเอวโบกพัดไปมาราวกับกำลังเริงระบำ
จะตำหนิข้าในเรื่องนั้นไม่ได้ ศิษย์ของท่านรนหาที่ก่อน หากแต่สิ่งเดียวที่ท่านควรตำหนิก็คือ ศิษย์ท่านฝีมืออ่อนด้อยเอง จนกระทั่งมันต้องตายด้วยกระบี่ของข้า ริมฝีปากของเจี้ยนเฉินเปิดเล็กน้อยและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวล
ต๊กโกวคิ้วป่ายหัวเราะด้วยความโกรธ เยี่ยม เยี่ยมยอด ฝีมืออ่อนด้อยเช่นนั้นรึ? ในวันนี้ข้าขอว่าเจ้ามีประสบการณ์มากแค่ไหน ให้ชายแก่คนนี้ได้เห็นสิว่ากระบี่ ‘วายุโปรย’ ของเจ้าจะสามารถสังหารข้าได้เช่นไร
ขณะที่กล่าวต๊กโกวคิ้วป่ายได้ตวัดกระบี่ของเขา ปรานณกระบี่อันแรงกล้าจำนวนมากไหลพุ่งออกจากตัวกระบี่ไปหาเจี้ยนเฉินซึ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรราวกับสายฟ้าฟาด
เจี้ยนเฉินมีใบหน้าเยือกเย็น กระบี่ได้ถูกชักออกจากฝักเป็นกระบี่สองคมยาว 1.3 เมตร กว้าง 2 นิ้วส่องประกายสีขาวนวล จากนั้นกระบี่ของเขาได้แทงออกไปอย่างรวดเร็ว ปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งพุ่งเข้าหาปราณกระบี่ที่ต๊กโกวคิ้วป่ายส่งมาด้วยความเร็วที่ไม่สามารถมองเห็นได้
ปัง…..!!
ปราณกระบี่ทั้งสองปะทะกัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ระลอกพลังที่แข็งแกร่งแผ่กระจายออกไปทั่วทิศทาง ทำให้หมอกและเมฆโดยรอบจางหายไป
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกัน พวกเขาทะยานออกจากยอดเขาในตอนแรกมายังจุดกึ่งกลางของยอดเขาทั้งสองและเริ่มการต่อสู้กันอย่างดุเดือดกลางเวหา
กระบวนท่าโจมตีของพวกเขารวดเร็วมาก เสียงจากการปะทะและเสียดสีกันของอาวุธดังกังวานไร้สิ้นสุด บริเวณที่พวกเขาต่อสู้มีปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งพวยพุ่งออกมาทุกทิศทาง ก่อให้เกิดหลุมขนาดยักษ์บนยอดเขาซึ่งรายล้อมพวกเขาอยู่ เศษหินนับไม่ถ้วนได้ตกสู่พื้นด้านล่างจากความสูงราวพันเมตร
เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ เจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายได้ปะทะกันนับหลายร้อยกระบวนท่า จากนั้นทั้งคู่ได้เหาะกลับไปยังยอดเขาเดิมอีกครั้ง แต่เดิมเสื้อผ้าของพวกเขานั้นไม่มีร่องรอยความเสียหายแต่ตอนนี้ปรากฏร่องรอยฉีกขาดมากมาย
ต๊กโกวคิ้วป่ายมีท่าทางจริงจัง กระบี่ที่รวดเร็วนั่นมันอะไรกัน ไม่สงสัยเลยว่าทำไมผู้คนในเจียงหู่ถึงไม่มีใครสามารถเอาชนะเจ้าได้ แต่ทว่ามันไร้ประโยชน์เมื่ออยู่ต่อหน้าข้า ต๊กโกวคิ้วป่ายชะงักก่อนพูดต่อว่า ถ้ายังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไป คงยากที่จะตัดสินผลแพ้ชนะ ข้าว่าพวกเราควรตัดสินกันด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว โดยใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุด ทันใดนั้นต๊กโกวคิ้วป่ายได้ระเบิดพลังออกมา มันดูเหมือนกระบี่ขนาดยักษ์พุ่งทะลุสู่ท้องฟ้า
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนเป็นจริงจัง จากนั้นเขาได้ปลดปล่อยพลังจำนวนมากออกมา ไม่ด้อยไปกว่าต๊กโกวคิ้วป่ายเลย
คลื่นพลังของทั้งสองเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปกคลุมท้องฟ้าและพื้นดิน เติมเต็มไปทั่วอาณาเขต คลื่นพลังของทั้งสองแผ่เข้าปกคลุมภูเขาทั้งลูก แม้แต่เมฆบนท้องฟ้าก็ได้กลายไปเป็นหลุมขนาดใหญ่จากพลังของทั้งสองคน กระแสลมอันบ้าคลั่งเริ่มส่งเสียงกรีดร้อง เสียงบาดแก้วหูคล้ายกับภูติผีกำลังร่ำไห้อยู่ในกระแสลม ด้านล่างในป่ามีสัตว์ป่าจำนวนนับไม่ถ้วน ส่งเสียงกรีดร้องด้วยความสะพรึงกลัว พวกมันวิ่งหนีออกไปจากอาณาเขตให้ไกลที่สุดเท่าที่พวกมันจะทำได้ ความแข็งแกร่งของพวกเขากำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมพร้อมปลดปล่อยกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา
แกร๊ก….แกร๊ก…..!!
ไม่ไกลจากภูเขา ต้นไม้ขนาดเล็กไม่อาจต้านทานพลังของทั้งสองได้ มันได้หักและแตกเป็นชิ้น ๆ มันได้ปลิวขึ้นฟ้าแล้วลอยไปจากที่แห่งนั้น
ขณะที่พลังของเจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายกำลังพุ่งทะยานขึ้น กระแสพลังปราณที่ไหลเชี่ยวอยู่รอบตัวพวกเขา ทำให้ต้นไม้ใบหญ้าในอาณาเขตต่างถูกกดลงบนพื้นต่อหน้าพวกเขา แม้กระทั่งต้นไม้ขนาดใหญ่ยังเริ่มสั่นไหว
ในเวลาเดียวกันกระบี่วายุโปรยในมือของเจี้ยนเฉินได้เปล่งแสงสีขาว ในขณะที่กระบี่หนักของต๊กโกวคิ้วป่ายได้ปรากฏแสงสีดำมันวาว
พลังปราณที่หมุนเวียนรอบชายทั้งสองได้แข็งแกร่งขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นอีก จนกระทั่งร่างกายของเจี้ยนเฉินปกคลุมด้วยแสงสีขาวโดยสมบูรณ์ ขณะที่ร่างของต๊กโกวคิ้วป่ายปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ ทั้งสองได้จางหายไป เหลือเพียงลำแสงที่มีสีตัดกัน
ชิ้ง !!
กระบี่วายุโปรยปรายของเจี้ยนเฉินได้ถูกเติมเต็มไปด้วยแสงแห่งความรุ่งโรจน์ กระบี่ของเขาเริ่มสั่นไหวจากปราณกระบี่ที่ทรงพลังจนใครก็ต้องรู้สึกตกใจและทนไม่ไหว ผมและเสื้อคลุมสีขาวของเขากระพือไปตามกระแสลมอย่างบ้าคลั่ง ร่างของเขาลอยค้างอยู่กลางอากาศ มองดูคล้ายกับเทพสงครามที่แข็งแกร่งจนไม่สามารถเอาชนะได้
ความแข็งแกร่งของทั้งสองเพิ่มจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นพวกเขาคำรามออกมาอย่างบ้าระห่ำ เสียงคำรามได้สั่นสะเทือนสวรรค์ราวกับฟ้าผ่า ทันใดนั้น แสงสีขาวอันงดงามและแสงสีดำมืดมัวได้เข้าปะทะกันด้วยความเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่มีเสียงใด ๆ เกิดขึ้น เมื่อทุกอย่างได้สงบลง เจี้ยนเฉินและต๊กโกวคิ้วป่ายได้ยืนสลับตำแหน่งกัน พวกเขาทั้งสองต่างมีสีหน้าซีดเซียว บนหน้าอกของเจี้ยนเฉินได้มีเลือดไหลทะลักออกมา ทันใดนั้นมันได้ย้อมเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธ์ให้กลายเป็นสีแดง จากการปะทะกันครั้งนี้ กระบี่หนักของต๊กโกวคิ้วป่ายได้แทงทะลุหัวใจของเจี้ยนเฉิน
เช่นเดียวกัน ต๊กโกวคิ้วป่ายได้สูญเสียแขนขวาของเขาไป ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถจับกระบี่ได้อีกต่อไป กระบี่หนักของเขาได้ร่วงหล่นลงไปจากหน้าผาด้านใต้กว่าพันเมตร ในเวลาที่เขาได้แทงทะลุหัวใจเจี้ยนเฉิน เขาต้องสูญเสียแขนขวาของเขาเป็นการแลกเปลี่ยน
เจี้ยนเฉินยืนอย่างสงบบนยอดเขา เลือดได้พุ่งออกจากปาก ใบหน้าของเขาซีดลงเรื่อย ๆ เพียงแค่เวลาไม่นานใบหน้าของเขาก็ได้ซีดราวกับกระดาษ หัวใจของเขาได้ถูกแทงโดยกระบี่ของต๊กโกวคิ้วป่าย ความตายกำลังจะมาเยือนเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
ฮ่าฮ่าฮ่า… ทันใดนั้น ต๊กโกวคิ้วป่ายที่ยืนอยู่บนยอดเขาก็หัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า เจี้ยนเฉิน ด้วยความสามารถระดับเจ้า ถ้าให้เวลาอีกไม่กี่ปีเจ้าก็สามารถเอาชนะข้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่น่าเสียดาย แม้ตอนนี้เจ้าจะแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าข้า เจ้าก็ยังคงต้องตายด้วยน้ำมือของข้า เมื่อพูดถึงตรงนี้ ต๊กโกวคิ้วป่ายถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ เฮ้อ….ต้องให้คนแก่เช่นข้ามาเห็นอัจฉริยะได้ตายลง ช่างเป็นอะไรที่น่าเศร้า แต่ว่าข้าจำเป็นต้องทำ เพื่อแก้แค้นให้ศิษย์ของข้า
การรับรู้ของเจี้ยนเฉินเริ่มช้าลง เขาได้ถูกตัดขาดจากพลังแห่งชีวิต เขาปิดตาของเขา ในตอนนั้นความเงียบสงบได้มาเยือนเขา สำหรับเขา ความตายไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างใด หลังจากที่เขาได้ออกเดินทางหลายปีไปทั่วยุทธภพ เขาได้สังหารผู้คนไปมากมาย จนเขารู้สึกชินชา ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่ยังหลงเหลือในใจของเขาคือเขาไม่มีโอกาสที่จะได้บรรลุถึงจุดสุดยอดในเส้นทางกระบี่
ขณะที่เจี้ยนเฉินดำดิ่งลงไปในตัวของเขา ทันใดนั้นก็ได้มีความรู้สึกแปลกประหลาดเข้ามาในใจของเจี้ยนเฉิน มันเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ วิญญาณของเจี้ยนเฉินได้หลอมรวมเข้ากับกระบี่เล่มยาวของเขา เขาคือกระบี่ กระบี่คือเขา ทั้งสองล้วนไม่แตกต่างกัน ในที่สุดกระบี่ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของเขา
ในขณะเดียวกัน พลังงานบริสุทธิ์จำนวนมหาศาลได้ตกลงมาจากท้องฟ้า พุ่งไปยังจิตใจของเขา มันรวมเข้ากับจิตวิญญาณของเจี้ยนเฉินได้อย่างสมบูรณ์แบบ พลังงานโลกได้ไหลเข้าสู่เขาอย่างต่อเนื่อง เจี้ยนเฉินรู้สึกได้ว่า จิตวิญญาณ ของเขาแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็ว ทันใดนั้นวิญญาณของเขาได้ออกจากร่าง ขึ้นไปอยู่บนภูเขาสิ้นสุด ในขณะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในระยะห้าพันเมตรปรากฏขึ้นชัดเจนในใจของเขา แม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของยุงตัวหนึ่งบนพื้นดิน ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
ในขณะที่เขาใกล้จะตายนั้น เขาก็ได้บรรลุขั้นสูงสุด