ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇) – บทที่ 116 สืบข่าว

บทที่ 116 สืบข่าว

อวี้ถังและอวี้หย่วนค้อมศีรษะไม่พูดจา

พวกเขาไหนเลยจะรู้ว่ามีคนโยนเรื่องมาทางเผยเยี่ยนเช่นนี้!

อวี้เหวินโมโหเหลือทน แต่ยามนี้พวกเขายังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลเผย คนเฝ้าประตูและผู้คนที่ผ่านไปมาต่างมองมาทางพวกเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกเขาก็ไม่อาจยืนอยู่ที่นี่นานนัก อวี้เหวินทำได้เพียงสั่นศีรษะ เอ่ยอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก  ยังยืนอยู่ที่นี่ทำไมอีก ตามข้ากลับไปเดี๋ยวนี้! 

ทั้งสองคนราวยกภูเขาออกจากอก อวี้ถังเข้าไปบีบนวดแขนให้บิดาทันที เขย่าอย่างออดอ้อน ด้านอวี้หย่วนก็รีบไปเรียกคนแบกเกี้ยวที่หยุดไม่ไกลจากประตูจวน  รีบเข้ามา พวกเราจะกลับกันแล้ว! 

คนแบกเกี้ยวกุลีกุจอยกเกี้ยวเข้ามา

อวี้เหวินเห็นก็ยิ้มอย่างจนใจ ขึ้นเกี้ยวโดยมีอวี้ถังและอวี้หย่วนขึ้นติดตามมา

อวี้หย่วนเพิ่งจะแต่งงาน กำลังอยู่ในช่วงที่หวานชื่นกับคนสกุลเซียง เมื่อก่อนหากเป็นยามนี้เขาจะนั่งพักที่เรือนของอาเขาอยู่พักใหญ่ ถึงกระทั่งกินข้าวแล้วค่อยกลับเรือนไป แต่ครั้งนี้ เขาส่งอวี้เหวินและอวี้ถังถึงเรือนแล้วก็รีบเอ่ยกับอวี้เหวินทันที  เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน หากท่านอามีเรื่องอะไรก็เรียกข้าได้ 

อวี้เหวินเห็นก็ขำพรืด แต่พวกเด็กๆ สามารถใช้ชีวิตอย่างมีสุขได้ เขาที่เป็นผู้อาวุโสก็ย่อมดีใจ  รีบกลับไปเถิด! หลานสะใภ้จะได้ไม่รอนาน 

สุดท้ายเขาก็อดหยอกล้อหลานชายไม่ได้

อวี้หย่วนใบหน้าขึ้นสี คำนับแก่อวี้เหวิน ก่อนจะเดินตัวปลิวออกไป ผลปรากฏว่าคนสกุลเฉินที่ออกมาหลังจากได้ยินว่าพวกเขามาถึงเรือน กลับไม่เห็นกระทั่งเงาอวี้หย่วน นางอดหัวเราะไม่ได้  เด็กคนนี้ ก็ไม่รู้จักสงวนท่าทีเสียบ้าง 

ส่วนมากความขัดแย้งของแม่ยายลูกสะใภ้ก็เกิดจากเหตุที่ลูกชายชื่นชอบลูกสะใภ้เกินไป

อวี้เหวินเอ่ยปลอบด้วยรอยยิ้ม  พี่สะใภ้ใหญ่หาใช่คนเช่นนั้นไม่ แต่ว่าเจ้าตักเตือนอวี้หย่วนหน่อยก็ดี จะได้ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม! 

สองสามีภรรยาพูดคุยกันไม่กี่คำ คนสกุลเฉินก็ถามเรื่องที่พวกเขาไปสกุลเผย อวี้เหวินและอวี้ถังเลือกเล่าเรื่องไม่สลักสำคัญเท่าใดให้นางฟัง

เช้าตรู่วันต่อมา อวี้หย่วนก็วิ่งเข้ามาหา  ท่านอา อาสะใภ้ น้องสาว กู่ไท่ไท่[1]พาญาติผู้น้องมาเยี่ยมเยือน ท่านแม่ให้ข้าเชิญอาสะใภ้และน้องสาวไปนั่งคุยเป็นเพื่อนแขก ยังเอ่ยว่า รอยามเย็นท่านพ่อข้ากลับมา ให้ท่านอาเข้าไปกินข้าวด้วยกัน 

กู่ไท่ไท่?

ชั่วชีวิตนี้ของอวี้เหวินไม่มีพี่น้องผู้หญิง

ผ่านไปพักใหญ่ ครอบครัวของอวี้ถังจึงค่อยตระหนักได้ว่ากู่ไท่ไท่ที่อวี้หย่วนพูดถึงนั้นก็คือนายหญิงเว่ย ป้าของคนสกุลเซียง

ก็หมายความว่า นายหญิงเว่ยพาเว่ยเสี่ยวชวนมาเป็นแขกในเรือน

อวี้ถังยังได้พบเว่ยเสี่ยวชวนยามที่ไปสวัสดีปีใหม่สกุลเว่ย ต่อมาสำนักศึกษาประจำอำเภอเปิดเรียน คนสกุลเฉินก็ให้ป้าเฉินนำขนมของว่างที่นางทำฝากไปให้เว่ยเสี่ยวชวน ทั้งให้ชวนเขามากินข้าวในยามที่ว่าง เว่ยเสี่ยวชวนกล่าวว่า เขาเรียนยุ่งมาก ไม่มีเวลาว่าง คนสกุลเฉินจึงได้ปล่อยไปเช่นนี้

นี่เป็นวันปกติ ไฉนนายหญิงเว่ยจึงพาเว่ยเสี่ยวชวนมาเป็นแขกของเรือนลุงใหญ่?

อวี้ถังและคนสกุลเฉินเร่งผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปเรือนของอวี้ป๋อ

นายหญิงเว่ยกำลังคุยกับคนสกุลหวังอย่างร่าเริงแจ่มใสในโถงรับแขก เว่ยเสี่ยวชวนนั่งก้มหน้าอยู่คนเดียวอยู่ด้านข้างนายหญิงเว่ย เผยท่าทางเบื่อหน่ายอยู่ไม่น้อย ก็ไม่รู้ว่าคิดอันใดอยู่

อวี้ถังเห็นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ หัวเราะเบาๆ ก่อนตะโกนเรียก  เสี่ยวชวน 

คนในห้องโถงได้ยินก็หันมองตามเสียง

นายหญิงเว่ยหยัดกายขึ้นเป็นคนแรก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ไอหยา ไฉนข้าจึงรู้สึกว่าไม่ได้เจออวี้ถังมาเดือนกว่า ดูคล้ายว่าอวี้ถังจะสูงขึ้นไม่น้อย งามขึ้นเสียด้วย  พูดจบ ก็เข้ามาดึงมืออวี้ถัง ยิ้มทักทายกับคนสกุลเฉิน

คนสกุลเฉินรีบคำนับให้นายหญิงเว่ย ก่อนทุกคนจะพากันนั่งลงอีกครั้ง ยามนี้คนสกุลเซียงก็พาสาวใช้ยกของว่างและน้ำชาเข้ามา เว่ยเสี่ยวชวนกลับนั่งอย่างเอื้อยเฉื่อยอยู่ข้างอวี้ถัง ยังมองสตรีในเรือนไปทีหนึ่งอย่างร้อนตัวอยู่บ้าง เห็นคนสกุลเฉินและคนสกุลเซียงพูดคุยกัน คนสกุลหวังและมารดาเขานั่งฟังยิ้มรับอยู่ด้านข้าง ไม่มีใครสนใจเขา เวลานี้จึงค่อยถอนหายใจยาวเหยียด ลอบดึงแขนเสื้ออวี้ถัง กระซิบเอ่ย  พี่สาว พี่สามของข้าจะแต่งงานแล้ว มาเชิญพวกเจ้าเข้าไปดื่มสุรามงคล 

แต่เดิมสกุลเว่ยวางแผนจะให้ลูกชายคนที่สามแต่งเข้าไปเป็นลูกเขยสกุลอื่น ผลปรากฏว่าเว่ยเสี่ยวซานมาด่วนจาก ทำให้สองสามีภรรยาสกุลเว่ยยิ่งคิดว่าโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน ครอบครัวอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาจะดีที่สุด จึงตัดสินใจให้ลูกชายคนที่สามแต่งงานรับสะใภ้เข้ามา

ตอนปีใหม่ อวี้ถังก็ได้ยินเรื่องนี้มาก่อนแล้ว คาดไม่ถึงว่างานแต่งของคุณชายสามสกุลเว่ยจะถูกกำหนดรวดเร็วถึงเพียงนี้

ยามนี้เห็นเว่ยเสี่ยวชวนทำปากยื่น นางจึงผลักจานของว่างไปทางเว่ยเสี่ยวชวน เอ่ยแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม  เดี๋ยวเจ้าก็จะมีพี่สะใภ้คนใหม่แล้ว ดีใจหน่อยสิ! 

เว่ยเสี่ยวชวนหยิบขนมขึ้นมากัดชิ้นหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้  ทางสำนักศึกษา ข้ายุ่งจนแทบไม่มีเวลา มารดาข้ากลับดึงดันจะพาข้ามาด้วยให้จงได้ 

ความนัยของวาจานี้คือ เขาไม่อยากไปมาหาสู่กับญาติสนิทมิตรสหาย

อวี้ถังกระตุกยิ้ม เอ่ยปลอบใจเขา  เจ้ามีชีวิตชีวาหน่อยเถิด อีกเดี๋ยวกินข้าวแล้ว ข้าจะหาวิธีส่งเจ้ากลับไปสำนักศึกษา 

เว่ยเสี่ยวชวนพลันตาเป็นประกาย

ยามนี้ยังไม่ทันข้ามบ่าย อาศัยจากความสัมพันธ์ของสกุลเขาและสกุลอวี้ นายหญิงใหญ่อวี้ย่อมจะรั้งตัวพวกเขาให้อยู่กินข้าวเย็นจึงจะปล่อยให้พวกเขากลับบ้าน เช่นนั้นวันนี้ทั้งวันของเขาก็นับว่าสูญหายอย่างเปล่าประโยชน์ หากสามารถกลับไปหลังกินข้าวเที่ยงได้ ช่วงบ่ายเขาย่อมสามารถเรียนตำรากับอาจารย์ได้อีกครึ่งวัน

 พี่สาว เจ้าพูดแล้วห้ามคืนคำเป็นอันขาด  เขากำชับอวี้ถังซ้ำไปซ้ำมา

อวี้ถังผงกศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เจ้าวางใจ ข้าพูดแล้วไม่คืนคำแน่นอน 

เว่ยเสี่ยวชวนค่อยสบายใจ จิบน้ำชากินขนมอย่างอารมณ์ดีขึ้นมา

อวี้ถังพุ่งความสนใจไปยังนายหญิงเว่ย

เวลานี้นางจึงเพิ่งรู้ว่า ที่แท้ผู้ที่หมั้นหมายกับคุณชายสามของสกุลเว่ยก็คือคุณหนูสกุลเกาของป่านเฉียว!

คงไม่ใช่สกุลเกาแห่งป่านเฉียวที่นางรู้จักหรอกกระมัง?

อวี้ถังเบิกตากว้าง

ฟังนายหญิงเว่ยเอ่ย  ความจริงข้าก็ไม่ได้พอใจเท่าใด สกุลพวกเขามีน้องชายของบิดาทำกิจการอยู่ในหมู่บ้าน ทำการค้าขายซื่อสัตย์สุจริต แต่กลับคิดเล็กคิดน้อยกับคนในครอบครัวอย่างยิ่ง ข้าจึงให้คนไปสืบดูอย่างละเอียด จึงรู้ว่าสกุลพวกเขาไม่ได้ไปมาหาสู่กับน้องชายบิดาคนนั้นเท่าใดนัก รวมกับเจ้าสามเองก็ถูกชะตาต้องใจ ทั้งไม่ใช่ลูกคนโต พวกเราคอยช่วยเหลือสามปีห้าปีก็แยกไปอยู่คนเดียวได้แล้ว หลังจากข้าและบิดาของเขาปรึกษาหารือกัน จึงตอบตกลง 

ก็หมายความว่า ผู้ที่คุณชายสามสกุลเว่ยจะแต่งงานด้วยคือลูกพี่ลูกน้องของคนสกุลเกา พี่สะใภ้ชาติก่อนของนาง

อวี้ถังถอนหายใจอย่างโล่งอก

น่าเสียดายที่ชาติก่อนนางไม่รู้จักสกุลเว่ย ทั้งรู้จักเครือญาติฝั่งสกุลมารดาของคนสกุลเกาไม่มาก ไม่ทราบว่าชาติก่อนสกุลเกาได้เกี่ยวดองกับสกุลเว่ยหรือไม่

เมื่อมาคิดดู เมืองหลินอันยังคงเล็กจริงๆ ขุนเขาไม่เปลี่ยนแปลง สายน้ำรินไหล ย่อมประสบพบเจอกันอยู่เช่นนี้

ครั้นกินข้าวเที่ยงเสร็จ อวี้ถังก็เสนอตัวออกไปส่งเว่ยเสี่ยวชวนที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ  เขามีความพยายามก้าวหน้าย่อมเป็นเรื่องดี ท่านป้าเว่ยไม่ควรทำให้เสี่ยวชวนเสียการเรียน! 

นายหญิงเว่ยย่อมคาดหวังให้ลูกชายมีความก้าวหน้า แต่ครั้งก่อน ยามที่อวี้หย่วนแต่งงาน เว่ยเสี่ยวชวนก็ไม่มา ครั้งนี้มาเพื่อแจ้งข่าวดีแก่สกุลอวี้ หากเว่ยเสี่ยวชวนอยู่ในเมืองกลับยังไม่มา นางกังวลว่าสกุลอวี้จะคิดว่าสกุลพวกเขาเสียมารยาทน่ะสิ

ยามนี้อวี้ถังเอ่ยปากออกมา นางก็ยินดีตามน้ำไปด้วยเช่นกัน

 ไฉนจะให้เจ้าไปส่งเขาได้!  นายหญิงเว่ยเอ่ยอย่างเกรงใจ  เขาก็ไม่ใช่เด็กน้อยสองขวบสามขวบเสียเมื่อไร ให้เขากลับไปเองก็เพียงพอแล้ว 

แต่อวี้ถังกลับคิดในใจ เด็กน้อยสองขวบสามขวบยังน่ารักไม่เท่าเว่ยเสี่ยวชวนเลย ไฉนนางจะวางใจให้เว่ยเสี่ยวชวนไปสำนักศึกษาคนเดียวได้?

นางดึงดันจะไปส่งเว่ยเสี่ยวชวน เว่ยเสี่ยวชวนก็มีเรื่องอยากจะพูดกับนางเพียงลำพัง จึงอยากให้นางไปส่ง

นายหญิงเว่ยอับจนหนทาง ทำได้เพียงกำชับทำนองว่าให้เว่ยเสี่ยวชวน ‘เชื่อฟัง’ นางอยู่สองสามประโยค ก่อนจะปล่อยให้อวี้ถังไปส่งเขาเข้าเรียน

เว่ยเสี่ยวชวนกลับคล้ายดั่งนกตัวน้อยที่ถูกปล่อยออกจากกรง เอาแต่พูดเจื้อยแจ้วถึงเรื่องที่เกิดในสำนักศึกษากับอวี้ถัง

อวี้ถังฟังเขาพูด พลางมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษา

ซวงเถาถือของว่างให้เว่ยเสี่ยวชวน เดินตามเบื้องหลังพวกเขา

เดินจนถึงปากประตูสำนักศึกษา พวกเขาก็พบเสิ่นซ่านเหยียนกำลังพูดคุยกับลูกศิษย์มากหน้าหลายตา

อวี้ถังไม่อาจเข้าไปส่งใกล้กว่านี้แล้ว ช่วยเว่ยเสี่ยวชวนจัดแจงเสื้อผ้า ก่อนส่งตะกร้าที่ซวงเถาถือมาให้เว่ยเสี่ยวชวน กำชับเขาอย่างใส่ใจ  เรียนหนังสือย่อมจำเป็นต้องใช้ความเพียร แต่เจ้าอายุยังน้อย ยังอีกหลายปีกว่าจะสอบรวมวัดระดับ ต้องรู้จักแบ่งใช้กำลังให้เหมาะสม ไม่อย่างนั้นรอสักสองสามปี ยามที่ใกล้จบแล้วไม่มีแรงกำลังจะทำอย่างไร? ยังมีของว่างในตะกร้านี้ อย่าลืมแบ่งให้เพื่อนร่วมหอเรียนด้วย ให้คนอื่นได้ชิมดู 

เว่ยเสี่ยวชวนผงกศีรษะระรัว

อวี้ถังโบกมือส่งเว่ยเสี่ยวชวนเข้าประตูใหญ่ของสำนักศึกษา หมุนกายกลับพบหลี่จวิ้นจูงม้าตัวหนึ่งเพียงคนเดียว มองมาที่นางจากถนนอีกฝั่งด้วยท่าทีไม่ชัดเจนนัก

คาดไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นจะกลับมาแล้ว?

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด?

อวี้ถังไม่จำเป็นต้องถามมากความ พยักหน้าให้เขา ถือว่าเป็นการทักทาย ก่อนจะหันหลังเดินออกจากสำนักศึกษาไปพร้อมซวงเถา

ซวงเถาก็เห็นหลี่จวิ้นเช่นกัน นางดึงอวี้ถังอย่างเคร่งเครียด กระซิบเอ่ย  คุณหนู พวกเราจ้างเกี้ยวกลับกันดีกว่ากระมังเจ้าคะ? 

อวี้ถังก็คิดว่าดี ผงกศีรษะรับ

ซวงเถาถอนหายใจโล่งอก ยามที่กำลังจะไปที่จ้างเกี้ยว กลับพบเจอกับซานมู่

ซานมู่เห็นอวี้ถังและซวงเถาก็ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น เขาวิ่งเข้ามา เอ่ยว่า  คุณหนู พี่ซวงเถา นายท่านรองให้พวกท่านรีบกลับไปขอรับ กล่าวว่าสกุลเผยส่งคนมาเชิญคุณหนูไปซักถามเรื่องราวที่สกุลเผย 

คงจะเป็นเรื่องกู้ฉ่าง

อวี้ถังพยักหน้า รีบมุ่งหน้าไปทางตรอกชิงจู๋อย่างรีบเร่ง

พลันเบื้องหลังพวกนางก็บังเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมขึ้น

อวี้ถังอดหันกลับไปมองไม่ได้ จึงพบกู้ฉ่างที่รอบล้อมด้วยผู้ติดตามหลายคน กำลังเดินไปยังสำนักศึกษา

ดูคล้ายวันเวลาหมุนเวียนผลัดเปลี่ยน

ชาติก่อน ลูกชายคนโตของกู้ซีครบปี เดิมทีน้องสะใภ้ที่ครองพรหมจรรย์อย่างนางควรจะเร้นกายหลบหลีก แต่ยามที่กู้ฉ่างมา คนสกุลหลินกลับอดกลั้นความดีใจไม่อยู่ คิดจะโอ้อวด จึงให้คนเรียกนางเข้าไปต้อนรับพี่ชายภรรยาของสกุลกู้ด้วย

แน่นอนว่า สิ่งที่เรียกว่าต้อนรับก็คือการให้นางยืนอยู่ท่ามกลางสตรีในเรือนมองเห็นจากที่ไกลๆ เท่านั้น

ฉากในยามนั้นแทบไม่แตกต่างอะไรกับตอนนี้

อากาศสดใส ลมพัดโชยอ่อนๆ ดอกไม้ใบหญ้าบานสะพรั่ง กู้ฉ่างสวมชุดผ้าไหมสีเข้ม เดินผ่านรั้วของสกุลหลี่โดยมีผู้ติดตามล้อมรอบ ยามที่นางไปถึง ก็เห็นเพียงเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เยือกเย็นของเขา เดินผ่านคนสกุลหลินที่มาต้อนรับเขาอย่างนอบน้อมเท่านั้น

เพียงแต่ครั้งนี้ผู้ที่มาต้อนรับเขากลับเป็นเสิ่นซ่านเหยียน

นางหยุดฝีเท้า ชะงักอยู่พักใหญ่

ด้านกู้ฉ่างก็หยุดเดิน คารวะแก่เสิ่นซ่านเหยียนที่รายล้อมไปด้วยลูกศิษย์

อวี้ถังหันศีรษะกลับมา เร่งฝีเท้าออกห่างจากที่นี่

ครั้งนี้อวี้เหวินมาพบเผยเยี่ยนเป็นเพื่อนอวี้ถัง

เขาเพิ่งจะหย่อนก้นนั่งก็ละล่ำละลักถามเผยเยี่ยน  คุณชายใหญ่กู้ว่าอย่างไรบ้าง? คงไม่ได้มาถามบุคลิกนิสัยของหลี่ตวนจริงๆ กระมัง? 

ลูกเขยที่หมั้นหมายแล้ว กลับมาสืบข่าวนิสัยใจคอเขาอีกครั้ง จะเห็นได้ว่าไม่พอใจกับงานแต่งครั้งนี้เท่าใด ทั้งงานแต่งครั้งนี้พาให้คนคิดจินตนาการไปไกลขนาดไหน

เผยเยี่ยนมองอวี้ถังอย่างเรียบนิ่งไปที

อวี้ถังกำลังนั่งค้อมศีรษะอย่างละอายใจอยู่ตรงนั้น ดูสงบเสงี่ยมว่าง่ายขึ้นมาไม่น้อย

เผยเยี่ยนหลุดขำ

แต่ก็จำเป็นต้องข่มอารมณ์ไว้!

กระนั้น ท่าทีไร้สุ้มเสียงยอมรับผิดเช่นนี้ก็ดีไม่น้อย

ชั่วพริบตาเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา เวลานี้ค่อยมองไปยังอวี้เหวิน  เจ้าทายได้แม่นทีเดียว ครั้งนี้กู้เจาหยางมาหลินอันก็เพราะตั้งใจมาสืบเรื่องสกุลหลี่โดยเฉพาะ 

————————-

[1]กู่ไท่ไท่ เป็นคำเรียกสตรีในครอบครัวที่ออกเรือนแล้ว

 

กู้ฉ่างเป็นพี่ชายของกู้ซี
สกุลหลี่พยายามทุกวิถีทางที่จะสู่ขอกู้ซีให้หลี่ตวนก็เพราะกู้ฉ่าง
เขาเพียบพร้อมด้วยสติปัญญา มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุน้อย มารดาด่วนจาก จึงดูแลเอาใจใส่น้องสาวเพียงคนเดียวของตนเป็นอย่างยิ่ง ชาติก่อนสกุลหลี่ก็ได้รับการปกป้องจากเขาด้วยเหตุนี้ กอบโกยผลประโยชน์ได้มิใช่น้อย
อวี้ถังเคยเห็นเขาจากที่ไกลๆ ครั้งหนึ่ง
พบในยามพิธีเสี่ยงทายอนาคต[1]ที่ลูกชายคนโตของกู้ซีครบรอบหนึ่งปี
กู้ฉ่างเหมือนจะไปทำเรื่องอะไรบางอย่างที่ไหวอัน จึงแวะมาเยี่ยมเยียนกู้ซีที่หลินอันอย่างเงียบๆ
เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มเคร่งขรึม ดูอบอุ่นและเป็นกันเอง แต่แววตาที่ปราศรอยยิ้มกลับซ่อนความเยือกเย็นและห่างเหินไว้ ไม่เหมือนท่าทีเป็นมิตรหรือเข้าคนง่ายที่เขาเผยออกมาจากใบหน้าแม้แต่น้อย
ได้ยินว่านั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาเยือนหลินอัน
คาดไม่ถึงว่า ชาตินี้กู้ฉ่างจะก้าวเข้ามาในหลินอันรวดเร็วขนาดนี้
แต่ว่าเหตุใดเขาจึงมาเยี่ยมเยือนเผยเยี่ยนกัน?
ชาติก่อน เขามาอย่างเงียบๆ ทั้งจากไปอย่างเงียบๆ แวะที่สกุลหลี่เพียงสองชั่วยามเท่านั้น นอกจากสนทนากับคนของสกุลหลี่ไม่กี่คำ ก็ทำเพียงอุ้มลูกชายคนโตของกู้ซีไปคุยเล่นอยู่ตลอด
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่ง
เผยเยี่ยนเป็นคนที่มีไหวพริบ
เขาออกคำสั่งกับอาหมิง “เอาเทียบเชิญมาให้ข้าดู”
อาหมิงรีบนำเทียบเชิญในมือส่งให้เผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนมองเทียบเชิญ พลางเอ่ย “ว่ามาเถิด เจ้าอยากพูดอะไร?”
อวี้ถังกระพริบตาปริบ ผ่านไปพักใหญ่ค่อยรู้ว่าเผยเยี่ยนกำลังคุยกับนางอยู่
นางเหลือบมองบิดาและญาติผู้พี่ไปที
อวี้เหวินกำลังมองนางตาปริบๆ ด้านอวี้หย่วนกลับขยิบตาให้นาง
อวี้ถังคิดยุ่งเหยิงอยู่ในใจ ในช่วงเวลาสั้นๆ กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรกับเผยเยียน
เผยเยี่ยนก็ไม่ได้เร่งรัดนาง ปิดเทียบเชิญส่งคืนอาหมิง “ไปบอกกล่าวกับเผยหม่าน ให้เขาเตรียมตัวเสียหน่อย”
อาหมิงรับคำสั่งก่อนออกไป
แววตาของเผยเยี่ยนหยุดลงที่ร่างอวี้ถัง
อวี้ถังยิ้มเจื่อน เอ่ยเสียงเบาอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่บ้าง “ท่าน ท่านรู้จักคุณชายใหญ่กู้ด้วยรึ?”
“คุณชายใหญ่กู้?” เผยเยี่ยนปรากกฎสีหน้างงงวย
อวี้ถังไม่เข้าใจ
เผยเยี่ยนเอ่ย “กู้เจาหยางเป็นลูกชายคนโตภรรยาเอกของบ้านรอง ตามอายุจัดอยู่ในลำดับที่หก ทั้งเขายังอายุน้อยกว่าลูกคนสุดท้องของบ้านใหญ่ถึงเจ็ดแปดปี เขามีชื่อเสียงตั้งแต่เด็ก นายท่านใหญ่สกุลกู้จึงเรียกหยอกเขาว่าเป็นคุณชายใหญ่สกุลกู้ แต่เมื่ออยู่ภายนอก คนอื่นกลับเรียกเขาว่าคุณชายหกกู้อย่างนอบน้อมเท่านั้น” พูดถึงตรงนี้ เขาก็ ‘อ่อ’ ออกมา เอ่ยว่า “กู้ฉ่างมีนามรองว่าเจาหยาง เจ้าก็คงเคยได้ยินมาก่อนกระมัง?”
นางไม่เคยได้ยินมาก่อน
ก็หมายความว่า คำเรียกคุณชายใหญ่นี้ คงมีแค่ที่สกุลกู้
อวี้ถังพลันกระดากอาย ไม่รู้ควรจะเอ่ยอย่างไรดี
เผยเยี่ยนแค่นเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ
อวี้หย่วนผุดลุกยืนขึ้นมาทันที ท่าทางราวกับไม่กลัวความตาย อวี้ถังมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ดีแน่
ญาติผู้พี่ของนางคนนี้ บางครั้งก็ใสซื่อเกินไป อาจจะเสียเปรียบได้ง่ายๆ
นางละล่ำละลักดึงแขนเสื้อญาติผู้พี่ไว้ ชิงเอ่ยก่อนที่อวี้หย่วนจะเปิดปาก “นายท่านสาม เรื่องนี้ข้าทำผิดเอง ข้า ข้าโมโหที่สกุลหลี่ทำเรื่องโหดร้ายเกินไป จึงเล่าเรื่องที่สกุลหลี่ก่อไว้ให้สกุลกู้…”
เผยเยี่ยนนิ่งค้างอย่างตกตะลึง
เขาอดพินิจอวี้ถังอย่างละเอียดอีกครั้งไม่ได้
ดวงตากลมโตอ่อนหวาน แววตากระจ่างชัดจนแทบเห็นเงาของเขา ดูใสซื่อจริงใจเป็นอย่างยิ่ง
ลับหลังกลับแอบนำเรื่องฉาวไปป่าวประกาศ!
ทำเรื่องเช่นนี้ลงไป ควรจะร้อนตัวไม่ก็ตื่นตระหนกลนลานมิใช่รึ?
ทว่านางกลับโผงผางตรงไปตรงมา ราวกับกลัวคนจะไม่รู้เสียอย่างนั้น
เช่นนั้นเมื่อครู่คือยอมรับผิดแล้ว?
เผยเยี่ยนอดแค่นเสียงเย็นไม่ได้ “เจ้าคิดว่าตัวเองทำไม่ถูกจริงๆ รึ?”
อวี้ถังไม่ปริปากอันใด
นางไม่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดตรงไหน
การขอโทษ ตั้งแต่ชาติก่อนสกุลหลี่ก็จะสร้างนิสัยนี้ให้นางเสียแล้ว ไม่ว่าจะถูกหรือผิด ก็ต้องขอโทษไว้ก่อน ให้อีกฝ่ายคลายโทสะลง จากนั้นก็ดูสถานการณ์ว่าจะยอมจบเรื่องอย่างสงบหรือโต้แย้งด้วยเหตุผลกับอีกฝ่าย
ไม่มีใครพูดอันใด บริเวณรอบๆ จึงเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดโดยพลัน บรรยากาศก็หนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ
อวี้เหวินมองเผยเยี่ยน ก่อนมองอวี้ถังอีกครั้ง ยามที่กำลังจะเปิดปากคลี่คลายสถานการณ์ให้ลูกสาว ก็ได้ยินเสียงของอวี้หย่วนเอ่ยขึ้นมาอย่าขุ่นเคืองก่อน “สิ่งที่สกุลพวกเขาทำ ยังต้องกลัวคนอื่นจะซุบซิบนินทาอยู่อย่างนั้นรึ? อีกอย่าง พวกเราก็ไม่ได้แต่งเรื่องปั้นน้ำเป็นตัว สร้างข่าวลืออะไรขึ้นมา ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น”
เผยเยี่ยนมองไปยังอวี้หย่วน
พูดตามตรง เด็กหนุ่มที่เอาแต่เดินตามบิดาต้อยๆ อย่างอวี้หย่วน เผยเยี่ยนนั้นพบเห็นมามาก หลายครั้งที่พบเขาก็ไม่เคยเห็นเขาอยู่สายตา เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงว่าอวี้หย่วนจะชิงเอ่ยปากก่อนอวี้เหวิน จะเห็นได้ว่าอวี้หย่วนที่เป็นพี่ชายยังคงปกป้องและเอาใจใส่อวี้ถังที่เป็นน้องสาวอยู่ไม่น้อย
อย่างน้อยก็ใจกล้าลุกขึ้นมาต่อปากต่อคำกับเขา
หรือที่คุณหนูอวี้ใจกล้าดีเดือด ล้วนเป็นเพราะคนในบ้านตามอกตามใจเช่นนี้
เขาถามอวี้ถังอีกครั้ง “เจ้าไม่คิดว่าตัวเองทำผิด?”
อวี้ถังนับว่ามองออก เผยเยี่ยนนั้นต้องการสร้างปัญหาให้นาง
จะสนใจว่านางทำถูกไม่ถูกไปทำไม นางได้ขอโทษแล้ว ไฉนเขาจึงยังยืดเยื้อไม่ยอมปล่อยเช่นนี้?
อวี้ถังเอ่ย “ข้าคิดว่าพี่ชายข้ากล่าวได้ถูกต้อง สกุลพวกเขากล้าทำก็ย่อมไม่กลัวคนอื่นจะพูดอะไรอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ทำผิด!”
เผยเยี่ยนเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าขอโทษอะไร?”
อวี้ถังอยากลอกตาอย่างยิ่ง แต่กลัวว่าบิดาจะคิดว่ามารดาสั่งสอนนางได้ไม่ดี จึงไม่กล้า
“ข้าขอโทษก็เพราะกลัวท่านโกรธมิใช่หรอกรึ?” ดีที่นางสมองไว ชั่วพริบตาก็หาเหตุผลได้ทันที “ท่านช่วยเหลือข้ามากมายขนาดนี้ ข้ายังไม่ได้ตอบแทนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กลับวิ่งโร่ไปสร้างปัญหาให้สกุลหลี่…”
ปกตินางก็มักจะเกลี้ยกล่อมเอาใจบิดามารดาเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสม ส่วนเผยเยี่ยน ยามปกติที่คนอื่นพูดคุยกับเขาล้วนแต่สรรเสริญเยินยอเกินจริง แม้จะเป็นคำพูดเอ่ยขัด ก็กล่าวได้อย่างไพเราะรื่นหู เขาจึงไม่รู้สึกว่าคำพูดนี้ผิดที่ตรงไหน
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้าอย่างพอใจ คิดว่าคุณหนูอวี้ยังนับว่าจิตใจดี รู้จักซาบซึ้งในบุญคุณ ก็ไม่ถือสาอะไรนางอีก เอ่ยสั่งสอน “ในเมื่อคิดว่าตัวเองไม่ผิด ก็อย่าได้ขอโทษคนอื่นส่งเดช เจ้าไม่ใช่เด็กรับใช้หรือบ่าวของสกุลใด ไฉนจึงต้องพูดขอโทษให้ติดปาก!”
คาดไม่ถึงว่าจะพูดด้วยน้ำเสียงราวกับผิดหวังเช่นนั้น
อวี้ถังชะงักงัน อดลอบนินทาในใจไม่ได้ ไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันจะเข้าใจได้อย่างไร คิดว่าตัวเองไม่ผิดก็ไม่ขอโทษ นั่นก็ต้องดูว่าเป็นใคร หากเป็นเผยเยี่ยนเอง ย่อมทำได้ แต่เมื่อเป็นนาง กลับไม่ได้ ชาติก่อน นางก็เสียเปรียบด้วยเรื่องเช่นนี้ไม่น้อย
แต่เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามา นางกลับปวดใจจนพูดไม่ออกอยู่พักใหญ่
แท้จริงแล้วชาติก่อนนางก็เคยไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้
ถึงกระทั่งเปลี่ยนแปลงนิสัยของนางไปจากเดิม
เปลี่ยนให้นางเป็นคนถ่อมตัวคิดเล็กคิดน้อย เอาแต่โอนอ่อนผ่อนตาม
ชั่วขณะนั้นขอบตาอวี้ถังก็รื้นชื้นขึ้นมา
นางก้มศีรษะลง ไม่อยากให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอของตัวเอง
อวี้เหวินกลับเอาแต่ปรบมือเอ่ยว่าดี กล่าวกับอวี้ถัง “ลูกสาว นายท่านสามพูดมิผิด เจ้าควรจะยืดตัวตรงอย่างสง่าผ่าเผย มีอะไรก็พูดไปตามนั้น” พูดจบ ก็ทอดถอนหายใจเอ่ยกับเผยเยี่ยน “ลูกสาวข้าคนนี้ ล้วนดีทุกอย่าง เพียงขี้ขลาดตาขาวไปบ้างเท่านั้น ยากที่นางและท่านจะถูกชะตากัน ภายหลังมีเรื่องอันใด ยังคงต้องรบกวนท่านเป็นที่พึ่งพิงให้กับนาง”
จุดนี้เผยเยี่ยนไม่ได้ขัดอันใด แต่ก็หาได้รับปากอะไรไม่
เขาคาดเดาจุดประสงค์ที่กู้ฉ่างมา “ยามที่ข้าอยู่เมืองหลวงเคยพบเขาอยู่หลายครั้งหลายครา ปกติก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กัน เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบเทียวไปเทียวมาอย่างส่งเดช ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ออกจากเมืองหลวง เจ้านายและเขาก็ไม่ใช่อาจารย์ศิษย์สำนักเดียวกัน ยามนี้เขากำลังทำงาน จู่ๆ ก็มาหลินอัน…ข้าคิดดูแล้ว น่าจะมีต้นสายปลายเหตุมาจากสกุลหลี่ นอกจากพวกเจ้าเล่าเรื่องของสกุลหลี่ให้สกุลกู้ฟัง ยังทำอะไรอย่างอื่นหรือไม่?”
อวี้ถังส่ายศีรษะราวกับกลองไม้เขย่า
เผยเยี่ยนกลับไม่เชื่อเท่าใด
คุณหนูอวี้ผู้นี้ มีเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบมิใช่น้อย หากไม่ถูกต้อนจนมุมย่อมไม่อาจยอมรับง่ายๆ ไม่สิ บางทีถูกต้อนจนมุมแล้วก็อาจคิดวิธีปฏิเสธได้เสียด้วยซ้ำ
เผยเยี่ยนเอ่ย “คงไม่ถึงกับมาสืบถามนิสัยใจคอของหลี่ตวนจากข้าหรอกกระมัง?”
เขาพูดเพิ่งจะจบ คนสกุลอวี้ทั้งสามคนก็สบสายตากัน เงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาทันที
อาจเป็นไปได้อย่างนั้นรึ!
เผยเยี่ยนโมโหจนอยากหัวร่อออกมา จ้องมองอวี้ถังที่เอ่ยรับว่า ‘อืม’ อย่างไม่ละสายตา “คุณหนูอวี้ เจ้าเป็นห่วงสกุลหลี่ถึงเพียงนี้ สกุลพวกเขามีความเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย อย่างไรเจ้าก็คงได้ยินข่าวคราวมาบ้างกระมัง?”
แม้อวี้ถังจะคิดว่าคู่หมั้นเฉกเช่นหลี่ตวนนั้นทิ้งไปก็ไม่เป็นไร แต่ก็ไม่อาจห้ามความเชื่อของทุกคนที่ว่า ‘ยอมทุบสิบวัดวาดีกว่าต้องทำลายงานแต่งของคนอื่น[2]!’
หากกู้ฉ่างมาสืบถามนิสัยใจคอของหลี่ตวนจากเผยเยี่ยยนจริงๆ นางก็ไม่อาจปิดบังทำให้เผยเยี่ยนเสียเปรียบได้กระมัง!
อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างระแวดระวัง เอ่ยเสียงแผ่ว “ยามที่พี่ชายข้าแต่งงาน ข้าได้ยินพวกซิ่วไฉคุณหญิงคุณนายเหล่านั้นพูดว่า สกุลกู้อยากจะถอนหมั้น ฮูหยินหลี่ไปขอร้องวิงวอนที่สกุลกู้ด้วยตนเอง ภายหลังข้าส่งคนไปสืบข่าวคราว สกุลหลี่นั้นปิดประตูไม่รับแขก ยังมีคนพูดว่าฮูหยินหลี่เจ็บไข้ได้ป่วย ไปหาหมอที่เมืองหังโจว!”
เผยเยี่ยนโทสะตีรวนอยู่ในอก ผ่านไปสักพักจึงค่อยทำให้ตัวเองสงบลงได้
อวี้เหวินได้ฟัง ก็รู้ว่าเรื่องร้ายแรงขึ้นมาแล้ว
เขากดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยไกล่เกลี่ยอย่างสะเปะสะปะ “นี่ก็นับเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย? เรื่องเล็กน้อยขนาดนี้ ไฉนสกุลกู้บอกจะถอนหมั้นก็ถอนหมั้นกันอย่างง่ายๆ?”
เผยเยี่ยนพอจะเดาได้แล้วว่าเหตุใดคุณหนูอวี้จึงกล้าทำเรื่องมุทะลุเช่นนี้
มองอวี้หย่วนไปอีกครั้ง ร่างครึ่งหนึ่งของเขาขวางอยู่เบื้องหน้าอวี้ถัง ราวกับกลัวว่านางจะเสียเปรียบอะไรอย่างนั้น
เผยเยี่ยนอยากหัวเราะนัก “หากกู้ฉ่างต้องการซักไซ้ไล่เลียงเรื่องนี้ พวกเจ้าวางแผนจะทำอย่างไร?”
คงไม่หรอกกระมัง?
นางเพียงอยากให้สกุลกู้ล่วงรู้โฉมหน้าที่แท้จริงของหลี่ตวน!
แต่ก็ไม่แน่เช่นกัน
บางคนเพื่อเรื่องหน้าตาแล้ว ก็ไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น
อวี้ถังเอ่ยอย่างลังเล “ไม่ใช่กล่าวว่าคุณชายใหญ่สกุลกู้เอาใจใส่น้องสาวของเขาผู้นี้เป็นที่สุดหรอกรึ?”
นี่คือเอาคำพูดของเขามาโจมตีเขา?
เผยเยี่ยนเส้นเลือดปูดขึ้นขมับ “อย่าลืมว่าบิดาของคุณหนูเซียงก็ยังมีชีวิตอยู่?”
นั่นแล้วอย่างไร?
อวี้ถังเอ่ย “หากความสามารถเล็กน้อยแค่นี้เขายังไม่มี ถือสิทธิ์อันใดพูดว่าจะปกป้องดูแลคุณหนูกู้?”
ชาติก่อน กู้ฉ่างเคยแสดงความสามารถของตัวเองเป็นที่ประจักษ์มาแล้ว
แต่เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าอวี้ถังมีประสบการณ์ของชาติก่อน เขาเพียงคิดว่าความสามารถในการก่อเรื่องของคุณหนูอวี้เป็นที่หนึ่ง แต่ความสามารถในการจัดการเรื่องราวกลับเป็นศูนย์
เขามองอวี้ถังที่เผยใบหน้าไม่รู้สึกรู้สา เม้มริมฝีปากอย่างดื้อรั้น ไม่คิดเกรงกลัวอันใด คิดว่าแม้ตัวเองจะสั่งสอนนางในยามนี้ว่า ‘หากไม่มีความสามารถแก้ปัญหาก็อย่าได้เที่ยวไปก่อเรื่อง’ คาดว่านางก็คงไม่ฟัง บิดาของนางก็คงตระหนักไม่ได้เช่นกัน แล้วเขาสั่งสอนนางยังจะมีประโยชน์อันใด?
เผยเยี่ยนโบกมืออย่างเมื่อยล้า “รอพรุ่งนี้ข้าพบเจาหยางแล้วค่อยว่ากันเถิด”
อวี้เหวินย่อมกระดากอายไม่น้อย เห็นเช่นนั้นก็ลุกยืนทันที “เช่นนั้นพวกเรากลับไปก่อน พรุ่งนี้จะมาเข้าพบท่านอีกครั้ง”
เผยเยี่ยนไม่อยากให้พวกเขามาอย่างยิ่ง แต่ไม่มั่นใจจริงๆ ว่ากู้ฉ่างมาทำอะไร บางทีอาจจำเป็นต้องไถ่ถามอวี้ถัง เขาพยายามสงบความหงุดหงิดใจเล็กๆ นั้นลง เอ่ยอย่างอ่อนแรง “พรุ่งนี้ค่อยว่าเถิด”
อวี้เหวินได้ยิน ก็ดึงลูกสาวและหลานชายวิ่งไปแทบไม่เห็นฝุ่น
รอจนออกจากประตูใหญ่ของจวนสกุลเผย เขาก็อดเช็ดเหงื่อไม่ได้ “ดูพวกเจ้าสิ เมื่อครู่ข้าเกือบจะตอบคำถามต่อหน้านายท่านสามไม่ได้เสียแล้ว!”
——————————-
[1]พิธีเสี่ยงทายอนาคต คือ พิธีที่ให้เด็กอายุครบหนึ่งปีลองจับสิ่งของเพื่อทำนายอาชีพการงานในอนาคต
[2]ยอมทุบสิบวัดวาดีกว่าต้องทำลายงานแต่งของคนอื่น อุปมาว่า การทำลายงานแต่งของคนอื่น เป็นเรื่องที่ไร้ศีลธรรมยิ่งกว่าการทำลายวัดวาเสียอีก
มีเรื่องเช่นนั้นด้วยรึ?!
อวี้ถังหูผึ่งทันที นางอยากจะฟังต่อ น่าเสียดายที่ลานเรือนกับห้องน้ำชาห่างกันเพียงแค่สองจั้งเท่านั้น ต่อให้นางพยายามเดินให้ช้าอย่างไร ทว่าเพียงไม่กี่ก้าวก็เดินถึงแล้ว นางจึงเลือกที่จะหลบอยู่หลังเสาเพื่อแอบฟังว่าพวกนางคุยอะไรกันต่อ
น่าเสียดายที่พวกนางคุยกันเสียงเบาไป ระยะกั้นกลางก็มิใช่ใกล้ๆ นางจึงไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
อวี้ถังผิดหวังอย่างรุนแรง ตอนที่ตกแต่งโถงพิธีจึงใจลอยไปเรื่อย จนมือเกือบปัดถาดผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะยาวร่วงตก นางรวบรวมสติใหม่อีกครั้ง แล้วทุ่มความสนใจไปที่งานมงคลของอวี้หย่วน
พิธีรับตัวเจ้าสาวเป็นไปอย่างราบรื่น
เจ้าสาวลงจากเกี้ยว ไหว้ฟ้าดิน ส่งตัวเข้าห้องหอ อวี้ถังคล้องแขนคนสกุลเฉินตามไปดูเจ้าสาวด้วย
คุณหนูเซียงอยู่ในชุดเจ้าสาวสีแดง บนศีรษะเต็มไปด้วยสร้อยไข่มุก แต่งตัวอย่างงดงามเฉิดฉาย เหล่าสตรีที่มาร่วมงานต่างเอ่ยชมไม่ขาดปาก คิดกันว่าสกุลอวี้หาคู่ครองได้ไม่เลวเลยทีเดียว
อวี้ถังในฐานะญาติผู้น้องของเจ้าบ่าว ย่อมต้องแสดงความใส่ใจต่อพี่สะใภ้ที่เพิ่งแต่งเข้ามาให้มากหน่อย
นางกระซิบถามคนสกุลเซียงว่า “พี่สะใภ้ท้องหิวหรือไม่?” ทั้งเอ่ยต่อเพราะคิดช่วยอวี้หย่วนเอาใจคนสกุลเซียง “ตอนที่ท่านพี่ไปรับท่านก็กำชับข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ให้ข้าดูแลพี่สะใภ้เป็นอย่างดี ข้าแอบหยิบขนมเอาไว้นิดหน่อย หรือถ้าพี่สะใภ้อยากไปห้องน้ำก็บอกข้าได้ ข้าเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว”
เจ้าสาวไม่อาจออกจากห้องหอได้ หากว่าสกุลฝ่ายชายไม่เตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า จะท้องหิวหรือกระหายก็ไม่มีแม้กระทั่งน้ำให้ดื่มด้วยซ้ำ
คนสกุลเซียงรู้แต่ต้นว่าแม้อวี้ถังเป็นญาติผู้น้องของอวี้หย่วน แต่สกุลอวี้สองบ้านมีเพียงพวกเขาสองพี่น้องเท่านั้น พวกเขาจึงเหมือนกับพี่น้องแท้ๆ จากมารดาท้องเดียวกัน และอวี้ถังก็เป็นน้องสามีเพียงคนเดียวของนาง นางย่อมประจบเอาใจให้มากหน่อย จึงรีบตอบไปว่า “แม่นมข้าก็ติดตามมาด้วยกัน นางมีทั้งถุงน้ำและของกิน เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเลย” พูดจบ นางก็ดึงถุงผ้าที่ซ่อนเอาไว้ในแขนเสื้อออกมาแล้วยัดใส่มืออวี้ถัง กระซิบบอกนางด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นสิ่งที่ตั้งใจเตรียมไว้ให้เจ้า เมื่อครู่คนเยอะ ไม่สะดวกหยิบออกมา เจ้าก็นำไปซื้อดอกไม้ติดผมเถอะ”
พี่สะใภ้ช่างใจดีนัก อวี้ถังย่อมรับเอาไว้อย่างเปิดเผยยินดี
เพียงแต่ถุงผ้าที่อยู่ในมือช่างหนักอึ้ง อวี้ถังนึกสงสัยว่าที่เก็บอยู่ด้านในเป็นเงินก้อนหรือว่าเงินเม็ดแตง[1]กันแน่
แต่นับเป็นของขวัญพบว่าที่มีน้ำหนักพอดูเลย
อวี้ถังรู้สึกตื้นตัน กล่าวขอบคุณคนสกุลเซียงด้วยรอยยิ้มร่า จากนั้นก็คอยดูแลคนสกุลเซียงอยู่ข้างกายตลอด กระทั่งอวี้หย่วนคารวะสุราจากด้านนอกเรียบร้อยจนกลับเข้าห้อง นางถึงได้จากไป
วันที่สองคือวันรับญาติ คนสกุลเซียงเตรียมของขวัญเอาไว้ให้อวี้ถัง เป็นรองเท้าถุงเท้าปักคู่หนึ่งกับเสื้อคลุมตัวยาวสองชุดซึ่งถูกต้องตามธรรมเนียม ถุงเท้าทำจากผ้าชั้นดีแห่งซงเจียง รองเท้าก็ปักด้วยไข่มุกขนาดเท่าเมล็ดข้าว เสื้อคลุมตัวยาวทั้งสองชุด ชุดหนึ่งเป็นสีแดงสดเดินดิ้นทอง อีกชุดเป็นสีเหลืองเขียวจับคู่กัน งดงามแปลกตายิ่งนัก ตอนคนสกุลเฉินมาเห็นยังหลุดกิริยาของผู้อาวุโสแล้วอุทานออกมาว่า “ช่างสูงค่าเหลือเกิน”
อาจเพราะพออกพอใจในงานแต่งนี้ คนสกุลเซียงจึงยิ้มกว้าง ความยินดีแผ่ซ่านไปทั่วดวงตา
นางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “น้องสาวหน้าตาพริ้มเพรา ควรแต่งตัวให้สะสวยถึงจะถูก ท่านน้าพูดเช่นนี้ กลับทำให้ข้าละอายใจแล้ว”
คนสกุลเฉินคิดว่างานมงคลของอวี้ถังยังไม่กำหนดเป็นเรื่องเป็นราว เสื้อคลุมสองตัวนั้นนับว่างดงามไม่สามัญ นางเห็นแล้วก็ถูกใจยิ่งนัก จึงไม่เอ่ยวาจาอ้อมค้อม บอกให้อวี้ถังกล่าวขอบคุณคนสกุลเซียงอีกครั้ง
อวี้ถังเข้าไปคล้องแขนคนสกุลเซียงอย่างสนิทสนม เรียกนางเสียงหวานว่า “พี่สะใภ้” ทำเอาคนสกุลเซียงที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเด็กผู้ชายสกุลเว่ยยิ้มรับหน้าบาน หากมิกลัวผิดธรรมเนียม นางคงถอดกำไลหยกที่เพิ่งสวมใส่แขนมอบให้อวี้ถังไปแล้ว
อวี้ถังตั้งใจแน่วแน่ที่จะสานสัมพันธ์กับคนสกุลเซียง…เมื่อวานตอนที่กลับเรือน นางเปิดถุงผ้าที่คนสกุลเซียงมอบให้ออกดู เห็นว่าด้านในล้วนเป็นเงินเม็ดแตงทั้งสิ้น
เห็นได้ชัดว่าคนสกุลเฉินให้ความสำคัญกับนางมากเพียงใด
วันที่สามหลังแต่งงานต้องกลับไปเยือนสกุลเก่า คนสกุลเซียงกับอวี้หย่วนเดินทางไปที่เรือนสกุลเว่ยด้วยกัน
พวกเขาต้องกลับไปเยือนสกุลเก่าถึงสองรอบ
รอบแรกคือเรือนสกุลเว่ย รอบสองอีกเก้าวันให้หลังต้องไปเรือนสกุลเซียง
โชคดีที่การกลับไปเยือนสกุลเก่าทั้งสองครั้งล้วนราบรื่นตลอดทาง
หลังจากจบงานแต่งสองสามีภรรยาก็เริ่มตรวจนับคลังเงินน้อยๆ ของตน เจ้าสาววุ่นวายกับการทำความรู้จักญาติพี่น้องของฝ่ายชายและเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียง
พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
ช่วงนี้อวี้ถังให้คนไปตามสืบเรื่องงานมงคลของหลี่ตวน พบว่าประตูใหญ่ของสกุลหลี่ปิดแน่น ปฏิเสธการรับแขกโดยสิ้นเชิง
ได้ยินว่าฮูหยินหลี่ล้มป่วย ไปหาหมอรักษาตัวที่เมืองหังโจว หลี่ตวนก็ติดตามไปเพื่อดูแลนางด้วย
ชาวเมืองพากันซุบซิบ บอกว่าหลี่ตวนกตัญญูนัก กระทั่งตำราวิชาก็ไม่เล่าเรียนแล้ว ตามไปอยู่เป็นเพื่อนมารดาถึงหังโจว ไม่รู้จะทำให้การสอบในปีหน้าต้องล่าช้าไปหรือไม่?
ทั้งยังซุบซิบต่อว่าฮูหยินหลี่ป่วยเป็นโรคอะไร ร้ายแรงหรือไม่ พลางทอดถอนใจบอกหากฮูหยินหลี่ไม่อาจพ้นเคราะห์ไปได้ จากอายุของใต้เท้าหลี่ คงต้องรับภรรยาใหม่เป็นแน่ ถึงเวลานั้นคุณชายทั้งสองของสกุลหลี่คงไม่อาจอยู่อย่างเป็นสุขแล้ว
อวี้ถังได้ฟังก็เบะปาก แอบเสียดายเล็กน้อยที่ไม่มีข่าวที่นางสนใจอยากรู้
เวลานี้เหล่าสกุลเผิง สกุลเถาต่างก็แยกย้ายกลับจวนไปหมดแล้ว เผยเยี่ยนคะเนว่าสกุลอวี้คงสะสางธุระได้พอตัว จึงนัดอวี้เหวินไปดื่มชาที่จวนของตน
อวี้เหวินรู้ทันทีว่าต้องคุยเรื่องการประมูลเป็นแน่
เขาเห็นว่าคนสกุลเซียงฉลาดเฉลียวมีความสามารถ จึงถามอวี้หย่วนว่า “พาคนสกุลเซียงไปด้วยดีหรือไม่?”
อวี้หย่วนรีบตอบทันที “ให้นางอยู่ที่เรือนเถอะขอรับ! เรื่องแผนที่ยิ่งคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งดี!”
เหมือนกับคนสกุลหวังผู้เป็นมารดาและท่านน้าสกุลเฉินที่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่อง ไม่อาจเพราะคนสกุลเซียงแต่งให้เขาแล้ว สามารถจัดการเรื่องราวได้ดี แล้วจะปฏิบัติต่อนางต่างออกไปจากผู้อื่นได้
ในเมื่อหลานชายไม่ว่ากระไร อวี้เหวินย่อมไม่อยาก่อเรื่องอีก
เขาประคองของขวัญที่เตรียมเอาไว้ให้เผยเยี่ยนใส่มืออวี้หย่วน “เจ้าถือดีๆ ล่ะ ระวังทำแตก!”
นี่เป็นแจกันหรู่เหยาทรงคอยาวสีท้องฟ้าคู่หนึ่ง
เขาฝากให้นายท่านอู่หาซื้อมาให้
นายท่านอู่ทุ่มเทความคิดกว้านหาของให้สกุลเขา แจกันสองใบนี้ต้องจ่ายเงินไปถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึง นี่เพราะเห็นแก่หน้านายท่านอู่ ตอนนั้นนายท่านอู่ยังกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีเงินมากมายปานนี้ ยังเอ่ยอ้อมค้อมว่า “ยังมีประการังอีกคู่หนึ่ง สีแดง สูงสามฉื่อ จะมอบให้คนหรือเก็บเป็นไว้เป็นสินเดิมของบุตรสาวเจ้าก็ไม่น่าเกลียด ราคาแค่หนึ่งพันสองร้อยตำลึงเท่านั้น”
อวี้เหวินเลือกแจกันคู่นั้นอย่างไม่ลังเล
ตั๋วเงินที่ได้จากประมูลขายแผนที่ยังไม่ทันกอดให้หายร้อน อวี้เหวินก็จ่ายมันออกไปให้นายท่านอู่ถึงสี่พันสี่ร้อยตำลึงแล้ว
นายท่ายอู่ถือเงินพร้อมรอยยิ้มพิมพ์ใจ บอกกับอวี้เหวินว่า “ข้าอยู่เรือนติดเจ้ามาตั้งนมนาน ไม่คิดว่าเจ้าจะเก็บซ่อนได้มิดชิดเพียงนี้ เงินทองในเรือนนับว่าแน่นหนาจริงๆ”
อวี้เหวินพลันหน้าแดงทันที เอ่ยว่า “นี่ต้องมอบเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ย่อมต้องแสดงความจริงใจมากหน่อย”
นายท่านอู่ไม่ถามเรื่องผู้อื่นสุ่มสี่สุ่มห้า ได้ยินแล้วก็ไม่ซักไซ้ต่อ เพียงรับเงินแล้วจากไป
อวี้หย่วนประคองแจกันสองใบวางลงกล่องผ้าไหมอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินทางพร้อมกับอวี้เหวินและอวี้ถังไปยังจวนสกุลเผย
เผยเยี่ยนอยู่ที่ห้องหนังสือซึ่งพวกเขาเคยพบกันครั้งแรก
วันนี้ท้องฟ้าสดใส พวกเขานั่งสนทนากันใต้ต้นการบูรในลานกว้างหน้าห้องหนังสือ
“ตอนงานประมูลเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น” เผยเยี่ยนอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมสีหม่น ผมดำขลับถูกมวยด้วยปิ่นไม้ไผ่ง่ายๆ ดูอารมณ์ดีไม่เลว เขานั่งปล่อยตัวตามสบายบนเก้าอี้ไท่ซือ “เดิมพวกนั้นวางแผนเอาไว้แล้ว แผนที่ผืนนั้นกลัวแต่ว่าไม่อาจประมูลได้ในราคาสูง ใครจะคิดว่าสกุลเถา สกุลเซิ่งและสกุลอิ้นจะร่วมมือกัน ส่วนสกุลอู่ สกุลซ่งและสกุลเผิงก็รวมเป็นอีกกลุ่ม ช่วยกันประมูลแผนที่ผืนนั้นไป สกุลลี่นั้นก็เหมือนคำเล่าลือที่ได้ยินมา พวกเขาไม่คิดสอดมือมายุ่งเรื่องนี้ แม้จะผิดจากแผนที่วางไว้แต่แรก แต่อย่างน้อยก็ไม่เกิดความอลหม่าน นับว่าสำเร็จลงด้วยดี”
อวี้เหวินไม่คิดปกปิดความซาบซึ้งของตนเลยสักนิด “ใช่แค่สำเร็จด้วยดีที่ไหนกัน เช่นนี้นับว่าประเสริฐอย่างมิอาจหาใดเปรียบแล้ว ทั้งไม่มีสกุลใดสกุลหนึ่งโดดเด่นขึ้นมาเป็นเป้าโจมตี ทั้งไม่มีใครเหยียบย่ำทำลายคุณค่าของมัน หากว่าไม่ได้นายท่านสาม เรื่องนี้จะราบรื่นได้หรือ พูดขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกขอบคุณท่านยิ่งนัก!”
เผยเยี่ยนตอบกลับด้วยวาจาเกรงใจไปหลายคำ
อวี้ถังคล้ายมีเรื่องจะพูดแต่ก็ชะงักไป
เผยเยี่ยนเห็นแล้วก็หัวเราะ “คุณหนูอวี้ต้องการพูดสิ่งใดก็กล่าวออกมาตรงๆ เถอะ หากข้ารู้ย่อมจะบอกอย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้นแน่”
คล้ายว่าจะอารมณ์เบิกบานไม่น้อยเลย
อวี้ถังจึงไม่เกรงอกเกรงใจอีก “สกุลเผิงกับสกุลซ่ง…”
ถ้านางจำไม่ผิด สกุลซ่งกับสกุลเผยเป็นญาติกันนี่นา
เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่แยแสว่า “อำนาจในแผ่นดินบางครั้งแตกแยกบางครั้งรวมกลุ่ม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงญาติมิตร เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องสกุลซ่ง เขาต้องการร่วมมือกับใคร เป็นการตัดสินใจของเขาเอง ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาย่อมแบกรับผลที่ตามมา พวกเราเป็นเพียงผู้ยืนดูอยู่ข้างๆ ทำได้แค่ตักเตือนเท่านั้น ไม่อาจบังคับให้เขาทำสิ่งใดได้”
ฟังจากน้ำเสียง กลับไม่คล้ายว่าไยดีต่อสกุลอู่ สกุลซ่งและสกุลเผิงเท่าไรนัก
อวี้ถังคิดถึงชาติก่อน ตอนที่เมืองซูโจวมีสกุลเจียงผงาดขึ้นมา
เห็นชัดว่าต่อให้ไม่มีงานประมูลในครั้งนี้ อีกไม่กี่ปีสกุลซ่งก็คงค่อยๆ เสื่อมความเจริญลงทุกวันอยู่ดี
บางทีนี่อาจเป็นความสามารถและกำลังของแต่ละคนกระมัง
นางแค่กลัวว่าหากสกุลเผิงกับสกุลซ่งอยู่ฝั่งเดียวกัน ความแค้นระหว่างนางกับสกุลหลี่ย่อมไปพัวพันกับสกุลเผิง แล้วเผยเยี่ยนก็ต้องไปยืนข้างสกุลเผิงทางนั้น ตอนนี้ได้ฟังคำตอบของเขา ใจที่ลอยเคว้งถึงค่อยสงบลงได้
ภายหลังเผยเยี่ยนก็ถามถึงต้นซาจี๋ “เป็นอย่างไร? พวกมันไม่กี่ต้นปลูกรอดแล้วหรือไม่?”
ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนพูดเอาไว้ก่อนแล้ว เพียงแต่ไม่รอให้อวี้ถังส่งคนไปขุดต้นไม้ที่สกุลเผย หูซิ่งก็พาคนนำต้นไม้มาส่งถึงสกุลอวี้แล้ว อวี้เหวินไหว้วานท่านปู่ห้าให้ปลูกมันไว้แถบตีนเขา หลายวันนี้อวี้ถังก็ยังไม่มีเวลาแวะไปดู
“ข้าคิดว่าสองวันนี้จะไปดูมันเสียหน่อย” อวี้ถังตอบ “ท่านพ่อยกเรื่องที่นาให้ข้าจัดการเช่นกัน ข้าได้ยินมาจากท่านป้าที่เรือน บอกว่าหลายวันนี้กำลังแตกยอดอ่อนพอดี จะได้ถือโอกาสไปดูด้วยเลย”
พวกเขาปลูกข้าวนาน้ำ พอหว่านเมล็ดสักหลายวันถึงจะรู้ว่ามันปลูกขึ้นหรือไม่ หลังจากที่มันงอกขึ้นมาแล้ว ก็ต้องรออีกหลายเดือนถึงจะรู้ว่ามันให้ผลผลิตมากน้อยเพียงใด
อวี้ป๋อยกธุระเรื่องสวนป่าให้อวี้หย่วนดูแล อวี้เหวินครุ่นคิดว่าอวี้หย่วนก็สามารถช่วยเหลืออวี้ถังได้ จึงยกที่นาหนึ่งร้อยหมู่ให้อวี้ถังดูแลจัดการ
อวี้ถังอีกสองสามวันก็วางแผนจะไปที่บ้านเก่าพร้อมกับอวี้หย่วน ทั้งถือโอกาสไปดูต้นซาจี๋ที่ย้ายไปปลูกทางโน้นด้วย
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “หากเจ้ามีสิ่งใดไม่เข้าใจ ก็ส่งคนมาถามหูซิ่งได้ ถ้าเกิดเขาไม่ว่าง ก็จะสั่งให้คนเบื้องล่างที่รู้ความไปช่วยเหลือเจ้าเอง”
อวี้ถังกล่าวขอบคุณเขาซ้ำไปซ้ำมา
เผยเยี่ยนพูดถึงเรื่องสกุลเผิงขึ้นมาว่า “พวกเขาน่าจะรู้แล้วว่าแผนที่สองผืนนั้นเหมือนกัน คงไม่มีทางปล่อยสกุลหลี่ไว้แน่ สกุลหลี่ทางนั้น เป็นไปได้สูงว่าจะโบ้ยความผิดมาให้สกุลเจ้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าทางนั้นมีคนมากน้อยเท่าไรที่รู้เรื่องแผนที่ แต่ควรจะตอบกลับไปให้เหมือนกัน หากว่ามีคนมาถาม ก็ต้องกัดฟันตอบไปอย่างเดียวว่าไม่รู้เรื่อง สิ่งของที่เหลืออยู่ของหลู่ซิ่น ทั้งหมดทั้งมวลล้วนคืนให้สกุลหลู่ไปแล้ว พวกเขาหากว่าไม่เชื่อ สามารถเชิญคนสกุลหลู่มาสอบถามได้”
หัวใจของอวี้ถังเริ่มบีบรัดกันแน่น
อวี้เหวินกล่าวอย่างกังวลว่า “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว สกุลเรามีแค่พวกข้าสามคนที่รู้เรื่อง ไม่มีทางพูดเรื่อยเปื่อยออกไปแน่ ท่านวางใจได้เลย”
เผยเยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ แต่ก็พอใจกับความระมัดระวังของอวี้เหวิน เขาเอ่ยต่อว่า “หากว่าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็ส่งคนมาแจ้งต่อข้า” ทั้งเสริมว่า “ข้าช่วยพวกเจ้าแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ไม่ใช่กับปัญหาที่ยืดเยื้อยาวนาน หากกำจัดความเคลือบแคลงสงสัยของคนพวกนั้นได้อย่างเงียบเชียบย่อมจะดีที่สุด”
อวี้เหวินพยักหน้ารัวเร็ว
อาหมิงพลันวิ่งเข้ามารายงานว่า “คุณชายบ้านรองสกุลกู้แห่งเมืองหังโจวให้คนมาส่งเทียบเชิญขอรับ บอกว่าพรุ่งนี้จะขอเข้ามาเยี่ยมเยียนท่าน”
คุณชายใหญ่บ้านรองสกุลกู้ กู้ฉ่าง?
อวี้ถังตกตะลึงเป็นที่สุด
————————————————————-
[1]เงินเม็ดแตง เป็นคำเรียกเงินย่อยของสมัยโบราณ มีลักษณะเหมือนเม็ดฟักทอง นิยมใช้เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้าในช่วงแรก ในประวัติศาสตร์จีน ‘เงินเม็ดแตง’ มักเป็นรางวัลที่ฮ่องเต้พระราชทานให้
อวี้เหวินถูกทำให้อารมณ์เสียอีกแล้ว เขาชี้นิ้วตามแผ่นหลังที่เคลื่อนออกไปไกลของเฉินฉีแล้วพูดกับอวี้ถังว่า “เจ้าดูสินั่น ไม่รู้เหตุใดสกุลเผยต้องให้เขามาส่งข่าวด้วย? หนึ่ง ไม่บอกว่าสกุลใดประมูลได้แผนที่ไป สอง ไม่…” วาจาพูดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาเองก็เหมือนกัน เหตุใดไม่ถามเรื่องประมูลออกไปเล่า?
อวี้ถังก้มหน้าแอบหัวเราะพักหนึ่ง พอคิดว่าตนเองควบคุมสีหน้าได้แล้ว ถึงค่อยเงยหน้าแล้วส่งเสียงเรียก “ท่านพ่อ” ก่อนเอ่ยต่อไปว่า “เวลานี้การประมูลคงเพิ่งจะสิ้นสุด เหล่าสกุลใหญ่พวกนั้นคงยังไม่กลับ ตอนที่ประมูลเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? เป็นสกุลใดที่ได้แผนที่ไป? เหตุใดเงินทองที่ได้มาจึงมากมายปานนี้? ตอนที่ข้าเจอท่านเฉินก็อยากถามออกไปแล้ว แต่คิดว่าตอนนี้นายท่านสามคงวุ่นวายอยู่กับเรื่องจะส่งแขกที่มาร่วมงานประมูลออกจากเมืองหลินอันอย่างสันติและราบรื่นได้อย่างไร ตอนนี้จะหาเวลากับเรี่ยวแรงที่ไหนมาเล่าเรื่องพวกนี้ให้เราฟังล่ะเจ้าคะ? ข้าคิดว่าพวกเราควรรออย่างสงบสักหลายวันก่อน ให้นายท่านเผยเสร็จธุระแล้ว ค่อยเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ไปคารวะ เพื่อเป็นการขอบคุณเขาอย่างดีที่สุด!”
พวกเขาไม่ได้เข้าร่วมงานประมูลด้วยซ้ำไป กลัวว่าจะมีคนเจตนาร้ายเชื่อมโยงเรื่องแผนที่กับสกุลอวี้เข้าด้วยกัน อีกอย่างนี่ก็คือความหมายที่เผยเยี่ยนต้องการบอก แล้วพวกเขาจะทรยศกับความหวังดีของเผยเยี่ยนได้อย่างไร หลายวันนี้ไม่เพียงรอคอยสกุลเผยอย่างสงบเสงี่ยม ยิ่งกว่านั้นก็ควรทำปฏิบัติตัวเช่นเมื่อก่อน ออกจากเรือนให้น้อย พูดจาให้น้อย สืบข่าวให้น้อย รอให้คนที่เข้าร่วมงานประมูลจากไปแล้ว พวกเขาค่อยหาเหตุผลไปเยี่ยมคารวะเผยเยี่ยนอย่างเปิดเผย
อวี้เหวินได้ฟังดังนั้นก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเฉินฉีอีก
เขาถามอวี้หย่วนว่า “งานแต่งเจ้า เจ้าส่งเทียบเชิญให้สกุลเผยแล้วหรือไม่?”
เรื่องใหญ่เช่นนี้ ย่อมต้องส่งเทียบเชิญให้สกุลเผยอยู่แล้ว
อวี้หย่วนตอบว่า “ส่งแล้วขอรับ แต่เป็นอาหมิงที่ส่งต่อให้ผู้ดูแลประตูขอรับ”
ปีๆ หนี่งไม่รู้ว่าสกุลเผยได้รับเทียบเชิญเช่นนี้มากน้อยเท่าไร ปกติมักจะมอบให้ผู้ดูแลประตู ผู้ดูแลประตูจะส่งต่อให้ผู้ที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ผู้ดูแลจะจัดการตามความห่างเหินหรือใกล้ชิดระหว่างสกุลผู้ส่งเทียบเชิญกับสกุลเผย คนส่วนมากทำเช่นนี้เพื่อแสดงความเคารพต่อสกุลเผย จึงได้ตั้งใจมาเรียนแจ้งให้ทราบสักคำ สกุลเผยก็จะเตรียมของขวัญอวยพรเล็กๆ น้อยๆ ไว้ให้ สกุลใดที่พอรู้จักมักคุ้นกับสกุลเผยอยู่บ้าง ก็จะได้ซองแดงสองตำลึงเป็นของขวัญ แต่หากมีความสัมพันธ์ดีขึ้นไปอีก ผู้ดูแลก็จะไปรายงานต่อเผยเยี่ยน โดยจะให้เผยเยี่ยนเป็นคนตัดสินใจว่าเขาจะไปแสดงความยินดีด้วยตนเองหรือจะส่งผู้ดูแลถือของขวัญอวยพรที่เหมาะสมไปมอบให้
สกุลอวี้ไม่ต้องการเชิญเผยเยี่ยนอย่างเอิกเกริก ดังนั้นจึงปฏิบัติตามธรรมเนียมเหมือนกับชาวเมืองคนอื่นๆ ที่ส่งเทียบเชิญไปให้ ส่วนว่าสกุลเผยจะจัดการอย่างไร ก็ให้เป็นเรื่องของสกุลเผยแล้ว
แต่อวี้เหวินคิดว่าเผยเยี่ยนไม่น่าจะมาร่วมงาน
งานประมูลกับงานแต่งของอวี้หย่วนห่างกันไม่กี่วัน หากเขามาแสดงความยินดีด้วยตนเอง กลัวแต่ว่าคนประสงค์ร้ายอาจสังเกตเห็นได้
เผยเยี่ยนคงจะยุ่งมากจริงๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับสกุลของพวกเขาอีกเลย
พวกเขาเองก็เริ่มเตรียมข้าวของสำหรับงานแต่งของอวี้หย่วนอย่างสงบใจ
แต่สิ่งที่สกุลอวี้คาดไม่ถึงก็คือ ก่อนหน้างานแต่งของอวี้หย่วนหนึ่งวัน แม้เผยเยี่ยนจะไม่ได้มาด้วยตนเอง แต่ก็ส่งพ่อบ้านใหญ่เผยหม่านมาแทน
สีหน้าของเผยหม่านเต็มไปด้วยความละอายใจ “นายท่านสามยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกมาร่วมงานด้วยตนเอง ขอนายท่านอวี้โปรดเข้าใจด้วยขอรับ!”
จริงอยู่ว่าเผยเยี่ยนกำลังไว้ทุกข์ แต่ในสายตาของชาวเมืองหลินอัน สกุลอวี้ยังไม่หน้าใหญ่พอจะเชิญเผยเยี่ยนมาร่วมดื่มสุรามงคลได้ ดังนั้นคำพูดนี้ของเผยหม่านจึงฟังรื่นหูและไว้หน้าสกุลอวี้อย่างมากแล้ว พวกนายท่านอู่ที่มาช่วยงานมีผู้ใดบ้างที่ไม่ฉลาดหัวไว พลันตอบกลับไปทันทีว่า “พ่อบ้านใหญ่พูดอะไรเช่นนั้น นายท่านสามจดจำวันมงคลของคุณชายอวี้ได้ก็นับว่ายากยิ่งแล้ว ยังจะให้นายท่านสามมาร่วมงานอีกได้อย่างไร พ่อบ้านใหญ่ในเมื่อมาเป็นตัวแทนของสกุลเผย เช่นนั้นก็เชิญดื่มสุรามงคลแล้วค่อยกลับไปรายงานผลเถอะ”
เผยหม่านบอกปัดอย่างนิ่มนวล “เหล่าเจ้านายยังเก็บตัวอยู่ในจวน ข้าผู้เป็นเพียงบ่าวไพร่จะกล้าฝืนธรรมเนียมได้อย่างไร ข้าขออวยพรให้คุณชายอวี้สามีภรรยารักใคร่ปรองดอง มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง รอให้ผ่านช่วงนี้ไปแล้ว จะมาเยี่ยมเยือนแสดงความยินดีกับนายท่านอวี้อีกครั้ง”
นายท่านอู่เป็นผู้ช่วยรับรองแขกในวันนี้ พอได้ฟังเขาเอ่ยเช่นนั้น ย่อมไม่ฝืนใจเขาต่ออีก เพียงไปส่งเผยหม่านถึงหน้าประตูด้วยรอยยิ้ม
คนของสกุลเซียงที่มาส่งสินเดิมและช่วยปูเตียงหันไปเห็นเข้า อดจะพยักหน้าติดๆ กันไม่ได้ แล้วแอบกระซิบกระซาบกันว่า “มิน่าผู้อื่นล้วนบอกว่าท่านป้านั้นเก่งกาจ ไม่พูดถึงอย่างอื่น แค่รับคุณหนูใหญ่มาเลี้ยงดู ทั้งหาสกุลที่มีหน้ามีตาให้คุณหนูใหญ่ตบแต่งได้ นี่ใช่ว่าใครที่ไหนจะทำได้นะ”
คนที่พวกเขาเรียกว่า ‘ท่านป้า’ นั้น หมายถึงนายหญิงเว่ยนั่นเอง
“นี่นับเป็นวาสนาของคุณหนูใหญ่!”
“ได้ยินว่าเหล่าบัณฑิตในเมืองหลินอันล้วนมาร่วมงานกันหมด งานแต่งนี้นับว่ายิ่งใหญ่ไม่เลวเลย”
“ต่อไปหากคุณหนูใหญ่คลอดคุณชายน้อยออกมา อย่างน้อยต่อไปเรื่องเล่าเรียนวิชาก็ไม่ต้องกังวลใจ ตอนนั้นนายท่านถึงยืนกรานจะแต่งกับนายหญิงให้ได้ ก็มิใช่เพราะสกุลเสิ่นเป็นสกุลบัณฑิตหรอกหรือ ต่อไปเหล่าคุณชายจะได้เล่าเรียนตามท่านลุงท่านอาอย่างไรเล่า”
คนของสกุลเซียงยังวิพากษ์วิจารณ์ต่อไม่หยุด
อวี้ถังกลับไปช่วยมารดาเตรียมความพร้อมของงานแต่งในวันพรุ่งนี้
ชากับสุราเพียงพอหรือไม่? ของขวัญตอบแทนที่ต้องมอบให้สกุลเซียงตกหล่นหรือเปล่า? คนที่จะไปรับเจ้าสาววันนี้เดินทางออกไปอย่างราบรื่นแล้วหรือยัง?
แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องจุกจิก แต่หากขาดสิ่งใดไปก็อาจส่งผลให้งานมงคลเกิดข้อผิดพลาดได้ทั้งสิ้น
อลหม่านวุ่นวายอยู่เช่นนั้น ไม่ทันไรฟ้าก็มืดลงแล้ว เพราะฟู่หยางห่างออกไปเป็นระยะเดินทางหนึ่งวัน เกี้ยวรับเจ้าสาวของสกุลอวี้จึงต้องออกเดินทางล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อรับประกันว่าจะรับเจ้าสาวมาส่งเข้าประตูได้ทันฤกษ์ยามมงคล อวี้ถังกับมารดาออกมาส่งเกี้ยวรับเจ้าสาวด้วยกัน จากนั้นก็ไปตรวจสอบที่ห้องครัวและห้องหอ เห็นว่าทุกขั้นตอนจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงได้กลับเรือนไปแล้วทิ้งตัวนอนหลับสนิท
ผ่านไปเช่นนี้จึงถึงเช้าวันที่สอง ฟ้ายังไม่ทันสว่างนางก็ถูกป้าเฉินปลุกให้ตื่น “คุณหนู ป้าหวังบ้านนายท่านใหญ่มาถามว่า ท่านเอาป้ายคำอวยพรที่ใช้ตอนพิธีกราบไหว้ฟ้าดินไปวางไว้ไหนเจ้าคะ ทางโน้นกำลังจะจัดห้องโถงพิธีแล้ว”
ตอนแรกผู้มาช่วยงานได้ร่ายรายการของใช้ออกมา สิ่งของจำเป็นที่ใช้ในพิธีล้วนซื้อกลับมาในคราวเดียว ป้าสะใภ้ใหญ่ตอนนั้นกำลังชั่งตวงปลาและเนื้อสำหรับงานเลี้ยงอยู่ในครัว นางจึงช่วยป้าสะใภ้เก็บของไว้ให้ก่อน
อวี้ถังนั่งกอดผ้าห่มอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพลางเปิดปากหาววอดๆ “จัดเร็วเกินไปหรือเปล่า? ระวังเด็กๆ ที่มาร่วมงานจะทำป้ายคำอวยพรเลอะเทอะเสียก่อน ข้าว่ารอเก็บกวาดงานเลี้ยงช่วงเที่ยงให้เสร็จแล้วค่อยติดป้ายคำอวยพรก็ได้นี่นา”
ป้าเฉินทางหนึ่งก็สั่งซวงเถาที่กำลังสัปหงกไม่ต่างกันให้มาช่วยอวี้ถังแต่งตัวหวีผม ทางหนึ่งก็คว้าชุดที่อวี้ถังเตรียมเอาไว้ตั้งแต่หลายวันก่อนลงมาจากราวไม้ที่ใช้แขวนชุด
อวี้ถังบ้วนปากล้างหน้าเสร็จ คนก็เริ่มตื่นเต็มตาบ้างแล้ว จึงเอ่ยกับป้าเฉินว่า “เจ้าไปบอกป้าหวังสักคำเถอะ ป้ายคำอวยพรเก็บอยู่ในกล่องไม้สีดำที่วาดลายดอกเหมยในห้องเก็บของของป้าสะใภ้ ข้าหวีผมเสร็จแล้วจะตามไปช่วยงาน”
ป้าเฉินรับคำแล้วจึงเดินออกไป
ซวงเถาช่วยนางหวีผมเป็นทรงมวยก้นหอยคู่ ปักเครื่องประดับผมไข่มุกสีชมพูอย่างเรียบง่ายหนึ่งชิ้น แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมหังโจวตัวยาวสีฟ้าอ่อนลายผีเสื้อดอมดมบุปผาที่รีดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
ชุดนี้ค่อนข้างมีอายุ หากมิใช่ว่าอวี้ถังเป็นคนสวยจริงๆ จะใส่ชุดไหนก็ไม่อาจข่มความงามของนางได้ ไม่อย่างนั้นถ้าหลงหายไปกลางผู้คนก็คงหาตัวไม่เจอแล้ว
ทว่า วันนี้เป็นวันมงคลของคุณหนูเซียง งานแต่งสามวันไม่นับเด็กแก่[1] พอคุณหนูเซียงผ่านเข้าประตูมา ตอนที่เปิดผ้าปิดหน้า พวกนางเหล่าญาติๆ ก็กรูเข้าไปชมความคึกคักในห้องหอ นางจึงกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนไปโดยปริยาย ซึ่งการแต่งตัวเช่นนี้ก็เป็นไปตรงตามความต้องการของนางพอดี
ซวงเถาอดจะบ่มงึมงำไม่ได้ “คุณหนูควรจะเชื่อนายหญิงแต่แรก ใส่ชุดคลุมสีชมพูลายดอกชางผูงามกว่ากันตั้งเยอะ ทั้งยังเป็นผ้าลายใหม่ของปีนี้ที่เมืองหังโจวทำออกมาด้วย…”
แม้ระหว่างกลางจะมีงานประมูลเกิดขึ้น แต่คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินก็พาอวี้ถังไปหังโจวมารอบหนึ่ง ไม่เพียงซื้อผ้าและเครื่องประดับที่ออกใหม่ ซ้ำยังซื้อถ้วยชามช้อนตะเกียบชุดใหม่ให้ที่เรือนเพิ่มอีกด้วย
ชุดที่ซวงเถาพูดถึงนั้น ก็คือชุดที่คนสกุลเฉินซื้อมาเพื่อให้นางใส่ตอนวันแต่งงานของอวี้หย่วน
อวี้ถังก็คิดว่างดงามดี
ทั้งเนื้อผ้า และสีชมพูนั่น เหมือนดั่งดอกเหมยที่เบ่งบานตอนเดือนสาม ช่วยขับเน้นผิวกายผู้สวมใส่ แต่มันทำให้นางโดดเด่นเกินไป…ตอนนางไม่ยิ้มก็ค่อนไปทางเคร่งขรึม ลดทอนความใสซื่อไร้เดียงสาของเด็กสาวไป ตรงข้ามกับสีแดงเข้มอีกชุดที่เข้ากับนางมากกว่า
ทว่า นางไม่คิดจะบอกเรื่องพวกนี้กับซวงเถา นางตัดบทซวงเถาที่กำลังร่ายยาวไม่หยุดว่า “เหตุใดเจ้าพูดมากเช่นนี้? เมื่อวานไม่ได้ใช้งานเจ้ามากพอใช่หรือไม่!”
ซวงเถานึกถึงความทุกข์ระทมของเมื่อวานที่เท้าแทบไม่ได้แตะพื้น จึงรีบหุบปากทันที
ความจริงนางแค่อยากจะพูดว่า วันนี้จะมีเหล่าสตรีมาร่วมงานมากมาย หากว่าอวี้ถังบรรจงแต่งตัวให้สะสวย ผู้คนก็ยิ่งจะจดจำนางได้มากขึ้น ไม่แน่อาจมีนายหญิงสกุลใดเห็นนางเข้าตา แล้วมาสู่ขออวี้ถังก็เป็นได้
นายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองยังพูดแล้วเลยว่า รอให้คุณชายตบแต่งเรียบร้อยก่อน ค่อยทุ่มความสนใจทั้งหมดไปที่การหาเขยชายให้คุณหนู
สองคนมาถึงเรือนของอวี้ป๋อ คนสกุลหวังกับนายหญิงอีกหลายคนกำลังสนทนากันอยู่กลางลาน โถงใหญ่ยังมีสภาพเหมือนเมื่อวาน ไม่ได้ตกแต่งสิ่งใดเพิ่มเติม
หรือป้าสะใภ้เปลี่ยนใจแล้ว?
อวี้ถังเดินเข้าไปทักทายป้าสะใภ้อย่างงุนงง
ป้าสะใภ้ลากอวี้ถังเข้าไปแนะนำให้เหล่านายหญิงทั้งหลายได้รู้จักด้วยรอยยิ้มที่เกลื่อนหน้า
ทุกคนล้วนเป็นนายหญิงคุมเรือนที่มีหน้ามีตาของเมืองหลินอันทั้งสิ้น
บางคนอวี้ถังเคยพบหน้าแล้วเมื่อครั้งอยู่สกุลหลี่ตอนชาติก่อน บางคนนางเคยได้ยินชื่อเสียงของผู้เป็นสามีมาบ้าง คนสกุลหวังแนะนำเพียงรอบเดียว อวี้ถังก็จำชื่อทุกคนได้ขึ้นใจ ตอนที่สนทนากันก็เรียกชื่อได้ไม่ตกหล่น บวกกับนางมีประสบการณ์ที่สั่งสมจากชาติก่อน ระหว่างพูดจาก็วางตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ว่าพวกนางจะถามสิ่งใดนางล้วนตอบได้อย่างรื่นไหลไม่ติดขัด นายหญิงทั้งหลายต่างมองนางด้วยสายตาที่สูงขึ้นกว่าเดิม ความชื่นชมแสดงออกผ่านน้ำเสียง ทั้งให้ความเป็นมิตรกับนางอย่างมาก
มีนายหญิงของซิ่วไฉสกุลเจิงผู้หนึ่งถึงขนาดถามไถ่อายุของนางโดยไม่สนใจกาลเทศะ ซักไซ้ว่าปกตินางทำอะไรเป็นงานอดิเรก อ่านสมุดบัญชีเป็นหรือไม่
ป้าสะใภ้กลับไม่ได้กีดกัน นายหญิงคนอื่นต่างก็มองนางยิ้มๆ ทำหน้าคล้ายว่าอยากรู้ด้วยเช่นเดียวกัน
อวี้ถังเพิ่งจะรู้ตัวตอนนั้นเอง
ป้าสะใภ้กำลังฝากฝังให้ผู้อื่นเป็นแม่สื่อให้นางอยู่!
อวี้ถังพลันดวงหน้าแดงก่ำ แต่ยังคงตอบคำถามของนายหญิงเจิงอย่างกระชับคำอยู่ดี
นายหญิงเมิ่งเห็นดังนั้น มีเจตนาจะช่วยอวี้ถังขัดตาทัพ นางหันไปเอ่ยกับคนสกุลหวังพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินมานานว่าหลานสาวบ้านนี้งดงามนัก วันนี้ได้มาเห็น ไม่เพียงสะสวยสมคำ วาจากิริยาก็เข้าที นายหญิงเฉินช่างอบรมมาดีเหลือเกิน!”
นายหญิงคนอื่นๆ จึงเอ่ยเยินยอตามไปด้วย
คนสกุลหวังเห็นว่าพอหอมปากหอมคอแล้ว ก็ให้อวี้ถังไปเตรียมของที่จะใช้ตกแต่งโถงพิธีเอาไว้ ทั้งยังเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดมีเหตุผล พวกเราเก็บกวาดงานเลี้ยงมื้อเที่ยงแล้วค่อยตกแต่งโถงพิธีจะดีกว่า”
ในเมื่อเป็นงานมงคล ธุระเรื่องตกแต่งโถงพิธีและห้องหอล้วนเป็นหน้าที่ของบิดามารดาทั้งสองฝ่าย หรือไม่ก็นายหญิงที่มีทั้งบุตรธิดาครบพร้อม เหล่านายหญิงหลายคนนี้คะเนว่าคงมาช่วยงานเป็นแน่
อวี้ถังรับคำแล้วมุ่งหน้าไปที่ห้องน้ำชา พลันได้ยินเสียงนายหญิงเมิ่งอย่างเลือนลางว่า “พวกท่านได้ยินเรื่องสกุลหลี่แล้วหรือไม่?”
มีคนเอ่ยต่อทันทีว่า “สกุลหลี่ที่อยู่ตอนใต้ของเมือง ที่มีคุณชายเป็นจวี่เหรินน่ะรึ?”
“ถูกต้องแล้ว” นายหญิงเมิ่งตอบเสียงเบา แต่อวี้ถังก็ยังได้ยินประโยคถัดไปว่า “ได้ยินว่าถูกถอนหมั้น…หลายวันก่อนไปเมืองหังโจวยังไม่กลับมาเลย…ใต้เท้าหลี่ร้อนใจแทบแย่ ส่งกุนซือข้างกายมาเอง ให้เดินทางไปสกุลกู้พร้อมกับฮูหยินหลี่…”
————————————————————-
[1]งานแต่งสามวันไม่นับเด็กแก่ คือประเพณีของงานแต่งงาน หลังจากแต่งงานได้สามวัน แขกเหรื่อ เพื่อนบ้าน มิตรสหายล้วนไม่แบ่งแยกอาวุโส ชายหญิงเด็กผู้ใหญ่สามารถมาร่วมหยอกล้อสร้างความครื้นเครงแก่คู่บ่าวสาวได้ทั้งสิ้น โดยมีความเชื่อว่าการทำเช่นนี้เป็นการเสริมบรรยากาศมงคล ขับไล่ความชั่วร้ายและหลีกเลี่ยงสิ่งอัปมงคลต่างๆ ถือเป็นการอวยพรให้บ่าวสาวสมปรารถนา เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
วาจาของเผยเยี่ยนทำให้หัวใจอวี้ถังรัวเต้นเหมือนกลอง
เขาพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
หากว่าสกุลอวี้ประสบความลำบาก เห็นแก่เพื่อนบ้านเมืองเดียวกัน ไม่ว่าสวนป่าจะอยู่ในสภาพเช่นใด เขาก็จะออกหน้าซื้อมันไว้ ช่วยเหลือสกุลอวี้ให้พ้นจากความยากแค้น
นางเข้าใจถูกแล้วใช่หรือไม่?
นางนึกถึงเรื่องเมื่อชาติก่อน หัวใจยิ่งกระหน่ำเต้นแรงกว่าเดิม
ชาติที่แล้ว สกุลอวี้ขายทั้งที่นาและสวนป่าให้สกุลเผย ไม่เพียงแค่ว่าสกุลเผยเป็นสกุลที่มั่งคั่งที่สุดในเมืองหลินอัน แต่เพราะสกุลเผยรับซื้อในราคาสูงที่สุดด้วย
ตอนนั้นนางก็ไม่เข้าใจสกุลเผย
คิดว่าเพราะสกุลเผยมีเงินทองกองเป็นภูเขา จึงไม่ใส่ใจกับเงินเล็กน้อยแค่นี้
แต่ดูจากเมื่อครู่ แม้สกุลเผยจะมีเงินมากมาย แต่เขาจะจ่ายแต่สิ่งที่ควรจ่ายเท่านั้น สิ่งที่ไม่ควรจ่ายก็จะไม่จ่ายอย่างเด็ดขาด
เห็นได้อย่างชัดเจน ที่สกุลเผยซื้อทรัพย์สินต่อจากสกุลอวี้นั้น ก็เพราะความใจบุญสุนทาน อีกทั้งเงินนั่นก็ช่วยสกุลอวี้ไว้ได้จริงๆ…หากไม่ได้เงินของสกุลเผย นางก็จะไม่มีเงินไปจ้างคนงมศพบิดามารดา ไม่มีแม้เงินจะซื้อสุสานฝังศพให้พวกเขาได้พักกายอย่างเป็นสุขด้วยซ้ำ
ที่แท้ ตั้งแต่ตอนที่นางไม่รู้อะไรสักอย่าง เผยเยี่ยนก็มีบุญคุณใหญ่หลวงต่อนางแล้ว
อวี้ถังระลึกความเดียวดายไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหนเมื่อชาติก่อน แต่พอคิดว่ามีคนเคยมอบความช่วยเหลือและความอบอุ่นให้แก่นาง ดวงตาพลันรื้นเอ่อทันที
เผยเยี่ยนเห็นนางเหม่อลอย เป็นนานสองนานก็ไม่ได้สติ ในใจจึงอดจะสงสัยไม่ได้ เขายื่นมือโบกไปมาตรงหน้านาง “นี่ เจ้าคิดเสร็จแล้วหรือยัง? ต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่? หากว่าไม่ต้องการหรือยังคิดไม่เสร็จ เช่นนั้นรอให้ผ่านวันที่สิบไปแล้วค่อยว่ากัน”
สมองของอวี้ถังหมุนแล่น คิดหาคำตอบอย่างรวดเร็ว
นางเอ่ยว่า “ข้ายังต้องการปลูกต้นซาจี๋ จากนั้นก็นำผลซาจี๋ไปทำผลไม้แช่อิ่มขาย ท่านคิดว่าทำได้หรือไม่?”
เผยเยี่ยนไม่นึกว่าอวี้ถังจะหัวรั้นเพียงนี้
แต่มันคือสิ่งที่นางเลือก ต่อให้เป็นกำแพงเมือง ก็ต้องให้นางเอาศีรษะพุ่งชนเองจึงจะเรียนรู้ที่จะถอยกลับ
เขาเอ่ยเตือนนางว่า “ต้นซาจี๋จะออกผลอย่างต่ำต้องรอสามปี เจ้าคิดดีแล้วใช่ไหม?”
“คิดดีแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังสูดหายใจลึกเข้าปอด
ชาติก่อนไม่ว่าเผยเยี่ยนจะปลูกต้นซาจี๋ด้วยเหตุผลใดก็ตาม นางคิดว่าขอแค่เดินตามเส้นทางของเขาไป อย่างไรย่อมสำเร็จลุล่วง
เผยเยี่ยนไม่โน้มน้าวนางอีก “ถ้าเจ้าตัดสินใจดีแล้ว เช่นนั้นก็ตั้งใจลงมือทำ ข้าเกลียดพวกที่ละทิ้งกลางทางที่สุด”
“ท่านวางใจได้เลย!” อวี้ถังให้ความมั่นใจต่อเขา “ข้าจะตั้งใจทำอย่างแน่นอน”
เผยเยี่ยนครุ่นคิด นับว่าได้จ่ายค่าครูแล้ว
ใครไปเรียนวิชาแล้วไม่ต้องจ่ายเงินสักเล็กน้อยบ้าง!
“จวนข้ายังมีต้นซาจี๋หลายต้น” เขาบอก “รอผ่านวันที่สิบไป เจ้าก็ส่งคนไปขุดแล้วลองไปปลูกที่สวนของเจ้าก่อน หากว่าปลูกรอด ฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ก็คงออกผล ถึงเวลานั้นเจ้าลองชิมรสชาติของมันดูก็รู้แล้วว่าเป็นอย่างไร”
จืดชืดไร้รส หากไม่ทำเป็นผลไม้แช่อิ่ม ก็ไม่มีประโยชน์อย่างอื่นแล้วจริงๆ
อวี้ถังคิดไม่ถึงว่าจะได้กำไรอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้
ชาติก่อน นางได้ยินว่าต้นไม้ชนิดนี้เป็นสหายขุนนางซึ่งอยู่แถบซีเป่ยแนะนำมาให้เขา ส่วนชาตินี้ กลับเป็นโจวจื่อจินที่ขุดมันกลับมาจากแถบซีเป่ย ไม่รู้ว่าข้อมูลเมื่อชาติก่อนหรือว่าชาตินี้กันแน่ที่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็ตัดสินใจว่าเมื่อมันออกผลแล้ว ก็จะทำผลไม้แช่อิ่มให้เผยเยี่ยนกับนายท่านเสิ่นที่ช่วยหาเมล็ดพันธุ์ลองชิมดูก่อนสักรอบ
สองคนนี้ช่วยนางไว้มากมายเลยทีเดียว
อวี้ถังส่งเผยเยี่ยนกลับไปด้วยความเคารพนับถือ
เผยเยี่ยนกลับไปถึงจวนยังไม่ทันนั่งได้มั่นคง เผยหม่านก็เข้ามาหา พร้อมรายงานข่าวที่ทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ “สกุลอู่เที่ยวโพนทะนาไปทั่วว่าสกุลเถา สกุลอิ้น สกุลลี่และสกุลเซิ่งต่างตัดสินใจจะกดราคาประมูลให้อยู่ที่ประมาณห้าพันตำลึง ไม่ว่าสกุลใดจะได้แผนที่ผืนนั้นไป พวกเขาก็จะนำมาแบ่งปันกันขอรับ”
ไม่มีมิตรแท้ตลอดกาล มีเพียงผลประโยชน์ที่ยั่งยืน
เผยเยี่ยนรินน้ำชาให้ตนเองอย่างไม่แยแส เขาจิบชาอย่างไม่อนาทรร้อนใจ ก่อนจะตอบว่า “เจ้าไม่ต้องกังวลไป ข้าไม่คาดหวังให้สกุลใดชนะประมูลอยู่แล้ว หากว่าพวกเขาหารือกันเสร็จสรรพ เช่นนั้นก็ขายแผนที่ให้พวกเขาในราคาห้าพันตำลึงไปเถอะ บวกกับเงินประกันสองพันตำลึงที่แต่ละสกุลจ่ายมา อย่างไรสกุลอวี้ก็ได้ถึงสองหมื่นตำลึงแล้ว เมื่อมีเงินสองหมื่นตำลึงนี้ แม้ไม่นับว่ามากมาย แต่ก็พอให้สกุลเขาใช้ได้ไปอีกหลายรุ่น อีกอย่าง เงินทองมีมากมายแล้วได้อะไรเล่า? หากลูกหลานไม่เป็นโล้เป็นพาย มีมากเท่าไรก็หมดได้เหมือนกัน”
เผยหม่านเอ่ยอย่างประหลาดใจว่า “มิใช่ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ได้ครองหรือขอรับ?”
เผยเยี่ยนพ่นลมออกมาเป็นเสียงหัวเราะ มองเขาราวกับเป็นคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง “ผู้ให้ราคาสูงสุดเป็นผู้ได้ครอง เจ้าคิดว่าเป็นไปได้หรือ? แล้วเท่าไรนับว่าสูงเล่า? แต่แรกข้าก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผล เพียงแต่ไม่ต้องการให้พวกเขาได้มันไปง่ายๆ ก็เท่านั้น มิฉะนั้นพวกเขาจะคิดว่าสกุลเผยซ่อนแผนร้ายไว้ในใจ สงสัยว่าแผนที่นั่นเป็นของปลอม”
เห็นชัดว่ามีคนประเภทใช้หัวใจของคนถ่อยไปวัดความคิดวิญญูชนอยู่จริงๆ
เผยหม่านพูดต่อว่า “เช่นนั้นพวกเราจะไม่เก็บแผนที่ไว้จริงๆ หรือขอรับ?”
สกุลอวี้เคยพูดไว้ว่าจะมอบภาพผืนหนึ่งให้เผยเยี่ยน หากพวกเขาจะเก็บไว้สักผืนก็ไม่นับว่าผิดสัญญากระมัง?
เผยเยี่ยนส่ายหน้า “ข้ารู้จักศิษย์พี่รองคนนี้ดี เพื่อเส้นทางขุนนางในวันข้างหน้าแล้ว เรื่องใดๆ ล้วนกล้าทำทั้งสิ้น บัดนี้นายท่านเสิ่นผู้เป็นโซ่วฟู่ก็อายุมากแล้ว อย่างมากอีกสองปีคงลาออกจากราชการ เขากับหลี่ซวิ่นแย่งชิงตำแหน่งโซ่วฝู่ของเน่ยเก๋อ จากนิสัยของเขา ย่อมลงมือกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลเป็นที่แรกแน่ ล้างบางสกุลใหญ่ๆ ในแถบเจียงหนานเสียใหม่ คนที่ไม่หนุนหลังเขาก็จะถูกเหยียบให้จมโคลน ข้ากับเขาเดิมก็ไม่ถูกกัน หากมิใช่อาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งต้องขอคำแนะนำจากศิษย์พี่เฟ่ย เกรงว่าเขาคงไม่นับข้าคนนี้เป็นศิษย์น้องตั้งนานแล้ว พวกเราอย่าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้เป็นดีที่สุด”
สีหน้าเผยหม่านเปลี่ยนเหมือนพลิกฝ่ามือ เขาพยักหน้ารับหงึกหงัก
เผยเยี่ยนลุกยืนขึ้นแล้วบิดตัวอย่างเกียจคร้าน เขาเอ่ยพลางเปิดปากหาวว่า “เมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย วันนี้ข้าจะนอนกลางวัน ช่วงบ่ายยังต้องไปต้อนรับคนของสกุลเผิงอีก เจ้าไปบอกอาหมิงสักคำ ถึงเวลานั้นมาปลุกข้าด้วย”
เผยหม่านรับคำ แล้วสั่งการสาวใช้ให้ปูที่นอนแก่เผยเยี่ยน
อวี้ถังที่กลับเข้าเรือนไปค่อนข้างกระสับกระส่าย นางเอาแต่คิดถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ตอนชาติก่อน พอถึงวันที่สิบซึ่งมีการเปิดประมูล อวี้หย่วนก็มาถึงเรือนอวี้ถังแต่ไก่โห่ จากนั้นก็นั่งรอฟังข่าวกับอวี้หย่วนด้วยความตึงเครียด
อวี้ถังแม้ตัวจะอยู่ในห้องหนังสือ แต่ใจกลับลอยไปที่อื่นแล้ว
นางกำลังนึกย้อนไปยังชาติก่อน นึกถึงข่าวลือต่างๆ เกี่ยวกับเผยเยี่ยน
ทุกคนรู้เรื่องของเขาน้อยมาก ถึงขนาดไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาแต่งกับสตรีสกุลใด ไม่เคยได้ยินว่าเขามีลูก ไม่รู้เพราะเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นล่วงรู้หรือว่าไม่ได้ตบแต่งกันแน่?
ชาติก่อนนางก็โง่เหลือทน เหตุใดถึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมสกุลเผยเสนอราคาซื้อสวนป่าของสกุลตนด้วยเงินที่สูงกว่าผู้อื่ืน? แต่ต่อให้นางรู้ จากนิสัยและความขี้ขลาดของนางแต่ก่อน คาดว่าคงไม่กล้าไปขอบคุณสกุลเผยอยู่ดี ยังมีสกุลหลี่ ชาติก่อน เมื่อได้แผนที่ไปครอง พวกเขาก็ร่วมมือกับสกุลเผิง ไม่นานก็ขึ้นแท่นสกุลใหญ่ในเมืองหลินอันซึ่งเป็นรองเพียงสกุลเผยเท่านั้น ไม่รู้ว่าเรื่องนี้สิ่งผลกระทบต่อสกุลเผยมากน้อยแค่ไหน? ไม่เพียงเท่านี้ เผยเยี่ยนพูดว่าราชสำนักอาจยกเลิกสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลที่หนิงปัวและเฉวียนโจว แต่จากความทรงจำของนาง จนถึงกระทั่งตอนที่นางตายไป สำนักตรวจสอบทั้งที่หนังปัวและเฉวียนโจวก็ยังอยู่ดี…
คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังแทบจะกระเด้งตัวขึ้นมา
จริงด้วย เหตุใดนางถึงไม่ใช้ข้อมูลที่นางมีเมื่อชาติก่อนมาตอบแทนสกุลเผยเล่า?
ชาติก่อน สำนักตรวจสอบที่หนิงปัวและเฉวียนโจวจะถูกรื้อถอนหรือไม่นั้น หาได้เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ว่าสกุลเผยนั้นไม่เหมือนกัน สกุลเขาทำกิจการใหญ่โต ต่อให้ไม่คิดทำการค้าทางทะเล แต่ย่อมมีคนที่รู้จักเป็นแน่ บางทีอาจมีญาติพี่น้องที่ทำกิจการนี้ นางสามารถเล็ดลอดข้อมูลให้แก่เผยเยี่ยน จากนั้นเผยเยี่ยนก็ใช้มันไปทำการแลกเปลี่ยนกับผู้อื่นต่อ บางทีนี่อาจทำให้สหายของเขาลดความสูญเสียลงก็เป็นได้
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าท่าเข้าที
นางเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ความปรารถนาที่จะพบเผยเยี่ยนเหมือนเปลวไฟที่พวยพุ่ง โหมแรงขึ้นทุกที
อวี้เหวินเห็นแล้วก็กระซิบกับอวี้หย่วนว่า “เจ้าดูอาถังสิ ไหนบอกว่าโตแล้ว มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่อายุนางก็แสดงชัดอยู่นั่นอย่างไร พอเจอเรื่องเข้าหน่อยก็สะกดใจไม่ค่อยอยู่”
ทุ่มเทเรี่ยวแรงมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็จะสลัดแผนที่นั่นพ้น อวี้หย่วนจึงรู้สึกยินดีจากเบื้องลึกของหัวใจ
เขาอดจะเอ่ยอย่างยิ้มๆ ไม่ได้ว่า “นี่มิใช่ว่ามีแต่คนในครอบครัวหรอกหรือ? หากว่ามีคนนอกอยู่ด้วย นางย่อมข่มกลั้นไว้เป็นแน่ ท่านเห็นแล้วยังต้องชมนางสักเปาะว่าสุขุมนุ่มลึก ท่านอาอย่าได้คอยจับผิดนางเลยขอรับ!”
อวี้เหวินหัวเราะไม่มีเสียงแล้วพูดกับอวี้ถังว่า “เจ้าเลิกเดินเสียทีเถอะ นี่เดินจนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว สกุลเผยมีอำนาจบารมี ย่อมส่งเงินที่ได้จากการประมูลมาให้พวกเราอย่างครบถ้วนสมบูรณ์แน่ เจ้าเดินวนไปวนมาเช่นนี้ เล่นเอาใจข้าพะวงตามไปด้วย”
อวี้ถังได้ฟังก็หัวเราะชอบใจ ไม่ได้อธิบายว่าทำไมนางถึงได้เดินวนกลับไปกลับมา นางพยายามข่มใจให้นิ่ง หย่อนตัวลงนั่งแล้วจิบชาไปสองอึก จากนั้นก็กลับห้องไปทำดอกไม้ผ้าอีกสองดอก ในที่สุดก็มีคนจากสกุลเผยมาส่งข่าว
“เงินประกันรวมกับเงินที่ได้จากงานประมูล รวมทั้งสิ้นสองหมื่นเจ็ดพันตำลึงขอรับ” คนที่มาคือบุรุษคะเนอายุได้ประมาณสามสิบ รูปโฉมสามัญ สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินธรรมดาๆ แต่พูดจาเป็นลำดับขั้นตอนยิ่ง เขามีชื่อว่าเฉินฉี เป็นนายห้องบัญชีของสกุลเผย “ตามที่ตกลงกันไว้ ทั้งหมดล้วนฝากไว้ที่ร้านเครื่องเงินสกุลเผย นี่คือตั๋วเงินทั้งหมด ขอนายท่านอวี้ตรวจนับก่อนหนึ่งรอบ ข้าจะได้กลับไปสรุปบัญชีขอรับ” เขาพูดจบ ก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกมา “ด้านในล้วนเป็นตั๋วเงินใบละหนึ่งพันตำลึง และเป็นตั๋วเงินที่มูลค่าสูงสุดในร้านเครื่องเงินของสกุลเผยแล้วขอรับ”
สองหมื่นเจ็ดพันตำลึง?!
สีหน้าของคนในสกุลอวี้พลันนิ่งค้างอยู่เช่นนั้น
อวี้หย่วนไม่อาจเก็บซ่อนความดีใจและตื่นเต้นเอาไว้ได้ เขามองไปทางอวี้ถัง แล้วลอบกำหมัดอยู่หลายที
อวี้เหวินก็ปลื้มปริ่มไม่ต่างกัน เขากระแอมเสียงเบาๆ รับกล่องใบนั้นมาแล้วส่งต่อให้อวี้หย่วนโดยไม่ชายตามอง เขายืดตัวแล้วคารวะให้เฉินฉีทีหนึ่ง “ลำบากท่านเฉินแล้ว ในเรือนเตรียมสุราอาหารไว้ ขอท่านเฉินอย่าได้รังเกียจ กินดื่มสักเล็กน้อยแล้วค่อยเดินทางกลับเถอะ”
ใครจะคิดว่าเฉินฉีกลับคร่ำเคร่งไม่ผ่อนปรน “นายท่านอวี้ ตั๋วเงินนี้นายท่านสามมอบให้มากับมือ คนทั้งหลายในห้องบัญชีต่างก็เป็นพยานตอนใส่ลงในกล่อง ทั้งข้าถือกล่องนี้มาเพียงผู้เดียว ขอให้ท่านตรวจนับเสียสักรอบ หากว่าไม่มีอันใดผิดพลาด พวกเราค่อยว่ากันเรื่องอื่นต่อ”
อวี้เหวินหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “ท่านเฉินเป็นถึงนายบัญชีของสกุลเผย ยังมีอะไรเชื่อถือไม่ได้อีก? ไม่มีทางผิดพลาดแน่…”
“ขอนายท่านอวี้ตรวจนับก่อนหนึ่งรอบ” เฉินฉีไม่เกรงใจอวี้เหวินเลยสักนิด ยืนกรานจะตรวจสอบเงินทองต่อหน้าทุกคนให้ครบถ้วน
อวี้เหวินเริ่มไม่ชอบใจ คิดว่าเฉินฉีไม่เชื่อถือน้ำใจคนอย่างเขา
อวี้ถังลอบถอนหายใจเฮือก ได้แต่พูดกล่อมบิดาว่า “ท่านพ่อเชื่อใจสกุลเผย นั่นคือความไว้วางใจที่ท่านมีต่อสกุลเผย แต่ท่านเฉินเป็นนายบัญชี ย่อมมีขั้นตอนที่ห้องบัญชีต้องปฏิบัติตาม เงินก้อนใหญ่ขนาดนี้ ท่านไม่ยอมตรวจนับต่อหน้า แล้วเขาจะกลับไปลงบัญชีได้อย่างไร ท่านยังคงเชื่อท่านเฉินจะดีกว่า ตรวจนับตั๋วเงินตรงนี้ให้เรียบร้อยเถอะเจ้าค่ะ!”
เช่นนี้แล้วอวี้เหวินกับอวี้หย่วนจึงได้เริ่มตรวจนับตั๋วเงินไปพร้อมๆ กับเฉินฉี
สิ่งที่สกุลเผยส่งมา ทั้งยังเป็นเผยเยี่ยนที่ส่งต่อให้เฉินฉีด้วยมือตนเอง ย่อมไม่มีทางผิดพลาดได้
อวี้เหวินคิด ครานี้เฉินฉีสามารถไปดื่มกินกับเขาได้อย่างสบายใจแล้วกระมัง?
เฉินฉียังคงบอกปฏิเสธ “ข้านั่งรถม้าของนายท่านสามมาขอรับ ยังต้องรีบกลับไปรายงานผลอีก ท่านหากว่าต้องการขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณนายท่านสามแล้ว! ข้าก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น”
เขาไม่ไว้หน้าอวี้เหวินสักนิด ทำเอาอวี้เหวินโมโหจนแทบสำลัก ทั้งไม่ยอมเดินไปส่งเฉินฉีที่หน้าประตูด้วย กลับสั่งให้อวี้หย่วนไปส่งแขกแทนตน
เฉินฉีก็ไม่รู้สึกว่าตนได้รับความไม่สะดวก เขาประสานมือคารวะอวี้เหวิน ก่อนจะเดินตามอวี้หย่วนออกจากห้องหนังสือไป
ในสมองของเผยเยี่ยนมีภาพดวงตากลมโตและกระจ่างดั่งน้ำใสของอวี้ถังลอยขึ้นมา
ไม่ว่าดวงตาคู่นั้นมองไปทางไหนล้วนแต่เป็นประกายระยิบระยับ เต็มเปี่ยมด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หญิงสาวเช่นนาง ต่อให้ต้องติดแหง็กอยู่แต่ในเรือน นางก็คงหาทางทำเรื่องอะไรออกมาได้อยู่ดีกระมัง?
เผยเยี่ยนโยนขนมถั่วตัดกรอบเข้าปาก
นี่อย่างไร ไม่ให้ออกไปข้างนอก นางอยู่ในเรือนยังทำขนมถั่วตัดกรอบออกมาได้เลย
หากขังนางให้อยู่ในเรือนต่ออีกสักหลายวัน ไม่รู้ว่าจะมีอะไรส่งมาให้เขาอีกบ้าง?
“อาหมิง” เขากล่าว “ไปเชิญคุณหนูอวี้มาดื่มชา” ยังไม่ทันจบเสียงดี เขาก็นึกว่ามีแขกเหรื่ออยู่เต็มจวน จึงเปลี่ยนแผนในทันทีว่า “เป็นข้าไปพบคุณหนูอวี้จะดีกว่า เจ้าบอกให้พวกเขาเตรียมเกี้ยวแบบสามัญไว้หลังหนึ่ง พวกเราจะไปเงียบๆ แล้วกลับมาอย่างไม่กระโตกกระตากเช่นกัน”
ช่วงพลบค่ำ ยังมีงานเลี้ยงต้อนรับมิตรสหายและแขกเหรื่ออีก
อาหมิงรับคำแล้วหายวับไป
ผ่านไปสองเค่อ เกี้ยวเล็กผ้าม่านสีเขียวหลังหนึ่งก็เคลื่อนออกจากจวนสกุลเผยไปอย่างไร้เสียง
สกุลเผยเลือกหอตงไหลเป็นสถานที่รับรองแขก แม้ชื่อจะเรียกว่าหอ แต่ความจริงเป็นเรือนประสานที่คดเคี้ยวเลี้ยวลดแห่งหนึ่ง ถ้าเงยหน้ามองขึ้นไป จะเจอกับผนังดอกไม้ทุกหนแห่ง ทุกพื้นที่เต็มไปด้วยทางเดินสายเล็กๆ หากคนเข้าไปอยู่ตรงกลาง มักทำให้สับสนทิศและหลงทางได้ง่ายๆ
นายท่านใหญ่สกุลเผิงยืนอยู่หลังหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดกว้าง ทางซ้ายคือป่าไผ่ ทางขวาคือภูเขาจำลองและหินไท่หู[1] มองดูทิวทัศน์ที่เทียบเคียงได้กับภาพวาดก็ไม่ปาน
“สกุลเผยน่าสนใจไม่เลว” เขาร้องเหอะทีหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “หากพวกเราคิดจะบุกไปทักทายเสียหน่อย เกรงว่าคงหลงทางก่อนกระมัง?”
เขาเป็นบุรุษอายุห้าสิบปี ตัวสูงชะลูด หน้าขาวเคราเฟิ้ม คิ้วเข้มตาโต ท่าทางสง่าผ่าเผย คล้ายบัณฑิตที่อ่านตำรามามาก
ด้านหลังเขามีชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก ดวงหน้าหยกมีรอยบากสีม่วงพาดยาวตั้งแต่หางตาจนถึงมุมปาก ไม่เพียงทำให้เขามีรูปโฉมดุดัน แต่ยังให้ความรู้สึกน่ากลัว จนคนไม่กล้ามองหน้าตรงๆ
“ท่านลุงใหญ่” เขาเอ่ยเสียงเบา “เช่นนั้น พวกเรายังจะไปเยี่ยมสกุลอู่แห่งหูโจวอยู่ไหมขอรับ?”
น้ำเสียงของเขาเจือความโอนอ่อนผ่อนตามอยู่หลายส่วน ทว่าตรงหว่างคิ้วกลับเห็นถึงความหงุดหงิดที่บอกชัดว่าเขาเป็นคนความอดทนต่ำเพียงใด
สกุลเผิงกับสกุลอู่เคยทำกิจการบางอย่างที่ไม่อาจพูดกับคนนอกได้ จึงน่าจะพูดคุยกันรู้เรื่องมากกว่าสกุลอื่น
“ต้องไปสิ” นายท่านใหญ่สกุลเผิงหมุนกายกลับมา เอ่ยกับชายหนุ่มที่เด็กกว่าว่า “เผยเยี่ยนจัดงานประมูลอะไรนี่ขึ้นมา มิใช่เพราะต้องการให้พวกเราไม่กี่สกุลฆ่าฟันกันเองรึ ข้าได้ยินว่าสกุลอู่มาถึงก่อนใครเพื่อน ดูจากคุณธรรมของสกุลนั้น ก่อนงานประมูลคงต้องหาวิธีลากผู้อื่นไปเป็นพวกแน่ อย่างน้อยก็ห้ามให้เผยเยี่ยนควบคุมราคาได้เด็ดขาด ถึงเวลานั้น พวกเราก็ต้องเข้าร่วมด้วย”
ชายหนุ่มผู้นั้นพลันงะชักคำที่อยากจะเอ่ย
นายท่านใหญ่สกุลเผิงกล่าวว่า “สืออี เจ้าจำไว้ให้มั่น ราชสำนักต้องการรื้อถอนสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล มีเพียงผลึกกำลังกันไว้เท่านั้นถึงจะข้ามผ่านความเสี่ยงนี้ไปได้ อีกสองวันจะเริ่มงานประมูลแล้ว เจ้าก็เก็บตัวเสียบ้าง กลางคืนออกไปข้างนอกต้องระวัง สกุลเผยมิใช่สามัญ หากว่าถูกพบเข้า เจ้าคิดคำแก้ต่างเอาไว้ให้ดี ถึงเวลานั้นผู้อื่นจะได้ไม่เข้าใจผิด”
จวนหลังนี้ไม่ใหญ่มาก ไม่ทันไรก็มีสกุลใหญ่เจ็ดแปดสกุลเข้ามาพัก ความสัมพันธ์ของแต่ละฝ่ายก็ซับซ้อน อีกทั้งแต่ละคนต่างก็มาเพราะแผนที่สูงค่าเทียมเมืองผืนนั้น หากมืดค่ำยังตระเวนไปทั่วลานไม่หลับนอน ผู้อื่นอาจเข้าใจผิดได้ง่ายๆ ว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝง
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า ‘สืออี’ นั้น ก็คือ ‘ท่านสืออี’ ตามคำบอกเล่าของหลินเจวี๋ย
เขารับคำอย่างนอบน้อมว่า “ขอรับ” ก่อนจะเงยหน้าถามอย่างข้องใจ “สกุลเผยต่อให้เก่งกาจเพียงใดก็มีแค่เผยโย่วเท่านั้น ตอนนี้เขาก็ตายไปแล้ว ที่เหลืออยู่ก็แค่เผยเซวียนที่อ่อนแอไร้ความสามารถ กับเผยเยี่ยนที่โอหังอวดดี ทั้งเผยเยี่ยนยังจิตใจคับแคบ สกุลเผยเปลี่ยนมาอยู่ในมือเขา กลับไม่หาทางทำให้รุ่งเรืองก้าวหน้า เอาแต่กดข่มบ้านหลักไปวันๆ ข้าว่า ต่อให้สกุลเผยยังพอมีอำนาจอยู่ แต่ก็เป็นแค่เรือผุพังลำหนึ่ง ท่านลุงไม่จำเป็นต้องใส่ใจ”
นายท่านใหญ่เผิงพลันย่นคิ้ว
หลานชายคนนี้มีชื่อเสียงแต่เล็ก อายุยังน้อยก็สอบเป็นจวี่เหรินได้แล้ว สกุลเผิงทุ่มกำลังเพื่อสนับสนุนเขา ปีนั้นทั้งเขาและกู้ฉ่างสกุลกู้แห่งหังโจวถูกผู้คนยกให้เป็น ‘สองบุรุษที่กินกันไม่ลง’ น่าเสียดายที่ภายหลังเขาถูกคนทำให้เสียโฉมโดยไม่ตั้งใจ ต้องจบอนาคตเส้นทางขุนนาง ทำได้แค่ช่วยเหลือกิจการของสกุลเท่านั้น ทว่ากู้ฉ่างกลับก้าวเดินบนเส้นทางนี้อย่างราบรื่น ก้าวหน้าขึ้นทุกวัน ในใจของหลานเขาคนนี้ไม่อาจเป็นสุข ถึงขนาดเคียดแค้นต่อความไม่เป็นธรรม จนบางครั้งเรื่องที่สามารถแก้ไขอย่างสันติได้ กลับถูกเขาจัดการเสียจนเลือดนองพื้น ทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด
ทว่าหลานชายคนนี้ของเขาก็หนักแน่นและเฉลียวฉลาด
หลายอย่างที่ผู้อื่นไม่อาจทำสำเร็จ แต่เขาก็จบงานได้เรียบร้อย จะสละทิ้งก็น่าเสียดาย จะเก็บไว้ใช้ก็น่าเป็นห่วง
ยังดีที่เขานับว่ากตัญญู งานในสกุลก็ทุ่มเทเต็มกำลังเสมอ ทั้งเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโส ต่อให้เขาจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสกุล แต่หากมีคำตัดสินออกมา เขาก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดผู้อาวุโสหลายคนในสกุลยังคิดว่าควรจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดี
แต่เขาก็ช่างสูงส่งเปี่ยมคุณธรรมเสียเหลือเกิน
ยอดคนใต้หล้าต่างวิจารณ์ได้ตามใจ ใครก็ไม่อยู่ในสายตาทั้งสิ้น
แต่สถานการณ์สร้างวีรบุรุษ ไม่ว่าเผยเยี่ยนและเผยเซวียนจะเป็นคนเช่นไร แต่พวกเขาก็เป็นจิ้นซื่อสองป้ายอย่างชอบธรรม เจ้าสืออีต่อให้มีปัญญาไหวพริบ บู๊บุ๋นไม่เป็นรองใคร แต่ก็ไม่อาจทำงานรับใช้ราชสำนัก ทำได้เพียงมองผู้อื่นชี้นิ้วสั่งคนในแผ่นดิน ทิ้งชื่อเสียงบนหน้าประวัติศาสตร์ ส่วนเขาต้องยอมรับความพ่ายแพ้ด้วยความอับจนต่อชะตากรรม
แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาสั่งสอนเขา รอให้กลับไปฝูเจี้ยนแล้วค่อยพูดให้เขาฟังอีกที
ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเขาจะคิดเพ้อไปว่าตนสามารถแตะต้องคนพวกนั้นได้จริงๆ ช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ
“ที่นี่เป็นถิ่นของสกุลเผย ต่อให้สกุลเผยเป็นแค่เรือผุพัง เจ้าก็อย่าได้ประมาทเชียว” นายท่านใหญ่เผิงกำชับกับเขา “อย่าลืมว่า ตอนแรกพวกเราก็คิดว่าภาพผืนนั้นคงมาอยู่ในกำมือเราได้ง่ายๆ แล้วผลสุดท้ายล่ะ?”
นัยน์ตาของเผิงสืออีพลันมีประกายโหดเหี้ยมวาบผ่าน
ตอนแรกนั้น สกุลเผิงกลัวจะทำให้สกุลเผยรู้ตัว เป็นเหตุให้ชักนำสกุลอื่นที่ต้องการครอบครองแผนที่เข้ามาร่วมวงด้วย ถึงตัดสินใจใช้งานคนที่ไม่สะดุดตาหาวิธีนำภาพวาดมาให้ได้ เขาก็เป็นหนี่งในคนที่เห็นด้วยเช่นเดียวกัน
“ท่านลุงใหญ่ ข้ารู้แล้ว” เผิงสืออีค้อมศีรษะต่ำ “ครั้งนี้ไม่มีทางพลาดอีกแน่”
นายท่านใหญ่เผิงผงกหน้ารับ
ให้หลานชายคนนี้ของเขาจัดการ เขาค่อนข้างที่จะวางใจได้อยู่
“อีกสักพักข้าจะแวะไปหาคนของสกุลอู่ ดูว่าสกุลอู่มีท่าทีต่อเรื่องนี้อย่างไร” เขาเอ่ยเสียงเบา “ไม่แน่เราอาจร่วมมือกับสกุลอู่ได้”
แผนที่ส่วนหนึ่งที่สกุลเผยนำออกมาให้พวกเขาชมนั้นเหมือนกันกับแผนที่ที่อยู่ในมือของพวกเขาราวกับแกะ
ตอนนี้เขาไม่อาจตัดสินได้เลยว่าปัญหาเกิดจากจุดไหน ถึงขนาดไม่อาจรู้ได้เลยว่าแผนที่ที่อยู่ในมือเขาเป็นของจริง หรือว่าแผนที่ที่อยู่กับสกุลเผยที่เป็นของจริงกันแน่ นี่คือสิ่งที่บีบให้สกุลเขาต้องมาร่วมงานประมูลอย่างไม่มีทางเลือก
ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเป็นคนมีคุณธรรม ความหยิ่งผยองของเผยเยี่ยนนั้นเขาก็เคยได้ยินมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้พบหน้าเผยเยี่ยน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขามาก่อน หากว่าเผยเยี่ยนคิดใช้แผนที่ผืนนั้นเป็นตัวทำเงิน สกุลเขาคงต้องเสียเลือดครั้งใหญ่แน่
แต่นี่ไม่นับว่าเป็นกระไร
มีเสียก็ย่อมมีได้
กลัวแต่ว่าแผนที่ที่เขาประมูลมาได้นี้จะเหมือนกับฉบับที่อยู่ในมือเขาราวจับวาง หรือบางทีสิ่งที่อยู่ในมือสกุลเผยอาจเป็นของปลอม…เช่นนั้นก็ทำให้คนกระอักเลือดอยู่ดี
เผยเยี่ยนแม้รู้ว่าสกุลเผิงไม่ได้มาดี แต่เขามีนิสัยชอบหยอกสุนัขแกล้งแมว ยิ่งเหมือนกับสกุลเผิงเช่นนี้ เขายิ่งต้องกระตุกหนวดดูหน่อย ไม่ว่าคนสกุลเผิงจะคิดทำสิ่งใดเขาล้วนไม่ตั้งตนเป็นปฏิปักษ์คอยขัดขวาง ทั้งคร้านจะส่งคนให้ไปจับตาดูคนสกุลเผิงด้วย
อย่างไรเสียพวกเขาก็เข้ามาอาศัยในจวนสกุลเผยแล้ว ย่อมไม่มีเรื่องที่เขาอยากรู้แล้วไม่อาจรู้ได้แน่
เขาสั่งคนให้หยุดเกี้ยวที่หลังประตูเรือนสกุลอวี้ในตรอกเล็กๆ
ปกติแล้วแถวนี้ไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมา
โดยเฉพาะตอนบ่าย เหล่าบุรุษในตรอกชิงจู๋ส่วนใหญ่มักอยู่ที่ร้านค้า เหล่าสตรีหากไม่พักผ่อนอยู่ในเรือนก็กำลังทำงานเย็บปักถักร้อย ตอนนี้จึงเงียบเชียบเป็นที่สุด
เขาสั่งอาหมิงว่า “ระวังอย่าให้นายหญิงอวี้รู้ตัว ข้าไม่อยากเข้าไปทักทายอย่างเป็นทางการ”
อาหมิงรู้ว่านายท่านสามของเขาไม่ชอบออกหน้า จึงรับคำรัวเร็ว ก่อนไปเคาะประตูที่ด้านหน้า
คนที่มาเปิดประตูคือป้าเฉิน ได้ยินอาหมิงบอกว่าเป็นบ่าวรับใช้ของสกุลเผยและต้องการพบอวี้ถัง ทั้งเห็นว่าเขาขาวอวบน่าชัง ในใจเกิดความชอบพอยิ่ง นางไม่ได้ถามมากความก็รีบพาเขาไปหาอวี้ถังทันที
อวี้ถังเห็นอาหมิงก็ประหลาดใจมาก ยิ่งพอรู้ถึงเจตนาการมาของเขาก็ยิ่งร้อนรน เป็นนานกว่าจะลำดับเรื่องราวได้
นางไล่ซวงเถาให้ไปหยิบขนมถั่วตัดกรอบมาให้อาหมิงกิน จากนั้นก็กดเสียงต่ำถามเขาว่า “เจ้าบอกว่านายท่านสามต้องการพบข้า เกี้ยวก็จอดอยู่ที่ประตูหลังแล้ว?”
อาหมิงพยักหน้าหงึกหงัก เห็นว่าอวี้ถังสวมเสื้อคลุมตัวยาวผ้าหังโจวสีแดงเข้ม ขับให้ดวงหน้าขาวผ่อง ยิ่งแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ก็ยิ่งอ่อนหวานน่าชม จึงแอบกระซิบบอกอวี้ถังว่า “นายท่านสามคงมาเพราะเรื่องสวนป่าของสกุลท่าน ก่อนมายังถามถึงอยู่ขอรับ”
อวี้ถังคิดอยากเจอเผยเยี่ยนตั้งนานแล้ว เช่นนี้ก็ประเสริฐนัก คนที่สัปหงกง่วงนอนพลันมีคนยื่นหมอนมาให้ ล้วนดีต่อทุกฝ่ายยิ่งแล้ว
“เจ้ารอเดี๋ยว!” อวี้ถังเองก็กลัวเผยเยี่ยนมาที่เรือน นิสัยอย่างเขา ใครที่อยู่ด้วยล้วนรู้สึกอึดอัดทั้งนั้น อีกอย่างมารดานางเพิ่งจะกินยานอนพักไป หากรู้ว่าเผยเยี่ยนมา อย่างไรก็ต้องลุกขึ้นมาต้องรับอีก “ข้าบอกคนในเรือนไว้สักคำ แล้วจะตามไปพบนายท่านสามทันที”
อาหมิงมือถือขนมถั่วตัดกรอบที่ซวงเถามอบให้แล้วเดินจากไปอย่างเริงร่า อวี้ถังให้ซวงเถาช่วยดูทางให้ ส่วนตนแอบออกไปพบเผยเยี่ยนทางประตูหลัง
อากาศเริ่มอุ่นขึ้นทุกวัน เผยเยี่ยนอยู่ในชุดคลุมตัวหลวมเนื้อละเอียดสีขาว ระหว่างเอวห้อยตราประทับเล็กๆ สีเขียว ยืนด้วยท่วงท่างามสง่าอยู่ตรงนั้น บุคลิกโดดเด่นไม่เป็นรองใคร
อวี้ถังลอบมองเขาด้วยความชื่นชมอยู่หลายที
ไม่คิดว่าพอเจอคนตัวเป็นๆ ความคิดมากมายกลับสลายหายไปหมด
“เหตุใดเจ้าชักช้าเช่นนี้?” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าถามเจ้าสองสามคำก็จะไปแล้ว”
ช่างไร้ทีท่าของวิญญูชนโดยสิ้นเชิง
อวี้ถังค่อนขอดเขาอยู่ในใจ
หากมิใช่ว่าวันนี้นางแต่งตัว ‘ถูกต้องเรียบร้อย’ อยู่ก่อนแล้ว นางคงไม่ออกมาเร็วขนาดนี้หรอก!
แต่ได้ยินจากอาหมิงว่าเผยเยี่ยนมาเพราะเรื่องสวนป่าของสกุลตน นางคิดว่าตนเองไม่ควรใจแคบและคิดเล็กคิดน้อยกับเขาเพราะสิ่งเหล่านี้
“นายท่านสาม ท่านหาข้ามีเรื่องใดหรือ?” นางเข้าประเด็นทันที
เผยเยี่ยนไม่รู้สึกว่าน้ำเสียงของตนมีปัญหาที่ตรงไหน ความตรงไปตรงมาของอวี้ถังก็ทำให้เขาไม่ต้องอ้อมค้อม อารมณ์จึงค่อยๆ ดีขึ้น
“สวนป่าของสกุลเจ้า ตัดสินใจได้แล้วหรือยัง?” น้ำเสียงเขารวบรัด “ผ่านวันเพาะปลูกมาแล้ว หากเจ้าไม่ตัดสินใจเสียที เช่นนั้นก็จะล่าช้าไปอีกหนึ่งฤดู”
อวี้ถังคิดจะหยั่งเชิงเขาอยู่พอดี วาจานี้ของเขาตรงใจนางอย่างยิ่ง นางจึงเอ่ยว่า “แต่ก่อนข้าคิดว่าต้นซาจี๋ไม่เลวเลย แต่ทุกคนเอาแต่ห้ามข้าไม่ให้ปลูก ข้าเลยอยากสอบถามท่าน ถ้าข้าขายสวนป่าผืนนั้นให้ท่าน ท่านจะปลูกอะไรรึ?”
นางหมายความว่าอย่างไร?
เพราะว่าไม่ก่อประโยชน์ ดังนั้นจึงคิดขายสวนป่าให้สกุลเขา?
เขาเหมือนคนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ อย่างนั้นรึ?
สีหน้าของเผยเยี่ยนดำทะมึน เขาเอ่ยว่า “เจ้าอยากขายสวนป่าผืนนั้นให้ข้าหรือ?”
“มิใช่ๆ” อวี้ถังพบว่าเผยเยี่ยนเข้าใจนางผิด จึงรีบอธิบายว่า “ข้าพูดว่า ‘ถ้า’ ต่างหาก ถ้าเป็นท่าน ท่านจะทำอย่างไรต่อ?”
การสมมติเช่นนี้ไม่มีความหมายใดๆ ทั้งสิ้น
เผยเยี่ยนตอบอย่างไม่ชอบใจว่า “ไม่เคยคิด ไม่รู้” พูดจบ ก็ทำคล้ายว่าชิงชังนางหนักหนา แล้วเอ่ยต่อว่า “นอกจากสกุลเจ้าข้นแค้นจนไม่มีอะไรจะกิน ถ้าไม่ขายนาขายที่ต้องอดตาย ข้าก็จะเห็นแก่ความเป็นเพื่อนบ้านร่วมเมืองช่วยเหลือเจ้าสักครั้ง เมื่อสวนป่าผืนนั้นตกเป็นของข้าแล้ว เพื่อเป็นการรับผิดชอบต่อสกุล ข้าคงได้แต่กุมขมับคิดหาทางออก แล้วลองพิจารณาอย่างละเอียดดู”
————————————————————-
[1]หินไท่หู เป็นหินปูนขาว มักมีรูหรือช่องโหว่ที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลเป็นเวลานาน นิยมนำมาใช้ประดับสวน
หลี่ตวนกำลังตรึกตรอง เรื่องนี้ไม่อาจปล่อยไปโดยไม่สนใจได้ ต้องหาคนออกไปสืบดูหน่อย แต่ว่าจะส่งใครไปนั้น เวลานี้เขายังไม่มีตัวเลือกที่เหมาะสม
ครั้งก่อนเพราะเรื่องเว่ยเสี่ยวซาน คนพวกนั้นที่สกุลเขาเคยเลี้ยงเอาไว้ก็ถูกท่านข้าหลวงทังขับไล่ไปแล้ว คนที่เลี้ยงไว้หนีหายไปหมดไม่เท่าไร สกุลเขายังต้องมาถูกพวกคหบดีของเมืองหลินอันกับสกุลเผยจับตามองอีก เขาจึงไม่อาจรับคนเข้ามาใหม่ได้ งานลับๆ ในเรือนจึงไม่มีใครทำ ข่าวสารที่หาได้ก็ไม่รวดเร็วเหมือนแต่ก่อน ทั้งหลายๆ เรื่องก็ต้องชะงักติดขัดไปด้วย
หรือว่า ควรสมัครพรรคพวกที่เป็นคุณชายเสเพลดี?
หลี่ตวนกำลังขบคิดอย่างละเอียดว่าในเมืองหลินอันนี้มีใครเป็นนักเลงที่พอมีหน้ามีตาบ้าง พลันหลินเจวี๋ยก็มาถึงพอดี
เขาลุกยืนขึ้น ทางหนึ่งก็เดินออกไปรับหลินเจวี๋ย อีกทางก็ถามบ่าวรับใช้ที่มาแจ้งข่าวว่า “คุณชายมาคนเดียวหรือว่ามาพร้อมกับผู้อื่นด้วย?”
หลินเจวี๋ยกลับฝูเจี้ยนครานี้เพื่อไปติดต่อคนของสกุลเผิง ไม่รู้ว่าจัดการเรื่องราวเป็นอย่างไรแล้วบ้าง?
เพียงแต่ไม่รอให้บ่าวรับใช้อ้าปากตอบ เขาก็เจอกับหลินเจวี๋ยที่ถูกล้อมหน้าล้อมหลังด้วยบ่าวรับใช้เข้าพอดี
หลินเจวี๋ยสีหน้าอึมครึม เห็นหน้าหลี่ตวนไม่เพียงทักทายตามมารยาทซ้ำยังเอ่ยเข้าประเด็นทันทีว่า “อาตวน พวกเราไปคุยที่ห้องหนังสือเถอะ!”
หลี่ตวนหัวใจกระตุกวูบ ลางสังหรณ์บอกว่าเกิดเรื่องแล้ว
สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นทันควัน แล้วโบกมือไล่บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างกาย
พวกบ่าวรับใช้พากันถอยออกไป
หลินเจวี๋ยกับหลี่ตวนเดินเข้าไปในห้องหนังสือ
หลี่ตวนไม่ได้เรียกสาวใช้ เขาชงชาให้หลินเจวี๋ยด้วยตนเอง
หลินเจวี๋ยแกะผ้าคลุมไหล่ออกคล้ายจะรำคาญ ก่อนจะโยนมันทิ้งไว้บนตั่งเอนไม้ เอ่ยปากถามหลี่ตวนในทันที “อาตวน แย่แล้วล่ะ! ครั้งนี้นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็มาพร้อมกับข้าด้วย บอกว่าสกุลเผยได้แผนที่เดินเรือมาหนึ่งแผ่นอย่างไม่ตั้งใจ สามารถเดินทางจากกว่างโจวไปถึงอาหรับได้ สกุลเถาแห่งกว่างโจวได้ลองเดินเรือไปแล้ว เส้นทางนั้นใช้ได้จริงๆ…”
“เจ้าว่าอะไรนะ?” เหมือนกับสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ หลี่ตวนมือสั่นระริก โถใส่ใบชาร่วงลงพื้นดัง ‘เพล้ง’ ชาปี้หลัวชุน[1]ชั้นยอดกระจายทั่วพื้น เขาหมุนตัวกลับมา มองหน้าหลินเจวี๋ยด้วยสีหน้าทะมึนเหมือนหมึกดำ “สกุลเผยได้แผนที่เดินเรือมาแผ่นหนึ่ง?”
ก่อนหน้านี้เขาก็วิตกอยู่ตลอดกลัวว่าแผนที่จะมีปัญหา แต่คิดไม่ถึงว่า เรื่องของแผนที่ยังไม่ทันอธิบายให้ชัดเจน ตอนนี้กลับมาเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นได้!
หลินเจวี๋ยมองไปทางหลี่ตวน สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง รู้สึกว่าความสับสนในใจค่อยๆ สงบลงบ้าง ความคิดก็แจ่มชัดขึ้นหลายส่วน “ข้าบึ่งม้าเร็วไปที่ฝูเจี้ยน นำภาพผืนนั้นไปส่งให้สกุลเผิง สกุลเผิงตรวจสอบรูปภาพและแผนที่ก็พึงพอใจอย่างมาก จากนั้นข้าก็ยึดตามสิ่งที่เราหารือไว้ก่อนหน้า บอกว่าไม่ต้องการรางวัลตอบแทน ต่อไปหากสกุลเผิงทำการค้าโดยใช้เส้นทางเรือสายนี้ พวกเราจะขอลงหุ้นด้วย คนที่มาพบข้าคือนายท่านสิบเอ็ดแห่งสกุลเผิง อีกอย่าง ครั้งนี้เขาก็ติดตามนายท่านใหญ่สกุลเผิงมาด้วย ตอนนั้นเขาตกปากรับคำแล้ว ข้าคิดว่าเพียงลมปากไร้หลักประกัน จึงอยากให้เขียนลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐาน อยากจะร่างหนังสือกับสกุลเขาไว้สักฉบับ นายท่านสิบเอ็ดก็รับปากแล้วเช่นกัน”
“เพียงแต่ว่าการร่างหนังสือต้องใช้เวลา อีกอย่างข้าก็พยายามบอกเป็นนัยๆ ว่าบนหนังสือต้องประทับตราของสกุลเผิงด้วย ข้าจึงต้องค้างแรมอยู่ที่จวนสกุลเผิงคืนหนึ่ง เช้าวันที่สอง นายท่านสิบเอ็ดก็ถือหนังสือฉบับร่างมาหารือรายละเอียดกับข้าด้วยตนเอง ใครจะคิดว่าพอกินข้าวเที่ยงเสร็จ สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว”
“นายท่านใหญ่สกุลเผิงมาพบข้า ถามถึงวิธีที่ข้าได้แผนที่ผืนนี้มา แน่นอนว่าข้าไม่อาจเอ่ยถึงสกุลอวี้กับสกุลเว่ยได้ เพียงบอกว่าอาศัยเบาะแสที่พวกเขาให้มากระทั่งตามหาหลู่ซิ่นจนพบ คิดไม่ถึงว่าหลู่ซิ่นที่ตอนแรกรับปากจะขายภาพให้พวกเรา จะดื่มเหล้าเกินขนาดจนตายไป สิ่งของของหลู่ซิ่นถึงได้ไปตกอยู่ในมือสกุลอวี้ ด้วยกลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่นแล้วไปกระตุ้นความสนใจของสกุลเผยเข้า พวกเราจึงยุให้คนในสกุลหลู่ไปชิงสมบัติที่เหลือของหลู่ซิ่นกลับมา จากนั้นก็จ่ายเงินห้าร้อยตำลึงเพื่อซื้อภาพนั้นจากคนในสกุลหลู่อีกที”
เล่าถึงตรงนี้ หลินเจวี๋ยรู้สึกว่าเหงื่อผุดไปทั่วหน้า น้ำเสียงก็กดต่ำลงหลายส่วน เขาเอ่ยต่อไปว่า “นายท่านใหญ่ตั้งใจฟังอย่างละเอียด ตอนนั้นไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ เพียงให้ข้าเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย แล้วติดตามเขาไปเมืองหลินอันสักหน ข้าได้ฟังก็มึนงงทันที จึงถามนายท่านใหญ่ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นายท่านใหญ่กลับยิ้มจนตาหยี แล้วบอกว่าเขาไม่คุ้นเคยกับเมืองหลินอัน จึงอยากให้ข้าช่วยนำทางไป”
“ข้าเป็นใครกันเล่า? ยังไม่ทันเดินเป็นก็ติดตามท่านพ่อตระเวนไปทั่วแดนเหนือใต้แล้ว คนประเภทไหนล้วนพบเจอมาจนหมด มีเรื่องใดบ้างไม่เคยได้เห็นได้ฟัง พอข้าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเอะใจ แต่ตอนนั้นข้าอาศัยอยู่ในเรือนของสกุลเผิง กินก็กินอาหารของสกุลเผิง กลัวว่าพวกเขาจะฆ่าข้าให้ตายอย่างเงียบเชียบขึ้นมาจริงๆ จึงแสร้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วเก็บข้าวของติดตามนายท่านใหญ่เร่งเดินทางทั้งวันคืนจนพ้นประตูเมือง”
“ระหว่างทางข้าเพิ่งจะสืบรู้อย่างชัดเจน ที่แท้สกุลเผยไม่รู้ว่าได้แผนที่ผืนหนึ่งมาจากไหน ซึ่งมันก็คือแผนที่ที่สกุลเผิงต้องการ สกุลเผยยังส่งเทียบเชิญอย่างเปิดเผยยิ่งใหญ่ เชิญสกุลใหญ่แต่ละพื้นที่มายังเมืองหลินอันเพื่อร่วมประมูล บอกว่าใครให้เงินมากที่สุดก็จะมอบแผนที่ให้กับคนผู้นั้น? เงินประกันเข้างานคือสองพันตำลึง…”
ดังนั้น หลายวันนี้ที่เมืองหลินอันมีคนแปลกหน้าโผล่ขึ้นมาก็คือสกุลใหญ่จากแต่ละพื้นที่เช่นนั้นหรือ?
หลี่ตวนไม่มีเวลามาสนใจใบชาที่กระจายอยู่เต็มพื้น สีหน้าเขาอึมครึมเหมือนฝนตั้งเค้า เขาเอื้อมมือไปรินน้ำเปล่าส่งให้หลินเจวี๋ยแทน “สกุลเผิงต้องการอะไร? สงสัยว่าพวกเรามอบภาพผืนนั้นให้สกุลเผยหรือ?”
หลินเจวี๋ยสามารถพูดออกมาได้เลยว่าตลอดหลายคืนที่ผ่านมาเขาแทบจะปิดตานอนหลับไม่สนิท ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องกินดื่มเลย
เขารับถ้วยน้ำแล้วกรอก ‘อึกๆๆ’ ลงคอรวดเดียวหมด จากนั้นจึงเอ่ยปากว่า “คนสกุลเผิงไม่ได้พูดอะไร แต่มันก็ชัดเจนอยู่แล้วมิใช่หรือ? ทันทีที่เข้าเมืองหลินอัน นายท่านใหญ่สกุลเผิงก็ให้ข้ามาหาเจ้า ส่วนเขาพานายท่านสิบเอ็ดไปยังที่พักซึ่งสกุลเผยเตรียมเอาไว้รับรองแขกที่มาร่วมประมูล แถมยังบอกข้าอีกว่า วันนี้ช่วงค่ำนายท่านสิบเอ็ดจะแวะมาเยี่ยมพวกเรา ข้าตรึกตรองดู ในเมื่อสกุลเผยต้องการขายภาพผืนนั้น ทั้งยังบอกว่าผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้มันไปครอบครอง นายท่านใหญ่สกุลเผิงจึงอาศัยฐานะผู้เข้าร่วมประมูลเข้าไปพักที่สกุลเผย มากกว่าครึ่งคงเพราะอยากเห็นว่าแผนที่ผืนนั้นกับแผนที่ที่อยู่ในภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ จะเหมือนกันหรือไม่”
เหตุใดเรื่องราวจึงพลิกผันเป็นเช่นนี้ได้?
ในใจของหลี่ตวนกระวนกระวายอย่างหนัก
แต่เขากับหลินเจวี๋ยเป็นทั้งญาติทางสายเลือด ทั้งเป็นคนที่ร่วมงานกัน คำบางคำสามารถพูดกับญาติตนเองได้ แต่กับผู้ร่วมงานนั้นพูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่อาจแสดงอารมณ์ต่อหน้าหลินเจวี๋ยได้ มิฉะนั้นอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ของสกุลหลี่กับสกุลหลิน หลินเจวี๋ยจะต้องคิดว่าเขาอ่อนแอ ย่อมไม่อาจเชื่อฟังสกุลเขาอย่างเมื่อก่อนอีก
“มีอะไรให้ต้องกลัวเล่า?” เขาอดจะวางสีหน้าเย็นเยียบและสงบนิ่งออกมาไม่ได้ พลางเอ่ยด้วยเสียงเฉยเมยว่า “เบาะแสของภาพนั้นสกุลเผิงเป็นคนให้มา พวกเราแค่ทำตามความต้องการของเขา หาภาพส่งให้สกุลเผิง สกุลเขาตรวจสอบแล้วยืนยันว่าภาพนั้นเป็นของจริง ตอนนี้พอเกิดข้อผิดพลาด แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย? ตอนกลางคืนยังคิดจะแวะมาเยี่ยมอีก!” หลี่ตวนร้องเหอะเสียงหนึ่ง “เช่นนั้นก็ให้พวกเขามาเถอะ ข้ายังอยากถามพวกเขาสกุลเผิงว่าเรื่องนี้สมควรจัดการอย่างไร? ก่อนหน้านี้มิใช่บอกว่าภาพมีเพียงผืนเดียวหรือ? เช่นนั้นแผนที่ในมือสกุลเผยโผล่ออกมาจากไหน? สิ่งของยิ่งมีน้อยยิ่งสูงค่า ต่อให้พวกเราโง่เง่าปานใด ก็ไม่มีทางเหยียบเรือสองแคม นำหยกชั้นดีไปขายต่อเป็นหัวผักกาดขาวแน่”
ก่อนหน้านี้หลินเจวี๋ยรู้สึกลนลาน แต่พอเห็นท่าทางที่เตรียมพร้อมอย่างดีของหลี่ตวนแล้ว เขาพลันสงบลงทันที
เขาอดจะเอ่ยออกมาอย่างกระดากมิได้ “ข้ากลัวสกุลเผิงจะสงสัยว่าพวกเราทำข่าวรั่วไหลน่ะสิ?”
“หากบอกว่าข่าวรั่วไหล หรือว่าพวกเขาสกุลเผิงไม่น่าสงสัยเช่นกันรึ?” หลี่ตวนเอ่ยต่อ กระทั่งตนเองยังรู้สึกถึงความมั่นใจที่เพิ่มพูนขึ้น “ก่อนที่พวกเขาจะมาหาเรา จะไม่เคยไปหาสกุลอื่นเลยรึ? สกุลเผิงนับว่าเป็นสกุลใหญ่อันดับหนึ่งสองในฝูเจี้ยน แต่แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ยังมีกว่างตง เจ้อเจียงและเจียงซู สกุลของผู้อื่นก็อาจรู้ข่าวของภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ เช่นเดียวกัน หรือว่าผู้อื่นจะไม่เคยได้ยินเสียงลมพัดเลยหรือไร? เรื่องนี้ มีโอกาสมากกว่าที่จะหลุดออกมาจากสกุลใหญ่ๆ กระมัง?”
หลินเจวี๋ยยิ้มเจื่อน
วาจาจะพูดเช่นนั้นก็ย่อมได้ แต่ก็ต้องให้สกุลเผิงยอมรับเสียก่อนว่าปัญหาเกิดจากพวกเขาทางนั้นเอง!
ผู้อื่นมีพลังทรัพย์และอำนาจ หากว่าพาลโกรธมาที่พวกเขา แล้วพวกเขาจะทำอะไรได้?
“รอตอนค่ำพบนายท่านสิบเอ็ดแล้วก็ค่อยว่ากันเถอะ!” หลินเจวี๋ยเอ่ยขึ้นอย่างหมดแรง “หวังว่าแผนที่ที่อยู่ในมือสกุลเผยจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเราก็แล้วกัน!”
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ คงได้แต่รอให้ถึงตอนค่ำ เมื่อเจอหน้าคนสกุลเผิงแล้วค่อยว่ากันใหม่
ส่วนทางสกุลเผย เผยเยี่ยนกลับมามีเวลาว่างแล้ว
เรื่องดำเนินมาเกือบถึงตอนจบ สิ่งที่ควรจัดการก็จัดการแล้ว ข้อที่ควรระวังก็ระวังแล้วเช่นกัน ตอนนี้นับว่าไม่มีเรื่องให้ทำอีก
อาหมิงยกกล่องขนมเล็กๆ ที่แบ่งเป็นสี่ช่องเข้ามา ยิ้มจนตาหยีแล้วเอ่ยว่า “นายท่านสาม สกุลอวี้ส่งขนมถั่วตัดกรอบมาให้ ท่านจะลองชิมหน่อยไหมขอรับ?”
เผยเยี่ยนเปิดฝากล่องขึ้น นอกจากขนมสามอย่างที่เขาชอบกิน ยังมีก้อนน้ำตาลหน้าตาแปลกประหลาดอยู่อีกอย่าง
น้ำตาลข้าวเกาะอยู่กับถั่วลิสงเม็ดอวบ นอกจากดูสดใหม่แล้ว ยังทำให้คนอยากอาหารอีกด้วย
เผยเยี่ยนลองชิมไปหนึ่งชิ้น
มันมีทั้งความหอมหวานของน้ำตาลข้าว และความกรุบกรอบของถั่วลิสง
เผยเยี่ยนร้องเหอะทีหนึ่ง
ปกติสิ่งของที่ถูกเคลือบอยู่ด้านในน้ำตาลที่เคี่ยวออกมามักจะสุกไปด้วย แต่ว่าถั่วตัดกรอบนี้ตั้งชื่อได้สมตัว กรอบร่วนเป็นที่สุด
ทว่า หากเพิ่มถั่วลิสงให้มากกว่านี้อีกนิดก็คงดี
เขามีความรู้สึกว่านี่คงเป็นของเล่นชิ้นใหม่ที่คุณหนูอวี้ทำออกมาแน่
“เช่นนั้นคุณหนูอวี้กำลังซุกซนกับสิ่งใดอยู่เล่า?” เผยเยี่ยนถาม
หูซิ่งหลังจากกลับมาจากบ้านเก่าสกุลอวี้ครานั้นก็เสนอหน้ามารับความดีความชอบทันที แน่นอนว่าเขาก็รู้มาด้วยว่าสวนป่าผืนนั้นของสกุลอวี้เหมาะจะเอาไว้เพาะปลูกถั่วลิสงเป็นที่สุด
เขาเอ่ยต่อว่า “พวกเขาคงไม่ได้เตรียมตัวปลูกถั่วลิสงอยู่กระมัง? ข้ามองแล้วน้ำตาลนี้ทำออกมาคงไม่ใช่ถูกๆ ทว่า ในน้ำตาลยังเคลือบถั่วลิสงเอาไว้ อย่างไรก็คงถูกกว่าน้ำตาลล้วนทั้งก้อน น่าจะขายออกอยู่หรอก กลัวแต่ว่าถั่วลิสงของฤดูกาลหนึ่งทำออกมาเป็นถั่วตัดกรอบคงต้องรอถึงสามปีจึงจะขายได้ ถึงเวลานั้นถั่วลิสงด้านในคงไม่อร่อยแล้ว น้ำตาลก็คงหาซื้อไม่ได้ง่ายๆ เช่นกันกระมัง?”
วาจานี้แม้จะทำร้ายจิตใจเกินไปหน่อย แต่ใช่ว่าเป็นการพูดจาสะเปะสะปะขาดความจริง
อาหมิงมีความประทับใจต่ออวี้ถัง เมื่อเผยเยี่ยนพูดเช่นนี้ เขาจึงอดกังวลแทนอวี้ถังไม่ได้
“ได้ยินว่าขนมถั่วตัดกรอบนี้เป็นคุณหนูถังที่ทำออกมาขอรับ” เขามองเผยเยี่ยนอย่างวิตก “แต่ไม่เคยได้ยินว่าคุณหนูอวี้จะทำขายนะขอรับ! บางทีอาจแค่ทำขนมจากน้ำตาลอร่อยๆ ออกมาเพื่อกินเล่น จึงอยากให้ท่านได้ลองชิมด้วย? ท่านช่วยเหลือพวกเขามากมายเพียงนี้ พวกเขาย่อมรู้สึกซาบซึ้งมากแน่ขอรับ!”
วาจานี้นับว่ามีเหตุผล
เผยเยี่ยนส่งเสียง “อืม” ทีหนึ่ง แล้วบอกว่า “ช่วงนี้คุณหนูอวี้กำลังทำขนมถั่วตัดกรอบอยู่หรือ?”
นับแต่ครั้งก่อนที่เผยเยี่ยนถามถึงอวี้ถังแล้วเผยหม่านตอบไม่ได้ คนในสกุลเผยจึงใส่ใจกับความเคลื่อนไหวของอวี้ถังเป็นพิเศษ
อาหมิงอ้าปากก็ตอบได้ทันที “คุณหนูอวี้ทำตามคำแนะนำของท่าน หลายวันนี้ล้วนไม่ออกไปด้านนอกขอรับ คนน่าจะทำขนมถั่วตัดกรอบอยู่ที่เรือน ทว่าคุณหนูอวี้เคยส่งคนไปสืบเรื่องการค้าขายผลไม้เชื่อม ทั้งยังเคยสืบเรื่องร้านค้าจิปาถะและร้าเผาถ่านอีกด้วยขอรับ”
มุมปากของเผยเยี่ยนอดจะกระตุกขึ้นไม่ได้
เหตุใดฟังแล้วเหมือนกับแมลงวันไร้หัวตัวหนึ่งที่บินชนไปทั่วเลยเล่า!
นางไม่คิดจะอยู่นิ่งๆ บ้างหรือ? แค่คอยอยู่ในเรือนเฉยๆ เท่านั้นเอง?
————————————————————-
[1]ชาปี้หลัวชุน เป็นชาที่ถูกปลูกร่วมกับต้นไม้ผลชนิดต่างๆ ได้แก่ต้นสาลี่ ท้อ บ๊วย พลับ ส้มจีน ไป๋กว๋อและทับทิม ดังนั้น ชาปี้หลัวชุน จึงมีกลิ่นหอมหวนของดอกไม้ผลเหล่านั้นติดมากับใบชาด้วย นับว่าเป็นความโดดเด่นของชาปี้หลัวชุน
การทำขนมชิงถวน ต้องใช้หญ้าอ้ายเฉ่า[1]แต่ยามนี้อยู่ในต้นเดือนสอง หญ้าอ้ายเฉ่าเพิ่งจะแตกหน่อ กล้าอ่อนยังไม่หอม
คนสกุลเฉินกลัดกลุ้มเหลือทน เขกหน้าผากอวี้ถังไปที “เจ้าพูดอะไรไม่พูด ดันมาพูดขนมชิงถวน ยามนี้ทำขนมชิงถวนออกมาจะอร่อยได้อย่างไรกัน!”
อวี้ถังยิ้มแห้ง
ก็เพราะนางตระหนักได้ว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ของท่านผู้เฒ่าสกุลเผย จึงเผลอเอ่ยชื่อขนมชิงถวนออกไปไม่ใช่รึ? คาดไม่ถึงว่าการทำขนมชิงถวนยังต้องพิถีพิถันถึงขนาดนั้น คนสกุลเฉินคิดว่าก่อนหน้านี้ทำอย่างสุกเอาเผากินเกินไป ตัดสินใจทำใหม่อีกหลายเข่ง
แต่เรื่องมาถึงตอนนี้ จะเปลี่ยนอย่างไรก็ไม่ทันแล้ว
อวี้ถังกอดแขนมารดาอย่างออดอ้อน “ท่านแม่ ข้าช่วยท่านเองเจ้าคะ”
“เจ้ายืนอยู่เฉยๆ ให้ข้าดีกว่า!” คนสกุลเฉินเหลือบมองป้าเฉินที่เพิ่งขอเม็ดบัวชั้นยอดมาจากสกุลอู๋ข้างบ้าน ทั้งระเบิดโทสะไปพลาง “เรื่องในครัวข้าไม่คาดหวังอะไรเจ้า แต่อย่างไรเจ้าก็ต้องสนใจเสียบ้าง หรือฤดูหนาวจะกินผักขม ฤดูร้อนจะกินหน่อไม้หลงฤดูอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังไม่กล้าอ้าปากพูด นั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านข้าง ดูมารดาและป้าเฉินเด็ดเม็ดบัว
“นายท่านอู๋ช่างมีน้ำใจจริงๆ” ป้าเฉินมองเม็ดบัวขนาดน้อยใหญ่ในมือ เอ่ยว่า “พวกเราจะห่อไส้ถั่วเขียวเสียหน่อยหรือไม่เจ้าคะ?”
ขนมชิงถวนมักจะใส่ไส้เม็ดบัวไม่ก็ไส้ถั่วแดง
นวดแป้งข้าวเหนียวสีเขียวเป็นวงกลม กัดออกมาเป็นไส้สีแดงของถั่วแดงหรือสีขาวของเม็ดบัว แค่เห็นก็น้ำลายสอแล้ว
น้อยคนนักที่จะห่อไส้ถั่วเขียว
คนสกุลเฉินครุ่นคิดเล็กน้อย พุ่งเป้าไปที่อวี้ถังแทน “เจ้าไม่ใช่มีความสามารถมากหรอกรึ? ไปสืบมาเสียหน่อย นายท่านสามสกุลเผยชอบกินไส้อะไร? หากเขาชอบกินไส้ถั่วเขียว พวกเราก็จะห่อไปเสียหน่อย”
อวี้ถังรับปาก หยัดกายขึ้นออกจากห้องครัว
ป้าเฉินเอ่ย “นายหญิง จะไม่สร้างความลำบากให้คุณหนูเกินไปหรือเจ้าคะ? ไม่ว่านายท่านสามสกุลเผยจะชอบกินไส้อะไร พวกเราห่อคละกันไปเล็กน้อยก็…”
ครั้งนี้คนสกุลเฉินตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ตัดบทสนทนาป้าเฉินอย่างไม่อ้อมค้อม “นางเป็นเช่นนี้ ล้วนเป็นเพราะพวกเจ้าตามใจจนเหลิง นายท่านสามมีบุญคุณกับสกุลพวกเรา อย่าพูดเลยว่าทำขนมชิงถวนล่วงหน้า แม้จะให้ข้าทำเป็ดแปดสมบัติ[2]ด้วยตัวเอง ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่ง แต่พูดอย่างนางนั้นใช่ได้รึ? อาศัยเพียงปากไว หากอาหารไม่ถูกฤดูกาล ทำออกมาไม่ได้จะเกิดอันใดขึ้น?” พูดถึงตรงนี้ ก็กลัดกลุ้มขึ้นมาอีกครั้ง “หญ้าอ้ายเฉ่าไม่หอม ย่อมไม่ให้รสชาติกลิ่นอายเหมือนช่วงเช็งเม้ง นายท่านสามสกุลเผยเคยกินแต่อาหารเลิศรสชั้นดี หากไม่ชอบใจขึ้นมาจะทำอย่างไร? ยังมิสู้ส่งของอย่างอื่นไปให้?”
ป้าเฉินทำได้เพียงปลอบใจนาง “นี่ไม่ใช่ว่าคุณหนูอวี้ชอบกินขนมชิงถวนของท่านหรอกหรือเจ้าคะ? คิดว่าขนมชิงถวนของท่านอร่อยไม่มีใครสู้ได้ จึงผลั้งปากเอ่ยชื่อชิงถวนออกมา นายหญิงก็อย่าตำหนิคุณหนูอีกเลยเจ้าค่ะ วันนี้ท่านก่นว่านางตั้งแต่เช้าตรู่ ยังดีที่คุณหนูกตัญญูว่าง่าย ฟังอย่างไม่ปริปากอันใด หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น คงจะโมโหวิ่งออกไปนานแล้วเจ้าค่ะ อีกอย่าง นางก็ไม่ได้ทำเพื่อตนเองนะเจ้าคะ”
คนสกุลเฉินไม่กล่าวอันใดอีกแล้ว
ชาติก่อน กระทั่งเผยเยี่ยนชอบใส่เสื้อผ้าสีอะไร นั่งรถม้าแบบไหน ดื่มชาอันใด ทุกคนก็ยังไม่มีใครรู้ ให้สืบข่าวว่าเขาชอบกินอะไร…นี่ให้นางไปทะเลาะกับคนสกุลหลินยังง่ายกว่าเสียอีก!
แต่นางก็เข้าใจเจตนาของมารดาดี
หากของที่ส่งไปสกุลเผย ไม่เป็นที่ชื่นชอบของเผยเยี่ยน ประจบไม่ถูกที่ถูกทาง อยากโอ้อวดความฉลาดสุดท้ายจะกลายเป็นแสดงความโง่เขลาก็ยิ่งจะเป็นปัญหามากกว่า
เฮ้อ!
นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองจึงเอ่ยถึงขนมชิงถวนออกไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ว่า เขายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ พวกไส้ถั่วเขียว ก็คงพอได้กระมัง?
อวี้ถังเดินเป็นหนูติดจั่นอยู่ในเรือน ยืดคอมองชะเง้ออยู่ด้านนอกห้องครัว เห็นว่าโทสะของมารดาคงคลายลงแล้ว เวลานี้จึงเดินเข้าไปในครัวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านแม่ สีสันยิ่งมากก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าขนมชิงถวนของสกุลเรามีฝีมือ ท่านดูว่ายังมีไส้อะไรอีก ทำเพิ่มเข้าไปได้ทั้งนั้น ส่งขนมหวานไม่ใช่พิถีพิถันเรื่องความหลากหลายหรอกรึ? พวกเราก็ใส่ไปสี่ไส้ไม่ก็แปดไส้!”
คนสกุลเฉินคร้านที่จะพูดกับนาง กำชับกับป้าเฉิน “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้คุณหนูเข้ามาช่วยในครัวด้วย”
อวี้ถังตกใจจนสติลอยล่อง วิ่งออกไปพลางเอ่ย “ท่านแม่ ท่านพ่อทำโทษข้าให้คัดตัวอักษรหมื่นตัว ข้ายังคัดไม่เสร็จเลย! รอข้าคัดอักษรเสร็จก่อนค่อยลงโทษเถิดเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินมองตามแผ่นหลังของลูกสาว นึกถึงที่นางชอบก่อเรื่องยุ่งตั้งแต่เด็ก ก็อดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้ ยังคงทำเหมือนที่อวี้ถังว่าจริงๆ ทำขนมชิงถวนไส้งา เม็ดบัว ถั่วแดง และถั่วเขียว คละกันไป ก่อนจะให้อวี้ป๋อช่วยนำไปส่งที่จวนสกุลเผย
สองวันนี้ เผยเยี่ยนยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้น หากไม่พบคนนั้นก็ต้อนรับคนนี้ ลำพังแค่นายท่านสี่สกุลซ่งยังพยายามตามตัวเขาอยู่ทุกเวลา “สกุลอื่นใดจะรู้ใจดีเท่าพวกเราสองสกุล หากจะร่วมมือ แน่นอนว่าพวกเราสองสกุลเหมาะสมที่สุด หากเจ้าไม่อยากยุ่งจริงๆ หาอีกสักสกุลก็เพียงพอแล้ว พวกเราสองสกุลคอยจัดการเรื่องราว เจ้านั่งแบ่งผลประโยชน์ คิดว่าเป็นอย่างไร?”
กล่าวโดยสรุปแล้ว ยังคงอยากให้เขาเป็นหลักประกัน
ยามนี้เขาอดนึกถึงสกุลอวี้ขึ้นมาไม่ได้
โดยเฉพาะคุณหนูอวี้
ยามที่เขาใจสั่นคลอนแทนสกุลพวกเขา นางกลับยังคงรักษาความสงบเช่นเดิม รู้ตัวเองว่าสามารถกินข้าวได้กี่ชาม ทำเรื่องอะไรได้บ้าง
ให้เวลาสกุลอวี้อีกสักหน่อย สกุลพวกเขาย่อมรุ่งเรืองเฟื่องฟูขึ้นมาอย่างแน่นอน
เผยเยี่ยนบอกปัดนายท่านสี่สกุลซ่ง “หลายวันมานี้ผู้เข้าร่วมประมูลล้วนทยอยเข้ามาพักอย่างไม่ขาดสาย ท่านก็รู้จักอยู่ไม่น้อย เข้าไปพูดคุยทีละคนเถิด! ให้ข้าเข้าไปพัวพันเป็นคนกลางได้อย่างไร? คนอื่นยังจะคิดว่าข้ามีเจตนาแฝงน่ะสิ!”
นายท่านสี่สกุลซ่งทราบตั้งนานแล้วว่าญาติผู้น้องคนนี้ของตนมีความสามารถ คิดจะทำเรื่องอะไรล้วนประสบความสำเร็จ ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธโดยง่าย “รู้จักก็ส่วนรู้จัก แต่ไม่เคยทำการค้าด้วยกันมาก่อน สุดท้ายแล้วก็ยังคงไม่สบายใจ เห็นแก่ฐานะญาติสักครั้ง อย่างไรเจ้าก็ช่วยข้าออกความคิดหน่อยเถิด”
ขณะที่ทั้งสองยืดเยื้อกันอยู่อย่างนั้น ขนมชิงถวนของสกุลอวี้ก็ถูกส่งเข้ามา
เผยเยี่ยนฉวยโอกาสกลับห้องหนังสือของตัวเอง รู้สึกตื่นเต้นกับขนมชิงถวนที่ส่งมาไม่น้อย รอจนเปิดดู คาดไม่ถึงว่ายังมีไส้ถั่วเขียว เขาพลันรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา
ผู้ที่จำได้ว่าเขายังอยู่ช่วงไว้ทุกข์ ก็คงมีเพียงสกุลอวี้ มีเพียงคุณหนูของสกุลอวี้คนเดียวเท่านั้น
แม้จะกล่าวว่าหญิงสาวผู้นี้เที่ยวไปทำเรื่องนู้นเรื่องนี้เพราะอยากตอบแทน กลับเป็นการตอบแทนที่ทำให้คนรู้สึกดี นี่ก็นับเป็นความสามารถหนึ่งเช่นกัน
เขากินขนมชิงถวนไปลูกหนึ่ง
รสชาติธรรมดาอย่างยิ่ง
แต่เขายังคงเรียกเผยหม่านเข้ามาถาม “ช่วงนี้คุณหนูอวี้ทำอะไรบ้าง?”
เผยหม่านตกตะลึงอยู่บ้าง
เขาเป็นพ่อบ้านใหญ่ของสกุลเผย ทุกวันล้วนต้องสนใจภาระเรื่องราวไม่รู้มากมายเท่าใด ยิ่งไปกว่านั้นคุณหนูอวี้ยังเป็นเพียงสตรีคนหนึ่ง แม้เขาอยากจะจับตาดูสกุลอวี้ ก็ควรจับตาดูนายท่านอวี้มากกว่า!
แต่เขาตอบคำถามเจ้านายไม่ได้ ก็นับว่าเป็นเขาที่บกพร่อง
“ข้าจะให้คนไปสืบถามเดี๋ยวนี้ขอรับ!” เผยหม่านเอ่ยทันที
เผยเยี่ยนก็ไม่ได้จริงจังนัก ผงกศีรษะ ก่อนจะกินไปอีกลูก ถามเผยหม่าน “สกุลอวี้ส่งขนมชิงถวนมากี่กล่อง? ส่วนที่เหลือนำไปให้ท่านแม่เฒ่า” เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะเสริมอีกประโยค “ทางบ้านใหญ่และบ้านรองก็ส่งไปให้ชิมด้วย”
เผยหม่านรับคำสั่ง ก่อนขอตัวออกไป
ทิ้งเผยเยี่ยนให้นอนอ่านหนังสือเล่นอยู่บนเก้าอี้โยก
ด้านหูซิ่ง อวี้เหวินและอวี้หย่วนเดินทางเข้าเมืองอย่างเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า
“รบกวนท่านมาสองวันแล้ว” อวี้เหวินเอ่ยเชิญหูซิ่งด้วยความจริงใจ “ข้าให้อาเสาล่วงหน้าส่งจดหมายให้ที่เรือนแล้ว ในเรือนคงเตรียมอาหารสุราไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ข้าอยากชวนท่านดื่มสุราเสียหน่อย”
สองวันมานี้หูซิ่ง อวี้เหวินและอวี้หย่วนไปดูพื้นที่ภูเขาผืนนั้น เดินจนขาปวดไปหมด เขาจึงไม่คิดปฏิเสธ “ได้สิ! เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว!”
“ดูท่านสิ พูดอะไรกัน!” ทั้งสามคนกล่าวเกรงใจเป็นพิธี ก่อนจะกลับตรอกชิงจู๋
คนสกุลเฉินเตรียมสุราอาหารไว้นานแล้วดังคาด หูซิ่งและอาหลานสกุลอวี้นั่งล้อมอยู่หน้าโต๊ะสี่เหลี่ยม ดื่มสุรา ทั้งพูดคุยเรื่องพื้นที่ผืนนั้นของสกุลอวี้ไปพลาง “ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเสนอความคิดนี้ให้คุณหนูอวี้ของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าต้นซาจี๋ปลูกไม่ได้ เพียงต้นทุนกลับสูงเกินไป แต่หากปลูกพวกต้นเถาต้นท้อ ดินทรายมาก กลัวแค่ว่าผลออกมาจะไม่อร่อยเท่าใด หรือจะปลูกถั่วลิสงก็ได้ แต่ถั่วลิสงขายไม่ค่อยได้ราคา เรื่องนี้ข้าก็ตัดสินใจยาก ท้ายที่สุดยังต้องเป็นสกุลพวกเจ้าที่ตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร?”
อวี้เหวินหัวเราะร่อ คิดว่าใครเป็นคนผูก คนนั้นก็ต้องแก้ เอ่ยกับอวี้หย่วน “เจ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกน้องสาวเจ้าสิ ดูว่าน้องเจ้าจะพูดอย่างไร”
อวี้ถังจึงปลีกตัวออกไปพบอวี้ถัง
อวี้ถังกำลังรอข่าวคราว ฟังจบก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออกอยู่บ้าง
ชาติก่อนกับชาตินี้ไม่เหมือนกันจริงๆ
ช่วงนี้นางก็ไม่ยุ่งอะไร จึงส่งคนไปสืบข่าวการซื้อขายผลไม้เชื่อม
แม้จะกำไรสูงกว่าพืชในไร่สวน แต่ก็ไม่ได้เงินมากนัก
นางเอ่ยกับอวี้หย่วน “ท่านบอกท่านพ่อก่อนว่า เรื่องนี้ขอเวลาให้ข้าคิดเสียหน่อย”
อวี้หย่วนก็เข้ามาอย่างกะทันหันอยู่บ้าง เวลานี้คิดว่าควรใจเย็นเสียหน่อย
เขากลับไปบอกอวี้เหวิน อวี้เหวินก็ไม่เร่งรัดจะเอาคำตอบ กลับดื่มสุรากับหูซิ่งอย่างเปิดอก รินสุราให้หูซิ่งไม่ขาด จนสุดท้ายเอาแต่เรียกอวี้เหวินว่า นายท่านอวี้อยู่คำเดียว ดูนอบน้อมนับถือเป็นอย่างยิ่ง
อวี้เหวินก็ดื่มเยอะอยู่บ้าง ยืนแทบไม่มั่นคง
อวี้หย่วนทำได้เพียงส่งหูซิ่งกลับไป
ผลปรากฏว่า ยามที่ไปกลับพบเจอเผยหม่าน
เผยหม่านรู้ว่าหูซิ่งไปทำอะไร นึกถึงก่อนหน้านี้ที่เผยเยี่ยนถามเขา เขาจึงอดถามอวี้หย่วนไม่ได้ “เรื่องทางภูเขานั้นยังราบรื่นหรือไม่?”
“ไม่ราบรื่นเท่าใด” ก่อนหน้านี้อวี้หย่วนยังมีความรู้สึกบ้าบิ่นฮึกเหิมอยู่บ้าง ยามนี้ยิ่งรู้เรื่องในแวดวงค้าขายมากเท่าใด ก็ยิ่งระวังรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากทางพ่อบ้านใหญ่มีความคิดน่าสนใจอะไร ก็บอกข้าโดยตรงได้”
“ได้สิ!” เผยเยี่ยนตอบรับอย่างตรงไปตรงมา
อวี้ถังปรึกษาหารือกับอวี้หย่วน “หรือพวกเราจะปลูกถั่วลิสง? ข้ารู้จักขนมถั่วประเภทหนึ่ง อร่อยอย่างยิ่ง อย่างไรช่วงนี้ข้าก็ไม่มีอะไรทำ ให้ป้าเฉินช่วยข้าทำออกมาให้พวกท่านชิมดูเสียหน่อยแล้วกัน!”
อย่างไรตอนนี้ก็ไม่มีความคิดอะไรดีไปกว่านี้แล้ว
อวี้หย่วนเห็นด้วย
อวี้ถังจึงดึงป้าเฉินและซวงเถาไปช่วยกันทำขนมถั่วตัดกรอบ
คนสกุลเฉินมองอยู่ด้านข้าง “นี่ต้องใช้ถั่วลิสงกี่กิโลกัน?”
จริงด้วย!
อวี้ถังท้อใจอยู่บ้าง อยากกระจ่างใจว่า เหตุใดชาติก่อนเผยเยี่ยนจึงทำผลไม้เชื่อม เพียงยามนี้เผยเยี่ยนกำลังยุ่งเรื่องการประมูล นางไม่อาจไปหาถึงประตูได้
เช่นนั้นพื้นที่ภูเขาของสกุลพวกนางควรปลูกอะไรดีนะ?
อวี้ถังคิดว่า ขนมถั่วตัดกรอบที่ทำออกมาไม่อาจสิ้นเปลืองได้ จึงบรรจุใส่กล่อง นำไปส่งที่จวนสกุลเผย ส่วนที่เหลือก็มอบให้เพื่อนบ้านและสหาย ทั้งยังเตรียมไว้ใช้ในงานแต่งสะใภ้ของอวี้หย่วนด้วย
ชั่วพริบตาก็ล่วงเข้าสู่เดือนสาม แม้อวี้ถังจะไม่ออกจากเรือน ก็ได้ยินป้าเฉินที่ออกไปจับจ่ายซื้อของเอ่ยว่า นับวันเมืองหลินอันก็มีคนแปลกหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ “ทั้งดูเหมือนเป็นสกุลมั่งคั่งร่ำรวย ได้ยินว่าเรือนหลังเล็กทางตะวันออกของท่านอู๋ก็ถูกเช่าไปหมด ไม่รู้ว่าเมืองหลินอันเกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
อวี้ถังก็ดี คนสกุลเฉินก็ช่าง ล้วนทำเป็นว่าไม่ได้ยิน
หลี่ตวนกลับรู้สึกว้าวุ่นใจอย่างยิ่ง
ไม่รอเก็บโคมวันที่สิบเจ็ด เดือนอ้าย หลินเจวี๋ยก็นำภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ กลับฝูเจี้ยน
ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าอาจารย์ที่หลินเจวี๋ยหามาซ่อมแซมส่วนเสียหายเล็กๆ กลางภาพนั้นเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่วันก่อนจึงเพิ่งทราบว่า ที่แท้เพื่อเร่งให้ทันเวลา หลินเจวี๋ยเพียงให้อาจารย์ประเมินการส่วนที่เสียหาย วาดเติมแต่งไม่กี่ครั้งเข้าไปแทน
ก็ไม่รู้ว่าส่วนที่วาดเพิ่มเข้าไปนี้ จะเป็นปัญหาหรือไม่?
สกุลเผยดูเหมือนจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่เหล่าคหบดีของเมืองหลินอันกลับไม่รู้เรื่องราวสักคน
เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีอย่างหนึ่งอยู่เลือนราง
ดูเหมือนว่ามีเรื่องใหญ่อะไรที่สำคัญเกิดขึ้น ทว่าสกุลพวกเขากลับถูกสกุลเผยผลักไสให้อยู่ด้านนอก
——————————
[1]หญ้าอ้ายเฉ่า คือโกฐจุฬาลัมพา
[2]เป็ดแปดสมบัติ อาหารท้องถิ่นที่เลื่องชื่อของแถบซั่งไห่และซูโจว โดยจะผ่าหลังเป็ดยัดส่วนผสมต่างๆ อย่างเช่น ข้าวเหนียว กุ้งแห้ง เห็ด เกาลัด จากนั้นก็นำไปตุ๋น
พวกหูซิ่งได้ยินก็รีบพากันออกไป
เผยเยี่ยนผายมือ บอกเป็นนัยให้พวกอวี้เหวินนั่งลงพูดคุย
อวี้เหวินนั่งลงอย่างร้อนเนื้อร้อนใจอยู่บ้าง อาหมิงปิดประตูให้พวกเขา ก่อนเดินออกไป
“นายท่านสามรั้งพวกเราไว้มีเรื่องอันใดรึ?” อวี้เหวินถามอย่างงุนงง
เผยเยี่ยนนิ่งไปครู่หนึ่งราวกำลังจัดการกับความคิด “เมื่อครู่นายท่านสี่สกุลซ่งมาหาข้า อ้อ เขาก็คือผู้นำของสกุลซ่ง ผู้นำสกุลพวกเขาคือนายท่านสี่บ้านสาม ไม่รู้ว่าเขาทราบเรื่องแผนที่จากที่ใด จึงคิดจะแบ่งน้ำแกงไปถ้วยหนึ่งเช่นกัน ยังเสนอความคิดร่วมมือกับสกุลเผยของพวกเรา พวกเจ้าก็รู้ บิดาข้าเพิ่งจากไป พี่น้องของพวกเราล้วนไม่สนใจการค้าขายแลกเปลี่ยนครั้งนี้ แต่นายท่านสี่สกุลซ่งและสกุลพวกเรามีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดเล็กน้อย…มารดาเขาและมารดาของข้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันมารดาของเขาเป็นพี่ อายุมากกว่ามารดาข้าเกือบยี่สิบปี แม้จะกล่าวว่าท่านผู้เฒ่าของนางล่วงลับไปแล้ว แต่สกุลของพวกเราทั้งสองก็ยังไปมาหาสู่กันไม่ขาด ข้าจึงคิดว่า หากสกุลพวกเจ้าอยากใช้โอกาสนี้เข้ามาร่วมในเรื่องการประมูล มิสู้ร่วมมือกับสกุลซ่ง แค่อยากถามความต้องการของพวกเจ้า ข้าจะได้จัดการถูก”
เมื่ออวี้เหวินได้ฟัง ก็ดีใจอย่างคาดไม่ถึง
เผยเยี่ยนไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้มาก่อน จะเห็นได้ว่าเขาไม่เห็นดีเห็นงามให้สกุลพวกเขาเข้าร่วมในการค้าขายเช่นนี้ ภายหลังยังชี้แจงแถลงไขเบื้องหลังอำนาจของสกุลที่เข้าร่วมการประมูลอย่างละเอียดยิบ แฝงการตักเตือนพวกเขาอย่างเลือนรางว่า ผลประโยชน์การค้าทางทะเลนั้นมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงไม่น้อยเช่นกัน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสอดมือยุ่งได้ แต่ยามนี้ กลับเป็นคนกลางดึงสกุลพวกเขาและสกุลซ่งเข้าด้วยกัน คงคิดว่าพวกเขาสองสกุลมีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกัน เรื่องภายในนี้หากไม่ใช่ว่าสกุลเผยมีเกียรติและความสามารถปกป้องผลประโยชน์ของสกุลอวี้พวกเขาต่อหน้าคนสกุลซ่งได้ ก็ย่อมเป็นเพราะว่าสกุลซ่งกระทำเรื่องด้วยความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม คุ้มค่าที่จะเชื่อถือ
ไม่ว่าจะอย่างแรกหรืออย่างหลัง สกุลพวกเขาต่างก็อาศัยการคุ้มครองจากสกุลเผยทั้งนั้น
อวี้เหวินรู้สึกซาบซึ้งใจกับเรื่องนี้อย่างยิ่ง
เช่นนั้นควรคว้าโอกาสครั้งนี้ดีหรือไม่?
อวี้เหวินหันไปทางอวี้ถังด้วยความคุ้นชิน
อวี้ถังคิดวุ่นวายอยู่ในใจ
นางย่อมมีความคิดนี้เช่นกัน อยากเหลือแผนที่แผ่นหนึ่งไว้ ภายหลังหากสกุลพวกเขามีโอกาส สามารถร่วมหุ้นทำการค้าทางทะเลได้ แต่นางนึกไม่ถึงมาก่อนว่าจะได้ร่วมมือกับสกุลที่คล้ายสกุลเถาแห่งกว่างโจวเช่นนี้
สองสกุลอำนาจห่างชั้นกันมาก ฝ่ายที่อ่อนแอกว่าย่อมสูญเสียสิทธิ์ในการพูด การร่วมมือไร้ความเท่าเทียม ทั้งยังอาจถูกคนอื่นกลืนกินได้ง่าย
ผู้ที่นางเลือกเป็นอันดับแรกคือสกุลเจียง
เจียงหลิงของสกุลเจียงผู้นั้น
ตามความทรงจำชาติก่อนของนาง ยามนี้สกุลพวกเขายังไม่ได้รุ่งเรืองเฟื่องฟู แต่ดูจากเรื่องราวเหล่านั้นที่เกิดชาติก่อน สกุลพวกเขาย่อมมีความสามารถนี้อยู่แล้ว
รู้จักกันในยามที่ฐานะต่ำต้อย ย่อมเป็นผู้ร่วมมือที่ดีที่สุด
แต่ยามนี้ อวี้ถังจำต้องยอมรับ ข้อเสนอของเผยเยี่ยนก็เหมือนหมูสามชั้นถ้วยหนึ่งที่วางอยู่เบื้องหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาอยากได้จนน้ำลายสอ
ดีที่ต่อหน้าบิดา นางสามารถสงบใจเย็นลงได้อย่างรวดเร็ว
ถูกหลอกล่อ ชักจูงให้ลังเลใจล้วนไม่เกิดผลลัพธ์ที่ดีแต่อย่างใด
อวี้ถังอดกระแอมไอออกมาไม่ได้ เอ่ยอย่างอ่อนโยน “นายท่านสาม ขอบคุณอย่างยิ่งที่ท่านสนับสนุนสกุลพวกเรา แต่อย่างไรสกุลพวกเราก็เป็นเพียงสกุลธรรมดาทั่วไป การค้าเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถควบคุมได้ ทั้งไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคิดวาดฝันได้ ข้าว่า เรื่องนี้ปล่อยผ่านไปดีกว่า”
ความปรารถนาดีอันแรงกล้าของเผยเยี่ยนคล้ายถูกน้ำเย็นของฤดูหนาวแช่จนเยือกแข็งไปหมด ชั่วพริบตาใบหน้าก็ดำคล้ำอยู่บ้าง
ไม่ใช่ว่านางอยากร่ำรวยประสบความสำเร็จเร็วๆ หรอกรึ?
โอกาสดีถึงเพียงนี้ เขายากที่จะใจอ่อน คาดไม่ถึงว่าเรื่องราวจะกลายเป็นเช่นนี้
“แล้วแต่พวกเจ้า!” รอบกายเผยเยี่ยนเผยไอเย็นขึ้นมา กระทั่งบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเหน็บหนาวเช่นกัน “ข้าเพียงคิดว่าหากพวกเจ้าร่วมมือกับสกุลซ่ง เห็นแก่หน้าพวกเราสกุลเผย พวกเขาย่อมไม่กล้าเล่นสกปรกอะไรลับหลังเท่านั้น ในเมื่อเจ้าไม่ปรารถนา ก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยเอ่ยถึงแล้วกัน” พูดจบ เขาก็ยกถ้วยชา
นี่คงหมายความว่าเผยเยี่ยนส่งแขกแล้วกระมัง
อวี้เหวินรู้สึกลำบากใจไม่น้อย
ความปรารถนาดีของเผยเยี่ยน ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถรับได้ง่ายๆ นึกไม่ถึงว่าอวี้ถังจะปฏิเสธ
แน่นอนว่า การตัดสินใจนี้ พวกเขาปรึกษากันไว้นานแล้ว แต่ไม่ว่าเรื่องอันใดก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอด
อวี้ถังก็ไม่ไว้หน้าเผยเยี่ยนเกินไปแล้ว
อวี้เหวินถลึงตาใส่ลูกสาวไปที มุมปากเรียบตึง คิดจะล้มการตัดสินใจของอวี้ถัง ไม่ว่าอย่างไรก็จะกู้หน้าของเผยเยี่ยนกลับมา ยิ่งไปกว่านั้นเผยเยี่ยนยังทำเพราะปรารถนาดีต่อสกุลพวกเขา
ก่อนที่อวี้ถังจะเอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาก็คาดการณ์ไว้แล้วว่าเผยเยี่ยนอาจจะกระอักกระอ่วนใจอยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะโมโหอย่างง่ายดาย บิดาของนางยิ่งไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง เห็นเผยเยี่ยนไม่พอใจ ก็คิดจะซื้อน้ำใจเผยเยี่ยนทันที ไม่ครุ่นคิดเสียหน่อยว่าน้ำใจครั้งนี้จะทำให้สกุลอวี้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์แบบใด
“นายท่านสาม!” นางรีบละล่ำละลักเอ่ยก่อนที่อวี้เหวินจะเปิดปาก “ช่วงครึ่งปีมานี้สกุลพวกเราเกิดเรื่องมากมาย หากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ลำพังอาการป่วยของมารดา ก็สามารถทำให้พวกเราตกทุกข์ได้ยากแล้ว สกุลอวี้พวกเราสามารถมีวันนี้ได้ ทั้งหมดล้วนมาจากคุณงามความดีของท่าน เรื่องเมื่อครู่ที่ท่านเอ่ยถึง ก็เพราะปรารถนาดีต่อสกุลพวกเราเช่นกัน เพียงแต่ไหนแต่ไรคำสั่งสอนบรรพบุรุษสกุลเราก็เป็นเช่นนี้ พึ่งฟ้าพึ่งดินมิสู้พึ่งตัวเอง สกุลซ่งเป็นสกุลร่ำรวยมีอำนาจอันดับต้นๆ ของซูโจว สกุลพวกเรานอกจากร้านค้าเครื่องลงรักแล้วก็ไม่เคยทำกิจการอย่างอื่น แม้สกุลซ่งจะนับว่าร่วมมือกับสกุลพวกเรา นั่นก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าท่าน เห็นแก่หน้าสกุลเผย คนอื่นไม่เข้าใจ พวกเราเองกลับกระจ่างใจ ตัวเองจะกินข้าวได้กี่ถ้วยกัน ทำการค้าร่วมกับสกุลซ่งนั้นพูดง่าย แต่พวกเราคงไม่อาจเป็นผู้ร่วมหุ้นที่มีเพียงแผนที่ได้หรอกกระมัง? แม้ว่าจะมีเพียงแผนที่แผ่นเดียวร่วมหุ้น แล้วจะร่วมอย่างไร? ได้กี่ส่วน? รวมกลุ่มเรือได้หรือไม่? ทุกครั้งที่ออกทะเลควรจะใช้เรือกี่ลำ? เรือทุกลำต้องมีคนร่วมเดินทางจำนวนเท่าใด? ขนสินค้าแบบไหนบ้าง? จอดเรือได้ที่ใด? เรื่องพวกนี้สกุลพวกเราล้วนไม่เข้าใจ หรือยังต้องมาถามท่านทุกเรื่องอย่างนั้นรึ? เช่นนั้นพวกเราช่วยอะไรสกุลซ่งได้บ้างกัน? สกุลซ่งร่วมมือกับพวกเรามีผลประโยชน์อะไรให้เก็บเกี่ยวได้? ก็เหมือนผลประโยชน์ระยะยาวไม่ทัดเทียมกัน พวกเราถือสิทธิ์อันใดไปร่วมมือกับคนอื่น? นั่นแตกต่างจากการพึ่งพิงท่านอย่างไร?”
ยามนี้สกุลพวกเขานำแผนที่ออกมาขายแล้ว สกุลซ่งไม่ได้วางเงินประมูลไม่ไหว แล้วเหตุใดต้องร่วมมือกับสกุลอวี้ ทั้งที่สามารถใช้เงินแก้ไขปัญหาเรื่องแผนที่ได้?
พูดโดยสรุปแล้ว ยังคงเป็นการเห็นแก่หน้าเผยเยี่ยน
น้ำใจนี้ไม่ใช่ว่าเผยเยี่ยนต้องเป็นคนคืนหรอกรึ
แม้ว่าเผยเยี่ยนจะคิดว่าไม่เป็นไร สกุลพวกเราก็ไม่อาจยอมรับเช่นนี้ได้
อวี้เหวินและอวี้หย่วนได้ฟังก็พยักหน้าระรัว ความคิดสั่นคลอนเล็กน้อยเมื่อครู่ล้วนจางหายราวกับหมอกควัน
ด้านเผยเยี่ยนนั้นยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์
สรุปแล้ว ฟังมีเหตุผล แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงปฏิเสธเขา
“เอาที่พวกเจ้าสบายใจ!” เผยเยี่ยนยกถ้วยชาในมืออีกครั้ง
อวี้ถังคาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ขนาดนี้ นางพูดจนปากเปียกปากแฉะกลับไม่อาจทำให้เขาคลายโทสะได้
หากเผยเยี่ยนมีเจตนาที่คาดเดาไม่ออกก็แล้วไป แต่นี่กลับเป็นความหวังดี แม้อวี้ถังจะรู้ดีว่าการตัดสินใจของตัวเองเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด มีผลดีที่สุดกับสกุลอวี้ แต่ในใจยังคงรู้สึกผิดต่อเผยเยี่ยน
เผยเยี่ยนมีนิสัยถือตัวทั้งไม่ใส่ใจกิจธุระทั่วไปแต่อย่างใด เขายากที่จะยุ่งเรื่องชาวบ้าน กลับถูกนางปฏิเสธ นับว่านางไม่ทำเหมือนไม่ไว้หน้าเขา
อวี้ถังใคร่ให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แสร้งทำเป็นไม่เห็นเขายกน้ำชาส่งแขกอย่างรู้แล้วรู้รอดไป ก้าวไปข้างหน้า เอ่ยอย่างเอาใจ “นายท่านสาม หลังจากพวกเรากลับไปย่อมจะทำการค้าดีๆ เพื่อวันหนึ่งจะสามารถรับความปราถนาดีเช่นนี้ของท่านไว้ได้”
เผยเยี่ยนเห็นนางก้มหน้า หน้าผากที่เกลี้ยงเกลาสง่าดั่งหยกล่ำค่า ขนตางามงอนแทบไม่กระดิก ราวกับปีกหงส์ที่แผ่บนเปลือกตา ดูเชื่องซื่อและนอบน้อม พลันใจอ่อนขึ้นมา รู้สึกว่าโทสะที่เกิดอย่างไร้เหตุผลค่อยๆ เลือนหายไป
ยังตระหนักได้ว่ารางวัลของเขา ไม่ใช่ใครที่ไหนก็สามารถรับไว้ได้ นับว่ารู้จักประมาณตนเอง!
“ช่างเถิด!” เขาได้ยินน้ำเสียงของตัวเองที่ไร้อารมณ์ขุ่นมัว “เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบเช่นกัน เรื่องนี้ปล่อยไปเช่นนี้แล้วกัน”
อวี้ถังลอบหายใจอย่างโล่งอก
ในที่สุดก็เกลี้ยกล่อมผู้มีพระคุณคนนี้ได้เสียที
หรือจะเกลี้ยกล่อมอีกเสียหน่อยดี?
นางยังอยากทราบว่าเหตุใดชาติก่อนเผยเยี่ยนจึงปลูกต้นซาจี๋ในพื้นที่ของสกุลพวกเขา?
อวี้ถังปากไวกว่าสมอง
นางเอ่ยอย่างนอบน้อม “ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ยังคงต้องขอบคุณนายท่านสาม ไม่กี่วันก่อนมารดาข้าทำขนมชิงถวน[1]ไว้อยู่บ้างหากนายท่านสามไม่รังเกียจ ข้าจะให้พ่อบ้านหูนำมาให้นายท่านสามลองชิม สกุลพวกเราก็ไม่มีฝีมือใดที่เชิดหน้าชูตาได้ เพียงอาหารขนมคาวหวานทั่วไปกลับทำเร็วกว่าบ้านอื่นอยู่บ้าง สามารถนำมาให้นายท่านสามลิ้มรสก่อนได้”
ว่าตามหลักแล้ว แต่ละครอบครัวมักรอผ่านเดือนสองเดือนก่อนถึงจะเริ่มทำขนมชิงถวน แต่ปีนี้ร่างกายของมารดาแข็งแรงขึ้นมาก มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษ จึงทำขนมชิงถวนล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง แต่ฝีมือกลับไม่เป็นรองใคร ทั้งกินเร็วกว่าคนอื่นเป็นเดือน จึงนับว่าเป็นขนมที่นำมาเชิดหน้าชูตาได้อยู่บ้าง
เผยเยี่ยนได้ฟัง ความขุ่นข้องในใจก็เบาบางลงเล็กน้อย
เขาไม่ได้ชอบกินขนมชิงถวนถึงขนาดนั้น แต่เขาอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ย่อมเหมาะที่จะกินของเช่นนี้ ทว่าคนส่วนมากกลับไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร มักจะลืมว่าเขาอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่เชิญเขาไปดื่มสุราก็ชวนไปชมดอกไม้บุปผา มีเพียงสกุลอวี้ที่นับว่าส่งของเหมาะสมมาให้
คนเหล่านั้นคล้ายลืมว่าบิดาเขาเพิ่งจะจากไปไม่นาน
สิ่งที่ทำให้เขาอึดอัดใจเป็นที่สุดคือ ในหมู่คนพวกนี้ล้วนแต่ได้รับความช่วยเหลือจากบิดาของเขาทั้งนั้น
จะเห็นได้ว่า คำโบราณที่กล่าว ‘คนโฉดฆ่าคนปล้นทรัพย์ได้สายสะพายทอง คนดีซ่อมสะพานกลับไม่เหลือแม้แต่ซากศพ’ นั้นมีเหตุผล
เผยเยี่ยนลอบแค่นเสียงในใจ น้ำเสียงที่พูดกลับอ่อนลงหลายส่วน “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจขนาดนั้น! เช่นนั้นก็ฝากขอบคุณนายหญิงอวี้แทนข้าด้วยแล้วกัน!”
ความหมายนี้คือเขาจะรับไว้กระมัง
อวี้ถังดีใจอย่างยิ่ง รีบละล่ำละลักเอ่ย “ท่านชอบก็ดีแล้ว” ทั้งตระหนักได้ว่าเขามาอย่างรีบเร่ง ไม่รู้ว่าการพบปะกับสกุลซ่งเป็นอย่างไรบ้าง ไม่อาจรบกวนเวลาสำคัญของเขาได้ จึงย่อตัวคำนับ “เช่นนั้นพวกเราก็ต้องขอตัวก่อน หลังจากการประมูลสิ้นสุดจะมารบกวนนายท่านสามอีกครั้ง”
ทางนายท่านสี่สกุลซ่งถูกเขาจัดให้นั่งที่ห้องรับรองแขกจริงๆ อีกเดี๋ยวเขายังต้องกลับไปต้อนรับ เผยเยี่ยนไม่อาจรั้งตัวอยู่นานได้ เขารู้สึกพอใจที่อวี้ถังรู้จักกาลเทศะไม่น้อย จึงกำชับอีกสองสามประโยค “หลายวันนี้ผู้ดูแลของสกุลต่างๆ ล้วนมาเยือนหลินอัน หากพวกเจ้าไม่มีเรื่องราวอันใด ทางที่ดีก็อย่าออกจากเรือนดีกว่า จะได้ไม่ถูกคนอื่นจับผิดอะไร ก่อเรื่องก่อราวขึ้นมา”
กลัวคนรู้ว่าแผนที่เป็นของสกุลพวกเขา อาจจะมีคนมาช่วงชิงไปก่อนการประมูลอย่างนั้นรึ?
นั่นล้วนแต่เป็นสกุลที่พวกเขาไม่อาจต่อกรได้ทั้งนั้น
อวี้หย่วนใบหน้าซีดเผือด
เผยเยี่ยนมองเขาไปแวบหนึ่ง “พวกเจ้าก็อย่าได้กังวลเกินไป ข้าได้ออกคำสั่งลงไปแล้ว ก่อนการประมูลสกุลใดที่มาเยือนหลินอันล้วนจะถูกจำกัดการเดินทาง ทางสกุลพวกเจ้าก็ส่งคนไปลอบเฝ้าระวังเช่นกัน ข้าพูดว่า เผื่อ…”
อวี้ถังเอ่ยทันที “ใช่แล้ว ใช่แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องเผื่อไว้ ก่อนการประมูลสกุลพวกเราย่อมไม่วิ่งวุ่นไปทั่ว ท่านวางใจเถิด”
ยามนี้สีหน้าของเผยเยี่ยนจึงค่อยฟื้นฟูเป็นเย็นชาดั่งปกติ
ใจที่แขวนกลางอากาศของอวี้ถังก็คลายลงสู่พื้นเสียที
——————————
[1]ขนมชิงถวน คือ ขนมที่ทำจากแป้งข้าวเหนียว ลูกกลมสีเขียว ด้านในมักใส่ไส้ถั่วแดงหรือเม็ดบัว กินกันแพร่หลายในเทศกาลเช็งเม้ง
อวี้หย่วนและอวี้เหวินฟังจนขลาดกลัวขึ้นมา ความสงสัยเล็กๆ ในใจนั้นหายไปหมดแล้ว กลับเป็นอวี้ถังที่ถอนหายใจยาวเหยียด
ชาติก่อนนางก็นับว่าประสบพบเจอกับเรื่องราวต่างๆ มาไม่น้อย ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งรู้ว่าตัวเองกระจ้อยร่อย ทั้งยิ่งสามารถประเมินตัวเองได้ รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
เหมือนอย่างเช่นการประมูล แม้นางจะกลับมาเกิดอีกครั้ง ก็ย่อมไม่กล้าทำอยู่ดี
แต่ว่า ฟังจากคำพูดของเผยเยี่ยน ยามที่ทดสอบเส้นทางเรือข่าวสารหลุดลอยออกไป ไม่รู้ว่าทางสกุลเผิงจะมีความเคลื่อนไหวหรือไม่!
รอจนเผยเยี่ยนส่งมอบทุกเรื่องเสร็จสรรพ ยามที่ถามอวี้เหวินว่า ‘มีคำถามอะไรอีกหรือไม่’ อวี้เหวินทำเพียงส่ายศีรษะ อวี้ถังจึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “แล้วทางสกุลเผิงล่ะ?”
เผยเยี่ยนเอ่ย “ข้าอยากจะปรึกษาเรื่องนี้กับพวกเจ้าอยู่พอดี”
ในความคิดของเขา สามารถให้สกุลเผิงเข้าร่วมประมูลได้อย่างสิ้นเชิง อย่างไรเข้าประตูมาก็ต้องวางเงินประกัน ไม่ว่าสุดท้ายจะประมูลได้หรือไม่ได้ เงินประกันล้วนไม่อาจถอนคืน
สามารถทำแบบนี้ได้ด้วยรึ!
สกุลอวี้ทั้งสามคนสบสายตากัน
“อีกอย่าง บางเรื่องก็ไม่ง่ายดายเหมือนที่พวกเจ้าคิดไว้ขนาดนั้น” เผยเยี่ยนเอ่ยต่อ “หากมีคนบุกเบิกเส้นทางเดินเรือใหม่อีกสาย ย่อมมีความเสี่ยงที่ต้องเผชิญทั้งความต้องการในทรัพยากรและกำลังคนที่มหาศาล เพื่อลดความเสี่ยงลง สกุลที่เข้าร่วมการประมูลพวกนี้ย่อมคิดจะร่วมมือกันจัดตั้งกลุ่มเรือ ผู้ที่มีความสามารถ ทั้งมีความคิดนี้ เมื่อตรึกตรองแล้ว ก็มาจากสกุลพวกนี้ทั้งนั้น แม้ว่ายามนี้พวกเราจะปิดบังสกุลเผิง รอจนคนพวกนั้นได้ครอบครองแผนที่เดินเรือ ข้าก็ไม่กล้ารับประกันว่าในหมู่คนพวกนี้จะมีสกุลใดร่วมมือกับสกุลเผิงหรือไม่ ดังนั้นข้าคิดว่า พวกเรามิสู้เชิญสกุลเผิงมาเข้าร่วมอย่างเปิดเผย ดึงเงินสักก้อนมาจากพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องบุญคุณความแค้นของสกุลพวกเจ้านั้น ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย ภายหลังหากพวกเจ้ามีโอกาสก็ค่อยลองดู”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนมองไปยังอวี้ถัง ราวกับจะให้นางเป็นผู้ตัดสินใจ
อวี้ถังคิดว่าเผยเยี่ยนพูดมีเหตุผล
แทนที่จะปล่อยให้คนอื่นได้เงินจากสกุลเผิง มิสู้สกุลพวกเขาเป็นฝ่ายหลอกเอาเงินก่อน
นางพยักหน้า เอ่ยกับเผยเยี่ยนอย่างจริงใจ “เช่นนั้นก็รบกวนนายท่านสามแล้ว”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ คิดว่าอวี้ถังสามารถปรับตัวเข้ากับทุกสถานการณ์ กระทำเรื่องเป็นระบบระเบียบมากขึ้น
เขาอดกล่าวไม่ได้ “ได้ยินว่ายามนี้สกุลพวกเจ้าซื้อต้นซาจี๋? ไฉนจึงไม่มาไถ่ถามข้า?”
อวี้ถังตะลึงพรึงเพริด
หากนางไปถามเผยเยี่ยนย่อมเป็นผลดีไม่น้อย แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่มีประโยชน์อันใดกับเผยเยี่ยน นางไม่กล้าเอาเปรียบสกุลเผย เทียวไปเทียวมารบกวนเผยเยี่ยนเช่นนี้
“ข้าและท่านพี่อยากจะใช้พื้นที่บริเวณภูเขาของสกุลปลูกผลไม้ แปรรูปเป็นผลไม้เชื่อม” นางตอบกลับเผยเยี่ยนอย่างตรงไปตรงมา “ต้นซาจี๋เป็นเพียงหนึ่งในพวกนั้น ยังไม่รู้ว่าจะปลูกติดหรือไม่ จึงไม่กล้ารบกวนท่าน”
“ต้นซาจี๋ไม่ค่อยเหมาะจริงๆ” เผยเยี่ยนเอ่ย “ต้นทุนค่อนข้างสูง เกินความจำเป็น”
อวี้เหวินได้ฟังก็ร้อนใจ
เขาให้อาจารย์เสิ่นช่วยจัดการเรื่องต้นกล้าแล้ว หากต้นไม้ชนิดนี้ไม่เหมาะสม ไม่ใช่จะลำบากเสิ่นซ่านเหยียนทั้งทำลายน้ำใจผู้อื่นหรอกรึ
“นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเขาสองพี่น้องคิดเล่นๆ ขึ้นมา” เขารีบละล่ำละลักเอ่ย “คาดไม่ถึงว่าจะไม่เหมาะสม”
เขาขบคิดว่า จะไปดูต้นซาจี๋พวกนั้นของเผยเยี่ยนดีหรือไม่
ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มีความคิดได้ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว” จากนั้นก็ถามถึงพื้นที่ภูเขาของสกุลพวกเขาว่าอยู่ที่ใด
อวี้หย่วนบอกตำแหน่ง
เผยเยี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อย “พวกเจ้าไปหาพ่อบ้านหู ให้เขาไปดูกับพวกเจ้า เมื่อก่อนบิดาของเขาเป็นสินเดิมของย่าข้า ติดตามย่าเข้ามาในสกุล สกุลย่าข้าปลูกผลหมากรากไม้ ในหมู่พ่อบ้าน คงจะมีเขาคนเดียวที่เข้าใจอยู่บ้าง เจ้าลองดูเถิดว่าพอจะสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่”
นี่เป็นความปรารถนาดีของเผยเยี่ยน คนสกุลอวี้พากันเอ่ยขอบคุณ
ตั้งแต่เด็กเผยเยี่ยนก็ถูกคนล้อมหน้าล้อมหลัง ครั้นเมื่อเติบใหญ่ชีวิตล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค การสอบขุนนางไม่เคยติดขัด เรื่องขอบคุณเช่นนี้เขาพบเจอมาไม่รู้ตั้งเท่าใด เรื่องของสกุลอวี้ เขาช่วยเหลือมากไปอยู่บ้าง แต่คุณหนูอวี้เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง เรื่องเล็กน้อยช่วยเหลือกันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง เขารับความขอบคุณคนสกุลอวี้อย่างไม่ใส่ใจมาก ดึงหัวข้อเข้าเรื่องการประมูลอีกครั้ง “เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา สกุลพวกเจ้าไม่โผล่หน้าออกมาจะดีที่สุด ถึงเวลานั้นนายท่านอวี้และคุณชายอวี้มาก็เพียงพอแล้ว ยืนหลบอยู่ด้านข้าง ฟังแต่ละสกุลตกลงซื้อขายในรอบสุดท้าย หลังจากนั้นข้าจะให้เผยหม่านนำเงินประมูลไปส่งที่สกุลพวกเจ้า”
นี่คือกลัวว่าจะมีคนเพ่งเล็งสกุลอวี้ ผู้ที่แพ้การประมูลอาจคิดเล่นงานกับสกุลอวี้ ทั้งกลัวว่าคนสกุลอวี้จะพะว้าพะวง กังวลว่าสกุลเผยจะอมเงินประมูล
ชั่วขณะนั้นอวี้เหวินก็เหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผาก “นายท่านสามไม่จำเป็นต้องจัดการเช่นนี้ สกุลพวกเราเป็นสกุลธรรมดาไร้เสียงไร้นาม เรื่องพวกนี้ย่อมไม่เข้าใจ ข้าว่า เรื่องประมูลให้ท่านจัดการคนเดียวก็เพียงพอแล้ว สกุลพวกเราคงไม่เข้ามา ส่วนเรื่องเงิน เก็บไว้ที่ร้านเครื่องเงินของสกุลเผยก่อน พวกเราไปเอายามที่ต้องการก็เพียงพอแล้ว”
หากเป็นก่อนหน้านี้เขายังคงอยากให้ตัวเองเข้าร่วมทำการซื้อขายนี้กับคนอื่นเช่นกัน แต่หลังจากได้ยินเผยเยี่ยนแนะนำตำแหน่งฐานะสกุลที่เข้าร่วมประมูล เขาก็ไม่กล้ายุ่งเกี่ยวอีกแล้ว หากไม่ใช่ว่ากลัวเผยเยี่ยนคิดมาก เขาถึงกระทั่งอยากเอ่ยว่า ให้เงินสกุลพวกเขาไม่กี่ร้อยตำลึงก็พอ ส่วนแผนที่นี้ถือว่าขายให้สกุลเผยไปเสีย
เผยเยี่ยนเห็นอวี้เหวินเอ่ยอย่างจริงใจ รู้ว่าเขาทราบถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ จึงไม่คิดบังคับฝืนใจ รับปากอวี้เหวินว่าจะนำเงินประมูลไปเก็บไว้ในร้านขายเครื่องเงินสกุลเผย ทั้งให้คำปรึกษาเรื่องนำเงินออกไปจากร้านขายเครื่องเงินของสกุลเผยด้วย
อวี้ถังใจลอยอยู่บ้าง
ในเมื่อเผยเยี่ยนคิดว่าพื้นที่ภูเขาของสกุลไม่เหมาะกับการปลูกต้นซาจี๋ เหตุใดชาติก่อนเขาถึงปลูกมันที่นั่นเล่า? ตกลงภายในนี้มีเรื่องอะไรผิดพลาดกันแน่ เรื่องของชาติก่อนจึงได้คลาดเคลื่อนไปจากชาตินี้?
นางคิดว่าตัวเองต้องหาโอกาสไถ่ถามเสียหน่อย
ด้านเผยเยี่ยนกล่าวจบ ก็ยกน้ำชาส่งแขก
พวกอวี้เหวินหยัดกายขึ้นบอกลา กลับพบเผยหม่านสาวเท้ารีบเร่งเข้ามาทางนี้
ทั้งสองฝ่ายทักทายกันและกัน เผยหม่านไม่รอให้อวี้เหวินออกปากก็เอ่ยขึ้นก่อน “นายท่านอวี้ ผู้ดูแลสกุลซ่งแห่งซูโจวมาเยือน กำลังอยู่ในโถงบุปผา ข้าคงไม่อาจส่งท่านแล้ว”
หังโจวและซูโจวอยู่ใกล้กันมาก สกุลใหญ่มีชื่อเสียงเรืองอำนาจทางซูโจว ผู้คนที่อยู่ใกล้อย่างเมืองหลินอันล้วนเคยได้ยินมาเช่นกัน สกุลซ่งแห่งซูโจว ก็ไม่ต่างไปจากสกุลเถาแห่งกว่างโจวที่เผยเยี่ยนเอ่ยถึงเมื่อครู่ เป็นสกุลมั่งคั่งที่มีทายาทเป็นบัณฑิตทั้งทำกิจการค้าขาย นับเป็นสกุลที่มีอำนาจในเมืองซูโจว
คนสกุลอวี้สงสัยอยู่บ้างว่าคนสกุลซ่งมาทำอะไร แต่นี่เป็นเรื่องของสกุลเผย ไม่อาจถามให้เสียมารยาท พวกเขาจะใคร่รู้เพียงใดก็ทำได้เพียงเก็บไว้ในใจ
แยกจากเผยหม่าน อวี้ถังก็เอ่ย “พวกเราใช้โอกาสนี้ไปหาพ่อบ้านหูดีหรือไม่?”
หนึ่งคือพวกเขาและหูซิ่งนับว่าคุ้นเคยกันไม่น้อย พูดคุยสื่อสารกันง่าย สองคือประตูใหญ่ของสกุลเผยไม่ใช่สถานที่เข้าออกได้ง่ายๆ เข้ามาได้หนึ่งครั้งก็ควรพยายามทำเรื่องทั้งหมดให้เสร็จสิ้นจะดีที่สุด
อวี้เหวินก็มีความคิดอย่างนี้เช่นกัน
ทั้งสามคนขอเด็กรับใช้ที่พาพวกเขาออกมา นำทางไปหาหูซิ่ง
เด็กรับใช้ผู้นั้นเห็นพวกเขาเป็นแขกที่เผยเยี่ยนเชิญมา ก็ไม่ได้มากความ พาพวกเขาไปพบหูซิ่ง
เวลานี้อวี้ถังจึงพบว่า แท้จริงแล้วพวกพ่อบ้านผู้ดูแลทั้งหลายของสกุลเผยล้วนอยู่ในเรือนแห่งหนึ่งทางตะวันออกสกุลเผย ห่างจากประตูใหญ่เพียงระยะยิงธนู[1]เท่านั้น ทั้งอาศัยจากตำแหน่งพ่อบ้านและผู้ดูแลพวกเขายังขนาบด้วยห้องเล็กๆ ของข้ารับใช้ทั้งห้องเซียงฝางขนาดน้อยใหญ่แตกต่างกันไป
อวี้หย่วนเห็นก็ลอบชื่นชมในใจ กระซิบกับอวี้ถัง “ไม่แปลกใจที่คนอื่นกล่าวว่าสกุลเผยร่ำรวยเงินทอง ข้ายังคิดไปว่าพวกเขาไม่เคยพบเห็นสกุลใหญ่มั่งมีของเมืองหังโจว แท้จริงเป็นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน สายตาคับแคบ”
สิ่งที่อวี้ถังคิดคือ ไม่แปลกใจที่สกุลหลี่อยากจะแทนที่สกุลเผยอย่างใจจดใจจ่อ ไม่ว่าใครที่เห็นภาพบ่าวใช้มากมายดุจมวลเมฆนี้ ก็คงคิดใฝ่ฝันกันทั้งนั้น!
หูซิ่งไม่อยู่ห้องของตัวเอง เด็กรับใช้ของหูซิ่งนำชาและของว่างมาต้อนรับพวกเขาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ไม่นาน หูซิ่งที่ทราบข่าวก็เร่งตามเข้ามา เอ่ยขอโทษขอโพยอวี้เหวิน “ท่านแม่เฒ่าไหว้วานให้ข้าไปทำธุระนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่านายท่านอวี้จะเข้ามา เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว”
อวี้เหวินและเขาเอ่ยเป็นพิธีไม่กี่คำ อวี้หย่วนและอวี้ถังก็หยัดกายขึ้นประสานมือทักทายเขา ทุกคนลงนั่งกันอีกครั้ง อวี้เหวินจึงค่อยเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา
หูซิ่งพอได้ยินว่าเป็นความต้องการของเผยเยี่ยน ก็นั่งไม่ติดที่ “ท่านให้ข้าไปเปลี่ยนผ้าผ่อนเสียหน่อย ข้าจะไปดูกับพวกท่านเดี๋ยวนี้”
กระตือรือร้นจนพาให้แปลกใจอยู่บ้าง
อวี้เหวินรีบละล่ำละลักเอ่ย “พวกเราไม่ได้รีบร้อนเพียงนั้น เจ้าหาเวลาว่างไปช่วยพวกเราดูก็เพียงพอแล้ว”
ได้ยินว่า กว่ากล้าไม้พวกนั้นจะมาถึงก็ตั้งกลางเดือนสี่
หลายวันมานี้หูซิ่งกำลังคิดวิธีจะปรากฏตัวต่อเบื้องหน้าเผยเยี่ยน ใคร่ให้เผยเยี่ยนสั่งเขาไปทำธุระเป็นอย่างยิ่ง เขาจะได้สามารถไปรายงานให้เผยเยี่ยนฟังทุกวัน ไหนเลยยังจะฟังคำพูดอวี้เหวิน
เขาเอ่ย “คำสั่งของนายท่านสามย่อมไม่อาจฝ่าฝืน เมื่อเอ่ยปากออกมาพวกเราไหนเลยจะชักช้าได้?”
อวี้เหวินอับจนหนทาง ทำได้เพียงนัดหูซิ่งเช้าตรู่ของพรุ่งนี้ เข้าไปช่วยดูที่บริเวณภูเขาของเรือนเก่าสกุลอวี้
เมื่อหูซิ่งได้รับการมอบหมายเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก็ส่งคนสกุลอวี้ทั้งสามออกจากประตูอย่างสุขอุรา
เพียงแต่พวกเขายังไม่ทันก้าวออกจากลานกว้าง เด็กรับใช้คนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาด้วยเหงื่อแตกพลั่ก “เห็นนายท่านอวี้ คุณชายสกุลอวี้หรือไม่ขอรับ? นายท่านสามขอให้นายท่านอวี้รั้งตัวอยู่ก่อน!” ขณะที่พูดก็เหลือบเห็นอวี้เหวินซึ่งอยู่ข้างหูซิ่ง ดีใจจนแทบจะร้องไห้โฮออกมา วิ่งขึ้นมาคำนับแก่อวี้เหวิน “นายท่านอวี้รีบตามข้าไปนั่งพักที่โถงบุปผาก่อนเถิดขอรับ นายท่านสามเอ่ยว่ามีเรื่องจะหารือกับท่าน”
คนสกุลอวี้ทั้งสามมองกันไปมองกันมา ก่อนจะเดินตามหูซิ่งและเด็กรับใช้คนนั้นเหลียวอ้อมไปอ้อมมา จนถึงโถงบุปฝาที่ไม่คุ้นตา
เด็กรับใช้ยกชามาอย่างเอาใจใส่ “นายท่านสามขอให้ท่านรออยู่ตรงนี้สักครู่ หากเรื่องทางนั้นเสร็จสรรพแล้ว พี่อาหมิงจะเข้ามาเชิญพวกท่าน พวกท่านนั่งพักกันก่อนเถิดขอรับ”
อวี้ถังลอบขำในใจ
อาหมิงอยู่ในจวนกลับถูกเรียกว่า ‘พี่’ จะเห็นได้ว่าการทำงานข้างกายเผยเยี่ยนมีเกียรติไม่น้อย
อวี้เหวินตอบรับด้วยรอยยิ้ม ยอบกายนั่งลง
ด้านหูซิ่งขันอาสาพูดคุยเป็นเพื่อนคนของสกุลอวี้
อวี้ถังรู้สึกเบื่อหน่าย จึงชื่นชมบรรยากาศโดยรอบ
เมื่อทอดสายตามอง ก็ทำให้นางประหลาดใจอยู่บ้าง
ใกล้จะเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิแล้ว ฤดูที่ต้นหลิวแตกยอด ดอกท้อดอกหลี่บานสะพรั่ง ด้านข้างโถงบุปผาของสกุลเผยมีต้นไม้ร่มครึ้ม พุ่มหญ้าเขียมชอุ่ม เมื่อมองไป ก็ปรากฏเขียวเข้มเขียวอ่อน รื่นหูรื่นตายิ่ง ไม่มีสีอื่นเจือปนแม้แต่น้อย
หรือต้นท้อต้นหลี่ของสกุลพวกเขาไม่ออกดอกกัน?
หรือว่าข้างโถงบุปผาไม่ได้ปลูกต้นท้อและต้นหลี่?
แม้ว่าจะไม่ปลูกต้นท้อต้นหลี่ ดอกไม้ป่าก็ไม่มีสักต้นอย่างนั้นรึ?
อวี้ถังมองหาอยู่ค่อนวัน ก็ไม่พบจริงๆ
พวกเขารอประมาณครึ่งชั่วยาม อาหมิงก็วิ่งเหยาะๆ เข้ามา
“นายท่านอวี้ คุณชาย คุณหนูให้คอยนานเสียแล้ว!” เขาหอบแฮ่กๆ “นายท่านสามพวกเรากำลังส่งแขก ประเดี๋ยวจะเข้ามาแล้วขอรับ”
ไม่ใช่กล่าวว่าจะให้พวกเขาเข้าไปหรอกรึ?
คนของสกุลอวี้เหลียวมองกันสลับไปมา
แต่ยังไม่รอให้อวี้เหวินเอ่ยอันใด เผยเยี่ยนก็ก้าวเท้ายาวเข้ามา
อวี้เหวินพาอวี้หย่วนและอวี้ถังเดินเข้าไปหา
เผยเยี่ยนคำนับให้แก่อวี้เหวิน เอ่ยกับหูซิ่ง “พวกเจ้าออกไปให้หมดเถิด! ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพวกนายท่านอวี้เพียงลำพัง”
————————-
[1]ระยะยิงธนู คือระยะประมาณหนึ่งร้อยยี่สิบถึงหนึ่งร้อยห้าสิบก้าว
เมื่อความคิดแล่นวาบ ก็คล้ายกับหญ้าป่าที่ผุดขึ้นเป็นวงกว้าง
แต่ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้
อวี้ถังเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ หันไปคว้าภาพนั้นเอ่ยถามกับคนสกุลหวัง “เก็บไว้หรือจะเอามาแขวนดีเจ้าคะ?”
น้ำใจของคนในครอบครัวมักวนไปเวียนมาเช่นนี้ ของดีบางอย่างก็จะเก็บไว้ รอในโอกาสพิเศษจึงจะส่งเป็นของขวัญให้ผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งของอย่างภาพที่จางฮุ่ยวาด นอกจากจะเป็นทางการแล้ว ยังนับเป็นของดีมีค่า ส่งเป็นของขวัญให้สกุลบัณฑิตที่มีความรู้ย่อมเป็นของขวัญที่มีเกียรติอย่างถึงที่สุด
อาจจะเพราะคำนึงถึงจุดนี้ จางฮุ่ยจึงเขียนคำอวยพรลงบนภาพผูเถาเพียงภาพเดียว สามภาพที่เหลือเพียงประทับตราของตัวเองเท่านั้น
คนสกุลหวังกลับชื่นชอบอย่างยิ่ง “เชิญอาจารย์มาเข้าม้วนภาพ นำไปแขวนในห้องหนังสือพี่ชายเจ้า ได้ยินนายหญิงเว่ยกล่าวว่า คุณหนูเซียงเคยร่ำเรียนตำรากับอาจารย์ส่วนตัวมาสิบกว่าปีเช่นกัน”
แขวนภาพนี้ไว้ ก็จะเชิดหน้าชูตาแก่สกุลอวี้ไม่น้อย
อวี้ถังแย้มยิ้ม ก่อนจะออกคำสั่งลงไป
รอจนผ่านเทศกาลมังกรเชิดหัว วันที่สอง เดือนสอง ทางสกุลเซียงก็ส่งคนมาดูเรือนหอ
เครื่องเรือนของฝ่ายหญิงนั้นตกแต่งเสร็จนานแล้ว ครั้งนี้มาดูเรือนหอ กล่าวว่ามาดูเผื่อยังมีอะไรขาดเหลือ ในความเป็นจริงกลับมีเจตนาเร่งรัดอยู่เล็กน้อย ดูว่าสกุลอวี้ได้จัดการเรือนหอให้คู่แต่งงานเสร็จเรียบร้อยเหมือนดั่งที่รับปากผ่านแม่สื่อก่อนหน้านี้แล้วหรือยัง
อวี้ป๋อมีเพียงลูกชายเพียงคนเดียว สองสามีภรรยาก็ให้ความสำคัญต่อทายาทลูกหลาน ไม่เพียงทาสีกำแพงเรือนตะวันออกทั้งสามห้องตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับสกุลเซียง ยังทำกำแพงดอกไม้ที่เรือนตะวันออก เรือนหลัก และเรือนตะวันตก ปลูกดอกไม้ประเภทดอกเถิงหลัว ทำให้เรือนตะวันออกกลายเป็นลานนั่งเล่นขนาดย่อม ด้านหลังเรือนตะวันออกก็สร้างเรือนพักผ่อนขึ้นมาอีกสองห้อง เพื่อใช้เป็นห้องเก็บของคนสกุลเซียง ทั้งสามารถเป็นห้องพักผ่อนหลับนอนของพวกสาวใช้
เพื่อให้คนสกุลเซียงพอใจ คนสกุลหวังยังตั้งใจพาคนสกุลเซียงไปดูห้องปีกทางเหนือที่ทำเป็นห้องหนังสือของเรือนตะวันออก
ห้องปีกทางเหนือที่ฝังกระจกโปร่งใสสองบาน เสาสูงทาสีดำดูหรูหรา บนกำแพงแขวนภาพวิจิตรตระการตา
หญิงวัยกลางคนของสกุลเซียงที่เข้ามา ว่ากันว่าเป็นหญิงรับใช้ข้างกายนายหญิงเซียง เป็นคนที่นายหญิงเซียงพามาจากสกุลเสิ่น คาดว่าคงหูตากว้างไกลไม่น้อย กำแพงดอกไม้ไม่ได้ทำให้นางแสดงความชอบออกมาอย่างชัดเจนนัก ยามที่เห็นภาพวาดพวกนั้นของจางฮุ่ยกลับเผยสีหน้าประทับใจ ยืนดูอย่างนั้นอยู่พักใหญ่ เวลานี้จึงค่อยเอ่ยกับคนสกุลหวังด้วยรอยยิ้ม “นายหญิงลำบากเสียแล้ว มิน่าเล่ายามที่นายหญิงเว่ยเอ่ยถึงนายหญิงจึงชมไม่ขาดปาก งานแต่งครั้งนี้ ตระเตรียมได้รอบคอบจริงๆ”
เหตุผลล้วนเชื่อมโยงกัน
ในเมื่อคนสกุลเซียงพอใจในภาพพวกนี้ ก็ย่อมพอใจกับความคิดของอวี้ถังก่อนหน้านี้ที่จะเชิญบัณฑิตในเมืองหลินอันมาเป็นแขกที่เรือนเช่นกัน
คนสกุลหวังถอนหายใจโล่งอก ทั้งเริ่มชมอวี้ถังขึ้นมาในเวลาเดียวกัน “หลานสาวของพวกเราเป็นคนวางแผนจัดการทั้งนั้น ท่านก็รู้ น้องสามีข้าเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง หลานสาวผู้นี้ตั้งแต่เด็กก็ร่ำเรียนตำราตามบิดา มีสายตาความรู้เหนือกว่าหญิงสาวในห้องหับทั่วไป งานแต่งของพี่ชายนาง ข้าก็พึ่งพานางไม่น้อย”
ยามที่นายหญิงเว่ยเป็นแม่สื่อให้คุณหนูเซียง สกุลเซียงก็สืบที่ไปที่มาของสกุลอวี้แทบทุกซอกทุกมุม
หากไม่ใช่ว่าสมาชิกในสกุลอวี้ไม่มีความสลับซับซ้อน ไร้ชื่อเสียงฉ่าวโฉ่ แม้นายท่านเซียงจะไม่สนใจลูกสาวอย่างไร ก็ไม่อาจตอบรับงานแต่งครั้งนี้ได้หรอก
ผู้ที่สกุลเซียงส่งมาย่อมเอ่ยชมอวี้ถังตามคนสกุลหวังอย่างไม่หยุดปาก
คนสกุลหวังเผยยิ้มอย่างเบิกบานใจ รู้สึกว่าคนสกุลเซียงก็ไม่ได้คบค้าสมาคมยากเหมือนที่นางคิดไว้เมื่อก่อนเช่นนั้น จึงหยิบยื่นความจริงใจออกมา รั้งคนของสกุลเซียงให้อยู่กินข้าวด้วยกัน
ความปรารถนาดีย่อมส่งต่อกันและกัน
คนของสกุลเซียงเห็นความจริงใจของคนสกุลหวัง ใจที่แขวนไว้ก็ผ่อนคลายลง ให้ความจริงใจคนสกุลหวังตอบเช่นกัน คนทั้งสองสกุลกินข้าวร่วมกันอย่างชื่นมื่น
หญิงผู้นั้นเมื่อกลับสกุลเซียง ก็อดชมสกุลอวี้ต่อหน้านายหญิงเซียงไม่ได้ นายหญิงเซียงยิ้มหยอกล้อหญิงรับใช้ผู้นั้น “ก็ไม่รู้ว่าสกุลอวี้ให้ประโยชน์อันใดแก่เจ้า เพิ่งเข้าไปก็ซื้อใจเจ้าได้เสียแล้ว หากไปเทียวไปเทียวมาหลายครั้ง ข้าว่าใจของเจ้าคงเอียงไปอยู่ที่สกุลอวี้แล้วกระมัง”
หญิงรับใช้ผู้นั้นใบหน้าขึ้นสี
นายหญิงเซียงกลับไม่ใส่นัก โบกมือ “เอาเถิด เจ้าไม่ต้องพูดมากแล้ว นางสามารถเจอสกุลที่ดี ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ภายหลังไม่สร้างความวุ่นวายให้พี่น้องนาง ข้าจะไปก่อเรื่องอาละวาดได้อย่างไร ท่านแม่เฒ่าจะได้ไม่หนักใจเช่นกัน”
หญิงรับใช้ไม่กล้ารับบทสนทนาต่ออีก
ด้านสกุลอวี้กลับคล้ายเสร็จสิ้นภารกิจใหญ่หลวง ยามเย็นจึงร่วมตัวกันกินอาหารเย็น คนสกุลหวังยังเล่าเรื่องของตัวแทนสกุลเซียงที่มาวันนี้อย่างละเอียดยิบ
อวี้ป๋อคิดว่าครั้งนี้ตัวเองก้มหน้ารับลูกสะใภ้จริงๆ หากไม่ใช่เห็นว่านายหญิงเว่ยอบรมสั่งสอนคุณหนูได้อย่างชาญฉลาด ทั้งไม่ขาดตกบกพร่องตรงไหน ลูกชายก็ชอบด้วยใจจริง มิเช่นนั้นเขาคงไม่ยอมเป็นที่รองรับอารมณ์เช่นนี้ เขาทนฟังคนสกุลหวังชมสกุลเซียงไม่ได้ จึงผลักจานถั่วปากอ้า ของโปรดของคนสกุลหวังไปเบื้องหน้านาง เอ่ยว่า “เจ้าก็พูดให้น้อยหน่อยเถิด รีบกินข้าว อากาศเย็นเช่นนี้ อาหารหายร้อนหมดแล้ว”
คนสกุลหวังจึงหยุดบทสนทนาทั้งรอยยิ้ม
อวี้เหวินที่ไม่ได้กล่าวอันใดมาโดยตลอดกลับเอ่ยกับอวี้ถังและอวี้หย่วน “พรุ่งนี้พวกเจ้าสองคนตามข้าไปที่สกุลเผย ตอนบ่ายพ่อบ้านใหญ่เผยให้คนส่งจดหมายมา กล่าวว่านายท่านสามสกุลเผยมีเรื่องอยากพูดคุยกับพวกเรา”
คงจะเป็นเรื่องแผนที่กระมัง?
อวี้ถังครุ่นคิด พยักหน้าระรัวเช่นเดียวกับอวี้หย่วน เช้าตรู่วันถัดมาก็ตามอวี้เหวินไปยังสกุลเผย
จวนสกุลเผยคล้ายกับวิมานทวยเทพที่ร่วงลงมาบนโลกมนุษย์ ฤดูหนาวเพิ่งผ่านพ้นไป ต้นไม้ใบหญ้าของสกุลพวกเขากลับยังคงงดงามบานสะพรั่งเช่นเดิม พวกเขาเดินตามทางเดินหินที่เข้ามาครั้งก่อน ยังคงรู้สึกเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ก่อนหน้านี้อวี้ถังไม่เข้าใจ กลับมาเกิดใหม่อีกครั้งกลับทะลุปรุโปร่ง การคงสภาพหนึ่งปีสี่ฤดูไม่เปลี่ยนแปลง ต้องสิ้นเปลืองกำลังคนและทรัพย์สินไปเท่าใดกัน
นางหวนนึกถึงร้านค้าที่หังโจวของสกุลเผย
สกุลเผยคงจะร่ำรวยมั่งคั่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้อีกกระมัง?
อวี้ถังครุ่นคิด ตามบิดาและพี่ชายเข้ามาในห้องหนังสือที่เผยเยี่ยนใช้ต้อนรับพวกเขาในครั้งที่แล้ว
ในห้องหนังสือมีเพียงเด็กชายคนหนึ่งเฝ้าอยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีใครอีก
เด็กคนนั้นเห็นคนเข้ามา ก็ก้าวขึ้นมาคำนับ
อวี้ถังจำได้ว่าเด็กคนนี้คือคนที่นางเคยพบที่วัดเจาหมิงและเรือนเก่าสกุลอวี้มาก่อน ชั่วขณะนั้นก็ดีใจราวพบสหายเก่าในต่างถิ่น เด็กคนนั้นเผยสีหน้าเคร่งขรึม ยามที่เขายกชามาให้พวกเขาก็ดูเป็นการเป็นงาน นางอดเอ่ยกับเด็กคนนั้นไม่ได้ “เจ้าจำข้าได้หรือไม่? ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่ออาหมิง เจ้าคงชื่อนี้กระมัง?”
เด็กคนนั้นพยักหน้าจริงจังราวกับเป็นผู้ใหญ่ อาศัยยามที่ผู้ดูแลซึ่งพาพวกเขาเข้ามา กำลังพูดคุยกับอวี้เหวินส่งรอยยิ้มดีใจให้กับอวี้ถัง ชี้ไปที่ของว่างข้างมือนาง กระซิบเสียงเบา “ถั่วต้มยี่หร่า หอมเสียจริง!”
เด็กคนนี้ฉลาดเป็นกรด!
อวี้ถังถูกความน่ารักของเขาจู่โจมเสียแล้ว เห็นบิดายังคงพูดกับผู้ดูแลคนนั้น ก็เอ่ยถามเขาเสียงเบา “นายท่านสามทำอะไรอยู่?”
เด็กที่ชื่ออาหมิงเม้มปากจนเป็นเส้นตรง ส่ายศีรษะเป็นพัลวัน
หากผู้ดูแลของสกุลเผยไม่อยู่ที่นี่ อวี้ถังคงจะหัวเราะออกมาแล้ว
นางย่อมไม่สร้างความลำบากใจให้อาหมิง ลูบศีรษะของเขา ไม่ถามอะไรอีก
ไม่นานนัก เผยเยี่ยนก็สาวเท้าเข้ามา
เขามาพร้อมไอหนาวจากข้างนอก ทำให้อวี้ถังที่นั่งอยู่ด้านหน้าประตูตัวสั่นงันงกขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ลอบนินทาเผยเยี่ยนในใจ ‘วันที่อากาศเย็นเช่นนี้ กลับไม่จุดตี้หลงให้ความอบอุ่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นโรคแปลกประหลาดอันใด!’
วันนี้เผยเยี่ยนสวมชุดผ้าไหมเนื้อหยาบสีฟ้าอ่อน สวมสายรัดสีเขียวไผ่ที่เอว นอกจากนั้นแล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรอีก ครั้งนี้นับว่าเรียบง่ายอย่างแท้จริง
อวี้ถังเห็นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ มักรู้สึกว่าเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
เผยเยี่ยนดูเหมือนยุ่งมาก เมื่อยอบกายนั่งลงก็โบกมือไล่บ่าวรับใช้ให้ออกไปนอกห้อง เอ่ยกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาทันที “ข้าหาคนไปทดสอบเส้นทางเรือแล้ว แผนที่นั่นเป็นของจริง ข้าวางแผนจะกำหนดการประมูลในวันที่สิบหกเดือนสาม พวกเจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
แม้เขาจะกล่าวเหมือนปรึกษาหารือ แต่น้ำเสียงกลับหนักแน่นอย่างยิ่ง เน้นย้ำให้เห็นว่าวางแผนจัดการมาอย่างดี สกุลอวี้ย่อมไม่ปฏิเสธ
คนสกุลอวี้กลับหน้าเปลี่ยนสีโดยพร้อมเพรียงกัน
วันที่สิบหกเดือนสามคือวันแต่งงานของอวี้หย่วน
ไฉนเผยเยี่ยนไม่เลือกวันที่เร็วกว่านี้ หรือนานกว่านี้หน่อย กลับมาเลือกเอาในวันนี้?
นอกจากนี้ครั้งแรกที่สกุลพวกเขาเอ่ยเรื่องแบ่งเงินประมูลกับสกุลเผย เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ตอบรับ
อวี้หย่วนเห็นแววตาของเผยเยี่ยนที่เผยความฉงนขึ้นมาหลายส่วน
เขาส่งสายตาให้อวี้ถัง
อวี้ถังมองเห็น กลับคิดว่าอวี้หย่วนกังวลเรื่องนี้มากเกินไป
อำนาจของสกุลอวี้และสกุลเผยห่างกันลิบลับ เดิมทีเผยเยี่ยนก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ลูกไม้เช่นนี้
อวี้เหวินกลับคิดว่าเผยเยี่ยนกำหนดวันนี้ ย่อมมีเหตุผล เช่นนั้นสองเรื่องนี้ควรจะเทียบความสำคัญอย่างไรดี?
เขาคิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ เผยความลังเลออกมาอย่างเห็นได้ชัด
กลับเป็นเผยเยี่ยนที่สับสนมึนงง เอ่ยอย่างแปลกใจ “ทำไมรึ? หรือพวกเจ้าคิดว่าวันนี้ไม่ดี? ข้าขอให้สกุลเถาแห่งกว่างโจวช่วยทดสอบเส้นทางเรือ ไม่รู้ว่าเหตุใด ข่าวนี้กลับแพร่กระจายออกไป ยามนี้ก็ไม่ทราบว่ามีสกุลใดที่รู้ข่าวนี้แล้ว ข้าใคร่ครวญดู ไม่จำเป็นต้องปกปิดอำพรางอันใดแล้ว เลื่อนเวลาออกไปเสียหน่อย ให้คนที่ใคร่อยากประมูลพวกนั้นมาเข้าร่วมกันให้หมด ราคาประมูลอาจจะไม่ได้สูงอย่างที่พวกเราคาดไว้ แต่กลับมีคนจำนวนมาก ไม่แน่ว่าเงินที่ตกในกระเป๋าอาจจะมากขึ้นก็ได้”
เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนไม่รู้เรื่องงานแต่งของอวี้หย่วนแม้แต่น้อย
คาดว่าช่วงนี้เขาจะยุ่งย่ามเกี่ยวกับเรื่องแผนที่ ไม่มีเวลาสนใจข่าวสารเรื่องราวในเมืองหลินอัน
อวี้ถังเอ่ยอย่างสุภาพ “วันที่สิบหกเดือนสาม พี่ชายข้าแต่งงาน…”
เผยเยี่ยนตกตะลึง มองพินิจอวี้หย่วนอยู่หลายครั้ง “พี่ชายเจ้าอายุเท่าใดกัน? ไฉนจึงแต่งงานเร็วขนาดนี้?”
ส่วนมากชายหนุ่มหญิงสาวในเมืองหลินอันล้วนแต่งงานอายุสิบเจ็ดสิบแปด ญาติผู้พี่ของนางไม่นับว่าสาย แต่ก็ไม่นับว่าเร็วเช่นกัน
อวี้ถังเอ่ย “สกุลพวกเรามีพี่ข้าเป็นทายาทชายเพียงคนเดียว!”
เผยเยี่ยนเอ่ยโดยพลัน “เช่นนั้นกำหนดวันที่สิบเดือนสามก็ได้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร? ก่อนหน้าที่คุณชายอวี้จะแต่งงานก็คงจะได้รับเงินประมูลกลับมาด้วย”
งานแต่งของญาติผู้พี่ก็สามารถจัดได้อย่างสมบูรณ์เพียบพร้อมแล้ว
เขาหมายความว่าเช่นนี้กระมัง?
อวี้ถังอดมองเผยเยี่ยนแวบหนึ่งไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้ยังมีความคิดละเอียดอ่อนเช่นนี้
“ได้!” อวี้เหวินคิดว่ายิ่งโยนเรื่องแผนที่ออกไปเร็วเท่าไร สกุลพวกเขาก็สามารถสงบสุขได้เร็วเท่านั้น ย่อมอยากให้จบโดยเร็ว “พวกเราว่าตามนายท่านสาม”
เผยเยี่ยนได้ยินก็เผยยิ้มพอใจ ตะโกนเผยหม่านเข้ามา “กำหนดเวลาประมูลไว้ในวันที่สิบเดือนสาม เจ้ารีบส่งม้าเร็วไป นำเทียบเชิญที่พวกเราเตรียมไว้ไปส่งให้สกุลพวกนั้น”
เผยหม่านรับคำสั่ง ออกจากห้องไป
เผยเยี่ยนนำรายชื่อสกุลที่เตรียมส่งเทียบเชิญมาร่วมเข้าร่วมประมูลให้อวี้เหวิน จากนั้นก็แนะนำแต่ละสกุลว่ามีที่มาอย่างไรบ้าง
สกุลเถาแห่งกว่างโจว สกุลอู่แห่งหูโจว สกุลอิ้นแห่งเฉวียนโจว สกุลลี่แห่งหลงเหยียน…ไม่ว่าจะสุ่มเลือกสกุลไหน ก็ล้วนแล้วแต่ข่มสกุลอวี้ได้ทั้งนั้น
หากไม่ขอสกุลเผยออกหน้า แม้พวกเขาจะมีแผนที่ขาย ก็คงต้องใช้ชีวิตแลกเงินมา!
อวี้เหวินยิ่งฟังเหงื่อก็ยิ่งชุ่ม ทั้งยิ่งฟังก็ยิ่งดีใจลึกๆ ที่ตอนแรกฟังคำแนะนำของอวี้ถัง
—————-
ทุกคนหันมามองอวี้ถังที่หลุดขำ
อวี้ถังละล่ำละลักข่มกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยกับบิดา “ท่านจะไปทำอะไรเจ้าคะ? หรือใคร่จะเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเราสองสกุลให้สกุลกู้ทราบด้วยตัวเอง?”
อวี้เหวินเลิกคิ้ว “ไยจะทำไม่ได้?”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ใจเต้นระรัว กลัวว่าพ่อลูกคู่นี้จะบุ่มบ่ามก่อเรื่องโดยไม่สนใจอะไร รีบทำท่าทีโมโหขึ้นมา “เหตุใดยิ่งพูดก็ยิ่งไร้เหตุผลขึ้นเรื่อยๆ! พูดให้ร้ายผู้อื่นลับหลังนับเป็นเรื่องอะไรกัน เป็นเรื่องดีอย่างนั้นรึ?”
สองพ่อลูกไม่อยากให้คนสกุลเฉินวิตกกังวล พากันปิดปากเงียบ
คนสกุลหวังเห็นเช่นนั้นก็เอ่ยเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “เอาเถิดๆ อย่างไรสกุลพวกเราก็ไม่ได้เสียเปรียบ ส่วนคนอื่นจะทุกข์จะสุข ก็หาใช่ญาติสนิทพวกเราไม่ เกี่ยวอันใดกับสกุลพวกเรากัน? ได้ยินว่าสกุลเผยเป็นผู้ออกเงิน พรุ่งนี้ทางการจะจัดงานเทศกาลโคมไฟที่ถนนฉางซิ่ง วันนี้ทุกคนก็เข้านอนพักผ่อนกันเร็วหน่อยเถิด พรุ่งนี้ไปชมเทศกาลโคมไฟที่ถนนฉางซิ่งด้วยกันดีกว่า?”
คนสกุลเฉินก็ไม่ได้โมโหสองพ่อลูกอย่างจริงจัง คนสกุลเฉินส่งบันไดให้ก้าวลงแล้ว นางย่อมตามน้ำไป เอ่ยกับคนสกุลหวังด้วยรอยยิ้ม “กำลังคิดจะชวนพี่สะใภ้และพี่ใหญ่พอดี นึกไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะออกปากชวนก่อน พรุ่งนี้พวกเราจะไปเวลาใด? นัดเจอที่ไหนกันดี?”
สองพี่สะใภ้น้องสะใภ้ปรึกษาเรื่องงานเทศกาลโคมไฟของพรุ่งนี้ดิบดีแล้ว คนสกุลเฉินก็ส่งคนสกุลหวังออกจากประตูด้วยตัวเอง
อวี้เหวินเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยกับอวี้ถัง “เจ้าตามข้ามา”
อวี้ถังไม่กล้าพูดมาก ตามบิดาไปที่ห้องหนังสือแต่โดยดี
อวี้เหวินยอบกายนั่งบนเก้าอี้ไท่ซืออย่างหมดแรง ตำหนิลูกสาว “เจ้ายังทำอะไรไปอีกบ้าง? ยามนี้บอกกับข้ามาทีละเรื่อง ข้าจะไม่ซักไซ้เอาความ มิเช่นนั้นก็คัดลอก ‘คัมภีร์กตัญญู’ มาให้ข้าหนึ่งหมื่นครั้ง”
นั่นไม่ใช่จะคัดจนมือบวมมือพองหรอกรึ!
อวี้ถังเผยสีหน้าเจื่อน “ไม่ได้ตั้งใจปิดบังท่านจริงๆ เจ้าค่ะ แค่ไม่อยากลากท่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงไม่ได้บอกกล่าวอะไรกับท่าน”
อวี้เหวินเอ่ยอย่างร้อนใจ “เจ้าไม่บอกข้า ฮูหยินหลี่กลับมาหาถึงในบ้าน ยังดีที่วันนี้ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าตามมาทัน หากกระทบกระเทือนถึงมารดาเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร?”
อวี้ถังก้มหน้ายอมรับผิด
อวี้เหวินสั่งสอนนางไปอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ “ในเมื่อนำเรื่องนี้บอกกับสกุลกู้แล้ว ไม่ว่าสกุลกู้จะมีท่าทีกับหลี่ตวนอย่างไร นั่นก็เป็นเรื่องของพวกเขาแล้ว คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้ายังส่งคนไปจับตาดูหลี่ตวน อยากเห็นเรื่องขายหน้าของเขา ผลลัพธ์เป็นอย่างไร อยากพาตัวเองติดร่างแหไปด้วยหรือ?”
ทางด้านสกุลหลี่ คนสกุลหลินระเบิดโทสะทำลายถ้วยชามเครื่องชาแตกไปหลายใบ “ล้วนต้องโทษสกุลอวี้ หากไม่ใช่พวกเขา ลูกชายของข้าจะได้รับการดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ได้อย่างไร รู้ทั้งรู้ว่าวันที่สองลูกข้าจะเข้าไปอวยพรปีใหม่ พ่อตาแม่ยายไม่มาพบก็แล้วไป คาดไม่ถึงว่าถึงขั้นให้ข้ารับใช้คนหนึ่งมาต้อนรับลูกชายข้า พวกเขาหมายความว่าอย่างไรกัน? คิดว่าสกุลพวกเราอยู่ต่ำกว่าพวกเขา? ข้ากลับอยากเห็นว่า สกุลกู้วางแผนจะทำอย่างไรกับงานแต่งครั้งนี้?”
หลี่ตวนเพียงรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือทนเท่านั้น
นับตั้งแต่สาเหตุการตายของเว่ยเสี่ยวซานถูกเปิดเผย เรื่องราวก็คล้ายกับรถม้าที่สูญเสียการควบคุม จะวิ่งเตลิดไปทิศทางใดเขาก็ไร้ทางคาดเดา เขารู้สึกเหมือนว่าข้างหลังมีมือคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น คอยผลักเขาไปตามทาง
แต่ว่า หากเรื่องเป็นดั่งที่มารดาเขาพูด จะเกี่ยวข้องกับสกุลอวี้ได้รึ?
สกุลอวี้ไม่ใช่สกุลบัณฑิตหรอกรึ?
อวี้เหวินผู้นั้นก็เป็นสุภาพชน จะกล้าทำเรื่องลับหลังสกุลพวกเขาได้อย่างไรกัน?
หลี่ตวนมองมารดาที่โมโหจนริมฝีปากสั่นระริก คิดว่าจะเอ่ยปลอบนางอย่างไรดี เงยหน้าขึ้นกลับเห็นญาติผู้พี่ หลินเจวี๋ย ส่งสายตาให้เขานอกหน้าต่าง
เพราะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นอกจากหลินเจวี๋ยจะไม่ได้กลับฝูเจี้ยนไปฉลองปีใหม่แล้ว ยังต้องคิดวิธีหาอาจารย์ที่สามารถเข้าม้วนภาพวาดได้มาซ่อมแซมแผนที่นั่นให้เหมือนใหม่อีกครั้ง รอจนวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง พวกเขาก็จะสามารถส่งคนไปส่งจดหมายให้สกุลเผิง
นับว่าความพยายามในช่วงนี้ของเขาไม่สูญเปล่า
เขาผงกศีรษะให้หลินเจวี๋ยอย่างไร้สุ้มเสียง หลินเจวี๋ยเข้าใจความนัย กลับไปรอในห้องรับรองแขกของตัวเอง หลี่ตวนเอ่ยปลอบมารดาไม่กี่คำ เมื่อสบโอกาสก็ปลีกตัวออกมา ไปพบกับหลินเจวี๋ย
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” หลี่ตวนพบหน้าเขาก็เอ่ยทันที “กระทั่งมารดาข้ายังต้องปิดบัง!”
“สตรีนั้นผมยาว แต่ความรู้กลับตื้นเขิน” หลินเจวี๋ยเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
อาหญิงของเขาก็ไม่มีข้อยกเว้น
แทนที่ยามนี้จะกังวลเรื่องหลี่ตวนได้รับการเหยียดหยามจากสกุลกู้ ยังมิสู้สนใจเรื่องแผนที่นั่นว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
ขอเพียงสกุลหลี่รุ่งเรืองเฟื่องอำนาจ สกุลกู้จะทำใจละทิ้งบุตรเขยเต่าทองคำ[1]อย่างหลี่ตวนได้รึ?
อย่างไรผู้หญิงก็มิอาจแยกเรื่องสำคัญได้วันยังค่ำ
“ข้าคิดว่าก่อนจะส่งแผนที่ให้สกุลเผิง พวกเราควรลอกภาพไว้เสียหน่อย” หลินเจวี๋ยเอ่ยถึงความคิดที่ผ่านการใคร่ครวญของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พวกเราต้องป้องกันเผื่อสกุลเผิงคิดเล่นแง่ผิดสัญญา”
ถึงเวลานั้นหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน พวกเขาย่อมสามารถนำแผนที่เลียนแบบไปหาผู้มีอิทธิพลคนอื่นที่ไว้ใจได้
หลี่ตวนมองทะลุปรุโปร่งทันที เขาเอ่ย “เช่นนั้นพวกเราส่งจดหมายไปหาสกุลเผิงก่อน กล่าวว่าได้ภาพมาอยู่ในมือแล้ว ถามพวกเขาว่าจะให้ส่งภาพไปอย่างไร ถ่วงเวลาไว้อีกเล็กน้อย?”
การส่งจดหมายกลับไปกลับมาเช่นนี้ ก็สามารถยืดเยื้อเวลาได้กว่าสิบวันถึงครึ่งเดือนแล้ว
หลินเจวี๋ยเห็นว่าหลี่ตวนเข้าใจความหมายของตน แววตาก็ปรากฏท่าทีโล่งใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขากดเสียงเบา “แล้วแผนที่นี้?”
หลี่ตวนก็เข้าใจความหมายของเขาขึ้นมาโดยพลัน เอ่ยอย่างเด็ดขาด “พวกเราสองสกุล คนละแผ่น”
หลินเจวี๋ยพอใจแล้ว “ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ ถึงเวลานั้นพวกเราสองคนไปพบคนสกุลเผิงด้วยกัน”
สรุปแล้ว ก็ยังคงกลัวสกุลหลี่จะกลืนผลประโยชน์ของสกุลเผิงเพียงผู้เดียว
หลี่จวนไม่ปรากฏสีหน้าใดออกมา พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ตามหลักก็ย่อมเป็นเช่นนั้น!”
หลินเจวี๋ยหัวเราะร่อ
ด้านสกุลอวี้ พลบค่ำอวี้ป๋อกลับมาจากร้านค้า ได้ยินว่ามีคนจากสกุลหลี่มาก่อเรื่องที่สกุลอวี้ จึงตั้งใจเข้ามาดูอาการคนสกุลเฉินพร้อมคนสกุลหวัง อวี้หย่วนกลับไม่ได้มาด้วย
อวี้ป๋อเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เด็กคนนั้น หลายวันมานี้ก็ไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร? ออกไปเช้าตรู่กลับบ้านมืดค่ำ ช่วงปีใหม่จะพบหน้ายังยากเย็น หากไม่ใช่ข้าเห็นแก่เขากำลังจะแต่งงาน มิเช่นนั้นคงจะจับเขามาตีลงโทษไปนานแล้ว”
ช่วงปีใหม่ มีเด็กหนุ่มสกุลใดบ้างไม่เตร็ดเตร่เที่ยวเล่นไปทั่ว?
อวี้เหวินกลับไม่คิดว่าอวี้หย่วนไม่เข้ามาเป็นเรื่องผิดอันใด ยังคงเกลี้ยกล่อมอวี้ป๋อ “เจ้าก็พูดเองว่าเขาจะแต่งงานแล้ว ภายหลังก็อย่าได้บ่นเขานักเลย หากลูกสะใภ้แต่งเข้ามา เจ้าไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ เขาจะยังยืดตัวตรงอยู่เบื้องหน้าภรรยาได้อย่างไร”
อวี้ป๋อบ่นพึมพำอีกไม่กี่คำ ก็ปล่อยเรื่องอวี้หย่วนไป
วันถัดมาเป็นวันที่สิบห้าเดือนอ้าย อวี้หย่วนยังคงไม่เห็นเงาเช่นเคย ด้านอวี้ถังไปบ้านหม่าซิ่วเหนียง มีเพียงสองพี่น้องอวี้ป๋อ อวี้เหวิน คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังไปเที่ยวเทศกาลโคมไฟด้วยกัน
อวี้หย่วนเป็นดั่งที่อวี้ป๋อว่าจริงๆ ไม่รู้ว่ายุ่งวุ่นวายกับอะไร
จวบจนวันที่สิบเจ็ดเดือนอ้ายโคมไฟถูกรื้อเก็บ ปีใหม่ได้ผ่านไปอย่างเป็นทางการ ร้านรวงทุกแห่งหนจึงเริ่มเปิดกิจการ เวลานี้อวี้หย่วนจึงโผล่ขึ้นมาจากที่ใดไม่รู้ เอ่ยกับอวี้ถังอย่างตื่นเต้น “ข้าหาต้นไม้พันธุ์ที่เจ้าว่าพบแล้ว เรียกว่าต้นซาจี๋ [2]เป็นเหมือนที่เจ้าพูดไม่ผิด ยิ่งปลูกในดินที่ไม่ดีก็ยิ่งเติบโตได้ง่าย”
อวี้ถังได้ฟังก็ตื่นเต้นขึ้นมา รีบดึงอวี้หย่วนไปคุยในห้องหนังสือ
อวี้หย่วนเล่าให้นางฟัง หลายวันมานี้เขาตามเหยาซานเอ๋อร์ไปเจอคนทำการค้าหลายกลุ่มด้านนอก หนึ่งในนั้นมีคนชื่อว่า เกาฉี เดินทางติดตามพ่อค้าเกลือคนหนึ่ง เคยพบต้นไม้ชนิดนี้แถวตะวันตกเฉียงเหนือ “เขายังพูดอีกว่า หากพวกเราอยากได้จริงๆ เขาสามารถช่วยติดต่อคนส่งกล้าไม้เข้ามาให้ได้ แต่หนึ่งตำลึงต่อหนึ่งกล้า ต้องจ่ายมัดจำก่อน”
“แพงขนาดนี้เชียว!” อวี้ถังตกตะลึง
เดิมนางคิดว่าต้นไม้นี้ดูแลง่าย ราคาไม่แพง สกุลเผยจึงได้ปลูกต้นไม้ชนิดนี้ที่พื้นที่ภูเขา จากนั้นก็ทำเป็นผลไม้เชื่อมขาย
หากต้นกล้าต้นหนึ่งต้องใช้หนึ่งตำลึง พวกเขาจะต้องเสียเงินเท่าใดกันล่ะ?
หรือเรื่องภายในนี้ยังมีอะไรที่นางไม่รู้อีก?
อวี้หย่วนได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ชั่วขณะนั้นก็คล้ายถูกสาดด้วยน้ำเย็น ความตื่นเต้นและดีใจที่หาต้นไม้ชนิดนั้นเจอชะงักไปหมด เขาเหมือนมะเขือที่ถูกแช่แข็ง ห่อเหี่ยวโดยพลัน “เช่น เช่นนั้นพวกเรายังจะปลูกต่อหรือไม่?”
อวี้ถังก็ตัดสินใจไม่ถูก
นางเอ่ย “ท่านรอก่อน ให้เวลาข้าครุ่นคิดอย่างละเอียดเสียหน่อย”
อวี้ถังขบคิดว่าจะไปขอให้เผยเยี่ยนช่วยเปิดหูเปิดตาดีหรือไม่ จะได้กระจ่างชัดว่าเวลานั้นเหตุใดเผยเยี่ยนจึงคิดจะปลูกต้นซาจี๋ที่พื้นที่บริเวณภูเขาของสกุลพวกเขา…
เสิ่นฟางกลับเมืองหลินอันมาพร้อมกับเสิ่นซ่านเหยียน
เสิ่นซ่านเหยียนตั้งใจเชิญอวี้เหวินเข้าไปพูดคุย “ต้นไม้ชนิดนั้นที่เจ้าเอ่ยถึง พี่ใหญ่ข้ามีลูกศิษย์รับราชการอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ สามารถช่วยนำกลับมาได้ เพียงแต่ค่าขนส่งนั้นไม่ใช่น้อยเลย เกรงว่าเจ้ายังต้องคำนวณให้ละเอียดถี่ถ้วน”
อวี้เหวินได้ฟัง ใจก็เต้นตึกตัก “ต้นหนึ่งเท่าใด?”
เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ย “คำนวณแล้วค่าขนส่งรอบหนึ่งก็ประมาณสามสิบเหรียญอีแปะต่อต้น”
แพงอยู่ไม่น้อยจริงๆ
แต่นี่เป็นความต้องการของอวี้ถัง
เขากัดฟันเอ่ย “เช่นนั้นส่งกลับมาให้พวกเราลองปลูกสักสิบต้นยี่สิบต้นก่อนได้หรือไม่”
“นี่ไม่ใช่ปัญหา” เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าให้เขาหาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญการปลูกต้นซาจี๋กลับมาสักคนก็เพียงพอแล้ว หากปลูกได้ เขาก็สามารถหาเงินใช้ชีวิตทำกินอยู่ที่นี่ได้เช่นกัน”
หากจะปลูกต้นไม้จริงๆ อวี้หย่วนก็ดี อวี้ถังก็ช่าง ล้วนไม่อาจพำนักในป่าเขาได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ต้องหาคนคอยช่วยเหลือ
“ได้!” อวี้เหวินตอบรับอย่างสบายใจ กลับไปบอกเรื่องนี้กับอวี้ถัง
อวี้ถังอ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
ไฉนราคาจึงห่างไกลกันลิบลับ!
หรือเพราะลู่ทางที่แตกต่างกัน?
อวี้ถังไม่ได้คิดมากมาย ให้อวี้หย่วนไปปฏิเสธคนที่ชื่อว่าเกาฉีผู้นั้น กล่าวว่าผู้ใหญ่ในสกุลได้ไหว้วานให้คนไปซื้อกล้าไม้ให้แล้ว
นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
อวี้หย่วนไม่ได้ใส่ใจนัก ทักทายพูดคุยกับเกาฉีเป็นมารยาทก็จบเรื่องนี้ไป เริ่มวิ่งโร่ไปยังเรือนเก่าของสกุลทุกวัน วัดขนาดพื้นที่ เตรียมจัดการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ ผ่านไปไม่กี่สิบวัน ก็ถูกแดดเผาจนคล้ำแล้ว
คนสกุลหวังไม่อนุญาตให้เขาเข้าไปในป่าแล้ว “นี่เป็นแดดต้นฤดูใบไม้ผลิ ดูแล้วเหมือนจะอบอุ่น ความจริงกลับร้อนแรงเป็นที่สุด ไม่นานเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว หากช่วงนี้ถูกแดดเผาจนดำเป็นถ่านเช่นนี้ คุณหนูเซียงยังจะคิดว่าคนที่ตนเห็นยามดูตัวกับคนที่จะแต่งงานกันเป็นคนละคนกันน่ะสิ!”
อวี้หย่วนหัวเราะแหย ไม่เข้าไปในป่าอีก ตั้งอกตั้งใจเตรียมเรื่องงานแต่งขึ้นมา
อวี้ถังก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ช่วยญาติผู้พี่แต่งพี่สะใภ้เข้ามาก่อนจึงจะเป็นเรื่องสำคัญกว่า
จ้างพ่อครัว คนเล่นกลองฆ้องเป่าแตร ขบวนแห่เกี้ยว…เรื่องยิบย่อยอีกใหญ่โต
หม่าซิ่วเหนียงมาส่งของขวัญอวยพร
อวี้ถังเชิญนางเข้าไปพูดคุยในห้องตนเอง
หม่าซิ่วเหนียงเอ่ยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง “เดิมทีตั้งใจจะนำผ้าอาภรณ์ใหม่มาให้พี่ชายและพี่สะใภ้เจ้า แต่เรื่องราวในบ้านเยอะเกินไปจริงๆ ข้าก็ปลีกตัวไม่ได้ สามีจึงตัดสินใจโดยพลการวาดภาพติดผนังในห้องโถงให้พี่ชายเจ้าหลายแผ่น อวยพรให้สองสามีภรรยารักใคร่สุขสมหวัง ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง”
อวี้ถังทราบว่าช่วงนี้หม่าซิ่วเหนียงงานล้นมืออยู่บ้าง ดึงมือนางปลอบใจไม่กี่ประโยค ก่อนจะรั้งตัวนางกินข้าวด้วยกัน เวลานี้จึงส่งนางออกไป
คนสกุลหวังได้ฟังก็นำของขวัญอวยพรของหม่าซิ่วเหนียงมาเปิดดูอย่างแปลกใจ
จางฮุ่ยวาดภาพทับทิม นกสี่เชวี่ย[3] ผูเถา[4] และลูกไหน ล้วนเป็นภาพที่แฝงความหมายการอวยพรทั้งสิ้น สิ่งที่ทำให้คนสกุลเฉินและอวี้ถังคาดไม่ถึงคือ ภาพพวกนี้วาดได้ดียิ่ง กระทั่งคนสกุลหวังที่ไม่ค่อยเข้าใจภาพวาดยังชื่นชอบจนวางไม่ลง “นึกไม่ถึงว่าคุณชายจางจะมีฝีมือการวาดภาพเช่นนี้ ภายหลังแม้คุณชายจางจะสอบจวี่เหรินไม่ได้ ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องปากท้องแล้ว”
คำพูดที่คนสกุลหวังเอ่ยออกมาโดยไม่ตั้งใจกลับพาให้อวี้ถังคิดคล้อยตาม ลอบครุ่นคิดว่าจะเชิญจางฮุ่ยช่วยวาดแบบเครื่องลงรักให้สกุลตัวเองดีหรือไม่
เมื่อเป็นเช่นนี้ นอกจากสามารถแก้ไขการขาดแคลนอาจารย์วาดแบบในร้านค้า ยังสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมให้จางฮุ่ยด้วย
————————–
[1]บุตรเขยเต่าทองคำ หมายถึงลูกเขยที่มีฐานะสูงส่งร่ำรวย
[2]ต้นซาจี๋ คือ ซีบัคธอร์น ผลไม้ชนิดหนึ่ง ผลสีเลืองส้มเล็กๆ รสชาติอมเปรี้ยวอมหวาน
[3]นกสี่เชวี่ย เป็นนกมงคลของจีน ลักษณะคล้ายนกกางเขน เป็นสัญลักษณ์แทนความสุขและโชคดี
[4]ผูเถา คือ องุ่น
คนสกุลเฉินเกิดในครอบครัวชาวนาทว่ามีความรู้ แต่เล็กก็ได้เล่าเรียนจารีตธรรมเนียมอยู่ในห้องหับ นิสัยจึงนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่เหมือนกับคนสกุลหวัง ไม่เพียงเกิดในครอบครัวพ่อค้า ทั้งมีความคิดอ่านเป็นของตนเองแต่เด็ก เรื่องบัญชีเอ่ยคำเดียวก็กระจ่างแจ้ง ปีนั้นท่านปู่ของอวี้ถังชื่นชอบนางในจุดนี้ถึงได้ให้อวี้ป๋อไปสู่ขอนาง และเพราะคนสกุลหวังเป็นคนค่อนข้างเปิดเผย ตอนที่พูดคุยกันก็มักจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
สะใภ้ทั้งสองเห็นท่าทางงงงวยของอวี้ถัง ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกั้นไม่อยู่ คนสกุลหวังชิงตัดหน้าคนสกุลเฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าฮูหยินหลี่มาก่อเรื่องที่เรือนเรา? น่าเสียดายที่เจ้ากลับมาช้า ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นสภาพน่าเวทนาของงฮูหยินหลี่แล้ว! หึ! คิดจะมารังแกครอบครัวเรา ฝันไปเถอะ!”
ป้าสะใภ้ที่ดุเดือดเช่นนี้ นางเคยเห็นเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ภายหลังป้าสะใภ้ก็พูดน้อยลงเรื่อยๆ คนก็ยิ่งไม่ค่อยแจ่มใส เจอปัญหาหรือพบใครมักจะยอมถอยให้เสียมาก น้อยครั้งจะเอ่ยความคิดในใจออกไปตรงๆ
นั่นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับหรือ?
ชาติก่อน คนในครอบครัวนางที่ตายไปก็มี ที่แยกจากกันไปก็มี บุตรชายและหลานๆ ล้วนมีชีวิตอย่างข้นแค้น กระทั่งญาติมิตรที่คอยช่วยเหลือยังมองหาไม่เห็น นางย่อมกลัวจะสร้างปัญหาให้บุตรชายและหลานๆ อีก ไม่ว่าสิ่งใดล้วนยอมอดกลั้นเอาไว้ทั้งสิ้น
ชาตินี้ เรื่องราวใดๆ ล้วนราบรื่น ชีวิตของคนในครอบครัวเหมือนดอกงาที่ผลิบ้าน แต่ละฤดูกาลมีแต่จะเติบโตชูยอดสูง อีกไม่นานชีวิตก็จะรุ่งเรืองสดใสแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่จึงยืนยืดเอวตรง อย่าว่าแต่ฮูหยินหลี่เลย ต่อให้ฮูหยินจวนท่านข้าหลวงมาเอง หากมิใช่เรื่องที่ถูกต้องด้วยเหตุและผล เกรงว่าป้าสะใภ้ก็คงตีฝีปากกลับไปหลายคำ
ผู้อาวุโสเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้รู้สึกชื่นใจปลอดโปร่ง ทั้งยังมีความเคารพและน่าภาคภูมิใจอีกด้วย
สักวันหนึ่ง นางก็จะเป็นที่พึ่งพาและเป็นความมั่นใจให้กับบิดามารดารวมถึงผู้อาวุโสทุกคน จะไม่ทำให้คนที่คอยกำบังลมฝนให้นางตั้งแต่เล็กต้องผิดหวัง ขอให้นางได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณนี้
ภาพเบื้องหน้าของอวี้ถังคล้ายจะเลือนลาง นางเกี่ยวแขนของป้าสะใภ้เอาไว้ เอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดนี้ของป้าสะใภ้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? ข้าแค่ออกไปข้างนอกครู่เดียว เหตุใดกลับมาถึงรู้สึกว่าแผ่นดินพลิกกลับเป็นแผ่นฟ้าเสียแล้ว ท่านรีบเล่าที่มาที่ไปให้ข้าฟังหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”
คนสกุลเฉินแสร้งไม่พอใจแล้วตบไหล่นางเบาๆ ตำหนินางไปหนึ่งคำว่า “พูดจากับป้าสะใภ้เช่นนี้ได้อย่างไรหึ?” จากนั้นก็หันไปรินน้ำชาให้นาง บุ้ยใบ้ให้ทุกคนนั่งลงสนทนากัน
อวี้ถังนั่งลงข้างๆ คนสกุลหวัง
คนสกุลหวังยิ้มออกมาแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้นางฟังอย่างไม่ตกหล่น
ที่แท้ วันที่สองหลังปีใหม่ หลี่ตวนไปคารวะสกุลกู้ที่หังโจว ไม่คิดฝันว่านายท่านใหญ่กู้จะล้มป่วย กู้ซีกับบิดาและมารดาเลี้ยงต่างก็ไปเยี่ยมคนป่วยที่เรือนหลักทางนั้น หลังจากที่เขาไปถึง นายท่านสกุลกู้เพียงโผล่หน้ามาแวบเดียวก่อนมอบเขาให้ผู้ดูแลบ้านสายรองไปจัดการต่อ ผู้ดูแลคนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร จัดเตรียมเหล้ายาอาหารให้เต็มโต๊ะแล้วก็ทิ้งเขาไว้ในห้องรับรองคนเดียว ไม่ได้สั่งการให้ใครมาต้อนรับต่อ หรือส่งใครมาคอยอำนวยความสะดวกให้ หลี่ตวนจึงลอบไม่พอใจอยู่เงียบๆ สุดท้ายเขาจึงหาข้ออ้างแล้วเดินทางกลับเมืองหลินอันในคืนนั้น รอจนถึงวันที่แปดนับจากปีใหม่ คนของสกุลกู้สายรองพลันปรากฎตัวขึ้น แจ้งว่านายท่านบ้านรองเชิญหลี่ตวนไปพูดคุยที่จวน หลี่ตวนไม่กล้าชักช้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้าของขวัญสูงค่ามุ่งหน้าไปหังโจวทันที
ใครจะคิดว่านายท่านบ้านรองสกุลกู้ดื่มชากับหลี่ตวนอยู่ค่อนวัน พูดอ้อมค้อมวกไปวนมา บอกว่าคุณหนูกู้อายุยังน้อย งานแต่งเดิมที่กำหนดเอาไว้ต้องเลื่อนออกไปสักหลายปีก่อน ถึงเวลานั้นค่อยมาหารือกันใหม่
หลี่ตวนได้ฟังก็เลือดขึ้นหน้าทันที
สกุลกู้แม้จะไม่ได้เอ่ยชัดเจนว่าต้องการถอนหมั้น แต่ความหมายคือยืดเวลาออกไปไม่ยอมให้ตบแต่ง
เขาไต่ถามถึงเหตุผล
สกุลกู้เพียงบอกว่าไปดูดวงชะตาให้คุณหนูกู้มา เห็นว่าช่วงสองสามปีนี้ไม่เหมาะจะแต่งงาน มิเช่นนั้นอาจมีภัยถึงชีวิต คนสกุลกู้ได้ยินเช่นนั้นก็ขวัญเสีย คิดว่าอย่างไรก็สมควรระวังไว้ก่อน จึงตัดสินใจรอสักสองปีแล้วค่อยยกเรื่องนี้มาว่ากันใหม่
เหตุผลนี้ฟังแล้วสมบูรณ์หนักแน่น หลี่ตวนนั้นให้ความสำคัญกับงานแต่งนี้มาก ไม่อยากจะผิดใจต่อสกุลกู้ จึงได้แต่คล้อยตามความต้องการของสกุลกู้แล้วซ้อมมวยไท่จี๋เป็นเพื่อนายท่านรองอยู่ครึ่งวัน ก่อนที่จะจบเรื่องราวลงเช่นนั้น
แต่เขามิใช่คนไร้ความคิด
ทันทีที่ก้าวออกจากสกุลกู้ก็หว่านเงินแล้วจ้างคนให้แยกย้ายไปตามสืบเรื่องนี้
ไม่นาน เรื่องที่สกุลกู้รับรู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างสกุลอวี้และสกุลหลี่แล้วก็ลอยมาเข้าหูเขา
เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง เขาไม่อาจปฏิเสธ แต่จะบิดพลิกภาพลักษณ์ที่สกุลกู้มีต่อเขาได้อย่างไรนั้น จำต้องวางในแผนระยะยาว
เขาเลือกเดินทางกลับเมืองหลินอันไปก่อน
ผลคือทันทีที่ถึงท่าเรือก็พบว่าซานมู่ลอบติดตามเขาอย่างลับๆ ล่อๆ
เดิมเขาก็เกิดเพลิงโทสะในอก จึงจับตัวซานมู่ไว้แล้วไต่สวนเขาอย่างโหดร้ายไปหนึ่งรอบ
ซานมู่ไม่พูดอะไรสักคำ หลี่ตวนไม่ได้ข้อมูลจากเขาไป ทว่าสายตาเคลือบแคลงสงสัยกับพุ่งมาที่สกุลอวี้
เมื่อกลับมาถึงจวน คนสกุลหลินก็รู้เรื่องราวจากปากข้ารับใช้ข้างกายของบุตรชายในทันที
นางมั่นใจว่าคนสกุลอวี้อยู่เบื้องหลัง คิดถึงว่าสองปีนี้บุตรชายต้องลงสนามสอบแล้ว ยังวาดฝันจะได้ความสนับสนุนจากกู้ฉ่างพี่ชายของกู้ซี หากว่างานมงคลของสกุลกู้กับสกุลหลี่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วหลี่ตวนจะทำเช่นไร? พวกนางสกุลหลี่จะทำอย่างไร?
ต้องรู้ไว้ก่อนว่า พวกนางกับสกุลหลี่แบ่งแยกบรรพบุรุษกันแล้ว ไม่รู้คนมากมายเท่าไรคอยจับจ้อง คนไม่น้อยรอหัวเราะเยาะพวกเขา คนที่คิดจะฉวยโอกาสนี้หาผลประโยชน์จากสกุลเขาก็มีมากขึ้นไปอีก
นางทั้งร้อนใจทั้งเดือดดาล จึงพาหญิงรับใช้ที่ตัวใหญ่มีพละกำลังบุกไปที่เรือนผู้อื่นทันที
คนสกุลเฉินตอนนั้นอยู่เรือนเพียงลำพัง เดิมก็ไม่กล้าเปิดประตูให้ ป้าเฉินเห็นท่าไม่ดี จึงลอบออกทางประตูหลังไปตามคนสกุลหวังมา
คนสกุลหวังหาใช่ตะเกียงน้ำมันหมดไฟ นางวิ่งมาด้วยท่าทีดุดัน แล้วเข้าปะทะกับคนสกุลหลินในทันใด
คนสกุลหลินอย่างไรก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจ หลายปีมานี้ก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสำราญ ไม่เคยเห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เมื่อใดเกิดเหตุเบาะแว้งล้วนเป็นผู้อื่นที่ยอมถอยให้ นางเคยเจอชาวบ้านธรรมดาที่ทำมาค้าขายอย่างคนสกุลหวังเสียที่ไหน ต่อเถียงกันไม่กี่คำก็โมโหจนเป็นลมเป็นแล้ง ก่อนถูกบ่าวรับใช้ของสกุลหลี่แบกกลับไป
คนสกุลหวังเล่าจบก็ยังไม่หายโมโห “หากไม่คิดว่าปีนี้เจ้าต้องหารือเรื่องตบแต่ง มีหรือที่ข้าจะปล่อยนางกลับไปง่ายๆ แบบนี้ อย่างไรก็จะตามไปให้ถึงถนนใหญ่เลย ให้ชาวบ้านทุกคนช่วยกันถกเถียงดู อย่าคิดว่าสกุลนั้นแค่มีผู้รู้หนังสือไม่กี่คนแล้วจะยิ่งใหญ่คับฟ้า หรือว่าต่อไปหากพวกนั้นเจอเรื่องเลวๆ อะไรมาก็จะโยนว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราหมดอย่างนั้นสิ?”
อาจเพราะพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของนางจึงเจือด้วยกระแสโทสะ
คนสกุลเฉินรีบรินน้ำชาให้คนสกุลหวัง เอ่ยปลอบใจนางว่า “อย่าโมโหไปเลย พวกเขามิใช่ต้องการให้ครอบครัวเราเลือดร้อนไปด้วยรึ? หากว่าพวกเราเดือดดาล ก็คงแพ้แล้วแน่ๆ”
คนสกุลหวังสูดหายใจลึกหลายที แต่ปากก็ยังบ่นกระปอดกระแปดว่า “ไม่โกรธหรอก ไม่โกรธหรอก”
อวี้ถังพลันเหงื่อตก ในใจกล่าวโทษญาติผู้พี่ที่ไม่เชื่อนาง ไม่ยอมส่งอาลิ่วที่ขายสาลี่ไปจับตาดูหลี่ตวนแทน แต่พอคิดๆ ดู เรื่องอย่างนี้หากไม่ยอมให้หลี่ตวนรับรู้ แล้วจะต่างจากการสวมเสื้องดงามเดินยามวิกาล[1]ที่ตรงไหน?
สมควรให้สกุลหลี่รับรู้ด้วยสิ
ต้องให้พวกเขาเดินด้วยรอยเท้าที่วุ่นวายสับสน
อวี้ถังร้องเหอะในใจเงียบๆ แล้วเอ่ยกับป้าสะใภ้ว่า “คนสกุลหลินไม่ได้มาผิดที่หรอกเจ้าค่ะ บุญคุณความแค้นระหว่างสกุลเรากับพวกเขา เป็นข้าที่ไปบอกกับสกุลกู้เอง”
คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินต่างอ้าปากค้างเบิกตาโต
ในเมื่อนางกลับมาจากเมืองหังโจวอย่างปลอดภัย ผู้ใหญ่ในเรือนย่อมไม่กังวลว่านางจะเป็นอันตรายอีก นางเองก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร ถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังฟัง “นี่เป็นความคิดของข้าเองเจ้าค่ะ! สกุลหลี่ถือสิทธิ์อะไรมากลั่นแกล้งให้ครอบครัวเราต้องเจอเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย จากนั้นแค่ขอขมาคำเดียวก็นับว่าได้รับการอภัยแล้ว พวกเราจะสร้างปัญหาให้สกุลนั้นหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
ชาติก่อน สกุลอวี้ของนางมิใช่ถูกสกุลหลี่ทำร้ายจนต้องบ้านแตกสาแหรงขาดรึ?
หากว่านางไม่ได้กลับมาเกิดใหม่ ไม่ได้มีความรงจำของชาติก่อน สกุลอวี้ก็คงจะถูกสกุลหลี่เหยียบย่ำทำร้ายไม่ต่างกับชาติก่อน!
อวี้ถังเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าเคยคิดว่าให้แล้วเรื่องจบกันไป แต่คนโฉดพวกนั้นกลับไม่ยอมรามือ พวกเรายิ่งหลบเลี่ยงถอยหนี พวกเขามีแต่ได้คืบจะเอาศอก ใช้อุบายที่เลวทรามขึ้นเรื่อยๆ”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็ร้อนใจจนแทบเต้น “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว! จองเวรจองกรรมกันไปไม่รู้จักจับสิ้น มีเรื่องน้อยยิ่งจะทุกข์น้อย พวกเราล้วนมีความสุขกันดี เจ้าอย่าได้ไปก่อเรื่องอีกล่ะ”
คนสกุลหวังกลับคิดตรงข้ามกับคนสกุลเฉิน นางรู้สึกว่าสิ่งที่อวี้ถังพูดช่างตรงใจนางยิ่งนัก
“อาถังพูดถูก ถือสิทธิ์อะไรว่าคนใจอ่อนอย่างพวกเราต้องถูกเอาเปรียบ พวกเขาวางแผนทำร้ายผู้อื่นแค่พูดขอโทษพวกเราก็ต้องให้อภัยหรือ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นฝีมืออาถัง เมื่อครู่ตอนที่ทะเลาะกับสกุลหลี่ข้าคงยอมรับไปแล้ว ยิ่งสมควรลากนางไปกลางถนนให้คนที่ผ่านไปมาได้ถกเถียงกันดู…เรื่องราวใหญ่โตมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราสกุลอวี้แม้ต้องอับอาย แต่สกุลหลี่ย่อมขายขี้หน้ามากกว่า เพราะสกุลกู้ถึงกับเลื่อนงานแต่งออกไปเลยนี่!”
บัดนี้ที่ผู้อื่นมองหลี่ตวนด้วยสายตาที่สูงส่งขึ้นมาหน่อย ก็เพราะเขาเกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่อย่างสกุลกู้ได้มิใช่หรือ?
หากว่าสกุลหลี่ไม่ได้เกี่ยวดองกับสกุลกู้แล้ว ในครอบครัวเขาก็มีแค่ขุนนางขั้นสี่หนึ่งคนเท่านั้น มีอะไรน่าเกรงขามกัน?
“นี่…” คนสกุลเฉินคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง แต่กลับฟังคนสกุลหวังพูดจนเริ่มเอนเอียง เวลานี้พลันไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา
อวี้ถังจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ เดินสวนกันในทางแคบไม่มีที่ให้ถอย ผู้กล้าหาญบุกบั่นย่อมชนะ แต่ก่อนพวกเราหวาดกลัวเกินไป ทำอะไรก็ไตร่ตรองถึงค่อยลงมือทำ ทั้งยังกระทำการอย่างระวังรอบคอบ แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”
ผลคือท่านลุงใหญ่กับญาติผู้พี่ของนางต้องประสบเคราะห์ร้าย
หากว่าชาติก่อนนางเอาตัวออกมาจากสกุลหลี่ให้เร็วกว่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเปลี่ยนไปจากเดิม?
อวี้ถังพลันมีน้ำตารื้นขึ้นมา
“ภรรยาข้า อาถังกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!” ทันใดนั้น ในห้องพลันมีเสียงอวี้เหวินดังขึ้น
ทุกคนต่างหันศีรษะไปมอง
ไม่รู้ว่าอวี้เหวินกลับมาตั้งแต่เมื่อไร เขากำลังยืนฟังพวกนางคุยกับอยู่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“สามี!”
“น้องสามี!”
“ท่านพ่อ!”
สามคนต่างทักทายอวี้เหวินพร้อมกัน
ดวงหน้าอวี้เหวินมีประกายรอยยิ้ม เขาวางมือลงบนบ่าของอวี้ถัง แล้วเอ่ยกับคนสกุลหวังว่า “ยังเป็นพี่สะใภ้ที่หลักแหลม เมื่อเจอความโหดร้ายดุดัน พวกเราก็ต้องป่าเถื่อนยิ่งกว่าถึงจะกลายเป็นผู้ล่าที่ดีได้” พูดจบ เขาก็หันไปประสานมือและก้มตัวคารวะคนสกุลหวังจนต่ำ “วันนี้ลำบากพี่สะใภ้ที่ยื่นมือช่วยเหลือ วาจาเกรงใจข้าคงไม่พูดแล้ว อีกเดี๋ยวให้มารดาอวี้ถังลงมือผัดกับข้าวสักหลายอย่าง เชิญท่านกับพี่ใหญ่ไปดื่มสุราที่เรือนข้าเถอะ”
น้องสามีของตนกล่าวขอบคุณอย่างหนักแน่นเช่นนี้ คนสกุลหวังพลันหน้าแดงเรื่อ โบกมือปัดพลางตอบว่า “น้องสามีเกรงใจเกินไปแล้ว”
อวี้เหวินหมุนตัวไปบอกกับคนสกุลเฉินว่า “ต่อไปเจ้าเจอเรื่องอันใด ต้องไปหารือกับพี่สะใภ้ก่อนเท่านั้น ให้ฟังคำของพี่สะใภ้เป็นใช้ได้”
เมื่อครู่ตอนที่คนสกุลหวังปะทะกับคนสกุลหลิน นางก็รู้สึกนับถือนางจากใจจริงแล้ว พอมาได้ยินอวี้เหวินพูดเช่นนี้อีก ก็ยิ่งเคารพคนสกุลหวังกว่าเก่า รีบร้อนเอ่ยขอบคุณนาง
สองสะใภ้ต่างสลับกันกล่าววาจาเกรงใจ อวี้เหวินกลับตีหน้ายักษ์หันไปไต่สวนอวี้ถังว่า “เหตุใดเจ้าใจกล้าเช่นนี้ ถึงขั้นอาจหาญไปเมืองหังโจว? เห็นบิดากับลุงเจ้าเป็นเพียงของตกแต่งอย่างนั้นรึ? เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยบอกกับข้าล่วงหน้าเลยสักคำ?”
นางมิใช่ลากญาติผู้พี่ไปด้วยแล้วหรอกรึ?
อวี้ถังเห็นว่าบิดาโมโห กล้าเพียงต่อปากเถียงอยู่ในใจ ศีรษะนั้นกดลงจนต่ำ วางท่าคล้ายคนที่กระทำความผิดมา
ทว่าวาจาที่ออกจากปากอวี้เหวินต่อจากนั้น กลับทำให้อวี้ถังแทบหลุดหัวเราะ
“ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้ามีความคิดพิเรนทร์ๆ เช่นนี้ ข้าก็คงไปพร้อมกับเจ้าด้วยแล้ว”
————————————————————-
[1]สวมเสื้องดงามเดินยามวิกาล เป็นสำนวนหมายถึง การสวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามในเวลากลางคืน เหมือนกับการเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งโดยไม่แสดงให้คนอื่นเห็น
วันส่งท้ายปีเก่าต้องเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ส่วนวันที่หนึ่งอวี้เหวินกับอวี้ป๋อพาอวี้หย่วนไปคารวะสกุลเผย
คนมากกว่าครึ่งในเมืองหลินอันล้วนต้องไปคารวะสกุลเผยในวันปีใหม่ หากว่าคนของสกุลเผยต้องพบหน้าทุกคน เกรงว่าคงเหนื่อยจนน้ำลายฟูมปากแล้ว ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่าไปคารวะสกุลเผย ก็แค่เขียนชื่อลงกระดาษแล้วหย่อนใส่ตะกร้าสานสีแดงที่ตั้งอยู่หน้าประตูจวนก็ใช้ได้แล้ว ภายหลังจะมีผู้ดูแลมาจดบันทึกลงสมุด แล้วไปรายงานให้ผู้นำสกุลเผยฟัง
อวี้เหวิน อวี้ป๋อและอวี้หย่วนออกจากวงล้อมผู้คนที่เบียดเสียดอยู่หน้าจวนสกุลเผยได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปคารวะวันปีใหม่ที่เรือนคหบดีคนอื่นๆ ต่อ
สกุลอวี้ก็วางตะกร้าสานไว้หน้าประตูเช่นเดียวกัน คนที่พอมีไมตรีกับสกุลอวี้กับพวกผู้เล่าเรียนวิชาต่างก็มาคารวะแต่ไม่ล่วงเข้าสู่เรือนใน เพียงหย่อนซองชื่อสกุลไว้ในตะกร้าเท่านั้น ซ้ำบางคนยังไม่ต้องมาเยือนด้วยตนเอง เพียงส่งบ่าวรับใช้หรือว่าผู้ดูแลมาจัดการเป็นใช้ได้
อวี้ถัง คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังอยู่ที่เรือนตระเตรียมของขวัญต่างๆ เพื่อจะไปคารวะวันปีใหม่สกุลเซียงในวันพรุ่งนี้
เพราะว่าเป็นช่วงปีใหม่ เรือโดยสารทั้งหมดจึงหยุดวิ่ง อวี้หย่วนไม่อาจเดินทางกลับในวันเดียวกันได้ จึงต้องพักค้างแรมที่เรือนสกุลเซียงหนึ่งวัน
อวี้ถังเอาเครื่องประดับผมรูปดอกไม้ที่ตนตั้งอกตั้งใจทำใส่ลงในกล่องแกะสลักสีแดงของสกุล จากนั้นก็หย่อนใส่ในถุงผ้าของอวี้หย่วนไว้ ทั้งกำชับคนสกุลหวังด้วยว่า “ท่านป้า ท่านอย่าลืมบอกท่านพี่ด้วยนะเจ้าคะ เดี๋ยวเขาจะคิดว่าเครื่องประดับผมนี้เป็นของขวัญมอบให้คนสกุลเซียง”
คนสกุลหวังเดิมก็รักใคร่อวี้ถังอยู่แล้ว วันนี้อวี้ถังยังช่วยวางแผนทุกอย่างให้อวี้หย่วนอย่างรอบคอบ นางจึงเอ็นดูอวี้ถังมากกว่าเดิม
“ข้ารู้แล้ว” นางอดจะบีบแก้มนุ่มตึงของอวี้ถังสักหลายทีมิได้ จากนั้นก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าวางใจเถอะ รอพี่สะใภ้เจ้าแต่งเข้ามาแล้ว ข้าจะให้นางปักรองเท้าให้เจ้าใส่”
อวี้ถังหัวเราะชอบใจ บอกกับคนสกุลหวังเป็นเชิงล้อเลียนว่า “ท่านวางใจเถอะ รอให้พี่สะใภ้คลอดหลานตัวอ้วนท้วมให้ข้า ข้าก็จะตัดเสื้อผ้าให้เขาสวม”
“เจ้าเด็กคนนี้!” คนสกุลหวังหัวเราะแล้วตบลงที่หลังมืออวี้ถังเบาๆ แล้วเอี้ยวตัวไปพูดกับคนสกุลเฉินที่วุ่นวายกับการบรรจุน้ำตาลข้าวให้อวี้หย่วนว่า “ไม่รู้นางมีคารมคมคายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไร ต่อไปหากบ้านเราเกิดเรื่องก็ไม่ต้องกลัวใครมาว่าร้ายเสียๆ หายๆ แล้ว”
คนสกุลเฉินถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่งแต่ก็ปล่อยนางไป “พี่สะใภ้ยิ่งตามใจนางจนเคยตัวเช่นนี้ นางนับวันก็ยิ่งไม่รู้จักละอายแล้ว”
“เก่งกาจสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน!” คนสกุลหวังปล่อยตัวอวี้ถัง แล้วช่วยกันกับคนสกุลเฉินจัดข้าวของที่เตรียมไว้ลงใส่ตะกร้าสาน แล้วสั่งให้ซานมู่ไปเรียกซย่าผิงกุ้ยเข้ามา
ซานมู่เป็นบ่าวรับใช้ที่อวี้ป๋อซื้อให้อวี้หย่วนเมื่อปีก่อน เพราะว่าบ่าวรับใช้เพิ่งมาถึงสกุลอวี้ ยังไม่ทันได้อบรมระเบียบให้เขา หนนี้ที่อวี้หย่วนไปเรือนสกุลเซียง อวี้ป๋อจึงให้ซย่าผิงกุ้ยติดตามไปด้วย หากเกิดขัดข้องสิ่งใดก็ยังพอมีคนช่วยเหลือได้
ซานมู่เป็นเด็กซื่อตรงเกินไปแต่ขาดไหวพริบ พ้นปีใหม่นี้ก็เพิ่งอายุได้สิบสองเท่านั้น ได้ยินดังนั้นก็รับคำอย่างรีบร้อนวิ่งหายไป
คนสกุลเฉินเกิดเป็นกังวลขึ้นมา “ให้เด็กคนนี้ไปด้วยจะไม่เป็นไรหรือ? อาหย่วนไปเยือนบ้านฝ่ายหญิงครั้งแรก กลัวเพราะเด็กรับใช้ซื่อบื้อแล้วไปก่อเรื่องอะไรเข้า”
คนสกุลหวังถอนหายใจ “เลือกแล้วเลือกอีก ก็มีคนนี้แหละใช้ได้กว่าเพื่อน ถึงเวลานั้นก็ได้แต่ให้อาเสาคอยสอนงานเขาหน่อย”
ท่านแม่เฒ่ากับท่านพ่อเฒ่าสกุลเซียงไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับงานแต่งงานครั้งนี้ ทว่าเหล่าป้าๆ น้าๆ ในสกุลเซียงต่างรู้สึกว่าคุณหนูเซียงแต่งให้กับสกุลที่ต่ำกว่า จึงค่อนข้างดูถูกสกุลอวี้อยู่ไม่น้อย
สกุลอวี้จะไม่สนใจญาติที่ได้มาจากการเกี่ยวดองครั้งนี้ก็ได้ แต่เพราะกลัวทำให้คุณหนูเซียงต้องลำบากใจ เกรงว่าตอนที่อวี้หย่วนไปถึงจะไม่มีแม้แต่คนรับใช้ข้างกาย อวี้เหวินจึงตัดสินใจ บอกให้อาเสาติดตามไปฟู่หยางด้วยกัน
สะใภ้ทั้งสองยังสนทนากันต่ออีกหลายประโยค ให้ผู้รู้หนังสืออย่างอวี้ถังช่วยตรวจดูใบรายการของขวัญว่ามีเขียนผิดหรือตกหล่นไปหรือไม่ ซานมู่พลันย้อนกลับมา แล้วเอ่ยติดอ่างว่า “นายหญิงใหญ่ นายหญิงรองขอรับ สกุลเผย พ่อบ้านสามสกุลเผยมาส่งซองชื่อสกุลให้ขอรับ”
คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินได้แต่มองหน้ากันไปมา แล้วรีบร้อนพาอวี้ถังออกไปรับหน้า
หนึ่งเพราะหลายวันนี้หูซิ่งมักเป็นคนพาหมอหลวงหยางมาตรวจชีพจรให้คนสกุลเฉิน พอได้เห็นหน้าค่าตากันหลายครั้ง จึงมีความสนิทสนมกับหูซิ่งไม่น้อย สองเพราะหูซิ่งเป็นถึงพ่อบ้านสามแห่งจวนสกุลเผย เป็นตัวแทนและหน้าตาของสกุลเผย เมื่อเขามาคารวะวันปีใหม่ต่อสกุลอวี้ อย่างไรก็ต้องเชิญให้เขาเข้ามาดื่มชาด้านใน ปฏิบัติด้วยความเกรงอกเกรงใจถึงจะถูก
เพียงแต่ไม่รู้ว่าหูซิ่งนั้นมาในนามของสกุลเผยหรือว่าตัวเขาเองกันแน่?
อวี้ถังใคร่ครวญอยู่ในใจ เดินตามมารดากับป้าสะใภ้ไปที่ประตูใหญ่ด้วย
หูซิ่งอยู่ในชุดคลุมผ้าไหมหลู่โฉวสีแดงเข้ม ปกคอปักขนเพียงพอนสีเทา หน้าตามื่นชื่นสดใส พอเห็นพวกคนสกุลหวังก็ก้าวขึ้นมาคารวะทันที “เป็นนายท่านสามส่งข้ามาขอรับ นายหญิงใหญ่ นายหญิงรอง สวัสดีปีใหม่นะขอรับ!” พูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเห็นอวี้ถังที่ยืนอยู่ข้างหลังคนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินพอดี จึงคารวะให้อวี้ถังอีกครั้งหนึ่ง
ถึงกับส่งคนที่มีหน้ามีตาอย่างพ่อบ้านสามมาคารวะสกุลอวี้ นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติอย่างมาก
คนสกุลหวังพาคนสกุลเฉินกับอวี้ถังไปตระเตรียมของขวัญตอบแทนให้หูซิ่งเสียวุ่นวาย
หูซิ่งเอ่ยว่า “ข้าทางนี้ยังต้องแวะไปคารวะอีกหลายบ้าน ขอไม่สนทนากับพวกท่านแล้ว รอมีเวลาว่าง จะมาเยี่ยมนายท่านอวี้ใหม่ขอรับ”
คนสกุลเฉินได้แต่ร้องว่า “เกรงใจแล้ว” จากนั้นก็ส่งหูซิ่งออกจากตรองชิงจู๋ไป
หูซิ่งเอ่ยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “ทุกคนต่างเป็นเพื่อนบ้านกัน ท่านอย่างได้เกรงใจกับข้าอีกเลย วันนี้อากาศหนาว ท่านรีบกลับเข้าเรือนไปพักเถอะขอรับ! หากว่าโดนไอเย็นเล่นงานจนป่วยไป ข้าจะมีหน้ามาเจอนายท่านอวี้ได้อย่างไร”
เขาดึงดันไม่ให้คนสกุลเฉินออกไปส่ง คนสกุลเฉินเห็นว่าเขาพูดจากใจจริง จึงไม่ได้เกรงใจเขาอีก นางไปหยิบขนมน้ำตาลข้าวที่ตนทำเอง แล้วไปส่งเขาที่หน้าประตูใหญ่ รอจนหูซิ่งจากไปแล้ว คนสกุลหวังจึงเอ่ยกับคนสกุลเฉินว่า “ครั้งก่อนตอนงานวันเปิดร้านข้าเห็นพ่อบ้านหูก้มหน้าก้มตาโศกเศร้า เวลานี้เหตุใดกลายเป็นกระปรี้กระเปร่าเสียแล้ว?”
“คงไปเจอเรื่องดีๆ เข้ากระมัง?” คนสกุลเฉินเดาพร้อมรอยยิ้ม “พ่อบ้านหูผู้นี้คนนับว่าไม่เลว ตอนนั้นคงแค่ไม่สบายใจชั่วครู่ชั่วคราวกระมัง?”
แม้ว่าจะคุ้นเคยกับหูซิ่งแล้ว ทว่าเรื่องเหล่านั้นเป็นปัญหาส่วนตัวของเขา สองคนถกกันไม่กี่คำก็ลืมเรื่องนี้เสียสนิท กลับไปกังวลเรื่องที่อวี้หย่วนจะไปเยือนสกุลเซียงอีกรอบ
ทันทีที่หูซิ่งเดินออกจากตรองชิงจู๋สีหน้านั้นก็ทะลายหายไปทันที
หลังจากหนก่อนที่เขาทำอะไรโดยพลการ คนสกุลเผยก็โดยเขาทิ้งไม่สนใจ ทำเหมือนกับพ่อบ้านสามอย่างเขาคนนี้ไร้ตัวตน เหล่าผู้ดูแลในจวนล้วนเป็นคนฉลาด ไม่ทันไรก็ทิ้งเขาให้โดดเดี่ยวในทันที หากมิใช่เพราะหมอหลวงหยางไม่รู้ความเป็นไปของสกุลเผย คิดไว้ว่าหลังจากไปตรวจชีพจรให้นายหญิงใหญ่กับนายหญิงสกุลอวี้แล้ว กว่าจะกลับมาหลินอัน คงต้องรอถึงวันที่สองเดือนสองช่วงเทศกาลมังกรเชิดเศียร[1]โน่น จึงได้ส่งบ่าวรับใช้ข้างกายมาหาเขา ให้เขาส่งข่าวบอกนายหญิงใหญ่กับนายหญิงรองสักคำ หากมิใช่เขารวบรวมความกล้าไปรายงานเผยเยี่ยน ทั้งเห็นว่าหลายวันนี้เผยหม่านกำลังวุ่นวายกับเรื่องบางอย่างอยู่ จึงคิดหาทุกวิธีที่จะทำได้เพื่อคว้างานนี้เอาไว้ มิเช่นนั้นเขาคงถูกเผยเยี่ยนโยนเข้าตำหนักเย็น ได้แต่รอวันถูกเขี่ยทิ้งจากจวนสกุลเผย กลับไปทำไร่ไถนาเลี้ยงตนยามแก่อยู่ที่มุมไหนสักแห่งแล้ว
ทว่า นายท่านสามกับสกุลอวี้มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกันแน่?
หากว่าเป็นแค่เพื่อนบ้านดาษดื่นทั่วไป คุณหนูอวี้มีหรือจะขอพบนายท่ามสามได้โดยไม่เลือกเวลา หากบอกว่ามีจุดใดที่ผิดปกติ นั่นก็คือนายท่านสามคล้ายว่าไม่ค่อยจะนำพาเรื่องของสกุลอวี้มากนัก หากมีคนพูดถึงเขาจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ หากไม่มีใครเอ่ยถามก็หลงลืมไปเสียอย่างนั้น
ก็เหมือนกับการคารวะวันปีใหม่ครานี้ หากมิใช่หมอหลวงหยางมีเรื่องจำเป็นต้องบอกกล่าวนายหญิงอวี้ล่วงหน้า บวกกับเผยหม่านมีงานรัดตัว ธุระส่งซองชื่อให้สกุลอวี้นี้คงไม่มีทางส่งมาถึงมือเขาแน่
สรุปแล้วเขาต้องคอยประจบสกุลอวี้ไว้หรือไม่หนอ?
ผู้ซึ่งเป็นคนกลิ้งกลอกเข้าได้กับทุกฝ่ายอย่างหูซิ่ง เป็นครั้งแรกที่รู้สึกละล้าละลังไม่อาจตัดสินใจได้
อวี้ถังทางนี้ ย่อมไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่าซองชื่อสกุลใบเดียวจะทำให้หูซิ่งต้องใช้ความคิดมากมายเพียงนั้น วันที่สองนับจากปีใหม่อวี้หย่วนก็เดินทางไปฟู่หยาง วันที่สี่ถึงเดินทางกลับมา พวกเขาสองครอบครัวนั่งล้อมวงบนโต๊ะอย่างตึงเครียด ไต่ถามถึงสถานการณ์ที่อวี้หย่วนไปบ้านสกุลเซียงในครั้งนี้ อวี้หย่วนกลับหันไปกระพริบตาส่งให้อวี้ถังก่อน แล้วค่อยเอ่ยปากว่า “นายหญิงเซียงแม้ไม่ชอบหน้าคุณหนูเซียง แต่ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นมาหัวเราะเยาะตนลับหลังเป็นอันขาด ข้าไปเยี่ยมสกุลเซียงในครานี้ มีนายหญิงเซียงดูแลเป็นพิเศษ ทั้งไม่ได้เอ่ยถึงข้อเรียกร้องที่มากเกินเหตุแต่อย่างไร ไม่มีใครกล้าละเลยข้าแม้แต่น้อย”
พวกอวี้เหวินต่างก็ถอนหายใจโล่งอก
อวี้ถังรู้ว่าอวี้หย่วนมีเรื่องจะคุยกับนาง จึงหาโอกาสไปพบกับอวี้หย่วนเพียงลำพังที่ห้องน้ำชา
อวี้หย่วนให้ซานมู่เฝ้าหน้าห้องน้ำชาเอาไว้ แล้วกระซิบบอกอวี้ถังว่า “ที่แท้นายหญิงเซียงกับมารดาเลี้ยงของคุณหนูกู้นั้นเป็นสหายสนิทกัน ข้าบังเอิญไปได้ยินคนข้างกายของนายหญิงเซียงพูดว่า ตอนวันปีใหม่แม่นางกู้อาละวาดใหญ่โต ทำเอานายท่านใหญ่กู้โมโหจนล้มป่วยไปแล้ว วันที่หนึ่งถึงกลับปิดประตูไม่รับแขก งานเลี้ยงต่างๆ ในเรือนล้วนมีนายท่านบ้านใหญ่เป็นคนออกหน้าต้อนรับ เจ้าคิดว่า งานแต่งของสกุลหลี่จะล้มครืนเพราะเหตุนี้หรือไม่?”
อวี้ถังหัวเราะเสียงดัง “ไม่เห็นต้องใส่ใจว่างานจะล้มหรือไม่ สกุลกู้ไม่อาจสงบ สกุลหลี่ก็อย่าหวังจะได้ใช้ชีวิตเป็นสุขเลย” พูดถึงตรงนี้ นางก็ถามอวี้หย่วนอย่างยินดีกับหายนะของผู้อื่นว่า “ท่านพี่ ท่านว่าเราควรส่งคนไปจับตาดูสกุลหลี่หรือไม่? หากว่าช่วงปีใหม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาคงน่าสนุกขึ้นไปอีก!”
อวี้หย่วนผงกศีรษะรัวเร็ว “ข้าให้ซานมู่ไปจับตาดูไว้ ถือโอกาสให้เขาฝึกปรือไปด้วย”
“ให้อาลิ่วไปเถอะ!” อวี้ถังบอก “พวกเราไม่อาจทำให้โจ่งแจ้งเกินไปนัก!”
สองพี่น้องมองหน้ากันแล้วหัวเราะชอบใจ จากนั้นอวี้หย่วนก็ไปจัดการเรื่องนี้ต่อ
รอถึงวันที่หกนับจากปีใหม่ พวกเขาทั้งบ้านก็ไปคารวะสกุลเว่ย วันที่สิบสี่เดือนแรกอวี้ถังก็ตั้งใจไปหาหม่าซิ่วเหนียง ทั้งนัดแนะว่าวันรุ่งขึ้นจะไปชมโคมลอยด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าพอกลับบ้านไปจะเจอประตูใหญ่ที่ปิดสนิท ไร้ซึ่งความรื่นเริงของปีใหม่โดยสิ้นเชิง
นางตกใจแทบทรุด รีบให้ซวงเถาไปเคาะประตู
ด้านในมีเสียงกล้าๆ กลัวๆ ของซานมู่ลอยข้ามมาว่า “ใคร ใครน่ะ?”
“คุณหนูกลับมาแล้ว” ซวงเถาตะโกนตอบเสียงดัง
ประตูส่งเสียง ‘แอ้ด’ แล้วเปิดออก ซานมู่เรียกนาง “คุณหนูใหญ่” เสียงหนึ่งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนเบี่ยงตัวหลบให้นางเดินเข้ามา
ซวงเถาถามว่า “เกิดเรื่องอะไรรึ?”
ซานมู่หันไปมองรอบด้าน เห็นว่าไม่มีคนนอก ก็ลากซวงเถาเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยกับอวี้ถังด้วยความหวาดกลัวว่า “คุณหนู นายท่านรองไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถง ไม่อยู่ที่เรือนขอรับ เมื่อครู่ฮูหยินหลี่มาโวยวานที่นี่ นายหญิงรองกลับปิดประตูไม่ให้เข้า นางอยู่ด้านนอกเอาแต่พูดจาไม่น่าฟัง พอนายหญิงรองโมโห บอกว่าจะไปทวงถามเหตุผลกับสกุลหลี่บ้านสายหลัก นางถึงได้ยอมจากไปขอรับ”
อวี้ถังทำหน้าเครียดทันที ทางหนึ่งก็สาวเท้าฉับๆ ไปยังห้องคนสกุลเฉิน ทางหนึ่งก็หันไปถามซานมู่ว่า “ส่งข่าวไปบอกท่านพ่อข้าแล้วหรือยัง?”
“ไปแล้วขอรับ!” ซานมู่ก้าวขาตามหลังอวี้ถังไปติดๆ “อาเสาออกไปตามหานายท่านรองแล้ว”
“แล้วมารดาข้าเล่า?” อวี้ถังถามต่อ
“ป้าเฉินไปตามนายหญิงใหญ่มาแล้วขอรับ” ซานมู่ตอบ “ตอนนี้นายหญิงใหญ่กำลังคุยเป็นเพื่อนอยู่กับนายหญิงรอง!”
อวี้ถังค่อยเบาใจลงได้ เลิกม่านหน้าห้องคนสกุลเฉินให้เปิดออกแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
“ท่านแม่!” นางร้องเรียก เห็นว่าคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังนั่งอยู่ด้วยกัน สีหน้ามีรอยยิ้มประดับอยู่ จึงอดจะมึนงงอยู่ตรงนั้นมิได้
“อาถังกลับมาแล้วรึ?” คนสกุลหวังหันมากวักมือเรียกอวี้ถัง “มานั่งนี่เร็วเข้า!” ทั้งยังถามนางอย่างใส่ใจว่า “หิวแล้วหรือยัง? ให้ซวงเถาไปเคี่ยวโจ๊กงาดำสักถ้วยดีหรือไม่?”
อวี้ถังหันไปมองคนสกุลเฉิน จากนั้นเปลี่ยนไปมองคนสกุลหวัง แล้วถามอย่างไม่เข้าใจว่า “มิใช่ว่าฮูหยินหลี่มาก่อเรื่องที่เรือนหรือเจ้าคะ?”
เหตุใดมารดากับป้าสะใภ้ของนางถึงได้ยิ้มหน้าระรื่นเช่นนี้ได้?
เกิดเรื่องอะไรที่นางไม่รู้อีกแล้วรึ?
————————————————————-
[1]เทศกาลมังกรเชิดเศียร เป็นเทศกาลขอฝนของคนจีน จะตรงกับช่วงต้นเดือนมีนาคมพอดี พื้นดินเริ่มคลายความหนาว อากาศค่อยๆ อบอุ่นขึ้น ชาวนาชาวไร่อำลาช่วงพักหลังเก็บเกี่ยว กลับมาเริ่มต้นทำงานอีกครั้ง ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่พวกเขาต้องการน้ำฝนเป็นอย่างมากเพื่อให้เมล็ดพืชที่หว่านไปเจริญงอกงาม
เสิ่นซ่านเหยียนก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง แต่อวี้เหวินกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าตนต้องช่วยรับผิดชอบเรื่องนี้สักหน่อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยกับอวี้เหวินว่า “เจ้าให้ข้าดูภาพนั้นอีกที ข้าจะลองนึกดูว่ามีสถานที่อื่นอีกหรือไม่ที่ปลูกต้นไม้ชนิดนี้”
ญาติสนิทมิตรสหายของเขานับว่ามีฐานะสูงกว่าอวี้เหวินอยู่ขั้นหนึ่ง ผู้ที่ชมชอบปลูกต้นไม้บุปผาจึงมีมาก อีกอย่างคนบางกลุ่มยังชอบสรรหาต้นไม้ใบหญ้าแปลกๆ มาปลูกเพื่อแสดงถึงความแตกต่างไม่เหมือนใคร
“ต้นซาจี๋ไม่กี่ต้นที่จวนสยากวงนั้นจริงๆ ก็แค่จื่อจินอยากแกล้งสยากวงเล่น สยากวงคร้านจะชายตามองมันด้วยซ้ำ พวกบ่าวรับใช้ที่ดูแลรดน้ำยิ่งไม่มีทางเอาใจใส่ โตมาเหมือนต้นอะไรก็ไม่รู้” เสิ่นซ่านเหยียนเล่าต่อ “ตอนข้าอยู่แถบซีเป่ยเคยเห็นต้นไม้แบบนี้สูงเท่าหลังคาเรือน ต้นซาจี๋ที่จวนสยากวงนั่นยังสูงไม่เกินเข่าเสียด้วยซ้ำ ต่อให้ขอสักต้นจากจวนพวกเขาไป คาดว่าคงปลูกไม่รอดอยู่ดี มิสู้ลองหาที่อื่นๆ ดูว่ามีเรือนใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้อีก”
เห็นว่าเขาใส่ใจถึงเพียงนี้ อวี้เหวินจึงกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สองคนตรึกตรองอยู่ในห้องหนังสือครึ่งค่อนวัน แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีผู้ใดปลูกต้นไม้ชนิดนี้อีกบ้าง เสิ่นซ่านเหยียนจึงเก็บภาพไว้เสีย พร้อมบอกว่า “ข้าจะฉลองวันปีใหม่เล็กกับสยากวงที่นี่จากนั้นก็จะเดินทางกลับบ้านเกิด สามารถถือโอกาสนี้ช่วยสืบความให้บุตรสาวเจ้าได้”
ช่วงวันปีใหม่ จวนสกุลเสิ่นทางนั้นย่อมมีสหายเก่าและญาติมิตรมาเยี่ยนเยียนจำนวนมาก
“เช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่ง!” อวี้เหวินดีใจด้วยความคาดไม่ถึง รอตอนที่เสิ่นซ่านเหยียนกลับไปหังโจว เขาจะห่อกระดาษเฉิงซิน[1]ครึ่งพับซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าของสกุลใส่กล่องไม้แล้วมอบให้เสิ่นซ่านเหยียนเป็นค่าเดินทาง
เสิ่นซ่านเหยียนก็ชื่นชอบจากใจจริง จึงไม่ได้บ่ายเบี่ยง บอกให้อวี้เหวินรอฟังข่าวจากเขา แล้วเดินทางกลับหังโจวเพื่อร่วมฉลองวันปีใหม่
สกุลอวี้ทางนี้ก็คึกคักเป็นที่สุด
พอถึงปีใหม่เล็กก็เริ่มเปลี่ยนยันต์ไม้ท้อ[2]ติดกลอนตุ้ยเหลียน[3] ห้อยโคมไฟแดง เตรียมของเซ่นไหว้บรรพบุรุษ รวมถึงอาหารที่จะกินในคืนวันปีใหม่ด้วย
อวี้ถังนั้นช่วยบิดาดูแลดอกสุ่ยเซียน[4] ต้นส้มจี๊ด ทั้งคอยสั่งพวกซวงเถาให้กวาดพื้นให้สะอาด
นางยังปลีกตัวไปหาหม่าซิ่วเหนียง ขนเอาขนมเหนียนเกากับน้ำตาลข้าวที่คนสกุนเฉินทำ รวมถึงเครื่องประดับผมทรงดอกไม้ฝีมือนางไปให้หม่าซิ่วเหนียงอีกด้วย
หม่าซิ่วเหนียงดีอกดีใจเป็นอย่างยิ่ง วางงานที่อยู่ในมือลง แล้วพานางเข้าไปให้ห้องตนเองทันที ทั้งยังหยิบลูกพลับแห้งจากในตู้ออกมาต้อนรับนาง “มาจากฝูเจี้ยนน่ะ หวานอร่อยนัก อีกเดี๋ยวเจ้าก็เอากลับไปให้ท่านป้าชิมด้วย”
อวี้ถังยิ้มรับพร้อมเอ่ยขอบคุณ กวาดสายตาไปทั่วร่างของหม่าซิ่วเหนียงคล้ายสำรวจ คนก็กลั้นยิ้มเอาไว้
หม่าซิ่วเหนียงพลันหน้าเห่อแดง ผลักอวี้ถังอย่างเขินอาย “เจ้ามองอะไรน่ะ? คุณหนูที่ยังไม่ออกเรือน ไม่อนุญาตให้คิดเหลวไหล”
อวี้ถังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง
นางเพิ่งรู้จากคนสกุลเฉินว่าหม่าซิ่วเหนียงตั้งครรภ์แล้ว ถึงได้ตั้งใจมาเยี่ยมนาง
หม่าซิ่วเหนียงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ แต่พอหัวเราะจบ สีหน้าพลันเจือด้วยความกลัดกลุ้มหลายส่วน นางเอ่ยความในใจให้อวี้ถังฟังเสียงแผ่วว่า “ก่อนข้าแต่งเข้ามาก็รู้พอว่าสกุลจางมีฐานะการเงินธรรมดา แต่นึกไม่ถึงว่าจะย่ำแย่เพียงนี้ สามีกลัวทำให้ข้าต้องลำบาก เขาเอาแต่คัดหนังสือทั้งวันทั้งคืน ข้าเกรงว่าร่างกายเขารับไม่ไหว แต่กล่อมอย่างไรเขาก็ไม่ยอมฟัง บอกว่าหากเด็กคลอดออกมาแล้วต้องใช้จ่ายอีกมาก ถ้าเตรียมไว้ก่อนแต่เนิ่นๆ ได้ก็ต้องเตรียม” พูดถึงตรงนี้ นางก็เอื้อมไปดึงมืออวี้ถังมาจับไว้ “ถ้าเจ้าไม่มาเยี่ยมข้า ข้าก็คิดจะไปหาเจ้าอยู่แล้ว… ข้าอยากนำกำไลเงินหนึ่งคู่ไปจำนำเงียบๆ เจ้าช่วยไปทำธุระให้ข้าที่โรงจำนำได้หรือไม่?”
เรื่องจุกจิกในเรือนล้วนเป็นนางที่ดูแล ใช้จ่ายเงินไปเท่าไรมีเพียงนางที่รู้ ต่อให้ค่าใช้จ่ายในเรือนมากกว่าเงินที่หามาได้ แต่จางฮุ่ยไม่มีทางใช้สินเดิมของนางแน่ เมืองหลินอันจะว่าเล็กก็เล็ก จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ นางในฐานะคุณหนูใหญ่ของเรือนหม่าซิ่วไฉ มีคนรู้จักคุ้นหน้านางไม่น้อย นางไม่กล้าเอาของไปจำนำที่โรงจำนำสกุลเผย กลัวจะถูกคนจำได้ขึ้นมา แล้วจะทำให้จางฮุ่ยต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
อวี้ถังแต่ก่อนนั้นก็ไม่ได้เจอเรื่องแบบนี้เพียงครั้งเดียว เงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ[5]ได้จริงๆ
นางรีบบีบมือหม่าซิ่วเหนียงกลับ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะช่วยเจ้าวิ่งไปสักครั้ง เจ้าจำนำเป็นไว้ก็พอ รอให้พี่เขยหาเงินได้แล้ว ก็ค่อยไถ่ของออกมา”
จำนำเป็นได้เงินห้าในสิบส่วนนับว่าดีมากแล้ว ทว่าจำนำตายกลับได้เงินเจ็ดในสิบส่วน หรืออาจมากถึงแปดในสิบส่วนเลยทีเดียว
หม่าซิ่วเหนียงกัดฟันแล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่วยข้าจำนำตายไปเถอะ ต่อไปหากพี่เขยเจ้ามีเงินแล้ว ข้าค่อยไปสั่งทำใหม่อีกคู่ก็ได้”
อวี้ถังคิดตามก็รู้สึกเห็นด้วย
ชาติก่อนตอนที่นางแต่งงาน หม่าซิ่วเหนียงเคยมอบกำไลเงินหนักห้าตำลึงหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ เห็นได้ชัดว่าชีวิตไม่ได้ลำบากอะไร ความขัดสนนี้คงอยู่แค่ชั่วคราวเท่านั้น ขอเพียงอดทนผ่านไปให้ได้ก็พอ
“เจ้าหยิบของมาให้ข้าเถอะ!” นางเอ่ย “ช่วงปีใหม่ต้องใช้จ่ายมากเหลือเกิน ข้าจะแอบไปเงียบๆ แล้วก็กลับมาเงียบๆ เช่นกัน”
หม่าซิ่วเหนียงพยักหน้า น้ำตาแทบจะร่วงลงมาอยู่รอมร่อ นางจับมืออวี้ถังไว้แล้วบอกว่า “อาถัง ขอบใจเจ้ามาก”
วาจาอื่นๆ นางละอายเกินกว่าจะพูดออกมา ทว่าความซาบซึ้งในใจไม่ขาดลดไปสักนิดเดียว
อวี้ถังนั้นกลับรู้สึกผิด
ชาติก่อน นางต้องพลาดจากสหายที่ดีเช่นนี้ไป
คิดถึงตรงนี้ นางก็นึกไปถึงสกุลหลี่ นึกถึงเรื่องที่ไปเมืองหังโจวแล้วส่งข่าวให้สกุลกู้ก่อนหน้านี้
ไม่รู้ว่าสกุลกู้ทางนั้นมีปฏิกิริยาอย่างไรบ้าง?
กู้ซีบัดนี้เกรี้ยวกราดแทบทนไม่ไหว
นางรู้ว่ามีคนวางแผนอยู่เบื้องหลัง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า สิ่งที่ผู้อื่นพูดมาล้วนเป็นความจริง หาได้มีสักกระผีกที่ใส่ความว่าร้ายสกุลหลี่เลย
ทว่าเหตุใดสกุลหลี่ต้องทำเรื่องเช่นนี้ออกมาด้วยเล่า?
เพียงต้องการกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาเพราะการสู่ขอล้มเหลวเท่านั้นหรือ?
จิตใจของคนสกุลหลี่มิเพียงคับแคบ แต่ยังผูกบัญชีแค้นกับทุกคนอีกด้วย
นางต้องแต่งเข้าสกุลเช่นนี้จริงๆ น่ะรึ?
ชีวิตของสตรีผูกติดกับเรือนหลัง ต่อไปนางต้องกินข้าวหม้อเดียวกับคนสกุลหลิน ใช้ชีวิตร่วมกันในจวน ริมฝีปากบนยังมีกระทบกระทั่งกับริมฝีปากล่างเป็นบางครั้ง ถ้าคนสกุลหลินไม่ชอบหน้านางขึ้นมา คิดจะสร้างความลำบากให้นางย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แล้วชีวิตที่เหลืออยู่ของนางต้องคอยทะเลาะตบตีกับหญิงประเภทนี้หรือ?
ยังมีหลี่ตวนอีก มารดาเลี้ยงชมเขาจนลอยขึ้นฟ้า ความจริงก็เป็นเพียงสิ่งของที่ไร้ประโยชน์ เป็นถึงหลานชายคนโตสกุลหลี่ แต่กลับไปสวมผ้ากระสอบไว้ทุกข์ให้ผู้อื่น เรื่องแค่นี้ยังจัดการไม่ได้เรื่อง หากเข้าไปเป็นขุนนาง แปดในสิบส่วนคงดิ้นรนได้ถึงแค่ขุนนางขั้นสี่เท่านั้น มิเช่นนั้นจะมีคำพูดที่ว่า สามรุ่นให้ดูอาหาร ห้ารุ่นให้ดูอาภรณ์[6]หรือ? คนจากสกุลสามัญย่อมเป็นคนสามัญวันยังค่ำ ต่อให้ห่อด้วยผ้าแพรอย่างไรก็ไม่มีวันกลายเป็นคนใหญ่คนโตแน่!
ดวงหน้างดงามของกู้ซีฉาบด้วยไอหมอกชั้นหนึ่ง
ไม่ได้ นางไม่อาจยอมรับชะตาชีวิตเช่นนี้
นางต้องบอกเรื่องนี้กับพี่ชายและบิดาของนาง…ยังมีมารดาเลี้ยงคนนั้น ก็อย่าคิดจะได้ความดีความชอบไป
กู้ซีกระชับเสื้อคลุมขนเพียงพอนสีเทาที่คลุมอยู่ เอ่ยกับหรู่เหนียงเสียงเย็นว่า “ไปเถอะ พวกเราไปพบท่านลุงใหญ่ที่บ้านหลักเสียหน่อย!”
แม่นมรู้ว่าภายนอกที่ดูนุ่มนวลของนางนั้นภายในแข็งกร้าวเพียงใด ได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจยกใหญ่ รีบร้อนคว้ามือนางไว้ทันที “คุณหนู ท่านไปไม่ได้นะเจ้าคะ! อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเรื่องของบ้านรอง โวยวายใหญ่โตไป เพื่อรักษาหน้าแล้ว นายท่านย่อมไม่เข้าข้างท่านแน่ ท่านรอให้คุณชายใหญ่กลับมาก่อนแล้วค่อยไปคุยเถอะเจ้าค่ะ!”
คุณชายใหญ่ส่งจดหมายมาตั้งแต่สองเดือนก่อนบอกว่าหลังปีใหม่เขาจะติดตามผู้ตรวจการแถบเจ้อเจียงกลับมาเยี่ยมบ้าน
แม่นมเกลี้ยกล่อมกู้ซีอย่างยากลำบาก “อย่างมากก็รอแค่หนึ่งเดือน ขอเพียงคุณชายใหญ่กลับมา ทุกอยย่างก็จะคลี่คลายอย่างราบรื่นแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ซีแสยะยิ้ม “แน่นอนว่าต้องรอพี่ชายกลับมา แต่ข้าก็ไม่อาจนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ ได้ พวกเขาทำให้ข้าไม่พอใจ ข้าก็จะทำให้พวกเขาอยู่ไม่เป็นสุขเหมือนกัน”
แม่นมเอ่ยต่ออีกว่า “คุณหนูต้องคิดให้ดีก่อนทำอะไรลงไป เห็นชัดว่าพี่น้องสกุลอวี้ต้องการยั่วท่านให้โมโห อยากให้ท่านไม่อาจฉลองปีใหม่อย่างเป็นสุข”
“ต่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่มีทางยอมจบง่ายๆ แน่” กู้ซีเลิกคิ้วเรียวยาวดั่งใบหลิวทว่าคมกริบเหมือนใบมีด เอ่ยเสียงเรียบเย็นว่า “อย่างไรทุกคนก็อย่าหวังจะเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เริ่มจากมารดาผู้แสนดีท่านนั้นก็แล้วกัน อย่าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องสกปรกทั้งหลายที่นางทำ แต่ก่อนข้าไม่เคยพูด เพราะคิดว่าพูดออกไปมีแต่ทำให้คนหัวเราะเยาะ บ้านรองมีแต่จะถูกซุบซิบนินทา ข้าเองก็เสียหน้าไปด้วย ไม่คิดว่าการถอยหลังอ่อนข้อให้ กลับต้องมาเจอกับพวกไม่รู้คุณคน สอดมือมายุ่งเรื่องงานแต่งข้าไม่ว่า ยังคิดเล่นลูกไม้กับข้าอีก”
นางสะบัดมือแม่นมทิ้ง แล้วสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังทิศที่เรือนของบ้านใหญ่ตั้งอยู่
แม่นมร้อนใจจนแทบเต้น
ตอนแรกที่คุยเรื่องงานหมั้นหมาย คุณหนูใหญ่กับนางนั้นไปเจอคนด้วยตนเอง เห็นว่าท่านลูกเขยหล่อเหลา มีความสามารถโดดเด่น แม้คุณชายใหญ่ไม่ใคร่จะพอใจ แต่ผู้ร่ำเรียนวิชาน้อยนักจะโตออกมาในลักษณะนี้ ถึงได้ยอมรับอย่างเงียบๆ
ใต้หล้านี้ มีเรื่องครบพร้อมสมบูรณ์แบบที่ใดกัน
ทั้งหน้าตาหล่อเหลา ทั้งมีวิชาความรู้ และลักษณะท่าทางก็ดูดี…
แม่นมเห็นเงาของกู้ซีหายวับไปตรงมุมกำแพง จึงรีบก้าวขาตามไป
เพราะเรื่องนี้ทำให้สกุลกู้ไม่อาจฉลองวันปีใหม่ได้อย่างเบิกบานใจ ทว่าสกุลอวี้ที่เมืองหลินอันทางนี้กลับสนุกสนานชื่นมื่นยิ่ง เช้าตรู่วันที่สามสิบเอ็ดครอบครัวอวี้เหวินก็ยกโขยงไปที่เรือนท่านลุงใหญ่ เหล่าสตรีช่วยกันผัดกับข้าว เหล่าบุรุษก็นั่งสนทนากันในโถงรับแขก
มื้อเที่ยงกินข้าวกันอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งมื้อ อาหารช่วงค่ำในวันสิ้นปีจึงดูยิ่งใหญ่อลังการมาก
อาหารเย็น อาหารร้อน อาหารทะเล ผักต่างๆ ของหวานและอาหารว่างวางแน่นเต็มโต๊ะ อวี้ป๋อเปิดเหล้าจินหวาหนึ่งไห สตรีในเรือนไม่เพียงรินให้เต็มแก้ว ยังดื่มคารวะท่านลุงใหญ่เป็นพิเศษอีก ขอบคุณที่เขาประคับประคองร้านค้าหลังจากที่ถูกไฟไหม้อย่างยากลำบาก ป้าสะใภ้ลุกขึ้นยืนด้วยดวงหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ต้องทำตัวอย่างไร จะดื่มก็ไม่ได้ จะไม่ดื่มก็ไม่ดี ทว่าจู่ๆ อวี้ถังก็ตะโกนขึ้นมา “ท่านพ่อ ท่านดูสิเจ้าคะว่าท่านลุงใหญ่ดีขนาดไหน! มิน่าป้าสะใภ้เหน็ดเหนื่อยสายตัวแทบขาดก็ไม่เคยบ่นสักคำ ท่านก็ควรคารวะท่านแม่สักจอกเช่นกัน เหนียนเกาเป็นฝีมือท่านแม่ น้ำตาลข้าวก็ฝีมือท่านแม่ ผ้าห่มที่ท่านพี่ใช้ตอนออกเรือน ก็เป็นท่านแม่ที่มาช่วยปักนะเจ้าคะ!”
“ใช่แล้วๆ!” คนสกุลหวังได้ยินก็เหมือนตามหาเสียงของตัวเองพบในที่สุด หมุนตัวไปดึงคนสกุลเฉินมาทันที แล้วพูดกับอวี้เหวินว่า “ไม่เพียงดื่มให้น้องสะใภ้หนึ่งจอก พวกเราสองสามีภรรยาต่างต้องคารวะสุราพวกเจ้าทั้งสิ้น หากมิใช่พวกเจ้า งานแต่งของอาหย่วนคงไม่ราบรื่นถึงเพียงนี้”
คนสกุลเฉินเขินอายหน้าแดงตั้งแต่ที่อวี้ถังกล่าวชมนางแล้ว เวลานี้ถูกคนสกุลหวังลากออกมาอีก คนจนพูดจาไม่เป็นประโยค “มิได้ มิได้ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น…” ทั้งยังแสร้งตำหนิอวี้ถังอีกว่า “เป็นเจ้าที่ปากมาก เหตุใดไม่รู้เรื่องรู้ราวเพียงนี้!”
ยังดีที่อวี้เหวินเป็นคนหน้าหนา เขาหัวเราะเฮฮาแล้วยืนขึ้น “เหตุใดไม่เริ่มจากพี่ชายก่อนเล่า! ข้าจะเรียนรู้จากพี่ชายเป็นอย่างดีเลย มารดาอาหย่วนกับบุตรสาวข้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว ข้าคารวะเจ้าหนึ่งจอก หนึ่งปีมานี้ต้องลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”
คนสกุลเฉินทั้งเขินอายทั้งเป็นสุข ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรต่อดี นางตีหัวโจกอย่างอวี้ถังเบาๆ แล้วถลึงตาใส่ทีหนึ่ง ก่อนจะยกจอกขึ้นดื่มอย่างกระดากอาย
อวี้หย่วนก็หัวเราะอย่างชอบใจ
พวกซวงเถา อาเสาและป้าเฉินต่างก็มีรอยยิ้มเกลื่อนหน้า
อวี้ถังนึกถึงความยากแค้นในวันนี้เมื่อชาติก่อน แล้วหันกลับมามองความรื่นเริงตรงหน้า กรอบตาพลันรื้นชื้น
————————————————————-
[1]กระดาษเฉิงซิน เป็นหนึ่งในกระดาษวาดภาพที่สูงค่าและมีชื่อเสียงที่สุดของจีน ทั้งยังเป็นหนึ่งในกระดาษที่จิตรกรโด่งดังนิยมใช้
[2]ยันต์ไม้ท้อ เป็นความเชื่อในศาสนาเต๋าสมัยโบราณ มีจุดประสงค์เพื่อขอให้เทพเจ้าแห่งประตูช่วยปกป้องครอบครัว ขับไล่ภูติผีปีศาจไม่ให้มาทำลายบ้านเรือน
[3]กลอนตุ้ยเหลียน เป็นกลอนคู่แปด ใช้กระดาษสีแดงในการเขียนบทกลอนหรือคำอวยพรปีใหม่ โดยจะติดไว้ข้างประตูเป็นคู่ๆ
[4]ดอกสุ่ยเซียน คือดอกแดฟโฟดิล มีอีกชื่อหนึ่งที่เรียกกันคือ ดอกนาซิสซัส
[5]เงินหนึ่งอัฐสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ อุปมาว่า ความลำบากเล็กน้อยแต่กลับทำให้เรื่องสำคัญไม่อาจดำเนินต่อไปได้
[6]สามรุ่นให้ดูอาหาร ห้ารุ่นให้ดูอาภรณ์ เปรียบเปรยว่าความรู้และการอบรมทางด้านจิตใจย่อมมีความเกี่ยวพันถึงภูมิหลังของครอบครัวอย่างลึกซึ้ง ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาอันสั้น
คนสกุลเฉินกับป้าเฉินกำลังเคี่ยวน้ำตาลข้าว[1]อยู่ในลานบ้าน กลิ่นของข้าวสาลีหอมอบอวลไปทั่ว
“น้าสะใภ้!” อวี้หย่วนเดินเข้าไปทักทายคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินใช้มือเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่มัดอยู่ตรงเอว ร้องถามด้วยรอยยิ้มตาหยีว่า “อาหย่วน เจ้ามาหาท่านอาหรือ? เขาไปส่งเหนียนเกา[2]ให้เถ้าแก่ใหญ่ถงน่ะ วันนี้ก่อนเที่ยงคงไม่กลับมาแน่ เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ? ถ้าบอกกับข้าไม่ได้ก็ไปเขียนกระดาษทิ้งไว้ให้ท่านอาที่ห้องหนังสือเถอะ”
พรุ่งนี้เป็นวันปีใหม่เล็ก ข้าวของที่ต้องใช้ตอนวันปีใหม่เตรียมเสร็จแล้ว เหนียนเกาเป็นของกินที่ทุกบ้านทุกครอบครัวต้องมี อีกอย่างการทำเหนียนเกาก็เป็นงานถนัดของคนสกุลเฉิน เพียงเพราะปีก่อนๆ คนสกุลเฉินสุขภาพไม่ดี จึงไม่เคยลงมือทำเอง ปีนี้แม้ร่างกายของคนสกุลเฉินจะสู้คนปกติมิได้ แต่ก็ดีขึ้นกว่าทุกๆ ปีมากแล้ว ไม่เพียงคนในสกุลอวี้ที่ดีอกดีใจ คนสกุลเฉินเองก็เบิกบานขึ้นมาก ลงมือทำเหนียนเกาหนักสิบกว่าจิน ทั้งญาติพี่น้องมิตรสหาย เพื่อนบ้านในตรอกซอย ต่างได้การแบ่งสรรไปคนละเล็กคนละน้อยอย่างถ้วนหน้า
“ข้ามาหาอาถังขอรับ!” อวี้หย่วนทางหนึ่งก็ตอบคำ อีกทางก็ช่วยคนสกุลเฉินยกน้ำตาลข้าวที่เคี่ยวเสร็จแล้วเข้าไปในห้องครัว “อาถังอยู่หรือไม่ขอรับ? พวกเราตอนไปหังโจวครั้งก่อนก็ได้เห็นแบบลวดลายใหม่ ข้าอยากจะหารือกับนางสักหน่อย”
คนสกุลเฉินไม่ได้เอะใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นางอยู่ในห้องหนังสือน่ะ!” พูดจบ ก็ใช้มีดหั่นขนมน้ำตาลข้าวออกเป็นชิ้นใส่ชามแล้วส่งให้อวี้หย่วน “รับไปสิ พวกเจ้าสองพี่น้องลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่”
อวี้หย่วนรับของมาอย่างดีใจ แล้วถือชามไปที่ห้องหนังสือ
อวี้ถังมือถือพู่กันอยู่ ตัวค่อมอยู่เหนือโต๊ะหนังสือขีดเขียนอะไรบางอย่าง
ตะวันอบอุ่นในหน้าหนาวลอดผ่านหน้าต่างที่ติดกระดาษเกาลี่[3]เอาไว้ แสงทาบทับจนเงาของนางเกิดเป็นประกายทองหนึ่งชั้น ดูอบอุ่นและอ่อนโยนยิ่งนัก
อวี้หย่วนตะลึงงัน ก่อนจะส่งเสียงเรียก “อาถัง”
อวี้ถังเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ทันที
รอยยิ้มแผ่ซ่านไปทั่วเริ่มจากดวงตาของนาง ทำให้สีหน้านั้นเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาทันที
“ท่านพี่มาได้อย่างไร?” นางวางพู่กันลง หยัดตัวตรงยืนอยู่หลังโต๊ะหนังสือ แล้วพาอวี้หย่วนไปนั่งที่เก้าอี้ไท่ซือริมหน้าต่าง “ท่านไม่ได้วุ่นวายอยู่กับการเตรียมของขวัญปีใหม่ให้สกุลเซียงหรอกหรือ?”
เมื่อกำหนดวันแต่งงานได้แล้ว ลงลายมือในหนังสือหมั้นหมายเสร็จสิ้น แม้จะยังไม่ได้จัดงานอย่างเป็นทางการ ทว่าอวี้หย่วนก็นับเป็นลูกเขยของสกุลเซียงแล้ว ตามธรมเนียม วันที่สองนับจากวันปีใหม่อวี้หย่วนต้องไปคารวะสกุลเซียง คนสกุลหวังกำลังกลุ้มใจเรื่องของขวัญอยู่พอดี โทษว่าอวี้หย่วนไม่นำพาเรื่องนี้ ตอนที่ไปหังโจวถึงไม่ซื้ออะไรกลับมาซักชิ้น
อวี้หย่วนหัวเราะเหอะๆ เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “มิใช่มีท่านแม่กับน้าสะใภ้อยู่หรือ? เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ หากว่าต้องซื้อของมาผิดๆ มิสู้อย่าซื้อแต่แรกเลยดีกว่า!”
หนก่อนที่สกุลเซียงมาเยือนก็ทิ้งความทรงจำที่ไม่ค่อยอภิรมย์ให้เขานัก เขาจึงไม่อยากไปเรือนสกุลเซียงสักเท่าไร แต่เพื่อหน้าตาของคุณหนูเซียง เขาถึงได้ตัดสินใจโยนเรื่องนี้ออกจากสมอง จากนั้นเดินทางไปคารวะคนสกุลเซียงด้วยท่าทีสุภาพถ่อมตัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะอยากยกเรื่องนี้มาพูดอีก
เขาวางน้ำตาลข้าวลงบนโต๊ะตัวเล็ก เอ่ยกับอวี้ถังว่า “น้าสะใภ้ให้มา ชิมดูสิว่าอร่อยหรือไม่”
มารดานั้นตื่นมาเคี่ยวน้ำตาลตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ตอนที่นางยังเด็กเวลาเช่นนี้จะคอยอยู่ข้างเตาไม่ห่างอย่างทนรอไม่ไหว ทุกครั้งล้วนถูกมารดาอุ้มหนี สุดท้ายก็จะร้องไห้งอแงก่อนจะยอมหยุดเมื่อถูกยัดขนมน้ำตาลข้าวให้ชิ้นหนึ่ง
กระทั่งปีที่นางอายุได้สิบขวบ เพราะขโมยกินน้ำตาลข้าวจนลวกปาก ต้องไปเชิญหมอมาดูอาการและกินยาติดกันไปเป็นเดือน ของกินอร่อยๆ ทั้งหลายในวันปีใหม่จึงมีไว้แค่มองเท่านั้น นางไม่เคยตะกละกินไม่เลือกอีกเลย
สำหรับคนสกุลเฉิน เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อห้าหกปีก่อนเท่านั้น แต่สำหรับนาง นี่เป็นเรื่องที่ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว
นางได้แต่ถอนหายใจเงียบๆ ส่งยิ้มให้พลางชงน้ำตาลข้าวให้กับตนเองและอวี้หย่วน “ท่านพี่ก็ลองชิมดูเจ้าค่ะ” อวี้ถังหย่อนตัวนั่งตรงหน้าอวี้หย่วนอีกครั้ง
อวี้หย่วนลองชิมน้ำตาลข้าวชง ได้กลิ่นหอมกรุ่นอบอวล หวานแต่ไม่แสบคอ จึงอดเอ่ยชมไม่ได้ว่า “ไม่คิดว่าท่านน้าสะใภ้จะทำน้ำตาลข้าวได้อร่อยถึงเพียงนี้ ปีนี้นับว่าเป็นลาภปากพวกเราแล้ว”
น้ำตาลข้าวนี้นอกจากใช้บูชาเทพเจ้าเตา ใช้ต้อนรับญาติมิตรที่มากล่าวสวัสดีปีใหม่แล้ว มากกว่าครึ่งหนึ่งก็เตรียมเอาไว้ใช้ตอนอวี้หย่วนแต่งงาน
อวี้ถังแอบหัวเราะ
อวี้หย่วนพลันเขินอาย ไม่กล้าพูดเรื่องน้ำตาลข้าวขึ้นมาอีก แล้วจงใจเลี่ยงประเด็นว่า “ข้ามาคิดดูอย่างละเอียดแล้ว ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ข้าจะไปช่วยดูแลไร่นาและสวนป่าของสกุล พวกเราก็ปลูกต้นไม้ที่เจ้าพูดถึง แล้วทำผลไม้เชื่อมกัน”
อวี้ถังเดาไว้แล้วเหมือนกันว่าคงเป็นเช่นนี้
ชาติก่อนอวี้หย่วนดูแลกิจการได้เป็นอย่างดี ทว่าท่านลุงใหญ่ของนางก็ไม่เคยวางใจ ยังคอยช่วยชี้แนะอวี้หย่วนอยู่เรื่อยๆ ชาตินี้อวี้หย่วนแค่ติดตามอยู่หลังท่านลุงใหญ่เพื่อช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ ท่านลุงใหญ่ยิ่งไม่มีทางปล่อยมือมอบร้านค้าให้เขาไปดูแลแน่
“ข้าก็คิดจะพูดเรื่องนี้กับท่านพี่อยู่พอดี!” อวี้ถังเอ่ยพลางเดินไปที่โต๊ะหนังสือ “ท่านพี่มาดูนี่สิเจ้าคะ นี่เป็นภาพต้นไม้ชนิดนั้นที่ข้าพูดถึง พอพ้นปีใหม่ไปแล้ว พวกพ่อค้าที่อยู่ด้านนอกคงกลับมากันเยอะ ท่านว่าจะขอให้พวกเขาเหล่านั้นช่วยดูหน่อยได้หรือไม่ เผื่อว่าจะมีพ่อค้าคนไหนพอรู้จักต้นไม้ชนิดนี้?”
อวี้หย่วนเดินเข้าดูอย่างละเอียด แล้วม้วนภาพผืนนั้นเก็บไปทันที “ได้สิ เรื่องนี้มอบหมายให้ข้า ก่อนวันที่สิบห้าจะส่งข่าวมาบอกเจ้าแน่”
อวี้ถังถอนหายใจโล่งอก แต่ก็ยังรู้สึกเป็นห่วงอยู่บ้าง รอให้อวี้หย่วนเดินออกไปแล้ว นางจึงวาดรูปต้นซาจี๋ขึ้นมาใหม่ แล้วให้อวี้เหวินที่เพิ่งกลับมาจากการส่งขนมเหนียนเกาช่วยดู “ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าเป็นต้นไม้ชนิดใด? จะตามหาคนที่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้ได้หรือไม่เจ้าคะ?”
ส่วนใหญ่พวกบัญฑิตจะชมชอบต้นไม้บุปผา ไม่แน่อาจจะมีคนรู้จักก็ได้
อวี้เหวินหัวเราะแล้วบอกว่า “เจ้าหาโจทย์ยากอะไรมาให้ข้าอีกแล้วล่ะ?”
เพราะอวี้ถังเสนอให้เชิญคหบดีที่มีชื่อเสียงและบัณฑิตที่สอบเป็นซิ่วไฉจวี่เหรินของเมืองหลินอันมาร่วมดื่มสุรามงคลที่เรือนในงานแต่งของอวี้หย่วน ช่วงนี้อวี้เหวินจึงต้องวิ่งวุ่นขาแทบเรียวเล็กไปหมดแล้ว ไม่ง่ายกว่าจะจัดการเรื่องราวให้เข้าที่เข้าทางได้บางส่วน ไม่ทันไรอวี้ถังก็ถือภาพต้นไม้อะไรไม่รู้มาถามความจากเขาอีก…
อวี้ถังยิ้มอย่างละอาย กอดแขนบิดาแล้วเอ่ยออดอ้อนว่า “ต้นนี้เรียกว่าซาจี๋เจ้าค่ะ ข้ากับท่านพี่วางแผนจะปลูกต้นนี้ที่สวนป่าของสกุลเรา ท่านพ่อช่วยข้าถามหน่อยสิเจ้าคะ! อย่างไรท่านก็ต้องช่วยท่านพี่ไปเชิญแขกคนอื่นๆ อยู่แล้ว!”
คนเมื่อเจอเรื่องยินดีย่อมจะสำราญใจ บุตรสาวเข้ามาคลอเคลียเขา เขาก็ยิ่งเบิกบานใจยิ่งนัก หลังจากแกล้งหยอกนางไปสองสามคำ ตอนที่เขาออกไปส่งเทียบเชิญก็พกภาพผืนนั้นติดตัวไปด้วย
ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดการณ์ของอวี้ถัง คนที่รู้จักต้นไม้ชนิดนี้กลับเป็นเสิ่นซ่านเหยียนอาจารย์แห่งสำนักศึกษาประจำอำเภอ
เขาหัวเราะแล้วถามอวี้เหวินว่า “เจ้าถามไปทำอะไรรึ? ต้นไม้ชนิดนี้แม้จะเนื้อหยาบ แต่พวกเราทางนี้ปลูกไม่ขึ้นหรอก หากเจ้าไม่เชื่อ จะไปดูที่จวนของสยากวงก็ได้ จวนเขาทางนี้ก็มีอยู่หลายต้น เป็นโจวจื่อจินนำกลับมาให้ตอนที่เขาได้ไปกานซู ตอนอยู่ที่โน่นยังงอกเมล็ดออกมาอยู่เลย แต่พอนำมาปลูกกลับไม่ออกผล เพราะเรื่องนี้ จื่อจินยังกระเซ้าสยากวงว่าจวนเขาดินน้ำไม่ได้เรื่อง”
อวี้เหวินนึกไม่ถึงว่าผลจะออกมาเป็นเช่นนี้ เขาเหม่อลอยพักใหญ่แล้วเอ่ยว่า “เป็นบุตรสาวข้าเอง ไม่รู้ว่าไปได้ยินมาจากไหน บอกอยากปลูกต้นไม้ชนิดนี้ที่สวนป่าของสกุล ถึงให้ข้าลองมาสอบถามดู!”
เสิ่นซ่านเหยียนแม้จะปลีกตัวออกจากสังคมภายนอกมาอยู่ที่แห่งนี้ แต่ก็พอได้ยินถึงนิสัยใจคอของอวี้เหวินมาบ้าง ภายหลังได้เจอกันหลายครั้ง ก็พบว่าเข้ากันได้ไม่เลว บางครั้งยังไปชื่มชมดอกไม้และออกไปเดินเที่ยวนอกเมืองกับเขาอีกด้วย เมื่อได้ยินดังนั้นจึงตอบไปว่า “บุตรสาวเจ้าคนนี้ ช่างน่าเสียดายโดยแท้ หากว่าเป็นบุรุษ ต่อให้ไม่ร่ำเรียนวิชาแต่ก็คงทำการใหญ่ออกมาได้”
เสิ่นซ่านเหยียนเป็นใครกัน เขาเป็นถึงคุณชายสกุลเสิ่น อัจริยะในแถบเจียงหนาน เหล่าบัณฑิตได้รับคำชมจากเขาสักหนึ่งคำนับว่าประเสริฐยิ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้เป็นสตรีเลย
อวี้เหวินปลื้มปริ่มจนหน้าบาน แต่ปากก็ถ่อมตนไปว่า “มิได้ มิได้ นางชอบซุกซนไปทั่วเช่นนั้นเอง”
เสิ่นซ่านเหยียนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “แค่ซุกซน ยังซุกซนได้ประสบความสำเร็จเพียงนี้ นับว่าสุดยอดนัก” จากนั้นเขาก็นึกเรื่องงานแต่งของคุณหนูอวี้ขึ้นมาได้ จึงถามออกไปว่า “งานมงคลของบุตรสาวเจ้า เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ อย่าได้ยกให้ผู้อื่นอย่างฉาบฉวยเป็นเด็ดขาด”
“แน่นอน แน่นอน” อวี้เหวินพยักหน้ารับติดๆ กัน
ต่อให้เสิ่นซ่านเหยียนไม่พูดคำนี้ออกมา เขาก็ไม่อาจตัดใจยกนางให้ผู้อื่นอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าอยู่แล้ว ตอนนี้มาได้ยินเสิ่นซ่านเหยียนพูดอีก เขาก็ยิ่งมุ่งมั่นที่จะหาบุตรเขยแสนประเสริฐมาให้จงได้
————————————————————-
[1]น้ำตาลข้าว มีวัตถุดิบหลักคือข้าวสาลี เพาะจนขึ้นเป็นข้าวสาลีงอกใช้ข้าวเหนียวนึ่งมาผสม คั้นน้ำออกมาเคี่ยวให้เหนียว ใช้เป็นตัวเชื่อมขนมให้เป็นแผ่นหรือก้อน มีรสชาติหวาน
[2]เหนียนเกา หรือขนมเข่ง เป็นขนมไหว้วันปีใหม่หรือวันตรุษจีน มีลักษณะแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น แต่มีชื่อเรียกร่วมกันว่า เหนียนเกา เหนียนเกาของทุกถิ่นมีลักษณะสำคัญร่วมกันคือ ทำด้วยแป้งที่ได้จากข้าวชนิดใดชนิดหนึ่ง ภาคใต้ส่วนมากใช้ข้าวเหนียว ภาคเหนือนิยมใช้ข้าวฟ่างเหนียว สาเหตุที่นิยมใช้เหนียนเกาเป็นขนมไหว้ตรุษจีน เพราะชื่อขนมชนิดนี้มีความหมายว่า สูงส่งทุกๆ ปี
[3]กระดาษเกาลี่ เป็นชื่อเรียกสมัยก่อนของกระดาษจากเกาหลี เนื้อสัมผัสมีความเหนียว เรียบ หมึกซึมเล็กน้อย เหมาะสำหรับการประดิษฐ์ตัวอักษรและการวาดภาพ

อวี้ถังยังทำได้เลย เช่นนั้นเขาก็ควรจะลองสักตั้งใช่หรือไม่?

อวี้หย่วนกำลังตรึกตรอง พลันรู้สึกถึงความไม่สบอารมณ์ที่ปะทุอยู่หลายส่วน

เขาเอ่ยขึ้นมาว่า  เพียงแต่ข้าไม่เคยดูแลเรื่องไร่นาและสวนป่ามาก่อน อย่างไรจะนับว่าดูแลได้ดี? แล้วจะทำเช่นไรให้ท่านพ่อเชื่อว่าข้ามีความสามารถจัดการเรื่องในสกุลได้จริง? 

อวี้ถังกลัวว่าอวี้หย่วนจะไม่เชื่อนาง บัดนี้เห็นว่าอวี้หย่วนเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของนางอย่างจริงจัง นางย่อมบอกออกไปอย่างหมดเปลือกไม่ปิดบัง

 ก่อนหน้านี้ตอนที่มาไหว้บรรพบุรุษ พวกเรามิใช่เคยกลับไปที่บ้านเก่าหรือ?  นางเอ่ย  ไร่นาทางนั้นข้าไม่ทันได้สนใจ แต่ว่าสวนป่าของเรา ที่ขึ้นอยู่ก็มีแต่ไม้อะไรก็ไม่รู้ปะปนกันไปหมด ข้าได้ยินคนพูดว่า สวนป่าของเราสามารถปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งผลของมันเอามาทำผลไม้เชื่อมได้ หากว่าพวกเราปลูกต้นไม้ชนิดนี้ ถึงเวลาที่มันออกผล เราก็เอามันมาทำผลไม้เชื่อมขาย 

ตอนแรกที่สองพี่น้องสกุลอวี้แยกบ้านกัน อวี้ป๋อด้วยคำนึงว่าอวี้เหวินเก่งแต่เล่าเรียนเขียนอ่าน ถึงได้ทิ้งที่นาไว้ให้เขาเก็บสวนป่าที่ไม่อาจทำประโยชน์ใดๆ ได้เอาไว้เอง ดังนั้นสวนป่าที่อวี้ถังพูดถึง ความจริงเป็นของครอบครัวอวี้หย่วน อีกทั้งสวนป่าผืนนั้นของอวี้หย่วน ตลอดหลายปีมานี้ นอกจากเผาเป็นฟืนขายได้นิดหน่อยในช่วงหน้าหนาว ก็ไม่เคยสร้างรายได้อื่นๆ จากมันได้อีก

อวี้หย่วนได้ยินดวงตาก็สว่างวาบ  เจ้าคิดให้ละเอียดหน่อยว่าได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร? มีใครเคยทำผลไม้เชื่อมนี้บ้างหรือไม่? กินเข้าไปแล้วรสชาติเป็นเช่นไรบ้าง?  เขาพูดไป แต่จู่ๆ ก็รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา  ต่อให้ทำผลไม้เชื่อมได้ แต่เราจะไปหาคนที่ทำผลไม้เชื่อมเป็นจากที่ไหน? 

น้ำตาลที่อยู่ในเมืองหลินอันส่วนใหญ่มาจากกว่างซี ราคาจึงค่อนข้างสูง บ้านใดที่ฐานะการเงินย่ำแย่บางครั้งที่กินโจ๊กหรืออยู่ไฟ ก็ต้องใส่ผลไม้เชื่อมไปแทนน้ำตาล ดังนั้นผลไม้เชื่อมจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ทว่าผลไม้เชื่อมที่ทำเสร็จแล้วมักมาจากทางหูหนาน พวกเขาทางนี้ต่อให้มีคนทำเป็น แต่นั่นก็เป็นวิชาลับๆ ของสกุล พวกเขาไม่แน่ว่าจะหาคนที่มีฝีมือทางด้านนี้ได้

อวี้ถังตบลงที่อกตัวเอง หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์  มาถามข้าสิ? 

อวี้หย่วนเห็นท่าทางเหลี่ยมจัดของนางแล้ว นึกได้ว่านางประสบเรื่องราวมาตั้งมากแต่ก็ยังร่าเริงสดใสไม่เปลี่ยน รู้สึกภาคภูมิใจในตัวน้องสาวผู้นี้นัก

เขายิ้มออกมาอย่างง่ายดาย ประสานมือคารวะไปทางอวี้ถังคล้ายว่าจริงจังเจือแหย่เล่น  ขอน้องสาวชี้แนะด้วย! 

อาจเพราะไม่มีเรื่องหนักใจ เสียงหัวเราะของอวี้หย่วนจึงดังมาก ทำเอาคนเกือบครึ่งเรือหันมามอง

คนที่สกุลกู้ส่งออกมาก็เช่นเดียวกัน

เพียงแต่พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

คนของสกุลกู้คิดว่าตัวเองเป็นคนเห็นอะไรมามาก กลับคาดไม่ถึงว่าบนเรือที่มุ่งหน้าไปหมู่บ้านเล็กๆ จะเจอพี่น้องที่รูปโฉมท่าทางไม่สามัญ คนได้แต่ลอบทอดถอนใจ และอดจะคิดต่อไม่ได้ว่า หลินอันนับว่าเป็นเมืองที่ดินน้ำสมบูรณ์ไม่เลว ถึงได้มีบุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าบุตรเขยที่ ‘รูปงามเป็นเลิศ’ จนถูกนายหญิงชื่นชมหนักหนาท่านนั้น จะเหมือนดั่งสองพี่น้องคู่นี้หรือไม่…

อวี้หย่วนรู้สึกตัวว่าพวกตนรบกวนคนอื่นเข้า ดวงหน้าจึงขึ้นสี เขาก้มหน้าลงไม่พูดจาอีก ทุกคนถึงได้ดึงสายตากลับไป ต่างหันไปพูดคุยเรื่องของตนเองอีกครั้ง

 เจ้ามีความคิดเช่นไรรึ?  อวี้หย่วนเปิดปากอีกรอบ กดเสียงให้เบาลงมากกว่าครึ่ง  อย่าแกล้งให้ข้าอยากรู้อีกเลย 

อวี้ถังลอบหัวเราะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลงคล้ายอวี้หย่วน  ข้าทำผลไม้เชื่อมเป็นเจ้าค่ะ แต่เคยทำเล่นๆ จำนวนน้อยเท่านั้น หากว่าคิดจะขายให้พวกพ่อค้า คงต้องลองดูว่าทำเช่นไรผลไม้เชื่อมจึงจะขายได้ราคาดี ส่วนสวนป่าผืนนั้นสามารถปลูกผลไม้ชนิดใดได้บ้าง ท่านพี่คงต้องไปลองถามดูเองแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าต้นไม้นี้สูงเท่าหลังคา ผลที่ออกมาเป็นสีเหลืองส้ม ลูกขนาดเท่าหัวแม่มือ มีรสเปรี้ยวหวาน ด้านในมีเมล็ด ตอนที่ทำก็ต้องคว้านเมล็ดออกมาก่อน พอเป็นผลไม้เชื่อมแล้วจะมีรสหวานอมเปรี้ยว ทำให้เจริญอาหารและใช้กินเล่นได้ บ้านใดที่เด็กน้อยหรือคนแก่ไม่อยากอาหาร มักจะชอบซื้อกลับไปด้วย กินสักสองสามเม็ดเป็นใช้ได้ พวกเขา…ฮึ่ม พอทำเป็นผลไม้เชื่อมแล้วพวกเราก็พูดไปแบบนี้ ย่อมต้องขายได้อย่างแน่นอน 

ชาติก่อน เพราะเรื่องสวนป่าผืนนั้น คนสกุลเกาถึงด่าทออวี้หย่วนบ่อยๆ กระทั่งอวี้ถังที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านยังเคยเห็นตั้งหลายหน นางเคยสงสัยว่าสวนป่าของตนที่ตกไปอยู่ในมือของสกุลเผยผืนนั้นเปลี่ยนไปเป็นสวนป่าที่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร นางเคยถือโอกาสตอนที่ไปไหว้สุสานของบิดามารดาลอบสังเกตดู สกุลเผยแม้จะดูแลทรัพย์สมบัติของตนอย่างเข้มงวด แต่เมื่อได้ยินว่านางคือคุณหนูสกุลอวี้ที่แต่งเข้าเป็นสะใภ้สกุลหลี่ หลังจากรายงานให้นายท่านสามทราบแล้ว ก็เชิญนางเข้าไปชมด้วยความเคารพนบนอบ ทั้งมอบผลไม้เชื่อมชั้นดีอีกสองตะกร้าให้นางนำกลับมาด้วย

ตอนนี้มาคิดดู นางก็เคยได้รับน้ำใจจากเผยเยี่ยนมาก่อน

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ดูแลสวนป่ายังเคยบอกกับนางด้วยความปลื้มปริ่มว่า  ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มเรียกว่าซาจี๋ขอรับ นายท่านสามเป็นคนไปพบเข้าตอนที่ไปเที่ยวหาสหายซึ่งรับราชการอยู่ที่ซีเป่ย 

คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันรู้สึกว่าหน้าเห่อร้อน และรู้สึกผิดในใจ

นางเอ่ยว่า  หากบ้านเราปลูกผลไม้ชนิดนี้ออกมาได้ ทำเป็นผลไม้เชื่อม แล้วเอาไปขายที่ร้านค้าสกุลเผยก็คงดี 

การค้าขายพวกผลไม้เชื่อมนี้ คนที่ได้กำไรมากที่สุดคือพวกพ่อค้า แต่คนที่ลงมือทำนั้น จะได้เพียงเงินค่าฝีมือและความลำบาก ก็เหมือนกับคนปลูกฝ้ายแต่ไม่มีเสื้อผ้าฝ้ายสวม คนปลูกข้าวเจ้าแต่ไม่มีข้าวสวยกิน คนที่กอบโกยเงินล้วนเป็นเหล่าพ่อค้าทั้งสิ้น

อวี้หย่วนไม่เคยทำมาค้าขายของพวกนี้มาก่อน ทั้งไม่รู้ว่าของประเภทนี้ทำเงินได้มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญคืออย่างไรเขาก็ยังอยากสร้างร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้ขึ้นมาให้ได้ ส่วนผลไม้เชื่อมนั้น สำหรับเขาเหมือนเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตนเสียมากกว่า เพื่อจะใช้มันให้ได้มาซึ่งสิทธิ์และเสียงในการพูดจาในสกุล ดังนั้นจากความรู้สึกของอวี้หย่วน เขามองมันเป็นเพียงการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ หาได้อยู่ในสายตาของเขาจริงๆ

เขาพูดว่า  นายท่านสามทำกิจการใหญ่โต ไม่แน่จะสนใจการค้าเล็กๆ เช่นนี้ หากว่าทำสำเร็จ ให้เหยาซานเอ๋อร์ขายก็เหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้ต้องคิดวิธีหาต้นไม้ที่เจ้าพูดถึงให้เจอเสียก่อน 

มันต่างกันโดยสิ้นเชิง

หากว่าการค้านี้ทำได้สำเร็จ พวกเขาก็จะเป็นผู้ร่วมหุ้นคนแรกๆ ที่เหมางานยากลำบากของสกุลเผยไว้ทั้งหมด ยังคงเหมือนกับชาติก่อน มอบกำไรที่ควรจะเป็นของสกุลเผยคืนให้แก่เขา

แม้บอกว่าอินทรีย์ยังเหินอยู่บนฟ้า พวกเขาไม่สมควรรีบร้อนไปคำนวณถึงกำไรขาดทุน ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคุณธรรมและขอบข่ายเส้นตายในใจของอวี้ถัง นางคิดว่าสมควรจะพูดกับอวี้หย่วนให้ชัดเจนถึงจะถูก

 ท่านพี่ สกุลเผยมีบุญคุณต่อพวกเรา  นางเอ่ยอย่างยืนกราน  พวกเราสกุลอวี้มีวันนี้ได้ ต้องขอบคุณสกุลเผยที่คุ้มครอง พวกเราไม่อาจหลงลืมตัวตนไป การค้าผลไม้เชื่อมนั้น ขอเพียงสกุลเราทำออกมาได้ อย่างไรก็ต้องขายให้สกุลเผย ถ้าเป็นการค้าอื่น หากเป็นของๆ เราก็นับว่าเป็นของสกุลเราไม่ผิด 

แม้นางจะเอาเปรียบโดยการมาเกิดใหม่ แต่ไม่อาจปล่อยให้การกลับมาของนางทำให้ผู้อื่นต้องเสียผลประโยชน์ แล้วชิงเอาสิ่งที่เป็นของผู้อื่นไปได้

อวี้หย่วนขบคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าคำของอวี้ถังมีเหตุผล เขาไม่ได้แสดงความเห็นเป็นอื่นอีก  เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ รอให้กลับไปข้าจะพูดกับท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อมีความเห็นอย่างไรบ้าง  พูดจบ เขาก็หันมาส่งยิ้มให้อวี้ถัง  ถ้าท่านพ่อตกลงให้ข้าดูแลร้านค้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปปลูกต้นไม้ที่สวนป่าเสีย สวนป่าของสกุลเรากว้างใหญ่ปานนั้น ตอนที่ไม่มีทางเลือกก็คงได้แต่ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ บัดนี้นับว่ามองเห็นทางแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยทิ้งให้สิ้นเปลืองได้อีก 

อวี้ถังตกตะลึง

อวี้หย่วนหัวเราะหึหึ

ทำเอานางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

นี่นับว่าเป็นการย้ายก้อนหินทับเท้าตัวเองหรือไม่?

พวกเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองหลินอันอย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง

ทุกสกุลในเมืองหลินอันเริ่มเตรียมตัวทำความสะอาดเรือนเพื่อฉลองวันปีใหม่เล็กแล้ว

อวี้ถังเพิ่งจะชำระกายเสร็จก็ถูกบิดาลากไปเรือนของท่านลุงใหญ่

อวี้ป๋อนั้นไม่รู้ว่าเพิ่งกลับมาจากร้านค้าหรือว่าไม่ได้ไปที่ร้านแต่แรก คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่รอนางที่เรือน กระทั่งนางกล่าวทักทายท่านลุงเรียบร้อย อวี้ป๋อถึงได้เรียกอวี้หย่วนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกไป เอ่ยถามทั้งสองคนว่า  เป็นอย่างไร? ไปเมืองหังโจวครั้งนี้เก็บเกี่ยวสิ่งใดมาได้บ้างล่ะ? 

น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความร้อนรนแทบทนไม่ไหว

อวี้หย่วนอดจะหันมาแลกเปลี่ยนสายตากับอวี้ถังไม่ได้ เขาเป็นตัวแทนของสองพี่น้องเปิดปากตอบไปว่า  ใช้ได้เลยขอรับ! พวกเราแวะไปหาเหยาซานเอ๋อร์พักหนึ่ง แล้วก็ไปกินข้าวกับเถ้าแก่รองถง พาอาถังไปเดินเล่นดูของ พบว่าร้านค้าในเมืองหังโจวแต่ละร้านล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างกันไป บ้างก็ขายของถูกกว่าเจ้าอื่นๆ บ้างก็เด็กในร้านฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ บ้างก็มีฝืมือเฉพาะของวงศ์สกุล 

เขาไม่ลนลานรีบร้อน เล่าทุกอย่างที่ได้ยินได้เห็นจากเมืองหังโจวตลอดสองวันออกมาเป็นลำดับ นี่คือเรี่ยวแรงที่ลงไปสองวันเต็ม อวี้ถังพลันรู้สึกว่าจู่ๆ ญาติผู้พี่ของนางสุขุมกว่าเดิมมาก ค่อยจะมองเห็นเงาของคนที่ทั้งประสบความสำเร็จและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างชาติก่อน

หรือเพราะเขามีจุดมุ่งหมายที่ต้องฝ่าฝัน?

อวี้ถังใช้ความคิด ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงเรื่องต้นซาจี๋ตั้งแต่เมื่อไร

นางไม่อาจเล่าเรื่องที่ตนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งให้ญาติผู้พี่ฟังได้ และไม่อาจบอกให้ญาติผู้พี่ไปหาต้นซาจี๋มาอย่างทื่อๆ ได้แต่ให้เขาตามหามันจากคำบรรยายของนางเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงญาติผู้พี่ของนาง ไม่ว่ากับใครล้วนเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรทั้งสิ้น เขาอาจเสียเวลาไปหลายปีโดยไม่ได้อะไรกลับมา แถมเรื่องที่อยากให้ท่านลุงใหญ่เห็นความสำคัญของญาติผู้พี่นั้นก็จะยิ่งช้าขึ้นไปอีก วิธีที่ดีที่สุดคืออาศัยความทรงจำของนางในชาติก่อนตามหาต้นซาจี๋แล้วรีบปลูกมันให้สำเร็จโดยไว

เช่นนั้นนอกจากเผยเยี่ยนและสกุลเผยแล้ว ยังมีใครพอรู้เรื่องต้นไม้ชนิดนี้อีก?

อวี้ถังเค้นสมองจนศีรษะแทบแตก

อวี้หย่วนทางนั้นก็เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ แม้กิจการของร้านค้าจะย่ำแย่ นอกจากวันเปิดร้านที่คึกคักช่วงหนึ่ง หลายวันนี้ก็แทบขายอะไรไม่ออกเลย ทว่าอวี้ป๋อก็ยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะมอบร้านให้อวี้หย่วนดูแลโดยไม่หยุดคิดสักนิด

จากคำพูดของท่านลุงใหญ่ เขาบอกว่าญาติผู้พี่ยังไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวเลย แล้วจะเข้าใจการทำมาค้าขายได้อย่างไร?

ส่วนเรื่องที่อวี้หย่วนบอกว่าจะขอเข้าไปดูแลไร่นาและสวนป่านั้นก็ถูกเขาแค่นเสียงใส่  รายได้จากที่นาและสวนป่าไม่กี่หมู่จะทำอะไรได้? เจ้าเลิกคิดเรื่อยเปื่อยได้แล้ว ติดตามข้าเรียนรู้วิชาทำมาหากินให้ดีก็พอแล้ว รอให้เจ้าแต่งกับคุณหนูเซียง คลอดหลานอวบอ้วนให้ข้าสักหลายคน ข้าก็คงกลายเป็นตาแก่ที่มีความสุขกับการเลี้ยงหลานแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยยกกิจการร้านค้าให้เจ้ากับอาถัง ข้ากับท่านอาเจ้าจะคอยช่วยพวกเจ้าเลี้ยงดูเด็กๆ เอง อย่างไรก็ต้องปั้นซิ่วไฉไม่ก็จวี่เหรินออกมาสักคนให้ได้ 

อวี้หย่วนหงุดหงิดแทบทนไม่ไหว

ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งอวี้ถัง!

ร้านค้าของสกุลมิใช่จะยกให้เขา เพื่อให้เขาดูแลอวี้ถังให้ดี แต่กลายเป็นว่าจะยกให้พวกเขาทั้งสองคน

แล้วเขาที่เป็นพี่ชายจะมีไว้ทำไมกัน?

นอกจากให้กำเนิดหลานตัวอวบอ้วนก็ไม่มีประโยชน์อื่นอีกแล้วหรือ?

เขานั่งโมโหงุ่มง่ามเพียงลำพังอยู่ในห้อง

แต่พอหายโกรธแล้วกลับมาย้อนคิดดู มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

อวี้ถังอาศัยความสามารถของตนจนครองตำแหน่งหลักในหัวใจของบิดาเขาแล้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่นางสามารถมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ และดูจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น อวี้ถังก็นับว่ามีกำลังที่จะยืนเคียงข้างเขาจริงๆ ไม่สิ ถึงขนาดพูดได้ว่า อวี้ถังเป็นคนมีความคิดยิ่งกว่าเขา เก่งกาจเหนือกว่าเขาเสียอีก

เขาผู้เป็นพี่ชายนี้ไม่อาจสู้น้องสาวได้เลย

อวี้หย่วนเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องหลายรอบ ก่อนจะวิ่งไปที่เรือนของอวี้ถัง

————————————————–

 

อวี้หย่วนกลัวว่าอวี้ถังจะแสดงเกินงาม ยั่วโทสะแม่นมกู้จนแผนพังไม่เป็นท่า จึงดึงแขนเสื้อของอวี้ถัง แสร้งกล่าวตำหนิ  เจ้าดูนิสัยของเจ้าสิ แค่จุดไฟก็ติดเสียแล้ว ภายกลังข้าจะกล้าพาเจ้าออกมาได้อย่างไรอีก? มีเรื่องอะไรก็นั่งลงพูดจากันดีๆ ทุกคนจ้องมองพวกเราอยู่! เจ้าไม่กลัวคนอื่นรู้เห็น แต่ข้าอายเป็นอย่างยิ่ง! 

เขาคิดจะพยายามถ่วงเวลาอีกเล็กน้อย พูดเรื่องของสกุลหลี่ต่อหน้าแม่ลูกกู้ซานอีกสักสองสามประโยค

อวี้ถังยังคงค่อนข้างเข้าใจสองแม่ลูกกู้ซาน คิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองเพียงพอให้สองแม่ลูกเกิดความแคลงใจ ออกไปสืบเรื่องของสกุลหลี่แล้ว ในเมื่อบรรลุเป้าหมาย นางก็ไม่คิดจะตอแยอะไรกับสองแม่ลูกสกุลกู้อีก บะหมี่สองชามจ่ายเงินไปแล้ว ไม่อาจสิ้นเปลืองได้ รีบกินรีบไปก็เพียงพอแล้ว

นางค้อมตัวนั่งลง

ใบหน้าของอวี้หย่วนผ่อนคลายลง เอ่ยละล่ำละลัก  นี่ก็ถูกแล้ว บะหมี่จวนจะอืดแล้ว รีบกินก่อนเถิด!  พูดจบ เขาก็เอ่ยด้วยท่าทีละอายใจกับแม่นมกู้  ท่านอย่าได้โมโหเลย น้องสาวข้าคนนี้ อะไรก็ดีไปเสียหมด เพียงแต่หุนหันพลันแล่นอยู่บ้างเท่านั้น แต่ก็ไม่อาจโทษนางทั้งหมดได้  พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มกล่าวโทษกู้ซาน  เจ้าก็ไม่บอกข้าเสียหน่อยว่าเจ้าเป็นคนของสกุลกู้? หากรู้เช่นนี้ ข้าคงไม่อาจทักทายลากพวกเจ้ามากินบะหมี่ด้วยกัน 

ตั้งแต่ที่อวี้ถังยืนขึ้น กู้ซานก็หัวหมุนนับครั้งไม่ถ้วน ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ยังแยกไม่ออกว่าพี่น้องอวี้หย่วนพบเขาโดยบังเอิญหรือตั้งใจคอยเขาที่นี่กันแน่ แต่ไม่ว่าจะอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เรื่องเกี่ยวกับสกุลหลี่ที่พวกเขาเอ่ยถึงล้วนทำให้เขาสั่นไหวในใจ

มารดาของเขาเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่ ตั้งแต่แรกชะตากรรมของครอบครัวพวกเขาก็ผูกไว้กับคุณหนูใหญ่แล้ว หนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หนึ่งร่วงทุกคนล้ม งานแต่งของคุณหนูใหญ่ คุณชายใหญ่ไม่ได้ตอบรับ แต่ห้ามนายท่านสองที่หูเบาไม่ได้ ถูกนายหญิงใหม่พูดเกลี้ยกล่อมในเวลาอันสั้น อยากแข่งขันให้รู้ผลแพ้ชนะกับบ้านใหญ่ ใคร่หาผู้ช่วยเหลือให้กับคุณชายสามในสกุล ต้องตาคุณชายจวี่เหรินสกุลหลี่ผู้นั้น จึงได้พยายามกำหนดงานแต่งครั้งนี้ของคุณหนูใหญ่

หากสิ่งที่พี่น้องสกุลอวี้กล่าวเป็นความจริง เช่นนั้นบุตรเขยของคุณหนูใหญ่ของพวกเขาก็อาจจะเป็นดั่งที่คุณชายใหญ่กล่าวไว้ตอนแรก พื้นเพสกุลตื้นเขิน ไม่ค่อยมีเส้นสนกลใน เกรงว่าจะไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าใด

ถอนหมั้นนั้นไม่อาจทำได้ แต่ชั่วชีวิตนี้ของคุณหนูใหญ่คงจบเห่แล้ว!

กู้ซานใจร้อนดั่งไฟสุม ไหนเลยยังจะกินบะหมี่ลง เขาเพียงอยากขอให้คนไปสืบข่าวของสกุลหลี่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาโดยเร็วที่สุด กลับไปรายงานต่อคุณชายใหญ่ ให้คุณชายใหญ่พวกเขาดูว่างานหมั้นของคุณหนูใหญ่ควรจะทำอย่างไร

 ท่านแม่!  กู้ซานที่ไม่ได้เอ่ยอันใดมาพักใหญ่ ส่งสายตาให้มารดา บอกเป็นนัยไม่ให้มารดาต่อปากต่อคำกับอวี้ถังอีก จากนั้นก็ส่งยิ้มขอโทษขอโพยให้กับอวี้หย่วน  พี่อวี้ ข้าเห็นเจ้าและเหยาซานเอ๋อร์เป็นสหายกันตั้งแต่เด็ก คิดว่าเขาคงบอกฐานะข้ากับเจ้าแล้ว ทำให้เจ้าเข้าใจผิดไป ข้าทำไม่ถูกเอง ฟังจากคำพูดของเจ้าแล้ว ดูเหมือนว่าสกุลอวี้ของพวกเจ้าและสกุลเขยของพวกเราจะมีความแค้นอะไรกัน? แต่ว่าก็เป็นดั่งที่คุณหนูอวี้กล่าว อย่างไรข้าและมารดาเป็นเพียงข้ารับใช้ เรื่องของเจ้านาย พวกเราก็ไม่อาจเอ่ยอะไรได้ ขอทั้งสองคนอภัยด้วย ส่วนเรื่องนั่งโต๊ะเดียวกัน คุณหนูอวี้ ข้ากินข้าวกลางวันเสร็จแล้วก็จะรีบไปช่วยที่ร้านค้า เจ้าก็เห็นข้าเป็นเพียงคนแปลกหน้าร่วมโต๊ะกับเจ้าเถิด พวกเรากินเสร็จก็จะไปทันที 

สมแล้วที่เป็นผู้ช่วยคนสนิทของกู้ซี เอ่ยวาจาไร้ช่องโหว่ รอบคอบไม่ขาดตกบกพร่อง

อวี้ถังไม่คิดจะดึงดันต่อ

นางผงกศีรษะ นั่งลงกินบะหมี่

บะหมี่ของร้านนี้สมคำร่ำลือจริงๆ แม้ว่าจะอารมณ์ไม่ดี ซดน้ำแกงเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติที่อร่อยก็ทำให้นางเกิดความอยากอาหารทันที เส้นบะหมี่ก็ทำได้เหนียวนุ่ม พาให้อวี้ถังจดจ่อไปกับการกินบะหมี่โดยไม่รู้ตัว

หากแต่ในใจของแม่นมกู้กลับยุ่งเหยิงมากกว่า

สกุลกู้เป็นสกุลที่โดดเด่นอันดับต้นๆ ของเมืองหังโจว แต่มีหลายบ้านหลายครอบครัว ความขัดแย้งย่อมมากตาม แม้ว่าพี่น้องสกุลอวี้จะมีความแค้นกับสกุลหลี่ คิดจะทำลายงานมงคลของคุณหนูใหญ่พวกเขาและสกุลหลี่ ก็ไม่อาจจะสร้างข่าวลือโป้ปดมดเท็จออกมาได้ทั้งหมด แม้ผู้คนที่มากินร้านบะหมี่เล็กๆ นี้จะมีไม่มาก แต่ผู้ที่มาใช้บริการแปดถึงเก้าในสิบส่วนย่อมเป็นคนพื้นเพของหังโจว ไม่นานคำพูดของพี่น้องสกุลอวี้คงจะแพร่กระจายไปทั่ว หากสกุลหลี่เป็นอย่างที่พี่น้องสกุลอวี้เอ่ยถึงจริงๆ เช่นนั้นงานแต่งของคุณหนูใหญ่พวกเขาจะไม่กลายเป็นเรื่องขบขันในเมืองหังโจวหรอกรึ? ทั้งคุณชายใหญ่ยังต้องถูกคนหัวเราะเยาะเช่นนี้ไปอีกสิบยี่สิบปี?

ยังมีนายหญิงใหม่ของสกุล เดิมทีก็เพราะคุณชายใหญ่มีความสามารถจึงเห็นคุณชายใหญ่ขัดหูขัดตาไปหมด ไร้ทางจะจัดการกับคุณชายใหญ่จึงไปหาคุณหนูใหญ่แทน สกุลกู้มีใครไม่รู้บ้าง? หากสกุลหลี่ไม่เหมาะสมจริงๆ จะให้คุณชายใหญ่ของพวกเขาเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน!

นางไหนเลยจะนั่งติดที่ กินลวกๆ สองสามคำก็กินต่อไปไม่ไหวแล้ว รอจนบะหมี่ของลูกชายมา นางก็ส่งสายตาให้ลูกชายบ่อยครั้ง บอกเป็นนัยให้เขารีบกินรีบไป

กู้ซานกลับใจเย็นกว่ามาก

เรื่องมาถึงขั้นนี้ แทนที่จะหนีกระเจิดกระเจิงเป็นที่ขำขันของคนหังโจว ยังมิสู้สืบข่าวคราวเล็กน้อยจากสองพี่น้องสกุลอวี้เพิ่มเติม

เขากินติดต่อกันหลายคำ รู้สึกว่าอิ่มประมาณครึ่งท้องแล้ว อวี้หย่วนก็กินไปไม่น้อยเช่นกัน เวลานี้จึงเอ่ยปาก  พี่อวี้ ตกลงสกุลหลี่เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึ เจ้าเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ใช่คนที่ชอบพูดจาเรื่อยเปื่อย แต่เจ้าก็รู้ความสัมพันธ์ของสกุลพวกเรากับสกุลหลี่แล้ว ข้ากังวลว่าคุณหนูใหญ่ของพวกเรา…มารดาของข้าเป็นแม่นมของคุณหนูใหญ่สกุลกู้ หากคุณหนูใหญ่ออกเรือน มารดาของข้าย่อมกลายเป็นสินเดิมไปเมืองหลินอันด้วย ข้าก็ต้องตามไปรับใช้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ คุณชายใหญ่จึงจัดการให้ข้าไปเรียนรู้ฝึกฝนในร้านค้าแต่ละแห่ง แม้ว่าจะเพื่อตัวเอง ข้าก็จำเป็นต้องถาม อย่างไรขอพี่อวี้อย่าได้ปิดบัง ข้าขอบคุณพี่อวี้ล่วงหน้าตรงนี้แล้วกัน  พูดจบ เขาก็หยัดกายเตรียมจะคำนับให้อวี้หย่วน

เมื่อครู่ละครฉากใหญ่ของอวี้ถังเพิ่งจะสงบลงไป กู้ซานก็เป็นฝ่ายถามเรื่องสกุลหลี่ขึ้นมาอีก อวี้หย่วนไม่อยากมีปัญหาสอดแทรกเพิ่มเข้ามา รีบดึงเขาให้นั่งลง เอ่ยเสียงเบา  น้องกู้อย่าได้ทำเช่นนี้ มีอะไรพวกเราคุยกันดีๆ เถิด  พูดจบก็ยังมองไปรอบๆ คล้ายกลัวเรื่องกลัวราว

กู้ซานย่อมไม่อยากให้เรื่องลุกลามใหญ่โต

เขายอมนั่งแต่โดยดี ประสานมือไปทางอวี้หย่วน  พี่อวี้! 

อวี้หย่วนถอนหายใจ ปิดบังเรื่องแผนที่ไว้ เล่าวีรกรรมที่ฮูหยินหลี่ทำเพราะสู่ขออวี้ถังไม่สำเร็จออกมา รวมถึงเรื่องเว่ยเสี่ยวซานให้กับสองแม่ลูกสกุลกู้ฟัง

ทั้งสองคนยิ่งฟังสีหน้าก็ยิ่งบิดเบี้ยวขึ้นเรื่อยๆ รอจนฟังถึงยามที่เชิญเผยเยี่ยนมาเป็นคนกลาง พวกเขาก็ยิ่งพากันสะท้านในใจ แม่นมกู้เอ่ยอย่างตกใจ  เช่นนั้นแล้ว นายท่านสามสกุลเผยก็ทราบเรื่องนี้อย่างนั้นรึ? 

ดูท่าแล้ว คงเกรงกลัวเผยเยี่ยนอยู่บ้าง

อวี้หย่วนคิดคล้อยตาม ชำเลืองตามองอวี้ถังอย่างว่องไว  ทราบแล้ว! ไม่เพียงนายท่านสามสกุลเผย แต่ผู้คนมีหน้ามีตาในเมืองหลินอันของพวกเราก็รู้โดยทั่วกัน 

สีหน้าของแม่นมกู้เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดโดยพลัน

อวี้ถังกลอกตา ตั้งใจแค่นเสียง  ยามนี้คงรู้ว่าพวกเราไม่ได้พูดจาเรื่อยเปื่อยแล้วกระมัง? หากพวกเจ้ายังไม่เชื่อ ก็ไปถามนายท่านสามสกุลเผยได้ 

แม่นมกู้ไม่ปริปากกล่าวอันใด

รอยยิ้มของกู้ซานดูฝืนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หยัดกายขึ้นพยุงมารดา  พี่อวี้ ถึงเวลาที่ข้าจะไปเข้างานแล้ว คงต้องขอตัวก่อน ภายหลังหากมีเวลาข้าจะเชิญเจ้าไปดื่มชา 

อวี้หย่วนลุกขึ้นส่งเขา แสร้งเอ่ยออกมา  พี่อวี้ น้องสาวข้าเป็นคนมุทะลุอยู่บ้าง หากพูดล่วงเกินที่ใดไป ขอเจ้าอย่าได้เก็บมาใส่ใจ 

 จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร!  กู้ซานเอ่ยอย่างถ่อมตัว

ทั้งสองคนกล่าวเป็นมารยาทกันสักพัก ก็แยกย้ายทางใครทางมัน

อวี้หย่วนทอดมองแผ่นหลังของสองแม่ลูกกู้ซาน ถอนหายใจยาว เอ่ยกับอวี้ถังอย่างอารมณ์ดี  ไอหยา วันนี้โชคดีจริงๆ ในที่สุดเรื่องนี้ก็เสร็จสรรพไป ไม่อย่างนั้นหากเจ้าให้ข้าพูดใส่ร้ายสกุลหลี่ต่อหน้าผู้อื่น ข้าคงพูดไม่ออกอยู่บ้างจริงๆ 

อวี้ถังยิ้มอย่างเข้าใจ  หากพูดเรื่องโชค นั่นก็เป็นโชคของท่านพี่ หากไม่ใช่ท่านสงสารข้า พาข้ามากินบะหมี่ พวกเราจะพบสองแม่ลูกกู้ซานได้อย่างไร? ทั้งคงไม่พูดคุยกับพวกเขาอย่างราบรื่นเช่นนี้? เรื่องครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านพี่แล้ว! 

อวี้หย่วนหน้าแดงเถือก เขินอายกว่าจะพูดอะไรอีก จึงเปลี่ยนประเด็น  เช่นนั้นอีกเดี๋ยวพวกเราจะทำอะไรดี? หรือล่วงหน้ากลับหลินอันเลย? 

ตามแผนเดิมพวกเขาจะพักที่นี่สองวันสองคืน พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับ

อวี้ถังครุ่นคิด  พรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเราค่อยกลับก็ได้กระมัง! เวลาที่เหลือก็เที่ยวเล่นในเมืองหังโจว ดูว่าร้านค้าคนอื่นตกแต่งวางของอย่างไร? เด็กในร้านต้อนรับลูกค้าอย่างไรบ้าง? การค้าแบบใดที่รายได้ดีที่สุด? ทั้งพวกร้านค้าเครื่องลงรัก เครื่องเงินนั้นขายของใช้แบบไหนบ้าง…ท่านคิดว่าเป็นอย่างไร? 

 ได้สิ!  อวี้หย่วนยิ้มเผล่  พวกเราทำเรื่องสำคัญที่สุดสำเร็จแล้ว เรื่องอื่นล้วนพูดกันได้ทั้งนั้น 

อวี้ถังพยักหน้า

สองพี่น้องเดินเที่ยวเล่นอย่างชื่นอุรา

ด้านแม่ลูกสกุลกู้พูดคุยกันเงียบๆ หลังร้านผ้าไหมสกุลกู้อยู่ค่อนวันจึงแยกย้ายกัน กู้ซานตบแก้มตัวเอง ทำให้ตัวเองดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจึงค่อยเข้าร้าน ส่วนแม่นมของกู้ซีเดินกลับจวนด้วยใบหน้ามืดมนตลอดทาง

วันถัดมาฟ้าไม่ทันสว่าง ก็มีคนออกจากประตูหลังสกุลกู้ ขึ้นเรือไปเมืองหลินอัน

สองพี่น้องอวี้ถังก็อยู่บนเรือเที่ยวนี้เช่นกัน

ทั้งสองคนทำเหมือนยามที่มา หามุมหนึ่งนั่งลง พูดถึงสิ่งที่ได้พบได้เห็นตลอดสองวันนี้ที่หังโจว อวี้ถังก็ฉวยโอกาสยุยงอวี้หย่วนยึดอำนาจในการตัดสินใจของร้านค้าสกุลอวี้  ข้าไม่ได้อยากให้ท่านอกกตัญญูต่อลุงใหญ่ ข้าคิดว่าหากไม่ทำลายสิ่งเก่า ย่อมไม่อาจสร้างสิ่งใหม่ แทนที่จะให้ร้านค้าสกุลพวกเราถึงทางตันจนตรอกอยู่เช่นนี้ มิสู้ตัดสินใจเด็ดขาดให้เหลือทางรอดเดียว หากลุงใหญ่ยินยอมมอบร้านค้าให้ท่านดูแล ก็ให้ลุงใหญ่ไปควบคุมดูแลเรือกสวนไร่นาและพื้นที่ป่าเขาของสกุลพวกเรา หากลุงใหญ่ยังดึงดันจะจัดการร้านค้าเอง มิสู้ท่านไปดูแลทางสวนไร่และพื้นที่ป่าเขาของสกุล รอจนทางนั้นมีผลผลิตกำไร ลุงใหญ่รู้ว่าท่านมีความสามารถ คำพูดของท่านก็ย่อมมีน้ำหนักในสกุลพวกเรา ยามที่ท่านและลุงใหญ่ปรึกษาหารือเรื่องร้านค้าว่าจะทำอย่างไร ลุงใหญ่ยอมให้ความสำคัญและคำนึงถึงความคิดเห็นของท่าน 

เมื่อเป็นเช่นนี้ ลุงใหญ่และญาติผู้พี่ก็ไม่ต้องทะเลาะกัน ทั้งสามารถให้ลุงใหญ่ค่อยๆ ส่งมอบร้านค้าให้เขาได้

อวี้หย่วนดูเหมือนจะครุ่นคิดอะไรอยู่

อวี้ถังเอ่ยต่อ  ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดไม่ต่างจากท่านเช่นกัน ร้านค้าในบ้านให้ลุงใหญ่เป็นคนดูแล ส่วนท่านไปทำกิจการที่หังโจว แต่สองวันนี้หลังจากที่ข้าเดินเที่ยวเล่นในหังโจวกับท่าน ก็พบว่าแต่ละร้านที่ลงหลักปักฐานที่นี่ ล้วนมีกลเม็ดเคล็ดลับเป็นของตัวเอง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เงินสามารถแก้ปัญหาได้ ในหนังสือก็บอกไม่ใช่รึ? การปกครองประเทศก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อย[1]? พวกเรายิ่งไม่อาจรีบร้อนได้ ควรค่อยเป็นค่อยไป 

อวี้หย่วนเอ่ย  เหมือนกับเจ้าใช่หรือไม่? 

เมื่อก่อนอวี้เหวินกระทำอันใดไม่เคยเอ่ยถามอวี้ถังเลย วันนี้หากประสบพบเจอเรื่องราวย่อมมิวายถามความเห็นอวี้ถัง หากอวี้ถังคัดค้าน ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะละทิ้ง แม้ว่าจะเป็นบิดาของเขา ยามนี้หากมีเรื่องใดที่มีความคิดของอวี้ถังเข้ามาข้องเกี่ยว ก็จะครุ่นคิดอย่างละเอียดเช่นกัน

—————————-

[1]การปกครองประเทศก็เหมือนการทอดปลาตัวน้อย อุปมาว่า การปกครองประเทศก็เหมือนทอดปลาในกระทะ ไฟแรงปลาก็ไหม้ ไฟอ่อนเกินเวลาพลิกก็ติดกระทะ ดังนั้นต้องคอยปรับไฟอย่างรอบคอบ เหมือนกับการปกครองประเทศ ต้องระมัดระวัง สุขุมรอบคอบ จึงจะปกครองประเทศให้ดีได้

 

ลูกชายของแม่นมมองลูกค้าที่เข้าแถวรอกินบะหมี่ข้างนอกอยู่ยาวเหยียด ก่อนจะหันมามองอวี้หย่วนที่ยิ้มให้เขาอย่างเป็นมิตร ลังเลเพียงชั่วครู่ก็ปรากฏรอยยิ้ม เดินไปหาอวี้หย่วนที่โบกมือ  ข้ากำลังคิดจะไปหาพวกเจ้า คาดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมีที่นั่งแล้ว  พูดจบ เขาก็หันกลับมาเอ่ยกับแม่นมของกู้ซี  ท่านแม่ พวกเราเข้าไปนั่งเถิด! 

แม่นมของกู้ซีสองจิตสองใจอยู่บ้าง

ลูกชายของนางเอ่ยเสียงเบา  อีกเดี๋ยวข้ายังต้องกลับไปจัดการบัญชีที่ร้าน! 

แม่นมของกู้ซีได้ยินเช่นนั้น ก็เดินมาทางโต๊ะที่อวี้หย่วนและอวี้ถังนั่งอยู่

 ขอบคุณจริงๆ พ่อหนุ่ม!  เมื่อเดินมาด้านหน้าโต๊ะ นางก็เอ่ยอย่างเกรงใจและอ่อนโยน  ครั้งหน้าจะให้กู้ซานเอ๋อร์เชิญพวกเจ้าไปดื่มชา 

แม่นมกู้แต่งงานกับบ่าวคนหนึ่งของสกุลกู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งสกุลมาตั้งนานนมแล้ว แต่แม่นมของกู้ซีดวงอาภัพยิ่ง ให้กำเนิดบุตรชายสามคน กลับมีกู้ซานเหลือรอดเพียงคนเดียว ยามที่กู้ซานอายุครบสองเดือน สามีก็ป่วยตายกะทันหัน ภายหลังกู้ซีแต่งเข้าสกุลหลี่ กู้ซานก็ตามมารดาเข้ามาหลินอันด้วยกัน ช่วยกู้ซีดูแลเรือกสวนไร่นา แต่งงานกับสาวใช้สินเดิมของกู้ซี ทั้งเป็นผู้ช่วยมากความสามารถของกู้ซี

ดังนั้นอวี้ถึงจึงจำกู้ซานได้เช่นกัน

แต่ว่ากู้ซานในยามนี้ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้หนึ่งเท่านั้น แม้ว่าไม่กี่ปีให้หลัง เขาจะฉายแววความหลักแหลม มากความสามารถขึ้นมาอย่างเงียบเชียบก็ตาม

เขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับอวี้หย่วน จัดแจงให้มารดานั่งลงตรงข้ามอวี้ถัง ตัวเองกลับไม่นั่ง เอ่ยถามอวี้หย่วนแทน  พี่อวี้ พวกเจ้าสั่งบะหมี่หรือยัง? 

อวี้หย่วนผงกศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  พวกเราสั่งบะหมี่หน่อไม้ อาหารแนะนำของทางร้าน 

กู้ซานพยักหน้า  เช่นนั้นก็ดี พวกเราก็สั่งบะหมี่หน่อไม้ด้วยแล้วกัน  กล่าวจบ เขาก็วิ่งไปสั่งบะหมี่ทางเถ้าแก่ ให้ช่วยเร่งรัดเด็กในร้าน ดูคล่องแคล่วอย่างยิ่ง

สมแล้วที่เป็นคนสนิทของกู้ซีในภายหลัง

อวี้ถังลอบสังเกต ในใจก็ปรากฏความคิดขึ้นมา

แม่นมกู้ที่ยอบกายนั่ง ซึ่งก็คือมารดาของกู้ซานเริ่มสนทนากับอวี้หย่วนขึ้นมา  เจ้าทำงานที่ร้านค้าสกุลใดรึ? ไฉนข้าจึงไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเจ้ามาก่อน? เจ้ารู้จักอาสามของพวกเราได้อย่างไรกัน? 

ฟังแล้วคล้ายมารดาที่เป็นห่วงเรื่องเพื่อนของลูกชายทั่วไป ทว่าแววตากลับปรากฏความระแวดระวังอยู่หลายส่วน

อวี้ถังก้มหน้าดื่มชาที่ร้านนำมาให้คำหนึ่ง

สกุลกู้นั้นโดดเด่นในเมืองหังโจว ไม่รู้ว่ามีคนเท่าใดอยากจะผูกสัมพันธ์กับสกุลพวกเขา คาดว่ากู้ซานที่เป็นลูกแม่นมของกู้ซี ก็คงพบเจอคนที่ตั้งใจผูกมิตรแอบแฝงจุดประสงค์ไม่น้อย

อวี้หย่วนไม่มีความคิดจะผูกมิตรกู้ซานเป็นสหาย จึงพูดออกไปตามตรง  เพิ่งรู้จักเมื่อวาน ข้าเป็นคนหลินอัน มาหาเพื่อนที่นี่ บังเอิญว่าเพื่อนคนนั้นของข้าและน้องกู้รู้จักกัน ทุกคนไปกินข้าวมาด้วยกันครั้งหนึ่ง เห็นพวกเจ้าเข้าแถวอยู่ตรงนั้น จึงเรียกพวกเจ้ามาโดยไม่คิดอะไร 

คำพูดนี้ไฉนฟังดูแล้ว คล้ายเป็นวิธีที่ใช้ผูกมิตรกับกู้ซาน

แม่นมกู้เผยท่าทีระแวดระวังยิ่งขึ้นไปอีก นางเอ่ย  พ่อหนุ่มอวี้เป็นคนหลินอันรึ? เจ้ามาหังโจวเพื่อเที่ยวเล่นหรือเพราะธุระอันใด? นี่ก็ใกล้ข้ามปีแล้ว เหตุใดผู้ใหญ่ในสกุลพวกเจ้าจึงปล่อยให้พวกเจ้าออกจากบ้านในเวลานี้กัน?  พูดจบ นางก็มองไปที่อวี้ถังทีหนึ่ง

อวี้หย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  สกุลพวกเราก็คือพวกเราสองพี่น้องนี่แหละ เรื่องในบ้านมีผู้ใหญ่คอยดูแลควบคุมอยู่ พวกเราที่เป็นผู้น้อยจึงว่างเป็นอย่างยิ่ง มาหังโจวก็เพื่อเที่ยวเล่น ดูว่ามีของดีอันใดน่าซื้อหรือไม่ 

คิ้วของแม่นมกู้ขมวดแน่น ยังคิดจะกล่าวอะไร แต่กู้ซานกลับยกถาดรองที่มีชามใหญ่สองชามวางอยู่เข้ามาก่อน

อวี้หย่วนรีบกุลีกุจอลุกไปช่วยรับถาดรอง

กู้ซานเอ่ย  นี่เป็นของพวกเจ้า ของพวกเรายังต้องรอสักพัก พวกเจ้ากินก่อนเถิด อีกเดี๋ยวก็ถึงคราวของพวกเราแล้ว 

อวี้หย่วนเอาชามหนึ่งให้แม่นมกู้ อีกชามให้อวี้ถัง  อย่างไรพวกเราก็ไม่มีเรื่องเร่งรีบอะไรอยู่แล้ว ให้มารดาเจ้ากับน้องข้ากินก่อนเถิด ข้าและเจ้ารอสักประเดี๋ยว จะได้มีเวลาคุยเล่นกันด้วย 

กู้ซานปราดมองมารดาแวบหนึ่ง

แม่นมกู้ผงกศีรษะเล็กน้อย

กู้ซานจึงยิ้มรับยอบกายนั่ง ดึงตะเกียบสองคู่ให้อวี้ถังและมารดา เวลานี้จึงค่อยดื่มชาอึกใหญ่ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ย่อมได้! คาดไม่ถึงว่าจะบังเอิญขนาดนี้ มาพบพี่อวี้ที่นี่ได้ นี่พวกเจ้าจะไปไหนกันรึ? วางแผนจะกลับเมื่อใด? หากมีเวลาว่างข้าจะเลี้ยงสุราท่าน 

อวี้หย่วนเผยยิ้มอย่างไม่ยี่หระ  ข้าและน้องสาวจะกลับพรุ่งนี้แล้ว หลังจากกลับไป ร้านค้าของสกุลก็คงเริ่มยุ่ง ช่วงนั้นคงไม่มีโอกาสมาหังโจวหรอก หากน้องกู้มีโอกาสไปหลินอัน มิสู้แวะมาหาข้าที่ร้านค้าเครื่องลงรักสกุลอวี้ตรงถนนฉางซิ่ง ข้าจะเป็นเจ้าบ้าน พาเจ้าเที่ยวเมืองหลินอัน 

กู้ซานมองมารดาอย่างว่องไว ยิ้มเป็นพิธี  เช่นนั้นข้าคงต้องหาเวลาว่างไปหลินอันสักคราแล้ว 

อวี้ถังแค่นหัวเราะในใจ

สองแม่ลูกผู้นี้ คงจะคิดว่าอวี้หย่วนและอวี้ถังอยากอาศัยความสัมพันธ์พวกเขาไปผูกมิตรกับสกุลกู้ไม่ก็สกุลหลี่กระมัง!

อวี้ถังอึดอัดในใจ ตัดสินใจเป็นฝ่ายลงมือก่อน

นางดึงแขนเสื้อของอวี้หย่วน ใช้เสียงกระซิบที่สองแม่ลูกสามารถได้ยินเช่นกัน  สกุลกู้ คงไม่ใช่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลกู้แห่งหังโจวหรอกกระมัง? 

ชั่วขณะนั้นอวี้หย่วนยังไม่เข้าใจว่าอวี้ถังจะมาไม้ไหน จึงชะงักไปเล็กน้อย

สองแม่ลูกกู้ซานแลกเปลี่ยนสายตากัน แม่นมกู้จึงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา  คุณหนูอวี้รู้จักสกุลกู้ของพวกเรารึ? 

อวี้ถังใบหน้าดำคล้ำ  พวกเจ้าเป็นคนของสกุลกู้แห่งหังโจวจริงๆ รึ? 

ยามที่นางกำลังทำหน้ามืดหม่น คิ้วนั้นไม่ได้เหยียดตรงทั้งหมด แต่ดวงตากลมโต จมูกที่เชิดรั้น งดงามเป็นอย่างยิ่งไม่ว่า ยามที่นางก้มหน้าไม่พูดไม่จา ก็พาให้คนรู้สึกถึงความอ่อนหวานพริ้มเพรา แต่เมื่อนางพูดขึ้นมา โดยเฉพาะสีหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้ ชั่วพริบตาใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นคมเด่นขึ้นมา เป็นความสง่างามที่ไล่ต้อนผู้คนได้

แม่นมกู้ก็พบหญิงงามมาไม่น้อย คาดไม่ถึงว่าถูกอวี้ถังทำหน้าแข็งทื่อใส่เช่นนี้ กลับไม่อาจตอบกลับได้ในทันที เป็นกู้ซานที่ระแวดสองพี่น้องอวี้หย่วนมาโดยตลอด ฟังจบ เห็นมารดาไม่กล่าวอะไร เขาก็เอ่ยทันที  พวกเรานับเป็นคนสกุลกู้แห่งหังโจวไม่ได้หรอก เพียงแต่บิดาข้าเป็นบ่าวที่ตกทอดหลายชั่วอายุคนของสกุลกู้ ได้รับความเมตตาจากสกุลกู้ สมัยพ่อของปู่ทวดข้าก็ได้ใช้สกุลกู้ตาม พวกเราแม่ลูกจึงได้ทำงานรับใช้ในสกุลกู้ 

หากสองพี่น้องสกุลอวี้เตรียมการณ์มา ย่อมรู้ว่าเขาเป็นใคร เขาไม่จำเป็นต้องปากมาก แต่หากไม่รู้จัก อาศัยจากความสัมพันธ์ของพวกเขา เพียงแค่ผูกมิตรกันตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว

ใครจะรู้ว่าเขาเพิ่งเอ่ยจบ อวี้ถังก็เด้งตัวลุกขึ้นมา กล่าวกับอวี้หย่วน  ท่านพี่ พวกเราไปเถิด! ข้าไม่อยากนั่งกับคนอย่างพวกเขา 

พื้นที่ร้านค้าค่อนข้างเล็ก อวี้ถังยืนเช่นนี้ ล้วนดึงดูดสายตาผู้คนให้จ้องมองมา คำพูดของนางยิ่งแพร่กระจายเข้าหูของทุกคน อย่าพูดถึงคนในร้านเลย แต่คนที่เข้าแถวใกล้ๆ ร้านก็ได้ยินทั่วกัน พากันหูตั้งขึ้นมา ชั่วพริบตาร้านค้าทั้งนอกทั้งในเงียบเชียบเป็นเป่าสาก ได้ยินเพียงเสียงน้ำแกงร้อนที่เดือด ‘ปุดๆ’ เท่านั้น

นับตั้งแต่แม่นมกู้เป็นสาวใช้ใหญ่ของมารดากู้ซีก็ไม่เคยพบเจอสถานการณ์ลำบากใจเช่นนี้มาก่อน นางกระวีกระวาดยืนขึ้น เอ่ยกับอวี้ถังเสียงเบา  แม่หนู ไม่ว่ามีเรื่องอันใด เจ้าทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้ทุกคนอับอายไปด้วยกัน เจ้านั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาคุยกันดีๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีทางออกทั้งนั้น หากข้าไม่อาจคลี่คลายได้ ก็ไปหานายท่านใหญ่สกุลกู้ของพวกเรา เรื่องที่คนอื่นแก้ไขไม่ได้ เขาย่อมมีวิธีแก้ไข  ประโยคสุดท้าย แฝงความหมายข่มขู่อยู่เลือนราง

อวี้ถังกลัวว่าเรื่องจะไม่ใหญ่พอ ยิ่งไปกว่านั้นยามที่มาก็ได้เตรียมโยนทิ้งเรื่องหน้าตาไปไว้อีกฝั่งแล้ว

นางแค่นหัวเราะยอบนั่งลง เอ่ยอย่างกำปั้นทุบดิน  ท่านก็อย่าได้ใช้นายท่านใหญ่สกุลกู้มาข่มข้า ในเมื่อข้ากล้าทำ ย่อมกล้ารับ เจ้าจะเรียกนายท่านใหญ่พวกเจ้ามา ข้าก็กล้าพูดไม่กลัวอันใดทั้งนั้น 

แม่นมกู้ทั้งโมโห ร้อนใจ และรำคาญ

แม้ว่าพวกนางจะนั่งลง แต่ทุกคนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องสนุกให้ดู แม้คนในร้านค้าจะกินบะหมี่ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับลอบมองพวกเขาอยู่ ใคร่ฟังข่าวล่ำลือนินทา จะได้เอาไปพูดคุยซุบซิบกับผู้อื่นได้ ความสนใจของทุกคนจึงพุ่งไปอยู่ที่พวกเขาอย่างไม่ลดละ

แม่นมกู้กดเสียงลดอย่างไม่เป็นตัวเองอยู่หลายส่วน ฝืนยิ้มออกมา  อย่างไรคุณหนูอวี้กินบะหมี่ก่อนเถิด รอกินบะหมี่เสร็จแล้ว พวกเราค่อยหาที่คุยกันดีๆ 

นี่หากเป็นในจวนสกุลกู้ อย่าว่าแต่กินบะหมี่อะไรเลย นางคงจะลากแม่หนูผู้นี้ไปคุยกันด้านข้างแล้ว หากยังพูดไม่กระจ่าง ก็อย่าได้คิดจะกินอะไรทั้งนั้น

แม่นมกู้ฝืนกดโทสะที่สุมอยู่ในอก อวี้ถังไม่ได้วางแผนที่จะมาเอาใจนาง แค่นยิ้มหยัน พูดด้วยเสียงเฉกเช่นปกติ  ท่านไม่ต้องไว้หน้าข้าหรอก ข้าไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลกู้ หากจะเอ่ยขึ้นมา สกุลพวกเรายังมีความแค้นกับสกุลกู้…หลี่ตวน บุตรเขยของสกุลกู้พวกเจ้า ไม่สิ ควรพูดว่าฮูหยินหลี่ มารดาของเขยบ้านรองสกุลกู้ของพวกเจ้า ช่างไร้ยางอายจริงๆ ดูสิว่าทำเรื่องงามหน้าอะไรออกมา? บุตรเขยสกุลพวกเจ้ายังสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ขอขมาให้คนอื่นอยู่เลย คนเมืองหลินอันแห่มาดูมหรสพจนแออัดเต็มถนนไปหมด ใครบ้างไม่รู้ ใครบ้างไม่เห็น อย่ามาทำท่าทางประหนึ่งกลัวว่าพวกเราสองพี่น้องอยากจะประจบประแจงพวกเจ้า ข้าไม่ฟังคำอธิบายจากพวกเจ้าหรอก แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เจ้าพูดถูก ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนมีวิธีแก้ไข หากเจ้าคิดว่าได้รับการเหยียดหยามจากข้าที่นี่ ก็เรียกนายท่านใหญ่สกุลพวกเจ้ามา ให้นายท่านใหญ่สกุลพวกเจ้าให้ความชัดเจนแก่พวกเรา ดูสิว่าเป็นเจ้าที่มีตาหามีแววไม่ หรือเป็นพวกเราที่ไร้เหตุผล 

นางคารมคมคาย ทำเอาแม่นมกู้โมโหจนหน้าดำเป็นก้นหม้อ ลำพังแค่กังวลเรื่องชื่อเสียงของสกุลกู้ในเมืองหังโจวก็ไม่กล้ากล่าวเสียงดังอันใดกับอวี้ถังแล้ว

ก่อนหน้านี้อวี้หย่วนยังกังวลว่าอวี้ถังกระทำเรื่องบ้าบิ่นเกินไป ยามนี้เห็นแม่นมของกู้ซีข่มกลั้นไม่ปริปากพูด จึงเชื่อดั่งที่อวี้ถังกล่าวว่า ‘สกุลร่ำรวยมากบารมีนั้นรักหน้าตาตัวเองเป็นที่สุด ต่อหน้าเจ้าไม่กล้าทำอะไร กลับลอบใช้แผนการลับหลังเท่านั้น’ เขารู้สึกโล่งใจ ทั้งใจแขวนอยู่กลางอากาศในเวลาเดียวกัน

สกุลกู้คงไม่ลอบลักพาตัวพวกเขาสองพี่น้องไปหรอกกระมัง?

อีกเดี๋ยวเขาจะเจอเถ้าแก่รองถง ควรเอ่ยเรื่องนี้กับเขาดีหรือไม่?

หรือว่า พวกเขาจ้างเรือกลับหลินอันคืนนี้เลย? อย่างไรพวกเขาก็ทำเรื่องบรรลุเป้าหมายแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะรั้งอยู่ที่หังโจว

ด้านอวี้หย่วนยังคงคิดว้าวุ่นไปร้อยแปดพันเก้า กู้ซานดึงสติกลับมา เขาประกายสายตาเยียบเย็น เอ่ยอย่างจริงจัง  ทั้งสองคนมาหาเรื่องอย่างนั้นรึ? 

อวี้ถังไม่ได้ใจเย็นสงวนกิริยาเหมือนชาติก่อน ทั้งไม่คิดจะก้มศีรษะยอมให้คนอื่นทำอะไรหยาบคายกับนางก็ได้ ได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ จึงตอบกลับทันที  เจ้าคิดว่าพวกเจ้านับเป็นของสิ่งใดกัน? หากข้าอยากหาเรื่อง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องทำกับพวกเจ้า! ข้าว่าเจ้าคงอยู่ในเมืองหังโจวนานเกินไป กลายเป็นกบในกะลา คิดว่านอกจากสกุลกู้ของพวกเจ้าแล้วก็ไม่มีสกุลใดอีก เพียงแค่พูดกับพวกเจ้าเพียงไม่กี่คำก็คิดว่าคนอื่นอยากจะหาผลประโยชน์จากพวกเจ้า เจ้าไม่ลองไปสืบข่าวดูเสียบ้าง สกุลอวี้ของพวกเราก็เป็นสกุลบัณฑิตที่มีหน้ามีตาในหลินอัน จะต้องใช้แผนการอะไรกับพวกเจ้าที่เป็นบ่าวรับใช้?  พูดจบ นางก็ตะโกนเรียกเถ้าแก่เสียงดัง  พวกเราไม่รู้จักสองคนนี้ รบกวนท่านเปลี่ยนโต๊ะให้ด้วย! 

แม่นมของกู้ซีโมโหจนหน้าเทา เถ้าแก่เผยรอยยิ้มอบอุ่นใสซื่อ จะเปลี่ยนก็ไม่ได้ ไม่เปลี่ยนก็ไม่ได้อีก

————————

 

ประตูอู่หลินนั้นรายล้อมด้วยร้านผ้าต่วนผ้าไหมเป็นส่วนใหญ่

หรืออาจจะเป็นเพราะใกล้ข้ามปีใหม่แล้ว ร้านค้าแต่ละแห่งเปิดไม่กี่วันก็จะหยุดกิจการ ผู้คนบนท้องถนนจึงมากเป็นพิเศษ เดินเบียดเสียดไหล่ชนกัน ทอดมองไปที่ไหน ก็มีแต่ศีรษะคนทั้งนั้น

อวี้ถังตามติดอยู่หลังอวี้หย่วนไม่ห่าง เหลียวซ้ายแลขวา สังเกตร้านรวงต่างๆ โดยรอบ ไม่นานก็พบร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่ง

ประตูหน้าแปดช่อง ป้ายร้านสีแดงสูงเท่าคน ดูไม่แตกต่างจากร้านค้าด้านข้างมากมาย บานประตูที่เคลือบสีดำขลับฝังด้วยกระจกสีโปร่งใส ฤดูหนาวเย็นจนตัวสั่น ร้านค้าอื่นล้วนแขวนม่านผ้าฝ้ายหนาชั้น มีเพียงร้านพวกเขาที่สามารถเห็นเงาผู้คนด้านในอย่างเลือนราง เมื่อทอดมองก็พบความโดดเด่นได้ทันที

รอจนเดินเข้าไปใกล้ นางจึงพบว่านอกจากเด็กในร้านที่คอยต้อนรับส่งแขกล้วนหน้าตาหมดจดสบายตาแล้ว ยังสวมชุดคลุมผ้าลู่โฉวตัวยาวสีเขียวนกแก้ว หลังหยัดตรงสง่า ใบหน้าประดับรอยยิ้มอบอุ่นเป็นมิตร ครั้นเห็นอวี้ถังถูกคนเบียด เด็กในร้านคนหนึ่งยังก้าวเข้ามาช่วยกันนางจากฝูงชน เอ่ยกับนางอย่างใส่ใจ  คุณหนู ท่านระวังหน่อย คงไม่บาดเจ็บตรงไหนกระมัง? 

อวี้ถังยิ้มสรวลขอบคุณเด็กในร้านคนนั้น

ไม่รู้ว่าเด็กร้านค้ายุ่งมาทั้งวันจนร้อน หรือเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อไปหมด ละล่ำละลักเชิญนางและอวี้หย่วนเข้าไปในร้าน ไม่มีฉากดูถูกดูแคลนที่นางคาดการณ์มาก่อนหน้านี้ให้เห็นแม้แต่น้อย

อวี้ถังนึกถึงเด็กในร้านค้าสกุลของตัวเองที่เอาแต่มองคนอย่างระแวดระวัง ก็อดถอนหายใจไม่ได้

เมื่อเข้าไปในร้าน นางจึงพบว่า ร้านค้ามีผู้คนล้นหลามเช่นกัน ร้านค้าเครื่องลงรักแห่งอื่นที่นางเคยเห็นมักใช้ชั้นวางแบบเปิดโล่งอย่างอิสระ ทุกคนสามารถถือมาลูบคลำในมือตามประสงค์ ร้านค้าของสกุลเซิ่งกลับมีโต๊ะกั้นอยู่ ของทั้งหมดถูกจัดไว้ในตู้กระจกโปร่งใส ต้องการดูสิ่งไหน เด็กในร้านที่อยู่หลังโต๊ะก็จะหยิบสิ่งนั้นมาให้ลูกค้าชม มีเพียงเครื่องลงรักขนาดใหญ่ หรือสินค้าพวกฉากกั้นลมจึงจะวางตรงจุดโล่งกว้างด้านข้างตู้วางของ สามารถไปเลือกดู เชยชมได้ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าคนในร้านจะเยอะเพียงใด กลับไม่ต้องกังวลเรื่องของหาย

เมื่อวานอวี้หย่วนก็มาดูครั้งหนึ่งแล้ว ยามนี้อดกล่าวเสียงเบากับอวี้ถังไม่ได้  ดูสิ กิจการของพวกเขาดีถึงเพียงใด! 

อวี้ถังพยักหน้าอย่างเงียบเชียบ

เด็กในร้านคนนั้นเอ่ยด้วยไมตรีจิต  คุณชาย คุณหนู พวกท่านต้องการซื้อสิ่งใดรึ? ต้องการให้แนะนำหรือไม่? ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว หรือคุณหนูคุณชายจะซื้อของส่งให้ผู้ใหญ่กัน? เข้ามาดูข้างในก่อนเถิด หากส่งให้ผู้ใหญ่ ก็มาเลือกชมทางนี้ ดูว่าเหมาะสมหรือไม่ หากเข้ามาเชยชมเฉยๆ พวกเราก็จะแนะนำให้สินค้าของร้านให้พวกท่านฟังว่ามีอะไรบ้าง ภายหลังต้องการสิ่งใด ค่อยกลับมาเลือกซื้อที่ร้านของพวกเราดีๆ อีกที 

เด็กในร้านพวกนี้ต่างผ่านการฝึกฝนอบรมเป็นพิเศษแล้วทั้งนั้น

อวี้ถังครุ่นคิดในใจ

ชาติก่อน นางเคยพบเด็กร้านค้าเช่นนี้

เพียงแต่เด็กในร้านพวกนั้นไม่ได้แต่งกายน่ามองเหมือนเด็กในร้านเครื่องลงรักของสกุลเซิ่ง แน่นอนว่าบุคลิกท่าทีก็แตกต่างจากเด็กร้านพวกเขาเช่นกัน

ลู่โฉว เป็นผ้าที่นายท่านคหบดีชนบทสวมใส่กัน คาดไม่ถึงว่าสกุลเซิ่งจะให้เด็กในร้านแต่งกายอย่างนี้ เงินหนาอิทธิพลมากไม่ใช่เล่น ไม่แปลกใจที่พี่ชายนางจะท้อแท้หมดสิ้นกำลังใจ ยิ่งไปกว่านั้นเด็กในร้านที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเฉกเช่นสกุลเซิ่ง คาดว่าคงมีเพียงหนึ่งเดียวในเมืองหังโจวเช่นกัน

เพียงแค่ไม่รู้ว่าสกุลพวกเขาเป็นผู้ริเริ่มหรือไม่

ไม่กี่ปีต่อจากนี้ทุกคนต่างพากันเลียนแบบเอาอย่าง ทั้งในเมืองหลินอัน ก็มีบางร้านที่เริ่มฝึกฝนเด็กในร้านแบบนี้เช่นกัน

เมื่อเป็นอย่างนี้ ไม่เพียงสกุลพวกเขาจะขายสินค้าได้ดี เรื่องของคนและการจัดการในร้านยังมีกลยุทธ์เป็นของตัวเอง…

อวี้ถังลอบตรวจสอบในใจ

อวี้หย่วนเอ่ยออกไป  พวกเราแค่เข้ามาเลือกชม หากมีสินค้าดี ก็จะซื้อกลับไปสองสามชิ้น 

เด็กในร้านมองอวี้ถังแวบหนึ่ง คิดไปเองว่าเข้าใจจุดประสงค์ที่มาของพวกเขา แย้มยิ้มพาพวกเขาไปยังหน้าโต๊ะที่ขายกล่องไม้เล็กๆ และกล่องเครื่องแป้ง เด็กของร้านค้าเบียดตัวเองเข้าไปก่อน ชี้ไปยังสองพี่น้องอวี้ถังที่ยืนอยู่ด้านข้าง เอ่ยกับเด็กร้านค้าที่กำลังขายของอีกคน  ลูกค้าทั้งสองท่านอยากดูสินค้าเล็กๆ ที่น่าสนใจ 

เด็กในร้านคนหนึ่งเพิ่งหยิบของให้ลูกค้าท่านหนึ่งไป มองทั้งสองคนแวบหนึ่ง ก็หมุนกายไปหยิบถาดรอง นำของเล็กๆ ไม่กี่อย่างวางบนนั้น ก่อนจะส่งให้เด็กในร้านที่เบียดเข้ามา  ของพวกนี้ล้วนเป็นสินค้าใหม่ที่ผลิตออกมาก่อนปีใหม่ เจ้าดูว่ามีของที่ถูกใจคุณชายและคุณหนูหรือไม่? หากไม่มี ข้าจะช่วยหยิบให้ใหม่อีกที 

เด็กร้านคนนั้นเอ่ยขอบคุณ รับถาดรองเบียดตัวออกมาจากโต๊ะหน้าร้าน เอ่ยกับทั้งสองอย่างเกรงใจ  คุณชายคุณหนูเลือกดูก่อนเถิด มีของที่ชื่นชอบหรือไม่? ของพวกนี้ยังมีกล่องใส่ขนม กล่องใส่หมึกพู่กันจีนที่มาเป็นชุด… 

อวี้หย่วนทอดมองอย่างตั้งใจ เห็นของบนถาดรองไม่กี่อย่างเช่น ตลับแป้ง ตลับใส่ชาดทาปาก มีการใช้ฝีมือแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’ ล้วนเป็นของเล็กๆ ที่ประณีตชดช้อย งดงามหรูหรา เหมาะสำหรับหญิงสาวที่อยู่ในห้องหับอย่างยิ่ง

เขานำขึ้นมาพินิจดูอย่างละเอียด

อวี้ถังเพียงมองไปครั้งหนึ่งก็ไม่มองต่อแล้ว

ชาติก่อน ยามที่พึ่งใบบุญสกุลหลี่ นางเคยเห็นกล่อง ‘ร้อยอัญมณี’ ของราชสำนักมาก่อน เครื่องประดับลงรักแบบเชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยนไม่ได้ทำให้นางตื่นตาตื่นใจถึงเพียงนั้น

นางลอบสังเกตลูกค้าและเด็กในร้าน

เด็กในร้านมีจำนวนมาก ลูกค้าแทบทุกคนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง หากคนไหนไม่มีเด็กในร้านคอยประกบ แค่เอ่ยถามขึ้นมาก็มีคนตอบกลับแล้ว แม้ว่าลูกค้าในร้านจะมาก ทั้งยุ่งวุ่นวายอย่างยิ่ง กลับไม่มีลูกค้าไม่พอใจแต่อย่างใด

สินค้าในร้านมีหลากหลายประเภท กล่องไม้เล็กๆ ที่ใส่จินซานซื่อ ไปจนถึงฉากกั้นลมสิบสองช่อง รูปแบบก็มีให้เลือกมากมาย นอกจากของอวยพรวันเกิดผู้สูงอายุแบบดั้งเดิมอย่างลายเทพธิดาหมากู [1]ก็ยังมีแบบใหม่อย่างสี่ราชามวลบุปผา ดอกเหมย กล้วยไม้ ไผ่และเบญจมาศ ดูคล้ายกับภาพวาด เหลือพื้นที่สีขาวไว้กว้างขวาง แต่ก็ดูสลับซับซ้อนจนมองไม่ออกอยู่ว่าแฝงความนัยอะไรไว้ในแบบ อย่างกล่องไม้ทำเลียนแบบกล่องร้อยอัญมณีที่อยู่ในมือญาติผู้พี่นางอันนี้ เลี่ยมฝังด้วยไข่มุกหลากสีสัน ภายใต้แสงสว่างก็จะสะท้อนแสงสีรุ้งวาบวาว

นี่ไม่ใช่ร้านค้าที่คิดจะเลียนแบบในช่วงเวลาสั้นๆ ได้จริงๆ

อวี้ถังและอวี้หย่วนเบียดออกมาจากร้านค้า ไม่ได้ของติดมือมาสักชิ้น แต่เด็กในร้านก็ยังคงส่งพวกเขาออกไปประหนึ่งยามมาต้อนรับ ทั้งยังแนะนำชื่อของตัวเอง ยามที่พวกเขามาครั้งต่อไปให้มาหาเขาได้ หากรู้สึกว่าไม่พอใจกับสินค้าในร้านเลย ก็สามารถสั่งทำตามความต้องการของพวกเขาได้

อวี้หย่วนขอบคุณเด็กร้านค้าด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เดินไปทางร้านค้าสกุลกู้กับอวี้ถัง จวบจนเดินพ้นร้านของสกุลเซิ่งมาไกลแล้ว จึงค่อยเอ่ยด้วยยิ้มเจื่อนกับอวี้ถัง  เจ้าคงรู้ว่าเหตุใดข้าจึงท้อแท้แล้วกระมัง? เฮ้อ หากกิจการร้านค้าสกุลพวกเราได้สักหนึ่งในห้าส่วน ไม่สิ หนึ่งในสิบส่วนของพวกเขา ข้าก็คงพอใจแล้ว 

อวี้ถังส่งยิ้มให้กำลังใจอวี้หย่วน  พวกเราค่อยเป็นค่อยไป หรือในเมืองหังโจวมีเพียงร้านค้าเครื่องลงรักของพวกเขาแห่งเดียว? ชางเซิ่งเป็นร้านค้าผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหังโจว หรือนอกจากชางเซิ่งแล้ว ร้านขายผ้าไหมของคนอื่นล้วนประกอบกิจการไม่ได้อย่างนั้นรึ? 

อวี้หย่วนทอดถอนหายใจ  มักจะมีคนกดอยู่บนศีรษะเจ้า เจ้าเสียแรงกายแรงใจไปเท่าใดก็ไม่อาจตามทัน ทำได้เพียงตามอยู่ด้านหลังคนอื่น ยังจะมีความสุขรื่นเริงอะไรได้อยู่รึ? 

อวี้ถังหัวเราะเสียงดังขึ้นมา ปลุกใจญาติผู้พี่  พวกเราก็ลองเสียหน่อยดีหรือไม่ ดูว่าจะสามารถทำร้านค้าเครื่องลงรักที่ดีกว่าสกุลเซิ่งขึ้นมาในเวลาอันสั้นได้หรือเปล่า 

อวี้หย่วนลังเลไปพักใหญ่

อวี้ถังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ทำท่าตื่นเต้นฮึกเหิม เอ่ยด้วยเสียงดัง  ไป พวกเราไปดูว่าร้านค้าเครื่องลงรักของร้านอื่นขายอะไรกันบ้าง? 

อวี้หย่วนเห็นรอยยิ้มที่สดใดราวบุปผาสะพรั่งในฤดูร้อนของอวี้ถัง ก็รู้สึกดีขึ้นมาก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  พวกเราไปร้านค้าสกุลกู้ก่อนเถิดดีกว่า? ข้าได้ยินลูกชายของแม่นมคุณหนูกู้กล่าวว่า ตอนขึ้นปีใหม่สกุลกู้ต้องจัดการรับมือกับเรื่องมากมาย ช่วงปีใหม่มารดาของเขาจึงไม่ออกจากจวน หากพวกเราอยากจะพบแม่นมของคุณหนูกู้ ก็ต้องรีบคว้าโอกาส หากวันนี้ไม่พบก็ทำได้เพียงรอพ้นปีใหม่ไปเท่านั้น 

อวี้ถังรีบทำเวลาก่อนตรุษจีนเล็ก วิ่งโร่มาพูดเรื่องสกุลหลี่ต่อหน้าคนสกุลกู้ก็เพราะว่าอยากให้สองสกุลฉลองปีใหม่ด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจมิใช่รึ? หากรอจนผ่านปีใหม่แล้ว ยังจะมีความหมายอันใด?

 ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่ใช้การได้ก็เพียงพอแล้ว  อวี้ถังโบกมืออย่างไม่คิดเช่นนั้น  พวกเรายังมีเวลาช่วงบ่ายอยู่? ไปเที่ยวชมร้านค้าเครื่องลงรักในเมืองหังโจวก่อน ดูว่าร้านค้าพวกนั้นขายอะไรบ้าง? แบบใดที่ขายดีที่สุด 

นี่จะสิ้นเปลืองเวลาเกินไปแล้ว

ทั้งเมื่อครู่ร้านค้าเครื่องลงรักที่รุ่งเรืองคึกคักของสกุลเซิ่งก็ทำให้อวี้หย่วนท้อแท้ใจไปไม่น้อย

 ทำอย่างกับว่าร้านเครื่องลงรักพวกนั้นไม่ต้องการเงินอย่างนั้นแหละ  เขายังคงพึมพำอย่างพะว้าพะวง

อวี้ถังหัวเราะ ดึงพี่ชายเข้าไปในร้านเครื่องลงรักแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากร้านสกุลเซิ่งมาก

ในร้านมีเพียงลูกค้าห้าหกคนกระจัดกระจายกันไป เด็กในร้านก็ดูเอื้อยเฉื่อยไม่กระตือรือร้นอันใด

อวี้ถังสำรวจอย่างละเอียด ในร้านแห่งนี้ขายงานฝีมือเครื่องลงรักรูปแบบแปลกใหม่เพียงเล็กน้อย ส่วนมากจะขายแบบดั้งเดิม

สองพี่น้องอวี้ถังยังเดินดูร้านเครื่องลงรักอีกหลายแห่ง ในใจอวี้ถังค่อยปรากฏภาพจำขึ้นมาอย่างคร่าวๆ ได้แล้ว ยามนี้ถึงเวลาอาหารกลางวัน หากพวกอวี้หย่วนไปร้านค้าของเหยาซานเอ๋อร์ เหยาซานเอ๋อร์ย่อมเชิญพวกเขากินข้าวด้วยกัน แม้ว่ากิจการของเหยาซานเอ๋อร์จะค้าขายดีไม่น้อย แต่ก็พอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องครอบครัวเท่านั้น อวี้หย่วนไม่กล้ารบกวนเขา ตระหนักว่ายากที่อวี้ถังจะออกมาเที่ยวกับเขา มิสู้พานางไปกินที่ร้านอาหารดีกว่า

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะพาอวี้ถังไปตรอกเล็กๆ หาร้านบะหมี่แห่งหนึ่งที่มีโต๊ะเพียงเจ็ดแปดตัว ด้านนอกกลับคราคร่ำไปด้วยผู้คน เอ่ยกับอวี้ถัง  เจ้าอย่ามองว่าร้านบะหมี่นี้เล็ก ที่จริงกลับเลื่องชื่ออย่างยิ่ง ที่นี่เปิดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว เป็นร้านที่เหยาซานเอ๋อร์พาข้ามากินครั้งที่แล้วยามมาเยือนหังโจว บะหมี่หน่อไม้ของร้านพวกเขามีชื่อเสียงที่สุด เจ้าลองชิมดูว่ารสชาติถูกปากหรือไม่ 

ตั้งแต่เด็กอวี้ถังก็ชอบออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก เหมือนกับเด็กเล็กทั่วไป มักคิดว่าของข้างนอกอร่อยกว่าของในเรือน ยามนี้แม้จะโตแล้ว แต่ชาติก่อนถูกขังในสกุลหลี่ถึงหกเจ็ดปี นอกจากนิสัยจะไม่เปลี่ยนแปลงตามอายุแล้ว นับวันกลับยังชอบออกจากเรือนขึ้นเรื่อยๆ

นางหัวเราะอย่างเริงร่า รอที่นั่งกับอวี้หย่วนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะมีโต๊ะว่างให้ทั้งสองคน

อวี้หย่วนสั่งบะหมี่หน่อไม้สองชามอย่างชำนาญ ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องร้านเครื่องลงรักกับอวี้ถังเสียงเบา  ข้าขบคิดแล้ว รอจนผ่านปีใหม่ มาพักในเมืองหังโจว ก็จะวนเวียนแถวร้านค้าพวกเขา ดูว่าแต่ละวันร้านของพวกเขาขายอะไรบ้าง… 

แม้วิธีนี้จะดูโง่เขลา แต่ใช้ประโยชน์ได้ชะงัดนัก

ทว่าเดือนสามปีหน้า พี่ชายนางก็จะแต่งงานแล้ว หรือเขาจะถ่อมาเมืองหังโจว ทอดทิ้งเจ้าสาวที่แต่งมาหมาดๆ ให้อยู่เพียงคนเดียว

อวี้ถังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้อยู่บ้าง ยามที่คิดจะเกลี้ยกล่อมอวี้หย่วน พลันได้ยินเสียงคุ้นหูดังขึ้น  เถ้าแก่ ยังต้องรออีกนานหรือไม่ 

ครั้นนางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดที่แต่งกายชุดเด็กของร้านค้า พยุงหญิงที่อายุเพียงสามสิบต้นๆ หน้ากลมตาโต ดูใจดีมีเมตตาไม่น้อย ยืนอยู่หน้าร้านบะหมี่

นี่นับว่าจู่ๆ ก็หาพบโดยไม่ต้องเสียแรง

นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะพบเจอกับแม่นมของกู้ซีและลูกชายของนางในร้านบะหมี่เล็กๆ แห่งนี้

สิ่งที่บังเอิญไปกว่านั้น สามีภรรยาคู่หนึ่งที่นั่งตรงข้ามพวกเขากินเสร็จพอดี กำลังหยัดกายเตรียมจ่ายเงิน

อวี้ถังดึงแขนเสื้ออวี้หย่วนทันที

อวี้หย่วนยังคิดว่าอวี้ถังใคร่จะพูดอะไรกับเขา ผลปรากฏว่าเงยหน้ากลับเห็นลูกชายแม่นมของกู้ซี สมองเขาแล่นวาบทันที โบกมือไปทางเขา  น้องกู้ ทางนี้! 

คล้ายกับว่าพวกเขาทั้งสองและพวกแม่นมของกู้ซีมาด้วยกัน แต่ที่จริงพวกเขากลับครองโต๊ะก่อนแล้วต่างหาก

—————

 

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยยังจำอวี้ถังได้

พวกเขาไม่เพียงต้อนรับสองพี่น้องสกุลอวี้อย่างกระตือรือร้น เถ้าแก่เนี้ยยังตั้งใจเลือกห้องพักที่เงียบสงบให้กับอวี้ถังเป็นพิเศษด้วย ไปตักน้ำร้อนมาให้อวี้ถังล้างหน้าผลัดผ้าด้วยตัวเอง

อวี้ถังรู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก

เถ้าแก่เนี้ยก้มศีรษะให้นางดูปิ่นดอกไม้ของตัวเอง  ครั้งที่แล้วเจ้ามอบให้ข้า ทุกคนต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่างดงาม สวมครั้งหนึ่งก็ชมครั้งหนึ่ง 

อวี้ถังเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน ก่อนจะขอเถ้าแก่เนี้ยไปช่วยซื้ออุปกรณ์ทำปิ่นดอกไม้ในตรอกเล็กด้วยกัน

นางวางแผนว่าครั้งนี้จะทำปิ่นดอกไม้หลายอันหน่อย รอในยามที่พี่ชายและคุณหนูเซียงกลับบ้านฝั่งมารดา ก็จะนำไปอวดที่สกุลเซียงได้

หลังจากอวี้หย่วนทราบก็สบายใจ

เขากำลังจะไปสืบข่าวทางประตูอู่หลิน ทั้งกลุ้มใจไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องอวี้ถังอย่างไรดี

 เช่นนั้นเจ้าก็ระวังตัวหน่อย  เขากำชับน้องสาว  ซื้อของเสร็จแล้วก็รีบกลับมา ตอนเย็นข้าไม่อยู่กินข้าวที่โรงเตี๊ยม บอกกล่าวกับเถ้าแก่เรียบร้อยแล้ว ถึงเวลานั้นเถ้าแก่เนี้ยจะนำอาหารเย็นไปส่งเจ้าในห้อง หากเจ้ากินข้าวเย็นเสร็จแล้วข้ายังไม่กลับมา ก็ปิดห้องหับหน้าต่างประตูให้แน่น รีบเข้านอน มีเรื่องอะไร ข้าจะพูดกับเจ้าพรุ่งนี้แทน 

นับเป็นครั้งแรกที่อวี้ถังไหว้วานญาติผู้พี่ให้ทำเรื่องเช่นนี้ กังวลอยู่บ้างว่าเขาจะเผยพิรุธจนถูกคนสกุลกู้จับตามอง หรืออาจจะพบกับอันตรายอะไร ดึงแขนเสื้อเขาเอ่ยอย่างเป็นห่วง  ท่านต้องระวังให้มาก สืบข่าวได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับแรก ท่านก็พูดแล้ว ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีไม่สาย ตราบใดที่มีชีวิต ย่อมมีความหวัง ครั้งนี้พวกเราไม่สำเร็จ ครั้งหน้าค่อยหาวิธีอื่นก็เพียงพอแล้ว หากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ข้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เช่นกัน 

 เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใดกัน?  อวี้หย่วนได้ฟังก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก  บอกเจ้าแล้วว่านิยายประโลมโลก ละครงิ้วอะไรพวกนั้นอย่าไปดูให้มาก เจ้ากลับทำหูทวนลม เรื่องคอขาดบาดตายคิดให้น้อยๆ หน่อยเถิด เจ้าคิดว่าข้าไปทำอะไรกัน? ไปสืบข่าวเรื่องแม่นมของคุณหนูกู้ย่อมสำคัญ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกิจการในร้านค้าของพวกเรา ไปประตูอู่หลินก็เพื่อไปหาเหยาซานเอ๋อร์ จากนั้นค่อยถือโอกาสไปสืบข่าวให้เจ้าด้วย 

นับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขามาหังโจว มีโอกาสติดต่อกับเหยาซานเอ๋อร์ อวี้หย่วนกับเขาก็เริ่มไปมาหาสู่กัน หลายวันก่อนหน้านี้เขาก็ขอคนไปส่งของขวัญปีใหม่ให้เหยาซานเอ๋อร์ ร้านค้าสกุลพวกเขาเปิดกิจการ เหยาซานเอ๋อร์ก็ให้คนส่งของขวัญมาอวยพรถึงหลินอันเช่นกัน

แบบนี้ก็ดี!

อวี้ถังหัวเราะกระซิก  เช่นนั้นท่านพี่ก็รีบไปรีบกลับ อย่าลืมนำหัวหมูของร้านเจิ้นเป่ยเฉิงมาฝากข้าด้วย 

 เจ้าเป็นคุณหนูกุลสตรี มากินหัวมงหัวหมูอะไรกัน?  อวี้หย่วนเอ่ยอย่างไม่ปรานี  หากเจ้าอยากกิน ข้าก็จะซื้อขนมกุ้ยฮวา เชี่ยนสือเฝิ่น[1]ไม่ก็ วอซือถัง[2]ให้แทน  พูดจบ กลัวว่าอวี้ถังยังจะตอแยเขาให้ซื้อนั่นซื้อนี่ไม่เลิก หากตัวเองใจอ่อนขึ้นมา ก็จะเป็นเมื่อเหมือนก่อนรับปากทุกอย่าง เขาจึงโบกมือตัดบทอวี้ถัง เอ่ยว่า  ข้าไปล่ะ เจ้าดูแลตัวเองด้วย  ก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมไปโดยไม่เหลียวหลังมามองสักนิด

อวี้ถังพองลมที่แก้มอย่างโมโห กลับไม่อาจทำอะไรได้ นางจึงไปตรอกเล็กข้างๆ ซื้ออุปกรณ์ทำปิ่นดอกไม้กับเถ้าแก่เนี้ยแทน จากนั้นเห็นมีขนมเกาลัดวางขาย ก็ซื้อกลับมาจำนวนหนึ่ง ฝากเด็กของโรงเตี๊ยมนำไปส่งให้เถ้าแก่รองถง ทั้งถ่ายทอดคำพูดไปว่า  ครั้งก่อนมาหังโจว ต้องขอบคุณเถ้าแก่รองถงที่ให้ความดูแลอย่างดี เดิมตั้งใจจะนำของฝากจากหลินอันมาให้ ปรากฏว่าล้วนอร่อยสู้ที่หังโจวไม่ได้ จึงซื้อขนมหวานจากตรอกข้างๆ มาฝากแทน ของนั้นธรรมดา ไม่อาจตอบแทนน้ำใจได้หมด อย่างไรขอเถ้าแก่รองถงอย่าได้ถือสา รอพี่ชายกลับมา จะเข้าไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง 

หลังจากนางถูกเผยเยี่ยนอบรมสั่งสอน เมื่อกลับไปจึงตั้งใจเรียนรู้เรื่องมารยาทกับอวี้เหวินมากขึ้น รู้ว่ายามนี้อยากไปเยี่ยมเยือนใคร ไม่อาจไปตรงๆ ได้ แต่ต้องส่งป้ายชื่อไปล่วงหน้าไม่ก็ส่งคนไปมอบขนมของหวาน ควรทักทายเสียก่อน นัดหมายเวลาแล้วค่อยเข้าไป นี่จึงจะเรียกว่ารู้กาลเทศะ ทั้งยังได้รับบทเรียนจากเรื่องที่ส่งของขวัญให้เผยเยี่ยน ควรแสดงความจริงใจ พูดด้วยความซื่อตรง

เถ้าแก่รองถงได้รับขนมก็ดีใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะอวี้ถังส่งขนมในนามของอวี้หย่วน เถ้าแก่รองถงจึงให้เด็กในร้านมาถ่ายทอดคำพูดแก่อวี้หย่วน กล่าวว่าพรุ่งนี้เย็นจะจัดงานเลี้ยงหลังร้านค้า เชิญอวี้หย่วนเข้ามาดื่มฉลองด้วยกัน

อวี้ถังตัดสินใจรับปากแทนอวี้หย่วนไป ทั้งให้เด็กคนนั้นช่วยไปซื้อสุราจินหวาสักไหมาเตรียมไว้ รออวี้หย่วนกลับมา

อวี้หย่วนรีบเร่งกลับมาก่อนเวลาห้ามออกจากเคหะสถาน

เขาดื่มสุรา ใบหน้าแดงก่ำ ดวงตาทั้งสองแข็งค้างอยู่บ้าง พูดจามั่วซั่วไม่รู้เรื่อง

อวี้ถังนั้นอับจนหนทาง คิดว่ารอได้เงินจากการประมูลแผนที่ จะซื้อบ่าวรับใช้ข้างกายให้อวี้หย่วนสักคน สกุลพวกเขาไม่ใช่สกุลร่ำรวยล้นฟ้าอะไร แม้จะกล่าวว่าบ่าวที่ติดตามอวี้หย่วนเมื่อก่อนนั้นรับใช้อวี้หย่วน ในความเป็นจริง กลับรับใช้ลุงใหญ่ของนางเสียส่วนมาก ทั้งอวี้หย่วนจะแต่งงานแล้ว แม้จะพูดว่าคุณหนูเซียงเติบโตในชนบท แต่ก็มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะมีข้ารับใช้อยู่ข้างกายหลายคนแล้ว นางไม่อาจให้ญาติผู้พี่ดูยากจนข้นแค้นเกินไปได้

เมื่อความคิดแล่นขึ้นมา ก็หักห้ามไม่ไหวอยู่บ้าง

นางยัดเงินให้เด็กโรงเตี๊ยมช่วยดูแลผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อนให้อวี้หย่วน ส่วนตัวเองไปหาเถ้าแก่เนี้ย อยากขอให้นางช่วยแนะนำนายหน้าที่คุ้ยเคยและไว้ใจได้ เพื่อวางแผนจะซื้อบ่าวรับใช้ข้างกายให้อวี้หย่วน

เถ้าแก่เนี้ยคาดไม่ถึงเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ไอหยา ช่วงนี้สกุลพวกเจ้าคงรุ่งเรืองขึ้นไม่น้อย 

สกุลดั่งเช่นสกุลอวี้นี้ โดยปกติบ่าวรับใช้ข้างกายย่อมไม่ได้แบ่งแยกอะไรชัดเจนขนาดนั้น ครั้งนี้ต้องการซื้อบ่าวให้อวี้หย่วนโดยเฉพาะ หากไม่ใช่ว่าสกุลร่ำรวยขึ้นมา ย่อมไม่อาจใจใหญ่เช่นนี้

อวี้ถังไม่ตั้งใจจะมากความ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  พี่ชายข้าใกล้จะแต่งงานแล้ว อย่างไรก็ไม่อาจให้เขาไปไหนมาไหนโดยไม่มีคนคอยช่วยเหลือได้เลยกระมัง 

 นั่นก็มิผิด  เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยรับด้วยรอยยิ้ม ช่วยเป็นธุระตามหาคนให้อวี้ถัง

อวี้หย่วนตื่นขึ้นมาเช้าตรู่ของอีกวัน ปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด อวี้ถังที่ยกอาหารเช้าเข้ามาล้วนไม่มีสีหน้าดีให้เขา

 สมน้ำหน้า!  อวี้ถังเอ่ย  ใครใช้ให้ท่านดื่มมากเพียงนั้น ข้างกายก็ไม่มีใครสักคน หากหกล้มหัวทิ่มไปจะทำอย่างไร? ท่านรับปากข้าแล้วว่าจะระวังตัวดีๆ! 

อวี้หย่วนหัวเราะอย่างกระดากอาย เอ่ยประจบนาง  อาถัง เมื่อวานข้าช่วยเจ้าสืบอย่างละเอียดแล้ว หากทางสกุลกู้ไม่มีเรื่องสำคัญเร่งด่วนอันใด แม่นมของคุณหนูกู้คงจะไปเยี่ยมเยือนลูกชายที่ร้านค้าพรุ่งนี้ ว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็ช่างบังเอิญ ร้านค้าของเหยาซานเอ๋อร์อยู่ด้านหลังร้านค้าสกุลกู้ เหยาซานเอ๋อร์ไม่เพียงรู้จักกับลูกชายของแม่นมคุณหนูกู้ แต่ยังรู้จักเถ้าแก่ไม่กี่คนของร้านค้าสกุลพวกเขาด้วย อ้างจากที่เขากล่าว เถ้าแก่สามของสกุลพวกเขาเป็นคนที่ปากมาก ชอบพูดซี้ซั้วเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้ เถ้าแก่ใหญ่ของพวกเขาจึงไม่ชอบใจเขาเท่าใด ตัวเขาเองก็รู้ดีแก่ใจ คิดฉวยโอกาสจากความสัมพันธ์เล็กน้อยของสกุลกู้ หาร้านเล็กๆ เป็นเถ้าแก่ใหญ่ ได้ยินว่าข้ามาจากเมืองหลินอัน อยากเปิดร้านที่หังโจว เขาก็ต้อนรับข้าอย่างอบอุ่นเป็นพิเศษ เมื่อวานข้าดื่มมากไป ก็เพราะในงานเลี้ยงเขาเอาแต่ชวนข้าดื่มสุรา 

มีเถ้าแก่น้อยคนนักที่คิดจะเปลี่ยนนายจ้าง หากเปลี่ยนนายจ้าง ไม่มีคำแนะนำจากนายจ้างคนเก่า นายจ้างคนใหม่ย่อมไม่กล้ารับคนผู้นี้ไว้เช่นกัน

อวี้ถังได้ยินว่าเถ้าแก่สามผู้นี้ปากมากก็ไม่ชื่นชอบเท่าใด  หากท่านมาเปิดร้านที่หังโจว ท่านจะใช้ประโยชน์คนผู้นี้หรือไม่? 

 ไม่เด็ดขาด!  อวี้หย่วนก็ไม่ชอบคนปากมากเช่นกัน

อวี้ถังนึกถึงคำพูดที่เผยเยี่ยนสอนนาง  พวกเราใช้ประโยชน์เขาก็คือใช้ประโยชน์ แต่ไม่อาจทำให้เขาคิดว่าภายหลังพวกเราจะเชิญเขาไปเป็นเถ้าแก่ในร้านได้เชียว สองเรื่องนี้ต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน 

หากเกิดเรื่องราวแค้นเคืองอะไรขึ้นมาก็ไม่ดีแล้ว

อวี้หย่วนคลึงศีรษะที่เริ่มปวดขึ้นมาอีกครั้ง พึมพำ  ข้ารู้ เป็นเหยาซานเอ๋อร์ กลัวว่าข้าจะถูกพวกเขาดูแคลน จึงบอกว่าข้าอยากมาเปิดร้านที่หังโจว ยามนั้นข้าก็เอ่ยไปเช่นกัน ข้าอยากมา แต่พ่อข้าไม่ยอม เรื่องนี้แปดถึงเก้าในสิบคงไม่อาจสำเร็จ อย่างมากที่สุดข้าก็เข้ามาดู มาเที่ยวชมเท่านั้น 

อวี้ถังผงกศีรษะ

อวี้หย่วนเอ่ยเรื่องร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่งขึ้นมา  เพียงแค่เดินเข้าไปก็พาให้คนรู้สึกว่าของในร้านค้าของพวกเขาไม่ธรรมดา เมื่อสังเกตอย่างละเอียดก็พบว่า ไม่ได้ขายแพงเกินไป จริงที่ว่าของบางอย่างแพงอยู่บ้าง แต่ข้ารู้สึกว่าของพวกนั้นก็มีเหตุผลที่ต้องขายแพง ส่วนเรื่องแบบเครื่องลงรักของร้านพวกเขา นับว่าแปลกใหม่จริงๆ ไม่พูดถึงอย่างอื่น กล่องเครื่องลงรักแกะสลักอักษรมงคลแบบเดียวกัน การแกะสลักของพวกเขา กลับประณีตเสมือนจริง ร้านของพวกเราเทียบไม่ได้จริงๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ร้านพวกเขายังมีเครื่องลงรักแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’… 

ขณะที่เขาพูด สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นหมองเศร้า

 ข้าไม่กล้าดูนานนัก พอดีกับใกล้ถึงเวลาที่นัดเหยาซานเอ๋อร์ จึงรีบกุลีกุจอไป ข้ากลับมาใคร่ครวญดู คิดว่าทำเช่นนี้คงไม่ได้ วันนี้ต้องไปดูอีกครั้ง 

อวี้ถังรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดในใจเขา

แม้อวี้หย่วนจะเป็นลูกชายเจ้าของร้าน ทั้งติดตามไปที่ต่างๆ กับอวี้ป๋อไม่น้อย แต่อย่างไรเขาก็เป็นเด็กหนุ่มที่ยังไม่ได้ผ่านพิธีสวมกวาน เพิ่งมาไม่นาน หนำซ้ำยังเป็นหังโจว เมืองอันดับหนึ่งของแถบเจียงหนานที่รวบรวมสกุลเลื่องนาม ร้านค้ามีชื่อ ทั้งสินค้ายอดนิยมไว้ด้วยกัน ย่อมรู้สึกอึดอัดเหมือนมีเพชรเม็ดงามอยู่ข้างๆ

ชาติก่อน ยามที่นางเพิ่งแต่งเข้าสกุลหลี่ เผชิญหน้ากับกู้ซีที่งดงามและใจกว้าง นางก็เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจตัวเองเช่นนี้

 ข้าจะไปกับท่าน  อวี้ถังเอ่ย  ข้าก็ใกล้ถึงเวลาออกเรือนแล้วเช่นกัน หากเครื่องลงรักแบบ ‘เชิ่นเซ่อหลัวเตี้ยน’ ดีอย่างที่ล่ำลือขนาดนั้นจริงๆ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ยามที่มากับท่านแม่และป้าสะใภ้ใหญ่ ก็ซื้อกลับไปสักอันสองอัน 

ประเด็นหลักที่นางจะไปเที่ยวชมร้านค้าของสกุลเซิ่ง ทั้งให้เหตุผลที่เพียงพอกับอวี้หย่วน ก็เพื่อให้อวี้หย่วนมีความมั่นใจ ยามที่ทำเรื่องราวอันใดก็จะใจกล้าขึ้นมา คาดว่าเถ้าแก่และเด็กในร้านค้าพวกนั้นคงตาดีมีไหวพริบกันทั้งนั้น ยามที่เห็นพวกเขาสวมชุดไร้ราคาแต่กลับใจกล้ามาเทียวดูสินค้าในร้านพวกเขา ย่อมคิดว่าพวกเขาเป็นลูกหลานสกุลใหญ่โตที่ออกมาหาประสบการณ์ แน่นอนว่าคงไม่กล้าเพิกเฉยต่อพวกเขา

ญาติผู้พี่ก็สามารถอาศัยเรื่องนี้เรียนรู้วิธีรับมือกับผู้คนได้

อวี้ถังลอบพยักหน้าให้กับความคิดตัวเองในใจ ทั้งนึกไปถึงเผยเยี่ยนที่สวมชุดเรียบๆ ธรรมดากลับถือของหายากอยู่ในมือ

สามารถทำให้คนที่ชอบดูถูกคนอื่นพวกนั้นหกล้มหัวคะเมนได้ง่ายๆ

อวี้ถังพลันสัมผัสได้ถึงนิสัยเสียของเผยเยี่ยน

นางอดไม่ได้ที่จะยกมือเช็ดหน้าผากที่ไร้เหงื่อ เวลานี้จึงค่อยพูดเรื่องที่เถ้าแก่รองถงเชิญอวี้หย่วนไปงานเลี้ยง  วันนี้พวกเราออกไปเที่ยวเล่น ตอนเย็นก็กลับมาเร็วหน่อย ใช้โอกาสนี้ขอคำแนะนำเรื่องเคล็ดลับการค้าในหังโจวจากเถ้าแก่รองถง 

อวี้หย่วนตื่นเต้นอยู่บ้าง

ยังคงเป็นครั้งแรกที่เขารับมือกับเถ้าแก่รองถงที่มีฐานะเป็นผู้อาวุโสเพียงลำพังโดยไร้การชี้นำจากอาและบิดา ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว ในเมื่ออวี้ถังช่วยเขาวางแผนแล้ว เขาก็ต้องพยายามทำให้ดีที่สุด

ช่วงสายวันนี้เขาตัดสินใจจะไปเที่ยวชมร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลเซิ่งในหังโจว ยามบ่ายไปพบเถ้าแก่สามของสกุลกู้ พูดคุยเรื่องสกุลหลี่ น่าจะเป็นช่วงเวลาที่แม่นมของกู้ซีแวะผ่านมาพอดี

เมื่อตัดสินใจได้ สองพี่น้องก็กินข้าวเช้า ผลัดเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน เดินทางไปยังประตูอู่หลิน

————————

[1]เชี่ยนสือเฝิ่น คือผงที่ได้จากการบดแปรรูปของเชี่ยนสือ(สมุนไพรจีน) มีรสหวาน

[2]วอซือถัง ขนมที่ทำจากน้ำตาล มีลักษณะคล้ายขนมลา

 

ไปหังโจว!

อวี้หย่วนตกตะลึง

อวี้ถังมองเข้าไปภายในห้อง

ภายใต้แสงไฟที่ริบหรี่ พวกผู้ใหญ่ไม่กี่คนกำลังพูดคุยกันอย่างคึกคัก

เวลานี้นางจึงลดเสียงลงหลายส่วน  ก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดไปแล้วไม่ใช่รึ? ไม่อาจปล่อยสกุลหลี่ไปง่ายๆ เช่นนี้ได้ ข้าอยากไปหังโจว ทำความรู้จักกับคุณหนูใหญ่บ้านรองสกุลกู้ผู้นั้นเสียหน่อย 

 เจ้าหมายถึงคู่หมั้นของหลี่ตวน?  อวี้หย่วนหน้าเปลี่ยนสี

อวี้ถังพยักหน้า

 ไม่ได้!  อวี้หย่วนเอ่ยทันที  ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีก็ไม่สาย เรื่องของสกุลหลี่ ข้าย่อมจะจัดการให้เจ้า แต่เจ้าไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้ว 

น้องสาวของเขา ดีถึงเพียงนี้

เหตุใดต้องมาแบกรับเรื่องการตายของเว่ยเสี่ยวซานไปตลอดชีวิตเพราะหลี่ตวนคนระยำผู้นั้นด้วย

เรื่องร้ายเช่นนี้ หากมีใครต้องแบกรับ ก็ควรเป็นเขาที่เป็นพี่ชาย

อาถังต้องแต่งงานมีลูกหลาน ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุข

 ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงข้า  อวี้ถังคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ชาติก่อน นางก็หวังให้อวี้หย่วนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเช่นกัน ดังนั้นจึงได้แต่งเข้าสกุลหลี่ไป  แต่บางเรื่อง หากข้าไม่ทำด้วยตัวเอง ก็ย่อมไม่อาจสงบสุขได้ชั่วชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น บางเรื่องกลับไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด 

อวี้หย่วนเอ่ยอย่างงุนงง  เจ้าหมายความว่าอย่างไร? 

อวี้ถังนิ่งเงียบ

กู้ซี เป็นหญิงสาวที่งดงามคนหนึ่ง ไม่เพียงรูปลักษณ์ที่ไม่เป็นรองใคร กิริยายังงามสูงส่ง เป็นประเภทที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนก็สามารถดึงดูดสายตาได้ทันที

ยามที่นางเพิ่งแต่งเข้ามา กู้ซีก็ไม่ได้ชื่นชมนางเท่าใดนัก

เหตุเพราะกู้ซีคิดว่าสกุลที่ให้ลูกสาวตัวเองแต่งกับคนตาย หากไม่ละโมบโลภมากในเงินก็ย่อมกระหายในชื่อเสียงลาภยศของสกุลหลี่ คิดว่าการสั่งสอนของสกุลอวี้ไม่ถูกต้อง แต่ภายหลัง การวางตัวและกระทำเรื่องของอวี้ถังก็ค่อยน่านับถือขึ้นเรื่อยๆ นางจึงมีสีหน้าที่ดีกับอวี้ถัง บางครั้งที่คนสกุลหลินสร้างความลำบากให้นาง กู้ซียังเคยลอบช่วยเหลือนาง ทั้งสองคนจึงเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน

ภายหลังกู้ซีทราบเรื่องที่หลี่ตวนปรารถนาในตัวนาง กู้ซีเกลียดชังนางเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่ว่าทั้งสองล้วนเป็นสะใภ้ของสกุลหลี่ อวี้ถังยังแบกชื่อหญิงครองพรหมจรรย์ ทั้งสกุลหลี่ก็คาดหวังให้นางได้ซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์กลับมา มิเช่นนั้นกู้ซีคงฆ่านางด้วยมือตัวเองไปแล้ว

ต่อมา รู้ว่าหลี่ตวนไม่อาจปล่อยนางไปได้ ขอเพียงอวี้ถังยังอยู่ในสกุลหลี่ หลี่ตวนก็สามารถทำเรื่องฉาวโฉ่น่าตกใจออกมา กระทบถึงอนาคตการเป็นขุนนางไม่ว่า ยังอาจกระทบถึงชื่อเสียงลูกชายทั้งสองของกู้ซี กู้ซีจึงเริ่มเป่าหูหลี่ตวนให้ไล่อวี้ถังออกจากสกุลหลี่ เมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลมารดาของอวี้ถังย่อมไร้ทางช่วยเหลือ หลี่ตวนก็สามารถรับอวี้ถังเป็นภรรยาลับได้

ด้วยเหตุนี้หลี่ตวนจึงเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อกู้ซีใหม่ ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาพลันใกล้ชิดสนิทสนมขึ้นมาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

กู้ซีไร้ทางจะจัดการกับอวี้ถังที่มีฐานะเป็นน้องสะใภ้ ทว่ากลับสามารถจัดการอวี้ถังที่อยู่ในตำแหน่งภรรยาลับของหลี่ตวนได้

อวี้ถังในชาติก่อน หลังจากทราบถึงแผนการของกู้ซี ความซาบซึ้งใจที่เกิดจากเรื่องที่กู้ซีเคยลอบช่วยเหลือนาง ทั้งความอึดอัดใจที่เกิดจากหลี่ตวนปรารถนาต่อนางล้วนมลายหายไปหมด

นางถึงกระทั่งสงสัยว่า การตายของลุงใหญ่และญาติผู้พี่อาจจะเกี่ยวข้องกับแผนการนี้ของกู้ซีด้วยหรือไม่

ยามที่นางอยากออกจากสกุลหลี่ไปสืบสาเหตุการตายของลุงใหญ่และญาติผู้พี่ นางจึงหลอกใช้กู้ซีให้ช่วยเหลือนางอย่างไม่ลังเลสักนิด

กล่าวได้ว่า ใต้หล้าแห่งนี้อวี้ถังเป็นคนหนึ่งที่เข้าใจกู้ซีมากที่สุดแล้ว

รักก็รักจนลึกลงไปในเถ้าธุลี

เกลียดก็เกลียดจนฝังลึกในกระดูก

ชาติที่แล้ว กู้ซีเป็นฝ่ายลงมือจัดการนางก่อน ชาตินี้ นางตัดสินใจจะเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง

แน่นอนว่า เรื่องทุกอย่างล้วนมีด้านที่ดีและไม่ดีทั้งนั้น ก็ต้องดูว่านางจะเลือกอย่างไร

บางทีนางชิงลงมือก่อน อาจจะนับว่ามอบโอกาสให้กู้ซีครั้งหนึ่งก็ได้

อวี้ถังลอบยิ้มอย่างเยียบเย็น

อวี้หย่วนเห็นแล้วรู้สึกหวาดหวั่นในใจ

ไฉนเขาจึงรู้สึกว่าน้องสาวตัวเองยิ้มคล้ายจะไปทำเรื่องไม่ดี มีความคิดชั่วร้ายแฝงอยู่ในใจเสียอย่างนั้น?

 เจ้า เจ้าจะทำอะไร?  เขาเอ่ยละล่ำละลัก  เจ้าห้ามทำอะไรส่งเดชเชียว! มิเช่นนั้น นอกจากข้าจะไม่พาเจ้าไปหังโจวแล้ว ยังจะรายงานเรื่องนี้กับท่านอาด้วย 

อวี้หย่วนข่มขู่อวี้ถังได้ไม่น่ากลัวสักนิด

อวี้ถังหัวเราะร่า

พี่ชายซื่อบื้อของนางผู้นี้ มักจะปกป้องเข้าข้างนางอยู่ตลอด

 ข้าเข้าใจแล้ว  อวี้ถังยิ้มจนแทบไม่เห็นดวงตา  ข้าไม่อาจทำเรื่องโง่ๆ อยู่แล้ว ข้าเพียงอยากบอกเรื่องที่สกุลหลี่ทำให้คนสกุลกู้รับรู้ ให้คุณหนูกู้ทราบว่าหลี่ตวนเป็นคนเช่นไร 

อวี้หย่วนได้ยินเช่นนั้น ชั่วพริบตาก็คล้ายยกภูเขาออกจากอก  ใช่แล้ว! หลี่ตวนผู้นั้นไม่ใช่คนดิบดีอะไร หากสกุลกู้ทราบเรื่องที่สกุลหลี่ทำ ย่อมถอนหมั้นเป็นแน่ เจ้าทำเช่นนี้ก็นับว่าช่วยเหลือคุณหนูกู้ไปด้วย  เขาพูดจบก็เอ่ยอย่างลังเล  หรือจะรอผ่านฉลองปีใหม่ก่อนแล้วค่อยไป? 

อวี้ถังชะงักไป คล้อยหลังก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์  ยามที่สกุลหลี่ลักพาตัวข้า ยังไม่สนใจว่าสกุลพวกเรากำลังเซ่นไหว้บรรพบุรุษ? ไฉนพวกเราต้องใส่ใจด้วยว่าสกุลพวกเขาจะฉลองปีใหม่หรือไม่? 

 ก็ได้!  อวี้หย่วนเอ่ย

อวี้ถังแค่นเสียงในลำคอ

หากสกุลกู้และสกุลหลี่สามารถถอนหมั้นเช่นนี้ได้ ย่อมเป็นโชคดีของกู้ซี กลัวก็แต่ว่าสกุลกู้จะไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด

แต่อาศัยจากความเข้าใจที่นางมีต่อกู้ซี หลังจากกู้ซีทราบว่าหลี่ตวนทำเรื่องอะไรไปบ้าง ย่อมจะดูแคลนสกุลหลี่ ดูแคลนหลี่ตวน

โดยเฉพาะเรื่องที่สกุลหลี่สรรหากลอุบายมาใช้มากมาย สุดท้ายกลับประสบกับความล้มเหลว

เช่นนั้นหากกู้ซีแต่งเข้ามา ยังจะสามารถโอนอ่อนผ่อนปรนให้สามีที่นับถือตัวเอง ทั้งสกุลหลินที่ปฏิบัติตัวดีกับนางหรือไม่?

อวี้ถังอยากรู้เป็นอย่างมาก

 เช่นนั้นท่านจะไปเมืองหังโจวเป็นเพื่อนข้าได้หรือไม่?  นางดึงแขนเสื้ออวี้หย่วน  หากท่านไปหังโจวเป็นเพื่อนข้า ข้าจะทำดอกบัวแฝดสีชมพูประดับผมให้พี่สะใภ้ รับรองว่านางสวมออกไปไหนย่อมงามไม่มีใครเทียบได้ 

อวี้หย่วนใจคล้อยตามทันที

เขาครุ่นคิดเล็กน้อย  ทำผีเสื้อคู่หนึ่งอยู่บนดอกบัวแฝดด้วยได้หรือไม่ 

อวี้หย่วนเคยเห็นดอกไม้ผ้าที่อวี้ถังทำ พวกแมลงนกนั้นทำได้ประณีตงดงามอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่อาจทำได้

อวี้ถังชื่นชอบอวี้หย่วนที่เป็นเช่นนี้อย่างยิ่ง รู้จักไล่ตาม รู้จักความรัก แต่นางยังคงอดหยอกล้อพี่ชายไม่ได้  พี่สะใภ้ยังไม่ทันได้แต่งเข้ามา ท่านก็เริ่มรังแกน้องสาวเสียแล้ว ท่านรู้หรือไม่ แมลงเอยนกพวกนั้นเอย ล้วนใช้เวลาในการทำมากกว่าดอกไม้ผ้าทั่วไปอย่างมากวันสองวันก็ทำเสร็จแล้ว แต่หากเติมพวกแมลงดอกไม้ก็ต้องใช้ถึงสี่ห้าวัน ท่านไม่กลัวว่าข้าจะหน้ามืดตาลายหรือไร? 

 ข้า ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!  อวี้หย่วนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ก็ยังอยากให้อวี้ถังช่วยทำดอกไม้ผ้าประดับผีเสื้อให้คุณหนูเซียงที่สุด ทำได้เพียงเอ่ย  น้องสาวคนดี รอยามที่เจ้าแต่งงาน ข้าจะให้พี่สะใภ้เจ้าช่วยทำรองเท้าให้เจ้าดีหรือไม่ 

 ยามที่ข้าแต่งงานไม่ทำรองเท้าเองหรอก!  อวี้ถังเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง  ข้าจะให้ท่านพ่อสั่งทำจากร้านตัดผ้าโดยตรง 

อวี้หย่วนอับจนหนทาง ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา

อวี้ถังหัวเราะลั่น  เช่นนั้นท่านจะไปหังโจวเป็นเพื่อนข้าหรือไม่? 

 ไปๆ  อวี้หย่วนตอบทันควัน

 เช่นนั้นท่านก็หาข้ออ้างให้พวกเราไปหังโจวด้วย  อวี้ถังยังคงกดขี่เขาต่อ

เห็นท่าทีของอวี้หย่วน รอจนเขาแต่งงานแล้ว เขาย่อมใกล้ชิดสนิทสนมกับภรรยาและลูกๆ เป็นที่สุดแน่ นางคงไม่อาจบงการได้อีกแล้ว ฉวยที่ยามนี้ยังมีโอกาส จึงไม่คิดปล่อยเขาไปง่ายๆ

อวี้หย่วนรับปากทันที

เวลานี้อวี้ถังกับเขาจึงค่อยกลับเข้าไปในห้องโถงที่มีกะละมังไฟให้ความอบอุ่นอยู่

ไม่รู้ว่าเพื่อแก้แค้นสกุลหลี่ หรือกังวลเรื่องเอาใจคุณหนูเซียงด้วยดอกไม้ผ้า อวี้หย่วนจึงหาข้ออ้างพาอวี้ถังไปหังโจวได้อย่างรวดเร็ว…ร้านค้าเครื่องลงรักของสกุลอวี้เปิดกิจการอีกครั้ง รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เขาต้องไปเมืองหังโจว ดูว่าร้านค้าเครื่องลงรักคนอื่นขายสินค้าแบบใดบ้าง สาเหตุที่พาอวี้ถังไป ก็เพราะอยากให้นางช่วยดูว่าเครื่องลงรักพวกนั้นแกะสลักแบบใด ทางที่ดีที่สุดคือร่างภาพกลับมาให้พวกอาจารย์ดูได้ ต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะย่อมรู้ว่าควรวางขายเครื่องลงรักแบบใดในร้านค้าบ้าง

 อาถังจะไหวรึ?  อวี้เหวินเอ่ยอย่างสงสัย  แค่นางวาดคิ้วยังจะออกมาเป็นนก เจ้าไม่กลัวว่านางจะวาดแบบจนผิดเพี้ยนไปหมดรึ? 

อวี้ถังโมโหจนไม่อยากพูด

อวี้หย่วนกลับหัวเราะ  แต่อาถังฉลาดนี่นา! หากแค่อยากหาคนวาดแบบ มิสู้ข้าพาอาจารย์ในร้านไปดีกว่า! 

 นั่นก็ถูก  อวี้เหวินฟังก็ภูมิใจขึ้นมา กำชับอวี้ถัง  เจ้าต้องดูให้ละเอียดล่ะ อย่าให้พี่ชายเจ้ากลับมามือเปล่า ไม่มีอะไรส่งมอบให้ลุงใหญ่เจ้าได้เชียว! 

 ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ  อวี้ถังคุยโม้อย่างไม่กระดากอาย  รอข้าและท่านพี่กลับมา รับรองว่าสินค้าที่วางขายในร้านปีหน้าจะเปลี่ยนไปอย่างมากแน่ 

อวี้เหวินและอวี้ป๋อไม่เชื่อสักนิด มองเพียงว่าอวี้ถังกำลังคุยโว แต่กลับเห็นด้วยให้อวี้หย่วนพาอวี้ถังไปเปิดหูเปิดตาที่หังโจว คนสกุลเฉินก็แอบให้เงินอวี้ถังอีกสองตำลึง นางอยากได้อะไรก็ให้ซื้อกลับมา  หากไม่เจอของถูกใจก็ไม่ต้องซื้อ รอจนต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าและป้าสะใภ้ใหญ่เจ้าจะไปหังโจว ถึงเวลานั้นค่อยซื้อเสื้อผ้าของใช้ให้เจ้าก็ไม่สาย 

อวี้ถังตอบรับอย่างเบิกบานใจ

วันออกเดินทาง อวี้ถังสวมชุดคลุมเนื้อหยาบสีเขียว มวยผมจุกสองข้าง สะพายห่อผ้าสีดำ ทั้งโพกศีรษะด้วยผ้าสีเดียวกัน นั่งเรือไปหังโจวกับอวี้หย่วน

ระหว่างทางอวี้หย่วนกลัวว่านางจะตากลม จึงหาที่นั่งมุมหนึ่ง ก่อนจะไปขอน้ำร้อนจากคนเรือมาใส่โถน้ำร้อนให้อวี้ถังอังไว้ในอก เอ่ยถามนางเสียงเบา  เจ้าวางแผนจะส่งข่าวให้สกุลกู้อย่างไร? 

เรื่องคนอื่นอวี้ถังอาจจะไม่กระจ่างชัด แต่เรื่องของกู้ซี นางเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง

เพื่อให้อวี้หย่วนสบายใจ อวี้ถังจึงกระซิบบอก  ข้าสืบได้ตั้งนานแล้ว คุณหนูกู้ผู้นั้นมีแม่นมคนหนึ่ง เมื่อก่อนเป็นสาวใช้สินเดิมของนายหญิงกู้ จงรักภักดีต่อคุณหนูกู้เป็นอย่างมาก นางมีลูกชายคนหนึ่ง ทำงานเป็นเด็กในร้านขายผ้าไหมแห่งหนึ่งของสกุลกู้ตรงประตูอู่หลิน ทุกครึ่งเดือน แม่นมของคุณหนูกู้จะหาวิธีออกจากจวนไปเยี่ยมเยือนลูกชายคนนี้ ถึงเวลานั้นพวกเราไปพบแม่นม แสร้งเล่าเรื่องสกุลหลี่ออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แม่นมได้ฟังข่าวลือ ย่อมไปสืบเรื่องราว ข้าคิดว่าอีกไม่กี่วัน เรื่องทางเมืองหลินอันก็คงแพร่กระจายมาถึงหังโจวแล้ว 

อวี้หย่วนเอ่ยคำว่าดีออกมาอย่างไม่ขาดปาก  หากสกุลกู้ถอนหมั้นกับสกุลหลี่เพราะเรื่องนี้ย่อมดีเป็นที่สุด 

อวี้ถังไม่ได้ตอบกลับ เปลี่ยนไปประเด็นอื่นแทน  ครั้งนี้พวกเรายังพักโรงเตี๊ยมหรูอี้เหมือนเดิมหรือไม่? 

โรงเตี๊ยมหรูอี้ไกลจากประตูอู่หลินอยู่บ้าง ทว่าพวกเขากลับคุ้นเคยกับเถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ย ด้านหน้ายังมีโรงรับจำนำของสกุลเผย น้องชายของเถ้าแก่ใหญ่ถงก็เป็นเถ้าแก่ที่นั่น ครุ่นคิดดูก็รู้สึกว่าสนิทใจมากกว่า

คาดว่าอวี้หย่วนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน  เจ้าบอกว่าอยากซื้ออุปรณ์ทำปิ่นดอกไม้เสียหน่อยไม่ใช่รึ? ทางนั้นจะใกล้กว่าหน่อย 

อวี้ถังเอ่ยตำหนิ  ท่านพี่ ภายหลังเจ้าต้องรู้จักมีไหวพริบเสียบ้าง ดอกบัวคู่ของใครมีผีเสื้ออยู่กัน ผีเสื้อกระพือปีกเริงระบำ อยู่กันเป็นคู่ แต่กลับตายไวด่วนจาก หากจะเพิ่มก็ต้องเพิ่มแมลงปอ ภายหลังหากเจ้าไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ถามพี่สะใภ้ อย่าตัดสินใจเอาเอง ครั้งนี้พวกเรามาเมืองหังโจว ข้าจะช่วยท่านหาดูแล้วกัน เพิ่มไข่มุกทำเป็นเม็ดน้ำค้าง นั่นถึงจะดูดี! 

อวี้หย่วนหัวเราะร่อ

ไม่นานเรือก็เทียบท่า พวกเขาซื้อของกิน ก่อนจะเดินทางไปโรงเตี๊ยมหรูอี้ที่ตั้งบนถนนอวี้เหอ

—————–

 

รอจนอวี้หย่วนกับอวี้เหวินที่รอส่งคนของสกุลเซียงตามมาถึง เผยเยี่ยนก็กลับไปแล้ว อวี้ป๋อกำลังชักชวนพวกนายท่านอู๋ เหล่าคหบดีและพวกเถ้าแก่ไปดื่มฉลองวันเปิดร้านที่หอสุรา พอเห็นอวี้เหวินกับอวี้หย่วนในสายตา อวี้ป๋อพลันหุบยิ้มไม่อยู่แล้วลากน้องชายที่กำลังจะเข้าไปทักทายนายท่านอู๋ออกมาอีกทาง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า  อาถังของเจ้ายอดเยี่ยมเป็นที่สุด วันนี้ที่นายท่ามสามมาร่วมงาน หากไม่ได้นางคงต้องเกิดเรื่องแน่ๆ 

พอได้ฟังก็คล้ายว่าอวี้ถังสร้างคุณงามความดีบางอย่างเอาไว้

อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมาทันที ถามด้วยความสนใจว่า  ท่านเล่ามาเร็วเข้า เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? 

อวี้ป๋อเล่าเรื่องที่อวี้ถังเป็นคนดูแลรับรองเผยเยี่ยน เรื่องที่นางสั่งอาหารมังสวิรัติหนึ่งโต๊ะไปส่งที่จวนสกุลเผยอย่างใส่ใจให้อวี้เหวินฟัง สุดท้ายยังเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า  เหตุใดตอนนั้นข้าจึงคิดไม่ถึงนะ สิ่งที่อวี้ถังส่งไปนั้นยังเป็นอาหารมังสวิรัติจากวัดเจาหมิงอีกต่างหาก! 

จากวัดเจาหมิงถึงเมืองหลินอันต้องใช้เวลาประมาณครึ่งวันได้ หากเป็นคนทั่วๆ ไปพวกเขาคงไม่ยอมมาส่งแน่ แต่ครั้งนี้ได้รับใบสั่งอาหารจากสกุลอวี้ และเพราะสกุลอวี้ต้องการส่งอาหารมังสวิรัติให้สกุลเผย เรื่องต้อนรับขับสู้ที่ครึกโครมเช่นนี้ ไม่ต้องรอถึงวันรุ่งขึ้น ทุกคนก็จะรู้กันทั่วแล้วว่า เผยเยี่ยนมาแสดงความยินดีกับการเปิดร้านใหม่ของสกุลอวี้ด้วยตนเอง เพื่อที่จะขอบคุณเผยเยี่ยน สกุลอวี้ถึงกับสั่งอาหารมังสวิรัติไปส่งให้จวนสกุลเผยเป็นพิเศษ

อวี้เหวินสีหน้าแช่มชื่น รู้สึกเสียดายที่บุตรสาวของตนเองเป็นสตรี ไม่เช่นนั้นต้องมีอนาคตไกลกว่าอวี้หย่วนเป็นแน่ แต่ความคิดนี้เขาพูดออกไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นเหมือนจะบอกว่าพี่ชายของเขาไม่ได้สั่งสอนบุตรชายให้ดี เขาจึงได้แต่ลำพองใจเงียบๆ ปากก็เอ่ยถ่อมตัวว่า  หามิได้ หามิได้ ล้วนเป็นท่านพี่กับอาหย่วนที่สั่งสอนนาง ไม่อย่างนั้นแม่นางน้อยเช่นนาง ใครจะเชื่อคำนางกันเล่า! 

อวี้ป๋อกลับไม่ได้คิดมากเพียงนั้น เมื่อน้องชายถ่อมตัว เขาก็ต้องกล่าววาจาเกรงใจหลายประโยค สองพี่น้องต่างผลัดคำนับให้กันสลับกันคุยโว พอเห็นว่าแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดีเดินตามซย่าผิงกุ้ยไปที่หอสุราหมดแล้ว ถึงได้พักบทสนทนาไว้เท่านั้น ก่อนพากันไปต้อนรับแขกต่อ

อวี้หย่วนนั้นเดินตามหลังบิดากับท่านอาอยู่เงียบๆ นึกถึงคำที่คนสกุลเซียงทิ้งเอาไว้

วันแต่งงานของเขากับแม่นางเซียงถูกกำหนดไว้แล้ว ฟังจากที่สกุลเซียงพูด บัดนี้คนฟู่หยางต่างลือกันว่านายหญิงเซียงข่มเหงลูกเลี้ยง นายหญิงเซียงจึงบันดาลโทสะ แต่ท่านแม่เฒ่าเซียงทางนั้น คิดว่างานแต่งจะต้องจัดให้ใหญ่โต ให้ทุกคนเห็นว่าสกุลเซียงให้ความสำคัญกับแม่นางเซียงผู้นี้ สกุลอวี้เป็นเพียงสกุลเล็กๆ พวกเนื้อเป็ดไก่ปลาต่างๆ ที่งานแต่งต้องใช้ ล้วนมีพวกเขาสกุลเซียงเป็นคนรับผิดชอบ สกุลอวี้แค่อยู่เฉยๆ รอถึงวันแต่งงานก็พอ

ตอนที่คุยกันเรื่องนี้คนสกุลหวังไม่อยู่ด้วย อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินก็ตัดสินใจลำบาก อวี้หย่วนเป็นเด็กรุ่นหลัง ไม่กล้าสอดปากพูดเรื่อยเปื่อย ทุกคนจึงส่งคนสกุลเซียงกลับไปอย่างคลุมเครือ แต่คนสกุลเซียงก็พูดความต้องการไว้ชัดเจนแล้ว รอให้วุ่นวายเรื่องร้านค้าจบก่อน พอกลับถึงเรือน บิดากับท่านอาคงต้องหารือว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้

เกี่ยวกับแม่นางเซียงนั้น เขารู้สึกเห็นใจนางมาก

เกิดมาในครอบครัวเช่นนั้น ไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจขัด ดังนั้นแม้ความต้องการที่สกุลเซียงยกมาพูดจะดูหมิ่นคน แต่อวี้หย่วนก็ไม่อยากทำให้แม่นางเซียงต้องลำบากใจ

เขามีความกังวลเล็กน้อยเกี่ยวกับสกุลของฝ่ายหญิง กลัวว่าต่อไปจะมีเรื่องให้ผิดใจกันอีก

ทว่า เขาไม่คิดจะทำตามความต้องการของสกุลเซียงทั้งหมด เพื่อไม่ให้สกุลเซียงคิดว่าสกุลอวี้สามารถรังแกได้ง่ายๆ มีเรื่องใดก็ขอให้ทำอย่างโน้นทำอย่างนี้ แต่มีวิธีไหนบ้างที่จะไม่ทำให้แม่นางเซียงต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากทั้งสามารถรักษาหน้าตาของสกุลอวี้ไว้ได้ด้วย อวี้หย่วนยังคิดแผนรับมือที่จะได้ประโยชน์ทั้งสองทางไม่ออกเลย

เมื่อครู่ได้ยินคำของบิดา เขาพลันอยากไปหาอวี้ถังเพื่อขอความเห็นดูสักหน่อย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร อวี้ถังก็เป็นเด็กสาวที่ดี เด็กสาวที่ดีมักเชี่ยวชาญเรื่องการจัดการภายในเรือน ขนาดนายท่านสามนางยังรับมือได้ ย่อมสะสางเรื่องของสกุลเซียงได้เช่นกัน

อวี้หย่วนคิดได้ดังนั้น พลันมีกำลังใจฮึดสู้ทันที

กระทั่งงานเลี้ยงที่หอสุราเลิกราแล้ว เขาจึงไปจ่ายเงินค่าอาหาร จากนั้นก็หาข้ออ้างหนีกลับไปที่ร้านค้า

อวี้ถังยังไม่กลับเรือน คนสกุลเฉินตามมาสมทบ รวมทั้งคนสกุลหวัง ทั้งสามนั่งล้อมวงสนทนากันตรงโต๊ะหนังสือเล็กๆ ในห้องบัญชี พอเห็นอวี้หย่วนเข้ามา พวกนางก็ชะงักอย่างพร้อมเพรียงกัน คนสกุลหวังถึงกับเผยรอยยิ้มแข็งทื่อออกมาขณะพูดกับเขา  เจ้ากลับมาแล้วรึ! หอสุราทางนั้นเรียบร้อยดีหรือไม่? บิดาเจ้าดื่มมากเกินไปหรือเปล่า? แล้วทำไมเจ้าไม่กลับมาพร้อมกับบิดาและท่านอาของเจ้าล่ะ? 

อวี้หย่วนไตร่ตรองดู จากนั้นก็ไม่คิดอ้อมค้อม เอ่ยถามตรงไปตรงมาว่า  ท่านแม่ ท่านน้าสะใภ้ พวกท่านกำลังคุยเรื่องข้ากับสกุลเซียงกันกระมัง? 

คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินแลกเปลี่ยนสายตากัน ลองตรึกตรองดูแล้วรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังอวี้หย่วน คนสกุลหวังถึงได้พูดว่า  ใช่ ข้ากับน้าสะใภ้เจ้ากำลังคุยเรื่องงานแต่งของเจ้ากับแม่นางเซียงอยู่ สกุลเซียงนี้ช่างมากเรื่องเหลือเกิน ทำเอาข้ารับปากก็ไม่ได้ ปฏิเสธก็ไม่ดี เมื่อครู่น้าสะใภ้เจ้าเพิ่งพูดว่า นี่เป็นงานแต่งของเจ้า ขอเพียงเจ้ายินยอม เรื่องอื่นล้วนเป็นเรื่องรองทั้งสิ้น สกุลเซียงต้องการอย่างไร พวกเราก็แค่ทำตามนั้นก็พอแล้ว 

พูดกันไปพูดกันมา ปัญหาทั้งหมดเกิดจากเงินทองนี่เอง

หากมิใช่ไม่มีเงิน บุตรสาวออกเรือนต้องเงยหน้า บุตรชายแต่งสะใภ้ต้องก้มหัว[1] ไม่ว่าสกุลเซียงจะเรียกร้องสิ่งใด สกุลอวี้แค่รับปากตกลงไปก็พอ

อวี้ถังนั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆ ฟังพวกผู้ใหญ่คุยกัน ในใจกำลังสงสัยว่าไม่รู้นายท่านสามวางแผนจะจัดงานประมูลประมาณช่วงไหน จะหาเงินได้ก่อนที่ญาติผู้พี่ของนางจะแต่งงานหรือไม่? หากว่าไม่มีเงิน สามารถเอาของเก่าโบราณในบ้านไปจำนำก่อนได้หรือเปล่า?

ใครจะคิดว่าพออวี้หย่วนได้ฟังก็หันไปหาอวี้ถัง  เจ้าคิดอย่างไร? สกุลเราควรทำเช่นไรดี? 

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังได้แต่อ้าปากค้าง

อวี้ถังก็ตกใจตั้งตัวไม่ติด

อวี้หย่วนจึงได้แต่เสริมว่า  ข้าได้ยินมาจากท่านพ่อ บอกว่าตอนที่นายท่านสามมาถึง โชคดีที่เจ้ามีไหวพริบปรับตัวไว เรื่องของสกุลเซียง เจ้าก็ช่วยข้าออกความเห็นหน่อยเป็นไร? 

ฟังจากน้ำเสียง อวี้หย่วนยังคิดจะปกป้องแม่นางเซียงเอาไว้ เพียงแค่ไม่พอใจคนสกุลเซียงก็เท่านั้น

อวี้ถังถอนหายใจเฮือก

เช่นนี้ก็ดีแล้ว

นางกลัวมากว่าญาติผู้พี่กับแม่นางเซียงจะเกิดผิดใจกันก่อนวันแต่งงาน ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยา

เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรนางต้องช่วยอยู่แล้ว!

สมองของอวี้ถังหมุนแล่นอย่างว่องไว นางเอ่ยว่า  สกุลเซียงพูดเพียงว่างานแต่งต้องใหญ่โต แต่งานแต่งใหญ่โตไม่ได้หมายความว่าต้องใช้เงินมากเสียหน่อย! อาจหมายถึงมาตรฐานที่สูงส่ง อย่างเช่นว่า เชิญคนที่มีหน้ามีตาในเมืองหลินอันมาดื่มสุรามงคลด้วย… 

เช่นนี้แล้ว งานเลี้ยงก็ไม่จำเป็นต้องเชิญคนมาก ผู้อื่นที่เอาไปพูดก็ฟังดูมีหน้ามีตาอีกด้วย

สิ่งที่สกุลเซียงต้องการมิใช่หน้าตานี้หรอกรึ?

สายตาของอวี้หย่วนและคนอื่นๆ ต่างเปล่งแสงวิบวับ ร้องออกมาเสียงเดียวกันว่า  เป็นความคิดที่ดี 

คนสกุลหวังพูดขึ้นว่า  หากเชิญนายท่านสามมาได้ย่อมจะดีที่สุดแล้ว 

อวี้ถังเหงื่อตก  นายท่านสามยังไว้ทุกข์อยู่เลยเจ้าค่ะ งานเปิดร้านของเราเขาก็มาครั้งหนึ่งแล้ว ข้าว่างานแต่งของญาติผู้พี่ก็อย่ารบกวนเขาเลย! 

ต่ำต้อยเกินไปจึงไม่กล้าอาจเอื้อม หลักเหตุผลเดียวกัน ฐานะของสกุลนางกับสกุลเผยต่างกันลิบลับ ถึงแม้เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานไปขอความช่วยเหลือจากเขาก็เถอะ แต่ให้ไปมาหาสู่ออกงานเลี้ยงร่วมกันคิดว่าคงไม่ต้องกระมัง

คนสกุลหวังพยักหน้าเห็นด้วย คิดว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล จากนั้นก็หันไปปรึกษาเรื่องรายชื่อแขกกับอวี้หย่วน

เพราะสกุลอวี้มีคนน้อย ที่ไปมาหาสู่กันบ่อยหน่อยก็คงเป็นเพื่อนบ้านในตรอกชิงจู๋ อย่างมากก็นั่งกันสักเจ็ดแปดโต๊ะได้ บวกกับพวกเล่าเรียนวิชาในเมืองหลินอัน ก็คงไม่เกินยี่สิบโต๊ะแน่ หากทำเช่นนี้ปัญหาต่างๆ นับว่าแก้ไขได้หมดแล้ว

เพื่อนบ้านคุยกันง่าย แต่พวกคหบดีกับผู้เล่าเรียนวิชา อาจต้องให้อวี้เหวินออกหน้าเชิญเอง

อวี้ถังไม่ได้ไปฝนหมึกรอตั้งแต่แรก กลับปรึกษาคนสกุลหวังและคนสกุลเฉินว่า  ฐานะของญาติผู้พี่ จำเป็นต้องเลื่อนให้สูงขึ้นหรือไม่เจ้าคะ? 

หากยกให้อวี้หย่วนเป็นผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของสกุลอวี้ แบกรับทั้งสองบ้านไว้บนบ่า เมื่ออวี้หย่วนแต่งงาน อวี้เหวินก็นับเป็นหนึ่งในพ่อสามีเช่นกัน สหายของอวี้เหวินย่อมต้องมาร่วมงานแน่ แต่หากทำเช่นนี้ อนาคตของอวี้ถังก็จะเป็นแต่งออกมิใช่เขยชายแต่งเข้าแล้ว วิธีนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

คนสกุลหวังไม่รอให้คนสกุลเฉินเปิดปากก็เปล่งเสียงว่า  เรื่องนี้ไม่ต้องปรึกษาท่านลุงใหญ่และบิดาเจ้าหรอก ก็แค่บอกว่าหลานชายแต่งงาน ไม่อาจพูดให้มัดตัวเกินไป อย่าให้งานแต่งของอาถังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย 

ในสายตาของคนสกุลหวัง งานแต่งของอวี้ถังพูดเอาไว้แล้วว่าจะแต่งเขยชายเข้าสกุล ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี…หากสามารถหาเขยชายดีๆ แต่งเข้าสกุลได้ ย่อมไม่มีอะไรให้พูดมากอีก แต่ถ้าสองสามปีผ่านไปแล้วยังไม่ได้เรื่อง ตอนนั้นค่อยให้อวี้ถังแต่งออกไปก็ยังไม่สาย ยังสามารถเลือกหาสกุลดีๆ ได้อยู่

คนสกุลเฉินย่อมคิดตรงกัน เกี่ยวกับเรื่องนี้นางไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าเห็นด้วย อย่างไรเรื่องราวเกี่ยวพันถึงความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาว แม้นางจะรักอวี้หย่วนผู้เป็นหลาน แต่เทียบกับบุตรสาวในอุทรแล้ว นางย่อมจะรักบุตรสาวแท้ๆ มากกว่าหน่อย

คนสกุลหวังคิดแทนอวี้ถังเช่นนี้ คนสกุลเฉินก็รับน้ำใจของนางไว้

นางเอ่ยขึ้นว่า  ทุกคนอย่างเพิ่งใจร้อน รอให้ฮุ่ยหลี่กับท่านลุงใหญ่กลับมา พวกเราค่อยหารือกันดีๆ ย่อมจะคิดหาทางออกได้แน่ 

คนสกุลหวังพยักหน้ารับ คนสี่คนล้อมวงหารือกันอยู่ค่อนวัน ไม่ง่าย กว่าที่อวี้ป๋อและอวี้เหวินจะกลับมาที่ร้านค้าพร้อมพวกนายท่านอู๋ สองพี่น้องดื่มเหล้าจนหน้าแดงเถือก พูดจาลิ้นแข็งอยู่บ้าง เรื่องนี้จึงไม่สะดวกจะคุยกันต่อ รอกระทั่งวันต่อมาที่สองพี่น้องสกุลอวี้สร่างจากฤทธิ์สุราแล้ว สองคนถึงได้เริ่มต้นนั่งลงแล้วหารือเรื่องความต้องการของสกุลเซียงใหม่อีกครั้ง

แน่นอนว่าอวี้ป๋อไม่เห็นด้วย

เขาโมโหไม่เบา  สกุลอวี้ของพวกเรามีข้าวเท่าไรก็กินแค่เท่านั้น สกุลเซียงที่ชอบชื่อเสียงปลอมๆ เช่นนี้ พวกเราคงไม่อาจเอื้อม 

อวี้หย่วนพลันหน้าซีดไปทันที

ญาติผู้พี่คงกลัวว่างานแต่งจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือ?

อวี้ถังสัมผัสได้อีกครั้งถึงความใส่ใจที่อวี้หย่วนมีต่องานแต่งในครั้งนี้

ในชาติก่อนนั้น สกุลเกาก็เอ่ยข้อเรียกร้องที่ไม่ค่อยสูงนัก แต่อวี้หย่วนตอบกลับด้วยความเย็นชา สกุลเกายังไม่ทันได้แต่งเข้าสองบ้านก็เริ่มทะเลาะกันแล้ว อวี้หย่วนยังไม่เคยพูดแทนสกุลเกาสักคำ มีแต่ก้มหน้านิ่งเท่านั้น

นี่เป็นเพราะวาสนาของญาติผู้พี่มาถึงแล้วหรือ?

อวี้ถังยิ้มจนตาหยี แล้วยกจานส้มเข้าไปให้ท่านลุงใหญ่ นางส่งสายตาให้กับอวี้หย่วน แล้วทิ้งให้พวกผู้ใหญ่ปรึกษาหารือกันไป ส่วนตนก็ไปยืนรับลมหนาวคุยกับญาติผู้พี่อยู่ใต้ชายคา

 ท่านพี่ยังร้อนใจถึงเพียงนี้ พี่สะใภ้คงไม่อาจสงบใจได้แน่  นางกำลังยุยงอวี้หย่วน  ตอนนี้นางยังต้องกลับไปอยู่ที่สกุลเซียง ติดต่อกันลำบาก ท่านควรหาวิธีปลอบใจพี่สะใภ้หน่อยดีหรือไม่? 

อวี้หย่วนตอนแรกยังปากแข็งเล็กน้อย แต่พอเจอสายตายั่วเย้าของอวี้ถังถึงได้ยอมแพ้ กระซิบเสียงเบาว่า  อย่างไร จะปลอบนางอย่างไรดี? 

อวี้ถังหัวเราะตอบว่า  ข้าจะทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้สักหลายดอก ท่านก็ให้คนเอาไปส่งเถอะ 

อวี้หย่วนถามต่อว่า  แบบนี้จะดีรึ? 

 ดีแน่นอน!  อวี้ถังตอบ  น้องสามีมอบดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ ใครยังจะพูดอะไรได้อีก? แต่ถ้าจะให้ข้าทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ ข้ามีข้อแลกเปลี่ยนนะเจ้าคะ 

อวี้หย่วนได้ยินก็แจกมะเหงกอวี้ถังไปทีหนึ่ง  เจ้าเด็กคนนี้ ทำดอกไม้ผ้าให้พี่สะใภ้ยังจะต่อรองราคาอีก? 

อวี้ถังกุมศีรษะแล้วร้องโอดโอยว่าอวี้หย่วนมีพี่สะใภ้ก็ไม่ต้องการน้องสาวแล้ว ทำเอาอวี้หย่วนเขินอายจนหน้าแดง ขอร้องให้นางเบาเสียงลง ทั้งยังต้องตกลงรับปากว่าตอนที่เขาแต่งงานจะสั่งทำกำไลเงินห้าตำลึงมอบให้อวี้ถัง นางถึงได้ยอมจบเรื่องสักที

หลังจากเรื่องล้อเล่นผ่านไปแล้ว อวี้ถังก็เข้าเรื่องสำคัญด้วยสีหน้าจริงจังเคร่งเครียด  ข้าต้องการไปหังโจวสักครั้ง ท่านพี่ไปเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ 

————————————————————-

[1]บุตรสาวออกเรือนต้องเงยหน้า บุตรชายแต่งสะใภ้ต้องก้มหัว เป็นคำโบราณ หมายถึงบุตรสาวเวลาแต่งออกต้องเลือกสกุลของผู้ชายที่คุณสมบัติหรือฐานะสูงกว่า ส่วนเวลาผู้ชายจะแต่งภรรยาเข้าบ้านนั้น ก็ต้องเลือกหญิงที่มีคุณสมบัติและฐานะต่ำว่าเช่นกัน

 

เผยเยี่ยนเห็นอวี้ถังทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่เขาพูด ก็โมโหสุดขีด

เดิมเขาคิดว่า คนที่ไม่รู้จักดีชั่วเช่นนี้ เขาแค่ไม่ต้องไปใส่ใจ ปล่อยนางไปตามยถากรรมก็พอ แต่เมื่ออวี้ถังสั่งคำกับซวงเถาจบแล้ว ยังจะมายืนเบื้องหน้าเขา แล้วเอ่ยเสียงหวานหน้ายิ้มแฉ่งว่า  นายท่านสาม ข้ารู้ว่าท่านไม่เห็นค่าสิ่งเหล่านี้ และรู้ว่าเรื่องวันนี้เป็นสกุลข้าที่ทำไม่สมควร ท่านก็ให้ข้าไปซื้อชาดีมารับรองท่านหน่อยเถอะ มิเช่นนั้นใจของข้าคงไม่อาจสงบได้แน่ อาหารมังสวิรัติก็เช่นกัน ท่านยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกจะรั้งท่านให้นั่งกับพวกเราตรงนี้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็ดูแลท่านให้เต็มที่ หากท่านคิดว่ามันไม่อร่อย ก็ตกเป็นรางวัลให้คนรับใช้ อย่างน้อยก็ถือเป็นน้ำใจของสกุลข้า 

สิ่งที่สำคัญเหนืออื่นใด ต้องให้ผู้อื่นรับรู้ว่าสกุลอวี้ซาบซึ้งใจต่อสกุลเผยเพียงใด และเติมแต่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์อีกหน่อยว่าเขาต้องลำบากเพียงใดเพื่อมาร่วมงานเปิดร้านของสกุลอวี้

เพียงแต่คำพูดนี้นางไม่อาจพูดออกไปได้

อาศัยความรู้สึกของนาง หากว่านางสารภาพออกไปตามตรง เผยเยี่ยนต้องพลิกหน้าใส่นางเป็นแน่

เผยเยี่ยนมองรอยยิ้มที่เจิดจ้าดั่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิตรงหน้าตน บวกกับสีหน้าเอาอกเอาใจหน่อยๆ ความขุ่นข้องในใจคล้ายจะเลือนหายไปอีกแล้ว

ช่างเถอะ!

เขาเป็นบุรุษ ไม่จำเป็นต้องมาคิดแค้นกับแม่นางน้อยคนหนึ่ง

อีกอย่าง ตอนเป็นหนุ่มสาวใครบ้างไม่เคยทำผิด?

สิ่งสำคัญคือต้องแก้ไขความผิดนั้นต่างหาก

มิสู้เขาสั่งสอนนางเสียหน่อยจะดีกว่า

เมฆหมอกเริ่มจางหายจากสีหน้าของเผยเยี่ยน เขาจิบชาช้าๆ หนึ่งคำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยว่า  ให้สาวใช้เจ้ากลับมาเถอะ ข้าไม่ขาดแคลนใบชา กลัวแต่เด็กในร้านจะตัดสินใจแทนเจ้าเสียก่อน เห็นว่าใบชาหนึ่งจิน[1]ห้าตำลึงหน้าตาไม่ต่างอะไรกับใบชาหนึ่งจินห้าร้อยตำลึง ถึงได้ซื้อใบชาห้าตำลึงกลับมา หากถูกลือออกไป เดี๋ยวผู้อื่นเข้าใจผิดคิดว่าข้าชอบดื่มชาหยาบๆ ต่อไปเดินไปทางใดคงได้ดื่มแต่ชาที่รสชาติเหมือนน้ำล้างหม้อ ข้าทุกข์ใจ ผู้อื่นย่อมทุกข์ใจตามด้วย 

หมายความว่าอย่างไร?

อวี้ถังค่อนข้างมึนงง

นางสั่งซวงเถาบอกให้คนไปซื้อใบชาชั้นดีมาแล้ว ใบชาจินละห้าร้อยตำลึงสกุลนางคงไม่มีปัญญาซื้อ ต่อให้ซื้อมารับแขกเพียงครึ่งเหลี่ยง[2]ก็คงไม่หน้าใหญ่ปานนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดซื้อใบชาจินละห้าตำลึงมารับรองเขาหรอกกระมัง?

อีกอย่าง อะไรคือเดินไปทางใดคงได้ตื่มแต่ชาที่รสชาติเหมือนน้ำล้างหม้อ ข้าทุกข์ใจ ผู้อื่นย่อมทุกข์ใจตามด้วย?

เขาทุกข์ใจนั้นเข้าใจได้ เหตุใดผู้อื่นต้องทุกข์ใจตามเขาด้วยเล่า?

อวี้ถังมองตาที่คมกริบของเผยเยี่ยน พลันเข้าใจทุกอย่างในทันที

คนผู้นี้ กำลังเหน็บแนมนางอย่างนั้นรึ?

นางเริ่มจะฟังออกแล้ว

นี่โทษนางได้หรือ? ใครพูดเหน็บแนมผู้อื่นเหมือนอย่างเขาบ้าง สีหน้าไม่เพียงไร้อารมณ์ น้ำเสียงราบเรียบ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน เอื่อยเฉื่อยอย่างกับน้ำไหล

หรือว่าการพูดจาไม่ต้องแสดงออกถึงอารมณ์หรอกรึ?

อวี้ถังบ่นในใจ ด่าเผยเยี่ยนจนฟังไม่ได้ไปยกหนึ่ง

คนผู้นี้ เป็นคนคิดเล็กคิดน้อย อารมณ์แปรปรวน หากว่าสมองหมุนช้ากว่านี้อีกสักหน่อย ไม่รู้ว่าเขาจะเอานางไปคิดไร้สาระอะไรในสมองนั่นอีก

สมองของอวี้ถังพยายามแล่นเร็วจี๋

ใบชา…ราคาถูก…คิดไปว่าเขาชอบดื่มชาหยาบๆ…

แต่ก็เหมาะสมกับนิสัยรักชื่อเสียง ชอบวางท่าของเขาดีเหมือนกัน

ส่วนว่าผู้อื่นเป็นทุกข์ตามนั้น หมายถึงแต่ไรเขาก็เกิดมาในสกุลที่ไม่ขัดสน คนสกุลอื่นหากคิดใช้ใบชาหยาบๆ มาต้อนรับเขาก็ต้องไปหาซื้อโดยเฉพาะอีกอย่างนั้นรึ?

เวลาผ่านไปพักใหญ่แล้ว อวี้ถังยังคิดไม่ตกว่าตัวเองผิดตรงไหนกันแน่ แต่ห้องบัญชีนั้นเงียบกริบ เด็กในร้านที่รับใช้เขาตอนแรกก็ไม่รู้ไปหลบตรงไหนตั้งแต่ตอนที่นางเข้ามาแล้ว เผยหม่านกับหูซิ่งก้มหน้างุดราวกับท่อนไม้ คล้ายกลัวมีคนรู้การมีอยู่ของพวกเขา ซวงเถาที่แค่เห็นเผยเยี่ยนก็ตัวสั่นงันงก พอถูกนางใช้งาน ก็รีบวิ่งหายไปอย่างกับควัน หากว่านางไม่พูดอะไรต่อ ในห้องนี้ก็คงไม่มีเสียงอื่นอีกแล้ว ผ่านไปอีกพักหนึ่ง บรรยากาศที่นางเพิ่งจะทำให้ดีขึ้นหน่อยก็เปลี่ยนเป็นหนักอึ้งอีกครั้ง

สนทนากับเผยเยี่ยนช่างเหน็ดเหนื่อยเสียจริง

อวี้ถังได้แต่ทอดถอนใจในอก สีหน้าไม่กล้าแสดงออกแม้แต่น้อย ได้แต่พูดไปเรื่อยเปื่อยว่า  ฟังท่านพูดเข้าสิ ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ! ไม่ว่าใบชาหนึ่งจินจะห้าตำลึงหรือห้าร้อยตำลึง จุดประสงค์ก็คืออยากรับรองท่านให้ดีที่สุด ล้วนเป็นความจริงใจทั้งสิ้น… 

เพียงแต่นางพูดไม่ทันจบดี ก็ได้ยินเสียงเย็นของเผยเยี่ยนแทรกขึ้นมาว่า  เช่นนั้นแล้ว ห่วงเคาะประตูสองตำลึงอันหนึ่งก็คือของขวัญด้อยค่าแต่มากด้วยน้ำใจอย่างนั้นสินะ? 

อวี้ถังถูกเผยเยี่ยนเสียดสีอย่างไม่ทันตั้งตัว ตกใจจนแทบซวนเซสะดุดล้ม

ในสมองมีความคิดแรกผุดขึ้นมาทันทีว่า เขารู้ได้อย่างไรว่าห่วงเคาะประตูอันละสองตำลึง?

ความคิดที่สองคือหรือตอนนี้เผยเยี่ยนกำลังคิดบัญชีแค้นเรื่องนี้กับนาง?

ความคิดที่สามคือแย่แล้ว แย่แล้ว จากนิสัยเย่อหยิ่งของเผยเยี่ยน จะต้องคิดว่าสกุลอวี้ตั้งใจหลอกลวงเขาแน่ๆ!

อวี้ถังไม่ทันคิดให้ละเอียด ก็ร้องว่าไม่เป็นธรรมทันที  นายท่านสาม ท่านเข้าใจผิดแล้ว ห่วงเคาะประตูที่ให้ท่านนั้น เป็นความคิดของข้าเอง ตอนนั้นข้ากับท่านพ่อไปเดินดูของที่ร้านวัตถุโบราณ ข้าเห็นว่าห่วงเคาะประตูชิ้นนั้นน่าสนใจ เลยอยากให้ท่านได้เล่นสนุกดูบ้าง… 

เผยเยี่ยนเลิกคิ้วสูง ตัดบทนางอย่างไม่เหลือความเกรงใจว่า  ห่ออย่างดีถึงเพียงนั้น ซ้ำบอกว่าได้มาจากร้านวัตถุโบราณ เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาทำเหมือนมันเป็นของขวัญล้ำค่า เช่นนั้นก็อย่าให้คนที่รับของขวัญรู้สิว่านั่นเป็นของราคาสองตำลึง? ซื้อของในร้านค้าข้ามาเป็นของขวัญให้ข้า คงมีแต่เจ้าที่คิดอะไรเช่นนี้ออกมาได้ ทำไมเล่า ตอนนี้ยังคิดจะซื้อใบชาจากร้านข้ามาต้อนรับข้า? สั่งอาหารมังสวิรัติจากหอสุราของข้ามาให้ข้ากิน? ในสมองของเจ้านอกจากความสะดวกสบายแล้ว สามารถคิดอย่างอื่นได้อีกหรือไม่? ของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจ? ข้าได้รับของเช่นนี้ เจ้าลองมาช่วยข้าดูทีสิ? ข้าจะหาความจริงใจของสกุลเจ้าจากที่ตรงไหนได้อีก? 

สีหน้าของอวี้ถังพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

เรื่องนี้โทษนางได้รึ?

ทั่วทั้งเมืองหลินอันยังมีร้านค้าใดบ้างที่ไม่ใช่ของเขาคนสกุลเผยอีก

นางแค่อยากซื้อของดีๆ ให้เขา แต่นอกจากร้านของสกุลเผยแล้ว นางจะไปซื้อที่ใดได้?

แม้ในใจจะแอบเถียง แต่สมองของนางชัดเจนดี เรื่องนี้นับว่านางทำไม่ถูก

อย่างน้อย ก็ไม่มีความจริงใจ

แต่ใครจะคิดว่าคนที่แสนจะยุ่งอย่างเขา ถึงกลับรู้ว่าท่ามกลางร้านค้ามากมายของตนมีขายห่วงเคาะประตูเช่นนี้อยู่หนึ่งอัน!

อวี้ถังอดจะอัศจรรย์ใจไม่ได้ เขาคงไม่รู้หรอกใช่ไหมว่าสินค้าทุกชิ้นของสกุลเผยมีอะไรบ้าง?

นี่ นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง?

เผยเยี่ยนเพิ่งค้นพบว่า คุณหนูอวี้ไม่เพียงมีดวงหน้าที่งดงาม แต่ดวงตาคู่นั้นยังพูดจาอยู่ตลอดเวลาได้อีกด้วย มันไม่เคยสงบนิ่งเหมือนน้ำเลย

มองดวงตาที่นางใช้จ้องเขา เขาไม่ต้องใช้สมองก็รู้แล้วว่านางกำลังคิดอะไรอยู่

เผยเยี่ยนอดจะยิ้มเย็นไม่ได้ เอ่ยสั่งสอนนางว่า  ใต้หล้าไม่มีกระดาษที่ห่อไฟได้ ในเมื่อเจ้ากล้าทำเรื่องเช่นนี้ ก็ต้องคิดแล้วว่าต้องถูกเปิดโปงสักวันหนึ่ง หากจะใช้คำพูดที่ว่าของขวัญแม้จะด้อยค่าแต่มากไปด้วยน้ำใจมายัดเยียดให้ผู้อื่น มิสู้ไปคิดให้ดีว่าสมควรพูดจาเช่นไรในตอนที่มอบของขวัญให้? 

อวี้ถังพยักหน้าคล้อยตาม

แต่เผยเยี่ยนเห็นท่าทางของนาง รู้ทันทีว่านางไม่เข้าใจสักนิดว่าตนกำลังพูดอะไร

เขาหยุดคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยเข้าประเด็นทันที  สิ่งใดล้วนมีค่าที่ความจริงใจทั้งนั้น หากเจ้าคิดว่าห่วงเคาะประตูน่าสนใจ ตอนที่มอบของขวัญให้ก็บอกผู้อื่นเสียว่าสิ่งของนี้หาได้มีราคาค่างวด แค่ดูน่าสนุกเท่านั้น แล้วใส่กล่องไม้ธรรมดามาก็พอ หากคิดว่าห่วงเคาะประตูนั้นเป็นวัตถุโบราณ ตอนมอบของขวัญก็ต้องเล่าประวัติความเป็นมาออกมาด้วย แต่การทำอย่างขอไปทีเช่นเจ้าคือเอาของราคาสองตำลึงใส่ในกล่องผ้าไหมสิบตำลึง ทั้งยังซื้อจากร้านของเจ้าตัวอีก เจ้าคิดว่าใครจะชอบของขวัญเช่นนี้กัน? 

นี่กำลังสอนนางว่าสมควรทำตัวเป็นคนเช่นไรรึ?

อวี้ถังตะลึงตะลาน ผ่านไปครึ่งวันถึงได้สติ

จริงๆ ด้วย นายท่านสามกำลังบอกนางว่าสมควรกระทำตัวเช่นไรอยู่!

อวี้ถังพลันตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก

มีคนอยู่หนึ่งประเภท เขามักจะสั่งสอนคนเมื่อคิดว่าคนผู้นั้นเป็นคนกันเอง

ก็เหมือนครั้งแรกที่นางเจอเผยเยี่ยน กระทั่งคำอธิบายจากนางเขายังไม่ยินดีจะฟัง แต่ตอนนี้ เขากลับชี้แจงให้นางฟังว่านางทำผิดไปตรงจุดใด

นี่นับว่าก้าวเดียวเหยียบถึงฟ้าจริงๆ!

ดูท่าความพยายามของนางจะเห็นผลเสียแล้ว

ใต้หล้านี้ยังมีสิ่งใดทำให้คนรู้สึกว่าการทุ่มเทมีความหมายมากกว่านี้อีก?

อวี้ถังรู้สึกว่ากรอบตาของตนรื้นชื้น รีบเอ่ยความในใจออกไป  นายท่านสามสั่งสอนได้ถูกต้อง ข้าจำใส่ใจไว้แล้ว ต่อไปจะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก  นางนึกไปถึงนิสัยชอบเล่นแง่ของเขา จึงรีบเอ่ยเสริมว่า  ข้าจะให้คนไปเรียกซวงเถากลับมาเดี๋ยวนี้ ในร้านมีชาอะไรก็จะใช้ชานั้นรับแขก ท่านเองก็ไม่ใช่คนเรื่องมากอยู่แล้ว ส่วนเรื่องอาหารมังสวิรัติ อย่างไรก็คงต้องให้คนส่งไปที่จวนท่าน แต่จะสั่งอาหารชั้นยอดของหอสุราให้อย่างแน่นอน 

นับว่าเขาไม่เปลืองน้ำลายไปเปล่าๆ

สีหน้าของเผยเยี่ยนเริ่มดีขึ้นมาหน่อย

อวี้ถังถอนหายใจ แล้วเริ่มปวดใจกับเงินที่ต้องจ่ายค่าอาหารมังสวิรัติ

คงสักประมาณห้าถึงหกสิบตำลึงถึงจะซื้อได้กระมัง

อีกอย่างอาหารมังสวิรัติยังแพงกว่าอาหารจัดเลี้ยงเสียอีก

หรือว่าเงินทองไม่อาจประหยัดได้สักหน่อยหรือ?

เขามิใช่ต้องรักษาหน้าตา? ทั้งยังต้องรักษาภาพลักษณ์สง่างามอีกด้วย?

อวี้ถังพลันคิดออกหนึ่งวิธี เพื่อเงินทองในบ้าน นางจึงตัดสินใจเอ่ยไปทันที  นายท่านสาม ท่านว่าข้าเปลี่ยนอาหารมังสวิรัติจากหอสุราข้างๆ เป็นอาหารมังสวิรัติจากวัดเจาหมิงหรืออารามอื่นๆ ดีหรือไม่? 

เช่นนี้ภาพลักษณ์สูงพอแล้วหรือไม่?

อีกอย่างหากพ่อครัวในวัดรู้ว่านี่เป็นอาหารที่จะส่งให้สกุลเผย ย่อมจะทำสุดฝีมือโดยไม่สนใจเงินทอง…เพราะหากเก็บเงินมากเกินไป แล้วจะขอบิณฑบาตค่าธูปเทียนกับสกุลเผยได้เช่นไรเล่า? อย่างไรวัดก็ต้องรักษาภาพของความเรียบง่ายสมถะเอาไว้อยู่

เผยเยี่ยนมองดวงตาของอวี้ถังที่กระจ่างดั่งน้ำใสและมีประกายเจ้าเล่ห์แวบผ่าน อารมณ์ค่อยเบิกบานขึ้น

เด็กน้อยนับว่ายังสอนสั่งได้อยู่!

คุณหนูผู้นี้ จะว่าฉลาดก็ฉลาดอยู่หรอก เสียดายที่เกิดในครอบครัวธรรมดาสามัญอย่างสกุลอวี้ บิดามารดาไม่ได้มีวิชาความรู้ สอนสั่งอะไรนางไม่ได้ คล้ายเป็นไข่มุกที่ฝุ่นจับ

 เอาสิ!  เผยเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองแต่ไรก็เป็นคนอยู่กับความเป็นจริง ดีก็คือดี เลวก็คือเลว ในเมื่อคุณหนูอวี้คิดวิธีที่ทั้งมัธยัสถ์และสง่างามออกมาได้ เขาย่อมจะเห็นด้วยอยู่แล้ว

นางบอกแล้วอย่างไรว่าเผยเยี่ยนผู้นี้ มักวางท่าว่าเป็นคนเรียบง่ายสามัญ แต่ตัวตนกลับชื่นชอบความหรูหราฟุ้งเฟ้อ แต่ไม่ว่าจะหรูหราฟุ้งเฟ้อเพียงใด ภายนอกต้องดูเรียบง่ายและสามัญเท่านั้น

อวี้ถังรู้สึกว่านางได้ทำความรู้จักกับเผยเยี่ยนมากขึ้นอีกขั้น ในใจของนางเริ่มมีเขาขยับเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

นางรีบตามหาเด็กในร้านที่เคยรับใช้อยู่ในห้องบัญชี บอกให้เขาไปตามซวงเถากลับมา แล้วไปหาป้าสะใภ้ที่คอยดูแลโรงงานและโกดังอยู่ด้านหลัง ขอให้นางส่งคนไปจัดการเรื่องอาหารมังสวิรัติที่วัดเจาหมิง ทั้งกระซิบบอกกับป้าสะใภ้ว่า  ต้องให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยว่านี่เป็นสิ่งที่สกุลอวี้แสดงความเคารพต่อสกุลเผยนะเจ้าคะ 

นี่มิใช่เป็นการประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ว่าสกุลเผยให้ท้ายสกุลนางอยู่หรือ?

นับเป็นผลดีร้อยประการต่อสกุลอวี้โดยแท้

ป้าสะใภ้มีหรือจะไม่ตอบตกลง

 ข้ารู้แล้ว  คนสกุลหวังรับปาก  เจ้าวางใจได้ เรื่องนี้ข้ารู้ว่าควรทำอย่างไร จะต้องออกมาดีแน่ 

ทว่าอวี้ถังยังเป็นห่วงอยู่บ้าง รีบเอ่ยว่า  มากหรือน้อยเกินไปล้วนไม่งามนะเจ้าคะ 

 รู้แล้ว รู้แล้ว  ท่านป้าสะใภ้หันมาหัวเราะให้นาง  จะไม่ให้คนนินทาว่าสกุลอวี้ของเราประจบสอพลอสกุลเผยเด็ดขาด 

อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ

————————————————————-

[1]จิน เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักของจีน หนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัม

[2]เหลี่ยง เป็นหน่วยชั่งน้ำหนักที่เล็กกว่าจิน โดยสิบเหลี่ยงเท่ากับหนึ่งจิน

 

เผยเยี่ยนมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?

เขาไม่ควรดื่มชาแล้วนั่งเป็นประธานให้ผู้คนรุมล้อมอยู่ที่โถงด้านหลังหรือ?

สีหน้าของเขาไม่น่ามอง คงมิใช่เพราะได้ยินคำที่นางพูดไปเมื่อครู่กระมัง?

แต่เมื่อครู่นางไม่ได้พูดอะไรสักหน่อยนี่!

อวี้ถังหวนนึกสิ่งที่ตนพูดออกไปก่อนหน้านี้ หูซิ่งที่อยู่ด้านข้างกลับทำท่าเกินจริง เขากระเด้งตัวยืนขึ้นทันควัน พูดจาอึกอักด้วยความหวาดกลัวว่า  นาย นายท่านสาม ท่าน ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรขอรับ? ท่านต้องการสิ่งใดหรือมีอะไรจะสั่งหรือขอรับ? 

อวี้ถังได้สติกลับคืนมา

จริงด้วย บางทีเผยเยี่ยนอาจมีเรื่องอื่นถึงเดินมาที่นี่ก็เป็นได้?

นางรีบยิ้มเอ่ยว่า  นายท่านสาม ท่านมีเรื่องอันใดจะสั่งหรือ? 

ต้องทำให้เผยเยี่ยนรู้สึกถึงความกระตือรือร้นในการต้อนรับแขกของนางให้ได้

ต้องรู้ไว้อย่างหนึ่งว่า ตามคำบอกเล่าของหูซิ่งนั้น เขาถูกลากให้มาลำบากเพราะความเข้าใจผิดของหูซิ่งเอง และเพื่อรักษาหน้าตาของสกุลอวี้จึงจำเป็นต้องมา ไม่ต้องพูดถึงคนที่เย่อหยิ่งอย่างเผยเยี่ยน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ย่อมจะเดือดดาลหนัก จึงไม่แปลกที่สีหน้าเขาจะดูไม่ได้เช่นนี้

อวี้ถังคิดแล้วก็รู้สึกเห็นใจเผยเยี่ยน ท่าทีที่แสดงต่อเขาจึงนุ่มนวลยิ่งกว่าเดิม

 นายท่านสาม ท่านมีเรื่องใดก็สั่งข้ามาตามตรงได้เลย  นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

เผยเยี่ยนแม้สักประโยคก็ไม่อยากเปิดปาก

หูซิ่งคนบัดซบผู้นี้ตัดสินใจตารางงานของเขาโดยพลการไม่เท่าไร เขาคิดว่าอย่างไรต้องไว้หน้าสกุลอวี้สักหลายส่วนถึงได้ข่มกลั้นความไม่พอใจแล้วเดินทางมา ผลสุดท้ายคุณหนูอวี้ไม่เพียงไม่รับยอมรับน้ำใจ ยังพูดอีกว่า ‘ส่งพ่อบ้านสกุลเผยคนไหนมาล้วนไม่ต่างกัน’

ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ แม้แต่พ่อบ้านสักคนเขาคงไม่ส่งมาแน่ ให้ใครก็ได้ถือของขวัญมาส่งก็สิ้นเรื่องแล้ว

ไม่เห็นต้องสนใจว่าหน้าตาของสกุลอวี้จะอยู่ดีหรือไม่ ถึงขนาดต้องมาด้วยตนเองเช่นนี้…

เขาคร้านจะสนใจอวี้ถัง จึงเดินออกจากประตูห้องน้ำชาไปโดยสายตาไม่เหลียวแล

ด้านหลังที่ตามมาคือเผยหม่านที่ทำหน้ารู้สึกผิด

เขาเอ่ยขอโทษอวี้ถังเสียงเบาว่า  นายท่านสามเมื่อวานแทบไม่ได้นอนทั้งคืน ใกล้รุ่งเช้าไม่ง่ายที่คิดจะนอนสักงีบ แล้วต้องมาถูกพ่อบ้านหูรบกวนจนตื่น คนจึงไม่ค่อยสบอารมณ์ขอรับ ขอคุณหนูอวี้อย่าได้ถือสา 

ไม่ได้นอนทั้งคืน?

เพราะเรื่องแผนที่รึ?

อวี้ถังค่อนข้างแปลกใจ จากนั้นก็กลายเป็นความรู้สึกซาบซึ้ง นางรีบฉีกยิ้มเอ่ยว่า  ขอบคุญพ่อบ้านใหญ่ที่บอกกล่าว เมื่อครู่พ่อบ้านหูเล่าเรื่องให้ข้าฟังส่วนหนึ่งแล้ว จะว่าไป เป็นสกุลอวี้ของข้าเองที่จัดการเรื่องราวยังขาดประสบการณ์ ในเมื่อรู้ว่านายท่านสามจะมา ก่อนหน้านี้ก็ควรจะส่งคนไปขอคำชี้แนะจากพ่อบ้านใหญ่สักหน่อยว่านายท่านสามชอบดื่มชาชนิดใด ชอบกินอะไรบ้าง พวกเราจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า ตอนนี้ลุกลี้ลุกลน ก็มิแปลกที่นายท่านสามจะขุ่นเคือง 

วาจาที่พูดออกมาช่างชวนให้คล้อยตาม ทั้งไม่ถ่อมตนเกินงามหรือเย่อหยิ่งเกินเหตุ เผยหม่านคิดว่าเขาต้องมองอวี้ถังใหม่เสียแล้ว

มิน่านายท่านอวี้มีเรื่องอะไรก็ชอบพาบุตรสาวผู้นี้ติดตามไปด้วย

เผยหม่านจึงตัดสินใจชี้ทางสว่างให้แก่อวี้ถัง

 คุณหนูอวี้เกรงใจเกินไปแล้ว  เขายิ้ม  นายท่านสามแต่ไหนแต่ไรเป็นคนรักษาสัจจะ ครั้งนี้นายท่านสามมาถึงช้า อย่างไรต้องขอให้คุณหนูอวี้ช่วยอธิบายต่อเถ้าแก่ใหญ่อวี้ฟังสักหลายคำ ตามหลักแล้ว นายท่านสามของข้าไม่จำเป็นต้องมาที่นี่ด้วยตนเอง แต่นายท่านสามรู้สึกว่า แม้พวกท่านจะไม่ได้ส่งคนไปสอบถามล่วงหน้า แต่นั่นก็เพราะพ่อบ้านหูได้ตอบตกลงไปแล้ว นี่ย่อมเป็นความผิดของพ่อบ้านหู เป็นความผิดของจวนสกุลเรา นายท่านสามลังเลว่าแค่ส่งพ่อบ้านสักคนมาร่วมแสดงความยินดีก็ใช้ได้แล้ว แต่กลัวว่าพวกท่านจะจดจ่อตั้งใจรอให้เขามาร่วมงาน เกรงจะทำให้พวกท่านผิดหวัง และผู้อื่นเห็นเป็นเรื่องขำขันไป ถึงได้ตัดสินใจมาด้วยตนเอง เพียงไม่คิดว่าจะมาถึงช้าไปสักหน่อย 

หมายความว่าที่เผยเยี่ยนรีบร้อนเดินทางมา ก็ต้องข่มความยากลำบากเอาไว้ และที่มาด้วยตนเองก็เพราะไม่อยากให้สกุลอวี้ต้องเสียหน้า

อวี้ถังถึงค่อยได้คิดเชื่อมโยงสิ่งที่นางเพิ่งพูดออกไป

จริงแท้ว่าสกุลนางออกจะไม่รู้ดีชั่วอยู่บ้างจริงๆ

ใครทำเรื่องดีๆ ล้วนอยากทิ้งชื่อเสียงเอาไว้ โดยเฉพาะนายท่านสามที่เป็นคนทำสิ่งใดล้วนแยกรักชังออกจากกันอย่างชัดเจน

อวี้ถังเหงื่อตก รีบพูดขึ้นว่า  พ่อบ้านใหญ่ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่รู้ว่านายท่านออกมาเพื่ออะไร แต่ข้าจะไปขอโทษเขาเดี๋ยวนี้! 

เผยหม่านเห็นว่านางเข้าใจแล้วก็ดีใจมาก นับว่าตัวเองไม่ได้เปลืองแรงเปล่า ก็ชี้ไปที่ห้องบัญชีแล้วกระซิบยิ้มๆ ว่า  นายท่านสามของข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงไม่เข้าร่วมพิธีตัดผ้าสีเปิดร้าน ข้าจะไปนั่งเป็นเพื่อนนายท่านสามที่ห้องบัญชีของท่านสักครู่ รอให้ตัดผ้าสีเสร็จ ก็คงไปเจอมือปราบจางที่ดูแลถนนฉางซิ่งสักหน่อยแล้วค่อยกลับขอรับ 

อวี้ถังลังเล ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรไปกล่าวทักทายเผยเยี่ยนสักหน่อยหรือไม่

หูซิ่งซึ่งแกล้งตายอยู่ข้างๆ พอได้ยินคำว่า ‘ย่อมเป็นความผิดของพ่อบ้านหู’ ก็คิดว่าตนคงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว แต่ใครจะนั่งรอความตายอยู่เฉยๆ เล่า?

เวลานี้เขาต้องใช้โอกาสที่เหลืออยู่ทั้งหมดให้เป็นประโยชน์ เขาเดินก้มหน้าไปยืนข้างเผยหม่านกับอวี้ถัง ประสานมือแล้วก้มตัวลงต่ำพลางเอ่ยว่า  ขอทั้งสองท่านโปรดชี้แนะ มอบทางรอดให้ข้าสักสาย ช่วยไว้ชีวิตคนในครอบครัวนับสิบของข้าด้วยขอรับ 

เผยหม่านรู้สึกว่าหูซิ่งชอบแสดงละครมากเกินไป ตอนที่เผยเยี่ยนได้ขึ้นเป็นผู้นำสกุลก็ไล่สองพ่อบ้านที่ท่านผู้เฒ่าเคยใช้งานตอนยังมีชีวิตออกไปหมด โดยเฉพาะพ่อบ้านใหญ่คนเก่าที่ถูกไล่ออกไปอย่างน่าอับอาย ถ้าต้องไล่หูซิ่งออกอีกคน อาจทำให้คนในจวนอกสั่นขวัญหาย ถึงได้ยอมเก็บเขาเอาไว้ก่อน

ครั้งนี้เขาทำพลาดอย่างใหญ่หลวง คิดว่าต่อให้เผยเยี่ยนไม่ลงโทษเขา ต่อไปก็คงไม่มีทางให้เขาได้รับผิดชอบงานสำคัญในจวนสกุลเผยอีก

เผยหม่านคำนึงว่าอวี้ถังอยู่ตรงนี้ด้วย ไม่อยากเปิดเผยความขัดแย้งในจวนต่อหน้าคนนอก จึงตอบอย่างขอไปทีว่า  มีอะไรกลับไปคุยที่จวน! 

รอให้กลับไป เช่นนั้นคงไม่เหลือหนทางให้แก้ไขอะไรแล้ว

หูซิ่งแทบร้องไห้ออกมาเต็มแก่

เขาไม่สนใจอะไรอีกต่อไป หันไปขอร้องอวี้ถังราวกับคนป่วยหนักที่ไม่เลือกหมอ  คุณหนูอวี้ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ นายท่านสามของพวกเราเบื้องหน้าเย็นชาแต่ในใจกลับอบอุ่น นับแต่ที่นายท่ามสามเข้ามาดูแลสกุล ทั่วทั้งเมืองหลินอันก็มีแต่นายท่านอวี้ที่พอมีหน้ามีตาได้พบนายท่านสามของข้าบ่อยๆ ข้าถึงได้เข้าใจผิด… 

คำพูดของเขายังพูดไม่ทันจบ เผยหม่านก็ขมวดคิ้วแน่น

หูซิ่งผู้นี้ เหตุใดพูดจาเช่นนี้เล่า?

แม้เขาจะรู้สึกว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติต่ออวี้เหวินอย่างปกติทั่วไป แต่เมื่อหูซิ่งพูดจาเช่นนี้ออกมาต่อหน้าคุณหนูอวี้ มิใช่ทำให้สกุลอวี้เข้าใจว่าสกุลเผยไม่เคยเห็นสกุลอวี้อยู่ในสายตาหรือ? เช่นนั้นที่นายท่ามสามรีบร้อนเดินทางมาจะมีความหมายอันใดเล่า?

เผยหม่านตัดบทหูซิ่งอย่างไม่พอใจ  ข้าบอกว่ามีเรื่องอะไรค่อยกลับไปคุย? ไม่อย่างนั้นเจ้าก็กลับไปก่อนเถิด ในจวนยังมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ 

จะเชิญใครเข้าร่วมงานประมูลแผนที่บ้างนั้น หลายวันนี้เผยเยี่ยนได้กำหนดรายชื่อออกมาแล้ว ขอเพียงรอสกุลเถาลองเดินเรือว่าไม่มีปัญหา ถึงค่อยกระจายข่าวออกไป เวลานั้นสกุลเผยค่อยส่งเทียบเชิญอย่างเป็นทางการ ก่อนหน้านั้นพวกเขายังต้องเตรียมสถานที่ที่จะใช้ประมูลให้พรักพร้อม จัดการเรื่องที่พักของแขก เพื่อป้องกันไม่ให้สองสกุลที่เป็นศัตรูเกิดปะทะกันขึ้นเป็นต้น ยังมีธุระอีกนับไม่ถ้วนที่ต้องวุ่นวาย เขาหาได้มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับหูซิ่งอยู่ตรงนี้

เขาใช้สายตาคมกริบจ้องหูซิ่ง บังคับให้หูซิ่งรีบปิดปาก

อวี้ถังเข้าใจชัดเจนถึงต้นสายปลายเหตุแล้ว นางส่งยิ้มให้เผยหม่านด้วยความรู้สึกผิด แล้วหยั่งเชิงไปว่า  พ่อบ้านใหญ่ ท่านว่าข้าสมควรไปขอโทษนายท่านสามเป็นการส่วนตัวหรือไม่? เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ สกุลข้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ 

แม้นางจะรู้สึกว่าความผิดของสกุลเผยจะมากกว่าหน่อย แต่อยู่ใต้ชายคาคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว นางได้แต่แบกหม้อใบนี้ไว้ แล้วยอมรับผิดก็เท่านั้น!

เผยหม่านนับว่าเข้าใจนิสัยของเผยเยี่ยนดี เขาพูดอะไรออกมาตั้งมากมาย ก็เพราะหวังให้อวี้ถังแสดงท่าที ทำให้เผยเยี่ยนอารมณ์เบิกบานขึ้นมาหน่อย เช่นนี้การร่วมมือของสองสกุลก็จะยิ่งมีความสุขมากขึ้น

 สมควรขอรับ  เขาเอ่ยอย่างชี้เป็นนัยๆ  นายท่านสามชอบความสงบเงียบ เถ้าแก่ใหญ่อวี้จึงไม่ได้ให้คนอยู่เป็นเพื่อนขอรับ 

ก็หมายความว่า เผยเยี่ยนในเวลานี้อยู่เพียงลำพังน่ะสิ!

อวี้ถังรับน้ำใจจากเผยหม่าน ขอบคุณเขาซ้ำไปมา แล้วพุ่งไปที่ห้องบัญชี

เผยเยี่ยนนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือในห้องบัญชี มีเพียงเด็กรับใช้หนึ่งคนคอยดูแลอยู่ข้างๆ

อวี้ถังรีบเดินเข้าไปคารวะเบื้องหน้าเผยเยี่ยน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  นายท่านสาม คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาร่วมงานเปิดร้านของสกุลข้า ตระเตรียมสิ่งใดไม่รอบด้าน ขอท่านอย่าได้ถือสา เมื่อครู่ข้าเพิ่งถามจากพ่อบ้านใหญ่และพ่อบ้านสามมาว่าท่านไม่ชอบกินสิ่งใดบ้าง แต่พ่อบ้านใหญ่บอกข้าว่าอีกสักครู่ท่านก็จะกลับแล้ว คงไม่อยู่กินข้าวที่นี่ด้วย ข้าให้คนเตรียมอาหารมังสวิรัติส่งไปที่จวนท่านหนึ่งโต๊ะ หากท่านไม่ว่าอย่างไรก็ขอให้รับเอาไว้ด้วย 

เผยเยี่ยนยกคางเหลือบมองอวี้ถังแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบว่า  คุณหนูอวี้ไม่ต้องเกรงใจ ข้าดื่มชาสักถ้วยก็จะกลับแล้ว อาหารมังสวิรัติอะไรนั่น ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายหรอก  พูดจบ ก็หันไปมองเผยหม่านทีหนึ่ง

เผยหม่านรีบส่ายหน้าเบาๆ แสดงชัดว่าตนไม่ได้เป็นคนพูด

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าความหงุดหงิดในใจค่อยๆ หายไปเล็กน้อยแล้ว

อวี้ถังลองชวนเผยเยี่ยนคุยเรื่องสัพเพเหระ  ของที่ดีที่สุดในเรือนก็คือใบชาซิ่นหยางเหมาเจียน[1]แล้ว ไม่รู้ว่าท่านดื่มได้คุ้นเคยหรือไม่? ดีที่ร้านชาที่ใหญ่และดีที่สุดของเมืองหลินอันอยู่ไม่ไกลจากเรือนข้า หากว่าท่านไม่ชอบชาซิ่นหยางเหมาเจียน ข้าจะให้คนไปซื้อชาที่ท่านชอบดื่มมาให้ 

พูดถึงตรงนี้ เผยเยี่ยนก็รู้สึกถึงกองไฟที่ลุกไหม้อยู่กลางอก

เขาอดจะแสยะยิ้มเอ่ยเสียงเย็นไม่ได้  ซื้อใบชาที่ข้าชอบจากร้านค้าสกุลข้า? 

อวี้ถังอึ้งไป ก่อนจะยิ้มแป้นส่งให้เขา

นางลืมไปว่าร้านค้าใบชาที่ใหญ่และดีที่สุดของเมืองหลินอันเป็นของสกุลเผย

แต่ถ้านางไม่ไปซื้อที่ร้านค้าใบชาของสกุลเผย แล้วจะให้นางไปหาซื้อจากที่ใดเล่า?

อวี้ถังค่อยเอ่ยเอาตัวรอดไปก่อนว่า  เช่นนั้นรอวันไหนญาติผู้พี่ข้าไปเมืองหังโจวจะให้เขาซื้อกลับมาหน่อยก็แล้วกัน 

สกุลอวี้กับสกุลเซียงกำหนดวันแต่งงานไว้แล้วคือวันที่สิบหก เดือนสาม ก่อนวันงานคนสกุลหวังคิดจะไปหังโจวเพื่อเตรียมของใช้วันแต่งงานให้อวี้หย่วน คนสกุลเฉินนับแต่เข้าหน้าหนาวก็ไม่เคยล้มป่วยอีก สุขภาพแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก จึงคิดว่าถึงเวลานั้นจะพาอวี้ถังติดตามคนสกุลหวังไปเดินเล่นซื้อของที่เมืองหังโจวด้วย

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้ช่างหัวรั้นไม่รู้มารยาท จึงแสยะยิ้มใส่ทีหนึ่ง แล้วไม่แยแสนางอีก

อวี้ถังงุนงงไปหมด

เป็นอะไรไปอีกล่ะ?

หรือว่าพูดจาเช่นนี้ก็ไม่ได้?

นายท่านสามสกุลเผย ช่างอารมณ์แปรปรวนเสียจริง!

อวี้ถังก็คร้านจะเอาใจเขาแล้ว อย่างไรต่อให้พูดดีไปเขาก็ไม่คิดยอมรับ ไม่สู้มีงานอะไรก็ออกไปจัดการเสีย

อีกอย่าง ดูจากเรื่องที่เผยเยี่ยนยอมมาร่วมงานแสดงความยินดีวันเปิดร้านสกุลนางด้วยตนเองเช่นนี้ นางยิ่งเชื่อว่าเผยเยี่ยนไม่เพียงเป็นคนพูดจาคำไหนคำนั้น ทั้งยังเป็นคนรักษาสัจจะยิ่งชีพ ขอเพียงเป็นเรื่องที่เขารับปาก ไม่ว่าจะด้วยตนเองก็ดีหรือผ่านผู้อื่นก็ช่าง แม้เขาจะไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็จะทำตามนั้น

ดังนั้นเรื่องแผนที่ ไม่ว่าเผยเยี่ยนจะมองสกุลอวี้ด้วยสายตาเช่นไร เขาก็ย่อมจะจัดการเรื่องราวได้อย่างเรียบร้อยเหมาะสมเป็นแน่

อวี้ถังพลันมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วน

นางเลิกสนใจแล้วว่าเผยเยี่ยนจะอารมณ์ดีหรือไม่ สั่งการซวงเถาทันทีว่า  ไปบอกซย่าผิงกุ้ยที ให้เขาไปซื้อใบชาชั้นเลิศสักหลายชนิดจากร้านชาข้างๆ แล้วสั่งอาหารมังสวิรัติชั้นเยี่ยมหนึ่งโต๊ะจากหอสุราไปส่งที่จวนสกุลเผย 

เผยเยี่ยนจะรับหรือไม่เป็นเรื่องของเขา ส่วนจะมอบหรือไม่มอบให้นั้นเป็นมารยาทของพวกนางสกุลอวี้

————————————————————-

[1]ชาซิ่นหยางเหมาเจียน เป็นชาคุณภาพสูง เป็นชาเขียวปลูกบนภูเขาสูง มีรสชาติและกลิ่นหอมชั้นเลิศ น้ำชาที่ได้จะมีสีเขียวนวลสดใส กลิ่นหอมสดชื่นละมุนละไม รสเข้ม

 

ตอนที่เผยเยี่ยนเริ่มอ่านแผนที่ทางทะเลนั้นเขาคล้ายไม่ค่อยใส่ใจเท่าใดนัก แต่พอยิ่งอ่านไปเรื่อยๆ สีหน้าเขาก็คร่ำเคร่งขึ้น

หรือว่าแผนที่นี้มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง?

แม้อวี้ถังจะบอกว่ามั่นใจกับสิ่งที่ตนคิด แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเผยเยี่ยนที่สอบเป็นจิ้นซื่อได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทั้งยังเคยเป็นเจิ้งกวนแห่งหกกรมอยู่ที่เมืองหลวง ด้วยเขามีความรู้กว้างขวาง ในใจจึงอดเกิดความสงสัยในตัวเองไม่ได้

ส่วนเผยเยี่ยนลอบสูดหายใจเย็นเยียบเข้าปอด

เขาเริ่มตรวจสอบแผนที่อย่างละเอียดอีกครั้ง

อวี้ถังสุดท้ายก็ทนไม่ไหว ถามออกไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ  นายท่านสาม แผนที่นี้… 

เผยเยี่ยนโยนแว่นขยายไว้ด้านข้างภาพแผนที่ที่ถูกคัดลอก ขมวดคิ้วแล้วเดินไปที่โต๊ะกลมเล็กข้างโต๊ะหนังสือด้วยสีหน้าหนักอึ้ง แล้วชี้นิ้วไปที่ตั่งกลมข้างโต๊ะ  พวกเรามานั่งคุยกันเถอะ 

อวี้ถังกับอวี้เหวินแลกเปลี่ยนสายตามึนงงต่อกัน จากนั้นก็นั่งลงอย่างระมัดระวัง

เผยเยี่ยนลงมือชงชาให้สองพ่อลูกด้วยตนเอง จากนั้นก็เอ่ยเสียงต่ำกับคนทั้งสอง  พวกเจ้าพอจะเล่าเรื่องราวว่าไปเจอภาพแผนที่นี้ได้อย่างไรให้ข้าฟังโดยละเอียดอีกรอบได้หรือไม่ 

อวี้เหวินมองท่าทีเคร่งเครียดของเผยเยี่ยน รู้ว่าเรื่องนี้คงสำคัญมากแน่ เขาไม่กล้าเสริมแต่งเรื่องราว ทั้งกลัวตนเองจะอธิบายไม่ชัดเจนจนกระทบการตัดสินใจของเผยเยี่ยน จึงได้แต่พูดกับอวี้ถังว่า  เรื่องนี้เจ้าเป็นคนพบ เจ้าเล่าให้นายท่านสามฟังก็แล้วกัน 

อวี้ถังรวบรวมคำพูดอยู่พักหนึ่ง ก่อนบอกเล่ารายละเอียดที่ได้เจอออกไป

ระหว่างนั้นเผยเยี่ยนก็นั่งฟังอย่างใจจดใจจ่อ

คำบอกเล่าของพ่อลูกตรงกันแทบทั้งหมด เห็นได้ว่าสกุลอวี้คงพบเรื่องนี้เข้าด้วยความไม่ตั้งใจจริงๆ

นั่นย่อมหมายความว่า สกุลหลี่รู้อยู่แล้วว่าภาพผืนนี้มีปัญหา

ทั้งยังเกี่ยวพันไปถึงสกุลเผิงแห่งฝูอัน

เผยเยี่ยนรอจนอวี้ถังพูดจบ ก็หยุดคิดเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า  เดิมข้าคิดว่านี่เป็นภาพแผนที่ธรรมดาทั่วไปผืนหนึ่ง สกุลเจ้าในเมื่อไม่อยากเข้าร่วมสนามแก่งแย่ง ข้าก็จะช่วยเจ้าคิดหาวิธีสะบัดตัวให้หลุดออกมา…ส่วนภาพแผนที่ผืนนี้ สกุลเผยจะเป็นผู้รับมอบอำนาจ ช่วยพวกเจ้าประมูลขายออกไป ใครให้ราคาสูงสุดย่อมได้ครอบครอง สกุลของเจ้านอกจากจะได้เงินทองบางส่วนแล้ว ยังสามารถปลีกตัวออกจากเรื่องนี้อย่างชอบด้วยเหตุผล นี่เป็นผลตอบแทนในการทำดีของนายท่านอวี้ 

อวี้ถังได้ฟังดวงตาก็สว่างวาบในทันที

วิธีนี้ของนายท่านสามช่างประเสริฐโดยแท้

เทียบกับการหลบๆ ซ่อนๆ จนทำให้ผู้อื่นสงสัยว่าสกุลนางรู้เรื่องเนื้อหาภายในของแผนที่แล้ว ไม่สู้ประมูลขายอย่างเปิดเผย ให้คนที่มีกำลัง อำนาจ และสามารถปกป้องตัวเองได้ครอบครองไป หากผู้ใดมีปัญญาก็ไปหาเรื่องผู้อื่นเสีย อย่าได้มาข่มเหงรังแกสกุลอวี้อีก

สกุลอวี้ของพวกนางเป็นเพียงครอบครัวพ่อค้าแสนจะธรรมดาครอบครัวหนึ่งก็เท่านั้น

แต่ฟังจากน้ำเสียงเผยเยี่ยนแล้ว คล้ายว่าบัดนี้ไม่อาจทำเช่นนั้นได้

อวี้ถังร้อนใจ จึงพูดแทรกเผยเยี่ยนอย่างรีบร้อนว่า  แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงทำไม่ได้เล่า? นายท่านสามช่างปราดเปรื่องยิ่ง พริบตาเดียวก็คิดวิธีดีๆ เช่นนี้ออกมาได้ 

เรื่องสอพลอนี้นางเต็มใจกระทำอย่างที่สุดแล้ว

หากว่าสกุลเผยยอมเป็นคนกลางออกหน้าช่วยพวกเขาเปิดประมูลแผนที่ พวกเขาก็จะปลีกตัวออกจากปัญหาได้ในที่สุด อีกอย่าง คนที่มีความสามารถประมูลภาพแผนที่ไปได้ ไม่มีทางเป็นสกุลที่ไร้ภูมิหลังตำแหน่ง ต่อให้ไม่โดดเด่นอย่างเช่นสกุลเผิงแห่งฝูอัน แต่เกรงว่าคงไม่อาจไปตอแยได้ง่ายๆ

ถึงเวลานั้นสกุลหลี่ย่อมตกที่นั่งลำบาก

อุตส่าห์เหน็ดเหนื่อยสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงคว้าแผนที่ที่มิใช่มีเพียงแผ่นเดียวมาได้ เช่นนั้นพวกเขายังคิดจะควักสิ่งใดออกมาต่อรองกับสกุลเผิงได้อีก?

นางมองเผยเยี่ยนด้วยสายตาแรงกล้า

อวี้เหวินก็มองเผยเยี่ยนด้วยสายตาเร่าร้อน  แผนที่มีปัญหาอะไรหรอกรึ? ภาพนี้แม้จะขอให้คนคัดลอกมาอีกที แต่ฝีมือผู้วาดยอดเยี่ยมนัก ทั้งยังแอบประทับตราส่วนตัวไว้อีกด้วย 

หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ไม่รู้ว่าตามหาตัวอาจารย์เฉียนจะมีประโยชน์อยู่หรือไม่?

เผยเยี่ยนเพิ่งรู้ตัวว่าทำให้ผู้อื่นร้อนใจ เขาเอ่ยยิ้มๆ ว่า  มิใช่ว่าภาพแผนที่มีปัญหา แต่เพราะมันล้ำค่าเกินไป จะเปิดประมูลหรือใช้มันไปร่วมหุ้นกับร้านค้าสกุลใด พวกเจ้าต้องตัดสินใจเอาเองแล้ว 

รอยยิ้มนี้ ออกจะสดใสเกินไปหน่อยกระมัง?

วินาทีนั้น เหมือนกับหิมะน้ำแข็งละลายหาย ใต้หล้ากลับมาอบอุ่น ดวงหน้าเขาคล้ายกำลังเปล่งแสง หล่อเหลาจนแทบไม่อาจมองตรงๆ ได้

อวี้ถังจ้องหน้าเผยเยี่ยนอยู่ เป็นนานก็ไม่ได้สติเสียที

ครั้งนี้เขาก็คงจะยิ้มออกมาจากใจจริง

ตนนั้นโชคดีเพียงใดหนอ ถึงกับได้เห็นรอยยิ้มจากใจของเผยเยี่ยนถึงสองครั้งในวันเดียว

อวี้ถังลอบชื่นชมไม่หยุดปาก แต่ก็ไม่กล้าคิดเรื่อยเปื่อย รีบหันไปมองทางบิดา

เห็นว่าบิดาสติล่องลอย คล้ายถูกข่าวนี้กระแทกใส่ศีรษะ

นางรีบร้องเรียกเขา  ท่านพ่อ 

อวี้เหวินเป็นคนฉลาด สมองของเขาเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้งอย่างรวดเร็ว

สกุลอวี้ไม่ได้มีทรัพย์สินอะไร ภาพแผนที่นี้ก็สูงค่าเกินตัว หากเก็บไว้ในมือ ก็เหมือนเด็กสามขวบถือดาบเล่มใหญ่ ไม่มีกำลังจะยกขึ้นได้ด้วยซ้ำ หากไม่ใช่ไปทำผู้อื่นบาดเจ็บ ก็คงเป็นตนเองที่บาดเจ็บแทน พิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้ โอกาสที่พวกเขาจะบาดเจ็บเองมีสัดส่วนสูงกว่าผู้อื่นบาดเจ็บอยู่มาก

อวี้เหวินตัดสินใจได้ในทันที เขาเอ่ยว่า  นายท่านสาม นี่เป็นแผนที่อะไรหรือ? เหตุใดท่านถึงบอกว่าสูงค่าเพียงนั้น? หากว่าพวกเราทำตามที่ท่านบอก เชิญสกุลเผยเป็นคนกลาง ก็จะสามารถประมูลขายภาพนี้ได้แล้วใช่หรือไม่? 

เผยเยี่ยนค่อนข้างประหลาดใจ สายตาจับจ้องอยู่ที่ร่างของอวี้ถัง

เขารู้ดี คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้มีความคิดเป็นของตนเอง อวี้เหวินไม่แน่ว่าจะควบคุมนางได้

อวี้ถังสนับสนุนการตัดสินใจของบิดา

มีชามใหญ่เพียงใด ก็กินข้าวเพียงเท่านั้น

คนที่กินข้าวในชาม แต่ยังไม่หยุดมองผู้อื่นที่กินข้าวในหม้อ[1]โดยทั่วไปแล้วมักไม่มีจุดจบที่สวยงามเท่าไร

แม้นางจะอยากรู้ว่าแผนที่นี้สูงค่าอย่างไร แต่การหาทางผลักสกุลอวี้ออกจากพายุหมุนลูกนี้ ทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย นั่นต่างหากคือสิ่งที่สำคัญที่สุด

อวี้ถังรีบหันไปพยักหน้าหงึกหงักให้เผยเยี่ยน แสดงออกถึงความเห็นของตน

เผยเยี่ยนหัวเราะกับตัวเอง

เขาเพิ่งจะเข้าใจว่าเหตุใดตนถึงยินดีช่วยเหลือสกุลอวี้

ไม่ใช่เพราะคุณหนูอวี้เป็นหญิงงาม มิใช่เพราะอวี้เหวินเป็นคนใจกว้าง แต่เพราะคนในสกุลอวี้มักมองเรื่องราวต่างๆ อย่างทะลุปรุโปร่ง

ถึงจะเป็นความมั่งคั่งเทียมฟ้า แต่ก็ต้องมีปัญญาแบกรับให้ไหวด้วย

เขาพบเจอผู้คนมามากมาย ที่หลงทางอยู่กลางภาพมายาแห่งอำนาจ

รวมถึงตัวเขาเองในวัยเยาว์

นี่คือสิ่งล้ำค่าที่สุดของสกุลอวี้

โดยเฉพาะแม่นางอวี้ผู้นี้…อวี้เหวินคิดได้เช่นนั้น เพราะเกี่ยวพันถึงอายุและประสบการณ์ที่เขาเคยผ่าน เห็นได้จากที่เขาไม่เข้าร่วมสอบจวี่เหรินต่อ นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่คุณหนูอวี้ที่อายุเพียงเท่านี้กลับมีปณิธานและจิตใจเช่นนี้ได้ ทำให้เขาต้องมองนางใหม่อีกที

เขามองอวี้ถังอย่างลึกซึ้งหนหนึ่ง ตัดสินใจช่วยเหลือสกุลอวี้อีกครั้ง

 แม้จะเป็นการค้าทางทะเลเหมือนกัน แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ากิจการทางทะเลก็แบ่งออกเป็นหลายประเภท?  เผยเยี่ยนรีบเก็บเรื่องล้อเล่นในใจทิ้ง แล้วเอ่ยน้ำเสียงเป็นการเป็นงานว่า  สำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลในราชวงศ์ปัจจุบันมีอยู่สามแห่ง หนึ่งหนิงปัว สองเฉวียนโจว สามกว่างโจว และเส้นทางเดินเรือทางทะเลนั้น หากมิใช่ไปซูลู ก็ไปสยามหรือไม่ก็ศรีลังกา แต่แผนที่ผืนนี้ของพวกเจ้ากลับนำทางไปอาหรับ 

อวี้เหวินกับอวี้ถังฟังจนสมองมึนงง จ้องหน้ากันไปมา

ซูลูอยู่ที่ไหน? ศรีลังกาอยู่ตรงใด? แล้วอาหรับสำคัญมากหรือ?

อวี้ถังไม่อยากให้บิดาอับอายต่อหน้าเผยเยี่ยน จึงชิงถามก่อนที่บิดาจะเอ่ยขึ้นว่า  นายท่านสาม ที่ท่านพูดหมายความว่าอย่างไร? เพราะมีเรือไปอาหรับน้อยมาก? ฉะนั้นภาพผืนนี้จึงสูงค่าหรือ? 

 ไม่ใช่หรอก!  เผยเยี่ยนมองออกว่าสองพ่อลูกไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดว่า  ราชสำนักของเรามีกองเรือ ไม่ว่าจะไปซูลูก็ดีหรือสยามก็ดี เป้าหมายสูงสุดคือหวังจะนำสินค้าเหล่านี้ไปขายที่อาหรับ เพราะว่าอาหรับเป็นแคว้นที่ร่ำรวยมั่งคั่ง แต่ก่อนพวกเราไม่มีใครรู้เลยว่าจะไปอาหรับได้อย่างไร ดังนั้นจึงได้แต่ส่งสินค้าไปขายที่ซูลูและสยามเป็นต้น แล้วให้พ่อค้าของพวกเขานำสินค้าไปขายต่อที่อาหรับเอง ภาพแผนที่ผืนนี้ของเจ้า เป็นเส้นทางเดินเรือสายใหม่ เป็นเส้นทางที่พวกเราแต่ก่อนคิดจะไปแต่ก็หาทางไปไม่ได้ อีกอย่างเส้นทางเดินเรือนี้ก็ออกเดินทางจากกว่างโจว มันจึงยิ่งสูงค่ายิ่งไปอีก 

พ่อลูกสกุลอวี้ก็ยังฟังไม่เข้าใจอยู่ดี

เผยเยี่ยนจึงบอกพวกเขาว่า  เพราะเรื่องของโจรสลัด หลายครั้งราชสำนักคิดอยากปิดทะเลไปเสีย โดยเฉพาะสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลที่หนิงปัวและเฉวียนโจว แต่ละแห่งล้วนเคยถูกปิดไปแล้วครั้งหนึ่ง ระยะนี้ยังมีขุนนางเสนอให้ปิดสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลอีกสองแห่ง หากว่าราชสำนักลงความเห็นให้ผ่าน สำนักทั้งสองแห่งนี้คงถูกสั่งปิดอีกรอบ กองเรือจึงออกเดินทางได้จากฝั่งกว่างโจวเท่านั้น พวกเจ้าคิดว่า ภาพแผนที่ของพวกเจ้าล้ำค่าหรือไม่เล่า? 

อวี้เหวินกับอวี้ถังเบิกตาโต

หมายความว่า สกุลของพวกเขาจะเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าเก่าน่ะสิ

สองพ่อลูกตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า  ประมูล! นายท่านสาม แผนที่นี้ประมูลขายไปเสียเถอะ 

อวี้เหวินถึงขนาดคิดว่าการประมูลก็อาจจะไม่ปลอดภัยด้วยซ้ำ จึงเอ่ยแก้ไขไปว่า  นายท่านสาม ท่านคิดทำการค้าทางทะเลหรือไม่? เอาอย่างนี้ดีไหม ข้าจะมอบแผนที่ให้ท่าน? พวกเราไม่ต้องการเงินทอง ถือเสียว่าเป็นสิ่งตอบแทนที่ท่านช่วยหาหมอมารักษานายหญิงบ้านข้า 

สีหน้าของเผยเยี่ยนดำทะมึน

เขาตั้งใจทำความดี แต่กลับต้องเข้าร่วมการแย่งชิงเสียได้!

อวี้ถังคิดว่าวาจานี้ของบิดาออกจะซื่อตรงเกินไปหน่อย คล้ายจะโยนหม้อให้เขาแบกแทนอย่างนั้น พอหันไปมองเผยเยี่ยนอีกรอบ ก็เห็นว่าเขาหน้าดำอึมครึมไปหมด นางเค้นสมองด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน รีบพูดออกมาว่า  ท่านพ่อ ท่านทำเช่นนี้ไม่ถูก หากนายท่านสามต้องการแผนที่นี้ คงแลกเปลี่ยนกับพวกเราตรงๆ แต่แรกแล้ว จะมาพูดเรื่องรับประกันให้สกุลเรากับประมูลขายภาพเพื่ออะไร? 

 จริงด้วย จริงด้วย!  อวี้เหวินเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป จึงหันไปฉีกยิ้มส่งให้เผยเยี่ยน

อวี้ถังนั้นกลัวว่าเผยเยี่ยนจะสะบัดมือหนีไม่สนใจพวกนางอีก

มีเพียงคนในสกุลเผยเท่านั้น จึงจะเชิญสกุลใหญ่ที่มีอำนาจเทียบเคียงกับสกุลเผิงมาร่วมงานประมูลได้ ถึงจะรับประกันความปลอดภัยของสกุลนางได้

คำพูดของนางถูกส่งออกไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน  นายท่านสามมิใช่คนเช่นนั้นเสียหน่อย! ท่านไม่รู้อะไร แต่ก่อนตอนที่ข้าไปโรงจำนำสกุลเผยก็เคยเจอนายท่านสามแล้ว…  นางพล่ามไปเรื่อยเพื่อเล่าเรื่องการบังเอิญเจอหลายต่อหลายครั้งให้อวี้เหวินฟัง

อวี้เหวินเหงื่อตก แล้วกล่าวขอโทษเผยเยี่ยน  เป็นข้าที่พูดจาไม่ผ่านหัวคิด… 

เผยเยี่ยนมองปากแดงชุ่มชื้นของอวี้ถังที่เดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบ รู้สึกเหมือนรอบตัวมีนกกระจอกนับร้อยคอยส่งเสียงร้อง พลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที

เขาตัดบทอวี้ถังว่า  เอาล่ะ เอาล่ะ เรื่องแต่ก่อนก็ไม่ต้องยกมาพูดแล้ว 

อวี้ถังไม่เอ่ยถึงเรื่องในอดีตอีก เปลี่ยนมาเยินยอเผยเยี่ยนแทน  แต่ข้าคิดว่าท่านพูดมีเหตุผลยิ่ง วิธีที่ดีที่สุดคือประมูลขาย ทว่า ในเมื่อแผนที่สูงค่าเพียงนั้น ท่านคิดว่าเราควรจะเชิญคนมาคัดลอกไว้อีกหรือไม่ ทำมาค้าขายมีข้อห้ามคืออย่ากินอิ่มคนเดียว หากท่านอิ่มอยู่คนเดียว ผู้อื่นย่อมอิจฉาตาร้อน อีกเดี๋ยวก็ไปรวมพวกมาหาเรื่องท่าน หากว่ามีหลายๆ สกุลแบ่งกันทำมาค้าขาย เช่นนี้พวกเขาคงไม่ตามไปริษยาทุกสกุลหรอกกระมัง? 

เผยเยี่ยนไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรต่อดี

เจ้าเด็กคนนี้ ยังคิดจะมาเล่นลูกไม้กับเขา

กลัวว่าสกุลอวี้ไม่อาจเอาตัวออกจากนอกวงได้ก็ควรพูดออกมาตรงๆ เดินอ้อมวกวนไปเสียไกล คงมิใช่เพราะอยากให้สกุลเผยของเขา เผยเยี่ยนผู้นี้เป็นผู้ออกหน้าแบกหม้อแทนสินะ?

————————————————————-

[1]คนที่กินข้าวในชาม แต่ยังไม่หยุดมองผู้อื่นที่กินข้าวในหม้อ เปรียบถึงคนที่โลภมากไม่รู้จักพอ

 

เผยเยี่ยนจะช่วยนางคิดหาวิธี?!

นางสามารถพบเจอเรื่องประเสริฐเช่นนี้ได้ด้วย!

อวี้ถังคอยฟัง รู้สึกตื่นเต้นจนไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

เผยเยี่ยนอดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้ เป็นรอยยิ้มที่ออกมาจากใจจริงๆ

ไม่มีสายตาที่เสียดแทง ไม่มีท่าทีไม่แยแส รอยยิ้มของเขาเหมือนดวงอาทิตย์ร้อนแรงตอนหน้าร้อน ค่อนข้างจะแยงตา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าสว่างไสวเหลือเกิน

อวี้ถังจ้องมองด้วยสายตาโง่งม

นี่คือตัวตนที่แท้จริงของเผยเยี่ยนกระมัง?

แต่ไม่รู้ว่าตนทำอะไรลงไป ถึงโชคดีขนาดได้เห็นสีหน้าและอารมณ์ที่แท้จริงของนายท่านสามสกุลเผย?

อวี้ถังคิดไม่ออก รู้สึกว่าหลังตนกลับถึงเรือนแล้วต้องใคร่ครวญบทสนทนาของคนทั้งสองใหม่อีกรอบ หาเหตุผลที่เผยเยี่ยนยิ้มออกมาให้ได้ ครั้งต่อไปเมื่อมาพบเขา จะได้ทิ้งความประทับใจอันดีเอาไว้ให้เผยเยี่ยนอีก

เรื่องล้างแค้นสกุลหลี่นั้น นางยังคาดหวังให้สกุลเผยช่วยออกแรงอีกมาก!

 ท่านบอกมาเร็วเข้า  อวี้ถังรีบประจบสอพลอเผยเยี่ยนโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสี น้ำเสียงที่ใช้ก็ซื่อตรงจริงใจยิ่งกว่าอะไร  ท่านมีความรู้กว้างขวาง ความคิดที่ออกมาย่อมจะสูงส่งกว่าของพวกข้าร้อยพันหมื่นเท่า ท่านว่ามาเถอะ ข้าจะทำตามทุกอย่างเลย 

ริมฝีปากของเผยเยี่ยนกระตุกขึ้นอีกครั้งแล้ว

เด็กคนนี้ใช่คิดว่าเขาเป็นคนโง่งมหรือไม่? ตอนเยินยอคนกลับทำได้เหมือนสุนัขตัวน้อยที่แกว่งหางไปมา คิดว่าตัวเองทำเรื่องยิ่งใหญ่ แต่ผู้อื่นนั้นมองออกอย่างปรุโปร่ง

ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกรังเกียจอะไร

อาจเพราะว่าผู้ที่เกิดมางดงามมักจะได้รับการอภัยอย่างง่ายดายกระมัง

เผยเยี่ยนพึมพำกับตนเองในใจ สีหน้าไม่ได้แสดงออก  เจ้าคัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ไว้กี่แผ่น? 

อวี้ถังตอบโดยไม่ต้องคิดว่า  ข้าไม่ได้คัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ เอาไว้ คัดลอกเฉพาะแผนที่เอาไว้แผ่นหนึ่ง แต่พวกเราไม่มีใครอ่านแผนที่นั้นเข้าใจเลย 

ก่อนหน้านี้นางไม่รู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานมาก่อน ถ้านางรู้แต่แรกว่ามีคนอยากได้ภาพผืนนั้นนางก็คงให้ไปแล้ว สกุลนางจะได้ดึงตัวเองออกมาจากเรื่องนี้เสียที แต่นับจากที่ยืนยันได้ว่าการตายของเว่ยเสี่ยวซานเกี่ยวข้องกับงานแต่งของนาง นางก็เปลี่ยนใจ…ต่อให้นางต้องตายอย่างอนาถ ตายแล้วต้องตกนรกสิบแปดขุม นางก็ต้องล้างแค้นแทนเว่ยเสี่ยวซานให้จงได้

ไม่เพียงเอาภาพวาดตัวจริงให้สกุลหลู่ นางยังคิดเล่นตุกติกกับภาพผืนนั้น ให้สกุลหลี่ต้องตกต่ำจนไม่มีวันได้ลืมตาอ้าปาก

ภาพคัดลอกของภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ นั้น นางตั้งใจจะเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน ต่อไปค่อยเอาออกมาใช้

แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลเผยหรือว่าเผยเยี่ยน เผยเยี่ยนเองก็ไม่จำเป็นต้องรู้

เผยเยี่ยนเอ่ยยิ้มๆ  เช่นนั้นเจ้านำภาพแผนที่ที่ให้คนคัดลอกมาให้ข้าดูก่อน ข้าดูแล้วค่อยพิจารณาว่าคุ้มค่าพอจะช่วยเจ้าออกความเห็นหรือไม่ 

ย่อมต้องคุ้มค่าอยู่แล้ว

ไม่เช่นนั้นชาติก่อนสกุลหลี่จะพลิกมาร่ำรวยชั่วข้ามคืนได้อย่างไร

แต่คำนี้นางบอกเผยเยี่ยนไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง  อืม  ไปคำหนึ่ง เตรียมตัวกลับไปหยิบภาพแผนที่มาให้

เผยเยี่ยนกลับเรียกนางเอาไว้ เอ่ยอย่างรังเกียจว่า  เจ้าไปเปลี่ยนชุดให้ถูกต้องเรียบร้อยแล้วค่อยกลับมา 

อวี้ถังยิ้มตอบอย่างสว่างไสว สายตาเผลอมองประเมินเผยเยี่ยนอย่างไม่รู้ตัว

วันนี้เขาสวมชุดต้าวผาวเนื้อดีสีฟ้าอ่อน มองเผินๆ ดูเรียบง่าย ทว่าเนื้อผ้าทอละเอียด สะอาดสะอ้านและเป็นทรงสวย ทอประกายคล้ายกับหยกขาว และตัดจากผ้าซานซัวของดีแห่งซงเจียง เป็นสินค้าบรรณาการ ผ้าชั้นดีหนึ่งพับนี้ มีค่าเท่ากับผ้าดิ้นเงินปักทองหนึ่งพับเลยทีเดียว ทั่วร่างของเขาไม่มีเครื่องประดับสักชิ้น แต่ในมือถือพวงลูกประคำสิบแปดเอาไว้ ลูกประคำนั้นไม่เป็นสีออกม่วงแดงเหมือนไม้ประดู่ ไม่เป็นสีออกเหลืองอย่างไม้พะยูงหอม แต่กลับเป็นสีต้นถงมู่ มองแล้วเรียบง่ายไม่สะดุดตา แต่กลับปล่อยกลิ่นหอมหวานออกมาจางๆ หากคนสายตาหลักแหลมได้เห็นก็จะรู้ว่านี่คือลูกประคำไม้ศรีตรังที่ค่อนไปทางสีน้ำตาลเขียว เป็นสินค้าจากนอกทะเล หาได้ยากยิ่งกว่ายาก ปีนั้นสกุลหลี่ก็ได้มาเส้นหนึ่ง คนสกุลหลินเห็นว่าสูงค่ายิ่ง ไม่หยิบออกมาให้ผู้อื่นเห็นง่ายๆ ซ้ำยังเคยพูดว่าจะเก็บซ่อนเอาไว้เป็นสมบัติประจำสกุลเลยทีเดียว ส่วนรองเท้าผ้าสีดำที่สวมเขาอยู่ ก็ใช้เส้นด้ายสีเดียวกันปักเป็นลายอักษร ‘ว่าน[1]’ ต่อเนื่องไม่สิ้นสุด…ความพิถีพิถันทั่วทั้งร่างนี้ ถูกซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความวางเฉยไม่แยแส สอดแทรกอยู่ในรายละเอียดอันเล็กน้อย

อวี้ถังก้มหน้าลง แล้วลอบมองเผยเยี่ยนด้วยสายตาดูแคลน

นายท่านสามสกุลเผยผู้นี้ ช่างมีความคิดและการกระทำที่ขัดแย้งกันโดยแท้

มิน่าเขาถึงทำท่ารังเกียจนาง!

อวี้ถังกลัวเผยเยี่ยนจะมองออกว่าตนไม่ใส่ใจ จึงรีบรับคำว่า  ได้  ทันที

เผยเยี่ยนตอบกลับอย่างพอใจว่า  อืม  เสียงหนึ่ง ทั้งเสริมอีกว่า  บอกกับนายท่านอวี้สักคำด้วย เชิญเขามาหารือร่วมกันเลย 

หากว่าแผนที่ผืนนั้นไม่มีราคาค่างวดอะไร คนอื่นจะได้ไม่เข้าใจผิดหาว่าเขารังแกคุณหนูสกุลอื่น

 ก็ได้!  อวี้ถังรับคำ ตอนนั้นเพิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้สมควรให้บิดานางมาหารือกับเผยเยี่ยนถึงจะดี

นางรีบกลับไปที่เรือน

อวี้เหวินไปดูร้านค้าที่ถนนฉางซิ่งยังไม่กลับมา

ได้ยินจากคนสกุลเฉินว่า ท่านลุงใหญ่ของนางขนสินค้าจากเจียงซีเข้ามาจำนวนหนึ่ง ของมาถึงท่าเรือเสาซีวันนี้ ญาติผู้พี่ของนางต้องไปตรวจรับสินค้า ที่ร้านจึงไม่มีคนดูแล อวี้เหวินถึงได้ไปช่วยงาน

อวี้ถังส่งคนไปเชิญบิดากลับมา ส่วนตัวเองก็ไปห้องหนังสือรื้อหาแผนที่ที่คัดลอกเอาไว้ นางสั่งซวงเถาให้ยกน้ำเข้าไป รับใช้นางหวีผมแต่งตัวใหม่ทั้งหมด

ผมหวีเป็นทรงมวยตกหลังม้า ประดับด้วยดอกซานฉาใหญ่เท่าปากชามสีชมพู ห้อยตุ้มหูไข่มุกขนาดเท่าเม็ดบัว สวมเสื้อตัวบนสีเขียวปักด้ายทองรอบตัว กระโปรงจีบผ้าหังโจวสีชมพู คู่กับรองเท้าสีเดียวกับปักลายเมฆ

อวี้ถังมองภาพหญิงงามที่สะท้อนอยู่ในกระจก นางฉีกยิ้มแล้วทำท่าให้กำลังใจตัวเองทีหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปรออวี้เหวินที่ประตูใหญ่

คนสกุลเฉินเห็นแล้วก็ตกอกตกใจ  เจ้าทำอะไรน่ะ? ตอนไปดื่มสุรามงคลบ้านหม่าซิ่วเหนียงก็ไม่เห็นเจ้าแต่งตัวอลังการเช่นนี้ หรือเจ้าจะออกไปพบใครรึ? 

 ไปจวนสกุลเผยเจ้าค่ะ  อวี้ถังพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง  ข้ามีเรื่องต้องไปขอพบนายท่านสามหน่อย 

คนสกุลเฉินไม่ได้สงสัยอะไร

ในสายตานาง เผยเยี่ยนกับอวี้เหวินเป็นผู้อาวุโสรุ่นเดียวกัน ยิ่งเผยเยี่ยนก็เป็นคนดีมีคุณธรรม ช่วยปกป้องดูแลชาวเมือง บุตรสาวไปพบเผยเยี่ยน ก็เหมือนไปเยี่ยมเยือนผู้อาวุโสคนหนึ่ง แต่งตัวให้เต็มยศยิ่งถือเป็นการให้เกียรติอีกฝ่าย หากแต่งเรียบง่ายเกินไปก็จะดูสนิทสนมใกล้ชิด จะอย่างไรก็ไม่เกินงามแน่

 เจ้าจะไปหานายท่านสามทำไมรึ?  คนสกุลเฉินถามอยากรู้  เพราะเรื่องลดจ่ายภาษีหรือ? 

ปีก่อน จินหวาถูกน้ำท่วม ท่านข้าหลวงคนก่อนของจินหวาเสนอให้ราชสำนักงดเว้นการจ่ายภาษีสองปี ทางราชสำนักก็เห็นสมควร ปีที่แล้วหลินอันก็ถูกน้ำท่วม แต่ก็ท่วมเพียงสี่ห้าหมู่บ้านเท่านั้น มีคนเห็นว่าจินหวาได้รับการงดเว้นภาษี จึงคิดจะเอาอย่างบ้าง หลายวันนี้ยังมีคนมายุยงให้อวี้เหวินลงชื่อเพื่อขอให้ท่านข้าหลวงทังช่วยออกหน้าอยู่เลย

อวี้เหวินนั้นคิดว่าพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมมีไม่มาก อีกอย่างหากชาวเมืองร่วมแรงเป็นหนึ่ง ไม่แน่อาจกู้ความเสียหายกลับคืนมาได้ จึงหาเหตุผลปฏิเสธไป แต่ก็ยังมีคนเสนอให้ไปหาเผยเยี่ยนแทน

 มิใช่หรอกเจ้าค่ะ  อวี้ถังยิ้ม  เพราะเรื่องภาพวาดผืนนั้นของท่านลุงหลู่ต่างหาก สุดท้ายภาพนั้นไปตกอยู่ในมือสกุลหลี่ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องบอกนายท่านสามให้รับทราบไว้ 

เสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกันได้

สกุลหลี่หลายวันนี้กำลังดิ้นรนเต็มแรง สกุลเผยสมควรจะให้บทเรียนแก่พวกเขาบ้าง

คนสกุลเฉินพยักหน้า ทางหนึ่งก็จัดปอยผมให้นาง ทางหนึ่งก็กำชับว่า  เจ้าไปแล้วก็ต้องทำตัวดีๆ อย่าทำตัวกระโดกกระเดกเหมือนว่าที่นั่นเป็นบ้านตัวเอง อยากกินอะไรก็กิน อยากดื่มอะไรก็ดื่ม เป็นสตรี อย่างไรก็ต้องระวังภาพลักษณ์ไว้ก่อน 

หากมารดารู้ว่าตนเคยแทะขาหมูด้วยมือเปล่าต่อหน้าเผยเยี่ยนมาแล้ว ไม่รู้ว่านางจะโมโหจนกระอักเลือดหรือไม่?

อวี้ถังเม้มปากยิ้มๆ ไม่อยากส่งเสียงอะไรออกไปอีก

ดีที่รอไม่นานอวี้เหวินก็กลับมา สองพ่อลูกจึงแอบเข้าไปคุยกันในห้องหนังสือ

เมื่อรู้เหตุผลที่มาของเรื่องราว อวี้เหวินก็ตำหนินางทันที  เจ้าเด็กคนนี้ ก่อนหน้านี้ไปทำอะไรมาอีก? หากว่านายท่านสามไม่เชื่อเจ้าเล่า? 

อย่างไรอวี้ถังก็ไม่อาจตอบว่าเป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างกระมัง?

นางพูดว่า  ท่านเป็นหัวหน้าครอบครัว ทั้งยังเป็นผู้เล่าเรียนเขียนอ่านไม่กี่คนในเมืองหลินอันนี้ อีกอย่างอารมณ์ของนายท่านสามใครก็ไม่อาจคาดเดาได้ ถ้าท่านไปหาแล้วเขาตอบตกลงก็ดีไป แต่ถ้าไม่สำเร็จเล่า? จะเอาความต้องการของเราฝ่ายเดียวไปยัดเยียดให้เขาไม่ได้กระมัง? ให้ข้าไปย่อมเหมาะสมกว่าเห็นๆ! ต่อให้ข้าพูดอะไรผิดไปบ้าง คนอื่นก็คิดว่าข้าเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง ไม่มีทางเก็บไปใส่ใจแน่ 

อวี้เหวินฟังว่าบุตรสาวพูดมีเหตุผล จึงได้ล้างหน้าหวีผมใหม่ แล้วไปจวนสกุลเผยกับอวี้ถัง

เผยเยี่ยนไม่ค่อยคุ้นชินกับการต้องรอคน หลังจากส่งอวี้ถังกลับไปแล้ว เขาก็ไปห้องหนังสือของตนซึ่งตั้งอยู่นอกเรือน

ห้องหนังสือนี้ ปกติมักเอาไว้ใช้จัดการธุระจุกจิก จึงค่อนข้างทำให้คนรู้สึกผ่อนคลาย

ตอนที่อวี้ถังกับอวี้เหวินเดินเข้าห้องหนังสือไป เขากำลังเอนตัวอย่างเกียจคร้านบนเก้าอี้หวายโยก จิบชาเหยียนฉา[2]ที่เพิ่งวางขายในตลาด แสงอาทิตย์อบอุ่นยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงสาดเข้ามา ทำให้เขาเหมือนตะวันที่อุ่นสบายในฤดูนี้

 นายท่านอวี้กับคุณหนูอวี้มาแล้วหรือ!  เขาไม่ได้วางตัวห่างเหิน เพียงลุกขึ้นมาทักทายคนทั้งสอง สายตากลับตกอยู่บนร่างของอวี้ถัง

ไม่เลว น่ารักอ่อนหวานเหมือนดอกไห่ถังยามใบไม้ผลิ นี่เป็นภาพลักษณ์ที่เด็กสาวควรจะมี

เขาผงกศีรษะน้อยๆ เผยอารมณ์พอใจออกมา

อวี้ถังถอนหายใจเฮือก

ในใจกำลังขบคิดว่า ที่แท้เผยเยี่ยนก็ชื่นชอบอะไรเช่นนี้ โชคดีที่นางคิ้วเข้มตาโต อ่อนหวานไม่มาก แต่งดงามจับใจ ไม่อย่างนั้นคงแต่งตัวแบบนี้ออกมาไม่รอดแน่

ต่อไปหากมาพบเผยเยี่ยน ก็แต่งตัวมาแบบนี้เป็นใช้ได้

อย่างไรนางก็มาขอร้องผู้อื่นเขา

อวี้เหวินกลับดีอกดีใจที่ได้รับการต้อนรับ

ท่าทางของเผยเยี่ยนดูเป็นกันเอง ปฏิบัติต่อพวกเขาราวกับเป็นสหายเก่าแก่

อวี้เหวินไม่เคยเจอเผยเยี่ยนในลักษณะนี้มาก่อน เขารีบประสานมือคารวะเผยเยี่ยน ปากก็พูดว่า  มารบกวนแล้ว! 

เผยเยี่ยนส่ายหน้า มองสาวใช้ยกขนมน้ำชาเข้ามาวางแล้วก็ปิดประตูลง จากนั้นก็เอ่ยเข้าเรื่องกับอวี้ถังทันที  ภาพแผนที่ผืนนั้นพวกเจ้านำมาด้วยหรือไม่? พวกเราคงต้องเริ่มดูแผนที่ก่อน ตอนนี้การค้าทางทะเลรุ่งเรือง ใครๆ ต่างก็อยากจะมาแบ่งชิ้นเนื้อกิน ต่างฝ่ายต่างหาลู่ทาง ต่างกลุ่มต่างกองเรือ แต่ละสกุลก็มีแผนที่ทางทะเลเป็นของตัวเอง… 

ทางหนึ่งเขาอธิบายไป อีกทางก็รับแผนที่ต่อจากมืออวี้ถัง เขากางมันลงบนโต๊ะ จากนั้นก็หมุนตัวไปหยิบแว่นขยายออกมา

อวี้เหวินพลันตื่นเต้นดีใจ  ในมือท่านใช่แว่นขยายหรือไม่? ทำออกมาได้ประณีตยิ่งนัก? เป็นสินค้าจากกองเรือเหมือนกันหรือ? 

เผยเยี่ยนมองแว่นขยายในมืออย่างงงๆ ภายหลังเมื่อเข้าใจจึงตอบไปว่า  เป็นแว่นขยายนั่นแหละ หลายปีก่อนตอนที่ข้าไปเที่ยวเมืองกว่างโจว ได้พบเข้าโดยบังเอิญถึงซื้อเก็บเอาไว้ เจ้าอยากดูหน่อยไหมเล่า?  พูดจบ เขาก็ยื่นแว่นขยายให้อวี้เหวินทันที

อวี้เหวินพลิกหน้าหลังดูอย่างสนอกสนใจเป็นค่อนวันถึงยอมส่งคืนให้เผยเยี่ยน  ทำให้ท่านขบขันแล้ว ข้ามักสนใจของเล่นพวกนี้เป็นพิเศษ 

เผยเยี่ยนนึกออกว่าก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจอวี้ถังผิดก็ยังไม่ได้ขอโทษสกุลอวี้อย่างจริงจังเลย จึงเอ่ยออกไปอย่างง่ายดายว่า  นายท่านอวี้หากว่าชอบใจ ข้ามอบมันให้เจ้าก็แล้วกัน ข้ายังมีอีกอันหนึ่ง เก็บไว้ที่เรือนเมืองหังโจว 

 ไอหยา ไม่ต้องหรอก!  อวี้เหวินบอกปัดด้วยสีหน้าแดงเรื่อ  ข้าก็แค่อยากดูสักหน่อยเท่านั้น 

 ไม่เป็นไร  เผยเยี่ยนบอก แล้วหยิบแว่นขยายไปส่องดูแผนที่อย่างละเอียด

พ่อลูกสกุลอวี้แทบหยุดหายใจ รอฟังผลลัพธ์จากเผยเยี่ยน

————————————————————-

[1]ว่าน เป็นสัญลักษณ์คล้ายรูปสวัสติกะ เป็นตัวแทนแห่งความเป็นสิริมงคลของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน

[2]ชาเหยียนฉา หรือ ชาหินผา เป็นใบชาชนิดหนึ่งที่ถูกตั้งชื่อตามสถานที่ที่ในการเพาะปลูก

 

เผยเยี่ยนมองเสื้อผ้าของอวี้ถังแล้วรู้สึกปวดหัว

เขาพูดว่า  เจ้าจะแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาพบข้าไม่ได้หรือ? 

นางแต่งตัวไม่เรียบร้อยรึ?

อวี้ถังก้มหน้าพิจารณาตนเอง มองเสื้อคลุมเนื้อหยาบที่อยู่บนตัวแล้วอดจะเม้มปากหัวเราะไม่ได้  นายท่านสาม มิใช่เพราะข้าไม่มีทางเลือกหรือ? แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ากลบเกลื่อนไม่มิดแต่ก็ยังต้องดันทุรังทำ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ คนอื่นก็จะเอาไปซุบซิบนินทาได้ 

 เจ้าคิดว่าอยู่ในสภาพนี้แล้วจะไม่ถูกนินทาหรือ?  เผยเยี่ยนไม่เข้าใจความคิดของอวี้ถัง  เจ้าทำเช่นนี้ ใครๆ ก็มองออกทันทีว่าหญิงแต่งเป็นชาย 

 ถูกต้องแล้ว!  อวี้ถังหัวเราะพร้อมฉีกยิ้มหวาน  แต่ทุกคนรู้ว่าข้ามีใจปกปิด คนที่มีจิตใจดีงาม ก็จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คนที่ชอบพูดจาพล่อยๆ ไม่ว่าข้าจะแต่งตัวอย่างไรก็เอาไปพูดเหลวไหลอยู่ดี เทียบกับให้คนที่จิตใจดีงามต้องมาเดือดร้อนเพราะข้า มิสู้ปล่อยให้พวกปากพล่อยเอาไปซุบซิบนินทาได้ตามใจ 

นี่เป็นตรรกะพิศดารอะไรอีกแล้ว!

เผยเยี่ยนรู้สึกปวดหัวหนักกว่าเดิม

เขาเอ่ยว่า  ต่อไปถ้าจะมา แต่งกายให้ถูกต้องเรียบร้อย แล้วนั่งเกี้ยวมาด้วย 

หมายความว่า หากว่านางมาขอพบเผยเยี่ยนอีก เผยเยี่ยนอนุญาตให้นางเข้าพบอย่างนั้นสิ!

อวี้ถังดีใจกับเรื่องไม่คาดฝันนี้มาก สายตาไม่อาจปิดบังความยินดีได้  คราวหน้าข้าจะทำตามที่นายท่านสามบอกอย่างแน่นอน 

นางมีเรื่องมาขอความช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมต้องทำตามกฎของผู้อื่นอยู่แล้ว

เผยเยี่ยนถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย  เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร? แล้วบิดาเจ้ารู้หรือไม่? 

อวี้ถังส่งยิ้มสดใสตอบว่า  เป็นข้าที่มีเรื่องต้องการพบท่าน ท่านพ่อยังไม่รู้เรื่อง!  จากนั้นก็เสริมอีกว่า  สาเหตุก็เพราะเรื่องนี้ข้าไม่สะดวกพูดกับท่านพ่อ ถึงได้ตรงมาหาท่านแทน! 

เผยเยี่ยนฟังแล้วค่อนข้างประหลาดใจ  เรื่องอันใดล่ะ? 

อวี้ถังในเมื่อมาถึงประตูใหญ่แล้ว จึงไม่คิดอ้อมค้อมอีก ถามออกไปตรงๆ ทันทีว่า  สกุลเผยกับสกุลเผิงแห่งฝูอันเคยมีบุญคุณความแค้นต่อกันหรือไม่? 

 เหตุใดเจ้าถึงถามเช่นนี้?  เผยเยี่ยนชะงักไป  เพราะเรื่องการค้าทางทะเลรึ? พวกเราสองสกุลแม้พูดไม่ได้ว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิด แต่ก็ไม่ถึงกับบาดหมาง หากมีเรื่องใหญ่อันใด ก็สามารถเกื้อกูลกันได้ 

หมายความว่า สกุลเผยจะแตกหักกับสกุลเผิงหลังจากนี้รึ?

อวี้ถังใคร่ครวญดูแล้ว จากนั้นก็เล่าเรื่องที่หลู่ซิ่นขายภาพปลอมให้เผยเยี่ยนฟัง แน่นอนว่า นางไม่ได้พูดถึงเรื่องในชาติก่อน บอกเพียงตอนนั้นใจเกิดระแวงสงสัย ถึงได้ตรวจสอบดูด้วยความอยากรู้

เผยเยี่ยนได้ฟัง คิ้วก็เริ่มขมวดมุ่น ยิ่งฟังต่อไปเรื่อยๆ คิ้วก็เริ่มพันกันวุ่นวาย จนสุดท้ายสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่ามอง

เขาเอ่ยว่า  เจ้าจะบอกว่า เจ้าคิดว่าที่สกุลหลี่มุ่งมั่นจะสู่ขอเจ้าให้ได้ เป็นสิ่งที่แปลกพิกล จึงได้ออกไปสืบหาหลักฐาน? 

ตอนที่เผยเยี่ยนพูดประโยคนี้ออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะเพ่งมองอวี้ถังอย่างละเอียด

ส่วนสูงปานกลางแต่ขายาวเรียว มองแล้วจึงดูตัวสูงกว่าความเป็นจริง ผิวพรรณขาวผ่อง ในความเกลี้ยงเกลามีความชุ่มชื้นชมพูระเรื่อ มองแล้วดูมีชีวิตชีวา เปล่งประกายสะดุดตาคน ดวงตาคู่นั้นกลมโตกระจ่างใส เวลามองคนมักทอแสงเจิดจ้า เป็นประกายวิบวับด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทำให้นางดูซุกซนขึ้นหลายส่วน แต่คิ้วนางดกดำ สันจมูกตั้งตรง ริมฝีปากเอิบอิ่ม ไม่เหมือนกับเด็กสาวที่เพิ่งผ่านวัยปักปิ่นคนอื่นๆ ที่อย่างไรก็หลงเหลือความไม่ประสาของเด็กอยู่บ้าง แต่นางกลับสง่างามเปิดเผย ในความอ่อนหวานมีเสน่ห์ซุกซ่อน จิตใจกว้างขวาง ทั้งยังดูอยู่นิ่งๆ ไม่ค่อยเป็น

เด็กสาวเช่นนี้ ย่อมเป็นที่ดึงดูดใจคนอย่างไม่ต้องสงสัย

แล้วเหตุใดนางถึงคิดว่าที่สกุลหลี่มุ่งมั่นสู่ขอนางเป็นสิ่งแปลกพิกลเล่า?

แน่นอนว่า เด็กสาวหลายๆ คนอาจถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ จนไม่รู้ถึงความงดงามของตนเอง แต่เห็นชัดว่าไม่ใช่กับคุณหนูอวี้ผู้นี้

ตอนที่อยู่วัดเจาหมิง นางก็รู้จักใช้ประโยชน์จากข้อดีของตนเอง รู้ว่าจะดึงดูดคนได้เช่นไร โดยเฉพาะความสนใจจากเหล่าชายหนุ่ม

อีกอย่าง เขาคิดว่านางหวีผมทรงมวยตกหลังม้า ประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ เป็นการแต่งตัวที่เหมาะสมกับนางมากกว่า กลับกันการหวีผมทรงขดหอยสองข้าง กลับเจือจางความกระด้างกระเดื่องที่ซ่อนอยู่ลึกๆ ทำให้ความแปลกใหม่อันเป็นเอกลักษณ์ที่ดึงดูดคนต้องหายไป

อวี้ถังมีหรือจะรู้ว่าบุรุษตรงหน้าจะคิดอะไรมากมาย นางตอบว่า  ถูกต้อง! ข้าไม่ใช่โฉมงามอันดับหนึ่ง บ้านข้าก็ไม่ได้มีตำแหน่งฐานะ เหตุใดจะต้องแต่งกับข้าให้ได้เล่า? ฮูหยินหลี่ยังบอกอีกว่าคุณชายรองสกุลหลี่เคยพบข้าครั้งหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ ข้ายังคิดว่ามีเรื่องบังเอิญแบบนั้นที่ไหนกัน วันหนึ่งข้าได้ยินว่าพวกคุณชายรองสกุลหลี่จะไปแต่งกลอนกันที่วัดเจาหมิง จึงได้ตั้งใจแสร้งไปพบเขา ผลกลายเป็นว่าเขาไม่รู้จักข้าเสียด้วยซ้ำ… 

เหอะ!

เป็นเรื่องเข้าใจผิดอีกแล้ว

เผยเยี่ยนรู้สึกไม่สบายแถวลำคอคล้ายถูกคนบีบเอาไว้

หรือเพราะดอกไม้ของฤดูใบไม้ร่วงเบ่งบานแล้ว ละอองเกสรเล็กๆ ถึงปลิวว่อนในอากาศ?

สกุลหลี่หลายต่อหลายรุ่นชื่นชอบบุปผาต้นไม้ ในลานบ้านจึงปลูกต้นไม้ต่างๆ ไว้สารพัดสายพันธุ์ หากไม่ใช่เขาสั่งคนให้ถอนออกบางส่วน หนี่งปีสี่ฤดูล้วนมีดอกไม้เบ่งบานไม่ขาดแน่ เดินไปทางใดก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำทำเอาไอจามไม่หยุด แทบจะทำให้เขาเป็นบ้าให้ได้เชียว

เขาสำลักไอสองที ในลำคอถึงรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาหน่อย  หมายความว่า วันนั้นที่เจ้าไปวัดเจาหมิง เพราะมีเป้าหมายอย่างนั้นหรือ? 

อวี้ถังพอได้เจอเผยเยี่ยน ก็จะเปลี่ยนเป็นคน ‘ตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน[1]’ ในทันที เมื่อได้ยินประโยคนั้นของเผยเยี่ยน ก็กะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า  วันนั้นที่ข้าไปวัดเจาหมิง ท่านก็รู้เรื่อง? 

เขาย่อมรู้เรื่องอยู่แล้ว

เผยเยี่ยนจ้องหน้าอวี้ถัง

เห็นว่าดวงหน้านางมีแต่ความมึนงง สายตาเปล่งประกายออกมาเป็นคำพูด ราวกับกำลังถามเขาว่า ‘หรือท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย’

อยู่ดีๆ เขาพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล

ทว่า เขาปรับอารมณ์กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว

เขาใช้ชีวิตอย่างจริงใจเปิดเผย ไม่มีเรื่องใดต้องแอบซ่อนปกปิด วันนั้นที่วัดเจาหมิง ทั้งๆ ที่เห็นคุณหนูสกุลอวี้แล้ว กลับแสร้งทำมองไม่เห็นนาง ทั้งยังยืนดูละครอยู่บนชั้นสองของหอคัมภีร์เป็นนานสองนานอีก

ตอนแรกที่เขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องผิด

ตอนนั้นพวกเขาไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย

แต่บัดนี้จะให้เขายอมรับตรงๆ เขาก็รู้สึกไม่สะดวกใจ บางทีอาจเพราะเขาเริ่มสนิทคุ้นเคยกับคุณหนูอวี้มากขึ้น หากยอมรับอย่างขอไปทีแบบนั้น คงทำให้เขาดูเย็นชาไปหน่อยกระมัง?

เผยเยี่ยนลอบครุ่นคิดในใจ ก่อนจะตอบคำถามออกไปอย่างคลุมเครือ  ตอนนี้เจ้ากำลังสงสัยว่าสกุลเผิงบงการสกุลหลี่ให้มาหลอกเอาแผนที่ทางทะเลจากมือหลู่ซิ่นรึ?  พูดถึงตรงนี้ เขาก็หันไปยิ้มให้อวี้ถัง

มันเป็นรอยยิ้มที่แค่ฉีกริมฝีปากออกจากกันเท่านั้น

คล้ายกับเนื้อยิ้มตาไม่ยิ้มอะไรเทือกนั้น

ทว่าในสายตาของเขากลับมีแสงทอประกาย

เป็นประกายของผู้ที่มองเรื่องราวในใต้หล้าได้อย่างปรุโปร่ง

อวี้ถังตอบไปตามความจริงว่า  หนึ่งคือพวกเราไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องแผนที่หรือไม่ กลัวจะถูกตามสืบจนรู้เรื่อง สองคือกลัวว่าสกุลข้าไร้ซึ่งกำลังจะต้านทาน หากว่าพวกเขาเอาแผนที่ไปรวมกลุ่มกองเรือกับผู้อื่น แล้วใช้แผนที่ปลอมออกทะเลไป เกรงจะทำให้คนมากมายต้องสังเวยชีวิต…สกุลข้าแม้จะมีความแค้นต่อสกุลหลี่ แต่ก็ไม่ควรปล่อยเรื่องผิดๆ ให้ดำเนินไป จะเป็นภัยต่อชีวิตผู้อื่น ทางที่ดีควรกระจายข่าวเรื่องแผนที่ออกไปให้ทั่ว ทำให้มันไร้คุณค่าเสีย เช่นนี้ สกุลหลี่ก็ไม่อาจเกาะเรือลำใหญ่อย่างสกุลเผิงได้แล้ว 

ความฝันที่จะร่ำรวยมั่งคั่งของสกุลหลี่ย่อมแตกสลาย

เช่นนี้ดีกว่ามอบภาพปลอมให้พวกเขาเป็นไหนๆ

แน่นอนว่า แม้นางอยากจะมอบภาพปลอมให้แก่สกุลหลี่ แต่ก่อนถึงเวลานั้นก็ต้องตามหาผู้เชี่ยวชาญที่จะปลอมภาพให้ได้เสียก่อน

อย่างไรก็ไม่อาจลากอาจารย์เฉียนให้เข้ามาเสี่ยงด้วยได้!

อีกอย่างอาจารย์เฉียนคนก็ไม่อยู่ที่เมืองหังโจวแล้ว

เผยเยี่ยนได้ฟังก็ทำหน้าจริงจังทันที

คนทั่วไปย่อมจะทำแผนที่ซึ่งเป็นภาพปลอมออกมาเพื่อมอบให้สกุลหลี่ แต่สกุลอวี้กลับเลือกเดินเส้นทางตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่

เป็นเพราะสกุลอวี้แสนดีเกินไป? หรือโง่งมเกินไปกันแน่?

เผยเยี่ยนพลันหมดคำจะพูดไปชั่วขณะ

ในใจกลับรู้สึกนับถือความสุจริตเที่ยงธรรมของสกุลอวี้ ทำให้เขามองสกุลอวี้ด้วยสายตาสูงขึ้นกว่าเดิม

อวี้ถังนั้นรู้สึกเหมือนโยนภาระหนักอึ้งที่อยู่บนบ่าทิ้งไป

หากว่าสกุลเผยสามารถมีแผนที่เช่นเดียวกันนี้ได้ ก็จะแย่งชิงความเป็นใหญ่กับสกุลเผิงได้แล้ว

ต่อให้สกุลเผยไม่อยากเข้าร่วมแย่งชิงความเป็นใหญ่กับสกุลเผิง ก็ยังสามารถส่งมอบแผนที่ให้กับศัตรูคู่แข่งของสกุลเผิงได้

หากว่าสกุลเผยก็สนใจภาพผืนนี้เช่นกัน เช่นนั้นย่อมจะประเสริฐยิ่งกว่า

นางก็จะยกภาพผืนนี้ให้สกุลเผยเสีย ทั้งเป็นการตอบแทนบุญคุณของสกุลเผยได้อีกต่างหาก

สรุปก็คือ หากแผนที่ที่อยู่ในมือสกุลหลี่มิได้มีเพียงแผ่นเดียว สกุลของพวกเขาย่อมจะไม่มีความสำคัญใดๆ ต่อสกุลเผิงอีก

ซ้ำสกุลหลี่ยังกล้าร่วมมือกับคนนอกเมืองหลินอันลับหลังสกุลเผย แค่ความเกรี้ยวกราดของสกุลเผย ก็มากพอจะทำให้พวกเขาสำลักตายแล้ว

ทว่านี่ยังไม่ใช่ของขวัญชิ้นใหญ่ที่อวี้ถังตั้งใจจัดให้สกุลหลี่

นางยังมีของขวัญอีกชิ้นที่จะมอบให้พวกเขา

แต่ต้องจัดการเรื่องแผนที่ให้เรียบร้อยก่อน

อวี้ถังเอ่ยขึ้นว่า  นายท่านสาม ข้าจะกลับเรือนไปหยิบแผนที่มาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย 

เผยเยี่ยนกลับขวางนางไว้ก่อน  เรื่องนี้ไม่รีบร้อน ข้าคิดออกอีกหนึ่งวิธี เจ้าอยากลองฟังหรือไม่? 

————————————————————-

[1]ตามองหกถนน หูฟังแปดด้าน หมายถึง ฉลาดคล่องแคล่ว สามารถสังเกตและวิเคราะห์เหตุการณ์ได้รอบด้าน

 

อวี้ถังแอบลิงโลดอยู่ในใจ

นางคาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะพูดเก่งเช่นนี้ นางปั้นเรื่องถึงขนาดตัวเองยังไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ นึกไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะไม่เอ่ยถามอันใด กลับบอกสิ่งที่นางอยากรู้อย่างหมดเปลือก

คาดว่าตอนแรก แม้เขาจะเข้าใจผิดคิดว่านางเป็นนักต้มตุ๋นที่โรงรับจำนำ ทว่ายามที่เขาพบว่านางอ้างนามของสกุลเผยมาข่มขู่หลู่ซิ่น ก็ทำเพียงตักเตือนนางอย่างไม่จริงจังเท่านั้น ที่เรือนเก่าสกุลอวี้ ยามที่นางถูกอันธพาลพวกนั้นไล่ตาม เขาช่วยเหลือนาง พอเห็นคนของสกุลอวี้เข้ามา ก็จากไปโดยไม่กล่าวอันใด จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้เย็นชาแค่เพียงภายนอก ที่จริงแล้วยังคงยินดีจะช่วยเหลือผู้คน

แต่อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองสามารถเข้าใจเผยเยี่ยนได้

เขาเป็นตัวแทนของสกุลเผย มีตำแหน่งฐานะไม่ธรรมดา หากเป็นมิตรกับคนไปทั่ว ไม่สงวนท่าที ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกรูกันมาขอความช่วยเหลือจากเขาหรอกหรือ? เขาต้องช่วยหรือไม่ช่วยเล่า? บางคนก็รู้จักสำนึกบุญคุณ ได้รับความช่วยเหลือจากสกุลเผยย่อมจดจำไว้ในใจ เหมือนดั่งสกุลอวี้ แต่คนส่วนมากเมื่อเห็นเขาตอบรับคำของ่ายๆ ก็คิดว่า คงไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรง หากสำเร็จก็สมใจ ไม่สำเร็จกลับจะกลายเป็นความแค้นเคือง

ชาติก่อน นางพบเห็นเรื่องเช่นนี้มามาก

เผยเยี่ยนจึงจำเป็นต้องมีวิธีปกป้องตัวเองอยู่บ้าง

ก่อนหน้านี้อวี้ถังยังคิดว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติกับชาวบ้านที่นับถือเขาอย่างเย่อหยิ่งเกินไป ยามนี้ไม่รู้สึกเช่นนั้นอีกแล้ว

นางรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง เอ่ยละล่ำละลัก  เข้าใจแล้ว ข้าจะจำไว้ 

เผยเยี่ยนเห็นดวงตาที่สุกสกาวของนางมองมายังตน ใบหน้านั้นคล้ายกับจะเรืองแสงได้ เขารู้สึกราวกับเห็นลูกหมาสีขาวตัวเล็กที่มารดาเลี้ยงไว้ข้างกาย ทุกครั้งที่มันเห็นเขาก็มักจะมองอย่างเชื่อใจและคาดหวังเช่นนี้…เผยเยี่ยนอดเบะปากไม่ได้

ได้ยินอวี้เหวินพูดเรื่องพวกนั้น นางไม่ใช่คนหลักแหลมมากหรอกรึ? ไฉนเขาพูดอะไรนางก็เชื่ออย่างนั้น? คาดว่าเป็นเพราะแววตานี้ของนาง อวี้เหวินจึงปฏิเสธไม่ลง ไม่แปลกใจที่ปล่อยให้นางวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกไปทั่วเช่นนี้

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว คิดว่าตัวเองต้องช่วยอวี้เหวินดูแลควบคุมเด็กสาวผู้นี้เสียหน่อยแล้ว

เขาเอ่ย  สกุลพวกเจ้าวางแผนจะร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือของนายท่านอู๋? ตัดสินใจว่าจะลงทุนกับกลุ่มเรือไหนหรือยัง? คิดจะลงเงินเท่าใด? หรือคิดจะลงเงินเป็นสินค้า? 

อวี้ถังได้ฟัง แทบจะคุกเข่าคำนับให้เผยเยี่ยนแล้ว

นี่เป็นข่าวที่นางพยายามสืบเสาะหลายวิธี แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลใดกลับมา ฟังจากคำพูดของเผยเยี่ยน ก็รู้ว่าเขาย่อมคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้เป็นอย่างดี

โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ไม่อาจทิ้งไปเฉยๆ ได้!

อวี้ถังคิดมากมายขนาดนั้นไม่ไหว เอ่ยออกไปทันที  ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะร่วมหุ้นกับนายท่านอู๋ แค่รับรู้ว่ามีกิจการเช่นนี้อยู่ ท่านอาจจะไม่รู้ สกุลพวกเราทำกิจการเครื่องลงรัก ไม่เข้าใจเกี่ยวกับการค้าทางทะเลแม้แต่น้อย ท่านพี่ข้ากล่าวว่า ต้องไปสืบข่าวคราวให้ดีๆ เสียก่อน  จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างมีไหวพริบ  ไม่ทราบเช่นกันว่าท่านพี่ของข้าสืบข่าวอะไรได้บ้าง? เมืองหังโจว นอกจากเถ้าแก่รองถง พวกเราก็ไม่รู้จักใครอีกแล้ว 

อยากถามเขาก็ถามมา ยังจะหาเหตุผลมากมายอีก!

เผยเยี่ยนชำเลืองมองอวี้ถังไปที

สัมผัสได้ถึงท่าทีไม่สบอารมณ์อยู่รางๆ

อวี้ถังพลันกระจ่างในใจ นึกถึงบทสนทนาของทั้งสองคนเมื่อครู่ทันที

หรือเผยเยี่ยนชอบคนตรงไปตรงมา?

นี่อาจเป็นไปได้!

ทุกวันเขาต้องติดต่อกับคนมากมาย เวลาเป็นเงินเป็นทอง หากทุกคนเอาแต่ ‘อ้อมค้อม’ อยู่เบื้องหน้าเขา เขาคงจะคาดเดาใจคนพวกนั้นจนผมร่วงหัวล้านเป็นแน่

นึกมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็อดเงยหน้ามองบนศีรษะเผยเยี่ยนไม่ได้

เผยเยี่ยนผมดกหนาดำสนิท ทั้งรากผมยังตั้งโด่ราวกับไม่เชื่อฟัง จะเห็นได้ว่าเส้นผมทั้งหยาบทั้งแข็ง ได้ยินพวกแม่บ้านซุบซิบนินทา คนเช่นนี้มักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี จากประสบการณ์ของนาง คนที่อารมณ์ไม่ค่อยดี กลับใจกว้างมีเมตตามาก

ความคิดพวกนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัวอวี้ถังเพียงชั่วครู่เท่านั้น นางเอ่ยปากตามสัญชาตญาณ  หากนายท่านสามไม่รีบกลับ ข้าอยากขอนายท่านสามช่วยเปิดหูเปิดตาเสียหน่อย ทางหังโจว ท่านมีกลุ่มเรือหรือสกุลพ่อค้าใดแนะนำบ้างหรือไม่? 

ร่วมลงทุนการค้าทางทะเล ก็แบ่งได้หลากหลายวิธี บางคนก็นำเงินไปหากลุ่มเรือโดยตรง บางคนก็ร่วมหุ้นกับร้านค้าใหญ่ๆ ร้านค้าที่ร่วมลงทุนพวกนี้ มักอาศัยวิธีใช้สินค้าในการแลกเปลี่ยน

สีหน้าบูดบึ้งของเผยเยี่ยนเบาบางลง

แน่นอนว่าเขาไม่อยากเสียเวลาเพราะเรื่องเล็กน้อยพวกนี้

อวี้ถังสามารถขอร้องอย่างตรงไปตรงมา ย่อมดีที่สุด

เขาเอ่ย  ร้านค้าในเมืองหังโจวพวกนั้น ลำพองว่าตนเองอยู่ในเมืองอันดับหนึ่งของเจียงหนาน หยิ่งทะนงเป็นที่สุด ต่างก็อาศัยการได้เงินจากท้องพระคลังเป็นดั่งเกียรติยศ การค้าทางทะเลไม่ใช่สิ่งสลักสำคัญอันใด ทำได้อย่างอิสระ หากสกุลพวกเจ้าตั้งใจจะทำกินทางด้านนี้ ต้องไปเมืองซูโจว ที่นั่นมีคนทำการค้าเช่นนี้คณานับ ร้านค้าที่ค่อนข้างใหญ่พวกนั้น ไม่ว่าจะร้านผ้าไหมทั่วสารทิศ ร้านเครื่องเทศอันดับหนึ่ง ร้านเครื่องเคลือบลายครามจิ่งเต๋อล้วนมีการไปมาหาสู่กับกลุ่มเรือของหนิงปัว แต่เรื่องหลักๆ ข้าก็ไม่กระจ่างชัดนัก หากเจ้าอยากถามเรื่องกลุ่มเรือที่ออกทะเลช่วงนี้ อีกสักพักก็ให้พี่ชายเจ้าไปถามเผยหม่านเอาเถิด 

นี่นับว่ามาไม่เสียเที่ยวโดยแท้!

หากไม่ใช่ว่ามิถูกกาลเทศะ นางก็คงโขกศีรษะให้เผยเยี่ยนไปแล้ว

 เข้าใจแล้ว!  อวี้ถังคิดว่าเผยเยี่ยนช่วยเหลือนางมากถึงเพียงนี้ จึงพยักหน้ากระดิกหางประหนึ่งลูกหมา หวังอยากตอบแทนอะไรให้เผยเยี่ยนได้บ้าง ตัวเองถึงจะรู้สึกสบายใจ

เผยเยี่ยนเห็นนางตั้งใจฟัง ในใจก็รู้สึกดีไม่น้อย ยังกำชับนางไม่กี่คำ  ข้าจะไปเกริ่นกับเผยหม่านไว้ ถึงเวลานั้นพวกเจ้าเข้าไปหาเขาตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว  จากนั้นก็ขึ้นเกี้ยวที่มารอรับกลับจวนไป

เถ้าแก่ใหญ่ถงตามเข้ามาอย่างเป็นห่วง  เมื่อครู่เจ้าคุยอะไรกับนายท่านสามไปบ้าง? ข้าเห็นสีหน้าเขาดูไม่เลวเลย! 

อวี้ถังเอ่ยชมเผยเยี่ยนทันที เล่าข่าวคราวที่สืบถามจากเผยเยี่ยนให้เถ้าแก่ใหญ่ถงฟัง

เถ้าแก่ใหญ่ถงเหนือความคาดหมายอย่างยิ่ง

เผยเยี่ยนไม่ใช่คนพูดเก่ง เขาปฏิบัติตัวเช่นนี้กับคุณหนูอวี้ เห็นได้ว่านับถืออวี้เหวินอยู่ไม่น้อย ทั้งให้ความสำคัญกับสกุลอวี้เช่นกัน

 เช่นนั้นก็ดี!  เถ้าแก่ใหญ่ถงกลัวว่าอวี้ถังจะไม่รู้จักหนักเบา เอ่ยเตือนนาง  ยามที่นายท่านสามยังเด็กก็ติดตามท่านผู้เฒ่าไปทั่ว อายุน้อยก็สอบได้ตำแหน่งซู่จี๋ซื่อ สายตาความรู้ย่อมไม่ธรรมดา ในเมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ เจ้าก็อย่าลืมบอกกล่าวพี่ชาย ให้เขารีบไปหาพ่อบ้านใหญ่ล่ะ 

 ข้าไม่ลืมแน่นอน!  อวี้ถังเอ่ยขอบคุณกับเถ้าแก่ใหญ่ถงอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับบ้านด้วยอารมณ์ดียิ่ง

อวี้หย่วนทราบว่าอวี้ถังพบเจอกับเผยเยี่ยน ขอให้เขาแนะนำเส้นทางทำกินให้สกุลตน ภายใต้ความดีใจก็อดกังวลอยู่บ้างไม่ได้ ปลุกใจตัวเองอยู่ค่อนวัน เวลานี้จึงไปพบเผยหม่าน

เผยหม่านถูกเผยเยี่ยนกำชับมาแล้ว ย่อมบอกอย่างหมดเปลือก ไม่หวงแม้แต่น้อย ให้อวี้หย่วนเข้าใจแวดวงพ่อค้าทางซูโจวและหังโจวอย่างคร่าวๆ ครอบคลุมไปจนถึงกระทั่งกลุ่มเรือทางฝูเจี้ยนและกว่างโจว

หลังจากเขากลับบ้านก็อดถอนหายใจกับอวี้ถังไม่ได้  เมื่อก่อนข้ายังรู้สึกไม่พอใจ คิดว่าเหตุใดคนอื่นเขาทำกิจการรุ่งเรืองใหญ่โตได้ สกุลพวกเรากลับทำไม่ได้? ยามนี้มองดู สกุลพวกเราห่างชั้นกับสกุลใหญ่พวกนั้นถึงหลายหมื่นลี้ ข้าก็ไม่ตั้งเป้าหมายไว้สูงอะไรมาก ชีวิตนี้แค่สามารถให้พวกลูกหลานเจ้าได้ร่ำเรียนหนังสือ ขยับกิจการไปยังหังโจว ให้พวกหลานๆ เจ้ายืนบนไหล่ข้าก้าวขึ้นไปอีกขั้น ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็นับว่าสมใจปรารถนาแล้ว 

ลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ[1]

อาจารย์ที่มากประสบการณ์ล้วนขี้ขลาดตาขาว

อวี้ถังกระตุกยิ้ม เอ่ยถามอวี้หย่วน  ท่านพี่ เช่นนั้นพวกเราควรจะร่วมหุ้นกับนายท่านอู๋หรือไม่? 

อวี้หย่วนเอ่ย  นอกจากพวกเราไม่ร่วมหุ้นแล้ว ก็ยังต้องบอกกล่าวกับนายท่านอู๋ด้วย  พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็กดเสียงเบา  ตามที่ได้ยินมา ครั้งนี้กลุ่มเรือทางหนิงปัว เพื่อแข่งขันกับร้านผ้าไหมทั่วสารทิศของซูโจว จึงจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน จากความหมายของพ่อบ้านใหญ่คือต้องระมัดระวังให้ดี 

ร้านผ้าไหมทั่วสารทิศ? ชื่อนี้ยามที่เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นมา อวี้ถังก็รู้สึกคุ้นหู

นางครุ่นคิดอย่างละเอียด  ร้านผ้าไหมทุกสารทิศไม่ใช่ร้านที่ค้าขายให้ราชวงศ์หรอกหรือเจ้าคะ? 

สกุลพวกเขามีร้านสาขาย่อยมากมาย ร้านสาขาย่อยในเมืองหังโจวก็ตั้งอยู่ด้านข้างโรงจำนำสกุลเผย อวี้ถังคุ้นตาอยู่บ้าง

ชาติก่อน กลุ่มเรือของสกุลพวกเขาเป็นกลุ่มเรือที่ดีที่สุดของเจียงหนานมาโดยตลอด จวบจนสกุลเจียงโผล่ขึ้นมา สกุลพวกเขาจึงตกอับพ่ายแพ้ ก่อนหน้านี้ ร้านรวงที่แข่งขันกับสกุลพวกเขาล้วนไม่มีจุดจบดีแต่อย่างใด

 สกุลนั้นน่ะหรือ  อวี้หย่วนก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่บ้าง เขาเอ่ยทั้งพยักหน้า  ร้านผ้าไหมทั่วสารทิศเป็นหนึ่งในร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดของซูโจว ร้านของเขาจัดตั้งกลุ่มเรือมาหลายครั้งแล้ว ล้วนแต่กลับมาอย่างปลอดภัย หาเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ทำให้พ่อค้ารายเก่าพากันอิจฉาตาร้อน ยามนี้จึงได้รวมตัวกันก่อตั้งกลุ่มเรือครั้งนี้ขึ้นมา 

 เช่นนั้นก็ควรบอกกล่าวกับนายท่านอู๋เสียหน่อย  อวี้ถังเอ่ยอย่างตึงเครียด  นายท่านอู๋มีน้ำใจต่อสกุลพวกเราไม่น้อย ออกหน้าช่วยเหลือหลายครั้งหลายคราว พวกเราไม่อาจนิ่งดูดายมองเขาเสียเงินไปเปล่าๆ ได้ 

อวี้หย่วนก็คิดเช่นนี้ เขาออกจากสกุลอวี้ไปหานายท่านอู๋

นายท่านอู๋ถูกหลานชายของเขาตะล่อมจนใจอ่อนแล้ว ไม่ใช่ว่าอวี้หย่วนพูดคำสองคำก็สามารถเกลี้ยกล่อมได้ แต่ในนามของเผยเยี่ยน ยังคงทำให้เขาตัดสินใจระมัดระวัง เดิมตั้งใจจะลงทุนห้าพันตำลึงก็เปลี่ยนเป็นหนึ่งพันตำลึง

หลานชายของเขาหัวเสียไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดกลุ่มเรือเดินทางไปแต่ไม่หวนกลับ หลานชายคนนี้ของเขาสิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากนั้นก็ตกอับลืมตาอ้าปากไม่ได้ พาให้เขารู้สึกเยียบเย็นอยู่ในใจ นับแต่นั้นนายท่านอู๋ก็เชื่อฟังคำพูดปฏิบัติตามเผยเยี่ยน กลายเป็นผู้สนับสนุนที่ภักดีต่อเผยเยี่ยนมากที่สุดในเมืองหลินอัน นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างคาดไม่ถึง

ด้านอวี้หย่วน เดินทางไปเมืองซูโจวเพื่อสืบเสาะเรื่องการค้าทางทะเล ดูว่าสกุลอวี้มีโอกาสจะร่วมหุ้นบ้างหรือไม่ ส่วนอวี้ถังส่งคนไปสืบข่าวสกุลเผิงในฝูเจี้ยน นางปะติดปะต่อกับเรื่องราวที่นางรู้จากชาติก่อนอีกครั้ง คิดว่าเบื้องหลังของสกุลหลี่ เป็นไปได้ว่าจะเป็นสกุลเผิง

นี่ทำให้อวี้ถังนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา

เพราะหลี่ตวนแต่งงานกับกู้ซี หลังจากให้กำเนิดลูกชาย คนสกุลหลินก็คิดว่าหลานชายคนนี้ของตัวเองมีฐานะค่อนข้างโดดเด่น มีครั้งหนึ่งถึงกระทั่งอยากให้ลูกชายคนโตของหลี่ตวนเกี่ยวดองกับลูกสาวภรรยาเอกของสกุลเผิง กู้ซีคิดว่าเด็กอายุยังน้อย มองไม่ออกว่าเก่งกาจหรือไร้ความสามารถ ไม่ใช่โอกาสดีที่จะเชื่อมสัมพันธ์ ทั้งยังโน้มน้าวคนสกุลหลิน  สกุลเผิงและสกุลเผยดื่มชากาเดียวกันไม่ได้ พวกเราทำเช่นนี้ เกรงว่าสกุลเผยจะไม่ยินดี ไม่อย่างนั้น ข้าหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเสียหน่อย ดูว่าสกุลเผยมีท่าทีอย่างไรค่อยว่ากันดีหรือไม่? 

ภายหลังเรื่องที่เหมือนไม่จบนี้ก็จบลงไป

ไม่รู้ว่าเพราะกู้ซีใช้ข้ออ้างเรื่องนี้มาทำลายความคิดของคนสกุลหลิน? หรือว่าสกุลเผยไม่พึงพอใจต่อเรื่องนี้จริงๆ?

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจผิดพลาด

สกุลเผิงและสกุลเผยไม่ลงรอยกัน

ไม่ถูกกันตั้งแต่ยามนี้? หรือภายหลังเกิดเรื่องอะไรแตกหักกัน อวี้ถังกลับไม่ทราบ

วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปถามเผยเยี่ยนตรงๆ

แต่เผยเยี่ยนจะบอกนางรึ?

อวี้ถังสองจิตสองใจอยู่บ้าง

นึกถึงเรื่องพวกนั้นในชาติก่อนอีกครั้ง

ชาติที่แล้ว ตั้งแต่แรกนางก็คิดว่าภายหลังตัวเองคงต้องแก่ตายในสกุลหลี่มิใช่หรือ? แต่นางไม่ยอมแพ้ ไม่เต็มใจ พยายามต่อสู้ช่วงชิง คิดอุบายวางแผน ดังนั้นนางจึงสามารถเดินออกจากสกุลหลี่ได้อย่างสง่าผ่าเผย?

ไม่ว่าเรื่องอะไร หากเอาแต่คิดกลับไปกลับมาไม่ลองลงมือ ย่อมไม่สำเร็จทั้งนั้น!

ครั้งนี้อวี้ถังยังคงแปลงกายสวมชุดบ่าว ไปขอเข้าพบเผยเยี่ยนเช่นเคย

————————–

[1]ลูกวัวที่เพิ่งเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ อุปมาว่า คนหนุ่มสาวไม่มีความกังวลมากมาย มักกล้าคิดกล้าทำ

 

หลังจากหลินเจวี๋ยได้รับภาพไป ย่อมหาวิธีนำแผนที่ออกมาแน่

ชาติก่อน คนที่พวกเขาไปหาคืออาจารย์เฉียน

ดังนั้นชาติก่อนบนภาพนั้นจึงมีการลงนาม ‘ชุนสุ่ยถัง’ ของอาจารย์เฉียน ชาตินี้อวี้ถังถึงสามารถมองกลอุบายของสกุลหลี่อย่างทะลุปรุโปร่ง

ยามนี้เพราะมีนางสอดมือ อาจารย์เฉียนเร้นกายห่างจากเมืองหลวง สกุลหลี่ไม่แน่ว่าจะหาเขาพบ

แม้ว่าจะสามารถหาเขาพบ ก็จำเป็นต้องใช้เวลาและกำลังวังชา

เช่นนั้นชาตินี้สกุลหลี่จะหาใครมาแกะภาพนี้กัน?

หรือจะเก็บไว้ในมือศึกษาตรวจดูนานเท่าใดกัน?

อวี้ถังพยายามลองสมมุติตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์นั้น ครุ่นคิดจากมุมมองของสกุลหลี่ อยากคาดเดาว่าก้าวต่อไป สกุลหลี่จะทำอย่างไร แต่ไม่ว่าสกุลหลี่จะจัดการอย่างไร ยามนี้สิ่งที่นางอยากรู้มากที่สุดกลับเป็นเรื่องเบื้องหลังของสกุลหลี่ ตกลงยังมีคนอื่นอีกหรือไม่? แล้วคนนั้นคือใคร?

ต้องรู้ว่า การค้าทางทะเลไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายขนาดนั้น

คนปกติก็ออกเงินร่วมหุ้นเท่านั้น นี่เป็นการหาเงินได้น้อยที่สุด การหาเงินก้อนโตที่แท้จริงกลับมาจากกลุ่มเรือ แต่การรวมกลุ่มเรือหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น นอกจากต้องมีเรือ มีคนเรือที่ชำนาญ มีคนขับเรือที่มากประสบการณ์แล้ว ยังต้องมีท่าเรือเป็นของตัวเอง มีคลังสินค้าเป็นของตัวเอง ลงบันทึกกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล…อย่างอื่นยังพอว่า มีเงินก็สามารถแก้ปัญหาได้ แต่มีสองสิ่งที่ยากที่สุดในนี้ หนึ่งคือ การลงบันทึกกับสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล นี่จำเป็นต้องมีเส้นสายของขุนนาง สองคือต้องมีคนขับเรือที่เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ อย่างแรก จะขาดขุนนางที่สืบทอดหลายยุคหลายสมัยไม่ได้ อย่างหลัง จะขาดเบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลไม่ได้

ขุนนางที่สืบต่อมาหลายสมัย สามารถรับประกันได้ ไม่ว่าใครจะเป็นคนคุมอำนาจของสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเล กลุ่มเรือล้วนสามารถเข้าถึงบันทึกได้ ผ่านไปโดยไร้อุปสรรค ส่วนสกุลใหญ่ที่มีเบื้องลึกเบื้องหลัง ย่อมจะสามารถอบรมบ่มเพาะหรือมีคนขับเรือที่มากประสบการณ์ได้

ในเมื่อสกุลหลี่ไม่มีขุนนางที่สืบทอดมาหลายยุคสมัย ทั้งไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ใหญ่โต เมื่อได้ครอบครองแผนที่เดินเรือ พวกเขาจึงทำได้เพียงหาผู้ร่วมมือเท่านั้น ผู้ที่สามารถร่วมมือกับสกุลพวกเขา ก็ต้องเป็นสกุลใหญ่ที่เข้ากับเงื่อนไขสองข้อข้างบนนั้น

ชาติก่อน สกุลหลี่และสกุลหลินร่วมมือกัน ทำกิจการที่ฝูเจี้ยน

ผู้ร่วมมือของพวกเขา แปดถึงเก้าในสิบ ย่อมเป็นสกุลใหญ่ที่อยู่ทางฝูเจี้ยน

ยามนี้อวี้ถังเพียงโกรธตัวเองที่มีชาติกำเนิดธรรมดา สายตากว้างไกลไม่พอ ไร้ทางคาดเดาว่าชาติก่อนสกุลหลี่นั้นร่วมมือกับสกุลใด

นางคิดย้อนกลับไปกลับมา ในหัวก็ยังคงว่างเปล่า ทำได้เพียงไปถามเถ้าแก่ใหญ่ถง  ทางฝูเจี้ยนนั้น มีสกุลเช่นนี้บ้างหรือไม่? 

แม้ว่าเถ้าแก่ใหญ่ถงจะมีประสบการณ์ความรู้กว้างขวาง แต่หากให้เจาะจงไปที่พวกชาวบ้านขุนนางและสกุลใหญ่ทั้งหมด เขายังคงไม่มีความสามารถและความรู้ในด้านนี้มากพอ

เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เรื่องเช่นนี้เกรงว่าทั้งเมืองหลินอัน หรือกระทั่งหังโจวก็คงไม่มีใครตอบท่านได้สักคน ทางที่ดีที่สุดไปถามนายท่านทั้งสองของสกุลเผยเถิด! 

 นายท่านรองสกุลเผยและนายท่านสามสกุลเผยอย่างนั้นรึ?  อวี้ถังมีคำตอบในใจอย่างเลือนรางนานแล้ว เพียงแต่ไม่มั่นใจอยู่บ้าง จึงมาหาเถ้าแก่ใหญ่ถงด้วยหวังว่าจะโชคดี

เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  นอกจากนายท่านสองคนแล้ว หรือคุณหนูอวี้ยังมีตัวเลือกอื่นอีกอย่างนั้นรึ? พวกสกุลกู้ สกุลเสิ่นก็คงรู้เช่นกัน เพียงแต่คุณหนูอวี้ไม่ใช่ญาติ ทั้งไม่คุ้นเคยกับพวกเขา เรื่องเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเจอใครก็สามารถรู้ได้ แน่นอนว่านายท่านสกุลเผยทั้งสองย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีอันดับแรก 

อวี้ถังยิ้มขมขื่น

นายท่านรองสกุลเผย นางเพียงเคยเห็นไกลๆ ยามที่แห่ศพท่านผู้เฒ่าสกุลเผยเท่านั้น หากยืนอยู่ตรงหน้านางอีกครั้ง คาดว่านางก็คงไม่รู้จักแล้ว ส่วนนายท่านสามสกุลเผย นางกลับอยากไปหาเขา แต่เขาไม่แน่ว่าจะยอมพบนางน่ะสิ!

ยามนี้อวี้ถังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจ

เถ้าแก่ใหญ่ถงเสนอความคิดให้นาง  ไม่อย่างนั้น ให้บิดาท่านไปถามอาจารย์เสิ่นที่สำนักศึกษาประจำอำเภอ? ไม่แน่ว่าเขาอาจจะรู้ก็ได้ 

อวี้ถังเบื้องหน้าสว่างวาบขึ้นมา แต่ก็กลัวว่าตัวเองสืบข่าวไปทั่ว ไม่ได้ข้อมูลต้องการ กลับจะพาให้คนอื่นล่วงรู้แผนของตัวเองเสีย

 ข้าขอคิดดูก่อน  นางเอ่ย ก่อนจะบอกลาเถ้าแก่ใหญ่ถง เตรียมจะกลับบ้าน เถ้าแก่น้อยถงก็เดินผ่านไหล่นางไปหาเถ้าแก่ใหญ่ถง  นายท่านสามกลับมาแล้ว เพิ่งถึงท่าเรือ ท่านจะไปทักทายเสียหน่อยหรือไม่! 

 ต้องไปสิ ต้องไปสิ  เถ้าแก่ใหญ่ถงเอ่ยอย่างรีบร้อน

ช่างบังเอิญเสียจริง

อวี้ถังตรึกตรองเล็กน้อย ก่อนจะตามเถ้าแก่ใหญ่ถงไปที่ท่าเรือด้วย  ข้าก็จะไปทักทายนายท่านสามเช่นกัน ไม่กี่วันก่อนหมอหลวงหยางเพิ่งเดินทางไปรักษาท่านแม่ 

อาจเป็นเพราะได้รับการกำชับจากสกุลเผย นอกจากหมอหลวงหยางจะรักษาอย่างตั้งอกตกใจกว่าปกติแล้ว ยังเปลี่ยนเทียบยาให้คนสกุลเฉินด้วย หลังจากคนสกุลเฉินกิน ก็ออกปากว่ารู้สึกดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด

หากนึกถึงเรื่องนี้ อวี้ถังก็คิดว่าตนเองควรจะเป็นฝ่ายออกตัวขอบคุณเผยเยี่ยนเสียหน่อยจึงจะถูก

เถ้าแก่ใหญ่ถงยิ้มจนตาหยี พาอวี้ถังไปท่าเรือด้วยกัน

ท่าเรือยังคงคึกคักอย่างเช่นเคย ทุกคนเห็นนายท่านสามสกุลเผยก็คำนับให้เขาตั้งแต่ไกลๆ เขากลับเผยหน้าไร้อารมณ์ เย่อหยิ่งเป็นอย่างมาก

อวี้ถังเบะปาก เดินเข้าไปหาพร้อมเถ้าแก่ใหญ่ถง

เผยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นก็เห็นอวี้ถัง

ผมสีดำขลับถูกเกล้าเหนือศีรษะ ม้วนเป็นมวยผม สวมชุดบ่าวรับใช้สีน้ำตาลกลางเก่ากลาใหม่ กลับขับผิวขาวของนางให้เนียนละเอียดเกลี้ยงเกลา ใบหน้าพริ้มเพรา ชุดคลุมตัวใหญ่ยิ่งทำให้ส่วนเว้าส่วนโค้งของนางดูเด่นชัดขึ้นไปอีก เดิมทีก็ไม่อาจปกปิดเรื่องที่นางแต่งเป็นผู้ชายแล้ว นางยังเดินลอยหน้าลอยตาไปทั่ว ทำตัวปกติราวกับไม่กลัวว่าคนอื่นจะมองออก

ไฉนนางจึงแต่งกายซี้ซั้วออกจากบ้านเช่นนี้?

ไม่ว่าอย่างไรอวี้เหวินก็ควรตักเตือนเสียหน่อย

เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว ไม่รอให้อวี้ถังเดินเข้ามาใกล้ก็แสดงสีหน้าดำทะมึนแล้ว จนอวี้ถังก้าวเข้ามา เขาก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก  คุณหนูอวี้ ไฉนเจ้าจึงอยู่ที่นี่? มีเรื่องอะไรให้เถ้าแก่ใหญ่ถงช่วยอย่างนั้นรึ? 

ครั้งแรกที่เขาพบอวี้ถัง อวี้ถังก็ลอยหน้าลอยตาอยู่กับเถ้าแก่ใหญ่ถง

คุณหนูผู้นี้ หากไร้เรื่องร้อนใจก็คงไม่มา

นางย่อมไม่อาจมาหาเถ้าแก่ใหญ่ถงโดยไร้สาเหตุเป็นแน่

อวี้ถังฟังจบก็รู้สึกลิงโลดในใจ

นางกลัวว่าเผยเยี่ยนจะไม่สนใจนาง ขอเพียงแค่เขาทักทายนาง นางก็มีวิธีให้เผยเยี่ยนช่วยเหลือนางแล้ว

 นายท่านสาม  นางก้าวมาข้างหน้าคำนับให้เผยเยี่ยนอย่างกระตือรือร้น  หมอหลวงหยางมาตรวจดูอาการมารดาข้าแล้ว ทั้งยังเปลี่ยนการจ่ายยา สกุลพวกเรายังไม่ได้ขอบคุณท่านดีๆ เลย! 

ขอบคุณย่อมไม่จำเป็น

อย่าได้แอบอ้างสกุลของพวกเขาทำอะไรให้เสื่อมเสียชื่อเสียงสกุลเผยก็เพียงพอแล้ว

หากเป็นคนอื่น เผยเยี่ยนคงจะตักเตือนอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้าแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยเข้าใจอวี้ถังผิดไป เขาคิดว่าตัวเองควรผ่อนปรนให้อวี้ถังสักหน่อย ถือเสียว่าเป็นการขอโทษ

ดังนั้นแม้ว่าในใจเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ยังคงไม่กล่าวอันใด กลับมองพินิจอวี้ถังอย่างละเอียดขึ้นมา

ยามนี้เผยเยี่ยนจึงค่อยพบว่า ดวงตาของอวี้ถังงดงามเป็นอย่างมาก ไม่เพียงดำสนิทและกระจ่างพร่างพราว ยังสดใสแวววาว ราวกับสามารถบอกเล่าเรื่องราวได้

ก็เหมือนในยามนี้ แม้ใบหน้านางจะแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม ดูสุภาพเป็นมิตร แต่ดวงตากลับเผยความเจ้าเล่ห์ออกมาอยู่บ้าง ทำให้เขานึกถึงนางจิ้งจอกที่ชอบล่อลวงคนในหนังสือพวกนั้น…ถึงแม้เขาจะไม่เคยพบนางจิ้งจอกมาก่อนว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขารู้สึกว่า หากมีนางจิ้งจอกอยู่จริง เวลานี้ก็คงจะเป็นลักษณะอย่างอวี้ถังไม่ผิดแน่

ปัญหาคือ แม้เขารู้ว่าอวี้ถังเป็นเหมือนนางจิ้งจอกที่คิดจะวางแผนกับเขา แต่เขาก็ได้ตัดสินใจจะผ่อนปรนให้นางแล้ว เขาคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจที่เพิ่งเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จัดการกับอวี้ถังได้หรอกกระมัง?

เผยเยี่ยนถอยหลังไปเล็กน้อยอย่างเงียบเชียบ  คุณหนูอวี้ เจ้าจะทำอะไร? 

เขาดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากยามปกติ แต่อวี้ถังกลับจับสังเกตยามที่เขาลังเลและถอยหลีกในชั่วพริบตาได้อย่างกะทันหัน

อวี้ถังไม่รู้ว่าเหตุใดเผยเยี่ยนจึงเปลี่ยนไปเช่นนี้ แต่นางกลับสัมผัสได้อย่างฉับไว ตั้งแต่ครั้งก่อนที่เผยเยี่ยนช่วยเป็นคนกลางตัดสินความให้สกุลพวกนาง ครั้งนี้เมื่อเผยเยี่ยนพบนางอีกครั้ง กลับแสดงท่าทีอ่อนโยนต่อนางอย่างเห็นได้ชัด

หรือเพราะรู้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเข้าใจนางผิดไป?

คิดกลับไปกลับมา อวี้ถังกลับไม่อยากเชื่อในโชคดีของตัวเองที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

นางตัดสินใจคว้าโอกาสครั้งนี้ทันที หาวิธีหลอกล่อให้เผยเยี่ยนพูดสิ่งที่มีประโยชน์ออกมา

 นายท่านสาม ท่านนี่เก่งกาจจริงๆ!  บางทีอาจเพราะก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนดูหยิ่งผยองเกินไป ไม่ก็ตำแหน่งของเผยเยี่ยนในเมืองหลินอันสูงเกินไป ทำให้อวี้ถังไร้ทางนำเขา หลี่จวิ้นและพวกเสิ่นฟางมาพูดเปรียบเทียบกัน นางประจบประแจงเผยเยี่ยนโดยไม่มีความกังวลอะไรแม้แต่น้อย อย่างไรสภาพที่เหลือทนที่สุดของนาง เขาก็ล้วนเห็นมาหมดแล้ว นางยังมีอะไรให้ต้องเสแสร้งอีก  หูตากว้างไกลของท่านนี้ มองพริบตาเดียวก็รู้แล้วว่าข้ามาหาท่านเพราะมีเรื่อง 

เผยเยี่ยนเห็นนางพูดตามตรงเช่นนี้ กลับโล่งใจ รู้สึกสบายใจขึ้นมา

สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือคนอื่นมักจะอ้อมค้อมกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้กับเขา ไม่รู้ว่าเพราะคิดว่าเขาโง่เขลา หรือคิดจะแสดงความฉลาดต่อหน้าเขา แค่เรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญก็ต้องให้เขาเสียแรงเสียเวลาไปคาดเดา อย่างไรพริบตาเดียวก็ถูกเขามองทะลุปรุโปร่งแล้ว

 เจ้าว่ามา!  เผยเยี่ยนเอ่ย

อวี้ถังดีใจอย่างไม่คาดฝัน

นางนึกไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนจะเป็นกันเองเช่นนี้

ไม่แน่ว่าเมื่อก่อนนางอาจจะใช้วิธีผิดไป

อวี้ถังครุ่นคิด กลับไม่พูดยืดเยื้อแม้แต่น้อย  ข้าสามารถพูดกับท่านเพียงลำพังสักสองสามคำได้หรือไม่? 

เผยเยี่ยนเห็นคนเดินกันขวักไขว่ที่ท่าเรือ ก็คิดว่าที่นี่ไม่เหมาะสมเช่นกัน แต่เขาเพียงเดินไปด้านข้างไม่กี่ก้าว ยืนหยุดอยู่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ เอ่ยขึ้น  เจ้ามีเรื่องอะไรก็พูดมาตามตรงเถิด! 

ท่าทางประหนึ่งเรื่องของนางไม่มีค่าพอให้เขาหาสถานที่ใหม่เสียอย่างนั้น

จองหองลำพองตนเสียจริง!

อวี้ถังอดนินทาในใจไม่ได้ แต่อยู่ใต้ชายคาคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว[1]

นางมีเรื่องต้องขอร้องเขา เพราะนอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้

 เป็นเช่นนี้  อวี้ถังไม่กล้าบ่น นางกลัวว่าหากตัวเองบ่น โอกาสนี้ก็จะมลายหายไป รีบตามเขาไป เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ดังมาก ระยะไม่ใกล้ไม่ไกล  นายท่านอู๋อยากชวนพ่อของข้าทำการค้าทางทะเล ครั้งที่แล้วข้าไปเรือนท่าน เห็นบานประตูกระจกหลากสีของโถงบุบผาเรือนท่านงดงามจริงๆ… 

นางสังเกตสีหน้าของเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนเพียงฟังไปเฉยๆ ไม่มีท่าทีจะโอ้อวดแม้แต่น้อย

จะเห็นได้ว่า ผู้ที่คิดว่าบานประตูกระจกหลากสีเหล่านี้งดงามคงเป็นท่านผู้เฒ่าสกุลเผย

อวี้ถังก็ไม่มากความ ข้ามประเด็นนี้ไป เอ่ยต่อ  ข้าจึงคิดว่า ท่านอาจจะคุ้นเคยกับพ่อค้าขายสินค้าจากเรือพวกนั้น เลยอยากสอบถามกับท่านสักเรื่อง ทางฝูเจี้ยน มีสกุลขุนนางใดบ้างที่มีกลุ่มเรือเป็นของตัวเอง อยากรู้ว่ากลุ่มเรือของสกุลใดมีฝีมือมากที่สุด ทั้งดูว่าสกุลพวกเราควรจะทำการค้านี้กับนายท่านอู๋หรือไม่ 

นางพูดจาซี้ซั้ว เผยเยี่ยนกลับไม่สงสัยแม้แต่น้อย

อวี้เหวินพึ่งพาไม่ได้ ยามที่อวี้เหวินตกหลุมพราง กลับเป็นลูกสาวที่ไปเอาเงินขายภาพวาดคืน เขาก็มีภาพจำตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ร่วมหุ้นการค้าทางทะเล เมืองหลินอันพบไม่มาก แต่ในหังโจว กลับมีคุณหนูมากมายที่ชอบร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือเพื่อหาเงินซื้อเครื่องแป้งเครื่องประทินโฉมให้กับตัวเอง คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้เป็นคนไม่สงบเสงี่ยม รู้เรื่องนี้ ทั้งเกิดความคิดเช่นนี้ออกมา คงวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนแล้วแน่ๆ

ส่วนที่ว่าเรื่องนี้เป็นความคิดของนาง หรือนางอ้างชื่อนายท่านอู๋และอวี้เหวินมา อย่างไรเขาก็ตัดสินใจจะขอโทษนางแล้ว ขอเพียงประโยชน์อยู่ในมือของนางก็เพียงพอ เรื่องเล็กน้อยพวกนี้เขาไม่มีใจอยากจะรู้

 ไฉนเจ้าไม่ร่วมหุ้นกับกลุ่มเรือทางหนิงปัว? กลุ่มเรือทางหนิงปัวส่วนมากทำเกี่ยวกับเครื่องลายครามและผ้าไหม ฝูเจี้ยนและกว่างโจวส่วนมากกลับทำพวกเครื่องลายครามและเครื่องหอม ผ้าไหมและเครื่องลายครามทำง่ายกว่าเครื่องหอมมาก  เผยเยี่ยนเอ่ยออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก จากนั้นก็บอกเรื่องที่อวี้ถังอยากรู้  ทางฝูเจี้ยน กลุ่มเรือที่ใหญ่ที่สุดเป็นของสกุลเผิงแห่งฝูอัน สกุลพวกเขาคุมอำนาจอยู่ในสำนักตรวจสอบการค้าทางทะเลมาเป็นเวลานานแล้ว มีประสบการณ์เดินเรือกว่ายี่สิบสามสิบปี จนถึงทุกวันนี้ ยังคงเคยเกิดปัญหาเพียงครั้งเดียวเมื่อห้าปีก่อนเท่านั้น แต่ปัญหาครั้งนั้นเกิดขึ้นกับกลุ่มเรือที่ออกทะเลเหมือนกันทั้งหมด ไม่ได้มีเพียงสกุลเผิง หากพวกเจ้าอยากจะร่วมลงทุนกับกลุ่มเรือทางฝูเจี้ยน สกุลเผิงย่อมเป็นตัวเลือกอันดับแรก 

—————————-

[1]อยู่ใต้ชายคาคนอื่น จำเป็นต้องก้มหัว อุปมาว่า ไร้ซึ่งอำนาจ ทำได้เพียงปฏิบัติตาม

 

สองแม่ลูกหันกลับมา มองชายหนุ่มรูปงาม สวมผ้าไหมสีม่วงอมแดงปักด้ายเงินลายดอกไม้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้มเริงร่า

 อาเจวี๋ย!  คนสกุลหลินร้องอย่างดีใจ อาศัยการประคองจากสาวใช้ข้างกายเตรียมจะหยัดตัวขึ้น  เจ้ามาเมื่อใดกัน? ไฉนจึงไม่บอกกล่าวก่อน ข้าจะได้ให้น้องชายเจ้าไปรับ 

ผู้ที่มาคือหลินเจวี๋ย หลานชายฝั่งมารดาของคนสกุลหลิน

เขาเป็นลูกชายคนโตของพี่ชายคนสกุลหลิน ตั้งแต่เล็กก็หน้าตาหล่อเหลาทั้งยังพูดเก่ง เป็นหลานชายที่คนสกุลหลินรักและเอ็นดูที่สุด

หลินเจวี๋ยไม่รอให้นางยืนขึ้นมาก็รีบสาวเท้าเข้าไป ฉวยโอกาสพยุงคนสกุลหลินเอาไว้ก่อนที่สาวใช้จะยื่นมือมา

 ท่านอา!  เขาเรียกคนสกุลหลินอย่างสนิทสนม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  บ้านของท่านก็ไม่ใช่ที่อื่นไกลอันใด ข้าแค่อยากสร้างความประหลาดใจให้ท่านเท่านั้น คาดไม่ถึงว่าความประหลาดใจจะแปรเปลี่ยนเป็นความตกใจไปเสียได้!  ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบมองหลี่ตวนอย่างครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เอ่ยกับคนสกุลหลินต่อ  ข้าไม่ได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง? หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ข้าคงให้บ่าวรับใช้ล่วงหน้ามารายงานก่อนแล้ว 

น้ำเสียงของเขาแฝงความรู้สึกเสียใจคณานับ ทำให้คนสกุลหลินที่ได้ฟังเอ็นดูไม่น้อย  อาของเจ้าเป็นคนขี้ตกใจขนาดนั้นเมื่อใดกัน? อีกอย่าง เรื่องอื่นข้าไม่กล้าโอ้อวด แต่ความสามารถในการดูแลบ้านของอาเจ้าไม่เป็นสองรองใคร ผู้ที่วิ่งเข้ามาในห้องของข้าโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ไม่ใช่พวกเจ้าที่มักเข้าออกแล้วยังจะเป็นใครไปได้อีก? 

จุดนี้หลินเจวี๋ยกลับไม่ปฏิเสธ

ทักทายกับหลี่ตวนเล็กน้อย ก่อนสองพี่น้องจะพยุงคนสกุลหลินไปนั่งโต๊ะกลมด้านนอก

สาวใช้ยกของว่างและน้ำชาขึ้นโต๊ะ

คนสกุลหลินเอ่ยถามหลินเจวี๋ย  ครั้งนี้บังเอิญผ่านมาหรือวางแผนจะพักที่นี่ระยะหนึ่งล่ะ? เรื่องทางไหวอันจัดการเป็นอย่างไรบ้าง? กิจการในบ้านยังดีกระมัง? บิดาของเจ้าสุขภาพดีหรือไม่? 

หลินเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ท่านพ่อแข็งแรงดี หลายปีมานี้กิจการในบ้านได้รับการช่วยเหลือจากท่านอาหลี่อี้ จึงราบรื่นมาโดยตลอด ครั้งนี้ที่ข้ามาก็เพราะกิจการทางไหวอันจัดการเรียบร้อยแล้ว หนึ่งคือมาบอกกล่าวกับท่านอา กลัวว่าท่านจะเป็นห่วง สองคืออยากขอบคุณท่าน หากไม่ใช่ท่านอาหลี่อี้ช่วยออกหน้า กลัวเพียงว่าครั้งนี้คงสิ้นเนื้อประดาตัวแล้ว จะว่าไป ในบ้านก็ควรมีบัณฑิตสักคนจริงๆ! 

คนสกุลหลินผงกศีรษะไม่หยุด  ดังนั้นข้าจึงพยายามกระตุ้นให้น้องๆ ทั้งสองคนของเจ้าตั้งใจร่ำเรียนหนังสือ 

ยามนี้หลี่อี้เป็นเพียงข้าหลวงขั้นสี่ก็ทำให้กิจการของสกุลหลินก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวแล้ว หากเหมือนกับสกุลเผยเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าเงินทองจะไหลเข้าบ้านมาเป็นกอบเป็นกำเลยรึ?

คนสกุลหลินนึกถึงลูกชายคนโตที่เพิ่งกำเนิดของหลินเจวี๋ย  แม้ว่าทางฝั่งมารดาของภรรยาเจ้าคนนั้นจะมั่งคั่ง แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของสกุลยังด้อยไปอยู่บ้าง ภายหลังรอน้องๆ เจ้าแต่งงานแล้ว ก็ให้รับเด็กมาอบรมเลี้ยงดูที่นี่ ไม่พูดถึงขั้นเป็นจิ้นซื่อหรือจวี่เหริน แต่อย่างไรก็ควรเป็นซิ่วไฉให้ได้สักคน เจ้าดูสกุลมีหน้ามีตาในเมืองหังโจวพวกนั้น กิจการเจริญรุ่งเรือง แปดถึงเก้าในสิบล้วนมีฐานะเป็นซิ่วไฉกันทั้งนั้น ขอแค่ทำเช่นนี้ ก็สามารถเชื่อมสัมพันธ์กับขุนนางพวกนั้นได้แล้ว เกิดเรื่องอะไรก็จะมีคนคอยช่วยเหลือ 

หลินเจวี๋ยคิดแบบนั้นเช่นกัน พยักหน้าหงึกๆ พูดขอบคุณคนสกุลหลินและหลี่ตวนล่วงหน้า จากนั้นก็เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา  ประจวบเหมาะที่ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเรื่องอะไร จึงมาอยู่เล่นเป็นเพื่อนท่าน ทั้งพูดคุยกับน้องๆ แต่หากสามารถพบนายท่านสามสกุลเผยได้ นั่นก็ยิ่งดีไปอีก 

ประโยคสุดท้ายนี่คงเป็นประเด็นสำคัญกระมัง?

คนสกุลหลินครุ่นคิด แต่หลานชายรู้จักพูดจา ในใจของนางยังคงยินดีไม่น้อย  ได้สิ! เจ้าจะพักที่นี่กี่วัน เมืองหลินอันอย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ทิวทัศน์กลับงามยิ่ง ทุกครั้งที่เจ้ามาล้วนเอาแต่รีบร้อน ครั้งนี้อยู่ที่นี่หลายวัน ก็ให้น้องชายของเจ้าพาไปเที่ยวชมรอบๆ คลายความเบื่อหน่าย นั่งเรือเล่นเสียหน่อย ถึงคราวที่ไปหังโจวก็สามารถไปกลับได้ 

หลินเจวี๋ยหยัดกายขอบคุณ พูดคุยคลายเหงากับคนสกุลหลินสักพัก เมื่อเห็นคนสกุลหลินมีสีหน้าอ่อนเพลียขึ้นมา ยามนี้จึงค่อยขอตัวออกไปพร้อมหลี่ตวน มีหลี่ตวนคอยนำทางไปห้องพักแขก

แต่ว่า พอหลินเจวี๋ยเข้าประตูก็ไล่บ่าวรับใช้ที่จัดการสัมภาระข้างกายทั้งบ่าวที่สกุลหลี่ส่งมาทำความสะอาดห้องออกไป ปิดประตู ก่อนจะควักม้วนภาพหนึ่งออกจากกระเป๋าสัมภาระส่งให้หลี่ตวนทั้งรอยยิ้ม  เป็นอย่างไร? ข้าบอกแล้วว่าวิธีของพวกเจ้าไม่สำเร็จหรอก? ท้ายที่สุดยังต้องเป็นข้า นี่ ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่น เจ้าดูว่าใช่ภาพวาดนั้นที่สกุลเจ้าตามหาอยู่หรือไม่ 

หลี่ตวนยิ้มทั้งหน้าม้าน  ได้มาแล้วรึ? 

นับตั้งแต่ที่ได้ยินข่าวว่าหลู่ซิ่นยังมีของต่างหน้า พวกเขาก็เริ่มวางแผนกับของพวกนี้ เพียงคาดไม่ถึงว่า ความคิดของหลินเจวี๋ยจะดำเนินไปอย่างราบรื่นเช่นนี้

หลี่ตวนอดแก้ต่างให้ตัวเองไม่ได้  ประเด็นหลักอยู่ที่อาจวิ้นชมชอบคุณหนูสกุลอวี้ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ข้าจึงตอบรับ ผลักเรือตามน้ำไป 

แม้ว่าเรื่องของหลู่ซิ่นจะราบรื่น แต่หากมีคนหัวไวอยากจะสืบหาก็สามารถหาได้ง่ายๆ ว่าภาพนี้ตกไปอยู่ในมือใคร กำไรของการค้าทางทะเลนั้นมหาศาล เทียบกับฆ่าคนล้างสกุลแล้ว เดิมทีก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่อำนาจของสกุลหลี่ในตอนนี้ยังคงน้อยไปอยู่บ้าง หากมีเรื่องราวเข้ามามากมายย่อมรับไม่ไหว นับประสาอะไรกับการมีสกุลเผยคอยกดอยู่ด้านบน

หากให้สกุลเผยมาแบ่งผลประโยชน์ สกุลพวกเขาก็ทำได้เพียงต้องกระทำทุกเรื่องโดยเกรงกลัวสกุลเผยอยู่ร่ำไป เช่นนั้นสกุลหลี่ยังจะมีอนาคตอะไร? เขาบากบั่นต่อสู้ทั้งชีวิตจะมีความหมายอันใด?

หลินเจวี๋ยรู้สึกลำพองอยู่ในใจ แต่ก็ไม่อยากล่วงเกินหลี่ตวน ญาติผู้น้องที่อาจจะนำผลประโยชน์นับไม่ถ้วนมาให้กับสกุลหลินของพวกเขาในอนาคต เขาไม่เพียงปล่อยเรื่องถกเถียงแพ้ชนะกับหลี่ตวนไป แต่ยังคล้อยตามคำพูดของหลี่ตวน  หากเป็นข้า ข้าก็ยินยอม เพียงแค่คาดไม่ถึงว่าสกุลอวี้จะหัวแข็งขนาดนี้ แต่ว่า อย่างไรภาพนี้ก็มาอยู่ในมือแล้ว พวกเราต้องรีบหน่อย รอจนสกุลเผยค้นพบ ภาพนี้ก็คงตกไปอยู่ในมือสกุลเผิงแล้ว สกุลเผยของพวกเขาจะเก่งกาจเพียงใด ก็คงเก่งกาจเท่าสกุลเผิงไม่ได้กระมัง? 

สกุลเผิงแห่งฝูอัน สกุลอันดับหนึ่งของฝูเจี้ยน

ในบ้านไม่เพียงรับตำแหน่งเสนาบดีถึงสองคน แต่ยามนี้นายท่านเจ็ดสกุลเผิง เผิงอวี่ยังเป็นขุนนางที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิ เจ้ากรมตรวจการฝ่ายขวาของสำนักตรวจการ รับหน้าที่รักษาความเรียบร้อยให้กับพวกขุนนาง แม้แต่ศิษย์พี่รองของเผยเยี่ยน เจียงฮวา เจ้ากรมโยธาธิการควบตำแหน่งมหาบัณฑิตหอตงเก๋อ ก็ไม่กล้าเหิมเกริมต่อหน้าเผิงอวี่เช่นกัน

ผู้ที่อยากได้ภาพนี้ก็คือสกุลเผิง

และหลี่อวี้ หลายปีมานี้อยากจะโยกย้ายไปเมืองหลวงมาโดยตลอด สกุลเผยยึดติดกับธรรมเนียมเกินไป เยื้องย่างไปอย่างช้าๆ กว่าเขาจะผูกสัมพันธ์กับสกุลเผิงได้ก็ลำบากไม่น้อย สกุลเผิงยินดีช่วยเหลือเขาเช่นกัน สกุลพวกเขาย่อมต้องตอบแทนน้ำใจกลับไป ช่วยนำภาพนี้ไปให้สกุลเผิงเพื่อเป็นใบผ่านทาง

เพียงแต่พื้นเพสกุลหลี่อยู่ที่หลินอัน ก่อนที่จะกระชับความสัมพันธ์เรื่องผลประโยชน์กับสกุลเผิง สกุลหลี่ก็ไม่อยากที่จะล่วงเกินสกุลเผย ทั้งไม่สามารถล่วงเกินได้เช่นกัน มิเช่นนั้นยามที่เผชิญหน้าย่อมไร้ทางต่อกร สกุลหลี่ในยามนี้สู้ไม่ไหว ไยต้องทำเรื่องมากมายขนาดนั้น?

หลี่ตวนหัวเราะอย่างไร้เสียง

สกุลเผิงต้องการภาพนี้ ไม่ใช่ว่าขาดสกุลหลี่ของพวกเขาไม่ได้ แต่สกุลหลี่พวกเขา กลับขาดสกุลเผิงไม่ได้ ยามนี้พูดอะไรล้วนไร้ประโยชน์ อย่างไรภาพวาดก็อยู่ในมือหลินเจวี๋ยแล้ว

ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องใดที่สามารถปิดบังได้ หลี่ตวนก็ไม่คิดว่าจะสามารถปิดบังสกุลเผยได้ตลอดไปเช่นกัน แต่อย่างไรก็ต้องให้สกุลหลี่ยืนอย่างมั่นคงอยู่ข้างๆ สกุลเผิงก่อนถึงจะให้สกุลเผยรู้ได้

เขาถามหลินเจวี๋ย  เจ้าคงไม่ออกหน้าด้วยตัวเองกระมัง? 

 ข้าจะโง่ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร?  หลินเจวี๋ยคิดว่าญาติผู้น้องของตนคนนี้เรียนหนังสือเสียเปล่า เหลือบมองหลี่ตวนไปที  แน่นอนว่าให้คนอื่นลงมือแทน! คนผู้นี้ ก็เป็นผู้ดูแลคนสนิทของข้าไปเสาะหามา เพียงเอ่ยว่านี่เป็นภาพเก่าแก่ ข้ามีลู่ทางสามารถขายให้คนที่ชื่นชอบได้ นำไปขายโรงจำนำอย่างมากที่สุดก็ได้สี่ถึงห้าร้อยตำลึง แต่หากผ่านมือข้า กลับขายได้สูงถึงหนึ่งพันตำลึง คนผู้นั้นหลงกล ใช้เงินสองร้อยตำลึงซื้อภาพมา ทั้งขายให้ข้าห้าร้อยตำลึง แม้ว่าจะเยอะไปบ้าง แต่ก็คิดเสียว่าใช้เงินเพื่อจบปัญหา ข้าก็ไม่ได้กดราคาเขามากมาย 

รู้ว่าภาพนี้สามารถขายได้ถึงหนึ่งพันตำลึง กลับซื้อมาสองร้อยตำลึง ขายห้าร้อยตำลึง นี่ก็นับเป็นคนซื่อตรงคนหนึ่ง

หลี่ตวนแสร้งทำเป็นตกใจ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  คนผู้นี้กลับไม่ละโมบโลภมาก 

 ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า ทำการค้าขายต้องดูว่าเป็นคนอย่างไร  หลินเจวี๋ยลำพองใจกับเรื่องนี้อยู่บ้าง  เจ้าดูข้า ตามท่านพ่อขึ้นเหนือล่องใต้ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยมีปัญหากับผู้ร่วมการค้ามาก่อน ดังนั้นข้าว่า สกุลเผิงย่อมทำการใหญ่ได้ เดินตามสกุลพวกเขาย่อมไม่ผิดแน่ 

หลี่ตวนปิดปากไม่เอ่ยอันใด

ในจุดนี้ ความเห็นของเขาและหลินเจวี๋ยแตกต่างกัน

เขาคิดว่าสกุลเผิงละโมบเป็นอย่างมาก

กลุ่มเรือเก้าสาขาของฝูเจี้ยน กลุ่มเรือของสกุลเผิงนั้นใหญ่ที่สุด ทั้งยังครอบครองเรือส่วนใหญ่ในฝูเจี้ยน แต่ยามที่สกุลพวกเขาบังเอิญรู้ว่าภาพนี้ของใต้เท้าจั่วมีแผนที่เดินเรือซ่อนไว้ กลัวจะตกอยู่ในมือคนอื่น ยังคงพยายามทุกวิถีทางให้ได้มันมา?

แต่ว่า นี่ก็เป็นเรื่องปกติของมนุษย์

ใครจะอยากให้เตียงนอนของตัวเองมีผู้อื่นมาครอบครองด้วยเล่า?

หลี่ตวนและหลินเจวี๋ยพูดถึงเรื่องภาพนี้ขึ้นมา  พวกเราก็ส่งไปสกุลเผิงเช่นนี้เลยรึ? หรือจะดูก่อนว่าภาพนี้ถูกต้องหรือไม่? 

เขากลับไม่คิดว่าสกุลอวี้จะสามารถพบความลับในภาพนี้ได้ แต่กลัวว่าจะเป็นเหมือนที่หลู่ซิ่นบอก กระทั่งเขาก็ไม่รู้ความลับในภาพนี้ ผลปรากฏว่าพวกเขานำของผิดไป

หลินเจวี๋ยเอ่ยอย่างหลักแหลม  ย่อมต้องหาวิธีดูแผนที่ในภาพวาดนี้ หากสกุลเผิงเปลี่ยนใจขึ้นมาจะทำอย่างไร? 

นอกจากตรวจสอบของแล้ว ทางที่ดีพวกเขาก็ควรจับจุดอ่อนของสกุลเผิงไว้เช่นกัน ลอกแผนที่นี้ขึ้นมาอีกแผ่น ป้องกันเผื่อว่าสกุลเผิงจะแตกหักผิดสัญญา

อย่างไรพวกเขาและสกุลเผิงก็อยู่คนละระดับกัน สกุลเผิงจะจัดการพวกเขาย่อมง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ แต่หากพวกเขาคิดจะต่อต้านสกุลเผิงกลับไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะตรงกลางยังพ่วงมาด้วยสกุลเผย…หากไม่มีเรื่องนี้ พวกเขายังสามารถขอความช่วยเหลือจากสกุลเผย เมื่อการแลกเปลี่ยนของพวกเขาและสกุลเผิงถูกเปิดเผย สกุลเผยไม่จัดการกับพวกเขาก็ดีมากแล้ว อย่าได้คาดหวังว่าสกุลเผยจะสามารถช่วยเหลือพวกเขาอีก

สองพี่น้องพูดมาถึงตรงนี้ ก็แลกเปลี่ยนสายตาที่ต่างฝ่ายต่างเข้าใจกัน

หลี่ตวนเอ่ย  เรื่องนี้ส่งต่อให้ข้าก็เพียงพอแล้ว 

หลินเจวี๋ยวางแผนจะพักที่นี่สักระยะหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้

เขาต้องเห็นแผนที่นั่นด้วยตาตัวเองจึงจะวางใจ!

ทั้งจะเอาแผนที่นี้กลับฝูเจี้ยนด้วยตัวเอง ส่งไปให้สกุลเผิง

นี่เป็นเรื่องที่สกุลพวกเขาปรึกษากับสกุลหลี่ตั้งแต่ตอนแรกแล้ว

ตีเสือต้องใช้พี่น้อง ยกทัพตีศัตรูต้องอาศัยคนในครอบครัว ไม่ว่าสกุลหลินหรือสกุลหลี่ ยามนี้ต่างก็อ่อนแอเกินไป โอบกอดกันไว้ให้แน่น จึงจะสามารถก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาได้

ทั้งสองคนปรึกษาหารือว่าจะหาใครมาแกะภาพนี้

อวี้ถังที่รอข่าวคราวอยู่นาน ในที่สุดก็มีการตอบกลับ

คนที่อยู่เบื้องหลังสกุลหลู่เป็นหลินเจวี๋ยดังที่คาด

นางครุ่นคิดเกี่ยวกับภาพวาดนี้ไม่น้อย คิดว่าหากสกุลหลี่ไม่มีสกุลหลินช่วยเหลือ ย่อมไม่อาจทำการค้าทางทะเลได้ เรื่องนี้สกุลหลินต้องทราบอย่างแน่นอน และชาติก่อน ผู้ที่ไปมาหาสู่สนิทชิดเชื้อสกุลหลี่มากที่สุด ก็คือหลินเจวี๋ย

เขามาบ่อยยิ่งกว่าญาติที่อยู่ห่างออกไปพันลี้เสียอีก

อวี้ถังหาวิธีวาดภาพหลินเจวี๋ยออกมา นำไปให้อาลิ่วที่ขายสาลี่ในตรอกเสี่ยวเหมยดู ให้เขาจับตาดูประตูใหญ่ของสกุลหลี่ไว้ หากคนผู้นี้มาให้รายงานกับอาเสาทันที ทั้งเอาภาพนี้ให้สองพี่น้องสกุลชวีดู ให้พวกเขาจับตาดูคนที่เจรจาซื้อขายกับสกุลหลู่ ดูว่าภาพนั้นท้ายที่สุดตกไปอยู่ในมือหลินเจวี๋ยหรือไม่

ยังดีที่มีเรื่องพวกนั้นในชาติก่อน คนที่นางจับตาดู จึงตรงกับผลลัพธ์ที่นางต้องการพอดี

—————-

 

 แน่นอน แน่นอน!  อวี้เหวินลูบหัวลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เอ่ยหยอกเย้า  เพื่อให้รางวัลก่อนหน้านี้ที่เจ้าใจกว้าง เงินห้าสิบตำลึงก้อนนี้ก็ให้เป็นเงินส่วนตัวเจ้าแล้วกัน เจ้าอยากซื้ออะไรก็ซื้อไป! 

ก่อนหน้านี้เพราะงานหมั้นของอวี้หย่วน คนสกุลเฉินจึงเอาพวกผ้าอาภรณ์ที่สั่งสมไว้เมื่อก่อนไปให้คนสกุลหวังใช้เป็นสินสอดทองหมั้นให้อวี้หย่วน

นี่นับเป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่คาดคิดจริงๆ!

อวี้ถังยิ้มจนตาเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว รีบนำเงินก้อนนั้นซ่อนไว้ในอก จากนั้นก็กลับไปหาคนสกุลเฉินกับอวี้เหวิน

มีบางเรื่องที่อวี้เหวินและอวี้ถังตั้งใจปิดบังคนสกุลเฉิน คนสกุลเฉินย่อมไม่รู้ว่าเงินนี้เป็นเงินที่พ่อลูกสกุลอวี้รีดไถมาจากสกุลหลู่ ยังคิดไปว่าอวี้เหวินทำเรื่องดี จึงได้รับสินน้ำใจจากคนสกุลหลู่ เห็นเงินแล้วย่อมดีใจกับเรื่องที่ไม่คาดฝัน แต่เมื่อรู้ว่าอวี้เหวินให้เงินอวี้ถังห้าสิบตำลึงก็ยังคงอดตำหนิสามีไม่ได้  นางอายุยังน้อย จะใช้อะไรพวกเราจำกัดให้นางไม่ได้รึ? เหตุใดเจ้าจึงให้เงินนางมากมายขนาดนี้ในคราเดียว? 

อวี้เหวินเป็นคนใจกว้างมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น ยามนี้เขาไม่เห็นอวี้ถังเป็นคุณหนูที่ถูกเลี้ยงในห้องหับไม่ประสาเรื่องราวภายนอกอีกแล้ว ฟังจบก็รีบเอ่ย  นางก็โตแล้ว ในมือมีเงิน จะได้ไม่กังวลอันใด เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย 

คนสกุลเฉินเห็นอวี้ถังปกป้องเงินห้าสิบตำลึงไว้อย่างแน่นหนา คิดว่าแม้ตัวเองจะจู้จี้จุกจิกก็คงนำกลับคืนมาไม่ได้ จึงหลับหูหลับตาอย่างรู้แล้วรู้รอดไป แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ไม่เอ่ยถึงเรื่องเงินขึ้นมาอีก พูดเรื่องหม่าซิ่วเหนียงกับอวี้ถัง  นางเพิ่งรับหน้าที่ดูแลพิธีเซ่นไหว้ของสกุลสามี ฟังจากนายหญิงหม่าแล้ว คนสกุลสามีพอใจนางไม่น้อย นางก็อยากใช้โอกาสนี้ยืนหยัดอย่างมั่นคงในสกุล อยากเชิญพวกเจ้าไปเที่ยวเล่นที่เรือนนาง ยามที่เจ้าไปก็แต่งตัวทำผมเผ้าดีๆ อย่าได้ขายหน้าขายตาหม่าซิ่วเหนียงเชียว 

อวี้ถังตอบรับ เตรียมจะไปเที่ยวเล่นบ้านของหม่าซิ่วเหนียง

เมืองหลินอันกลับเกิดเรื่องใหญ่หนึ่งขึ้นเสียก่อน

บ้านสายตรงสกุลหลี่ต้องการแยกสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวน!

บ้านสายตรงสกุลหลี่ยังอยากเชิญเผยเยี่ยน และท่านข้าหลวงทังเป็นคนกลางดูแลจัดการเรื่องแยกสายสกุลด้วยกัน

ทุกคนได้ยินข่าวนี้ต่างพากันตกใจจนแทบไม่อาจหุบปากไว้ได้

เรื่องแยกสายสกุลนี้ เมืองหลินอันไม่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว

อาศัยจากคำพูดของอวี้เหวินคือ  ยังคงเป็นตอนที่ข้ายังเด็ก สมัยปู่ทวดของเจ้าเคยเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง 

คนสกุลเฉินรีบถาม  เช่นนั้นจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง? 

อวี้เหวินครุ่นคิดเล็กน้อย  ความจริงก็ไม่มีอะไร เพียงคนทั้งสองสกุลไม่เซ่นไหว้ด้วยกันเท่านั้น แต่สิ่งที่ข้าคิดไม่ตกคือ บ้านสายหลี่ตวนนี้กำลังเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดบ้านสายตรงสกุลหลี่จึงอยากแยกสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวนกัน 

สิ่งที่อวี้ถังกังวลกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นางเอ่ย  ท่านพ่อ เช่นนั้นนายท่านสามรับปากเป็นคนกลางหรือไม่? 

อวี้เหวินก็ไม่ทราบ ครุ่นคิดก่อนเอ่ย  คงจะรับปากกระมัง! อย่างไรสกุลหลี่ก็เป็นสกุลที่มีหน้ามีตาในเมืองหลินอัน 

อวี้ถังฟังพลางจิบชาไปด้วย

เผยเยี่ยนในชาติก่อนลึกลับกว่าตอนนี้มาก ไม่ออกหน้าทำเรื่องอะไรง่ายๆ ยามนี้เขาเพิ่งรับช่วงต่อเป็นผู้นำสกุลไม่ถึงหนึ่งปี ก็ออกหน้าคอยจัดการเรื่องความขัดแย้งถึงสองครั้งแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะชาตินี้ เขาเข้าสู่วงสังคมมากขึ้นแล้ว? หรือเพราะชาตินี้นางและเผยเยี่ยนมีโอกาสพบเจอกันบ่อยๆ ดังนั้นจึงเข้าใจเขามากขึ้น?

ยามที่นายท่านอู๋และอวี้เหวินพูดคุยกันเรื่องนี้ อวี้เหวินก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้  ถึงเวลานั้นนายท่านสามสกุลเผยจะเป็นคนกลางหรือไม่? 

 เห็นบอกว่านายท่านสามไม่อยู่หลินอัน  นายท่านอู๋เอ่ยเสียงเบา  บ้านสายตรงสกุลหลี่และหลี่ตวนไปเชิญอยู่หลายครั้งล้วนบอกว่าไม่อยู่จวน ก่อนหน้านี้พวกเรายังคิดว่านายท่านสามไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สองวันก่อนพอสืบข่าวค่อยรู้ว่า นายท่านสามไปเมืองหังโจว จนถึงวันนี้ก็ยังไม่กลับมา! ได้ยินอาจารย์เสิ่นของสำนักศึกษาประจำอำเภอพูดว่า ดูเหมือนมีผู้ตรวจการมาเมืองหังโจว ผู้ตรวจการคนนั้นเป็นสหายร่วมชั้นของนายท่านสาม ผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียงจึงเชิญนายท่านสามไปรับรองแขก 

อวี้เหวินฟังแล้วก็ส่ายศีรษะ  นายท่านสามสกุลเผยยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ไม่ใช่รึ! 

 กระนั้นก็ไม่อาจจมปลักกับอดีต ไม่สนใจปัจจุบัน  นายท่านอู๋ไม่คิดเช่นนั้น  รอจนเสร็จสิ้นการไว้ทุกข์ นายท่านใหญ่สกุลเผยไม่อยู่แล้ว คุณชายน้อยทั้งสองของบ้านใหญ่ก็อายุยังน้อย ไม่มีชื่อเสียงตำแหน่ง นายท่านสามสกุลเผยกลับบ้านมารับช่วงต่อกิจการของสกุล เช่นนั้นเมื่อนายท่านรองสกุลเผยกลับไปรับตำแหน่งต่อก็ย่อมสำคัญแล้ว แม้ว่านายท่านสามสกุลเผยจะไม่ทำเพื่อตัวเอง ก็ต้องวางแผนเพื่อสกุลเผย! 

อวี้ถังพยายามหวนนึก ดูเหมือนว่าหลังจากนายท่านรองสกุลเผยกลับไปรับตำแหน่งอีกครั้งก็ได้เป็นใหญ่เป็นโตในสายขุนนาง นางนั้นจำเรื่องหลักๆ ไม่ได้แล้ว แต่ยามที่สกุลหลี่เอ่ยถึงเรื่องนี้กลับค่อนข้างระมัดระวัง

อวี้เหวินเอ่ย  เช่นนั้นสกุลหลี่ต้องรอนายท่านสามกลับมาแล้วค่อยแยกสายสกุลอย่างนั้นรึ? 

นายท่านอู๋มองซ้ายแลขวา เห็นเพียงอวี้ถังนั่งจัดชาและของว่างอยู่ในห้อง ก็ไม่ได้ใส่ใจ กดเสียงต่ำกล่าว  เจ้ายังไม่รู้กระมัง? บ้านสายตรงสกุลหลี่และหลี่ตวนทะเลาะกันร้ายแรง ขัดแย้งเรื่องอะไรกลับไม่มีข้อมูลแพร่งพรายออกมา แต่เป็นไปได้ว่ามิพ้นเกี่ยวข้องกับเรื่องสกุลพวกเจ้า 

อวี้เหวินไม่เข้าใจ  เรื่องที่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเรา? 

 อืม!  นายท่านอู๋ผงกศีรษะ  เจ้าลองคิดดู เมื่อก่อนยามที่บ้านของหลี่ตวนยังไม่โดดเด่น บ้านสายตรงสกุลหลี่ก็ช่วยเหลือพวกเขาไม่น้อย รอจนบ้านของหลี่ตวนเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา นอกจากบ้านสายตรงนั้นได้งดเว้นเรื่องภาษีแล้ว ยังได้ประโยชน์อันใดอีก? แต่เมื่อบ้านของหลี่ตวนเกิดเรื่อง กลับลากบ้านสายตรงของพวกเขาลงน้ำไปด้วย ยามนี้บ้านสายตรงสกุลหลี่ก็มีซิ่วไฉคนหนึ่งไม่ใช่รึ? มีซิ่วไฉคนนี้ ก็สามารถงดเว้นภาษีอากรได้ตลอดไปแล้ว เมื่อมาคิดดูอย่างละเอียด วิธีการของบ้านหลี่ตวนใจดำโหดร้ายเช่นนี้ แทนที่จะถูกบ้านของหลี่ตวนทำให้เดือดร้อนไปด้วย ยังมิสู้ฉวยโอกาสนี้แยกสายสกุล ตัดขาดกับบ้านของหลี่ตวน ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง 

นี่เป็นสิ่งที่อวี้เหวินและอวี้ถังคาดไม่ถึง

สกุลพวกเขาและสกุลหลี่ขัดแย้งกัน คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเป็นผลลัพธ์เช่นนี้ออกมา

อวี้เหวินยังคงคิดว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่ทำเช่นนี้เสี่ยงเกินไป  แต่หลี่ซิ่วไฉ ปีนี้ก็ล่วงเลยสี่สิบปีเข้าไปแล้ว หากว่า… 

หากเขาตายไป สกุลหลี่ก็ต้องจ่ายภาษีแล้ว นี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ จะทำให้ทั้งสกุลหลี่เหน็ดเหนื่อยไปด้วยกันหมด ไม่แน่ว่า อาจจะทำให้เครือญาติสกุลหลี่เกิดความไม่พอใจ คิดเปลี่ยนบ้านสายตรงขึ้นมา

นายท่านอู๋เอ่ยอย่างเจ้าเล่ห์  นี่เจ้ายังดูไม่ออกหรอกรึ? เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมมีคนสนับสนุนบ้านสายตรงสกุลหลี่เป็นแน่! มิเช่นนั้นบ้านสายตรงสกุลหลี่จะใจกล้าขนาดนี้ได้อย่างไร! 

อวี้เหวินยังไม่เข้าใจ

นายท่านอู๋ส่ายศีรษะ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  เจ้านี่เข้ากับประโยคที่ว่าคนโง่ก็มีวาสนาของคนโง่[1]จริงๆ มองไม่ออกก็แล้วไปเถิด วันนี้ข้ามาเพราะมีอีกเรื่องอยากขอร้องเจ้า อยากให้เจ้าช่วยข้าตัดสินใจหน่อย 

อวี้เหวินก็ไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งวุ่นวาย คิดไม่ตกก็เอาเรื่องนี้โยนทิ้งไปข้างหลัง เอ่ยถามจุดประสงค์ที่มาของนายท่านอู๋

นายท่านอู๋เอ่ย  มีกิจการอย่างหนึ่ง อยากถามเจ้าว่าสนใจหรือไม่…ข้ามีหลานชายคนหนึ่ง ทำกิจการอยู่ที่หนิงปัว พวกเขามีกลุ่มเรือที่จะกำลังจะลงทะเล เขาอยากจะลงทุนกับเครื่องเคลือบลายคราม ไม่กี่วันก่อนข้าเพิ่งปรับปรุงโรงกลั่นน้ำมันพืชของสกุลไป ตัวข้าเองในมือไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น เจ้าอยากร่วมหุ้นกับข้าหรือไม่? 

แต่ไหนแต่ไรอวี้เหวินก็คาดไม่ถึงมาก่อนว่าจะได้ทำกิจการกับเพื่อนบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นเขาแทบจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับการค้าทางทะเลอย่างสิ้นเชิง

นายท่านอู๋ก็รู้เช่นกัน  เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบข้าตอนนี้ก็ได้ เจ้าไปปรึกษากับคนในบ้านก่อน หากคิดว่ามีความเสี่ยง ทั้งในบ้านมีเงินอยู่ จะให้ข้ายืมก็ได้ ข้าจะให้ดอกเบี้ยเจ้าร้อยละห้า 

อวี้เหวินไม่สามารถตัดสินใจในเวลาชั่วครู่ได้จริงๆ พูดคุยเป็นมารยาทกับนายท่านอู๋ไม่กี่คำ นายท่านอู๋ก็หยัดกายบอกลา

อวี้ถังกำลังครุ่นคิดเรื่องนี้

ชาติก่อน เพื่อจัดพิธีฝังศพให้บิดามารดา ท้ายที่สุดก็ขายเรือนหลังนี้ไป ออกเรือนที่บ้านของลุงใหญ่แทน แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพื่อนบ้านกับนายท่านอู๋ แต่เรื่องของสกุลนายท่านอู๋ นางยังคงได้ยินมาอยู่บ้าง…สกุลอู๋ไม่ได้ตกอับ ทั้งนายท่านอู๋ก็ไม่ได้ร่วมลงทุนกับการค้าทางทะเลเช่นกัน

ตกลงชาตินี้มีที่ใดผิดพลาดกันแน่ เรื่องราวจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นนี้?

หรือเพราะเงินสองร้อยตำลึงที่ได้มาจากสกุลหลู่?

ไม่มีประสบการณ์ในชาติก่อน อวี้ถังก็ยากจะตัดสินใจว่าเรื่องนี้ควรทำหรือไม่

นี่ทำให้นางท้อใจอยู่บ้าง

ยามที่อวี้เหวินถามความเห็นของนาง นางเอ่ยว่า  ให้คนไปสืบข่าวก่อนได้หรือไม่ว่านั่นเป็นกลุ่มเรืออะไร? 

หากนางมีภาพจำอยู่ ย่อมสามารถรู้ได้ว่ากลุ่มเรือนี้โชคดีหรือโชคร้าย

ขอเพียงกลุ่มเรือนี้สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย ก็ล้วนทำเงินก้อนใหญ่ได้ทั้งนั้น

ชาติก่อนการออกทะเลเที่ยวหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย มีเรือไหนบ้างที่กลับมาอย่างปลอดภัย นางไม่แน่ว่าจะรู้หมด แต่หากเกิดเรื่อง ล้วนมีข่าวแพร่กระจายออกมาอยู่บ้าง

อวี้เหวินมีความคิดของตัวเอง เขาเอ่ย  ข้าไม่ชอบกิจการเช่นนี้เอาเสียเลย ตามความเห็นข้า ข้าไม่คิดถึงคนอื่น คนอื่นก็อย่าคิดถึงข้า หากนายท่านอู๋ตัดสินใจจะทำกิจการนี้จริงๆ สกุลพวกเราให้เงินเขายืมก็เพียงพอแล้ว หากคืนไม่ไหว ก็คิดเสียว่าสกุลพวกเราไม่ได้ใช้เงินสองร้อยตำลึงนั้นของสกุลหลู่เสียเปล่า! 

อวี้ถังกระตุกยิ้ม

บิดานางก็นิสัยเช่นนี้แหละ

 มิสู้เรียกท่านพี่มาปรึกษาหารือ  อวี้ถังเชื่อมั่นการตัดสินใจของอวี้หย่วนมากกว่า  หลายวันมานี้ท่านพี่ช่วยลุงใหญ่ดูแลจัดการเรื่องในร้านค้า สิ่งที่ได้ยินได้เห็นย่อมมีมากกว่าพวกเรา 

อวี้เหวินคิดว่ามีเหตุผล เรียกอวี้หย่วนเข้ามาพูดคุย

อวี้หย่วนคัดค้านเรื่องนี้

เขาเอ่ย  ตั้งแต่ข้าไปหังโจวครั้งที่แล้ว ก็ให้ความสนใจกับกิจการที่เมืองหังโจวมาโดยตลอด ข้าได้ยินคนพูดว่า การค้าทางทะเลลึกลับซับซ้อน หากจะร่วมลงทุนจริงๆ พวกเราควรสืบเรื่องพวกนี้ให้กระจ่างชัดก่อน ทุกอาชีพต่างมีความแตกต่าง มิใช่ว่าเห็นคนทำเงินได้ พวกเราก็อิจฉาตาร้อน 

อวี้ถังเห็นด้วยกับความคิดของอวี้หย่วน

แต่อวี้เหวินเห็นแก่มิตรภาพ ยังคงให้นายท่านอู๋ยืมเงินหนึ่งร้อยตำลึง

หลังจากอวี้ถังทราบก็อดเหม่อลอยมองฟ้าไม่ได้

นางรู้สึกว่า สกุลพวกนางคงไม่อาจกลายเป็นคนมีเงินได้ตลอดทั้งชีวิต

ไม่นานนัก เรื่องแยกสายสกุลของบ้านสายตรงสกุลหลี่และบ้านหลี่ตวนก็มีผลลัพธ์ออกมา

บ้านสายตรงสกุลหลี่ใจร้อนอย่างคอยไม่ได้ ไม่รอให้หลี่อี้เขียนจดหมายกลับมาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ก็พยายามดึงดันแย่งสายสกุลกับบ้านของหลี่ตวน

ทุกคนต่างคิดว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่รีบร้อนเกินไป แต่บ้านสายตรงสกุลหลี่ประกาศออกมาแล้วว่า บ้านหลี่ตวนนี้ฝ่าฝืนคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ ทั้งไม่ยินยอมอยู่ใต้อำนาจบ้านสายตรง แทนที่จะให้ทุกคนไม่สบายใจอยู่อย่างนี้ มิสู้แยกสายสกุล ต่างคนต่างไปตามทางของตัวเอง

เรื่องที่สกุลหลี่ทำการสู่ขอไม่สำเร็จจึงลักพาตัวอวี้ถัง ทั้งบ่าวรับใช้ยังตัดสินใจโดยพลการสั่งพวกลี้ภัยไปสังหารคนจึงถูกคนในเมืองหลินอันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมาอีกครั้ง

เล่าลือกันไปร้อยแปดพันเก้า

แต่เรื่องที่มักเอ่ยถึง ยังคงเป็นเรื่องที่รู้สึกว่าฮูหยินหลี่กระทำการโหดร้ายเกินไป ทั้งการอบรมสั่งสอนของสกุลหลี่ไม่ถูกต้องนัก

หลี่ตวนโมโหจนเลือดแทบขึ้นหน้า

คนสกุลหลินบันดาลโทสะอยู่ในเรือน  นี่ล้วนเป็นเรื่องที่คนพวกนั้นพูดซี้ซั้ว? อาตวน เรื่องนี้ไม่อาจให้จบไปเช่นนี้ได้! เดิมทีพวกเราก็คำนึงถึงบ้านสายตรงมาโดยตลอด ใครจะรู้ว่าพอพวกเรายอมอ่อนข้อให้ พวกเขาจะไม่รับน้ำใจ แยกสายสกุลก็ดี พวกเจ้าสองพี่น้องก็ร่ำเรียนตำราดีๆ ไม่กี่ปีย่อมมีอนาคตสว่างไสว ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นสกุลที่สองของสกุลเผย 

มีเรื่องง่ายดายขนาดนั้นที่ไหนกัน?

หลี่ตวนไม่อาจระบายความทุกข์ต่อหน้ามารดา ยามที่กำลังยิ้มรับปากอย่างขื่นขม ก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มเอ่ยอย่างเย้าแหย่ขึ้นมา  ท่านอากำลังโมโหเรื่องอะไรอยู่รึ? ดีที่น้องชายกตัญญู ทุกเรื่องล้วนว่าตามท่าน หากเป็นข้า คงโต้เถียงกับท่านแม่กลับไปแล้ว 

————————-

 

เพียงแต่หลี่จวิ้นรู้ว่า คำพูดพวกนี้ เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดให้อวี้ถังฟังอีกแล้ว

 ข้าเข้าใจแล้ว!  เขาพยักหน้าอย่างเรียบนิ่ง ออกจากเรือนสกุลอวี้ไป

ด้านอวี้ถังค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมา

ชาติก่อน หลี่จวิ้นก็ตกม้าในช่วงเวลานี้ ยามนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย เขาคงไม่มีใจไปขี่ม้าเที่ยวเล่นกับเพื่อนฝูง ก็นับว่าช่วยชีวิตของเขาไปในตัวแล้วกัน

แต่ว่า อวี้ถังยังคงกังวลว่าเรื่องของชาติก่อนจะเกิดขึ้นอยู่บ้าง นางจ้างอาหลิ่วที่ขายสาลี่ช่วยจับตาดูหลี่จวิ้น หากหลี่จวิ้นขี่ม้าออกจากประตู ก็ให้ขัดขวางหลี่จวิ้นทันที พูดว่านางอยากพบเขา

ส่วนเป็นเรื่องอะไร อวี้ถังยังหาข้ออ้างไม่ได้

ผลลัพธ์เมื่อถึงวันที่เกิดเรื่อง หลี่จวิ้นยังคงออกจากประตู…พวกฟู่เสี่ยวหวั่นเห็นว่าหลายวันมานี้เขาพบเจอแต่เรื่องไม่ดีติดต่อกัน จึงชวนเขาไปขี่ม้าเที่ยวเล่นข้างนอกด้วยกัน

หลี่จวิ้นไม่มีกะจิตกะใจ

เมื่อวาน มารดาของเขาได้รับจดหมายตอบกลับจากบิดา ให้คนสกุลหลินเลือกวันส่งเขาไปรื่อเจ้า บิดาของเขาจะถ่ายทอดวิชาความรู้ให้เขาด้วยตัวเอง

หากเป็นเมื่อก่อนฟู่เสี่ยวหวั่นชวนเขาออกจากบ้าน แม้จะอารมณ์ไม่ดีก็จะข่มกลั้นเอาไว้ ออกไปเที่ยวกับเขา แต่ยามนี้ เขากลับอยากพูดคุยกับพวกฟู่เสี่ยวหวั่นเสียหน่อยมากกว่า

เขาจะไปอย่างกะทันหันเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาหลินอันอีก

พวกเขาไม่ได้ขี่ม้าเที่ยวเล่น แต่ไปบ้านของเสิ่นฟาง ดื่มชาฟังดนตรีคุยเล่นกัน จวบจนดวงจันทร์ทอแสงเหนือกิ่งหลิวจึงกลับจวน

ด้านอวี้ถังทราบข่าวนี้ ใจที่แขวนกลางอากาศจึงค่อยสงบลงมาได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องที่นางสามารถทำได้ก็ทำไปหมดแล้ว นับว่าได้ปกป้องชีวิตของหลี่จวิ้นเอาไว้ นับแต่นี้ต่อไป นางและสกุลหลี่ก็ไม่ข้องเกี่ยวอันใดกันแล้ว ภายภาคหน้าหากมีแค้นย่อมชำระด้วยแค้น เกลียดชังมาก็เกลียดชังตอบ ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว

วันที่สี่เดือนสิบ หลี่จวิ้นก็เดินทางออกจากเมืองหลินอัน

อวี้ถังนั้นไม่รู้เรื่องนี้

นางตามผู้ใหญ่ในสกุลและพี่ชายไปเรือนเก่าเซ่นไหว้บรรพบุรุษ

เพียงเมื่อพวกเขาเพิ่งกลับมาถึงเรือนเก่าสกุลอวี้ ปู่ห้าก็เดินกะโผลกกะเผลกเข้ามา กล่าวว่ามีคนต้องการพบพวกเขา ถามพวกเขาว่าอยากพบหรือไม่

หลังจากเกิดเรื่องอาเจ็ด ถึงแม้อวี้เหวินจะรับปากว่าจะเลี้ยงดูปู่ห้ายามบั้นปลายชีวิต แต่ปู่ห้ากลับคล้ายถูกดึงเอ็นออกจากร่างชั่วข้ามคืน ทำเรื่องอะไรก็ล้วนไม่มีเรี่ยวแรง ทุกวันเอาแต่นั่งอยู่หน้าประตูสูบยาเส้นที่ตัวเองปลูก ไม่กี่วันก่อนยังเท้าเคล็ด อวี้เหวินเชิญหมอมารักษาเขา เขาก็ไม่ยอมกินยาดีๆ ทำให้ยืดเยื้ออยู่อย่างนี้ไม่จบไม่สิ้น ใครเตือนก็ไม่ยอมฟัง

อวี้เหวินเห็นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เอ่ยกับปู่ห้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน  เท้าท่านไม่ดี อย่าวิ่งวุ่นไปทั่วเลย เป็นใครที่อยากพบข้า? ข้าไปดูด้วยตัวเองก็เพียงพอแล้ว 

ปู่ห้านั้นรู้สึกผิดต่ออวี้เหวินและอวี้ถัง ได้ฟังก็ยิ้มอย่างขมขื่นอยู่บ้าง  เจ้าไม่ต้องสนใจข้าหรอก เท้าข้า ข้ารู้ดีที่สุด ผู้ที่อยากพบเจ้าคือคนบ้านสายตรงสกุลหลู่ คนสกุลหลู่ที่หลังจากเขาตาย เจ้าก็จัดงานศพอย่างยิ่งใหญ่ให้ผู้นั้น  พูดมาถึงตรงนี้ ปู่ห้าก็อดพูดต่อไม่ได้  ข้าเห็นพวกเขายังพาเด็กคนหนึ่งมาด้วย ข้ามาใคร่ครวญดู หรือบ้านสายตรงสกุลหลู่อยากจะให้เด็กคนนี้เป็นลูกบุตรธรรมของหลู่ซิ่น ดังนั้นจึงมาหาเจ้าเพื่อพูดเรื่องนี้ 

นี่เดิมทีก็ไม่ข้องเกี่ยวกับสกุลอวี้ แต่สกุลอวี้นั้นช่วยจัดการเรื่องงานศพของหลู่ซิ่น หากบ้านสายตรงสกุลหลู่อยากมอบทายาทให้รับช่วงต่อหลู่ซิ่น ตามหลักแล้วควรจะมาทักทายกับสกุลอวี้ ยอมรับน้ำใจนี้ของสกุลอวี้จึงจะถูก

อวี้เหวินไม่ได้นำมาใส่ใจ กำชับปู่ห้าอย่างเป็นห่วงไม่กี่คำ จึงค่อยไปพบคนของสกุลหลู่

ยังคงเป็นดังที่ปู่ห้าคาดไว้จริงๆ นี่ไม่ใช่วันที่หนึ่งเดือนสิบ ยามที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษหนึ่งปีหนึ่งครั้งแล้วหรอกหรือ? บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงปรึกษาหารือจะมอบทายาทให้หลู่ซิ่นเพื่อคอยจุดธูปเทียนให้เขา เอ่ยกับอวี้เหวินว่า  เมื่อก่อนโกรธเขาที่ไม่เห็นบ้านสายตรงพวกเราอยู่ในสายตา แต่คนตายก็เหมือนตะเกียงที่มอดดับ บางเรื่องปล่อยไปได้ก็ต้องปล่อยไป ภายหน้าลูกหลานจะได้ไม่เอ่ยขึ้นมา คิดว่าข้านั้นใจแคบ เขาเป็นลูกหลานของสกุลหลู่คนหนึ่ง ก็ไม่อาจให้พวกเจ้าสกุลอวี้ช่วยจุดธูปเซ่นไหว้ได้ ผู้อาวุโสของพวกเราไม่กี่คนได้ปรึกษากัน จะให้เด็กคนนี้เป็นลูกของหลู่ซิ่น แต่ว่ายังคงให้เด็กใช้ชีวิตกับบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเหมือนเดิม ยามที่ฉลองเทศกาลหรือข้ามปีก็ให้จุดธูปเซ่นไหว้หลู่ซิ่นก็เพียงพอแล้ว 

อวี้เหวินคิดว่าเป็นเช่นนี้ก็ดี

ความสัมพันธ์ของเขาและหลู่ซิ่นเป็นเรื่องของรุ่นเขา ไม่อาจให้พวกลูกหลานรุ่นหลังไปเซ่นไหว้หลู่ซิ่นทุกปีได้หรอกกระมัง? ยิ่งไปกว่านั้นอวี้ถังก็ไม่ชอบหลู่ซิ่น

 รบกวนท่านแล้ว!  อวี้เหวินเอ่ยคำขอบคุณกับบ้านสายตรงสกุลหลู่แทนหลู่ซิ่น

ยามนี้บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงค่อยเอ่ยถึงจุดประสงค์แท้จริงที่มา  เช่นนั้นท่านว่า หลู่ซิ่นก็ไม่ได้เหลือของอันใดไว้ เรือนเก่าผุพังนั้น เขาก็ขายให้คนอื่นแล้ว คงไม่อาจถึงกับไม่มีอะไรให้เด็กคนนี้ได้นึกถึงเลยกระมัง? ข้าได้ยินว่ายามที่ท่านกลับมาจากหังโจว ยังนำของที่หลู่ซิ่นใช้ยามที่มีชีวิตกลับมาด้วย จะสามารถ สามารถให้เด็กคนนี้ได้หรือไม่ พูดถึงแล้ว ก็นับว่าเป็นรับรองในการมอบเด็กคนนี้เป็นลูกของหลู่ซิ่น… 

อวี้เหวินชะงักไป

ก่อนหน้านี้เขาและอวี้ถังเคยคาดเดามามากมาย

เคยนึกว่าสกุลหลี่จะส่งคนมาขโมยอีกครั้ง คิดว่าจะมีคนมาชกชิง รอหลังจากสกุลหลี่และสกุลอวี้ทะเลาะกันครั้งใหญ่ เขากระทั่งเคยคิดว่าสกุลหลี่จะหลบไปเพราะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่าย นับจากนั้นก็จะไม่วางแผนกับสกุลอวี้ของพวกเขาอีก

สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงคือ คนของสกุลหลู่จะมาขอสิ่งที่เรียกว่าของต่างหน้าของหลู่ซิ่นถึงหน้าประตูในยามนี้

อวี้เหวินลังเลไปชั่วขณะ

เดิมทีของต่างหน้านี้เตรียมจะล่อให้สกุลหลี่ติดกับ หากมอบให้สกุลหลู่ สกุลหลู่จะถูกดึงติดร่างแหในเรื่องนี้ไปด้วยหรือเปล่า

แผนที่เดินเรือมีผลประโยชน์มหาศาล ใครก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังสกุลหลี่ยังมีคนอื่นหรือไม่? ไม่รู้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังตกลงมีความเป็นมาอย่างไร? กระทำการในรูปแบบไหน?

คนบ้านสายตรงสกุลหลู่ปรากฏสีหน้าละโมบขึ้นมาแวบหนึ่ง

ของต่างหน้าของหลู่ซิ่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่อยากได้ แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน เขาบังเอิญทราบมาว่าภาพวาดหนึ่งที่หลู่ซิ่นหลงเหลือไว้เป็นผลงานแท้ของนักวาดในราชวงศ์ก่อน ในท้องตลาดอย่างน้อยที่สุดก็สามารถขายได้สามร้อยถึงห้าร้อยตำลึง นี่ก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้แล้ว

เช่นนั้นอวี้เหวินฝังศพหลู่ซิ่น อย่างมากที่สุดก็เสียเงินยี่สิบกว่าตำลึงเท่านั้น ถือสิทธิ์อันใดเอาภาพวาดนี้ไปเปล่าๆ

ตามหลักแล้วภาพนี้ควรตกอยู่ในมือของสกุลหลู่พวกเขาสิ

เมื่อคิดเช่นนี้ บ้านสายตรงสกุลหลู่จึงอดร้อนใจไม่ได้  นายท่านอวี้ ข้าก็รู้ว่าท่านจัดงานศพยิ่งใหญ่ให้หลู่ซิ่น ตามหลักแล้ว พวกเราไม่ควรเอาของกลับไปอีก แต่ข้าเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลู่ ไม่อาจปล่อยปละละเลยทายาทของหลู่ซิ่นไปได้เช่นนี้ ข้าก็มีชื่อเสียงฐานะเช่นกัน เป็นเรื่องที่อับจนหนทาง อย่างไรขอนายท่านอวี้โปรดทำเรื่องดีให้ถึงที่สุดด้วย คืนของต่างหน้าของหลู่ซิ่นให้กับสกุลหลู่พวกเรา พวกเราจะซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก! 

พูดจบ ก็หยัดกายคำนับให้กับอวี้เหวิน

อวี้เหวินกลับอยากคืนของให้สกุลหลู่ แต่เขาลังเลว่าจะทำอย่างไรดี จึงตั้งใจใช้คำพูดยืดเยื้อบ้านสายตรงสกุลหลู่  ของที่เขาทิ้งไว้ก็มีไม่มาก ข้ายังไม่ทันได้จัดการดีๆ เอาอย่างนี้ รอผ่านวันเซ่นไหว้ไม่กี่วันนี้ไป ท่านค่อยมาที่บ้านอีกครั้ง พวกเรามาปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้! 

บ้านสายตรงสกุลหลู่กลัวว่าอวี้เหวินจะเปลี่ยนใจภายหลัง แต่ก็ไม่อาจเร่งรัดเกินไปได้ กลัวว่าจะทำให้อวี้เหวินเกิดความสงสัย รีบเอ่ย  เช่นนั้นก็ได้! พวกท่านกลับเข้าเมืองหลินอันเมื่อใด? ถึงเวลานั้นข้าจะพาเด็กคนนี้ไปขอพบท่าน 

อวี้เหวินตอบ  วันมะรืนพวกเราจึงจะกลับไป ไม่อย่างนั้น นัดเจอห้าวันให้หลังเถิด! 

บ้านสายตรงสกุลหลู่ยังคงต่อรอง อวี้เหวินพูดอยู่ค่อนวัน จบที่นัดไปเอาของที่สกุลอวี้อีกสามวัน

อวี้เหวินพยักหน้าอย่างจนใจ ส่งคนสกุลหลู่จากไปก็แอบคนสกุลเฉินดึงอวี้ถังไปพูดคุยใต้ต้นเซียงจางหน้าเรือน

เขาเล่าเรื่องเมื่อครู่ให้อวี้ถังฟังอย่างไม่ตกหล่น  เจ้าว่า พวกเราควรทำอย่างไรดี? 

โดยที่ไม่ทันรู้ตัว เขาก็เห็นลูกสาวเป็นคนที่พึ่งพาได้ไปเสียแล้ว

เรื่องของต่างหน้าของหลู่ซิ่น พวกเขาแพร่ข่าวออกไปตั้งนานแล้ว แต่ไม่ว่าคนสกุลหลู่หรือคนสกุลหลี่ ยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด กลับมายามที่เพิ่งสิ้นสุดการโต้แย้งกับสกุลหลี่ สกุลหลู่ก็นึกถึงเรื่องมอบบุตรบุญธรรม ทั้งยังมาเอาของต่างหน้า หากกล่าวว่าเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่มีเงื่อนงำ อวี้ถังคนหนึ่งแล้วที่ไม่เชื่อ

แต่ว่า ความคิดของนางได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมแล้ว

เมื่อก่อน นางเพียงอยากทิ้งเผือกร้อนนี้ออกไปเท่านั้น ยามนี้ นางกลับต้องการพยายามสุดความสามารถเพื่อจะทำให้คนที่อยู่เบื้องหลังแตะของร้อนจนมือพอง จึงจะทำให้ความโกรธแค้นในใจนางสงบลงได้

 เช่นนั้นก็มอบให้พวกเขา  อวี้ถังเอ่ยอย่างเยือกเย็น  แต่ว่า พวกเราจัดงานศพให้ลุงหลู่ ก็ใช้เงินไปไม่น้อย สกุลพวกเขาคิดจะเอาของกลับไป ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดเชยค่าเสียหายให้สกุลพวกเราหน่อยกระมัง? 

 นี่ไม่ค่อยดีกระมัง!  อวี้เหวินเอ่ยคัดค้านทันที  ไม่แน่ว่าพวกเขาก็ถูกคนใช้ประโยชน์เช่นกัน 

 หากพวกเขาไม่คิดละโมบโลภมาก จะถูกคนหลอกใช้ได้รึ?  อวี้ถังไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด เอ่ยอย่างดูแคลน  แม้ว่านี่จะเป็นหลุมใหญ่ ก็เป็นพวกเขาที่ต้องการกระโดดเข้ามาเอง หรือต้องโทษพวกเราที่ไม่ได้ทัดทานพวกเขา? แม้จะเป็นเด็กสามขวบก็ยังรู้ว่าไม่มีของดีตกลงมาจากฟ้าได้ เขาเป็นเพียงบ้านสายตรง คาดไม่ถึงว่าจะเชื่อในเรื่องเช่นนี้ หรือพวกเรายังต้องจับมือเขาสอนเรื่องไม่ควรโลภในทรัพย์สินที่ได้มาอย่างไม่ขาวสะอาด? 

อวี้เหวินถูกลูกสาวโน้มน้าวสำเร็จ  เช่นนั้นยามที่พวกเขามาหา พวกเราควรพูดอย่างไร? บอกเขาว่าต้องการเงินไปตรงๆ? จำนวนเท่าไรจึงจะเหมาะสม? 

อวี้ถังเอ่ย  คนเฉกเช่นพวกเขา ยิ่งท่านต้องการเงินจากพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาก็ยิ่งไม่อาจสงสัย ตอนแรกไม่ใช่ว่าลุงหลู่ขายภาพนั้นให้ท่านสองร้อยตำลึงหรอกรึ? พวกเราก็ไม่ต้องการมาก แค่สองร้อยตำลึงก็เพียงพอแล้ว 

 มากขนาดนี้เชียว!  อวี้เหวินตกใจไม่น้อย

อวี้ถังกลับมีแผนในใจแล้ว  ท่านฟังข้า เรื่องนี้ย่อมไม่ผิดแน่ เพื่อภาพวาดหนึ่งแล้ว พวกเขาสามารถทำเรื่องฆ่าคน บีบให้แต่งงานได้ เรื่องที่สามารถใช้เงินแก้ไขปัญหา นั่นก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก 

อวี้เหวินตอบรับอย่างไม่สบายใจอยู่บ้าง

อวี้ถังขอให้พี่น้องสกุลชวีช่วยสืบเรื่อง

เป็นดังคาด มีคนเป่าหูบ้านสายตรงสกุลหลู่ว่าของที่หลู่ซิ่นทิ้งไว้มีภาพวาดที่พอขายได้สี่ถึงห้าร้อยตำลึงอยู่

อวี้ถังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน

รอจนยามที่บ้านสายตรงสกุลหลู่พาทายาทของหลู่ซิ่นเข้ามาเยี่ยมเยียน อวี้เหวินก็ไม่ได้อ้อมค้อม เอ่ยถึงเงินสองร้อยตำลึง ทั้งยังว่าตามที่อวี้ถังบอกอย่างไม่รู้สึกกระดากอาย  เดิมทีภาพวาดนี้ขายให้ข้าสองร้อยตำลึง ส่วนเรื่องค่าฝังศพเสียเท่าไรนั้น ข้าและเขาเป็นสหายกัน ถือเสียว่าข้าช่วยเขาแล้วกัน 

บ้านสายตรงสกุลหลู่ตกตะลึง  ไฉนจึงมากมายขนาดนี้? 

อวี้เหวินแสร้งดื่มด่ำไปกับชาแทน

คนบ้านสายตรงสกุลหลู่กัดฟันแน่น

หากภาพนั้นขายได้ห้าร้อยตำลึง ให้สกุลอวี้สองร้อยตำลึง สกุลพวกเขาก็ยังสามารถได้กำไรมากกว่าครึ่ง

คนผู้นั้นยังรอเอาภาพอยู่!

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องราวยืดเยื้อ บ้านสายตรงสกุลหลู่ตอบรับอย่างหลั่งเลือดในใจ กลับไปหาคนที่เป่าหูพวกเขาให้มาเอาของต่างหน้า ยืมเงินสองร้อยตำลึงให้สกุลอวี้ เขียนหนังสือซื้อขายเรียบร้อย ก่อนจะนำ ‘ของต่างหน้า’ ของหลู่ซิ่นกลับไป

อวี้เหวินมองเงินสี่ก้อนใหญ่ที่วาววับอยู่บนโต๊ะกลมห้องโถง รู้สึกราวกับตัวเองฝันไป ถามอวี้ถัง  พวกเราหาเงินสองร้อยตำลึงได้ง่ายขนาดนี้เชียว 

อวี้ถังมองเงินสี่ก้อนนั้นก็หัวเราะขึ้นมา  ประจวบเหมาะให้ท่านพี่ใช้แต่งงานพี่สะใภ้พอดี  ทั้งยังหยอกล้อกับบิดา  สินเดิมที่ท่านแม่เตรียมไว้ให้ข้าพวกนั้นก็คงเก็บไว้ได้แล้วกระมัง? 

—————-

 

เพียงแค่คนสกุลหลินคิดว่าบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนที่แบกรับความหวังทั้งหมดของนางไว้ต้องไปใส่ชุดกระสอบเพื่ออุทิศให้แก่ผู้อื่น นางก็รู้สึกเหมือนถูกมีดปักเข้าที่กลางอก ใครจะพูดอย่างไรก็ฟังไม่เข้าหูทั้งสิ้น

นางตบมือลงข้างเตียง กรีดร้องใส่หลี่จวิ้นราวกับหญิงร้ายกาจที่ถูกหลอกเอาเงินไป  ข้าไม่ดื่ม เจ้าไปเรียกพี่ชายเจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้! บอกไปว่าข้าป่วยใกล้ตายแล้ว ให้เขามาดูใจข้าเดี๋ยวนี้! 

จะทำเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า?

สกุลเผยเป็นผู้ตัดสิน บ้านสายตรงสกุลหลี่เป็นผู้รับปาก คนทั่วทั้งเมืองหลินอันกำลังจับตาดูอยู่ แล้วจะให้พี่ชายของเขาต้องผิดคำพูดได้อย่างไร!

หลี่จวิ้นคับข้องใจแต่พูดไม่ออก ได้แต่กล่อมมารดาเสียงอ่อนว่า  ท่านแม่ ท่านดื่มยาให้หมดก่อน พอท่านดื่มยาแล้ว ข้าไปตามท่านพี่มาให้ขอรับ! 

 เจ้าต้องไปตอนนี้เลย!  คนสกุลหลินเคยถูกหลอกมาก่อน นางไม่เชื่อใจหลี่จวิ้นอีก  เจ้าไปตามพี่ชายเจ้ากลับมาแล้วข้าค่อยดื่ม 

สองคนต่างยื้อยุดกันอยู่แบบนั้น

คนสกุลหลินด่าทอว่าหลี่จวิ้นอกตัญญู สั่งให้หลี่จวิ้นไปเปลี่ยนตัวกับหลี่ตวน

หลี่จวิ้นก้มหน้าต่ำ ทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน

ที่เรือนหลักของสกุลหลี่ จะได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของคนสกุลหลินดังลอยมาเป็นระยะ

อวี้ถังยืนอยู่หน้าโต๊ะใหญ่ในห้องหนังสือ พิจารณาภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ที่กางอยู่บนโต๊ะอย่างละเอียด

เดิมที นางคิดจะให้สกุลอวี้แยกตัวออกจากเรื่องนี้ ถึงได้เตรียมมอบภาพวาดให้สกุลหลี่ไป

ทว่าตอนนี้ นางไม่ยินยอมแล้ว

สกุลหลี่ฆ่าเว่ยเสี่ยวซาน แต่คิดจะรอดตัวไปง่ายๆ โดยไม่สูญเสียอะไร นั่นไม่มีทางเป็นไปได้หรอก

อวี้ถังแสยะยิ้ม

ความแค้นทั้งสองชาติล้วนผูกโยงจนมาถึงวินาทีนี้แล้ว

หากว่านางไม่อาจล้างแค้นคืนได้ ยังจะเป็นคนต่อได้อีกหรือ!

สกุลหลี่พยายามสุดกำลัง จ่ายค่าตอบแทนด้วยราคาที่สูงลิ่ว คิดหาหนทางไม่หยุดเพื่อเอาภาพผืนนี้กลับไปให้ได้ นางคิดจะแก้แค้นสกุลหลี่ แต่อย่างแรกต้องไม่ดึงสกุลอวี้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย วิธีที่ดีที่สุดก็เหมือนก่อนหน้านี้คือ ‘มอบ’ ภาพผืนนี้ให้สกุลหลี่เสีย แต่เนื้อหาด้านในของภาพจะยังเหมือนเดิมหรือไม่ คงไม่มีใครกล้ารับประกัน

ทว่าตอนนี้มีจุดที่ยากเย็นอยู่

ตอนที่จะคืนภาพนี้สู่สภาพเดิม นางยังไม่ทันคิดเรื่องนี้ ตอนนี้หากต้องการแก้ไขเนื้อหาภายในภาพ ก็ต้องนำภาพไปเข้าม้วนใหม่อีกครั้ง จิตรกรที่มีฝีมือด้านนี้มีไม่มาก อีกอย่างเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความลับบางอย่าง อาจทำให้ผู้อื่นพลอยลำบากไปด้วย อาจารย์เฉียนก็ไปจากเมืองหังโจวแล้ว วิธีที่ง่ายดายที่สุดกลับเปลี่ยนเป็นยากเย็นที่สุดในทันที

นางต้องคิดหาทางอื่น!

อวี้ถังขังตัวเองในห้องหนังสืออยู่หลายวัน กระทั่งนายหญิงเว่ยมาเป็นแขกที่เรือนเพื่อกล่าวขอบคุณอวี้ถังเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน นางถึงได้วางเรื่องนี้ลงก่อนชั่วคราว แล้วไปสนทนาเป็นเพื่อนนายหญิงเว่ย

 เรื่องของเสี่ยวซาน ข้าได้ยินจากนายท่านเรือนข้าและเสี่ยวชวนแล้ว  นายหญิงเว่ยจับมืออวี้ถังไว้ไม่ยอมปล่อย สีหน้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง  ถ้าไม่ได้เจ้า เสี่ยวซานของพวกเราคงจากไปอย่างไม่กระจ่างเช่นนี้ ข้าให้กำเนิดบุตรชายออกมาทั้งหมด จึงอยากมีบุตรสาวเป็นที่สุด หากว่าเจ้าไม่รังเกีจ ก็นับข้าเป็นผู้อาวุโสในเรือนแวะเวียนไปเยี่ยมบ่อยๆ เวลาว่างก็ออกนอกเมืองไปหาข้าได้  พูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ร่วงลงมา

อวี้ถังเดิมก็รู้สึกผิดต่อเว่ยเสี่ยวซานอยู่แล้ว ได้ยินคำนี้ก็หันไปมองคนสกุลเฉินทันที

ทุกครั้งที่คนสกุลเฉินนึกถึงเรื่องนี้ก็มักคิดว่านี่เป็นชะตาที่สวรรค์กำหนด สองครอบครัวเดินสวนกันไปมา สักวันก็คงร่วมทางกันได้ บุตรสาวเหมือนกับสมบัติล้ำค่าในมือ นางไม่ยินดีให้บุตรสาวเรียกใครว่า ‘พ่อบุญธรรม’ หรือ ‘แม่บุญธรรม’ ทั้งนั้น แต่นางกลับต้านทานน้ำตาของนายหญิงเว่ยไม่ไหว ดวงตาจึงรื้นชื้น แล้วผงกศีรษะให้บุตรสาวเบาๆ  นายหญิงเว่ย คำนี้ข้าอยากจะพูดกับท่านนานแล้ว เพียงแต่หลายวันนี้งานล้นมือ จึงไม่มีเวลาได้สนใจ หากว่าท่านไม่รังเกียจ พวกเราก็กราบไหว้กันเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ให้บุตรสาวของข้ารับท่านเป็นท่านน้า 

นายหญิงเว่ยเดิมก็ไม่คาดหวังจะให้อวี้ถังยอมรับตนเป็นญาติ พอคนสกุลเฉินพูดออกมาแบบนี้ นางมีหรือจะไม่ตอบตกลง

ผู้ใหญ่สองคนกราบไหว้กันเป็นพี่น้องบุญธรรมในทันที อวี้ถังเปลี่ยนคำเรียกนายหญิงเว่ยเป็น ‘ท่านน้า’ สองสกุลจัดงานเลี้ยงนับญาติกันอย่างเป็นทางการ นายหญิงเว่ยให้เงินอวี้ถังเป็นค่าแก้ชื่อเรียกใหม่ คนสกุลเฉินก็มอบเงินให้เด็กๆ สกุลเว่ยเป็นค่าแก้ชื่อเรียกใหม่เช่นกัน สองสกุลครึกครื้นอยู่หนึ่งวันเต็มๆ

มีเพียงนายท่านเว่ยที่แอบบ่นกับนายหญิงเว่ยเป็นส่วนตัวว่า  สาบานเป็นพี่น้องอะไรกัน? รออีกไม่กี่ปี ไม่แน่อาจให้อาถังแต่งเข้าเรือนเราก็เป็นได้! 

นายหญิงเว่ยร้อง ‘เหอะ’ ใส่นายท่านเว่ยเสียงหนึ่ง  ท่านคิดอะไรอยู่นึกว่าข้าไม่รู้อย่างนั้นสิ? เสี่ยวชวนอายุยังน้อย หากว่าสองคนไม่ชอบพอกันเล่า? เป็นญาติกันดีๆ ไม่ชอบกลัวจะเปลี่ยนเป็นคู่แค้นเสีย เรื่องนี้เจ้าเชื่อข้าเถอะไม่มีผิดแน่ 

นายท่านเว่ยไม่พูดต่อ แต่ปรึกษานายหญิงเว่ยเรื่องที่หลี่จวิ้นไปขอโทษสกุลอวี้ว่า  บอกว่าพรุ่งนี้จะไปถึงหน้าประตูใหญ่ พวกเราต้องไปเป็นกำลังเสริมให้สกุลอวี้หรือไม่ 

สกุลเขามีบุตรชายมากอยู่แล้ว

 ต้องไปแน่!  นายหญิงเว่ยตอบโดยไม่ต้องคิด  เหตุใดตอนแรกข้าถึงอยากนับญาติกับสกุลอวี้? ก็เพราะเห็นนายท่านอวี้เป็นคนซื่อตรง พวกเราไม่อาจเอาเปรียบพวกเขา หากสกุลหลี่ไปขอโทษสกุลอวี้ที่หน้าประตู แล้วเกิดพูดอะไรไม่น่าฟังขึ้นมา พวกเราก็ไปยืนกันเอาไว้ ผู้อยู่ในเหตุการณ์ย่อมเลี่ยงข่าวลือได้ อย่าให้อาถังต้องทำเรื่องดีๆ แต่กลายเป็นว่าเอาตัวเองเข้ามาพัวพันแทนเลย 

เพราะงานแต่งไม่สำเร็จจึงถูกลักพาตัว เรื่องนี้ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่น่าฟังทั้งนั้น นายหญิงเว่ยกลัวว่าถึงตอนนั้นสกุลหลี่จะเล่นลูกไม้ มิใช่ว่านางตีตนไปก่อนไข้คิดฟุ้งซ่านไปเอง

นายท่านเว่ยคิดว่านายหญิงเว่ยพูดจามีเหตุผล

วันถัดมานายท่านเว่ยก็พาเด็กๆ ทั้งบ้านไปที่เรือนสกุลอวี้

ตอนนี้หลี่ตวนได้ทำกุศลให้เว่ยเสี่ยวซานจบแล้ว ในเมืองหลินอันก็เล่าลือไปต่างๆ นานา แต่ที่พูดกันมากที่สุด ก็คือไม่เสียแรงที่หลี่ตวนเป็นบุตรชายที่โดดเด่นของสกุลหลี่ ไม่เพียงจิตใจกว้างขวาง ทั้งยังเรียบง่ายรู้จักแบกรับ แสดงความเคารพต่อลูกหลานสกุลเว่ยแทนบ่าวไพร่ของสกุลตนที่ทำความผิด เป็นวิญญูชนที่ใจกว้าง เป็นผู้ที่จะทำการใหญ่ในอนาคต

ชื่อเสียงของเขาไม่เสื่อมเสีย ทั้งกลับเพิ่มมากขึ้น

อวี้ถังได้ยินก็รู้ทันทีว่ามีคนของสกุลหลี่ชักนำข่าวลือนี้อยู่เบื้องหลัง

ก็เหมือนกับอุบายที่สกุลหลี่เคยใช้เมื่อชาติก่อน

รอจนหลี่จวิ้นมาขอโทษที่เรือนสกุลอวี้ อวี้ถังเตรียมการรับมือกับสกุลหลี่ โดยขอให้พี่น้องสกุลชวีเชิญสหายมาวนเวียนอยู่รอบๆ หากว่ามีคนพูดจาที่เป็นผลเสียต่อสกุลอวี้ออกมา จะได้แก้ต่างได้ทันท่วงที คาดไม่ถึงว่าพี่น้องสกุลเว่ยจะมาเยือนด้วยเช่นกัน แค่เด็กๆ ร่างสูงใหญ่มายืนอออยู่หน้าประตูสกุลอวี้ คนที่พูดจาพล่อยๆ ก็ลดน้อยลงทันตา มีเพียงหลี่จวิ้นที่โขกศีรษะสามครั้งอยู่ตรงหน้าประตูให้อวี้ถังด้วยสีหน้าแดงก่ำ นับว่าเป็นการขอขมาแล้ว

เดิมทีอวี้เหวินก็มีความรู้สึกที่ดีต่อหลี่จวิ้น บวกกับเรื่องพวกนี้ความจริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา อวี้เหวินไม่อาจแข็งใจเมื่อต้องเห็นหลี่จวิ้นเป็นแพะรับบาปให้สกุลหลี่ รอจนเขาโขกศีรษะครบสามครั้งแล้ว ถึงได้พยุงเขาให้ยืนขึ้น สั่งสอนไม่กี่ประโยคไปว่า  ต่อไปกระทำการใดต้องตรึกตรองให้หนัก  จากนั้นก็เชิญหลี่จวิ้นเข้าไปดื่มชาในเรือน ไม่เพียงไม่สร้างความลำบากให้เขา ทั้งยังหาทางลงให้เขาด้วย

หลี่จวิ้นตื่นตะลึงแต่ก็ดีใจมาก เดินตามอวี้เหวินผ่านประตูไปอย่างงงๆ

คนในเมืองหลินอันจึงเล่าลือถึงสกุลอวี้ในทำนองว่าจิตใจดี มีคุณธรรม

อวี้เหวินไม่ได้รั้งหลี่จวิ้นไว้นาน พอดื่มชา กระทำตามมารยาทอย่างครบถ้วนแล้ว ก็มาส่งหลี่จวิ้นที่หน้าประตู

หลี่จวิ้นบอกลาอย่างเชื่อฟังว่าง่าย พอผ่านประตูไป กลับถูกอวี้ถังเรียกเอาไว้ก่อน

นางถามว่า  ช่วงนี้เจ้ายังขี่ม้าหรือไม่? 

หลี่จวิ้นมองดวงหน้าที่ยังคงงดงามไม่เปลี่ยนของนาง ในใจรู้สึกเจ็บแปลบ พลางตอบด้วยรอยยิ้มขื่นว่า  ช่วงนี้ยุ่ง ไม่มีเวลาไปขี่ม้าหรอก! 

เช่นนั้นก็ดี

เรื่องราวต้องแยกแยะออกจากกัน

อวี้ถังเอ่ยต่อว่า  เช่นนั้นเจ้าก็ขัดเกลาจิตใจอยู่แต่ในจวน เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น ในจวนต้องวุ่นวายไปอีกระยะหนึ่งแน่ 

หลี่จวิ้นพยักหน้ารับ แต่ในใจนั้นคิดว่า แทนที่เจ้าจะมาเป็นห่วงข้า สาดเกลือลงบนบาดแผล มิสู้มองข้าด้วยสายตาเคียดแค้นให้ข้าตัดใจได้เสียที

————————————

 

สกุลอวี้เริ่มเตรียมของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงที่จะออกเรือน อวี้ถังก็หยิบเอาเครื่องประดับศีรษะที่เคยสั่งทำที่ร้านเครื่องเงินก่อนหน้านี้ออกมาด้วย

ป้าเฉินเห็นแล้วอดจะประหลาดใจไม่ได้  คุณหนูเป็นสตรียังไม่ออกเรือน เหตุใดจึงมอบของสูงค่าเช่นนี้ จะดูมากเกินไปหน่อยหรือไม่เจ้าคะ? 

อวี้ถังไม่คิดเช่นนั้น นางอยากจะตอบแทนไมตรีที่หม่าซิ่วเหนียงมีให้นางเมื่อชาติก่อน

คนสกุลเฉินแต่ไหนแต่ไรก็ตามใจอวี้ถัง ตอนนี้แม้จะรู้สึกว่าสิ่งของที่อวี้ถังอยากมอบให้สูงค่าไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง เพียงแก้ต่างแทนนางยิ้มๆ  ผู้อื่นดีมาก็ต้องดีตอบ อาถังยังไม่ออกเรือน รอให้นางแต่งงาน ซิ่วเหนียงก็ต้องมอบของขวัญที่ใกล้เคียงกัน ไม่นับว่าเป็นอะไรหรอก 

ป้าเฉินพึมพำว่า  ท่านตามใจคุณหนูใหญ่มากเกินไปแล้วนะเจ้าคะ! 

คนสกุลเฉินลูบหัวอวี้ถังยิ้มๆ  นางโตแล้ว ต่อไปในเรือนมีเรื่องใดก็ให้นางจัดการ จะสนิทกับใคร จะห่างเหินกับใคร ล้วนให้นางเป็นคนตัดสิน หากนางมีสหายที่ดี ข้าเองก็ดีใจ จะพูดว่าตามใจนางมากเกินไปได้อย่างไรเล่า! 

ป้าเฉินยังรู้สึกว่าคนสกุลเฉินปล่อยปละอวี้ถังมากเกินพอดี แต่ทำได้เพียงยิ้มแล้วส่ายศีรษะไปมา ก่อนจะไปที่ห้องเก็บของ หยิบเอาผ้าชั้นดีสองพับมาเป็นของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงตามคำสั่งของคนสกุลเฉิน

อวี้ถังเห็นแล้วถึงได้รู้สึกว่าสิ่งของที่ตนเตรียมไว้สูงค่าเกินกว่าเหตุ แต่กลับเป็นคนสกุลเฉินที่ปลอบใจนางว่า  มิตรภาพของแต่ละคนไม่เท่ากัน เจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมก็พอแล้ว 

ตั้งแต่ที่คนสกุลเฉินรู้ว่าเรื่องของเว่ยเสี่ยวซานทั้งหมดเป็นฝีมือของอวี้ถัง นางก็เชื่อว่าบุตรสาวของตนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ รู้ความแล้ว จึงค่อยๆ มอบเรื่องในเรือนให้นางตัดสินใจเอง การคบค้าสมาคมกับผู้อื่นนี้ ถือเป็นก้าวแรกที่คนสกุลเฉินจะปล่อยให้อวี้ถังได้เลือกเอง

อวี้ถังเดินทางไปเรือนสกุลหม่ากับมารดาด้วยความไม่สบายใจนัก

เพราะวันแต่งงานใกล้เข้ามา หม่าซิ่วเหนียงไม่ได้ออกจากเรือนมาพักใหญ่แล้ว ทุกวันหากมิใช่ทำงานเย็บปัก ก็ต้องคอยต้อนรับเหล่าสตรีที่เอาของขวัญมามอบให้ เมื่อได้เห็นอวี้ถัง นางก็ดีใจสุดขีด พอเอ่ยทักทายคนสกุลเฉินแล้วก็ลากอวี้ถังเข้าห้องของตนด้วยความเบิกบาน นางชงชาให้อวี้ถังดื่มด้วยตนเอง ก่อนจะถามความเป็นไปของอวี้ถังในช่วงนี้

อวี้ถังไม่ได้ปิดบังหม่าซิ่วเหนียง จึงเล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างสกุลหลี่ให้หม่าซิ่วเหนียงฟัง

หม่าซิ่วเหนียงได้ยินก็อ้าปากค้าง เป็นครึ่งวันกว่าจะดึงสติกลับมาได้ แต่มิใช่ตกใจกับความไร้ยางอายของสกุลหลี่ ทว่ากลับถามไปถึงเผยเยี่ยนแทน  หล่อเหลาอย่างที่เขาพูดไว้จริงหรือไม่? ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างเกรงใจหรือไม่? แล้วเจ้ามีโอกาสได้คุยกับเขาหรือเปล่า? 

นี่นับเป็นสถานการณ์แบบใดได้?

อวี้ถังพลันมึนงงไปชั่วขณะ

หม่าซิ่วเหนียงปิดปากหัวเราะ แล้วกระซิบบอกนางว่า  ข้าได้ยินท่านพ่อพูดว่า สกุลกู้กับสกุลเฉินแห่งหังโจวล้วนอยากยกบุตรสาวให้แต่งกับนายท่านสามสกุลเผย กำลังสั่งคนให้ตามสืบเรื่องของนายท่านสามอยู่น่ะ! 

ในความคิดของอวี้ถัง การมีอยู่ของเผยเยี่ยนก็เหมือนเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง นอกจากครั้งแรกที่นางรู้สึกว่าเขาหน้าตางดงามหล่อเหลาแล้ว ครั้งอื่นๆ ต่างรู้สึกอยู่ตลอดว่าเขาเป็นคนเข้าถึงยาก ไม่อาจล่วงเกินได้ จึงไม่เคยสนใจเกี่ยวกับงานมงคลของเขาเลยสักนิด เวลานี้เมื่อได้ยินหม่าซิ่วเหนียงพูดถึง นางก็อดจะนึกย้อนถึงคู่หมายของเผยเยี่ยนเมื่อชาติก่อนไม่ได้

แต่นางนึกอยู่พักใหญ่ ก็คิดไม่ออกเสียทีว่าเขาแต่งกับสตรีสกุลใดแน่ ถึงขนาดที่ว่า ในความทรงจำของนาง ไร้ซึ่งร่องรอยเกี่ยวกับบุตรสตรีของเผยเยี่ยนด้วยซ้ำ

เขาเหมือนกับเงาสายหนึ่ง ปกติไม่มีใครรู้สึกถึงการมีอยู่ของเขา แต่ทุกครั้งที่ทุกคนนึกถึงเขา ล้วนแต่เป็นยามที่เมืองหลินอันเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น

เช่นนั้นชาติก่อนเขาแต่งใครเป็นภรรยากันแน่นะ?

มีลูกกี่คน?

เป็นชายหรือหญิง?

อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเลือนราง

นางเอ่ยขึ้นมาว่า  ตอนนี้นายท่านสามอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เขาไม่น่าจะสนใจเรื่องหมั้นหมายกระมัง! 

 ก็แน่นอน  หม่าซิ่วเหนียงบอกยิ้มๆ  แต่ถ้ารอให้นายท่านสามออกจากช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยเชิญให้คนไปคุยเรื่องหมั้นหมาย เช่นนั้นย่อมสายเกินไปแล้ว…สกุลกู้กับสกุลเฉินล้วนอยากให้บุตรสาวแต่งกับเขา ทั้งยังมีสกุลอื่นที่สนใจนายท่านสามเหมือนกับสกุลกู้และสกุลเฉินด้วย พวกเขาย่อมต้องรีบลงมือให้เร็วหน่อย! 

อวี้ถังได้ฟังก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้  ดูเจ้าพูดเข้าสิ อย่างกับนายท่านสามเป็นเนื้อชิ้นหนึ่งเสียอย่างนั้น ใครๆ ต่างคิดจะแย่งชิง 

หม่าซิ่วเหนียงตอบกลับอย่างไม่รักษากิริยาว่า  นายท่านสามเป็นแค่เนื้อชิ้นหนึ่งที่ไหนกัน เจ้าดูนะ นี่เป็นถึงเนื้อถังเซิง[1]เชียว ต้องรอดูว่าสกุลใดจะเก่งกาจชิงเขามาได้ พูดถึงตรงนี้ ข้าก็อยากจะถามเจ้าหน่อย เรื่องงานแต่งของเจ้าวางแผนไปถึงไหนแล้ว? จะปล่อยให้เรื่องของสกุลหลี่มาทำให้ล่าช้ามิได้กระมัง? ฮูหยินหลี่ผู้นั้น คงต้องป่วยเป็นโรคอะไรแน่ๆ เพื่อจะขอหมั้นหมายเจ้าถึงกับทำเรื่องมากมายเพียงนี้ เจ้าคอยดูไปเถอะ รอให้ข้าแต่งงานแล้ว ข้าจะช่วยเจ้าโพนทะนาเรื่องนี้ออกไป ถึงเวลานั้นดูสิว่าใครจะกล้าแต่งให้สกุลนั้นอีก! 

อวี้ถังดึงมือหม่าซิ่วเหนียงมากุมไว้ด้วยความซาบซึ้ง

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ หม่าซิ่วเหนียงก็ยังจริงใจต่อนางไม่เคยเปลี่ยน

นางเอ่ยกำชับต่อว่า  เรื่องนี้ซับซ้อนนัก บิดากับมารดาข้ายื่นมือเข้ามาจัดการแล้ว พวกเราตอนนี้ก็คอยดูไปก่อนว่าผู้ใหญ่จะจัดการอย่างไร เจ้าน่ะ ทำตัวเป็นเจ้าสาวที่เบิกบานใจก็พอแล้ว 

อวี้ถังไม่อยากดึงหม่าซิ่วเหนียงเข้ามาเกี่ยวพัน

นางสมควรจะมีชีวิตแต่งงานที่ราบรื่นไร้กังวล ไม่ควรต้องมาปวดหัวเพราะเรื่องวุ่นๆ ของตนอีก ทั้งนางก็ไม่ได้บอกหม่าซิ่วเหนียงถึงเจตนาแท้จริงที่สกุลหลี่ต้องการจะมาสู่ขอนาง

หม่าซิ่วเหนียงนิ่งคิด รู้สึกว่าอวี้ถังพูดมีเหตุผล แต่ก็ยังไม่วายพูดกับอวี้ถังอีกว่า  แต่ถ้าเจ้ามีเรื่องอะไรให้ข้าช่วยก็บอกได้เลยนะ อย่าได้เกรงใจเป็นอันขาด 

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก  ข้าเห็นเจ้าเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ มีเรื่องใดย่อมไปขอให้เจ้าช่วยอยู่แล้ว 

 ต้องแบบนี้สิ!  หม่าซิ่วเหนียงหัวเราะอย่างพอใจ แล้วหยิบขนมเปี๊ยะมงคลยื่นให้นาง

อวี้ถังหยิบเครื่องประดับศีรษะที่จะมอบเป็นของขวัญให้นางออกมา

หม่าซิ่วเหนียงตื่นตะลึง เดิมนางไม่คิดจะรับไว้ แต่เห็นถึงความตั้งใจของอวี้ถัง คิดว่าภายหลังค่อยตอบแทนนางคืนด้วยของขวัญชิ้นใหญ่ก็ใช้ได้แล้ว จึงไม่ได้เกรงอกเกรงใจ แล้วรับของเอาไว้ด้วยรอยยิ้มกว้าง

สหายคนอื่นๆ ที่สนิทสนมกับหม่าซิ่วเหนียงได้ติดตามมารดาของตนมามอบของขวัญให้หม่าซิ่วเหนียงเช่นเดียวกัน

หม่าซิ่วเหนียงแนะนำอวี้ถังให้ทุกคนรู้จัก

ในชาติก่อนอวี้ถังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่ได้มาส่งหม่าซิ่วเหนียงออกเรือนด้วยตนเอง วันนี้จึงได้รู้จักกับสหายสนิทหลายคนของหม่าซิ่วเหนียง

ในเมื่อเป็นเพื่อนเล่นกับหม่าซิ่วเหนียงได้ นิสัยก็คงเข้ากันกับหม่าซิ่วเหนียงได้ดี หากไม่เหนือความคาดหมาย ย่อมเข้ากันได้กับอวี้ถังเช่นเดียวกัน ญาติผู้น้องของหม่าซิ่วเหนียงถึงกับตำหนิหม่าซิ่วเหนียงว่าเหตุใดไม่แนะนำอวี้ถังมาให้พวกนางรู้จักเร็วกว่านี้หน่อย เช่นนั้นงานลอยประทีปตอนกลางเดือนเจ็ดจะได้มีสหายเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ชาติก่อนนั้นเพราะมารดาล้มป่วย อวี้ถังจึงมักอยู่เป็นเพื่อนมารดาที่เรือน ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวเล่นด้านนอกเท่าไรนัก วันนี้เหตุเพราะได้กลับมาเกิดอีกครั้ง และมีวาสนาได้อาศัยความสัมพันธ์ของสกุลเผย ทำให้อาการป่วยของมารดาดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทั้งส่งผลให้ชะตาที่บิดามารดาของนางต้องตายในชาติก่อนต้องเปลี่ยนไป นางรู้สึกเป็นสุขยิ่ง จึงทำตัวร่าเริงและรู้ความกว่าชาติก่อนมาก ทันทีที่ได้เจอเหล่าแม่นางน้อยก็เล่นด้วยกันได้อย่างกลมกลืน นี่ย่อมไม่อาจโทษหม่าซิ่วเหนียงได้

หม่าซิ่วเหนียงเป็นคนชอบปกป้องสหาย จึงไม่พูดถึงว่าแต่ก่อนอวี้ถังเป็นเช่นไร เพียงตอบไปว่าตนไม่ทันคิด แล้วจะหาทางชดเชยให้ญาติผู้น้อง ถึงได้จบเรื่องนี้ไปได้

อวี้ถังยิ่งรู้สึกว่าหม่าซิ่วเหนียงเป็นคนดียิ่ง ตอนที่หม่าซิ่วเหนียงจะออกเรือน นางจึงช่วยงานจนมือเท้าพันกันหมดวุ่นวายอยู่สี่ห้าวันเต็มๆ

กระทั่งถึงวันแต่งงานของหม่าซิ่วเหนียง อวี้ถังก็ปล่อยโฮสุดเสียง ปวดใจยิ่งกว่านายหญิงหม่าเสียอีก ทำเอานายหญิงหม่าร้องไห้ต่อไม่ไหว หันไปกระเซ้าคนสกุลเฉินว่า  คนที่ไม่รู้คงคิดว่าเป็นบุตรสาวอีกคนของข้าแล้ว? ข้าว่าไม่ต้องตามเจ้ากลับเรือนหรอก รั้งตัวอยู่ที่นี่มาเป็นบุตรสาวของข้าเลย 

คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็หัวเราะชอบใจ

อวี้ถังรู้สึกว่าตนได้ระบายความคับข้องใจ เอ่ยด้วยเสียงสะอื้นว่า  พี่สาวหม่าออกเรือนแล้ว ก็ต้องเชื่อฟังพ่อแม่สามี ดูแลอาน้าของสามี ท่าน ท่านไม่เป็นห่วงเลยหรือเจ้าคะ? 

 ข้ามีอะไรให้ห่วงกันเล่า?  นายหญิงหม่าชี้ไปยังคุณชายจางที่ยืนอยู่ไม่ไกล  พี่เขยเจ้าหากกล้าแตะต้องพี่สาวเจ้าแม้เพียงปลายเล็บ ข้าจะให้คนไปรับนางกลับมาเดี๋ยวนั้นเลย 

เหล่าสตรีในเรือนพากันหัวเราะเฮฮาอีกครั้ง

คนสกุลเฉินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก โอบบุตรสาวมากอดไว้กับอก ทางหนึ่งก็ดึงผ้าเช็ดหน้ามาซับหน้าให้นาง ทางหนึ่งก็บ่นว่า  เจ้าเด็กคนนี้ วันนี้เป็นงานมงคล เจ้าอย่ามองว่าป้าหม่านางร้องไห้เพราะเสียใจ ความจริงก็ทำท่าไปอย่างนั้น กลับเป็นเจ้านี่สิ ที่ปล่อยโฮออกมาจริงๆ เสียได้ 

อวี้ถังซุกตัวอยู่ในอกมารดาด้วยความอับอาย เป็นเหตุให้ทุกคนขบขันกันอีกรอบ

อาจเพราะมีเรื่องเฮฮามาแทรก งานแต่งของหม่าซิ่วเหนียงจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศน่ายินดี เป็นการส่งตัวออกเรือนพร้อมเสียงหัวเราะที่ยากจะได้พบเห็นในเมืองหลินอัน

ผ่านพ้นงานแต่งงานของหม่าซิ่วเหนียงไป ทางด้านสกุลหลี่ก็มีความเคลื่อนไหวทันที

เริ่มจากพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่กับผู้ลี้ภัยสองคนถูกตัดสินให้เนรเทศไปไกลกว่าสามพันลี้ ตามมาด้วยสิ่งที่สกุลหลี่เคยรับปากเอาไว้ก่อนหน้านั้น ภรรยาและลูกๆ ของพ่อบ้านใหญ่รวมถึงญาติที่เกี่ยวดองผ่านการแต่งงานซึ่งอยู่ในสกุลหลี่ล้วนต้องถูกขับไล่ออกไป

ทว่าตอนที่พ่อบ้านใหญ่ถูกเนรเทศนั้น สกุลหลี่ได้ฝากฝังให้คนของศาลาว่าการดูแลเขาระหว่างทางหรือไม่ บ่าวรับใช้ที่ถูกขับไล่ออกมาจากสกุลหลี่มีกี่คนแน่ที่เกี่ยวดองกับเขาจริงๆ สกุลอวี้ก็ไม่มีทางจะรู้ได้เลย

นายท่านอู๋เอ่ยปลอบใจอวี้เหวินว่า  เรื่องนี้สกุลหลี่ยอมอ่อนลงให้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว ไม่มีทางทำได้สะอาดหมดจดหรอก 

นอกจากสกุลหลี่ล่มสลายเท่านั้น

อวี้เหวินก็เข้าใจดี จึงกล่าวขอบคุณนายท่านอู๋ไป บอกว่าไม่ได้คิดแค้นอะไรกับสกุลหลี่แล้ว ก่อนจะนัดแนะเวลากับนายท่านอู๋ เพื่อไปดูหลี่ตวนใส่ชุดกระสอบเพื่ออุทิศให้กับเว่ยเสี่ยวซานที่วัดเจาหมิง

คนในเมืองหลินอันถึงได้รู้ว่าฮูหยินหลี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเว่ยเสี่ยวซาน

ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา คิดกันว่าแม้ฮูหยินหลี่จะเป็นหญิงที่ออกเรือนแล้ว แต่ใจคอกลับโหดเหี้ยมยิ่งนัก เด็กบ้านสกุลหลี่นับเป็นบุตรของพวกเขา แล้วเด็กบ้านผู้อื่นมิใช่มีพ่อมีแม่เหมือนกันหรือ? ทั้งยังแอบพูดกันลับๆ ว่า โชคดีที่สกุลอวี้ไม่ได้ตอบตกลงเรื่องแต่งงานไป ไม่อย่างนั้นต่อให้แม่นางอวี้แต่งไปแล้ว น่ากลัวคงถูกแม่สามีข่มเหงทุกเมื่อเชื่อวัน ถูกทรมานอย่างสาหัสแน่

มีคนพูดเรื่องงานหมั้นหมายของหลี่ตวนขึ้นมา  ไม่รู้ว่าถ้าคุณหนูใหญ่สกุลกู้แต่งเข้าไปแล้ว นางจะกล้าสร้างความลำบากให้คุณหนูสกุลกู้หรือไม่? 

 นั่นก็ว่าไม่ได้หรอก!  บางคนบอกว่าฮูหยินหลี่มีชีวิตที่ราบรื่นจนเกินไป จึงไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น  คุณหนูกู้มีชาติกำเนิดดีแล้วมีประโยชน์อันใดเล่า? พอแต่งเข้าสกุลหลี่ ก็เป็นสะใภ้ของสกุลหลี่ อย่างไรก็ต้องเชื่อฟังสกุลหลี่อยู่ดี 

 กลัวแต่ว่าคุณหนูใหญ่สกุลกู้ก็ไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องได้ง่ายๆ น่ะสิ  บางคนที่อยู่ตรงนั้นบ้างก็รู้สึกสาแก่ใจต่อความหายนะของผู้อื่น รอดูเรื่องขายขี้หน้าของสกุลหลี่

ตั้งแต่คนสกุลหลินรู้ว่าหลี่ตวนต้องใส่ผ้ากระสอบเพื่ออุทิศให้กับเว่ยเสี่ยวซาน ก็โมโหจนล้มป่วย

บนหน้าผากคนสกุลหลินมีผ้าขาวพันรอบ นั่งพิงหัวเตียงด้วยสีหน้าอิดโรย นางผลักถ้วยยาที่อยู่ในมือของหลี่จวิ้นออก จนยาต้มแทบจะหกรดใส่ตัวหลี่จวิ้น คนสกุลหลินพลันตวาดใส่หลี่จวิ้นว่า  เจ้าเป็นคนตายอย่างนั้นรึ? ข้าบอกเจ้าไว้อย่างไร? เจ้ากลับปล่อยให้พี่ชายเจ้าไปวัดเจาหมิง? ต่อไปเขาต้องเป็นขุนนางใหญ่โต ต้องเข้าร่วมสำนักเป็นมหาบัณฑิต ทำไมถึงปล่อยให้พี่ชายเจ้าไปสวมผ้ากระสอบให้กับไอ้ชาวนาบ้านนอกคนนั้น? ข้ากับบิดาเจ้ายังไม่ตายเลย! ต่อไปเจ้าจะให้พี่ชายเจ้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน? เจ้ารอคอยให้ถึงวันนี้มาตลอดใช่หรือไม่! 

หลี่จวิ้นก็ขมขื่นจนพูดอะไรไม่ออก

เขาได้แต่ค่อยๆ เคลื่อนถ้วยยาไปเบื้องหน้ามารดาอย่างระมัดระวัง กล่อมนางเสียงเบาว่า  ท่านแม่ เรื่องนี้ท่านพี่ได้เขียนจดหมายถึงท่านพ่อแล้ว ท่านพ่อต้องมีทางออกแน่ ท่านอย่าได้กังวลเลย สุขภาพของท่านสำคัญที่สุด รีบดื่มยาถ้วยนี้แล้วค่อยว่ากันนะขอรับ 

————————————————————-

[1]เนื้อถังเซิง หรือ เนื้อพระถังซัมจั๋ง มีความเชื่อว่าหากได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งเข้าไปจะอายุยืนยาวไม่แก่ เล่าว่าเหล่ามารล้วนน้ำลายไหลเพราะอยากกิน

 

แน่นอนว่าอวี้ถังไม่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนรับรอง

เวลานี้นางนั่งอยู่ที่โถงบุปผาของสกุลเผย ดวงตาจับจ้องไม่กะพริบอยู่ที่บานประตูกระจกหลากสีปิดทองคำเปลวบานนั้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

อวี้หย่วนกระตุกชายเสื้ออวี้ถังเบาๆ

อวี้ถังได้สติคืนมา พลันได้ยินเสียงนายท่านอู๋กำลังตะล่อมถามบ่าวรับใช้ซึ่งดูแลพวกนางอยู่เกี่ยวกับเรื่องของเผยเยี่ยน  …หมายความว่า นายท่านสามก็ไม่มีงานอดิเรกใดเลยรึ? 

บ่าวรับใช้ผู้นั้นรู้สึกว่าวาจานี้พูดได้ไม่ถูกต้อง แต่ไม่แน่ใจว่าควรคัดค้านที่ตรงไหน จึงนิ่งคิดแล้วเอ่ยว่า  จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่ถูกขอรับ ข้าเป็นแค่บ่าวรับใช้ที่รับคำสั่งอยู่นอกจวน นายท่านสามชมชอบสิ่งใด ข้าคงไม่อาจรู้ได้แน่ชัด! 

นายท่านอู๋พลันรู้ตัวว่าคำถามของตนทำให้บ่าวรับใช้ต้องเสียหน้าอยู่บ้าง จึงรีบร้อนกล่าวว่า  ไอหยา พวกข้าก็แค่ถามไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นคนที่เคยดูแลท่านผู้เฒ่ามาก่อน ดูจากความกตัญญูของนายท่านสาม ย่อมจะเห็นความสำคัญของเจ้าอยู่แล้ว เจ้าขอเพียงอดทนรอสักหน่อย รอให้นายท่านสามออกจากไว้ทุกข์ ย่อมต้องมีการเคลื่อนย้ายปรับเปลี่ยนแน่ 

ในใจของบ่าวผู้นั้นก็คิดเช่นเดียวกัน ได้ยินดังนั้นก็อารมณ์ดีจนหุบปากไม่ลง  ต้องอาศัยโชคจากวาจาท่านแล้ว 

ก็แค่บ่าวรับใช้เล็กๆ ผู้หนึ่ง จำเป็นต้องประจบประแจงถึงขั้นนี้เชียวรึ?

อวี้ถังกระซิบถามอวี้หย่วนว่า  มีอะไรหรือเจ้าคะ? 

อวี้หย่วนยิ้มขื่น  นายท่านอู๋เก่งกาจไม่เบา พูดแค่สองสามคำ ก็แลกเปลี่ยนชื่อสกุลกับบ่าวผู้นั้นได้แล้ว ทั้งยังเชิญเขากับสหายที่สนิทไปเที่ยวเรือนสกุลอู๋เก็บลูกเหอเถาป่ายามว่างอีกต่างหาก 

รู้จักยืดได้หดเป็น อวี้ถังรู้สึกนับถือยิ่ง

อวี้หย่วนถามนางเสียงเบาว่า  เมื่อครู่เจ้าคิดอะไรน่ะ? ข้าเรียกตั้งสองครั้งเจ้าก็ไม่ได้ยิน 

 เปล่าเจ้าค่ะ!  อวี้ถังมองไปทางสาวใช้สองคนที่ยืนอยู่ในโถงบุปผา คิดว่าสถานที่นี้ไม่เหมาะจะใช้ในการสนทนา  กลับไปแล้วค่อยคุยเถิด  จากนั้นก็หันไปมองพ่อลูกสกุลเว่ย

นายท่านเว่ยกับเว่ยเสี่ยวหยวนนั่งจิบชาอยู่เงียบๆ ฟังบทสนทนาระหว่างนายท่านอู๋กับบ่าวรับใช้ สีหน้าราบเรียบ ดูท่าจะออกจากความเจ็บปวดเมื่อครู่และกลับคืนสู่ภาวะปกติได้แล้ว

อวี้ถังค่อยเบาใจขึ้นหน่อย

เผยหม่านเดินเป็นเพื่อนอวี้เหวินเข้ามา

 ท่านพ่อ!  อวี้ถังดีใจ รีบวิ่งเข้าไปรับหน้าทันที

 นายท่านอวี้! 

 ท่านลุงอวี้! 

 ท่านอา! 

เมื่อพวกนายท่านอู๋เห็น ก็รีบพากันยืนขึ้น

อวี้เหวินรีบประสานมือคารวะทุกคน  นายท่านสามเมื่อครู่รั้งตัวข้าไปถามเรื่องความบาดหมางระหว่างพวกเราสองสกุลกับสกุลหลี่ ข้าก็ตอบไปตามความจริง บัดนี้สายมากแล้ว ข้าคงต้องขอตัวก่อน 

นี่นับว่าให้คำอธิบายแก่ทุกคนแล้ว

พวกนายท่านอู๋ก็บอกลาเผยหม่านเช่นกัน

เผยหม่านประสานมือคารวะตอบทีละคน วางตัวไม่สนิทสนมหรือห่างเหินจนเกินงามอย่างที่เคยเป็นทุกครั้ง หากคิดมองหาเจตนาของเผยเยี่ยนจากท่าทางของเขานั้น แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ทุกคนเอ่ยวาจาตามมารยาทสองสามคำ เผยหม่านก็เดินมาส่งพวกเขาถึงหน้าประตู

ความอยากรู้ของอวี้ถังได้พุ่งไต่จนถึงขีดสุดแล้ว

พอผ่านทางเชื่อมระหว่างโถงออกมา ก็ถึงประตูข้างของสกุลเผย

เมื่อผ่านประตูข้างแล้ว ก็นับว่าออกจากจวนสกุลเผยเสียที

นางเดินตามหลังบิดาและญาติผู้พี่ วินาทีที่เท้าก้าวพ้นทางเชื่อมระหว่างโถงก็หันขวับไปมอง

ท่ามกลางเงาเขียวขจี มองเห็นเพียงชายคาที่เรียงด้วยกระเบื้องสีเทาเป็นลอนยาวยกสูงทั้งสองฝั่ง บดบังจนมองไม่เห็นเสาสีแดงของโถงทั้งห้า รวมถึงต้นการบูรขนาดสองคนโอบที่อยู่ด้านหน้าโถงหลักด้วย

ไม่รู้ว่าลานเรือนที่ว่าลึกจะลึกลับถึงเพียงไหน[1]

ท่ามกลางความเขียวชะอุ่มนี้ ไม่รู้ว่าซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้บ้าง?

อวี้ถังหันกลับมา เดินตามบิดาและญาติผู้พี่ออกจากจวนสกุลเผยไป

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังชะเง้อคอ มายืนคอยพวกเขาอยู่ที่หน้าประตูตั้งนานแล้ว

อวี้ถังได้รู้เนื้อหาบทสนทนาของบิดาและเผยเยี่ยนระหว่างเดินทางกลับแล้ว พอลงจากเกี้ยวได้ก็วิ่งไปหามารดาและป้าสะใภ้ทันที

 ท่านแม่ ท่านป้าสะใภ้  นางเข้าไปกอดแขนมารดา แล้วเอ่ยกับคนสกุลหวังอย่างรักใคร่ว่า  ไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ นายท่านสามมีความเป็นธรรม โยนผู้ลี้ภัยสองคนกับพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่ที่เป็นคนบงการเข้าคุกไปแล้ว ทั้งให้ขับไล่เหล่าเครือญาติและสมาชิกสตรีทั้งหมดของพ่อบ้านใหญ่ออกจากสกุลหลี่ด้วย ต่อไปคงไม่มีใครช่วยคนเลวทำเรื่องต่ำช้าอีก 

นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดซึ่งเคยหารือกันไว้ก่อนหน้านี้

 อามิตตาพุทธ!  คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังอดจะพนมมือแล้วสวดภาวนาไม่ได้ว่า  พระโพธิสัตว์คุ้มครอง! 

อวี้ถังเม้มปากกลั้นหัวเราะ

อวี้เหวินกับอวี้หย่วนเดินตามเข้ามา เอ่ยทักคนสกุลเฉินกับคนสกุลหวัง

 รีบเข้าเรือนเถอะ รีบเข้าเรือนเถอะ!  คนสกุลเฉินเอ่ยปาก  ข้าเตรียมใบส้มโอ[2]เอาไว้ให้เจ้าค่ะ 

อวี้เหวินพลันขมวดคิ้วจนเห็นรอยย่นบนหน้าผาก  ข้าไม่ใช่คนที่เกิดเรื่องเสียหน่อย จะเตรียมใบส้มโอไว้ทำไมเล่า! 

 สกุลเรามิใช่ไปยุ่งเกี่ยวกับพวกเลวทรามหรือ?  คนสกุลเฉินเอ่ยอย่างจริงจัง  ต้องขับไล่ความโชคร้ายออกไปให้หมด! 

อวี้เหวินหยุดคิดแล้วหัวเราะ  ถ้าเจ้าพูดแบบนี้ เช่นนั้นสกุลหลี่มิเต็มไปด้วยความโชคร้ายรึ? ต้องกำจัด ต้องกำจัด! 

คนสกุลหวังที่มองอยู่ก็หัวเราะออกมา แล้วหยิบก้านใบส้มโอมาปัดไล่ให้พวกเขา ถือว่าขับไล่ไอความโชคร้ายให้หมดไป

คนสกุลเฉินเก็บก้านใบส้มโอกลับคืน แล้วชะเง้อไปมองด้านหลังของทั้งสองคน พลางถามว่า  ทำไมไม่เห็นนายท่านอู๋ล่ะเจ้าคะ? ข้าเตรียมเอาไว้เผื่อเขาด้วย 

อวี้เหวินตอบว่า  เขามีธุระจึงไม่ได้กลับมาพร้อมกัน เจ้าให้คนนำก้านใบส้มโอไปส่งให้เรือนเขาก็ใช้ได้แล้ว  พอนึกถึงว่าวันนี้นายท่านอู๋ช่วยเหลือตนไว้มาก จึงสั่งเสริมว่า  หยิบขนมผลไม้เคลือบน้ำตาลติดไปด้วย 

คนสกุลเฉินตอบรับติดๆ กัน สั่งให้คนไปส่งก้านใบส้มโอกับขนมผลไม้เคลือบน้ำตาล อวี้เหวิน อวี้ถังและอวี้หย่วนต่างกลับเข้าห้องของตนเพื่อไปล้างหน้าล้างตา ก่อนจะมารวมตัวกันใหม่อีกครั้งตอนมื้อเที่ยง

คนสกุลเฉินกับคนสกุลหวังเพิ่งรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างที่จวนสกุลเผย คนทั้งสองด่าทอสกุลหลี่ไปหนึ่งยก แล้วชื่นชมนายท่านสามไปอีกหลายกระบุง ก่อนที่คนสกุลเฉินจะเอ่ยอย่างทอดถอนใจอีกครั้ง  เสียดายที่พวกเราช่วยเหลืออะไรสกุลเผยไม่ได้เลย! ภาวนาให้ชาตินี้ไม่ต้องมีโอกาสให้พวกเราได้ทดแทนบุญคุณเลยยิ่งดี 

ไม่มีโอกาสให้ทดแทนบุญคุณ ย่อมหมายถึง ขอให้สกุลเผยสงบสุขเรื่อยๆ ไป นี่นับว่าเป็นการอวยพรให้สกุลเผยทางหนึ่งแล้ว!

คนสองบ้านนั่งกินอาหารมื้อเที่ยงร่วมกันอย่างรื่นรมย์ อวี้เหวินพูดขึ้นว่า  วันนี้ทุกคนก็เหน็ดเหนื่อยแล้ว ต่างแยกย้ายไปพักเถอะ มีเรื่องอะไร พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ 

อวี้ถังกับอวี้หย่วนตอบเห็นด้วยเป็นเสียงเดียวกัน อวี้หย่วนกลับเรือนไปพร้อมมารดา อวี้ถังหลังจากเข้าห้องตนเองแล้วก็นอนแผ่อยู่บนเตียง แต่นอนอย่างไรก็ไม่ยอมหลับเสียที

เป็นเวลานานกว่านางจะค่อยๆ เคลิ้มใกล้หลับได้ แต่กลับถูกเสียงพูดคุยจากด้านนอกปลุกให้ตื่นอย่างรวดเร็ว

นางตะโกนถามซวงเถาว่า  ใครมาคุยอยู่ด้านนอกรึ? 

ซวงเถาตอบอย่างยินดีไปว่า  เป็นนายหญิงหม่าเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่สกุลหม่าใกล้จะออกเรือนแล้ว นายหญิงหม่ามาเชิญนายหญิงกับคุณหนูไปร่วมดื่มสุรามงคลด้วยตนเอง ทั้งยังเชิญคุณหนูให้ไปช่วยรับรองแขกเหรื่อด้วยเจ้าค่ะ 

แต่เดิมก็เป็นเรื่องที่ตกลงกับหม่าซิ่วเหนียงเอาไว้ก่อนแล้ว

ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่หลายวันนี้นางเอาแต่วุ่นเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน ถึงได้ลืมเรื่องนี้เสียสนิท

นางตบหน้าผากไปหลายที แล้วลุกขึ้นเพื่อให้ซวงเถาช่วยแต่งตัว  นายหญิงหม่ามาคนเดียวรึ? ข้าต้องไปกล่าวทักทายนางเสียหน่อย 

ซวงเถาช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า พลางตอบว่า  นายหญิงหม่ามากับแม่สื่อเจ้าค่ะ บอกว่าจะเชิญนายหญิงอู๋ไปเป็นเฉวียนฝูเหริน[3] แต่พอมาถึงเพิ่งจะรู้ข่าวว่านายหญิงอู๋กลับบ้านมารดาไปแล้ว ต้องรออีกสองวันถึงจะกลับมา นายหญิงหม่าจึงคิดว่ารอผ่านสองวันไปค่อยกลับมาเชิญนายหญิงอู๋ใหม่เจ้าค่ะ 

นายหญิงอู๋นับเป็นสตรีผู้สมบูรณ์พร้อมที่เลื่องชื่อในเมืองหลินอัน คนมากมายเชิญนางไปเป็นเฉวียนฝูเหริน แต่ก่อนนางไม่เคยกล่าวปฏิเสธใคร ภายหลังเมื่อชื่อเสียงกระจายออกไป คนที่มาเชิญจึงมากขึ้นเรื่อยๆ นางจึงไม่อาจตอบตกลงได้ทุกคน

อวี้ถังไปที่เรือนรับรอง นายหญิงหม่ากับคนสกุลเฉินกำลังพูดคุยหัวเราะกันอยู่ ดูรักใคร่สนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง

พอเห็นอวี้ถังก็กวักมือเรียกนาง แล้วมอบซองแดงให้นางหนึ่งซองบอกว่าให้นางใช้ซื้อขนมกิน

นี่ก็คือการเชิญนางให้ไปช่วยดูแลรับรองแขกแล้ว

นางก็ตอบรับทันทีด้วยความเต็มอกเต็มใจ

คนสกุลเฉินคุยเรื่องสินเดิมของหม่าซิ่วเหนียงกับนายหญิงหม่า นายหญิงหม่ายังมีธุระอีกหลายอย่างต้องจัดการ นั่งอยู่เพียงไม่นานก็กำชับกับคนสกุลเฉินอีกหลายประโยคว่า  วันงานต้องมาให้ได้นะ  ก่อนจะขอตัวลาไปพร้อมกับแม่สื่อ

————————————————————-

[1]ลานเรือนที่ว่าลึกจะลึกลับถึงเพียงไหน เป็นส่วนหนึ่งของบทกวี ‘ฤดูใบไม้ผลิ’ ที่เขียนโดยโอวหยางซิว บรรยายถึงความโศกเศร้าและคับข้องใจของสตรีที่ถูกเก็บอยู่ในห้องหอ ไม่อาจสมปรารถนากับคนที่ตนรัก

[2]ใบส้มโอ ตามความเชื่อของชาวจีนสมัยก่อน ใบส้มโอเป็นสัญลักษณ์ของโชคลาภ มักนำมาใช้ขอพร ไล่ผี ปัดเป่าสิ่งอัปมงคลต่างๆ

[3]เฉวียนฝูเหริน หมายถึง คนสำคัญในงานแต่ง สตรีที่บิดามารดายังมีชีวิตและแข็งแรงดี มีสามี และมีบุตรสาวบุตรชาย ตามธรรมเนียมแต่งงานพื้นบ้าน มีหลายขั้นตอนที่ต้องให้นายหญิงผู้นี้คอยชี้แนะ เพื่อให้สามีภรรยาโชคดีสมปรารถนาในอนาคต

 

แน่นอนว่าอวี้เหวินที่อยู่ในโถงรับรองไม่มีทางรับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโถงบุปผา

เขากำลังเริ่มตอบคำถามของเผยเยี่ยนอย่างเป็นทางการ  …ล้วนเป็นความคิดของบุตรสาวข้าทั้งสิ้น เริ่มแรกข้าก็ไม่เห็นด้วย สาเหตุหลักเพราะกลัวนางจะถูกคนเอาไปซุบซิบนินทา แต่นางก็ยังดึงดัน บอกว่าต่อไปต้องแต่งเขยชายเข้าสกุล หากนางไม่ทำตัวให้เก่งกาจ ต่อไปคงคุมผู้ที่แต่งเข้ามาไม่อยู่แน่ ข้ากับลุงของนางหารือกันอยู่ครึ่งค่อนวัน รู้สึกว่าที่นางพูดก็มีเหตุผล อีกอย่างพวกข้าสองพี่น้องก็คิดหาวิธีที่ดีกว่านางไม่ออก จึงตอบตกลงไปเช่นนั้น  พูดจบ เขาก็กลัวเผยเยี่ยนจะคิดว่าบุตรสาวตนกล้าแกร่งเกินไป อาจมีภาพความทรงจำที่เป็นลบต่อนาง ต่อไปหากบุตรสาวขึ้นเป็นเจ้าบ้าน สกุลอวี้เจอปัญหาใดเข้า เผยเยี่ยนอาจจะไม่ยินดีคุ้มครองนางอีก ถึงได้รีบแก้ต่างให้บุตรสาวว่า  ท่านอย่าได้มองว่าวันนี้นางเอาแต่ใจ ทำการใดไม่มีเหตุผล ปกติแล้วนางมิได้เป็นเช่นนี้ นิสัยนางเนื้อแท้เป็นคนสนุกสนานร่าเริง ทั้งยังเอาใจใส่ผู้อื่น มิเช่นนั้นพวกเราสองสามีภรรยาคงไม่คิดเก็บนางเอาไว้กับเรือนเช่นนี้ วันนี้ที่นางทำลงไป ทั้งหมดเพราะต้องการให้หลี่ตวนติดกับ ถึงได้จงใจทำเช่นนั้น 

เผยเยี่ยนพยักหน้า ในใจกลับสับสนไปหมด คล้ายมีต้นหญ้างอกออกมาพันกันจนวุ่นวาย

ที่แท้ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดของแม่นางอวี้จริงๆ

นางมิได้ผิดไปจากลางสังหรณ์ที่เขามีต่อนางเลย!

ทั้งใจกล้าและไร้ซึ่งความกลัว!

ต่อให้เป็นบุรุษทั่วไป เกรงว่าคงกล้าหาญได้ไม่เท่านาง

ทว่า ทั้งบิดาและญาติผู้พี่ของนางก็ตามใจนางเกินไป เรื่องใหญ่เช่นนี้ กลับปล่อยให้นางก่อความวุ่นวายตามใจชอบ

หากว่าหลี่ตวนฉลาดกว่านี้อีกหน่อย หรือหลี่จวิ้นเจ้าเล่ห์กว่านี้สักนิด เรื่องวันนี้สกุลอวี้ก็เลิกคิดที่จะจบอย่างสวยงามไปได้เลย

หรือว่าแม่นางอวี้ไม่เคยคิดถึงผลที่จะตามมาหากว่าแผนทุกอย่างล้มเหลว?

เผยเยี่ยนคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองอี้เหวินอย่างพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง

ลักษณะท่าทางเหมือนบัณฑิตเจียงหนานทั่วไป ดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ในความสง่างามแฝงท่าทีสบายๆ มองรู้ทันทีว่าเป็นคนไม่อาจอดทนกับเรื่องจุกจิกได้ วันๆ คงใช้ชีวิตอย่างเลื่อนลอย แต่กลับเชื่อมั่นและรักในตัวบุตรสาวอย่างเต็มเปี่ยม ถึงได้ปล่อยปละตามใจนางเพียงนี้

บางทีอาจเพราะเหตุผลนี้ ถึงได้เลี้ยงบุตรสาวให้เติบโตมาเป็นคนไม่เกรงกลัวฟ้าดินอย่างแม่นางอวี้ได้

หากเป็นครอบครัวที่บิดามารดาอ่อนแอ บุตรีล้วนแต่จะขลาดกลัวไปหมด

เผยเยี่ยนอดจะกล่าวไม่ได้ว่า  แม่นางอวี้เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าหากสกุลหลี่ไม่หลงกล พวกเจ้ามีแผนจะทำอย่างไรต่อ? 

อวี้เหวินย่อมไม่ปล่อยให้เผยเยี่ยนสงสัยในตัวบุตรสาว…สกุลอวี้หากยังต้องอยู่เมืองหลินอันอีกหนึ่งวัน ไม่สิ ต่อให้ไม่อยู่ในเมืองหลินอัน พวกเขากับสกุลเผยก็นับว่ามีไมตรีระหว่างเพื่อนบ้าน จะต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับสกุลเผยไว้ ก็เหมือนตอนที่อยู่เมืองหังโจว ดึกดื่นค่ำคืนที่อวี้ถังท้องเสีย หากไม่ใช่ถือป้ายชื่อของนายท่านสามสกุลเผยไป มีหรือจะเชิญหมอหลวงให้มาตรวจอาการได้?

ไมตรีจิตเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อไรก็ไม่อาจยอมให้หลุดมือไปได้เลย!

 ต้องคิดเอาไว้แล้วสิขอรับ  เขาพูดต่อไปอย่างไม่คิดมาก  แต่บุตรสาวข้าพูดไว้แล้ว นิสัยของหลี่ตวนก็เป็นเช่นนั้น เขาย่อมตกหลุมพรางแน่ นางยังบอกอีกว่า ทุกคนล้วนมีจุดอ่อน ล้วนมีสิ่งที่ตนต้องการ ขอเพียงหาให้เจอ จะต้องแม่นยำไม่มีพลาดแน่  พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกถึงคำบรรยายที่อวี้ถังเคยใช้กับหลี่ตวน มุมปากยกโค้งขึ้น สีหน้าคล้ายเจือรอยยิ้มขบขัน  บุตรสาวตัวดีของข้านี้ ท่านคงไม่รู้หรอก ตั้งแต่เล็กก็ซุกซน ข้ามองนางเหมือนแม่นางน้อยที่ไม่รู้ความ แต่คิดไม่ถึงว่า วันที่ในเรือนเจอปัญหา คนที่ก้าวออกมาแบกรับและออกความเห็นจะเป็นนาง เห็นชัดว่าข้าใส่ใจนางไม่มากพอ ขณะที่ข้ายังไม่ทันรู้ตัว นางก็ได้เติบโตขึ้นแล้ว เฮ้อ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นแบบนี้ ข้าคงให้นางเล่าเรียนเขียนอ่านให้มากหน่อย ไม่แน่นางอาจกลายเป็นยอดคนผู้หนึ่งเลยก็ได้! 

เผยเยี่ยนอดคิดถึงภาพที่อวี้ถังกัดขาหมูที่อยู่ในมือไม่ได้

คนเช่นนางนั้น ต่อให้เล่าเรียนมากกว่านี้ ก็คงเปลี่ยนไม่ได้สักเท่าไรกระมัง?

เขาลอบกระตุกมุมปากยิ้มในใจ ดวงหน้ากลับไม่แสดงออก  ข้าคิดว่าทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าสอนนาง ตอนนี้ได้มาฟังที่เจ้าพูด ถึงได้รู้ว่านางเกิดมาก็เป็นเช่นนี้ 

 ไม่ผิด!  อวี้เหวินถอนหายใจ  หากนางเป็นบุรุษได้ก็คงดี เช่นนั้นข้าก็คงไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วงอีก 

เผยเยี่ยนเปลี่ยนไปถามเรื่องงานหมั้นหมายของอวี้ถังทันที  ข้ากลับคิดว่าหลี่จวิ้นผู้นั้นก็ไม่เลว สกุลเจ้าตอนแรกเหตุใดไม่พิจารณาเขาดูบ้าง? แม้พูดว่าแต่งเขยชายเข้าบ้านนั้นดี แต่ข้าเห็นว่าหลานชายของเจ้าก็พึ่งพาได้ไม่เลว น่าจะแบกรับทั้งสองบ้านไหวกระมัง? 

ความนัยของวาจาก็คือ ในเมื่อสกุลอวี้ห่วงบุตรสาวถึงเพียงนี้ ก็ควรคำนึงถึงความสุขชั่วชีวิตของบุตรสาวเป็นที่ตั้ง และไม่ควรจะดึงดันหาเขยชายหรือต้องแต่งออกไปให้จงได้

อวี้เหวินใช่ว่าจะไม่เคยคิดเช่นนั้น เมื่อพูดถึงหัวข้อนี้ขึ้นมา เขาก็สาธยายความในใจออกไปให้เผยเยี่ยนฟัง

 ตอนแรกข้ากับมารดานางก็คิดเอาไว้แบบนั้น  เขาเล่า  บุตรสาวของเราไม่ใช่ว่าต้องอยู่ที่เรือนตลอดไป จะว่าไปแล้ว สกุลหลี่ก็ส่งคนมาขอหมั้นหมายก่อนสกุลเว่ยด้วยซ้ำ แต่บุตรสาวข้าก็พูดไว้แล้ว ต่อให้หลี่จวิ้นดีเพียงใด แต่ไม่มีสามีบ้านไหนที่จะยอมทำให้มารดาต้องลำบากใจเพราะภรรยา ฮูหยินหลี่ผู้นั้น คุณธรรมย่ำแย่ ภรรยาบ้านข้าไปตามสืบมาแล้ว จึงรู้สึกว่าวาจาที่บุตรสาวพูดนั้นก็มีเหตุผล พอดีกับเถ้าแก่ถงเป็นพ่อสื่อให้กับสกุลเว่ย พวกเราก็อยากจะไปเจอตัวสักครั้ง ใครจะคิดว่าเมื่อเจอกันทุกคนต่างก็พึงใจ ถึงได้ตกลงหมั้นหมาย…ไม่คิดว่าสุดท้ายเรื่องนี้กลับย้อนมาทำร้ายพ่อหนุ่มเสี่ยวซาน บุตรสาวข้ารู้สึกไม่สบายใจ ยิ่งไปบังเอิญเจอร่องรอยผิดปกติเข้า ถึงได้ตามสืบมาตลอด อย่างไรก็ไม่ยอมล้มเลิก นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ 

คนที่แม่นางอวี้ถูกใจกลับเป็นเว่ยเสี่ยวซานที่ตายไปแล้วผู้นั้น มิใช่หลี่จวิ้น?

เผยเยี่ยนนึกถึงท่าทีของอวี้ถังในตอนแรกที่ยั่วยวนหลี่จวิ้นตอนอยู่วัดเจาหมิง…หรือเว่ยเสี่ยวซานผู้นั้นจะหล่อเหลามากเป็นพิเศษ?

เขาพยายามเค้นสมองนึกถึงหน้านายท่านเว่ยกับเว่ยเสี่ยวหยวน

มองไม่ออกเลย…

หรือว่านิสัยของเขาจะประเสริฐกว่าใคร? ทำให้นางถูกใจมากยิ่งกว่าหลี่จวิ้นเสียอีก?

เผยเยี่ยนพลันอยากรู้เรื่องเว่ยเสี่ยวซานขึ้นมาทันที

เขาเอ่ยว่า  สรุปแม่นางอวี้มิได้ชอบพอคนสกุลหลี่ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องแต่งเขยชายเข้าเรือน? 

เพราะว่าฮูหยินหลี่ไม่ได้เป็นเพียงมารดาของหลี่จวิ้น แต่ยังเป็นมารดาของหลี่ตวนด้วย

อวี้เหวินพยักหน้า เอ่ยอย่างไม่ปิดบังซ่อนเร้นอีก  หลักๆ ก็เพราะไม่ชอบคนสกุลหลี่ 

เผยเยี่ยนนึกถึงสายตาร้อนแรงที่หลี่ตวนใช้มองอวี้ถัง หน้าผากพลันมีเหงื่อซึมออกมา

ดูท่าแล้วคงเป็นหลี่ตวนที่ชอบพอแม่นางอวี้อยู่ฝ่ายเดียว

เขาเอ่ยว่า  งานแต่งของแม่นางอวี้ เจ้าตัดสินใจให้นางเลือกเองอย่างนั้นรึ? 

ต่อให้อวี้เหวินคิดเช่นนั้นจริง แต่ก็ไม่กล้ายอมรับออกมาตรงๆ!

หากว่ายอมรับออกมา ว่างานแต่งของเด็กๆ สกุลอวี้ล้วนแต่ตามใจเจ้าตัว เช่นนั้นสกุลอวี้ของเขาจะเป็นเช่นไรในสายตาผู้อื่นเล่า?

 เพราะสกุลอวี้ของเรามีสมาชิกอยู่น้อย  อวี้เหวินพูดกล้อมแกล้ม  ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายข้าหรือตัวข้าเอง ล้วนหวังให้พวกเด็กๆ มีความสุข การแต่งงานเป็นการเชื่อมไมตรีระหว่างสองสกุล ไม่อาจให้กลายเป็นคู่เวรคู่กรรมไปได้ พวกเด็กๆ หากว่าชอบพอถูกใจใคร อย่างไรก็ดีกว่าแตงที่ฝืนเด็ดจากต้น[1]ท่านว่าถูกหรือไม่? 

เผยเยี่ยนไม่คิดเช่นนั้น

บิดาเขาตอนแรกก็มิใช่เพราะคิดเช่นนั้นหรือ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นงานแต่งของพี่ชายคนโตหรือคนรอง ล้วนแต่ต้องผ่านการดูตัวก่อนทั้งสิ้น ผลสุดท้ายพี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่นั้นรักใคร่กลมกลืนกันดี แต่สกุลเขากับสกุลหยางจนบัดนี้ก็ยังเป็นเหมือนคู่แค้นกันอยู่

เห็นได้ว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจากคนเป็นเหตุ

แล้วทำไมแม่นางอวี้ต้องเพ่งเล็งไปที่หลี่ตวนด้วย?

ฟังจากน้ำเสียงของอวี้เหวิน แม่นางอวี้ดูจะเข้าใจนิสัยของหลี่ตวนเป็นอย่างดี

หากเผยเยี่ยนไม่ถามให้กระจ่าง เขาจะรู้สึกติดค้างในใจ

เขาเอ่ยขึ้นว่า  หากว่าเว่ยเสี่ยวซานยังอยู่ งานแต่งของแม่นางอวี้ก็คงไม่กลายเป็นเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ 

 ถูกต้องแล้ว  อวี้เหวินคิดว่าเรื่องงานแต่งของอวี้ถังคงไม่อาจเก็บเป็นความลับต่อได้อีก ถึงได้เล่าว่า  สกุลเว่ยช่างเป็นสกุลที่เปี่ยมคุณธรรมอย่างหาได้ยาก  เขาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นหลังเว่ยเสี่ยวซานตายให้เผยเยี่ยนฟัง ทั้งยังบอกว่า  นี่ก็เป็นวาสนาของสองสกุลเรา แม้บุตรสาวกับสกุลเว่ยไม่อาจลงเอยกันได้ แต่ญาติผู้พี่ของนางได้หมั้นหมายกับบุตรสาวบุญธรรมของสกุลเว่ยแล้ว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าก็จะตบแต่งกัน ถึงเวลานั้นก็ขอเชิญนายท่านสามไปดื่มสุรามงคลด้วย 

เผยเยี่ยนชะงักไป

สกุลอวี้นับว่ายินดีต้อนรับสกุลเว่ยนัก บุตรสาวบุตรชายตนเองแต่งไม่สำเร็จ แต่ก็ยังขอผูกญาติกันด้วยหนทางอื่นอยู่ดี

ลิ้นกับฟันยังต้องกระทบกระทั่งกันเลย มีเรื่องรักใคร่ปรองดองอย่างสมบูรณ์เสียที่ไหน

นี่ก็เพราะเว่ยเสี่ยวซานไม่อยู่แล้ว ความทรงจำที่งดงามที่สุดจึงหยุดลง ณ เวลาที่สวยงามที่สุดนี้

หากว่าเว่ยเสี่ยวซานยังอยู่ สกุลอวี้กับสกุลเว่ยอาจจะผิดใจกันด้วยเรื่องจำนวนสินสอดทองหมั้นที่ใช้แต่งเขยชายเข้าสกุลก็เป็นได้ จนเกิดเป็นความร้าวฉานในที่สุด

เผยเยี่ยนลอบดูถูกสกุลอวี้อยู่ในใจ เอ่ยอย่างขอไปทีว่า  ถึงเวลานั้นต้องไปร่วมยินดีแน่ 

ตอนนั้นเผยเยี่ยนคงยังไม่ออกจากการไว้ทุกข์ แล้วจะไปดื่มสุรามงคลได้อย่างไร

อวี้เหวินทั้งที่รู้ว่าเผยเยี่ยนพูดไปตามมารยาท แต่เมื่อเห็นเขารับปากอย่างเปิดเผยเช่นนั้น ในใจก็ยังรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ดี ความประทับใจที่มีต่อเผยเยี่ยนจึงเพิ่มพูนขึ้น ตอนที่สนทนากันจึงไม่ได้ระวังตัวอีก ถึงขนาดเอ่ยถึงเรื่องงานแต่งงานอวี้ถัง  หากว่านายท่านสามรู้จักใครที่ไม่เลว ก็ช่วยแนะนำบุตรสาวของข้าบ้างนะขอรับ 

เขากลัวว่าพอเกิดเรื่องวันนี้ขึ้น งานแต่งของอวี้ถังก็คงจะลำบากยากเข็ญขึ้นกว่าเดิม

เถ้าแก่ใหญ่ถงเป็นเพียงเถ้าแก่ที่พอมีหน้ามีตาของสกุลเผย ยังรู้จักสกุลที่ดีอย่างสกุลเว่ยได้ อาศัยเส้นสายของนายท่านสามแล้ว ย่อมรู้จักสกุลอื่นที่ดียิ่งกว่าอีกมากมายแน่

 ขอเพียงเป็นเด็กดี ก็ไม่จำกัดว่าต้องแต่งเข้าหรือแต่งออกแล้ว  เขายังจงใจกำชับเสริมอีกประโยคหนึ่ง

เผยเยี่ยนพลันตะลึงพรึงเพริดไป

ชีวิตนี้เขาถูกขอร้องด้วยเรื่องนานับประการ แต่การขอให้เป็นพ่อสื่อพ่อชัก นี่นับว่าเป็นครั้งแรก

เผยเยี่ยนมองสำรวจอวี้เหวินซ้ำอีกครั้ง

เขาคงไม่ได้คิดจะให้ตนเป็นพ่อสื่อให้แม่นางอวี้จริงๆ กระมัง

อวี้เหวินกลับคิดเป็นจริงจังตามนั้น ทั้งยังแจกแจงกำลังทรัพย์ในเรือนให้เผยเยี่ยนฟังเสร็จสรรพ หวังว่าเขาจะเป็นพ่อสื่อที่ดีหาสกุลที่เหมาะสมให้กับอวี้ถังได้

เขาเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า  เรือนข้านั้นแต่เดิมก็พอจะมีทรัพย์สินอยู่บ้าง เป็นเพราะข้า เลือกคบสหายไม่ระวังถึงได้ถูกหลอกเข้า จนต้องควักเงินเก็บออกมาใช้จนหมด 

อวี้เหวินเล่าเรื่องที่ตนซื้อภาพวาดคัดลอกผืนนั้นให้เผยเยี่ยนฟังอย่างละเอียด

 เดี๋ยวก่อน!  เผยเยี่ยนได้ฟังก็เงียบไปพักใหญ่ พอได้สติถึงรีบเอ่ยแทรกวาจาเยิ่นเย้อของอวี้เหวิน  เจ้าบอกว่า เจ้าซื้อภาพวาดคัดลอกมา แล้วเป็นแม่นางอวี้ที่ช่วยเจ้าเก็บกวาดเรื่องยุ่งเหยิงอย่างนั้นรึ?! 

สิ่งใดเรียกว่าเรื่องยุ่งเหยิง!

อวี้เหวินไม่ค่อยพอใจคำพูดของเผยเยี่ยนนัก แต่ติดที่ว่าต้องเห็นแก่หน้าเขาหลายส่วน ถึงไม่ได้แสดงท่าทีออกมา ได้แต่ตอบกลับอย่างอดทนว่า  มิใช่เรื่องยุ่งเหยิงหรอก เป็นเพราะข้าไม่ทันสังเกตดูให้ดี ถูกสหายหลอกเข้า… 

นั่นยังมิใช่เรื่องยุ่งเหยิงอีกรึ!

เผยเยี่ยนไม่ได้สนใจพฤติกรรมแปะทองที่หน้าตัวเอง[2]ของอวี้เหวิน สายตาเขายากจะกลบความประหลาดใจได้  ดังนั้นแล้ว หากตอนนั้นมิใช่แม่นางอวี้ที่ไล่ตามเงินกลับมา เงินที่เจ้าต้องใช้หาหมอและซื้อยาให้ภรรยาก็คงไม่มีแล้ว? 

เมื่ออวี้เหวินได้ฟังวาจาเช่นนี้ของเผยเยี่ยน ก็หวนนึกไปถึงสถานการณ์ในตอนนั้น ก่อนที่ดวงหน้าจะพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ตอบอย่างปากแข็งว่า  ก็คงไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ก็แค่ในเรือนอาจจะขัดสนนิดหน่อย… 

ตอนนั้นเขาเข้าใจแม่นางอวี้ผิดไปจริงๆ ด้วย

เขาคิดว่านางอยากจะหาเงินสักสองสามตำลึงถึงได้ไปแกล้งหลอกที่โรงจำนำ

มิใช่ แก่นหลักของเรื่องนั้นถูกต้องแล้ว แม่นางอวี้คิดจะไปแกล้งหลอกจริง แต่การหลอกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนกับหลอกเพื่อหาทางช่วยชีวิตมารดาของตนนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

เผยเยี่ยนนึกถึงการพบกันของเขากับแม่นางอวี้ที่ถนนฉางซิ่ง

ทั้งวาจาเหล่านั้นที่เขาใช้ตำหนิอวี้ถังอีก

สำหรับแม่นางน้อยผู้หนึ่งแล้ว นับว่าค่อนข้างรุนแรงไปจริงๆ

เผยเยี่ยนอดจะกระสับกระส่ายไม่ได้

เขายืดหลังตรง ก่อนจะดื่มชาคำหนึ่ง ความกระวนกระวายในใจไม่อาจเลือนหาย กลับคล้ายจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะเมื่อนึกได้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบอวี้ถังไม่เคยคิดจะอธิบายอะไรให้เขาฟังเลยสักครั้ง ซ้ำไม่เคยกล่าวโทษเขาสักคำหนึ่ง

ทว่าเขากลับหลงลืมไป อวี้ถังมิใช่ไม่เคยคิดจะอธิบายให้เขาฟัง และไม่ใช่ว่านางไม่เคยกล่าวโทษเขามาก่อน เพียงแต่นางยังไม่ทันได้เปิดปาก เขาก็ดึงหน้าตึงไปก่อนแล้ว อวี้ถังจึงไม่มีโอกาสจะพูดเท่านั้นเอง

——————————-

 

เหล่าคหบดีคิดได้ว่าเมื่อครู่เผยเยี่ยนก็ออกตัวปกป้องสกุลอวี้อย่างชัดเจน พอได้ยินเผยเยี่ยนรั้งตัวอวี้เหวินไว้เพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว สายตาที่มองอวี้เหวินจึงเจือกระแสอิจฉาอยู่หลายส่วน

เป็นดังคำที่ว่าไว้ ฮ่องเต้องค์ใดย่อมใช้ขุนนางชุดนั้น[1] ทั้งคนในสกุลและสถานที่ก็เช่นเดียวกัน ใครได้กุมอำนาจ ย่อมจะเลือกใช้ไม่กี่คนที่ตนรู้จัก คุ้นเคยหรือว่าชื่นชม เผยเยี่ยนเพิ่งจะมารับหน้าที่ผู้นำสกุล ทั้งยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จึงไม่ได้มีงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต บวกกับแต่ก่อนเขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง ซ้ำไม่ใช่บุตรคนแรก พี่ชายคนโตของเผยเยี่ยนยังเป็นผู้เพียบพร้อมทั้งคุณธรรมและความสามารถ ใครต่างก็คาดไม่ถึงว่าตำแหน่งผู้นำสกุลจะมาตกที่เผยเยี่ยนได้ ผลสุดท้ายจึงไม่มีใครสนิทสนมกับเผยเยี่ยน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการไปมาหาสู่ บัดนี้แต่ละคนต่างพยายามทุกทางเพื่อหาวิธีเข้าใกล้และพูดคุยกับเขา ทว่าจู่ๆ อวี้เหวินกลับได้รับโอกาสนั้นไป ใครบ้างจะไม่สะเทือนใจเล่า?

โดยเฉพาะนายท่านอู๋ เขาเป็นเพื่อนบ้านของสกุลอวี้ ครั้งนี้ก็เสนอตัวเข้ามาช่วยเหลือสกุลอวี้ไว้ไม่น้อย ทั้งแต่ไรก็เป็นคนมีไหวพริบเฉลียวฉลาด ได้ยินดังนั้นก็ผลักหลังอวี้เหวินทันที แล้วกระซิบบอกเขาเสียงเบาว่า  ข้ากับนายท่านเว่ยจะพาพวกเด็กๆ ไปรอเจ้าด้านนอก เจ้ามีเรื่องอะไรก็ส่งสัญญาณแล้วกัน 

อวี้เหวินกลับมีแต่หมอกปกคลุมเต็มหน้า

ก่อนหน้านี้ด้วยเรื่องรักษาอาการป่วยของภรรยาเขาพยายามเข้าหาเผยเยี่ยนเพื่อกล่าวขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนคร้านจะสนใจเขา บัดนี้เขาคิดได้แล้วว่ามิตรไมตรีระหว่างวิญญูชนก็บางเบาดั่งสายน้ำ แต่เผยเยี่ยนกลับมารั้งตัวเขาไว้ต่อหน้าคนมากมายเสียนี่

เขาไม่คิดว่าเผยเยี่ยนกำลังแสดงไมตรีต่อเขา แต่คงเพราะต้องการสอบถามเรื่องบางอย่างระหว่างสกุลอวี้กับสกุลหลี่มากกว่า?

เป็นเพราะเรื่องนี้นับแต่สืบสวนจนถึงตามจับคน แม้แต่การเชิญให้เผยเยี่ยนมาเป็นคนกลางตัดสินล้วนเป็นความคิดของอวี้ถังทั้งสิ้น เขาจึงอดจะหันไปมองอวี้ถังทีหนึ่งไม่ได้

อวี้ถังก็ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนจะมาไม้ไหนอีก แต่เขารั้งตัวบิดาของนางไว้พูดคุยต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ตามหลักแล้วพวกนางย่อมไม่อาจหักหน้าเผยเยี่ยนได้

นางได้แต่กระซิบบอกบิดา  ขอเพียงไม่ขัดแย้งกับเรื่องเมื่อครู่ ท่านก็ตอบรับไปเถิดเจ้าค่ะ นายท่านสามนับว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงต่อสกุลเรา 

อย่างอื่นไม่พูดถึง ทุกๆ เดือนก็ต้องอาศัยท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถึงจะได้ฟังคำว่ามารดาปลอดภัยจากปากหยางโต่วซิง!

อวี้เหวินขบคิด วิญญูชนนั้นไม่มีเรื่องใดที่พูดคุยอย่างเปิดเผยมิได้อยู่แล้ว หาได้มีสิ่งใดต้องกลัวไม่ เมื่อคิดได้เช่นนี้ใจก็ผ่อนคลายลง หันไปกล่าวขอบคุณทุกคนที่มาร่วมเป็นพยานด้วยรอยยิ้ม แล้วกำชับกับอวี้ถังและอวี้หย่วนว่า  อย่าวิ่งไปทั่ว  ก่อนจะหันไปกระซิบกับนายท่านเว่ยและนายท่านอู๋เป็นทำนองว่า  รอข้าออกมาก่อน  จากนั้นก็รั้งตัวอยู่ที่เรือนรับรอง

เผยเยี่ยนคอยสังเกตท่าทีของพ่อลูกสกุลอวี้อยู่ตลอด เห็นว่าแค่เขารั้งตัวอวี้เหวินไว้พูดคุย อวี้เหวินยังต้องมองหน้าบุตรสาวทีหนึ่ง ในใจเขาเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ แต่นิสัยเขาก็เป็นเช่นนี้ หากมีสิ่งที่เขาไม่เข้าใจ ก็ต้องซักถามให้กระจ่าง ไม่ว่าพ่อลูกสกุลอวี้จะมีอะไรปิดบังอยู่ เขาไม่มีทางปล่อยผ่านไปง่ายๆ แน่

เขาสั่งต่อว่า  เชิญนายท่านอู๋กับนายท่านเว่ยไปดื่มชารอที่โถงบุปผาข้างๆ ก่อน พวกเราคุยกันไม่นานก็เสร็จแล้ว 

ประโยคสุดท้าย เผยเยี่ยนหันมาบอกกับพวกอวี้ถัง

นายท่านอู๋กำลังกลัดกลุ้มที่ไม่อาจหาโอกาสคุยกับเผยเยี่ยนได้ ได้ยินดังนั้นก็เหมือนกับคนที่สัปหงกง่วงนอนอยู่แล้วจู่ๆ ก็มีหมอนยื่นมาให้ ด้วยกลัวว่าพวกอวี้ถังกับนายท่านเว่ยจะไม่รู้หนักเบา โยนทิ้งโอกาสไปง่ายๆ ไม่รอให้นายท่านเว่ยเปิดปาก ก็รีบหันไปประสานมือคารวะเผยเยี่ยน พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า  เช่นนั้นก็รบกวนนายท่านสามแล้ว 

เผยเยี่ยนพยักหน้ารับน้อยๆ

นายท่านอู๋ลากแขนนายท่านเว่ยออกจากเรือนรับรองไป

แต่ว่านอกเรือนรับรองมีทั้งสะพานข้ามธารน้ำเล็กๆ ภูเขาจำลองซับซ้อนหลายลูก รอบด้านโอบล้อมด้วยทิวทัศน์นานา พลันทำให้คนไม่อาจแยกเยอะเหนือใต้ออกตก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโถงบุปผาที่เผยเยี่ยนเอ่ยถึง

บ่าวรับใช้ที่นำทางเม้มปากกลั้นยิ้ม เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ขาดความเคารพว่า  นายท่านทั้งสองโปรดตามข้ามาทางนี้ขอรับ 

 อ้อ! อ้อ!  นายท่านเว่ยส่งเสียงตอบ พลางจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ คิดว่าคงไม่มีใครเห็นเรื่องน่าอายของตนเมื่อครู่ ถึงได้เดินนำหน้าทุกคนออกไป บ่าวรับใช้พาพวกเขาเดินผ่านระเบียงยาวสีแดงที่แสนจะคดเคี้ยว ผ่านกำแพงดอกไม้ จนมาถึงด้านหน้าโถงบุปผาที่บานประตูสี่ด้านฝังกระจกหลากสีเอาไว้

 สวรรค์!  นายท่านอู๋เห็นแล้วก็ตาโตทันที  นี่ นี่ต้องใช้เงินเท่าใดกัน?  พูดจบ ก็รู้ตัวว่าตนเสียมารยาทอีกครั้ง จึงเร่งร้อนอธิบายต่อนายท่านเว่ยว่า  กระจกหลากสีเช่นนี้ข้าก็เคยเห็นอยู่ ตอนนั้นที่จวนขุนนางในเมืองหลวง ครั้งก่อนข้ามาจวนสกุลเผยตรงนี้คล้ายจะกรุด้วยผ้าแพรอยู่เลย บัดนี้เปลี่ยนเป็นกระจกหลากสีเสียแล้วรึ พื้นที่แค่ตารางฉื่อเดียวก็ต้องใช้เงินห้าสิบตำลึงแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขนาดใหญ่โตเช่นนี้ เกรงว่าแค่มีเงินอย่างเดียวคงจะหาซื้อไม่ได้ ดูใหญ่โตหรูหรากว่าจวนขุนนางในเมืองหลวงอยู่อักโขทีเดียว! 

นายท่านเว่ยไม่ได้สนใจวาจาพร่ำเพรื่อของนายท่านอู๋ เขายังรู้สึกเป็นห่วงอวี้เหวินอยู่ แต่เพราะถูกบานประตูกระจกหลากสีตรงหน้าทำเอาตื่นตะลึง สายตาได้แต่จดจ้องบานประตู ส่วนปากก็พึมพำออกมาว่า  นี่ช่างงดงามเหลือเกิน! ทั่วทั้งเมืองหลินอันคงมีแค่ที่เดียวกระมัง? ดูภาพวาดด้านบนนั่นสิ ใช่ภาพสี่ชั่งเหมยเซา[2]หรือไม่? ทั้งยังปิดทองคำเปลวอีกด้วย แล้วปิดลงไปได้อย่างไรเล่านั่น? งานฝีมือเช่นนี้ เป็นของชาวนอกทะเลหรือไม่? ข้าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกเลยเชียว 

อวี้ถัง อวี้หย่วน รวมถึงเว่ยเสี่ยวหยวนต่างก็ถูกประตูกระจกทำเอาตะลึงตะลานไปแล้ว

อวี้หย่วนกับเว่ยเสี่ยวหยวนก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก อวี้ถังนั้นอดคิดถึงเรื่องเมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้

หลังจากที่สกุลหลี่ทำการค้าทางทะเลจนร่ำรวย ก็เคยเปลี่ยนบานประตูโถงบุปผามาเป็นกระจกหลากสีเช่นนี้ ทว่าโถงบุปผาของสกุลหลี่ไม่เหมือนเช่นสกุลเผย โถงบุปผาของสกุลหลี่ฝังกระจกเพียงด้านหน้าแปดบาน แต่ของสกุลเผยนี้ ไม่เพียงสี่ด้านที่เป็นบานประตู ทั้งทิศตะวันตกและทิศตะวันออกมีฝั่งละสิบสองบาน ทิศเหนือและทิศใต้มีฝั่งละยี่สิบแปดบาน…บานประตูของสกุลหลี่มีภาพสี่สุภาพบุรุษเเห่งมวลบุปผาคือ ดอกเหมย ดอกกล้วยไม้ ต้นไผ่ และดอกเบญจมาศ แต่บานประตูของสกุลเผยกลับซับซ้อนกว่านั้นมากนัก นอกจากมวลบุปผา ส่วนมากก็จะเป็นเหล่าสกุณา นกยูง และนกกระเรียนขาวเป็นส่วนใหญ่ พวกขนนกนั้น ล้วนวาดออกมาอย่างประณีต งดงามสูงค่า เมื่อแสงสาดมากระทบ ก็เกิดเป็นประกายระยิบระยับ ราวกับสมบัติล้ำค่าเลยทีเดียว

บานประตูของสกุลหลี่นั้น เห็นชัดว่าวาดเสือไม่เหมือน กลับคล้ายหมามากกว่า[3]

แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่คนสกุลหลินก็มักจะพูดกับแขกที่มาเยือนอย่างภูมิใจนักหนาว่า  นำเข้ามาจากนอกทะเลโน้น แพงกว่าทองคำเสียอีก ยังต้องหาช่างผู้เชี่ยวชาญมาทำโดยเฉพาะ ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะได้เห็นภาพสตรีนอกทะเลที่ผมเหลืองตาเขียวแทน ช่างอัปลักษณ์เหลือเกิน 

บานประตูเหล่านี้ของสกุลเผยก็คงสั่งทำเป็นพิเศษเช่นเดียวกัน จากนั้นก็ขนส่งข้ามทะเลกลับมา!

เช่นนั้นเวลานี้สกุลเผยก็คงเริ่มมีการติดต่อและไปมาหาสู่กับพวกพ่อค้าทางทะเลแล้ว

อย่างน้อย สกุลเผยก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของพวกพ่อค้าเหล่านั้น

อวี้ถังอดจะประหลาดใจไม่ได้

บ่าวรับใช้ที่นำทางเพิ่งเคยเห็นแขกผู้มาเยือนแสดงสีหน้าตื่นตกใจเช่นนี้เป็นครั้งแรก

เขาปล่อยให้บรรดาแขกพิจารณาบานประตูตามใจชอบ ก่อนจะเอ่ยปากด้วยความภาคภูมิใจว่า  สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นนายท่านสามที่นำกลับมาแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่าขอรับ หลังจากที่ท่านผู้เฒ่าจากไป นายท่านสามคิดจะเปลี่ยนบานประตูเหล่านี้เป็นบานกระจกขาวล้วน แต่ท่านแม่เฒ่าพูดแล้วว่า ท่านผู้เฒ่าตอนที่มีชีวิตก็ชอบมานั่งเล่นกับครอบครัวและสหายที่โถงนี้เป็นที่สุด หากว่านายท่านสามอยากแสดงความกตัญญู ก็สมควรรักษาสิ่งที่ท่านผู้เฒ่าชื่นชอบเอาไว้   พูดถึงตรงนี้ บ่าวรับใช้ผู้นั้นก็คล้ายนึกถึงเรื่องราวในตอนนั้นออก เขาหลุดหัวเราะ ‘พรืด’ ออกมาแล้วเอ่ยต่อ  นายท่านสามยังบอกอีกว่า ในเมื่อท่านผู้เฒ่าชมชอบเพียงนี้ ก็ฝังไปเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่าเลยยิ่งดี ท่านแม่เฒ่าไม่เห็นด้วย บอกว่านายท่านสามกำลังท้าทายท่านผู้เฒ่าอยู่ ทั้งๆ ที่ท่านผู้เฒ่าชอบโอ้อวดต่อญาติๆ และสหายว่าบานประตูเหล่านี้เป็นสิ่งที่นายท่านสามนำมาแสดงความกตัญญูต่อเขา นายท่านสามก็ยังจะฉีกหน้าท่านผู้เฒ่าเสียให้ได้ ภายหลังเป็นนายท่านรองที่ออกหน้าเป็นคนตัดสิน แล้วให้เก็บบานประตูพวกนี้ไว้ตามเดิม 

นายท่านอู๋หัวเราะเหอะๆ แล้วชวนบ่าวรับใช้คุยไปเรื่อยเปื่อยว่า  ถูกต้อง ถูกต้อง หากข้ามีบุตรชายเช่นนี้สักคน แขกมาทีหนึ่งก็คงโอ้อวดไปทีหนึ่งเช่นกัน ทว่า นายท่านสามช่างมือเติบเหลือเกิน แค่โถงบุปผาห้องหนึ่ง คงต้องสิ้นเปลืองไม่น้อยเลยทีเดียว? 

 ขอรับ!  บ่าวรับใช้ผู้นี้หาใช่ต้อนรับแขกเหรื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรก เมื่อเชิญพวกเขาเข้าโถงบุปผาแล้วก็รีบชี้ฝ้าเพดานให้ดูอย่างคล่องแคล่ว  พวกท่านดูสิขอรับ โคมไฟก็เป็นกระจกสี พอตกกลางคืนแล้วจุดเทียนไข ภาพนั้นยังงดงามยิ่งกว่าพลุดอกไม้ไฟเสียอีก แล้วพวกท่านลองดูบนชั้นวางของสิขอรับ งาช้างนั้นยาวกว่าสองลำแขนคน ยากจะได้เห็นบ่อยๆ นี่ก็คือสิ่งที่นายท่านสามแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้เฒ่า ยังมีแปดสัญลักษณ์มงคลทางด้านโน้น มิใช่อย่างที่เห็นในวัดนะขอรับ ล้วนนำเข้ามาจากนอกทะเลทั้งสิ้น 

นายท่านเว่ยยังไม่เท่าไร แต่นายท่านอู๋นั้นเป็นพ่อค้า พลันได้กลิ่นสิ่งของที่ต่างออกไปทันที

เขาแสร้งถามบ่าวรับใช้คนนั้นอย่างไม่ใส่ใจว่า  ของหายากเช่นนี้ นายท่านสามของเจ้าไปหามาจากไหนหรือ? 

บ่าวรับใช้ยืดอกอย่างภาคภูมิใจ  ย่อมขนมาจากเมืองหลวงขอรับ ศิษย์พี่รองของนายท่านสามเป็นเก๋อเหล่า[4]คนปัจจุบัน นายท่านสามเองก็เป็นศิษย์สายตรงของเจ้ากรมจาง ต่างมีสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเหล่าศิษย์พี่ นายท่านสามอยากจะหาของแปลกหายากสักชิ้น เพียงแค่ขยับปากเล็กน้อยก็ได้แล้ว พวกคนในเมืองหลวงที่ทำการค้าทางทะเลคนไหนบ้างจะไม่รีบส่งของมาให้นายท่านสามเล่าขอรับ!  พูดถึงตรงนี้ เขาก็ถอนหายใจเฮือก  ก็ไม่แปลกที่นายท่านสามจะกลับมาอยู่ที่นี่แล้วไม่คุ้นชิน ผู้ที่เคยผ่านการใช้ชีวิตอย่างหรูหรามาก่อน พอกลับมาอยู่เมืองอย่างเช่นหลินอันนี้ย่อมปรับตัวไม่ทันเป็นธรรมดา ดังนั้นท่านแม่เฒ่าจึงพูดติดปากอยู่เสมอว่านายท่านสามเป็นคนกตัญญู ก่อนที่ท่านผู้เฒ่าจะสิ้นก็ทิ้งธุระกองโตไว้ให้นายท่านสามจัดการ นายท่านสามแม้ปากบอกไม่เต็มใจ แต่ก็ลาออกจากราชการ แล้วกลับมาทำหน้าที่ผู้นำสกุลนะขอรับ 

มิใช่ว่าอยู่ในช่วงไว้ทุกข์หรือ? เหตุใดเปลี่ยนเป็นลาออกจากราชการได้เล่า?

นายท่านอู๋อดเอ่ยปากไม่ได้ว่า  นายท่านสามของเจ้าจะไม่กลับไปรับราชการแล้วรึ? 

บ่าวรับใช้กล่าวยิ้มๆ ว่า  สกุลเผยมีกฎบ้านเขียนเอาไว้ ผู้รับตำแหน่งผู้นำสกุลต้องอยู่ที่จวนคอยดูแลธุระต่างๆ ไม่อนุญาตให้ออกไปรับราชการข้างนอกขอรับ 

ทุกคนต่างตะลึงงัน แม้จะประหลาดใจแต่ก็เริ่มคล้อยตามไปด้วย

สกุลใหญ่ๆ หลายสกุลล้วนเป็นเช่นนี้ เมื่อนั่งตำแหน่งผู้นำสกุลก็ต้องรั้งตัวคอยดูแลกิจการอยู่ที่จวน ไม่อาจรับราชการด้านนอกอีก แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจ คือการให้นายท่านสามที่แสนเก่งกาจและอายุยังน้อยเป็นผู้มารับช่วงต่อ นี่ออกจะน่าเสียดายไปหน่อยกระมัง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เสียงซุบซิบนินทาด้านนอกนั่นก็ฟังดูไม่ค่อยเข้าทีแล้ว

ตำแหน่งผู้นำสกุลย่อมสำคัญ แต่หากสามารถเดินบนเส้นทางขุนนางได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทิ้งชื่อไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ นี่มิใช่เป็นการพิสูจน์คุณค่าของตนได้ดีกว่าการเป็นผู้นำสกุลที่คอยเฝ้ากิจการหรอกหรือ?

เผยเยี่ยนได้เป็นผู้นำสกุลเผย แต่เขาก็ต้องเสียสละบางสิ่ง นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

อวี้ถังคล้ายถูกบางอย่างพุ่งเข้าชนใส่ศีรษะ ความคิดหลายอย่างทะลักเข้ามาไม่หยุด ชั่วขณะหนึ่งพลันจับไม่ได้เลยว่าตนเองกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

ชาติก่อน เผยเยี่ยนไม่ได้กลับไปรับราชการอีก นางคิดว่าสมด้วยเหตุและผลแล้ว แต่บัดนี้มาลองคิดดู กลับเห็นว่ามีบางอย่างให้ความรู้สึกแปลกออกไป

แม้ท่านผู้เฒ่าดูแล้วคล้ายจะลำเอียงไปหาเผยเยี่ยน แต่นี่เป็นการตัดอนาคตขุนนางของเขา ทั้งบ้านใหญ่ทางนั้น ที่ดูเหมือนต้องสูญเสียตำแหน่งผู้นำสกุลไป ทว่าคุณชายทั้งสองคนก็ยังเข้าร่วมสอบเคอจวี่ได้อย่างอิสระ รับราชการเป็นขุนนางได้สมดังใจ ส่วนนายท่านรอง ฟังจากข่าวลือว่าเขาเป็นคนไร้ความสามารถที่สุดในบรรดาพี่น้อง เหตุใดจึงไม่ให้เขารั้งตัวอยู่เพื่อคอยดูแลกิจการเสียเล่า?

บ้านใหญ่กับบ้านรองดูเหมือนได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม แต่ผู้ที่ถูกขังไว้กับจวนจริงๆ คือนายท่านสามเผยเยี่ยน อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงว่า ลูกหลานรุ่นหลังของเผยเยี่ยนอาจจะถูกขังไว้ในเมืองหลินอันเท่านั้น

ในสมองของอวี้ถังพลันปรากฏดวงหน้าของเผยเยี่ยนที่มักจะเจือความเย็นชาถึงขั้นอึมครึมเอาไว้อยู่เสมอ

หรือเพราะด้วยเหตุนี้ เขาถึงไม่ค่อยมีความสุขนัก?

หัวใจของอวี้ถังเต้นไม่เป็นจังหวะ เหมือนว่าตนเองได้แอบเห็นอะไรบางอย่างเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ

————————————————————-

[1]ฮ่องเต้องค์ใดย่อมใช้ขุนนางชุดนั้น เป็นสำนวนหมายถึง ใครขึ้นมาครองความเป็นใหญ่ ย่อมจะเปลี่ยนมาใช้คนของตนเอง

[2]สี่ชั่งเหมยเซา เป็นภาพวาดที่มีรูปดอกเหมยและนกสาลิกา แสดงถึงความยินดีปรีดา มักมอบให้เพื่อเป็นคำอวยพรแก่ผู้รับ

[3]วาดเสือไม่เหมือน กลับคล้ายหมา เป็นสำนวน เปรียบถึงการเลียนแบบในสิ่งที่ไกลเกินกว่าความสามารถของตน กลับดูไม่จืดแทน

[4]เก๋อเหล่า เป็นชื่อที่ใช้เรียกมหาบัณฑิตของหอเน่ยเก๋อซึ่งเป็นระบบราชการในสมัยนั้น มีอำนาจเหนือหกกรม

 

อวี้ถังยืนนิ่งอยู่กับที่ สายตาเย็นเยียบมองหลี่ตวนที่เพิ่งได้สติกลับมา พยายามแก้ไขความผิดของตัวเองอย่างอุตลุด  น้องรอง ต่อให้ต้องไปขอโทษสกุลอวี้แทนท่านแม่ ก็สมควรเป็นพี่ชายคนนี้ที่ออกหน้า เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยุ่ง ข้าจะจัดการให้เรียบร้อยเอง 

พูดจบ เขาก็หันไปประสานมือคารวะให้เผยเยี่ยน ปู่สิบสอง อวี้เหวินและนายท่านเว่ยคนละหนึ่งที เอ่ยปากด้วยท่าทางและน้ำเสียงจริงใจว่า  แม่นางอวี้พูดมีเหตุผล เป็นข้าที่จัดการเรื่องราวอย่างไม่เป็นกลาง คิดถึงแต่ความลำบากของสกุลตนเพียงฝ่ายเดียว แต่ไม่เคยคำนึงถึงมุมของแม่นางอวี้มาก่อน พวกท่านคิดว่าเช่นนี้ได้หรือไม่ ข้าจะทำบุญอุทิศให้คุณชายรองสกุลเว่ยที่วัดเจาหมิงสามวัน จากนั้นก็ไปขอโทษสกุลอวี้แทนท่านแม่ของข้า! 

เขามองพวกอวี้เหวินอย่างรอคอยคำตอบ

อวี้ถังได้ฟังกลับแสยะยิ้มในใจ

ตอนที่ทะเลาะกับนางรู้สึกว่าการขอโทษเป็นเรื่องน่าอับอาย รอจนหลี่จวิ้นออกความเห็นหลี่ตวนกลับฉวยโอกาสเอาความดีเข้าตัว ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน!

ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ต่างกระจ่างแจ้งแก่ใจดีว่า พวกนางสกุลอวี้ต้องลำบากยากเย็นเพียงใดกว่าจะได้รับคำขอโทษจากสกุลหลี่ แต่คนนอกที่รอดูความครึกครื้นกลับไม่มีใครรับรู้ เวลานั้นคงเห็นเพียงหลี่ตวนคุกเข่าร้องขอการอภัยจากสกุลอวี้อยู่ที่หน้าประตู คงคิดว่าเขามีคุณธรรมสูงส่ง กตัญญูต่อมารดา รู้ว่าสกุลของตนทำเรื่องผิดๆ ก็ยังมาขอรับโทษด้วยความจริงใจ!

นางทำอะไรไปตั้งมากมาย หรือว่าเพียงเพื่อให้หลี่ตวนมาเด็ดลูกท้อได้ชื่อเสียงดีงามไปในตอนจบอย่างนั้นรึ?!

ต่อให้ต้องไปคุกเข่าที่หน้าเรือนนาง ก็ต้องให้หลี่จวิ้นเป็นคนคุกเข่าถึงจะถูก

หลี่ตวนยังเป็นสุนัขที่ชอบกินอุจจาระ[1]เหมือนเดิม ชาติก่อนก็ทำเรื่องทำนองนี้มานับไม่ถ้วน

อวี้ถังก้าวออกไปข้างหน้า คิดจะคัดค้าน แต่กลับถูกบิดาดึงเอาไว้เสียก่อน

ก่อนหน้านี้ที่อวี้เหวินยินยอมให้อวี้ถังออกหน้า เพราะเขาไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่อวี้ถังจะทำ อีกอย่าง อวี้ถังมีความแค้นในใจ เขาอยากให้นางได้ระบายมันออกมา ไม่ต้องอัดอั้นเก็บกดเอาไว้ ต่อไปมีแต่จะกลายเป็นโรคทางใจเสียเปล่าๆ

บัดนี้ เรื่องราวได้จบลงแล้ว เขาไม่อยากให้บุตรสาวต้องออกหน้าออกตาอีก

หากว่าเพราะเหตุนี้ต้องทำให้คหบดีทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ต้องมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อบุตรสาวของตน ต่อให้สกุลอวี้ของพวกเขาจะทำให้สกุลหลี่ลำบากเพียงใด ลงโทษสกุลหลี่อย่างไร ก็ไม่เพียงพอจะกู้คืนชื่อเสียงที่เสียหายไปของบุตรสาวกลับมาได้

อวี้ถึงนั้น แม้จะพูดอยู่บ่อยๆ ว่าไม่ไยดี บอกว่าหากลงมือแล้วก็ต้องทำอย่างเด็ดขาด แต่เขาก็ปวดใจแทนบุตรสาว กลัวว่านางจะเป็นอะไรไป เขาไม่กล้าเอานางไปเสี่ยงแน่

 อาถัง!  อวี้เหวินทำหน้าเคร่งขรึมแล้วเอ่ยเสียงเบากับนาง  เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องยื่นมือเข้ามายุ่งแล้ว เจ้าต้องฟังข้า มีเรื่องอันใด ข้าจะเป็นคนคุยกับสกุลหลี่เอง นับแต่นี้ เจ้าไปยืนนิ่งๆ เป็นเด็กดีอยู่หลังอาหย่วนเสีย เหมือนกับตอนที่เจ้าเพิ่งจะเข้ามา เจ้าฟังเข้าใจแล้วหรือไม่? 

หายากนักที่บิดาจะใช้คำพูดนุ่มนวลเช่นนี้กับนาง อวี้ถังเข้าใจการตัดสินใจของบิดาทันที

แต่ในใจนางก็ยังรู้สึกไม่เป็นธรรม

 ท่านพ่อเจ้าคะ  นางเรียกบิดาเสียงเบา  ต้องใช้เรื่องอกตัญญูเล่นงานเขาให้ได้ ไม่ควรปล่อยเขาไปเด็ดขาด 

 ข้ารู้แล้ว  หากบอกว่าแต่ก่อนอวี้เหวินรู้สึกชื่นชมหลี่ตวนมากเพียงใด ตอนนี้ก็รู้สึกผิดหวังมากเพียงนั้น

หลี่อี้ไม่อยู่ที่จวน หลี่ตวนก็เป็นบุตรชายคนโตที่ดูแลสกุลได้ หากจะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ที่สกุลหลี่กระทำไม่มีความเกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่กระผีก ใครจะไปเชื่อลงกัน แต่หลี่ตวนทางหนึ่งทำเรื่องเลวๆ ทางหนึ่งก็อยากล้างมลทินให้สะอาด ต่อให้เป็นพวกแม่นางหอโคมเขียว ก็คงมีไม่กี่คนที่กล้าทำเช่นนี้

หลี่ตวน ก็แค่วิญญูชนจอมปลอมผู้หนึ่งเท่านั้น

อวี้เหวินตบไหล่อวี้ถังราวจะปลอบโยนนาง แล้วดันนางไปอยู่เบื้องหล้ง ก่อนจะประสานมือคารวะพวกของเผยเยี่ยนทีละคน  เรื่องเกิดย่อมมีเหตุ แต่ไม่จำเป็นต้องเหมารวมโดยไม่รู้แบ่งแยก การตายของคุณชายสกุลเว่ยคือประเด็นสำคัญ และเป็นเหตุผลหลักที่พวกเรามาที่นี่ในวันนี้ ส่วนเรื่องที่จะไปขอโทษขอโพยสกุลอวี้ เป็นแค่เรื่องรองเท่านั้น ทว่า ใครเป็นคนก่อเรื่องย่อมต้องเป็นคนเก็บกวาด ในเมื่อเรื่องลักพาตัวมีคุณชายรองสกุลหลี่เป็นผู้ใจร้อนอยากครอบครองหงส์จนก่อเรื่องขึ้น เช่นนั้นก็ให้คุณชายรองสกุลหลี่เป็นผู้แก้ปัญหาเถิด! 

ความหมายก็คือ ให้หลี่จวิ้นเป็นคนไปขอขมาสกุลอวี้

อวี้เหวินพูดเอาไว้อย่างชัดเจนเด็ดขาด ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ล้วนมีแต่คนเฉลียวฉลาด ได้ฟังแล้วก็ไม่ต้องอธิบายคำใดอีก

ซึ่งก็ตรงกับใจของเผยเยี่ยนพอดี

สกุลหลี่กล้าเลี้ยงผู้ลี้ภัยเอาไว้มากมายในถิ่นของสกุลเผย ไม่เพียงไร้ความสามารถปิดเรื่องให้มิดชิด ทั้งยังทำเหมือนพวกเขาเป็นคนโง่เง่า จึงต้องให้บทเรียนกับสกุลหลี่เสียบ้าง

แล้วจะสั่งสอนสกุลหลี่อย่างไรดีเล่า?

เช่นนั้นก็เริ่มจากบุตรชายคนโตสกุลหลี่ที่มีชีวิตรุ่งเรืองดั่งใจเป็นคนแรกก็แล้วกัน!

เผยเยี่ยนเอ่ยขึ้นหลังดื่มชาไปคำหนึ่ง  นายท่านอวี้พูดจามีเหตุผล คนวัยหนุ่มสาว ใครบ้างไม่เคยทำผิด แต่เมื่อผิดแล้วยังรู้จักแก้ รู้จักรับผิดชอบ ย่อมเป็นเรื่องที่ประเสริฐสุดแล้ว คุณชายรองสกุลหลี่มีความกล้าหาญและตระหนักรู้เพียงนี้ พวกเราที่เป็นผู้อาวุโส ไม่เพียงต้องปกป้องทั้งยังต้องส่งเสริมด้วย เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้แล้วกัน 

หลี่ตวนย่อมไม่พอใจแน่ เขากำลังจะเปิดปากพูด แต่ก็ไม่อาจห้ามน้องชายแสนโง่งมของตนได้

หลี่จวิ้นซาบซึ้งจนตาแดงก่ำ เดินขึ้นไปเบื้องหน้าอย่างนอบน้อมแล้วประสานมือก้มตัวต่ำคารวะเผยเยี่ยน ตอนที่เงยหน้าขึ้นมาสายตาก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่  นายท่านสาม ปู่สิบสอง ท่านอาเหอ ข้า ข้าต่อไปจะระวังกิริยาให้ดี ประพฤติตนให้ถูกต้อง จะไม่ก่อเรื่องเช่นนี้ให้เหล่าผู้อาวุโสต้องกังวลใจอีก 

ปู่สิบสองซึ่งเป็นบ้านสายตรงของสกุลหลี่ก็เป็นคนปราดเปรื่อง มิเช่นนั้นตั้งแต่เข้าประตูมาก็คงไม่ทำตัวเหมือนคนใบ้ เห็นหลี่จวิ้นทำให้หลี่ตวนต้องหน้าม้านไปทีหนึ่ง ก็รู้สึกว่ามองหลี่จวิ้นแล้วสบายตาขึ้นเป็นกอง น้ำเสียงที่เอ่ยต่อเขาจึงนุ่มนวลมีเมตตากว่าปกติ  เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกกังวลไปหรอก นายท่านสามพูดถูกต้องแล้ว ตอนเป็นหนุ่มสาวใครบ้างไม่เคยทำผิด รู้จักแก้ไขให้ถูกเป็นใช้ได้  จากนั้นก็หันไปพูดกับอวี้เหวินและนายท่านเว่ยเป็นเชิงช่วยหลี่จวิ้นว่า  ท่านทั้งสองว่าใช่หรือไม่เล่า? 

เรื่องนี้เป็นเรื่องของสกุลอวี้ ในเมื่ออวี้เหวินออกปากแล้ว นายท่านเว่ยยังจะพูดอะไรได้อีก?

เขาพยักหน้าหงึกหงัก แล้วถือโอกาสส่งเสริมอวี้เหวิน  เจตนารมณ์ของนายท่านอวี้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อทุกท่านคิดเห็นไปในทางเดียวกัน ก็เหมือนกับที่นายท่านสามพูด เรื่องนี้ก็ให้ตกลงตามนี้เถอะ 

นายท่านอู๋มองแล้วกลับส่ายศีรษะในใจ

คุณชายรองสกุลหลี่ผู้นี้ นับว่าเถรตรงซื่อสัตย์ เป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นทีเดียว

 สมควรยิ่งแล้ว สมควรยิ่งแล้ว!  เหล่าคหบดีชนบทที่นั่งอยู่ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งมีบางคนอยากประจบเผยเยี่ยน จึงหันไปกำชับหลี่จวิ้นว่า  เรื่องนี้เจ้าต้องขอบคุณนายท่านสามให้มากเชียวล่ะ นายท่านสามชมชอบผู้มีความสามารถ ถึงได้ยอมปกป้องเจ้าเช่นนี้ ต่อไปเจ้าต้องอยู่ในกรอบที่ถูกต้องดีงาม อย่าได้ทำลายความหวังดีของนายท่านสามล่ะ 

หลี่จวิ้นเอ่ยรับคำไม่หยุดปาก

หน้าผากของหลี่ตวนกลับมีเส้นเลือดปูดขึ้น แทบทนไม่ไหว อยากจะจับน้องชายของตนเองโยนออกไป

ตั้งแต่เล็กเขาก็รู้ว่าหลี่จวิ้นนั้นโง่เง่า แต่ไม่คิดว่าจะโง่เง่าถึงขั้นนี้

ไม่ได้ กลับไปเขาต้องบอกเรื่องนี้กับบิดา ให้บิดาพาหลี่จวิ้นติดตามไปด้วย อย่าทิ้งไว้ที่เรือนคอยสร้างความวุ่นวายให้เขา

หลี่ตวนคิดเอาไว้เป็นมั่นเหมาะเป็นเหมาะ ในใจจึงเริ่มรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยินอวี้เหวินพูดว่า  เรื่องขอโทษจบไปแล้ว แต่คุณชายรองสกุลเว่ยไม่ควรจะตายจากไปเช่นนี้ พวกเราควรจะหารือกันหน่อยหรือไม่ว่าจะลงโทษฆาตกรอย่างไร? 

ทุกคนพากันชะงัก ต่างสบตากันไปมา

เรื่องนี้ยังไม่จบอีกหรอกรึ?

แล้วพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่มิใช่ยอมเป็นแกะดำให้สกุลหลี่แล้วหรือไร?

สกุลอวี้ยังต้องการสิ่งใดอีก?

นายท่านอู๋กับสกุลอวี้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ทั้งเป็นอวี้เหวินที่เชิญเขามา แม้เขาเองก็ไม่รู้ว่าอวี้เหวินคิดจะทำอะไร แต่นี่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่เขาจะออกหน้าช่วยเหลือสกุลอวี้อีกแรง

เขากล่าวว่า  หลี่ฮุ่ย เจ้ามีคำพูดอะไรก็พูดออกมาต่อหน้านายท่านสามเสีย เรื่องใดๆ ล้วนแต่หารือได้ทั้งสิ้น! เหมือนเรื่องขอขมาเมื่อครู่นี้ สุดท้ายพวกเราก็เห็นพ้องต้องกัน ว่าให้คุณชายรองสกุลหลี่เป็นคนขอโทษแทนฮูหยินหลี่มิใช่หรือ? 

หลี่ตวนได้ฟังก็อดจะลอบกัดฟันไม่ได้

นี่พวกเขารวมหัวกันอย่างนั้นหรือ?

คหบดีพวกนี้ ทำเช่นนี้เพื่อที่จะสอพลอนายท่านสามช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน

ทั้งๆ ที่ดูจากอายุก็แทบจะเป็นบิดาของเผยเยี่ยนได้แล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ทำเป็นเรียกนายท่านสามอย่างโน้น นายท่านสามอย่างนี้ คงอดใจแทบตายไม่ให้เผลอเรียกเผยเยี่ยนว่า ‘น้องชาย’ กระมัง

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หลี่ตวนก็เริ่มไม่สบอารมณ์

เมื่อไรกันหนอ ที่เขาจะเป็นอย่างเผยเยี่ยนได้ เดินไปทางใดก็มีแต่คนนับหน้าถือตาเป็นผู้อาวุโส ยกย่องให้เป็นผู้น่าเคารพ…

อวี้เหวินรอคำนี้อยู่พอดี จึงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า  ผู้ลี้ภัยสองคนกับพ่อบ้านใหญ่ของสกุลหลี่ส่งตัวให้ทางการลงโทษตามระเบียบ นี่ก็เป็นกฎหมายที่ประชาชนอย่างข้าสมควรยืดถือปฏิบัติ แต่อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเพราะสกุลหลี่บกพร่องเรื่องการคุมบริวาร จนทำให้พ่อบ้านใหญ่ทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ หากไม่ลงโทษให้เข็ดหลาบ ยากจะรับประกันว่าจะไม่มีคนแบบพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่โผล่ขึ้นมาอีก ตามความคิดข้า นอกจากจะลงโทษพ่อบ้านใหญ่แล้ว ครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่กับเหล่าสตรีทั้งหมดก็สมควรถูกขับไล่ออกจากเรือน เพื่อเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดูถึงจะถูก 

มุมปากของหลี่ตวนแทบจะบิดเบี้ยวด้วยความโมโห

ทุกคนต่างรู้กันว่าพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่เป็นแพะรับบาปแทนเจ้านาย ยังไม่พูดถึงว่าเจ้านายไม่เพียงรักษาชีวิตเขาไว้ไม่ได้ กระทั่งญาติพี่น้องของเขาก็ปกป้องไม่ได้ด้วยซ้ำ เช่นนี้ต่อไปใครจะกล้ารับใช้พวกเขาสกุลหลี่อีก!

นี่จะต่างอะไรกับการให้มารดาของเขาไปโขกศีรษะขอขมาสกุลอวี้เล่า!

สกุลอวี้จะรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว

คิดจริงๆ หรือว่าสกุลหลี่ของพวกเขาจะเกรงกลัวสกุลอวี้?

คำว่า ‘ไม่ได้’ รออยู่ที่ปากแล้ว ทว่าหูของหลี่ตวนกลับได้ยินเสียงเย็นชาชัดเจนของเผยเยี่ยนดังขึ้น  ใช้ได้! หนึ่งคนทำผิด ทั้งสกุลต้องถูกลงโทษ บ้านเมืองเราก็มีกฎ จะได้ตักเตือนพวกไม่รู้จักรักษาระเบียบไปในตัวด้วย ต่อให้รัชทายาทกระทำผิด ก็ต้องรับโทษทัณฑ์เช่นเดียวชาวบ้าน ใครก็ไม่อาจได้รับการยกเว้น 

 นายท่านสาม!  สีหน้าของหลี่ตวนดำทะมึนเหมือนก้นหม้อ  เรื่องนี้ควรต้องพูดคุย… 

เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดจบ คนที่ยืนเป็นเงาอยู่ข้างหลังหลี่เหอผู้เป็นบิดามาตั้งแต่ต้นก็เดินออกมากล่าวตำหนิหลี่ตวนว่า  ยังไม่หุบปากอีก! ที่นายท่านสามฟังเจ้าพูด ก็เพราะเขามีจิตใจกว้างขวาง เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้น้อย เจ้าอย่าได้ไม่รู้หนักเบา ไม่เห็นหัวผู้หลักผู้ใหญ่ เรื่องนี้มีพวกเราบ้านสายตรงตกลงรับปากแทนเจ้าแล้ว เจ้าถอยออกไปเสีย ไม่ต้องพูดจาเหลวไหลอีก 

 ท่านอาเหอ  หลี่ตวนย่อมไม่เห็นหลี่เหออยู่ในสายตา เขาพูดด้วยเสียงอันดังว่า  คนพวกนั้นเป็นบ่าวรับใช้ที่จวนข้ามาตั้งกี่รุ่นแล้ว เหตุใดไม่ถามดีชั่วก็ไล่คนออกไปจากจวนเสียเล่า… 

หลี่เหอรอโอกาสที่หลี่ตวนจะตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้มาตลอด เขาไม่ยอมให้หลี่ตวนเอาตัวรอดไปได้ง่ายๆ

เขาเอ่ยเสียงก้องว่า  หลี่ตวน เจ้าคิดจะข้ามหน้าบ้านสายตรงแล้วทำตามใจตัวเองอย่างนั้นรึ? 

หลี่ตวนอยากจะตอบออกไปทันทีว่า ‘ก็ใช่น่ะสิ’

แต่เขาพูดไม่ได้

สายหลักสายรอง ผู้ใหญ่ผู้น้อย เป็นกฎบ้านที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หากว่าสิ่งนี้ถูกทำลายลง ใต้หล้าคงต้องวุ่นวายแน่

ต่อให้ในใจเขาจะไม่แยแสบ้านสายตรงอะไรนั่น แต่ก็ไม่อาจพูดออกมาดังๆ ได้

หลี่ตวนได้แต่หุบปากอย่างอัดอั้น ในใจก็คำนวณแล้วว่าสกุลเผยไม่มีทางถือรายชื่อไปตรวจนับบ่าวรับใช้ของจวนเขาทีละคนแน่ รอให้ออกไปจากตรงนี้ได้แล้ว เขาต้องคิดหาทางช่วยพ่อบ้านใหญ่ รวมถึงครอบครัวของพ่อบ้านใหญ่ด้วย ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงปะทะกับพวกเขา

ใจเขาถึงเริ่มสงบลงได้

เผยเยี่ยนถือถ้วยน้ำชาอยู่ในมือ เอ่ยเสียงราบเรียบและฟังชัดว่า  ข้าได้รับเกียรติจากเพื่อนบ้านสกุลอวี้และสกุลเว่ย สองสกุล เชิญให้มาเป็นคนกลางตัดสิน ความเห็นของข้าได้แสดงไว้ตรงนี้แล้ว สกุลหลี่จะทำตามหรือไม่…หนึ่งข้ามิใช่ขุนน้ำขุนนาง สองก็มิได้เป็นผู้ตรวจการใดๆ สุดท้ายก็ต้องอยู่ที่สกุลหลี่แล้ว เรื่องวันนี้ก็ขอให้พอเท่านี้เถอะ ข้ายังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ ไม่สะดวกเชิญทุกท่านดื่มสุรา วันนี้ขอไม่รั้งตัวทุกท่านไว้ รอให้พ้นช่วงนี้ไป ค่อยขอเป็นเจ้ามื้อเลี้ยงสุรามื้อใหญ่ ถึงเวลานั้นขอพวกท่านอย่าได้รังเกียจและสละเวลามาร่วมงานด้วย 

นี่คือวาจาส่งแขก

 นายท่านสามเกรงใจเกินไปแล้ว! 

 ต้องมาแน่ ต้องมาแน่! 

 เช่นนั้นเชิญท่านไปพักผ่อนเถิด พวกข้าขอตัวลา! 

ทุกคนต่างทยอยลุกยืนขึ้น

เผยเยี่ยนก็ไม่มีทีท่าเกรงใจใคร เขาลุกยืนขึ้น เพื่อเป็นการส่งแขก

หากเป็นเมื่อก่อนท่านผู้เฒ่าสกุลเผยล้วนแต่ไปส่งทุกคนถึงหน้าประตูด้วยตนเอง

คหบดีชนบทเหล่านี้ไม่ค่อยจะคุ้นเคย แต่เห็นแก่ที่เผยเยี่ยนอายุยังน้อย ทั้งยังเป็นจิ้นซื่อสองป้าย จึงคิดว่านี่ก็สมเหตุสมผลดี

หลังจากอวี้เหวินกับนายท่านเว่ยกล่าวขอบคุณเผยเยี่ยนอย่างเป็นกิจลักษณะแล้ว ก็เดินตามคนอื่นๆ ออกไป ทว่ากลับถูกเผยเยี่ยนเรียกเอาไว้ก่อน  นายท่านอวี้ โปรดอยู่ก่อน ข้ายังมีเรื่องเล็กน้อยอยากขอคำชี้แนะ! 

——————————

 

ใครจะรู้ว่าครั้งนี้อวี้ถังกลับทำให้เผยเยี่ยนผิดหวัง

ชั่วพริบตานางก็คล้ายหัวแข็งดื้อรั้น เริ่มยึดเหตุผลของตัวเองขึ้นมา  เช่นนั้นเรื่องที่พวกเจ้าสั่งอันธพาลมาลักพาตัวข้าจะจัดการอย่างไรล่ะ? หรือเมื่อครู่ที่คุณชายใหญ่สกุลหลี่พูดมาทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก ในสายตาของฮูหยินหลี่ ทำลายความบริสุทธิ์ของคนไม่นับว่าเป็นเรื่องร้ายแรงอะไรอย่างนั้นรึ? 

หลี่ตวนอดทนไม่ไหวอยู่บ้าง

เอาแต่พูดเรื่องพวกนี้มีประโยชน์อันใด? แม้จะบอกว่าสตรีในสกุลทำเรื่องชั่ว คนปกติก็ไม่อาจให้สตรีไปต่อสู้คดีในศาลอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการไปขอโทษที่สกุลอวี้อย่างที่อวี้ถังกล่าวมา สกุลอวี้เสนอคำขอเช่นนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าอยากจะสร้างความลำบากใจให้สกุลพวกเขา

ไม่สิ บางทีอาจจะอยากพูดเงื่อนไขกับเรื่องถัดไปเสียมากกว่า

หลี่ตวนนึกถึงก่อนหน้านั้นยามที่อวี้ถังพูดเช่นนี้ พวกเศรษฐีก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ออกมา ไม่พอใจต่อมารดาของเขา เขาคิดว่าหากให้อวี้ถังพูดเช่นนี้ต่อไป รังแต่จะทำให้ถูกนางจูงจมูก เขาต้องคิดหาวิธีเป็นฝ่ายคุมทิศทาง ชิงนำหน้าก่อนหนึ่งก้าวจึงจะถูก

 คุณหนูอวี้  หลี่ตวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา  ให้มารดาข้าไปโขกศีรษะขอขมาที่หน้าประตูใหญ่พวกเจ้าย่อมเป็นไปไม่ได้ พวกเราดึงดันต่อไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรทั้งนั้น  พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็มองไปทางอวี้เหวิน  นายท่านอวี้ ลองเอาใจเขามาใส่ใจเรา หากผู้ที่ทำผิดเป็นนายหญิงของท่าน ท่านจะยอมให้พวกนางออกหน้ารับโทษหรือไม่? แทนที่พวกเราจะดันทุรังในเรื่องนี้ต่อไป มิสู้ให้นายท่านสามเป็นคนกลาง หารือวิธีชดใช้ที่ทุกคนสามารถยอมรับได้ออกมา ผู้อาวุโสทุกท่าน คิดว่าข้าพูดมีเหตุผลหรือไม่? 

พูดจบ เขาก็คำนับให้แก่พวกเศรษฐีชนบทที่นั่งอยู่ทุกคน

ทุกคนพากันพยักหน้า

อวี้เหวินและนายท่านเว่ยแลกเปลี่ยนสายตากัน ทั้งสองคนเผยท่าทีไม่เต็มใจ แต่กลับจนใจออกมา

อวี้ถังกลับไม่มีท่าทีเยือกเย็นสุขุม ฉลาดว่องไวเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว คล้ายว่าหลังจากอดทนมานาน ในที่สุดก็ควบคุมไม่ไหวอีกต่อไป เผยนิสัยที่แท้จริงออกมา

นางเอ่ยเสียงดัง  ท่านพ่อ เรื่องไม่อาจให้จบไปเช่นนี้ได้ หรือหน้าตาของสกุลหลี่นับเป็นหน้าตา แต่หน้าตาของสกุลอวี้พวกเรากลับไม่ต้องรักษาหรือ? หากวันนี้ท่านไม่ตอบรับให้ฮูหยินหลี่ไปขอขมาที่สกุลพวกเราด้วยตัวเอง ข้าจะโขกศีรษะตายอยู่ที่นี่ อย่างไรผ่านวันนี้ไปเรื่องนี้ก็จะลุกลามใหญ่โตจนรู้ทั่วกัน ข้ามีชีวิตอยู่ต่อมิสู้ตายอย่างขาวสะอาด ภายหลังหลายกี่สิบปีผ่านไปจะได้ไม่ถูกผู้คนติฉินนินทา ไม่เพียงข้า แต่ยังเป็นพวกลูกหลานรุ่นหลังที่คงไม่มีหน้าเงยขึ้นมาเป็นคนเหมือนข้า 

คำพูดนี้กล่าวคล้ายเอาแต่ใจไปบ้าง

เศรษฐีไม่กี่คนพากันหันหน้ามองกัน กลับไม่มีใครออกหน้าขัดขวางแม้แต่คนเดียว

เพราะคำพูดของอวี้ถัง หากตรึกตรองอย่างละเอียดแล้ว ก็มีเหตุผลไม่น้อยเช่นกัน

นี่จะทำอย่างไรได้?

สายตาของทุกคนอดมองไปยังทางเผยเยี่ยนไม่ได้

เผยเยี่ยนเผยแววตาสงสัยมองวาบผ่านอวี้ถังไป

คุณหนูอวี้ผู้นี้เหตุใดจึงชอบทำเรื่องที่ทำให้เขาไม่เข้าใจ ดูไม่ออกอยู่ร่ำไป!

เรื่องในอดีตไม่เอ่ยถึงชั่วคราว พูดแค่เรื่องในวันนี้ก่อน เริ่มจากใช้ความเจ้าเล่ห์ไหวพริบ ครุ่นคิดทุกวิถีทาง รอบคอบทุกย่างก้าว โจมตีหลี่ตวนจนรับมือไม่ทัน พอความได้เปรียบอยู่ตรงหน้า จู่ๆ นางก็คล้ายกับไม่มีแผนอันใด พยายามแต่ให้ตัวเองสะใจโดยไม่สนใจอะไร อยากจะพูดอะไรก็พูดอย่างนั้น เรื่องอื่นๆ ล้วนไม่ใส่ใจ

ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็ไม่เข้ากันอย่างแปลกประหลาด!

ตกลงก่อนหน้านี้เป็นตัวนางจริงๆ? หรือนางในเวลานี้ถึงจะเป็นนิสัยจริงของนางกัน?

เผยเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองยังคงประมาทไป

นี่ก็คือความอึดอัดที่ไม่เข้าใจตัวตนของอีกฝ่าย

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้เขาคงจะทำความเข้าใจกับคุณหนูอวี้ให้มากขึ้นแล้ว

แต่ว่า คุณหนูอวี้เปลี่ยนแปลงไปมาไม่สิ้นสุด แม้เขาจะทำความเข้าใจคุณหนูอวี้เพียงผิวเผิน คาดว่าก็คงไม่รู้ว่าเมื่อพบกันครั้งต่อไปคุณหนูอวี้จะเปลี่ยนแปลงเป็นคนแบบใดอีก

กล่าวสรุปคือ ยังคงเป็นเรื่องธรรมเนียมระหว่างชายหญิง เขาไม่อาจสืบเสาะเรื่องราวคุณหนูอวี้มากไปได้

หลังจากเผยเยี่ยนนึกถึงอวี้ถังที่พบเจอกันหลายครั้ง เขาก็คาดเดาถึงเรื่องพวกนี้ สัญชาตญาณบอกเขาว่า การตัดสินใจก่อนหน้านั้นของเขาดีที่สุด อย่างไรสังเกตให้รอบคอบก่อนค่อยว่ากันเถิด มิเช่นนั้นก็จะเป็นดั่งเมื่อก่อน ทำให้เขาตกในหลุมพรางทันที

เขาดื่มชาหนึ่งคำอย่างไม่รีบร้อน พูดอย่างไม่กระจ่างชัดนัก  คุณหนูอวี้พูดมีเหตุผล แต่ให้ฮูหยินหลี่ไปโขกศีรษะหน้าประตูสกุลอวี้ นี่ก็ไม่เหมาะสมนัก  เขาปัดลูกหนังไปทางบ้านสายตรงสกุลหลี่แทน  ปู่สิบสองสกุลหลี่ ท่านคิดว่าอย่างไร? 

ปู่สิบสองทำตัวราวกับเทียนไข ไม่จุดก็ไม่สว่าง เมื่อได้ฟังก็เอ่ย  พวกเราสกุลหลี่ยึดนายท่านสามเป็นหัวม้า ทั้งหมดล้วนฟังท่านเป็นหลัก 

ลูกหนังถูกผลักกลับไป

เผยเยี่ยนเผยยิ้มเล็กน้อย  ข้าก็เป็นเพียงคนกลางเท่านั้น หากสกุลอวี้และสกุลหลี่ล้วนรู้สึกว่าดีก็เพียงพอแล้ว ในเมื่อสกุลหลี่คิดว่าอย่างไรก็ได้ เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงถามความต้องการของนายท่านอวี้แล้ว 

ใครจะรู้ว่าอวี้ถังไม่รอให้บิดานางเปิดปาก ก็กล่าวอย่างไม่พอใจก่อน  ท่านพ่อ ข้าไม่เห็นด้วย ฮูหยินหลี่ต้องขอขมาให้กับสกุลพวกเรา 

อวี้เหวินอยากจะพูดแต่ก็หยุดเอาไว้

คล้ายกับบิดาที่รักใคร่ตามใจลูกสาวเกินพอดี เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกกลับไม่อาจหักหน้าลูกสาวต่อหน้าสาธารณชน

และหลี่ตวนก็รู้สึกไม่พอใจอยู่ข้างใน

อะไรเรียกว่า ‘สกุลหลี่คิดว่าอย่างไรก็ได้กัน’?

หลี่ตวนรู้สึกว่าเผยเยี่ยนกำลังช่วยสกุลอวี้อย่างเห็นได้ชัด

หรือก่อนหน้านี้สกุลอวี้พูดเป่าหูอะไรให้เผยเยี่ยนฟัง?

หลี่ตวนมองอวี้ถังอย่างโมโห  คุณหนูอวี้ นี่มันคนละเรื่องกัน ขอโทษย่อมได้ แต่ไม่อาจให้มารดาข้าที่เป็นผู้หญิงในเรือนออกหน้าต่อสาธารณชนได้ 

อวี้ถังจ้องกลับไปอย่างไม่เผยความอ่อนแอแม้แต่น้อย  ตามความคิดข้า นี่เป็นเรื่องเดียวกัน ขอโทษ ก็ควรเอาความจริงใจมา 

ทั้งสองคนต่างชักดาบเผชิญหน้ากัน ใครก็ไม่ยอมถอยให้ใคร แม้จะยืนประจันหน้ากัน กลับทำให้คนรู้สึกถึงเปลวไฟลุกช่วงที่สาดส่องไปทั่ว

ไม่ว่าในใจของเศรษฐีที่นั่งอยู่พวกนี้จะเข้าข้างฝ่ายใด ก่อนที่เผยเยี่ยนยังไม่ได้พูด ล้วนไม่อาจเปิดเผยจุดยืนอย่างง่ายๆ เมื่อเผยเยี่ยนไม่ปริปาก พวกเขาก็ทำได้เพียงดูละคร ต่างพากันเงียบกริบทั้งหมด

ชั่วขณะหนึ่ง ห้องโถงใหญ่ต่างตกอยู่ในความเงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด สงบนิ่ง ได้ยินเพียงเสียงสวบสาบของลมที่พัดผ่านใบไม้นอกหน้าต่าง

นายท่านอู๋อดร้อนใจไม่ได้

ในความคิดของเขา เรื่องนี้อวี้ถังทำเกินไปอยู่บ้าง แต่คนที่ทำเกินไปกว่าคืออวี้เหวิน

เด็กๆ ไม่เข้าใจเรื่องราว หรือผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน?

เวลานี้ ควรจะเป็นผู้ใหญ่ที่จัดการเรื่องราวจึงจะถูก

คงไม่อาจปล่อยให้ลูกสาวตัวเองและคุณชายใหญ่สกุลหลี่ปะทะคารมไม่ยอมถอยให้กันต่อไปเช่นนี้หรอกกระมัง?

แม้ว่าจะถอยหนึ่งก้าว ก็ควรต้องมีบันไดขั้นหนึ่ง

นายท่านอู๋ครุ่นคิดว่าตัวเองควรจะออกหน้ารับหน้าที่เป็นคนเลวดีหรือไม่ ปรากฏว่าข้างหูกลับปรากฏเสียงไร้เรี่ยวแรงขึ้นมาอย่างกะทันหัน  อวี้ คุณหนูอวี้ ข้าไปขอขมาที่บ้านพวกเจ้าแทนมารดาข้า เจ้า เจ้าคิดว่าได้หรือไม่? 

ผู้พูดคือหลี่จวิ้นที่แทบจะไร้ตัวตนตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่

สายตาของทุกคนหันไปตามเสียง

หลี่จวิ้นอาจจะคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ภายใต้สายตาที่จ้องมองมา ใบหน้าของเขาซีดขาวยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังหดเกร็งเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ดึงสติขึ้นมา หยัดกายตรงราวกับรวบรวมความกล้า เดินไปข้างหน้าสองก้าว เมื่อมาถึงเบื้องหน้าทุกคน ก็กล่าวเสียงเบาอีกครั้ง  คุณหนูอวี้ถูกลักพาตัว ทั้งหมดล้วนเกิดจากข้า หากพิจารณาดูแล้ว ย่อมเป็นความผิดของข้า มารดารักลูกสุดหัวใจ ข้าไม่กล้าขอให้คุณหนูอวี้อภัยนาง แต่ข้าที่เป็นลูกชาย กลับไม่อาจทนเห็นมารดาตัวเองได้รับการเหยียดหยามโดยไม่ทำอะไรได้ คุณหนูอวี้ ท่านได้โปรดให้ข้าโขกศีรษะขอขมาที่ประตูสกุลท่านแทนมารดาของข้าด้วยเถิด  พูดจบ เขาก็ค้อมคำนับให้อวี้ถัง

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้คำพูดของเขายังเผยความลังเลและขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด แต่ยามนี้ เขาไม่เพียงพูดดังชัดเจน ยังแสดงความกล้าอย่างหนึ่งออกมาอย่างไม่เคยมีมาก่อน

นายท่านอู๋อดชื่นชมหลี่จวิ้นอยู่ในใจไม่ได้

แม้กล่าวว่าก่อนหน้านี้หลี่จวิ้นไม่ปริปากมาโดยตลอด แต่ยามนี้ เขาสามารถยื่นมือออกมา ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่มีใจกตัญญู มีความรับผิดชอบ และยอมแบกรับภาระคนหนึ่ง

นายท่านอู๋ผงกศีรษะไม่หยุด

เศรษฐีคนอื่นส่วนมากก็รู้สึกไม่ต่างจากนายท่านอู๋ เผยยิ้มเล็กน้อยมองหลี่จวิ้น พยักหน้าเบาๆ

อวี้ถังแค่นเสียงอย่างดูแคลน แทบไม่มองหลี่จวิ้นแม้แต่น้อย กลับกันใช้สายตาคมกริบจ้องมองไปที่หลี่ตวน

นางเอ่ยประชดประชัน  หากข้าไม่ตอบรับเล่า? 

ยามที่หลี่จวิ้นลุกออกมา หลี่ตวนก็เกิดใจคล้อยตาม พลันรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดี หนึ่งคือแสดงความจริงใจของสกุลหลี่ สองคือหลี่จวิ้นรับผิดชอบแทนมารดา แบกคำว่า ‘กตัญญู’ เอาไว้ได้ ย่อมสามารถล้างมลทินให้กับชื่อเสียงสกุลหลี่อีกครั้ง

การปฏิเสธของอวี้ถังชักนำด้านโหดเหี้ยมที่เขาควบคุมไว้อยู่นาน ให้ปะทุออกมา

เขาเอ่ยอย่างมีโทสะ  คุณหนูอวี้ ทุกเรื่องที่กระทำ สวรรค์ล้วนเฝ้ามอง เจ้าก็เหลือคุณธรรมให้ตัวเองเสียหน่อยเถิด 

อวี้ถังได้ยินเช่นนั้นกลับเผยความดูแคลน หัวเราะอย่างเยือกเย็นขึ้นมาสองครั้ง  เมื่อครู่ข้าก็อยากพูดประโยคนี้ ทุกเรื่องที่กระทำ สวรรค์ล้วนเฝ้ามอง คุณชายใหญ่สกุลหลี่ ยามที่เจ้าตำหนิข้า อย่าลืมนึกถึงความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตัวเองบ้าง ข้ายังคิดว่าชายหนุ่มในสกุลพวกเจ้าตายไปหมดแล้วเสียอีก แต่ละคนรู้จักเพียงใช้ปาก… 

คำพูดของนางยังไม่ทันจบ หลี่ตวนก็ราวกับถูกฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ เสียงวิ้งดังขึ้นในหัว ดึงสติกลับมาไม่ได้อยู่พักใหญ่

ไฉนเขาจึงนึกไม่ถึงกัน!

เหตุใดเขาจึงไม่ไปขอขมาสกุลอวี้แทนมารดาตัวเองกัน!

ต้องรอให้น้องชายเป็นคนลุกออกมา เมื่อพูดเรื่องถึงความกตัญญูเช่นนี้ เขาจึงเพิ่งมีสติกลับมา

โอรสสวรรค์หลายยุคหลายสมัยล้วนใช้ ‘ความกตัญญู’ ในการปกครองบ้านเมือง ก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธไม่ให้มารดาไปขอโทษสกุลอวี้ย่อมไม่เป็นปัญหาอันใด แต่ถูกหลี่จวิ้นกระโดดออกมาประสมโรงเช่นนี้ การกระทำก่อนหน้านั้นของเขาจึงดูไม่ได้

จากที่ได้ยินมา ยามที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยล่วงลับ เผยเยี่ยนเศร้าโศกเสียใจ ไม่เพียงลาออกจากงานตรงๆ แต่อยู่ในเรือนก็ยังไม่มีสีหน้าดีอันใด เผยเยี่ยนจะมองเขาอย่างไรกัน?

พวกเศรษฐีชนบทที่นั่งอยู่ตรงนี้จะมองเขาอย่างไร?

หลี่ตวนร้อนรนขึ้นมา

เขารีบกวาดสายตาสังเกตโดยรอบ

เผยเยี่ยนนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง คล้ายว่ายังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

ด้านเศรษฐีพวกนั้นกลับเผยสีหน้าแปลกประหลาด

หรือคนพวกนั้นล้วนคิดว่าเขาควรลุกออกมารับผิดชอบแทนมารดาเหมือนหลี่จวิ้นกัน?

หลี่ตวนกระวนกระวายอยู่ในใจ

เขาย้ำเตือนตัวเองซ้ำๆ ใจเย็น ใจเย็นเข้าไว้ ยิ่งเวลานี้ ก็ยิ่งไม่อาจเกิดความผิดพลาด ทั้งไม่อาจพูดคุยทำเรื่องอย่างส่งเดช ถูกคนจับจุดอ่อนอะไรอีก

ด้านเผยเยี่ยน ชั่วพริบตาที่หลี่จวิ้นออกมายืนนั้น ก็มองเห็นคมมีดที่อวี้ถังเผยออกมาแล้ว

ที่แท้นางต้องการให้ร้ายว่าหลี่ตวนไม่รู้คุณ!

กับดักของนางทำขึ้นเพื่อรอหลี่ตวน

คุณหนูอวี้ต้องการจัดการหลี่ตวนให้หมดหนทาง!

ก็ไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้และหลี่ตวนผู้นี้มีเรื่องความแค้นเกี่ยวกับความเป็นความตายอะไรกัน

ยามนี้ เขาไม่อยากรู้ว่าเหตุใดหลี่ตวนจึงโง่เขลาถึงเพียงนี้ ทั้งไม่อยากรู้ว่าเศรษฐีชนบทพวกนั้นคิดอย่างไร เขาเพียงอยากรู้ว่า เรื่องที่วางแผนสกุลหลี่ คุณหนูอวี้จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากมายเท่าใด

ด้านอวี้ถัง มือของนางกำหมัดแน่น

พวกเขาคิดว่านางเพียงอยากให้คนสกุลหลินได้รับความอับอายอย่างนั้นรึ ไม่หรอก เดิมทีนางก็ไม่มีความคิดเช่นนั้น

เพราะนั่นยังห่างไกลอยู่มาก

ความเจ็บปวดทางกาย จะเทียบกับจิตใจที่สิ้นหวังได้อย่างไร

การแก้แค้นของนางเพิ่งจะเริ่มต่างหาก!

—————

 

ปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่อายุล่วงหกสิบปีไปแล้ว ไม่รู้ว่าบำรุงรักษาสุขภาพได้ไม่ดีหรือว่าแก่ชราตามอายุขัย เส้นผมขาวโพลนไปหมด ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ดวงตาทั้งสองข้างขมุกขมัว ราวกับไม้ผุท่อนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะแตกหักยามใด

นับตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้ามาในโถงของสกุลเผยก็หลับตาลงครึ่งหนึ่ง ไม่ได้กล่าวอะไร คล้ายกับเรื่องที่เกิดในห้องโถงไม่เกี่ยวกับเขาโดยสิ้นเชิง

ยามนี้ถูกเผยเยี่ยนเอ่ยถึง เขาจึงค่อยลืมตาขึ้นมา ค้อมตัวอย่างเชื่องช้า  นายท่านสาม ข้านั้นเป็นคนหูตาไม่ค่อยดี ที่พอฟังออกก็คิดว่าไม่เลวแล้ว ยังมีอะไรให้พูดอีก เรื่องนี้ควรจะจัดการอย่างไร ก็ฟังที่หลี่ตวนว่าเถิด! 

ความหมายของคำพูดคือ เขาไม่อาจยุ่งได้ หลี่ตวนจะพูดอย่างไร เขาก็ทำอย่างนั้น

บ้านสายตรงถูกญาติสายรองสร้างความลำบากใจเช่นนี้ ทุกคนต่างนึกไปถึงเรื่องเมื่อครู่ที่นอกจวนสกุลเผย พี่น้องหลี่นำอยู่เบื้องหน้า บ้านสายตรงสกุลหลี่ไล่กระหืดหระหอบตามมาด้านหลัง ในใจอดที่จะรู้สึกอึดอัดอยู่บ้างไม่ได้

ต้องรู้ว่า เศรษฐีที่นั่งอยู่ที่นี่ ส่วนมากต่างก็เป็นบ้านสายตรงของแต่ละสกุล

หลี่ตวนทำเช่นนี้ ย่อมล่วงเกินผลประโยชน์ของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเศรษฐีชนบทล้วนเผยสีหน้าไม่ดีอยู่บ้าง

คิดว่าบ้านหลี่ตวนเพิกเฉยต่อบ้านสายตรงเกินไป

ด้านหลี่ตวนลอบด่าสองพ่อลูกหลี่เหออยู่ในใจ

เพราะว่าบ้านนี้ของพวกเขารุ่งเรืองขึ้นมาอย่างฉับพลัน บ้านสายตรงจึงถูกบดบังมาโดยตลอด ครั้งนี้มาจวนสกุลเผย เดิมทีพวกเขาก็ไม่ได้ส่งข่าวบอกบ้านสายตรง เพราะกลัวว่านอกจากบ้านสายตรงจะไม่ช่วยพวกเขาแล้วยังอาจจะถ่วงแข้งถ่วงขา พวกเขาถึงกระทั่งป้องกันไม่ให้คนไปส่งจดหมายให้บ้านสายตรง ให้คนเฝ้าอยู่ทางบ้านสายตรง เตรียมว่าหากบ้านสายตรงล่วงรู้ ก็ให้พวกเขาหาวิธีขัดขวาง ใครจะรู้ว่าบ้านสายตรงกลับไล่ตามมาในช่วงเวลาสุดท้าย

ไม่รู้ว่าเป็นใครที่ส่งจดหมายรายงานพวกเขา?

บ้านสายตรงก็เป็นดั่งที่เขาคาด ไม่ได้ทำเรื่องดีแต่อย่างใด

หลี่ตวนโมโหอยู่ในใจ ทว่าใบหน้าไม่ปรากฏท่าทีใดแม้แต่น้อย กลับเอ่ยอย่างนอบน้อม  ปู่สิบสองพูดเช่นนี้ ข้าไม่อาจรับไว้ได้หรอก บิดาไม่อยู่ ข้าอายุยังน้อย หากมีจุดไหนที่ทำผิดไป ยังต้องขอให้ปู่สิบสองช่วยตักเตือน ข้าจะกล้าตัดสินใจเองได้อย่างไร? เรื่องนี้ยังคงต้องฟังท่าน 

เขาไม่เชื่อว่าปู่สิบสองจะกล้าแตกหักกับบ้านของพวกเขาในเวลานี้

หากสกุลหลี่ไม่มีบ้านของพวกเขา เรื่องเสียภาษีอะไรนั่น ก็อย่าคิดที่จะได้ประโยชน์เลย

บ้านสายตรงสกุลหลี่ย่อมไม่กล้าแตกหักกับบ้านของหลี่ตวน แม้ในใจพวกเขาจะไม่พอใจต่อบ้านของหลี่ตวน อย่างมากที่สุดก็พูดเหน็บแนมไม่กี่ประโยคเท่านั้น หากไม่สนใจบ้านของหลี่ตวนจริงๆ ไม่เพียงจะเสียภาพลักษณ์ของบ้านสายตรง แต่ยังจะกระทบกับผลประโยชน์ของวงศ์ตระกูล

บ้านสายตรงจึงทำได้เพียงหยุดเท่านี้

ได้ยินหลี่ตวนพูดอย่างนั้น ปู่สิบสองทำได้เพียงยืนขึ้นเอ่ย  แต่ไหนแต่ไรสกุลหลี่ของพวกเราก็เป็นสกุลที่สุจริตเที่ยงธรรม หลายปีมานี้หลี่อวี้ก็นับว่าอบรมสั่งสอนบุตรได้ดี สกุลอวี้และสกุลเว่ยไม่อาจว่าร้ายสกุลหลี่อย่างไร้เหตุผลได้ สกุลหลี่ก็ไม่มีทางสังหารคนเพราะงานแต่งของพวกลูกๆ ได้หรอก จะเห็นได้ว่าประเด็นสำคัญอยู่ที่พ่อบ้านใหญ่ของหลี่ตวนผู้นั้นต่างหาก แม้จะกล่าวว่า ตั้งแต่โบราณมีเรื่องเฉิงอิงช่วยเด็กกำพร้า[1] ทั้งเรื่องที่หลี่ว์ปู้สังหารพ่อบุญธรรม[2] จะเห็นได้ว่าเรื่องในใต้หล้าแห่งนี้ไม่อาจใช้มาตรฐานเดียวกันได้ ส่วนพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่ทำเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะเหตุใด อย่างไรขอนายท่านสาม นายท่านอวี้และนายท่านเว่ยไว้หน้าพวกเราสกุลหลี่สักครั้ง ยามนี้อย่าได้ซักไซ้ไล่เลี่ยต่อ รอข้าเขียนจดหมายให้หลี่อี้ ให้เขามอบคำตอบแก่ทั้งสองสกุลก่อน ทุกท่านคิดว่าเป็นอย่างไร? 

เขาพูดจบ ก็ยืนขึ้นค้อมคำนับให้แก่ทุกคน เอ่ยหนักแน่น  จะชดใช้อย่างไร พวกเราสกุลหลี่ย่อมไม่คัดค้าน 

อย่างไรก็ควรเป็นหลี่อี้ที่ยุ่งยากปวดหัว ไยเขาจะต้องยอมเป็นคนเลวด้วยเล่า

สกุลอวี้และสกุลเว่ยย่อมไม่พอใจ แต่ไม่พอใจแล้วจะอย่างไรได้อีก?

เว้นเสียว่าพ่อบ้านใหญ่ของหลี่ตวนจะสามารถกัดเจ้านาย งับหลี่ตวนหนึ่งคำได้ที่นี่

แต่นั่นเป็นไปไม่ได้

พ่อบ้านของหลี่ตวนยอมรับเรื่องนี้ อาจจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต กลับสามารถปกป้องครอบครัวของตัวเองให้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขในเรือนสกุลหลี่ได้ หากเวลานี้เอ่ยว่าสกุลหลี่บงการอยู่เบื้องหลัง ไม่เพียงเขาจะเอาชีวิตไปทิ้ง แต่ชีวิตของทั้งครอบครัวก็คงรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน

บัญชีนี้ไม่ว่าใครก็สามารถสรุปได้

นี่ก็เป็นเหตุผลว่าเหตุใดอวี้ถังยอมขอเผยเยี่ยนมาตัดสินความ ดีกว่าต้องฟ้องร้องคดีความกับสกุลหลี่

แต่จะให้สกุลอวี้และสกุลเว่ยยอมจบไปเช่นนี้ ก็เป็นไปไม่ได้

อย่างน้อยก่อนจะมา อวี้ถังก็ปรึกษาหารือกับบิดาและพี่ชายอยู่หลายครั้ง หากเรื่องนี้ล่วงเลยมาถึงจุดนี้ พวกเขาควรจะทำอย่างไร เริ่มแรกอวี้เหวินยังลังเลกับความคิดของอวี้ถังอยู่บ้าง ภายหลังปรึกษากับนายท่านเว่ยพ่อลูก พวกเขาล้วนคิดว่าความคิดนี้ของอวี้ถังไม่เลว เขาจึงไม่มีอะไรให้กังวลแล้ว ได้ฟังปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่พูดเช่นนี้ เขาก็แลกเปลี่ยนสายตากับนายท่านเว่ย จากนั้นทั้งสองคนก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกัน โดยมีอวี้เหวินเป็นผู้พูดแทนทั้งสองสกุล  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สกุลอวี้และสกุลเว่ยของพวกเราก็ไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล นายถูกครหาบ่าวสมควรตาย บ่าวทำผิด เจ้านายก็ควรมีความรับผิดชอบ พวกเราหวังว่าสกุลหลี่จะสามารถขอโทษกับพวกเราสองสกุลอย่างจริงจังได้…คุณชายใหญ่สกุลหลี่ใส่ชุดกระสอบไว้ทุกข์ ทำบุญอุทิศให้แก่เว่ยเสี่ยวซานที่วัดเจาหมิงเป็นเวลาสามวัน ส่วนฮูหยินหลี่ให้มาถึงหน้าประตูใหญ่สกุลอวี้ โขกศีรษะสามครั้งให้สกุลอวี้ของพวกเราด้วยตัวเอง 

อะไรนะ?

ทุกคนต่างตกตะลึงพรึงเพริด

หลี่ตวนใบหน้าเขียวคล้ำขึ้นมา ควบคุมความตกใจไว้ เอ่ยเสียงดัง  เจ้าว่าอะไรนะ? 

อวี้เหวินกลับคาดไว้นานแล้ว

ยามที่เขาเพิ่งได้ยินอวี้ถังพูดเช่นนี้ ก็มีปฏิกิริยาเดียวกับทุกคนเช่นกัน คิดว่าเป็นไปไม่ได้

แต่ท้ายที่สุด เรื่องราวยังคงให้เปรียบแก่ทางพวกเขาสกุลอวี้และสกุลเว่ย

เขากล่าวคำขอของสกุลอวี้และสกุลเว่ยซ้ำอีกครั้งอย่างใจเย็น  คุณชายใหญ่สกุลหลี่ใส่ชุดกระสอบไว้ทุกข์ ทำบุญอุทิศให้แก่เว่ยเสี่ยวซานที่วัดเจาหมิงเป็นเวลาสามวัน ด้านฮูหยินหลี่ให้มาถึงหน้าประตูใหญ่สกุลอวี้ โขกศีรษะสามครั้งให้สกุลอวี้ของพวกเราด้วยตัวเอง 

 เป็นไปไม่ได้!  หลี่ตวนกล่าวแทบไม่ต้องคิด แววตาเผยความโกรธเกรี้ยวอย่างปิดไม่มิด

พวกเขาคิดว่าสกุลหลี่อับจนหนทางแล้วจริงๆ หรืออย่างไร?

มิเช่นนั้นเหตุใดสกุลอวี้และสกุลเว่ยไม่ไปแจ้งทางการล่ะ!

เขาเพียงไม่อยากล่วงเกินสกุลเผยเท่านั้น

สกุลอวี้และสกุลเว่ยไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ คาดไม่ถึงว่าคิดจะให้มารดาเขาไปโขกหัวสามครั้งที่หน้าประตูใหญ่สกุลอวี้เพื่อแสดงความขอโทษ!

มารดาเขาเป็นใคร? ภรรยาของขุนนางขั้นสี่ ฮูหยืนของสกุลหลี่ ให้โขกหัวแก่สกุลอวี้ต่อหน้าคนทั้งหลินอัน ภายหลังก็ไม่ต้องเป็นคนแล้ว

เผยเยี่ยนก็ยากจะควบคุมความคิดแปลกๆ ในใจ

เรื่องที่นับว่าทำให้คนอัปยศเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าจะเป็นหญิงสาวในห้องหับที่คิดออกมาได้

คงจะเป็นความคิดของคุณหนูอวี้

ก็ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร

ปฏิบัติธรรมสามวันยังพอว่า แต่ให้ฮูหยินหลี่ขอโทษเช่นนี้ เท่ากับโยนหน้าของสกุลหลี่ให้คนเหยียบที่พื้น คาดว่าสกุลหลี่ยอมจะไปแจ้งทางการ ดีกว่าต้องรับปากเรื่องนี้ แทนที่จะพยายามเรื่องรักษาหน้าตา ยังมิสู้ให้สกุลหลี่จ่ายเงินชดใช้อะไรเสียหน่อยจะยังดีเสียกว่า

เผยเยี่ยนหันไปทางอวี้ถัง

กลับเห็นอวี้ถังยังเผยท่าทีเช่นเคย ราวกับทั้งหมดล้วนอยู่ในความคาดการณ์ของนาง

เผยเยี่ยนอดลูบผีซิวในมือไม่ได้ ลวดลายผีซิวที่นูนเว้าถูกเขาถูไถจนมันเงาขึ้นมา ไม่ถึงกับคมออกมา เพียงถูจนวับวาวเท่านั้น

ช่วงเวลานี้ เขาสงสัยเป็นอย่างยิ่ง อวี้ถังนั้นคิดอย่างไร? ทั้งนางวางแผนจะทำอะไรต่อไป?

อวี้ถังไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง

นางก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว เอ่ยกับหลี่ตวน  เป็นไปไม่ได้? เรื่องใดที่เป็นไปไม่ได้? เหตุใดคุณชายใหญ่สกุลหลี่จึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้? 

เมื่อครู่อวี้ถังดึงดูดความสนใจจากทุกคนแล้ว ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดย่อมหักโค่น อวี้เหวินไม่อยากให้อวี้ถังออกหน้าอีกแล้ว เขากระแอมเบาๆ บอกเป็นนัยให้อวี้ถังไม่ต้องพูด เขาออกหน้าเองก็เพียงพอแล้ว

อวี้ถังกลับคิดว่า เรื่องโต้เถียงเล็กน้อยราวกับซื้อผักผลไม้เช่นนี้ นางออกหน้าจะดีกว่าบิดาออกหน้า ทำให้ทุกคนเห็นว่าหลี่ตวนที่เป็นบัณฑิตสูงส่งผู้นี้คิดเล็กคิดน้อยกับผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอย่างไร

นางยื่นแขนไปด้านหลัง โบกให้บิดา เอ่ยกับหลี่ตวนต่อ  ไม่ยินดีจะขอโทษพวกเราทั้งสองสกุล? หรือคิดว่าเงื่อนไขที่พวกเราเอ่ยออกมารุนแรงเกินไป? พวกเราสองสกุล สกุลหนึ่งเสียลูกชาย อีกสกุลสูญเสียความบริสุทธิ์ หรือนี่ไม่มีค่าพอให้สกุลหลี่ของพวกเจ้าชดใช้ให้กับพวกเรา? 

อวี้เหวินไม่อาจฉีกหน้าอวี้ถังต่อหน้าผู้คน แม้ว่าในใจจะร้อนรน ก็ทำได้เพียงมองอวี้ถังโต้เถียงกับหลี่ตวนเท่านั้น

น้ำเสียงใสกังวานราวกับก้อนหยกกระทบน้ำแข็งของอวี้ถังพาให้หลี่ตวนตื่นตัวในใจ ในที่สุดสติก็กลับคืนมา

เห็นได้ชัดว่าสกุลอวี้มีการเตรียมตัวมาก่อน หากเขาไม่สามารถเผชิญหน้าอย่างใจเย็น อาจจะทำให้ตัวเองตกลงไปในหลุมที่ใหญ่กว่านี้

 คุณหนูอวี้ ข้ามาด้วยใจจริง มาเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งมาเพื่อขอโทษสกุลพวกเจ้า  เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม  ไม่ได้มาเพื่อรับการเหยียดหยามจากเจ้า ให้มารดาข้าโขกหัวขอโทษสกุลอวี้ที่หน้าประตูใหญ่ต่อหน้าชาวบ้านชาวเมือง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องเหลือความเหมาะสมไว้บ้าง พวกเจ้าทำเกินไปหรือไม่! 

อวี้ถังยิ้มเย็น  พูดเช่นนี้ คุณชายใหญ่สกุลหลี่ก็คงคิดว่าสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ ทำบุญอุทิศให้คุณชายรองสกุลเว่ยที่วัดเจาหมิงเป็นเวลาสามวัน ไม่นับว่าเหยียดหยามเจ้าใช่หรือไม่? 

แน่นอนว่าหลี่ตวนไม่ยินดี

แต่เทียบกับเรื่องที่ให้มารดาเขาไปโขกศีรษะแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลนับว่าเขารับได้

ทั้งหากเขาขอโทษแก่สกุลเว่ยอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ คนอื่นก็จะคิดว่าเขาใจกว้างมีเมตตา ยอมฟังความคิดเห็นคนอื่น เกิดจากสกุลใหญ่จึงมีจิตใจที่สูงส่ง นอกจากไม่มีเสียงนินทาครหาเขา ยังจะมีผลดีต่อชื่อเสียงเขาอีกด้วย

หรือนี่จะเป็นเป้าหมายของสกุลอวี้และสกุลเว่ย

เสนอวิธีแก้ไขออกมาสองอย่าง เมื่อลองเทียบกันแล้ว ก็ให้เขาเลือกยอมรับวิธีที่ง่ายกว่าโดยไม่ทันตั้งตัว

สกุลอวี้และสกุลเว่ยเพียงอยากให้เขาสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ให้กับเว่ยเสี่ยวซานเท่านั้นรึ?

เพียงแต่ไม่รู้ว่านี่เป็นความคิดของอวี้เหวินหรือว่าคุณหนูอวี้?

หลี่ตวนพินิจอวี้ถังอย่างละเอียด

ร่างไม่สูงไม่ต่ำ สวมชุดสีเข้มเนื้อหยาบ ไม่เก่ามาก ผมสีดำขลับเรียบลื่น ถูกรวบขึ้นไปด้านบน ม้วนเป็นมวย แต่งตัวครึ่งๆ กลางๆ ไม่ออกหญิงหรือชายเกินไป กระนั้นกลับปกปิดผิวที่ขาวดั่งหิมะไว้ไม่มิด ส่วนเว้าส่วนโค้ง สีหน้าเย็นชาก็ปิดความอ่อนโยนและพริ้มพรายไว้ไม่ได้เช่นกัน

เรื่องนี้คงไม่ใช่ความคิดของนางกระมัง!

หญิงสาวที่งดงามเช่นนางนี้ จะมีความคิดพิเรนทร์มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร

คงจะเป็นบิดาของนางตั้งใจให้นางออกหน้า เพื่อให้ทุกคนสงสารพวกเขาเป็นแน่

หลี่ตวนค่อยรู้สึกสบายใจขึ้นมา เอ่ยอย่างรู้แล้วรู้รอดไป  คุณหนูอวี้ บ่าวสกุลข้าไร้คุณธรรม ให้ข้าสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ให้เว่ยเสี่ยวซานย่อมได้ แต่มารดาในบ้านของข้า ให้นางไปโขกหัวให้พวกเจ้าที่หน้าประตูใหญ่ นี่ย่อมไม่ได้! 

เผยเยี่ยนหูตั้งขึ้นมา

เขาก็คิดว่าให้หลี่ตวนสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์เป็นเป้าหมายของสกุลอวี้และสกุลเว่ยเช่นกัน

ยามนี้เห็นท่า สกุลอวี้จะบรรลุเป้าหมายแล้ว

แต่เขารู้สึกว่า สกุลอวี้ไม่อาจร้องขอเงื่อนไขนี้เพียงอย่างเดียว

ต่อไปก็รอดูว่าอวี้ถังจะเสนอเงื่อนไขแบบใดอีก ทั้งสกุลหลี่จะจัดการรับมืออย่างไร

——————————–

[1]เฉิงอิงช่วยเด็กกำพร้า เป็นเรื่องราวของหมอหลวงที่ช่วยทายาทเพียงคนเดียวขององค์หญิงเอาไว้ ให้รอดพ้นจากการสังหารล้างสกุลโดยถูอั้นกู่(ขุนนางใหญ่ในแคว้นจิ้น) ถึงกระทั่งยอมเสียสละชีวิตลูกตัวเองให้ศัตรูเข้าใจผิดคิดว่าเป็นลูกองค์หญิง นำลูกขององค์หญิงมาเลี้ยงตบตาแทน ทุกคนต่างรังเกียจเขา คิดว่าเขาอยู่ฝ่ายกบฏ ภายหลัง ถูอั้นกู่นำลูกองค์หญิงเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรมเพราะคิดว่าเป็นลูกของหมอหลวง เมื่อลูกขององค์หญิงเติบใหญ่ หมอหลวงก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง เขาจึงสังหารถูอั้นกู่ ล้างแค้นให้กับวงศ์สกุล

[2]หลี่ว์ปู้สังหารพ่อบุญธรรม เป็นเรื่องราวที่หลี่ว์ปู้ทรยศติงหยวน สังหารพ่อบุตรธรรมตัวเอง แปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายต่งจั๋ว

 

อวี้ถังถูกลักพาตัว คนที่ช่วยนางก็คือเผยเยี่ยน ก่อนที่หลี่ตวนจะมา เขาได้ถกเรื่องนี้กับชิงเค่อที่บิดาทิ้งไว้ให้ที่บ้านอย่างละเอียดแล้ว เรื่องลักพาตัวย่อมลบไม่ออก ทั้งจะก่อให้เกิดปัญหาไม่รู้จบ สิ่งสำคัญที่ต้องจัดการในตอนนี้คือไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปฏิเสธเรื่องสังหารเว่ยเสี่ยวซาน มิเช่นนั้นสกุลหลี่ที่เป็นสกุลขุนนาง ก็มีความเป็นไปได้ที่ต้องถูกร้องขอให้ชดใช้ด้วยชีวิต ถึงเวลานั้นใครจะไปเป็นแพะรับบาปกัน?

หลี่ตวนครุ่นคิดเล็กน้อย คิดว่าคำพูดนี้ของอวี้ถังไม่มีปัญหาอะไร กล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม  คุณหนูอวี้ เรื่องนี้สกุลพวกเราทำไม่ถูก เพียงแต่ ‘บิดามารดาล้วนทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ’ อย่างไรขอคุณหนูอวี้อย่าได้คิดเล็กคิดน้อยกับมารดาข้า หากคุณหนูอวี้ยังรู้สึกโมโหไม่อาจสงบจิตสงบใจได้ ข้าก็ยินดีจะชดใช้แทนมารดาให้กับสกุลอวี้และคุณหนูอวี้ 

พูดมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็เดาได้แล้วว่าเขาจะกล่าวอะไร

 ชดใช้ย่อมไม่จำเป็น  นางเอ่ยเรียบนิ่ง  สกุลพวกเราแค่ไม่ได้ตอบรับการสู่ขอของพวกเจ้า มารดาเจ้าก็ทำลายชื่อเสียงข้าเสียแล้ว ทั้งก่อนหน้านั้นมารดาของเจ้ายังเชิญนายหญิงของทังซิ่วไฉมาเป็นแม่สื่อที่บ้านข้าหลายต่อหลายครั้ง กลับถูกสกุลข้าปฏิเสธมาโดยตลอด คาดว่ามารดาเจ้าคงมีโทสะไม่น้อย เพียงแต่ไม่รู้ว่ายามที่มารดาเจ้าทราบว่าสกุลของเราตั้งใจจะเจรจาแต่งงานกับสกุลเว่ย นางคิดอย่างไรกัน? ทั้งทำอะไรลงไปบ้างกันแน่? 

ในที่สุดก็ลากประเด็นเข้ามาในเรื่องของเว่ยเสี่ยวซาน

ทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมีใจคล้อยตาม พากันซุบซิบนินทาขึ้นมา

เดิมทีคิดว่าสกุลหลี่แทบไม่มีแรงจูงใจในการฆ่าเว่ยเสี่ยวซาน แต่ยามนี้ได้ฟังอวี้ถังพูด ก็มีความเป็นไปได้ว่าเป็นฝีมือของฮูหยินหลี่จริงๆ

อวี้ถังพูดไม่ทันจบ ใจหลี่ตวนก็เต้นกระหน่ำ รู้ว่าครั้งนี้ตัวเองถูกอวี้ถังจับจุดอ่อนแล้ว เขามองพวกเศรษฐีชนบทที่เผยสีหน้าเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน รีบกล่าว  คำพูดนี้ของคุณหนูอวี้ไม่ถูกแล้ว แม้มารดาของข้าจะใจร้อนไปอยู่บ้าง กลับไม่อาจกระทำเรื่องฆ่าคนออกมาได้ คุณหนูอวี้จะพูดก็ควรมีหลักฐาน อย่าได้พูดจาส่งเดช 

พูดจบ เขาก็หันไปทางเผยเยี่ยน

ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนยังนั่งหยัดกายตรง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใดที่ข้อศอกซ้ายไปพิงที่เท้าแขนของเก้าอี้ นั่งเล่นผีซิว[1] ที่ทำจากหยกเหอเถียนด้วยสีหน้าสบายๆ อยู่ตรงนั้น มองไม่ออกถึงอารมณ์ใด

หลี่ตวนร้อนใจอยู่บ้าง กลับไม่กล้าเผยพิรุธออกมาทางใบหน้ามากนัก

ด้านอวี้ถังเอ่ยขึ้นมาอย่างเรียบเย็น  เกรงว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่จะกังวลจนลืมคิดไป ชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญเพียงใด ฮูหยินหลี่จะไม่รู้เชียวรึ? เพื่อประโยชน์ส่วนตัวกลับให้อันธพาลพวกนั้นมาลักพาตัวข้า นี่ต่างอะไรกับการฆ่าคนกัน? คุณชายใหญ่สกุลหลี่ไฉนจึงกล้ารับประกันว่า ยามที่มารดาเจ้ารู้ว่าสกุลพวกเราเตรียมจะรับคุณชายรองสกุลเว่ยเป็นลูกเขย ไม่ได้โมโหโกรธเกรี้ยวจนทำเรื่องอย่างที่ลักพาตัวข้าขึ้นมา? 

หลี่ตวนแก้ต่าง  ฆ่าคนกับลักพาตัวจะนำมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร? 

อวี้ถังไล่ต้อนอย่างไม่ลดละ  มีอันใดแตกต่าง? ถูกบงการด้วยคนเหมือนกัน เพื่อบรรลุเป้าประสงค์ล้วนไม่เลือกวิธีการเช่นเดียวกัน สำหรับหญิงแต่งงานที่นั่งในเรือนอย่างสงบเสงี่ยมแล้ว ปกติอาจจะได้ยินคนอื่นพูดคุยเรื่องความบริสุทธิ์ของหญิงสาว กลับไม่แน่ว่าจะสามารถเห็นการฆ่าคนด้วยตาตัวเอง เกรงว่าสำหรับฮูหยินหลี่แล้ว การทำลายความบริสุทธิ์คนอื่นคงสามารถสั่นสะเทือนจิตใจผู้คนยิ่งกว่าการฆ่าคนกระมัง! หรือข้ากล่าวไม่ถูก? ไม่ก็ฮูหยินหลี่คิดว่าความบริสุทธิ์ของหญิงสาวไม่สำคัญ? 

คำพูดของนางราวกับน้ำที่หยดบนน้ำมันร้อน พาให้น้ำมันแตกกระเซ็นไปทั่ว

เศรษฐีชนบทพวกนั้นพากันวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นมา  ความบริสุทธิ์ของหญิงสาวย่อมสำคัญกว่าความเป็นความตาย! 

 แม้ว่าฮูหยินหลี่จะหุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่ ก็ไม่ควรทำถึงขนาดนี้! 

 มิผิด มิผิด เรื่องนี้ทำเกินไปแล้ว 

หลี่ตวนเหงื่อชื้นเต็มหน้าผาก เอ่ยอย่างเร่งรีบ  คุณหนูอวี้ มารดาข้าย่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้… 

 ไม่ได้หมายความเช่นนี้?  อวี้ถังไม่ยอมเลิกราง่ายๆ สกุลหลี่กล้าทำถึงขนาดนี้ วันนี้นางก็กล้าโยนความผิดให้ฮูหยินหลี่เช่นกัน ให้ทุกคนรู้ทั่วกันว่า ฮูหยินหลี่ไม่ใช่คนดีอะไร  ไม่ได้หมายความเช่นนี้กลับกล้าลักพาตัวข้า หากตั้งใจขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่ว่าคงจะฆ่าคนแล้วกระมัง? 

หลี่ตวนถูกอวี้ถังไล่ต้อนจนมุม อับจนหนทาง ทำได้เพียงขอร้องกับเผยเยี่ยน

 นายท่านสาม  เขาประสานมือไปทางเผยเยี่ยน  อย่างไรขอท่านช่วยพูดหน่อยเถิด เรื่องลักพาตัวคุณหนูอวี้ สกุลพวกเราทำไม่ถูกจริงๆ แต่วันนี้พวกเรามาพูดเรื่องคุณชายรองสกุลเว่ยถูกสังหาร หากคุณหนูอวี้ไม่พอใจ รอเรื่องนี้จบแล้ว ข้าจะไปขอโทษขอโพยกับคุณหนูอวี้ที่สกุลอวี้อีกครั้งตามลำพัง 

 ขอโทษตามลำพังย่อมไม่จำเป็น  อวี้ถังไม่รอให้เผยเยี่ยนพูด ก็เอ่ยก่อน  คาดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่จะมีฝีปากสำบัดสำนวนดีเช่นนี้ พวกเราพูดเรื่องตะวันออก เจ้าก็พูดเรื่องตะวันตก ก็ดี เรื่องลักพาตัวข้า พวกเราค่อยพูดภายหลัง ยามนี้ พวกเรามาพูดเรื่องคุณชายรองสกุลเว่ยถูกทำร้าย 

ขณะที่พูด นางก็ชี้ไปยังคนลี้ภัยสองคนนั้น  พวกเรานำตัวพยานบุคคลมา เจ้าบอกว่าพวกเราใส่ร้ายสกุลพวกเจ้า สกุลพวกเจ้าไม่มีแรงจูงใจในการสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย ข้าก็ชี้ให้เห็นถึงสาเหตุที่สกุลพวกเจ้าสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย เจ้าจะให้ข้านำหลักฐานออกมาอีก เดี๋ยวก็วกมาพูดว่าสกุลพวกเจ้ามีเหตุผล ข้ากลับอยากถามเสียหน่อย ในสายตาสกุลหลี่ของพวกเจ้า พยานบุคคลอย่างไรที่สกุลหลี่พวกเจ้าจะยอมรับ? แล้วหลักฐานแบบใดที่สกุลหลี่พวกเจ้าจะยอมเชื่อ? พวกเราจะได้ค้นหาตามความต้องการของคุณชายใหญ่สกุลหลี่ คุณชายใหญ่สกุลหลี่จะได้ไม่เหยียบจมูกขึ้นหน้า[2] ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมรับเช่นนี้ 

เผยเยี่ยนลูบผีซิวที่เพิ่งแกะออกมาจากเอวเมื่อครู่

เขารู้ว่าคุณหนูสกุลอวี้ฝีปากคมคาย แต่คาดไม่ถึงว่าจะพูดเก่ง ทั้งกล้าพูดถึงขนาดนี้

นางไม่กลัวว่าตัวเองจะแต่งไม่ออกหรอกรึ?

เผยเยี่ยนมองไปยังหลี่ตวน

หลี่ตวนลนลาน  คุณหนูอวี้ สองคนนี้ขอเพียงได้เงิน ไม่ว่าเรื่องใดล้วนสามารถทำได้ทั้งนั้น จะเอามาเป็นพยานได้… 

อวี้ถังตัดบทสนทนาของเขา  หรือคุณชายใหญ่สกุลหลี่เคยรู้จักมักคุ้นกับสองคนนี้มาก่อน? ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้อย่างไรว่า ขอเพียงแค่ได้เงิน ไม่ว่าเรื่องใดพวกเขาก็ทำออกมาได้? ทั้งเมื่อครู่เหตุใดคุณชายใหญ่จึงพูดว่าหลังจากสองคนนี้หนีออกมาจากที่นาก็ไม่ได้ข้องเกี่ยวอันใดกับสกุลพวกเจ้าแล้วล่ะ? 

หลี่ตวนเอ่ย  คุณหนูอวี้อย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น สองคนนี้ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร คำพูดที่ออกมาย่อมไม่อาจเป็นหลักฐานได้ อย่าได้พูดจาส่งเดช เพียงเพราะว่าอยากให้สกุลหลี่พวกเรากลายเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้ 

อวี้ถังเอ่ย  จากสิ่งที่เจ้าพูด เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข้าที่ปั้นน้ำเป็นตัว? แปลกเสียจริง เหตุใดข้าจึงไม่พูดว่าเป็นฝีมือสกุลหวัง ไม่กล่าวว่าเป็นฝีมือสกุลซุน กลับเอาแต่พูดว่าเป็นฝีมือของสกุลหลี่เล่า? 

หลี่ตวนกล่าว  นั่นเพราะคุณหนูอวี้เข้าใจผิดว่าสกุลหลี่พวกเรามีรอยร้าวกับสกุลอวี้ของพวกเจ้า… 

 หรือไม่มีรอยร้าวอย่างนั้นรึ?  อวี้ถังก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ย้อนถามอย่างว่องไว  สกุลพวกเจ้าเอาแต่พยายามยุ่งเกี่ยวกับงานแต่งของข้า สกุลเว่ยก็ไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อน หลายปีมานี้สกุลพวกเราก็ใจกว้างกับผู้คนในหลินอันมาโดยตลอด ใครเอ่ยถึงสกุลพวกเราล้วนต้องออกปากชมว่ามีเมตตากรุณา เหตุใดจึงเกิดเรื่องร้ายเช่นนี้ขึ้นมาได้? ไม่ใช่สกุลพวกเจ้า ยังมีสกุลใดอีก? 

หลี่ตวนถูกอวี้ถังย้อนถาม แทบหลบเลี่ยงไม่ได้อยู่บ้าง  คุณหนูอวี้ไม่อาจปักใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือพวกเราสกุลหลี่ด้วยเหตุนี้ได้ 

อวี้ถังเอ่ยอย่างดูแคลน  ข้าปักใจว่าเป็นฝีมือของพวกเจ้า ในเมื่อคุณชายใหญ่สกุลหลี่กล่าวว่าไม่ใช่ เช่นนั้นก็ขอเจ้าเอาหลักฐานออกมา คงไม่อาจเพียงเพราะประโยคเดียวของเจ้า ก็จบเรื่องนี้ไปเช่นนี้กระมัง? ใต้หล้าแห่งนี้มีที่ไหนกัน เอาแต่ขอร้องคนอื่น ไม่ออกตัวด้วยตัวเองสักนิด! 

ให้สกุลหลี่นำหลักฐานออกมายืนยันว่าตัวเองบริสุทธิ์อย่างนั้นรึ?

หลี่ตวนหันไปมองเผยเยี่ยนอีกครั้ง

ไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนนั้นเปลี่ยนไปพิงที่เท้าแขนด้านขวาตั้งแต่ยามใด

เขากล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม  ได้! ในเมื่อคุณชายหลี่กล่าวว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเจ้า ก็นำหลักฐานออกมา 

นี่เผยเยี่ยนจะอยู่ฝั่งสกุลอวี้อย่างนั้นรึ?

หลี่ตวนใจสั่นสะท้าน ทำได้เพียงเอ่ยว่า  คุณหนูอวี้ เย็นวันนั้นที่เว่ยเสี่ยวซานเกิดเรื่อง ไม่มีใครในสกุลหลี่ออกไปข้างนอก ทั้งไม่เคยไปที่สวนที่นา โดยเฉพาะมารดาของข้า ร้านค้าที่เป็นสินเดิมของนางก็มีข้าเป็นผู้ดูแล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องภารกิจทั่วไปในบ้าน ธรรมเนียมระหว่างชายหญิงเข้มงวด เดิมทีนางก็ไม่อาจรู้จักคนลี้ภัยสองคนนี้ได้อยู่แล้ว 

อวี้ถังทนต่อไปไม่ไหวแล้ว นางอดเหน็บแนมขึ้นมาไม่ได้  คุณธรรมทั้งปวงมีความกตัญญูมาเป็นอันดับแรก ข้ากลับไม่รู้ว่า เรื่องใหญ่เช่นนี้ คุณชายใหญ่สกุลหลี่จะดึงมารดาเข้ามาเกี่ยวพัน หรือคุณชายใหญ่ไม่ใช่ผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องราวในสกุลหลี่กัน? 

หลี่ตวนใบหน้าซีดเผือด

เขาเป็นลูกชาย อย่าพูดว่าเรื่องนี้คนสกุลหลินไม่ได้ทำเลย แม้ว่าคนสกุลหลินจะทำ เขาก็ควรจะยอมรับก่อนจึงจะถูก

เมื่อครู่เขาคิดแต่ว่าหลบให้สกุลหลี่พ้นจากเรื่องนี้ กลับลืมเรื่องพื้นฐานที่สุดอย่างความกตัญญูไป

หลี่ตวนนึกเสียใจภายหลังอย่างยิ่ง ปราดสายตามองไปรอบๆ อย่างว่องไว

เป็นดังที่คาด แววตาที่ทุกคนมองเขาเริ่มแปลกๆ ขึ้นมาแล้ว

หลี่ตวนลอบสบถอยู่ในใจ

วันนี้คนมีหน้ามีตาของหลินอันส่วนมากล้วนอยู่ที่นี่ หากเขาแสดงออกได้ไม่ดี ชื่อเสียงย่อมป่นปี้ทั้งหมด อย่าพูดว่าเป็นขุนนางเลย แค่เป็นคนเดินอย่างภาคภูมิในเมืองหลินอันก็ยังยาก

 คุณหนูอวี้  เขาเอ่ยทั้งใคร่ครวญ  เจ้าอย่าได้โต้แย้งอย่างไร้เหตุผล ข้าเพียงตอบคำถามเจ้าเท่านั้น เจ้าเอาแต่พูดว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับมารดาข้า หากข้าเงียบไม่เอ่ยถึงเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นการปล่อยให้เจ้าทำลายชื่อเสียงมารดาของข้าหรอกรึ พูดถึงหลักฐาน ในเมื่อคุณหนูอวี้คิดว่าคนลี้ภัยสองคนนี้เป็นพยานบุคคล ข้ากลับอยากถามว่า คนลี้ภัยพวกนี้กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากสกุลข้า เช่นนั้นก็ให้ทั้งสองคนนี้ชี้ตัวคนที่สั่งการพวกเขาออกมา 

เรื่องเข่นฆ่าเอาชีวิตคน ใครจะสั่งการด้วยตัวเองกัน?

อวี้ถังก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จึงไม่อยากไปแจ้งความกับทางการ

นางกวาดสายตามองพวกเศรษฐีที่นั่งอยู่รอบๆ

แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้พูดอะไร แต่แววตาที่มองหลี่ตวนกลับแฝงไปด้วยความสังเกตพินิจขึ้นหลายส่วน

เมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้หว่านติดขึ้นมาแล้ว

เท่านี้ก็เพียงพอ

ส่วนเรื่องแก้แค้น หากปล่อยพวกสกุลหลี่ไปเช่นนี้ ก็ง่ายต่อพวกเขาเกินไป

อวี้ถังยิ้มเย็นในใจ

คนลี้ภัยสองคนล้วนนิสัยดุดัน หลังจากถูกดึงออกมาก็คิดจะหาเรื่องใส่ตัวชี้ตัวยืนยันไปที่หลี่ตวนให้จบไป แต่เมื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นมา เห็นสายตาที่เย็นยะเยือกของอวี้ถัง กลับสั่นสะท้าน

ก่อนหน้านี้อวี้ถังเคยกำชับกับพวกเขาหลายครั้ง ไม่ว่าเรื่องอะไรให้พวกเขาพูดความจริงทั้งหมด อย่าได้พูดปดเกินจริงทั้งอย่าได้คิดเอาเอง หากคำให้การของพวกเขาถูกหลี่ตวนถามจุดที่ไม่เหมาะสมออกมา ยามที่สกุลหลี่ให้พวกเขาทั้งสองเป็นแพะรับบาป สกุลอวี้ย่อมจะยืนดูอยู่เฉยๆ ไม่ยุ่งเกี่ยว หากพวกเขาสามารถให้คำตอบอย่างซื่อตรง สกุลอวี้ย่อมช่วยชีวิตนี้ของพวกเขาไว้

ยามที่สองพี่น้องยืนในห้องโถงยังไม่เชื่อแต่อย่างใด รอจนเห็นอวี้ถังโต้คารมกับหลี่ตวน ผลักหลี่ตวนลงหลุมพราง ก็อดมั่นใจในตัวอวี้ถังขึ้นมาไม่ได้ ตัดสินใจยืนอยู่ฝั่งของอวี้ถัง

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากัน รับสารภาพว่าคนที่สั่งการพวกเขาคือพ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่

หลี่ตวนลอบถอนหายใจ ทั้งรู้สึกผิดหวังอย่างเลือนรางอยู่บ้าง

หากสองคนนี้สารภาพว่าเป็นเขาบงการคงจะดี

เขาย่อมจะถามจนทั้งสองคนพูดไม่ออก ทำให้ทุกคนสงสัยว่าสองคนนี้ถูกสกุลอวี้จ้างมาเพื่อใส่ร้ายสกุลหลี่เท่านั้น

น่าเสียดาย

ดูภายนอกทั้งสองคนมีท่าทีโหดร้าย กลับคาดไม่ถึงว่าจะกระทำเรื่องอย่างโง่เขลาเช่นนี้

 คุณหนูอวี้  หลี่ตวนรอจนทั้งสองคนพูดจบ ก็แสร้งทำท่าทีละอายใจออกมาทันที  เรื่องนี้ข้ายังเพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ข้าจะไปเรียกพ่อบ้านใหญ่มาไถ่ถามให้กระจ่างเดี๋ยวนี้ 

สกุลใหญ่โตอย่างสกุลหลี่นี้ โดยปกติพ่อบ้านใหญ่มักจะเป็นลูกบ่าวที่เกิดในเรือนเจ้านายไม่ก็ลูกหลานบ่าวที่สืบทอดมาเป็นเวลานาน อาศัยอยู่ที่สกุลหลี่หลายชั่วอายุคน ครอบครัวลูกหลานที่เกี่ยวดองกันล้วนอยู่ในเรือนดีๆ ย่อมไม่อาจตัดสินใจโดยพลการได้อยู่แล้ว ทั้งแม้จะเรียกตัวคนมา พ่อบ้านใหญ่สกุลหลี่ก็ไม่อาจเอ่ยชื่อคนบงการออกมาได้อยู่ดี

ทุกคนล้วนมีคำตอบในใจตัวเอง

เป็นสกุลหลี่ที่สังหารเว่ยเสี่ยวซาน

แม้ยามนี้จะไม่อาจลงโทษฆาตกรที่แท้จริงได้ แต่ข้อเท็จจริงของเรื่องราวก็ได้ถูกเปิดเผยแล้ว

นายท่านเว่ยหลั่งน้ำตาราวกับสายฝน

พวกเศรษฐีชนบทที่เห็น ต่างก็รู้สึกเศร้าใจไปด้วย

เลี้ยงลูกชายจนเติบใหญ่ถึงเพียงนี้ กำลังจะได้ก่อร่างสร้างตัว ก็จากไปเช่นนี้เสียแล้ว ทั้งไร้วิธีจะร้องทุกข์หาความเป็นธรรม ไม่ว่าใครก็ยากจะรับได้ทั้งนั้น

นายท่านอู๋หยัดกายขึ้นตบไหล่นายท่านเว่ย เอ่ยว่า  ข้าขอแสดงความเสียใจด้วย 

พวกเศรษฐีคนอื่นๆ ก็พากันเข้ามาปลอบใจนายท่านเว่ยเช่นกัน

นายท่านเว่ยขอบคุณทุกคนด้วยดวงตาแดงก่ำ  ขอบคุณพวกเจ้าที่มาได้ในวันนี้! 

นายท่านอู๋หาโอกาสที่จะต่อบทสนทนากับเผยเยี่ยนมาโดยตลอด เอ่ยขึ้นมาทันที  พวกเราอะไรกัน ยังต้องขอบคุณนายท่านสามสกุลเผย หากไม่ใช่ผู้มีพระคุณอย่างเขา พวกเราก็ไม่อาจรวมตัวกันได้หรอก 

ผู้มีพระคุณ…

อวี้ถังอดเบะปากเล็กน้อยไม่ได้

เผยเยี่ยนชายตามองอวี้ถังไปที

นี่นางหมายความว่าอย่างไร?

หรือเรื่องนี้ไม่ควรขอบคุณเขาอย่างนั้นรึ?

หากเขาไม่ออกหน้า สกุลอวี้ของพวกเขาจะสามารถพูดได้กระจ่างชัดถึงเช่นนี้รึ?

นึกมาถึงตรงนี้ เผยเยี่ยนก็เรียกชื่อปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่ที่ไม่ปริปากกล่าวอันใดมาโดยตลอดขึ้นมา  เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว ท่านมีอะไรอยากจะพูดหรือไม่? 

—————————–

[1]ผีซิว เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของจีน รูปร่างคล้ายสิงห์หรือราชสีห์ ใช้กำจัดสิ่งอัปมงคลชั่วร้ายต่างๆ

[2]เหยียบจมูกขึ้นหน้า อุปมาว่า ให้เกียรติอีกฝ่ายหนึ่ง นอกจากอีกฝ่ายไม่ยอมรับน้ำใจแล้ว ยังไม่ไว้หน้า

 

หลี่ตวนมองไปยังอวี้ถังด้วยแววตาแฝงรอยยิ้ม  เรื่องนี้มารดาข้าทำไม่ถูก แต่อย่างไรขอให้คุณหนูอวี้อภัยด้วย ไม่ว่ามารดาคนใด ยามที่ปกป้องลูกของตัวเองก็มักพลั้งมือทำเรื่องโง่งมลงไปบ้าง ดีที่เดิมทีมารดาก็ไม่ได้คิดทำร้ายคุณหนูอวี้ เวลานั้นน้องชายข้าได้ยินว่าคุณหนูอวี้อาจจะพบเรื่องลำบาก ยังเข้าไปช่วยเหลือคุณหนูอวี้พร้อมสหาย จะว่าไปแล้ว น้องชายข้าก็เป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน! 

เศรษฐีชนบทพวกนั้นล้วนเป็นคนมีประสบการณ์โชกโชน ฟังจบก็รู้ถึงลับลมคมในเรื่องนี้ทันที อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของคนสกุลหลิน มารดาของหลี่ตวนและหลี่จวิ้น

เขาอดพินิจหลี่จวิ้นไปทีไม่ได้

พบเพียงว่าหลี่จวิ้นกำลังเบิกตากว้างมองอวี้ถัง มุมปากสั่นระริก คล้ายมีหลายอย่างที่อยากจะกล่าวกับอวี้ถัง แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ท้ายที่สุดจึงกลายเป็นความเสียใจหมองเศร้า

เขามองไปทางอวี้ถัง

อวี้ถังเผยแววตาเรียบนิ่งมองหลี่ตวน ไม่โศกเศร้าไม่ยินดี ไม่ได้ชายตามองหลี่จวิ้นแม้แต่น้อย

จะเห็นได้ว่าไม่ได้ชมชอบหลี่จวิ้นแต่อย่างใด

เผยเยี่ยนลอบประหลาดใจ

เห็นเช่นนี้ เขากล้ามั่นใจว่า หลี่จวิ้นนั้นชื่นชอบคุณหนูอวี้ ทั้งตอนนี้ก็ยังชอบอยู่ คุณหนูอวี้เป็นฝ่ายเล่นหูเล่นตาหลี่จวิ้นก่อน เหตุใดยามนี้จึงดูถูกดูแคลนเสียแล้วเล่า? ทั้งดูท่าไม่คล้ายมีใจให้หลี่ตวนด้วย ยามที่นางเผชิญหน้ากับหลี่ตวน เขาก็มองไม่เห็นความรู้สึกอะไรที่คุณหนูอวี้มีต่อหลี่ตวนทั้งนั้น

หรือเขามองพลาดกัน?

แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ค่อยเจนจัดเรื่องพวกนี้มากนัก

ตอนแรกที่โจวจื่อจินมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนักพรตหญิง ผู้ดูแลอารามอะไรนั่น เขาไปดื่มชาเป็นเพื่อนอยู่หลายครั้งหลายคราก็ยังมองไม่ออก ยังคงเป็นฮูหยินโจวที่พาคนไปตีกระบองแยกคู่ยวนยาง[1] เขาจึงได้ทราบเรื่อง

เผยเยี่ยนอดลูบจมูกตัวเองไม่ได้

ยังมีคุณชายรองสกุลเว่ยที่ชื่อว่าเว่ยเสี่ยวซานคนนั้น สามารถมองออกได้ว่า คุณหนูอวี้ออกหน้าเพื่อเขาด้วยใจจริง ถึงกระทั่งไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง ยอมปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนเพื่อจะเผชิญหน้ากับหลี่ตวน

คุณหนูอวี้ผู้นี้ น่าสนใจเสียจริง!

ผู้คนมากหน้าหลายตา ล้อมหน้าล้อมหลัง คาดไม่ถึงว่านางจะยังมีจุดยืนของตัวเอง

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่มีคนทำให้เผยเยี่ยนมองไม่ออก

แต่คุณหนูอวี้จะทำเช่นนี้ไม่ได้เชียว แม้หลี่ตวนจะยอมรับว่าเรื่องที่ลักพาตัวเป็นฝีมือของสกุลหลี่ กลับผลักเรื่องนี้ไปที่คนสกุลหลินมารดาของเขา สตรีน่ะหรือ ไว้ผมยาวความรู้กลับตื้นเขิน จู่ๆ ก็บุ่มบ่ามทำเรื่องที่น่าตกตะลึงขึ้นมา นับว่าเป็นเรื่องปกติ จะจ้องสกุลหลี่ไม่ปล่อยเพราะเรื่องนี้ย่อมไม่ได้

หากเป็นเขา ในเมื่อเปิดประเด็นเข้าสู่เรื่องนี้แล้ว ก็จะใช้ประโยชน์จากมันอีกด้าน ไถ่ถามสกุลหลี่ว่า เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น วางแผนจะจัดการปัญหาแบบใด อย่างไรก็ต้องตัดขาดเรื่องเชื่อมสัมพันธ์กับสองสกุลให้เด็ดขาด ไม่ให้สกุลหลี่ได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้มาเกี่ยวดองกับสกุลอวี้อีก

เช่นนั้นเขาจำเป็นต้องเตือนคุณหนูอวี้เสียหน่อยหรือไม่?

ความคิดนี้แล่นวาบเข้ามาในหัวเผยเยี่ยน ก่อนจะถูกเขาสลัดทิ้งไปในพริบตา

ยามนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ต้องการจะทำสิ่งใด แม้ดูเหมือนนางจะออกหน้าเพื่อเว่ยเสี่ยวซาน แต่ในความเป็นจริงหากคิดจะแต่งให้สกุลหลี่ล่ะ?

เขาไม่ช่ำชองเรื่องระหว่างชายหญิงเช่นนี้เป็นที่สุด อย่างไรอย่าทำเรื่องที่ลำบากใจทั้งสองฝ่ายดีกว่า

แต่ว่า หากคุณหนูอวี้อยากแต่งให้หลี่ตวนจริงๆ เขากลับสามารถช่วยเหลือได้ ถึงเวลานั้นสกุลหลี่และสกุลกู้ถอนหมั้น สีหน้าของกู้ฉ่างคงจะดูไม่ได้เป็นแน่

เผยเยี่ยนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะได้ยินอวี้ถังเอ่ย  แม้จะกล่าวว่าฮูหยินหลี่หุนหันพลันแล่นไปชั่วครู่ แต่ยามนี้เป็นคุณชายใหญ่สกุลหลี่ที่ดูแลสกุล ฮูหยินหลี่ทำเรื่องเช่นนี้ออกมา สกุลพวกเราย่อมไม่อาจผูกสัมพันธ์อันใดกับสกุลหลี่ได้อีก คาดว่าหากทุกท่านที่นั่งตรงนี้และคุณชายใหญ่สกุลหลี่ลองคิดเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็คงสามารถเข้าใจความคับข้องใจของสกุลพวกเราได้ 

เวลานี้เผยเยี่ยนก็นั่งตัวตรงขึ้นมา

คาดไม่ถึงว่า คุณหนูอวี้คนนี้จะตัดความสัมพันธ์กับสกุลหลี่จริงๆ!

เขามองผิดอีกแล้ว!

เผยเยี่ยนก้มหน้าจิบชา ปกปิดความไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง

พวกเศรษฐีชนบทที่นั่งอยู่ต่างพากันถกเถียงเซ็งแซ่ขึ้นมา และนายท่านอู๋ที่ได้รับการไว้วางใจจากอวี้เหวินก็ถือโอกาสกล่าวต่อ  อืม คำพูดของคุณหนูอวี้มีเหตุผล หากบุตรีสกุลข้าประสบกับเรื่องเช่นนี้ แม้จะเป็นความปรารถนาดี แต่กลับทิ้งบาดแผลลึกในใจ ไม่ถูกทำนองคลองธรรม ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองสกุลก็ไม่อาจเกี่ยวดองกันได้  พูดจบ เขาก็หัวเราะออกมาสองครั้ง  ดีที่สกุลอวี้ต้องการให้คุณหนูอวี้แต่งลูกเขยเข้าบ้าน คุณชายรองสกุลหลี่ก็เป็นหนุ่มรูปงามมากความสามารถ ความรู้โดดเด่น หากข้าเป็นนายท่านหลี่ ก็คงทำใจส่งลูกชายที่เลี้ยงมาจนเติบใหญ่เช่นนี้ให้คนอื่นไม่ลงเช่นกัน เวรควรระงับด้วยการไม่จองเวร ข้าว่าเรื่องนี้ก็จบแบบนี้แล้วกัน ทุกคนเผชิญกันด้วยรอยยิ้มปล่อยความคับแค้นไปก็เพียงพอแล้ว ท่านล่ะว่าอย่างไร นายท่านสาม? 

เผยเยี่ยนเงยหน้ามองอวี้ถัง

อวี้ถังก็กำลังมองเขาอยู่พอดี

แววตาที่สุกสกาวของนาง ยามนี้เผยความตื่นเต้นออกมาอยู่บ้าง พุ่งเป้ามาที่เขาอย่างใจจดใจจ่อ แทบไม่กะพริบตา ราวกับกลัวว่าหากกะพริบตาแม้แต่น้อย จะพลาดท่าทีของเขาไป ทำให้นางไม่อาจรับมือได้ทัน จะพาให้เรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่เป็นผลดีต่อนาง นางเอนตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย แฝงความขอร้องและคาดหวังอยู่บ้าง คล้ายว่าการตัดสินใจของเขาสำคัญกับนางเป็นอย่างมาก สามารถส่งผลต่อความเป็นความตาย ส่งผลต่ออนาคต ทั้งส่งผลต่อชั่วชีวิตของนาง

เหอะๆ คุณหนูอวี้ผู้นี้นับว่าเป็นคนมีหลายหน้าจริงๆ ยามที่ขอร้อง ก็สามารถทำให้เขาเห็นแล้วใจอ่อนได้ นับประสาอะไรกับหลี่จวิ้นเด็กผู้นั้น

เผยเยี่ยนดื่มชาอีกคำอย่างไม่เป็นตัวเอง มองไปยังหลี่ตวน

อย่างไรก็เป็นเด็กหนุ่ม ย่อมไม่อาจซ่อนเร้นอารมณ์เฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปได้หมด สีหน้าของหลี่ตวนดูไม่ได้อยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่าไม่ชอบใจในคำพูดของนายท่านอู๋เท่าใด

พูดมาเช่นนี้ ไม่ใช่คุณหนูอวี้อยากข้องเกี่ยวกับสกุลหลี่ แต่สกุลหลี่มาถึงยามนี้แล้วก็ยังคิดจะวางแผนกับคุณหนูอวี้!

น่าสนใจ น่าสนใจ!

เผยเยี่ยนนึกถึงใบหน้าอ่อนโยนนั้นของกู้ฉ่าง ในใจก็ยิ่งรู้สึกมีความสุขขึ้นมา

เขาเอ่ย  ในหมู่บัณฑิตมักพูดคุยกันเรื่องการทำไม่ถูกทำนองคลองธรรม บังเอิญเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ทั้งสองคนยอมจบด้วยดีก็แล้วไป อย่างไรอย่าได้ให้คนอื่นเลียนเอาอย่างก็เพียงพอแล้ว 

นี่หมายความว่าไม่เห็นด้วยที่สกุลหลี่ยังเกาะแกะสกุลอวี้เรื่องแต่งงาน

อวี้ถังถอนหายใจอย่างโล่งอก

นางตัดสินใจนานแล้วว่า จะพยายามเกลี้ยกล่อมเผยเยี่ยนให้ยืนอยู่ฝั่งตัวเอง คาดไม่ถึงว่าเผยเยี่ยนกลับไม่ให้นางต้องพูดมากความก็อาศัย ‘การทำไม่ถูกทำนองคลองธรรม’ มาช่วยนางไว้

เห็นทีเผยเยี่ยนยังคงเป็นดั่งที่นางเข้าใจเหมือนเมื่อก่อนจริงๆ แม้ไม่ค่อยสนใจเรื่องราวเท่าใด แต่ในยามสำคัญ กลับสามารถช่วยเหลือคนอื่น เป็นคนที่เต็มใจช่วยเหลือผู้คน

อวี้ถังมองเผยเยี่ยนอย่างซาบซึ้งใจ

แววตาเคลือบไปด้วยน้ำแวววาว ภายใต้แสงสว่างในห้องโถง กลับคล้ายดั่งแสงอาทิตย์ที่สะท้อนผิวน้ำ กระจ่างพร่างพราว วิบวับสดใส

เผยเยี่ยนชะงักไป

อวี้ถังคุกเข่าคำนับแก่เขาอย่างอ่อนน้อม เอ่ยด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งใจไม่น้อย  ขอบคุณนายท่านสามอย่างยิ่ง 

เสียงใสกังวานราวกับหยกกระทบกัน

ชั่วขณะนั้นเผยเยี่ยนก็นึกถึงฉากที่ต้นสนตื่นรู้ข้างวัดเจาหมิง เหมือนว่าคุณหนูอวี้ก็ใช้ท่าทีสง่างามน่าหลงใหลเช่นนี้ขอบคุณหลี่จวิ้นเช่นกัน

ใบหน้าเขาดำคล้ำเล็กน้อย

รู้สึกคล้ายว่าตัวเองตกลงไปอยู่ในสภาพเดียวกับหลี่จวิ้น…

อวี้ถังกลับลอบพึมพำในใจ

นายท่านสามสกุลเผยช่างเอาแน่เอานอนไม่ได้จริงๆ!

เมื่อครู่ยังช่วยเหลือนางด้วยสีหน้ายินดี ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนสีหน้าเสียแล้ว

นางไม่อยากให้อารมณ์ที่ไม่แน่นอนของเผยเยี่ยน ทำให้เกิดเรื่องไม่คาดฝัน ทั้งทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์อันใดต่อนางขึ้นมา

อวี้ถังแทบไม่สนใจอะไรแล้ว ไม่ง่ายที่เรื่องราวจะดำเนินมาถึงขั้นนี้ แม้ว่าจะเสี่ยง นางก็ต้องฝืนหยิบลูกเกาลัดจากเตาไฟ[2] ทำให้เรื่องจบลงไปเช่นนี้

 คุณชายรองสกุลหลี่  นางส่งยิ้มให้หลี่จวิ้น เอ่ยอย่างอ่อนโยน  คาดว่าท่านก็คงเห็นด้วยกับความคิดของนายท่านสาม! 

นี่ยังคงเป็นครั้งแรกที่อวี้ถังวางสายตาไว้ที่ร่างเขา ทั้งเป็นครั้งแรกที่พูดคุยกับเขา หลังจากวันนั้นที่หลี่จวิ้นรั้งเกี้ยวของอวี้ถังที่ปากทางตรอกชิงจู๋

หลี่จวิ้นมีท่าทีขื่นขม สิ่งที่มากไปกว่านั้นกลับเป็นความรู้สึกผิด

เขารู้ว่าอวี้ถังกำลังจะตัดขาดความสัมพันธ์กับเขา แต่เขาไม่เห็นด้วยได้หรือ?

เดิมทีเขาก็รู้สึกผิดต่อนางแล้ว หรือยังต้องรั้งนางไว้เช่นนี้ไม่ปล่อยไปอีก?

นี่เป็นสิ่งที่เขาตระหนักได้ยามที่ออกจากตรอกชิงจู๋มา เวลานี้ก็เป็นการพูดให้เข้าใจและกระจ่างชัดเท่านั้น

หลี่ตวนเห็นกลับใจร้อนเหลือทน ไม่รอให้หลี่จวิ้นได้พูดอะไร ก็ก้าวเข้าไปดึงแขนเสื้อของหลี่จวิ้น

เด็กคนนี้ เหตุใดจึงโง่งมเช่นนี้

ไล่ตามหญิงสาว หากหน้าบาง ย่อมไม่อาจทำเรื่องสำเร็จ

แต่งคุณหนูอวี้เข้าสกุล ไม่ใช่เรื่องของเขาเพียงคนเดียว เป็นบิดาของเขาที่ตัดสินใจ

นี่เกี่ยวพันกับอนาคตภายหน้าของสกุลหลี่

สิ่งที่เหนือความคาดหมายพวกเขาเพียงอย่างเดียวคือ นึกไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นจะชมชอบคุณหนูอวี้ด้วยใจจริง

 นายท่านสาม…  หลี่ตวนเอ่ย เพียงพูดไม่ทันจบ กลับถูกหลี่จวิ้นสะบัดมือ ปัดมือหลี่ตวนที่จับแขนเสื้อเขาไว้ ทั้งยังชิงพูดก่อนหลี่ตวน  คุณหนูอวี้ เจ้าพูดมีเหตุผล เรื่องนี้ไม่ถูกทำนองคลองธรรมจริงๆ เป็นข้าที่เสียมารยาท  พูดจบ เขาก็คำนับขอโทษแก่อวี้ถัง

 น้องชาย!  หลี่ตวนขมวดคิ้ว

อวี้ถังกลับรู้สึกเบาใจ

หลี่จวิ้น ชายหนุ่มที่ควบม้าด้วยอาภรณ์สง่างามนั้น ยังคงเป็นคนที่มีขอบเขต ไม่ได้เลวร้ายจนหมดหนทางรักษา

มอบลูกท้อให้ ย่อมต้องส่งคืนด้วยหยกงาม

นางจะหาวิธีช่วยชีวิตเขาให้ได้อย่างแน่นอน

อวี้ถังมองไปยังหลี่ตวน แววตาประกายความเยือกเย็นขึ้นมา

แม้เรื่องลักพาตัวจะเป็นความคิดของคนสกุลหลิน แต่หากไม่มีหลี่ตวน คนสกุลหลินจะทำสำเร็จได้อย่างไร?

ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ หลี่ตวนย่อมไม่มีทางที่จะยืนขึ้นยืดอกยอมรับตรงๆ ได้หรอก

นางเอ่ย  คุณชายใหญ่สกุลหลี่ เจ้าดูเถิด ทุกคนต่างรู้ว่าหลังจากสกุลเจ้าทำเรื่องเช่นนี้ออกมา พวกเราสองสกุลก็ไม่อาจข้องเกี่ยวกันได้แล้ว กระทั่งคุณชายรองสกุลหลี่ ก็คิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน ดังนั้น แรกเริ่มที่สกุลพวกเราปฏิเสธการแต่งงาน พวกเจ้าก็อับจนหนทางแล้วใช่หรือไม่? 

หลี่ตวนเห็นด้วยกับความคิดนี้ในใจ แต่เขาไม่ได้พูดออกมา

ครั้งที่แล้ว ก็เพราะเขาตอบอย่างรีบร้อนเกินไป ทำให้คุณหนูอวี้ได้ใช้ช่องโหว่ ตัดขาดความเป็นไปได้ที่สองสกุลจะแต่งงานทิ้งไปหมด จะเห็นได้ว่าเขาประเมินคุณหนูอวี้ต่ำเกินไป เขาควรรู้ว่า สกุลอวี้กล้าให้คุณหนูอวี้มาเผชิญหน้ากับเขา คุณหนูอวี้ก็ย่อมมีจุดเด่นที่เหนือคนอื่น

ภายหลัง คุณหนูอวี้กล่าวอะไร เขาต้องครุ่นคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบ

สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงยังคงเป็นท่าทีของเผยเยี่ยน

เขารู้ว่าสกุลอวี้และสกุลเผยนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไม่น้อย ก่อนที่เขาจะมา เคยคิดว่าควรล่วงหน้ามาเยี่ยมเยียนเผยเยี่ยนก่อนดีหรือไม่ แต่เขาก็กังวลว่าหากทำเช่นนั้นเผยเยี่ยนจะเข้าใจผิดคิดว่าสกุลพวกเขากระทำมิชอบในเรื่องนี้ กระทบต่อภาพลักษณ์เขาที่มีต่อเผยเยี่ยน…อาจารย์และศิษย์ร่วมสำนักของเผยเยี่ยนเก่งกาจเกินไป ทั้งยังแต่ละคนต่างอยู่ในตำแหน่งฐานะสำคัญ เขากลัวว่าวันหนึ่งจะมีเรื่องให้ขอร้องเผยเยี่ยน

แต่ยามนี้เกรงว่าเขาจะทำผิดพลาดเรื่องนี้อีกแล้ว

สกุลอวี้สามารถเชิญเผยเยี่ยนเป็นคนกลางได้ ย่อมเป็นเพราะได้เกลี้ยกล่อมเผยเยี่ยนแล้ว ให้เผยเยี่ยนมีอคติกับสกุลหลี่ก่อน

หากจะทำลายสถานการณ์ที่ชะงักงันนี้ เขายิ่งต้องระวังมากขึ้นอีก

 คุณหนูอวี้ ไม่อาจจะพูดเช่นนี้ได้  หลี่ตวนยิ้มด้วยรอยยิ้มราวกับอาบลมในฤดูใบไม้ผลิ มองไม่เห็นความร้อนใจแม้แต่น้อย  จิตใจที่ตั้งมั่น แม้แต่หินเหล็กก็ย่อมหลีกทางให้ ตั้งแต่ต้นสกุลพวกเราก็อยากเกี่ยวดองกับสกุลอวี้ ไม่อาจทำเรื่องทำร้ายตัวเองเช่นนั้นออกมาได้หรอก 

อวี้ถังก็ยิ้มเช่นกัน ยิ้มอย่างอ่อนโยนและอบอุ่น  แต่ความจริงคือ สกุลพวกเราตั้งใจจะรับเขยเข้าบ้านให้ข้า สกุลพวกเจ้ามุ่งมั่นจะแต่งข้าเข้าสกุลหลี่ ทั้งสองสกุลต่างไม่ยอมถอยให้กัน มารดาเจ้าก็ทำเรื่องเลอะเลือน ข้าคงไม่ได้พูดผิดกระมัง? 

————————————

[1]ตีกระบองแยกคู่ยวนยาง หมายถึง บีบบังคับให้คู่รักแยกจากกัน

[2]หยิบลูกเกาลัดจากเตาไฟ หมายถึง ถูกคนอื่นหลอกใช้ให้ทำเรื่องเสี่ยงอันตราย แต่กลับไม่ได้รับประโยชน์อันใดกลับมา

 

สายตาของอวี้ถังรุนแรงถึงขนาดนั้น เผยเยี่ยนคิดจะเมินเฉยย่อมเป็นเรื่องยาก

เพียงแต่เขาไม่เข้าใจอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้ต้องการจะทำอะไร จู่ๆ ก็ชี้หัวหอกมาที่เขา

เผยเยี่ยนขบคิดในใจ แววตาที่จดจ้องนั้นของอวี้ถังหายไปอย่างรวดเร็ว

เขาแค่นเสียง ‘เหอะ’ อยู่ในใจ เงยหน้ามองผู้คุ้มกันในบ้านคุมตัวชายหนุ่มที่ร่างกายกำยำ หน้าตาดุดันสองคนเข้ามา

คงจะเป็นผู้ลี้ภัยสองคนนั้น

เผยเยี่ยนมองพินิจอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง

เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม ท่าทีกระสับกระส่าย ผิวภายนอกยังเผยให้เห็นถึงร่องรอยเขียวคล้ำ

เผยเยี่ยนพยายามข่มใจจึงไม่ได้เผลอเบ้ปากออกมา

สรุปแล้วไม่ได้มีประสบการณ์แต่อย่างใด ในเมื่อนำมาเป็นพยาน อย่างไรก็ควรได้เปรียบกลับไป สภาพเช่นนี้ ให้คนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าถูกทรมานมา รอสักพักก็คงไม่ใช่เหลือจุดอ่อนให้คนอื่นจับได้หรอกกระมัง?

เผยเยี่ยนดื่มชาหนึ่งคำอย่างเงียบๆ รู้สึกว่ารสชาติของชาในวันนี้ยังคงไม่เลว

เขากล่าวถามเผยหม่านที่อยู่ด้านข้างเสียงเบา  วันนี้ใครเป็นคนชงน้ำชา? เป็นชาแดงของเขาถงซานรึ? 

 ขอรับ!  เผยหม่านล่าวเสียงเบา

เผยเยี่ยนไม่ได้เจาะจงเรื่องชาอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เลือกชาแดงของเขาถงซานมารับแขก เพียงเพราะว่าปีนี้สกุลเผยได้รับชาชนิดนี้มาเป็นจำนวนมากก็เท่านั้น

 อากาศเย็นอยู่บ้าง สาวใช้ในจวนท่านบอกว่าหลายวันนี้ท่านท้องไส้ไม่ค่อยดี ให้พวกเราเตรียมชาที่พอบรรเทาอาการเสียหน่อย  เผยหม่านกล่าวต่อ  หากนายท่านไม่ชอบ ข้าจะให้คนเปลี่ยนให้เดี๋ยวนี้ 

 ไม่ต้อง!  เผยเยี่ยนกล่าว  ค่อยยังชั่วแล้ว! 

ขณะที่พูด เขาก็รู้สึกถึงสายตาของอวี้ถังที่มองมายังทางเขาอีกครั้ง

นี่มันอะไรกันอีก?

เขาเงยหน้าขึ้นอย่างเรียบนิ่ง ปราดมองไปที่อวี้ถัง

ก่อนจะเห็นดวงตากลมโตของอวี้ถัง ยามนี้กลับเบิกกว้างขึ้นมามองเขาราวกับลูกลำไย

เผยเยี่ยนตกใจเล็กน้อย

ปกติเขาก็ไม่เคยเห็นดวงตาของใครเบิกกว้างได้เท่านี้มาก่อน…ก็ไม่เสียทีเดียว…นอกเหนือจากแมวแล้วล่ะนะ

เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเข้าไปอีก

ใบหน้านั้นก็เหมือนเช่นกัน

เหมือนแมวที่กำลังโมโห

เผยเยี่ยนอดไม่ได้ จึงมองไปอีกครั้ง

อวี้ถังโมโหจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี

ห้องโถงเงียบสงัดเกินไปแล้ว

ทุกคนต่างรอฟังคำพูดของเผยเยี่ยน

เผยเยี่ยนกลับพูดคุยเรื่องชากับเผยหม่าน

ชั่วขณะนั้นทุกคนล้วนไม่รู้ว่าเผยเยี่ยนหมายความว่าอย่างไร

เศรษฐีชนบทพวกนี้มาเป็นพยานให้สกุลอวี้ หรือควรต้องพูดว่ามาเป็นพยานให้ทั้งสกุลหลี่และสกุลอวี้ ส่วนมากต่างก็เห็นแก่หน้าของสกุลเผย ให้ความสำคัญในฐานะที่เผยเยี่ยนนั่งเป็นผู้ตัดสินความเป็นธรรมให้กับคนอื่นเป็นครั้งแรก หลังจากขึ้นเป็นผู้นำสกุล มีเพียงสองสามคนที่มาช่วยพูดคุย สนับสนุนสกุลอวี้ ส่วนสกุลใดมีเหตุผลที่แท้จริง นั่นก็ต้องดูว่าเผยเยี่ยนจะพูดอย่างไร เผยเยี่ยนยืนอยู่ข้างสกุลไหน ท่าทีของเผยเยี่ยนย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้

เขาทำเช่นนี้ ทุกคนต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก อีกเดี๋ยวทั้งสองสกุลโต้เถียงกันขึ้นมา พวกเขาควรใช้ท่าทีอย่างไร ยืนอยู่ฝั่งไหนเล่า?

หลี่ตวนกลับแอบโล่งใจ

อย่างน้อย เผยเยี่ยนก็ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งสกุลอวี้ให้เห็นอย่างชัดเจน

เขาไม่รอให้สกุลอวี้ได้พูดก็ชิงสร้างปัญหาให้ก่อน กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น  คาดว่านี่คงจะเป็นพยานสองคนที่อวี้ซิ่วไฉพูดถึงเมื่อครู่ เหนือความคาดหมายข้าจริงๆ สองคนนี้เคยได้รับการดูแลจากสกุลข้า ภายหลังยามที่ทางการมาตรวจสอบ จึงพบว่าแท้จริงเป็นโจรสลัดที่หนีตายเข้ามาจากทางฝูเจี้ยน ภายหลังก็ปล่อยคนลี้ภัยที่พักอยู่ในที่นาออกไป สองคนนี้ยังเคยพยายามคิดรีดไถเงินจากข้า คาดไม่ถึงว่ากลับมาเป็นพยานให้สกุลอวี้ 

ความหมายของคำพูดคือ สองคนนี้เดิมทีก็เป็นพวกคนไร้คุณธรรม เพื่อเงินแล้วถึงกระทั่งสามารถเล่นแง่กับผู้มีพระคุณอย่างพวกเขา นำมาเป็นพยานย่อมไม่น่าเชื่อถือ ทั้งจงใจเอ่ยถึงตำแหน่งซิ่วไฉของอวี้เหวินออกมา ก็เพราะอยากใช้ฐานะของตัวเองข่มอวี้เหวิน ให้ทุกคนคล้อยตามตนเอง ให้ผู้คนรู้สึกว่าคำพูดของเขาน่าเชื่อถือมากกว่า

เมื่อครู่ที่ต่อกรกับหลี่ตวน อวี้เหวินก็ตระหนักถึงเล่ห์เหลี่ยมของหลี่ตวนแล้ว ยามนี้ได้ฟังเขาพูด ใบหน้ายิ่งดำคล้ำ ดีที่เขาก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักความเหมาะสม หาได้หุนหันพลันแล่นขึ้นมาเพราะคำพูดเล็กน้อยของหลี่ตวนไม่ กลับกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม  คนลี้ภัยสองคนนี้เป็นโจรพเนจรหรือไม่ ยังต้องให้ทางการตรวจสอบ ยามนี้คุณชายใหญ่สกุลหลี่ตัดสินชี้ขาดเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเร็วเกินไป 

หลี่ตวนเรียกเขาว่าซิ่วไฉ เขาก็เรียกหลี่ตวนว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่ ใช้อายุและความอาวุโสข่มหลี่ตวน นี่ก็เป็นสิ่งที่อวี้ถังเตือนเขาเมื่อครู่

 แต่เวลานั้นมีคนสกุลเว่ยเห็นว่าคนที่ไปหาเว่ยเสี่ยวซานก็คือสองคนนี้ สองคนนี้ก็ยอมรับว่าตัวเองได้รับคำสั่งมาจากสกุลหลี่ อาศัยที่เว่ยเสี่ยวซานมีชื่อเสียงเล็กน้อยเรียกเขาออกมา จากนั้นก็หลอกไปที่ลำน้ำเล็กๆ หลังสกุลเว่ย ทำให้จมน้ำตาย แล้วนำร่างไปทิ้งในแม่น้ำที่เว่ยเสี่ยวซานมักไปจับปลาอยู่บ่อยๆ ข้าว่า คงไม่ถึงขั้นที่มีคนกล้ากล่าวให้ร้ายตัวเองว่าลงมือฆ่าคนหรอกกระมัง! 

 อวี้ซิ่วไฉพูดไม่ถูก!  ขณะที่หลี่ตวนกล่าว สายตาก็เหลือบไปเห็นใบหน้าบึ้งตึง ทั้งแฝงมาด้วยความโกรธเกรี้ยวที่ปิดไม่มิด แต่กลับสดใสงดงามของอวี้ถังเข้า  เดิมทีก็เป็นโจรที่หนีตาย จะมีคดีฆาตกรรมมากหรือน้อย เกี่ยวกันอย่างไร? ใครพอถึงยามเข้าตาจน ล้วนคิดปกป้องชีวิตตัวเองก่อนทั้งนั้น คำพูดของสองคนนี้จะเชื่อได้อย่างไร? 

เขานึกไม่ถึงว่าคุณหนูสกุลอวี้ก็มาเช่นกัน

แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แต่หน้าตาที่สะอาดหมดจด ทั้งดวงตาที่พร่างพราวราวกับดวงดาวระยิบระยับ อย่างไรก็ไม่อาจปกปิดความโดดเด่นของนางได้

เขาไม่คิดอยากจะมาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้กับสกุลอวี้

แต่บางเรื่องก็เป็นเพราะชะตากรรมเลวร้าย

เวลานี้ไม่อาจจัดการอะไรได้ ก็ย่อมไม่สามารถควบคุมได้ตลอดไป

รูปลักษณ์งดงามเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ดวงตาที่เผยความซุกซน วิบวับพร่างพราว พาให้อยากค้นหาโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ ไฉนจึงได้มีสีหน้า แววตาเช่นนี้

หลี่ตวนเหลือบมองเผยเยี่ยนอย่างว่องไว

เขากังวลเกี่ยวกับเผยเยี่ยนอยู่บ้าง…กลัวว่าจะพบความงามของคุณหนูอวี้ จะเข้าข้างสกุลอวี้ด้วยเหตุนี้ ถึงกระทั่งอาจจะเกิดความคิดไม่ดีอะไรขึ้นมา

คุณหนูสกุลอวี้เป็นเช่นนี้ก็ดี

ปลอดภัย!

หัวเขาแล่นอย่างรวดเร็ว พุ่งความสนใจไปยังอวี้เหวินแทน

อวี้เหวินใบหน้าดำราวกับก้นหม้อ  ความหมายของคุณชายใหญ่สกุลหลี่คือ เห็นกับตา ได้ยินกับหูก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นรึ แล้วอย่างไรจึงจะนับว่าเป็นความจริง? 

หลี่ตวนคาดไม่ถึงอยู่บ้าง

เขาคิดว่าอวี้เหวินจะโต้แย้งกับเขาเรื่องพยานหลักฐานอย่างคนลี้ภัยสองคนนี้ต่อ ทว่าอวี้เหวินกลับถีบลูกหนังนี้มาฝั่งเขาแทน

หรือพวกเขายังมีพยานบุคคลหรือหลักฐานอะไรอีก?

หลี่ตวนระแวดระวังในใจขึ้นมาหลายส่วน กลับไม่เผยสีหน้าอันใด เอ่ยด้วยรอยยิ้ม  ข้าเพียงคิดไม่ออกว่าเหตุใดสกุลพวกเราจึงต้องเอาชีวิตคุณชายรองสกุลเว่ยให้ได้ด้วย? 

อวี้เหวินอึกอัก

หลี่ตวนกลับชิงเอ่ยปากก่อนเขา  ข้ารู้ดี พวกเจ้าคิดว่าสกุลพวกเราอยากสู่ขอคุณหนูอวี้ กลัวว่าคุณหนูอวี้เกี่ยวดองกับสกุลเว่ย ดังนั้นจึงฆ่าคุณชายรองของสกุลเว่ย แต่อวี้ซิ่วไฉ เจ้าไม่คิดว่าหลักการเช่นนี้มันไร้สาระเกินไปหน่อยหรือ? คุณชายรองสกุลเว่ย นั่นเป็นชีวิตคนๆ หนึ่งเชียว ไม่ใช่ลูกแมวลูกหมาที่ไหน สกุลข้าอยากสู่ขอคุณหนูอวี้ ไม่ได้อยากจะผูกบัญชีแค้นเสียหน่อย! แม้ว่าสกุลพวกเราจะบีบบังคับ ก็คงจะคิดวิธีจ้างพวกอันธพาลไประรานคุณหนูอวี้ จากนั้นก็วางแผนให้น้องชายข้าทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม นอกจากจะได้รับความซาบซึ้งใจจากคุณหนูอวี้ ยังสามารถเชื่อมงานแต่งครั้งนี้ได้ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้ที่คุณหนูอวี้ถูกพวกอันธพาลคุกคาม เป็นสกุลพวกเราที่อับจนหนทางจึงทำเรื่องเช่นนั้นออกมา เรื่องนี้ข้ายอมรับ แต่เรื่องที่บงการพวกลี้ภัยไปสังหารคุณชายรองสกุลเว่ย สกุลพวกเราไม่อาจเป็นแพะรับบาปได้! 

ทุกคนยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน

หลี่ตวนเพิ่งจะกล่าวจบ ทุกคนก็อดไม่ได้ เริ่มกระซิบกระซาบโต้เถียงกันขึ้นมา

 คาดไม่ถึงว่ามีเรื่องเช่นนี้ด้วย 

 สกุลหลี่อยากแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์เกิน…เกินไปแล้ว 

 เห็นท่าแล้วคุณหนูอวี้คงจะงดงามสมคำร่ำลือที่ได้ยินมาเช่นนั้นจริงๆ! 

เสียงที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ทำให้อวี้เหวินโกรธจนพูดไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นยังพาให้อวี้หย่วนผุดลุกขึ้นมา กำหมัดพุ่งไปหาหลี่ตวน

ชาติก่อน อวี้หย่วนก็เคยปะทะกับหลี่ตวนเช่นกัน

หลี่ตวนเจ้าเล่ห์กลับกลอก ต่อหน้าทุกคนกลับไม่ตอบโต้สักนิด ผู้คนต่างชมเขาว่ามีจิตใจสูงส่ง แต่ลับหลังหลี่ตวนกลับส่งคนไปลอบทำร้ายอวี้หย่วน ดีที่ยามนั้นอาหลิ่วที่ขายสาลี่แถวธารเสี่ยวเหมยบังเอิญทราบเรื่อง จึงส่งจดหมายมาบอกอวี้หย่วน ทำให้อวี้หย่วนรอดพ้นมาได้ อวี้ถังก็เริ่มคลางแคลงสกุลหลี่ ทั้งสงสัยหลี่ตวนในเวลานั้นขึ้นมาเช่นกัน

อวี้ถังก้าวขึ้นมาด้านหน้า คว้าอวี้หย่วนเอาไว้ กดเสียงเบาในลำคอ  ท่านพี่ ความมุทะลุไม่อาจแก้ไขปัญหาใดได้ ในเมื่อพวกเรามาคุยเรื่องเหตุผลกับสกุลหลี่ ข้าก็ย่อมไม่อาจให้ตัวเองสะอาดบริสุทธิ์ต่อไปได้แล้ว นับแต่นี้ไปก็คงไม่มีชื่อเสียงดีงามอะไร เรื่องพวกนี้ เทียบกับชีวิตของคุณชายรองสกุลเว่ยแล้ว เป็นเรื่องน้อยนิด วันนี้พวกเรามาก็เพื่อหาความเป็นธรรมให้คุณชายรองเว่ย ท่านไม่ควรทำเสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กๆ ได้ 

นายท่านเว่ยนั่งอยู่เบื้องหน้าพวกเขา คำพูดนี้ย่อมได้ยินอย่างกระจ่างชัด ขณะนั้นเขาก็น้ำตาคลออย่างซาบซึ้ง คิดว่าหากผ่านสองปีสามปี งานแต่งของอวี้ถังยังไม่ถูกจัดการ ก็จะให้เว่ยเสี่ยวชวนไปสู่ขออวี้ถัง

กล่าวโดยสรุปคือ ไม่อาจให้หญิงสาวที่ดีขนาดนี้อย่างอวี้ถังแต่งงานกับคนอื่นเรื่อยเปื่อยได้

เผยเยี่ยนที่ทำหูตั้งนั่งไกลไปอยู่บ้าง ได้ยินไม่ชัดว่าอวี้ถังพูดอะไร กลับคิดว่าคุณหนูสกุลอวี้ย่อมเสนอความคิดอะไรให้คนในบ้านเป็นแน่

เห็นสีหน้าเรียบนิ่งของนาง แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคำพูดของหลี่ตวนไม่ได้กระทบถึงนางแต่อย่างใด

หากไม่ใช่ว่านางมีความอดทนอดกลั้นอยู่แล้ว ก็คงคิดแผนรับมือไว้นานแล้วเป็นแน่

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง หญิงสาวสามารถก้าวมาถึงขั้นนี้ได้ ล้วนทำให้คนนับถือแล้ว

จู่ๆ เขาก็อยากรู้ว่า ตกลงคุณหนูสกุลอวี้เป็นสตรีเช่นไรกันแน่

นางเคยผ่านเรื่องอะไรมา ถึงเปลี่ยนจากตาปลากลายเป็นไข่มุกที่ล้ำค่า มีความเปล่งประกายเป็นของตัวเองได้

เผยเยี่ยนพลันอยากรู้ว่าสกุลอวี้จะพูดอะไรต่อไป ทั้งจะทำสิ่งใดบ้าง

และสกุลอวี้ หรือควรจะพูดว่าอวี้ถัง ก็ไม่ได้ทำให้เขาผิดหวัง

เขาเห็นอวี้ถังจัดแจงชุดเล็กน้อย หยัดกายตรงดั่งต้นสน เดินออกมาจากด้านหลังนายท่านเว่ยด้วยท่าทีหนักแน่น ผ่อนคลาย หยุดอยู่เบื้องหน้าหลี่ตวน

หลี่ตวนตกใจอย่างคาดไม่ถึง

พวกเศรษฐีชนบทที่กระซิบกระซาบกันยิ่งเงียบเสียงโดยพร้อมเพรียงกัน จากความประหลาดใจ สู่ความกระจ่างใจและสนใจหลังจากที่คาดเดาตัวตนของอวี้ถังออก จวบจนพากันเงียบกริบ มองนางด้วยดวงตาใสกระจ่าง รอนางเอ่ยปากพูด ก็เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น

นี่ดีกว่าที่อวี้ถังคาดไว้มาก

อย่างน้อยเศรษฐีชนบทพวกนี้ก็ไม่ได้ตะโกนออกมาถามว่านางเป็นใคร คิดว่านางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งไม่ควรยืนพูดคุยอยู่ตรงนี้

อวี้ถังมีความมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน นัยน์ตาที่เดิมทีพร่างพราวราวดวงดาว ยิ่งส่องแสงระยิบระยับขึ้นไปอีก กระจ่างวับวาวอย่างเห็นได้ชัด

 คุณชายใหญ่สกุลหลี่  นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุภาพ ท่าทีเยือกเย็น แววตาที่มองหลี่ตวนนั้นสนิทชิดเชื้อราวกับสหาย กล่าวแนะนำตัวเองอย่างใจกล้าไม่รีบร้อนอันใด  ข้าคนสกุลอวี้ อวี้ถัง ไม่ทราบว่าคุณชายใหญ่สกุลหลี่รู้จักข้าหรือไม่? 

ต่อให้เป็นฝัน หลี่ตวนก็ยังคาดไม่ถึงว่าอวี้ถังจะกล้าออกหน้าด้วยตัวเอง

เหตุใดจึงไม่มีคนในสกุลอวี้ขัดขวางนาง?

นางรู้หรือไม่ว่าตัวเองทำเช่นนี้จะมีผลลัพธ์อย่างไรตามมา?

อย่างอื่นไม่พูดถึง แต่ชื่อเสียงเรื่องห้าวหาญของหญิงสาวย่อมหนีไม่พ้นแล้ว

สมองของหลี่ตวนแล่นไม่ทันอยู่บ้าง กล่าวคำว่า ‘รู้จัก’ อย่างเหม่อลอย

อวี้ถังแย้มยิ้มเล็กน้อย  หากข้าฟังไม่ผิด ความหมายของเจ้าเมื่อสักครู่ คือยอมรับว่าพวกอันธพาลที่รังควานข้าในหมู่บ้านชนบทนั้น เป็นการบงการของสกุลพวกเจ้าอย่างนั้นรึ? 

นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้เถียง

หากใช้ประโยชน์ถูกทาง ก็จะเหมือนดั่งเรื่องเหวินจวินขายสุรา[1] กลายเป็นเรื่องเล่าหวานซึ้งในพวกบัณฑิตสุภาพชน ไม่อาจกระทบถึงชื่อเสียงของสกุลหลี่และหลี่จวิ้น

หลี่ตวนยอมรับแล้ว

———————————

[1]เหวินจวินขายสุรา เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับความรักของชายหญิง บิดาของเหวินจวินไม่เห็นด้วยกับงานแต่ง เหวินจวินจึงหนีตามคนรักไปเปิดร้านขายสุรา ภายหลังบิดารับรู้ถึงความทุกข์ยากก็ใจอ่อน ทั้งสองคนจึงกลับมาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข

 

อวี้ถังเห็น ก็อดลอบส่ายหน้าในใจไม่ได้

หลี่จวิ้นกลับไม่เห็นอวี้ถัง

หลายวันมานี้ เขารู้สึกราวกับตัวเองฝันไป

เพราะสกุลอวี้อยากเกี่ยวดองกับคุณชายรองสกุลเว่ย คนลี้ภัยในที่นาของสกุลพวกเขาจึงเข่นฆ่าเอาชีวิตของคุณชายรองสกุลเว่ย เพราะสกุลอวี้ไม่ยินดีจะผูกสัมพันธ์กับสกุลเขา แม่ของเขาจึงส่งคนไปลักพาตัวคุณหนูอวี้ ทั้งเพราะคนลี้ภัยพวกนั้นมารีดไถ่เงินจากพี่ชาย พี่ชายเขาจึงเตรียมจะจัดการกับคนลี้ภัยพวกนั้น

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่สกุลพวกเขายึดติดกับงานแต่งของเขาและสกุลอวี้ถึงเพียงนี้?

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่มารดาของเขาถึงขั้นใช้ทุกวิถีทางโดยไม่สนใจอะไรเพื่อให้บรรลุผลเช่นนี้?

ตั้งแต่เมื่อใดกันที่พี่ชายเขาเปลี่ยนเป็นใจกล้าเหิมเกริม ไม่เคารพกฎบ้านกฎเมืองเช่นนี้?

หรือเป็นเพราะเขาโวยวายอาละวาดในบ้านเพื่อให้สามารถแต่งกับคุณหนูอวี้ได้?

แต่ยามที่เขาอาละวาดในบ้านเพราะไม่อยากไปเรียนหนังสือ มารดาและพี่ชายเขาก็ไม่ได้ยอมตามใจเขาถึงขนาดนี้?

แม้เขาจะเป็นผู้เกี่ยวข้องในเรื่องคนหนึ่ง แต่เรื่องงานแต่งของสกุลอวี้กลับไม่ได้ยึดมั่นดั่งมารดา

เขาไปโน้มน้าวมารดา มารดาไม่เพียงคิดว่าไม่ผิด แต่ยังกล่าวว่าเพราะตำแหน่งของบิดาไม่ใหญ่พอ มิเช่นนั้นศาลาว่าการจะกล้าออกหน้ายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร

เขาเสียใจเป็นอย่างมาก ไปหาพี่ชาย พี่ชายกลับพูดว่าเขาโตแล้ว อย่าได้ไร้เดียงสาเช่นนี้อีก บางเรื่องหากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก ก็เป็นลมตะวันตกที่พัดกลบลมตะวันออก[1] แม้ว่าสกุลพวกเขาไม่รับคนลี้ภัยพวกนั้น ก็ย่อมมีคนอื่นรับอยู่ดี

เขาสับสนมึนงงไม่น้อย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่นานั้นก็เป็นของสกุลหลี่พวกเขา เป็นสกุลหลี่ของเขาที่รับคนลี้ภัยพวกนั้นไว้ ยามที่คนของศาลาว่าการไปตรวจสอบ ก็เกิดเรื่องในที่นาของสกุลหลี่ ไฉนพี่ชายของเขาจึงกล่าวคำพูดผลักภาระเช่นนี้ออกมาได้?

หูซิ่ง พ่อบ้านสามสกุลเผยมาเป็นแขกถึงเรือน เอ่ยว่าสกุลอวี้เชิญนายท่านสามของเขาให้เป็นคนกลาง พูดเกลี้ยกล่อมความหมางใจของทั้งสองสกุล เขารู้สึกไม่มีหน้าจะไปพบคนสกุลอวี้ พี่ชายเขากลับบังคับให้เขาตามมาด้วยกัน ทั้งยังปรึกษากับชิงเค่อ[2] ที่บิดาทิ้งไว้ให้ความช่วยเหลืออยู่ค่อนวัน กล่าวว่าคนลี้ภัยเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับสกุลพวกเขา เรื่องลักพาตัวคุณหนูอวี้ ยิ่งเป็นคำพูดไร้สาระ…ปฏิเสธเรื่องที่เคยทำมาทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง

หรือสกุลพวกเขาไม่ควรกระตือรือร้นให้ความร่วมมือกับสกุลเผย ให้คำตอบแก่คนในเมืองหลินอันหรอกรึ?

มารดาที่อ่อนน้อมถ่อมตนหายไปแล้ว พี่ชายที่ซื่อตรงใจกว้างก็หายไปด้วยเช่นกัน…

และพวกเขา ทำเพียงเพื่องานแต่งของเขาจริงๆ อย่างนั้นรึ?

หลี่จวิ้นไม่รู้ว่าตัวเองตามพี่ชายเข้ามาในประตูใหญ่จวนสกุลเผยได้อย่างไร ทั้งยังมานั่งในห้องโถงของสกุลเผยได้อย่างไร เป็นเสียงโต้เถียงอย่างรุนแรงที่ดังข้างหูจึงทำให้เขาหวนสติกลับมา

ยามที่เขายังสับสนมึนงง สกุลหลี่และสกุลอวี้ก็ได้โต้แย้งกันมาค่อนวันแล้ว

นายท่านสามสกุลเผยที่นั่งอยู่ตรงกลางกลับเห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าเรียบนิ่งอยู่บ้าง คล้ายว่าการโต้แย้งเบื้องหน้าไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอย่างสิ้นเชิง

ท่าทีของนายท่านสามคนนี้หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

หลี่จวิ้นอดหันหน้าไปมองหลี่ตวนไม่ได้

หลี่ตวนยังคงคล้ายให้ความสำคัญกับเรื่องครั้งนี้

เขาเปลี่ยนเป็นชุดคลุมสีน้ำเงินปักไหมทองลวดลายค้างคาวและดอกไม้ที่เพิ่งตัดใหม่ไม่กี่วันก่อน ขับผิวของเขาให้ดูขาวสะอาด ใบหน้ากระจ่างใส ราวกับต้นอวี้ซู่ที่ลู่ลม โดดเด่นสง่างามเหนือผู้คน

ยามนี้สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมราวกับสีของฤดูใบไม้ร่วง กล่าวด้วยหน้านิ่งเรียบ  นายท่านอวี้ พวกเราพูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรขอพวกเจ้านำหลักฐานออกมา มิเช่นนั้นข้าจะไปแจ้งทางการว่าพวกเจ้าใส่ร้ายผู้อื่น! 

หลี่จวิ้นได้ฟังก็สั่นสะท้านในใจ

สกุลอวี้ก็ไม่ใช่คนบ้าบิ่น ไหนเลยจะกล้าเชิญนายท่านสามสกุลเผยออกหน้าเป็นคนกลางโดยที่จับมือใครดมไม่ได้ นายท่านสามก็ไม่ใช่คนโง่ หากไม่มีหลักฐาน จะเข้ามายุ่งเรื่องนี้ได้อย่างไร?

จู่ๆ หลี่จวิ้นก็ฟื้นคืนสติกลับมา

เขาหันไปทางอวี้เหวิน

เห็นเพียงอวี้เหวินโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ ได้ยินหลี่ตวนพูดเช่นนี้ ก็ประสานมือคำนับไปทางนายท่านสามและพวกเศรษฐีชนบท ก่อนจะกล่าวกำชับอวี้หย่วน  เจ้าไปพาพยานเข้ามา 

อวี้หย่วนรับคำ ก่อนจะถอยออกไป

ในห้องโถงยังคงโต้เถียงกันเสียงเบา

ในใจอวี้ถังเต็มไปด้วยโทสะ

สกุลหลี่เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด

แม้จะต้อนพวกเขาจนหลังชนกำแพง พวกเขาก็สามารถมองผ่านหลักฐานเหล่านั้นราวกับไม่มีอะไรได้ ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมรับราวกับคนอื่นหูหนวกตาบอด หากถูกบีบเค้นอย่างหนัก ก็จะปัดความรับผิดชอบไปให้คนอื่น กล่าวว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ทั้งเป็นผู้เคราะห์ร้ายเช่นกัน

ชาติก่อน พวกเขาใช้วิธีเช่นนี้ไม่รู้ตั้งมากมายเท่าใด

ชาตินี้ ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่อาจให้พวกเขาทำสำเร็จเช่นนี้ต่อไป

นางมองไปที่เผยเยี่ยนแวบหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เผยเยี่ยนที่ใช้หางตาสังเกตนางมาโดยตลอดอยากหัวเราะขึ้นมาอยู่บ้าง

เขารู้ว่านางไม่อาจหลบอยู่ในเรือนอย่างสงบเสงี่ยมได้หรอก

ยามที่นางก้มศีรษะ แต่งตัวเป็นบ่าวใช้เดินหลบอยู่หลังญาติผู้พี่ของตัวเองเข้ามาในห้อง เขามองพริบตาเดียวก็รู้แล้ว…เข้ามาในห้องโถงใหญ่เช่นนี้ ใครบ้างที่นำบ่าวรับใช้เข้ามา แทนที่จะเป็นคนสำคัญ ก็ต้องชมสกุลอวี้ที่ใจกล้า ทั้งโชคดีที่คนเหล่านั้นต่างให้ความสนใจกับเรื่องที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่ได้ตระหนักถึงนาง มิเช่นนั้นยามที่นางเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ก็คงถูกคนจับได้แล้ว

แต่ขอเพียงเขาไม่พูด แม้ว่านางจะถูกคนมองออกก็ไม่สำคัญ พวกเขาเห็นว่าเผยเยี่ยนไม่กล่าวคำใด แปดถึงเก้าส่วนก็ย่อมทำเป็นไม่เห็นไปด้วย

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ คุณหนูใหญ่สกุลอวี้ผู้นี้ก็ยังคงทำให้เขาประหลาดใจอยู่บ้าง

ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ นางไม่ได้เหลือบมองบุตรชายคนรองของสกุลหลี่แม้แต่แวบเดียว ทว่าแววตาที่มองหลี่ตวนกลับคล้ายดั่งสุมไปด้วยเปลวเพลิง อยากจะแผดเผาเขาอย่างไรอย่างนั้น

เวลานี้เผยเยี่ยนลูบคางตัวเอง

หรือคนที่คุณหนูอวี้ผู้นี้ต้องการแก้แค้นก็คือหลี่ตวน?

เขาจิบชาไปหนึ่งคำ

ก่อนจะเห็นอวี้ถังกระซิบกล่าวข้างหูอวี้หย่วนไม่กี่ประโยค อวี้หย่วนพยักหน้า เข้าไปพูดกับอวี้เหวินเสียงเบา อวี้เหวินที่เมื่อครู่ถูกหลี่ตวนย้อนจนพูดไม่ออก รับช่วงต่อจากคำพูดของนายท่านเว่ย เริ่มโต้แย้งหลี่ตวนขึ้นมาทันที

ผ่านไปพักใหญ่ อวี้เหวินตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกครั้ง

ทางพวกเขาก็เปลี่ยนตัวเว่ยเสี่ยวหยวนมาโต้เถียงหลี่ตวนแทน

สมแล้วที่หลี่ตวนเป็นลูกเขยที่สกุลกู้ถูกใจ ไม่เพียงแต่ฝีปากเป็นเลิศ ยังมีความสามารถพลิกแพลงสถานการณ์ ไม่นานก็ทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนไปต่อไม่ถูก

หลี่ตวนประสานมือไพล่หลัง ยืดตัวตรงอยู่กลางห้องโถง มองดูเบื้องล่างอย่างดูแคลน คล้ายทระนงในความสามารถโต้แย้งของตัวเอง

อวี้ถังกระซิบกับอวี้หย่วนไม่กี่คำ อวี้หย่วนก็ขึ้นมาด้านหน้า โต้แย้งกับหลี่ตวนขึ้นมาอีกครั้ง

เผยเยี่ยนเห็นแล้วร้อนใจแทนคนของสกุลอวี้อยู่บ้าง

ไฉนผู้ชายหลายคนโต้เถียงกันยังสู้ผู้หญิงคนเดียวไม่ได้

หรือหลายปีมานี้ สกุลอวี้ก็ทำได้เพียงเกาะกินสมบัติเก่าของบรรพบุรุษไปวันๆ เท่านั้น!

หากคุณหนูอวี้ผู้นี้ยืนขึ้นมาเป็นตัวแทนของฝั่งสกุลอวี้ เผชิญหน้ากับหลี่ตวนได้ คงน่าสนใจไม่น้อยแน่

จู่ๆ เผยเยี่ยนก็รู้สึกหมดอารมณ์ขึ้นมา

เขาวางถ้วยไว้ที่มุมโต๊ะ ไม่เบาไม่แรงเกินไป

ในห้องโถงเงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาชั่วขณะ สายตาของทุกคนมองมาที่เขาอย่างพร้อมเพรียงกัน

เผยเยี่ยนเมินเฉยราวกับมองไม่เห็น กล่าวกับเผยหม่านที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา  น้ำชาเย็นหมดแล้ว ให้พวกสาวใช้เปลี่ยนชาให้ทุกคนเสียหน่อย 

ทุกคนที่ต่างคิดว่าเขามีอะไรจะพูด

ท่าทีนี้ของเผยเยี่ยนคล้ายเด็กน้อยที่เล่นสนุกเกินไปแล้ว!

พวกคนสกุลหลี่ตื่นตัว ฝั่งอวี้เหวินใบหน้าดำคล้ำ พวกเศรษฐีชนบทที่มาร่วมฟังต่างมีสีหน้าแตกต่างกันไป ครุ่นคิดตรึกตรองในใจว่าถึงเวลานั้นควรจะยืนฝั่งไหนอย่างไร

แววตาดั่งคมมีดของอวี้ถังมองไปยังเผยเยี่ยนอย่างตรงๆ

เหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนี้ได้?

ไม่ตอบรับก็เป็นอีกเรื่อง พอตอบรับแล้ว ก็ควรจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังตั้งใจ เที่ยงธรรม ซื่อตรงจึงจะถูก ทำอย่างสุกเอาเผากินเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?

หรือนี่ก็เป็นอีกคนที่นางเข้าใจผิดเพราะภาพจำของชาติที่แล้ว?

————————–

[1]หากไม่ใช่ลมตะวันออกพัดกลบลมตะวันตก ก็เป็นลมตะวันตกที่พัดกลบลมตะวันออก อุปมาถึงการแข่งขันเอาชนะกัน

[2]ชิงเค่อ คือแขกที่คอยให้คำปรึกษา เสนอความคิดในบ้านผู้มีอิทธิพล

 

เผยเยี่ยนเที่ยงธรรมหรือไม่ เว่ยเสี่ยวชวนไม่รู้ แต่เขารู้ว่า หากเรื่องนี้ไม่ใช่ฝีมือของสกุลหลี่ทว่าเปลี่ยนเป็นคนอื่น เดิมทีพวกเขาก็ไม่มีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ไปแจ้งกับทางการตรงๆ ก็เพียงพอแล้ว ไม่เหมือนในยามนี้ แม้ว่าจะเชิญเผยเยี่ยนมาเป็นคนกลาง สุดท้ายฆาตกรที่แท้จริงก็อาจหลุดรอดจากโทษทัณฑ์ได้

สำหรับเว่ยเสี่ยวชวนที่เป็นเพียงคนตัวเล็กๆ เรื่องนี้นับว่าผลกระทบใหญ่เกินตัวจริงๆ

เขาใช้ผ้าของอวี้ถังเช็ดหน้าอย่างลวกๆ นับตั้งแต่รู้ว่าการตายของพี่รองเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่แต่กลับไร้ทางเอาคืนได้ ความรู้สึกที่ถูกกดไว้ในก้นบึ้งหัวใจทั้งตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ปะทุออกมาราวกับภูเขาไฟในเวลานี้

 พี่สาว  เขากำหมัดแน่น ดวงตาแดงก่ำ กล่าวเสียงจริงจังกับอวี้ถัง  ข้าจะเป็นจิ้นซื่อให้ได้ สอบซู่จี๋ซื่อ เข้าสำนักฮั่นหลิน ข้าย่อมไม่อาจให้ใครมารังแกพวกเราอีก! 

อวี้ถังมองเว่ยเสี่ยวชวนที่จู่ๆ ก็เผยสีหน้ามืดมนขึ้นมา ตกใจเสียยกใหญ่

เด็กคนนี้เข้าสู่สายมารแล้วกระมัง!

ก็เหมือนกับนางในชาติก่อน ยามที่เพิ่งสงสัยว่าเรื่องทั้งหมดที่สกุลอวี้พบเจออาจเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่ สิ่งที่เกลียดชังที่สุดไม่ใช่สกุลหลี่ แต่เป็นตัวเองที่ตกหลุมพราง

หากไม่ใช่ว่านางพบคนจิตใจดีช่วยเหลือไว้ในภายหลัง นางก็อาจจะเป็นเหมือนเว่ยเสี่ยวชวน เกลียดชังโลกใบนี้ เกลียดชังผู้คนในใต้หล้านี้

นางรีบรั้งเว่ยเสี่ยวชวนไว้ในอ้อมอก เอ่ยเสียงเบา  ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร พวกเราค่อยเป็นค่อยไป คำโบราณกล่าวไว้ ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ไม่สาย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน เจ้านึกถึงพ่อแม่เจ้าไว้ ยังมีพี่ชายเจ้า พวกพี่สะใภ้ พวกเราไม่อาจให้พวกไร้ค่ามาทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุขได้เชียว ไม่อย่างนั้นแม้พวกเราจะแก้แค้น ก็รังแต่จะทำให้พวกศัตรูขบขันเท่านั้น 

อวี้ถังรู้ดี ยามนี้นางเกลี้ยกล่อมเว่ยเสี่ยวชวนไม่ให้ล้างแค้น ก็มีแต่จะทำให้เว่ยเสี่ยวชวนเกิดความไม่พอใจ ทั้งให้ผลเสียมากกว่าดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรห้ามปรามอย่างส่งเดช ควรจัดการอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยามนี้แทนที่จะขัดเขา ยังมิสู้ว่าตามเขาไปก่อน ถึงเวลานั้นรอยแผลเขาปิดสนิท ค่อยหาโอกาสโน้มน้าวเขาอีกครั้ง

เว่ยเสี่ยวชวนฟังแล้วกลับคลายโทสะลง เขาเอ่ยว่า  ข้ารู้ พี่สาววางใจ ข้าไม่อาจปล่อยให้คนที่รักเจ็บปวด ทำให้ศัตรูดีใจได้หรอก 

สามารถฟังสิ่งที่นางเกลี้ยกล่อมได้ก็ดีแล้ว

อวี้ถังโล่งใจไปเปราะหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น  ข้าให้คนไปตักน้ำให้เจ้าล้างหน้าล้างตาแล้ว จากนั้นค่อยไปพบพ่อเจ้าด้วยกัน เขาจะได้ไม่ต้องกังวล 

นางก็จำเป็นต้องขอโทษคนสกุลเว่ย ทั้งขอบคุณพวกเขาที่ให้อภัยตนเองเช่นกัน

แม้ว่าจนถึงยามนี้นางจะยังไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ แต่นางก็ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่กังวลใจเพราะเรื่องที่ตัวเองก่อขึ้น

เว่ยเสี่ยวชวนพยักหน้า ล้างหน้าใหม่อีกครั้ง อารมณ์จึงค่อยสงบลง ทั้งสองคนไปโถงรับแขกราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น

นายท่านเว่ยและอวี้เหวินปรึกษากันเรื่องไปพบเผยเยี่ยน ยามที่พวกเขาเข้าไปก็ได้ยินอวี้เหวินพูดพอดี  เช้าตรู่ถัดจากวันที่นายท่านสามสกุลเผยรับปากว่าจะเป็นคนกลางให้พวกเรา ทางด้านสกุลหลี่ ก็ขอความช่วยเหลือจากนายท่านอู๋เพื่อนบ้านของพวกเรา เขาเป็นคนกว้างขวาง ทั้งมีความสัมพันธ์อันดีกับสกุลหลี่ ข้าส่งคนไปติดต่อนายท่านอู๋แล้ว คิดว่าสักพักก็คงมีข่าวคราว ท่านพักผ่อนกับข้าที่นี่ก่อนสักครู่ หรือจะรอทางด้านนายท่านอู๋ตอบกลับมาแล้วค่อยวางแผนกัน? 

 น้องชายเป็นธุระให้ ข้าจะยังไม่วางใจได้อย่างไร  นายท่านเว่ยกล่าวเสียงลุ่มลึก เห็นได้ชัดว่ามีท่าทีโศกเศร้าอยู่บ้าง ทว่าแววตากลับเปี่ยมด้วยพลัง คงโยนความทุกข์โศกไว้ที่อื่นชั่วคราว พุ่งเป้าไปเรื่องที่จะแก้แค้นให้กับลูกชายที่ตายไปอย่างไรดีแทน  พวกคหบดีชนบทนั้น ท่านเชิญใครบ้าง? 

อวี้เหวินบอกทีละชื่อไล่เรียงไป

นายท่านเว่ยคิดว่าเหมาะสมแล้ว  ว่าตามนี้แหละ! ถึงเวลานั้นข้าไปกับท่านก็เพียงพอแล้ว 

อวี้ถังเห็นทั้งสองคนพูดกันพอเหมาะพอควรแล้ว เวลานี้จึงฉวยโอกาสเข้าไปขอบคุณนายท่านเว่ย

ในที่สุดใบหน้าของนายท่านเว่ยก็ปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมา พูดคุยกับอวี้ถังอย่างมีเมตตาไม่กี่คำ อวี้ถังก็ขอตัวออกไป

อวี้หย่วนได้ยินว่านายท่านเว่ยมาก็รีบตามเข้ามาคารวะทักทาย

นายท่านเว่ยพอใจกับงานแต่งครั้งนี้ไม่น้อย ยามที่พูดคุยกับอวี้หย่วนก็เผยรอยยิ้มมากขึ้น

อวี้เหวินรู้สึกว่าในใจดีขึ้นมาบ้างแล้ว รั้งตัวนายท่านเว่ยให้กินข้าวในเรือน ทั้งกล่าวกับนายท่านเว่ยอย่างแฝงความเสียดาย  พี่ใหญ่ไปหนานชัง อยากเชิญอาจารย์ทำเครื่องลงรักจำนวนหนึ่งจากที่นั่นเข้ามา วันนี้จึงไม่อาจดื่มเป็นเพื่อนท่านได้ ข้าให้อาหย่วนดื่มอวยพรแทนพ่อของเขาให้กับท่านแล้วกัน 

นายท่านเว่ยกล่าวอย่างแปลกใจ  อาจารย์คนเก่าไม่ทำแล้วรึ? 

โดยปกติหากช่างฝีมือและนายจ้างไม่เกิดขัดแย้งอะไรที่รุนแรงย่อมไม่อาจลาออกจากนายจ้างง่ายๆ เพราะยามที่ไปหานายจ้างใหม่อีกครั้ง คนอื่นมักจะสอบถามว่าเหตุใดจึงออกจากนายจ้างเดิม เป็นปัญหาที่คนหรือว่าฝีมือ เป็นต้น

บางครั้งคำพูดของนายจ้างเดิมเพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้ช่างฝีมือหางานใหม่ไม่ได้อีกเลย

อวี้เหวินกล่าว  อาจารย์คนเก่าทำที่ร้านของพวกเรามาชั่วชีวิตแล้ว เดิมทีก็ไม่อยากทำ หลังจากร้านค้าไฟไหม้ เขาก็ฉวยโอกาสขอลาออกกลับบ้านเกิด ทั้งอาจารย์อายุน้อยไม่กี่คนก็ไม่ค่อยอยากรั้งตัวอยู่ที่หลินอันเพราะเรื่องนี้ อยู่ต่อก็ไม่สามารถรับผิดชอบงานเพียงคนเดียวได้ จึงทำได้เพียงหาอาจารย์ที่สามารถรับผิดชอบงานนี้ได้เข้ามาใหม่เท่านั้น 

นายท่านเว่ยครุ่นคิดเล็กน้อย  ไม่อย่างนั้น หลังจากอาหย่วนแต่งงานเหตุใดไม่ไปเปิดกิจการข้างนอก อย่างไรพ่อสามีก็ยังอายุไม่มาก เรื่องในบ้านทั้งหมดก็สามารถมอบให้พ่อสามีได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ อาหย่วนก็สามารถพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้ พ่อสามีก็ไม่ต้องรับภาระหนัก เชิญอาจารย์เข้ามาให้มากมายแล้ว 

อวี้เหวินเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าสกุลเว่ยจะยินดีให้อวี้หย่วนใช้สินเดิมของคุณหนูเซียงหลังจากแต่งงาน

เขารู้ว่านี่เป็นความปรารถนาดีของสกุลเว่ย ทั้งคุณหนูเซียงก็ใช้ชีวิตที่สกุลเว่ยตั้งแต่เด็กจนโต นายท่านเว่ยเป็นคนที่จัดการเรื่องราวอย่างเป็นระบบระเบียบ กล้าพูดเช่นนี้ คาดว่าคุณหนูเซียงคงเห็นด้วยเช่นกัน

แต่นี่เป็นเรื่องของอวี้หย่วน เขาเป็นเพียงอาคนหนึ่งไม่อาจสอดมือไปจัดการได้

 หลังจากแต่งงานก็ให้พวกเขาทั้งสองปรึกษากันเอาเองเถิด  อวี้เหวินกล่าว

คอของอวี้หย่วนแดงเถือกไปหมด

ผู้ติดตามของนายท่านอู๋มาเข้าพบอวี้เหวิน  นายท่านพวกเรากล่าวว่า เรื่องที่ท่านให้ทำเรียบร้อยหมดแล้วขอรับ เช้าตรู่วันมะรืนยามเหม่า[1]ไปพบกันใต้ต้นการบูรเก่าแก่ปากทางเข้าตรอกเสี่ยวเหมย ไปเข้าพบสกุลเผยด้วยกัน เรื่องนี้เดิมทีนายท่านพวกเราควรมาคุยกับท่านด้วยตัวเอง แต่นายท่านพวกเราถูกนายท่านตู้รั้งตัวดื่มสุราอยู่ที่บ้าน กลัวว่าท่านจะร้อนใจรอจดหมายตอบกลับ จึงตั้งใจส่งข้าน้อยล่วงหน้ามาบอกกล่าวกับนายท่านอวี้เสียก่อน รอนายท่านพวกเรากลับมา จะคุยกับท่านอย่างละเอียดอีกครั้งขอรับ 

นายท่านตู้ เป็นคหบดีชนบทคนหนึ่งที่พวกเขาเชิญมาเป็นพยานครั้งนี้เช่นกัน

อวี้เหวินขอบคุณผู้ติดตามคนนั้น ควักเงินให้เป็นรางวัลก่อนจะให้อาเสาไปดื่มชาเป็นเพื่อนเขา ด้านตัวเองก็พูดคุยกับนายท่านเว่ยต่อ  เวลานี้ท่านก็สามารถวางใจได้ชั่วคราวแล้ว สกุลหลี่ตอบรับจะไปตัดสินความกับพวกเราที่สกุลเผยแล้ว 

หาคนกลางมาตัดสินความ สิ่งที่กลัวที่สุดก็คืออีกฝ่ายไม่มา

ดังนั้นผู้ที่เป็นคนกลางย่อมต้องเป็นคนที่มีน้ำหนัก ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าไม่อาจล่วงเกินได้

นายท่านเว่ยถอนหายใจ  ครั้งนี้ต้องขอบคุณนายท่านสามสกุลเผยแล้วจริงๆ ในบ้านของข้ายังมีโสมอายุร้อยปีเก็บไว้อยู่ ถึงเวลานั้นก็นำไปขอบคุณนายท่านสามเถิด! 

อวี้เหวินอยากพูดว่าบางทีนายท่านสามไม่แน่ว่าจะรับไว้หรอก แต่คิดดูแล้วนี่เป็นความตั้งใจของสกุลเว่ย จึงกลืนคำพูดกลับไป ทั้งสองคนปรึกษากันอย่างละเอียดว่ายามที่ไปพบเผยเยี่ยน พบคนของสกุลหลี่ควรจะพูดเรื่องอะไรบ้าง

ด้านอวี้ถังหลังจากรอพ่อลูกสกุลเว่ยกล่าวอำลา ก็ไปพบบิดา

 ท่านพ่อ  นางขอร้องอวี้เหวิน  ถึงเวลานั้นท่านก็พาข้าไปด้วยเถิดนะเจ้าคะ! 

นางอยากรู้ว่าวันนั้นสกุลหลี่จะพูดอย่างไรบ้าง

ชาตินี้และชาติก่อนมีความแตกต่างเป็นอย่างมาก เวลานี้สกุลหลี่ก็เปิดเผยด้านที่โหดร้ายออกมาแล้ว จะตกต่ำกลางคันเช่นนี้เลยหรือไม่?

นางอยากรู้เป็นอย่างมาก อยากเห็นด้วยตาของตัวเอง

อวี้เหวินคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้ยากที่จะพบเจอ อวี้ถังตามไปเปิดหูเปิดตาก็ดีเหมือนกัน

เขากล่าวทั้งใคร่ครวญ  ไปได้ แต่เจ้าห้ามพูด ทั้งไม่อาจทำอะไรส่งเดชได้ 

อวี้ถังยังคิดว่าตัวเองต้องร่ายยาวหว่านล้อมบิดาเสียอีก ฟังจบก็อดดีใจไม่ได้ ละล่ำละลักเอ่ย  ท่านวางใจเถิด ข้าจะตามหลังท่านพี่อย่างสงบเสงี่ยม ไม่ให้เป็นที่สนใจของใคร 

อวี้เหวินพยักหน้า

อวี้ถังถามอวี้เหวิน  เช่นนั้นคนลี้ภัยสองคนนั้นจะทำอย่างไร? ถึงเวลานั้นให้พี่น้องสกุลชวีคุมตัวไปหรือเจ้าคะ? 

หากเป็นเช่นนี้ พี่น้องสกุลชวีก็ต้องเปิดเผยตัว พี่น้องสกุลชวีไม่แน่ว่าจะยอมล่วงเกินสกุลหลี่

ต้องถามความต้องการของพวกเขา

อวี้เหวินเอ่ย  เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าได้พูดกับเถ้าแก่ใหญ่ถงแล้ว ถึงเวลานั้นเถ้าแก่ใหญ่ถงจะส่งคนไปนำตัวคนลี้ภัยทั้งสองไปไว้ที่สกุลเผยล่วงหน้า ไม่อาจให้สกุลหลี่มีโอกาสเล่นเล่ห์เหลี่ยมอะไรได้ 

อวี้ถังค่อยวางใจ เมื่อถึงวันที่นัดกัน ก็แต่งตัวเป็นบ่าวรับใช้ของอวี้หย่วน ก้มหน้าก้มตาเดินตามหลังอวี้เหวินและอวี้หย่วนไปตรอกเสี่ยวเหมยพร้อมนายท่านอู๋

เพราะพวกเขาเป็นคนเชิญคนอื่นจึงไปค่อนข้างเร็ว กระนั้นนายท่านเว่ยและเว่ยเสี่ยวหยวนกลับยังถึงเร็วกว่าพวกเขา

อวี้เหวินรีบแนะนำนายท่านเว่ยให้นายท่านอู๋รู้จัก

ด้านนายท่านเว่ยก็ขอบคุณนายท่านอู๋อย่างซาบซึ้งใจ

นายท่านอู๋เป็นคนใจกว้าง รีบคว้าตัวนายท่านเว่ยที่จะค้อมคำนับให้เขา ตบไหล่นายท่านเว่ยอย่างเป็นกันเอง  ไม่ต้องมากพิธีขนาดนั้น นายท่านอวี้และข้าเป็นเพื่อนบ้านมาหลายปีแล้ว นิสัยของข้าเขาก็รู้ดี ชอบการคบหาสหายเป็นที่สุด พวกเราสามารถรู้จักกันเช่นนี้ได้ นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ภายหลังก็ไปมาหาสู่กันให้มากหน่อย 

นายท่านเว่ยย่อมตอบรับ เชิญนายท่านอู๋ให้เป็นไปแขกที่สกุลเว่ยในยามที่ว่าง

นายท่านอู๋รับปากอย่างมีไมตรี เอ่ยถามเรื่องผลผลิตในปีนี้ของนายท่านเว่ย

พวกเขาไม่กี่คนพากันพูดคุยขึ้นมา ก่อนพวกคหบดีที่ถูกเชิญมาจะทยอยกันมาอย่างไม่ขาดสาย

ทุกคนต่างทักทายซึ่งกันและกัน

ไม่มีใครสนใจอวี้ถัง

อวี้ถังที่รู้สึกวางใจ ก็ฉวยโอกาสเริ่มสำรวจผู้คน…คนพวกนี้ล้วนเป็นคนมีหน้ามีตาในเมืองหลินอัน ใครจะรู้ว่าภายหลังจะพบเจอเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือหรือไม่

ยามที่ใกล้ถึงเวลานัดพบ คนของสกุลหลี่ก็มา

เพราะหลี่อี้รับราชการอยู่ข้างนอก ผู้ที่มาจึงเป็นหลี่ตวนและหลี่จวิ้น

นายท่านอู๋เห็นก็ขมวดคิ้ว เอ่ยถามอวี้เหวินเสียงเบา  เจ้าไม่ได้เชิญบ้านสายตรงของสกุลหลี่หรอกรึ? 

 เชิญแล้ว!  อวี้เหวินเห็นก็ไม่พอใจอยู่บ้าง  ข้าเป็นคนไปเชิญด้วยตัวเอง 

นายท่านอู๋เห็นเช่นนั้นก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อยเช่นกัน  นี่พวกเขาหมายความว่าอย่างไร? ไม่อยากนับตัวเองเป็นคนสกุลหลี่แล้ว? 

ตามหลักแล้ว เกิดเรื่องเช่นนี้ ควรเป็นบ้านสายตรงสกุลหลี่ที่ออกหน้า แต่หลี่ตวนและหลี่จวิ้นมาเช่นนี้ หากไม่ใช่ว่าบ้านสายตรงสกุลหลี่ไม่ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ก็คงเป็นเพราะบ้านของหลี่ตวนไม่ให้ความเคารพบ้านสายตรงสกุลหลี่

เพียงแต่ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะเข้ามาใกล้ หลี่เหอก็พยุงบิดามา ซึ่งก็คือคนบ้านสายตรงของสกุลหลี่ ปู่สิบสองของบ้านสายตรงสกุลหลี่สาวเท้าเร็วปรากฏตัวอยู่ที่ตรอกเสี่ยวเหมย

 หลี่ตวน เจ้าคอยพวกเราก่อน!  หลี่เหอตะโกนเสียงดังอย่างกระหืดกระหอบใส่สองพี่น้องหลี่ตวน

หลี่ตวนหันกลับไป สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าใด แต่ยังคงหยุดฝีเท้าไว้

คนที่มาต่างก็เป็นคนผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แค่เห็นเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าบ้านหลี่ตวนไม่ให้ความเคารพบ้านสายตรงแต่อย่างใด

เวลานั้นคหบดีไม่กี่คนก็ซุบซิบกันขึ้นมา  มีเพียงขุนนางขั้นสี่คนเดียวก็เริ่มวางตัวเหิมเกริมเสียแล้ว ดูคนสกุลเผยสิ บ้านไหนบ้างที่ไม่ได้เป็นขุนนาง แต่มีบ้านไหนบ้างกันที่กล้าไม่เคารพบ้านสายตรง! 

 ไม่อย่างนั้นสกุลเผยจะยืนตระหง่านดั่งขุนเขาไม่ล้มมาหลายรุ่นได้อย่างไร! 

อวี้ถังรับฟัง สายตากลับวางอยู่ที่ร่างของหลี่จวิ้น

เพียงเวลาไม่กี่สิบวัน หลี่จวิ้นกลับคล้ายเปลี่ยนไปราวคนละคน ใบหน้าซีดเซียว ท่าทีหม่นหมอง ราวกับต้นไม้ที่ถูกตัดน้ำหล่อเลี้ยง จู่ๆ ก็แก่ขึ้นมากว่าสิบปี อย่างไรก็ไม่อาจกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว

————————-

 

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน (花娇)

Status: Ongoing

นิยายโรแมนติก-ย้อนยุค-ดราม่า ผลงานใหม่จาก ‘จือจือ’ แนวชิงไหวชิงพริบแวดวงค้าขาย และรักต่างชนชั้นน่าลุ้น! ‘อวี้ถัง’ บุตรสาวคนโตของตระกูลพ่อค้า ลืมตาตื่นขึ้นมาในวันที่กิจการครอบครัวถูกไฟไหม้วอดวาย วันนั้น…คือห้วงเวลาก่อนที่ตัวนางต้องแต่งงานเข้าสกุลหลี่เพื่อพยุงกิจการครอบครัว แล้วกลายเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว และถึงคราวพบจุดจบแสนอาภัพ เมื่อโชคชะตาไม่ใจร้าย ส่งให้นางย้อนกลับมาแก้ไขเรื่องราวก่อนจะสายเกินไป นางจึงต้องทำทุกทาง แม้กระทั่งไปพัวพันกับคนสกุลเผยที่สถานะสูงศักดิ์เหนือผู้ใด เพื่อกอบกู้ฐานะทางการเงิน เพื่อรักษาครอบครัวให้ยังอยู่พร้อมหน้า ทักษะทางการค้า ไหวพริบ เล่ห์กลจึงต้องมี ทว่า ‘เผยเยี่ยน’ นายท่านสามแห่งสกุลเผย ผู้ที่ครั้งก่อนไม่เคยอยู่ในสายตากลับปรากฏตัวให้นางเห็นอยู่ร่ำไป นอกจากชะตาครั้งใหม่ เห็นทีเรื่องหัวใจอาจเป็นฤดูกาลใหม่เช่นกัน ฤดูใหม่นี้… หญิงสาวไร้เดียงสาดั่งบุปผากลีบบาง จะเปลี่ยนเป็นบุปผางามที่แข็งแกร่ง นี่คือ ห้วงเวลาของบุปผาที่กำลังผลิบาน บนย่านการค้าแห่งนี้ที่แข่งกันเร่าร้อนดั่งฟอนไฟ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท