บ้านเลขที่ 001!
ทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง อย่างที่รู้บ้านเลขที่ 001 นั้นหมายความว่าอะไร
นั่นคือวิลล่าหลังที่ทำเลดีที่สุด และเป็นวิลล่าหยุนติ่งตัวเก็งเชียวล่ะ
ในวันนี้ ขายออกไปได้แล้ว
ผู้ที่เป็นเจ้าของวิลล่าแห่งนี้ รับการปฏิบัติที่ดีที่สุดในวิลล่าหยุนติ่ง มีอำนาจมากที่สุด แม้กระทั่งไล่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ อีกอย่างคนที่สามารถซื้อวิลล่าหลังนี้ได้ ต้องรวยสุดๆไปเลย
แย่ละ!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน ตกใจจนกองไปอยู่บนพื้นทันที
พวกเขามีปัญหาแล้ว
ไม่คิดเลยว่าจะยั่วยุเจ้าของวิลล่าเลขที่ 001 แล้วยังด่าเขาว่าเป็นคนจนอีก!
นี่
จบเห่แล้วจริงๆ
ถ้าฉินเฟิงต้องการจัดการพวกเขา งั้นพวกเขาจะต้องจบลงอย่างน่าสังเวชแล้วจริงๆ
เพียงแต่ว่า หลังจากที่ฉินเฟิงเอาบัตรกลับไป แล้วถามว่า: พวกเราเข้าไปได้หรือยัง?
ได้แล้วครับ คุณผู้ชาย
ผู้จัดการทรัพย์สินคนนั้นพยักหน้า
จากนั้น ฉินเฟิงก็จากไป
หลังจากที่จากไปแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สมกับเป็นคนใหญ่คนโต ก็ควรมีจิตใจที่กว้างขวาง ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเลย
เพียงแต่ ผู้จัดการทรัพย์สินเดินมา สีหน้าเกรี้ยวโกรธ: พวกแกไม่ต้องทำงานในวงการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว โดนแบล็คลิสต์แล้ว
แต่เขารู้ข่าวจากสำนักงานใหญ่
เศรษฐีผู้ลึกลับ ทุ่มเงินเจ็บสิบล้าน ซื้อวิลล่าหลังนั้น
อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนนี้เลย แม้แต่วิลล่าหยุนติ่งของพวกเขา ก็ไปลามปามไม่ได้
แย่ละ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนหน้าซีด
ในตอนนี้ ฉินเฟิงสั่งสอนกั่วกั่ว
ลูกรัก จำคำพ่อไว้นะ สำหรับสุนัขเห่าบางตัว ถ้าไม่สนใจมันได้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะขอเพียงแค่มีจิตสำนึกที่ดีก็พอแล้ว
โอเคค่ะ……
ฉินเฟิงพาฉินกั่วกั่วไปที่วิลล่าหยุนติ่ง วิลล่าหยุนติ่งสมกับเป็นวิลล่าหยุนติ่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่ง ก็ยังทำเป็นสีเขียว สามารถกล่าวได้ว่าอยู่ชั้นบนของเมืองเจียงเฉิงทั้งหมด
เดินไปจนสุดทางทิศตะวันออก
สักพัก ก็ได้ยินเสียงนกนางนวล
พ่อ รีบดูเร็ว ทะเลกว้างใหญ่
ฉินกั่วกั่วตื่นเต้นเล็กน้อย วิ่งไปทางนั้น
ช้าหน่อย
ฉินเฟิงยิ้มด้วยความเอ็นดู
จากนั้นก็ตามไป ผ่านต้นไม้ไม่กี่ต้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาของคุณคือสีฟ้าคราม นี่คือวิลล่าหยุนติ่งที่สร้างบริเวณชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะ ทอดสายตามองออกไป เห็นคลื่นที่งดงาม
สถานที่พิเศษ เมืองเจียงเฉิง ตั้งอยู่ที่ปากน้ำทะเล ทั้งเมือง มีเพียงแค่เฉพาะบริเวณนี้ของวิลล่าหยุนติ่งเท่านั้นที่สามารถมองเห็นทะเลได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมราคาบ้านของวิลล่าหยุนติ่งถึงแพงมาก
ถ้าอยากจะดูจริงๆ ทำได้เพียงแค่ไปเมืองอื่นเท่านั้น
เพียงแต่ กั่วกั่วโตขนาดนี้ ยังไม่เคยออกต่างจากหวัดเลย
ว้าว นกนางนวล นกนางนวลเยอะแยะเลย
ฉินกั่วกั่ววิ่งไป ทันใดนั้นนกนางนวลตกใจบินหนีกระเจิง ปีกสีขาวกระพือด้วยความตกใจ
พ่อ ทำไมพวกมันถึงหนีล่ะ?
ฉินกั่วกั่วเห็นนกนางนวลเหล่านั้นบินหนี ไม่เล่นกับเธอ ทันใดนั้นก็หน้ามุ่ย เสียใจเล็กน้อย
ลูกต้องอ่อนโยนหน่อย
ฉินเฟิงจับมือฉินกั่วกั่ว เดินไปด้านข้างและซื้ออาหาร จากนั้นก็กล่าวกับกั่วกั่วว่า: ต้องใช้อาหารพวกนี้ด้วย
อาหารเหรอ? ฉันมีอาหารอร่อยๆ พวกแกมาเล่นด้วยกัน
เฉินกั่วกั่วหยิบถุงอาหาร เดินไปอย่างอ่อนโยน
ไม่นาน นกนางนวลฝูงใหญ่บินมา เด็กน้อยสัมผัสตัวนั้นที ตัวนี้ที เล่นอย่างสนุกสนาน
แต่ ในตอนนี้ เสียงดังมาจากข้างหลัง: คนอย่างแก มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ฉินเฟิงหันหน้าไปมอง พบว่าเป็นผู้หญิงเมื่อวานคนนั้น
นั่นก็คือแม่ของเด็กผู้ชาย
แกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แกไม่ควรมาอยู่ที่นี่นะ
เด็กผู้ชายก็วิ่งเข้ามา ด้วยความไม่พอใจ ทำให้นกนางนวลเหล่านั้นโบยบินไป
พ่อ
ฉินกั่วกั่วอยู่ด้านหลังฉินเฟิง
คุณหมายความว่ายังไง?
ฉินเฟิงมองผู้หญิงคนนี้ สีหน้าจริงจัง เขาโกรธเล็กน้อย
ฉันหมายความว่าไง หรือว่าแกไม่รู้? ว่าที่นี่ คือวิลล่าหยุนติ่ง ไม่ใช่ที่ที่คนจนอย่างแกจะมา แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าแกจะเข้ามาได้ยังไง แต่ตอนนี้รีบไสหัวไปซะ
หลี่ซานซานมองไปที่ฉินเฟิง ดวงตาทั้งคู่ดูถูกเหยียดหยาม
พวกเธอเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย กว่าจะย้ายมาอยู่ที่วิลล่าหยุนติ่งแห่งนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย แต่ฉินเฟิงคนนี้ ดูเหมือนคนขายแผงลอย มีสิทธิ์อะไรถึงเข้ามาได้
คนแบบหมอนี่ ควรไปอยู่ที่สลัม
ฉันกลับอยากให้คุณ ไสหัวไปซะ
ฉินเฟิงจับมือไว้ด้านหลัง สายตาไม่พอใจ
เหอะ อยากให้ฉันไสหัวไป แกรู้ไหมว่าฉันคือใคร? มากล้าพูดแบบนี้ ฉันเป็นภรรยาประธานบริษัทหวงซื่อกรุ๊ป หลี่ซานซาน
หลี่ซานซานสีหน้าหยิ่งผยอง และพูดต่อว่า: สามีของฉัน วันนี้เตรียมจะไปซื้อวิลล่าที่แพงที่สุดหลังนั้นแล้ว คนจนๆอย่างพวกแก ชาตินี้ก็ไม่มีทางซื้อได้หรอก
หลังจากนั้น หลี่ซานซานหยิบโทรศัพท์ และโทรออก: ฮัลโหล หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่ ในบริเวณวิลล่า มีคนนอกเข้ามา แกรู้ไหมว่า……
ด่าอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้าย เมื่อซื้อวิลล่าที่แพงที่สุดนั่นได้แล้ว พวกเขาก็มีอำนาจไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ได้แล้ว
ผ่านไปสามนาที หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพากลุ่มคนมา เดิมทีก่อนหน้านี้ก็ถูกทำให้ตกใจแล้ว จากนั้นก็ถูกหลินซานซานด่า ทำให้เขาคนทั้งคนรู้สึกแย่มากเลย
หยิบแท่งไฟฟ้า พากลุ่มคนมา
วันนี้ฉันจะดู สรุปว่าใคร……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็ไม่พูดต่อ ตัวสั่นไปหมด เพราะเขาเห็นฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ เจ้าของบ้านเลขที่ 001 คนนั้น
ทำไมพวกแกมาช้ากันจัง เชื่อไหมว่า ถ้าสามีฉันกลับมา ก็จะไล่พวกแกออก
หลี่ซานซานทำท่าทางอย่างมั่นใจ พูดอย่างโกรธเคือง
คือว่าคุณผู้หญิงหลี่ มีเรื่องอะไรเหรอครับ?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระงับความโกรธเอาไว้ และถาม
มีเรื่องอะไร นี่ก็ชัดเจนมากแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนในพื้นที่วิลล่าแห่งนี้ เข้ามา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาดี พวกแกรีบไล่เขาไป
หลี่ซานซานโบกมือ ให้สัญญาณกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดไม่ออก
คุณรู้ไหมว่าท่านผู้นี้ คือใคร ยังจะไล่ออกไปเหรอ?
เพียงประโยคเดียว เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้แล้ว
ฉันไม่ชอบที่พวกเขามาอยู่ที่นี่
ฉินเฟิงมองไปที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น
คือว่า……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าย่น เรื่องแบบนี้ เขาลำบากใจเหมือนกัน
แต่ ในตอนนี้ ฉินเฟิงหยิบมือถือออกมา โทรศัพท์ออกไป สักพัก โทรศัพท์ของหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้น เขารับสาย
หลี่กาง ไล่คนของตระกูลจวงคนนั้นออกไปเถอะ
อะไรนะ หัวหน้า ทำไมล่ะ นี่เป็นการล่วงเกินคนนะ……คือ……เป็นการล่วงเกินคนจริงๆนะ
เจ้าของบ้านเลขที่ 001 พวกเราวิลล่าหยุนติ่งไม่สามารถล่วงเกินได้
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนิ่งไป เท่าที่เธอรู้ วิลล่าหยุนติ่งมีผู้หนุนหลังใหญ่โตมาก แต่แม้แต่ผู้หนุนหลังใหญ่โตก็ไม่สามารถรุกรานได้ เสี่ยงอันตรายที่จะล่วงเกินคน ก็ต้องออกคำสั่งนี้
แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าฉินเฟิงคนนี้เป็นคนยังไง
สัมผัสได้ถึงความกลัวในดวงตาของเขา เกือบจะทำให้คนเขาขุ่นเคืองแล้ว
แกมัวทำอะไรอยู่ รีบไล่เขาออกไปสิ พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะอยู่ตรงนี้นะ หลี่ซานซานยังคงพูดต่อไป
เพียงแต่ว่า หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าว: คุณผู้หญิงหลี่ เบื้องบนสั่งมาแล้ว วิลล่าหยุนติ่งไม่ต้อนรับคุณ วันนี้เชิญคุณย้ายออกไปซะ ไม่อย่างนั้น พวกเราจะใช้กำลังแล้ว!
อะไรนะ!
ทุกคนตกใจ ในเวลานี้พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีตัวหมากหลายตัววางอยู่หลังตัวหมากของท่านหลิว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ไม่ทันได้สังเกต แต่ได้ฝ่าเข้าไปในวงล้อมจากการล่อของตัวหมากตัวหนึ่งของฉินเฟิง
ถูกโจมตีขนาบทั้งหน้าหลัง
ตาแก่หลิวพ่ายแพ้แล้ว
หลังจากตื่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ตาแก่หลิวก็ลูบกระดานหมากล้อมอย่างระมัดระวังแล้วถอนหายใจออกมา เจ้าหนูกล้ามาก ที่ใช้ประมุขของตัวเองมาเป็นเหยื่อล่อ ถ้าหากประมุขตัวนี้ถูกผมกินไปก่อนหน้า แผนสองของคุณก็ไร้ประโยชน์
คนส่วนใหญ่นั้นคิดแบบท่านหลิว ฉินเฟิงกล่าว
เอ่อ…ฮ่าฮ่า ใช่แล้ว คนส่วนใหญ่คิดเหมือนผม นายพลที่ดีจริงๆ แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ถ้าอยากจะฝ่าฟันศัตรู จะเอาแต่บังคับตลอดไม่ได้ ในบางครั้งการสวนทางก็สามารถมีผลลัพธ์น่าอัศจรรย์ได้
เจ้าหนู ผมได้เรียนรู้อะไรมากมายเลย
แต่ผมยังไม่ยอมแพ้ ขออีกตาเถอะ
ท่ามกลางความตกตะลึงของผู้คนที่รายล้อมอยู่ ตาแก่หลิวยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ไม่ได้บิดพลิ้วใดๆ ยอมรับว่าตัวเองพ่ายแพ้อย่างสง่าผ่าเผย ยังคิดว่าได้เรียนรู้หลักการหลายอย่างจากฉินเฟิงอีกด้วย
หากเอาแต่บังคับตลอดเวลา ก็ไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้
หลักการนี้ไม่ซับซ้อน แต่มันยากที่จะทำ
ในเกมหมากล้อมถัดไป ทั้งสองยังคงวางหมากต่อไป ต่อมาหลังจากที่คนรอบข้างผ่อนคลายลงได้ในที่สุด ตาแก่หลิวก็แพ้อีกครั้ง หนึ่งตา สองตา สามตา…
หลังจากสิบตาผ่านไป ฟ้าก็มืดแล้ว
วันนี้พอแค่นี้ก่อนแล้วกัน
ตาแก่หลิวมองดูท้องฟ้าที่มืดครึ้มและเตรียมตัวกลับ
แต่ก็ถูกคนดึงกลับมาในทันใด ชายชราหนึ่งในนั้นย่นจมูกจ้องเขม็งแล้วพูดว่า คุณจะหนีไปไหน คุณยังไม่ได้ให้เงินผมเลย เมื่อก่อนคุณชนะผมได้เงินมากมาย วันนี้แพ้แล้ว ไม่อยากจะควักจ่ายแล้วเหรอ?
รีบเอาเงินมา ทั้งหมดสิบสองตา หนึ่งพันสองร้อยหยวน
ใช่ๆๆ รีบจ่ายเงินมา ห้ามขาดไปแม้แต่นิดเดียว เจ้าหนูนี่ไม่ได้ใส่เสื้อผ้าอะไรมาก ดูท่าทางเป็นเด็กยากจน ตาแก่หลิวไม่รังแกเด็กหรอก
ชายชรากลุ่มหนึ่งที่ห้อมล้อมอยู่ดึงตาแก่หลิวเข้ามาแล้วพูดว่า
เมื่อก่อนเป็นพวกเขาที่แพ้มาตลอด แต่ตอนนี้พอได้เห็นตาแก่หลิวแพ้ พวกเขาก็มีความสุขมาก ได้เห็นเจ้าหมอนี่กระอักเลือด จะปล่อยให้เขาหนีไปไม่ได้แล้ว
ให้ๆๆ
ตาแก่หลิวรีบโบกมือเพื่อบอกว่าจะให้ จากนั้นเขาก็เดินไปหาฉินเฟิงและพูดด้วยรอยยิ้ม เจ้าหนู เอ่อ วันนี้ผมไม่ได้พกเงินมาด้วย ถ้าอย่างนั้น…
คุณไม่ได้พกเงินติดตัวมาด้วยเหรอ?
กลุ่มคนที่อยู่รายรอบต่างตกตะลึงและไม่เชื่อ ชายชราคนหนึ่งเดินเข้าไปค้นตัว แต่ก็พบว่าไม่มีเงินจริงๆ
ไม่ต้องค้นแล้ว ไม่มีจริงๆ ผมตั้งแผงที่นี่มาหลายปีแล้ว ไม่เคยแพ้มาก่อน ในเมื่อไม่เคยแพ้ แล้วจะพกเงินมาทำไมล่ะ พวกคุณว่าถูกไหม? ตาแก่หลิวอธิบาย
ดูเหมือนว่า…มันก็ถูก
คนรอบข้างถึงกับอึ้งไปอีกครั้ง เหตุผลนี้มันฟังดูเข้าท่า
ทันใดนั้น ตาแก่หลิวก็เดินฝ่าฝูงชนออกมา แล้วเดินเข้าไปหาฉินเฟิง เอามือถูกันราวกับคิดจะทำเรื่องไม่ดี พลางพูดว่า เจ้าหนู ถึงผมจะไม่มีเงิน แต่ผมมีหลานสาวอยู่หนึ่งคน อายุ 18 ปี หน้าตาน่ารัก รูปร่างดีมาก คุณลองดูสิ ผมจะแนะนำหลานสาวให้คุณได้รู้จัก เพื่อชดเชยหนี้ในครั้งนี้แล้วกัน
ท่านหลิว แล้วยังอายุสิบแปดอีก? หลายปีก่อนคุณก็บอกว่าอายุสิบแปด ตอนนี้ก็ยังสิบแปดเท่าเดิม คุณนี่ชั่วร้ายมาก หลานสาวของคุณจะสวยสักแค่ไหน?
แถมยังจะแนะนำให้กับเจ้าหนุ่มคนนี้ คุณกำลังทำร้ายคนอื่นอยู่นะ
ทางด้านข้าง ชายชราหัวล้านเปิดโปงขึ้นมา
เขาเป็นเพื่อนสนิทของท่านหลิว มีความชั่วร้ายติดเป็นนิสัย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็พูดถูก เมื่อห้าหกปีที่แล้ว ตาแก่หลิวมาที่นี่และบอกพวกเขาว่า เขามีหลานสาวหนึ่งคน อายุ 18 ปี หน้าตางดงามดั่งบุปผา
ตอนนี้ยังมาใช้ข้ออ้างแบบนี้อีก
แถมยังอายุ 18 ปี
แม้แต่เงาก็ไม่เคยได้เห็น พวกเขาต่างก็สงสัยว่าตาแก่หลิวมีหลานสาวจริงๆ หรือไม่
พวกคุณจะไปรู้อะไร
ตาแก่หลิวพ่นลมหายใจแรง จากนั้นก็หันกลับมาถามฉินเฟิงว่า เจ้าหนู คุณว่าไง?
ไม่ต้องแล้ว
ฉินเฟิงส่ายหน้า เขาเองก็ไม่ได้ร้อนเงิน
ว่าแล้วก็หันหลังเดินจากไป
เจ้าหนู ไม่ให้ไม่ได้ ผมเป็นคนพูดจาเชื่อถือได้ ถ้าผมไม่ให้ คนแก่พวกนี้จะหัวเราะเยาะผม คุณพักอยู่ที่ไหน คราวหน้าผมจะไปหาคุณดีไหม?
ตาแก่หลิวรีบไล่ตามฉินเฟิงไป ราวกับไม่ยอมปล่อยให้เขาไปไหน
ก็ได้ ผมอยู่ที่วิลล่าหยุนติ่ง เลขที่ 001
ฉินเฟิงบอกที่อยู่แล้วเดินจากไป
ตาแก่หลิวถึงกับอึ้งไปในตอนแรก จากนั้นก็ตกตะลึงอีก สุดท้ายก็กลับมาที่กลุ่มผู้สูงวัยด้วยความงุนงง เขามองคนชราเหล่านั้น แล้วพ่นลมหายใจแรง พวกคุณไม่เคยเห็น หลานสาวของผม…
อายุ 18 ปี หน้าตางดงามดั่งบุปผา ใช่ไหม?
ไม่เติบโต อายุสิบแปดทุกปีงั้นเหรอ? เป็นปีศาจสินะ
ไม่ใช่ ผมไม่คิดว่ามีคนแบบนี้อยู่เลย ท่านหลิวไม่มีหลานสาวอยู่แล้ว อ้อ น่าจะไม่มีหลานสาวมากกว่า ชายชราคนนี้จิตใจชั่วร้าย หลอกพวกเรามานานหลายปี
ฝูงชนส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา
หลังจากนั้นไม่นาน ตาแก่หลิวก็เก็บแผง แล้วเดินจากไปจนถึงถนนเส้นหนึ่ง รถ แลนด์โรเวอร์ทรงอำนาจคันหนึ่งจอดลงตรงหน้าเขา ผู้หญิงขายาว สวมกางเกงยีนรัดรูป รูปร่างสมบูรณ์แบบก้าวลงมาจากรถ
พอมองออกไปก็ไม่พบข้อบกพร่องใดๆ เลยแม้แต่น้อย
คุณปู่ พ่อบอกให้ฉันมารับท่าน
โอเค
ท่านหลิวพยักหน้า มองดูผู้หญิงข้างๆ แล้วพึมพำว่า ผมไม่ได้โกหกจริงๆ หลานสาวของผมหน้าตางดงามดั่งบุปผา คนไล่จีบเธอ…
เดิมทีอยากจะบอกว่าจากเมืองเจียงเฉิงไปจนถึงเมืองอื่นๆ ด้วยซ้ำ
แต่ก็น้ำท่วมปาก พูดออกไปไม่ได้
เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ก็คือหลิวหลิน ตำรวจหญิงที่สวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิง คนไล่ตามจีบเธอตั้งแต่โรงพยาบาลเมืองเจียงเฉิง จนมาถึงโรงพยาบาลในเมืองใกล้เคียง มีฉายาว่า มังกรสาว
เธอสวย ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือว่าใบหน้าก็เลือกไม่ถูก
เพียงแต่ว่า มันเป็นเพียงดอกกุหลาบที่มีหนาม ยังไม่มีใครสามารถพิชิตใจเธอได้
เอาล่ะ หลานสาว อีกสองวันไปวิลล่าหยุนติ่งกับปู่ ปู่เจอคนที่น่าสนใจ ถือว่าเป็นเพื่อนต่างวัยแล้วกัน หาได้ยาก
ตกลงค่ะ
เออใช่ ปู่แพ้ให้กับชายหนุ่มคนนั้น
…
ฉินเฟิงเดินไปถึงริมแม่น้ำ ลมพัดโชยเอื่อยๆ ในใจกำลังคิดถึงกระดานหมากล้อมก่อนหน้านี้ว่ามีช่องโหว่หรือไม่ ที่แตกต่างจากฉีหยุนก็ค่อ เขาเป็นผู้นำสามเหล่าทัพ
ต้องพิจารณาให้มากขึ้น
ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพของเขา ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ จากที่ไหน มาจากการกรำศึกสงครามครั้งแล้วครั้งเล่า การสู้รบในประเทศต้าหัว อาจจะไม่มีใครทำได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว
แต่ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนขากะเผลกล้มลงกับพื้นข้างแผงขายมันเทศ แผงขายมันเทศถูกพลิกคว่ำ
กลุ่มเด็กแก๊งแต่งตัวฉูดฉาดกำลังทุบตีชายคนนั้น ชายสวมตุ้มหูคนหนึ่งกล่าวว่า ไอ้แก่ วันนี้ต้องจ่ายค่าคุ้มครองมา ถ้าไม่จ่าย จะเล่นงานแกให้ตายตรงนี้เลย
พ่อหนุ่ม คุณก่อนหรือผมก่อน
คุณหลิว
ตกลง
ตาแก่หลิวหยิบหมากดำขึ้นมาโดยไม่ลังเล แล้วเริ่มวางหมาก เขาหรี่สายตา พักผ่อนชั่วครู่ ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ก็ล้วนเป็นเด็กหนุ่ม
มันไม่ง่ายเลยที่จะเอาชนะได้
จะพูดอย่างไรเขาก็เป็นนักหมากล้อมระดับแปดมือหนึ่งของประเทศเพียงคนเดียวในเมืองเจียงเฉิง ตำแหน่งในวงการหมากล้อม ทุกคนต่างเรียกเขาว่าท่านหลิวด้วยความเคารพ
ขณะที่ออกมาฝึกฝนศิลปะในการเดินหมากล้อม ก็ควรจะหาเงินได้บ้าง
ถึงอย่างไรเขาก็แพ้ไม่ได้
ต่อมา
แปะ
หมากขาวถูกวางลงมา ฉินเฟิงโบกมือเล็กน้อยพลางพูดว่า ท่านหลิว คุณแพ้แล้ว
!!!
ในชั่วพริบตา ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งของตาแก่หลิวก็ลืมตาขึ้นทันใด เขามองกระดานหมากล้อมด้วยความงุนงงอยู่นานก่อนจะพูดว่า คุณวางกับดักผม ปล่อยให้ผมแทรกซึมเข้าไปได้สำเร็จ สุดท้ายยังสร้างภาพลวงว่าผมกำลังจะชนะ ปิดกั้นทางเดินของผมอย่างสมบูรณ์ เด็ดขาด ช่างเด็ดขาดจริงๆ
เขายอมรับว่าเขาประมาท ไม่จริงจังกับกระดานนี้มากนัก
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้จริงจัง สัปหงกไปวางหมากไป แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถเอาชนะเขาได้
ทหาร ฉลาดมาก ฉินเฟิงกล่าว
เจ้าหนูนี่น่าสนใจ
ในขณะนี้ ตาแก่หลิวได้ลืมตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่ง แล้วมองฉินเฟิงด้วยดวงตาที่สดใสมีชีวิตชีวา
คนรอบข้างต่างคิดว่าฉินเฟิงต้องแพ้แน่นอน คิดไม่ถึงว่าจะชนะได้ พวกเขาตกตะลึงอ้าปากค้างไปในทันที แต่แล้วหนึ่งในนั้นก็พูดขึ้นว่า นี่คือการแสดง
ถูกต้อง
มันคือการแสดง
ฉันบอกแล้ว จะเอาชนะตาแก่หลิวได้อย่างไร ตาแก่หลิวต้องกลัวว่าเจ้าหนูนี่จะแพ้ตั้งแต่ตาแรกแล้วหนีไป เขาก็เลยยอมต่อให้ก่อน
ใช่ ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน จงใจแพ้
เจ้าหนู เขาตั้งใจวางกับดักคุณโดยเฉพาะ คุณได้ร้อยหนึ่งแล้วก็ไปเถอะ มิฉะนั้นคุณจะติดและแพ้หลายร้อย
ผู้คนที่อยู่รายรอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเอ่ยปากเตือนด้วยความหวังดี
พวกเขาล้วนเป็นคนหมู่บ้านเดียวกัน อาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี จึงย่อมรู้ว่าตาแก่หลิวไม่เคยพ่ายแพ้ ถ้าแพ้ก็น่าจะเป็นแผน
ฮ่าฮ่า เจ้าหนู ได้ยินแล้วใช่ไหม คนแก่อย่างผมอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยพบคู่ต่อสู้เลย เมื่อกี้มันเป็นแค่กับดักที่ผมวางเอาไว้ จะเล่นต่ออีกไหม?
ตาแก่หลิวเอามือลูบเครา หาข้อแก้ตัวให้ตัวเอง
วางกับดัก
ถูกต้อง
ต้องวางกับดักไว้แน่ ตัวเองจะแพ้ได้อย่างไร แค่ประมาทเกินไปเท่านั้น
มาสิ
ฉินเฟิงโบกมือ
ดี เจ้าหนูมีความกล้าหาญ
ตาแก่หลิวหัวเราะลั่น แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะหัวเราะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาได้พบคู่ต่อสู้แล้ว มันเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
กว่าจะได้พบกับนักหมากล้อมระดับนี้มันไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ก็ไม่สูงเท่าเขา
เขาอยู่ในวงการนี้มาเกือบทั้งชีวิต เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพ่ายแพ้ให้กับชายหนุ่ม
คราวนี้ ถึงคิวเจ้าหนูเริ่มก่อน
ตกลงครับ
ครั้งนี้ ฉินเฟิงก็คว้าหมากดำขึ้นมาอย่างไม่ลังเลเช่นกัน แล้ววางลงบนกระดานเบาๆ
แปะ
แปะ
แปะ
ทั้งสองทยอยวางหมากลงทีละเม็ด ตาแก่หลิวไม่ได้มีความผ่อนคลายเลย ตรงกันข้ามกลับดูจริงจังและครุ่นคิดอย่างรอบคอบ คราวที่แล้วแพ้ ก็ชี้แจงได้ว่าตัวเองประมาทเกินไป
ครั้งนี้จะแพ้ไม่ได้อีกแล้ว
กลุ่มคนจำนวนมากที่อยู่รายรอบต่างล้อมวงเข้ามา ในสถานที่แห่งนี้มีผู้คนมากมายที่รู้วิธีเล่นหมากล้อมและหมากรุก แต่ส่วนใหญ่ล้วนถูกตาแก่หลิวเล่นงานมาก่อน ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปเล่นหมากรุกแทน
พอเห็นมีคนสู้กับตาแก่หลิวได้อย่างสมศักดิ์ศรี ก็พากันเข้ามาดูทันที
การเดินหมากของตาแก่หลิวเฉียบคมมาก ดูไม่เหมือนคนที่ก้าวขาเข้าโลงแล้วครึ่งหนึ่งสักนิด แต่พอหันกลับมามองที่ชายหนุ่ม กลับไม่เฉียบคมเท่าชายหนุ่ม การเดินหมากนั้นมั่นคงและสงบนิ่ง
ใช่แล้ว ดูเหมือนว่าบทบาทของทั้งสองได้สับเปลี่ยนกันแล้ว
พวกคุณคิดว่าใครจะชนะ?
หนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกเหรอ ท้ายที่สุดแล้วตาแก่หลิวก็เป็นหนึ่งเดียวในสิบแปดซอยที่ไม่เคยแพ้มานานหลายปี ถ้าเขาแพ้ให้กับชายหนุ่มคนนี้ แล้วพวกเราจะเอาหน้าแก่ๆ นี่ไปไว้ที่ไหน ชายชราในชุดคลุมยาวพูดอย่างขุ่นเคือง ต้องคิดว่าตาแก่หลิวจะชนะแน่
เพราะเขาก็เป็นยอดฝีมือหมากล้อมเช่นกัน แต่เขาไม่เคยชนะตาแก่หลิวสักครั้ง พ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากตาแก่หลิวแพ้ให้กับเด็กหนุ่มอย่างฉินเฟิงจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะต้องพ่ายแพ้ให้กับฉินเฟิงเช่นกัน
เขาอายุมากกว่าหกสิบปีแล้ว จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ว่าทักษะหมากล้อมของตาแก่หลิวนั้นสูงมากแค่ไหน ไม่มีทางจะพ่ายแพ้ได้
แปะ
ตัวหมากทยอยถูกวางลงทีละตัว ไม่นานบนกระดานก็มีตัวหมากล้อมหลากชนิด สีดำขาวสลับกันจนตาลาย
ในเวลานี้ตาแก่หลิววางหมากตัวหนึ่งลงมา เอามือลูบเครา ความภาคภูมิใจฉายขึ้นบนแววตา นี่คือ ศัตรูรอบด้าน
ตาแก่หลิวโหดร้ายมาก!
บางคนที่เล่นหมากล้อมเป็นต่างพากันอุทานออกมา เพราะพวกเขาพบว่าตาแก่หลิวใช้กลยุทธ์ไม้ตาย ศัตรูรอบด้าน ใช้หมากตัวเองล้อมหมากของฉินเฟิงไว้
ทิ้งรอยโหว่เอาไว้ แต่มีกับดักอยู่ในช่องโหว่นั้น
นี่คือศัตรูรอบด้าน
เฮ้อ หนุ่มคนนี้แพ้แน่นอน หมากล้อมกระดานนี้แก้เกมไม่ได้อีกแล้ว หากนั่งรอความตายเฉยๆ ก็จะถูกห้อมล้อมและกินอย่างช้าๆ
ใช่แล้ว หากต้องการฝ่าวงล้อมออกมา มีเพียงหนทางเดียว ซึ่งเป็นกับดักอย่างชัดเจน ถ้าเราใช้เส้นทางนั้น ก็จะถูกแบ่งแยกและตายอย่างแน่นอน
ชายชราหลายคนที่รายล้อมอยู่ถอนหายใจ
ไม่ผิดคาด ตาแก่หลิวก็คือตาแก่หลิวอยู่วันยังค่ำ ชายหนุ่มคนนี้แพ้แน่
เจ้าหนู ยังเล่นต่ออีกเหรอ?
ตาแก่หลิวลูบเคราพูดอย่างมั่นใจ คราวที่แล้วตัวเองนั้นประมาท แต่คราวนี้เขาทุ่มสุดตัว จะไม่มีทางแพ้อีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้สร้างการป้องกันเอาไว้อย่างแน่นหนา
เจ้าหนูคนนี้ ไม่มีทางหนีพ้นแล้ว
แต่ทว่า ฉินเฟิงหยิบหมากอีกตัวมาวางไว้ตรงกลาง นี่เรียกว่าการต่อสู้เฮือกสุดท้าย
ต่อสู้เฮือกสุดท้าย? ก็แค่การสู้แบบหมาจนตรอก ไม่มีความหมายอะไร
ตาแก่หลิวหัวเราะคิกคัก เตรียมตัวปิดเกม ถึงเวลาต้องสั่งสอนบทเรียนให้ชายหนุ่มคนนี้แล้ว ทันใดนั้นก็ตอบโต้กันไปมาอีกครั้ง เกมหมากล้อมธรรมดา แต่กลับดูเหมือนว่าจะมีแสงและเงาดาบซ่อนอยู่ในนั้น
ปิดเกม
เมื่อมาถึงหมากตัวที่สาม ตาแก่หลิวก็วางลงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็มองมาทางฉินเฟิงและพูดว่า เจ้าหนู ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ? การต่อสู้เฮือกสุดท้ายของคุณมันไม่มีประโยชน์แล้ว
คนรอบข้างก็มองออกว่า การต่อสู้เฮือกสุดท้ายเป็นเพียงการดิ้นรนครั้งสุดท้าย เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูรอบด้าน มันจึงไม่มีช่องให้ตอบโต้กลับเลย
ไม่มีประโยชน์? จะไม่มีประโยชน์ได้อย่างไร
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น แต่ความจริงแล้วผมก็ไม่อยากทำแบบนี้เลย เพื่อนายพล ต้องโหดเหี้ยมและเย็นชา ดังคำกล่าวที่ว่าไว้ ความเมตตาควบคุมทหารไม่ได้
แปะ
ฉินเฟิงเอาหมากอีกตัววางลง พลางพูดว่า ท่านหลิว คุณแพ้แล้ว การต่อสู้เฮือกสุดท้ายเป็นเพียงเหยื่อล่อ ท่าพิฆาตที่แท้จริงอยู่ข้างหลังคุณ กลสามสิบหก หลอกล่อให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด
ลมแรง แค่กั้นไว้ก็เรียบร้อย
ก็จริง
โจวจือเชียนรู้สึกแปลกใจในตอนแรก แต่แล้วก็ยิ้มออกมา
เจ้าบ้านโจว วันนี้ที่คุณเรียกผมมา คงไม่ใช่เพื่อล้างแค้นให้ตระกูลหลี่ล่มสลายหรอกนะ? ฉินเฟิงถาม
ไม่ใช่ค่ะ
โจวจือเชียนส่ายหน้าเล็กน้อย การล่มสลายของตระกูลหลี่เกี่ยวอะไรกับฉัน กี่ร้อยตระกูลหลี่ก็เทียบคุณไม่ได้หรอก วันนี้ที่ฉันเชิญคุณมา ก็เพื่อพูดคุยเรื่องบริษัทซานหยวนกรุ๊ป เอ๊ะ ไม่ใช่สิ ตอนนี้เปลี่ยนชื่อแล้ว เป็นบริษัทกึ่งซานหยวน
ทำไมล่ะ?
มีการถอนทุนออก
ความเยือกเย็นฉายผ่านดวงตาของฉินเฟิงภายใต้หน้ากาก แต่ยังคงถามต่อไป แล้วไงต่อ
ได้ยินมาว่าคุณลงทุนกับบริษัทกึ่งซานหยวนไปหนึ่งพันล้าน พูดตามตรง ฉันไม่ชอบบริษัทนี้ด้วยเหตุผลส่วนตัว ฉันยินดีเสนอข้อแลกเปลี่ยนให้ Mr.X ถอนการลงทุนในราคาสามพันล้าน คุณคิดยังไง?
ถ้าก่อนหน้านี้ผมไม่บอกความหมายแฝงของสระน้ำ ตอนนี้คงโดนตัดหัวไปแล้ว ไม่มีมูลค่าสามพันล้านแบบนี้หรอก
คุณพูดตลกแล้วล่ะ
โจวจือเชียนก้มหน้าลงแล้วชงชาให้ฉินเฟิงอีกกา
แต่น่าเสียดายที่ผมชอบถือหางพวกตัวเอง ในเมื่อผมถูกใจบริษัทกึ่งซานหยวน ผมก็จะไม่ถอนการลงทุน และจะไม่ปล่อยให้คนเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
แน่เหรอคะ
แน่นอนพันเปอร์เซ็นต์
คุณรู้มั้ยคะ ว่าคุณกำลังเผชิญหน้ากับอะไร? เมืองเจียงเฉิงนี้ ซับซ้อนกว่าที่คุณคิดไว้มาก นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของคุณ
ในเวลานี้ การสนทนาระหว่างทั้งสองก็ดำเนินมาถึงจุดล่อแหลมแล้ว
โจวจือเชียนซุกมือเรียวเล็กเอาไว้ใต้ชายเสื้อ จ้องมอง Mr.X เธอเชื่อว่า Mr.X ไม่ใช่คนโง่ ต้องตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดแน่
แต่น่าเสียดาย เรื่องราวไม่เป็นไปดังใจคิด ฉินเฟิงลุกขึ้นยืน มองไปที่นกกระเรียนขาวตัวนั้น เหตุผลที่นกกระเรียนขาวตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ ก็คือไม่มีอะไรที่สามารถคุกคามเขาได้ บางที คุณอาจล่อจระเข้เข้ามาก็ได้
ขอตัวก่อนครับ
พูดจบ ฉินเฟิงก็เดินออกไป ตามด้วยโหวเมิ่งหยาว เธอตกใจอย่างต่อเนื่องกว่าสิบครั้ง แต่สีหน้าก็ยังดูเคร่งขรึมจริงจัง เอาแต่พูดว่าตัวเองคือมืออาชีพ
ไม่ว่าจะตกใจแค่ไหน ก็ต้องทำขรึมไว้
หลังจากฉินเฟิงกลับไป ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครา นัยน์ตาโตดั่งเสือร้าย เดินออกมาจากห้องใต้หลังคาเล็กๆ ของตระกูลโจว แล้วถามว่า เป็นไงบ้าง?
มองไม่ออกเลย
โจวจือเชียนส่ายหน้า
ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้คือข้างหน้าเขาคือ หยวนชิ่งตง ผู้นำตระกูลหยวน หนึ่งในสามตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงสุดในเมืองเจียงเฉิง มีฉายาว่า เสือจัญไรแห่งเจียงเฉิง เขาเป็นคนเดียวในสามตระกูลใหญ่ที่เริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวจากศูนย์
แต่เขาเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยม ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุผล หลายปีที่ผ่านมาไม่รู้ว่าทำให้คนบ้านแตกสาแหรกขาดไปมากน้อยแค่ไหน
ขนาดผู้หญิงใจดำอำมหิตอย่างคุณ ยังมองไม่ออก
หยวนชิ่งตงตกตะลึง
เดิมทีเธอยังคิดว่าให้ค่า Mr.X มากเกินไป กลายเป็นว่าดูถูกเขาเกินไปต่างหาก มีเพียงคนที่มีสถานะอย่างเขาเท่านั้นที่รู้ว่าโจวจือเชียนเป็นคนที่รับมือได้ยาก
ส่วนที่เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงใจดำอำมหิต โจวจือเชียนนั้นไม่สนใจ
เธอเหยียบศพของชายคนนั้นเพื่อไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นจริงๆ การที่เธอสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เป็นเพราะสูบเลือดสูบเนื้อของอดีตสามี แต่ไม่ใช่ว่าเธอไร้ความสามารถ มันตรงกันข้ามเลย
ใจดำอำมหิตก็เป็นความสามารถของเธอเช่นกัน
Mr.X คนนี้ไม่ได้ดีแต่ชื่อ เขายังปกป้องบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ปกป้องอิ่นซิน ตอนนี้อิ่นซินเข้ามาอยู่ในรายชื่อบุคคลที่ต้องกำจัดของเรา แต่เกรงว่าการฆ่าเธอจะทำให้ Mr.X โกรธเอาได้
โจวจือเชียนขมวดคิ้วบางๆ
ถ้าอย่างนั้นคนที่ผมรวบรวมขึ้นมา ก็ให้ไปฆ่าเขาถึงที่เลยไหม? หยวนชิ่งตงถาม
เสือจัญไรแห่งเจียงเฉิง ไม่ใช่เรื่องคุยโว แต่ได้มาจากการจัดการปัญหาแบบเดิมๆ ของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มักจะมีคนแอบเอามาหยอกเย้าอยู่เสมอว่า ถ้าหยวนชิ่งตงไม่ได้เดินบนเส้นทางการค้า ก็อาจจะกลายเป็นพี่ใหญ่ของแก๊งอันธพาล
แต่ถึงแม้ว่าเขาจะทำธุรกิจ ใต้เท้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยโครงกระดูกนับไม่ถ้วน
ตอนนี้ยังไม่ได้
โจวจือเชียนส่ายหัว Mr.X คนนี้ไม่ได้ฆ่าลูกชายคนโตของตระกูลเห้อไปแล้วหรอกเหรอ ตระกูลเห้อเป็นหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ของเมืองเจียงเฉิง มีอิทธิพลไม่ใช่เล่น บางทีฉันอาจจะคาดการณ์ผิดพลาด ตระกูลเห้อจึงสามารถฆ่าเขาได้
เออใช่ แล้วหลินเย่าตุงล่ะ?
โจวจือเชียนถามหยวนชิ่งตงอีกครั้ง
วันนี้จิ้งจอกเฒ่านั่นไม่มา ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ในใจ หยวนชิ่งตงส่ายหัว วันนี้ทั้งสามตระกูลเตรียมตัวทดสอบ Mr.X ผู้ลึกลับ
แต่ผู้นำตระกูลหลินไม่มา
แต่ในสายตาของหยวนชิ่งตงไม่เพียงไม่มีร่องรอยความไม่พอใจเท่านั้น ตรงกันข้ามกลับยิ่งหวาดกลัวมากขึ้น
…
หลังออกจากตระกูลโจว ฉินเฟิงก็หาเวลาเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าธรรมดาหนีออกมา เขาเดินเล่นไปตามท้องถนน ถึงอย่างไรสถานะภายนอกก็เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านของตระกูลอิ่นอยู่ดี
หลายวันมานี้เขาหายไปนานเกินไปแล้ว อย่างไรก็ต้องปรากฏตัวสักหน่อย
ขอเพียงปรากฏตัวขึ้น จะไม่มีใครสนใจเศษสวะคนนี้
ใต้ต้นไม้ในสวนสาธารณะ ชายชราคนหนึ่งถือเก้าอี้เล็กๆ มานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ร่มเงาบดบังแสงแดดไว้ ตรงหน้าคือกระดานหมากล้อม
ข้างๆ ยังมีเสาธงอยู่ต้นหนึ่งเขียนไว้ว่า เล่นตาละสิบ แพ้ตาละหนึ่งร้อย
ผมขอเล่นด้วยได้ไหม?
ฉินเฟิงเดินเข้าไปถาม
ได้สิ
ชายชราที่กำลังงีบหลับอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองดูฉินเฟิง พบว่าเขายังเด็กเกินไป จึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก วันนี้ต้องเก็บเงินไว้อีกแล้ว เป็นอีกวันที่น่าเบื่อ
แต่ในเวลานี้ คุณป้าคนหนึ่งเดินผ่านมาและพูดว่า หนุ่มๆ คุณอย่าหลงกลตาแก่คนนี้นะ เขาตั้งแผงอยู่ที่นี่มาหลายปีแล้ว ไม่เคยแพ้ใครเลย
ใช่ ตาแก่หลิวเป็นยอดฝีมือจริงๆ อย่าได้หลงกล
ผู้ชายคนนี้ชอบหลอกเอาเงินคุณ ทุกครั้งต้องเล่นบทชนะหวุดหวิด ทำให้คุณเล่นต่อไปเรื่อยๆ หลอกเงินคุณเป็นจำนวนมหาศาล
ชายชราที่อยู่รอบๆ จำนวนหนึ่งไม่พอใจมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนที่ถูกหลอก
ทุกคน ทำให้ผู้อื่นเสียทรัพย์ก็เหมือนการฆ่าบุพการี แต่ก็ให้อภัยได้ อีกอย่างหมากล้อมนี้มีความยุติธรรม จะแพ้หรือชนะมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับผม
ชายชราที่ถูกเรียกว่าตาแก่หลิวโต้กลับอย่างหงุดหงิด เมื่อเห็นโอกาสค้าขายมาถึงที่แล้ว เขาจะปล่อยให้มันหนีไปได้อย่างไร? ไม่มีทาง เงินสิบหยวนก็คือเงินเช่นกัน
หนุ่มน้อย ไม่ต้องกังวลไป ผมอ่อนแอเกินกว่าจะมาเล่นหมากล้อมแล้ว คุณชนะแน่ ไม่ต้องกังวล ตาละสิบ ชนะได้หนึ่งร้อย กำไรเห็นๆ ตาแก่หลิวกำลังมอมเมาฉินเฟิง
ตกลง
ฉินเฟิงหยิบเงินออกมาสิบหยวนยื่นให้ชายชรา แล้วพูดว่า พอดีเลย ผมเคยศึกษาเรื่องหมากล้อมอยู่บ้าง
เจ้าหมอนี่พูดไม่ฟังจริงๆ เอาเงินให้ตาแก่นั่นเสียเปล่าจริงๆ พวกเราอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ยังไม่เคยเห็นตาแก่หลิวแพ้ใครเลย
ก็ใช่น่ะสิ ยังบอกด้วยว่าศึกษาเรื่องหมากล้อมอยู่บ้าง อีกเดี๋ยวคาดว่าน่าจะตาแฉะ
คนที่อู่รอบๆ ก็ทอดถอนใจ เจ้าหมอนี่กำลังจะเสียเงิน แต่ก็ไม่น่าแปลกใจตรงไหน
วิลล่าหยุนติ่ง
บอสคะ จัดการเสร็จแล้วค่ะ
โหวเมิ่งหยาวมาที่ห้องรับแขก รายงานให้ฉินเฟิงที่กำลังนั่งอยู่บนระเบียงทราบ
เธอเป็นตัวแทนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม รู้ว่าอะไรควรถาม อะไรไม่ควรถาม มันคืองาน ควรปฏิบัติต่อเขาด้วยท่าทีเข้มงวดในการทำงาน
และในเวลานี้ฉีหยุนก็มาถึงวิลล่าแห่งนี้พร้อมกับเอกสารในมือฉบับหนึ่ง เขาเดินเข้ามาที่ข้างกายฉินเฟิง แล้วรายงานว่า คุณผู้ชายครับ ผมตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ตระกูลโจว ตระกูลหยวน และตระกูลหลินมีการคบค้าสมาคมใกล้ชิดที่สุดกับตระกูลหลี่ ในอดีตพวกเขาค่อยๆ ตอดกินบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่มีมูลค่าตลาดกว่าหมื่นล้านทีละนิดจนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย ปัจจุบันกลายเป็นสามตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงสุดในเมืองเจียงเฉิง
นอกจากนี้ผมยังพบว่า ทั้งสามตระกูลนี้ดูเหมือนจะได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรแห่งหนึ่ง ซึ่งต่างจากตระกูลทั่วไป ภายในมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ธรรมดา
ฉีหยุนทยอยรายงานอย่างต่อเนื่อง
โหวเมิ่งหยาวที่อยู่ข้างๆ ตกใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอในฐานะคนที่เรียนด้านธุรกิจ ย่อมรู้จักฉีหยุนที่อยู่ข้างกายคนนั้น
เธอได้เห็นรูปถ่ายของประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปตั้งแต่แรกแล้ว
แต่ตอนนี้ชายคนนี้กลับเรียกฉินเฟิงว่าคุณผู้ชาย ถ้าเช่นนั้นฉินเฟิงผู้นี้น่าจะมีสถานะที่น่าทึ่งแค่ไหน นอกจากนี้ในการสนทนายังมีการพูดถึงสามตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงสุดด้วย
เนื้อหาของการสนทนาเกินไปจากจินตนาการของเธอแล้ว
แต่เธอก็เป็นมืออาชีพ ไม่ว่าเนื้อหาจะน่าตกใจขนาดไหน เธอก็ยังยืนอยู่ข้างหลังฉินเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึมไม่เปลี่ยนเลย
สามตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงสุด?
ฉินเฟิงเกิดความสนใจขึ้นมา
ขณะนั้นเองโทรศัพท์ของโหวเมิ่งหยาวก็ดังขึ้น เธอรับสายและพูดว่า บอสคะ สายจากตระกูลโจวค่ะ ผู้นำตระกูลโจวเชิญท่านไปพูดคุยด้วยที่บ้าน
ดีเลย ไปพบตระกูลโจวหนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลสูงสุดในเมืองเจียงเฉิงเสียหน่อย
ฉินเฟิงตอบตกลง
จากนั้นจึงหยิบหน้ากากและออกไปพร้อมกับโหวเมิ่งหยาว โหวเมิ่งหยาวเป็นคนขับรถ ฉินเฟิงนั่งอยู่ที่เบาะหลัง ในมือมีเอกสารฉบับนั้นซึ่งเป็นข้อมูลที่ได้มาจากตระกูลโจว
ผู้นำตระกูลโจวคนนี้ก็เป็นผู้หญิงที่ใจดำอำมหิตเช่นกัน
เมื่อฉินเฟิงเห็นเอกสารฉบับนี้ เขาก็อดหัวเราะไม่ได้
ที่แท้ตระกูลโจวไม่ใช่ตระกูลที่ร่ำรวยตั้งแต่ในอดีต แต่เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ เท่านั้น แต่โจวจือเชียนในฐานะลูกสาวคนโตของตระกูลโจว สมัยเรียนมหาวิทยาลัยได้มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลฉินซึ่งเป็นตระกูลใหญ่ในสมัยนั้น ต่อมาเธอก็แต่งงานเข้าตระกูลฉิน
แต่อีกสามปีต่อมา ตระกูลฉินได้ล้มละลาย บ้านแตกสาแหรกขาด ส่วนตระกูลโจวได้เหยียบซากศพของตระกูลฉินไต่เต้าขึ้นมา ต่อมายังคอยกัดกินบริษัทซานหยวนกรุ๊ปทีละน้อยจนเติบโตอย่างรวดเร็ว
มาถึงตอนนี้ ตระกูลโจวได้กลายเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิงแล้ว
ด้วยการควบคุมโจวจือเชียนเพียงผู้เดียว
เรียนจบมาแล้วเก้าปี ตอนนี้ได้กลายเป็นนักธุรกิจอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิง แค่คิดก็รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย
ไม่ว่าจะใจดำอำมหิตแค่ไหน หรือเป็นอัจฉริยะทางธุรกิจอย่างแท้จริง มีวิธีการเหนือคนอื่น คุณก็ไม่ควรจะหมายปองภรรยาและลูกสาวของผม ยิ่งไปกว่านั้น ผมอยากรู้ความลับเกี่ยวกับผมที่หลี่เจิ้งหยางพูดถึง
ฉินเฟิงดูข้อมูลฉบับนั้น แล้วพึมพำกับตัวเอง
ผ่านไปครู่หนึ่งรถก็จอดลง
บอส ถึงแล้วค่ะ
โหวเมิ่งหยาวเปิดประตูรถให้ฉินเฟิง เธอสวมสูทแบบสุภาพบุรุษ ใส่ถุงมือสีขาว ไม่เหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัยที่เพิ่งจบออกมาใหม่ แต่เป็นตัวแทนที่มากไปด้วยประสบการณ์
ฉินเฟิงลงจากรถ แหงนหน้าขึ้นมอง เห็นว่ามันคือพื้นที่วิลล่าอีกแห่งที่มีตัวอักษรโจวขนาดใหญ่อยู่บนนั้น
ไปกันเถอะ
ฉินเฟิงเดินเข้าไป ตามด้วยโหวเมิ่งหยาว
ขอโทษนะคะ Mr.X ใช่ไหมคะ?
หญิงงามรูปร่างดีในชุดกี่เพ้าเดินเข้ามา ก้มศีรษะเอ่ยถามขึ้น
แต่เธอก็ได้คาดเดาไว้ในใจแล้ว เพราะได้เห็นการแต่งตัวของ Mr.X มาแต่ไกล เป็นไปตามที่ร่ำลือกัน ใส่หน้ากากปีศาจแยกเขี้ยว รูปร่างสูงใหญ่ ทุกย่างก้าวของเขามีพลังพิเศษ เต็มไปด้วยความลึกลับ
ภายในชั่วพริบตา เธอก็ตกอยู่เงื้อมมือของ Mr.X
อืม
เสียงของฉินเฟิงฟังดูว่างเปล่า
ถ้าอย่างนั้นกรุณาตามฉันมา ผู้นำของเรากำลังรอท่านอยู่
หญิงสาวหันหลังเดินออกไป พาฉินเฟิงไปที่สระน้ำ ซึ่งมีการตกแต่งอย่างสวยงาม มีพร้อมทั้งรากบัวและดอกบัว เลี้ยงสัตว์ขนาดเล็กหลากชนิด ยังมีนกกระเรียนขาวอีกหนึ่งตัว แลดูสงบและศักดิ์สิทธิ์มาก
Mr.X คุณว่าสระน้ำของฉันเป็นยังไงบ้าง?
เสียงอันนุ่มนวลไพเราะดังมาจากขั้นบันไดทางด้านหนึ่ง
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง เอียงศีรษะมองออกไป เห็นศาลาไม้ที่มีลวดลายสวยงาม ผู้หญิงมัดผมคนหนึ่งในชุดราชวังศ์ถังหลวมๆ นั่งอยู่ตรงนั้น
อวัยวะบนใบหน้าละเอียดอ่อน หางตางอน คิ้วโก่งดั่งใบหลิว ปากสีเชอร์รี่พีช ทั้งมีเสน่ห์และบริสุทธิ์
นึกไม่ถึงเลยว่า โจวจือเชียน ผู้นำตระกูลโจวผู้อยู่ในวัยสามสิบกว่า ตอนนี้ยังคงอ่อนเยาว์มีเสน่ห์เหมือนนักศึกษามหาวิทยาลัย ทำให้ผู้คนอดลุ่มหลงไม่ได้
ฉินเฟิงพูดตามตรง หน้าตาของโจวจือเชียนนั้นสะสวยทีเดียว
คุณผู้ชายท่านนั้น ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหมคะ?
โจวจือเชียนยิ้มเล็กน้อย ยกกาน้ำชาขึ้นมาแล้วค่อยๆ ชงชา คุณคะ ดิฉันฝึกชงชาอยู่เสมอ ลองชิมดูสิคะ
ชาดี แต่น่าเสียดาย ผมเป็นทหาร
ฉินเฟิงนั่งลงจิบชา ก่อนจะวางกาน้ำชาลงและพูดว่า สำหรับคำถามของเจ้าบ้านโจว ผมสามารถตอบคุณได้เลย ว่าผมมีภรรยาและลูกสาวแล้ว
มีภรรยาและลูกสาวแล้ว หมายความว่ามีครอบครัวแล้ว จะรู้สึกลุ่มหลงไม่ได้
Mr.X เป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ แม้ว่าจะอยู่ในสถานะสูงส่ง แต่ก็รักเดียวใจเดียว หาได้ยากนัก
ต่อมา โจวจือเชียนได้ชี้ไปที่สระน้ำของเธอแล้วเอ่ยถามเบาๆ สระน้ำของฉัน คุณยังไม่ได้ติชมเลย เป็นยังไงบ้าง? ถูกใจคุณหรือไม่คะ
เจ้าบ้านโจวน่าจะไม่ได้อยากให้ผมเห็นสิ่งนี้หรอกนะ มันคือสระน้ำของสัตว์ขนาดเล็ก แต่กลับมีนกกระเรียนขาวอยู่เพียงตัวเดียว มันไม่ชัดเจนแล้วหรอกหรือ? ผมเกรงว่าผู้นำโจวก็คือนกกระเรียนขาวตัวนี้ ทั้งสง่างามและศักดิ์สิทธิ์ ปกครองเมืองเจียงเฉิงทั้งหมด
ดวงตาสีดำขลับของฉินเฟิงจับจ้องอยู่ที่โจวจือเชียน
คนคนนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
สระน้ำนั้นทำให้ฉินเฟิงบอกเล่าต้นสายปลายเหตุทั้งหมดออกมา ถ้าฉินเฟิงมุ่งแต่ชื่นชมรูปลักษณ์ของสระน้ำเพียงอย่างเดียว ก็แสดงว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนที่มีความสามารถ อย่างน้อยสติปัญญาก็ต่ำเกินไปที่จะต้องเกรงกลัว
แต่ทว่า พอฉินเฟิงบอกความหมายที่แฝงอยู่ โจวจือเชียนก็เริ่มสนใจขึ้นมา
ดูท่าทาง Mr.X จะไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
โจวจือเชียนยกถ้วยชาขึ้นเช่นกัน เอาแขนเสื้อกว้างบังไว้ จิบเบาๆ พลางปรายตาลงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ ในเมื่อ Mr.X มีวิสัยทัศน์เช่นนี้ แล้วทำไมถึงมองไม่ออกว่าน้ำในเมืองเจียงเฉิงขุ่นแค่ไหนล่ะ ไม่ใช่ว่าคุณนึกอยากจะเข้าก็เข้ามาได้ตามใจ
ประโยคนี้มีทั้งความเฉียบคมและอำนาจคุกคาม
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมต้องคิด แต่เป็นเรื่องที่พวกคุณควรคิดมากกว่า ว่าผมอยากให้พวกคุณมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ ถ้าผมบอกว่าพวกคุณมีชีวิตอยู่ได้ พวกคุณถึงจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
น้ำเสียงของฉินเฟิงไม่ได้ดังมาก แต่คำพูดของเขากลับทำให้โจวจือเชียนตกตะลึง ช่างอวดดีเหลือเกิน แต่ในวินาทีถัดมาก็สงบลงได้เหมือนเดิม เธอหรี่ตาลงอีกครั้งและพูดว่า Mr.X คุณนี่คุยโวไม่กลัวลมแรงบาดลิ้นบ้างเลยเหรอ?
ฉินเฟิงที่อยู่ปลายสาย กำลังยืนอยู่บนระเบียงของคฤหาสน์หลังนั้นของวิลล่าหยุนติ่ง ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังใบหน้าแหลมคมของเขา
ลมเบาๆพัดมาเป็นระลอกๆ ทำให้ชายเสื้อของเขาขยับไปมา
ที่รัก ให้เวลาฉันเจ็ดวัน ฉันจะจัดการอุปสรรคทั้งหมดของคุณให้หมดไป
ในมือของฉินเฟิงจับหน้ากากอันน่ากลัวอยู่ และเขาก็สวมมันอีกครั้ง เมื่อสวมแล้ว ฉันก็คือMR.X เป็นอสุราที่มาคร่าชีวิต เป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว เมื่อถอดหน้ากากแล้ว ฉันคือสามีที่รักคุณมากๆ
……
วันรุ่งขึ้น คนส่วนใหญ่ของเมืองเจียงเฉิงได้ทราบข่าวการล้มละลายของบริษัทหลี่ซื่อกรุ๊ปทันที
ติ้งๆๆๆ
เวลาเช้าตรู่ อิ่นซินก็มาทำงานที่บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด แต่งตัวด้วยชุดยูนิฟอร์ม มันแสดงรูปร่างอันเซ็กซี่ของเธอออกมาอย่างชัดเจน ทำให้ทุกคนอิจฉาแต่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ผู้หญิงเย็นชาอย่างเธอ
ประธานที่เย็นชา ไม่ได้พูดล้อเล่นนะ
ฮัลโล ลานเมิ่ง มีอะไรเหรอ?
อิ่นซินรับสายโทรศัพท์ คนที่โทรมาคือหลิวลานเมิ่ง
เสี่ยวซิน เธอรู้ไหม เมื่อคืนMR.Xทำเรื่องใหญ่อีกแล้ว เขาได้กำจัดตระกูลชั่วร้ายอย่างตระกูลหลี่แล้ว เธอไม่รู้หรอกว่าตระกูลหลี่ใช้อำนาจของตัวเองทำร้ายคนไปมากแค่ไหน
แต่MR.X เอาแต่ใจมากๆเลย พูดว่าฆ่าล้างก็ฆ่าล้างเลย พูดแล้วต้องทำได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป MR.Xก็คือไอดอลของฉัน ฉันจะเป็นแฟนคลับของเขา
หลิวลานเมิ่งพูดด้วยความดีใจ
ตระกูลหลี่ถูกฆ่าล้างเหรอ?
อิ่นซินอึ้งไปชั่วครู่ ตอนเช้าวันนี้เธอยุ่งอยู่กับควบรวมกิจการระหว่างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกับบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด และเธอก็ไม่รู้ข่าวนี้ ดังนั้นเมื่อหลิวลานเมิ่งรู้เรื่องอะไรก็จะโทรมาบอกเธอตลอด
เพราะเธอคือผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ทำให้เธอได้รับข้อมูลต่างๆได้เร็วกว่าคนอื่นๆ
ใช่ เป็นไอดอล MR.X ฟังชื่อของเขาสิ แค่ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเขาต้องร้ายกาจมากๆ หลิวลานเมิ่งกำลังพูดโอ้อวดอยู่
……
อิ่นซินนิ่งไปชั่วครู่ และพูดอย่างช่วยไม่ได้: นี่คือไอดอลคนที่เท่าไหร่ของเธอแล้ว
ฉันขอนับก่อน คนหนึ่งคือเจ้าชายเปียโน อีกคนคือท่านประธานของบริษัทเรา ส่วนอีกคนคือชายลึกลับที่จัดการหวงจงครั้งที่แล้ว และยังมีMR.Xคนนี้ด้วย แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นหนุ่มหล่อ
ถ้าเขาเป็นหนุ่มหน้าตาขี้เหร่ละ
เป็นไปไม่ได้ สัญชาตญาณของฉันแม่นมากๆ และไม่รู้เป็นเพราะอะไร ฉันรู้สึกว่าฉันเคยเจอเขามาก่อน
หลิวลานเมิ่งไม่รู้จะอธิบายยังไง และพูดต่ออีกว่า: ฉันอาจจะเข้าใจผิดก็ได้ อาจจะเป็นเพราะฉันคิดถึงเขามากไป ใช่แล้ว เธอรู้จัก MR.Xตั้งแต่เมื่อไหร่? เขาให้เธอตั้งพันล้านหยวน มันเป็นเงินจริงๆนะ ประธานหญิงผู้เย็นชาของฉัน
ฉันก็ไม่รู้ อิ่นซินพูดเบาๆ
พูดกันตามตรง เธอไม่รู้จริงๆ ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่เคยได้ยินMR.Xมาก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเคยเจอหน้ากันมาก่อน และเธอก็ไม่อยากได้เงินพันล้านนี้ เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปในวันนั้นของฉินเฟิง ต้องเกี่ยวกับเงินพันล้านนี้อย่างแน่นอน
ผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งให้เงินตัวเองพันล้านหยวน ให้แบบไม่ชัดเจน ไม่ว่าสามีของใครก็ต้องโดนกระทบจิตใจ
นี่ก็คือเหตุผลที่ฉินเฟิงจากไป
เธอกลัวมากๆว่าฉินเฟิงจะทำเรื่องไม่ดี เพื่อให้ได้เงินสองล้านหยวนมา
เชอะๆๆ
หลิวลานเมิ่งพูดจาประชดทันที เดิมทีเธอต้องการพูดด่าฉินเฟิง แต่จู่ๆก็นึกถึงบัตรธนาคารที่วางอยู่หน้าห้องตัวเองในวันนั้น คำพูดที่เตรียมจะพูดก็ไม่หยุดเอาไว้ทันที และเปลี่ยนเรื่องพูด: เธอไม่ต้องการ งั้นให้ฉันสิ เธอดูเพื่อนสนิทของเธอ มีรูปร่างที่เซ็กซี่ มีหน้าตาดี มีฐานะและเป็นผู้อำนวยการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีแฟนเลย
นั้นเป็นเพราะเธอเรื่องมากจนเกินไป อิ่นซินกลอกตาและพูด
ฉันไม่ได้เรื่องมากนะ ไม่ว่าจะเป็น MR.X เจ้าชายเปียโน หรือประธานของบริษัทฉัน คนไหนก็ได้ ฉันอยากจะลองดู แต่ฉันไม่เคยได้เจอคนแบบนี้เลย หลิวลานเมิ่งพูดด้วยความคับข้องใจ
ผู้ชายดีๆแบบนั้น พวกเขาไม่ให้โอกาสกับฉันเลย
เธอตั้งเป้าของตัวเองไว้สูงมาก เธอไม่ยอมเหมือนกับอิ่นซินที่เลือกผู้ชายอย่างฉินเฟิง เธอต้องการเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวอย่าง MR.X
หลังจากสนทนาไปสักพัก หลิวลานเมิ่งก็วางสายโทรศัพท์
ครั้งนี้เธอไม่ได้พูดเรื่องสามีของฉัน อิ่นซินบ่นพึมพำ ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลิวลานเมิ่งจะพยายามล้างสมองของเธอ ทุกครั้งก็จะพูดว่าฉินเฟิงที่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่คู่ควรกับเธอ
เธอชินกับเรื่องนี้มานานแล้ว เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา
แต่คิดไม่ถึงจริงๆ วันนี้เธอกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้
เสี่ยวซี อิ่นซินเรียกทันที
ค่ะ ท่านประธาน
อ้ายเสี่ยวซีเดินเข้ามาจากด้านนอก เธอมีรูปร่างไม่ค่อยสูงนัก ใส่ชุดยูนิฟอร์ม เธอมีร่างกายที่กระฉับกระเฉงและน่ารัก แต่ทุกคนในบริษัทต่างรู้ดี เธอเป็นคนที่ทำงานเก่งมากๆ
และเธอก็ทำงานกับอิ่นซินมาโดยตลอด และไม่เคยบ่นสักคำ
ตอนนี้อิ่นซินเข้าซื้อกิจการของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกับหวงซื่อกรุ๊ปแล้ว และร่วมมือกับบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ อิ่นซินรับตำแหน่งท่านประธาน ส่วนอ้ายเสี่ยวซีรับตำแหน่งเลขาเบอร์หนึ่งของบริษัท
ช่วยติดต่อMR.Xให้ฉันหน่อย ฉันต้องการคุยรายละเอียดที่จะจัดตั้งบริษัทใหม่ และการถือหุ้นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของเขาด้วย เขาต่างหากที่เป็นเจ้าของบริษัทใหม่นี้ อิ่นซินพูดสั่งการทันที
ถ้าไม่มีเงินพันล้านหยวนของMR.X เธออาจจะล้มละลายไปแล้วก็ได้
และตอนนี้ไม่เพียงได้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับมา และทำให้หวงซื่อกรุ๊ปล้มละลายด้วย และเธอก็เป็นประธานคนใหม่ แต่เธอรู้ดีว่าบริษัทใหม่แห่งมีเจ้าของก็คือMR.X
ได้ค่ะ
อ้ายเสี่ยวซีเดินออกไปทันที
ผ่านไปสักพัก เธอก็เดินกลับมาและพูด: ท่านประธาน ตัวแทนของMR.Xที่ชื่อคุณโหวเมิ่งหยาวบอกฉันว่า บริษัทใหม่ให้ใช้ชื่อบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด สำหรับอำนาจในบริษัท ให้คุณเป็นคนดูแลทั้งหมด เขาจะไม่แทรกแซงเรื่องใดๆเลย
ขอเสนออันนี้ มันดีกับฉันมากเกินไปหรือเปล่า
อิ่นซินส่ายหัวและไม่เข้าใจ ถ้าทำแบบนี้ ก็เท่ากับว่าเธอได้ผลประโยชน์มากๆ และเธอมีอำนาจที่สุดในบริษัท เขาปล่อยอำนาจแบบนี้ เขาช่างใจกล้ามากๆ
เขาไม่กลัวว่าเธอจะทำให้บริษัทใหม่ล้มละลายเหรอ?
เสี่ยวซี เธอคิดว่าMR.Xเป็นใครกันแน่ ทำไมเขากล้าทำแบบนี้ อิ่นซินมองอ้ายเสี่ยวซีด้วยแววตาที่งงงวย
คือ……
จู่ๆอ้ายเสี่ยวซีก็นึกถึงภาพในวันนั้นที่ฉินเฟิงยืนบังอยู่หน้าประตูบริษัท เขาแค่คนเดียวก็ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัว เถ้าแก่ฉินจะเป็น MR.Xหรือเปล่า?
แต่หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ MR.Xคือคนที่มีอำนาจและอิทธิพลมากๆ เถ้าแก่ฉินยังไม่มีอำนาจขนาดนั้น ดังนั้นเธอก็เลยส่ายหัวและพูด: ฉันก็ไม่รู้
ในเวลาเดียวกัน ที่สถานีตำรวจในเมืองเจียงเฉิง หลิวหลินให้ความสนใจกับเรื่องของMR.Xมากๆ คนๆเดียวปรากฏตัวก็ทำให้เมืองเจียงเฉิงเกิดความวุ่นวาย เขาต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน
ในขณะที่เขาเตรียมตัวที่ไปตรวจสอบเรื่องนี้ ด้านบนก็มีคำสั่งลงมาทันที: ห้ามนายดาบตำรวจหลิวหลิน ตรวจสอบหรือเกี่ยวข้องกับเรื่องของMR.Xเด็ดขาด
ท่านค่ะ ทำไมถึงกลั่นแกล้งฉันคนเดียว
หลิวหลินโกรธมากๆ เดินเข้าไปในห้องทำงานของหัวหน้าด้วยความโกรธ
หัวหน้าคนนั้นมองหลิวหลินและพูดเบาๆว่า: นี่คือคำสั่งของพ่อคุณ MR.Xคนนี้ร้ายกาจกว่าที่คุณคิด พ่อของคุณแบกรับแรงกดดันนี้ไม่ไหว
เขาเป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว แต่กลับปกปิดฐานะของตัวเอง มาเป็นลูกเขยแต่งเข้าตระกูลอิ่น ถ้าพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ
แต่ความจริงมันก็เป็นอย่างนี้
ถ้าฉันพูดว่า ฉันทำเพราะช่วยชีวิตคุณ คุณจะเชื่อไหม?
ฉินเฟิงสองมือไขว้หลัง มองไปที่หลี่เจิ้งหยาง: เจ็ดปีก่อนอิ่นป่ายสมรู้ร่วมคิดกับคนอื่น เพื่อวางยาภรรยาของฉัน จากนั้นใช้บารมีของคุณท่านอิ่น และได้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปครอบครอง แต่บริษัทใหญ่ๆอย่างบริษัทซานหยวนกรุ๊ป กลับล่มสลายภายในชั่วข้ามคืน และหนึ่งในนั้นที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือบริษัทหลี่ซื่อกรุ๊ป และทำให้ธุรกิจของพวกคุณฟื้นฟู
ฉันกลับมาครั้งนี้ ก็เพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะฉันรู้ดี ถ้าธุรกิจของภรรยาฉันมีแนวโน้มจะดีขึ้น พวกคุณก็คงอยากจะฆ่าเธอ เนื่องจากเรื่องนั้นเกิดขึ้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว หลักฐานต่างๆก็หายไปจนหมด ฉันก็เลยเอาอิ่นป่ายมาเป็นเหยื่อล่อ ถ้าฉันเปิดเผยฐานะของตัวเองก่อน ด้วยนิสัยใจคอของพวกคุณ พวกคุณคงฆ่าอิ่นป่ายปิดปากแน่นอน
ถ้าฆ่าแล้ว ก็คงไม่มีใครรู้ว่าคุณเป็นคนทำ ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นความลับอย่างสมบูรณ์
ฉินเฟิงพูดไปด้วยและเดินไปด้านหน้าของหลี่เจิ้งหยาง ดวงตาสีดำคู่หนึ่งจ้องไปที่หลี่เจิ้งหยาง: ใช่ไหม?
ใช่
ก่อนที่หลี่เจิ้งหยางจะตาย เขาก็ได้สงบสติอารมณ์ตัวเองลง เขาเข้าใจดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว เขาหนีไม่พ้นอยู่แล้ว พูดได้อย่างชัดเจนว่าเขาต้องตายแน่ๆ ดังนั้นเขาก็เลยพูดอย่างเย็นชา: ถ้าคุณเปิดเผยฐานะตั้งแต่แรก ฉันจะส่งคนไปฆ่าอิ่นป่าย เพื่อตัดปัญหาที่จะตามมาทีหลัง
ร่างกายของอิ่นป่ายสั่นทันที ตอนนี้ฉินเฟิงกำลังช่วยชีวิตเขาอยู่?
ดังนั้นความแค้นของพวกเรานั้นใหญ่หลวงมากๆ
ฉินเฟิงยืนมือออกมา บีบที่คอของหลี่เจิ้งหยาง: สิ่งที่คุณไม่ควรทำที่สุดก็คือ ลงมือฆ่าลูกเมียของฉัน เพราะพวกเธอคือทุกอย่างของฉัน
อ๊าก……ฉินเฟิง……คุณคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น……เป็นฝีมือของฉันเพียงคนเดียวเหรอ……อิ่นซินได้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับไปครอบครอง……มันไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย……สามตระกูลในสมัยนั้นจะต้องลงมืออีกครั้งแน่ๆ……อิ่นซินต้องตาย……เธอต้องตายแน่ๆ……คุณยังมีความลับเรื่องหนึ่ง อยู่ในมือของฉัน แต่ฉันไม่บอกคุณแน่นอนว่ามันคืออะไร ไม่บอกแน่นอน จู่ๆหลี่เจิ้งหยางก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ความลับเหรอ?
ฉินเฟิงขมวดคิ้วและปล่อยมือออก เขาอยากจะถามว่าความลับคืออะไร แต่เขากลับเห็นที่ปากของหลี่เจิ้งหยางมีเลือดสีดำไหลออกมา และเขาก็เสียชีวิตแล้ว
กินยาพิษฆ่าตัวตายเหรอ?
ฉินเฟิงปล่อยมือ หลี่เจิ้งหยางก็ล้มลงไปอยู่ที่พื้น และเขาได้เสียชีวิตไปแล้ว
อันที่จริงคุณสามารถใช้ความลับนั้นเพื่อแลกกับชีวิตของคุณ แต่คุณกลับเลือกที่จะไม่พูด และทิ้งความมั่งคั่งทั้งหมดของตระกูลหลี่ และทอดทิ้งคนทั้งหมดของตระกูลหลี่ เพื่อปกป้องความลับนั้นไว้
ฉินเฟิงสองมือไขว้หลัง: ฉันสงสัยมากๆ ความลับนั้นคืออะไรกันแน่? ทำให้เขายอมทอดทิ้งทุกอย่าง กินยาพิษเพื่อฆ่าตัวตาย
ยังมีสามตระกูลนั้นอีก พวกเขาเป็นสามตระกูลไหนกันแน่ ทำไมถึงต้องกลั่นแกล้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ในเมืองเจียงเฉิงเล็กๆแห่งนี้ ซ่อนอะไรไว้กันแน่
ฉีหยุน
ฉินเฟิงออกคำสั่งทันที
ฉีหยุนที่อยู่ด้านหลัง เดินออกมาจากความมืด: รีบไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้
ตรวจสอบ ฉันต้องการให้คุณไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่าง โดยเฉพาะสามตระกูลนั้น และตรวจสอบให้ชัดเจนว่าช่วงนี้ใครติดต่อกับตระกูลหลี่บ้าง ฉินเฟิงออกคำสั่งทันที
รับทราบ ฉีหยุนพูด
เมื่อพูดจบ ฉินเฟิงเตรียมตัวที่จะจากไป แต่ในเวลานี้ จู่ๆอิ่นป่ายก็กอดขาของฉินเฟิงไว้ ร้องไห้และพูด: ฉินเฟิง ยังไงซะ ฉันก็เป็นคนของตระกูลอิ่น ฉันยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับอิ่นซินด้วย คุณไม่ควรทำแบบนี้ คุณฆ่าฉันไม่ได้นะ ถ้าคุณฆ่าฉัน เสี่ยวซินจะโกรธคุณ ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันขอร้อง
เขาไม่อยากตาย ก็เลยยกอิ่นซินออกมาอ้าง บางทีมันอาจจะเป็นทางรอดสุดท้ายก็ได้
แต่ฉินเฟิงก้มศีรษะและมองเขา ในสายตามีแต่ความเย็นชา: คนของตระกูลอิ่นเหรอ? ตอนที่ภรรยาของฉันโดนไล่ออกจากตระกูล ทำไมคุณถึงไม่พูดว่าพวกเราเป็นคนของตระกูลอิ่นละ ยังกล้าพูดว่าลูกพี่ลูกน้องอีก? ตอนที่คุณยกภรรยาของฉันให้อู๋ห้าว และส่งข่าวให้ตระกูลหลี่ ทำไมคุณไม่พูดว่าเธอคือลูกพี่ลูกน้องของคุณ
เธอจะโกรธไหม ถ้าข่าวการเสียชีวิตของคุณ ฉันไม่ได้บอกเธอ ถ้างั้นเธอก็คงไม่โกรธ
องครักษ์หมาป่า ลากตัวออกไป
เมื่อฉินเฟิงออกคำสั่ง ก็มีทหารคนหนึ่งลากตัวเขาออกไปทันที อิ่นป่ายอ้อนวอนอย่างสุดชีวิต ทั้งร้องไห้และฉี่ราดกางเกง แต่ก็ไม่สามารถทำให้ฉินเฟิงเปลี่ยนใจ
คนๆนี้ สมควรตาย
สมควรตายจริงๆ
ในคฤหาสน์ที่หรูหรา ภายใต้แสงที่เจิดจ้าและสว่างไสว ฉินเฟิงใส่ชุดสูทและยืนตัวตรง เขายื่นมือออกไป และสวมหน้ากากที่ดูน่ากลัวอีกครั้ง
หลังจากนั้น เขาก็เดินออกจากคฤหาสน์ และหายตัวไปในความมืด
ด้านหลังของเขา มีเสียงอ้อนวอนและโหยหวนของคนตระกูลหลี่ดังออกมาเป็นระยะๆ แต่มันก็ไม่สามารถหยุดการฆ่าล้างขององครักษ์หมาป่าได้ เพราะคำพูดของเทพสงครามแห่งอีสเตอร์แลนด์ พูดออกมาแล้วต้องทำตาม
ทำให้ตระกูลหลี่โดนฆ่าล้างตระกูล
เรื่องนี้โด่งดังไปทั่วเมืองเมืองเจียงเฉิง บุคคลลึกลับอย่างMR.Xฆ่าล้างตระกูลอู๋ก่อน จากนั้นก็ตามด้วยตระกูลหลี่ สิบตระกูลใหญ่ผู้มั่งคั่งของเมืองเจียงเฉิงโดนฆ่าล้างไปสองตระกูลแล้ว ในเวลานี้ ชื่อเสียงของMR.Xโด่งดังมากๆ
และในคืนนี้ เป็นคืนที่ไม่สามารถเงียบสงบได้ ห้าตระกูลใหญ่ของเมืองเจียงเฉิงนอนไม่หลับทั้งคืน สามตระกูลใหญ่อันดับต้นๆไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย แต่ทุกคนรู้ดี ความวุ่นวายของเมืองเจียงเฉิงได้เกิดขึ้นแล้ว
MR.Xที่เป็นผู้มีอำนาจและอิทธิพลได้เข้ามาแล้ว
……
กลางดึกตีหนึ่ง อิ่นซินพึ่งให้ปากคำเสร็จ เธอเตรียมตัวจะไปหาฉินเฟิงเพื่อกลับบ้าน แต่มีนายดาบตำรวจคนหนึ่งบอกเธอว่าฉินเฟิงได้จากไปแล้ว เธอขยับจมูกอย่างไม่พอใจ: ทำไมถึงไม่รอฉัน? เขาโกรธแล้วเหรอ?
หลายวันมานี้เธอเย็นชากับฉินเฟิง ถ้าฉินเฟิงจะโกรธก็เป็นเรื่องปกติ ผู้ชายคนหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีอารมณ์โกรธเลย เธอสามารถเข้าใจได้
ช่างเถอะ กลับไปหาเขาดีกว่า
อิ่นซินกลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลอิ่น แต่เธอกลับหาตัวฉินเฟิงไม่เจอ สุดท้ายกลับได้คำพูดจากจางลี่
ผู้ชายคนนั้นเหรอ คืนนี้ไม่ได้กลับมา พูดกันตรงๆ ไม่กลับมาก็ดีแล้ว เพราะฉันดูถูกเขามาโดยตลอด ต้องรู้นะว่าลูกสาวของฉัน คือ……
จางลี่พูดพึมพำด้วยความไม่พอใจ
คำพูดของจางลี่ เธอไม่อยากฟังอีก เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังสูญเสียอะไรบางอย่างไป
เธอหยิบโทรศัพท์ และโทรหาฉินเฟิงทันที
เมื่ออีกฝ่ายรับสาย เธอรีบถามทันที: ที่รัก คุณจะกลับมาเมื่อไหร่?
อีกหลายวัน
ในสายโทรศัพท์มีเสียงตอบกลับของฉินเฟิง
อีกหลายวันเลยเหรอ!
อิ่นซินอึ้งไปเลย ตั้งแต่ฉินเฟิงกลับมา ผ่านมานานขนาดนี้ เขาไม่เคยไม่กลับบ้านเลย แต่วินาทีต่อมาเธอก็เข้าใจทันที ต้องเป็นเพราะหลายวันมานี้เธอเย็นชากับฉินเฟิงมากจนเกินไปก็เลยทำให้เขารู้สึกไม่ดี
สัญญาว่าต้องหาได้สองล้านภายในครึ่งปี ทำให้ฉินเฟิงกังวลมากๆ
หลายวันนี้ บางทีเขาอาจจะหาเงินก้อนใหญ่ได้ บางทีอาจจะทำเรื่องผิดกฎหมายด้วย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ทำให้เธอกังวลทันที และรีบพูดผ่านโทรศัพท์ทันที: เรื่องเงินคุณอย่ากังวลเลย พวกเราช่วยกันหาวิธี คุณอย่าทำเรื่องบ้าๆนะ ฉันขอร้องละ อย่าไปปล้นธนาคาร อย่าไปทำเรื่องผิดกฎหมายนะ ขอแค่คุณมีชีวิตอยู่ ทุกอย่างก็สามารถทำได้
นอกจากปล้นธนาคาร ยังมีวิธีไหนที่สามารถหาเงินสองล้านได้ภายในห้าเดือนได้อีก
อิ่นซินกลัวมากๆ
ฉินเฟิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็ปลดหน้ากากที่น่ากลัวลงมา เขายิ้มและพูด: ได้
คุณอย่าทำเรื่องผิดกฎหมายเป็นอันขาด ไม่งั้นฉันจะไม่สนใจคุณไปตลอดชีวิต แต่ครั้งนี้คุณต้องไปทำเรื่องกี่วันเหรอ ต้องทำกี่วัน ให้เวลาที่แน่ชัดกับฉันหน่อย
ให้เวลาฉันเจ็ดวัน
ได้
หลังจากวางสายแล้ว อิ่นซินพอจะเดาเรื่องบางอย่างออก ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ เจ็ดวัน เจ็ดวันเลยเหรอ
เอาไว้เล่น?
นักดาบสยบใต้หล้าเป็นปรมาจารย์ของนักใช้ดาบทั้งหลาย เป็นบุคคลสำคัญของประเทศซากุระ และเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งในกองทัพ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ คนอย่างนี้กลับโดนฆ่าตายแล้วเหรอ
และยังมอบหยกขาวที่เขาหวงสุดชีวิต ให้ลูกน้องเอาไว้เล่น
ทาคุยะมิยาโมโตะถอยหลังสองก้าว เลือดไหลไม่หยุด สีหน้าของเขามีแต่ความเหลือเชื่อ: เป็นไปได้ยังไง นักดาบสยบใต้หล้าตายได้ยังไง ตายได้ยังไง เขาเป็นคนไร้เทียมทาน……ไร้เทียมทาน……เดี๋ยวนะอีสเตอร์แลนด์ อีสเตอร์แลนด์เหรอ!
ทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้องทันที
เขานึกถึงคำว่าอีสเตอร์แลนด์จากคำพูดขององครักษ์หมาป่าคนนั้น
อีสเตอร์แลนด์? เจ้านายของฉัน คุณคือเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ เป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว คนที่ฆ่าล้างทหารของแปดประเทศมากกว่าหลายล้านคน และเมื่อหลายวันก่อน คุณคือปีศาจที่ฆ่าล้างทหารสามแสนคนของจักรวรรดิโรมันคุณมันเป็นปีศาจ
ทาคุยะมิยาโมโตะกรีดร้องออกมาทันที สายตาที่มองฉินเฟิง มีแต่ความเหลือเชื่อ
และในเวลานี้ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก: คุณคือเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว ถ้างั้นหน้ากากของคุณ คือหน้ากากของยอดฝีมืออันดับหนึ่งของประกาศมืดที่ชื่อปาซาง โอ้……พระเจ้า!
จนถึงตอนนี้ เขาพึ่งเข้าใจว่าฐานะที่แท้จริงของMR.Xคือใคร
เทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว
เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์
คนที่ฆ่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของประกาศมืด เหมือนเชือดสุนัข
เป็นบุคคลสำคัญและแข็งแกร่งที่สุดในประเทศ
เมื่อสิบปีก่อน ประเทศต้าหัวนั้นไม่มีชื่อเสียงบนโลกเลย ตามชายแดนก็ถูกก่อกวนและโดนรุกล้ำอยู่ตลอดเวลา แต่หลังจากนั้น ก็มีคนบ้าคนหนึ่ง และเป็นไอ้บ้าที่ไม่รักชีวิต ใช้เวลาเจ็ดปี สามารถปราบชายแดนของประเทศต้าหัวให้กลับมาสงบสุขอีกครั้ง
เมื่อห้าปีก่อน ประเทศซากุระส่งทหารทั้งหมดสองแสนนาย
ผู้บัญชาการทหารของอีสเตอร์แลนด์ก็คือฉินเฟิง เขานำทหารของประเทศต้าหัวเข้าไปต่อสู้ทหารของประเทศซากุระอย่างไม่คิดชีวิต ทำให้ทหารของประเทศซากุระตายไปจำนวนมาก เลือดที่ไหลออกมากลายเป็นทะเล
การสู้รบในครั้งนั้นทำให้เขาจำได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่นั้นมาประเทศต้าหัวก็มีชื่อเสียง และกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ สู้รบจนทำให้ประเทศข้างๆที่ชอบเข้ามาก่อกวนและรุกล้ำดินแดนกลัวจนหัวหด โดยเฉพาะประเทศซากุระด้วย
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาได้สู้รบและฆ่าทหารของจักรวรรดิโรมันไปสามแสนกว่าคน ทำให้ชื่อเสียงเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก ทำให้ทุกคนเกิดความหวาดกลัว
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ เขามาที่นี่ มาที่เมืองเล็กๆอย่างเมืองเจียงเฉิง แต่กลับเจอเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว คนๆนี้น่าจะอยู่ที่ชายแดนไม่ใช่เหรอ
หนี
ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีนักรบ หรือกรีดท้องฆ่าตัวตาย เขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจ เขาคิดจะหนีอย่างเดียว แต่เขาวิ่งหนีได้เพียงแค่ก้าวเดียว เขาก็รู้สึกเวียนหัวและล้มลงไปกับพื้นทันที
ทหารภายใต้บัญชาการของฉัน บอกว่าคุณต้องตาย ถ้างั้นคุณก็ต้องตายจริงๆ ฉินเฟิงพูดออกมาเบาๆ
บาดแผลที่โดนแทง อันที่จริงได้ตัดเส้นเลือดหัวใจของทาคุยะมิยาโมโตะแล้ว
ก่อนหน้านี้ที่เขายังไม่ตาย เป็นเพราะหมาป่าหางโตให้ทาคุยะมิยาโมโตะได้มีโอกาสได้พูดเรื่องสำคัญก่อนตายเท่านั้น แต่น่าเสียดาย คนๆนี้ไม่รักษาโอกาสนั้นไว้
เมื่อถึงตอนนี้ทาคุยะมิยาโมโตะที่มาจากประเทศซากุระและเป็นยอดฝีมือของประกาศมืด ได้เสียชีวิตแล้ว
ถึงเวลาของพวกคุณแล้ว
ฉินเฟิงยืนอยู่และมือไขว้หลัง มองไปที่หลี่เจิ้งหยาง
และในเวลานี้ หลี่เจิ้งหยางรู้สึกตื่นตระหนกตกใจมากๆ เขาไม่ได้นิ่งสงบเหมือนเมื่อสักครู่อีกแล้ว เพราะทาคุยะมิยาโมโตะที่สามารถปกป้องตระกูลของเขาได้ถูกทหารเล็กๆคนหนึ่งฆ่าตายไปแล้ว
และพวกเขาก็รู้ฐานะที่แท้จริงของฉินเฟิงแล้ว
เทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว เป็นคนที่ทรงอำนาจที่สุด และมีทหารอยู่ใต้บัญชาสามแสนคน
และคนๆนี้ไม่ใช่ตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลหลี่ของเมืองเจียงเฉิงจะสามารถล่วงเกินผิดใจได้ ถึงแม้เอาทุกคนในเมืองเจียงเฉิงมารวมกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัวอยู่แล้ว
คุณ……ฆ่าฉันไม่ได้……ฉันไม่ได้ทำผิดกฎหมาย……คุณฆ่าฉันไม่ได้…… หลี่เจิ้งหยางพูดด้วยน้ำเสียงแหบ
ไม่มีหลักฐานเหรอ? หลักฐานอยู่นี่ไม่ใช่เหรอ
ฉินเฟิงก้มศีรษะลง เตะศพของทาคุยะมิยาโมโตะ จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชา: เมืองเจียงเฉิงตระกูลหลี่ ติดต่อและสมรู้ร่วมคิดกับคนของประเทศซากุระ ฉันตัดสินแล้ว ต้องฆ่าล้างทั้งตระกูล
ความผิดของตระกูลหลี่ มันเยอะจนนับไม่ไหว งั้นก็ไม่ต้องนับแล้ว
จากหลักฐานที่ฉีหยุนรวบรวมได้ ตระกูลหลี่มีทั้งหมดสิบสามคน ทุกคนล้วนมีความผิด และสามารถหาหลักฐานความผิดของทุกคนได้ ทำตามกฎหมายก็คือฆ่าล้างทันที การฆ่าล้างตระกูลครั้งนี้ก็สมควรแล้ว
อย่า……อย่า……อย่า……
มีองครักษ์หมาป่าคนหนึ่งถือมีดทหาร เดินออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ทำให้หลี่เจิ้งหยางตกใจมากๆจนรีบถอยหลังทันที แต่องครักษ์หมาป่าคนนั้นก็ไม่ได้เดินถอยหลังกลับไป
ในเวลานี้ หลี่เจิ้งหยางเข้าใจดีแล้ว ไม่ว่าตัวเองจะทำอะไร ตระกูลหลี่ก็ไม่มีทางรอด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว ตระกูลหลี่คงต้องจบเห่อย่างแน่นอน
แต่เขาไม่เต็มใจ
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ตระกูลหลี่ไปล่วงเกินผิดใจกับบุคคลสำคัญระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
เทพสงคราม ฉันอยากจะถามคุณ ตระกูลหลี่ของเราล่วงเกินผิดใจกับคุณยังไง? โดยปกติพวกเราพวกเราทำอะไรก็จะรู้จักประมาณตน และไม่เคยล่วงเกินผิดใจกับบุคคลที่มีอำนาจ หลี่เจิ้งหยางถามด้วยความไม่เต็มใจ
พวกเราล่วงเกินตั้งแต่เมื่อไร ถึงทำให้บุคคลสำคัญขนาดนี้มาหาเรื่องตระกูลหลี่
ถึงแม้ตระกูลหลี่ล่วงเกินผิดใจกับคุณ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ฉันเป็นคนของตระกูลอิ่นของเมืองเจียงเฉิง ฉันชื่ออิ่นป่าย ฉันไม่ใช่คนของตระกูลหลี่ ทำไมคุณถึงไม่ยอมปล่อยฉันจากไป
เมื่อรู้ว่าตระกูลหลี่จบเห่แน่นอน ในเวลานี้อิ่นป่ายคือคนที่ประหม่าที่สุด เขาเป็นคนของตระกูลอิ่น อยู่ดีไม่ว่าดีเอาตัวเองเข้ามายุ่งกับเรื่องของตระกูลหลี่ทำไม
นี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรเข้ามายุ่งด้วย
และเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัวก็ไม่ยอมปล่อยให้เขาจากไป
เขากลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาคิดอยู่ตั้งนาน ตัวเองเป็นแค่คนเล็กๆคนหนึ่งและไปล่วงเกินผิดใจกับเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัวได้ยังไง มันเหลือเชื่อมากๆ เพราะพวกเขาสองคนไม่เคยรู้จักหรือเกี่ยวข้องกันเลย
ฉันเคยพูดแล้ว คุณฆ่าลูกและภรรยาของฉัน ฉินเฟิงพูดเบาๆ
เป็นไปได้ยังไง คนของตระกูลหลี่จะกล้าไปสังหารภรรยาและลูกของเทพสงครามได้ยังไง คุณกำลังพูดเรื่องตลกใช่ไหม ถึงแม้จะมีโอกาสแต่พวกเราก็ไม่กล้าทำอยู่แล้ว หลี่เจิ้งหยางพูดด้วยความขมขื่น
กล้าไปฆ่าลูกและภรรยาของเทพสงคราม เป็นเรื่องที่ฆ่าตัวตายชัดๆ
ทำไมพวกคุณลืมง่ายจัง?
ฉินเฟิงยืนมือออกมาและกดไปที่หน้ากากตัวเอง และปลดมันลงมา และเผยให้เห็นใบหน้าที่มีความโหดเหี้ยมเล็กน้อย: คืนนี้ พวกคุณบงการคนขับ ไปชนภรรยาของฉันให้ตาย ส่งมือปืนไปฆ่าลูกสาวของฉัน พวกคุณพูดสิ ความแค้นแบบนี้ มันเพียงพอที่ฉันจะฆ่าล้างตระกูลของพวกคุณไหม
ฉินเฟิง!
หลี่เจิ้งหยางกับอิ่นป่ายอึ้งไปเลย สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่พวกเขาจะตาย ได้ฝั่งเข้าไปใจจิตใจของพวกเขา พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ คนที่ทรงอำนาจที่สุด และเป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว ก็คือฉินเฟิงที่เป็นลูกเขยของตระกูลอิ่น
และเป็นไอ้เศษสวะไร้น้ำยาที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงเฉิงอีกด้วย
เขาคือฉินเฟิงที่เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลอิ่น ทำงานบ้านทุกวัน ไม่เคยบ่นสักคำ โดนดุโดนว่าก็ไม่เคยพูดสักคำ แต่เขากลับเป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัว
โดยเฉพาะอิ่นป่าย เขาเคยด่าฉินเฟิงมาแล้วหลายครั้ง ด่าฉินเฟิงคือไอ้เศษสวะไร้น้ำยา เป็นยาจกขอทาน แต่ใครก็ไม่คาดคิด ว่าฐานะที่แท้จริงของเขาใหญ่กว่าทุกคนในเมืองเจียงเฉิงอีก
เป็นไปไม่ได้!
อิ่นป่ายไม่อยากจะเชื่อ มองเรื่องนี้ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึงและหวาดกลัว: ทำไม ไอ้เศษสวะไร้น้ำยาอย่างคุณ ถึงเป็นเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศหัว ทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้!
น้ำเสียงของเขาเริ่มแหบแห้ง
ถึงแม้เขาจะไม่อยากเชื่อ แต่เขาก็ได้คำตอบจากศพของทาคุยะมิยาโมโตะ คนๆนี้คือเทพสงครามเบอร์หนึ่งของประเทศต้าหัวจริงๆ และเขาก็เข้าใจดี ทำไมอิ่นซินทำเรื่องอะไรก็ราบรื่นไปหมด เมื่อเจอปัญหา ก็จะมีคนค่อยช่วยเธอตลอด
ในที่สุดเขาก็เข้าใจ
ไม่ใช่เพราะอิ่นซินดวงดี และก็ไม่ใช่เพราะตู้ต้วนเทียน
มีเสียงตุ๊บดังขึ้น
อิ่นป่ายล้มลงกับพื้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พูดด้วยความขมขื่น: คุณปิดปังเรื่องทั้งหมด คุณต้องการอะไรกันแน่?
ประกาศมืด?
ฉินเฟิงหัวเราะเบาๆออกมา ถ้าอันดับของทาคุยะมิยาโมโตะอยู่สูงกว่านี้อีกหลายสิบอันดับ บางทีเขาอาจจะจำสิ่งที่อยู่บนหน้าของฉันได้ เพราะมันคือหน้ากากแห่งความภาคภูมิใจของประกาศมืด
สมัยนั้น ปาซางที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของประกาศมืด และได้รับยกย่องให้เป็นตำนานของโลกใต้ดิน และไม่มีใครเทียบได้
แต่สุดท้าย เขาก็ตายด้วยน้ำมือของฉัน
แต่ยอดฝีมือของประกาศมืดที่ตายด้วยน้ำมือของเขา ไม่ได้มีแค่ปาซางเพียงคนเดียว เขามองมีดซามูไรที่อยู่บนมือของทาคุยะมิยาโมโตะและพูดว่า มีดเล่มนี้ ทำให้ฉันนึกถึงคนๆหนึ่ง เป็นคนที่แต่งตัวเหมือนกับคุณ บนศีรษะผูกผ้าสีดำ ที่เอวมีหยกขาวชิ้นหนึ่ง และถือมีดเหมือนกับคุณเลย
เขาคือปรมาจารย์ของฉัน ฉายานักดาบสยบใต้หล้า
ทาคุยะมิยาโมโตะขมวดคิ้ว เขาเก็บมีดซามูไรเข้าไปในฝักทันที จนเกิดเสียงดังขึ้นและเขาก็พูด: คุณโชคดีมากๆ เนื่องจากคุณเคยเจอปรมาจารย์ของฉัน วันนี้ฉันจะไว้ชีวิตคุณ รีบไสหัวไป
เขาไม่ได้สงสัยคำพูดของฉินเฟิงเลย เพราะเขาก็เคยเจอนักดาบสยบใต้หล้ามาแล้ว เขาเป็นคนที่ไปมาไร้ร่องรอย เป็นยอดฝีมือนักดาบอันดับหนึ่งของประเทศซากุระ และยอดฝีมือที่ใช้ดาบส่วนมากในประเทศซากุระถือว่าเขาเป็นปรมาจารย์ของทุกคน
มีผ้าสีดำผูกอยู่บนหัว มีหยกขาวอยู่ที่เอว
เป็นลักษณะของเขาจริงๆ
ปล่อยเขาไปเหรอ? คุณมิยาโมโตะ คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถ้าปล่อยเขาไป ถ้าเขากลับมาแก้แค้นจะทำยังไง คนๆนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนเลือดเย็นและชอบฆ่าคน และเขาก็อันตรายมากๆด้วย ไว้ชีวิตไม่ได้
เมื่อได้ยินคำพูดของทาคุยะมิยาโมโตะ ทำให้หลี่เจิ้งหยางประหม่าขึ้นมาทันที
อิ่นป่ายก็ประหม่าเหมือนกัน และรีบพูดทันที: คุณมิยาโมโตะ ปล่อยเขาไปไม่ได้นะ คนๆนี้อันตรายมากๆ
คนอย่างฉันพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น แต่วันนี้ฉันไม่ฆ่าเขา ไม่ได้แปลว่าพรุ่งนี้ไม่ฆ่าเขา แค่ให้เขาได้โอกาสมีชีวิตรอดอีกเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น
ดวงตาของทาคุยะมิยาโมโตะฉายแววโหดเหี้ยมอำมหิตออกมา
วันนี้เห็นแก่ที่MR.Xรู้จักปรมาจารย์ของตัวเอง ก็เลยให้เขามีชีวิตรอดเพิ่มขึ้นหนึ่งวัน พรุ่งนี้ก็จะไปฆ่าเขาเลย
อิ่นป่ายและหลี่เจิ้งหยางรู้สึกโล่งอกทันที
พวกเขานึกว่าจะไม่ฆ่าและปล่อยตัวเขาไปจริงๆ
แต่ฉินเฟิงเอามือไขว้ไว้ด้านหลัง หัวเราะออกมาอย่างดูถูก: อันที่จริงคุณไม่ต้องเห็นแก่หน้าของนักดาบสยบใต้หล้าก็ได้ เพราะพวกเราสองคนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะฉันเป็นคนที่ตัดศีรษะของเขาเอง
อะไรนะ?
ทาคุยะมิยาโมโตะอึ้งไปเลย จากนั้นสีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ: คุณพูดเรื่องบ้าบออะไรอยู่ นักดาบสยบใต้หล้าเป็นยอดฝีมือนักดาบของประเทศซากุระ เป็นบุคคลสำคัญของประเทศ เมื่อหลายปีก่อนได้เข้าร่วมกับกองทัพ และหลายปีนี้ก็มีข่าวว่าสู้รบชนะมาโดยตลอด คุณจะฆ่าเขาได้อย่างไร
ฉันนึกว่าคนต้าหัวจะเป็นแค่ไอ้ขี้โรคเอเชียเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าคนต้าหัวจะเย่อหยิ่งและอวดดีขนาดนี้ คุณพูดเรื่องไร้สาระมากๆ บุคคลสำคัญของประเทศเราจะตายด้วยน้ำมือของคุณได้ยังไง
นักดาบสยบใต้หล้าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศซากุระ เขาจะตายได้ยังไง
หนุ่มน้อย วันนี้คุณเหยียบหยามปรมาจารย์ของฉัน ฉันจะตัดศีรษะของคุณ ให้คุณไปรอขอโทษปรมาจารย์ของฉันในนรก
ทาคุยะมิยาโมโตะโกรธมากๆ เขาดึงดาบทันที แสงสีเงินแวบขึ้นมา มีดซามูไรก็ถูกโดนดึงออกมาจากทันที
จากนั้น เขาก็กระทืบเท้า
และพุ่งไปข้างหน้ามาอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปแค่หนึ่งวินาที เขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าฉินเฟิงแล้ว และดาบซามูไรก็ฟันไปที่คอของฉินเฟิงทันที
เคร้ง
แต่ในเวลานี้ มีองครักษ์หมาป่าคนหนึ่งปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของฉินเฟิง เขาถือมีดทหารและรับการโจมตีของดาบซามูไรไว้ จนทำให้เกิดประกายไฟ
คุณยังไม่มีสิทธิ์ต่อสู้กับเจ้านายของเรา ข้าคือหมายเลข009แห่งองครักษ์หมาป่า ฉายาหมาป่าหางโต ฉันจะเป็นคู่ต่อสู้กับคุณเอง
องครักษ์หมาป่าที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำได้เผยศีรษะออกมา เขายังเป็นเด็กหนุ่ม และเป็นเด็กหนุ่มที่ชอบการต่อสู้มากๆ
องครักษ์หมาป่าคือทหารที่ผ่านการสู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน
ทุกคนในองครักษ์หมาป่า ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่ชอบการต่อสู้มากๆ
คนอย่างคุณ เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีชื่อในประกาศมืด ยังกล้ามาสู้กับฉันเหรอ? คนที่ฉันอยากฆ่าไม่ใช่คุณ คนต้าหัวก็เป็นแค่ไอ้ขี้โรคเอเชียเท่านั้น ดังนั้นคุณรีบไสหัวออกไป
ทาคุยะมิยาโมโตะดูถูกที่ต้องต่อสู้กับทหารตัวเล็กๆ ดังนั้นเขาก็เลยฟันมีดไปทันที และเตรียมตัวที่จะไปฆ่าฉินเฟิง
แต่หลังจากนั้น เขาก็รู้สึกมีลมพัดมาที่ด้านหลังของเขา จากประสบการณ์หลายปีของเขา เขารีบใช้ดาบซามูไรที่อยู่ในมือฟันไปที่ด้านหลังทันที และเกิดเสียงปะทะขึ้น ทำให้เขาสามารถรับมีดทหารไว้ได้
แต่ปลายมีดของอีกฝ่ายเปลี่ยนทิศ และกรีดโดนเอวของเขา ทำให้มีเลือดไหลออกมาทันที
ให้ตายสิ
ทาคุยะมิยาโมโตะด่าออกมาทันทีและยืนอยู่บนพื้น และรีบใช้มือปิดบาดแผลของตัวเอง แต่ก็ยังมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด ถึงแม้บาดแผลจะไม่ใหญ่ แต่มันคือความอับอายของเขา
เขาที่คิดว่าตัวเองเป็นยอดฝีมือมาโดยตลอด แต่วันนี้กลับได้บาดแผลจากทหารตัวเล็กๆ
มันเป็นความอัปยศอดสู่
อืมๆ กระบวนท่าไม่เลวเลย มองออกเลยว่าคุณผ่านการฝึกฝนมาเยอะ แต่น่าเสียดาย ที่คุณมีประสบการณ์ด้านต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตน้อยมากๆ ทำให้ขาดความคล่องตัว ถ้าคุณเผชิญหน้ากับฉัน คุณต้องตายแน่ๆ
หมาป่าหางโตใช้ลิ้นเลียปลายดาบ มีแสบสีเงินปรากฏออกมาภายใต้แสงไฟและทำให้รู้สึกเย็นวาบๆ
จากนั้น หมาป่าหางโตก็ใส่หมวกอย่างช้าๆ เอาศีรษะหลบเข้าไปในความมืด พวกเขาเหมือนฝูงหมาป่า และเป็นฝูงหมาป่าที่หลบซ่อนอยู่ในความมืด และเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ
คุณอวดดีมากเกินไปแล้ว
ทาคุยะมิยาโมโตะโดนทำร้ายจนรู้สึกโมโหมากๆ เขาถือมีดซามูไรไว้อย่างแน่น สองเท้ากระทบพื้นและพุ่งไปข้างหน้าทันที
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
มีประกายไฟมากมายเกิดขึ้น
มีดซามูไรของทาคุยะมิยาโมโตะกับมีดทหารของหมาป่าหางโต ปะทะกันครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองคนเคลื่อนไหวเร็วมากๆ การต่อสู้กันครั้งนี้ ไม่สามารถตัดสินได้ว่าใครแพ้หรือชนะในเวลาอันสั้น
แต่ทาคุยะมิยาโมโตะเริ่มประหม่าทันที
เขาต้องการฆ่าคนที่ชื่อMR.X เขาไม่ควรเสียเวลามากขนาดนี้ เขาจึงตะโกนออกมาทันที: มีดบินอาซุร่า
มีดของเขาเร็วขึ้นทันที และดูบ้าคลั่งเพิ่มขึ้นอีกด้วย
แต่ในเวลานี้ มีมีดทหารเล่มหนึ่ง หาช่องว่างจากกระบวนท่าของเขาได้ และแทงเข้าไปบนอกของทาคุยะมิยาโมโตะทันที และมีเสียงพูดของหมาป่าหางโตดังขึ้นด้วย
ฉันเคยบอกแล้ว กระบวนท่าของคุณนั้นไม่เลว แต่ขาดประสบการณ์ด้านการต่อสู้ที่ต้องแลกด้วยชีวิตน้อยเกินไป ถ้าสู้กับฉันจริงๆ คุณตายแน่ๆ
ฉึก!
หมาป่าหางโตดึงมีดทหารออกมา จากนั้นก็เดินกลับไปอยู่ด้านหลังของฉินเฟิง
และหายเข้าไปในกลุ่มขององครักษ์หมาป่าทันที
เอื๊อก
ทาคุยะมิยาโมโตะก้มหน้ามองบาดแผลกลางอกของตัวเอง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ มีดบินอาซุร่าของเขามีจุดอ่อนเหรอ?
กระบวนท่าที่เขาฝึกมาค่อนชีวิต แต่มันกลับมีจุดอ่อน?
เขาใช้กระบวนท่านี้ฆ่าคนมานับไม่ถ้วน และมีชื่อเสียงมากๆในประเทศซากุระ ในเวลานี้มีคนบอกเขาว่า กระบวนท่าของเขามีจุดอ่อน และสามารถฆ่าเขาได้อย่างง่ายดายด้วย
ถึงตายเขาก็ไม่พอใจ
คุณเป็น……ใครกันแน่……ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้? ทาคุยะมิยาโมโตะใช้มือกดบาดแผลที่หน้าอกตัวเอง มององครักษ์หมาป่าด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมคนๆนั้นถึงแข็งแกร่งขนาดนี้
เขาเป็นแค่ทหารตัวเล็กๆเท่านั้น
อันที่จริงฉันไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ที่นี่มีคนแข็งแกร่งกว่าฉันมากกว่าหนึ่งร้อยคน ถ้าอยู่ในอีสเตอร์แลนด์มีคนแข็งแกร่งกว่าฉันเป็นหมื่นคน ไอ้ขี้โรคเอเชียที่คุณพูดถึง คุณต้องคิดให้ดีๆ ใครคือไอ้ขี้โรคเอเชียกันแน่
องครักษ์หมาป่าคนนั้นพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็หยิบของอย่างหนึ่งออกมา มันคือหยกขาว: ใช่แล้ว คุณจำของสิ่งนี้ได้ไหม?
มันคือหยกขาวของนักดาบสยบใต้หล้า
ทาคุยะมิยาโมโตะตกใจมากๆ เขาเคยเห็นหยกชิ้นนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และลวดลายบนหยกก็เหมือนกับที่เขาเคยเห็น มันคือหยกของนักดาบสยบใต้หล้าจริงๆ
แต่หยกชิ้นนี้มาอยู่ที่ตรงนี้ได้ยังไง
ในเวลานี้ องครักษ์หมาป่าคนนั้นก็พูดออกมา: หนึ่งปีก่อน เจ้านายของเราได้ฆ่าสิบแปดขุนพลของประเทศซากุระ หนึ่งในนั้นก็คือนักดาบซามูไรที่มีผ้าสีดำบนศีรษะและมีหยกขาวที่เอว และหยกชิ้นนี้ก็เป็นเจ้านายให้ฉันเอาไว้เล่น
บ้าไปแล้ว
MR.Xคนนี้ จะต้องบ้าไปแล้วอย่างแน่นอน
ไม่……คุณทำแบบนี้ไม่ได้ ตระกูลเห้อของเราก็เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่
เห้อเฉินหลงถอยหลังหนึ่งก้าว และรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
แต่ว่าฉินเฟิงไม่ได้พูดอะไรออกมา องครักษ์หมาป่าก็ไม่ได้ถอยหลัง มีมีดทหารอยู่ในมือและเดินไปหาเห้อเฉินหลงทีละก้าวๆ ในที่สุดก็ทำให้เห้อเฉินหลงหวาดกลัวจนนั่งลงกับพื้นและแสดงธาตุแท้ออกมา
อย่า……ฉันขอร้อง……อย่าฆ่าฉัน……อย่าฆ่าฉันเลย!
เห้อเฉินหลงคุกเข่าคำนับองครักษ์หมาป่าและยอมรับผิด น้ำตาก็ไหลลงมาทีละหยดๆ
เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกลัวมากๆ
ความสง่างามก่อนหน้านี้ ความกล้าหาญของเขาในขณะนี้ ไม่เหลืออีกแล้ว
แต่องครักษ์หมาป่าก็ไม่ยอมหยุด
จนกระทั่งองครักษ์หมาป่ามาถึงด้านหน้าของเห้อเฉินหลง เห้อเฉินหลงก็จู่โจมทันที และมีมีดสั้นออกมาจากแขนเสื้อของเขา และพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม: คุณถูกฉันหลอกแล้ว
เขาสามารถไปเรียนต่อที่ต่างประเทศได้ เขาไม่ใช่คนโง่อย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เขารู้ทันทีว่าตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของชายชุดดำเหล่านี้ ดังนั้นเขาก็เลยแสดงฉากนี้ขึ้นมา ทำให้องครักษ์หมาป่าเกิดความประมาท แล้วก็จู่โจมอย่างกะทันหัน จับองครักษ์หมาป่าเป็นตัวประกัน และหนีไปจากที่นี่
พูดตามตรง คนที่อยู่รอบๆ ประหลาดใจมากๆกับการแสดงออกของเขา
เมื่อมีคนๆนี้เป็นผู้นำตระกูลเห้อ อาจจะทำให้ตระกูลเห้อของเจียงเฉิงรุ่งเรืองมากขึ้นก็ได้
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ คนที่เขาเผชิญหน้าอยู่คือองครักษ์หมาป่า เป็นสุดยอดทหารที่แข็งแกร่งที่สุดและมาจากหนึ่งในทหารสามแสนนายของอีสเตอร์แลนด์ ทหารทุกคนเคยผ่านการสู้รบมาแล้วนับพันครั้ง สำหรับพวกเขา พวกเขาไม่เคยประมาทศัตรูอยู่แล้ว
องครักษ์หมาป่าขยับขาข้างหนึ่ง และเอียงลำตัว และหลบการโจมตีครั้งนี้ไปได้ จากนั้นก็มีแสงสีเงินส่องประกาย มีดทหารในมือก็แทงเข้าไปกลางอกของเห้อเฉินหลง
ทำตามคำสั่งเจ้านาย ฆ่า
เสียงตุ๊บดังขึ้น
เห้อเฉินหลงนอนลงกับพื้น เลือดไหลออกมาจากปากตลอดเวลา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ และความคิดสุดท้ายที่อยู่ในสมองมีแค่เรื่องเดียว และเรื่องนี้ไม่ใช่ฟื้นฟูตระกูลเห้อ และไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือผู้หญิง
แต่ความคิดของเขาก็คือ ทำไมฉันต้องมาอวดดีด้วย!
ไม่มีเรื่องแต่แส่หาเรื่อง
อันที่จริงถ้าเขายอมเดินจากไปดีๆก็ได้แล้ว แต่เขากลับเลือกที่จะหาเรื่องฉินเฟิง
ตัวเองหาเรื่องตายชัดๆ
MR.Xคนนี้โหดมากๆ วันนี้มาหาเรื่องตระกูลหลี่ถึงหน้าบ้าน ตอนนี้ก็ฆ่าผู้สืบทอดของตระกูลเห้อแล้ว เขาต้องการทำให้เมืองเจียงเฉิงเกิดความวุ่นวาย
เขาเป็นคนที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยวจริงๆ
ผู้คนที่อยู่รอบๆ ทุกคนรู้สึกกลัวจนหัวชา MR.Xคนนี้ไม่สนใจอะไรเลย เขากล้าฆ่าผู้สืบทอดของตระกูลเห้อด้วย
โหดเหี้ยมมากๆ
ทุกท่าน วันนี้ไม่ใช่วันที่ทุกคนจะมานั่งดูการแสดงของพวกเรา
ฉินเฟิงมองไปรอบๆด้วยสายตาเย็นชา เอามือไขว้หลังและพูด
ในเวลานี้ ภายใต้การกระตุ้นของเห้อเฉินหลงกับหลี่เทียนหนานที่กลายเป็นศพและนอนอยู่บนพื้น ทำให้คนเหล่านั้นไม่กล้ายืนดูอีกต่อไป MR.Xคนนี้เป็นคนโหดเหี้ยมและเลือดเย็นมากๆ
ผ่านไปสักพัก ในคฤหาสน์ของตระกูลหลี่ก็เหลือเพียงแค่คนตระกูลหลี่บางคนเท่านั้น
และในเวลานี้ อิ่นป่ายกำลังลังเล สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะจากไป ถึงแม้การอยู่ต่อ อาจจะทำให้ตระกูลหลี่มีทัศนคติที่ดีต่อเขา แต่ตอนนี้ตระกูลหลี่ก็ไม่สามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว เขาก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ด้วย
แต่ในขณะที่เขากำลังจะจากไป มีองครักษ์หมาป่าคนหนึ่งถือมีดทหารและเดินมาด้านหน้าของเขา
คุณหมายความว่าไง? คุณพูดเองไม่ใช่เหรอ ไม่ใช่คนของตระกูลหลี่ สามารถเดินจากไปได้ไม่ใช่เหรอ?
อิ่นป่ายมองไปที่ฉินเฟิงและขมวดคิ้ว
ยกเว้นคุณ ฉินเฟิงพูด
ยกเว้นฉัน หมายความว่าไง? ทำไมถึงยกเว้นฉันละ? อิ่นป่ายรู้สึกงงมากๆ ทำไมถึงยกเว้นเขา คนเยอะขนาดนี้ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยกเว้นและห้ามจากไป
ทำอะไรกันแน่
เพราะอะไร
ฉินเฟิงไม่ได้ตอบคำถามเขา และกลับมองไปที่หลี่เจิ้งหยาง: ต่อจากนี้ ฉันควรคิดบัญชีความแค้นของพวกเราแล้ว
ฮ่าๆๆ
หลี่เจิ้งหยางหัวเราะออกมา ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้รู้สึกประหม่าเลย ถึงแม้ฉินเฟิงจะฆ่าหลี่เทียนหนานแล้ว เขาก็มั่นใจและพูดว่า อันที่จริงวันนี้คุณมาได้ไม่เหมาะเลย ถ้าคุณมาเวลาอื่น ตระกูลหลี่ของพวกเราอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณ แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน เพราะตระกูลหลี่ของพวกเรามีแขกสำคัญคนหนึ่ง
คุณทาคุยะมิยาโมโตะ เมื่อมีเขาอยู่ จะฆ่าคุณก็เป็นเรื่องง่ายมากๆ เร็วๆ รีบไปเชิญคุณมิยาโมโตะ
พ่อบ้านหลี่ก้มตัว และเตรียมตัวที่จะไปเชิญทาคุยะมิยาโมโตะทันที
แต่ในเวลานี้ ในมุมหนึ่งของห้อง มีเสียงหนึ่งพูดออกมา: ฉันมาถึงแล้ว
ในเวลานี้ ทุกคนหันหน้ากลับไปมอง และพบว่าใต้เสาหลังคา มีชายคนหนึ่งสวมชุดซามูไรสีดำ ในมือมีมีดซามูไร อายุสามสิบกว่าๆ และเขาก็ไว้หนวดเครา ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะต่อสู้
การเคลื่อนไหวของคุณมิยาโมโตะ นั่นเรียบง่ายขึ้นเรื่อยๆ เขาปรากฏตัวเมื่อไหร่ ฉันยังไม่รู้เลย แต่ประเทศซากุระมีเขาเป็นความภาคภูมิใจ หลี่เจิ้งหยางหัวเราะและพูด
ในเวลานี้เมื่อเห็นทาคุยะมิยาโมโตะมาถึงที่นี่อย่างไร้ร่องรอย ทำให้เขามั่นใจมากขึ้น
แค่คนเล็กๆอย่าง MR.X กล้ามาต่อสู้กับซามูไรเหรอ?
ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว
ไม่รู้จักประมาณตน
ฉันมาจากประเทศซากุระ และไปมาแล้วสิบกว่าเมือง ฉันไม่เคยเจอคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเลย ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าพวกคุณก็คือไอ้ขี้โรคเอเชีย และการมาถึงเมืองเจียงเฉิงในวันนี้ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน ประเทศต้าหัวล้าหลังมากๆแล้ว และฉันก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากเจ้าตระกูลหลี่ ดังนั้นฉันก็ต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อนเป็นการตอบแทนน้ำใจของเขา
กรึบ กรึบ
ทาคุยะมิยาโมโตะใส่รองเท้าเกี๊ยะและเดินออกมา ในมือมีมีดซามูไรอยู่: วันนี้ การตอบแทนน้ำใจของเขาก็คือการฆ่าคุณ และใช้ศีรษะของคุณมาสร้างชื่อเสียงให้กับฉันในฐานะยอดฝีมืออันดับที่73ของประกาศมืด
เมื่อหลี่เจิ้งหยางได้ยินคำพูดนี้ ก็หรี่ตาทันที เขาดีใจมากๆจนเก็บอารมณ์ไม่อยู่และหัวเราะออกมา: เด็กน้อย คุณรู้หรือเปล่าว่าประกาศมืดคืออะไร? ฉันมองก็รู้แล้วว่าคุณไม่รู้เรื่อง นี่คืออันดับที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก คนที่มีรายชื่ออยู่ในนั้น ไม่ว่าจะเป็นนักฆ่า หรือว่าทหารรับจ้าง หรือซามูไร คนที่สามารถมีชื่อบนนั้นได้ ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และเป็นยอดฝีมือทุกคน
สำหรับคนที่แข็งแกร่งอย่างคุณทาคุยะมิยาโมโตะ ถ้าคิดจะฆ่าคุณ มันเป็นเรื่องง่ายมากๆ
นี่คือเหตุผลที่หลี่เจิ้งหยางไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวและประหม่า
มียอดฝีมือของประกาศมืด ที่น่ากลัวมากๆ
ฆ่าMR.Xคนนี้ก็เหมือนกับการเชือดไก่ มันง่ายมากๆ
งั้นฉันก็วางใจแล้ว การเลือกอยู่ข้างตระกูลหลี่ในครั้งนี้ อาจจะทำให้ตระกูลหลี่เห็นความดีของฉัน
อิ่นป่ายที่กังวลและกลัวมากๆ เมื่อได้ยินเรื่องนี้ก็โล่งอกทันที ตอนแรกเขารู้สึกว่าตัวเองต้องเดือดร้อนเพราะตระกูลหลี่ แต่เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าในตระกูลหลี่ยังมียอดฝีมือคนหนึ่งจากประกาศมืด
ประกาศมืด เขาเคยได้ยินมาก่อน
คนเหล่านั้นน่ากลัวมากๆ
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจ ทำไมMR.Xไม่ยอมให้เขาจากไป แต่มันกลับเป็นเรื่องดี การอยู่ของเขาในครั้งนี้จะทำให้ตระกูลหลี่มีทัศนคติที่ดีต่อเขา เมื่อเขารับกิจการของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปในวันพรุ่งนี้อย่างเป็นทางการ ตระกูลหลี่ก็ให้ทรัพยากรกับเขาอย่างแน่นอน
อิ่นซินคนนั้น น่าจะตายไปแล้ว
ตอนนี้ ก็ไม่มีใครสามารถมาแย่งตำแหน่งประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกับเขาได้อีก คนอย่างอิ่นซิน มีคุณสมบัติอะไรมาแย่งตำแหน่งกับเขา ตอนนี้เธอตายไปก็เป็นเรื่องดีแล้ว
กล้ามาแย่งกับฉัน ต้องตายอย่างเดียว
ครับ
มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งก้าวออกมา เขามีส่วนสูง198ซม. สวมเสื้อกันลม สายตาเฉียบคม ในมือซ้ายถือปืนพกหนึ่งด้าม ตรงนิ้วโป้งมีรอยกร้าน
คนผู้นี้คือหลี่เทียนหนาน เป็นบอดี้การ์ดจากจงไห่ที่เกษียณอายุแล้ว หลังจากนั้นก็ทำภารกิจเป็นบอดี้การ์ดมาโดยตลอด ภารกิจนับสิบครั้งที่ต้องพบเจอกับมือสังหาร เขาไม่เคยทำพลาดมาก่อน
หลี่เทียนหนาน บอดี้การ์ดจงไห่ คนแบบนี้ถูกจ้างโดยหลี่เจิ้งหยางได้อย่างไร
เกรงว่าน่าจะให้ในราคาสูง ได้ยินมาว่าคนผู้นี้โลภมาก ทุกงานของเขาสามารถนั่งคุยราคาได้ ความสามารถแข็งแกร่ง แต่ก็ขอเงินในจำนวนที่มากเหมือนกัน
ถ้าเป็นคนผู้นี้ Mr.Xคนนี้คงต้องจบเห่แน่ๆ
หนึ่งในนั้นจำหลี่เทียนหนานได้ เขาอุทานด้วยความตกใจ ทำให้ทั่วทั้งงานต่างพากันตกตะลึง
นี่เป็นบอดี้การ์ดสุดยอดมืออาชีพ
ไอ้หมอนี่ ตายแน่
อิ่นป่ายส่ายหัวไปมา ในสายตามีความสงสารเล็กน้อย เขารู้ดีว่าหลี่เทียนหนานมีความสามารถมากแค่ไหน
ตาย
แต่หลี่เทียนหนานในฐานะบอดี้การ์ดมืออาชีพ ในมือควงปืนพกข้างซ้าย ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่หัวของฉินเฟิง ทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
เพียงแต่ ในตอนที่เขากำลังจะลั่นไกนั้น ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมา ทางที่ดีคุณอย่าเอาปืนจ่อผมดีกว่านะ เพราะว่า คนที่กล้าเอาปืนจ่อหัวผมครั้งล่าสุด หญ้าบนหลุมศพของเขาสูงเท่ากับคุณแล้ว
เขาหัวเราะเบาๆ เผยให้เห็นฟันขาวเรียงสวย
ดูเหมือนสดชื่นรื่นอารมณ์สราญใจ
ในความเป็นจริง มันน่ากลัวมาก
ทันใดนั้น มือข้างนั้นของหลี่เทียนหนานก็กดลงไปไม่ได้ ประสบการณ์ในสนามรบมานานหลายปี สัญชาตญาณของเขาสามารถสัมผัสได้ว่าอันตรายถึงชีวิตใกล้เข้ามา ทำให้รูม่านตาของเขาหดลง ถอยหลังไปสองก้าว
หลี่เจิ้งหยาง คนผู้นี้ผมต่อกรไม่ได้จริงๆ หลี่เทียนหนานถอยหลังไปสองก้าว แล้วกัดฟันพูด
ลำพังแค่ความกดดัน มันก็ทำให้เขาหัวใจเต้นจนแทบหลุดออกมาแล้ว ถ้าลงมือจริงๆ เกรงว่าจะน่ากลัวมากยิ่งขึ้น
มาแล้ว
ทุกคนกำลังขบขันกัน สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริงๆ พวกเขาก็แค่พูดๆกันเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าตอนนี้เขาจะแสร้งทำเป็นสู้ไม่ไหวจริงๆ หลังจากนั้นก็นั่งคุยราคา ขอเงินอีกก้อน
โลภจริงๆเลย
หลี่เทียนหนาน ฉันให้แกอีกสามล้าน ฆ่าคนพวกนี้ซะ
หลี่เจิ้งหยางคิดว่าหลี่เทียนหนานจะนั่งขอพูดเรื่องเงิน จึงขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ลูกศรอยู่บนคันธนูแล้ว จะไม่ยิงก็คงไม่ได้ ประกอบกับเงินที่ถูกเพิ่มขึ้นอีกสามล้าน
จัดการฆ่าMr.Xที่ปลอมตัวเป็นผีนี่ก่อนแล้วค่อยว่ากันดีกว่า
สามล้าน?วันนี้ถึงคุณจะให้ผมสามสิบล้าน ผมก็ไม่ทำ
หลี่เทียนหนานส่ายหัวไปมา แล้วพูดตะโกน หลังจากนั้นสองเท้าของเขา ก็วิ่งออกไปทางประตู เรื่องนี้ ผมหลี่เทียนหนานไม่ขอเอี่ยวด้วย
ตอนนี้เขาแค่อยากจะหนีไป
สามล้านอะไรกัน!
ความร่ำรวยอะไร ตอนนี้เขาแค่อยากรักษาชีวิตไว้
เพียงแต่ สายตาเฉียบคมของฉินเฟิงกวาดมองไป ผมให้คุณไปได้แล้วงั้นหรอ?
ฉันจะไป แกก็ขวางฉันไม่ได้หรอกนะ หลี่เทียนหนานตะคอก
เขารู้ดีว่าตนสู้ฉินเฟิงไม่ได้ แต่ถ้าอยากจะหนีไป ใครก็ขวางเขาไว้ไม่ได้
งั้นหรอ?
ฉินเฟิงยืนเอามือไพล่หลัง แล้วพูดพึมพำ หน้ากากปีศาจบนหน้า ทำให้คนรู้สึกเยือกเย็นมาก
เหลือแค่ก้าวเดียวแล้ว
หลี่เทียนหนานเห็นว่าเหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะสามารถวิ่งออกจากประตูนี้ได้แล้ว ใบหน้าเผยให้เห็นความดีใจ แต่วินาทีต่อมาทางเข้าประตูก็มีชายสวมชุดดำปรากฏตัวขึ้น
แต่งตัวเหมือนคนที่ยกโลงศพเข้ามาไม่มีผิด
เห็นได้ชัด ว่าเป็นนายทหารเล็กๆคนหนึ่ง
ไอ้หนุ่ม แกเนี่ยนะ อยากจะขวางฉัน แกยังอ่อนไป ให้เจ้านายแกมายังว่าไปอย่าง หลี่เทียนหนานหัวเราะ แล้วล้วงกริชบนตัวออกมาหนึ่งด้าม ตรงเข้าจัดการฆ่าทหารรายนี้
นายทหารเล็กๆคนหนึ่ง อยากขวางเขาไว้ อ่อนต่อโลกมากไปหน่อยมั้ง
แต่แล้ว วินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็หยุดการเคลื่อนไหว สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาก้มลงมองดาบที่ปักบนหน้าอกของตัวเอง
ทำไมถึง……เร็วขนาดนี้
พู่!
หลี่เทียนหนานกระอักเลือดออกมาจากปาก จนกระทั่งก่อนตายเขายังไม่เข้าใจ ว่าทำไมนายทหารเล็กๆคนนี้ถึงได้เก่งกาจขนาดนี้ มีความเร็วในการออกอาวุธรวดเร็วมาก
เร็วกว่าคนที่รับภารกิจเร็วอย่างเขาเสียอีก
องครักษ์หมาป่า สุดยอดฝีมืออันดับหนึ่งของฉัน คนไร้ความสามารถอย่างแกจะมาเทียบชั้นได้อย่างนั้นหรอ
ฉินเฟิงกล่าวอย่างเย็นชา
ครับ
ชายชุดดำมากกว่าสามสิบคนเดินกรูกันเข้ามาด้านใน ทุกคนล้วนคุกเข่าหนึ่งข้างให้กับฉินเฟิง สีหน้าเคร่งขรึม ท่าทีแน่วแน่ เสียงคำรามของฉีหยุน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานถึงกับตกตะลึง
จัดการ
ฉินเฟิงกวาดตามองทั่วทั้งห้องโถง แล้วพ่นออกมาสองคำ
ครับ
องครักษ์หมาป่า แต่ละคน ชักดาบออกมาคนละด้าม ส่องแสงเย็นยะเยือกภายใต้ความงดงามตระการตา ต่อมานายทหารทุกคนก็เข้าล้อมห้องโถงไว้
ขอเชิญทุกท่านที่ไม่เกี่ยวข้อง รีบออกจากงานให้เร็วที่สุด
หนึ่งในองครักษ์หมาป่ารูปร่างผอมคนหนึ่ง กล่าวขึ้นพลางใช้สายตาเคร่งขรึมมองไปที่คนเหล่านั้น
ไปครับๆ
เราจะไปเดี๋ยวนี้แหละ เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราทั้งสิ้น
เมื่อเห็นฉากที่หลี่เทียนหนานถูกฆ่าตาย คนพวกนั้นที่ไม่มีอิทธิพลอะไรก็ไม่กล้าอยู่ต่อไป แต่คนจำนวนมากยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน
ถ้าถูกข่มขู่จนวิ่งหนีออกไป ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงของตระกูลพวกเขาจะอยู่ต่อไปอย่างไร
ไอ้หนุ่ม แกบอกให้ฉันไป ฉันก็ต้องไปงั้นหรอ?เมื่อไรกันที่ เห้อเฉิงหลงคนอย่างฉันไม่มีศักดิ์ศรี ถูกแกเรียกให้ไปไหนก็ได้น่ะ
มีอาเสี่ยคนหนึ่งเดินออกมาจากท่ามกลางฝูงชน เขาสูง180ซม. สวมชุดแบรนด์เนม และนาฬิกาหรูแบรนด์โรเล็กซ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความจองหอง
นี่คือเห้อเฉิงหลง เป็นคุณชายของตระกูลเห้อ พึ่งเรียนจบจากนอกกลับมา ได้ข่าวว่าเขาได้รับปริญญาโทสองใบจากฮาร์วาร์ด
ยังได้ข่าวว่า เป็นปรมาจารย์ในการต่อสู้ และยังเคยได้รับรางวัลจากเจียงเฉิงของเราอีกด้วย
คนผู้นี้มีความกล้ามาก แต่ก็ถือว่าเป็นคนที่โดดเด่นคนหนึ่ง ดูท่าเจียงเฉิงแห่งนี้ อิทธิพลของตระกูลเห้อจะกลับมาแล้วสินะ
ทุกคนต่างพากันอุทานขึ้นมา
พวกเขากล้าที่จะไม่ไป แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร คิดไม่ถึงว่าเห้อเฉิงหลงจะก้าวออกมา
เหอะ
เห้อเฉิงหลงหัวเราะอย่างเย้ยหยัน ความจริงแล้วเขาไม่ได้ก้าวออกมาพูดเพื่อตระกูลหลี่หรอก เขาทำเพื่อตัวเองเท่านั้น เขาพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ ยังไม่ค่อยมีชื่อเสียงในเจียงเฉิงมากนัก ครั้งนี้จึงเป็นโอกาสของเขา ให้เขาได้แสดงความสามารถ
ทำให้คนในเจียงเฉินรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่โดดเด่น เป็นผู้กล้าที่มีความสามารถ
ต่อมาเห้อเฉิงหลงก็สะบัดแขนเสื้อ เรื่องของพวกคุณ ตระกูลเห้อของผมไม่ขอเอี่ยวด้วย แต่วันนี้ไม่มีใครมาบังคับผมได้ ผม……
เขาเอาตระกูลเห้อออกมาพูด ในเจียงเฉิงตระกูลเห้อถือได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ตระกูลหนึ่ง และเขายังแสดงเจตนารมณ์ชัดเจนว่าไม่ขอเกี่ยวข้องกับเรื่องของตระกูลหลี่ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อฉินเฟิง
ขอแค่Mr.Xคนนี้มีสมองหน่อย ก็จะไม่มีทางล่วงเกินสองตระกูลของพวกเขาพร้อมกัน
ถ้าเป็นแบบนี้ เขาทั้งสามารถหนีไป แล้วยังสามารถโยนชื่อเสียงของตัวเองออกไปได้อีกด้วย
เพียงแต่ เขายังพูดไม่ทันจบ ฉินเฟิงก็เอามือไพล่หลัง สายตาเฉียบคม ในเมื่อไม่อยากไป งั้นก็ไม่ต้องไป องครักษ์หมาป่า ฆ่าเขาซะ
ครับ
องครักษ์หมาป่า คนหนึ่งกวัดแกว่งดาบครู่หนึ่ง
มะ……ไม่นะ……ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้……ไม่……
สีหน้าของเห้อเฉิงหลงเปลี่ยนไป เหตุใดถึงไม่เป็นแบบที่เขาคาดการณ์ไว้ล่ะ Mr.Xผู้นี้มันเป็นคนบ้าชัดๆ ถึงได้กล้าล่วงเกินสองตระกูลพร้อมกันแบบนี้
เตรียมไว้แล้วครับ ฉีหยุนกล่าว
งั้นไปกันเถอะ
ฉินเฟิงเดินลงจากรถ ด้วยชุดสูทสีดำ รูปร่างตรงสง่า เป็นเส้นตรงที่ได้มาตรฐาน ประกอบกับหน้ากากปีศาจ ราวกับเราชาท่ามกลางรัตติกาล
พิชิตค่ำคืนนี้ ด้วยความมืด
คุณผู้ชายครับ ขอการ์ดเชิญด้วยครับ
คนของตระกูลหลี่คนหนึ่งเดินออกมา ถึงแม้จะรู้สึกว่าฉินเฟิงแต่งตัวแปลกมาแค่ไหน แต่เขาเชื่อว่าฉินเฟิงไม่ได้มาก่อกวน เพราะที่นี่คือตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิง
หนึ่งในตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆของถิ่นนี้
การ์ดเชิญ?ฉันมาที่พร้อมกับมีด ยังต้องขอการ์ดเชิญอีกงั้นหรอ?
น้ำเสียงปนแหบเล็กน้อย และมีความว่างเปล่า ในตอนแรกที่ได้ยิน มันก็ทำให้ขนลุกได้แล้ว แต่เมื่อฟังอีกครั้ง กลับเป็นน้ำเสียงแข็งกร้าวที่ไม่ต้องสงสัย
นะ……นั่นคืออะไรน่ะ?
คนของตระกูลหลี่ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉินเฟิงทำให้เขาตกใจ แต่เมื่อเขาได้ยินว่าด้านหลังมีอะไรบางอย่าง ทำให้รูม่านตาของเขาหดลงทันที แล้วชี้ไปที่คนคนนั้นด้วยนิ้วอันสั่นเทา
ของขวัญวันเกิดวันนี้
รปภ.ๆๆ!
เสียงกรีดร้องดังขึ้น
แต่ในเวลานี้ ภายในห้องโถงยังคงร้องรำทำเพลงกันอยู่ ท่ามกลางเสียงดนตรีเคล้ากับสุรา กระทั่งป่ายอิ่นที่เริ่มกรึ่มๆเล็กน้อย กำลังลากผู้หญิงคนหนึ่งมาคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
หนึ่งในนั้นมีสมาชิกในตระกูลหลี่คนหนึ่งดื่มจนเมามาย กำลังโอนเอนไปมาหน้าประตู มองเห็นเงาดำๆกำลังเดินเข้ามา จึงพูดอย่างเย้ยหยันว่า นี่ไอ้หนุ่ม นายเดินมาผิดที่แล้วรึเปล่า ที่นี่ไม่ใช่ที่เล่นคอสเพลย์นะ ที่นี่คือตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่แห่งเฉิงเจียง คราวก่อนมีคนคนหนึ่งไม่ระวังเดินเข้ามา นายเดาดูสิว่าเป็นยังไง ทั้งครอบครัวของเขาถูกเราฆ่าตายทั้งหมด จึๆ อนาถมาก แม่ของเขากับน้องสาวของเขาถูกเราจับมาเล่นทั้งหมด หลังจากนั้นก็ขายให้กับซ่อง
น้องสาวของเขาเด็ดมาก ตอนนี้ฉันยังคิดถึงเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่เลย ดังนั้นรีบไสหัวออกไปซะ ตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิงไม่ใช่ที่ที่แกจะจะทำอะไรก็ได้นะเว่ย
เพราะวันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของเจ้าตระกูลหลี่ เขาไม่อยากให้คนแปลกหน้าเข้ามา ถ้าเป็นเวลาปกติเขาจะเล่นมันสักหน่อย แต่วันนี้ช่างมันเถอะ
เพียงแต่ วินาทีต่อมา เขามองสบตาคู่นั้น
สายตาว่างเปล่านั้น ราวกับซ่อนขุมนรกที่ไม่รู้จบไว้ เสียงดังปึ้ง เขาล้มลงกับพื้นทันที รูม่านตาหดลง แววตาร้อนรน เขาพยายามคลานเข้าไปด้านในอย่างบ้าคลั่ง ผะ ผี!
การกระทำนี้ ทำให้คนทั่วทั้งห้องโถงหยุดชะงัก เมื่อมองไป ก็พบกับคนที่สวมหน้ากากเสี้ยว และด้านหลังของเขายังมีชายชุดดำหลายคนเรียงราย
องครักษ์หมาป่า เป็นทหารชั้นยอดของชายแดนประเทศต้าหัว และเป็นหน่วยคุ้มกันของเทพสงครามแห่งอีสเตอร์แลนด์
มีเพียงแค่ร้อยคน แต่กลับมีบันทึกอันรุ่งโรจน์ในการสังหารทหารศัตรูกว่าหมื่นนาย
ท่านคือ?
พ่อบ้านของตระกูลหลี่ หลี่จื๋อก้าวออกมา เขารับผิดชอบงานต้อนรับในห้องโถง
Mr.X
ฉินเฟิงกล่าว แต่มันกลับเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่หนึ่งก้อนที่ตกลงไปในทะเลสาบ จนทำให้เกิดคลื่นน้ำมหึมา ทุกคนต่างพากันตกตะลึง Mr.Xที่ล้างโคตรตระกูลอู๋ปรากฏตัวขึ้นอีกแล้ว
ขออนุญาตสอบถามว่าวันนี้ท่านมาทำอะไรครับ? พ่อบ้านหลี่ก้มหน้าก้มตาสอบถาม
เอาของขวัญมาให้
ฉินเฟิงพูดออกไป
ทันใดนั้นก็ทำให้คนในห้องโถงถอนหายใจ ทุกคนต่างพากันหัวเราะพลางพูดขึ้นมาว่า ฉันก็คิดว่ามาหาเรื่องเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะเอาของขวัญมาให้
ดูท่าตระกูลหลี่จะไม่ธรรมดาจริงๆสินะ ถึงได้ให้บุคคลลึกลับอย่างMr.Xเอาของขวัญมาให้ได้
ตระกูลหลี่สุดยอดจริงๆ สมกับที่เป็นตระกูลมีประวัติมานานกว่าร้อยปี อาจจะไม่มีปัญหาอะไรถ้าจะอยู่ต่อไปอีกสองร้อยปี
หลี่จื๋อถอนหายใจ แล้วผายมือเชิญ ขอเชิญคุณผู้ชาย เอาของขวัญของคุณมาให้ผมเถอะครับ
ฉินเฟิงทำมือเป็นสัญญาณ
ก็มีคนสี่คนจากด้านหลังก้าวขึ้นมา ทั้งสี่คนสวมชุดดำ สายตาแน่วแน่ แบกโลงศพไม้ผุมาหนึ่งโลง เป็นหลุมเป็นบ่อ เหมือนวินาทีต่อไปจะสลายหายไปยังไงอย่างนั้น
แต่กลับถูกทั้งสี่คนแบกไว้อย่างมั่นคง
หลังจากนั้น ปึ้งๆๆ
ก้าวเดินเข้าไปทีละก้าว
ทุกคนที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกในตอนแรก เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อมองเห็นโลงศพผุพังโลงนี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ของขวัญที่จะมอบให้กับตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิง ก็คือโลงศพ
นี่แสดงให้เห็นว่า ถ้าวันนี้ไม่มีคนตายเรื่องไม่จบ
คุณผู้ชายครับ นี่คือ?
หลี่จื๋อกลืนน้ำลายดังเอือก อยากจะสอบถาม
แต่ว่า เวลานี้ หลี่เจิ้งหยางได้เอามือไพล่หลังเดินเข้ามา พาดมือกับบ่าของหลี่จื๋อแล้วพูดว่า ฉันเอง
ครับ ท่านผู้นำตระกูล
หลี่จื๋อถอยหลังไป
และหลี่เจิ้งหยางก็กวาดสายตาประเมินฉินเฟิง แล้วพูดว่า Mr.X ผมว่า มันก็แค่หนูที่ซ่อนหัวโผล่หางเท่านั้นเอง มาที่นี่เพื่อหาเรื่อง แต่กลับยังสวมหน้ากากคุณภาพต่ำๆนี่อีก
หน้ากากคุณภาพต่ำๆงั้นหรอ?
ถ้าให้ราชาแห่งกาฬโลก ปาซังที่เป็นอันดับหนึ่งในบัญชีดำได้ยินเข้า เขาอาจจะปีนขึ้นมาจากหลุมศพ แล้วบีบคอหลี่เจิ้งหยางตายก็ได้
นี่คือหน้ากากที่ชาวตะวันตกมองว่าเป็นเกียรติยศ
ราคาเทียบเท่ากับเจียงเฉิงถึงสิบเมือง
แต่ฉินเฟิงกลับหัวเราะอย่างเย็นชา ตระกูลหลี่กระจอกๆตระกูลหนึ่ง ยังไม่มีสิทธิ์มาให้ผมถอดหน้ากากนี้หรอกนะ
ไม่มีสิทธิ์ ฮ่าๆ ตลกหน่า คุณรู้ไหมว่าตระกูลหลี่ของเราคือตระกูลอะไร?เป็นตระกูลเศรษฐีอันดับต้นๆของเจียงเฉิง เป็นตระกูลที่มีประวัติยาวนานมากว่าร้อยปี หลี่ซื่อกรุ๊ปมีมูลค่าในตลาดกว่าหมื่นล้าน อาจจะพูดได้เลยว่าเป็นฟ้าของเจียงเฉิง ไม่มีอะไรที่ตระกูลหลี่ของเราทำไม่ได้ แต่คุณกลับบอกว่าตระกูลหลี่ของผมไม่มีสิทธิ์ให้คุณถอดหน้ากากนี้ หลี่เจิ้งหยางพูดอย่างหัวเราะเยาะ
สำหรับเขาแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้นำตระกูลผู้ร่ำรวยอันดับต้นๆ แน่นอนว่าไม่ได้เห็นMr.Xผู้นี้อยู่ในสายตา ได้ข่าวว่าเก่งกาจ มันก็เป็นแค่สิ่งที่ลือกันไปเท่านั้น
ตระกูลหลี่ถือได้ว่าเป็นตระกูลที่เอามือปิดฟ้าได้ ก็จริง ในตระกูลคนรุ่นหลังไม่น้อย ทำเรื่องเลวทราม แต่กลับยังอยู่ดีไม่เป็นอะไร
ในตระกูลมีคนจำนวนมากที่ไม่ใช่คนดีอะไร แต่กลับไม่มีใครกล้าแตะต้อง พวกเขาฉลาด และไม่เคยไปยุ่งกับคนที่ไม่สามารถยั่วยุได้
Mr.Xคนนี้ ฟังดูก็เก่งกาจแล้ว แต่ก็แค่นั้นแหละ เบื้องหลังของตระกูลตู้ ตระกูลตู้พึ่งเติบโตได้กี่ปี แล้วตระกูลหลี่อยู่มากี่ปีแล้ว ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถกล่าวขึ้นมาพร้อมกันได้ Mr.Xคนนี้จบเห่แน่
ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ต่างคิดว่าMr.Xคนนี้จบเห่แน่
แต่ในเวลานี้ อิ่นป่ายกอดเอวของผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วพูดอย่างเมามายว่า ไอ้บ้าเอ้ย ไอ้โง่นี่หาเรื่องใครไม่หา มาหาเรื่องตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่สืบทอดมาเป็นร้อยปี แกคิดว่าเขากินมังรึไง?
เขากับหลี่เจิ้งหยางมีความคิดเหมือนกัน Mr.Xที่กล่าวมานั้น เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น ความเป็นจริงก็เป็นแค่หนูท่อที่ซ่อนหัวโผล่หางตัวหนึ่งเท่านั้น
ระหว่างเรามีความแค้นอะไรกัน?ทำไมต้องมาหาเรื่องตระกูลหลี่ของเรา หลี่เจิ้งหยางเอ่ยถาม
ถึงแม้เขาจะไม่กลัวMr.X แต่ก็ไม่ได้แสดงว่าเขาจะไม่ถามให้ชัดเจน
ฆ่าลูกฆ่าเมียผม แค้นนี้ ใหญ่พอไหม จะพอหรือไม่พอ วันนี้ผมก็จะมอบโลงผุพังโลงนี้ให้คุณ สายตาของฉินเฟิงเผยให้เห็นความเยือกเย็น
ถ้าเขาไม่อยู่ล่ะก็ วันนี้ อิ่นซินกับฉินกั่วกั่วคงตายไปแล้ว
แค้นนี้คือแค้นเลือด
ลูกเมีย?
หลี่เจิ้งหยางขมวดคิ้ว จากนั้นก็ครุ่นคิด พบว่าคนในตระกูลหลี่ทำร้ายลูกเมียคนอื่นมามากมาย เขาจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครแล้ว เขาจึงไม่ถามต่อ ตรงเข้าจัดการเสีย ง่ายกว่า
บอดี้การ์ด จัดการไอ้หมอนี่ซะ
ผ่านไปไม่นาน โหวเมิ่งหยาวก็เดินออกมา ใบหน้าหยิ่งยโสในตอนแรก วินาทีนี้กลับก้มลงมา บอสคะ ฉันคุยเรียบร้อยแล้วค่ะ
ดี
ต่อมา โหวเมิ่งหยาวก็จากไปกับฉีหยุน
ผ่านไปอีกห้านาที อิ่นซินก็เดินออกมาจากด้านใน ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่อาจปกปิดได้ เธอขึ้นมานั่งข้างคนขับ แล้วพูดอย่างมีความสุขว่า คุณคะ คุณรู้ไหม หน้าของอิ่นป่ายกับหวงจงโกรธจนหน้าช้ำเลยค่ะ วันนี้ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากMr.X ในที่สุดฉันก็เอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับมาได้ เจ็ดปีแล้ว เจ็ดปีเต็มๆแล้ว เฝ้ามองดูบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเติบโตไปกับลูกของฉัน
แต่น่าแปลกมากเลยนะคะ Mr.Xตกลงเป็นใครกันแน่? ถึงได้บอกว่าจะให้เงินอัดฉีดฉันหนึ่งพันล้าน ไม่กลัวว่าฉันจะทำธุรกิจล้มไม่เป็นท่าหรอคะ หรือเอาเงินหนีไป
อิ่นซินพูดถึงMr.Xตลอดทาง
อืม
ฉินเฟิงตอบรับ
แต่เมื่อขับมาได้สิบนาที ฉินเฟิงก็มองไปที่กระจกหลัง พลางพูดขึ้นว่า มีคนกำลังสะกดรอยตามเรา
สะกดรอยตามเราหรอคะ?
อิ่นซินตกตะลึง หันกลับไปมองดู เป็นไปตามคาดมีรถเบนซ์สีขาวคันนหนึ่ง
นั่งดีๆนะครับ
ฉินเฟิงเหยียบคันเร่ง แต่รถคันด้านหลังก็เหยียบคันเร่งตามเช่นกัน ขับไปได้ครู่หนึ่ง ก็ต้องผ่านโค้งหน้าผา รถเบนซ์คันนั้นขับพุ่งตรงเข้ามา
เตรียมจะชนรถของฉินเฟิงตกหน้าผา
แต่แล้ว หลังจากการขับดริฟท์รถ ฉินเฟิงก็หยุดอยู่ตรงทางโค้ง รถเบนซ์คันนั้นเบียดรถของฉินเฟิงแล้วกระเด็นออกไป
ยังมีอีกค่ะ!
จู่ๆ อิ่นซินก็เห็นว่าข้างหน้ามีรถบรรทุกขนาดใหญ่หนึ่งคัน ขับด้วยความเร็วสูง พุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง เธอตกใจขึ้นมาในทันที
จับให้แน่น
ฉินเฟิงตะคอกอย่างเย็นชา แล้วเพิ่มความเร็ว พุ่งเข้าไปหารถบรรทุกใหญ่คันนั้น ดูเหมือนใกล้จะชนแล้ว เป็นเพียงแค่รถคันเล็กชนรถบรรทุกใหญ่คันหนึ่ง ผลลัพธ์น่าจะคาดเดาได้
แต่แล้ว ฉินเฟิงไม่ได้คิดจะเข้าชน
เมื่อเขากำลังชน ฉินเฟิงก็รีบเหยียบเบรก ด้วยความที่ล้อลื่นมากจึงทำให้รถเสียการควบคุม รถหมุนไปหนึ่งรอบ รถหมุนไปอยู่ด้านล่างของรถ
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังปึ้ง
รถบรรทุกชนราวกั้นพัง จนกระเด็นออกไป แต่วินาทีสุดท้ายฉินเฟิง ก็หักพวงมาลัย แล้วหมุนออกมา หยุดตรงข้างหน้าผาพอดี
ฉะ……ฉัน……แจ้ง……แจ้งตำรวจ
อิ่นซินค่อยๆใจเย็นลง รีบหยิบมือถือขึ้นมา โทรแจ้งตำรวจ
ผ่านไปไม่นาน ก็มีตำรวจกรูกันเข้ามา อิ่นซินที่เห็นจึงถอนหายใจ น่าจะไม่มีอะไรเกี่ยวกับเราแล้วล่ะ รถสองคันนั้นชนกันเอง
เชิญทั้งสองทั้งไปให้ปากคำด้วยครับ
ผู้กำกับตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามา
ดะ……ได้ค่ะ……
อิ่นซินถูกตำรวจคนหนึ่งพาไป ตอนนี้สำหรับเธอแล้ว สถานีตำรวจเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด และแน่นอนว่าเมื่อฉินเฟิงแสดงเอกสารเขาก็เดินจากไป
ลำพังแต่สถานีตำรวจธรรมดา ไม่สามารถจับเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งประเทศต้าหัวได้
กริ๊ง
มีสายหนึ่งโทรเข้ามา ฉินเฟิงจึงรับสาย
ท่านนายพลครับ คนที่รับผิดชอบคุ้มกันกั่วกั่ว จับมือลอบสังหารได้คนหนึ่ง ภารกิจของเขาก็คือการฆ่ากั่วกั่ว เราตรวจสอบพบว่าเป็นคนของตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิง อิ่นป่ายก็ไปตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิงแล้วครับ ฉีหยุนกล่าวอย่างโกรธเคือง
ตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิง ดีมาก ฉีหยุน
ครับ
เรียกองครักษ์หมาป่ามา วันนี้ฉันจะฆ่าคน
คำพูดของฉินเฟิงใจเย็นมาก แต่เมื่อฟังให้ดีจะสามารถได้ยินรังสีอำมหิต ทำให้รู้สึกขนลุกมาก
ครับ
ฉีหยุนรู้ดี ว่าครั้งนี้ท่านนายพลโกรธขึ้นมาแล้วจริงๆ
……
ณ คฤหาสน์ตระกูลหลี่ แห่งเจียงเฉิง
ภายในห้องโถงขนาดใหญ่ กำลังจัดงานเลี้ยงวันเกิด ครบรอบห้าสิบปีของเจ้าตระกูลหลี่ ครั้งนี้ครบรอบสิบปี คนที่มางานมีแต่ผู้มีชื่อเสียงและโด่งดัง
ขอแสดงความยินดีในวันเกิดครบรอบห้าสิบปีด้วยครับ ขอให้ตระกูลหลี่เจริญรุ่งเรืองตลอดไป
ตระกูลจางของเราขอมอบหยกกิเลนให้หนึ่งตัวนะครับ ขอให้เจ้าตระกูลหลี่ร่ำรวยมีโชคลาภวาสนาดั่งมหาสมุทร อายุยืนดุจขุนเขา
กลุ่มคนที่อยู่ข้างล่าง พากันคุยโวเกี่ยวกับตระกูลหลี่
เนื่องจากตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆในเจียงเฉิง มีประวัติยาวนานมากว่าร้อยปี แข็งแกร่ง และร่ำรวยมาก มีบริษัทในเครือมากกว่าสิบแห่ง ไม่มีใครยุ่งกับพวกเขาได้
แต่เจ้าตระกูลหลี่ในเวลานี้ หลี่เจิ้งหยางที่สวมชุดคอจีนยาว กำลังคุยกับอิ่นป่าย
วางใจเถอะ ผมส่งคนไปฆ่าไอ้ชายโฉดหญิงชั่วนั่นแล้ว ยังมีฉินกั่วกั่วนั่นอีก คนของผมทำงาน ไม่มีปัญหาแน่นอน ถ้ารู้แบบนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นผมน่าจะฆ่าอิ่นซินซะ
หลี่เจิ้งหยางมีท่าทีผู้นำตระกูล ทรงพลังมาก ระหว่างที่พูดก็มีความหนักแน่นมาก
ไอ้ชายโฉดหญิงชั่วคู่นั้นมันสมควรตาย โดยเฉพาะอิ่นซิน ที่วางแผนกว้านซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ป เนรคุณไม่มีคราบความเป็นคน ตระกูลอิ่นของเราดีกับเธอขนาดนี้ แต่เธอกลับคิดที่จะ หุบบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเรา
อิ่นป่ายใช้มือตบโต๊ะ เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
เขาคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่า เกมที่วางแผนไว้ในตอนแรกเสียดิบดี กลับทำให้อิ่นซินรอดมาได้ มีคนส่งเงินมาให้หนึ่งพันล้าน กว้านซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ป และทำให้หวงซื่อกรุ๊ปล้มละลาย
แล้วยังทำให้อิ่นซินโชคดีขนาดนี้อีก
แต่ที่เขามาขอความช่วยเหลือจากตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิง เป็นเพราะเจ็ดปีก่อน หลี่เจิ้งหยางมาหาเขา เพื่อถามว่าเขาอยากจะดูแลบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไหม ตอนนั้นเขาตอบตกลงในทันที เอาข้อมูลของอิ่นซินเปิดเผยให้กับตระกูลหลี่แห่งเจียงเฉิงทั้งหมด
หลังจากนั้น อิ่นซินก็มีเรื่องที่อิ่นซินถูกคนลอบวางยา
หลังจากเจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า บริษัทซานหยวนกรุ๊ปขนาดใหญ่ก็ยุบไป และถูกลี่ซื่อกรุ๊ปฮุบไว้
ตระกูลหลี่ยังรับปากกับเขา หนี้บุญคุณที่ติดอิ่นป่ายไว้ ในตอนที่เขาวิกฤติต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้มาหาเขาได้เลย
หนี้บุญคุณนี้ความจริงอิ่นป่ายไม่อยากใช้ แต่ตอนนี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปถูกกว้านซื้อไป และเขาไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เขาจะต้องพึ่งตระกูลหลี่ เอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับมา
กระทั่ง ไม่เสียดายที่ต้องฆ่าอิ่นซิน ลูกพี่ลูกน้อง ลูกพี่ลูกน้องคนหนึ่งจะสำคัญกว่าบริษัทหนึ่งอย่างงั้นหรอ?
อันไหนสำคัญกว่ากัน เขารู้ดี
เรื่องนี้ควรจะตบได้แล้ว ให้มันเสียอยู่ในท้อง คุณรู้ผมรู้ ฟ้ารู้ดินรู้ นอกจากนี้ จะให้คนที่สามรู้ไม่ได้ หลี่เจิ้งหยางกล่าวเตือน
ในตอนที่ตระกูลหลี่พบกับเรื่องไม่คาดฝัน พบเจออุปสรรคใหญ่ในธุรกิจ หลี่ซื่อกรุ๊ปกำลังจะล้มละลาย หลังจากที่อาศัยการได้ลอบกัดบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็สามารถทำสำเร็จเอากำไรกลับมาได้
อิ่นซิน ผู้หญิงคนหนึ่งจะทำธุรกิจไปทำไม สู้ตายไปเสียยังดีกว่า
ครับๆ
อิ่นป่ายพยักหน้า แววตาเผยให้เห็นความดีใจ ในที่สุดก็เอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับมาได้สักที อิ่นซิน ครั้งนี้ตายไปไร้หลุมฝัง ฉันจะคอยดูว่าแกจะสู้กับฉันยังไง สุดท้ายบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ต้องเป็นของฉัน
ทันใดนั้น อิ่นป่ายก็มองไปที่บริเวณในงาน บนเวีที่ร้องรำทำเพลง ค่ำคืนที่เคล้าไปกับสุรายังคงดำเนินต่อไป
เพียงแต่ ในเวลานี้ในคฤหาสน์ตระกูลหลี่มีรถฮัมเมอร์สีดำสิบกว่าคันจอดอยู่ มีแรงดึงดูดมาก หนึ่งในรถที่เป็นผู้นำ ฉีหยุนถือของออกมาหนึ่งสิ่ง ยื่นส่งให้กับฉินเฟิง ท่านนายพลครับ
เป็นหน้ากากอันหนึ่ง หน้ากากปีศาจตะวันตกที่ถูกทำลายอันหนึ่ง และนี่คือหน้ากากของปาซังซึ่งครั้งหนึ่งเคยขึ้นเป็นอันดับหนึ่งประกาศมืดในกาฬโลก ถูกฉินเฟิงฟันขาดครึ่ง
หน้ากากที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ถูกฉินเฟิงใช้เป็นของรางวัล
ของขวัญเตรียมไว้รึยัง?
ฉินเฟิงหยิบหน้ากากครึ่งนั้นขึ้นมา สวมไว้บนใบหน้า ด้วยท่าทีชั่วร้าย รังสีความอำมหิตโหดเหี้ยมแผ่ซ่านออกมา ทำให้ผู้คนบริเวณโดยรอบ รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นที่ยากจะอธิบาย
นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป Mr.Xจะถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ดวงตาสีแอปริคอทของอิ่นซิน เผยให้เห็นถึงความเจ็บปวด เธออยากจะโอบกอดฉินเฟิง แต่สุดท้ายอิ่นซินก็หยุด แล้วพูดเสียงเบาว่า ใส่ซะเถอะ
ฉินเฟิงนำเสื้อสูทสีดำแบรนด์ดังมาสวม เดิมทีรูปร่างตรงสง่าอยู่แล้ว เมื่อสวมมันไปอีก ทำให้ดูหล่อเหลามากยิ่งขึ้น นัยน์ตาดุจดวงดาว ลักษณะดูพิเศษน่าดึงดูด
ดูดีกว่าที่ฉันคิดไว้
อิ่นซินกวาดตามอง ใบหน้าเฉยเมย แต่กลับแอบชื่นชมในใจ
ผมไปรอคุณข้างนอกนะ
เพราะต่อไปถึงคราวอิ่นซินเปลี่ยนชุด ฉินเฟิงจึงไม่เหมาะที่อยู่ตรงนี้ ดังนั้นจึงเดินออกไปข้างนอก เพียงแต่ตอนที่เดินออกไป มีสายลมพัดผ่านเหมือนเสียงเสือคำราม มีลักษณะบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก
อิ่นซินมองดูแผ่นหลังของฉินเฟิงเดินจากไป ดวงตาเป็นประกาย เธอค้นพบว่าฉินเฟิงเหมือนคนใหญ่คนโตท่านหนึ่ง ท่วงท่าเยื้องย่างกรีดกราย ให้ความรู้สึกเหมือนเสือออกจากถ้ำ
อีกทั้งเขาเหมือนราชาแห่งสัตว์ร้ายที่มีทหารนับพันหมื่นชีวิต ทำให้หัวใจเต้นรัว รู้สึกกดดัน!
ความจริงฉันอยากคบกับคุณมากนะคะ
นัยน์ตาของอิ่นซินมีความเจ็บปวดแวบผ่านเข้ามา แต่เธอเป็นผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง คำที่พูดออกไปแล้วจะไม่มีวันกลับใจเด็ดขาด หลังจากที่จัดการกับอารมณ์ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกจากห้องไป
พวกเขาทั้งสองคน เดินทางไปยังตระกูลอิ่น
หลังจากที่มาถึงตระกูลอิ่น ยังคงเป็นคฤหาสน์หลังนั้น ตลอดทางที่ขับรถมาที่นี่ หลังจากลงรถ ฉินเฟิงก็สังเกตเห็น รูขนาดใหญ่ยังคงอยู่ที่เดิม
รูกัดกร่อนมันใหญ่มาก ไม่อาจซ่อมแซมได้ง่ายๆ
แต่บริเวณห้องโถงได้เปลี่ยนสถานที่แล้ว มันไม่ได้อยู่ในคฤหาสน์หลังนั้น
ทำไมหรอ?
อิ่นซินมองไป เธอก็สังเกตเห็นรูขนาดใหญ่สองรูนั้นเช่นกัน อิ่นเสี้ยงเสว่เดินมาต้อนรับเธอ แล้วถามขึ้นว่า นี่เกิดอะไรน่ะ?
อิ่นเสี้ยงเสว่สีหน้าแข็งทื่อ
เกิดอะไรขึ้น?
จะเกิดอะไรขึ้นได้ล่ะ ก็ผู้ชายข้างๆหล่อนไงยะ ขับรถทหารที่ยืมมา ขับตรงเข้ามาพุ่งชน จนทำให้เราตกอกตกใจกันหมด
ตอนนี้หล่อนกลับยังถามว่าเกิดอะไรขึ้น?
ไม่อยากบอกก็ช่างเถอะ
อิ่นซินเห็นอิ่นเสี้ยงเสว่ไม่อยากบอก จึงไม่ฝืนบังคับอะไร แล้วยอมแพ้ไป
ไปกันเถอะ
ทุกคนเดินตามกันเข้ามา อิ่นซินกวาดตามองห้องโถง เห็นคนคุ้นเคยพวกนั้น และคุณท่านอิ่น นัยน์ตามีความรู้สึกซับซ้อนบางอย่าง คุณปู่คะ วันนี้ไม่ใช่วันเกิดครบรอบแปดสิบปีอะไรของคุณปู่ หนูไม่ได้อกตัญญูอะไรขนาดนั้น วันเกิดคุณปู่ยังเหลือเวลาอีกสามเดือนกับอีกห้าวัน ตอนนี้ยังเร็วไป
ใบหน้าเป็นมิตรของคุณท่านอิ่นในตอนแรกถึงกับชะงักไป เดิมทีวันนี้เป็นศึกใหญ่ เขาได้ปรึกษากับอิ่นป่ายแล้วว่า จะต้องทำให้บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดล้มละลายให้ได้ แล้วกำจัดคู่ต่อสู้ของอิ่นป่านให้สิ้นซาก
แต่ทว่า เขากลับคิดไม่ถึงว่าอิ่นซินจะเปิดโปง และยังจำวันเกิดเขาได้อีกด้วย
ต้องรู้ว่า คนสูงวัยจะจัดวันเกิดเฉพาะปีที่สิบ ดังนั้นวันเกิดของเขาครั้งก่อนคือเมื่อเก้าปีที่แล้ว ความทรงจำค่อนข้างนานแล้ว แต่อิ่นซินกลับจำมันได้แม่น
คือฉัน……
นายท่านอิ่นกลืนน้ำลายดังเอือก แล้วมองไปที่อิ่นซิน หญิงสาวรูปร่างหน้าตาสะสวยคนนี้ สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ไม้ได้กลายเป็นเรือไปแล้ว
น้องสาว ความโกรธแค้นคับข้องใจของเราที่มีมานาน ให้มันสิ้นสุดวันนี้เถอะ เธอน่าจะรู้ว่านี่มันคือเกม แต่เธอยังดึงดันเข้าไปเล่น เธอมั่นใจในอะไร?
ฉันประกาศออกไปว่ายืมเงินมาสองร้อยล้าน อันที่จริงฉันยืมมาสามร้อยล้าน เพื่อใช้ในยามจำเป็น
ครั้งนี้อิ่นซินเล่นค่อนข้างใหญ่
เธอก็รู้ว่านี้คือกับดัก แต่เธอต้องเข้าเล่น เพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของเธอ แต่เธอยังคงเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง เธอไม่เพียงแต่เอาหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปค้ำ ยังเอาบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดไปค้ำไว้ด้วย
ขอแค่เธอแพ้ ทุกอย่างก็จะจบเห่ แต่เธอไม่มีทางเลือก
สามร้อยล้านงั้นหรอ?
ฉินเฟิงพูดพึมพำข้างๆ น่าเสียดาย แค่นั้นมันยังไม่พอ
อิ่นซิน เงินของเธอไม่น้อยจริงๆ สามร้อยล้านพอที่จะซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ปสามบริษัทแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้เธอยังถือหุ้นสี่สิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ว่า เธอคงไม่คิดไม่ฝันว่า ฉันได้เอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปรวมเข้ากับหวงซื่อกรุ๊ป กลายเป็นบริษัทลูกไปเรียบร้อยแล้ว
ว่าไงนะ?
อิ่นซินประหลาดใจ เดิมทีเธอรู้แผนการของอิ่นป่าย แต่เธอคาดคิดไม่ถึงว่าจะทำได้ถึงขนาดนี้ ว่าจะเอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเข้าร่วมกับหวงซื่อกรุ๊ป
นี่หมายความว่ายังไง นี่มันหมายความว่าบริษัทซานหยวนกรุ๊ปนับตั้งแต่นี้ไปจะเป็นของหวงซื่อกรุ๊ป ถึงจะได้ตำแหน่งของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมา เธอก็ต้องทำงานให้กับหวงซื่อกรุ๊ปอยู่ดี
อีกทั้งหุ้นที่เหลือของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปจะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้รับการอนุญาตจากหวงซื่อกรุ๊ป เธอไม่ทางซื้อได้แน่
วิธีเดียวก็คือ การกว้านซื้อหวงซื่อกรุ๊ปมาให้ได้
แต่ว่า
อิ่นซิน ครั้งนี้เธอทำอะไรไม่ได้แล้วสินะ เธออยากจะซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ต้องซื้อหวงซื่อกรุ๊ปของฉัน ตอนนี้หวงซื่อกรุ๊ปใช้เงินจำนวนมากกว้านซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ตอนนี้เป็นช่วงโกลาหล เหมาะที่เธอจะซื้อพอดีเลยนะ
หวงจงเดินเข้ามาจากอีกด้าน แล้วหัวเราะเสียงดัง
นี่เป็นแผนการที่พวกเขาวางไว้ เป็นเกมที่ใช้เงินจำนวนวางแผน เขาไม่เชื่อว่าอิ่นซินจะสามารถหนีรอดจากสถานการณ์แบบนี้ได้
หวงซื่อกรุ๊ปของพวกคุณ มีมูลค่าในตลาดเจ็ดร้อยล้าน แต่ถ้าจะซื้อในราคาสูง อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งพันล้าน วิธีของพวกนายมันชั่วจริงๆ อีกอย่าง อิ่นป่าย นายวางใจขนาดนั้นเลยหรอ ที่เอาบริษัทซานหยวนกรุ๊ปส่งต่อให้ไอ้หมอนี้น่ะ?
อิ่นซิ่นกัดฟันกรอด ใบหน้าไม่ยอมแพ้
มอบให้หวงจง อย่างน้อยมันก็ดีกว่าให้เธอแล้วกัน
อิ่นป่ายรู้ดีว่าบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดของเธอค่อยๆเติบโตขึ้นมาแล้ว จากความสามารถของผู้หญิงคนนี้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทำมันให้เติบโตได้อย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นสู้ให้มันพังพินาศไปพร้อมกันดีกว่า
อย่างน้อยหวงจงก็ให้เงินก้อนใหญ่กับเขามา
อิ่นซิน ยอมแพ้ซะเถอะ ครั้งนี้เธอแพ้แน่ๆ เธอมีเงินหนึ่งพันล้านไหม?ถ้าไม่มี คนที่มีเงินหนึ่งพันล้านในเจียงเฉิงมีไม่มากหรอกนะ สู้มานานขนาดนี้ ในที่สุดเราก็ชนะอยู่ดี อิ่นเสี้ยงเสว่พูดเยาะเย้ยอยู่ข้างๆ
สู้มาตั้งแต่เล็กจนโต สุดท้ายเธอก็ชนะอยู่ดี
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ ที่ด้านนอกประตูมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา บนตัวสวมชุดสาวออฟฟิศ รูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่ท่าทีกลับมีความแข็งกร้าว
มาแล้วหรอ?
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง มองไปที่ผู้หญิงคนนี้
คุณคือ?
ทุกคนถามขึ้นมา
ฉันคือผู้ช่วยของMr.Xค่ะ Mr.Xให้ฉันเอาเงินอัดฉีดมาให้คุณอิ่นซิน Mr.Xให้คุณค่ะ ทั้งหมดมีหนึ่งพันล้าน
โหวเมิ่งหยาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เธอยังลงอดที่จะเหลือบตามองฉินเฟิงไม่ได้ ในใจเกิดความหวาดกลัว บุคคลที่มีตัวตนน่าทึ่งแบบนี้ ลงมือทีละหนึ่งพันล้าน แต่กลับมาเป็นเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังคิดไม่ตก
ผมกลับก่อนนะ ฉินเฟิงขยับเข้าไปพูดกับอิ่นซิน
ค่ะ
อิ่นซินยังคงตกตะลึง เหมือนกับคนในตระกูลอิ่น ถึงMr.Xผู้นี้ และอีกหนึ่งพันล้าน สำหรับการกล่าวลาของฉินเฟิง เธอเพียงแค่ตอบรับอย่างเคยชิน
และเวลานี้ฉินเฟิงก็ได้เดินออกมา พอดีกับข้างนอกมีรถแลนด์โรเวอร์สำหรับทหารที่รอเขาอยู่ ทะเบียนรถคือเจียง8888
ฉินเฟิงขึ้นไปนั่ง ข้างๆคือฉีหยุน
ท่านนายพลครับ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกำลังจะล้มละลายอย่างเป็นทางการ ราคาหุ้นเป็นศูนย์ทั้งหมดแล้วครับ ฉีหยุนกล่าวรายงาน
จับตาอิ่นป่ายไว้ คืนนี้ควรจะคิดบัญชีได้แล้ว
แววตาของฉินเฟิงฉายให้เห็นถึงความเยือกเย็น
ทนมานานขนาดนี้ ควรจะจัดการได้แล้ว
ฉินเฟิงโทรศัพท์หาหลี่เทียนเฉิง ช่วงนี้บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดกับบริษัทของคุณ มีโปรเจกต์สำคัญร่วมงานกันไหมครับ?
มีครับ อิ่นซินใช้เงินทุนสองร้อยล้านกับผม จากหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ในบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด หลี่เทียนเฉิงกล่าว
ฉินเฟิงวางสาย
ถึงแม้บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดจะไม่มีสภาพคล่องในบัญชีมากนัก แต่ก็ยังคงเป็นกลุ่มบริษัทเก่าแก่ มีมูลค่ารวมมากกว่าหนึ่งร้อยล้าน อิ่นซินยืมมาสองร้อยล้าน ซึ่งซื้อได้พอดี
เพียงแต่ นี่เป็นสถานการณ์ปกติ
ท่านประธานครับ เมื่อสักครู่คนของเรารายงานเรามาว่า อิ่นซินแห่งบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ปรากฏตัวขึ้นในตลาดหลักทรัพย์ และได้เตรียมเงินจำนวนมากมาด้วยครับ เฝิงกางกล่าวรายงาน
ไปกัน
ฉินกางไม่ลังเล รีบเดินทางไปยังตลาดหลักทรัพย์กับเฝิงกางทันที
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเป็นบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง มีห้องวีไอพีเป็นของตัวเองในตลาดหลักทรัพย์ ในตอนที่ขึ้นมาชั้นสองของห้องวีไอพี เมื่อมองผ่านไปก็เห็นอิ่งซินทันที
ฉินเฟิงมองไปที่กระดานหุ้น หุ้นของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปดิ่งลงอย่างต่อเนื่อง บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดำด้กวาดซื้ออย่างเมามัน ได้ซื้อไปอย่างน้อยร้อยละสี่สิบแล้ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเกือบครึ่งอยู่ในมือของอิ่นซิน
แต่ว่า ยังเหลืออีกบางส่วน
ในเวลานี้เอง อิ่นซินได้โทรศัพท์มา ฉินเฟิงรีบรับสาย ฮัลโหล เมียจ๋า
คุณอยู่ไหนคะ?
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปครับ
คืนนี้มีงานวันเกิดคุณปู่ครบรอบแปดสิบปี ท่านให้เราไปหาน่ะค่ะ
ได้ครับ
ฉินเฟิงตอบตกลง หลังจากนั้นอิ่นซินก็วางสายไป ใบหน้าอันสวยงามของเธอดุจดั่งภูเขาน้ำแข็ง แต่ในสายตาของเธอกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า อันที่จริงทำแบบนี้กับคนที่ตนเองรัก เป็นสิ่งที่ทรมานใจมาก
แต่ว่า ไม่ทำแบบนี้ไม่ได้
และก่อนหน้านี้คุณท่านอิ่นก็ได้โทรศัพท์หาเธอ บอกว่ายอมแพ้แล้ว เขาจะไม่สู้กับเธออีก เห็นแก่ที่เขาใกล้จะเข้าโลงเต็มทีแล้ว ให้เธอไปเข้าร่วมงานวันเกิดแปดสิบปีของเขาหน่อย
สิ่งนี้ทำให้เธอรู้สึกดีใจมาก แต่เธอยังคงรู้สึกผิดปกติ ทุกอย่างมันดูราบรื่นเกินไป ดังนั้นเธอจึงเรียกฉินเฟิงให้ไปด้วยกัน ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเมินเฉย แต่ไม่พูดก็คงจะไม่ได้ ว่าฉินเฟิงทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย
ราวกับคำพูดของฉินเฟิง ทำให้โลกทั้งใบไม่มีใครทำร้ายเธอได้
งานเลี้ยงค่ำคืนนี้
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง ปากพูดพึมพำสามสี่คำนี้ ผ่านไปครู่เดียวก็โทรศัพท์ออกไป คราวนี้เขาโทรหาตู้ต้วนเทียน
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ตู้ต้วนเทียน ก็พาผู้หญิงมาด้วยคนหนึ่ง
พี่ฉินครับ นี่คือโหวเมิ่งหยาวน้องสาวของโหวเฟย คนกันเองครับ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงคณะธุรกิจบัณฑิตย์ มีความสามารถ ผมตรวจสอบมาแล้ว เธอยังไม่เคยมีแฟนครับ ตู้ต้วนเทียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
คุณนี่เอง ลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลอิ่น
คนที่เข้ามาคือหญิงสาวที่ค่อนข้างเด็ก ท่าทีอ่อนหวาน แต่สวมชุดสูทเรียบร้อยทั้งตัว บนตัวของเธอทรงพลังแต่ก็มีความเป็นผู้ใหญ่ บนมือถือแฟ้มเอกสารหนึ่งแฟ้ม
เดิมทีตู้ต้วนเทียนมาหาเธอ เพื่อให้เธอไปทำงานด้านธุรกิจให้กับคนคนหนึ่ง เธอก็คิดว่าเป็นคนใหญ่คนโต
แต่หลังจากที่มาถึงแล้ว ถึงได้พบว่าเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลอิ่น
เธอกับอิ่นหนิงหยู่เรียนชั้นเดียวกัน และเป็นเพื่อนรักกัน ดังนั้นจึงมักจะได้ยินเธอก่นด่าฉินเฟิงให้ฟัง ด่าว่าเขาเป็นเศษสวะ และเคยเห็นรูปของฉินเฟิงมาแล้ว จึงรู้ว่านี่เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิงคนหนึ่ง
แต่ตอนนี้พอเธอมาเห็นฉินเฟิง เสื้อผ้าไม่ได้เปลี่ยนไป แต่จิตวิญญาณบนตัวของเขากลับเปลี่ยนไป คิ้วทั้งสองข้าง เฉียบคม รูปร่างตรงแน่น ดุจดั่งโมวซิง ระหว่างที่ท่วงท่าเยื้องย่างกรีดกราย ให้ความรู้สึกเหมือนคนใหญ่คนโต
กระทั่งยังได้กลิ่นอาย ราชาเหนือโลกที่จอมเผด็จการ
ถ้าไม่ใช่เพราะเคยเห็นรูปถ่ายมาก่อน เธอคงไม่มีทางเชื่อว่า นี่คือลูกเขยไม่เอาไหนที่แต่งเข้าตระกูลอิ่น
คุณรู้จักผมหรอครับ?
ฉินเฟิงถามโหวเมิ่งหยาว ไม่ได้ใส่ใจกับรายละเอียดที่ตู้ต้วนเทียนรายงาน ว่าเธอไม่มีแฟนหนุ่มพอดี สามารถทำงานได้อย่างสบายใจ
ฉันเคยได้ยินอิ่นหนิงหยู่พูดน่ะค่ะ โหวเมิ่งหยาวพูดเสียงเบา
ที่แท้ก็เด็กคนนั้นนี่เอง
ฉินเฟิงส่ายหน้าไปมา แล้วใช้สายตาคมเข้มมองไปที่โหว่เมิ่งเหยา แล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า ตู้ต้วนเทียนพูดกับคุณแล้วใช่ไหม?อยากมาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยของผมไหมครับ
ตกลงค่ะ
โหวเมิ่งหยาวพยักหน้า
ถึงจะอย่างไร ตู้ต้วนเทียนก็เป็นคนมาหาเธอเอง ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายของเธอยังทำงานเป็นลูกน้องของตู้ต้วนเทียน ถึงอย่างไรเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้
เพียงแต่เธอคิดไม่ตกว่า ฉินเฟิงที่เป็นเขยแต่งเข้าตระกูลอิ่น ทำไมถึงรู้จักกับตู้ต้วนเทียนได้
งั้นก็ดีครับ จากวันนี้ไปคุณจะเป็นคนเดียวที่รับผิดชอบMr.X มีแค่คุณเท่านั้นที่จะพูดแทนผมได้ ผมขอมอบภารกิจให้คุณอันหนึ่ง การ์ดใบนี้ผมให้คุณ ข้างในมีเงินหนึ่งพันล้าน
ฉินเฟิงเอาบัตรATMใบหนึ่งให้เขา ยื่นส่งให้โหวเมิ่งหยาว
Mr.Xคะ
โหว่เมิ่งเหยาสีหน้าเปลี่ยนไป สิ่งที่เธอตกตะลึงไม่ใช่เงินจำนวนหนึ่งพันล้านนี้ ในฐานะที่เป็นนักศึกษาของคณะธุรกิจบัณฑิตย์ เธอรู้ดีว่าตู้ต้วนเทียนที่อยู่ข้างๆเธอก็สามารถเอาเงินหนึ่งพันล้านออกมาได้
แต่สิ่งที่ตกตะลึงก็คือMr.Xผู้นี้
ช่วงนี้Mr.Xคนนี้ ทำให้ทั่วทั้งเจียงเฉิงต้องวุ่นวาย พอได้ลงมือก็จัดการด้านกองกำลังของอู๋ห้าวจนสิ้นซาก บริษัทขนาดใหญ่ของตระกูลอู๋ ต้องมลายหายไปภายในวันเดียว
อีกทั้งได้ยินมาว่าเบื้องหลังของตระกูลตู้ผู้นี้ เป็นบุคคลใหญ่ในกองทัพ ทำให้บริษัทอื่นๆ จะขว้างหนูก็กลัวจะกระทบสิ่งของอื่น จึงไม่กล้าลงมือตรงๆ
สำหรับMr.Xผู้ลึกลับคนนี้ คนในเจียงเฉิงต่างกำลังคาดเดากันให้วุ่น
แต่ตีให้ตายยังไงเธอก็คิดไม่ถึงว่า บุคคลในตำนานที่มีเบื้องหลังมีอิทธิพลใหญ่ Mr.Xที่มีอำนาจแข็งแกร่งเป็นเขยแต่งเข้าตระกูลอิ่นที่อิ่นหนิงหยู่เคยก่นด่าเมื่อหลายวันก่อน ว่าเป็นเศษสวะ
เข้าใจไหม?
อ๊ะ……คือ……คะ
โหวเมิ่งหยาวยังคงดึงสติกลับมาไม่ได้ เธอรีบพยักหน้า แต่เธอยังคงมีหัวคิดทางด้านธุรกิจ เนื่องจากเป็นมืออาชีพ เมื่อได้สติกลับมาเธอก็ถามขึ้นมาว่า งั้นบอส จะให้เอาเงินพวกนี้ไปทำอะไรคะ?
คืนนี้ เอาไปอัดฉีดทุนให้อิ่นซิน ช่วยเธอซื้อบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมาให้ได้ ฉินเฟิงพูด
คืนวันนี้ จะได้แสดงเกมขึ้นมาได้สักที
และได้เวลา ช่วยอิ่นซินกวาดบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกลับให้หมด
คนร้ายผู้นั้น ควรจะออกมาได้แล้ว
ค่ะ โหวเมิ่งหยาวรีบตอบรับ
พอถึงเวลาค่ำ ฉินเฟิงก็กลับไปยังตระกูลอิ่น เขาอยู่ในห้อง ในมือของอิ่นซินถือเสื้อคลุมไว้ตัวหนึ่ง นี่เป็นสูทของแอร์เมสที่ชอบซื้อที่สุด คุณลองดูนะ
อืม
ฉินเฟิงถอดเสื้อตัวนอกออก มันจึงทำให้อิ่นซินตกตะลึง
เพราะบนตัวของฉินเฟิง เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ทั้งบาดแผลจากมีด บาดแผลจากดาบ รอยกระสุน……และตรงคอจนถึงบริเวณท้องน้อยที่มีรอยแผลจากตะขาบ
บาดแผลอันน่าสยดสยอง ทำให้คนหยุดหายใจ
ถึงอิ่นซินอยากจะเมินเฉยฉินเฟิง แต่วินาทีเธอก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เมื่อก่อนเธอไม่เคยเห็นฉินเฟิงถอดเสื้อผ้ามาก่อน เธอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วใช้มือลูบตรงรอยแผลเป็น แล้วถามด้วยความเจ็บปวดว่า เจ็บไหม?
ไม่เจ็บครับ
ฉินเฟิงส่ายหัวไปมาเบาๆ
ในเมื่อเขาเลือกที่จะเข้าสนามรบ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเตรียมพร้อมที่จะใช้หนังม้าห่อศพ ท่านหลี่กับฉีหยุนพูดถูก เขาเป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าหัวที่ต่อสู้อย่างดุเดือดออกมาจากสนามรบ
ในกองทัพเรียกเขาว่า‘คนบ้าที่ไม่คิดชีวิต’ มันจึงทำให้เขาใช้ระยะเวลาในเจ็ดปี จากทหารยศเล็กๆคนหนึ่งไต่เต้าจนขึ้นมาเป็นเทพสงครามแห่งอีสเตอร์แลนด์ หนึ่งในบุคคลที่เป็นผู้มีอำนาจที่สุดในประเทศต้าหัว
เทพสงครามแห่งอีสเตอร์แลนด์ โด่งดังไปทั่วทั้งโลก
แต่ทุกอย่างที่เขาทำ ล้วนทำเพื่ออิ่นซิน ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าของเขา
บัตรเครดิต
ฉินเฟิงเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าของหลิวฉวนจง แววตาดำขลับ มีความเยือกเย็นไม่เบา
ฉัน……
อันที่จริงหลิวฉวนจงก็ไม่อยากให้ แต่เมื่อเห็นคนดำทะมึนด้านหลังของฉินเฟิง ก็ตกใจจนสีหน้าเปลี่ยนไป สุดท้ายก็เอาบัตรเครดิตใบนั้นออกมาอย่างตัวสั่นเทา
ฉินเฟิงถือบัตรเครดิต ก่อนจะส่งสัญญาณให้ต้าตาว คนเหล่านี้ ฝากให้คุณด้วยนะ ให้พวกเขารู้เหตุผลหนึ่ง เป็นคนต้องรู้จักคุณธรรม อะไรที่เอาไปได้ อะไรที่ไม่ควร
ครับ ต้าตาวพยักหน้า
จากนั้นฉินเฟิงก็จากไป
อย่า อย่าเลย พวกเราผิดไปแล้ว……
หลิวฉีได้เห็นดังนั้น ก็ตกใจจนขาอ่อนไป อยากจะร้องขอชีวิต แต่ต้าตาวนั้นได้รับคำสั่งเด็ดขาดจากฉินเฟิงแล้ว จะไปปล่อยให้หลิวฉีถอยไปได้อย่างไร
จับไป
มีเสียงโครมครามดังขึ้น
พวกเขาจับหลิวฉี จากนั้นก็มาจับหลิวฉวนจง หลิวฉวนจงเองก็ขัดขืนอย่างจัง ฉันเป็นพ่อของหลิวลานเมิ่ง คนนั้นเป็นลูกเขยของฉันเอง พวกคุณทำอะไรฉันไม่ได้นะๆ
เรื่องมาถึงวันนี้ เขาก็ยังหน้าด้านเหมือนเดิม
แต่ว่า ต้าตาวนั้นไม่สนใจลูกเขยอะไรก็ตาม เพราะฉินเฟิงพูดแล้ว ว่าให้จับพวกเขาไป ก็ต้องจับไป
ผ่านไปไม่นาน คนเหล่านั้นก็ถูกจับไปหมด
การต่อกรกับคนเหล่านี้ในสังคม มีสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง คือการทำให้พวกเขาจำขึ้นใจ
ส่วนฉินเฟิงกลับเดินกลับไปที่หน้าประตูบ้านของหลิวลานเมิ่ง แล้วก็เอาบัตรเครดิตไว้ที่หน้าประตู ก่อนจะเคาะประตู
ก็อกๆ
หลังจากเคาะแล้ว ฉินเฟิงก็เดินจากไป
ใครน่ะ?
หลิวลานเมิ่งแอบมองเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ ออกมา แต่หลังจากที่ออกมามองไปรอบๆ แล้ว ก็ไม่เห็นใคร แต่ว่าเห็นเพียงบัตรเครดิตของตัวเอง
บัตรเครดิตอันนี้ เป็นของฉันเหรอ?เอากลับมาให้แล้วเหรอ?
หลิวลานเมิ่งหยิบบัตรเครดิตขึ้นมา จากนั้นก็ไปตรวจสอบ ก็พบว่าเงินไม่ได้ถูกใช้ไปเลยแม้แต่น้อย เลยสงสัยไม่เข้าใจขึ้นมา หลิวฉวนจงมีความเมตตาในใจแล้วเหรอไง?
เป็นไปไม่ได้หรอก หลายปีมานี้ ถ้าจะมีความเมตตาขึ้นมา คงจะมีไปนานแล้ว
ถ้างั้น บัตรเครดิตนี้กลับมาได้อย่างไร คนที่รู้เรื่องนี้มีเพียงฉันกับหลิวฉวนจง……แล้วก็ฉินเฟิง?ฉินเฟิง เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันจ้องจะแซะเขาขนาดนั้น เขาจะมาช่วยฉันเหรอไง?
หลิวลานเมิ่งบ่นพึมพำไม่หยุด แต่เมื่อพูดย้อนกลับไปเรื่อย ก็พบว่ามีเพียงฉินเฟิงเท่านั้น
แม้เธอจะไม่กล้าเชื่อ ไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าเธอรู้ว่า น่าจะเป็นฉินเฟิงจริงๆ แล้วล่ะ
หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว
ฉินเฟิงก็กลับบ้าน เรื่องของคนอย่างหลิวลานเมิ่งนั้น เขาจะต้องช่วยอยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็ยังมีโบนัสหลายปีที่ต้องหัก จะให้เธอล้มละลายไปแบบนี้ไม่ได้
หลังจากที่กลับมาถึงบ้าน ก็ดึกแล้ว
แต่ตอนที่กินข้าวนั้น ฉินเฟิงก็พบว่าแววตาของอิ่นซินนั้นไม่ปกติเท่าไหร่ มันมีความครุ่นคิดอยู่ที่หว่างคิ้ว ฉินเฟิงเลยถามอย่างเป็นห่วง เป็นไรเหรอ?
ไม่ใช่เรื่องของคุณ
อิ่นซินมีใบหน้าเย็นชา โดยที่ไม่ได้มองฉินเฟิงเลย แต่ก็เถียงกลับไปทันที
นี่สิถึงเป็นท่าทีดั้งเดิมของเธอ
เย็นชา และแข็งแกร่ง ประธานของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป คนที่เคยสร้างบริษัทหลักหมื่นล้านด้วยตัวตนเดียว มันทำให้เธอทำแบบนี้กับคนนอกมาตลอด
แต่ตอนนี้ เธอเองก็เห็นฉินเฟิงเป็นคนนอกแล้วเหมือนกัน
ยัยเด็กสาว ในที่สุดคุณก็คิดได้แล้ว
ตอนแรกจางลี่ยังคิดว่าจะเล่นไพ่จีนอยู่เลย แต่เมื่อได้เห็นแบบนี้ ก็พบว่าอิ่นซินหัวไวขึ้นแล้ว เลยรู้สึกดีเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้อิ่นซินปกป้องฉินเฟิงมาตลอด เลยทำให้เธอไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก
แต่เมื่อได้เห็นท่าทีเย็นชาแบบนี้ มันมีการ
ลูกสาว คุณว่าครั้งก่อนที่ฉันแนะนำให้คุณรู้จักน่ะ……
จางลี่รีบหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเลือกลูกเขยที่เธอชอบ
แต่ทว่า อิ่นซินลุกขึ้นมาในทันที แม่ ไม่ว่าอย่างไร ตอนนี้ฉันก็แต่งงานแล้ว จากนี้ไม่ต้องมาแนะนำอะไรให้แล้ว ฉันกินอิ่มแล้ว กลับเข้าห้องก่อนล่ะ
แม้ตอนนี้เธอยังเย็นชากับฉินเฟิง แต่ว่าเธอก็เป็นผู้หญิงที่รู้จักยับยั้งช่างใจเหมือนกัน เลยจะไม่มีทางไปยุ่งกับชายอื่น
เด็กสาวอย่างคุณนี่นะ จางลี่พูดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
จากนั้น ก็ระเบิดอารมณ์ใส่ฉินเฟิง มองอะไร วันนี้ฉันจะพูดให้ชัดเจนเลยนะ ว่าฉันอยากได้สามีร่ำรวยเงินทอง ไม่ใช่คนจนๆ อย่างคุณ หึ
สุดท้ายพวกเขาก็ไปจากกัน แล้วปล่อยฉินเฟิงให้เก็บกวาดห้องคนเดียว
มันก็ไม่มีอะไรเท่าไหร่ ทำให้มันเป็นเรื่องปกติของโลกที่เอาไว้ฝึกจิตเท่า
แต่เรื่องนี้ มันไม่สามารถบอกฉีหยุนได้ ไม่อย่างนั้นคงจะทำให้บ้านแตก ด้วยความโมโหอย่างรุนแรงได้เลยล่ะ อันดับหนึ่งของเทพสงครามในประเทศต้าหัว เป็นพ่อบ้านอย่างนั้นเหรอ น่าขัน ตลกจริงๆ
ผ่านไปหลายวัน ฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าอิ่นซินนั้นแปลกไป เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา แถมเวลาอยู่บ้านยังชอบเหม่อลอยด้วย
จากนั้นเขาเลยเข้ามาที่ยอดตึกของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ใครไม่เคาะประตู!
เฝิงกางกำลังเริ่มพัฒนาความสัมพันธ์กับเลขาหญิง แต่จู่ๆ เสียงประตูก็ทำให้ตกใจ อยากจะระเบิดอารมณ์ออกมาตรงนั้นเลย แต่เมื่อเขามองเห็นว่าเป็นใคร ก็ต้องกดความโกรธเอาไว้
ท่านประธาน
เฝิงกางก้มหัวลง ก่อนจะรีบเข้าไปต้อนรับ แล้วก็ให้เลขาสาวเดินจากไปในเวลาเดียวกัน
ประธานเฝิง ช่วงนี้คุณมีชีวิตที่ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ เวลาคนนี้เริ่มรับเข้ามาทำงานเหรอ?
ฉินเฟิงมองเลขาสาวดังนั้น ก่อนจะพบว่าสะสวยไม่เบาเลย
ท่านประธานคุณล้อเล่นแล้วล่ะ
เฝิงกางหัวเราะออกมา
ฉินเฟิงเองก็ไม่สนใจเรื่องส่วนตัวของเฝิงกาง ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ยินยอมกันทั้งคู่ จากนั้นก็นั่งลงบนโซฟา เฝิงกางก็รีบไปชงชา
ถ้าให้คนรู้ ว่าประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอย่างเฝิงกาง กำลังชงชาให้ด้วยความเกรงกลัว อาจจะตกใจจนอ้าปากค้าง
แต่ว่าเฝิงกางกลับดูสุขดี
ต้องรู้ด้วยว่า ฉินเฟิงนั้นเป็นใคร เทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าหัว เป็นเจ้าของอีสเตอร์แลนด์ และเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประเทศต้าหัว สามารถพูดได้เลยว่ารู้จักกันทั่วหล้า ไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูด้วย
เส้นใหญ่ขนาดนี้ ใครอยากจะเกาะแกะยังไม่มีโอกาสเลย
ช่วงนี้เกิดเรื่องอะไรกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปหรือเปล่า? ฉินเฟิงถาม
ใช่
เฝิงกางพยักหน้า ก่อนจะพูดต่อ เพราะช่วงนี้ธุรกิจของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่ค่อยดี กำลังแข่งขันกับหวงซื่อกรุ๊ป แล้วก็ถูกทำให้เสียไปถึงสามสิบล้าน ตอนนี้ใกล้จะล้มละลาย และกำลังจะขายออกไป
เพราะภรรยาของเจ้านายออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปแล้วไม่ใช่เหรอ แถมยังแตกแยกกับตระกูลอิ่นอีก ดังนั้นการที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลายก็เป็นเรื่องดี ฉันเลยไม่ได้มาบอกให้คุณรู้อะไร
ฉินเฟิงได้ฟังเฝิงกางดังนั้น ในแววตาก็มีความคิดขึ้นมา นี่มันสร้างสถานการณ์ขึ้นมาอีก
ดูผิวเผิน บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกับหวงซื่อกรุ๊ป ตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นมา ทั้งสองก็เป็นศัตรูกัน โจมตีกันมาตลอด ตอนนี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปแพ้แล้ว อันที่จริงมันก็ปกติ
แต่ว่าในสถานการณ์ปกตินั้น กลับมีความแปลกไปเล็กน้อย
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่ล้มละลายสักที แต่ดันมาล้มละลายตอนนี้ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดของอิ่นซินกำลังค่อยๆ สร้างให้ยิ่งใหญ่ก็มาล้มละลาย แถมยังทำให้นึกถึงสิ่งที่หวงจงเคยพูด
ต้องพยายามคิดแล้วล่ะ
เขาคิดว่าฉินเฟิงเป็นคนที่ไม่มีหัวคิด ทำธุรกิจไม่เป็น แล้วก็ไปไม่ถึงชั้นนั้นด้วย ดังนั้นเลยเปิดความคิดให้ฉินเฟิงได้รู้ แต่ว่ามันชัดเจนมาก ว่านี่เป็นการสร้างสถานการณ์หนึ่ง
สถานการณ์ที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกับหวงซื่อกรุ๊ป ร่วมมือกับโจมตีอิ่นซิน อิ่นซินอาจจะรู้ได้ว่ามันมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ว่าพวกเขากำลังพนัน กำลังพนันความต้องการของอิ่นซินที่มีต่อบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
เจ็ดปีแล้ว ตั้งแต่ที่อิ่นซินจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไป ในเจ็ดปีมานี้อิ่นซินฝันว่าอยากจะเอาสิ่งนี้กลับมาให้ได้
พวกเขากำลังพนัน พนันว่าอิ่นซินจะเข้ามาในการสร้างสถานการณ์นี้
เฮ้ พนักงาน มาทำความสะอาดสิ มองอะไรอยู่
พูดไป หลิวฉีก็เห็นพนักงานอย่างฉินเฟิงไม่ขยับเลย จากนั้นเลยด่าออกมาด้วยความไม่พอใจ
นี่ ไม่ใช่พนักงาน แต่เป็นแฟนของหลิวลานเมิ่ง หลิวฉวนจงจำฉินเฟิงได้ เลยพูดอย่างอ่อนแอลง
แฟนของหลิวลานเมิ่งงั้นเหรอ?
ตอนนั้นเอง คนในห้องรับรองนั้นต่างอึ้งไป ก่อนจะหันหัวมามอง ไปทางฉินเฟิง
เมื่อมองดู ก็พบคนที่แต่งตัวมอซอ ในแววตาก็มีความไม่แยแส แม่บุญธรรมคนนั้นเลยยืดตัวขึ้นมา ก่อนจะพูดอย่างประหลาดใจ หลิวลานเมิ่ง ฉายาที่ว่าเป็นดาวของฝ่ายประชาสัมพันธ์ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้น หาแฟนทั้งที เป็น ‘ดูร่ำรวยมีสง่าราศี’ จริงๆ เลย เหมาะกันเป็นอย่างมาก คนหนึ่งจน คนหนึ่งโง่
จิ๊จ๊ะ
หลิวฉีเองก็ลุกขึ้นมา ส่วนสูงเมตรเจ็ดสิบ ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว เหมือนกับพวกไม่มีสมองแบบนั้นเลย ก่อนจะเดินมา ในแววตามีความหยอกล้อ ไอ้กระจอก คุณจะเอาเงินมาให้เหรอ จะได้คุยกันง่ายหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกแล้ว ว่าอยากได้สักสี่ล้าน เพียงแค่หลิวลานเมิ่งให้ฉันสี่ล้าน งั้นครอบครัวของพวกเราก็จะไม่ยุ่มย่ามกับเธอแล้ว
อย่าบอกว่าไม่มีนะ ใบหน้าอย่างหลิวลานเมิ่งน่ะ มีตัวเป็นทรัพย์อยู่แล้ว ให้เธอไปขายซะ แล้วก็ต้องเอามาให้ฉัน ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้เธอเสียชื่อเสียงแน่นอน
ฉันเชื่อ ว่าไม่มีบริษัทไหนอยากจะรับพนักงานที่ทิ้งพ่อ และถูกคนต่อว่าเป็นแน่ เป็นอย่างไรล่ะ?คิดให้ดีนะ ไม่แน่ว่าเดี๋ยวตอนนั้นถ้าหลิวลานเมิ่งขึ้นเตียงของเจ้านายไป หรือว่า
มันหมายความว่าจะเอาหลิวลานเมิ่งมาเป็นของเล่น
พูดตรงๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอคนทรามอย่างแก
แววตาของฉินเฟิงนั้นมีประกายความเย็นชา
ฝูงมอดกัดกินอยู่กันเป็นครอบครัวแบบนี้ พยายามดูดเลือดเนื้อของหลิวลานเมิ่ง ไม่ว่าหลิวลานเมิ่งจะกระแนะกระแหนตัวเองอย่างไร แต่สรุปแล้ว ก็เป็นเพื่อนรักของภรรยาตัวเองอยู่ดี
ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ ถ้าหลิวลานเมิ่งลาออกแล้ว ตัวเองจะหักโบนัสของใครล่ะ
เพิ่งหักของปีหน้าไปเอง
ยังมีของสองปีหน้าอีก ปีหน้านู้น แล้วก็ปีถัดๆ ไปอีก……
ไอ้เลว?เหอะ ไอ้กระจอก คุณรู้ไหมว่าคนบริหารโรงแรมนี้เป็นพวกพ้องของฉัน
หลิวฉีมีใบหน้าเย่อหยิ่ง ก่อนจะพูดที่ประตู ผู้จัดการเฉิน เข้ามาดื่มเหล้าด้วยกันหน่อย
ได้สิ
ชายที่ใส่สูทเดินเข้ามาจากทางประตูด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ด้านหลังยังมีผู้รักษาความปลอดภัยตัวใหญ่อีกด้วย เมื่อปรายตามองฉินเฟิงพลางพูด แนะนำสักหน่อย นี่หลี่เซิง เป็นผู้จัดการของโรงแรมนี้
ฉันขอแนะนำคุณหน่อยดีกว่านะ อย่ามาวุ่นวายในที่ของฉัน ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียเลือดได้
คำพูดของเขานั้น มันไม่การปกปิดการข่มขู่ที่มีต่อฉินเฟิงเลยแม้แต่น้อย
ปกติหลิวฉีนั้นกตัญญูกับเขา แสนสองแสน แถมตัวเองยังมีพี่สาวที่สวยเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นถ้าแนะนำให้เขาแล้วด้วย ดังนั้นเขาจะต้องปกป้องพี่เขยในอนาคตแน่นอน
แต่เมื่อเห็นฉินเฟิง เป็นแค่คนจนเท่านั้น
เหอะ ไอ้กระจอก เลือกสักอย่างซะ ระหว่างสี่ล้านกับโดนตีให้ขาหัก?
หลิวฉีได้รับการช่วยเหลือจากหลี่เซิงแล้ว เลยยิ่งทระนงเข้าไปใหญ่
แต่ทว่า ในตอนนี้ มีชายคนหนึ่งเดินมาจากด้านนอกของประตู มันทำให้ตรงนั้นเงียบลง หลี่เซิงที่เย่อหยิ่งยังต้องโค้งตัวให้
จากนั้นก็เดินเข้ามาจนแทบจะคลานเข่าเหมือนหมา แล้วพูดอย่างเคารพ เจ้านาย
คนคนนี้ เป็นเจ้านายของโรงแรม
จู่ๆ ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นได้ เขาเลยรีบพูดขึ้น เจ้านาย นายคนนี้มาก่อเรื่องในร้านนี้ และอยากจะทำร้ายแขกของพวกเรา ฉันกำลังเตรียมจะเอาตัวเขาออกไปพอดี
เขาผลักให้ฉินเฟิงกลายเป็นคนร้ายในทันที
และเตรียมจะทำให้ฉินเฟิงตกที่นั่งลำบากสักหน่อย
ไอ้กระจอก ตอนนี้เจ้านายก็มาแล้ว คุณจบเห่แล้วล่ะ หลิวฉีนั้นมีใบหน้าเย็นชา ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างดัง
แต่ทว่า
มีเสียงเพี๊ยะดังขึ้น
เสียงตบนั้นมันดังก้องไปทั้งห้องรับรอง ทุกคนต่างเงียบลง ก่อนจะเบิกตาโพลงพลางมองหลี่เซิง
เพียงเพราะใบหน้าของเขาเป็นรอยมือแดงขึ้นมา
หลิวฉีที่ยังยิ้มเยาะในตอนแรก ตอนนี้ได้แต่อ้าปากค้าง เพราะเขาเห็นเจ้านายคนนั้นตบใบหน้าของหลี่เซิงเข้าอย่างจัง
แต่ว่า เรื่องที่เหลือเชื่อก็เกิดขึ้น
เขาเห็นเพียงเจ้านายคนนั้น เดินเข้ามาที่ด้านหน้าของฉินเฟิง แล้วก็โค้งให้อย่างจริงจัง ก่อนจะพูดด้วยความกลัว คุณฉิน ครั้งนี้เป็นความผิดของโรงแรมเราเอง ขอโทษจริงๆ
หลี่เทียนเฉิง
ฉินเฟิงมองคนคนนี้ ซึ่งก็คือหลี่เทียนเฉิง
โรงแรมนี้เป็นของคุณเหรอ? ฉินเฟิงพูด
ใช่แล้วล่ะ โรงแรมนี้อยู่ในชื่อของบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ป ฉันเพิ่งเห็นคุณด้านนอก เลยรีบมา นายคนนี้ เดี๋ยวฉันจะไล่ออกให้เร็วที่สุดเอง
หลี่เทียนเฉิงเตรียมจะไล่หลี่เซิงออกทันที
เขาเพิ่งจะข้ามถนนมา ก็ได้เห็นฉินเฟิงพอดี เลยเข้ามา เขาไม่ได้กลัวฉินเฟิง แต่กลัวอิ่นซินต่างหาก ถึงอย่างไรครั้งก่อนก็ได้ประทับความทรงจำอันยากจะลืมให้แก่เขาแล้ว
เพียงเพราะไปขัดใจอิ่นซิน ภายในเวลาชั่วโมงเดียว บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปของเขา ก็เข้าใกล้คำว่าล้มละลายเลยทีเดียว
น่ากลัวเสียจริง
คนของอิ่นซินนั้น เขาไม่กล้ามีเรื่องด้วยหรอก
ทำอะไร
เมื่อหลิวฉีได้เห็นฉากนั้น ก็ตกใจเป็นอย่างมาก เจ้านายของโรงแรม เป็นหลี่เทียนเฉิงเลยนะ คนใหญ่คนโตแบบนี้ ทำไมถึงได้ถ่อมตนขนาดนี้ล่ะ
แต่เขาก็ยังปากแข็ง เลยกัดฟันพูดออกไป ไอ้กระจอก มีเงินแล้วยังไงเหรอ กล้าทำอะไรฉันไหม?
ถ้าทำอะไรคุณ มันจะสกปรกมือฉันนะ
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะโทรศัพท์ไป ต้าตาว พาคนมาหน่อย
บางที การต่อกรกับคนเลวนั้น ก็ต้องใช้วิธีเลวๆ
คนแบบนี้ ใช้เหตุผลด้วยก็ไม่มีประโยชน์หรอก
ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ ยังจะไปต้องแก้แค้นหลิวลานเมิ่งอีก เลยต้องลงมือกับเขาด้วยอะไรสักอย่าง เพื่อให้เขาจำขึ้นใจ
ชิ
หลิวฉีปรายตามองอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินออกไปอย่างเย่อหยิ่ง ฉันอยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าวันนี้ใครจะมาขวางฉัน ใครจะมาทำอะไรฉันได้!
แต่ทว่า
เพิ่งจะเดินออกไปจากประตู ได้อย่างทระนงตนไม่เกรงกลัวอะไรเพียงไม่กี่ก้าว
ก็มีรถฮัมเมอร์คันหนึ่งมาจอดตรงหน้าเขา
จากนั้น ก็มีรถฮัมเมอร์สองคัน รถฮัมเมอร์สามคัน รถฮัมเมอร์สี่คัน ภายในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งนาที ประตูหน้าโรงแรมก็ถูกรถฮัมเมอร์ขวางเต็มไปหมด จากนั้นก็มีชายตามกันลงมาคนแล้วคนเล่า
คนเหล่านั้นตัวสูงใหญ่ ดูมีความโหดร้ายไม่เบา
แถมยังเป็นสีดำทะมึน มีความอาฆาตเป็นอย่างมาก
มันทำให้หลิวฉีตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว เลยรีบถอยห่างออกไป นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?นี่ ทำไมถึงได้มีคนมากมายขนาดนี้
กลุ่มของหลิวฉวนจงเองก็ออกมา เมื่อได้เห็นฉากนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก
มีชายชุดดำเดินออกมาจากกลุ่มนั้น เขาคือต้าตาว บาร์ของเฉินจื่อซวนนั้นไม่ห่างจากที่นี่มาก ห่างเพียงถนนเส้นเดียวเท่านั้น เขาเลยเดินเข้ามา
จากนั้นก็เดินขึ้นไปที่บันได แล้วโค้งคำนับให้ฉินเฟิง เฮีย
เฮีย
คนด้านหลังอีกหลายร้อยคน ก็พูดตามๆ กันขึ้นมา
คนคนนี้คือต้าตาว ได้ยินว่าคนคนนี้เริ่มทำธุรกิจแล้ว แล้วก็ต่อสู้กับกลุ่มของเจ้าบาดแผลต้าตาว สูสีเป็นอย่างมาก แถมยังได้ยินว่าคนคนนี้แหละที่กลืนคำว่าบอดี้การ์ดมังกรไปแล้ว ช่วงนี้ถือเป็นคลื่นลูกใหม่เลยทีเดียว ตอนนี้จะเรียกฉินเฟิงก็ให้เรียกเฮียซะ
หลี่เทียนเฉิงมองเห็นฉากนั้น ก็ตกใจอยู่ในใจไม่เบา
ตอนนี้เพิ่งจะค้นพบ ว่าฉินเฟิงนั้นเหมือนจะร้ายกาจกว่าที่ใครๆ เขาว่ากัน
อันที่จริง ถ้าไม่ใช่ว่าฉินเฟิงยังไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ในตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าฉินเฟิง ก็ควรจะเป็นทหารที่ผ่านศึกมามากมายของอีสเตอร์แลนด์
สู้หนึ่งต่อร้อย ทหารที่กล้าหาญเป็นอย่างมาก
ทหารของอีสเตอร์แลนด์ราวสามแสนนาย ปราบปรามกบฏ ปกป้องประเทศ บุกน้ำลุยไฟ กล้าหาญชาญชัย!
เด็กนี่ คุณ ทำไมไม่มีเหตุผลเลยนะ
หลิวฉวนจงเห็นว่าฉินเฟิงเองก็ไม่คิดจะทำตามเขา แถมยังมาว่าเขาอีก เลยชี้ไปที่ฉินเฟิง พลางพูดด้วยความไม่พอใจ คุณจะไปรู้อะไร นี่มันลูกสาวฉัน ก็ควรให้เงินฉัน
ฉันให้แล้ว!หลิวฉวนจง ตอนแรกไม่รู้หรอกว่าได้ยินมาจากไหนว่าฉันทำงานที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป แล้วกล้ามาหาถึงที่ เพื่อเอาเงินเลี้ยงดูต่างๆ เดือนละพันสอง ฉันไม่ให้ คุณก็ฟ้องฉัน
ตอนแรกฉันเป็นคนชนชั้นล่าง เงินเดือนแค่สี่พันต่อเดือน ฉันยังต้องเช่าห้อง ค่าเช่าห้องที่จิงตูก็สองพันแล้ว ยังต้องให้เงินเลี้ยงคุณอีก ฉันเหลือแค่แปดร้อยแล้ว ฉันกินแต่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ถึงจะผ่านไปได้
ตอนนั้น ทำไมคุณไม่บอกว่าฉันเป็นลูกสาวคุณ ทำไมคุณไม่พูด แล้วเห็นใจฉัน
หลิวลานเมิ่งมีหยดน้ำตาอยู่ในดวงตา
เพราะไม่ว่าอย่างไร หลิวฉวนจงก็เป็นพ่อของเธอ ค่าเลี้ยงดูหลายปีมานี้ เธอส่งให้ตลอด ไม่เคยขาดเลย แต่วันนี้ หลิวฉวนจงยังมาขอเงิน ตั้งสองแสน เพื่อให้ลูกที่หลิวฉวนจงกับแม่เลี้ยงคนนั้นคลอดออกมา
เพื่อแต่งงาน ซื้อบ้าน
ทำไมกัน
ทำไมกัน
คือ……
หลิวฉวนจงเริ่มรู้สึกลำบากก่อนจะพูดออกมา แต่ฉันเป็นพ่อของคุณนะ คุณให้ฉันมาสองแสนเถอะ ไม่อย่างนั้นฉันกลับไปต้องถูกไล่ออกมาแน่ๆ คงจะเข้าบ้านไม่ได้แล้วล่ะ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน
หลิวลานเมิ่งผลุบตาลง ปฏิเสธอีกครั้งแล้ว
หลังจากที่ได้รับคำตอบนี้ หลิวฉวนจงเลยมีใบหน้าเย็นชาแบบนี้ หลิวลานเมิ่ง ฉันจะบอกคุณให้นะ วันนี้คุณต้องให้เงิน ถ้าคุณไม่ให้เงินฉันก็ไม่ไป ฉันจะอยู่ที่ประตูนี้ แหกปากโวยวาย ทั้งวันทั้งคืน ให้เพื่อนบ้านอยู่ไม่สงบสุข ให้ทุกคนรู้ว่าคุณเป็นคนไม่กตัญญู
ให้ทุกคนด่าคุณ แล้วรังเกียจคุณ
ฉันยังจะไปก่อเรื่องที่บริษัทของคุณ ไปติดป้ายที่หน้าบริษัทของคุณ ว่าหัวหน้าของฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้นมันไม่กตัญญู ทอดทิ้งไม่ดูแลพ่อแม่ที่คลอดคุณออกมา
หลิวฉวนจงเองก็ไม่สนใจอะไรแล้ว
คุณกล้าเหรอ!
หลิวลานเมิ่งได้ยินดังนั้น ก็ร้อนรน
มาก่อเรื่องที่นี่ มันไม่มีผลอะไรมาก แต่ถ้าไปก่อเรื่องที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ในฐานะที่เธอเป็นหัวหน้าของแผนกประชาสัมพันธ์ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นถึงตัวแทน แล้วมันจะส่งผลเป็นอย่างมาก
แถมยังจะทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปตกต่ำอีกด้วย
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของเราเพิ่งมาที่เมืองเจียงเฉิง ยังไม่ได้ลงหลักปักฐานอะไรมาก ถ้าคู่แข่งยังอยู่ในตอนนี้ แล้วลงมือทำ แสดงสักหน่อย มันจะทำให้ราคาในตลาดของพวกเขานั้นตกลง
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้นมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น อาจจะไล่เธอออกได้ทันที เพื่อระงับความไม่พอใจของทางสื่อ
ต้องรู้ด้วย ว่าแม้โบนัสปลายปีจะโดนหักหมดแล้ว แต่ว่าสวัสดิการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้นถือว่าดีมากที่สุดในเมืองเจียงเฉิงเลยทีเดียว เธอพยายามอดกลั้นมาเป็นหัวหน้าของฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ ก็ต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก
ถ้าเกิดถูกไล่ออกแบบนี้ เธอก็คงจะหมดสิ้นทุกอย่าง
ดังนั้น เธอเลยร้อนรนใจ
อันที่จริง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไร บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปก็จะไม่มีทางไล่เธอออก ถึงอย่างไรท่านประธานฉินเฟิงของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปในตอนนี้ ก็ยืนอยู่ข้างเธอแล้ว
แถมยังได้รับรู้ความเกลียดชังที่เธอโดนเป็นปกติแบบนี้อีกด้วย
ถ้าฉินเฟิงไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าไล่หลิวลานเมิ่งออก
เหอะ กลัวแล้วใช่ไหมล่ะ รีบเอาเงินมาเถอะ ฉันก็จะไม่ทำอะไรแล้ว คุณว่าคุณที่เป็นหัวหน้าของแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้น จะไม่มีเงินเหรอ นอนกับเจ้านายสักคืน ก็ได้เงินมาแล้ว คุณว่า ใช่ไหมล่ะ?
คำพูดของหลิวฉวนจงนั้นเบาลงแล้ว
แต่คำพูดนั้น กลับเสียดหูของหลิวลานเมิ่งเป็นอย่างมาก ให้ไปหลับนอนกับเจ้านายอะไรกัน เงินก็เข้ามาหาแล้วเหรอ นี่มันคำพูดที่พ่อควรพูดกับลูกเหรอ?
น่าสะอิดสะเอียน
เงินนี้ ฉันให้คุณก็ได้ แต่ครั้งหน้าไม่ต้องมาแล้ว
หลิวลานเมิ่งเลยมองด้วยความรังเกียจ สุดท้ายเลยหยิบบัตรเครดิตออกมาจากกระเป๋า ก่อนจะโยนให้หลิวฉวนจง จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องอย่างโมโห มันเต็มไปด้วยความโกรธ
หลิวฉวนจงรับเงินไป แต่ก็ไม่ได้จากไป กลับยืนเคาะประตู แล้วรีบพูด แม้จะให้มาสองแสนแล้ว แต่ว่าเงินแต่งงานของน้องคุณ แล้วก็ค่าเลี้ยงดูของฉัน จะขาดไม่ได้เลยนะ
ไสหัวไป
เสียงแหลมนั้นกลับมีเสียงสะอื้นซ่อนอยู่ ที่มันดังออกมา
จำไว้นะ เดือนหนึ่งต้องให้ค่าเลี้ยงดูพันสอง ถ้าขาดไปแม้แต่นิดเดียว พวกเราก็เจอกันที่ศาลนะ
หลิวฉวนจงนั้นเหมือนไม่ได้ยินเงินเลี้ยงดู เลยพูดออกมาเสียงดัง จากนั้นก็เอาบัตรเครดิตแล้วเดินสะบัดจากไป
โดยที่ไม่ได้สนใจฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ เลย
ก่อนที่จะได้เงิน ฉินเฟิงเป็นใคร ก็คือลูกเขยนี่เอง ต้องทำดีด้วยหน่อย
แต่หลังจากที่ได้เงินแล้ว ฉินเฟิงจะเป็นใครนั้น มันไม่เกี่ยวกับเขา
ฉินเฟิงยืนอยู่กับที่ ก่อนจะมองประตูที่ถูกล็อก แล้วถอนหายใจออกมา ผู้หญิงคนนี้ ไม่ได้เชิญเขามาดื่มน้ำสักแก้วเหรอ ตอนนี้ปิดประตูปัง แล้วก็ล็อกตายเลย
ช่างเถอะ ติดน้ำฉันแก้วเดียว
ฉินเฟิงส่ายหัว ก่อนจะเดินออกไป
หลังจากที่ออกไปแล้ว เขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมา ก่อนจะเปิดแผนที่ บนนั้นมีเงาคนเดินอยู่ มันเป็นที่อยู่ของหลิวฉวนจง
ตอนที่เดินจากไป ฉินเฟิงติดเครื่องตามตัวไว้บนตัวของหลิวฉวนจง
เลยเดินตามไปทันที
โรงแรมซานฉวน
ฉินเฟิงเดินไปถึงตรงนั้นได้ภายในเวลาไม่นาน เมื่อเงยหน้ามอง ก็พบว่าเป็นโรงแรมชั้นสูง ดูเป็นที่ที่กินข้าวมื้อหนึ่งก็หลักหมื่นแล้ว
เมื่อเดินเข้าไป ก็ถึงห้องรับรองแล้ว ฉินเฟิงได้ยินเสียงดังออกมาจากด้านใน
ฮ่าๆ ไอ้โง่หลิวลานเมิ่งให้เงินมาจริงๆ ด้วย เพียงเท่านี้ชีวิตหรูสุขสบายของพวกเรา ก็อยู่ต่อไปได้แล้ว แต่ว่า หลิวฉวนจง คุณเองก็โง่เหมือนกันหรือเปล่าเนี่ย ในเมื่อเธอยอมให้เงิน งั้นคุณก็เอามาให้เยอะหน่อยสิ สักห้าแสน ไม่ดีเหรอ?
มันเป็นเสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง
จากนั้นผู้หญิงก็พูดขึ้นอีก หลิวลานเมิ่งหน้าตาดีขนาดนั้น เป็นดาวของฝ่ายประชาสัมพันธ์ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอีกด้วย ออกไปอยู่กับเจ้านาย ก็ได้เงินมากแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้เธอเอาข้อมูลลับของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไปขาย ฉันได้ยินว่า มันขายได้หลักล้านเลยนะ
ฉินเฟิงได้ยินดังนั้น ก็พอจะรู้แล้วว่าคนคนนั้นคือใคร มันเป็นแม่เลี้ยงของหลิวลานเมิ่ง
ก็เลยผลักประตูเข้าไปทันที
จากนั้นก็กวาดตามอง ในนั้นมีชายสองหญิงสอง หนึ่งในนั้นมีหญิงอายุค่อนข้างมากด้วย แล้วก็มีหลิวฉวนจง จากนั้นก็เป็นคู่ชายหญิง เหมือนคู่รัก
อาจจะเป็นน้องชายต่างแม่ของหลิวลานเมิ่ง
ชายหนุ่มคนนั้นมองฉินเฟิง ก็คิดว่าเป็นพนักงาน เลยไม่ได้สนใจ แต่กลับจับมือกับหญิงอีกคน ก่อนจะหัวเราะอย่างถากถางแล้วพูด เท่านี้ก็ดีแล้ว ตอนแรกยังอยู่ที่เรือนหอโทรมๆ ตอนนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว ให้หลิวลานเมิ่งไปเตรียมส่งเงินแทนละกัน แต่สองแสนมันไม่พอหรอก ฉันอยากได้บ้านพัก อย่างน้อยก็ต้องสองล้าน ฉันยังอยากซื้อรถ แต่งงาน เลี้ยงลูกอีก คงจะถึงสองล้านน่ะ พ่อ คุณไปขู่อีกหน่อย แล้วเอาสองล้านมาให้ฉันหน่อย
นังโง่นั่นให้อยู่แล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสาวแท้ๆ ของคุณ เครื่องกดเงินอัตโนมัตินี้ต้องใช้ให้คุ้ม ชีวิตที่มีความสุขในอนาคตของฉัน คงต้องพึ่งหลิวลานเมิ่งแล้วล่ะ
โอ๊ะ……
หัวขโมยงงเป็นไก่ตาแตก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เดี๋ยวนี้ การเป็นหัวขโมยก็ยากจะทำแล้ว รีบหนีไปเร็ว
โอเค
แม้จะไม่รู้ว่าทำไม แต่ว่าหัวขโมยก็จับกระเป๋า ด้วยความยินดี แล้วก็รีบวิ่งไป วิ่งเร็วเป็นอย่างมาก
ฉินเฟิง!
เมื่อหลิวลานเมิ่งเห็นดังนั้น ก็ทำอะไรไม่ถูกไปเหมือนกัน เธอคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะให้นายคนนั้นไปได้ เลยร้องออกมาเสียงดัง ฉินเฟิง แกมันเลว ฉันกับคุณนั้นอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก
เธอรู้ว่า ฉินเฟิงกำลังแก้แค้นเธอ แก้แค้นที่ก่อนหน้านี้เธอมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
ฉินเฟิงยักไหล่
อันที่จริงมันดีต่อหลิวลานเมิ่งมากเลย ถึงอย่างไรเขาก็หายโกรธแล้ว และโบนัสปลายปีของหลิวลานเมิ่งก็ยังอยู่ แถมถ้าเลี้ยวซ้ายไปนั้น ก็ไม่ใช่ซอยอะไร แต่เป็นสถานีตำรวจ
มันถือว่าเป็นการช่วยอย่างมากที่สุดแล้ว
แต่ว่า ในตอนนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา อยู่ต่อหน้าฉันหลิวหลิน ยังอยากจะขโมยของอีก ฝันไป
กร็อบ
แม้จะห่างกันแบบนี้ ฉินเฟิงเองก็ได้ยินเสียงกระดูกหัก ฉายาหญิงผู้ยิ่งใหญ่ที่หนึ่งของเมืองเจียงเฉิงไม่ได้โม้ไปจริงๆ ด้วย
แต่ไม่นาน หลิวหลินก็เดินเข้ามา ในมือก็ถือกระเป๋าในนั้นอยู่ นี่ของใคร?
ของฉัน
หลิวลานเมิ่งได้เห็นคนลงมือให้แล้ว เลยดีใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะรีบขอบคุณ ขอบคุณมากนะ เมืองเจียงเฉิงของพวกเรายังมีคนใจดีอยู่ ดีกว่าพวกหน้าตายเย็นชาคนนี้มาก
เธอจ้องฉินเฟิง
คนดี
ตอนแรกหลิวหลินอารมณ์ดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ ก็มีสีหน้าตึงอีก ก่อนหน้านี้มีคนมากมายพูดว่าเธอเป็นคนดี แต่เป็นอย่างไรล่ะ
สุดท้ายเธอก็พูดให้ร้ายฉินเฟิงไปแล้ว
เรื่องดีกลับกลายเป็นร้าย
เอาล่ะ ฉันยังมีธุระอีก ไปก่อนล่ะ
เธอเห็นฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ อีก ก่อนจะลูบใบหน้า มันมีความร้อนผ่าว แล้วก็ไม่กล้าเผชิญหน้าเล็กน้อย เลยอยากจะเดินจากไปทันที เพียงแต่ในใจก็แอบรู้สึกว่าคิดคุณของฉินเฟิงอยู่
คุณดูคนอื่นสิ แล้วหันมาดูตัวคุณเอง
หลิวลานเมิ่งปัดๆ กระเป๋าถือ ก่อนจะจ้องฉินเฟิง ด้วยความไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ จากนั้นก็อยากจะจากไป แต่ว่าเพราะก่อนหน้านี้วิ่งเร็วมาก รองเท้าส้นสูงที่หลิวลานเมิ่งใส่นั้น ส้นมันหักแล้ว
ก่อนหน้านี้ไม่ได้สังเกต เมื่อวิ่งตอนนี้ เลยล้มลงกับพื้น
เจ็บจังเลย
หลิวลานเมิ่งขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะนวดข้อเท้า จากนั้นก็อยากจะลุกขึ้นมา แต่ลุกขึ้นมาไม่ไหวเลย สุดท้ายเลยได้แต่มองไปทางฉินเฟิง
พยุงฉันขึ้นมาหน่อย
ทำไมล่ะ
ทั้งสองตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาทั้งสองนั้นเป็นคู่กัดกันตั้งแต่แรก เลยด่าทอถกเถียงกันมาตลอด ก่อนหน้านี้เธอมีความสุขบนความทุกข์ของฉินเฟิง เมื่อครู่ฉินเฟิงเองก็เอากระเป๋าส่งคืนให้หัวขโมย
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น เป็นศัตรูแต่ก็เป็นเพื่อนกัน
ช่างเถอะ
ฉินเฟิงมองท่าทีน่าสงสารของหลิวลานเมิ่ง พลางส่ายหัว ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ก็เป็นเพื่อนสนิทของภรรยาตัวเอง เห็นแก่ภรรยาตัวเอง ฉินเฟิงเลยเดินเข้าไปหา
นี่ จับมือฉัน อย่ามาโดนตัวของฉันนะ จะให้ดีก็ออกห่างจากฉันหน่อย อย่าให้ภรรยาของฉันเข้าใจผิด
หลิวลานเมิ่งมองมือของฉินเฟิงที่ยื่นออกมา ตอนแรกที่ได้ยินประโยคแรก ก็รู้สึกซึ้งใจเล็กน้อย แต่เมื่อได้ยินประโยคหลัง ก็ด่าออกมาทันที คุณคิดว่าฉันอยากจะเข้าใกล้คุณมากเหรอ
แต่ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ว่าเธอก็ยังจับมือของฉินเฟิง
ถึงอย่างไรถ้าไม่จับตอนนี้ คงจะกลับไปไม่ได้แล้ว
ระหว่างที่กลับบ้าน ฉินเฟิงเดินอยู่บนถนน ด้วยใบหน้ารังเกียจ หลิวลานเมิ่งก็ดึงเสื้อผ้าของฉินเฟิง แล้วก็มีใบหน้ารังเกียจเหมือนกัน แถมยังพูดอย่างโหดร้าย ฉินเฟิง คุณคิดว่าวันนี้มาช่วยฉัน ฉันจะตกลงเรื่องของเสี่ยวซินกับคุณ เป็นไปไม่ได้หรอก คุณต้องรู้จักตัวตนของตัวเอง คุณเป็นเพียงผู้รักษาความปลอดภัย แต่ตัวตนของเสี่ยวซินนั้น เป็นถึงประธานของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ตัวตนของพวกคุณทั้งสอง มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ยอมแพ้เถอะ
หลิวลานเมิ่งโน้มน้าวอย่างอดกลั้น
เธอยอมรับทั้งหมด ว่าฉินเฟิงไม่เหมาะกับอิ่นซิน
อ๋อ
ฉินเฟิงตอบเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก
หน้าด้านจริงๆ
หลิวลานเมิ่งเห็นว่าตัวเองพูดอยู่นาน แต่ฉินเฟิงก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรเลย แต่พูดออกมาแค่นิดเดียว
แต่เพียงไม่นาน หลิวลานเมิ่งก็ถึงบ้านแล้ว
มันไม่ใช่บ้านพักที่สวยหรูดูแพงอะไร แต่เป็นเพียงอพาร์ตเมนต์เช่าธรรมดาๆ เท่านั้น สภาพแวดล้อมก็ไม่ได้ดีมาก มันไม่เหมาะกับหลิวลานเมิ่ง ที่เป็นถึงหัวหน้าหน่วยประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
แม้โบนัสจะถูกหักไปแล้ว แต่เงินเดือนตามปกตินั้น ฉินเฟิงก็ไม่ได้หักอะไร และมันก็ไม่น้อยเลย
นี่บ้านฉันเอง เข้ามาดื่มน้ำก่อนเถอะ
ถึงจะคิดว่าฉินเฟิงไม่เหมาะกับอิ่นซิน แต่ถึงอย่างไรก็ได้พยุงเธอ กลับมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องดื่มน้ำสักแก้ว
อือ
ฉินเฟิงพยุงเขาขึ้นชั้นบนไป
หลังจากที่ขึ้นด้านบนไป ก็พบว่าที่ประตูห้องของหลิวลานเมิ่งนั้น มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ อายุราวๆ หกสิบกว่าปี ผมยุ่งเหยิง ใส่เสื้อสีเทา บนใบหน้าก็มีความเสื่อมเสียอยู่
คุณมาได้อย่างไร?
หลิวลานเมิ่งมองคนคนนี้ แล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป
ลูกสาว
ส่วนชายคนนั้นก็ลุกขึ้นมา แล้วก็มองหลิวลานเมิ่ง ในตาก็มีความอ่อนโยน แม่ของคุณให้ฉันมาขอเงินคุณหน่อย บอกว่าน้องชายคุณจะแต่งงานแล้ว ยังไม่มีห้องอยู่ เลยอยากให้คุณให้สักสองแสน
เธอไม่ใช่แม่ฉัน
ดวงตาทั้งสองของหลิวลานเมิ่ง เต็มไปด้วยความเกลียดชัง หลิวฉวนจง ตอนนั้นคุณกับผู้หญิงคนนั้นเล่นชู้กัน แล้วถูกแม่ฉันจับได้ จากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุกับแม่ฉัน คุณก็ได้หย่าอย่างที่ใจอยาก แล้วทิ้งฉัน ก่อนจะไปสร้างครอบครัวใหม่ ส่วนน้องชายคนนั้น เป็นลูกของคุณกับหญิงคนนั้น เกี่ยวอะไรกับฉัน
ฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ ก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
อิ่นซินเคยพูดถึงเรื่องของหลิวลานเมิ่ง ตอนนี้เป็นเพื่อนบ้านของพวกเขา แต่ว่าสิบปีก่อน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกับบ้านของหลิวลานเมิ่ง แม่ของเธอเกิดอุบัติเหตุ จากนั้นทั้งครอบครัวก็หย่ากัน
พอสร้างครอบครัวใหม่ ก็ไม่เอาเธอไว้แล้ว ยังดีที่ตอนนั้นหลิวลานเมิ่งโตแล้ว เลยตั้งใจเรียนและทำงาน บวกกับเงินทุนการศึกษา เลยเรียนจบมหาวิทยาลัยมาได้
จากนั้น ก็ออกจากเมืองเจียงเฉิงไปที่จิงตู
ลูกสาว จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไร แกก็เป็นลูกแท้ๆ ของฉัน จะลืมพ่อไม่ได้นะ ครั้งนี้ผู้หญิงคนนั้นบังคับให้ฉันมาขอเงินจากคุณ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ให้ฉันกลับไป แบบนี้ คุณสงสารฉันหน่อย ได้ไหม?
หลิวฉวนจง ก็คือพ่อของหลิวลานเมิ่ง มีใบหน้าที่น่าสงสาร
ทั้งเนื้อทั้งตัวก็สกปรก
แล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน
หลิวลานเมิ่งขมวดคิ้วแน่น ตอนนี้เธอถูกครอบครัวนี้ทิ้งไป ตอนนี้ยังมาหาเธออย่างหน้าไม่อายอีก
คุณพูดแบบนี้ไม่ได้นะ นั่นมันน้องชายเลยนะ
หลิวฉวนจงร้อนใจ เลยมองไปทางฉินเฟิงทันที นายคนนี้ เห็นว่าคุณเป็นแฟนของลูกสาวฉัน เรื่องการแต่งงานของพวกคุณฉันก็อนุญาตแล้ว คุณช่วยฉันโน้มน้าวลูกสาวฉันหน่อย แค่สองแสนเอง นั่นมันน้องเธอนะ
เขาเอาเรื่องแต่งงานมาพูด ให้ฉินเฟิงโน้มน้าว
แต่ฉินเฟิงนั้นพูดเสียงเย็นชา ช่วยคุณงั้นเหรอ?ให้ตายก็ไม่มีทางทำหรอก คุณน่าจะเคยได้ยินคำโบราณ ถ้าแก่แล้วไม่ตายก็ต้องไปเป็นโจรขอเขากิน มันหมายถึงคนอย่างคุณนั่นแหละ
หลิวหลิน
ฉินเฟิงอึ้งไป เขาคิดไม่ถึงเลย ว่าจู่ๆ จะมีหลิวหลินโผล่ออกมาท่ามกลางผู้คน แถมยังมีในหน้าอาฆาต พลางมองเขาราวกับว่าอยากจะกินเขาเข้าไปสดๆ เลยล่ะ
ไปขัดใจผู้หญิงคนนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
ฉินเฟิง ฉันก็คิดว่าคุณเป็นนักบุญจริงๆ เสียอีก ไม่มีช่องโหว่อะไรเลย แต่ตอนนี้ถูกฉันจับได้แล้ว คุณชนคนเข้า ยังไม่เตรียมไปพยุงอีก นี่มันเลวถึงขีดสุดจริงๆ หลิวหลินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
อันที่จริง เธอตั้งใจมาข้ามถนนตรงนี้
เพราะเธอไม่ยอมเลย และก็คิดมาตลอดว่าฉินเฟิงนั้นเป็นรุ่นที่สองที่ทำแต่เรื่องเลวร้าย ตอนนี้ซ่อนตัวเอาไว้ ก็เพื่อทำเรื่องเลวร้ายอะไร ดังนั้นเธอเลยอยากจะจับฉินเฟิงเข้าไปให้ได้
เพียงแค่จับเข้าไปได้แล้ว ก็จะทำเรื่องชั่วไม่ได้อีก
ดังนั้น เธอเลยตั้งใจเปลี่ยนทางกลับบ้าน โดยการมาอ้อมที่นี่ ทุกครั้งที่กลับบ้าน ก็จะกลับไปด้วยเส้นทางเดียวกับฉินเฟิง และจะได้สังเกตฉินเฟิงระหว่างทางไปด้วย
แต่ขนาดเธอเองก็คิดไม่ถึง ว่าจะหาช่องโหว่เจอจริงๆ
เลยหาฉินเฟิงเจอแล้ว!
ในที่สุดก็จับรุ่นที่สองนี้เจอแล้ว
ใช่ๆ คนคนนี้ไม่เคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ฉันข้ามถนนอยู่ดีๆ เขาเห็นแต่ก็ไม่หลบให้ แถมยังปรี่เข้ามาทันที โอ๊ย ขาฉัน เจ็บจังเลย กระดูกแก่ๆ ของฉัน คงจะเดินไม่ไหวแล้ว
คนแก่ที่อยู่ที่พื้นนั้น ร้องห่มร้องไห้โวยวายอีกครั้ง
มันทำให้คนรอบๆ ยิ่งเห็นใจเข้าไปใหญ่
โดยเฉพาะหลิวหลิน แววตาที่มองไปทางฉินเฟิง มันดูไม่มีความเมตตายิ่งกว่าเดิม คุณนั่นน่ะ คุณกล้ามากลั่นแกล้งคนแก่ เมืองเจียงเฉิงของพวกเรามีคนเลวแบบคุณได้อย่างไร
ในตอนนั้น ฉินเฟิงลงมาจากจักรยานคันเล็ก ก่อนจะเดินมาอยู่ต่อหน้าคนชราคนนั้น แล้วชี้ไปที่หลิวหลิน พลางพูดเสียงต่ำ รู้ไหมว่าคนคนนี้เป็นใคร?
คนดี ไม่ได้เลวเหมือนคุณหรอก คนชราคนนั้นพูดด้วยความน่าสงสาร
ก่อนจะผลักฉินเฟิง ไปทางกลุ่มคนที่อยู่ตรงข้าม
นั่นสิ พวกเราเป็นคนดีที่ออกมาช่วย ไม่เหมือนคุณ เห็นคนแก่ก็ไม่หลบให้ แถมยังมาชนอีก คุณไม่ดูหน่อยเหรอว่าเขาอายุเท่าไหร่แล้ว
คนหนุ่มสาวเดี๋ยวนี้ ไม่มีความอดทนเลย รอนิดหน่อยก็ไม่ได้
เห้อ ไร้คุณธรรม โลกก็ตกต่ำ คนยุคนี้ เป็นยุคแห่งการล่มสลายจริงๆ
มีคนมากมายด่าฉินเฟิง
แต่ฉินเฟิงไม่ได้สนใจคำพูดของพวกเขา แต่กลับมองคนชราคนนั้น พลางพูดหลอกล้อ ผู้หญิงคนนี้ ชื่อหลิวหลิน เป็นหัวหน้าทีมของตำรวจอันดับหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง
ฉินเฟิง คุณจะบอกว่าตัวตนของฉันมันทำไม……
หลิวหลินสงสัย เพราะไม่รู้ว่า ทำไมฉินเฟิงต้องบอกตัวตนของเธอ เพราะเธอจะมาเพื่อจับฉินเฟิง
แต่ยังไม่ทันรอให้เธอพูดจบ ก็ต้องอึ้งไป เพราะเธอเห็นคนแก่คนนั้นลุกขึ้นมาจากพื้น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากนั้น ก็หนีไป
หนีไป……เร็วเหมือนโบยบิน
จากนั้น ในกลุ่มคนนั้น ก็มีคนวิ่งไป ขนาดหมอคนนั้นยังหนีไปเลย
……
กลุ่มคนในนั้นก็เงียบอย่างประหลาด พลางสบตากันก่อนจะพากันงงเป็นไก่ตาแตก ไม่ได้บาดเจ็บ จนกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ เลยเหรอ
นี่ มีธุระหรือไง?
วิ่งเร็วกว่าพวกวัยรุ่นอีก
ตอนนี้คุณน่าจะเข้าใจแล้วนะ แต่ก็ต้องขอบคุณมาก ชื่อเสียงความเป็นตำรวจของคุณ มันทำให้คนที่ตั้งในให้รถชนเพื่อเอาเงินของเมืองเจียงเฉิง ได้ฟังก็ต้องกลัว
ฉินเฟิงหยุดอยู่ข้างกายหลิวหลิน พลางส่ายหัว
คนธรรมดา พวกเขาสามารถพบเจอพวกคนที่จะเอาเงินเลยตั้งใจให้โดนรถชน แต่การได้เจอตำรวจนั้นไม่เหมือนกันแล้ว เพราะมันจะยุ่งยากกว่าเดิม แล้วถ้าได้เจอหลิวหลิน ก็ต้องวิ่งหนีไปแล้ว
คนคนนี้เป็นหญิงผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ
ครั้งก่อนฉินเฟิงได้ข่าวเกี่ยวกับหลิวหลิน บอกว่าคนร้ายกระดูกหักไปห้าท่อน เพราะการตามจับกุมของหลิวหลิน ตอนที่คนร้ายฟื้นขึ้นมาก็พูดว่า ฮือๆ ฉันยอมรับผิดแล้วๆ ให้หลิวหลินออกห่างไปจากฉันหน่อย
ดังนั้นคนเลวในเมืองเจียงเฉิง ยังกลัวหลิวหลินทั้งนั้น
แต่พูดจริงๆ ฉินเฟิงเองก็ไม่คิดว่าผลมันจะดีขนาดนี้
เอาล่ะ สำหรับคนมีคุณธรรมนั้น จะได้เจออีกในอนาคต
ฉินเฟิงโบกมือ จากนั้นก็ขึ้นรถจักรยานเล็กๆ ไป ก่อนจะออกไปอย่างช้าๆ
ส่วนคนกลุ่มนั้น ก็มองกันไปมา สุดท้ายก็จากไปอย่างเขินอาย พวกเขาเป็นคนที่เข้ามามุงดูข้างนอกสุด เลยไม่รู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เห็นคนอื่นพูดก็พูดตาม เลยคิดว่าฉินเฟิงทำผิดจริงๆ
แต่คิดไม่ถึงเลย ว่าสุดท้ายจะเป็นการให้ร้ายฉินเฟิงเสียแล้ว
เลยจากไปอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
แต่ว่า คนที่ทำเรื่องใหญ่โตแบบนี้ ก็คือหลิวหลิน ในตอนนั้นเอง เธอหน้าแดงทั้งหน้า มือทั้งสองก็กุมกันขึ้นมา ก่อนจะแน่นอกไปด้วยความโกรธ
ฉันแพ้อีกแล้ว
ครั้งนี้เข้าใจฉินเฟิงผิดแล้ว โอ๊ย ฉัน……ฉัน……ฉัน……กรี๊ด……
หลิวหลิน……คุณอยากจะจับฉินเฟิงตลอดเวลาเลยใช่ไหม……จนแทบจะไม่ปกติแล้ว……กลง่ายๆ แบบนี้ก็มองไม่ออก?เรียนการทำงานมาตั้งเก้าปี แล้วก็เรียนในโรงเรียนตำรวจอีกสี่ปี เสียเปล่าหมดแล้วหรอ?
หลิวหลินรู้สึกช้ำในใจ มันขมขื่นจริงๆ
ตอนแรกเธอเผชิญกับฉินเฟิง ก็แพ้หลายรอบแล้วแต่ก็ยังสู้ต่อ ไม่เคยชนะเลยแม้แต่น้อย การที่จะแพ้นั้น เธอยังรับได้ แต่ครั้งนี้เข้าใจฉินเฟิงผิดไป ตัวเองเลยกลายเป็นคนช่วยฆาตกรแทน
ถ้าไม่ใช่ว่าฉินเฟิงพูดตัวตนของเธอออกไป เธออาจจะช่วยคนเลวทำเรื่องร้ายๆ ก็ได้
ครั้งนี้ก็ถูกฉินเฟิงสั่งสอนให้อีกแล้ว
รู้สึกแย่จริงๆ เลย
โอ๊ย
หลิวหลินโกรธขึ้นมา ในใจก็อึดอัดเป็นอย่างมาก สุดท้ายเลยพูดเสียงดังออกมา ฉินเฟิง ครั้งนี้ฉันเข้าใจคุณผิดไป เป็นความผิดของฉันเอง ฉันคิดบุญคุณของคุณ ฉันจะต้องตอบแทนคุณให้ได้
น่าเสียดาย ที่ฉินเฟิงนั้นจากไปแล้ว
แต่ถนนเส้นนี้ เป็นเส้นที่พวกเขาไปนั้น เธอเองก็ต้องกลับไปจากทางนี้เหมือนกัน
ส่วนฉินเฟิงที่กำลังเดินอยู่บนถนน ก็เห็นว่าด้านในมีชายใส่ชุดคลุม แล้วก็ใส่หมวก ในมือมีกระเป๋าถือ กำลังวิ่งอย่างสุดกำลัง
ดูท่าทีเหมือนหัวขโมย
ไอ้กระจอก มองอะไร ไสหัวไป
เมื่อชายคนนั้นเห็นว่าฉินเฟิงอยู่ด้านหน้า ก็รีบหยิบมีดสั้นออกมา ก่อนจะแกว่งอยู่ด้านหน้า เพื่อจะให้ฉินเฟิงถอยไป ถ้าเกิดเป็นคนปกติ เมื่อได้เห็นแบบนี้ ก็ต้องถอยออกห่างด้วยความตกใจแล้ว
แต่ทว่า ฉินเฟิงนั้นเย็นชา ก่อนจะเตะออกไป
เพียงแรงเตะทีเดียว
ก็เตะโดนคางของหัวขโมยพอดี จากนั้นหัวขโมยก็กระเด็นไป มีดสั้นและกระเป๋าถือในมือก็ตกลงสู่พื้น สุดท้ายก็เกิดเสียงตุ้บขึ้น พลางตกลงมาฟาดกับพื้น
ฟันก็หลุดออกมาสองซี่
ครั้งหน้า อย่าไล่ให้คนไสหัวไปพร่ำเพรื่อ บางคน เขาก็สู้เป็นนะ
ฉินเฟิงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะหยิบกระเป๋าใบนั้นขึ้น แล้วก็เตือนหัวขโมยคนนั้น
ครับๆ
หัวขโมยคนนั้นเอามือกุมฟันเอาไว้ ด้วยใบหน้าเจ็บปวด เขารู้ว่าเขาเจอกับคนจริงเข้าแล้ว
แต่ว่า ในตอนนั้นมีหญิงคนหนึ่งวิ่งตามมา หายใจหอบ ก่อนจะวิ่งพลางพูดว่า หัวขโมย รีบจับหัวขโมยคนนั้นเร็ว เธอเอากระเป๋าของฉันไป
เห้อ หยุดได้แล้ว ฉินเฟิง คุณเป็นคนขวางให้นี่เอง
เมื่อมาถึง หญิงคนนั้นก็พบว่าฉินเฟิงเป็นคนขวางให้ กระเป๋าของเธอยังอยู่ในมือของฉินเฟิง
หลิวลานเมิ่ง
ฉินเฟิงมองผู้หญิงคนนั้น ก็เห็นว่าเป็นหลิวลานเมิ่งพอดี มุมปากเลยกระตุกขึ้นก่อนจะเอากระเป๋านั้นคืนให้หัวขโมย เปล่า คุณดูผิดแล้วล่ะ ฉันไม่ได้ขวางไว้
หลังจากที่ยัดมันให้กับหัวขโมยแล้ว ฉินเฟิงก็เตือนขึ้น วิ่ง เร็ว วิ่งเร็วเข้า แล้วก็เลี้ยวไปทางด้านซ้ายของถนน มันมีซอยมากมาย หนีได้ง่ายมาก อย่าให้ถูกจับได้นะ
อันที่จริง บางครั้งคุณก็น่ารักดี ไม่ใช่แค่เป็นผู้หญิงที่สง่างาม
ฉินเฟิงยิ้ม เขากลับมาสักพักแล้ว เพราะอิ่นซินกินโจ๊กอยู่ มีท่าทางเซ่อซ่านิดหน่อย เขาก็ไม่ได้ขัดจังหวะ และพบว่าเธอก็น่ารักดี
ปกติเป็นผู้หญิงสง่างามที่เย็นชาจอมเผด็จการ ตอนนี้ถูกเปิดเผยหมดแล้ว
วางใจได้ ค่อยๆกิน ผมกลับมาเอาของน่ะ ไปทำงานแล้ว
ฉินเฟิงหันหลังและเดินจากไป
เขายังมีอีกตำแหน่งหนึ่ง คือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
โธ่
อิ่นซินถอนหายใจอีกครั้ง กัดฟันเล็กน้อย มีความขุ่นเคืองในดวงตาเล็กน้อย: ฉินเฟิง ทำไมคุณทำอาหารอร่อยขนาดนี้ ฉันอยากเลิกรักคุณ แต่ไม่รู้ทำไมคุณถึงมีความสำคัญในใจฉัน
เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้
แต่ครั้งหน้าแล้วกัน ครั้งหน้าจะต้องเย็นชาใส่คุณ วันนี้กินอิ่มก่อน อืม กินอิ่มก่อน
อิ่นซินกินไปแล้วสามถ้วย
แต่เธอยังคงเป็นประธานบริษัทผู้หญิงคนหนึ่ง เอาแต่ใจตัวเองหน่อยก็พอแล้ว สามารถทำองค์กรขนาดใหญ่ได้ ตัดสินใจได้ เป็นไปไม่ได้หากพูดว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเลย ไม่แยแสฉินเฟิง สิ่งนี้ดีสำหรับทั้งสองคน
ตอนนี้รักลึกซึ้งมากแค่ไหน
ถ้างั้น 5เดือนหลังจากนี้ ทั้งสองคนแยกทางกันจะทรมานแค่ไหน
ตอนบ่ายฉินเฟิงไปทำงานแล้ว แต่เขารับต่อมาจากอ้ายเสี่ยวซี ตอนบ่ายอิ่นซินไปบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดแล้ว แม้ว่าขอบตาคล้ำนิดหน่อย แต่ก็ถือว่ายังพอมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
ถือว่าเป็นเรื่องดี
พี่ฉิน เลิกงานแล้ว
ตอนที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผ่านมา เขามองไปที่ฉินเฟิงด้วยสีหน้าที่เป็นห่วง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่น ก็เห็นจนชินจนไม่รู้สึกประหลาดแล้ว
อันที่จริง จะโทษเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไม่ได้ ในความจริงครั้งก่อนเขาไปรายงานหลิวลานเมิ่ง จากนั้นผู้บริหารระดับสูงก็มอบเงินโบนัสก้อนโตให้ แล้วก็ทำให้เขาปลื้มปีติทันที
รู้ว่าหลิวลานเมิ่งล่วงเกินฉินเฟิง ถึงจะเกิดเรื่องทั้งหมดนี้
ดังนั้น ตั้งแต่นั้นมา เขาจับตามองหลิวลานเมิ่งทุกวัน รายงานเป็นระยะ เป็นระยะ ก็เหมือนวันนี้ เขารายงานเป็นครั้งที่สามแล้ว
ถ้าฉินเฟิงไม่บอกให้ทำเหมือนปกติ ไม่แน่เขาก็อาจจะมาไถ่ถามทุกข์สุขตั้งนานแล้ว
อืม
ฉินเฟิงโบกไม้โบกมือ เลิกงานแล้ว ทันใดนั้นก็เดินออกไป เจอจักรยานคันเล็กแล้วและขี่มันไป
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอยู่ห่างจากตระกูลอิ่นอยู่พอสมควร ถ้าหากนั่งรถบัส เป็นช่วงเวลาที่คนเลิกงานส่วนใหญ่ คนจะเยอะมาก ในทางกลับกันการขี่จักรยานคันเล็กจะสะดวกกว่าหน่อย
ลมโชยพัดผ่านมา
ในช่วงชีวิตทหาร มีเพียงเลือด ศพ เสียงตะโกนไปทั่วท้องฟ้า สายลมพัดผ่านส่งกลิ่นคาวเลือดโชยมา
ชีวิตที่ว่างเปล่าเช่นนี้กลับเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่ง
โธ่เอ๋ย
จนกระทั่งเสียงคร่ำครวญเก่าแก่ ดังขึ้นตรงหน้าของฉินเฟิง
……
ฉินเฟิงมองไปยังด้านหน้าของจักรยานคันเล็ก คนที่นอนอยู่บนพื้น สวมชุดเก่าทั้งตัว ดูแล้วเป็นชายวัย 50-60 ปี นอนอยู่บนพื้น จับขาตัวเอง สีหน้าทรมาน
แวบแรก คิดว่ามันเป็นเรื่องจริง
แต่ว่า รถของฉินเฟิงไม่ได้ชนกับชายชราคนนี้ ชายชราคนนี้เข้ามาใกล้ก่อน จากนั้นก็นอนลง
ลุง ฉันไม่เข้าใจ คุณไปชนคนรวยเหล่านั้นไม่ได้หรือไง ฉันขี่จักรยานคันเล็กนิดเดียว คุณก็จะมาต้มตุ๋นกัน? คุณเอาจริงเหรอเนี่ย?
มุมปากของฉินเฟิงกระตุกเล็กน้อย
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นพวกต้มตุ๋น
แต่เขาแต่งตัวจนอยู่แล้ว และขี่จักรยานคันเล็กๆ นี่ก็จะมาต้มตุ๋นกันงั้นเหรอ?
เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า
คนสมัยนี้ต่างก็ฉลาดกันหมด บนรถมีกล้องบันทึก ไม่สามารถนอนลงได้ คนอย่าง
พวกคุณนี่แหละที่ง่ายต่อการแสร้งวิ่งชนหวังเรียกเงินค่าเสียหายได้ดีที่สุด วางใจเถอะ ฉันมืออาชีพ หนึ่งหมื่นสองพัน ไม่รับเกินไปกว่านี้ ชายชรากะพริบตากระซิบกับฉินเฟิง
ต่อมา ก็เริ่มร้องไห้ขึ้น พยายามร้องไห้คร่ำครวญ: อ๊า….เจ็บอ่ะ โดนชนแล้ว โดนชนแล้ว เท้าของฉัน ขาของฉัน เจ็บมาก ช่วยด้วย……
เพราะชายชราอายุ 50 ปี ดูค่อนข้างน่าสงสาร จึงดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาที่นี่ทันที
พ่อหนุ่ม ทำไมคุณทำแบบนี้ ฉันเห็นกับตาว่าชายชราข้ามถนน คุณก็ไม่ยอมให้เขาไป ก็ขับตรงไปเลย คุณหมายความว่ายังไง จะฆ่าเขาเหรอ?
ไม่เคารพคนแก่ ประเทศต้าหัวของเราทำไมมีคนอย่างคุณด้วย ขาดศีลธรรม
ฉันเป็นหมอ อาการบาดเจ็บนี้ ค่อนข้างสาหัสเลยจริงๆ พ่อหนุ่ม ถ้าวันนี้คุณดูแลคุณลุงไม่ดี พวกเราก็จะไม่ให้คุณไป คุณต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำ
หลายคนในนั้นกล่าวหาฉินเฟิง มีแม้กระทั่งคนที่เรียกตัวเองว่าหมอ ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้ว บอกว่ามีปัญหาหนัก ต้องไปแอดมิทที่โรงพยาบาล
ทันใดนั้นก็ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อ และประณามฉินเฟิง
ไม่เป็นมืออาชีพเอาซะเลย หรือว่าเป็นแก๊งต้มตุ๋น
คนหนึ่งรับผิดชอบนอนลง จากนั้นก็ทำตัวน่าสงสาร ให้คนอื่นเวทนา และก็มีสองสามคนอยู่ใกล้ๆ และบอกว่าเห็นกับตาว่าฉินเฟิงเป็นคนชน แล้วก็เรียกตัวเองว่าหมอ บอกว่าอาการบาดเจ็บสาหัส
มุกนี้แนบเนียนมาก
คนเดินผ่านไปมาแถวนี้ฟัง ต่างก็รู้สึกฉินเฟิงทำเรื่องไม่ดี ชนคนแก่ แล้วจากไปอย่างไม่สนใจใยดีทันใดนั้นก็ขวางทางฉินเฟิงทันที
ฉินเฟิงมองก็รู้แล้ว ว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้ก่ออาชญากรรมครั้งแรก
มีฝีมือมาก
แต่ในตอนนี้ มีเสียงหัวเราะดังมาจากข้างๆ: ฮ่า ๆ ฉินเฟิง คุณซวยแล้วล่ะ พอเลิกงานก็เจอเรื่องแบบนี้อีก
หลิวลานเมิ่ง?
ฉินเฟิงเอียงหน้ามอง ท่ามกลางฝูงชนที่อยู่ด้านข้าง ผู้หญิงใส่กระโปรงลายสก๊อต นั่นก็คือหลินลานเมิ่ง ซึ่งเป็นใบหน้าที่หัวเราะร่า เห็นได้ชัดว่ารู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
จริงสิ ฉันเพิ่งถ่ายเหตุการณ์เมื่อกี้ไป พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณ แต่ว่า…
หลินลานเมิ่งแกว่งโทรศัพท์ จากนั้นก็กะพริบตาอย่างเจ้าเล่ห์ : แต่ว่า ฉันไม่อยากให้คุณเลย คุณก็เสียเวลาอยู่ที่นี่ไปเถอะ ฉันไปก่อนละ ฮ่า ๆ ฉันกลับไปหัวเราะเยาะคุณกับเสี่ยวซินดีกว่า
รู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
เธอยิ้มไม่หุบตลอดทาง ความหดหู่ในใจก็สลายไปในทันที เดิมทีตลอดในช่วงเวลานี้ มักจะตกเป็นเป้าหมายของผู้อื่นอย่างอธิบายไม่ถูก โบนัสสิ้นปี โบนัสครึ่งปี โบนัสรายไตรมาส โบนัสรายเดือน โบนัสปลายปีหน้า….โบนัสประจำเดือนปีหน้าก็ถูกหักทั้งหมด
ทำให้เธอเศร้าใจไม่หยุดหย่อน
ที่สำคัญก็คือ ตั้งแต่หัวจรดเท้า เธอไม่รู้ว่าตัวเธอไปล่วงเกินใครไว้
ถูกโจมตีอย่างอธิบายไม่ถูก
แต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว เห็นฉินเฟิงเป็นแบบนั้น อารมณ์ของเธอก็ดีขึ้นบ้างแล้ว อันที่จริงเธอไม่มีคลิปที่คุณลุงวิ่งให้รถชนเพื่อเรียกค่าเสียหาย แค่พูดยั่วโมโหฉินเฟิงเท่านั้น
ความสัมพันธ์ของคนสองคนได้หมดไปครั้งก่อนแล้ว เขาไม่ได้ติดค้างฉินเฟิงแล้ว
ดูถูกฉินเฟิงมาโดยตลอด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่ำต้อยคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเพื่อนสนิทที่อ่อนดั่งดอกไม้ประณีตดั่งหยกล้ำค่า ไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด
ดังนั้นฉินเฟิงถูกหลอก เธอถึงจะมีความสุขขนาดนั้น รู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
แต่ เธอไม่รู้ว่าในอนาคตของตัวเองจะต้องลำบากอีกแน่
ฉินเฟิงมองหลิวลานเมิ่งจากไป รู้สึกว่าไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร อย่างมากก็แค่หักโบนัสในปีถัดไป เรื่องใหญ่กว่านี้หน่อย จริงๆเขาไม่ได้ผูกพยาบาท
แต่ตอนที่เขากำลังจะแก้ปัญหาตรงหน้านี้
มีคนกระโดดออกมาจากฝูงชนข้างนอก สวมชุดกีฬาสีดำ ผู้หญิงที่มีรูปร่างที่สง่างามมาก ใบหน้าตื่นเต้น พูดกับฉินเฟิงว่า: ในที่สุด ในที่สุดฉันก็หาหลักฐานการกระทำความผิดของคุณได้แล้ว ฉินเฟิง ครั้งนี้ฉันจะจับคุณ
จะฆ่าฉัน แกกล้าเหรอ!
แววตาที่โหดเหี้ยมปรากฏขึ้นในดวงตาของจางว่าน
ไม่ว่ายังไงตัวเองก็เป็นรองหัวหน้าบอดี้การ์ดมังกรเมืองเจียงเฉิง หลานชายของท่านสามจาง ต้าตาวคนนี้กล้าฆ่าเขาเหรอ?
ฆ่า
แต่ว่า นำมาซึ่งน้ำเสียงที่เย็นชาของต้าตาว
ครับ
คนนับหลายร้อยคน ร้องโห่พร้อมเพรียงกัน ถือมีดเล่มใหญ่ในมือ เดิมทีเป็นผู้คนจากโลกใต้ดิน การต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดา ทันใดนั้นก็จะฆ่าพวกจางว่านและคนเหล่านั้น
กล้าจริงด้วย!
จางว่านอึ้ง ต้าตาวคนนี้บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว
หยุด พวกเราออกไปเดี๋ยวนี้ จางว่านรีบตะโกน
พวกเขามีเพียง 100 คน และอีกฝ่ายมี 500 คน หลังจากเวลาผ่านไป พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บกี่ราย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือไม่แน่เขาอาจจะออกไปไม่ได้
ทำได้แค่อ่อนลงเท่านั้น
หยุดเถอะ
ฉินเฟิงให้สัญญาณมือ
เขาไม่อยากให้ หน้าบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ทำอะไรที่เกิดการเปื้อนเลือด นี่คือที่ของภรรยาของเขา
รับทราบ
ลูกน้องเหล่านั้นหยุดการกระทำ
ต้าตาวออกคำสั่งที่เด็ดขาดกับลูกน้อง คำสั่งของฉินเฟิงก็คือคำสั่งที่แท้จริง
เวรเอ๊ย
จางว่านแอบสบถ แค้นใจต้าตาว และพูดว่า: ไป
ไอ้เดฌกน้อย ยังถือว่าโชคดี แต่ที่เมืองเจียงเฉิง ไม่ได้มีเพียงการใช้กำลังในการกำหนดทุกอย่างหรอกนะ หวงจงยิ้มอย่างเย็นชา ชี้ไปที่หัวของตนเอง
แสดงให้รู้ว่าต้องหัดใช้สมอง
ที่จริงก่อนหน้านี้เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะมีความเกี่ยวข้องกับคนในสังคมอิทธิพลมืด แต่เขารู้ว่าฉินเฟิงมีความสามารถในการต่อสู้ อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ ต้าตาวคนนั้นถึงมีส่วนเกี่ยวข้องกันกับฉินเฟิง
โง่จริงๆ
เพราะฉินเฟิงคนเดียว ไปล่วงเกินจางว่าน เสียหายอย่างมาก จางว่านไม่น่ากลัว แต่คนที่น่ากลัวคือท่านสามจางที่อยู่เบื้องหลัง
หลังจากนั้น คนเหล่านี้เดินจากไปอย่างคอตก
พี่ใหญ่
ต้าตาวมาถึงข้างๆฉินเฟิง
ดูเหมือนว่าฉีหยุนจะฝึกคุณมาอย่างดี เห็นผลในไม่กี่วัน ฉินเฟิงเหลือบมองต้าตาว
ไม่เพียงแค่นิสัย แม้แต่บุคลิกลักษณะก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
เปลี่ยนเป็นเข้มแข็งเล็กน้อย
ใช่
ต้าตาวพยักหน้า แต่ในสายตาฉายให้เห็นถึงความกลัว เพราะไม่กี่วันนั้นก็เป็นเพราะปีศาจร้ายอย่างฉีหยุนนั่น พวกเขาเกือบตายอยู่ในภูเขาป่าลึกที่ห่างไกล
แต่เพราะเช่นนี้ มันจึงเริ่มแตกต่างจากพวกอันธพาลทั่วไป
แต่พี่ใหญ่ ต่อไปอาจจะเกิดปัญหาแล้ว จางว่านคนนั้นคือหลานชายของท่านสามจาง ท่านสามจางเป็นรองหัวหน้าบอดี้การ์ดมังกร อย่าดูถูกเชียว
ต้าตาวกล่าวเตือนอย่างเป็นปกติ
แม้ว่าเขารู้ว่าฉินเฟิงสุดยอดมากก็ตาม แต่ในเมืองเจียงเฉิงทุกคนต่างก็รู้ถึงความน่ากลัวของบอดี้การ์ดมังกร
ฉันรู้จักท่านสามจาง ตอนนี้เขาไม่มีทางลงมือกับพวกคุณหรอก
ก่อนหน้านี้ฉีหยุนมอบเอกสารให้ชุดหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวกับท่านสามจางนั่น เขาเป็นผู้จัดการเรื่องกิจการบอดี้การ์ดมังกร มันสมองดีเป็นที่หนึ่ง ไม่มีค่อยสนใจคนอย่างฉินเฟิงหรอก
อีกอย่างเรื่องของต้าตาว ส่วนใหญ่มีเจ้าบาดแผลต้าตาวมาแก้ปัญหา
สังคมอิทธิพลมืดก็มีกฎสังคมอิทธิพลมืด
อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่น่าจะเกิดขึ้น
ถ้ามีปัญหาก็แจ้งฉัน หรือแจ้งฉีหยุน
ฉินเฟิงตบไหล่ของต้าตาว มักจะบอกเสมอว่า ต้าตาวไม่ใช่คนเลวอะไร อีกอย่างวัยเด็กของเขา ทำให้เขาต้องทำหน้าที่ดังกล่าว
อีกอย่างพอทำแล้วก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้
รับทราบ ต้าตาวตอบกลับ
พาคนไป อย่าทำให้คนอื่นตกใจ
หลังจากนั้นฉินเฟิงลงมา ต้าตาวก็พาคนไปแล้ว ตอนนี้บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดถูกปิดล้อมอย่างเป็นทางการแล้ว
เถ้าแก่ คุณสุดยอดมากเลย
อ้ายเสี่ยวซีเห็นคนพวกนั้นไปแล้ว ถอนหายใจอย่างโล่งอก มองฉินเฟิง นัยน์ตาเป็นประกายเล็กน้อย
อีกอย่างคนเหล่านั้น ก็เรียกฉินเฟิงว่าพี่ใหญ่
น่าเกรงขามมาก
ในที่สุดเธอก็เข้าใจสักที ทำไมอิ่นซินถึงยอมรับฉินเฟิง ก่อนหน้านี้เขาไม่เข้าใจเลย มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับฉินเฟิง แต่ไม่มีข้อไหนดีสักข้อเลย ต่างก็ว่าเป็นขอทานบ้าง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต้อยต่ำบ้าง ลูกเขยจนๆแต่งงานเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิงบ้าง ผู้ชายเกาะผู้หญิงกินบ้าง
แม้ว่าเธอมีมารยาท แต่ละคำก็พูดว่าคุณฉิน แต่ในใจของเธอ ก็ดูถูกฉินเฟิงเล็กน้อย รู้สึกว่าฉินเฟิงไม่คู่ควรกับอิ่นซิน
แต่ดูตอนนี้แล้ว ที่แท้ก็เป็นพี่ใหญ่คนหนึ่ง มิน่าล่ะอิ่นซินถึงยอมรับฉินเฟิงได้
เข้าใจหมดแล้ว
โอเค ทำงานต่อเถอะ
หลังจากแก้ปัญหาเสร็จแล้ว ฉินเฟิงก็กลับไป ต้องกลับไปดูแลอิ่นซิน อารมณ์ของอิ่นซินในตอนนี้แปรปรวนมาก
ในเวลานี้ อิ่นซินตื่นพอดี
ปวดหัวมาก โอ๊ย ที่รัก
เพราะหลับนานเกินไป อิ่นซินตื่นมาสิ่งแรกที่รู้สึกคือปวดหัวเล็กน้อย ยกมือขึ้น ทำน้ำเสียงออดอ้อน ต้องการให้ฉินเฟิงช่วยประคองให้
แต่วินาทีต่อมา เธอก็หยุดการกระทำ ดวงตาเบิกกว้างสับสนอย่างเป็นที่สุด: ฉันลืมไปเลย ฉันไล่เขาออกไปแล้วนี่
โธ่
อิ่นซินถอนหายใจยาวๆ รู้สึกร่างกายไม่มีแรง ท้องร้องจ๊อก ๆ หิวแล้ว แต่เธอรู้ว่าตอนนี้ที่บ้านไม่มีอาหาร
เพียงแต่จู่ ๆ เธอก็สังเกตเห็นบางสิ่ง
พูดให้ถูกก็คือ มันเป็นข้อความบนโต๊ะข้างเตียง: ที่รัก เมื่อคืนคุณก็ไม่ได้ทานข้าว เช้าวันนี้ก็ไม่ได้ทานข้าว ตอนนี้อย่ากินของที่มันเลี่ยนเกินไป ในหม้อมีโจ๊ก โจ๊กไข่เยี่ยวม้า ต้มไว้ให้คุณเป็นพิเศษ ระวังร้อนด้วยล่ะ
ลงชื่อ ฉินเฟิง
ติ๊กตอกติ๊กตอก
ทันใดนั้น อิ่นซินรู้สึกว่าดวงตาของเธอชุ่มชื้นอีกครั้ง พูดอย่างทำอะไรไม่ถูก: ฉินเฟิง ทำไมคุณดีกับฉันขนาดนี้ คุณรู้ไหม ฉันค่อยๆตกหลุมรักคุณ แต่ว่า แต่ว่าคุณไม่มีความสามารถ แม้แต่สัญญาก็ทำตามไม่ได้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากกัน ทำไมคุณ ถึงไม่พยายามหน่อย
ความรู้สึกสับสนแผ่ซ่านไปทั่วตัวเธอ
ทันใดนั้นก็ต้องการที่จะนอนและไม่อ่านโน้ตต่อ แต่สักพักก็รู้สึกท้องร้องจ๊อก ๆ หิวแล้วจริงๆ อิ่นซินเบ้ปาก จนในที่สุดก็ลุกจากเตียง
มุ่งหน้าไปยังห้องครัว
อิ่นซินยืนอยู่ที่ห้องครัว มองโจ๊กไข่เยี่ยวม้ามันในหม้อ กลิ่นหอมโชยออกมา ทำให้เธอกลืนน้ำลาย: ฉันกินสักมื้อ น่าจะไม่หลงรักมากขึ้นอีกมั้ง
อืม คงไม่หรอก
อิ่นซินพูดกับตัวเอง จากนั้นก็หยิบถ้วยและเริ่มตักใส่ เธอชอบกินโจ๊กไข่เยี่ยวมากที่สุด จากนั้นก็นั่งลงบนโต๊ะ หยิบช้อนแล้วกินเบาๆ
อร่อย ฝีมือทำอาหารของสามีดีขึ้นเรื่อยๆเลย
อิ่นซินกินคำแรก ก็อดไม่ได้ที่พูดออกมา แต่วินาทีต่อมาถึงตอบสนองได้ว่า พูดถึงสามีอีกแล้ว ไว้วางใจในตัวฉินเฟิงโดยทันที
แบบนี้ไม่ได้
จะยิ่งทำให้หลงรักมากขึ้น
เจ็บสั้นๆดีกว่าเจ็บยาวๆ ดังนั้นเธอจึงกินคำที่สอง คำที่สาม คำที่สี่ คำที่ห้า ….แต่ละคำกินเข้าไป กินอย่างเอร็ดอร่อย ยังไงซะฉินเฟิงก็ไม่อยู่ ไม่รู้หรอกว่าเธอร้องเรียกสามี
เรื่องที่เหลือ กินเสร็จค่อยว่ากัน
หิวแล้ว
จากนั้น เธอกินหมดพอดี และเลียมุมปากของตัวเอง เธอตกตะลึง เพราะเธอพบว่าฉินเฟิงกำลังพิงอยู่ที่หน้าประตู และมองเธออยู่อย่างนี้
ไม่เป็นอะไรก็ดี
หลังจากที่ฉินเฟิงแน่ใจแล้วว่าพวกเขาไม่เป็นอะไร ก็หันหลังกลับ มองไปยังคนเหล่านี้ สุดท้ายก็หันสายตาไปมองที่หวงจง : แกจะทำอะไร?
เขารู้ดีอย่างมาก หวงจงมาเพื่อหาเรื่อง
ฉันมาทำอะไรน่ะเหรอ?ก็ต้องมาเป็นแขกอยู่แล้วนะสิ ฉันเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของอิ่นซินนะ มีมิตรภาพต่อกัน มาเป็นแขก คงไม่แปลกหรอกนะ ส่วนคนเหล่านี้ ล้วนเป็นเพื่อนสนิทของฉัน ฉันเป็นคนพามาเอง แกคงไม่ไล่พวกเราไปหรอกนะ
หวงจงทำท่าทางมีเหตุมีผล ถ้าหากคุณไม่ต้อนรับฉัน งั้นคุณนั่นแหละที่ไม่มีมารยาท
ถ้าหากไม่มีมารยาท งั้นฉันก็ไม่ถือสาที่จะทำอะไรลงไป
มาเป็นแขก?
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว : บังเอิญจัง ฉันก็มีเพื่อนมาเป็นแขกเหมือนกัน ไม่งั้น มาด้วยกันไหม?
แกก็มีเพื่อนมาด้วย?
หวงจงรู้สึกแย่โดยทันที แต่ว่าทันใดนั้นก็คิดได้ว่า ฉินเฟิงก็แค่ลูกเขยจนๆที่แต่งงานเข้ามาอยู่บ้านภรรยาเท่านั้นเอง จะมีเพื่อนอะไรได้ จะสามารถทำอะไรได้ ยิ้มอย่างดูถูกทันที : แล้วแต่แก
โอเค
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว กดโทรออกไป
รอประมาณห้านาทีแล้ว หวงจงค่อนข้างหมดความอดทน พูดขึ้นมาทันทีว่า : ไอ้เด็กน้อย แกยังเรียกคนมาอีกเหรอ แกนี่โง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่ มองไม่ออกเหรอว่านี่มันอยู่ในสถานการณ์แบบไหน?รู้ไหมว่าเพื่อนของฉันเป็นใคร?จางว่าน พี่ใหญ่แห่งถนนหนานแจ เห็นคนพวกนี้ไหม ล้วนแต่เป็นลูกสมุนของพี่ว่านของฉันทั้งนั้น
หวงจงโบกไม้โบกมือ ผู้ชายกว่าหลายร้อยคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
แม้ว่าคนพวกนี้จะยืนอยู่ข้างหลังของจางว่านก็ตาม
และจางว่านที่สวมใส่ชุดดำ จับๆกรอบแว่นของตัวเองแล้ว มองไปที่ฉินเฟิง พูดด้วยความหยิ่งเล็กน้อยว่า : ยอมแพ้การต่อสู้ที่ไร้ความหมายนี่เถอะ ฉันไม่เพียงแค่เป็นพี่ใหญ่แห่งถนนหนานแจ ฉันยังเป็นหลานชายของท่านสามแห่งบริษัทบอดี้การ์ด มังกร จำกัด เพราะงั้นยอมแพ้เถอะ ไม่มีใครมาหรอก ไม่มีใครกล้ามา ที่เมืองเจียงเฉิง มีไม่กี่คนที่กล้ามาล่วงเกินอาสามของฉัน
ท่านสามจางแห่งบอดี้การ์ดมังกร?
ฉินเฟิงมือไพล้หลัง พอที่จะรู้จักคนๆนี้
ครั้งก่อนต้าตาวเคยบอกกับเขาว่า บริษัทบอดี้การ์ด มังกร จำกัดเป็นองค์กรใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเจียงเฉิง ในนั้นผู้มีฝีมือที่รับผิดชอบการต่อสู้เป็นที่เรียกขานกันว่าซ่างเปียวบอดี้การ์ดมังกรมือวางอันดับหนึ่ง
และที่รับผิดชอบติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น ก็เป็นที่เรียกขานกันว่าท่านสามจางแห่งบอดี้การ์ดมังกรเจ้าปัญญาอันดับหนึ่ง
ดังนั้น กลัวแล้ว?ถ้าหากแกยอมมอบสองล้านให้อย่างเชื่อฟัง ฉันก็พอพิจารณาดูได้ว่า ไม่เอาแกถึงตาย ให้แกได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
จางว่านยกแว่นตาขึ้นแล้ว นัยน์ตาปรากฏแสงแห่งความเยือกเย็น
อันที่จริง หวงจงเพียงแค่ให้เขาสั่งสอนฉินเฟิงสักยกหนึ่ง หักแขนสักข้างหนึ่งอะไรทำนองนี้ก็พอแล้ว กลับว่าไม่ได้คิดที่จะฆ่าฉินเฟิงให้ตาย แต่จางว่านก็ไม่ถือสาที่จะรีดไถเงินจากฉินเฟิงสักก้อน
ถึงอย่างไรคนธรรมดาทั่วไปอยู่ในเวลาแบบนี้ เกรงว่าจะตกใจจนไม่รู้จักบันยะบันยังแล้ว
เพียงแต่ว่า มุมปากของฉินเฟิงงอลง : เพราะงั้น คนนั้นที่เรียกว่าท่านสามจางแห่งบอดี้การ์ดมังกร เป็นคนชั่วประเภทเดียวกันกับแก? หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ล้วนแต่ไม่ใช่คนดีอะไร ใช่ไหม ?
คนชั่วประเภทเดียวกัน ไม่ใช่คนดีอะไร?
จางว่านตกตะลึงก่อนเลย ตามมาด้วยนัยน์ตาที่สาดส่องความโมโหออกมา : ไอ้เด็กน้อย คนอย่างแก กล้ามาว่าอาสามของฉัน?แค่ท่านสามพูดออกมา สามารถทำให้แกตายโดยไม่มีที่ฝังศพได้เลยนะ
วันนี้ไม่ต้องถึงท่านสาม ฉันก็สามารถฆ่าแกให้ตายและเอาเถ้ากระดูกของแกไปโปรยทิ้งได้
จางว่านโมโห
แกลองดูสิ
ใบหน้าของฉินเฟิงไม่สะทกสะท้าน
ไอ้เด็กน้อย แกนี่กล้ามากนะ แต่วันนี้อยากลองก็ลองดู ขึ้นไป
จางว่านโบกมือ
สมุนกว่าร้อยคนที่อยู่เบื้องหลังก็ก้าวขึ้นไปแล้ว แต่ว่าในเวลานี้ ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นรอบๆแล้ว ให้พวกเขาหยุดลงครู่หนึ่ง
นี่คือ?
พวกลูกสมุนเหล่านั้น มองไปรอบๆ
ตูม
เสียงของมอเตอร์ไซค์ มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งขับออกมาจากหัวมุมแล้ว ตามมาด้วยคันที่สอง คันที่สาม คันที่สี่ ……ฝุ่นและเขม่าควันลงขึ้นสูง ทำให้คนมองเห็นไม่ชัดเจนว่ามีมอเตอร์ไซค์มากี่คันกันแน่
แต่ว่า ดำมืดสนิท
อย่างน้อยก็มีกว่าหลายร้อยคน
แต่ว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ยังมีเรื่องที่เจ๋งกว่าอีก รถฮัมเมอร์คันแล้วคันเล่าขับมาถึงที่นี่แล้ว สีดำ ท่าทางที่ดุดัน นำมาซึ่งกลิ่นอายแห่งการฆ่า เสียงดังเอี๊ยด รถฮัมเมอร์หยุดลงทันที
ลงมาจากบนรถคนแล้วคนเล่า สวมชุดดำ รูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง
และมีกว่าหลายร้อยคน!
แต่ละคนมีลักษณะที่ดุร้ายโหดเหี้ยมอำมหิต
มีอย่างน้อย 500 คน
จางว่านเห็นฉากนี้ มีเหงื่อเย็นๆไหลบนใบหน้า นี่เป็นกองกำลังของใครกัน 500 คนเต็มๆ อย่างที่รู้พวกเขาตรงนี้มีแค่ 100 คนเท่านั้น
มิตรหรือศัตรู?
ล้อมพวกเขาไว้
วินาทีถัดมา มีเสียงมาจากรถฮัมเมอร์คันหนึ่ง
รับทราบ
ลูกน้องเหล่านั้นต่างจากพวกอันธพาลทั่วไป ไม่มีรอยสักบนร่างกายมากนัก กลับมีความเด็ดเดี่ยวหนักแน่น มีระเบียบ ทันใดนั้นดวงตาปรากฏความดุร้าย ล้อมรอบจางว่านและคนอื่นๆทันที
เวรเอ๊ย ใครกัน?
จางว่านแอบสบถ
คนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังมุ่งหน้ามาหาพวกเขา
ตึง
ประตูรถเปิดออก และชายร่างสูงก็ลงจากรถ
ต้าตาวเป็นแกเองเหรอเนี่ย
หลังจากที่จางว่านเห็นต้าตาว ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คือต้าตาวคนแห่งถนนตงเจียคนนั้นนี่เอง เขาเคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ไม่รู้ว่ามีกำลังคนมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
จากนั้น เขาก็หันไปหาฉินเฟิง ยิ้มมุมปากกล่าว: ฉันก็คิดว่าแกเรียกหาใคร? ที่แท้ก็ต้าตาวคนนี้เอง เหอะ ฉันจะบอกแกให้นะ เขาไม่กล้าล่วงเกินฉันหรอก ฉันเป็นหลานชายของท่านสาม เขาไม่กล้ายุ่งฉันหรอก
ต้าตาว แกถอยไปซะดีๆเถอะ อย่าหาเรื่องให้ลำบากใจเลย
จางว่านมั่นใจ เพราะเขารู้ว่าต้าตาวมีพฤติกรรมอย่างไร ไม่กล้าล่วงเกินเขาหรอก คนเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวก็จะถอยกลับไปอย่างเชื่อฟัง
หวงจงยิ้ม
หาผู้ช่วย จะมีประโยชน์อะไร เดี๋ยวก็ถอยกันไปหมดแล้ว
แต่ทว่า ต้าตาวไม่ได้ถอยไป ไม่แม้แต่จะสนใจจางว่านและหวงจงเลย เดินผ่านฝูงชน เดินมาถึงตรงหน้าฉินเฟิง กล่าวคำนับ: พี่ใหญ่
พี่ใหญ่!
ลูกน้อง 500 คนข้างหลัง ตะโกนพร้อมกัน
เสียงดังสนั่นฟ้า
พี่ใหญ่?
แม้ว่าจางว่านซึ่งเป็นที่รู้จักในด้านการคำนวณคนมาโดยตลอด ก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยในขณะนี้ จางว่านคนนี้เรียกลูกเขยจนๆที่แต่งเข้ามาอยู่บ้านฝ่ายหญิงคนนั้นว่าพี่ใหญ่
อะไรกันเนี่ย
ต้าตาว คุณเรียกเศษสวะนี่ว่าพี่ใหญ่เหรอ? คุณเพี้ยนไปแล้วเหรอ?
จางว่านเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว สีหน้าเหลือเชื่อ
แต่ทว่า
เสียงดังเปรี๊ยะ
ต้าตาวตบหน้าเขาด้วยฝ่ามือไปอย่างแรง ตบเขาที่ยังไม่ทันตั้งตัว หลังจากตอบสนอง รอยตบขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ดูถูกพี่ใหญ่ของฉัน สมควรโดนตบ
ต้าตาวสูงและกำยำ เผยใบหน้าที่โหดเหี้ยม เขาเป็นคนที่เริ่มทะเลาะต่อยตีตั้งแต่เล็กจนโต ตบครั้งนี้ ลงแรงตบไม่เบา ตบจนทำให้จางว่านอึ้งไปเลย
แกกล้าตบฉันเหรอ?
เสียงของจางว่านมีความดุดันหน่อยๆ
ตบแกแล้วยังไง เชื่อไหมว่าวันนี้ฉันจะฆ่าแก ต้าตาวกล่าวอย่างดุร้าย
ในเมื่อเลือกฉินเฟิงแล้ว งั้นก็ต้องไปให้ถึงที่สุด
ฉินเฟิงมองต้าตาว ออร่าค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ไม่กี่วันก่อน ต้าตาวมาบอกเขาว่า เขาต้องการฝึกกับพวกพ้องของเขาสักพัก
ฉินเฟิงก็ให้ฉีหยุนไป
ตอนนี้ดูเหมือนว่า ต้าตาวก็ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ในเมื่อเลือกเขาแล้ว งั้นเขาก็ไม่รังเกียจที่จะมอบโอกาสให้ต้าตาวสักครั้ง
บริษัทบอดี้การ์ด มังกร จำกัด
ยมบาลเจียง
สิ่งที่ใหญ่มหึมาแห่งเมืองเจียงเฉิงนี้ ถูกโค่นล้มแล้ว
……
ฉินเฟิงเงียบขรึมแล้ว มองไปยังอิ่นซินเช่นนี้ ประมาณสามนาทีเต็มๆ ถึงจะค่อยๆเอ่ยปากพูดว่า : ใช่ หลังจากที่MR.Xฆ่ายกครัวตระกูลอู๋ ผมถึงมา ได้ช่วยคุณไว้พอดี
ฉันก็รู้อยู่แล้ว
มุมปากของอิ่นซินเผยการดูถูกตัวเองออกมาแล้ว ตัวเองมักจะคิดว่าฉินเฟิงเป็นฮีโร่ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีตำแหน่งสูงสุดอะไรแบบนี้ ช่างหน่อมแน้มมากซะจริงๆ
ในความเป็นจริง ฉินเฟิงเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวน้อยๆเท่านั้นแหละ แม้แต่สัญญาครึ่งปีหลังก็ทำไม่ได้
ตอนนี้เธอสามารถสัมผัสได้ว่าตัวเองค่อยๆตกหลุมรักฉินเฟิงแล้ว ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ นี่เป็นเรื่องดี คู่สามีภรรยาที่สมบูรณ์แบบ แต่ว่า นี่มันไม่เหมาะสมที่จะใช้กับคู่ของพวกเขา เพราะว่าเหลือเวลาแค่อีกห้าเดือน ฉินเฟิงไม่มีทางหาเงินสองล้านมาได้แน่
ถึงตอนนั้นก็ต้องหย่ากัน
ตอนนี้รักมากขึ้นเท่าไหร่ ถึงตอนนั้นในใจของเขาทั้งสองก็ยิ่งจะเจ็บปวด
เจ็บสั้นๆดีกว่าเจ็บยาวๆ เพียงแค่ ตอนนี้ไม่รักฉินเฟิง
บางที ถึงตอนนั้นอาจจะดีกับทั้งสองคน
โจ๊กถ้วยนี้ คุณเอาไปเถอะ ฉันไม่กิน ต่อไปคุณก็ไม่ต้องทำแล้ว ที่นอนนี่ คุณก็เก็บให้เรียบร้อย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณก็นอนที่โซฟาข้างนอก หากไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ห้ามเข้ามาในห้อง
อิ่นซินหลับตาลงแล้ว พักครู่หนึ่ง สุดท้ายใบหน้าที่เยือกเย็น พูดกับฉินเฟิงออกมาประโยคหนึ่ง
โทนเสียงก็เยือกเย็นอย่างมาก
ที่รัก
เรียกฉันว่าอิ่นซิน ย้ายออกไป เดี๋ยวนี้ โดยทันที
โอเค
สุดท้ายแล้วฉินเฟิงก็ยินยอม กอดผ้าปูที่นอนบนพื้นข้างเตียง เดินออกไปยังโซฟาทางด้านนอก นอนหลับแล้ว โซฟาเป็นไม้ แข็งมาก แถมยังหนาวมากด้วย
เพียงแต่ว่า ฆาตกรที่วางแผนทำร้ายอิ่นซินในตอนนั้น ยังจับตัวไม่ได้
ไม่สามารถที่จะเปิดเผยตัวตนได้ขนาดนี้
นอนที่โซฟา ก็นอนที่โซฟานี่แหละ
และหลังจากที่ฉินเฟิงเดินออกไปแล้ว ใบหน้าที่เย็นชาของอิ่นซิน ก็ผ่อนคลายลงทันที เปลี่ยนเป็นเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย สุดท้ายนอนลงบนเตียง ห่มผ้าห่มแล้ว
ขอโทษนะ
น้ำตาไหลลงอาบหน้าของอิ่นซินแล้ว กอดผ้าห่ม ปิดกั้นไม่ให้เสียงร้องไห้ของตัวเองแพร่กระจายออกมา ความเจ็บปวดถ่ายทอดออกมาจากหัวใจเป็นระลอกๆ
นี่ก็คือชอบเหรอ
เจ็บปวดจริงๆ
อิ่นซินคิดในใจ แต่ว่าไม่มีทางเลือกอื่น และอีกห้าเดือนหลังจากนี้ ต่อให้ในใจจะเจ็บปวด สู้ตัดสินใจแก้ปัญหาอย่างรวดเร็วเฉียบขาดตอนนี้ดีกว่า นี่มันก็ดีกับทั้งสองคน
เช้าวันรุ่งขึ้น
ฉินเฟิงพบว่าอิ่นซิน ไม่เคยที่จะไม่ไปทำงานเลย อิ่นซินเป็นผู้หญิงแกร่ง แต่ไหนแต่ไรมาก็จะไปทำงานตรงเวลาเสมอ ไม่เคยมาสายเลย
แต่วันนี้ ไม่เพียงแค่ไม่ไปทำงาน แถมยังไม่ทานข้าวด้วย
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ฉินเฟิงเคาะประตูของอิ่นซินแล้ว
ก๊อกๆๆ
แต่กลับว่าไม่มีเสียงตอบกลับมา ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้ว ผลักประตูออกไปดู พบว่าอิ่นซินนอนหลับอยู่ เดินเข้าไปดู บนหมอนหนุน ยังมีคราบเปียกชื้นด้วย
ร้องไห้เหรอ?
ฉินเฟิงเห็นภาพฉากนี้ ในใจเจ็บปวด ยื่นมือออกไปข้างหนึ่ง ลูบๆผมของอิ่นซินแล้ว อิ่นซินที่อยู่ห้วงความฝันก็ถูๆไถแล้ว เหมือนกับแมวน้อยยังไงอย่างนั้น
เชื่อฟัง แค่นิดเดียว รอผมจับตัวฆาตกรคนนั้นออกมาได้ ผมจะบอกคุณทันที
นัยน์ตาของฉินเฟิงสาดส่องความอ่อนโยนออกมา
แต่ว่าในเวลานี้ โทรศัพท์ที่อยู่ข้างอิ่นซินก็ดังขึ้นแล้ว ฉินเฟิงเอียงศีรษะมองแวบหนึ่ง เป็นอ้ายเสี่ยวซี หยิบขึ้นมารับสายทันที : เสี่ยวซี มีอะไรเหรอ?
คุณฉิน ประธานล่ะ?เกิดเรื่องขึ้นที่บริษัทแล้ว ถูกล้อมไว้แล้ว คนเยอะมาก
ถูกล้อมไว้แล้ว?ใครกัน?
ฉินเฟิงขมวดคิ้วแล้ว
ไม่ทราบค่ะ พวกเขาชี้เจาะจงมาเลยว่าจะมาหาเถ้าแก่ของเรา คนเหล่านี้มีท่าทางที่โหดร้ายมาก น้ำเสียงของอ้ายเสี่ยวซี ค่อนข้างที่จะตื่นตระหนก ถึงอย่างไรก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง
ฉันจัดการเอง ประธานของพวกคุณไม่ค่อยสบาย
หลังจากคุยจบแล้ว ฉินเฟิงก็วางโทรศัพท์ลง แล้วก็ทิ้งโพสต์ข้อความเล็ก ๆไว้ข้างๆจากนั้นก็ออกไปแล้ว เขากลับว่าอยากจะดูว่า เป็นไอ้คนไหน ที่มาก่อเรื่องอีกแล้ว
หลังจากที่มาถึงบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ฉินเฟิงถึงได้ทราบว่าพวกคนที่อ้ายเสี่ยวซีพูดถึงคือใครกัน
กลุ่มคนสวมชุดดำ รูปร่างสูงใหญ่ มีรอยสักรูปสัตว์ประหลาดมากมายบนร่างกาย กำลังถือมีดผ่าแตงโมด้ามยาว ปอกแอปเปิล
มองดูแล้วทำให้คนตกใจอย่างมาก
และฉินเฟิงเห็นคนๆหนึ่งที่อยู่ในนั้น ก็คือหวงจง
โย่ อิ่นซินไม่มาแกกลับว่ามาแล้ว
หวงจงยืนอยู่ในกลุ่มคนนั้น เห็นฉินเฟิงที่อยู่ข้างหลัง แววตาเป็นประกายทันที ครั้งนี้ที่เขามาก็เพราะอยากจะมาหาเรื่องฉินเฟิงและอิ่นซินพอดี
ที่ร้านอาหารในครั้งก่อน เขาขายขี้หน้ามากจริงๆ
ยังคิดว่าฉินเฟิงจะเป็นคนใหญ่คนโตอะไร
แต่ภายหลังได้ไปสอบถามมา เพียงเพราะว่าเขามีน้องสาวภรรยาคนหนึ่ง จับตู้ต้วนเทียนได้ กลายมาเป็นภรรยาคนที่สองของตระกูลตู้แล้ว เพราะงั้นถือได้ยืมใช้อำนาจของตระกูลตู้
เพียงแค่ยืมใช้อำนาจก็เท่านั้นแหละ
และตอนนี้ ตระกูลตู้ทำเรื่องหลายเรื่องอย่างต่อเนื่อง และMR.Xก็ปรากฏตัวออกมาอีก ดึงดูดองกรค์ใหญ่เหล่านั้นเข้ามาจับกลุ่มกัน กำลังลงมือกับตระกูลตู้ ตระกูลตู้เองแม้แต่ตัวเองยังเอาตัวไม่รอดเลย ยังจะมาสนใจฉินเฟิงคนนี้?
เพราะงั้น โอกาสที่เขาจะแก้แค้นก็มาถึงแล้ว เรียกเพื่อนสนิทของเขาจางว่านมาเลย และให้เงินรางวัลหนึ่งล้าน นี่ถึงได้เรียกคนมาเยอะแยะขนาดนี้ สามารถทำให้ฉินเฟิงตกใจแทบตายได้
ฉินเฟิงกลับว่าไม่ได้สนใจหวงจงคนนี้เลย แถมยังเดินเข้าไปหาโดยตรงแล้ว
ไอ้เด็กน้อย แกยังอยากเข้าไปอีก?
มีชายฉกรรจ์คนหนึ่งอยู่บนถนนอยากจะลงมือ
เพียงแต่ว่า ผู้ชายที่รูปร่างค่อนข้างผอมที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : หยุด
พี่ว่าน?
ชายฉกรรจ์คนนั้นมองไปยังจางว่าน
พวกเราก็ต้องมีมารยาทนิดหน่อย อย่าเอะอะอะไรก็ฆ่าคน ให้คนเขาเข้าไป พูดเจรจากันอย่างสุภาพ หากคุยกันไม่ได้ผลถึงค่อยใช้ไม้แข็ง เข้าใจไหม ? จางว่านพูดกล่าวราวกับว่าค่อนข้างถ่อมตัว
จางว่านต่างจากพวกกุ๊ยทั่วไป สวมใส่เสื้อคลุมเสื้อดำ รูปร่างค่อนข้างผอม ใส่แว่นตา มองดูแวบแรก กลับว่าเหมือนคนที่มีวัฒนธรรม เพียงแต่มุมตากลับว่าสาดส่องความร้ายกาจออกมาแล้ว
ครับ พี่ว่าน
ชายฉกรรจ์คนนั้นสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่กล้าคัดค้าน
ต่างจากพี่ใหญ่คนอื่นๆ ล่วงเกินพวกเขาแล้ว เขาก็อาจจะถูกต่อยยกหนึ่ง แต่ว่าล่วงเกินจางว่านคนนี้ งั้นเขาก็จะมีวิธีมาทรมานเขา
นี่เป็นงูพิษที่เลือดเย็น
ฉินเฟิงมองไปที่จางว่านแวบหนึ่ง ก็ไม่ได้มองอะไรอีก ตอนนั้นต่อให้เป็นคนที่ร้ายกาจแค่ไหน ก็ตายในเงื้อมมือของเขาแล้ว สามารถกลายมาเป็นผู้บังคับบัญชาของทหารกว่าสามหมื่นนายได้ สิ่งที่ต้องมีไม่เพียงแต่กำลังอาวุธเท่านั้น
ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?
ฉินเฟิงเดินมาถึงหน้าประตูบริษัท เห็นอ้ายเสี่ยวซีที่ใบหน้าหวาดกลัวอย่างมาก เบ้าตาค่อนข้างเปียกชื้น ถามอย่างเป็นห่วง
ไม่เหมือนกับผู้ชาย อ้ายเสี่ยวซีหวาดกลัวเรื่องนี้มาก
ไม่เป็นอะไรค่ะ
อ้ายเสี่ยวซีส่ายๆหน้าแล้ว พยายามบังคับให้จิตใจสงบแล้ว
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็มองไปแวบหนึ่ง เห็นว่าลุงยามสองคนนั่นที่รับเงินหนึ่งล้านเมื่อครั้งที่แล้วนั้นยังอยู่อีก
เถ้าแก่ คุณวางใจได้ พวกเราไม่ใช่คนแบบนั้น ในเมื่อพวกเรามาสมัครงานแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะไปโดยไม่สนใจ คุณวางใจได้ พวกเราจะขัดขวางพวกเขาเอาไว้
ลุงแก่สองคนที่ใกล้จะเข้าโลงแล้ว ฟันหน้าพักไปไม่น้อยแล้ว ตบหน้าอกพร้อมพูดรับรอง
ก็ถือว่าเหมาะสมกับตำแหน่ง
เพียงแต่ว่าฉินเฟิงอยากจะพูดว่า คุณลุง คุณเบาๆหน่อย ผมกลัวว่าคุณตบๆเข้าจะตบจนตัวเองตายไปเลย
ตระกูลอิ่น
คนส่วนใหญ่ยังคงรวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงนี้ บนกำแพงยังคงมีสองรูขนาดใหญ่เหมือนเก่า เพราะว่าเวลามีน้อย ตอนนี้ยังไม่มีคนมาซ่อมแซม พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะเรียกคนมาซ่อมแซม
หรือพูดได้ว่าอารมณ์ ย่ำแย่อย่างมาก
ตระกูล ยังไงก็ตามมีสินทรัพย์นับร้อยล้านขึ้นไป แต่ตอนนี้จู่ๆก็โดนลูกเขยจนๆมาฆ่าถึงบ้านแล้ว และพวกเขาก็ไม่กล้าสู้กลับด้วย
ก็แค่ลูกเขยจนๆคนหนึ่งเท่านั้น
ไร้ความสามารถ
ทุกคนล้วนมีสีหน้าอึมครึม โดยเฉพาะอิ่นป่ายที่นั่งประจำตำแหน่ง ใบหน้าใกล้จะดำปิ๊ดปี๋แล้ว ในเวลานี้คุณท่านอิ่นถึงได้รู้ข่าวเดินเข้ามาแล้ว ขมวดคิ้วพร้อมพูดว่า : ก็แค่คนๆหนึ่งที่บุกเข้ามา พวกแกไม่มีใครกล้าจัดการเลย?
เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่า พวกเด็กวัยรุ่นเจเนอเรชั่นนี้ กากขนาดนี้
……
ตระกูลอิ่นไม่มีใครพูดจาเลย พวกเด็กวัยรุ่นล้วนแต่ก้มหน้าเงียบกัน
พวกเขาล้วนแต่คิดว่า ตัวเองคนเดียวสามารถจัดการฉินเฟิงได้ห้าถึงหกคน แต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ พวกเขาพบว่า พวกเขาไม่เพียงแค่ไม่กล้าเข้าไปจัดการ แถมยังขาอ่อนปวกเปียกอีกด้วย
บางคน ยังนอนกระจายบนพื้นในที่เกิดเหตุเลย
ฉินเฟิงใช้ความน่าเกรงขามที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขาหวาดกลัวแล้ว
คือว่า คือว่าฉินเฟิงไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้นใช่ไหม? มีคนตระกูลอิ่นคนหนึ่ง เอ่ยถามอย่างขาดความมั่นใจ
แต่ว่า กลับว่าได้รับคำด่าทอของคุณท่านอิ่นกลับมา
ไอ้สารเลว!ยังจะหาข้ออ้างอีก!
คุณท่านอิ่นด่าทอออกมาโดยทันที : ไม่ธรรมดาขนาดนั้น?ประวัติของเขา พวกเราก็รู้กันหมดแล้ว ตอนนั้นก็เป็นแค่ขอทาน ตอนนี้ก็แค่กลับมาเป็นทหาร สิ่งเดียวที่มีก็คือต่อยเป็นบ้างก็เท่านั้น แต่ว่าพวกแกมีมากมายขนาดนี้ จู่ๆล้วนแต่ตกใจกลัวกันหมด ทำให้ตระกูลอิ่นของเราขายหน้าจริงๆ
เมื่อด่ามาขนาดนี้ ใบหน้าของอิ่นป่ายก็ดำหมดแล้ว
ไอ้แก่ตายยากนี่กำลังด่าเขาอยู่
ตอนนั้นเขา ถูกฉินเฟิงทำให้ตกใจจนน่าอนาถสุดๆ
พอแล้ว คุณปู่ วันนี้เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราต่างก็เป็นนักธุรกิจ จะชกต่อยเป็นได้ยังไงล่ะ ฉันว่าฉินเฟิงคนนั้นก็ใช้เป็นแค่กำลังแต่ไม่มีมันสมอง ภูมิใจได้ไม่นานเท่าไหร่หรอก
อิ่นป่ายรีบโบกไม้โบกมือทันที พูดกล่าวต่อ : พวกเราไม่ต้องไปเจรจากับกองกำลังติดอาวุธของเขาได้ ใช้จุดเด่นของเรา ใช้ธุรกิจ ใช้วิธีการทางธุรกิจจัดการเขาให้อยู่หมัด ฉันได้ติดต่อกับหวงจงประธานของหวงซื่อกรุ๊ปแล้ว ยินยอมที่จะร่วมมือกับพวกเราจัดตั้งกลอุบายให้กับอิ่นซินแล้ว ให้เขาเอาบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดนั่นมาชดใช้จนหมดเกลี้ยง
แค่ผู้หญิงคนเดียว ยังคิดอยากจะทำธุรกิจ จะทำธุรกิจอะไรเป็น ฉันจะให้เธอได้ชดใช้จนหมดเกลี้ยง
แต่ว่า ข้อสมมุติล่วงหน้าคืออิ่นซินไม่ได้ตายในกำมือของอู๋ห้าว อู๋ห้าวอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงก็ถือว่ามีอำนาจในเขตนั้น จัดการฉินเฟิงและอิ่นซินทิ้ง น่าจะเป็นเรื่องที่สบายมาก
อิ่นป่ายหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขาถึงขั้นกับรู้สึกว่าอิ่นซินได้ตายไปแล้ว
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ อิ่นเสี้ยงสวี่เดินจากข้างนอกประตูเข้ามาอย่างเร่งรีบแล้ว สีหน้าค่อนข้างร้อนใจเล็กน้อย : ไม่ได้การแล้ว แผนการล้มเหลวแล้ว ตระกูลอู๋ ตระกูลอู๋ถูกฆ่ายกครัวแล้ว
แผนการล้มเหลวแล้ว
พวกสมาชิกของตระกูลอิ่นรวมถึงอิ่นป่าย ล้วนแต่รับได้ ถึงอย่างไรก็อาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ว่าตระกูลอู๋ถูกฆ่ายกครัวแล้ว นี่ก็ทำให้พวกเขาค่อนข้างที่จะคาดคิดไม่ถึง ไม่อยากที่จะจินตนาการ ไม่อยากที่จะจินตนาการจริงๆ นั่นคืออู๋ห้าวนะ
สามารถนำมาเปรียบเทียบกับการมีอยู่ของตู้ต้วนเทียนได้
ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่ายังมีบุคคลปริศนาคนหนึ่ง คอยปกป้องเขาอยู่
ตระกูลตู้ลงมือแล้ว? อิ่นป่ายถามอย่างค่อนข้างสงสัย
ไม่ใช่ ได้ยินมาว่าตระกูลตู้ไปหาผู้สนับสนุนคนหนึ่ง ผู้สนับสนุนคนนั้นเป็นคนลงมือจัดการ ตระกูลตู้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตระกูลอู๋ เพราะงั้นจึงทำได้เพียงให้ผู้สนับสนุนของพวกเขาออกมาจัดการแล้ว
ผู้สนับสนุนเหรอ?ใครกัน?
คนนี้ชื่อว่า MR.X นี่เป็นชื่อที่ตระกูลตู้ประกาศต่อภายนอก ฐานะ รูปร่างหน้าตาล้วนแต่ลึกลับ แต่ว่าได้ยินมาว่ามาจากกองกำลังทหาร ยอดเยี่ยมมาก
ใบหน้าของอิ่นเสี้ยงสวี่เต็มไปด้วยความหนักแน่นและจริงจัง
นี่เป็นการประกาศว่า มีผู้มีอิทธิพลเข้ามาที่เมืองเจียงเฉิงแล้ว เพิ่งจะเข้ามาก็ฆ่ายกครัวตระกูลอู๋แล้ว เพื่อที่จะแสดงความน่าเกรงขาม ตระกูลตู้สำหรับพวกเขาแล้ว เป็นแค่บุคคลที่สูงส่ง เป็นแค่ตระกูลที่สูงส่ง
ที่จริงแล้วตระกูลอิ่นเล็ก
แต่ว่า ตระกูลตู้อยู่ที่เมืองชายฝั่งทะเลที่พัฒนาแล้วในเมืองเจียงเฉิง กลับว่าไม่ใช่ตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุด นอกจากนี้ก็ยังมีตระกูลที่ยิ่งใหญ่กว่าหลายตระกูลที่มีการสืบทอดกันมาช้านาน องค์กรใหญ่
โดยเฉพาะเป็นการรุกล้ำสามองค์กรใหญ่นั่นของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปในปีนั้น ตอนนี้ได้ครอบครองอยู่ในสามอันดับแรกของเมืองเจียงเฉิงแล้ว
และก็เลื่อนขั้นเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิงแล้ว
งั้นตระกูลตู้ก็ยุ่งมากแล้วนะสิ ผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งอย่างMR.Xเข้ามาเช่นนี้ พิสูจน์ให้เห็นว่าตระกูลตู้ได้คิดวางแผนที่จะยึดเมืองเจียงเฉิงเอาไว้ งั้นกองกำลังที่ยิ่งใหญ่เหล่านั้น องค์กรใหญ่ก็จะไปจัดการกับตระกูลตู้ ตอนนี้เขาไม่มาสนใจพวกเราแล้ว พวกเราสามารถทำได้อย่างกล้าหาญและวางใจได้
อิ่นป่ายได้ยินข่าวนี้แล้ว กลับว่าค่อนข้างที่จะมีความสุข
ก่อนหน้านี้ไม่กล้าที่จะจัดการอิ่นซินอย่างตรงไปตรงมา ก็เพราะว่าเบื้องหลังได้รับการสนับสนุนจากตระกูลตู้อย่างยากที่จะเข้าใจได้ แต่ตอนนี้คาดว่าMR.Xคนนั้นได้ดึงดูดสายตาทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิงแล้ว ตระกูลตู้แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอดเลย
อู๋ห้าวเสียชีวิตแล้ว เหตุผลที่มีผลประโยชน์เกี่ยวเนื่องกัน ทุกคนต่างก็เข้าใจดี
แต่ว่าตระกูลตู้นั้น กลับว่าเป็นพวกโง่จริงๆ คิดว่ามีคนใหญ่คนโตคนหนึ่งมา ก็สามารถยึดเมืองเจียงเฉิงมาครอบครองเป็นของตัวเองได้จริงๆเหรอ?เหอะ ช่างไร้เดียงสาเสียจริง เมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ซ่อนความน่ากลัวที่ตระกูลตู้ของพวกเขาไม่อาจจะจินตนาการได้ ตระกูลตู้ทำแบบนี้ เป็นเพียงแค่การแกว่งเท้าหาเสี้ยน
อิ่นป่ายเยาะเย้ย แต่ว่าเหมือนว่าจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตาสาดส่องถึงความหวาดกลัวออกมาแล้ว
แต่ว่า ค่อยๆหายวับไปในพริบตา
กลับว่าไม่มีใครพบเห็น
ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ฉินเฟิงคนนั้นโชคดีซะเหลือเกิน ก่อนหน้านี้ฉันคิดมาโดยตลอดว่าเขาจะถูกคนของอู๋ห้าวทุบตีจนตายขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ดีๆ แต่คิดไม่ถึงว่า จะเอาความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาได้แล้ว
ฮ่าๆ ฉันก็คิดว่าเขาจะถูกทุบตีจนตาย ไอ้เศษสวะนั่น จู่ๆยังจะกล้าบุกเข้ายังที่ของพวกเราอีก โง่แบบไม่มีสมองเสียจริง
แค่ชกต่อยเป็นจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้าพวกเราเล่นก็สามารถเล่นเขาจนถึงตายได้ อิ่นซิน เดิมทีก็เป็นแค่ผู้หญิง ไม่ได้มีความสามารถอะไร สร้างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปขึ้นมาก็แค่เป็นความโชคดี ตอนนี้ก็มีสามีจนที่ไม่มีสมองคนนี้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน ช่างโชคร้ายเสียจริง
กลุ่มคนของตระกูลอิ่นเยาะเย้ย เสียดสีอิ่นซินอยู่ครู่หนึ่ง
พวกเขาใช้การพูดเสียดสีอิ่นซิน มาเพื่อปกปิดความอัปยศอดสูที่ก่อนหน้านี้เคยถูกฉินเฟิงทำให้ตกใจจนขาอ่อนแรง
……
และเมื่อถึงตอนกลางคืน อิ่นซินตื่นขึ้นมาอย่างสบายใจแล้ว ลืมตาขึ้น พบว่าอยู่บนเตียงของตัวเอง ลูบๆศีรษะที่ปวดอยู่บ้างแล้ว
‘ตื่นแล้ว?
ฉินเฟิงเดินเข้ามา ในมือถืออยู่ถ้วยหนึ่ง : หิวแล้วยัง คุณสลบไปเกือบหนึ่งคืนแล้ว นี่มีโจ๊กอยู่นะ ถ้าหิวล่ะก็ กินโจ๊กสักหน่อยนะ
คุณเป็นใครช่วยฉันไว้อีกแล้ว?
อิ่นซินกลับว่าไม่กิน และเงยหน้ามองฉินเฟิงด้วยดวงตาเฉี่ยวเช่นนี้
แม้ว่าเธอจะเป็นลมสลบไป แต่ว่าถูกคนอุ้มขึ้นมาในท่ามกลางของการสะลึมสะลือ และมีความรู้สึกที่คุ้นเคยและความรู้สึกปลอดภัยเป็นอย่างมาก ในความฝันเธอก็พอที่รู้ว่าเป็นฉินเฟิง
เพราะงั้นจึงโอบกอดด้วยมือทั้งสองข้างอย่างแน่นๆโดยสัญชาตญาณแล้ว
หลังจากนั้น เธอก็พบสิ่งหนึ่งแล้ว ในใจของเธอ ได้ชอบฉินเฟิงอย่างงุนงงเข้าแล้ว
แต่ว่า นี่ไม่ใช่ลางที่ดีเลย
อิ่นซินหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว และก็กดโทรไปหาหลิวลานเมิ่ง : ลานเมิ่ง ฉันขอถามแกเรื่องหนึ่ง ตอนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลอู๋เหรอ?
เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ตระกูลอู๋ถูกฆ่าตายยกครัว ได้ยินมาว่าเป็นผู้มีอิทธิพลทางทหาร คนอื่นต่างก็เรียกเขาว่าMR.X……
สิ่งที่พูดหลังจากนี้ก็คือ รายละเอียดของเรื่องนี้แล้ว
เป็นฉบับที่ตู้ต้วนเทียนเป็นคนปล่อยออกมา
แต่ว่าหลังจากที่อิ่นซินฟังจบแล้ว วางมือถือลง แล้วก็มองฉินเฟิง ด้วยดวงตาเฉี่ยว พูดอย่างซับซ้อนอย่างมากว่า : ฉินเฟิง เพราะงั้น คุณแย่งเอาความดีความชอบของคนเขามาอีกแล้วใช่ไหม ?
อ๊าก!
ได้ยินเสียงกรีดร้องอันน่าเวทนาดังไปทั่วคฤหาสน์ของตระกูลอู๋
อู๋ห้าวเป็นคุณชายของตระกูลเก่าแก่ เอามือกุมนิ้วมือของตัวเอง ขดตัวอยู่บนพื้น สีของเขาเปลี่ยนไปอย่างมากเพราะความเจ็บปวด เหงื่อเย็นเยียบผุดขึ้นมา
แล้วตอนนี้มันยังคงเป็นภาพลวงตาใช่ไหม?
ฉินเฟิงเดินขึ้นมา ก้มมองเขาจากด้านบน เอามือไพล่หลัง มีพลังแห่งการครอบงำอยู่ในตัว
มันไม่ใช่ภาพลวงตา มันไม่ใช่ภาพลวงตา
อู๋ห้าวรีบขอความเมตตา
การที่นิ้วมือถูกบาดได้ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาอย่างแท้จริง มันไม่ใช่ภาพลวงตา พ่อบ้านอู๋หน่วยกล้าตายคนนี้ตายไปแล้วจริงๆ ตายอยู่ในกำมือของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้
แถมยังตายเหมือนลูกไก่อีกด้วย
ไม่มีกำลังที่จะตอบโต้กลับเลย
เช่นนั้นชายที่อยู่ตรงหน้าคนนี้ ก็ยิ่งจะมีความน่ากลัวมากขึ้น
ตระกูลอู๋ ไม่ควรมาแตะต้องคนที่ผมรักมากที่สุด
ฉินเฟิงเหลือบมองอู๋ห้าวอย่างเย็นชาแล้วเดินไปที่หน้าโซฟา เมื่อมองไปที่อิ่นซินที่กำลังสลบไสลแต่ขมวดคิ้วแน่น เขาก็อดมองด้วยสายตาอ่อนโยนไม่ได้
ที่รัก ผมขอโทษ ผมมาช้าไป
ฉินเฟิงค่อยๆ อุ้มเธอขึ้นมา
อิ่นซินสูง 168 เซนติเมตร บอบบางราวกับไม่มีกระดูก เธอเป็นสาวน้อยน่ารัก สัดส่วนกำลังพอดี น้ำหนักไม่มาก แค่เก้าสิบห้าปอนด์เท่านั้น
กลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งกระจายออกมา
ในขณะที่อุ้มนั้น อิ่นซินดูเหมือนจะรู้สึกถึงอ้อมกอดที่คุ้นเคย เธอเอื้อมมือทั้งสองออกไปตามสัญชาตญาณและโอบรอบเอวของฉินเฟิง
คิ้วที่ขมวดแน่นค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เธอเป็นเหมือนเด็กที่ซุกตัวอยู่ในร่างกายของเขา นอนหลับอย่างหวานชื่น
น่ารักดี
ที่รัก กลับบ้านกันเถอะ
ฉินเฟิงยิ้มพะเน้าพะนอ อุ้มขึ้นมาแล้วเดินข้ามศพของพ่อบ้านอู๋ ฉีหยุนเดินตามหลังออกจากคฤหาสน์ ดวงอาทิตย์ส่องแสงต้อนรับ ลมกำลังพอดี มีคนงามอยู่ในอ้อมแขนของเขา
แต่ทว่า จู่ๆ ก็มีคนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าต่างชั้นสาม
ฉินเฟิง ตายซะเถอะ!
เขาคืออู๋ห้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย การที่เขาได้เป็นคุณชายตระกูลอู๋ได้ ก็ย่อมไม่ใช่คนที่จัดการได้ง่ายๆ ละครที่เล่นเมื่อครู่ก็เพื่อหลอกฉินเฟิงให้ชะล่าใจเท่านั้น
และปืนพกในมือของเขาตอนนี้คือกระบวนท่าไม้ตาย
หลังจากถอยห่างไปสักพัก คนทั่วไปจะประมาท ในเวลานี้ เขาจึงยิงหมายเอาชีวิต ภายใต้สถานการณ์ทั่วไป อัตราความสำเร็จอยู่ที่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
แต่น่าเสียดาย
สิ้นเสียงปัง
สิ้นเสียงปืน อินทรีย์พิฆาตในมือของอู๋ห้าวก็สว่างขึ้นในทันใด กระสุนพุ่งออกมาและพุ่งเข้าหาฉินเฟิง เขาได้ฝึกฝนมาก่อน เพียงแค่เหลือบมองฉินเฟิงเท่านั้น
กระสุนพุ่งออกมา
จากนั้น ฉินเฟิงก็เอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบกระสุนนัดนี้
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ จะหลบได้อย่างไร เขามีตาอยู่ข้างหลังด้วยเหรอ? เอ่อ…คนคนนี้เป็นสัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาด…
คราวนี้ อู๋ห้าวทรุดนั่งลงกับพื้น ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง
กองกำลังติดอาวุธทั้งหมดในคฤหาสน์ตายหมดแล้ว พ่อบ้านอู๋ก็เช่นกัน การเคลื่อนไหวภายหลังของเขาไร้ประโยชน์
เหตุใดถึงมีคนแบบนี้ได้
แน่นอนเขาไม่รู้ว่าในสนามรบ ฉินเฟิงเคยผ่านห่ากระสุนมานับไม่ถ้วน ได้รับการฝึกฝนให้มีความสามารถในปฏิกิริยาต่อความเป็นและความตาย ไม่ต้องพูดถึงว่าฉินเฟิงไม่เคยผ่อนคลายมาก่อน
ท่านนายพล?
ฉีหยุนถามในขณะที่เขาเอามือแตะลำคอ เพื่อบอกว่าตัวเองจะกลับไปฆ่าเขา
ไม่ต้อง ผมจัดการเอง
แววอาฆาตฉายแววผ่านดวงตาของฉินเฟิง เขาเตะเข้าไปที่ลำตัวของทหารรับจ้าง ในตัวเขามีระเบิดมือชุดหนึ่งพอดี เขาเตะมันขึ้นมา แล้วคว้าเอาไว้ในมือ
เอาปากกัดสลัก
จากนั้นก็เดินกลับไปทางด้านหลัง แล้วโยนแต่ละลูกขึ้นไปบนชั้นสาม
บูม!
ระเบิดมือลูกแรกระเบิดออก
อ๊าก!
อู๋ห้าวกรีดร้องลั่นไปทั่วคฤหาสน์
แต่แล้วก็มาถึงลูกที่สอง ที่สาม ที่สี่…ที่เจ็ด
บูม บูม บูม
ระเบิดมือในคฤหาสน์ระเบิดออกทีละนัด จนกลายเป็นทะเลเพลิง อู๋ห้าวนิ่งเงียบอยู่ในทะเลเพลิง แล้วคฤหาสน์หลังนี้ก็พังทลาย
ระหว่างที่เกิดการระเบิด ฉินเฟิงได้อุ้มอิ่นซินออกจากคฤหาสน์ของตระกูลอู๋ทีละก้าว
หลังจากที่พวกเขาขึ้นรถ ฉินเฟิงก็โทรหาตู้ต้วนเทียน ต้วนเทียน ตระกูลตู้ของพวกคุณถึงจุดจบแล้ว
ครับผม
ตู้ต้วนเทียนตอบรับ แต่ก็หยุดลงครู่นิ่งแล้วพูดว่า แต่ว่า ท่านครับ อู๋ห้าวคนนี้มีความพิเศษ กำลังไม่ได้แข็งแกร่งมาก แต่เขาเป็นลูกศิษย์ของสาขาของตระกูลอู๋ในเมืองต่างจังหวัด ตามกฎเกณฑ์อันชัดเจนของตระกูลนั้น ลงมาเรียนรู้จากประสบการณ์ สวรรค์เป็นผู้ลิขิต ตระกูลก็ไม่ต้องดูแล แต่ก็ไม่ได้แน่นอนเสมอไป
ตระกูลอู๋เป็นมีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองต่างจังหวัด แต่อู๋ห้าว เป็นเพียงลูกศิษย์ของสาขา สถานะไม่สูง เขาได้รับมอบหมายให้มาที่เมืองเจียงเฉิงแห่งนี้
ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดมากมาย รวมถึงคนอย่างพ่อบ้านอู๋ด้วย อย่างไรก็ตาม เขาเป็นคุณชายของสาขา แต่ความแข็งแกร่งโดยรวมของอู๋ห้าวนั้นอยู่ในสิบอันดับแรกในเมืองเจียงเฉิง
มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ถ้าไม่ใช่เพราะมีพ่อบ้านอู๋คอยออกหน้าลงมือ เขาก็คงยังอยู่เงียบๆ ในเมืองเจียงเฉิง
สำหรับเรื่องนั้นก็ยังไม่แน่ใจว่าตระกูลอู๋ในเมืองต่างจังหวัดจะฝ่าฝืนกฎหรือไม่
พวกคุณประกาศต่อสาธารณะว่ามีบุคคลที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งเข้ามา มีชื่อสมมติว่าMr.X ฉินเฟิงกล่าว
Mr.X ชื่อนี้ถูกใช้เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้คน ใครจะคิดว่าลูกเขยของตระกูลอิ่นนั้นจริงๆ แล้วเป็นคนใหญ่โต ซึ่งก็สะดวกสำหรับฉินเฟิงที่จะสอบสวนเรื่องในตอนนั้นต่อไป
จากการสืบของอิ่นป่าย ความจริงจะปรากฏขึ้น
นี่เป็นเพราะเห็นแก่ตระกูลตู้
เมืองเจียงเฉิงไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก มีคนปะปนกันไป
ครับผม
ตู้ต้วนเทียนตอบทันที
จากนั้นฉินเฟิงก็อุ้มอิ่นซินกลับไปที่บ้านของตระกูลอิ่น แต่อิ่นซินกลับเป็นเหมือนปลาหมึกยักษ์ที่เกาะติดอยู่บนตัวเขา แม้แต่ในรถ ตอนนั่งแล้วอิ่นซินก็ไม่ยอมปล่อย
จนกระทั่งมาถึงบ้าน
ฉินกั่วกั่วยังคงฟุบอยู่บนโต๊ะ อาหารตรงหน้าไม่ขยับเขยื้อนเลย เธอรอฉินเฟิงและ อิ่นซินมาโดยตลอด แต่ศีรษะเล็กๆ ของเธอกำลังจะผล็อยหลับแล้ว
ทันใดนั้นเมื่อเห็นฉินเฟิง ก็เบิกตากว้างกระโดดโลดเต้นออกไป
คุณพ่อ คุณพ่อ
ฉินกั่วกั่วกำลังจะพุ่งกระโจนเข้าใส่เขา แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่าอิ่นซินโอบรอบตัวฉินเฟิงราวกับปลาหมึกยักษ์ เธอปิดตาทันที คุณพ่อ คุณแม่ หน้าไม่อาย
…
ฉินเฟิงรู้สึกจนปัญญา
สภาพนี้เขาก็ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เช่นกัน
แต่ก็สบายดี
พ่อกับแม่ไปเดทกันมา ถ้ารู้ก่อนหน้านี้กั่วกั่วก็ไม่ต้องรอพ่อแม่แล้ว กั่วกั่วหิวมาก กั่วกั่วอยากกินข้าว
เธอรอฉินเฟิงมาโดยตลอด เพราะกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับฉินเฟิง แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นคนสองคนแล้ว เด็กน้อยก็รู้สึกโล่งใจ
จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปบนเก้าอี้อย่างยากลำบาก หยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินข้าว
คุณพ่อทำกับข้าวอร่อยมาก อร่อยกว่าของคุณแม่ เมื่อก่อนคุณแม่ยุ่ง ไม่มีเวลาทำกับข้าวให้หนูกิน คุณแม่มักจะพาหนูออกไปกินเคเอฟซีและแมคโดนัลด์ แต่จริงๆ แล้วกั่วกั่วไม่ชอบอาหารพวกนั้น หนูชอบอาหารพวกนี้มากกว่า
กั่วกั่วพูดไปพลางกินไปพลาง
บนโต๊ะมีแต่อาหารบ้านๆ ทั่วไป แต่ก่อนนี้อิ่นซินงานยุ่งมากจนแทบไม่ได้กินอาหารที่ทำเองเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่เธออิจฉามากที่สุดคือ การที่เด็กบ้านอื่นๆ ได้รับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
เธอบอกว่าคุณแม่ทำอาหารไม่อร่อย ถ้าแม่ของเธอได้ยินเข้า ระวังจะถูกตีก้นนะ
ฮิฮิ งั้นคุณพ่อก็ห้ามบอกคุณแม่
ใบหน้าอันบอบบางของกั่วกั่วเป็นสีชมพูระเรื่อ เธอแลบลิ้นออกมาอย่างไร้เดียงสา ยังมีเมล็ดข้าวติดอยู่ที่มุมปากของเธอ ทั้งน่ารักและน่าขบขัน
เร็ว
แม่นยำ
โหดเหี้ยม
พ่อบ้านอู๋เป็นหน่วยกล้าตายที่ได้รับการอบรมแบบเลี้ยงกู่ ไม่ว่าจะพูดในทางใดทางหนึ่ง ก็เป็นเครื่องจักรเลือดเย็นที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเคลื่อนไหวหรือเสียเวลาใดๆ
มันคือเครื่องจักรสังหารคนทั้งเป็น
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปอย่างแผ่วเบา ขณะที่กำลังปรากฏขึ้นที่ขมับเพื่อสกัดกั้นการเคลื่อนไหวนั้น แต่สีหน้าของพ่อบ้านอู๋ก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย
แต่สองขากลับยืนขึ้น หันกลับมาแล้วเตะเข้าไปที่เอวของฉินเฟิง
นี่คือช่องโหว่
เสียงแตกพร่าดังทะลุอากาศเข้ามา
ตาย!
แววอาฆาตฉายแววผ่านดวงตาของพ่อบ้านอู๋
นี่คือกระบวนท่าสังหารของเขา กระบวนท่าที่สิบสองของท่ามวยเตะสิบสองนั้น ต้องใช้หมัดเพื่อดึงดูดความสนใจของฉินเฟิงก่อน แต่การโจมตีทั้งหมดนั้นอยู่ที่ขาตั้งแต่ต้นจนจบ
ศัตรูที่ผ่านมาล้วนตายอยู่ในกระบวนท่านี้ของเขา
น่าเสียดายที่ฉินเฟิงแตกต่างจากศัตรูที่เขาเคยเผชิญในอดีต กล่าวอีกนัยหนึ่ง ศัตรูเหล่านั้นมัดรวมกันมาก็ยังแข็งแกร่งสู้ฉินเฟิงไม่ได้
การเคลื่อนไหวไม่ได้แย่ แต่ว่า…
ทันทีที่พูดจบ ฉินเฟิงก็ยืนด้วยเท้าข้างเดียว แล้วหมุนตัวด้วยความเร็วที่เร็วมาก จากนั้นก็เตะเท้าขวา ต่อสู้กันอย่างดุเดือด เท้าทั้งสองชนกันเอง
พลั่ก!
ใบหน้าชราที่เย็นชาของพ่อบ้านอู๋เปลี่ยนไปเล็กน้อยในขณะนี้ มีรอยความตกใจอยู่ในดวงตา เขาขยับร่างกายและถอยหลังออกไปสองก้าว
เอนตัวพิงโซฟา เอามือกุมขาตัวเอง ไม่พูดอะไร
แต่เขารู้สึกถึงคลื่นลูกใหญ่ภายในหัวใจ เขาสัมผัสได้ว่ากระดูกขาของเขาหักหลังจากการโจมตีนั้น ขาข้างที่สามารถเตะแผ่นเหล็กแตกได้นั้นหักแล้ว
เหตุผลที่เขายังมีสีหน้าเหมือนเดิม คือเขาอดทนกับมันเพียงอย่างเดียว
แต่กำลังกลับไม่เพียงพอ
จากนั้นฉินเฟิงก็ชักมือกลับ เอามือไพล่หลังแล้วพูดคำที่เหลือออกมา ความหยอกเย้าปรากฏขึ้นในดวงตา เป็นยังไง ขาไม่เจ็บเหรอ? ข้างในเกรงว่ามันจะหักไปทีละท่อนแล้ว
หืม? พ่อบ้านอู๋ เป็นอะไรไป?
อู๋ห้าวที่เคยมีสีหน้ามั่นใจก็พบความผิดปกติเช่นกัน เขาวางแก้วเหล้าลงทันที ขมวดคิ้วถามพ่อบ้านอู๋
คุณชาย คนคนนี้รับมือยาก ถอยเถอะ
พ่อบ้านอู๋พูดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา
ถอยเหรอ?
อู๋ห้าวตกตะลึง สีหน้าของเขาก็กลายเป็นดุร้าย ถอยเหรอ? จะให้ถอยไปไหน นี่คือตระกูลอู๋ของผม ตระกูลอู๋ตระกูลใหญ่แห่งเมืองเจียงเฉิง พ่อบ้านอู๋ พ่อของผมให้คุณมาปกป้องผม ผมสั่งให้ฆ่าไอ้หนูนั่น
กล้าดียังไงมาพูดว่าถอย
มันไม่ง่ายที่เขาจะจัดเตรียมละครฉากใหญ่เช่นนี้
เอะอะบอกว่าจะถอยก็ถอย ล้อเล่นหรือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นเขาเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของพ่อบ้านอู๋ เขาไม่เคยมีคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับเขามาเป็นเวลาหลายปี แค่คิดก็รู้แล้ว
ฆ่าลูกเขยแต่งเข้าบ้านแค่คนเดียว ยังต้องถอยอีก น่าหัวเราะให้ฟันร่วง
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าตัวตนของฉินเฟิงอาจไม่ธรรมดาอย่างที่เห็นภายนอก แต่เขาก็ไม่ได้เห็นอยู่ในสายตา จะพูดอย่างไร ก็แค่คนตัวเล็กๆ คนเดียวเท่านั้น
คุณยังไม่ได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้เลย
รอยยิ้มหยอกเย้าปรากฏขึ้นที่มุมปากของฉินเฟิง
ความเย่อหยิ่งไม่ได้น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวก็คือนอกจากจะหยิ่งแล้ว ยังโง่เขลาอีกด้วย
สถานการณ์จะรุนแรงแค่ไหน? อย่าคิดว่าคุณสามารถฆ่าลูกน้องของผมตายไปหลายคนแล้วจะมีความสามารถแค่ไหน พวกนั้นล้วนเป็นพวกเศษสวะ พ่อบ้านของผม มีความสามารถในการฆ่าพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นจึงบอกว่า สถานการณ์ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของผม
อู๋ห้าวก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เขาก็ยังปากแข็งปฏิเสธที่จะยอมรับมัน เขาคิดว่าพ่อบ้านอู๋ยังสบายดี
แต่ทันทีที่พูดจบ
วินาทีถัดมา ฉินเฟิงได้ปรากฏตัวตรงหน้าพ่อบ้านอู๋ ซึ่งทำให้พ่อบ้านอู๋แปลกใจเล็กน้อย เร็วมาก จากนั้นประสบการณ์จากความเป็นความตายทำให้ร่างกายของเขาเคลื่อนไหวตามสัญชาตญาณ
มวยวัชระ!
วงแหวนหลายวงปรากฏขึ้นบนแขนเสื้อของพ่อบ้านอู๋ ส่งเสียงกริ๊งกริ๊ง มันคือมวยภายในแขนงหนึ่ง
แต่น่าเสียดาย
มีข้อบกพร่องมากเกินไป
โอ้โห
ฉินเฟิงยื่นมือออกไปข้างเดียว คว้าคอของพ่อบ้านอู๋ด้วยความเร็วสูงสุด ยกคนที่มีน้ำหนักมากกว่า 100 ปอนด์ขึ้นมา
ดวงตาของพ่อบ้านอู๋ถลนออกมา หายใจลำบาก ใบหน้าเขียวคล้ำ แต่มือก็ยังต้องการที่จะต่อสู้
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงออกแรงเพียงเล็กน้อย
แกร๊ก แกร๊ก
เสียงที่คมชัดดังมาจากคอของพ่อบ้านอู๋อย่างต่อเนื่อง มือของเขาห้อยลงทันที ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นมวยวัชระหรือท่ามวยเตะสิบสองก็ไร้ประโยชน์
เขาถูกรัดลำคอแห่งชะตากรรม
เร็ว…มาก…
สีหน้าของพ่อบ้านอู๋ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ในตอนนี้ เต็มไปด้วยความตกใจ เขาใช้กำลังเฮือกสุดท้ายเพื่อพูดคำสองคำนี้ เขาโอ้อวดว่าตัวเองเป็นหน่วยกล้าตายและยังเป็นคนที่มีความเร็ว
ศิลปะการต่อสู้ในโลกนี้ แค่รวดเร็วก็มีชัย
แต่ว่าเขาแพ้ฉินเฟิง ไม่สิ ควรจะพูดว่า เขาถูกฉินเฟิงบดขยี้อย่างแท้จริง ความเร็วนั้นทำให้เขาไม่สามารถตอบสนองได้เลย
ดูเหมือนว่ากำลังจะโจมตี แต่ก็ตายในมือของคู่ต่อสู้ในวินาทีถัดมา
ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
คุณ…ชาย…รีบ…หนี…ไป
พ่อบ้านอู๋นึกอะไรได้ เขาหันศีรษะไปทางด้านหนึ่งช้าๆ ดวงตาทั้งสองถลนออกมา พูดกับอู๋ห้าวปิ่มว่าจะขาดใจ
เขาเป็นหน่วยกล้าตายที่ได้รับการฝึกฝนจากตระกูลอู๋มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ไม่ได้คิดถึงตัวเอง ชีวิตของเขาคือการรับใช้อู๋ห้าว แม้แต่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิต ก็ยังคิดปกป้องอู๋ห้าว
นั่นคือเหตุผลที่ฉินเฟิงไม่ฆ่าเขาด้วยกระบวนท่าเดียว
หน่วยกล้าตายก็มีศรัทธาในตัวเองเช่นกัน
พูดจบหรือยัง?
ฉินเฟิงมองดู
พ่อบ้านอู๋พูดไม่ออกแล้ว ค่อยๆ หลับตาลง เขาเป็นหน่วยกล้าตายเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตจากผู้คนนับพัน มีจิตสำนึกในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งทุกเวลา
แต่ในเวลานี้ เขากลับยอมแพ้แล้ว
เพราะเขารู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนทะเลสาบ ฉินเฟิงเป็นเหมือนทะเลใหญ่ยากแท้หยั่งถึง ทำให้เขามีเพียงความสิ้นหวัง ความสิ้นหวังที่ไม่รู้จบ
จะทำให้คุณสมหวัง
แกร๊ก
ฉินเฟิงออกแรง คอของพ่อบ้านอู๋หักทันที ใบหน้าซีดเผือด แล้วฉินเฟิงก็เหวี่ยงพ่อบ้านอู๋ลงกับพื้นอย่างแรง
จนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 30 คน ทหารรับจ้าง 12 นาย ยอดฝีมือสี่คน (หรือที่รู้จักกันในนามอาชญากรที่ต้องการตัวทั้งสี่) รวมถึงหน่วยกล้าตายตระกูลอู๋ พ่อบ้านอู๋ ได้ถูกสังหารทั้งหมด!
ต่อไปถึงคิวคุณแล้ว
ฉินเฟิงหันกลับมามองที่อู๋ห้าว
อู๋ห้าวที่เคยหยิ่งยโสอวดดี มั่นใจในชัยชนะ บัดนี้เหงื่อออกเย็นเยียบ เมื่อมองไปที่พ่อบ้านอู๋ที่อยู่บนพื้น ก็เบิกตากว้าง ไม่ เป็นไปไม่ได้! ไม่มีทาง!
เขาส่ายหัวอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เป็นไปได้อย่างไร?
นี่คือหน่วยกล้าตายของตระกูลอู๋ของเรา หมดเงินไปหลายร้อยล้าน โดดเด่นเหนือผู้อื่นจากหน่วยกล้าตายนับพัน ผมอยู่ในเมืองเจียงเฉิง นี่คือเหตุผลว่าทำไมขอบเขตอย่างผม ปราบปรามตระกูลตู้ได้ นั่นก็เพราะพ่อบ้านอู๋คนนี้
พ่อบ้านอู๋ไม่เคยพบกับคู่ต่อสู้มาก่อน แต่ทำไม ผมเกิดภาพลวงตาหรือเปล่า? ต้องยังอยู่ในความฝันแน่
อู๋ห้าวส่ายหัว เขารู้สึกว่าภาพที่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพลวงตา
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงได้ยื่นนิ้วมือออกไป ดีดแก้วเบาๆ มีเศษแก้วแตกตกลงมาทันที ก่อนจะพุ่งออกไป
ขณะที่กำลังพุ่งผ่านไป ก็ได้พุ่งเฉียดนิ้วมือของอู๋ห้าวไปนิ้วหนึ่ง
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง แล้วในตอนนี้ ตื่นแล้วหรือยัง?
คฤหาสน์สามชั้น
อิ่นซินนอนอยู่บนโซฟามูลค่าหลายสิบล้าน หลับตาทั้งสอง ขมวดคิ้วแน่น เธอยังสลบสไลอยู่ แต่ปอยผมที่ปรกลงมา ทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้น
ชุดเดรสชุดนี้ไม่สามารถปกปิดรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอได้ เค้าโครงปรากฏอย่างคลุมเครือ ดูเซ็กซี่
บนโซฟาฝั่งตรงข้าม อู๋ห้าวในชุดสูทรองเท้าหนังมาดหรูหรา ถือแก้วไวน์โยกไปมา ดวงตาคู่นั้น กวาดสายตามองรูปร่างของอิ่นซินอย่างเอาแต่ใจ
มองเป็นสิ่งของต้องห้าม
เขาปรารถนาในร่างนี้มาเจ็ดปีแล้ว แต่ก็ไม่เคยใช้วิธีบังคับใดๆ ดีร้ายเขาก็ยังคงเป็นคุณชายของตระกูลเก่าแก่ ยังไม่เคยเดินมาถึงจุดนี้ แม้แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่าวันหนึ่งคนของตระกูลอิ่นจะพาอิ่นซินมาส่งเขาถึงประตูบ้าน
ช่างน่าขบขันจริงๆ
พ่อบ้านอู๋ ใกล้ได้เวลาแล้วสินะ
อู๋ห้าวจิบไวน์แดงเบาๆ มองดูนาฬิกาข้อมือ เขามีท่าทางรอไม่ไหวแล้ว
ละครฉากใหญ่ที่เขาเตรียมไว้กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
คุณชาย ทหารรับจ้างคนนั้นพ่ายแพ้ แต่ตอนนี้พวกเขาน่าจะอยู่บนชั้นสอง มียอดฝีมือสี่คนที่เราฝึกมา ล้วนเป็นนักสู้ชั้นหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่สังหารผู้คนเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนั้น หมายเลขหนึ่งจางเทียนจิ่ว ครั้งหนึ่งเคยเป็นอาชญากรที่ประเทศต้าหัวต้องการตัว เขาระเบิดโรงเรียนด้วยตัวเอง และการบุกล้อมปราบของกองกำลังพิเศษทั้งสามก็ล้มเหลว
ยังมีหมายเลขสองสือเฉียง ที่หนีออกมาจากทหารเทียนหลง กองกำลังทหารเกรียงไกรแห่งเวสเตอร์แลนด์ เพราะไม่ยอมฟังผู้บังคับบัญชาของตัวเอง เอาผู้บังคับบัญชารวมกับสิบเจ็ดคนแล้วฆ่าทิ้งทั้งหมด แต่ก็หลบหนีมาได้สำเร็จ
อีกสองคนเป็นอาชญากรที่ฆ่าคนเหมือนผักปลาที่เป็นที่ต้องการตัวเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถูกจับ ไม่เพียงแต่ปกป้องตระกูลอู๋ของเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถประจำตัวของพวกเขาด้วย
คุณชาย ไม่ต้องกังวล คนใดคนหนึ่งในสี่คนสามารถฆ่าทหารรับจ้างคนนั้นได้ นับประสาอะไรกับสือเฉียงและจางเทียนจิ่ว บุคคลอันตรายระดับ S มันมากเกินพอที่จะฆ่าฉินเฟิงได้
พ่อบ้านอู๋ก้มศีรษะลง แล้วกล่าวด้วยความเคารพ
แต่ทว่า
ทันทีที่พูดจบ ก็มีวัตถุบินเข้ามาจากด้านนอก ดวงตาของพ่อบ้านอู๋เป็นประกาย เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วคว้าวัตถุนั้น แต่ในวินาทีต่อมาก็ต้องตกตะลึง
เพราะมันเป็นศพ
ผมไม่รู้ นี่คือสือเฉียงที่คุณพูดถึงหรือว่าจางเทียนจิ่ว แต่ไม่เป็นไร ทางนี้ยังมีอีกชิ้นหนึ่ง
เสียงวางอำนาจดังมาจากข้างนอก ต่อมา ศพอีกศพก็ถูกโยนเข้ามา
จางเทียนจิ่ว
พ่อบ้านอู๋มองไปยังศพที่อยู่บนพื้น แล้วดูศพที่อยู่ในมือของตัวเองอีกครั้ง ใช่สือเฉียงแน่ ใบหน้าที่สงบนิ่งเฉยของเขามีการเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งแรก
คุณฆ่าพวกเขาเหรอ?
พ่อบ้านอู๋ขมวดคิ้ว
อายุมากแล้ว สายตาไม่ดีเหรอ?
ในขณะที่พูด ฉินเฟิงก็เอามือไพล่หลัง เดินเข้ามาจากประตู ฉีหยุนคอยเดินตามอยู่ข้างหลัง
คุณ!
สีหน้าของพ่อบ้านอู๋ขรึมลง แต่ก็พูดต่อ ใช่ แก่แล้ว แต่การฆ่าคุณไม่ใช่ปัญหา
ในเวลานี้ อู๋ห้าวได้ลุกขึ้นยืน กวาดสายตามองทั้งสองศพ ความขี้เล่นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา น่าสนใจ น่าสนใจ ลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่นที่เป็นที่เลื่องลือ ขึ้นชื่อว่าเป็นเศษสวะในเมืองเจียงเฉิง ตอนนี้ได้ฆ่ากลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชั้นยอด กำจัดทหารรับจ้างสิบสองคน แล้วยังตียอดฝีมือทั้งสี่ที่ผมเสียเงินฝึกอบรมเป็นจำนวนมากจนอยู่ในสภาพนี้
ฉินเฟิง คุณทำให้ผมประหลาดใจมากจริงๆ แต่ถ้าคุณคิดว่าคุณสามารถจัดการกับผมด้วยวิธีนี้? นั่นมันก็ง่ายเกินไป ผมคือคุณชายตระกูลอู๋ อู๋ห้าว
มีความเฉียบคมอย่างคลุมเครือบนร่างกายของอู๋ห้าว
ไม่ใช่ว่าคนทั้งสองรุ่นจะมีแต่พวกไร้ประโยชน์เกียจคร้านเอาแต่กิน ก็เหมือนกับเขาและตู้ต้วนเทียน ซึ่งเป็นรุ่นเยาว์ที่ดีที่สุด แต่เขาสามารถเอาชนะตู้ต้วนเทียนได้
ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีความสามารถพอถูไถไปได้ แต่น่าเสียดาย ที่คุณจะต้องตายที่นี่วันนี้ คุณไม่ควรแตะต้องภรรยาของผม เธอเป็นทุกสิ่งของผม
ดวงตาของฉินเฟิงมืดมิดราวกับน้ำหมึก เยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง
ตายที่นี่ ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิงไม่มีใครกล้าพูดแบบนี้ ลำพังคุณ ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านคนอื่นเนี่ยนะ?
อู๋ห้าวยิ้มเยาะ รู้ไหมว่าพ่อบ้านของผมคือใคร? ชื่อเดิมของเขาคืออู๋ เขาเป็นคนเดียวที่รอดชีวิตมาได้ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา หน่วยกล้าตายของตระกูลอู๋ของเรา เคยต่อสู้กับกลุ่มทหารรับจ้างเพียงลำพัง คุณเดาซิว่าเป็นยังไง กลุ่มทหารรับจ้างนั้นถูกกำจัดอย่างสมบูรณ์ สัญชาตญาณในการเข้าหาสัตว์ร้าย สี่ยอดฝีมือไม่ใช่ศัตรูของพ่อบ้านอู๋ของผม
คุณรู้ไหมทำไมในเวลานี้ผมถึงมีความมั่นใจมากนัก ก็เพราะพ่อบ้านของผม พูดได้เลยว่าคุณไม่มีโอกาสชนะแล้ว
อู๋ห้าวมั่นใจมาก
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตระกูลอู๋ได้ใช้เงินนับร้อยล้านในการฝึกอบรมหน่วยกล้าตายโดยใช้วิธีการเหมือนเลี้ยงกู่ สุดท้ายมีเพียงพ่อบ้านอู๋คนเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นหน่วยกล้าตายคนเดียวที่พุ่งชนทุกสิ่ง
นี่ต่างหากคือความมั่นใจของเขา
แม้ว่าเขาจะทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมด แต่ก็ไม่มีใครสามารถทำร้ายเขาได้
ในเวลานี้ พ่อบ้านอู๋ถอดเสื้อคลุม บิดคอไปมา ส่งเสียงดังกร๊อบกร๊อบ ยืดเส้นยืดสาย แกว่งขาข้างหนึ่งไปมา
จ้องมองฉินเฟิงด้วยสายตาเหมือนสัตว์เดรัจฉาน
นี่คือ ท่ามวยเตะสิบสองเหรอ?
ฉินเฟิงสังเกตเห็นขาของพ่อบ้านอู๋ และจำมันได้ นี่คือคือตำแหน่งวางเท้าของท่ามวยเตะสิบสอง ถ้าต้องการเตะมันออกไป สามารถเตรียมพร้อมและเตะมันไปยังส่วนสำคัญได้อย่างรวดเร็ว
ลูกน้องของเขาก็มีคนหนึ่ง มีวิถีทางแบบนี้เช่นกัน
เฮ้ เป็นแค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น รู้จักท่ามวยเตะสิบสองด้วยเหรอ? ผมไม่รังเกียจที่จะบอกคุณนะ ตอนนั้นพวกเราตามหาอาจารย์สิบสองคน เพื่อสั่งสอนพ่อบ้านของเรา แต่ละคนก็สอนทักษะเฉพาะของตัวเอง แม้ว่าในที่สุด พวกเขาทั้งหมดก็ถูกพ่อบ้านอู๋ฉีกขาดครึ่ง
อู๋ห้าวนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เร่งรีบ แล้วพูดช้าๆ แต่ว่า ทักษะเฉพาะของพวกเขานั้นแข็งแกร่งจริงๆ ท่ามวยเตะสิบสอง มวยวัชระ…ไม่ว่าจะเป็นอะไร พ่อบ้านอู๋ก็ทำได้
ดังนั้น ฉินเฟิง คุณกลัวแล้วหรือยัง? ถ้าคุณกลัวแล้ว ก็คุกเข่าลงที่นี่ คอยดูการแสดงของผม บางทีสุดท้ายผมอาจจะไว้ชีวิตสุนัขอย่างคุณ
อันที่จริงเขาไม่ได้วางแผนที่จะฆ่าฉินเฟิงอยู่แล้ว
ถ้าเขาฆ่าเขาด้วยวิธีนี้ เขาก็จะตะโกนร้อง กลายเป็นละครฉากใหญ่ มันคงไร้ความหมาย เขาต้องการเห็นฉินเฟิงเสียใจกับการไร้ความสามารถของตัวเอง
การไร้ความสามารถของผู้ชายเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
เขาต้องการทำให้ฉินเฟิงต้องทนทุกข์ไปตลอดชีวิต
เสียใจกับการไร้ความสามารถของตัวเอง เสียใจที่ไม่สามารถช่วยอิ่นซินได้ เสียใจที่ตัวเองทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้เลย สุดท้ายก็ทำได้แค่มองดูอิ่นซินเคลื่อนไหวภายใต้ร่างกายของเขาเท่านั้น
นี่เป็นวิธีที่น่าตื่นเต้นที่สุดในการทรมานคน
อู๋ห้าวหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาเขย่า จากนั้นก็จิบเบาๆ ความคิดตรึกตรองฉายผ่านดวงตา พ่อบ้านอู๋ เริ่มแล้ว
การแสดงกำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ครับผม
ดวงตาของพ่อบ้านอู๋เป็นประกาย เขาได้เตรียมตั้งท่าไว้แล้ว เขาก้มลงและกระโดดลงไป วินาทีถัดมา ก็มาถึงข้างกายฉินเฟิง ก่อนจะออกหมัด
ลมแรงปะทะขมับของฉินเฟิง
ทหาร ปกป้องประเทศเพื่อประชาชน ไม่ใช่เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวอย่างคุณ
ฉินเฟิงพูดจบก็เดินข้ามศพของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย แล้วเงยหน้าขึ้นมองแวบหนึ่ง เป็นนัยว่าคนพวกนี้หยุดเขาไม่ได้
ในหน้าต่างชั้นบน อู๋ห้าวกำลังดูภาพเหตุการณ์นี้ ด้วยสายตาหยอกเย้า สนุกดี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกลุ่มนั้นไม่ได้ขัดขวางเขาไว้ แต่พวกนั้นก็เป็นแค่พวกไร้ประโยชน์ คุณว่าจริงไหมพ่อบ้านอู๋?
เขามองไปที่พ่อบ้านอู๋ในชุดสูทหางม้าที่อยู่ข้างๆ
ครับ
พ่อบ้านอู๋โค้งให้
ฮ่า ที่ชั้นล่างยังมีทหารรับจ้างอีกคน ผมจ้างเขามาจากต่างประเทศ วันละหนึ่งแสน ถูกจ้างมาเพื่อความสนุกโดยเฉพาะ เอามาใช้ได้พอดีเลย
ริมฝีปากของอู๋ห้าวโค้งขึ้น ได้กลิ่นคาวเลือด
ทหารรับจ้างเหล่านั้นมาจากแผ่นดินใหญ่ตะวันตก อยู่ในสนามรบและต่อสู้เข่นฆ่ามาโดยตลอด แต่ละคนน่าจะมีนับร้อยชีวิตอยู่ในกำมือ
เทียบกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นแล้ว มีความเป็นมืออาชีพมากกว่า
มืออาชีพในการฆ่า
นี่ต่างหากคือฝันร้ายของฉินเฟิง
เหตุผลที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นไม่ได้หยุดฉินเฟิงไว้ เพียงเพราะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นไร้ประโยชน์
ในเวลาเดียวกัน ฉินเฟิงก็มาถึงที่ประตูพอดี มีชายสิบสองคนในชุดพรางตา มีคราบเลือดติดอยู่ตามร่างกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ในมือกำลังถือมีดคูคริเล่มหนึ่งที่คมกริบเปล่งประกายสีเงินแปลบปลาบ
หัวหน้าคือชายตะวันตก ผิวขาว สูงประมาณ 190 เซนติเมตร นั่งบนขั้นบันได ถือมีดเล่มหนึ่งอยู่ในมือ กำลังเอาลิ้นโลมเลีย
ทุกครั้งที่เลียมัน ประกายเลือดจะฉายผ่านดวงตา
ป้ายชื่อนี้ งูดำ
ฉินเฟิงกวาดสายตามอง บนตัวของทหารรับจ้างเหล่านี้ มีสัญลักษณ์หนึ่ง เขาอยู่ที่ชายแดนตลอดทั้งปี ดังนั้นเขาจึงรู้จักกองทหารรับจ้างในระดับหนึ่ง
งูดำ กองทหารรับจ้างหนึ่งในห้าอันดับสูงสุดระดับนานาชาติ
ทหารรับจ้างแต่ละคนผ่านการต่อสู้มานับร้อยครั้ง ต้องมีเลือดของศัตรูนับสิบคนอยู่ในมือ แต่ละกลุ่มนั้นมีราคาแพงมาก คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถจ้างพวกเขาได้
ฮ่า คุณรู้จักกลุ่มทหารรับจ้างงูดำของพวกเราด้วย
ชายผิวขาวที่เป็นหัวหน้าเงยหน้าขึ้นมองฉินเฟิงครู่หนึ่งจากนั้นก็เลียมุมปาก ด้วยสายตาราวกับกำลังรอคอยเหยื่อ
เขามีลางสังหรณ์ว่าฉินเฟิงนั้นแข็งแกร่งมาก
แต่ก็เพราะแข็งแกร่งมาก ถึงจะน่าสนใจ การไล่ล่าเหยื่อแบบนี้เท่านั้น จึงจะทำให้เขารู้สึกมีความสุขได้
ก็ต้องรู้จักอยู่แล้ว ถึงอย่างไรงูดำก็ตายในเงื้อมมือผม ฉินเฟิงพูดพร้อมกับเอามือไพล่หลัง
ฮ่าฮ่า น่าสนใจ เป็นไปได้ยังไงที่งูดำตายในกำมือของคุณ เขาคือเจ้านายในบริษัทของเรา คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร จากภาษาต้าหัวของพวกคุณ คุณเป็นคนหยิ่ง ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร
ชายผิวขาวยิ้มเยาะ
ใครคืองูดำ หัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างงูดำเป็นหน่วยรบพิเศษจากอาณาจักรเฟรัส เพราะความโลภ เขาได้ฆ่าคนกลุ่มหนึ่ง แล้วหอบไปนับแสนล้าน
ต่อมากลุ่มทหารรับจ้างงูดำได้มีทหารรับจ้างชั้นยอดกว่าหนึ่งพันนาย มีศักยภาพและแข็งแกร่งมาก เรียกได้ว่าไร้คู่ต่อสู้ในสนามรบ
ใครกันที่สามารถฆ่าเขาได้
มันเป็นเรื่องน่าขันที่จะบอกว่าเขาได้ฆ่างูดำ
…
ความสงสารปรากฏขึ้นในดวงตาของฉีหยุน บางทีหัวหน้ากลุ่มทหารรับจ้างงูดำคนปัจจุบันอาจไม่ใช่งูดำอีกต่อไป เพราะเมื่อปีที่แล้ว ฉินเฟิงได้ออกไปปฏิบัติภารกิจ
ได้พบกับงูดำคนนั้น
กลุ่มทหารรับจ้างขนาดใหญ่ที่มีมากกว่าหนึ่งพันนาย เป็นมืออาชีพและมีพลังทำลายล้าง
น่าเสียดายที่เขาได้พบกับฉินเฟิง วีรบุรุษผู้ไร้คู่ต่อสู้แห่งต้าหัว ไม่เพียงแต่มีกลยุทธ์ในสนามรบเท่านั้น แต่ตัวเขายังมาจากเทือกเขาและทะเลแห่งซากศพอีกด้วย
เขาถูกฉินเฟิงตัดศีรษะด้วยดาบสามเหลี่ยม
กลุ่มทหารรับจ้างก็ถูกกำจัดทั้งหมดเช่นกัน
ไอ้หนู ขอแนะนำตัวหน่อย นี่คือแจ็กกี้ ทีมเจ็ดของกลุ่มทหารรับจ้างงูดำ เดิมทีควรผ่านไปเพื่อทำภารกิจ แต่ไม่คิดว่าอู๋ห้าวจะรั้งพวกเราไว้ เลยได้รายได้พิเศษพอดี
แจ็กกี้ลุกขึ้นยืน แล้วโบกมีดในมือ ผมฆ่าคนด้วยมีดเล่มนี้มาแล้วเก้าสิบเก้าคน ถ้ารวมคุณด้วย ก็ครบร้อยพอดี
คุณนี่ช่างโชคดีจริงๆ
พูดจบ แจ็กกี้ก็ย่อตัวแล้วพุ่งไปข้างหน้า ได้ยินเสียงฉีกขาด ด้วยมีดเล่มเดียว เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น เขาเป็นทหารรับจ้าง เป็นทหารรับจ้างเลือดเย็นที่ได้รับการฝึกฝนอย่างโชกโชนในระหว่างปฏิบัติภารกิจ
ใบมีดพุ่งไปที่ส่วนสำคัญ
ต้องรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้าทีมเจ็ดในกลุ่มทหารรับจ้างงูดำ หัวหน้าทีมย่อยไม่ใช่ทหารรับจ้างธรรมดา ยืนยันได้ว่าคนคนนี้ปฏิบัติภารกิจสำเร็จมากมาย แล้วยังได้รับคะแนนเต็มอีกด้วย
เรียกได้ว่าคนคนนี้เพียงพอแล้วที่จะเล่นล่าเหยื่อ คนส่วนใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง แม้แต่หลิวหลินเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ดังนั้นเขาจึงภาคภูมิใจมาก
มีดเล่มหนึ่งกำลังจะตัดศีรษะของฉินเฟิง นี่คือสิ่งที่เขาทำบ่อยๆ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่น่าเสียดายก็คือ ฉินเฟิงไม่ได้ให้โอกาสนี้แก่เขา
ตัวตลกเต้นแร้งเต้นกา
ฉินเฟิงเบี่ยงตัวหลบหลีกการโจมตีครั้งนี้ ซึ่งทำให้สีหน้าของแจ็กกี้เปลี่ยนไป มันเร็วมากจนไม่รู้ตัว แต่เรื่องที่ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวได้มาถึงแล้ว
ฉินเฟิงหันกลับมา แล้วฟาดขาใส่
ตูม!
อ๊าก!
แจ็กกี้รู้สึกถึงความหวาน เลือดทะลักออกมา แล้วกระเด็นออกไปทันที ทนอย่างไรก็ทนไม่ไหวแล้ว อาเจียนออกมากลางอากาศ
สุดท้ายก็กระแทกกับบันไดอย่างแรง
กลุ่มทหารรับจ้างงูดำเล็กๆ กล้าเข้ามาในดินแดนประเทศต้าหัวของเรา หลังจากเรื่องนี้จบลง ผมจะส่งคนไปที่กลุ่มทหารรับจ้างงูดำ เพื่อไปพบกับงูดำคนใหม่ บอกเขาเรื่องพื้นที่ต้องห้ามของทหารรับจ้าง
ฉินเฟิงพูดเสียงเย็นชา แล้วสะบัดมือออกเพื่อบอกฉีหยุนว่า ไปกันเถอะ.
ครับผม
ฉีหยุนตอบทันที
นี่อะไร?
อีกสิบเอ็ดคนที่เหลือมองไปที่แจ็กกี้ที่นอนหมดลมหายใจอยู่บนพื้น แล้วมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บางคนมีความหวาดกลัวอยู่ในดวงตา
ต้องรู้ว่าแจ็กกี้คนนี้เป็นหัวหน้าทีมของพวกเขา
มีประสบการณ์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งและโชกโชน
พวกเขารวมกันสิบเอ็ดคนก็อาจจะยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในกลุ่มทหารรับจ้างงูดำก็ยังเป็นหัวหน้าทีมที่มีชื่อเสียง แต่ตอนนี้ ถูกกำจัดได้ในกระบวนท่าเดียว
กระบวนท่าเดียว
ไม่มีกำลังที่จะตอบโต้กลับเลย
ขัดขวางเหรอ?
มีทหารรับจ้างคนหนึ่งมองมาทางฉินเฟิง กลืนน้ำลายพลางถามขึ้น
พวกเขาเป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่มีกฎเกณฑ์ รับเงินมาแล้วก็ต้องทุ่มเทชีวิตทำงาน นี่คือกฎ มิฉะนั้นหากลูกค้าร้องเรียน ทางบริษัทตรวจสอบความจริง พวกเขาก็อาจถูกตามล่าเช่นกัน
คนที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยแววตาที่อาฆาตแค้น ดีร้ายพวกเขาทุกคนล้วนก็เป็นทหารรับจ้าง การฆ่าเป็นเรื่องธรรมดา
ไม่ได้ตกใจกลัวง่ายขนาดนั้น
หากกลับมาที่บริษัทในสถานการณ์เช่นนี้ก็ต้องตาย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขามีจำนวนคนมาก บางที…
ออกไปซะ
ฉินเฟิงเดินเข้ามา น้ำเสียงอันเยือกเย็นทำให้พวกเขาสั่นสะท้านไปทั้งตัวทันที ขาทั้งสองอ่อนแรง บางคนถึงกับยืนไม่ไหว วินาทีถัดมา พวกเขาทั้งหมดก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
ปีศาจ! ปี…ศาจ!
พวกเขาเคยเห็นความเลือดร้อนและทหารรับจ้างที่ฆ่าผู้คน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฉินเฟิง ก็ต้องตกใจกลัวกับพลังสังหารของเขา และในขณะนั้นก็ดูเหมือนจะเห็นเทือกเขาและทะเลแห่งซากศพ
ฉินเฟิงโชกไปด้วยเลือด ยืนอยู่ที่เขตแดนพร้อมกับมีดในมือ
ปีศาจ!
ฉินเฟิงผู้นี้ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นปีศาจ ปีศาจ!
ไฮยีน่า? บางทีอาจจะเป็นสุนัขจริงๆ ก็ได้ เป็นทหารแต่เรียกคนอื่นง่ายๆ ว่าเจ้านาย ก็เป็นหมาจริงๆ นั่นแหละ น่าละอายใจแทน ‘ทหาร’ จริงๆ
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง มองด้วยหางตา
ฮ่า เป็นหมาแล้วยังไงล่ะ อย่างน้อยก็มีเงินให้ผม ตราบใดที่เชื่อฟัง รายได้เดือนละแสนกว่า มันดีกว่าที่ผมเป็นทหารเสียอีก ผมว่านะ เป็นทหารก็สู้ไปเป็นทาสรับใช้เขาไม่ได้หรอก
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหัวเราะเยาะ ไม่รู้สึกละอายกับคำว่าเจ้านายสองคำนี้ แต่กลับภาคภูมิใจเสียด้วยซ้ำ
อย่างน้อยก็มีเงิน
ไอ้หนู ผมคิดว่าคุณหน้าตาไม่เลว มาเป็นสุนัขรับใช้ผมเป็นไง? เจ้านายของผมจะให้ผมเดือนละแสนห้า ผมจะให้คุณเดือนละห้าหมื่นดีไหม?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบิดคอไปมา
เดือนละห้าหมื่น? น่าสนใจ แต่วันนี้ผมไม่มีเวลาเล่นกับคุณแล้ว ฉีหยุน บุกเข้าไป
แววตาของฉินเฟิงหรี่ลง
ครับผม
ทางด้านหลัง ฉีหยุนกระโดดออกมา จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้อยู่ในดวงตาทั้งสอง ผู้คลั่งไคล้สงครามอันดับหนึ่งในกองทัพไม่ใช่เรื่องล้อเล่น อาจถูกฆ่าได้อย่างฉับพลัน
เยี่ยมมาก มีฝีมือ
เมื่อหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นการเคลื่อนไหวของฉีหยุน ก็รู้ว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ยิ้มมุมปาก น่าเสียดาย พวกคุณซื่อตรงเกินไป
แกร๊ง
เขาหยิบปืนพกจากเอวแล้วชี้ไปที่ฉีหยุน หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ฮ่าฮ่า พวกงี่เง่าทั้งนั้น พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมืออาชีพ จะไม่พกปืนได้ยังไง ตายซะเถอะ…
แต่ในวินาทีต่อมา รอยยิ้มก็หุบลงทันใด
ก่อนที่เขาจะทันได้ยิง ฉีหยุนก็เอียงตัวดึงมีดเล็กออกจากร่างกายแล้วขว้างออกไป มันปักเข้าไปที่ฝ่ามือของหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพอดิบพอดี
สิ้นเสียงฉึก
ปืนพกร่วงลงไปที่พื้น
อืม…
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพ่นลมหายใจแรง เอามือกุมฝ่ามือของตัวเอง จากนั้นก็ผ่อนคลายลง แล้วมองไปที่มีดเล็กที่ปักอยู่ มองไปที่ตำแหน่งของฉีหยุนอีกครั้ง ไม่อยากจะเชื่อเลย ทำไมถึงแม่นยำขนาดนี้ ห่างกันตั้งหนึ่งร้อยเมตร!
ระยะไกลเช่นนี้ ยิงตรงเป้าเพียงครั้งเดียว
มันคือโชคหรือความสามารถกันแน่
อย่าคิดจะดวลปืนกับผม ในตัวผมมีใบมีดหนึ่งร้อยแปดใบ ซึ่งเพียงพอที่จะฆ่าพวกคุณทุกคน แต่ตอนนี้ขอแค่ดาบสามเหลี่ยมเพียงเล่มเดียวก็เพียงพอแล้ว
ฉีหยุนหยิบแผ่นเหล็กออกมาจากตัว ก่อนจะเชื่อมต่อกันจนสุดท้ายกลายเป็นดาบสามเหลี่ยมเล่มหนึ่ง
ดาบสามเหลี่ยมเป็นดาบที่มีพลังทำลายล้างมากที่สุดในกองทัพ
เขาจะไม่ใช้ดาบประเภทนี้จัดการกับคนกันเอง แต่สำหรับศัตรูนั้นไม่เหมือนกัน
พวกนายเข้าไป ไปฆ่าหมอนั่นซะ ฉันจะให้พวกนายหนึ่งล้าน
รอยความโหดร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาปล่อยให้บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างหลังเข้ามา พวกนั้นล้วนเป็นทหารกากๆ ซึ่งถูกไล่ออกด้วยเหตุผลส่วนตัวบางประการ
บางคนเก่งมากในเรื่องการต่อสู้
หนึ่งล้าน หลายปีมานี้เขาได้ช่วยอู๋ห้าวฆ่าคนมาไม่น้อย และยังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง
หนึ่งล้าน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นมองมาที่ศีรษะของฉีหยุน เหมือนกำลังมองดูเงิน ขาดก็แต่ไม่ส่องประกายเท่านั้น
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มดูถูก หนึ่งล้าน นายพลอันดับหนึ่งอย่างเขามีค่าแค่หนึ่งล้านตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นที่รู้กันดีว่าในเว็บมืด เงินรางวัลนำจับฉีหยุนสูงถึงหนึ่งแสนล้าน
หนึ่งล้าน?
ดูถูกกันเหรอ?
ฉีหยุน เลิกเล่นได้แล้ว รีบสู้รีบตัดสินใจ
ฉินเฟิงเร่งรัด เขามองขึ้นไปที่ชั้นบน รู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองมาที่เขา สายตาเหมือนนักล่าที่จ้องมองเหยื่อ
ตอนนี้ฉินเฟิงโล่งใจได้เล็กน้อย
เพราะสายตาแบบนี้แสดงให้เห็นว่าเขาควบคุมสถานการณ์โดยรวมได้ มีความมั่นใจที่จะควบคุมทุกอย่าง เขาจึงไม่ใช้สอยอิ่นซินเร็วนัก และจะสนุกกับมันจนวินาทีสุดท้าย
เพียงแต่ว่า ในดวงตาของฉินเฟิงมีแววเยาะเย้ยตัวเองปรากฏขึ้น
เมื่อใดที่เทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งต้าหัวและเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์เอาชนะทหารหลายแสนนาย สังหารศัตรูได้สามแสนคนในสงคราม? คนก็จะถือว่าเป็นเหยื่อด้วย
ครับผม
ฉีหยุนตอบด้วยแววตาดุร้าย
จากนั้นตัวก็แวบหายไป ไปปรากฏตัวตรงหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นในวินาทีต่อมา พวกเขาอ้าปากค้าง เผยให้เห็นฟันขาว มาสิ มาสู้กัน
อะไรเนี่ย!
สีหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเปลี่ยนไป พวกเขาไม่ทันได้สังเกตเลยว่าฉีหยุนมาตั้งแต่เมื่อไหร่
มันเร็วมาก
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขามีสีหน้าเปลี่ยนไปยิ่งกว่านั้นก็คือ ทันทีที่ฉีหยุนออกหมัด เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็กระเด็นออกไป จากนั้นก็จับคนคนหนึ่งกดลงกับพื้นด้วยขา
จากนั้น ดาบสามเหลี่ยมก็หมุนไปทันที
แทงเข้าที่ท้องของคนคนหนึ่ง สุดท้ายก็พุ่งเข้าปะทะ เป็นอีกคนที่ถูกชนกระเด็นออกไป
ในเวลาสั้นๆ เพียงสามวินาที ด้วยการเคลื่อนไหวอย่างลื่นไหลคล่องแคล่ว สี่คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทหารกากๆ ที่ปลดประจำการก็ล้มลงกับพื้น เลือดไหลกบปาก
สติเลือนราง
หนึ่งในนั้นถูกฉีหยุนลงมืออย่างโหดเหี้ยม เอามือกุมท้อง ร้องไห้คร่ำครวญ
เร็วชะมัด!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบางคนเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง พวกเขาเชื่อว่าฉีหยุนสามารถเอาชนะพวกเขาได้ แต่มันเกินจริงไปมาก สามวินาที พวกเขาแทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจนเลย
พวกเขาบางคนได้สังหารสหายในกองทัพ บางคนก็แสวงหาอำนาจส่วนตัว โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาล้วนเป็นทหารกากๆ ที่ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลอู๋ แต่มีอยู่สิ่งหนึ่ง พวกเขาล้วนเป็นมืออาชีพ
ทุกคนเป็นมืออาชีพและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี
แต่ตอนนี้กลับถูกฉีหยุนทุบตีราวกับผักอย่างไม่น่าเชื่อ
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ฆ่าคนดุจสายน้ำไหล เจอตอเข้าแล้ว
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเป็นคนที่มีความสามารถ ดังนั้นเขาจึงมองออกว่าฉีหยุนนั้นไม่ธรรมดา แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังห่างชั้นจากฉีหยุนมาก แต่พวกเขานั้นมีจำนวนคนมากมาย
เข้ามาพร้อมกันเป็นกลุ่ม พวกคุณเคยเรียนรู้มาแล้ว
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคำรามลั่น
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสบสายตากันและตัดสินใจในที่สุด ก้าวเดินเข้าไปพร้อมกันและค่อยๆ กลายเป็นหนึ่งเดียว นี่คือการผสมผสานทักษะการต่อสู้ที่พวกเขาได้เรียนรู้จากกองทัพ
ถ้าจะบอกว่าพวกคุณเป็นทหาร มันช่างน่าขายหน้าแทนทหารจริงๆ
ฉินเฟิงโกรธจัด
พวกทหารกากๆ เหล่านี้ไม่เชื่อฟังระเบียบวินัยไม่เท่าไหร่ แต่ตอนนี้พวกเขายังใช้สิ่งที่เรียนรู้เมื่อตอนเป็นทหารมาจัดการกับพวกเขา ซึ่งทำให้เขาโกรธมาก
ท่านพูดแล้ว ว่าพวกคุณน่าขายหน้า
ฉีหยุนตะโกนลั่น เดินตรงเข้าไป คว้าดาบสามเหลี่ยมด้วยมือเดียว แล้วบุกเข้าไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาห้อมล้อมฉีหยุนทันที พวกเขานึกว่าจะสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของฉีหยุนได้ แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าฉีหยุนจะมีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชน หลังจากหลบหลีกได้สองกระบวนท่าก็ค้นพบช่องโหว่
จากนั้น
แสงสีเงินแลบแปลบปลาบ
เมื่อดึงดาบสามเหลี่ยมออก เลือดก็ทะลักตามออกมา ทั้งสองล้มลงกับพื้นดังโครม จากนั้นก็เอาขาทั้งสองยันไว้ ดึงดาบสามเหลี่ยมออกอีกครั้ง
เลือดไหลทะลักออกมาเป็นสาย
แต่ก็ยังไม่ถึงตาย ฉินเฟิงไม่ปล่อยให้เขาฆ่าใคร แต่พอฟันลงไปแล้ว คนคนนั้นก็ขาดครึ่งท่อน
จากนั้น แสงจากใบมีดก็ทะยานขึ้นไป
ในเวลาสั้นๆ เพียงห้าวินาที เสียงตกลงสู่พื้นก็ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดก็มีชิ้นส่วนศพกระจัดกระจายไปทั่วพื้นดิน เลือดไหลนอง
สมควรตาย คนคนนี้!
เมื่อหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเห็นภาพนี้ก็ตัวสั่นด้วยความกลัว นี่มันรุนแรงเกินไปแล้ว เขาหันหลังแล้ววิ่งหนีไปโดยสัญชาตญาณ ความจงรักภักดีต่อตระกูลอู๋หรือเงินอะไรก็ไม่สำคัญอีกแล้ว
ตอนนี้เขาแค่อยากจะมีชีวิตอยู่
แต่ทว่า ฉินเฟิงนั้นส่งสายตาให้ฉีหยุน หลังจากที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวิ่งไปไกลกว่าสิบเมตร ดาบสามเหลี่ยมก็มาถึงตัว
เสียบเข้าที่หน้าอกของเขาพอดี
สุดท้ายเขาก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรงดังโครม
คำสั่งของฉินเฟิงที่มอบให้เขาคือ คนคนนี้สมควรถูกฆ่า
อ๊าก!
อิ่นป่ายยังไม่ทันได้ตอบโต้ ก็ถูกฉินเฟิงเอามือข้างหนึ่งจับบีบไว้ เขาหายใจไม่ออก ใบหน้าเขียวคล้ำ เขาดิ้นรนขัดขืนแต่ก็ดิ้นไม่หลุด พลันเบิกตากว้างมองไปที่ฉินเฟิง
แต่เมื่อได้สบสายตากัน
ร่างกายของเขาแข็งทื่อ เพราะดวงตาคู่นั้นเหมือนเก็บซ่อนนรกเอาไว้ ในขณะที่สบสายตานั้น เขาเป็นเหมือนคนที่อยู่ท่ามกลางเทือกเขาและทะเลแห่งซากศพ
กลิ่นเลือดแตะจมูกของเขาโดยพลัน
ซากศพทั่วท้องฟ้าทำให้เขาช็อก
แต่แล้วมีดทหารเล่มหนึ่งก็ปักเข้าที่หน้าอกของเขา ทำให้เขามองเห็นตัวเองตายและเจ็บปวด วินาทีต่อมา เขาเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็งที่อยู่ไกลนับพันลี้
หนาวเหน็บเข้าไปถึงกระดูก
ภัยแห่งความตายได้ส่งมาถึง
เขากำลังจะตาย!
ผมพูดแล้ว!
อิ่นป่ายหอบหายใจ ตาถลน กัดฟันกรอดพูดสองคำนี้ออกมา เขารู้ว่าถ้าเขายังไม่พูดออกไป ฉินเฟิงจะฆ่าเขาจริงๆ!
นี่คือปีศาจ
โครม
ฉินเฟิงปล่อยมือ ปล่อยเขาลงกับพื้น แล้วมองด้วยสายตาเยือกเย็น พูด
เขาถูกคุณชายอู๋ อู๋ห้าวพาตัวไป
ความหวาดกลัวแผ่ซ่านในดวงตาของอิ่นป่าย
ฉินเฟิงได้ยินดังนั้น ก็ไม่สนใจคนตระกูลอิ่นพวกนี้อีกต่อไป เขาหันกลับมาขึ้นรถแลนด์โรเวอร์ทหาร จากนั้นฉีหยุนก็เหยียบคันเร่งพารถแลนด์โรเวอร์ห้อตะบึงออกไป
โครม
ชนเข้ากับกำแพงอีกครั้ง
รถแลนด์โรเวอร์ทหารรุ่นดัดแปลง จะถูกนำมาใช้ในยามวิกฤตเท่านั้น ซึ่งเพียงพอที่จะพังทลายสิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่ได้
บัดซบ
พอเห็นฉินเฟิงจากไปแล้ว อิ่นป่ายก็แอบด่า เมื่อครู่เขามีลางสังหรณ์จริงๆ ว่าถ้าเขาไม่พูด ฉินเฟิงจะกล้าฆ่าเขาจริงๆ
แต่หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อเขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว ก็พบว่าเขาไม่จำเป็นต้องกลัวเลย เพราะเขารู้สึกว่าฉินเฟิงเป็นคนโง่ เป็นแค่ความหุนหันพลันแล่นเท่านั้น ฆ่าเขาแล้วจะทำอะไรได้
ตัวเองก็ต้องติดคุก
จับเขาไว้เพียงเพราะความโกรธ วางแผนเอาชีวิตแลกชีวิต คนโง่จริงๆ
แต่จะว่าไปแล้ว ชีวิตของเขาก็มีค่า
แต่อิ่นป่ายยังคงรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า เพราะฉินเฟิงผู้ต่ำต้อย ขอทานตัวเล็กๆ นึกไม่ถึงเลยว่าจะหวาดกลัวจนอยู่ในสภาพนี้ เขาตะโกนใส่อิ่นเสี้ยงสวี่อย่างเกรี้ยวกราดทันที พี่สาว โทรหาหวงจง ประธานหวงซื่อกรุ๊ปให้หน่อย บอกเขาว่า ผมมีธุรกิจใหญ่จะคุยกับเขา
อ้อ…โอเค
อิ่นเสี้ยงสวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตอบตกลง
ฉินเฟิง นายโอ้อวดว่าเคยเป็นทหารมาหลายปี มีความสามารถในการต่อสู้ แต่ก็เป็นแค่คนหุนหันพลันแล่นเท่านั้น กล้ายืมรถจากกองทัพมาโจมตีฉัน รนหาที่ตายจริง
นายคอยดูเถอะ แม้ว่านายจะช่วยอิ่นซินจากมือของอู๋ห้าวมาได้ก็ตาม ฉันจะทำให้นายบ้านแตกสาแหรกขาด มาสู้กับฉัน ฉันจะฆ่านายให้ตาย!
ความดุร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอิ่นป่าย
เขาไม่เคยหวาดกลัวแบบนี้มาก่อน กางเกงเปียกไปหมด
เป็นอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!
จากนั้น เขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาอู๋ห้าว คุณชายอู๋ ฉินเฟิงไปหาคุณแล้ว เตรียมตัวจับ ระวังตัวด้วย
อ้อ
คำตอบสบายๆ ดังออกมาทางโทรศัพท์
จากนั้นโทรศัพท์ก็ตัดสายไป
ในคฤหาสน์ของตระกูลอู๋ อู๋ห้าวกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น เขามองไปที่อิ่นซินที่กำลังสลบสไล ราวกับว่าเป็นงานศิลปะที่แกะสลักอย่างระมัดระวังจากช่างฝีมือ
ประณีตละเอียดอ่อน
ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความซาบซึ้ง ความโลภ และความรุนแรง
อิ่นซิน นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีวันที่คุณถูกคนในตระกูลของตัวเองส่งมาให้ถึงประตูบ้าน ตลกชะมัด เมื่อเจ็ดปีก่อนคุณทำใจไม่ได้ จึงมอบบริษัทซานหยวนกรุ๊ปให้ตระกูลอิ่น และในตอนนี้พวกเขาก็มอบคุณให้กับผม
อู๋ห้าวส่ายหน้า ในดวงตามีแววเยาะเย้ย แต่ผมไม่ใช่สุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรมอะไรนัก ตอนนั้นผมตามจีบคุณ แต่ถูกคุณปฏิเสธ ตอนนี้ผมได้คิดบัญชีในตอนนั้นแล้ว
แต่ก่อนที่ผมจะคิดบัญชีในตอนนั้น ผมยังต้องจัดการกับหนูตัวเล็กก่อน
อู๋ห้าวยิ้ม พลางเดินไปที่โต๊ะหนังสือข้างๆ แล้วดีดนิ้ว พ่อบ้าน
คุณชาย
ชายชราในชุดสูทหางม้า ผมหงอก และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเดินเข้ามาจากด้านนอก เขาเป็นพ่อบ้านของคฤหาสน์หลังนี้ แซ่อู๋ ปกติมักจะเรียกว่า พ่อบ้านอู๋
ฉินเฟิงคือใครมาจากไหน? อู๋ห้าวมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วถามขึ้น
เป็นคนที่ปลดประจำการจากทหาร เราไม่สามารถสืบหาข้อมูลของทางกองทัพได้ แต่เขาเป็นทหารมาเจ็ดปี ก็น่าจะเก่งเรื่องต่อสู้พอสมควร พ่อบ้านอู๋ตอบ
เก่งเรื่องต่อสู้เหรอ? น่าสนใจ
อู๋ห้าวยิ้มมุมปาก ในคฤหาสน์ ตอนนี้มีกำลังป้องกันอยู่หรือไม่?
มีหน่วยรักษาความปลอดภัย 30 นาย ทหารรับจ้าง 12 นาย ยังมีสี่ยอดฝีมือที่พวกเราฝึกฝนมา และยังมีผม หน่วยกล้าตายตระกูลอู๋
พ่อบ้านอู๋พูดจบ ร่างกายก็ระเบิดพลังออกมา
หน่วยกล้าตาย
ตอนนั้นตระกูลอู๋ได้ทำการคัดเลือกหน่วยกล้าตายกลุ่มหนึ่ง ทุกคนมาจากหน่วยรบพิเศษและได้รับการฝึกฝนอย่างทรหด แต่ในท้ายที่สุดคนเดียวที่ประสบความสำเร็จมีเพียงพ่อบ้านอู๋คนนี้ เขาจงรักภักดีมานานหลายปี ไม่เคยไม่เชื่อฟังพวกเขา
ถ้าอย่างนั้น ขัดขวางเจ้าฉินเฟิงนั่น หักแขนขา แล้วพาเขามาหาผม ผมอยากเล่นกับเขาด้วยตัวเอง แบบนี้ถึงจะตื่นเต้น บางครั้งการไร้ความสามารถของผู้ชายก็เป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด
ความหยอกเย้าฉายผ่านดวงตาของอู๋ห้าว
ฉินเฟิงเป็นแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น เขาสามารถบีบเขาให้ตายในมือได้เลย
ครับผม
พ่อบ้านอู๋ลงไปเพื่อจัดการ
ทุกย่างก้าวที่เขาเดินออกไป ดูเหมือนจะมีพลังสังหารอยู่ทั่วร่าง ถึงอย่างไรเขาก็รอดชีวิตมาจากกองซากศพ ในฐานะพ่อบ้านของตระกูลเก่าแก่ในเมืองเจียงเฉิง เขาย่อมมีทักษะพอตัว
และในเวลานี้ ฉินเฟิงก็มาถึงที่นี่แล้ว
ตระกูลอู๋? ต้องการถูกกำจัดแล้วเหรอ?
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมอง ภายในดวงตาสีดำเข้มคู่นั้น ฉายเจตนาฆ่าอย่างบ้าคลั่ง
ในระหว่างสงครามที่ชายแดน เขาเคยเดินทางไปฝั่งตะวันออก นำกองทัพที่มีกำลังทหารเพียงสามหมื่นนายไปปราบปรามเมืองที่เต็มไปด้วยความชั่วร้าย มือทั้งสองนั้นมีกลิ่นคาวเลือดอยู่แล้ว มากกว่านี้เขาก็ไม่รังเกียจ
โกรธจนหน้าแดง ฆ่าศัตรูนับพันนับหมื่นให้หมดสิ้น
ไปกันเถอะ
ฉินเฟิงโบกมือแล้วเดินเข้าไป
ฉีหยุนตามหลังไป
แต่ทันทีที่เข้าไปในคฤหาสน์ของตระกูลอู๋ ก็เห็นกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยืนอยู่ที่ประตูนั้นอย่างแน่นขนัดไปหมด และดูเหมือนจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดา มีความดุร้ายและเคร่งขรึม
ไอ้หนู คุณเป็นเจ้านายของพวกเรา ต้องการให้เราหักแขนขาของเขางั้นเหรอ?
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างกำยำสูงใหญ่หนึ่งในนั้นเดินออกมา บุ้ยปากพูดว่า ร่างกายผอมแห้ง ไม่รู้ว่าทำไมคุณถึงสามารถยั่วยุเจ้านายของพวกเราได้ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของคุณแล้ว คนที่สามารถทำให้เจ้านายของพวกเราสนใจได้มีไม่มากนัก
คุณเป็นทหารเหรอ?
ฉินเฟิงยักคิ้ว
ใช่ ผมเป็นทหาร ทหารที่ถูกส่งกลับมาจากเวสเตอร์แลนด์ คุณคิดว่ายังไง?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบุ้ยปาก แล้วยกหมัดทั้งสองข้างขึ้นตั้งการ์ด ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา รู้หรือเปล่าว่าผมถูกส่งกลับมายังไง? เพราะในการแข่งขันในกองทัพ ผมคนเดียวเอาชนะคนสิบสองคน โดยห้าคนเสียชีวิตก่อนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล พวกนั้นล้วนเป็นเศษสวะ ทนหมัดผมไม่ได้แม้แต่หมัดเดียว
พวกเศษสวะเหล่านั้นไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่ แต่เบื้องบนมีตาหามีแววไม่ เขาไล่ผมออก ผมบอกได้เพียงว่าคนพวกนั้นไร้สมองจริงๆ คนที่แข็งแกร่งอย่างผมยังคิดจะไล่ออก อ้อ จำไว้นะ รหัสของผมคือ ไฮยีน่า คนที่จะปลิดชีพคุณในวันนี้
สารอีเทอร์
อิ่นซินรู้ว่ามีอะไรอยู่ในผ้า ต้องการต่อสู้ดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเลย
อาการวิงเวียนศีรษะเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ในที่สุดชายคนนั้นก็ถอยออก เธอไม่มีกำลังและล้มลงกับพื้นทันที
คุณ!
อิ่นซินนอนอยู่บนพื้น จ้องมองอิ่นป่ายด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว
ในเวลานี้ อิ่นป่ายได้เดินเข้ามาตรงหน้าเธอแล้วพูดจาเยาะเย้ย อิ่นซิน เธอเป็นเครื่องสังเวยของครอบครัวเรา ไปอยู่กับคุณชายอู๋เถอะ คนของตระกูลอิ่นก็ต้องเสียสละเพื่อตระกูลอิ่น ไม่ใช่เหรอ?
ในเวลานี้ อิ่นซินได้นอนอยู่บนพื้นแล้ว ร่างกายอ่อนแรงมากจนพูดไม่ไหว สติสัมปชัญญะของเธอเริ่มเลือนรางลงเรื่อยๆ
เธอคลำหาโทรศัพท์มือถือโดยสัญชาตญาณ
ที่รัก
อิ่นซินต้องการโทรหาฉินเฟิง แต่ก็ทนไม่ไหวหมดสติไปก่อน
ฮึ จะมาสู้กับฉัน!
อิ่นป่ายยิ้มเหยียดหยาม เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้อง พาเธอออกไป พาไปส่งให้คุณชายอู๋ นี่คือของขวัญจากพวกเราตระกูลอิ่นสำหรับคุณชายอู๋
ครับ
มีคนนำอิ่นซินไปวางไว้ในรถทันที
ระหว่างทาง
เฮ้อ
เมื่อเห็นภาพนี้คุณท่านอิ่นก็ถอนหายใจ แต่เขาไม่เสียใจ กลับรู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ เสี่ยวซิน นี่เธอกำลังเสียสละให้กับตระกูลของเรา พวกเราจะจดจำเธอไว้จากรุ่นสู่รุ่น
…
เวลาหกโมงเย็นสามสิบสองนาที
ฉินเฟิงไปรับฉินกั่วกั่วกลับมาแล้ว กินข้าวก็แล้ว แต่รอแล้วรอเล่าอิ่นซินก็ยังไม่กลับมา
เกิดอะไรขึ้น ปกติเธอเลิกงานตอนห้าโมงครึ่ง เวลานี้ก็น่าจะกลับมาถึงแล้วนะ
ฉินเฟิงมองดูเวลา อิ่นซินเป็นคนรักษาเวลา โดยทั่วไปจะไม่กลับดึก แต่ทำไมวันนี้ถึงดึกขนาดนี้ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรหรือเปล่า?
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาอิ่นซิน
ตู๊ดตู๊ด ขออภัยค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียนกำลังปิดเครื่องอยู่…
ปิดเครื่องอยู่เหรอ?
ฉินเฟิงเลิกคิ้วขึ้น มีบางอย่างผิดปกติ อิ่นซินเป็นคนบ้างาน เพื่อความสะดวกในด้านธุรกิจ โทรศัพท์ของเธอแทบจะไม่ปิดเครื่องเลย อีกอย่างครั้งนี้เธอก็ไปหาตระกูลอิ่น
พ่อคะ มีอะไรหรือเปล่า?
ฉินกั่วกั่วไม่ได้กินอะไรเลย เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังเล่นไม้เล่นมือ รออิ่นซินกลับมา
เด็กดี หนูกินก่อนเถอะ พ่อจะออกไปข้างนอกสักหน่อย
ฉินเฟิงลูบศีรษะกั่วกั่วแล้วเดินออกจากประตูด้วยสายตาอาฆาตแค้น คนของตระกูลอิ่นจะไม่ลงมือทำอะไรอิ่นซินเพราะมีสายเลือดเดียวกันงั้นหรือ?
บางทีคราวนี้อิ่นซินอาจจะคิดผิดไป
ฉีหยุน
ฉินเฟิงโทรศัพท์ออกไป
ท่านนายพล
มารับผมเดี๋ยวนี้ ด่วน
เสียงอันเย็นชาดังออกมา ทำให้ร่างกายของฉีหยุนสั่นสะท้าน เพราะเขารู้สึกได้ว่า ฉินเฟิงกำลังโกรธ
ครับผม
ฉีหยุนตอบทันที
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฉีหยุนก็มากับรถรถแลนด์โรเวอร์ คันหนึ่งซึ่งเป็นรถออฟโรด เขาไม่รู้ว่าฉินเฟิงกำลังจะไปไหน แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหน รถออฟโรดก็ไปได้เร็วที่สุด
ฉินเฟิงขึ้นรถ นั่งบนที่นั่งข้างคนขับ ไปที่ตระกูลอิ่น
ครับผม
บรืน
ฉีหยุนเหยียบคันเร่ง มุ่งหน้าไปยังตระกูลอิ่น
ในขณะนี้ตระกูลอิ่นกำลังอยู่ในบรรยากาศที่เบิกบาน คุณท่านอิ่นไปพักผ่อนแล้ว ด้วยอายุที่ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในโลงแล้ว เขาทนไม่ได้กับเหตุการณ์ที่ใหญ่โตเช่นนี้
อิ่นป่ายกำลังจัดงานเลี้ยงอยู่
ภายในห้องโถง มีเหล้าชั้นดีและอาหารอร่อยนานาชนิด อิ่นป่ายกำลังถือขวดแชมเปญเขย่า ละอองน้ำพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกท่าน ภาระหนี้ที่พวกคุณติดไว้ ได้รับการสะสางโดยคุณชายอู๋หมดแล้ว ไม่ต้องกังวล และคุณชายอู๋ได้ให้สัญญาว่า ต่อไปเขาจะเป็นผู้คุ้มกะลาหัวของพวกเรา
คุณชายอู๋ ลูกชายคนโตของตระกูลอู๋ ซึ่งเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในเมืองเจียงเฉิง แม้แต่ตู้ต้วนเทียนก็ยังเทียบเขาไม่ได้ เมื่อมีความช่วยเหลือของเขา ตระกูลอิ่นของเราจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในไม่ช้านี้
อิ่นป่ายพูดทีละประโยค
ผู้คนข้างล่างต่างส่งเสียงเชียร์ พี่อิ่นป่ายมีความสามารถจริงๆ เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลอิ่นของเรา และยังเหมาะที่จะเป็นประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วย
ฉันเห็นด้วยคนแรก นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครเหมาะสมกับตำแหน่งนี้
ฉันก็เห็นด้วย ถ้ามีอิ่นป่ายคอยนำพา ตระกูลอิ่นของเราจะต้องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า วิจิตรตระการตาอย่างแน่นอน
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างมึนเมาจนเลอะเลือน แสดงความยินดีและเฉลิมฉลอง พวกเขาลืมอิ่นซินอย่างไม่รู้ตัว พวกเรายังรู้ว่าจุดจบของอิ่นซินจะเป็นเช่นไร
แต่มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาเลย
ขอเพียงพวกเขาสบายดี
อีกอย่างอิ่นซินมีสายเลือดของตระกูลอิ่น ก็ควรจะเสียสละเพื่อวงศ์ตระกูล
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งเข้ามาพร้อมกับเลือดเต็มหัว ข้างนอก…มี…มีรถ…รถ…เข้ามาแล้ว…
รถอะไร?
อิ่นป่ายดื่มเหล้าไปนิดหน่อย แต่ก็ยังมีสติอยู่ เขาขมวดคิ้วถามทันที
รู้สึกไม่พอใจเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้เป็นเวลาอะไร ตอนนี้เป็นเวลาสำหรับงานปาร์ตี้ แต่มีรถกำลังเข้ามา
ทันใดนั้น
เสียงดังโครม
เห็นเพียงผนังที่อยู่ข้างประตู จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาชนจนทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ ก้อนอิฐและก้อนหินแตกกระจัดกระจายทั่วทุกหนทุกแห่ง
สุดท้าย พอสิ้นเสียงโครม รถก็ตกสู่ฝูงชน
เฮ้ย!
สมาชิกตระกูลอิ่นทุกคนตกตะลึง เพราะรถคันนี้พุ่งเข้ามาจากด้านนอก!
มีโพรงขนาดใหญ่อยู่บนผนัง
นี่มันเป็นไปได้อย่างไร
ดูเลขทะเบียนรถสิ มันคือรถรถแลนด์โรเวอร์ที่ใช้ในทางทหาร
จู่ๆ ก็มีคนสังเกตเห็นเลขทะเบียนรถและพบว่าเป็นรถพิเศษที่ใช้ในทางทหาร เขาดูอย่างละเอียดรอบคอบ พบว่าพื้นผิวของตัวรถทำจากแผ่นเหล็ก
ใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้
ถึงฐานะทางสังคมของรถคันนี้
คนคนนี้ พวกเราตระกูลอิ่นไม่สามารถล่วงเกินได้ รถทหารเลยนะ
เขาคนนี้เป็นใคร พอเข้ามาก็บุกทันที ทักษะขับรถไม่ดีหรือมาที่นี่เพื่อสร้างปัญหาให้กับเรา
สงสัยจะมาสร้างปัญหาให้พวกเรานะ
ทุกคนกังวลในทันที ดูท่าทางจะมาแรง
อิ่นป่ายในฐานะผู้นำ ก็รู้ถึงความรับมือได้ยากของรถแบบนี้ด้วย เขาก้มลงทันที แล้วเดินไปเปิดประตู คุณครับ สวัสดี นี่คือตระกูลอิ่นของเรา…ฉินเฟิง
เขาเบิกตากว้างแล้วมองไปยังคนที่อยู่ข้างใน
สายตาของเขาไม่อยากจะเชื่อ
เดิมทีเขาวางแผนที่จะประจบสักรอบก่อน ถึงอย่างไรพอเห็นรถคันนี้ พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่ว่าจะล่วงเกินคนคนนี้หรือไม่ก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน
แต่เมื่อเขาเห็นฉินเฟิง เขาก็สงบไม่อยู่
เขาคือฉินเฟิง!
เขาคือฉินเฟิง!
ทันทีที่ฉินเฟิงลงจากรถ ก็ไม่เหมือนเวลาปกติ ความดูถูกเหยียดหยามปรากฏขึ้นในสายตาของเขา เขากวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องนั่งเล่น แล้วถามอย่างเย็นชา ภรรยาผมอยู่ที่ไหน?
ฉินเฟิง ไม่นึกเลยว่าจะเป็นไอ้เศษสวะอย่างคุณ ฮ่าฮ่า ผมยังนึกว่าใคร
ขับรถทหารมา ผมตกใจแทบแย่ คุณยืมมาใช่ไหม กฎระเบียบในกองทัพเข้มงวดมาก คุณยืมรถแบบนี้มาใช้ ไม่กลัวถูกต่อว่าเหรอ
ไอ้เศษสวะนี่มาทำอะไร หรือว่าจะมาขอยืมเงิน? เศษสวะก็คือเศษสวะอยู่วันยังค่ำ เกาะเมียกินมาตลอดก็ไม่เท่าไร แถมยังไร้ยางอายอีกด้วย
กลุ่มคนจำนวนมากพอเห็นฉินเฟิงก็หัวเราะเยาะ
ในสายตาของพวกเขา ฉินเฟิงเป็นเพียงเศษสวะคนหนึ่งเท่านั้น
อิ่นป่ายที่โค้งตัวอยู่ในตอนแรกได้เชิดหน้าขึ้น มองฉินเฟิงอย่างเย่อหยิ่ง ในแววตามีความสงสารเจืออยู่ ขอทานน้อย คุณมาที่นี่เพราะต้องการเงินเหรอ? ในครัวยังมีเศษกระดูกเหลืออยู่ จะเอาไหม?
ฮ่าฮ่า
บรรดาผู้คนหัวเราะเยาะ บางคนถึงกับหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
แต่ในวินาทีถัดมา ทุกคนก็หัวเราะไม่ออก เพราะเห็นฉินเฟิงยื่นมือออกมาบีบคออิ่นป่ายแล้วยกเขาขึ้นมา เสียงที่ทำให้ผู้คนสั่นสะท้านดังออกมา
ภรรยาผมอยู่ไหน!
ก็อาจจะ
ฉินเฟิงไม่รู้สึกว่าคนของตระกูลอิ่นเหล่านี้จะมีมโนธรรมใดๆ
เอาล่ะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นจริงๆ ฉันจะโทรหาคุณ คุณก็มารับฉันแค่นั้นเอง อย่าดื้อน่ะ ไม่มีอะไร พวกเขาไม่กล้าทำอะไรฉันหรอก
อิ่นซินปลอบฉินเฟิง
อืม
ฉินเฟิงกังวลเล็กน้อย แต่อิ่นซินพูดมาแบบนี้แล้ว สุดท้ายเขาก็ต้องพยักหน้าแล้วตอบฮึดฮัดว่า ‘อืม’
อิอิ
อิ่นซินหัวเราะ แบบนี้คุณก็ดูน่ารักมากนะ
งั้นขอจูบทีนึง?
หน้าไม่อาย
อิ่นซินยิ้มแล้วกลอกตาใส่ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องน้ำและเตรียมตัวอาบน้ำ แต่ในขณะที่เดินเข้าไปในห้องน้ำ ดวงตาของเธอฉายแววผิดหวัง
เพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่าตัวเองกำลังตกหลุมรักฉินเฟิงอย่างช้าๆ
แต่ห้าเดือนหลังจากนี้ พวกเขาทั้งสองจะต้องแยกจากกัน
ตอนนี้ค่อยๆ รักกัน รักอย่างลึกซึ้ง พวกเขาทั้งสองคนอาจจะเจ็บปวดมากเมื่อต้องแยกจากกัน กั่วกั่วอาจจะร้องไห้ฟูมฟาย
รักมากก็เจ็บมาก
แต่สิ่งที่พูดออกไปแล้วนั้นเรียกคืนไม่ได้ ถ้าแม้แต่เรื่องนี้ยังทำไม่ได้ เขาก็ไม่สามารถเป็นตัวอย่างให้กั่วกั่วได้ พ่อที่เกียจคร้าน ไม่มีเสียยังดีกว่า
แย่ที่สุดในเวลานั้น ทั้งเธอและกั่วกั่วก็ร้องไห้อย่างเจ็บปวดเท่านั้น
แต่เธอกำลังคิดว่า ถ้าตอนนี้เธอเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้ แสดงให้เห็นภายนอกว่าเธอไม่ชอบฉินเฟิง ค่อยๆ เฉยชาไป พอถึงเวลาหย่าร้างกัน พวกเขาจะเจ็บปวดน้อยลงหรือไม่
ก็อาจจะ
ต่อไปลองดูก็ได้
ชีวิตของเธอนั้นขรุขระจริงๆ กว่าจะค้นพบคนที่พึ่งพาได้มันไม่ได้ง่ายเลย แต่อีกห้าเดือนต่อจากนี้ ทั้งสองก็ต้องแยกจากกันเสียแล้ว
โชคชะตาเล่นตลก ช่วยไม่ได้!
อิ่นซินรู้สึกปลงอนิจจังอยู่ครู่หนึ่ง
วันถัดมา เธอไปทำงานที่บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด และฉินเฟิงก็ไปทำงานที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปในตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
พอตกบ่าย เธอก็ไปที่ตระกูลอิ่น
ตระกูลอิ่นถือว่าเป็นตระกูลขนาดกลางในเมืองเจียงเฉิง มีทรัพย์สินนับร้อยล้าน ทางฝั่งตะวันออกมีเขตบ้านพักแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของตระกูลอิ่น
ในตอนเด็ก เธอเติบโตที่นั่น
หลังจากมาถึงเขตบ้านพัก อิ่นซินก็ค่อนข้างลังเล เมื่อเห็นสภาพแวดล้อมที่คุ้นเคย เธอก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะเธอเติบโตที่นี่ตั้งแต่ยังเด็ก
ความทรงจำค่อยๆ ผุดขึ้นในหัวใจของเธอ
ช่างมันเถอะ ฉันควรปล่อยครอบครัวไปดีกว่า ยังไงฉันก็เติบโตที่นี่
สุดท้ายอิ่นซินก็ถอนหายใจออกมา
เดิมทีเธอถูกขับไล่ออกมาและไม่มีท่าทีที่ดีอยู่แล้ว ครั้งนี้ที่มาก็ไม่ได้เตรียมทำหน้าดีๆ ไว้ และตอนนี้เธอก็ยอมแพ้แล้ว
หลีกทางให้กับตระกูลอิ่น
ถึงอย่างไรเธอก็เติบโตที่นี่ สมาชิกในตระกูลอิ่นเหล่านี้มีสายเลือดเดียวกันกับเธอ
น้องสาว
ในเวลานี้ อิ่นเสี้ยงสวี่ได้เดินออกมาจากข้างในด้วยท่าทางที่เป็นมิตร เหมือนเป็นห่วงอิ่นซินมาก ก่อนหน้านี้ฉันผิดเอง พี่ไม่ดีเอง เข้ามาสิ เข้ามา
หืม?
อิ่นซินถอยออกไปก้าวหนึ่ง
ไม่รู้ว่าทำไม เธอเห็นท่าทางแบบนี้แล้ว ก็รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติอยู่ตลอดเวลา
น้องสาว อย่าทำตัวเป็นคนอื่นคนไกลแบบนั้น สมาชิกทุกคนในตระกูลรอเธออยู่ด้านใน รีบเข้าไปกับฉันเร็ว
อิ่นเสี้ยงสวี่ดึงอิ่นซิน
แต่อิ่นซินกลับโบกมือ ไม่ยอมให้อิ่นเสี้ยงสวี่ดึงไป ไม่ต้อง ฉันเข้าไปเองได้ ฉันรู้ทาง
พูดจบเธอก็เดินเข้าไปข้างใน
บัดซบ
อิ่นเสี้ยงสวี่แอบด่า เธอคิดไม่ถึงว่าอิ่นซินจะไม่ไว้หน้าเธอถึงเพียงนี้ เดี๋ยวพอเข้าไปข้างใน เธอค่อยสั่งสอนบทเรียนให้กับผู้หญิงคนนี้ แค่กะหรี่คนหนึ่งเท่านั้น
อันที่จริงไม่ใช่ว่าอิ่นซินไม่ไว้หน้าเธอ แต่ทั้งสองนั้นต่อสู้กันมาโดยตลอด เธอไม่เคยชินกับการเปลี่ยนแปลงท่าทีอย่างกะทันหัน สีหน้าอ่อนน้อมเป็นกันเอง และท่าทางที่เป็นมิตร
รู้สึกว่ามันค่อนข้างน่ากลัว
หลังจากเข้าไปในห้องโถงก็พบว่ามีคนไม่มากนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น คุณท่านอิ่นนั่งบนที่นั่งประธาน คนที่นั่งถัดจากเขาคืออิ่นป่าย
อาจจะเป็นลูกน้องของอิ่นป่าย
เสี่ยวซิน มาแล้วเหรอ รีบมานั่งกับปู่เร็วเข้า ตอนเด็กๆ เธอชอบเกาะติดฉัน ทุกครั้งที่มีของอร่อยก็จะให้เธอหมด แยกตัวออกไปนานขนาดนี้ คิดถึงปู่บ้างหรือเปล่า
คุณท่านอิ่นพูดด้วยสีหน้ากระตือรือร้นที่หาได้ยาก
ใช่แล้ว ตอนนั้นเสี่ยวซินยังเป็นเด็กน้อย ทุกวันนุ่งผ้าอ้อมวิ่งเล่นไปทั่ว แถมยังเคยฉี่ใส่ตัวฉันด้วย
ตอนนั้นจางลี่ขี้เกียจ ไม่ยอมดูแลอิ่นซิน ฉันก็เป็นคนอาบน้ำให้เธอ
ผ่านมาหลายปี เด็กตัวเล็กๆ คนนี้โตเป็นสาวสวยสูงสะโอดสะองแล้ว ดีจัง แถมยังมีลูกแล้วอีกด้วย
สมาชิกในตระกูลอิ่นหลายคนกำลังหงายการ์ดความรู้สึก
ภายในชั่วพริบตาก็ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา ส่วนพวกเขาจะพูดถูกหรือไม่ ตอนนั้นอิ่นซินยังเด็กเกินไปที่จะจำได้ บางทีมันอาจจะจริงก็ได้
คุณปู่ พูดมาเลยเถอะ ครั้งนี้ต้องการจะทำอะไร?
อิ่นซินไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนแอธรรมดาทั่วไป ถึงอย่างไรเธอก็เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง มีความสามารถในการแยกแยะด้วยตัวเอง พูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม
วันนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา
เอาล่ะ ฉันจะพูดตรงๆ นะ ตระกูลของเราประสบปัญหา ตอนนี้ต้องการให้เธอสละหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของเธอ ช่วยให้อิ่นป่ายขึ้นเป็นประธาน และปฏิบัติตามธุรกิจของบริษัทอย่างไม่มีเงื่อนไข
คุณท่านอิ่นกระแอมไอสองครั้งก่อนจะพูดออกมา
อะไรนะ!
อิ่นซินตกตะลึง!
ต้องสละหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ ช่วยให้อิ่นป่ายเป็นประธานคณะกรรมการ ควบคุมบริษัทซานหยวนกรุ๊ปอย่างสมบูรณ์ และปฏิบัติตามธุรกิจของบริษัทอย่างไม่มีเงื่อนไข
เรื่องนี้!
จะเป็นไปได้อย่างไร?
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปขึ้นมากับมือ เอาแค่ทุกสิ่งที่มีในตอนนี้ มาจากการทำงานหนักบวกกับความโชคดีอย่างน่าประหลาดของเธอทั้งนั้น แต่คุณปู่ทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไร
จะเอาทุกอย่างไปจากเธอ?
คุณปู่ ฉันเป็นคนก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมากับมือ มันเป็นของฉัน
อิ่นซินหน้าอกยืดขึ้นด้วยความโกรธ น้ำเสียงตื่นเต้น
ฉันรู้ แต่เพื่อตระกูล เธอต้องเสียสละ เพื่อเห็นแก่ตระกูลอิ่น เธอต้องสละทุกอย่างที่เธอมี จึงจะสามารถผ่านวิกฤตของตระกูลไปได้
คุณท่านอิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังพูดออกมา
เขาเชื่อใจผู้ชายที่ชื่ออิ่นป่าย ไม่ใช่อิ่นซิน
คุณปู่ ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันออกจากตระกูลอิ่นแล้ว ออกมาด้วยตัวเอง ตระกูลอิ่นจะเป็นอย่างไร ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลย ฉันไม่ต้องทำอะไรเพื่อตระกูลอิ่นแล้วไม่ใช่เหรอ?
อิ่นซินกัดฟันกรอด ท่าทางไม่เต็มใจ
เพื่ออะไรกัน?
ตามใจอิ่นป่ายจนนิสัยเสียมาตั้งแต่เด็ก เมินเฉยต่อความทุ่มเททั้งหมดของเธอ
อิ่นซิน อย่างไรก็ตาม ในตัวเธอก็มีเลือดของตระกูลอิ่น ในเมื่อเธอไม่ยินดีทำตามแผนแรก ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ต้องใช้แผนสองแล้วล่ะ
อิ่นป่ายลุกขึ้นยืน เผยรอยยิ้มอันชั่วร้ายออกมา เข้าไป
อะไรนะ!
อิ่นซินรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นข้างหลังเธอ เอาผ้าผืนหนึ่งปิดปากเธอไว้ เธอดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็หนีไม่พ้น
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเวียนหัวขึ้นมา
ตู้ต้วนเทียน ให้ตายสิ เขามายุ่งกับเราทำไม
อิ่นป่ายกัดฟันคำราม อิ่นหนิงหยู่นั่นไร้ยางอายจริงๆ ตอนนี้เพิ่งอยู่มหาวิทยาลัย ก็ปีนขึ้นเตียงของตู้ต้วนเทียนแล้ว ทำให้ตู้ต้วนเทียนหลงใหลคลั่งไคล้
หน้าไม่อาย อีกะหรี่
อิ่นเสี้ยงสวี่ก็กำลังด่าอิ่นหนิงหยู่ด้วยเช่นกัน เพราะตู้ต้วนเทียนเป็นตัวเลือกคู่ชีวิตที่ดีจริงๆ ทั้งหล่อ ทั้งรวย แล้วยังมีความสามารถ ตอนแรกเธอยังคิดว่าจะอาศัยชื่อเสียงตระกูลให้ได้ใกล้ชิดกับตู้ต้วนเทียน
อันที่จริง บางคนก็เต็มใจที่จะเป็นคุณนายน้อยของตระกูลตู้
แต่ว่า เขาไม่เพียงไม่ให้โอกาสเธอ แต่ยังตบเธอด้วย
น่าอับอายที่สุด!
ตอนนี้เมื่อเห็นความสนิทสนมของอิ่นหนิงหยู่และตู้ต้วนเทียน เธอย่อมรู้สึกอิจฉามากเป็นธรรมดา
มีสิทธิ์อะไร?
กะหรี่ต้อยต่ำจะคู่ควรกับตู้ต้วนเทียนได้อย่างไร?
ฮ่า
หยุดด่าเถอะ ตอนนี้ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ คิดหาทางกันเสียก่อน ถ้าจัดการไม่ได้ ตระกูลของเราจะต้องล่มสลายในครั้งนี้
คุณท่านอิ่นโบกมือห้ามอิ่นป่ายและอิ่นเสี้ยงสวี่ ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดตอนนี้คือจะแก้ไขปัญหาวิกฤตนี้อย่างไร
ตู้ต้วนเทียนลงสนามแล้ว
ตระกูลของพวกเขาตกอยู่ในอันตราย
คุณปู่ ให้พวกเราไปประจบอู๋ห้าวเถอะ คุณชายตระกูลอู๋ มีฐานะไม่ด้อยไปกว่าตู้ต้วนเทียน อิ่นป่ายกล่าว
อู๋ห้าว? เขาคนนี้มีฐานะสูง แต่มีความโลภมากกว่าด้วยซ้ำไป
คุณท่านอิ่นหรี่ตา เขารู้ด้วยว่าอู๋ห้าว คุณชายตระกูลอู๋ ซึ่งเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิง มีฐานะไม่ด้อยไปกว่าตู้ต้วนเทียน สามารถพูดได้ว่าแข็งแกร่งกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ
แต่ก็เป็นคนโลภมาก
ต้องการไปเสียทุกอย่าง
คนส่วนใหญ่ที่ร่วมมือกับอู๋ห้าวถูกทำร้ายจนเกือบตาย ดังนั้นผู้คนจากเมืองเจียงเฉิงจึงระมัดระวังตัวจากอู๋ห้าวอยู่พอสมควร
คุณปู่ อู๋ห้าวเป็นคนโลภ แต่พวกเรามีสิ่งที่เขาต้องการ
นายหมายถึง?
อิ่นซิน
หลังจากหยุดไปชั่วครู่อิ่นป่ายก็กล่าวว่า อิ่นซินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิง อู๋ห้าวเคยตามจีบอิ่นซินแต่ไม่สำเร็จ คราวนี้พวกเราสามารถชดเชยความเสียใจของเขาในตอนนั้นได้โดยการส่งอิ่นซินให้อู๋ห้าว อีกอย่างอิ่นซินก็มีลูกมาหลายปีแล้ว รูปร่างกลับดีขึ้นเสียด้วยซ้ำไป อู๋ห้าวไม่มีทางปฏิเสธแน่
พอพวกเราเอาใจอู๋ห้าวได้สำเร็จ ตระกูลอิ่นของเราก็จะมีหลักประกันในอนาคต แค่กางปีกก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
แค่กางปีกก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
สี่คำนี้แวบเข้ามาในใจของคุณท่านอิ่น
ใช่แล้ว
เขารู้สึกใจเต้น แม้ว่าอิ่นซินจะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของเขา แต่ก็ยังสำคัญสู้ความเจริญรุ่งเรืองของตระกูลได้ เมื่อเทียบกับตระกูลแล้ว อิ่นซินไม่มีค่าอะไรเลย
หลังจากชั่งน้ำหนักในใจแล้ว คุณท่านอิ่นก็ตอบตกลง ฉันเห็นด้วย
ครับปู่ ผมยังต้องการความร่วมมือจากท่านด้วย
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอิ่นป่าย เขาก้าวไปข้างหน้า คุณท่านอิ่น อิ่นป่าย และอิ่นเสี้ยงสวี่ ทั้งสามคนกำลังวางแผนใส่ร้ายอิ่นซิน
ในความคิดของพวกเขา อิ่นซินเป็นที่ต้องตาจากอู๋ห้าว ตระกูลอิ่นก็เจริญรุ่งเรือง นี่คือตอนจบที่ดีที่สุด
ส่วนอิ่นซินจะมีความสุขหรือไม่ เต็มใจหรือไม่ มันก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา
…
ในบ้านของอิ่นซิน ฉินเฟิงกำลังนั่งอยู่บนระเบียงและได้รับข้อความจากตู้ต้วนเทียน เขาสั่งให้ตู้ต้วนเทียนต้มกบด้วยน้ำอุ่น ทำลายตระกูลอิ่นทีละขั้นอย่าให้รู้ตัว
ตระกูลอิ่นพุ่งเป้ามาที่อิ่นซินเช่นนี้
ถ้าถูกทำลายในเวลาอันสั้นก็จะหาความสนุกไม่ได้ ต้องทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสิ้นหวังของการล่มสลายทีละน้อย มันถึงจะเป็นการทรมานที่ใหญ่หลวงที่สุด
ตู้ต้วนเทียนกำลังทยอยส่งข้อความให้เขา
แต่ในเวลานี้มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ประตู เอามือเท้าเอว ฉินเฟิง รีบไปซักเสื้อผ้า เร็วเข้า ไอ้ยามกระจอก ยังคิดจะแต่งงานกับลูกสาวฉันอีก ถุย!
เธอคือจางลี่
เธอออกคำสั่งฉินเฟิงอย่างหนักหน่วงพร้อมกับด่าเขาไปด้วย
เธอเริ่มโกรธมากขึ้นทุกที ลูกสาวของเธอคือใคร อิ่นซิน ผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิง ประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ฉินเฟิงนั้นเป็นใคร แค่ยามกระจอกคนหนึ่ง
มันคู่ควรแล้วเหรอ?
ในช่วงนี้เธอได้หาผู้ชายดีๆ ให้อิ่นซินหลายคน ทุกคนล้วนมีฐานะไม่ธรรมดา แต่อิ่นซินก็ไม่ชอบสักคน ซึ่งทำให้เธอโกรธมาก
ได้ครับ คุณป้า
ฉินเฟิงเก็บโทรศัพท์แล้วเดินไปซักเสื้อผ้า
เชอะ ไอ้ผู้ชายเศษสวะ
จางลี่มองตามหลังฉินเฟิงไป อดไม่ได้ที่จะถ่มน้ำลายออกมา เธอดูถูกฉินเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้เศษสวะที่แต่งเข้าบ้านเอาแต่เกาะเมียกิน
ครอบครัวของพวกเขาโชคร้ายมาแปดชั่วคนจริงๆ ถึงได้พบกับผู้ชายคนนี้
จากนั้น หลังจากที่ด่าฉินเฟิงไปยกหนึ่งแล้ว เธอก็ออกไปเล่นไพ่นกกระจอก ไม่มีเรื่องใดสำคัญไปกว่าการเล่นไพ่นกกระจอกอีกแล้ว
ฉินเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซัก
ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาที่เขาจะแบไพ่ที่อยู่ในมือ หากเปิดไพ่ อาจจะทำให้ผู้วางแผนเหตุการณ์เมื่อ 7 ปีก่อนต้องหลบซ่อนตัว และสอบสวนยากยิ่งขึ้น
โชคดีที่ฉีหยุนได้พบเบาะแสบางอย่างแล้ว
อีกไม่ช้า
ในตอนค่ำหลังจากที่อิ่นซินกลับมา เธอนั่งลงบนโซฟาด้วยความเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกาย สีหน้ามีแววโศกเศร้า
เป็นอะไรเหรอ?
ฉินเฟิงเดินเข้าไปถาม
คุณปู่ให้ฉันกลับไปพรุ่งนี้ บอกว่าต้องการขอโทษฉัน บอกว่ามันเป็นความผิดของเขาในอดีต แล้วยังจะให้ทุกคนในตระกูลเชื่อฟังฉัน ไม่หน้าไหว้หลังหลอกอีกต่อไป
อิ่นซินพูดเช่นนี้ด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ มันเป็นเรื่องที่ดี บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของฉันแต่เดิม ฉันควรจะเอามันกลับมา แต่ยังไงฉันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
มีบางอย่างผิดปกติ
ฉินเฟิงพยักหน้า
คุณท่านอิ่นใจดีมากขนาดที่จะมอบทุกอย่างให้เลยเหรอ?
แต่พรุ่งนี้ฉันยังต้องกลับไป เพราะฉันจะยอมถอยให้ไม่ได้ นี่เป็นโอกาสที่หายากสำหรับฉันที่จะทวงคืนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปคืนทั้งหมด แม้แต่ในฝันฉันก็ยังคิด
อิ่นซินกัดริมฝีปาก ไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้เช่นนี้
นี่เป็นโอกาสที่หายาก
คนของตระกูลอิ่นควบคุมตำแหน่งสำคัญทั้งหมดในบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเธอที่จะกลับไปนั่งตำแหน่งประธานคณะกรรมการ แต่มันกลับไม่เป็นอย่างในอดีตแล้ว
เธอถูกกีดกันอย่างแท้จริง ตำแหน่งประธาน ยังดำรงอยู่ก็แค่ในนามเท่านั้น
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปดูภายนอกนั้นเป็นของเธอ แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่ เธอทำไม่ได้แม้แต่จะออกคำสั่ง คนในบริษัทนอกจากเรียกว่าประธานในบางครั้งคราว เรื่องอื่นก็ไม่เคยฟังเธอเลย
ครั้งนี้คือโอกาสของเธอที่จะได้คุมอำนาจอย่างเป็นทางการ ได้สิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา
พรุ่งนี้ให้ผมไปเป็นเพื่อนคุณดีไหม? ฉินเฟิงกล่าว
ไม่ต้องค่ะ พรุ่งนี้คุณต้องไปทำงาน หาเงินให้ได้มากๆ สองล้านภายในเวลาครึ่งปีนะ
พออิ่นซินพูดออกมาเช่นนี้ เธอก็รู้สึกเสียใจ เธอเลี่ยงที่จะคุยปัญหานี้กับฉินเฟิงมาโดยตลอด เพราะสำหรับเธอแล้ว การหาเงินสองล้านภายในครึ่งปีนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฉินเฟิงเลย
เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่ำต้อย เงินเดือนน้อยนิด จะหาเงินสองล้านได้ภายในครึ่งปี แถมตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเพียงห้าเดือนเท่านั้น
คาดว่าอีกห้าเดือนต่อมา ทั้งสองคนจะต้องหย่ากันแล้ว
มันแทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอนแล้ว
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อิ่นซินก็กลัวว่าฉินเฟิงจะเสียใจ จึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว คุณไม่ต้องห่วง ถึงยังไงฉันก็อยู่ในตระกูลอิ่นมาตั้งแต่เด็ก ดีร้ายยังไงก็ยังเป็นสายเลือดเดียวกัน คงไม่ทำอะไรฉันจนเกินเลยหรอก
ขอบคุณ
หลังจากวางสาย ความหนาวเหน็บฉายผ่านดวงตาของฉินเฟิง
เกือบจะคุกเข่าให้อิ่นป่าย?
เขาคู่ควรหรือ?
อิ่นป่าย นี่คือการแตะเกล็ดมังกรของผม คุณไม่รู้เหรอว่า มังกรมีเกล็ด หากแตะต้องจะโกรธจัด?
คราวนี้เขาถูกจับ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นอิ่นซินถูกจับ จับไปไว้ในห้องมืดหรือห้องลับเล็กๆ นั้น ก็จะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
แค่คิดก็รู้แล้ว
สิ่งนี้กำลังบังคับอิ่นซินไปสู่ทางตัน!
จากนั้น ฉินเฟิงก็โทรออกไปอีกสาย ต้วนเทียน ผมจะมอบหมายภารกิจให้คุณ…
ครับ
ตู้ต้วนเทียนเป็นลูกหลานทหาร เขาตอบทันที
ในเวลานี้ อิ่นซินได้มารับกั่วกั่วแล้ว พอเดินออกมา กั่วกั่วก็กระโจนเข้าหาฉินเฟิง คุณพ่อ คุณพ่อ อุ้มกั่วกั่วหน่อยค่ะ
โตขนาดนี้แล้ว จะให้อุ้มอะไรล่ะ
อุ้ม อุ้ม อุ้มหนู อุ้มกั่วกั่ว
หลังจากออดอ้อนอยู่พักหนึ่ง กั่วกั่วก็ปีนขึ้นคอของฉินเฟิงเหมือนขี่ม้า เธอมีความสุขมาก มีเพียงไม่กี่ครั้งที่อิ่นซินมารับเธอพร้อมกับฉินเฟิง
ว่าแต่ว่า ทำไมหลิวหลินถึงมาช่วยคุณล่ะ?
อิ่นซินเอียงศีรษะถาม
ผมจะแจ้งความ ฉินเฟิงบอก
คราวนี้อิ่นซินไม่ได้คิดมาก แม้ว่าเธอจะยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่หลิวหลินก็มีนิสัยแบบนี้จริงๆ ตำรวจหญิงอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิงอย่างเธอนั้นรู้ดี
เขาเกิดมาพร้อมกับความชอบธรรมอย่างเหลือล้น จงเกลียดจงชังความชั่วร้ายเข้ากระดูกดำ
เมื่อมีหลิวหลินอยู่ ความสงบเรียบร้อยของสังคมในเมืองเจียงเฉิงก็ดีขึ้นมาก
…
โรงแรมหนานเทียน
อิ่นป่ายและอิ่นเสี้ยงสวี่กำลังดื่มไวน์แดง บรรยากาศหรูหราเป็นที่น่าประทับใจ เสียงเปียโนดังเข้ามา
น้องชาย นายนี่มีฝีมือจริงๆ ทำแค่นี้ก็ดึงอิ่นซินเอาไว้ได้แล้ว ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก่อนหน้านี้เธอเคยมาขอร้องพวกเรา น่าสงสารจะตาย แทบจะคุกเข่าลงเลย
อิ่นเสี้ยงสวี่จิบไวน์แดงคำหนึ่ง ใบหน้าแดงก่ำ ตื่นเต้นเล็กน้อย
แผนของพวกเขาสำเร็จแล้ว เธอออกหน้าจัดการกับหวางเชียนบนเตียงด้วยตัวเอง จากนั้นก็ใช้เงินสามแสนปลุกระดมพนักงานของอิ่นซินให้ก่อการกบฏ
แม้ว่าสุดท้ายจะจับตัวฉินเฟิงได้ แต่ผลลัพธ์ก็ยังประสบความสำเร็จ
อิ่นซินมองไปรอบๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก จำใจมาขอร้องพวกเขาด้วยตัวเอง อ้อนวอนด้วยสภาพที่น่าสงสาร
ถึงขั้นบอกด้วยว่าจะมอบหุ้นของบริษัทสิบเปอร์เซ็นต์ให้
แต่อิ่นป่ายก็ยังปฏิเสธ
เพราะเขาต้องการบีบให้อิ่นซินถึงทางตันและสิ้นหวัง มันถึงจะสนุก
อิ่นซินก็อยากจะเอาชนะพวกเราด้วยเหรอ? ฮ่า ไม่รู้จักประมาณกำลังตัวเอง คอยดูนะ ผมจะทำให้ผู้หญิงคนนั้นก้าวไปสู่หุบเหวลึกทีละก้าว ในที่สุดก็บ้านแตกสาแหรกขาด
อิ่นป่ายเขย่าแก้วไวน์แดง แววหยอกล้อวิบวับอยู่ในดวงตา
อิ่นซิน ยังกล้ามาแย่งชิงกับเขาด้วยเหรอ?
แกว่งเท้าหาเสี้ยนเอง
เขาต้องการทำให้ครอบครัวของอิ่นซินบ้านแตกสาแหรกขาด อย่างดีที่สุดให้เร่ร่อนอยู่ตามท้องถนน จุดจบเช่นนี้คือสิ่งที่เขาคาดหวังมากที่สุด ผู้หญิงคนเดียว ต้องการที่จะต่อสู้กับเขางั้นเหรอ?
ฮ่า
อีกอย่างอิ่นซินยังไปสนใจไอ้เศษสวะอย่างฉินเฟิง ให้ตายสิ ไม่รู้ว่าอะไรสำคัญ แต่การจับคู่กันระหว่างผู้หญิงที่โดดเดี่ยวกับขอทานและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็ถือว่าเป็นกิ่งทองใบหยก
อิ่นป่ายยิ้มเยาะ
ถ้าเป็นเขา เขาจะเตะคนอย่างฉินเฟิงไปไกลๆ ตั้งนานแล้ว เขาไม่รู้ว่าทำไมอิ่นซินยังเลือกที่จะยอมรับฉินเฟิง
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
อย่างน้อยตอนนี้อิ่นซินก็มีภาระที่ต้องจัดการเพิ่มขึ้นมาอีก
และในเวลานี้ก็มีโทรศัพท์เข้ามา อิ่นป่ายหยิบมาดู เป็นสายจากคุณท่านอิ่น เขาสงสัยทันทีว่าจู่ๆ คุณท่านอิ่นจะโทรหาเขาทั้งๆ ที่ไม่มีธุระทำไม
หรือว่าเป็นเรื่องรับมรดกทรัพย์สินของครอบครัว?
มันเร็วกว่าเดิมสินะ
หรือว่าชายชราจะทนไม่ไหวแล้ว?
คุณปู่ เป็นอะไรไป?
อิ่นป่ายนึกสงสัยอยู่ในใจ จะต้องรับช่วงต่อตระกูลอิ่นแล้วหรือเปล่า แต่คุณท่านอิ่นกลับบอกว่า กลับมาเดี๋ยวนี้ เกิดเรื่องขึ้นในตระกูล
เกิดเรื่องขึ้นเหรอ?
อิ่นป่ายตกตะลึง เกิดเรื่องแล้ว ไม่ใช่เรื่องรับมรดกทรัพย์สินของครอบครัวหรอกเหรอ
แต่ก่อนที่เขาจะถามรายละเอียด โทรศัพท์ก็วางสายไปเสียก่อน อิ่นป่ายมองไปที่อิ่นเสี้ยงสวี่ด้วยสีหน้าหนักใจทันที เกิดเรื่องขึ้นในตระกูล ไป กลับกันเถอะ
ถึงอย่างไรตระกูลอิ่นก็เป็นตระกูลที่เขาต้องรับช่วงต่อในอนาคต เขาจึงย่อมให้ความสำคัญมากเหนือสิ่งอื่นใดอยู่แล้ว
ค่ะ
ทั้งสองรีบกลับไปทันที
หลังจากกลับมาถึงตระกูลอิ่น พวกเขาก็พบว่าคุณท่านอิ่นกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มีเอกสารมากมายวางอยู่บนโต๊ะ
ลองดูสิ
คุณท่านอิ่นผมหงอกทั้งศีรษะ ชี้ไปที่เอกสารบนโต๊ะ
พออิ่นป่ายเข้ามาดู ก็พบว่าแต่ละฉบับคือสัญญาหนี้ นี่ของอิ่นเทียนจือ นี่ของอิ่นล่าง นี่ของอิ่นเฟิงเสว่ ทั้งหมดคือหนี้ที่เด็กรุ่นหลังรุ่นนี้สร้างไว้ทั้งหมด ให้ตายสิ ติดหนี้ห้าแสนเจ็ดหมื่น คนนี้ติดสองแสนแปดหมื่น คนนี้ติดสามแสนเจ็ดหมื่น คนนี้ แล้วก็นี่ แล้วก็นี่…ทำไมถึงติดหนี้มากมายขนาดนี้
อิ่นป่ายมองดูทีละแผ่น แล้วมีสีหน้าตกใจทันที
ส่วนใหญ่จะเป็นตารางหนี้สิน
นอกจากนี้ยังติดหนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดติดหนี้อยู่สิบสามล้าน แค่คนของตระกูลเรา ฉันเคยถามพวกเขาแล้ว มีคนวางกับดักล่อพวกเขา บางคนถูกต้มตุ๋น บางคนถูกแบล็กเมล์ บางคนกำลังพุ่งเป้าโจมตีเรา
คุณท่านอิ่นมีสีหน้าขุ่นเคืองเล็กน้อย สมาชิกกว่า 30 คนของตระกูลอิ่น มี 21 คนที่ถูกแบล็กเมล์
ทั้งหมดติดหนี้อยู่มากกว่าสิบสามล้าน
มากว่าสิบสามล้าน? มะ…มากขนาดนี้เชียวเหรอ?
อิ่นป่ายก็ตกใจเช่นกัน ถ้าอย่างนั้นก็แจ้งความเถอะ เรื่องแบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังแบล็กเมล์พวกเรา
พวกเขาจับจุดอ่อนของพวกเราได้ คนพวกนี้ถูกแบล็กเมล์เพราะพวกเขาไปทำเรื่องไม่ดีมา พวกเราไม่สามารถแจ้งความได้ หากแจ้งความก็จะเป็นการหาเหาใส่หัว อีกอย่างฝ่ายนั้นก็แรงมาก ไม่ธรรมดาเลย
นายดูหลายแผ่นนี้สิ
คุณท่านอิ่นหยิบสัญญาอีกหลายแผ่นขึ้นมาจากโต๊ะ
นี่คือ สัญญาบอกเลิก
เมื่อเห็นสัญญาอิ่นป่ายก็ตกตะลึง อ้าปากค้างไปทันที นี่คือความร่วมมือของบริษัทเถียนหยางจำกัด นี่คือความร่วมมือของจางซื่อกรุ๊ป เรื่องนี้ถูกยกเลิกเช่นกัน พระเจ้า
นี่คือสัญญาบอกเลิกกับตระกูลอิ่น
ตระกูลอิ่นไม่ได้มีแต่บริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ยังรวมถึงกิจการอื่นๆ ด้วย เพียงแต่ว่าเป็นเจ้าของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเท่านั้น แต่ตอนนี้กิจการเล็กๆ เหล่านี้ได้ทยอยยกเลิกสัญญาไปทีละแห่ง
ผลลัพธ์ แค่คิดก็รู้แล้วว่าต้องล้มละลาย
ทันใดนั้น อิ่นป่ายเหมือนจะนึกอะไรออก จึงรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาตรวจดูหุ้นทันที พอเห็นแล้วก็หน้าซีดเผือด มันจบแล้ว หุ้นทั้งหมดของตระกูลอิ่นของเราถูกระงับ
ใครเป็นคนทำ นี่คือต้องการฆ่าตระกูลอิ่นของเราทั้งตระกูลเหรอ?
ความชั่วร้ายฉายผ่านแววตาของอิ่นป่าย
มันคือใคร?
มันคือใครกันแน่
เขากำลังจะเข้าสืบทอดตระกูลอิ่น เขาจะไม่ยอมให้เกิดอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้นกับของในกระเป๋าของเขา
ฉันเดาว่า น่าจะเป็นตู้ต้วนเทียน คงเป็นเพราะอิ่นหนิงหยู่ผู้หญิงคนนั้น
คุณท่านอิ่นเคาะโต๊ะ
ผู้หญิงสองคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นอิ่นซินหรืออิ่นหนิงหยู่ เขาก็ไม่ชอบทั้งนั้น เขาชอบผู้ชายมากกว่า ผู้หญิงคนเดียวจะสืบทอดตระกูลได้อย่างไร แม้ว่าอิ่นซินจะเป็นคนก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมากับมือ เขาก็ไม่เคยยอมรับ
ถังเล่อ ผมของประกาศในนามกองทัพต้าหัว ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้
คำพูดของฉีหยุนทำให้ถังเล่อสั่นไปทั้งตัว ดูคล้ายมีเจตนาฆ่าส่งออกมาจากปลายสาย ซึ่งทำให้เขาหายใจไม่ออก แล้วพยักหน้าซ้ำๆ ครับๆๆ
หลังจากวางสายโทรศัพท์
ร่างกายของถังเล่อเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นเฉียบ ราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากนรก แต่หลังจากมึนงงไปครู่หนึ่ง เขาก็นึกอะไรออกเรื่องหนึ่ง
เขาจำได้ว่า หวางเชียนบอกว่าจะจัดการฉินเฟิง
แม่จ๋า อย่าแตะต้องคนคนนั้นเด็ดขาดนะ!
รอยความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของถังเล่อ ฉินเฟิงสามารถทำให้ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ รองผู้นำของเจียงเฉิง รวมถึงพันเอกจากกองทัพต้าหัวโทรมาขอให้ปล่อยตัว
แค่คิดก็พอจะรู้สถานะของคนคนนี้
ไม่ธรรมดาเลย
ต้องเป็นคนที่พวกเขาล่วงเกินไม่ได้แน่นอน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ถังเล่อก็ออกแรงสุดกำลังเพื่อลุกขึ้น แล้วเดินไปทางห้องใต้ดิน พลางพึมพำกับตัวเองว่า ห้ามลงมือเด็ดขาด ห้ามลงมือเด็ดขาด ทันทีที่ลงมือ กรมตรวจสอบแห่งเมืองของพวกเราจะถูกรถถังบดขยี้
เขาไม่ต้องสงสัยเลยว่า พันเอกจากกองทัพต้าหัวคนนั้นกล้าโจมตีพวกเขาจริงๆ
กลิ่นความดุเดือดแทบจะลอยออกมาจากโทรศัพท์แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มทำผิดเอง
เมื่อสืบสวนออกมาก็ไม่มีเหตุผลเช่นกัน
ทำได้เพียงอธิษฐานให้พวกเขาอย่าลงมือเด็ดขาด อย่าลงมือเด็ดขาด เขาทำได้เพียงคาดหวังเท่านั้น เพราะเขารู้จักหวางเชียนดี ใจแคบคิดเล็กคิดน้อย ฉินเฟิงอาจจะนอนหายใจรวยรินแล้ว
สีหน้าของถังเล่อซีดลงเรื่อยๆ เมื่อเขามาถึงประตูห้องใต้ดิน ก็ซีดขาวไปหมดแล้ว เมื่อมองไปที่ประตู เขายังไม่กล้าเปิด
อย่าลงมือเด็ดขาด
เขามองหาโอกาสเพียงเล็กน้อยอยู่ในใจ จากนั้นก็ผลักเปิดประตู กวาดสายตามองไปรอบๆ พยายามหาคนที่ไม่ได้นอนจมอยู่ในกองเลือด
เขากวาดสายตามองไปรอบๆ พอไม่เห็นอะไร ก็รู้สึกโล่งใจทันที
ครั้นแล้วก็เงยหน้าขึ้น แต่ก็ต้องตกตะลึงเพราะเห็นหวางเชียนและอีกสองคนนอนอยู่บนพื้น ซ้อนทับกันเป็นพีระมิด
เขาหมดสติไปแล้ว
ส่วนบนร่างกายของพวกเขา มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนตัวพวกเขา สูบบุหรี่พลางมองไปที่ถังเล่อ ตอนนี้เพิ่งมาเหรอ? เขากำลังจะตายแล้ว
ปัง
ฉินเฟิงกระโดดลงมาจากร่างของพวกเขา พวกเขาทั้งสามนอนเกลือกกลิ้งบนพื้น บนใบหน้ามีรอยฟกช้ำดำเขียว
พี่ชาย มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เรื่องเข้าใจผิด
เมื่อถังเล่อเห็นฉินเฟิงไม่เป็นอะไร ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้ทำหน้าเป็นมิตรให้เขา เขาบุ้ยปากกล่าวว่า ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป อาจจะตายในห้องใต้ดินนี้ไปเลยก็ได้
พี่ชาย นี่คือเงินสิบล้าน ผมเอามามอบให้พี่ มันเป็นความผิดของพวกเราจริงๆ พวกเราจะไม่ทำผิดพลาดแบบนี้อีกแล้ว ผมรับประกัน
ถังเล่อเซ็นเช็คออกมาใบหนึ่ง แล้วโค้งคำนับ
ขอโทษนะ พวกคุณไม่มีวันหลังอีกแล้ว
คุณหมายความว่าไง?
คนที่ผมเรียกมา น่าจะมาถึงเร็วๆ นี้
ฉินเฟิงมองดูนาฬิกาข้อมือ
และในเวลานี้ ก็มีเสียงข้างนอกดังขึ้น สถานีตำรวจเจียงเฉิงกำลังปฏิบัติงาน ทุกคนนั่งยองๆ ลงและให้ความร่วมมือ หากมีการฝ่าฝืน พวกเราอาจต้องใช้วิธีบังคับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจ!
ถังเล่อหน้าซีดอีกแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะโทรเรียกตำรวจมา แล้วยังต้องการตัดสินลงโทษพวกเขา แต่เขาก็มีความมั่นใจ ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ในตำแหน่งนี้
ความสัมพันธ์บางอย่างสามารถปกป้องเขาได้ในช่วงเวลาสำคัญ
จนกระทั่งได้เห็นหลิวหลินเดินเข้ามา ทีมตำรวจอันดับหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง ปฏิบัติภารกิจอยู่ ได้โปรดให้ความร่วมมือ
หลิวหลิน!
พอเห็นหลิวหลิน ถังเล่อก็แทบจะเป็นลม
ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับปีศาจสาวผู้นี้
สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับหลิวหลินคนนี้ ไม่สนใจเรื่องความลับ ไม่สนใจเรื่องความรู้สึกของคน เขารู้แต่วิธีทำคดี รู้เพียงว่าต้องทำตามกฎหมาย เมื่อมีบุคคลนี้มา เขาก็สามารถจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ยิ่งกว่านั้น เขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง ล่วงเกินไม่ได้
แต่ถึงจะมีคนอื่นมา จุดจบของเขาก็ไม่ได้ดี
เพราะเขาเป็นเทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งประเทศต้าหัว เป็นบุคคลอันดับหนึ่งในเขตทหาร ไม่มีใครกล้าเข้าข้างเขา ผลลัพธ์ที่เข้าข้างเขามีเพียงอย่างเดียว นั่นคือคนคนนั้นถูกลากเข้าไปเดือดร้อนด้วย
ฉินเฟิง คุณอีกแล้ว
หลิวหลินมองลงมาที่ฉินเฟิงอย่างโกรธจัด
คราวนี้เป็นฉินเฟิงอีกแล้วที่โทรแจ้งตำรวจ
นอกจากนี้จากการสอบสวนของพวกเขา ยังมีหลักฐานการก่ออาชญากรรมของผู้ใต้บังคับบัญชาอีกจำนวนหนึ่ง พบคนของกรมตรวจสอบแห่งเมืองเหล่านี้มีปัญหามากมาย เธอน่าจะดีใจที่เจอคนไม่ดี
แต่ทว่า พอเห็นว่าเป็นฉินเฟิง เธอก็คอตกทันที
เธอยังคงนึกขึ้นได้ ความทรงจำที่พ่ายแพ้ให้กับฉินเฟิงเมื่อสองครั้งก่อน
เจ็บปวดอย่างหาที่เปรียบมิได้
ใช่แล้ว ผมเอง ต่อไปเป็นหน้าที่ของคุณแล้ว ภรรยาของผมน่าจะเป็นห่วงผมแล้วล่ะ
ฉินเฟิงยืดเส้นยืดสาย ก่อนจะเดินขึ้นไปชั้นบน แล้วเดินออกจากกรมตรวจสอบแห่งเมือง หลังจากเดินออกไปแล้ว คนแรกที่เห็นก็คืออิ่นซิน ซึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ
ในที่สุดคุณก็ออกมาได้แล้ว พวกเขาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?
ทันทีที่อิ่นซินเห็นฉินเฟิง เธอก็รีบเข้ามาตรวจดูนู่นตรวจดูนี่ทันที ด้วยกลัวว่าคนเหล่านั้นจะเตะต่อยฉินเฟิง
หลังจากที่เธอถูกขับไล่ออกไป ก็ได้มองหาคนที่จะมาช่วยฉินเฟิงอยู่ตลอด แต่มันก็ไม่มีประโยชน์ เธอหาไม่พบเลย และได้รับข่าวว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งมาที่กรมตรวจสอบแห่งเมือง
ดังนั้นเธอจึงเข้ามารอทันที
ไม่เป็นไร พวกเขาไม่กล้า
เมื่อฉินเฟิงเห็นสีหน้ากังวลใจของอิ่นซิน ความอบอุ่นก็วิ่งผ่านหัวใจของเขา เขาเอื้อมมือไปลูบหัวอิ่นซิน
อิ่นซินทำคลอเคลียอยู่ครู่หนึ่ง แต่ต่อมาก็พูดขึ้นว่า คุณทำอะไรน่ะ ฉันไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ คุณกลับไปลูบหัวกั่วกั่วเถอะ อย่ามาแตะต้องฉัน
อยู่ที่นี่ คุณเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
ทันใดนั้น ฉินเฟิงก็พูดออกมาประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงที่เอาอกเอาใจและครอบงำ
ใช่แล้ว
เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง เป็นทารกน้อย เขาเต็มใจที่จะปกป้องผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไปตลอดชีวิต
เฮ้อ พูดเรื่องอะไรเนี่ย
อิ่นซินหันกลับมา หูแดงเล็กน้อย
ไปเถอะ กลับบ้าน
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้า เขาจูงมืออิ่นซินเดินกลับบ้าน แต่อิ่นซินกลับดึงเขาไว้ เวลานี้เราต้องไปรับกั่วกั่วพอดี อย่าลืมล่ะ คนนั้นเป็นเด็กจริงๆ
ได้ครับ ภรรยาสุดที่รัก
หน้าไม่อาย
ฉินเฟิงและอิ่นซินเดินไปข้างหน้าด้วยกัน แต่ระหว่างทางเขาได้โทรหาหลิวลานเมิ่ง ก่อนหน้านี้คุณเป็นหนี้บุญคุณผม ตอนนี้บอกผมมาว่า วันนี้ภรรยาของผมไปทำอะไรมา หลังจากพูดออกมาแล้ว ระหว่างเราจะถือว่าหายกัน
เขาไม่เคยติดใจที่ก่อนหน้านี้หลิวลานเมิ่งเคยทำผิดต่อเขามาก่อน แต่เรื่องนี้มันไม่ได้จบลงแบบนี้ ยังมีเรื่องของความรู้สึกที่มีต่อกันอยู่
ส่วนเหตุผลที่โทรหาหลิวลานเมิ่ง ก็เพราะว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น อิ่นซินจำเป็นต้องติดต่อหลิวลานเมิ่ง
เธอวิ่งวุ่นทั้งช่วงเช้าเพื่อไปหาผู้อำนวยการกรมตรวจสอบแห่งเมือง แต่กลับถูกไล่ออกมา พอไปขอร้องประธานบริษัทของเรา ประธานของเราก็เห็นด้วย แต่ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์ ดังนั้นเธอจึงไปตามหาอิ่นป่ายและคุณท่านอิ่น จนเกือบจะได้คุกเข่าแล้ว เพราะเธอรู้ว่าพวกเขาใส่ร้ายคุณ
ฉันยังเตรียมมอบหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ให้ด้วยซ้ำ โชคดีที่คุณออกมาเร็ว
บอกตามตรง ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องความรู้สึกนั้น ฉันคงไม่พูดเรื่องพวกนี้กับคุณ เพราะฉันอิจฉา เพื่อนสนิทของฉันดูเหมือนจะค่อยๆ ตกหลุมรักคุณทีละน้อย แต่ฉันก็ยังคิดว่าคุณไม่คู่ควร
หลิวลานเมิ่งนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็พูดออกมาในที่สุด
ใครน่ะ?
ถังเล่อมองอย่างถี่ถ้วนและพบว่าเขาไม่รู้จักหมายเลขนี้ แต่ก็ยังรับสาย ฮัลโหล ไม่ทราบว่า?
สวัสดี คุณถังเล่อ ผู้กำกับถัง ผมชื่อเฝิงกาง ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ได้ยินมาว่ากรมตรวจสอบแห่งเมืองของพวกคุณ จับกุมชายหนุ่มชื่อฉินเฟิงไว้?
ที่โทรศัพท์เข้ามาคือเฝิงกาง
ทันทีที่เขาได้ข่าวว่าฉินเฟิงถูกจับก็โทรไปทันที นี่คือหัวหน้าของเขา ในน้ำเสียงแฝงไปด้วยการข่มขู่
ฉินเฟิง?
ถังเล่อขมวดคิ้ว
โทรมาด้วยเรื่องฉินเฟิง?
แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ เท่านั้น แต่กล้าลงไม้ลงมือกับประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เกิดอะไรขึ้น? ไหนว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมั่นคงเป็นปึกแผ่นและเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไงล่ะ?
ทำบ้าอะไร
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้อำนวยการกรมตรวจสอบ จะพูดอย่างไรก็เป็นบุคคลระดับสูง นับว่าเป็นผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น ไม่ใช่มังกรเดือดดาลข้ามแม่น้ำที่กลัวบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดต่อว่า ประธานเฝิง เรื่องนี้พวกเราตัดสินใจได้อย่างเสรี
พูดจบก็วางสายไป
ต่อให้มาจากจิงตูแล้วจะทำไม อาณาบริเวณในเมืองเจียงเฉิง ก็ยังอยู่ในความดูแลของเขาอยู่ดี
สมควรตาย
เฝิงกางเห็นถังเล่อวางสายของเขาไปเลย สีหน้าก็ขรึมลงทันที พลันด่าว่า ถังเล่อ คุณนี่รนหาที่ตาย ผมกำลังช่วยคุณอยู่นะ
ถังเล่อคนนี้ ไม่รู้ว่าเขาไปล่วงเกินใครมา
ถ้าทำให้ใครขุ่นเคือง แค่ประโยคเดียว ทั้งเมืองเจียงเฉิงจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกแล้ว เขาเป็นเพียงผู้นำในวงการธุรกิจ ทำอะไรไม่ได้เลยในเรื่องนี้ สุดท้ายก็ต้องโทรศัพท์หาฉีหยุน
ในเวลานี้ หลังจากวางสาย ถังเล่อก็เริ่มชื่นชมเครื่องลายครามของเขาอีกครั้ง พลางบุ้ยปากพูด เป็นแค่คนในวงการธุรกิจ กล้ามาข่มขู่ฉันเหรอ?
เขาไม่ได้ทำการค้า เฝิงกางกล้าดีอย่างไรมาข่มขู่เขา!
ฮ่า
แต่ในเวลานี้ก็มีโทรศัพท์เข้ามาอีกสาย ถังเล่อขมวดคิ้วพลางรับสาย ฮัลโหล ใครน่ะ?
อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก
ช่วยไม่ได้ เสียงดังไปหน่อย
ก่อนจะได้ยินเสียงประโยคหนึ่งดังออกมาจากโทรศัพท์ หัวหน้าถัง ว่าไง ไม่ได้เจอกันหลายวัน อารมณ์ไม่ค่อยดีเหรอ แม้แต่ผมยังกล้าตะคอกใส่?
ตู้ต้วนเทียน!
สีหน้าของถังเล่อซีดเผือดในทันที เขาจำเสียงนี้ได้ เขาคือตู้ต้วนเทียน ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ ทายาทของตู้ซื่อกรุ๊ป
ที่แตกต่างจากบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปก็คือ ปัจจุบันบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อน แต่ตระกูลตู้นั้นไม่เหมือนกัน ตระกูลนี้มีการพัฒนาในทุกด้าน มีอำนาจและอิทธิพลมากในเมืองเจียงเฉิง มีคนอยู่ทั้งในทางมืดและทางสว่าง
นี่ถือผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นของเมืองเจียงเฉิง
คุณตู้ ก่อนหน้านี้อารมณ์ไม่ดี ต้องขอโทษด้วย ไม่ทราบว่าคุณมาหาผมมีธุระอะไรเหรอครับ?
น้ำเสียงของถังเล่ออ่อนลง
ไม่มีเรื่องเดือดร้อนก็คงจะไม่มาหา เขารู้ว่าตู้ต้วนเทียนต้องมีธุระแน่นอน มิฉะนั้นจะไม่โทรหาเขาเด็ดขาด ขอเพียงเรื่องนี้คลี่คลายลงได้ ทั้งสองก็ผ่อนคลายได้แล้ว
ใช่ มีธุระ ผมได้ยินมาว่าที่กรมตรวจสอบแห่งเมืองของพวกคุณ จับคนชื่อฉินเฟิงไว้ใช่ไหม? ปล่อยเขาไปเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ตาสีตาสาที่ไหนมากล้าจับกุมคุณฉิน
ตู้ต้วนเทียนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ถึงอย่างไร เรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับฉินเฟิง ซึ่งเป็นต้นขาของเขา เขารู้ว่าสถานะของคนคนนั้นคืออะไร ส่วนเรื่องทำผิดก็ไม่ได้ทำ
เป็นเรื่องล้อเล่น
ฉินเฟิงเป็นนักรบที่ปกป้องครอบครัวและประเทศชาติในสนามรบ ทหารนั้นให้ความสำคัญกับวินัยมากที่สุด และผู้บัญชาการอย่างฉินเฟิงจะทำผิดเช่นนี้ได้อย่างไร?
ล้อเล่นอะไรกันอยู่
เอ่อ…
มาอีกคนแล้ว
ถังเล่อรู้สึกปวดหัว ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมาแล้วหนึ่งคนก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมแม้แต่ตู้ต้วนเทียนก็มาด้วย เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลตู้เชียวนะ
เพื่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ เพียงคนเดียว
ต้องทำถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ถังเล่อ ได้ยินหรือเปล่า? ตู้ต้วนเทียนถามขึ้นมาอีกครั้ง
ครับ
สุดท้ายถังเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตอบตกลง แต่หลังจากวางสายลงแล้ว เขาก็เอนตัวลงนอนบนเก้าอี้ ไม่ขยับไปไหนอีก เขารับปากกับตู้ต้วนเทียนว่าจะปล่อย แต่ไม่ได้บอกว่าเมื่อไหร่
ขังไว้สักห้าหกวันแล้วค่อยปล่อย ก็ถือว่าปล่อยเหมือนกัน
และไม่ได้ฝ่าฝืนคำพูดของตู้ต้วนเทียนด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตู้ต้วนเทียนก็เป็นเพียงทายาท ไม่ใช่ผู้นำตระกูลตู้ที่แท้จริง ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องกลัวขนาดนี้ ถึงอย่างไรก็แค่เด็กหนุ่มคนเดียวเท่านั้น
ฉินเฟิงคนนี้ ยังสามารถยั่วยุให้สองคนนี้มาได้
ถังเล่อยิ้มเยาะ
น่าจะมีสาเหตุอะไรบางอย่าง อาจจะเป็นหนี้บุญคุณ แต่มาบอกให้ปล่อย มันจะปล่อยง่ายๆ ได้อย่างไร เขาเป็นถึงผู้อำนวยการกรมตรวจสอบแห่งเมือง นึกจะบีบก็บีบได้เหรอ?
จนกระทั่งมีโทรศัพท์เข้ามาอีกสาย
ทำบ้าอะไร มีโทรศัพท์เข้ามามากมาย
ถังเล่อรับสายอีกครั้ง ใครน่ะ?
หวางหมิน แห่งเมืองเจียงเฉิง
เสียงอันหนักแน่นดังมาจากโทรศัพท์
แต่เกือบทำให้โทรศัพท์ของถังเล่อร่วงลงกับพื้น เนื่องจากท่านนี้คือรองผู้นำของเจียงเฉิง มีสถานะที่สูงมากในเมืองเจียงเฉิง
มีระดับที่สูงกว่าเขานับไม่ถ้วน
บุคคลเช่นนี้ ไม่นึกเลยว่าจะโทรหาเขาด้วย?
ไม่น่าเชื่อ
อย่าบอกนะว่า เพื่อคนคนนั้น…เหมือนกัน?
ทันใดนั้น ถังเล่อก็รู้สึกมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ถังเล่อ ได้ยินมาว่ากรมตรวจสอบแห่งเมืองของพวกคุณจับคนมาเหรอ? กล้ามากเลยนะ กรมตรวจสอบแห่งเมืองหลบเลี่ยงสถานีตำรวจ จับกุมคนได้เองตั้งแต่เมื่อไร? ถังเล่อ คุณมีอำนาจมหาศาลเลยนะ
รองผู้นำพูดออกมาเช่นนี้
ทำให้ถังเล่อตกใจ นั่งลงกับพื้น เหงื่อเย็นผุดขึ้นบนใบหน้า เขารีบพูดว่า คุณเข้าใจผิดแล้ว มันเป็นความผิดพลาดของผู้ใต้บังคับบัญชา ผมจะรีบปล่อยทันที
ยิ่งเร็วยิ่งดี
รองผู้นำเร่งรัดเช่นนี้
คราวก่อนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เขาเคยเห็นสถานะของฉินเฟิงมาก่อน เขารู้ว่ามันคือตำแหน่งอะไร เป็นคนที่ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิงไม่สามารถล่วงเกินได้
ครับๆๆ
ถังเล่อพยักหน้าทันที
หลังจากวางสาย เขาก็ปาดเหงื่อที่ศีรษะตัวเอง นี่มันเรื่องอะไรกัน แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ แค่คนเดียว นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีทั้งประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ รวมถึงรองผู้นำของเจียงเฉิง ล้วนมาขอร้องให้
เขารู้สึกอึดอัดด้วยความสงสัย
นี่เป็นขอทานตัวน้อยที่กลายเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ
แต่ในขณะที่เขากำลังจะปล่อยตัวฉินเฟิง ก็มีโทรศัพท์เข้ามาอีกสาย เขากลืนน้ำลาย ยังไม่กล้าไปรับสาย
แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ไปรับสายอยู่ดี
แจ้งทราบ ผมคือฉีหยุนยศพันเอกจากกองทัพต้าหัว ผมได้รับข่าวว่าคุณจับคนที่ชื่อฉินเฟิงโดยไม่มีเหตุผล ได้โปรดปล่อยตัวเขาทันที มิฉะนั้นผมจะนำกองกำลังไปโจมตีกรมตรวจสอบแห่งเมืองของคุณ
ในโทรศัพท์ เป็นคำพูดที่ดุเดือดเลือดพล่านของฉีหยุน
ตอนนี้เขากำลังอยู่ในกองทัพและนำทหารอยู่ ถ้าไม่ยอมปล่อย เขาก็ยินดีพาทหารไปโจมตี
แต่ทว่า ถังเล่อถึงกับตกตะลึง
ตกตะลึงจริงๆ
เขาตกตะลึงอ้าปากค้าง งงเป็นไก่ตาแตก แถมยังพูดเสียงสั่น อะไรนะ…กองทัพต้าหัวก็มา แถมยังยศพันเอกอีกด้วย ยังจะมาโจมตีฉัน แม่จ๋า ฉินเฟิงคนนี้คือใครกันแน่!
…
ฉินเฟิงยิ้ม หวางเชียนพูดกับเขาเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้น เจ้าหมอนี่ก็รู้ว่า เขากำลังเผชิญกับอะไรอยู่? เทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งประเทศต้าหัว มีอำนาจและอิทธิพลเทียมฟ้า เอาชนะกำลังทหารหลายแสนนาย สังหารศัตรูได้สามแสนคนในสงครามเพียงครั้งเดียว
อะไร สายตาของคุณหมายความว่ายังไง เหมือนกำลังมองมดอยู่เลย?
หวางเชียนสังเกตเห็นแววตาของฉินเฟิง เหมือนว่าไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา เขาโกรธขึ้นมาทันที
เขาคือใคร หัวหน้าหวางแห่งกรมตรวจสอบแห่งเมืองเจียงเฉิง มีอำนาจและอิทธิพลมาก ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขา ถือว่าเป็นบุคคลระดับสูงในเมืองเจียงเฉิง แต่ฉินเฟิงผู้นี้กล้า แล้วยังกล้าดูถูกเขาอีกเหรอ?
ฉินเฟิงเป็นใคร
ก็แค่ขอทานตัวเหม็นคนหนึ่ง
น่าจะเคยเห็นเขามาก่อน โค้งคำนับอย่างเชื่อฟัง ประจบสอพลอ บางทีเขาอาจจะให้โอกาสก็ได้
ใช่
ฉินเฟิงพูดอย่างเปิดใจ ไม่มีปิดบังแม้แต่นิดเดียว
แน่นอน
เขากำลังปฏิบัติกับมดตัวหนึ่ง
มัดไว้
ภายใต้คำสั่งของหวางเชียน มีชายสองคนซึ่งเป็นพรรคพวกกันอยู่ข้างหลังเขา ปกติจะคอยเดินตามก้น ทำตามคำสั่งของเขาเสมอ
หลังจากได้ยินที่หวางเชียนพูด เขาก็ดึงกุญแจมือออกจากตัวดังแกร๊งแกร๊ง แล้วใส่ให้ฉินเฟิง ก่อนจะล็อกเข้ากับเก้าอี้อย่างแน่นหนา
แกร๊ง แกร๊ง
ฉินเฟิงยกมือขึ้น กุญแจมือนั้นส่งเสียงดังคมชัด ทำให้เขายิ้มออกมาทันที ของเล่นพวกนี้ล็อกผมไว้ไม่ได้หรอก แต่นี่เป็นทรัพย์สินของสถานีตำรวจ พวกคุณใช้มันได้ด้วยเหรอ?
กฎของประเทศต้าหัวเข้มงวดมากกับทรัพย์สินของสถานีตำรวจ
ทรัพย์สินของสถานีตำรวจ? ฮ่า บางทีเราอาจจะไม่กล้าใช้ในที่สาธารณะ แต่คุณดูดีๆ สิ ที่นี่คือที่ไหน ที่นี่คือห้องใต้ดินของกรมตรวจสอบ ที่นี่คือพื้นที่ของผม
หวางเชียนยิ้มดูถูก ผายมือออกแล้วชี้ไปที่ห้องห้องนี้ ใช่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ห้องนี้เป็นห้องมืดเล็กๆ ที่มีการกั้นเสียงดีมาก ไม่มีใครสามารถหาพบ นี่เป็นพื้นที่พิเศษของผม คุณเชื่อหรือไม่ว่าวันนี้ถ้าผมฆ่าคุณตาย ก็ไม่มีใครสามารถหาพบ
แน่นอน สิ่งที่เขาพูดนี้เป็นการข่มขู่โดยเฉพาะ
เรื่องฆ่าคน เขาไม่กล้าทำ
แต่การกักขังฉินเฟิงได้นานกว่าสิบวัน ทำให้เขาอดตาย หรือทุบตีจนเกือบตาย เรื่องพวกนี้พวกเขาสามารถทำได้
งั้นเหรอ?
ความอาฆาตปรากฏขึ้นในดวงตาของฉินเฟิง
ต่อมา
แกร๊ง
ฉินเฟิงลุกขึ้นจากเก้าอี้ กุญแจมือหักดังแกร๊ก จากนั้นฉินเฟิงก็ปลดมันออกจากมือแล้วบิดคอไปมา ถ้าอย่างนั้น หากฆ่าคุณตาย ก็จะไม่มีใครมาเจอด้วยใช่ไหม?
บัดซบ
ชายทั้งสามต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง
เกิดอะไรขึ้น?
เขาปลดกุญแจมือออกด้วยมือเปล่าเลยเหรอ?
แข็งแกร่งอะไรปานนี้
เอ่อ มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน มีอะไรก็ค่อยๆ คุยกัน มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด
หวางเชียนตื่นตระหนกทันทีเมื่อเห็นฉินเฟิงเดินเข้ามา เขาลุกขึ้นยืน แล้วก้าวถอยหลังทันที
เข้าใจผิด? แต่ผมไม่รู้สึกว่ามันเป็นการเข้าใจผิดนะ
ฉินเฟิงเดินเข้ามาทีละก้าว
สมควรตาย พวกนายเข้าไป พวกนายสองคนน่ะ เจ้าหมอนี่มีแค่คนเดียว เข้าไป
หวางเชียนกวักมือเรียกลูกสมุนทั้งสองด้วยใบหน้าดุดัน
ใช่แล้ว พวกเรามีสองคน
ชายสองคนนั้นมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจเข้าไป
พวกเขามีกันสองคน ดังคำกล่าวที่ว่า สองหมัดยากจะสู้สี่มือ บางทีพวกเขาอาจจะเอาชนะฉินเฟิงก็ได้
ในเวลานี้ อิ่นซินได้รู้ข่าวจึงรีบรุดมาถึงกรมตรวจสอบแห่งเมือง แต่พอถามไปรอบๆ ก็ยังหาหวางเชียนไม่พบ ห้องมืดเล็กๆ เป็นห้องใต้ดิน คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ามีอยู่
สุดท้ายอิ่นซินก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาหาผู้อำนวยการถังแห่งกรมตรวจสอบแห่งเมือง
ณ ห้องทำงานชั้นสาม
ผู้อำนวยการถัง สามีของฉันถูกขังอยู่ที่นี่ คราวนี้มีคนวางแผนใส่ร้ายพวกเรา คุณช่วยปล่อยเขาออกมาด้วยนะคะ
อิ่นซินมองไปที่ผู้อำนวยการถังอย่างร้อนใจ
เขาอายุห้าสิบ ผมหงอกขาวครึ่งหนึ่ง แต่ยังดูฉลาดเฉียบแหลม สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว นั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือปากกาหมึกซึมเคาะโต๊ะอยู่
คุณผู้หญิงอิ่น ตอนนี้เรายังไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด คนคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ เราต้องทำการสอบสวน ดังนั้น ได้โปรดกลับไปเถอะ
ถังเล่อไล่แขกที่ไม่ต้อนรับออกไป
ต้องรู้ว่า เมื่อวานนี้หวางเชียนได้มอบเครื่องลายครามราชวงศ์หมิงให้เขา ซึ่งมีคุณค่าในการเก็บสะสมและมีมูลค่านับล้าน เมื่อรับเงินมาแล้วก็ต้องทำงาน
อีกอย่างก็ไม่ได้ขอให้เขาทำอะไรเป็นการส่วนตัว
แค่อยากจะผลักไสคนที่มาให้กลับไปเท่านั้น
เรื่องนี้จัดการไม่ยาก เขาได้ตรวจสอบมาก่อนแล้วเช่นกัน เกี่ยวกับอิ่นซินลูกที่ครอบครัวทอดทิ้งผู้ตกอับ ตอนนี้ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลใดๆ และกำลังถูกคนของตระกูลอิ่นกดดัน
สำหรับฉินเฟิง ยิ่งกลั่นแกล้งได้ง่าย
เดิมทีเป็นแค่ขอทานตัวเล็กๆ ตอนนี้มาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป หากเขาเป็นพนักงานประจำของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เขาอาจจะเกรงกลัวอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ฮ่า
บุคคลที่เป็นเหมือนมด ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาเลย
จะแกล้งก็แกล้งไปสิ
จะเป็นอะไรไป
เธอจะทำอะไรเขาได้ วันนี้เขาเอาตำแหน่งมากดดันคนอื่น
ผู้อำนวยการถัง เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ต้องมีใครบางคนใส่ร้ายพวกเรา อิ่นซินรีบชี้แจ้ง
เธอเพิ่งมาจากอ้ายเสี่ยวซี อ้ายเสี่ยวซีบอกเธอแล้วว่า มีใครบางคนในบริษัททรยศพวกเขา ดังนั้นต้องมีคนใส่ร้ายแน่นอน ฉินเฟิงเป็นผู้บริสุทธิ์
คุณผู้หญิงอิ่น ทำไม คุณสงสัยว่าพวกเราทำอย่างนั้นเหรอ?
ถังเล่อหรี่ตาลง ถึงอย่างไรเขาเป็นบุคคลชั้นสูง อยู่ในตำแหน่งสูง ซึ่งทำให้เขาชอบใช้อำนาจกดดัน ทันทีที่กดดัน คนทั่วไปก็ทนไม่ไหว
ผู้อำนวยการถัง ฉัน…
ใบหน้าของอิ่นซินซีดเผือด แต่เพื่อความปลอดภัยของฉินเฟิง เธอจึงต้องขอร้องอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ถังเล่อไม่ได้ให้โอกาสเธอแล้ว เขาโทรศัพท์ออกไป ไม่นานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสามคนที่มีร่างกายกำยำสูงใหญ่ก็เข้ามา
คุณผู้หญิงอิ่น เชิญ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง ยื่นมือออกมา แล้วพูดอย่างแข็งกร้าว
ผู้อำนวยการถัง…
อิ่นซินหันไปมองผู้อำนวยการถังอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ถังเล่อหันหน้าออกไป ไม่ยินดีคุยกับเธอ เมื่อเห็นว่าทำอะไรไม่ได้ อิ่นซินจึงจำต้องออกไป
ตอนนี้เธอยังต้องคิดหาวิธีอื่นอีก เพื่อช่วยฉินเฟิง
ในเวลานี้ ข่าวการถูกจับของฉินเฟิงแพร่กระจายออกไปแล้ว
หลังจากที่อิ่นซินออกไปแล้ว ถังเล่อก็เอนกายลงบนเก้าอี้ แล้วหยิบเครื่องลายครามออกมาจากใต้โต๊ะ แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความสุข นี่ของดีเลยนะ ของดีเลย
ตลอดชีวิตของเขา เขาชอบของเก่ามากที่สุด
คราวนี้หวางเชียนเอาอกเอาใจเขาตามความชอบ เขาเองก็ไม่รังเกียจที่จะออกแรงนิดหน่อย อันที่จริงเขาก็แค่ขวางอิ่นซินให้กลับไปเท่านั้น ส่วนฉินเฟิง เขาก็ไม่สนใจ
เจ้าหมอนี่แค่โชคร้ายเท่านั้น ไม่ดูสถานะตัวเองเลย ในเมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ มีคนมากมายที่เขาล่วงเกินไม่ได้ ใครกล้าล่วงเกิน ก็ถือว่าไม่มีวิสัยทัศน์จริงๆ สมควรแล้วที่โชคร้าย
ถังเล่อบุ้ยปากอย่างเหยียดหยาม
ฉินเฟิงเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาขี้เกียจจะไปสนใจ
กริ๊งๆ
แต่ทว่า ในเวลานี้โทรศัพท์บนโต๊ะก็ดังขึ้น
หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ หวางเชียนจึงนึกถึงเป้าหมายในวันนี้ได้ ก็แค่หนึ่งล้านไม่ใช่เหรอ ให้อิ่นป่ายจ่ายก็ได้ ถึงอย่างไรอิ่นป่ายก็เป็นคนให้เขามาในวันนี้
ได้ หนึ่งล้านก็หนึ่งล้าน
ในที่สุด หวางเชียนก็กัดฟันตอบตกลง
แต่ทว่า ชายชราสองคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วร้องไห้หนักขึ้น โอ๊ย ไม่ไหวแล้ว อาการบาดเจ็บแย่ลง ถ้าต้องตาย ผมต้องการสองล้าน ถ้าไม่ให้ พวกคุณต้องชดใช้ด้วยชีวิต
สองล้าน!
คำพูดนี้ทำให้หวางเชียนโกรธจัดจนเส้นเลือดที่หน้าผากปูดโปนออกมา
นี่คือการนั่งเถียงอยู่กับที่และแบล็กเมล์เขา ประเด็นสำคัญคือเขาไม่สามารถโต้แย้งได้เลย มันมีกล้องวงจรปิดอยู่ที่นี่ พวกเขาได้กระแทกชายชราสองคนนั้นจริงๆ
นอกจากนี้ สิ่งที่เขาทำในวันนี้มันไม่สะอาดเท่าไร ไม่สมควรที่จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ได้ สองล้านก็สองล้าน
ในที่สุด หวางเชียนก็ตอบตกลง สองล้านก็สองล้าน อันที่จริงอิ่นป่ายก็เป็นคนจ่าย แต่ค่าตอบแทนของเขาจะต้องลดลงแน่นอน
คนรวย!
ชายชราสองคนตกตะลึงอีกครั้ง แต่พวกเขาไม่ได้โลภอยากได้เงินของชายคนนั้น พวกเขาแค่ไม่ยอมให้หวางเชียนเข้าไป นี่คือหน้าที่ของพวกเขาในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ไม่ได้ พวกเราต้องการสามล้าน…
นั่งอยู่กับที่แล้วเพิ่มราคา ไม่ใช่เพราะโลภ แต่เพื่อหยุดคนพวกนี้
แต่ในเวลานี้ มีคนคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านหลังพวกเขา พอแล้ว ลำบากลุงหลี่กับลุงจางมากแล้ว สองล้านก็สองล้าน จะได้แบ่งกันคนละหนึ่งล้านพอดี เอากลับไปใช้ในครอบครัว
บอส
ชายชราสองคนรู้ว่าฉินเฟิงเป็นสามีของอิ่นซิน ดังนั้นจึงเรียกเขาว่าบอส
เรื่องที่เหลือเดี๋ยวผมจัดการเอง
ฉินเฟิงเดินออกไป
สองล้านก็ไม่น้อยแล้ว เขาเฝ้าดูอยู่ตลอดเวลาที่ชั้นบน ถ้ายังขึ้นราคาต่อไป คนกลุ่มนี้จะต่อต้านแล้ว พอถึงตอนนั้นลุงหลี่กับลุงจางอาจจะได้รับบาดเจ็บจริงๆ
อีกอย่างคนละหนึ่งล้านก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว
ครับ
สุดท้ายชายชราสองคนเมื่อเห็นเจ้าของงานออกมาแล้ว ก็รับเงินแล้วออกไปจากที่นี่ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่พวกเขาต้องดูแลแล้ว
เข้ามาได้ครับ
ฉินเฟิงส่งสัญญาณบอก
แม้ว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่ก็เป็นแขกจากแดนไกล
ฮึ
หวางเชียนหน้าเขียว เขาเดินเข้าไปแล้วเอ่ยปากพูดว่า ผมหวางเชียน มาจากกรมตรวจสอบแห่งเมือง คุณเรียกผมว่าหัวหน้าหวางก็ได้ ทางเราได้รับรายงานว่าพวกคุณใช้วัสดุคุณภาพต่ำมาปลอมแปลง เป็นงานวิศวกรรมไร้คุณภาพ ดังนั้นพวกเราจึงมาตรวจสอบในวันนี้
ตามสบายครับ ฉินเฟิงกล่าว
ก็ถือว่ารู้ว่าควรทำยังไงนะ
หวางเชียนเยาะเย้ยแล้วพาคนของเขาไปตรวจสอบ ส่วนเขาเดินตรงขึ้นไปที่ชั้นสองจนถึงตำแหน่งหนึ่ง เขาลูบคลำสักครู่ ตรงนี้มีปัญหา ตรวจดูซิ
ครับ
ด้านหลังเขามีเจ้าหน้าที่เทคนิคสองคน
ไม่นาน หลังจากการตรวจสอบผ่านไป เจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า สัดส่วนน้ำหนักตรงนี้ไม่ถูกต้อง โดยปกติต้องเป็น 435, C20 แต่ตรงนี้ไม่ใช่ มันคือ 112, C15 ซึ่งแตกต่างกันมากเกินไป หากนำมาใช้ก่อสร้างอาคาร มันจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ งานวิศวกรรมไร้คุณภาพมีอันตรายมากที่จะนำมาใช้ในอาคาร
เป็นไปไม่ได้
เมื่อได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของอ้ายเสี่ยวซีก็ซีดเผือด เธอรีบเข้าไปตรวจดูวัสดุตรงนั้น ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็พูดด้วยความงุนงง ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ สัดส่วนผสมตรงนี้ไม่ถูกต้อง
เอ่อ หัวหน้าหวาง ต้องมีปัญหาเกิดขึ้นกับตรงนี้แน่นอน คุณลองตรวจสอบที่อื่นดู มันต้องดีแน่ๆ ดีแน่นอน อ้ายเสี่ยวซีชี้แจงด้วยความตื่นตระหนก
ที่อื่นดีเหรอ? ฮ่าฮ่า
หวางเชียนยิ้มเยาะ ทำนบพันลี้ทลายลงได้ด้วยรังมดภายใน คุณไม่รู้หลักการนี้เหรอ? หากมีจุดจุดหนึ่งผิดพลาด ก็อาจจะทำให้อาคารทั้งหลังถล่มลงมาได้
ฉัน…
อ้ายเสี่ยวซีถอยหลังออกไปสองก้าว หน้าซีดเผือด
เธอไม่รู้ว่าทำไม ทุกจุดเธอก็ได้ตรวจสอบอย่างเข้มงวดหมดแล้ว แต่ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง อ้ายเสี่ยวซีก็พูดขึ้นว่า มันเป็นความผิดพลาดของฉันเอง ฉันยินดีรับผิดชอบ…
เธอไม่ต้องการดึงอิ่นซินให้เดือดร้อนไปด้วย
แต่ก่อนที่เธอจะพูดจบ ฉินเฟิงก็ก้าวออกมายืนขวางตรงหน้าเธอ เป็นหน้าที่ผมเอง ถึงอย่างผมก็เป็นสามีของอิ่นซิน มีอำนาจพอที่จะเป็นตัวแทนของบริษัทนี้ได้
อีกอย่างหลังจากที่ผมไปแล้ว คุณลองตรวจสอบหน่อยว่าใครเป็นคนเล่นสกปรก
มันเป็นเส้นทางที่เรียบง่าย
ในบริษัทนี้มีคนทรยศอิ่นซิน จงใจผสมวัสดุปลอมบางอย่าง ก่อนหน้านี้อ้ายเสี่ยวซีค่อนข้างกระวนกระวาย ไม่ทันคิดถึงเรื่องนี้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่ฉินเฟิงพูด
เธอก็รู้แล้ว
คุณเหรอ?
หวางเชียนมองพิจารณาฉินเฟิง
ใช่ ผมจะไปกับพวกคุณ ผมเป็นสามีของอิ่นซิน ตอนนี้ภรรยาเดินทางไปทำธุรกิจ ฉินเฟิงกล่าว
ก็ได้
หวางเชียนตกลง
อันที่จริงจับคนได้ก็พอแล้ว ถ้าจับฉินเฟิงได้ อิ่นซินก็จะมาช่วยเขา พอถึงตอนนั้นก็จะเสียเวลามาก อีกอย่างเขาก็ไม่ชอบฉินเฟิงเอามากๆ
ทำไมเศษสวะคนนี้ถึงได้แต่งงานกับผู้หญิงที่สวยที่สุดในเมืองเจียงเฉิง
ทำไม
ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเสียเงินไปสองล้านที่นี่ เงินก้อนนี้ เขาเอามาคิดบัญชีกับฉินเฟิง
พาเขาไป
หวางเชียนพ่นลมหายใจอย่างดูถูก คนเหล่านั้นเข้ามาประกบตัวฉินเฟิงทันที พยายามกุมตัวฉินเฟิงออกไป
แต่ฉินเฟิงกวาดสายตามองอย่างเย็นชา ซึ่งทำให้คนเหล่านั้นสั่นสะท้าน ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก จากนั้นฉินเฟิงก็เอามือไพล่หลังแล้วเดินออกไป
พลางพูดขึ้นว่า ผมเดินเองได้
พวกเศษสวะ
หวางเชียนชำเลืองมองคนเหล่านั้น แล้วด่าออกมา
แต่สุดท้ายก็พาตัวฉินเฟิงออกไป พาไปที่กรมตรวจสอบแห่งเมือง แน่นอน สามารถเรียกได้ว่าสำนักงานก่อสร้างเช่นกัน ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบด้านการตรวจสอบ
หลังจากที่ฉินเฟิงถูกพาตัวออกไปแล้ว อ้ายเสี่ยวซีก็โทรหาอิ่นซินทันที บอสคะ เกิดเรื่องแล้ว คุณฉินถูกพาตัวไปที่กรมตรวจสอบแห่งเมือง
อะไรนะ!
อิ่นซินตกใจ คุณไม่ต้องกังวล ฉันจะรีบไปเดี๋ยวนี้
และในเวลานี้ ฉินเฟิงก็ถูกนำตัวไปที่กรมตรวจสอบแห่งเมือง เขาถูกพาไปที่ห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งโดยเฉพาะ หวางเชียนนั่งบนที่นั่ง สูบบุหรี่ เชิดหน้าอย่างทะนงตน
เขาเพิ่งโทรหาอิ่นป่าย อิ่นป่ายจะเป็นคนจ่ายเงินจำนวนสองล้านนั่น
มันไม่ใช่ธุระอะไรของเขา
ภารกิจของเขาตอนนี้คือการกักขังฉินเฟิงเอาไว้แบบนี้ รอให้อิ่นซินหาวิธีมาช่วยเขา แต่อย่างไรก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ แล้วค่อยดึงอิ่นซินเอาไว้อย่างนี้
จนกว่าระยะเวลาการก่อสร้างของอิ่นซินจะไม่ทันตามกำหนด
นี่เป็นภารกิจที่อิ่นป่ายมอบให้เขา
แต่เขาก็ไม่พอใจกับสิ่งนี้ คราวก่อนเขาเคยพูดไปแล้วว่า เขาเกลียดฉินเฟิงมาก เขาอิจฉาที่ฉินเฟิงได้แต่งงานกับผู้หญิงที่งามเพริศพริ้งเช่นนี้
ทำไมนะ
แค่ขอทานเหม็นเน่าคนเดียว
วันนี้เขาจะทำให้เจ้าหมอนี่ต้องทุกข์ทรมาน
ไอ้หนู พูดตามตรง คุณไม่ควรมาที่นี่เลย เพราะคุณไม่รู้ว่า คุณกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่?
หวางเชียนพ่นควันบุหรี่ออกมา ร่องรอยความดุร้ายฉายผ่านดวงตาของเขา
มู่หรงเจียงเสว่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาของเธอแฝงไปด้วยความรังเกียจ ในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง เธอเกลียดกฎที่แฝงอยู่ในวงการบันเทิงมากที่สุด เธอเคยออกคำสั่งห้ามปรามครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าไม่อนุญาตให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในทีมงานของเธอ
แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะยังคงมีอยู่
มู่หรงเจียงเสว่ ผมเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของทีมละครเรื่องนี้ ผู้ช่วยผู้กำกับ คุณต้องคิดให้ดี ผมทำเพื่อทีมละครนี้มามาก แต่ตอนนี้คุณกลับมาจับผม? คุณกล้าจับผมเหรอ?
เจียงหยุนพยายามโต้เถียงอย่างสุดกำลัง
ฮ่า จับคุณเหรอ? ฉันไม่เพียงแต่จะจับคุณเท่านั้น แต่ฉันยังจะเล่นงานคุณด้วย
ความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมู่หรงเจียงเสว่ เธอขยิบตาให้บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทันที
รับเงินมาแล้วก็ต้องสะสางปัญหาให้สำเร็จ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นเป็นมืออาชีพและเข้าใจในทันที หนึ่งในนั้นต่อยเจียงหยุนที่ท้อง ทำให้เขาตัวงอ ส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา
โอ๊ย!
เจียงหยุนน้ำตาแทบไหล มู่หรงเจียงเสว่ คุณ…
ยังมีแรงพูดอีกเหรอ? พูดต่อสิ
ความเยือกเย็นส่องประกายผ่านดวงตาของมู่หรงเจียงเสว่
การที่เธอสามารถมีสถานะอย่างในวันนี้ได้ แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงที่อ่อนโยน แต่เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง ในฐานะผู้หญิงที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง เธอย่อมมีความสามารถอยู่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น ฉินเฟิงยังอยู่ที่นี่
ตามที่หลิวหลินว่าไว้ ฉินเฟิงก็เป็นคนสำคัญเช่นกัน เธอไม่สนใจว่าคนคนนี้จะดีหรือไม่ แต่เธอไม่มีสำนึกในความเป็นธรรมโดยกำเนิดเหมือนอย่างหลิวหลิน เธอรู้แค่ว่า จะล่วงเกินฉินเฟิงไม่ได้
สิบนาทีต่อมา
เจียงหยุนล้มลงกับพื้น หายใจรวยริน เช่นเดียวกับเจียงจื่อจิ้นที่อยู่ข้างๆ
อีกะหรี่ กูจะไม่ปล่อยมึงไป
เจียงหยุนพูดในใจด้วยความเกลียดชัง
เขายังมีญาติมิตรเพื่อนฝูงจำนวนหนึ่งที่ถูกส่งตัวไปที่สถานีตำรวจด้วย มากสุดก็คงต้องจ่ายเงินก้อนหนึ่งเพื่อประกันตัวออกมา พอถึงตอนนั้น เขาจะต้องแก้แค้นมู่หรงเจียงเสว่อย่างสาสมอย่างแน่นอน
กล้าดีอย่างไรมาทำแบบนี้กับเขา!
จนกระทั่งเขาได้เห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา หัวใจของเขาก็เย็นวาบ ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนี้ บัดซบ ทำไมฉันถึงซวยแบบนี้?
คนที่เข้ามาคือหลิวหลิน
มู่หรงเจียงเสว่แจ้งความแล้ว
เจ้าหมอนี่สินะ ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะขุดคุ้ยประวัติเก่าของเขาออกมาเอง
หลังจากได้ฟังมู่หรงเจียงเสว่เล่าคร่าวๆ แล้ว หลิวหลินก็ตบหน้าอกรับประกัน
ว่าแต่ว่า คราวนี้ก็มีคุณอีกแล้วเหรอ
หลิวหลินจ้องมองฉินเฟิง
ยั่วยุ 10% ดูถูกเหยียดหยาม 30% ไม่ยินยอม 40% และน้อยเนื้อต่ำใจ 20% นี่คือความรู้สึกของหลิวหลินเมื่อเผชิญหน้ากับฉินเฟิงในตอนนี้
บังเอิญจัง
ฉินเฟิงตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ฮึ ไม่ช้าก็เร็ว ฉันจะต้องจับคุณให้ได้
หลิวหลินพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วพาคนกลับไป
ขอโทษค่ะ ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของพวกเรา
มู่หรงเจียงเสว่กล่าวขอโทษอิ่นหนิงหยู่
อ้อ…ไม่เป็นไรค่ะ…ไม่เป็นไร
สิ่งนี้ทำให้อิ่นหนิงหยู่รู้สึกปลาบปลื้ม เธอคิดไม่ถึงเลยว่ามู่หรงเจียงเสว่ผู้มีชื่อเสียงโด่งดังจะกล่าวขอโทษตัวเอง เธอรีบโบกไม้โบกมือทันที
หลังจากที่มู่หรงเจียงเสว่ออกไปแล้ว อิ่นหนิงหยู่ก็พูดกับฉินเฟิงอย่างตื่นเต้นดีใจว่า ผู้กำกับมู่หรงอ่อนโยนมาก แถมยังตั้งใจมาขอโทษฉันด้วย เธอเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่ายมาก
ก็อาจจะใช่
ฉินเฟิงเอามือลูบจมูกตัวเอง
เจ้าเด็กโง่ ถ้าวันนี้เขาไม่มา เธออาจจะถูกรังแกอีกก็ได้ นี่คือวงการบันเทิงที่ซับซ้อนมาก แต่ถ้าหากอิ่นหนิงหยู่ต้องการทำงานในวงการนี้ต่อไปจริงๆ เขาก็สามารถสนับสนุนเธอได้
เทพสงครามอันดับหนึ่งแห่งประเทศต้าหัว ร่มเงาที่คุ้มกะลาหัวนี้ พูดได้ว่าเพียงพอสำหรับเขาที่จะพลิกฟื้นวงการบันเทิงทั้งหมด
หลังจากสะสางเรื่องราวที่นี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็ไปที่บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ถึงอย่างไรเขาก็คิดว่าคราวที่แล้วอิ่นป่ายเป็นคนวางแผนการ ดังนั้นจะไม่มีทางยอมแพ้ไปง่ายๆ
ต้องมีแผนอีกแน่นอน
ครั้งที่แล้วเป็นแผนสกปรก
ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นแผนอะไร
เมื่อมาถึงบริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ฉินเฟิงก็พบว่าอิ่นซินไม่อยู่ที่นี่ เมื่ออ้ายเสี่ยวซีเห็นฉินเฟิงก็เดินเข้าไปหาทันทีแล้วพูดว่า คุณฉิน ท่านประธานออกไปทำธุระแล้ว วันนี้ไม่อยู่ที่บริษัท
งั้นเหรอ
ฉินเฟิงเอามือลูบคาง
จากนั้นเมื่อเขาพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ฉินเฟิงจึงตัดสินใจออกไปจากที่นี่ แต่ในขณะนั้นเอง ผู้คนจำนวนมากได้มาออกันที่ด้านนอก โดยมีแกนนำเป็นผู้ชายพุงพลุ้ยใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว
ดูท่าทางมีตำแหน่งใหญ่
ที่นี่สินะ
เมื่อคนกลุ่มนี้มาถึงหน้าประตู ชายพุงพลุ้ยก็มองดูป้ายนั้น ร่องรอยความเกลียดชังฉายผ่านดวงตาของเขา แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไป ชายชราสองคนก็ก้าวออกมายืนหน้าประตู
สองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเชิงกลยุทธ์ของบริษัท
เฮ้ พวกคุณสองคนมาทำอะไรที่นี่? หลีกทางเดี๋ยวนี้
หวางเชียนขมวดคิ้ว มองดูชายชราทั้งสอง
พวกเราสองคนเป็นรปภ.ของบริษัท ในเมื่อเราได้รับเงินเดือนของบริษัท เราก็ต้องทำอะไรบางอย่าง วันนี้ พวกคุณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป
แม้ว่าชายชราสองคนจะแก่ แต่ก็ยังมีเหตุผล พวกเขารู้ว่าตัวเองมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ ดังนั้นจึงปิดกั้นประตูทันที ไม่ยอมให้พวกหวางเชียนเข้าไป
ลำพังพวกคุณ คิดจะมาหยุดผมได้เหรอ?
หวางเชียนยิ้มเย้ยหยัน
สองคนที่ยืนโงนเงน ขาข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในโลงศพแล้ว ยังกล้ามาบอกว่าจะขัดขวางพวกเขา?
ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี
ไม่รู้ว่าอิ่นซินเอาอะไรมาคิดให้จ้างชายชราสองคนมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อย่าบอกนะว่าบริษัทนั้นขัดสนจนถึงขั้นนี้แล้ว
พวกนายรีบพาตาเฒ่าสองคนนี้ออกไปให้พ้นทางที
หวางเชียนออกคำสั่ง
ผู้ชายที่อยู่ข้างหลังหลายคนบิดคอไปมา แล้วก้าวไปข้างหน้า เตรียมพร้อมลงมือ
แต่ว่าเมื่อตอนที่พวกเขาเพิ่งชนกับชายชราสองคนนั้น พวกเขาก็ล้มลงกับพื้น กุมแขนตัวเองแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด พวกคุณไม่ใช่คน กล้ามารังแกคนแก่อย่างผม แขนของผม แขนของผมหักแล้ว หักแล้ว ผมอายุแปดสิบแล้ว ผมจะบอกพวกคุณให้นะ ที่ประตูของเรามีกล้องวงจรปิดอยู่ วันนี้ผมจะไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอย่างละเอียด
ส่วนอีกคนก็ร้องไห้เช่นกัน โอ๊ย ต้นขาของผมเจ็บมาก เจ็บมากเลย วันนี้ถ้าไม่ได้หนึ่งล้าน เรื่องนี้ไม่จบแน่ โอ๊ย…รังแกคนแก่
…
หวางเชียนและพวกตกตะลึงงัน
เล่นแบบนี้ได้ด้วยเหรอ?
พวกเขาเงยหน้าขึ้นและมองขึ้นไป เมื่อพบว่ามีกล้องวงจรปิดอยู่จริง สีหน้าของพวกเขาก็ขรึมลงทันที ประเด็นสำคัญคือถ้าพวกเขากล้าตีก็กล้ารับ แต่ว่า พวกเขาแค่กระแทกนิดหน่อยเท่านั้น
โดยเฉพาะคนที่บอกว่าขาเจ็บ พวกเขาไม่ได้แตะต้องขาของเขาเลย
นี่คือการแบล็กเมล์ แบล็กเมล์ชัดๆ!
หวางเชียนโกรธจนหน้าแดง สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วชี้ไปที่ชายชราสองคนด้วยมือข้างหนึ่ง
พออ้าปากก็บอกหนึ่งล้าน
โอ๊ย เจ็บมาก ไม่ไหวแล้ว ผมจะตายแล้ว ผมตายแล้ว พวกคุณทุกคนเป็นฆาตกร เป็นฆาตกร พวกคุณต้องชดใช้ชีวิตผม
ชายชราคนหนึ่งลงไปเกลือกกลิ้งกับพื้น
ชายชราอีกคนกุมต้นขาแล้วร้องไห้คร่ำครวญออกมา พวกคุณมันขยะสังคม ทำร้ายคนแก่ยังไม่ยอมรับผิด ผมจะปล่อยคลิปกล้องวงจรปิดออกไป เพื่อทำลายชื่อเสียงของพวกคุณ
หวางเชียนโกรธจนตัวสั่น มองดูทั้งสองคนนี้ สุดท้ายก็พูดออกมาเพียงสองคำ หน้าด้าน!
คำพูดนี้ชอบธรรมและน่าเกรงขาม แต่เมื่อฟังดูดีๆ ก็จะฟังออกถึงการคุกคามของเจียงจื่อจิ้น
คุณเพิ่งได้รับความลำบากมา ใช่ไหม
ถ้าอย่างนั้นคุณควรเชื่อฟังผม ถ้าไม่เชื่อฟังผม ผมอาจจะปล่อยให้คุณลำบากต่อไป การกลิ้งก่อนหน้านี้ อาจจะต้องทำอีกสามสิบครั้งหรือไม่ก็ร้อยครั้ง จนกระทั่งคุณยอมละทิ้งโอกาสนี้ไปเอง
แต่ว่า อาของเขามีตำแหน่งใหญ่พอ แค่พูดคำเดียวก็สามารถทำให้ทีมงานคนอื่นๆ ปฏิเสธอิ่นหนิงหยู่ได้ นั่นก็คือการถูกแบน
ส่วนอิ่นหนิงหยู่ ก็จะไม่มีวันได้มีชื่อเสียงตลอดไป
ในฐานะนักศึกษาภาควิชาการแสดง แต่ไม่สามารถแสดง รวมถึงเข้าร่วมทีมละครได้ การเรียนตลอดหลายปีที่ผ่านมาของเธอนั้นก็ไร้ประโยชน์ แล้วยังความฝันที่จะโด่งดังมีชื่อเสียงนั่นอีก
นี่คือการคุกคามจากเจียงจื่อจิ้น
มันเป็นกฎของวงการบันเทิง ถ้าไม่ยอมเชื่อฟังก็ออกไปจากวงการ
ส่วนเจียงหยุน เขานั่งจิบชาบนเก้าอี้ มองดูต้นขาขาวของอิ่นหนิงหยู่อย่างอิ่มอกอิ่มใจ รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เด็กหญิงที่ถูกหลานชายของเขาทำลายให้เสียหาย ไม่ถึงร้อยคน แต่ก็หลายสิบคนแล้ว
แต่ละคนเลิศเลอทั้งนั้น
นอกจากนี้เจียงจื่อจิ้นยังเป็นคนรู้จักคิด ผู้หญิงทุกคนพร้อมที่จะแบ่งปันกับเขา ซึ่งทำให้เขามีความสุขมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีดาราแถวหน้าคนหนึ่ง แต่พวกเขาก็ได้กอบโกยไว้
ดูภายนอกสวยเพียบพร้อมและสูงส่ง แต่ส่วนตัวก็ยังเป็นเหมือนทาสที่อยู่ในการครอบงำของพวกเขา
และต่อจากนี้ ทาสคนต่อไป ก็คืออิ่นหนิงหยู่
หายากนักที่จะได้พบกับหญิงสาวที่เลิศเลอเช่นนี้
และเขาไม่เชื่อว่าอิ่นหนิงหยู่จะยอมทิ้งโอกาสนี้ ยอมทิ้งความทุ่มเทอุตสาหะของเธอมาตลอดหลายปี ยอมทิ้งความฝันที่จะเป็นนักแสดง
วงการบันเทิงนั้นซับซ้อนมาก แต่ก็ยังมีผู้หญิงจำนวนมากที่เข้ามาด้วยความฝันที่จะมีชื่อเสียงโด่งดัง เข้ามาเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
สุดท้ายก็ต้องมาปรนนิบัติพวกเขา
หนิงหยู่ ทำอะไรอย่าดื้อรั้นนักเลย ต้องรู้จักลื่นไหลบ้าง พลิกแพลงบ้าง ไม่ใช่เหรอ? มาเถอะ หน้าคุณเหงื่อออกแล้ว ดื่มน้ำหน่อย
เจียงจื่อจิ้นหรี่ตาลง แล้วยื่นขวดน้ำแร่ให้
อิ่นหนิงหยู่ต้องประนีประนอมแล้ว
ผู้หญิงทั่วไปจะไม่ยอมละทิ้งโอกาสนี้ มันเป็นโอกาสที่จะได้มีชื่อเสียง
แต่ทว่า
โพละ
น้ำพุ่งกระเซ็นออกไป สาดลงบนตัวเจียงจื่อจิ้น จนกลายเป็นไก่ตกน้ำ
ฉันอิ่นหนิงหยู่ จะใช้ความสามารถที่แท้จริงในการเป็นนักแสดงที่ดี ไม่ต้องพึ่งพาการซื้อขายสกปรกกับพวกคุณ คำพูดของคุณ ทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง
อิ่นหนิงหยู่ยกมือขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
น่าขยะแขยงเหลือเกิน
มันสกปรกเกินไป
การเป็นดารา ควรอาศัยทักษะการแสดง ดึงดูดผู้ชมด้วยทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยม แทนที่จะถูกผลักดันด้วยการซื้อขายแบบนี้ ถ้ามันเป็นการซื้อขายที่สกปรก เธอยอมไม่มีชื่อเสียงดีกว่า
คุณกล้าดียังไง!
เจียงจื่อจิ้นเช็ดใบหน้าของตัวเอง ความอาฆาตแค้นปรากฏขึ้นบนใบหน้า ตั้งแต่เล็กจนโตไม่มีใครกล้าตีเขา แต่อิ่นหนิงหยู่ไม่เพียงตบเขา แต่ยังสาดน้ำใส่เขาด้วย
ไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น!!!
มีอะไรเหรอ สาดคุณนั่นแหละ ใครใช้ให้คุณข่มขู่ฉันล่ะ อีกอย่าง ฉันบอกคุณแล้วว่า อย่าหยาบคายกับฉัน พี่เขยของฉันอยู่ที่นี่ ระวังเขาจะตีคุณตาย
อิ่นหนิงหยู่พาฉินเฟิงออกไป
ฮ่า ไอ้ขี้ขลาดคนนี้น่ะเหรอ? วันนี้ผมจะหยาบคาย เขาจะทำอะไรได้? ตีผมสิ เก่งจริงก็มาตีผมเลย ผมอยู่นี่แล้ว
เจียงจื่อจิ้นกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย เขายื่นมือออกไปเพื่อคว้าตัวอิ่นหนิงหยู่
แต่ในขณะที่เขากำลังจะคว้าไว้
ที่ประตู เธอเอื้อมมือออกไปจับมือเขา จากนั้นก็ได้ยินคำพูดประโยคหนึ่งว่า ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน คำขอร้องแบบนี้ คุณชอบให้ผมทุบตีคุณเหรอ?
งั้นก็ดี ผมจะทำให้คุณพอใจ
กร๊อบ
ฝ่ามือหักตามเสียงนั้น เจียงจื่อจิ้นร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชในทันที แต่ว่า เรื่องนี้ยังไม่จบ ต่อมาฉินเฟิงก็ถีบเขากระเด็นออกไป
โครม
เจียงจื่อจิ้นกระแทกอย่างแรงกับพื้น
จากนั้นฉินเฟิงก็เดินเข้าไปเตะเขาอีกครั้ง โครม เจียงจื่อจิ้นกระแทกเข้ากับกำแพง เขากระอักเลือดออกมา สุดท้ายก็นอนลงจมกองเลือด
ขยะสังคม
ฉินเฟิงปรบมือ
เขาไม่ยั้งมือกับขยะสังคมเช่นนี้ แล้วยังกล้าข่มขู่น้องเมียของเขาอีก รนหาที่ตายจริงๆ
พี่เขย คุณสุดยอดมาก
อิ่นหนิงหยู่ที่อยู่ข้างๆ ประหลาดใจ พลางถามต่อว่า คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันอยู่ที่นี่? บังเอิญอะไรอย่างนี้?
บังเอิญผ่านมาน่ะ ฉินเฟิงพูด
ครั้งนี้เขาบังเอิญผ่านมาจริงๆ ห้องทำงานในชั้นนี้เป็นห้องทำงานสำหรับผู้กำกับโดยเฉพาะ หลังจากเขาได้พูดคุยธุระกับมู่หรงเจียงเสว่แล้ว มู่หรงเจียงเสว่ก็ออกมาส่งเขา
บังเอิญได้พบกับเรื่องนี้พอดี
จะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ได้ยังไง ชั้นนี้เป็นที่ของผู้กำกับ คุณคงเป็นห่วงฉันมาก เลยตามฉันมาโดยตลอด ไม่ต้องห่วง ฉันจะกลับไปขอร้องพี่สาวฉัน ให้คุณนอนเร็วสักวัน
อิ่นหนิงหยู่คิดผิดไปอีกครั้งแล้ว
อืม ใช่
ฉินเฟิงตอบกลับ
ไม่ตอบรับก็ไม่ได้ พูดความจริง ยัยคนนี้ก็ไม่เชื่อ
การเป็นคนซื่อสัตย์ มันยากเหลือเกิน
ในเวลานี้ มู่หรงเจียงเสว่เดินผ่านประตูเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา เธออยู่กับฉินเฟิง มาตลอด
ผู้กำกับมู่หรง
อิ่นหนิงหยู่กล่าวทักทาย
ผู้กำกับมู่หรง คุณดูเจ้าหมอนี่สิ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ทีมงานละครของเรา แต่กลับบุกเข้ามาในทีมงาน แถมยังทำร้ายคนอื่นอีก เรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาเลยดีกว่า ส่งเขาไปที่สถานีตำรวจ ต้องลงโทษอย่างรุนแรง คนแบบนี้เป็นขยะสังคม ปล่อยไว้มีแต่จะไปทำร้ายคนอื่นเท่านั้น สมควรถูกขังไว้มากกว่าสิบปี
พอเห็นมู่หรงเจียงเสว่ เจียงหยุนก็กระโดดออกมาทันที ทำท่าทางดูมีเหตุผล
เขาไม่รู้ว่ามู่หรงเจียงเสว่อยู่ข้างนอกตลอด แต่ถึงแม้เขาจะรู้มันก็ไม่สำคัญ เพราะเขาเป็นผู้ช่วยผู้กำกับของกองละครเรื่องนี้ มีตำแหน่งสูง เมื่อเทียบกับชายหนุ่มที่ดูธรรมดาทั่วไป
ใครสำคัญกว่า เขาเชื่อว่ามู่หรงเจียงเสว่สามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน
รปภ.
มู่หรงเจียงเสว่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรออกไป
ฮ่าฮ่า ไอ้หนู พวกเราเรียกรปภ.แล้ว คุณทำร้ายหลานชายผมรุนแรงมาก วันนี้พวกเราจะไม่ปล่อยคุณไป ต้องให้คุณนอนอยู่บนเตียงปีครึ่งเป็นอย่างน้อย
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงหยุน
ในเวลานี้ มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาห้าหกคน ทั้งหมดล้วนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี
มาแล้วเหรอ รีบจับกุมเจ้าหมอนี่เร็วเข้า เขามาก่อความวุ่นวายที่นี่
เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาถึงแล้ว เจียงหยุนก็ชี้ไปที่ฉินเฟิงทันที พลางยิ้มอย่างพึงพอใจ
แต่ทว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นกลับมองไปยังมู่หรงเจียงเสว่
ในสถานที่แห่งนี้ มู่หรงเจียงเสว่ต่างหากที่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง
จับเขาไว้
มู่หรงเจียงเสว่ ชี้ไปที่เจียงหยุน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ครับ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านั้นเดินเข้าไปทันที ใบหน้าอันภาคภูมิใจของ เจียงหยุนค้างเติ่งอย่างฉับพลัน เพราะเขาพบว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้มาเพื่อจับตัวเขา
มู่หรงเจียงเสว่ คุณจับผิดคนแล้วล่ะมั้ง มาจับผมทำไม
ไม่ได้จับผิดคน ฉันจะจับขยะสังคมอย่างคุณ
คุณคิดจะทำอะไรน่ะ!
อิ่นหนิงหยู่ถอยหลังออกไปสองก้าวด้วยความตื่นตระหนก
คิดจะทำอะไร เรื่องนี้ คุณมองไม่ออกเหรอ?
เจียงจื่อจิ้นโมโห เขาเดินเข้าไปใกล้อีกสองก้าว แล้วพูดด้วยรอยยิ้มที่ดุร้าย ผมจะบอกคุณให้นะ ห้องทำงานนี้มันกันเสียงดีมาก ไม่มีใครมาหรอก ยัยกะหรี่อย่างคุณ กล้าดียังไงมา…
ทันทีที่เสียงเงียบลง
ปัง
ประตูถูกถีบเปิดออก
กันเสียงงั้นๆ คุณภาพก็ธรรมดา
ฉินเฟิงเดินผ่านประตูเข้ามา
การกันเสียงนั้นดีมาก แต่สำหรับเขาแล้ว มันก็ไม่เท่าไหร่
พี่เขย
พอเห็นฉินเฟิง อิ่นหนิงหยู่ก็วิ่งไปหาแล้วซ่อนอยู่ข้างหลังฉินเฟิง ราวกับว่ามองเห็นฟางช่วยชีวิต
คุณนั่นเอง!
เจียงจื่อจิ้นมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาแปลกๆ
เขาเคยพบกับฉินเฟิงที่ร้านกาแฟแห่งนั้น เมื่อหลิวลานเมิ่งบอกว่าเขาเป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ก็ทำให้เขาสะดุ้งตกใจทันที แต่ตอนนี้พอเขาเห็นว่า
อิ่นหนิงหยู่เรียกฉินเฟิงว่าพี่เขย
เขาเคยตรวจสอบประวัติของอิ่นหนิงหยู่มาก่อน รู้ว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่เขยของเธอนั้นเป็นใคร เขาเป็นเพียงแค่เศษสวะ เป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น เป็นพวกขี้ขลาดเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงถูกหลอกในคราวที่แล้ว
การเอาลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น พวกเกาะเมียกิน มาเป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเป็นเรื่องตลกสิ้นดี
หลังจากนึกออก สีหน้าของเขาก็บึ้งตึงทันที
คุณมันก็แค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น พวกเกาะเมียกิน
เจียงจื่อจิ้นมองไปที่ฉินเฟิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็คลายความโกรธลง เขามาที่นี่เพื่อตามจีบอิ่นหนิงหยู่ ตอนนี้ไม่ควรมาทะเลาะกับฉินเฟิง
ไม่อยากให้มันกลายเป็นปัญหา
เจียงจื่อจิ้นเดินออกไปทันที แต่ตอนที่เขาเดินออกไป ได้พูดกับอิ่นหนิงหยู่ว่า ผมจะให้เวลาคุณคิดทบทวนให้ดี ว่าบทบาทนี้จะอยู่กับคุณได้อย่างมั่นคงหรือไม่
พูดจบก็เดินออกไป
ฮึ!
อิ่นหนิงหยู่จ้องมาที่เขา เมื่อเห็นวิกฤตคลี่คลายลงแล้ว เธอก็มองไปที่ฉินเฟิงอย่างทะนงตัว คนแซ่ฉิน คุณมาที่นี่ทำไม?
มีธุระนิดหน่อย
คุณเป็นแค่รปภ. จะมีธุระอะไร คุณมาหาฉันต่างหาก ใช่ไหม? มาหาฉันก็ไม่ต้องอายหรอก พูดมาตรงๆ เถอะ ฉันก็ไม่ได้จะเอาไปรายงานพี่สาวของฉันสักหน่อย อีกอย่างต่อให้ฉันเอาไปบอกเธอ เธอก็อาจจะชมเชยคุณก็ได้
อิ่นหนิงหยู่สะกิดฉินเฟิง
เธอคิดว่าฉินเฟิงนั้นมาหาเธอ แต่ก็อายเกินกว่าจะพูดออกมา จึงต้องใช้ธุระบางอย่างมาเป็นข้ออ้าง แต่ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย จะมีธุระอะไรได้
การโกหกนี้ ไม่ต้องชี้แจงแก้ไขก็ยุติเอง
…
ฉินเฟิงเอ่ย ก็ได้ ผมมาหาคุณ
ฉันบอกแล้ว เดาถูกอีกแล้ว
ความตื่นเต้นปรากฏขึ้นทั่วใบหน้าของอิ่นหนิงหยู่ แต่แล้วก็พูดต่อว่า เออใช่ อีกแป๊บหนึ่งจะมีอีกหนึ่งฉาก ถ่ายเสร็จแล้ว คุณต้องเลี้ยงข้าวฉัน
ผมไม่มีเงิน ฉินเฟิงบอก
ฉันไม่สน
พูดจบอิ่นหนิงหยู่ก็วิ่งออกไปอย่างตื่นเต้น
ไร้เหตุผล ไร้ยางอาย
ฉินเฟิงนั้นยกนิ้วให้อิ่นหนิงหยู่อยู่ในใจ จากนั้นก็ทิ้งเธอไว้แล้วขึ้นไปชั้นบนเพื่อตามหามู่หรงเจียงเสว่ วันนี้เพียงแค่ปรึกษาอะไรบางอย่าง
อย่างเช่นการทำความเข้าใจเรื่องรายละเอียดและบรรยากาศเป็นต้น
มันไม่ใช่การแต่งเพลงจริงๆ
ในเวลานี้ อิ่นหนิงหยู่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าและกำลังลองแสดงฉากกลิ้ง
เตรียมพร้อม แอ๊คชั่น
ป้ายสเลทถูกนำออกไป เพื่อบอกว่าการถ่ายทำได้เริ่มขึ้นแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ดีดตัวขึ้น กลิ้งลงไปตามทางลาดแล้วกรีดร้องโหยหวน นี่คือบทบาทของเธอ หลังจากกลิ้งลงมาแล้ว เธอรู้สึกว่าตัวเองทำได้ดี
อย่างไรก็ตาม ผู้ช่วยผู้กำกับที่อยู่ข้างๆ ได้โบกมือ เล่นอะไรน่ะ เอาใหม่
ค่ะ
ทีมงานละครเริ่มเตรียมการอีกครั้ง
เอาวะ
อิ่นหนิงหยู่ไม่ปริปากบ่น ถึงอย่างไรการแสดงก็ต้องเล่นซ้ำๆ แต่หลังจากกลิ้งไปรอบหนึ่ง ร่างกายก็เจ็บมาก เธอปัดร่างกายตัวเองแล้วทำอีกครั้ง
บนทางลาดชัน
ดีดตัวขึ้น
กลิ้งลงไป
นอกจากเสียงกรีดร้องก็ไม่มีบทพูดใดๆ ไม่มีมุมมองด้านหน้า เป็นคลิปวิดีโอที่เรียบง่ายมากๆ แค่รอบเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้ทดสอบทักษะการแสดงอะไรเลย
แต่หลังจากกลิ้งเสร็จแล้ว ผู้ช่วยผู้กำกับก็โบกมือ เล่นบ้าอะไร เอาใหม่
ค่ะ
อิ่นหนิงหยู่ปัดร่างกายตัวเองอีกครั้ง การถ่ายทำมันก็ง่ายที่จะพบเจอปัญหาเหล่านี้อยู่แล้ว
แต่ทว่า
จากนั้นเธอก็กลิ้งไปแปดเก้ารอบ
เมื่อครั้งที่สิบมาถึง ทีมงานรอบๆ ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ บทละครธรรมดาๆ เช่นนี้แค่รอบเดียวก็ใช้ได้แล้ว แต่ทำไมผู้ช่วยผู้กำกับถึงให้ทำตั้งหลายครั้ง
พวกเขาแอบมองไปทางผู้ช่วยผู้กำกับ ชายวัยกลางคน พุงพลุ้ย สวมหมวก และมีหนวดเคราสองข้าง ตอนนี้สีหน้าไม่ดีนัก
ดูเหมือนว่า กำลังพุ่งเป้าไปที่อิ่นหนิงหยู่
คุณเล่นละครเป็นไหม เล่นมาสิบรอบแล้ว แต่ปัญหาก็ยังมากอยู่ เอาใหม่ เอาใหม่!
ผู้ช่วยผู้กำกับพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
ทีมงานละครเริ่มใหม่อีกครั้ง
อิ่นหนิงหยู่กัดฟันกรอด เพราะกลิ้งไปมากกว่าสิบรอบแล้ว เนื้อตัวของเธอบางส่วนกลายเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวอันเนื่องมาจากถนนหนทางอันขรุขระ เธอกดเสียงต่ำถามทันที ไม่ทราบว่า ผู้กำกับคะ ฉันมีปัญหาตรงไหนหรือเปล่า?
เธออยากรู้ว่า ไม่ได้ถ่ายให้เห็นหน้า ไม่ต้องแสดงละคร เพียงแค่กลิ้งลงไป มันเกิดปัญหาที่ตรงไหน
ทำไมล่ะ นี่คุณกำลังโต้แย้งผมอยู่เหรอ? ฟังให้ดี ผมต่างหากที่เป็นผู้กำกับ ถ้าคุณยังอยากอยู่ที่นี่ต่อไป คุณต้องฟังผม
ผู้ช่วยผู้กำกับแผดเสียงลั่น
คนอื่นๆ ล้วนก้มหน้าลง ไม่กล้าออกหน้าเพื่ออิ่นหนิงหยู่
ค่ะ
อิ่นหนิงหยู่ข่มความโกรธไว้ในใจ เธอแค่อยากรู้ว่าตัวเองมีปัญหาตรงไหน ถ้ามีอะไรผิดพลาดก็จะได้แก้ไข แต่ตอนนี้เธอถูกตอกกลับมา
ถ้ายังต้องการจะอยู่ที่นี่ ก็ต้องกลิ้งต่อไป ต้องเชื่อฟังเขา
ไม่ฟังก็ไม่ได้
อิ่นหนิงหยู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแสดงต่อไป
สิบนาทีต่อมา เป็นรอบที่สามสิบ มีรอยบาดแผลบนร่างกายของอิ่นหนิงหยู่อย่างชัดเจน ในเวลานี้ผู้ช่วยผู้กำกับก็โบกมือ ทำบ้าอะไรน่ะ ฉากนี้ไม่ได้ มาที่ห้องทำงานผม เดี๋ยวผมสอนให้ ตอนนี้ไปพักก่อน
ผู้ช่วยผู้กำกับส่งสัญญาณมือ คนอื่นๆ นั่งลงพัก
จากนั้น เขาก็ลุกขึ้นเดินออกไป
อิ่นหนิงหยู่ไม่มีทางเลือก จำต้องตามเขาเข้าไปในห้องทำงานของผู้ช่วยผู้กำกับ แต่ทันใดนั้นเธอก็พบว่ามีอีกคนอยู่ในห้องทำงานนี้
หนิงหยู่ เป็นไงบ้าง เหนื่อยแล้วล่ะสิ
เป็นเจียงจื่อจิ้นจริงๆ
นอกจากนี้เจียงจื่อจิ้นยังหยิบขวดน้ำออกมา แล้วยื่นให้อิ่นหนิงหยู่ด้วยใบหน้าที่แจ่มใส
พวกคุณสองคนสมรู้ร่วมคิดกัน คุณให้เขามาทำให้ฉันลำบากตลอดเลยใช่ไหม?
อิ่นหนิงหยู่กวาดสายตามองเจียงจื่อจิ้นและผู้ช่วยผู้กำกับ จากนั้นเธอจึงนึกออกว่า ก่อนหน้านี้เจียงจื่อจิ้นบอกกับเธอว่า เขามีอาซึ่งเป็นผู้ช่วยผู้กำกับกองละครเรื่องนี้
เธอร้อนรุ่มด้วยความโกรธในทันที
ขอแนะนำหน่อย นี่คืออาของผม เจียงหยุน เป็นผู้ช่วยผู้กำกับกองละคร Moods of Love เมื่อครู่นี้อาของผมต้องการฝึกฝนคุณอย่างหนัก ถ้าคุณไม่ชอบ ผมก็จะบอกให้เขาเลิกทำแบบนี้
ภายใต้แสงไฟสลัว ความชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเจียงจื่อจิ้น
เกิดอะไรขึ้น?
ต่อมา อิ่นเสี้ยงสวี่ก็มาที่คฤหาสน์และพบอิ่นป่ายในห้องนั่งเล่น
ขอทานพวกนี้กำลังขวางประตูบ้านฉันอยู่ ไล่เท่าไรก็ไม่ไป แถมยังสาดสิ่งสกปรกไปทุกที่ แม่งเอ๊ย ฉันหาตัวหัวหน้านั่นไม่เจอ
สีหน้าของอิ่นป่ายดำมืดราวกับน้ำหมึก
จะเห็นได้ว่าโกรธมากจริงๆ
ประเด็นสำคัญคือเขาไม่สามารถจัดการได้อย่างโจ่งแจ้ง ท้ายที่สุดหากถูกสาวออกมาว่าเขาเป็นคนบงการให้ขอทานเหล่านั้นไปก่อความวุ่นวายในสถานที่ก่อสร้างของอิ่นซิน เขาจะถูกคนอื่นเยาะเย้ยอย่างถึงที่สุด
เขาจำเป็นต้องทำเงียบเป็นใบ้เช่นนี้
พวกเขาต้องไปจัดการอิ่นซินให้นายไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงวิ่งกลับมาล่ะ อิ่นเสี้ยงสวี่ถามขึ้นมาอีก
ฉันก็ไม่รู้ ฉันอยากถามหัวหน้าคนนั้นให้รู้เรื่อง แต่หาเขาไม่เจอเลย แม้ว่าฉันจะบอกพวกเขาว่าจะเพิ่มเงิน ก็ไม่ได้ผล
อิ่นป่ายทุบโต๊ะด้วยความกลัดกลุ้มใจ
เขาตัดสินใจที่จะเพิ่มเงิน แต่คนเหล่านั้นยังคงไม่ตอบสนอง
ตอนนี้หัวหน้าคนนั้นได้หลบซ่อนตัวแล้ว เขาตัดสินใจแล้วว่า ต่อให้ฟ้าถล่มเขาก็จะไม่ออกมา ท้ายที่สุดเมื่อเทียบกับเงินแล้ว ชีวิตก็สำคัญกว่า
ฉินเฟิงหักนิ้วเขาไปสามนิ้วแล้ว
เขาไม่ต้องการให้นิ้วที่เหลือทั้งเจ็ดถูกหัก
ตีให้ตายก็ไม่สามารถออกมาได้
หลังจากที่ทั้งสองคนในห้องนั่งเล่นเงียบไปครู่หนึ่ง อิ่นเสี้ยงสวี่ก็พูดขึ้นมาว่า สงสัยอิ่นซินจะเล่นอะไรบางอย่าง
ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
อิ่นป่ายกัดฟันกรอด นึกไม่ถึงเลยว่าเธอจะสามารถจัดการกับขอทานพวกนั้นได้ ประเมินเธอต่ำไปจริงๆ
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทำได้แค่ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น
อิ่นเสี้ยงสวี่ถอนหายใจอีกครั้ง
อิ่นป่ายไม่ได้พูดอะไรสักคำ คฤหาสน์หลังนี้เป็นคฤหาสน์ที่ดี เขาซื้อมันมาด้วยเงินสามล้านในบัญชีของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ตอนนี้ต้องมาทิ้งไปแบบนี้
ช่างขี้ขลาด
ไม่อยากเลย
แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางเลือก อิ่นป่ายจำต้องเลือกไปจากที่นี่
ตกกลางคืน อิ่นป่ายได้ย้ายไปอาศัยอยู่ที่บ้านของอิ่นเสี้ยงสวี่ ซึ่งเป็นคฤหาสน์หลังหนึ่งเช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่านิดหน่อย อิ่นป่ายพูดด้วยสีหน้าดุร้าย ฉันจะไม่ปล่อยอิ่นซินไปง่ายๆ แบบนี้
นายยังมีวิธีอื่นอีกเหรอ? ตอนนี้อิ่นซินกำลังอยู่ในความสนใจ เราจำเป็นต้องเอาชนะเธอ มิฉะนั้นเมื่อบริษัทของเธอใหญ่ขึ้น ฝ่ายที่ขาดทุนจะเป็นพวกเราแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่นั่งบนโซฟา สีหน้ามีแววกังวล
ฮ่า ก็แค่เด็กตัวเล็กๆ ที่ชื่ออิ่นซินเท่านั้น ฉันยังมีทางอยู่ พี่สาว พี่ไม่รู้จักหัวหน้าหวางแห่งสำนักงานก่อสร้างเหรอ? พรุ่งนี้ฉันจะไปติดสินบนพนักงานของอิ่นซินสักคนหนึ่ง เพื่อให้เขาเอาวัสดุปลอมมาผสม จากนั้นพี่ก็ให้หัวหน้าหวางไปตรวจสอบที่นั่น แล้วจับกุมอิ่นซินขังไว้สิบกว่าวัน พอถึงตอนนั้น…
รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้าของอิ่นป่าย
ตกลง
อิ่นเสี้ยงสวี่ตอบตกลงแล้ว
เธอรู้ว่าน้องชายของเธอหมายถึงอะไร เขาอยากให้เธอไปนอนกับหัวหน้าหวาง แล้วเป่าหูเขา แต่เธอก็ไม่สนอะไรอีกแล้ว
เธอจะนอนกับใครก็ได้
ถึงอย่างไรหลี่ห้าวที่อยู่ในกองทัพก็ไม่รู้
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาวิธีทำลายชื่อเสียงของอิ่นซิน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เดิมทีการจัดการกับอิ่นซินนั้นง่ายดาย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายดายเสียแล้ว
ไม่มีแผนใดที่จะใช้ได้ผล
แปลกประหลาดมาก
แต่ครั้งนี้แตกต่างออกไป ด้วยการออกหน้าของเธอ จะต้องทำให้อิ่นซินเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่อย่างแน่นอน
…
ในเวลานี้ ฉินเฟิงกำลังเดินทางไปหามู่หรงเจียงเสว่ วันนี้เป็นวันที่เขากับมู่หรงเจียงเสว่นัดหมายกันแต่งเพลงที่ทางเหนือของเมือง อิ่นหนิงหยู่ก็อยู่ที่นั่นด้วย
กองละครอยู่ทางเหนือของเมือง
ฉินเฟิงมองไปที่ป้าย เมื่อยืนยันสถานที่แน่นอนแล้วก็เดินเข้ามาหา เขาพบผู้คนมากมายที่รายล้อมอยู่ล้วนเป็นพวกคนมามุงดู ถึงอย่างไรมู่หรงเจียงเสว่ก็มีชื่อเสียงมาก
แถมยังเป็นคนน่ารักมาก มีการศึกษาดี สง่างามและเฉลียวฉลาดในเวลาเดียวกัน
เมื่อเดินไปที่บันไดด้านข้าง เขาจำได้ว่าชั้นบนสุดคือห้องทำงานของผู้กำกับ มู่หรงเจียงเสว่น่าจะอยู่ที่นั่น แต่พอขึ้นไปเรื่อยๆ เขาก็หยุดลง
หยุดลงที่ประตูห้องทำงานห้องหนึ่ง
เพราะเขาได้ยินเสียงของอิ่นหนิงหยู่
ในห้องทำงาน
เจียงจื่อจิ้นสวมเสื้อเชิ้ต ดูเป็นคุณชายสะโอดสะอง รูปร่างผึ่งผาย หน้าตาหล่อเหลา มีแนวโน้มไปในทางไอดอลเด็กหนุ่ม ซึ่งเป็นอาวุธที่ดีในการจีบสาวของเขา
ขอเพียงสง่างาม มีระดับ ไม่ว่าผู้หญิงคนใดก็ไม่สามารถปฏิเสธใบหน้านี้ได้
ส่วนเขานั้นกำลังมองไปที่อิ่นหนิงหยู่ที่อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าอันสดใส เขาเป็นพระเอกของ Moods of Love ทันทีที่เขาเข้าไปในสถานที่ ก็สังเกตเห็นอิ่นหนิงหยู่แล้ว
อิ่นหนิงหยู่ต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ เธอมีนิสัยอ่อนโยนและมีความเฉลียวฉลาด
ใบหน้าสะสวย สวมกางเกงยีนขาสั้น ต้นขาขาวทำให้เขาน้ำลายสอ ที่สำคัญกว่านั้น จากประสบการณ์ที่เขาเคยผ่านผู้หญิงมาหลายคน อิ่นหนิงหยู่น่าจะยังเป็นสาวบริสุทธิ์
สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก สาวๆ สมัยนี้ยังมีใครบริสุทธิ์อยู่บ้าง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นอิ่นหนิงหยู่ เขาก็ตัดสินใจที่จะไล่จีบเธอ ทำให้ผู้หญิงคนนี้กลายเป็นของเล่นในมือเขา
หนิงหยู่ หลังเลิกงานแล้วไปดูหนังกันไหม?
เจียงจื่อจิ้นสีหน้าสดใส
เขาเป็นคนค่อนข้างหล่อเหลาอยู่แล้ว พอยิ้มเช่นนี้ ผู้หญิงหลายคนล้วนเคลิบเคลิ้มหลงใหล
แต่อิ่นหนิงหยู่นั้นส่ายหน้า ขอโทษค่ะ เลิกงานฉันยังมีธุระอีก ว่าแต่ว่า พี่เจียง มีธุระอะไรกับฉันหรือเปล่าคะ?
ใช่แล้ว
พวกเขาสองคนมาจากโรงเรียนเดียวกัน คณะการแสดง มหาวิทยาลัยเจียงเฉิง นั่นคือเหตุผลที่เธอเรียกเขาว่าพี่ แต่เธอมักจะมีความรู้สึกแปลกๆ กับใบหน้าอันสดใสของรุ่นพี่ที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้อยู่เสมอ
แบบนี้ไม่ดีหรอก อิ่นหนิงหยู่ พวกเรามาจากโรงเรียนเดียวกัน ผมในฐานะรุ่นพี่และพระเอกของละครเรื่องนี้ ผมต้องดูแลคุณให้ดี แต่ผมจะดูแลคุณได้ยังไงถ้าเราไม่ทำความรู้จักกันสักหน่อย จริงไหม?
เจียงจื่อจิ้นลุกขึ้นยืนจากที่นั่งของตัวเอง
คำพูดของเขาอ่อนโยน แต่มีความคุกคามแฝงไว้ เป็นการบอกคุณว่า ถ้าอยากให้ให้ผมดูแลคุณ ก็ต้องทำความรู้จักกันสักหน่อย
โดยทั่วไปแล้ว ทำความรู้จักกันไปมาก็ถึงขั้นขึ้นเตียง
มิฉะนั้น ไม่เพียงแต่ไม่สามารถดูแลได้ แต่ยังอาจจะกลั่นแกล้งด้วย
รุ่นน้อง คุณต้องคิดให้ดีๆ ผมเป็นพระเอกของกองละครเรื่องนี้ มีอำนาจใหญ่โต นอกจากนี้ผู้ช่วยผู้กำกับเจียงหยุนก็คืออาแท้ๆ ของผม ถ้าผมไม่พอใจ ตำแหน่งของคุณก็จะ…
เจียงจื่อจิ้นส่ายหัวด้วยแววตาที่แฝงความภาคภูมิใจเอาไว้
ที่ผ่านมาผู้หญิงที่ดื้อดึงพอได้ยินแบบนี้ก็ต้องยอมทุกราย นี่คือกฎเกณฑ์ที่แอบแฝงอยู่ในวงการบันเทิง มิฉะนั้น บทบาทที่ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้มาจะหายวับไปในทันที
ไม่มีใครสามารถยอมรับได้
ไม่ต้องพูดถึงพวกนักเรียนรุ่นน้องที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการใหม่ๆ อย่างอิ่นหนิงหยู่ ยิ่งไม่สามารถต้านทานการยั่วยวนของการสร้างชื่อเสียงได้
รุ่นน้อง เรามาผูกมิตรกันหน่อยเถอะ
เจียงจื่อจิ้นเข้าใกล้อิ่นหนิงหยู่ พลางยื่นมือออกมาเพื่อจะจับมือเธอ เข้ายึดพื้นที่ทีละก้าว จนสุดท้ายกลายเป็นของเล่นอยู่ในกำมือ
แต่ทว่า
ผัวะ
อิ่นหนิงหยู่เอาฝ่ามือฟาดลงบนใบหน้าของเจียงจื่อจิ้น ปรากฏเป็นรอยฝ่ามือแดงภายในเวลาอันสั้น
ไอ้เวร! เรื่องแบบนี้ฉันไม่ทำหรอก
อิ่นหนิงหยู่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ทำแก้มป่อง
เธอก็มีศักดิ์ศรีเช่นกัน
คุณกล้ามากนะ ที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพราะอยากได้คุณ
เจียงจื่อจิ้นเอามือกุมรอยฝ่ามือ ใบหน้าฉายความดุร้ายออกมาภายในช่วงเวลาอันสั้น เขาโตมาจนป่านนี้ยังไม่เคยถูกใครตบมาก่อน ไม่เคยเลย
วันนี้ยัยกะหรี่นั่นกล้าดีอย่างไร?
มา ชนแก้ว ขอให้ภารกิจของพวกเราครั้งนี้ประสบความสำเร็จ
กริ๊ง
อิ่นป่ายและอิ่นเสี้ยงสวี่ชนแก้วกัน หลังจากชนแก้ว อิ่นเสี้ยงสวี่ก็เดินกลับไป คฤหาสน์หลังนี้อิ่นป่ายใช้เงินจากบัญชีบริษัทซื้อมาตามลำพัง มันเป็นคฤหาสน์ส่วนตัวของเขา
อิ่นเสี้ยงสวี่ไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่
หลังจากที่อิ่นเสี้ยงสวี่เดินจากไป หญิงในชุดคลุมอาบน้ำก็เดินลงมาจากชั้นบน เธอพูดอย่างงดงามและมีเสน่ห์ คุณชายอิ่น ทำไมคุณไม่ขึ้นมาล่ะ?
นี่คือสาวสวยที่เขาเรียกมาหา
มาแล้ว
เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ ไฟแห่งความปรารถนาก็ส่องประกายผ่านดวงตาของอิ่นป่าย แล้วขึ้นไปชั้นบนกับเธอ หลังจากผ่านศึกใหญ่อย่างถึงอกถึงใจไปชั่วครู่ หญิงคนนั้นก็พูดว่า คุณชายอิ่น คุณได้ยินอะไรข้างนอกไหม เหมือนมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง?
ความเคลื่อนไหว? อาจจะเป็นแมวหรือสุนัขป่าล่ะมั้ง
อิ่นป่ายไม่สนใจเรื่องพวกนี้
เพราะหลังจากทำไปแล้วรอบหนึ่ง ก็หมดแรงและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน
จนกระทั่งวันถัดมา หลังจากอิ่นป่ายตื่นขึ้นมา เขาก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังมีเรื่องต้องทำอีก พลันบิดขี้เกียจ หาว และเปิดผ้าม่าน
แต่ทันทีที่เปิดออกมา เขาก็ถึงกับอึ้งไป
บัดซบ!
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นป่ายเบิกตาโพลง เขามองไปรอบๆ เห็นกลุ่มขอทานนอนกระจัดกระจายอยู่หน้าลานบ้านของเขา แถมยังส่งกลิ่นเหม็นตุออกมา
อิ่นป่ายใส่เสื้อผ้าทันทีแล้วเดินลงไปข้างล่าง แต่พอเขาเปิดประตูออก ก็หน้าเขียวทันที
เพราะมีอุจจาระกองหนึ่งอยู่ที่ประตูคฤหาสน์
เขาแทบจะขาดอากาศหายใจด้วยกลิ่นเหม็น
กลับมาทำไม? พวกคุณมาบ้านผมได้ยังไง พวกคุณควรจะอยู่ในสถานที่ก่อสร้างไม่ใช่เหรอ?
อิ่นป่ายแผดเสียงคำรามใส่คนเหล่านั้น
เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนแทบจะระเบิดออกมา
เมื่อเห็นภาพนี้ในตอนเช้าตรู่ ก็พอจะจินตนาการได้ถึงความรู้สึกของเขา
…
อย่างไรก็ตาม ความเงียบสงัดได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
ออกมาสิ มาคุยกัน
อิ่นป่ายกัดฟัน พลางกวาดสายตามองดูคนเหล่านี้
แต่มันกลับเงียบสงบราวกับทุกคนกำลังหลับใหลอยู่
บัดซบ! เจ้าหัวหน้านั่นอยู่ที่ไหน? รีบออกมาเดี๋ยวนี้ อิ่นป่ายตะโกนดังลั่น
…
แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีกครั้ง
ดวงตาทั้งสองของอิ่นป่ายกวาดผ่านฝูงชน เขาต้องการมองหาหัวหน้าคนนั้น แต่หลังจากกวาดมองไปสองรอบ เขาก็พบว่าหัวหน้าไม่อยู่ในนี้
เขาโมโหในทันที
เขาไม่รู้ว่า ความจริงหัวหน้าคนนั้นได้ไปหลบซ่อนตัวแล้ว นี่คือการจัดการของฉินเฟิง ให้เงินหนึ่งแสนแก่เขา เพื่อให้เขาไปแก้แค้นคนที่คิดแผนการนั้น
นั่นก็คืออิ่นป่าย
ถ้าคุณใช้แผนเจ้าเล่ห์ ผมก็จะแผนหนามยอกเอาหนามบ่ง
แม่งเอ๊ย
อิ่นป่ายเช็ดหน้าเช็ดตา แล้วหยิบมือถือออกมาทันทีเพื่อโทรแจ้งตำรวจ ในไม่ช้าตำรวจก็มาเอาตัวขอทานเหล่านั้นออกไป แต่เขาคิดไม่ถึงว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมาคนเหล่านี้จะกลับมาอีกครั้ง
เขาโทรไปถามถึงสถานการณ์
และได้คำตอบเช่นเดียวกับอิ่นซิน
การศึกษาเป็นสิ่งสำคัญ
เขารู้สึกสิ้นหวังในทันที
…
ในวันนี้ อิ่นซินได้รีบรุดมาถึงสถานที่ก่อสร้าง เมื่อคืนเธอครุ่นคิดแผนรับมือเอาไว้หลายอย่าง ตัดสินใจมาลองใช้ในวันนี้ แต่เมื่อเธอมาถึงสถานที่ก่อสร้าง เธอก็ถึงกับมึนงง
ไปไหนกันหมด?
แล้วกลุ่มขอทานที่คอยรังควาน ไล่อย่างไรก็ไม่ไปเมื่อคืนนี้ล่ะ?
จู่ๆ ก็ว่างเปล่า
ในสถานที่ก่อสร้างนี้ ไม่มีขอทานอยู่เลยสักคน
นอกจากนี้ ขยะและสิ่งสกปรกเหล่านั้นก็หายไปด้วย ราวกับว่าถูกคนเก็บกวาดจนสะอาดแล้ว
บอส ฉันถามคนที่อยู่บริเวณนี้แล้ว พวกเขากลับไปตั้งแต่เมื่อคืน
อ้ายเสี่ยวซีก็เดินเข้ามาหาเช่นกัน
เธอยังมีสีหน้าสับสน ครุ่นคิดแผนรับมือมาทั้งคืน แต่ตอนนี้กลับพบว่ามันไม่มีประโยชน์
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นซินไม่สามารถเข้าใจได้
แต่ในขณะนี้ ได้มีโทรศัพท์เข้ามาหาอิ่นซิน อิ่นซินหยิบขึ้นมาดูและพบว่ามาจาก หลิวลานเมิ่ง ฮัลโหล ลานเมิ่ง
เสี่ยวซิน ฉันจะเล่าให้คุณฟังเรื่องหนึ่ง มันตลกมาก คุณรู้จักอิ่นป่ายใช่ไหม เขามีคฤหาสน์อยู่ข้างนอกหลังหนึ่ง แต่เมื่อเช้านี้ได้ถูกปิดล้อมโดยกลุ่มขอทาน ใช่แล้ว คุณไม่ได้ฟังผิด ขอทาน จากนั้นตำรวจก็มา แต่คุณลองเดาสิ ต่อมาขอทานก็กลับมาอีก ฮ่าฮ่า นี่คือเรื่องที่ทำให้ฉันมีความสุข
ตอนนี้ มันได้แพร่กระจายไปทั่วทุกแห่งในเมืองเจียงเฉิงแล้ว อิ่นป่ายคนนี้จะต้องถูกคนหัวเราะเยาะ ทำอะไรไม่ทำ ดันไปยั่วยุขอทาน จนมีขอทานมาออกันเต็มหน้าบ้าน คาดว่าอิ่นป่ายคงจะขายหน้าอย่างหนัก
เสียงหัวเราะของหลิวลานเมิ่งดังออกมาจากโทรศัพท์
เธอยืนอยู่ข้างอิ่นซิน ดังนั้นเธอจึงย่อมรู้ว่าอิ่นป่ายเป็นคู่ต่อสู้ของอิ่นซิน ดังนั้นเมื่อมีอะไรเกิดขึ้นกับอิ่นป่าย หลิวลานเมิ่งก็รู้สึกมีความสุขกับความโชคร้ายของเขา
เพียงแต่ว่า ในหัวสมองของอิ่นซินก็มีแต่ความว่างเปล่า
ขอทานวิ่งไปหาอิ่นป่ายแล้วเหรอ?
เขาพอจะเดาได้ว่าขอทานเหล่านั้นเป็นการวางแผนของอิ่นป่าย แต่ทำไมถึงได้วิ่งหนีกลับไปแล้ว
มีสองคำตอบ
ข้อหนึ่งคือขอทานเหล่านั้นอิ่นป่ายเป็นคนจัดหามา และด้วยเหตุผลบางอย่างที่ทำให้เกิดความไม่พอใจ ดังนั้นพวกเขาจึงวิ่งกลับมาภายในเวลาอันสั้น
ข้อที่สอง มีคนกำลังช่วยเหลือเธออยู่
อิ่นซินชอบข้อที่สอง มีคนกำลังช่วยเหลือเธออยู่ แต่ว่าใครกันนะที่กำลังช่วยเธอ
เมื่อคืนวาน? เมื่อคืนวาน คือใครกัน?
อิ่นซินคิดไปคิดมา ทันใดนั้นก็คิดออกเรื่องหนึ่ง นั่นคือเรื่องที่ฉินเฟิงออกไปซื้อบุหรี่เมื่อคืน เขาใช้เวลาไปครึ่งชั่วโมงพอดี มันไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น
แค่ซื้อบุหรี่เท่านั้น
ไม่น่าจะไปตั้งครึ่งชั่วโมง
เวลาเหมาะเจาะพอดี
มีปัญหาบางอย่าง
ต้องมีปัญหาบางอย่างแน่นอน
หลังจากกลับถึงบ้าน อิ่นซินก็ลากฉินเฟิงเข้าไปในห้องทันที แล้วมองพิจารณาฉินเฟิงด้วยแววตาสงสัย จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป ขอบุหรี่ที่คุณสูบเมื่อวานหน่อย
เธอสงสัยว่าฉินเฟิงเป็นคนทำ
อ่ะ
ฉินเฟิงหยิบซองบุหรี่ออกมาจากตัว
บุหรี่นี่…
อิ่นซินไม่ค่อยรู้เรื่องบุหรี่เท่าใดนัก แต่เธอรู้ว่าหลังจากไปแล้วครึ่งชั่วโมง ต้องมีปัญหาบางอย่างแน่ เธอถามขึ้นมาทันทีว่า เมื่อคืนคุณไปไหนมา?
ไปซื้อบุหรี่ไง
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง พูดอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อวานเขาไปซื้อบุหรี่จริงๆ การจัดการขอทานเหล่านั้น มันเป็นเรื่องบังเอิญ
ซื้อบุหรี่ ทำไมคุณถึงไปตั้งครึ่งชั่วโมง?
อิ่นซินถามคำถามชี้นำเพื่อตัดสิน
ร้านบุหรี่อยู่ไม่ไกล ทำไมต้องไปตั้งครึ่งชั่วโมง
มันไม่ควรจะเป็นเช่นนี้
บุหรี่แบบนี้ไม่มีขายแถวนี้ ผมนั่งรถประจำทางไปซื้อบนถนนอีกเส้นหนึ่ง ก็เลยเสียเวลาไปหน่อย เรื่องนี้คุณลองไปถามดูก็ได้
บุหรี่แบบนี้ ต้องไปซื้อไกลๆ จริงๆ
สูบไปห้ามวน
อิ่นซินเปิดกล่องบุหรี่และพบว่าบุหรี่หายไปห้ามวน ถ้าอย่างนั้นคำอธิบายของฉินเฟิงก็ถูกต้อง ไปซื้อบุหรี่ไกลไปหน่อย ส่วนเรื่องเวลามันน่าจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น
ไม่มีอะไรแล้ว
หลังจากปล่อยให้ฉินเฟิงไป อิ่นซินก็เคาะหัวตัวเอง คิดเหลวไหลอะไรทั้งวันทั้งคืนนะ? ให้ตายสิ สงสัยเขาอยู่ทั้งวันทั้งคืน
อิ่นซินรู้สึกว่าตัวเองมีอาการทางจิตบางอย่าง เธอรู้สึกหลายครั้งว่าฉินเฟิงเป็นคนทำ
แต่ว่าไม่มีหลักฐาน
นอกจากนี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่ฉินเฟิงจะเป็นคนทำ
ดังนั้นต้องป่วยแน่ๆ หรือไม่ก็ต้องการการปกป้องมากเกินไป
เมื่อฉินเฟิงเดินออกจากประตูไป เขาก็ถอนหายใจ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ภรรยาสุดที่รัก รออีกหน่อย แล้วผมจะบอกคุณว่า สามีของคุณเป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้า
อย่างน้อย เขาต้องจัดการเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนให้ได้ก่อน
ในอดีต ฉินเฟิงก็เคยเป็นขอทานเช่นกัน แต่เขาก็ไม่ถึงขึ้นแย่ขนาดนั้น ตรงกันข้ามเขาขอทานเป็นอาชีพ แล้วยังทำงานอย่างหนัก อาศัยการเก็บขวด เก็บเศษผ้า หาเงินจำนวนหนึ่งมาเลี้ยงตัวเอง
ส่วนเสื้อผ้ามีเพียงสองชุด ชุดหนึ่งเป็นของตัวเอง อีกชุดหนึ่งเก็บมา เขาสวมมันมาหลายปีแล้ว แม้ว่ามันจะขาดรุ่งริ่ง แต่อย่างน้อยมันก็สะอาดมาก
ส่วนพวกขอทานเหล่านี้ เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยเป็นเวลาหลายร้อยวัน แถมยังไม่เคยอาบน้ำอีกด้วย พวกเขาหิวโหย หน้าตาเหลืองซูบ ผอมแห้ง นอนอยู่บนพื้น เหม่อมองไปบนฟ้าอย่างว่างเปล่า
เหมือนซากศพที่เดินได้
ฉินเฟิงไม่ได้ตั้งใจจะช่วยพวกเขา ด้านหนึ่งเขาไม่ได้มีเวลาว่างมากนัก อีกด้านหนึ่ง คนเหล่านี้ยอมแพ้ตัวเองแล้ว มีมือมีเท้า อายุก็โตพอแล้ว ต่อให้ต้องไปแบกอิฐก็ไม่อดตายหรอก
คนเหล่านี้ ไม่สมควรได้รับความเห็นใจ
ในเวลานี้ ฉินเฟิงทุ่มชายที่เป็นหัวหน้าลงไปที่พื้นด้วยมือเดียว เดิมทีเขาก็เวียนหัวเพราะสองหมัดนั้นของฉินเฟิงอยู่แล้ว และเขาก็ต้องร้องโหยหวนออกมาอีกครั้งเมื่อร่วงลงมาเช่นนี้
หยุดร้องได้แล้ว ใครใช้ให้พวกคุณมาที่นี่?
ฉินเฟิงหยิบบุหรี่ออกมาม้วนหนึ่ง แล้วเริ่มสูบ
เปลวไฟเล็กน้อยมองเห็นได้ชัดเจนในค่ำคืนอันมืดมิด แต่ตอนนี้ขอทานเหล่านั้นไม่กล้าเข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ถ้าไม่มีหัวหน้า พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไร
นี่คือประสบการณ์ที่ฉินเฟิงสั่งสมมาตอนที่เป็นขอทานในตอนนั้น
สาเหตุที่วันนี้อิ่นซินใช้มาตรการนี้ รวมถึงใช้เงินหนึ่งหมื่นมาล่อ ไม่ยอมปล่อยใครไปสักคน ก็เพราะว่าหัวหน้าไม่เห็นด้วย
เมื่อมีคนมารับเงินไป ผลที่ตามมาก็คือ คนคนนี้จะถูกตีตายทั้งเป็นถ้าเขายังต้องการอยู่ในเมืองเจียงเฉิง นี่คือกฎของขอทาน
ดังนั้นวิธีการของอิ่นซินจึงผิด เธอควรพุ่งเป้าไปที่หัวหน้าคนนี้
ไม่มีใครใช้ให้พวกเรามา พวกเรามาที่นี่เอง
หัวหน้ากัดฟัน ไม่ง่ายเลยกว่าจะหยุดร้องโหยหวนลงได้ ในที่สุดก็หอบหายใจพูดขึ้น
เพียงแต่ว่า
ในวินาทีถัดมา
ฉินเฟิงใช้เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปที่นิ้วมือของเขา แถมยังออกแรงอีกด้วย สิบนิ้วเชื่อมต่อสู่หัวใจ หัวหน้าคนนั้นร้องโหยหวนขึ้นมาอีกครั้ง โอ๊ย…ผมบอก…ผมบอกแล้ว…
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นขอทาน แค่ความเจ็บปวดนิดเดียวก็ทนไม่ได้แล้ว
เพียงแต่ว่า ดูเหมือนฉินเฟิงจะไม่ได้ยินที่เขาพูด เขาสูบบุหรี่ ยกเท้าขึ้นมา แล้วเหยียบลงไปที่อีกนิ้วหนึ่ง เสียงร้อยโหยหวนดังขึ้นมาทันที
โอ๊ย!
สีหน้าของหัวหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากความเจ็บปวด เต็มไปด้วยเหงื่ออันเย็นเฉียบ พลางคร่ำครวญและอ้อนวอนขอความเมตตา ผมผิดไปแล้ว…ผมจะบอก…ผมบอกแล้ว
แต่น่าเสียดาย
ฉินเฟิงไม่สนใจคำพูดของเขา พลันยกเท้าขึ้น แล้วเหยียบลงไปที่นิ้วอื่นอีกครั้ง
โอ๊ย!
คราวนี้เสียงโหยหวนได้แผ่ขยายออกไปถึงยังสถานที่ก่อสร้างด้านนอก ซึ่งทำให้ ขอทานที่อยู่ตรงนั้นตกใจ ในดวงตาเต็มไปด้วยความกลัว
แต่ก็เพราะเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าไปดู
หักนิ้วคุณไปแล้วสามนิ้ว เพื่อเป็นการลงโทษสำหรับการทำให้งานของภรรยาของผมล่าช้า ตอนนี้บอกมาซิว่าใครเป็นคนส่งคุณมา พูดให้ชัดเจนนะ เพราะคุณยังมีอีกเจ็ดนิ้ว
ฉินเฟิงนั่งยองๆ ลงแล้วเอ่ยขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ร่างกายก็สั่นสะท้าน ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา แม่งเอ๊ย คนคนนี้เป็นปีศาจจริงๆ ไม่ใช่สิ เป็นปีศาจในปีศาจ
สามนิ้วของเขาเต็มไปด้วยเลือด น่าจะถูกหักหมดแล้ว
แล้วยังจะหักอีกเจ็ดนิ้วที่เหลือของเขาด้วย
ทันใดนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะโต้แย้ง รวมทั้งไม่กล้าโกหกแม้แต่ประโยคเดียว เขาคร่ำครวญว่า ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร เขาให้ผมไปรายงานเรื่องนี้กับเขาในวันพรุ่งนี้ มันเป็นคฤหาสน์ขนาดเล็ก ปกติเขาอาศัยอยู่ที่นั่น
ไม่รู้ว่าเป็นใคร…พรุ่งนี้
ฉินเฟิงเอามือลูบคางแล้วเอ่ยขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นใคร ถึงอย่างไรคนคนนี้ก็พุ่งเป้ามาที่อิ่นซินอยู่ดี คนที่พุ่งเป้าไปที่ภรรยาของเขาล้วนเป็นศัตรู เขานับว่าเป็นจอมปกป้องภรรยาคนหนึ่ง
เขาให้พวกคุณมาเท่าไหร่? ฉินเฟิงถามขึ้นอีก
ถ้าขอทานพวกนี้ต้องการให้พวกเขาทำอะไรก็ต้องมีเงิน
ห้า…ห้าหมื่น…
หัวหน้าทำสัญลักษณ์มืออย่างระมัดระวัง
ความจริงเขากลัวฉินเฟิงมากจนถึงขีดสุด เขาเป็นปีศาจจริงๆ
ห้าหมื่น? เอาล่ะ ผมจะมอบหมายภารกิจให้คุณ ให้คุณหนึ่งแสน แต่คุณต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จให้ได้ ไม่เช่นนั้น คุณจะไม่สามารถรักษาเจ็ดนิ้วที่เหลือไว้ได้
มือข้างหนึ่งถือกระบองใหญ่ อีกข้างหนึ่งถือแครอท
นี่คือวิธีการที่มักใช้ในกลยุทธ์
ตอนแรกเมื่อได้ยินคำว่าหนึ่งแสน ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย แต่เมื่อได้ยินคำว่าเจ็ดนิ้วในเวลาต่อมา ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านอีกครั้ง ตอนนี้เขาไม่ได้เรียกร้องเงินหนึ่งแสน เขาแค่อยากจะรักษานิ้วของตัวเองไว้
แน่นอน คุณจะปฏิเสธก็ได้ แต่ถ้าปฏิเสธ…
ฉินเฟิงยังพูดไม่ทันจบ หัวหน้าก็พยักหน้าซ้ำๆ พี่ พี่ชาย ผมตกลง ผมตกลงจริงๆ ได้โปรด ให้ผมทำภารกิจนี้ให้สำเร็จเถอะ
เขากลัวว่าถ้าไม่ตอบตกลง ก็จะหักนิ้วที่เหลืออีกเจ็ดนิ้ว
เช่นนี้ จะต้องเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป
ดีมาก
ฉินเฟิงยิ้มๆ หลังจากให้บัตรธนาคารกับเขาใบหนึ่งก็กลับไป
ส่วนหัวหน้าที่ถือบัตรธนาคารอยู่ในมือ เมื่อนึกถึงภารกิจที่ฉินเฟิงมอบหมายให้เขาก่อนหน้านี้ ก็เดินกะโผลกกะเผลกกลับไปที่กลุ่มขอทานทันที
ภารกิจของพวกเรามีการเปลี่ยนแปลง มีคนให้เงินพวกเราห้าหมื่นเพื่อไปหาบ้านอื่น หัวหน้ากล่าว
แม้ในเวลานี้ เขาก็ยังต้องการหักเงินห้าหมื่น ภารกิจคราวก่อน เขาก็บอกว่าสามหมื่น หักไว้สองหมื่น ครั้งนี้เขาต้องการหักไว้ห้าหมื่น
บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้เอง เขาถึงได้เป็นหัวหน้า
ครับ
เสียงอันอ่อนระโหยโรยแรงดังมาจากกลุ่มขอทาน
แต่หัวหน้าก็ไม่สนใจ คนพวกนี้เป็นแบบนี้มาตลอด จากนั้นเขาก็พาขอทานกลุ่มนี้ออกจากสถานที่ก่อสร้าง เพื่อไปยังคฤหาสน์หลังหนึ่ง
ส่วนในคฤหาสน์หลังนั้น
ในห้องนั่งเล่น อิ่นป่ายและอิ่นเสี้ยงสวี่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา อิ่นเสี้ยงสวี่ยกแก้วไวน์ที่มีไวน์แดงอยู่ขึ้นมา แล้วส่งสัญญาณบอกอิ่นป่ายว่า น้องชาย นายมีแผนการเจ้าเล่ห์แบบนี้ ยังกล้ามาเรียกขอทานไป ฮ่าฮ่า ฉันเดาว่าตอนนี้อิ่นซินคงกำลังสับสนอยู่สินะ
ก็อาจจะ
อิ่นป่ายจิบไวน์แดงคำหนึ่งด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ
ไม่กี่วันก่อน อิ่นเสี้ยงสวี่มาหาเขา เล่าสถานการณ์ของอิ่นซินให้เขาฟัง ได้รู้ว่าตอนนี้ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด อยากได้คนก็ได้ อยากได้เงินก็ได้ สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก
ในเวลานั้น เขารู้ว่าตัวเองไม่สามารถนั่งรอความตายเฉยๆ ได้
เมื่อ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ของอิ่นซินประสบความสำเร็จจริงๆ เธอก็จะได้นั่งตำแหน่งประธานของ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด อย่างแน่นอน เมื่อได้ตำแหน่งแน่นอน ก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาอีกแล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาวางแผนมาหลายวัน จนได้แผนการที่เจ้าเล่ห์เช่นนี้ออกมา
ใช้ขอทานไปสร้างความวุ่นวายที่นั่น อันที่จริงเงินก็ไม่ได้มาก แค่ห้าหมื่นหยวนเท่านั้น แต่มันก็เพียงพอที่จะสั่งให้ขอทานโง่ๆ พวกนั้นให้ไปสร้างปัญหาให้กับอิ่นซิน ทำให้ระยะเวลาการก่อสร้างของเธอล่าช้าออกไป
เมื่อล่าช้าออกไป ระยะเวลาการก่อสร้างโครงการของอิ่นซินก็จะไม่ทันการณ์ หากไม่สามารถดำเนินโครงการให้เสร็จสิ้นทันเวลาได้ ตำแหน่งประธานกรรมการนี้ก็ต้องถูกถอดออก
พอถึงเวลานั้น ตำแหน่งประธานก็จะกลับมาเป็นของเขา
เพราะเห็นบนพื้นที่ไซต์ก่อสร้างเต็มไปด้วยคนจรจัด อย่างน้อยก็หลายร้อยคน เสื้อผ้ามอมแมมและส่งกลิ่นเหม็น
แล้วนอนลงบนไซต์ก่อสร้าง
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นซินถามอ้ายเสี่ยวซีด้วยสีหน้างุนงง ตอนคุยโทรศัพท์เสี่ยวซีบอกแค่ว่ามีคนมาจำนวนมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นภาพเช่นนี้
ขอทานเต็มไปหมด
ขณะคนงานของเราเริ่มทำงานตั้งแต่เมื่อเช้า คนพวกนี้ก็อยู่ที่นี่แล้ว ไม่กระดิกไปไหนเลย คนงานของเราไปไล่แต่พวกเขาไม่กลัวเลยสักนิด ยังนอนอยู่เหมือนเดิม แถมยังถ่ายทุกข์หนักเบาไปทั่ว
อ้ายเสี่ยวซีพูดถึงประโยคสุดท้าย หน้าซีดเผือด
อิ่นซินได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วทันที แล้วเดินไป: ทุกคน ไม่ทราบว่าพวกคุณมีเรื่องอะไร ทำไมถึงมายังไซต์ก่อสร้างของพวกเรา นี่เป็นพื้นที่ทำงานอันตรายมาก
……
เงียบสนิท ทุกคนนอนกันกลิ้งทูตล้มขร ไม่มีใครสนใจอิ่นซิน
เสี่ยวซี แจ้งความ
ค่ะ
อ้ายเสี่ยวซีรีบไปแจ้งความทันที
ในเมื่อใช้ไม่อ่อนไม่ได้ผลก็ต้องใช้ไม้แข็ง ต้องแจ้งความ
คนพวกนี้มีจุดประสงค์ ตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ
ฉินเฟิงมองไปรอบๆพลางพูด
อิ่นซินขมวดคิ้ว เธอพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะมาที่นี่โดยไร้เหตุผลเช่นกัน คนพวกนี้ต้องมีเหตุผลที่มาที่นี่แน่นอน ส่วนที่มาขอทาน ที่นี่มันอยู่เขตชานเมือง เขตไซต์ก่อสร้างแล้ว มาขอทานที่นี่จะได้อะไร
ต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่นอน
ไม่ได้มาดี
แต่เธอก็ยังไม่เข้าใจ ว่าเบื้องหลังของคนพวกนี้เป็นใคร
ไม่นานนักก็มีรถตำรวจมา10กว่าคัน จับพวกเขาไปสถานีตำรวจด้วยข้อหาทำให้เสียเวลาทำงาน ทำให้พวกเธอโล่งใจขึ้นมาหน่อย แต่ที่เธอคาดไม่ถึงคือบ่ายวันเดียวกัน คนพวกนี้มาอีกแล้ว
ฮัลโหลคุณตำรวจ ทำไมพวกเขามาอีกแล้ว?
อิ่นซินโทรหาตำรวจเหล่านั้น
ตำรวจพวกนั้นยิ้มเจื่อนๆ: คนจรจัดเหล่านี้ไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร อิงตามกฎหมายแค่อบรมพวกเขาก็พอแล้ว พวกเราอบรมสั่งสอนแล้ว แต่ไม่คิดว่าพวกเขาจะมาอีก
ถ้าจับอีกรอบล่ะ?ก็อบรมอีก?
ครับ พวกพวกเขาไม่ได้ทำร้ายใคร แค่ทำให้เสียเวลางานก็เท่านั้น
งั้นก็ช่างเถอะ พวกคุณไม่ต้องมาแล้ว
อิ่นซินวางโทรศัพท์ลงพลางนวดขมับ ใครเล่นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าไม่อายแบบนี้ คนจรจัดเหล่านี้ไม่ได้ก่ออาชญากรรมอะไร แจ้งความก็ทำได้แค่อบรมสั่งสอน
จากนั้นพอปล่อยออกมา ก็มาอยู่ที่ไซต์ก่อสร้างต่อ
ไปๆมาๆ
ที่ไซต์ก่อสร้างทำงานไม่ได้เลย เธอจึงล้มเลิกที่จะแจ้งความ เพราะไร้ประโยชน์
และหากใช้ความรุนแรง คนแถวๆนี้อาจแอบถ่ายรูป เมื่อถึงตอนนั้นไม่แน่วันต่อมาอาจได้ลงข่าวว่า‘ประธานอิ่นซินแห่งบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ทำร้ายคนจรจัดอย่างป่าเถื่อน ’
เป็นเช่นนี้เธอได้ถูกลงจากตำแหน่งแน่
กว่าจะมีถึงทุกวันนี้มันไม่ง่ายเลย ให้กลับไปบริษัทซานหยวนกรุ๊ปโดยไม่ทำอะไร เธอให้เกิดเหตุร้ายแบบนั้นไม่ได้
เสี่ยวซี ไปถอนเงินมา1หมื่น
อิ่นซินสั่งให้เสี่ยวซีออกไป
ไม่นานนักเสี่ยวซีกลับมาพร้อมเงินเป็นปึก แล้วส่งให้อิ่นซิน อิ่นซินรับมาแล้วเดินไปตรงหน้าขอทานพวกนั้น: นี่เงิน1หมื่น ใครออกไปฉันจะให้100นึง
……
ยังคงเงียบกริบ ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ฉันให้หนึ่งพัน
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
อิ่นซินกวาดตามองพลางขมวดคิ้ว ให้ตั้งหนึ่งพันแล้วคนพวกนี้กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย นี่เป็นขอทานจริงๆเหรอ?
สุดท้ายอิ่นซินก็เพิ่มจำนวนเงิน: ฉันให้1หมื่น ใครออกไปก็ได้ไป1หมื่น
……
ทว่าไม่มีใครกระดิกสักคน
แต่ผู้ชายหนึ่งในคนที่นอนกันอย่างสะเปะสะปะ หาวแล้วพูดออกมา: ล้มเลิกเถอะ พวกเราแค่มานอน ไม่ไปหรอก
มานอน!
อิ่นซินอึ้ง นอนที่ไหนไม่นอนมานอนเอาที่นี่?
จากนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ตั้งใจมาสร้างความวุ่นวายโดยเฉพาะ
และแผนนี้ตรงกับจุดบอดของเธอพอดี ทำให้งานก่อสร้างล่าช้าไปอย่างมาก ถ้างานก่อสร้างแก้ไขไม่ได้ งั้นโปรเจดของเธอก็ล้มเหลว
ดังนั้นเธอจึงคิดหาวิธีแก้ไขอยู่ทั้งบ่าย
น่าเสียดาย อุบายนี้เป็นอุบายที่ร้ายกาจ
เมื่อกลับไป เธอยังคงนวดขมับดังเดิมพลางครุ่นคิด ว่าจะจัดการกับขอทานพวกนี้ยังไง ทำยังไงให้ปลอดภัย และจัดการได้อย่างมั่นใจ
ทว่าขณะนี้ ฉินเฟิงที่ล้างเท้าให้อิ่นซินอยู่พูดขึ้น: เดี๋ยวผมมา ออกไปซื้อบุหรี่แป๊บ
อืม
อิ่นซินหยิบเงินออกมาให้ฉินเฟิงจากกระเป๋า50: ถ้าคุณจะสูบก็สูบของดี และดีกับร่างกายหน่อย
ผมมีเงิน
ฉินเฟิงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้จะเลี้ยงดูเขาจริงๆสินะ
เป็นถึงเทพสงคราม แต่ตกต้ำถึงขั้นถูกภรรยาเลี้ยงดูแล้ว จริงๆเลย ถ้าพูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อ เป็นถึงเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ และครูฝึกปีศาจของกองทัพอีสเตอร์แลนด์
เพียงแต่รู้สึกไม่เลวเลย
เมื่อออกมา ฉินเฟิงก็ไปซื้อบุหรี่ ที่จริงเขายังมี‘เท่อกง’อีกห่อหนึ่ง แค่จู่ๆก็อยากออกมาซื้อบุหรี่
หลังจากซื้อบุหรี่เสร็จ เขาสูบพลางเดินมายังไซต์ก่อสร้าง เมื่อเดินเข้าไปในไซต์ก่อสร้าง กวาดตามองเห็นขอทานพวกนั้นยังอยู่ วันนี้อยู่มาทั้งวันแล้ว
แถมยังมีคนมาส่งข้าวด้วย
เห็นได้ชัดว่ามีองค์กร
มีคนมา
เมื่อมีคนสังเกตเห็นฉินเฟิง ก็ไปปลุกคนอื่นให้ตื่น ไม่นานนักขอทานพวกนั้ก็ตื่นกันหมด ทุกคนล้วนมองมายังฉินเฟิง
ส่วนมากมองด้วยสายตาไม่พอใจ
ตอนกลางวันผู้หญิงคนนั้นทำตั้งหลายอย่าง แต่ก็ไล่พวกเขาออกไปไม่ได้ แล้วอย่างหมอนี่เนี่ยนะจะมาไล่พวกเขา?
ฝันไปเถอะ
จนกระทั่งฉินเฟิงเดินมา แล้วคว้าคอเสื้อผู้ชายหนึ่งในนั้นพลางยิ้ม: แกเป็นหัวโจกใช่ไหม?
แก……รู้ได้……ยังไง?
หัวโจกเป็นชายกลางคน มีผิวดำคล้ำ ดูมีความเกรี้ยวกราด น้ำหนัก70กว่าๆ แต่กลับถูกฉินเฟิงยกขึ้นได้ด้วยมือเดียว
เขาลนลานทันใด
โทษที ลืมบอกพวกแกไป เมื่อก่อนฉันก็มีอาชีพเดียวกัน ฉันเคยเป็นขอทาน แค่ขอทานธรรมดาๆกินสบายขนาดนี้เลย?
เสียงดังปัก
ฉินเฟิงต่อยเข้าไปตรงท้องชายวัยกลางคน ทำเอาเขาขดตัวและหน้าเปลี่ยนสีไปเลย
เพราะเคยเป็นเหมือนกัน ฉินเฟิงจึงเข้าใจคนพวกนี้ดี ถ้าทำร้ายไปตรงๆพวกเขาต้องต่อต้านแน่นอน แต่ถ้าจับหัวโจกมาพวกเขาจะเหมือนเรือขาดหางเสือไม่รู้ว่าต้องทำยังไง
แม้แต่ต่อต้านก็ไม่กล้า
แก!
ชายวัยกลางคนส่งเสียงร้องออกมา
จากนั้น
มากงมาแกอะไร!
ปัก
โดนต่อยตรงท้องอีกหมัด ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีเข้าไปอีก ขดตัวงอ จากนั้นฉินเฟิงเดินลากคอเสื้อเขาไปอีกที่หนึ่ง
ทว่าหลังจากเดินออกมาได้ไม่กี่ก้าว ฉินเฟิงก็หันกลับไปพูด
ในฐานะที่เคยมีอาชีพเดียวกัน พวกแกนี่ไม่ได้เรื่องจริงๆ
2วันผ่านไป อิ่นหนิงหยู่กระโดดโลดเต้นกลับมาจากด้านนอก ในมือถือสัญญาฉบับหนึ่ง ท่าทางปลื้มปริ่มสุดๆ: ฉันได้งานแล้ว ฉันได้งานแล้ว
อะไรคือได้งานแล้ว?
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกไป
อิ่นซินกับฉินเฟิงก็ลงมาด้านล่าง ฉินเฟิงเห็นท่าทางของอิ่นหนิงหยู่ คงเป็นเรื่องมู่หรงเจียงเสว่
พี่ ฉัฯจะบอกให้ เมื่อวานผู้กำกับใหญ่มู่หรงเจียงเสว่มาที่มหาลัย รับสมัครนักแสดงในภาพยนตร์‘Moods of Love’และฉันก็ถูกเลือ แถมยังได้ไปกิบข้าวกับผผู้กำกับมู่หรง พี่ดูสิฉันมีรูปด้วย
อิ่นหนิงหยู่หยิบโทรศัพท์ออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น มันคือรูปที่พวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน
มู่หรงเจียงเสว่!
อิ่นซินก็เคยได้ยินชื่อนี้ เป็นผู้กำกับที่ใหญ่โตมาก เธอเคยดูหนังทุกเรื่อง จึงพลอยตื่นเต้นไปด้วย
ฉันจะบอกให้นะ บทตัวประกอบของฉันนี้ไม่ใช่บทธรรมดาๆ เป็นบทที่รอดจนจบ ถ้าฉันแสดงดีไม่แน่อาจดังเป็นพลุแตกก็ได้
อิ่นหนิงหยู่ยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น
ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งที่แล้วมันไม่ถูกต้อง และเธอก็ไม่ได้โง่ หลังจากตั้งสติได้แล้วก็เข้าใจขึ้นทันใดว่าเป็นอุบาย แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจริง
เป็นผู้กำกับมู่หรงเจียงเสว่จริงๆ
แถมยังไปกินข้าวด้วยกัน
หรือว่าติดสินบน
ฉินเฟิงคิดเช่นนี้ในใจ ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างช่วยไม่ได้ เขากลัวเด็กคนนี้ฝีมือแสดงไม่ดี แล้วเป็นตัวถ่วงกับทั้งกองถ่าย ดังนั้นจึงให้เป็นแค่บทงิ้ว
หรือจะให้ออกค่ากเดียวแล้วตายก็ได้
แต่ไม่คิดว่ามู่หรงเจียงเสว่จะให้บทตัวประกอบที่อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
หนิงหยู่ นักศึกษาที่มหาลัยมีตั้งกี่คน เป็นหมื่นใช่ไหม แต่ทำไมเขาถึงเลือกเธอ ฝีมือการแสดงของเธอเหมือนจะไม่ใช่ที่หนึ่งในมหาลัยนี่ใช่ไหม?
อิ่นหนิงหยู่นรู้สึกมีอะไรผิดปกติ
หาอิ่นหนิงหยู่เจอจากหนึ่งในหมื่นคน ถือว่าเป็นโชคดีของอิ่นหนิงหยู่ แต่ผู้กำกับใหญ่อย่างมู่หรงเจียงเสว่ ไปกินข้าวกับตัวประกอบเล็กๆเนี่ยนะ?
ไม่สมควร
คนอยากกินข้าวกับมู่หรงเจียงเสว่มีตั้งมากมาย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าว เกี่ยวกับมู่หรงเจียงเสว่ไปกินข้าวกับใครหลุดบนอินเทอร์เน็ตเลย
นี่มันไม่ธรรมดา คุณตู้ ตู้ต้วนเทียนจัดการสินะ เพราะยังไงตอนนี้อิ่นหนิงหยู่ก็เป็นแฟนเขา แค่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีตัวตน เมื่อหนิงหยู่ได้เป็นดาราดัง ถึงตอนนั้นเขาคงมาสู่ขอแล้วล่ะ
จางลี่คาดเดาออกมาอย่างตื่นเต้นทันใด
ตู้ต้วนเทียนจัดการ
นี่คือแบ็คหลังที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลพวกเขา
คือ……พวกเราอาจจะ……มีความคืบหน้า……
อิ่นหนิงหยู่ลูบหัวไปมา อยากพูดว่าไม่ได้คืบหน้าเร็วขนาดนั้น จนถึงตอนนี้เธอยังไม่มีช่องทางการติดต่อของตู้ต้วนเทียนเลย หลังจากเจอกันแค่ครั้งเดียวที่สนามแข่งรถครั้งก่อน ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก
ตู้ต้วนเทียนก็ไม่ยอมเป็นฝ่ายรุกติดต่อเธอมาก่อน
แต่ว่ายังพูดไม่ทันจบ จางลี่ก็เข้ามากอดอิ่นหนิงหยู่: หนิงหยู่ ลูกใกล้จะได้แต่งเข้าตระกูลเศรษฐีแล้ว ได้เข้าไปแล้วอย่าลืมแม่ล่ะ
ตระกูลตู้เป็นตระกูลเศรษฐีของเมืองเจียงเฉิง
หากแต่งเข้าไปก็เท่ากับว่ามีเงินใช้ไม่ขาดสาย งั้นเธอก็สามารถซื้อของฟุ่มเฟือยได้เป็นกอง ลิปสติกเอย กระเป๋าเอย รองเท้าส้นสูงเอย……
พอนึกถึงอนาคตก็ช่างสวยงามเหลือเกิน
จริงสิ ลูกอย่าเหมือนพี่แกล่ะ คุณชายมีเงินมีความสามารถไม่เอา ไปแต่งกับคนจนๆ ประธานกรรมการแต่งกับคนจนๆ พูดออกไปก็เป็นเรื่องตลก
จางลี่พูดพลางชี้ฉินเฟิงอย่างไว
เจ้าไร้ประโยชน์คนนี้ นับวันเธอยิ่งรำคาญ
อิ่นซินขมวดคิ้ว เดินเข้าไปขวางตรงหน้าฉินเฟิงโดยไม่สนใจอะไร แม้ไร้ความสามารถและธรรมดาไปหน่อย เป็นแค่รปภ. แต่ก็เป็นสามีของเธอ
แม่ พี่เขยดีออก
อิ่นหนิงหยู่ออกหน้าให้ฉินเฟิง
ลูกแม่ ลูกไม่เป็นไรใช่ไหม
จางลี่ลูบหัวอิ่นหนิงหยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล: เมื่อก่อนลูกเกลียดฉินเฟิงจะตาย ทุกครั้งที่กลับมาก็ต้องด่าเขาสักยก ในห้องลูกเคยมีคนต่ำทรามมาสลักไว้ว่าฉินเฟิง ลูกมักจะใช้เข็มจิ้มเขา ลูกลืมหมดแล้วเหรอ ลูกพูดแทนเขาทำไม เขาเป็นคนยากจนจริงๆนี่
ประโยคสุดท้ายคือประเด็นหลักที่เธออพูดถึง
ฉินเฟิงเป็นแค่คนจนๆ ไม่สามารถซื้อกระเป๋าแบรนด์เนม ลิปสติกแพงให้เธอได้ ดังนั้นไม่ว่ายังไงเธอไม่ปล่อยให้ฉินเฟิงเข้ามาได้สำเร็จหรอก
มันผ่านไปแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ลูบผมไปมา
เมื่อก่อนเธอเกลียดฉินเฟิงมาก เกลียดที่เขาไม่ดี ทำให้พี่สาวเธอต้องลำบากมากมาย แต่พอได้อยู่ด้วยกันนานๆเข้า เธอพบว่าฉินเฟิงถือว่าโอเค
แค่จนไปหน่อย
แก!ชิ!
จางลี่โกรธจนตัวสั่นเบาๆ สุดท้ายด่าฉินเฟิง: 5เดือนจากนี้ แกต้องออกไปจากบ้านเรา แกมันไร้ประโยชน์กากเดน คิดว่าคู่ควรกับลูกสาวฉันจริงๆเหรอ ดูตู้ต้วนเทียนแล้วมาดูแก ถุ้ย
ด่าเสร็จเธอก็เดินออกไปด้วยความโมโห
เห็นได้ชัดว่าไปเล่นไพ่นกกระจอก
ฉินเฟิงไม่ได้สนใจเธอ หันไปมองอิ่นหนิงหยู่ สายตาแฝงไปด้วยความซับซ้อน ไม่เสียแรงที่รักเด็กคนนี้ เขาไม่คิดเลยว่าเมื่อก่อนอิ่นหนิงหยู่จะเกลียดเขาขนาดนั้น
ขนาดอิ่นหนิงหยู่ยังเกลียดเขาขนาดนั้น แล้วอิ่นซินล่ะ?
คงเกลียดเข้ากระดูกแล้วสินะ
ฉินเฟิงเข้าไปใกล้ๆอิ่นซิน ยื่นมือออกไปจับมือเธอข้างหนึ่ง อิ่นซินหน้าแดง ปกติเธอเป็นคนจับมือฉินเฟิง ฉินเฟิงไม่เคยเป็นฝ่ายจับมือเธอก่อน
คงเป็นเพราะเขาเป็นคนทึ่ม
แต่เธอก็ขัดขืนเล็กน้อยพอเป็นพิธี เมื่อเห็นว่าสะบัดไม่หลุดก็โล่งใจ ความสุขค่อยๆก่อตัวขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว
ทว่าพวกเขายังได้ทันได้คืนหน้า ก็มีสายหนึ่งโทรเข้ามา อิ่นซินจึงรับสาย: ฮัลโหลเสี่ยวซี
ประธานคะ ไซต์ก่อสร้างของเราเกิดเรื่องแล้ว
ปลายสายคือลูกน้องคนเดียวที่สามารถไว้ใจได้ของอิ่นซิน น้ำเสียงอ้ายเสี่ยวซีดูร้อนใจมาก
ตั้งสติ บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะรีบไป
หลังจากคุยกัน อิ่นซินก็ปลอบใจอ้ายเสี่ยวซีครู่หนึ่งแล้วรีบวางสาย เตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่ขณะก้าวออกมาได้แค่ก้าวเดียวก็โดนลากออกไป
พอหันไปก็พบว่ามือของเธอยังจับมือฉินเฟิงอยู่ แถมยังประสานนิ้วกัน
คุณวางไหม?
อิ่นซินหันไปถาม
ผมจะไปกับคุณ
ฉินเฟิงยิ้มแป้นออกมา
ถ้าคุณต้องการไปทุกหนแห่งในโลกใบนี้ ผมก็สามารถไปกับคุณได้
ไปกันเถอะ
ทั้งสองขับรถออก ตรงไปยังไซต์ก่อสร้าง ก็คือบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ที่มีพื้นที่1พันเอเคอร์และมีทำเลดีสุดๆแห่งนั้นนั่นแหละ เมื่อลงจากรถอ้ายเสี่ยวซีก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าร้อนรน
เจ้านาย
ไปกัน
ยีหนิงกับฉินเฟิงก็เดินมา แต่เมื่อมาถึงไซต์ก่อสร้างจริงๆ อิ่นซินถึงกับชะงัก ฉินเฟิงกัดปาก
ถ้าผมบอกว่าผมแค่เดา คุณจะเชื่อไหม?
ฉินเฟิงนั่งลงแล้วเงยหน้ามองหลิวหลิน
เป็นไปไม่ได้
หลิวหลินปฏิเสธทันควัน ตอนแรกเธอก็คิดว่าเดาเอาจึงไม่ยอมรับตั้งแต่แรก แต่เมื่อฉินเฟิงเรียกเป็นครั้งที่สอง เธอก็รู้แล้วว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว
ตอนนี้คือหน้าร้อน คุณใส่หมวกออกจากบ้านสามารถบอกได้ว่าไว้บังแดด แต่ในร้านกาแฟไม่มีแดด อีกทั้งยังมีแอร์ ทำไมคุณยังใส่หมวกอยู่อีก วิเคราะห์ได้2แบบ หนึ่งคือคุณชอบใส่หมวกเลยใส่ไว้ตลอด หรือคุณอาจลืมถอด สองคุณต้องการหลบหน้าคน คุณไม่อยากให้คนในร้านกาแฟนี้เห็นหน้าคุณ
แต่พิรุธหนึ่งเดียวของคุณคือ คุณนั่งหลังคุณมู่หรงพอดี พอผมนั่งลงก็เป็นเส้นตรง และสามารถบังคุณได้พอดิบพอดี ผมมองไม่เห็นคุณ แต่คุณได้ยินผม นี่เป็นที่นั่งที่ดีที่สุด แต่คุณก็ยังคงใส่หมวก ประกันสองชั้นถือว่าปลอดภัย แต่มันไม่ยิ่งเด่นเข้าไปอีกเหรอ
ผมไม่ได้จะกินพวกคุณสักหน่อย ใช่ไหมคุณตำรวจหลิว
ฉินเฟิงยิ้มๆ อธิบายให้เธอฟัง ไม่งั้นผู้หญิงคนนี้คงกลุ้มไปหลายวัน เมื่อถึงตอนนั้นหาทางออกไม่ได้ แล้วตามมาฆ่าเขาถึงบ้านจะแย่เอา
แต่คุณรู้ได้ไงว่าเป็นฉัน?
นอกจากคุณ ใครมันจะว่างเอาแต่พุ่งเป้ามาที่ผมขนาดนี้
……
หลิวหลินโกรธจนหายใจอกกระเพื่อม แต่สุดท้ายก็จนปัญญา เธอแพ้อีกแล้ว การปลอมตัวที่วางแผนอย่างดีคราวก่อนถูกจับได้ เธอก็ยังไม่พอใจอยู่ ครั้งนี้ยังถูกจับได้อีก
คิดไม่ถึงจริงๆว่าครั้งนี้จะล้มเหลว
ที่สำคัญคือเหตุผลที่ล้มเหลวครั้งก่อน เพราะเธอประเมินฉินเฟิงต่ำไป แต่ครั้งนี้เธอให้ความสำคัญฉินเฟิง จึงระมัดระวังเกินไป ระวังจนกลับกลายเป็นความผิดพลาด
เธอรู้สึกเรียนในโรงเรียนตำรวจมาหลายปีนั้นเปล่าประโยชน์
ตอนเธอเรียนในโรงเรียนตำรวจ ล้วนเก่งทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการปลอมตัว ต่อสู้ หรือซุ่มยิง เธอล้วนเป็นที่หนึ่ง แต่การปลอมตัวตอนนี้กลับถูกฉินเฟิงจับมัดห้อยและเฆี่ยนตี
ใช่
จับมัดห้อยและเฆี่ยนตี
เธอแทบจะไม่เหลือความมั่นใจแล้ว
เป็นตำรวจมาหลายปี ไม่คิดว่าจะมาแพ้ให้กับลูกเขยที่เกาะผู้หญิงกิน แต่ต่อให้ไม่ใช่ลูกเขยที่เกาะผู้หญิงกิน งั้นก็เป็นลูกคนรวย คิดไม่ถึงว่าจะแพ้ให้กับลูกคนรวยที่ตนเกลียดที่สุด
ความโมโหในใจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ
แต่เธอก็อดทนไว้เพราะไม่มีทางเลือกอื่น ทุกเรื่องต้องมีหลักฐาน เรื่องเกี่ยวกับฟางเย้นครั้งก่อนนั้นหลักฐานแน่นหนา ว่าฟางเย้นกับพวกเป็นฝ่ายลักพาตัวอิ่นซิน
แม้ได้ตัวฉินเฟิงได้แล้วก็ต้องรักษาความเหมาะสม จึงปล่อยตัวไปก่อน เธอเลยไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้ฉินเฟิง
ครั้งหน้า
หลิวหลินสาบานในใจ สาบานต่อเมืองเจียงเฉิง ต่อสถานแห่งนี้ครั้งหน้าเธอจะจับฉินเฟิงเจ้าลูกเศรษฐีพิเรนทร์คนนี้ให้ได้ หลิวหลินไม่ปล่อยให้คุณทำชั่วแน่นอน
เหอะ ฉันไม่กังวลหรอกว่าคุณจะทำอะไรพี่สาวฉัน ยังไงพี่สาวฉันก็สาวขนาดนั้น
ภรรยาผมก็สวย
จิ้
สุดท้ายก็โมโห หลิวหลินทำหน้ามุ่ยแล้วหันหน้าไปทางอื่น
ทว่าขณะนั้นเอง ผู้หญิงสวยๆด้านข้างพูดขึ้น: ขอโทษนะคะคุณฉิน น้องสาวฉันนิสัยดื้อรั้น ฉันบอกว่าออกมาเจรจาสัญญา เธอก็ตามมาด้วย แต่ฉันสงสัยมากเลยว่าคุณจำฉันได้ยังไง
บนสัญญามี
บนโต๊ะมีหนังสือสัญญาอยู่
มู่หรงเจียงเสว่ชะงัก ไม่คิดว่าช่องโหว่จะอยู่ตรงนี้ แต่ตอนนี้จิตใจเธอไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว พูดขึ้น: ง็นฉันจะแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน ฉันชื่อมู่หรงเจียงเสว่ เป็นผู้กำกับละคร ฉันมาพบคุณครั้งนี้เพื่อให้แต่งเพลงเปียโน คราวก่อนฉันได้ฟังเสียงเปียโนของคุณในวิดีโอ ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีเลยว่าเสียงเปียโนของคุณเหมาะกับภาพยนตร์ของฉันพอดี ฉันยินดีจ่ายราคาสูงเพื่อปรับแต่งเพลง
มู่หรงเจียงเสว่สีหน้าจริงจัง
มู่หรงเจียงเสว่?ภาพยนตร์ชื่อเรื่องว่าอะไร?
Moods of Love
เป็นคุณนี่เอง
ก็ว่าอยู่ว่าฉินเฟิงเคยได้ยินชื่อมู่หรงเจียงเสว่นี้จากไหน แล้วเมื่อบวกกับMoods of Love เขาก็นึกออกทันที
มู่หรงเจียงเสว่ผู้กำกับมากฝีมือ สร้างผลงาน4-5ชิ้นติดต่อกันและดังเป็นพลุแตกทุกผลงาน มีค่าตัวมากกว่าพันล้าน เป็นหนึ่งในผู้กำกับที่ได้รับการต้อนรับมากที่สุด ตอนนี้กำลังวางแผนงานทำผลงานชิ้นต่อไป คือMoods of Love
นี่เป็นข้อมูลที่ได้มา ตอนฉินเฟิงกับอิ่นหนิงหยู่ไปสมัครงานที่บริษัทศิลปะปลอมๆอันห่างไกล
เขารู้จักพี่ คดีที่ฉันทำครั้งก่อน คนที่สวมรอยในนามทีมงานกองถ่ายของพวกพี่ แล้วไปทำร้ายผู้หญิงก็คือเจ้าหมอนี่นี่แหละ หลิวหลินพูดเตือนข้างๆ
พูดก็พูดเถอะ แม้เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงไม่ใช่คนดีอะไร แต่ครั้งก่อนเป็นผลงานของฉินเฟิงจริงๆ
จริงเหรอ?
มู่หรงเจียงเสว่อึ้ง จากนั้นพูดออกมาด้วยความตกใจ: งั้นขอบคุณมากนะคะ คนพวกนั้นทำร้ายผู้หญิงโดยใช้นามของเรามาไม่น้อย ฉันอยากจับพวกเขาให้ได้มานานแล้ว แต่ฉันก็จนปัญญา
ไม่เป็นไรครับ ฉินเฟิงพูด
เรากลับมาเรื่องหลักดีกว่า เราวางแผนที่จะใช้เงิน2ล้านในการร่างเพลงนี้ ได้ไหมคะ? มู่หรงเจียงเสว่ถามลองเชิง
2ล้านต่อเพลงถือว่าเป็นราคาสูงที่สุดในตลาดแล้ว นอกจากมู่หรงเจียงเสว่แล้ว คงไม่มีใครให้ราคาสูงขนาดนี้แล้ว เพราะยังไงก็แค่เพลงเดียว
เพียงแต่ว่าฉินเฟิงไม่ได้ขัดสนเงิน2ล้านนี้
ขอโทษนะครับ ผมขอปฏิเสธ ฉินเฟิงพูด
คุณรู้สึกไม่พอใจตรงไหนหรือเปล่าคะ ถ้าไม่พอใจพวกเราปรึกษากันได้ ด้านราคาก็สามารถพูดคุยกันได้
มู่หรงเจียงเสว่พยายามอีกครั้ง เธอไม่ล้มเลิกเด็ดขาด
วันนั้นหลังจากที่เธอได้ยินเพลงเปียโนที่ฉินเฟิงเล่น ใจก็เต้นรัวและตัดสินใจในทันทีว่าต้องเชิญมาให้ได้ จึงไปหาหลิวหลินเพื่อสืบเรื่องนี้โดยเฉพาะ
จนสืบได้ว่าเป็นฉินเฟิง
หลิวลานเมิ่งไม่โอเค ไม่ได้หมายความว่าหลิวหลินก็ไม่โอเค เพราะหลิวหลินเป็นคนทำงานนี้
พี่ พี่หยุดใช้เงินฟาดเขาเถอะ มันเปล่าประโยชน์ หมอนี่น่ะเป็นลูกเศรษฐี มีเงินใช้อาทิตย์ละเป็นพันล้าน ไม่ขัดสนเงิน ทรัพย์สินทั้งหมดของพี่ยังน้อยกว่าเขาเลย
……
ทันทีที่หลิวหลินพูดออกมา มู่หรงเจียงเสว่มีท่าทีคับแค้นใจเล็กน้อย ระหว่างทางหลิวหลินบอกเธอแล้ว แต่นอกจากเงินเธอก็ไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว
จะใช้มารยาหญิงก็ไม่ได้
เธอยังไม่ได้แต่งงานเลย
เอางี้ ที่บ้านผมยังมีสาวน้อยคนหนึ่งชื่ออิ่นหนิงหยู่ เป็นน้องสาวของภรรยา ตอนนี้เรียนอยู่ปี3และกำลังหาที่ฝึกงานพอดี คุณจัดให้เธอไปเล่นบทงิ้วในเรื่องMoods of Loveของคุณสิ ไม่ต้องให้เล่นบทสำคัญ ผมกลัวเด็กนั่นจะได้ใจ
ตกลง
มู่หรงเจียงเสว่ตอบตกลงทันที
จริงสิ จะตั้งราคาแบบนี้ไม่ได้ นี่เป็นเพลงที่สืบต่อมาจากแม่ของผม หลังจากจบแล้ว กำไร20%ของภาพยนตร์ผมจะบริจาคให้กับโครงการสงเคราะห์เด็ก
ตกลง
สุดท้ายทั้งคู่ก็ทำสัญญากัน แต่ราคาสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
นี่เป็นเพลงที่สืบต่อมาจากแม่ของฉินเฟิง ฉินเฟิงไม่ยอมให้เปื้อนฝุ่นหรอก แต่ก็ไม่ยอมขายออกไปด้วยราคาที่ต่ำขนาดนั้น แค่2ล้านไม่คู่ควรจริงๆ
ยินดีที่ได้ร่วมมือกันค่ะ
มู่หรงเจียงเสว่กัดฟันตอบ
20%ก็20% เพราะหลังจากเธอได้ยินเพลงนั้น ก็ไม่อยากหาเพลงของใครอีกแล้ว นี่เป็นผลงานอันภาคภูมิใจของเธอ แน่นอนว่าต้องมีเพลงที่ดีที่สุด
อีกอย่างก็ให้โครงการสงเคราะห์เด็ก ถือว่าทำความดี
บุญคุณที่ให้ชีวิตใหม่ เรื่องอะไรกัน? ฉินเฟิงถาม
แบ็คหลังของผมคือคุณตู้
โหวเฟยพูดออกมาเช่นนี้ ฉินเฟิงก็พอจะเข้าใจแล้ว ตู้ต้วนเทียนอยากประจบเขา ถึงได้ช่วยโหวเฟยเพียงเพราะการเจอกันโดยพรหมลิขิต
บางที สักวันอาจได้ใช้
แต่เรื่องบังเอิญคือ ความคิดนี้ของตู้ต้วนเทียนเป็นจริงพอดี
จริงสิ พนักงานของคุณรับเงินแล้วจะไล่พวกเราออกไป ฉินเฟิงพูด
คุณฉิน ผมจะจัดการให้เดี๋ยวนี้
โหวเฟยหน้าเปลี่ยนสี ฉินเฟิงเป็นคนระดับไหน นี่เป็นถึงผู้มีพระคุณของเขา เป็นคนที่ทำให้คนระดับตู้ต้วนเทียนเกรงกลัว แต่พนักงานของเขากลับกล้าไล่เนี่ยนะ?
อยากตายรึไง
เขารีบหันไปยังผู้จัดการตรงล็อบบี้ทันที
เจ้านาย คือ……ผม……
ผู้จัดการตรงล็อบบี้ตัวสั่นเทา พูดจาไม่ได้ศัพท์ เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าหนุ่มจนๆที่ถูกรังแกก่อนหน้านี้ จะทำให้เจ้านายที่เขาเกรงกลัวโค้งคำนับให้ได้
เจ้านายคนนี้มีแบ็คหลังใหญ่โต
งะ……งั้นฉินเฟิง ต้องเป็นคนระดับไหนกัน
แม่เจ้า
ซวยแล้ว
รปภ. ค้นตัว
โหวเฟยเป็นเจ้านาย แน่นอนว่ารปภ.พวกนั้นต้องเชื่อฟัง หลังจากค้นเสร็จ พวกเขาก็ค้นได้นาฬิกาออกมา ทองสว่างไสว แค่เห็นก็รู้แล้วว่ามีราคามาก
ฉันจำได้ นายไม่ได้มีนาฬิการาคาแพงขนาดนี้นี่
โหวเฟยถือนาฬิกาเรือนนั้น หน้าเคร่งขรึม ทว่าขณะนั้นเองผู้จัดการอีกคนโผล่มา แล้วพูดกับโหวเฟย: เจ้านาย ตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว นาฬิกาเป็นของหวงจงคนนั้น
ผู้จัดการคนนี้ชี้ไปยังหวงจง
โหวเฟยหันไปมองหวงจงด้วยสายตาไม่เป็นมิตรทันที
หวงจงเห็นเช่นนั้นก็รีบหนีทันที ถ้ายังไม่หนีซะตอนนี้ รอให้โหวเฟยเล่นงานหรือไง
การรับสินบน ในกฎของร้านไม่อนุญาตไม่ใช่เหรอ รปภ.จัดการ อัดให้สุดแรง อัดเสร็จแล้วก็โยนออกไป
โหวเฟยโกรธขึ้นมาทันที โบกมือไปมาพลางพูด
ครับ
รปภ.เหล่านั้นจับตัวผู้จัดการตรงล็อบบี้ทันที แล้วพาไปอีกด้านหนึ่ง ผู้จัดการตรงล็อบบี้ดิ้นสุดกำลัง แต่เขาจะดิ้นพ้นรปภ.ที่ผ่านการฝึกมาได้ยังไง
สำหรับฉินเฟิง เป็นแค่สวะก็เท่านั้น
ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงร้องน่าเวทนาออกมา แต่จากนั้นไม่กี่วินาทีเสียงก็หายไป คนที่เดินผ่านเห็นผู้ชายหัวแตกเลือดไหลคนหนึ่งกำลังนอนอยู่บนถนน
คุณฉิน ต้องขอโทษด้วย ร้านเราให้บริการไม่ดีเอง วันนี้ให้กินฟรีทั้งหมดเลยครับ
หลังจากจัดการเสร็จ โหวเฟยก็มาพูดกับฉินเฟิงอย่างระมัดระวัง กลัวจะทำให้ฉินเฟิงไม่พอใจเข้า
อืม
ฉินเฟิงจึงหายโกรธขึ้นมาหน่อย
อิ่นซินคือเกล็ดใต้คอมังกรของเขา ทว่ากลับมาด่าเขาว่าหน้าไม่อาย และมาด่าภรรยาของเขาก็เท่ากับรนหาที่ตาย โชคดีที่อยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่อื่นแขนหมอนั่นอาจหักครึ่งไปแล้วก็ได้
จากนั้นโหวเฟยก็พูดกับคนอื่นๆ: วันนี้กินฟรีทั้งร้าน
ข่าวดังกล่าวทำเอาคนอื่นๆต่างพากันส่งเสียงร้องดีอกดีใจ
เพราะการทะเลาะกันในร้าน สามารถส่งผลกระทบกับธุรกิจได้
และหลังจากฉินเฟิงนั่งลง อิ่นซินที่กำลังตกตะลึง ดึงมือฉินเฟิงด้วยความสงสัยพลางถาม: เกิดอะไรขึ้นๆ ทำไมเจ้าของร้านถึงคำนับให้คุณ
คุณเดาดูสิ
รีบบอกมาสิ……บอกมา……
อิ่นซินอ้อนๆ เพราะยังไงเวลาเธอถอดลุคนี้ออก เธอก็เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ไม่เคยมีแฟนมาก่อน
คิคิ แม่น่ารักมากๆเลย
กั่วกั่วนั่งไร้เดียงสาอยู่อีกด้าน
ฉินเฟิงเห็นแล้วน่ารักมาก แต่กั่วกั่วน่ารักกว่า เด็กผู้หญิงน่ารักๆคนนี้อยากกอดแม่ของเธอ คิดอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆอธิบาย: แบ็คหลังของเจ้าของร้านนี้คือตู้ต้วนเทียน คุณลืมไปแล้วเหรอว่าตู้ต้วนเทียนรู้จักผม
แบบนี้นี่เอง
อิ่นซินเข้าใจในทันที
แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ ความผิดหวังในแววตายังคงมีอยู่ เธอนึกว่าสามีตัวเองอนาคตสดใสแล้วซะอีก ไม่คิดว่าว่ายังคงยืมแสงสว่างของน้องสาวตน
อิ่นหนิงหยู่เก่งเกินไปแล้ว หาผู้ชายทั้งทีได้ถึงคนระดับตู้ต้วนเทียน
ไม่ใช่ว่าเธออิจฉาริษยาหรอกนะ แต่เธอกลัวจะเปรียบเทียบ ทันทีที่เปรียบเทียบก็เห็นความแตกต่างชัดเจน เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นประธานหญิงผู้เย็นชา
เรื่องการแสดงออก เธอควบคุมได้ดี
ดูจากภายนอกไม่เห็นความผิดหวังแม้แต่น้อย กลับกัน เห็นแต่ความสุข
ไม่มีทางเลือก
มันผ่านไปแล้ว เธอไม่หวังเกินตัวอะไรแล้วล่ะ ธรรมดาก็ธรรมดา
หลังจากกินข้าวเสร็จ ฉินเฟิงทั้งสามคนไปสวนสนุกด้วยกัน ไปทั้งบ้านผีสิง สวนน้ำและสถานที่ต่างๆที่เด็กๆมาเล่นกัน เพราะวันนี้อุตส่าห์หาเวลาออกมาเป็นพิเศษ ที่จะมากับสาวน้อยกั่วกั่วคนนี้
6ปีแล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่มาเที่ยวเล่นกันลูก
ขณะเดินทางกลับ ก็มีคนโทรหาฉินเฟิง ฉินเฟิงจึงรับสายทันที
ใช่คุณฉิน ฉินเฟิงไหมคะ?
มีเสียงผู้หญิงอันไพเราะดังออกมา อายุคงรุ่นราวคราวเดียวกับเขา น่าจะ25-26ปี
ผมเอง
ฉินเฟิงตอบกลับ
คุณฉิน พอจะมีเวลาคุยไหมคะ ขอเวลาคุณสัก5นาที ถ้าสะดวกละก็ฉันกำลังรอคุณอยู่ในร้านกาแฟที่ไม่ไกลจากบ้านคุณ
ฉินเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมอง แถวบ้านเขามีร้านกาแฟอยู่จริงๆ
และมีแค่ร้านเดียว
น่าสนใจ ผมจะไป
หลังจากฉินเฟิงไปส่งกั่วกั่วกับอิ่นซินก็มายังร้านกาแฟ เห็นผู้หญิงคนนั้นสวมเสื้อคลุมยีนส์ หน้าเรียวเล็ก คิ้วโก่ง หน้าตาสะสวย แต่ความรู้แรกที่ให้คือผู้หญิงคนนี้มีความสามารถมาก
ขณะเพิ่งเข้ามาฉินเฟิงก็พบว่า
ผู้หญิงคนนี้มีออร่าความเป็นผู้นำ
สวัสดีค่ะคุณฉิน จริงๆแล้ววันนี้ฉันอยากมาเจรจาสัญญากับคุณ
ผู้หญิงคนนั้นดันเอกสารไปบนโต๊ะ
ทว่าฉินเฟิงไม่ได้หยิบเอกสารนั้นขึ้นมา แต่มองไปด้านหลังผู้หญิงคนนั้นแทน มีผู้หญิงสวมหมวกแก๊ปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง จึงไปเคาะโต๊ะ
ก็อกๆๆ
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หลิวหลิน ไม่ถึงทางตันก็ไม่ยอมรับใช่ไหม?ผมเห็นคุณแล้วยังไม่ยอมออกมาอีก ?ในเมื่อเป็นสัญญาก็ซื่อสัตย์กันหน่อย คุณมาคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างๆนี่หมายความว่าไง
คุณว่าจริงไหม?คุณมู่หรง
ฉินเฟิงหันไปมองผู้หญิงตรงหน้าตนอีกครั้ง
……
ผู้หญิงคนนี้ชะงัก ถูกจับได้ง่ายๆแบบนี้เลย?
เหอะ
จากนั้นได้ยินเสียงชิชะออกมา หลิวหลินยืนขึ้นจากโต๊ะอีกด้านแล้วเดินมา บางทีอาจเพราะฝึกต่อสู้มานานหลายปี กางเกงยีนส์ตัวนั้นจึงเผยให้เห็นรูปร่างลีนๆออกมา
หลิวหลินสวยมาก ได้ชื่อว่าเป็นสาวสวยเบอร์หนึ่งในเมืองเจียงเฉิง
แต่ตอนนี้เธอนั่งลงด้วยสีหน้าไม่พอใจ มองฉินเฟิงเหมือนแทบจะกินเนื้อ: คุณเห็นฉันได้ยังไง?ครั้งนี้ฉันปลอมตัวเนียนมากเลยนะ!
ครั้งก่อนพูดได้ว่าเดาครึ่งหนึ่งหลอกครึ่งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เธอลังเล ไม่ยอมรับในทันที จะถูกจับได้อีกครั้งไม่ได้
แต่ว่าฉินเฟิงก็ยังจับได้อยู่ดี
ตกลง……รู้ได้ยังไง เธอเปิดเผยออกมายังไง โมโหจริงๆ
คลานออกไป?คุณมีสิทธิ์อะไรบอกให้ผมคลานออกไป
ฉินเฟิงมือไขว้หลัง หรี่ตาเบาๆ มีเจตนาฆ่าเบาๆ
ฮ่าๆ มีสิทธิ์อะไรให้คลานออกไปงั้นเหรอ?คำถามนี้คุณถามได้ดีมาก เพราะนี่เป็นที่ของเรา ผมเป็นใหญ่ ผมบอกให้คุณคลานออกไป คุณก็ต้องคลานออกไปอย่างว่าง่าย
ผู้จัดการตรงล็อบบี้หัวเราะเบาๆ จากนั้นโบกมือ รปภ.ในร้านก็เข้าไปล้อมทันที
รู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?ที่นี่คือภัตตาคารเทียนหยุน รู้จักเจ้าของที่นี่ไหมล่ะ เขามีแบ็คหลังใหญ่โตมาก คุณไม่อาจล่วงเกินได้
หวงจงจับปากตัวเองพลางพูดเย้ยหยัน
กล้าลงมือกับเขา รนหาที่ตายจริงๆ ตอนนี้ต่อให้เขาไม่ลงมือเอง เจ้าของภัตตาคารแห่งนี้ก็ปราบเขาได้ราบคาบ
เหอะ
จะสู้กับเขา อ่อนเกินไปหน่อย
พวกคุณ……เขาเป็นคนด่าคนอื่นก่อนนะ
อิ่นซินยืนขึ้นพูดอย่างห้าวหาญ
ผมไม่สนว่าใครก่อเรื่องก่อน พวกคุณฝ่าฝืนกฎของร้านเรา ดังนั้นต้องได้รับโทษ พวกแกจัดการเลย วันนี้ฉันต้องการให้หมอนี่นอนโรงพยาบาลสัก2-3เดือน
ผู้จัดการตรงล็อบบี้ไม่สนใจอะไรมาก เพราะได้รับเงินมาแล้ว อะไรๆฉินเฟิงก็ผิดทั้งนั้นแหละ
ถึงยังไงแบ็คหลังเขาใหญ่
ไม่หวาดกลัว
พวกคุณ……
อิ่นซินกำลังจะพูดบางอย่าง
แต่ทันใดนั้นก็มีมือวางบนไหล่เธอ: เรื่องแบบนี้ให้ผู้ชายจัดการเถอะ
อิ่นซินหันไปมองฉินเฟิง เมื่อก่อนเรื่องทุกอย่างในบ้านล้วนเป็นเธอที่จัดการ ไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเธอมาก่อน ทำให้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แต่วินาทีต่อมา ก็เผยรอยยิ้มอันอ่อนโยนออกมา: ค่ะ
เธอไม่ใช่ผู้หญิงดื้อรั้น เธอรู้ว่าเวลาไหนควรให้เกียรติผู้ชาย ยิ่งกว่านั้นเธอมั่นใจอย่างอธิบายไม่ถูก เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงสามารถจัดการเรื่องตรงหน้าได้
ไม่รู้ทำไม
รู้สึกอย่างอธิบายไม่ได้ว่าฉินเฟิงสามารถจัดการได้
เจ้าหนุ่ม ท่าทางมั่นใจขนาดนั้น อย่าพูดอวดดีนักเลย แต่ตอนนี้ไม่เพียงพูดอวดดี ตัวคุณเองยังจะโดนไปด้วย เหอะ
ผู้จัดการตรงล็อบบี้พูดอย่างเป็นผู้ชนะ
ในความเป็นจริง ตอนนี้เขายังคงจับนาฬิกาเรือนนั้นในกระเป๋าอยู่ เขาเคยเห็นมาก่อน เป็นของราคาแพง ราคาเหยียบแสน แค่แป๊บเดียวก็หาเงินได้เป็นแสน
ได้กำไรมหาศาล
เขามีความสุขอยู่ในใจ
ฉินเฟิงกวาดตามองรปภ.เหล่านั้น ดูหน่วยก้านดีแต่ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ขณะที่กำลังจะถีบเข้าไป ก็มีเสียงดังมาจากด้านประตู: หยุด
ทุกคนหันไปมอง เห็นเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
แม่งเอ้ย ใครวะ?จะสู้กันอยู่แล้วแต่มาบอกให้หยุด แม่ง
หวงจงหันไปมองคนตรงประตูอย่างไม่พอใจมากๆ เขาจะได้เห็นฉินเฟิงโดนเล่นอยู่แล้วแท้ๆ แต่กลับมาใครก็ไม่รู้โผล่มา แถมยังตะโกนให้หยุด
ทำไมต้องหยุด
กำลังจะพุ่งใส่อีกครั้ง
ทว่าเขาถึงกับชะงักไป เพราะเห็นคนที่อยู่ด้านหลังผู้จัดการตรงล็อบบี้ ค่อยๆเดินเข้ามา จึงโค้งคำนับ: เจ้านาย
เจ้านาย!
ทุกคนชะงัก อายุดูเพิ่ง20กว่าๆ คิดไม่ถึงว่าผู้ชายที่ยังหนุ่มขนาดนี้ จะเป็นแบ็คหลังใหญ่โตของที่นี่ที่เรียกกัน
พวกแกจบเห่แน่ เจ้านายถึงกับมาเอง
ทันทีที่หวงจงได้ยินว่าเจ้านาย ก็ยิ่งดีใจเข้าไปอีก เจ้านายคนนี้มีแบ็คหลังใหญ่โต สุดจริงๆ ตอนนี้เจ้านายถึงกับออกมาเอง ฉินเฟิงไม่ตายหรอกเหรอ?
ฮ่าๆ
เขาแทบจะกลั้นยิ้มเอาไว้ไม่อยู่
เจ้านาย หมอนี่ทำร้ายคนโดยไร้เหตุผลในร้านเรา ทำร้ายเสร็จยังยั่วยุร้านเราอีก ว่าร้านเราไม่ใช่ร้านดีเด่อะไร เป็นร้านเถื่อน เจ้านายก็ไม่ใช่คนดีอะไร เจ้านาย หมอนี่กำเริบเกินไปแล้ว……
ผู้จัดการตรงล็อบบี้ชี้ไปยังฉินเฟิง พลางพูดใส่ร้ายหลายข้อหา
ทำไปก็เพื่อให้เจ้านายไม่พอใจฉินเฟิง
เขารู้ว่าเจ้านายคนนี้มีแบ็คหลังใหญ่โต เพียงแค่เจ้านายลงมือ ฉินเฟิงเจ้าหมอนี่จบเห่แน่นอน งั้นเงินหนึ่งแสนนี่ก็ตกเป็นของตน
ตั้งหนึ่งแสน ง่ายดายจริงๆ
ทว่าขณะเขากำลังพูดใส่ร้าย ชายหนุ่มคนนั้นก็เดินไปหาฉินเฟิง ทำเอาผู้จัดการตรงล็อบบี้ตกใจขึ้นมาทันใด: เจ้านายโกรธแล้ว จะจัดการเขาด้วยตัวเอง
เขาเกือบหัวเราะออกเสียง
ทว่าวินาทีต่อมา เสียงของเขาก็ถูกบีบ มองฉากนี้ด้วยตาเบิกกว้าง ยื่นมือออกไป พลางพูดอย่างหายใจลำบาก: นี่……เป็นไปได้ยังไง……เป็นไปไม่ได้……
นี่มัน!
หวงจงเบิกตาโตอึ้งไปเช่นกัน
ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม!
คนที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างหายใจลำบาก บางคนถึงกับอ้าปากกว้าง
เพียงเพราะว่าพวกเขาเห็นชายหนุ่มคนนั้น ที่เป็นเจ้าของร้านแห่งนี้ และเป็นผู้ชายที่มีแบ็คหลังใหญ่โตที่กล่าวขานกัน กำลังโค้งคำนับให้ฉินเฟิง
คุณฉิน ไม่เจอกันนานนะครับ
น้ำเสียงจริงใจ ทำเอาคนอื่นรู้สึกเหลือเชื่อ
เจ้าของภัตตาคารเทียนหยุน โค้งคำนับให้ลูกเขยที่เกาะผู้หญิงกิน?
คาดไม่ถึง!
ไม่อยากจะเชื่อ
ถ้าอยู่ข้างนอกแล้วมีคนพูดแบบนี้ พวกเขาไม่มีทางเชื่อแน่นอน แต่วันนี้เกิดขึ้นให้เห็นกับตา จะให้พวกเขาไม่เชื่อก็ไม่ได้
โหวเฟย ไม่เจอกันนานเลย
ฉินเฟิงมือไขว้หลังพลางมองคนผู้นี้
เขานึกออกแล้ว เป็นคนคนเดียวกับคนขับรถของต้าตาวคราวก่อน และคนที่เขาเดิมพันหนึ่งแสนในสนามแข่งรถใต้ดิน ได้ยินมาว่าต่อมาชนะได้ถึง10ล้าน
คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอในวันนี้ แถมยังเป็นเจ้าของร้านนี้ด้วย
คุณฉิน บุญคุณที่ให้ชีวิตใหม่ ยังจารึกอยู่ในความทรงจำผมตลอด
โหวเฟยเงยหน้าขึ้น สายตาแฝงไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสศรัทธา
เพราะเขาเป็นแค่นักแข่งรถ ความฝันคือได้ลงแข่งในสนาม เขาชื่นชมคนที่มีทักษะด้านรถชั้นยอดมากๆ เพราะเขาก็ภาคภูมิในความสามารถของตนเช่นกัน
จนกระทั่งวันนั้นหลังจากได้เห็นฝีมือของฉินเฟิง ก็กลายเป็นเกิดความศรัทธา
ฉินเฟิง เทพนักแข่งรถแห่งเขาชิวหมิง ไม่มีอะไรต้องละอายใจ และหลังจากวันนั้น ตำนานรถหวูหลิงหงกวงก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งสนามแข่งรถใต้ดิน
และที่เขามาเปิดภัตตาคารแห่งนี้ ก็เพราะฉินเฟิง วันนั้นเขาชนะได้เงินมา10ล้าน คงเพราะกลัวจนจึงวางแผนเก็บเงินไว้ แล้วค่อยๆเอาออกมาใช้
แต่เมื่อการแข่งขันของวันนั้นจบลง ตู้ต้วนเทียนก็มาพบเขาเข้า แล้วถามว่า: คุณรู้จักคุณฉิน ฉินเฟิงหรือเปล่า?
ใช่
พรหมลิขิตที่ได้เจอครั้งเดียวก็คือพรหมลิขิต อย่างน้อยก็พอพูดถูๆไถๆได้ว่ารู้จัก
แต่เพราะคำว่า‘ใช่’คำนี้ ทำให้เขาได้รับโอกาสที่ดีมากๆ ตู้ต้วนเทียนลงเงินทุนช่วยเขาเปิดภัตตาคารแห่งนี้ทันที และยังบอกอีกว่าเขาคือแบ็คหลังของโหวเฟย
ตู้ต้วนเทียน ลูกชายคนโตตระกูลตู้ นี่คือแบ็คหลังอันลึกลับของโหวเฟย
หลังจากมีชื่อเสียงนี้ภัตตาคารของโหวเฟยก็ดั่งปลากระดี่ได้น้ำ ยิ่งเจริญขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่มีทางลืมเรื่องนี้ นั่นก็คือการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดของเขาเป็นเพราะ‘ฉินเฟิง’
อีกทั้งเขายังรู้มาอีกว่า ตู้ต้วนเทียนช่วยเขาก็เพราะเขาเจอกับฉินเฟิงโดยพรหมลิขิตนั่น ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าฉินเฟิงเป็นคนระดับไหน
ดังนั้นโหวเฟยจึงเคารพยำเกรงเป็นอย่างมาก
อย่ามีเรื่องกับคุณฉิน
หลายวันผ่านไป ณ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด ทุกอย่างมาถูกทางแล้ว วิศวกรคือเฉินจื่อซวน เป็นนักศึกษาป.เอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง และมีเงินทุนจากบริษัทชิ่งหยาง300ล้าน
ส่วนของอื่นๆล้วนถูกถ่ายภาพในลานประมูลแล้ว
และวันนี้ เป็นวันที่ได้กินมื้อใหญ่
กินของอร่อยๆ
กั่วกั่วที่อยู่ตรงกลาง มือข้างหนึ่งจูงมือฉินเฟิง อีกข้างจูงมืออิ่นซิน พูดเสียงเจื้อยแจ้วน่ารัก
แมวตะกละ
อิ่นซินลูบจมูกกั่วกั่ว
เธอมีนัดกับกั่วกั่ว ในหนึ่งเดือนมีหนึ่งวันที่เธอต้องจัดตารางงานออกมาเที่ยวเล่นกับลูก ต่อให้ยุ่งยังไงเธอก็ต้องหาเวลาออกมาให้ได้
แต่วันนี้แตกต่างออกไป เพราะมีคนเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ฉินเฟิงมองทั้งคู่พลางส่ายหัวด้วยความเอ็นดู แต่เมื่อตั้งใจมองอิ่นซินอย่างละเอียด วันนี้เธอใส่ชุดกระโปรงสั้นสีดำ ในขณะเดียวกันก็ดูใจกว้างเหมาะสมและเผยให้เห็นรูปร่างผอมเพรียว
ผมยาวดำสลวย
หญิงงามในแดนมนุษย์
ตอนเดินผ่านไปดึงดูดสายตาผู้ชายไม่น้อย โดยเฉพาะฉินเฟิง ทว่าสายตาเขาแฝงไปด้วยเป็นศัตรู ทำไมถึงแต่งงานกับผู้หญิงสวยขนาดนี้นะ
ถึงแล้ว ภัตตาคารเทียนหยุน
เมื่อฉินเฟิงมาถึง มองไปที่ป้ายภัตตาคารเทียนหยุน เป็นภัตตาคารที่เพิ่งเปิดใหม่ ได้ยินมาว่าชื่อเสียงดีมาก เขากับอิ่นซินปรึกษากันนาน ถึงได้ตัดสินใจเลือกที่นี่
เดินเข้าไป จากนั้นเลือกที่นั่งริมหน้าต่าง
เป็นแบบสี่ที่นั่ง อิ่นซินกับฉินกั่วกั่วนั่งด้านหนึ่ง ส่วนฉินเฟิงนั่งตนเดียวอีกด้านหนึ่ง ภาพที่อบอุ่นเช่นนี้ทำให้ฉินเฟิงรู้สึกอบอุ่น
เป็นทหารประสบการณ์โชกโชนมา7ปี มีโอกาสรอดน้อยมาก สิ่งที่มอบให้เขามีแต่เลือดและความหนาวเหน็บ
โดยเฉพาะเพื่อนที่ดีที่คุณรู้จักในวันนี้ พรุ่งนี้กลับต้องไปพลีชีพในสนามรบ ตอนนั้นฉินเฟิงประสบกับเรื่องแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ฝังใจมาตลอด
ต่อมาเขาได้เป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ เทพสงครามปกป้องประเทศ ยิ่งต้องคิดเรื่องปกป้องประเทศชาติอย่างไม่ลดละ ขณะตนอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด เขาก็ระแวงว่าวันหนึ่งอาจตายย่างกะทันหัน
ทว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบ ในที่สุดเขาก็ได้ผ่อนคลาย ได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการ
จุ๊ๆๆ อิ่นซิน คุณที่ถูกออกจากตำแหน่งประธานกรรมการมีเงินมาที่นี่ด้วย?คงไม่ได้เอาเงินของบริษัทมาใช้หรอกนะ ไม่กลัวอิ่นป่ายและคนอื่นๆทำให้เดือดร้อนเหรอ
มีเสียงดังมาจากด้านหนึ่ง
ฉินเฟิงหันไปก็เห็นเป็นหวงจง กำลังนั่งอยู่อีกโต๊ะพอดี แต่มีแค่เขาคนเดียว
คุณอีกแล้ว ทำไมเจอคุณไปซะทุกที่เลย
อิ่นซินมองหวงจง สายตาเผยความไม่สบายใจ บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัดของเธอเพิ่งเริ่ม ไม่เคยรับมือการโจมตีของอิ่นป่ายกับอิ่นเสี้ยงสวี่
ไม่คิดว่าครั้งแรกที่เจอจะเป็นหวงจง แห่งหวงซื่อกรุ๊ป
ทั้งอวดดีและใช้อำนาจบาตรใหญ่
ยโสโอหังอย่างยิ่ง
แถมยังประกาศกร้าวว่าจะโจมตีบริษัทกึ่งซานหยวนของเธอ
แต่ที่ทำให้เธอโกรธมากคือตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น บริษัทกึ่งซานหยวนเพิ่งเริ่มต้น แต่ละฝ่ายแค่เพิ่งพร้อม ไม่มีกำลังไปต่อต้านกับหวงซื่อกรุ๊ป
ดังนั้นจึงทำได้เพียงกัดฟันกลืนลงไป
อิ่นซิน ภัตตาคารนี้เป็นระดับไฮเอนด์ ตอนนี้คุณตกต่ำแล้วทำไมยังเข้ามาอีก แถมยังเอารปภ.เข้ามาด้วย จุ๊ๆๆ หน้าไม่อายจริงๆ
หวงจงหันมาพลางพูดอย่างภาคภูมิ
จากนั้น
วินาทีต่อมา ชามใบหนึ่งลอยไปตบปากหวงจง มีเลือดออกมา และกระจกแตกเสียงดังเพล้ง
หุบปาก!
ทุกคนหันไปมอง พบว่าฉินเฟิงเป็นคนปาชามออกมา
โอ๊ย!
หวงจงร้องโอดโอยออกมาพลางกุมปาก แผลไม่ได้หนักมาก เห็นเป็นแค่คราบเลือดก็เท่านั้น แต่หวงจงกลับมองฉินเฟิงอาฆาตแค้น: แกทำอะไร!
ด่าภรรยาของฉัน ปากเสีย สมควรโดน ฉินเฟิงพูดอย่างไม่อ้อมค้อม
เพราะฉัน?
อิ่นซินอึ้ง เกิดความรู้สึกอุ่นใจวาบผ่านไป เจ้าทึ่มนี้ออกหน้าให้เธอเป็นด้วย?
แต่ว่า
ดีจัง
แม้คิดแบบนั้นแต่อิ่นซินก็ยืนขึ้น เพราะเธอรู้ว่าเจ้าของภัตตาคารแห่งนี้ไม่ใช่หาเรื่องได้ง่ายๆ ได้ยินมาว่ามีแบ็คหลังอันลึกลับ
เดิมทีจะเข้าไปขอโทษ แต่หวงจงกลับกุมปากพลางถอยออกไป: อย่าเข้ามานะ เรื่องวันนี้ไม่จบง่ายๆแน่ กล้าทำร้ายฉัน?แม่งเอ้ย ฉันโตมาขนาดยังไม่เคยโดนทำร้ายมาก่อน
เจ้าของร้านล่ะ รีบออกมา ลูกค้าของพวกคุณจะโดยทำร้ายตายอยู่แล้ว
หวงจงตะโกนเสียงดัง
ที่นี่เป็นโรงแรมระดับไฮเอนด์ที่เพิ่งเปิดใหม่ ได้ยินมาว่ามีแบ็คหลังใหญ่โต ไม่มีใครกล้าก่อเรื่องที่นี่ แต่ตอนนี้กลับมีคนกล้าทำร้ายเขาที่นี่
งั้นไม่ต้องให้เขาลงมือหรอก เจ้าของที่นี่สามารถเอาฉินเฟิงถึงตายได้
ฮ่าๆ
กล้าทำร้ายฉัน?
อยากตายจริงๆใช่ไหม
แย่แล้ว
อิ่นซินร้อนรน ถ้าเจ้าของร้านออกมาได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แน่
และในขณะที่หวงจงกำลังตะโกน รปภ.ในร้าน5-6คนก็เดินมา ล้วนรูปร่างกำยำทั้งนั้น หนึ่งในนั้นมีผู้จัดการตรงล็อบบี้ด้วย
คุณครับ เกิดอะไรขึ้น?
ผู้จัดการตรงล็อบบี้คนนั้นเดินมาแล้วถามขึ้น
ไอ้หมอนี่หน่ะสิ ทำร้ายคนโดยไร้เหตุผล เห็นๆอยู่ว่าฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มันกลับทำร้ายฉัน ดูรอยแผลบนหน้าฉันสิ ป่าเถื่อนมาก
หวงจงชี้คราบเลือดบนหน้าตน
นี่มัน……
ผู้จัดการตรงล็อบบี้ขมวดคิ้ว หันไปมองฉินเฟิงพลางถาม: คุณเป็นคนทำเหรอครับ?
ไม่ใช่
ฉินเฟิงส่ายหน้าไปมา: ผมแค่นั่งอยู่ตรงนี้ แต่จู่ๆเขาก็คว้าชามขึ้นมากรีดหน้าตัวเอง จากนั้นยืนขึ้นแล้วบอกว่าผมเป็นคนทำ คงเป็นบ้า พวกคุณรีบพาไปโรงพยาบาลเถอะ
ในเมื่อหวงจงบอกว่าตนไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น งั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะพูดแบบนี้
เขาก็ไม่ได้ทำอะไรเหมือนกัน
ทว่าผู้จัดการตรงล็อบบี้งงไปแล้ว
เป็นบ้า?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ขณะเขากำลังสับสน หวงจงก็ถอดนาฬิกาของตนออกมา แล้วสอดให้ผู้จัดการตรงล็อบบี้: นี่มีน้ำหนัก24Kราคาหนึ่งแสน วันนี้ฉันต้องการให้หมอนี่กลายเป็นคนพิการ อาศัยแบ็คหลังของพวกคุณคงทำได้
ครับ
ทันทีที่ได้สัมผัสนาฬิกาเรือนนั้น ผู้จัดการตรงล็อบบี้ก็ไม่สนแล้ว ยิ้มจนหน้าจะบานอยู่แล้ว ราคาตั้งแสนนึง กับคำของ่ายๆที่แค่ทำให้หมอนี่กลายเป็นคนพิการเนี่ยนะ
เรื่องกล้วยๆ
ทำร้ายเสร็จคนคนนี้ก็ไม่กล้าแก้แค้นหรอก เพราะแบ็คหลังของพวกเขาใหญ่มาก
เจ้าหนุ่ม อย่าใส่ร้ายคนอื่นไปหน่อยเลย เห็นๆอยู่ว่าคุณคนนี้ไม่ได้ทำอะไร แต่คุณกลับคว้าชามโยนใส่หน้าเขา นี่มันผิดกฎของร้าน
ผู้จัดการตรงล็อบบี้เปลี่ยนน้ำเสียง พูดใส่ฉินเฟิงอย่างรังเกียจ
ไม่ใช่ เขาเป็นคนด่าคนอื่นก่อน
อิ่นซินยืนขึ้นแก้ต่างให้ฉินเฟิง ส่วนฉินกั่วกั่วที่อยู่ข้างๆเธอ พูดเสียงไร้เดียงสาออกมา: ใช่ค่ะ เขาด่าแม่หนูก่อน
ตอนนี้หลักฐานชัดเจน ว่าพวกคุณเป็นคนลงมือก่อน เห็นๆอยู่ว่าคุณคนนี้ไม่ได้ทำอะไร แต่กลับถูกพวกคุณใส่ร้าย พวกคุณนี่หน้าไม่อายจริงๆ
ผู้จัดการตรงล็อบบี้พูดอย่างมั่นใจ สีหน้าเผยความโหดร้าย: คนอย่างพวกคุณไม่เหมาะกับร้านเรา และอิงตามกฎของร้าน พวกคุณทำชามของร้านแตกไปหนึ่งใบต้องชดใช้หนึ่งพันล้าน ถ้าไม่ชดใช้วันนี้ก็คลานออกไปเถอะ
เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์?เล่นตลกอะไร แกรู้ไหมว่านั่นเป็นคนระดับไหน?
เฉินป๋อได้ยินก็หัวเราะออกมา สีหน้าไม่เชื่อ เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ นั่นเป็นถึงเทพสงครามปกป้องประเทศของประเทศต้าหัวเชียวนะ เป็นผู้สังหารทหารฝ่ายศัตรูถึงสามแสนนายในสงคราม
คนระดับนั้นจะมาโผล่อยู่ตรงนี้ได้ยังไง
จนกระทั่ง สวีเสี่ยนที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นอย่างขมขื่น: คุณชายครับ อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เป็นนายพล ถ้าไม่ใช่นายพลคงไม่อาจระดมกำลังพลได้
อย่างน้อย เป็นนายพล?
รอยยิ้มบนใบหน้าเฉินป๋อแข็งทื่อในทันใด
นายพล?
นี่เป็นคนระดับไหน อย่าว่าแต่เป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์เลย แค่เป็นระดับนายพล ทั้งเมืองเจียงเฉิงก็ไม่อาจมีใครขัดขวาง
ต้องการพิสูจน์?นี่สามารถพิสูจน์ได้ไหม?
ฉินเฟิงโยนป้ายคำสั่งให้ เฉินป๋อหยิบขึ้นมาดู สมองอื้ออึงทันใดดั่งกับมีฟ้าผ่า เพียงเพราะมีมังกรอยู่บนป้ายคำสั่งนี้
ด้านหน้าเขียนตัวใหญ่ๆว่า‘วีรบุรุษผู้ไม่มีสอง’!
ด้านหลังเขียนแค่ตัวเดียวว่า ฉิน
ทุกคนต่างรู้ว่าเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์มีนามว่าฉิน ทุกคนล้วนเคารพนายพลฉิน นอกจากเขตทหารแล้วก็ไม่มีใครรู้จักชื่อจริงของเขา แต่คิดไม่ถึงว่าจะชื่อเฟิง นามสกุลฉิน!
แถมยังมาปรากฏตัวตรงหน้าเขา
วีรบุรุษผู้ไม่มีสอง ป้ายคำสั่งนี้มีแค่เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ แห่งประเทศต้าหัวคนเดียวเท่านั้นที่มี สามารถสั่งกองทัพในเมืองใดก็ได้ทั่วทั้งประเทศต้าหัว
อิงจากส่วนนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้ว ว่าฉินเฟิงเป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์จริงๆ
เล่นกับเขารึไง?
นี่เป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์จริงๆ!
เทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าหัว ผู้ที่สังหารทหารฝ่ายศัตรูไปสามแสนนาย
โอ้พระเจ้า!
จู่ๆก็มาปรากฏตัวตรงหน้าเขา แถมยังจะอัดเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ผู้นี้อีก เมื่อนึกถึงตรงนี้เฉินป๋อก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ มีสอง
คำผุดขึ้นในใจ‘จบเห่’จากนั้นก็ตกใจจนเป็นลมหมดสติไป
เพราะนี่เป็นถึงคนที่ได้ชื่อว่าเป็น‘เทพสังหาร’ในสนามรบ
เป็นลมไปแล้ว?จิตใจไม่แข็งแรงเอาซะเลย
ฉินเฟิงส่ายหัวไปมา แล้วออกคำสั่ง: เจ้าพวกนี้ไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของชีวิตของผู้อื่น ทำการรื้อถอนโดยใช้อำนาจ ปฏิบัติตามคำสั่งของฉัน ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเข้มงวด
ทราบ น้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพ
เสียงทหารกว่าสามพันนายดังกึกก้อง
เรื่องนี้ฉินเฟิงไม่ได้ให้หลิวหลินจัดการ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมากเกินไป แถมหนึ่งในนั้นยังเกี่ยวพันไปถึงคนของเขตทหารคนหนึ่งด้วย
หลิวหลินจัดการไม่ได้หรอก
ไป
หนึ่งนาทีต่อมา ทุกคนล้วนโดนทหารนำตัวไป พากลับไปตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยมีฉีหยุนเป็นคนรับหน้าที่นี้
หลังจากพวกเขากลับไปหมด ฉินเฟิงหันไปมองน้าจางกับเสี่ยวเยว่ โบกมือไปมาพลางพูดด้วยรอยยิ้ม: ไม่มีอะไรแล้ว
ทำความเคารพท่านนายพล
น้าจางรีบโค้งคำนับทันทีอย่างทำตัวไม่ถูก
เป็นถึงนายพล นี่มันคนระดับไหน เธอไม่อาจล่วงเกิน
น้าจาง ไม่จำเป็นเลย ตอนนั้นถ้าไม่ได้น้าช่วยผมไว้ ผมก็ไม่อาจมีวันนี้
ฉินเฟิงจับมือน้าจาง
เขาไม่ใช่คนเย่อยิ่ง มีบุญคุณก็ต้องทดแทน ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้ในตอนนั้น
น้าจางโล่งอก เธอคิดว่าไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ฉินเฟิงจะมีนิสัยเปลี่ยนไป เธอจึงแสดงความเคารพอย่างระมัดระวังสุดๆ
แต่เมื่อมองในตอนนี้ ก็ยังเป็นพ่อหนุ่มน้อยถ่อมตัวเหมือนตอนนั้น
เป็นเด็กดีจริงๆ
น้าจางมองฉินเฟิง สายตาเผยความอ่อนโยน
ไปเถอะ เราเข้าไปคุยกันข้างใน
น้าจางทำท่าทาง พลางพาเสี่ยวเยว่เข้าไปด้านใน
ฉินเฟิงเดินตามอยู่ด้านหลัง
หลังจากเข้าไปน้าจางก็เล่าเรื่องราวช่วงหลายปีมานี้ให้ฟัง ตอนนั้นครอบครัวเธอเป็นครอบครัวที่มีฐานะปานกลาง แต่เพราะพ่อของเด็กเสียชีวิตเร็ว เพราะที่บ้านเหลือแต่ผู้หญิงและหน้าตาดี หลายคนจึงเป็นห่วงอยู่ตลอด
แต่เธอไม่ยอมแต่งงานใหม่
ต่อมามีคนบางส่วนพุ่งเป้ามาที่เธอ ทำให้ร้านที่เธอบริหารคนเดียวล้มละลาย จากนั้นก็ต้องขายบ้าน กลับมาอยู่ที่บรรพบุรุษของพ่อเสี่ยวเยว่
หนู มานี่สิ
ฉินเฟิงยื่นมือออกไป เสี่ยวเยว่โผเข้าไปในอ้อมแขนของเขา ทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว: ฉันมีลูกสาวหนึ่งคน เด็กกว่าเธอไม่กี่ปี วันหลังพวกเธอค่อยมาเล่นด้วยกัน
คุณมีลูกสาวแล้ว?
น้าจางค่อนข้างแปลกใจ เด็กพเนจรในตอนนั้น ตอนนี้ไม่เพียงกลายเป็นนายพลผู้ยิ่งใหญ่ แถมยังมีลูกสาวแล้วด้วย
ครับ ชื่อฉินกั่วกั่ว
ตอนฉินเฟิงพูดถึงชื่อนี้ สายตาก็เผยความอ่อนโยน
เด็กเอาใจใส่คนนั้น
ดีจัง
น้าจางยิ้มเบาๆ เธออยากรับเลี้ยงเฉินจื่อซวนกับฉินเฟิงไว้ แต่ตอนนั้นเธอเพิ่งสูญเสียสามีไป จากนั้นเฉินจื่อซวนกับฉินเฟิงก็หนีไป
เธอจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป
ทว่าตอนนี้เธอ ดีใจด้วยจากใจจริง ที่ได้เห็นฉินเฟิงกลายเป็นนายพลผู้ยิ่งใหญ่
จริงสิ จื่อซวนล่ะ?
น้าจางถามถึงเด็กอีกคน
เขาหน่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนหกล้มจนขาได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล ตอนนี้เขาก็เก่งมากเช่นกัน ได้เป็นวิศวกรระดับสูง เป็นปัญญาชน
ฉินเฟิงไม่ได้พูดถึงเรื่องผับ เพื่อไม่ให้น้าจางเป็นห่วง
งั้นก็ดีแล้วล่ะ
เด็กสองคนนี้ไม่เป็นอะไรน้าจางก็หมดห่วง
จริงสิ น้าจาง คนที่นี่หนีกันไปหมดแล้ว น้าอยากเปลี่ยนที่อยู่ไหม?ผมมีบ้านที่ไม่ได้อยู่อยู่หลังหนึ่งพอดี ให้น้าไปอยู่ดีกว่า
ฉินเฟิงพูดพลางจะเอาคีย์การ์ดบ้าน001ออกมา
เป็นคฤหาสน์ราคา70ล้านที่อยู่ในวิลล่าหยุนติ่งหลังนั้นนั่นแหละ เขาให้น้าจางอย่างไม่ถือสา เพราะเขาไม่ได้ขัดสนเงิน ตรงกันข้าม เขาต้องการทดแทนบุญคุณต่างหาก
ทว่าน้าจางกลับโบกมือไปมา กดมือของฉินเฟิงไว้: ไม่ได้ อยู่ที่นี่ดีอยู่แล้ว ยังไงพ่อของเด็กก็ทิ้งไว้ให้
ฉินเฟิงมองน้าจาง พบว่าน้าจางมีสีหน้าอาวรณ์ ทิ้งที่นี่ไปไม่ได้จริงๆ
งั้นก็ได้ครับ น้าจางมีเรื่องอะไรมาหาผมได้เลย
ฉินเฟิงทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้น้าจาง
หากมีเรื่องอะไรก็ให้โทรหาเขา
จ่ะ
น้าจางไม่ได้รับคีย์การ์ดแต่เก็บเบอร์โทรนี้ไว้ เธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลืออะไร แค่รักเด็กสองคนนี้ เบอร์ที่ให้ไว้วันหลังยังได้ติดต่อกันอีก
หลังจากกลับไป ณ ตระกูลอิ่น ฉีหยุนโทรมา: นายพล ผมตรวจสอบได้แล้ว เป็นผลประโยชน์แบบลูกโซ่ พัวพันเป็นวงกว้าง……ผมจับกุมตัวเลยนะครับ
ได้
ฉินเฟิงเห็นด้วย
ยังไงฉีหยุนก็เป็นผู้บัญชาการสูงสุด ไม่ค่อยมีคนรู้ตัวตนของเขา ส่วนพวกทหารก็อยู่ในเขตทหารตลอด ไม่มีทางหักหลังแน่นอน
และเมื่อถึงตอนค่ำ อิ่นซินกลับมาอย่างรีบๆ
ที่รัก คุณรู้ไหม?ฉันได้ยินข่าวหนึ่งมา อิ่นซินนั่งลงข้างๆฉินเฟิง พลางพูดกับฉินเฟิง
ข่าวอะไร?
บริษัทเฉินซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว ฉันไม่อยากจะเชื่อ บริษัทนี้เป็นบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมก่อสร้างเหมือนบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป แต่พวกเขาเลวทรามกว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปอีก ใช้เงินติดต่อกับเบื้องบน ดำเนินการบังคับรื้อถอนอย่างต่อเนื่อง ครั้งก่อนเกือบฆ่าคนแล้ว
อิ่นซินสีหน้ามีความสุขปรากฏขึ้น: แต่ครั้งนี้ไม่รู้พวกเขาไปผิดใจกับคนใหญ่คนโตคนไหนเข้า ยื่นมือออกมาจัดการซะราบคาบ ได้ยินมาว่าเกี่ยวพันกับคนใหญ่คนโตหลายคน ฉันดีใจมากจริงๆ บริษัทใจดำแบบนี้ ครั้งก่อนฉันร้องเรียนพวกเขาแล้วแต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ครั้งนี้สาแก่ใจจริงๆ ต้องขอบคุณคนที่ยื่นมือออกมาจัดการคนนั้นจริงๆ ที่กำจัดความหายนะให้เมืองเจียงเฉิง ถ้าลานเมิ่งรู้เข้าคงกลายเป็นคนที่ศรัทธาคนที่สี่
แต่ว่าคนที่เธอชอบที่สุดยังคงเป็นเจ้าชายเปียโน ได้ยินมาว่าเธอสาบานว่าจะจีบผู้ชายคนนั้นให้ได้
คุณมาได้ยังไง?
ฉินเฟิงมองฉีหยุนพลางถาม
หัวหน้ากองพลนี้ ก็คือฉีหยุน
พาเจ้าพวกนั้นออกมาการฝึกการทหารแถวนี้ครับ พบว่ามีผู้ประสบภัยจำนวนมากเลยมาดู ฉีหยุนลูบหัวพลางพูด
เขาเป็นพันเอกคนหนึ่ง เป็นพันเอกในเขตทหารชายแดน มีทั้งอำนาจและคุณสมบัติในการบังคับบัญชาเขตทหารแห่งเมืองเจียงเฉิง และฉีหยุนก็ชอบอยู่ในเขตทหาร มีการให้ทหารเหล่านี้ฝึกแบบพิเศษเป็นบางครั้ง
ฉีหยุนที่มีตำแหน่งถึงพันเอกชายแดน เคยผ่านสนามรบมาแล้ว
นาย……พล……นายพล……
เสียงดังตุบ
คนเหล่านั้นล้มลงไปกับพื้นทันที โดนเฉพาะสวีเสี่ยน ตอนแรกยังโอหังอวดดีเตรียมจะฆ่าคนอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับแน่นิ่งลงไปกับพื้น
เสื้อผ้าทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ
บนหน้าก็มีเหงื่อไหล
เขากลัวขึ้นสมอง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็น……นายพล……โอ้โห……พื้นที่เล็กๆ……อย่างเมืองเจียงเฉิง……มีนายพลโผล่มาได้ยังไง สวีเสี่ยนพูดไม่ได้ศัพท์
ตกตะลึง
นายพล หมายความว่าไง!
นี่สามารถบังคับบัญชาเขตทหารและนำศึกได้ แค่ปลายนิ้วก็ทำให้เขาตายได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะล่วงเกินคนประเภทนี้เข้า
ขณะนี้ ฉินเฟิงมือไขว้หลังพลางเดินเข้ามาตรงหน้าสวีเสี่ยน: ผมไม่ได้เป็นแค่นายพล ผมยังเป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์อีกด้วย
เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์!
สวีเสี่ยนสั่นไปทั้งตัว
แม่เจ้า!
จบเห่แล้ว!
เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ หมายความว่ายังไง ก็คือหนึ่งในเขตทหารทั้งสี่ของประเทศต้าหัว อีสเตอร์แลนด์เป็นอันดับที่หนึ่ง เป็นรุ่นที่ไม่เป็นสองรองใคร เป็นเทพสงครามที่ปกป้องประเทศ มีทหารใต้บังคับบัญชาถึงแสนนาย
เป็นหนึ่งในกลุ่มคนชั้นยอดของประเทศต้าหัว
ทว่าตอนนี้กลับมาอยู่ตรงหน้าตน!
บุคคลประเภทนี้ อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่ทั้งเมืองเจียงเฉิงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ผู้นี้ อีกทั้งเขายังได้ยินมาว่าคนคนนี้เคยฆ่าล้างเมืองมาก่อน
เย็นยะเยือก!
เย็นยะเยือกไปทั้งตัว ตัวเขาสั่นเทาไม่หยุด
สวีเสี่ยน ใช่ไหม?โทรหาเบื้องบนของคุณ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนดำเนินนการรื้อถอน แบบไม่คิดถึงชีวิตคนอื่นแบบนี้ เห็นเมืองเจียงเฉิงเป็นบ้านของพวกคุณงั้นเหรอ?
ฉินเฟิงพูดกับสวีเสี่ยน
ครับๆ
เรื่องมาถึงขั้นนี้เขาไม่กล้าไม่เชื่อฟัง จึงหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก: ฮัลโหล……คุณชายเฉิน……คือพวกเรา……เจอปัญญาเข้าแล้วครับ……ต้อง……
พูดยังไม่ทันทจบ ก็มีเสียงดังออกมาจากปลายสาย
เจอปัญญา?พวกแกจะทำอะไรกินห้ะ เรื่องเล็กๆแค่นี้ก็จัดการไม่ได้ ขายหน้าบริษัทเฉินซื่อกรุ๊ปหมด รอก่อน ฉันจะพาคนไปเดี๋ยวนี้
พูดจบก็วางสายไป
สวีเสี่ยน: ???
คุณฟังให้จบก่อนได้ไหม?
แถมยังพาคนมาอีก?
คุณมาราดน้ำมันเข้ากองไฟ หรือมาส่งอาหารเนี่ย?
10นาทีผ่านไป รถฮัมเมอร์ทยอยขับมาถึง แล้วมีผู้ชายใส่แว่นดำคนหนึ่งลงมาจากรถคันหน้าสุด: ฉันจะดูสิว่าใครมาขัดขวางธุรกิจของ……
ยังพูดไม่ทันจบ
เขาก็ชะงักไป พูดอะไรไม่ออก
จากนั้นขยี้ตาไปมาพลางลอบกลืนน้ำลาย แล้วสูดหายใจเข้า: ฉันไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม นี่มันรถถัง?แม่เจ้า คนของเขตทหาร!
เมื่อเดินมาจึงเห็นว่ามีรถถังอันดุดันดั่งสัตว์ร้ายจอดอยู่
รอบๆมีทหารติดอาวุธครบครัน สายตาหนักแน่นยืนอยู่ มีกลิ่นดินปืนตลบอบอวลในสถานที่แห่งนี้ ราวกับภายในกี่วินาทีจากนี้ ทหารพวกนี้จะเริ่มเปิดฉากยิง
สวีเสี่ยน แกไปมีเรื่องกับใครเข้าห้ะ!
ผู้ชายคนนี้ลนลาน เมื่อเห็นสวีเสี่ยนก็ไปคว้าคอเขาไว้พลางเขย่าไปมาอย่างรุนแรง
จากนั้นไม่รอให้สวีเสี่ยนได้พูดอะไร ฉินเฟิงที่อยู่อีกด้านก็พูดขึ้น
คุณชายเฉิน เฉินป๋อ ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ
ฉินเฟิงมือไขว้หลังพลางมองเฉินป๋อด้วยสายตาเย้ยหยัน เขาไม่คิดว่าโครงการรื้อถอนนี้จะเป็นความรับผิดชอบของเฉินป๋อ
หมอนี่คือคนที่ติดเงินพวกเขาแล้วไม่คืนตอนแข่งรถกันครั้งก่อน
แกคือ?เจ้าหมอนั้นเมื่อครั้งก่อน นี่ยังกล้ามาให้ฉันเห็นหน้าอีกเหรอ ครั้งก่อนตู้ต้วนเทียนอยู่ด้วย แต่ตอนนี้ตู้ต้วนเทียนไม่อยู่ ฉันจะดูซิว่าแกจะทำยังไง!
เฉินป๋อจ้องฉินเฟิงเขม็งด้วยสายตาโกรธแค้น
ครั้งก่อนเขาโดนตู้ต้วนเทียนอัดก็เพราะเรื่องนั้น โดนอัดน่ะไม่เท่าไหร่ แถมยังไม่กล้าต่อต้านอีก เพราะนั่นเป็นถึงลูกชายคนโตของตระกูลตู้
แต่ตอนนี้ตู้ต้วนเทียนไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาจะแก้แค้นให้สาสม!
แม่เจ้า!
คุณมาราดน้ำมันเข้ากองไฟจริงๆ?(ทำให้เรื่องแย่กว่าเดิม)
สวีเสี่ยนเห็นแล้วก็สิ้นหวัง คนผู้มานี้มาถึงก็สั่งสอนนายพลทันที ความกล้าเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้นำตระกูลเฉินก็คงไม่กล้า
คุณชาย คนที่เรามีเรื่องด้วยคือเขานั่นแหละ สวีเสี่ยนพูดพลางยิ้มเจื่อนๆ
ว่าไงนะ หมอนี่นะเหรอ!
สวีเสี่ยนตกใจมาก เขาไม่คิดว่าจะเป็นฉินเฟิง สายตายิ่งดูโกรธแค้นเข้าไปอีก: ไอ้น้อง ฉันไม่สนว่าแกใช่วิธีไหน ถึงเชิญทหารของเขตทหารมาได้ แต่ฉันจะบอกแกให้ว่าตระกูลเฉินของเราเป็นใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง รู้จักคนในเขตทหารเหมือนกัน แค่โทรกริ้งเดียวก็จัดการได้แล้ว
แค่กริ้งเดียว?
ฉินเฟิงเกิดความสนใจขึ้นทันที ยืนมือออกไปข้างหนึ่งทำท่าทาง: คุณลองดูสิ
เหอะ นี่แกกำลังดูถูกตระกูลเฉินของเรา
เฉินป๋อเดือดทันที คว้าโทรศัพท์ออกมาแล้วกดโทรออก: ลุงหลี่ ตอนนี้ผมกำลังเจอปัญหา ที่ถนนทักษิณมีทหารเป็นกองทัพ ลุงช่วยดูให้หน่อยว่าจัดการออกไปได้ไหม อย่าให้มากระทบกับงานของผม
ลุงหลี่ผู้นี้เป็นเพื่อนสนิทของพ่อเขา และเป็นลูกพี่ใหญ่คนหนึ่งในเขตทหาร
มีลูกพี่ใหญ่คอยช่วยต้องจัดการได้อยู่แล้ว
แต่ทว่าหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ คนในสายก็ถอนหายใจออกมา: เห้อ เฉินป๋อ ฉันจะให่พ่อแกมีลูกใหม่อีกคน ชาติหน้าอย่าทำเรื่องโง่ๆแบบนี้อีกนะ แกหน่ะทำให้ฉันเดือดร้อนไปด้วย
มีลูกใหม่อีกคน?
ชาติหน้า?
เฉินป๋อ: ???
ฮัลโหลลุงหลี่ คือ…… เฉินป๋อรีบพูดขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจ
ทว่าปลายสายกลับมีเสียง‘ตู้ดๆๆ’ดังออกมา
วางสายไปแล้ว
แม่ง อะไรวะเนี่ย?
เฉินป๋องุนงง ปกติลุงหลี่รักเขามากๆ แต่วันนี้เกิดอะไรขึ้น คิดไม่ถึงว่าจะให้พ่อเขามีลูกอีกคน?
ท่านนายพล ตรวจสอบได้แล้วครับ สายเมื่อครู่คือหลี่ซูหวน เป็นนายพันคนหนึ่งของเขตทหารแห่งเมืองเจียงเฉิง ฉีหยุนพูดจากด้านหลัง
เขาตรวจสอบขณะเฉินป๋อคุยโทรศัพท์
ฝีมือการสืบสวนของอีสเตอร์แลนด์นั้นยอดเยี่ยมมาก
ไปตรวจสอบให้ชัดเจน ถ้าหลี่ซูหวนผู้นี้มีการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ก็ให้ออกซะ เขตทหารประเทศต้าหัวของเราไม่ต้องการคนอยู่ในตำแหน่งแต่ไม่ทำอะไรแบบนี้
ฉินเฟิงโบกมือพลางออกคำสั่ง
ครับ ฉีหยุนพูด
ทว่าเฉินป๋อกลับพูดหัวเราะเยาะขึ้นมา: ฮ่าๆ ตลกจริงๆ ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมครั้งนี้ลุงหลี่ไม่ช่วยฉัน แต่ไม่คิดว่าแกจะให้ลุงหลี่ออกจากตำแหน่ง นี่……แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร?เป็นแค่นายพล คิดจะให้ปลดก็ปลดเลย?เหอะ……
ผมเป็นแค่นายพลจริงๆนั่นแหละ ผมฉินเฟิง เทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ ขอถามว่าตำแหน่งนี้เพียงพอหรือไม่?
ฉินเฟิงมือไขว้หลังพลางยกยิ้มมุมปาก
พวกคุณเว้นที่ตรงนี้ไว้จะมีประโยชน์อะไร ก็แค่บ้านเก่าๆ จริงสิ ผมว่าคุณก็ดูสวยดีนะ มาเป็นเมียน้อยผมดีไหม ให้เดือนละหมื่นเป็นไง?
สวีเสี่ยนมองน้าจางตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนทั้งสวยเสียงก็เพราะ รูปร่างก็ดี ผู้หญิงที่สวยมากคนนี้ทำเอาเขาใจเต้นเบาๆ แถมยังมีลูกสาวที่น่ารักหนึ่งคน แค่มองก็รู้แล้วว่าสวยแน่ๆ
ได้แม่แล้วก็ได้ลูกสาวเช่นกัน อย่างมากก็แค่เลี้ยงไปไม่กี่ปี
ออกไป!
แต่ทว่า ที่ได้กลับมาคือเสียงตำหนิที่รังเกียจของน้าจาง: ฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น ถ้าวันนี้แกจะรื้อถอนบ้านหลังนี้ งั้นก็บดข้ามศพฉันไปก่อน
หยิ่งในศักดิ์ศรีดี งั้นก็ได้ ฉันจะให้เธอสมปรารถนา
สายตาสวีเสี่ยนฉายความโหดเหี้ยม ถ้าแผนการนี้สำเร็จบริษัทจะตบรางวัลให้เขา1แสน ซึ่งเพียงพอที่เขาจะหาผู้หญิงสวยๆแบบนี้ได้
ดังนั้น จะให้บดข้ามก็บดข้ามไป
ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีใคร อย่างมากแค่หาหลุมฝัง
ตึงๆๆ
เขาขึ้นรถขุดแล้วหันด้ามขุดไปทางน้าจาง
เสี่ยวเยว่หลับตา
น้าจางปิดตาเสี่ยวเยว่แล้วหันหลัง เพื่อใช้หลังบังการโจมตีครั้งนี้ เธอยอมรับในโชคชะตาแล้วอย่างมากก็แค่ตาย
บ้านหลังนี้รื้อถอนไม่ได้จริงๆ
เป็นบ้านบรรพบุรุษของสามีเธอ
ถ้ารื้อไปเธอไม่รู้จะมีหน้าลงไปเจอสามีได้ยังไง
แต่ทว่าผ่านไปครู่หนึ่งก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด จึงลืมตาขึ้นทันใด พบร่างใหญ่ยืนขวางอยู่ตรงหน้าพวกเธอ
น้าจาง ผมมาแล้ว
ฉินเฟิงหันไปยิ้มให้พลางพูด
ฉินเฟิง!
ทันใดนั้น น้าจางก็น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เธอก็มีญาติพี่น้องอยู่บ้าง แต่หลังจากที่เธอตกอับก็ไม่มีใครไปมาหาสู่กับเธออีกเลย
กลับกันกับฉินเฟิง ที่เคยเจอกันเพราะพรหมลิขิตแค่ครั้งเดียว แต่วันนี้กลับมาที่นี่
น้ำตาไหลตกบนหน้าเสี่ยวเยว่ทีละหยดๆ ทำให้เสี่ยวเยว่ลืมตาขึ้น พลางมุดเข้าไปในตัวน้าจางอย่างกลัวๆ แต่เมื่อมองชัดๆก็ส่งเสียงออกมาทันที: พี่ฉินเฟิง
ตอนนั้นพวกเขาก็รู้จักกัน
ครับ
ฉินเฟิงขานรับ
เสี่ยวเยว่โตกว่าฉินกั่วกั่วเล็กน้อย เขาปฏิบัติต่อเธอเหมือนน้องสาว
แม่ง ไม่คิดว่าจะมีคนมา
สวีเสี่ยนเห็นว่าเครื่องจักรไม่ทำงานจึงยื่นหน้าออกมาดูทันที พบว่ามีคนยืนกั้นตรงหน้ารถขุดพลางยกมือขึ้นข้างหนึ่งขวางรถขุด
เขาตกใจขึ้นทันที ใช้มือขวางงั้นเหรอ?
ชายห้าวหาญนี่โผล่มาจากไหนกัน?
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เครื่องจักรพังแน่ๆ ใช่ เครื่องจักรพังแน่ๆ
สวีเสี่ยนกลืนน้ำลายไปหลายอึก เขาไม่เชื่อว่าแรงของคนคนเดียวจะเขย่ารถขุดได้ เป็นไปไม่ได้ ต่อให้แข็งแรงแค่ไหนก็เป็นไปไม่ได้
เครื่องจักรต้องพังแน่ๆ
สวีเสี่ยนขยับเครื่องจักรลงทันที พลางขี้หน้าด่าฉินเฟิง: แกแม่งเป็นใครวะ รู้ไหมว่านี่เป็นที่ใคร นี่เป็นถึงที่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้าหลง อนาคตจะสร้างเป็นย่านการค่าขนาดใหญ่ แกกล้ามาขวางงั้นเหรอ?รีบไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้ ยิ่งไกลได้ยิ่งดี?
ไสหัว?คนที่บอกให้ฉันไสหัวไปคนก่อนหน้านี้ ถ้าไม่อยู่ในคุกก็ลงหลุมตายไปนานแล้ว นายอยากมีจุดจบแบบไหนล่ะ?
ฉินเฟิงเอามือไขว้หลังพลางพูดเย้ยหยัน
คุก ลงหลุม?แกนี่รนหาที่ตายจริงๆ แกรู้ไหมว่าอสังหาริมทรัพย์ต้าหลงของเราเป็นบริษัทแบบไหน?ในเมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ แค่ใช้อำนาจพูดแค่คำเดียวก็ทำให้แกตายได้อย่างไม่มีปัญญา คิดไม่ถึงว่าแกยังกล้าล่วงเกินพวกเราแบบนี้
สวีเสี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยพอใจ
แต่ก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้าหลงไม่ธรรมดาจริงๆ ค่อนข้างมีอำนาจในเมืองเจียงเฉิง การจะจัดการกับคนธรรมดาๆคนหนึ่งนั้นง่ายมาก
แต่น่าเสียดายที่ฉินเฟิงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
แค่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้าหลงเล็กๆ กล้าเบ่งอำนาจขนาดนี้เลย? ฉินเฟิงยักคิ้วไปมา
แค่บริษัทเล็กๆ?สำหรับแกมันเป็นถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ แกนี่รนหาที่ตายจริงๆ วันนี้ไม่ได้สั่งสอนแกสักหน่อยแกคงไม่รู้จักที่ต่ำสูงจริงๆ
สวีเสี่ยนรีบกดโทรออกทันที
ไม่กี่นาทีต่อมา
บนถนนทักษิณแห่งนี้ คนที่เป็นคนของบริษัทต้าหลงจำกัดมาเต็มไปหมดประมาณร้อยกว่าคน ไม่ว่าทำหน้าที่อะไรก็มีหมด มาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ดูน่ากลัวมาก
ไอ้น้อง เห็นรึยัง นี่คือคนของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้าหลง จำนวน120คน คนเยอะขนาดนี้แกแน่ใจนะว่าจะสู้กับเรา?
สวีเสี่ยนเห็นคนเหล่านี้ก็มั่นใจขึ้นมาสุดๆ ราวกับได้ฉีดยาเสริมสร้างความแข็งแรงของหัวใจ
ก็แค่พวกลูกกระจ๊อก ต่อให้คนเยอะแล้วมีประโยชน์อะไร ก็แค่พวกเศษขยะก็เท่านั้น ฉินเฟิงอย่างตรงไปตรงมา
เศษขยะ?เจ้าหมอนี่อวดดีเกินไปแล้ว เขาแค่ตัวคนเดียว พวกเรามีกันตั้ง120คน ไม่คิดว่าจะกล้าพูดอะไรบ้าๆออกมาแบบนี้
เจ้าหมอนี่ คงไม่เคยเห็นความเก่งกาจ ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ต้าหลงของพวกเราสินะ
ฮ่าๆ ฉันคันไม้คันมือแล้วล่ะ ให้ฉันสั่งสอนมันหน่อยเถอะ
ผู้คนมากมายค่อยๆร้องเอะอะขึ้นมา
พวกเขาเป็นคนของอสังหาริมทรัพย์ต้าหลง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำเรื่องแบบนี้
ไอ้น้อง เห็นรึยัง?คนเยอะขนาดนี้ ต่อให้แกบอกว่าเป็นเศษขยะก็สามารถทำให้แกตายได้สบายๆ สวีเสี่ยนพูดอย่างไม่พอใจ
เทียบจำนวนคนงั้นเหรอ?
ฉินเฟิงมือไขว้หลังพลางพูด
ไร้สาระ คนเยอะก็เป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะให้คนสู้กับแกตัวต่อตัว?ฉันไม่ได้โง่ขนาดนั้น ให้ล้อมโจมตีกันทั้งคนเยอะแบบนี้แหละ แค่ไม่กี่นาทีก็ทำแกถึงตายได้แล้ว ไม่งั้นก็สามารถทำให้แกเข้าโรงพยาบาลได้
สวีเสี่ยนดูภูมิอกภูมิใจ สีหน้าทะนงตัว
เทียบจำนวนคน?งั้นดูด้านหลังนายสิ
ฉินเฟิงชี้ไปด้านหลังเขา
ด้านหลัง?
สวีเสี่ยนหันไปมอง พบว่าไม่เห็นอะไรสักนิด จึงพูดหัวเราะเยาะขึ้นมาทันที: ทำไม แกจะใช้วิธีนี้เบี่ยงเบนความสนใจฉันงั้นเหรอ?โทษทีฉันไม่หลงกลหรอก……
เพิ่งพูดจบไปหยกๆ ก็พบว่าพื้นดินสั่นสะเทือน
เกิดอะไรขึ้น?
สวีเสี่ยนรู้สึกผิดปกติ จากนั้นพบว่ามันมาจากทางด้านหลังจึงรีบหันไปทันที เมื่อมองไปรูม่านตาก็หดตัวลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เห็นรถถังที่ดุดันดั่งสัตว์ร้ายปรากฏขึ้น
ทุกครั้งที่เคลื่อนไหวพื้นก็สั่นสะเทือนไปด้วย
และด้านข้างรถถังมีทหารสองกองยืนเรียงแถวอยู่ ติดอาวุธครบชุด ปืนแต่ละกระบอกล้วนใหม่เอี่ยม และในอากาศมีรังสีอำมหิตฟุ้งกระจาย
ปึง
สุดท้ายรถสุดดุดันคันนั้นก็หยุดลงตรงหน้าสวีเสี่ยน จากนั้นทหารจำนวนสามพันนายที่อยู่รอบๆก็ยกปืนขึ้น ล้อมคนเหล่านี้ไว้
ปึงๆๆ
จังหวะก้าวแม่นยำ
ไม่ผิดพลาดแม้แต่คนเดียว เห็นได้เลยว่านี่เป็นครูชั้นยอด
การฝึกการทหาร เขตทหารแห่งเมืองเจียงเฉิง
จากนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งลงมาจากรถถัง สวีเสี่ยนเห็นแล้วน่าจะเป็นหัวหน้า เมื่อได้ยินว่าเป็นการฝึกการทหาร เขาก็โล่งอก นึกว่าพุ่งเป้ามาที่เขา
จนกระทั่ง เขาเห็นหัวหน้าคนนั้นทำความเคารพฉินเฟิง: นายพล
……
สวีเสี่ยน
อะไร พวกคุณจะไล่ฉัน?แถมยังใช้กำลังด้วย?
ได้ยินเช่นนั้น หลี่ซานซานก็มองหัวหน้ารปภ.อย่างไม่อยากจะเชื่อ คนที่เข้าไปในวิลล่าหยุนติ่งล้วนเป็นคนมีระดับ
แต่ตอนนี้กลับไล่เธอ!
ใช่ครับ เบื้องบนสั่งมา ให้คุณรีบเก็บของ ไม่งั้นก็ต้องให้พวกเราจัดการ
หัวหน้ารปภ.เริ่มเอาจริงแล้ว
พวกแก!
หลี่ซานซานมองรปภ.พวกนี้หน้าเขียวปั้ด: ฝากไว้ก่อนเถอะ รอสามีฉันกลับมา พอประมูลคฤหาสน์หลังนั้นได้ เมื่อถึงตอนนั้นพวกแกต้องเสียใจภายหลังแน่นอน
ตึงๆๆ
เธอหอบลูกออกไป
หลังจากออกไป ก็รีบกดโทรออกทันที: ที่รัก ฮือๆๆ มีคนรังแกฉัน……วิลล่าหยุนติ่งไล่พวกเราออกมา
ไม่นานนัก
หวงจงหน้าเขียวกลับมา โดนวิลล่าหยุนติ่งไล่ออกมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตั้งแต่หลังจากสร้างวิลล่าหยุนติ่งเสร็จ
นี่เท่ากับเป็นการเหยียบหน้าเขาอย่างจัง
เกิดอะไรขึ้น?
หวงจงถามหลี่ซานซาน
ขณะอยู่ในสายหลี่ซานซานร้องไห้ตลอด เธอพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง
มีผู้ชายหนึ่งผู้หญิงหนึ่งอยู่ดีๆก็มาบอกว่าพวกเราไม่เหมาะสมอยู่ที่นี่ พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วโทรออกไปสายหนึ่ง จากนั้นพวกเราก็โดนไล่ตะเพิดออกมา
หลี่ซานซานมีท่าทางน่าสงสารมาก
หวงจงขมวดคิ้ว พลางกดโทรออก: ผู้จัดการ ไล่พวกเราออกทั้งอย่างนี้เลย?ไม่ไร้มนุษยธรรมเกินไปหน่อยเหรอ หรือว่าวิลล่าหยุนติ่งของพวกคุณเห็นผมหวงจงอ่อนแอขนาดนั้นเลย?
คุณครับ ต้องขอโทษด้วย นี่เป็นคำสั่งจากสำนักงานใหญ่ อีกอย่างเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดแล้ว ภรรยาของคุณเป็นฝ่ายหาเรื่องเจ้าของบ้าน001ก่อน
ผู้จัดการฝ่ายนิติตอบกลับอย่างสุภาพ
เจ้าของบ้าน001!
หวงจงวางสายอย่างอึ้งๆ วันนี้เขาไปประมูลคฤหาสน์หลังนั้นนี่แหละ แต่โดนคนที่ให้ราคา70ล้านประมูลไปได้ เขาไม่พอใจมาตลอด แต่เขารู้ว่าคนคนนั้นภูมิหลังน่ากลัวมากแน่นอน
เพราะผู้จัดการบอกว่าเป็นคำสั่งจากสำนักงานใหญ่
รู้แค่ว่าเบื้องบนของวิลล่าหยุนติ่งต้องเป็นคนที่มีอำนาจมากๆ แม้แต่วิลล่าหยุนติ่งก็ไม่กล้ามีปัญหากับเจ้าของบ้าน001หลังนั้น ถึงแม้พังป้ายราคาก็ไม่กล้าขัด
อยากรู้มากว่าเป็นใครกัน!
ที่รัก คุณประมูลคฤหาสน์หลังนั้นได้แล้วใช่ไหม พวกเรารีบกลับไปไล่หัวหน้ารปภ.นั่นออกกันเถอะ แล้วก็ไล่ตะเพิดผู้ชายคนนั้นออกไป
คำว่า จากนั้น เพิ่งพูดออกไป
เสียง เพียะ ดังขึ้น
ตบไปบนหน้าหลี่ซานซานหนึ่งที
ที่รัก คุณ?
หลี่ซานซานโดนตบถึงกับงง กุมหน้าตัวเองพลางมองหวงจงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
ผมตรวจสอบแล้ว เห็นๆอยู่ว่าคุณเป็นคนก่อเรื่อง แถมยังยุให้รำตำให้รั่ว คิดว่าคนอื่นเป็นฝ่ายผิด ผมเคยบอกคุณแล้วว่าต้องถ่อมตัว ต้องเจียมตัว ไปเตรียมตัว พวกเราต้องย้ายบ้าน
เรื่องมาถึงขั้นนี้ หวงจงก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
เขาไม่อาจไปมีเรื่องกับเจ้าของบ้าน001นั่นได้ จะมีเรื่องไม่ได้ ทำได้แค่หลบซ่อน ซ่อนไปให้ไกล
หลังจากเล่นเสร็จ ฉินเฟิงก็พากั่วกั่วกลับมา
ต่อให้วิลล่าหยุนติ่งดีแค่ไหน ก็ดีไม่เท่าที่ที่มีอิ่นซินอยู่ด้วย ได้นอนกับภรรยาตัวเองนั้นเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว แม้ตอนนี้คนหนึ่งนอนบนเตียงอีกคนนอนพื้นก็เถอะ
ทำไมวันนี้ทั้งสองคนกลับมาเร็วจังล่ะ?
อิ่นซินที่อยู่ในห้องหันมาถาม เธอเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมล้นหยุดไม่ได้ของฉินกั่วกั่ว จึงถามขึ้นอย่างสงสัย
ผมพาลูกไปเที่ยวเล่นมาน่ะ
ฉินเฟิงขยี้หัวฉินกั่วกั่ว
ฉินกั่วกั่วใช้หน้าเล็กๆถูมือของฉินเฟิงอย่างมีความสุขสุดๆ
อิ่นซินมองทั้งคู่ด้วยสายตาชื่นใจ ความคิดในตอนนั้นถูกแล้ว ฉินกั่วกั่วต้องการพ่อจริงๆ เธอทำงานยุ่ง คอยดูแลไม่ได้
พ่อแม่ของเธอก็ไม่ยอมดูแล
ตอนเย็น มีสายหนึ่งโทรเข้ามาฉินเฟิงกดรับทันที
ฉินเฟิง ฉันหาที่อยู่ของเสี่ยวเยว่ได้แล้วแถมยังอยู่ในเมืองนี้ ขาของฉันไม่สะดวก พรุ่งนี้นายไปดูก่อน ยังไงเมื่อตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา ตอนนี้พวกเราอาจอดตายไปแล้วก็ได้
เป็นเสียงของเฉินจื่อซวน
โอเค
ฉินเฟิงตอบตกลง
ตอนนั้นที่พวกเขาเป็นขอทาน มีครั้งหนึ่งที่ขอทานแล้วไม่ได้อะไรเลย แถมยังหิมะตก ลมพัดหนาวมาก สุดท้ายพวกเขาก็เป็นลมล้มพับไปตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง
ตอนแรกทั้งสองคิดว่าต้องตายแน่ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าคนบ้านนั้นจะช่วยไว้
พอฟื้น ไม่เพียงได้นอนบนเตียงใหญ่อันอบอุ่น ข้างๆเตียงยังมีนมร้อนๆอีกสองแก้ว เจ้าของบ้านหลังนั้นเป็นผู้หญิง กับเสี่ยวเยวลูกสาวของเธอ
เมื่อแผลหายดีเฉินจื่อซวนกับฉินเฟิงก็ออกมา เพราะพวกเขาจะอยู่ต่อไปก็ไม่ได้
ตอนนี้รู้แล้ว หลังจากเมืองเจียงเฉิง ฉินเฟิงจะไปดูแน่นอน
ถนนทักษิณ89 เมืองเจียงเฉิง
วันต่อมา ฉินเฟิงเดินทางมาตามที่อยู่นั่น พบว่าอยู่ชานเมืองเมืองเจียงเฉิง เขตพื้นที่นั้นเรียกได้ว่าเป็นสลัม ล้วนเป็นบ้านแบบเรียบง่าย
ฉันจำน้าจางได้ ครอบครัวค่อนข้างดีมากไม่ใช่เหรอ?
ฉินเฟิงขมวดคิ้วเป็นปม
น้าจางเป็นแม่ของเสี่ยวเยว่ ชื่อจริงของเสี่ยวเยว่คือหลี่เสี่ยวเยว่ พ่อตายจากไปเร็ว
ถนนทักษิณ
มองไปเห็นแต่ความพังยับเยิน ระเกะระกะไปหมด ในนั้นมีรถขุดรถตักดินสิบกว่าคัน กำลังพังบ้านเหล่านั้นอย่างดุดัน
เสียงดังกึกก้อง
บ้านพังลงไปหลังแล้วหลังเล่า
หนึ่งในบ้านในนั้น น้าจางกำลังยืนอยู่ตรงหน้าประตูกอดเสี่ยวเยว่ไว้ในอ้อมแขน เสี่ยวเยว่อายุประมาณ11ปี รูปร่างดี น่ารักบริสุทธิ์แต่วินาทีนี้กลับถามขึ้นอย่างกลัวๆ: แม่คะ พวกเราต้องไปจากที่นี่เหรอคะ?
ไม่จ่ะ นี่เป็นบ้านของเรา
น้าจางกอดเสี่ยวเยว่
โห พวกเธอสองคนไม่ออกไปจริงๆงั้นเหรอ?
ขณะนั้นเอง มีรถขุดสองคันขับมาหน้าบ้านน้าจาง แล้วมีชายสวมชุดสูทแต่งตัวดีคนหนึ่งลงมาจากรถขุด
สวีเสี่ยน เป็นหัวหน้ารับผิดชอบที่นี่
ที่นี่เป็นการก่อสร้างผิดกฎหมาย ไม่อนุญาตให้อยู่อาศัย รีบย้ายออกไปเดี๋ยวนี้พวกเราต้องทำการรื้อถอน สวีเสี่ยนพูดพลางโบกมือไปมาด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ก่อสร้างผิดกฎหมาย?ครอบครัวสามีฉันอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ตอนนี้กลับมาบอกว่าที่นี่เป็นก่อสร้างผิดกฎหมาย?ฉันไม่ไป นี่เป็นบ้านของพวกเรา
น้าจางกัดฟันกรอด ไม่ยอมถอย
ฉันบอกว่าก่อสร้างผิดกฎหมายก็ผิดกฎหมายสิ ไม่ง่ายเลยกว่าพวกเราจะติดต่อกับเบื้องบนได้ว่าให้รื้อถอนสลัมแห่งนี้ แถมยังไม่ต้องออกเงิน แต่คุณกลับกล้ามาขวางพวกเรางั้นเหรอ?
สวีเสี่ยนทำหน้าดุๆ
บริษัทเรากว่าจะได้เอกสารนี้มา บ้านพวกนี้เป็นสลัมสามารถรื้อถอนได้ แต่ไม่ต้องจ่ายค่ารื้อถอน นี่เป็นการได้เปรียบมากๆ
ที่ดินกว้างขวางขนาดนี้ คงสร้างสถานบันเทิงได้มากมาย
คนอื่นๆเขาไล่ออกไปโดยใช้ความรุนแรงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังเหลือสองคนนี้อีก นี่เป็นแผนการใหญ่ของบริษัท ถ้าผู้หญิงสองคนนี้ไม่หลบไปจริงๆ เขาก็ไม่ถือถ้าต้องใช้ความรุนแรง
ยังไงตรงนี้ก็ไม่มีใครอื่นแล้ว
บ้านเลขที่ 001!
ทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองสามคนนั้น ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ จะเป็นไปได้ยังไง อย่างที่รู้บ้านเลขที่ 001 นั้นหมายความว่าอะไร
นั่นคือวิลล่าหลังที่ทำเลดีที่สุด และเป็นวิลล่าหยุนติ่งตัวเก็งเชียวล่ะ
ในวันนี้ ขายออกไปได้แล้ว
ผู้ที่เป็นเจ้าของวิลล่าแห่งนี้ รับการปฏิบัติที่ดีที่สุดในวิลล่าหยุนติ่ง มีอำนาจมากที่สุด แม้กระทั่งไล่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้ อีกอย่างคนที่สามารถซื้อวิลล่าหลังนี้ได้ ต้องรวยสุดๆไปเลย
แย่ละ!
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน ตกใจจนกองไปอยู่บนพื้นทันที
พวกเขามีปัญหาแล้ว
ไม่คิดเลยว่าจะยั่วยุเจ้าของวิลล่าเลขที่ 001 แล้วยังด่าเขาว่าเป็นคนจนอีก!
นี่
จบเห่แล้วจริงๆ
ถ้าฉินเฟิงต้องการจัดการพวกเขา งั้นพวกเขาจะต้องจบลงอย่างน่าสังเวชแล้วจริงๆ
เพียงแต่ว่า หลังจากที่ฉินเฟิงเอาบัตรกลับไป แล้วถามว่า: พวกเราเข้าไปได้หรือยัง?
ได้แล้วครับ คุณผู้ชาย
ผู้จัดการทรัพย์สินคนนั้นพยักหน้า
จากนั้น ฉินเฟิงก็จากไป
หลังจากที่จากไปแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก สมกับเป็นคนใหญ่คนโต ก็ควรมีจิตใจที่กว้างขวาง ซึ่งเขาก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเลย
เพียงแต่ ผู้จัดการทรัพย์สินเดินมา สีหน้าเกรี้ยวโกรธ: พวกแกไม่ต้องทำงานในวงการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแล้ว โดนแบล็คลิสต์แล้ว
แต่เขารู้ข่าวจากสำนักงานใหญ่
เศรษฐีผู้ลึกลับ ทุ่มเงินเจ็บสิบล้าน ซื้อวิลล่าหลังนั้น
อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนนี้เลย แม้แต่วิลล่าหยุนติ่งของพวกเขา ก็ไปลามปามไม่ได้
แย่ละ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนหน้าซีด
ในตอนนี้ ฉินเฟิงสั่งสอนกั่วกั่ว
ลูกรัก จำคำพ่อไว้นะ สำหรับสุนัขเห่าบางตัว ถ้าไม่สนใจมันได้ ก็ไม่ต้องไปสนใจ เพราะขอเพียงแค่มีจิตสำนึกที่ดีก็พอแล้ว
โอเคค่ะ……
ฉินเฟิงพาฉินกั่วกั่วไปที่วิลล่าหยุนติ่ง วิลล่าหยุนติ่งสมกับเป็นวิลล่าหยุนติ่งจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่ง ก็ยังทำเป็นสีเขียว สามารถกล่าวได้ว่าอยู่ชั้นบนของเมืองเจียงเฉิงทั้งหมด
เดินไปจนสุดทางทิศตะวันออก
สักพัก ก็ได้ยินเสียงนกนางนวล
พ่อ รีบดูเร็ว ทะเลกว้างใหญ่
ฉินกั่วกั่วตื่นเต้นเล็กน้อย วิ่งไปทางนั้น
ช้าหน่อย
ฉินเฟิงยิ้มด้วยความเอ็นดู
จากนั้นก็ตามไป ผ่านต้นไม้ไม่กี่ต้น สิ่งที่ดึงดูดสายตาของคุณคือสีฟ้าคราม นี่คือวิลล่าหยุนติ่งที่สร้างบริเวณชายฝั่งทะเลโดยเฉพาะ ทอดสายตามองออกไป เห็นคลื่นที่งดงาม
สถานที่พิเศษ เมืองเจียงเฉิง ตั้งอยู่ที่ปากน้ำทะเล ทั้งเมือง มีเพียงแค่เฉพาะบริเวณนี้ของวิลล่าหยุนติ่งเท่านั้นที่สามารถมองเห็นทะเลได้ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมราคาบ้านของวิลล่าหยุนติ่งถึงแพงมาก
ถ้าอยากจะดูจริงๆ ทำได้เพียงแค่ไปเมืองอื่นเท่านั้น
เพียงแต่ กั่วกั่วโตขนาดนี้ ยังไม่เคยออกต่างจากหวัดเลย
ว้าว นกนางนวล นกนางนวลเยอะแยะเลย
ฉินกั่วกั่ววิ่งไป ทันใดนั้นนกนางนวลตกใจบินหนีกระเจิง ปีกสีขาวกระพือด้วยความตกใจ
พ่อ ทำไมพวกมันถึงหนีล่ะ?
ฉินกั่วกั่วเห็นนกนางนวลเหล่านั้นบินหนี ไม่เล่นกับเธอ ทันใดนั้นก็หน้ามุ่ย เสียใจเล็กน้อย
ลูกต้องอ่อนโยนหน่อย
ฉินเฟิงจับมือฉินกั่วกั่ว เดินไปด้านข้างและซื้ออาหาร จากนั้นก็กล่าวกับกั่วกั่วว่า: ต้องใช้อาหารพวกนี้ด้วย
อาหารเหรอ? ฉันมีอาหารอร่อยๆ พวกแกมาเล่นด้วยกัน
เฉินกั่วกั่วหยิบถุงอาหาร เดินไปอย่างอ่อนโยน
ไม่นาน นกนางนวลฝูงใหญ่บินมา เด็กน้อยสัมผัสตัวนั้นที ตัวนี้ที เล่นอย่างสนุกสนาน
แต่ ในตอนนี้ เสียงดังมาจากข้างหลัง: คนอย่างแก มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ฉินเฟิงหันหน้าไปมอง พบว่าเป็นผู้หญิงเมื่อวานคนนั้น
นั่นก็คือแม่ของเด็กผู้ชาย
แกมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แกไม่ควรมาอยู่ที่นี่นะ
เด็กผู้ชายก็วิ่งเข้ามา ด้วยความไม่พอใจ ทำให้นกนางนวลเหล่านั้นโบยบินไป
พ่อ
ฉินกั่วกั่วอยู่ด้านหลังฉินเฟิง
คุณหมายความว่ายังไง?
ฉินเฟิงมองผู้หญิงคนนี้ สีหน้าจริงจัง เขาโกรธเล็กน้อย
ฉันหมายความว่าไง หรือว่าแกไม่รู้? ว่าที่นี่ คือวิลล่าหยุนติ่ง ไม่ใช่ที่ที่คนจนอย่างแกจะมา แม้ว่าฉันไม่รู้ว่าแกจะเข้ามาได้ยังไง แต่ตอนนี้รีบไสหัวไปซะ
หลี่ซานซานมองไปที่ฉินเฟิง ดวงตาทั้งคู่ดูถูกเหยียดหยาม
พวกเธอเป็นครอบครัวที่ร่ำรวย กว่าจะย้ายมาอยู่ที่วิลล่าหยุนติ่งแห่งนี้ได้ก็ไม่ง่ายเลย แต่ฉินเฟิงคนนี้ ดูเหมือนคนขายแผงลอย มีสิทธิ์อะไรถึงเข้ามาได้
คนแบบหมอนี่ ควรไปอยู่ที่สลัม
ฉันกลับอยากให้คุณ ไสหัวไปซะ
ฉินเฟิงจับมือไว้ด้านหลัง สายตาไม่พอใจ
เหอะ อยากให้ฉันไสหัวไป แกรู้ไหมว่าฉันคือใคร? มากล้าพูดแบบนี้ ฉันเป็นภรรยาประธานบริษัทหวงซื่อกรุ๊ป หลี่ซานซาน
หลี่ซานซานสีหน้าหยิ่งผยอง และพูดต่อว่า: สามีของฉัน วันนี้เตรียมจะไปซื้อวิลล่าที่แพงที่สุดหลังนั้นแล้ว คนจนๆอย่างพวกแก ชาตินี้ก็ไม่มีทางซื้อได้หรอก
หลังจากนั้น หลี่ซานซานหยิบโทรศัพท์ และโทรออก: ฮัลโหล หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พวกแกมัวทำอะไรกันอยู่ ในบริเวณวิลล่า มีคนนอกเข้ามา แกรู้ไหมว่า……
ด่าอยู่ครู่หนึ่ง
สุดท้าย เมื่อซื้อวิลล่าที่แพงที่สุดนั่นได้แล้ว พวกเขาก็มีอำนาจไล่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นี่ได้แล้ว
ผ่านไปสามนาที หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพากลุ่มคนมา เดิมทีก่อนหน้านี้ก็ถูกทำให้ตกใจแล้ว จากนั้นก็ถูกหลินซานซานด่า ทำให้เขาคนทั้งคนรู้สึกแย่มากเลย
หยิบแท่งไฟฟ้า พากลุ่มคนมา
วันนี้ฉันจะดู สรุปว่าใคร……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็ไม่พูดต่อ ตัวสั่นไปหมด เพราะเขาเห็นฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ เจ้าของบ้านเลขที่ 001 คนนั้น
ทำไมพวกแกมาช้ากันจัง เชื่อไหมว่า ถ้าสามีฉันกลับมา ก็จะไล่พวกแกออก
หลี่ซานซานทำท่าทางอย่างมั่นใจ พูดอย่างโกรธเคือง
คือว่าคุณผู้หญิงหลี่ มีเรื่องอะไรเหรอครับ?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยระงับความโกรธเอาไว้ และถาม
มีเรื่องอะไร นี่ก็ชัดเจนมากแล้ว ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนในพื้นที่วิลล่าแห่งนี้ เข้ามา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มาดี พวกแกรีบไล่เขาไป
หลี่ซานซานโบกมือ ให้สัญญาณกับหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดไม่ออก
คุณรู้ไหมว่าท่านผู้นี้ คือใคร ยังจะไล่ออกไปเหรอ?
เพียงประโยคเดียว เขาก็อาจจะรักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้แล้ว
ฉันไม่ชอบที่พวกเขามาอยู่ที่นี่
ฉินเฟิงมองไปที่หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้น
คือว่า……
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าย่น เรื่องแบบนี้ เขาลำบากใจเหมือนกัน
แต่ ในตอนนี้ ฉินเฟิงหยิบมือถือออกมา โทรศัพท์ออกไป สักพัก โทรศัพท์ของหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดังขึ้น เขารับสาย
หลี่กาง ไล่คนของตระกูลจวงคนนั้นออกไปเถอะ
อะไรนะ หัวหน้า ทำไมล่ะ นี่เป็นการล่วงเกินคนนะ……คือ……เป็นการล่วงเกินคนจริงๆนะ
เจ้าของบ้านเลขที่ 001 พวกเราวิลล่าหยุนติ่งไม่สามารถล่วงเกินได้
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนิ่งไป เท่าที่เธอรู้ วิลล่าหยุนติ่งมีผู้หนุนหลังใหญ่โตมาก แต่แม้แต่ผู้หนุนหลังใหญ่โตก็ไม่สามารถรุกรานได้ เสี่ยงอันตรายที่จะล่วงเกินคน ก็ต้องออกคำสั่งนี้
แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าฉินเฟิงคนนี้เป็นคนยังไง
สัมผัสได้ถึงความกลัวในดวงตาของเขา เกือบจะทำให้คนเขาขุ่นเคืองแล้ว
แกมัวทำอะไรอยู่ รีบไล่เขาออกไปสิ พวกเขาไม่มีสิทธิ์จะอยู่ตรงนี้นะ หลี่ซานซานยังคงพูดต่อไป
เพียงแต่ว่า หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกล่าว: คุณผู้หญิงหลี่ เบื้องบนสั่งมาแล้ว วิลล่าหยุนติ่งไม่ต้อนรับคุณ วันนี้เชิญคุณย้ายออกไปซะ ไม่อย่างนั้น พวกเราจะใช้กำลังแล้ว!
เจ็บสิบล้าน?
เป็นสองเท่าตัว?
……
ผู้ชมทั้งหมดเงียบ อีกอย่างเป็นตอนที่หลังจากที่หวงจงประธานแห่งหวงซื่อกรุ๊ปได้ออกประกาศต่อหน้าทุกคน แล้วค่อยเสนอราคา นี่ไม่ได้เป็นการตบหน้าหวงจงอย่างโหดร้ายหรือยังไงกัน
ตบดังเปรี๊ยะเข้าไป
ตบจนเสียงดังก้อง
ทันใดนั้น ทุกคนก็มองมายังหวงจง
ทำอะไร!
หวงจงอึ้ง เล่นงานเขาโดยเฉพาะงั้นเหรอ?
ลงสองเท่าไปแล้ว
มีคนลงเจ็ดสิบล้านแล้ว ขอถามหน่อย ประธานของหวงซื่อกรุ๊ป คุณหวง จะตามไหมครับ?
พิธีกรถามตรงไปที่เขา
ตอนนี้เห็นได้ชัดมากว่า สองคนนี้กำลังแข่งขันกัน
ตามงั้นเหรอ?
ข้าก็อยากจะตามอยู่หรอก!
แต่ไม่มีเงินแล้ว!
โธ่เอ๊ย!
เจ็ดสิบล้าน คุณออกมาสี่สิบล้าน ห้าสิบล้าน เขาอาจจะพอตามได้บ้าง แต่เจ็ดสิบล้านนี้ทำเอาเขานิ่งไปเลย
ผม……ไม่ตาม!
สุดท้าย หวงจงกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างไม่พอใจ
เขาก็อยากจะตาม
แต่ไม่มีเงินแล้วจริงๆ นั่นมันเจ็ดสิบล้านนะ คนๆนี้เหยียบเขาจมลงพื้นเลย แต่เขาก็ไม่มีทางอื่นแล้วจริงๆ
และผู้ที่เสนอราคาคนนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ขาดเงิน เขาไม่สามารถที่จะรุกรานได้
ทำได้เพียงแค่ช่างมัน
คุณพระ มีเจ้าถิ่นมาเพิ่มราคาจริงด้วย ปากฉันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พูดแล้วได้ผลเลย ฮ่าๆ คุณดูสิ หวงจงคนนั้นสีหน้าดูไม่ได้เลย
หลิวลานเมิ่งดึงฉินเฟิง ชี้ไปที่หวงจงตรงนั้น
ความรู้สึกเช่นนี้ คือเดจาวู
อิ่นซินได้ยินว่าหลิวลานพูดประโยค ‘ปากฉันศักดิ์สิทธิ์จริงๆ พูดแล้วได้ผลเลย?’ ประโยคนี้ เธอเคยพูดมาก่อน ทำไมบังเอิญจัง
รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
แต่ก็พูดไม่ถูก ว่าตรงไหนมันผิดปกติ
และในตอนนี้ ฉินเฟิงกลับมานั่งลงตรงตำแหน่ง อิ่นซินยื่นคอออกมาถามอย่างสงสัยเล็กน้อยว่า: ที่รัก เมื่อกี้คุณไปไหนมาเหรอ?
เมื่อกี้ที่ฉินเฟิงเพิ่งออกไป วิลล่าหลังนั้น ก็ถูกผู้ซื้อปริศนาประมูลไปแล้ว
นี่อาจจะไม่ บังเอิญเกินไปแล้ว
ไปเข้าห้องน้ำไง ฉินเฟิงกล่าว
ในตอนนี้ หลิวลานเมิ่งดึงอิ่นซินมา กระซิบว่า: แกคิดอะไรอยู่ล่ะ จะเป็นเขาได้ยังไง เขาก็แค่คนจนๆคนหนึ่ง นั่นมันเจ็ดสิบล้านเชียวนะ
ก็จริง
อิ่นซินส่ายหัว ล้มเลิกความคิดนี้ไป
แต่เจ็ดสิบล้านนะ
และเป็นเจ็ดสิบล้านที่สบายๆ แค่คิดก็รู้แล้ว จะต้องเป็นคนที่รวย ไม่มีทางเป็นฉินเฟิงได้หรอก
เจ้าถิ่นคนนี้ ใช้เงินฟุ่มเฟือยมาก เพิ่มราคาเป็นสองเท่าในครั้งเดียว รวยจริงๆ ฉันรู้สึกว่าสามารถเปรียบเทียบกับประธานบริษัทของเราได้แล้ว ตั้งแต่นี้ไป หลิวลานเมิ่งอย่างฉัน เพิ่มคนที่เลื่อมใสศรัทธาอีกคนแล้ว
หลิวลานเมิ่งพูดกับอิ่นซินอย่างบ้าผู้ชาย: คนหนึ่งคือประธานบริษัทของเรา ส่วนอีกคนเป็นเจ้าชายเปียโน คนนี้เป็นคนที่เตรียมจะเป็นแฟนของฉัน ส่วนอีกคนก็คือคนรวยที่มีเงินมีอำนาจ ชอบซื้อของไร้สาระราคาแพงเพื่ออวดว่าตัวเองรวยจริงๆ
เจ็ดสิบล้าน บางทีบริษัทใหญ่ๆต่างก็มีนะ
แต่จะเอามาซื้อวิลล่าหลังนี้ กลับกลายเป็นว่าคนส่วนใหญ่ทำใจไม่ลง คนที่ทำใจลง มีเพียงคนประเภทหนึ่ง เจ็ดสิบล้าน สำหรับเขาแล้ว เป็นเงินเพียงแค่น้อยนิด
แค่คิดก็รู้แล้ว ว่าคนนี้เป็นคนที่มีเงินมีอำนาจมากแค่ไหน
ส่วนที่อิ่นซินสงสัยคือฉินเฟิง เธอหัวเราะเยาะเย้ย แค่หนุ่มจนๆคนหนึ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่ำต้อย จะเป็นคนนั้นที่ซื้อวิลล่าได้ยังไงล่ะ
หลังจากที่สิ้นสุดแล้ว เธอก็กลับไปทำงานที่สำนักงานแล้ว
เพียงแต่ว่า เธอถูกเรียกไปที่สำนักงานของประธานอีกครั้ง เฝิงกางมองหลิวลานเมิ่งและกล่าวว่า: เพราะวันนี้คุณก้าวเท้าซ้ายเข้ามาในบริษัท ไม่เป็นไปตามกฎระเบียบของบริษัท ดังนั้นโบนัสสิ้นปีของคุณ ถูกตัดหมดแล้ว!
หลิวลานเมิ่ง: ???
ปีหน้า?
ถูกหักถึงปีหน้าเลยเหรอ?
นี่ฉัน ไปล่วงเกินใครไว้!
……
และหลังจากเลิกงานแล้ว ฉินเฟิงก็ไปรับกั่วกั่ว และระหว่างทางกลับ ฉินเฟิงไปอีกเส้นทางหนึ่ง
พ่อ พวกเรามาทางนี้ทำไมเหรอ?
กั่วกั่วถามฉินเฟิงอย่างไม่เข้าใจ
พาลูกไปดูทะเล
ไม่ใช่ว่าไม่ให้เข้าไปหรอกเหรอ?
พ่อมีวิธี
ฉินเฟิงลูบผมของกั่วกั่ว: ไม่ต้องห่วง เชื่อพ่อสิ
อืม
กั่วกั่วพยักหน้า อย่างน่ารัก
เมื่อมาถึงวิลล่าหยุนติ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนในป้อมยามมองเห็นฉินเฟิง จู่ ๆคนหนึ่งก็เดินออกมา: ทำไมยังไม่ตัดใจอีก ยอมแพ้เถอะ ชาตินี้พวกแก ไม่สามารถซื้อบ้านที่นี่ได้หรอก เหอะๆ คนจนก็คือคนจนนะ
ไปเร็ว รีบไปซะ นี่ไม่ใช่ที่ ๆ พวกแกควรมา
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคน โบกแท่งไฟฟ้าบนมือ เพื่อที่จะไล่
ไป
ฉินเฟิงไม่สนใจสองคนนี้ พากั่วกั่วมุ่งหน้าไปที่ทางเข้า ที่ที่รูดบัตร
เหอะ ทำไม คุณยังคิดจะเข้ามาเหรอ? ฟังนะ ไม่มีบัตรก็เข้าไม่ได้ ที่นี่คือพื้นที่ส่วนบุคคล หากฝ่าฝืน อย่าบีบให้ผมต้องใช้กำลังนะ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งโบกมือ
ถ้าข้างๆไม่มีเด็กผู้หญิง เขาน่าจะทุบตีไปแล้ว
ทำไม ทำเป็นฟังไม่ได้ยินหรือไง? ฉันจะบอกพวกแกให้นะ คนจนก็คือคนจน สถานที่แบบนี้พวกแกไม่ควรมา พวกแกไม่มีสิทธิ์ พวกแกไม่คู่ควร……
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนหัวเราะ
แต่ว่า หนึ่งวินาทีถัดมา สีหน้าของพวกเขาทั้งสองแข็งทื่อแล้ว
เพราะเห็นฉินเฟิงหยิบบัตรทองใบหนึ่งออกมา และรูดบัตรตรงที่เครื่องรูดบัตร กลไกที่เปิดประตูเปิดประตูอัตโนมัติ
รูดบัตรสำเร็จ
ตัวอักษร 4 ตัวใหญ่โผล่ออกมา
เป็นไปได้ยังไง แกมีบัตรผู้อยู่อาศัยได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน คนจนอย่างแก นี่อาจจะ……
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก้าวถอยหลัง แทบไม่อยากจะเชื่อ
ของปลอม ต้องเป็นของปลอมแน่ๆ หมอนี่ ซื้อบ้านที่นี่ได้ยังไง แกหยุดก่อน ฉันจะไปเรียกคน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนหนึ่ง โทรศัพท์ออกไปแล้ว
ได้เลย
ฉินเฟิงยืนอยู่ตรงที่เดิม
ไม่นาน คนกลุ่มหนึ่งเข้ามา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และผู้จัดการดูแลทรัพย์สิน และหนึ่งในนั้นมีหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย เดินเข้ามาแล้วกล่าวว่า: เกิดอะไรขึ้น?
ไอ้หมอนี่ ใช้บัตรผู้อาศัยปลอม พยายามจะเข้าไปในวิลล่าหยุนติ่ง
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองชี้ไปที่ฉินเฟิง
บัตรผู้อาศัยปลอมงั้นเหรอ?
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองไปที่ฉินเฟิง มองด้วยสายตาที่ไม่ดีนัก อยากจะพูดอะไร แต่ผู้จัดการทรัพย์สินเดินเข้ามา โค้งคำนับ: คุณผู้ชาย ขออนุญาตตรวจสอบบัตรผู้อยู่อาศัยของท่านได้ไหมครับ
คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ต่างก็เป็นคนรวย ดังนั้นผู้จัดการทรัพย์สินจึงมีความเป็นมืออาชีพ
ฉินเฟิงมอบให้ไป
ผู้จัดการทรัพย์สิน นำอุปกรณ์เฉพาะทางออกมา เพื่อตรวจสอบ
ไอ้หมอนี่จบเห่แล้ว ต้องจบเห่แน่ๆ วิลล่าหยุนติ่งที่นี่ ไม่คิดว่าจะกล้าปลอมด้วย ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆสินะ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยส่ายหัว กล่าวอย่างถอนหายใจ
กระต่ายหมายจันทร์จริงๆ คนจนคนหนึ่ง ยังจะมาที่แบบนี้ เหอะ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็ดูถูกเหยียดหยามเช่นกัน
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก็ถือแท่งช็อตไฟฟ้า เตรียมที่จะใช้ขับไล่ฉินเฟิงแล้ว
จนกระทั่ง ผู้จัดการทรัพย์ตรวจสอบเสร็จ และกล่าวกับฉินเฟิงอย่างโค้งคำนับว่า: ด้วยความเคารพคุณบ้านเลขที่ 001 สำหรับความผิดพลาดของพวกเรา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง คุณมีอำนาจสูงสุดของวิลล่าหยุนติ่ง
งานประมูลในวันรุ่งขึ้น ในงานประมูลครั้งยิ่งใหญ่
ฉินเฟิงขับรถปอร์เช่ของอิ่นซิน สายตาจับจ้องมายังสาวงามที่อยู่ข้างๆเป็นระยะๆ เพราะอิ่นซิน วันนี้สวมกระโปรงสีขาว สง่างามผ่าเผย สะอาดสะอ้าน และยังเซ็กซี่อีกด้วย ต้นขาโผล่ออกมาอย่างเซ็กซี่ มีเสน่ห์สุดๆ
รวมถึง แหวนเพชรสีแดงบนมือนั้น
อิ่นซินคิดมาเสมอว่าเป็นของปลอม แต่เธอไม่เคยถอดมันออกเลย
ถึงแล้ว
หลังจากที่รถจอด อิ่นซินและฉินเฟิงรออยู่หน้าทางเข้าสักพัก ไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งมาสาย: เสี่ยวซิน ฉันมาแล้ว
นั่นก็คือหลิวลานเมิ่ง
สวมกางเกงยีน เพราะยังไม่เคยมีลูก รูปร่างดูแย่กว่าอิ่นซินเล็กน้อย ขาดความอ่อนช้อยชวนหลงใหลไปหน่อย ผอมไปหน่อย
ทำไมแกพาเขามาด้วยล่ะ?
หลังจากที่หลิวลานเมิ่งมองฉินเฟิง สีหน้าก็ไม่สบอารมณ์
วันนี้เป็นโลกของเธอและอิ่นซินสองคน ทำไมจู่ ๆมีฉินเฟิงเพิ่มมาอีกคนล่ะ มีบุคคลที่สามเกินมา และเธอไม่ค่อยชอบฉินเฟิงด้วย
ไก่ดำจะไปคู่ควรกับหงส์ได้อย่างไรกัน
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่ำต้อยคนหนึ่ง จะคู่ควรกับอิ่นซินประธานกรรมการบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้อย่างไร
สำหรับเธอแล้ว คนที่คู่ควรกับอิ่นซิน ไม่ว่าจะยังไงมันก็ควรจะเป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแบบนั้น หรือไม่ก็เจ้าชายเปียโน
สองคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกหลงใหลอยู่บ้าง
พอแล้ว อย่าเสียอารมณ์เลย
อิ่นซินทำให้หลิวลานเมิ่งสงบลงอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอพูดอะไรทำร้ายฉินเฟิง สาวน้อยคนนี้พูดจาโผงผางตรงไปตรงมา เธอก็รู้ดี
พวกคุณก็อยู่ที่นี่เหรอ
ในตอนนี้ หนุ่มที่เดินมาจากนอกประตู สวมชุดสูท ดูดีเลยทีเดียว แต่ไม่ได้มองพวกเขาโดยตรง ดูหยิ่งผยอง
หวงจง!
อิ่นซินมองคนนี้ ขมวดคิ้ว
หวงจง?
ฉินเฟิงเคยได้ยินจากข้อมูลในครั้งก่อน ได้ยินมาว่าที่แท้คู่แข่งของอิ่นซิน คนของตระกูลหวง ก็จบการศึกษาเดียวกันกับอิ่นซิน ตอนที่อยู่โรงเรียนทั้งสองไม่ลงรอยกัน
หลังจากที่อิ่นซินสร้างธุรกิจแล้ว หวงซื่อกรุ๊ปพยายามกดขี่อย่างสุดความสามารถ แต่ตอนนั้นไม่สามารถสู้อิ่นซินได้ พ่ายแพ้ทุกทาง สุดท้ายเกือบจะถูกบริษัทซานหยวนกรุ๊ปทำจนล้มละลาย
เดิมทีเป็นบริษัทที่ขาดแคลนชั่วคราว แต่หลังจากนั้นอิ่นซินทำอะไรบางอย่าง ริเริ่มรับตำแหน่งประธานบริษัทหยวนซานกรุ๊ป
ตั้งแต่นั้นมาหวงซื่อกรุ๊ป ก็ฟื้นกลับมาอีกครั้ง ต่อมาก็เจริญรุ่งเรือง กลายเป็นบริษัท 40 อันดับแรกในเมืองเจียงเฉิง
อิ่นซิน ผมได้ข่าวว่า คุณเป็นประธานกรรมการบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว ยินดีด้วยนะ แต่คุณใจกล้าดีจัง ไม่กลัวเรื่องตอนนั้น จะเกิดขึ้นอีกครั้งเหรอ?
หวงจงเดินเข้ามา กล่าวอย่างไม่รู้ว่าหมายถึงอะไร
หวงจง คุณก็ยังคงพูดจาปากเสียเหมือนเดิมนะ
หลิวลานเมิ่งที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์
ฮ่าๆ ปากเสียนิดหน่อย แต่มันเป็นเรื่องจริงนี่ จริงสิ วันนี้ผมมาประมูลวิลล่าหยุนติ่งหลังนั้น พวกเราหวงซื่อกรุ๊ป ปีนี้กำไรดีมาก ให้เราซื้อวิลล่าหยุนติ่งหลังสุดท้าย งั้นก็เหลือเฟือ
พวกคุณอย่ามาสู้กับฉันนะ อ๋อ ไม่ใช่สิ พวกคุณไม่มีเงินมาสู้ฉันหรอก อย่าว่าแต่ถูกยึดอำนาจเลย หากยังมีอำนาจ ตอนนี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ซื้อวิลล่าหลังนั้นไม่ได้หรอก
หวงจงหัวเราะเยาะเย้ย และเดินเข้าไปในงานประมูล
หมอนี่น่ารังเกียจชะมัด
หลิวลานเมิ่งเกลียดและกัดฟันด้วยความแค้น
ที่เขาพูดก็ถูก พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้จริงๆหรอก
อิ่นซินถอนหายใจ ตอนนี้ยอมสละการชิงดีชิงเด่นแล้ว สู้หวงจงไม่ได้จริงๆ สามร้อยล้านของบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ป ต้องใช้สำหรับโครงการนั่น ไม่สามารถทำเรื่องอื่นได้
นี่เป็นกฎที่ระบุไว้ในสัญญาแล้ว
แม้ว่าอิ่นซินใช้แล้ว หลี่เทียนเฉิงก็ไม่กล้าพูดอะไร
ไปเถอะ
ฉินเฟิงเดินเข้าไป อิ่นซินควงแขนเขา ดูสนิทสนมกัน ตอนนี้สองคนนี้ทำมาจนถึงจุดนี้แล้ว สำหรับคนอื่นที่มองมานั้น ก็คือภรรยาที่ดีคนหนึ่ง
มีสิทธิ์อะไร ควรจับมือกับฉันนะ
หลิวลานเมิ่งเดินงอนอยู่ข้างๆ
เรื่องตอนนั้น เป็นฝีมือเขาหรือเปล่า? ฉินเฟิงถามพร้อมกับเอียงศีรษะแล้ว
เรื่องตอนนั้นยังไม่มีเบาะแสอะไร ยังไงก็เจ็ดปีก่อน เบาะแสอะไร ต่างก็ผ่านมานานเกินไปแล้ว ฉีหยุนทำได้เพียงค่อยๆสืบหา
น่าจะไม่ใช่
อิ่นซินส่ายหัว: เรื่องตอนนั้น ถ้าเขาเป็นคนบงการ ก็คงจะไม่มารู้ตัวอีกทีหรอก เมื่อถึงตอนที่พวกเขาตอบรับ การตลาดก็แบ่งแยกไปหมดแล้ว ตอนนี้พวกเขามีแค่ 40 แห่งเท่านั้นเอง
แต่คนนั้นก็ยังน่ารังเกียจมากๆอยู่ดี จริงๆเลย น่ารังเกียจที่สุด แถมยังจะมาซื้อวิลล่าอีก ฉันขอแช่งให้วันนี้ซื้อวิลล่าไม่ได้
หลิวลานเมิ่งบ่นอยู่ข้างๆ
เห็นได้ชัดว่า คนนั้น ทำให้อิ่นซินและหลิวลานเมิ่งเกิดความคับข้องใจอย่างมาก
และบริษัทหวงซื่อกรุ๊ปก็ต้องการที่จะได้ส่วนแบ่งของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วยในตอนนั้น เพียงแต่ว่า ไม่มีปฏิกิริยากลับมา
หาที่นั่งเจอแล้ว
ไม่นาน พวกเขาก็มาถึงที่นั่งของตัวเอง เนื่องจากสถานะไม่ได้สูง จึงได้นั่งที่ธรรมดา ข้างบนนั้นยังมีห้องวีไอพีอีกหลายห้อง
คุณหลีกไป ฉันจะนั่งตรงนี้
เดิมทีอิ่นซินนั่งกับฉินเฟิง แต่หลิวลานเมิ่งไม่พอใจ ผลักฉินเฟิง ไปนั่งข้างๆอิ่นซิน
เธอก็ชอบอารมณ์เสียแบบนี้แหละ
อิ่นซินกล่าวพร้อมยิ้มอย่างจนใจ
ฉินเฟิงมองหลิวลานเมิ่ง ก็พูดไม่ออกนิดหน่อย ฉันอยากหักโบนัสคุณอีกครั้ง หักโบนัสทั้งหมดของพรุ่งนี้ ปีหน้าและหลายปีข้างหน้า
แต่นี่คือโลกของเขาและภรรยาของเขา
แต่ว่า ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
หลังจากนั้น การประมูลเริ่มต้นขึ้น ฉินเฟิงออกไปโดยอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ เมื่อมาถึงหน้าห้องวีไอพีส่วนตัว ทุกห้องส่วนตัวของที่นี่ ล้วนแต่ต้องมีสถานะที่แข็งแกร่ง ถึงจะมีห้องส่วนตัวได้
เสียงแกร๊กดังขึ้น
ประตูเปิดออก
คุณผู้ชาย
ข้างในคือฉีหยุน ครั้งนี้เขามาในฐานะตัวแทนของประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
อืม
ฉินเฟิงเดินเข้าไป นั่งอยู่บนโซฟา มองดูเวลา ใกล้จะถึงแล้ว
สวัสดีครับทุกๆคน ตอนนี้เข้าสู่การประมูลสินค้าชิ้นใหญ่ วิลล่าหยุนติ่งหลังสุดท้าย ราคาเริ่มต้นที่สิบล้านหยวน ตอนนี้เริ่มประมูลครับ พิธีกรกล่าวอย่างตื่นเต้น
วิลล่าหลังนี้ ทำเลดีที่สุด ผมขอประมูลสิบสองล้าน
สิบห้าล้าน!
ยี่สิบล้าน!
……
ราคาขึ้นอยู่สักพัก สุดท้ายหวงจงชูป้ายขึ้น: หวงซื่อกรุ๊ป ขอเสนอราคาสามสิบห้าล้าน วิลล่าหลังนี้หวงซื่อกรุ๊ปชอบ ขอให้ทุกท่านให้เกียรติผมด้วยนะครับ
หวงซื่อกรุ๊ป เป็นบริษัทใหญ่ที่รู้จักกันดี ติดอันดับ 40 ของเมืองเจียงเฉิง
สามสิบห้าล้านเหรอ นี่เป็นราคาที่ตั้งสูงกว่าตลาดเลย
น่าจะไม่มีใครสู้หวงจงแล้ว วิลล่าหลังนี้ ต้องตกไปอยู่ในมือของหวงจงแล้ว
ทุกคนปรึกษากันสักพัก
ดูเหมือนว่า ไม่มีใครเพิ่มราคาแล้ว สามสิบห้าล้านครั้งทีหนึ่ง สามสิบห้าล้านครั้งที่สอง……
พิธีกรบนเวทีประกาศครั้งสุดท้าย
โธ่ วิลล่าหลังนี้ จะตกไปอยู่ในมือของหวงจงแล้วจริงๆ อ๊ะๆๆ……ทำไมไม่มีเศรษฐีออกมาซื้อวิลล่าหลังนี้นะ ให้เขาซื้อ ฉันล่ะโมโหจัง!
หลิวลานเมิ่งขมวดคิ้วและไม่พอใจเล็กน้อย
และในขณะนั้นมีอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น: เจ็ดสิบล้าน
เธอรู้สึกมึนงงมากจริงๆ นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ในประเทศต้าหัว ถือว่าเป็นวิศวกรที่ดีที่สุดแล้ว ฐานะค่อนข้างสูงส่ง
บุคคลที่มีความสามารถและสูงส่งเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าควรจะถูกบริษัทใหญ่ๆแย่งตัวไปตั้งนานแล้วเหรอ
ทำไมถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
ไม่น่าจะอยู่ที่นี่นะ
ไม่สมเหตุสมผลสิ
ไม่รู้ว่า แกโชคดีอะไร แต่ว่าต่อให้แกจะโชคดีแค่ไหน ก็น่าจะใกล้หมดเวลาแล้ว แกมีวิศวกร แต่ว่าไม่มีเงินทุน งั้นแก ก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่นึกถึงจุดสำคัญนี้ได้ ก็กอดอกอีกแล้ว พูดเยาะเย้ยอิ่นซินว่า : แกไม่มีเงินทุน ถึงแม้ว่าจะมีวิศวกร แล้วจะทำอย่างไรได้แกไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เพิ่งจะพูดจบ
ที่ประตูก็มีคนๆหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว : ใครว่าไม่มีเงินทุนล่ะ บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปของเราครั้งก่อนจดทะเบียนเงินทุนสามร้อยล้านไม่ใช่เหรอ ลงทุนในโครงการนี้พอดีเลย
หลี่เทียนเฉิง
หันไปดังขวับ
อิ่นซินหันหลังกลับไปทันที มองไปยังคนนั้นที่หน้าประตู เอามือปิดปากแล้ว ค่อนข้างตกใจ : เถ้าแก……หลี่……คุณยุติที่จะทำการร่วมกันกับพวกเราแล้วไม่ใช่เหรอ……ทำ……ทำไมคะ?
ครั้งนั้น เธอเป็นคนไปติดต่อเอง
หลี่เทียนเฉิงยังพูดจากระแนะกระแหนเธอแล้ว และในครั้งนั้น ก็ยกเลิกการทำงานร่วมกันแล้ว
ผมยกเลิกการทำงานร่วมกันกับพวกคุณ แต่การทำงานร่วมกันระหว่างบริษัทของเรากับคุณอิ่น ยังไม่ได้สิ้นสุดลง การทำงานร่วมกันนี้ ยังคงดำเนินต่อไป หลี่เทียนเฉิงพูดกล่าวอย่างมีเหตุมีผลและฉะฉาน
หลังจากนั้น เขาก็เดินมาตรงหน้าของอิ่นซินแล้ว โค้งคำนับ : คุณอิ่น
ทัศนคติที่แตกต่างกันก่อนหน้านี้ เริ่มแรกเขายังมีความคิดบางอย่างอยู่บ้าง แต่หลังจากที่โดนฉินเฟิงวิพากษ์วิจารณ์ เขาก็ทำตัวเรียบร้อยอยู่ในระเบียบแล้ว เขารู้ อิ่นซินคนนี้ เขาไม่สามารถล่วงเกินได้
อ๊ะ……อืม……
เผชิญหน้ากับการโค้งคำนับของหลี่เทียนเฉิง อิ่นซินค่อนข้างที่จะรับมือไม่ทัน
เริ่มแรก ยังคงแยกเขี้ยวกางเล็บ ต้องการให้ตัวเองดูดี แต่ตอนนี้เห็นสภาพแบบนี้แล้ว เหมือนเฝิงกางเลย อยากจะคุกเข่าให้กับตัวเอง
เฝิงกางตอนนั้นก็เป็นเพราะว่า มาจากจิงตู มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดี
และหลี่เทียนเฉิงคนนี้ ถูกขู่ให้กลัวโดยสิ้นเชิง
ประธานกรรมการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป สุดยอดมากจริงๆ เมื่อลงมือจัดการ เถ้าแก่ใหญ่ที่มีมูลค่าตัวกว่าหลายร้อยล้าน ก็ยอมจำนนโดยทันที
แม้แต่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปก็ไม่มีแล้ว
แต่ว่าในใจของเธอก็รู้ดี บุญคุณที่คนเขาติดหนี้นั้นได้ใช้คืนไปหมดแล้ว กลับว่าไม่ได้ติดหนี้อะไรตระกูลของพวกเขาแล้ว ต่อให้ไปหาประธานกรรมการนั่น กลับว่าจะทำให้คนเขาเกลียดชัง
หลี่เทียนเฉิง นี่มึงจะเล่นกับกูเหรอ!
อิ่นเสี้ยงสวี่พูดด่าออกไปทันที
วันนั้น ด่าเธอ ด่าพวกบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ด่าซะเละจนพูดอะไรต่อไปไม่ออกเลย
ตอนนี้ เจออิ่นซินแล้ว อยากจะคุกเข่าเหมือนกัน
ทำอะไรเนี่ย!
พวกเขาต่างหากที่เป็นเจ้าของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
จะเล่นงานคุณ ทำไมเหรอ มีปัญญา ก็มาโจมตีบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปของพวกเราสิ เหอะ
หลี่เทียนเฉิงพูดเยาะเย้ยอิ่นเสี้ยงสวี่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินออกไปจากตึกนี้แล้ว
สุดท้าย อิ่นเสี้ยงสวี่ก็มีท่าทางที่โมโหจนอกแทบจะแตกตายแล้ว ออกไปแล้ว วันนี้ที่เธอมาเพื่อต้องการมาเยาะเย้ยอิ่นซิน แต่ว่าเยาะเย้ยอิ่นซินไม่ได้ กลับว่าทำให้ตัวเองโมโหอย่างมาก
แต่ว่า เธอยังจำได้ว่าตัวเองจะต้องทำอะไร เขายังจะต้องกลับไปปรึกษาหารือกับอิ่นป่าย
ตอนนี้ อิ่นซินบริษัทเน่าๆแห่งนี้แตกต่างไปแล้ว สภาพการณ์เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น ต้องการคนก็มีคน แถมเป็นวิศวกรชั้นยอดด้วย ต้องการเงินก็มีเงิน สามร้อยล้าน ใกล้จะถึงช่วงเวลาที่แข็งแกร่งแล้ว!
จะต้องรวบซื้อบริษัทนี้มาครอบครองให้ได้
ไม่งั้น พวกเขาก็จะต้องจบเห่แล้ว
วิศวกรก็มีแล้ว แล้วยังเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ตอนนี้ เรื่องของแบบผัง ก็มอบให้เป็นหน้าที่คุณแล้วนะ เงินทุนก็มี สามร้อยล้าน ตอนนี้ขาดแค่กำลังคนและสิ่งของที่จำเป็นบางอย่าง พอดีเลย พรุ่งนี้มีงานประมูล ที่รัก พรุ่งนี้เป็นเพื่อนฉันไปงานประมูลหน่อยนะคะ ได้ไหม ?
อิ่นซินดึงนิ้วมือ คิดถึงขั้นตอนต่อไป
ไม่รู้ว่าทำไม เธอถึงได้คิดว่าเริ่มสร้างบริษัทขึ้นมาใหม่อีกครั้งมันยากมาก แต่ความเป็นจริงเมื่อทำขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้ยากขนาดนั้น แถมยังมีความรู้สึกที่สบายๆอีกด้วย
น่าประหลาดยากแก่การเข้าใจ
ฉินเฟิงตอบตกลงแล้ว
หลังจากนั้นเมื่อถึงตอนบ่าย ฉินเฟิงไปรับฉินกั่วกั่วแล้ว ระหว่างทางกลับ ฉินกั่วกั่วแบกกระเป๋าน้อยๆ จับมือของฉินเฟิง : พ่อ เราเดินอ้อมกันหน่อย โอเคไหม เดินไปทางนั้น?
ทำไมเหรอ? ฉินเฟิงพูดถาม
เพราะว่าหนูได้ยินเพื่อนของหนูพูดว่า เดินไปทางถนนเส้นนั้น จะมองเห็นทะเลได้ หนูโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยเห็นทะเลมาก่อนเลย
กั่วกั่วกระพริบตาน้อยๆ มือทั้งสองข้างกอดบนตัวฉินเฟิงแล้ว
ฉินเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้ว ถูๆจมูกของกั่วกั่ว นำมาซึ่งความรักเป็นพิเศษ
ยัยเด็กคนนี้ ยิ่งจะติดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว
หลังจากที่เดินไปยังถนนเส้นทางซ้ายมือนั้น ก็เดินไปประมาณ20กว่านาที ฉินเฟิงถึงได้รู้ว่าสถานที่ที่เพื่อนคนนั้นของฉินกั่วกั่วพูด คือที่ไหนแล้ว
ขอโทษ ตรงนี้เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดที่หน้าประตูทั้งสองคน ขว้างกั้นพวกเขาไว้แล้ว
วิลล่าหยุนติ่ง
ฉินเฟิงเงยหน้ามองดูชื่อนั้น เขารู้จักชื่อนี้มาจากพิธีตัดริบบิ้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป วิลล่าหยุนติ่ง เป็นวิลล่าที่หรูหราที่สุดในเมืองเจียงเฉิง
ทุกหลัง ล้วนมีมูลค่ากว่าหลายสิบล้าน
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองเจียงเฉิง อากาศสดชื่น อยู่ใกล้ทะเล แค่เดินออกประตูมาก็เห็นทะลอันกว้างใหญ่สีฟ้าครามแล้ว วิวทิวทัศน์งดงาม
ฉินกั่วกั่ว คิดไม่ถึงว่าแกจะมาจริงๆ
ข้างในนั้น มีเด็กผู้ชายหนึ่งคน สวนใส่ชุดที่หรูหรา แบรนด์เนมทั้งตัว เขาอยู่ที่ประตู ชี้ๆไปที่ฉินกั่วกั่ว : ฉันก็แค่พูดไปงั้นๆแหละ คิดไม่ถึงว่าแกจะมาจริงๆด้วย แต่ว่าแกมาแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่า คนที่จะซื้อบ้านที่นี่ ถึงจะเข้ามาได้ แกดูพ่อแกสารรูปสิ ยากจนข้นแค้นเช่นนั้น
เด็กผู้ชาย คำพูดของเด็กไม่มีอ้อมค้อม ฉินเฟิงก็ไม่ได้ถือสาอะไร
เพียงแต่ว่า ผู้หญิงที่เดินออกมาจากทางด้านหลัง ลากเด็กผู้ชายคนนั้น มองไปที่ฉินเฟิงแบบรังเกียจพร้อมพูดว่า : อย่าไปสัมผัสกับคนจนๆแบบนี้ พวกเขาไม่คู่ควร
คุณผู้หญิงหลี่
เจ้าหน้าที่รักษความปลอดภัยเห็นผู้หญิงคนนั้นก็ตกตะลึง หลี่ซานซาน ภรรยาของเถ้าแก่ใหญ่ เป็นบุคคลที่พวกเขาไม่สามารถล่วงเกินได้ และพวกเขาก็เห็นสายตานั้นแล้ว ก็รู้ความหมายแล้ว
ทันใดนั้น เดินออกมาจากป้อมรักษาความปลอดภัยแล้ว โบกแท่งไฟฟ้า : รีบไป รีบไป ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่พวกคนจนๆอย่างพวกแกจะมาอยู่ได้
เหมือนกับไล่ขอทานเลย
เดิมทีฉินเฟิงไม่คิดที่จะขยับ แต่ว่าฉินกั่วกั่วดึงมือของเขาแล้ว ก้มหน้ามอง ฉินกั่วกั่วพูดกล่าว : พ่อคะ ไปกันคะ
สำหรับคำชักชวนของลูกสาว เขาตอบตกลงมาตลอด
ระหว่างทางกลับ ฉินเฟิงพูดกับกั่วกั่วว่า : ลูกรัก ลูกอยากดูทะเลใช่ไหม?
ไม่อยากดูแล้วค่ะ
ฉินกั่วกั่วส่ายหน้าแล้ว : บ้านที่นั่นแพงมาก พวกเราซื้อไม่ไหว กั่วกั่วไม่ดูแล้วค่ะ
ยัยเด็กคนนี้ถึงแม้ว่าอายุยังน้อย แต่ว่าก็รู้เรื่องรู้ราวมากเลยทีเดียว
หนูน้อย พรุ่งนี้จะพาหนูไปดูทะเลนะ
ฉินเฟิงลูบๆหัวของฉินกั่วกั่วแล้ว กดโทรศัพท์โทรออกไปหาฉีหยุนแล้ว : ช่วยฉันหาดูหน่อย นอกจากวิลล่าหยุนติ่ง ยังมีวิลล่าที่ว่างไหม
ไม่นาน ฉีหยุนตอบกลับว่า : มีเหลืออยู่หลังหนึ่งครับ เป็นหลังที่มีทำเลที่ดีที่สุดของวิลล่าหยุนติ่งราคาประมาณ 30 ล้าน พรุ่งนี้มีงานประมูล ก็คือประมูลหลังนี้แหละ
งานประมูลในวันพรุ่งนี้ บังเอิญจัง
ฉินเฟิงพรุ่งนี้ ก็จะไปที่งานประมูลพอดีเลย
ภาระหน้าที่ที่หนักอึ้งและเส้นทางที่ยาวไกล
ฉินเฟิงยิ้มในใจ ทั้งสองคนเริ่มที่จะมีความรู้สึกต่อกันบ้างแล้ว และความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะตอนเริ่มแรกนั้นทั้งหมด เพียงเพราะว่ากั่วกั่ว อย่างน้อย อิ่นซินยินยอมที่จะปกป้องเขา
เวลาทำงาน ยังจะมาจีบกันอีก ประธานอิ่น ประธานกรรมการอย่างคุณ ช่างว่างซะเหลือเกินนะ จุ๊ๆๆ
ทันใดนั้น มีเสียงที่เกรี้ยวกราดดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู
อิ่นเสี้ยงสวี่
ฉินเฟิงสีหน้าเคร่งขรึม มองไปยังอิ่นเสี้ยงสวี่ที่เดินเข้ามาจากประตู รบกวนเขาและภรรยาของเขาแล้ว ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะช่วงเวลาที่หวานซึ้ง
ทำไม แกก็แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกระจอกๆคนหนึ่ง ก็กล้ามาดุฉันเหรอ?
อิ่นเสี้ยงสวี่จ้องมองไปที่ฉินเฟิงแวบหนึ่ง หลังจากนั้นถึงจะเอามือกอดอกเผชิญกับอิ่นซิน พูดกล่าวว่า : ประธานกรรมการอิ่น ที่บริษัทให้แกมาที่นี่ ก็คือให้แกมาเที่ยวเล่นไปวันๆ?
แกมาทำอะไร?
อิ่นซินมองไปยังอิ่นเสี้ยงสวี่อย่างไม่เป็นมิตร
ที่ฉันมา ก็เพราะว่ามาคุมงาน ผู้ถือหุ้นของบริษัทตัดสินใจแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นผู้คุมงานของโครงการนี้ รับผิดชอบตรวจตราโครงการนี้ ถ้าหากไม่สามารถทำงานสำเร็จตามเวลาที่กำหนดได้ งั้น ประธานกรรมการอย่างแก ก็พิจารณาที่จะลงจากตำแหน่งได้เลย ถึงอย่างไรนี่ก็คือกฎของบริษัท แกก็รู้อยู่แล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่หยิบใบที่ได้รับแต่งตั้งออกมาแล้ว แสดงให้เห็นสถานะคุมงานของเธอ
ส่วนกฎของบริษัท อิ่นซินก็เข้าใจ ถึงอย่างไรประธานกรรมการแม้ว่าตำแหน่งใหญ่ แต่ว่าภาระหน้าที่ก็มีมากเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ต้องนำพาบริษัทให้เดินไปในเส้นทางที่ถูกต้อง
ถ้าหากเกิดความสูญเสียที่มากเกินไป งั้นประธานกรรมการก็จะต้องถูกปลดออกอัตโนมัติ
เมื่อ 7ปีก่อน อิ่นซินก็ถูกบีบบังคับให้ลงจากตำแหน่งเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้ก็ยังถูกข่มขู่อีก
ทำไม นานขนาดนี้แล้ว วิศวกรยังไม่มาอีก?
อิ่นเสี้ยงสวี่มองดูรอบๆแล้ว แล้วถามด้วยเจตนาที่มุ่งร้าย
วิศวกรยังอยู่ระหว่างทางมา
มือทั้งสองข้างของอิ่นซิน บีบเล็กน้อย เพราะว่าวิศวกรของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปทั้งหมดล้วนเป็นคนของอิ่นป่าย ไม่มีใครเชื่อฟังคำสั่งของเธอเลยด้วยซ้ำ อีกอย่างพอพูดว่าลดจำนวนคน คณะกรรมการผู้ถือหุ้น ก็ปฏิเสธทั้งหมดอีก
เธอถูกยึดอำนาจแล้วจริงๆ
เธอก็เคยไปรับสมัครแล้ว ล้วนแต่เป็นเด็กที่เพิ่งจบใหม่กันทั้งนั้น หรือว่าพวกที่มีทักษะไม่สูง ไม่มีประโยชน์อะไรในโครงการนี้
อิ่นซิน ฉันคงต้องบอกแกหน่อยนะ โครงการนี้สำหรับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราแล้ว เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่ดินที่ใช้สำหรับการก่อสร้างมีราคาแพงมาก แกจะต้องหาวิศวกรที่มีระดับสักหน่อย ไม่อย่างนั้น ถึงตอนนั้นคุณภาพไม่ผ่าน พวกเรายังต้องชดใช้เงินค่าปรับด้วย
อิ่นเสี้ยงสวี่เอะอะก็พูดแต่ความสำคัญของโครงการนี้ เน้นยำเรื่องนี้ตลอด
หลังจากนั้น พวกเขาก็ใช้วิธีการให้พวกวิศวกรเชื่อฟังเขา ไม่มีวิศวกรคนไหนกล้าที่จะสนับสนุนทางฝั่งอิ่นซินเลย
ที่ทำก็เพื่อ บีบบังคับให้อิ่นซินลงจากตำแหน่ง
เมื่อโครงการนี้ไม่สำเร็จ งั้นก็พิสูจน์ได้ว่าความสามารถของประธานกรรมการคนนี้ไม่เพียงพอ งั้นอิ่นซินก็ต้องยอมรับข้อตกลงของบริษัท จำเป็นจะต้องลงจากตำแหน่งอีกครั้งแล้ว
ถึงตอนนั้นอิ่นป่ายก็จะกลายมาเป็นประธานกรรมการของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปจริงๆแล้ว
วิศวกรอยู่ระหว่างทางแล้ว
ฉินเฟิงลุกขึ้นยืนแล้ว พูดออกมาประโยคหนึ่ง
ระหว่างทาง ไหนล่ะ?แกบอกว่าอยู่ที่นี่?จะมีวิศวกรมาสถานที่แห่งนี้ได้ที่ไหนกัน เงินทุนเริ่มต้นของอิ่นซินก็ไม่ได้มีเยอะ ไม่สามารถจ้างวิศวกรในราคาสูงได้ ดังนั้น แกบอกฉันมา วิศวกรของแกอยู่ที่ไหน?
อิ่นเสี้ยงสวี่รู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปให้เงินทุนเริ่มต้นแก่อิ่นซินเพียงแค่สามหมื่น เงินเล็กน้อยแค่นี้ ไม่เพียงพอที่จะจ้างวิศวกรระดับสูงได้เลยด้วยซ้ำ
แต่ว่า ในเวลานี้ ก็มีเสียงดังแผ่ซ่านเข้ามาจากด้านนอกประตู
วิศวกร อยู่นี่นะ
อิ่นเสี้ยงสวี่ตกตะลึงแล้ว รีบหันหลังทันที มองไปทางประตู เห็นผู้ชายถือไม้เท้าคนหนึ่ง ข้างกายมีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังประคองเขาไว้ เดินเข้ามาทีละก้าวๆ
คนขาพิการ?ฮ่าๆๆ
หลังจากที่อิ่นเสี้ยงสวี่เห็นว่าเฉินจื่อซวนถือไม้เท้า ทันใดนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้ว ยังคิดว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอะไร คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนขาพิการ
คนขาพิการคนหนึ่ง จะมีประโยชน์อะไรได้
ฉันมาแล้ว
เฉินจื่อซวนเดินมายังฉินเฟิงแล้ว
นี่คือเพื่อนของผม เฉินจื่อซวน ก็คือวิศวกรคนนั้นที่ผมพูดกับคุณ อีกคนชื่อว่าเสี่ยวเสี่ยว ฉินเฟิงแนะนำทั้งสองคนแล้ว
เฉินจื่อซวน?
อิ่นซินมองดูเฉินจื่อซวนอยู่ครู่หนึ่ง คนเขากลับว่ามีหน้าตาที่หล่อเหลาเลย แต่ว่าถือไม้เท้า ไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูไม่น่าเชื่อถือ เธอก็ไม่ได้พูดถึง ดร.จากมหาวิทยาลัยหยุนเจียงอะไรนี่
หลีกเลี่ยงไม่ให้อับอาย
เธอก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ เพียงแค่คิดว่าฉินเฟิงกำลังเกลี้ยกล่อมเธอ
โธ่โธ่โธ่ ขอถามคุณหน่อยเถอะ เป็นวิศวกรระดับไหน สอบผ่านใบรับรองอะไรบ้าง จบจากมหาวิทยาลัยอะไร?เป็นแค่วิศวกรธรรมดาทั่วไปใช่ไหม? อิ่นเสี้ยงสวี่เข้ามาใกล้ๆแล้ว พูดถามด้วยสีหน้าเลศนัย
เธอไม่เชื่อเลย อิ่นซินมีทุนน้อยเช่นนี้ สามารถหาวิศวกรฝีมือดีมาได้ จะต้องเป็นพวกไม่เต็มเต็งแน่ ไม่แน่ อาจจะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ
อืม วิศวกรธรรมดา
เฉินจื่อซวนพยักหน้าแล้ว
เมื่อได้ฟังคำตอบนี้ ในใจของอิ่นเสี้ยงสวี่ก็ดีใจ เธอเดาถูกแล้วเป็นวิศวกรธรรมดาจริงๆด้วย แต่ว่าวินาทีถัดไป เฉินจื่อซวนก็นำใบรับรองออกมาแล้ว
ผมจบปริญญาเอกมาจากมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ประกาศนียบัตรอยู่ตรงนี้
หลังจากนั้น เฉินจื่อซวนก็หยิบใบรับรองออกมาอีกสามสี่ใบ : นี่คือวิศวกรก่อสร้าง นี่คือวิศวกรดับเพลิง นี่คือวุฒิวิศวกร นี่คือ……สิ่งเหล่านี้คือตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย แล้วไม่มีอะไรทำ สอบไปเล่นๆ อะไรที่น่าจะสอบได้ ก็สอบหมดแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่ : ????
วิศวกรธรรมดา?
มหาวิทยาลัยหยุนเจียง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ภายในประเทศต้าหัว มหาวิทยาลัยชั้นนำ แถมยังจบระดับปริญญาเอก คนแบบนี้ ยังไม่จบ คาดว่าก็ถูกบริษัทใหญ่ๆแย่งตัวกันไปหมดแล้ว
แต่ว่าวันนี้กลับว่าปรากฏตัวอยู่ที่นี่แล้ว
อีกอย่าง ยังสอบเล่นๆด้วย สอบใบรับรองส่วนใหญ่หมดแล้ว เป็นแบบนี้ ยังจะพูดว่าตัวเองเป็นวิศวกรธรรมดาอีก นี่ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป วิศวกรทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิง ก็ไม่มีใครเป็นปกติแล้ว
เป็นไปไม่ได้!นักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ทำไมถึงได้ปรากฏตัวที่นี่ได้ ใบรับรองนี่เป็นของปลอม
อิ่นเสี้ยงสวี่กัดฟัน ส่ายหัวทันที
เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นี่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง
คุณตรวจสอบทางอินเทอร์เน็ตได้ มีรูป มีชื่อ ฉินเฟิงพูดกล่าวอยู่ข้างๆ
ใช่ ตรวจสอบดู
อิ่นเสี้ยงสวี่ก็คิดถึงเรื่องนี้ได้ แต่ในใจของเธอมีลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รีบหยิบโทรศัพท์ออกมาทันที ตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว
หลังจากผ่านไปหนึ่งนาที
อิ่นเสี้ยงสวี่หยิบโทรศัพท์ เปรียบเทียบกับเฉินจื่อซวน สีหน้าค่อนข้างหวาดกลัว เพราะว่ารูปกับคนจริงๆ หน้าตาเหมือนกันมาก : คุณทำศัลยกรรมมาหรือเปล่า?
นี่คือบัตรประชาชน เฉินจื่อซวน
กับเฉินจื่อซวนหยิบบัตรประชาชนออกมา พิสูจน์ครู่หนึ่ง
วันนี้เขากลับว่าไม่มีท่าทางที่บ้านนอกนั่นแล้ว และกลับสู่สไตล์เดิมที่อยู่ที่มหาวิทยาลัย สีผมก็ย้อมกลับมาแล้ว เสื้อเชิ้ตสีขาวหลวม กางเกงสูท ใส่แว่นตา
ดูแล้ว มีความอาร์ตหน่อยๆ
นี่ถึงจะเป็นสไตล์เดิมของเขา
คาดไม่ถึงว่าเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียงจริงๆ แต่ว่า นักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ทำไมถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้!อ๊ะอ๊ะอ๊ะ!นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไม่ควรนะ
อิ่นเสี้ยงสวี่จับศีรษะ คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
เสี่ยวเสี่ยวเพิ่งจะ26ปี ครั้งก่อน ก็เป็นเพราะว่าที่บ้านบีบบังคับ เธอไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ ถึงได้ทำเรื่องแบบนี้ได้
เฉินจื่อซวนถือไม้เท้า ค่อยๆเดินออกมาจากด้านในทีละก้าว
เสี่ยวเสี่ยวเห็นแล้ว ก็รีบเข้าไปประคองทันที แถมยังพูดตำหนิหน่อยๆว่า : หมอให้คุณพักผ่อนให้ดีๆนะ
โอเคๆๆ
เฉินจื่อซวนพยักหน้าแล้ว
ฉินเฟิงมองไปที่สองคนแวบหนึ่ง เขาก็ไม่ใช่คนโง่อะไร ก็พอจะมองอะไรออกบ้างแล้ว แต่ว่าเขาก็ไม่ได้คิดอยากจะเข้าไปร่วมด้วย นี่เป็นเรื่องของพวกเขาเอง
แต่ว่า เมื่อเปรียบเทียบกับซูเยว่คนนั้นแล้ว
เขายังคงค่อนข้างที่จะสนับสนุนเสี่ยวเสี่ยวนะ
บางเวลา คนเราก็ ไม่อาจทำตามใจตนเองได้จริงๆ คนสองคนคบหาดูใจกัน ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีนะ
คนนี้คือใคร?
เฉินจื่อซวนถามไปยังผู้ชายคนนั้นที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟิง ดังนั้น เขาก็สังเกตเห็นเขาแล้ว
เรียกฉันว่าต้าตาวก็พอแล้ว
ต้าตาวริเริ่มที่จะตอบกลับมาแล้ว : พี่ใหญ่ให้ผมมาช่วยคุณดูสถานที่
คุณน่าจะอายุมากกว่าผมหน่อยนะ งั้นผมเรียกว่าพี่ต้าตาวแล้วกัน
เฉินจื่อซวนก็ไม่ใช่คนโง่ ในทางกลับกัน เขาฉลาดมาก ไม่งั้นไม่มีทางที่จะเข้ามาทำงานในแวดวงนี้ได้ ดำเนินธุรกิจผับบาร์ได้นานขนาดนี้หรอก
พูดออกมาสามสี่ประโยค ก็ได้มีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับคนเหล่านี้ของต้าตาวแล้ว
อันที่จริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเจอซูเยว่ ไม่แน่ ก็อาจจะมีอนาคตที่ก้าวไกล
ไปกันเถอะ สองวันนี้ ตกแต่งแบบพอประมาณสักหน่อย
เฉินจื่อซวนพาพวกฉินเฟิงเข้าไปแล้ว หลังจากที่เข้าไปแล้ว พบว่าสภาพแวดล้อมไม่เหมือนกับเมื่อก่อนเท่าไหร่ ขนาดที่ว่าค่อนข้างเป็นสไตล์ศิลปะกับวรรณกรรมเลย
ดูแล้วรู้สึกสบายอย่างมาก มีอารมณ์ในวรรณกรรม
เมื่อก่อน ซูเยว่เป็นคนทำ ฉันไม่ชอบมาโดยตลอด ครั้งนี้ก็พอดีเลยเปลี่ยนเป็นสไตล์แบบนี้ เป็นผับที่ดูมีระดับขึ้นมาหน่อย เส้นทางการพัฒนาในอนาคต ฉันก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว……
ถึงอย่างไรสมองที่ชาญฉลาด สองวันนี้ เขาได้วางแผนตำแหน่งการพัฒนาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ว่า ตอนที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีผู้ชายกว่าหลายสิบคนเดินเข้ามาจากด้านนอกแล้ว หนึ่งในนั้นที่นำทีมมาก็คือเจ้าบาดแผลต้าตาว เจ้าบาดแผลต้าตาวกวาดสายตามองรอบๆแล้ว : เฮ้ย นี่ตกแต่งเรียบร้อยดีแล้ว รวดเร็วดีนะ อยากให้พวกเราพังทลายอีกครั้งไหม
เจ้าบาดแผลต้าตาว สถานที่แห่งนี้ พวกเราคุ้มกันอยู่
ต้าตาวเดินออกมาแล้ว
ฉันได้ยินจากลูกน้องฉัน ว่ามีกลุ่มคนมา ฉันก็ยังคิดอยู่เลยว่าใครมา คิดไม่ถึงว่า ก็คือแกนี่เอง แม่งเอ้ย ต้าตาว แกนี่ใจกล้าบ้าบิ่นมากสินะ
เจ้าบาดแผลต้าตาวมองไปยังต้าตาว มุมปากเผยความดูถูกออกมาแล้ว
เขารู้จักต้าตาว อยากเข้าไปเป็นบอดี้การ์ดมังกรของพวกเขามาโดยตลอด แต่ว่าไม่มีคุณสมบัติพอ ถูกคนขว้างอยู่ที่หน้าประตูไม่ให้เข้าไปตลอด แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้ไอ้หมอนี่ จู่ๆกล้าที่จะมายั่วยุบอดี้การ์ดมังกรแล้ว
ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ
ฉันไม่ได้อยากจะทะเลาะกับแกนะ ฉันก็แค่มาคุ้มกันผับแห่งนี้ แต่ว่า ถ้าหากแกมาก่อเรื่องวุ่นวายล่ะก็ งั้นก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน
ต้าตาวเอียงๆคอแล้ว ส่งเสียงดังก๊อกแก๊กแล้ว
เหอะ แกจะทำอย่างไรได้?
ต้าตาวเดินก้าวขึ้นมาแล้ว กำยำล่ำสัน สีหน้ามั่นใจ ต้าตาวไม่มีความกล้าหาญมากขนาดนั้น ที่จะกล้าต่อยเขา
แต่ว่า วินาทีถัดมา หมัดกำปั้นก็กระแทกเข้าไปที่ใบหน้าของเขาแล้ว
สมควรตาย!
เขาตอบสนองกลับมาทันที คิดอยากจะหลบ
แต่จู่ๆก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ขาของเขาถูกอะไรทุบเข้าแล้ว รู้สึกชาขึ้นมาทันที ทันใดนั้นก็ขยับไม่ได้แล้ว ตามมาด้วยเสียงดังปัง
กำปั้นนั้นต่อยเข้ามายังใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นอย่างรุนแรงแล้ว
เขากลับว่าไม่สามารถหลบหลีกได้เลย
ต้าตาวสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่คนที่ธรรมดา ต่อยออกไปเลย ปล่อยหมัดออกไปไกลกว่าหลายเมตรแล้ว ถึงกับอาเจียนออกมาเป็นเลือดเลย
พี่ใหญ่
คนของเจ้าบาดแผลต้าตาว รีบล้อมเข้าไปอย่างรวดเร็ว
สมควรตาย
เจ้าบาดแผลต้าตาวนอนลงบนพื้น จับที่ใบหน้าของตัวเอง คางถูกตีจนบิดเบี้ยวแล้ว คาดว่ากระดูกด้านน่าจะแตกแล้ว หลังจากนั้นก็มองไปยังต้าตาว ทิ้งคำพูดที่โหดเหี้ยมไว้ : เด็กอย่างแกรอเลยนะ!ไป
ทันใดนั้นพวกลูกน้องเหล่านั้น ก็พาไปแล้ว
พี่ใหญ่ คุณลงมือจัดการแล้วใช่ไหม?
ต้าตาวหันหลังกลับ มองไปยังฉินเฟิงแล้ว
ช่วยอะไรหน่อย ฉินเฟิงพูดกล่าว
สาเหตุที่เขาให้ต้าตาวออกมา ก็เพราะว่าไม่อยากให้เรื่องนี้บานปลายไปกันใหญ่ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยมบาลเจียงนั่นพูดออกมาเรื่อยเปื่อย ตอนนี้เรื่องราวยังตรวจสอบไม่ชัดเจนเลย
จะแหวกหญ้าให้งูตื่นเช่นนี้ไม่ได้
และเป็นเรื่องของพวกนักเลง เจ้าบาดแผลต้าตาวและต้าตาวทั้งสองล้วนแต่มีฝีมือไล่เลี่ยกัน พวกเขาเป็นแบบนี้ไม่มีทางที่จะร้องขอความช่วยเหลือแน่ เจ้าบาดแผลต้าตาวก็ไม่มีทางเรียกคนของบอดี้การ์ดมังกรคนอื่นๆแน่
นี่สำหรับเขาแล้ว เรียกว่าศักดิ์ศรี
เมื่อเขาเรียกคนอื่นๆ ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าพี่ใหญ่คนนี้ไม่มีประโยชน์ ลูกน้องก็ไม่มีทางที่จะยอมรับและนับถือ
และเมื่อต้าตาวได้ยินคำพูดของฉินเฟิงแล้ว ในใจก็ตกใจมาก ขนาดที่ว่าเขาไม่รู้เลยว่าฉินเฟิงใช้วิธีการอะไร ก็ทำให้เจ้าบาดแผลต้าตาวตัวแข็งทื่อได้แล้ว ทำให้เขาคว้าโอกาสไว้ได้
เรื่องราวลึกลับอย่างมากจนยากที่จะคาดเดาได้
พี่ใหญ่คนนี้ ไม่เพียงแค่มีเบื้องหลังที่น่ากลัว สถานะยังน่ากลัวด้วยเช่นกัน
แต่ว่า นี่สำหรับเขาแล้ว เป็นโอกาสอย่างหนึ่ง
หลังจากนั้น ต้าตาวก็ประจำการอยู่ที่ผับแล้ว เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของผับ ไม่ว่ายังไงผับ ก็เป็นสถานที่ที่วุ่นวาย เฉินจื่อซวนต้องการเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเพื่อรับรองความสงบและความปลอดภัย
ขอเพียงแค่รักษาความปลอดภัยได้แล้ว เด็กผู้หญิงถึงจะมา เมื่อเด็กผู้หญิงมาแล้ว ผู้ชายถึงจะมา
นี่ถึงจะเป็นวิธีการดำเนินกิจการผับบาร์ที่ถูกต้อง
หลังจากที่ถึงวันที่สอง ฉินเฟิงก็ได้ไปที่คลังสินค้านั่น ไม่ ไม่ควรพูดว่าคลังสินค้า และควรที่จะพูดว่าเป็นอาคารสํานักงานใหม่
บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด
ฉินเฟิงเดินมาถึงหน้าประตู มองไปยังกึ่งซานหยวนนั่น ในใจคิดว่า ภรรยาของตัวเอง ทำไมถึงได้ชอบคำว่าซานหยวนนี้เป็นพิเศษ
ลุงหลี่ ลุงหลี่
ฉินเฟิงทักทายกับคนแก่ที่เกือบจะเข้าโลงสองคนนั้น
ถึงอย่างไร นี่เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัท
ล่วงเกินไม่ได้
เอนหลังอยู่บ่อยๆ ทำให้คุณตกใจ ต้นทุนต่ำ ประสิทธิภาพดี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยแบบนี้จะหาได้ที่ไหน
ดี ดี
ฟันของทั้งสองคนแทบจะหักจนเกลี้ยงแล้ว แต่ว่าก็ยังพูดทักทายกลับมาแล้ว
ฉินเฟิงเดินเข้าไปแล้ว เห็นอิ่นซิน สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ท่อนล่างก็ใส่กางเกงทรงตรงสีดำ มัดผมขึ้นมาแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสะอาดสะอ้าน ใจกว้าง มองแล้วสบายตา
แต่ว่าเป็นครั้งแรกที่เห็น ว่าอิ่นซินที่กำลังทำงานในตอนนี้ บนตัวมีบุคลิกลักษณะที่เย็นชาแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นประธานจอมเผด็จการ
ที่รัก
เอ๊ะ คุณมาได้ยังไง
อิ่นซินเงยหน้าขึ้น มองไปยังฉินเฟิงแล้ว เธอคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะมาที่นี่
ก่อนหน้านี้ผมก็บอกแล้วไงว่า ผมมีเพื่อนที่เป็นวิศวกรคนหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ระหว่างทางกำลังมา ต้องรอสักครู่หนึ่งถึงจะถึงนะ ผมมาหาคุณก่อน
เมื่ออิ่นซินฟังประโยคนี้แล้ว สีหน้าไม่เปลี่ยน
แต่ว่า เธอทำแบบนี้เพียงเพราะว่าไม่อยากทำให้ฉินเฟิงหน้าแตก คนที่เป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง นั่นเป็นบุคคลที่มีความสามารถและสูงส่งแค่ไหน ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิง คาดว่าหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว
จริงสิ ผมอยากจะถามคุณมาโดยตลอด ทำไมสำหรับคำว่า ‘ซานหยวน’สองคำนี้ ถึงได้ชอบเป็นพิเศษ ?
ฉินเฟิงนึกถึงคำถามนี้ขึ้นมาได้
เขาอยากจะถามมาโดยตลอด
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
บริษัท กึ่งซานหยวน จำกัด
ผู้หญิงคนนี้ ชอบ ‘ซานหยวน’สองคำนี้มากมาโดยตลอด
ฉันก็มีความลับของฉัน
อิ่นซินส่ายหน้าแล้ว กลับว่าไม่ยินยอมที่จะพูดให้ฉินเฟิงฟัง แต่ว่ายังพูดเพิ่มมาอีกประโยคว่า : ถ้าหากมีวันหนึ่ง คุณสามารถเอาชนะตัวและใจของฉันมาได้แล้ว งั้นฉันก็จะบอกคุณ
หลังจากที่รอให้หลิวลานเมิ่งและอิ่นซินออกมาจากห้องน้ำแล้ว พบว่าคนที่ห้องโถงเปียโนก็แยกย้ายกันไปหมดแล้ว
ทำไมถึงได้แยกย้ายไปกันหมดแล้วล่ะ?
หลิวลานเมิ่งค่อนข้างรู้สึกเสียดาย เธอยังคิดว่าหลังจากที่ออกมาแล้วค่อยไปดูนะ คนรายล้อมมากมายขนาดนี้ จะต้องมีเรื่องอะไรแน่นอน คนต้าหัวล้วนชอบเข้าไปมีส่วนร่วมเรื่องที่ครึกครื้นทั้งนั้น
แยกย้ายแล้วก็แยกย้ายกันเถอะ
อิ่นซินพูดปลอบใจเธอแล้ว
หลังจากนั้นทั้งสองกลับบ้านแล้ว
รอจนกระทั่งวันที่สอง ตอนเช้าอิ่นซินก็ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกให้ตื่นแล้ว รีบจับโทรศัพท์พร้อมพูดว่า : ลานเมิ่ง นี่มันเพิ่งจะหกโมงเองนะ เช้าตรู่ขนาดนี้ มีอะไร?
ท้องฟ้าเพิ่งจะสว่าง
แกรู้ไหมว่าวันนี้ตอนเช้าฉันตื่นขึ้นมา แล้วเห็นอะไร ก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานที่ห้องโถงเปียโน มีเจ้าชายแห่งเปียโนปรากฏตัวขึ้นแล้วจริงๆ ได้ยินมาว่าเป็นระดับ 10 มือทั้งสองข้าง นั่นคือความสง่างาม ความเพราะพริ้ง ฉันได้ฟังมารอบหนึ่ง หลงใหลอย่างสิ้นเชิง อ๊ะอ๊ะอ๊ะ เมื่อวานพวกเราพลาดไปแล้ว
แต่ว่าไม่เป็นไร ฉันจะต้องตามล่าเจ้าชายแห่งเปียโนคนนี้ให้ได้ ฉันชอบเขาแล้ว สักวันหนึ่งเขาต้องเป็นแฟนของฉัน ผู้ชายที่มีความสามารถเช่นนี้ ถึงจะคู่ควรกับผู้หญิงอย่างฉัน จริงสิ วิดีโอได้ส่งให้แกดูแล้วนะ ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มีหน้าตรง มีเพียงแผ่นหลังเท่านั้น น่าเสียดายจัง แต่ว่า ฉันจะต้องหาตัวเขาเจอได้แน่
พูดแล้ว หลิวลานเมิ่งก็ส่งคลิปวิดีโอมาแล้ว
อิ่นซินเปิดดู สิ่งที่ปรากฏออกมาจากคลิปก็คือมีคนๆหนึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเปียโน มือทั้งสองข้างกำลังเล่นเปียโนอย่างสง่างาม เสียงพยางค์ค่อยๆกระจายออกมาทีละตัวๆแล้ว
ผ่านไปไม่นาน ก็หลงใหลแล้ว
หลังจากนั้นสามนาที เปียโนก็สิ้นสุดลง ในใจของอิ่นซินค่อนข้างรู้สึกทึ่งมาก คนๆนี้มีความสามารถเสียจริงๆ เสียงเปียโนนี้ นำพาเธอให้จมเข้าไปในนั้นเลย
แต่ว่า หลังจากที่ดูจบแล้ว อิ่นซินก็ค่อนข้างสงสัยแล้ว
เงาแผ่นหลังนี้……ทำไมถึงได้เหมือน……
อิ่นซินมองไปที่ฉินเฟิงที่กำลังทำความสะอาดอยู่ตรงตามทางเดิน นี่เป็นข้อเรียกร้องของจางลี่ บอกว่าเป็นการทำงานแลกเปลี่ยนที่อยู่บ้านของพวกเขา เธอพูดแล้ว ก็ไม่มีวิธีอื่น
แต่ว่าในเวลานี้ เธอมองทางซ้าย แล้วก็มองทางขวา พบว่าเงาแผ่นหลังนี้ เหมือนกับฉินเฟิงมาก
บังเอิญ?
หรือว่าคนๆนี้ เจ้าชายแห่งวงการเปียโนที่อาจจะมีระดับ 10 ก็คือฉินเฟิง?
อิ่นซินกวัดมือให้กับฉินเฟิงที่อยู่ด้านนอก
มีอะไรเหรอ?
ฉินเฟิงเดินเข้ามาแล้ว
คุณหมุนตัว หันหลังให้ฉัน
อิ่นซินกยื่นมือออกไป บอกใบ้ครู่หนึ่ง
ครับ
ฉินเฟิงหันหลังไป หลังจากนั้นอิ่นซินหยิบโทรศัพท์มาเปรียบเทียบ สุดท้ายพบว่ายิ่งเปรียบเทียบยิ่งเหมือน เหมือนอย่างกับแกะสลักออกมาจากแม่พิมพ์เลยยังไงอย่างนั้น หรือพูดได้ว่า เจ้าชายแห่งเปียโนนี้ เปียโนระดับ 10 ก็คือฉินเฟิง
คุณคือ……
อิ่นซินเงยหน้าขึ้นแล้ว คิดอยากจะถามฉินเฟิง
แต่ในเวลานี้ ในโทรศัพท์ก็มีข้อความส่งมาแล้ว อิ่นซินหยิบเอามาดู หลิวลานเมิ่งเป็นคนส่งข้อความมา : ฉันสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าชายแห่งเปียโนนั่นได้แล้วนิดหน่อย ได้ยินมาว่าเป็นแฟนของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงคนหนึ่ง แต่ว่ารายละเอียดว่าเป็นใครนั้น ตอนนี้ยังหาสืบหาไม่เจอนะ
แฟนของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงคนหนึ่ง?
อิ่นซินเลิกๆคิ้วแล้ว
ที่รัก เป็นอะไรไป?
ไม่มีอะไรแล้ว คุณไปปลุกกั่วกั่วเถอะ อีกเดี๋ยวไปโรงเรียนแล้ว
โอเค
หลังจากที่พูดคุยกับฉินเฟิงสองสามประโยคแล้ว อิ่นซินก็ลูบๆหน้าผาก : เจ้าชายแห่งเปียโนนี้มาจากมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ไม่ใช่ฉินเฟิง สมองของฉันนี่ ตั้งแต่เช้าจรดกลางคืนมัวแต่คิดอะไรอยู่เนี่ย?แบกรับไว้ไม่ไหวแล้วเหรอ เริ่มเห็นภาพหลอนว่า ฉินเฟิงเป็นบุคคลที่สุดยอดมากคนหนึ่ง โธ่เอ๋ย
เธอถอนหายใจแล้ว
เธอมีความเข้าใจในตัวของฉินเฟิงบ้างเล็กน้อย คนแบบนี้ ไม่มีทางที่จะเป็นเจ้าชายแห่งเปียโนได้
อีกอย่างหลิวลานเมิ่งก็พูดแล้ว เป็นแฟนของนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงคนหนึ่ง ไม่ว่าจะพูดยังไง เธอก็รู้สึกว่าฉินเฟิงก็ไม่มีทางนอกใจตัวเองแน่
ไม่มีทางที่จะไปหาแฟนที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงอีก
และก็ไม่มีใคร ชอบเขาด้วย
ส่วนที่ว่าแผ่นหลังคล้ายกัน นั่นก็เป็นเพียงแค่ความบังเอิญก็เท่านั้นเอง อืม ความบังเอิญ แม้ว่าอิ่นซินมักจะรู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ แต่เรื่องนี้ก็ทำได้เพียงประเมินว่าเป็นความบังเอิญแล้ว
และในเวลานี้ หลิวลานเมิ่งก็โทรศัพท์เข้ามาอีก
อิ่นซินรับสายแล้ว
อิ่นซิน ทำไมฉันถึงได้น่าเวทนาเช่นนี้ ผู้ชายที่เพิ่งชอบไป จู่ๆคนเขาก็มีแฟนแล้ว นี่ฉันเพิ่งจะเริ่มมีความรักนะ ก็อกหักแล้ว จะทำยังไงดีล่ะ……
เมื่อกดรับสายโทรศัพท์ หลิวลานเมิ่งก็พูดความทุกข์ในใจของตัวเองออกมาแล้ว
พอแล้ว ไม่ต้องดึงดันแล้ว ถ้าไม่ใช่ของๆแก สุดท้ายก็ไม่ใช่ของแก
ไม่แน่นะ คนเขาก็แค่คบหากัน ไม่ได้แต่งงานสักหน่อย ไม่แน่สักวันก็อาจจะเลิกกันแล้ว ไม่ง่ายเลยนะกว่าที่ฉันจะเจอคนที่ฉันชอบได้ ฉันไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ไม่มีทางแน่นอน
หลิวลานเมิ่งพูดกล่าวสาบาน
จริงสิ อิ่นซิน แกรู้สึกบ้างไหมว่า แผ่นหลังนั้นคล้ายกับฉินเฟิงนิดหน่อย
รู้สึกนะ
ใช่ มีความคล้ายนิดหน่อย แต่ว่าไม่ใช่แน่นอน ถึงอย่างไรเจ้าชายแห่งเปียโนของฉัน มือที่สง่างามนั่น จะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นได้อย่างไรกัน ฉันขอแนะนำแกนะ รีบสลัดทิ้งเขาไปซะนะ
ฉินเฟิงเป็นสามีของฉัน
หลังจากที่ทั้งสองคนพูดคุยกันสักพัก อิ่นซินก็ไปทำงานแล้ว
และฉินเฟิงก็ได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง รีบไปยังโรงเล่นไพ่นกกระจอกนั่นแล้ว
ในห้องทำงานที่อยู่ด้านบน
ทำไม คิดดีแล้วเหรอ?
ฉินเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา มองไปที่ต้าตาวที่อยู่ตรงข้าม
อืม เมื่อคืนฉันคิดมาทั้งคืนแล้ว ฉันถึงได้คิดออก ฉันรับปากคุณแล้ว ยอมที่จะต่อสู้ ไม่แน่ก็อาจจะต่อสู้จนมีอนาคตได้ รถจักรยานกลายเป็นมอเตอร์ไซค์
ต้าตาวพูดด้วยใบหน้าที่จริงจัง
เขาคิดพิจารณามาสองวันเต็มแล้ว นี่เป็นวันที่สาม เขาคิดถึงบางเรื่องได้แล้ว ในเส้นทางนี้ไม่เปรียบเทียบกับอย่างอื่น สิ่งที่เปรียบเทียบก็คือการลงมือที่ ‘โหดเหี้ยม’
เขาเป็นทายาทเศรษฐี พ่อแม่ในบ้านเสียชีวิตไปเร็ว ทิ้งทรัพย์สินไว้ให้เขากว่าสิบล้านและถนนธุรกิจเส้นนี้ แต่เพราะว่าอายุน้อยเกินไป ไม่รู้ว่ามีกว่ากี่คนที่กำลังจับจ้องมรดกที่อยู่ในมือของเขา
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขามีความโหดเหี้ยมมากพอ เข้ามาคลุกคลีอยู่บนเส้นทางนี้ ทำให้ตัวเองมีตำแหน่งในกลุ่มนักเลงแล้ว คนเหล่านั้นที่เรียกว่าญาติสนิท เอาเงินของเขา ไปแบ่งกันจนเกลี้ยงตั้งนานแล้ว แบ่งกันเสร็จก็ไม่สนใจอะไรก็ไปแล้ว ไม่แน่ก็อาจจะทำท่าทีที่หวังดีสำหรับเขา
และถ้าหากตอนนี้สูญเสียคำว่า ‘โหดเหี้ยม’คำนี้ไป แม้ว่าตอนนี้ไม่ได้ล่วงเกินใคร งั้นสักวันหนึ่ง ตัวเองก็อาจจะพังพินาศ สู้ทำให้ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งตอนนี้ดีกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น เขาสำหรับฉินเฟิงแล้วค่อนข้างเชื่อถือ สถานะน่ายำเกรง
งั้นก็ได้ มากับฉันหน่อย ผับแฟนตาซี
ครับ พี่ใหญ่
ฉินเฟิงยิ้มอยู่ในใจ ไอ้หมอนี่ ค่อนข้างตระหนักถึงตำแหน่งของตัวเองอย่างชัดเจน เขาต้องการต้าตาวคนนี้ เพียงแค่เพื่อมาช่วยจัดการกับเรื่องงานที่มีเยอะมากจนเขาคนเดียวทำไม่เสร็จ
แต่ว่า ถ้าไอ้หมอนี่ เข้าใจกฎ เขาก็ไม่ถือสาที่จะมอบโอกาสให้กับเขาจริงๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง
คนกลุ่มหนึ่ง มาถึงยังพผับแฟนตาซีนั่นอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีประมาณสามสิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนเป็นลูกน้องฝีมือดีของต้าตาว มองจากตรงนี้ก็มอง ท่าทีของเขาออกได้
ผับนิพพาน แถมยังเปลี่ยนชื่อแล้วด้วย
ฉินเฟิงเงยหน้ามอง เปลี่ยนชื่อใหม่แล้ว
ฉันเป็นคนเปลี่ยนเอง ถึงอย่างไรก็เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยเฉพาะฉัน กลายมาเป็นเจ้าของอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่แล้ว มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งแผ่ซ่านออกมาจากด้านในแล้ว
ตามมาด้วย ผู้หญิงเดินออกมาแล้ว
ก็คือเสี่ยวเสี่ยว ตอนนี้เธอไม่ได้สวมใส่กี่เพ้าเหมือนครั้งก่อนแล้ว และก็ไม่ได้โชว์ความเซ็กซี่ และเปลี่ยนเป็น ชุดเดรสสีขาวลายดอกที่เรียบง่าย ดูสะอาดสะอ้าน ไม่แต่งหน้าจัดจ้านแล้ว เพียงแค่แต่งหน้าเบาๆเท่านั้น
ดูแล้วเหมือนนักศึกษาผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ค่อนข้างอ่อนวัยอย่างไม่สามารถอธิบายได้
หน้าไม่อายจริงๆ
อิ่นหนิงหยู่พูดดูหมิ่นเหยียดหยาม : วันนี้เขายังส่งข้อความมาหาฉันอยู่เลย ฉันบล็อกไปแล้ว แถมยังติดเครื่องหมายอีกด้วย แต่เขาก็ยังเปลี่ยนวิธีส่งข้อความมาหาฉันอีก และทำอย่างลับๆ คิดไม่ถึงว่าจะคบหากับแกแล้ว
เหอะ แกพูดมั่วซั่ว ฉันไม่เชื่อหรอกนะ
เฉิงหงส่ายหน้าแล้ว : แกสร้างเรื่องขึ้นมาแน่นอน เฉินเจียงจะเป็นคนแบบนี้ได้ยังไงกัน แกคงจะอิจฉาที่พวกเราคบหากันแล้วสินะ อิจฉาในความสามารถพิเศษของเฉินเจียง
ความสามารถพิเศษเหรอ?เขามีความสามารถพิเศษอะไรเหรอ?
เปียโนระดับ 9 แกไม่รู้เหรอ เขาเป็นถึงเจ้าชายแห่งเปียโนเลยนะ มีฝีมือด้านเปียโน สามารถทำให้ทั้งโรงเรียนบ้าคลั่งได้ แกเข้าใจไหม?
เฉิงหงภาคภูมิใจอย่างมาก
เปียโนระดับ 9 เจ๋งจังเลยนะ
อิ่นหนิงหยู่กัดฟันแล้ว ค่อนข้างไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถคัดค้านได้ เพราะว่าเปียโนระดับ 9 ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ระดับเปียโนในประเทศแบ่งเป็น 10 ระดับ
ระดับ 9 เป็นระดับของปรมาจารย์แล้ว
ครูดนตรีของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง คาดว่าคงไม่มีระดับ9
คือว่า ฉันขอลองสัมผัสด้วยมือหน่อยได้ไหม?
และตอนที่พวกเขากำลังทะเลาะกัน ฉินเฟิงหยุดอยู่ที่เปียโนแล้ว สอบถามพนักงานครู่หนึ่ง พนักงานพยักหน้าแล้ว
อุ๊ย ที่แท้แฟนของแก ก็ยังเล่นเปียโนเป็นอีกด้วยเหรอ? ทำไม ยังอยากจะอวดเสียงเปียโนสักหน่อย?เหอะๆ ไม่ใช่ว่าอีกเดี๋ยว เล่นผิดเพี้ยนหมดเลยนะ งั้นก็น่าสนใจแล้วแหละ
เฉิงหงมองไปยังฉินเฟิง นัยน์ตาแฝงไปด้วยรอยยิ้มแล้ว
แค่มองฉินเฟิง ก็รู้ว่าไม่ใช่ผู้ที่มีทักษะ
ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้เป็นมืออาชีพ ไม่ว่ายังไงก็พูดได้ว่า ก็ได้ฝึกซ้อมเปียโนมาเป็นหลายปีแล้ว ถึงตอนนั้นแค่ฟังก็ฟังออกว่า โทนเสียงไม่ถูก
หลังจากนั้นก็เยาะเย้ยอิ่นหนิงหยู่อย่างรุนแรงได้แล้ว
ทำอะไร?
และอิ่นหนิงหยู่ก็ตกตะลึงแล้ว
ฉินเฟิงเล่นเปียโนเป็นหรือไม่นั้น เธอจะไม่รู้เหรอ?
ก่อนหน้านี้ เป็นแค่ขอทานคนหนึ่ง ทำไมถึงเล่นเปียโนเป็น
อย่า……ปล่อยไก่……
อิ่นหนิงหยู่รีบเดินเข้าไปทันที เพียงแต่ว่าตอนที่กำลังจะถึงนั้น มือของฉินเฟิงก็ขยับแล้ว เสียง‘ติง’เลย ตามมาด้วยการเริ่มจังหวะแล้ว
ฉันกลับว่าอยากลองฟังดู ว่าแกจะผิดมากแค่ไหน?
เฉิงหงหลับตาลงแล้ว ฟังอย่างเงียบๆ เตรียมที่จะออกมาแก้ไขข้อผิดพลาด
แต่ว่า ผ่านไปครู่หนึ่ง เธอก็ลืมตาขึ้นมาทันที : เป็นไปได้ยังไง ไม่มีผิดแม้แต่พยางค์เดียว ไม่ถูกสิ นี่มันไม่ควร……อีกอย่าง ยังเล่นได้ดีขนาดนี้ด้วย!
ในเวลานี้ ด้วยการแพร่กระจายออกไปของเสียงเปียโน คนที่อยู่ในห้องโถงเปียโนทั้งหมด ต่างก็เงียบกันแล้ว ทอดสายตาเข้ามาแล้ว ขนาดที่ว่ามีคนบางส่วนเดินเข้ามาแล้วด้วย
ไม่มีการเปล่งเสียง
เพราะว่า เคารพในศิลปะดนตรี
ผู้คนค่อยๆเข้ามารายล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ
และฉินเฟิงก็หลับตาลงแล้ว เข้าสู่โลกแห่งเสียงดนตรีนั่นแล้ว เปียโนนี้ กลับว่าไม่ได้เรียนมาจากตอนที่เขาใช้ชีวิตเป็นทหารเลย
นี่เป็นสิ่งที่แม่ของเขาถ่ายทอดต่อมาให้ แม่ของเขานอกจากเคยเป็นคุณหญิงในตระกูลร่ำรวยแล้ว ยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เจ้าหญิงแห่งเปียโน
เพราะว่าเธอเป็นนักเปียโนระดับสิบ ที่มีเพียงไม่กี่คนในประเทศต้าหัว
นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผู้นำตระกูลฉินตกหลุมรักแม่ของฉินเฟิง หลังจากนั้นเพราะว่าแต่งงานเข้ามาอยู่ในตระกูลฉินแล้ว ไม่สามารถออกไปลอยหน้าลอยตา แสดงไปทั่วได้อีกแล้ว เพราะงั้นจึงมุ่งเน้นไปที่ตัวของฉินเฟิงแล้ว
เพียงแค่เสียดายว่า วันนี้ถึงจะกลายมาเป็นคนที่มีความสามารถ
ติ๊งติ๊งต๊อง……ติ๊งต๊องตั่ว ……ติ๊งต๊องติ๊ง……
เดี๋ยวก็ช้า เดี๋ยวก็เร็ว
ผู้คนค่อยๆเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆแล้ว ผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆที่จมเข้าไปอยู่ในท่ามกลางบรรยากาศแห่งนี้
และในเวลานี้ หน้าประตูก็มีผู้หญิงสองคนเดินเข้ามา ผู้หญิงหนึ่งในนั้นก็คือ อิ่นซิน ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงาน เธอออกมาเดินช้อปปิ้งกับหลิวลานเมิ่ง
เฮ้ย ทางนั้นทำอะไรกัน?คนรายล้อมเยอะแยะขนาดนี้
อิ่นซินมองไปยังห้องโถงเปียโนทางฝั่งนั้น มีผู้คนรายล้อมมากมาย ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น อยากจะไปดูสักหน่อย แต่ทันใดนั้นก็ถูกหลิวลานเมิ่งรั้งไว้แล้ว
ทางฝั่งนั้นอีกเดี๋ยวค่อยไปดู ไปเป็นเพื่อนฉันเข้าห้องน้ำก่อน
หลิวลานเมิ่งลากอิ่นซิน วิ่งไปทางห้องน้ำ
อิ่นซินมองๆดูทางฝั่งนั้น ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้ว
ผ่านไปสามนาที ฉินเฟิงก็หยุดเล่นเปียโนในมือแล้ว ถอนหายใจยาว หลายปีมากแล้ว ใช้ชีวิตเป็นทหาร7ปี เขาไม่ได้แตะเปียโนเลย
วันนี้ แค่ลองสัมผัสมือเท่านั้น
ถึงอย่างไรก็เป็นสิ่งที่แม่ถ่ายทอดมาให้ จะปล่อยทิ้งไปแบบนี้ไม่ได้
เล่นได้ดีมากจริงๆ เจ้าชายแห่งเปียโน ฉันยังไม่เคยได้ยินดนตรีบรรเลงเปียโนที่ไพเราะขนาดนี้มาก่อนเลย
นี่น่าจะระดับ 8ใช่ไหม
ระดับแปดเหรอ คาดว่าไม่ต่ำกว่าระดับเก้านะ ดนตรีบรรเลงเปียโนที่ไพเราะเช่นนี้ เป็นบุคคลที่มีทักษะสูงจริงๆ
ทุกคนต่างก็อุทานด้วยความตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง
พวกเขาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นคนที่เล่นเปียโนเป็นทั้งนั้น แต่เมื่อเปรียบเทียบกับฉินเฟิงแล้ว ก็พบได้ว่า ระดับของตัวเองนั้นยังอยู่ห่างไกลอีกมากจริงๆ
ไปแล้ว
ฉินเฟิงลุกขึ้นยืนแล้ว พาอิ่นหนิงหยู่ไปแล้ว
แต่ว่า อิ่นหนิงหยู่ทิ้งคำพูดไว้ให้เฉิงหงประโยคหนึ่งว่า : เสียงเปียโนนี้ สุดยอดไม่เท่าเฉินเจียงคนนั้นของแกเหรอ?พูดตามตรงนะ ฉันปฏิเสธเฉินเจียงมาโดยตลอด เป็นเพราะว่าฉันมีคนที่ดีกว่า
อิ่นหนิงหยู่ น่าโมโหชะมัด!
เฉิงหงคนทั้งคน ใกล้จะอกจะแตกตายอยู่แล้ว
ความหมายของอิ่นหนิงหยู่ก็คือ เธอดูถูกเฉินเจียง และตัวเองกลับว่าได้มาครอบครองแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าตัวเองได้เก็บขยะขึ้นมาแล้ว
ฉันไม่มีทางปล่อยแกไปแน่
เฉิงหงกัดฟันแล้ว สายตาสาดส่องความโหดเหี้ยมและดุร้ายออกมาแล้ว
และหลังจากที่ออกไปแล้ว อิ่นหนิงหยู่ก็กระโดดโลดเต้นอยู่ข้างกายของฉินเฟิง ดีใจมาก : คุณเห็นสีหน้าของเฉิงหงผู้หญิงคนนั้นแล้วยัง ความรู้สึกที่แทบจะอกแตกตายอยู่แล้วจริงๆ
ฉันก็ไม่ได้แย่งชิงอะไรกับเธอนะ แต่ว่าเธอก็มักจะคิดว่าฉันแย่งชิงกับเธอ ก็พูดว่าเฉินเจียงคนนั้น ฉันไม่ได้ชอบจริงๆ เธอยังคิดว่าฉันอยากจะแย่งกับเธอ กำลังใช้กลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับ
อิ่นหนิงหยู่ค่อนข้างหมดคำที่จะพูด แต่ว่าก็พูดต่ออีกว่า : จริงสิ เรื่องเปียโนของคุณนี่มันเกิดอะไรขึ้น?ทำไมถึงได้เล่นเก่งขนาดนี้ ฉันก็ฝึกเล่นเปียโนเหมือนกัน แต่หลังจากที่ได้ฟังเสียงเปียโนของคุณแล้ว เกิดความรู้สึกด้อยกว่าแล้ว
แม่ของผมเป็นคนถ่ายทอดให้
งั้นแม่ของคุณล่ะ?แล้วก็พ่อของคุณด้วย?ไม่เคยได้ยินคุณพูดถึงเลย
พ่อแม่เสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว
ฉินเฟิงพูดตอบกลับ
แม้ว่าพ่อแม่ของฉินเฟิง ผู้นำของตระกูลฉินยังมีชีวิตอยู่ แต่ในใจของเขาได้ตายไปแล้ว หลังจากที่ได้ขับไล่พวกเขาออกจากบ้าน ก็ตายแล้ว
พ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง
ขอโทษ
อิ่นหนิงหยู่พูดคำขอโทษ ในใจค่อนข้างรู้สึกซับซ้อน เธอก็พอจะรู้ว่าทำไมตอนนั้นฉินเฟิงถึงเป็นขอทานอยู่ข้างถนน ตอนยังเป็นวัยรุ่นพ่อแม่ก็จากไปแล้ว
สถานการณ์แบบนี้ ไม่ขอทานข้างถนน จะทำอย่างไรได้อีก
และในตอนนั้น เธออยู่ภายใต้การช่วยเหลือของพ่อแม่ กำลังเรียนหนังสืออย่างมีความสุข มีเพื่อน มีคุณครู มีทุกอย่าง และฉินเฟิงไม่มีอะไรสักอย่าง
ในเมื่อเปรียบเทียบแล้ว ในใจของเธอก็ค่อนข้างที่จะเจ็บปวด เมื่อก่อนเธอด่าทอฉินเฟิงขนาดนี้ แถมเอะอะก็พูดว่าขอทาน ไอ้ขอทาน เมื่อเปลี่ยนเป็นเธอแล้ว บางทีจุดจบน่าจะยิ่งน่าเวทนามากกว่าอีก
พี่เขย ขอโทษ
ครั้งนี้ อิ่นหนิงหยู่ โค้งคำนับให้กับฉินเฟิงด้วยใจจริงแล้ว
เธอรู้สึกจริงๆว่า เมื่อก่อนตัวเองได้พูดผิดไปแล้วจริงๆ
พอแล้ว ถึงมหาวิทยาลัยแล้ว รีบเข้าไปเถอะ ผมก็ต้องไปรับกั่วกั่วแล้ว
ฉินเฟิงโบกไม้โบกมือ แล้วก็ออกไปแล้ว
แต่ว่า หลังจากที่ออกไปแล้ว ก็โทรศัพท์หาฉีหยุน : ลบรูปที่เกี่ยวข้องกับฉัน ในอินเทอร์เน็ตทั้งหมด
ครับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบพูดขานรับทันที
ตามมาด้วย หลิวหลินมองไปยังฉินเฟิง ค่อนข้างที่ไม่อยากจะพูด แต่ว่ายังคงพูดกล่าวว่า : ขอบคุณนะ แหล่งกบดานนี้ พวกเรากำลังสืบหามาโดยตลอด แต่ว่าแอบซ่อนไว้มิดชิดเลย ในที่สุดวันนี้ก็จับพวกเขาได้แล้ว ส่วนคนที่คอยคุ้มกันนั่น คุณวางใจได้ ฉันไม่มีทางผ่อนผันให้โดยไม่มีหลักการแน่ จะต้องนำตัวมาลงโทษตามกฎหมายแน่นอน
เธอเกลียดฉินเฟิงทายาทเศรษฐีคนนี้ แต่ว่าหน้าที่ต้องเป็นหน้าที่
แม้ว่าเธอไม่รู้ ทำไมทายาทเศรษฐีคนนี้ถึงได้ปิดบังไว้ แถมยังทำเรื่องที่ดี แต่จากการสันนิษฐานทายาทเศรษฐีส่วนใหญ่แล้ว ไม่น่าจะใช่คนที่ใจดีมีเมตตา
ก็เหมือนกับครั้งก่อน เบื้องบนออกคำสั่งมาเลยยังไงอย่างนั้น
สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่เกลียดมากที่สุดก็คือพฤติกรรมของทายาทเศรษฐีแบบนี้ ตระกูลมีทั้งอำนาจและกองกำลัง ไม่ธรรมดา สักวันหนึ่ง เขาจะต้องจับตัวฉินเฟิงให้ได้
มีรางวัลไหม?
ทันใดนั้น ในเวลานี้อิ่นหนิงหยู่ที่อยู่เบื้องหลังของฉินเฟิง โผล่ศีรษะออกมาพร้อมเอ่ยถาม
มีมันก็มีอยู่หรอก หนึ่งแสนหยวน แต่ว่าเขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน คนที่หนึ่งอาทิตย์มีเงินพันล้าน เอาเงินหนึ่งแสนก็ไม่มีประโยชน์อะไร สู้นำมาสนับสนุนและเป็นกำลังใจให้ตำรวจดีกว่า หรือไม่ก็ซื้อสุนัขตำรวจเพิ่มสักสามสี่ตัว
หลิวหลินส่ายหน้าแล้ว กลับว่าไม่อยากให้ฉินเฟิงทายาทเศรษฐีคนนี้
ไอ้หมอนี่ไม่ได้ขาดแคลนเงิน
หนึ่งแสนหยวน ให้ทายาทเศรษฐีคนนี้ สู้บริจาคให้โครงการสงเคราะห์เด็กจะดีกว่า
พูดจบ หลิวหลินก็ไปตรวจสอบในที่เกิดเหตุแล้ว เพียงแต่ว่าอิ่นหนิงหยู่ไม่ค่อยมีความสุขสักเท่าไหร่ เดินตามไปอย่างโมโห ไม่นานก็ออกมาแล้ว เขย่าๆโทรศัพท์มือถือ : คุณฉิน เห็นแล้วยัง หนึ่งแสนหยวน ไม่ขาดแม้แต่สตางค์เดียว
ด้านบนมียอดเงินโอน
หลิวหลินแค่รู้สึกว่าฉินเฟิงไม่ได้ขาดแคลนเงินก็เท่านั้น คิดอยากที่จะนำเงินหนึ่งแสนหยวนนี้ไปทำเรื่องที่ดีกว่านี้ แต่เมื่ออิ่นหนิงหยู่มาเอา เธอยังคงต้องให้ไป
ถึงอย่างไร กฎระเบียบก็อยู่ตรงนี้
มีความสามารถดีเลยทีเดียวนะ
ฉินเฟิงยิ้มแล้ว ไปแล้ว กลับแล้วนะ
โอเค
ยัยเด็กคนนี้แม้ว่าจะสมัครงานไม่สำเร็จ แต่ไม่รู้ว่าทำไม ถึงได้ดีใจมากเลยทีเดียว
แต่ว่าระหว่างทางกลับ อิ่นหนิงหยู่ใช้สายตาที่แปลกๆ สังเกตมาที่ฉินเฟิงอย่างละเอียด พูดกล่าว : คุณฉิน คุณมีความแค้นกันกับหลิวหลินนั่นใช่ไหม?
พูดอย่างไรดี? ฉินเฟิงเอียงศีรษะพร้อมพูดกล่าว
ฉันเห็นสายตาของเธอ แทบอยากจะกลืนกินคุณเลย ยังจะพูดไม่หยุดอีกว่าคุณเป็นทายาทเศรษฐี บอกว่าอาทิตย์หนึ่งคุณมีเงินเป็นพันล้าน นี่มันเพราะอะไรเหรอ?
คงเป็นเพราะว่าผมหล่อมั้ง ไม่ได้มาครอบครอง ก็เลยคิดอยากจะทำลาย
ขี้โม้
อิ่นหนิงหยู่กลอกตามองบนใส่ฉินเฟิง แต่ว่าเธอมีข้อสงสัยอย่างมากข้อหนึ่งอยู่ในใจจริงๆ ก็คือเรื่องของเงินรางวัลนั่น
อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้ว หลิวหลินเป็นคนที่ปฏิบัติตามกฎอย่างมาก แต่จู่ๆเธอก็ไม่ได้คิดริเริ่มที่จะให้ฉินเฟิง แถมยังพบว่าใช้ประโยคที่ว่าฉินเฟิง ‘ไม่ขาดแคลนเงิน’อีกด้วย
ถ้าเธอไม่ได้ไปล่ะก็ ไม่แน่อาจจะไม่ให้จริงๆก็ได้
นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ!
เป็นเรื่องที่ไม่ชัดเจน
ไม่ถูกต้อง เรื่องนี้ไม่ถูกต้อง คุณจะไม่พูดจริงๆเหรอ?
อิ่นหนิงหยู่ใช้สายตาที่สงสัย สำรวจไปยังฉินเฟิง
พูดอะไรเหรอ
ระหว่างคุณกับหลิวหลินไม่ว่าเรื่องไหน ฉันมักจะรู้สึกว่าพวกคุณสองคนผิดปกติ มีบางเรื่อง ถ้าหากวันนี้คุณไม่บอกฉันมาซะดีๆ ฉันจะกลับไปบ้านแล้วบอกพี่สาวของฉันแน่
ก่อนหน้านี้คุณติดเงินสามล้าน
เมื่อฉินเฟิงพูดคำนี้ออกมา สีหน้าของอิ่นหนิงหยู่ก็เปลี่ยนไปแล้ว แม้ว่าตอนนี้เธอจะคืนเงินหมดแล้วก็ตาม แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไป งั้นเธอจะต้องโดนที่บ้านด่าแน่นอน
โดยเฉพาะอิ่นซิน น่ากลัวมาก
ไม่มีอะไรจริงๆ
หลังจากที่ฉินเฟิงใช้อำนาจกดขี่ให้ยัยเด็กคนนี้ยอมจำนนแล้ว ก็อธิบายให้ฟังสักหน่อย
ในความเป็นจริง เขาและหลิวหลินไม่ได้มีอะไรจริงๆ
งั้นก็ได้
อิ่นหนิงหยู่เม้มปากแล้ว เชื่อใจเพียงชั่วคราว อีกอย่างเห็นสีหน้าของหลิวหลินแล้ว ท่าทางเหมือนว่าอยากจะกลืนกินฉินเฟิงอย่างนั้น ก็ไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกันเกินไปแน่นอน
จริงสิ เงินหนึ่งแสนนั่น ฉันช่วยเก็บไว้ให้คุณแล้ว กลัวว่าคุณจะเอาไปใช้จ่ายมั่วซั่ว คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีภรรยามีลูกแล้ว จะต้องขยันให้มาก วันทั้งวันอย่ามัวแต่ออกไปไหนมั่วซั่ว ถ้าหากครึ่งปีหาเงินสองล้านมาไม่ได้ล่ะก็ ครอบครัวของคุณก็จะต้องแตกแยกกัน คุณเข้าใจความสำคัญนี้ไหม
อิ่นหนิงหยู่ใช้มือทิ่มๆไปยังหน้าอกของฉินเฟิงแล้ว ถอนหายใจอยู่ภายในใจแล้ว
ไม่ว่าจะพูดอย่างไร จากการที่ได้อยู่ร่วมกันมาหลายวันมานี้ พี่เขยคนนี้ ก็ทำให้เธอยอมรับบ้างแล้ว เพียงแต่ว่าเธอก็ยังรู้สึกว่าไร้ความสามารถเกินไปแล้ว
พี่สาวของเธอ บุคคลที่มีพรสวรรค์อะไร นักเรียนชั้นยอดแห่งมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง เมื่อเรียนจบแล้วก็ก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอก็คงจะมีค่าตัวหมื่นล้านแล้ว
และฉินเฟิงเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์อะไร ที่แท้ก็เป็นแค่ขอทานคนหนึ่ง ตอนนี้ ก็เป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ฉินเฟิงก็ไม่เหมาะกับพี่สาวของเธอเลยสักนิด
ถึงมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงแล้ว!
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง พวกเขาถึงจะมาถึงมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง อิ่นหนิงหยู่ดึงมือของฉินเฟิง : ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ไปห้องโถงเปียโน เป็นเพื่อนฉันหน่อย
ห้องโถงเปียโน?
ฉินเฟิงเอ่ยถาม
ห้องโถงเปียโน เป็นห้องโถงฝึกซ้อมเปียโนที่เปิดอยู่ข้างๆมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ตอนนี้มาได้เวลาพอดีเลย ไปเป็นเพื่อนฉันฝึกซ้อมหน่อย ถึงยังไงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงเวลา ฉันจะทำให้คุณได้เพลิดเพลินกับทักษะการเล่นเปียโนที่เพราะพริ้งของฉันสักหน่อย
อิ่นหนิงหยู่ลากฉินเฟิงไป ทางฝั่งนั้นแล้ว
อันที่จริง เธอก็เหมือนกับเด็กน้อยที่วาดภาพแล้ว อยากจะให้ผู้ใหญ่ได้ดู ชมเชยเธอยังไงอย่างนั้น นิสัยเหมือนเด็ก ถึงอย่างไรอิ่นหนิงหยู่ก็เพิ่งจะ 18 ปีเอง
ได้
ฉินเฟิงก็ไม่ได้ขัดขืน ก็เดินตามเธอไปแล้ว อยู่บนถนนการค้าทางด้านขวามือ หลังจากที่เดินไปแล้ว เป็นห้างสรรพสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ตสามสี่แห่ง หลังจากที่เลี้ยวสองครั้ง ก็ถึงห้องโถงเปียโนนั่นแล้ว
เดินเข้าไปด้านใน เจอกับคนรู้จัก2คนของอิ่นหนิงหยู่พอดีเลย
อุ๊ย อิ่นหนิงหยู่ ที่รู้จักกันในนามอิ่นหนิงหยู่ผู้ที่บริสุทธิ์และสูงส่ง ดูถูกผู้ชาย วันนี้เดินใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ชายขนาดนี้ ?จุ๊ๆๆ คงไม่ได้ทำข้อตกลงอะไรกันหรอกนะ ให้เงินเท่าไหร่กันล่ะเนี่ย
ผู้หญิงสองคนเข้ามาแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่ง เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแต่งหน้าจัด มองไปยังฉินเฟิงแวบหนึ่ง พูดเสียดสีออกมา
เฉิงหง เป็นแกอีกแล้วเหรอ
อิ่นหนิงหยู่มองไปยังเธอ ขมวดคิ้วแล้ว และก็อธิบายให้ฉินเฟิงฟังครู่หนึ่ง : เทพบุตรของยัยคนนี้กำลังจีบฉัน แต่ถูกฉันปฏิเสธแล้ว แต่ว่าผู้ชายคนนั้นก็ยังคงไม่ยอมแพ้ เพราะงั้นเธอจึงพุ่งเป้ามาที่ฉันตลอด
ทำไม อิ่นหนิงหยู่ ตอนนี้ขี้ขลาดแล้วเหรอ ?ไม่กล้าแม้แต่จะพูดออกมาแล้วเหรอ?
เฉิงหงเดินเข้ามาแล้ว มีใบหน้าที่เยาะเย้ย
แกปฏิเสธเฉินเจียงแล้ว ก็เลยมาคบหาดูใจกับผู้ชายคนนี้?ผู้ชายคนนี้ สารรูปยากจนข้นแค้น บวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวแล้ว แม้แต่หนึ่งร้อนหยวนก็ไม่น่าจะมีถึงหรอก แกนี่มีตาหามีแววไม่จริงๆ เฉินเจียงชอบแก เป็นเกียรติของแก รู้ไหมว่าเฉินเจียงเขามีสถานะคืออะไร ลูกชายของผู้บริหารมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง โอกาสแบบนี้ แกก็ได้พลาดมันไปแล้ว
ผู้หญิงอีกคนก็เดินเข้ามาแล้ว ส่ายหน้าอย่างดูถูก
เกี่ยวอะไรกับแกด้วย
อิ่นหนิงหยู่ดึงมือของฉินเฟิง พูดตอบกลับไปประโยคหนึ่งอย่างมั่นใจ
เกี่ยวอะไรกับฉันน่ะเหรอ เหอะๆ ทุกคนก็เป็นเพื่อนกันหมด ฉันก็ต้องช่วยเหลือแกไม่ใช่เหรอ แต่ว่า นี่มันก็ใช่นะ ที่นี่มีใครบางคน ทะนงตัวเกินไป หาคนจนๆมาเป็นแฟน แถมยังภาคภูมิใจในตนเอง ปล่อยโอกาสที่จะได้เป็นหงส์ที่แท้จริงไปแล้ว
เฉิงหงเงียบไปครู่หนึ่ง ตามมาด้วยมุมปากยกสูงขึ้นพร้อมพูดกล่าวว่า : จริงสิ ฉันบอกแกอย่างไม่ถือสาได้เลยนะ ฉันจีบเฉินเจียงติดแล้ว โอกาสนี้ แกพลาดแล้วแหละ แกจะต้องเสียใจภายหลังแน่
คนที่รูปร่างหน้าตาน่าเกลียด?พูดจาดูถูกคนอื่นมาก
ผู้ชายหนึ่งคนในนั้น ยิ้มแฉ่งแล้ว ใบหน้าดูถูก พุ่งเข้าไปเลย ออกหมัดกระแทกไปยังหน้าอกของฉินเฟิง คิดอยากจะต่อยให้ฉินเฟิงให้บาดเจ็บสาหัส
หลังจากนั้น
ก็ถูกฉินเฟิงเตะกระเด็นออกไปแล้ว
ลอยกระเด็นไปบนกำแพงเลย กระอักเลือดออกมาสามสี่ครั้ง
ฉันพูดแล้วไง จัดการกับพวกทหารกุ้งขุนพลปูอย่างพวกแก ไม่จำเป็นต้องลงมือ
ฉินเฟิงเท้าแพลงแล้ว
พี่เขยหล่อมาก พี่เขยทรงพลัง
อิ่นหนิงหยู่อยู่ข้างกายของฉินเฟิง กำหมัดเล็กๆ ให้กำลังใจฉินเฟิง พูดประจบสอพลอพี่เขย
เก่งกาจไม่กลัวตายดีนะ แต่ว่าหลายปีมานี้ คนที่เก่งกาจไม่กลัวตาย ฉันก็เห็นมาเยอะแล้ว ทุกคนต่างก็ถูกฉันตีทุบอย่างโหดเหี้ยมหมดแล้ว ทุกคนบุกเข้าไปจัดการ
ใบหน้าของจางเถียนสาดส่องความโหดร้ายออกมา
ได้
พวกคนที่เหลือเหล่านั้น ก้าวเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้น
ถูกเตะคนแล้วคนเล่า
ไม่ถึงสิบวินาที ภายในห้องนี้ ร้องไห้คร่ำครวญไปทั่ว ทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนของจางเถียนคนนั้นทั้งนั้น
แม่งเอ้ย!
เห็นภาพฉากนี้แล้ว จางเถียนก็ตกตะลึงไปแล้ว
รู้สึกกลัวสุดขีด
โหดเหี้ยมเกินไปแล้วหรือเปล่า?
หนึ่งคนต่อสู้กับสิบคน เตะคนแล้วคนเล่าก็จัดการได้เรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ ถึงคราวแกแล้ว
ฉินเฟิงมองไปยังจางเถียนแล้ว
คือว่า ฉันลืมปิดแก๊สที่บ้านนะ ฉันจะต้องรีบกลับไปปิดแก๊สก่อน
จางเถียนพบสิ่งผิดปกติ ก็รีบที่จะออกไป แต่ว่าไม่ทันได้เดินออกจากประตูไป ฉินเฟิงก็เตะเก้าอี้นั่นขยับแล้ว ทุบไปที่ศีรษะของจางเถียนเข้าแล้ว
จางเถียนก็ล้มลงกับพื้นเลยทันที
เดิมที พวกว่านเหรินสามคนนั้น เห็นว่าเรื่องมันผิดปกติ ก็คิดอยากจะออกไป แต่เมื่อเห็นจางเถียนที่นอนจมกองเลือดอยู่ที่หน้าประตูแล้ว ไม่มีใครกล้าออกไปสักคนเดียว
ทำอะไร
ก็แค่สัมภาษณ์ ทำไมคนที่มาสัมภาษณ์ถึงได้เก่งกาจมากขนาดนี้
คือว่า หัวหน้าของพวกเรา เป็นคนที่แกไม่สามารถล่วงเกินได้ ทางที่ดีแกอย่ามาทำอะไรพวกเราจะดีกว่านะ ไม่งั้นจุดจบของแกจะต้องน่าเวทนามากแน่นอน
ว่านเหรินเดินเข้ามาแล้ว พูดกล่าวด้วยใบหน้าที่ข่มขู่
สถานการณ์ในตอนนี้ ทำได้เพียงแค่อ้างถึงหัวหน้าของพวกเขาคนนั้นมาเพื่อข่มขู่คนให้กลัวเท่านั้น
หัวหน้า?ก็ดีเลย
ฉินเฟิงมีความสุข หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้ว กดโทรออกไป : ฉีหยุน ช่วยฉันหาเบอร์โทรศัพท์ของหลิวหลินหน่อย
ครับ
หลังจากนั้นหนึ่งนาที ฉีหยุนก็ส่งเบอร์โทรศัพท์ของหลิวหลินมาให้แล้ว ฉินเฟิงกดโทรออกไปแล้ว
ฮัลโหล ใครกัน?
น้ำเสียงของหลิวหลินที่เหมือนกับนกขมิ้นเหลืองแผ่ซ่านออกมาจากในสายโทรศัพท์แล้ว หลิวหลินหน้าตาสละสลวยมาก มีสง่าราศี บุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย
เพียงแต่ว่า อารมณ์ค่อนข้างร้อน
ผมเอง ฉินเฟิง
คุณเหรอ?แต่นี่เป็นเบอร์ส่วนตัวของฉัน คุณหาเจอได้ยังไงกัน!
อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้ก่อนเลย พาคนในทีมของคุณมาที่หนานอ้านหน่อย ถนนเทียนหยุน24 เร็วๆหน่อยนะ ระยะห่างจากที่นี่ ความเร็วสุด ภายใน20นาทีพวกคุณก็น่าจะถึงได้
พูดจบ ฉินเฟิงก็วางสายไปแล้ว
และหลิวหลินที่อยู่ทางฝั่งนั้น ถือโทรศัพท์ที่วางสายไป ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง : ทำอะไรเนี่ย นี่กำลังสั่งฉันเหรอ คุณคิดว่าคุณเป็นใครกัน!
แถมยังหาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของฉันเจออีก ลูกคนรวยเจ๋งดีนักเหรอ
สักวันหนึ่งก็ต้องมีวัน ที่ฉันจะจับจุดอ่อนของคุณได้ จับตัวคุณกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
หลิวหลินเดินออกจากห้องทำงานด้วยใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์ กวาดสายตามอง พูดกล่าว : เตรียมออกไปปฏิบัติหน้าที่ ปลายทางหนานอ้าน ถนนเทียนหยุน24 เวลา ภายใน20นาที
แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่ว่าฉินเฟิงให้เธอนำทีมไป น่าจะเกิดเรื่องขึ้นแน่
เหอะๆ นี่แกกำลังเรียกคน?ฉันบอกแกให้นะ แกเรียกใครมาก็ไม่มีประโยชน์ ถึงท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะยอมปล่อยออกมาอย่างเชื่อฟัง
ว่านเหรินมีใบหน้าที่มั่นใจในตัวเองมาก
สำหรับคนใหญ่คนโตเบื้องบนนั่น เขายังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจมาก
จนกระทั่ง เห็นหลิวหลินบุกเข้ามา อดไม่ได้ที่จะพูดจาหยาบคายออกมาทันที : แม่งเอ้ย ทำไมถึงเป็นผู้หญิงคนนี้ได้ จบเห่แล้ว จบเห่แล้ว
หลิวหลิน ตำรวจหญิงอันดับ 1 แห่งเมืองเจียงเฉิง
ความรู้สึกที่รักในความยุติธรรมโดยกำเนิดอย่างมาก เกลียดคนชั่วเรื่องชั่วๆเหมือนเป็นศัตรู สำหรับเธอแล้ว ไม่มีความเมตตากับพวกคนเลวแม้แต่น้อย และก็ไม่มีใครกล้าที่จะวิงวอนขอ
เมื่อไปแล้ว เธอก็จะสงสัยว่าคนๆนี้เป็นพวกเดียวกัน ถึงตอนนั้นก็จะตรวจสอบคนๆนี้ด้วย เชื่อมโยงเข้ามาเกี่ยวพันกัน ท้ายที่สุดก็จะจับคนๆนี้ส่งไปในคุกอีก
เมืองเจียงเฉิง ตำรวจที่รับมือยากที่สุด ก็คือหลิวหลิน
ว่านเหรินเจอใครก็ได้ แต่ไม่ยินยอมที่จะเจอผู้หญิงคนนี้ ทุกอย่างจบเห่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมาเจอยัยปีศาจคนนี้ พวกเขาออกมาไม่ได้แล้ว
ดำเนินการตรวจสอบในที่เกิดเหตุ
เมื่อหลิวหลินเดินเข้ามาแล้ว ได้ออกคำสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เดินมาหาฉินเฟิง ใช้สายตาที่มองคนเลว มองไปยังฉินเฟิง : ฉินเฟิง!
หื้อ?
ทำไมคุณถึงได้มีเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของฉันได้?
ให้คนช่วยหาให้นะ
หลิวหลินเพราะว่าโมโห หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอยู่ครู่หนึ่ง เธอคิดว่าฉินเฟิงจงใจที่จะตรวจสอบเธอ กัดฟันทันที : มีเงินแล้วเจ๋งมากเหรอ เป็นทายาทเศรษฐีแล้วเจ๋งมากเหรอ สักวันหนึ่ง ฉันจะจับคุณกลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ฉันไม่มีทางยอมปล่อยคนเลวไปแม้แต่คนเดียว
ทายาทเศรษฐี?
ใบหน้าของอิ่นหนิงหยู่มึนงง?
ทายาทเศรษฐี?
พี่เขยตัวเอง เป็นทายาทเศรษฐี?
คุณเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า พี่เขยของฉัน เป็นคนจนๆคนหนึ่ง จะเป็นทายาทเศรษฐีได้ยังไงกัน คุณยังมาพูดอีกว่าอะไรนะมีเงินไม่ธรรมดา แต่เขาจนจะตายไป
อิ่นหนิงหยู่ลุกขึ้นยืนออกมา ใบหน้าสับสนมึนงง
คุณไม่เข้าใจ
หลิวหลินกลับว่าไม่อยากจะอธิบายให้อิ่นหนิงหยู่ฟัง เธออยากจะต่อสู้กับฉินเฟิงให้ถึงที่สุด ไม่ได้อยากลากคนอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
หื้ม?
ตามมาด้วย อิ่นหนิงหยู่ย่นจมูกที่สวยงามแล้ว พร้อมทั้งหันไปมองที่ฉินเฟิงแล้ว : คุณฉิน พี่ตำรวจคนนั้น ทำไมถึงได้บอกว่าคุณเป็นทายาทเศรษฐีล่ะ?
โธ่เอ๋ย
ฉินเฟิงอุทานออกมาแล้ว : มาจนถึงตอนนี้แล้ว ปิดบังไม่ได้แล้ว ผมก็ไม่ปิดบังคุณแล้วกัน ผมเป็นทายาทเศรษฐี ตระกูลของผมมีเงินมากมาย แบบที่ว่าทรัพย์สมบัติเทียบเท่ากับทรัพย์สินของประเทศ เงินใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดในหนึ่งสัปดาห์ของผมก็มีประมาณหนึ่งพันล้าน
ขี้โม้
อิ่นหนิงหยู่กลอกตามองบนใส่ฉินเฟิงแล้ว
ยังคิดว่าเป็นทายาทเศรษฐีจริงๆซะอีก
คิดไม่ถึงจริงๆว่า โรคขี้โม้นี่ ยังคงไม่เปลี่ยนไปเลย
ยังจะมาบอกว่าหนึ่งสัปดาห์ หนึ่งพันล้าน
คิดอะไรอยู่ล่ะ
โอเว่อร์เกินความจริง
คุณก็ยังคงหน้าไม่อายเช่นเคย ถ้ามีเวลาล่ะก็ ขี้โม้ให้มันน้อยๆหน่อย หาเงินให้มันมากๆหน่อย ครึ่งปีสองล้าน ถ้าหากไม่มีสองล้าน คุณคงจะต้องหย่ากับพี่สาวของฉันแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ใช้มือทิ่มๆไปที่หน้าอกของฉินเฟิงแล้ว ค่อนข้างหมดคำพูด
เขาไม่ได้ขี้โม้
หลิวหลินส่ายหน้าแล้ว มีเพียงแค่เธอรู้ ตอนที่ตรวจสอบชีวประวัติของฉินเฟิง เป็นความลับระดับSSS และก็ไม่รู้ว่าตระกูลฉิน จ่ายเงินเพื่อเขากว่าเท่าไหร่ ถึงได้เก็บซ่อนชีวประวัติไว้แล้ว
มีพวกคนรวยบางจำพวกที่ชอบทำแบบนี้ เพื่อที่จะปิดบังสถานะของตัวเอง
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าสถานะของเธอเป็นกรณีพิเศษ ไม่แน่ก็อาจจะสืบหาเจอ เพราะงั้นหลิวหลินถึงได้พูดว่าทายาทเศรษฐี สิ่งที่เธอรับไม่ได้มากที่สุดก็คือพวกทายาทเศรษฐีที่ก่อกรรมทำชั่วไปหมดเหล่านี้
และในเวลานี้ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเข้ามารายงาน : หัวหน้าทีม นี่เป็นสถานที่ก่ออาชญากรรมนั่นที่พวกเราสืบหามาโดยตลอด ข้างในนั้นมีคลิปวิดีโอกว่าห้าสิบคลิป พวกเราตรวจสอบแล้ว ในบัญชีของพวกคนเหล่านี้ มีสามสิบล้าน ยอดเงินจำนวนมาก แล้วก็ พวกเขา มีคนที่เหนือกว่าคอยคุ้มกันอยู่
มีคนคอยคุ้มกัน?งั้นก็ไปลากตัวคนๆนั้นออกมา ตรวจสอบ ตรวจสอบให้ชัดเจน ฉันก็อยากจะดูเหมือนกัน ว่าใครที่นั่งกินตำแหน่งฟรีๆโดยที่ไม่ทำอะไรเลย
หลิวหลินออกคำสั่งเลย สืบสวนอย่างละเอียดให้ถึงที่สุด
เธอเกลียดพวกที่มีตำแหน่ง แต่ไม่ปฏิบัติหน้าที่แบบนี้มากที่สุด แม้ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจะยังไง!
อิ่นหนิงหยู่ตกตะลึงเล็กน้อย ไม่ได้มาที่นี่เพื่อออดิชั่นเหรอ เกี่ยวอะไรกับการอุทิศตัวให้งานศิลปะ
บอกกับคุณตามตรงนะ ภาพยนตร์เรื่องต่อไปของพวกเรานั้นเป็นฟอร์มใหญ่ ต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาลอย่างน้อยหนึ่งหมื่นล้านในการถ่ายทำ กำลังจะจุดไฟให้ทั่วทั้งโลกออนไลน์
ว่านเหรินพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า คุณน่าจะรู้จักหนังเรื่องนี้นะ Moods of Love
Moods of Love ฉันรู้จัก นี่คือภาพยนตร์ IP ขนาดใหญ่ ลำพังแค่การโฆษณาก็ต้องใช้เงินหลายร้อยล้านแล้ว เพื่อให้กระจายไปทั่ว
อิ่นหนิงหยู่ รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง
เธอรู้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังที่โด่งดังที่สุดในขณะนี้ แม้ว่าจะยังไม่ได้ถ่ายทำ แต่อิทธิพลของมันได้แผ่ไปทั่ววงการบันเทิงทั้งหมด
เพราะผู้กำกับหนังเรื่องนี้คือ มู่หรงเจียงเสว่
เขาเป็นผู้กำกับในตำนานของแวดวงบันเทิง
ทันทีที่ออกสู่สาธารณชน ก็โด่งดังจากภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง ต่อมาก็ได้ถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆ อีกห้าหกเรื่อง ซึ่งแต่ละเรื่องเป็นภาพยนตร์ที่ทำกำไรหลายพันล้าน
ใช่แล้ว ผมดีใจที่คุณเคยได้ยิน คุณสามารถค้นหาในอินเทอร์เน็ตก็รู้ว่าผม จางหยุนเฉิง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับของเรื่องนี้ ที่ผมมาที่นี่วันนี้ก็เพื่อเลือกบทสมทบหญิงในหนังเรื่องนี้
ว่านเหรินพูดอย่างจริงจังว่า ผมเดินทางไปถึงสิบสองเมืองเพื่อตามหานักแสดงสมทบหญิงคนนี้ แต่ก็ไม่พบเธอเลย มันหายากมาก
ยากมาก? ยากตรงไหน? อิ่นหนิงหยู่ถามขึ้น
พวกเธอไม่ยินดีที่จะอุทิศตัวให้กับงานศิลปะ
ว่านเหรินถอนหายใจ บทสมทบหญิงคนนี้มีหน้าที่ในการเต้นรำในเรื่อง ในช่วงหัวใจสำคัญ เธอจะต้องสละส่วนหนึ่งของร่างกายไป แต่พวกเธอไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น ผมเองก็ไม่โน้มน้าวพวกเธอ ถึงอย่างไรมันเป็นทางเลือกของทุกคน แต่เมื่อได้เลือกบทบาทนี้แล้ว ต่อไปพวกเธอจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าในวงการบันเทิง
สิ่งที่เขาพูดนั้นจริงใจและทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้
แต่ทว่า เขาใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นที่สุดกับคำว่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า การปูพื้นก่อนหน้านี้ก็เตรียมไว้สำหรับคำสี่คำนี้เช่นกัน
เมื่อเด็กสาวได้ยินและฝันอยากจะเป็นคนดัง เธอจะคิดว่ามันเป็นโอกาส ถ้าไม่มีใครคว้าไว้ได้ ฉันก็ขอเลือกที่จะคว้ามันไว้เอง
คนเราชอบเอาเปรียบในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
คว้าโอกาส ‘หนึ่งในรอบพันปี’ นี้ไว้
เด็กสาวคนนี้ก็เช่นกัน เธอเคยปฏิเสธเขาอย่างจริงจังมาก่อน แต่เมื่อเป็นเรื่องของภาพยนตร์และความเป็นไปได้ที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า เธอก็ยอมรับมันแล้ว
เพียงแต่ว่า ในท้ายที่สุดว่านเหรินก็ตอบกลับว่า ‘โปรดกลับไปรอฟังข่าว’
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวร้องไห้
แล้วคุณอยากออดิชั่นอะไรกันแน่? อิ่นหนิงหยู่ถามด้วยความสงสัย
อย่างแรกก็คือ การทดสอบคุณภาพทางจิตใจของคุณ ถอดเสื้อผ้าออกก่อน ดูว่าคุณสามารถเอาชนะความรู้สึกอับอายต่อหน้าผู้ชายสามคนได้หรือไม่
ว่านเหรินโบกมือแล้วพูดว่า ไม่ต้องกังวล พวกเราจะไม่เอาเปรียบคุณ พวกเราเป็นมืออาชีพ
แม้ว่าเขาจะบอกว่าเป็นมืออาชีพ แต่ความจริงแล้ว ความปรารถนาในสายตาของเขานั้นปกปิดไม่อยู่ เช่นเดียวกับแพทย์หนุ่ม ผู้หญิงมากมายที่มาที่นี่ มีเพียงอิ่นหนิงหยู่เท่านั้นที่สวยที่สุด
ราวกับดอกบัวโผล่พ้นผิวน้ำ
หา…ถอดเสื้อผ้า?
อิ่นหนิงหยู่ตกตะลึง
ใช่ ถอดเสื้อผ้าออก คุณเป็นนักแสดง จะคิดอะไรมากมายไม่ได้ คุณต้องเรียนรู้ที่จะเอาชนะแรงกดดันทางจิตใจและผ่อนคลาย คุณต้องรู้ว่าคนที่มีคุณสมบัติทางจิตใจไม่ดีไม่สามารถเล่นบทบาทนั้นได้ นี่คือบททดสอบสำหรับคุณ เมื่อผ่านเข้าไปแล้ว คุณก็จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้
ว่านเหรินพูดด้วยน้ำเสียงและการใช้ภาษาที่เป็นมืออาชีพ
อันที่จริงมีกล้องสองตัวอยู่ในห้องนี้ ถ้าพวกเขาถ่ายเหตุกาณ์นี้ไว้ มันจะขายได้เงินมากมายกับรูปลักษณ์ของอิ่นหนิงหยู่
นอกจากนี้ เขาเชื่อว่าอิ่นหนิงหยู่ก็จะตอบตกลง
เพราะว่า ผู้หญิงทุกคนล้วนมีจิตใจที่ไล่ตามความฝัน
ขอโทษนะคะ ฉันขอปฏิเสธ
แต่ทว่า อิ่นหนิงหยู่ลุกขึ้นยืนและส่ายหัว การอบรมภายในครอบครัวของฉันบอกฉันว่า ฉันไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ ขอโทษด้วย
พี่เขย ไปกันเถอะ
จากนั้นเธอก็เรียกฉินเฟิง
ตกลง
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเฟิงก็รู้สึกโล่งใจ เขายังกังวลว่าจู่ๆ เด็กสาวตัวเล็กๆ คนนี้จะคิดสั้นทำเพื่อชื่อเสียง โชคดีที่เธอปฏิเสธ
ปฏิเสธแล้ว!
ว่านเหรินและอีกสามคนตกตะลึง พวกเขาใช้ความพยายามอย่างมาก แต่ในที่สุดก็ปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เด็กสาวมากกว่าสิบคนนั้นประสบความสำเร็จทั้งหมด
แต่พอถึงคนนี้ ดันปฏิเสธ
บัดซบ!
พวกเขาไม่ยอมปล่อยให้สาวสวยคนนี้หนีไปได้
เจ้าว่าน ผมจะบอกคุณให้ วันนี้ผมพบหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ไม่รู้ไปทำพลาดอีท่าไหน เขาจับผมส่งไปที่สถานีตำรวจ ถ้าผมไม่มีเส้นสาย ก็ไม่แน่ว่าจะออกมาได้ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่คุณไม่รู้ เด็กสาวคนนั้นสวยจริงๆ…
ในขณะนี้ มีเสียงดังมาจากประตู แต่เมื่อชายคนนั้นเข้ามาและเห็นฉินเฟิงก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวทันที หนุ่มน้อย! คุณจริงด้วย!
เขาคือจางเถียน คนลามกบนรถบัสคนนั้น
ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้
ฉินเฟิงมองคนคนนี้
เฮ้ พวกคุณมาออดิชั่นที่นี่เหรอ? เป็นไงบ้างล่ะ? ผ่านหรือเปล่า? ผมอดใจรอดูคลิปนี้ไม่ไหวแล้ว ผมอยากจะดูว่าเด็กสาวอย่างคุณจะยั่วยวนขนาดไหน
จางเถียนมองพิจารณาทั้งสอง
แต่ว่านเหรินกระแอมไอแล้วพูดว่า พวกเขาไม่ได้ออดิชั่น ปฏิเสธแล้ว
เพื่อน ปฏิเสธแล้ว พวกคุณปฏิเสธโอกาสดีๆ ที่จะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ปฏิเสธก็ดี ต่อไปผมจะถ่ายหนังฟอร์มใหญ่
ดวงตาของจางเถียนเป็นประกายด้วยความอาฆาต
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้ชายกว่าสิบคนก็เข้ามาทางประตู พวกเขาล้วนมีร่างกายกำยำ ห้อมล้อมทางเข้าไว้
นี่คือคนของผมทั้งหมด พวกคุณไม่กลัวเหรอ?
จางเถียนหัวเราะคิกคักและพูดกับพวกผู้ชายเหล่านั้นว่า พี่น้อง รอฉันสนุกเสร็จแล้วจะแบ่งให้พวกนาย ทุกคนโชคดีที่ได้แบ่งปันร่วมกัน แต่ขอกำจัดสิ่งที่น่ารำคาญนี้ออกไปก่อน
เขาชี้ไปที่ฉินเฟิง
แน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฉินเฟิง
เจ้าหมอนี่ ฉันเกรงว่าจะทนหมัดฉันไม่ได้ด้วยซ้ำ
ต่อยอีกหมัด ฉันจะจัดการเขาด้วยนิ้วเดียว เดี๋ยวพอพวกเราเดินขึ้นไป จะต้องสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวอย่างแน่นอน บางทีอาจจะยืนไม่อยู่ด้วยซ้ำ
เด็กสาวคนนั้นสวยจริงๆ
ชายกำยำเหล่านั้นมองอิ่นหนิงหยู่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความปรารถนา จางเถียนบอกว่า เมื่อเขาเสร็จแล้วจะมอบเธอให้กับพวกเขาเอาไปเล่นสนุก
อิ่นหนิงหยู่ถูกจ้องมองด้วยสายตาเหล่านั้นจนรู้สึกไม่สบายใจ เข้าไปหลบอยู่หลังฉินเฟิง พี่เขย มีปัญหาอะไรหรือเปล่า คนพวกนี้ดูดุร้ายมาก
ถ้ามีปัญหาก็เรียกพี่เขย ไม่มีปัญหาก็เรียกคนแซ่ฉิน
นี่คืออิ่นหนิงหยู่
แต่ทว่า ฉินเฟิงไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเขา เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นิสัยแบบนี้ เธอพูดทันทีว่า พวกน่ารังเกียจ มือของฉันสกปรกหมดเลย
ขึ้นไปข้างบนสิ
อิ่นหนิงหยู่ไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจัง คิดเอาเองว่ามาออดิชั่นเหมือนตน บางทีเธออาจจะซ้อมร้องไห้จนเกินไปหน่อย ถึงตอนนี้ก็ยังไม่หยุด
น้ำตาไหลอาบแก้ม
อืม
ฉินเฟิงก็ต้องการที่จะขึ้นไปดูที่ชั้นบน
เมื่อไปถึงชั้นบนก็มีป้ายใหญ่ที่ประตูเขียนไว้ว่า บริษัท ดาวสว่าง เอนเตอร์เทนเมนท์ จำกัด
มองปราดเดียว ชื่อเสียงนั้นค่อนข้างดัง เมื่อเดินเข้าไป ก็พบว่าสภาพแวดล้อมดีและบนพื้นก็สะอาด มีพนักงานต้อนรับอยู่ที่ประตู สวัสดีค่ะ คุณมาออดิชั่นเหรอคะ?
ใช่ค่ะ
อิ่นหนิงหยู่พยักหน้า
ถ้าอย่างนั้นมากับฉัน
เป็นผู้หญิงที่แผนกต้อนรับ ที่พาอิ่นหนิงหยู่มาถึงห้องห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องตรวจ มีนายแพทย์ชายในชุดกาวน์อยู่ข้างใน แผนกต้อนรับกล่าวว่า คุณจำเป็นต้องตรวจร่างกายก่อน
ตรวจร่างกาย?
อิ่นหนิงหยู่ตกตะลึง
ใช่ นี่เป็นกฎของบริษัท
พนักงานต้อนรับพยักหน้าแล้วพูดอย่างแข็งกร้าว ท่านครับ ขอโทษครับ ตอนนี้ผมต้องการตรวจร่างกาย กรุณาออกไปข้างนอกก่อน รออยู่ด้านนอก
ทำไมต้องตรวจร่างกายด้วย ผมต้องออกไปเหรอ?
ฉินเฟิงเหลือบมองเขา
เพราะมีบางรายการตรวจที่ค่อนข้างปกปิด แพทย์ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กล่าว
ความลับ?
ร่องรอยของความอาฆาตพยาบาทแวบผ่านดวงตาของฉินเฟิง
ใช่ ได้โปรดเชื่อผมเถอะ ผมเรียนวิชาชีพเฉพาะ ผมสำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยแพทยศาตสร์เทียนหลาน ได้รับปริญญาเอก มีหน้าที่รับผิดชอบตรวจร่างกายครั้งนี้โดยเฉพาะ
นายแพทย์ชายพูดอย่างจริงจัง เขาดูอายุราวๆ สี่สิบและดูแก่
ท่านครับ ได้โปรดอย่าสงสัยนายแพทย์ของเราเลย สำหรับหมอแล้ว การดูเรือนร่างของหญิงสาวก็เหมือนดูโครงกระดูก เห็นมามากแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน กรุณารอข้างนอกด้วย พนักงานต้อนรับพูดอย่างสุภาพ
ผมปฏิเสธ
ฉินเฟิงส่ายหัว
นี่เป็นกฎเกณฑ์ปกติของบริษัทเรา จำเป็นต้องตรวจร่างกายก่อนการออดิชั่น อีกอย่างการตรวจร่างกายนี้ทางบริษัทของเราตั้งใจมอบให้พวกคุณ ไม่มีค่าใช้จ่าย คุณยังต้องการอะไรอีก?
นายแพทย์หนุ่มทำหน้าหงุดหงิดเล็กน้อย
ถ่วงเวลา เขาจะแต๊ะอั๋งอะไรได้อีก
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่หมอ เขาเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยู่ใกล้เคียง มีคนสอนเขาถึงวิธีการตรวจ ตอนตรวจเขาสามารถแต๊ะอั๋งได้
มีกล้องหลายตัวอยู่ในห้องนี้ หลังจากถ่ายแล้วก็เอาออกไปขาย พอถึงตอนนั้นเขาก็จะได้เงินก้อนใหญ่
ในเมื่อสามารถแต๊ะอั๋งได้ แล้วยังได้เงิน เขาค่อนข้างพอใจกับงานนี้
ผู้หญิงมาที่นี่ด้วยความฝันที่อยากจะมีชื่อเสียง พวกเธอไม่รีรอที่จะไปตรวจร่างกายโดยเร็ว ถึงอย่างไรในหมู่แพทย์ บางครั้งการตรวจร่างกายกับแพทย์ชายก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่ว่าผู้ชายคนนี้ยังถ่วงเวลา
แล้วยังปฏิเสธอีกด้วย
ถ้าอย่างนั้น หากจะออดิชั่นก็ต้องตรวจร่างกายใช่ไหม?
ในเวลานี้ อิ่นหนิงหยู่ถามด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่ข้างๆ
แน่นอน
แพทย์หนุ่มพยักหน้า แสร้งทำเป็นจริงจัง แต่ที่จริงแล้ว เขารู้สึกตื่นเต้นในใจ เพราะโดยพื้นฐานแล้วสาวๆ ที่นี่ล้วนมีความฝันที่จะเป็นคนดัง
พวกเธอสามารถเสียสละบางอย่างได้
ไหนจะเรื่องตรวจร่างกายของเธอ ไม่ใช่การตรวจร่างกายผู้ชายอย่างฉินเฟิง แต่สิทธิ์อยู่ในมืออิ่นหนิงหยู่ ขอเพียงเธอเต็มใจที่จะตรวจร่างกาย ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
บอกตามตรงว่าเขาอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานาน มีไม่ถึงร้อย หรือแค่เจ็ดแปดสิบเท่านั้นที่เข้ารับการตรวจร่างกายที่นี่ และในบรรดาคนเหล่านั้น อิ่นหนิงหยู่เป็นคนที่สวยที่สุด
เธอผิวขาว ขายาว คางแหลม ดวงตาโตหลักแหลม เอวบาง และไว้ผมหางม้า ซึ่งดูเด็กและอ่อนโยน
มันทำให้ใจเต้น
จนถึงขนาดทำให้เขาอดล่วงละเมิดเธอไม่ได้ จับกดเธอเอาไว้ใต้ร่าง ย่ำยีเธอตามแต่ใจต้องการ และความคิดนี้ก็กำลังจะสำเร็จแล้ว
อิ่นหนิงหยู่กำลังจะตอบตกลง
นี่คือแบบฟอร์มตรวจร่างกาย เมื่อวานฉันไปตรวจที่โรงพยาบาลมา
แต่ทว่า ไม่มีใครคาดคิดว่า อิ่นหนิงหยู่จะนำแบบฟอร์มตรวจสุขภาพออกมาจากกระเป๋าของเธอ แล้วส่งให้แพทย์หนุ่ม
เอ่อ…
แพทย์หนุ่มถึงกับอึ้งไป ในใจคลั่งแทบบ้า ล้อเล่นหรือเปล่า เอารายงานการตรวจสุขภาพติดตัวมาด้วย
มาออดิชั่น?
แล้วยังเอารายงานการตรวจสุขภาพมาด้วย?
อันนี้…ยังมีบางรายการที่ยังตรวจไม่ครบถ้วน
แพทย์หนุ่มแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เขาไม่อยากละทิ้งโอกาสดีๆ แบบนี้ไป
ยังไม่ครบ? คุณลองดูอีกที นี่คือการจัดของโรงเรียนเรา สิ่งที่หมอทุกคนสามารถตรวจได้ก็ตรวจหมดแล้ว มีมากกว่า 30 รายการในแต่ละหมวดหมู่ คุณลองดูอีกครั้ง
อิ่นหนิงหยู่ ชี้ไปที่รายงานการตรวจสุขภาพ
…
ในความเป็นจริง แพทย์หนุ่มอ่านผลรายงานการตรวจร่างกายไม่รู้เรื่อง เขาไม่ใช่แพทย์เฉพาะทาง เมื่อได้ยินอิ่นหนิงหยู่พูดเช่นนี้ เขาก็ไม่สามารถโต้แย้ง พลันขมวดคิ้วแล้วส่งรายงานการตรวจสุขภาพให้อิ่นหนิงหยู่ ก็ได้
เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ทั้งสองคน ตามฉันมา
พนักงานต้อนรับคนนั้นส่งสัญญาณว่ากำลังจะพาทั้งสองไปยังสถานที่ต่อไป
คุณพกแบบฟอร์มตรวจสุขภาพติดตัวด้วยเหรอ?
ระหว่างทาง ฉินเฟิงก็ถามขึ้น
เมื่อวาน ทางโรงเรียนจัดการตรวจร่างกายครั้งใหญ่ ซึ่งเสียเวลาฉันไปทั้งวัน ฉันน่าจะเอาผลรายงานการตรวจร่างกายนี้ไว้ในหอพักแล้ว แต่ฉันลืมไป
อิ่นหนิงหยู่เอามือลูบศีรษะ
เธอลืมวางไว้ในหอพัก วันนี้จึงได้หยิบขึ้นมาใช้แบบไม่ทันตั้งตัว
ถึงอย่างไร ในข้อมูลการรับสมัครนักแสดงครั้งนี้ ไม่ได้บอกว่าเมื่อมาแล้วต้องตรวจร่างกายด้วย
หลังจากที่ทั้งสองเข้าไปในห้องแล้ว อิ่นหนิงหยู่ได้เดินนำหน้า มีผู้ชายสามคนนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก พวกเขาเป็นผู้ชายวัยกลางคน
สวัสดีเจ้าหน้าที่ออดิชั่นทุกท่าน ฉันชื่ออิ่นหนิงหยู่ ผู้ออดิชั่นในรอบนี้
อิ่นหนิงหยู่โค้งคำนับ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตรงกลาง
แทนที่ฉินเฟิงจะออกไป เขากลับยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง พิงกำแพงมองดูเหตุการณ์ทุกอย่าง
ผู้หญิงที่แผนกต้อนรับได้เดินเข้ามาและกระซิบอะไรบางอย่างกับผู้ออดิชั่นคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นเจ้าหน้าที่แผนกต้อนรับก็ถอยออกไป
ครั้งนี้เธอไม่ได้ไล่ฉินเฟิงออกไป
คุณอิ่น ขอแนะนำตัวสักหน่อย ผมเป็นผู้ออดิชั่นของคุณ ชื่อจางหยุนเฉิง ในเมื่อคุณอยู่ในวงการนี้ คุณก็ควรจะรู้จักผม
ผู้ออดิชั่นที่อยู่ตรงกลางเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบห้าปี
ใช่ค่ะ ผู้กำกับจางหยุนเฉิง ผู้กำกับจาง ฉันเคยได้ยินมาว่าคุณถ่ายทำผลงานดีๆ เอาไว้มากมาย และส่วนหนึ่งยังได้รับรางวัลมากมายอีกด้วย ตอนที่ฉันยังเรียนอยู่ก็เคยได้ฟังประวัติย่อของคุณมาแล้ว
อิ่นหนิงหยู่กล่าวอย่างตื่นเต้น
สำหรับคนที่มาจากสถาบันศิลปะอย่างเธอ ผู้กำกับใหญ่คนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียง เธอไม่คิดว่าจะพบผู้กำกับใหญ่เช่นนี้ในสถานที่เล็กๆ แห่งนี้
ดีมาก
จางหยุนเฉิงพยักหน้า ท่าทางเขาจริงจังเหมือนผู้กำกับใหญ่ อันที่จริงเขาไม่ใช่ผู้กำกับใหญ่ จางหยุนเฉิงแค่มีหน้าตาเหมือนผู้กำกับที่มีชื่อเสียงเท่านั้น
ก็เท่านี้เอง
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรอีก
ชื่อเดิมของเขาคือว่านเหริน
ต่อมา เมื่อว่านเหรินเห็นว่าอิ่นหนิงหยู่ติดเบ็ดแล้ว เขาก็รู้สึกมีความสุขในทันที ตัวตนปลอมของเขาสามารถทำให้เขาได้รับความไว้วางใจมากมาย
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้กำกับที่มีชื่อเสียง
ต่อมา ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดก็มาถึง ว่านเหรินเคาะโต๊ะแล้วพูดอย่างจริงจังว่า คุณอิ่น ในเมื่อคุณบอกว่าคุณมาออดิชั่น งั้นผมจะถามคุณว่า คุณพร้อมที่จะอุทิศตัวให้กับงานศิลปะไหม?
เข้าใจผิดงั้นเหรอ? งั้นก็ช่างมันเถอะ มันเป็นความเข้าใจผิด
หญิงมีอายุคนนั้นนับว่าใจดี เธอมองไปที่จางเถียน ซึ่งดูท่าทางสุภาพเรียบร้อย ดูไม่เหมือนคนเลว แล้วโบกมือให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
มันเป็นความเข้าใจผิด
เมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผู้คนรอบๆ จึงหันหน้าไป ไม่สนใจอีก
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ฉินเฟิงเอามือไพล่หลังแล้วยิ้มเยาะ เข้าใจผิดเหรอ? ผมว่า มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด โทรศัพท์มือถือของเขายังอยู่ แต่ของผมหายไป
ของคุณ?
คนรอบข้างต่างมองมาที่เขา
หนุ่มน้อย คุณจงใจก่อปัญหางั้นหรือ เขาบอกแล้วว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด ทำไมคุณยังตอแยไม่เลิก? เรื่องไหนให้อภัยได้ก็ควรจะให้อภัย เข้าใจไหม?
หญิงมีอายุสั่งสอนฉินเฟิงอย่างอดทน
แต่ฉินเฟิงไม่สนใจหญิงมีอายุคนนั้น แต่พูดกับอิ่นหนิงหยู่ว่า อิ่นหนิงหยู่ โทรหาผมหน่อยสิ
ได้เลย
อิ่นหนิงหยู่หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาแล้วกดหมายเลขทันที
ยังคิดจะใส่ร้ายผมอีกเหรอ ในตัวผมไม่มีโทรศัพท์ของคุณ
จางเถียนก็ยิ้มในใจเช่นกัน เขาอยู่ในวงการนี้และมีความตื่นตัวอยู่เสมอ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าฉินเฟิงไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในตัวเขา
มันเป็นไปไม่ได้
จนกระทั่ง จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ในตัวเขาก็ดังขึ้นครู่หนึ่ง
ตรู๊ด ตรู๊ด ตรู๊ด…
เป็นไปได้อย่างไร!
ใบหน้าของจางเถียนแข็งทื่ออีกครั้ง เป็นไปได้อย่างไรที่โทรศัพท์ในตัวเขาจะดังขึ้นอีกครั้ง
ดังขึ้นจริงๆ หรือ?
ทุกคนอุทาน พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เอาโทรศัพท์ของผมมา
ฉินเฟิงเดินเข้าไปพร้อมกับยื่นมือออกมา
จางเถียนไม่อยากให้ แต่ภายใต้การจ้องมองของผู้คนมากมายรอบตัว ในที่สุดเขาก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกงอีกข้างหนึ่ง
มันมาอยู่ที่ตัวฉันตั้งแต่เมื่อไหร่?
จางเถียนมีสีหน้างุนงง
เขาไม่ได้สังเกตเลยว่า ตนเองมีโทรศัพท์อยู่กับตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
เดี๋ยวคุณต้องพิสูจน์ว่า นี่เป็นโทรศัพท์ของคุณจริงๆ หรือเปล่า?
จางเถียนถือโทรศัพท์ไว้ในมือ แต่ไม่ได้ส่งให้ฉินเฟิง กลับมองไปที่ฉินเฟิงด้วยแววตาสงสัย เขายังคงดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
มันเป็นเรื่องง่าย
ฉินเฟิงยื่นมือเข้ามาหยิบโทรศัพท์ออกมา ทำให้จางเถียนงุนงง จากนั้นเขาก็ปลดล็อกโทรศัพท์ภายใต้สายตาของฝูงชน
ตอนนี้สามารถพิสูจน์ได้ว่า โทรศัพท์เครื่องนี้เป็นของผมแล้วสินะ
ฉินเฟิงชี้บอกแล้วพูดต่อว่า ผู้ชายคนนี้ขโมยโทรศัพท์ของผม แล้วยังกล่าวหาว่าผมเป็นคนขโมยโทรศัพท์ ที่สำคัญคือ พวกคุณยังตัดสินผู้คนจากรูปร่างหน้าตา คิดว่าเขาเป็นคนดี
ก็ไม่แน่…
หญิงมีอายุยังไม่ค่อยยินยอม เธอมองใบหน้า รู้สึกว่าจางเถียนไม่เหมือนคนเลว
แต่เวลานี้ คนขับรถบัสที่อยู่ข้างหน้าตะโกนว่า ผมตรวจสอบกล้องวงจรปิดตอนนั้นแล้ว ภาพในกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นว่าชายใส่แว่นพยายามจะแต๊ะอั๋งสาวน้อยผมหางม้า แต่พี่ชายหนุ่มน้อยคนนี้ขวางไว้ จากนั้นจึงเป็นเหตุการณ์ที่พวกคุณได้เห็น
ก่อนหน้านี้เขากำลังยุ่งอยู่กับการตรวจสอบกล้องวงจรปิด
ในสถานการณ์ทั่วไป เมื่อมีผู้คนจำนวนมาก มันไม่ง่ายเลยที่จะตรวจสอบกล้องวงจรปิด แต่โชคดีที่เขาพบมัน
หลายคนไปดูกล้องวงจรปิด ในที่สุดก็พบว่าเป็นความจริง พวกเขาทั้งหมดกลับมาแล้วพูดด้วยความละอายว่า เป็นผู้ชายคนนี้จริงๆ ไม่ได้เป็นแค่หัวขโมยเท่านั้น แต่ยังเป็นจอมหื่นบนรถบัสด้วย
พวกเขาทั้งหมดชี้ไปที่จางเถียน
ทันใดนั้น สีหน้าของจางเถียนก็ซีดเผือด
โทรแจ้งตำรวจ ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่คนลามกเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวขโมยด้วย เขาถึงกับใส่ร้ายพี่ชายหนุ่มน้อยผู้บริสุทธิ์คนนี้ ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิด เรื่องนี้อาจจะไม่ถูกเปิดเผย
มีคนโทรแจ้งตำรวจทันที
ไม่นานตำรวจก็มาพาตัวจางเถียนออกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ บนรถบัสน่าจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ แต่คราวนี้ไม่ใช่ ส่วนใหญ่นิ่งเงียบ
โดยเฉพาะหญิงมีอายุคนนั้น
เพราะพวกเขาคิดมาโดยตลอดว่าฉินเฟิงเป็นคนเลวและเป็นนักล้วงกระเป๋า เมื่อมองไปที่ชุดสูทและนิสัยสุภาพเรียบร้อยของจางเถียน ก็นึกว่าเขาเป็นคนดี
ตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเขาเชื่ออย่างแน่วแน่ว่ามือล้วงกระเป๋าคือฉินเฟิง ดังนั้นจึงรายล้อมฉินเฟิงไว้
แต่ตอนนี้คำตอบทำให้พวกเขาตกตะลึง พวกเขาถึงกับอึ้งไปทันที พวกเขากลั่นแกล้งผิดคน ฉินเฟิงเป็นคนดี จางเถียนเป็นคนไม่ดี
การตัดสินคนจากรูปลักษณ์ ทำให้มองคนผิด
เมื่อมาถึงสถานีถัดไป หญิงมีอายุก็รีบลงจากรถ ดูเหมือนว่าเธอไม่มีหน้าที่จะอยู่บนรถบัสอีกต่อไป คนอื่นๆ ก็พากันลงจากรถเช่นกัน
คนแซ่ฉิน ที่แท้ว่าคุณกำลังปกป้องฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะยืนอยู่ตรงหน้าคุณและพูดแทนคุณ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีผลตอบแทนอยู่บ้าง
อิ่นหนิงหยู่เอนกายพิงฉินเฟิง รู้สึกมีความสุข
เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยังคิดว่าเขาแค่ถูกใส่ร้าย แต่เธอไม่คิดว่าเขาจะปกป้องตนเอง จากมุมมองนี้ พี่เขยของเธอคนนี้นั้นดีมากทีเดียว
แล้วเรียกผมว่าพี่เขยหน่อยสิ?
ฉินเฟิงเลิกคิ้ว
ไม่เรียก ฉันก็มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน แม้ว่าวันนี้จะต้องกระโดดลงจากรถบัส ฉันก็จะไม่เรียกคุณว่าพี่เขย
ข้างหลังคุณยังมีไอ้ลามกอีกคน
พี่เขย…ช่วยฉันด้วย…
ทั้งสองปะทะฝีปากไปจนถึงหนานอ้าน นั่งรถบัสมาหนึ่งชั่วโมงพอดี
หนานอ้านเป็นเมืองชั้นนอก เศรษฐกิจไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าใจกลางเมือง ผู้คนก็น้อยลง
เลขที่ 24 ถนนเทียนหยุน หนานอ้าน
อิ่นหนิงหยู่มองไปยังที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอ แล้วเดินไปหาฉินเฟิง
สถานที่แห่งนี้ห่างไกลจริงๆ ถ้าคุณถูกลักพาตัวไป คงไม่มีใครสนใจหรอก
ฉินเฟิงเดินอยู่ข้างๆ กวาดสายตามองไปรอบๆ และพบว่าไม่มีใครอยู่ มีอาคารเพียงสองแห่ง หรือไม่ก็ร้านค้า
มีคนอยู่น้อยจริงๆ
เพราะเป็นเมืองชายแดน พัฒนาได้ไม่ดี
ที่นี่ประหยัดเงิน เดาว่าทีมงานไม่ใหญ่มาก ฉันเพิ่งอยู่ปีสาม กำลังฝึกงานอยู่ ฉันต้องการหาประสบการณ์อันเรียบง่าย
อิ่นหนิงหยู่เองก็ไม่ได้บ่น
เธอมีความชัดเจนมากเกี่ยวกับตำแหน่งปัจจุบันของเธอ เธอเป็นเพียงคนตัวเล็กๆ ที่ไม่ได้ออกสู่สายตาสาธารณชน แม้ว่าเธอจะมั่นใจในทักษะการแสดงของเธอมาก แต่เธอก็เริ่มต้นทีละก้าวจากระดับรากหญ้าขึ้นสู่ตึกสูง
ทีละก้าว เริ่มต้นจากชุดแสดงงิ้วลายมังกร ปีนขึ้นไปสู่ด้านบน
ถึงแล้ว
ไม่นานอิ่นหนิงหยู่ก็มาถึง และพบว่าภายในอาคารหลังเล็กๆ มันดูงดงามและการตกแต่งก็มีเอกลักษณ์
เพียงแต่ว่า ตอนที่พวกเขาขึ้นไป ก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่คว้าเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วรีบลงมาด้วยน้ำตาคลอเบ้า
เกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้ซ้อมฉากร้องไห้อยู่เหรอ?
อิ่นหนิงหยู่ตกตะลึง
เมื่อพวกเขากำลังออดิชั่น ผู้ออดิชั่นมักจะให้พวกเขาร้องไห้ฟูมฟาย มันเป็นเรื่องปกติ
นี่ไม่ถูกต้อง
ร่องรอยของความอึดอัดแวบผ่านดวงตาของฉินเฟิง
หญิงสาวคนนั้นกำลังร้องไห้ ไม่ใช่สิ
กำลังร้องไห้จริงๆ
จางเถียนตื่นเต้นมาก เพราะเขาพบว่า วันนี้มีสาวสวยขึ้นมาในรถบัส ซึ่งเขาไม่เคยพบมาก่อน และเธอยังเด็ก
ไม่เคยถูกใครล่วงละเมิดมาก่อน
เขาเป็นพนักงานบนถนนสายนี้ เพราะรถบัสสายนี้มักจะมีคนแน่น เมื่อเขาใช้ประโยชน์จากวิธีการเช่นนี้เพื่อแต๊ะอั๋งคนอื่นเป็นครั้งแรก มันก็ควบคุมไม่ได้แล้ว
พอถึงตอนนี้เขายังร่วมมือกับเพื่อนอีกสองสามคน เพื่อมาแต๊ะอั๋งโดยเฉพาะ
และตอนนี้เขามีหน้าที่หลักในการแต๊ะอั๋ง พวกหื่นกามแกล้งทำเป็นยื่นมือออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นเขาก็มองไปที่ชายอีกคนหนึ่ง
ชายคนนั้นพยักหน้า
ทันใดนั้น ดวงตาของจางเถียนก็เปล่งประกายความปรารถนา เข้าประชิดตัวอิ่นหนิงหยู่ ภายนอกดูไม่ได้ตั้งใจ แต่ในความเป็นจริงเขาแอบยื่นมือออกมาด้านล่าง
กำลังจะโดนแล้ว
ในใจจางเถียนรู้สึกตื่นเต้น
แต่ทว่า ขณะที่กำลังจะสัมผัสโดนนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้ ต่อมาความรู้สึกเจ็บปวดก็ถ่ายทอดออกมา พร้อมกับประโยคหนึ่ง นี่คุณกำลังรนหาที่ตายอยู่เหรอ?
แกร๊ก
จางเถียนกรีดร้องทันทีแล้วล้มลงกับพื้น
เป็นอะไรไป?
มีคนไม่น้อยบนรถบัส พวกเขาทอดสายตามองทันที และพบชายสวมแว่นตาสุภาพเรียบร้อยนอนอยู่บนพื้น
แต่ในเวลานี้ เขานอนอยู่บนพื้น เอามือกุมท่อนแขนคร่ำครวญไม่หยุด
หนุ่มน้อย คุณเป็นอะไรไป?
หญิงมีอายุคนหนึ่งออกมา ถามด้วยความเป็นห่วง
เจ้าหมอนี่ขโมยโทรศัพท์ของผมไป ผมเห็นเข้า จากนั้นผมก็จะเอาโทรศัพท์ของผมคืน แต่เขาไม่ให้ แล้วยังบิดมือผมอีก
จางเถียนนอนอยู่บนพื้น สีหน้าดูเจ็บปวด แต่ยังคงยื่นมือออกมาและชี้ไปที่ฉินเฟิง
ราวกับว่าฉินเฟิงเป็นตัวการผู้กระทำผิด
หนุ่มน้อย จริงเหรอ?
ผู้คนรอบๆ ตัวฉินเฟิงทุกคนต่างแยกย้ายกันไปในทันที ส่วนใหญ่มองฉินเฟิงอย่างสงสัย หญิงมีอายุคนนั้นเดินเข้ามาถามอย่างหน้านิ่วคิ้วขมวด
เป็นไปได้ยังไง พี่เขยของฉันเป็นคนดี
อิ่นหนิงหยู่เดินเข้ามายืนอยู่ข้างกายฉินเฟิง แล้วชี้แจงแทนฉินเฟิง
แม้ว่าปกติเธอจะเรียกเขาว่าคนแซ่ฉิน แต่เธอก็เต็มใจที่จะยืนเคียงข้างเขาในช่วงเวลาวิกฤตินี้ เธอไม่เชื่อว่าเขาจะขโมยโทรศัพท์ได้
คนเลวมักบอกว่าตนเป็นคนดี
จางเถียนหัวเราะลั่น
แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าพี่เขยของฉันขโมยโทรศัพท์ของคุณ ถ้าคุณขโมยโทรศัพท์ของพี่เขยแล้วย้อนกลับมาเล่นงานล่ะ คุณมีหลักฐานอะไรที่จะมาพูดอย่างนี้?
นิสัยการปกป้องคนอื่นของอิ่นหนิงหยู่นั้น ได้แสดงออกมาอย่างเฉียบขาดในเวลานี้
เพียงแต่ว่าจางเถียนนั้นยิ้มอย่างชั่วร้าย ผมมีหลักฐานแน่นอน ผู้ชายคนนี้ขโมยโทรศัพท์ของผม โทรศัพท์จึงอยู่ที่ตัวเขา พวกคุณค้นตัวเขาก็รู้แล้ว
นี่คือแผนสำรองของเขา
บนรถบัส เขามีเพื่อนสมรู้ร่วมคิดคนอื่นๆ ถ้ามีอะไรผิดพลาด คนอื่นๆ จะเอาโทรศัพท์มือถือใส่ไว้ในตัวของอีกฝ่าย แล้วก็ใส่ร้ายคนเหล่านั้นได้
เตรียมการเอาไว้ทุกอย่าง
ได้ ค้นตัวสิ
หญิงมีอายุคนนั้นพยักหน้า มองไปที่ผู้ชายเหล่านั้นในฝูงชน ใครยินดีจะออกมาค้นตัว ผู้ชายหรือผู้หญิงก็ได้ เพื่อพิสูจน์ความยุติธรรม
เธอเป็นผู้หญิงมีอายุที่เลือดร้อน
ให้ผมทำแล้วกัน
ผมด้วย
ภายใต้การจัดการของหญิงมีอายุ ชายสองคนยินดีออกมาค้นตัวฉินเฟิง
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงไม่ยอม เขาส่ายหน้าแล้วพูดว่า ผมไม่ชอบให้ใครมาค้นตัว
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนายพลที่ไม่มีใครเทียบได้ในยุคหนึ่ง มีผู้ใต้บังคับบัญชาหลายแสน จะมาถูกค้นตัวแบบนี้ได้อย่างไร ไหนจะเรื่องไม่มีใครที่มีคุณสมบัติพอที่จะค้นตัวเขาอีก
หนุ่มน้อย คุณกินปูนร้อนท้องแล้วเหรอ?
ดวงตาของหญิงมีอายุดูค่อนข้างเคร่งขรึม พวกเขาเป็นผู้ชาย ทำไมถึงค้นตัวไม่ได้ ถ้าคุณไม่ยอมให้ค้นตัว แสดงว่าคุณขโมยโทรศัพท์จริงๆ
ใช่ ในฐานะผู้ชาย ไม่มีอะไรที่ค้นไม่ได้ ร่างตรงไม่กลัวเงาคด พฤติกรรมของคุณทำให้พวกเราสงสัยว่าคุณขโมยโทรศัพท์มือถือจริงๆ
ต้องเป็นเขาแน่ๆ คุณไม่เห็นหนุ่มแว่นคนนั้นเหรอ ใส่สูท ใส่แว่นตาท่าทางเรียบร้อย คนแบบนี้จะใส่ร้ายเขาได้ยังไง
ใช่แล้ว หนุ่มแว่นแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนมีการศึกษาดี
หลังจากที่ฝูงชนกวาดสายตามองจางเถียนและฉินเฟิง ก็พบว่าจางเถียนเป็นคนสุภาพเรียบร้อยและมีวัฒนธรรม เป็นไปไม่ได้ที่จะใส่ร้ายใคร ดังนั้นฉินเฟิงจึงเป็นคนทำผิด
ไหนจะเรื่องที่ฉินเฟิงปฏิเสธให้ค้นตัวอีก
พวกไปแจ้งความเถอะ หัวขโมยแบบนี้ถือเป็นหายนะ
มีคนพูดในฝูงชน แม้แต่คนขับรถบัสก็จอดรถเพื่อจับฉินเฟิงเจ้าหัวขโมยที่ไร้ศีลธรรม
หนุ่มน้อย พวกเราต้องค้นตัว มิฉะนั้นพวกเราจะสงสัยว่าคุณขโมยโทรศัพท์มือถือจริงๆ
หญิงมีอายุก้าวเข้าไปใกล้ แล้วถามอย่างจริงจัง
ในสายตาของเธอ จางเถียนสุภาพและสง่างาม สวมชุดสูท ต้องทำงานในบริษัทใหญ่แน่นอน เขาดูไม่เหมือนคนเลวเลย
ตรงกันข้ามกลับเป็นฉินเฟิง ยิ่งมองก็ยิ่งเหมือนคนเลว
ไม่จำเป็นต้องค้นตัวหรอก พวกคุณลองโทรศัพท์ดูก็ได้ ฉินเฟิงกล่าว
โทรศัพท์?
จนกระทั่งในตอนนี้เองทุกคนจึงนึกขึ้นได้ จึงพากันหันไปมองจางเถียน หญิงมีอายุก็พยักหน้าแล้วพูดว่า หนุ่มน้อย โทรออกได้ใช่ไหม?
ได้
จางเถียนพยักหน้า
โทรศัพท์มือถือของเขาไม่ได้ปิดอยู่ สามารถโทรออกได้
อ่านหน่อย
1721****12
เมื่อจางเถียนอ่านหมายเลขโทรศัพท์ เขาก็มองไปที่ฉินเฟิงอย่างคาดหวัง โทรศัพท์ในตัวฉินเฟิงดังขึ้นทันที หลักฐานเป็นที่แน่ชัด
ฉินเฟิงจะถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจ
คาดว่าจะถูกขังไว้สิบกว่าวัน
กล้าดีอย่างไรมารบกวนการแต๊ะอั๋งของเขา?
ปลอมตัวเป็นวีรบุรุษเหรอ?
ถือว่าตัวเองเป็นใคร จะทำให้แก่ต้องทนทุกข์ทรมานในคุก
ฮ่าฮ่า
ขณะที่จางเถียนกำลังหัวเราะอยู่ในใจ จู่ๆ โทรศัพท์ในตัวเขาก็ดังขึ้น
ไม่ยุติธรรม ไม่ยุติธรรมจริงๆ…มีสาวสวยมากมายอยู่รอบตัวคุณ แต่ดูเหมือนพวกเธอจะชอบผมคนเดียว…หลังจากได้รักกัน…
ใบหน้าของจางเถียนแข็งทื่อ
เหตุใดเสียงนี้ถึงปรากฏขึ้นในตัวของเขา?
นี่คือเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือของเขา แต่โทรศัพท์มือถือของเขาควรจะอยู่ในตัวของผู้ชายคนนั้น จะมาอยู่ในตัวเขาได้อย่างไร
เอ่อ กรุณาเอาออกมาด้วย
บนรถบัส ทุกคนมองไปที่จางเถียน ทำให้ใบหน้าของจางเถียนซีดเผือด
หนุ่มน้อย เอามันออกมาเถอะ ฉันเพิ่งโทรไป แล้วเสียงเรียกเข้านี้ก็ปรากฏอยู่ในตัวคุณ
หญิงมีอายุวางสายโทรศัพท์
แล้วเสียงเรียกเข้าก็หายไป
ต่อมาก็โทรอีกสาย โทรศัพท์ดังขึ้นในตัวจางเถียนอีกครั้ง ทุกคนมั่นใจแล้วว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่ในตัวจางเถียน
เอ่อ…
จางเถียนคลำร่างกายครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอามันออกมา ก่อนจะยิ้มอย่างขมขื่น เพราะนั่นเป็นโทรศัพท์มือถือของเขาจริงๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น
มันไม่น่าจะเป็นแบบนี้
มันควรจะอยู่ในตัวของเจ้าหนูฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่เหรอ
หนุ่มน้อย อธิบายหน่อยสิ?
หญิงมีอายุถามจางเถียน
จางเถียงแสยะยิ้มขมขื่นที่มุมปาก เอ่อ อาจจะเป็นความเข้าใจผิด
เมื่อมาถึงห้องทำงานชั้นบน
ฉินเฟิงผลักประตูเปิดและเดินเข้ามา เขาพบว่าต้าตาวนั่งอยู่ข้างใน กำลังรอฉินเฟิงอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้รับข่าวมาจากลูกสมุน
พี่ชาย เชิญนั่ง เชิญนั่ง
ต้าตาวหลีกทางให้ ให้ฉินเฟิงนั่งลงอย่างรวดเร็ว
อย่าเสียเวลาเลย วันนี้ผมมาเพื่อคุยธุรกิจกับคุณ ผมอยากให้คุณช่วยผมดูแลสถานที่ ซึ่งก็คือบาร์เหล้าแห่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ผมขัดแย้งกับคนของบอดี้การ์ดมังกร
ฉินเฟิงนั่งลงแล้วพูดอย่างตรงไปตรงมา
บอดี้การ์ดมังกร?
ต้าตาวซึ่งเดิมยังมีสีหน้าดีใจกลับกลายเป็นแย่มากในเวลานี้ เอ่อ พี่ชาย นั่นคือบอดี้การ์ดมังกร เจ้าแห่งโลกใต้ดินในเมืองเจียงเฉิง ได้ล้างตัวจนสะอาดและขึ้นฝั่งเรียบร้อยแล้ว บริษัทบอดี้การ์ด มังกร จำกัดมีชื่อเสียงมาก ผมไม่สามารถล่วงเกินได้ พูดตามตรง ผมอยากจะเข้าร่วมบอดี้การ์ดมังกรมาโดยตลอด แต่พวกเขาไม่ชอบผมเลย
แล้วถ้าผมคอยสนับสนุนคุณอยู่เบื้องหลังล่ะ?
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น ถ้าคุณมั่นใจ ผมก็ยอมให้คุณสู้กับบอดี้การ์ดมังกรได้ ด้วยการสนับสนุนจากผม คุณจะไร้เทียมทาน
เรื่องบางเรื่องต้องให้พวกอันธพาลมาทำ
เป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกผู้คนมาจากฐานทัพทุกครั้ง ไหนจะเรื่องที่ว่าฉีหยุนได้เปิดเผยโฉมหน้าแล้ว หลายคนรู้ว่าเขาเป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
มันไม่สมควรที่จะทำเช่นนี้อีก
แค่ให้โอกาสต้าตาวสักครั้งหนึ่ง เขาจะคว้าไว้ได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว
เรื่องนี้…
ต้าตาวก็พูดลำบาก
เขาก็รู้ว่าตัวตนของฉินเฟิงนั้นไม่ธรรมดา แต่ด้วยบทบาทเล็กๆ อย่างเขา จะมองอย่างไรก็มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขากับเจ้าแห่งโลกใต้ดินในเมืองเจียงเฉิง
พูดโดยทั่วไป มันเสี่ยงเกินไป
ให้เวลาคุณคิดสามวัน
ฉินเฟิงพูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป เขาได้ให้โอกาสต้าตาวแล้ว แค่ต้องดูว่าเขาจะคว้ามันไว้ได้หรือไม่ ถ้าคว้าไว้ได้ ก็อาจจะก้าวกระโดดได้
ถ้าคว้าไว้ไม่ได้ ก็เป็นเหมือนเดิม
เมื่อลงบันไดไป ฉินเฟิงก็พบชายคนหนึ่งขวางเขาไว้ที่ประตูด้วยเหตุผลบางอย่าง เขาคุกเข่าลงที่ประตู พอฉินเฟิงมาถึงก็เอามือตบหน้าตัวเองทันที พี่ชาย ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้ว…ผมไม่ควร…
ช่างมันเถอะ
ฉินเฟิงพูดจบก็เดินจากไป
เขาไม่มีเวลามาสนใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี้
แต่ชายผู้นั้นก็เหมือนกับผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่รอดชีวิตมาได้
ทันทีที่เดินออกจากถนนเส้นนี้ก็โทรศัพท์ออกไป
เฮ้ หนิงหยู่
ฉินเฟิงรับสาย อิ่นหนิงหยู่เป็นคนโทรเข้ามา
ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งที่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองก็ใกล้ชิดกันมากขึ้น แม้ว่าอิ่นหนิงหยู่จะมีทัศนคติที่ไม่ดีก็ตาม
คนแซ่ฉิน มาหาฉันที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงหน่อยสิ
ไม่ว่าง
พี่เขย…เขย…
ฉันอยู่ที่ประตูมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
หลังจากฉินเฟิงวางสาย เขาก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขารู้สึกว่าอิ่นหนิงหยู่เริ่มไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเธอต้องการเขา ก็มักจะเรียกเขาว่าพี่เขย
เมื่อเธอไม่ต้องการเขา ก็เรียกว่าคนแซ่ฉินทุกคำ
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก อย่างน้อยอิ่นหนิงหยู่ก็เรียกเขาว่าพี่เขยแล้ว แม้ว่าเป็นครั้งคราวก็ตาม
คนแซ่ฉิน
หลังจากนั้นไม่นาน มือข้างหนึ่งก็วางลงบนหัวไหล่ของเขา เด็กสาวคนหนึ่งโผล่ออกมาจากด้านหลัง พร้อมกับกางเกงยีนขาสั้นที่เผยให้เห็นต้นขาบอบบางหักง่ายคู่หนึ่ง สวมเสื้อคอกลมสีเหลือง ท่าทางร่าเริงกระฉับกระเฉง
เธอยังผูกผมหางม้าไว้ด้านหลัง ซึ่งดูล้าสมัยและแปลกๆ
คนแซ่ฉิน คุณมาทำอะไรที่นี่?
อิ่นหนิงหยู่ถามฉินเฟิงด้วยความแปลกใจ ตอนนี้คุณต้องกำลังทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณถึงวิ่งไปนู่นมานี่ล่ะ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถพึ่งพางานเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเอาไว้เลี้ยงชีพ และหาเงินสองล้านได้ภายในครึ่งปี แต่ก็ยังต้องทำให้ดีที่สุด
ผมขอลาเพื่อออกมาทำธุระข้างนอก คุณต้องการพบผมทำไม? ฉินเฟิงกล่าว
ตอนนี้ฉันอยู่ปีสามแล้ว กำลังจะไปฝึกงาน เมื่อวานซืนฉันได้พบทีมงานที่คัดเลือกนักแสดง มีบทบาทผู้หญิงสองสามคนในนั้น ฉันอยากลอง แต่ทีมงานคนนั้นอยู่ห่างไกลมาก ฉันกลัวที่ต้องไปคนเดียว ตอนแรกอยากขอความช่วยเหลือจากพี่สาว แต่เธอบอกให้ฉันมาหาคุณ ตอนนี้เธอยุ่งมาก
อิ่นหนิงหยู่อธิบาย
สถานที่อยู่ตรงไหน? ฉินเฟิงถาม
ไปทางหนานอ้าน
มันอยู่ไกลพอสมควร ออกไปนอกเมือง
ฉินเฟิงส่ายหัว ตอนนี้เขาไม่มีอะไรทำพอดี จึงส่งเด็กหญิงตัวเล็กๆ ไปที่นั่น
ไปเถอะ พี่เขย
เพราะเธอมีเรื่องจะขอร้องฉินเฟิง จึงเปลี่ยนน้ำเสียงของเธอเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่บอบบางทันที ซึ่งทำให้คนไม่อาจปฏิเสธได้
จากนั้นทั้งสองก็ขึ้นรถบัส
ระยะทางไกลขนาดนี้ การนั่งรถบัสเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ระหว่างทาง อิ่นหนิงหยู่พูดกับฉินเฟิงว่า เฮ้ คนแซ่ฉิน คุณว่าตู้ต้วนเทียนนั่นไม่ปกติหรือเปล่า เขาต้องการตามจีบฉัน แต่ทำไมถึงไม่ให้ช่องทางการติดต่อกับฉัน? นี่ก็ตั้งหลายวันแล้ว ฉันยังไม่ได้เจอเขาแม้เงา แม่ของฉันก็เอาแต่ถามฉันว่า เมื่อไหร่จะแต่งงานกับเขา
…
ปัญหานี้ ฉินเฟิงควรบอกกับอิ่นหนิงหยู่อย่างไร
พูดเรื่องจริง หล่อนก็คงไม่เชื่อสินะ
อันที่จริง ตู้ต้วนเทียนแกล้งตามจีบคุณเพราะผมเอง ฉินเฟิงกล่าว
พี่เขยอย่าล้อเล่นสิ ตู้ต้วนเทียนเป็นใคร เขาเป็นลูกชายคนเดียวและเป็นทายาทของตู้ซื่อกรุ๊ป มีอนาคตที่สดใส จู่ๆ คุณก็บอกว่าเขามาตามจีบฉันเพราะคุณ ฮ่าฮ่า
อิ่นหนิงหยู่หัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
ก็ได้ เพราะคุณนั่นแหละ
ฉินเฟิงถอนหายใจและไม่อธิบายแล้ว
ทุกวันนี้ พูดความจริงก็ไม่มีใครเชื่อ ทำตัวยากจริงๆ
ให้ตายสิ มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น อีกอย่างเขาก็บอกแล้วว่า ของขวัญเหล่านั้นมีไว้สำหรับฉัน ก็ต้องตามจีบฉันแน่ ถ้าเขาไม่ให้วิธีการติดต่อกับฉัน ฉันเดาว่าเขาต้องแสร้งปล่อยเพื่อจับ?
อิ่นหนิงหยู่คาดเดาด้วยสีหน้าตื่นเต้น เป็นเพราะว่ากลัวจับฉันไม่ได้เลยใช้อุบายนี้หรือ เพราะฉันเอาแต่ครุ่นคิดปัญหานี้ตลอดเวลา ในใจคิดเรื่องเขามาโดยตลอด ต่อมาก็อดไม่ได้ที่จะไปหาเขา พอถึงเวลานั้นฉันก็ติดเบ็ด ความจริงไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ฉันได้ไม่ยากหรอก
ตู้ต้วนเทียนมีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง เป็นความใฝ่ฝันของเด็กผู้หญิงหลายคน
พี่เขย คุณว่าการวิเคราะห์ของฉันสมเหตุสมผลหรือเปล่า เรื่องมันเป็นแบบนี้หรือเปล่า?
อิ่นหนิงหยู่มองไปที่ฉินเฟิงด้วยความคาดหวัง
ใช่
ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะพูดอะไรได้อีก
ฉันว่าแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่มาหาฉัน ที่แท้เขากำลังแสร้งปล่อยเพื่อจับ
อิ่นหนิงหยู่แอบดีใจกับตัวเอง
แต่ทว่าในขณะนี้ ฉินเฟิงก็พบว่ามีผู้ชายสามสี่คนรายล้อมอิ่นหนิงหยู่ กำลังเดินเบียดเสียดฝูงชนเข้ามาอย่างช้าๆ ด้วยสายตาแปลกๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายที่สวมแว่นตาได้ยื่นมือออกมา กำลังจะทำอะไรบางอย่าง
รถบัสลามก?
สี่คำนี้ปรากฏขึ้นในใจของฉินเฟิง เขายิ้มเยาะออกมาทันที อยากจะแต๊ะอั๋งน้องเมียของเขาเหรอ?
เจ้าบาดแผลต้าตาวนั่น เป็นใครกัน?
ฉินเฟิงยืนพิงกำแพงถามฉีหยุน
ในเมื่อตัดสินใจช่วยเฉินจื่อซวนเซ้งบาร์เหล้าต่อแล้ว ก็ต้องจัดการปัญหาสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ นั่นคือเจ้าบาดแผลต้าตาว
เจ้าหมอนั่นเป็นคนของบอดี้การ์ดมังกร
ฉีหยุนได้ตรวจสอบกำลังส่วนใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง มีความเข้าใจในตัวเจ้าบาดแผลต้าตาวอยู่พอสมควร เขาหยุดนิ่งครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ บอดี้การ์ดมังกร บริษัทบอดี้การ์ด มังกร จำกัด เคยเป็นแก๊งมังกรที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองเจียงเฉิง แต่ต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นใสสะอาด และได้ก่อตั้งบริษัทบอดี้การ์ดแห่งนี้ขึ้นมาด้วย
แล้วเจ้าบาดแผลต้าตาวมีตำแหน่งอะไรในบอดี้การ์ดมังกร?
เขาเทียบเท่ากับผู้นำ เจ้าของบอดี้การ์ดมังกรชื่อเจียงเจิ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อยมบาลเจียง ว่ากันว่าเป็นคนโหดร้าย ไม่เลือกวิธีการ ชื่อเสียงของเขาถึงจุดที่หยุดเด็กร้องไห้ได้ มีผู้ใต้บังคับบัญชาสองคน คนหนึ่งชื่อซ่างเปียว รับผิดชอบการดำเนินงานของโลกใต้ดิน อีกคนหนึ่งชื่อท่านสาม รับผิดชอบธุรกิจของบอดี้การ์ดมังกร
ฉีหยุนหยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ ท่านนายพล ผมพบว่าเจียงเจิ้นคนนั้นไม่ธรรมดา มาจากเมืองอื่นเมื่อสามปีที่แล้ว แต่พยายามสร้างชื่อเสียงในเมืองเจียงเฉิงด้วยสองมือของเขา ผมประเมินว่าศักยภาพของเขาไม่ใช่พื้นๆ อย่างที่เห็น
เขายังคงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่าสนใจ
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง
เออใช่ ต้าตาวคนนั้น เป็นคนของบอดี้การ์ดมังกรหรือเปล่า? ฉินเฟิงถาม
เขาไม่ใช่ ความจริงเขาเป็นลูกเศรษฐีรุ่นสอง พ่อแม่จากไปเร็ว แล้วทิ้งทรัพย์สมบัติก้อนโตและเส้นทางการค้าเอาไว้ให้เขา ตอนแรกมีคนอยากได้ทรัพย์สินของเขา แต่ต่อมาก็ถูกเขาฆ่าตายหมด หรือไม่ก็พิการ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีอิทธพลเช่นในตอนนี้
แต่ผมสืบพบว่า ดูเหมือนเขาต้องการเข้าร่วมบอดี้การ์ดมังกร แต่ก็ถูกบอดี้การ์ดมังกรปฏิเสธ บอกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ
ฉีหยุนรายงาน
เขาตรวจสอบมาหลายวัน รู้ข้อมูลมากมาย
โอเค
ฉินเฟิงโบกมือ
ในเมื่อต้าตาวไม่ใช่คนของบอดี้การ์ดมังกร ถ้าอย่างนั้นก็จะจัดการง่ายขึ้นมาก ในเมื่อบาร์เหล้าแห่งนี้เกรงกลัวว่าพวกอันธพาลจะสร้างปัญหาอีก ทำไมไม่ลองติดต่อกลุ่มอันธพาลดูบ้างล่ะ
เอาเกลือจิ้มเกลือ
ถึงอย่างไร ทันทีที่เขาลงมือฆ่าเจ้าบาดแผลต้าตาวแล้ว มันจะง่ายในการล่อยมบาลเจียงซึ่งเป็นหัวหน้าของบอดี้การ์ดมังกรออกมา พอถึงตอนนั้นก็เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็เดินกลับไป
เมื่อเธอมาถึงตระกูลอิ่น ก็ได้พบกับจางลี่ซึ่งกลับมาจากเล่นไพ่นกกระจอกข้างนอกพอดี อาจเป็นเพราะเล่นแพ้เสียเงิน สีหน้าเธอจึงดูไม่ดี เมื่อเธอเห็นฉินเฟิง จึงดุด่าทันที ยังไม่รีบไปทำงานบ้านอีก รีบกวาดพื้น ทำกับข้าวด้วย ฉันหิวจะตายอยู่แล้ว เร็วเข้า เจ้าคนขี้แพ้
แม่ ผมจะทำกับข้าว
ด้านหลังเขา อิ่นซินบังเอิญกลับมาพอดี เมื่อได้ยินเช่นนี้ จึงจับมือฉินเฟิงทันที
เธอกลัวว่าจะเกิดความขัดแย้งระหว่างแม่ของเธอกับฉินเฟิง
คุณทำกับข้าวเหรอ? คุณเพิ่งกลับมาจากทำงานทั้งวันและเหนื่อยมาก จะมาทำกับข้าวทำไม อีกอย่างคุณเป็นประธานคณะกรรมการ ให้ฉินเฟิงไปทำ เศษสวะเงินเดือนน้อยนิดยังไม่พอให้ฉันซื้อกระเป๋าเลย ให้เขาทำกับข้าว จะได้มีประโยชน์บ้าง ตระกูลเราไม่เลี้ยงคนเกียจคร้านไว้
ยิ่งจางลี่เห็นฉินเฟิงก็ยิ่งโกรธ
เหตุใดถึงมีเจ้าเศษสวะนี้อยู่ในบ้านด้วย
แม่
อิ่นซินพูดอย่างไม่พอใจแล้วสวมผ้ากันเปื้อน ฉันบอกแล้วว่าฉันจะทำกับข้าว แม่อย่าพูดอีกเลย วันนี้เล่นไพ่นกกระจอกเสียเงินมาใช่ไหม ฉันจะโอนเงินให้แม่หนึ่งหมื่น
ลูกสาวสุดที่รักของฉันดีที่สุด
จางลี่ยิ้มออกมาทันที แต่เมื่อเห็นฉินเฟิง สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ฉันไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวของฉันที่ดีเลิศแบบนี้ ถึงได้มาเจอเศษสวะอย่างคุณ
แม่
อิ่นซินไม่พอใจ
เธอน่ะ เฮ้อ
จางลี่ถอนหายใจแล้วขึ้นไปชั้นบน เธอไม่รู้ว่าทำไมลูกสาวสุดที่รักของเธอถึงเข้าข้างเจ้าคนขี้แพ้คนนี้
ไม่ช้าก็เร็วเธอจะไล่ฉินเฟิงออกไป และตามหาเขยเต่าทองคำ
ต่อมา อิ่นซินก็ไปทำกับข้าว แต่ทันทีที่เธอเข้าไปในครัว ฉินเฟิงก็ตามเข้ามาแล้วสวมผ้ากันเปื้อน ให้ผมทำเถอะ คุณเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว
คุณก็เหนื่อยมาทั้งวันเหมือนกัน มาทำด้วยกัน คุณมาเป็นลูกมือของฉัน
จากนั้นทั้งสองก็เริ่มทำกับข้าวในครัว
ว่าแต่ว่า วันนี้คุณไปหาวิศวกรคนนั้น เป็นยังไงบ้าง หาเจอหรือยัง?
ขณะที่กำลังทำอยู่ อิ่นซินก็เอียงศีรษะถามฉินเฟิง
หาเจอแล้ว แต่ตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลเพราะป่วย อาจจะต้องรออีกสองวันถึงจะมาได้ พอถึงตอนนั้นคาดว่าอาจจะต้องเดินด้วยไม้เท้า ฉินเฟิงกล่าว
ไม้เท้า?
อิ่นซินยิ่งฟังก็ยิ่งไม่เชื่อถือมากขึ้นเรื่อยๆ
เขาได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของประเทศในด้านสถาปัตยกรรม ปริญญาเอกทุกใบนั้นได้มาอย่างยากลำบาก วิศวกรที่สำเร็จการศึกษาออกมา ล้วนได้ชื่อว่าเป็นศิลปิน
คนเช่นนี้ ถูกขโมยไปหมดตั้งนานแล้ว
แล้วจะปรากฏในเมืองเจียงเฉิงได้อย่างไร
เธอไม่มีความหวังตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้มีฉินเฟิงแล้วอีกสองวันก็จะมีอีกคนที่มาพร้อมกับไม้เท้า มันยิ่งเหนือความคาดหมาย เธอยังคิดว่าฉินเฟิงกำลังปลอบโยนเธอเท่านั้น
เธอแอบถอนหายใจอยู่ในใจ
ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญได้
เมื่อตนเองต้องการพึ่งพาฉินเฟิง ก็มักจะไม่สามารถหาที่พึ่งพิงได้ ถ้าเขาเป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งก็ดีสิ ในใจเกิดคิดขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
แต่ว่า สุดท้ายก็เป็นได้เพียงจินตนาการ
เธอยอมรับชะตากรรมตั้งนานแล้ว
พอถึงวันถัดมา
ฉินเฟิงไปที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิง ด้านซ้ายมือมีถนนย่านการค้าและมีโรงเล่นไพ่นกกระจอกด้วย ทันทีที่เข้าไป ชายคนหนึ่งที่ประตูกำลังเล่นแพ้เสียเงิน มีสีหน้าไม่พอใจ เขาเห็นฉินเฟิง
พบว่าฉินเฟิงแต่งตัวสะอาดสะอ้าน ผมแบนเรียบ ไม่ฉูดฉาดและไม่มีรอยสักใดๆ
เขาดูเหมือนเป็นคนที่น่ารังแก
เขารีบล้วงกระเป๋าแล้วเดินไปข้างหน้าพร้อมกับขู่ว่า เฮ้ ไอ้หนู ฉันขอยืมเงินนายใช้หน่อยสิ? นายยอมให้เงินฉันมาดีกว่า ไม่งั้นนายจะลำบาก
ปล้นเหรอ? ลองมองดูข้างหลังคุณก่อนเป็นไง?
ฉินเฟิงแสยะยิ้มมุมปาก
ข้างหลัง? ข้างหลังทำไมเหรอ หรือว่าข้างหลังมีคนจะทำร้ายฉัน
ชายคนนั้นบุ้ยปากอย่างดูถูก แต่ในขณะที่เขาหันกลับไปก็ต้องตกตะลึง เพราะผู้ชายทั้งหมดในโรงเล่นไพ่นกกระจอกได้ลุกขึ้นยืน ชายที่มีรอยสักรูปแมงป่องเดินเข้ามาหา
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าฉินเฟิง ก้มศีรษะลงแล้วประจบประแจง พี่ชาย คราวนี้คุณมามีธุระอะไรเหรอครับ?
เงามืดคราวก่อน ทำให้พวกเขาหวาดกลัวมาจนถึงวันนี้
มาหาเจ้าของอย่างพวกคุณเพื่อพูดคุยธุรกิจ ฉินเฟิงกล่าว
เชิญทางนี้พี่ชาย
ชายที่มีรอยสักรูปแมงป่องโบกมือ ปล่อยให้ฉินเฟิงขึ้นไปชั้นบน
เมื่อฉินเฟิงเดินขึ้นไป ชายที่เคยขวางเขาไว้ก่อนหน้านี้ตกใจกลัวจนขาอ่อนทรุดลงกับพื้น พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ นี่ใครกัน? ลูกสมุนคนใหม่ของพี่ต้าตาวเหรอ? ทำไมพวกนายถึงได้กลัวขนาดนี้?
ยังจะลูกสมุนของพี่ต้าตาวอีก ตำแหน่งนี้ พวกเรารวมทั้งพี่ต้าตาวก็ไปยั่วยุไม่ได้
มีคนพูดกับชายคนนั้น
คุณมีปัญหาใหญ่แล้ว คุกเข่าลงตรงนี้เถอะ บางทีเขาอาจรู้สึกถึงความจริงใจของคุณและปล่อยคุณไป ถ้าไม่อย่างนั้นศพจะลอยอืดกลางทะเล คุณเชื่อไหม?
สู้เก่งจริงๆ
ชายหัวล้านยิ้มเยาะแล้วออกคำสั่งว่า เข้าไปสิ พวกนายคนเยอะขนาดนี้ กองทับเขาตายยังได้เลย
ครับ ฟันเขาให้ตาย
คนอีกกลุ่มหนึ่งกรูเข้าไป
แต่แล้วก็มีเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา ตอนแรกชายหัวล้านยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ยังเอามือกอดอกมองดูเหตุการณ์ด้วยสีหน้าคาดหวัง
ต่อมา การแสดงออกของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จากความคาดหวังในตอนแรก ก็เปลี่ยนเป็นแปลกใจ สุดท้ายก็แข็งทื่อ
ก็เพราะว่า
ปัง
ลูกสมุนอีกคนล้มลง ฉีหยุนปรบมือ คนที่สามสิบสี่ ทุกคนมีกระดูกซี่โครงหักสี่ซี่ นอนรักษาในโรงพยาบาลสองเดือนก็หาย อย่าหาว่าผมรังแกพวกคุณเลย
คุณ!
คนรอบข้างล้วนหวาดกลัวจนถอยหลังก้าวหนึ่ง
ในตอนแรกมีคนกว่าห้าสิบคนที่ปิดล้อมฉีหยุน แต่ตอนนี้เหลือเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น ที่เหลือทั้งหมดถูกฉีหยุนตีจนหมอบกับพื้น
และสิ่งที่ฉีหยุนพูดนั้นถูกต้อง ทั้งหมดที่ล้มลงล้วนกระดูกหักสี่ซี่
แต่ละคนไม่มีใครมากหรือน้อยกว่าใคร
สมควรตาย
หัวล้านสีหน้าบึ้งตึง เขาเดินเข้ามาพร้อมกับกระบองเหล็กในมือ หลบไป ไอ้พวกเศษสวะ คนคนเดียวพวกแกยังจัดการไม่ได้
ลูกสมุนเหล่านั้นหลีกทางทันที
ท่านครับ แล้วเจ้าหมอนี่ล่ะ? เขาเป็นตัวการ ให้ฆ่าให้ตาย? หรือว่าหักกระดูกซี่โครงหลายซี่? หรือว่าอะไร?
ฉีหยุนถามฉินเฟิง
เขาเป็นสมาชิกกองทัพคนหนึ่ง ได้สังหารผู้คนในสนามรบมาตลอดทั้งปี
ทำตัวเงียบๆ ดีกว่า ลูกสมุนคนอื่นๆ คุณก็หักกระดูกซี่โครงไปสี่ซี่ ถ้าอย่างนั้นคนนี้คุณก็หักแปดซี่ก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็เป็นตัวการที่ทำผิด
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลังออกคำสั่ง
ครับ
หลังจากฉีหยุนได้รับคำสั่ง ก็เอียงคอแล้วทำเสียงแหบพร่า พวกนี้น่าเบื่อ คิดไปคิดมา ผมสามารถอยู่เล่นกับคุณได้นานอีกหน่อย
หือ? ผมเหรอ?
หัวล้านหัวเราะลั่น ผมรู้ว่าทำไมชายหัวทองคนนั้นถึงออกไปจากที่นี่ เพราะพวกเขาไม่สามารถจัดการกับพวกคุณได้ แต่ผมไม่ใช่เศษสวะแบบนั้น ผมมีฉายาว่าไอ้เขี้ยว ในสมัยนั้นเป็นอันดับหนึ่งในเรื่องซ่านโฉ่ว ตั้งแต่มาเดินในทางสายนี้ ก็ไม่มีใครสามารถต้านทานหมัดของผมได้เลย
แล้วคุณถือกระบองเอาไว้ทำไม?
ใช้กระบองก็เพราะให้เกียรติคุณ
เมื่อฉีหยุนได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหัว พูดแบบนี้มันไม่ถูกต้อง อย่างเช่นถ้าผมดูถูกคุณ หมายความว่าผมไม่สามารถเอาชนะคุณได้งั้นเหรอ? สิงโตจับกระต่าย ใช้กำลังทั้งหมดที่มี นี่คือหลักการที่ท่านสอนผม
ผมไม่อยากเสียเวลากับคุณแล้ว
หัวล้านเริ่มหมดความอดทนในทันที เขาคาดคะเนด้วยเท้าทั้งสอง เดินมาที่ข้างกายฉีหยุน แล้วหันข้าง ขยับร่างกาย เพื่อหาตำแหน่งที่ดีที่สุดในการโจมตี
จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าเขามีทักษะพื้นฐานบางอย่าง
จากนั้นหัวล้านก็ออกหมัดไปทางซ้าย โจมตีเข้าที่ศีรษะของฉีหยุน ส่วนฉีหยุนก็ออกหมัดมาหมัดหนึ่ง หัวล้านเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า คุณจำได้แล้ว
เขาแกล้งเหวี่ยงหมัดไปทางซ้าย
ทางด้านขวา กระบองเหล็กในมือของเขาคือการเคลื่อนไหวของนักฆ่า เขาเหวี่ยงกระบองเหล็กในมือขวาออกไปทันที ขณะที่กำลังจะตีถูกฉีหยุน ใบหน้าของหัวล้านก็มีความดุร้ายเล็กน้อย
เพียงแต่ในวินาทีต่อมา ชายผู้ดุร้ายก็หยุดนิ่ง
กระบองเหล็กที่โบกด้วยมือขวาของเขาหยุดลง
บัดซบ!
หัวล้านนึกสาปแช่งอยู่ในใจ มองลงมาช้าๆ พบว่าหมัดของฉีหยุนกระแทกเข้าที่หน้าอกของเขา ความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจถ่ายทอดออกมาเป็นระยะ
เขารู้ว่ากระดูกซี่โครงของเขาหักแล้ว
บางทีอาจจะหักไปแปดซี่จริงๆ
ความคิดคุณไม่เลว แต่สำหรับผมมันยังอ่อนหัดเกินไป ถ้าเอาไปรังแกเด็กน่ะได้
ทันทีที่ฉีหยุนพูดจบ หัวล้านก็ต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป ล้มลงกับพื้นทันที จากนั้นฉีหยุนก็มองไปยังลูกสมุนที่เหลืออีกสิบกว่าคนรอบตัวเขา
ซี้ด!
ลูกสมุนเหล่านั้นก้าวถอยหลัง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว
คนคนนี้น่ากลัวเกินไปแล้ว
คนคนเดียวล้มคว่ำพวกเขาทั้งหมดลงได้ แม้แต่พี่ใหญ่หัวล้านของพวกเขาก็ยังถูกซัดหมอบอย่างง่ายดายเพียงเสี้ยววินาที นี่ใช่มนุษย์หรือเปล่า?
ใจเย็นๆ พวกคุณรีบโทร 120 ให้เร็วที่สุดดีกว่า มิฉะนั้นคนพวกนี้อาจจะไม่รอด ฉีหยุนกล่าว
ใช่ๆๆ
ลูกสมุนเหล่านั้นพยักหน้าซ้ำๆ
จากนั้นฉีหยุนก็ไปหาฉินเฟิง และมาถึงข้างกายฉินเฟิง ท่านครับ ภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว
พาคนไปส่งโรงพยาบาลก่อน
ฉินเฟิงหันมองกลับไป อาการบาดเจ็บของเฉินจื่อซวนนั้นค่อนข้างสาหัส
จากนั้นพวกเขาก็ไปโรงพยาบาล หลังจากการตรวจคร่าวๆ พวกเขาก็จัดห้องผู้ป่วยสำหรับเสี่ยวเว่ยและเฉินจื่อซวน เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลคนหนึ่งกล่าวกับฉินเฟิงว่า เสี่ยวเว่ยมีบาดแผลภายนอก ไม่ร้ายแรงมาก ส่วนเฉินจื่อซวนนั้นค่อนข้างสาหัส ต้องพักฟื้นอย่างน้อยสิบวัน
ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว
ฉินเฟิงพยักหน้า
จากนั้นฉินเฟิงก็ให้หมอออกไป แล้วเดินมาที่หน้าเตียงของเฉินจื่อซวน
ฉินเฟิง คุณมาหาผมต้องมีธุระอะไรแน่ ไม่น่าจะมายืมเงินหรอกนะ ตอนนี้คุณมีความสามารถมาก แต่ว่า เด็กดี หลายปีมานี้ คุณทำได้ไม่เลวเลย
เนื่องจากการสูญเสียเลือดมากเกินไป เฉินจื่อซวนจึงแสดงรอยยิ้มซีดเซียวน่าสงสาร
ใช่ ผมมีธุระกับคุณ ภรรยาของผมรับทำโครงการหนึ่ง ซึ่งมีพื้นที่หลายพันเอเคอร์ต้องการการพัฒนา จำเป็นต้องมีวิศวกร ดังนั้นผมจึงมาที่นี่เพื่อตามหาคุณ ฉินเฟิงกล่าว
ก็ได้ อาการบาดเจ็บของผม พักไม่กี่วันก็สามารถใช้ไม้ค้ำยันเดินออกไปได้แล้ว ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย ถึงอย่างไรผมก็เก่งในเรื่องวาดภาพออกแบบ
เฉินจื่อซวนค่อนข้างมีความมั่นใจในตัวเอง
เขาเป็นนักศึกษาปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ในเรื่องการวาดภาพออกแบบ ในมหาวิทยาลัยมีคนที่ทำได้ดีกว่าเขาไม่มากนัก
ว่าแต่ว่า บาร์เหล้าของคุณ ต้องการให้เซ้งคืนมาไหม? ฉินเฟิงถามอีกครั้ง
เขาคิดว่าบาร์เหล้านั้น ต้องมีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อเฉินจื่อซวนแน่นอน
ช่างมันเถอะ
เฉินจื่อซวนส่ายหน้า เขาไม่ใช่คนที่ได้คืบจะเอาศอก คราวนี้เขาเป็นหนี้บุญคุณฉินเฟิงหลายอย่าง ที่ช่วยให้เขาจ่ายเงินคืนสามล้านได้
แล้วเขาจะกล้าขอให้เขาช่วยเซ้งคืนมาได้อย่างไร
แม้ว่าเขาจะยังอาลัยอาวรณ์บาร์เหล้าแห่งนั้นอยู่
ถ้าอย่างนั้น…
ในเวลานี้ เสี่ยวเสี่ยวที่อยู่ข้างๆ ได้ยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรง ฉันสามารถเซ้งร้านได้ไหม? ฉันมีเงินทุนพอดี ถ้าเป็นไปได้ คุณก็มาเป็นผู้จัดการร้านให้ฉันได้
คุณ?
ฉินเฟิงมองไปทางเสี่ยวเสี่ยว ทำไมล่ะ? คุณยังขาดเงินส่งกลับบ้านอยู่ไม่ใช่เหรอ?
เงินก้อนนี้ช้าเร็วก็ต้องถูกใช้หมด เอามาหาเงินดีกว่า เสี่ยวเสี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
เธอได้ไตร่ตรองแล้วว่า นี่เป็นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเจริญรุ่งเรือง
จื่อซวน คุณคิดยังไง?
ฉินเฟิงถามเฉินจื่อซวนอีกครั้ง
ตกลง
เฉินจื่อซวนเห็นด้วย ถึงอย่างไรเขาก็ทุ่มเทน้ำพักน้ำแรงไปกับบาร์เหล้าแห่งนี้มาก ถ้าจะละทิ้งไปแบบนี้ ในใจก็ยังรู้สึกอาลัยอาวรณ์อยู่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมก็จะช่วยพวกคุณจัดการปัญหาสุดท้ายแล้วกัน
ฉินเฟิงพูดพลางส่งสายตาให้ฉีหยุน แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วย
เอ่อ…ทำไม…ถึงแข็งแกร่งขนาดนี้?
เสี่ยวเสี่ยวยังมีสีหน้ากังวลในตอนแรก แต่เมื่อเธอเห็นว่าฉินเฟิงเพียงคนเดียวสามารถจัดการคนทั้งสามได้อย่างง่ายดาย ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ผมเคยเป็นทหารมาก่อน
ฉินเฟิงเอียงคอ
ดูเหมือนว่า หลายปีตอนที่คุณเป็นทหาร จะเก็บเกี่ยวได้อย่างมากมายนะ
เฉินจื่อซวนลืมตามองฉินเฟิง เขารู้ว่าฉินเฟิงได้เข้าร่วมกองทัพในภายหลัง คนที่เป็นทหารมาหลายปี การจัดการกับอันธพาลสองคนย่อมไม่ใช่ปัญหา
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงในฐานะคนที่ไม่ชอบถูกผูกมัด ในที่สุดก็กลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น
ส่วนเขา ได้ละทิ้งความฝันของตัวเองและกลายเป็นเจ้าของบาร์เหล้า และสุดท้ายถ้าหากไม่ใช่ฉินเฟิงมาช่วยตน ตนก็คงถูกฝังอยู่ใต้ธรณีไปแล้ว
โอ้ชีวิต
เมื่อเติบโตขึ้น ทั้งหมดได้กลายเป็นคนที่ตนเกลียดที่สุด
เฉินจื่อซวนแสยะยิ้มมุมปากยิ้มเยาะตัวเอง โชคชะตาเล่นตลกกับคน
ตึก ตึก ตึก
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนมากรีบกรูเข้ามาทางประตูบาร์เหล้า ทั้งหมดเป็นพวกนักเลงหัวไม้ หัวโล้น มีรอยสัก และคาบบุหรี่อยู่ในปาก
หากมีฐานะหน่อยก็จะถือกระบองเหล็กอยู่ในมือ เพื่อแสดงอำนาจ
โอ้ อยู่นี่กันหมดเลย
ชายหัวโล้นที่อยู่ข้างหน้า ใบหน้าเจ้าเล่ห์ มีเขี้ยว และรอยสัก ร่างกายท่อนบนมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ บวกกับความสูง 190 เซนติเมตร เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คน เขาจะดูเป็นผู้นำ
ขอแนะนำตัวสักหน่อย ผมชื่อจางต้าเทียน มีฉายาว่าไอ้เขี้ยว ช่วงนี้ไม่ค่อยมีเงินใช้ อยากจะยืมเงินจากคุณมาใช้หน่อย ไม่รู้ว่าพวกคุณจะคิดยังไง?
อ้อ แต่ถ้าไม่เห็นด้วย พวกคุณต้องนอนโรงพยาบาลเป็นปี คิดให้ดีว่าทำไมถึงไม่เห็นด้วย หรือไม่ก็คิดถึงชีวิตที่เหลือให้ดีๆ
ไอ้เขี้ยวแสยะยิ้มมุมปาก เผยให้เห็นฟันขาว แต่กลับน่ากลัวจนถึงขีดสุด
หนึ่ง สอง สาม…สิบเจ็ด…สามสิบสี่…สี่สิบหก…เสร็จแล้ว
เสี่ยวเสี่ยวกำลังนับจำนวนคนเหล่านั้นอยู่ข้างๆ ยิ่งนับก็ยิ่งตกใจ คราวนี้มากันอย่างน้อยห้าสิบคน แม้ว่าฉินเฟิงสามารถต่อสู้ตามลำพังได้ แต่สองหมัดยากจะสู้สี่มือ ยิ่งไปกว่านั้น ไอ้เขี้ยวคนนั้นยังตั้งตนเป็นใหญ่บนถนนเส้นนี้
ว่ากันว่า เขาใช้ทักษะซ่านโฉ่วโจมตีคนรอบๆ จนหมอบ และทำให้เขาได้ครองตำแหน่งหัวหน้า
จะทำยังไงดี?
เสี่ยวเสี่ยวมองไปที่เฉินจื่อซวนซึ่งนอนอยู่บนพื้น แล้วมองไปที่ฉินเฟิง ในใจรู้สึกกังวล แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องคอยดูอยู่ข้างๆ
สำหรับเสี่ยวเว่ย เขาได้หมดสติไปแล้ว
เธอทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแล้ว อย่างไรก็รอด
เจ้าหนู คิดดีแล้วเหรอ?
หัวล้านพ่นควันบุหรี่ออกมา แล้วถามขึ้น
คิดอะไร?
!!!
เส้นเลือดดำของหัวล้านปริออก ความโกรธปรากฏขึ้นในดวงตา เจ้าหนู คุณกำลังยั่วยุผม ยั่วยุไอ้เขี้ยว คุณรู้หรือเปล่าว่าจะมีจุดจบยังไง?
ฮ่าฮ่า คนล่าสุดที่ยั่วโมโหพี่ใหญ่ของพวกเรายังนอนโรงพยาบาลอยู่ กระดูกซี่โครงหักไปสิบสองซี่
แล้วคนอย่างคุณน่ะ กล้าดียังไงมาทำแบบนี้กับพี่ใหญ่ของพวกเรา? กำลังฝันอยู่เหรอ
คุณช่างกล้าหาญจริงๆ ถ้าคุกเข่าเอาหัวคำนับขอโทษตอนนี้ พี่ใหญ่ของเราอาจปล่อยคุณไป แต่ว่ามันก็แค่อาจจะเท่านั้น
คนกลุ่มใหญ่ตะโกนอยู่ทางด้านหลังอย่างวางก้าม
เมื่อมองแวบแรก ยังคิดว่าเกิดอะไรขึ้น
ฉินเฟิงเอามือลูบคาง ในแววตามีความเสียดาย ถ้าพวกคุณมาเร็วกว่านี้สักนิด ก็อาจจะไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่พวกคุณมาช้าไปก้าวเดียว
ช้าไปก้าวเดียว? ฮ่า ยังคิดจะส่งพวกเราเข้าโรงพยาบาลอีกเหรอ ไม่รู้ว่าคุณไปเอาความกล้าจากที่ไหนมาพูดจาแบบนี้
หัวล้านหัวเราะเยาะ
แต่ในเวลานี้ได้มีเสียงกรีดร้องดังมาจากด้านหลัง ซึ่งทำให้ทุกคนตกใจ รีบหันกลับไปมองและพบว่ามีชายคนหนึ่งบุกเข้ามา
เสียงกรีดร้องมาจากคนที่นอนอยู่บนพื้น
คนที่นอนอยู่บนพื้นเป็นคนของพวกเขา มือทั้งสองหักงอในแนวตั้ง เห็นได้ชัดว่ากระดูกหัก
คุณคือใคร?
หัวล้านขมวดคิ้วแล้วมองไปที่คนคนนั้น
ท่านนายพลครับ ฉีหยุน
ฉีหยุนเงยหน้าขึ้น ในดวงตามีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
พวกคุณโชคร้ายแล้ว มีผมอยู่ที่นี่ อาจจะทำให้พวกคุณสบายใจ แต่มีฉีหยุนอยู่ที่นี่ เขาอาจเล่นเกมแมวไล่จับหนูกับคุณ เขาเป็นผู้คลั่งไคล้การต่อสู้คนหนึ่ง
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลังพลางส่ายหน้า
ฉีหยุนเป็นคนคลั่งไคล้การต่อสู้มาตั้งแต่เกิด เขาจะไม่พลาดโอกาสดีๆ ที่จะต่อสู้กับผู้คนมากมายเช่นนี้ แต่ถ้าปล่อยให้เขาตีจริงๆ น่าจะเสร็จสิ้นภายในหนึ่งนาที
เช่นนั้น แม้แต่วอร์มร่างกายก็ยังไม่ทัน
ต้องค่อยเป็นค่อยไป
เช่นนั้นคนเหล่านี้ก็น่าสงสารแล้ว
แล้วยังจะท่านนายพลอะไรอีก? แม่งเอ๊ย คุณคิดว่าพวกคุณเป็นคนเก่งกาจมาจากไหน? ยังจะท่านนายพลอีก ดูละครทีวีหรือหนังทหารมากไปหรือเปล่า
หัวล้านรู้สึกไม่สบอารมณ์ ด้านหนึ่งเขาดูเหมือนคนใหญ่โตมีลูกสมุน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำของถนนสายนี้ จะมีใครที่มีความสำคัญมากกว่าเขา
ให้ตายสิ
ในเมื่อคุณมาเพื่อช่วยชายคนนั้น งั้นก็มาเริ่มกิจกรรมหักกระดูกจากคุณกันเถอะ ผมขอประกาศว่าคนที่หักกระดูกซี่โครงของคนคนนี้ได้ จะได้รับเงินรางวัลหนึ่งแสน
ชายหัวล้านเริ่มประกาศเล่นเกมทันที
เนื่องจากผู้มาใหม่คนนี้เสแสร้งเก่ง เขาจึงไม่รังเกียจที่จะเล่นเกมกับชายคนนี้ ปล่อยให้เขาได้สัมผัสกับความโหดร้ายของชีวิต
ดีจัง เงินหนึ่งแสน
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องไปที่ตัวฉีหยุน
มันเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะได้เงินเจ็ดล้าน แต่สำหรับหนึ่งแสนนั้นมีโอกาสสูง ถึงอย่างไรคนเราก็มีกระดูกซี่โครงตั้งยี่สิบสี่ซี่
สองล้านสี่แสนเลยนะ
พวกเขาทั้งหมดมีโอกาสได้รับมัน
เล่นเกมเหรอ ตรงใจผมพอดี
ฉีหยุนเอียงคอ ความดุดันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เข้าไป!
สุดท้ายด้วยคำสั่งของหัวล้าน คนเหล่านั้นทั้งหมดก็รีบลุกขึ้น แม้ว่าพวกเขาดูเหมือนจะสามารถต่อสู้ได้ แต่พวกเขามีจำนวนมากขนาดนี้ จะสู้เก่งอีกสักแค่ไหนแล้วจะทำอะไรได้
สองหมัดยากจะสู้สี่มือ
คุณไม่เข้าไปช่วยหน่อยเหรอ?
เสี่ยวเสี่ยวมองไปที่ฉินเฟิง เธอพบว่าฉินเฟิงไม่ได้เคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย เอามือไพล่หลังยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าสบายมาก
แต่เขาไม่ได้มาเพื่อช่วยพวกเขาหรอกเหรอ
สู้สองคนก็ย่อมดีกว่าสู้คนเดียวมาก
ไม่จำเป็น เขาจะไม่มีความสุขถ้าผมเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ของเขา อีกอย่างคุณไม่ต้องกังวล คนคนนี้สู้เขาไม่ไหวหรอก รู้ไหมเจ้าหมอนี่เคยทำภารกิจระดับ SS สำเร็จมาแล้ว
ฉินเฟิงไม่ได้กังวลเลย
พวกนี้ล้วนน่ารังเกียจ
เป็นที่ทราบกันดีว่าภารกิจระดับ SS คือการปล่อยให้ฉีหยุนสังหารหน่วยทหารรับจ้างหนึ่งพันสองร้อยคนตามลำพัง แล้วฉีหยุนก็ทำได้ หนึ่งพันสองร้อยคนนั้นถูกสังหารทั้งหมด
นี่คือความแข็งแกร่งของนายพลอันดับหนึ่งใต้บังคับบัญชาของเขา
เพียงแต่ว่า การต่อสู้นั้นเกินขอบเขตไป ใครๆ ก็อยากจะเข้ามาต่อสู้ คนในกองทัพอีสเตอร์แลนด์ถูกตีจนแทบจะกลัวกันหมด ไม่กล้าสู้กับฉีหยุนแล้ว
ไอ้หนู ตายซะเถอะ!
นักเลงกวัดแกว่งกระบองเหล็กไปทางฉีหยุน มีเสียงแตกหักดังแว่วๆ
เพียงแต่ว่า ฉีหยุนเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบหลีกการโจมตีครั้งนี้ จากนั้นก็ก้าวเพียงก้าวเดียวมาถึงตัวชายคนนั้น แล้วเหวี่ยงหมัดออกไป
เสียงแตกหักดังขึ้น
หักไปแล้วสี่ซี่ แต่น่าเสียดายที่ของคุณไม่คุ้มค่าเงินเท่าของผม ของผมหนึ่งซี่มีมูลค่าหนึ่งแสน
ฉีหยุนเตะอีกครั้งจนชายคนนั้นกระเด็นออกไป แล้วพูดต่อว่า คนต่อไป
เสี่ยวเว่ย?
ฉินเฟิงจำผู้ชายคนนี้ได้ เขาคือเสี่ยวเว่ย บาร์เทนเดอร์คนก่อนหน้านี้ที่ผสมวิสกี้ให้เขาแก้วหนึ่ง เพียงแต่ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยรอยบาดแผลทั่วร่างกาย
มีทั้งรอยคล้ำและรอยแดง
เกิดอะไรขึ้น?
เฉินจื่อซวนเดินกระอักเลือดเข้ามาเช่นกัน
มีคนมาก่อความวุ่นวาย เป็นคนของเจ้าบาดแผลต้าตาว เขาบอกว่า นี่คือคำเตือนสำหรับพวกเรา คราวหน้าอย่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาอีก มิฉะนั้นสถานการณ์จะไม่ง่ายดายอย่างในวันนี้แล้ว
เสี่ยวเว่ยกระอักเลือดไปออกมาพร้อมกับพูดอย่างเศร้าสลด
แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?
ฉินเฟิงกวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่มีใครอยู่บนพื้นแล้ว
คนอื่นๆ หนีไปหมดแล้ว เสี่ยวเว่ยพูดด้วยความผิดหวัง
เหลือเพียงเขาคนเดียวที่อยู่ แม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่เพราะเฉินจื่อซวนดีต่อเขา คราวที่แล้วครอบครัวของเขาเกิดเรื่องด่วน ก็ได้เฉินจื่อซวนที่ให้เขายืมเงิน
แม้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรให้เฉินจื่อซวนได้ แต่เขาก็ยังเฝ้าอยู่ในร้านได้
แม้ว่าจะถูกทุบตี
ใช่แล้ว เจ้านาย พวกทวงหนี้มาแล้ว บอกว่าซูเยว่ขายเหล้าบาร์แห่งนี้ให้กับพวกเขาเป็นเงินสองล้านเจ็ดแสน พวกเขาต้องการให้เราย้ายออกวันนี้
ทันใดนั้น เสี่ยวเว่ยก็นึกอะไรออกและถอนหายใจออกมา จากนั้นก็พูดกับเฉินจื่อซวนว่า เจ้านาย เจ้าบาดแผลต้าตาวทำร้ายคุณหรือเปล่า ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไปซ่อนตัวในที่ของผมก่อน ผมเช่าห้องเดี่ยวเอาไว้
ไปอยู่กับคุณน่ะเหรอ? ฮ่า
ในเวลานี้ มีชายสามคนเข้ามาทางประตู ล้วนเป็นพวกอันธพาล โดยเฉพาะชายย้อมผมสีทองทั้งหัวที่ดูแปลกแหวกแนวชาวบ้าน
โชคดีที่ไม่มีคนอื่น พวกเรามาเร็ว
ชายหัวทองมองไปรอบๆ และพบว่ามีเพียงพวกเขาสามคนที่มาที่นี่ จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที พวกเขาอยู่ใกล้มากที่สุด พอได้ข่าวก็รีบมาทันที
โชคดีที่ไม่ได้มาช้า
พวกคุณน่าจะรู้ว่าเรามาทำอะไร ส่งของมาดีกว่า เจ็ดล้าน ไม่ให้ขาดไปแม้แต่เฟินเดียว
ชายหัวทองมองมาทางฉินเฟิงและพวก หยิบดาบสั้นออกมาจากตัว
เอาไป…เงินของคุณ…คุณไป…ก่อนเถอะ…
เฉินจื่อซวนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็กระอักเลือดออกมา แต่ก็ยังพยายามพูดกับเสี่ยวเสี่ยวที่คอยพยุงเขาอยู่ข้างกาย จากนั้นก็มองไปที่ฉินเฟิง
อาเฟิง เอาเงินให้เธอสิ พวกเราไม่ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อน เฉินจื่อซวนบอกกับฉินเฟิง
อืม
ฉินเฟิงแบ่งกระเป๋าหนังของตน แล้วยื่นให้เสี่ยวเสี่ยว
ฉัน…
เสี่ยวเสี่ยวถือกระเป๋าใบนั้นไว้ในมือ เธอรู้ว่ากระเป๋าใบนั้นมีค่าสามล้าน เธอควรออกไปทันที อีกสองคนที่เหลือจะขวางทั้งสามคนนั้นไว้
เงินของเธอจะขาดไปไม่ได้
ถึงเวลาได้เงินแล้ว สามล้านเลยนะ หนีไปให้ไกล ไปใช้ชีวิตดีๆ อยู่ในเมืองอื่น เมื่อมีเงินสามล้านนี้ จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ
แต่ทว่า เมื่อเธอหันหลังกลับและมองไปที่เฉินจื่อซวนอีกครั้ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยบาดแผลและคราบเลือด ทันใดนั้นขาของเธอก็ก้าวไม่ออก ราวกับว่าถูกฉีดตะกั่วเข้าไป
เธอทนไม่ไหวแล้ว
สุดท้ายก็ถอนหายใจ ช่างมันเถอะ ถือซะว่าเป็นความโชคร้ายของฉัน ฉันคนนี้ก็ไม่มีอะไรดี แต่มีจิตใจดี ถ้าฉันไม่ดูแลคุณที่นี่ คุณคงไม่รอดแน่ สามล้านก็สามล้านเถอะ
เธอยอมสละเงินสามล้าน อันที่จริงเมื่อเทียบกับเงินสามล้านแล้ว เธอเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของเฉินจื่อซวนมากกว่า
ฉันเคยเป็นพยาบาล ให้ฉันพันแผลให้คุณ
เสี่ยวเสี่ยวจับตัวเฉินจื่อซวนนอนราบ แล้วเริ่มปฐมพยาบาล
คุณเป็นพยาบาลเหรอ? แล้วทำไมถึงไม่ทำงานพยาบาลดีๆ ล่ะ? เฉินจื่อซวนถามอย่างอ่อนแรง
ฉันก็อยากเป็นพยาบาลดีๆ แต่ทางโรงพยาบาลใส่ร้ายกลั่นแกล้งฉัน บอกว่าฉันขโมยของ แถมยังเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพของฉันอีก ครอบครัวของฉันอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกล ฉันยังมีน้องชายอีกสามคนที่ไม่มีเงินเรียนหนังสือ ฉันไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากทำงานในวงการนี้
เสี่ยวเสี่ยวถอนหายใจแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเศร้าใจว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาทำ ยังคิดว่าจะหาเงินได้บ้าง คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแบบนี้ ถูกพวกคุณปั่นหัว ทางโน้นก็เกรงว่าจะกลับไปไม่ได้แล้ว โดนขึ้นบัญชีดำแล้ว
เธอรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
ทำไมตนเองถึงโชคร้ายเช่นนี้เสมอ
ฮ่า ไม่ไป นั่นคือสิ่งที่ผมต้องการ
เดิมทีชายหัวทองคิดจะขวางเสี่ยวเสี่ยวไว้ แต่เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเสี่ยวไม่ไปไหนก็ดีใจมาก คราวนี้เจ็ดล้าน จะไม่ให้ขาดไปแม้แต่เฟินเดียว
เงินมหาศาลหล่นลงมาจากฟากฟ้า
เจ้าหนู ส่งของมาดีกว่า ผมเคยเห็นเลือดมาก่อน
ชายหัวทองหยิบมีดตัดฟืนออกมาจากตัว แสงสีเงินแปลบปลาบ โบกไปมาสองครั้ง ดูน่ากลัว ยิ่งกว่านั้นทั้งกลุ่มยังมีท่าทีแปลกแหวกแนวชาวบ้าน
คนทั่วไปจะรู้สึกหวาดกลัวจริงๆ
แต่น่าเสียดาย ฉินเฟิงเคยพบเจออุปสรรคมากมายมาก่อน
อยากได้เงินนี้เหรอ?
ฉินเฟิงตบกระเป๋าหนังใบนั้น แล้วพูดพร้อมกับเอามือไพล่หลัง ถ้าคุณต้องการ ก็มาเอาเองสิ
แม่งเอ๊ย ใจกล้าจริงนะ แต่คุณยั่วยุผิดคนแล้วจริงๆ พวกเราสามคนเป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงในพื้นที่นี้ การต่อสู้เป็นเรื่องธรรมดา และเราก็ไม่เคยแพ้ใคร
เข้าไป!
ชายหัวทองตะโกนลั่น ทั้งสามบุกเข้าไปทันที ชายหัวทองวิ่งไปข้างหน้าพร้อมกับกวัดแกว่งมีดตัดฟืนในมือเพื่อแสดงอานุภาพ แกตายซะเถอะ
พลังที่แสดงออกมาช่างน่ากลัว
แต่ทว่า ขณะที่ทั้งสามคนกรูกันเข้าไปนั้น ฉินเฟิงก็เตะพวกเขาคนละที ทั้งสามลอยหวือออกไปทันทีโดยไม่ทันได้ตอบโต้
ล้มลุกคลุกคลาน
เกลือกกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นไม่หยุด
สุดท้ายสองคนที่ปะทะเข้ากับกำแพงก็สลบไป เหลือชายหัวทองเพียงคนเดียว เขาเอามือกุมท้องพร้อมกับกระอักเลือด ในดวงตาเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เขากระเด็นออกไปได้อย่างไร?
ลูกเตะนั้น เขายังไม่เห็นชัดเจน
เตะถูกแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
แผ่นเหล็กของแท้ทีเดียว
ชายหัวทองรู้สึกว่าร่างกายของเขากำลังจะแตกสลาย ความเจ็บปวดได้กระตุ้นเส้นประสาทสมองของเขาอย่างต่อเนื่อง แต่เขายังคงใช้กำลังทั้งหมดที่มีอยู่
พยายามลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบาก
เพราะเหตุใด
เพราะเขารู้สึกถึงเจตนาฆ่า ถ้ายังอยู่ที่นี่ต้องตายแน่นอน นี่ไม่ใช่ของอร่อย แต่เป็นปีศาจร้าย ปีศาจร้ายที่กัดกินกระดูกมนุษย์
ไป ต้องไปแล้ว!
ชายหัวทองกัดฟัน ลุกขึ้นเดินทีละก้าวไปยังประตูอย่างเจ็บปวดและยากลำบาก แต่ทันทีที่เขาเดินออกจากประตู ก็ได้พบกับผู้คนมากมาย หนึ่งในนั้นมีชายสูงใหญ่หัวล้านด้วย เขามองไปที่ชายหัวทองแล้วถามว่า คุณออกมาทำไม? เจ้าหนูคนนั้นล่ะ? คงไม่ได้โดนคุณปล้นหมดตัวแล้วนะ?
ปล้นหมดตัว!
ฉันกำลังจะตายแล้ว ยังจะมาปล้นหมดตัวอีก
ชายหัวทองแอบบ่นในใจว่า คนคนนั้นไม่ใช่เหยื่อ แต่เป็นนักล่าที่มีประสบการณ์มากมายอย่างแท้จริง เขาพูดทันทีว่า เปล่า ผมเพิ่งเข้ามา ปวดท้อง ผมกำลังจะกลับไปแล้ว หลีกทางให้พวกคุณ
จากนั้นเขาก็เอามือกุมท้อง แล้วเดินกะโผลกกะเผลกออกไป
เขาพูดถูก เขาปวดท้องจริงๆ
เพราะเพิ่งถูกทุบตีมา
เชอะ! เศษสวะมาถึงเร็วกว่าพวกเรา แต่ถอยกลับเพราะปวดท้อง เงินเจ็ดล้าน ไม่ได้ไปแม้แต่เฟินเดียว ถ้าอย่างนั้นเงินก้อนนี้พวกเราจะรับไว้เอง
หัวล้านหัวเราะเยาะ
เจ็ดล้านเลยนะ! เจ็ดล้าน! เรารวยแล้ว
ดี
ชายเคราแพะหัวเราะอย่างบ้าคลั่งและยื่นมือข้างหนึ่งออกมา เช่นเดียวกับฉินเฟิง เขายังมีไพ่ที่ยังไม่ได้เปิดอีกหลายใบ
พรึ่บ
ไพ่ของชายเคราแพะพลิกขึ้นมา
โฟร์การ์ดเจ็ด
มีคนชะเง้อมองไปข้างหน้า พอเห็นไพ่นั้นก็ตกใจมากทันที เพราะไพ่โฟร์การ์ดเจ็ดนั้นเป็นไพ่ที่แต้มใหญ่มาก
อาจกล่าวได้ว่า ขอเพียงไพ่ของฉินเฟิงไม่สวนทาง ท่านจิ่วจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
ถ้าฉินเฟิงต้องการชนะ ต้องเปิดไพ่ให้ได้แต้มสูงสุด นั่นคือรอยัลฟลัชซึ่งพบได้ยาก แต่ไพ่ตรงหน้าฉินเฟิงในตอนนี้แม้แต่ดอกเดียวกันยังไม่มีเลย
ในกรณีนี้ เว้นแต่ไพ่ที่เหลือจะมีดอกเดียวกัน ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะชนะ
เชิญ เปิดไพ่
ในเวลานี้ เจ้ามือได้มองไปที่ฉินเฟิง
ตอนนี้ถึงตาฉินเฟิงแล้ว
ฉินเฟิงยื่นมือข้างหนึ่งออกไป เตรียมเปิดไพ่ทีละใบ
ทุกคนในที่นี้รู้สึกตื่นเต้นมาก ทั้งหมดจับจ้องไปที่มือของฉินเฟิง อยากดูว่าฉินเฟิงจะดวงดีขนาดไหน จะสามารถได้ไพ่รอยัลฟลัชหรือไม่
จนกระทั่ง
ลำแสงสีดำปรากฏขึ้นในดวงตาของทุกคน
ต่อมาก็เป็นลำแสงสีดำอีกครั้ง ซึ่งทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกๆ แต่ทุกคนก็รู้สึกเหมือนหัวใจกำลังพุ่งออกมาจากลำคอ
เอ…โพดำ!
บางคนพูดชื่อไพ่ใบสุดท้ายด้วยเสียงสั่น ที่ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงันอย่างน่าประหลาด จับจ้องไปที่ไพ่ใบนั้น
เหลือเชื่อจริงๆ
รอยัลฟลัช
โชคเล็กๆ น้อยๆ นี้ ถูกฉินเฟิงคว้าไว้จริงๆ
เอโพดำ รอยัลฟลัช
ฉินเฟิงกางไพ่ออกและชี้ให้เห็น
เป็น…เป็นไปได้ยังไง!
ชายเคราแพะถอยหลังออกไปก้าวสองก้าวด้วยสีหน้าตกใจ พลันชี้ไปที่ไพ่ใบนั้น เป็นไปได้ยังไง ในสถานการณ์แบบนี้ จะได้รอยัลฟลัชมาได้ยังไง ไม่น่าใช่ ไม่น่าใช่
ชายเคราแพะเอามือกุมศีรษะ สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
สุดท้ายเขาก็เงยหน้ามองฉินเฟิง คุณโกง
ซี้ด!
หลังจากประโยคนี้ ผู้ชายกว่าสิบคนเดินออกมาจากบริเวณโดยรอบ ทุกคนมีสีหน้าอาจหาญ ถือกระบองเหล็กอยู่ในมือ ดูท่าทางดุดันและโหดร้ายมาก
มีหลักฐานหรือเปล่าว่าผมโกง?
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง มองชายเคราแพะอย่างใจเย็น
เส้นเลือดของชายเคราแพะปูดโปนขึ้น เจ้าเด็กนี่ต้องโกงแน่ๆ มันเป็นไปได้น้อยมากที่จะคว้าโอกาสเล็กๆ เช่นนี้เอาไว้ได้
แต่ให้พูดอย่างไร เขาก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าฉินเฟิงโกง
พูดตามตรง แม้ว่ามันจะขายหน้ามาก แต่เขาก็มองไม่ออกเลยจริงๆ
เจ้าบาดแผลต้าตาว พวกคุณทำธุรกิจแบบนี้กันเหรอ? ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะเล่นชนะในคลับบันเทิงของพวกคุณไม่ได้เลย ถ้าชนะพวกคุณก็จะบอกว่าโกงใช่หรือเปล่า?
ต่อมาฉินเฟิงก็มองไปที่เจ้าบาดแผลต้าตาว
ก็ใช่น่ะสิ พวกคุณต้องแสดงหลักฐาน ถ้าไม่อย่างนั้น พอชนะ พวกคุณก็จะบอกว่าเป็นการโกง จับกุมผู้คนโดยที่ไม่มีหลักฐาน นี่มันเรื่องอะไรกัน
ใช่แล้ว คุณหมายความว่า พวกเราไม่สามารถเล่นชนะได้ ต้องปล่อยให้พวกคุณได้กำไรทุกวัน?
พวกคุณให้เงินไปเลยเถอะ มิฉะนั้นผมจะไม่มาที่นี่อีก
ข้างนอกมีคนตะโกนมากมาย เดิมทีพวกเขารู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขา แต่เมื่อฉินเฟิงพูดเช่นนี้ ใช่แล้ว วันนี้ไม่ให้ฉินเฟิง บอกว่าเป็นการโกง
แต่ครั้งต่อไปมันอาจจะเป็นพวกเขาก็ได้
ดังนั้น ครั้งนี้พวกเขาจึงร่วมมือกันต่อต้านเจ้าบาดแผลต้าตาว
ฮ่า
ใบหน้าของเจ้าบาดแผลต้าตาวที่มีรอยแผลเป็นขนาดใหญ่เริ่มยิ้มออกมา แลดูน่ากลัวเล็กน้อย แต่ก็ยังคงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า เจ้าหก เอาเงินมา
ฮะ?
ลูกสมุนที่อยู่ข้างกายถึงกับอึ้งไป
คลับบันเทิงต้ากวงของพวกเราให้ความสำคัญกับเรื่องชื่อเสียง ชนะก็คือชนะ ไม่มีการโกง ตามกฎแล้ว เมื่อหักหนี้ที่ติดพวกเราไว้สามล้าน ส่วนที่เหลืออีกเจ็ดล้าน ยกให้พวกเขาทั้งหมด
เจ้าบาดแผลต้าตาวออกคำสั่ง
ครับ
ลูกสมุนคนนั้น ครั้งนี้ออกไปอย่างเชื่อฟัง สักพักก็กลับมาพร้อมกับกล่องใบหนึ่ง เขายื่นให้เจ้าบาดแผลต้าตาว เจ้าบาดแผลต้าตาวก็ยื่นให้ฉินเฟิง แล้วยังพูดอีกว่า พวกเราเน้นเรื่องความเชื่อใจ
ดีมาก
ฉินเฟิงแสยะยิ้มมุมปาก
เขารู้ว่าคนพวกนี้ต่างคิดจะจับหลักฐานการโกงของเขา แต่หลักฐานนั้นมันไม่มีอยู่จริงๆ เขาเคยลงสู่สนามรบแล้วรอดชีวิตมาได้ กลายเป็นพลเอกที่ไม่เป็นสองรองใครในรุ่น
โต้แย้งโดยฟังทิศทางลม
ก็พอมีความสามารถน้อยนิดเช่นนี้อยู่บ้าง
ทุกท่าน อย่างที่พวกคุณได้เห็น คลับบันเทิงต้ากวงของเราขอให้สัญญาว่า จะไม่มีใครเข้าไปปล้นเงินของเขา เรื่องนี้ผมรับประกันได้ เจ้าบาดแผลต้าตาวกล่าวด้วยท่าทางเคร่งขรึมและชอบธรรม
แต่หลายคนที่อยู่ชั้นล่างกลอกตาไปมา คนของคลับบันเทิงต้ากวงจะไม่เคลื่อนไหว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่เคลื่อนไหวด้วย
ต้องรู้ว่า ในบรรดาคนเหล่านี้ มีพวกอันธพาลข้างถนนอยู่ไม่น้อย
นี่คือหลุมพรางที่เจ้าบาดแผลต้าตาวสร้างขึ้น
ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้คนมากมายรอบตัวก็เกิดความคิดแผลงๆ มีคนกระซิบบอกให้หาตัวช่วย มีตั้งเจ็ดล้าน ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
พยุงเขาขึ้นไป บวกกับก่อนหน้านี้ที่ผมจะให้คุณสามล้าน ฉินเฟิงพูดกับเสี่ยวเสี่ยว
สามล้าน! ดีๆๆ!
ดวงตาของเสี่ยวเสี่ยวเป็นประกาย พยักหน้าซ้ำๆ
เงินกระดาษอะไร
ไปเจอผีเถอะ
สินค้านี้ราคาจริงแพงมากทีเดียว
จะปล่อยให้เสี่ยวเสี่ยวแย่งโอกาสนี้ไปไม่ได้
ผู้หญิงในชุดกี่เพ้าคนอื่นๆ รู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย พวกเธอคิดไม่ถึงว่า สุดท้ายแล้วฉินเฟิงจะชนะ บางคนไม่อยากเชื่อว่าพวกเธอคิดผิด
ในเวลานี้จึงแลกเปลี่ยนสายตากัน
ทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามาใกล้ฉินเฟิงทีละคน พี่ชายสุดหล่อ คุณว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ต้นขาของฉันขาวหรือเปล่า เอวของฉันเล็กไหม?
พี่ชายสุดหล่อ ให้ฉันช่วยพยุงคุณดีกว่า
คืนนี้ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ทั้งคืนจะไม่หยุดพักเลย
ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งขยิบตาให้ฉินเฟิง ก็เพื่อเงินเจ็ดล้านในมือเขา หากยินดีให้ทิปคนละหนึ่งล้าน งั้นก็ร่ำรวยแล้วสิ
แต่ฉินเฟิงแค่พ่นออกมาแค่คำเดียว
ออกไป!
พวกคนที่เดินเข้าไปหาฉินเฟิงตัวแข็งทื่อทันที ราวกับว่าตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง พวกเธอพากันถอยกลับ แต่ความรู้สึกเช่นนั้นก็หายวับไปในวินาทีถัดมา
ถึงอย่างไรก็เป็นผู้หญิง ฉินเฟิงไม่ควรจะลงมือหนักเกินไป
ไปเถอะ
จากนั้นฉินเฟิงก็บอกลา แล้วพยุงเฉินจื่อซวนออกไปพร้อมกับเสี่ยวเสี่ยว
เจ้าบาดแผลต้าตาวยืนมองพวกเขาอยู่ข้างหลัง ในดวงตามีแสงวาบเข้ามา เจ้าหนู เงินของเจ้าบาดแผลต้าตาวจะได้มาง่ายๆ อย่างนั้นเหรอ? ผมอยากจะดูว่า ครั้งนี้คุณจะตายยังไง
เฉินจื่อซวนได้รับบาดเจ็บ เดินได้ช้า ทุกย่างก้าวสั่นสะเทือนไปถึงบาดแผล กว่าจะเดินมาถึงบาร์เหล้าของเฉินจื่อซวนมันไม่ง่าย เขาพบว่าไม่มีใครอยู่ที่นั่น
แถมยังระเกะระกะ
เศษกระจกกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ราวกับถูกทุบ
เกิดอะไรขึ้น?
เมื่อเฉินจื่อซวนเห็นภาพนี้ ความดันก็ขึ้นสูงทันที แม้ว่าที่นี่จะเปิดมาจากการปลุกปั่นของเยว่ แต่เขาก็ทุ่มเทสติปัญญาและกำลังลงไปอย่างมาก
นึกจะทุบก็ทุบ
เจ้านาย
ในเวลานี้ ฉินเฟิงได้ยินเพียงเสียงหายใจรวยรินจากมุมหนึ่ง เขาเดินเข้าไปทันที และพบคนคนหนึ่งนอนอยู่บนพื้น เนื้อตัวเปื้อนเลือด
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
เจ้ามือยังคงแจกไพ่อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ครั้งก็แจกไพ่หมดแล้ว ส่วนชายเคราแพะครั้งนี้ไม่ได้ดูไพ่ของเขาด้วยซ้ำ แต่ผลักชิปออกไปอีกห้าแสน
ตามไหม?
จากนั้น ชายเคราแพะก็ถามฉินเฟิง
สีหน้าดูมีความมั่นใจและเล่นตามรอบก่อน แต่คราวนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก เพราะคราวนี้ไม่ได้ตัดไพ่
ไพ่ที่ได้รับการแจกจากเจ้ามือทั้งหมด
ถ้าเจ้ามือลงมือทำอะไรกับไพ่ล่ะก็ ไพ่ของเขาก็จะใหญ่มาก
นี่ก็เป็นสงครามทางจิตวิทยาด้วย
ทำให้ผู้คนเกิดความรู้สึกสงสัย ครั้งนี้ท่านจิ่วยิ่งมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เจ้ามือมาวางกลอะไรไว้หรือเปล่า ไพ่ของเขามันใหญ่มาก?
ถ้าตาม ก็ต้องแพ้แน่นอน
เมื่อเกิดความสงสัยนี้ขึ้น ถ้าอย่างนั้นฉินเฟิงก็จะอยู่ไม่ห่างจากความพ่ายแพ้แล้ว
แต่ถ้ามันไม่เกิดขึ้น แล้วฉินเฟิงควรเลือกอย่างไร
ตาม
หรือว่าไม่ตาม
ทุกคนในสถานบันเทิงเงียบลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ต่างจับจ้องไปที่คนสองคน โดยเฉพาะฉินเฟิง พวกเขาต้องการดูว่า ฉินเฟิงจะเลือกอย่างไร
ห้าแสน ตาม
ฉินเฟิงหยิบชิปจำนวนห้าแสนออกมาจากกองชิปที่อยู่ตรงหน้า แล้วผลักมันออกไป
ต้องชนะให้ได้นะ
หัวใจของเฉินจื่อซวนแทบจะพุ่งขึ้นมาจุกที่ลำคอ เขาหวังเพียงว่าการเปิดไพ่ในเกมนี้ ฉินเฟิงจะเปิดไพ่ของตนเองที่ใหญ่กว่าของท่านจิ่ว มิฉะนั้นโอกาสจะเลือนรางมากจริงๆ
ถ้าอย่างนั้น ฉินเฟิงก็จะเดินไปสู่ความตายพร้อมกับเขาจริงๆ
พี่น้องกัน ไปด้วยกัน
ยังต้องการตามอยู่ไหม?
เจ้ามือถามชายเคราแพะ ชายเคราแพะยิ้ม แล้วผลักออกไปอีกสองแสน เพื่อตามอีกสองแสน
ทุกคนตกใจ
มีความมั่นใจเหลือเกิน!
หรือว่า เจ้ามือจะวางกลอะไรไว้จริงๆ?
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ต้องอธิบายเช่นนี้
คนรอบข้างเริ่มตื่นเต้นอีกครั้ง ทั้งหมดมองไปที่ฉินเฟิงด้วยความสงสัย สงสัยว่าฉินเฟิงจะตามอีกหรือไม่ ชายเคราแพะมีความมั่นใจมาก
ถ้ายอมแพ้ในตอนนี้ สามารถหยุดการสูญเสียได้ทันเวลา
แต่เงินเสียไปห้าแสนแล้ว
จะยอมแพ้ในตอนนี้?
มันจะขาดทุนเกินไปหรือเปล่า
นี่คือความตื่นเต้นของ Show Hand ทำให้คนคลำทางไม่ถูกว่าของใครใหญ่ของใครเล็กกันแน่
ตาม
ฉินเฟิงผลักชิปออกไปอีกสองแสน
หัวใจของทุกคนบีบรัด
เจ้ามือมองมาที่ชายเคราแพะ ส่วนชายเคราแพะครั้งนี้ไม่ได้ตามแล้ว แต่เลือกจั่วไพ่ขึ้นมาวางไว้ตรงหน้าแทน
มันคือไพ่ ‘สิบ’
เป็นสิบจริงๆ ด้วย ไพ่ใบนี้คือไพ่ใบที่สองจากไพ่ใบสุดท้าย มีเพียงเก้าเท่านั้นที่เล็กกว่าเขา คราวนี้ท่านจิ่ววางแผนพลาด แพ้แล้ว แพ้แล้ว
ก็ไม่แน่
ทุกคนมองไปที่ไพ่สิบใบนั้น แล้วก็ต้องตกตะลึง เพราะในบรรดาไพ่ที่กระจัดกระจายอยู่นั้น เก้าคือใบที่เล็กที่สุด ต่อมาก็เป็นสิบ พูดได้ว่าครั้งนี้โชคไม่ดีเอามากๆ
จนกระทั่งฉินเฟิงได้จั่วไพ่ขึ้นมา
มันคือ เก้า!
พระเจ้า! พวกคุณเห็นไหม มันคือเก้า มันคือเก้า ไพ่ที่เล็กที่สุดใบนี้นั้นเล็กกว่าสิบเพียงเล็กน้อย ท่านจิ่วชนะแล้ว ท่านจิ่วชนะอีกแล้ว
โชคดีอะไรแบบนี้
มันอาจจะไม่ใช่โชคดีเสมอไป บางที…
ทุกคนพากันตกใจ พวกเขาคิดไม่ถึงว่าของฉินเฟิงจะเป็นเก้า ของท่านจิ่วเป็นสิบ โชคดีของท่านจิ่วใหญ่กว่าแค่นิดเดียว
บังเอิญจัง
หรือว่า เจ้ามือจะทำอะไรบางอย่างจริงๆ?
ทุกคนต่างคาดเดาในใจ
แพ้อีกแล้วเหรอ
เสี่ยวเสี่ยวถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าแพ้สองครั้งแล้ว ความพ่ายแพ้ที่ถูกลิขิตไว้
คุณยังดี ยังมีชิปอีกหนึ่งล้าน ยังจะเล่นไหม?
ชายเคราแพะนั่งฟุบอยู่บนกองชิปเท่าภูเขาตรงหน้าตนเอง พูดอย่างภาคภูมิใจ
เกมแรก ฉินเฟิงไม่ตาม เสียไปสามแสน
เกมที่สอง ฉินเฟิงตาม เสียไปห้าแสนครั้งหนึ่ง และสองแสนอีกครั้งหนึ่ง รวมเป็นเจ็ดแสน
ชิปจำนวนสองล้าน ตอนนี้เหลือเพียงครึ่งเดียว
เหลือเวลาอีกเพียงสิบห้านาที
ในสิบห้านาทีนี้ ฉินเฟิงจะพลิกสถานการณ์ได้ไหม อันที่จริงเขารู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นการคุ้มครอง เขาก็สามารถฆ่าฉินเฟิงได้เหมือนกัน
เกมที่สองเลยไหม?
เจ้ามือส่งสัญญาณให้ทั้งสอง หลังจากได้รับคำตอบแล้ว ก็เริ่มแจกไพ่
กล้ามาหรือไม่กล้ามา ท่านผู้ยิ่งใหญ่
ครั้งนี้ฉินเฟิงไม่ได้ดูไพ่ แต่ผลักชิปออกไปห้าแสนจากมือโดยตรง
ห้าแสน ทางนี้จะเริ่มตอบโต้กลับ
นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว รอบนี้จะเป็นรอบตัดสินผู้ชนะหรือไม่
ท่านจิ่ว ตามไป ตามไป
คนกลุ่มหนึ่งตะโกนออกไปข้างนอก
แต่ทว่า ชายเคราแพะหยิบไพ่ในมือขึ้นมา ชำเลืองมอง แล้วส่ายหัว ไม่ตาม
เหนือความคาดหมาย
ทำให้ทุกคนตกใจ
ทุกคนมองดูภาพนี้ด้วยความสับสน
เป็นเพราะไพ่ในมือของเขาเล็กเกินไป หรือเพราะครั้งนี้พยายามทำให้ฉินเฟิงสับสน
ทหารก็เป็นคนเจ้าเล่ห์
สงครามจิตวิทยาครั้งนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว แต่พวกเขารู้ว่า ถ้าพวกเขาอยู่ในตำแหน่งของฉินเฟิง คงจะต้องถูกข่มขู่จนใจฝ่อแน่ๆ
โอกาสผ่านมา โอกาสไม่ผ่านมา
ต้องการชีวิต
เกมแรกสิ้นสุดลงแล้ว เจ้ามือผมสีบลอนด์และดวงตาสีฟ้าเก็บไพ่ Poker บนโต๊ะเสร็จ ก็โยนมันลงไปในเครื่องทำลายเอกสารที่อยู่ข้างๆ ทันที
ตูม ตูม ตูม
ไม่กี่วินาที ไพ่ Poker สำรับนั้นก็หายวับไป
จากนั้น เจ้ามือก็หยิบไพ่ Poker ชุดใหม่ออกมา แกะออกต่อหน้าทุกคน ใช้เทคนิคการสับไพ่อันวิจิตรบรรจงอีกครั้ง จากนั้นจึงมองไปที่คนทั้งสองเพื่อถามว่าให้เริ่มแจกไพ่ได้หรือยัง
แจก
ทั้งสองพยักหน้าพร้อมกัน
เกมนี้ยิ่งทำให้คนคาดเดาไม่ได้ ชายเคราแพะหลักแหลมในบางครั้งคราว บางครั้งเดิมพันห้าแสน บางครั้งก็หลบหลีก เลือกที่จะไม่ตาม ซ่อนเร้นความสามารถและรอให้ถึงเวลา ทำให้คนคาดเดาไม่ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ฉินเฟิงจะเสียอีกสี่แสนในเกมที่สอง เหลือชิปเพียงหนึ่งล้านหนึ่งแสน ในขณะที่ชายเคราแพะมีชิปอยู่สองล้านเก้าแสน
สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ผลลัพธ์ก็ชัดเจนมากแล้ว
ฉินเฟิงแพ้แน่นอน
เว้นแต่เขาจะโชคดีพลิกฟ้าได้ มิฉะนั้นโอกาสในการชนะก็น้อยเกินไป
เฉินจื่อซวนซึ่งอยู่บนตัวของเสี่ยวเสี่ยวกำมือแน่น เล็บถูกหยิกลึกเข้าไปในมือ มองภาพนี้อย่างตื่นเต้น
เหลืออีกแค่สามนาที เกมสุดท้ายแล้ว
หลังจากที่เจ้ามือคนสวยพูดเช่นนี้แล้ว เธอก็รีบแจกไพ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นชายเคราแพะก็หยิบไพ่ใบสุดท้ายขึ้นมาอย่างระมัดระวัง สีหน้าของเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงความดีใจแทบบ้า
ในเวลานี้ เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแล้ว นี่เป็นเกมสุดท้าย ฉินเฟิงเคยเสียมากเกินไปก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้ไพ่ของเขาดูแย่มากในภาพรวมจนถึงขีดสุด
แม้ว่าสุดท้ายเขาจะได้ไพ่ 9 เขาก็จะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน
เจ้าหมอนี่ แพ้แน่นอน
Show Hand
ขณะที่ทุกคนกำลังดูไพ่ของทั้งสอง ไพ่สี่ใบของฉินเฟิงก็เปื่อยยุ่ยหมดแล้ว แม้ว่าจะไม่รู้ไพ่ใบสุดท้าย แต่ก็ชัดเจนมากว่าต้องแพ้อย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงได้ผลักชิปทั้งหมดเข้าไปตรงกลางในคราวเดียว กัดฟันแน่น ตั้งใจจะเอาโชคทั้งหมดที่มีออกมา ลองเสี่ยงดูสักตั้ง
ฮ่าฮ่า ดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
ชายเคราแพะยิ้มเยาะ มั่นใจว่าฉินเฟิงแพ้แน่นอน
ท่านจิ่ว เปิดไพ่ก่อน
เจ้ามือส่งสัญญาณให้ท่านจิ่ว ทำตามลำดับ ถึงเวลาที่ท่านจิ่วต้องเปิดก่อน ถ้าหากไม่เกินจากความคาดหมายของเธอ เกมการพนันครั้งนี้ก็กำลังจะจบลงแล้ว
ท่านจิ่วสุดยอดมาก ตาแรกก็ดันชิปออกไปสามแสน
ทุกคนตกใจ ชิปทั้งหมดมีเพียงสองล้าน เริ่มเล่นก็ลงสามแสนแล้ว ซึ่งเท่ากับหนึ่งในแปดส่วนของชิปทั้งหมดที่เขามี แม้ว่าจะดูไม่มากนัก แต่ถ้าหากว่าสะสมรวมกันล่ะก็
บางทีเขาอาจจะโยนชิปทั้งหมดออกไปในตานี้
จากนี้จะเห็นได้ว่าชายเคราแพะมีความมั่นใจหรือเทคนิคมาก แค่ตาแรกก็กล้าลงมากขนาดนี้ มันน่ากลัวมาก
คนธรรมดาทั่วไป จะลนลานในตาแรก
คุณคิดดูดีๆ ว่าจะตามผมหรือไม่?
ชายเคราแพะหรี่ตามองฉินเฟิง
อันที่จริงเขาไม่ได้ดูไพ่เลย ทักษะเมื่อครู่เป็นเพียงแค่การทำท่าทำทางเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าไพ่ตายของเขาคืออะไร แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ จะเป็นประเภทที่คว่ำฉินเฟิงได้หรือเปล่า
เขาเพียงแค่ข่มขู่ฉินเฟิงเท่านั้น
Show Hand ส่วนใหญ่มันเป็นสงครามทางจิตวิทยา
ยอมแพ้
ฉินเฟิงไม่ได้ตามไป
ผมรู้ว่าเขาจะไม่ตาม ตาแรกก็ใจเสาะแล้ว ต่อไปคาดว่าจะจบเห่ แต่จะว่าไปแล้ว ไพ่ของท่านจิ่วคืออะไรกันแน่ แค่ตาแรกก็ลงไปสามแสน
มันต้องใหญ่มากแน่ๆ ไม่งั้นจะไม่ทำแบบนี้
ข้อมูลนี้ ต้องแพ้แน่นอน แค่ตาแรกก็แพ้แล้ว ไม่ต้องคิดถึงต่อไปเลย ฮ่าฮ่า
คนกลุ่มใหญ่กำลังคาดเดา
ไม่ว่าไพ่ของท่านจิ่วในตาแรกจะเป็นเช่นไร ฉินเฟิงก็ยอมแพ้ทันที ใจฝ่อเสียแล้ว แต่ถ้าเป็นพวกเขา ก็คงจะกลัวเหมือนกัน เพราะเริ่มต้นก็ดันชิปออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว
มันทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างชัดเจนว่า ของท่านจิ่วเป็นไพ่ใหญ่
เมื่อพวกเขาตาม อาจจะเสียเป็นจำนวนมาก แต่ถ้าพวกเขาไม่ตาม การสูญเสียก็จะน้อยลง
น่าตื่นเต้น
บรรดาคนรอบข้างเริ่มรู้สึกตื่นเต้น
ตัวเลือกที่ชาญฉลาด
ชายเคราแพะพยักหน้า ท่าทางเป็นคนเก่ง ทำให้คนหลายคนในที่นี้เชื่อว่าไพ่เมื่อครู่ของเจ้าหมอนี่เป็นไพ่ใหญ่แน่นอน แต่ก็มีบางคนที่ไม่เชื่อเช่นกัน
พวกเขารู้สึกว่าชายเคราแพะกำลังเสแสร้งทำท่าทำทางเท่านั้น
สายตากลุ่มหนึ่งจับจ้องมาที่พวกเขาด้วยความอยากรู้
กรุณาเปิดไพ่
เจ้ามือแสดงเจตนาให้ทราบ
ตามกติกา เมื่อจบเกมที่สอง เขาต้องเปิดไพ่ แม้ว่าชนะแล้ว แต่ก็ยังต้องให้คนอื่นรู้ว่าไพ่ใบนั้นของเขาคืออะไร
ตกลง
ชายเคราแพะยื่นมือออกมาเปิดไพ่ใบนั้น มันคือเก้า เก้าที่เล็กที่สุดที่ไม่มีโอกาสชนะ
เป็นเก้าจริงด้วย ไพ่ใบเล็กๆ แบบนี้ ฮ่าฮ่า แต่เด็กนั่นยังแพ้ ผมนึกไม่ถึงจริงๆ ว่า ท่านจิ่วก็เสแสร้งทำท่าทางเป็นเหมือนกัน
เสแสร้งทำท่าทางอะไรกัน นี่เรียกว่าเทคนิค เทคนิค สงครามทางจิตวิทยา
เห็นไหม ต่อให้เป็นไพ่ใบที่เล็กที่สุด ท่านจิ่วก็เอาชนะไม่ได้ นี่คือลูกศิษย์ของราชาพนัน แค่ข่มขู่คุณ ก็สามารถเอาชนะคุณได้แล้ว
คนรอบข้างมองเห็นเก้าใบนั้นก็ตกใจ พากันวิพากษ์วิจารณ์
เพราะในไพ่ที่กระจัดกระจาย เก้าเป็นใบที่เล็กที่สุด แต่จริงๆ แล้วท่านจิ่วใช้ไพ่ใบที่เล็กที่สุดเพื่อข่มขู่ให้ฉินเฟิงตกใจ และแพ้ในตาแรก
ไม่น่าเชื่อ
นี่คือเทคนิค
ในความเป็นจริง แม้แต่ชายเคราแพะก็ไม่รู้ว่าไพ่ของตนคืออะไร เขาเพียงได้สัมผัสมันเล็กน้อย แสร้งทำท่าทางให้คนอื่นคิดว่าเขาเห็นไพ่แล้ว
ในความเป็นจริง ที่เขากำลังต่อสู้อยู่คือสงครามทางจิตวิทยา
เจ้าบาดแผลถอนหายใจโล่งอก ถ้าฉินเฟิงเลือกที่จะตาม เขาจะต้องมีโอกาสชนะอย่างแน่นอน แต่ฉินเฟิงนั้นไม่ได้ตาม ถูกท่านจิ่วขู่ขวัญให้หวาดกลัว ดังนั้นฉินเฟิงจึงมีโอกาสน้อยที่จะชนะในตาต่อๆ ไป
สมกับที่ผมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อเชิญมาที่นี่
เจ้าบาดแผลหยิบบุหรี่ขึ้นมามวนหนึ่ง สูบมัน พลางดูการแข่งขันในที่นี้ต่อไป
การแข่งขันเพิ่งเริ่มต้นขึ้น สงครามทางจิตวิทยา สงครามโชคลาภ และสงครามทักษะการพนันจะผลัดกันเข้าสู่สนาม Show Hand เป็นเกมจิตวิทยา เป็นการแข่งขันที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นมากที่สุด
เฟิง ไม่ต้องตื่นเต้น การหัวเราะก่อน ไม่ได้หมายความว่าจะหัวเราะไปได้จนจบ นี่เพิ่งตาแรกเท่านั้น
ทันใดนั้น เสียงดังกล่าวก็ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
ผู้คนต่างหันหน้ามองออกไป เขาคือเฉินจื่อซวนที่อยู่บนร่างกายของเสี่ยวเสี่ยว สีหน้ายังคงอ่อนแอ ร่างกายโชกเลือด สภาพเหมือนป่วยหนักใกล้ตาย
คุณกำลังพูดจาเหลวไหลอะไร!
เสี่ยวเสี่ยวเป็นกังวล
นี่เป็นอาณาเขตของพี่บาดแผล คุณยังกล้าพูดจาเช่นนี้ คุณไม่กลัวว่าเดี๋ยวจะออกไปไม่ได้เหรอ
ถ้าเขารู้ว่านี่เป็นธุรกิจเอาชีวิตคนจะไม่รับตั้งแต่แรก
ในเวลานั้น ภายใต้สายตาของผู้คนมากมาย เสี่ยวเสี่ยวอยากจะโยนเฉินจื่อซวนออกไปเหลือเกิน แต่พอมองดูเขา เธอก็ทนไม่ได้ สุดท้ายก็ถอนหายใจออกมา
ให้ตายสิ ฉันไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าวแล้ว ตอนนี้ยังต้องมาดูแลพวกคุณที่นี่ ธุรกิจขาดทุน ช่างมันเถอะ วันนี้ฉันโชคไม่ดี
เสี่ยวเสี่ยวก็ยังไม่โยนเฉินจื่อซวนทิ้งไป
ในใจทนไม่ไหวแล้ว
เธอไม่ได้อยู่ในเส้นทางนักเลง แต่เป็นผู้หญิงที่ขาดเงิน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาที่สถานบันเทิงแห่งนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถมีจิตใจที่โหดเหี้ยมได้
เดี๋ยวผมจะให้ทิปคุณ 10% ผมชนะมาเท่าไหร่ ผมจะให้คุณ 30%
ในเวลานี้ คำพูดของฉินเฟิงก็ดังออกมาเช่นกัน
เสี่ยวเสี่ยวกลอกตาใส่แล้วบ่นพึมพำว่า ฉันไม่ต้องการเงินกระดาษ
สำหรับสิ่งที่ฉินเฟิงพูด เธอได้ยินหูซ้ายทะลุหูขวา เล่นไปสองตา ฉินเฟิงก็กำลังจะแพ้แล้ว พอถึงตอนนั้นจะให้เธออย่างไร และจะให้อะไรเธอ?
เข้าฝัน ส่งเงินกระดาษเหรอ?
คิดๆ แล้วก็น่ากลัว
เสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้า เงินประเภทนี้ ต่อให้เธอถูกตีจนตายก็ไม่ต้องการ
ตาต่อไปเลยไหม?
เจ้ามือถามทั้งสอง
ครับ
ทั้งสองพยักหน้า แต่คราวนี้ฉินเฟิงโบกมือ ต่อเลย แต่คราวนี้ไม่ต้องตัดไพ่ แจกไพ่ได้เลย
คำพูดประโยคนี้ของฉินเฟิง ทำให้ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ตกตะลึง รวมทั้งเจ้ามือด้วย
เย่อหยิ่ง?
หรือว่าจะเทหมดหน้าตัก ไม่มีสติปัญญาแล้วเหรอ?
หรือว่าจะเตรียมตัวแพ้ หมดอาลัยตายอยาก?
นี่เป็นความคิดที่เข้ามาในหัวของทุกคน เพราะการตัดไพ่ เป็นการริเริ่มของคนสองคนที่จะตัดไพ่ เหมือนป้องกันไม่ให้เจ้ามือเข้ามาวางกล ถึงอย่างไรเจ้ามือก็ไม่สะอาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ามือคนนี้ ยังเป็นคนของเจ้าบาดแผล
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงไม่ต้องการตัดไพ่แล้ว มอบอำนาจฝ่ายรุกให้แก่เจ้ามือคนนั้น ซึ่งหมายความว่าให้เจ้าบาดแผล ถ้าไม่มั่นใจในเทคนิคของตน ก็ยอมแพ้เสีย
และมีอีกอย่างหนึ่งคือ หัวใจหมีและความกล้าหาญแบบเสือดาว
เจ้าหมอนี่ต้องการจะทำอะไรกันแน่ ฉันมองยังไงก็ไม่เข้าใจ
คงโกรธเพราะความอับอาย เลยมาข่มขู่ท่านจิ่ว ถึงอย่างไรเกมก่อนหน้านี้เขาก็กลัวท่านจิ่ว เสียหน้าจนยับเยิน
น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ใน Show Hand ยิ่งมีอารมณ์แปรปรวนมากเท่าใด ก็จะแพ้ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ในสถานบันเทิง มีเพียงไม่กี่คนที่เชียร์ฉินเฟิง การแสดงออกในเวลานี้ได้ทำให้พวกเขาไม่เชียร์ฉินเฟิงแล้ว รู้สึกว่าฉินเฟิงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เถ้าแก่?
เจ้ามือทอดสายตาไปยังเจ้าบาดแผลเป็นเชิงสอบถาม เจ้าบาดแผลแสยะยิ้มและพยักหน้า จากนั้นมือน้อยๆ อันบอบบางทั้งคู่ของเธอก็เริ่มแจกไพ่อีกครั้ง
ทันทีที่คำพูดของลูกสมุนเงียบลง ทุกคนก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง ทั้งสโมสรตกอยู่ในความเงียบสงัด ลูกสมุนของเจ้าบาดแผลไม่มีทางพูดโกหกในสถานที่เช่นนี้
นั่นหมายความว่าจางจิ่วเคอแพ้แล้ว
ลูกศิษย์ของราชาพนัน แพ้แล้ว
ไม่น่าเชื่อเลย
เป็นไปไม่ได้!
ชายเคราแพะดูไม่เชื่อสายตา เขาก้าวไปข้างหน้าและมองดูลูกเต๋าของตัวเองอย่างรอบคอบ ในที่สุดก็พบว่ายังเป็นหกแต้ม 1, 2, 3 เขาเกาหัวทันที ไม่น่าจะเป็นไปได้ ของผมจะเป็น 1, 2, 3 ได้ยังไง ของผมมันเป็น 17 แต้มชัดๆ
จากนั้นเขาก็หันไปมองถ้วยลูกเต๋าของฉินเฟิงอีกครั้ง ของคุณ ไม่ได้เขย่ามันเสียหน่อย มันจะกลายเป็น 1, 2, 4 ไปได้ยังไง ของคุณมันควรจะเป็น 1, 1, 2 มันจะผิดพลาดได้ยังไง
ชายเคราแพะตกตะลึง
เขาแพ้แล้ว
ท่านจิ่ว ดูท่าทาง คุณจะได้พบกับคู่ต่อสู้แล้ว
เจ้าบาดแผลที่ยืนอยู่ข้างหลังพ่นควันบุหรี่ออกมา พูดตามตรง เขาคิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะชนะจางจิ่วเคอ หลายปีที่ผ่านมา จางจิ่วเคอไม่เคยพ่ายแพ้ให้ใคร
ชายเคราแพะสูดหายใจเข้าสองครั้ง แล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่ฉินเฟิง ดูท่าทางเขี้ยวลากดินพอดู ผมยอมรับว่าผมประเมินคุณต่ำไป เปลี่ยนรูปแบบเถอะ เล่น Show Hand กัน นี่ต่างหากที่ผมถนัดที่สุด
ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องหน้าตาศักดิ์ศรีอีกแล้ว
เมื่อครู่นี้ ฉินเฟิงต้องโกงแน่ๆ แต่การที่โกงแล้วไม่ถูกจับได้แสดงว่ามีฝีมือ นี่เป็นกฎของวงการนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังไม่ทันสังเกตว่า ฉินเฟิงโกงอย่างไร
รอสักครู่?
ฉินเฟิงยกมือขึ้น
ทำไมล่ะ? คุณกลัวเหรอ?
ชายเคราแพะเลิกคิ้ว มองไปที่ฉินเฟิง
ก็ไม่ถึงกับกลัว เพียงแต่ว่า ตาละหนึ่งล้านมันน้อยไปหน่อย ผมติดหนี้คุณตั้งสามล้าน
คุณอยากให้มากแค่ไหนล่ะ?
ตาละสิบล้านแล้วกัน
ฉินเฟิงเอามือไพล่หลัง พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
แต่คำพูดประโยคนี้ของเขา ทำให้คนที่อยู่ด้านล่างอ้าปากค้าง ตาละสิบล้าน พระเจ้า เล่นใหญ่โตมาก สิบล้านมันไม่น้อยเลย
การแข่งขันในวันนี้เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงจริงๆ มีคนปราบท่านจิ่วได้
อันนั้นท่านจิ่วแค่เล่นๆ เท่านั้น พวกคุณรู้ไหม ลูกเต๋าไม่ใช่สิ่งที่ท่านจิ่วถนัดที่สุดมาแต่ไหนแต่ไร เขาถนัด Show Hand มากที่สุด ซึ่งเป็นมรดกตกทอดที่แท้จริงของราชาพนัน
ทุกคนพากันพูดคุยเรื่องนี้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงรู้สึกว่าท่านจิ่วจะชนะ
ตาละสิบล้าน
ชายเคราแพะหรี่ตาลง
ในสถานบันเทิงเมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ กำไรประจำปีโดยประมาณจะอยู่ที่หนึ่งร้อยล้านเท่านั้น พวกเขากล้ามาขอถึงสิบล้านเหมือนสิงโตตะกละได้อย่างไร? คิดว่าจะสามารถเอาชนะพวกเขาได้แน่นอนหรือ?
ดีมาก ผมตกลง
ชายเคราแพะตอบตกลง ในใจรู้สึกโกรธเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เอาจริงเอาจังและประมาทจริงๆ ตอนนี้มาเล่น Show Hand นี่คือสิ่งที่เขาถนัดที่สุด เขาจะแพ้ไม่ได้
เจ้าบาดแผล ตอนนี้ชีวิตของผมมีค่าถึงสิบล้านแล้วสินะ
ฉินเฟิงมองไปที่เจ้าบาดแผล
มีค่า
เจ้าบาดแผลพยักหน้า จางจิ่วเคอในฐานะผู้พิทักษ์ มีความสำคัญอย่างไม่จำเป็นต้องบอก ในกรณีที่ฉินเฟิงแพ้ ก็สรุปได้ว่าพอมีฝีมือ เขาจะพยายามคิดหาวิธีเพื่อรีดผลประโยชน์จากตัวฉินเฟิงให้ได้มากกว่าสิบล้าน
และถ้าชนะ ฉินเฟิงก็พาออกไปไม่ได้
คิดจริงๆ เหรอว่าเงินของเขาได้มาง่ายแบบนั้น?
กติกาของ Show Hand ที่นี่ค่อนข้างเรียบง่าย พวกเราสองคนมีชิปคนละสองล้าน กำหนดเวลาครึ่งชั่วโมง เมื่อเวลาสิ้นสุดลง ใครที่มีชิปในมือมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ
เจ้าบาดแผลพูดขณะที่เดินออกมา แล้วพาเจ้ามือสาวสวยหุ่นเซ็กซี่ ผมบลอนด์ตาสีฟ้าออกมา
นี่คือเจ้ามือที่ผมได้มาจากอ้าวเหมิน เธอเป็นมืออาชีพ
เจ้าบาดแผลคาบบุหรี่มวนหนึ่งในปาก จากนั้นก็เข้าไปทางด้านข้างเพื่อดูการแข่งขันรอบนี้
เจ้ามือคนนี้ ไม่ได้ใช้ไพ่บนโต๊ะ กลับโยนทิ้งลงในถังขยะด้วยซ้ำไป ก่อนจะหันไปหยิบซองไพ่ Poker พลาสติกที่มีสภาพสมบูรณ์ออกมา จากนั้นเธอก็ทำการตรวจสอบต่อหน้าทุกคน
เพื่อให้ผู้ชมทุกคนได้เห็น
เพื่อแสดงความยุติธรรม
จากนั้น หลังจากยืนยันว่าไม่มีปัญหา เธอก็ล้างไพ่อย่างชำนาญหลายรอบ จากนั้นก็ตัดไพ่ต่อหน้าทุกคน แล้วถามทั้งสองด้วยสายตาว่าจะเริ่มแจกไพ่หรือยัง
อืม
ทั้งฉินเฟิงและชายเคราแพะพยักหน้า
จากนั้น นิ้วมืออันงดงามของเจ้ามือ ก็มีชีวิตชีวาราวกับผีเสื้อที่โบยบินด้วยการสะบัดเล็กน้อย ไพ่ตกลงตรงหน้าพวกเขาทีละใบ ด้วยความเร็วที่เร็วมาก
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ
เธอแจกจ่ายไม่กี่ทีก็เรียบร้อย
กติกาของ Show Hand นั้นไม่ซับซ้อน เอาไพ่ห้าใบมาเรียงกัน ตัดสินผู้ชนะจากการรวมกลุ่ม ในตอนเริ่มเกม แขกทุกคนจะได้รับไพ่ตายหนึ่งใบ ไพ่ตายใบนี้สามารถเปิดได้เมื่อจบเกมเท่านั้น เว้นเสียแต่ว่าเจ้ามือจะรู้เอง
เมื่อมีการแจกไพ่ใบที่สอง ผู้ที่มีไพ่ที่ดีที่สุดจะวางเดิมพัน และคนอื่นๆ จะตัดสินใจว่าจะตาม จั่วเพิ่ม หรือทิ้งไพ่
นี่เป็นกติกาของ Show Hand สำหรับผู้เล่นจำนวนมาก ส่วนตอนนี้มีเพียงฉินเฟิงและชายเคราแพะสองคน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงเล่นค่อนข้างเรียบง่าย แต่น่าตื่นเต้นกว่า
จังหวะการเล่นของ Show Hand นั้นรวดเร็ว หวาดเสียว และน่าตื่นเต้น ทดสอบสภาพจิตใจของแขกโดยเฉพาะ ในระหว่างเล่น Show Hand หลายคนที่ถือไพ่ดีๆ ถูกพวกที่ถือไพ่แย่ๆ ในมือ บังคับให้ทิ้งไพ่ด้วยพลังที่ดุดัน
ในฝ่ามือของชายเคราแพะมีเหงื่อออกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ารู้สึกประหม่ามากขึ้น แต่ในดวงตาของเขากลับมีร่องรอยความตื่นเต้นซ่อนอยู่ เพราะ Show Hand เป็นสิ่งที่เขาถนัดที่สุด
ตอนนั้นอาจารย์ของเขา ราชาพนันได้ใช้ Show Hand กวาดเงินนับหมื่นล้านอย่างบ้าคลั่ง
ไพ่ตายถูกแจกจ่ายจนเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้น เจ้ามือคนสวยก็เริ่มแจกไพ่รอบที่สอง
ในรอบแรก ฉินเฟิงและชายเคราแพะไม่ได้ตรวจดูไพ่ตายของพวกเขา โดยเฉพาะชายเคราแพะ เขาไม่ก้มหน้ามองไพ่เลย ดูสงบราวกับภูเขา ท่าทางเป็นยอดฝีมือ
แค่เห็นก็ดูน่ากลัวมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อเจ้ามือคนสวยแจกไพ่เป็นครั้งที่สอง ชายเคราแพะก็เริ่มเคลื่อนไหว
ขณะที่ไพ่ใบที่สองตกลงต่อหน้าชายเคราแพะ เขายื่นมือออกมา แล้วดีดตรงขอบไพ่ Poker เบาๆ ไพ่ Poker หล่นลงมาทับไพ่ตายทันทีเหมือนใบไม้ร่วง ทั้งสองเชื่อมต่อกันได้อย่างไร้ที่ติ มองไม่เห็นช่องว่างเลย
ลำพังแค่ทักษะนี้ก็มองออกแล้วว่า ชายเคราแพะมีเทคนิคแพรวพราว ชื่อเสียงจะไม่เสียเปล่าเมื่ออยู่ในวงการนี้
ให้ตายสิ ท่านจิ่ว ทักษะนี้เยี่ยมยอดมาก แทบจะถอดวิญญาณออกมา ผมเกือบมองไม่ชัด
ทักษะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้
ผมยังคิดว่า ท่านจิ่วจะต้องชนะในรอบนี้แน่นอน ไม่จำเป็นต้องพูด มันแน่นอนอยู่แล้ว
ผู้คนในที่นี้เริ่มพูดคุยกัน
ที่แจกครั้งนี้เป็นไพ่ดังที่สามารถมองเห็นได้ ชายเคราแพะก้มหน้ามอง และพบว่าเป็นไพ่ที่สามารถใช้เป็นไพ่ที่ใหญ่ที่สุดหรือเล็กที่สุดได้ใน Show Hand
โชคดีจริงๆ
หลังจากแจกไพ่รอบที่สอง ก็ถึงเวลาวางเดิมพันแล้ว
สามแสน
ชายเคราแพะลูบหนวดของตนเอง แล้วดันออกไปสามแสน
อย่าอวดดีเกินไป
เฉินจื่อซวนเอื้อมมือออกไป พยายามจะหยุดฉินเฟิง แต่พอเขาก้าวไปข้างหน้า อาการบาดเจ็บของเขาก็ปะทุขึ้น ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก สาดกระเซ็นเต็มเสื้อผ้าของเขา
เฮ้อ กลับมา
เสี่ยวเสี่ยวที่เดิมทีคิดจะออกจากที่นี่ ในเวลานี้ก็อดดึงเขากลับมาไม่ได้ แล้ววางลงบนตัวเธอเอง พึมพำว่า ช่างมันเถอะ ขาดทุนก็คือขาดทุน
จื่อซวน วางใจเถอะ
ฉินเฟิงมอบสายตาวางใจให้กับเฉินจื่อซวน แล้วพูดกับเสี่ยวเสี่ยวว่า วันนี้ผมชนะไปเท่าไหร่แล้ว ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ในนั้นจะเป็นทิปของคุณทั้งหมด
ช่างมันเถอะ ช่างมันเถอะ
เสี่ยวเสี่ยวส่ายหน้าปฏิเสธด้วยความหวาดกลัว
เสียไปสองล้าน?
ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ก็เท่ากับสี่แสนแล้ว
เดิมทีเธอก็จนอยู่แล้ว ตอนนี้ยังต้องติดหนี้อีกสี่แสน ธุรกิจขาดทุนแบบนี้ใครจะทำ อีกอย่างถ้าเสียแบบนี้ ฉินเฟิงต้องถูกฝังแน่ พอถึงตอนนั้นจะเอาเงินกระดาษมาให้เธอเหรอ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว
เธอไม่มีทางตอบตกลงแน่
เจ้าหนู คุณใจกล้ามากนะ กล้าเอาชีวิตมาเดิมพัน แต่จงทะนุถนอมไว้เถอะ คุณเหลือเพียงตาสุดท้ายเท่านั้น จะว่าไปแล้ว เพื่อเห็นแก่คนที่กำลังจะตายอย่างคุณนะ คุณเลือกเอาเองว่าจะเล่นเกมไหน จะได้ตายอย่างไม่ติดค้างกัน Show Hand, Poker, Golden Flower หรือว่า Bull Bull…
ชายเคราแพะมีท่าทีหยิ่งผยองเช่นกัน
แต่ก็สมควรแล้วที่เขาจะหยิ่งผยอง ถึงอย่างไรเขาก็เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของสถานบันเทิงริมแม่น้ำที่มีเศรษฐกิจพัฒนาแล้วในเมืองเจียงเฉิง
อาจกล่าวได้ว่า ค่าตัวของเขามีค่านับล้าน
คุณถนัดอะไรที่สุด? ฉินเฟิงถามอย่างเฉยเมย
ผม? ทำไมเหรอ คุณต้องการเอาชนะผมในด้านที่ผมถนัดที่สุดเหรอ? ฮ่า ไร้เดียงสาจริงๆ
เมื่อเสียงหัวเราะของชายเคราแพะเงียบลง ทุกคนในที่นี้ก็พากันหัวเราะขึ้นมา ท้ายที่สุดเด็กรุ่นหลังที่ไร้ชื่อเสียงก็กล้ามาท้าทายลูกศิษย์ของราชาพนัน
ฮ่าฮ่า แต่ในเมื่อถามมาแบบนี้ ผมก็ขอบอกเลยว่า ผมถนัดเกมลูกเต๋า เล่นเป็นไหม? แค่ทายตัวเลข ดูว่าใครจะทายได้แม่นกว่ากัน
ชายเคราแพะเขย่าลูกเต๋าในมือ
ได้ งั้นก็เล่นอันนี้ คุณเป็นคนตั้งกติกาแล้วกัน
ฉินเฟิงดูเหมือนมือใหม่อย่างเห็นได้ชัด
ให้ผมตั้งกติกาเอง? คุณยังเป็นมือใหม่ในบรรดามือใหม่ ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งแบบเรียบง่ายที่สุด ผมเขย่าหนึ่งครั้ง คุณเขย่าหนึ่งครั้ง แล้วเราเอามาเปรียบเทียบใหญ่เล็กกัน ว่าไง อันนี้ง่ายที่สุดแล้วนะ?
ได้
ทั้งสองคนเห็นด้วยกับกติกานี้
จากนั้น เจ้ามือที่อยู่ข้างๆ ก็หยิบถ้วยลูกเต๋าสองใบออกมาแสดงให้ผู้ชมดู เพื่อให้เห็นว่าไม่มีใครโกง ถ้วยลูกเต๋าไม่มีปัญหาอะไร จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้ฉินเฟิงและชายเคราแพะเลือก
คุณเลือกก่อน
ชายเคราแพะเอามือประสานไว้ด้านหลัง สีหน้าสงบนิ่ง
ฉินเฟิงเลือกอันที่ใกล้ที่สุด
พวกคุณทายซิ ใครจะชนะ?
คุณกำลังพูดบ้าอะไร ก็ต้องเป็นท่านจิ่วสิอยู่แล้ว คุณไม่สังเกตเหรอว่าท่านจิ่วดูสงบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ ท่านจิ่วต้องชนะแน่ๆ
แต่ชายอีกคนก็มีสีหน้าสงบนิ่งเหมือนกัน
เขาต้องเสแสร้งแน่นอน
ผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกันว่าต่อไปใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ผู้ชนะคนสุดท้ายก็ต้องเป็นท่านจิ่วแน่นอน
คุณเขย่าก่อน หรือว่าให้ผมเขย่าก่อน?
ชายเคราแพะถามฉินเฟิง
คุณก่อนแล้วกัน
ฉินเฟิงส่งสัญญาณให้
ตกลง
ชายเคราแพะยิ้มมุมปาก ค่อยๆ ยกถ้วยลูกเต๋าในมือขึ้นมา แล้วเขย่าเบาๆ 5-6 ครั้งอย่างมีเทคนิคพิเศษ เป็นการเขย่าอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายก็มีเสียงดังกึกก้อง
เขาวางถ้วยลูกเต๋าใสมือลงบนโต๊ะ
ถึงตาคุณแล้ว
ชายเคราแพะหัวเราะในใจ เขาเขย่าได้สิ่งที่เขาต้องการแล้ว
แต่ทว่า ฉินเฟิงถือถ้วยลูกเต๋าเอาไว้ในมือ แต่ไม่ได้เขย่า เขาวางมันลงบนโต๊ะเลย เสร็จแล้ว
เสร็จแล้วเหรอ?
ชายเคราแพะชะงักงันเล็กน้อย
ใช่
ฉินเฟิงพยักหน้า
เอาจริงเหรอ?
ผู้ชายคนนี้มาที่นี่เพื่อเล่นตลกเหรอ?
นี่คือความคิดของทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รวมทั้งเฉินจื่อซวนด้วย ส่วนเสี่ยวเสี่ยวก็มีสีหน้าสิ้นหวัง เธอเคยคิดว่าจะมีปาฏิหาริย์เล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้น แต่เห็นได้ชัดเจนแล้วว่า แพ้แน่นอน
ทิปบ้าอะไรกัน
มันเป็นไปไม่ได้แล้ว
เธอคงไม่มีจินตนาการแบบนั้นอีกแล้ว
เฉินจื่อซวนยังคงเอาตัวพึ่งพิงเสี่ยวเสี่ยว มองดูภาพนี้ด้วยสีหน้าร้อนใจและวิตกกังวล ปากก็เอ่ยว่า ฉินเฟิง ทำไมนายไม่พยายามทำให้ดีที่สุด นายมาที่นี่เพื่อจะพินาศไปพร้อมกับฉันเหรอไง
เขาคิดว่าฉินเฟิงกำลังจะตายไปพร้อมกับเขา
พี่น้องกัน ไปด้วยกัน
เพียงแต่ว่า ทำไมมันดูประหลาดนัก
คุณกำลังล้อผมเล่นเหรอ?
ชายเคราแพะโกรธเล็กน้อย สีหน้าของเขาขรึมลง
ทำไมล่ะ เล่นไม่ไหวเหรอ?
ฉินเฟิงแสยะยิ้มมุมปาก
จะเล่นไม่ไหวได้ยังไง แค่รู้สึกว่าคุณอ่อนแอเกินไป ใครก็ได้ ขึ้นไกปืนให้ที หลังจากที่ผมอ่านตัวเลขแล้ว พวกคุณสามารถเปิดถ้วยและยิงได้เลย
ชายเคราแพะโบกมือ
จากคำพูดของชายเคราแพะ ก็มีลูกสมุนเดินออกมาจากทางด้านข้างพร้อมกับปืนพกในมือ ปากกระบอกปืนสีดำเล็งไปที่หัวของฉินเฟิง
ของผมคือ 5, 6, 6, 17 แต้ม เปิดแล้ว ยิงได้เลย
ชายเคราแพะตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน
หลังจากตะโกน เขาก็พูดกับเจ้าบาดแผลอย่างไม่พอใจว่า เจ้าบาดแผล
วันหลังถ้าไม่มีอะไรคุณอย่ามาเรียกผมได้ไหม ผมเป็นลูกศิษย์ของราชาพนัน ไม่ใช่ตาสีตาสาที่ไหน จะรับแต่การพนันเท่านั้น
เขายังคิดว่าเป็นคนเก่งกาจมาจากไหน
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนโง่เขลาแบบนี้ มันทำให้เขาผิดหวังอย่างยิ่ง เสียเวลาของเขาจริงๆ
สู้เอาปืนยิงหัวเขาไปเลยดีกว่า
พวกคุณทำไมยังไม่ยิงอีก?
ผ่านไปครู่หนึ่ง ชายเคราแพะก็ยังไม่ได้ยินเสียงปืน เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว ทำอะไรกัน เปิดถ้วยใช้เวลาตั้งครึ่งค่อนวัน ชักช้าร่ำไร ให้ตายสิ
แต่ทว่า เมื่อเขาหันหลังกลับมาก็พบว่าชายหนุ่มพลิกถ้วยลูกเต๋าออกแล้ว
แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
คุณทำอะไรอยู่? เปิดแล้วก็ยิงสิ มัวรออะไร
ชายเคราแพะขมวดคิ้ว รู้สึกโมโห ทำไมลูกสมุนพวกนี้ถึงมัวอืดอาดอยู่ ไม่ใช่สไตล์ของเจ้าบาดแผลเลย ถึงอย่างไรก็เป็นลูกสมุนของเจ้าบาดแผล
ใช่แล้ว คุณมัวทำอะไรอยู่ตรงนั้น? รีบยิงสิ
ชักช้าร่ำไร เปิดแล้วก็ยิงสิ ผมเกลียดพวกเด็กเสแสร้งขัดหูขัดตาแบบนี้ที่สุด ตีมันให้ตาย
ผู้หญิงหันหลังไป อย่ามอง
ผู้ชมจำนวนมากต่างอุทานออกมา การที่พวกเขามาที่สถานบันเทิงได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พวกเคร่งศาสนาอะไร ส่วนถ้วยลูกเต๋าใบนั้น อยู่ระหว่างฉินเฟิงกับลูกสมุนคนนั้นที่ขวางกั้นพวกเขาไว้พอดี
เพราะกลัวมีการโกงเกิดขึ้น พวกเขาจึงไม่สามารถเข้าใกล้จนเกินไป แต่ในสายตาของพวกเขา ฉินเฟิงจะต้องพ่ายแพ้โดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่คือการหวาดระแวงโดยไม่จำเป็น
เฮ้อ
เสี่ยวเสี่ยวถอนหายใจแล้วหลับตาลง
ส่วนเฉินจื่อซวนกัดฟันแน่น เบิกตากว้าง มองดูภาพเหตุการณ์นี้ ความจริงเขาอยากจะพุ่งออกไปเดี๋ยวนี้ ดูว่าจะเอาชีวิตแลกชีวิตได้หรือไม่
แต่ว่าร่างกายของเขาไม่สามารถสนับสนุนให้เขาพุ่งออกไปได้
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ลูกสมุนที่อยู่ตรงกลางกลืนน้ำลาย แล้วหันไปมองชายเคราแพะ แล้วพึมพำว่า ท่านจิ่ว ผมมีอะไรจะบอกคุณเรื่องหนึ่ง คุณอย่าตื่นเต้นไป
เลิกพูดเพ้อเจ้อได้แล้ว
โอเค คุณทายผิดแล้ว
ลูกสมุนคนนั้นเบี่ยงตัวออก แล้วเลื่อนถ้วยลูกเต๋าที่อยู่ตรงหน้าชายเคราแพะมาอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะพูดว่า ของคุณไม่ใช่ 17 แต้ม แต่เป็น 1, 2, 3, หกแต้ม
ส่วนของท่านนี้คือ 1, 2, 4, เจ็ดแต้ม มากกว่าคุณแต้มหนึ่งพอดี
จากนั้นลูกสมุนหลายคนก็นำทางพวกเขาเข้าไปในห้องใต้ดิน
เมื่อเข้ามาในห้องใต้ดินแล้ว มันดูมืดครึ้มและมืดมิด ในเวลานี้เฉินจื่อซวนหายใจแรง อธิบายให้เขาฟังว่า สถานบันเทิงใต้ดินแห่งนี้ มีอาบอบนวดเปิดอยู่รอบๆ หลายแห่ง ทางเข้าออกมี 7-8 ทาง แต่เถ้าแก่ก็คือเจ้าบาดแผล
ท้ายที่สุดมีเพียงคนอย่างเจ้าบาดแผลเท่านั้นที่สามารถดูแลควบคุมสถานที่ได้อยู่หมัด
ที่ประตูสถานบันเทิง ยังมีลูกสมุนร่างสูงสองคน พวกเขาเหลือบมองฉินเฟิงและเฉินจื่อซวนแล้วไม่ได้สนใจอีก เห็นได้ชัดว่าเจ้าบาดแผลได้สั่งการเอาไว้แล้ว
ยังไม่ทันได้เปิดประตูก็มีเสียงดังเอะอะมาจากข้างใน จากนั้นฉินเฟิงก็ผลักเปิดออก กวาดสายตามองดูตารางกราฟหลายผืนข้างใน มีคนเดินไปเดินมา คึกคักมีชีวิตชีวา
พี่รูปหล่อ ชอบเล่นอะไร ลูกเต๋า, Poker หรือว่า Show Hand? ผมสามารถนำคุณไปได้
ที่ประตู มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอสวมชุดกี่เพ้าแหวกสูงมาก เผยให้เห็นต้นขาสีขาวนวล รูปร่างมีส่วนโค้งเว้าเป็นลูกคลื่นใหญ่ ลิปสติกร้อนแรงมีเสน่ห์เป็นพิเศษภายใต้แสงสลัวนี้
ฉันชื่อเสี่ยวเสี่ยว เป็นคู่เล่นของพี่รูปหล่อ
เสี่ยวเสี่ยวส่งสายตาให้เขา
ข้างหลังพวกเขายังมีผู้หญิงหลายคนในชุดกี่เพ้า พวกเธอหัวเราะขึ้นมาเมื่อเห็นสีหน้าของเสี่ยวเสี่ยว
กินไม่เลือกจริงๆ ของแบบนี้ยังถูกใจ ให้ตายสิ ไม่มีวิสัยทัศน์เลยจริงๆ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่ ได้เจอแบบนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
เธอน่ะเหรอ ฮ่า ฉันคิดว่าก็หาได้แค่นี้แหละ ผู้ชายสองคนนี้ดูสีหน้าหม่นหมอง เสื้อผ้าสองคนนี้ราคารวมกันยังไม่ถึงสองร้อยเลยล่ะมั้ง หนึ่งในนั้นคือผู้ป่วย จุ๊จุ๊จุ๊ ฉันว่าสภาพนี้นะ ส่วนใหญ่จะมาจ่ายหนี้
คนแบบนี้ เสี่ยวเสี่ยวยังเข้าไปเสนอตัวเอง ฉันกล้าพนันได้เลย เจ้าสองคนนั้นแม้แต่ทิปก็ไม่มี
หลายคนพากันเย้ยหยันเสี่ยวเสี่ยว เธอเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วัน เพราะรูปร่างที่ดีทำให้ผู้หญิงคนอื่นเสียเปรียบ ดังนั้นจึงพากันผลักไสเธอ
เธอมาทำงานสามวันแล้ว แต่ไม่มีแขกเลย
ดังนั้นเธอจึงเป็นคนแรกที่ออกมาเกาะติดฉินเฟิง
แต่นี่คือฉินเฟิงที่ดูเหมือนไม่รวยเท่าไหร่ คนอื่นๆ มองข้ามพวกเขา ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางยอมให้เสี่ยวเสี่ยวได้เข้าใกล้พวกเขาหรอก
ฉินเฟิงเอียงศีรษะมอง รูปร่างไม่เลวจริงๆ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับอิ่นซินก็ห่างไกลกันมาก นอกจากนี้อุปนิสัยประจำตัวของทั้งสองคนก็แตกต่างกัน อุปนิสัยของอิ่นซินค่อนข้างสูงส่งเย็นชา ส่วนเสี่ยวเสี่ยวนั้นเป็นผู้หญิงโสเภณีอย่างสมบูรณ์ แต่หญิงโสเภณีก็มีเสรีภาพของหญิงโสเภณีเช่นกัน ดังนั้นฉินเฟิงจึงไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว
เจ้าบาดแผลอยู่ที่ไหน?
ฉินเฟิงถามคำถามนี้กับเสี่ยวเสี่ยว
พี่บาดแผล?
เสี่ยวเสี่ยวถึงกับตกตะลึง เหตุใดฉินเฟิงพอมาถึงก็ถามถึงพี่ใหญ่ของสถานบันเทิงของพวกเขา แต่ด้วยจรรยาบรรณของวิชาชีพ เธอจึงชี้บอกฉินเฟิง อยู่ตรงนั้น โต๊ะกลมใหญ่ตรงนั้น
ถ้าอย่างนั้นคุณช่วยประคองพี่น้องของผมด้วย
ฉินเฟิงวางเฉินจื่อซวนที่อยู่ในมือข้างหนึ่งให้กับเสี่ยวเสี่ยว
เฮ้ย…นี่คุณ…
เดี๋ยวจะให้ทิปคุณ
คำพูดของฉินเฟิงหยุดยั้งเสี่ยวเสี่ยวจากการปฏิเสธ ในที่สุดเสี่ยวเสี่ยวก็ฝืนประคองเขาเพราะเห็นแก่เงิน แม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าจะมีทิปให้จริงๆ หรือเปล่า แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีแขกเลย
พยายามให้ตายก็ไร้ประโยชน์
ฉินเฟิงเดินไปยังกลางห้องก็พบว่าโต๊ะกลมตัวนั้นว่างอยู่ แขกทุกคนที่เคยเล่นอยู่ตรงนั้นถูกไล่ไปข้างๆ และตอนนี้ก็มองดูเหตุการณ์นี้ด้วยความสงสัย
เจ้าบาดแผลยืนอยู่ข้างโต๊ะกลม สูบบุหรี่อยู่ รอยแผลเป็นบนใบหน้าดูน่ากลัวมากเหมือนเดิม ข้างๆ เขามีชายชราเคราแพะสวมเสื้อคลุมยาวยืนอยู่
เขามีอายุประมาณหกสิบกว่า ค่อนข้างชรา
เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะไม่ใช่ธรรมดา
มันไม่ใช่แค่ไม่ธรรมดา คุณดูสีหน้าของพี่บาดแผลสิ ยังมีชายเคราแพะนั่นอีก คุณน่าจะรู้ว่าเขาเป็นใครใช่ไหม เขาคือ จางจิ่วเคอ ท่านจิ่วผู้โด่งดังในสถานบันเทิงแห่งนี้
จางจิ่วเคอ? ลูกศิษย์ของราชาพนันคนนั้น?
ทุกคนพากันตกใจ คิดไม่ถึงว่าจางจิ่วเคอจะปรากฏตัวออกมาด้วย เขาเป็นคนในระดับแนวหน้าของสถานบันเทิง เป็นนักพนันที่มีฝีมือดีและเป็นลูกศิษย์ของราชาพนันด้วย
ในตอนนั้นเหอจุนซึ่งเป็นอาจารย์ของจางจิ่วเคอ กอบโกยได้นับหมื่นล้านที่อ้าวเหมิน
ในฐานะลูกศิษย์ของเขา อย่าว่าแต่สถานที่ใหญ่ๆ เหล่านั้นเลย แค่ในเมืองเจียงเฉิงเมืองเดียวก็แทบไม่มีคู่ต่อสู้แล้ว พวกเขาสามารถมั่นใจได้ เพราะในช่วงสิบปีที่ผ่านมา จางจิ่วเคอไม่เคยแพ้ใคร
ส่วนมากก็เป็นคนที่เก่งกาจ
คนรอบข้างมองดูสถานการณ์และเกิดการคาดเดาในใจ ในที่สุดพวกเขาก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าไม่มีอะไรที่เหนือความคาดหมายเกิดขึ้น คนที่มาต้องเป็นคนสำคัญแน่
พวกคุณมาที่นี่เพื่อดูการแข่งขันพนันสินะ?
เสี่ยวเสี่ยวประคองเฉินจื่อซวนไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ตามมาทันฉินเฟิงแล้วถามด้วยความสงสัย คุณรู้อยู่แล้วเหรอว่าวันนี้จะมีการแข่งขัน พวกเราเพิ่งจะรู้เมื่อกี้
แน่นอน ผมรู้เร็วกว่าพวกคุณ เพราะผมเป็นผู้เข้าแข่งขัน ฉินเฟิงกล่าว
ผู้เข้าแข่งขัน?
เสี่ยวเสี่ยวมองฉินเฟิงด้วยความสงสัย จากนั้นก็เห็นฉินเฟิงเดินออกไป ตรงไปถึงด้านหน้าโต๊ะกลม เผชิญหน้ากับท่านจิ่ว
พระเจ้า! ที่แท้ก็มาก่อความวุ่นวายที่นี่!
หนังศีรษะของเสี่ยวเสี่ยวชาขึ้นมาทันที มาเพื่อหาเรื่องพี่บาดแผล เธอคิดจะโยนเฉินจื่อซวนออกไป แต่เมื่อเห็นท่าทางป่วยไร้เรี่ยวแรง ร่างกายโชกเลือดของเฉินจื่อซวน
สุดท้ายหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ทิ้งไม่ลง
ผมยังนึกว่าคุณจะหนีไปกลางทางเสียอีก
เจ้าบาดแผลดูดบุหรี่ในมือแล้วพ่นควันออกมา เขาโยนก้นบุหรี่ลงบนพื้น แล้วส่งสัญญาณให้ชายเคราแพะที่อยู่ข้างๆ เริ่มยอมรับแล้ว
ท่านจิ่ว เขาเป็นผู้ดูแลของพวกเราที่นี่ อ้อ ขอเตือนสักหน่อย เขาเป็นลูกศิษย์ของราชาพนัน หลายปีมานี้ไม่เคยแพ้เลย คุณต้องระวังให้ดี
เจ้าบาดแผลบุ้ยปากด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จางจิ่วเคอเล่นชนะได้เงินมาให้เขาไม่น้อย
ว่าแต่ว่า คุณมีเงินเท่าไหร่เพื่อเอามาแลกชิป
เจ้าบาดแผลถามฉินเฟิง
ในเวลานั้นฉินเฟิงกล่าวด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย เขาช่วยเฉินจื่อซวนจ่ายเงินคืน แค่มองก็รู้ว่ามาจากครอบครัวที่มีเงิน บางทีเขาอาจมีฐานะทางสังคมนับร้อยล้าน ถ้าไม่โกงคนแบบนี้ แล้วจะโกงใคร
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงนั้นส่ายหัว ผมไม่มีเงิน
คุณกำลังล้อเล่นกับผมเหรอ?
สีหน้าของเจ้าบาดแผลเปลี่ยนไปทันที เขาโกงคนอื่นมาตลอด วันนี้ถูกคนอื่นโกงเข้าแล้ว?
เด็กจนๆ คนหนึ่ง กล้ามาสวมรอยเป็นลูกเศรษฐี!
สมควรตาย
ไม่มีเงินก็จริง แต่ผมยังมีชีวิต ชีวิตนี้อย่างไรก็มีค่าถึงหนึ่งล้าน ว่าไง? ความจริงนี่ถือว่าพวกคุณได้กำไรแล้ว เพราะถึงอย่างไรชีวิตของผม ก็มีค่ามากทีเดียว
สิ่งที่ฉินเฟิงพูดเป็นความจริง
ในเว็บไซต์ใต้ดินข้างนอก เงินค่าหัวของฉินเฟิงมีจำนวนนับหมื่นล้าน
น่าสนใจ
เจ้าบาดแผลแสยะยิ้มดูค่อนข้างน่ากลัว จากนั้นก็สั่งการลูกน้อง ไปแลกชิปมาให้เขาหนึ่งล้าน ผมจะอยู่ที่นี่ คอยดูให้เห็นกับตาตัวเองว่าเขาจะแพ้ยังไง
มีลูกน้องเดินไปแลกทันที
เสร็จแน่
เสี่ยวเสี่ยวเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึง นี่มันคือการพนันด้วยชีวิต อย่างนั้นเงินทิปของเธอครั้งนี้คงไม่ได้แน่ คราวนี้เธอเหนื่อยเปล่าอีกแล้ว
เป็นเพราะหญิงสารเลวคนเดียว ซูเยว่ เพื่อนนักเรียนมหาวิทยาลัยของเถ้าแก่ และเป็นแฟนสาวคนแรกด้วย หนี้สามล้านนี่ไม่ใช่ของเถ้าแก่ แต่เป็นของผู้หญิงคนนั้น เธอชอบเล่นการพนัน ปกติก็แค่การพนันเล็กๆ น้อยๆ แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอแพ้พนันครั้งใหญ่ เสียไปสามล้าน
บาร์เหล้าแห่งนี้เธอเป็นคนยุให้เถ้าแก่เปิด ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่จึงใช้ทรัพย์สินทั้งหมดของครอบครัวจนหมด แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงฮุบทรัพย์สินทั้งหมดรวมถึงบัตรธนาคารต่างๆ ไป แล้วยังขายบาร์เหล้าแห่งนี้ ก่อนจะหนีไป
หนี้จำนวนสามล้านนี้ เถ้าแก่ต้องแบกรับไว้ มิฉะนั้นคนเหล่านั้นจะสร้างปัญหาให้กับซูเยว่ ถ้าคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเถ้าแก่จริงๆ รบกวนคุณช่วยเกลี้ยกล่อมเขาหน่อย เถ้าแก่คนนี้ดีกับพวกเรามากจริงๆ
บาร์เทนเดอร์หญิงที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยสีหน้าจริงใจ
เพราะเถ้าแก่ดีกับพวกเขามาก มักจะให้โบนัสและเลี้ยงข้าวพวกเขาอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้เขาจะแต่งตัวเหมือนพวกนักเลง แต่ก็ยังมีนิสัยอ่อนโยนมาก
พวกเขาในฐานะพนักงานของบาร์เหล้าแห่งนี้ ไม่อยากให้มีอะไรเกิดขึ้นกับเฉินจื่อซวน
ซูเยว่
ฉินเฟิงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขารู้อย่างหนึ่งว่า พี่น้องของตนคนนี้ ต้องรักผู้หญิงคนนั้นอย่างสุดซึ้ง จนถึงขนาดย่อมแบกรับภาระหนี้ให้เธอถึงสามล้านอย่างไม่เสียดาย
ว่าแต่ว่า เถ้าแก่ของพวกคุณอยู่ที่ไหน?
ฉินเฟิงเอ่ยปากถาม
เฉินจื่อซวนออกไปนานแล้ว แต่ยังไม่เห็นกลับมา
เหมือนจะออกไปทำธุระ แต่ทำไมยังไม่กลับมาอีกล่ะ
เสี่ยวเว่ยก็ยังงุนงงเช่นกัน เขาถามพนักงานเสิร์ฟว่า เฮ้ เสี่ยวหลิง เมื่อกี้คุณพูดอะไรกับเถ้าแก่?
มีคนชื่อเจ้าบาดแผลมาหาเถ้าแก่ เสี่ยวหลิงตอบ
อะไรนะ!
ขวดเหล้าในมือของเสี่ยวเว่ยถือไม่อยู่ กระแทกลงกับโต๊ะ เขาจ้องไปที่เสี่ยวหลิงด้วยความโมโหทันที เรื่องแบบนี้ ทำไมคุณไม่รีบบอก
ถ้าฉันบอกคุณแล้วจะมีประโยชน์อะไร? คุณจะใช้หนี้สามล้านแทนเถ้าแก่เหรอ?
เสี่ยวหลิงกลอกตาใส่ ถ้าคุณมีฝีมือ ควรรีบหางานใหม่ดีกว่า ให้ตายสิ
เกิดอะไรขึ้น? ฉินเฟิงรีบถาม
เจ้าบาดแผลคนนั้น เป็นพี่ใหญ่ของที่นี่ คนที่เถ้าแก่ติดหนี้สามล้าน
เสี่ยวเว่ยพูดจบก็ทรุดตัวลงกับพื้น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เสี่ยวหลิงพูดถูก ต่อให้เขารู้ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากบ่น
อยู่ที่ไหน?
ออกไปแล้วเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปประมาณหนึ่งร้อยก้าว จะมีอาบอบนวดแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือพื้นที่ของเจ้าบาดแผล
ฉินเฟิงได้ยินดังนั้น ก็เดินออกจากประตูทันที เลี้ยวซ้าย จากนั้นเดินตรงไปหนึ่งร้อยเมตร แล้วเขาก็เห็นอาบอบนวดแห่งหนึ่ง
อาบอบนวดต้ากวง
วันนี้อาบอบนวดดูเหมือนจะไม่เปิดบริการ ประตูใหญ่ปิดสนิท แต่มีชายชุดดำร่างสูงใหญ่สองคนกำลังยืนรักษาการณ์อยู่ที่ประตู
คุณครับ วันนี้ไม่เปิดให้บริการครับ
พอเห็นฉินเฟิงมา หนึ่งในนั้นก็ขวางฉินเฟิงไว้
ผมมาหาคน
หาใครครับ?
เฉินจื่อซวน
เมื่อทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจทันที หนึ่งในนั้นพูดด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง ไม่ต้องหาแล้ว ตามกฎในวงการ ขาข้างหนึ่งสามล้านสามแสน ต่อให้คุณเจอเขา เขาก็อาจจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว มารีบเก็บศพเถอะ
หลีกไป
แววตาของฉินเฟิงหรี่ลง
หลีกไป หลีกทางให้พวกเรา คุณก็รู้ว่าพวกเราคือ…
ชายผิวดำหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง แต่เสียงยังไม่ทันเงียบลง ลำคอของเขาก็ถูกฉินเฟิงคว้าไว้ ก่อนจะสะบัดมือโยนออกไปไกลกว่าสิบเมตร กระแทกลงบนรถ
ผมบอกแล้วว่าให้หลีกไป
ฉินเฟิงกวาดสายตามองชายที่เหลืออยู่หนึ่งคน
รุนแรงขนาดนี้เลย?
ชายที่เหลืออยู่ตกใจทันที พอเห็นฉินเฟิงเดินเข้ามาก็ไม่กล้าขวางไว้ เขาถอยหลังออกไปสองก้าว หลีกทางให้ฉินเฟิง
จื่อซวน รอผมด้วย!
เจตนาฆ่าปรากฏขึ้นในดวงตาของฉินเฟิง เขาเดินขึ้นไปตามถนนเส้นนี้ ยิ่งเดินขึ้นไปสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้ยินเสียงร้องโหยหวนมากขึ้นเท่านั้น และเสียงร้องนี้มาจากเฉินจื่อซวน
เขาฟังไม่ผิดแน่
หลังจากที่เดินขึ้นมาบนชั้นสาม ก็พบว่าประตูปิดสนิท จึงเตะเปิดออกทันที
ปัง
ประตูใหญ่กระเด็นออกไป
ฉินเฟิงเดินเข้าไปจึงเห็นสถานที่เกิดเหตุ มันเป็นแผนผังของร้านสปาเท้า แต่มีชายคนหนึ่งที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า กำลังพิงกำแพงสูบบุหรี่อยู่
ส่วนบนพื้น คือเฉินจื่อซวนที่ร่างกายโชกเลือด กำลังถูกผู้ชายสองสามคนทุบตี
ฉินเฟิง
เฉินจื่อซวนลืมตาที่โชกเลือดขึ้น และเห็นฉินเฟิงทันที เขาตกใจและคลานไปอยู่ตรงหน้าของเจ้าบาดแผลทันที ก่อนจะเอ่ยขอร้อง พี่บาดแผล ผมติดหนี้คุณ มันเป็นความผิดของผม นี่คือพี่น้องของผม คุณปล่อยเขาไปเถอะ
ปล่อยเขาไป? ฮ่า
เจ้าบาดแผลเตะเฉินจื่อซวนกระเด็นออกไป เฉินจื่อซวน เดิมทีผมชื่นชมคุณมากนะ คุณเป็นผู้รอบรู้ ฉลาด จัดการบาร์เหล้าได้ดี แต่คุณใจอ่อนเกินไป นั่งกะหรี่ซูเยว่นั่นมาหาผมหลายต่อหลายครั้ง ทุกครั้งก็เล่นเสีย ทุกครั้งคุณก็มาจ่ายคืนให้เธอ
ทำถึงขนาดนี้ คุณก็ยังชอบนังกะหรี่นั่นอยู่ ฮ่าฮ่า ตลกจริงๆ เดิมทีผมชื่นชมคุณมาก ผมบอกแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายสามล้านคืน มันเป็นหนี้ของซูเยว่ พวกเราก็ต้องไปเอาเรื่องผู้หญิงคนนั้นอยู่แล้ว แต่คุณยืนกรานจะคืนให้ได้ แต่คุณก็คืนไม่หมด
ผมก็ไม่มีทางเลือก มันมีกฎเกณฑ์อยู่ ขาข้างละสามแสน ถ้าคุณจ่ายเงินคืน คุณก็ต้องตาย แต่ตอนนี้คุณก็ยังคิดถึงเจ้าหมอนี่ โง่เขลาจริงๆ
เจ้าบาดแผลสูบบุหรี่พลางถอนหายใจไปด้วย
เงินนี้ผมจะจ่ายคืนให้
ฉินเฟิงเดินเข้าไปหาเฉินจื่อซวน และช่วยพยุงเขาขึ้นมา
โอ้ เพื่อนของคุณคนนี้เป็นคนรวยนี่นา มาถึงก็จะจ่ายคืน แต่กฎของผมที่นี่ไม่เหมือนกัน ในเมื่อซูเยว่แพ้ในเรื่องนั้น คุณต้องเอาชนะกลับคืนมาให้ได้
เจ้าบาดแผลพ่นควันบุหรี่ออกมา
เขาเห็นฉินเฟิงบอกว่าจะคืนได้อย่างสบายๆ ในชั่วพริบตาจึงเกิดความคิดขึ้นภายในใจ น่าจะลองใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เพื่อเก็บเกี่ยวเงินก้อนโต
ฉินเฟิง สามล้านเลยนะ นายจะเอาอะไรมาคืน อย่าอยู่ที่นี่ต่อเลย รีบไปซะ รีบไป
เฉินจื่อซวนผลักฉินเฟิง
เขารู้ว่าตอนนี้ฉินเฟิงเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่น แล้วจะเอาเงินสามล้านมาจากไหน? เขาคิดว่าแม้แต่สามพันก็ยังไม่มี ถ้ามาคุยโม้ที่นี่ จะต้องตายอย่างอนาถแน่
เขาไม่อยากทำให้ฉินเฟิงเดือดร้อน
ไม่เป็นไร ฉันไม่จำเป็นต้องควักเงินเลย
ฉินเฟิงตบไหล่เขาแล้วลุกขึ้นยืน มองไปที่เจ้าบาดแผลแล้วพูดว่า ผมตกลง
ดีมาก
เจ้าบาดแผลปรบมือ
ตามผมลงมา
จากนั้นเจ้าบาดแผลก็หันหลังเดินจากไป เดินไปทางบันไดนั้น ส่วนลูกสมุนสามคนของเขาก็เข้ามารายล้อมฉินเฟิงและเฉินจื่อซวนไว้ เพื่อไม่ให้พวกเขาสองคนฉวยโอกาสหลบหนี
งี่เง่าทั้งคู่ คนหนึ่งเต็มใจที่จะจ่ายหนี้ให้แฟนสาวสามล้าน อีกคนก็กล้าที่จะบุกเข้ามาในที่ของพวกเราเพื่อช่วยเพื่อน
ฮ่าฮ่า นายเชื่อหรือไม่ว่า คนที่มาใหม่อีกเดี๋ยวจะครอบครัวล่มจมแน่นอน
แน่นอน ต้องเสียเงินหมดตัวแน่
ลูกสมุนเจ้าบาดแผลทั้งสามเดินเข้าไปหาฉินเฟิงและเฉินจื่อซวน ส่งเสียงหัวเราะเยาะ พวกเขายิ่งเห็นสองคนนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าโง่ โดยเฉพาะฉินเฟิงที่กล้าเข้ามา
นายมาทำอะไร!
ร่างกายของเฉินจื่อซวนเต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล ฉินเฟิงช่วยพยุงเอาไว้ เขากระอักเลือดออกมาเต็มปาก พลางตำหนิว่า ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่ดี นายไม่ควรมา ฉันจะถ่วงเวลาพวกเขาไว้ นายรีบไปเดี๋ยวนี้
ความวิตกกังวลปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาต้องการเข้าไปพัวพันกับพวกอันธพาลเหล่านั้นเพื่อสลัดฉินเฟิงออกไป
เพียงแต่ว่า ฉินเฟิงดึงเขากลับมาในทันที พลางถอนหายใจแล้วพูดว่า นายน่ะ รออยู่ที่นี่เถอะ คุณบาดเจ็บสาหัส เมื่อก่อนตอนที่ฉันต่อสู้บนถนน คนเดียวถูกรายล้อมไปด้วยคนนับสิบ นายรู้ดีว่าเอาชนะไม่ได้ แต่นายก็มาช่วยฉันเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?
สุดท้าย เราสองคนถูกตีจนฟกช้ำดำเขียว หัวแตกเลือดอาบ แต่ก็รอดมาได้ แล้วนับประสาอะไรกับครั้งนี้ เชื่อฉันสิ
ในปีนั้น ฉินเฟิงถูกตระกูลฉินขับไล่ออกจากบ้าน หลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิต เขาก็ตกเป็นเป้าหมายของคนในตระกูลฉิน ถูกบังคับให้ร่อนเร่พเนจร เก็บขยะคุ้ยถังขยะบนถนนเป็นเรื่องปกติ
บางครั้งยังทะเลาะกับสุนัขจรจัดเพื่อแย่งเนื้อที่คนอื่นไม่เอาแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ฉินเฟิงได้พบกับเฉินจื่อซวนในถังขยะ และเกิดการต่อสู้กับเฉินจื่อซวนเพื่อที่จะแย่งแอปเปิลกัน เรียกว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน
เฉินจื่อซวน อายุน้อยรุ่นราวคราวเดียวกับเขา เป็นเด็กกันทั้งคู่ ต่อมาทั้งสองได้มาอยู่ด้วยกัน เก็บขยะและวิ่งหนีเอาชีวิตรอดด้วยกัน
แม้ว่าพวกเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก แต่ทั้งสองก็มีชีวิตรอดมาได้
ต่อมา ฉินเฟิงก็ได้เรียนรู้ว่า เฉินจื่อซวนไม่ใช่เด็กกำพร้า เขามีครอบครัวที่ร่ำรวยอยู่ในหยุนเจียง ไม่ต้องพูดถึงว่าร่ำรวยแค่ไหน แต่มีแน่ๆ ถึงล้านสองล้าน
ดังนั้นฉินเฟิงจึงถามเฉินจื่อซวนว่า จื่อซวน ในเมื่อนายมีครอบครัว ทำไมนายถึงหนีออกจากบ้าน?
เพราะว่า พ่อแม่ไม่เข้าใจในตัวฉัน
เฉินจื่อซวนนอนอยู่บนพื้นหญ้า เหยียดแขนเหยียดขาแล้วบอกว่า พ่อแม่ของฉันมักจะบอกว่า ควรไปสอบข้าราชการ ไปเป็นข้าราชการ ได้เงินเดือนดีบ้างล่ะ การงานมั่นคงบ้างล่ะ หาแฟนง่ายบ้างล่ะ สร้างเนื้อสร้างตัวง่ายบ้างล่ะ พ่อของฉันก็เป็นข้าราชการใหญ่โตคนหนึ่ง ให้ความช่วยเหลือฉันได้มาก
แต่ฉันไม่ชอบเลย ฉันอยากไปสอบเป็นดีไซเนอร์ สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว วาดภาพออกแบบ อ้อ ภาพออกแบบที่เป็นศิลปะหน่อยน่ะ ฉันเป็นอิสระมาโดยตลอด สะอาดสะอ้านมาโดยตลอด ฉันไม่ชอบถูกผูกมัด นี่คือเหตุผลของฉัน
หลังจากนั้น เฉินจื่อซวนก็อยู่กับฉินเฟิงมาเป็นเวลาหนึ่งปี ทั้งสองคนร่อนเร่ไปด้วยกัน เฉินจื่อซวนชอบวาดภาพ คอยส่งภาพไปที่บ้านของเขาเป็นครั้งคราว เพื่อบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่
อย่างไรก็ตาม ในเวลาเพียงหนึ่งปี พ่อแม่ของเฉินจื่อซวนก็หาเขาพบ
ในเวลานั้น เฉินจื่อซวนขอให้พ่อแม่รับเลี้ยงฉินเฟิง แต่พ่อแม่ของเขาไม่ยินยอม เฉินจื่อซวนจึงเอาความตายมาขู่บังคับ แต่ฉินเฟิงปฏิเสธ เพราะเขาไม่ชอบการผูกมัด
ต่อมาฉินเฟิงก็เข้าร่วมกองทัพ ทั้งสองได้คุยโทรศัพท์กันบ้างเป็นครั้งคราว ฉินเฟิงได้รู้ว่าเฉินจื่อซวนสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยหยุนเจียง จนเรียนจบปริญญาเอก จากนั้นเขาก็ไปที่เมืองเจียงเฉิง ต่อมาฉินเฟิงก็ยุ่งอยู่กับการทหารและสถานะก็ไม่เหมือนเดิม สายสัมพันธ์นี้จึงถูกตัดขาดกันไป
เมื่อคำนวณดู พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันมาสามสี่ปีแล้ว
บอกตามตรง ฉินเฟิงคิดถึงเขามาก
ต่อมาฉินเฟิงก็โทรศัพท์หาฉีหยุน ช่วยผมตรวจสอบคนที่ชื่อเฉินจื่อซวนที่อยู่ในเมืองเจียงเฉิงหน่อย
ครับ
ฉีหยุนตอบกลับ
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฉีหยุนก็ส่งข้อมูลรายละเอียดกลับมา เฉินจื่อซวน ตอนนี้อยู่ในบาร์เหล้าชั้นใต้ดินเลขที่ 24 ถนนบูรพา เมืองเจียงเฉิง เขาเป็นเจ้าของบาร์เหล้า
บาร์เหล้า?
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่รีรอ เขาตรงไปที่บาร์เหล้าแห่งนี้ เมื่อมาถึงบาร์เหล้า เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่คำว่า ‘บาร์เหล้าภาพลวงตา’ สี่คำนี้
เขายังไม่อยากเชื่อสายตา
หลังจากเข้าไปแล้ว ภายในบาร์เหล้าเต็มไปด้วยชายหญิงหลากสีสัน กำลังบิดตัวไปมาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น
เรื่องพวกนี้ฉินเฟิงไม่รู้สึกแปลกใจเลย
จากนั้นเขาก็มองไปรอบๆ ผู้คนจนพบเฉินจื่อซวน เขานั่งอยู่บนเคาน์เตอร์ ย้อมผมหลากสี สวมเสื้อหนังสะพายโซ่หลายเส้น ดื่มเหล้าไปพลางสูบบุหรี่ไปพลาง
จื่อซวน
ฉินเฟิงมองดูคนคนนั้น แม้จะแต่งตัวแตกต่างไปจากเดิม แต่เขาก็ยังจำได้
มีคนโทรหาผมเหรอ?
เฉินจื่อซวนที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ พอได้ยินว่ามีคนเรียกเขาก็ชะงักทันที จากนั้นเขาก็หันกลับมาและเห็นฉินเฟิง วินาทีถัดมา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี
พลั่ก
เฉินจื่อซวนทุบหัวไหล่ของฉินเฟิงด้วยกำปั้น แต่ไม่ได้ออกแรงมากนัก เขาพูดอย่างตื่นเต้น เจ้าหนู หลายปีมานี้ จู่ๆ ฉันก็ติดต่อนายไม่ได้ ยังคิดว่านายสละชีพไปแล้วเสียอีก ให้ตายสิ หลายปีมานี้ ทำให้ฉันต้องทนทุกข์จากความกลัวมาตลอด
ยังดี
ฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ
มานี่ นั่งสิ
เฉินจื่อซวนพาฉินเฟิงมาที่นี่ แล้วสั่งบาร์เทนเดอร์ ขอวิสกี้หนึ่งขวด พี่น้องของผมมา ผมต้องดูแลเขาอย่างดี
ได้ครับ เถ้าแก่
บาร์เทนเดอร์คนนั้น หยิบขวดเหล้าออกมาจากด้านในทันที
เจ้าหนู คราวที่แล้วฉันได้ยินมาว่า นายไปที่นั่น…เอ่อ…ตระกูลอิ่น ไปเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านใช่ไหม? ฉันได้ยินคนอื่นพูดมา มันเกิดอะไรขึ้น?
เฉินจื่อซวนเอ่ยถามฉินเฟิง
เรื่องมันยาวน่ะ
ฉินเฟิงถอนหายใจ เรื่องนี้มันยาวจริงๆ
ไอ้บ้า นายมาหาฉันที่นี่เพื่อคุยเรื่องเก่าหรืออะไรนะ ถ้านายอยากยืมเงิน ฉันให้นายยืมได้ นายดูบาร์เหล้านี้สิ ฉันเป็นคนเปิดขึ้นมา
เฉินจื่อซวนวางมือลงบนแผ่นหลังของฉินเฟิง
เขาคิดว่าฉินเฟิงเดือดร้อนถึงได้มาหาเขา
ไม่ใช่ แต่เกี่ยวกับเรื่องนี้…ฉันอยากถามนายว่า นายกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฉินจื่อซวน นัยน์ตามีแววสับสน
ต้องรู้ว่าเฉินจื่อซวนเป็นคนรักความสะอาดอย่างมาก สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือการสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว วาดภาพออกแบบบนพื้นหญ้า ตัวเขายังมีภาพลักษณ์เป็นปัญญาชน ใบหน้าบอบบาง จำได้ว่าเขาเคยสวมแว่นมาก่อน
สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นอันดับหนึ่ง
คนที่พากเพียรเช่นนั้น ยังเป็นหัวหน้าชั้นด้วย
แต่ตอนนี้ เขาไม่ต่างจากนักเลงหัวไม้
ผมย้อมสีฉูดฉาด ใส่ต่างหู สวมแจ็กเกตหนังสีดำ ท่อนล่างเป็นกางเกงรัดรูปสีดำ เขาเปลี่ยนไปคนละคนอย่างสิ้นเชิง
ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาที่ดีของฉินเฟิง ก็ไม่แน่ว่าจะจำได้
เฮ้อ เรื่องนี้…
เมื่อเฉินจื่อซวนคิดถึงเรื่องนี้ สีหน้าก็มีความซับซ้อนขึ้นมา เขาก้มหน้าลงดื่มเหล้าแก้วหนึ่ง ราวกับว่าได้ดื่มเหล้าห้ารสชาติ จากนั้นในขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง พนักงานเสิร์ฟสาวก็เดินเข้ามาหาเฉินจื่อซวน แล้วกระซิบบางอย่างที่ข้างหู
สีหน้าของเฉินจื่อซวนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาวางแก้วเหล้าลงแล้วพูดกับฉินเฟิง ฉันมีบางอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวจะกลับมา
ตกลง
ฉินเฟิงไม่ทำให้งานของเขาล่าช้า
เสี่ยวเว่ย ค่ากินดื่มของพี่น้องฉัน ฟรี ไม่อนุญาตให้คิดเงิน
ตอนออกไป เฉินจื่อซวนได้แวะสั่งการบาร์เทนเดอร์
ครับ เถ้าแก่
บาร์เทนเดอร์เป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบต้นๆ ยังวัยรุ่นมากเช่นกัน เขากำลังเช็ดแก้วเหล้า เช็ดๆ ไปก็เงยหน้าขึ้น แล้วถามฉินเฟิงว่า เอ่อ คุณสนิทกับเถ้าแก่มาเหรอครับ?
หมายความว่าไง?
ฉินเฟิงมองมาที่เขา
เพราะเถ้าแก่มีหนี้ติดตัวเป็นจำนวนมาก ติดหนี้อยู่สามล้านกว่า แม่ของเขาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล เถ้าแก่ก็ยังจะให้คุณยืมเงินอีก มองออกถึงความสัมพันธ์ของพวกคุณ เสี่ยวเว่ยกล่าว
ติดหนี้อยู่สามล้านกว่า
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว หลายปีมานี้พวกเขาไม่ได้ติดต่อกันเลย เกิดอะไรขึ้นกับเฉินจื่อซวนกันแน่ เหตุใดปัญญาชนที่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตสีขาววาดรูปกลางแดด ตอนเรียนอยู่ก็เป็นหัวหน้าชั้น ถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้?
แล้วยังเปิดบาร์เหล้าอีก
ต้องรู้ว่า เฉินจื่อซวนเกลียดสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่สุด
ถูกแขวนแล้ว
อิ่นซินขมวดคิ้ว หลังจากการลงคะแนนเมื่อครู่นี้ เธอยืนยันได้ว่ามีผู้ถือหุ้นเข้าร่วมสิบหกคน แต่ไม่มีใครสนับสนุนเธอ ทุกคนล้วนมองไปที่อิ่นป่าย
ส่วนอิ่นป่ายนั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้ แหงนหน้ามองฟ้า ราวกับไม่สนใจอะไรเลย
ท่านประธาน ดูเหมือนว่าประธานอย่างคุณจะไม่มีความน่าเชื่อถือเลยนะ ทุกคนไม่มีใครเชื่อถือคุณ ถ้าอย่างนั้น ลองเปลี่ยนสักหน่อย เปลี่ยนให้น้องชายของผมขึ้นมาเป็นดูไหม?
อิ่นเสี้ยงสวี่พูดอยู่ข้างๆ
ไม่ได้ คุณปู่พูดแล้ว ว่าจะให้อิ่นซินดำรงตำแหน่งประธาน
อิ่นป่ายโบกมือ แสร้งทำเป็นปฏิเสธ
อิ่นซินไม่มีความสามารถและสติปัญญาเพียงพอ จะเอามาเปรียบเทียบกับอิ่นป่ายได้ยังไง คุณจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์นะ
อันที่จริง ตอนที่อิ่นป่ายดำรงตำแหน่งเป็นประธานรักษาการ ฉันรู้สึกว่าดีมาก เขาจัดการได้ดีในทุกๆ ด้าน ยิ่งกว่านั้นอิ่นป่ายเป็นคนถ่อมตน ตอนนี้เขาก็ยังปฏิเสธอยู่
ความสามารถของอิ่นซินไม่ได้แย่ แต่เมื่อเทียบกับอิ่นป่ายแล้ว ยังแย่กว่ามาก
ผู้คนเริ่มพูดคุยกันเอง แต่ในคำพูดของพวกเขา ล้วนเป็นการดูถูกอิ่นซิน ยกย่องอิ่นป่าย
พวกคุณ…
เมื่ออิ่นซินเห็นคนที่ต่อหน้าทำอย่างลับหลังทำอย่างเหล่านี้ก็โกรธจัดทันที หลายคนในนั้นเธอเป็นคนเลื่อนตำแหน่งให้ โดยเฉพาะหวงฉีเฟิงซึ่งเป็นคนนอกที่ได้นั่งในตำแหน่งสูงของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ก็มาจากการเลื่อนตำแหน่งให้ของเธอเอง
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาทรยศเธอในตอนนี้
เลิกประชุม
ในที่สุดก็ไม่มีทางเลือก อิ่นซินต้องเลิกประชุม
คนกลุ่มหนึ่งเดินออกไปอย่างผ่อนคลาย ส่วนอิ่นเสี้ยงสวี่ก็เข้ามาหาอิ่นซิน พลางยิ้มเยาะ น้องสาว ตำแหน่งประธานเป็นยังไงบ้าง? สบายดีไหม?
สบาย
แทนที่อิ่นซินจะโกรธ ตรงกันข้ามกลับเยาะเย้ย
ฮึ!
อิ่นเสี้ยงสวี่เห็นท่าทางของอิ่นซินก็รู้สึกโมโห พูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน ถึงแม้เธอจะสั่งคนเหล่านั้นไม่ได้ แต่เธอก็ยังมีบริษัทเล็กๆ เป็นของตัวเอง เธอสามารถขอให้บริษัทเล็กๆ นั้นออกหน้าได้ ฮ่าฮ่า
หัวเราะได้สองครั้ง แล้วอิ่นเสี้ยงสวี่ก็ออกไป
คุณยังมีบริษัทอื่นอีกเหรอ?
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างหลังถามด้วยความสงสัย
ใช่ แต่มันเรียกว่าบริษัทไม่ได้ มันเป็นแค่โกดังหนึ่ง ภายในมีพนักงานคลังสินค้าหลายคน ตอนแรกจดทะเบียนเป็นบริษัทเพื่อหมุนเวียนสินค้า
อิ่นซินลูบหน้าผาก ช่างมันเถอะ ฉันจะพาคุณไปดู
สิบนาทีต่อมา
อิ่นซินและฉินเฟิงมาถึงบริษัทแห่งนั้น ฉินเฟิงมองไปรอบๆ มันคือคลังสินค้าที่ค่อนข้างใหญ่ ภายในอาคารมีสภาพค่อนข้างทรุดโทรม เมื่อเดินเข้าไป ก็เห็นชายชราสองคนกำลังยืนอาบแดดอยู่ที่ประตู
เถ้าแก่
ชายชราทั้งสองเรียกอิ่นซิน
ลุงหลี่ ลุงจาง
อิ่นซินทักทายชายชราสองคน แล้วกระซิบกับฉินเฟิงว่า ชายชราสองคนนี้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบริษัทเรา คุณอย่ามองว่าแก่ หากมีใครกล้าบุกเข้ามา ก็ต้องนอนกับพื้นสักครั้ง แต่ไม่เคยมีใครกล้า ที่ประตูมีกล้องวงจรปิดอยู่
…
ฉินเฟิงมองไปที่อิ่นซินด้วยสายตาแปลกๆ
อัจฉริยะทางธุรกิจ
สมกับที่เป็นภรรยาของตน
มีพลังแห่งการสังหาร แล้วยังประหยัดค่าจ้าง ชายชราสองคนสามารถหาเงินได้อย่างมากเดือนละหนึ่งพันเท่านั้น
คุณอย่ามองฉันแบบนั้น ฉันไม่ได้ตั้งใจทำแบบนั้น พวกเขาเป็นครอบครัวแถวนี้ เพราะแต่ละวันมันน่าเบื่อเกินไป พวกเขาจึงมาหางานทำกับฉัน ห้าร้อยต่อเดือน
อิ่นซินชูนิ้วมือทั้งห้า อันที่จริงเธอก็ไม่มีทางเลือก
เอาล่ะเข้าไปข้างในกันเถอะ
ฉินเฟิงไม่ได้สนใจอิ่นซิน เขาเดินเข้าไปก็พบว่าแทบไม่มีสินค้าอะไรอยู่เลย มีบางชั้นที่มีของวางอยู่จำนวนหนึ่ง พนักงานหลายคนกำลังยุ่งอยู่กับงาน
เถ้าแก่
หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางเหมือนนักศึกษาวิทยาลัย
นี่คือเสี่ยวซี อ้ายเสี่ยวซี ผู้ดูแลที่นี่ เป็นอดีตลูกน้องของฉัน เป็นเหมือนพี่สาวน้องสาว นิสัยดีมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ ฉันคงไม่สามารถจัดการโกดังนี้ได้ ตอนนี้ฉันเหลือแค่โกดังนี้แล้ว
อิ่นซินแนะนำอ้ายเสี่ยวซีให้ฉินเฟิงรู้จัก
ตอนนี้คุณยังขาดอะไรบ้าง?
ฉินเฟิงมองไปรอบๆ พบว่ามันทรุดโทรมเหมือนอาคารร้างที่สร้างไม่เสร็จ
สิ่งที่ขาดมีมากมาย วิศวกร โดยเฉพาะวิศวกร วิศวกรของบริษัทพวกนั้นแต่ละคนมีข้อเรียกร้องเยอะมาก ฉันโทรหาพวกเขาก่อนหน้านี้ รับก็ไม่รับ น่าโมโหชะมัด อย่างที่สองก็คือคนงาน แต่เรื่องคนงานนี่จัดการง่ายกว่ามาก เพราะพวกเขาไม่ฟังอิ่นป่าย ขอเพียงเราจ่ายค่าจ้างไหว พวกเขาก็จะมาเอง แน่นอน อย่างที่สามคือเงินทุน เรื่องนี้ฉันคิดหาวิธีได้แล้ว ว่าจะหาคนมาลงทุน
อย่างที่สี่ ช่องทาง เรื่องนี้ฉันต้องติดต่อหาช่องทางใหม่ อย่างที่ห้า ก็คืออาคารหลังนี้เป็นอาคารที่สร้างไม่เสร็จ ฉันต้องหาทางตกแต่งใหม่
อิ่นซินชูนิ้วพูดกับฉินเฟิงทีละข้อ แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันไม่มีความหมายที่จะพูดเรื่องนี้กับฉินเฟิง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะไปทำอะไรได้ เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย
แต่เธอไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงต้องการบอกฉินเฟิง
ดูเหมือนว่าเธอต้องการแบ่งปันกับเขา
บางทีเธออาจไม่รู้ว่าในหัวใจของตนเอง น้ำหนักของฉินเฟิงเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
เรื่องวิศวกร ให้ผมช่วยคุณแล้วกัน
หลังจากฉินเฟิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดต่อว่า ผมเคยมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เรียนจบปริญญาเอกจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ผมสามารถเรียกเขามาดูแลเรื่องนี้ได้
ตกลง งั้นคุณก็ลองดู
อิ่นซินไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เธอไม่สงสัยในตัวฉินเฟิง แม้ว่าเธอจะไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตัวเล็กๆ อย่างฉินเฟิงจะรู้จักเพื่อนที่เรียนจบปริญญาเอกได้อย่างไรก็ตาม
อีกอย่างมหาวิทยาลัยหยุนเจียงยังเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในวิชาชีพการก่อสร้างของประเทศอีกด้วย คนที่เรียนจบปริญญาเอกจากที่นั่นต้องไม่ธรรมดา
แต่เธอก็ยังให้กำลังใจฉินเฟิง
หลังจากนั้นเธอก็เริ่มยุ่งเรื่องอาคารหลังนี้ แม้ว่าเธอจะได้เป็นประธานแล้ว แต่เธอก็ถูกแขวนโดยอิ่นป่ายและคนอื่นๆ ไม่สามารถแสดงศักยภาพในบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้เลย ไม่มีใครเชื่อเธอ
ตรงกันข้ามกับที่อาคารร้างสร้างไม่เสร็จหลังนี้ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่เห็นความสำคัญของคนที่นี่มากนัก อิ่นซิน เป็นคนดี ดังนั้นจึงมีกำลังคนกว่ายี่สิบคนที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วเชื่อฟังอิ่นซิน
ถือว่าเป็นคนที่ไว้ใจได้
ที่รัก จากนี้ไปฉันจะเริ่มต้นใหม่ด้วยมือเปล่าอีกครั้ง แม้ว่ามันจะยากมาก แต่ฉันจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ตอนนั้นฉันสามารถสร้างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้ด้วยตัวเอง ครั้งนี้ฉันก็จะสร้างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปอีกแห่งขึ้นมาได้เช่นกัน
อิ่นซินเอนตัวพิงฉินเฟิง แล้วพูดอย่างมั่นใจ
อืม
แม้ว่าภายนอกฉินเฟิงจะตอบตกลง แต่ในใจเขารู้ดีว่ามันยากแค่ไหน มันแตกต่างจากเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่นี่ไม่มีกำลังคน ไม่มีทักษะ ไม่มีเงินทุน
มันไม่ง่ายเลยที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งด้วยมือเปล่า
แต่ฉินเฟิงก็ยิ้มอยู่ในใจ เขายังรู้จักด๊อกเตอร์คนหนึ่งในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหยุนเจียง ซึ่งเป็นคู่หูตัวน้อยที่เคยขอทานร่วมกับเขาในตอนที่เขายังเป็นขอทาน
ทั้งสองคน…ต่างก็เป็นคนพเนจรสุดขอบฟ้า
ในห้องนอน
ในที่สุดฉันก็ได้ตำแหน่งประธานคืนมา มีความสุขมาก ที่รัก วันนี้คุณขึ้นมานอนเถอะ
อิ่นซินนอนพลิกตัวไปมาบนเตียงด้วยความตื่นเต้นดีใจเหมือนเป็นเด็ก จากนั้นเธอก็ตบเตียงอีกครึ่งหนึ่ง ขยับให้ฉินเฟิงขึ้นมานอน
ตกลง
ฉินเฟิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ไม่ใช่เทพมาจากไหน แต่เขาเป็นผู้บำเพ็ญตบะ อยู่ในกองทัพมาหลายปี ไม่เคยสัมผัสผู้หญิงคนไหนมาก่อน ผู้หญิงคนเดียวในชีวิตของเขาก็คืออิ่นซิน
แต่หลังจากที่ลุกขึ้นไป ฉินกั่วกั่วก็คลานออกมาจากผ้าห่ม แม่นอนซ้าย พ่อนอนขวา กั่วกั่วนอนตรงกลาง
มีลูกอยู่ คุณก็ทำอะไรมิดีมิร้ายไม่ได้แล้ว
อิ่นซินขยิบตาให้ฉินเฟิง
อย่างไรก็ตาม เธอเป็นเพียงเด็กสาว ยังคงมีความหวาดกลัวต่อเรื่องเหล่านั้นอยู่บ้าง
ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป
ฉินเฟิงยิ้ม ไม่รีบร้อน
ต้องมีวันหนึ่งที่อิ่นซินจะยอมรับเขาจริงๆ
วันรุ่งขึ้น อิ่นซินเรียกฉินเฟิงไปบริษัทด้วยกัน ช่วงนี้เธอพบว่า เธอชอบทำตัวติดกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่ามันคือความรู้สึกรักหรือเปล่า
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ฉินเฟิงยืนมองดูป้ายนี้อยู่ใต้อาคาร เขารู้สึกว่าครั้งนี้จะไม่ค่อยราบรื่น
มองอะไร ไปกันเถอะ
อิ่นซินดึงฉินเฟิงเดินเข้าไป ขณะที่อยู่หน้าประตู พนักงานต้อนรับหญิงก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า ท่านประธาน
ท่านประธาน
คนอื่นๆ ก็เรียกท่านประธานเช่นกัน
ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ กระตือรือร้นแบบนี้ ไม่น่าจะใช่
อิ่นซินเข้ามากระซิบประโยคนี้ที่ข้างหูของฉินเฟิง
ไม่ต้องห่วง มีผมอยู่
ฉินเฟิงจับมืออิ่นซินไว้
เมื่อทั้งสองมาถึงสำนักงาน ทุกคนในสำนักงานก็อยู่กันพร้อมหน้า คุณท่านอิ่น อิ่นป่าย อิ่นเสี้ยงสวี่ก็มากันพร้อมแล้ว คุณท่านอิ่นมองไปที่อิ่นซินแล้วกล่าวว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อิ่นซิน จะเป็นประธานของบริษัท
สวัสดีค่ะทุกคน
อิ่นซินเอ่ยทักทาย เดินไปที่เก้าอี้ประธานแล้วนั่งลง
ฉินเฟิงมองดูความยินดีบนใบหน้าของอิ่นซิน และยืนอยู่ข้างหลังเธอราวกับเป็นผู้ติดตาม ถ้าคนข้างบนเห็นก็คงจะรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อ
นี่คือเทพสงครามในยุคสมัยหนึ่งเชียวนะ
เทพสงครามอันดับหนึ่งของต้าหัว ยศพลเอก เป็นรองจากผู้บัญชาการเท่านั้น
น้องสาว นี่คือการประชุมคณะกรรมการของบริษัท ทำไมคุณถึงพาคนนอกมา เขามีสิทธิ์จะยืนที่นี่เหรอ ถ้าคนอื่นได้ยินข้อมูลลับของเรา เธอจะรับผิดชอบได้ไหม?
อิ่นเสี้ยงสวี่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ต่อต้านขึ้นมา
ส่วนอิ่นซินยิ้มๆ ประการแรก ตอนนี้ฉันเป็นประธาน คุณไม่ควรเรียกฉันว่าน้องสาว กฎก็คือกฎ ประการที่สอง ฉันเป็นประธาน ฉันมีสิทธิ์ที่จะพาคนเข้ามา ประการที่สาม เขาไม่ใช่คนนอกสำหรับฉัน
คำพูดของอิ่นซิน ดูเหมือนจะประกาศอำนาจอธิปไตยของฉินเฟิง
ฮึ!
อิ่นเสี้ยงสวี่พ่นลมหายใจแรงและไม่พูดอะไร แต่แอบคิดในใจว่า เธอภาคภูมิใจไปเถอะ คิดว่าพอได้นั่งตำแหน่งประธานแล้ว บริษัทจะรับฟังเธองั้นเหรอ
ฝันไปเถอะ
เธอจะต้องลำบาก
หลังจากนั้นไม่นาน เฝิงกางก็เดินเข้ามาพร้อมสัญญาในมือ คุณอิ่น คุณอิ่น ได้ข่าวว่าคุณกลับมาแล้ว ผมก็เลยมาหาทันที นี่คือสัญญา ผมปรับเปลี่ยนดูแล้ว ผมรู้สึกว่าบริษัทของเราไม่เห็นจะมีอะไร แบ่งกัน 50-50 ดีกว่า
ประธานเฝิง คุณยังคงเข้ากับคนอื่นได้ง่ายเสมอ
อิ่นซินลุกขึ้นยืน
เข้ากับคนอื่นได้ง่าย?
เข้ากับคนอื่นได้ง่ายบ้าอะไร
ทุกคนที่อยู่ในนั้นตกตะลึง พวกเขายังจำได้ว่าวันนั้น เฝิงกางเผด็จการ แข็งกร้าว และก้าวร้าว มีออร่าความเป็นคนจิงตู ดูถูกทุกคนที่อยู่ในที่นี้
อีกอย่าง
แบ่งกัน 50-50 บ้าอะไร
แม้ว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะไม่ออกแรงใดๆ เลย แต่ก็ได้เสนอที่ดินที่มีมูลค่าสูง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีเรื่องค่าปรับสามสิบล้าน บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเขาได้ครอบครอง 30% ก็นับว่าดีมากแล้ว
ตอนนี้จะมาแบ่งกัน 50-50?
เกือบจะทำให้พวกเขารู้สึกว่า มีบางอย่างผิดปกติกับหูของตัวเอง
พวกเขามองดูท่าทางกระตือรือร้นของเฝิงกาง คนที่ไม่รู้อาจคิดว่าอิ่นซินเป็นหัวหน้าของเฝิงกาง ท่าทางกระตือรือร้นจนแทบจะคุกเข่าลงให้อิ่นซิน
แม้แต่อิ่นซินก็รู้สึกเช่นนี้เหมือนกัน ในใจแอบคิดว่า ภายนอกต่างร่ำลือกันว่าประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเป็นคนอารมณ์ร้อน แล้วยังมาจากจิงตู ดูถูกผู้คนมากมาย
แต่เธอเคยเห็นเขาสองครั้ง เป็นสองครั้งที่ถ่อมตนรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ถ้าพูดให้จริงจังกว่านี้ เธอรู้สึกว่าเฝิงกางอยากจะคุกเข่าให้เธอ
น่าประหลาด
บางทีอาจเป็นเพราะการศึกษาที่ดีในจิงตู คนที่มาล้วนถ่อมตัวและนอบน้อม ในหัวใจของอิ่นซิน ทำได้เพียงอธิบายกับตัวเองเช่นนี้
หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว เฝิงกางก็ออกไป
ทุกท่าน เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว ต่อไปเป็นแผนโครงการของเรา ฉันขอประกาศว่าจะมีการจัดตั้งห้ากลุ่มเล็กๆ เกี่ยวกับโครงการนี้ หวงฉีเฟิง เป็นกลุ่มแรก…
อิ่นซินกำลังกล่าวถึงตรงนี้
ในที่นี้ หวงฉีเฟิงได้ยกมือขึ้นมา ผมขอโทษ ท่านประธาน ภรรยาของผมกำลังจะคลอด ไม่สามารถรับหน้าที่ตรงนี้ได้
ใกล้คลอดแล้วเหรอ?
อิ่นซินเลิกคิ้วขึ้น เธอไม่เคยได้ยินว่าหวงฉีเฟิงมีภรรยาแล้ว
กำลังจะคลอดแล้ว?
ถ้าอย่างนั้นกลุ่มที่สอง อิ่นเจียเจีย…
อิ่นซินเลือกมาอีกคน ถือว่าเป็นพนักงานที่มีความสามารถอีกคนหนึ่งในบริษัท
เพียงแต่ว่า ก่อนที่เธอจะพูดจบ อิ่นเจียเจียก็ยกมือขึ้น แม่ของฉันอยู่โรงพยาบาล ฉันต้องขอลาไปอยู่เป็นเพื่อนแม่สักระยะ
คุณก็ด้วย…
อิ่นซินขมวดคิ้วขึ้นมา
ถูกแขวนแล้ว
ฉินเฟิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอมองออกว่า แม้ว่าทุกคนในที่นั้นจะเรียกอิ่นซินว่าท่านประธาน แต่ก็ไม่มีใครเลื่อมใสศรัทธา ตรงกันข้ามยังค่อนข้างดื้อรั้น
คนส่วนใหญ่ล้วนมองไปทางอิ่นป่ายอยู่เป็นระยะ
คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นคนของอิ่นป่าย
ไม่น่าแปลกใจที่คุณท่านอิ่นยอมมอบอำนาจให้ แต่ที่แท้กลับกลายเป็นว่าต้องการจะกีดกันอิ่นซิน แม้ว่าภายนอกอิ่นซินยังคงเป็นประธาน แต่บริษัทหนึ่งก็ไม่ใช่แค่ประธานคนเดียวที่ตัดสินใจได้
ยังมีผู้ถือหุ้นจำนวนมากในหมู่พวกเขา
นอกจากนี้ฉินเฟิงยังสังเกตเห็นว่า ผู้ถือหุ้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่แยแสอิ่นซิน
คนพวกนี้ไร้ประโยชน์
ฉินเฟิงแอบกระซิบที่ข้างหูของอิ่นซินอย่างเงียบๆ อิ่นซินพยักหน้า เธอก็มองออกว่า ตอนนี้เธอเป็นประธานหุ่นเชิด
หวงฉีเฟิง อิ่นเจียเจีย ในเมื่อพวกคุณต้องการลางาน ถ้าอย่างนั้นฉันจะหาคนมาแทนที่ตำแหน่งพวกคุณ
อิ่นซินลุกขึ้นยืน กำลังจะปลดทั้งสองคนนี้ออก
แต่อิ่นป่ายได้กระแอมไอสองครั้งอย่างชัดเจน ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งก็ยกมือขึ้น เรื่องนี้ ผมไม่เห็นด้วย พวกเขาล้วนเป็นหัวกะทิของบริษัท จะถูกแทนที่ง่ายๆ แบบนี้ได้ยังไง
ใช่ ตำแหน่งของพวกเขาสำคัญมาก มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รับหน้าที่ได้
แค่ขอลางานนิดเดียว คุณก็จะปลดพวกเขาออก อย่างคุณเรียกว่าประธานอะไร ผมขอเสนอให้จัดการประชุมลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้น
ฉันเห็นด้วยกับข้อเสนอ
ฉันก็เห็นด้วย
ในที่สุดก็มีการประชุมลงคะแนนเสียงของผู้ถือหุ้นรายย่อย สุดท้ายด้วยคะแนนเสียง 16 ต่อ 1 จากการประชุมผู้ถือหุ้น คำสั่งเปลี่ยนตำแหน่งของอิ่นซินก็ถูกยกเลิก
หลอกลวง
หลอกลวงฉัน?
หลิวหลินตกตะลึง ในเวลานี้เธอเพิ่งรู้ตัวว่าการปลอมตัวของตนเองถูกเปิดโปง การแสดงออกที่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า ทำให้เธอถูกหลอกอย่างกะทันหัน
เธอมั่นใจในตัวเองมากเกินไป ฉินเฟิงก็เป็นเพียงลูกเศรษฐีคนหนึ่งเท่านั้น
เธอไม่มีความระมัดระวังเพียงพอ
แค่นี้ก็หลอกเธอได้แล้ว
คุณมั่นใจในตัวเองเกินไป ถ้าเมื่อกี้ผมเป็นคนไม่ดี คุณคงตายในมือผมไปแล้ว
ฉินเฟิงยืดเส้นยืดสาย แล้วพูดต่อว่า แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้หลอกคุณ ผมจะไปซื้อไก่ต้มสับให้ลูกสาวผมจริงๆ บ๊ายบาย
พูดจบ ฉินเฟิงก็เดินจากไป
เมื่อโจมตีหลิวหลินอย่างรุนแรงเช่นนี้ หลิวหลินน่าจะไม่กล้าตามมาอีกต่อไป
เพียงแต่ว่า หลิวหลินมองฉินเฟิงด้วยแววตาสนใจ คุณพูดถูก ฉันมั่นใจในตัวเองเกินไป แต่ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของฉันก็คือทักษะของฉัน อันดับหนึ่งการต่อสู้แห่งเมืองเจียงเฉิง อันดับหนึ่งการฝึกฝนในวงการตำรวจ ไม่ได้เป็นชื่อเสียงจอมปลอม แต่ว่าฉินเฟิง คุณทำให้ฉันรู้สึกทึ่งเกินไป ลูกเขยแต่งเข้าบ้านทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายลงได้ แล้วยังมีการระมัดระวังตัวสูงเช่นนี้อีก
จุดประสงค์ของคุณคืออะไรกันแน่ ทำไมคุณถึงซ่อนตัวอยู่ในเมืองเจียงเฉิง เป็นเพราะอะไรกันแน่? แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ถึงอย่างไรฉันก็รู้สึกสนใจคุณมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉันรู้ว่า ประโยคเมื่อกี้ของคุณคือการเตือนฉัน แต่ฉันหลิวหลิน เป็นผู้หญิงที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้ทุกครั้งก็รบไม่ถอย มันเป็นสไตล์ของฉัน วันหนึ่งฉันจะซักฟอกคุณให้หมดจด แล้วค่อยจับคุณดำเนินคดี ฉันจะไม่ปล่อยให้ลูกเศรษฐีอย่างพวกคุณก่อกรรมทำชั่วอีก
ในดวงตาของหลิวหลินมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ปรากฏขึ้นจางๆ
เธอรู้สึกสนใจในตัวฉินเฟิงมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉินเฟิงซื้อไก่ต้มสับแล้วไปรับฉินกั่วกั่ว เมื่อกลับมาถึงตระกูลอิ่นก็เห็นคนคนหนึ่งอยู่หน้าประตู เขาคือคุณท่านอิ่น หลังค่อม ถือไม้เท้ายืนตระหง่านอยู่ที่หน้าประตู
คุณท่าน นี่คุณกำลังทำอะไรอยู่?
ฉินเฟิงเดินเข้าไปถาม
คุณเรียกผมว่าคุณท่านเหรอ? ในแง่ของความอาวุโส ผมถือว่าเป็นปู่ของคุณ
คุณไม่ให้ผมเรียกว่าคุณปู่ไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่เรียกคุณท่าน แล้วจะให้เรียกว่าตาเฒ่าเหรอ?
ฉินเฟิงยักไหล่ ทำให้คุณท่านอิ่นนึกขึ้นได้ ฉินเฟิงเคยถูกเขาดุเพราะเรียกเขาว่าคุณปู่ เขาโบกมือทันที ช่างมันเถอะ
เขาเดินเข้าไปทันที คราวนี้เขามาคนเดียว
อันที่จริงเขาก็ไม่อยากมาที่นี่เหมือนกัน ถึงอย่างไรก็เป็นหัวหน้าครอบครัว มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจมาก แต่จัดการอิ่นป่ายและอิ่นเสี้ยงสวี่ไม่ได้ อิ่นซินยังระบุชื่อให้เขามาที่นี่ได้
ส่วนหมายศาลของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้ถูกส่งไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ
การให้เขาในฐานะคุณท่านอิ่น มาขอโทษหลานสาวที่เขาไม่ชอบมาตั้งแต่เด็ก อาจกล่าวได้ว่าทำให้เขาเสียหน้าไปแล้ว แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปกำลังจะล้มละลาย
ทันทีที่ล้มละลาย ตระกูลอิ่นก็อาจจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
ไม่มีทางเลือกแล้ว
ฉินเฟิงมองดูท่าทางของคุณท่านอิ่น ส่ายหน้าพลางคิดว่ามันเป็นความผิดของตนทั้งหมด ลูกชายกับลูกสาวมีอะไรไม่เหมือนกัน? ยังจะลำเอียงรักลูกชายมากกว่าลูกสาว ให้ตายสิ
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉินเฟิงก็อุ้มฉินกั่วกั่วขึ้นมาแล้วหอมแก้มเธอ พ่อชอบลูกสาว
ฮ่าฮ่า ฉันก็ชอบพ่อเหมือนกัน
ฉินกั่วกั่วพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง ใบหน้าน้อยๆ น่ารักเหลือเกิน
หลังจากนั้นฉินเฟิงก็เดินเข้าไป พบว่าคุณท่านอิ่นกำลังบอกกับฉินเฟิงว่า เสี่ยวซิน มันเป็นความผิดของฉันในตอนนั้นที่ประเมินเธอต่ำเกินไป ตอนนี้เธอกลับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเถอะ ตำแหน่งเดิมยังสงวนไว้ให้เธอ ไม่มีใครกล้าแตะต้องเธอได้
คุณปู่ กลับน่ะได้ แต่คุณต้องรักษาคำพูด มอบตำแหน่งประธานกรรมการให้ฉัน
อิ่นซินมีความรู้สึกผสมปนเปกัน
เธอคิดไม่ถึงว่า จนถึงขั้นนี้แล้วคุณท่านอิ่นยังคงยึดครองตำแหน่งประธานอยู่ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เธอ แต่ยังปูทางให้อิ่นป่ายมาตลอด
ก็ให้กำเนิดมาเองทั้งนั้น
แล้วทำไม
เสี่ยวซิน เธอเป็นผู้หญิง ไม่เหมาะที่จะดำรงตำแหน่งประธาน คุณท่านอิ่นยังคงไม่ยินยอม
แต่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปฉันเป็นคนก่อตั้งมากับมือ
อิ่นซินพูดอย่างหนักแน่นด้วยดวงตาที่สวยงาม
เอ่อ…
คุณท่านอิ่นหาข้ออ้างไม่ได้แล้ว เขาเคยบอกว่าผู้หญิงไม่เหมาะที่จะเป็นประธาน แต่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นน้ำพักน้ำแรงของอิ่นซิน จึงมีความสามารถพอ
ในเวลานี้ คุณท่านอิ่นทอดสายตาไปยังอิ่นหยวน ลูกชาย โน้มน้าวลูกสาวของนายหน่อยสิ
พ่อครับ ครั้งนี้ผมอยู่ข้างลูกสาวของผม สิ่งที่พวกคุณพูดในคราวก่อนมันเกินไปจริงๆ
อิ่นหยวนส่ายหน้า
เขาเป็นลูกชายคนโตของคุณท่านอิ่น เป็นลูกชายคนโตของตระกูลอิ่น เขาควรจะได้เป็นหัวหน้าครอบครัว แต่เขามีลูกสาวสองคนติดต่อกัน ซึ่งทำให้คุณท่านอิ่นไม่พอใจมาก สุดท้ายเรื่องเมื่อเจ็ดปีก่อนทำให้เขาถูกตระกูลอิ่นไล่ออกจากบ้านใหญ่
เมื่อวานยิ่งถูกจาบจ้วงหนัก ถีบเขาออกจากตระกูลอิ่น เขาจะขอร้องแค่ไหนก็ช่วยอะไรไม่ได้
แล้วภายในใจจะไม่มีความขุ่นเคืองได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลอิ่นนั้นทำเกินไป พวกเขายังต้องการให้ลูกสาวไปกับฟางเย้น มันจะเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ว่าเขาจะต้องการกลับไปหาบ้านใหญ่มากแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาลูกสาวของตนเข้าแลกได้
เขายังมีจิตใจที่เป็นคุณธรรมอยู่
ฉันจะให้นายกลับบ้านใหญ่
คุณท่านอิ่นพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ไม่กลับครับ ผมจะไปกับลูกสาว
อิ่นหยวนส่ายหน้า ลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมาเช่นนี้
พ่อครับ
อิ่นซินมองอิ่นหยวนอย่างแปลกใจ เธอไม่คิดว่าอิ่นหยวนจะยืนอยู่ข้างหลังเธออย่างหนักแน่นในครั้งนี้
นี่เป็นเรื่องของหลักการ
อิ่นหยวนยิ้มให้เธอ
ชีวิตนี้เขาไม่มีความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน ยกเว้นลูกสาวสองคนนี้ จะไม่มีวันเอาไปแลกเปลี่ยนกับสิ่งใดเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่ตระกูลอิ่นพูดเมื่อวานนี้มันมากเกินไปจริงๆ
โดยเฉพาะสำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
คุณท่านอิ่นมองดูพวกเธอ หัวใจของจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง เขาเคยเตะเธอออกไปด้วยความรังเกียจ ใครจะคาดคิดว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้น เขาไม่อยากยอมรับอิ่นซิน
แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะล้มละลาย
เขาตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริงๆ
สุดท้าย เขาคิดอยู่นานและถอนหายใจออกมา ตกลง ฉันสัญญา พวกเธอกลับไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเถอะ ตำแหน่งประธานจะเป็นของเธอ
ครั้งนี้คงไม่ถ่วงเวลาอีกใช่ไหม?
อิ่นซินยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง
แน่นอน ฉันจะรักษาคำพูด พรุ่งนี้เธอจะได้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการ
พูดจบ คุณท่านอิ่นก็จากไปด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเปกัน เขาไม่เคยต้องการให้อิ่นซินเป็นประธาน แต่ก็ล้มเหลวอยู่วันยังค่ำ
ในที่สุด อิ่นซินก็ได้เป็นประธาน
อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีแผนอื่น จะไม่ยอมให้อิ่นซินได้สิ่งที่ต้องการไปแบบนี้ คิดจริงๆ เหรอว่าเมื่อได้เป็นประธานแล้ว จะสามารถสั่งการบริษัทได้?
ไร้เดียงสา
ต้องรู้ว่าตอนนี้พนักงานส่วนใหญ่ในบริษัทเป็นคนของตระกูลอิ่น
กลับดีๆ นะคุณท่านอิ่น
ฉินเฟิงโบกมือให้คุณท่านอิ่น
ฮึ!
คุณท่านอิ่นจ้องไปที่ฉินเฟิงด้วยความโกรธ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขาจึงมักจะรู้สึกว่าฉินเฟิงขัดหูขัดตามาก ตั้งแต่ฉินเฟิงกลับมา พวกเขาตระกูลอิ่นก็รู้สึกว่าอะไรๆ ก็ผิดพลาดไปเสียทุกอย่าง
แต่เขาก็ไม่รู้อะไรมากนัก เขารู้เพียงว่ามีคนให้เขาวางยา แต่หลังจากนั้น ก็มีคนมาตามฆ่าเขา ทำให้เขาตกใจมากๆจึงวิ่งหนีไป หลังจากนั้นเขาได้ข่าวว่า คนที่เข้าคุกเสียชีวิตแล้ว เขาก็หลบซ่อนตัวตลอดและไม่กล้าแสดงตัวออกมาอีกเลย
พวกเราใช้เทคโนโลยีและหาหมายเลขโทรศัพท์ที่เขาเคยใช้จนเจอ หนึ่งในนั้นเป็นเบอร์ของอิ่นป่าย แต่คนๆนั้นจำไม่ได้ว่าอิ่นป่ายโทรหาเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิงให้เขาไปสืบหาเรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้น เขาใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาข้อมูลเหล่านี้ได้ เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว เบาะแสจำนวนมากได้หายไปแล้ว
อิ่นป่าย?
ฉินเฟิงเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้ในห้องทำงานและส่ายหัว: เรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับอิ่นป่ายอย่างแน่นอน แต่ไม่ใช่ฝีมือของอิ่นป่ายแน่นอน เขาไม่มีความกล้าที่จะทำเรื่องนี้ เพราะเขาไม่กล้าฆ่าคน
เรื่องที่เกิดขึ้นปีนั้น มันซับซ้อนและยากที่จะแยกแยะชัดเจน ถึงแม้ตำราจจะสามารถสืบได้ว่าใครเป็นคนวางยา แต่คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กลับหาตัวไม่เจอ
และไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการอะไรกันแน่
และไม่รู้ว่าทำไมเขาต้องใส่ร้ายอิ่นซินด้วย
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปในตอนนั้น มูลค่าทางตลาดลดลงหมื่นล้านหยวน เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น บริษัทไหนได้รับผลประโยชน์บ้าง? ฉินเฟิงถาม
บริษัทได้รับผลประโยชน์มีเยอะมาก บริษัทซานหยวนกรุ๊ปในตอนนั้นก็ถือได้ว่าเป็นบริษัทหนึ่งในท็อปยี่สิบของเมืองเจียงเฉิง บริษัทเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและนวัตกรรมใหม่ๆภายในบริษัทมากมาย ถ้าทำให้บริษัทเติบโตและพัฒนาต่อไป อาจจะขึ้นอันดับท็อปห้าก็ได้ มันส่งผลกระทบอย่างมาก
สำหรับบริษัทที่ได้ผลประโยชน์จากเรื่องนั้น บริษัทท็อปยี่สิบของเมืองเจียงเฉิงล้วนได้รับผลประโยชน์ และบริษัทเหอเหิงก็ได้ผลประโยชน์เหมือนกัน และกลายเป็นบริษัทท็อปสิบของเมืองเจียงเฉิง เดิมทีบริษัทของพวกเขาอยู่ในอันดับที่สามสิบกว่าๆ
ฉีหยุนพูดออกมาทีละเรื่องๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้อยู่ว่างๆเลย เขาพยายามสืบหาข้อมูลมาโดยตลอด
เรื่องนี้ คุณก็สืบต่อไปเรื่อยๆ โดยค้นหาจากบริษัทที่ได้ผลประโยชน์ สืบหาข้อมูลทีละบริษัท อย่างไรก็ตาม คุณต้องจำไว้ให้ดี ห้ามเปิดเผยฐานะและตัวตนของฉันเด็ดขาด และอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น
ถ้าใส่ร้ายอิ่นซินก็จะได้รับผลประโยชน์
นี่คือความคิดของคนธรรมดาทั่วไป ลองตรวจสอบเรื่องนี้จากคนที่ได้รับผลประโยชน์ มันจะได้ข้อมูลอย่างรวดเร็ว บางทีอาจจะค้นพบอะไรบางอย่างก็ได้
และตอนนี้พวกเราอยู่ในที่ลับ ส่วนศัตรูอยู่ในที่แจ้ง นี่เป็นยุทธวิธีที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในสนามรบ ถ้าไม่ระมัดระวังตัว และเปิดเผยตัวตนออกมา อาจจะทำให้ศัตรูรับรู้ ถ้าไม่ตาย ศัตรูคงกลัวจนหัวหดและหนีไป
มันจะกลายเป็นความผิดพลาด
ได้ครับ
ฉีหยุนพยักหน้าและพูด
ว่าแต่ เรื่องของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นยังไงบ้าง?
ฉินเฟิงถามอีกครั้ง เขาให้ฉีหยุนจัดการเรื่องที่เหลือของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป
ฉันได้จัดการเรียบร้อยแล้ว และทำตามที่คุณสั่ง ฟางเย้นได้เสียชีวิตเหมือนพ่อของเขา แต่ฉันพบว่ามีคนๆหนึ่งกำลังตรวจสอบพวกเรา และตรวจสอบนายพลเป็นพิเศษ
ฉีหยุนนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่งทันที
ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม?
ฉินเฟิงหันหลังและเดินไปที่กระจก และชี้ไปที่เก้าอี้ด้านล่างที่อยู่หน้าป้ายรถเมล์ ดูเหมือนเธอเป็นผู้หญิงที่กำลังรอรถเมล์และอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน และเธอก็ไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นๆ
ผู้หญิงคนนี้สวมหมวดสีขาว ตอนที่ฉันมาถึงบริษัท เธอก็อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว รถเมล์ทุกสายเคยผ่านมาแล้ว แต่เธอก็ยังไม่ยอมขึ้นรถเมล์ และเธอก็ยังก้มหน้าตลอดเวลา และใช้หมวดปิดใบหน้า นี่คือเทคนิคของสายลับ แต่เธอระแวดระวังตัวน้อยเกินไป
ฉินเฟิงส่ายหัวเพราะเธอมีพิรุธมากเกินไป
คือเธอจริงๆด้วย
ฉีหยุนจำผู้หญิงคนนี้ได้ทันที เพราะเขาเป็นทหารที่มีความสามารถมากๆในกองทัพ จู่ๆเขาก็พูดขึ้นมาว่า: ผู้หญิงคนนั้นชื่อหลิวหลิน เป็นตำรวจหญิงในกรมตำรวจเมืองเจียงเฉิง เธอเป็นคนอารมณ์ร้อน เธอได้อันดับหนึ่งด้านศิลปะป้องกันตัวในเมืองเจียงเฉิง ซ้อมรบในกรมทหารก็ได้ที่หนึ่ง การควบคุมอาวุธปืนก็ได้ที่หนึ่ง และทีมตำรวจของเขา ทำภารกิจก็ได้ที่หนึ่ง และเธอก็มีทีมตำรวจพิเศษที่ทำงานอิสระและไม่ขึ้นตรงกับสังกัดใดๆ
ทางเบื้องบนของเราได้คุยกับตำรวจหญิงคนนี้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอยังคงตามสืบข้อมูลของคุณอยู่ และจากข้อมูลของเธอ เธอเป็นคนที่มีลักษณะพิเศษที่ชัดเจน เป็นคนที่ยึดถือคุณธรรมมากๆ และเธอก็ได้สมญานามว่าเป็นตำรวจอันดับหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง ฉีหยุนพูด
ถือได้ว่าเป็นคนที่มีความสามารถ แต่เธออ่อนหัดไปหน่อย
ฉินเฟิงมองเธอเพียงแค่ครั้งเดียว และก็ไม่มองเธออีกเลย
หลังจากนั้น เขาก็ลงไปที่ชั้นล่างของตึก และทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยทันที ก่อนที่จะเลิกงานสิบเอ็ดนาที เขาเดินไปที่ป้ายรถเมล์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม และนั่งลงที่เก้าอี้ของป้ายรถเมล์
ผ่านไปหนึ่งนาที มีผู้หญิงคนหนึ่งที่ใส่กางเกงขาสั้นที่โชว์ขาอันเรียวยาว ด้านบนสวมเสื้อเชิ้ตสีเหลือง ดูแล้วมีชีวิตชีวา เธอเดินเข้ามาและนั่งลงข้างๆฉินเฟิง
แปลกจริงๆ
คนๆนี้ไม่เคยเลิกงานก่อนเวลาเลย ทำไมวันนี้ถึงเลิกงานก่อนเวลาตั้งสิบนาที
หลิวหลินชายตามองฉินเฟิงเพียงครั้งเดียว และเธอก็แสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาทั่วไป แต่เธอก็รู้สึกสงสัยมากๆในใจ เธอตรวจสอบข้อมูลของฉินเฟิงอย่างละเอียด แต่ไม่มีข้อมูลอะไรเลย ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าคนๆนี้ผิดปกติทันที
เขาอาจจะเป็นทายาทรุ่นสองที่พิเศษ
ถึงแม้เขาจะเป็นทายาทรุ่นสองที่พิเศษ แต่เธอก็ไม่ยอมให้ฉินเฟิงทำเรื่องชั่วๆที่นี่เด็ดขาด
ดังนั้นเธอก็เลยไปตรวจสอบข้อมูลของฉินเฟิง วันนี้เป็นวันหยุด เธอก็เลยมาเฝ้าจับตามองโดยเฉพาะ แต่ในรายงานของเขาบอกว่าฉินเฟิงไม่เคยเลิกงานก่อนเวลาเลย
เพราะเขาเป็นพนักงานดีเด่น
แต่ทำไมวันนี้เขาถึงเลิกงานก่อนเวลา
มันแปลกจริงๆ
ต้องมีอะไรแน่นอน
หลิวหลินเป็นตำรวจที่มีความสามารถยอดเยี่ยม เธอสังเกตเห็นปัญหาได้ในทันที แต่ในเวลานี้ ข้างๆของเธอก็มีเสียงดังขึ้น: ไม่มีปัญหา วันนี้ลูกสาวอยากกินไก่ต้ม ฉันจะอ้อมไปซื้อให้ ดังนั้นฉันก็เลยลางานและกลับมาบ้านก่อนเวลา คุณไม่ต้องดีใจขนาดนี้ก็ได้
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
มันก็สมเหตุสมผลนะ ลูกสาวอยากกินไก่ต้ม เขาต้องอ้อมไปซื้อ ดังนั้นเขาก็เลยลางาน
แต่ประเด็นคือ หลิวหลินรู้ตัวทันที ทำไมฉินเฟิงต้องพูดคำเหล่านี้ให้เธอได้ยินด้วย ฐานะของตัวเองถูกเปิดเผยแล้วใช่ไหม?
อืม ฐานะของเธอถูกเปิดเผยแล้วจริงๆ
ฉินเฟิงถอนหายใจ: ตอนเช้าวันนี้คุณใส่กางเกงขาวยาว และสวมหมวกสีขาว ตอนบ่ายวันนี้คุณใส่กางเกงขาสั้น ไม่ได้ใส่หมวกและเปลี่ยนทรงผมด้วย ถ้ามองครั้งแรก คุณก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่คุณมีจุดหนึ่งที่ปลอมตัวได้ไม่แนบเนียน บ่ายวันนี้คุณปลอมตัวเป็นนักศึกษาใช่ไหม
แต่คุณไม่มีเครื่องประดับใดๆเลยของเด็กนักศึกษา เช่นสร้อยข้อมือ สร้อยคอ และคุณควรรู้ว่านักศึกษาเป็นวัยที่คบหาดูใจสูงที่สุด อย่างน้อยนักศึกษาเหล่านี้ก็จะใส่ใจกับภาพลักษณ์ของตัวเอง
ฉันคิดว่า ตอนที่คุณเรียนมหาลัย น่าจะเรียนมหาลัยของตำรวจ มหาลัยตำรวจไม่ได้แต่งตัวแบบนี้ ฉันคิดว่าคุณไม่เคยคบหาดูใจกับใครเลยตอนเรียนมหาลัย ดังนั้นคุณก็เลยไม่มีเครื่องประดับและไม่ได้สนใจเรื่องเครื่องประดับด้วย
ใช่ไหม คุณตำรวจ
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินเฟิง ทำให้หลิวหลินตกใจจนหยุดหายใจไปชั่วครู่ เธอโดนเปิดเผยฐานะเพราะเรื่องนี้เหรอ?
หลายปีมานี้ เธอได้อันดับหนึ่งมาโดยตลอดจากการแข่งขันของกรมตำรวจ เธอเป็นคนที่ชอบเอาชนะ แต่กลับมาโดนเปิดเผยแบบนี้ ทำให้เธอรับไม่ได้ แต่ผ่านไปแค่หนึ่งวินาที เธอก็อึ้งไปเลย เธอคิดบางอย่างออกทันที
เดี๋ยวก่อน ถ้าตอนนี้ฉันเป็นนักศึกษาของมหาลัยตำรวจล่ะ? และพอดีฉันผ่านมาทางนี้ ข้อสมมุติฐานนี้ คุณได้ตัดออกไปหรือเปล่า หรือว่าคุณลืมไปแล้ว หลิวหลินรีบถามทันที
ฉินเฟิงยืนขึ้น มองไปที่เธอและพูด: ข้อสมมุติฐานนี้ฉันไม่ได้ตัดออก ดังนั้น ตอนนี้ฉันกำลังหลอกถามคุณไง
ใช่
อิ่นซินไม่อยากกลับไปจริงๆ เธออดทนมามากพอแล้ว ตระกูลที่กลั่นแกล้งเธอตั้งแต่เล็กจนโต ทำให้เธอรู้สึกว่าตระกูลอิ่นนั้นเย็นชามากๆ และคนในตระกูลก็แล้งน้ำใจต่อเธอมากๆเหมือนกัน
ตระกูลแบบนี้ ไม่กลับไปดีกว่า
เสี่ยวซิน
แต่อิ่นหยวนที่อยู่ข้างๆรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที ถ้าไม่ได้กลับไป ก็ไม่สามารถกลับเข้าตระกูลอิ่นอีก สำหรับผู้ชายหัวโบราณอย่างเขา ความรู้สึกเหมือนตัวเองหมดคนสืบสกุลไปแล้ว
คุณพ่อ คุณลืมวันนั้นไปแล้วเหรอ ตอนที่ฉันอยู่ในบริษัท พวกเขาทำอะไรกับฉันบ้าง?
อิ่นซินหันหน้ากลับมาและมองอิ่นหยวน
คือ……
อิ่นหยวนลังเลอยู่ชั่วครู่ วันนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ คนส่วนมากของตระกูลอิ่น ไม่มีใครสุภาพหรือเกรงใจกับอิ่นซินเลย พวกเขาทุกคนมองเธอด้วยสายตาเย็นชาและดุด่า
เธอคือลูกสาวของฉันนะ
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกสับสนในใจมากๆ
เอาอย่างนี้ละกัน ลูกคนต่อไปของฉันกับฉินเฟิง จะให้ใช้นามสกุลอิ่น ไม่ใช้นามสกุลฉิน โอเคไหม ให้เขาสืบสกุลอิ่นต่อไป อิ่นซินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่และพูด
ก็ได้
อิ่นหยวนถูกบังคับให้ตอบตกลง
ตอนนี้ก็มีทางเลือกนี้เพียงทางเดียว อิ่นซินทรยศออกจากตระกูลอิ่นแล้ว มันก็ทำได้เพียงแค่นี้
เดี๋ยวฉันค่อยอธิบายให้คุณฟัง
สำหรับฉินเฟิง เธอเอื้อมมือออกไปและดึงเขาไว้
ได้
ฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ
หลังจากนั้นอิ่นซินก็พูดกับอิ่นเสี้ยงสวี่กับอิ่นป่ายว่า: พวกคุณสองคนเชิญกลับไปเถอะ ฉันเคยพูดแล้ว ถ้าอยากให้ฉันกลับไป ก็ให้คุณปู่มาเชิญเอง
ไปกันเถอะ
สีหน้าของอิ่นป่ายดูโหดเหี้ยมเล็กน้อย แต่เมื่ออิ่นซินพูดถึงขนาดนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ต่อได้อีก ดังนั้นเขากับอิ่นเสี้ยงสวี่ก็จากไปทันที
ที่รัก ฉันขอโทษ เรื่องนี้ฉันยังไม่เคยปรึกษากับคุณเลย และตัดสินใจเอง เพราะคุณพ่อของฉันให้ความสำคัญกับเรื่องสืบสกุลมากๆ ฉันกับหนิงหยู่ต่างก็เป็นผู้หญิง ถ้าหนิงหยู่แต่งเข้าตระกูลตู้ ด้วยฐานะที่ร่ำรวยของตระกูลตู้ พวกเขาไม่ยอมให้ลูกใช้นามสกุลฝั่งแม่อย่างแน่นอน
อิ่นซินดึงมือของฉินเฟิงไว้และพูดอ้อนวอน
เธอรู้ตัวดี สำหรับผู้ชายคนหนึ่ง ถ้ามีลูกแล้วลูกไม่สามารถใช้นามสกุลของเขาได้ มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดมากๆ เรื่องนี้ เธอก็ไม่มีทางเลือก
เจ้าเด็กโง่ ลูกจะใช้นามสกุลของคุณ มันเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
ฉินเฟิงลูบศีรษะของอิ่นซินเบาๆ
สำหรับเขา เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณต่ออิ่นซินมากๆ ถ้าให้ลูกคนหนึ่งใช้นามสกุลของอิ่นซิน มันก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว และการที่ฉินกั่วกั่วสามารถใช้นามสกุลฉิน มันเป็นเรื่องที่ฉินเฟิงไม่เคยคาดคิดมาก่อน
คนที่พึ่งแต่งงานแล้วหายตัวไปเลย
และหายตัวไปเป็นเวลาเจ็ดปี มีลูกเพียงคนเดียวก็ยังใช้นามสกุลของพ่อด้วย มันเป็นเรื่องที่ดีมากๆแล้ว
ในเวลานี้ ฉินเฟิงมองไปทางทิศเหนือ มีเมืองหนึ่งทางตอนเหนือที่ชื่อว่าจิงตู เป็นเมืองหลวงของประเทศต้าหัว ถ้าให้ตระกูลฉินที่มีชื่อเสียงมากๆในเมืองจิงตูรู้ว่าทายาทของพวกเขาใช้นามสกุลของภรรยา พวกเขาคงโกรธมากๆอย่างแน่นอน
ตระกูลใหญ่ ให้ความสำคัญกับเรื่องสืบสกุลมากๆ
โดยเฉพาะคนของตระกูลฉินที่เป็นตระกูลชั้นแนวหน้าแบบนี้
ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่ฉินเฟิง ฉันเคยพูดแล้ว ในเวลาครึ่งปี ถ้าคุณหาเงินสองล้านหยวนไม่ได้ คุณก็อยู่ที่นี่ไม่ได้ นี่คือเงื่อนไขของฉัน ลูกสาวของฉันไม่ควรอยู่กับคนไร้ประโยชน์อย่างนั้น
ถึงแม้อิ่นหยวนจะรู้สึกว่าตัวเองติดหนี้บุญคุณฉินเฟิง แต่อย่างน้อยเขาก็เป็นพ่อตา มีบางเรื่อง จำเป็นต้องพูดออกมา ถึงแม้จะเป็นอย่างนี้ เขาก็มีเงื่อนไขเหมือนกัน
เดี๋ยวนะ ที่รัก คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจะมาที่นี่? หรือว่า?
อิ่นซินมองหน้าฉินเฟิงด้วยความสงสัย เธอเป็นประธานหญิงที่เย็นชา และเธอก็รู้สึกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ชอบมาพากล ช่วงนี้พวกเขาทำอะไรก็ราบรื่นไปหมด
เหมือนมีเทวดาค่อยคุ้มครอง
มันไม่สมเหตุสมผลเลย
คุณลืมไปแล้วเหรอ ประธานบริษัทคนนั้นกลับมาจากการเป็นทหารที่อีสเตอร์แลนด์ ทหารของอีสเตอร์แลนด์มีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่ง ให้ความสัมพันธ์กับมิตรภาพมากๆ ในเมื่อเขาชอบเหล้าขาวของหนิวหลันซานที่คุณมอบให้เขา ถ้างั้นเขาก็ไม่ลืมคุณอย่างแน่นอน
ฉินเฟิงอธิบายทันที
เป็นอย่างนี้นี่เอง
อิ่นซินคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วก็เป็นอย่างนี้ พวกเขาเป็นทหารของอีสเตอร์แลนด์เหมือนกัน เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะเข้าใจกัน พอได้ยินแบบนี้ เธอก็หายสงสัยทันที
คงเป็นเพราะเธอ ไร้เดียงสาและโชคดีมากๆ
เดี๋ยวนะ คุณแม่……
จู่ๆอิ่นซินมองไปที่จางลี่ เธอมีบางเรื่องที่อยากจะถาม
แต่จางลี่สองมือจับเอว และพูดด้วยความโกรธ: ฉันไม่สน ฉันไม่ยอมกินไม้กวาดอย่างแน่นอน พวกคุณจะใจดำจริงๆและให้ฉันกินไม้กวาดเหรอ? เพราะผู้ชายคนนั้น ดวงดีมากกว่า เขาไม่ดวงดีทุกครั้งแน่นอน
เมื่อพูดจบ สีหน้าของจางลี่บูดบึ้งและเดินจากไปทันที
ก่อนหน้านี้เธอพูดจาโอหัง บอกว่าคนอย่างอิ่นป่าย ไม่มีทางมาขอโทษด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ยังพูดว่าถ้าพวกเขามาจริงๆ เธอก็จะยอมกินไม้กวาด แต่ผ่านไปเพียงแค่วินาทีเดียว พวกเขาก็มาจริงๆ และทำให้เธอขายหน้าต่อหน้าฉินเฟิงมากๆ
ครั้งที่แล้วก็ให้โดดลงจากชั้นสอง
ครั้งนี้ให้กินไม้กวาด
เธอไม่รู้ทำไมตัวเองถึงดวงซวยขนาดนี้ ทุกครั้งที่ฉินเฟิงพูดอะไรออกมาก็พูดถูกตลอด แต่เธอพูดอะไรก็ผิดไปหมด ต้องรู้ไว้นะว่าเธอดูถูกฉินเฟิงมาโดยตลอด
เพราะเขาเป็นลูกเขยที่ฐานะยากจนมากๆ
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ฉินเฟิงพูดให้เธอทำตามคำพูดที่เธอเคยพูดไว้ เธอก็เลยรีบออกไปเล่นไพ่นกกระจอกทันที
เห้อ
อิ่นซินมองจางลี่แล้วส่ายหัว
และวันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงก็ไปที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เมื่อขึ้นไปชั้นบนสุดของตึก หลังจากเปิดประตู ก็เห็นเฝิงกางกำลังนั่งดื่มน้ำชาอยู่ เมื่อเขาเห็นฉินเฟิงเข้ามา เขาก็รีบวางถ้วยน้ำชาทันที
เขายืนขึ้นและพูดกับฉินเฟิง: ท่านประธาน
ในห้องทำงานยังมีผู้หญิงอีกหนึ่งคน เธอใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวและกระโปรงสั้น นิสัยโอบอ้อมอารี เธอคือหลี่เชี่ยนที่เคยเจอเมื่อครั้งที่แล้ว เธอเป็นเลขาส่วนตัวของเฝิงกาง เป็นคนที่มีความสามารถมากๆ
ท่านประธาน
หลี่เชี่ยนกล่าวคำทักทาย เพราะเธอรู้จักฉินเฟิง
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เธอไม่เข้าใจ ถึงแม้ฉินเฟิงจะเป็นประธานบริษัท ทำไมเฝิงกางถึงกลัวฉินเฟิงมากขนาดนี้ เธอมีความรู้สึกเหมือนฉินเฟิงกำลังจะฆ่าเขาเลย
มันแปลกมากๆ
อืม
ฉินเฟิงนั่งลงบนเก้าอี้ของประธานบริษัท เขาใส่เสื้อธรรมดามากๆ ดูไม่เข้ากับสถานที่แห่งนี้เลย
ท่านประธาน สำหรับเรื่องของหลิวลานเมิ่ง ฉันได้ทำโทษเธอแล้ว ได้หักเงินโบนัสประจำปีและหักเงินรางวัลบางส่วน เธอยังมาถามฉันด้วย แต่ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเธอ
เฝิงกางยืนอยู่ข้างๆรีบรายงานเรื่องนี้ทันที
ทำแค่นี้ก็พอแล้ว ยังไงซะเธอก็เป็นเพื่อนสนิทของภรรยาฉัน
ฉินเฟิงโบกมือ และไม่สนใจเรื่องนี้อีก ปล่อยให้หลิวลานเมิ่งสับสนไปเรื่อยๆ บางทีจนถึงตอนนี้เธอยังไม่รู้ว่าตัวเองล่วงเกินผิดใจกับใครกันแน่
หลี่เชี่ยนที่อยู่ข้างๆรู้สึกงุนงง พวกเขาไม่ได้เป็นแฟนกัน แล้วทำไมถึงต้องกลั่นแกล้งหลิวลานเมิ่งด้วย แต่เธอก็ทำตามคำสั่งทุกอย่างของเฝิงกาง เธอเข้าใจดี เรื่องที่ควรพูดก็พูด เรื่องที่ไม่ควรพูดก็ห้ามพูดเด็ดขาด
ในเวลานี้ ฉีหยุนเดินเข้ามาในห้อง ในมือมีเอกสารฉบับหนึ่ง: คุณครับ ฉันตรวจสอบเจอแล้วครับ
ออกไปกันเถอะ
เฝิงกางเป็นคนฉลาด รู้ว่าฉีหยุนจะพูดคุยกับฉินเฟิง เขาก็เลยรีบเดินออกจากห้องพร้อมกับเลขา
อ่านออกมาเลย
ฉินเฟิงให้สัญญาณ
เมื่อเจ็ดปีก่อน คู่แข่งของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปคือบริษัทเหอเหิง ในนั้นมีผู้จัดการสองคนที่รับผิดชอบเจรจากับอิ่นซิน หนึ่งในนั้นถูกตรวจพบว่าวางยาในวันนั้น และเข้าคุกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเสียชีวิตในคุก ส่วนอีกคนหนีไปและหลบซ่อนตัวมาโดยตลอด พวกเราพยายามอย่างมากกว่าจะหาตัวเขาจนเจอ
มาเชิญกลับไปด้วยตัวเอง? ฮ่าๆๆ คุณพูดล้อเล่นใช่ไหม
จางลี่หัวเราะออกมาทันที: ฉินเฟิง สมองของคุณมีปัญหาใช่ไหม หรือว่าทำงานบ้านมากจนเกินไป คุณเกิดภาพหลอนใช่ไหม คำพูดที่เสี่ยวซินเคยพูดไว้ได้ล่วงเกินผิดใจกับตระกูลอิ่นไปแล้ว และเธอก็ไม่สามารถเรียกคำพูดเหล่านั้นกลับคืนมา
คุณแม่ พูดจาเกรงใจหน่อยได้ไหม
อิ่นซินมองเห็นแม่ของตัวเอง เพราะเธอพูดจาแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เธอขมวดคิ้วและพูดออกมาทันที
ทำไมฉันต้องพูดเกรงใจ? เขาก็แค่ผู้ชายที่เป็นแมงดาและเกาะผู้หญิงกิน ฮ่าๆๆ ยังพูดว่าคนในตระกูลจะมาเชิญเธอกลับไปด้วยตัวเอง ถ้าคนในตระกูลมาจริงๆ ฉันจะกินไม้กวาดที่เขาถืออยู่
จางลี่ชี้ไปที่ไม้กวาดที่อยู่ในมือของฉินเฟิง
เธอรู้จักคนในตระกูลเป็นอย่างดี พวกเขาทุกคนหยิ่งผยองมากๆ และตอนนี้พวกเขาได้เปรียบ อยากให้พวกเขามาเชิญกลับไปด้วยตัวเอง มันเป็นไปไม่ได้
ก๊อกๆๆ!
แต่ในเวลานี้ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ใครคะ?
จางลี่เดินไปข้างหน้า เปิดประตูด้วยหงุดหงิดเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีคนสองคนเดินเข้ามาจากประตู ทำให้อิ่นหยวนและคนอื่นๆอึ้งไปเลย
เพราะสองคนนี้คืออิ่นป่ายกับอิ่นเสี้ยงสวี่
ป้าสะใภ้ใหญ่
เมื่ออิ่นป่ายมองเห็นจางลี่ เขายิ้มด้วยความดีใจมากๆ เขายื่นกระเป๋าใบหนึ่งให้เธอทันที: ป้าสะใภ้ใหญ่ เนื่องจากฉันงานยุ่งมากๆ ก็เลยไม่มีเวลามาเยี่ยมคุณเลย นี่เป็นของเล็กๆน้อยๆที่ผมซื้อมาให้คุณ โปรดรับไว้ด้วย
LVรุ่น65 นี่เป็นกระเป๋าแบบใหม่เลยนะ
จางลี่มองเห็นกระเป๋าLVใบนั้น ทำให้ตาของเธอเป็นประกาย
อิ่นป่าย อิ่นเสี้ยงสวี่ พวกคุณมาทำไม?
อิ่นซินยืนขึ้นและมองไปที่พวกเขาสองคน สีหน้าของเธอไม่พอใจเล็กน้อย
เป็นเพราะสองคนนี้ กลั่นแกล้งเธอสารพัด ในที่สุดก็ไล่เธอออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ไล่เธอออกจากตระกูลอิ่น
พวกเราเหรอ พวกเรามาขอโทษคุณด้วยตัวเอง และมาเชิญคุณกลับไป เพราะคุณปู่ไตร่ตรองและรู้สึกกว่าพวกเราทำเกินไป เพราะพวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ควรทะเลาะกันจนถึงขนาดนี้
อิ่นป่ายพูดเกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุด และพูดอย่างจริงจัง
อันที่จริง เขาไม่อยากมาที่นี่เลย ก่อนหน้านี้พวกเขาไล่อิ่นซินออก ตอนนี้พวกเขาต้องมาที่นี่เพื่อพูดอ้อนวอนและเชิญเธอกลับไป นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
แต่พวกเขาไม่มีทางเลือกและจำเป็นต้องมา ถ้าไม่มาก็จะทำให้บริษัทล้มละลาย
ตอนนี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นสิ่งที่พวกเขาครอบครองอยู่ มันจะล้มละลายแบบนี้ไม่ได้
อะไรนะ คุณท่านอิ่นเสียใจมากๆที่ตัดสินใจผิด ตอนนี้อยากให้พวกเรากลับไปเหรอ?
อิ่นหยวนที่กำลังสูบบุหรี่ทีละม้วนๆ ยืนขึ้นด้วยความตื่นเต้น เขายังนึกว่าตัวเองไม่สามารถกลับไปอีกแล้ว เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะเกิดเรื่องดีๆแบบนี้ ตอนนี้คุณท่านอิ่นเปลี่ยนใจอีกครั้ง
ใช่ครับ คุณปู่ครุ่นคิดมาหนึ่งคืนและรู้สึกผิดต่อพวกคุณมากๆ ดังนั้นเขาก็เลยให้พวกเรามาเชิญพวกคุณกลับไปที่บริษัทในวันนี้ สิ่งของพวกนี้เป็นคำขอโทษจากพวกเรา
อิ่นป่ายชี้ไปที่สิ่งของต่างๆจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังของเขา
เมื่อชำเลืองมอง ก็รู้ว่าสิ่งของเหล่านี้มีราคาแพง มีมูลค่าแสนกว่าหยวน เหตุผลที่ซื้อของแพงขนาดนี้ก็เพื่อต้องการมัดใจจางลี่ไว้ เพื่อมัดใจของเธอ พวกเขาใช้เงินในการซื้อของไปจำนวนมาก
เกรงใจมากเกินไปแล้ว
จางลี่พูดจาอ่อนน้อมถ่อมตน แต่มือของเธอหยิบของขึ้นมาทีละชิ้นๆ เธอหัวเราะและดีใจมากๆ
ได้ พวกเรารับปาก……
อิ่นหยวนกำลังจะรับปาก แต่โดนอิ่นซินพูดขัดจังหวะทันที: เดี๋ยวก่อน ฉันไม่รับปากเรื่องนี้
เสี่ยวซิน เพราะอะไร นี่คือโอกาสที่พวกเราสามารถกลับไปที่ตระกูลอิ่นนะ อิ่นหยวนพูดกับอิ่นซินด้วยสีหน้ากังวล
แต่อิ่นซินกลับมีสีหน้าที่สงบ เธอกอดอกและนั่งอยู่บนโซฟา เผยรอยยิ้มที่มุมปาก: อิ่นป่าย เรื่องมันไม่ง่ายขนาดนั้นใช่ไหม ด้วยนิสัยของคุณ มาเพื่อขอโทษฉันเฉยๆเหรอ ฉันคิดว่าบริษัทน่าจะเกิดปัญหาใหญ่แล้วใช่ไหม
ถ้ามีความผิดปกติย่อมมีเรื่องอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นแน่ๆ
อิ่นป่ายรู้จักอิ่นซินเป็นอย่างดี ดังนั้นอิ่นซินก็รู้จักอิ่นป่ายเป็นอย่างดีเช่นกัน อิ่นป่ายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอคนนี้เป็นคนที่หยิ่งผยองและอวดดี เมื่อเขาได้รับความโปรดปรานจากคุณท่านอิ่น และเขาก็ต้องการครอบครองบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมาโดยตลอด และอยากจะไล่เธอออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปตลอดเวลา
ให้อิ่นป่ายมาขอโทษ?
และมาขอโทษด้วยตัวเอง และมาพูดอ้อนวอนฉัน?
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปจะต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ให้ตายสิ!
อิ่นป่ายแอบด่าอยู่ในใจ เขาไม่คาดคิดว่าอิ่นซินจะเดาเรื่องนี้ออก ถ้าไม่ใช่บริษัทเกิดวิกฤต เขาไม่ยอมมาที่นี่อย่างแน่นอน แต่เขาก็ยังคงยิ้มกว้างๆและพูด: บริษัทเกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่
ไม่ใช่ปัญหาใหญ่? ถ้างั้นฉันคงไม่ต้องกลับไปแล้ว ปัญหาไม่ใหญ่ ฉันจะกลับไปทำไม
อิ่นซินนั่งอยู่บนโซฟา และเธอก็ไม่อยากกลับไป
ผู้หญิงชั้นต่ำ!
อิ่นป่ายกำมือข้างหนึ่งของตัวเองไว้แน่ ในอกของเขาเต็มไปด้วยไฟโทสะ ตอนนี้เขาอยากจะหันหลังและเดินจากไปทันที แต่เมื่อคิดถึงวิกฤตของบริษัท เขาก็ต้องจำใจยืนอยู่ตรงนี้
บริษัทเกิดปัญหาใหญ่นิดหน่อย บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมาที่บริษัทของเรา บอกว่าสัญญาฉบับนั้นให้คุณเซ็นและบอกว่าต้องเป็นคุณเท่านั้นที่มารับผิดชอบโปรเจกต์นี้
ถึงแม้อิ่นป่ายไม่อยากพูด แต่เขาก็ต้องพูดออกมา
ไม่แปลกใจเลย
ตอนนี้อิ่นซินเข้าใจทันที แต่เธอกลับมองไปที่ฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆ เรื่องเซ็นสัญญาของเธอกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้รับความช่วยเหลือจากฉินเฟิง และเมื่อก่อนหน้านี้ฉินเฟิงก็พูดว่า พวกเขาต้องมาเชิญเธอกลับไปด้วยตัวเอง
และพวกเขาก็มาเชิญเธอกลับไปด้วยตัวเองจริงๆ
หรือว่า……เดี๋ยวค่อยถามละกัน
น้องสาว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกันขนาดนี้ก็ได้ คุณกลับไปที่บริษัทเถอะ พวกเรายังเก็บตำแหน่งเดิมไว้ให้คุณ และตำแหน่งเดิมของคุณก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
อิ่นป่ายพูดจาโน้มน้าวจิตใจของเธอ
แต่อิ่นซินหัวเราะอย่างเย็นชา: ตำแหน่งเดิม ฮ่าๆๆ อิ่นป่ายคุณคิดแผนการได้ยอดเยี่ยมและได้เปรียบกับตัวเองจริงๆ เดิมทีฉันก็เป็นประธานของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป บริษัทนี้ฉันสร้างขึ้นมาด้วยมือของตัวเอง ก่อนหน้านี้คุณปู่เคยพูดไว้แล้ว ใครสามารถเซ็นสัญญาและได้โปรเจกต์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป คนๆนั้นก็จะเป็นประธานบริษัท
ฉันได้โปรเจกต์นั้นมา แต่หลังจากนั้นพวกคุณก็พูดว่า ฉันล่วงเกินผิดใจกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ทำให้บริษัทเกิดปัญหามากมาย และฉันก็จัดการปัญหาเหล่านั้นทั้งหมด จนตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายไปแล้ว
คุณคิดว่าตำแหน่งประธานบริษัทควรเป็นของฉันไหม?
อิ่นซินถามอิ่นป่ายทีละประโยค
อิ่นป่ายสีหน้าขาวซีดทันที เขาคิดไว้แล้ว ครั้งนี้อิ่นซินจะต้องขอตำแหน่งประธานบริษัทอย่างแน่นอน แต่เขาทำทุกวิถีทางและทำทุกอย่างกว่าจะได้ตำแหน่งนี้มาครอง ตอนนี้ต้องยกตำแหน่งนี้ให้อิ่นซินเหรอ
แต่เขาไม่เต็มใจที่จะสละตำแหน่งนี้
ดังนั้น อิ่นป่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและก้มหน้าพูดกับอิ่นซิน: น้องสาว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน และใช้นามสกุลอิ่นเหมือนกัน คุณจำเป็นต้องทำถึงขนาดเลยเหรอ? และเรื่องแบบนี้ ฉันตัดสินใจไม่ได้ ต้องให้คุณปู่เป็นคนตัดสินใจ เอาอย่างนี้ละกัน คุณกลับไปที่บริษัทและทำงานก่อน จากนั้นรอให้สุขภาพของคุณปู่แข็งแรงกว่านี้หน่อย ค่อยยกตำแหน่งประธานบริษัทให้คุณ คุณคิดว่าไง?
อิ่นป่าย ยังรอให้คุณปู่มีสุขภาพแข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยเหรอ? ถ้าสุขภาพของเขาไม่ดีขึ้นละ และเขาไม่เข้าบริษัทเลย ถ้างั้นตำแหน่งประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็คงเป็นของคุณใช่ไหม?
อิ่นซินเข้าใจความหมายจากคำพูดของอิ่นป่าย เขาอยากจะยืดเวลาออกไป ทำให้เธอหัวเราะอย่างเย็นชา: ถ้าอยากให้ฉันกลับไป ก็ให้คุณปู่มาหาฉันด้วยตัวเอง พวกคุณยังไม่คู่ควร
อ้อ ฉันจะไม่กลับไปที่ตระกูลอิ่นอีก ฉันเคยพูดแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานที่ฉันทรยศออกจากตระกูลอิ่นแล้ว ตอนนี้ฉันแค่ใช้นามสกุลอิ่นเฉยๆ สำหรับตระกูลที่แล้งน้ำใจและมีแต่ความเย็นชาแบบนั้น ฉันไม่กลับไปหรอก
อะไรนะ!
อิ่นป่ายตกใจมากๆ ตู้ต้วนเทียนคนนั้นเป็นผู้ชายเพลย์บอยไม่ใช่เหรอ ทำไมเขาถึงตบตีผู้หญิง ?
เขาควรอ่อนโยนกับผู้หญิงไม่ใช่เหรอ
ตอนนี้ควรทำยังไงดี?
อิ่นเสี้ยงสวี่ถามอิ่นป่ายอีกครั้ง
สายตาของทุกคนจ้องมองไปที่อิ่นป่าย เขาเป็นผู้รักษาการตำแหน่งประธานบริษัท และคนส่วนใหญ่ก็เคยพูดโอ้อวด แต่อิ่นป่ายไม่สนใจสายตาของทุกคน และมองไปที่คุณท่านอิ่น: คุณปู่ คุณมีวิธีจัดการเรื่องนี้ไหม?
เขาเหมือนโยนลูกบอล โยนปัญหาไปให้อีกฝ่าย
อิ่นป่ายก็ไม่อยากทำแบบนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือกจริงๆ ถ้าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปยังอยู่ละก็ เขาอาจจะส่งตัวอิ่นซินส่งให้อีกฝ่าย แลกกับให้อีกฝ่ายช่วยลงทุนกับบริษัทของเขาบ้าง
แต่ตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้ล้มละลายไปแล้ว
และมีข่าวรั่วไหลออกมาว่าประธานของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้เสียชีวิตแล้ว
และคุณท่านอิ่นที่เป็นผู้นำตระกูลอิ่น ตอนนี้เขาขมวดคิ้วและยังหาวิธีจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ดังนั้นเขาก็ถามคนอื่นๆ: พวกคุณทั้งหมด ช่วยเสนอวิธีแก้ไขเรื่องนี้หน่อย?
……
ทุกคนนิ่งเงียบ ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากพูด แต่เป็นเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไร พวกเขาก็หาวิธีแก้ไขปัญหาไม่ได้จริงๆ
บางที พวกเราลองไปเรียกอิ่นซินกลับมาไหม
ท่ามกลางทุกคน มีเสียงนี้ดังขึ้นมา
แต่ไม่มีใครพูดเห็นด้วยเลย เพราะเมื่อก่อนพวกเขาทั้งหมดเป็นคนไล่อิ่นซินออกไป ไล่ออกจากตระกูลอิ่น ไล่เธอออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ตอนนี้ต้องไปเชิญเธอกลับมาเหรอ?
นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่
ถึงแม้พวกเขาจะไปเชิญอิ่นซินกลับมา แต่อิ่นซินจะยอมกลับมาเหรอ?
ถึงแม้พวกเขาไปอ้อนวอนก็คงไม่มีประโยชน์
ทันใดนั้น มีพนักงานฝ่ายกฎหมายของบริษัทได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและพูดทันที: บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปฟ้องร้องบริษัทของพวกเราแล้ว และเรียกร้องให้พวกเราจ่ายค่าปรับที่ผิดสัญญาเดี๋ยวนี้!
พวกเขาใจร้อนเกินไปหรือเปล่า!
ทุกคนใจสั่นสะท้านทันที
เขาพึ่งจากไปไม่นาน ก็ฟ้องร้องบริษัทของพวกเราเลย
สัญญาฉบับนี้อยู่ตรงนี้ และเขียนไว้อย่างชัดเจน ถ้าหากบริษัทของเราผิดสัญญาและต้องจ่ายค่าปรับ พวกเราต้องหาเงินค่าปรับที่ผิดสัญญาให้ได้ภายในสามวัน มิฉะนั้น บริษัทของเราต้องล้มละลายอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ พวกเราจะหาเงินสามสิบล้านหยวนจากไหน คุณคิดว่าเงินจำนวนนี้มันจะตกลงมาจากสวรรค์เหรอ
ตอนนี้มีเพียงวิธีเดียวนั้นก็คือไปหาอิ่นซิน ไปขอร้องให้เธอยอมกลับมา เพราะสัญญาเหล่านี้เธอเป็นคนจัดการทั้งหมด ถ้าเธอยอมกลับมา บริษัทของเราก็จะผ่านพ้นวิกฤตนี้ทันที
ในที่สุดทุกคนก็ปรึกษากันและได้ข้อสรุปว่าต้องไปขอร้องอิ่นซินกลับมา
ทำไมถึงเป็นแบบนี้
สีหน้าของอิ่นป่ายมืดมนมากๆ เขากำมัดทั้งสองมือไว้แน่น เขาทำทุกวิถีทางกว่าจะได้ขึ้นมานั่งยังตำแหน่งประธานบริษัท แต่ตอนนี้เขากลับเจอเรื่องแบบนี้
เขาต้องไปอ้อนวอนให้อิ่นซินกลับมา?
แค่คนไม่สำคัญอย่างอิ่นซิน เธอคู่ควรที่ให้ตัวเองไปเชิญเหรอ?
ในเวลานี้ คุณท่านอิ่นใช้ไม้เท้ากระแทกพื้น สีหน้าของเขาดูแย่มากๆ พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเล็กน้อย: มีวิธีเดียวคือต้องไปหาอิ่นซินแล้ว นอกจากวิธีนี้ ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว อิ่นป่าย คุณไปเชิญเธอกลับมา
ฉันเหรอ?
อิ่นป่ายอึ้งไปเลย
อืม ถ้าคุณไปเชิญ เธอจะได้เห็นความจริงใจที่พวกเรามีต่อเธอ คุณท่านอิ่นพูด
ฉันไม่ไป
อิ่นป่ายส่ายหัวและพูดปฏิเสธ
ก่อนหน้านี้เธอพยายามอย่างหนักเพื่อกลั่นแกล้งอิ่นซิน แต่ตอนนี้กลับให้เขาไปขอโทษเหรอ?
อิ่นป่าย คุณเป็นคนของตระกูลอิ่นหรือเปล่า เพื่อตระกูลอิ่นคุณเสียสละหน่อยไม่ได้เหรอ ก็แค่ไปกล่าวคำขอโทษเฉยๆ คุณก็ไม่ได้เสียประโยชน์อะไร จริงๆแล้ว ตอนนี้คุณกำลังทำเพื่อตระกูลอิ่น
คุณใช้นามสกุลอิ่นไม่ใช่เหรอ ทำเพื่อตระกูลหน่อยไม่ได้เหรอ
คนที่อยู่ข้างๆก็ด่าออกมาทันที และก็พูดด่าออกมาทีละคน
ในเวลานี้ อิ่นป่ายโดนด่าจนหน้าซีด ในที่สุดเขาก็โบกมือและพูด: ได้ ฉันไปเอง
เสี้ยงสวี่ก็ต้องไปด้วย พวกคุณต้องคิดหาทุกวิถีทางเพื่อให้อิ่นซินอภัยให้พวกเรา ความอยู่รอดของบริษัทขึ้นอยู่กับพวกคุณสองคนแล้ว
ในที่สุด คุณท่านอิ่นก็ถอนหายใจ และให้อิ่นเสี้ยงสวี่ไปด้วย
เพราะพวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
ถ้าไม่ยอมไป บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะล้มละลาย ถ้าล้มละลาย ตระกูลอิ่นก็จะล้มละลายแน่นอน
……
ในเวลานี้ อิ่นหยวนและคนอื่นๆกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขก อิ่นซินอุ้มฉินกั่วกั่วอยู่ จางลี่กำลังนั่งแต่งหน้าของตัวเอง และฉินเฟิงสวมเสื้อกันเปื้อนและกำลังถูพื้น
เสี่ยวซิน จากนี้ไปจะทำยังไงดี?
อิ่นหยวนเงยหน้ามองไปที่อิ่นซิน: พวกเราโดนไล่ออกจากตระกูล บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ไล่พวกเราออกด้วย ตำแหน่งของคุณก็หายไปแล้ว ตอนนี้พวกเราเหลือแค่หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว
ฉันรู้
อิ่นซินนวดหน้าผากของตัวเองและสีหน้าเธอก็ดูโศกเศร้า
สถานการณ์ในตอนนี้ มันยุ่งยากมากๆ เดิมทีภายในครอบครัวก็ไม่ค่อยมีเงิน จางลี่ที่เป็นแม่ของเธอ เป็นคนที่ชอบของแบรนด์เนมมากๆ ทุกเดือนต้องซื้อของแบรนด์เนมหลายหมื่นหยวน และบางเดือนก็อาจจะซื้อของแบรนด์เนมเป็นแสนหยวน
เดิมทีเธอและอิ่นหยวนยังมีงานให้ทำ แต่ตอนนี้พวกเขาโดนไล่ออกจากตระกูลและตกงานแล้ว
ตอนนี้พวกเราโดนตระกูลอิ่นทอดทิ้งแล้ว
อิ่นหยวนจับศีรษะของตัวเอง ตอนนี้เขายังรับความจริงเรื่องนี้ไม่ได้ เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับการสืบสกุลมากๆ เมื่อโดนไล่ออกจากตระกูล ทำให้เขายอมรับเรื่องนี้ไม่ได้
ฮ่าๆๆ ฉันคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดก็เพราะฉินเฟิง ถ้าพวกเราไม่ล่วงเกินผิดใจกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป พวกเราก็คงไม่เป็นแบบนี้
จางลี่โยนความผิดทั้งหมดฉินเฟิงและพูดด้วยความโกรธ
คุณแม่ คุณโทษสามีของฉันทำไม เขาทำเพื่อช่วยฉันไว้ และตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปก็ล้มละลายไปแล้ว ปัญหาของพวกเราก็ไม่มีแล้ว เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับเขา
อิ่นซินทำตัวเหมือนภรรยาที่แสนดี เธอยืนอยู่หน้าฉินเฟิงเพื่อปกป้องเขา
อันที่จริง เธอเป็นคนที่เจ็บปวดใจมากๆ เพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นมากับมือตัวเอง บางครั้งเธอยังฝันว่าตัวเองได้กลับไปดำรงตำแหน่งประธานบริษัท แต่ตอนนี้เธอโดนไล่ออกจากบริษัทแล้ว
สำหรับเธอ เป็นเรื่องที่เธอรับไม่ได้จริงๆ
ซึ่งหมายความว่าเธอจะไม่มีวันได้กลับไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปอีกแล้ว
ถึงแม้จะไม่มีอะไรเลย แล้วยังไงล่ะ คนในตระกูลจะยอมยกโทษให้เธอเหรอ เธอยังอาละวาดที่บริษัท บอกว่าตระกูลอิ่นทำไม่ดีต่อเธอ เรื่องนี้เธอทรยศออกจากตระกูลเอง ถ้าตอนนั้นเธอยอมอ่อนข้อ สถานการณ์ของพวกเราอาจจะไม่เป็นอย่างนี้ก็ได้
อิ่นหยวนเงยหน้าขึ้นมาและมองไปที่อิ่นซินด้วยสีหน้าที่โกรธ
ถ้าตอนนั้นเธอยอมอ่อนข้อก็ไม่มีประโยชน์ จุดประสงค์ของพวกเขาก็คือไล่เสี่ยวซินออกมา
ฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆพูดขัดจังหวะทันที
คุณมีสิทธิ์พูดเหรอ คุณมันก็แค่ผู้ชายกระจอกที่แต่งเข้าตระกูลผู้หญิง เป็นแมงดาที่มาเกาะผู้หญิงกินเท่านั้น
จางลี่พูดประชดใส่ฉินเฟิง จากนั้นก็พูดอีกว่า: ด้วยนิสัยของคนในตระกูล เธอไปอาละวาดขนาดนี้ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมให้เธอกลับเข้าตระกูลอีก จากนี้ไปพวกเราก็รีบๆขายหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นี้ได้แล้ว ฉันมีนักธุรกิจใจดี เขาต้องการหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นี้ เขายอมจ่ายสองล้านหยวน
จางลี่ชูนิ้วมือขึ้นสองนิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจ
เมื่อคืนมีคนมาหาเธอ บอกว่าจะซื้อหุ้นที่อยู่ในมือของพวกเธอ เขายอมจ่ายสองล้านหยวน นี่เป็นราคาที่สูงมากๆแล้ว ถ้าขายหุ้นจริงๆ เธอก็จะสามารถซื้อกระเป๋าLVได้หลายๆใบ
ขายหุ้น? ฉันไม่ยอม!
อิ่นซินส่ายหัวทันที
ไม่ขายเหรอ? ทำไม เธอคิดว่าตัวเองยังสามารถกลับไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเหรอ คุณไม่สามารถเอาตำแหน่งของประธานบริษัทคืนได้แล้ว เธอตัดใจได้แล้ว ตระกูลอิ่นไม่ยอมให้เธอกลับไปแน่นอน
จางลี่พูดหว่านล้อมอิ่นซิน
บางทีเธออาจจะได้กลับไปก็ได้ ฉินเฟิงพูด
ได้กลับไป? ฮ่าๆๆ มันเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อทะเลาะกันจนถึงขนาดนี้แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยอมให้เสี่ยวซินกลับไป ฉินเฟิงคุณเป็นคนโง่หรือเปล่า คุณคิดว่าตระกูลอิ่นจะยอมให้เธอกลับไปเหรอ
ไม่ ไม่ได้ให้กลับไป บางทีพวกเขาอาจจะมาเชิญเธอกลับไปด้วยตัวเองก็ได้
ฉินเฟิงสะบัดไม้กวาดและพูด
รีบโทรศัพท์ไปหาหลี่เทียนเฉิง
อิ่นป่ายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และพูดกับอิ่นเสี้ยงสวี่ทันที
เงินจำนวนสามร้อยล้านหยวน ตอนนี้ยังอยู่ในมือของหลี่เทียนเฉิง ถ้าทำโปรเจกต์นั้น แล้วได้เงินทุนสามร้อยล้านหยวนเข้ามา และทำผลกำไรร่วมกัน แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรอีกแล้ว
เงินค่าปรับผิดสัญญาตั้งสามสิบล้านหยวน
แต่ตอนนี้บริษัทของพวกเขามีเงินสดเพียงแค่ยี่สิบล้านหยวน ถ้าขายทรัพย์สินของบริษัททั้งหมดแล้วเอาเงินไปชดใช้ค่าผิดสัญญา บริษัทของพวกเขาคงต้องละลายอย่างแน่นอน ตอนนี้คงต้องใช้เงินสามร้อยล้านหยวนนั่นแล้ว
ได้
อิ่นเสี้ยงสวี่รับผิดชอบการเจรจาภายนอกของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ซึ่งเป็นงานด้านเดียวกับหลิวลานเมิ่ง เธอรีบโทรศัพท์ออกไป หลังจากที่อีกฝ่ายรับสายเธอก็พูดทันที: บอสหลี่ คือเรื่องเป็นแบบนี้……ตอนนี้พวกเราต้องการเงินบางส่วนเข้ามาลงทุนในบริษัทของเรา เพื่อเอาเงินจำนวนนี้ไปอุดรูรั่วของบริษัท
รูรั่ว? อุดรูรั่วของบริษัท ทำไมฉันต้องเอาเงินของฉันไปอุดรูรั่วของบริษัทพวกคุณด้วย
ในสายโทรศัพท์มีคำพูดเปลี่ยนใจของหลี่เทียนเฉิงดังออกมา
หลังจากนั้น ก็มีเสียงของหลี่เทียนเฉิงดังขึ้นอีกครั้ง: สามร้อยล้านหยวน คุณคิดว่าฉันโง่เหรอ ทำไมฉันต้องเอาเงินไปลงทุนกับบริษัทพังๆของพวกคุณด้วย? ตอนนี้โปรเจกต์นั้นของพวกคุณก็ถูกระงับแล้ว ทำธุรกิจแบบขาดทุน ฉันไม่เอาด้วยหรอก ฉันจะไม่ลงทุนกับบริษัทของคุณแม้แต่บาทเดียว
เมื่อพูดจบ โทรศัพท์ก็ถูกตัดสายทันที
ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาไม่กล้าทำแบบนี้อยู่แล้ว ถ้าก่อนหน้านี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปขอเงินลงทุนกับเขาหนึ่งร้อยล้านหยวน เขาก็จะยอมควักออกมาแต่โดยดี แต่เขาได้รับข่าวมาว่าอิ่นซินโดนไล่ออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว
ทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ
ในตอนนั้น คนๆนั้นเคยพูดไว้ว่า เขาได้ล่วงเกินอิ่นซิน
ในเมื่ออิ่นซินไม่ได้อยู่ที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว ถ้างั้นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขา บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็เป็นแค่บริษัทเล็กๆเท่านั้น
อิ่นเสี้ยงสวี่จับโทรศัพท์ไว้ เธอยังไม่ทันได้ตอบอะไรเลยก็โดนปฏิเสธแล้ว จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นไปมองทุกคนและพูด: หลี่เทียนเฉิงตอบปฏิเสธแล้ว บอกว่าจะไม่ลงทุนกับบริษัทของพวกเราแม้แต่บาทเดียว
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ โปรเจกต์นี้ใครเป็นคนรับผิดชอบในการเจรจา?
ในเวลานี้ คุณท่านอิ่นเดินเข้ามา ใบหน้าที่แก่ชราของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ: แค่มองก็รู้ว่าพวกเราล่วงเกินผิดใจกับอีกฝ่าย ใครเป็นคนเจรจาโปรเจกต์นี้ เดินออกมา ดูสิว่ายังมีโอกาสเจรจาใหม่อีกครั้งไหม
สายตาของคุณท่านอิ่นมองไปที่ทุกคน
แต่ไม่มีคนยืนขึ้นเลย
ทำไม กลัวโดนลงโทษเหรอ?
คุณท่านอิ่นมองไปรอบๆ แต่เขาพบว่าไม่มีใครขยับตัวเลย ทำให้เขาขมวดคิ้วขึ้นมาทันที: พวกคุณไม่มีใครมีความรับผิดชอบบางเหรอ? ฉันแค่ต้องการให้คนที่ไปเจรจาโปรเจกต์นี้ยืนขึ้นมา ฉันไม่ได้ต้องการจะด่าหรือต่อว่าเขา ตอนนี้พวกเราต้องการทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้น มันผิดพลาดตรงไหนกันแน่
ในห้องก็เงียบเหมือนเดิม
หลังจากผ่านไปสักครู่ มีคนเห็นสีหน้าของคุณท่านอิ่นเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ ก็มีเสียงเบาๆพูดออกมา: โปรเจกต์นี้ อิ่นซินเป็นคนที่ไปเจรจา
อิ่นซิน!
สีหน้าของคุณท่านอิ่นตกตะลึง เป็นอิ่นซินอีกแล้ว เขาไม่ได้มาที่บริษัทระยะเวลาหนึ่งแล้ว ทำให้เขาลืมเรื่องโปรเจกต์นี้ไปเลย แต่เขาคาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าการลงทุนสามร้อยล้านหยวน ก็เป็นอิ่นซินที่ไปเจรจา
คุณท่านอิ่นขมวดคิ้วทันที
จากนั้น คุณท่านอิ่นถอนหายใจและพูด: อ้อ ไปยืมเงินกับอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง พวกเรายังทำธุรกิจกับพวกเขาอยู่ น่าจะยืมเงินสิบล้านหยวนได้ไม่ยาก
ในด้านผู้จัดจำหน่าย ก็คงเหลือแค่ตู้ซื่อกรุ๊ปกับอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางแล้ว
สำหรับอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง ครั้งที่แล้วพวกเขาไม่ได้ทิ้งความร่วมมือกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปในระหว่างที่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกลั่นแกล้งและขึ้นบัญชีดำกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ป พวกเขาเป็นพันธมิตรที่ดีของพวกเราและไม่ทอดทิ้งพวกเราในช่วงเวลานั้น
ตอนนั้นพวกเขายังยืมเงินให้พวกเราห้าล้านหยวนด้วย
อสังหาริมทรัพย์หยวนฟางเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ถ้าขอยืมเงินสิบล้านหยวน คงไม่ใช่เรื่องยาก
ได้
อิ่นเสี้ยงสวี่รีบโทรศัพท์ไปหาอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางทันที แต่เมื่อโทรไปสักพัก สีหน้าของเธอก็ดูแย่มากๆและก็วางสาย พูดกับคุณท่านอิ่นว่า: คุณปู่ พวกเขาบอกว่าให้พวกเราคืนเงินห้าล้านหยวนที่ยืมไปก่อนหน้านี้ภายในวันนี้ ไม่งั้นพวกเขาจะฟ้องบริษัทเรา
อะไรนะ?
คุณท่านอิ่นตกตะลึงอีกครั้ง หลังจากหายใจลึกๆสองครั้ง เขาก็รีบพูดทันที: อสังหาริมทรัพย์หยวนฟางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทของพวกเราไม่ใช่เหรอ แม้แต่การชำระหนี้ครั้งที่แล้ว ยังให้ดอกเบี้ยพวกเราสามล้านหยวนเลย ทำไมตอนนี้ถึงบอกให้เราชำระหนี้ละ
เขารู้สึกถึงความผิดปกติทันที
คุณปู่ ครั้งที่แล้วที่คุณไปก็เป็นแค่ไปเป็นพิธีเฉยๆ คุณลืมไปแล้วเหรอ โปรเจกต์ของอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง ก็เป็นอิ่นซินเป็นคนไปเจรจาจนสำเร็จ
คนที่อยู่ด้านล่าง พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ
แล้วตระกูลตู้ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายละ?
ก็เป็นอิ่นซินไปเจรจาจนสำเร็จเหมือนกัน
ครั้งที่แล้วคุณท่านอิ่นไม่ได้มา และไม่รู้เรื่องของตู้ซื่อกรุ๊ป เรื่องทั้งหมดนี้ อิ่นป่ายก็ไม่ได้บอกให้เขาทราบ เขารู้แค่ว่าบริษัทของพวกเขาร่วมมือทำธุรกิจกับตู้ซื่อกรุ๊ป
แต่ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจน เรื่องทั้งหมดนี้อิ่นซินเป็นคนจัดการทั้งหมด
หรือว่าบริษัทขาดอิ่นซินไป ก็ไม่สามารถดำเนินการได้แล้ว?
คุณท่านอิ่นมองคนเหล่านี้ เขาทุบไม้เท้าตัวเองและรู้สึกหดหู่ในใจ: ร่วมมือทำธุรกิจกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป การเข้ามาลงทุนของบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ป การร่วมมือทำธุรกิจกับอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง การร่วมมือกับตู้ซื่อกรุ๊ป เรื่องทั้งหมดนี้อิ่นซินเป็นคนจัดการ แล้วพวกคุณนั่งทำอะไรอยู่?
……
ทุกคนในห้องต่างเงียบและไม่กล้าพูดอะไร
พวกเขามีทำงานบ้าง แต่เมื่อเทียบกับอิ่นซิน งานที่พวกเขาทำกลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลย และพวกเขาก็อายและไม่กล้าพูด และตอนที่เธออยู่ในบริษัท พวกเขากลั่นแกล้งอิ่นซินมาโดยตลอด เอางานที่ทำยากที่สุดโยนไปให้เธอจัดการคนเดียว
แต่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ เธอจะสามารถทำงานทุกอย่างได้สำเร็จและยอดเยี่ยม
พวกคุณยังมีวิธีอื่นอีกไหม?
คุณท่านอิ่นมองอิ่นป่ายด้วยสีหน้าเย็นชา และมองหน้าอิ่นเสี้ยงสวี่และคนอื่นๆด้วย
……
ทั้งห้องยังคงเงียบสงัด
ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องหาเงินมาลงทุนให้ได้สามสิบล้านหยวน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่มีเงินสามสิบล้านหยวน และเงินจำนวนนี้ก็เป็นเงินค่าปรับที่ผิดสัญญา ไม่มีใครโง่ขนาดนั้น ที่จะยอมเอาเงินจำนวนนี้มาลงทุน
ถ้าอิ่นซินยังอยู่ในบริษัท เรื่องทั้งหมดก็อาจจะเป็นไปได้
ในเวลานี้ ทุกคนคิดถึงอิ่นซินทันที
ทำพลาดไปจริงๆ
ในใจของทุกคนคิดถึงคำนี้ขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้พวกเขาดีใจมากๆที่สามารถไล่อิ่นซินออกจากตระกูลอิ่น และไล่เธอออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่คาดคิดไม่ถึงจริงๆ ความร่วมมือกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปในครั้งนี้ มันกลับมีปัญหา
คนทั่วไปเขาไม่สนใจว่าใครจะเป็นคนที่มาเซ็นสัญญา เขาแค่สนใจแค่ว่าบริษัทไหนมาเซ็นสัญญาเท่านั้น
สำหรับนักธุรกิจ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือผลประโยชน์
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร อิ่นซินคนนี้ ไม่รู้เธอดวงดีมาจากไหน ทำไมเธอถึงโชคดีมากขนาดนี้ เธอแค่ส่งเหล้าขาวของหนิวหลันซานให้เขาเพียงขวดเดียว เหมือนแมวตาบอดที่เจอหนูที่ตายแล้ว และเธอก็ทำให้ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปถูกใจเธอ
เขายังบอกอีกว่าต้องให้อิ่นซินเป็นคนมาเซ็นสัญญาฉบับนี้เท่านั้น
แต่อิ่นซินได้ถูกพวกเขาไล่ออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปแล้ว
ควรทำยังไงดี?
อิ่นเสี้ยงสวี่หันไปมองหน้าอิ่นป่ายด้วยสีหน้าประหม่า ถ้าจัดการเรื่องนี้ไม่ดี บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ต้องล้มละลายอย่างแน่นอน
หรือไม่ เธอไปหาตู้ต้วนเทียนไหม?
อิ่นป่ายพูดกับอิ่นเสี้ยงสวี่ด้วยความตื่นเต้นและประหม่า
ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าให้ใช้แผนสาวงาม แต่ทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เมื่อฟางเย้นแขนขาหักกลายเป็นคนพิการ การแก้แค้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป และสุดท้ายเรื่องการล้มละลายของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ทำให้เขาลืมเรื่องนี้ไปเลย
แต่ตอนนี้ วิธีนี้คือทางเดียวที่จะช่วยบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้
ฉันไปหามาแล้ว ฉันไปหาเขาตั้งแต่เมื่อคืน แต่อีกฝ่ายไม่ยอมเจอหน้าฉันเลย จากนั้นฉันก็คิดว่าวิธีจนไปอยู่ต่อหน้าเขา ฉันได้ถอดเสื้อผ้าได้แค่ครึ่งเดียว ก็โดนเขาตบหน้าทันที
อิ่นเสี้ยงสวี่จับหน้าของตัวเองและรู้สึกน้อยใจ เนื่องจากโดนตบหน้า ทำให้เธอเสียหน้ามากๆ ดังนั้นเธอก็ไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับอิ่นป่าย
เธอคิดไม่ออกจริงๆ เธอไม่ได้สวยน้อยไปกว่าอิ่นหนิงหยู่แม้แต่นิดเดียว รูปร่างก็เซ็กซี่ มีเสน่ห์ เป็นคนฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยม แต่ตู้ต้วนเทียนไม่มองตัวเองแม้แต่นิดเดียว
เธอยอมรับว่าตัวเองผิดหวังมากๆ
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
อิ่นป่ายอยู่ในห้องทำงานของประธานบริษัท นั่งอยู่ในเก้าอี้สำหรับประธานบริษัท มีความสุขกับชีวิตในฐานะท่านประธานบริษัท ถึงแม้เขาจะทำหน้าที่แทนประธานบริษัทก็ตาม เมื่อคุณท่านอิ่นไม่มาบริษัท เขาก็คือประธานบริษัท
ตำแหน่งนี้ เป็นตำแหน่งที่เขาปรารถนามานานแล้ว
คนโง่อย่างอิ่นซิน เธอคู่ควรมาต่อกรกับฉันเหรอ? ฮ่าๆๆ อิ่นป่ายหัวเราะเยาะอิ่นซินอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้อิ่นเสี้ยงสวี่เดินเข้ามาทันที: เกิดเรื่องแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นป่ายมองไปที่อิ่นเสี้ยงสวี่
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป อิ่นเสี้ยงสวี่รีบพูดออกมาทันที
อะไรนะ ล้มละลายแล้ว!
อิ่นป่ายตกใจจนอ้าปากค้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เมื่อวานบริษัทขนาดใหญ่อย่างบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปยังดีๆอยู่เลย วันนี้กลับล้มละลายไปแล้ว?
มันไม่ควรเป็นอย่างนี้
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นบริษัทท้องถิ่นที่จัดตั้งในเมืองเจียงเฉิงมานานแล้ว ล้มละลาย ล้มละลายได้ยังไง?
ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป? พวกเขามีความแค้นกันเหรอ ถึงได้ทำให้บริษัทของอีกฝ่ายล้มละลายไปเลย
ฉันไม่รู้
อิ่นเสี้ยงสวี่ส่ายหัว เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ทำไมบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปต้องทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายด้วย
ไม่ต้องสนใจอะไรมากแล้ว นี่คือเรื่องระหว่างพวกเขาสองบริษัท และมันไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา และการล้มละลายของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป สำหรับพวกเรามันเป็นเรื่องดี พวกเรามีโปรเจกต์ที่จะร่วมมือกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ถ้าพวกเราดำเนินการให้ดี และทำโปรเจกต์นี้ให้สำเร็จ บริษัทของเราก็จะใหญ่โตขึ้นอย่างรวดเร็ว นี่เป็นเรื่องที่ดีมากๆ
อิ่นป่ายรีบคว้าโอกาสทางธุรกิจไว้ทันที
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลาย เขาเป็นนักธุรกิจชั้นแนวหน้าของเมืองเจียงเฉิง เมื่อเขาล้มละลาย ส่วนแบ่งทางตลาดและพนักงานเหล่านั้นก็ต้องหาบริษัทใหม่
และบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่ทำธุรกิจร่วมกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป จะกลายเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุดสำหรับการร่วมมือของพวกเขา
เพราะประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปลงมือด้วยตัวเอง ทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลาย จากเรื่องนี้ก็ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความแข็งแกร่งของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่พึ่งพาได้
ใช่แล้ว พี่สาว คุณไปเชิญคุณท่านอิ่นกับประธานเฝิงของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป พวกเราต้องรีบๆหน่อย วันนี้พวกเราต้องจัดการเรื่องที่เหลือให้เสร็จ
อิ่นป่ายรีบสั่งการทันที ต้องจัดการเรื่องโปรเจกต์ให้เสร็จภายในวันนี้
วันนี้ต้องจัดการให้เสร็จ
เหตุผลที่ไปเชิญคุณท่านอิ่น เพราะมีเพียงเขาและประธานเฝิงที่มีฐานะเท่าเทียมกัน
ได้
อิ่นเสี้ยงสวี่เดินจากไปแล้ว
ในเวลาช่วงบ่าย บริษัทซานหยวนกรุ๊ปจัดการประชุมครั้งใหญ่ คุณท่านอิ่นก็มาร่วมประชุมด้วย เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ของประธาน ผ่านไปสักพัก มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา
ประธานเฝิง
อิ่นเสี้ยงสวี่เดินเข้าไปต้อนรับผู้ชายคนนั้นด้วยตัวเอง เธอโค้งคำนับและพูดประจบ
สมาชิกในตระกูลอิ่นหลายๆคนมองไปที่ประธานเฝิงด้วยความเกรงใจ พวกเขาส่วนใหญ่รู้เรื่องที่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลาย และรู้ว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
คาดว่าพวกเขาแค่โบกมือ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราก็ต้องล้มละลายแน่นอน
ดังนั้นต้องวางตัวให้ดีๆ
แต่ประธานเฝิงไม่ได้มีท่าทางใหญ่โตโอ้อวด เพราะเขารู้ดีแก่ใจ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นบริษัทของเถ้าแก่เนี้ย เมื่อเดินเข้ามาในบริษัทแล้วเขาก็ทำตัวค้อมต่ำ
แต่เมื่อเขามองไปรอบๆห้องประชุม แต่เขาไม่พบอิ่นซิน ทันใดนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
ประธานเฝิง นี่เป็นแผนงานที่พวกเราวางแผนเอาไว้ มีโปรเจกต์ด้วย ถ้าไม่มีปัญหาอะไร ก็เซ็นสัญญาได้เลย พวกเราก็สามารถเริ่มก่อสร้างได้เลย
อิ่นป่ายเดินเข้ามาและถือสัญญาไว้ในมือ
ก่อนหน้านี้ที่พวกเขายังไม่ได้ก่อสร้าง เพราะพวกเขาต้องการเตรียมงานไว้ก่อน
ตอนนี้งานที่เตรียมไว้ก็ทำจนเสร็จแล้ว ถ้าเซ็นสัญญาฉบับนี้แล้ว พวกเขาก็จะเริ่มก่อสร้างทันที ถ้าเซ็นสัญญาฉบับนี้จริงๆ พวกเราก็จะร่วมมือกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอย่างเป็นทางการ เมื่อถึงเวลานั้นบริษัทต่างๆในเมืองเจียงเฉิงก็คงมาขอความร่วมมือกับพวกเขาอย่างแน่นอน
เพราะนี่เป็นบริษัทขนาดใหญ่เลยนะ
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่อิ่นป่ายได้ส่งมอบสัญญาฉบับนี้ให้เขาด้วยความดีใจ แต่เฝิงกางไม่ได้รับสัญญาฉบับนี้ แต่เขากลับมองไปรอบๆห้องประชุม
หลังจากที่เขามองไปสองสามรอบแล้ว แต่เขาก็ไม่พบอิ่นซิน เขาจึงถามขึ้นมาทันที: บริษัทของพวกคุณ มีคนที่ชื่ออิ่นซินใช่ไหม เธอคือคนที่เซ็นสัญญากับฉันเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?
เอ่อ……คือ
อิ่นป่ายคาดคิดไม่ถึงจริงๆ จู่ๆเฝิงกางจะถามเรื่องนี้ออกมา เขาอึ้งไปชั่วครู่ จากนั้นก็ก้มหน้าและพูด: คนที่ชื่ออิ่นซิน ทำผิดกฎของบริษัท โดนไล่ออกไปแล้ว แต่คุณวางใจได้ คนที่มีความสามารถอย่างอิ่นซิน บริษัทของเรายังมีอีกเยอะ รับรองว่าจะทำให้โปรเจกต์นี้ได้ราบรื่นและสำเร็จ
ไม่
เฝิงกางโบกมือทันที: ตอนนั้นคนที่เซ็นสัญญากับบริษัทของเราคืออิ่นซิน ไม่ใช่คนที่อยู่ที่นี่ และสัญญาฉบับนี้ฉันจะเซ็นกับคุณอิ่นเพียงคนเดียว
……
สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปทันที
จะเซ็นสัญญากับอิ่นซินเพียงคนเดียว?
แต่เธอโดนไล่ออกไปแล้ว
คนๆนั้นโดนไล่ออกจากตระกูลอิ่น แต่ตอนนี้คุณกลับบอกว่า คุณจะเซ็นสัญญากับอิ่นซินเพียงคนเดียว?
คือว่า ประธานเฝิง อิ่นซินคนนั้นทำความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้ และนี่คือกฎของบริษัทเรา สำหรับเรื่องนี้ พวกเรายอมลดกำไรลงมา แบ่งเป็นเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์กับสามสิบเปอร์เซ็นต์ พวกคุณเอาเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ พวกเราขอแค่สามสิบเปอร์เซ็นต์ คุณโอเคไหม?
อิ่นป่ายรีบใช้ความคิดและคิดออกมาทันที นั้นก็คือการลดกำไรของตัวเองลง
เดิมทีการแบ่งผลกำไรอยู่ที่หกสิบเปอร์เซ็นต์กับสี่สิบเปอร์เซ็นต์ บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้หกสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้สี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ อิ่นป่ายนึกว่าเฝิงกางต้องการผลกำไรจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมากขึ้น
ดังนั้นเขาก็เลยยอมลดกำไรลงมาสิบเปอร์เซ็นต์
ถึงแม้พวกเขาลดกำไลลงสิบเปอร์เซ็นต์ แต่พวกเขาก็ยังสามารถหาเงินได้จำนวนมากจากโปรเจกต์นี้
แต่เฝิงกางก็ยังคงพูดเหมือนเดิม: ฉันพูดแล้ว บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเราจะเซ็นสัญญากับอิ่นซินเพียงคนเดียว ส่งคนอื่นมาก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าเป็นคนอื่นมาเซ็นสัญญา พวกเราไม่เซ็นอย่างแน่นอน
ประธานเฝิง เอาอย่างนี้ละกัน ส่วนแบ่งเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นต์กับยี่สิบเปอร์เซ็นต์ พวกคุณเอาไปแปดสิบเปอร์เซ็นต์ ส่วนพวกเราขอแค่ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้พวกเราลดผลกำไรลงมามากพอแล้ว
อิ่นป่ายกัดฟันตัวเอง และลดผลกำไรอีกครั้ง
แปดสิบเปอร์เซ็นต์กับยี่สิบเปอร์เซ็นต์เหรอ? ถึงแม้พวกคุณจะให้ฉันร้อยเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้ก็เป็นไปไม่ได้ พวกคุณต้องส่งอิ่นซินมาเซ็นสัญญา เพราะนี่คือความต้องการของท่านประธานของบริษัทเรา เพราะเขาชอบเหล้าขาวของหนิวหลันซานที่เธอมอบให้เขามากๆ
เฝิงกางทำปากยื่นอย่างดูถูกและพูดว่า: คนที่จะมาเซ็นสัญญากับพวกเราคืออิ่นซิน ในเมื่อเธอไม่อยู่ งั้นโปรเจกต์นี้ก็ถูกระงับไปก่อน พวกคุณเป็นคนระงับโปรเจกต์นี้ พวกคุณเตรียมชดใช้ค่าปรับจำนวนมากที่ผิดสัญญาได้เลย
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินออกไปด้วยความโมโห
คนพวกนี้ กล้ามากที่ไล่เถ้าแก่เนี้ยออก แย่จริงๆ เธอคือภรรยาของคนๆนั้นนะ
เมื่อเฝิงกางเดินจากไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ต่างมองหน้ากัน จากนั้นอิ่นป่ายก็หน้าขาวซีดทันที และถามเลขาที่อยู่ข้างๆ: คำนวณหน่อยสิ ถ้าต้องจ่ายเงินค่าปรับ พวกเราต้องจ่ายค่าผิดสัญญาทั้งหมดเท่าไหร่?
เลขาคนนั้นรีบคำนวณทันที ผ่านไปสักครู่ เธอก็ตอบทันที: พวกเราต้องจ่ายสามสิบล้านหยวน
สามสิบล้านหยวน!
อิ่นป่ายหยุดหายใจไปชั่วขณะ แต่จากนั้นเขาก็หายใจเข้าทันทีและถาม: ตอนนี้บริษัทของเรามีสินทรัพย์ที่เป็นเงินสดอยู่เท่าไหร่?
ยี่สิบล้านหยวน
เลขาคนนั้นรีบตอบทันที ถึงแม้ก่อนหน้านี้หลี่เทียนเฉิงจะยอมลงทุนเข้ามาสามร้อยล้านหยวน แต่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่ใช่บริษัทขนาดใหญ่ที่จะสามารถรับการลงทุนสามร้อยล้านหยวนได้ ดังนั้นเขาก็เลยเลื่อนเวลาออกไปเล็กน้อย รอให้ความร่วมมือครั้งนี้สำเร็จ ค่อยรับการลงทุนสามร้อยล้านหยวนนั้น
แต่ตอนนี้ โปรเจกต์โดนระงับแล้ว และต้องจ่ายค่าปรับสามสิบล้านหยวนด้วย
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็ไปรับลูกที่โรงเรียนอนุบาลแล้วกลับไปที่ตระกูลอิ่น เขาพบว่าอิ่นซินยังคงนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ด้วยสีหน้าโศกเศร้า ดูเหมือนเธอกำลังหาข้อมูลบางอย่างอยู่
ที่รัก เมื่อสักครู่ตอนที่ฉันกลับมา ได้ข่าวว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว
ฉินเฟิงยืนอยู่ข้างๆเธอและพูด
ล้มละลาย?
แต่ในเวลานี้ จางลี่ก็กลับมาจากการเล่นไพ่นกกระจอก ขณะขึ้นไปชั้นบนก็ได้คำพูดของฉินเฟิง ทันใดนั้นเธอก็หัวเราะเยาะออกมา: ฉินเฟิง เรื่องอย่างนี้คุณก็เชื่อเหรอ? บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เป็นบริษัทด้านการก่อสร้างอันดับต้นๆของเจียงเฉิง ไม่ใช่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเล็กๆของพวกคุณที่จะไปเทียบได้ คุณพูดว่าล้มละลาย ก็ล้มละลายจริงๆเหรอ?
แม่งเอ๊ย เป็นไอ้เศษสวะยังไม่พอ ยังเป็นคนโง่ด้วย บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลาย เห็นได้ชัดว่าเป็นข่าวลือ ถ้าล้มละลายจริงๆ ฉันจะโดนลงไปจากชั้นสองเลย แม่งเอ๊ย เป็นคนโง่มากๆ
จางลี่ส่ายหัว ยิ่งมองฉินเฟิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาโง่มากๆ
เห้อ
อิ่นซินก็ถอนหายใจด้วย ถึงแม้เธอคาดหวังว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปจะล้มละลาย แต่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปจะล้มละลายได้ยังไง เพราะบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ทำได้แค่คิดเล่นๆเท่านั้น
ฮ่าๆๆ คนโง่
จางลี่มองหน้าฉินเฟิงอีกครั้ง สีหน้าเต็มไปด้วยความดูถูก
แต่ในเวลานี้ มีเบอร์หนึ่งโทรเข้ามาในโทรศัพท์ของอิ่นซิน เมื่ออิ่นซินหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและมอง: ลานเมิ่ง โทรมา
เนื่องจากเธอล่วงเกินผิดใจกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ดังนั้นตอนนี้เธอพยายามหาทุกวิถีทาง สำหรับตู้ต้วนเทียน เธอไม่ได้ติดต่อเขา เนื่องจากตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลูกชายเพียงคนเดียวของเขากลายเป็นแบบนี้ ตระกูลตู้คงไม่ยอมเป็นศัตรูกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเพื่อพวกเธออย่างแน่นอน
เธออยากเหลือทางรอดสุดท้ายนี้ไว้ให้อิ่นหนิงหยู่
เธอได้เคยติดต่อหลิวลานเมิ่ง ขอให้เธอช่วยคิดหาวิธีจัดการเรื่องนี้ ดังนั้นอิ่นซินรีบรับสายโทรศัพท์ทันที: ฮัลโหล ลานเมิ่ง มีเรื่องอะไรเหรอ คุณหาวิธีได้แล้วใช่ไหม?
ยังหาวิธีไม่ได้
คำตอบของหลิวลานเมิ่ง ทำให้อิ่นซินรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่คำพูดต่อจากนี้ของหลิวลานเมิ่ง ทำให้อิ่นซินอึ้งไปเลย: ฉันยังหาวิธีไม่ได้ แต่ว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายไปแล้ว
อะไรนะ?
หลิวลานเมิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ล้มละลายไปแล้ว?
ใช่ ฉันพึ่งได้ข่าวมาเมื่อสักครู่ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล่วงเกินผิดใจกับบุคคลลึกลับคนหนึ่ง บุคคลลึกลับคนนั้นก็เลยกว้านซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป จากนั้นก็บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดให้โครงการสงเคราะห์เด็ก ตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายไปแล้ว
เมื่ออิ่นซินได้ยินข่าวเรื่องนี้ เธอรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลือเชื่อมากๆ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ ล้มละลายไปแล้วจริงๆเหรอ?
มันเป็นไปได้ยังไง
มันเป็นเรื่องที่ประหลาดมากๆ
แต่ครั้งนี้ อิ่นซินรู้สึกว่าหลิวลานเมิ่งไม่ได้เอาเรื่องนี้มาล่อเธอเล่นอย่างแน่นอน ดังนั้นบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปน่าจะล้มละลายจริงๆ
ล้มละลายแล้วเหรอ? เป็นอย่างที่ฉันพูดจริงๆ?
อิ่นซินเอามือปิดปากของตัวเอง ก่อนหน้านี้หนึ่งวัน เธอสาปแช่งให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลาย ตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายจริงๆ หรือว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันพูด?
แต่มันก็ไม่ถูกต้อง
อิ่นซินส่ายหัว หลังจากได้สติ เรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นไปได้ยังไงเนี่ย เรื่องนี้พูดได้คำเดียวว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปดวงซวยจริงๆ เพราะพวกเขาก็ไปล่วงเกินผิดใจกับบุคคลลึกลับคนนั้น
แต่บุคคลลึกลับคนนั้นเป็นใครกันแน่?
จู่ๆอิ่นซินก็มองไปที่ฉินเฟิง สายตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย เมื่อสักครู่ฉินเฟิงก็ออกจากบ้านไปทำธุระข้างนอก ตอนนี้เขากลับมาแล้ว หลังจากนั้นบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปก็ล้มละลายเลย
เวลาที่เกิดเรื่อง มันช่างเหมาะเจาะอะไรขนาดนี้
เรื่องนี้ ใช่เขาหรือเปล่า……
อิ่นซินกำลังจะถามฉินเฟิง แต่ในเวลานี้ในสายโทรศัพท์ก็มีเสียงของหลิวลานเมิ่งดังขึ้น: อ้อ สำหรับบุคคลลึกลับคนนั้น มีข่าวรั่วไหลออกมา โดยบอกว่าเขาเป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเรา เพราะมีคนเห็นเขาปรากฏตัวที่คฤหาสน์ตระกูลฟาง
อ้อ เป็นประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนี่เอง มันไม่แปลกเลย
อิ่นซินตอบรับและหันหน้ากลับมาทันที เธอรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ตัวเองคิดมากไปจริงๆ จะเป็นฉินเฟิงได้ยังไง เขาเป็นแค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยธรรมดา
เรื่องนี้ ตัวเองคิดเล่นๆก็พอ
แต่ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปคนนั้นเป็นคนที่เก่งจริงๆ
ไม่รู้ว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล่วงเกินผิดใจกับเขาได้ยังไง ตอนนี้โดนกว้านซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปทั้งหมด จากนั้นก็บริจาคให้โครงการสงเคราะห์เด็ก เขาเป็นคนที่ใจกว้างจริงๆ
ลานเมิ่ง เธอโชคดีจริงๆที่ได้ทำงานในบริษัทดีๆขนาดนี้
อิ่นซินพูดผ่านสายโทรศัพท์
มันเป็นเรื่องจริง บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมีบริษัทขนาดใหญ่อยู่ที่จิงตู แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไรถึงได้มาจัดตั้งบริษัทที่เมืองเจียงเฉิง แต่ก็ถือได้ว่ามาอยู่ที่บ้านเกิดของฉัน อ้อ ฉันจะบอกให้คุณรู้ ถึงแม้ฉันจะได้งานที่ดี แต่ฉันรู้สึกว่าตัวเองน่าจะล่วงเกินผิดใจกับคนในบริษัท โบนัสสิ้นปีของฉันโดนผู้ใหญ่ด้านบนหักไปตั้งห้าแสนหยวน และฉันก็โดนปรับห้าพันหยวน เพราะฉันมาส่ายแค่ครั้งเดียว
ฉันไปถามประธาน เขาตอบฉันมาแค่ประโยคเดียว ถ้าไม่ทำตามกฎก็อยู่ไม่ได้ ฮึๆๆ เงินตั้งห้าแสนหยวนหายไปแล้ว และฉันก็รู้สึกว่าผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านบนค่อยกลั่นแกล้งฉัน ฉันโดนหักนี้ หักนั้นไปจนหมด
ในสายโทรศัพท์ มีเสียงบ่นของหลิวลานเมิ่ง เธอน่าสงสารมากๆ
เธอไม่รู้จริงๆว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตั้งแต่เมื่อวานเธอก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในบริษัท ทำอะไรก็ไม่ราบรื่นเลย ผู้ใหญ่ที่อยู่ด้านบนเอาแต่กลั่นแกล้งข่มเหงเธอ และยังหักโบนัสห้าแสนหยวนของเธอด้วย นั้นมันเงินตั้งห้าแสนหยวนเลยนะ
อาจจะเป็นเพราะเธอ ทำอะไรผิดหรือเปล่า
อิ่นซินก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้เพียงแค่พูดปลอบใจเธอ
หลังจากวางสายโทรศัพท์ เธอก็พูดกับฉินเฟิงและจางลี่ด้วยความตื่นเต้นดีใจ: บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว ครอบครัวของเรามีทางรอดแล้ว ไม่ต้องกลัวพวกเขามาแก้แค้นแล้ว
จริงๆเหรอ?
สีหน้าของจางลี่ดูประหลาดใจมากๆ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เชื่อ แต่การสนทนาทางโทรศัพท์เมื่อสักครู่เธอได้ยินทั้งหมด บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล่วงเกินผิดใจกับบุคคลลึกลับคนหนึ่ง ตอนนี้ล้มละลายไปแล้ว
ทำให้เธอคิดถึงคำพูดของตัวเองที่พูดเมื่อสักครู่ เธอจึงก้มหน้า มองลงไปชั้นล่างที่มีความสูงหลายเมตร เธอรีบกอดอกและเดินจากไปทันที: ครอบครัวของพวกเราแค่โชคดีเท่านั้น
เธอไม่กล้าอยู่ต่อ
เธอคาดคิดไม่ถึงจริงๆว่าเรื่องที่ฉินเฟิงพูดออกมาจะเป็นเรื่องจริง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายไปแล้วจริงๆ พูดได้คำเดียวว่าฉินเฟิงโชคดีมากๆ และได้ยินข่าวที่เป็นความจริง
ฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆทำได้เพียงยักไหล่ เมื่อเธอไม่ทำตามคำพูดของตัวเอง เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบังคับและโยนเธอลงมาจากชั้นบน
ในเวลานี้ อิ่นซินกระโดดขึ้นไปบนเตียงเพราะดีใจที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แล้ว เธอบิดขี้เกียจ แต่เนื่องจากเธอสวมชุดนอนอยู่ เมื่อเธอไม่ระวังตัว ทำให้เธอเผยเรือนร่างบางส่วนออกมา
รูปร่างของอิ่นซินเซ็กซี่มากๆ ส่วนที่ควรใหญ่ก็ใหญ่จริงๆ ส่วนที่ควรเล็กก็เล็กจริงๆ หุ่นเธอเซ็กซี่เหมือนนางปีศาจ เนื่องจากเธอเคยคลอดลูกมาแล้ว ทำให้เธอมีเสน่ห์มากขึ้น แต่เนื่องจากเธอไม่เคยคบหาดูใจกับใครมากก่อน ตอนนี้เธอดูเหมือนสาวน้อยที่ยังไม่เคยผ่านโลก
ฮ่าๆๆ คุณพ่อ คุณแม่สวยไหม?
จู่ๆฉินกั่วกั่วก็ดึงฉินเฟิง
ในเวลานี้ อิ่นซินรู้ตัวทันที และรีบเงยหน้าขึ้นมา และมองเห็นดวงตาที่ร้อนแรงของฉินเฟิง เธอรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาปิด: อ๊าก……ฉินเฟิง คุณห้ามดู……
คุณเหมือนเด็กเลย
ฉินเฟิงส่ายหัวและยิ้ม
ถึงแม้เธอจะเป็นภรรยาที่มีสามีแล้ว แต่จิตใจของเธอยังคงเหมือนเด็กผู้หญิงอยู่
แต่รูปร่างของเด็กผู้หญิงคนนี้ ช่างเซ็กซี่มากๆ มีผิวพรรณผ่องใสและขาที่เรียวยาว มีหน้าหกที่ใหญ่และบั้นท้ายที่โด่ง และมีอีกอย่างก็คือ มองภรรยาของตัวเองไม่ผิดกฎหมาย
กว้างซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป เป็นเรื่องที่ฉินเฟิงสั่งให้ฉีหยุนไปจัดการก่อนหน้านี้
กว้านซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ฮ่าๆๆ
ฟางจือฮุยหัวเราะออกมาทันที: คุณก็แค่ลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลผู้หญิง ยังบอกว่าต้องการกว้านซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของฉัน คุณล้อเล่นใช่ไหม แม้แต่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปก็ไม่สามารถทำได้
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเป็นบริษัทขนาดใหญ่ แต่เป็นบริษัทที่พึ่งมาตั้งที่เมืองเจียงเฉิง ไม่รู้จักใครและไม่คุ้นเคยกับที่นี่ เป็นไปไม่ได้ที่จะกว้านซื้อหุ้นของบริษัทฉัน
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปทำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าฉันก็ทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ฉันขอใช้คำพูดที่คุณเคยพูดไว้ บนโลกใบนี้มีคนบางประเภท ที่คนอย่างคุณไม่ควรล่วงเกินผิดใจด้วย และพอดีฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น
คำพูดของฉินเฟิง ทำให้ฟางจือฮุยรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที แต่เขาก็ยังหัวเราะดูถูกและพูด: คุณกล้าข่มขู่ฉันเหรอ กว้านซื้อหุ้นของบริษัทฉัน ดูให้ดีๆตอนนี้ฉันจะโทรศัพท์ออกไปและเปิดโปงคำโกหกของคุณ
ฟางจือฮุยเหลือมือเพียงข้างเดียว ทำให้เขาเคลื่อนไหวค่อนข้างช้า ใช้เวลาสักพักกว่าจะหยิบโทรศัพท์ออกมาได้ หลังจากนั้นก็โทรศัพท์ไปหาผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง: เฉินหยุนฮุย เมื่อสักครู่มีคนบอกกับฉัน เขากว้านซื้อหุ้นทั้งหมดของคุณแล้ว ฉันหัวเราะเยาะเขา คุณคิดดูสิ เรื่องนี้มันน่าสนใจมากๆ กล้าพูดว่ากว้านซื้อหุ้นของคุณ
เฉินหยุนฮุยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสองของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป มีหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์
และคนที่อยู่ในสายโทรศัพท์ ไม่ยอมพูดอะไรเลยเป็นเวลานานมาก
ฮัลโหล เฉินหยุนฮุย คุณพูดมาสิ
ฟางจือฮุยรู้สึกกังวลใจจนบอกไม่ถูก
วันนี้ของปีหน้าเป็นวันครบรอบวันตายของฉัน ฉันจะไปไหว้คุณเอง เพราะพวกเราเคยเป็นเพื่อนกัน
เมื่อพูดคำเหล่านี้จบ ในโทรศัพท์ก็มีเสียงตุ๊ดๆๆดังขึ้น
เขาวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว
ฮัลโหล เฉินหยุนฮุย เฉินหยุนฮุย!
ฟางจือฮุยตะโกนชื่อของเขาผ่านทางโทรศัพท์ไปสองรอบ แต่โทรศัพท์ได้วางสายไปแล้ว จากนั้นเขาก็บ่นพึมพำ: เป็นไปไม่ได้ คุณมันก็แค่ผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกินและเป็นไอ้เศษสวะเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะสามารถกว้านซื้อหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้!
ฉันจะโทรศัพท์หาเลขาส่วนตัวของฉัน
ฟางจือฮุยกลืนน้ำลายตัวเอง และเขาก็เริ่มตื่นตระหนกตกใจ ใช้มือข้างที่เหลือกดเบอร์โทรศัพท์ของเลขาส่วนตัว จากนั้นก็โทรออกไปทันที
ผ่านไปหลายวินาที เลขาก็รับโทรศัพท์
ฮัลโหล เลขา ก่อนหน้านี้มีการประชุมครั้งใหญ่ไหม?
หลังจากรับสาย ฟางจือฮุยก็รีบถามทันที
คนๆนี้เป็นเลขาส่วนตัวของเขา เขาวางใจเลขาคนนี้มากๆ
อืม มีการประชุมครั้งใหญ่ แต่ตอนนี้คุณฟางไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทแล้ว ฉันไม่มีสิทธิ์เปิดเผยความลับของบริษัทให้คุณทราบ
ไม่ใช่พนักงานของบริษัท?
ฟางจือฮุยบีบโทรศัพท์ สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เมื่อวานเขายังเป็นประธานบริษัทอยู่เลย แต่วันนี้เขากลับไม่ใช่พนักงานของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปแล้ว มันเป็นไปได้ยังไง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
ในเวลานี้ เสียงของเลขาคนนั้นก็ดังเข้ามาในสายสนทนา: เห็นแก่ที่พวกเราทำงานด้วยกันมานาน ฉันจะบอกให้คุณทราบ คุณล่วงเกินผิดใจกับคนที่คุณไม่ควรยุ่งด้วย ในการประชุมครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ มีผู้ถือหุ้นร้อยละเจ็ดสิบแปดโหวตให้บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปให้กับโครงการสงเคราะห์เด็ก มูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดหนึ่งพันสองร้อยล้านหยวน
พูดตรงๆได้เลยว่า ตอนนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว
เมื่อพูดเสร็จ สายสนทนาก็โดนตัดไปทันที
นอกจากฉัน ผู้ถือหุ้นทั้งหมดเห็นด้วยกับเรื่องนี้เหรอ? เรื่องนี้เป็นไปได้ยังไง
ฟางจือฮุยอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา ผู้ถือหุ้นทั้งหมดเห็นด้วยกับการบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทออกไป เป็นไปได้ยังไง มันเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น แต่ในเวลานี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นมาและมองฉินเฟิง: มันเป็นเรื่องจริงเหรอ เรื่องนี้เป็นฝีมือของคุณใช่ไหม?
ใช่แล้ว ฝีมือของฉันเอง
ฉินเฟิงพยักหน้า
มันเป็นไปได้ยังไง!
ฟางจือฮุยจับศีรษะของตัวเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เขาถือหุ้นทั้งหมดในบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ และเขาก็เป็นผู้ถือหุ้นที่เยอะที่สุดในบริษัทแล้ว
ดังนั้น เขาก็เลยเป็นประธานบริษัท
แต่ตอนนี้ ฉินเฟิงได้ทำการกว้านซื้อหุ้นที่เหลืออยู่ทั้งหมด ตอนนี้เขากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในบริษัท จากนั้นเขาใช้การโหวตภายในบริษัท คนส่วนน้อยทำตามคนส่วนมาก และบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดให้กับโครงการสงเคราะห์เด็ก
เขาเป็นประธานบริษัท แต่เขาจำเป็นต้องมีหุ้นห้าสิบเอ็ดเปอร์เซ็นต์ เพื่อโหวตไม่เห็นชอบ
แต่ตอนนี้ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปล้มละลายแล้ว และบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดให้โครงการสงเคราะห์เด็ก และหุ้นที่เขาถืออยู่ยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ก็หายไปหมดแล้ว พูดกันตรงๆคือ เขาล้มละลายแล้ว
และสิ่งที่เกิดขึ้น มันเหมือนการล้มละลายในละครเลย
เขาเป็นใครกันแน่?
ฟางจือฮุยรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อมองหน้าฉินเฟิง
คุณไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องนี้ ถึงแม้คุณจะเป็นคนที่ใกล้จะตายแล้ว
ฉีหยุนที่ยืนอยู่ข้างหลังพูดออกมาทันที สำหรับฐานะและตัวตนของฉินเฟิง ไม่ว่าจะด้านไหนก็เป็นความลับระดับSSS
คนที่ใกล้ตาย คุณจะฆ่าฉันเหรอ?
สีหน้าของฟางจือฮุยเปลี่ยนไปทันที เขารู้สึกกลัวและคลานไปด้านหลัง: คุณฆ่าฉันไม่ได้ ฉันยังไม่ได้ลงมือล้างแค้นพวกคุณเลย คุณฆ่าฉันไม่ได้ ฆ่าฉันไม่ได้ ฉันยอมเป็นวัวเป็นควาย คุณอย่าฆ่าฉันได้ไหม
ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ตั้งแต่คุณพูดว่าจะเอาภรรยาและลูกสาวของฉันขายไปที่ซ่องโสเภณี คุณก็สมควรตายแล้ว
ฉินเฟิงพูดอย่างเรียบง่าย แต่ทุกคำพูดล้วนแผงด้วยรังสีฆ่าฟัน
กล้าเตะต้องภรรยาและลูกของเขา ต้องตายทั้งหมด!
สมัยก่อนตอนที่เขาอยู่สนามรบเพียงคนเดียว เขามีชื่อเสียงโด่งดังเพราะฆ่าศัตรูนับหมื่นนับแสน ตอนที่อยู่ในสนามรบมีเรื่องเล่า‘เทพสังหาร’ฉินเฟิงอยู่ ศัตรูที่ตายอยู่ในมือของเขา มีไม่น้อยกว่าแสนคน
ลูกชายของคุณมีสภาพยังไง คุณก็ตายไปในสภาพแบบนั้น
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้าและยืนอยู่ตรงหน้าเขา และบีบแก้วไวน์จนแตก
มีเศษแก้วตกลงมาที่พื้นทีละชิ้นๆ
หลังจากนั้น ก็มีเสียงกร๊อบแกร๊บดังขึ้นต่อเนื่องกัน
และมีเสียง
อ๊าก……ปล่อยฉันไปเถอะ……ฉันไม่กล้าแล้ว……ฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว
อย่านะ……ปล่อยฉันเถอะ……ปล่อยฉันไปเถอะ……
อย่านะ……อ๊าก……
จนกระทั่งไม่มีเสียงใดๆอีก คนที่เคยเป็นคนกระตือรือร้นและเต็มเปลี่ยนไปด้วยพลัง จิตใจกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาอย่างประธานของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป และเป็นผู้นำตระกูลฟางได้ตายอย่างน่าสังเวช
หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว ฉินเฟิงก็เดินออกมาจากคฤหาสน์ของตระกูลฟาง ความเกลียดชังในดวงตาของเขาค่อยๆจางหายไป
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็มองไปรอบๆคฤหาสน์ของตระกูลฟาง: พวกคุณไม่ควรมายุ่งกับภรรยาและลูกของฉัน เพราะพวกเขาเป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของฉัน
ตั้งแต่แม่ของฉินเฟิงเสียชีวิตไป เขาก็เหลือแค่อิ่นซินกับฉินกั่วกั่ว
และในเวลานี้ เขาได้กลายเป็นผู้ชายที่รักภรรยามากๆ
ท่านครับ พวกเราจะไปที่ไหนต่อ?
ฉีหยุนนั่งอยู่ที่เบาะคนขับ หันหน้ามาถาม
เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลย ถ้าศัตรูโจมตีมาถึงคุณแล้ว ถ้าในเวลานี้ไม่ตอบโต้กลับ แล้วจะตอบโต้กลับตอนไหน ในฐานะผู้บัญชาการที่ยอดเยี่ยม ต้องเป็นคนโหดเหี้ยม จัดการเรื่องต่างๆก็ต้องโหดเหี้ยมด้วย
ไปโรงเรียนอนุบาล ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว ฉันจะไปรับลูก
นายพลฉิน ตอนนี้คุณกลายเป็นพ่อบ้านเต็มตัวแล้ว ทุกวันต้องซักผ้าทำอาหาร รับส่งลูก ถ้าให้พี่น้องในอีสเตอร์แลนด์เห็นคุณในตอนนี้ พวกเขาต้องตกตะลึงจนอึ้งไปเลย โดยปกติแล้วคุณเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังและคิดอุบายวางแผนการรบต่างๆ สามารถฆ่าศัตรูแม้อยู่ไกลนับพันลี้ และเป็นนายพลบุ๋น
อยู่เบื้องหลังคิดและอุบายวางแผนการรบต่างๆ ชนะได้แม้อยู่ไกลนับพันลี้ ฉันเคยบอกให้คุณอ่านหนังสือเยอะๆก็ไม่เชื่อ
ฉินเฟิงกลอกตาใส่ฉีหยุน จากนั้นก็บิดขี้เกียจและพูด: แต่การใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
ณ ห้องหนังสือ
ฟางจือฮุยมีห้องหนังสือส่วนตัว บางครั้งเขาก็จะเข้ามาทำงานที่ห้องหนังสือ ในเวลานี้เขายังคงพิจารณาว่าจะแก้แค้นอิ่นซินกับฉินเฟิงยังไงต่อจากนี้
อิ่นซิน ไอ้ผู้หญิงสารเลว ฉันจะลงโทษเธอให้ทรมานที่สุด
ดวงตาของฟางจือฮุยฉายแววความโหดเหี้ยม ลูกชายของเขามีฐานะที่สูงส่ง ส่วนอิ่นซินมีฐานะที่ต่ำต้อย แต่เธอยังกล้าปฏิเสธลูกชายของฉัน และทำให้เขาได้รับบาดเจ็บขนาดนั้น
มันเป็นความผิดที่ยกโทษให้ไม่ได้
พวกอันธพาลเหล่านั้นที่ส่งไปในวันนี้ เป็นแค่การแก้แค้นเริ่มต้นเท่านั้น หลังจากนี้เขาจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมมากขึ้น สุดท้ายแล้วเขาก็จะขายอิ่นซินไปที่ซ่องโสเภณี
ยังมีคนที่ชื่อฉินกั่วกั่วด้วย ฉันจะขายเธอเข้าไปในซ่องโสเภณีด้วย
สำหรับฉินเฟิง ฉันจะทำให้เขาตายทั้งเป็น
เขาจะต้องทำให้คนๆนี้รู้ว่า ในโลกใบนี้มีคนบางกลุ่มที่คนอย่างพวกเขาไม่ควรล่วงเกินผิดใจด้วย
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ มีแม่บ้านคนหนึ่งบุกเข้ามาจากประตูและพูดอย่างรีบร้อน: ผู้นำตระกูล
เกิดอะไรขึ้น? ฉันเคยพูดไว้แล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ห้ามเข้ามาในห้องหนังสือ?
ฟางจือฮุยมองหน้าแม่บ้าน ทำให้เขารู้สึกโกรธทันที ห้องหนังสือนี้มีความลับของบริษัทจำนวนมาก โดยปกติถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้ามาในห้องหนังสือโดยเด็ดขาด
และแม่บ้านคนนี้ ฟางจือฮุยตั้งใจจะไล่เธอออกเดี๋ยวนี้
เป็นคนที่ไม่รู้กาลเทศะเลย
ผู้นำตระกูล มีคน……มีคนมาหา…เขาบอกว่าเขาชื่อฉินเฟิง แม่บ้านพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและตกใจ
ฉินเฟิง ดีมากๆ เขามาที่นี่ด้วยตัวเอง มาเพื่อขอความเมตตาของฉันใช่ไหม
ฟางจือฮุยรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เขาเดาคำตอบได้ทันที เป็นเพราะฉินเฟิงมองเห็นอันธพาลที่อยู่หน้าประตู และกลัวมากๆ เขาก็เลยยอมจำนนและมาที่นี่เพื่อขอโทษ
ต้องเป็นอย่างนี้แน่นอน
นอกจากคำตอบนี้ เขาก็คิดคำตอบอื่นๆไม่ได้อีกแล้ว
เรื่องเล็กๆแค่นี้ มันจำเป็นที่คุณต้องบุกเข้ามาในห้องหนังสือเลยเหรอ? รีบออกไปรับเงินเดือน พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานแล้ว ฟางจือฮุยโบกมือและพูด
ได้ค่ะ
แต่ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ทำไมแม่บ้านคนนี้ถึงโล่งอกและตอบตกลงทันที หลังจากนั้นก็วิ่งออกไปเลยโดยไม่ยอมหยุด
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ฟางจือฮุยไม่เข้าใจจริงๆ เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้ เธอควรขอร้องไม่ใช่เหรอ เพราะการเป็นแม่บ้านให้กับตระกูลร่ำรวยแบบนี้ ได้เงินเดือนที่สูงมากๆ
แต่เขาก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และเดินลงไปชั้นล่าง
ในห้องรับแขก เขามองเห็นฉินเฟิง ตอนนี้ฉินเฟิงกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ดูเหมือนเขากำลังรอใครอยู่
ฉินเฟิง พูดกันตามตรง คุณเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์จริงๆและกล้ามาหาฉัน แต่น่าเสียดาย คุณคิดว่าฉันจะยกโทษให้คุณเหรอ?
ฟางจือฮุยนั่งลงบนโซฟาและแบมือออก พูดด้วยความโกรธ: คุณทำร้ายลูกชายของฉันจนบาดเจ็บขนาดนั้น คุณไม่เพียงหักแขนและขาทั้งสองข้างของเขา แต่คุณยังหักน้องชายของลูกชายฉันด้วย ทำไมคุณถึงโหดเหี้ยมขนาดนี้?
เพราะเขาต้องการทำร้ายภรรยาของฉัน
ฉินเฟิงตอบกลับเพียงแค่ประโยคเดียว
ฮ่าๆๆ ภรรยาของคุณ? คุณฝันไปเถอะ ฉันจะบอกคุณ เธอเป็นผู้หญิงที่ลูกชายฉันชอบ เธอก็ต้องเป็นผู้หญิงของลูกชายฉันเท่านั้น อิ่นซินไม่ควรขัดขืน เธอควรเชื่อฟังและยอมเป็นผู้หญิงของลูกชายฉัน มิฉะนั้นก็คงไม่เกิดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ฉันไม่มีทางปล่อยครอบครัวของคุณไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นภรรยาของคุณ ลูกสาวของคุณ ฉันจะขายพวกเธอไปที่ซ่องโสเภณี ฉันจะทำให้พวกเธอต้องทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต
ฟางจือฮุยหัวเราะด้วยความสะใจ และใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่โหดเหี้ยม: คุณรู้ไหม บนโลกใบนี้ มีคนบางประเภท ที่พวกคุณไม่ควรล่วงเกินและผิดใจด้วย
คุณพูดจบหรือยัง?
จู่ๆฉินเฟิงก็พูดคำนี้ออกมา
อืม?
ฟางจือฮุยไม่เข้าใจจริงๆ
ถ้าพูดจบแล้ว คุณก็ควรตายได้แล้ว
ฉินเฟิงหยิบแก้วไวน์ที่อยู่บนโต๊ะ และใช้แรงเพียงเล็กน้อย ก็บิดเศษแก้วชิ้นหนึ่งออกมา จากนั้นก็สะบัดมือเบาๆ เศษแก้วชิ้นนั้นก็พุ่งออกไปทันที และเศษแก้วก็บาดเข้าไปในฝ่ามือด้านซ้ายของฟางจือฮุยทันที
อ๊าก!
ทันใดนั้น ฟางจือฮุยก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด กำมือข้างที่โดนเศษแก้วบาดไว้ และเลือดสดก็ไหลออกมาไม่หยุด สีหน้าของเขาในตอนนี้บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด
ฉินเฟิง คุณข่มขู่ฉันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่มีวันอภัยให้พวกคุณอย่างแน่นอน
สีหน้าของฟางจือฮุยบิดเบี้ยวมากๆ
ให้อภัย? คนอย่างฉันยังต้องให้ผู้นำตระกูลเล็กๆอย่างตระกูลฟางให้อภัยด้วยเหรอ?
สายตาของฉินเฟิงมีความเย็นชาเล็กน้อยทันที
ฮ่าๆๆ ผู้นำเล็กๆของตระกูลฟางเหรอ? คนอย่างคุณที่เป็นผู้ชายที่เกาะผู้หญิงกิน และเป็นผู้ชายที่แต่งเข้าตระกูลผู้หญิงเท่านั้น ยังกล้าพูดแบบนี้อีกเหรอ คุณมันก็แค่ผู้ชายสวะ ไอ้ขอทาน คุณรู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน? นี่คือตระกูลฟาง ฉันมีบอดี้การ์ดนับร้อยอยู่ด้านนอก แค่ฉันสั่งคำเดียว พวกเขาก็จะพุ่งเข้ามาและฆ่าคุณ
ฟางจือฮุยหัวเราะออกมาทันที
เขาเป็นผู้นำตระกูลฟางและเป็นประธานบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป คนที่เป็นลูกเขยที่แต่งเข้าตระกูลผู้หญิงอย่างเขา ยังกล้าพูดว่าฉันเป็นแค่ผู้นำตระกูลเล็กๆอีกเหรอ?
เขาคิดว่าเขาคู่ควรพูดเหรอ?
คุณสั่งแค่คำเดียว? พวกเขาก็พุ่งเข้ามาจริงๆเหรอ?
ฉินเฟิงเล่นแก้วไวน์ที่อยู่ในมือ และดีดแก้วไวน์เบาๆ ทันใดนั้นก็มีเศษแก้วชิ้นหนึ่งตกลงมาทันที
เมื่อฟางจือฮุยมองเห็น เขาก็หน้าขาวซีดทันที เศษแก้วชิ้นแรกก็ทำให้เขาเจ็บปวดขนาดนี้แล้ว ถ้ามีเศษแก้วพุ่งเข้ามาอีกชิ้น เขาก็คงรับไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนเรียกบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอกทันที: บอดี้การ์ดอยู่ไหม? รีบเข้ามาเร็วๆ ฉันโดนลอบทำร้าย
เขาตะโกนไปด้านนอกทันที
เขามีความมั่นใจอย่างยิ่งกับบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านนอก เขาเป็นคนที่ร่ำรวย และกลัวตายมากๆ ดังนั้นเขาก็เลยใช้เงินหลายสิบล้านหยวน จ้างบอดี้การ์ดนับร้อยคน รักษาความปลอดภัยในคฤหาสน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
เมื่อบอดี้การ์ดเข้ามา พวกเขาต้องซ้อมฉินเฟิงจนปางตายได้อย่างแน่นอน ฮ่าๆๆ กล้ามาหาเรื่องที่คฤหาสน์ของฉัน ที่นี่จะกลายเป็นที่ฝังศพของเขา
แต่เขาตะโกนไปสามนาที ตะโกนจนเสียงแหบ แต่ด้านนอกไม่มีใครตอบกลับมาเลย ดูเหมือนด้านนอกจะไม่มีคนอยู่เลย เพราะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย
ไม่ต้องตะโกนแล้ว บอดี้การ์ดหนึ่งร้อยยี่สิบคนที่อยู่ด้านนอก โดนฉันจัดการไปแล้ว ไม่มีใครหนีรอดเลย อ้อ แม่บ้านของคุณ พึ่งวิ่งหนีไปเมื่อสักครู่เอง
ฉีหยุนที่อยู่ด้านหลังของฉินเฟิงพูดคำเหล่านี้ออกมา
โดนจัดการไปหมดแล้ว
สีหน้าของฟางจือฮุยเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ บอดี้การ์ดพวกนั้นเขาใช้เงินว่าจ้างสิบกว่าล้าน โดนจัดการไปหมดแล้ว ตอนนี้เขารู้ได้ทันที ทำไมแม่บ้านคนนั้นถึงรีบวิ่งหนีออกไป
ทำไมเธอถึงต้องจากไป และจากไปแบบไม่ลังเล จากไปเหมือนคนที่รอดชีวิต
เพราะว่าเธอรู้แล้ว วันนี้มีศัตรูมาแก้แค้นที่คฤหาสน์
โดนจัดการหมดแล้ว แล้วจะทำไม ฉันเป็นถึงประธานของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป มีทรัพย์สินมากกว่าพันล้านหยวน พวกคุณกล้าลงมือฆ่าฉัน……เดี๋ยวนะ คุณคือประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปใช่ไหม? เป็นไปได้ไง เป็นไงได้ยังไง
ฟางจือฮุยพึ่งสังเกตเห็นฉีหยุนที่ยืนตัวตรงอยู่ด้านหลังของฉินเฟิง เขาเป็นนักธุรกิจและเขาไม่มีวันลืมลักษณะของคนๆนั้น
เขาคือประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
เคยปรากฏตัวในพิธีตัดริบบิ้นในการเปิดบริษัท
ก่อนหน้านี้ เพราะเขายืนอยู่ด้านหลังของฉินเฟิง เมื่อมองก็คิดว่าเขาเป็นแค่ลูกน้อง แต่ตอนนี้เขาสังเกตดูดีๆ ทันใดนั้นเขาก็ตกใจมากๆและกลัวจนสุดขีด ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปปรากฏตัวที่นี่ และยังยืนอยู่ด้านหลังของผู้ชายคนนี้ด้วย
ยืนอยู่หลังเขาเหมือนกับเป็นลูกน้องเลย
มันเป็นไปได้ยังไง
เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากๆ
อ้อ ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ ตอนนี้คุณมีหุ้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปแค่ยี่สิบเจ็ดเปอร์เซ็นต์ หุ้นที่เหลืออีกเจ็ดสิบสามเปอร์เซ็นต์ โดนฉันกว้านซื้อไปหมดแล้ว พูดกันตามตรง ตอนนี้ฉันต่างหากที่เป็นประธานของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป
แต่เมื่อหนึ่งนาทีที่แล้ว ฉันได้บริจาคทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปให้กับโครงการสงเคราะห์เด็กแล้ว ตอนนี้ไม่มีบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปแล้ว ตอนนี้คุณไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
ฉินเฟิงมองหน้าฟางจือฮุยและพูด
ต้าตาว วันนี้เขารับงานมาอันหนึ่ง งานใหญ่นี้มีมูลค่าห้าล้านหยวน งานนี้คือให้พวกเขามาบ้านหลังหนึ่ง มากั้นประตูบ้านนั้นไว้และไม่ให้ใครออกไป เรื่องอื่นพวกเขาไม่ต้องทำ
งานนี้เป็นงานที่ง่ายมากๆ และได้ค่าตอบแทนที่สูง ทำให้เขาตื่นเต้นดีใจอยู่พักหนึ่ง
เมื่อเขาดีใจและมาถึงที่นี่ เขาก็หัวเราะไม่ออกอีกเลย เพราะเขาพบฉินเฟิง คนที่มีลูกต้องเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะพวกเขาที่มีคนนับร้อยได้อย่างสบาย
พวกเขามีเพียงแค่ห้าสิบกว่าคนเท่านั้น คนน้อยขนาดนี้คาดว่าคงไม่พอให้พวกเขาทำร้ายด้วยซ้ำ
หลังจากทำร้ายลูกน้องคนนั้นเสร็จ ต้าตาวก็เดินเข้ามาด้านหน้าของฉินเฟิง โค้งคำนับอย่างสุภาพและพูด: คุณฉิน เรื่องของวันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด พวกเราขอตัวก่อนนะ
อืม
ฉินเฟิงพยักหน้า
ไปได้เลย
เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงอนุญาต ต้าตาวรู้สึกดีใจมากๆ ฉินเฟิงไม่ได้โกรธ เขาก็รีบพาลูกน้องทั้งหมดของตัวเองจากไปทันที และจากไปอย่างรวดเร็วแบบไม่คิดชีวิต
ผ่านไปหนึ่งนาที
ที่หน้าประตูคฤหาสน์ของตระกูลอิ่น ก็ไม่มีใครอยู่อีกเลย เหมือนกับว่าไม่เคยมีใครเคยมาที่นี่มาก่อน
เกิดเรื่องอะไรขึ้น? คุณรู้จักพวกเขาเหรอ?
อิ่นซินมองหน้าฉินเฟิง ด้วยสายตาที่ประหลาดใจ
รู้จัก รู้จักพวกเขาเพราะอิ่นหนิงหยู่
ฉินเฟิงตอบกลับทันที
อ้อ……ฉันก็ว่าแล้ว ฉันดูท่าทางของคนเหล่านั้น คนพวกนี้กลัวคุณมากๆ ฉันก็นึกว่าเป็นความสามารถของคุณ จริงๆแล้วคุณอาศัยบารมีของลูกสาวฉันนี่เอง เป็นเพราะตู้ต้วนเทียนใช่ไหม เพราะคนที่ชื่อต้าตาว รู้ว่าคุณมีความสัมพันธ์กับตู้ต้วนเทียน ดังนั้นพวกเขาก็เลยกลัวคุณมากๆใช่ไหม
เดิมทีเธอตกตะลึง นึกว่าฉินเฟิงน่าจะมีฐานะที่ไม่ธรรมดา แต่พอฟังคำอธิบายของฉินเฟิง เธอก็รู้สึกโล่งใจทันทีและพูด: ไอ้สวะก็เป็นไอ้สวะอยู่วันยังค่ำ ก็รู้แต่พึ่งพาและอาศัยบารมีของคนอื่น
คุณแม่ คุณอย่าพูดแต่ไอ้สวะได้ไหม เขาเป็นสามีของอิ่นซิน เขาเป็นสามีของฉัน
อิ่นซินมองหน้าจางลี่ด้วยความไม่พอใจ
สามีภาษาอะไร อีกแค่ครึ่งปี เขากับเธอก็ต้องแยกจากกันแล้ว ถึงเวลานั้นพวกคุณสองคนก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้า ยังจะพูดว่าเป็นสามีอีก คุณคิดว่าผู้ชายแบบนี้เหมาะสมกับคุณแล้วเหรอ คุณดูตู้ต้วนเทียนสิ แค่ได้ยินชื่อ คนพวกนั้นก็กลัวจนหัวหด และคุณดูฉินเฟิงสิ เขามันก็แค่ไอ้เศษสวะ เป็นผู้ชายสวะจริงๆ
จางลี่มองฉินเฟิง ยิ่งมองยิ่งไม่พอใจ
ไม่ช้าก็เร็ว เธอจะเตะฉินเฟิงออกจากชีวิตของอิ่นซิน แล้วค่อยหาลูกเขยคนใหม่ที่มีเงิน
ในเวลานี้ อิ่นหยวนกลับมาแล้ว สีหน้าของเขาดูแย่มากๆ และที่เย็นชามากๆ
คุณพ่อ
อิ่นซินก้าวไปข้างหน้าและตะโกน
อย่าเรียกฉันว่าพ่ออีก คุณใจกล้ามากๆ ตอนนี้เธอกล้าทรยศออกจากตระกูล ที่นั่นเป็นรากเหง้าของบรรพบุรุษของพวกเรามาหลายชั่วอายุคน แต่คุณก็ยังกล้าทรยศออกจากตระกูลได้ยังไง
อิ่นหยวนมองหน้าอิ่นซิน เขารู้สึกโกรธมากๆ
คุณลุง เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลูกหลานสายตรงของคุณท่านอิ่นต้องการไล่เสี่ยวซินออกจากตระกูลอิ่น และพวกเขาก็ค่อยกลั่นแกล้งเสี่ยวซินมาโดยตลอด เสี่ยวซินอยู่ที่บริษัทก็ได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมเสมอ
ฉินเฟิงเดินขึ้นมาและพูดคำเหล่านี้ออกมา
คุณยังกล้าออกมาพูดอีก เป็นเพราะคุณถึงเกิดเรื่องเหล่านี้ขึ้น
อิ่นหยวนยื่นมือออกมาและชี้ไปที่ฉินเฟิง แต่หลังจากนั้นเขาก็มองไปที่อิ่นซินที่อยู่ข้างๆ เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนั้น โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิง ลูกสาวของเขาก็คงถูกทำมิดีมิร้ายแล้ว ทำให้เขาพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองทันที
เห้อ
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจและเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง
ไอ้เศษสวะ
จางลี่มองหน้าฉินเฟิง จากนั้นก็หันหลังและเดินจากไปเพื่อไปเล่นไพ่นกกระจอก
การแก้แค้นของตระกูลฟาง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆอย่างแน่นอน ครั้งนี้คงเป็นการแก้แค้นครั้งแรก และคงมีการแก้แค้นตามมาอีก ตระกูลเล็กๆคิดจะต่อสู้กับตระกูลขนาดใหญ่ ไม่มีทางเอาชนะได้หรอก
หลังจากที่พวกเขาจากไป อิ่นซินนวดหน้าผากของตัวเอง เธอไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อจากนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เห็นได้อย่างชัดเจน ตระกูลฟางต้องการบอกพวกเขา ตระกูลฟางต้องการแก้แค้นพวกเธอ เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปต่อสู้กับพวกเขา
ฉันควรทำยังไงดี!
ที่รัก ฉันขอตัวออกไปสักครู่ ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ ฉินเฟิงพูด
ได้
อิ่นซินไม่สนใจฉินเฟิง ตอนนี้เธอไม่อยากจะสนใจฉินเฟิงด้วย เธอดูโศกเศร้า และไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อจากนี้
หลังจากฉินเฟิงเดินออกมาจากตระกูลอิ่น เขาก็โทรศัพท์หาฉีหยุนทันที
ผ่านไปสักครู่ ฉีหยุนก็ขับรถยนต์ยี่ห้อHummerมารับเขา
ท่านครับ ต้องการไปที่ไหนครับ?
ฉีหยุนนั่งอยู่บนเบาะคนขับ และหันศีรษะกลับมาถาม
ถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นให้เรียกว่าท่าน ถ้าไม่มีคนอื่นให้เรียกนายพล นี่คือสิ่งที่พวกเขาสองคนรู้ดีแก่ใจ
ไปตระกูลฟาง
ฉินเฟิงนั่งอยู่เบาะข้างคนขับ และถามทันที: เรื่องที่ฉันสั่งให้คุณไปจัดการ คุณจัดการเรียบร้อยหรือยัง?
จัดการเรียบร้อยแล้ว
ฉีหยุนหันหน้ากลับมาและยิ้ม
สถานที่นี้ ห่างจากคฤหาสน์ของตระกูลฟางไกลพอสมควร ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบสี่สิบนาที หลังจากเดินทางถึงคฤหาสน์ของตระกูลฟางแล้ว ฉินเฟิงก็ลงจากรถยนต์ทันที และหน้าประตูก็มีเจ้าหน้าที่กำลังรักษาความปลอดภัยอยู่
ไม่ทราบว่าคุณคือ?
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมองเห็นฉินเฟิง เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้กับตระกูลฟางและเขาก็เป็นคนที่มีสายตาเฉียบแหลม เมื่อเขามองฉินเฟิงก็เห็นว่าเขาสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดามากๆ บนตัวฉินเฟิงไม่มีเสื้อผ้าแบรนด์เนมเลย ทำให้เขาไม่เป็นมิตรเลย
ฉันมาหาฟางจือฮุย ฉินเฟิงสองมือไขว้หลังและพูด
มาหาผู้นำตระกูล? คนอย่างคุณอยากเจอผู้นำตระกูลของเรา คุณคิดว่าตัวเองคู่ควรเหรอ? ไปๆๆ ตอนนี้ผู้นำตระกูลของเราไม่อยากเจอใครหน้าไหนทั้งนั้น คุณรีบไสหัวไปได้แล้ว อย่าบังคับให้ฉันต้องใช้กำลัง
หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสะบัดกระบองไฟฟ้าที่อยู่ในมือไปมา
ฉันเป็นคนที่ชอบเจรจากันด้วยเหตุผลก่อน ถ้าล้มเหลวแล้วค่อยใช้กำลัง ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง งั้นก็คงต้องใช้กำลัง ฉีหยุนใช้กำลังโจมตีเข้าไปเลย
ฉินเฟิงออกคำสั่งทันที
รับทราบ
ฉีหยุนที่ยืนอยู่ด้านหลังบิดคอตัวเองทันที และเผยรอยยิ้มที่ดูโง่ๆออกมา: ถ้าให้ดีที่สุด พวกคุณอย่าคิดที่จะต่อต้าน เพราะฉันลงมือแล้วจะควบคุมตัวเองไม่ได้
พวกคุณจะบุกเข้ามาใช่ไหม? พวกเราเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมืออาชีพนะ
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยห้าหกคนเดินออกมาจากห้องรักษาความปลอดภัยทันที ในมือของทุกคนมีกระบอกไฟฟ้าอยู่ หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่มีรูปร่างสูงใหญ่และเป็นหัวหน้าพูดขึ้นมาทันที: พวกคุณสองคน กล้าบุกเข้าคฤหาสน์ของคนอื่น ถ้าพวกเราทำร้ายพวกคุณ พวกเราก็ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
เขาพยายามยัดข้อหาว่าฉินเฟิงบุกรุกคฤหาสน์ ถ้าโดนทำร้ายจนเกิดเรื่องขึ้น พวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
เพราะนี่คือการป้องกันตัว
แต่ฉินเฟิงกลับพูดว่า: พวกเราตั้งใจจะบุกรุกคฤหาสน์อยู่แล้ว
พวกคุณโอหังเกินไปแล้ว
หัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนนั้นโกรธมากๆ เขาสะบัดกระบองไฟฟ้าที่อยู่ในมือ และโจมตีฉีหยุนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของฉินเฟิงทันที
มีเสียงกร๊อบแกร๊บดังขึ้น
หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาจากปากของหัวหน้าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทันที
หลังจากนั้น ก็มีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมาจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยห้าคนนอกกองอยู่ที่พื้น ร่างกายกระตุก น้ำลายฟูมปาก และบนพื้นก็มีน้ำด้วย
ฉีหยุนเหยียบอยู่บนร่างของหนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย บนมือของเขาก็เล่นกระบอกไฟฟ้าอยู่ และส่ายหัวโดยไม่ตั้งใจ: กระบองไฟฟ้า ของประเภทนี้ ตอนที่พวกเราเป็นทหาร ทุกคนต้องมีอยู่ในมือคนละอัน แต่ฝีมือการต่อสู้ของพวกคุณนั้นแย่มากๆ
อย่าเล่นอีกเลย พวกเราเข้าไปกันเถอะ
ฉินเฟิงเดินผ่านร่างของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่กำลังนอนกระตุกอยู่ และเดินเข้าไปที่คฤหาสน์ทันที
รับทราบ
ฉีหยุนเดินตามอยู่ด้านหลัง ด้วยความเคารพและจงรักภักดี
เฮ้อ
สุดท้าย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก อิ่นหยวนทำได้เพียงพกพาความโกรธที่เต็มท้องออกไป
และในเวลานี้ คุณท่านอิ่นจับไม้เท้า และพูดอย่างน่าเกรงขามเป็นอย่างมากว่า: เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป อิ่นป่ายจะทำหน้าที่เป็นประธาน เริ่มบริหารบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ครับ
อิ่นป่ายตื่นเต้นมาก ทำหน้าที่แทนประธานที่ควรจะได้รับการตัดสินขั้นสุดท้ายครั้งก่อนแล้ว แต่เพราะว่าอิ่นซินทำให้สถานการณ์หยุดชะงัก ไม่ได้ดำเนินการสักที แต่ตอนนี้ในที่สุดก็ดำเนินการแล้ว คุณท่านอิ่นไม่ได้มาบ่อยๆ
ทำหน้าที่แทนประธานคนหนึ่ง กับประธานอย่างเป็นทางการ มีเพียงความแตกต่างในชื่อเท่านั้นเอง
อำนาจเหมือนกัน
ขอแสดงความยินดีด้วยท่านประธานอิ่นด้วย นั่งตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ
ฉันว่าแล้ว แค่อิ่นซินคนนั้น จะเทียบกับท่านประธานอย่าคุณได้ยังไง คุณต่างหากที่ฉลาดปราดเปรื่องอย่างแท้จริง
คนตระกูลอิ่นมากมายกำลังแสดงความยินดีกับอิ่นป่าย
หลังจากที่อิ่นป่ายตอบกลับสักพัก ก็มาถึงที่ห้องทำงานชั้นบนสุดกับอิ่นเสี้ยงสวี่ ห้องทำงานของประธาน ต่อจากนั้นอิ่นป่ายก็นั่งลงบนเก้าอี้ของประธานในทันที และบิดขี้เกียจอย่างสบายๆ: ในที่สุดฉันก็ได้นั่งในตำแหน่งนี้สักที
เขาวางแผนการมากมาย ก็เพื่อนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ วันนี้ในที่สุดก็ได้สมดังใจหวัง
คุณอย่าได้ละเลยการปกป้องกันตัวเอง อิ่นซิน ผู้หญิงคนนั้น รับมือได้ยาก
อิ่นเสี้ยงสวี่ที่อยู่ข้างๆ ตักเตือนอิ่นป่าย
อิ่นซิน? ไม่ต้องกังวลเธอ เธอมีปัญหากับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป นั่นเป็นยักษ์ใหญ่มหึมา เธอจะสู้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายฟางเย้นคนนั้น ไม่นึกเลยว่าจะถูกหักแขนขาทั้งห้า เป็นคนไร้ค่าไปแล้ว ตระกูลฟางคงจะไม่ตายไม่หยุดกับตระกูลอิ่นแน่ อิ่นซินคนนั้น หนีไม่พ้น
อิ่นป่ายยิ้มเล็กน้อย ท่าทางได้ใจ แต่ว่าพูดต่อประโยคหนึ่งว่า: อิ่นซินจบเห่แล้ว ตอนนี้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของฉัน
……
อิ่นซินกับฉินเฟิง หลังจากที่กลับถึงตระกูลอิ่น พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ที่อยู่หน้าประตู มีพวกอันธพาลสิบกว่าคนรวมตัวอยู่ ย้อมสีผม บนมือมีรอยสัก ยืนขวางอยู่หน้าประตู
พวกคุณทำอะไรน่ะ? บุกรุกบ้านส่วนตัวเหรอ?
อิ่นซินดึงฉินเฟิงเดินเข้ามา พร้อมกับขมวดคิ้ว
อะไรเรียกว่าบุกรุกบ้านส่วนตัว คุณพูดให้ชัดเจน พวกเราเข้าไปหรือยัง? ถนนเส้นนี้เป็นของบ้านคุณเหรอ พวกเรายืนอยู่ที่หน้าประตูไม่ได้เหรอ? ยุ่งอะไรด้วย
ผู้ชายหนึ่งในนั้นที่มีรอยสักหมาป่าสีดำที่คอ หยิบมีดผ่าแตงโมยาวหนึ่งเมตรออกมา ต่อจากนั้นก็ปลอกแอปเปิลนั้นกิน ปลอกหนึ่งครั้ง มีดผ่าแตงโมก็สะท้อนแสงหนึ่งครั้ง และเรืองแสงแวบหนึ่ง
พวกแก!
อิ่นซินโมโหมากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ พวกเขาพูดถูก พวกเขาไม่ได้เข้าไป เพียงแค่เฝ้าอยู่หน้าประตู ถนนเส้นนี้บ้านพวกเขาก็ไม่ได้เป็นคนสร้างเอง
ยิ่งไปกว่านั้น มีดผ่าแตงโมยาวหนึ่งเมตรที่ปลอกแอปเปิลนั้น มีดก็วิบวับ เห็นได้ชัดว่าจะขู่คน
พวกเราเข้าไปก่อน
ฉินเฟิงจับมือของอิ่นซิน เดินเข้าไป พวกเขาไม่ได้ขวางทาง เพียงแค่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูนั้น เรียกเป็นครั้งเป็นคราว ปล่อยประทัดสองครั้ง พังข้าวของสองครั้ง
ไม่ทำร้ายคน แต่เป็นการทำให้คนกลัว
หลังจากที่เดินเข้าไปข้างใน จางลี่อยู่ที่หน้าประตู ท่าทางโศกเศร้า หลังจากที่เห็นฉินเฟิง ก็ด่าว่าในทันที: ฉินเฟิง เศษสวะอย่างแกสร้างปัญหาให้พวกเราอีกแล้ว ไม่นึกเลยว่าหักแขนขาคุณชายฟาง คนอื่นเขาเป็นคุณชายตระกูลฟาง แกเป็นใคร ก็แค่ขอทาน ฐานะของพวกแกสองคน แตกต่างกันไม่ใช่น้อยๆ ไม่นึกเลยว่าแกจะกล้าหักแขนขาคุณชายฟางเขา
เธอได้รับข่าวคราว ได้รับตอนเช้านี้ ทำให้เธอตกใจในทันที ไม่นึกเลยว่าฉินเฟิงผู้ชายคนนั้นจะหักแขนขาของคุณชายฟาง ไม่นึกเลยว่าจะกล้าหาญมากขนาดนั้น
คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างนอก ล้วนเป็นคนที่ตระกูลฟางส่งมา เริ่มตั้งแต่เช้าวันนี้ ก็จะอยู่ที่หน้าประตูมาโดยตลอด ถือมีดผ่าแตงโมปลอกแอปเปิล จนถึงตอนนี้ฉันไม่กล้าที่จะออกไป ฉินเฟิง นี่เป็นเพราะแกทั้งนั้น
จางลี่ด่าฉินเฟิง
แม่ค่ะ เมื่อวานนี้ฉินเฟิงเพื่อที่จะช่วยหนู หากไม่ใช่ฉินเฟิง หนูอาจจะโดนเดรัจฉานอย่างฟางเย้นปู้ยี่ปู้ยำไปแล้ว แม่จะโทษเขาไม่ได้
อิ่นซินปกป้องอยู่ตรงหน้าของฉินเฟิง ดวงตาที่สวยงามคู่หนึ่ง ดื้อรั้นมาก ราวกับปีศาจที่ปกป้องสามี
เหอะ
จางลี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา กอดอก: ฉันไม่สน นี่เป็นปัญหาที่ฉินเฟิงก่อขึ้นมา ไปจัดการให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้ ฉันยังจะออกไปเล่นไพ่นกกระจอก มีสามคนขาดอีกหนึ่ง
แม่ค่ะ คนมากขนาดนี้
อิ่นซินชี้ไปที่คนเหล่านี้ที่อยู่ข้างนอก วิธีการแบบนี้ แม้ว่าจะค่อนข้างเป็นการล่วงละเมิด แต่ต้องบอกว่า อาศัยช่วงโหว่จริงๆ พวกเขาไม่ได้ทำร้ายคน พวกเขาเพียงแค่เล่นอยู่หน้าหน้าบ้านเท่านั้นเอง
ถือมีดผ่าแตงโมเล่มหนึ่ง ก็แค่ใช้มาปลอกแอปเปิลเท่านั้นเอง
ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น เพียงแค่ข่มขู่คนตระกูลอิ่นเท่านั้นเอง
จุ๊ๆๆๆ
ในขณะนี้เอง ผู้ชายคนนั้นที่มีรอยสักหมาป่าสีดำที่คอก็เดินเข้ามา มองดูทั้งสองคนแวบหนึ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: กระผม ฉายาว่าหมาป่าดำ ตระกูลฟางให้ผมมา เพื่อข่มขู่พวกคุณ แม้ว่าจะบอกว่าข่มขู่ แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ที่พวกเราคนไหนดื่มเมาแล้ว กลางดึกพกมีด บุกเข้าไปในบ้านของพวกคุณ แบบนี้ไม่ดีแน่
หมาป่าดำสูงหนึ่งร้อยเซนติเมตร สวมเสื้อกั๊กสีดำ รูปร่างหน้าตาค่อนข้างดำ ประกอบกับมีรอยสักหมาป่าสีดำที่คอ ทำให้คนมองดูแล้ว ก็มีความหวาดกลัวเล็กน้อยในทันที
ใช้มาขนขู่คน ทั้งหมดก็เพียงพอแล้ว
ไม่นะ
และจางลี่ถูกหมาป่าคนนี้ทำให้กลัวอย่างเห็นได้ชัด ถอยหลังไปสองก้าว สีหน้าตื่นตระหนก ถึงขนาดเกือบจะทรุดตัวลงกับพื้น ใครจะไปคิดว่า ตอนที่เข้านอนกลางดึก จะมีคนบุกเข้ามา
นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากอย่างแน่นอน
ฮ่าๆ ผู้นำตระกูลฟางบอกว่า ให้พวกเราทักทายกับพวกคุณดีๆ จะต้องทำให้พวกคุณประหลาดใจมากพอทุกวัน ไม่แน่วันไหน พวกคุณจะพบว่า มีสิ่งของเลวร้ายบางอย่างอยู่ในห้องนอน
หมาป่าดำยิ้มอย่างมีเลศนัยด้วยใบหน้าที่โหดร้าย
ในเวลานี้เอง มีรถตู้ห้าถึงหกคันขับมาอยู่ข้างนอก ต่อจากนั้นมีคนลงมาจากด้านบนอีกสามสิบถึงสี่สิบคน หนึ่งในนั้นพูดกับพวกเขาว่า: ฟางจือฮุยคือคนไหน เพิ่มอีกสามล้าน ใจกว้างมาก คราวนี้ลูกพี่ก็มาแล้ว
ลูกพี่ก็มาแล้ว
หมาป่าดำค่อนข้างประหลาดใจ แม้ว่าเขาจะสักหมาป่าสีดำที่โหดเหี้ยม แต่สถานะไม่ได้สูง ถือได้ว่าเป็นหัวโจกเล็กๆ แต่ตอนนี้ลูกพี่มาแล้ว มีส่วนร่วมด้วยพอดี
เด็กน้อย พวกแกจบเห่แล้ว ลูกพี่พาคนมาอีกเพียบ ถึงเวลานั้นสามารถรายล้อมคฤหาสน์หลังนี้ของพวกแก อย่างหนาแน่นมาก ทำให้พวกเขาไปไหนไม่ได้
หลังจากที่หมาป่าดำพูดจบ ก็เข้าไปหาลูกพี่คนนั้น ถึงตรงหน้าลูกพี่คนนั้น รีบพูดว่า: ลูกพี่ ก็คือครอบครัวนี้ ฟางจือฮุยให้พวกเราขวางไว้ แต่ไม่นึกเลยว่าไอ้หมอนี่ยังจะบอกว่าพวกเราเป็นเด็กอ่อน ไม่มีใครทนต่อสู้ได้ ไอ้หมอนี่เย่อหยิ่งเกินไปจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะกล้าท้าทายพวกเรา พวกเราต้องสั่งสอนหน่อยใช่หรือเปล่าครับ
แม้ว่าจะบอกว่าข่มขู่ แต่เขาก็อยากจะที่เริ่มโจมตีก่อน แสดงฝีมือได้ดีหน่อย
อย่างไรก็ตาม
วินาทีต่อมา รอยฝ่ามือก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
ไอ้สารเลว ใครให้พวกแกขวาง เจ้าบ้านท่านนี้ พวกแกก็กล้าขวาง เบื่อชีวิตมากแล้วใช่มั้ย
ลูกพี่คนนี้ ก็คือต้าตาว และเขาในขณะนี้ กำลังมองดูฉินเฟิงคนนั้นที่ยืนอยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าที่หวาดกลัว ราวกับกำลังมองปีศาจอยู่ น่าสยดสยองเป็นอย่างมาก
อะไรนะ!
อิ่นซินนิ่งอึ้ง บนมือยังถือสัญญาฉบับหนึ่งไว้ ด้วยสีหน้าที่เหลือเชื่อ และถามในทันทีว่า: พวกเราทำอะไร? ทำผิด ทำผิดอะไร?
แกยังไม่อยากยอมรับอีกเหรอ
คุณท่านอิ่นซินสีหน้าเคร่งขรึม และพูดว่า: อิ่นซิน เมื่อคืนนี้ฟางเย้นคุณชายฟางเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล แขนขาทั้งห้าหัก ไร้ผู้สืบสกุล บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปต้องการให้พวกเรามอบตัวผู้กระทำความผิด และผู้กระทำความผิดคือแกและสามีเศษสวะคนนั้นของแก
ลูกสาว ทำไมลูกถึงได้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่าคุณชายฟางคนนั้นจะโดนทำร้ายจนกลายเป็นแบบนั้น ฉินเฟิงด้วย แกเป็นตัวซวย ตั้งแต่ที่แกมาก็เกิดเรื่องราวหลายอย่าง
สีหน้าของอิ่นหยวนเป็นกังวลอย่างมาก
เขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง ให้ความสำคัญกับการสืบสานของตระกูล และบรรพบุรุษมากที่สุด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนหน้านี้เขาถึงต้องการกลับไปสู่ตระกูลมาโดยตลอด แต่ตอนนี้โดนไล่ออกจากตระกูลโดยตรง
อิ่นซิน แกให้ฉินเฟิงทำร้ายคุณชายฟางจนกลายเป็นแบบนั้น แกตั้งใจทำอะไรกันแน่
แกต้องการจะทำอะไรกันแน่ อยากจะดึงบริษัทซานหยวนกรุ๊ปล่มจมเหรอ ยังดีที่ตอนนั้นปลดแกลงจากตำแหน่งประธานนั้น ไม่อย่างนั้น ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
พวกแกสองคน ผู้กระทำผิด
คนในตระกูลอิ่นมากมายจับจุดด่าว่าอิ่นซินกับฉินเฟิง เหมือนราวกับว่าพวกเธอทำเรื่องเลวร้ายที่สุด
แต่ทว่า ในเวลานี้ อิ่นซินยิ้ม ยิ้มอย่างค่อนข้างเจ็บปวด: ฉันถามพวกคุณหน่อย พวกคุณรู้มั้ยว่าเมื่อวานนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง? พวกคุณไม่รู้ ฉันจะบอกพวกคุณให้ ฟางเย้นลักพาตัวฉัน ฉันเป็นผู้หญิง เขาลักพาตัวฉัน สิ่งนี้ พวกคุณน่าจะรู้ว่าจะทำอะไรนะ ถ้าไม่ใช่สามีของฉัน วันนี้ฉันไม่สามารถที่จะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างครบสมบูรณ์แล้ว
เธอนึกขึ้นมาได้แล้ว
เมื่อวานนี้ฟางเย้นลักพาตัวเธอ ในขณะที่เธอหมดสติอยู่ ได้ยินเสียงของฉินเฟิงอย่างคลุมเครือ
หลังจากที่พูดจบ เธอเอนตัวพิงบนตัวของฉินเฟิง เงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉินเฟิง และด้วยความซาบซึ้งใจเล็กน้อยว่า: ขอบคุณค่ะ
ครอบครัวเดียวกัน
ฉินเฟิงยิ้มเล็กน้อย
……
ทั้งหมดเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครกล้าพูดอะไร พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบว่าทำไมถึงได้มีเรื่องแบบนี้ แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าฟางเย้นท้าทายก่อน หากฉินเฟิงไม่ทำแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นอิ่นซิน จุดจบก็เป็นที่น่ากังวล
แต่ทว่า ในเวลานี้ อิ่นป่ายเดินออกมา ชี้ไปที่อิ่นซิน: อิ่นซิน แกเป็นคนของตระกูลอิ่นหรือเปล่า อยู่ต่อหน้าปัญหาความถูกต้องและความไม่ถูกต้อง เสียสละบ้าง ไม่ได้เลยงั้นเหรอ? ถ้าหากแกไม่เสียสละ งั้นตระกูลอิ่นก็จบเห่แล้ว เพื่อตระกูล แกไม่ควรที่จะต่อต้าน
ใช่ เพื่อตระกูล แกควรจะเสียสละบ้าง
อิ่นเสี้ยงสวี่ก็เดินออกไป
และในเวลานี้ คนอื่นต่างคนต่างมองหน้ากัน ต่อจากนั้นก็มีหลายคนลุกขึ้นออกมา: อิ่นซิน เพื่อตระกูล เสียสละบ้างแล้วยังไง ก็ไม่ได้เสียเนื้อไปสักชิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นฟางเย้น ดีกว่าเศษสวะนั้นของแก หลายพันเท่านะ
อิ่นซิน แกนามสกุลอิ่น เป็นคนตระกูลอิ่น เป็นคนของตระกูลพวกเรา เพื่อตระกูลแล้ว มีส่วนช่วยบ้าง ไม่ถูกต้องเหรอ ในเมื่อคุณชายฟางถูกใจ งั้นแกก็เชื่อฟังคุณชายอย่างว่าง่ายก็พอแล้ว จริงๆเลย
เพราะอำนาจของตระกูลฟางแข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้คนหวาดกลัว ผู้คนมากมายทยอยสนับสนุนความคิดเห็นของอิ่นป่าย
ในเมื่อเป็นคนตระกูลอิ่น ถ้าอย่างนั้นมีส่วนช่วยตระกูลบ้าง แล้วทำไม
ลูกสาว
อิ่นหยวนอยู่ข้างๆไม่พูดอะไร แม้เขาหวังว่าจะได้กลับสู่ตระกูล แล้วก็ไม่ต้องการให้ลูกสาวของตัวเองได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นตอนนี้หอกโล่ปะทะกันเอง(ขัดแย้งกันเอง)
พวกคุณนี่มันไร้ยางอายกันจริงๆ
ในขณะนี้เอง ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองไปที่คนเหล่านี้ และพูดว่า: พวกคุณเอาแต่พูดว่าอิ่นซินเป็นคนตระกูลอิ่น ควรที่จะมีส่วนช่วยเหลือตระกูลอิ่นบ้าง แต่ว่า พวกคุณคิดว่าเธอเป็นคนตระกูลอิ่นมั้ย?
เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ขัดขวางเธออยู่ที่บริษัท ห้ามไม่ให้เธอไป ถึงขนาดยังทุบไข่ไก่ใส่เธอ
ผมถามพวกคุณหน่อย นี่ก็เป็นสิ่งที่พวกคุณบอกว่า คนตระกูลอิ่นงั้นเหรอ?
คำพูดของฉินเฟิง ทำให้พวกเขานิ่งอึ้ง แต่ว่ายังมีคนด่าทอออกมาในทันทีว่า: ฉินเฟิง แกก็เป็นแค่ลูกเขยแต่งเข้าที่เกาะผู้หญิงกินเท่านั้นเอง ตอนแรกเป็นแค่ขอทานข้างถนนเท่านั้นเอง ถ้าไม่ใช่ตระกูลอิ่น แกยังมีชีวิตอยู่มั้ย? แกยังจะพูดแบบนี้ได้อีกเหรอ! ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้
คำพูดหยาบคายไม่สุภาพ
ฉันคิดว่า คุณต่างหากที่ควรไสหัวออกไป
ในเวลานี้ อิ่นซินจ้องมองผู้ชายคนนั้น ด้วยท่าทางไม่พอใจและพูดว่า: อะไรเรียกว่าเพราะตระกูลอิ่น สามีฉันเป็นสามีของฉัน ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอิ่นแม้แต่น้อย
จากนั้นอิ่นซินก็มองไปทางคุณท่านอิ่น: คุณปู่ ปู่แน่ใจว่า จะไล่หนูออกจากตระกูลเหรอ?
แกไม่ต้องเรียกฉันว่าปู่
คุณท่านอิ่นเปล่งเสียงที่ค่อนข้างชราแก่ออกมา
โอเค ดีมาก ตั้งแต่เล็กคุณก็ไม่เคยคิดว่าฉันเป็นคนในครอบครัว และไม่เคยดีต่อฉันมาก่อน ถึงขนาดตอนที่เกิดเรื่องเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว คุณยังร่วมมือกับคนในตระกูล ยึดบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของฉันไป แต่ว่า ฉันไม่เคยโกรธเกลียดคุณมาเลย
แต่ว่า วันนี้ ฉันเกลียดแล้ว ฉันทนตระกูลอิ่นนี้มามากแล้ว พุ่มเป้ามาที่ฉันตลอด ตั้งแต่เล็กจนโต พวกคุณไม่เคยคิดว่าฉันเป็นคนในตระกูลอิ่นมาก่อน เพียงแค่คิดว่าเป็นเครื่องมือหลอกใช้งาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันทรยศตระกูลอิ่นนี้ จำไว้ด้วยว่าฉันเป็นคนทรยศเอง ไม่ใช่ถูกพวกคุณไล่ออกมา
เริ่มตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ฉันเพียงแค่นามสกุลอิ่นอย่างเดียว ไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลอิ่นแม้แต่น้อย
อิ่นซินตกอยู่ในอารมณ์แปรปรวนอย่างฉับพลัน เธอทนมาพอแล้วจริงๆ ทนตระกูลอิ่นนี้มาพอแล้ว และก็ทนคุณท่านอิ่นที่ไม่เคยคิดว่าเธอเป็นคนในครอบครัวมาก่อนพอแล้ว อยู่ในตระกูลอิ่นนี้ มีเพียงแต่ความเย็นชา
สามี พวกเรากลับบ้านกัน
อิ่นซินดึงฉินเฟิงเตรียมที่จะออกไป เธอไม่อยากอยู่สถานที่แห่งนี้ต่อไปสักวินาทีเดียว
อิ่นซิน หยุดเดี๋ยวนี้ หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่อยู่ในมือของเธอ ต้องคืนให้บริษัท นี่เป็นของแลกเปลี่ยนที่แกก่อเรื่องให้กับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป
มีผู้ชายตระกูลอิ่นคนหนึ่ง ไล่ตามมา
แต่ทว่า สิ่งที่ตามมาด้วย มีเพียงดวงตาคู่นั้นที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นคู่นั้นของฉินเฟิง
ไสหัวไปซะ!
ทันใดนั้นผู้ชายคนนั้นในตระกูลอิ่น ก็ราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็ง เยือกเย็นจับกระดูก และจากนั้นก็เป็นมีดเล่มใหญ่เฉียบคม จี้อยู่ที่บนคอของเขา ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
เพล้งทีหนึ่ง
กลัวจนล้มลงไปอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองก็ค่อนข้างหมองคล้ำ
เศษสวะ ถูกขอทานคนหนึ่งทำให้กลัวจนกลายเป็นแบบนี้
อิ่นป่ายมองไปที่ผู้ชายตระกูลอิ่นคนนั้นแวบหนึ่ง ด่าออกมา ผู้ชายตระกูลอิ่นคนนั้นเป็นน้องชายในสายของเขา แต่คาดไม่ถึงว่าต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ ถูกทำให้กลัวจนกลายเป็นแบบนี้
เอ่อ พ่อ ไตร่ตรองดูอีกทีได้หรือเปล่า?
อิ่นหยวนลุกขึ้นมา และอ้อนวอนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
ลุงใหญ่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่ให้โอกาสพวกคุณ ลุงก็เห็นแล้ว ท่าทีนั้นของอิ่นซิน แต่ล่ะคำก็ล้วนเป็นความผิดของพวกเรา เป็นพวกเราที่บีบคั้นเธอ นี่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา หากไม่ใช่ว่าเธอหาเรื่องคุณชายตระกูลฟาง จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง
อิ่นป่ายถอนหายใจ ลุกขึ้นออกมาพูดแทนคุณท่านอิ่นว่า: พวกคุณไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่า บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปแข็งแกร่งมากแค่ไหน เป็นหนึ่งในบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเมืองเจียงเฉิง ไม่ใช่คนธรรมดาอย่างอิ่นซิน จะทำให้ขุ่นเคืองใจได้
ฉินเฟิงอุ้มอิ่นซินตรงกลับไปที่บ้าน และวางลงบนเตียง ไม่ได้ถอดเสื้อผ้าให้กับอิ่นซิน ตอนนี้ยังไม่ถึงขั้นนี้
อย่างมากที่สุด ก็เพียงแค่จับมือเล็กๆเท่านั้นเอง
ต่อจากนั้น ก็ออกไปข้างนอก หาที่อยู่แห่งหนึ่ง เคาะประตู
รหัสที่67
ฉีหยุนไม่เปิดประตูให้เขา ส่งออกมาไม่กี่คำ
ราชันย์ปลาบเสือป่า
หลังจากที่ฉินเฟิงเดินเข้ามา ก็กลอกตาขาวใส่ฉีหยุน
นายพล เข้าใจด้วย เนื่องจากว่าเป็นลูกสาวของคุณนะ เธอยังมีคุณอาหลายแสนคนอยู่ที่อีสเตอร์แลนด์ พี่ชายนะ หากมีอะไรผิดพลาด ผมจะโดนพวกเขาฆ่าตาย
ฉีหยุนลูบหัว เผยให้เห็นท่าทางที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ออกมา
สำหรับรหัส นี่เป็นวิธีการที่ใช้กันทั่วไปในกองทัพ ในนั้นมีรหัสลับบางอย่างที่ใช้ในช่วงเวลาวิกฤตอย่างมาก นั่นก็เป็นตารางรหัสพิเศษ ในนั้นมีรหัสลับหนึ่งร้อยตัว
อ่านตัวเลขแล้ว ต่อจากนั้นจับคู่
นี่ถึงเป็นไร้ข้อผิดพลาด
ความหมายที่ฉินเฟิงกลอกตาใส่เขาคือ ยังไม่ถึงระดับเตรียมพร้อมรับมือแบบนี้ ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในกองทัพแล้ว
กั่วกั่วล่ะ?
ฉินเฟิงมองไปที่ห้อง เป็นคฤหาสน์หลังหนึ่ง ฉีหยุนก็ไม่ได้ขัดสนเงิน ดังนั้นจึงซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งขนาดเล็กเพื่ออยู่อาศัย
นี่ไง
ฉีหยุนพาฉินเฟิงเดินเข้าไป ถึงในห้องหนึ่ง ฉินเฟิงเปิดประตู เห็นฉินกั่วกั่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ ถือดินสอแท่งหนึ่ง และทำการบ้านอย่างจริงจัง
หนึ่งขีดหนึ่งเขียน
ดวงตาเล็กกลมๆ
มองดูแล้วน่ารักเป็นอย่างมาก
อ่าว พ่อค่ะ
ในเวลานี้ เธอก็สังเกตเห็นร่างของฉินเฟิง ก็กระโดดลงจากเก้าอี้ในทันที และกระโจนไปทางฉินเฟิง
ลูก
ฉินเฟิงอุ้มกั่วกั่วขึ้น ต่อจากนั้นจูบหนึ่งที
พ่อหนวดเคราทิ่มคน
ก็จะทิ่มลูก ทิ่มลูก
พ่อรำคาญ
บอกว่ารำคาญ แต่กั่วกั่วยังดูมีความสุข
ไปเก็บข้าวของ พวกเรากลับบ้านกัน
ค่ะ
น้ำเสียงของกั่วกั่ว ยังอ่อนหวานน่ารักเล็กน้อย
และในเวลานี้ ฉินเฟิงสังเกตเห็นฉีหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆ ท่าทางดูอิจฉา ก็พูดติดตลกในทันที: ทำไม นายอยากมีสักคนเหรอ?
อือ
ฉีหยุนพยักหน้าอย่างหนัก เขามองไปที่กั่วกั่ว น่ารักมากจริงๆ ทำให้ชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างเขาหลอมละลาย
งั้นก็หาแฟนสาวสักคน อย่าเอาแต่ต่อสู้ไปวันๆ ในกองทัพเกือบโดนนายต่อสู้กันจนไม่มีคู่ต่อสู้แล้ว
ฉินเฟิงตบไล่ของฉีหยุน และถอนหายใจ: ลูกสาวคนนี้ของฉัน ก็ทำให้คนคาดไม่ถึง แต่ว่าฉันก็พอใจมากแล้ว
ใช่แล้ว นายพล ผมขอเป็นลูกบุญธรรม ได้หรือเปล่า?
ทันใดนั้น ฉีหยุนมีความคิดบางอย่าง
นี่เป็นความจริง น่าอิจฉาจริงๆ
เขาอยากจะมีลูกสาวคนหนึ่งจริงๆ
พวกเขาต่างก็พูดว่านายโง่ ฉันว่านะ ไม่โง่เลยสักนิด ยังรู้จักพลิกโอกาส กลายเป็นพ่อบุญธรรม แล้วก็สามารถที่จะต่อสู้ต่อไปได้ แล้วก็มีลูกสาวคนหนึ่ง
ฉินเฟิงใช้มือ ทุบหน้าอกของฉีหยุน
และในเวลานี้ ฉินกั่วกั่วเก็บข้าวของเสร็จพอดี มาถึงข้างกายของฉินเฟิง ฉินเฟิงลูบหัวเล็กๆของเธอ และชี้ไปที่ฉีหยุน แล้วพูดว่า: พ่อจะยอมรับพ่อบุญธรรมให้ลูกคนหนึ่ง เรียกพ่อบุญธรรมสิ
พ่อบุญธรรม?
ฉินกั่วกั่วมองไปทางฉีหยุน ตะโกนเรียกอย่างระมัดระวัง แต่ผ่านการอยู่ร่วมกันก่อนหน้านี้ เธอพบว่าคุณอาคนนี้ค่อนข้างจะเข้ากันได้ง่าย
อือ!
เรียกอีกครั้ง
พ่อบุญธรรม
เสียงปกติที่หลอมละลายของฉินกั่วกั่ว ทำให้ฉีหยุนค่อนข้างควบคุมไว้ไม่อยู่ แต่ว่าเขานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ว่า: นายพล ผมเป็นพ่อบุญธรรม ครั้งแรกผมต้องมอบของขวัญให้ นี่เป็นพิธี ผมไปหาดู ใช่แล้ว บนตัวของผมมีปืนพกอินทรีทะเลทราย แบบ782…..
ไสหัวไปซะ
ฉินเฟิงเตะฉีหยุนไปหนึ่งที ต่อจากนั้นก็พาฉินกั่วกั่วออกไป คนทึ่มอย่างฉีหยุน ถ้าอยู่ต่อไป เขาอาจจะเอาบาซูก้าออกมา
ผู้ชายคนนี้ บางครั้งก็ฉลาด บางครั้งก็ไม่ฉลาด
ชื่นชอบการต่อสู้เป็นพิเศษ ก่อนหน้านี้ติดตามอยู่ข้างกายของฉินเฟิงมาโดยตลอด เป็นเพราะอยู่ในกองทัพสามแสนกว่าของอีสเตอร์แลนด์ มีเพียงฉินเฟิง ที่เขาสู้ไม่ได้
ทุกคนต่างก็รู้ว่า ฉินเฟิงเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และนายพลคนแรกคือฉีหยุน นี่เป็นราชาแห่งกองทัพคนหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทหารผ่านศึกบางคนรู้ว่า ฉินเฟิงแข็งแกร่งกว่าฉีหยุน
และจากนั้น ฉินเฟิงก็พาฉินกั่วกั่วกลับไปที่ตระกูลอิ่น
หลังจากวันรุ่งขึ้น อิ่นซินตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็เคาะศีรษะ: ปวดหัวจัง!
เดี๋ยวก่อนนะ……เมื่อวานนี้!
อิ่นซินก็ลืมตาขึ้นมาในทันที เธอนึกเรื่องราวของเมื่อวานออก เธอกำลังเดินอยู่บนถนน ถนน ทันใดนั้นก็มีกลุ่มผู้ชายรายล้อมขึ้นมา ต่อจากนั้นเธอก็หมดสติไป
ผู้ชายเหล่านั้น ไม่เหมือนคนดี
ถ้าอย่างนั้นเธอ
หรือว่า
เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในใจของอิ่นซินก็ตึงเครียด เปิดผ้าห่มออกในทันที ต่อจากนั้นพบว่าเสื้อของตัวเองยังอยู่ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็มองไปรอบๆ พบว่าเป็นห้องนอนของตัวเอง
ฉันฝันไปเหรอ?
อิ่นซินเคาะศีรษะ ดูงุนงง: แต่มันดูไม่เหมือนความฝัน รู้สึกเหมือนความจริงมาก
แต่ขณะที่เธอยังไม่ทันได้ครุ่นคิดอะไร สายหนึ่งก็โทรเข้ามา อิ่นซินหยิบขึ้นมาดู เป็นคุณท่านอิ่น
หลังจากที่รับสายแล้ว เสียงของคุณท่านอิ่นก็ดังมาจากในโทรศัพท์: อิ่นซิน มาที่บริษัทเดี๋ยวนี้
หลังจากที่พูดจบ ก็วางสาย
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?
อิ่นซินไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คุณท่านมาที่บริษัท ถ้าอย่างนั้นเธอควรทำหน้าที่ตำแหน่งประธาน ตอนนี้เหตุผลอะไรก็ไม่มีประโยชน์
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปไม่สามารถปิดกั้นพวกเขาได้อีกต่อไป
สามี
อิ่นซินเรียกฉินเฟิงคำหนึ่ง
ไป ไปที่บริษัทกับฉัน
ได้
ฉินเฟิงกำลังทำงานบ้านอยู่ นี่เป็นความต้องการของจางลี่ บอกว่าพวกเขาไม่มีใครทำงานบ้าน เขามาแล้ว ก็ควรที่จะทำงานบ้าน
ฉินเฟิงก็ไม่มีทางเลือก
และในเวลานี้ หลังจากฟังคำพูดของอิ่นซิน ก็วางไม้กวาดลงในทันที ออกเดินทางพร้อมกับอิ่นซิน สามสิบนาทีต่อมา มาถึงบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
แต่หลังจากที่มาถึงบริษัท อิ่นซินพบว่าบรรยากาศไม่ชอบมาพากลเล็กน้อย
เสี่ยวลี่
อิ่นซินพูดทักทาย พนักงานต้อนรับคนหนึ่งของบริษัท
แต่ว่าสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนคือ พนักงานต้อนรับคนนั้นไม่ได้สนใจเธอ ถึงขนาดยังก้มหน้าลง บ่งบอกว่าไม่อยากมองเธอ
เกิดอะไรขึ้น นี่คือ? พวกเราคบหากันมานานขนาดนี้แล้ว
อิ่นซินก้าวไปข้างหน้า ถามพนักงานต้อนรับคนนั้นอย่างคาดคั้น ทั้งสองคนคบหากันจริงๆ
จะโทษก็โทษเศษสวะข้างกายคนนั้นของเธอเถอะ
พนักงานต้อนรับพูดแบบนี้ ก็เดินออกไป
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นซินเหลือบมองไปที่ฉินเฟิงแวบหนึ่ง แม้ว่าเธอไม่อยากจะยอมรับ แต่เธอรู้ว่าเศษสวะที่พนักงานต้อนรับคนนั้นพูด ก็คือฉินเฟิง
ไม่เป็นไร พวกเราเข้าไปด้วยกัน
แม้ว่าอิ่นซินยังไม่เข้าใจ แต่ก็ยังเป็นคนที่จับมือของฉินเฟิงเอง เดินขึ้นไปชั้นบน และตรงไปถึงที่ห้องทำงาน
พบว่า สมาชิกตระกูลอิ่นทุกคนก็อยู่ รวมทั้งพ่อของเธอด้วย เพียงแต่ว่าสีหน้าของอิ่นหยวนดูไม่ดีมาก
ในนั้น คุณท่านอิ่นนั่งบนที่นั่งหลัก
อิ่นซิน แกรู้มั้ยว่าครั้งนี้ พวกแกทำผิดมากแค่ไหน? หลังจากการตัดสินใจอย่างเป็นเอกฉันท์โดยตระกูล พวกเราไล่แกออกจากตระกูลอิ่น เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกแกทั้งครอบครัวก็ไม่ใช่คนตระกูลอิ่นของพวกเราอีกแล้ว
ตูม
คุณท่านอิ่นจับไม้เท้า และประกาศคำสั่งนี้
หลังจากที่ฉินเฟิงจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็อุ้มอิ่นซินออกจากโรงแรมหลานเทียนแห่งนี้
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถึงได้มีคนพบกลิ่นคาวเลือดในนั้น แจ้งตำรวจ หลังจากนั้นไม่นานรถตำรวจจำนวนมากมายก็มาถึง หนึ่งในนั้นนำโดยตำรวจหญิงคนหนึ่ง
หัวหน้า ในโรงแรมหลานเทียนนี้ เสียชีวิตไปทั้งสิบหกคน ตัวตนของทั้งสิบหกคนนี้ พวกเราได้ตรวจสอบชัดเจนแล้ว ล้วนแต่เป็นนักมวยเถื่อนใต้ดิน
ตำรวจคนหนึ่งกำลังรายงานให้กับหลิวหลิน
นักมวยเถื่อนงั้นเหรอ? เป็นเรื่องปกติ?
หลิวหลินครุ่นคิดเล็กน้อย การเสียชีวิตของนักมวยเถื่อน นี่เป็นเรื่องที่ปกติมาก เดิมทีพวกเขาก็ปฏิบัติตัวอยู่นอกเหนือกฎหมาย แต่ว่าเธอจำได้ยังมีอีกหนึ่งคน
ฉันจำได้ เป็นสิบเจ็ดศพนะ?
ความจำของหลิวหลินดีเป็นอย่างมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะจำผิด
เป็นสิบหกร่าง อีกหนึ่งร่างยังไม่เสียชีวิต ยังมีลมหายใจอยู่ พวกเราได้ส่งตัวเขาไปรักษาที่โรงพยาบาลแล้ว ตอนแรกได้ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าคนคนนั้นเป็นใครแล้ว ทายาทของตระกูลฟาง ฟางเย้น วันนี้โรงแรมหลานเทียนก็ถูกเขาเหมาจองไว้ทั้งหมดแล้ว ตำรวจคนนั้นพูดเพิ่มเติม
ฟางเย้น
ในแววตาของหลิวหลินส่องประกายด้วยความไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย เธอเป็นตำรวจมาหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นแบบนี้มาก่อน
ตอนแรกที่เห็นเข้า ทำให้เธอตกใจมาก
แขนขาทั้งห้าหักหมดแล้ว
ถูกคนเหยียบหักทีละข้าง
ฟางเย้นคนนั้นอยู่ในความเจ็บปวด ร้องคร่ำครวญจนหมดสติไป
เปิดสอบสวนในทันที
หลิวหลินออกคำสั่งในทันที หลังจากที่สืบสวนผ่านไปหนึ่งชั่วโมง พวกเขาพอจะรื้อฟื้นเรื่องราวที่ผ่านมาได้
ฟางเย้น คุณชายตระกูลฟางคนนี้ ลักพาตัวผู้หญิงคนหนึ่ง ต่อจากนั้นเรียกนักมวยเถื่อนกลุ่มหนึ่ง เตรียมตัวจัดการผู้ชายคนหนึ่ง
ต่อมาผู้ชายคนนั้นมาแล้ว
แล้วต่อมา ตอนจบก็กลายเป็นฉากนี้ที่พวกเขาเห็น ช่วยคนออกไป แต่ก็ยังประสบกับการต่อสู้ครั้งใหญ่
ฟางเย้นนี้ น่าขยะแขยงจริงๆ ผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวคนนี้ น่าจะเป็นแฟนสาวของผู้ชายคนนั้น หรือว่าภรรยานะ
รอหลังจากที่ผลการสอบสวนออกมา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนก็เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม พวกเขาต่างก็รู้ดีว่า เหตุการณ์นี้ก็ล้วนแต่เป็นการกระทำที่ชั่วร้ายของฟางเย้นคนนั้น
จริงๆ
หลิวหลินพยักหน้า แต่พูดต่อไปว่า: แต่ว่า พวกเรายังต้องจับกุมผู้ชายคนนั้น เขาฆ่าคน
หัวหน้า เขาป้องกันตัวเอง ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเขาและภรรยาของเขา วันนี้ก็จะตกอยู่ในมือของฟางเย้นคนนั้น
นั่นนะสิ สถานการณ์แบบนี้ เขาจะเลือกยังไงได้
ตำรวจหลายคนยืนอยู่ข้างฉินเฟิง
แต่ทว่า หลิวหลินพูดตำหนิว่าพวกเขาว่า: พวกเราเป็นตำรวจ พวกเราต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ใช่ว่าความรู้สึกของพวกคุณ ตอนที่ควรจะจับคน ก็ต้องจับคน
รับทราบ
ตำรวจเหล่านั้นก็รับฟังและปฏิบัติตามคำสั่ง
หลิวหลิน ชนชั้นสูงในแวดวงตำรวจเมืองเจียงเฉิง ก็สามารถเรียกได้ว่าแปลกประหลาด ตั้งแต่ที่เธอเริ่มเข้าสู่วงการตำรวจ ก็โหดร้ายกับคนร้ายเหมือนราวกับศัตรูอย่างไม่มีอะไรเทียบได้ ก็มีความยุติธรรมที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ สำหรับเรื่องที่ไม่ยุติธรรมอะไรก็ตาม ก็ต้องออกหน้ามาดูแลจัดการ และปฏิบัติตามความยุติธรรมกับกฎหมาย
ก็เป็นเพราะว่า ทำให้คนขุ่นเคืองใจมานับไม่ถ้วน
แต่ว่าจนถึงวันนี้ไม่มีใครทำให้เธอลงจากตำแหน่งได้ มีคนบอกว่าภูมิหลังของหลิวหลินนั้นหนามาก แต่ว่าไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องแบบนี้ ถึงยังไงเธอก็ไม่เคยลงจากตำแหน่ง และก็ไม่เคยถูกลดตำแหน่งเลย
ในเวลานี้เอง สายหนึ่งโทรเข้ามา หลินหลิวรับสายขึ้นมา: ฮัลโหล ผู้บัญชาการ
ในโทรศัพท์ ก็เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ผมจานเทียนฉีเอง สำหรับคดีเกี่ยวกับโรงแรมหลานเทียนไม่จำเป็นต้องตรวจสอบต่อไปแล้ว นี่เป็นคำสั่งของเบื้องบน
ทำไมค่ะ!
ในใจของหลิวหลินนิ่งอึ้ง แม้ว่าเธอจะไม่ต้องการปฏิบัติภารกิจนี้ เธอก็คิดว่าฉินเฟิงไม่ผิด แต่มีกฎหมายของประเทศต้าหัวอยู่ เธอไม่รู้ทำไมหยุดดำเนินการสอบสวนต่อไป
ไม่มีอะไร ปฏิบัติตามคำสั่ง
ต่อจากนั้น โทรศัพท์ก็วางสาย
หัวหน้า มีเรื่องอะไรเหรอ?
มีตำรวจบางคนที่อยู่รอบๆ คิดว่าออกปฏิบัติการแล้ว ก็ถามไถ่ในทันที
คดีนี้ ตอนนี้พวกเราไม่ต้องตรวจสอบแล้ว กลับสถานีตำรวจ หลิวหลินขมวดคิ้วพูด
อะไรนะ?
ตำรวจเหล่านั้นต่างก็ตกตะลึง จู่ๆก็หยุดตรวจสอบ แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่ดี เดิมทีพวกเขาก็คิดว่าฟางเย้นคนนั้นเป็นคนชั่วร้าย
พวกเขาอยู่ในทีมของหลิวหลิน และส่วนใหญ่เป็นรุ่นที่โหดร้ายกับคนร้ายเหมือนราวกับศัตรู
หลังจากจัดการกับที่เกิดเหตุ หลิวหลินกลับถึงที่สถานีตำรวจ และพบจานเทียนฉีแล้วถามอย่างจริงจังว่า: ผู้บัญชาการ ทำไมพวกเราพวกเราจะต้องล้มเลิกภารกิจนั้นด้วย?
หลิวหลิน ผมรู้ว่าคุณมีความยุติธรรมมาแต่กำเนิด รู้ว่าคุณปฏิบัติตามกฎหมายมาโดยตลอด แต่ว่าเหตุการณ์นี้ คุณว่าเป็นความผิดของฉินเฟิงหรือเปล่า?
จานเทียนฉีนั่งบนเก้าอี้ แล้วถามไถ่
เขาไม่ผิด แต่ว่ากฎหมาย…..
หลิวหลินอยากที่จะถามอีก
แต่ว่าจานเทียนฉีโบกมือ: นี่เป็นคำสั่งจากเบื้องบน เหตุการณ์นี้ พวกเราตำรวจไม่สามารถมีส่วนร่วมได้อีก ใช่แล้ว ช่วงนี้คุณก็ไปรับผิดชอบคดีที่เกี่ยวกับการศึกษานั้นนะ
ผู้บัญชาการ ฉัน……
ไม่ต้องพูดแล้ว ครั้งนี้เรียกพ่อของคุณมาก็ไม่มีประโยชน์
จานเทียนฉีในครั้งนี้ ค่อนข้างโกรธ
สุดท้าย หลิวหลินก็ถอยออกมาจากในห้องทำงาน และพูดพึมพำว่า: แข็งแกร่งขนาดนี้ ทายาทเศรษฐีงั้นเหรอ? ฉินเฟิงคนนั้นก็เป็นทายาทเศรษฐีงั้นเหรอ?
เพราะว่าเหตุการณ์นี้ เดิมทีทำให้เธอที่ความประทับใจที่ดีต่อฉินเฟิง ก็ลดลงไปที่ด้านล่างในทันที
เธอคนนี้ เกลียดชังพวกทายาทเศรษฐีที่ก่อกรรมทำชั่วไปหมดมากที่สุด
ตัวอย่างเช่นฟางเย้นคนนั้น
เพราะว่าหลังจากที่รู้ว่าฉินเฟิงคนนี้ เป็นทายาทเศรษฐีคนหนึ่ง หลิวหลินก็เกลียดชังมากยิ่งขึ้น
ฉินเฟิง งั้นเหรอ? ฉันจะจับตาดูนาย ทายาทเศรษฐีเจ๋งมากนักใช่มั้ย ฉันไม่เชื่อความชั่วร้าย มีสักวันหนึ่งที่ฉันจะจับกุมตัวนายให้ได้
ในใจของหลินหลิว ตั้งใจแน่วแน่จะจับฉินเฟิงให้ได้
ทายาทเศรษฐีแบบนี้ ต้องจับกุม ถ้าไม่จับ ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะทำผิดอะไรอีกบ้าง สิ่งนี้จะนำภัยพิบัติมาสู่ประเทศบ้านเมืองและพลเมือง
และในเวลานี้ โรงพยาบาลที่หนึ่งในเมืองเจียงเฉิงได้นำลูกค้าคนพิเศษคนหนึ่งเข้ามา
คนที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นึกไม่ถึงเลยว่ายังเป็นคนที่มีลมหายใจอยู่ ทำให้หมอที่ทำการรักษา ถอนหายใจอย่างเหลือเชื่อ
นี่เป็นปาฏิหาริย์ทางการแพทย์จริงๆเลย
และในเวลานี้ ได้รับสายโทรศัพท์จากโรงพยาบาล ฟางจือฮุยที่รีบเร่งมาที่โรงพยาบาลอย่างรวดเร็วก็ถามหมอคนหนึ่ง: คุณหมอครับ เป็นยังไง?
พวกเราคิดว่ามีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว แต่ไม่รู้ว่าทำไมยังไม่เสียชีวิต แต่ว่าเป็นคนไร้ค่าแล้ว แขนขาทั้งห้าหักแล้ว แขนที่ห้า คุณน่าจะรู้ว่าหมายความถึงอะไร ไร้ผู้สืบสกุลแล้ว
หมอส่ายหน้า
อะไรนะ!
ฟางจือฮุยตกใจมาก โทรหาคนสนิทคนนั้นของฟางเย้น และตะคอกว่า: ฟางเย้น เมื่อคืนนี้ทำอะไร?
เอ่อ……คุณชายฟาง……เมื่อคืนนี้ ลักพาตัวอิ่นซินคนนั้น ต่อจากนั้นรอฉินเฟิงคนนั้นมาหาถึงที่……
คนสนิทคนนั้น เมื่อคืนนี้ไม่ได้ตามฟางเย้นไป แต่รู้ว่าฟางเย้นจะทำอะไร ถูกฟางจือฮุยทำให้ตกใจขนาดนี้ ก็พูดออกมาทั้งหมด
อิ่นซิน! ฉินเฟิง!
ฟางจือฮุยวางสาย ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธ: อิ่นซิน ผู้หญิงโคมเขียว ลูกชายของฉันให้ความสำคัญกับแก นี่เป็นเกียรติของแก ไม่นึกเลยว่า จะปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ก็ทำร้ายลูกชายของฉัน จนกลายเป็นแบบนี้!
คนสารเลว ฉันไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่
กระดาษเงินงั้นเหรอ? แกก็คู่ควรเหรอ?
อาเทียนแสยะยิ้ม รูปร่างของเขาเตี้ยเล็กน้อย แต่ว่าด้วยเหตุนี้ความเร็วก็เร็วที่สุด พุ่งไปด้านหน้าที่สุด ข้อศอกพุ่งไปทางขมับของฉินเฟิง ความเร็วก็เร็ว แม่นยำ และรุนแรง
นี่ก็เป็นการโจมตีที่จะฆ่าคน
ตราบใดที่โจมตีไปทางจุดสำคัญ
แต่ว่าเขายังออมมือเล็กน้อย เนื่องจากว่าคุณชายฟางบอกว่า จะต้องมีชีวิตอยู่ด้วย
เพียงแต่วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะเขาพบว่าข้อศอกของที่โจมตีนั้น ไม่นึกเลยว่าจะไม่โดนเป้า ฉินเฟิงเพียงแค่เอียงหัวเล็กน้อยก็หลบหลีกได้
นี่มันเป็นไปไม่ได้
ความเร็วนี้ คนธรรมดาจะตอบสนองได้อย่างไร
ฮ่าๆ อาเทียน ระดับของนายลดลงแล้วนะ โจมตีแบบนี้ก็ไม่โดนเป้า จริงๆเลย เหยื่อคนนี้ก็มอบให้ฉันนะ อาเจี๋ยที่ตามอยู่ด้านหลัง ไล่ตามไปแล้ว
เตะตวัด ขาข้างหนึ่งเตะไปทางบนหน้าอกของฉินเฟิง
ถ้าเกิดเตะโดน ถูกเตะกระเด็นอย่างแน่นอน
หน้าอกก็เป็นหนึ่งในจุดสำคัญเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาเคยเตะซี่โครงของศัตรูเหล่านั้นหัก ก็เตะหักแบบนี้
ฮ่าๆๆ เด็กน้อย นอนลงเดี๋ยวนี้……
อาเจี๋ยแสดงรอยยิ้มที่โหดร้ายเล็กน้อย แต่วินาทีต่อมา ยังไม่ทันจะพูดจบ รอยยิ้มของเขาก็แข็งทื่อ เพราะว่าเห็นเพียงฉินเฟิงถอยกลับเล็กน้อย และหลบหลีกการโจมตีของพวกเขา
เป็นไปได้ยังไง
ความสามารถในการตอบสนองนี้
ไอ้หมอนี่แปลกๆน่ะ ร่วมมือกัน
หลังจากที่อาเจี๋ยพบว่าไม่ปกติ ก็พูดกับอาเทียนคนนั้นในทันที ทั้งสองคนมองหน้ากัน ก็โจมตีทั้งซ้ายและขวาไปทางฉินเฟิงในทันที อาเทียนออกหนึ่งหมัด อาเจี๋ยเตะออกไปหนึ่งที และพุ่งไปทางจุดสำคัญของฉินเฟิง
ตาย!
ในครั้งนี้ พวกเขาไม่ได้ออมมือ
เกมฆ่าคน ถ้าเกิดพวกเขาจริงจัง ถ้าอย่างนั้นไม่มีทางออมมือ
และในเวลานี้ ฉินเฟิงมองพวกเขาสองคนแวบหนึ่ง และพูดออกมาไม่กี่คำว่า: พวกแกเล่นพอหรือยัง? เล่นพอแล้ว ก็ถึงตาฉันแล้ว
วินาทีต่อมา
ฉินเฟิงปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา มือข้างหนึ่งจับมือของอาเทียนไว้ มืออีกข้างก็จับมือของอาเจี๋ยไว้ ต่อจากนั้นได้ยินเพียงแกร๊กดังมาหนึ่งเสียง
อ๊ากกกก……
อาเทียนกับอาเจี๋ยล้มลงกับพื้นพร้อมกัน ทั้งสองต่างก็เหงื่อแตก สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด อาเทียนจับแขนของตัวเองไว้ ตรงกลางแขนของเขา ก็ตกลงมาในทันที
เหมือนกับว่า กระดูกข้างในหักไปหมดแล้ว
และอาเจี๋ยก็นอนอยู่บนพื้น จับต้นขาของตัวเองไว้ ก็เหมือนราวกับทั่วไป หักไปอย่างพร้อมเพรียงกัน เหมือนกับว่ากระดูกข้างในหัก
ลูกพี่ ไอ้หมอนี่รับมือได้ยาก มือของผมหักแล้ว
อาเทียนกัดฟัน ลืมตาขึ้น และพูดกับเสนซัน
ลูกพี่ ขาของผมก็หักแล้ว อาเจี๋ยพูดแบบเดียวกัน
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะนักมวยเหล่านั้น ต้องรู้ว่าอาเทียนกับอาเจี๋ยนี้อยู่ในผู้คนมากมายขนาดนี้ นอกเหนือจากเสนซันที่สามารถต่อสู้ได้เก่งที่สุด
ปรากฏว่า ถูกจัดการในวินาทีเดียว?
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย
มีความสามารถอยู่บ้าง
สายตาของเสนซันมองไป ต่อจากนั้นพูดว่า: พวกนายทั้งหมดลุยพร้อมกัน หมัดยากจะสู้สี่มือ(เอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุง) นับประสาอะไรกับพวกนายที่ไม่ใช่คนธรรมดา
นั่นนะสิ
พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา ต่างก็เป็นนักมวยอยู่ในมวยเถื่อนใต้ดิน ใช้ชีวิตกระหายเลือดปลายมีด พวกเขาไม่กลัวตาย
ภายใต้คำสั่งหนึ่งเสียงของเสนซัน สิบกว่าคนที่เหลืออยู่ ก็รุมโจมตีฉินเฟิงทั้งหมดในครั้งนี้ และยังชกต่อยด้วยความร่วมมือเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่า สิบวินาทีต่อมา นักมวยเถื่อนสิบสี่คนที่พุ่งเข้าไปนั้น ทั้งหมดก็ล้มลง ฉินเฟิงกวาดสายตามองคนที่ร้องโอดโอยเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น อดไม่ได้ที่จะพูดว่า: ขยะก็คือขยะ จะมามากแค่ไหนก็เหมือนกัน
น่าสนใจ
ครั้งนี้เสนซันมีความสนใจ หันหน้ากลับมา มองดูฉินเฟิง และพูดว่า: ฝีมือของแกดีมาก มีความสนใจที่จะมาทางฉันมั้ย
ดูเหมือนว่าแกจะไม่เข้าใจความหมายของฉัน
ฉินเฟิงเดินเข้าและพูด
ความหมายงั้นเหรอ?
เสนซันตกตะลึง
ขยะที่ฉันพูด รวมทั้งแกด้วย
ฮ่าๆ คนจีนน่าสนใจจริงๆ ฉันมาถึงเมืองนี้ก็เพื่อนักมวยเถื่อน ไม่เคยเจอความล้มเหลวมาก่อน วันนี้ แกจะกลายเป็นคนที่หนึ่งร้อยที่ฉันจะฆ่าตาย
หลังจากที่เสนซันหัวเราะสองครั้ง ก็เดินเข้ามา ความสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบ สั่นสะเทือนบนพื้น ดังตูมๆ สนับมือเหล็กบนมือก็เปล่งประกายด้วยแสงสีเงิน
เสนซัน ฆ่าเขา ฆ่าเขา ไม่นึกเลยว่าเขาจะกล้าโอ้อวดกำลัง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วจริงๆ
ฟางเย้นอยู่ข้างๆ ตอนแรกยังจะหมายมั่นปั้นมือ ดูคาดหวัง ต่อจากนั้นเขาก็เห็นฉากที่นักมวยเถื่อนเหล่านั้นถูกฉินเฟิงทำร้าย
ก็ทำให้เขาผิดหวังในทันที
จะรุนแรงแบบนี้ได้ยังไง
แต่ตอนนี้เสนซันออกมาแล้ว นี่ก็ไม่เหมือนกันแล้ว นี่เป็นเสนซันเลยนะ ราชันย์มวยใต้ดินของเมืองเจียงเฉิง ชนะติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้ง จนถึงวันนี้ไม่เคยแพ้แม้แต่ครั้งเดียว
นี่เป็นชายฉกรรจ์อย่างแท้จริง
ฆ่าแค่ฉินเฟิงตายคนเดียว ง่ายดาย ไม่มีทางมีปัญหาอะไร
เสนซัน ฆ่าเขาให้ตายทันที ก่อนหน้านี้บอกว่าไว้ชีวิต ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว ฆ่าให้ตาย ฉันคิดหาทางให้กับนายเอง
ฟางเย้นนึกถึงความเยือกเย็นก่อนหน้านี้ ก็ให้เสนซันฆ่าฉินเฟิงตายในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง
โอเค
เสนซันตอบฟางเย้น ต่อจากนั้นก็มองดูฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง ท่าทางมีเพียงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซ็นเมตร มีความสูงต่างจากเขาหนึ่งหัว ก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่โหดร้ายในทันที: แกว่า แกคิดว่าตัวเองมีโอกาสที่จะชนะมั้ย?
โอกาสชนะงั้นเหรอ?
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมา แววตาเฉียบคม วินาทีต่อมา ชกออกไปหนึ่งหมัด ในอากาศก็มีเสียงพลั่กดังมาหนึ่งเสียงในทันที
ต่อจากนั้น
ก็เห็นเพียงร่างขนาดใหญ่ร่างหนึ่ง กระเด็นออกมาในทันที กระแทกอยู่บนกำแพง ติดอยู่ในนั้น ต่อจากนั้นก็อาเจียนเลือดออกมาเต็มปาก และสาดไปทั่วทุกที่
แหวะ!
เป็น……ไป……ได้ยังไง
เสนซันยังมีลมหายใจอยู่เฮือกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก รูม่านตาหดลงอย่างรวดเร็ว ในดวงตาเต็มด้วยความเหลือเชื่อ ความเร็วนั้นเร็วมากเกินไปแล้ว
ทั้งหมดทำให้เขาไม่ทันได้ตอบสนอง
อีกอย่าง พลังนั้น
เขามีน้ำหนักหนึ่งร้อยกิโล ชกออกมาด้วยหนึ่งหมัด ก็ชกเขากระเด็น พลังแบบนี้เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ทั้งหมดนี้ บดขยี้เขา
เหลือเชื่อมากจริงๆเลย
เขาชกมวยเถื่อนมามากมายขนาดนี้ แต่ว่าไม่เคยมีคู่ต่อสู้แบบนี้มาก่อน และไม่ใช่รุ่นเฮฟวีเวท
ฉันบอกแล้ว มามากแค่ไหน ก็เป็นเพียงแค่ขยะ
ฉินเฟิงพูดประโยคนี้ออกมา ต่อจากนั้นเดินไปตรงหน้าของอิ่นซิน ตรวจสอบร่างกายของเธอสักพัก: โชคดี ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแค่หมดสติ
จบเห่
เมื่อฟางเย้นเห็นฉากนี้ เตรียมตัวที่จะวิ่งหนีในทันที แต่ตอนที่เขากำลังจะวิ่งออกไป แก้วไวน์ใบหนึ่งก็กระแทกเข้ามา
เพล้งดังมาหนึ่งเสียง
กระแทกลงบนร่างกายของเขา
เศษแก้วก็แตกกระจาย เศษแก้วพวกนั้นก็เสียบอยู่บนร่างกายของฟางเย้น ทำให้ฟางเย้นล้มลงบนพื้นในทันที และมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก
สักพักหนึ่ง เลือดไหลไม่หยุด
และในเวลานี้ ฉินเฟิงเดินถึงตรงหน้าของเขา และก้มหน้าพูดว่า: ภรรยาของฉัน เป็นทุกอย่างของฉัน แกกล้าแตะต้องเธอ งั้นแกก็ต้องทนต่อความโกรธของฉัน แต่ว่า แกวางใจเถอะ ฉันไม่มีทางปล่อยให้แกตายได้สนุกขนาดนี้
ไม่นะ ไม่นะ……
ฟางเย้นล้มอยู่ในกองเลือด มองดูร่างของฉินเฟิง เหมือนราวกับว่าเห็นปีศาจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
แต่น่าเสียดาย ไม่มีอะไรดีสำหรับเรื่องนี้
ไม่!
ทั้งโรงแรมหลานเทียนเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของฟางเย้น
หลังจากที่ฉินเฟิงเดินออกจากร้านกาแฟ เตรียมตัวไปรับกั่วกั่ว แต่ว่าจู่ๆได้รับสายโทรศัพท์หนึ่งสาย
ฉินเฟิง ฉันฟางเย้นเอง ตอนนี้อิ่นซินอยู่กับฉัน ที่โรงแรมหลานเทียน วันนี้ฉันเหมาจองโรงแรมนี้คนเดียวทั้งหมด ไม่มีคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง พวกเรามาเล่นสนุกกันเถอะ
มีเสียงหัวเราะที่กำเริบเสิบสานดังออกมาจากในโทรศัพท์
ก็คือฟางเย้น
ฟางเย้น ถ้าแกกล้าทำอะไรภรรยาของฉันแม้แต่ปลายผม ฉันจะทำลายตระกูลฟางของแก ฉันฉินเฟิง พูดได้ทำได้
ในดวงตาของฉินเฟิงปรากฏความอาฆาต
คนมีต่อมโมโห เกิดสะกิดโดนก็มักจะโมโห!
และภรรยาของเขา ก็คือต่อมโมโหของเขา ใครก็ตามที่กล้าแตะต้องเธอไม่มีทางให้อภัยเด็ดขาด โกรธเพราะสาวสวย ฆ่าคนล้างโลก ฉินเฟิงทำเรื่องแบบนี้ได้
หลังจากวางสาย ฉินเฟิงก็โทรหาฉีหยุน ให้เขาออกไปรับฉินกั่วกั่วหน่อย คืนนี้ยังไม่ต้องพากลับมา เขายังโทรหาครูอนุบาลของฉินกั่วกั่ว บอกกล่าวไว้ด้วย
ทั้งนี้ฉินกั่วกั่วจะไม่คิดว่าฉีหยุนเป็นไม่ดี ไม่ไปกับเขา
ต่อจากนั้น เขาก็รีบไปที่โรงแรมหลานเทียน
และฟางเย้นที่อยู่ทางนี้ กลับได้ยินประโยคนั้นของฉินเฟิง ด้านหลังเย็นวาบอยู่ตลอดเวลา รู้สึกเยือกเย็น ทำให้ร่างกายของสั่นอย่างอธิบายไม่ถูก ในใจก็ทะลักไปด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ต่อจากนั้น เขาส่ายหน้า ก็สงบจิตลงมา มองไปทางนักมวยผิดดำคนนั้น และถามว่า: เสนซัน อีกฝ่ายเป็นทหารมาก่อน นายเอาชนะได้หรือเปล่า?
เขาได้ตรวจสอบฉินเฟิง ทหารผ่านศึก มีฝีมือเล็กน้อย
และเสนซันคนนั้นสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบ ร่างกายกำยำมากๆ บนใบหน้ายังมีรอยแผลเล็กน้อย ดูแล้วโหดร้ายเล็กน้อย และเมื่อเขาได้ยินคำพูดของฟางเย้น หันหน้ามายิ้ม เหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง: ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม ชกระเบิดเขา!
ลูกพี่องอาจสง่าผ่าเผย
ที่อยู่ข้างๆ ยังมีชายสิบห้าถึงสิบหกคน ล้วนแต่กำยำทั้งร่าง บนร่างกายเต็มไปด้วยเส้นเอ็น ในแววตามาพร้อมกับความโหดร้าย พวกเขาทั้งหมดเป็นลูกน้องของเสนซัน ทั้งหมดเป็นนักมวยเถื่อน ลงมือได้โหดร้ายมาก
และหนึ่งในนั้น มีผู้ชายคนหนึ่ง ดูมีไหวพริบเล็กน้อย เดินเข้ามา สะบัดมือแล้วพูดว่า: คุณชายฟาง คุณวางใจเถอะ คนของพวกเราที่นี่ล้วนแต่ความสามารถชกต่อยเป็นอย่างมาก หนึ่งคนชกต่อยกับสิบคนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ตัวอย่างเช่นหัวล้านคนนั้น มวยเถื่อนใต้ดินเอาชนะต่อเนื่องยี่สิบเอ็ดครั้ง สิบหกคนในนั้น ถูกชกต่อยจนกระอักเลือด ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิต ก็มีสามคน
อีกตัวอย่างหนึ่ง แม้ว่าร่างกายจะเตี้ยเล็กน้อย แต่ครั้งก่อนเขาชกต่อยผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ไปยี่สิบกว่าคน สิบห้าคนในนั้นถูกชกต่อยจนกระดูกซี่โครงหัก มวยเถื่อนใต้ดินชนะติดต่อกันสามสิบสองครั้ง
แต่สิ่งที่ทรงพลังที่สุด ยังเป็นลูกพี่ของพวกเรา อยู่ในมวยเถื่อนใต้ดินชนะติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้ง จนถึงวันนี้ยังไม่มีใครเอาชนะได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไร ลูกพี่ของพวกเราก็สามารถที่จะชกระเบิดได้ด้วยหมัดเดียว
เขาเป็นคนที่อยู่ในกลุ่มคนนี้ รับผิดชอบการติดต่อ
งั้นก็ดี
ฟางเย้นดึงคอเสื้อของตัวเอง ไม่รู้ว่าอะไร หลังจากที่โทรหาฉินเฟิง เขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก แต่เมื่อมองดูอิ่นซินที่มัดอยู่บนโซฟา ในดวงตาลุกโชน เพิ่มขึ้นไปด้วยไฟราคะ
สมกับที่เป็นสาวสวยอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิง แต่ว่าตอนนี้แตะต้องเธอ ก็ไม่น่าสนุกนะสิ ฉันจะรอฉินเฟิงมา ต่อจากนั้นจับตัวฉินเฟิงไว้ แตะต้องเธอต่อหน้าเขา แบบนี้ถึงจะสนุก
ฟางเย้นหัวเราะเสียงดัง ในแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
สาวสวยแบบนี้ ก็ควรที่จะเล่นๆแบบนี้ ก็ควรที่จะให้เขาเล่น ต้องรู้ว่าเขาเป็นทายาทของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป คุณชายตระกูลฟาง ฉินเฟิงคนนั้นก็ไม่ใช่ตัวอะไรเลย ยังกล้าแย่งผู้หญิงกับเขา
จริงๆเลย ไม่เจียมตัว
และภายในเวลาช่วงสั้นๆ ฉินเฟิงก็มาอย่างรวดเร็ว มองดูอิ่นซินที่นอนอยู่บนโซฟา พบว่ายังไม่เป็นอะไร ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในทันที จากนั้นมองไปที่ฟางเย้น ในแววตาความอาฆาตพยาบาทเล็กน้อย
ความอาฆาตพยาบาทแบบนี้
หลายปีนี้เคยปรากฏที่ไหนบ้าง
ครั้งก่อนที่ปรากฏขึ้นมา ยังเป็นเพราะการเสียชีวิตของแม่ตัวเอง
สิบสองนาที ฉินเฟิง แกมาได้รวดเร็วจริงๆด้วย กลัวว่าจะมาไม่ทันเข้าร่วมงานฉลองใหญ่เหรอ แต่ว่า วางใจได้ ฉันกำลังรอแกอยู่ ฉันจะจัดงานฉลองใหญ่นี้ ต่อหน้าของแก ฉันจะทำให้แกรู้ ผลที่ตามมาของการทำให้ฉันฟางเย้นขุ่นเคือง
ฟางเย้นมองดูเวลา หรี่ตาลง
ความสนุก กำลังจะเริ่มขึ้นเร็วๆนี้แล้ว
เสนซัน ให้คนของนายขึ้นมาเถอะ ฉันจะดูสิว่า นักมวยเถื่อนสิบกว่าคนเหล่านี้ของนาย จะสามารถจัดการเขาได้หรือเปล่า
บอกว่าแค่จะดูเฉยๆ อันที่จริงแล้วฟางเย้นเชื่อคนเหล่านี้ เนื่องจากว่าผู้คนมากมายขนาดนี้ก็เป็นนักมวยเถื่อน ไม่กลัวตายแบบนั้น แต่ละคนล้วนเป็นพวกเดนตาย พวกเดนตายก็เท่านั้นเอง แต่ละคนโจมตีฆ่าคนเป็น
การโจมตีแบบนี้ ฆ่าคนเป็นเป้าหมาย
ท้ายที่สุดแล้ว นี่เป็นนักมวยเถื่อนใต้ดิน ‘เถื่อน’คำเดียว ฆ่าคนตายก็ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบแบบนั้น ก่อนหน้าที่จะขึ้นเวที ต่างก็เซ็นสัญญาความเป็นหรือตายไว้แล้ว
คนเหล่านี้เมื่อเทียบกับเปียวจื่อ แข็งแกร่งมากกว่าเล็กน้อย ทำให้ฟางเย้นวางใจเป็นอย่างมาก ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่มีทางจ่ายราคาสูงมากขนาดนี้ ว่าจ้างคนเหล่านี้มา
ต่อจากนั้น เขาก็นอนอยู่บนโซฟา ก็มองดูฉากนี้ด้วยความสนใจ
โฮะๆ
เสนซันเผยรอยยิ้มที่ทำให้คนหวาดกลัวออกมา กำปั้นบนมือก็ชกต่อย กระเซ็นเลือดออกมาเล็กน้อย ต่อจากนั้นมองไปที่คนข้างๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวว่า: ลุยพร้อมกัน อย่าเอาถึงตาย ไว้ชีวิตด้วย
ได้ครับ ลูกพี่
ทุกคนทยอยตอบ ผู้ชายหนึ่งในนั้นที่ร่างสูงใหญ่เบะปาก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่โหดร้าย: เด็กน้อย ฉันชื่อว่าอาเจี๋ย ในการแข่งขันมวยเถื่อนใต้ดิน ฉันชนะติดต่อกันยี่สิบเอ็ดครั้ง ฆ่าคนตายเจ็ดคน แต่วันนี้ แกโชคดีมาก แกจะกลายเป็นคนที่แปดที่ฉันจะฆ่าตาย เป็นยังไงบ้าง รู้สึกเป็นเกียรติมากหรือเปล่า?
บนมือของเขาสวมสนับมือเหล็ก ส่องประกายด้วยแสงสีเงิน
อาเจี๋ย อะไรเรียกว่าเป็นคนที่แปดของนาย คนคนนี้เป็นเหยื่อของฉัน นายจะแย่งแบบนี้ไม่ได้หรอก ระวังเดี๋ยวฉันจะชกนายตายด้วยหมัดด้วย ผู้ชายอีกคนที่เตี้ยกว่าเล็กน้อย ด่าว่าอาเจี๋ยคนนั้น
ต่อจากนั้นก็มองไปทางฉินเฟิง ในแววตากระหายเลือด: เด็กน้อย แกรู้มั้ยว่านายมีค่าแค่ไหน? ถ้าฉันฆ่าแกตาย ฉันจะได้เงินสามล้าน สามล้านเลยนะ แกคงจะคิดไม่ถึงว่า แกจะมีค่ามากขนาดนี้นะ
ใช่แล้ว แกยังไม่รู้จักฉัน ก่อนหน้าที่แกจะตาย เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมมากจริงๆ ฉันชื่ออาเทียน อยู่ในมวยเถื่อนใต้ดิน เป็นคนที่ชนะมาสามสิบสองครั้ง วันนี้แกจะกลายเป็นคนที่สามสิบสามที่ฉันฆ่าตาย
อาเทียนคนนั้นเขย่งเท้าสองข้าง พุ่งไปทางฉินเฟิง
อาเทียน นี่เป็นเหยื่อของฉัน สามล้าน ฉันเอาแน่
อาเจี๋ยก็ไล่ตามขึ้นมา และคนที่อยู่ข้างหลัง ก็ทยอยไล่ขึ้นมา ตอนนี้ฉินเฟิงอยู่ในสายตาของพวกเขาค่อนข้างมีค่ามาก สามล้านนะ ตราบใดที่ล้มฉินเฟิงได้ ก็จะได้สามล้าน
และเมื่อฉินเฟิงเห็นคนเหล่านี้ แววตาก็ส่องประกายด้วยเยือกเย็น: เอาฉันเป็นเหยื่อ สามล้าน พวกแกอยากจะได้เป็นกระดาษเงินงั้นเหรอ?
หลี่เชี่ยน
หลิวลานเมิ่งมองไปที่เธอ แอบพูดในใจว่า เวลาไหนไม่ว่า ในเวลานี้ดันมาเจอผู้หญิงคนนี้ หลี่เชี่ยน เลขานุการของเฝิงกาง ทั้งบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป นอกเหนือจากเฝิงกาง ที่ใกล้ชิดกับประธานมากที่สุด
เนื่องจากว่าเวลาปกติจะติดตามอยู่ข้างกายของเฝิงกาง
คนคนนี้สามารถที่จะพิสูจน์ได้ว่า ฉินเฟิงเป็นประธานหรือเปล่ากันแน่
คราวนี้จบเห่
เลขาหลี่ ไม่เจอกันนานเลยนะคะ
หลินฉินหรี่ตา เดินเข้ามา ทักทายกับผู้หญิงคนนั้น หลี่เชี่ยนเป็นผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่ง ความสวยไม่ได้น้อยกว่าหลิวลานเมิ่ง ทั้งร่างสวมกระโปรงยาว รัศมีสวยสูงสง่า
ผู้อำนวยการหลิน
หลี่เชี่ยนในฐานะเลขานุการของเฝิงกาง ก็ย่อมรู้จักคนส่วนใหญ่อย่างดีเป็นธรรมดา ก็จำหลี่เชี่ยนได้ในทันที และก็กล่าวทักทาย
หัวหน้าฝ้ายหลิว เลขาหลี่ของบริษัทของพวกเธอก็อยู่ที่นี่ด้วย คุณไม่เข้าไปทักทายหน่อยเหรอ?
หลี่เชี่ยนสายตาก็มองไปทางหลิวลานเมิ่ง
เจียงจื่อจิ้นก็พอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มองดูหลิวลานเมิ่งที่ท่าทางขี้ขลาด อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะแล้วพูดว่า: ทำไม คนคนหนึ่งที่ไม่กล้าเจอคนในบริษัท หรือว่าทำเรื่องอะไรไม่ดีมาหรือเปล่า?
มาก็มาสิ
หลิวลานเมิ่งหมดหนทาง ทำได้เพียงฝืนใจ พาฉินเฟิงเข้าไป ความสัมพันธ์ของเธอกับเลขาหลี่ไม่ค่อยดีมากนัก โดยเฉพาะปัญหาที่เกี่ยวข้องกับประธาน ครั้งนี้เลขาหลี่ไม่มีทางร่วมมือกับเธอแน่
หลังจากที่เข้ามา หลินฉินชี้ไปที่ฉินเฟิง: เลขาหลี่ หลิวลานเมิ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายของฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพวกคุณ ตอนนี้เป็นแฟนกับประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกคุณ จากนี้ไป คุณต้องรับผิดชอบให้มากขึ้นหน่อยแล้วนะ
คำพูดนี้ของเธอ มีความลึกลับที่ซ่อนอยู่ มีความหมายกระตุ้นหลี่เชี่ยนอยู่เล็กน้อย
อยู่ในบริษัทเดียวกัน ก็มีแบ่งพรรคแบ่งพวกเหมือนกัน เมื่อหลี่เชี่ยนได้ยินคำพูดนี้ คงจะไม่พอใจในทันทีแน่ๆ ต่อจากนั้นชี้ออกมาให้เห็นว่าฉินเฟิงไม่ใช่ประธานบริษัทของพวกเขา ด้วยเหตุนี้เปิดโปงคำโกหกของหลิวลานเมิ่ง
มาตบหน้าของหลิวลานเมิ่ง
หลิวลานเมิ่งเอียงศีรษะ เธอรู้ว่าตัวเองกำลังจะถูกเปิดโปงแล้ว
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ ได้ยินแค่หลี่เชี่ยนยิ้มเล็กน้อย: ใช่ค่ะ แม้ว่าจะไม่รู้ว่าหัวหน้าฝ่ายหลิวคบกับท่านประธานเมื่อไหร่ แต่ก็ขอแสดงความยินดีกับทั้งสองคนด้วย ยิ่งไปกว่านั้นจากนี้ไปหัวหน้าฝ่ายหลิวก็เป็นนายหญิงของพวกเราแล้ว
อะไรนะ!
ทั้งสามคนตกตะลึง!
เขา……เป็นประธานของพวกคุณจริงๆเหรอ?
หลินฉินชี้ไปที่ฉินเฟิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย และถามอีกครั้ง
ใช่ค่ะ
หลี่เชี่ยนพยักหน้า ต่อจากนั้นก็ทักทายฉินเฟิง: ประธานกรรมการฉิน
เหมือนกับตำแหน่งของเธอ เธอรู้จักฉินเฟิง เนื่องจากว่าปกติเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชา ก็เป็นหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบอยู่ สำหรับฉินเฟิงที่ลึกลับซับซ้อนคนนี้ เธอได้ยินเพียงแค่ว่ามีภูมิหลังที่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าตำแหน่งประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนี้มาก แต่ว่าเธอไม่รู้ว่าคบหากันกับหลิวลานเมิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่
ฉันก็เพิ่งบอกไปแล้วว่า แฟนของฉันเป็นประธาน พวกเธอยังไม่เชื่อ จริงๆเลยนะ
หลิวลานเมิ่งควงแขนของฉินเฟิง ใช้ดวงตาที่สวยงามคู่หนึ่ง เยาะเย้ยเจียงจื่อจิ้นกับหลินฉินอย่างหนัก ในใจมีความสุขเป็นอย่างมาก เธอมองไปที่เจียงจื่อจิ้น ในที่สุดก็มีวันได้ระบายความโกรธแค้นสักที ผู้ชายที่หลอกลวงความรู้สึกของเธอ
สีหน้าของเจียงจื่อจิ้นกับหลินฉินทั้งสองคนดูไม่ดีเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นไม่สามารถอยู่ต่อไปได้อีก ก็ออกไปในทันที โดยที่ไม่ได้บอกกล่าว
และเลขาหลี่ก็ดื่มกาแฟเสร็จ ก็จากไป
หลิวลานเมิ่งกับฉินเฟิงกลับมาที่นั่ง และพูดด้วยใบหน้าที่ตื่นเต้นว่า: ดูสีหน้าของพวกเขาทั้งสองคน ดูน่าเกลียดมากจริงๆ ฮ่าๆ
ปล่อยมือ
ฉินเฟิงเหลือบมองไปที่มือของหลิวลานเมิ่ง ที่ยังควงแขนของเขาอยู่ ก็พูดออกมาสองคำในทันที
ปล่อยก็ปล่อย คิดว่าฉันชอบที่จะเอาเปรียบนายเหรอ จริงๆเลย ฉันเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นสาวสวยของฝ่ายประชาสัมพันธ์ คนที่ตามจีบฉัน เข้าแถวตั้งเมืองเจียงเฉิงถึงจิงตู
หลิวลานเมิ่งดูไม่พอใจ ในฐานะผู้หญิงที่มีรูปร่างดีที่สุด ผู้ชายคนไหนที่ไม่อยากที่จะเอาเปรียบตัวของเธอบ้าง แต่ฉินเฟิงคนนี้ก็ดูท่าทางรังเกียจเธอ
แทบรอไม่ไหว ที่จะให้เธอออกไปไกลๆ
ใช่แล้ว ฉันถามนายหน่อย นายมีความสัมพันธ์อะไรกับหลี่เชี่ยนคนนั้น ทำไมเธอต้องช่วยนายด้วย หรือว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องของประธาน ถ้าเกิดบริษัทรู้เรื่องเข้า เธอจะถูกด่า ไม่แน่อาจจะโดนไล่ออก
ต่อจากนั้น หลิวลานเมิ่งนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ ก็ถามฉินเฟิงในทันที
เธอไม่เชื่อว่าฉินเฟิงจะเป็นประธาน
จะเป็นไปได้ยังไง
เพียงแต่ว่าหลี่เชี่ยนคนนั้นกำลังช่วยฉินเฟิงพูดเท่านั้นเอง แต่ด้วยความเสี่ยงมากขนาดนั้น ยังคงช่วยฉินเฟิงพูด เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองแตกต่างกัน
สัญชาตญาณของผู้หญิง แม่นยำเป็นอย่างมาก
ฉินเฟิง ฉันเตือนนาย ข้อตกลงนั้น ยังมีเวลาอีกครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้ นายและเสี่ยวซินของฉันยังคงเป็นสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย ฉันไม่อยากให้นายออกมาพูดจาหยอกล้อแทะโลมสาว ทำเรื่องราวสกปรก ไม่อย่างนั้น นายจะต้องออกไปแต่ตัวเปล่า……เดี๋ยวก่อนนะ นายไม่มีเงินด้วยซ้ำ ก็แค่ลูกเขยแต่งเข้าที่เกาะผู้หญิงกินเท่านั้นเอง ถึงยังไง ถ้านายทำเรื่องที่ผิดต่อเสี่ยวซิน ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่
หลิวลานเมิ่งใช้ดวงตาคู่หนึ่งพิจารณา และจับจ้องฉินเฟิง
พูดจบหรือยัง?
ฉินเฟิงชำเลืองมอง
หา?
หลิวลานเมิ่งค่อนข้างตกตะลึง
พูดจบแล้ว ฉันก็จะไปแล้ว ฉันยังต้องไปรับลูก
ฉินเฟิงส่งสัญญาณ ต่อจากนั้นก็เดินออกไปจากร้านกาแฟนี้ หลังจากที่ถึงนอกร้านกาแฟ ฉินเฟิงโทรศัพท์หาเฝิงกาง และสั่งการเรื่องหนึ่ง
และในร้านกาแฟ หลิวลานเมิ่งมองดูแผ่นหลังของฉินเฟิง แล้วก็มองดูเงินหนึ่งแสนนั้นในมือของตัวเอง ขมวดคิ้วถามเล็กน้อยแล้วพูดว่า: ก็ไปแบบนี้เลยเหรอ? เงินก็ไม่เอา?
เธอไม่เข้าใจ
ในเวลานี้แบบนี้แล้ว ทำไมฉินเฟิงถึงไม่มีความรู้สึกถึงวิกฤตบ้าง
ฉินเฟิง ครึ่งปีสองล้าน แม้แต่ฉันก็ทำไม่ได้ แต่ว่าฉันยังดีกว่านาย ฉันมีโบนัสปลายปี โบนัสปลายปีมีตั้งห้าแสน มากกว่าเงินเดือนหนึ่งปีของนาย
หลิวลานเมิ่งนั่งบนเก้าอี้ ค่อนข้างได้ใจ
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปปฏิบัติต่อพนักงาน เป็นอย่างดีมาก โดยเฉพาะโบนัสปลายปีของสิ้นปี โบนัสปลายปีของเธอ มีตั้งห้าแสน นี่เป็นเงินก้อนใหญ่
แต่ว่า ในเวลานี้ ก็สายโทรเข้ามา
ประธานเฝิง
หลิวลานเมิ่งมองดูโทรศัพท์นั้น พบว่าเป็นของเฝิงกาง ค่อนข้างสงสัยในทันที เฝิงกางโทรหาเธอในเวลานี้ทำไม แต่ก็ยังรับสาย: ประธานเฝิง
หัวหน้าฝ่ายหลิว วันนี้คุณออกงานก่อนใช่หรือเปล่า?
เสียงของเฝิงกางดังมาจากในโทรศัพท์
เอ่อ…..ค่ะ
หลิวลานเมิ่งรู้ว่า หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยไปฟ้องแล้ว ไม่รู้จักการเป็นคนจริงๆ ประเด็นสำคัญคือ ไม่ไปฟ้องพรุ่งนี้ ไม่นึกเลยว่าจะไปฟ้องวันนี้ แต่ว่าเธอไม่ได้ลนลานแม้แต่น้อย ก็แค่ออกงานก่อนเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
อย่างไรก็ตาม ต่อจากนั้นเฝิงกางก็พูดว่า: คุณในฐานะของหัวหน้าฝ่ายของฝ่ายประชาสัมพันธ์ ไม่นึกเลยว่าจะออกงานก่อน คุณทำแบบนี้ยังจะเป็นแบบอย่างให้กับฝ่ายประชาสัมพันธ์ของพวกคุณได้ยังไง นี่เป็นการกระทำที่แย่เป็นอย่างมาก โบนัสปลายปีของคุณไม่มีแล้ว ใช่แล้ว ยังต้องปรับเงินด้วย
อะไรนะ?
หลิวลานเมิ่งตกใจ แต่ตอนที่จะถามอีกครั้ง พบว่าโทรศัพท์วางสายแล้ว
โบนัสปลายปีไม่มีแล้ว?
ยังต้องปรับเงินด้วย
เพียงเพราะว่าออกงานก่อนเล็กน้อย
ฉันทำให้ใครขุ่นเคืองใจหรือเปล่า? โบนัสปลายปีของฉัน ห้าแสน แบบนี้ก็ไม่มีแล้ว
หลิวลานเมิ่งอยากร้องไห้!
อย่างไรก็ตามหลิวลานเมิ่งเป็นคนชนชั้นสูงของฝ่ายประชาสัมพันธ์ วินาทีต่อมา ก็ไม่เป็นอะไร ต่อจากนั้นก็หยิบซองจดหมายฉบับหนึ่งออกจากกระเป๋าของตัวเอง และโยนตรงหน้าของฉินเฟิง
พรึ่บดังมากเสียงหนึ่ง
นี่เป็นเงินหนึ่งแสน เป็นค่าตอบแทนที่ที่ฉันปรักปรำนายครั้งก่อน
หลิวลานเมิ่งกอดอก ไม่อยากที่จะมองฉินเฟิง หลายวันนี้ เธอคิดมามากมาย ตอนนั้นเธอปรักปรำฉินเฟิงจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นฉินเฟิงยังช่วยเธอด้วย แต่เธอก็ดูถูกฉินเฟิงมาโดยตลอด และไม่อยากจะขอโทษ
คิดไปคิดมา
เธอก็ตัดสินใจใช้เงินแก้ปัญหา
เธอรู้ว่า ฉินเฟิงไม่มีทางปฏิเสธ เธอรู้เรื่องข้อตกลงครึ่งปี ภายในเวลาครึ่งปี สองล้าน อย่างฉินเฟิง ไม่ว่ายังไงก็ตามหามาไม่ได้ เขาขัดสนเงินเป็นอย่างมาก หนึ่งแสนเป็นเงินเดือนหนึ่งปีกว่าของฉินเฟิง
เป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธ
หนึ่งแสน
ฉินเฟิงชำเลืองมองซองจดหมายนั้น ต่อจากนั้นถึงพูดว่า: สามารถเอาเงินหนึ่งแสนออกมาได้ง่ายๆ ดูเหมือนว่า เธอจะรวยมากจริงๆ งั้นฉันก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายของบริษัทลงบ้าง
นายหมายความว่ายังไง? เงินนี้ นายจะเอาหรือไม่เอากันแน่?
หลิวลานเมิ่งขมวดคิ้วถาม
ไม่เอา
ฉินเฟิงส่ายหน้า และพูดว่า: ถ้าเธอต้องการให้ฉันยกโทษให้ งั้นฉันยกโทษให้เธอ พอใจยัง
หลังจากที่พูดจบ ฉินเฟิงลุกขึ้นมา เตรียมจะออกไป
ฉินเฟิง ท่าทีอะไรของนาย
หลิวลานเมิ่งขวางฉินเฟิงไว้ ดวงตาที่เรียวบางเหมือนเมล็ดอัลมอนด์คู่นั้น มีความโกรธเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงไม่ได้ยกโทษให้เธอ: หนึ่งแสน ไม่พอใช่มั้ย งั้นสองแสน?
ฉันไม่ได้ขัดสนเงิน
ฉินเฟิงตอบประโยคหนึ่งแบบนี้
นายโกหกช่วยเนียนกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่า ยังไม่ขัดสนเงิน นายคิดว่าตัวเองเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยงั้นเหรอ?
ฉันเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยจริงๆด้วย
ฉินเฟิงไม่ได้โกหก แค่ทรัพย์สินที่เขายึดมาครั้งก่อน ก็มีหลายสิบล้านแล้ว
นายไม่ขี้โม้ จะตายหรือเปล่า?
หลิวลานเมิ่งมองดูฉินเฟิง ผู้ชายคนนี้ได้ทำลายขีดจำกัดของเธออีกครั้ง เธอคิดเสมอว่านี่เป็นผู้ชายที่ขาดความรับผิดชอบคนหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงว่ายังเป็นคนที่ชอบโกหกด้วย ทั้งๆที่เป็นยาจกคนหนึ่ง ยังจะเป็นมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยอีก
ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
หลิวลานมองดูฉินเฟิง โกรธเป็นอย่างมาก แต่ทันใดนั้น เธอก็เห็นคนคนหนึ่งที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คว้าแขนของฉินเฟิงในทันที แกล้งทำเป็นท่าทางสนิทสนม และพูดกระซิบอ้อนวอนว่า: ช่วยด้วย ช่วยหน่อยนะ ขอร้องนายล่ะ
เมื่อฉินเฟิงเห็นท่าทางที่วิตกกังวลของหลิวลานเมิ่ง ก็ยินยอม
ไม่ว่ายังไงก็ตาม นี่ก็เป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กของอิ่นซิน
เฮ้ หลิวลานเมิ่ง
ทันใดนั้น เสียงของผู้ชายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขา ฉินเฟิงก็ละสายตาจ้องมองไป เป็นคนสองคน คนหนึ่งในชุดสูทสีขาว ทรงผมหน้าม้า ท่าทางหน้าตาดีผิวพรรณสะอาดขาวเนียนละม้ายคล้ายคลึงผู้หญิง อีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงในกระโปรงยาว ยังมีความสวยอยู่เล็กน้อย
เจียงจื่อจิ้น ไม่เจอกันตั้งนาน
หลิวลานเมิ่งควงแขนของฉินเฟิงไว้ พูดกับผู้ชายคนนั้น และในเวลานี้ ก็แอบแนะนำกับฉินเฟิงว่า: คนคนนี้เป็นแฟนเก่าของฉัน เป็นคนสารเลว ก็เพราะว่าฉันไม่ยอมขึ้นเตียงกับเขา เขาก็ทิ้งฉัน ช่วยฉันกู้สถานการณ์ด้วย
แฟนเก่า
ฉินเฟิงพอจะเข้าใจแล้วว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นแล้ว
หลิวลานเมิ่ง ไม่เจอกันนานขนาดนี้ ดูเหมือนว่า เธอก็หาแฟนใหม่ได้แล้ว ใช่แล้ว แนะนำก่อน แฟนของฉัน หลินฉิน ตอนนี้เป็นผู้อำนวยของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ผู้อำนวย เธอรู้จักใช่มั้ย ตำแหน่งอยู่ในบริษัทไม่ต่ำนะ
หลังจากที่เจียงจื่อจิ้นแนะนำแฟนสาวของตัวเอง สายตาก็จ้องมองไปที่บนตัวของฉินเฟิง หลังจากที่มองจากหัวจรดเท้าสักพัก ก็กระตุกมุมปาก และถามว่า: หลิวลานเมิ่ง แฟนของเธอ ค่อนข้างล้มลุกคลุกคลานนะ ทำไมถึงได้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้
หลังจากที่เขามองจากหัวจรดเท้า ก็ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ตอนนั้นเขาตามจีบหลิวลานเมิ่งผู้หญิงคนนั้น เสียเวลาไปมากมาย ตั้งครึ่งปีเต็มๆ ถึงตามจีบได้สำเร็จ แต่หลังจากที่จีบสำเร็จ ไม่ปล่อยให้เขาแตะต้องเลย
สุดท้าย ก็เลิกกันด้วยความโกรธมาก
และตอนนี้เขาหาแฟนสาวที่ฐานะ สูงกว่าหลิวลานเมิ่งมาก ผู้อำนวยการ ใหญ่กว่าหัวหน้าฝ่ายหลายระดับ ยิ่งไปกว่านั้นรูปร่างหน้าตาก็ไม่เลว และที่สำคัญกว่านั้นไม่กี่วันก็ขึ้นเตียงแล้ว
ดีกว่าหลิวลานเมิ่งคนนี้ไม่รู้ตั้งเท่าไหร่
และหลิวลานเมิ่งคนนี้ แฟนใหม่ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย สิ่งนี้ทำให้เขาขำจนฟันร่วง จริงๆเลย เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง ก็แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย
ฉัน……ฉัน……
หลิวลานเมิ่งก็คาดไม่ถึงว่าแฟนสาวของเจียงจื่อจิ้นคนนี้ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นผู้อำนวยการ ภายใต้ความฉุกละหุก เธอควงฉินเฟิงไว้แล้วพูดว่า: นี่เป็นประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเรา เหตุผลที่เขาสวมชุดรักษาความปลอดภัย เป็นเพราะสะดวกในการสังเกตการณ์สถานการณ์ภายในบริษัท เอ่อ สถานการณ์ภายใน
พูดตามตรง เหตุผลที่เธอแต่งขึ้นมา ตัวเธอเองก็ไม่เชื่อ
แต่ว่ามีสิ่งหนึ่ง เธอต่างหากที่เป็นคนของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป อย่างน้อยประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ค่อยปรากฏตัวมาก่อน ตอนนั้นพิธีตัดริบบิ้น ก็ออกมาสักครู่เดียว ก็จากไปแล้ว
บอกว่าฉินเฟิงเป็นประธาน ไม่มีคนเชื่อ แต่ก็ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องปลอม
เฮือก…..
เดิมทีเจียงจื่อจิ้นที่ใบหน้าค่อนข้างยิ้มแย้ม ก็แข็งทื่อไปเล็กน้อย ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป นี่เป็นคนใหญ่คนโต คนใหญ่คนโตอย่างแท้จริง ผู้อำนวยการบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปอะไร ก็แย่ไปกว่าไม่ใช่เล็กน้อย
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ผู้อำนวยการของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปคนนั้น หลินฉินยิ้มเล็กน้อย: หัวหน้าฝ่ายหลิว เธอกำลังล้อเล่นอยู่ใช่มั้ย ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไม่ใช่หน้าตาแบบนี้
สีหน้าท่าทางของหลิวลานเมิ่งแข็งทื่อ ถูกจับได้แล้ว
คนโง่ คนอื่นเขากำลังหลอกเธอ
ฉินเฟิงไม่สามารถทนดูต่อไปได้ สีหน้าท่าทางของหลิวลานเมิ่งได้เปิดเผยทุกอย่างแล้ว ด่าเธอหนึ่งประโยค เพราะว่าเสียงค่อนข้างเบา และไม่ได้ทำให้สองคนที่อยู่ตรงข้ามได้ยิน แต่ในเวลานี้หลิวลานเมิ่งเพิ่งจะรู้ตัวว่า เธอถูกหลอกแล้ว
หลินฉินเพียงแค่รู้สึกว่าท่าทางของตัวเองไม่เป็นธรรมชาติ หลอกแค่นี้ ก็ทำให้ความจริงถูกเปิดเผยแล้ว
แย่แล้ว
ในใจของหลิวลานเมิ่งตึงเครียด แต่ยังคงพูดอย่างชาญฉลาดว่า: ผู้อำนวยการหลิน คุณแน่ใจได้ยังไง นี่ไม่ใช่ประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเรา คุณไม่ได้เป็นคนบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเรา
ฉันเคยเจอ ที่ในงานพิธีตัดริบบิ้นครั้งก่อน
หลินฉินพูดด้วยนำเสียงที่อ่อนโยน เธอแน่ใจแล้วว่า ฉินเฟิงไม่ใช่ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจริงๆ
อย่างไรก็ตาม เธอไม่รู้ว่า ประโยคดังกล่าวนี้ ทำให้เธอเปิดเผย ต้องรู้ว่า ครั้งก่อนฉินเฟิงอยู่ในงาน สามีของอิ่นซิน คนส่วนใหญ่ก็สังเกตเห็น แต่เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้
หลิวลานเมิ่งสามารถแน่ใจได้ว่า ครั้งก่อนหลินฉินไม่เคยมาอย่างแน่นอน ก็พูดในทันทีว่า: ผู้อำนวยการหลิน ครั้งก่อนคุณไม่ได้มานะ คนนี้เป็นประธานของพวกเราจริงๆ
หลินฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย ครั้งก่อนเธอไม่ได้มาจริงๆ ไม่รู้ว่าเปิดเผยตรงไหน ตอนนี้เธอสามารถแน่ใจได้ว่า ฉินเฟิงไม่ใช่ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป แต่ไม่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้
ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จำเป็นต้องยอมรับเรื่องนี้โดยปริยาย
ในขณะนี้นี่เอง หลินฉินมองดูลูกค้าคนหนึ่งในร้าน ก็ยิ้มในทันที มีคนพิสูจน์ได้แล้ว และชี้ไปที่โต๊ะทันที: หัวหน้าฝ่ายหลิว แม้ว่าฉันจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ แต่คนคนนั้นสามารถทำได้นะ
จบเห่
หลิวลานเมิ่งมองไปที่คนคนนั้น ในใจก็แย่ในทันที
วันรุ่งขึ้น ฉินเฟิงไปถามไถ่สถานการณ์ของอิ่นซิน ได้รับรู้ว่าคุณท่านอิ่นยังพักผ่อนอยู่ที่บ้าน ตราบใดที่เขาไม่มาสักวันหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งประธานก็ไม่สามารถส่งมอบให้ได้วันหนึ่ง
คุณท่านคนนี้ ไร้ยางอายจริงๆ
ฉินเฟิงนั่งอยู่ในห้องรักษาความปลอดภัย มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคนนั่งอยู่ข้างๆ ทั้งสองคนกำลังตรวจสอบงานอย่างระมัดระวัง แต่พวกเขาเป็นผู้มาใหม่ ก็ไม่ค่อยรู้จักฉินเฟิงมากนัก และก็ไม่รู้เรื่องราวในตอนนั้นด้วย
มีสาวสวยคนหนึ่งมา
ทันใดนั้น เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อยู่ข้างนอกและพูด
โอ้โห สาวสวยคนนั้น รูปร่าง หน้าตาก็ดีมาก จริงๆเลย เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคนก็พูดตาม
ฉินเฟิงก็ไม่ได้สนใจ หลับตา นั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังพักผ่อนอยู่ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นตรงหน้าของเขา: ฉินเฟิง ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย
หลิวลานเมิ่ง
เสียงนี้ ฉินเฟิงฟังเสียงนี้ออก ก็คือหลิวลานเมิ่ง ลืมตาขึ้น ผมลอน ถึงประมาณเอว แต่งหน้าบางเบา เป็นความต้องการของมืออาชีพ สวมชุดOLทั้งตัว และรูปร่างปีศาจนั่น เห็นได้ชัดว่าเฉียบคมและชัดเจน
เนื่องจากว่าเป็นหัวหน้าฝ่ายของฝ่ายประชาสัมพันธ์ และเป็นหน้าเป็นตาของบริษัท
อะไร?
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว
สำหรับเขาผู้หญิงอื่นนอกจากอิ่นซิน ก็ไม่ค่อยจะสนใจ
เปลี่ยนเสื้อผ้า ไปรอฉันที่ร้านกาแฟตรงโน้น
หลิวลานเมิ่งชี้ไปที่ร้านกาแฟอีกฝั่งหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างหยิ่งผยอง
หลังจากที่พูดจบ ไม่รอให้ฉินเฟิงตอบ เธอก็กลับไปในบริษัท เห็นชัดได้ว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน บริษัทมีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นพิเศษ เนื่องจากว่าชุดOL ก็มีไว้สำหรับทำงาน
เธอต้องการคุยเรื่องส่วนตัวกับฉินเฟิง
ฉินเฟิง นายโชคดีมากนะ ผู้หญิงคนนี้ เดินเข้ามาฉันถึงพบว่า เป็นหัวหน้าฝ่ายของฝ่ายประชาสัมพันธ์ สาวสวยอันดับหนึ่งของบริษัทพวกเรา วันนี้ชวนนายทานอาหาร
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ซื่อๆคนหนึ่ง พูดใส่ฉินเฟิงด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอีกคน ก็พูดเสริมตามว่า: ผู้หญิงคนนี้ สุดยอดมากจริงๆ
พวกนายไม่รู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญมากเหรอ?
ฉินเฟิงถามกลับประโยคหนึ่ง
น่ารำคาญ นี่เป็นสาวสวยอันดับหนึ่งของบริษัทเลยนะ จะน่ารำคาญได้ยังไง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งสองตอบกลับ
เอาเถอะ
ฉินเฟิงไม่สนใจพวกเขา พวกเขาไม่เคยสัมผัสกับหลิวลานเมิ่งมาก่อน ไม่รู้ว่าหลิวลานเมิ่งเป็นคนแบบไหน แต่ว่าพูดตามตรง หลิวลานเมิ่งก็ยืนอยู่ในตำแหน่งของอิ่นซิน
ต่อจากนั้น ฉินเฟิงยังคงพิงเก้าอี้ และหลับตาพักผ่อนต่อไป
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง เหลือเพียงหนึ่งคนที่พักผ่อน และตอนนี้ก็เป็นเวลาพักผ่อนของเขา
หลังจากที่ผ่านไปสิบนาที หลิวลานเมิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เดินออกมาจากในบริษัท ถึงห้องรักษาความปลอดภัย จากนั้นก็พบว่า ฉินเฟิงไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า ขมวดคิ้วในทันทีและพูดว่า: เฮ้ย ฉันบอกให้นายไปเปลี่ยนเสื้อไม่ใช่เหรอ?
ฉันไม่มีชื่อเหรอ?
ฉินเฟิงถึงขนาดไม่อยากไม่ลืมตาด้วยซ้ำ
นี่นาย! ก็ได้ ฉินเฟิง ฉันให้นายไปเลี่ยนเสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายยังอยู่ที่นี่
หลิวลานเมิ่งโกรธจนหน้าขึ้นลง แต่ว่ายังทนไหว
ตอนนี้เป็นเวลา17:55 น. เลิกงานหกโมง ฉันยังไม่เลิกงาน จะออกจากที่ทำงานได้ยังไง อีกอย่าง หลิวลานเมิ่ง เธอออกก่อนเวลา ออกก่อนห้านาที ก็ออกก่อนเวลาเหมือนกัน ไม่มีกฎเกณฑ์ไม่สามารถทำอะไรที่สำเร็จได้
ฉินเฟิงค่อยๆลืมตาขึ้น
ทำไม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างนายยังจะยุ่งเรื่องหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์อย่างฉัน อย่างงั้นเหรอ ไม่มีกฎเกณฑ์ นายคิดว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแห่งนี้บ้านนายเป็นคนเปิดงั้นเหรอ นายคิดว่านายเป็นประธานเหรอ นายพูดอะไร ก็ต้องเป็นแบบนั้นเหรอ?
ในดวงตาของหลิวลานเมิ่งเต็มล้นไปด้วยความโกรธ
และอยู่ที่ข้างๆ หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยคนใหม่ที่เดินผ่านมา พยักหน้า แอบพูดในใจว่า บริษัทนี้เขาเป็นคนเปิดจริงๆ ตอนนั้นเฝิงกางประธานเฝิง ก็เคารพด้วยความเกรงอกเกรงใจ
ต่อมายังออกคำสั่ง ห้ามเขาพูดจาส่งเดชไปทั่วด้วย
หลังจากครั้งนั้น พวกเขาก็รู้ว่า นี่เป็นทายาทเศรษฐีที่ปิดบังตัวคนหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ประธาน แต่อาจจะมีอำนาจมากกว่าประธาน ไม่แน่อาจจะเป็นประธานกรรมการ และบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่เป็นของเขาจริงๆ
ครั้งก่อนหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยถูกไล่ออกในลักษณะนี้ เขาก็ย่อมไม่มีทางซ้ำรอยเดิม ก้าวไปข้างหน้าในทันที และทำหน้าเคร่งขรึม: หัวหน้าฝ่ายหลิว ออกก่อนห้านาทีก็คือออกก่อนห้านาที ผมจะไปรายงานคุณ
แก!
หลิวลานเมิ่งมองไปที่หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยคนใหม่ ในดวงตามีความไม่พอใจเล็กน้อย ไม่รู้จักกาลเทศะจริงๆ ก็แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่ง ยังมายุ่งเรื่องของเธอ
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยคนก่อนเชื่อฟังกว่า และรู้จักกาลเทศะ
ก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงโดนไล่ออก เธอไปถามประธานเฝิง ก็ไม่ได้ตอบเธอ
และหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยมองไปที่หลิวลานเมิ่งคนนี้ ส่ายหน้าเล็กน้อย พร้อมกับตลก แอบพูดในใจว่า หลิวลานเมิ่ง เส้นทางเดินของเธอยิ่งอยู่ยิ่งแคบลงแล้ว ด่าทอประธานอยู่ที่นี่
ยังอยากที่จะทำงานอยู่ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอีกหรือเปล่า
หลิวลานเมิ่งอยากจะเดินจากไป แต่นึกเรื่องราวของวันนี้ขึ้นมาได้ ก็ยังอดทนไว้: ห้านาทีก็ห้านาที ฉันรอนาย
ต่อจากนั้น ก็ยืนอยู่ข้างๆด้วยใบหน้าที่ดุร้าย และรออยู่
พี่ชาย สุดยอดมากนะ ไม่นึกเลยว่าจะสามารถทำให้สาวสวยประชาสัมพันธ์คนนี้ รอพี่อยู่แบบนี้ได้ ฉันยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเดินออกไป คาดไม่ถึงว่าเสน่ห์ของพี่จะแรงขนาดนี้
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยข้างๆพูดกระซิบกับฉินเฟิง
แค่คุยธุระเท่านั้นเอง ฉันแต่งงานแล้ว
ฉินเฟิงส่ายหน้า ไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้
มีผู้ชายไหนบ้างที่ไม่นอกลู่นอกทาง วางใจเถอะ เรื่องนี้ พวกเราไม่มีทางบอกพี่สะใภ้อย่างแน่นอน
ทั้งสองขยิบตาให้ฉินเฟิง
ฉินเฟิงไม่ได้ตอบอีก บนโลกนี้ให้ภรรยาที่ดีขนาดนี้กับเขา เขายังจะแอบไปมีผู้หญิงคนอื่น นั่นเป็นเรื่องอะไรกันเนี่ย ตอนนี้เขาพอใจมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรนอกลู่นอกทางด้วย สิ่งที่เขายึดมั่นมาโดยตลอดคือ แน่ใจแล้ว ก็คือตลอดชีวิต
เอาล่ะ ครบห้านาทีแล้ว ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้
หลิวลานเมิ่งดูเวลามาโดยตลอด หลังจากที่ถึงเวลา ก็ส่งสัญญาณให้ฉินเฟิงทันที
ทำไมจะต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย ชุดรักษาความปลอดภัยของฉันนี้ เจอผู้คนไม่ได้เหรอ?
ฉินเฟิงลุกขึ้นอย่างปล่อยตัวตามสบาย เดินออกจากห้องรักษาความปลอดภัย และเดินไปทางร้านกาแฟข้างบริษัท: ถ้าจะคุยธุระ เร็วๆหน่อย วันนี้ฉันยังต้องไปรับลูก
สารเลวเอ๊ย
หลิวลานเมิ่งเกลียดเป็นอย่างมาก ใช้เท้าออกแรงกระทืบบนพื้น แต่กระทืบสองครั้ง พบว่าเท้าของตัวเองเจ็บมาก สิ่งนี้ก็ยิ่งทำให้เธอโกรธมาก เมื่อมองไปที่ชุดรักษาความปลอดภัยของฉินเฟิงนั้น เธอก็ยังตามไป
เรื่องราวของวันนี้ จำเป็นต้องพูดคุยกัน
ร้านกาแฟแห่งนี้ค่อนข้างหรูหรา คนไปมาก็ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ล้วนแต่แต่งตัวดูดี ผู้ชายมีความเป็นสุภาพบุรุษ ผู้หญิงก็แต่งตัวสวย ก็เหมือนราวกับหลิวลานเมิ่ง
และฉินเฟิงในเครื่องแบบรักษาความปลอดภัย ยังเป็นเพียงคนเดียวด้วย
เมื่อเผชิญกับสายตาส่วนใหญ่ ฉินเฟิงไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ต่อหน้ากองทัพสามแสนคน จิตใจของเขาก็ไม่เคยสับสนวุ่นวายมากมาก่อน นับประสาอะไรกับตอนนี้ ตอนที่จิตใจสับสนวุ่นวายเพียงครั้งเดียว ยังเป็นตอนที่เผชิญหน้าอิ่นซินกับฉินกั่วกั่ว
แต่ว่าจิตใจของเขาไม่สับสนวุ่นวาย ไม่ได้หมายความว่าหลิวลานเมิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่สับสนวุ่นวาย ตอนนี้หลิวลานเมิ่งแทบอยากจะหาที่ดินมุดหนีไป
ระหว่างทางกลับ อิ่นซินเหลือบมองไปที่ฉินเฟิงที่กำลังขับรถอยู่ และพูดว่า: ตู้ต้วนเทียนคนนั้น น่าจะเป็นคนที่อิ่นหนิงหยู่ช่วยนายเรียกมาใช่มั้ย คาดไม่ถึงเลยนะว่า ผู้ชายสองคนนี้ จะก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้
อือ
เมื่อเห็นว่าอิ่นซินได้คำตอบด้วยตัวเอง ฉินเฟิงก็ไม่ได้อธิบาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็คือ จนถึงตอนนี้อิ่นหนิงหยู่ก็ไม่มีข้อมูลติดต่อของตู้ต้วนเทียน นอกจากสองคนอยู่บนสนามแข่งรถใต้ดินครั้งที่แล้ว ก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
แต่ในเวลานี้ ก็ไม่มีใครถามเธอ เพราะว่าเธอไปเรียนหนังสือแล้ว
คนอยู่ที่โรงเรียนดีๆ ก็ต้องกลายเป็นแพะรับบาป
วันนี้น่ะ ในที่สุดก็รอดพ้นจากความตายสักที สัญญาฉบับหนึ่งตกหล่นมาจากบนฟ้า แต่บอกตามตรง ฉันรู้สึกว่าอิ่นป่ายกับอิ่นเสี้ยงสวี่ร่วมมือกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป มากดขี่ฉันด้วยกัน
อิ่นซินขมวดคิ้ว ต่อจากนั้นก็ทอดถอนหายใจยาว: อันที่จริงแล้ว ฉันไม่อยากจะเป็นศัตรูกับพวกเขา ฉันเพียงแค่อยากจะเอาสิ่งที่เป็นของตัวเองกลับคืนมา แต่ในเมื่อพวกเขาจะขัดขวางฉัน งั้นฉันก็รอฉันนั่งอยู่ในตำแหน่งประธาน ก็จะคิดหาทาง ล้มพวกเขาลง บุคคลที่ก่อให้เกิดความหายนะแบบนี้ไม่ควรเก็บเอาไว้
อิ่นซินพูดแบบนี้ ตอนนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนคนหนึ่ง ที่ก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วยมือข้างหนึ่ง ยังคงมีความสามารถ เมื่อถึงเวลาต้องเด็ดขาด ไม่มีทางลังเลอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่า ท้ายที่สุดก็ยังเป็นคนตระกูลอิ่น และมีสายเลือดเดียวกัน
เธอบอกว่าล้ม ล้มถึงระดับเบื้องต้น ไม่ใช่การไล่ออก
หลังจากที่ลงรถ อิ่นซินก็เอนตัวอยู่บนตัวของฉินเฟิง รู้สึกเหมือนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆทั่วไป ฉินเฟิงก็ไม่ได้หักห้ามเธอ แต่กลับยื่นมือข้างหนึ่งออกไปวางมือบนไหล่ของเธอ และกลัวว่าเธอจะเอนตัวมาไม่มั่นคง
มองแวบแรก คงจะคิดว่าเป็นคู่รักหนุ่มสาว
แต่หลังจากที่ถึงบ้านแล้ว เมื่อจางลี่เห็นฉากนี้ ก็ขมวดคิ้วในทันที และพูดตำหนิว่า: ฉินเฟิง มือของแกกำลังจะทำอะไร ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ลวนลามลูกสาวของฉัน
ฉินเฟิงไม่ได้ปล่อย และไม่อยากปล่อย
แม่ค่ะ พวกเราสองคนเป็นสามีภรรยากัน
อิ่นซินโต้กลับประโยคหนึ่ง
สามีภรรยาอะไรกัน อีกครึ่งปี พวกแกสองคนก็จะแยกทางกันแล้ว ยังจะสามีภรรยาอะไรกันอีก ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้ยัยเด็กหนิงหยู่ช่วยพูด วันนี้พวกแกยังจะเป็นแบบนี้ได้เหรอ แกฉินเฟิงก็ต้องคุกเข่าลงดีๆ ก้มคำนับ ขายหน้ากันทั้งหมดไม่ใช่เหรอ?
จางลี่ด่าทอออกมาในทันทีว่า: ยังมีแกอีก เสี่ยวซิน ดูหนิงหยู่กับตู้ต้วนเทียน ไปเร็วขนาดนี้ ก็ยินยอมที่จะออกมาช่วยเหลือ ไม่แน่ผ่านไปช่วงหนึ่งหนิงหยู่ก็จะแต่งงานเข้าบ้านมหาเศรษฐี แกก็เลือกเศษสวะแบบนี้ จากนี้ไปจะเผชิญหน้ากับน้องสาวแกยังไง
แม่ค่ะ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง หนูกับหนิงหยู่มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก อิ่นซินพูด
ฉันรู้ว่าพวกแกมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่ทุกเรื่องก็กลัวการเปรียบเทียบ ถึงเวลานั้นแกก็จะรู้เองว่าเศษสวะคนนี้เป็นยังไง วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตู้ต้วนเทียน ครอบครัวของพวกเรายังไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงบ้าง
หลังจากที่จางลี่พูดจบ หยิบโทรศัพท์ออกมา กดรูปภาพออกมาไม่กี่ใบ: ลูกสาว ดูสิ นี่ล้วนแต่เป็นผู้ลากมากดีของในเมืองเจียงเฉิง ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาโท มีเปิดกิจการ มีผู้บริหาร มี……ถ้าลูกถูกใจ พรุ่งนี้แม่ก็จะจัดเตรียมการให้ลูกไปดูตัว
ตอนนี้เธอแทบจะรอไม่ไหว ที่จะเตะฉินเฟิงด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว
แต่ว่าเรื่องนี้ ตราบใดที่อิ่นซินเห็นด้วยก็พอแล้ว เธอเอารูปภาพมามากมายขนาดนั้น ตราบใดที่มีคนหนึ่งที่อิ่นซินถูกใจ เมื่อเทียบกับฉินเฟิง พบว่าฉินเฟิงแย่ขนาดนี้
โดยปกติแล้วก็จะเตะฉินเฟิงออกไปเป็นธรรมดา
เพียงแต่ว่า อิ่นซินไม่ได้ดูสิ่งเหล่านั้นด้วยซ้ำ และก็พูดด้วยความถอนหายใจว่า: แม่ค่ะ คนเหล่านี้ ตอนที่หนูเป็นประธานอยู่ในบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ก็เจอมากเยอะแล้ว หนูจะพูดกับแม่อีกครั้ง หนูเป็นผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว มีสามี มีลูก และไม่ต้องการนัดดูตัว
หลังจากที่พูดจบ อิ่นซินกับฉินเฟิงก็ขึ้นไปชั้นบน
ยัยเด็กนี่ ทำไมถึงไม่เชื่อฟังกันบ้าง!
จางลี่ค่อนข้างกังวล เธออยากได้ลูกเขยฐานะร่ำรวยคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เศษสวะอย่างฉินเฟิงแบบนี้ หันหน้ามองไปที่อิ่นหยวนที่อยู่บนโซฟา พูดอย่างไม่สบายใจว่า: ก็เป็นความคิดที่คุณคิดออกมา สัญญาครึ่งปีอะไร ด้วยความสามารถของเขา ภายในครึ่งปี จะสามารถหาเงินสองล้านได้ยังไง? เป็นไปไม่ได้ กลับยังจะทำให้ลูกสาวของฉันเสียเวลาไปอีกครึ่งปีเสียด้วยซ้ำ
ทำไมคุณพูดมากขนาดนี้
อิ่นหยวนอายุมากขนาดนี้แล้ว ขมวดคิ้วมองไปที่จางลี่: ผมบอกว่าสัญญาครึ่งปี ก็แค่สัญญาครึ่งปี ถ้าเขาสามารถหาเงินสองล้านมาได้ งั้นผมก็จะยอมรับเขาเป็นลูกเขยของผม เมื่อวานนี้พวกเราก็ทำมากเกินพอแล้ว ทำไม วันนี้คุณยังคิดอะไรแผลงๆอีกเหรอ?
ฉัน!
สุดท้ายจางลี่ก็พูดอะไรไม่ออก ตอนนี้อิ่นหยวนที่เป็นเจ้าบ้านคอยตัดสินใจ เธอเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ตัดสินใจไม่ได้ เพียงแต่ว่าเธอรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ทำไมลูกสาวที่หน้าตาสวยผิวพรรณดี จะต้องแต่งงานกับเศษสวะแบบนั้นด้วย
เศษสวะอย่างฉินเฟิงแบบนี้ นับประสาอะไรกับเครื่องประดับล้ำค่าและมีชื่อเสียงเลื่องลือ ขนาดกระเป๋าLVก็มอบให้เธอไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร ลูกเขยแบบตู้ต้วนเทียนนั้นดีกว่า
แต่ในเวลานี้ ในคฤหาสน์ตระกูลฟาง เดิมทีฟางเย้นที่ยังคงวิตกกังวล ดูจิตใจว้าวุ่น ได้รับสายโทรศัพท์ของอิ่นป่าย ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจในทันที และท่าทีเหมือนกับอิ่นป่าย
ยังคิดว่าจะเป็นคนที่ทำให้ตู้ต้วนเทียน เรียกคุณสักคำหนึ่ง เป็นคนที่สุดยอดมาก
เพียงแต่ว่า ใช้ประโยชน์จากฉินเฟิง ตู้ต้วนเทียนก็มีโอกาสก็เล่นสนุกบ้างเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะอิ่นหนิงหยู่ผู้หญิงคนนั้น
ฉินเฟิง แกยังคิดว่าแกมีความสามารถมากมาย คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเศษสวะคนหนึ่ง เอาผู้หญิงคนหนึ่งออกมา แลกกับความช่วยเหลือของตู้ต้วนเทียน คาดการณ์ว่าตอนนี้ทั้งสองคนกำลังมีสงครามใหญ่บนเตียงกันอยู่ เฮ้อ คนอย่างตู้ต้วนเทียนแบบนั้น ไม่มีทางขาดแคลนผู้หญิง ก็แค่เล่นสนุกสนามกับอิ่นหนิงหยู่เท่านั้นเอง
แต่ว่า ไม่นึกเลยว่าอิ่นหนิงหยู่จะเลวขนาดนี้ ที่สำคัญไปสมรู้ร่วมคิดกับตู้ต้วนเทียน ถ้าอย่างนั้นพี่สาวของเธอ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันมากนัก รู้เพียงแต่แสร้งทำเป็นผู้ดีต่อหน้าของฉัน ลับหลัง ยังไม่รู้ว่าเป็นของเล่นอะไร
ฟางเย้นยิ่งคิดยิ่งโมโห โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงในบริษัทซานหยวนกรุ๊ป คุณชายฟางอย่างเขา โดนตบนั้น ก็ขายหน้าไปหมดแล้ว ตู้ต้วนเทียนเขาก็ไม่กล้าไปแก้แค้น
แก้แค้นฉินเฟิงกับอิ่นซิน เขากล้าที่จะทำ
โดยเฉพาะอิ่นซิน หญิงโคมเขียว เขาจะคอยดูว่าหญิงโคมเขียวคนนี้ ความจริงเป็นผู้หญิงแบบไหน เขาส่งสัญญาณให้คนสนิทในทันที: เรียกเสนซันมา
ครับ
คนสนิทคนนั้นออกไป สักพักหนึ่ง ชายผิวดำสูงใหญ่ อย่างน้อยสูงหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร บนมือสวมสนับมือเหล็กอยู่หนึ่งอัน สนับมือเหล็กก็ส่องแสงสีเงินเฉียบคม เมื่อมองดูอย่างละเอียด ด้านบนยังมีเลือดสดเล็กน้อยอยู่บ้าง
ฟางสุดที่รัก มีอะไรต้องการให้ผมทำงั้นเหรอ?
เสนซันเป็นคนผิดดำคนหนึ่ง ใช้ภาษาจีนได้ที่ไม่ดี พูดกับฟางเย้น
เสนซัน ช่วยฉันไปลักพาตัวคนคนหนึ่ง ลักพาตัวเลย ห้ามเกิดข้อผิดพลาด ห้าล้าน
ฟางเย้นให้คนสนิทของตัวเอง เอาข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับอิ่นซิน ให้กับเสนซัน เสนซันเป็นนักมวยเถื่อนใต้ดินของเมืองเจียงเฉิง เคยมีวินัยชัยชนะติดต่อกันเก้าสิบเก้าครั้ง เป็นที่รู้จักในฐานะราชันย์มวยใต้ดิน มีลูกน้องอยู่ในมือมากมาย ล้วนแต่เคยฆ่าคนมาก่อน
ครั้งที่ก่อนเกิดข้อผิดพลาด ครั้งนี้ไม่มีทาง
ตู้ต้วนเทียน ใครน่ะ?
มีคนมาใหม่อยู่ข้างๆ อิ่นป่ายซึ่งไม่รู้จักตู้ซื่อกรุ๊ป แต่เขาคิดว่าคนที่สามารถอยู่กับฉินเฟิงได้น่าจะเป็นบริษัทเล็กๆ เพื่อให้ได้งานที่ดีจากอิ่นป่าย เขาจึงก้าวไปข้างหน้าทันทีแล้วพูดว่า ตู้ซื่อกรุ๊ป ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน มันคืออะ…
ก่อนที่เขาจะพูดจบ
ผัวะ
อิ่นป่ายตบหน้าเขา ไอ้สารเลว นายมีสิทธิ์พูดตรงนี้เหรอ? นายรู้ไหมว่านี่ใคร? ประธานตู้ซื่อกรุ๊ป ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ เป็นหนึ่งในบริษัทห้าอันดับแรกของเมืองเจียงเฉิง
อิ่นป่ายพูดไปพลาง รูม่านตาของเขาก็หดลงอย่างฉับพลัน ใบหน้าซีดเผือด เกรงกลัวตู้ต้วนเทียนมากจริงๆ
คนประเภทนี้ที่ควบคุมทุกอย่างในเมืองเจียงเฉิงได้ มาที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปโดยไม่คาดคิด แล้วยังเรียกฉินเฟิงว่า ‘คุณ’ อีก ไม่น่าเชื่อเลย ไม่อยากจะเชื่อ ปาฏิหาริย์ชัดๆ แต่ความจริงก็เกิดขึ้นต่อหน้าเขาแล้ว
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
ฉินเฟิงเป็นเพียงขอทานกระจอกคนหนึ่ง
คุณชายตู้
สิ่งที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่านั้นก็คือ ฟางเย้นคนรุ่นลูกผู้หยิ่งยโสโอหังจนถึงที่สุด ตกใจจนตกจากเก้าอี้ในทันใด เขาล้มลุกคลุนคลานมาอยู่ตรงหน้าตู้ต้วนเทียน โค้งตัวลง แล้วพูดประจบประแจง คุณชายตู้ พวกเราจะกล้าแก้แค้นตู้ซื่อกรุ๊ปได้ยังไง?
ผัวะ
ตู้ต้วนเทียนตบหน้าฟางเย้น ดวงตาทั้งคู่เย็นชาอย่างยิ่ง เขาพูดว่า ฟางเย้น คุณมีเพียงบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเล็กๆ แต่หยิ่งผยองถึงขนาดนี้
การตบครั้งนี้ เขาทำในนามของฉินเฟิง
เนื้อหาของบทสนทนาในวันนั้นคือการที่ฉินเฟิงขอให้เขามาเซ็นสัญญาในวันนี้ เพื่อให้เป็นช่องทางใหม่ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ตู้ต้วนเทียนมีกำลังมาก แค่ตบก็ทำให้ฟางเย้นล้มลงกับพื้น รอยฝ่ามือปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แต่ฟางเย้นไม่กล้าโกรธ เขาลุกขึ้นทันที โค้งตัวลง แล้วรีบพยักหน้าให้ตู้ต้วนเทียน
ครับๆๆ
ช่างไร้ค่า
คนที่อยู่ในนี้มีความรู้สึกเดียวกัน เมื่อครู่ฟางเย้นผู้ยโสโอหังที่ประกาศว่าจะให้ฉินเฟิงคุกเข่าลง เหมือนไม่ปรากฏตัวขึ้นอีกเลย ซึ่งทำให้ทุกคนตกตะลึง
จากนั้น ตู้ต้วนเทียนก็หยิบสัญญาส่งให้อิ่นซิน คุณอิ่น นี่เป็นสัญญาระหว่างตู้ซื่อกรุ๊ปของเรากับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของคุณ เราจะเป็นพันธมิตรกับพวกคุณ ผมได้ลงนามเสร็จแล้ว
อ้อ…ค่ะ
อิ่นซินยังไม่เข้าใจ แต่ก็รับมันไว้ก่อน จากนั้นตู้ต้วนเทียนก็จากไป อิ่นซินรู้สึกสับสนเล็กน้อย เกิดอะไรขึ้น? ทำไมจู่ๆ ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ก็มาที่นี่
เขามาที่นี่เพื่อเซ็นสัญญา
ไม่ชอบมาพากล
เธอทอดสายตาไปทางฉินเฟิงด้วยความสงสัย แต่ฉินเฟิงกลับยักไหล่ เธอจึงไม่ได้ถามในตอนนี้
อิ่นป่าย อิ่นเสี้ยงสวี่ ฟางเย้น ผมได้สัญญามาแล้ว จากนี้ไปบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราจะร่วมมือกับตู้ซื่อกรุ๊ป ไม่ใช่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปอีกต่อไป
อิ่นซินรับสัญญาฉบับนั้นมา แล้วแสดงให้ทุกคนด้านล่างดู
…
ในห้องเงียบเป็นเป่าสาก คนส่วนใหญ่ล้วนเคยตำหนิติเตียนอิ่นซินมาก่อน แต่ตอนนี้พอเห็นสัญญาฉบับนั้นแล้วก็นิ่งเงียบไป หรือพูดอีกอย่างก็คือ พวกเขาไม่มีสิทธิ์พูดอะไรอีกแล้ว
ฮึ!
หลังจากที่ตู้ต้วนเทียนกลับไปแล้ว สีหน้าของฟางเย้นก็ดูย่ำแย่ แฝงความดุร้ายเอาไว้ เขาเสียหน้าต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วยังไม่ได้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างตู้ต้วนเทียนกับฉินเฟิงอย่างละเอียดเลย เขาไม่ควรจะเอะอะโวยวายอีก จึงถอนหายใจแรงแล้วกลับไป
ส่วนอิ่นเสี้ยงสวี่กับอิ่นป่าย ทั้งสองมีสีหน้าบูดบึ้ง พวกเขาได้สมรู้ร่วมคิดกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเพื่อบังคับให้อิ่นซินยอมจำนน พอยอมจำนนและสละหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายแล้ว บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะตกเป็นของพวกเขา
แผนการนี้ดีมาก แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีตู้ต้วนเทียนปรากฏตัวขึ้นเพื่อทำลายแผนการ
อิ่นป่าย ฉันต้องการพบคุณปู่ ฉันได้สะสางปัญหาทั้งหมดที่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปทิ้งไว้แล้ว อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ตอนนี้ฉันควรได้สืบทอดตำแหน่งประธาน
อิ่นซินทอดสายตาไปทางอิ่นป่าย
คุณปู่ไม่ค่อยสบาย วันนี้ไม่ได้มา
สีหน้าของอิ่นป่ายบึ้งตึง สุดท้ายก็ตอบคำถามนี้
ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันค่อยมาใหม่ ฉันอยากจะดูว่าพวกเธอจะมีข้อแก้ตัวอะไรบ้าง
อิ่นซินพูดจบก็ดึงมือฉินเฟิง ที่รัก ไปกันเถอะ
หลังจากที่ทั้งสองเดินออกจากบริษัท อิ่นป่ายกับอิ่นเสี้ยงสวี่ก็กลับไปที่ห้องทำงานของพวกเขา ในห้องทำงาน อิ่นหนิงหยู่เอาแจกันทุบลงบนพื้นด้วยสีหน้าดุร้าย จากนั้นก็เอนตัวลงบนเก้าอี้ เป็นไปได้ยังไง ฉินเฟิงกับตู้ต้วนเทียนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร? ทำไมตู้ต้วนเทียนถึงเรียกเขาว่าคุณฉิน คนไม่เอาถ่านเช่นนี้ เหตุใดเขาถึงให้เกียรติขนาดนี้
คำตอบนี้มีเพียงอย่างเดียว ตัวตนของฉินเฟิงน่ากลัวกว่าที่พวกเขาคิด
เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร
ไม่ต้องกังวล ฉันขอตรวจสอบดูก่อน
อิ่นเสี้ยงสวี่ยังมีสีหน้าเป็นกังวล หากไม่กระจ่างเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งสอง เธอจะลุกลี้ลุกลนจริงๆ นั่นเป็นลูกชายคนโตคนเดียว เธอใช้ช่องทางทั้งหมดของเธอทำการตรวจสอบทันที
รวมถึงโทรหาจางลี่ด้วย โดยสัญญากับเธอว่าจะให้กระเป๋าถือ LV
ครึ่งชั่วโมงต่อมา อิ่นเสี้ยงสวี่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แล้วบอกกับอิ่นป่ายว่า ไม่ต้องห่วง ฉินเฟิงนั่นแค่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ตู้ต้วนเทียนได้ส่งของขวัญจำนวนหนึ่งไปที่บ้านอิ่นซิน มอบให้กับอิ่นหนิงหยู่ ลูกสาวของตระกูลอิ่น สงสัยว่าอิ่นหนิงหยู่กับตู้ต้วนเทียนน่าจะสมคบกัน ถึงได้มีเหตุการณ์อย่างวันนี้
ผัวะ
อิ่นป่ายทุบโต๊ะ กัดฟันพูดว่า อิ่นหนิงหยู่ ผู้หญิงไร้ยางอายคนนั้นยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย แต่ก็ออกมาหาผู้ชายแล้ว แถมยังยอมขึ้นเตียงกับคุณชายตู้อีก หน้าไม่อายจริงๆ
จากนั้น เขาก็ถอนหายใจออกมา แล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ แต่ตอนนี้คุณวางใจได้แล้ว เศรษฐีรุ่นลูกอย่างตู้ต้วนเทียนมีผู้หญิงไม่เคยขาดมือ เหตุผลที่เขาทำสิ่งเหล่านี้เพื่ออิ่นหนิงหยู่ก็แค่ความรู้สึกแปลกใหม่เท่านั้น พอหมดความแปลกใหม่แล้ว คุณคิดว่าเขาจะยังสนใจอิ่นหนิงหยู่อีกเหรอ? เขาจะเขี่ยเธอทิ้งแน่
เมื่อก่อนฉันกลัวลนลานมาก ยังคิดว่าเศรษฐีรุ่นลูกอย่างตู้ต้วนเทียนมีความสัมพันธ์กับฉินเฟิงจริงๆ ตอนนี้พอมาคิดดู ฉันนี่มันโง่จริงๆ ก็แค่ขอทานกระจอกคนหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะอิ่นหนิงหยู่ เขาคงไม่มีโอกาสได้คุยกับ คุณชายตู้หรอก แต่เหตุการณ์วันนี้ทำให้พวกเราตกอยู่ในสภาวะลำบาก
จริงสิ พี่สาว ทำไมคุณไม่ไปพบตู้ต้วนเทียนนั่นดูล่ะ? คุณดูสิ คุณมีรูปร่างที่ดีกว่าอิ่นหนิงหยู่ อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น มีความสง่างามกว่าเธอ รู้จักแต่งตัวมากกว่าเธอเสียอีก พอถึงตอนนั้นแค่หย่อนเบ็ดก็ได้มาอยู่ในมือแล้ว
อิ่นป่ายมองมาที่อิ่นเสี้ยงสวี่อีกครั้ง
ฉันมีคู่หมั้นแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่คิดทบทวนเกี่ยวกับคู่หมั้นของตนเองพลางส่ายหน้า
แต่อิ่นป่ายก็พูดต่อว่า เรื่องพวกนี้ที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของคุณกับคู่หมั้นของคุณเลย เขาอยู่ในกองทัพอันไกลโพ้น ใครจะรู้ว่าคุณทำอะไรลงไป พี่สาว คุณต้องคิดให้ดี ถ้าคุณไม่ลงมือ แล้วนังโสเภณีอิ่นซินได้ตำแหน่งประธานไป คุณจะยอมได้เหรอ?
ฉัน!
เมื่อนึกถึงอิ่นซิน ไฟในดวงตาของอิ่นเสี้ยงสวี่ก็ลุกโชนด้วยความโกรธ สุดท้ายก็กัดฟันพูดว่า ฉันตกลง
ทำถูกแล้ว
อิ่นป่ายยิ้ม หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรหาฟางเย้น บอกเขาว่าพวกเขาตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ตู้ต้วนเทียน เศรษฐีรุ่นลูกไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับฉินเฟิง
เมื่อมาถึงโรงแรม อิ่นซินพูดพร้อมกับขมวดคิ้วว่า พ่อแม่ของฉัน ทำเกินไปแล้วจริงๆ มาบังคับให้คุณคุกเข่าและโขกศีรษะคำนับ นี่คือสิ่งที่ผู้ชายควรทำเหรอ ผู้ชายมีทองคำอยู่ใต้หัวเข่า นี่มันเป็นการเอาศักดิ์ศรีของคนเหยียบย่ำลงบนพื้นดิน
ไม่เป็นไร
ฉินเฟิงมองไปที่อิ่นซิน แล้วหายโกรธอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าผู้คนรอบๆ จะสร้างความลำบากให้กับเขา แต่อย่างน้อยภรรยาของเขาก็ยังคอยปกป้อง เปรียบเสมือนความอบอุ่นในหิมะน้ำแข็ง ทำให้ผู้คนต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้อง
ผู้ชายมีทองคำอยู่ใต้หัวเข่า ครั้งที่แล้วฉินเฟิงคุกเข่าลงเพื่ออิ่นซินกับกั่วกั่ว ส่วนศีรษะก็ยอมโขกคำนับเพื่อพวกเขาเช่นกัน
เรื่องนั้นเขาไม่เสียใจเลย
หลังจากนั้นฉินเฟิงก็ไปรับฉินกั่วกั่วกลับมา ทั้งสามคนอาศัยอยู่ในห้องเดียวกัน ฉินเฟิงยังคงปูพรมเช่นเคย ตราบใดที่อิ่นซินยังไม่ได้อนุญาตให้เขาขึ้นเตียง เขาก็ขึ้นไปไม่ได้
นี่เป็นหลักการที่ยึดถือกันมา
เช้าวันถัดมา อิ่นซินตื่นมาเก็บของออกจากโรงแรม เธอไม่ได้บอกฉินเฟิงกับฉินกั่วกั่ว แต่ฉินเฟิงตื่นขึ้นมาทันทีที่เธอออกไป
เมียโง่ของผม ผมจะปล่อยให้คุณไปเผชิญหน้ากับทุกอย่างตามลำพังได้ยังไง
จากนั้น เขาก็ส่งฉินกั่วกั่วไปโรงเรียน แล้วรีบไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ในบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกำลังมีการประชุมอยู่ในห้องโถง พนักงานหลายร้อยคนในบริษัทกำลังมองดูห้องรับแขกนี้อยู่
ที่นำมาเป็นคนแรกที่ฟางเย้น คุณชายใหญ่ฟาง ทางด้านซ้ายคืออิ่นเสี้ยงสวี่ และทางด้านขวาคืออิ่นป่าย เนื่องจากคุณท่านอิ่นไม่อยู่ที่นี่ในวันนี้ พวกเขาทั้งสองจึงเป็นบุคคลผู้มีอำนาจของบริษัท
เฮ้ ว่าไง มาคนเดียวเหรอ? แล้วคนไม่เอาถ่านนั่นล่ะ?
ฟางเย้นนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองไปที่อิ่นซินที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน เธอเป็นเหมือนดอกบัวสีขาวที่อ่อนนุ่ม ละเอียดอ่อนและน่าสงสาร แต่สัมผัสได้ถึงความหัวแข็งในดวงตาของเขา
ผู้หญิงแบบนี้ทำให้เขามีความรู้สึกอยากจะพิชิตเธอ
เธอเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งในเมืองเจียงเฉิงจริงๆ
ฮ่าฮ่า วันนี้คนไม่เอาถ่านไม่กล้ามาสินะ เพราะถ้ามา เขาก็ต้องคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ สำหรับผู้ชาย จะทนรับได้อย่างไร อีกอย่างยังมีคนจับตาดูอยู่มากมาย
คนไม่เอาถ่านน่าจะทิ้งอิ่นซินให้มาตามลำพัง ตัวเขาหนีไปแล้ว ผู้ชายแบบนี้ ฉันไม่รู้ว่าอิ่นซินยังเก็บไว้อีกทำไม
คนไม่เอาถ่านคนนั้นจะหนีไปได้ยังไง เขาเป็นพระเอกของงานเลี้ยงในวันนี้นะ ถ้าเขาไม่มา แล้วใครจะคุกเข่าโขกศีรษะคำนับล่ะ ถ้าอยางนั้นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราไม่ต้องล้มละลายหรอกหรือ?
อิ่นซินไม่อยู่ที่นั่น ได้ยินมาว่า ฟางเย้นชอบอิ่นซินมาโดยตลอด เช่นนั้นก็อาจจะเป็น ค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ผลิ
คนรอบๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ เอะอะก็คนไม่เอาถ่าน มีไม่น้อยที่พุ่งความสนใจไปที่อิ่นซิน มีข่าวแพร่กระจายเล็กน้อยว่าต้องการให้อิ่นซินไปอยู่กับคุณชายฟาง
คนที่พูดเช่นนี้ ส่วนใหญ่มาจากลูกๆ ตระกูลอิ่น
สามีของฉัน วันนี้เขาไม่สบาย…
เดิมทีอิ่นซินอยากจะบอกว่าวันนี้เธอไม่สบาย แต่ในเวลานี้มีมือข้างหนึ่งวางลงบนหัวไหล่ของเธอ ต่อมาชายคนหนึ่งได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อขวางหน้าเธอเอาไว้ เขาพูดอย่างโกรธเคือง รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย แต่ไปหาหมอมาแล้ว เลยรีบมา
คุณ ที่รัก
อิ่นซินมองไปข้างหน้าตนเอง ค่อนข้างผอม แต่หัวไหล่กว้างผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ชั่วครู่หนึ่ง หางตาของเธอก็ชื้นเล็กน้อย แต่เธอยังคงถามอย่างดื้อรั้นว่า คุณมาที่นี่ทำไม?
ถ้าผมไม่มา คุณก็ถูกรังแกไปแล้ว
ฉินเฟิงหันกลับมา เอามือข้างหนึ่งแตะแก้มของอิ่นซิน แล้วพูดเบาๆ ที่เหลือ ให้ผมจัดการเอง
นึกไม่ถึงเลยว่าคนไม่เอาถ่านอย่างฉินเฟิงจะกลับมาแล้วจริงๆ ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ พวกคุณดูสิ รออีกแป๊บเดียวก็ได้ดูการแสดงดีๆ แล้ว มาดูกันว่าฉินเฟิงผู้นี้จะคุกเข่าลงยังไง
มาแล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ ขอแค่ยอมโขกศีรษะคำนับแต่โดยดี คำนับคุณชายฟางสามครั้ง ถ้าคุณชายฟางอารมณ์ดี บางทีอาจจะปล่อยเขาไป
กลุ่มคนมองฉินเฟิงด้วยความรังเกียจ ปากก็วิพากษ์วิจารณ์เขา
สมน้ำหน้า
เมื่อฟางเย้นเห็นภาพที่ใกล้ชิดระหว่างคนทั้งสอง เขาก็โกรธจัดทันที เขาถือว่าอิ่นซินเป็นสมบัติของเขามาโดยตลอด แต่ตอนนี้จู่ๆ ก็มีฉินเฟิงโผล่ออกมากลางทาง แล้วแย่งอิ่นซินไป
อิ่นซินควรจะเป็นของเขา
เจ้าฉินเฟิงนั่น ตัวตลกต่ำต้อย คู่ควรที่ได้ครอบครองคนสวยเช่นนี้หรือ
ฉินเฟิง คุณมาที่นี่เพื่อคุกเข่าโขกศีรษะคำนับให้คุณชายฟางใช่ไหม?
อิ่นป่ายมองดูสีหน้าของฟางเย้นแล้วลุกขึ้นยืน พูดกับฉินเฟิงด้วยน้ำเสียงที่ดังจนทุกคนได้ยิน
เพื่อทำให้ฉินเฟิงอับอาย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของฟางเย้นก็ผ่อนคลายลง และค่อนข้างพอใจ เขาพบว่าอิ่นป่ายอยู่เป็นมากขึ้นแล้ว
ทุกคนทอดสายตามาทางฉินเฟิง พวกเขานึกว่าฉินเฟิงมาที่นี่วันนี้เพื่อคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ แต่ในเวลานี้ ฉินเฟิงมองไปทางอิ่นป่ายแล้วถามว่า ทำไมต้องคุกเข่า?
ทุกคนตกตะลึง
ไม่ได้มาเพื่อยอมก้มหัวให้หรอกหรือ?
ฉินเฟิง คุณนี่เป็นคนโง่หรือเปล่า? บริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ได้แบนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราแล้ว ช่องทางที่ใหญ่ที่สุดของพวกเรา ตอนนี้ได้ยุติความร่วมมือกับเราแล้ว บริษัทของเรากำลังจะล้มละลาย
อิ่นป่ายจงใจทำท่าทางจริงจังขึ้นอีกนิดแล้วพูดต่อว่า ตอนนี้ถ้าคุณคุกเข่าขอโทษคุณชายฟาง เรื่องนี้จึงจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้ ถ้าคุณไม่ต้องการให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปซึ่งก่อตั้งโดยภรรยาของคุณต้องล้มละลาย ก็ต้องเชื่อฟังแต่โดยดี
เพื่อข่มขู่ฉินเฟิง เขาถึงขนาดพูดว่าบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่อิ่นซินสร้างมากับมือ
แม้ว่าเขาพยายามจะลบผลกระทบนี้ แต่ในความเป็นจริง บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของอิ่นซินจริงๆ และก่อตั้งมาด้วยน้ำพักน้ำแรงตามลำพังตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย
แต่ตอนนี้มันเป็นของเขาแล้ว
บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของภรรยาผม เรื่องนี้ผมรู้
ฉินเฟิงพยักหน้าแล้วพูดต่อ แต่การคุกเข่ามันไม่เกี่ยวอะไรด้วย ไม่มีช่องทางแล้ว หาเพิ่มอีกก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
หาเพิ่มอีก?
อิ่นป่ายถึงกับอึ้งไป ก่อนจะยิ้มมุมปากอย่างเหยียดหยาม เกิดมาเป็นขอทานยังไงก็คือขอทาน ช่องทางส่วนใหญ่ทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งล่วงหน้าไปหมดแล้ว ไม่มีที่ใดเต็มใจร่วมมือกับเรา
ก็ใช่น่ะสิ แค่คนไม่เอาถ่านคนหนึ่ง ยังกล้ามาชี้นิ้วสั่งงานพวกเรา เป็นคนนอกวงการจริงๆ
อิ่นเสี้ยงสวี่พูดอยู่ข้างๆ เช่นกัน
ส่วนอิ่นซินอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเชื่อฉินเฟิง และไม่พูดอะไรอีก
ฉินเฟิงนะ ฉินเฟิง ผมไม่รู้ว่าคุณโง่หรืออะไร ในเมืองเจียงเฉิง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของเราออกคำสั่งคำเดียว ก็ไม่มีบริษัทใดกล้าเป็นช่องทางให้พวกคุณแล้ว ไม่มีกิจการใดสามารถต้านทานการแก้แค้นของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของเราได้
ฟางเย้นหัวเราะออกแล้วตบเก้าอี้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ มีคนคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหุบลงทันใด เขาเป็นผู้ชายที่มีความสูงศักดิ์ พอเข้ามาก็มายืนอยู่ข้างหลังฉินเฟิง แล้วกวาดสายตามองไปที่ฟางเย้น จริงหรือ?
ผมตู้ต้วนเทียน ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ และประธานตู้ซื่อกรุ๊ป ได้รับเชิญจากคุณฉินให้มาร่วมงานกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปโดยเฉพาะ คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นไง ตู้ซื่อกรุ๊ปของเรา ยินดีต้อนรับสู่การแก้แค้น
ฮ่าฮ่า พระเอกตัวจริงมาแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่เอามือกอดอก มองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาล้อเลียน หยุดเขาไว้ ถ้าเขาตอบตกลง บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราจะอยู่รอดได้อีกครั้ง ทุกคนจึงจะมีตำแหน่งหน้าที่
แกร่ก แกร่ก แกร่ก
คนกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าฉินเฟิงและอิ่นซิน แต่ละคนเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า พวกคุณออกไปไม่ได้ โดยเฉพาะคุณ ฉินเฟิง คุณต้องมีคำอธิบายให้เราในวันนี้
พวกคุณเป็นคนสร้างปัญหาขึ้น ตอนนี้ยังคิดจะหลบหนีอยู่อีกเหรอ?
คุณ คุณจำเป็นต้องให้คำตอบที่แน่นอนวันนี้ มิฉะนั้นพวกคุณสองคน อย่าคิดจะออกไปในวันนี้เลย
พนักงานชายร่างกำยำยืนขวางอยู่หน้าประตู ดูท่าทางไม่ยอมปล่อยฉินเฟิงไป
ในเวลานี้ ฉินเฟิงประคองอิ่นซินเดินไปที่ประตู เขาเชยตามองขึ้น ดวงตามืดดำราวกับน้ำหมึก กวาดสายตามองทุกคนแล้วพูดออกมาคำหนึ่ง
หลีกไป!
ทันใดนั้น หัวใจของทุกคนก็สั่นระรัวอย่างอธิบายไม่ถูก สีหน้าเปลี่ยนไป พากันถอยกลับ ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์
จนกระทั่ง ฉินเฟิงช่วยประคองอิ่นซินเดินออกจากประตูบริษัท พวกเขาถึงเริ่มหอบหายใจฟอดใหญ่ สถานการณ์เมื่อครู่ทำให้พวกเขาไม่กล้าหายใจ แม้แต่หายใจยังไม่กล้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสกัดกั้นเลย
เอ่อ แล้วพวกเราจะยังตามไปอยู่ไหม?
มีคนถามอิ่นเสี้ยงสวี่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
ถามไปทำบ้าอะไร เศษสวะ พวกเศษสวะ คนเยอะขนาดนี้ ยังปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้
อิ่นเสี้ยงสวี่ตำหนิพวกเขาประโยคหนึ่ง แต่ที่จริงแล้ว ในหัวใจของเธอ ยังคงรู้สึกใจสั่นอยู่บ้าง เมื่อครู่สายตาของ ฉินเฟิงทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามีมีดจ่ออยู่บนลำคอของเธอ
ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย
ถ้าฉินเฟิงต้องการ ก็สามารถฆ่าเธอด้วยสายตาได้เลย
จนกระทั่งตอนนี้ เธอก็ยังไม่ฟื้นคืนสภาพเดิม
แต่ทว่า อิ่นเสี้ยงสวี่ได้สูดหายใจฟอดใหญ่ แล้วมองไปที่ฉินเฟิงและอิ่นซินที่กำลังจะจากไป ยิ้มมุมปากพูดว่า พวกคุณไปแล้วยังไง ฆาตกรก็ไม่ใช่พวกเรา
ระหว่างทาง ฉินเฟิงใช้กระดาษทิชชูเช็ดไข่เหล่านั้นให้ตัวเอง แล้วพูดขอโทษ
ไม่ต้องขอโทษหรอก
อิ่นซินมองฉินเฟิงชายร่างใหญ่ผู้อ่อนโยน เขาเช็ดน้ำตาให้เธออย่างระมัดระวัง ยังมีความรู้สึกปลอดภัยที่เธอเคยมีตอนที่กอดเธอไว้ในอ้อมแขนที่บริษัท
ทำให้เธอใจเต้นอย่างบอกไม่ถูก
แต่แล้วเธอก็ส่ายหัวพร้อมแววตาผิดหวัง พลางกล่าวว่า ฉันไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะเป็นแบบนี้ ฉันก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปขึ้นมากับมือ พนักงานส่วนใหญ่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากฉัน แต่ตอนนี้ทั้งหมดกลับพุ่งเป้ามาที่ฉัน ฉันไม่รู้ว่าฉันทำอะไรผิดไป ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าฉันผิดพลาดตรงไหน
คุณไม่ผิด
ฉินเฟิงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปแตะแก้มของอิ่นซิน ที่ผิดคือโลกใบนี้ ถ้าวันหนึ่งคุณต้องการ ผมยินดีที่จะเปลี่ยนโลกทั้งใบเพื่อคุณ
พูดจาอ่อนหวานเหลอืเกิน ไม่รู้ว่าไปเรียนมาจากไหน
หัวใจของอิ่นซินเต็มไปด้วยความสุขเล็กๆ แต่แล้วต่อมา ในใจก็ยังคงผิดหวัง เพราะเธอรู้ว่าสิ่งที่ฉินเฟิงพูดคือการปลอบโยนเธอ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเล็กๆ คนหนึ่ง จะเปลี่ยนโลกได้อย่างไร
เอาล่ะ กลับบ้าน กลับบ้านไปอาบน้ำกันเถอะ
อิ่นซินทำหน้าขรึม พยายามไม่ให้ความสุขของตัวเองแสดงออกมาภายนอก เธอเป็นหญิงสาวที่เย่อหยิ่งและเผด็จการ ไม่ใช่ เป็นหญิงสาวแต่งงานแล้วที่เย่อหยิ่งและเผด็จการ
แต่ทว่า หลังจากที่กลับมาถึงบ้านตระกูลอิ่น ก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ประตูใหญ่ถูกล็อกแน่นหนา
อิ่นหยวนและจางลี่ยืนขวางอยู่หน้าประตู อิ่นหยวนเอามือไพล่หลัง สีหน้าซับซ้อน อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก แต่จางลี่เอามือเท้าเอวแล้วพูดอย่างกล้าหาญ ตระกูลของเราได้ส่งจดหมายเวียนให้พวกเราแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานนี้ หุ้นของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราตกลงมาสามจุด สามจุดมีความหมายอย่างไร นั่นก็คือเงินหลายล้าน
พอถึงตอนนั้นเมื่อราคาหุ้นตกลงจนถึงสภาวะซบเซา หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ก็จะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย หายนะนี้ มันเกิดจากฉินเฟิงเพียงคนเดียว ถ้าอย่างนั้น คุณต้องรับผิดชอบในการแก้ปัญหา
เหลืออีกไม่เกินสองหรือสามวัน ภายใต้การกดดันของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราจะล้มละลาย นี่เป็นเรื่องความอยู่รอดของตระกูล แม้ว่าเราจะไม่ได้ดูแลจัดการบ้านใหญ่แล้ว แต่อิ่นซิน ในฐานะคนของตระกูลอิ่น เธอไม่รู้จักเกลี้ยกล่อมฉินเฟิงเหรอ?
จางลี่ ได้รับโทรศัพท์จากอิ่นหยวน เธอได้รับรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้แล้ว ถ้าฉินเฟิงไม่ยอมทำตาม บริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลายล่ะก็ ส่วนแบ่ง 10% ของครอบครัวพวกเขาจะไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย
เมื่อหุ้น 10% ไม่มีประโยชน์แล้ว ถ้าอย่างนั้นครอบครัวของพวกเขาก็จะใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้อีก เธอก็ไม่สามารถซื้อของฟุ่มเฟือยเหล่านั้นได้ นับประสาอะไรกับการเล่นไพ่นกกระจอกทั้งวันทั้งคืน
เธออยู่ห่างจากของฟุ่มเฟือยไม่ได้
ดังนั้น วันนี้จึงจำเป็นต้องทำให้ฉินเฟิงตอบตกลงให้ได้
แม่
อิ่นซินมองไปที่จางลี่ เธอไม่เต็มใจจะทำเช่นนี้ จึงหันไปหาอิ่นหยวน ต้องการให้พ่อของเธออ้อนวอน พ่อคะ พ่อ…
แต่ทว่า ยังพูดไม่ทันจบ อิ่นหยวนก็โบกไม้โบกมือ ก็ได้
พ่อ พ่อยืนอยู่ข้างฉันดีกว่า
อิ่นซินนึกว่าพ่อของเธอต้องการให้แม่ของเธอหยุดพูด แต่แล้วอิ่นหยวนก็ทอดสายตามาที่เธอ แล้วพูดอย่างซับซ้อน พ่อกำลังพูดถึงเธอ บ้านใหญ่ได้โทรมาบอกพ่อว่า ขอเพียงเธอทำให้ฉินเฟิงคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับให้คุณชายฟางพรุ่งนี้ คุณท่านก็จะให้พวกเรากลับไปที่บ้านใหญ่
เดิมทีพวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่ แต่เหตุกาณ์เมื่อเจ็ดปีที่แล้วทำให้พวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านใหญ่ สำหรับอิ่นหยวนแล้ว มันเป็นเรื่องที่น่าเสียใจตราบจนทุกวันนี้
ตอนนี้มีโอกาสแล้ว จะปล่อยมันไปไม่ได้
พ่อ พวกคุณ!
อิ่นซินมองไปที่สองคนนี้ ทั้งคู่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพวกเขา ต่างต้องการให้เธอเลิกกับฉินเฟิง แต่เธอไม่เต็มใจ เพราะเธอเคยยอมทิ้งฉินเฟิงไปแล้วครั้งหนึ่ง
ครั้งนั้น เธอได้สาบานในใจว่า ขอเพียงฉินเฟิงไม่ทำผิดต่อเธอ เธอก็จะไม่มีวันทอดทิ้งฉินเฟิงอีก
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน
ไป เราไปโรงแรมกันเถอะ
อิ่นซินดึงฉินเฟิง หันหลังเดินจากไป ทำให้ฉินเฟิงตกตะลึง แต่ในวินาทีถัดมา ความอ่อนโยนก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา ภรรยาแบบนี้หาได้ยากบนโลกใบนี้ ชาตินี้มีคนแบบนี้อยู่ก็เพียงพอแล้ว
หลังจากที่ทั้งสองจากไป อิ่นหยวนก็มองดูภาพนี้แล้วหน้านิ่วคิ้วขมวด พวกเรา มันเกินไปหน่อยหรือเปล่า
มีอะไรเกินไป พรุ่งนี้จำเป็นต้องทำให้ฉินเฟิงคุกเข่าลงให้ได้ ฉินเฟิงนั่นเป็นใครกัน แค่คนไม่เอาถ่าน แล้วคุณชายฟางล่ะเป็นใคร เขาเป็นทายาทของตระกูล มีสถานะที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
เมื่อจางลี่เปรียบเทียบทั้งสองคน ก็พบว่าฟางเย้นดีเลิศกว่าฉินเฟิงมากไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ปัญหาเล็กน้อยในตอนแรกนั้น มันไม่ใช่ปัญหาเลย
เธอไม่ควรคิดเล็กคิดน้อยเรื่องนี้ตั้งแต่แรก
แค่สร้อยคองานฝีมือเล็กๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ให้พวกเขาใส่ แต่ให้ฉินกั่วกั่วลูกนอกสมรสเท่านั้น แค่ลูกนอกสมรสคนหนึ่ง จะมีเกียรติยศแบบคุณชายฟางได้อย่างไร
สมควรเตะฉินเฟิงสักครั้ง แล้วค่อยรับคุณชายฟางเข้ามา นี่ต่างหากที่เป็นวิธีการที่สมเหตุสมผลที่สุด
ท้ายที่สุด เธอก็ต้องการเขยเต่าทองคำสักคนมาโดยตลอด
ระหว่างทางกลับบ้าน ฉินกั่วกั่วสะพายเป้นักเรียนใบเล็กๆ เอาไว้ข้างหลัง เธอเงยหน้ามองฉินเฟิง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ถามด้วยความสงสัย คุณพ่อคะ ทำไมคุณอาคนนั้นถึงเชื่อฟังพ่อล่ะ?
ทำไมถึงเชื่อฟังพ่อเหรอ?
เห็นได้ชัดว่าฉินเฟิงคาดไม่ถึงว่าสาวน้อยคนนี้จะถามคำถามเช่นนี้ แต่เขาก็ยังตอบว่า เพราะพ่อเป็นวีรบุรุษและเป็นแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชน
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง ถ้าอย่างนั้นกั่วกั่วจะต่อสู้เพื่อประเทศชาติและประชาชนในอนาคต
ฉินกั่วกั่วกล่าวด้วยสีหน้าหนักแน่น
สำหรับคนที่อายุเท่าเธอ บิดาเป็นคนที่ใหญ่โตที่สุด สิ่งที่พวกเธอเคารพมากที่สุดคือบิดาของตัวเอง
ลูกน่ะ เป็นเด็กผู้หญิงนะ
ฉินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
เด็กผู้หญิงจะต่อสู้กับศัตรูไม่ได้เหรอคะ? ทำไมล่ะ?
ความจริงก็ทำได้ เป็นหมอหรือพยาบาล แต่ถ้าลูกอยากออกสนามรบจริงๆ ก็มีคนแบบนี้อยู่ในประวัติศาสตร์นะ เคยเรียนเรื่องฮัวมู่หลานแล้วหรือยัง
ฉินกั่วกั่วส่ายหัว
ถ้าอย่างนั้นพ่อจะเล่าเรื่องฮัวมู่หลานให้ลูกฟัง นานมาแล้ว…
ในขณะที่พระอาทิตย์ตกดิน พ่อคนหนึ่งจูงมือเด็กหญิงตัวน้อย เดินไปพลาง เล่าไปพลาง เงาทอดยาว แต่ทั้งสองมีความสุขมาก โดยเฉพาะฉินกั่วกั่ว
เธอไม่เคยมีประสบการณ์นี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม หลังจากกลับมาที่บ้านของตระกูลอิ่น จางลี่กำลังอยู่ในห้องนั่งเล่น เธอเหลือบมองคนทั้งสอง ฮ่า พวกคุณยังกล้ากลับมาอีกเหรอ? ฉินเฟิง คุณนี่มันหน้าด้านจริงๆ
จู่ๆ ฉินกั่วกั่วก็เข้ามาหลบอยู่ข้างหลังฉินเฟิง
ไม่เป็นอะไร พ่ออยู่นี่แล้ว
ฉินเฟิงปลอบโยนฉินกั่วกั่ว
มีคุณอยู่? คุณเป็นแค่คนไม่เอาถ่าน จะมีประโยชน์อะไร ช่วยครอบครัวของเราให้ผ่านพ้นวิกฤติได้ไหม ไม่ได้ ไอ้เศษสวะ เห็นคุณทีไรก็รำคาญ ฉันไปเล่นไพ่นกกระจอกใหม่ดีกว่า
จางลี่บุ้ยปาก แล้วออกไปเล่นไพ่นกกระจอก
เธอไม่ได้ไปทำงาน ปกติชอบเล่นไพ่นกกระจอก สำหรับเงินในการเล่นไพ่นกกระจอกนั้น อิ่นซินเป็นคนจ่าย ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของครอบครัวอิ่นซินก็เป็นคนจ่าย
ไป ขึ้นไปทำการบ้าน
ฉินเฟิงพาฉินกั่วกั่วขึ้นไปชั้นบน เมื่อมาถึงห้อง อิ่นซินกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ค้นหาข้อมูลบางอย่าง สีหน้าดูกังวล ปากก็บ่นพึมพำกับตัวเอง คราวนี้เรามีปัญหาใหญ่แล้วล่ะ
มีอะไรเหรอ?
ฉินเฟิงเดินเข้ามาถามประโยคหนึ่ง
การแบนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกเขาหยุดการจัดหาวัตถุดิบของพวกเราก่อน พวกเราล้วนป้อนวัตถุดิบในบริเวณใกล้เคียง แต่ตอนนี้บริษัทเหล่านั้นไม่กล้าร่วมมือกับพวกเรา ถ้าพวกเราต้องการวัตถุดิบก็ต้องไปยังพื้นที่อื่น แต่ก็เสียทั้งเวลา เสียทั้งแรงกาย และต้องใช้เงินมากขึ้นด้วย มันไม่คุ้มค่าเลย
ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งทางบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางล่วงหน้าแล้ว แต่บริษัทเหล่านั้นไม่กล้าร่วมมือกับเรา พวกเรามีที่ดินในมือสองแห่ง กำลังจะจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่คราวนี้เราอาจขายไม่ออก
ถึงจะขายออกแต่เงินค่าก่อสร้างก็ต้องล่าช้าออกไปอีกนับร้อยวัน ตอนนี้เรามีเงินทุนหมุนเวียนไม่มาก ถ้าล่าช้าออกไปถึงร้อยวัน จะจ่ายเงินเดือนให้พนักงานระดับล่างไม่ได้ พอถึงตอนนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น แผนกภายในของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปกำลังปล่อยเกาะฉัน ฉันหาข้อมูลไม่ได้เลย
อิ่นซินพูดปัญหาเหล่านี้ออกมาตรงๆ แล้วทอดถอนใจ ฉันพูดกับคุณไปมันก็ไม่มีประโยชน์ คุณก็ช่วยฉันไม่ได้เหมือนกัน คุณไปทำอาหารก่อนเถอะ
ฉินเฟิง ตอนนี้ได้กลายเป็นพ่อบ้านของครอบครัวแล้ว
ทั้งปัดกวาดถูพื้น ทั้งทำอาหาร
แต่เขาก็ไม่ได้ปริปากบ่น ถึงอย่างไรก็ยังคงหวงแหนมัน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนตั้งแต่แม่ของเขาตาย
วันถัดมา
ฉินเฟิงเข้าไปทำงานในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ท้ายที่สุดตำแหน่งบังหน้าของเขาก็คือยามรักษาความปลอดภัยในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป แต่บรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในตำแหน่งเดียวกันก็สุภาพกับเขา พวกเขาเคยเห็นภาพนั้นในตอนแรกมาก่อน
เฝิงกาง ประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปโค้งคำนับฉินเฟิงด้วยความเคารพ
พวกเขาเดาว่าส่วนมากจะเป็นคนรุ่นสอง การมาใช้ชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ห้ามล่วงเกินเด็ดขาด
สำหรับหลิวลานเมิ่ง เธอลังเลที่ประตูห้องรักษาความปลอดภัย แต่ก็ยังไม่ได้เข้ามา ในตอนแรกนั้น เธอเป็นตัวการผู้กระทำผิด ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับฉินเฟิงอย่างไร
เมื่อถึงเวลาเลิกงาน ฉินเฟิงก็กลับบ้าน แต่เขาพบว่าอิ่นซินยังไม่กลับมา โทรศัพท์ไปก็ไม่มีใครรับสาย เขารู้สึกทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบไปที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
นี่คือ?
เมื่อฉินเฟิงมาถึงบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ก็พบว่ามีคนจำนวนมากมารวมตัวกันในบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลิกงานแล้ว แต่ดูจากสถานการณ์แล้วไม่มีใครเลิกงานเลย
ฉินเฟิงเดินเข้าไป ความโกรธปะทุขึ้นทันที
อิ่นซินติดอยู่กลางวง ผู้คนหนาแน่น มีไข่ไก่แตกหลายใบบนตัวเธอ ดูเหมือนว่ากำลังจนตรอก
น้องสาว ไม่เห็นจำเป็นเลย ตราบใดที่เธอสามารถเกลี้ยกล่อมให้ฉินเฟิงคุกเข่าและคำนับให้คุณชายฟาง ทุกอย่างก็จะเรียบร้อย วันนี้ก็จะไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น
อิ่นเสี้ยงสวี่ยืนอยู่ข้างๆ มองอิ่นซินด้วยแววตาเจือรอยยิ้ม
ไม่มีทาง
อิ่นซินปฏิเสธเสียงแข็ง เขาเป็นผู้ชายของฉัน
ผู้ชาย ฮ่าๆ
ความเหยียดหยามฉายผ่านดวงตาของอิ่นเสี้ยงสวี่ ผู้ชายแบบนั้นมีค่าพอให้เธอพูดแบบนี้เหรอ? ตอนแรกเขาก็ทอดทิ้งเธอ เจ็ดปี เจ็ดปีเต็ม ผู้ชายแบบนี้เธอยังยอมรับ มีแต่เธอคนเดียวที่โง่ แต่วันนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายของเธอหรืออะไรก็ตาม พรุ่งนี้เขาต้องคุกเข่า เธอรู้ไหมว่าตอนนี้บริษัทเป็นยังไงบ้าง
ก็ใช่น่ะสิ ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเริ่มแบนบริษัทของพวกเรา ช่องทางและความร่วมมือทั้งหมดถูกระงับ หุ้นของพวกเราก็ตกลงมาเรื่อยๆ
ขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ไม่ถึงสองวันบริษัทต้องล้มละลายแน่ๆ
อิ่นซิน เธอจะเป็นอาชญากรของบริษัทนี้ไม่ได้
เสียงด่าประณามและถ่มน้ำลาย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไข่ไก่หลายฟองถูกปาออกมาจากฝูงชนกระแทกเข้าที่ศีรษะของอิ่นซิน ในนั้นมีไข่ไก่เน่าหลายฟอง
โอ๊ย!
อิ่นซินหลับตาลงโดยสัญญาตญาณ
เสียงไข่ไก่แตกดังขึ้น แต่เธอพบว่าไม่ได้กระแทกที่ตัวเธอ และในขณะนี้ เธอรู้สึกได้ว่าเธออยู่ในอ้อมแขนของผู้ชายคนหนึ่ง
ที่รัก
อิ่นซินลืมตาขึ้นและเห็นฉินเฟิงกอดเธออยู่ ฉินเฟิงใช้ลำตัวบังไข่ไก่ทั้งหมด ศีรษะเต็มไปด้วยไข่เหมือนเธอไม่มีผิด ดูท่าทางกำลังจนตรอกอย่างที่สุด
ขอโทษครับ ขอโทษครับ
ฉินเฟิงกอดอิ่นซินไว้แน่น
เขาคิดไม่ถึงว่าตระกูลอิ่นจะบีบบังคับอิ่นซินเช่นนี้ เป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้นตั้งแต่เล็กจนโต วันนี้เพื่อไม่ให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปขุ่นเคือง ถึงกับใช้วิธีการแบบนี้
คนมากมายขนาดนี้ รังแกผู้หญิงคนเดียว อิ่นเสี้ยงสวี่เป็นผู้นำอีกแล้ว
พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น!
น้องชาย ผมยอมรับว่าคุณต่อสู้เก่ง แต่สวมเสื้อผ้าธรรมดาแบบนี้ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนธรรมดา คุณดูรถเบนท์ลีย์ราคาสองล้านของผมสิ คุณก็น่าจะรู้ถึงความแตกต่างระหว่างเราแล้วสินะ
นิ่งจื้อค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้นด้วยสีหน้าย่ำแย่ แต่เขาสังเกตเห็นเสื้อผ้าของฉินเฟิงเป็นเสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป เทียบกับชุดสูทราคาสามแสนที่เขาสวมใส่ มันแตกต่างกันมาก
ทันใดนั้น เขาก็ฟื้นความมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
คุณยังกล้ามาอวดเบ่งต่อหน้าผมอีกเหรอ? คุณคิดว่าคุณมีสิทธิ์ทำอย่างนั้นเหรอ?
ความเย่อหยิ่งปรากฏขึ้นในดวงตาของนิ่งจื้อ
แม้ว่าจะมีคนที่ด้อยกว่าอยู่ข้างหลัง แต่เขาก็ได้ความมั่นใจในตัวเองกลับมาจากฐานะทางสังคมของเขา
คุณเข้ามาหาผมเอง ยังจะกล้ามาอวดเบ่งอีก?
ฉินเฟิงยิ้มเยาะ ถ้าจะพูดถึงเรื่องคุณสมบัติ ทั่วทั้งประเทศต้าหัวมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าเย่อหยิ่งต่อหน้าเขา เขาได้สังหารผู้คนไปแล้วสามแสนคนในการต่อสู้ครั้งแรก ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องตกตะลึง
น้องชาย คุณรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?
ในเวลานี้ หญิงคนนั้นได้ก้าวออกมาเช่นกัน ฉันเป็นคนของตระกูลหลี่ เป็นลูกสาวของตระกูลหลี่ ชื่อหลี่ย่าน ตระกูลหลี่ยังเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองเจียงเฉิง คุณจะยั่วยุได้หรือ?
หลี่ย่านชี้ไปที่เสื้อผ้าที่ฉินเฟิงสวมใส่ ดูสิ่งที่คุณสวมใส่สิ เขาเรียกว่ายากจน คุณดูฉัน เป็นแบรนด์เนมทั้งตัว ทั้งหมดมีราคามากกว่าสองแสน ชาตินี้คุณก็ไม่มีปัญญาซื้อหรอก ดังนั้น รู้หรือเปล่าว่าตระกูลหลี่คืออะไร? เป็นครอบครัวที่มีทรัพย์สินมากกว่าร้อยล้าน สำหรับคุณแล้ว คือตระกูลใหญ่โต เป็นตระกูลใหญ่ที่คุณจะล่วงเกินไม่ได้
หลี่ย่านพูดพลางส่งเสียงหัวเราะเยาะ เด็กนักเรียนชายคนนั้นก็หัวเราะ เด็กยากจน เด็กยากจน
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ รถโรลส์-รอยซ์สามคันได้แล่นใกล้เข้ามา คันแรกนำโดยแพลนตัมในตำนาน รถยนต์ชั้นหนึ่งของโรลส์-รอยซ์ทำให้คนเหล่านี้ตะลึงงัน
เจียง9999 โอ้พระเจ้า นี่เป็นรถของใคร?
ดวงตาของนิ่งจื้อเบิกกว้างเมื่อเห็นหมายเลขทะเบียนรถ
หมายเลขทะเบียนนี้ค่อนข้างหายาก ในเมืองเจียงเฉิงยิ่งดูร่ำรวยและน่านับถือ มาปรากฏอยู่ที่นี่ ปรากฏที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ อย่าบอกนะว่ามารับลูก?
ในเวลานี้ มีชายคนหนึ่งลงจากรถ
ตู้…ต้วนเทียน
นิ่งจื้อไม่รู้จักชายผู้นี้ แต่หลี่ย่านในฐานะสมาชิกของตระกูลขุนนาง เธอจำตู้ต้วนเทียนได้ทันที เธอรีบพูดกับนิ่งจื้อว่า คนคนนี้มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง เขาเป็นลูกชายคนโตของตระกูลตู้ และเป็นทายาทในอนาคตของตระกูลตู้ ตระกูลตู้เป็นตระกูลชั้นหนึ่งที่แท้จริงใน เมืองเจียงเฉิง ซึ่งใหญ่กว่าตระกูลหลี่ของพวกเรานับร้อยเท่า นี่สิยักษ์ใหญ่ตัวจริง
น่ากลัวจริงๆ!
เมื่อนิ่งจื้อได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ เหตุผลที่เขาแต่งงานกับหลี่ย่าน ทั้งหมดเป็นเพราะตระกูลหลี่เป็นครอบครัวที่ร่ำรวย และวันนี้เขาได้พบกับยักษ์ใหญ่ตัวจริงในเมืองเจียงเฉิง
ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ ตู้ต้วนเทียน
คนคนนี้ มารับคนเหรอ?
เป็นไปได้ไหมว่าลูกของเขากำลังเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้? หากเป็นเรื่องจริง เขาจะได้ปล่อยให้ลูกของตัวเองเล่นและสนิทสนมกับลูกของตู้ต้วนเทียน เช่นนี้ ก็ไม่แน่ว่าเขาอาจจะสามารถพึ่งพาอาศัยตู้ต้วนเทียนได้
มันเป็นโอกาสที่จะทะยานสู่ท้องฟ้าอย่างแท้จริง
นิ่งจื้อรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ถ้าคว้าโอกาสในครั้งนี้ไว้ได้ เขาอาจจะเติบโตขึ้นได้ในอนาคต โอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิต
คุณตู้
หลี่ย่านโค้งให้ตู้ต้วนเทียน อยู่ในท่วงท่ามาตรฐาน จากนั้นก็พูดว่า คุณตู้ ฉันคือหลี่ย่านจากตระกูลหลี่ ตระกูลของเราทำธุรกิจไปมาหาสู่กับตระกูลตู้…
หลี่ย่านกำลังจะตีสนิท แต่ตู้ต้วนเทียนไม่ได้สนใจเธอ แม้แต่มองเธอยังไม่มองเลย
คุณตู้ คุณมาหาใครที่โรงเรียนหรือเปล่า ฉันช่วยคุณได้ ฉันคุ้นเคยกับโรงเรียนนี้มาก
เมื่อนิ่งจื้อเห็นตู้ต้วนเทียนเดินไปที่ประตูก็รีบโค้งคำนับ ดูว่าจะรู้ได้ว่าตู้ต้วนเทียนมารับลูกที่นี่หรือเปล่า ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ตีสนิทก็ได้
แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ต้องตกตะลึง ร่างกายของเขาแข็งทื่อทันที
เพราะเห็นว่าจู่ๆ ตู้ต้วนเทียนก็เดินเข้าไปตรงหน้าฉินเฟิง ก่อนจะโค้งคำนับเก้าสิบองศาด้วยความเคารพและให้เกียรติ แล้วพูดว่า คุณฉิน ผมมาแล้ว
เป็นไปได้อย่างไร!
คุณฉิน!
ตู้ต้วนเทียนเป็นคุณชายในตระกูลที่มีทั้งเงินและอิทธิพล เป็นทายาทของตระกูลชั้นหนึ่ง เขาเป็นหนึ่งในคนรุ่นสองอันดับต้นๆ ในเมืองเจียงเฉิง แต่ตอนนี้เขาโค้งคำนับให้ผู้ชายที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา แล้วยังเรียกเขาว่าคุณ
นิ่งจื้อและหลี่ย่านก้าวถอยหลังออกไปสองก้าวอย่างไม่เชื่อสายตา
เพราะนี่คือตู้ต้วนเทียน ผู้ชายที่อยู่สูงกว่าเขานับร้อยเท่าพันเท่า ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ แค่เพียงประโยคเดียวก็สามารถทำลายตระกูลหลี่ทั้งตระกูลได้ แต่มาโค้งคำนับให้ฉินเฟิง
เป็นไปได้อย่างไร
อย่าบอกนะว่า สถานะของผู้ชายคนนี้ยังอยู่สูงกว่าตู้ต้วนเทียนอีก?
มันเป็นแบบนี้ได้ยังไง!
นิ่งจื้อและหลี่ย่านสบสายตากันพลางหรี่ตาลง มีเพียงคำอธิบายเดียว เป็นภาพที่อธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตอนนี้ แต่สถานะที่อยู่สูงกว่าตู้ต้วนเทียน เขาคือใครกันแน่!
พวกเขาประสบปัญหาใหญ่แล้ว!
สิบเจ็ดนาที ยังไม่สายเกินไป
ฉินเฟิงเหลือบมองเวลา แล้วลูบศีรษะของฉินกั่วกั่ว เรียกคุณอาสิ
คุณอา
ฉินกั่วกั่วทักทายตู้ต้วนเทียนด้วยเสียงอ่อนหวาน
กั่วกั่วเด็กดี เป็นครั้งแรกที่ได้พบกันก็ต้องมอบของขวัญให้ แต่อาไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาด้วย เอาอย่างนี้แล้วกัน โรลส์-รอยซ์ ·แพลนตัมของอาคันนี้ ขอมอบให้กั่วกั่ว
ตู้ต้วนเทียนชี้ไปที่รถคันที่เขาขับมา ของใหม่นะ เพิ่งซื้อมา
ให้แพลนตัมคันหนึ่งเหรอ?
นิ่งจื้อได้ยินเช่นนี้ก็กลืนน้ำลายลง โรลส์-รอยซ์·แพลนตัม มันคือรถอะไรกัน เป็นรถสปอร์ตระดับท็อป คันละยี่สิบกว่าล้าน นึกจะให้ก็ให้เลยงั้นเหรอ?
ไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่นิดเดียว
จากนั้น นิ่งจื้อก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่ง ตู้ต้วนเทียนมีสีหน้ากังวล กลัวว่าแพลนตัมของตัวเองจะไม่ถูกส่งออกไป
เป็นไปได้อย่างไร!
นั่นคือแพลนตัม ราคายี่สิบล้านนะ!
แต่ทว่า ในเวลานี้เห็นเพียงฉินเฟิงโบกไม้โบกมือ เรื่องรถช่างมันเถอะ นี่มันเด็กผู้หญิง จะเอารถให้ทำไม เดินมากับผมหน่อย ผมมีอะไรจะกำชับคุณ
ได้ครับ
ตู้ต้วนเทียนพยักหน้า แล้วเดินเคียงข้างฉินเฟิงไป
นี่?
นิ่งจื้อเกิดความสงสัย รถสปอร์ตก็ไม่ต้องการเหรอ?
ประเด็นสำคัญคือตู้ต้วนเทียนเดินตามฉินเฟิงอย่างใกล้ชิดเหมือนคนรุ่นหลัง ไม่กล้าล้ำเส้นเลยแม้แต่นิดเดียว เขายังเป็นลูกชายคนโตที่มีเอกลักษณ์คือสีหน้าเย็นชาอยู่หรือเปล่า?
ที่รัก คุณตบผมหน่อย ผมเกิดอาการภาพหลอนไปหรือเปล่า
นิ่งจื้อตะโกนเรียกหลี่ย่าน
ผัวะ
หลี่ย่านตบเขา
โอ๊ย…เจ็บ…มันคือเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝัน…จบกัน! พวกเราไปหาเรื่องคนใหญ่โตเข้าแล้ว แม้แต่ลูกชายคนโตของตระกูลตู้ยังเกรงกลัว โอ้พระเจ้า
นิ่งจื้อมีสีหน้าสิ้นหวัง
ฉันว่าผู้ชายคนนั้นเหมือนจะไม่สนใจพวกเรา บางทีพวกเราอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้
หลี่ย่านนึกถึงท่าทีของฉินเฟิง ดูเหมือนจะไม่ติดใจอะไรพวกเขา แม้ว่าจะโกรธเล็กน้อย แต่อย่างน้อยก็รอดพ้นจากภัยพิบัติได้ แต่ในเวลานี้ก็มีเสียงมาจากทางด้านข้าง
ถึงแม้คุณฉินจะเป็นคนใจกว้าง ไม่ติดใจเอาความพวกคุณ แต่น่าเสียดาย ผมตู้ต้วนเทียนไม่ได้ใจกว้าง บัญชีนี้ ผมจะมาคิดแทนคุณฉินเอง
แน่นอน ตู้ต้วนเทียนกลับมาแล้ว
ถนนตงเจีย เมืองเจียงเฉิง
บนถนนสายนี้มีโรงเรียนอนุบาลอยู่แห่งหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาเลิกเรียนพอดี ครูคอยดูแลนักเรียนและส่งพวกเขาออกจากประตูโรงเรียนทีละคน ฉินกั่วกั่วอยู่ในชุดกระโปรงหลากสีสันยืนอยู่ที่ประตู
เธอกำลังรอฉินเฟิงอยู่
ตั้งแต่ฉินเฟิงกลับมา ฉินเฟิงก็เป็นคนมารับส่งเธอ
อย่างไรก็ตามในเวลานี้ มีเด็กชายตัวเล็กออกมา เขาสูงกว่าฉินกั่วกั่วหนึ่งศีรษะ เขาชี้ไปที่ฉินกั่วกั่วแล้วพูดเยาะเย้ย วันนี้ไม่มีคนมารับเธออีกแล้วเหรอ? จะรออยู่ตรงนี้คนเดียวจนมืดหรือเปล่า แล้วก็เอาแต่ร้องไห้ ร้องไห้ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครมาตามหาเธอเลย
หนิงจวิ้น
ฉินกั่วกั่วสะพายเป้นักเรียนใบเล็กไว้ บุ้ยปาก มองไปที่นักเรียนชายตัวน้อยอย่างไม่พอใจ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธออยู่ชั้นอนุบาล อิ่นซินบังเอิญออกไปทำงาน เธอขอให้จางลี่ผู้เป็นแม่มารับส่งเธอ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนั้นจางลี่จะเอาแต่เล่นไพ่นกกระจอกจนลืมเรื่องนี้ไปเลย
ส่วนฉินกั่วกั่วก็ร้องไห้อยู่ที่ประตูโรงเรียนอนุบาลตลอดทั้งคืน
เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนอนุบาล เรื่องนี้ทำให้อิ่นซินรู้สึกว่าเธอเป็นหนี้กั่วกั่ว ต่อมาเธอก็เลือกที่จะยอมรับฉินเฟิงเพราะกั่วกั่ว
เธอยังต้องไปทำงาน ตัวคนเดียวหมดแรงไม่มีสมาธิ สำหรับพ่อแม่ของเธอ ทั้งสองคนก็ไม่ค่อยชอบหลานสาวคนนี้มากนัก โดยเฉพาะจางลี่ เธอไม่เคยยอมให้กั่วกั่วได้ใส่เสื้อผ้าใหม่
บอกว่าเป็นแค่ลูกนอกสมรส จะใส่เสื้อผ้าใหม่ไปทำไม
เธอไม่ต้องรอหรอก ก็คงจะเหมือนครั้งที่แล้ว ไม่มีใครมารับเธอ เธอน่ะ ต้องร้องไห้อยู่ตรงนี้ไปตลอด ร้องไห้ไปตลอด ฮ่าฮ่า คนที่ไม่มีใครรัก
เด็กนักเรียนชายหัวเราะคิกคัก
ฉันมีคนรัก ฉันมีพ่อ
ฉินกั่วกั่วพูดอย่างแข็งกร้าว พ่อของฉัน กำลังจะมารับฉันเร็วๆ นี้
พ่อเหรอ? ฮ่า ทุกคนรู้ว่าเธอไม่มีพ่อ เธอเป็นลูกนอกสมรส ลูกนอกสมรสที่ไม่มีใครรัก แล้วจะเอาพ่อมาจากไหน โผล่มาจากไหนเหรอ? ดูสิ พ่อแม่ของฉันมารับแล้ว
ทันใดนั้น เด็กนักเรียนชายก็ชี้ไปที่ด้านหน้า รถเบนท์ลีย์คันหนึ่งจอดลง หญิงอ้วนดัดผมก้าวลงมาจากรถ อีกคนคือชายกำยำในชุดสูท คาบบุหรี่อยู่ในปาก
เสี่ยวจวิ้นไปกันเถอะ
ผู้หญิงเดินมาข้างหน้าแล้วจูงมือเด็กนักเรียนชาย เด็กนักเรียนชายทำหน้าทะเล้นใส่ฉินกั่วกั่ว ไม่มีใครรักเธอ เธอไม่มีพ่อ เธอเป็นแค่ลูกนอกสมรส ฮ่าๆๆ
ตอนเดินผ่าน ฉินกั่วกั่วกำลังอยู่ตรงนั้นพอดี เธอขวางทางพวกเขาไว้ ผู้หญิงคนนั้นยกฝ่ามือขึ้นแล้วตบฉินกั่วกั่ว หลีกไป สวมเสื้อผ้าขาดๆ อย่ามาขวางทางพวกเรา
โอ๊ย!
ฉินกั่วกั่วตกใจขวัญหนีดีฝ่อ หลับตาลง
แต่ทว่า อีกสองวินาทีต่อมา เธอพบว่าเธอไม่ได้ถูกตบ และตัวเองก็ยังอยู่ในอ้อมแขนของอีกคน ต่อมาจึงพูดขึ้นว่า ลูกสาวของผม คุณกล้าตีเหรอ?
คุณพ่อ
ทันใดนั้นฉินกั่วกั่วก็ลืมตาขึ้นและเงยหน้าขึ้นมอง เห็นใบหน้าที่เธอคุ้นเคย ฉินกั่วกั่วกระโจนเข้าไปในอ้อมกอดของฉินเฟิงทันที เอาหน้าเล็กๆ ซุกร่างกายของฉินเฟิง
เด็กดี
ฉินเฟิงลูบผมของฉินกั่วกั่ว
คุณเป็นใคร ปล่อยแม่ผมนะ
ผู้หญิงคนนั้น เดิมทีเธอเอาฝ่ามือฟาดลงไป แต่ถูกฉินเฟิงจับไว้ ทำให้เธอไม่พอใจอย่างมาก เธอดิ้นรนและตำหนิเขาในเวลาเดียวกัน
ได้สิ
ฉินเฟิงตอบตกลงแล้วปล่อยมือออกทันที
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังตุ้บ
ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะทันได้ตอบโต้อะไร เธอก็ล้มลงกับพื้นทันที สีหน้าดูเป็นทุกข์ น่าเวทนา ถึงกับร้องออกมา โอ๊ย…เจ็บจัง
ที่รัก
ชายในชุดสูทที่ยืนพิงรถเบนท์ลีย์คันนั้นเห็นภาพนี้เข้าก็เดินเข้ามาทันที รูปร่างค่อนข้างแข็งแรง ช่วยประคองผู้หญิงคนนั้นให้ลุกขึ้น จากนั้นก็มองไปที่ฉินเฟิงแล้วพูดอย่างโกรธจัด คุณกล้าผลักภรรยาของเหรอ?
เธอต้องให้ผมปล่อยมือ หรือว่าผมต้องจับเธอไว้ตลอดเวลา?
ฉินเฟิงยักไหล่ ความหยอกล้อฉายผ่านดวงตา แล้วพูดต่อว่า อันที่จริง มันน่าเกลียดเกินไป ผมก็ไม่ชอบทำแบบนี้เหมือนกัน
คุณ!
หญิงสาวได้ยินฉินเฟิงด่าเธอน่าเกลียดก็โกรธมากขึ้น เธอดึงชายในชุดสูทเข้ามาข้างกาย ที่รัก ผู้ชายคนนี้รังแกฉัน เข้าไปต่อยเขา
ใช่แล้ว คุณพ่อ คุณพ่อ ต่อยเขาเลย
เด็กนักเรียนชายโบกกำปั้นแล้วพูดขึ้น
ฉินเฟิงเหลือบมองเด็กนักเรียนชายคนนั้น ส่ายหน้าทันทีแล้วพูดว่า การสั่งสองอบรมของคุณล้มเหลวจริงๆ ลูกชายของคุณ เอะอะก็ต่อยๆๆ ไม่สืบดูให้ดีว่าเรื่องนี้ใครถูกใครผิดกันแน่
พูดจบเขาก็มองฉินกั่วกั่วที่อยู่ในตัวเขาแล้วพูดสอนว่า เมื่อก่อน พ่อไม่เคยสอนลูก แต่วันนี้พ่อจะสอนหลักทำนองคลองธรรมให้ลูก ถ้าวันหนึ่งลูกมีอำนาจหรือตำแหน่ง แต่ถ้าหากคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นคนดี ลูกจะใช้อำนาจไปรังแกคนอื่นไม่ได้ ลูกต้องเรียนรู้ที่จะตัดสินอย่างมีเหตุมีผล สำหรับคนเลว ลูกสามารถจัดการให้หนักได้
ในฐานะพ่อ นี่คือการประณามเรื่องการอบรมสั่งสอนลูก
เขาไม่เคยสอนเด็กมาก่อน แต่จากนี้ไปเขาจะค่อยๆ สอนไปทีละจุด ต้องมีทัศนคติที่ถูกต้อง ไม่สามารถใช้กำลังกลั่นแกล้งผู้ที่อ่อนแอได้
ฮ่า จัดการให้หนัก คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร แค่ผมยังเอาชนะไม่ได้เลย ยังคิดจะจัดการให้หนัก จริงสิ ขอแนะนำตัวเองหน่อยนะ ผมชื่อนิ่งจื้อ เป็นแชมป์ซ่านโฉ่วปีนี้ หนึ่งต่อสิบยิ่งสบายมาก คุณมาเจอผมวันนี้ ช่างโชคร้ายจริงๆ เพราะคุณก็รู้ว่าคนที่ทำให้ผมขุ่นเคืองคราวก่อน ตอนนี้อยู่ที่ไหน?
นิ่งจื้อบิดคอแล้วเดินเข้ามาทีละก้าว เขากำหมัดทั้งสอง ตอนนี้เขาอยู่ในโรงพยาบาล นอนมาสามเดือนแล้ว ผมหักกระดูกของเขาไปหกท่อน
กล้ายั่วยุผม วันนี้ผมจะทำให้คุณต้องทรมาน!
นิ่งจื้อยิ้มเยาะ สองขาตั้งหลัก ต่อยเข้าไปที่ใบหน้าของฉินเฟิง หมัดนี้เพียงพอที่จะทำให้เสียโฉมแล้ว
จากนั้น
การเตะของฉินเฟิงทำให้สีหน้าของนิ่งจื้อเปลี่ยนไป ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบโต้ เขาก็ถูกถีบกระเด็นออกไปแล้ว โครม เขากระแทกเข้ากับด้านข้างรถ สภาพน่าเวทนายิ่งกว่าฝ่ายหญิงเมื่อครู่เสียอีก
จัดการกับคนเลว ต้องเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเอง แต่ต้องรู้ขนาดด้วย เมื่อใดที่ต้องใช้แรงแบบไหนก็ใช้แรงแบบนั้น เหมือนพ่อตอนนี้ ใช้กำลังเพียงหนึ่งส่วนจากหนึ่งพันเท่านั้น กำลังดี
ฉินเฟิงมองไปที่ฉินกั่วกั่ว ค่อยๆ พูดทีละประโยค
คุณพ่อสุดยอดมาก!
ก่อนหน้านี้ฉินกั่วกั่วยังรู้สึกเป็นห่วง แต่พอเห็นฉินเฟิงเอาชนะคนเลวได้ในระยะเวลาสั้นๆ เธอก็มีกำลังใจขึ้นมา
หนึ่งส่วนจากหนึ่งพัน คุณ…อวดดีเกินไปแล้ว
นิ่งจื้อที่นอนอยู่บนพื้นรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากร่างกาย เขาโกรธมาก แต่สิ่งที่ทำให้เขายิ่งโกรธไม่ใช่ความเจ็บปวดบนร่างกาย แต่เป็นคำพูดของฉินเฟิง
ใช้พละกำลังเพียงหนึ่งส่วนจากหนึ่งพันเท่านั้น
เป็นที่รู้กันดีว่า เขาเป็นแชมป์ซ่านโฉ่ว มีชื่อเสียงสมคำร่ำลือ ปกติต่อสู้หนึ่งต่อสิบก็ไม่เคยมีปัญหา แต่วันนี้เขาพ่ายแพ้ให้กับผู้ชายคนนี้ด้วยการเตะเพียงครั้งเดียว
แล้วยังเป็นพละกำลังแค่หนึ่งส่วนจากหนึ่งพัน?
สบประมาทกันชัดๆ
สองคนนี้เย่อหยิ่งเกินไปแล้ว ยังไม่ทันได้อธิบายอะไรก็ไปแล้ว คราวนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปก่อการกบฏ ตัวการสำคัญคือพวกเขาสองคน โดยเฉพาะฉินเฟิง
ฉินเฟิงนั่นกล้ามอมคุณชายฟางจนเข้าโรงพยาบาล ช่างกล้าเหลือเกิน
คนในห้องทำงานต่างวิพากษ์วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นการตำหนิอิ่นซินและฉินเฟิง
ส่วนอิ่นป่ายก็ยิ้มเยาะ จะสู้กับฉันเหรอ? พวกเธอยังอ่อนหัดเกินไปหน่อย
พอกลับมาถึงบ้านตระกูลอิ่น ฉินเฟิงพบว่า จางลี่และอิ่นหยวนอยู่ในห้องนั่งเล่น อิ่นหยวนกำลังนั่งอยู่บนโซฟา อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน จางลี่เอามือกอดอก มองเขาด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นมิตร
ฉินเฟิง คุณกล้ามากนะ
พอเห็นฉินเฟิงกลับมา จางลี่ก็ตำหนิเขาทันที
แม่คะ
อิ่นซินเข้ามายืนอยู่หน้าฉินเฟิง บังเขาไว้
ฮ่า ฉินเฟิง คุณเป็นแค่คนไม่เอาถ่าน เกิดอะไรขึ้นก็คอยหลบหลังผู้หญิง เป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ก้าวออกมาข้างหน้า วันนี้เราต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้จบ
จางลี่เอามือกอดอก ทำท่าขู่
อิ่นซินยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉินเฟิงคว้าหัวไหล่ของเธอไว้แล้วพูดเบาๆ ว่า ผมจัดการเอง จะปล่อยให้คุณเผชิญหน้าคนเดียวไม่ได้หรอก
จากนั้น ฉินเฟิงก็ก้าวไปข้างหน้า ดวงตาของเขาก็ดำทะมึนเหมือนน้ำหมึก คุณอยากจะพูดอะไร?
ฮ่า พูดอะไรน่ะเหรอ คุณเพิ่งเข้ามาในครอบครัวของเราไม่กี่วัน คุณดูสิว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราบ้าง นอกจากนี้คุณยังทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปขุ่นเคือง พวกเขาประกาศออกมาแล้วว่าจะแบนบริษัทซานหยวนกรุ๊ป พอถึงตอนนั้นพวกเราจะสูญเสียทุกอย่าง คุณดูตัวคุณสิ อย่าว่าแต่ตู้ต้วนเทียนหรือฟางเย้นเลย เงื่อนไขของพวกเขาดีกว่าคุณมาก ถึงครั้งนั้นจะมีมลทินบ้างก็เถอะ ก็แค่คุณชายฟางไม่ทันได้สังเกตเห็น เลยถูกคนอื่นหลอกลวงเท่านั้น
แล้วมาดูคุณสิ คุณมีอะไรบ้าง คุณยากจน ไม่มีอะไรสักอย่าง คุณจะเอาอะไรมาทำให้ลูกสาวของฉันมีความสุข หากคุณหวังดีกับลูกสาวของฉันจริงๆ มะรืนนี้ก็ยอมไปที่บริษัทแต่โดยดี โขกศีรษะคำนับหลายๆ ครั้ง เช่นนี้ทุกคนก็จะมีความสุข
จางลี่พูดจาเฉียบแหลม ก่อนจะมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ จากนั้นก็พูดต่ออีก อันที่จริง คุณก็เกิดมาเป็นขอทานอยู่แล้ว ตอนนัน้นคุณก็คงคุกเข่าโขกศีรษะคำนับมาไม่น้อย ฉันเห็นคุณโขกศีรษะคำนับให้เราตอนนั้นอย่างคล่องแคล่ว
สิบนาทีที่แล้ว ครอบครัวได้บอกพวกเธอถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ ถ้ามะรืนนี้ฉินเฟิงไม่ไปคุกเข่าที่บริษัท บริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะถึงจุดจบ
บริษัทเล็กๆ ที่มีมูลค่าในตลาดเพียงไม่กี่สิบล้านจะสู้กับบริษัทใหญ่ได้อย่างไร
จาง…
เมื่อตอนแรกที่อิ่นหยวนได้ยินเรื่องนี้ ก็ยิ่งพูดเกินเลยไปไกล เขาอยากจะเอ่ยปากห้ามไว้ แต่ทันใดนั้นก็นึกถึงคำกำชับของครอบครัวได้ จำเป็นต้องให้ฉินเฟิงคุกเข่าให้ฟางเย้น
นี่คือคำพูดของคุณท่านอิ่น
สุดท้ายเขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
แม่คะ
อิ่นซินต้องการก้าวออกมา แต่ฉินเฟิงเอื้อมมือออกไปแล้วโอบกอดเธอไว้ จากนั้นก็พูดกับจางลี่ว่า คุณป้าครับ เรื่องนี้ ผมจะรับผิดชอบเอง
คุณจะรับผิดชอบยังไง คุณเป็นแค่ยาจกคนหนึ่ง เป็นคนเกาะเมียกิน คุณกล้าพูดแบบนี้ คุณจะเอาอะไรมารับผิดชอบ! คุณรับผิดชอบไหวเหรอ?
จางลี่เอามือกอดอก สีหน้าไร้ความเมตตาใดๆ
ฉินเฟิงบีบมือแน่น ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะไม่มีใครกล้าพูดกับเขาแบบนี้ เขาเป็นนายพลที่ไม่เป็นสองรองใครในรุ่น มือเปื้อนเลือดศัตรูนับแสน เป็นเทพสงครามที่ปกปักรักษาประเทศอย่างแท้จริง ต่อให้อีกฝ่ายเป็นหัวหน้า เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ยังไม่กล้าหายใจแรง
แต่ทว่า
อิ่นซินคว้าหัวไหล่ของเขาไว้แล้วก้าวออกมาข้างหน้า แม่คะ ฉันไม่สนหรอกว่าแม่จะคิดยังไง เขาเป็นสามีของฉัน เป็นครอบครัวของฉัน เรื่องนี้ฉันจะคิดหาทางออกเอง
จากนั้นก็ดึงฉินเฟิงไป ไป กลับห้องของเรากันเถอะ
ตกลง
ฉินเฟิงเห็นท่าทีปกป้องของอิ่นซิน ก็รู้สึกอบอุ่นในใจ ความซึมเศร้าก่อนหน้านี้หายไปแล้ว ภรรยาแบบนี้ถือเป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของเขาแล้ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่กำลังขึ้นไปชั้นบน อิ่นหยวนที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ก็พูดขึ้นมาว่า ผมเคยพูดเสมอว่า ลูกสาวของผมจะไม่อยู่กับคนไม่เอาถ่าน ถ้าคุณยังมีความรักให้เธออยู่บ้าง ผมคิดว่าคุณน่าจะรู้ว่าต้องทำยังไง แต่คุณวางใจได้ ผมจะไม่ปล่อยให้ฟางเย้นและเสี่ยวซินได้อยู่ด้วยกัน เรื่องนี้ผมรับประกันให้คุณได้
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ฉินเฟิงไปขอโทษฟางเย้นในวันพรุ่งนี้
คุกเข่าลง
โขกศีรษะคำนับกับพื้น
พ่อ พ่อก็เป็นไปด้วย
อิ่นหยวนจ้องเขม็งใส่อิ่นหยวน แล้วรีบดึงฉินเฟิงให้เข้าไปในห้องแล้วล็อกประตู อิ่นหยวนเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ ตอนแรกไม่ควรปล่อยคุณไว้เลย ตอนนี้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่แล้ว
ในตอนนั้น เขาใจอ่อนไปชั่วขณะ ปล่อยฉินเฟิงไว้ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะไปยั่วยุบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปอันใหญ่โต ทั้งตระกูลกำลังจะพินาศ
ฉันเคยบอกคุณแล้ว คนไม่เอาถ่านแบบนี้จะคู่ควรกับลูกสาวของฉันได้ยังไง ฉันจะเลือกให้เสี่ยวซินใหม่ ต้องเป็นผู้ชายที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าตู้ต้วนเทียน
จางลี่หยิบโทรศัพท์ออกมาทันที ค้นหาชายหนุ่มโสดที่โดดเด่น
เธอแน่ใจว่าวันมะรืนนี้ หลังจากที่ฉินเฟิงคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับแล้ว เขาจะต้องอับอายจนไม่เหลือศักดิ์ศรีอย่างแน่นอน ในเวลานั้นเขาจะไม่มีหน้าทนอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน
พอถึงตอนนั้นอิ่นซินจะกลายเป็นโสดอีกครั้ง คราวนี้เธอจะต้องจับเขยเต่าทองคำให้ได้ เศษสวะอย่างฉินเฟิงจะไม่สามารถปรากฏตัวได้อีก เศษสวะคนนี้จะคู่ควรกับลูกสาวของเธอได้อย่างไร
หลังจากกลับมาที่ห้องแล้ว อิ่นซินก็นั่งบนเตียงด้วยใบหน้าเศร้า เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี แต่ก็ยังบอกกับฉินเฟิงว่า ไม่ต้องกังวล
ในเวลานี้ ฉินเฟิงเอามือลูบไล้แก้มของอิ่นซิน ยิ้มหน่อยสิ เวลาคุณยิ้มสวยมากเลย
อุ๊บ
อิ่นซินมองท่าทางของฉินเฟิงแล้วหัวเราะออกมา เวลานี้คุณยังมีอารมณ์มาเล่นมุกตลกแบบนี้อีก จริงสิ ยังมีเวลาอีกครึ่งชั่วโมง คุณต้องไปรับกั่วกั่วแล้ว
ครับผม ภรรยาผู้ยิ่งใหญ่
ฉินเฟิงทำความเคารพแบบทหาร
บนโลกนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฉินเฟิงทำวันทยหัตถ์ให้ได้
พูดมาก รีบไปเถอะ
อิ่นซินยกขาเตะฉินเฟิง ตั้งแต่เธอเริ่มยอมรับฉินเฟิง ทั้งสองก็เริ่มหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน หลังจากหยอกล้อกันได้ไม่นาน ฉินเฟิง ก็ออกจากบ้านตระกูลอิ่นเพื่อไปรับกั่วกั่ว
ขณะที่อิ่นซินยังคงอยู่ในห้องนอนของตนเอง กำลังคิดหาทางแก้ปัญหา โอ๊ย…ทำไมบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปถึงเลวขนาดนี้…ต้องคุกเข่า…ต้องโขกศีรษะคำนับ…น่าเกลียดเกินไป…ทำไมพวกคุณไม่ล้มละลายไปเลยนะ…
ในเวลานี้ ฉินเฟิงที่เดินออกจากบ้านตระกูลอิ่นและขึ้นรถประจำทางแล้วได้โทรศัพท์ออกไป ตู้ต้วนเทียน มาหาผมที่โรงเรียนอนุบาล เลขที่ 26 ถนนตงเจีย เมืองเจียงเฉิง ให้ถึงภายในยี่สิบนาที ไม่อนุญาตให้มาสาย พ่อของคุณน่าจะเคยสอนคุณมาก่อน
ครับผม
ปลายสายโทรศัพท์ มีคำตอบรับว่า ‘ครับผม’ จากตู้ต้วนเทียนเหมือนเป็นทหารคนหนึ่ง
พ่อของเขาเป็นทหารผ่านศึก ดังนั้นเขาจึงรู้จักคำว่า ห้ามอย่างเด็ดขาด สี่คำนี้มาตั้งแต่เด็ก
…
ในเวลานี้ ห้องประชุมเงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีเสียงเลยสักนิด ทุกคนดูเหมือนจะหายใจไม่ออก พวกเขาอ้าปากค้างพร้อมกับมองไปที่เลขาหลิวอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เป็นไปได้อย่างไร!
สี่คำนี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน เป็นเรื่องปกติสำหรับบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางที่จะให้เงินพวกเขา 12 ล้าน เพราะมีใบแจ้งหนี้อยู่ที่นั่น แต่นี่ให้มา 15 ล้าน
ดอกเบี้ย 3 ล้าน!
ดอกเบี้ย!
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่ออย่างแท้จริงจนคาดคิดไม่ถึง!
มันไม่มีดอกเบี้ย บริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางจ่ายเพียง 12 ล้านก็เพียงพอแล้ว แต่การให้เพิ่มอีก 3 ล้านก็เท่ากับว่า เป็นการให้เงิน 3 ล้านแก่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปจริงๆ
เอ่อ คิดไม่ออกแล้ว!
ไม่มีเหตุผลเลย!
เป็นไปได้ยังไง กรณีของอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง เธอทำสำเร็จได้ยังไง เป็นไปได้ยังไง
อิ่นเสี้ยงสวี่พึมพำกับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ
อย่าว่าแต่เงินสามล้านที่เพิ่มขึ้นมาเลย แค่พูดถึงสัญญาฉบับนั้น บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางทราบล่วงหน้าแล้ว ทำไมพวกเขายังกล้าเซ็น เหตุใดถึงกล้า!
อิ่นซิน เธอใช้วิธีการแบบไหน มันไม่น่าเป็นไปได้
อิ่นเสี้ยงสวี่มองอิ่นซินอย่างงุนงง
เธอสนใจด้วยเหรอว่าฉันใช้วิธีการอย่างไร อันที่จริงกรณีนี้ ฉันเซ็นสัญญาแทนเธอนะ ถ้าเธอไม่เชื่อก็สามารถโทรหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางได้
อิ่นซินตอกกลับไปบ้าง
ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็คิดว่าตนเองไม่สามารถเซ็นสัญญานี้ได้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าพอเธอไปห้องน้ำแล้วออกมา สัญญาฉบับนี้ก็ถูกเซ็นเรียบร้อยแล้ว
โชคชะตา บางครั้งก็วิเศษมากจริงๆ
ในอดีตเธอไม่เคยมีความสุขกับทุกสิ่งที่ทำ แต่ในช่วงเวลานี้ เหมือนพระเจ้ากำลังช่วยเธอ ทำอะไรก็ราบรื่นขึ้นไปเสียทุกอย่าง อิ่นซินรู้สึกว่าถึงเวลาที่ตนเองควรจะทำอะไรสักอย่างแล้ว
เธอ!
อิ่นเสี้ยงสวี่ไม่พอใจกับท่าทีของอิ่นซิน เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วโทรหาบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง เธอคอยดู ฉันจะเปิดโปงเธอเดี๋ยวนี้
แต่พอหนึ่งนาทีผ่านไป อิ่นหนิงหยู่ก็วางสายลงด้วยใบหน้าหม่นหมอง และไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย แต่ทุกคนในห้องทำงานล้วนได้ยินสิ่งที่เธอพูดทางโทรศัพท์
ใครก่อหนี้เอาไว้ ให้คนนั้นมารับผิดชอบ มันเป็นสัจธรรมที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อก่อนผมเป็นหนี้พวกคุณอยู่นานมาก จ่ายให้สามล้านก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว
นี่คือคำพูดของหลี่หย่วน
แต่มันทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก หลี่หย่วนเป็นคนที่รับมือได้ยาก โดยปกติเงินก้อนนี้ สามารถยืดเวลาออกไปได้อีกหนึ่งถึงสองเดือน แต่สำหรับดอกเบี้ย มันเป็นไปไม่ได้
แต่ตอนนี้กลับจ่ายมาเลยในเวลาอันสั้น ยังมีดอกเบี้ยอีกสามล้าน!
โครงการมูลค่าสิบล้าน จะสามารถทำเงินได้สามล้านหรือก็ยังไม่แน่นอน แต่นี่เป็นดอกเบี้ยจำนวนสามล้าน
คุณปู่ ไม่ว่ายังไง สัญญานี้ฉันก็เซ็นไปแล้ว เอาตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ ตำแหน่งประธานนี้ก็ควรเป็นของฉัน ไม่ควรตั้งประธานรักษาการอะไรอีก
อิ่นซินกล้าเผชิญหน้ากับคุณท่านอิ่น
เธอเป็นผู้หญิงเผด็จการมาโดยตลอด ในตระกูลมีคนไม่เกรงใจเธอ ถ้าอย่างนี้คราวนี้เธอก็จะไม่เกรงใจอีกแล้วเช่นกัน
คุณท่านอิ่นไม่พูดอะไร นั่งลงบนเก้าอี้ประธาน
ในเวลานี้ อิ่นป่ายได้เดินเข้ามาเยาะเย้ย สัญญาฉบับนี้ เธอเซ็นไปแล้ว แต่ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดของเธอคือการล่วงเกินบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป จริงสิ วันนี้บริษัทมีแขกหนึ่งคน เลขาหลิว
ครับ
เลขาหลิวหันหลังเดินจากไป ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับคนคนหนึ่ง
อ้าว ช่างบังเอิญจริงๆ อิ่นซิน ฉินเฟิง พวกคุณสองคนกลับมาแล้ว
คนคนนี้ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากฟางเย้น เขาเดินเข้ามาในห้องประชุมแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง มองดูอิ่นซินและฉินเฟิงอย่างจองหอง
คุณชายฟาง
ผู้คนในห้องประชุมมองไปที่ฟางเย้น แล้วส่งเสียงทักทายอย่างสอพลอ
ถึงอย่างไรก็เป็นบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ซึ่งใหญ่กว่าบริษัทซานหยวนกรุ๊ปสิบกว่าเท่า อยู่ในอันดับแรกๆ ในบรรดาอุตสาหกรรมการก่อสร้างของเมืองเจียงเฉิง สามารถพูดได้ว่าอยู่ในสามอันดับแรก มีศักยภาพแข็งแกร่ง บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเขานั้นเทียบไม่ติด
คุณชายฟาง สัญญาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง พวกเขาได้เซ็นแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่เดินเข้ามาข้างๆ ฟางเย้นแล้วบอกเขา
อะไรนะ เซ็นไปแล้ว?
ฟางเย้นยังมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขาหยิบสัญญาฉบับนั้นที่อยู่บนโต๊ะ มองไปที่คำว่า หลี่หยวน สีหน้าของเขาแย่ลงทันที เจ้าหมอนี่ ไม่อยากอยู่ในเมืองเจียงเฉิงแล้วใช่ไหม
ฟางเย้น คุณมาทำอะไรที่นี่?
ในเวลานี้ อิ่นหนิงหยู่จ้องไปที่ฟางเย้นด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
เธอรู้ว่าฟางเย้นนั้นหมายปองเธออยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนแรกที่เธออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งในงานเลี้ยงค็อกเทล โชคดีที่เธอไม่ปล่อยให้เขาทำสำเร็จสักครั้ง
ผมมาทำอะไรที่นี่น่ะเหรอ ฮ่า
ฟางเย้นวางสัญญาฉบับนั้นลงพลางยิ้มเยาะ ผมก็ต้องมาคิดบัญชีน่ะสิ ตอนแรกในคืนนั้น สามีที่ดีของคุณบังคับให้ผมดื่มเกือบตาย ผมเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลตลอดทั้งคืน
ความเจ็บปวดในวันนั้น เขายังคงจำได้ดีจนถึงตอนนี้
ในวันนั้น พวกคุณเจ็ดคนผลัดกันมอมสามีของฉัน พวกคุณเจ็ดคนไม่มีใครดื่มชนะ นั่นเป็นเพราะพวกคุณเองที่ไม่เก่งเท่าเขา อิ่นซินโต้กลับ
ไม่เก่งเท่าเขา ไม่เก่งเท่าเขาจริงๆ
ฟางเย้นปรบมือ ในเมื่อคุณพูดเช่นนี้ ผมก็จะไม่เกรงใจอีกต่อไป วันนี้ผมมาเพื่อทักทายคุณ นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของเราจะแบนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกคุณ เราจะตัดแหล่งทรัพยากรทั้งหมดของพวกคุณ ไม่ว่าพวกคุณจะมีข้าวกินหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าพวกเราจะให้ไหม เข้าใจไหมครับ?
มะรืนนี้ ผมจะมาใหม่ ให้เวลาคุณคิดหนึ่งวัน ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณผิดแล้ว เช่นนั้นวันมะรืนจะให้สามีของคุณคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับสามครั้งให้ผม แล้วผมอาจจะพิจารณาปล่อยพวกคุณไป
ฟางเย้นลุกขึ้นยืน เดินออกมาพลางพูดว่า นี่เป็นเพราะพวกคุณไม่เก่งเท่าคนอื่น จริงสิ คืนนี้คุณมาที่บ้านผมได้ เราจะได้คุยกันถึงอนาคตบริษัทของพวกคุณ
ฟางเย้น! ไม่มีทาง! ฉันขอบอกคุณเลย!
อิ่นซินกำลังจะบ้าไปแล้ว
ให้ฉินเฟิงคุกเข่าลงโขกศีรษะคำนับสามครั้ง แถมต้องเป็นในบริษัทอีก เขาเป็นสามีของเธอนะ
แล้วยังให้ไปที่บ้านของเขาคืนนี้อีก!
ความคิดของเขา แม้แต่คนผ่านทางยังรู้เลย ต้องการใช้ร่างกายของเขามาข่มเหงผู้อื่น
ฉินเฟิง คุณรู้ไหมว่าคุณทำอะไรลงไป? เขาคือคุณชายของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป คุณยังกล้ามอมเขาจนเข้าโรงพยาบาล คุณก็รู้ว่าเพียงประโยคเดียวของเขาในวันนี้ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราจะสูญเสียไปเท่าไหร่?
ทันใดนั้น อิ่นเสี้ยงสวี่ก็ตำหนิฉินเฟิง
ก็ใช่น่ะสิ แค่ขอทานยาจกคนหนึ่งเท่านั้น มีสิทธิ์อะไรเข้ามายุ่งกับเรื่องของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเรา มีสิทธิ์มายุ่งเรื่องของตระกูลอิ่น คุณคิดว่าคุณคู่ควรเหรอ?
เพราะคุณคนเดียว บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราจึงขาดทุนนับสิบล้าน นี่ยังถือว่าน้อยที่สุดแล้ว ถ้าคุณรู้ว่าควรทำยังไง ถ้าอย่างนั้นวันมะรืนนี้ก็มาที่นี่ คุกเข่าแล้วโขกศีรษะคำนับให้คุณชายฟางสามครั้งด้วยความเคารพ
อิ่นซิน เธอเป็นคนของตระกูลอิ่น เธอทนเห็นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลายเพราะผู้ชายคนนี้ได้เหรอ นั่นคือบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ใหญ่มหึมาเลยนะ เธอไปเกลี้ยกล่อมสามีไม่เอาถ่านคนนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงก็ต้องโขกศีรษะคำนับ!
สมาชิกทุกคนในตระกูลอิ่นสาดกระสุนใส่ตัวฉินเฟิง
เป็นเพราะฉินเฟิง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปจึงพุ่งเป้ามาที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ป ยาจกคนนี้เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดวิกฤตการณ์ของบริษัทพวกเขา ตอนนี้ในสายตาของพวกเขา อยากจะเขมือบฉินเฟิงเหลือเกิน
ไป พวกเรากลับบ้านกันเถอะ
อิ่นซินมองไปที่ใบหน้าของคนเหล่านี้ ในใจรู้สึกโกรธ รีบคว้ามือของฉินเฟิงแล้วเดินจากไป
สงสัยคจะเป็นแบบนั้น
ฉินเฟิงมองหญิงสาวผู้มีเสน่ห์ที่แต่งตัวงามเพริศพริ้งที่อยู่ข้างเขา ปากรูปเชอร์รี่ ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกหดหู่เล็กน้อย แต่ตอนนี้เมื่อเก็บเงินได้แล้ว รอยยิ้มอันแสนหวานก็วาดขึ้นที่มุมปาก
มันทำให้ฉินเฟิงนึกอยากเข้าไปจูบ
น่าเสียดายที่ อิ่นซินไม่ได้ให้โอกาสนี้กับเขา เธอเอนตัวพิงอยู่ครู่หนึ่งแล้วผละออกไป ก่อนจะพูดอย่างแอบดีใจ นี่เป็นเรื่องยุ่งยากเรื่องสุดท้ายที่บริษัทมอบหมายให้ฉัน หลังจากเก็บเงินก้อนนี้ได้ ก็เกือบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป กลับบริษัทไปรายงานผลงานกันเถอะ
ตอนแรกคุณท่านอิ่นได้ขัดขวางเส้นทางนี้อิ่นซินจะได้เป็นประธาน เพราะเรื่องสร้างความขุ่นเคืองให้กับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป จนเกิดเป็นปัญหามากมาย แต่ในตอนนี้เรื่องพวกนี้ได้รับการจัดการเรียบร้อยแล้ว
เธอต้องกลับไปที่บริษัท!
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
หลังจากที่อิ่นซินและฉินเฟิงกลับมาถึงบริษัท อิ่นซินก็ถามเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งว่า คุณปู่อยู่ที่ไหน?
กำลังประชุมอยู่ที่ชั้นบน
เพื่อนร่วมงานคนนั้นชี้ไปที่ห้องทำงานที่อยู่ชั้นบน
เนื่องจากเป็นธุรกิจของครอบครัว ดังนั้นอิ่นซินจึงเรียกว่าคุณปู่ตรงๆ มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เธอเดินตรงขึ้นไป หาห้องทำงานนั้นจนพบแล้วเคาะประตู
ก๊อก ก๊อก
อิ่นซินปัจจุบันเป็นสมาชิกคณะกรรมการ มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการประชุม
เข้ามา
มีเสียงมาจากด้านใน จากนั้นอิ่นซินและฉินเฟิงก็เดินเข้าไป ทันทีที่เดินเข้าไป ห้องประชุมทั้งห้องก็เงียบลง ฉินเฟิงกวาดสายตามอง คุณท่านอิ่นยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งประธานเช่นเคย
อิ่นเสี้ยงสวี่และอิ่นป่ายอยู่เคียงข้างเขา
ฮ่าฮ่า นางเอกมาแล้ว การประชุมในวันนี้เธอไม่ควรบุกเข้ามา ใครที่เกี่ยวข้องกับเรื่องแบบนี้ก็รู้สึกแย่กันทั้งนั้น
ไม่มีทางเลือก คุณท่านให้ความสำคัญผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เขาไม่ชอบลูกสาว แม้แต่อิ่นเสี้ยงสวี่เองก็เป็นที่โปรดปรานของคุณท่านเพราะเธอมีน้องชาย
ใครใช้ให้บ้าน อิ่นหยวนมีลูกสาวสองคนล่ะ
ผู้ชนเริ่มพูดคุยกันเอง
อิ่นซินได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลทันที เธอเงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า คุณปู่ การประชุมวันนี้เกี่ยวกับอะไร? ฉันในฐานะสมาชิกคณะกรรมการ มีสิทธิ์ที่จะรู้
ประชุมเกี่ยวกับผู้เป็นตัวเลือกประธานรักษาการ
คุณท่านอิ่นกำลังจับไม้เท้าอันหนึ่ง
คุณปู่อายุมากแล้ว ไม่สะดวกที่จะนั่งเป็นประธานตลอดเวลา ดังนั้นพวกในฐานะคนรุ่นหลังควรกล้าที่จะส่องแสงให้กับวงศ์ตระกูล ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าหาญ ช่วยคุณปู่แบ่งเบาภาระ
อิ่นป่ายกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังอยู่ข้างๆ อย่างสง่าผ่าเผย
ใช่ ใช่ อิ่นป่ายอายุยังน้อย จบปริญญาโท มีความสามารถ แถมยังหนุ่มแน่น เขาคือพรสวรรค์ในหมู่คนรุ่นใหม่ของตระกูล
เรื่องนี้ฉันเห็นด้วย อิ่นป่ายเต็มไปด้วยพลัง ตำแหน่งรักษาการประธานก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ฉันก็สนับสนุนเหมือนกัน
กลุ่มคนพากันยกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าพวกเขาสนับสนุนอิ่นป่าย
พวกคุณ!
อิ่นซินมองไปรอบๆ ไม่มีใครสนับสนุนเธอเลย ควรจะรู้ว่า เริ่มแรกเธอเป็นคนก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมาด้วยตัวเอง คนเหล่านี้มาหาเธอเพื่อแสวงหาตำแหน่ง
เธอไม่ได้ใจแคบ ถ้ามีความสามารถ เธอก็เลื่อนตำแหน่งให้ทั้งหมด คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากเธอ
แต่คิดไม่ถึงว่า วันนี้ทั้งหมดจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเธอ
คุณปู่ ตอนแรกท่านบอกไว้ว่า ใครได้โครงการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไปก็จะได้เป็นประธาน ตอนนี้ท่านจะผิดสัญญาอีกแล้วเหรอ? ท่านก็อายุเจ็ดสิบแล้ว เป็นที่นับหน้าถือตาของคนอื่นๆ นะครับคุณท่าน
ฉินเฟิงก้าวออกมาเผชิญหน้ากับคุณท่านอิ่น
ฉินเฟิง คุณเป็นแค่คนยากจน คุณมีสิทธิ์มาพูดตรงนี้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะอิ่นซิน คุณจะไม่สามารถเข้ามาในบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราด้วยซ้ำ
อิ่นป่ายตะคอกใส่ฉินเฟิง
ในเวลานี้ อิ่นซินได้เข้าไปอยู่เคียงข้างฉินเฟิงแล้วกล่าวอย่างหนักแน่น ความเห็นของเขาก็คือความเห็นของฉัน คุณปู่คะ ท่านเคยพูดอย่างนั้นมาก่อนจริงๆ ท่านพูดแล้ว ว่าท่านจะรักษาสัญญา ไม่ใช่หรือคะ?
ฮ่าฮ่า
อิ่นเสี้ยงสวี่หัวเราะเยาะ อิ่นซิน ตอนแรกพูดอย่างนั้นจริงๆ แต่ในครั้งนั้นเธอได้ล่วงเกินบริษัทซานหยวนกรุ๊ป บริษัทซานหยวนกรุ๊ปสร้างปัญหาให้กับพวกเรามากมาย เรื่องไม่ควรเป็นความรับผิดชอบของเธอหรอกหรือ? จริงสิ โดยเฉพาะกรณีของอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง
ฉันทำเสร็จแล้ว
อิ่นซินเอาสัญญาจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางวางไว้บนโต๊ะ
เสร็จแล้ว? ล้อเล่นหรือเปล่า
อิ่นเสี้ยงสวี่บุ้ยปาก ทำสีหน้าเหลือเชื่อ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นหนึ่งในบริษัทก่อสร้างชั้นนำไม่กี่แห่งในเมืองเจียงเฉิง บริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางไม่มีทางปฏิเสธ
ยังเซ็นสัญญาแล้วอีกด้วย
มันเป็นไปไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ผู้ถือหุ้นที่อยู่ข้างๆ อิ่นซินมองดูแล้วกล่าวว่า นี่คือประธานอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางจริงๆ ชื่อหลี่หย่วน
อะไรนะ!
อิ่นเสี้ยงสวี่ตกตะลึง เซ็นชื่อจริงๆ เหรอ?
เป็นไปได้อย่างไร?
แต่วินาทีต่อมา สีหน้าของอิ่นเสี้ยงสวี่ก็ผ่อนคลายลง ทำไมเหรอ น้องสาว คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้เธอจะใช้วิธีการที่ไร้ยางอายขนาดนี้ กล้าเซ็นชื่อเองเพื่อเอามาจัดการกับพวกเรา ใช่ไหม? น่าเสียดาย น่าเสียดายที่พวกเราไม่ติดกับ เลขาหลิว รบกวนตรวจสอบด้วยว่ามีเงินจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางเข้ามาหรือไม่
ได้ครับ
มีเลขาคนหนึ่งอยู่ในที่ประชุมด้วย พอได้ยินคำสั่งก็ออกไปทันที
ฮ่า น้องสาว วิธีการของเธอแย่ลงเรื่อยๆ ตอนนี้กล้าทำเอกสารเท็จขึ้นมาอีกชุดแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ
ใช่ บริษัทยังมีกฎอยู่ ทำเอกสารเท็จมาหลอกพวกเรา มันเป็นไปไม่ได้ พวกเราไม่ได้แก่เลอะเลือนนะ
วิธีการแบบเธอมันช่างเลวร้ายมากจริงๆ ทำให้ตระกูลอิ่นของเราต้องอับอาย
เรื่องนี้ร้ายแรงมาก ถ้าถูกทางอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางฟ้องขึ้นมาล่ะก็ ให้ตายสิ พอถึงตอนนั้นคงจะมีปัญหามากมาย โครงการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปที่ได้มาจะขยายตัวมากเกินไป ถ้าเธอไม่เชื่อก็เรียนรู้จากน้องชายของเธอสิ วางตัวเฉยในทุกสถานการณ์
หลายคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ส่วนใหญ่นั้นกล่าวโทษอิ่นซิน
วางตัวเฉยในทุกสถานการณ์
อิ่นซินเยาะเย้ยตัวเอง
จะเอาอะไรมาวางตัวเฉยในทุกสถานการณ์ อิ่นป่ายผู้นี้ เป็นที่รักของครอบครัวมาตั้งแต่เกิด แม้แต่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่เธอก่อตั้งมากับมือ ตอนนี้ยังต้องยัดเยียดให้อิ่นป่าย เขาไม่เคยถูกสบประมาทเลยสักนิด มีแต่ได้รับความรัก
ไม่เป็นไร คุณมีผมที่รักคุณ
ฉินเฟิงจับมืออิ่นซินไว้
อิ่นซินปรายตามองฉินเฟิงแต่ไม่ตอบอะไร แต่คราวนี้เธอไม่ได้สะบัดหนีจากมือของฉินเฟิง เห็นได้ชัดว่าเธอเห็นด้วยกับคำพูดของฉินเฟิง เธอเองก็มีคนรักเหมือนกัน
ในขณะนั้นเอง เลขาหลิวก็กลับมา
เลขาหลิว เป็นยังไงบ้าง ไม่มีเงินโอนจากอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางเข้ามาใช่ไหม สิบสองล้าน ไม่มีมาสักหยวนเดียวเลยใช่ไหม?
เมื่อได้ยินคำถามของอิ่นเสี้ยงสวี่ ทุกคนก็เบนสายตาไปที่เลขาหลิว
ครับ ไม่มีสิบสองล้าน
เลขาหลิวส่ายหน้า
ฮ่าฮ่า ได้ยินไหมอิ่นหนิงหยู่ ไม่มีสิบสองล้าน…
อิ่นเสี้ยงสวี่หัวเราะเยาะจนท้องคัดท้องแข็ง แต่วินาทีต่อมา เลขาหลิวก็รีบพูดออกมาว่า ไม่มีสิบสองล้าน อสังหาริมทรัพย์หยวนฟางโอนเข้ามาเป็นจำนวนสิบห้าล้าน ผมตรวจสอบใบเสร็จรับเงิน อีกสามล้านทางอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางชี้แจงว่าเป็นดอกเบี้ยที่ติดหนี้มานาน
บอสหลี่ เมื่อกี้คุณอารมณ์เสียมากใช่หรือเปล่า ลูกหนี้คือพระเจ้า ใช่ไหม?
ฉินเฟิงเดินเข้าไปหาบอสหลี่ เงาร่างนั้นเหมือนปีศาจ ทำให้บอสหลี่ตัวสั่นด้วยความกลัว เขารีบถอยหลังออกไปสองก้าว คุณอย่าเข้ามานะ ผมเป็นเจ้าของบริษัทหยวนฟาง ถ้าคุณกล้าแตะต้องผม ผมก็กล้าทำให้คุณต้องแบกรับผลที่ตามมา
แบกรับผลที่ตามมายังไงเหรอ?
ฉินเฟิงบิดคอ
ผม…ผม…ผมจะทำให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลาย ล้มละลายทันที บริษัทของผมมีความสามารถในด้านนี้ พอถึงเวลานั้นพวกคุณต้องแบกรับภาระหนี้
หลี่หย่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดข่มขู่ออกมา
พอเขาพูดข่มขู่ออกมา ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงอย่างไรเขาก็เชื่อว่าไม่ว่าฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้าคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน เขาก็ต้องเป็นห่วงบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ถ้าคุณคุกเข่าลงขอความเมตตาจากผมในตอนนี้ ผมอาจจะยกโทษให้คุณก็ได้
ร่างกายของหลี่หย่วนหยุดสั่น ความจองหองปรากฏขึ้นในแววตา ตอนนี้เขาควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพียงประโยคเดียวของเขาก็สามารถทำให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลายได้ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวฉินเฟิงผู้นี้
เขาเป็นบุคคลระดับสูง
ส่วนฉินเฟิงผู้นี้ เป็นแค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่นที่เกาะเมียกิน
สถานะของทั้งสองมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
งั้นเหรอ?
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วโทรออกไป ฉีหยุน…
ฮ่าฮ่า คุณโทรศัพท์เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาเหรอ? ผมจะบอกคุณให้ บริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางของพวกเรายิ่งใหญ่และมั่งคั่งมาก บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกคุณไม่มีทางทำได้อย่างนี้
หลี่หย่วนภาคภูมิใจแล้วพูดต่อ ผมจะให้โอกาสคุณอีกครั้ง ถ้าคุณคุกเข่าลง ผมจะลองพิจารณา…
ติ๊งติ๊งติ๊ง!
โทรศัพท์มือในมือของเขาดังขึ้นทันที หลี่หย่วนหน้านิ่วคิ้วขมวด ใครวะ โทรมาในเวลานี้
หลี่หย่วนหยิบออกมาดู พบว่าเป็นเลขาของเขา จึงรับสายทันที เลขา เกิดอะไรขึ้น? นี่มันเวลานอกเวลางานของผม ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าถ้าอยู่นอกเวลางาน ไม่ต้องติดต่อผมยกเว้นว่าเกิดเรื่องใหญ่?
…
เลขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดอย่างไม่เร่งรีบ เถ้าแก่ บริษัทกำลังจะล้มละลาย ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเปล่า
อะไรนะ? จะล้มละลายเหรอ?
หลี่หย่วนอึ้งไปทันที ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาเพิ่งบอกฉินเฟิงว่าบริษัทของพวกเขามีความมั่งคั่ง แต่ตอนนี้มีโทรศัพท์โทรมาบอกว่ากำลังจะล้มละลายแล้ว มันจะเป็นไปได้อย่างไร!
ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย
เกิดอะไรขึ้น?
หลี่หย่วนรีบถาม
เถ้าแก่ บริษัทใหญ่หลายแห่งที่ร่วมมือกับบริษัทเราเพิ่งโทรมาขอยุติความร่วมมือ เรามีโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่สองแห่งที่กำลังจะเจ๊งอยู่ในมือ ครั้งนี้เราต้องชดเชยเงินหลายร้อยล้าน ในบัญชีของบริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนอยู่ไม่มาก หาแก้ปัญหาไม่ได้ก็ต้องล้มละลายแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น คนของบริษัทได้สอบถามทางธนาคารแล้ว ทางธนาคารบอกว่าไม่มีทางให้บริษัทของเรากู้ยืม
คำพูดของเลขาทำให้หลี่หย่วนถึงกับอึ้งไป ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้!
เบื้องบนบอกว่า พวกเราไปยั่วยุคนที่ไม่ควรยั่วยุ
จากนั้น เลขาก็พูดออกมาอีกประโยคหนึ่ง
คนที่ไม่ควรยั่วยุ คนที่ไม่ควรยั่วยุ!
หลี่หย่วนเกาหัวแล้วเอาแต่นึก ผม…สองวันนี้ผมไม่ได้เจอใครเลย…เดี๋ยวนะคุณ… โทรศัพท์เมื่อกี้นี้… เป็นฝีมือของคุณหรือเปล่า?
กระจ่างในทันที
หลี่หย่วนเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปที่ฉินเฟิงอย่างไม่เชื่อสายตา เมื่อครู่ฉินเฟิงโทรออกไป ถึงมีการตอบสนองเป็นชุดเช่นนี้ แต่แค่โทรศัพท์สายเดียว บริษัทของเขาถึงกับล้มละลายเลยหรือ
เหมือนนิทานแฟนตาซี
ชัดเจนมาก เป็นฝีมือของผมเอง ตอนนี้ถึงตาคุณแล้ว คุณบอกว่าจะทำให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปล้มละลาย คนเราต้องรักษาคำพูด ไม่ควรผิดสัญญา เชิญคุณตามสบาย
ฉินเฟิงมองมาที่หลี่หย่วน
และในเวลานี้
พรึ่บ
หลี่หย่วนคุกเข่าลงบนพื้น โขกศีรษะคำนับให้ฉินเฟิงพลางตบหน้าตัวเอง พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้ว ผมมีตาหามีแววไม่ ผมมองคนอื่นต้อยต่ำ…
ผัวะ ผัวะ!
เสียงตบดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ใบหน้าของหลี่หย่วน
ในขณะนี้ หลี่หย่วนรู้สึกเสียใจมาก เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเศษสวะเกาะผู้หญิงกินธรรมดาๆ จะทำให้บริษัทมูลค่าหลายร้อยล้านของเขาล้มละลายได้ด้วยโทรศัพท์เพียงสายเดียว!
แค่โทรศัพท์เพียงสายเดียวเท่านั้น
ไม่ยากเลยที่จะจินตนาการว่าตัวตนของฉินเฟิงนั้นน่ากลัวขนาดไหน!
เขาไม่อยากรู้ว่าทำไมฉินเฟิงถึงต้องอำพรางตัวภายใต้สถานะเช่นนี้ แต่เขารู้ว่า ถ้าตอนนี้ยังไม่ขอร้องให้ฉินเฟิงให้อภัย เขาต้องระเหเร่ร่อนอยู่บนท้องถนนแน่
ก็ได้
ฉินเฟิงโบกมือ ต่อไป คุณน่าจะรู้ว่าต้องทำยังไงใช่ไหม?
ใช่ครับ ใช่ครับ
หลี่หย่วนรีบพยักหน้า ไม่กล้าปฏิเสธเลย
และในห้องน้ำเวลานี้ อิ่นซินเอากระดาษทิชชูเช็ดดวงตาของตัวเอง เพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา เป็นเพราะบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปรังแกเธอมากเกินไป
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
อิ่นซิน ปรับอารมณ์เสีย ครั้งนี้ไม่ได้ก็ยังมีครั้งหน้า
อิ่นซินส่องกระจกให้กำลังใจตัวเอง เธอรู้อยู่แล้วว่าครั้งนี้จะไม่ได้อะไรกลับไปอย่างแน่นอน บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเทียบบริษัทอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางไม่ติด มันด้อยกว่ามาก
หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยแล้ว อิ่นซินก็เดินออกจากห้องน้ำ แต่เมื่อเธอออกไปก็ตกใจมาก เพราะในร้านกาแฟที่มีลูกค้าอยู่สิบกว่าคน เหลือเพียงโต๊ะของพวกเขาโต๊ะเดียวเท่านั้น
คนอื่นๆ หนีไปหมดแล้ว
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นซินรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้คิดมากอะไร เธอเดินไปยังที่นั่งของตนเองแล้วพูดกับหลี่หย่วนว่า บอสหลี่ นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าครั้งหน้าฉันมาอีกแล้วไม่ได้เงิน ฉันต้องฟ้องร้องดำเนินคดี
หากดำเนินคดีต้องใช้เวลาเดือนสองเดือน
เช่นนั้นทั้งสองบริษัทจะขาดทุนอย่างแน่นอน และบริษัทของพวกเขามีขนาดเล็ก เสียเปรียบง่ายกว่า
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้หลี่หย่วนได้เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คุณอิ่นครับ คุณพูดอะไรกัน ติดหนี้ก็ต้องจ่ายคืน เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เราทั้งสองบริษัทมีความร่วมมือกันมามากมาย ทำไมต้องทำให้กระทบความสัมพันธ์เพราะเรื่องนี้ด้วยล่ะ เอาอย่างนี้ ผมติดหนี้คุณสิบสองล้านใช่ไหม ผมจะเพิ่มให้อีกสามล้าน ถือว่าเป็นดอกเบี้ยของพวกคุณแล้วกัน
ดอกเบี้ยสามล้าน!
อิ่นซินถึงกับอึ้งไป!
เขาคือคนคนเดียวกันหรือเปล่า เมื่อครู่ยังจองหอง ให้ตายก็ไม่ยอมให้ แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย แถมยังเสนอดอกเบี้ยให้อีกสามล้าน นั่นมันเงินสามล้านนะ ไม่ใช่เศษกระดาษ!
บอสหลี่ เรื่องนี้ คุณคิดทบทวนดีแล้วใช่ไหม? เรายอมรับเงินต้นได้ แต่ดอกเบี้ยสามล้านนั้น?
อิ่นซินยังคงรู้สึกว่าดอกเบี้ยสามล้านนี้ มีอะไรไม่ชอบมาพากล
เพื่อความร่วมมือในอนาคตของบริษัทของพวกเราทั้งสอง แค่สามล้าน ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ สัญญาผมก็เซ็นเรียบร้อยแล้ว ส่วนเงินสิบห้าล้านนั้น ผมจะให้ทางบริษัทโอนให้ทันที คุณสบายใจได้
หลี่หย่วนมีสีหน้าจริงใจ แตกต่างจากเมื่อก่อนเป็นคนละคน
อ้อ…ตกลงค่ะ
ในที่สุด อิ่นซินก็จัดการค่าใช้จ่ายก้อนนี้เสร็จสิ้นอย่างงงๆ เธอรับประกันได้ว่า ตั้งแต่เกิดมา นี่คือความกล้าหาญในการลงนามที่อัศจรรย์ที่สุดที่เธอเคยเจอ
ระหว่างทางกลับ อิ่นซินเอนตัวพิงฉินเฟิงพลางพึมพำกับตัวเองว่า คุณว่า หลี่หย่วนนั่นประสาทหรือเปล่า รู้สึกว่าฉันแค่ไปเข้าห้องน้ำแล้วออกมา เขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ในวันถัดมา ฉินเฟิงและอิ่นซินก็ไปที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
หลังจากเดินเข้ามาแล้ว ฉินเฟิงกวาดสายตามองก็เห็นผู้ชายค่อนข้างอ้วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ สวมแว่นกันแดด มีบอดี้การ์ดชุดดำสองคนอยู่ข้างหลังเขา
บอสหลี่ ฉันมาสายไปหน่อย
อิ่นซินกล่าวทักทาย
ท่านนี้คือ?
บอสหลี่เหลือบมองฉินเฟิง
นี่คือสามีของฉันเอง ฉินเฟิง
อิ่นซินแนะนำตัวอย่างสง่าผ่าเผย จากนั้นทั้งสองก็นั่งลง อิ่นซินแนะนำให้ฉินเฟิงรู้จัก นี่คือหลี่หย่วน บอสหลี่ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์หยวนฟาง และเป็นหุ้นส่วนของเราด้วย
สวัสดีครับ
ฉินเฟิงทักทายด้วยน้ำเสียงเมินเฉย
ฉินเฟิง ผมเคยได้ยิน
หลี่หย่วนยิ้มมุมปาก เขาเคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อน ผู้ชายคนนี้มีฐานะเป็นยาจก ผู้ชายคนนี้เอาชนะใจอิ่นซิน ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงเฉิงในตอนนั้นภายในระยะเวลาสั้นๆ
เป็นที่โจษจันกันไปทั่วเมืองเจียงเฉิงในเวลาอันสั้น
แต่ผู้ชายคนนี้เป็นเพียงยาจกคนหนึ่งเท่านั้น ได้ข่าวว่าเขากลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนจะมาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรืออะไรสักอย่าง เขาก็เหมือนเดิม เป็นพวกไม่เอาถ่าน
หลี่หย่วนมองไปทางฉินเฟิงด้วยความรังเกียจ
ในเวลานี้ อิ่นซินได้หยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วยื่นให้หลี่หย่วน นี่คือจำนวนเงินที่พวกคุณต้องจ่ายให้กับเราสำหรับโครงการนี้ แต่ละบัญชีได้คำนวณเอาไว้อย่างชัดเจน ทั้งหมดรวมเป็นสิบสองล้าน
ภารกิจของเธอในวันนี้คือการมาวางบิล
หลี่หย่วนรับมันมาพลางมองดูครู่หนึ่ง ก่อนจะวางลงแล้วพูดว่า รายการถูกต้อง
ดีค่ะ
อิ่นซินดีใจมาก แล้วพูดต่อว่า ถ้าอย่างนั้นก็รีบส่งมอบเถอะ
เดี๋ยวก่อน ผมยังพูดไม่จบ การส่งมอบไม่มีปัญหา ปัญหาคือบริษัทของเราตอนนี้ไม่มีเงิน บริษัทของเรามีสองโครงการในมือที่สร้างไม่สำเร็จ ขายไม่ออก ยิ่งไปกว่านั้นยังมีข้อพิพาทเรื่องหนี้สิน ทำให้เงินทุนไม่สามารถหมุนเวียนได้
หลี่หย่วนเคาะโต๊ะแล้วดันเอกสารกลับไป ต้องขออภัยเป็นอย่างสูง เงินค่าโครงการนี้ พวกคุณต้องรอก่อน
ยังต้องรออีกเหรอ? บอสหลี่ เงินค่าโครงการนี้พวกคุณควรจ่ายตั้งแต่เดือนที่แล้วด้วยซ้ำ แต่นี่มันล่าช้าไปหนึ่งเดือนแล้ว คุณยังจะให้พวกเรารออะไรอีก
สีหน้าของอิ่นซินค่อนข้างแย่
โครงการนี้ บริษัทของหลี่หย่วนไม่จ่ายเงินเสียที สิบสองล้านหยวน ถ้าเอาฝากไว้ในธนาคารหรือเอาไปลงทุนอย่างอื่น ถึงตอนนี้ก็น่าจะทำกำไรได้สองสามแสนแล้ว อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่เธอมาทวงถาม
คุณอิ่น มันไม่ใช่ความผิดของผม บริษัทกำลังประสบปัญหาอยู่จริงๆ และมีปัญหาไม่ใช่น้อยๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าบริษัทของพวกคุณให้เรายืมอีกสิบล้าน พอขายทั้งสองโครงการนั้นได้แล้ว พวกเราจะคืนให้พวกคุณทันที ว่าไงล่ะ?
หลี่หย่วนเคาะโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง
…
อิ่นซินพูดไม่ออก ถ้าให้พวกเขายืมอีกสิบล้าน ก็เหมือนโยนก้อนเนื้อให้สุนัข ไม่มีทางได้คืน ต่อให้สุดท้ายต้องขึ้นศาล แต่ด้วยขนาดของทั้งสองบริษัท ก็ต้องสู้คดีกันถึงครึ่งปี
บอสหลี่ ฉันจำได้ว่าอสังหาริมทรัพย์หยวนฟางของพวกคุณไม่มีข้อพิพาททางด้านเงินทุน บริษัทยังเปิดทำการตามปกติ กรุณาอย่ามาล้อเล่นกับฉัน ในรายการมีเขียนเอาไว้อย่างชัดเจน
อิ่นซินหน้านิ่วคิ้วขมวด ชี้ไปที่สัญญาฉบับนั้น
ผมรู้
หลี่หย่วนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยื่นมือออกมา ทำท่าทางเหมือนลูกหนี้คือพระเจ้า แต่ตอนนี้ผมไม่มีเงินคืนพวกคุณจริงๆ อีกอย่างบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปได้แจ้งล่วงหน้าแล้ว คุณเข้าใจไหม?
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปอีกแล้ว
อิ่นซินลุกขึ้นทันที สีหน้าบูดบึ้งด้วยความโกรธ งานเหล่านี้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป เห็นได้ชัดว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกำลังทำให้เธอลำบาก อิ่นซินกัดฟันกรอด ขอโทษนะคะ ขอตัวไปห้องน้ำหน่อย
อิ่นซินเดินไปทางห้องน้ำ
และในเวลานี้ หลี่หย่วนได้รับสายโทรศัพท์สายหนึ่ง อะไรนะ? ดาราชั้นสอง? ราคาห้าแสนต่อคืน ทำไมแพงแบบนี้ ผมมีเงินอยู่ เอาอย่างนี้แล้วกัน ผมจะไปเดี๋ยวนี้
หลังจากวางสาย หลี่หย่วนก็หยิบของขึ้นมา กำลังจะเดินออกไป
ไม่ได้สนใจฉินเฟิงและอิ่นซินเลย
เพียงแต่ว่า ในเวลานี้ฉินเฟิงได้นั่งลงบนที่นั่งแล้วลืมตาขึ้น ผมปล่อยคุณไปแล้วเหรอ?
คุณกำลังพูดกับผมหรือเปล่า?
หลี่หย่วนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะมองไปที่บอดี้การ์ดทั้งสองของตนเอง พวกเขาพากันพยักหน้า บอกว่าฉินเฟิงกำลังพูดถึงอยู่
ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มมุมปากเยาะเย้ย แล้วกลับไปยังที่นั่ง เอามือเท้าโต๊ะ มองไปที่ฉินเฟิง สายตาเต็มไปด้วยการยั่วเย้า คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังพูดกับใครอยู่? ไอ้ขอทาน
ขอทาน
ฉินเฟิงยิ้มเยาะ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้ยิน มีคนกล้าพูดคำสองคำนี้ต่อหน้าผม
ทำไมเหรอ ไอ้ขอทาน คุณโกรธเหรอ? น่าเสียดายนะ คุณโกรธไปก็ไม่มีประโยชน์ คุณมันก็แค่เศษสวะคนหนึ่ง ถ้าตอนนั้นคุณไม่โชคดี คุณจะได้นอนกับอิ่นซินเหรอ? ชั่วชีวิตคุณน่าจะรู้จักพอ ดังนั้นอย่ามาหาเรื่องเลย
หลี่หย่วนหัวเราะเยาะครู่หนึ่ง ก่อนจะเตรียมตัวออกไปอีกครั้ง
แต่เสียงของฉินเฟิงก็ดังขึ้นอีกครั้ง ผมบอกแล้วไง อนุญาตให้คุณไปแล้วเหรอ?
เจ้าหนุ่มน้อย กล้ายั่วยุผมซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณคิดว่าคุณเป็นใคร คุณมันก็แค่ลูกเขยแต่งเข้าบ้านคนอื่นเท่านั้น กล้าดียังไงมาตะคอกใส่ผม จัดการทีซิ!
หลี่หย่วนหันกลับมา ชี้ไปที่ฉินเฟิงด้วยสีหน้าไม่พอใจ
ครับผม
บอดี้การ์ดสองคนที่อยู่ข้างหลังขานรับ พวกเขามักจะทำเรื่องเหล่านี้เป็นประจำ มีความคล่องแคล่วชำนาญ
ส่วนหลี่หย่วนนั้นถอยออกไปสองก้าว เพื่อเปิดพื้นที่ให้พวกเขา ดวงตามีแววล้อเลียน คนประเภทนี้ ถ้าไม่สั่งสอนบทเรียนเสียบ้าง เกรงว่าเขาอาจจะไม่รู้จริงๆ ว่าตนเองเป็นใคร
บอดี้การ์ดทั้งสองสบสายตากันแล้วยิ้มมุมปาก จากนั้นพวกเขาก็เคลื่อนที่ไปข้างหน้าขนาบซ้ายขวา พร้อมที่จะเข้าจับตัวฉินเฟิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีมือใหญ่เข้ามาคว้าจับทางด้านซ้าย ฉินเฟิงก็ยื่นมือออกมา คว้าตัวบอดี้การ์ดที่อยู่ด้านซ้ายมือไว้
ไอ้โง่
บอดี้การ์ดคนนั้นยิ้ม คิดว่าฉินเฟิงต้องสมองไม่ปกติแน่ๆ ถึงใส่พานถวายมาแบบนี้ จากนั้นกล้ามเนื้อบนร่างกายของเขาก็ปูดโปนขึ้น กำลังจะบีบฝ่ามือของฉินเฟิง
แต่เมื่อเขาออกแรง สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป กลายเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
สนุกไหม?
ฉินเฟิงพูดเบาๆ
บอดี้การ์ดคนนั้นเส้นเลือดเขียวปูดโปน ใบหน้าบวมแดง บนเสื้อผ้ามีคราบเหงื่อเปียกชุ่ม
คุณรนหาที่ตายเอง
บอดี้การ์ดอีกคนเห็นดังนั้น ก็เตะเข้าที่ศีรษะของฉินเฟิงด้วยลูกเตะพายุหมุน มีเสียงแตกหักเบาๆ ดังขึ้น การเคลื่อนไหวรวดเร็วและแม่นยำ แล้วยังใช้กำลังทั้งหมดอย่างเต็มที่ ถ้าเตะถูกล่ะก็ ศีรษะของเขาจะต้องระเบิดอย่างแน่นอน
ผมว่าคุณนั่นแหละที่รนหาที่ตาย
ฉินเฟิงเห็นเขาจนมุม ลำแสงหนาวเหน็บฉายผ่านดวงตาของเขา เขาไม่เกรงใจอีกต่อไป คว้าขาที่เขาส่งลูกเตะพายุหมุนอันทรงพลังเข้ามา จากนั้นก็ออกแรงหัก เสียงกระดูกแตกหักดังขึ้นในร้านกาแฟแห่งนี้
จากนั้นก็จับโยนออกจากร้านอาหาร ขวางอยู่บนถนน
จากนั้นเธอก็ปล่อยบอดี้การ์ดอีกคนหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน
อา!
บอดี้การ์ดกุมฝ่ามือตัวเอง ร้องครวญครางอย่างสุดชีวิต
ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาตำแหน่งที่ถูกฉินเฟิงจับไว้ มีเพียงข้อต่อเดียว ถูกฉินเฟิงบีบมารวมกัน กระดูกภายในแตกละเอียด
ผู้คนที่มุงดูรอบๆ พอเห็นความรุนแรงเช่นนั้น ก็วิ่งหนีไปทันที
นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น!
หลี่หย่วนที่เหลือตัวคนเดียว ในเวลากลับมองดูบอดี้การ์ดทั้งสองที่นอนอยู่บนพื้นด้วยความงุนงง บอดี้การ์ดสองคนของเขาปลดประจำการมาจากกองกำลังพิเศษ อยู่รอดในการต่อสู้หนึ่งต่อสิบ ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง
ส่วนฉินเฟิงคนนั้น ไหนบอกว่าเป็นพวกคนไม่เอาถ่าน เป็นคนเกาะเมียกินไง!
เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้
นี่มัน คนไม่เอาถ่านแน่เหรอ?
หรือว่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล
หลังจากกลับมาที่โรงพยาบาลแล้ว การผ่าตัดก็เสร็จสิ้นลง หลังจากเสร็จเรื่องที่โรงพยาบาล ฉินเฟิงและอิ่นหนิงหยู่ก็กลับบ้าน ระหว่างทาง อิ่นหนิงหยู่พูดกับฉินเฟิงว่า คราวนี้คุณทำได้ไม่เลว ช่วยฉันแก้ปัญหาใหญ่ได้ ตอนนี้ฉันไม่มีหนี้สินแล้วจริงๆ จริงสิ คุณอย่าคิดว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะยอมตอบตกลงให้คุณและพี่สาวของฉันอยู่ด้วยกันนะ
เป็นไปไม่ได้ พี่สาวฉันเก่งมาก คุณไม่คู่ควรกับเธอ
อิ่นหนิงหยู่มองฉินเฟิงเป็นการเตือน
เธอยังคงมีความคิดเหมือนเดิม ไม่คิดว่าฉินเฟิงคู่ควรกับอิ่นซิน
จะคู่ควรหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณอย่าลืมนะว่าคุณยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่คุณอยู่ในสนามแข่งรถใต้ดิน คุณเคยบอกว่าจะเรียกผมว่าพี่เขย คุณน่ะเหมือนหมู คุณเคยเรียกมาแล้วไม่ใช่เหรอ
ฉินเฟิงบอกว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านี้
ไม่เคย
อิ่นหนิงหยู่ต่อให้ถูกตีจนตายก็ไม่มีทางยอมรับ
ผมบันทึกเสียงไว้แล้ว
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมา บอกเป็นนัยว่า นี่คือหลักฐานที่หักล้างไม่ได้ คุณควรหัดร้องเสียงหมูด้วยไหม
ไอ้คนแซ่ฉิน ไอ้สารเลว!
อิ่นหนิงหยู่ฟาดใส่ฉินเฟิง
ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบแปดปี ไม่มีบันทึกเสียงอยู่ในมือฉินเฟิง แต่เขาเพียงต้องการข่มขู่เด็กสาวคนนี้เล่นเท่านั้น ทะเลาะกันสักพักก็มาถึงบ้าน
แต่พวกเขาได้พบกับเหตุการณ์หนึ่ง
ที่ประตูบ้านตระกูลอิ่น มีขบวนรถจอดอยู่ แถมยังเป็นขบวนรถที่ประกอบด้วยโรลส์-รอยซ์จำนวนสามคัน ฮัมเมอร์จำนวนสิบคัน คนที่อยู่ด้านบนกำลังขนของเข้าไปด้านใน
ว้าว โรลส์-รอยซ์อลังการอะไรเช่นนี้
ดวงตาของอิ่นหนิงหยู่เป็นประกายเมื่อเห็นรถโรลส์-รอยซ์ นี่เป็นหนึ่งในรถสปอร์ตที่ดีที่สุด
หนิงหยู่ กลับมาแล้วเหรอ
ที่ประตูบ้าน ครอบครัวของอิ่นซินกำลังยืนอยู่ตรงนั้น หลังจากเห็นอิ่นหนิงหยู่ จางลี่ก็ทักทายเธอ
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
อิ่นหนิงหยู่เดินเข้ามาถาม
ไม่รู้สิ พวกนี้เป็นของขวัญที่ส่งมาจากตระกูลตู้ เหมือนพวกบัวหิมะอะไรนี่แหละ เป็นยาบำรุงชั้นยอด กล่องละสี่หมื่น ยังมีพวกหยก สร้อยคออีกกองใหญ่ กองคละกันไปหมด พวกเราประเมินว่าน่าจะมีมูลค่าอย่างน้อยสามล้าน
จางลี่พูดกับอิ่นหนิงหยู่อย่างตื่นเต้น แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ของขวัญมากมายเหล่านี้ก็ทำให้เธอดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะพวกเครื่องประดับ
เธอเป็นผู้หญิงที่ชอบใช้ของฟุ่มเฟือยมาก ถ้าไม่ใช่ LV ก็ไม่ใช้
ตระกูลตู้? ตู้ต้วนเทียน?
จู่ๆ อิ่นหนิงหยู่ก็นึกถึงตู้ต้วนเทียน
ใช่แล้ว มันเป็นของขวัญจากตู้ต้วนเทียน ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร แต่บอกว่าเป็นของขวัญสำหรับครอบครัวของเรา
อิ่นซินยังคงมีสีหน้างุนงง
ฉันน่าจะรู้คร่าวๆ ก่อนหน้านี้พวกเราเคยเจอตู้ต้วนเทียนมาแล้ว เขาอ่อนโยนกับฉันมาก แล้วยังแสดงออกว่าชอบฉัน ฉันไม่รู้ว่าของพวกนี้ส่งมาให้ฉันโดยเฉพาะหรือเปล่า
พอพูดถึงตรงนี้ อิ่นหนิงหยู่ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
จางลี่และอิ่นหยวน ทั้งสองคนมองไปทางอิ่นซินทันทีแล้วถามว่า เธอรู้จักเขาไหม?
ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วยซ้ำ
อิ่นซินส่ายหน้า
ถ้างั้นก็พุ่งเป้ามาที่หนิงหยู่แล้วล่ะ เสี่ยวซินไม่เคยเจอตู้ต้วนเทียน พวกเรายิ่งไม่รู้จักเขาเลย ส่วนฉินเฟิง คนไม่เอาถ่านคนนี้ ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีความสัมพันธ์กับลูกชายคนโตของตระกูลตู้ ดังนั้นเรามาสร้างกฎการตัดออกอย่างง่ายๆ กัน พวกเราสามารถขบคิดให้ถี่ถ้วนได้ ว่าของขวัญเหล่านี้ส่งมาให้เธอในวันนี้
จางลี่ทำการอนุมาน และในที่สุดก็ได้ผลลัพธ์ออกมาว่าส่งให้อิ่นหนิงหยู่ เธอพูดอย่างประหลาดใจทันที ลูกสาวของฉัน ยังไงก็สวยที่สุดในโรงเรียน เป็นเรื่องปกติที่ตู้ต้วนเทียนจะถูกใจ ของขวัญเหล่านี้เป็นของหมั้น
คือว่า!
อิ่นหนิงหยู่เขินอายเล็กน้อย ไม่กล้ามองพวกเธอ
ตู้ต้วนเทียนมีชื่อเสียงโด่งดังในมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง บวกกับการที่เขาเป็นนายแบบ หน้าตาหล่อเหลา แถมเป็นลูกชายคนโตของตระกูลตู้ มีคนหลงใหลเขาเป็นจำนวนมากในมหาวิทยาลัย อิ่นหนิงหยู่ก็มีความรู้สึกดีๆ ในตัวเขาเช่นกัน
แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้ในวันหนึ่งจะเกิดขึ้นกับเธอ
เขาคือตู้ต้วนเทียน บุตรชายคนโตของตระกูลตู้ เป็นที่รู้กันดีว่าตระกูลตู้เป็นตระกูลใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง ใหญ่กว่าตระกูลอิ่นหลายสิบเท่า เป็นครอบครัวที่เศรษฐีอย่างแท้จริง
ฮึ ดูตู้ต้วนเทียนสิ พอมาถึงก็ส่งของขวัญมาให้มากมายขนาดนี้ มูลค่าสามล้าน ดีกว่าคนยากจนอย่างคุณตั้งเยอะ ไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวของเราถึงโชคร้ายที่ได้พบคุณในเวลานั้น
จางลี่เหลือบมองฉินเฟิงด้วยสีหน้ารังเกียจ
คนเราน่ะ!
กลัวการเปรียบเทียบ
เมื่อเอาคนมาเปรียบเทียบกันก็น่าโมโหจริงๆ โดยเฉพาะจางลี่ที่ดูถูกฉินเฟิงมาตลอด ตอนนี้มีตู้ต้วนเทียน ทายาทผู้มีความสามารถโผล่ออกมาอีก ดังนั้นเธอจึงยิ่งดูถูกฉินเฟิงมากขึ้นไปอีก
อย่าเอาแต่เดินเตร็ดเตร่ไปวันๆ ตั้งใจทำงานของคุณ ฉันบอกไปแล้วว่า ถ้าครึ่งปีให้หลังยังหาไม่ได้สองล้าน คุณต้องเลิกกับลูกสาวฉัน ไม่มีการต่อรอง
อิ่นหยวนมองไปที่ฉินเฟิงแล้วถอนหายใจ
ลูกสาวคนโตของพวกเขา อิ่นซิน เก่งกว่าลูกสาวคนเล็กอย่างอิ่นหนิงหยู่ หน้าตาของเธอก็ดีกว่า แต่โชคไม่ดีที่ได้พบกับพวกไม่เอาถ่านอย่างฉินเฟิง
เขาทอดถอนใจให้ลูกสาวจริงๆ
พ่อ แม่ พวกเรารู้แล้ว
เพียงแต่ว่า อิ่นซินได้เข้ามาอยู่ข้างกายฉินเฟิง จับมือฉินเฟิงไว้แล้วพูดอย่างภรรยาที่ดีที่มีจิตใจงดงามและอ่อนโยน เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างฉินเฟิง
ลูกจ๋า เธอแน่ใจแล้วเหรอ? ว่าจะเอาผู้ชายคนนี้?
เมื่อจางลี่เห็นท่าทีเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที
ฉันแน่ใจ
อิ่นซินพยักหน้า ฉันต้องการสามี กั่วกั่วก็ต้องการพ่อ แม้จะธรรมดาไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ขอเพียงมีจิตใจที่แสวงหาความก้าวหน้าก็เพียงพอแล้ว
คำพูดนี้ ความจริงอิ่นซินเอามาใช้ปลอบใจตัวเอง
ฮ่า ลูกโง่ เธอนี่มันโง่จริงๆ จิตใจที่แสวงหาความก้าวหน้า ฉันจะบอกเธอให้นะ คนยากจนแบบนี้ อีกหลายปีเธอจะรู้ว่าไม่คู่ควรกับเธอเลย เมื่อถึงเวลานั้น หลังจากที่หนิงหยู่ได้แต่งงานกับตู้ต้วนเทียนแล้ว ช่องว่างจะยิ่งมากขึ้น ถึงเวลานั้น เธอจะต้องเสียใจทีหลัง
แต่ว่า ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงเวลานั้นหรอก อย่างมากที่สุดครึ่งปี พวกเธอต้องเลิกกัน ลำพังฉินเฟิง จะหาเงินสองล้านภายในครึ่งปี ความหวังเดียวคือจะต้องถูกหวยแล้วล่ะ
จางลี่เหลือบมองฉินเฟิง จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก เธอดึงอิ่นหนิงหยู่ขึ้นมาอยู่ข้างๆ แทน แล้วซักถามเธอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับตู้ต้วนเทียนว่าไปถึงขั้นไหนแล้ว
พวกเรากลับห้องกันเถอะ ไม่ต้องไปสนใจแม่ฉัน
อิ่นซินปลอบโยนฉินเฟิง แล้วพากลับไปที่ห้องของพวกเขา มันยังคงเป็นโครงสร้างเดิม มีห้องนอนใหญ่ ตรงกลางเป็นเตียงขนาดสองเมตร ผ้าห่มลายการ์ตูนสีชมพู
ด้านบนเป็นตัวการ์ตูนที่กั่วกั่วชื่นชอบ
ด้านล่างเป็นตำแหน่งของฉินเฟิง มีพรมและผ้าห่มบางๆ เป็นที่นอน
อีกครึ่งปีให้หลัง ถ้าคุณทำไม่ได้ตามข้อตกลงที่ให้ไว้พ่อของฉัน ก็ขอให้จากกันด้วยดีแล้วกัน ฉันหวังว่าคุณจะเป็นพ่อที่สามารถเป็นแบบอย่างให้กับกั่วกั่วได้ ไม่ใช่พ่อที่เกียจคร้าน
อิ่นซินลังเลอยู่ครู่หนึ่งและในที่สุดก็พูดออกมา เธอและฉินเฟิงก็เป็นเพียงบุพเพสันนิวาส ไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งอะไร อาจพูดได้ว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อกันเลย เหตุผลที่เธอตอบตกลงกับฉินเฟิงก็เพื่อกั่วกั่วเป็นหลัก
แต่ถ้าฉินเฟิงทำตัวไม่ดี เธอก็จะปฏิเสธฉินเฟิงเพื่อกั่วกั่ว
ตกลง
ฉินเฟิงตอบตกลง แต่เขาแอบพูดอยู่ในใจว่า ผมจะไม่มีวันไปจากพวกคุณ
อิ่นซินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดต่อว่า พรุ่งนี้คุณไปเจรจาธุรกิจกับฉัน แล้วฉันจะแนะนำคุณให้รู้จักกับเถ้าแก่คนหนึ่ง คุณต้องพยายามให้มากขึ้น ไม่สู้เพื่อหมั่นโถว แต่สู้เพื่อลมหายใจ ฉันไม่ได้ขอให้คุณดีเลิศเหมือนตู้ต้วนเทียน แต่ก็อย่าให้แย่จนเกินไป
พวกมอด
แววตาของฉินเฟิงค่อยๆ เย็นชาลง
ทำไมล่ะ ดูสายตาของคุณต้องการคิดบัญชีกับฉัน ฮ่าฮ่า คุณคิดว่าคุณเป็นใคร รู้ไหมว่าผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เป็นคนของฉัน เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน มีความสัมพันธ์กับระดับเบื้องบนมาก ไม่มีใครแตะต้องเขาได้
หญิงวัยกลางคนดูท่าทางมั่นใจมาก จากนั้นเธอก็มองไปที่ฉินเฟิงและพูดติดตลกว่า จริงสิ มีใครบอกคุณหรือยัง ที่จริงแล้วสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นมีกำไรมาก ทุกปีมีคนในสังคมบริจาคหลายล้านคน ส่วนใหญ่ก็ถูกพวกเรากินไปหมดแล้ว
ดังนั้น พวกคุณเลยร่ำรวย แต่เด็กเหล่านั้นป่วย พวกคุณก็ไม่ยินดีควักเงินจ่าย
เหลวไหล เด็กเหลือขอพวกนี้ ตายแล้วก็ตายไป ทำไมต้องมาเปลืองเงินพวกเรามากมาย แต่ก็พูดตามตรงนะ อิ่นหนิงหยู่ของคุณนั้นโง่จริงๆ ไม่มีสมอง ควักเงินตัวเองมาจ่ายค่ารักษาให้เด็กพวกนี้
หญิงวัยกลางคนเยาะเย้ยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดีมาก
ฉินเฟิงหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาแล้วกดโทรออก
โอ๊ยๆๆ คุณทำท่าเหมือนกำลังจะโทรหาใครสักคน ฉันจะดูซิว่าคุณจะโทรหาใครได้บ้าง
หญิงวัยกลางคนมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจ
ในเวลานี้ ชายวัยกลางคนสวมแว่นตาเดินออกมาจากห้องโถงด้านใน เขาสูงประมาณ 175 เซนติเมตร ดูสุภาพเรียบร้อย เขาเดินหน้านิ่วคิ้วขมวดออกมาแล้วพูดว่า เกิดอะไรขึ้น?
ผู้อำนวยการ ผู้ชายคนนี้มาสร้างปัญหา
หญิงวัยกลางคนชี้มาที่ฉินเฟิง
คุณเป็นผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้เหรอครับ?
ฉินเฟิงมองไปที่ชายคนนั้น
ใช่ครับ ผมชื่อเหลียงหย่ง เป็นผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ น้องชาย ผมเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลย นี่เงินสามพันหยวน คุณเอาไปใช้สนุกๆ แล้วถือเสียว่าไม่ได้มาที่นี่
เหลียงหย่งดูท่าทางเป็นคนมีวัฒนธรรม เขาเดินเข้ามา แล้วมอบซองสีแดงให้ฉินเฟิง
แต่ทว่าฉินเฟิงคว้าซองสีแดงนั้นแล้วโยนทิ้งต่อหน้าเหลียงหย่ง เงินที่อยู่ข้างในกระจัดกระจายเต็มพื้น พลางพูดว่า มีเงินก็ใช้ให้ผีแก้ปัญหาได้ทุกอย่างจริงๆ แต่น่าเสียดาย ผมเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ผี
คุณ!
เหลียงหย่งคว้าเงินบนหัวของเขา มองมาที่ฉินเฟิงด้วยสายตาโกรธเกรี้ยว น้องชาย คุณมาทำให้ผมเสียหน้า รู้ไหมว่าผมเป็นใคร? ผมคือเหลียงหย่ง เป็นคนของตระกูลเหลียงแห่งเมืองเจียงเฉิง มีคนคุ้มกะลาหัวผมอยู่ คุณเรียกใครมาก็ทำอะไรผมไม่ได้ ตรงกันข้ามผมสามารถฟ้องว่าคุณปรักปรำผมได้ คุณต้องติดคุกหลายปี แต่วันนี้ฉันอยากดูว่า คุณจะเรียกใครมา
สิบนาทีต่อมา เหลียงหย่งก็พบว่าไม่มีใครมา เขาเยาะเย้ยทันที ว่าไง คนของคุณล่ะ? หนีไปแล้วเหรอ? หรือว่าพอได้ยินชื่อของผมก็ไม่กล้ามาแล้ว ผมจะบอกคุณให้นะ ถึงมาก็ไร้ประโยชน์ ผมมีคนคุ้มกะลาหัวอยู่ ไม่มีใครแตะต้องผมได้
คนคุ้มกะลาหัวของคุณมีใครบ้าง?
ทันใดนั้น มือข้างหนึ่งก็วางลงบนหัวไหล่ของเขา เสียงอันมีพลังดังขึ้นมา
ใครอีกน่ะ!
เหลียงหย่งหันกลับมาและกำลังจะตวาดใส่ แต่เมื่อเห็นบุคคลนั้นแล้วก็หยุดนิ่งทันที จนถึงขนาดตัวสั่นระริก รองผู้นำ
ชายคนนี้คือรองผู้นำของเจียงเฉิง ดูแลกิจการส่วนใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง
จากนั้น เหลียงหย่งก็มองไปที่ผู้คนที่อยู่ข้างหลังพวกเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า ผู้บังคับบัญชาจาง นายดาบตำรวจหลี่ แล้วก็…
เหลียงหย่งมองดูคนเหล่านี้ด้วยความตกตะลึง
เพราะคนเหล่านี้เป็นบุคคลระดับสูงในเมืองเจียงเฉิง เขารู้จักพวกเขาทุกคน ทั้งหมดเป็นบุคคลชั้นหนึ่ง แค่ประโยคเดียวอาจส่งผลต่อการดำรงอยู่ของเมืองเจียงเฉิงได้ แต่ทั้งหมดมารวมตัวกันในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆ ของเขา
ผมอยากจะดูว่า ผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆ อย่างคุณ จะเก่งกาจสักแค่ไหน เอาตัวไปสอบสวน
รองผู้นำเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปี แต่เขาเริ่มดูแก่เล็กน้อย แต่ก็ยังมีความน่าเกรงขามอยู่ เขาโบกมือและออกคำสั่งทันที
ครับผม
หัวหน้านายดาบตำรวจที่อยู่ด้านหลังรีบนำคนไปสอบสวนทันที
ผู้พันฉี
คนที่อยู่ข้างหลังคือฉีหยุน ฉีหยุนเดินเข้ามาหาตรงหน้าฉินเฟิง แล้วทำความเคารพ ท่านครับ
คนคนนี้คือหัวหน้างั้นเหรอ?
รองผู้นำและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง พวกเขาได้รับคำสั่งจากฉีหยุนจึงรีบมาที่นี่ทันที บังเอิญได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เพราะฉีหยุนเป็นพันเอก และยังเป็นพันเอกแห่งอีสเตอร์แลนด์ที่มีอำนาจยิ่งใหญ่
ในช่วงเวลาสำคัญ เขาสามารถควบคุมเมืองเจียงเฉิงทั้งหมดได้
แต่พวกเขาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าของผู้พันฉีจะอยู่ที่นี่ หัวหน้าของผู้พันฉีคือใครกัน แต่อย่างน้อยก็เป็นนายพลไม่ใช่หรือ? แล้วยังเป็นนายพลแห่งอีสเตอร์แลนด์ด้วย
ท่านครับ
รองผู้นำเข้ามาพร้อมกับคนเหล่านั้น แล้วทำความเคารพแบบทหาร
พระเจ้า!
เมื่อเห็นภาพนี้เหลียงหย่งก็ตกตะลึง นี่มันอะไรกัน ทำไมคนใหญ่โตระดับหัวแถวเหล่านี้ถึงเรียกผู้ชายที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ว่าท่าน
นี่!
อย่าบอกนะว่าผู้ชายคนนี้ มีตำแหน่งสูงมากกว่าคนใหญ่โตเหล่านี้อีก?
จบกัน
ครั้งนี้เขาไม่ได้เตะโดนแผ่นเหล็ก แต่เตะโดนหินลาวาเลย คราวนี้เกิดปัญหาใหญ่จริงๆ ตระกูลเหลียงออกหน้าก็ยังช่วยเขาไม่ได้ เขาทรุดนั่งลงกับพื้นทันทีด้วยความตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือด เหงื่อเย็นเฉียบผุดขึ้นมาบนใบหน้า
ในขณะเดียวกัน หญิงวัยกลางคนก็ทรุดนั่งลงกับพื้นเช่นกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ว่านอนสอนง่าย!
ดูจากเสื้อผ้า นึกว่าเป็นพวกยาจก แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีภูมิหลังเช่นนี้
จบกัน
ผมขอออกคำสั่งหลายข้อ ข้อหนึ่ง ให้ตรวจสอบสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างละเอียด ผมต้องการตรวจสอบเขาและคนที่อยู่เบื้องบนของเขาทุกคนอย่างละเอียด ผมไม่ต้องการให้มอดพวกนี้มาทำร้ายเด็กๆ ข้อสอง กวาดล้างกิจการด้านการศึกษาทั้งหมด ผมจะไม่ยอมให้ใครมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือการสั่นคลอนรากฐานประเทศของเรา
ฉินเฟิงสั่งการทันทีโดยไม่เกรงใจ
แต่รองผู้นำและคนอื่นๆ ถึงกับอึ้งไป พวกเขาไม่สามารถกวาดล้างกิจการด้านการศึกษาทั้งหมดได้ พวกเขาเป็นเพียงคนระดับเบื้องบนของเมืองเจียงเฉิงเล็กๆ ในเวลานี้ฉินเฟิงได้กล่าวต่อว่า ผู้ช่วยของผมจะร่วมมือกับพวกคุณ
ตกลงครับ
พวกเขามองซ้ายมองขวาแล้วตอบตกลง
ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนได้กลับมาแล้วและรายงานทันที ประการที่หนึ่ง พวกเราพบอาหารเน่าเสียจำนวนมากในโรงอาหาร ในนั้นมีทั้งหมดอายุและขึ้นราอยู่ไม่น้อย ประการที่สอง พวกเราพบว่าสภาพแวดล้อมและสุขอนามัยของเด็กๆ เหล่านั้นแย่มาก ไม่มีความสะอาดเลย มีการแพร่พันธุ์ของแบคทีเรียจำนวนมาก ประการที่สาม เด็กเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกทารุณกรรม ตามร่างกายมีรอยบาดแผลมากมาย ประการที่สี่ บัญชีไม่ถูกต้อง…
ถึงอย่างไรเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เป็นมืออาชีพ หลังจากการตรวจสอบหลายครั้งก็พบปัญหามากมาย
ไอ้พวกหน้าด้าน!
รองผู้นำรู้สึกโมโห เขามองไปที่เหลียงหย่ง แล้วพูดอย่างโกรธเคือง พวกคุณกล้ามากจริงๆ! สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเล็กๆ ทำให้พวกคุณมีรายได้หลายล้านทุกปี เป็นพวกมอดจริงๆ ทำตามคำสั่งของท่านนายพล ไปตรวจสอบ ตรวจสอบอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
หลังจากเห็นผลลัพธ์แล้ว ฉินเฟิงก็ปลอบโยนเด็กๆ เหล่านั้น แล้วเดินออกจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับฉีหยุน ฉินเฟิงเอียงศีรษะพูดว่า คราวนี้คุณมาเร็วมาก
ผมอยู่แถวนี้ กำลังตรวจสอบเรื่องที่มอบหมายให้คราวก่อน ได้เบาะแสบางอย่างแล้ว พวกอาชญากรที่ถูกหมายจับก่อนหน้านี้ไม่ยอมพูด แต่หลังจากที่ผมใช้วิธีการบางอย่าง ก็พากันพูดออกมาหมด ผมตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป คนเหล่านั้นทำตามคำสั่งฟางเย้น
ฉีหยุนรายงานทันที
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ฟางเย้น
ลำแสงอันเยือกเย็นฉายผ่านดวงตาของฉินเฟิงห
คนดี?
อิ่นหนิงหยู่มองดูท่วงท่าเช่นนี้ด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
และในเวลานี้ ต้าตาวผู้กำยำ สีหน้าดุร้ายก็เดินออกมา ทันทีที่เห็นฉินเฟิง ก็โค้งตัวลงแล้วพูดอย่างยิ้มแย้มทันที พี่ชาย คุณมาถึงแล้วเหรอ
พี่ชาย?
อิ่นหนิงหยู่ตกตะลึง เธอเคยเห็นต้าตาวคนนี้มาก่อน แต่เขาวางอำนาจอย่างที่สุด ข้างหลังเป็นกลุ่มลูกสมุน ที่เดินวางมาดไปทั่ว เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์
แต่ในตอนนี้กลับไม่สนใจศักดิ์ศรี เกิดอะไรขึ้น?
วันนี้เธอมาหาคุณ
ฉินเฟิงบอกถึงอิ่นหนิงหยู่ที่อยู่ข้างกาย
อ้อ…ค่ะ…ค่ะ ฉันมาคืนเงินค่ะ ก่อนหน้านี้ฉันยืมคุณมาห้าแสน ตอนนี้ฉันมีสี่แสน ฉันจะจ่ายคืนให้ก่อน ส่วนเรื่องดอกเบี้ยนั้น…
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ อิ่นหนิงหยู่ก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
ภายในเวลาไม่ถึงเดือน ดอกเบี้ยทบต้นได้เพิ่มขึ้นจากห้าแสนเป็นสามล้านแล้ว มันเลวร้ายเกินไป
ในเวลานี้ต้าตาวรีบโบกมือ ดอกเบี้ยทบต้นอะไร ผมไม่ทำแล้ว ตอนนี้พวกเรากลัวตัวกลับใจทำตัวใหม่แล้ว สำหรับเงินสี่แสนของคุณนั้น
เขาเหลือบมองฉินเฟิง
ฉินเฟิงแอบส่งสัญญาณ
เงินสี่แสนนี้ ผมจะรับไว้ ส่วนอีกแสนหนึ่งให้ถือเป็นคำขอโทษจากผม ตอนนั้นผมไปดักพวกคุณที่ประตูโรงเรียนทุกวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อพวกคุณ ต้องขอโทษอย่างมาก
ต้าตาวยิ้มกว้างราวกับเป็นคนดีมาก
จิตใจของอิ่นหนิงหยู่วุ่นวายไปหมด จนกระทั่งหลังจากคืนเงินและเดินออกมาแล้วเธอก็ยังมีสีหน้ามึนงงอยู่ ในที่สุดเธอก็มองฉินเฟิงอย่างสงสัย เขาเป็นอะไรไป? ทำไมเขาถึงมีท่าทีเอาใจฉัน? เป็นเพราะคุณหรือเปล่า
ไม่ได้ยินเขาพูดเหรอ กลับตัวกลับใจทำตัวใหม่
ฉันเชื่อคุณก็บ้าแล้ว
อิ่นหนิงหยู่เหลือกตาใส่ คิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับฉินเฟิง แต่เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงไม่ยอมบอกเธอ เธอจึงไม่ถามอีก ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิม
ก่อนหน้านี้ อิ่นหนิงหยู่มีท่าทีดูถูกฉินเฟิง
แม้ว่าในตอนนี้ก็เช่นกัน แต่ในแววตาของเธอมีความชื่นชมมากขึ้น เธอคิดว่าฉินเฟิงในตอนนี้ ดีกว่าคนสารเลวที่ทอดทิ้งภรรยาและลูกสาวพอประมาณ
อ้อ ไม่ต้องเปลืองแรงงานฟรีของคุณหรอก คุณซื้ออาหารแล้วไปเยี่ยมเด็กๆ ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า วันนี้เป็นวันที่พวกเรานัดกับพวกเขาไว้ แต่ทางนี้มีการผ่าตัด ฉันจำเป็นต้องอยู่ที่นี่ คุณช่วยไปที่นั่นหน่อย
เรียกว่าพี่เขยก่อน
อิ่นหนิงหยู่จ้องเขม็งใส่ฉินเฟิง คุณนี่เลวจริงๆ ต้องการเอาเปรียบทุกอย่าง พี่เขย ไปเถอะ รีบไป ให้ตายสิ แกล้งฉันทั้งวัน
ทำไมผมกลับรู้สึกว่าคุณต่างหากที่กำลังแกล้งผม
มุมปากของฉินเฟิงกระตุก
การมีน้องเมียที่ไร้เหตุผลเป็นเรื่องที่น่าสนุก แต่ก็เอาเป็นว่าน้องเมียคนนี้เป็นคนดี เธอสามารถทำอะไรได้มากมายเพื่อเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อย่างน้อยก็มีจิตใจดี
ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงแยกกันไปคนละทางที่ปากทาง
ฉินเฟิงไปซื้ออาหารและมาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าหยางกวง เมื่อเดินเข้าไปก็พบเหตุการณ์บางอย่าง เด็กเหล่านั้นกำลังทำความสะอาด ทุกคนกำลังเก็บกวาด
ขอโทษนะครับ…
ฉินเฟิงถามเด็กคนหนึ่ง แต่เด็กคนนั้นวิ่งหนีไปทันทีและยังดูหวาดกลัวอีกด้วย เขาโยนไม้กวาดทิ้ง แล้วรีบวิ่งหนีไป
ผมหน้าตาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
ฉินเฟิงลูบไล้ใบหน้าของตัวเอง ก็ไม่น่าเกลียดนี่ หน้าตาถือว่าปกติดี ทำไมถึงกลัวจนวิ่งหนีไปแล้ว
จากนั้น ฉินเฟิงก็เดินเข้าไปพร้อมกับหอบกองขนมไปด้วย เขาบังเอิญเดินผ่านโรงอาหารของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อเห็นอาหารในครัวด้านหลัง ก็หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที นี่คือผักกาดขาวเน่าๆ จนมีมันฝรั่งงอกขึ้นมาแล้ว เนื้อก้อนนั้นก็ขึ้นรา ที่แท้เด็กๆ พวกนี้ต้องกินของพวกนี้ ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะทยอยป่วยกัน
ในเวลานี้ เสียงร้องไห้ดังมาจากลานบ้าน
ฉินเฟิงรีบวิ่งไป พบหญิงวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่กำลังเอากระบองฟาดเด็กคนหนึ่ง เด็กคนนั้นขดตัวร้องไห้อยู่บนพื้น
หยุดนะ!
ฉินเฟิงเดินเข้าไปแล้วตวาดใส่เขาอย่างโกรธจัดทันที
ใครน่ะ?
พอหญิงวัยกลางคนเห็นว่ามีคนก็หยุดลง เธอหันไปมองฉินเฟิงแล้วพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนว่า ฉันเป็นพยาบาลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ เด็กชายคนนี้ไม่ตั้งใจทำงาน ฉันกำลังสั่งสอนเขา ไม่ใช่เรื่องของคุณ คุณออกไปเดี๋ยวนี้
พูดจบเธอก็โบกกระบองอีกครั้ง กำลังจะฟาดลงไป
แต่คราวนี้กระบองไม่ได้ฟาดลงไปตามที่ตั้งใจ แต่ถูกฉินเฟิงคว้าไว้ ก่อนจะพูดอย่างเด็ดขาด ผมบอกแล้ว ว่าให้คุณหยุด
หญิงวัยกลางคนถูกฉินเฟิงดึงออกไปทันที
ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้าและช่วยประคองเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นมา เป็นเด็กชายอายุประมาณ 5-6 ขวบ ร่างกายสกปรกมอมแมม ใบหน้ามีคราบน้ำตา เขาไม่กล้าสบตาฉินเฟิง แต่ฉินเฟิงสังเกตเห็นเรื่องหนึ่ง เด็กคนนี้มีรอยบาดแผลมากมายบนร่างกายของเขา
เด็กน้อย ไม่ต้องกลัว คุณอามาแล้ว ไม่มีใครทำร้ายเธอได้
ฉินเฟิงขยี้ผมของเด็กน้อยคนนี้แล้วยื่นขนมที่มีติดตัวให้ มาสิ กินสักหน่อย
เอ่อ
เด็กน้อยรับขนมเหล่านั้นไป จึงมองขึ้นมาที่ฉินเฟิงแล้วพูดว่า พี่ชาย คุณเป็นเพื่อนของพี่หนิงหยู่เหรอ มีแต่พวกพี่หนิงหยู่เท่านั้นที่จะให้ของกินพวกเรา
พอพูดถึงอิ่นหนิงหยู่ ฉินเฟิงก็สังเกตเห็นว่าดวงตาของเด็กน้อยคนนี้เหมือนมีประกาย
ดูท่าทางอิ่นหนิงหยู่จะทำได้ดีในเรื่องนี้จริงๆ
อ๋อ ฉันยังนึกว่าเป็นใครเสียอีก ที่แท้ก็อิ่นหนิงหยู่ นักเรียนหญิงคนนั้น ทำไมเธอถึงทั้งใจดีมีเมตตา และยังเจอผู้ชายอย่างคุณอีก? คุณจะจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อรักษาเด็กๆ พวกนี้เหรอ?
หญิงวัยกลางคนเข้าใจในทันทีว่าฉินเฟิงเป็นใคร พลางเยาะเย้ยทันที เงินนี้ ตัวเองเก็บไว้ใช้ดีกว่านะ อย่ามาเสียเปล่าไปกับสิ่งเหล่านี้
ความหนาวเย็นฉายผ่านดวงตาของฉินเฟิง แต่ก็ยังคงถามเด็กคนนั้นที่อยู่ใต้ตัวของเขาว่า เด็กน้อย ทำไมหล่อนถึงตีเธอล่ะ?
ผมนัดกับพี่หนิงหยู่ไว้ที่นี่ แล้วเธอก็มาถามผม ผมบอกเธอแล้วเธอก็ตีผม
เด็กน้อยขยี้จมูก
ฉินเฟิงมองไปที่หญิงวัยกลางคนนั่น
หญิงวัยกลางคนเอามือเท้าเอวแล้วพูดอย่างหนักแน่น ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกไปทำงานแล้ว ต้องไปทำความสะอาด ทำไมเขาถึงต้องมัวมาอยู่ที่นี่? ฉันเป็นพยาบาลของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ มีสิทธิ์สั่งสอนเรื่องพวกนี้
ทำความสะอาด ควรจะเป็นพยาบาลอย่างพวกคุณเป็นคนทำไม่ใช่เหรอ เด็กพวกนี้อายุแค่ 5-6 ขวบเท่านั้น
ฉินเฟิงนึกถึงภาพตอนที่เขาเข้ามา เด็กอายุ 5-6 ขวบกำลังทำความสะอาด อีกอย่างพอเห็นคนก็วิ่งหนี เห็นได้ชัดว่าได้รับความหวาดกลัวอยู่เสมอ
ให้พวกเราทำความสะอาดงั้นเหรอ? ฮ่าฮ่า เด็กเหลือขอพวกนี้ถูกทิ้งอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพราะไม่มีใครต้องการ พวกเราสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ารับมาเลี้ยงดู ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ พวกเขาถึงมีข้าวกิน พวกเราเป็นคนให้ชีวิตพวกเขา
หญิงวัยกลางคนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดอย่างชอบธรรม ดังนั้นเมื่อเด็กเหลือขอเหล่านี้เติบโตขึ้น ก็ควรทำงานให้เรา ปฏิบัติตามกฎของเรา เราให้พวกเขาทำอะไร พวกเขาก็ต้องทำสิ่งนั้น
หลังจากเข้าไปในห้องผู้ป่วยห้องหนึ่ง ฉินเฟิงก็เดินตามอิ่นหนิงหยู่เข้าไป
ในห้องผู้ป่วยห้องนี้มีคนพักอยู่ทั้งหมด 6 คน ทั้งหกคนเป็นเด็กอายุประมาณ 5-6 ขวบ มีทั้งชายและหญิง พอเห็นอิ่นหนิงหยู่ก็ตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานทันที พี่หนิงหยู่
หนิงหยู่
ในห้องผู้ป่วย มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งยืนขึ้นทักทายอิ่นหนิงหยู่ เธอเป็นคนดูแลเด็กๆ เหล่านี้ และฉินเฟิงก็รู้จักนักเรียนหญิงคนนี้ด้วย
ได้พบกันตอนไปรับอิ่นหนิงหยู่ครั้งล่าสุด เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ
เป็นยังไงบ้าง?
อิ่นหนิงหยู่เดินเข้ามาถามนักเรียนหญิงคนนั้น
ถูกส่งไปที่ห้องผ่าตัดแล้ว พวกเรายังไม่ได้จ่ายเงิน ที่พวกเราสามารถยืมได้ก็ยืมมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีเงินเลยจริงๆ นักเรียนหญิงผายมือออก สีหน้าเป็นกังวล
เรื่องนี้ ฉันจัดการเอง
หลังจากปลอบโยนเด็กๆ เหล่านี้ครู่หนึ่ง อิ่นหนิงหยู่ก็ลากฉินเฟิงไปยังจุดจ่ายเงิน จากใบเสร็จรับเงิน เป็นค่าผ่าตัดของเด็ก 7 คนทั้งหมด 9 แสนหยวน
ต่อมา พวกเธอก็มาถึงประตูห้องผ่าตัด
คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเอาเงินไปใช้ที่ไหนหมด อิ่นหนิงหยู่กล่าว
พวกเขาเป็นเด็กกำพร้าหมดเลยเหรอ?
ฉินเฟิงพบว่าเด็กเหล่านี้ไม่มีผู้ปกครองคอยดูแลอยู่ข้างกาย
ใช่ ฉันกับเพื่อนนักเรียนเคยทำงานเป็นอาสาสมัครมาก่อน นี่ล้วนมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนั้น ไม่รู้ว่าทำไม มีเด็ก 7 คนในนั้นป่วยและต้องผ่าตัด ดังนั้นฉันจึงไปยืมเงิน และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ฉันต้องขอเงินจากคุณ
อิ่นหนิงหยู่ก้มหน้าลง
ในที่สุดฉินเฟิงก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว เอาเป็นว่าสาวน้อยเหล่านี้ถือว่ามีจิตใจดี เขาจึงเอื้อมมือข้างหนึ่งออกไปขยี้ผมของอิ่นหนิงหยู่ทันที ช่างมันเถอะ ผมจะไม่คิดหยุมหยิมกับคุณอีกต่อไปแล้ว
คุณห้ามจับผมฉัน ฉันไม่ใช่เด็กๆ นะ
อิ่นหนิงหยู่ขัดขืน
คุณนี่อารมณ์ร้อนนะ
ฉินเฟิงยิ้ม เดิมทียังคิดว่าสาวน้อยคนนี้ใช้เงินไปในทางที่ไม่ดี แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าจะใช้เงินในทางที่ชอบธรรม แต่วิธีการนั้นไม่ค่อยถูกต้องสักเท่าใดนัก
จู่ๆ ฉินเฟิงก็พูดกับอิ่นหนิงหยู่ด้วยน้ำเสียงสั่งสอนว่า คราวหน้าไม่ต้องไปยืมเงินนั้นอีก ดอกเบี้ยทบต้น เงินห้าแสน ไม่ถึงเดือนก็กลายเป็นสามล้านแล้ว ถ้าคุณปล่อยให้ผ่านไปอีกไม่กี่เดือน ก็จะกลายเป็นสามสิบล้านแล้ว
เรื่องนั้นฉันรู้ แต่ตอนนั้นมีเด็กคนหนึ่งต้องเข้ารับการผ่าตัด ฉันก็ไม่มีเงินติดตัว เลยต้องทำอย่างนี้
ในเวลานี้ เป็นเรื่องยากที่อิ่นหนิงหยู่จะไม่ปะทะกับฉินเฟิง แล้วยังคิดว่าตัวเองผิดอีกด้วย
ว่าแต่ว่า คุณไปกับฉันเถอะ ในมือฉันยังมีเงินอยู่อีกสี่แสนหยวน ยังไงก็ตาม ฉันจะคืนบางส่วนให้พี่ต้าตาวก่อน แม้จะไม่รู้ว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงไม่ได้มาหาฉันแล้วก็ตาม
อิ่นหนิงหยู่ดึงแขนฉินเฟิง
ตกลง
ฉินเฟิงตอบตกลงแล้ว
สำหรับเหตุผลที่ช่วงนี้เขาไม่มาพบอิ่นหนิงหยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะหวาดกลัวฉินเฟิง
ทันใดนั้น พวกเขาก็ลุกขึ้นและมุ่งหน้าไปยังมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง พอมาถึงถนนย่านการค้าทางด้านซ้าย ตามที่พี่ต้าตาวได้พูดไว้คราวก่อน ถนนสายนี้เป็นของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นเศรษฐีคนหนึ่ง
มิฉะนั้นฉินเฟิงจะปล้นเงินได้ถึงห้าล้านได้อย่างไร
เมื่อมาถึงห้องเล่นไพ่นกกระจอก อิ่นหนิงหยู่ก็ชี้ไปที่ด้านในแล้วพูดว่า คราวที่แล้วพวกเราเจอพี่ต้าตาวที่นี่ เออใช่ ทำท่าเจียมตัวหน่อย ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นพวกอันธพาล
ในห้องเล่นไพ่นกกระจอก ชายฉกรรจ์กำยำหลายคนกำลังเล่นไพ่นกกระจอก คาบบุหรี่อยู่ในปาก ดูท่าทางอันธพาลไม่เบา
เมื่อเปรียบเทียบกัน ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นว่าพี่เขยคนนี้ดูดีมาก
อิ่นหนิงหยู่มองไปที่คนเหล่านี้ แล้วมองไปที่ฉินเฟิงอีกครั้ง เขาหน้าตาดูดี รูปร่างสูงใหญ่ เมื่ออยู่กับฉินเฟิง ก็ให้ความรู้สึกปลอดภัยแก่เขาเสมอ
ถือว่าไม่เลว
อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าคนพวกนี้
พวกเรามาหาใคร? ฉินเฟิงถาม
หาคนที่มีรอยสักแมงป่องบนแผ่นหลัง เขาชื่อแมงป่องพิษ เป็นลูกน้องต้าตาวที่โหดเหี้ยม เขารับผิดชอบถนนสายนี้เป็นหลัก ได้ยินมาว่าเขาคนเดียวไล่ฟันคนหลายสิบคน คุณระวังด้วย อย่า…
อิ่นหนิงหยู่ต้องการเตือนฉินเฟิงว่าอย่าทำให้คนคนนี้ขุ่นเคือง แต่ก็ไม่ทัน
ฉินเฟิงได้ยื่นมือออกไปแล้ว วางลงบนหัวไหล่ของชายคนนี้ พลางถามว่า เฮ้ พี่ชาย ต้าตาวอยู่ไหม ผมมีเรื่องจะคุยกับเขาหน่อย
คุณกล้าดียังไงมาแตะตัวผม! คุณไม่รู้หรือว่าตอนที่ผมกำลังเล่นไพ่นกกระจอก เกลียดการถูกคนสัมผัสมากที่สุด!
แมงป่องพิษไม่ได้หันกลับมา แต่พูดอย่างดุร้าย
ซวยแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าซีดเผือด เธอคิดไม่ถึงว่าคนบุ่มบ่ามอย่างฉินเฟิง พอมาถึงก็มายั่วยุแมงป่องพิษโดยไม่สนใจใคร
รู้กันดีอยู่แล้วว่าแมงป่องพิษคนนี้ มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง เกลียดที่สุดคือการถูกคนอื่นสัมผัสตัวในขณะที่เขากำลังเล่นไพ่นกกระจอก
คราวที่แล้วคนที่ทำแบบนี้ยังอยู่ในโรงพยาบาล
คนบุ่มบ่ามเช่นนี้ห้ามอยู่กับพี่สาวของตนเด็ดขาด บางทีวันหนึ่งพี่สาวของตนอาจถูกดึงเข้าไปเดือดร้อนด้วย
เจ้าหมอนี่ มาอีกแล้ว ช่วงนี้ไม่รู้ทำไมแมงป่องถึงอารมณ์ไม่ค่อยดี เจ็บตัวไปหลายคนแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้านี่ไม่รู้โผล่มาจากไหน กล้ามาแตะต้องตัวเขา
ก็ครั้งที่แล้วที่มาพร้อมกับพี่ใหญ่ ดูเหมือนภารกิจยังไม่เสร็จเลย ส่วนใหญ่ก็กลับมาพร้อมบาดแผล
ยังไงก็ตาม เจ้าหมอนี่ถึงฆาตแล้ว กล้ายั่วยุแมงป่องพิษแบบนี้ เดาว่าต้องเข้าโรงพยาบาลอีกแล้ว
รอบๆ ตัว คนส่วนใหญ่ต่างส่งเสียงเยาะเย้ยและดูภาพนี้ด้วยความสนอกสนใจ พวกเขาต้องการเห็นภาพผู้มาใหม่ถูกทุบตี
เป็นไปตามที่พวกเขาคาดไว้ แมงป่องพิษโกรธมาก เขาหยิบขวดเบียร์ที่อยู่ข้างกาย แล้วหันกลับมาด้วยสายตาที่โกรธจัด กำลังจะฟาดมันลงอย่างแรง
เสร็จแน่
อิ่นหนิงหยู่ปิดตาของตัวเอง
จากนั้นทุกคนก็ได้ยินเสียงเพล้ง หัวใจของอิ่นหนิงหยู่สั่นระริก ถ้าถูกตีหัว คงไม่เป็นอะไรใช่ไหม เธอรีบเงยหน้าขึ้น มองไปที่ฉินเฟิง แต่เธอก็ต้องตกตะลึงในเวลานี้
ทุกคนในห้องเล่นไพ่นกกระจอกล้วนตกตะลึง
เพราะคนที่มีเศษแก้วเต็มหัวไม่ใช่ฉินเฟิง แต่เป็นแมงป่องพิษ เบียร์กับเลือดบนหัวไหลรวมกัน แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจที่สุด
แต่เป็น วินาทีที่แมงป่องพิษเห็นฉินเฟิง ทิศทางก็เปลี่ยนไปทันที เอาฟาดใส่ตัวเอง
จากนั้น เขาก็คุกเข่าลง
พี่ครับ ผมผิดไปแล้ว
อะไรนะ!
ทุกคนตกตะลึง นี่มันเกิดอะไรขึ้น นี่เป็นลูกน้องของต้าตาวที่โหดเหี้ยมคนหนึ่ง ตอนนั้นคนเดียวไล่ฟันคนสิบคนยังไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้กลับคุกเข่าลง
ผมมาตามหาต้าตาว
ฉินเฟิงบอกเขา
ครับๆๆ ผมจะไปหาพี่ต้าตาวเดี๋ยวนี้
แมงป่องพิษวิ่งล้มลุกคลุกคลานเข้าไปหาพี่ต้าตาวข้างใน หากมีใครมองดูใบหน้าของเขาอย่างถี่ถ้วน จะพบว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เพราะก่อนหน้านี้เขายังฟังเสียงไม่ออก แต่หลังจากที่ได้เห็นหน้า เขาก็จำได้แล้ว นี่คือชายที่ขู่เข็ญพี่ใหญ่ของพวกเขาห้าล้าน
ชายคนที่ขับรถถัง!
ฐานะสูงส่ง มีลูกน้องคนหนึ่งที่สามารถเอาชนะพวกเขาหลายร้อยคนได้ โดยไม่มีความกดดันใดๆ
เจอผู้ชายคนนี้อีกแล้ว!
มาฆ่าคน!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
อิ่นหนิงหยู่เดินไปหาฉินเฟิงด้วยความสับสน สีหน้างุนงง
ไม่รู้สิ
ฉินเฟิงผายมือออก บางที อาจจะถูกผมเกลี้ยกล่อม รู้สึกว่าตัวเองทำสิ่งเลวร้ายมากเกินไป ดังนั้นจึงตัดสินใจกลับเนื้อกลับตัวและเป็นคนดี
บทที่45 โดนตู้ต้วนเทียนตบหน้า
เจ้า!
เฉินป๋อไม่เคยคาดคิด ฉินเฟิงไม่กลัวเขาแม้แต่นิดเดียว และเป็นคนที่อวดเก่ง
เขามองไปยังลูกน้องหลายคนที่ร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ใจสั่นทันที ถ้าวันนี้ไม่ให้เงินไป เขาคงมีจุดจบไม่ต่างอะไรกับลูกน้องแน่ๆ
ในขณะที่เขาไม่รู้จะทำอะไรต่อไป ด้านหน้าเขาได้มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมา เป็นยามรักษาความปลอดภัยของสนามแข่ง คนที่เดินนำหน้าอยู่คือตู้ต้วนเทียน ตู้ต้วนเทียนคือคนที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
ฉินเฟิง เจ้าตายแน่ เพื่อนสนิทของข้ามาแล้ว ตู้ต้วนเทียน เขาคือเจ้าของสนามแข่งนี้ เห็นหรือยังว่าเขามีบอดี้การ์ดเยอะมาก สามารถกระทืบเจ้าให้ตายง่ายๆในทันที เจ้ายังไม่รีบหนีอีก
เฉินป๋อมองไปที่ตู้ต้วนเทียน แสดงอาการดีใจสุดๆ
เขากับตู้ต้วนเทียนเป็นทายาทรุ่นสองเหมือนกัน แต่ฐานะของตู้ต้วนเทียนนั้นสูงกว่าเขาเยอะ ตระกูลตู้เป็นตระกูลชั้นแนวหน้า และเขาเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลด้วย โดยปกติถ้าเจอหน้ากันเขาต้องคอยประจบและเรียกเขาว่าพี่ตู้
ดูจากท่าทางดุดันของตู้ต้วนเทียน และความสัมพันธ์ของสองตระกูล เขาต้องมาช่วยข้าแน่ๆ
เมื่อคิดได้แค่นี้ เฉินป๋อก็รีบวิ่งไปทักทาย: พี่ตู้ ชายคนนี้สร้างปัญหาให้สนามแข่ง ยังพูดถึงพี่แบบเสียๆหายๆ พี่รีบให้คนสั่งสอนมัน จากนั้นโยนมันออกไป พวกคนสวะแบบนี้ไม่สมควรอยู่ที่นี่ ฮ่าๆ
จากนั้น เขาเหลือบไปมองฉินเฟิง พูดอย่างภาคภูมิใจว่า: เห็นไหม นี่คือพี่ตู้ เพื่อนสนิทของข้า ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ พี่ตู้คือคนที่เจ้าไม่ควรมีเรื่องด้วย วันนี้เจ้า
จากนั้น
คำพูดของเขายังไม่ทันพูดจบ
เพียะ!
เสียงโดนตบหน้าดังขึ้น ทุกคนตกตะลึง หันไปอย่างช้าๆมองไปที่รอยตบอันชัดเจนบนใบหน้าของเฉินป๋อ และคนที่อยู่ด้านหลังเขาคือตู้ต้วนเทียนที่กำลังง้างมือตบหน้าเขาอยู่
การตบเมื่อสักครู่ เป็นฝีมือของตู้ต้วนเทียน
พี่ตู้ พี่ตบฉันทำไม เขาต่างหากที่พี่ควรตบ!
เฉินป๋อโดนตบจนมึน จับไปที่ใบหน้าตัวเอง มองตู้ต้วนเทียนด้วยความไม่เข้าใจ
เจ้าไม่คู่ควรเรียกข้าว่าพี่ตู้ ?ตัวเองแพ้การเดิมพัน แล้วไม่ยอมรับ ยังจะใช้ชื่อเสียงของฉันไปเบี้ยวหนี้ ชื่อเสียงตระกูลตู้แห่งเจียงเฉิงจะเสียหายก็เพราะเจ้า พวกเจ้ามานี่สิ สั่งสอนมันหน่อย
ตู้ต้วนเทียนใบหน้าเคร่งขรึม สั่งลูกน้องทันที
ได้ครับ
ยามรักษาความปลอดภัยรีบเดินไปยังหน้าเฉินป๋อทันที ซ้อมและทุบตีเขา พร้อมกับมีเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา ทำให้ทุกคนที่อยู่โดยรอบเห็นแล้วตกใจจนปากกระตุก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็น เฉินป๋อที่เป็นทายาทรุ่นสอง ในสภาพที่น่าสังเวช
หลังจากโดนทุบตีอยู่สักพัก มองเห็นสภาพสะบักสะบอมของเขา ตู้ต้วนเทียนเดินไปด้านหน้าของเขาและยื่นมือออกไป: เอาเงินมา ติดหนี้คนอื่นร้อยล้าน แพ้แล้วต้องจ่าย ถ้าไม่ยอมจ่าย ข้าจะตัดน้องชายเจ้าทิ้ง
จ่าย ข้าจ่าย!
ได้ยินคำขู่ของตู้ต้วนเทียน เฉินป๋อตกใจจนตัวสั่น รีบหยิบบัตรธนาคารให้ตู้ต้วนเทียน แล้วบอกรหัสผ่าน
ต่อมา ตู้ต้วนเทียนรีบเดินไปด้านหน้าฉินเฟิง แต่ฉินเฟิงได้ส่งสัญญาณทางสายตาให้เขา เขารับรู้ได้ในทันที และเขาก็เดินไปด้านหน้าอิ่นหนิงหยู่: คุณผู้หญิง ไม่เป็นไรใช่ไหมครับ?
อ้า……ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรค่ะ
นี่คือบัตรของคุณ ด้านในมีเงินร้อยล้าน
อิ่นหนิงหยู่รับบัตรใบนี้ แล้วมองไปที่คุณชายใหญ่ตระกูลตู้ ท่าทางที่ดูอ่อนโยนของเขา ทำให้เธอปลื้มและประหลาดใจ
รู้ไหม เพราะตู้ต้วนเทียนรูปร่างหล่อเหลา เป็นคนมีความสามารถ ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นประธานที่มีชื่อเสียงของมหาลัยเจียงเฉิง และเขายังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบของเดือนมหาลัยนับตั้งแต่ก่อตั้งมหาลัยมา
แม้แต่อิ่นหนิงหยู่ก็เคยได้ยินชื่อของเขามาก่อน
ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คนพวกนี้ไม่รู้กฎระเบียบ ผมจะโยนพวกมันออกไป
ตู้ต้วนเทียนอธิบาย
ในช่วงเวลาที่เขาดูกล้องวงจรปิด เขาได้ตรวจสอบประวัติของฉินเฟิง รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นลูกเขยตระกูลอิ่น และอยู่ในสถานะที่ต่ำต้อย ทำให้เขารู้สึกงุนงง โดยภูมิหลังของเขา ทำไมเขาถึงยอมเป็นลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง?
แต่พอคิดถึงคำพูดของฉินเฟิง บอกให้พ่อของเขาอย่าไปรบกวนเขา
บางที ฉินเฟิงกำลังปฏิบัติภารกิจลับบางอย่าง หรือบางสิ่งบางอย่าง ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าพูด ได้แค่ส่งสัญญาณไปดู
และฉินเฟิงก็ตอบกลับด้วยสายตา ห้ามเปิดเผยตัวตนของเขา
ดังนั้นเขาจึงพยายามทำดีต่ออิ่นหนิงหยู่ ใช้โอกาสที่ทำดีต่ออิ่นหนิงหยู่ ทำให้ฉินเฟิงพอใจ ต้องทำให้ฉินเฟิงยกโทษให้เขาให้ได้ ไม่อย่างนั้นตำแหน่งผู้สืบทอดตระกูลตู้ คงรักษาไว้ไม่ได้!
ชายคนนี้โชคดีมากๆ และกล้ามากๆที่เดิมพันกับคุณชายเฉิน แค่เดิมพันไม่พอ ยังกล้ามาขอเงินแบบนี้ ต้องรู้นะว่าคุณชายเฉินเป็นคนที่หน้าด้านมาก
แต่ฉันกลับคิดไม่ถึงว่า น้องสะใภ้ของเขา จะเข้าตาคุณชายตู้
ฉันก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าคุณชายตู้ที่ค่อนข้างหวงตัว ไม่เคยมีแฟนมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้เขาจะเจอหญิงที่เขาชอบ
ทุกคนโดยรอบต่างพากันพูดคุยสนทนา ต่างพูดว่าฉินเฟิงโชคดีจริงๆ ถ้าไม่มีตู้ต้วนเทียน วันนี้เขาคงไม่ได้เงินก้อนนี้แน่ๆ
อันนี้……
อิ่นหนิงหยู่ไม่รู้จะทำตัวยังไง พยายามหลบอยู่หลังฉินเฟิง แต่ในเวลานี้ ได้มีสายโทรศัพท์เข้ามา หลังจากที่อิ่นหนิงหยู่รับสาย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป : คนแซ่ฉิน ไปโรงพยาบาลพร้อมกับฉันหน่อย
เกิดอะไรขึ้น?
ฉินเฟิงหันหัวกลับมา
ถึงโรงพยาบาลแล้วฉันจะบอก
อิ่นหนิงหยู่รู้สึกกังวลและรีบร้อน เขารีบบอกลาตู้ต้วนเทียนและออกไปพร้อมกับฉินเฟิง
ไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้จริงๆ ดูออกเลยว่าตู้ต้วนเทียนชอบเธอมาก แต่เธอหนีไปแบบนี้ เป็นการไม่ไว้หน้าตู้ต้วนเทียนเลย ตระกูลตู้เป็นตระกูลชั้นแนวหน้าของเมืองเจียงเฉิงนะ
ใช่ๆๆ ถ้าฉันเป็นผู้หญิงคนนั้น ฉันจะไม่จากไปตอนนี้แน่นอน
โง่จริงๆ โอกาสดีๆแบบนี้ก็ไม่รีบคว้าไว้
คนที่อยู่โดยรอบต่างพากันถอนหายใจ มันยากมากที่จะเห็นทายาทรุ่นสองอย่างตู้ต้วนเทียนจะกระตือรือร้น แต่อิ่นหนิงหยู่กลับไม่สนใจเขา รีบเดินจากไป พลาดโอกาสดีๆครั้งนี้
ทันใดนั้น ตู้ต้วนเทียนก็รีบสั่งทันที: พวกเจ้ามานี่ ไปเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ แล้วส่งไปบ้านอิ่นหยวน
ของชิ้นนี้ ส่งไปเพื่อขอโทษ
บางทีของชิ้นนี้ อาจจะทำให้ฉินเฟิงยกโทษให้เขา
ในขณะนี้ ฉินเฟิงและอิ่นหนิงหยู่ได้เดินทางถึงโรงพยาบาลที่หนึ่งของเมืองเจียงเฉิง พอถึงหน้าประตู อิ่นหนิงหยู่หยุดเดินอย่างกะทันหัน และพูดกับฉินเฟิงด้วยสีหน้าจริงจัง : คนแซ่ฉิน รับปากฉันเรื่องหนึ่งได้ไหม
เรียกพี่เขย
ก่อนหน้านี้เราตกลงแบ่งกัน80กับ20 ใช่ไหม แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบใช้เงิน เงินทั้งหมดร้อยสามสิบล้าน ฉันขอทั้งหมด เดียวฉันจะคืนให้ทีหลัง
ฉินเฟิงได้ยินอิ่นหนิงหยู่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาขมวดคิ้ว: เธอจะเอาเงินไปทำอะไร
ก่อนหน้านี้ฉันเคยรับปาก พอจบการแข่งขัน ฉันจะบอกว่าเงินห้าแสนที่ฉันยืมมาหายไปไหน เธอเข้าไปพร้อมกับฉัน เธอจะรู้เอง แต่ว่า เงินร้อยสามสิบล้านตอนนี้อยู่ในมือฉัน ฉันขอยืมไปก่อน เธอห้ามปฏิเสธ ถ้าเธอปฏิเสธละก็ ฉันจะบอกพี่สาว ว่าเธอแต๊ะอั๋งฉัน
อิ่นหนิงหยู่พูดจบ รีบเดินขึ้นตึกไป
ฉินเฟิงก็เดินตามไป และเขาก็อยากรู้ว่า เงินของเธอเอาไปทำอะไรกันแน่
บทที่44 พวกดีแต่ปาก
รู้จักกันจริงๆด้วย!
เป็นที่คนที่เราไม่สามารถแตะต้องได้
ตู้ต้วนเทียนใบหน้าขาวซีด เขาได้โทรศัพท์กลับไปสอบถาม การถามครั้งนี้ ทำให้เขารู้ว่าฉินเฟิง เป็นบุคคลที่เขาไม่ควรมีเรื่องด้วย แม้แต่พ่อของเขาก็ไม่กล้าแตะต้อง
พ่อของเขาเป็นใคร ก่อนจะปลดประจำการพ่อเขาเป็นทหารของอีสเตอร์แลนด์ ยังมีตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชา แต่เขากลับเป็นหัวหน้าของพ่ออีกที ดูจากน้ำเสียงที่พ่อของเขาตะคอกด้วยความโกรธ ยังข่มขู่ว่าจะไล่เขาออกจากตระกูล
เขาคิดออกเลยว่า ฉินเฟิงไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไป
ทันใดนั้น ตู้ต้วนเทียนได้วิ่งตามออกไปที่ประตู เมื่อวิ่งออกไปถึงหน้าประตู พบว่าฉินเฟิงไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนั้นเขาอารมณ์เสียและตบไปที่หน้าของตัวเองหนึ่งครั้ง ตายแน่ ครั้งนี้ตายแน่ๆ
เสี่ยวเฉิน รีบไปเอากล้องวงจรปิดของสนามแข่งทั้งหมดมาให้ข้า ฉันต้องหาตัวเจ้าของรถหวู่หลิงฮงกวง มันเป็นเรื่องด่วนมากๆ ถ้าหาเขาไม่เจอ ข้าจะไล่แกออก
ตู้ต้วนเทียนสั่งลูกน้องคนนั้นทันที
ได้ครับ เจ้านาย
เสี่ยวเฉินรู้สึกตกใจมาก และรีบไปตรวจสอบ
เขาเป็นผู้จัดการใหญ่ที่ดูแลสนามแข่งรถทั้งหมด ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมต้องหาฉินเฟิง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่า ถ้าหาคนคนนี้ไม่เจอ ตู้ต้วนเทียนต้องไล่เขาออกแน่ๆ
ทำไมฉินเฟิงถึงได้รู้จักตู้ต้วนเทียน เป็นเพราะตู้หล้างตอนอยู่ในกองทัพ เคยคุยกับเขาว่า ตู้ต้วนเทียนเป็นลูกชายที่ตู้หล้างรักมากๆ
ตอนนี้ ฉินเฟิงอยู่ในสนามและเจอตัวอิ่นหนิงหยู่ แต่เขากลับสังเกตเห็นว่า เธอถูกคนกลุ่มหนึ่งล้อมตัวไว้ และคนที่ล้อมเธอไว้ต่างเป็นผู้ชายร่างใหญ่ ไร้มารยาทและพูดจาหยาบคาย
น้องสาว เอาเงินทำไม ไปกับพี่ดีกว่า อยู่กับพี่สักคืน พี่รับรองเลยว่าจะให้เงินน้อง
ใช่ๆ อยู่กับพี่หนึ่งคืน พี่ให้สามร้อยห้าร้อย
ฮ่าๆ สวยจริงๆ ได้ข่าวว่ายังเป็นดาวของมหาลัยเจียงเฉิง น่าเสียดายจัง วันนี้ คงไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว
คนกลุ่มนี้ล้อมรอบตัวอิ่นหนิงหยู่ไว้ ดวงตาเต็มไปด้วยไฟราคะ อิ่นหนิงหยู่เหมือนกระต่ายน้อยผู้น่าสงสารในสายตาพวกเขา ไม่รู้จะหลบหนียังไง พยายามหลบหลีกทุกทาง
ไสหัวออกไป
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว จับไปยังไหล่ของชายร่างใหญ่ ดึงเขาไปยังด้านหลัง ทำให้เขาล้มตัวลง หน้าทิ่มไปกับพื้น
พี่เขย พวกเขาไม่ยอมจ่าย
อิ่นหนิงหยู่มองเห็นฉินเฟิง เหมือนเห็นความหวัง เธอได้เดินไปยังด้านหลังของฉินเฟิง ใช้มือชี้ไปทางพวกชายร่างใหญ่: คนพวกนี้มันเป็นลูกน้องของคุณชายเฉิน ฉันจะไปถามคุณชายเฉินเรื่องเงินเดิมพัน คนพวกนี้กั้นฉันไว้ ไม่ยอมให้ฉันเข้าไป
พวกเจ้าช่างกล้าจริงๆ รู้ไหมว่าเธอคือน้องสะใภ้ของข้า
ฉินเฟิงปกป้องอิ่นหนิงหยู่แล้วพูด
ดีมาก นายแน่มาก ที่สามารถโยนฉันล้มลงไปกับพื้น
ชายร่างใหญ่ที่ลุกขึ้นจากพื้น เขาบิดคอไปมา เห็นได้ชัดเลยว่าเขาดูดุร้ายโหดเหี้ยม เขาหยิบมีดเล็กหนึ่งด้ามออกมาจากตัว มีดเล็กมีความยาวประมาณหนึ่งนิ้วมือ ถึงโดนแทงอาจจะไม่ตาย แต่คงเจ็บปวดมากๆแน่นอน
ข้าคือหวังหยวน และไม่ได้รู้จักคุณชายเฉิน เป็นแค่ผู้ชมคนหนึ่งที่มาดูการแข่งขันเท่านั้น วันนี้ข้าอยากได้สาวน้อยคนนี้ ข้าให้พวกเจ้าเลือกสองทาง หนึ่งคือเดินจากไป สองคือโดนข้าแทง
หวังหยวนแกว่งมีดที่อยู่ในมือไปมา บวกกับความสูงเมตรแปด ร่างกายที่กำยำ ดูดุร้ายโหดเหี้ยม เอาไว้ข่มขู่คนได้อย่างสบายๆ
แล้วด้านหลังตัวเขา ยังมีผู้ชายร่างใหญ่หลายคน
ฮ่าๆ น่าตลกจริงๆ ชายคนนี้ยังอยากจะได้เงินจากคุณชายเฉินอีก จริงหรือเปล่า หนึ่งร้อยล้านเลย เงินก้อนนี้ไม่น้อยเลยนะ ทำคุณชายเฉินแพ้การแข่งขันยังไม่พอ ยังทำให้เขาอับอายเสียหน้า
โดนรถหวู่หลิงฮงกวงขับแซง ความอับอายครั้งนี้ คงติดตัวคุณชายเฉินไปตลอด
คนพวกนี้ก็พูดแล้วว่าไม่รู้จักคุณชายเฉิน พวกเจ้าทำไมต้องดึงคุณชายเฉินเข้ามาเกี่ยวข้อง
เจ้าโง่มาก คุณชายเฉินดูยังไงก็ไม่อยากให้เงินก้อนนี้ คนพวกนี้ล้วนแต่เป็นลูกน้องของเขา แค่กันไม่ให้ผู้หญิงคนได้เขาไปได้ เธอไม่ได้เจอคุณชายเฉิน งั้นเงินก้อนนี้ก็ขอไม่ได้แล้ว ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ พวกเขา โดนขู่จนไม่กล้าเข้าไปแล้ว
ทุกคนโดยรอบ ต่างพากันพูดคุยสนทนา ได้ข้อสรุปว่า เงินก้อนนี้ พวกของฉินเฟิงขอไม่ได้แน่นอน
ท่ามกลางฝูงชนทั้งหมด เฉินป๋อมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ย: คิดจะสู้กับข้า พวกเจ้ายังอ่อนหัดไปหน่อย อยากได้เงินของข้า ฝันไปเถอะ
พวกเจ้าทำอย่างนี้ได้ไง
อิ่นหนิงหยู่ได้ยินคำพูดนี้ เข้าใจทันทีเลยว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอด่าออกมาทันที: เฉินป๋อ เป็นถึงคุณชาย เป็นทายาทรุ่นสองที่ร่ำรวย แต่เขาเดิมพันแพ้ กลับไม่ยอมจ่ายเงิน เป็นคนที่น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย สถุลมากๆ คราวหน้าทุกคนไม่ต้องไปเดิมพันกับเขาอีก เพราะเขาเป็นคนที่แพ้แล้วพาล
คนพาลแบบนี้ แพ้แล้วไม่ยอมรับ ทำให้ตระกูลตัวเองต้องอับอายขายขี้หน้า
อิ่นหนิงหยู่ด่าแบบนี้ ทำให้ใบหน้าเฉินป๋อเปลี่ยนไป ดวงตาปะทุไฟแห่งความโกรธ คนพวกนี้มันช่างกล้าลองดีจริงๆ กล้ามากที่ด่าข้าแบบนี้
จัดการเลย
เฉินป๋อส่งสัญญาณมือ ให้ชายร่างใหญ่ได้เห็น ทันใดนั้นหวังหยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณชายเฉินเลย สาวน้อยคนสวย วันนี้ยังไงเจ้าก็ต้องไปกับพวกข้า
เขาแกว่งมีดเล็กไปมา จากนั้นเขาจะไปดึงมือของอิ่นหนิงหยู่
ก่อนที่มือของเขาจะโดนเธอ ได้มีมืออีกข้างจับมือของหวังหยวนไว้อย่างแน่นหนา ต่อมาได้มีเสียงของฉินเฟิงดังขึ้น : เธอคือน้องสะใภ้ของข้า เจ้ายังกล้าแตะเธออีกเหรอ
สิ้นเสียงคำพูด ได้มีเสียงกระดูกหักดังขึ้น
โอ๊ย……
หวังหยวนร้องด้วยความเจ็บปวด เขาถอยหลังกลับ รีบดูไปที่แขนของเขา เห็นแขนตัวเองมีรอยช้ำรอยขีดข่วน ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นและพูดว่า: ให้ตายเถอะ กระดูกที่มือหักแล้ว
เขาอยากจะหนีไป แต่พอเห็นสัญญาณมือของเฉินป๋อแล้ว เขากัดฟันพูดว่า: พี่น้องทุกคน จัดการมันเลย พวกเรามีคนเยอะกว่า
เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากตายใช่ไหม!
ชายร่างใหญ่ที่เหลือสามถึงห้าคนพุ่งไปหาฉินเฟิง
พวกดีแต่ปาก
เมื่อจบประโยคที่ฉินเฟิงพูด เขาค่ำชายร่างใหญ่ที่เหลือลงกับพื้น จัดพวกเขาได้อย่างง่ายดาย โดยที่ไม่ต้องออกแรงแม้แต่นิดเดียว
คนแซ่ฉิน เจ้าก็แค่เคยเป็นทหารมาไม่กี่ปี อย่าดีแต่ปาก คนที่ไม่รู้เขาอาจจะนึกว่าเจ้าเคยเป็นนายพล ทำตัวเหมือนคนเก่งกาจ
อิ่นหนิงหยู่มองพวกเขาที่ล้มลงไปนอนกับพื้น โล่งอกไปเลย
หนิงหยู่
ทันใดนั้น ฉินเฟิงได้เรียกอิ่นหนิงหยู่
เรียกทำไม!
เจ้านะเป็นหมาหรือเปล่า เปลี่ยนใจง่ายจัง
เจ้านะสิเป็นหมา
อิ่นหนิงหยู่มองไปที่ฉินเฟิง เจ้าด่าข้าอ้อมๆนี่
ตอนนี้ เห็นสถานการณ์ไม่ดี เฉินป๋อเตรียมตัวจะหนี แต่ฉินเฟิงมองไปที่ที่เขาอยู่ ตะโกนว่า: คุณชายเฉิน นี่คุณจะไปไหนเหรอ คุณยังติดหนี้เราร้อยล้านยังไม่ได้ให้เลย
ทันใดนั้น ทุกคนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างพากันหลีกทาง เผยให้เห็นเฉินป๋อที่อยู่ด้านใน
ฉินเฟิง เจ้าต้องคิดให้ดีก่อน ขอเงินจากข้า ข้าคือเฉินป๋อแห่งตระกูลเฉิน ในเมืองเจียงเฉิงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทเฉินซื่อกรุ๊ป ถ้าเจ้ายังอยากอยู่เมืองเจียงเฉิง อย่าถามถึงเงินนี้อีก ถ้าไม่อย่างงั้น อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ
เฉินป๋ออยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากที่ดูเหตุการณ์นี้ เขาได้ระเบิดความโกรธออกมา เขาไม่อยากให้เงินก้อนนี้แล้ว
ถ้าเขาให้เงินก้อนนี้ แสดงว่าเขายอมแพ้ เขาเป็นคนมีหน้าตาทางสังคม เขาไม่มีทางยอมแพ้แน่ๆ
เรื่องเลวร้ายสุดๆก็แค่ โดนหาว่ารังแกคนที่อ่อนแอกว่า
คนธรรมดาทั่วไป แค่ได้ยินชื่อเสียง ได้ยินคำว่า ‘บริษัทเฉินซื่อกรุ๊ป’ ก็กลัวจนไม่กล้าขออะไรแล้ว
แต่ฉินเฟิงไม่สนใจ ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ดวงตาส่องประกายความโหด
เอาเงินมา นี่มันเป็นเงินที่ข้ากับน้องสะใภ้หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง
บทที่43 บินขึ้นไปแล้ว
นี้คือ!
เรื่องจริงเหรอ?
ทุกคนอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ พวกเขาเห็นรถหวู่หลิงฮงกวงเปลี่ยนทิศทาง บินออกจากรั้ว ซึ่งนี่เป็นทางโค้งขนาดใหญ่ รถหวู่หลิงฮงกวงอยู่ด้านบนทางโค้ง ส่วนนักแข่งเบอร์1อยู่ด้านล่างทางโค้ง
แต่ว่า มันบินขึ้นแล้ว!
บนท้องฟ้าเหมือนมีเงาสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น จากการเร่งความเร็วก่อนหน้านี้ แล้ววิ่งทะยานลงไป ทุกคนที่ได้เห็นเหตุการณ์ในครั้งนี้ ต่างตระหนกตกใจ
ไม่อยากรอดหรือไง?
นี่คือระยะทางตั้งหกเมตรเลยนะ ถ้าสมมุติลงมาไม่ได้ ก็จะชนเข้ากับกำแพงภูเขา รถพังพินาศคนตายได้เลยนะ!
จากนั้น เสียงปังดังขึ้นหนึ่งครั้ง!
ลงพื้นแล้ว ลงพื้นแล้ว รถหวู่หลิงฮงกวงลงจอดที่พื้นแล้ว ปาฎิหาริย์!มันคือปาฏิหาริย์ชัดๆ ฉันเป็นพิธีกรของการแข่งรถใต้ดินมาแปดปี ไม่เคยเห็นทักษะการขับรถแบบนี้ โอ้พระเจ้า มันบินขึ้นแล้ว นี่คือ เทพแห่งเขาชิวหมิง นี่มัน นักขับระดับเทพเลยนะ……ผ่านเส้นชัยแล้ว เขาชนะแล้ว รถหวู่หลิงฮงกวงชนะแล้ว เขาคือนักขับระดับเทพแห่งเขาชิวหมิงคนใหม่
น้ำเสียงของพิธีกรเริ่มแหบด้วยความตื่นเต้น
ทักษะการขับแบบนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทำไมถึงเรียกเขาว่าเทพแห่งเขาชิวหมิง เพราะว่าพื้นที่ตรงนี้เรียกว่าเขาชิวหมิงไง เทพแห่งเขาชิวหมิงเป็นสมญานามของคนที่เก่งที่สุด เกรงว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป รถหวู่หลิงฮงกวงจะกลายเป็นตำนานแห่งเขาชิวหมิง
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ?
เวลานี้ นักแข่งหมายเลข1ตู้ต้วนเทียนที่ตามหลังรถหวู่หลิงฮงกวงเพียงก้าวเดียวมีสีหน้าที่ตกตะลึง เขาหันหัวมองไปทางด้านหลังเพื่อดูระยะห่างของทั้งสองโค้ง นี่มันอย่างน้อยหกเมตรเลยนะ ไม่ใช่นักแข่งธรรมดาทั่วไปจะสามารถวิ่งผ่านได้
และมันยังเป็นรถหวู่หลิงฮงกวง
อยากตายจริงๆเหรอ
และเขาช่างใจกล้าจริงๆ?
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจริงคือ เขาได้พ่ายแพ้แล้ว เขาที่เป็นนักขับระดับเทพและแชมป์หกสมัยได้แพ้ให้กับรถหวู่หลิงฮงกวง จากนี้สมญานามเทพแห่งนักขับก็ไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว ยิ่งนึกถึงเรื่องนี้ ยิ่งทำให้ตู้ต้วนเทียนเสียอารมณ์ย์มากๆ
ตอนนี้ รถหวู่หลิงฮงกวงได้ลงมาแล้ว อิ่นหนิงหยู่พึ่งเดินลงจากรถ เธอไม่สามารถทรงตัวได้ เดินเซไปเซมา หน้าของเธอแดงก่ำ การแข่งรถครั้งนี้ ทำให้เธอกลัวสุดๆ
คนแซ่ฉิน พวกเราชนะแล้ว
หลังจากที่อิ่นหนิงหยู่ทรงตัวได้ เธอหายใจลึกๆหนึ่งครั้ง แล้วหันหัวมองไปที่ฉินเฟิง
เรียกข้าพี่เขย
เจ้ามีสิทธิ์อะไร
เมื่อกี้เจ้าเรียกอย่างสนุกปาก เรียกแต่พี่เขย ตอนนี้ลงจากรถแล้ว เจ้ากลับไม่ยอมรับ ใช่ไหม?
เมื่อกี้มันเป็นเรื่องของเมื่อกี้ ตอนนี้มันเป็นเรื่องของตอนนี้ ข้าไม่สนใจอยู่แล้ว ข้าคิดว่าเจ้าไม่คู่ควรกับพี่สาวข้า เจ้ามันไม่คู่ควรจริงๆ ถ้ามีครั้งหน้าที่ข้าเรียกเจ้าว่าพี่เขยอีก ข้าก็คงโง่เหมือนหมู
อิ่นหนิงหยู่มือจับที่เอว จ้องไปที่ฉินเฟิง เธอเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ใครมาก่อน แต่เวลาอยู่ต่อหน้าฉินเฟิง เรียกแต่พี่เขยครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกว่าตัวเองเสียศักดิ์ศรี
ฉินเฟิงไม่คู่ควรกับอิ่นซินจริงๆ
เธอจึงไม่อยากเรียกเขาพี่เขย
คนแซ่ฉิน แน่นอน ไม่มีครั้งหน้าแน่นอน
อิ่นหนิงหยู่เชิดหน้า เหมือนคนไม่ยอมแพ้
เมื่อฉินเฟิงต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง ด้านข้างมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา พยักหน้าแสดงความเคารพต่อฉินเฟิง : คุณครับ เจ้านายของผม ให้ผมมาเรียนเชิญคุณครับ
เจ้านายคุณคือ?
ตู้ต้วนเทียน
หลังจากฉินเฟิงขบคิดสักครู่ เขาได้หันไปพูดกับอิ่นหนิงหยู่ว่า: เธอไปรับรางวัลก่อน เดียวฉันตามไป
ได้
อิ่นหนิงหยู่ตื่นเต้นมากๆ เพราะอันดับหนึ่งได้เงินมากถึงสามแสน นี่เป็นเงินก้อนใหญ่มากๆ ในชีวิตเธอเคยจับเงินก้อนใหญ่ที่สุดก็คือเงินห้าแสนที่ครั้งก่อนเธอยืมพี่ต้าตาวมา
ทันใดนั้น เธอกระโดดโลดเต้นเพื่อไปรับรางวัล
เดินนำเลย
ฉินเฟิงส่งสัญญาณให้เขา แล้วชายคนนั้นก็เดินนำฉินเฟิงไป จนถึงสำนักงานที่อยู่ด้านบนของสนามแข่ง หลังจากที่เดินเข้าไป เขาพบว่าตู้ต้วนเทียนนั่งดื่มไวน์แดงอยู่บนโซฟา
ตู้ต้วนเทียน ชื่อสมคำร่ำลือ เป็นชายที่เย่อหยิ่งและอวดดี สูง180 มีรูปร่างหน้าตาได้มาตรฐานนายแบบ หน้าคม ในตาเย่อหยิ่ง ทั้งตัวมีแต่ของแบรนด์เนม แค่นาฬิกาโรเล็กซ์ที่ใส่อยู่ในมือเขา ราคาก็แสนกว่าแล้ว
เห็นได้ชัดเขาเป็นทายาทรุ่นที่สอง เป็นทายาทรุ่นสองที่เฉลียวฉลาดและเก่งมาก ต่างจากพวกทายาทโง่ๆที่รู้จักแต่ผลาญเงิน
ฉินเฟิง ใช่ไหม ? เชิญนั่ง
ตู้ต้วนเทียนผายมือขึ้น เพื่อเชิญเขานั่ง
ฉินเฟิงก็ไม่เกรงใจ นั่งลงอย่างสบายใจ และยังนั่งไขว่ห้างอีก
ทักษะการขับรถของคุณดีจริงๆ ดีมากๆ คุณเป็นคนเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกถึงแรงกดดันในรอบหลายปี ฉันเคยตรวจสอบข้อมูลของคุณมาแล้ว ตอนนี้คุณเป็นแค่พนักงานรักษาความปลอดภัย รายได้4,000ต่อเดือน เงินเดือนนี้มันน้อยมากเมื่อเทียบกับความสามารถของคุณ ฉันมีสัญญาหนึ่งฉบับ ถ้าคุณยอมเซ็นสัญญากับสโมสรของเรา ผมให้คุณเดือนละ40,000 เมื่อเทียบกับเงินเดือนเก่าของคุณ มันเพิ่มมากขึ้นถึงสิบเท่า ลองพิจารณาไหม?
ตู้ต้วนเทียนหยิบสัญญาออกมาหนึ่งฉบับ ส่งให้กับฉินเฟิง
ฉินเฟิงมองไปที่สัญญา เขาแน่ใจเลยว่าเอกสารฉบับนี้เป็นสัญญาของสโมสรจริงๆ แต่เขาสายหัวทันที: ฉันต้องขอโทษด้วย อันที่จริงฉันไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการแข่งรถเท่าไหร่ ฉันก็แค่มาแข่งเล่นๆเท่านั้น
……
ตู้ต้วนเทียนตะลึง
ไม่สนใจเหรอ?
ทักษะการขับรถแบบคุณฝึกกันได้ง่ายๆเลยเหรอ?
วิธีฝึกกันง่ายๆแบบนี้ แต่กลับสามารถเอาชนะฉันได้?
นี่ฉันต้องมีทักษะที่แย่ขนาดไหน!
เมื่อพูดแบบนี้ ใบหน้าของตู้ต้วนเทียนแสดงอาการไม่พอใจ เขาเป็นทายาทรุ่นสองที่มีความสามารถ เมื่อเห็นว่าฉินเฟิงมีศักยภาพด้านนี้ เขาไม่ได้คิดที่จะเล่นงานฉินเฟิงก่อน แต่กลับเลือกที่จะเซ็นสัญญา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉินเฟิงจะเป็นคนที่ยิ่งยโส
ฮ่าๆ ฉินเฟิง จากคำพูดตลกของคุณ ตอนนี้มันกลับไม่ตลกแล้ว
ตู้ต้วนเทียนหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นกางสองมือออก ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟา แล้วยักคิ้วพูดว่า: ฉินเฟิง เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลตู้ และตระกูลตู้ก็เป็นตระกูลชั้นแนวหน้าของเมืองเจียงเฉิง และเป็นตระกูลอันดับต้นๆด้วย ยิ่งไปกว่านั้นสนามแข่งรถเป็นของตระกูลข้า ทุกปีมีกำไรมากกว่าหลายร้อยล้าน
ถ้าเจ้ายอมเซ็นสัญญาเข้าร่วมสโมสรฉบับนี้ ยอมมาเข้าร่วมกับข้า ข้าตู้ต้วนเทียนจะทำให้เจ้าอยู่ดีกินดีมีชีวิตที่สุขสบาย เรื่องนี้ ข้าขอรับรอง
โอกาสมีเพียงหนึ่งครั้ง ถ้าพลาดแล้วคือพลาดเลย
พอพูดจบ ตู้ต้วนเทียนมองไปที่ฉินเฟิง เพื่อรอคำตอบ
คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักชื่อเสียงของเขา แต่ในเมืองเจียงเฉิงเขาเป็นทายาทรุ่นที่สองของตระกูลที่ทรงอำนาจจริงๆ ตระกูลตู้ ตระกูลแนวหน้าของเมืองเจียงเฉิง มีตึกอาคารพาณิชย์สูงแปดสิบชั้น
ด้วยฐานะของเขา และสิ่งที่เข้าเสนอให้ ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปคงซาบซึ้งในบุญคุณและความกรุณาของเขา
แต่ว่า ฉินเฟิงไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป
ให้ข้าเข้าร่วมกับเจ้า แม้แต่พ่อของเจ้า ตู้หล้าง ก็ไม่กล้าพูดกับข้าแบบนี้
ฉินเฟิงส่ายหัว แล้วลุกขึ้น: เสี่ยวตู้ ฝากบอกพ่อของเจ้าด้วย ถ้ามีเวลา ข้าจะไปเยี่ยม แต่ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญอย่ามารบกวนข้า
หลังจากนั้นเขาเดินออกไป
เหลือแต่ตู้ต้วนเทียนที่สีหน้าเหม่อลอย ชี้ไปที่ตัวเอง: เรียกข้าว่าเสี่ยวตู้?
ทันใดนั้น ความโกรธก็ได้จุดชนวนขึ้นในใจของตู้ต้วนเทียน เขาเป็นใคร เป็นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลตู้ อนาคตจะเป็นผู้สืบทอดตระกูลแนวหน้าของเมืองเจียงเฉิง ใครเห็นเขาก็ต้องยอมก้มหัวให้เขา คอยประจบเขา
แต่กลับเรียกเขาว่าเสี่ยวตู้!
อย่างไรก็ตามท่าทีของฉินเฟิง ทำให้ตู้ต้วนเทียนคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเขาก็โทรศัพท์หาตู้หล้างผู้เป็นพ่อ: คุณพ่อ ผมเจอผู้ชายคนหนึ่ง……เขาใช้คำพูดแบบนี้กับผม ผมไม่สามารถทนได้ พ่อครับ ผมอยาก……
อยากอะไร!
ทันใดนั้น เขาถูกผู้เป็นพ่อตู้หล้างขัดจังหวะ
ผมอยากสั่งสอนเขา
ตู้ต้วนเทียนในใจเต็มไปด้วยโกรธ ถึงแม้จะถูกตู้หล้างขัดจังหวะขณะพูด แต่เขาก็ยังพูดแบบนี้ออกมา
อยากสั่งสอนเขา? อย่างเจ้าเหรอ! เจ้ารู้ไหมว่าเขาเป็นใคร เขาคือหัวหน้าของพ่อในกองทัพ เขาสามารถล้มล้างตระกูลตู้ของเราได้อย่างง่ายดาย ไอ้ลูกสารเลว เจ้าทำให้ตระกูลเราต้องเดือดร้อน เจ้าต้องไปขอโทษเขาเดียวนี้ ถ้าสมมุติว่าเขาไม่ยกโทษให้ เจ้าก็ไม่คู่ควรเป็นทายาทสืบทอดต่อไป ข้าจะไล่เจ้าออกจากตระกูล
ในสายโทรศัพท์ มีแต่เสียงตะคอกด้วยความโกรธของตู้หล้าง
บทที่42 VS ตู้ต้วนเทียน
เป็นไปได้ไง ตามทันได้ไง นี่มันทางโค้งนะ!
ราวกับคนอารมณ์สิ้นหวัง เฉินป๋อมองรถหวู่หลิงฮงกวงที่อยู่ด้านหลัง เขาแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ทั้งๆที่ฉันนำหน้าอยู่ แต่รถหวู่หลิงฮงกวงก็ยังตามมาติดๆ
นี่ ใช่รถหวู่หลิงฮงกวงจริงเหรอ?
วิ่งตามจนทัน แซงไปอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้หวู่หลิงฮงกวงกลายเป็นรถแข่งม้ามืดของการแข่งขันครั้งนี้ นำมาเป็นอันดับสาม และคันที่อยู่ข้างหน้าคือรถของเฉินป๋อหมายเลข23 คิดว่าทุกคนน่าจะรู้เรื่องการเดิมพันครั้งนี้ มันได้กระจายข่าวไปยังทั่วสนามแข่งแล้ว ต้องดูครั้งนี้ว่า รถหวู่หลิงฮงกวงจะสามารถแซงรถหมายเลข23ได้หรือไม่
รถแข่งหมายเลข23ขยับแล้ว นั้นเขาทำอะไร ทำไมรถถึงจอดเป็นแนวขวาง
พิธีกรมองไปที่รถของเฉินป๋อ และไม่มีใครเคยคาดคิด เฉินป๋อจะหยุดรถที่ทางเลี้ยวหักซอกอันแคบ และเขาก็จอดรถไว้เป็นแนวขวาง
ปิดทางวิ่งของรถหวู่หลิงฮงกวง
ที่อันแคบของทางเลี้ยวนี้ โดยทั่วไปรถจะผ่านได้เพียงแค่คันเดียว เมื่อคุณชายเฉินจอดรถแนวขวาง ทำให้รถคันอื่นวิ่งผ่านไม่ได้ ดูเหมือนว่าคุณชายเฉินที่ผ่านเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ จะเข้าใจแล้วว่ารถหวู่หลิงฮงกวงไม่ใช่รถธรรมดาทั่วไป นี่เขาต้องการจะพินาศไปด้วยกัน
พิธีกรเข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ในทันที
ฮ่า ฮ่า ถ้าสามารถหยุดเจ้าไว้ที่นี่ ทำให้เจ้าถอนตัวออกจากการแข่งขัน ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่ถือเป็นผู้แพ้
เฉินป๋อยิ้มด้วยความสะใจ รถของเขาคันนี้มีความปลอดภัยสูง ด้านในมีถุงลมนิรภัย ถึงแม้จะโดนชน ก็ไม่เป็นอะไร ยิ่งไปกว่านั้นคือเขารู้ว่ารถหวู่หลิงฮงกวงไม่กล้าชนเขา
ใครที่เป็นคนฉลาดก็ต้องรู้เรื่องนี้
เขาเป็นคุณชายเฉิน ในเมืองเจียงเฉิงแห่งนี้ คนที่ถูกเรียกว่าคุณชายล้วนแต่คนที่ไม่มีใครกล้ายุ่งด้วย รถหวู่หลิงฮงกวงไม่กล้าชนเขาหรอก ถ้าเขาเกิดอุบัติเหตุ ตระกูลของเขาไม่มีทางปล่อยฉินเฟิงแน่นอน
มาแล้ว มาแล้ว รถหวู่หลิงฮงกวงกำลังชะลอความเร็ว สถานการณ์เช่นนี้คงไม่กล้าชนเราหรอก ถ้าชนไปต้องเกิดอุบัติเหตุแน่นอน คุณชายเฉินมีความคิดนี้อยู่ในใจ……ผ่านไปสักครู่ ทำไมเขาไม่ลดความเร็วลง จะชนเข้ามาแล้ว จะชนเข้ามาแล้ว!
ตามด้วยเสียงตะโกนของพิธีกร
ก็มีเสียงดังตูมขึ้นอีกครั้ง
รถหวู่หลิงฮงกวงชนเข้าอย่างจัง แบบไม่ปรานี ยังดีที่ชนท้ายรถ ทำให้รถแข่งหมายเลข23หมุนเป็นวงกลม ไปกระแทกกับกำแพงภูเขา
ให้ตายเถอะ กล้าชนฉันจริง ไม่กลัวคนของตระกูลเฉินหาเรื่องเจ้าเหรอ
เฉินป๋อเวียนหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่เขาก็ยังด่าว่า วิธีพังพินาศไปด้วยกันของเขา โดยทั่วไปไม่เคยมีใครกล้าเสี่ยงกับเขาแบบนี้
แต่วันนี้รถหวู่หลิงฮงกวง ไม่แยแสเขาแม้แต่นิดเดียว
อยากตายจริงๆใช่ไหม!
อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน เฉินป๋อก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ เขาแพ้แล้ว รถที่เขาใช้เงินมากว่าร้อยล้านสร้างขึ้น แพ้ให้กับรถหวู่หลิงฮงกวง!
แซงได้สำเร็จแล้ว ตอนนี้รถหวู่หลิงฮงกวงนำมาเป็นอันดับสอง มันคือปาฏิหาริย์จริงๆ และนี่ก็เป็นการแข่งขันน่าทึ่งที่สุดของการแข่งรถใต้ดินในรอบสิบปี หวู่หลิงฮงกวงเป็นม้ามืดตัวเต็งเลย
แต่ว่า มีสิ่งหนึ่ง ที่ต้องเตือนทุกท่าน มีคนไม่น้อยที่เดิมพันว่าหวู่หลิงฮงกวงต้องแพ้
เมื่อพิธีกรพูดเช่นนั้น มีคนไม่น้อยในสนามแข่งต่างพากันหน้าซีด เดิมทีพวกเขาดูการแข่งขันครั้งนี้อย่างเมามัน พอคิดได้ว่า ตัวเองนั้นได้เดิมพันไว้แล้วว่าหวู่หลิงฮงกวงจะแพ้
อ้า ฉันได้เดิมพันหวู่หลิงฮงกวงจะได้อันดับสุดท้าย เดิมพันไปตั้งห้าหมื่น คราวนี้ฉันเสียเงินแน่นอน อ้า!
ห้าหมื่น ข้าเดิมพันไว้ว่าหวู่หลิงฮงกวงต้องแพ้ให้นักแข่งเบอร์23 เดิมพันไปตั้งแสนสอง
ฉันหมดตัวแล้ว ทำไมรถหวู่หลิงฮงกวงถึงได้เก่งขนาดนี้ คราวหน้าฉันจะต้องซื้อหวู่หลิงฮงกวงตอนออกมาแข่ง
ทุกคนต่างฝ่ายต่างสนทนา แต่มีคนจำนวนไม่น้อยมองไปที่โหวเฟย คนนี้ได้เดิมพันว่ารถหวู่หลิงฮงกวงจะชนะ และเหตุการณ์นี้ก็ได้แพร่กระจายไปทั่วสนามแข่งใต้ดินแล้ว
ครั้งนี้ เขาคงได้ไปไม่น้อย
พวกเจ้ากังวลอะไร
มีชายคนหนึ่งโบกมือแล้วพูดว่า : เขาได้เดิมพันรถหวู่หลิงฮงกวงชนะ แต่พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือไง เขาเดิมพันอะไรกันแน่ รถหวู่หลิงฮงกวงได้อันดับหนึ่ง อันดับหนึ่ง ฮ่าๆ วันนี้ถ้าไม่มีนักแข่งระดับเทพตู้ เขาต้องได้อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน แต่น่าเสียดาย วันนี้นักแข่งระดับเทพตู้อยู่ในสนาม นักแข่งระดับเทพตู้ตอนนี้อยู่ช่วงถนนที่27แล้ว และกำลังจะเข้าเส้นชัยแล้ว
ใช่จริงๆด้วย เขาเดิมพันรถหวู่หลิงฮงกวงได้อันดับหนึ่ง
ฮ่าๆ ฉันค่อยโล่งใจหน่อย ฉันยังคิดว่าเขาคงชนะได้เงินเยอะแน่ๆ ไม่ได้คาดคิดเลยว่าเขาจะเสียเงินในตอนสุดท้าย ไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง ถ้าเขาแค่เดิมพันรถหวู่หลิงฮงกวงชนะ แค่เดิมพันเข้าอันดับสองก็ได้เงินแล้ว
ทุกคนหัวเราะเยาะเย้ย
แต่เพื่อนสนิทของโหวเฟย หยวนซู่จับไปที่ไหล่ของโหวเฟยพูด: เจ้าคิดยังไง ถึงได้เดิมพันว่ารถหวู่หลิงฮงกวงชนะการแข่งขัน เจ้านะพลาดไปเพียงก้าวเดียว ถ้าเจ้าไม่เดิมพันว่าเขาจะได้ที่หนึ่ง เจ้าคงรวยไปแล้ว
ไม่
โหวเฟยจ้องมองไปที่หน้าจอมอนิเตอร์ : ตามขึ้นมาทันแล้ว
อะไรนะ?
หยวนซู่ตกตะลึง
เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงประกาศของพิธีกรในสนามก็ดังขึ้น : ตามทันแล้ว ระยะห่างแค่สามช่วงถนนแต่รถหวู่หลิงฮงกวงก็ตามขึ้นมาทันแล้ว ตอนนี้นักแข่งหมายเลข1กับหมายเลข24ยังคงอยู่ช่วงถนนที่สามสิบ ยังเหลือแค่อีกสองช่วงถนน รถหวู่หลิงฮงกวงจะสามารถแซงนักแข่งระดับเทพตู้ได้ไหม จะทำลายสถิติที่ไม่เคยมีใครทำได้หรือไม่ ต้องรอดูกันต่อไป
โอ้พระเจ้า เขาตามขึ้นมาทันจริงๆ
รถหวู่หลิงฮงกวงคันนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ขนาดนี้ยังตามทันได้ นักแข่งระดับเทพตู้อันตรายแน่ๆ
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่จะแซงนักแข่งระดับเทพตู้ ตอนนี้นักแข่งระดับเทพตู้แค่ออมมือให้ ไม่ได้ตั้งใจแข่งจริงจัง พวกเจ้าจงดูไว้ ถ้าเขาจริงจังขึ้นมา สามารถทิ้งห่างรถหวู่หลิงฮงกวงได้อย่างแน่นอน
ใช่แน่นอน รถกระจอกๆอย่างรถหวู่หลิงฮงกวงจะแข่งกับนักแข่งระดับเทพตู้ เขาคู่ควรเหรอ!ฮ่าๆ เศษสวะก็คือเศษสวะ ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว
บางคนคิดว่าม้ามืดอย่างรถหวู่หลิงฮงกวงอาจจะสร้างปาฏิหาริย์ แต่คนส่วนใหญ่กลับคิดว่ารถหวู่หลิงฮงกวงจะพ่ายแพ้ เพราะคนนั้นคือนักแข่งระดับเทพตู้ ตลอดหกปีที่ผ่านมาเขาครองแชมป์มาโดยตลอด ไม่เคยมีใครสู้เขาได้
เวลานี้ ตู้ต้วนเทียนมองไปกระจกมองหลัง เห็นรถหวู่หลิงฮงกวง เขาดีใจขึ้นมาทันที : น่าสนใจจริงๆ แค่รถหวู่หลิงฮงกวงยังคิดจะมาแข่งกับข้า ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าถึงฝีมือการขับของข้าจริงๆ
ตู้ต้วนเทียนเหยียบไปที่คันเร่ง!
ชายคนนี้ไม่เคยจริงจังกับการแข่งครั้งนี้ ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่าเขาต้องเอาจริง เขาได้ปลดปล่อยฝีมืออันร้ายกาจที่ครองแชมป์มาหกสมัย เขาเร่งความเร็วขึ้น ทิ้งห่างจาก รถหวู่หลิงฮงกวงไปหนึ่งช่วงถนน
ตอนนี้รถหวู่หลิงฮงกวงอยู่ช่วงถนนที่30 และนักแข่งหมายเลข1อยู่ช่วงถนนที่31
นักแข่งระดับเทพตู้จริงจังขึ้นมาแล้ว นักแข่งระดับเทพตู้จริงจังขึ้นมาแล้ว เขาได้เร่งความเร็ว ทิ้งช่วงห่างรถหวู่หลิงฮงกวงออกไป ต้องรู้นะว่าถนนตอนนี้เป็นทางโค้งทั้งหมด แต่นักแข่งระดับเทพตู้อยากเร่งความเร็วก็เร่งเลย ไม่มีความคิดลังเล นี่คือฝีมือของคนที่ครองแชมป์หกสมัยจริงๆ…… รอสักครู่ …… รถหวู่หลิงฮงกวงจะทำอะไร……โอ้พระเจ้า เขากำลัง……พุ่งทะยานออกไป พุ่งทะยานออกไป!โอ้พระเจ้า พวกเขา!
พิธีกรเห็นเหตุการณ์นี้ ดวงตาเปิดกว้าง ไม่สามารถเชื่อสายตาตัวเองได้
บทที่ 41 ตามขึ้นมาแล้ว
ตามขึ้นมาแล้ว
เสียงตูมดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง
สิ่งที่ใครก็คาดคิดไม่ถึงคือ ในระหว่างการหักเลี้ยว จู่ๆรถหวู่หลิงฮงกวงก็พุ่งเข้ามา ชนเข้ากับรถขันสุดท้าย ทำให้รถทั้งเจ็ดคันตกอยู่ในความโกลาหล
บ้าแล้ว มันต้องบ้าไปแล้วแน่นอน !
นักแข่งหมายเลข6เป็นรถที่อยู่คันสุดท้ายของรถแข่งทั้งเจ็ดคัน เมื่อรู้สึกถึงแรงกระแทกจากด้านหลัง เขาตะโกนด่าออกมาว่า อยากตายหรือไง นี่มันเป็นจุดหักเลี้ยว ยังกล้าชนเข้ามาอีก
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนต้องรู้ ว่าช่วงโค้งมันต้องชะลอความเร็วลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงหักเลี้ยว ขนาดหลิวซิวที่เป็นปีศาจนักชนยังไม่กล้าชนเลย แต่รถหวู่หลิงฮงกวงยังกล้าวิ่งเข้ามาชน
เมื่อนักแข่งหมายเลข 6 พยายามจนสามารถทรงตัวรถแข่งได้แล้ว
กลับได้ยินเสียง ตูมขึ้นมาหนึ่งครั้ง
รถหวู่หลิงฮงกวงกลับชนเข้าหาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันเป็นถนนโค้งร่วม ทางหนึ่งโค้งไปทางด้านซ้าย อีกทางโค้งไปด้านขวา
นักแข่งเบอร์ 6: ยังจะชนอีก บ้าไปแล้ว ฉันไม่สามารถควบคุมตัวรถได้แล้ว!
รถของนักแข่งเบอร์6เลื่อนไถลออกไปอย่างกะทันหัน ชนเข้ากับรถแข่งอีกคัน
เสียงดังโครมครามขึ้นมาอีกครั้ง
รถคันด้านหน้าก็เสียการทรงตัวไม่สามารถควบคุมได้ เริ่มมีการชนประสานงานกัน
เพียงชั่วไม่กี่วินาที รถแข่งห้าหกคันก็ชนเข้าหากัน วุ่นวายกันไปหมด นักแข่งทั้งหลายต่างพากันตกใจเหงื่อออกเต็มหน้า ในมือจับพวงมาลัยอย่างแน่นหนา ในขณะนี้ เสียงของฉินเฟิงได้ดังขึ้นในชุดหูฟัง
รู้หรือไม่ว่ารถหวู่หลิงฮงกวงได้เปรียบตรงไหน รถทนต่อการชน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่หลบหลีก ก็จะถูกข้าชนขยี้ออกไป
ความพูดนี้เต็มไปด้วยความยโส
แต่คำพูดนี้พูดได้ไม่ผิด รถหวู่หลิงฮงกวงไม่มีรูปลักษณ์ภายนอกที่คล่องตัวและความเร็ว แต่รถคันนี้กลับเป็นรถคันที่ใหญ่ที่สุดในบรรดารถแข่งทั้งหมด
รถสองคันรวมกันยังมีความสูงไม่เท่ารถหวู่หลิงฮงกวงหนึ่งคัน!
ถ้าพูดถึงเรื่องการชนแล้ว!
รถที่อยู่ในสนามแข่งทุกคันต้องยอมแพ้ให้รถหวู่หลิงฮงกวง
กล้าขู่พวกเราเหรอ
เมื่อนักแข่งเบอร์2ได้ยินคำพูดนั้น เขาก็รู้สึกโกรธมากๆ เขาเป็นนักแข่งรถที่เก่งมากๆในสายการแข่งนี้ จะเป็นรองก็แค่นักแข่งตู้ต้วนเทียนคนเดียว ถ้าการแข่งไหนที่ตู้ต้วนเทียนไม่ได้ลงแข่ง เขาจะเป็นผู้ชนะการแข่งนั้นๆเสมอ เขามีความยิ่งยโสในตัวมาก
การข่มขู่เขา ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองถูกหยามศักดิ์ศรี!
พี่น้องทั้งหลาย หยุดมันไว้ ปิดทางมันไว้ ข้าจะให้พวกเจ้าคนละหนึ่งแสน
นักแข่งเบอร์2พูดกับนักแข่งคนอื่นๆผ่านทางชุดหูฟัง
ได้
นักแข่งคนอื่นตอบรับทันที ไม่ต้องพูดถึงการที่โดนรถหวู่หลิงฮงกวงแซงหน้า มันเป็นเรื่องที่น่าอับอาย แค่ที่เฉินป๋อให้สามแสน และยังมีนักแข่งเบอร์2ให้อีกหนึ่งแสน รวมๆกันก็สี่แสนแล้ว
ต้องหยุดรถแข่งหวู่หลิงฮงกวงให้ได้
ปิดทางมันให้หมด!
นักแข่งเบอร์24 ถ้าแน่จริงเจ้าก็ชนเข้ามาเลย!
เสียงพูดออกมาจากชุดหูฟัง และค่อยๆเงียบหายไป รถแข่งทุกคันได้ปิดทางไว้หมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่ช่องว่างให้ฉินเฟิงเลย
พี่เขย ทำยังไงดี?
อิ่นหนิงหยู่ถามขึ้นมาทันที เมื่อเห็นสถานการณ์แบบนี้
เจ้าไม่ได้ยินเหรอ?
ฉินเฟิงจับพวงมาลัยอย่างแน่น เหยียบไปที่คันเร่ง : ถ้าพวกเขาต้องการให้พวกเราชนขึ้นไป ฉันก็จะจัดให้ตามคำขอ
จับไว้แน่นๆ!
อิ่นหนิงหยู่รีบจับเบาะนั่งไว้แน่นๆทันที
เวลาต่อมา รถหวู่หลิงฮงกวงเร่งความเร็วขึ้นมาทันที
หวู่หลิงฮงกวงเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้ง และกำลังจะชนอีกแล้ว แต่รถด้านหน้าได้จัดเป็นขบวน เพื่อรอรถคันนี้ ไม่รู้ว่ารถหวู่หลิงฮงกวงพุ่งเข้าชนได้ราบรื่นไหม จะสามารถฝ่าวงล้อมของรถแข่งอื่นๆได้ไหม……ชนแล้ว ……ชนแล้ว การชนครั้งนี้ได้เพิ่มแรงม้าเพื่อเข้าปะทะ และถนนข้างหน้าเป็นทางเลี้ยวอันตราย ทีมรถข้างหน้าก็ยังคงควบคุมรถได้ มาอีกแล้ว ครั้งนี้เป็นทางโค้งร่วม มันชนเข้าอีกแล้ว คราวนี้!
ทุกคนจับจ้องมองไปที่จอมอนิเตอร์อันใหญ่ ตามเสียงของคนพากย์
บนหน้าจอมอนิเตอร์อันใหญ่ รถหวู่หลิงฮงกวงเบียดรถคันสุดท้ายของขบวน ทำให้รถขันสุดท้ายไม่สามารถควบคุมตัวรถได้ และพุ่งชนรถคันด้านหน้า
ตามมาด้วย
ทางโค้งอันใหญ่
รถเบียดกันอีกแล้ว!
รถแข่งเบอร์2ที่อยู่ด้านหน้าสุดพูดคำนี้ออกมา ตอนนี้รถแข่งที่อยู่ด้านหน้าห้าคันรวมตัวกัน แล้วขวางถนนทันที ในเวลานี้มีเสียงตูมๆดังขึ้นสองครั้ง ด้านหลังได้มีรถแข่งสองคันเสียการควบคุมไปแล้ว
ชนเข้ากับกำแพงภูเขา และรถก็หยุดนิ่ง
เครื่องยนต์มีควันดำโพยพุ่งออกมา เห็นชัดเลยว่าไม่สามารถวิ่งต่อได้ และเขาก็ถอนตัวออกจากการแข่งขัน
ทุกคน นับเลขสามสองหนึ่งแล้ว หยุดรถ แล้วพวกเราพุ่งชนมัน!
นักแข่งเบอร์2เห็นรถสองคันด้านหลังขาดการติดต่อ เขาจึงขมวดคิ้ว แววตาเผยความโหดเหี้ยม เมื่อกี้มีรถเจ็ดคันมันมากเกินไปที่จะชนปะทะ ตอนนี้เหลือแค่ห้าคันพอดี สามารถพุ่งชนรถหวู่หลิงฮงกวงได้เลย
ก่อนหน้านี้ คุณชนพวกเราตลอด ตอนนี้ถึงตาพวกเราแล้ว เฮ้อๆ สาม สอง หนึ่ง หยุด !
พอนักแข่งเบอร์2พูดจบ รถทั้งห้าคันก็หยุดลง
โอ้โห ทุกคนเห็นหรือยัง รถด้านหน้าห้าคันหยุดกะทันหัน กำลังจะชนเข้ากับรถหวู่หลิงฮงกวง รถห้าคันนี้พอที่จะทำให้รถหวู่หลิงฮงกวงเสียหลักออกจากสนามได้เลย จะชนกันแล้ว จะชนแล้ว……อะไร……นี้มัน……มันเกิดอะไรขึ้น!
เสียงของพิธีกรดังขึ้น ทำให้ทุกคนตกตะลึง
เพราะเห็นรถหวู่หลิงฮงกวงขับไปยังทางด้านซ้ายที่เป็นกำแพงภูเขา เพราะเส้นทางนี้เป็นทางภูเขา และทางด้านซ้ายเอียงอยู่นิดหน่อย ทำให้รถหวู่หลิงฮงกวงขับขึ้นไปได้
เพราะกำแพงภูเขาที่เอียงอยู่ ทำให้รถบินไปข้างหน้า!
ใช่แล้ว
มันบินขึ้นไปแล้ว!
โอ้พระเจ้า รถหวู่หลิงฮงกวงบินขึ้นไปแล้ว ฉัน……ลงจอดบนรถแข่งหมายเลข8 ยางของล้อรถเสียดสีจนเกิดประกายไฟ แล้วรถก็พุ่งออกไป และตอนนี้รถคันข้างหน้าต่างพากันหยุดลง เพื่อให้รถหวู่หลิงฮงกวงขับไปข้างหน้า เพื่อร่อนลงบนหลังคาของรถแข่งหมายเลข2 เร่งเครื่องอีกครั้ง แซงหน้ารถแข่งหมายเลข2 ลงจอดบนถนนแล้ว โอ้พระเจ้า ลงจอดบนถนนแล้ว แซงไปแล้ว แซงไปแล้ว !
พิธีกรกรีดร้องเสียงดังออกมา ด้วยน้ำเสียงที่แหบเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงกรีดร้องออกด้วยความตกตะลึง เหมือนเขาต้องการอธิบายว่านี้เป็นเทคนิคที่น่าทึ่งที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ
ด้วยความเอียงของกำแพงภูเขาเพียงเล็กน้อย ทำให้รถสามารถวิ่งขึ้นไปได้ บวกกับด้วยความเร็วของรถ ทำให้รถบินขึ้นไป และบังเอิญรถที่อยู่ด้านหน้าทั้งหมดได้หยุดนิ่ง ทำให้รถหวู่หลิงฮงกวงมีพื้นที่สามารถกระโดด
แค่นี้แหละ เขาแซงไปแล้ว
อย่างนี้ก็ได้ด้วยเหรอ
นักแข่งเบอร์2มองไปที่หน้ารถตัวเอง ที่ที่มีรอยยุบลงไป ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง ทำอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ ไม่มีลู่วิ่งที่จะแซง ก็เลยใช้รถแข่งของคนอื่นๆเป็นลู่วิ่งให้กับรถตัวเอง
นักแข่งเบอร์2ไม่ยอมแพ้ แต่ว่าเขารู้แน่แล้วว่าเขาแพ้แน่นอน
รีบโทรหาเฉินป๋อ พูดว่า: คุณชายเฉิน พวกเราไม่สามารถหยุดรถหวู่หลิงฮงกวง เขาวิ่งตรงไปยังคุณ เขาจะไล่ตามคุณทันในอีกไม่ช้า คุณต้องหาทางเอาเอง
หลังจากที่เฉินป๋อได้ยิน ในแววตาแสดงออกถึงความเหลือเชื่อ ตะคอกออกมาว่า: พวกเจ้าทั้งเจ็ดคัน ยังไม่สามารถหยุดรถหวู่หลิงฮงกวงได้ เอาพวกเจ้าไว้ทำไม ไร้ประโยชน์ พวกเจ้ามันช่างไร้ประโยชน์ !
เสียงตู๊ดดังขึ้นหนึ่งครั้ง
รถแข่งหมายเลข2 ได้ปิดการติดต่อไป
มันว่างสายไปแล้ว! ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล ตอนนี้ฉันถึงช่วงถนนที่ยี่สิบสามแล้ว เหลืออีกเก้าช่วงถนนก็จะถึงเส้นชัย และถนนด้านหลังที่เหลือมีแต่ทางโค้ง เขาแซงฉันไม่ได้หรอก
มองไปที่หน้าจอจีพีเอส เฉินป๋อเบาใจไปหน่อย แต่ผ่านไปชั่ววินาทีเดียว เขาเหลือบมองไปที่กระจกมองหลัง สีหน้าตกใจแน่นิ่งไปชั่วครู่
ตามมาทันแล้ว
บทที่40 ยังทำแบบนี้ได้อีกเหรอเนี่ย
พวกเจ้าช่วย ยังทำแบบนี้ได้อีกเหรอเนี่ย?
ผู้ชมที่ยืนอยู่ข้างล่าง ในใจเกิดความรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา!
ใช้การเหยียบเบรกกะทันหัน หลังจากนั้นก็หมุนควงหนึ่งรอบ ทำให้รถหวูหลิงหงกวงหมุนไปอยู่ยังเลนส์ซ้ายได้สำเร็จ นี่มันเทคนิคระดับเซียน ทำให้เขาอ้าปากค้างอยู่นาน
มองอย่างตะลึง
บัดซบ ยังทำแบบนี้ได้อีกเหรอวะ!
มองดูแล้วขับตรงออกไป รถหวูหลิงหงกวงจากไปอย่างสง่าผ่าเผย ทำให้หลิวซิวไปแต่ทุบพวงมาลัย เขาได้แต่โกรธจนหน้าแดงก่ำ เขาถูกรถหวูหลิงหงกวงแซงไปได้ อัปยศอดสูมาก!
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้อับอายขายขี้หน้าในรอบรายปีที่ผ่านมาเลย!
นั่นมันแค่รถหวูหลิงหงกวงนะ!
หมายเลข24 แกรอฉันก่อนเถอะ!
เป็นอีกครั้งที่หลิวซิวกัดฟันกรอด เหยียบคันเร่งเต็มแรง ตามไปทันที เพียงแต่เพราะทางข้างหน้ามีโค้งเยอะมาก ผ่านทางโค้งมาหลายโค้ง ทำให้เขาพบว่า เขามองไปเห็นรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นแล้ว
พี่เขย เยี่ยมไปเลย!
บนรถหวูหลิงหงกวงนั้น อิ่นหนิงหยู่ถูกฝีมือของเขาเมื่อสักครู่จัดการจนสิ้นฤทธิ์ราบคาบ ใบหน้าเล็กอันอ่อนเยาว์ตื่นเต้นจนแดงระเรื่อ เมื่อกี้ทำให้เธอตื่นเต้นมาก ถึงจะมีการเตือนก่อนหน้านี้แล้ว เธอก็เกือบจะหน้าคะมำเหมือนกัน
เรียกพี่เขยหลายๆรอบสิ ฉันจะพาเธอแซงหมายเลข 23
ได้เลย พี่เขย
อิ่นหนิงหยู่ไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว เรียกพี่เขยไปหลายครั้ง เรียกจนหนำใจ แต่เขาที่มองอยู่ข้างหน้า พี่เขย หมายเลข23เหมือนจะแล่นไปไกลแล้วนะ
แล่นไปไกล ก็ไม่เป็นไรหรอก ข้างหลังยังมีถนนอีกสิบสี่เส้น
ฉินเฟิงใบหน้าเรียบเฉย
แผนที่ด้านบน ด้านหน้าเป็นทางที่เดินทางได้สบายมาก แต่พอยิ่งถึงหลังๆ ก็จะมีข้อจำกัดเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ พอถึงข้างหลัง มีทางไม่น้อยเลยที่เป็นทางสูงชัน ต้องลดความเร็วลง
อะไรนะ ถูกแซงแล้วงั้นหรอวะ?
ในเวลานี้เอง เฉินป๋อที่ได้รับข่าวก็รู้สึกมึนไปเลย หลิวซิวที่เป็นปีศาจจอมชนอันดับหนึ่ง ที่รับปากกับเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะไม่มีทางให้รถหวูหลิงหงกวงแซงได้ ตอนนี้กลับถูกแซงเฉยเลย
หลิวซิว แกจงใจใช่ไหมวะ
เฉินป๋อตะโกนถามหลิวซิวทางหูฟัง
หลิวซิว ……
โทษเขาไม่ได้จริงๆนั่นแหละ เขาทำเต็มที่แล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงว่า กลับถูกรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นทำแบบนี้ใส่ เขาจึงทำเป็นหูทวนลม แต่เขาก็หยุดลง แล้วอาศัยแรงเล็กน้อย พุ่งทะยานไปด้านขวา
เขาไม่รู้สึกตัวเลยจริงๆ
แต่พอต้องเผชิญหน้ากับคำถามของเฉินป๋อ หลิวซิวไม่มีคำตอบ เพราะว่าพูดแบบนั้นออกไปจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเขาจะได้ชื่อว่าไอ้เศษสวะ ฉันจะขอเตือนแกหน่อย เขามีเทคนิคชั้นเชิงในการแซงรถพิเศษมาก
หลิวซิวถูกรถหวูหลิงหงกวงแซงได้อย่างไร หลังจากนั้นก็บอกกับเฉินป๋อไป แล้วก็รีบวางสายไป เพราะว่าเขาได้อับอายขายขี้หน้าไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ในตอนที่เขาเตรียมจะพุ่งตรงเข้าไปหารถหวูหลิงหงกวงด้วยความโกรธ และในตอนที่เขาจะพุ่งเข้าชนนั้น
กลับพบไร้ซึ่งเงาของรถหวูหลิงหงกวงแล้ว
เขาไม่มีวิธีไหนแล้วจริงๆ พึ่งพูดกับเฉินป๋อไป
ยังมีเทคนิคงั้นหรอ!
เฉินป๋อขมวดคิ้วเป็นปม แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็กดสายที่หูฟังอีกครั้ง ครั้งนี้เสียงถูกกระจายไปทุกคัน ข้างหน้าของฉัน นอกจากตู้ต้วนเทียนแล้ว ยังมีรถอีกเจ็ดคัน พวกแกช่วยฉันขวางรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นไว้ แล้วฉันจะให้คนละสามแสน
เงินอยู่ที่นี่มีประโยชน์มาก ยิ่งไปกว่านั้น คันที่อยู่ข้างหน้าพวกนั้นก็ไม่ชอบรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นอยู่แล้ว
คุณชายเฉินใจกว้างมาก ฉันหมายเลข2น้อมรับเอง ยังไงซะก็ชนะเทพเจ้าแห่งการแข่งรถตู้ไม่ได้อยู่แล้ว ฉันขอยอมแพ้
ฉันก็ขอรับเหมือนกัน แค่รถหวูหลิงหงกวงคันเดียว กล้าแข่งกับพวกเราอย่างงั้นเหรอ?หึๆ
วันนี้ฉันจะสั่งสอนให้มันรู้จักว่า จะแข่งกับพวกเรา ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำซะแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบรับออกมาจากปลายสายทันที ยังไงตอนนี้พวกเขาก็แซงที่1ไม่ได้อยู่แล้ว รถที่เหลือก็ยืนกรานกันเป็นเสียงเดียว ดังนั้น สู้รับเงินสามแสนของเฉินป๋อ ไว้หน้าเขาหน่อย
ว้าว!
บนภาพจอมอมิเตอร์ใหญ่ มีเสียงตกใจของพิธีกรดังขึ้น แล้วรีบพูดต่อไปว่า ทุกท่านรีบดูนั่นสิครับ เหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วครับ ก่อนหน้านี้รถเจ็ดคันที่อยู่ด้านหน้ายังไม่มีใครยอมใครอยู่เลยแต่ดูนี่สิเจ็ดคันพร้อมใจกันถอยลงมา ปล่อยให้หมายเลข23ได้ทะยานไปข้างหน้า ตอนนี้ขึ้นเป็นอันดับ2แล้วครับ นี่……ผมเข้าใจแล้ว รถ7คันนี่เตรียมจะเข้าไปขวางรถหวูหลิงหงกวงที่อยู่ข้างหลังสินะครับ!
พูดตามจริง มันดูอัปยศไปหน่อยนะครับแบบนี้!
เสียงพูดของพิธีกรจบลง ก็มีเสียงก่นด่าออกมาทั้งสนามแข่ง แต่ตามมาด้วยเสียงเลี้ยวลดคดเคี้ยวของพิธีกร แต่ มันทำได้ครับ เป็นกลยุทธ์แบบหนึ่ง และรถหมายเลข5ในตอนนี้กับก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกันแล้ว รถหมายเลข5คือหลิวซิว มีแค่รถคันเดียว แต่รถทั้งเจ็ดคันในตอนนี้ มีความสามารถเทียบเท่ากับหลิวซิว กระทั่งยังเก่งกว่าด้วยซ้ำ ครั้งนี้รถหวูหลิงหงกวงยังมีโอกาสทะยานไปข้างหน้าได้อีกหรือไม่?
นี่เป็นทางตายชัดๆ มันหนักกว่าทางตายเมื่อกี้ ครั้งนี้ รถหวูหลิงหงกวงจะสามารถพุ่งไปข้างหน้าได้อีกหรือไม่ สร้างปาฏิหาริย์ใหม่อีกครั้ง พวกเราคอยดูต่อไปนะครับ!
คำพูดของพิธีกร ทำให้ผู้ชมทั้งสนามจับจ้องไปที่จอมอนิเตอร์นั้นอย่างใจจดใจจ่อ
จะพุ่งไปได้ยังไงวะ ฉันว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้หรอก
ถนนเส้นนี้พอสำหรับรถแค่สามคันเท่านั้น แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆแค่รถสามคันแล้ว ตอนนี้มีรถตั้งเจ็ดคันเชียวนะ อีกทั้งรถทั้งเจ็ดคันต่างเป็นยอดฝีมือ ถ้าเกิดมีใจคิดอยากจะขัดขวางรถหวูหลิงหงกวงแต่แรกอยู่แล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้นเขาคงอาจจะออกมาไม่ได้หรอก
พุ่งออกไปไม่ได้ ไม่มีทางพุ่งออกไปได้หรอก ไม่มีทางหรอก!
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างส่วนใหญ่คิดว่ารถหวูหลิงหงกวงไม่มีทางพุ่งตัวออกมาได้ ถึงจะมีเทคนิคเมื่อสักครู่ ตอนนี้มันยากเกินไป รถเจ็ดคันช่วยคันขวางทางไว้
ไอ้หมอนี่ ใช้รถหวูหลิงหงกวงพุ่งขึ้นมาจนได้นะ แต่วันนี้แกจะต้องนอนรออยู่ที่นี่แล้วล่ะ ถ้าผ่านฉันไปได้ ฉันจะไม่ขออยู่ในวงการนี้อีกต่อไป
รถแข่งหมายเลข2เป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง มองดูจากกระจกมองหลังเห็นรถหวูหลิงหงกวงคันนั้น เขาก็แสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายขึ้นมา แค่รถหวูหลิงหงกวงธรรมดาคันเดียวอยากจะแซงพวกเขาอย่างงั้นเหรอ!
ฝันไปเถอะ!
รถทั้งเจ็ดคันของพวกเขาเรียงตัวกันอยู่บนถนน ขวางทางรถหวูหลิงหงกวง!
พี่เขย ตอนนี้จะทำยังไงดีล่ะ?พวกเราถูกขวางจนทางตันหมดแล้ว ไม่เหลือช่องว่างให้พวกเราแม้แต่นิดเดียว ถึงจะใช้วิธีก่อนหน้านั้นก็ไม่มีทางแซงได้หรอก
อิ่นหนิงหยู่มองดูรถที่อยู่ข้างหน้า จึงรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาอีกครั้ง
ตอนแรกยังคิกอยากใช้วิธีก่อนหน้านั้นอีกครั้ง แต่ตอนนี้คงจะไม่มีหวังแล้วละ ไม่มีช่องว่างเหลือไว้ให้พวกเขาแม้แต่นิดเดียว จะให้พวกเขาแซงรถยังไงกัน
หนิงหยู่ เธอต้องรู้นะว่า บางครั้งมีคนเยอะ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีประโยชน์นะ กระทั่ง
ฉินเฟิงพูดจบ ก็จีบพวงมาลัยแน่น แล้วเหยียบไปที่คันเร่งจนมิด จับให้แน่นล่ะ
ได้!
อิ่นหนิงหยู่รีบจับเบาะที่นั่งจนแน่น เอาหัวใจทั้งหมดไปวางไว้ที่ระหว่างเสียงกรี๊ด!
เคลื่อนตัวแล้วครับ เคลื่อนตัวแล้ว รถหวูหลิงหงกวงเริ่มเคลื่อนตัวแล้วครับ หยุดไปเพียงหนึ่งวินาทีเท่านั้น พระเจ้าช่วย ตามไปแล้วครับ เป็นการเร่งความเร็วที่เร็วมากเลยครับ เขากำลังจะทำอะไรกันแน่เนี่ย……เขา……พุ่งชนเข้าไปแล้วครับ……นี่เป็นทางโค้งนะ!พระเจ้าช่วย!
เสียงแตกๆของพิธีกรดังขึ้นอีกครั้ง แฝงไปด้วยความเหลือเชื่อ!
บทที่39 แซงหลิวซิว !แซงหมายเลข5ไปแล้ว
ทุกคนต่างพากันตกใจไปตามๆกัน!
ตามขึ้นมาแล้ว?
ทันใดนั้นจอมอมิเตอร์ก็มีภาพถนนเส้นที่สิบเอ็ดเด้งขึ้นมา ตอนนี้หลิวซิวกับเฉินป๋ออยู่ถนนเส้นที่สิบเอ็ด กำลังสู้กันอย่างดุเดือด จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้สังเกตเห็น ข้างหลัง มองไปที่ทิศพระอาทิตย์ตก รถหวูหลิงหงกวงเจ็ดที่นั่งไล่ตามขึ้นมา
เฉินป๋อ วันนี้กูจะชนมึงให้ตายเลย
หลิวซิวกัดฟันกรอด เตรียมจะพุ่งชนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาไม่เหยียบคันเร่ง เพราะว่าเขามองผ่านกระจกหลังเห็นรถหวูหลิงหงกวงคันหนึ่งตามขึ้นมา
ทั้งสนามแข่ง มีแค่รถหวูหลิงหงกวงคันเดียวเท่านั้น
เชี้ยเอ้ย ตามขึ้นมาทันแล้ว!
หลิวซิวเบิกตากว้าง พวกเขาเป็นถึงทีมระดับสาม หนึ่งในรถ24คันในครั้งนี้ พวกเขาอยู่ท้อปเท็นเลยนะ แต่ตอนนี้รถหวูหลิงหงกวงกลับตามขึ้นมาทัน!
ล้อกันเล่นอะไรเนี่ย!
ด้านหลังยังมีรถ13คัน!
นั่นเป็นรถแข่งชั้นนำเลยนะ นอกจากรถหวูหลิงหงกวงของฉินเฟิงแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปที่ไหน เป็นคนเก่าคนแก่ที่ผ่านมาเป็นร้อยสนาม กลับถูกแซงเนี่ยนะ!
พี่เขย สุดยอดไปเลย
แต่ในรถหวูหลิงหงกวงนั้น อิ่นหนิงหยู่ใบหน้าแดงก่ำ เพราะว่าเร็วที่เกินขีดจำกัด และเพราะว่าแซงรถข้างหลังมาเยอะมาก ตอนนี้หัวใจเต้นตึกตัก และมีความตื่นเต้นเล็กน้อย ปากเรียกพี่เขยๆไม่หยุด
ตอนนี้เธอไม่ได้คิดเรื่องที่ฉินเฟิงแกล้งเธอรึเปล่าแล้ว
ประโยชน์ของเธออย่างเดียวคือ ก็คือการเอกเธอมาเรียกพี่เขย เสียงเรียกพี่เขยดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ร้องเสียงดังมาก นี่เป็นการทำด้วยความเต็มใจ นี่เป็นความตื่นเต้นอย่างหนึ่ง
พี่เขย หมายเลข 5 หมายเลข23 หมายเลข23คือเฉินป๋อ ขอแค่ตามขึ้นไปทัน ขอแค่ตามขึ้นไปได้ พวกเราก็จะเป็นผู้ชนะแล้ว ตามไปเร็ว! อิ่นหนิงหยู่ชี้ไปที่หมายเลข 23ที่อยู่ข้างหน้า สายตาเต็มไปด้วยความดีใจ
ตอนแรกเธอยังคิดว่าเธอแพ้แน่นอน เธอกำลังเตรียมการที่ปล่อยฉินเฟิงทิ้งไว้ แล้วคิดหนีไปคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เธอพบว่า พวกเขามีโอกาสชนะแล้ว คงไม่แพ้แล้ว
ตามขึ้นมาได้แล้ว ตามขึ้นมาได้แล้ว ทุกคนต่างรู้ดีเกี่ยวกับการเดิมพันระหว่างหมายเลข 23กับหมายเลข24 วางเดิมพันสูงถึงหนึ่งล้าน นี่เป็นการวางเดิมพันที่ใหญ่ที่สุดในสนามแห่งนี้ ตอนแรกยังคิดว่ารถหวูหลิงหงกวงต้องแพ้แน่ๆ แต่ทำยังไงก็คิดไม่ถึงว่า รถหวูหลิงหงกวงจะตามขึ้นมาได้ เหลือเชื่อมากเกินไปแล้ว ดูท่า การแข่งขันนัดนี้ กวางจะตายในมือใคร ยังไม่แน่นอนเลยครับ
พิธีกรพูดอย่างตื่นเต้นอยู่ด้านบน ทำให้คนข้างล่างรู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้นมาด้วย
รถหวูหลิงหงกวงจะชนะหรือไม่?
ถึงแม้จะแซงรถแข่งมา13คัน แต่ข้างหน้ายังมีรถอีกกว่า10คัน อีกทั้งยังเป็นคนจำพวกเดียวกับหลิวซิว การแพ้ชนะในสนามแห่งนี้ อยากที่ใครจะคาดเดาได้
ตามขึ้นมาทันจริงๆด้วย รถด้านหลังโง่รึไงวะ
เฉินป๋อพบว่ารถหวูหลิงหงกวงตามขึ้นได้แล้ว จึงรู้สึกโกรธมาก ด่าคนข้างหลังพวกนั้นว่าโง่ การวางเดิมพันของเขาครั้งนี้ ข่าวถูกแพร่กระจายออกไปทั้งสนามแข่ง ถ้าถูกรถหวูหลิงหงกวงตามขึ้นมาทัน เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
รถมูลค่าหลักล้าน ต้องแพ้ให้กับรถหวูหลิงหงกวง!
ต่อไปคงไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่วงการในสนามแข่งรถอีกแล้ว
หลิวซิว ช่วยฉันจัดการรถหวูหลิงหงกวงหน่อย หลังจากจบการแข่งครั้งนี้ ฉันจะให้แกสามแสน
เฉินป๋อกดไปที่หูฟังของตัวเอง เรียกสายไปที่หลิวซิว
นี่เป็นสิ่งที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ
ได้ ถูกใจฉันพอดี
หลิวซิวตกลง การแข่งขันครั้งนี้ที่หนึ่งได้แค่สามแสน สามารถรับเงินจากไอ้เศรษฐีคนนี้ได้สามแสน มันก็เท่ากับได้ที่หนึ่งนั่นแหละ อีกทั้งมีจุดหนึ่งนั่นก็คือ เขาไม่ชอบขี้หน้ารถหวูหลิงหงกวงคันนั้น
เขาเป็นคู่ปรับของโหวเฟย โหวเฟยสนับสนุนใคร เขาก็จะชนมันให้เละเป็นโจ๊กไปเลย
โอเค
เฉินป๋อรีบเร่งเครื่องขึ้นมาทันที ครั้งนี้หลิวซิวไม่ได้ชนเขาอีก ปล่อยให้เขาไปจากสนามรบแห่งนี้อย่างสำเร็จ
สถานการณ์ในตอนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เฉินป๋อกับหลิวซิวเหมือนจะทำข้อตกลงกัน เฉินป๋อไปจากหล่มนี้อย่างราบรื่น แต่หลิวซิวรับหน้าที่อยู่ต่อเพื่อสู้กับรถหวูหลิงหงกวงต่อ ครั้งนี้ รถหวูหลิงหงกวงจะสามารถแซงหลิวซิวไปได้หรือไม่ จะสร้างปาฏิหาริย์อะไรขึ้นอีกไหม พวกเราคอยดูกันต่อไปเถอะครับ
พิธีกรตะโกนสุดเสียง ทำให้ผู้ชมในสนามต่างพากันวิจารณ์ขึ้นมาทันที
รถหวูหลิงหงกวง จึงจะมีฝีมือที่ไม่เลว แต่อยากจะแซงหลิวซิว คงจะเป็นไม่ได้หรอก หลิวซิวน่ะเป็นผู้เล่นที่มีชั้นเชิง ถนัดในการชนคนอื่น ตอนนี้เข้าไปสู่ถนนเส้นที่18แล้ว หลังจากนี้ก็จะมีทางโค้ง ทั้งคู่ไม่กล้าขับเร็วหรอก รถหวูหลิงหงกวงที่อยู่ด้านหลังโครงสร้างก็ใหญ่ ไม่มีทางแซงได้หรอก ถ้าเกิดแซงขึ้นมา คงจะถูกชนทันที
เห็นได้ชัดว่า รถหวูหลิงหงกวงไปไม่ได้หรอก ต้องถูกหลิวซิวปิดกั้นทางแน่
ด้านหลังทางโค้งเยอะขนาดนั้น ไม่มีทางไหนให้ไปแล้วล่ะ
ทุกคนต่างพากันวิจารณ์ถกเถียงกัน ผมสุดท้ายก็คือ รถหวูหลิงหงกวงจะถูกรถของหลิวซิวปิดไว้ทุกทาง ไม่สามารถผ่านไปได้ ต้องรู้ว่าหลิวซิวช่ำชองในการชนที่สุด ใครกล้าแซง จะพุ่งเข้าชนทันที
หึๆ ไอ้อ่อนเอ้ย วันนี้กูจะให้ดูความสามารถของกู กูจะปิดมึงทุกทางเลย!
หลิวซิวบังคับทิศทาง มองดูรถที่อยู่ข้างหลังของเขา ที่สูงกว่าหนึ่งเมตร เขามองดูรถหวูหลิงหงกวงรถใหญ่อย่างเลือดเย็น รถใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งมาอยู่ที่นี่ยิ่งทำให้แซงได้ลำบากมาก
อีกทั้งเขายังไม่กลัวที่จะพุ่งเข้าชน!
ด้านหลังของเขายังมีเหล้าอยู่แผ่นหนึ่ง!
เขาไม่กลัวที่จะถูกชน!
หระทั่ง เขายังยินดีที่จะยอมถูกรถหวูหลิงหงกวงชนด้วยซ้ำ
วันนี้ กูจะทำให้มึงเดินออกมาไม่ได้เลย อยู่ที่นี่ไปจนตายนั่นแหละ หลิวซิวพูด
บนรถหวูหลิงหงกวงนั้น อิ่นหนิงหยู่มองเป้าหมายของหลิวซิวออก เขาจึงรีบถามออกไปว่า ทำยังไงดีล่ะ ทำยังไงดี?เขาตั้งใจขวางพวกเราไว้ พวกเรายังจะพุ่งเข้าไปดีไหม รถหมายเลข23แล่นไปไกลแล้วนะ
เรียกพี่เขยสิ ฉันจะเธอพุ่งไปเอง
พี่เขยคะ!
อิ่นหนิงหยู่ไม่ปฏิเสธ เธอเรียกด้วยความเต็มใจ
จับไว้ให้ดีล่ะ
ฉินเฟิงพูดหนึ่งประโยค อิ่นหนิงหยู่ก็เข้าใจได้ในทันที รีบจับที่นั่งแน่น วินาทีต่อมา รถหวูหลิงหงกวงเพิ่มความเร็ว พุ่งเข้าไปเต็มแรง หันไปชนเข้ากับด้านซ้ายของหลิวซิว
เตรียมจะแซง
จะแซงแล้ว รถหวูหลิงหงกวงเร่งความเร็วมาแล้ว จะแซงแล้ว หลิวซิวก็รู้สึกตัวแล้ว กำลังหมุนพวงมาลัยแล้ว ไปทางด้านซ้าย รถหวูหลิงหงกวงเร่งความเร็วขึ้นมาอีกครั้ง แล้วชนเข้าให้ พระเจ้าช่วย จะชนแล้วครับ!อะไรกันเนี่ย……จอดแล้ว……นี่มัน!
เสียงดังปึ้ง!
ทุกคนต่างพากันตะลึงเบิกตากว้าง มองดูรถหวูหลิงหงกวงที่เกือบจะชนกับรถของหลิวซิว แต่วินาทีต่อมากลับเหยียบเบรก ทำให้รถไม่ได้รับแรงส่ง จนหมุนควง!
พอดีกับ การหมุนควงรถไปทางเลนส์ขวาของถนน
ตามมาด้วย เสียงเพิ่มความเร็ว รถหวูหลิงหงกวงพุ่งจากเลนส์ด้านขวาของถนน แล้วแซงไปทันที รูม่านตาของหลิวซิวเบิกกว้าง พอรู้สึกตัวได้อีกที ก็รีบเข้าไปยังเลนส์ขวา เตรียมจะไปแทนที่
แต่น่าเสียดาย ที่มันสายไปแล้ว
รถหวูหลิงหงกวงแซงได้แซงไปแล้ว!
พระเจ้าช่วย แซงไปแล้ว รถหวูหลิงหงกวงแซงรถหมายเลข5ของหลิวซิวไปแล้ว แซงหลิวซิวปีศาจนักชนเบอร์หนึ่งไปแล้ว อีกทั้งยังเหยียบเบรก ทิ้งอีกฝ่ายไปเลย พระเจ้าช่วย สุดยอดไปเลย!เทคนิคนี้!
เสียงแตกอีกแล้ว พิธีกรตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก
บทที่38 การแข่งขันระหว่างหมายเลข 5 กับหมายเลข 23
ทุกท่านครับ ทุกท่านครับ ตอนนี้ คนที่อยู่ข้างหน้าสุดคือเทพแห่งการแข่งรถตู้หมายเลข1 กำลังอยู่แนวหน้า เขาได้ไปถึงถนนเส้นที่เก้าแล้ว คนส่วนมากตอนนี้ได้เข้าไปสู่ถนนเส้นที่แปดแล้ว
บนถนนเส้นที่แปดตอนนี้ คนที่อยู่แนวหน้าคือหมายเลข 2 กับหมายเลข 4 ตามมาติดคือหมายเลข 6 หมายเลข 8 หมายเลข 9 ทั้งห้าคันนี้เบียดกันมาแน่นมาก ไม่มีใครยอมใครทั้งนั้น ต่างพากันขวางซึ่งกันและกัน ผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าต่างอยู่ในห้าอันดับแรกในการแข่งครั้งก่อน ความสามารถสูสีกันมาก ดูท่าแล้ว ที่สองกับที่สามคงจะต้องเลือกจากในนี้แล้วสินะครับ
ถัดมาอีกเล็กน้อยคือหลิวซิวหมายเลข 5 ยังมีเฉินป๋อที่ผลาญเงินเหมือนเศษดิน ผู้มีชื่อเสียง คุณชายเฉิน ตอนนี้หมายเลข 5 กับหมายเลข 23 ขอย้ำอีกครั้ง หมายเลข23เฉินป๋อตั้งใจไปสลับตำแหน่งมา เพื่อจะได้อยู่ข้างๆหมายเลข24 แต่น่าเสียดายที่หมายเลข24 ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ถนนเส้นไหน
ทุกท่านครับ รีบดูสิครับ หมายเลข5 กับหมายเลข23เริ่มผลัดกันขึ้นนำแล้วครับ
หลังจากคำพูดของพิธีกรพูดจบ ผู้ชมที่อยู่ในสนามก็เกิดคึกคักกันมากยิ่งขึ้น ทั้งสนามถูกจุดประกายขึ้น หนึ่งในนั้น หมายเลข5 กับหมายเลข23กำลังเรียงกันอยู่ อยากจะขึ้นนำหน้า แต่อีกคนก็ไม่ยอม
อะไรนะรถหวูหลิงหงกวง ไอ้ขยะนั่น อย่างน้อยๆคู่แข่งของฉันก็ต้องเป็นรถอย่างหมายเลข 5เว้ย
หมายเลข 23ที่อยู่ด้านบน เฉินป๋อกำลังขับรถอยู่ ขับไปด้วย มองหมายเลข5ที่อยู่ข้างๆไปด้วย ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น หลิวซิว วันนี้ กูจะเหยียบมึงเพื่อขึ้นอันดับเว้ย
หลิวซิวถือได้ว่าเป็นผู้เข้าแข่งขันฝีมือดีคนหนึ่ง มีชื่อเสียงในสนามแข่งรถใต้ดินมาก เป็นคนจำพวกท๊อปเทน แต่การแข่งขันในครั้งก่อน หลิวซิวไปชนโดนรถของเฉินป๋อ ทำให้เฉินป๋อจำไม่เคยลืม
พอมาถึงก็ตรงเข้าห้ำหั่นกับหมายเลข 5ทันที ไม่อย่างนั้น ตอนนี้หลิวซิวคงไม่ต้องมาอยู่ขั้นที่สามแบบนี้หรอก
สำหรับรถหวูหลิงหงกวงแล้ว ลืมไปตั้งนานแล้ว
รถหวูหลิงหงกวงเส็งเคร็งคันนี้ กล้ามาแข่งกับนักแข่งมืออาชีพอย่างเขา แข่งกับรถราคาหลักล้านเนี่ยนะ?
เฉินป๋อ แม่งเอ้ย ไอ้คุณชายเหลือเดน ใจแคบขนาดนี้ มาถึงก็จะห้ำหั่นกับฉัน อาศัยเครื่องแรงกว่าของฉัน เร็วกว่าฉันไปหนึ่งก้าว หลังจากนั้นยังจะไม่ยอมให้ฉันนำหน้าอีก
ใบหน้าของหลิวซิวเต็มไปด้วยความโกรธ ด้านหน้ามีโค้งหนึ่งโค้ง ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเหยียบเบรก ทันใดนั้นคราวนี้การแซงรถเกิดพลาดอีกครั้ง ทำให้เขาไปอยู่ท้ายของหมายเลข 23
เวลานี้เอง มีเสียงของหญิงต่างชาติที่พูดอย่างขาดๆหายๆจากรถหมายเลข 23 ดังขึ้นมา หมายเลข……7……ไอ้……ขยะนั่น……อยู่ข้างหลัง……ฉิบ
แม่งเอ้ย เฉินป๋อ
หลิวซิวตาแดงขึ่นมาทันที ขับรถมานานตั้งหลายปี ไม่เคยรับการท้าทายแบบนี้มาก่อนเลย เขาจึงพูดขึ้นมาว่า เฉินป๋อ มีเงินคิดว่าจะทำอะไรก็ได้งั้นเหรอห้ะ กูเป็นนักแข่งมีชั้นเชิงเว้ย วันนี้กูจะชนมึงให้ตายไปเลย
เสียงดังขึ้นปึ้ง
หลิวซิวหมายเลข 5 ชนเข้าให้กับรถหมายเลข 23 ของเฉินป๋อ
สถานการณ์ตอนนี้ดุเดือดมากเลยครับ ดุเดือดโคตรๆ จากการรายงานของช่างกล้องของเรา เฉินป๋อสอนผู้หญิงที่เขาควงมาด้วยพูดภาษาจีนหนึ่งคำ ‘ไอ้ขยะเบอร์เจ็ด เป็นไอ้งั่งอยู่ข้างหลังไปเถอะ’ทำให้หลิวซิวโกรธขึ้นมาทันที เอารถพุ่งชนหมายเลข 23 ของเฉินป๋ออย่างแรง
หลิวซิวมีชื่อเสียงมากในการแข่งรถใต้ดิน เพราะว่าเจ้าหมอนี้ชอบชนรถคนอื่นมาก มีรถอยู่คันหนึ่ง ถูกรถห้าคันชนจนกระจุยกระจาย ทำให้สร้างชื่อเสียงมาก เป็นตำนานของนักแข่งรถคนหนึ่ง
แต่เฉินป๋อคนนี้ เป็นเศรษฐีที่มีชื่อเสียงในการแข่งรถใต้ดิน จุดเด่นคือมีเงินเยอะมาก รถหมายเลข 23 ที่เขานั่งอยู่ในตอนนี้เป็นรถที่ถูกโมดิฟายขึ้นมาโดยเฉพาะ เป็นรถที่มีราคาแพงที่สุดในบรรดารถทั้งหมด เครื่องยนต์ดีที่สุด แต่ นี่ไม่ใช่การแข่งรถที่ดูเงิน หลังจากถนนเส้นที่สิบไปแล้ว ด้านหลังเป็นทางโค้งทั้งหมด สถานการณ์แบบนี้ ถ้าเร่งความเร็วมากไปก็จะเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ต้องใช้เทคนิคเฉพาะตัวทั้งหมด
วันนี้ ผู้เข้าแข่งขันที่มีชื่อเสียงทั้งสองคน ตกลงใครจะแพ้ใครจะชนะกัน ใครจะได้เป็นผู้ครองแชมป์ พวกเราคอยดูต่อไปกันเลยครับ หลิวซิวจะชนรถอีกครั้งแล้ว!เสียงกรี๊ด!
พิธีกรที่ทั้งตะโกนและร้องสุดเสียง เป็นอีกครั้งที่ทั้งสนามร้อนระอุขึ้นอีกครั้ง เพราะฉะนั้นคนทุกคนต่างมองไปที่รถคันนั้น เทียบกับข้างหน้า ยังคงเป็นรถสองคันนี้ที่น่าสนใจกว่า
ปึ้ง!
รถของเฉินป๋อสนั่นหวั่นไหวไปทั้งคัน เขาเกือบจะบังคับทิศทางต่อไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็กลับมาบังคับได้เหมือนเดิม ตามมาด้วยเสียงก่นด่า แม่งไอ้บ้าเอ้ย ทางโค้งแบบนี้ยังจะชนมาอีก อยากจะให้พวกฉันสองคนรถคว่ำรึไงวะ
เอารถเข้าพุ่งชนทางโค้งอันตรายมาก เพราะว่าถ้าควบคุมไม่ได้ รถทั้งคันก็จะพลิกคว่ำได้
แต่หลิวซิวเป็นคนที่มีความสามารถมาก แน่นอนว่าต้องควบคุมรถได้อยู่แล้ว ชนรถของเฉินป๋อครั้งแล้วครั้งเล่า แต่รถของเขาก็ไม่ได้เสียหลักแต่อย่างใด กระทั่งไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
สำหรับการเอารถเข้าพุ่งชนแล้ว หลิวซิวมีความชำนาญฝึกฝนอย่างเชี่ยวชาญ
ฮ่าๆ เฉินป๋อ แกคงจะกลัวแล้วสินะ
ในสายตาของหลิวซิวมีความสนุกแวบผ่านเข้ามา ชนรถของคนรวย มันตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้นี่เอง
ทันใดนั้น เขาก็เหยียบคันเร่ง แล้วเข้าไปพุ่งชนอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนครั้งก่อน เพราะว่ารถของเฉินป๋อชะลอความเร็วลง ทำให้ท้ายรถของเขาชนเข้ากับรถของหลิวซิว หลิวซิวที่ยังไม่ทันรู้สึกตัว จึงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย เขาเกือบจะ ควบคุมรถตัวเองไม่ได้
แต่สุดท้ายความผู้ที่มีความสามารถ ยังไงก็เป็นคนที่กัดฟันควบคุมรถได้นิ่งอยู่ดี
หลิวซิว ท้ายรถของกูเสริมด้วยเหล็กชิ้นใหญ่เว้ย ถ้าแกทำได้แกก็เข้ามาอีกสิวะ ชนให้ตายไปเลย จริงๆเลยเชียว กล้าเป็นศัตรูกับฉัน
ข้างหน้ามีเสียงของเฉินป๋อดังออกมา
มึงคิดว่า กูจะกลัวมึงหรอวะ
หลิวซิวหัวเราะเสียงเยือกเย็น เฉินป๋อที่เอาเหล็กแผ่นใหญ่เสริมอยู่ตรงท้ายรถ แต่เขาก็เสริมเหล็กแผ่นใหญ่ไว้ตรงหน้ารถเหมือนกัน ถ้าพูดถึงเรื่องชน เขายอมรับว่าไม่มีทางยอมแพ้ให้กับเฉินป๋อแน่ ทันใดนั้นเอง เสียงปึ้งก็ดังขึ้น
พุ่งชนเข้าไปอีกครั้งอย่างจัง
แต่ครั้งนี้เป็นเฉินป๋อถอยหลังมาพอดี
รถของทั้งสองจึงชนประสานกันเข้าอีกครั้ง แนบสนิทติดกัน ไม่ขึ้นและไม่ลง
สงครามเดือดขึ้นอีกครั้งแล้วครับทุกท่าน รถหมายเลข 5กับหมายเลข23 ถูกบี้ด้วยกันแล้วครับ ทั้งสองไม่สามารถไปต่อข้างหน้าได้ ตอนนี้ตีกันจนเดือดระอุเลยครับ ดูท่าแล้ว วันนี้รถทั้งสองคันจะมีคนแพ้คนชนะแค่หนึ่งคนแล้วล่ะ สำหรับก่อนหน้านี้ที่พวกเขามุ่งเป้าไปที่รถหวูหลิงหงกวงแต่แรก ตอนนี้ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว พวกเราไปตามดูอีกครั้งเถอะครับ
พิธีกรเผยความคิดที่น่าขยะแขยงออกมา
แต่ ครั้งนี้เขาเริ่มจากการตามข้างหน้า เป็นอีกครั้งที่หาไม่เจอ
รถหวูหลิงหงกวงคันนั้นคงจะหยุดไปแล้วล่ะครับ ไม่มีความจำเป็นต้องหาแล้วล่ะ รถขยะแบบนั้น ยังจะเข้าแข่งอีก จริงๆเลยนะ สมองมีปัญหาแน่ๆ
มันไม่มีทางชนะได้แน่ สมรรถภาพเทียบอะไรกับใครไม่ได้เลย ห่างชั้นกันมาก
ไม่ต้องหาแล้วล่ะครับ คาดว่าคงจะตกหน้าผาไปแล้วล่ะ
คนทั้งสนามต่างพากันหัวเราะเยาะเย้ย เริ่มตามหาตั้งแต่เริ่มต้น จนผ่านไปนานขนาดนี้ยังหาไม่เจอ คงจะตกหน้าผาไปนานแล้วล่ะ ไม่อย่างงั้นก็คงจะถอนตัวออกจากการแข่งขันไปแล้ว
สำหรับหน้าผานี้ล่ะก็ ไม่ได้มีความสุขมาก ไม่ได้ทำให้คนตายได้หรอก
แต่ เวลานี้เอง เสียงของพิธีกรกู่ร้องดังขึ้น เจอแล้วครับ พระเจ้าช่วย รถหวูหลิงหงกวงตามขึ้นมาได้แล้วครับ อยู่ตรงถนนเส้นที่สิบ อยู่ด้านหลังของหมายเลข 5 กับหมายเลข23 ห่างกันแค่ไม่กี่เมตร ตามขึ้นมาแล้วครับ!
เมื่อครู่หลังเวลามีการรายงานมาว่า รถหวูหลิงหงกวงแซงรถขึ้นมาทั้งหมด 13คันแล้วครับ เหลือเชื่อมาก ไม่กล้ากล้าคิดไม่กล้าฝัน แซงรถไปทั้งหมด13คัน!ตามรถของหลิวซิวกับเฉินป๋อขึ้นมาแล้วครับ!
มหัศจรรย์มาก!ปาฏิหาริย์จริงๆ!นี่เป็นแค่รถหวูหลิงหงกวงนะ!เป็นรถที่ถูกที่สุดในท้องตลาด กลับตามขึ้นมาได้! พิธีกรตะโกนพูดจนเสียงแตก
บทที่37 ถนนเส้นที่หนึ่ง
ดูนะ ไอ้อ่อน นี่คือลี่น่า ฉันเชิญผู้นั่งข้างคนขับมืออาชีพมาจากประเทศหมี่ เป็นมืออาชีพนะ รู้จักไหม ครั้งนี้ฉันใช้เงินลงทุนไปแล้วสามแสน ถึงสามารถเชิญเธอมาได้
เฉินป๋อยื่นหน้ามาจากข้างกายสาวสวยรูปร่างเซ็กซี่คนหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงสูงส่งกว่าคนอื่น
เธอเห็นแล้วใช่ไหม ว่าอุปกรณ์มันต่างกันมาก
ฉินเฟิงหันกลับมามองอิ่นหนิงหยู่
ทำยังไงดีล่ะ?
อิ่นหนิงหยู่รู้สึกร้อนใจขึ้นมาทันที เธอเป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาๆคนหนึ่ง เพราะว่าต้องการใช้เงินก้อนใหญ่ ครั้งก่อนเห็นฝีมือแข่งรถของฉินเฟิงแล้ว เลยคิดถึงการแข่งขันใต้ดินนี้
แต่ หล่อนไม่รู้เรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ตำแหน่งข้างๆคนขับยังต้องใช้ผู้ช่วยคนขับที่มืออาชีพด้วยหรอ?
ตอนนี้เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น
ฉินเฟิงใบหน้าเคร่งขรึม
วิธีอะไรงั้นเหรอ?
อิ่นหนิงหยู่ดึงมือของฉินเฟิง
ยังจำได้ไหม ถ้า เธอเรียกฉันว่า‘พี่เขย’หลายรอบหน่อย ฉันอาจจะทำมันออกมาได้ดีก็ได้ เป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของสนามแข่งแห่งนี้ แต่เธอจะต้องเต็มใจ เธอจะต้องรู้สึกว่าฉันเป็นผู้ชายที่คู่ควรกับพี่สาวเธอที่สุด ไม่อย่างนั้นมันจะไม่ศักดิ์สิทธิ์
จริงเหรอ?
อิ่นหนิงหยู่ใบหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม ว่านี่มันจริงเหรอ?
ไม่ใช่ว่าฉินเฟิงหลอกเธอหรอกนะ?
ในเวลานี้เอง ทั้งสนามก็มีเสียงโห่ร้องดังขึ้น หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ตามมาด้วยรถหลายคันพากันขับเคลื่อนไปแล้ว แต่รถหวูหลิงหงกวงยังหยุดนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงคันเดียวที่ยังไม่ได้สตาร์ทรถ
ข้างๆรถยังมีเสียงของเฉินป๋อดังลอดมา ฮ่าๆ พวกแกขับรถเป็นไหมเนี่ย ฉันไปก่อนนะ สาวสวยคนนั้นน่ะ ต้องเป็นของฉันแล้วล่ะ
ใครไปเป็นของนายไม่ทราบห้ะ!
อิ่นหนิงหยู่รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที เธอรับพูดกับฉินเฟิงไปว่า พี่เขย ซิ่งเลย พวกเราต้องตามมันให้ทัน ให้มันรู้ว่าพวกเราแน่ขนาดไหน ปัดโธ่เอ้ย
เธอไม่สนใจอีกต่อไปแล้ว
พี่เขยก็พี่เขยสิ
คงต้องรักษาม้าตายให้เป็นม้าเป็นแล้วล่ะ
ได้เลย
ฉินเฟิงที่ได้ยินคำพูดนี้แล้ว มุมปากแสยะยิ้มขึ้น หลังจากนั้นก็ขับเคลื่อนรถหวูหลิงหงกวงออกไป แต่รถหวูหลิงหงกวงยังไงก็เป็นรถหวูหลิงหงกวงอยู่วันยังค่ำ เวลาที่ออกตัวออกไปช้ามาก
ผ่านไปครู่เดียว รอจนฉินเฟิงเริ่มเข้าสู่สนามแข่ง ด้านหน้าก็ไม่เหลือเงาแล้ว
ลู่แข่งนี้ สร้างขึ้นใกล้กับภูเขาหลายลูก โอบล้อมไปด้วยภูเขาหลายลูก โดยเฉพาะสถานที่ใหญ่ หาทางก็สูงชัน ทางโค้งมีมากถึงร้อยโค้ง เต็มไปด้วยความท้าทาย อีกทั้งสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าต้องมีโดรนไปจนถึงพิธีกรที่เป็นมืออาชีพ
สวัสดีครับทุกคน ผมคือพิธีกรผู้คร่ำหวอดในวงการแข่งรถมาถึงแปดปี เลี่ยวฉายเหลียง
บนจอมอนิเตอร์ขนาดใหญ่ ฉายภาพบุคคลหนึ่งขึ้นมา เป็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง มีพกแว่นขอบสีทอง ดูไปแล้วเป็นคนที่มีความเชี่ยวชาญมาก แต่เสียงนั้น แฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง
เขาคือพิธีกรผู้มือชื่อเสียงคนหนึ่งของการแข่งรถใต้ดิน
สนามแข่งรถแห่งนี้ เป็นสนามที่ยอดเยี่ยมมากเลยครับ หนึ่งเป็นเพราะวันนี้ตู้ต้วนเทียนนักแข่งรถในตำนาน ตั้งแต่ที่เขาเป็นผู้ชนะ หลังจากนั้นเขาก็พักการแข่งไปช่วงหนึ่ง แต่ถึงจะเป็นการพักผ่อน ผู้ชมทั้งสนามต่างพากันเทคะแนนว่าเขาจะได้ที่หนึ่ง แต่ถึงยังไงข้างหลังก็มีหลิวซิว เฉินป๋อนักแข่งรถคนอื่นๆที่มืออาชีพ การแข่งขันในครั้งนี้น่าสนใจมากเลยครับ
แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือ ผมได้ยินมาว่า ในสนามมีรถหวูหลิงหงกวงคันหนึ่ง จากประสบการณ์ที่ ผมเป็นพิธีกรมายาวนานถึงแปดปีนั้น ผมไม่เคยเห็นรถหวูหลิงหงกวงเข้าแข่งเลย ไม่ว่าจะด้านไหนรถหวูหลิงหงกวงก็ไม่สามารถเทียบกับรถที่ใช้แข่งโดยเฉพาะได้เลย โดยเฉพาะเรื่องราคา นี่ไม่ได้กำลังล้อเล่นใช่ไหมครับ แต่ผมคิดว่า ในเมื่อกล้าที่จะแข่งขัน อย่างงั้นก็ต้องเป็นคนที่เก่งมาก ให้พวกเราดูหน่อยเถอะ ว่ารถหวูหลิงหงกวงคันนี้ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว
ให้โดรน พาพวกเราไปดูด้วยกันเถอะครับ
ตามมาด้วยคำพูดของพิธีกร จอมอมิเตอร์ใหญ่ก็เริ่มมีภาพปรากฏขึ้น ต่างเป็นภาพที่โดรนกำลังถ่ายทำอยู่ แต่หาอยู่นานมาก ก็ไม่เห็นรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นเลย
รถคันนี้ อยู่ไหนกันเนี่ยครับ?หรือจะอยู่ข้างหน้าสุดกัน?เก่งกาจขนาดนี้เชียวเลยเหรอ?
ข้างหน้าสุด ของการแข่งขันครั้งนี้ก็เป็นตู้ต้วนเทียนนิ่ ยังมีนักแข่งมืออาชีพอีกหลายคน นี่เป็นการแข่งขันสนามที่ดุเดือดที่สุดเท่าที่เคยมีมาแล้ว พุ่งอยู่ข้างหน้าสุดอย่างงั้นเหรอ?กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ
ไม่แน่หรอก โหวเฟยคนนั้น อาจจะเป็นบุรุษผู้ที่สามารถเปลี่ยนพลิกสถานการณ์ได้อย่างฉับพลัน ในเมื่อเขากล้าวางเดิมพันกับรถหวูหลิงหงกวงหนึ่งแสน ถ้าอย่างงั้นก็แสดงให้เห็นว่าเขาต้องมั่นใจมาก
ผู้คนต่างพากันวิจารณ์ กระทั่งยังคุยกันถึง ว่ารถหวูหลิงหงกวงนำอยู่ข้างหน้าไปแล้ว
แต่ นี่มัน เสียงของพิธีกรได้ขึ้นมาอีกครั้ง หาเจอแล้วครับ พวกเจ้าช่วย รถหวูหลิงหงกวงคันนี้ กลับอยู่นี่
สายตาของทุกคนหันไปเพ่งเล็งมองไปที่จอมอมิเตอร์ใหญ่ ตามมาด้วยปรากฏแผนที่ขึ้นมา
ผมขอเก็บคำพูดเมื่อกี้ ตอนนี้รถหวูหลิงหงกวงยังอยู่ถนนเส้นที่หนึ่งอยู่เลยครับ รถแข่งที่อยู่ด้านหน้า อ่อนที่สุดยังไปอยู่ที่ถนนเส้นที่ห้าแล้ว ดูท่าจะไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกครับ ครั้งนี้แผนที่ของเรามีถึงสามสิบสองเส้น ด้านหน้าสุดมีตู้ต้วนเทียน เทพแห่งการแข่งรถตู้ตอนนี้เขาอยู่ถนนเส้นที่เจ็ดแล้ว ด้านหลัง มีรถคันแล้วคันเล่าเข้าสู่ถนนเส้นที่หก
พิธีกรขยับมืออยู่หลายครั้ง ชี้ไปครั้งหนึ่ง แล้วภาพก็ตัดไปที่ บนถนนสายที่หกแล้ว อารมณ์ถูกปลุกขึ้นมา ทุกท่านครับ ไม่ต้องไปสนใจรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นแล้วครับ ห่างกันมากเกินไปแล้ว ด้านหลังมีโค้ง ไล่ตามขึ้นมาไม่ทันหรอกครับ พวกเราไปดูถนนเส้นที่หกกันเถอะครับ
ฮ่าๆ ขำชะมัดเลย เมื่อกี้ใครเป็นคนบอกกันนะว่ารถหวูหลิงหงกวงจะพุ่งไปอยู่ข้างหน้าสุด ยังอยู่เส้นที่หนึ่งอยู่เลย จริงๆเลยนะ ไม่ไหวแล้ว ขอให้ฉันขำแป๊บเถอะ
ตอนนี้รถหวูหลิงหงกวงอยู่ถนนเส้นที่หนึ่ง แต่เฉินป๋อไปอยู่ถนนเส้นที่หกแล้ว จะไปแซงยังไงล่ะ ข้างหลังยิ่งทางโค้งคดเคี้ยวด้วย ยิ่งแซงไม่ทันใหญ่เลย รถหวูหลิงหงกวงยังไงก็ต้องแพ้
ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่า รถหวูหลิงหงกวงนั่นน่ะ ในท้องตลาดราคายังไม่ถึงห้าหมื่นด้วยซ้ำ ยังคิดจะไปเทียบกับรถแข่งมืออาชีพคันละเกือบสองสามแสนพวกนั้นอีกเหรอเนี่ย จริงๆเลยเชียว หาเรื่องใส่ตัว เจ้าตัวตลกสองคน
พอหลังจากที่เห็นภาพเป็นแบบนั้นแล้ว ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะ ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรถหวูหลิงหงกวง เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่ารถหวูหลิงหงกวงจะตกขบวนรถไปไกลขนาดนี้
กลับยังอยู่เส้นที่หนึ่ง
เวลานี้เห็นในสนาม มีคนจำนวนไม่น้อยใช้สายตามองเหยียดโหวเฟยว่า‘คนโง่’ยังคงส่ายหัวไม่เลิก นักแข่งรถใต้ดินคนนี้ ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้นะ กลับกล้าเอาเงินไปลงเดิมพันกับรถหวูหลิงหงกวงว่าจะชนะ
เห้อ อย่าใส่ใจไปเลย เงินแสนหนึ่ง เสียไปก็ให้เสียไปเลย ยังไงซะ ฉันจำได้ว่าเหมือนทั้งเนื้อทั้งตัวแกจะมีเงินแค่หนึ่งแสนหยวนนะ แพ้พนันในพริบตาเดียว ค่าเทอมน้องสาวแกจะทำยังไงล่ะ ช่างเถอะ เดี๋ยวฉันหาทางยืมให้แกก็ได้
ในเวลานี้เอง ก็มีเพื่อนที่ดีมากของโหวเฟยเดินเข้ามา เอามือพาดกับไหล่ของโหวเฟย ปลอบประโลมเขาอยู่ครู่หนึ่ง ยังพูดว่าจะช่วยโฟวเฟยหาเงินอีก ดูไปแล้ว เหมือนทั้งสองจะมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก
เพียงแต่เวลานี้เอง สายตาของโหวเฟยจ้องไปที่จอมอมิเตอร์ใหญ่ แล้วพูดขึ้นมาว่า หยวนซู่ เดี๋ยวก่อนนะ ฉันจะเลี้ยงข้าวแกมื้อใหญ่เลย
บทที่36 โหวเฟยลงเงินเดิมพันทั้งหมดหนึ่งแสนหยวน
จำไว้นะ?หึๆ โหวเฟย ถ้าสมองนายไม่ได้มีปัญหา นายยังคิดว่ารถหวูหลิงหงกวงคันนั้นจะชนะได้งั้นหรอ?ล้อกันเล่นอะไรน่ะ พวกเราไม่ได้มาเล่นขายของเหมือนเด็กๆนะเว่ย
หัวล้านหัวเราะอย่างชั่วร้าย
หัวล้านมีชื่อว่าหลิวซิว เป็นคนในท้องที่ของเมืองเจียงเฉิง นั่นก็คือนักแข่งรถคนหนึ่ง อีกทั้งหลิวซิวยังร่วมแข่งด้วย เขาคือหมายเลข5
ต้องผ่านการคิดก่อนถึงจะรู้ ว่ามีฝีมือมีเทคนิคไม่ธรรมดา
หลิวซิว รอก่อนเถอะ แล้วแกจะต้องร้องไห้เสียใจแน่
นับตั้งแต่ที่โหวเฟยถูกฉินเฟิงทิ้งให้รั้งท้าย เขาก็รู้สึกนับถือฉินเฟิงมาก ในใจของเขาฉินเฟิงเป็นเทพแห่งนักแข่งรถ ทั้งสนามแข่งในนี้ เป็นแค่ขยะทั้งหมด
หึๆ คุยโวโอ้อวดไปเถอะ ในเมื่อแกเชื่อว่ารถหวูหลิงหงกวงนั่น ถ้าอย่างงั้น แกก็คอยดูต่อไปเถอะ ฉันจะชนไอ้รถหวูหลิงหงกวงคันนั้นให้เละเป็นโจ๊กไปเลย ฉันจะทำให้แกรู้ ว่าอะไรเรียกว่าฝีมือ ยังจะเอาที่หนึ่งอีก สุดท้ายฉันจะไม่ให้แกได้ที่อะไรเลย
แววตาของหลิวซิวมีรังสีอำมหิตแวบผ่านไป
ถ้าเกิดรถมีปัญหาอะไรขึ้นมา ระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ถ้าอย่างงั้นจะเท่ากับการออกจากสนามแข่ง ไม่มีลำดับ มันเป็นเรื่องจริงที่แม้แต่อันดับเดียวก็จะไม่ได้เลย
หลังจากที่โหวเฟยเดินจากไปแล้ว หลิวซิวก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ส่งข้อความออกไปทันที เห้ยเพื่อน โหวเฟยเจ้าหมอนั่นคิดว่าหลิงหวูหงกวงนั่นจะชนะพวกเราว่ะ เขาเดิมพันที่หนึ่งเป็นเงินหนึ่งแสนหยวน หนึ่งแสนหยวนเลยนะเว่ย นี่มันไม่ดูถูกพวกเรามากไปหน่อยหรอวะ
หึๆ โหวเฟยก็แค่ขยะเท่านั้นแหละ ในสนามแข่งที่นี่ เขาได้แค่ที่สิบเท่านั้นแหละ กูได้ห้าอันดับแรก ได้อันดับจากการแข่งขันครั้งนี้แหละ รอก่อนเถอะ จะชนมันให้เละเป็นโจ๊กไปเลย
ฉันก็เอาด้วย โหวเฟยมันคุยโวมากไป ถึงจะเป็นเขาเอง ก็วิ่งตามไม่ทันพวกเราหรอก
ฉันจะคอยดู ว่าตกลงให้รถหวูหลิงหงกวงนั่นมันเป็นใครกันแน่ โหวเฟยที่ขี้เหนียวมาตลอดอย่างมัน กลับควักเงินเดิมพันจ่ายถึงหนึ่งแสนหยวนออกมาได้
หลิวซิวทำการใส่ไฟผู้เข้าแข่งขันทั้งสนามได้สำเร็จ
พวกเขาอยู่ในสนามแข่งแห่งนี้มานานหลายปี ส่วนมากก็ล้วนมีชั้นเชิงเป็นของตัวเอง บนสนามแข่งรถพวกเขาหยิ่งยโส โอหัง พอถูกจุดประกายเข้าให้หน่อย ก็รู้สึกโกรธโมโหขึ้นมาทันควัน
หลิวซิวเอาแต่เผยยิ้มอย่างเย็นชาออกมา รถหวูหลิงหงกวง แกจบแน่ ครั้งนี้รถเข้าแข่งขันทั้งหมด 24คัน รถทั้งหมด 23คันเห็นแกเป็นศัตรูทั้งหมด ยังเหลืออีกคันที่เป็นของแก จะคอยดูว่าแกจะทำยังไง
แต่ในเวลานี้เองข่าวเรื่องการเดิมพันของโหวเฟยก็ได้กระจายออกไป ข่าวแพร่ออกไปอย่างอึกทึกครึกโครม เพราะว่านี่ มีผู้เข้าแข่งแข่งขันจำนวนไม่น้อยที่ประกาศออกไป ว่าจะเข้าประจันหน้ากับรถหวูหลิงหงกวง
เห้ย ไอ้ทึ่ม ได้ยินมาว่า มีคนชื่อโหวเฟยคนหนึ่ง เดิมพันว่าแกจะชนะที่หนึ่งว่ะ แต่เดิมพันเป็นเงินถึงหนึ่งแสนหยวนเลยนะเว้ย ได้ยินมาว่าไอ้หมอนั่นน่ะขี้เหนียวมาก แต่กล้าควักเงินออกมาถึงหนึ่งแสนหยวนเลย
พูดจบ อิ่นหนิงหยู่ก็มายืนต่อหน้าฉินเฟิง แล้วเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า นายว่า สมองเขามีปัญหาอะไรรึเปล่า
……
ฉินเฟิงพูด ฉันคิดว่า สมองเธอน่าจะมีปัญหาต่างหาก
ดูยังไงก็ใช่อยู่แล้ว นายน่ะยังไงก็แพ้ ยังจะเดิมพันให้นายได้ที่หนึ่งอีก ดูท่าสมองน่าจะเพี้ยนไปแล้ว อิ่นหนิงหยู่เอามือกอดอก ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
ถ้าเกิดชนะขึ้นมาล่ะ?
ยังมีถ้าอีกหรอ?นายก็พูดแล้วหนิว่าตัวเองไม่ได้เชื่อมั่นอะไร ถ้าไม่ใช่ว่าการแข่งขันรถหนึ่งทีมต้องมีสองคนนะ ตอนนี้ฉันก็คิดอยากจะหนีแล้ว เซ็งชะมัด วันนี้ไม่น่าพานายมาเลย
อิ่นหนิงหยู่ลูบหน้าผากป้อยๆ ตอนแรกแค่อยากจะเอาฉินเฟิงออกมาเพื่อหาโชคลาภสักหน่อย ดูว่าจะได้ที่สามอะไรไหม แต่คิดไม่ถึงว่าจะสับสนวุ่นวายอะไรขนาดนี้ เธอกลายเป็นของเดิมพันเฉยเลย
แต่ในเวลานี้เอง เสียงแตรในสนามแข่งรถก็ดังขึ้น ทุกๆท่านครับ การแข่งใกล้ได้เวลาเริ่มขึ้นแล้ว ขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนประจำที่ อีกห้านาทีต่อจากนี้ ก็จะเริ่มแล้ว
เริ่มแล้ว
อิ่นหนิงหยู่ถอนหายใจ รักษาหมาตายประหนึ่งม้าเป็นเถอะ
มีชายคนหนึ่งเดินผ่าน ได้ยินคำพูดประโยคนี้ จึงส่ายหัว ยังจะรักษาม้าตายให้เป็นม้าเป็นอีกเหรอเนี่ย ทั้งสนามแข่งมีแต่การพูดคุยเกี่ยวกับรถหวูหลิงหงกวงของพวกเธอ เดิมพันให้พวกเธอแพ้ ใกล้จะเป็นร้อยล้านแล้วนะ พวกเธอจะเอาอะไรมาชนะ รีบกลับบ้านไปอาบน้ำนอนซะเถอะ
จบกัน แพ้แน่เลย
พอฟังประโยคนี้แล้ว ใบหน้าของอิ่นหนิงหยู่ก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ยังจะพูดว่าออกมาหาเงินอีก ตอนนี้กลับเอาตัวเองเข้าไปเป็นของเดิมพัน
ไปกันเถอะ เธอก็พูดแล้วนิ่ รักษาหมาตายประหนึ่งม้าเป็น
ฉินเฟิงเดินไปยังรถหวูหลิงหงกวงคันหนึ่ง
เห้อ
อิ่นหนิงหยู่ถอนหายใจอีกครั้ง ทำได้แค่นี้แล้วสินะ หลังจากที่แข่งรถเสร็จ เธอค่อยดูว่ายังมีโอกาสหนีอีกไหม แต่หลังจากที่กลับไปแล้ว เธอจะไม่ยอมปล่อยให้พี่สาวของเธอปล่อยเขาไปง่ายๆแบบนี้แน่
ต้องจัดการลงโทษไอ้ชั่วนี่ให้สาสม!
แน่นอนว่า อาจจะกลับไปอย่างไม่สำเร็จก็เป็นได้
หลังจากผ่านไปห้านาที ถนนทั้งเส้น ก็มีรถทั้งหมด 24คันเรียงราย แต่ที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือรถคันสุดท้าย บนนั้นมีสติกเกอร์แปะหมายเลข24ไว้ รถหวูหลิงหงกวง เมื่อเทียบกับรถชั้นนำอื่นๆแล้ว เห็นได้ชัดว่ารถหวูหลิงหงกวงดูใหญ่เทอะทะมาก
รถแข่งพวกนั้น ยังสูงไม่ได้ครึ่งของรถหวูหลิงหงกวงเลย
พวกแกว่าครั้งนี้ใครจะชนะหรอ ได้ยินมาว่ามีนักแข่งฝีมือหลายคนเข้าร่วมด้วยนะ เช่นหลิวซิว ตู้ต้วนเทียนอะไรนั่นอีก โดยเฉพาะตู้ต้วนเทียนนะ ในห้าปีมานี้เขาครองแชมป์ได้ที่หนึ่งมาตลอดเชียวนะ
ฉันเคยได้ยินมา ว่าหลังจากที่เขาได้รับรางวัลแล้ว ก็พักไปช่วงหนึ่ง ครั้งนี้ที่เขาออกมาเพื่อผ่อนคลาย พูดง่ายๆก็คือ วันนี้เขามาเพื่อเล่นสนุกเท่านั้น แต่ถึงจะมาเล่นๆก็เถอะ ถ้าพูดเกี่ยวกับความสามารถเขาแล้วล่ะก็ วันนี้ที่หนึ่งต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอน
อย่างว่าแหละ พวกแกไม่มีใครคิดบ้างเหรอว่ารถหวูหลิงหงกวงนั่นจะชนะบ้างเหรอ
ทุกคนใช้สายตาที่หมดคำพูดมองไปที่ชายที่พูดประโยคนั้น แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า แกได้รับเชื้อมาจากโหวเฟยรึไง?สมองมีปัญหากระทบกระเทือนใช่ไหม อย่าว่าแต่ถ้าไม่มีตู้ต้วนเทียนเลย แค่ใครก็ได้คนหนึ่ง ก็ชนะรถหวูหลิงหงกวงนั่นขาดรอยแล้ว
ทั่วทั้งสนามแข่งรถนั้น แทบจะไม่มีใครคิดว่าฉินเฟิงจะชนะเลย ถ้าไม่เช่นนั้น คงไม่เดิมพันว่าฉินเฟิงจะแพ้หรอก เงินรางวัลใกล้จะปาเข้าไปร้อยล้านแล้ว
ในรถหวูหลิงหงกวงคันนั้น ฉินเฟิงสวมชุดนักแข่งรถ สวมหมวกกันน็อค นั่งอยู่บนที่นั่งคนขับ ด้านข้างมีอิ่นหนิงหยู่ เหมือนจะมีความแปลกใจเล็กน้อย ดูทางนั้นที ทางนี้ที
หนิงหยู่ เธอรู้อะไรไหม นั่งอยู่ข้างคนขับต้องทำอะไรบ้าง?
ฉินเฟิงถามออกไป
ต้องทำอะไรงั้นเหรอ เป็นแค่ดอกไม้ประดับรถไม่ใช่เหรอ ฉันเห็นบนรถแข่งมีสาวสวยนั่งอยู่ตั้งหลายคัน
นี่เป็นสิ่งที่ใช้วัดทิศทางของลม ช่างเถอะ ฉันทำเองดีกว่า
ฉินเฟิงบอกปัดเสร็จ แล้วก็ปล่อยอิ่นหนิงหยู่ไป ยัยเด็กผู้หญิงที่ยังเรียนไม่จบมหาลัย รู้สึกไม่จะไม่รู้เรื่องอะไรเลย บนรถแข่งทั้งสองคน คนหนึ่งทำหน้าที่ขับรถ อีกคนนั่งข้างคนขับ ทำหน้าที่คอยรับผิดชอบดูเรื่องทิศทางของลมต่างๆ
ขอโทษนะ
อิ่นหนิงหยู่กล่าวขอโทษฉินเฟิงออกไป เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ เธอคิดมาตลอดว่าการนั่งข้างคนขับ ส่วนมากจะเป็นสาวสวย ยังคิดว่าเอานั่งเพื่อโอ้อวดกันเฉยๆ
แต่ในเวลานี้นั่นเอง หมายเลข7สลับตำแหน่งกับหมายเลข23 เปลี่ยนมาอยู่ข้างๆฉินเฟิง หลังจากนั้นก็เปิดหน้าต่างออกมา เผยให้เห็นผู้หญิงผมบลอนด์ตาสีฟ้าคนหนึ่ง รูปร่างเซ็กซี่เผ็ดร้อนมากคนหนึ่ง นั่งอยู่ข้างเฉินป๋อ
บทที่35 เอาน้องเมียไปขาย
ถ้างั้นเอางี้ แกกล้าพนันกลับฉันไหมล่ะ?
ฉินเฟิงก้าวขึ้นไปข้างหน้า แล้วเอ่ยขึ้นมา
พนัน?ห้าๆๆๆ แกจะเอารถหวูหลิงหงกวงมาพนันกับฉันหรอวะ?แกเอาอะไรมาคิด แกคิดว่าแกมีโอกาสชนะงั้นหรอวะ แต่ วันนี้ฉันอารมณ์ดีเว้ย แกว่ามา แกจะพนันยังไง
เฉินป๋อหัวเราะขึ้นมา ด้วยท่าทางอารมณ์ดีมาก
แกคิดว่า ผู้หญิงคนนี้มีค่าเท่าไหร่?
ฉินเฟิงชี้ไปที่อิ่นหนิงหยู่
อะไรนะ นายจะขายฉันหรอห้ะ?
อิ่นหนิงหยู่ตะลึงไปชั่วครู่ ดวงตาเบิกกว้าง ได้แต่จ้องฉินเฟิงอยู่อย่างนั้น
นี่มัน……
เฉินป๋อมองอิ่นหนิงหยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า อิ่นหนิงหยู่เป็นน้องสาวแท้ๆของอิ่นซิน แล้วอิ่นซินตอนนั้นก็เป็นดาวมหาลัย อิ่นหนิงหยู่ก็ต้องไม่ด้อยกว่าหรอก เสื้อผ้ารัดรูปทั้งตัว รูปร่างอ้อนแอ้น แต่ใบหน้าทั้งห้าจุดสมดุลกันมาก มีความเป็นผู้ดีดูแพง ใบหน้ายังสวยงามอีกด้วย
เขาจึงรีบพูดออกไปว่า ความสวยงามฉันให้90คะแนน นี่เป็นคะแนนที่สูงมากแล้วนะ สำหรับเรื่องราคาแล้วล่ะก็ ให้ได้เก้าแสน ทำไมหรอ แกจะเอาผู้หญิงของแกมาพนันอย่างงั้นหรอ?
นี่เป็นน้องเมียฉันเอง
ฉินเฟิงแก้ไขให้ถูกต้อง
สติฟั่นเฟือนไปแล้ว
คนที่ล้อมอยู่รอบๆมองไปที่ฉินเฟิง มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้น ตามปกติแล้ว ขายเมียตัวเองก็แล้วไปนะ แต่ตอนนี้กลับเอาน้องเมียตัวเองมา เตรียมจะขายทิ้งเนี่ยนะ
ฉินเฟิง นายจงใจใช่ไหม ฉันไม่ทำ
อิ่นหนิงหยู่เอามือกอดอก ให้ตายก็ไม่ยอมเด็ดขาด
เธอเป็นคนที่ติดหนี้ถึงสามล้านเชียวนะ ถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้หาเงิน แล้วเมื่อไหร่เธอจะใช้หนี้หมด อีกทั้งครั้งนี้เธอมาหาฉันเอง น่าจะไม่มีเงินอีกแล้วสินะ คิดดีๆล่ะ มีโอกาสแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะ
ตาบ้าเอ้ย!
อิ่นหนิงหยู่จ้องมองฉินเฟิงตาขวาง แล้วมองไปที่รถหวูหลิงหงกวงอีกครั้ง แล้วหันไปมองฉินเฟิงอีกรอบ สุดท้ายยังไงก็ต้องยอมจำนน แล้วตัดสินใจรับพนัน ตอนนี้เธอต้องการใช้เงินจริงๆ
เธอตกลงแล้ว
ฉินเฟิงทำสัญลักษณ์
ฮ่าๆ ตลกชะมัดเลย พวกแกเป็นคู่แข่งที่ฉันมองว่าแปลกที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย ลำพังแค่รถหวูหลิงหงกวงมาแข่งไม่ว่าอะไรนะ ยังเอาน้องเมียตัวเองมาพนันอีก น่าสนใจชะมัด แต่ น้องเมียแกดูสวยไม่ใช่หยอกเลยนะ วันนี้ฉันจะขอรับพนันแก รถฉันหมายเลข7 ถ้าวันนี้แกแพ้ฉัน อย่างงั้นหลังจากนี้ผู้หญิงก็จะต้องเป็นของฉันแล้วนะ
เฉินป๋อยิ้มปากไม่หุบ ไม่เคยพบเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย เอาผู้หญิงมาถวายให้ถึงที่ ยังจะเอาผู้หญิงที่สวยดุจดั่งดอกไม้แบบนี้มาอีก วันนี้ถือซะวันเป็นวันที่ฤกษ์งามยามดีวันหนึ่งแล้วกัน
ยินดีกับคุณชายเฉินด้วยที่ได้สาวสวยมาครอง ผู้หญิงคนนี้สวยจริงๆนั่นแหละครับ อีกทั้งจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายปี นี่ยังอ่อนนัก
ผู้หญิงคนนี้ ฉันเคยเห็นมาก่อน เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง เป็นดาวมหาลัยของคณะศิลปกรรมศาสตร์ มีชื่อเสียงมาก คนที่ตามจีบเธอมีอยู่ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
ถ้าอย่างงั้นวันนี้คุณชายเฉินก็หาสาวสวยเจอแล้วล่ะครับ ดาวมหาลัยของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
ทุกคนต่างพากันเป่าปากโห่ร้อง ทำให้เฉินป๋อรู้สึกได้ใจจนตัวแทบลอยขึ้นฟ้า
เพียงแต่ เวลานี้เองฉินเฟิงแทรกขึ้นมาหนึ่งประโยค ถ้าแกแพ้ จะทำอะไร?
ฉันเนี่ยนะแพ้ จะเป็นไปได้ยังไง
ถ้าเกิดขึ้นจริงๆล่ะ
ถ้าเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ งั้นฉันแพ้ ฉันจะให้แกเลยหนึ่งล้าน แล้วบวกเพิ่มให้แกอีกเลยแสนนึง ยังไงซะอีกเดี๋ยวเธอก็จะเป็นผู้หญิงของฉันแล้ว
เฉินป๋อมองไปที่อิ่นหนิงหยู่ เขาได้ยินมาจากคนอื่นๆว่า เธอยังเป็นดาวมหาลัยของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงอีกด้วย จำนวนเงินนี้ไม่น้อยไปหรอก ต้องรู้ว่าถึงแม้เมืองเจียงเฉิงจะเล็ก แต่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงถือได้ว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศก็ว่าได้เลย
ดีล
ฉินเฟิงทำมือเป็นสัญลักษณ์
เฉินป๋อใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขายิ้มเดินจากไปเหมือนคนเก็บเงินได้ อิ่นหนิงหยู่รีบดึงตัวฉินเฟิงไว้ทันที นายต้องความมั่นใจว่าจะชนะนะ เฉินป๋อเจ้าหมอนั่นน่ะฉันเคยได้ยินมาว่า เขาแข่งรถเก่งมาก อีกทั้งเขายังเป็นคนรวยอีกด้วย มีเงินเยอะมากๆ เขามีรถคันหนึ่งที่ปรับปรุงมาใช้เพื่อแข่งรถโดยเฉพาะ แรงม้าคือโหดมาก นายมั่นใจไหมว่าจะชนะเขาได้น่ะ?
อิ่นหนิงหยู่รู้สึกกังวลใจมาก อย่างไรเสียเธอก็เอาตัวเองเป็นตัวเดิมพันแล้ว
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็ทำมือผาย ฉันเคยพูดเหรอว่าฉันมั่นใจว่าจะชนะน่ะ?
นายไม่มั่นใจว่าจะชนะอย่างงั้นเหรอ?
เธอเคยเห็นใครว่ารถหวูหลิงหงกวงมาแข่งไหมล่ะ
งั้นคุณมึงเอากูมาเดิมพันเนี่ยน่ะ?
อิ่นหนิงหยู่อายุยังน้อย แต่อารมณ์ขึ้นง่ายมาก เธอเดินตรงเข้าไปหาฉินเฟิง แล้วชูกำปั้นขึ้น ฉันขอบอกไว้นะ ว่าฉันไม่สนว่านายจะเป็นพี่เขยหรืออะไรก็ช่าง ฉันได้สมัครเข้าเรียนคลาสต่อสู้ เชื่อไหมฉันจะชกนายให้หงายไปเลย
กำหมัดผิดแล้วล่ะ ต้องให้ต่ำลงกว่านี้หน่อย วางไว้ตรงบ่าข้างขวาให้ห่างจากนิ้วกลางหน่อย อีกทั้งถ้าจะตีคนอื่นแล้วล่ะก็ คุณต้องย่อตัวลงเล็กน้อย ร่างกายห้ามยืดตรง จ้องมองข้างหน้าอย่างจดจ่อ แบบนี้ถึงจะออกแรงได้ถนัดหน่อย……
ฉินเฟิงใช้มือ ชี้แนะการต่อสู้ของอิ่นหนิงหยู่
ผ่านไปครู่หนึ่ง อิ่นหนิงหยู่ก็รีบวางท่าต่อสู้อีกครั้ง คราวนี้แม่นยำมาก เธอสามารถรู้สึกได้เลย แค่เธอยังไม่ทันรู้สึกตัว เดี๋ยวนะ ฉันมาต่อยนายนะ ไม่ได้ให้นายมาสอนฉันชกนะเว้ย
ฉันเป็นทหารมาแล้วเจ็ดปี
ฉินเฟิงพูดประโยคเดียว อิ่นหนิงหยู่ที่เตรียมจะทำร้ายคนอื่น ก็หยุดลงในทันที ช่างเถอะ ค่อยชกนายคราวหน้าก็แล้วกัน แต่ ครั้งนี้นายเตรียมจะจัดการยังไง นายจะทำให้ฉันแพ้อย่างงั้นเหรอ เชื่อไหม กลับไปพี่สาวฉันต้องจัดการนายแน่ ฉันไม่เชื่อว่านายจะกล้าลงมือกับพี่สาวฉัน
มีจุดหนึ่ง ที่อิ่นหนิงหยู่เข้าใจดี ฉินเฟิงไม่กล้าลงมือทำร้ายพี่สาวของเธอ กระทั่งยังเชื่อฟังมาก เขากล้ารังแกแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ยังเรียนไม่จบอย่างเธอ
ความจริงแล้ว คุณชายเฉินนั่น อาจจะไม่เลวก็ได้นะ
ไอ้ชั่วเอ้ย!
อิ่นหนิงหยู่โกรธจนหายใจไม่ออก วันนี้เธอพบว่า ฉินเฟิงเป็นคนชั่วจริงๆ ยังจะเอาเธอไปขายอีก ไม่มีผิดเลยแม้แต่น้อย มันคือเรื่องจริง พี่เขยบ้าอะไรเนี่ย!
แต่เวลานี้เอง การพนันระหว่างพวกเขากับเฉินป๋อ ข่าวถูกแพร่สะพัดไปทั่วทั้งสนามแข่ง หนึ่งเป็นเพราะเฉินป๋อเป็นคนรวย มีชื่อเสียงที่สุดในสนามแข่งรถแห่งนี้ กระทั่งยังมีกิจการสวนสนุกอีกด้วย เหตุผลที่สองก็คือ พวกฉินเฟิงใช้รถหวูหลิงหงกวง
รถหวูหลิงหงกวง VS รถที่ใช้แข่งโดยเฉพาะ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องแพ้ชนะแล้ว อีกทั้งยังถูกกดดัน ได้ยินมาว่ายังพนันกันด้วยสาวสวยอีกด้วย เป็นถึงดาวมหาลัยของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง
เพราะว่าเรื่องนี้ สนามแข่งรถแห่งนี้ยังเปิดหนึ่งลู่ มีคนผู้หนึ่งที่ปากคอเราะรายพูดขึ้นมาว่า ฉันเป็นพนักงานของสนามแข่งรถแห่งนี้ ตอนนี้เปิดลู่หนึ่งลู่ เดิมพันหมายเลข24รถหวูหลิงหงกวงได้ที่หนึ่ง1:100 เดิมพันหมายเลข 24 รถหวูหลิงหงกวงได้ที่สอง 1:80 เดิมพันหมายเลข24รถหวูหลิงหงกวงที่สาม1:50 เดิมพันหมายเลข 24 รถหวูหลิงหงกวงชนะหมายเลข7 นั่นก็คือรถแข่งของคุณชายเฉิน 1:25
1:25!
นี่ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก นี่เป็นการต่อรองเดิมพันที่สูงมาก มันทำให้คนอื่นๆรู้สึกตะลึงอ้าปากค้างไปตามๆกัน ดูท่าแล้วทุกคนก็คิดคุณชายเฉินจะชนะ
เพียงแต่ ในเวลานี้เอง มีคนหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมา ทิ้งเงินไปหนึ่งก้อน เดิมพันรถหวูหลิงหงกวงชนะที่หนึ่ง แสนนึง!
โหวเฟย!
มีคนคนหนึ่งจำเขาได้ในทันที ทันใดนั้นก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา หนึ่งในนั้นมีหัวล้านคนหนึ่งที่สวมชุดแข่งรถหัวเราะขึ้นมาอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดออกมาไปว่า โหวเฟย แกบ้าไปแล้วรึไง นี่มันเงินตั้งแสนนึงเลยนะ แกรู้ได้ยังไงว่ารถหวูหลิงหงกวงแค่คันเดียวนั่น จะได้ที่หนึ่งได้ยังไง ถ้าได้ที่หนึ่งฉันจะกินรถหวูหลิงหงกวงคันนั้นทั้งคันเลย
ได้ แกจำคำพูดของแกไว้นะ
โหวเฟยมองดูชายหัวล้านคนนั้น ในสายตาเต็มไปด้วยความสนุก เมื่อกี้เขาไปดูมาแวบหนึ่ง เขาจำได้ ฉินเฟิงเป็นคนที่ขับปอร์เช่คนนั้น เป็นเทพที่ทำให้เขารั้งท้ายไกลมาก!
บทที่34 แข่งรถ
ในโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง
ฟางเย้นกับอิ่นป่ายกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ ซึ่งกำลังกินอยู่ดีๆ สายจากนายท่านอิ่นก็โทรเข้ามา หลังจากที่วางสายไปแล้ว สีหน้าของอิ่นป่ายก็เปลี่ยนเป็นลำบากใจทันที แย่แล้ว
เกิดอะไรขึ้นเหรอ?
ฟางเย้นมองไปครู่หนึ่ง แล้วถามขึ้น
ฝั่งพี่สาวผมแผนการล้มเหลวแล้ว ไม่สามารถเซ็นสัญญาอีกฉบับได้ กระทั่งยังไปสร้างเรื่องกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอีก ตอนนี้ถูกคนของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไล่ตะเพิดออกไปแล้ว อีกทั้ง จากที่พวกเราสืบมา ประธานกรรมการเฟิงซิ่งคนนั้น ยังมียศสูงมาก สามารถขนกองทัพได้โดยตรง
สีหน้าของอิ่นป่านดูซึมขึ้นมาเล็กน้อย
คนมาจากจิงตู ต้องไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แต่พวกเราจะต่อกรกับพวกเขาซึ่งๆหน้าไม่ได้เด็ดขาด ที่อิ่นซินได้เซ็นสัญญาฉบับนี้ได้ เป็นเพราะโชคดีไป แต่ดีนะว่าได้รับความชอบจากท่านประธาน
ฟางเย้นหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาอีกว่า แต่ผมคิดไม่ออกจริงๆนะ ทหารยศสูงขนาดนี้ กลับชอบดื่มหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ราคาแค่เจ็ดหยวน เซ็งชะมัด คนระดับนี้ ควรจะชอบดื่มพวกเหล้าราคาแพงอย่างเหมาไถหรอกเหรอ(เหล้าขาวชนิดหนึ่งที่มีราคาแพง) จริงๆเลยเชียว
จริงสิ ครั้งนี้ยัยบ้าอิ่นซินนั่น ไปทวงตำแหน่งประธานกรรมการกับคุณปู่อีกแล้ว หล่อนเป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรไปนั่งตำแหน่งนั้น จริงๆเลยเชียว ตำแหน่งนี้มันถูกเก็บไว้ให้ผมต่างหาก
อิ่นป่ายกัดฟันกรอด รู้สึกโกรธขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบพูดกับฟางเย้นไปว่า ต่อไป ถึงตาคุณต้องลงมือแล้วล่ะ
แน่นอนสิ หลังจากนี้พวกเรากับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะเกิดข้อพิพาทกัน ปัญหาพวกนี้ พวกคุณจะต้องโยนไปให้อิ่นซินจัดการเองทั้งหมด ทำให้หล่อนที่ดูแลตัวเองยังไม่ได้ แต่อยากจะดันทุรังดูแลคนอื่น จริงสิ ไอ้ฉินเฟิงนั่นน่ะ ผมก็จะไม่ยอมปล่อยมันไปเหมือนกัน
ฟางเย้นที่พอพูดถึงฉินเฟิง นัยน์ตาก็มีประกายรังสีอยากฆ่าขึ้นมาทันที
อะไรกัน ก็แค่ไอ้ขอทานกระจอกคนหนึ่ง ทำลายแผนการของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือยังทำให้เขาดื่มเหล้าจนเป็นพิษสุราเรื้อรังอีกด้วย จนต้องหามเข้าส่งโรงพยาบาลด่วน
แค้นนี้ เขาจะต้องชำระให้ได้
แต่ ต้องใช้แผนการบางอย่าง
……
หลังจากนั้น อิ่นซินก็ไปทำงาน จัดการปัญหาเล็กๆน้อยๆ ที่เบื้องบนโยนทิ้งลงมาให้เธอจัดการ บอกว่าเธอไปก่อเรื่องมา อิ่นซินไม่สามารถปฏิเสธได้ แต่สุดท้ายเธอที่มีความสามารถอยู่แล้วแต่แรก ก็จัดการปัญหาได้อย่างไม่ยากเกินความสามารถของเธอ
แต่ในเวลานี้เอง อิ่นหนิงหยู่เจ้าเด็กคนนี้ก็เข้าไปหาฉินเฟิง
นี่ ฉันจะทำธุรกิจกับนาย สนใจจะทำไหม?
อิ่นหนิงหยู่ที่สวมชุดสีดำรัดรูปทั้งตัว ด้านนอกมีแจ็คเก็ตคลุมหนึ่งตัว ทำให้เห็นสรีระอันบอบบางเล็กน้อย ในมือยังมีหมวกกันน็อคใบหนึ่ง ตัวยืนพิงกำแพง แล้วถามฉินเฟิงออกไป
ธุรกิจ ธุรกิจอะไร?
ฉินเฟิงที่บนตัวมีผ้ากันเปื้อน กำลังถูพื้นอยู่
ทำธุรกิจหารายได้กับนายไง ตอนนี้นายเป็นรปภ.รักษาความปลอดภัยอยู่แล้ว เดือนๆหนึ่งอย่างมากก็ได้แค่สี่พันกว่า อยากจะเก็บออมไปจนถึงสองล้านเหมือนที่พ่อฉันเคยบอกไว้ มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ฉันมีทางให้นายอยู่ทางหนึ่ง มันสามารถทำให้นายหารายได้ได้
อิ่นหนิงหยู่ท่าทางเหมือนกำลังสะกดจิตฉินเฟิงอยู่
นี่เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงตั้งใจแสดงออกมา บอกกับคนที่บ้านว่าตนทำงานรปภ.รักษาความปลอดภัย อยู่ที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
สำหรับหลิวลานเมิ่งที่อยู่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้น ตั้งแต่เกิดเรื่องครั้งก่อน ก็ไม่ได้ติดต่อกับอิ่นซินและฉินเฟิงอีกเลย กระทั่งอิ่นซินไปหาหลิวลานเมิ่งถึงบ้าน หลิวลานเมิ่งก็ไม่กล้าออกมาพบพวกเขา
เหมือนจะยังรู้สึกผิดอยู่
เธอไม่ชอบฉันไม่ใช่หรอ อยากให้ผมออกไปตลอด ครั้งนี้มาคิดหาวิธีช่วยผม เก็บผมไว้?เสียดายผมเหรอครับ?
ถุ้ย ใครจะไปเสียดายนายกันห้ะ ฉันแค่กำลังขาดแคลนเงินแค่นั้นแหละ ถึงจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรพี่ต้าตาวถึงไม่หาฉันแล้วก็เถอะ แต่ยังไงซะก็ติดหนี้คนอื่นอยู่ อย่างน้อยก็ต้องคืนเงินต้นทุน
ธุรกิจที่เธอว่ามาน่ะ คืออะไรเหรอ?
แข่งรถใต้ดิน ค่าผ่านทางเข้าสนามสองพันหยวน คนที่ได้ที่หนึ่งจะได้รับเงินรางวัลสามแสน ที่สองจะได้หนึ่งแสนห้าหมื่น ที่สามจะได้แค่ห้าหมื่น รถที่แข่งมีทั้งหมดยี่สิบสี่คัน
อิ่นหนิงหยู่หยิบใบประกาศรับสมัครขึ้นมาหนึ่งใบ ด้านบนเขียนรายละเอียดอย่างชัดเจน
แข่งอะไรแบบนี้ เธอไม่กลัวว่าพี่สาวเธอจะจัดการเธอเหรอ? ฉินเฟิงเอ่ย
จัดการฉัน ฉันก็จะบอกว่านายเป็นคนพาฉันไปไงล่ะ ยังไงซะพี่สาวฉันไม่รู้อยู่แล้ว สองล้านน่ะ เวลาแค่ครึ่งปี นายควรจะจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆนั่นแหละ
อิ่นหนิงหยู่เหมือนจะจับไต๋จุดอ่อนของฉินเฟิงยังไงอย่างงั้น
เธอติดหนี้สามล้าน!
ไม่สนแหละ นายต้องไปแข่ง เจ็ดต่อสาม ฉันเจ็ดนายสาม
เก้าต่อหนึ่ง ฉันเก้าเธอหนึ่ง
ฉินเฟิงก็เล่นกับเด็กคนนี้ด้วย หลังจากที่ตกลงกันแล้ว ต่อราคากันจนเหลือหกต่อสี่ ฉินเฟิงได้หก อิ่นหนิงหยู่ได้สี่ แต่ฉินเฟิงก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า ผมยังมีอีกเงื่อนไขหนึ่ง
เงื่อนไขอะไร?
เธอต้องบอกฉันมาก่อน ว่าเธอจะเอาเงินนี่ไปทำอะไร
มันไม่เกี่ยวกับนาย
ถ้างั้นฉันไม่แข่ง
ก็ได้ ถ้านายได้ที่หนึ่ง เอาไว้ฉันค่อยบอกนายแล้วกัน
อิ่นหนิงหยู่โบกมือไปมาบอกปัด เป็นอีกครั้งโอนอ่อนผ่อนปรนอีกครั้ง
หลังจากที่ยุ่งมาทั้งวัน ฉินเฟิงก็เดินขึ้นไปด้านบนของบ้าน ด้านล่างมีรถมอเตอร์ไซค์ของอิ่นหนิงหยู่หนึ่งคัน ฉินเฟิงขมวดคิ้วเป็นปมแล้วถามขึ้นมาว่า พี่สาวเธอขับรถออกไปแล้ว เดี๋ยวฉันจะใช้อะไรแข่งล่ะ?
ฉันจะยืมให้นายเอง
อิ่นหนิงหยู่กวักมือเรียกฉินเฟิง บอกให้เขาขึ้นมา
หลังจากผ่านไปสิบกว่านาที ทั้งคู่ก็มาถึงสนามแข่งรถ สถานที่ดูใหญ่โอ่โถงมาก มันกินเนื้อที่ไปหลายพันเมตร นอกจากนี้ยังคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่ ทำให้สนามแข่งรถใต้ดินที่นี่ดูคึกคักขึ้นมาทันที
รถล่ะ?
ฉินเฟิงกวาดตามองไปรอบๆ ไม่เห็นรถที่อยู่คันเดียวสักคัน
นี่ไง
อิ่นหนิงหยู่เดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่แห่งนั้นมีคนล้อมไว้จำนวนมาก หล่อนรีบพูดไล่คนอื่นๆ ทุกคน ถอยหน่อย ช่วยถอยหน่อย
รอจนบอกให้ทุกหลีกไปจนหมดแล้ว ฉินเฟิงถึงได้พึ่งเห็นรถแข่งคันหนึ่ง
รถหวูหลิงหงกวง!
รถหวูหลิงหงกวงเจ็ดที่นั่งคันหนึ่ง ดูไปแล้ว ไม่ใช่รถใหม่เลย ดูเก่าด้วยซ้ำ ด้านบนยังมีสัญลักษณ์อันหนึ่ง ตัวเลข 24 อยู่บนนั้น นั่นก็คือผู้เข้าแข่งขันคนสุดท้าย
เอ๋ เจ้าของมาแล้วสินะ?พวกเธออยากจะมาขายหัวเราะกันรึไง ฉันใช้ชีวิตอยู่ในสนามแข่งรถมาตั้งหลายปี พึ่งเคยเห็นคนเอารถหวูหลิงหงกวงมาแข่งเนี่ยแหละ ขำชะมัด
ด้านข้างรถ มีผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง หลังจากที่มองเห็นอิ่นหนิงหยู่ก็เกิดหัวเราะขึ้นมา
คนดูสวยไม่ใช่น้อย แต่น่าเสียดาย สมองมีปัญหา เอารถหวูหลิงหงกวงมาแข่ง หลายปีมานี้พึ่งเจอครั้งแรก พวกเธอนิคิดได้เนอะ
รถหวูหลิงหงกวง เป็นรถที่ถูกที่สุด คันหนึ่งใช้เงินแค่สองสามหมื่น พวกแกรู้ไหม รถบนสนามที่นี่ มีบางคันที่ลำพังแค่เครื่องยนต์ก็ราคาไม่ต่ำกว่าสองสามหมื่นแล้ว บางคันสองสามแสนหรือมากกว่านั้น แกไปเอารถหวูหลิงหงกวงมาแข่งเนี่ยนะ?
พวกแก ตั้งใจมาทำให้ครบจำนวนคันใช่ไหมห้ะ
ทุกคนต่างพากันตลกขบขัน ที่พวกเขามารวมกันอยู่ที่นี่ได้ ความจริงก็เป็นเพราะรถหวูหลิงหงกวงที่ดูจะแปลกประหลาดมาก นับตั้งแต่ที่มีการสร้างสนามแข่งรถแห่งนี้ขึ้นมา ก็ไม่เคยเห็นใครเอารถหวูหลิงหงกวงเข้ามาแข่งเลย
สายตาของฉินเฟิงมองไปยังอิ่นหนิงหยู่
จน
อิ่นหนิงหยู่ตอบกลับเขาไปหนึ่งคำ แล้วพูดต่อว่า นี่เป็นเงินที่ฉันยืมเขามา นายห้ามแพ้เด็ดขาดนะ ถ้าแพ้ พี่สาวฉันไม่เอานายไว้แน่
อั้ยหยา ฉันได้ยินมาว่าวันนี้มีคนใช้รถหวูหลิงหงกวงมาแข่งรถงั้นเหรอ ฉันจะมาดูหน่อยว่าเป็นใครกัน?
หลังจากนั้นด้านหลังก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินออกมา
คุณชายเฉิน
ทุกคนต่างพากันขานชื่อคุณชายเฉินสองคำนี้ ทำให้เฉินป๋อรู้สึกได้ใจมาก เดินเข้ามา แล้วใช้หางตามองไปฉินเฟิงกับอิ่นหนิงหยู่ แล้วพูดอย่างเยาะเย้ยไปว่า จากสายตาฉันแล้ว พวกแกไม่เหมาะที่จะขับรถหรอก ครั้งนี้พวกแกแพ้แน่นอน เพราะว่า ครั้งนี้ฉันจะลงแข่งด้วย พวกแกจะต้องถูกรั้งท้ายไกลแน่
บทที่33 การกลั่นแกล้งของคุณท่านอิ่น
ผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองทหารคือพันเอก!นายพลท่านนั้น คือท่านนายพลฉิน!
รูม่านตาของหลี่ห้าวเบิกกว้าง ร่างกายเขาสั่นไปทั้งตัว เขาคิดไม่ถึงว่าจะหาเรื่องใส่ตัว หากระดานเหล็กอันหนักอึ้งซะด้วย ไม่สิ นี่ไม่สามารถพูดว่ากระดานเหล็กแล้ว นี่มันเป็นหินลาวาที่ร้อนระอุ
นายพลฉินเป็นใครน่ะเหรอ!
นายทหารอันดับหนึ่ง
ในบรรดาชายแดนทั้งสี่ทิศ เขาเป็นบุคคลในตำนานที่สามารถใช้คำว่าเทพแห่งการรบสองคำนี้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาสามารถกำจัดศัตรูไปได้ถึงสามแสนคนในตอนที่ประเทศต้าหัวเกิดภัยขึ้นมา เขาสามารถช่วยชีวิตคนทั้งประเทศต้าหัวให้รอดจากภัยสงครามได้
บุคคลสำคัญแบบนี้ เขากลับเจอดีเขาให้ซะแล้ว!
จบกัน
คุณคือฉีหยุน มือวางอันดับหนึ่งของทหารที่ถูกเล่าขาน ราชาแห่งกองทัพ?มีเพียงท่านคนเดียวเท่านั้น อายุแค่ยี่สิบห้าก็สามารถเลื่อนยศถึงขั้นพันเอกได้แน่นอน ว่านอกจากนายพลฉินแล้ว ที่ถูกเล่าขานต่อๆกันมาว่าเขาคือคนบ้าที่ไม่คิดชีวิตคนหนึ่ง
หลี่ห้าวฝืนหัวเราะอย่างขมขื่น เขากลับเจอเข้าให้กับประมุขจนได้
ในเมื่อเธอมาถึงที่แล้ว บัญชีนี้ จะแล้วกันไปคงไม่ได้แล้วล่ะ ใช่ไหม? ฉีหยุนพูด
ยินดีที่จะลงโทษครับ
หลี่ห้าวไม่สามารถต่อต้านได้
พอเห็นประมุขท่านนี้แล้ว ไม่สามารถปฏิเสธต่อต้านได้แม้แต่น้อย ลำพังแค่ชื่อแรกที่เอ่ยขึ้นมาก็สามารถกดเข้าให้ตายได้แล้ว
นี่ น้อง ยืมโทรศัพท์ให้ฉันหน่อยได้ไหม เมื่อกี้ฉันยังเล่นละครไม่จบเลย ยังเอาโทรศัพท์ไม่ได้
ฉีหยุนเดินไปหยุดตรงหน้าของฉินเฟิง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นมิตร
รีบเอาให้ผู้บัญชาการคนนี้เถอะ
อิ่นซินรีบดึงตัวฉินเฟิง หล่อนพึ่งเห็นกับตาเมื่อครู่นี้เอง ตอนแรกหลี่ห้าวที่ยโสโอหัง ตอนนี้ท่าทางเขาน่าสงสารมาก ต้องผ่านการคิดก่อนถึงจะรู้ ว่ายศนี้มันใหญ่มากขนาดไหน
หล่อนไม่กล้าแตะต้องหรอก
ฉินเฟิงก็ไม่กล้ายุ่งด้วย
ได้ครับ
ฉินเฟิงล้วงมือถือออกมาอย่างหมดคำพูด ฉีหยุนไม่ใช่ว่าไม่ได้พกโทรศัพท์มือถือหรอก แต่มือถือของเขาไม่สามารถติดต่อบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของอีสเตอร์แลนด์ได้ มีเพียงแค่โทรศัพท์มือถือของฉินเฟิงเท่านั้นที่สามารถทำได้
พอหลังจากที่รับโทรศัพท์มาแล้ว ฉีหยุนก็โทรออกไป หลังจากนั้นก็วางสาย แล้วหันไปพูดกับหลี่ห้าวว่า นายพันหลินฝากผมบอกกับคุณว่า รีบกลับกองทัพด่วน
ขอรับ
หลี่ห้าวรีบทำความเคารพแบบทหาร แต่สีหน้าของเขาซีดเผือด
จบเห่แน่
หมดกัน
หลังจากที่กลับกองทัพต้องไม่มีผลดีอะไรแน่ อีกทั้งยังมาจากปากของนายพันหลินแล้วด้วย นายพันหลินเป็นใคร เป็นคนอันดับที่สองของเวสเตอร์แลนด์ แค่คำเดียวจะส่งตัวเขากลับยังได้เลย
ผมไปแล้วนะ
หลี่ห้าวพูดกับอิ่นเสี้ยงสวี่ แล้วก็เดินจากไป
ความคล่องแคล่วและรวดเร็วเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการทำสงคราม เบื้องบนบอกมาแล้วต้องกลับกองทัพเดี๋ยวนี้ ถึงเขาจะมีนิสัยก้าวร้าว หรือจะมีนิสัยยโสจองหอง แต่ยังไงเขาก็ต้องทำตามคำสั่ง รีบกลับกองทัพโดยด่วน
? นี่คุณ!
อิ่นเสี้ยงสวี่มองดูหลี่ห้าวเดินจากไป ได้แต่โกรธจนกระทืบเท้าไปมา
ท่านประธานครับ ท่านดูจะเบ่งอำนาจมากไปนะครับ ใครไม่รู้ยังคิดว่าคุณกำลังจะโจมตีทั้งประเทศอย่างนั้นแหละ รถถังก็เอาออกมาแล้ว
เฝิงกางเดินออกมา แล้วกลืนน้ำลายเอือกๆ
ก่อนหน้านี้เขารู้ว่าฉีหยุนเก่งกาจขนาดไหน แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจมากขนาดนี้ เขาดึงเอารถถังออกมาอย่างไม่รีรอ
ผมเข้าไปในเขตกองพันทหารของเมืองเจียงเฉิง ไปทำการฝึกซ้อมให้กับเจ้าเด็กพวกนี้มา พึ่งแสดงเสร็จเมื่อกี้นี้เองครับ คุณก็โทรศัพท์ตามผมมา ผมเลยเอามันมาด้วยเลย ตอนนี้จบเรื่องแล้ว ผมขอตัวก่อนนะ
ฉีหยุนอธิบายอยู่ครู่หนึ่ง นั่นก็คือการรายงานให้ฉินเฟิงฟัง หลังจากนั้นก็คืนโทรศัพท์ให้กับฉินเฟิง ขอบใจนะ
รีบพูดว่าไม่ต้องเกรงใจครับสิ
อิ่นซินรีบดึงมือของฉินเฟิง พูดกระซิบกับเขาเบาๆ นี่เป็นคนที่ตำแหน่งสูงมากเลยนะ ฉันรู้ว่าก่อนหน้านี้คุณมีบุญคุณกับเขา แต่บุญคุณส่วนบุญคุณ คุณก็ต้องทำตัวดีๆหน่อย
ฉินเฟิงพูดอะไรไม่ออก สุดท้ายก็พูดไปว่า ไม่ต้องเกรงใจครับ
หลังจากนั้น ทหารกองนี้ก็เดินจากไป เฝิงกางรีบหันไปพูดกับอิ่นเสี้ยงสวี่อย่างได้ใจ เห็นรึยังครับ ว่าเบื้องหลังของบริษัทเฟิงซิ่งของเราคุณไม่มีปัญญาทำอะไรได้?
ในตอนนี้เอง เขารู้สึกว่าเขาคิดถูกที่เลือกอยู่ฝั่งฉินเฟิง
เพราะว่าแม้แต่ตระกูลฉินที่อยู่ยันจิงก็ไม่สามารถทำแบบนี้ได้ บอกให้ดึงทหารทั้งกองทัพออกมาก็ดึงออกมาได้ทันที ถือว่าครั้งนี้เขาเลือกเจ้านายได้ถูก
หึ!
ตอนนี้อิ่นเสี้ยงสวี่สะสมความโกรธจนปะทุออกมา เรื่องที่อยากทำในวันนี้ ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง อีกทั้งก่อนหน้านี้ยังคุยโม้โอ้อวดคำโตในการประชุมคณะกรรมการ แต่ตอนนี้หล่อนหน้าแตกจนไม่เหลือแล้ว
จะขายหน้าที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าต้องขายหน้าต่อหน้าของอิ่นซินคงจะเป็นอะไรที่ทรมานมาก
ประธานเฝิง ดิฉันขออภัยกับการกระทำไร้ซึ่งมารยาทเมื่อสักครู่ แต่ฉันขอร้องอีกครั้งได้ไหมคะ ให้โอกาสฉันอีกครั้งเถอะค่ะ ได้เซ็นสัญญาใหม่อีกครั้ง จะเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ก็ได้
อิ่นเสี้ยงสวี่เดินเข้าไปใกล้อีกก้าว แล้วยืดไหล่ยืดอกเล็กน้อย
อย่างไรเสียอายุมากหน่อย แต่การก้าวหน้าก็ดีไม่ใช่น้อย อิ่นเสี้ยงสวี่หน้าตาดีไม่แพ้ใคร เพียงแค่อาจจะด้อยกว่าอิ่นซินเล็กน้อย อีกทั้งยังมีฝีมือ ไม่อย่างนั้นคงไม่ทำให้หลี่ห้าวหลงหัวปักหัวปำขนาดนี้หรอก
เฝิงกางมองดูครู่หนึ่ง ใจสั่นหวั่นไหวเล็กน้อย แต่เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยอยู่ข้างๆมองดูอยู่ หวั่นไหวก็ส่วนหวั่นไหว เขาจะ เอาวันตายของตัวเองมาอยู่ในวันนี้ไม่ได้
คุณอิ่นครับ ผมเป็นผู้ชายที่มีหลักการนะครับ ในเมื่อการเซ็นสัญญาไปแล้วหนึ่งครั้ง ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเซ็นสัญญาครั้งที่สองหรอกมั้งครับ เฝิงกางยังคงยืนยันคำเดิม หลังจากนั้นก็แสดงให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง ยังจะเข้าไปนั่งอีกไหมครับ?
ไม่ล่ะ
อิ่นเสี้ยงสวี่เดินจากไปด้วยความโกรธ
เหลือไว้เพียงอิ่นซินกับฉินเฟิง หลังจากที่อิ่นซินเห็นผลลัพธ์ของเรื่องนี้แล้ว จึงก้าวไปข้างหน้าขอบคุณเฝิงกาง เฝิงกางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยทีท่าอ่อนโยนมีไมตรี พูดจาอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้น อิ่นซินที่อยู่ระหว่างทาง ก็โทรศัพท์ไปหานายท่านอิ่น คุณปู่คะ
อืม?
เสียงจากปลายสายเป็นเสียงคนแก่ของนายท่านอิ่น
อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวพวกเขาไม่ได้เซ็นสัญญาฉบับใหม่นะคะ หนังสือสัญญาฉบับนี้หนูยังคงเป็นคนเซ็น ใช่ไหมคะ คุณปู่พูดแล้ว คงไม่กลับคำพูดหรอกนะคะ
อิ่นซินยังคงรู้สึกดีใจอยู่บ้าง อ้อมไปไกล สุดท้ายก็ต้องอ้อมกลับมา
หล่อนยังคงสามารถเอาตำแหน่งประธานกรรมการ
เพียงแต่ เสียงปลายสายของนายท่านอิ่นก็พูดขึ้นมาว่า สัญญาเธอเป็นคนเซ็น แต่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกับพวกเราถือได้ว่าเป็นศัตรูกันแล้ว ปัญหาใหญ่นี้แก้ไม่ได้ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเราก็จะล้มละลาย และก็จะไม่มีตำแหน่งประธานกรรมการ เธอไปจัดการเรื่องนี้ให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยว่ากัน
ตู๊ดๆ
สายโทรศัพท์ถูกตัดไป
หา……คุณปู่คะ……ทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ……อ๊า……
อิ่นซินวางสายแล้ว มือกำแน่นมาก สุดท้ายก็คลายออกมา แล้วพิงไปกับร่างของฉินเฟิง หล่อนถามขึ้นอย่างไม่มีเรี่ยวแรง ผัวจ๋า คุณว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะเอาของที่เป็นของฉันกลับมาได้คะ จะจัดการกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปยังไงดีล่ะ เขาเกลียดฉันอย่างกับอะไรดี
ผมจะช่วยคุณเอง
ฉินเฟิงใช้นิ้วโป้งของมืออีกข้าง เขาพูดไปด้วย เล่นกับเส้นผมของอิ่นซินไปด้วย
หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พักนี้ฉันถึงรู้สึกว่าโชคชะตาฉันเปลี่ยนไป รู้สึกว่าโลกทั้งใบต่างพากันเป็นมิตรกับฉัน หรืออาจจะถึงเวลาเปลี่ยนโชคชะตาของฉันแล้วก็ได้ ขอบคุณพระเจ้ามากเลยนะคะ
จริงสิ คุณรู้จักนายพลฉินคนนั้นไหมคะ ฉันเคยได้ยินเรื่องของเขา ตั้งแต่กั่วกั่วอายุได้สองขวบฉันก็ได้ยินชื่อเสียงของเขาแล้ว เขาเป็นเทพสงครามที่หนึ่งของประเทศเรา คอยรบอยู่แนวหน้า กำจัดศัตรูอย่างกล้าหาญ ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เขาได้ชื่อว่า ‘เป็นคนบ้าที่ไม่คิดชีวิต’ภารกิจจะอันตรายขนาดไหนเขาก็ไม่หวั่นลงมือทำภารกิจอย่างตั้งใจ เป็นลูกผู้ชายตัวจริง ผู้ชายแบบนี้ไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายในอุดมคติของผู้หญิงมากมายขนาดไหน อย่างไรเสีย จะมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่มีความรัก
ความจริงแล้วฉันนับถือเขามากเลยนะ แต่ฉันแต่งงานแล้ว ลูกยังโตขนาดนี้แล้ว เอาล่ะ ฉันไม่พูดแล้วดีกว่า อย่าหึงไปนะ มา ฉันจะให้รางวัลคุณ ที่วันนี้คุณปกป้องฉัน
ม๊วฟเสียงดังขึ้นหนึ่งครั้ง
อิ่นซินจูบไปที่ใบหน้าของฉินเฟิงหนึ่งครั้ง เหลือไว้เพียงรอยจูบของสีลิปสติก ฉินเฟิงใช้มือลูบเบาๆ มุมปากยกขึ้น เขาจะไปหึงได้ยังไงกัน
บทที่32 ฉีหยุนมาแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวตะลึงไปชั่วครู่ เหตุใดลักษณะท่าทางถึงเปลี่ยนไปล่ะ ก่อนหน้านี้เฝิงกางยังนอบน้อม พูดจาระมัดระวังอยาเลย แต่ตอนนี้กลับปฏิเสธในทันที อีกทั้งในรอยยิ้มอย่างมีความเย็นชาซ่อนอยู่ด้านในด้วย
มีลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่ง
ประธานเฝิง ก่อนหน้านี้ในสายคุณไม่ได้พูดแบบนี้นิ่ครับ
หลี่ห้าวขมวดคิ้วเป็นปม แล้วถามไปยังเฝิงกาง
เมื่อก่อนคือเมื่อก่อน ตอนนี้คือตอนนี้ ตอนนี้ผมไม่อยากเซ็นสัญญานี้กับพวกคุณแล้ว
เฝิงกางนั่งลงกับโซฟา ทั้งเนื้อทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของประธานที่มาจากจิงตู ปรากฏขึ้นอีกครั้ง อย่างไรเสียที่จิงตูเขาก็ถือว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง ครั้งนี้เป็นเพราะแค่เขาคิดว่าอิ่นซินอยากจะเซ็นสัญญาใหม่แค่นั้นเอง
หลังจากที่ผ่านการลองใจแล้ว พบว่ามันไม่ใช่เรื่องเดียวกัน
ทั้งสองที่ไม่สนใจอิ่นซินกับฉินเฟิง กระทั่งยังดูถูก ท่าทางจองหองพองขน แน่นอนว่าเขาต้องโจมตีกลับอย่างแน่นอน เขาจะทำให้เถ้าแก่กับเถ้าแก่เนี้ยเห็น
ประธานเฝิง เกิดเป็นคนจะทำตัวคำพูดไม่น่าเชื่อถือแบบนี้ไม่ได้นะคะ!
อิ่นซินสวี่เดินออกมา แล้วพูดไปหนึ่งประโยค
ในสาย เขาพูดกับเฝิงกางอย่างชัดถ้อยชัดคำ และชัดเจนมาก ยังคุยโม้ไปตั้งเยอะ ตอนนี้คำว่าไม่เซ็นแล้ว จะให้พวกเขาจัดการเรื่องนี้ยังไงกัน
คำพูดไม่น่าเชื่อถือ?สัญญาได้เซ็นแล้วเหรอครับ?คุณก็พูดว่าคำพูดไม่น่าเชื่อถือแล้ว
เฝิงหางเลิกคิ้วขึ้น
ทำให้อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวไปไม่เป็น เพราะว่าสัญญานั้นยังไม่ได้เซ็นจริงๆ ถ้ายังไม่ได้เซ็นก็เท่ากับว่าไม่มีผลทางกฎหมาย
ประธานเฝิง เงื่อนไขเราสามารถลดลงได้นะ ลดเหมือนครั้งก่อนก็พอแล้ว ขอเพียงแค่เซ็นสัญญาฉบับใหม่อีกฉบับก็พอ
พอเห็นท่าทีของเฝิงกางแล้ว อิ่นเสี้ยงสวี่ยังคิดว่าเฝิงกางไม่พอใจกับหนังสือสัญญา ตั้งใจจะกดราคา ทันใดนั้นเธอจึงเริ่มถอยหลังสองก้าว ตอนแรกที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปร่วมมือกับพวกเขาก็เท่ากับว่าบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้กำไรแล้ว ฟื้นกลับคืนสู่เมื่อก่อนก็ได้
ขอโทษด้วยนะครับ ก่อนหน้านี้ผมได้เซ็นสัญญาไปหนึ่งฉบับแล้ว
เฝิงกางยังคงพูดย้ำคำเดิม
ท่าทีนี้ทำให้อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวขมวดคิ้วเป็นปม โดยเฉพาะหลี่ห้าว เขาเริ่มโกรธขึ้นมาแล้ว ในกองทหารเขาถือได้ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาคนหนึ่ง ตระกูลก็พอมีอำนาจอยู่บ้าง แต่มาวันนี้กทุกอย่างกลับไปราบรื่น ถูกกดดันทุกแห่งหน โดยเฉพาะต่อหน้าไอ้ขอทานอย่างฉินเฟิง เขาขายหน้าไปหมดแล้ว ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เฝิงกาง คุณคิดดูดีๆนะ ตอนนี้ผมยังเป็นคนที่มียศมีศักดิ์ ถ้าคุณทำให้ผมไม่พอใจ ผมก็จะทำให้คุณอยู่อย่างยากลำบากเหมือนกัน หลิงห้าวขยับเนกไทของตัวเอง แล้วใช้สายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาตมองไปที่เฝิงกาง ท่าทางของเขาแสดงออกอย่างชัดเจน ความหมายก็คือวันนี้หนังสือสัญญา ไม่อยากเซ็นก็ต้องเซ็น
หืม คุณขู่ผมเหรอครับ?
ใสสายตาของเฝิงกางเริ่มมีความสนุกขึ้นมา
ขู่คุณแล้วมันจะทำไม?จะบอกอะไรให้นะ แค่โทรศัพท์ฉันกริ๊งเดียว ก็สามารถทำให้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของคุณเปิดไม่ได้อีกต่อไป ถ้าคุณทำตามอย่างว่าง่าย เซ็นสัญญาฉบับนี้ให้เรียบร้อยซะ
หลี่ห้าวตบไปที่หนังสือสัญญาที่วางอยู่บนโต๊ะ ด้วยนิสัยก้าวร้าว
อิ่นเสี้ยงสวี่นั่งมองอยู่ข้างๆ ท่าทางเอาแต่ใจนี้ ทันใดนั้นก็แอบขำ แล้วพูดกับอิ่นซินว่า เห็นรึยัง นี่ถึงเรียกว่าลูกผู้ชาย ดีกว่าฉินเฟิงผัวจรจัดของหล่อนร้อยเท่า พันเท่า
ตอนนี้ฉันขอวาดแบ่งเขตกับพวกเธอ ยังทันไหมอ่ะ?
เพียงแต่ อิ่นซินมองไปยังอิ่นเสี้ยงสวี่ อย่างหมดคำพูด
ว่าไงนะ?
อิ่นเสี้ยงสวี่ไม่เข้าใจในคำพูดของอิ่นซิน
พวกเธอเคยไปสืบอะไรมาบ้างไหม เรื่องเบื้องหลังของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปน่ะ? อิ่นซินเอ่ย
เบื้องหลังงั้นหรอ?
ในใจของอิ่นเสี้ยงสวี่ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
ในเวลานี้นั่นเอง เฝิงกางล้วงมือถือขึ้นมา แล้วโทรศัพท์ออกไป ท่านประธานครับ มีคนบุกเข้ามาหาเรื่องถึงถิ่นเลยครับ ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเลยครับ เขาบอกว่าจะทำให้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของพวกเราทำกิจการต่อไปไม่ได้ครับ ท่าทางกำเริบเสิบสานมากเลยครับ……
โทรไปสายหนึ่ง พูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับหลี่ห้าว
คือ……
อิ่นเสี้ยงสวี่มองไปที่หลี่ห้าวอยู่หลายครั้ง รู้สึกกังวลเล็กน้อย
หลี่ห้าวโบกมือไปมา ไม่ต้องกังวลหรอก ผมเป็นคนที่มีอำนาจพอตัวที่เวสเตอร์แลนด์ ผมยังมีรุ่นพี่มากมาย ครูฝึก ถ้าพูดถึงเรื่องเส้นสายไม่ด้อยไปกว่าเขาหรอก คุณวางใจเถอะ วันนี้สัญญาฉบับนี้ยังไงก็ต้องเซ็นให้ได้
สายตาของหลี่ห้าวมีความมั่นใจโผล่ออกมาให้เห็น
จนกระทั่ง หลังจากผ่านไปสิบนาที ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาด้านใน
ท่านประธานของเรามาแล้วครับ
เฝิงกางลุกขึ้นยืน มองไปยังด้านนอกที่มีคนกำลังเดินเข้ามา
ผมขอดูหน่อยเถอะ ท่านประธานที่อายุน้อยกว่าผมคนนี้ ตกลงจะแน่สักแค่ไหนกันเชียว วันนี้ยังอยากจะกดผมอีก หึๆ ผมจะให้มันโค้งคำนับผมให้ได้
หลี่ห้าวยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา
ที่เขาเรียบเฉยได้ขนาดนี้ ยังมีเหตุผลอีกอย่างนั้นก็คือ เขาเคยได้ยินมาว่า ประธานที่มาใหม่นั้นคือฉีหยุนที่อายุอานามน้อยมาก อายุน้อยกว่าเขาเสียอีก เขาถือได้ว่าเป็นทหารที่ทะนงองอาจ มีตระกูลคอยสนับสนุน ถึงได้ขึ้นมาเป็นถึงร้อยเอกได้
อายุน้อยกว่าเขา ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นทหารปลายแถวอย่างแน่นอน จุดนี้เขาสามารถมั่นใจได้
คนทั้งหมดเดินออกไป หลี่ห้าวเดินอยู่ด้านหน้าสุด เดินอย่างมั่นอกมั่นใจ เขาจะคอยดูว่าเป็นทหารเหล่าไหน เพียงแต่ในตอนที่เขาเดินออกจากประตูไปนั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขา ก็หายไปในพริบตา
ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
เพราะด้านหน้าของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมีทหารมีกลุ่มหนึ่ง ท่าทางเคร่งขรึมดูไปแล้วราวกับมีทหารอยู่สามพันราย แต่งตัวเต็มยศ อาวุธครบมือ บนร่างกายยังมีปืนยาวหนึ่งกระบอก เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ยืนเรียงหน้ากระดาน ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวมาก
ผ่านไปครู่เดียว ก็ตรงเข้าล้อมทั้งตึกของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ทหารที่เรียงรายอยู่ แต่เป็นรถถังขนาดใหญ่คันหนึ่ง รถถังทั้งคันมีความกว้างถึงห้าเมตร ดูไปแล้วเหมือนอสุรกายยักษ์มาก ทำให้คนที่เผชิญหน้ากับมันอยู่ขาดอากาศหายใจตายได้ในทันที
บนรถถัง มีผู้ชายคนหนึ่งที่ใส่ชุดทหารปีนออกมา ผมได้ยินมาว่า มีคนจะทำให้บริษัทของผมเปิดต่อไปไม่ได้หรอครับ?
ผะผม……
หลี่ห้าวพูดไม่ออกในทันที
มาแบบยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ถึงเขาจะเคยอยู่ในเวสเตอร์แลนด์ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน รถถังของแบบนี้ไม่ใช่ใครก็สามารถเอามาขับได้ ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้จักทหารกองนี้ดี กองทัพท้องที่ ผู้บังคับบัญชาการทหารทั่วไปไม่มีทางเอาออกมาได้หรอก
คุณใช่ไหม
ฉีหยุนกวาดมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วใช้สายเพ่งมองไปที่หลี่ห้าว พูดขึ้นมาว่า บอกชื่อ และหมายเลขกองร้อยมา
สวัสดีครับท่านผู้พัน
หลี่ห้าวยกมือขึ้นมา ทำท่าทำความเคารพแบบทหารทันที ในกองทัพ ผู้น้อยต้องทำความเคารพผู้ที่ยศสูงกว่า นี่คือกฎ ถึงเขาจะไม่ยินยอม หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นมาทันที กระผม ร้อยเอกแห่งเวสเตอร์แวนด์ กองทัพหมายเลข358 หลี่ห้าวครับ
ร้อยเอกงั้นเหรอ?แค่ร้อยเอกยศเล็กๆคนหนึ่ง กล้าทำลายบริษัทของฉันเชียวเหรอ คุณไม่อยากมีชีวิตแล้วใช่ไหมห้ะ?ยังอยากจะใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพอย่างสงบสุขอยู่ไหม?นี่เป็นการทำผิดกฎระเบียบวินัยร้ายแรง
ฉีหยุนเดินลงไป แล้วตะโกนด่าตอกหน้าหลี่ห้าวอย่างแรง
หลี่ห้าวรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก นัยน์ตาเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร เขาจึงพูดขู่ขึ้นมาว่า ถึงคุณจะเป็นผู้พัน แต่ครูฝึกของผมคือหลินหยุนพันโทแห่งเวสเตอร์แลนด์ ปู่ของผมคือพันเอกแห่งเวสเตอร์แลนด์ ทางที่ดีคุณควรเจียมตัวไว้หน่อยนะ
ยศทหารสูงแล้วยังไงล่ะ เบื้องหลังของเขาก็มีที่ให้พึ่งเหมือนกัน อีกทั้งเป็นเขาลูกใหญ่มาก
หึๆ ทหารใหม่อ่อนหัดเอ้ย คุณมาพูดเรื่องยศทหารกับผม พูดเรื่องที่พึ่งของคุณเนี่ยนะ
ฉีหยุนขำหนักมาก หัวเราะอย่างมีความสุข แต่ไม่กี่วินาทีต่อไปเขาก็หยุดหัวเราะทันที สายตาเฉียบคม ผมฉีหยุน พันเอกแห่งอีสเตอร์แลนด์ หัวหน้ากองพันทหารรักษาการณ์ คุณลองเดาสิว่ายศกองพันหัวหน้ารักษาการณ์ของผม ปกป้องใครกันนะ?
บทที่31 แหวนราคาห้าสิบล้าน
ว่าไงนะ ห้าสิบล้าน!
ทันใดนั้นอิ่นเสี้ยงสวี่ก็ลุกขึ้นยืนทันที จากใบหน้าที่ยิ้มระรื่นในตอนแรก ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความแข็งทื่อกระทั่งเหลือเชื่อ เธอจึงรีบถามต่อไปว่า เธอประเมินยังไงกัน ทั้งๆที่มันเป็นของปลอมเนี่ยนะ
แหวนเพชรสีแดงวงนี้ มันมีมูลค่ามากถึงห้าสิบล้านเชียวนะคะ ราคาตามในท้องตลาดตอนนี้ อย่างต่ำๆก็สี่สิบล้านแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านี่คือขุมทรัพย์เฟียร์ซฮาร์ทของบริษัทLV อย่างน้อยๆมันก็มีมูลค่ากว่าห้าสิบล้านเลยนะ คนประเมินก็พูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยคำพูดน้ำใสใจจริงน่าเชื่อถือ
ฉันไม่ได้ให้เธอประเมินว่ามันมีมูลค่ามากขนาดไหน ฉันแค่อยากจะให้เธอพิสูจน์ประเมินออกมาว่ามันเป็นของปลอม
อิ่นเสี้ยงสวี่รู้สึกโกรธจนหายใจไม่ออก
ห้าสิบล้าน ถ้ามีค่าห้าสิบล้านจริงๆ ถ้าอย่างงั้นแหวนเพชรสองกะรัตราคาสามแสนในมือของเธอจะไปนับประสาอะไร เมื่อกี้เธอยังอวดต่อหน้าอิ่นซินอยู่เลย ได้แต่อวดอยู่อย่างนั้น
ถ้ามันคือเรื่องจริง แบบนี้เธอก็เป็นแค่ตัวตลกโลดเต้นไปมาเมื่อกี้น่ะสิ
นี่คือของจริงค่ะ ดิฉันทำการประเมินมาตลอดทั้งชีวิต ไม่มีทางพลาดแน่ นี่เป็นของจริงค่ะ
คนประเมินยกมือขึ้นมา ทำท่าทำทางมั่นใจมาก
ช่างเถอะ เธอไปเถอะ
อิ่นเสี้ยงสวี่รีบไล่คนประเมินกลับไปทันที หลังจากนั้นก็โยนแหวนเพชรสีแดงคืนให้กับอิ่นซิน แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า คนประเมินคนนั้นน่ะเป็นคนของภัตตาคาร ไม่มีความชำนาญมากหรอก ไม่ต้องไปสนใจ
ถ้าหากมันคือเรื่องจริง งั้นเธอก็ขายหน้าไปกันใหญ่น่ะสิ เหมือนเธอยื่นหน้าไปให้อิ่นซิน แล้วให้อิ่นซินตบหน้าเธอแรงๆ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ตอนนี้เธอไม่สามารถยอมรับมันได้
นั่นน่ะสินะ เขาเรียกคนแบบนี้ว่าคนประเมินมือสมัครเล่น
หลี่ห้าวเองก็ยืนพูดอยู่ข้างๆเช่นกัน
เพราะว่าก่อนหน้านี้คนประเมินราคาคนนั้น ประเมินแหวนเพชรของพวกคุณออกมา พวกคุณยังดูเชื่อถือมั่นใจเต็มอกอยู่เลย ทำไม ตอนนี้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือได้ล่ะ?
ฉินเฟิงที่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ยักคิ้วพลางมองไปที่พวกเขาสองคน
……
ทันใดนั้นทั้งสองก็หน้าถอดสีทันที ขายหน้าไปถึงบ้านแล้วไหมล่ะตอนนี้
ช่างเถอะ คนประเมินน่าจะมีปัญหาจริงๆน่ะแหละ
อิ่นซินโบกมือไปมา พูดตัดบทขึ้นมา
ต่อมาทุกคนก็รับประทานอาหารกันต่อ เธอถามกับฉินเฟิงด้วยเสียงเบาไปว่า แหวนวงนี้คุณไปซื้อมาจากไหนกัน ถึงกับสามารถพิสูจน์จากของปลอมเป็นของจริงได้ ราคาต้องไม่ถูกใช่ไหม
อิ่นซินยังคงรู้สึกว่ามันเป็นของปลอม เนื่องจากแหวนวงละห้าสิบล้าน ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะซื้อก็ได้ ฉินเฟิงเป็นแค่คนธรรมดาเดินดิน จะไปมีเงินซื้อของมีค่าแบบนี้ได้ยังไงกัน
ไม่แพงหรอก
ฉินเฟิงพูดเออออไปกับอิ่นซินด้วย
ในความเป็นจริงนั้น สำหรับฉินเฟิงแล้ว ห้าสิบล้านมันไม่แพงหรอก เงินพวกนี้เป็นเงินเล็กน้อย เนื่องจากเขาเป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ มีคนมากกว่าหลายแสนคนที่อยู่ในการปกครองของเขา จำนวนเงินห้าสิบล้าน เป็นเงินเล็กน้อยมากจริงๆ
หลังจากมื้ออาหาร อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวต่างพากันกินไม่ค่อยลง พวกเขาตั้งใจมาหาเรื่อง เพื่ออวดทรัพย์สินเงินทอง แต่ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขากลับถูกกดดันอย่างหนัก นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
อิ่นซิน กินเสร็จแล้ว ตอนนี้ใกล้ได้เวลาเข้าไปเซ็นสัญญากับประธานเฝิงแล้ว พวกเธอจะไปกับพวกฉันไหม? อิ่นเสี้ยงสวี่ถามขึ้น
นี่เป็นเรื่องที่จะทำให้อิ่นซินเจ็บปวดที่สุด
เธอจะทำให้อิ่นซินเห็นว่า หนังสือสัญญาที่เธอเสียแรงทุ่มเทไปมากมายนั้น หายไปภายในพริบตา เปลี่ยนมาอยู่ในมือของเธออย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรง นี่สิถึงเรียกว่าเป็นท่าไม้ตายของเธอ วิธีนี้ ทำให้อิ่นซินได้รับความเจ็บปวด
แต่ครั้งนี้ อิ่นซินมองไปที่ฉินเฟิง คุณจะไปไหมคะ
ไปสิ
ฉินเฟิงพยักหน้า
ลูกพี่ลูกน้อง ผัวสวะของเธอมันไม่มีความสามารถอะไรเลย เธอไม่จำเป็นต้องไปปรึกษาเขาหรอก อย่างไรเสียคนที่หาเงิน ก็ต้องเป็นคนตัดสินใจ
อิ่นเสี้ยงสวี่หัวเราะเยาะ แล้วตอกหน้าว่าฉินเฟิงคือเศษสวะ ไม่มีการอ้อมค้อมแม้แต่น้อย
หลังจากนั้น พวกเขาก็พากันเดินออกไป
คุณไม่ต้องเก็บมาใส่ใจนะคะ
อิ่นซินปลอบใจฉินเฟิง แต่ยังคงพูดออกไปอย่างลังเลว่า คุณก็ต้องกระตือรือร้นหน่อยนะคะ ไม่ได้เพื่อตัวคุณเอง ก็ต้องเพื่อฉันกับกั่วกั่ว อย่างไรเสียในบางครั้งฉันก็ต้องทำพลาดล้มเหลวบ้าง ถึงเวลานั้นฉันอาจจะเลี้ยงคุณต่อไปไม่ไหวก็เป็นได้
ฉินเฟิงนวดคลึงขมับเบาๆ เขาผู้ซึ่งเป็นถึงเทพเจ้าสงครามที่หนึ่งในประเทศต้าหัว เป็นหนึ่งในไม่กี่คนของประเทศที่มีอำนาจใหญ่ที่สุด เป็นบุคคลที่เป็นตำนานที่กำจัดศัตรูฝ่ายตรงข้ามถึงสามแสนคนภายในสนามรบเดียว ต้องให้ใครเลี้ยงดูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แต่พอมองคนที่อยู่ด้านหน้าแล้ว ใบหน้าเต็มไปเธอด้วยความตั้งใจ เธอมีความอ่อนโยนดุจดั่งสายน้ำ มีความขี้เล่นซุกซนซ่อนอยู่ในนั้นด้วย ดวงตาคู่สวยของเธอ มันทำให้ฉินเฟิงยอมรับความเชื่ออย่างหนึ่ง นั่นก็คือการเกาะเมียกินของตัวเอง มันไม่น่าอายเลย
ยิ่งไปกว่านั้นมีเมียสวยขนาดนี้
หลังจากที่ออกจากร้านอาหารแล้ว ทุกคนก็มุ่งตรงไปยังบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป พอหลังจากที่มาถึงแล้ว พวกเขาก็ตรงเข้าไปพบเฝิงกางที่ยืนรออยู่หน้าประตูแล้ว ยังมีท่าทางยำเกรงเคารพ ไม่มีอาการอิดออดแม้แต่น้อย
อิ่นเสี้ยงสวี่ที่ลงจากรถมา ก็ควงแขนของหลี่ห้าวทันที แล้วชูคอพูดกับอิ่นซินที่อยู่ด้านหลังว่า เห็นไหม ว่าขอแค่คู่หมั้นฉันโทรศัพท์แค่กริ๊งเดียว ประธานเฝิงกางนั่นก็รีบมาต้อนรับรอทำความเคารพทันที ดีกว่าเธอตั้งหลายเท่า
เฝิงกางที่รอมาสิบกว่านาทีแล้ว ได้แต่รออยู่อย่างนั้น วันนี้เขาก็ได้รับโทรศัพท์อยู่สายหนึ่ง ตอนแรกเขาไม่อยากจะรับ แต่หลังจากที่เห็นว่าเป็นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว เขาจึงรีบตื่นขึ้นมาทันที
เพราะว่าอิ่นซินก็คือคนของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป นั่นเป็นเถ้าแก่เนี้ยของเขาเชียวนะ
หลังจากนั้นเนื้อหาในสายก็เป็นเรื่องการร่างหนังสือสัญญาใหม่ เขาคิดอิ่นซินไม่พอใจ จึงรีบตอบตกลงทันที แล้วเขาก็จัดการร่างหนังสือสัญญาฉบับใหม่ขึ้นมาอีกฉบับทันที หนังสือสัญญาในฉบับนั้นเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปทั้งหมด
ผลกำไรส่วนแบ่งของโปรเจ็คเอย ทั้งให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นผู้นำเอย เหมือนกับหนังสือสัญญาที่ไม่มีความเท่าเทียมกัน
พอเห็นคนของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป เฝิงกางก็รีบเข้าไปต้อนรับทันที หลังจากที่เชิญเข้าไปแล้ว เขาก็พบว่า อิ่นซินกับฉินเฟิงทั้งสองที่เป็นเถ้าแก่ตัวจริงเสียงจริงกลับเดินอยู่ด้านหลัง
สองคนที่เขาไม่รู้จัก เดินนำอยู่ด้านหน้า
ทั้งสองท่านคือ?
เฝิงกางที่ถามไปยังอิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าว
ดิฉันชื่ออิ่นเสี้ยงสวี่ เป็นคนของตระกูลอิ่นค่ะ ส่วนคนนี้คือคู่หมั้นของฉันเองค่ะ ชื่อหลี่ห้าว ร้อยเอกแห่งเวสเตอร์แลนด์ค่ะ
พอพูดถึงตรงนี้ เสียงของอิ่นเสี้ยงสวี่ก็แหลมขึ้น อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงร้อยเอกตำแหน่งนี้ไม่ใช่ใครๆก็สามารถเป็นได้
พวกคุณเกี่ยวข้องอะไรกับคนที่ด้านหลังทั้งสองครับ?
เฝิงกางโน้มตัว แล้วถามกับทั้งสองคนอย่างระมัดระวัง ด้วยท่าทีประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอาย
พวกหล่อนน่ะเหรอ?ไม่ต้องไปสนใจพวกเขาหรอกค่ะ แค่มาประสมโรงกับพวกเราเฉยๆน่ะค่ะ อินเสี้ยงสวี่เอ่ย
ที่เฝิงกางขึ้นมาสู่ตำแหน่งนี้ได้ ถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถมากเลยทีเดียว เขามองออก เวลาที่อิ่นเสี้ยงสวี่พูดนั้น ในแววตาเต็มไปด้วยความดูถูก นั่นเป็นการดูถูกอิ่นซินกับฉินเฟิง
พวกเราเข้าไปคุยกันด้านในเถอะค่ะ
หลี่ห้าวยืดตัวขึ้น ทำท่าทำทางใหญ่โต
ได้ครับ เชิญครับ
เฝิงกางเชิญพวกเขาเข้าไปด้านใน
ระหว่างทาง อิ่นเสี้ยงสวี่ก็พูดกระซิบกับอิ่นซินที่อยู่ข้างหลังว่า เห็นไหมล่ะ นี่ก็คือข้อดีของการมีหน้ามีตา ได้ยินมาว่าประธานเฝิงคนนี้เป็นคนที่หยิ่งผยองในเมืองเจียงเฉิงมาก เจ้าของธุรกิจส่วนมากไม่กล้าแหย็มกับเขา แต่ต่อหน้าพวกเรา ต่อหน้าคู่หมั้นของฉัน ยังคงประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอายอยู่ดี
หลี่ห้าวที่ได้ยินคำพูดนี้ ก็รู้สึกภาคภูมิใจมาก
แต่พอหลังจากที่เดินไปจนถึงห้องโถง หลี่ห้าวนั่งประจำที่ แล้วเอาขาขึ้นมาไขว่ห้าง ทำตัวอำนาจบาตรใหญ่ ยักคิ้วขึ้น แสดงให้เฝิงหางเห็น ถึงเวลาเซ็นสัญญาแล้วล่ะ
เขาคิดว่าเฝิงกางถูกเขาทำให้กลัวแล้ว เขาจึงใช้น้ำเสียงดุดันขึ้น อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เฝิงกางที่ได้ยินแบบนั้น ก็เผยยิ้มออกมา เซ็นสัญญา?หนังสือสัญญาอะไรครับ ผมเซ็นสัญญากับคุณอิ่นซินตัวแทนบริษัทของซานหยวนกรุ๊ปไปแล้วนะครับ คุณมาหาอะไรจากผมอีกครับ?
บทที่ 30 แหวนหมั้น
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลี่ห้าวก็เปลี่ยนไป ฉันได้ภาษาฝรั่งเศสจัดเป็นระดับสี่ คุณกล้ามาบอกว่าการใช้ภาษาของฉันผิด คุณมีสิทธิ์อะไรมากล่าวหาผมแบบนี้?
ใช่
อิ่นเสี้ยงสวี่พูดอยู่ข้างๆ ขอทานอย่างคุณ กล้าดียังไงมากล่าวหาคู่หมั้นของฉัน คุณคงไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหรอก
ในตอนนั้น ฉินเฟิงก็ได้มองไปที่พนักงาน เขาได้พูดภาษาฝรั่งเศสกับพนักงานคนนั้นอย่างคล่องแคล่ว สั่งไปหลายเมนู ตอนนั้นทำให้หลี่ห้าวอึ้งไปเหมือนกัน แต่อิ่นเสี้ยงสวี่ได้หัวเราะเยาะขึ้น คุณกลัวว่าตัวเองจะพูดเรื่องไร้สาระกับพนักงานเสิร์ฟ ฉันเดาว่าพนักงานเสิร์ฟไม่สามารถเข้าใจได้
คุณผู้ชาย คุณอยู่ลอนดอนหรือเปล่าคะ?
พนักงานตกใจเป็นอย่างมาก พูดภาษาจีนออกมาหนึ่งประโยค แล้วพูดต่ออีกว่า นานมากแล้วที่ฉันไม่ค่อยได้ยินภาษาพื้นเมืองแท้ๆจากประเทศต้าหัวแห่งนี้ หากไม่ใช่ผิวของคุณ ฉันคงนึกว่าคุณเป็นชาวฝรั่งเศสแล้วค่ะ
ในภัตตาคารแห่งนี้พนักงานทุกคนพูดภาษาจีนได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในการสื่อสาร เพราะว่าไม่ใช่แขกทุกคนที่สามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้ แต่ว่าพวกเขาต้องใช้ภาษาฝรั่งเศสสื่อสาร เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นร้านที่มีระดับ
ผมไม่ใช่
ฉินเฟิงยิ้มแล้วส่ายหัว
แต่สิ่งนี้ทำให้ใบหน้าของอิ่นเสี้ยงสวี่และหลี่ห้าวไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง พวกเขาได้ยิน พนักงานคนหนึ่งพูดว่าภาษาพื้นเมืองของภาษาฝรั่งเศส อิ่นเสี้ยงสวี่ไม่เข้าใจภาษาฝรั่งเศส แต่ว่าหลี่ห้าวพอรู้บ้าง
ฉินเฟิงพูดได้อย่างถูกต้องคล่องแคล่ว ภาษาฝรั่งเศสของเขาดีกว่าครูที่สอนภาษาฝรั่งเศสฉันอีก
อิ่นเสี้ยงสวี่โมโหเขา ได้แต่กำมือ และนั่งอยู่บนเก้าอี้
หลังจากพนักงานไปได้ไม่นาน อาหารที่สั่งไว้ก็มาเสิร์ฟ เมื่ออาหารมาถึงอิ่นเสี้ยงสวี่กินไป ก็อวดแหวนหมั้นในมือไป น้องสาว(ลูกพี่ลูกน้อง) เธอลองดูสิว่าแหวนวงนี้ของฉันเป็นยังไง? เป็นแหวนที่หลี่ห้าวขอฉันแต่งงาน เป็นแบรนด์LV สองกะรัตเลยเชียวนะ มูลค่ามากกว่าสามแสนแหนะ
เธอคงไม่เคยเห็นเพชรเม็ดใหญ่ขนาดนี้มาก่อนละสิ เพราะฉินเฟิงเองก็เป็นแค่คนจนคนหนึ่ง
มือของเธอสวมใส่แหวนเพชรอยู่หนึ่งวง แหวนนั้นส่งประกายแพรวพราว
อิ่นซินต้องการเอาเพชรสีแดงคืนจากมือของเธอ ถึงอย่างไรแหวนนั้นฉินเฟิงก็เป็นคนมอบให้เธอ หากถูกจับได้ว่าแหวนวงนั้นเป็นของปลอม ต้องทำให้ฉินเฟิงขายหน้ามากแน่ แต่ว่าอิ่นเสี้ยงสวี่ที่จับตามองอิ่นซินมาโดยตลอดเธอเองก็รู้ได้ทันที
น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง) แหวนวงนี้?
อิ่นเสี้ยงสวี่ยื่นมือออกไปและจับมือขวาของอิ่นซินเอาไว้ เพราะเป็นลูกผู้หญิงด้วยกัน ฉะนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วอิ่นเสี้ยงสวี่ก็มองแหวนในมือของ
อิ่นซินด้วยความอยากรู้อยากเห็น แหวนวงนี้ ฉันได้ยินมาว่า เป็นแหวนที่บริษัท LV ผลิตน้อยมาก เพราะมันมีลักษณะที่โดดเด่น สลักไว้ว่าฉันจะรักคุณตลอดไป ตรงรุ่น จับคู่สีด้วย ขนาดความใหญ่ก็พอดี ยี่สิบสองกะรัตเลยแหละ กะรัตเม็ดใหญ่มาก ฉันได้ยินมาว่าหากไม่มีเงินสิบล้านไม่สามารถซื้อมาได้ น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง) เธอช่างมีบุญวาสนาเหลือเกิน
ระหว่างนั้น การสนทนาก็เริ่มอึดอัด ใครเป็นคนมอบแหวนวงนี้ให้เธอล่ะ? มันเป็นแหวนที่แสดงถึงการขอแต่งงาน ต้องรู้นะ ว่าสามีของเธอ นั่งอยู่ข้างๆเธอ
ความหมายของอิ่นเสี้ยงสวี่คือ แหวนวงนี้ต้องเป็นแหวนที่ชายอื่นมอบให้ เธอพยายามนำเรื่องนี้มาทำให้เขาสองคนขัดแย้งกัน
แต่ทว่าอิ่นซินได้ดึงมือของฉินเฟิงมาจับไว้ เขาเป็นคนมอบแหวนวงนี้ให้กับฉันเอง ฉันไม่มีวันที่จะสวมแหวนที่คนอื่นเป็นคนให้เด็ดขาด
ฉินเฟิงให้หรอ?
อิ่นเสี้ยงสวี่จ้องมองไปที่ฉินเฟิง แววตาของเธอเปี่ยมไปด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง) เธอรู้ไหม แหวนแบบนี้บริษัทLVไม่ผลิตมาขายอยู่แล้ว แหวนวงนี้เธอได้มายังไงกัน? ของคนงานหรอ?
ฉัน……
เวลาผ่านไปสักพัก อินซินไม่รู้ว่าจะต้องอธิบายยังไง
เธอเองก็รู้อยู่เต็มอกว่าแหวนวงนี้เป็นการประดิษฐ์ขึ้นจริงๆ แม้จะทำให้เธอต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ถึงอย่างไรแหวนวงนี้ฉินเฟิงก็เป็นคนให้มา เธอก็เก็บมันไว้ ไม่เคยถอดมันออกเลย แต่สถานการณ์ในเวลานี้ เธอจะกล้าพูดออกไปได้ไงว่ามันเป็นการใช้มือประดิษฐ์ขึ้นมา
เป็นแบบประดิษฐ์ ในท้องตลาดห้าสิบในวง ราคาต่ำ แล้วสภาพนี้ก็ยังคงเป็นเพชรสีแดงเทียมเพชรสีแดงเทียม มันเป็นอันตรายต่อร่างกาย โยนมันทิ้งไปเถอะ ใช่แล้ว คนที่ให้ของแบบนี้ก็ทิ้งไปได้แล้ว ให้อะไรไม่ให้ มาให้ของแบบนี้ มันคือการวางแผนให้ได้ทรัพย์สินแล้วทำร้ายผู้อื่น
หลี่ห้าวพูดแทรกขึ้น เขาสบถออกมา มันดูเหมือนไม่ได้ด่าฉินเฟิง แต่ในความเป็นจริงเขากลับด่าฉินเฟิงอย่างโหดเหี้ยม
ก่อนหน้านี้ภาษาฝรั่งเศสทำให้เขาเสียเปรียบ ครั้งนี้ต้องเอาคืนให้ได้
อิ่นซินลูบแหวนที่อยู่ในมือตัวเองแต่ก็ไม่ได้ถอดมันออกมา
น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง)ของแบบนี้ใส่ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ก็แค่ของปลอมแถมยังทำร้ายร่างกาย เธอดูเพชรเม็ดนี้ของพี่สิ มันเป็นประกายเจิดจ้า ทิ้งของเธอไปเถอะ
อิ่นเสี้ยงสวี่ยื่นมือออกไปเพื่อโชว์แหวนที่อยู่บนนิ้วของตัวเอง
พี่รู้ได้ยังไงว่ามันไม่ใช่ของแท้? อิ่นซินกัดฟันแล้วถามออกไป
ขอเพียงแค่อิ่นเสี้ยงสวี่ไม่มีหลักฐาน เธอก็สามารถบอกออกไปได้ว่าของสิ่งนี้เป็นของแท้ แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้ฉินเฟิงขายหน้าได้
บังเอิญจังเลย ภัตตาคารแห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยสิ
หลี่ห้าวนึกสนุกขึ้นมา เพราะเขากำลังรอให้อิ่นซินพูดคำนี้ออกมา แล้วเขาก็กวักมือเรียกพนักงานที่อยู่ข้างๆ เขาสั่งไปครู่หนึ่ง ไม่นานก็มีคนสวมชุดทักซิโด้เดินเข้ามา ผมขาวซีด สวมแว่นแล้วเดินเข้ามาด้วยท่าทางสง่างาม สวัสดีครับทุกท่าน ผมเป็นผู้เชี่ยวชาญของร้านนี้ มืออาชีพระดับแปดครับ สําหรับเพชรแท้แล้วผมถนัดที่สุดครับ
เพราะฝรั่งเศสเป็นประเทศที่โรแมนติก บริษัท LV เป็นบริษัทของฝรั่งเศสโดยตรงเลย สําหรับการพิสูจน์เพชรโดยผู้เชี่ยวชาญนั้น ภัตตาคารฝรั่งเศสทุกที่จะมีหนึ่งคน
นี่มันของปลอม
ดูแหวนวงนี้หน่อยค่ะน่าจะอยู่ที่ราคาเท่าไหร่
อิ่นเสี้ยงสวี่รีบยื่นมือออกไป เพชรบนมือใสพร่างพราว
ผมขออนุญาตดูนะครับ
ผู้เชี่ยวชาญรีบถอดแหวนนั้นออกมาดู ด้วยท่าทางที่ตั้งใจวิเคราะห์ ผ่านไปครึ่งนาที เขาก็ยื่นให้อิ่นเสี้ยงสวี่ นี่คือผลิตภัณฑ์ของ LV มูลค่าประมาณสามแสนครับ
อื้อ ผู้เชี่ยวชาญคนนี้ดูมีความสามารถดี
อิ่นเสี้ยงสวี่รับแหวนคืน เธอดูมีความสุข แหวนวงนี้ของเธอสามแสนพอดีไม่เยอะและไม่น้อยไป พวกอิ่นเสี้ยงสวี่ไม่ได้เตี้ยมกับผู้เชี่ยวชาญมาก่อนแต่อย่างใด พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้เชี่ยวชาญคนนี้มีความสามารถ
รบกวนช่วยดูเพชรสีแดงนี้หน่อยค่ะ
อิ่นเสี้ยงสวี่ตั้งใจเน้นคำว่า เพชรสีแดง ของอิ่นซิน
ไม่ต้องแล้วค่ะ
อิ่นซินลูบผมของเธอ ตัวของเธอแข็งทื่อ ก่อนหน้านี้เธอไม่ยอมยอมรับ เพราะเธอกลัวว่าฉินเฟิงจะเสียหน้า แล้วตอนนี้ถ้าพิสูจน์ออกมาว่าเป็นของปลอมฉินเฟิงก็จะเสียหน้ามากกว่าเก่าขึ้นไปอีก
ซื้อของปลอมให้ผู้หญิง ใช้ขอแต่งงาน มันจะต้องเป็นเรื่องตลกทั่วเมืองเจียงเฉิงแน่ๆ
น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง)ไม่ต้องอาย พวกเรารู้ว่านี่เป็นของแท้ แค่จะขอพิสูจน์หน่อย ให้ผู้เชี่ยวชาญลองเดาราคาดู แบบนี้ทำให้พวกเรามองโลกกว้างขึ้น
ใต้ความบังคับของอิ่นเสี้ยงสวี่ สุดท้ายอิ่นซินก็ถอดแหวนนั้นออกมา
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับของพวกหลี่ห้าว ครั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญใช้เวลาไปห้านาที ห้านาทีเต็มๆ พิสูจน์ทุกๆส่วนของแหวน แถมยังเอาแว่นขยายขึ้นมาส่อง ด้วยท่าทางที่ดูมืออาชีพมากๆ
ไม่เคยพบไม่เคยเจอ ของปลอมก็ต้องพิสูจน์นานขนาดนี้ ของแท้ของพวกฉันไม่เห็นต้องใช้เวลานานขนาดนี้ ไม่ถึงนาทีก็พิสูจน์เสร็จแล้ว
อิ่นเสี้ยงสวี่หัวเราะเย้ย เธอคิดภาพสีหน้าที่ดูไม่ได้ของอิ่นซินเมื่อพิสูจน์ออกมาว่าเป็นของปลอมได้เลย
ในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญก็ได้พิสูจน์เสร็จแล้ว วางแว่นขยายลง อิ่นเสี้ยงสวี่รีบวิ่งเข้ามาแล้วพูดว่า อาจารย์คะ นี่ของปลอมใช่ไหมคะ ราคาห้าบาทถึงไหมคะ
ผู้เชี่ยวชาญส่ายหัว
อิ่นเสี้ยงสวี่หัวเราะ ของสิ่งนี้ ห้าบาทก็ไม่ถึง ฮ่าฮ่าน่าตลก อิ่นซินเธอดูแหวนที่สามีเธอขอแต่งงานซิ……
อิ่นซินบีบมือแน่นอยู่ใต้โต๊ะ
อิ่นเสี้ยงสวี่ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเสียงของผู้เชี่ยวชาญพูดแทรกขึ้น แหวนวงนี้ไม่ได้มีมูลค่าห้าบาท แต่มันมีมูลค่าห้าสิบล้าน
บทที่ 29 คุณชายเฉินถึงกับงง
บนถนน มีลัมโบร์กีนีขับเคลื่อนอยู่ คนที่ขับรถคันนั้นคือชายหนุ่มสวมแว่นดำ ขับไปด้วยแล้วพูดกับหญิงสาวที่สวมชุดเซ็กซี่ไปด้วยว่า ลัมโบร์กีนีของฉัน ราคาฐานอยู่ที่เจ็ดล้าน แล้วฉันก็ได้แก้ไขปรับแต่ง จากเครื่องยนต์ธรรมดามาเป็นเครื่องยนต์สำหรับแข่งรถ จนตอนนี้สามารถใช้แข่งรถได้เลย
คุณชายเฉินเก่งจังเลยค่ะ
สาวที่อยู่ข้างๆดวงตาเปล่งประกาย เธออยากที่จะเข้ามาในอ้อมกอดของคุณชายฉินเหลือเกิน
เฉินป๋อรู้สึกสนุกสนาน นี่เป็นผู้หญิงที่เขาไปจีบมา ตั้งใจเธอมานั่งรถเล่นละอวดรถที่ไปแต่งมา แล้วพูดต่อว่า ความเร็วนี้โดยทั่วไปแล้ว ไม่มีใครสามารถขับแซงได้ เธอก็นั่งได้ตามสบาย……
พูดจบ เงารถอีกคันก็ขับแซงเขาไปอย่างรวดเร็ว
อะไรกันเนี่ย?
เฉินป๋อ เขาขยี้ตาแล้วมองไปข้างหน้า ปอร์เช่ 87Y รุ่นนี้ป็นรุ่นเก่าเมื่อเจ็ดแปดปีก่อนไม่ใช่เหรอ?
คุณชายเฉิน เหมือนไม่ได้เยี่ยมยอดเหมือนที่คุณพูดไว้เลยนะคะ ปอร์เช่คันนั้นขับแซงคุณไปแล้ว คุณชายหรอกฉันใช่ไหมคะ ฉันไม่ได้หรอกง่ายขนาดนั้นนะคะ
หญิงสาวที่นั่งเบาะข้างคนขับเบ้ปากแล้วพูด
ทันใดนั้นก็ทำให้เฉินป๋อถึงกับหัวร้อน
สำหรับพวกคนรวยอย่างพวกเขาแล้ว ให้หญิงที่ตัวเองจีบมาดูถูก มันคือการดูถูกที่ร้ายแรงที่สุด
เธอดูไว้เลย ฉันจะขับแซงเขาได้ในพริบตา ก็แค่ปอร์เช่ธรรมดา แถมยังเป็นปอร์เช่รุ่นเก่าอีก ควรหมดไปตั้งนานละ จริงๆเลย ดูไว้นะ
เฉินป๋อเหยียบสุดคันเร่ง และกำลังจะแซงรถปอร์เช่ของฉินเฟิง
แต่พอถึงโค้ง พวกเขาก็มองไม่เห็นปอร์เช่คันนั้นอีกเลย
คุณชายเฉิน คุณหรอกฉัน
หญิงสาวที่นั่งเบาะข้างคนขับพูดประชดเฉินป๋อ
เชี่ย อะไรวะเนี่ย รถปอร์เช่จากไหนวะเนี่ย แถมยังเป็นรถตกรุ่นอีก
เฉินป๋อถึงกับเกาหัว ทั้งงงและประหลาดใจ เพิ่งจะคุยโม้ออกไปมันเหมือนเป็นการตบหน้าเขาเลย ปอร์เช่จากไหนวะทำไมเก่งอย่างนี้
แล้วฉินป๋อก็หยิบมือถือมากดโทรออก สวัสดีครับ ปอร์เช่ 87Y ใช้เป็นรถแข่งได้ไหมครับ
อะไรนะ หยุดผลิตไปแล้ว?
เฉินป๋อถึงกับงง ก็แค่รถปอร์เช่รุ่นเก่าเจ็ดแปดปี เขาแพ้เหรอ
……
ตอนนี้ที่หน้าภัตตาคาร ฉินเฟิงและอิ่นซินได้มาถึงแล้ว
ฉันรู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยค่ะ
พอลงจากรถอิ่นซินรู้สึกทรงตัวไม่ค่อยอยู่ เกาะฉินเฟิงไว้ แล้วรีบพูดว่า ครั้งหน้าคุณบอกฉันก่อนสักนิด ถ้าไม่รู้มาก่อนนึกว่าคุณกำลังบินอยู่
ฉินเฟิงอยากจะบอกว่า ที่จริงผมพูดไปแล้วนะ
เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ฉันจับเวลาก่อน
ทันใดนั้น อิ่นซินเหมือนคิดอะไรออก เธอรีบเอามือถือขึ้นมา แล้วจับเวลา
นี่คือ?
ฉินเฟิงถาม
นี่นะเหรอ มันคือสิ่งที่อิ่นเสี้ยงสวี่ชอบทำ ใช้มาเย้ยฉันโดยเฉพาะ เมื่อก่อนเสี้ยงสวี่ทำกับฉันไว้มาก คิดไม่ถึงเลยว่าเวรกรรมจะมีจริง วันนี้ถึงตาเธอละอิ่นเสี้ยงสวี่
เป็นความสุขที่อิ่นซินได้มันมายาก
โดยปกติแล้วจะโดนอิ่นเสี้ยงสวี่แกล้ง กลั่นแกล้งอิ่นซินในทุกๆที่ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกลับกัน
หลังผ่านไปสิบนาที
หลี่ห้าวและอิ่นเสี้ยงสวี่มาช้า พอลงจากรถหลี่ห้าวกับอิ่นเสี้ยงสวี่ก็เจอฉินเฟิงกับอิ่นซิน สีหน้าดูไม่ได้เลย พวกเขาไม่เพียงแค่แพ้ แต่เพราะขับเร็วเกินไป จนทำให้เกือบเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์
ไม่ใช่ว่าใครก็มีทักษะอย่างฉินเฟิง
พี่(ลูกพี่ลูกน้อง) เบนท์ลีย์ของพวกพี่ไม่ไหวเลยนะ ฉันรอพี่ตั้งสิบนาที ครั้งหน้าพี่เปลี่ยนคันอื่นเถอะ เบนท์ลีย์รุ่นใหม่สู้ปอร์เช่รุ่นเก่าของฉันก็ไม่ได้
เหอะ
กับอิ่นเสี้ยงสวี่สะบัดหน้า ไม่พอใจอย่างมาก โดยปกติเป็นเธอที่เย้ยอิ่นซิน ทำไมถึงได้กลายเป็นอิ่นซินที่มาเย้ยเธอ เงียบไปสักพักแล้วพูดเย้ยว่า เธออย่าภูมิใจไปหน่อยเลย ต้องรู้ว่าโครงการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป อีกเดี๋ยวก็จะกลายมาเป็นของพวกฉันแล้ว
เรื่องนี้ได้พูดจี้จุดอิ่นซิน
เธอใช้กำลังและความสามารถทั้งหมด ก็เพื่อให้ได้โครงการนี้มา แต่พออิ่นเสี้ยงสวี่กลับมา คุณท่านอิ่นก็ลำเอียงไปข้างอิ่นป่าย ทำให้ความทุ่มเทของเธอและฉินเฟิงหายไปในพริบตา
ทำให้เธอไม่รู้เลยว่าจะกลับบ้านไปบอกเรื่องนี้ยังไง
ใบหน้าอิ่นซินดูซีดเผือด อิ่นเสี้ยงสวี่ที่เห็นแบบนั้นก็รู้สึภูมิใจมาก ช่างมันเถอะ ฉันไม่พูดประชดเธอละ ไปเถอะเข้าไปกินข้าว ที่นี่เป็นภัตตาคารชั้นหรู อย่าให้ขายหน้าพวกฉันนะ
ท่าทีที่ดูชนะของอิ่นเสี้ยงสวี่ ควงแขนหลี่ห้าวแล้วก็เดินจากไป
หลี่ห้าวมองฉินเฟิงด้วยสายตาที่เหยียดตั้งแต่หัวจรดเท้า เขาเคยได้ยินชื่อเสียงฉินเฟิงมาไม่น้อย แต่มันก็เป็นเพียงชื่อเสียงที่ไม่ดี เขาเป็นกัปตันที่ซื่อสัตย์ของเวสเตอร์แลนด์ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการกับขอทานตัวเล็กๆ
ตั้งแต่แรกเขาไม่ได้เห็นฉินเฟิงอยู่ในสายตา เขาคิดว่าตัวเองกับฉินเฟิงไม่ใช้คนระดับเดียวกัน
รออิ่นเสี้ยงสวี่เดินไปแล้ว อิ่นซินก็เก็บมือถือของเธออย่าผิดหวัง แต่ในตอนนี้ฉินเฟิงก็ได้จับมือเธอไว้ ไม่เป็นไร คุณยังมีผม พวกเราเข้าไปข้างในกันเถอะ
อิ่นซินจับมือของฉินเฟิง ห้าของเธอแดงเล็กน้อย
นี่เป็นครั้งที่สองที่มีผู้ชายจับมือเธอ ครั้งแรกที่ดาดฟ้าของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นเธอที่เป็นคนจับมือฉินเฟิง
แต่ครั้งนี้ฉินเฟิงเป็นคนเริ่ม
ฉินเฟิงเป็นผู้ชายคนแรกที่สัมผัสใกล้ชิดขนาดนี้
อืม
อิ่นซินพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปกับฉินเฟิง
หลังจากที่เข้าไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่เป็นภัตตาคารสุดหรู ทางเข้าประตูมีผู้หญิงสวมชุดกี่เพ้าต้อนรับยืนเรียงเป็นแถวโค้งคำนับทันทีที่เข้ามา และเมื่อเดินเข้ามาก็มีชาวฝรั่งเศสจำนวนหนึ่งและมีเปียโนขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง
เสียงเปียโนไพเราะเต็มร้านอาหาร
การตกแต่งที่เน้นความโรแมนติกเป็นหลัก ให้บรรยากาศแบบตะวันตกทั้งร้าน
อิ่นเสี้ยงสวี่กับหลี่ห้าวนั่งริมหน้าต่าง ฉินเฟิงกับอิ่นซินก็เดินเข้าไป พอเดินเข้าไปก็มีพนักงานหญิงชาวฝรั่งเศสสูง175เดินเข้ามา ผมบลอนด์ตาสีฟ้าและหุ่นดี เห็นได้ชัดว่าได้คัดเลือกแล้ว
ที่นี่ กินข้าวมื้อหนึ่งต้องใช้เงินหนึ่งหมื่นกว่า ฉันหน่ะหนึ่งเดือนต้องออกกินหนึ่งครั้ง แต่ครั้งล่าสุดที่เธอกินแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ามันนานแค่ไหนแล้วเหมือนกัน
อิ่นเสี้ยงสวี่ยิ้มอย่างภูมิใจเล็กน้อย
อิ่นซินไม่สามารถตอบโต้ได้ เพราะความจริงเป็นเช่นนี้ พวกเธอทั้งสองเป็นหลานสาวของคุณท่านอิ่น แต่เพราะอิ่นเสี้ยงสวี่มีน้องที่เป็นผู้ชาย การปฏิบัติต่อของอิ่นเสี้ยงสวี่กับอิ่นซินจึงแตกต่างกันอย่างกับฟ้ากับเหว
ในตระกูล อิ่นเสี้ยงสวี่จะได้รับเงินค่าขนมห้าหมื่นต่อเดือน แต่สําหรับอิ่นซินไม่ได้แม้แต่บาทเดียว เงินแต่ละบาทที่ได้มาเธอล้วนต้องพึ่งตัวเองทั้งนั้น
คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าพวกท่านจะรับเป็นอะไรดีคะ?
พนักงานพูดภาษาฝรั่งเศส ไม่มีภาษาจีนสักคำ
เอาเป็นชีสหนึ่ง แล้วก็…..
หลี่ห้าวยิ้ม พูดกับพนักงานอยู่ไม่กี่คำ หลังจากสั่งอาหารเสร็จก็พูดกับอิ่นซินว่า ไม่รู้ว่าพวกคุณจะกินอะไร ภาษาฝรั่งเศสของผมก็ไม่ค่อยดี ก็เลยไม่ได้สั่งให้พวกคุณหน่ะครับ
ใบหน้าของอิ่นซินดูเกร็งๆ เพราะเธอไม่รู้ภาษาฝรั่งเศสเลย สักนิดก็ไม่ได้
ชัดเจนว่าเขาอยากจะแกล้งพวกเธอ
ในตอนนี้ ฉินเฟิงก็มองไปที่หลี่ห้าวแล้วพูดว่า นี่ไม่ใช่ภาษาไม่ค่อยดี แต่มันแย่มากๆเลยต่างหาก มีห้าคำคุณก็ผิดไปแล้วสามคำ ระดับภาษาของคุณ ยังจะกล้าสั่งอาหาร คุณกำลังทำให้พนักงานลำบากใจอย่างนั้นเหรอ?
บทที่ 28 รถเทพ
ดีมาก อิ่นซิน พวกเขาต่างก็บอกว่าเธอได้สามีโง่ แต่ฉันว่า สามีเธออยู่เป็นนะ
อิ่นเสี้ยงสวี่เอามือปิดปาก แล้วหัวเราะอย่างภูมิใจ
ทีแรกจะใช้อาหารมื้อนี้ทำให้อิ่นซินขายหน้าซะหน่อย อยากจะอวดสามีหลี่ห้าวของตัวเองหน่อย แต่เธอคิดว่าอิ่นซินต้องปฏิเสธแน่นอน คิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะทำแบบนี้
ณ ตอนนี้ อิ่นเสี้ยงสวี่ยังพอชื่นชมฉินเฟิงอยู่บ้าง
ได้ค่ะ
เห็นว่าฉินเฟิงได้ตอบตกลงไปแล้ว อิ่นซินก็ไม่มีทางเลือก ทำได้แค่เพียงพยักหน้า
ไปภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสที่เปิดใหม่ตรงถนนตงเจีย32 ภัตตาคารไทรีซัส ฉันได้ยินมาว่าแม้แต่พนักงานที่นั่นก็เป็นคนฝรั่งเศส เป็นภัตตาคารที่หรูมากๆ พวกเธอคงจะไมเคยเห็น
อิ่นเสี้ยงสวี่รู้สึกภูมิใจ เธอเหลือบมองอิ่นซิน แล้วจับมือหลี่ห้าวเดินออกจากประตูบริษัท ชี้ไปรถที่อยู่ด้านนอกแล้วถามว่า อิ่นซิน ฉินเฟิงซื้อรถแล้วเหรอ พวกเธอจะนั่งรถสามีฉันไหม เบนท์ลีย์
ก็ไม่ได้แพงเท่าไหร่สองล้านนิดๆมั้ง น่าจะดีกว่าปอร์เช่เจ็ดปีก่อนที่เธอซื้อมั้ง
เมื่อได้ยินอย่างนี้ หลี่ห้าวก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมา
ไม่แล้วค่ะ
อิ่นซินกัดฟันและกำหมัดไว้แน่น
เห็นได้ชัดว่าอิ่นเสี้ยงสวี่กําลังอวดดี รถปอร์เช่คันนั้นเธอซื้อมาเมื่อเจ็ดปีก่อนก่อนที่เธอจะได้เจอกับฉินเฟิง ด้วยเงินเจ็ดแสนนิดๆ หลังจากนั้นครอบครัวก็ลำบากขึ้นเรื่อยๆ ก็เลยไม่ได้ซื้อรถคันใหม่ ปัญหาก็เยอะอยู่เหมือนกัน
ไม่นั่งก็แล้วแต่ พวกฉันไปก่อนนะ ปอร์เช่คันเก่าของเธอขับให้มันเร็วๆหน่อยนะ
พวกฉันขี้เกียจรอ
อิ่นเสี้ยงสวี่สะบัดหน้า แล้วก็นั่งรถเบนท์ลีย์ออกไปก่อน
จริงๆเลย
อิ่นซินเปิดประตูรถด้วยอารมณ์ที่ไม่ดี
ที่รัก มาผมขับเอง
ฉินเฟิงกวักมือบอก
ก็ได้ค่ะ
อิ่นซินคิดอยู่สักพักแล้วตอบตกลง ถึงแม้รถจะเป็นของเธอไม่ใช่ของฉินเฟิง แต่โดยปกติแล้วผู้ชายจะเป็นคนที่ขับรถ ถ้าหากว่าเธอเป็นคนขับ เดี๋ยวพอถึงภัตตาคารจะทำให้ฉินเฟิงขายหน้าได้
อิ่นซินนั่งลงเบาะข้างคนขับ ฉินเฟิงนั่งเบาะคนขับแล้วพูดว่า ที่รัก คาดเข็มขัดนิรภัยด้วยครับ
อ่อ
อิ่นซินคาดเข็มขัดอย่างเชื่อฟัง ไม่รู้ตัวเลยว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะรถของเธอเป็นรถรุ่นเก่า ไม่ได้เปลี่ยนมา 7 ปี แล้วเธอก็ซ่อมมันมาหลายที่ ประสิทธิภาพสู้เบนท์ลีย์ของหลี่ห้าวไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่เดิมเธอก็ไม่คิดว่าจะตามรถคันเบนท์ลีย์ทัน
จนกระทั่ง ปอร์เช่ของพวกเธอได้เดินเครื่อง
อ๊าย……
ที่รัก คุณขับช้าๆหน่อย รถ รถ ข้างหน้ามีรถค่ะ
มีคน ยังมีสองคน ช้าหน่อยค่ะ
ข้างหน้ามีโค้ง ช้าหน่อย อ๊าย
เมื่อเริ่มมีอาการวิงเวียนศีรษะและหายใจไม่ทัน ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทําไมฉินเฟิงถึงได้เตือนเธอให้คาดเข็มขัดนิรภัยไว้ นี่ไม่ใช่การขับรถทั่วไป นี่มันบินเลยชัดๆ
ที่รัก ทำไมต้องขับเร็วขนาดนี้คะ!
เมื่อเริ่มดีขึ้น อิ่นซินก็กัดฟันแล้วคว้ามือฉินเฟิง กระจกรถที่ปิดไม่สนิท ทำให้มีลมพัดผ่านมาที่ใบหน้าของอิ่นซิน เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูละเอียดอ่อนและโกรธเล็กน้อยอยู่เล็กน้อย
ฉินเฟิงมองดูอยู่สักพักเธอชั่งสวยจริงๆ
ตามพวกเขาให้ทันไง
ฉินเฟิงพูดออกไป รถเบนท์ลีย์คันข้างหน้านั่น
เฮ้ย คุณตามพวกเขาทันแล้วค่ะ
อิ่นซินมองไปข้างหน้า อิ่นซินอึ้งไปชั่วขณะ รถเบนท์ลีย์ที่อยู่ข้างหน้า เป็นรถอิ่นเสี้ยงสวี่นี่เอง เธอจำทะเบียนรถได้ เธอดีใจมาก อิ่นเสี้ยงสวี่ไปก่อนพวกเราหนึ่งนาที ตอนนี้พวกเราตามทันแล้ว ที่รักแซงพวกเขาเลย ใครบอกให้พวกเขาก่อนหน้านี้ขี้อวดนัก หึ
ผู้หญิงเป็นพวกฝังใจ เธอยังจำท่าทีของอิ่นเสี้ยงสวี่ก่อนหน้านั้นได้
แล้วเธอก็ไม่สนอีกว่าฉินเฟิงจะขับเร็วขนาดไหน เพราะเธอรู้แล้วว่า ถึงแม้ฉินเฟิงจะขับเร็วขนาดไหนมันก็ปลอดภัย ตลอดทางไม่ว่าจะโค้งแบบไหน ก็รู้สึกปลอดภัย
ถ้าคุณหอมผมทีหนึ่ง ผมอาจจะขับได้ดีกว่านี้นะ ฉินเฟิงมองอิ่นซินแล้วพูด
อิ่นซินในตอนนี้ช่างน่ารักเหลือเกิน
นี่คุณต่อรองกับฉันเหรอ?
อิ่นซินใช้มือหยิกไปที่ขาของฉินเฟิง เบิกตาโตแล้วมองดุๆไปที่ฉินเฟิง
ฉันมีลูกสาวให้คุณหนึ่งคน คุณไม่เห็นให้รางวัลฉันเลย รีบขับไปเลย
รับทราบครับ
ฉินเฟิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที
เหนือฟ้ายังมีฟ้านั่นเอง เขาผู้ไม่เคยแพ้ใคร แต่ก็ต้องยอมให้อิ่นซิน คงต้องสั่งสอนใยเด็กอิ่นหนิงหยู่ผู้ไม่เคยเห็นโลกกว้างคนนั้นแล้ว
บนรถเบนท์ลีย์ อิ่นเสี้ยงสวี่พูดกับหลี่ห้าวว่า ปอร์เช่คันนั้นของอิ่นซินเจ็ดปีแล้ว ตอนนี้คงจะตกยุคไปแล้ว ฉันคิดว่าพวกเขาน่าจะกำลังออกจากถนนสายนั้น ฉันจะลองตั้งเวลาดูนะว่าต้องรอพวกเขานานเท่าไหร่
เธอทนรอที่จะเหน็บแนมอิ่นซินไม่ไหวแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากด้านข้าง พี่เสี้ยงสวี่ รถพวกพี่ช้าไปหน่อยนะคะ
ช้า ?
เสียงนี้
อิ่นเสี้ยงสวี่อึ้งไปชั่วขณะ เพราะเธอจำเสียงนั้นได้ จากนั้นรีบหันไปมองรถที่อยู่ข้างๆ เห็นอิ่นซินนั่งข้างเบาะคนขับ เธอถึงกับเบิกตาโต
พี่(ลูกพี่ลูกน้อง)คะ บ้ายบาย
อิ่นซินยังมาทักทายเธออีก จากนั้นรถปอร์เช่ก็แซงเบนท์ลีย์และขับตรงไปข้างหน้า
นี่มันอะไรกัน ฉันเกิดภาพหลอนเหรอ? คนเมื่อกี้คืออิ่นซิน เป็นไปไม่ได้หรอก รถที่ตกยุคแบบนั้นจะขับแซงรถเบนท์ลีย์ที่เพิ่งได้ยังไง ไม่ใช่ละ ทะเบียนรถนั่นเป็นของอิ่นซินจริงๆ
เหมือนอิ่นซินเลย อิ่นเสี้ยงสวี่จำทะเบียนรถของพวกเขาได้ ตอนนี้แซงพวกเขาไปแล้วจริงๆ
อะไรกันเนี่ย!
อิ่นเสี้ยงสวี่อารมณ์ไม่ดีขึ้นมาทันที เธอยังเตรียมนับถอยหลังเตรียมที่จะเหน็บแนมพวกเขาอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะขับรถแซงเบนท์ลีย์ของพวกเธอได้ แล้วเธอก็พูดประชดหลี่ห้าวว่า คุณดูคนอื่น แล้วดูตัวเองซิ ขับช้าจริงๆเลย
รถ เธอมั่นใจว่าอิ่นซินสู้เธอไม่ได้
คำตอบเดียวเลยก็คือทักษะ
ผมประมาทไป ก่อนหน้านี้เป็นเพราะรอพวกเขา ตอนนี้ผมจะขับแซงไป
หลี่ห้าวขมวดคิ้ว มองปอร์เช่ที่อยู่ข้างหน้า เขารู้สึกโกรธมาก จากนั้นก็เหยียบคันเร่งหวังจะตามให้ทันพวกเขา เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นคนเวสเตอร์แลนด์ และเขาก็เชี่ยวชาญในการขับรถมาก
ทันใดนั้นก็เร่งความเร็วขึ้น
จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ค้นพบสิ่งหนึ่ง คือรถของพวกเขาและอิ่นซินยิ่งอยู่ยิ่งไกลจากกัน เพียงชั่วขณะก็ไม่เห็นแม้แต่เงารถของอิ่นซินแล้ว
บทที่ 27 ไม่ให้
จากนั้น ฉินเฟิงก็ขับรถปอร์เช่กลับไป แต่ระหว่างทางก็ได้คิดตลอดเกี่ยวกับปัญหานี้ แล้วไอ้เด็กหนิงหยู่นั่น จะยืมเงินห้าแสนไปทำอะไร?
ฉินเฟิงตัดสินใจจะไปถามเธอดู ไม่รีบที่จะบอกเรื่องนี้กับอิ่นซิน เพราะถ้ารู้ว่าอิ่นหนิงหยู่ยืมเงินไปห้าแสน ดอกเบี้ยทบต้นอีกสามล้าน หนิงหยู่ต้องซวยแน่ๆ
ต้องรู้ว่า ทางบ้านของอิ่นซินในตอนนี้ อย่างมากก็มีแค่แปดแสนเท่านั้น
พอกลับถึงบ้านตระกูลอิ่น ก็พบว่าอิ่นหนิงหยู่นั้นได้กลับมาแล้ว อิ่นหนิงหยู่รีบมองมาที่เขา เหมือนจะบอกเป็นนัยๆว่าอย่าพูดเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฉินเฟิงตอบกลับโดยการพยักหน้า
แต่หลังจากที่กินข้าวเสร็จ อิ่นหนิงหยู่เตรียมที่จะกลับห้อง ก็เจอกับฉินเฟิงเข้าพอดี ฉินเฟิงกระซิบเบาๆว่า เป็นหนี้เยอะขนาดนี้ เงินสามล้านไม่น้อยเลยนะ
พอฉินเฟิงพูดแบบนี้ สีหน้าอิ่นหนิงหยู่ก็เปลี่ยนไป
มากับฉัน
อิ่นหนิงหยู่พาฉินเฟิงมาที่สวนหลังบ้าน ขมวดคิ้วแล้วถามว่า นายรู้เรื่องแล้วเหรอ?
อืม
งั้นก็ดี นายห้ามพูดนะ ถ้าเกิดนายพูด ฉันจะเกลียดนายไปตลอดชีวิตเลยคอยดู พอถึงตอนนั้นฉันก็จะร้องไห้ตีโพยตีพาย พี่สาวฉันรักฉันมากขนาดนี้ ไม่มีวันคบกับนายหรอก
พูดจบ อิ่นหนิงหยู่ก็ชี้หน้าฉินเฟิงแล้วเดินจากไป ไม่พูดแม้แต่น้อยว่าเอาเงินไปทำอะไร
เงินเรื่องเล็ก
ห้าแสน สามล้าน หรือสามร้อยล้าน สำหรับฉินเฟิงแล้วไม่ต่างกันมาก ยิ่งเมื่อวานฉินเฟิงได้เงินมาหนึ่งก้อน เพียงแต่กังวลเรื่อง
อิ่นหนิงหยู่เท่านั้น ยังไงซะเขาก็เป็นน้องเมีย
วันที่สอง
คณะกรรมการ(บริหาร)ชุดใหม่ วันนี้อิ่นซินหน้าตาดูสดใส เธอสวมชุด OL ที่ประณีต เผยให้เห็นเรือนร่างของเธอ โดยเฉพาะตอนที่อิ่นซินถือเอกสารไว้ในมือ
คุณไปกับฉัน
อิ่นซินเรียกฉินเฟิง
ได้ครับ
ฉินเฟิงไม่ได้ปฏิเสธ หลังจากคราวที่แล้ว อิ่นซินเองก็เริ่มที่จะเปิดใจยอมรับเขา แต่ฉินเฟิงรู้สึกได้ว่าเหตุผลที่อิ่นซินเปิดใจยอมรับเขา ก็เพราะว่าลูกสาว
จะให้อิ่นซินมารักเขา ยังคงต้องใช้เวลา เพราะเรื่องที่ผ่านมาทำร้ายอิ่นซินไว้มาก
อิ่นป่ายหลับตาพักผ่อน แล้วยืนอยู่ข้างๆ
ตําแหน่งที่เหลือให้อิ่นซิน ก็ยังคงเป็นตำแหน่งสุดท้าย
คุณปู่ ได้ยินว่าเมื่อวานปู่ไม่สบายเหรอคะ?
อิ่นซินถามคุณท่านอิ่นด้วยความเป็นห่วง เมื่อวานคุณท่านอิ่นไม่ได้เข้าร่วมพิธีตัดริบบิ้น(เปิดงาน)ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
เหตุผลที่คุณปู่ไม่ไป เพราะไปรับพี่สาวกับพี่เขยของผม
อิ่นป่ายอธิบาย และในตอนนี้ก็มีคนเข้ามาจากประตูสองคน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงผมลอน สวมชุดเดรสสีแดงดูสวยและมีออร่ามาก
อิ่นเสี้ยงสวี่ !
อิ่นซินเห็นผู้หญิงคนนี้ถึงกับขมวดคิ้ว
ผู้หญิงคนนี้คือพี่สาวของอิ่นป่าย ก็นับได้ว่าเป็นพี่(ลูกพี่ลูกน้อง)ของเธอ แต่ความสัมพันธ์ของพวกเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังสุภาษิตที่ว่าน้ำกับไฟอยู่ร่วมกันไม่ได้ ตั้งแต่เล็กจนโตทั้งสองคนก็ไม่เคยแม้แต่จะมองหน้ากัน
อุ๊ย ครั้งนี้อิ่นซินกลับมาแล้วเหรอ แถมยังพาสามีของตัวเองมาด้วย จริงๆเลย คิดว่าบริษัทเป็นสถานที่แบบไหน ขอทานอยากมาก็มาได้แบบนี้เหรอ?
อิ่นเสี้ยงสวี่ ใช้สายตาสำรวจฉินเฟิง ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ใช่แล้ว อิ่นซิน นี่คือคู่หมั้นของฉันหลี่ห้าว ก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรมาก ก็แค่อายุยี่สิบเจ็ดปีก็ได้กัปตันของเขตทหารเวสเตอร์แลนด์ ถูถูไถไถไป แต่ถ้าเทียบกับไอ้สามีขยะของเธอแล้ว คงจะดีกว่าเป็นร้อยเท่าเลยล่ะ
อิ่นเสี้ยงสวี่กอดชายที่อยู่ข้างตัวเอง 180เซนสูงยาวเข่าดี สวมชุดสูท หน้าตาดูมีราศี และดูเป็นสุภาพบุรุษ
เธอรู้สึกภูมิใจมาก ตั้งแต่เด็กเธอก็ถูกอิ่นซินข่ม ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาก็สู้อิ่นซินไม่ได้ ปีนั้นที่มหาวิทยาลัยเจียงเฉิงอิ่นซินก็ได้เป็นดาวมหาลัย จะเป็นความสามารถเธอก็สู้อิ่นซินไม่ได้ อายุยังน้อยๆก็แย้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไป เพราะแบบนี้เธอถึงได้ไม่ถูกกับอิ่นซิน
แต่ตอนนี้เธอชนะแล้ว
อย่าน้อยเรื่องผู้ชายเธอก็ชนะขาดลอย
คนหนึ่งกัปตัน คนหนึ่งขยะ!
ชัดเจนว่าสิ่งไหนสำคัญ
ยินดีด้วยค่ะ!
อิ่นซินสีหน้าแข็งทื่อ สุดท้ายก็พูดออกมาสองคํา
ในเรื่องนี้ เธอคงต้องยอมแพ้
คุณปู่ วันนี้คณะกรรมการ(บริหาร) เรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ฉันได้โครงการแรกของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว ตามที่คุณบอก สามารถเอาตําแหน่งประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปกลับมาได้ใช่ไหมคะ คุณปู่คงไม่กลับคำนะคะ
อิ่นซินวางใบสัญญาลงบนโต๊ะ
ฉันไม่กลับคำแน่นอน
คุณท่านอิ่นลืมตาขึ้นช้าๆ พูดประโยคนี้ออกมา ทำให้อิ่นซินดีใจ แล้วคุณท่านอิ่นก็พูดขึ้นอีกว่า แต่ตอนนั้นฉันไม่ได้บอกว่าใครได้โครงการนี้มาก่อนคนนั้นจะได้เป็นประธาน เสี้ยงสวี่พาหลี่ห้าวกลับมาแล้ว ในฐานะหลี่ห้าวก็สามารถเอาใบสัญญานี้มาได้อย่างแน่นอน อีกทั้งตำแหน่งหน้าที่ของหลี่ห้าว ที่จะทำได้ดีกว่าเธอ
เสี่ยวซิน เพื่อผลประโยชน์ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป โอกาสนี้ควรจะให้อิ่นเสี้ยงกับอิ่นป่าย
แม้ว่าน้ำเสียงของคุณท่านอิ่นจะช้า แต่นั่นคือประโยคสรุป
ให้พวกเขา?
อิ่นซินถึงกับนิ่งอึ้งไป
ใช่ ฉันได้เข้าไปทักทายประธานเฝิงบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว ไม่ช้าพวกเราก็จะได้เซ็นสัญญาใหม่ คุณท่านอิ่นพูดถูกครับ ถ้าเป็นพวกผมก็จะสร้างผลประโยชน์ให้บริษัทได้มากขึ้น หลี่ห้าวพูด
เขาพอเข้าใจเรื่องราวแล้ว ในเมื่อเขาเป็นคู่หมั้นของอิ่นเสี้ยงสวี่ ก็ต้องช่วยอิ่นเสี้ยงสวี่
งั้นฉัน……
อิ่นซินถอนหายใจ ใช้สายตาที่ไม่ธรรมดานั้นมองไปที่คุณท่านอิ่น ปู่คะ ปู่จะทำกับหนูแบบนี้ไม่ได้นะคะ หนูก็เป็นหลานแท้ๆของปู่นะคะ
หลานแท้ไม่แท้อะไรกัน! ตอนนี้ที่ทำทั้งหมดก็เพื่อบริษัท เธอไม่มีคุณงามความดีแต่ก็ได้ทำงานหนัก ครั้งนี้จะเพิ่มเงินเดือนให้เธอห้าร้อย ถือเป็นผลตอบแทนที่ทำงานหนัก เลิกประชุม
คุณท่านอิ่นใช้ไม้ค้ำยัน แล้วเลิกประชุม
ฮ่าฮ่า ฉันคิดไม่ถึงเลยว่าคุณท่านอิ่นจะเด็ดขนาดนี้ ปฏิเสธอิ่นซิน แล้วยังเพิ่มเงินเดือนให้อีกห้าร้อย ห้าร้อยจะไปใช้อะไรได้
ห้าร้อยนี่ เหอะ
การตัดไฟตั้งแต่ต้นลมของคุณท่านอิ่น ช่างเยี่ยมยอดไปเลย ฉันรู้สึกว่าเขาไม่ได้อยากจะสละตำแหน่งนี้อิ่นซินตั้งแต่แรก คุณท่านอิ่นให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าที่พวกเราคิด
ในห้องประชุมมีเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมาบางส่วน ทำให้อิ่นซินถึงกับหน้าซีด สองมือกำแน่น ทำงานมาหนักขนาดนี้ สูญเปล่าเหรอ?
บอกว่าไม่มีประโยชน์ ก็ไม่มีประโยชน์เหรอ!
แล้วในตอนนี้ อิ่นเสี้ยงสวี่ก็พาหลี่ห้าวเดินเข้ามา หรี่ตาเผชิญหน้ากับอิ่นซิน อิ่นซิน เดี๋ยวบ่ายโมงพวกเราก็จะไปเซ็นสัญญาแล้ว เที่ยงนี้ไปกินข้าวด้วยกันไหม แถวนี้มีภัตตาคารอาหารฝรั่งเศสสุดหรูด้วย
เธออยากจะอวด !
เธออยากให้น้อง(ลูกพี่ลูกน้อง) รู้ว่าเธอเก่งแค่ไหน
ตอนนี้อิ่นซินไม่มีอารมณ์ เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า ไม่
ยังพูดไม่ทันจบ ฉินเฟิงก็เดินเข้ามาแล้วจับมืออิ่นซินไว้ พยักหน้าตอบตกลง ได้สิครับ ไม่ได้กินอาหารฝรั่งเศสมานานแล้วครับ
บทที่ 26 เมื่อก่อนฉันขับรถถัง
พวกฉันมีตั้งหลายร้อยคน แกล้อมพวกฉัน?
ต้าตาวและคนอื่นๆมองไป จากนั้นจึงพูดคํานี้และหัวเราะออกมา โดยเฉพาะต้าตาวที่หัวเราะออกมาจากด้านหลัง ฮ่าฮ่าฮ่า น่าตลกจริงๆ แกคนเดียวเนี่ยนะ พวกฉันมีตั้งหลายร้อยคน ตาของแกไม่ดีรึเปล่า ดูสถานการณ์ไม่ออกรึไง ตอนนี้พวกฉันล้อมแกอยู่ ไม่ใช่แกล้อมพวกฉัน
เคยมีกลุ่มทหารรับจ้างพันคน ก็พูดแบบนี้เหมือนกัน สุดท้ายก็ไม่รอดสักคน
ฉีหยุนเดินมา
หนึ่งพันคน? ตลกน่า คนน้อยจะสู้คนเยอะได้ยังไง พวกเราจัดการมัน วันนี้มันต้องชดใช้ ฉันจะให้มันรู้ว่าคนอย่างฉันไม่ได้แตะต้องได้ง่ายๆ
นัยน์ตาของต้าตาวฉายแววดุร้าย เขาแค่ชูมือขึ้น ลูกน้องที่อยู่ข้างหลังก็บุกเข้าไปอย่างรู้งาน
ทั้งหมดบุกเข้าไปพร้อมท่อนเหล็กในมือคนละท่อน
ไอ้เวร ไปตายซะ
ทั้งหมดพุ่งเข้ามาที่ฉีหยุน ด้วยท่าทีที่เหมือนจะหักกระดูกของฉีหยุนให้แตกเป็นชิ้นๆยังไงอย่างงั้นที่นี่ไม่มีการตรวจตรา และบังเอิญฉินเฟิงก็คิดอย่างนั้น
ฉีหยุน บุหรี่หนึ่งมวนสำหรับการจัดการกับพวกมัน
ฉินเฟิงเอนตัวพิงรถและหยิบบุหรี่ออกมาสูบ สีหน้าที่ดูผ่อนคลาย ขัดกับสถานการณ์ที่ต่อสู้และฆ่ากันในตอนนี้
หึ บุหรี่หนึ่งมวน ตลกน่า ต่อให้สู้จะเก่งแค่ไหน………
ต้าตาวหัวเราะแห้งๆ พูดยังทันไม่จบ ก็ถูกกลบด้วยเสียงร้องที่คร่ำครวญ ทําให้ต้าตาวถึงกับงง เขาหันไปมอง ก็เห็นลูกน้องร่วงลงกับพื้นทีละคนๆ
คร่ำครวญไปทั่ว
จากเดิมหลายร้อยคน ตอนนี้เหลือแค่ห้าหกคน
นี่มันอะไรกัน
เร็วขนาดนี้เลยเหรอ
คนของเราอ่อนขนาดนี้เลยเหรอ?
เจ้าหิน จัดการมัน
ต้าตาวมองไปยังชายร่างกํายําที่อยู่ในกลุ่มคนนั้น ใส่สนับมือ นัยน์ตาดุร้าย แต่ละหมัดพร้อมพุ่งเข้าทำร้ายฉีหยุน
ไอ้น้องชายคนนี้เกิดมาเพื่อต่อสู้จริงๆ
ทักษะการต่อสู้ของเขานั้นไม่ธรรมดา เป็นลูกน้องที่ฝีมือดีที่สุดของต้าตาว
ได้สิ
เจ้าหินปล่อยหมัดถี่และเร็วขึ้น ทีละหมัดๆ จนมีเสียงผัวะ ทำให้ฉีหยุนยิ้มมุมปาก ตอนแรกเห็นว่านายเก่งดี ยังคิดจะเก็บนายไว้จัดการเป็นคนสุดท้าย แต่ในเมื่อนายเริ่มก่อน ก็อย่าโทษฉันละกัน!
ผัวะ
ฉีหยุนกำหมัดแล้วพุ่งออกไป ต่อยกับหมัดของเจ้าหินพอดี
ทั้งเผชิญหน้ากัน
อ๊า……
ฉีหยุนยังไม่ทันได้ขยับ เจ้าหินกลับร้องโหยหวนและถอยหลังไปหลายก้าว ฉีหยุนหักแขนและบิดหน้าของมันเจ้าหิน ถึงกับเหงื่อตก แล้วหันไปพูดกับต้าตาวว่า ลูกพี่ ฉันสู้ไม่ไหวแล้ว แขนฉันหัก
อะไรนะ?
ต้าตาวถึงกับอึ้งและเบิกตาโต
แล้วฉีหยุนก็เริ่มลงมืออีกครั้ง เขาชั่งน้ำหนักขา และจัดการจับพวกมันห้าหกคนเหวี่ยงให้ล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง เจ้าหินเองก็ล้มลงกับพื้น หมดแรงที่จะลุกขึ้นอีกครั้ง
43วินาที ภารกิจเสร็จสิ้นครับท่าน
ฉีหยุนเดินเข้ามารายงานกับฉินเฟิง
จากนั้นฉินเฟิงก็มองไปที่ต้าตาว ต้าตาวมองลูกน้องตัวเองที่นอนคร่ำครวญ ถึงกับถอยหลัง พี่ชาย มีหนี้ก็ต้องชดใช้ นี่คือสัจธรรม ใช่หรือไม่ ผู้หญิงคนนั้นติดหนี้เรา เราถึงได้มาทวง
ติดหนี้พวกแกเท่าไหร่? ถ้ากล้าเพิ่มแม้แต่บาทเดียวฉันจะหักแขนของแก
ฉินเฟิงถามอีกครั้ง
ห้าแสน
ครั้งนี้ต้าตาวพูดอย่างตรงไปตรงมา เดือนก่อนผู้หญิงคนนี้ยืมเงินเราไปห้าแสน นี่คือความจริง ยังมีหลักฐานการยืมอยู่เลย แต่หลังจากนั้นดอกเบี้ยทบต้นก็…….
พูดแค่นี้แล้วเขาก็หยุดไป
ก็คือสามล้าน ถูกไหม? เวลาแค่หนึ่งเดือน ดอกเบี้ยพวกแกเพิ่มเร็วจริงนะ
ฉินเฟิงหรี่ตา
พี่ชาย ฉันยังมีลูกน้อง มากมายที่ต้องหาเลี้ยงปากท้อง ไม่มีทางเลือก
ไม่มีทางเลือก? ดี ลูกน้องฉันก็ต้องหาเลี้ยงปากท้อง งั้นพวกแกจ่ายเงินค่าทำขวัญและค่าเสียเวลา ให้ลูกน้องฉันห้าล้าน ถ้าไม่งั้นละก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ได้
ห้าล้าน!
ใบหน้าของต้าตาวซีดเผือด ทั้งเนื้อทั้งตัวเขารวมกับของที่บ้านก็คงจะมีแค่สิบล้าน ถ้าห้าล้านมันคือเงินครึ่งหนึ่งของที่เขามีเลย นี่มันไม่ใช่เงินน้อยๆเลย
ทำไม ไม่เต็มใจจ่ายเหรอ? ฉีหยุน ใช้มีดจัดการกับแก่นกลางของมัน
ฉินเฟิงรีบกวาดตามอง
แก่นกลาง!
ได้ได้ ฉันเต็มใจจ่าย ฉันเต็มใจ
พอต้าตาวได้ยินอย่างนี้ ก็รนขึ้นมาทันที ถึงกับรีบเอาบัตรเอทีเอ็มออกมา ยื่นให้กับฉินเฟิง ราวกับเป็นหลานที่เชื่อฟังยังไงอย่างงั้น
ต่อไป อย่าให้ฉันรู้อีกว่าพวกแกทำเรื่องแบบนี้ ไม่อย่างนั้นพวกแกตายแน่
ครับ ครับ ครับ
ต้าตาวรีบพยักหน้ารับ ครั้งนี้ฉินเฟิงทำให้พวกมันกลัว คนคนเดียวสามารถเอาชนะคนหลายร้อยคนได้โดยที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย
เขาต้องหยุดสักพักแล้ว แค่เห็นหน้าฉินเฟิงก็อารมณ์ไม่ดี ดีไม่ดีครั้งต่อไปอาจจะต้องเสียแก่นกลางของพวกเขาไป แต่ในตอนที่เขากำลังจะพาทุกคนไป ชายหนุ่มที่ขับรถคนนั้นก็เดินเข้ามา เอ่อคือ ผมขอถามหน่อยได้ไหมครับ ทำไมทักษะการแข่งรถของคุณถึงดีอย่างนี้
ชายหนุ่มคนนั้นรู้สึกงงเล็กน้อย เขาเดินสายแข่งรถตั้งแต่ตอนที่ยังเรียนไม่จบ อยู่วงการแข่งรถมาเจ็ดปีแล้ว คิดมาตลอดว่าทักษะการแข่งรถของเขานั้นสุดยอดแล้ว
แต่ตอนนี้มาเปรียบเทียบ!
เขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองขับรถเป็นรึเปล่า
ในตอนนี้ต้าตาวก็หันกลับมา เขาเองก็อยากรู้ ถึงแม้เขาจะด่าว่าโหวเฟย แต่ไอ้หนุ่มคนนั้นเป็นหนึ่งในสิบอันดับแรกของสนามแข่งรถ ทำไมมาเทียบกับฉินเฟิงแล้ว แตกต่างขนาดนี้
นายรู้ไหม เมื่อก่อนฉันขับรถอะไร
ฉินเฟิงถาม
ขับรถอะไรครับ? รถจี๊ป? ฮัมเมอร์? เบนท์ลีย์? โรลส์-รอยซ์?
ต้าตาวเดาไปหลายรุ่นมาก
เฟอร์รารี F2004 F2002 วิลเลียมส์ เรดบูลล์ RB7?
โหวเฟยเองก็กําลังคาดเดาอยู่เหมือนกัน แต่ถึงอย่างไงเขาก็เป็นมืออาชีพ รถที่เดาก็เป็นรถแข่งมืออาชีพ เขารู้สึกว่าคนธรรมดาอย่างฉินเฟิง น่าจะเป็นแค่ตัวละครธรรมดาในสนามแข่งรถ
แต่ฉินเฟิงตอบว่า เมื่อก่อนฉันขับรถถัง รถถังแบบหนัก
ใช่
ฉินเฟิงไม่ได้โกหก ในตอนที่เขาไปเป็นทหารผ่านความลำบากมากมาย แล้วเขายังเคยเป็นผู้กองของกองร้อยรถถังที่เก้า
รถถัง!
ต้าตาวและโหวเฟยสบตากัน รถถังไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ คนที่ขับที่ขับรถถังได้ คนทั่วไปขับรถถังได้เหรอ?
แล้วในตอนนั้นต้าตาวก็ตัดสินใจว่าจะไม่ทําเรื่องแบบนี้อีก เพราะเขากลัวแล้ว
บทที่25 พวกเขาถูกล้อมไว้แล้ว
มันเรื่องของฉัน!หึ!
เหมือนกับเด็กผู้หญิงไม่มีผิด อิ่นหนิงหยู่เบะปาก นี่เป็นรถพี่สาวฉัน ทำไมฉันจะขึ้นมานั่งไม่ได้ มันเรื่องอะไรของนายห้ะ นายสิเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์นั่งรถคันนี้ที่สุด
หลังจากนั้น เวลานี้เอง
ก็มีเสียงตุ้มดังขึ้น
ฉินเฟิงหยุดรถแล้วพูด แน่ใจเหรอ?
นาย……หยุดรถทำไมเนี่ย!
พอหยุดรถแล้ว อิ่นหนิงหยู่ก็เริ่มกระวนกระวายทันที มองไปด้านหลัง เห็นรถแฮมเมอร์หลายคันกำลังตามกันมา จึงรีบพูดขึ้นมาว่า รีบขับเร็วสิ จะตามมาแล้ว จะตามทันแล้วนะ
จะให้ฉันขับ ต้องมีความจริงใจหน่อยสิ ฉันไม่ใช่คนใช้ฟรีๆนะ
ฉินเฟิงพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน ไม่ได้มีทีท่าจะขับรถออกไปเลยแม้แต่น้อย
บัดซบ!
อิ่นหนิงหยู่กัดฟันกรอด
หนิงหยู่ มันตามมาแล้ว ตามมาแล้ว
เพื่อนของเธอพวกนั้น มองไปที่หลังรถ จึงรีบพูดขึ้นมาอย่างรีบร้อน
นาย!
เพราะอิ่นหนิงหยู่โกรธมา หน้าอกของเธอกระเพื่อม สามารถดูออกได้ว่า เป็นสาววัยกระเตาะ หลังจากนั้นเธอก็กัดฟันกรอดพูดเค้นออกมาหนึ่งประโยค ฉันผิดไปแล้ว!พอใจรึยังห้ะ รีบขับรถออกไปได้แล้ว!
ไม่พอ
ฉินเฟิงส่ายหัวไปมา
หนิงหยู่ พุ่งเข้ามาแล้วนะ!
ด้านหลังมีรถแฮมเมอร์คันหนึ่งกำลังพุ่งตรงเข้ามา พุ่งชนเข้ากับรถปอร์เช่เต็มแรง รถแฮมเมอร์เป็นรถSUV พูดตามหลักการแล้ว รถปอร์เช่ไม่สามารถเทียบได้เลยแม้แต่น้อย
อิ่นหนิงหยู่หันกลับไปเห็น เหลือเพียงแค่ห้าเมตรแล้ว วินาทีต่อมาจะต้องโดนชนแน่ เลยกัดฟันกรอดพูดไปว่า ได้ พี่เขยคะ!
ได้เลย!
ในตอนที่รถแฮมเมอร์คันนั้นกำลังจะพุ่งเข้ามา ฉินเฟิงรีบเหยียบคันเร่ง แล้วพุ่งตัวออกไป จนสะบัดตัวรถออกไปได้ รถแฮมเมอร์เลยชนเข้ากับรถอีกคัน
ต่อมา ฉินเฟิงทะยานตัวออกไป
พวกเขาตามพวกเราไม่ทันแล้ว
อิ่นหนิงหยู่กับพวกเพื่อนๆมองไปที่รถแฮมเมอร์ที่อยู่ด้านหลังพวกนั้น ยิ่งอยู่ยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆ จึงพูดออกมาอย่างโล่งอก
ไอ้บ้าบัดซบเอ้ย!
หลังจากที่ผ่านวินาทีอันตรายมาแล้ว อิ่นหนิงหยู่ก็มองไปที่ฉินเฟิง ในสายตาราวกับมีไฟกำลังรุกโชนขึ้น น่าโมโหชะมัดเลย ฉินเฟิงกลับอาศัยช่วงเวลาแบบนี้ บังคับให้เธอขอโทษ ขอโทษไม่ว่านะ ยังจะบอกให้เธอพูดคำว่า‘พี่เขย’สองคำนี้ออกไปอีก
อัปยศอดสูที่สุด!
น่าอัปยศอดสูที่สุด!
อิ่นหนิงหยู่คนอย่างเธอไม่เคยถูกใครเอาเปรียบมาก่อน!
ฉินเฟิง นายจงใจใช่ไหม อิ่นหนิงหยู่มองไปยังฉินเฟิงด้วยความกราดเกรี้ยว
เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
ฉินเฟิงยักคิ้วหลิ่วตา
น่าไม่อาย ไอ้บัดซบ ใช้วิธีการต่ำๆแบบนี้……
อิ่นหนิงหยู่ด่าอยู่นาน
แต่คนที่อยู่ข้างหลังพบเข้ากับเรื่องหนึ่ง จึงพูดกับอิ่นหนิงหยู่ไปว่า พี่เขยเธอ ขับรถแข่งเก่งมากเลยนะ ไอ้พวกนั้นตามไม่ทันเลยอ่ะ
เขาไม่ใช่พี่เขยฉันย่ะ อิ่นหนิงหยู่รีบตอบปฏิเสธออกไป
แต่ เมื่อกี้เธอเรียกไปแล้วนะ
พวกแกจะปั่นประสาทฉันอีกคนใช่ไหมห้ะ ใช่ไหม?
อิ่นหนิงหยู่เบิกตากว้างมองไปที่เพื่อนๆ กลับกันพวกเธอกลับหัวเราะคิกคักออกมา อิ่นหนิงหยู่ที่พวกเธอรู้จักเป็นคนที่เอาแต่ใจมากคนหนึ่ง การจะเอาเปรียบเธอ ไม่ใช่คนธรรมดาที่ไหนก็ทำได้
เอาล่ะ ลงจากรถไป
เห็นหัวข้อในการสนทนาไม่สามารถหยุดได้แล้ว หน้าของอิ่นหนิงหยู่ดำแล้วดำอีก รีบพูดกับฉินเฟิงออกไป
ได้
ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธ หาที่หยุดรถได้แล้ว จึงให้พวกเธอลงจากรถไป หลังจากที่อิ่นหนิงหยู่ลงจากรถไป ก็หันไปพูดกับฉินเฟิงด้วยความเกรี้ยวกราดไปว่า เรื่องวันนี้ ห้ามบอกพี่สาวฉันนะ ไม่อย่างนั้น นายได้เจอดีแน่
พูดจบก็เดินจากไปทันที ไม่ให้โอกาสฉินเฟิงได้ตอบกลับอะไร
เจ้าเด็กคนนี้
ฉินเฟิงส่ายหัวไปมา แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรออกไป ฉีหยุน รีบช่วยฉันขวางคนพวกนั้นหน่อย
ได้ครับ
ฉีหยุนตอบกลับมาทันที
หลังจากที่วางสายไป ฉินเฟิงก็มองไปข้างหลัง เห็นรถแฮมเมอร์พวกนั้นยังตามมาอยู่ ด้วยความรู้สึกไม่ลดละ ฉินเฟิงจึงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหนึ่งม้วน รอพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง
รถคันนั้นเลย!เร็วเข้า น่าโมโหชะมัด ชนมันเร็วเข้า!
หนึ่งในบรรดารถแฮมเมอร์พวกนั้น มีหัวล้านคนหนึ่งเป็นหัวหน้า เขานั่งอยู่ตรงข้างคนขับ กำลังมองไปที่รถปอร์เช่คันนั้นด้วยความโกรธ ข้างๆเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังขับรถอยู่
ได้ครับ
เด็กหนุ่มเหยียบคันเร่งทันที
ตาของเขาเห็นอีกหนึ่งเมตรก็จะชนเข้าให้แล้ว หัวล้านกับเด็กหนุ่มดีใจมาก แต่วินาทีต่อมา ก็เห็นรถปอร์เช่นคันนั้นโยนบุหรี่ออกมาจากหน้าต่างรถ เป็นก้นบุหรี่ที่ถูกดับแล้ว
ตุ้บ
ทิ้งลงถังขยะพอดี
ก้นบุหรี่?
เด็กหนุ่มกับหัวล้านสังเกตเห็นก้นบุหรี่นั้น แต่แล้วก็หันหน้ามองกัน พวกเขาพบว่า รถคันนั้นล่ะ?
ไปข้างหน้าแล้วครับ
เด็กหนุ่มชี้ไปที่ข้างหน้า มีรถปอร์เช่คันหนึ่งขับเข้ามาพอดี
แค่นี้ก็ชนไม่ได้ ยังจะอยู่ในวงการรถแข่งใต้ดินมาสิบปีอีกงั้นเหรอห้ะ แกมันเศษสวะ ไอ้เศษสวะเอ้ย แม่ง ฉันจะไปเชื่อได้ยังไง สู้กูขับเองดีกว่า
หัวล้านรีบเด็กหนุ่มออกไปทันที ด้วยความเดือดพล่านเป็นไฟ
ผม……
เด็กหนุ่มรู้สึกขมขื่นในใจมาก เขาได้ชื่อว่าเป็นมือวางอันดับหนึ่งในการแข่งรถใต้ดินเลย เป็นตำนานที่ชนะติดๆกันมาสิบครั้งซ้อน เขาได้ท้อปเท็นในวงการแข่งรถใต้ดิน ครั้งนี้เพื่ออยากจะหาเงิน เขามาสมัครเป็นคนขับรถของต้าตาว
แต่คิดไม่ถึงว่า ครั้งนี้ เขามาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตัดสินใจจะโชว์ฝีมือออกมา แต่คิดไม่ถึงว่าจะพบเข้ากับคนฝีมือดี ทำให้เขารู้สึกกดดันมาก
ในใจเขารู้สึกผิดมาก
ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอเกินไป แต่เป็นเพราะคู่แข่งเก่งเกินไป เทคนิคระดับนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็เคยเห็นมาก่อน
แต่เขาไม่ได้อธิบายอะไรออกไป เพราะว่าเขารู้ดีว่าถึงตัวเองอธิบายกับพี่ต้าตาวไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เด็กหนุ่มคนนี้ไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับเขา ได้เพียงแต่เหยียบคันเร่งจนมิด เพื่อที่จะตามให้ทัน
แต่ในตัวเมืองแบบนี้ เขาไม่กล้าขับเร็วมากนัก
สิบนาทีผ่านไป พวกเขาก็ขับเข้ามาในเขตที่มีคนน้อยมาก สุดท้ายก็ตามฉินเฟิงมาได้ แต่พอเห็นฉินเฟิงแล้ว คนขับกับหัวล้านก็ตะลึงงันไปเลย พวกเขาเหมือนจะรู้สึกได้ว่า ฉินเฟิงตั้งใจรอพวกเขาอยู่ที่นี่อยู่แล้ว
หัวล้านรีบลงจากรถในทันที กวาดตามองไปรอบๆ ไม่พบอิ่นหนิงหยู่กับคนอื่นๆ หน้าของเขากระตุกขึ้น เห้ย อิ่นหนิงหยู่ไปไหน แกเอาคนไปซ่อนไว้ที่ไหนห้ะ?
พูดจบ ด้านหลังก็มีกลุ่มคนตามมาเป็นขบวน
ทันใดนั้นหัวล้านยืนอยู่ด้านหลัง จึงทำให้เห็นภาพของคนจำนวนมาก ล้วนเป็นคนที่รูปร่างใหญ่มาก มีบางคนบนคอยังมีสร้อยคอทองใส่อยู่บนนั้น ดูไปแล้วเหมือนทำให้คนตกใจได้เลย
เธอ ทำอะไรงั้นเหรอ?
ฉินเฟิงพิงกับรถข้างๆ ถามออกไป ที่เขามาหยุดอยู่ที่นี่ เป็นเพราะต้องการรู้เรื่องนี้ให้ชัดเจน นักศึกษาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น จะไปเกี่ยวข้องกับคนพวกนี้ได้ยังไงกัน
เธอ?ทำอะไรน่ะเหรอ?หึ ผู้หญิงคนนั้นเป็นหนี้ฉันสามล้านกว่า ตอนนี้พวกเรากำลังตามหาเธอเพื่อคืนเงิน รีบส่งตัวเธอออกมาเถอะ ถ้าแกไม่ส่งตัวเธอออกมา แกได้เห็นดีแน่
ต้าตาวชี้ไปที่ฉินเฟิง อย่างอันธพาล
เงินสามล้านกว่า ทำไมเธอถึงไม่ติดแกเยอะขนาดนั้น?
ฉินเฟิงเกาหน้าผาก อย่างไม่เข้าใจ นักศึกษาธรรมดาๆเท่านั้น ครอบครัวฐานะปานกลาง ปกติให้เงินเธอใช้ก็ไม่ใช่น้อยๆแล้ว ทำไมถึงไปเป็นหนี้เยอะขนาดนี้ได้
ทำอะไรน่ะ
ฉันจะไปรู้ได้ยังไงกัน ยังไงเธอก็เป็นหนี้ฉันสามล้านกว่าอยู่ดี ถ้าเธอไม่คืน แกก็ต้องเป็นคนชดใช้ ต้าตาวพูดอย่างกระโชกโฮกฮาก
ฉันยัง?ก็ได้ แต่ว่า ต้องดูว่าพวกแกมีปัญญาไหม
ความสามารถเหรอ ฉันชื่อต้าตาว ถนนซางเย่เจียฝั่งซ้ายของมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงเป็นของฉันเอง มีลูกน้องเป็นร้อยคน แกแค่ตัวคนเดียว แกคิดว่าแกคนเดียวจะล้มพวกฉันที่มีเป็นร้อยคนได้หรอวะ?
ต้าตาวหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย
ไม่ๆๆ ใครบอกว่ามีแค่ฉันคนเดียว
ฉินเฟิงที่พูดจบ ด้านหลังก็มีเสียงดังขึ้น ทุกคนต่างพากันตกใจ รีบหันกลับไปอย่างรวดเร็ว พบว่ารถแลนด์โรเวอร์สีดำคันนั้นได้ชนเข้ากับรถของพวกเขาแล้วอย่างจัง
ต่อมาก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินลงมาจากรถ เดินไปด้วย หักคอไปมาด้วย สายตาแฝงไปด้วยความเหี้ยมโหด นายท่านครับ ฉีหยุนมาแล้วครับ พวกแกถูกฉันล้อมไว้หมดแล้ว
บทที่24 น้องเมียที่นิสัยไม่ดี
ใช่ๆๆครับ
เฝิงกางพยักหน้าหลายครั้งติดต่อกัน เขารู้สึกขมขื่นใจมาก ถ้าตอนนี้ไม่อบอุ่น ใจกว้าง ถ้าอย่างงั้นวันนี้ในปีหน้าเขาคงขึ้นอืดไปแล้วล่ะ
หลังจากที่เซ็นสัญญาเรียบร้อยแล้ว อิ่นซินก็เอาหนังสือสัญญามาอยู่ตรงหน้าของอิ่นป่าย แล้วหรี่ตาลง อิ่นป่าย เป็นยังไงล่ะ?
ฟึ เธออย่าได้ใจไปเลย!
อิ่นป่ายทำเสียงหึอย่างเย็นชา แล้วรีบเดินจากไป ก่อนหน้านี้ยังคิดว่าจะมีโอกาสอยู่เลย สามารถพลิกเกมได้ แต่มาตอนนี้เขาไม่อยากอยู่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแม้แต่วินาทีเดียว
เขาอยากกลับไปหานายท่านอิ่นเพื่อคิดหาวิธีจัดการ
อยากจะเอาตำแหน่งประธานกรรมการตำแหน่งนั้นกลับไป มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก
ลูกจ๋า หนูคว้าโปรเจคนี้มาได้ ถ้าอย่างงั้นมันหมายความว่า หนูจะสามารถเอาตำแหน่งประธานกรรมการกลับมาได้แล้วนะ ถ้าอย่างงั้นบ้านเราไม่ช้าก็เร็วนี้ก็จะสามารถกลับบ้านใหญ่ได้ ครั้งนี้หนูทำผลงานชิ้นโบแดงได้เลยนะคะ
จางลี่อยู่ข้างๆคอยพูดเรื่องนี้ ใบหน้าได้ใจยิ้มยกใหญ่ไม่สามารถปกปิดได้
เธอสามารถคาดการณ์ไว้ได้แต่แรกแล้ว ตัวเองจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตหรูหราได้แล้ว
เอ๋ คุณลูกขา แหวนในมือลูกคืออะไรกันคะ?
ในเวลานี้เอง จางลี่สังเกตเห็นเพชรเม็ดใหญ่ที่อยู่บนมือของอิ่นซิน แหวนแต่งงานถูกสวมอยู่บนนิ้วนาง จึงขมวดคิ้วขึ้นเป็นปม
นี่เป็นของที่ฉินเฟิงให้ค่ะ
ฉินเฟิงให้งั้นเหรอ?นี่เป็นเพชรเทียมรึเปล่า แม่จำได้ว่าเพชรสีแดงแบบนี้ราคาแพงกว่าบลูไดมอนด์อีกนะลูก อีกทั้งยังเป็นของที่ประเมินค่าไม่ได้ เพชรสีแดงเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ของปลอมรึเปล่าคะลูก ลูกจ๋า เพชรเทียมแบบนี้สวมแล้วไม่ดีนะลูก อีกทั้งยังทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้นะลูกขา ถอดมันออกเถอะค่ะลูก
พอได้ยินว่าฉินเฟิงเป็นคนให้ สายตาของจางลี่ก็รู้สึกดูถูกขึ้นมาทันที รีบบอกให้อิ่นซินถอดออกมา
ไม่ต้องหรอกค่ะ
อิ่นซินส่ายหัวไปมา
ทำไมล่ะลูก……
จางลี่ยังไม่ทันได้พูดอีกสองคำ แต่อิ่นหยวนที่อยู่ข้างๆก็เดินออกมา แล้วกล่าวตำหนิเธอไปหนึ่งประโยค พูดให้มันน้อยหน่อยเถอะคุณ ครั้งนี้ถ้าไม่เป็นเพราะคำพูดของฉินเฟิง พวกเราคงคว้าหนังสือสัญญาฉบับนี้ไม่ได้หรอกนะ
แค่เป็นความโชคดีโดยบังเอิญเท่านั้นแหละ เสแสร้งทำไมกัน เศษสวะยังไงก็เป็นเศษสวะอยู่วันยังค่ำ
จางลี่เบือนหน้าหนีไปอีกด้าน ในคำพูดเต็มไปด้วยคำพูดดูถูกที่พูดพึมพำไม่หยุด
แต่แล้วอิ่นหยวนก็ถอนหายใจออกมา ใช้มืออีกข้างพาดกับบ่าของฉินเฟิงไว้ ครั้งนี้พวกเราเข้าใจเธอผิดไป ต้องขอโทษด้วยนะ แต่ ข้อตกลงก่อนหน้านี้ ยังคงเป็นแบบนั้นนะ ฉันจะไม่ยอมถอยให้เธอแม้แต่ก้าวเดียวหรอกนะ ฉันพูดแล้ว ฉันจะไม่ยอมให้ลูกสาวฉันไปแต่งงานกับกากเดนไร้ค่าหรอกนะ
พ่อคะ
อิ่นซินเรียกไปหนึ่งครั้ง
หยุดพูดได้แล้ว เรื่องนี้ขอให้เป็นไปตามนี้แล้วกัน
อิ่นหยวนโบกมือไปมา เพื่อตัดบทอิ่นซิน ในบ้านนี้ เขาเป็นหัวหน้าครอบครัว มีอำนาจในการตัดสินใจ
หลังจากที่ออกมาจากบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว อิ่นหยวนก็หันไปพูดกับฉินเฟิงว่า ฉินเฟิง ไปรับหนิงหยู่กลับมาเถอะ เธอปิดเทอมวันนี้แล้ว
ได้ครับ
ฉินเฟิงขับรถปอร์เช่ของอิ่นซินออกไป
อิ่นหนิงหยู่ เป็นน้องสาวแท้ๆของอิ่นซิน อายุสิบแปด ตอนนี้เรียนอยู่ปีสองมหาวิทยาลัยเจียงเฉิง คณะศิลปกรรมศาสตร์ ตั้งแต่เล็กจนโตมีความใฝ่ฝันอยากเป็นนักแสดง นี่เป็นสิ่งที่ฉินเฟิงรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว แต่มีอยู่จุดหนึ่ง น้องสาวคนนี้ เกลียดฉินเฟิงมาก
ขณะที่กำลังรถอยู่ระหว่างทางนั้น ฉินเฟิงได้โทรศัพท์ออกไป ฉีหยุน
ครับนายท่าน
มีอยู่สองเรื่องที่ฉันจะให้นายจัดการ เรื่องแรกคือไปสืบมาสิว่าเบื้องหลังของคนร้ายเมื่อคืนคือใคร เรื่องที่สองคือ สะกดรอยตามอิ่นป่าย ไปสืบว่าใครเป็นคนทำร้ายอิ่นซินกันแน่
รับทราบครับ
ฉีหยุนขานรับเหมือนอยู่ในกองทัพ อย่างไม่รู้สึกตัว
ถึงแม้ตอนนั้นเป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้อิ่นซินกับเขามีความสัมพันธ์กัน ถึงได้เกิดเรื่องราวตามมา แต่ฉินเฟิงจะต้องสืบให้ได้ เพื่อจะได้ให้อิ่นซินไขปริศนาให้ได้
สำหรับอิ่นซินแล้ว จะเอาตำแหน่งประธานกรรมการกลับมาได้หรือไม่ ต้องดูการประชุมคณะกรรมการในวันพรุ่งนี้
วันนี้ เขายังต้องไปรับเด็กคนนั้นกลับมาจากมหาลัย
พอหลังจากที่ถึงมหาวิทยาลัยเจียงเฉิงแล้ว ฉินเฟิงก็ยืนอยู่หน้าประตู เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว สวมชุดธรรมดาๆทั้งตัว ในมือถือบุหรี่อยู่ม้วนหนึ่ง พิงอยู่กับเสาอันหนึ่ง
หนิงหยู่
พอหลังจากที่เห็นหนิงหยู่แล้ว ฉินเฟิงก็กวักมือเรียกทันที
อิ่นหนิงหยู่ที่ผมประบ่า ด้วยความสูงที่ค่อนข้างจะสูง ประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเห็นจะได้ ด้านบนครึ่งตัวสวมเสื้อยืดสีดำ ลวดลายที่ไม่ได้อยู่ในกระแส ครึ่งท่อนล่างสวมกางเกงขาสั้นตัวหนึ่ง เผยให้เห็นเรียวขาขาว แต่ขายาวที่กำลังเม้าท์มอยพูดคุยอยู่กับเพื่อน
เพียงแต่หลังจากที่มองเห็นฉินเฟิงแล้ว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปในทันที ไอ้หมอนี่มารับฉันเนี่ยนะ
เอ๋ ผู้ชายคนนี้ เป็นเธองั้นเหรอ?ใส่เสื้อผ้าธรรมดาเกินไปนะ
คนที่อยู่ข้างๆ เพื่อนนักเรียนหลายคนมองไปยังฉินเฟิง ต่างพากันคาดเดา
เขาไม่ใช่แฟนฉันย่ะ เป็นพี่เขยฉันเอง อิ่นหนิงหยู่กัดฟันพูดอธิบาย
พี่เขยเธอเหรอ?พี่สาวเธอคืออิ่นซินไม่ใช่เหรอ สามีของอิ่นซิน เป็นขอทานคนนั้นเหรอเนี่ย! เรื่องนี้ฉันจำได้ดี เจ็ดปีก่อน เคยได้ยินมาว่า ขอทานคนนั้นยังเคยได้นอนกับอิ่นซินบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วย
เรื่องนี้ฉันก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน เป็นหมอนี่เองเหรอเนี่ย
เลิกกับหมอนี่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาอีกแล้วล่ะ อีกทั้งยังมารับหนิงหยู่อีก
พวกเพื่อนๆต่างพากันซุบซิบพูดเรื่องนี้ขึ้นมา คำพูดอ้อมไปอ้อมมา เต็มไปด้วยคำดูถูก ไม่ได้หลบเลี่ยงฉินเฟิงแม้แต่น้อย อิ่นหนิงหยู่ที่เกลียดฉินเฟิงอยู่แล้ว แน่นอนว่าไม่มีทางห้ามอย่างแน่นอน
ขอทานอย่างนาย มาที่นี่ทำไม?
อิ่นหนิงอยู่ที่เดินมาแล้ว ใบหน้าที่น่ารักน่าชังในตอนแรก มองไปที่ฉินเฟิงสายตาที่มองกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เมื่อวานเธอได้รับข่าวจากทางบ้านมาก่อนอยู่แล้ว บอกว่าฉินเฟิงจะกลับมา พ่อแม่เธอยังปล่อยให้เขาเข้าบ้านได้อีก พักอยู่ในห้องของพี่สาวเธอ ทำให้เธอปรี๊ดขึ้นมาทันที
คนแบบนี้ พี่กลับให้อภัยเขาได้!
ล้ออะไรเล่นเนี่ย
ตอนแรกวันนี้เป็นวันปิดเทอม เธอยังเตรียมจะกลับไปพูดกับอิ่นซินอยู่เลย แต่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ฉินเฟิงกลับตรงมารับเธอแบบนี้ พี่เธอวางใจได้ยังไงกัน?
พี่สาวของเธอ ให้ฉันมารับเธอ
ฉินเฟิง นายเป็นแค่ขอทาน แค่ตอนนั้นโชคดีบังเอิญเกาะตระกูลอิ่นของพวกเราได้ แต่เพราะว่านายคนเดียวเลย ทำให้ตระกูลอิ่นของเราต้องเป็นอย่างทุกวันนี้ ฉันไม่รู้ว่านายให้พี่สาวฉันกินอะไรกันแน่ ถึงได้ให้นายมารับฉันได้ แต่ นายฝันไปเถอะ ต่อให้ตีฉันให้ตายฉันก็ไม่มีวันยอมนั่งรถไปกับนายแน่ ฉันขอสั่งให้นายไสหัวไปซะ กลับไปบอกพี่ฉันด้วยนะ ว่าฉันจะไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อฉัน จะกลับดึกหน่อย
พูดจบ อิ่นหนิงหยู่ก็เดินจากไป ไม่ให้โอกาสฉินเฟิงได้ตอบกลับอะไรเลย
หนิงหยู่ เธอเก่งมากเลยอ่ะ
เพื่อนที่อยู่ข้างๆต่างพากันชื่นชมอิ่นหนิงหยู่กันยกใหญ่ ทำให้อิ่นหนิงหยู่ดูได้ใจมาก จัดการขอทานแบบนี้ จะต้องใช้วิธีนี้นั่นแหละ อยากจะเข้าประตูบ้านพวกฉัน ฉันคนแรกล่ะที่จะไม่ยอม
แต่ในเวลาต่อมา ก็มีรถแฮมเมอร์หลายคันปรากฏขึ้น ขับเข้ามา
ซวยแล้ว
พอเห็นรถพวกนี้แล้ว สีหน้าของอิ่นหนิงหยู่ก็เปลี่ยนไป เธอรีบบอกให้เพื่อนพวกนั้นของเธอ เร็ว รีบขึ้นรถเร็วเข้า
พวกเขาเห็นแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที รีบขึ้นรถของฉินเฟิงทันที แล้วพูดเร่งเร้า รีบขับออกไป ขับรถออกไปเร็วเข้า!
ฉินเฟิงขับรถออกไป เพียงแต่หลังจากจากที่ขับออกไปหลายเมตรแล้ว เสียงของฉินเฟิงก็ลอดตามมา อิ่นหนิงหยู่ เธอบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าตีให้ตายยังไงเธอก็จะยอมขึ้นรถของฉัน?ตอนนี้เป็นอะไรเหรอ?
บทที่23 การสารภาพรัก
พระเจ้าช่วย โรแมนติกมากเลย ดอกกุหลาบสีแดงถูกโปรยลงมาจากบนฟ้า น่าอิจฉาจังเลย
แสงไฟนีออนจากตึกตรงข้ามนั่นอีก นั่นเป็นตึกของบริษัทใหญ่เลยนะ บนนั้นยังมีตัวหนังสือหลายตัว ราคาดอกไม้คงใช้เงินไปเป็นล้าน อีกทั้งเถ้าแก่ที่อยู่ตรงข้ามก็ไม่ใช่คนมีเมตตาอะไร พระเจ้าช่วย
จะเรื่องของเงินหรือเรื่องอะไรก็ตาม พวกคุณเห็นเหรอว่า คำพูดบนนั้น สี่คำนั้น‘คุณภรรยาที่รัก’อ๊ายๆๆ ไม่ไหวแล้ว โรแมนติกมากๆเลย ถ้ามีคนขอแต่งงานกับฉันแบบนี้ ฉันจะแต่งงานกับเขาแน่ๆ
ผู้หญิงที่อยู่บริเวณโดยรอบ กระทั่งยังมีเสียงวี้ดว้ายออกมา เพราะว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว เป็นการสารภาพรักที่เป็นสิ่งที่ผู้หญิงใฝ่ฝัน เป็นที่น่าอิจฉามาก
รวมไปถึงหลิวลานเมิ่งด้วย ใบหน้าเต็มไปด้วยความอิจฉา
แต่ เธอยังคงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย คำพูดนี้ ทำไมเป็นเหมือนคำพูดที่ฉินเฟิงพูดกับอิ่นซินเลยล่ะ
ตอนที่เห็นคำพูดนี้เป็นครั้งแรก หลิวลานเมิ่งก็นึกถึงฉินเฟิงกับอิ่นซินขึ้นมาทันที เป็นอะไรที่พอเหมาะพอเจาะพอดี แต่วินาทีต่อมา เธอก็ส่ายหัวไปมา จะเป็นไปได้ยังไงกัน ทำอะไรแบบนี้ได้ ต้องใช้เงินไม่น้อยเลยนะ ถึงแม้จะใส่ร้ายปรักปรำฉินเฟิงไป แต่ไอ้ยาจกอย่างหมอนั่นยังไงก็เป็นยาจกอยู่ดี เป็นสิ่งที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้
ในเวลานี้เอง เธอปฏิเสธความคิดที่นึกถึงฉินเฟิงทันที
มุมปากยังมีรอยยิ้มเยาะเย้ย สมองคิดแต่อะไรที่ไม่มีทางเป็นไปได้
และแล้ว บนดาดฟ้าในเวลานี้เอง มือของอิ่นซินก็ปิดปากไว้ กับภาพที่ไม่อยากเชื่อสายตาตรงหน้า บนดาดฟ้าถูกโปรยปรายเต็มไปด้วยดอกกุหลาบ กลีบกุหลาบ เหมือนดังทะเลดอกไม้ไม่มีผิด
แต่ฉินเฟิงที่สวมชุดทหารทั้งตัว ร่างกายของเขาซูบผอมไปเล็กน้อย แต่ชุดทหารที่อยู่บนตัวของเขา ดูเท่ไปอีกแบบหนึ่ง ร่างกายสูงตรง ใบหน้าคมสัน เหมือนคมมีดก็ไม่ปาน ทุกอิริยาบถนั้น ให้ความรู้สึกเหมือนออกมาจากสนามรบ
เสี่ยวซิน เมื่อก่อนผมเป็นหนี้คุณ ผมยอมใช้ทั้งชีวิตของผมเติมเต็มคืนมันให้กับคุณ ให้โอกาสผมสักครั้ง ได้ไหมครับ?
ฉินเฟิงเดินเข้ามา เหมือนการเปิดตัวของฮีโร่ หลังจากนั้นก็มีเสียงปึ้งดังขึ้น เขาคุกเข่าลง สายตาเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง หยิบแหวนวงหนึ่งออกมา ยื่นออกไป เป็นแหวนเพชรสีแดงวงหนึ่ง สิ่งนี้มันทำอิ่นซินขำออกมาอย่างอดไม่ได้
หลังจากนั้น ก็เดินไปด้านหน้า ยื่นมือเรียวยาวของตัวเองออกมาหนึ่งข้าง
ฉันตกลงค่ะ สวมให้ฉันสิ
หลังจากที่ฉินเฟิงสวมให้แล้ว อิ่นซินรีบวิ่งไป แล้วโอบกอดฉินเฟิงไว้ มือทั้งสองข้างกอดรัดแน่น เหมือนจะไม่ยอมปล่อยจากไปยังไงอย่างงั้น หลังจากผ่านไปนาน อิ่นซินถึงค่อยๆปล่อยมือ แต่มือยังกอดรั้งคอของฉินเฟิงไว้ ดวงตาคู่สวยทั้งคู่จ้องมองไปที่ฉินเฟิงไม่ยอมวางตา
คุณสามีขา ขอโทษนะคะ ก่อนนี้ที่ฉันใส่ร้ายคุณไป คุณเลยต้องถูกฉันตบฟรีๆ ไม่อย่างงั้น คุณตบฉันคืนเถอะ เธอตั้งใจจริงๆ
เพียงแต่ ฉินเฟิงส่ายหัวไปมา ผมทำไม่ได้หรอกครับ
งั้น……ฉัน……
ได้ยินแค่เสียง‘จุ๊บ’ดังขึ้นหนึ่งครั้ง อิ่นซินจูบไปที่หน้าผากของฉินเฟิงหนึ่งครั้ง เหลือรอยลิปสติกไว้หนึ่งรอย เห็นได้อย่างชัดเจน หลังจากอิ่นซินก็ยิ้มบางๆกับรอยจูบนั้น คุณเหลือรอยจูบของฉันไว้แล้ว ก็เท่ากับว่าคุณเป็นคนของฉันแล้วนะคะ
เอ่อจริงสิ สามี ชุดทหารบนตัวคุณเป็นของกองทัพคุณเหรอคะ คุณใส่แล้วหล่อมากเลยนะคะ ถ้าไม่ใช่ยศทหารบนนั้น ฉันยังคิดเลยว่าคุณเป็นนายพลคนหนึ่งเลยนะเนี่ย แต่เป็นทหารธรรมดาก็หล่อเท่อยู่แล้วแหละเนอะ ฉันชอบมากเลยค่ะ
อิ่นซินมองไปที่ชุดของฉินเฟิง ยิ่งมองยิ่งหล่อ ดวงตาลึกซึ้ง
ในเมื่อเป็นเพียงชุดทหารทั้งตัว
ฉินเฟิงจึงยิ้มบางๆ
อิ่นซินไม่รู้เลยว่า ฉินเฟิงเพียงแค่กลัวว่าจะทำให้เธอตกใจเท่านั้นเอง อย่างไรเสียเขาก็เป็นถึงทหารยศสูงสุด เป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ มีทหารนับแสนนาย ตำแหน่งนี้ มีแค่ไม่กี่คนสามารถครอบครองมันได้
สามารถพูดได้เลยว่า เป็นหนึ่งในคนทั้งประเทศต้าหัวที่มีอำนาจใหญ่ที่สุดคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
เอ่อจริงสิ คุณทำอะไรพวกนี้
อิ่นซินชี้ไปที่รอบๆ ยังพูดอย่างกล่าวโทษว่า ใช้เงินไปไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ เอาเงินที่ได้จากการเป็นทหารไปใช้หมดแล้วใช่ไหมคะ จริงๆเลยเชียว ใช้เงินมากมายขนาดนั้น ช่างเถอะ หลังจากนี้ฉันจะเป็นคนเลี้ยงดูคุณเอง แต่คุณต้องขยันขันแข็งหน่อยนะคะ เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างของกั่วกั่ว
จริงด้วย คุณยังไม่ได้อธิบายให้ฉันเลย เรื่องเกี่ยวกับการ์ดVIPนั่น
อิ่นซินล้วงหยิบการ์ดเชิญVIPใบนั้นออกมา แล้วมองไปที่ฉินเฟิง
ยืมมาน่ะ ฉินเฟิงพูด
ยืมหรอ ประธานกรรมการคนนั้นเป็นคนให้คุณยืมเหรอคะ?
อืม ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกกับคุณแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมเคยช่วยเศรษฐีคนหนึ่งไว้ นั่นก็คือประธานกรรมการคนนั้นนั่นแหละค่ะ เพราะฉะนั้นผมรู้ว่าคุณจะมาบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ผมเลยไปยืมมาเมื่อวาน
พอฉินเฟิงพูดออกไปแบบนี้ อิ่นซินก็นึกขึ้นมาได้ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปในทันทีว่า หลังจากนี้อย่าทำอะไรแบบนี้อีกนะคะ ครั้งก่อนคุณได้เป็นผู้มีพระคุณของเขา มาครั้งนี้ คุณได้ติดหนี้บุญคุณเขาแล้ว ถ้ายังเพิ่มขึ้นมาอีกหลายครั้ง คุณอื่นจะเกลียดพวกเราได้นะคะ เกิดเป็นคนอย่าทำแบบนี้สิคะ
อิ่นซินในเวลานี้ ก็รู้ได้ในทันทีเพราะอะไรฉินเฟิงถึงพูดเกี่ยวกับหนิวหลันซานเอ้อกัวโถว
คนที่ผ่านสนามรบมา แน่นอนว่าต้องเข้าใจดี
พูดได้เพียงแค่ว่า เธอไม่เชื่อใจฉินเฟิงมากเกินไป
การขอแต่งงานของคุณจบแล้วใช่ไหม จบแล้ว ฉันจะรีบลงไปเซ็นหนังสือสัญญาแล้วนะ ขึ้นมากะทันหันแบบนี้ ยังไม่รู้เลยว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะมองฉันเป็นคนยังไว
อิ่นซินทำสัญญาณขึ้นมา แล้วเตรียมที่จะเดินลงไป
ในตอนที่ลงมานั้น แน่นอนว่าทั้งสองจับมือกันไว้แน่น ลงมาพร้อมกัน เป็นไปตามที่อิ่นซินพูดไว้ไม่มีผิด เธอยอมรับในตัวฉินเฟิงแล้ว จนหน่อย ธรรมดาหน่อย เรียบง่ายหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก เธอจะเลี้ยงฉินเฟิงเอง
แต่ยังคงหวังว่าฉินเฟิงจะทำตัวให้ดีขึ้น
พอหลังจากที่เดินมาจนถึงห้องโถงแล้ว ฟางเย้นที่เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเข้ากับทั้งสองคนพอดี และก็เห็นทั้งสองจับมือกันแน่นเหมือนกัน ทันใดนั้นไฟแห่งความอิจฉาริษยาก็ปะทุขึ้นมา จับมือกันงั้นเหรอ แม่งเอ้ย ไอ้หน้าโง่เปียวจื่อนั่น ทำฉันพังไปหมดเลย
เมื่อคืนเขารออยู่นาน แต่ก็ไม่มีข่าวจากเปียวจื่อมาเลย อีกทั้งยังติดต่อไปได้
พอเห็นท่าทีแบบนั้นแล้ว เขาสามารถเดาได้คร่าวๆเลย
ว่าถูกจับแล้ว
ไอ้พวกโง่เง่าเอ้ย
ยังโชคดีว่าเขาทำข้อตกลงกับเปียวจื่อไว้ อย่างไรเสียเปียวจื่อก็ต้องได้รับโทษประหารชีวิต เขาจะไม่มีวันขายตัวเองไปถ้าไม่ได้ผลประโยชน์อะไรหรอก
ประธานเฝิง ขอโทษนะคะ
อิ่นซินรีบกล่าวขอโทษกับเฝิงกางไป เพราะเป็นการแสดงความเสียใจกับการเดินออกไปอย่างกะทันหันแบบนั้นของตัวเอง เลยทำให้อะไรผิดพลาดไป
ฉีหยุนไม่ชอบงานแบบนี้เลย เขาได้จากไปนานแล้ว ตอนนี้ประธานในงานจึงเหลือเพียงแค่เฝิงกางเท่านั้น สำหรับหลิวลานเมิ่งแล้วเธอถูกพาออกไปนานแล้ว เพื่อไปเข้าให้ปากคำ
ฟางจือฮุยยืนหัวเราะอย่างเย็นชาอยู่ข้างๆ เขาเป็นคนที่เคยเห็นนิสัยของเฝิงกางมาก่อน ปล่อยให้เขารอนานขนาดนี้ คราวนี้ยังไม่รู้ว่าจะโกรธโมโหมากขนาดไหน อิ่นซินต้องเดือดร้อนแน่
แต่ วินาทีต่อมา ก็ทำให้เขาหน้าชาไปเลย
เพราะว่าเฝิงกางรีบโค้งทำความเคารพ พูดประจบประแจงอย่างไม่อาย ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่เป็นไรหรอก คุณอิ่นครับ เรามาเซ็นสัญญากันเถอะครับ
ฟางจือฮุย ????
ฉันโกรธจนเป็นลมไปแล้ว?
เกิดภาพหลอนอย่างงั้นเหรอ?
ใครเป็นเถ้าแก่ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปกันแน่ ประธานเฝิงอย่างเจ้าหมอนี่ครั้งก่อนไม่ใช่แบบนี้นิ่ คราวก่อนเป็นเพราะเรื่องเล็กๆน้อยๆทำก็ทำให้เขาโมโหได้แล้ว ตอนนี้เขาเหมือนทำงานให้กับอิ่นซินอย่างงั้นแหละ
ประธานเฝิง ข้างนอกยังมีพูดว่าคุณนิสัยไม่ดีอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าคุณจะอบอุ่นขนาดนี้ คุณใจกว้างมากเลยค่ะ อิ่นซินพูดขึ้นอย่างแปลกใจเล็กน้อย
บทที่22 หลิวลานเมิ่งจำคนผิด
เขา……คือฮีโร่คนหนึ่ง……ฉะ……ฉัน……
สีหน้าของหลิวลานเมิ่ง ในตอนนี้ ซีดลงมาทันที ร่างกายทรงตัวไม่อยู่ ตึกๆๆถอยหลังไปสองก้าว ปากยังพูดพึมพำ ฉันปรักปรำ……ฉะ……ฉินเฟิง
ใช่ครับ คุณผู้หญิง ฉันเป็นพนักงานที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณเมื่อคืนเองค่ะ เพราะว่าเมื่อคืนคุณดื่มจนเมาหนักมาก อาเจียนจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าไปหมด คุณผู้ชายคนนั้นจึงให้ดิฉันไว้ห้าร้อยหยวน ให้ดิฉันช่วยเอาเสื้อผ้าของคุณไปซัก แต่แล้ววันที่สอง ในตอนที่ฉันกำลังจะเอาเสื้อผ้ามาให้คุณ คุณกลับไม่อยู่แล้ว
พนักงานที่อยู่ข้างๆตำรวจคนนั้น เดินออกมาพูดเพื่ออธิบาย
ฉันดื่มจนเมา แล้วอ้วกเปื้อนไปทั้งตัว คุณเป็นคนเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันหรอคะ?
เหมือนฟ้าผ่าลงมาก็ไม่ปาน หลิวลานเมิ่งตื่นขึ้นมาพบว่าเสื้อผ้าของเธอได้หายไปหมดแล้ว คิดมาโดยตลอดว่าฉินเฟิงเป็นคนชั่วที่ทำเธอ แต่คิดไม่ถึงว่า กลับเป็นเพราะตัวเอง
ฉินเฟิงช่วยตัวเองไว้ ถ้าหากไม่ได้ฉินเฟิงช่วยไว้ วันนั้นเธอคงจะไม่รอดแล้ว
แต่ ตัวเธอเองกลับไปใส่ร้ายเขาไว้!
ไม่เพียงแต่ไม่ขอบคุณเขา ยังด่าฉินเฟิงไปฉาดใหญ่ กระทั่งยังทำให้อิ่นซินกับฉินเฟิงทั้งคู่ร้าวฉาน!
เป็นคนผิด!
เสี่ยวซิน ฉันขอโทษนะ
หลิวลานเมิ่งหันไปมองอิ่นซินอย่างช้าๆ รู้สึกแข็งทื่อเล็กน้อย ใบหน้าขาวซีด นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด หล่อนยื่นมือออกไป อยากจะจับสัมผัสอิ่นซิน แต่กลับหยุดชะงักไว้ ขอโทษด้วยนะ ฉันเข้าใจฉินเฟิงผิดไป เขาคือฮีโร่คนหนึ่งเลย
สามี……
นัยน์ตาทั้งสองของอิ่นซินเหม่อลอยทันที ในมือจับการ์ด VIP ใบนั้นไว้จนแน่น วินาทีต่อมา รอบดวงตาแดงก่ำ น้ำตาหยดรินไหลลงมาทั้งสองข้าง ขอโทษนะคะ ขอโทษ ฉันไม่ควรไม่เชื่อใจคุณ ฉันไม่น่าไม่เชื่อใจคุณเลยจริงๆ
ฝ่ามือหนึ่ง
เธอตบพลาดแล้ว
น่าจะตบหน้าของตัวเอง
ฉินเฟิงไม่ได้หักหลังเธอ เป็นเธอเองที่เข้าใจฉินเฟิงผิดไป
เวลานี้เอง อิ่นซินเหมือนคนรู้สึกตัวขึ้นมาได้ รีบล้วงหยิบมือถือออกมา โทรศัพท์ออกไปทันที ฮัลโหล……คุณสามีคะ ฉันผิดไปแล้ว ขอโทษด้วยนะคะ คุณอยู่ไหนคะ ฉันจะไปหาคุณ……
คำพูดที่ร้อยเรียงต่อกัน พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่หยุด
ยัยเมียบ๊องเอ้ย อย่าร้องไห้นะ ผมไม่โทษคุณหรอก
เสียงของฉินเฟิงจากปลายสายของโทรศัพท์ดังขึ้นมา แล้วฉินเฟิงก็พูดต่อไปว่า ผมอยู่บนชั้นดาดฟ้า คุณขึ้นมาเถอะครับ
ได้ค่ะ
หลังจากที่วางสายไปแล้ว อิ่นซินก็สูดฟุดฟิดตรงจมูก รีบวิ่งขึ้นไปลิฟต์อย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
นี่ ลูก กำลังอยู่ในขั้นเซ็นสัญญานะลูก ขอเพียงแค่เซ็นสัญญากับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว ขอแค่เซ็นเรียบร้อย หนูก็ชนะพนันที่เดิมพันไว้แล้วนะลูก หนูจะสามารถเอาตำแหน่งประธานกรรมการกลับมาได้ คุณลูกขา
จางลี่เห็นอิ่นซินที่วิ่งออกไป จึงรู้สึกร้อนใจมาก ต่อไปใกล้ได้เวลาเซ็นสัญญาแล้วนะลูก ถึงจะเป็นเรื่องใหญ่มากขนาดไหนก็ตาม หนูจะออกไปจากตรงนี้ในเวลานี้ไม่ได้นะคะลูก
แต่ อิ่นซินไม่ได้หันกลับมา ราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรยังไงอย่างงั้น ตรงเข้าไปที่ลิฟต์ทันที
ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
ภาพนี้ ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกตกใจไปตามๆกัน
วิ่งออกไปแบบนี้เนี่ยนะ?ทิ้งประธานกรรมการบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไปเลยอย่างงั้นหรอ?นี่มันบังอาจเกินไปแล้วนะ คิดว่าพิธีตัดริบบิ้นฉลองเปิดงานเป็นบ้านของพวกเขารึไง คิดจะไปก็ไป จะมาก็มา
อิ่นซินคนนี้ ได้ใจเกินไปแล้ว โชคดีหน่อย รู้ว่าประธานกรรมการของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปชอบอะไร แต่ไม่รักษาโอกาสไว้เลยแม้แต่น้อย กลับวางหนังสือสัญญาไว้ไม่เซ็น วิ่งออกไปดื้อๆ จริงๆเลยเชียว
ผู้หญิงคนนี้ ทำธุรกิจไม่เป็น เรื่องอะไร จะไปสำคัญเท่ากับการเซ็นหนังสือสัญญาล่ะ ดูสิ เธอกำลังผิดใจกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนี่ โปรเจคนี้ เธอคว้าไว้ไม่ได้แล้วล่ะ
ในใจของทุกคนกำลังหัวเราะอย่างชั่วร้าย เนื้อที่มจ่อมาถึงปากแล้ว ยังทำให้หลุดมือไปได้
จริงๆเลยเชียว
โง่เกินไปแล้ว
ในตอนแรกนั้นใบหน้าของอิ่นป่ายกับฟางเย้นเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง แต่ก็เหมือนกับเห็นความหวังขึ้นมา อิ่นซินผู้หญิงคนนั้น ทิ้งของที่อยู่ในมือไป บริษัทใหญ่ที่มาจากจิงตูแบบนี้ ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์มากที่สุด ทิ้งไว้แบบนี้ ต้องผิดใจเป็นอย่างมากแน่
ประธานเฝิง อิ่นซินเดินจากไปแบบนี้ เกรงว่าจะทำผิดกติกานะครับ ในงานแบบนี้ แม้แต่การบอกกล่าวก็ไม่มีแม้แต่น้อย นี่เป็นการไม่ไว้หน้าประธานเฝิงรึเปล่าครับ โปรเจคนี้……เอาให้หล่อน ต้องพังไม่เป็นท่าแน่ครับ เอาให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของเราไม่ดีกว่าหรอครับ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของเราเป็นบริษัทใหญ่ ยังเป็นบริษัทที่ทำการก่อสร้างโดยเฉพาะ……
ฟางจือฮุยในฐานะผู้จัดเก่าแก่ของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป แน่นอนว่าต้องเห็นตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก สายตาของเขาพราวระยิบระยับขึ้นทันที เดินเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อยืนต่อหน้าของเฝิงกาง พิจารณาเป็นขั้นเป็นตอน
เขารู้อยู่แล้วว่า สำหรับประธานที่มาจากจิงตูแบบนี้ เห็นความสำคัญของภาพลักษณ์มาก
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ เฝิงกางยังรับเงินของเขาไปแล้วสองล้าน ต้องไว้หน้าเขาแน่ๆ
แต่ ในตอนที่เขายังได้ใจอยู่นั้น เฝิงกางก็โบกมือไปมา นี่มัน ยังต้องอีกเดี๋ยวครับ รออิ่นซินมาก่อน แล้วค่อยๆเซ็นสัญญาเถอะครับ
ทุกคนพากันตะลึงไปตามๆกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟางจือฮุยแข็งทื่อ
ล้อกันเล้นอะไรเนี่ย!
รอก่อนงั้นเหรอ?
ทั้งบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองเจียงเฉิง บวกกับคนเยอะมากมายขนาดนี้ ต้องรออิ่นซินกลับมา?
ถ้าเธอไม่ลงมาล่ะ จะทำยังไงล่ะ?
รอย่างนี้เนี่ยนะ?
ประธานเฝิง คุณไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหม?
ฟางจือฮุยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง แล้วพูดออกไปแบบนี้
คุณว่า ผมเหมือนคนกำลังล้อคุณเล่นงั้นเหรอ?ผมบอกว่ารอเธอลงมาก่อน ก็ต้องรอเธอลงมาก่อนสิ
สีหน้าของเฝิงกางเคร่งขรึม คิ้วขมวดเป็นปม ความเคร่งครัดจากการเป็นประธานที่มาจากจิงตูยังคงมีอยู่ ทำให้ฟางจือฮุยต้องพยักหน้า ได้ครับ ได้ครับ ได้ครับ พวกเราจะรอเธอลงมาครับ
ในใจของฟางจือฮุยรู้สึกโกรธมาก!
แกเป็นเถ้าแก่ที่มาจากจิงตูไม่ใช่รึไงวะ ความยโสโอหังของคนจิงตูไปไหนหมดแล้วล่ะ อารมณ์ของแกล่ะ แกหลับต้อนรับผู้หญิงที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนนี้เนี่ยนะ คนที่ไม่รู้ ยังคิดว่าผู้หญิงคนนี้เป็นหัวหน้าของแก!
ยังมีอีก แกรับเงินสองล้านฉันไปแล้วไม่ใช่เหรอวะ รับเงินไปยังไง ถึงจัดการอะไรไม่ได้เลย!
หลังจากนั้น ฟางจือฮุยไม่รู้ว่า อีกมุมหนึ่งของอิ่นซิน เป็นหัวหน้าของเฝิงกางจริงๆ อย่างไรเสียก็เป็นถึงเถ้าแก่เนี้ย อีกทั้ง ไม่มีคนรู้ แผ่นหลังของเฝิงกางในตอนนี้อาบไปด้วยเหงื่อ
เป็นเพราะว่าหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวนนั่นแท้ๆเลย
ก่อนหน้านี้เขามองไปแวบหนึ่ง ไม่ได้สังเกตเห็นว่าใครเป็นคนมอบให้ เขาเลยพูดออกไปคำหนึ่ง เอ้อกัวโถวราคาแค่เจ็ดหยวนยังมีหน้าเอาออกมาได้ คิดว่างานของพวกเขาเป็นงานขยะรึไง
แต่ เขาคิดไม่ถึงว่า จะเป็นของที่อิ่นซินมอบให้ ฉินเฟิงบอกแล้วว่า นั่นคือเถ้าแก่เนี้ย!
ทำให้เขาตกใจมากจริงๆ
ฉินเฟิงกับฉีหยุนทั้งสองคนนี้ อะไรนิดๆหน่อยๆก็จะฆ่าเขาแล้ว ทำให้คนตกใจมากจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขารู้ดีว่าฉินเฟิงกล้าฆ่าเขาจริงๆ
ในเวลานี้นั่นเอง เฝิงกางก็ยิ่งไม่กล้าไปผิดใจกับอิ่นซิน ต้องรู้ว่าถ้าไม่ใช่คำสั่งของฉินเฟิง ตอนนี้เฝิงกางคงจะหาที่ให้อิ่นซิน เพื่อกราบไหว้ทุกวัน ขอพรให้โชคดีไปแล้วล่ะ
นี่ พวกคุณรีบดูเข้าสิ ด้านนอกมีเครื่องบินรบด้วย
ทันใดนั้น เสียงตกใจก็ดึงดูดความสนใจของผู้คน ทำให้มองไปยังด้านนอก พบเข้ากับเครื่องบินรบสองลำที่กำลังเริงระบำอยู่บนน่านฟ้าจริงๆด้วย ต่อมาด้วยเครื่องบินรบได้โปรยกลีบกุหลาบลงมายังพื้นดิน
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยกลีบดอกไม้สีแดง ที่กำลังเริงระบำ
นี่มัน ดอกกุหลาบแดง?สารภาพรักงั้นเหรอ!
หลิวลานเมิ่งยังไม่ได้เดินจากไปไหน ยืนอยู่ตรงหน้าต่างรับกลีบกุหลาบแดงมาหนึ่งกลีบ ทุกคนต่างรู้ดี เกี่ยวกับความหมายของกุหลาบแดง นี่เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับการสารภาพบอกรัก ตามมาด้วย เธอพบว่าตึกตรงข้ามมีไฟสว่างวาบออกมา!
ร้อยเรียงเป็นตัวหนังสือหนึ่งแถว!
สูญเสียช่วงเวลาวัยรุ่นไป ผมจะเติมเต็มมันคืนให้กับคุณเอง พันเท่า หมื่นเท่า คุณภรรยาของผม!
บทที่21 เขา เป็นฮีโร่
ในเวลานี้เอง หลิวลานเมิ่งได้ประกาศเริ่มการส่งของของกำนัล
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปมอบ หยกไหหลำหนึ่งคู่ มูลค่าสองล้าน
บริษัทเจี้ยนตากรุ๊ป มอบโสมอายุหนึ่งร้อยยี่สิบปี มูลค่าสองล้านสองแสน
บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ป มอบกระถางมังกรยุคราชวงศ์โจวตะวันตก มูลค่าสามล้าน
……
เสียงประกาศออกไปปรากฏขึ้นในงานนี้ ทำให้ทุกคนที่อยู่ในงานต่างรู้ลักษณะของขวัญ ส่วนมากจะเป็นของมูลค่าสองล้านขึ้นไป ส่วนน้อยมากที่จะต่ำกว่าสองล้าน
ในเวลานี้เอง บนเวทีประกาศขึ้นอีกครั้ง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ป มอบคฤหาสน์วิลล่าหยุนติ่งหนึ่งหลัง
คฤหาสน์วิลล่าหยุนติ่ง เป็นคฤหาสน์ที่ดีที่สุดในเมืองเจียงเฉิง เป็นคฤหาสน์ที่มีมูลค่ากว่าสิบล้าน บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปทุ่มทุนสุดตัว พระเจ้าช่วย
บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของฟางจือฮุยลงทุนเยอะมาก เงินสิบล้านบอกทุ่มก็คือทุ่มเลย ไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว
โปรเจคในครั้งนี้ ถูกบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปคว้าไว้แล้วกว่าครึ่ง
ทุกคนต่างพากันวิจารณ์ถกเถียงกัน ครั้งนี้เป็นเพียงการมอบของกำนัลเฉยๆ ไม่ใช่ว่าของใครมูลค่าสูงที่สุด โปรเจคก็จะเป็นของคนนั้น ต้องดูว่าบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะเลือกใคร เพราะฉะนั้นมูลค่าจะอยู่ที่สองสามล้าน
แต่บริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ร่ำรวยกระเป๋าหนัก ทำให้พวกเขาลิ้นจุกปากพูดไม่ออก
เรามั่นใจว่ายังไงเราก็ต้องชนะ
ฟางเย้นมองไปที่อิ่นซิน แบบหยิ่งยโส เหมือนจะเป็นการบอกกับหล่อนว่า บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของพวกเขาต้องได้ร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอย่างแน่นอน หล่อนไม่เลือกที่จะปีนขึ้นมานอนบนเตียงเขา แล้วจะต้องเสียใจแน่!
พวกเธอ จบแน่
อิ่นซินที่เห็นแล้ว ก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมา
นี่เป็นของคนสุดท้ายแล้วนะคะ
คนที่อ่านสคริปต์ของกำนัลกำลังเตรียมที่จะเก็บสคริปต์แล้ว แต่หลิวลานเมิ่งที่อยู่ด้านบนก็ห้ามเอาไว้เสียก่อน ช้าก่อน ยังเหลือของอีกหนึ่งบริษัท
ยังมีอีกบริษัท ของใครกัน?
อิ่นซินบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
หลิวลานเมิ่งมองไปยังอิ่นซิน ในฐานะเพื่อนสนิทที่ดีดีที่สุด อะไรช่วยได้ก็ต้องช่วยกันไป
ทันใดนั้น ทุกคนก็หันไปมองยังอิ่นซินที่อยู่ท่ามกลางผู้คนเป็นสายตาเดียว ทำให้ใบหน้าของอิ่นซินซีดเผือดลงทันที หลิวลานเมิ่งไม่รู้ว่าเธอไม่ได้เตรียมของขวัญมาด้วย แต่หลังจากที่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็หยิบเหล้าในมือออกมา ยื่นออกไป
นะ……นี่มันหนิวหลันซานเอ้อกัวโถว มูลค่า……เจ็ดหยวน
คนที่อ่านสคริปต์อยู่นั้น ถึงกับตกตะลึงไปเลย
เจ็ดหยวน!
งานแบบนี้เนี่ยนะ?
เสียงนี้ถูกกระจายออกไปทั่วทั้งงาน ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะ ตลกชะมัดเลย อิ่นซินคนนี้ ก่อนหน้านี้เคยมาหาผมแล้วล่ะ แต่ผมได้ไล่ออกไปซะก่อน ไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำ เป็นแค่คนธรรมดาต๊อกต๋อย แม้แต่เงินซื้อของขวัญยังไม่มีเลย
ผมว่าแล้วเชียว อิ่นซินคนนี้ตัดสินใจแทนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่ได้หรอก ร่วมงานกับเธอ มีแต่ทำให้ขาดทุนย่อยยับ
ฮ่าๆ ของขวัญมูลค่าเจ็ดหยวน ยังกล้าเอาออกมาอีกเหรอเนี่ย อิ่นซินหล่อนเอาอะไรคิดกันแน่ ตลกชะมัด คงไม่ใช่ว่าไม่มีเงินจนถึงขั้นนี้แล้วหรอกนะ?
เถ้าแก่เจ้าของบริษัททุกคนต่างพากันมองไปที่อิ่นซินแล้วส่ายหัว
อิ่นซิน เธอกำลังทำให้พวกเธอทั้งหมด ผลักไปจนถึงทางตันงั้นเหรอ ครั้งนี้ อิ่นซินตระกูลอิ่นมอบเหล้าราคาแค่เจ็ดหยวนบนงานพิธีตัดริบบิ้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป จะถูกพูดไปทั่วทั้งเมืองเจียงเฉิง แต่ว่านะ ขำจะตายอยู่แล้ว
เสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของอิ่นป่ายดังลอดออกมา
แต่หลิวลานเมิ่งที่อยู่ด้านบนเวทีสตั้นไปเลย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย หลิวหลันซานเอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวน คิดว่าที่นี่เป็นตลาดนัดรึไงกันห้ะ แต่เธอถือได้ว่าเป็นคนที่ฉลาดมากคนหนึ่ง จึงรีบพูดขึ้นมาว่า ถึงของขวัญจะราคาไม่สูงแต่มากไปด้วยน้ำใจ นี่เป็นน้ำใจแบบหนึ่ง
ต่อมา เธอเอาหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวขวดนั้นไปแอบไว้ตรงมุมหนึ่งของบรรดาของขวัญพวกนั้น
เพื่อไม่ให้ขายหน้ามากเกินไป
แต่ผ่านไปครู่หนึ่งเฝิงกางก็เดินออกมา กวาดตามองไปที่ของขวัญเหล่านั้น พบเข้ากับหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวขวดนั้นพอดี เขาจึงเบะปากเบาๆ พูดด้วยความดูถูกเล็กน้อย เอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวนยังเอาออกมาได้ คิดว่างานของพวกเราเป็นงานเหลือเดนรึไงกัน
นี่คือประธาน มาถึงก็แสดงเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างชัดเจน
อิ่นซินจบแน่
ทุกคนต่างพากันพูดสี่คำนี้ออกมา คงไม่มีโอกาสได้ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้งแล้วล่ะ
ท่านประธานกรรมการมาแล้ว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงหนึ่งร้องตะโกนดังขึ้น มองไปยังทางเข้าประตู คนที่กำลังเดินเข้ามาคือประธานกรรมการ รูปร่างสันทัดแข็งแรง สวมชุดทักซิโด้ดูภูมิฐานมากๆ หลังจากที่เดินเข้ามาแล้ว เฝิงกางก็เข้าไปเชิญทันที
นี่สิประธานกรรมการ วันนั้นต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ จะเป็นฉินเฟิงได้ยังไงกัน จะเป็นไปได้ยังไง ไอ้จนนั่นน่ะเหรอ ยังจะเป็นประธานกรรมการอีก จริงๆเลยเชียว
หลิวลานเมิ่งที่พอเห็นฉีหยุนแล้ว ก็ปฏิเสธความคิดในตอนแรก
ในตอนแรกเธอมองผิดไป คนคนนั้นไม่มีทางเป็นประธานกรรมการได้หรอก
ประธานกรรมการครับ นี่เป็นของกำนัลที่บรรดาบริษัทในเมืองเจียงเฉิงมอบให้ครับ ส่งของขวัญมาให้ท่าน
หลิวลานเมิ่งพูดกล่าวต้อนรับ แนะนำของขวัญต่างๆ
อืม
ฉีหยุนที่มองมา ในทุกครั้งที่เขามองมา ต่างทำให้หัวใจของคนอื่นที่ได้มองหวั่นไหวไปตามๆกัน เพราะคิดว่าจะเห็นของที่ตัวเองให้อยู่ในสายตา แต่พอมองไปแล้วรอบหนึ่ง ตามมาด้วยสายตาของฉีหยุนไปมองเห็นโมเดลของคฤหาสน์หลังหนึ่ง
คฤหาสน์หลังละสิบสามล้าน เป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยจริงๆ
ฉีหยุนพูดเปรยออกมา
ทันใดนั้นเอง คนในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปต่างพายืดอก ฟางเย้นยิ่งแล้วใหญ่ยิ้มอย่างยโสโอหัง บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของพวกเขาเป็นบริษัทที่ทำก่อสร้างอยู่แล้ว จัดอยู่ในอันดับต้นๆของเมืองเจียงเฉิง การมอบของขวัญในครั้งนี้ และเป็นของที่แพงที่สุด
ถ้าอย่างงั้นโปรเจคนี้ บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปของพวกเขาต้องเป็นของพวกเขาอยู่แล้ว
แต่ สิ่งทำให้ทุกคนคาดคิดไม่ถึงคือ ฉีหยุนสังเกตเห็นมุมมุมหนึ่ง เขาหยิบขวดเหล้าจากมุมหนึ่งออกมา ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หยิบเหล้าออกมาแล้วจัดการกระดกดื่มลงคอไป
อึกๆ
ดื่มลงไปหนึ่งอึกใหญ่
อ้า……หนิวหลันซานเอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวน……รสชาตินี้เลย ตอนผมอยู่ในกองทัพผมดื่มมันทุกวัน หลังจากที่กลับมาแล้ว ยังไม่มีโอกาสได้ออกไปซื้อเลย ใครเป็นคนให้เหรอครับ โปรเจคแรกของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของผม ก็ให้บริษัทนั้นไปเลย
หลังจากที่ฉีหยุนดื่มจนหมดแล้ว ก็รู้สึกสบายตัวสบายใจมาก เขารีบพูดออกมาแบบนี้ ตัดสินใจลงมาได้
ของขวัญเหล่านี้ ไม่มีชื่ออะไรทั้งนั้น
เขาก็ไม่รู้ว่าอันไหนเป็นของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่เขารู้อยู่เรื่องหนึ่ง ทหารในอิสเตอร์แลนด์อย่างพวกเขาชอบดื่มเอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวนนี้มาก
……
คนทั้งงานต่างพากันคาดไม่ถึง มีบางคนถึงกับอ้าปากค้าง
อิ่นซิน……บะ……บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นคนให้……
หลิวลานเมิ่งคาดไม่ถึงเล็กน้อย หล่อนพูดขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ได้ บริษัทที่เราจะร่วมงานด้วยก็คือพวกเขาเลยละกัน ฉีหยุนรีบเอ่ยขึ้นมาทันที
เป็นไปได้ยังไงกัน!
ทุกคนที่อยู่ในงานต่างพากันตกตะลึง อิ่นป่าน ฟางเย้น ฟางจือฮุยก็ตกตะลึงเช่นเดียวกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มอบเอ้อกัวโถวที่ราคาเพียงแค่เจ็ดหยวน กลับบังเอิญโดนใจประธานกรรมการ
ลูกจ๋า หนูได้รับโปรเจคนี้แล้วนะ
พ่อแม่ของอิ่นซินพูดแสดงความยินดีกับหล่อนอย่างดีใจ
แต่ในเวลานี้เอง ตำรวจทีมหนึ่งก็เข้ามาจากด้านนอก พูดกับหลิวลานเมิ่งที่อยู่ด้านบนเวทีไปว่า คุณหลิวลานเมิ่งครับ เมื่อคืนเราได้จับคนร้ายห้าคนนั้นได้แล้วครับ จากที่พวกเขาสารภาพเป็นการอยากลักพาตัวคุณ แต่ถูกผู้ชายคนหนึ่งเขาขัดขวางไว้ และจากที่พนักงานที่เป็นพยานพูดไว้ว่า ผู้ชายคนนั้นนำคุณไปไว้ที่โรงแรม เอาเงินจำนวนหนึ่งวางไว้ให้เธอ บอกให้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับคุณ แล้วเขาก็เดินจากไป
เป็นคนร้ายที่มีประวัติคดีโชกโชนมาก ในมือมีหลายชีวิต พวกเราอยากหาตัวชายคนนั้นครับ เพื่อขอบคุณในความช่วยเหลือของเขา เขาคือฮีโร่คนหนึ่งเลยครับ กรุณาให้ความร่วมมือกับพวกเราด้วยครับ
บทที่20 บัตรวีไอพีสูงสุด
ถึงตอนนี้ ยังจะพูดอีก ไอ้ยาจกอย่างหมอนั่น ยังมีเซอร์ไพร์สอีก
หลิวลานเมิ่งกอดอกและพูด เสี่ยวซิน วันนี้เป็นวันตัดริบบิ้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ฉันเป็นเจ้าหน้าที่ฉันต้องไปก่อนนะ รองานนี้จบ ฉันจะไปแจ้งความ
หลังจากพูดจบ ก็เดินจากไป
ร่างกายของอิ่นซินยืนอย่างไม่มั่นคง เมื่อคืนนี้เธอตัดสินใจที่จะยอมรับฉินเฟิง แต่ไม่คิดว่าวันนี้จะมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
หนูลูก งานตัดริบบิ้นนั่นยังจะไปอยู่ไหม?
อิ่นหยวนถอนหายใจ แล้วถามอิ่นซิน
ไปค่ะ
อิ่นซินกัดฟันแน่น สายตาของเธอแน่วแน่ ไม่ว่ายังไง เธอก็จะไปที่นั่น เธอไม่อยากหนี
จากนั้นเมื่อครอบครัวกลับไป อิ่นซินก็หยิบบัตรสีดําขึ้นมามองไปที่บัตรสีดำที่เขียนว่า บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป วีไอพี ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าเธอรู้สึกยังไง
คุณเอาการ์ดนี้ให้ฉัน แล้วทำไมถึงมาทรยศฉัน
อิ่นซินบีบการ์ดอย่างแน่น
พิธีตัดริบบิ้นในวันนี้ไม่ใช่ใครๆก็จะเข้าไปได้ ต้องมีบัตรวีไอพี เธอไม่สามารถได้มันมาด้วยตัวคนเดียว
เธอทําได้เพียงไปพึ่งพาคุณปู่ เข้าไปพร้อมกับคุณท่านอิ่น
เมื่อถึงประตูบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เฉินเฟิงกำลังมองไปที่เธอจากชั้นบน อย่างไม่ละสายตา
คุณน้องสาว น้องสาว มาเช้านะวันนี้
อิ่นป่ายก็มาที่นี่เหมือนกัน เดินเข้ามา หัวเราะเยาะและพูดว่า: น้องสาว แกไม่รู้ใช่ไหม ว่าวันนี้ไม่มีบัตรวีไอพี ไม่สามารถเข้าไปได้ และวันนี้คุณปู่ไม่มาด้วย บัตรวีไอพีอยู่ในมือของฉัน
อิ่นป่ายดึงการ์ดออกมาแสดงท่าทางภาคภูมิใจสุดๆ ในเมืองเจียงเฉิงหนึ่งบริษัทจะมีบัตรวีไอพีหนึ่งใบ และบัตรของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปอยู่ในมือของเขา ดังนั้นถ้าอิ่นซินอยากเข้าไป ก็จำเป็นต้องขอร้องเขา
อิ่นป่าย ทุกคนคือครอบครัวเดียวกัน เธอรีบเอาบัตรวีไอพีให้พวกเราเข้าไป
จางลี่มองไปที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยร่างสูงของชายคนนั้น ทันใดนั้นก็หันไปพูดกับอิ่นป่าย
ได้น่ะได้ แต่……ฉันอยากให้น้องอิ่นซิน มาขอร้องฉัน
อิ่นป่ายหันไปมองอิ่นซิน ทุกคนต่างรู้กันดีว่า อิ่นซินเป็นคนที่มีความเย่อหยิ่งที่สุด โดยปกติแล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขอร้องใคร ถ้าให้อิ่นซินขอร้องสักครั้ง ก็ถือว่าเจ๋งมาก
บัตรวีไอพี ฉันก็มี
อิ่นซินดึงการ์ดวีไอพีที่ฉินเฟิงให้มาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
อันนี้ ฉินเฟิงเป็นคนให้ มันจะเป็นของจริงรึป่าว?
อิ่นหยวนยืนสงสัยอยู่ด้านข้าง
ฮ่าฮ่าฉินเฟิงให้ ตลกละ ฉินเฟิงเป็นคนประเภทไหนกัน บัตรวีไอพีหนึ่งบริษัทมีแค่ใบเดียว ฉินเฟิงจะหาใบนี้มา
ได้ยังไง ใบนี้เป็นของปลอมรึป่าว
อิ่นป่าย รู้สึกประหลาดใจในตอนแรก แต่เมื่อได้ยินว่าฉินเฟิงเป็นคนให้ ก็หัวเราะออกมาทันที
ฉันจะให้พวกคุณดู ว่าบัตรวีไอพีจริงๆ เป็นแบบไหนกัน
อิ่นป่ายยกบัตรวีไอพีขึ้น จากนั้นก็วางมันลงบนเครื่อง ยักคิ้วขึ้น
แต่ วินาทีถัดไป เครื่องดังออกมา : ติ๊ง บัตรใบนี้ไม่ถูกต้อง
อะไรนะ?
อิ่นป่ายตกใจ จนกรามค้าง
บัตรของฉัน……มีปัญหา……เป็นไปไม่ได้……มันก็คือบัตรใบนี้……
หน้าตาอิ่นป่ายดูเหลือเชื่อ รีบตรวจสอบบัตรของตัวเอง
แน่นอนว่าเขาไม่รู้ ว่าฉินเฟิงเพิ่งให้คนมาปรับ
แต่ในขณะนี้ ผู้จัดการล็อบบี้ออกมา พูดกับอิ่นซิน สวัสดีครับ คุณผู้หญิง คุณสามารถให้ผมดูบัตรวีไอพีของคุณไหม?
ได้สิ
อิ่นซิ่นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอก็ส่งมันออกไป
ฮ่า ฮ่า ของเธอก็เป็นของปลอมเหมือนกัน ขนาดผู้จัดการยังออกมาเลย ต้องปลอมแน่ ๆ !
อิ่นป่ายชี้ไปที่อิ่นซินและพูดในทำนองเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ผู้จัดการล็อบบี้ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ก็โค้งตัวลงและกล่าวว่า สวัสดี คุณผู้หญิง นี่คือบัตรวีไอพีสูงสุดของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ไม่จำเป็นต้องผ่านเครื่อง โปรดตามฉันมา
อะไรนะ?
ทุกคนต่างตกตะลึงกัน
ทุกคนมองไปที่บัตรวีไอพีใบนั้น นี่เป็นที่ไอ้ยาจกฉินเฟิงนั่นเป็นคนให้ไม่ใช่หรอ ทําไมมันถึงกลายเป็นบัตรVIP สูงสุดได้ล่ะ?
ผู้จัดการครับ มีข้อผิดพลาด ต้องมีข้อผิดพลาดแน่ ผมรู้ว่าใบนี้ใครเป็นคนให้ เป็นไอ้คนจนๆคนหนึ่ง มันจะเป็นบัตร VIPสูงสุดได้ยังไง ผมสงสัยว่าพวกเขาขโมยมา อิ่นป่ายพูดออกมาทันที
ขออภัย บัตรวีไอพีสูงสุด มีเพียงใบเดียว ซึ่งเป็นของประธานของเราเท่านั้น
คำพูดนี้ของผู้จัดการล็อบบี้ ทำเอาคนถึงกับงง
ประธาน?
ฉินเฟิง?
เป็นไปไม่ได้!
ในใจของพวกเขาปรากฏสามคํานี้ออกมา เป็นไปไม่ได้!
ทุกท่าน เชิญครับ
ผู้จัดการล็อบบี้ยกมือขึ้น ส่งสัญญาณให้อิ่นซินเพื่อเชิญพวกเขาเข้าไป
พวกอิ่นซินเดินเข้าไป และอิ่นป่ายก็อยากเดินเข้าไปด้วย แต่ถูกรปภ.ห้ามไว้ด้านนอก รปภ.หนึ่งในนั้นพูดว่า: คุณผู้ชาย ผมเพิ่งเห็นชัดๆเมื่อกี้ว่า คุณไม่ได้มากับพวกเขา
ให้ตายเหอะ ต้องเป็นหลิวลานเมิ่งแน่ หลิวลานเมิ่งที่อาศัยร่างกายของตัวเอง ขโมยบัตรวีไอพีของประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป และให้อิ่นซิน ต้องเป็นอย่างนั้นแน่
อิ่นหยวนกัดฟัน ยืนยันคำตอบนี้
และแล้ว เมื่ออิ่นซินเดินเข้าไป ใบหน้าของเธอก็สับสน เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ทำไมบัตรวีไอพีของฉินเฟิง กลายเป็นบัตรวีไอพีของประธานบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ?
เป็นไปได้ยังไง?
และในตอนนั้น ที่เข้าห้องโถงใหญ่ ไม่เพียงแต่เฝิงกางจะมาจัดพิธีตัดริบบิ้นด้วยตัวเอง หลังจากจัดงานแล้ว
ก็เข้าสู่พิธีที่สำคัญ มอบของขวัญ ก็คือสรุปโปรเจคแรกของการร่วมงานกัน
ทุกคนพร้อมที่จะเคลื่อนไหว
ในตอนนั้นเอง อิ่นป่ายกับฟางเย้นก็เข้ามาพร้อมกัน อิ่นป่ายเดินมา และยิ้มเยาะอิ่นซิน น้องสาว อย่าคิดว่าพึ่งพาหลิวลานเมิ่งแล้วจะได้เปรียบ พี่จะบอกอะไรให้แกรู้ไว้นะ ว่า บริษัทซานหยวนกรุ๊ปและบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเราได้ร่วมมือกันแล้ว แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับแก แกไม่สามารถเอาโปรเจคนี้กลับมาได้ แกจะรู้ผลที่ตามมาเอง
พวกพี่สมรู้ร่วมคิดกัน
อิ่นซินมองสองคนนี้ด้วยความรังเกียจ และรู้สึกอ้างว้างเล็กน้อย
ทุกท่าน อีกสักครู่ท่านประธานของเรา จะเป็นคนเลือกเองว่าของขวัญชิ้นไหนที่ถูกใจที่สุด
หลังจากที่เฝิงกางแนะนำ จากนั้นหลิวลานเมิ่งก็เดินออกมา ในฐานะที่เป็นดอกไม้แห่งฝ่ายประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่าต้องมาเพื่อเป็นพิธีกรในเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ลูกขา หนูจะเอาอะไรไปมอบให้เหรอคะ?
พ่อแม่ของอิ่นซินต่างมองไปที่อิ่นซิน
วันนี้หนูไม่ได้เอาอะไรมาสักอย่าง นอกจากขวดเอ้อกัวโถวที่ฉินเฟิงวางไว้ในกระเป๋าถือของหนูเมื่อคืน
อิ่นซินหยิบเอ้อกัวโถวออกมาจากกระเป๋าถือของเธอขวดหนึ่ง เธอเดินไปนั่งประจำที่ของเธอ เพื่อต้องการจะแต่งหน้า และเธอก็สังเกตเห็นว่าในกระเป๋าถือของเธอยังมีหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวขวดเล็กอยู่ขวดหนึ่ง
ทันใดนั้น เธอรู้สึกซับซ้อนในความรู้สึกขึ้นมา
เอ้อกัวโถว?ฉินเฟิงยังเป็นคนใส่เองหรอ บ้าไปแล้วเหรอ
พ่อแม่ของอิ่นซิน ด่าออกมาทันที ด่าว่าฉินเฟิงที่ไร้น้ำใจ เวลานี้ยังจะมาก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้อีก
ฮ่า ฮ่า ฉันจะขำจะตายอยู่แล้วนะ เอ้อกัวโถวเนี่ยนะ ฉินเฟิงยังเป็นคนใส่มันเอง ฉินเฟิงคิดยังไงกัน หรือเขาอยากทำให้คุณชื่อเสียงป่นปี้งั้นเหรอ?
ฉันคิดว่าฉินเฟิงจะมีแนวโน้มที่ดีละนะ ไม่คิดว่ายังเป็นคนไร้ประโยชน์คนนึงอยู่
เมื่ออิ่นป่ายที่อยู่อีกฝั่งได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา เต็มไปด้วยการเยาะเย้ย
ก่อนหน้านี้เขาถูกขังอยู่ข้างนอก และบัตรวีไอพีของเขา ก็ใช้ไม่ได้ เขาต้องรอจนฟางเย้นมาถึง เขาถึงกลับเข้ามาใหม่
เมื่อเขาเข้ามาและได้ยินคําพูดนี้ เขาก็ดีใจมาก
นี่คือการที่อิ่นซินเลิกหวังไปแล้ว
ฉินเฟิง
อิ่นซินถือเอ้อกัวโถวไว้ขวดนึง ด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่ว้าวุ่น ที่ผสมปนเปตีกันไปหมด
บทที่19 เป็นการเข้าใจผิดทั้งหมด
อวดเก่งนักนะ!
เปียวจื่อรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว เขามองแล้วยังเหลือลูกน้องอีกสามคน ทันใดนั้นก็พูดขึ้นมาว่า ลุยพร้อมกัน พวกแกมีมีดกันทุกคน เคลื่อนไหวให้มันเร็วหน่อย ในมือมันมีคนอยู่ด้วย มันตอบโต้ไม่ทันอยู่แล้ว
ยังไงก็เคยฆ่าคนมาก่อน ตอนนี้ยังพอมีสติอยู่บ้างเล็กน้อย
หากคนธรรมดาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้ว่าจะสามารถสู้ได้ ในมือมีตัวประกัน ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกสวะสี่หรือห้าคนหรอก แต่อย่างไรก็ตาม คนที่พวกเขาพบเจอคือฉินเฟิง
รนหาที่ตาย
ฉินเฟิงเอ่ยคําสี่คํานี้ออกมา จากนั้นต่อด้วยหนึ่งคนและแซ่หนึ่งเส้น ในสถานการณ์ที่พวกมันยังไม่ทันตั้งตัว มันได้รับแรงกระแทกอย่างหนัก และพวกมันก็ปลิวออกไป กระแทกพื้นอย่างแรง
อ๊ากก……
พวกสวะเหล่านั้นรู้สึกหวานในปากของพวกเขา กระอักเลือดออกมาเต็มปาก อยากจะลุกขึ้นหนี แต่ได้สูญเสียในการทรงตัวไป แล้วก็กำลังจะตาย
ให้ตายเหอะ
เปียวจื่อกัดฟันกรอด สบถด่าออกไป แล้วหันหลังเดินจากไป
ตราบใดที่ขุนเขายังเขียวขจีอยู่ อย่าได้กลัวว่าจะไม่มีฟืนไฟ
แต่น่าเสียดาย ในตอนนี้ได้ก้อนหินปริศนาถูกโยนมา แล้วโดนที่ท้ายทอยของเธอ เสียงลั่นดังปัง ทำให้เขาล้มลงกับพื้น และหมดสติไปทันที
ไอ้พวกเลว
ฉินเฟิงเห็นว่าทุกคนหมดสติแล้ว จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
แต่หลังจากออกไป มองดูหลิวลานเมิ่งในอ้อมแขน จู่ๆก็รู้สึกกลัดกลุ้ม : หลิวลานเมิ่ง คุณว่า ตอนนี้ผมควรจะพาคุณไปที่ไหน?
บ้านของหลิวลานเมิ่ง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันอยู่ที่ไหน
ถ้าจะหาอิ่นซิน เธอคงหลับอยู่บ้านแล้ว ถึงโทรไปก็ไม่สามารถปลุกเธอตื่นได้
ช่างเหอะ
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองด้านหน้า ดีที่มีโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาได้เดินเข้าไป คุณพนักงานครับ ช่วยเปิดห้องให้ผมหนึ่งห้องด้วยครับ
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเฟิงก็อุ้มเธอเข้าไป แต่ทันใดนั้น หลิวลานเมิ่งก็อ้วกออกมา อาจเป็นเพราะดื่มเหล้ามากเกินไป ทันใดนั้นอ้วกก็กระเด็นเปื้อนไปทั้งร่าง
ประเด็นคือ แบบนี้ก็ยังไม่ตื่น
อ้วกตอนไหนไม่อ้วก แต่ดันมาอ้วกเวลานี้เนี่ยนะ
ฉินเฟิงรู้สึกปวดหัวเลยทีเดียว เขาจึงได้เรียกพนักงานที่อยู่ข้างนอก แล้วดึงเงิน 500 หยวนจากตัว และยื่นให้เธอ เพื่อนผมเมา คุณช่วยผมเอาเสื้อผ้าของเธอ ไปซักให้ทีนะครับ
ได้ค่ะ
พนักงานรับเงินห้าร้อยหยวนนั้นไป และตอบตกลงทันที
หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฉินเฟิงก็เดินจากไป ตรงกลับไปที่บ้านของอิ่นและกลับไปที่ห้องฉินกั่วกั่วก็วิ่งไปและกอดต้นขาของฉินเฟิงไว้ พ่อคะพ่อคะ
แม่กําลังละเมออยู่
ฝันละเมอ?
ฉินเฟิงเดินเข้าไป
โปรเจคของ……บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป……ฉัน……ต้องเอาให้ได้……ต้องเอา……โอกาส……เดียวเท่านั้น
อิ่นซินหลับอยู่บนเตียง ส่งเสียงอ้อมแอ้มและพูดออกมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งทำให้ฉินเฟิงเข้าใจบ้างเล็กน้อย จากนั้นฉินเฟิงก็เดินเข้าไปในทันที
และกระซิบข้างหูอิ่นซินว่า วางใจเถอะ จะมีผมอยู่ในทุกเรื่อง พรุ่งนี้คุณจะต้องคว้าเอาโปรเจคนี้มาได้อย่างแน่นอน ใช่แล้ว ที่ผ่านมายังไม่ได้บอกคุณเลย สามีของคุณเป็นวีรบุรุษ ที่ไม่มีใครเทียบได้ ราตรีสวัสดิ์นะครับ ภรรยาผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากพูดจบ ฉินเฟิงก็คลุมผ้าห่มให้อิ่นซิน
ครั้งนี้ อิ่นซินขมวดคิ้วแน่น และยืดตัว เหมือนกับว่าเธอกำลังฝันอะไรแปลกๆอยู่
ในขณะที่ฉินเฟิงหลับไป ก็เหลือบมองไปที่อิ่นซินอยู่แวบหนึ่งและได้พูดขึ้นมาว่า พรุ่งนี้ผมมีเซอร์ไพรส์ให้คุณนะครับ
วันรุ่งขึ้น
อิ่นซินลุกขึ้น นวดไปที่ขมับของตัวเอง มองไปที่ห้อง มีเพียงฉินเฟิงอยู่เพียงคนเดียว : ที่รัก วันนี้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมีงานตัดริบบิ้นนะครับ
ลูกขา แต่งตัวเร็วเข้า เตรียมตัวไปกัน
เสียงของจางลี่ดังมาจากชั้นบน
ในบรรดาธุรกิจของเมืองเจียงเฉิง การที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะปักหลักถิ่นฐานนั้น เป็นเรื่องที่ใหญ่จริงๆ เพราะว่าเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มาจากจิงตู
สิ่งที่ควรเผชิญ จะช้าหรือเร็วก็ต้องเผชิญอยู่ดี
อิ่นซินถอนหายใจ เธอเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ทันใดนั้นก็ลุกขึ้นและเดินลงไป ฉินเฟิงก็เดินตามเธอลงไป หลังจากลงไป ก็เจอจางลี่และอิ่นหยวนพ่อของอิ่นซิน
วันนี้ ไม่รู้ว่าใครจะได้โปรเจคงานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั่นไป
อิ่นหยวนมองดูหนังสือพิมพ์ และถอนหายใจเล็กน้อย
ใบหน้าของอิ่นซินซีดลง เพราะเธอกลัวพ่อของเธอกังวล จึงไม่ได้บอกพ่อของเธอ เธอได้พนันกับคุณท่านอิ่น
หากชนะ จะยึดตำแหน่งประธานกลับคืนมา หากแพ้ ก็จะถูกยึดทรัพย์สิน และขับไล่ออกจากครอบครัว
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวที่รีบร้อนก็เดินเข้ามาจากประตู และเมื่อเดินเข้ามา เธอก็ชี้และด่าไปที่ฉินเฟิง ฉินเฟิง แกมันไม่ใช่มนุษย์ แกเป็นแค่เป็นสัตว์ประหลาดเดรัจฉาน!
ลานเมิ่ง
ทุกคนต่างตกตะลึง และมองไปที่ผู้หญิงที่มีใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา พวกเธอต่างรู้จัก หลิวลานเมิ่ง
ชี้ผมทำไม?
ฉินเฟิงขมวดคิ้ว
อิ่นซินก็มองไป และไม่เข้าใจ
ชี้คุณทำไมหรอ สารเลว วันนี้ฉันจะเปิดหน้ากากเดรัจฉานตัวนี้อย่างแก เสี่ยวซิน เธอยังคงคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนดีสามารถให้อภัยเขาได้พึ่งพาได้ตลอดชีวิตเหรอ แต่ฉันจะบอกแกว่าแกคิดผิด แกคิดผิดมาก เมื่อคืนฉินเฟิงออกจากบ้านแกไปใช่ไหม?
หลิวลานเมิ่งถามอิ่นซินด้วยตาแดง
ใช่
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อิ่นซินก็พยักหน้า หลังจากที่ฉินเฟิงส่งเธอกลับบ้านเมื่อคืนนี้ เขาบอกว่ามีธุระ ต้องออกไปสักพัก ส่วนเขากลับมาเมื่อไหร่ เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน
เสี่ยวซิน ฉันจะบอกให้เธอ ผู้ชายคนนี้ เมื่อคืนเขาทำอะไรบ้าง เมื่อคืนเขาเรียกคนกลุ่มหนึ่ง ทำฉันหมดสติ แล้วให้พวกนั้นพาฉันไปที่โรงแรม เมื่อฉันตื่นขึ้นมา ไม่มีเสื้อผ้าติดกายสักชิ้น ไม่มีสักชิ้นเลย !
หลิวลานเมิ่งร้องไห้ แล้วพูดว่า: เขาคิดว่าฉันหมดสติไป ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในนั้น แต่เมื่อคืนฉันพยายามตั้งสติ
ฉันเห็นเขา ก็คือใบหน้านั้น ฉันสาบาน ต่อให้ตายไปก็ไม่มีทางดูผิด !
อะไรนะ?
ใบหน้าของอิ่นซิน เย็นลงอย่างรวดเร็ว
ลุงคะ ป้าคะ ไอ้สารเลวนี่ เขาเดิมพันกับพวกท่านกับคุณท่านอิ่น ถ้าวันนี้ พวกท่านสามารถเอาโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้ ครอบครัวของท่านก็สามารถเอาตำแหน่งประธานกลับคืน แต่ถ้าหากไม่สามารถเอากลับคืนได้ ครอบครัวของคุณไม่เพียงแต่จะถูกถอนหุ้น10% แต่จะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด และจะถูกขับไล่ออกจากครอบครัว
และความเป็นไปได้ที่เราจะคว้าโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้นั้น เท่ากับศูนย์
หลิวลานเมิ่งหันไป พูดกับพ่อแม่ของอิ่นซิน
ขับไล่ออกจากครอบครัว!
ตัวอักษรสี่ตัวนี้กระทบหัวใจของอิ่นหยวน และถามฉินเฟิงด้วยอาการอึดอัดใจว่า นี่เป็นเรื่องจริงหรอ นายพนันแบบนั้นจริงๆเหรอ?
ใช่ครับ
ฉินเฟิงไม่ปฏิเสธสิ่งที่เขาเคยทํามาก่อน แต่เรื่องของหลิวลานเมิ่ง เป็นเรื่องเข้าใจผิด ทันทีที่จะเปิดปากและอธิบาย
: เมื่อคืน ……
ฉินเฟิง คุณยังคิดที่จะแก้ตัวอีกหรือ?
อิ่นซินเดินเข้ามา น้ำตารินไหลอาบใบหน้าของเธอ ลานเมิ่งเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยเด็กของฉัน และเป็นเพื่อนที่ฉันเติบโตมาด้วย ฉันรู้จักลานเมิ่งดี เธอไม่ล้อเล่นกับเรื่องอะไรแบบนี้หรอก
ฉินเฟิง คุณรู้ไหม? ฉันคิดว่า คุณเป็นคนดี ฉันสามารถฝากตัวฉันและกั่วกั่วไว้กับคุณได้ แม้แต่หลังจากดื่มเสร็จเมื่อคืน ฉันบอกกับลานเมิ่ง ว่าฉันคงต้องเป็นภรรยาที่ดี แต่ฉันไม่เคยคิดว่า คุณจะเป็นคนแบบนี้! แต่ก่อน คุณทอดทิ้งฉันกับแม่ฉัน วันนี้คุณมาเหยียดหยามเพื่อนฉัน ไอ้สารเลว ทำไมคุณถึงทำร้ายฉันครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้!
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น และตบหน้าฉินเฟิงอย่างรุนแรง และยังมีคำพูดที่ตีโพยตีพาย: ฉินเฟิง คุณทําให้ฉันผิดหวังมาก ฉันผิดเองที่เชื่อใจคุณ
เพี๊ยะ!
ฉินเฟิงไม่ได้หลบ และทนต่อการตบนั้น
ตอนนั้น ฉันยังเชื่อคุณ คิดว่าคุณสามารถเปลี่ยนตัวเองได้ ยังให้คุณเข้ามาในบ้าน ทำสัญญาครึ่งปี แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว ฉันมันหน้ามืดตามัวไปแล้วจริงๆ
อิ่นหยวนตัวสั่น และชี้ไปที่ฉินเฟิง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ
ไอ้เลว ไปให้พ้น!
หลิวลานเมิ่งก็ด่ากราดไปที่ฉินเฟิงเหมือนกัน ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ได้สนใจหลิวลานเมิ่ง แต่สายตาคู่นั้นมองไปที่อิ่นซินที่กําลังร้องไห้อยู่ ในใจของเขาเจ็บปวด อยากจะก้าวไปข้างหน้า แต่ในเวลานี้ อิ่นซินก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว คุณออกไป !
ฉินเฟิงถอนหายใจ และดึงบัตรสีดําออกมา และวางมันลงบนโต๊ะ และพูดอย่างยุ่งเหยิงว่า ที่รัก อย่าร้องไห้ ฉันไม่ได้ทำเรื่องนี้จริงๆ วันนี้คุณจะไปบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ถือบัตรนี้ไว้ บัตรนี้จะทำให้คุณผ่านไปได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง ในเมื่อคุณไม่ต้องการเห็นผม งั้นผมจะไป
จริงๆแล้ว วันนี้ฉันยังมีเซอร์ไพร์สให้คุณด้วย
บทที่18 เท้าเดียว ก็เกินพอที่จะทําลายทีมของคุณ
วันที่สอง
ฉินเฟิงได้ยินเสียงตําหนิดังสนั่นตั้งแต่เช้าตรู่ พอหันไปมอง ก็พบว่าเป็นเสียงจากปลายสายของอิ่นซิน เสี่ยวซิน บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปโทรหาตระกูลอิ่นของเรา บอกว่าคุณชายฟางเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังสูง และได้ทำการรักษาที่โรงพยาบาลทั้งคืน ฉันให้แกไปคุยเรื่องงานไม่ใช่ให้แกไปมอมเหล้าเขาตาย แกบังอาจมากนักนะ!
ฉินเฟิงฟังออก ว่าเสียงนี้เป็นเสียงคุณท่านอิ่นที่เต็มไปด้วยความโกรธ
คุณปู่คะ หนู……
อิ่นซินยังพูดไม่จบ เสียงจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้น อย่าเรียกฉันว่าคุณปู่ พรุ่งนี้เป็นวันตัดริบบิ้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ถ้าแกไม่สามารถเอาโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมาได้ แกจะได้รู้ผลที่ตามมาเอง !รู้ตัวเองละกัน!
ตู้ด
โทรศัพท์ของอิ่นซินหล่นลงที่พื้น รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
และตอนนี้ ฉินเฟิงก็เดินเข้ามา และกอดอิ่นซินไว้ มีผมอยู่ ไม่เป็นไร
ฉินเฟิง คุณว่า ทำไมทั้งๆที่เป็นสายเลือดเดียวกัน หนึ่งคนเป็นอิ่นป่าย และอีกคนเป็นอิ่นซิน ทำไมถึงแตกต่างกันขนาดนี้ เขาได้มอบสิ่งที่ดีทั้งหมดให้กับอิ่นป่าย แต่ทำไม เพียงเพราะฉันเป็นผู้หญิงหรอ
อิ่นซินกอดฉินเฟิง และร้องไห้โฮ
แต่หลังจากกอดอยู่พักหนึ่ง เธอก็ลุกขึ้น เพราะเธอรู้ว่า มันไร้ประโยชน์ที่จะเล่าเรื่องพวกนี้กับฉินเฟิง
ฉันไปทํางานละนะ
หลังจากพูดจบ อิ่นซินก็ไปหาหลิวลานเมิ่งเพื่อหาวิธีแก้ปัญหา แต่ก็ไม่ได้อะไร พบเจอแต่ทางตัน เมื่อถึงเวลากลางคืน หลิวลานเมิ่งต้องการดื่มกับอิ่นซิน เพื่อปลดทุกข์หน่อย ยังไงพรุ่งนี้ก็จะเป็นพิธีตัดริบบิ้นแล้ว แต่พวกเธอยังทำอะไรไม่ได้เลย
ได้ แต่ว่า ฉันจะโทรหาฉินเฟิง
อิ่นซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
โทรหาเขาทําไม?
หลิวลานเมิ่งมีใบหน้าที่ไม่พอใจ
เดี๋ยวก่อน ฉันให้เขามารับเอง เพราะเขาเป็นผู้ชายของฉัน
เหอะ
หลิวลานเมิ่งทำหน้าตาที่เหยียดหยาม เธอดูถูกฉินเฟิงมาก เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงเป็นเด็กที่ยากจนไม่คู่ควรกับอิ่นซิน แต่ดูท่าของอิ่นซินแล้ว เธอเริ่มยอมรับฉินเฟิงแล้ว
จะมากไปแล้ว!
และเมื่อพวกเธอหาร้านอาหารและกำลังดื่มเหล้าอยู่นั้น ก็มีผู้ชายหลายคนอยู่รอบๆ ตัวพวกเธอ หนึ่งในนั้นคือเปียวจื่อ ใบหน้าที่ดูดุดัน ในมือยังมีมีดสั้นเล่มหนึ่ง ภายใต้แสงไฟยามเย็น มีแสงมีดฉายแววออกมา
หัวหน้าครับ ผู้หญิงสองคนนี้สวยจัง
มีชายร่างผอมข้างๆเฝ้ามองดูคนทั้งสองที่อยู่ด้านใน เขาเกิดอาการน้ำลายไหลเล็กน้อย พวกเขาล้วนเป็นผู้ร้ายที่มีชีวิตคนอยู่ในเงื้อมมือ โดยปกติแล้ว จะไม่ปรากฏตัวข้างนอก เพราะฉะนั้นมันจึงทำให้พวกเขาไม่ได้แตะต้องผู้หญิงมาหลายเดือนแล้ว
เหอะ ทำตัวดีๆหน่อย เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวเราก็ได้เล่นกันสนุกแล้ว
เปียวจื่อรู้สึกอดรนทนรอไม่ไหวแล้ว
หลังจากรอมาเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง อิ่นซินกับหลิวลานเมิ่งถึงพึ่งดื่มเสร็จ ที่หน้าร้านอาหาร อิ่นซินเห็นหลิวลานเมิ่งสวมเสื้อบางๆ จึงเอาเสื้อขาวของตัวเองคลุมบนร่างของหลิวลานเมิ่ง คลุมไว้ กลางคืนมันหนาว
ออกมาสักทีสินะ
เปียวจื่อรู้สึกดีใจขึ้นมา
เพียงแต่ ในเวลานี้เอง ฉินเฟิงเดินเข้ามาจากข้างนอก และมองมาที่เขาแวบหนึ่ง ทันใดนั้นเปียวจื่อก็ตกใจ เขาจึงรีบซ่อนตัว ในใจคิดว่า หรือเขาจะถูกพบเข้าแล้ว
จริงๆแล้วพวกเขาถูกฉินเฟิงพบตัวแล้ว แค่ขี้เกียจสนใจในตอนนี้เท่านั้นเอง
ผมไปส่งพวกคุณกลับก่อนนะ
ฉินเฟิงมองดูสาวสองคนนี้ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้า จึงขมวดคิ้วเป็นปม
อื้ม
อิ่นซินพยักหน้า
ส่วนหลิวลานเมิ่งไม่ยอมมองฉินเฟิง เอียงศีรษะไปอีกด้าน
เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกทางกัน หลิวลานเมิ่งก็เดินไปยังอีกเส้นทางหนึ่ง และฉินเฟิงก็สังเกตเห็นว่าคนที่อยู่ข้างหลังเธอตามหลิวลานเมิ่งไป เขาคิดในใจว่า ว่า เป้าหมายของพวกเขา คือหลิวลานเมิ่ง?
แต่หลังจากมองไปที่อิ่นซินที่ใบหน้าแดงเล็กน้อย ฉินเฟิงก็พูดขึ้นว่า ช่างมันเถอะ ส่งคุณกลับไปก่อน
สิบนาทีผ่านมา หลิวลานเมิ่งก็เดินไปยังสถานที่ที่มีผู้คนน้อย ส่วนเปียวจื่อและพวกนั้นก็เข้ามาใกล้มากขึ้น หลังจากเข้ามาใกล้แล้ว พวกเขาพึ่งสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ
เวรเอ้ย ผู้หญิงที่คลุมเสื้อขาวนี้ ไม่ใช่อิ่นซิน
เปียวจื่อก่นด่าในเบาๆ
ก่อนหน้านี้เพราะฉินเฟิงตามมา พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป และเพราะแสงสลัวของกลางคืน พวกเขาจึงใช้เสื้อสีขาวตัวนั้นเป็นเป้าหมาย แต่ไม่รู้ว่าหลิวลานเมิ่งสวมเสื้อคลุมตัวนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
หัวหน้า เรายังจะจับอยู่ไหม?
ชายร่างผอมที่อยู่ข้างๆถาม
จับสิ ทําไมไม่จับ อิ่นซินคนนั้นคิดว่าตอนนี้คงกลับถึงบ้านแล้ว เราจะจับยังไงดี สาวน้อยคนนี้ก็หน้าตาดี จับเธอมาเล่นสนุกแก้ขัดไปก่อนแล้วกัน
เปียวจื่อพูดไป เผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็เดินไปข้างหน้า ในมือถือผ้าขาวก้อนหนึ่ง ปิดปากหลิวลานเมิ่งทันที เขาพูดอย่างชั่วร้ายว่า คุณเป็นของผม……
ยังพูดไม่จบ จู่ๆ ก็มีมือข้างหนึ่งจับไหล่ของเปียวจื่อและส่งเสียงมาว่า ใครบอกว่าเป็นคนของแก
นี่คือเพื่อนรักของคนรักของฉันต่างหาก
อ้าก
ความเจ็บปวดที่คนไม่สามารถทนได้ ทําให้เปียวจื่อร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด และปล่อยมือที่คว้าหลิวลานเมิ่งทันที
เมื่อเห็นว่าหลิวลานเมิ่งกําลังจะล้มลง ฉินเฟิงจึงก้าวไปข้างหน้า และช้อนรับร่างของเธอไว้ แล้วเธอก็ใช้สติที่เหลืออยู่เบิกตากว้าง
เห็นคนตรงหน้าอย่างชัดเจน: ฉินเฟิง ……
จากนั้น เธอก็สลบไป
อีเธอร์ มืออาชีพเลยนี่หว่า
ฉินเฟิงสูดดมกลิ่นระเหยในอากาศ เธอเพิ่งส่งอิ่นซินกลับไป แล้วค่อยกลับมา ไม่คิดว่ามันจะสายเกินไป คนได้สลบเหมือดไปแล้ว เขามองไปที่พวกอันธพาลตรงหน้า และจ้องมอง
พวกคุณโชคไม่ดีเลยนะ มาเจอปีศาจจอมหวงภรรยาเข้า นี่เป็นคนของภรรยาฉัน พวกแกยังกล้าที่จะแตะต้องอีกหรอ?
ตามด้วยถ้อยเสียง ดูเหมือนว่าจะมีอุณหภูมิลดลงในอากาศ
เวรเอ้ย
หน้าของเปียวจื่อมีเหงื่อแตกพลั่ก เขาเอามือกุมแขนตัวเอง รู้สึกว่าข้างในได้แตกร้าวแล้ว จึงถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที: คนคนนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย ฉันยังมีลูกน้องอีกตั้งหลายคน ต่างเคยเห็นเลือดกันมาทั้งนั้น ทุกคนต่างถอยไปคนละก้าว แล้วค่อยพบกันใหม่ดีกว่านะ
ในวงล้อมนั้น ลูกน้องหลายคนล้อมตัวเขาไว้ แล้วดึงกริชออกมา จ้องมองฉินเฟิงด้วยสายตาถมึงทึง ชายร่างผอมคนนั้นยกกริชขึ้น จริงด้วย ไอ้หนุ่ม เราทุกคนที่นี่เป็นคนร้ายกันทั้งนั้น ต้องโทษประหาร เป็นพวกเดนตาย ทางที่ดีแกอย่าบีบบังคับพวกฉันเลยนะ ถอยคนละก้าวดีกว่า ดีต่อทุกคน
นี่พวกเจ้ากำลังพูดเงื่อนไขกับฉัน?พวกแก คู่ควรด้วยหรอ?
ฉินเฟิงยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา
แกนี่จริงๆเลย ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ! บนตัวแกมีตัวประกันอยู่ พวกฉันมีคนตั้งเยอะและมีอาวุธด้วย สองหมัดยากที่จะเอาชนะสี่มือ แกแน่ใจนะว่าจะไม่ถอย?
ฉันบอกแล้ว ว่าพวกแกคู่ควรแล้วหรอ?
ให้ตายเหอะ พวก ลุย วันนี้พวกแกต้องถลกหนังมันทั้งเป็นให้ฉัน
เปียวจื่อทั้งโหดเหี้ย ดวงตาฉายแววโลหิต ทันใดนั้นก็สั่งให้ลูกน้องเหล่านั้นลุย
ไอ้หนุ่ม ชาติหน้าแหกตาดูบ้างนะว่าเล่นกับใครอยู่น่ะ
ชายร่างใหญ่ใส่สนับมือไว้ที่มือ และเข้าไปจัดการตีหัวของฉินเฟิงทันที เผยรอยยิ้มเหี้ยมโหดออกมา เมื่อก่อนก็เป็นแบบนี้ หมัดเดียวของเขาทำเอาชายคนนั้นหัวระเบิดไปเลยทีเดียว
และแล้ว วินาทีต่อมา สีหน้าของเขาก็แข็งกระด้าง
เพราะ ฉินเฟิงไม่เพียงแต่เอียงหัว และหลบการโจมตีจากเขา ยังกระทืบไปที่เท้าของเขา ยังต่อยเข้าไปที่ท้องน้อยของเขา ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ตัวเขาก็กระเด็นออกไป
เสียงปังดังขึ้น
กระแทกลงกับพื้นอย่างแรง
พวกแกคิดมากไปแล้ว พวกแกเนี่ยนะ ไม่จําเป็นต้องใช้มือหรอก แค่เท้าข้างเดียวก็เกินพอที่จะทําลายแก๊งของพวกแกได้แล้ว ฉินเฟิงยืนอยู่ที่เดิม
บทที่17 ครอบครัวเดียวกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ฉินเฟิงออกมาจากโรงแรม ถือใบสัญญานั่น ยื่นให้อิ่นซิน เรียบร้อยแล้ว
อิ่นซินรับหนังสือสัญญานั้นมา ด้านบนนั้นมีลายเซ็นของฟางเย้นอยู่ แต่ว่าลายมือบิดๆเบี้ยวๆ เธอส่ายหัวทันที แล้วยิ้มอย่างน่าสังเวช ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เซ็นในสถานการณ์แบบนี้ เขาไม่ยอมรับหรอก
จากนั้น เธอก็เดินไปข้างหน้า ฉินเฟิงเองก็เดินตามหลังขึ้นไป
และหลังจากที่พวกเขาจากไป ในโรงแรมหลานเทียน ก็มีรถพยาบาลมาหลายคัน หวอหวอหวอ!
เมื่อเดินอยู่บนถนน มีสายลมพัดผ่านมา พัดผ่านผมยาวของอิ่นซินไป เธอสวมเสื้อยืดลายดอกไม้ และเสื้อคลุมตัวเล็กสีขาวสะอาดสะอ้าน
ส่วนล่างของร่างกายเป็นกระโปรงยาวสีขาวที่มีลวดลาย ด้วยรูปลักษณ์ที่สง่างาม และมีเสน่ห์ ทำให้ผู้ชายหลายคนบนท้องถนนต่างจับจ้องมองมาที่เธอ จนตาลาย
ส่วนอิ่นซินเดินไปข้างๆของฉินเฟิง เธอทัดผมเสร็จ ก็พูดออกไปว่า ขอบคุณนะคะ ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ วันนี้ฉันอาจจะจบไม่ดี อันที่จริงฉันก็รู้ว่าฉันไม่สามารถเซ็นสัญญาในวันนี้ได้ แต่ฉันไม่ยอมแพ้ เพราะฉันไม่ตายใจ ฉันต้องการที่จะได้โปรเจคร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่ฉันจะสามารถเอาตําแหน่งประธานกรรมการกลับคืนมาได้ เจ็ดปีแล้ว นี่เป็นครั้งที่ฉันได้เข้าใกล้จุดมุ่งหมายมากที่สุด
อิ่นซินเสียใจเล็กน้อย ที่ต้องเสียเวลาฟรีกับค่ำคืนนี้อีกครั้ง
โอกาสที่จะได้เอาโปรเจคร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้น ไกลออกไปอีกก้าวนึง
เธอรู้สึกเจ็บปวดมากในใจ
ครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพูดขอบคุณหรอกครับ ฉินเฟิงพูด
ครอบครัวเดียวกัน
คําสามคํานี้ ทำให้หัวใจของอิ่นซินรู้สึกเหมือนคลื่นซัดสาดเข้ามา ใช่แล้ว ฉินเฟิงพูดอย่างเคร่งขรึม ที่จริงแล้วเธอเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่เธอไม่เคยยอมรับเขา ยิ่งไปกว่านั้นคือก่อนหน้านี้ เธอยังเกลียดเขามากด้วย
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว อย่างน้อยเขาก็เต็มใจที่จะพยายามเพื่อบ้านหลังนี้
ในเมื่อ คุณพูดแล้วว่าเป็นครอบเดียวกัน งั้นฉันเจ็บเท้า วันนี้ฉันเดินมาทั้งวันแล้ว คุณควรจะแสดงอะไรบางอย่างให้ฉันเห็นหน่อยไหมคะ
ทันใดนั้น อิ่นซินก็เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ชี้ไปที่เท้าของเธอ ที่แดงเป็นแถบขึ้นอีกแล้ว
ได้ครับ ผมจะแบกคุณเอง
ฉินเฟิงยิ้มบางๆ และเดินมาหยุดอยู่หน้าตรงอิ่นซิน แล้วค่อยๆนั่งยองๆลง
หยินซินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ปีนขึ้นไป ให้ฉินเฟิงแบกตัวเอง ทันทีที่เธอขึ้นไป กลิ่นอายของความเป็นชายชาตรีก็ค่อยๆแผ่ซ่านออกมา จนทำให้หน้าของอิ่นซินค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา
ไปเถอะ กลับบ้านกัน
ฉินเฟิงแบกอินซินไว้บนหลัง และเดินไปตามทางเดิน ทําให้คนเดินผ่านไปมาต่างพากันอิจฉา
นี่เป็นครั้งแรกของฉินเฟิง ที่ได้แบกหญิงสาว และหญิงสาวคนนี้ก็เป็นภรรยาที่ตัวเองติดค้างไว้มากมาย เธอให้กำเนิดลูกสาวของเขา ยังต้องทนแบกรับคำครหาของผู้คนมากมาย มานานหลายปี
เอ่อจริงสิ ฉันจะบอกอะไรคุณให้นะ ฉันยังไม่เคยคบกับใครมาก่อน ฉันเป็นผู้หญิงที่แกร่งมากเลยนะคะ ตอนที่ฉันเรียนมหาวิทยาลัย ฉันก็ใช้สองมือของฉันเริ่มทำธุรกิจแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจึงไม่มีเวลาหาแฟน และไม่มีคนไหนที่ฉันสนใจ
แต่ตอนนี้ก็เพราะคุณ เพราะคนเลวอย่างคุณ ลูกอายุตั้งหกขวบแล้ว ฉันยังไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักเลย เหมือนกับแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่า แค่พริบตาเดียว ฉันก็ยี่สิบเจ็ดแล้ว เปลี่ยนจากสาวน้อยเป็นหญิงสาวที่แต่งงานแล้วอย่างกะทันหัน คุณต้องชดใช้ชีวิตช่วงวัยรุ่นให้กับฉันเลยนะ
แล้วก็ ถ้าฉันยอมรับคุณจริงๆ คุณห้ามรังแกฉันนะคะ
อิ่นซินซบอยู่บนแผ่นหลังของฉินเฟิง ใบหน้าที่ประณีตของเธอพิงเข้าไหล่ของฉินเฟิง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ทําให้อิ่นซินรู้สึกประทับใจ จึงเผยความในใจออกมา
หลายปีมานี้ ในที่สุดก็มีคนมาดื่มเหล้าแทนเธอแล้ว
ที่ผ่านมา มีแต่คนพยายามมอมเหล้าเธอ เพื่อวางแผนทําให้เธอเมา และทําในสิ่งที่น่าขยะแขยง
ส่วนครั้งนี้ ฉินเฟิงก็คว้าแก้วเหล้าของเธอและปิดกั้นพวกฟางเย้น วินาทีนั้น ทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหวกับ
ฉินเฟิงเล็กน้อย มีสามีที่ยอมปกป้องตัวเอง ก็ไม่ใช่เรื่องแย่อะไรเลย
เอ่อจริงด้วยสิ ทำไมคุณถึงดื่มได้เยอะขนาดนี้ อิ่นซินถาม
ฝึกมาน่ะ เราทุกคนที่นั่นชอบดื่มหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวกันที่สำคัญคือราคาถูกไม่ทําให้มึนเมาดื่มลงไปแล้วอุ่นๆ
ทหารทั้งกองก็ชอบดื่มกัน
หนิวหลันซานเอ้อกัวโถว
อิ่นซินจําเหล้าชนิดนี้ไว้ แต่ก็ทำได้เพียงแค่จำไว้เท่านั้นแหละ เธอไม่กล้าที่จะหยิบเหล้าเจ็ดหยวนนี้ส่งมอบให้ใครหรอก
พอกลับมาถึงบ้าน ฉินเฟิงก็รีบหาที่ที่ไม่มีคนอยู่ และโทรศัพท์ออกไปทันที: ฉีหยุน ช่วยฉันเตรียมแหวนวงหนึ่ง
แหวนขอแต่งงาน แล้วช่วยฉันจัดเตรียมด้วยละกัน เตรียมพิธีขอแต่งงานที่จะต้องสะท้านไปทั่วทั้งเมืองด้วย
นี่คือสิ่งที่ฉินเฟิงติดค้างกับอิ่นซิน
เขาไม่เคยสารภาพรักกับอิ่นซินมาก่อน ไม่เคยเลยสักครั้ง
เพราะฉะนั้น ครั้งนี้เขาจะสร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมือง เพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่า เขาต้องการที่จะชดเชยให้ผู้หญิงที่ให้กำเนิดลูกสาวที่น่ารักกับเขา และผู้หญิงที่ต้องทนทุกข์ทรมานนับไม่ถ้วนในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา
เป็นเขาเองที่ต้องขอโทษอิ่นซิน
…………
ณ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งของเมืองเจียงเฉิง
ภายในห้องฉุกเฉิน มีหมอระดับสูงกลุ่มหนึ่งกําลังรักษาฟางเย้น หลังจากการรักษาอาการเขามาตลอดทั้งคืน ฟางเย้นถึงได้ฟื้นขึ้นมา
ทันทีที่ตื่นขึ้นก็กัดฟันและพูดว่า: ฉินเฟิง! ฉันกับแกอยู่รวมโลกกันไม่ได้!
ลูก ไปทำอิท่าไหน ถึงได้เป็นพิษสุราเรื้อรัง ดื่มไปเท่าไหร่กัน?
ที่ข้างเตียง มีชายวัยกลางคนที่มีจมูกงุ้ม มือไขว้หลัง เมื่อเห็นว่าฟางเย้นฟื้นแล้ว เขาก็เดินมาและขมวดคิ้ว
ผมโดนคนเล่นงานเข้าแล้ว
ฟางเย้นรายงานเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น
คนคนนี้ คือพ่อของฟางเย้น ประธานบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป ฟางจือฮุย
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
แววตาของฟางจือฮุยฉายแววโหดเหี้ยม กล้าทำลูกชายฉัน รนหาที่ตายแท้ๆเลย
คุณพ่อครับ ตอนนี้อย่าเพิ่งหาเรื่องบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ผมมีข้อตกลงกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของอิ่นป่าย เขาใช้อำนาจของครอบครัวเพื่อกดขี่อิ่นซิน ให้เธอส่งมาถึงที่ให้ผมเล่น และตระกูลบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้ร่วมมือกัน เอาโปรเจคบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไว้
ฟางเย้นโบกมือบ่งบอกว่าปล่อยให้เขามาจัดการเองหลังจากที่ฟางจือฮุยจากไปเขาก็เรียกคนสนิทของ
เขามา และพูดขึ้นว่า:ไปตามหาเปียวจื่อมาให้ฉัน
ครับ
คนสนิทคนนั้นกลับไปแล้ว
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็พาคนๆนึงกลับมา
โห คุณชายฟาง คุณเป็นอะไรไป หรือว่าคุณถูกตีมาหรอ?
บทที่ 16 ถูกรางวัลแล้ว เอาอีกขวด
ใช่แล้ว หลังจากกลับบ้านแล้ว คุณก็ห้ามคิดไม่ดีกับฉันนะ
จู่ๆ อิ่นซินก็ได้พูดเตือนฉินเฟิง จากนั้น รถก็หยุดลง แล้วอิ่นซินและฉินเฟิงลงจากรถ
โรงแรมหลานเทียน
ฉินเฟิงเงยหน้าขึ้นมองป้ายนั้น ดวงตาของเขาฉายแววความบ้าคลั่งออกมา เขาคงจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น มีคนจะแตะต้องภรรยาของเขา เข้ามาแตะต้องคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งการรบ คนที่กำจัดทหารศัตรูฝ่ายตรงข้ามไปสามแสนนายภายในสนามรบเดียว คนที่ได้ฉายาว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการสังหาร
รนหาที่ตาย!
ฉินเฟิงพูดคําสองคํานี้ออกมา จากนั้นหัวเราะอย่างเย็นชา เขาเดินเข้าไปในโรงแรมแห่งนี้ และเข้าไปในห้องส่วนตัวพร้อมกับอิ่นซิน ในห้องส่วนตัวนั้น ฉินเฟิงกวาดสายตามอง มีฟางเย้นแล้วก็ชายรูปร่างกํายําอีก 5-6คน
คุณอิ่น มาแล้วหรอ
เมื่อเห็นว่าอิ่นซินมาถึง ฟางเย้นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของเขาแล้วยืนขึ้นทันที และเดินมาต้อนรับ
คุณชายฟาง
อิ่นซินพยักหน้า และส่งสัญญาณให้ แต่ในขณะที่ฟางเย้นเข้ามา ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว และเอนตัวพิงร่างของฉินเฟิงและพูดว่า คุณชายฟาง สามีของฉัน ฉินเฟิง รอบที่แล้วที่คุณเคยพบเจอ
ฉินเฟิง
ฟางเย้นจึงเพิ่งจะสังเกตเห็นฉินเฟิง และทักทายเขาอย่างผิวเผิน
แต่ในใจกลับบ้าคลั่งขึ้นมา บ้าเอ้ย ฉินเฟิงคนนี้ก็มาด้วย ครั้งที่แล้วเขากําลังจะพิชิตอิ่นซินแล้ว พ่อแม่ของอิ่นซินก็เห็นด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้ฉินเฟิงนี่โผล่มาจากไหน ถึงได้ทําลายแผนการของเขา!
ให้ตายเถอะ!
ครั้งที่แล้ว เขารู้ว่ามันคือเพชรเทียมสีฟ้า แต่ฉินกั่วกั่ว ไอ้เด็กน้อยคนนั้น เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย สามารถจัดการด้วยเงินสิบหยวน ทำไมต้องใช้600,000กว่าหยวนด้วยล่ะ เขาแค่อยากได้อิ่นซินเท่านั้น ก็เท่านั้นเอง !
แต่เป็นเพราะฉินเฟิงชายคนนี้ ไอ้หมอนั่น ทําให้แผนการของเขาล้มเหลว
คุณชายฟาง นี่คือแผนการของเรา และใบสัญญา
อิ่นซินหยิบเอกสารออกมาจากแฟ้มเอกสารของเธอ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการประชุมทางธุรกิจ แต่คุณชายฟางโบกมือ
ใครจะพึ่งมาถึงก็คุยเรื่องธุรกิจกันเลย ฉันจัดเตรียมอาหารไว้ให้เยอะแยะเลยล่ะ
คุณชายฟางผลักแฟ้มเอกสารออก แล้วชี้ไปที่อาหารเหล่านั้น จากนั้นเขาก็นั่งลง
โอเค
อิ่นซินไม่มีทางเลือก เตรียมที่จะนั่ง แต่ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้าก่อนหนึ่งเก้า นั่งข้างๆฟางเย้น จากนั้นหันไปทางฟางเย้น
และพูดว่า คุณชายฟาง ไม่รังเกียจที่ฉันจะนั่งตรงนี้ใช่ไหม
ตําแหน่งนี้ ควรให้อิ่นซินมานั่ง เพื่อความสะดวกในการเจรจาต่อรองความร่วมมือทางธุรกิจ
ฟางเย้นขมวดคิ้ว
มี6-7 คนอยู่ในห้องส่วนตัวนี้ และที่นั่งก็เหลือไม่มาก และข้างๆฟางเย้นก็มีที่นั่งอยู่พอดี ที่จริงแล้วฟางเย้น เตรียมให้
อิ่นซินมานั่ง ในนามเพื่อความร่วมมือทางธุรกิจ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาต้องการที่จะใช้ผลประโยชน์ต่างหาก
รูปร่างอันโค้งเว้าได้สัดส่วนดุจดั่งปีศาจสาว ดูมีความภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่และซ่อนความทะเล้นไว้ แต่นั่นก็ทำให้เขาหลงใหลอยู่นาน ขอแค่วันนี้อิ่นซินเมา
จากนั้นทุกอย่างก็ลงมือได้อย่างง่ายใด
แต่ เขาคาดคิดไม่ถึงว่า วันนี้ฉินเฟิงก็มาด้วย อีกอย่างมาถึงก็นั่งข้างๆเขา และครอบครองตําแหน่งนี้
คุณชายฟาง ท่านพูดเองแล้วว่า มีใครกันพึ่งมาถึงก็คุยเรื่องธุรกิจกัน ดื่มเหล้าก่อน ฉินเฟิงกล่าว
ได้ ดื่มเหล้า
ความไม่พอใจของฟางเย้น แทบจะเขียนไว้บนใบหน้าของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังยิ้มออกมา หยิบแก้วเหล้าขึ้นมา และพูดกับอิ่นซินว่า คุณอิ่น วันนี้ เรามาดื่มกันก่อนดีกว่า
ได้เลย
อิ่นซินได้เตรียมใจไว้แล้ว คาดว่าวันนี้เธอคงต้องดื่มจนเมามาย และความร่วมมือระหว่างบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปและบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็อาจจะไม่ได้เซ็นสัญญา แต่ตราบใดที่ยังมีหวัง เธอจะไม่ยอมแพ้ เพราะเธอไม่อาจยอมแพ้ได้
และแล้ว เมื่อเธอเพิ่งหยิบแก้วเหล้าขึ้นมา เธอก็ถูกฉินเฟิงที่อยู่ข้างๆรับมา ภรรยาของฉันดื่มเหล้าไม่เป็น เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เดี๋ยวผมดื่มเอง
หลังจากพูดจบ ฉินเฟิงก็ดื่มมันลงไป
คุณดื่มหรอ ดีสิ
ฟางเย้นรู้สึกชอบใจ ที่ฉินเฟิงจะดื่ม มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการอยู่พอดี ต้องเข้าใจว่าที่พวกเขากำลังดื่มคือเจี้ยนหลันชุน(เหล้าชนิดหนึ่ง) เหล้าขาวที่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง53 ดีกรี ราคาตามท้องตลาดสูงถึง 3,000หยวนต่อขวด คนส่วนใหญ่ ดื่ม3แก้วก็จะล้มแล้ว แต่เขามีอยู่3ลัง 36 ขวดด้วยกัน
เขายังมีลูกน้องห้าหรือหกคน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดื่มระดับหนึ่ง เขาเชิญพวกเขามาโดยเฉพาะ
ดื่ม เขาสามารถดื่มจนทำให้ฉินเฟิงตายได้
และถ้าดื่มจนตาย งั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว เขาไม่ได้บังคับให้ฉินเฟิงดื่มเหล้า บอกได้แค่ว่าเขาดื่มจนทำให้ตัวเองตาย มากสุดก็แค่จ่ายเงินเท่านั้นเอง
คอแข็งใช้ได้เลยนิ่
หลังจากพูดจบ ฟางเย้นก็ดื่มแก้วที่ถือในมือตัวเอง หลังจากดื่มเสร็จ เขาก็รู้สึกตัวเบาลง
เหล้าชนิดนี้ แอลกอฮอล์แรงจริงๆ
ฉินเฟิง เอาอีก
ฟางเย้นรินอีกแก้วนึง แล้วส่งสัญญาณให้ฉินเฟิง ภรรยาของนายต้องการคุยเรื่องธุรกิจ แต่ว่า วันนี้ไวน์นี้ ต้องมาดื่มเป็นเพื่อนฉันจนฉันพอใจ มีความสุขแล้ว ฉันก็จะเซ็นสัญญานี้ มา ดื่ม
แล้วก็เป็นอีกแก้ว
ฉินเฟิงก็ดื่มลงไปหนึ่งแก้ว
แต่ในเวลานี้ อิ่นซินที่อยู่ด้านข้างดึงเขา คุณไม่ต้องดื่มแล้ว พวกนั้นมีตั้งหลายคน คุณจะดื่มสู้เขาได้ยังไง อีกอย่างฉันรู้ว่าเหล้าชนิดนี้ แอลกอฮอล์ก็แรงมากเลยนะคะคุณ
คุณเชื่อใจผมไหมครับ?
ฉินเฟิงหันไปมองเธอ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง อิ่นซินถึงจะพยักหน้า: เชื่อค่ะ
งั้นดี เอาใบเซ็นสัญญามาให้ผม วันนี้ผมจะดื่มแทนคุณเอง
ฉินเฟิงรับสัญญามา แล้วหันไปดื่มอีกแก้ว แต่นี่เป็นแก้วที่สาม ฟางเย้นเริ่มต้านไม่ไหว ทันใดนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้ผู้เชี่ยวชาญการดื่มที่เขาเชิญมา
พวกพ้อง ดื่มเก่งนี่นา มามามา ผมมาดื่มเป็นเพื่อนคุณเอง
คนหัวล้านของหนึ่งในนั้นเดินขึ้นมา หยิบแก้วเหล้าออกมาแล้วก็เริ่มดื่ม ดูเหมือนเก่งมาก จากนั้นก็เริ่มดื่มสู้กับฉินเฟิง
ทีละแก้ว ทีละแก้ว
ฟางเย้นนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้าของเขาแดงเล็กน้อย เขาหรี่ตา ดูฉากนี้ ทันใดนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย พึมพําพูดว่า ฉินเฟิง
วันนี้ฉันจะดื่มเอาให้คุณตาย คุณแค่คนเดียว แต่ฉันยังมีตั้งหกคน วันนี้ฉันจะดื่มจนเอานายตายที่นี่ จากนั้นฉันจะทําให้ภรรยานายเมา แล้วพาเธอไปที่โรงแรม คืนนี้จะเป็นค่ำคืนที่วิเศษมาก ใช่แล้ว สัญญาสุดท้ายนั้น
ฉันก็จะไม่เซ็น
คิดไปคิดมา ดวงตาก็ลุกโชนด้วยความปรารถนา
มองไปที่ฉินเฟิงอย่างคาดหวัง เมื่อไหร่จะเมาแอ๋สักที
แต่แล้ว
หนึ่ง สอง สาม
หนึ่งขวด สองขวด สามขวด ห้าขวด……สิบสี่ขวด……สิบเจ็ดขวด……
ชายคนที่หกไม่สามารถดื่มได้ต่อไป และล้มลงไปกับพื้นทันที บนพื้นเต็มไปด้วยคนเป็นกอง ปากกําลังพ่นฟองออกมา และพวกเขาก็ถึงขีดจํากัดของพวกเขาแล้ว พวกเขาแต่ละคนดื่มไปเกือบขวด และขวดหนึ่งมีหกแก้ว!
ถึงแม้พวกเขาจะดื่มเหล้าได้เก่ง แต่ไม่สามารถที่จะดื่มต่อไปได้
รอผมอยู่ข้างนอก
เวลานี้ ฉินเฟิงพูดกับอิ่นซิน
ค่ะ
อิ่นซินในตอนนี้ เป็นเหมือนภรรยาที่ดียังไงอย่างงั้น ฉินเฟิงพูดอะไร ก็คืออย่างงั้น เดินอยู่ที่หน้าประตูโรงแรมอย่างเชื่อฟัง
รอฉินเฟิง
แต่ในขณะนี้ ฉินเฟิงเดินไปที่ฟางเย้นพร้อมกับขวดทั้งหมด และยักคิ้ว คุณชายฟาง ดื่มกัน
ดื่ม……ดื่มไม่ไหว…… ดื่มไม่ไหวแล้ว……
ฟางเย้นโบกมือ บ่งบอกถึงว่าตัวเองดื่มไม่ไหวแล้ว
ขอโทษนะ คุณรังแกภรรยาของผม และผมก็เป็นคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้น วันนี้ คุณไม่ดื่มก็ต้องดื่ม!
ฉินเฟิงหยิบขวดเหล้านั้นขึ้นมา เปิดขวดทันที แล้วเทมันเข้าไปในปากของฟางเย้น
อึกอึก!
ฉันดื่ม …… ไม่ไหว……
คุณชายฟาง ยินดีด้วย คุณถูกรางวัลแล้ว มาดื่มอีกขวดกัน
ฉัน…… ดื่มไม่ไหว……จริงๆแล้ว…… ช่วย…… ด้วย……
ฟางเย้นพยายามดิ้นรนหนี แต่เขาจะหลุดพ้นจากพันธนาการของเทพสงครามอันดับหนึ่งของประเทศต้าหัวได้อย่างไร?
เห็นเพียงแต่ รอยยิ้มที่มุมปากของฉินเฟิง ในสายตาของฟางเย้นเขายิ้มเหมือนคนชั่วร้าย ดวงตาของเขาเบิกกว้าง หลังจากนั้นก็มีเสียงส่งมาว่า คุณชายฟาง ท่านโชคดีมาก ท่านได้รับรางวัลอีกครั้ง มาอีกขวด!
ช่วย……
เสียงกรีดร้อง ดังขึ้นในห้องส่วนตัวแห่งนี้
บทที่15 เหล้าขาวเอ้อกัวโถวราคาเจ็ดหยวน
มาสิ มาใส่ยา
ฉินเฟิงยกเท้าของอิ่นซิน มาวางไว้แนบอกของตัวเอง แล้วหยอดยาน้ำออกมาเล็กน้อย ค่อยๆทาลงไป ตั้งใจอย่างมาก ถ้าถูกทหารที่อีสเตอร์แลนด์เห็นล่ะก็ คงจะพากันอ้าปากค้างอย่างแน่นอน
เพราะในใจของพวกเขา ฉินเฟิงคือเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า
และ ขณะเดียวกันกระดูกเหล็กก็ยังคงมีความอ่อนโยนเช่นเดียวกัน
หลายปีมานี้ ฉินเฟิงติดค้างผู้หญิงอยู่สองคน ติดค้างมาเยอะมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้ ฉินเฟิงเอาอิ่นซินเป็นจุดมุ่งหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อไป
อิ่นซินที่ยังคงจ้องมองฉินเฟิงอยู่อย่างนั้น กลับรู้สึกถึงความหล่อเหลาของฉินเฟิง แต่แล้วก็ถามต่ออีกว่า เอ่อจริงสิ ฉินเฟิง วันนี้ฉันพึ่งได้ข่าวมาว่า หลังจากสองวันนี้ จะถึงวันที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปทำพิธีตัดริบบิ้นเพื่อประกาศการลงหลักปักฐานที่เมืองเจียงเฉิง และการตัดสินใจเลือกบริษัทที่เข้ามาร่วมโปรเจคนี้ ก็จะทำในงานวันนั้นเหมือนกัน ข่าวแว่วมาว่า จะดูจากของขวัญที่ส่งมอบมาให้
คุณช่วยฉันคิดหน่อยสิว่าจะให้อะไรดี บ้านเรามีเงินไม่มาก เงินส่วนมากก็อาศัยหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ แม่ของฉันท่านก็ชอบซื้อแต่กระเป๋าแบรนด์เนม พวกกำไร เงินใช้จ่ายไปเยอะมาก ตอนนี้ทั้งบ้านเอาออกมาได้แค่แปดแสนเอง
ครั้งนี้อิ่นซินตั้งใจพูดคุยปรึกษากับฉินเฟิงอย่างตั้งใจ ในหัวใจของเธอค่อยๆเปิดรับฉินเฟิงมากยิ่งขึ้น
เงินแปดแสน
ในหัวใจของฉินเฟิงรู้สึกซับซ้อนมาก เพราะเจ็ดปีก่อน อิ่นซินเป็นประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ป ในตอนนั้นเธอมีทรัพย์สินเป็นร้อยล้าน แต่ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวของเธอกลับมีแค่แปดแสน
เขาหัวเราะพร้อมพูดออกมาว่า เมียจ๋า เรื่องเกี่ยวกับประธานกรรมการบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป มีข่าวอะไรแว่วมาอย่างงั้นหรอ ?
ข่าวหรอ ฉันไปสืบก่อนนะ
ทันใดนั้น อิ่นซินก็รีบโทรศัพท์หาหลิวลานเมิ่งทันที ผ่านไปไม่นานก็วางสายลง แล้วหันไปพูดกับฉินเฟิงว่า มีสิ ได้ยินมาว่าประธานกรรมการบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปคนนั้นน่ะ ปลดประจำการมาจากอีสเตอร์แลนด์ อีกทั้งยังได้ยินมาว่ายศเขาสูงมาก
ถ้าอย่างนั้นผมรู้แล้วล่ะว่าจะให้อะไร?
ให้อะไรหรอคะ
หนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ขวดละเจ็ดหยวน
อะไรนะ!
อิ่นซินตกใจ จนตาคู่สวยทั้งสองข้างเบอกกว้าง จ้องมองฉินเฟิงอยู่แบบนั้น เธอยังคิดว่าฉินเฟิงจะพูดเรื่องของแพงๆอะไรบางอย่างออกมาเสียอีก แต่คิดไม่ถึงว่าจะพูดเรื่อง ‘หนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ขวดละเจ็ดหยวน’
ฉินเฟิง คุณคิดจริงจังหรอเนี่ย คงไม่ใช่ว่าพูดไปแบบนั้น เพื่อแกล้งล้อฉันเล่นหรอกนะ
อิ่นซินคิดว่าฉินเฟิงกำลังปลอบเธออยู่
แต่ฉินเฟิงกลับส่ายหัวไปมาเบาๆ แล้วเอาเท้าของอิ่นซินเข้ามาแนบอ้อมอก ทำให้มันอบอุ่นขึ้นมาทันที แล้วถึงพูดออกมาว่า ประธานกรรมการคนนั้นน่ะปลดประจำการออกมาจากอีสเตอร์แลนด์ ผมก็กลับมาจากอีสเตอร์แลนด์มาเหมือนกัน เพราะฉะนั้นผมถึงได้รู้ ว่าเขาต้องชอบหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ขวดละเจ็ดหยวนอย่างแน่นอน คุณฟังผมอธิบายก่อนนะ อีสเตอร์แลนด์สถานที่แดนป่าเถื่อนนั่นน่ะ ฤดูร้อนน่ะเย็นชื้น ลมหนาวพัดมาแต่ละทีหนาวจนเจ็บเข้ากระดูก ยังมีทะเลทรายโกบีนั่นอีก หนาวจนทนแทบไม่ไหว แต่ในกองทหารให้ความสำคัญกับกฎระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก จะดื่มเหล้าไม่ได้โดยเด็ดขาด
แต่ หนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ขวดละเจ็ดหยวนไม่นับหรอก เพราะว่าปริมาณแอลกอฮอล์ต่ำเกินไป แต่รสชาติกลับแรงมาก ดื่มลงไปแล้ว ทำให้เกิดความอบอุ่น ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นทหารในอีสเตอร์แลนด์ชอบแต่เจ้านี่
ฉินเฟิงอธิบายแบบนี้มาปุ๊บ ก็ทำให้อิ่นซินเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง แต่แล้วก็ส่ายหัวแล้วถามขึ้นมาอีกว่า เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆ แต่คนคนนั้นฉันเคยได้ยินมาว่า ท่านตำแหน่งสูงมาก แน่นอนว่าต้องไม่เหมือนกับทหารทั่วไปอย่างคุณแน่ พวกเขาอาจจะมีวิธีป้องกันความหนาววิธีอื่น กลางคืนก็อาจจะไม่หนาวแบบนั้นก็เป็นได้ ถ้าอย่างนั้นแน่นอนว่าต้องไม่ชอบดื่มเอ้อกัวโถวนั่นหรอก
อิ่นซินคิดชั่วครู่ ท่ามกลางผู้คนเยอะขนาดนั้น มอบหนิวหลันซานเอ้อกัวโถวที่ขวดละเจ็ดหยวน เกิดพลาดล้มเหลวขึ้นมา ก็จะเป็นการขายหน้าเสียเปล่า จะเป็นเรื่องที่คุยกันสนุกปากไปทั้งเมืองเจียงเฉิง
ถ้าอย่างนั้น ตนเองอยู่ในเมืองเจียงเฉิง เกรงว่าจะไม่สามารถเดินบนหนทางธุรกิจเส้นนี้อีกต่อไป
ในอีสเตอร์แลนด์ ผู้บัญชาการก็เป็นเหมือนนายทหารทุกคน อีกทั้ง ผู้บังคับบัญชาก็เป็นแบบอย่าง ปฏิบัติตัวกับทหารทั่วไปอย่างเท่าเทียมสวมชุดเดียวกันพักด้วยกัน ไม่มีอภิสิทธิ์เหนือกว่าคนอื่นหรอก ฉินเฟิงพูด
จริงหรอคะ?
อิ่นซินยังคงมีความสงสัยอยู่บ้าง
แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว
ฉินเฟิงพยักหน้าหงึกหงัก
อิ่นซินเงียบลงครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยอมปล่อยวางวิธีนี้ แล้วมอบเหล้าเจ็ดหยวนที่ด้อยกว่าหนึ่งขวด อีกทั้งบนพิธีการตัดริบบิ้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั้น ถ้าคนไม่รู้ ก็คงคิดว่าเธอกำลังลองดีกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
นี่มันเสี่ยงเกินไปแล้ว
การเสี่ยงในครั้งนี้ เธอเสี่ยงไม่ไหวจริงๆ
แต่ เพื่อไม่ทำร้ายจิตใจของฉินเฟิง สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ติ๊งต่อง
ในมือของอิ่นซิน มีคนส่งข้อความมาหาเธอหนึ่งข้อความ บนนั้นมีประโยคหนึ่งประโยค คุณอิ่นครับ ครั้งก่อนเป็นความผิดพลาดของผมเอง ไม่ระวังซื้อของผิด คืนพรุ่งนี้ ผมขอเชิญคุณอิ่นมาที่โรงแรมหลานเทียน ผมได้จัดงานเลี้ยงเพื่อขอโทษคุณอิ่นโดยเฉพาะ ขณะเดียวกัน ผมก็อยากพูดคุยเรื่องโปรเจคการร่วมงานกันระหว่างบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วยครับ
คนส่ง ฟางเย้น
อิ่นซินมองดูแวบหนึ่ง แล้วก็รีบปิดมันลงทันที ก็แค่งานเลี้ยงที่ประตูห่านป่า มีหรือเธอจะดูไม่ออก
วันที่สอง อิ่นซินได้ไปหาหลิวลานเมิ่ง ช่วยกันหาบริษัทอื่นๆที่เหมาะสม เพื่อขอร่วมงานด้วย แต่ผ่านมาวันหนึ่งเต็มๆ ก็ยังคงหาบริษัทที่จะยอมร่วมงานด้วยไม่ได้ แต่วันนี้เป็นเพราะความสัมพันธ์ของหลิวลานเมิ่ง ทำให้อิ่นซินได้พบประธานมากมาย แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ต่างพากันปฏิเสธหมดเลย
เหตุผลง่ายมาก เพราะอิ่นซินไม่สามารถตัดสินใจแทนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้ ทุกคนต่างรู้กันดีว่า นี่คือคนที่ถูกทอดทิ้ง
บนถนนเส้นหนึ่ง หลิวลานเมิ่งกำลังให้กำลังใจอิ่นซิน ยังมีพรุ่งนี้อีกวันนะ พวกเราค่อยหาวิธีอื่นกัน
อืม
อิ่นซินพยักหน้าเบาๆ
แต่อิ่นซินรู้ดีอยู่แล้วว่า พรุ่งนี้ก็เป็นเหมือนวันนี้นั่นแหละ วันนี้พวกเขาได้หาบริษัทที่สามารถร่วมมือกับบริษัทเฟิงซิ่งได้หาไปหนึ่งรอบแล้ว แต่ก็ล้มเหลวหมดเลย ไม่มีบริษัทไหนยอมรับ
หลังจากที่พวกเธอแยกทางกันแล้ว อิ่นซินก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ลมพัดมาเอื่อยๆ เธอนวดขมับเบาๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเครียด
ยังมีพรุ่งนี้อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้อีกวัน มะรืนก็จะเป็นวันประมูลของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว ทำยังไงดีล่ะ อิ่นซินพูดเองเออเอง มีความรู้สึกจะเป็นจะตาย และรู้สึกจะเป็นบ้า
สุดท้าย เธอก็นั่งบนเก้าอี้ตัวนั้นนานมาก แล้วเธอก็เปิดโทรศัพท์ออกมา คลิกเปิดข้อความของเมื่อวานขึ้นมาอีกครั้ง ตอบกลับไปหนึ่งคำ
ได้
ตามมาด้วย อิ่นซินก็ได้โทรไปหาฉินเฟิง ฉินเฟิง คุณมาหาฉันที่ถนนซานหลงเจียหมายเลขยี่สิบเจ็ดหน่อยสิ
ผ่านไปไม่นาน ฉินเฟิงก็มาถึง อิ่นซินที่มองดูนาฬิกาของตัวเองอยู่หลายครั้ง เวลาที่นัดไว้คือสองทุ่ม ตอนนี้ยังทุ่มครึ่งอยู่เลย ถ้าไปถึงตรงนั้นก็คงพอดี ไปกันเถอะ
อิ่นซินบอกให้ฉินเฟิงขึ้นรถของตัวเอง
ฉินเฟิงนั่งลงข้างๆคนขับ แล้วถามไปที่อิ่นซิน เมียจ๋า เป็นอะไรเหรอ?
ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวคุณจำไว้นะว่าต้องพาฉันกลับบ้านด้วย ห้ามเด็ดขาดเลยนะ ห้ามให้ฉันไปตกในเงื้อมมือของไอ้สัตว์เดรัจฉานนั่นนะ
อิ่นซินเตรียมพร้อมแล้ว จะดื่มหนักในครั้งนี้ เพียงแค่สามารถสานสัมพันธ์กับบริษัทซานซื่อกรุ๊ปได้อีกครั้ง ตอนนี้วิธีเดียวที่สามารถคว้าโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งได้มีเพียงแค่ทางนี้ทางเดียว
งานเลี้ยงประตูห่านป่าก็งานเลี้ยงประตูห่านป่าเถอะ
ถ้าฉินเฟิงไม่ได้หลอกเธอแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างงั้นอย่างน้อยเขาก็เป็นทหารมาตั้งหลายปี ต้องฝีมืออยู่บ้างแหละหน่า สามารถพาตัวเองกลับไปได้ แต่ หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ในใจของเธอ ไม่ค่อยประทับใจในตัวฉินเฟิงนัก
บทที่14 อิ่นซินเริ่มยอมรับในตัวฉินเฟิง
เฝิงกาง คุณพูดมาสิ ว่าผมฆ่าคุณเลยดีไหม?
ฉินเฟิงถามไปยังเฝิงกาง
ท่านประธานครับ……ผมจะพูดความจริงทั้งหมด……พูดทั้งหมดเลยครับ……ก่อนหน้านี้พ่อบ้านฉินเอาเงินให้ผมสองล้าน……บอกให้ผมจับตาดูท่านประธานไว้……ขอแค่มีความเคลื่อนไหวอะไรแม้แต่น้อย……ออกไปจากเมืองเจียงเฉิงแล้ว……ให้รีบไปรายงานกับเขาทันที
เฝิงกางตัวสั่นงันงก และยังล้วงบัตรเอทีเอ็มใบหนึ่งออกมา ยื่นให้กับฉินเฟิง แล้วก็พูดขึ้นมาว่า นะ……นี่คือเงินที่รับมาก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นเงินสามร้อยสี่สิบแปดล้าน ไม่มีตกหล่นแม้แต่น้อยเลยครับ ผมยังไม่ได้ใช้ ท่านประธานครับ ได้โปรดไว้ชีวิตผมเถอะครับ
แต่ พอฉินเฟิงได้ยินสิ่งที่เฝิงกางพูดออกมานั้น เขากลับหัวเราะด้วยเสียงเยือกเย็น ที่แท้ พ่อของฉัน เก่งขนาดนี้เชียวเหรอ กลัวว่าฉันจะออกจากเมืองเจียงเฉิง กลับไปฆ่าถึงจิงตูงั้นหรอ
เฝิงกาง ใช้เบอร์มือถือที่คุณใช้ติดต่อกับตาแก่นั้น โทรหาเขาเดี๋ยวนี้
ได้ครับ
เฝิงกางไม่กล้าลังเลอีกต่อไป รีบคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปทันที หลังจากนั้นก็ยื่นให้กับฉินเฟิง
ฮัลโหล เฝิงกาง เกิดอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอห้ะ?
จากเสียงในโทรศัพท์ มีเสียงของฉินเทียนเฉิงลอดออกมา เสียงที่แหบพร่าดูมีอายุของคนแก่
ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก แต่ว่าแค่อยากจะทักทายพ่อบ้านฉินอย่างคุณน่ะ เลย อยากจะขอเตือนพ่อบ้านฉินหนึ่งครั้ง นี่เป็นครั้งแรก ถ้าขืนยังมีครั้งต่อไปอีก อย่าโทษผมที่ไปปรากฏตัวที่จิงตู ไล่ฆ่าทุกคนล่ะ
เสียงทีเล่นทีจริงของฉินเฟิงลอดไปตามสาย
แต่ ทำให้ฉินเทียนเฉิงขนลุกไปทั้งตัว เหงื่อเปียกไปทั้งตัว ครับ คุณชายน้อย
หลังจากนั้นฉินเฟิงก็วางสายไป แล้วโยนโทรศัพท์กลับไปให้เฝิงกาง ถามต่อไปด้วยว่า หลังจากสามวันนี้ บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะมีการจัดพิธีตัดริบบิ้น?เพื่อประกาศออกไป?
ใช่ครับ ท่านประธาน หลังจากสามวัน บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะมีการประกาศการย้ายมาอยู่ที่เมืองเจียงเฉิงอย่างเป็นทางการค่ะ
เฝิงกางรีบตอบกลับทันที
เขาได้จัดการตามสิ่งที่ตระกูลฉินมอบหมายไว้ นับว่าเป็นการเลือกเมืองลงหลักปักฐานแล้ว อีกทั้งดูท่าแล้วฉินเฟิงยังจะใช้ประโยชน์จากเขาอีก อย่างไรเสียเขายังมีประโยชน์อยู่บ้าง เขาจึงถอนหายใจออกอย่างโล่งอก
ถ้างั้นโปรเจคแรกคืออะไร? ฉินเฟิงถามขึ้นอีกครั้ง
เอ่อจริงสิ ในมือของเรามีที่ดินนับพันไร่ ทำเลก็ดีมาก พวกเราเตรียมที่จะร่วมมือกับบริษัทในเมืองเจียงเฉิง ร่วมกันพัฒนา ตอนแรกเลือกบริษัทชั้นนำสิบอันดับในเมืองเจียงเฉิง แต่ตอนนี้มีบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเข้า……คือ……
ตอนแรกเฝิงกางเลือกหนึ่งในสิบบริษัทชั้นนำของเมืองเจียงเฉิง แต่ ฉินเฟิงพูดแล้ว ว่าบริษัทซานหยวนกรุ๊ป คือเถ้าแก่เนี้ย
โปรเจคที่แรกที่จะร่วมงานกัน ต้องเป็นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเท่านั้น ห้ามมีข้อผิดพลาดเด็ดขาด แต่ ตอนนี้เรื่องของผมยังต้องปิดไว้ ทำงานตามปกติเถอะ หลังจากงานตัดริบบิ้นอีกสามวันที่จะถึงนี้ ค่อยส่งมอบของขวัญไปในจังหวะนี้ พวกคุณต้องประกาศออกไป ว่าจะเลือกบริษัทที่มาร่วมงานด้วย
ฉินเฟิงสรุปเรื่องนี้
ใช่แล้ว ฉีหยุน หลังจากสามวันนี้ ไปร่วมงานหนึ่งแทนฉันหน่อยสิ
เวลานี้เอง ฉินเฟิงมองไปยังฉีหยุน
ผมหรอครับ?ถึงเวลานั้น ต้องชอบของขวัญอะไรหรอครับ?
ฉีหยุนเริ่มสนใจขึ้นมา
ฉันรู้ว่านายชอบอะไร
ฉินเฟิงชกไปที่แกกว้างของฉีหยุนเบาๆ เหมือนพี่ชายน้องชายเล่นกัน
หลังจากนั้น ก็คุยรายละเอียดงานคร่าวๆกับเฝิงกางอีกเล็กน้อย เฝิงกางถึงได้เดินจากไป ฉีหยุนจึงรีบถามขึ้น ท่านนายพลครับ ทำไมไม่ไล่เขาออกไปเหรอครับ เขามาถึงก็รับเงินสินบนเยอะขนาดนี้
ไล่เขาออก ในมือฉันก็จะไม่มีใครให้ใช้ประโยชน์น่ะสิ อีกทั้ง หลายปีมานี้ ตำแหน่งสำคัญในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปหลายตำแหน่ง คนของตระกูลฉินเป็นผู้ครอบครอง เฝิงกางได้เปิดเผยเรื่องของฉินเทียนเฉิงแล้ว ตอนนี้เท่ากับว่าเขาหักหลังตระกูลฉินทั้งตระกูล เขาไร้หนทางที่จะถอยแล้ว
ตอนนี้เขามีเพียงทางเดียวคือต้องอาศัยพวกเรา ถึงจะอยู่รอดได้ ก็เหมือนกับคนจมน้ำคนหนึ่งนั่นแหละ มีเชือกหย่อนลงมาเส้นหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ต้องรีบจับเชือกนั้นเอาไว้ แบบนี้ เขายังสามารถช่วยพวกเรากำจัดเก็บกวาดหนอนบ่อนไส้ที่ซ่อนตัวอยู่ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป จัดการตระกูลฉินที่เป็นตะปูเสี้ยนหนามแฝง
ฉินเฟิงอธิบายไปสักครู่
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง
ฉีหยุนเข้าใจได้ในทันที เขาเป็นเพียงผู้ช่วยผู้บังคับบัญชากองทหาร มีความสามารถมาก ได้รับรางวัลชนะเลิศในการต่อสู้พื้นที่ของทางทหาร เป็นทหารที่ดุดันคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่เขาไม่ใช่ทหารทั่วไป เพราะฉะนั้นเขาจึงตามติดฉินเฟิงอยู่ตลอด
……
กลางดึก
อิ่นซินกลับมาถึงบ้าน จึงรีบกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเอง เอนตัวล้มลงนอนกับโซฟา ที่อยู่ของเธอในตอนนี้เป็นบ้านเดี่ยวหนึ่งหลัง ห้องรับแขกใหญ่มากทีเดียว มีโซฟาที่ใช้โดยเฉพาะ หลังจากนั้นเธอก็บีบนวดคลึงตรงขมับเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
เป็นอะไรเหรอครับ?
ฉินเฟิงกำลังสอนการบ้านให้กับกั่วกั่ว พอเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้จึงเดินเข้าไป แล้วถามไถ่
ก็เป็นเพราะเรื่องโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปนั่นแหละ บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราเล็กเกินไป ไม่พอที่จะอยู่ในสายตาของพวกเขาหรอก เพราะฉะนั้นฉันต้องหาทางร่วมงานกับบริษัทใหญ่ให้ได้ วันนี้ ฉันเข้าไปหาทีละคนๆ แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น แต่ก็ถูกปิดประตูไม่รับแขก ฉันในตอนนี้ ยังเครียดกับเรื่องนี้ไม่หายเลย ตกลงฉันต้องทำยังไงกันแน่ ถึงจะสามารถร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้ ตอนนี้ฉันมืดแปดด้านแล้วจริงๆ
อิ่นซินทำงานยุ่งมาทั้งวัน แต่ไม่ได้อะไรเลย เริ่มตั้งแต่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ที่ปิดประตูไล่ไม่รับแขก หลังจากนั้นก็ถูกปิดประตูไล่ตามๆกันมา หนึ่งเป็นเพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเล็กเกินไปจริงๆ มูลค่าทางการตลาดแม้แต่ร้อยล้านยังไม่มีเลย สองเป็นเพราะ คนส่วนมากต่างรู้จักอิ่นซิน เธอไม่ใช่อำนาจศูนย์กลางของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
เป็นแค่คนที่ถูกตระกูลอิ่นทอดทิ้ง เป็นแค่ผู้หญิงที่ต้องการดิ้นรนเพื่อเอาชนะแค่นั้นเอง
พวกเขาสนใจในรูปลักษณ์ที่สวยงามของเธอมาก แต่สำหรับการร่วมงานนั้น พวกเขาไม่ได้คิดทบทวนเลยแม้แต่น้อย อิ่นซินตัดสินใจแทนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไม่ได้
เท้าของคุณ เป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ?
ในเวลานี้เอง ฉินเฟิงสังเกตเห็นเท้าของอิ่นซิน บริเวณข้อเท้า ถูกถูไถจนแดงไปทั้งแถบ
นี่น่ะเหรอ ไม่มีอะไรหรอก แค่วันนี้ต้องเดินทั้งวัน เลยเสียดสีจนถลอกน่ะ
ในเวลานี้เอง อิ่นซินสังเกตเห็นบริเวณข้อเท้าของตัวเอง เพราะว่าต้องใส่ส้นสูง ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้เดินทางในตอนแรกอยู่แล้ว แต่เพราะว่าต้องทำงานแข่งกับเวลา และก็เป็นเพราะรูปลักษณ์ภายนอกอีกนั่นแหละ เธอจึงจำใจต้องสวมรองเท้าส้นสูงเป็นเวลาสิบกว่าชั่วโมง
แต่ เพราะว่าโปรเจคนี้มีความสำคัญมาก อิ่นซินจึงไม่ได้สังเกตเห็น
รอก่อน
ฉินเฟิงหันกลับไป ผ่านไปไม่นาน ก็กลับมาพร้อมกับน้ำล้างเท้าหนึ่งกะละมัง คุณแช่เท้าก่อนนะ เดี๋ยวผมไปเอายามาใส่ให้คุณ
คือมันไม่เหมาะมั้งคะ คุณเป็นผู้ชาย จะมาล้างเท้าให้ฉันที่……
อิ่นซินที่ยังพูดไม่ทันจบ ฉินเฟิงก็ยกเท้าของเธอใส่เข้าไปในกะละมังแล้ว น้ำอุ่นกำลังพอดี ไม่เจ็บไม่หนาว หลังจากนั้นก็มีเสียงของฉินเฟิงลอดออกมา ฟังผมนะ ผมเป็นสามีของคุณ
อ่อ……
อิ่นซินนั่งลงบนโซฟา มองไปยังฉินเฟิงที่กำลังล้างเท้าให้กับเธอ ใบหน้าคมสันชัดเจน ตั้งใจจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น มันทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมา นี่คือความรู้สึกตลอดเจ็ดปีที่เธอไม่เคยได้รับมันมาเลย
เจ็ดปีแล้ว ที่เธอต้องแบกรับความกดดันคนเดียวมาโดยตลอด ไม่กล้าที่จะปล่อยวางเลยแม้แต่น้อย เธอเหนื่อยมาก แต่ในตอนนี้ เธอมีความรู้สึกอยากจะพิงกายซบไหล่ของฉินเฟิง อย่างไรเสียเธอก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
หรือ การให้ฉินเฟิงอยู่ที่นี่ จะเป็นการสานสัมพันธ์ไปในทางที่ดีนะ
เพียงแต่ คงจะธรรมดาหน่อย เรียบง่าย จนหน่อย แต่การใช้ชีวิตธรรมดาๆก็ไม่เป็นอะไรหรอก แค่เป็นคนดีก็พอแล้ว เธอไม่กล้าหวังสูงขนาดนั้นหรอก
บทที่13 เฝิงกางตกใจถึงขีดสุด
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอยู่ในเมืองเจียงเฉิง ใหญ่จริงๆนั่นแหละ แต่เสียว่ามันเป็นของฉัน
ฉินเฟิงเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วมองไปยังหวังเถ่ สายตามีความสนุกสะใจแฝงอยู่ในนั้น
ของคุณ……ทะ……ท่านประธานกรรมการ……
เสียงแคร้งดังขึ้นมาหนึ่งครั้ง
กระบองเหล็กที่อยู่ในมือของหวังเถ่ตกลงบนพื้น ตัวเขาสั่นไปทั้งตัว สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ เขาขัดขวางคนคนหนึ่งอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ สุดท้ายกลับเป็นประธานกรรมการบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เจ้าของที่แท้จริง
นี่เขาไม่ได้เตะแค่แผ่นเหล็กนะ แต่เขาเตะหินลาวาที่กำลังร้อนระอุอยู่
ถ้าคุณไล่ฉันออกไปแค่คนเดียว อย่างนั้นฉันคงจะยังพออภัยให้คุณได้ อย่างไงซะนี่ก็เป็นหน้าที่ของคุณ แต่คุณมาถึงก็จะตีแขนผมให้หัก นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ
ฉินเฟิงพูดจบ มือข้างหนึ่งพาดกับบ่าของหวังเถ่
ได้ยินแค่ เสียงฉึกดังขึ้นมาหนึ่งเสียง
เป็นเสียงกระดูกหักที่ลอดมาจาก ไหล่ข้างซ้ายของหวังเถ่ ตามมาด้วยหวังเถ่เซจนเกือบยืนไม่ไหว แล้วล้มลงกับพื้นทันที ใบหน้าบิดเบี้ยวไปมาเพราะความเจ็บปวด เหงื่อซึมไหลซึมออกมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังขึ้น อ้าก……
หักแขนข้างหนึ่งของคุณ เพื่อเป็นการลงโทษ ยังนับว่าคุณโชคดีแล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะหายดี ถ้าอยู่ที่อีสเตอร์แลนด์ ผมจะใช้กฎของทหาร อ่อใช่แล้ว เปลี่ยนงานซะเถอะ งานนี้ มันไม่เหมาะกับคุณ
ฉินเฟิงโบกมือ แล้วเดินไปทางด้านในของบริษัทเฟิงซิ่ง
สิ่งที่เขาพูดไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ทหาร จะให้ความสำคัญเคร่งครัดกับกฎระเบียบมาก โดยเฉพาะที่อีสเตอร์แลนด์ที่เขาเป็นผู้บังคับบัญชา
ไสหัวไปซะ
เฝิงกางตำหนิหวังเถ่ ที่ร่างกายยังคงสั่นเทา เมื่อกี้เขาสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิต ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินคนในตระกูลฉินจากจิงตูพูดกันว่า เจ้านายใหม่คนนี้เขามาจากสนามรบ มือของเขาเต็มไปด้วยเลือด
เป็นคนจำพวกที่เข้าไปแหยมด้วยไม่ได้
ต่อมา หลังจากที่เขาตะเพิดไล่หวังเถ่ไป เขาจึงรีบตามฉินเฟิงเข้าไปด้านใน
ในห้องโถงกว้าง หลิวลานเมิ่งกำลังดื่มกาแฟกับหญิงผมยาวคนหนึ่ง พูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ แต่ทันใดนั้นหญิงผมยาวก็สังเกตเห็นเบื้องหลังของหลิวลานเมิ่ง จึงชี้ออกไป ผู้จัดการหลิวคะ รีบดูสิคะ ท่านประธานเฝิง ตามอยู่ด้านหลังของคนหนุ่มคนหนึ่ง คนนั้นคงเป็นประธานกรรมการสินะคะ
ประธานกรรมการ?
หลิวลานเมิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที จึงหันหลังกลับไป
แต่ เวลานี้เองฉินเฟิงกับเฝิงกางได้เดินขึ้นไปบนตึกแล้ว เหลือไว้เพียงแผ่นหลังให้หลิวลานเมิ่งเห็น ทำให้เธอรู้สึกตะลึงไปเลย นี่มัน……แผ่นหลัง……ทำไมถึงได้เหมือนฉินเฟิงอย่างนี้นะ
พอหลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิวลานเมิ่งก็ส่ายศีรษะไปมาพลางหัวเราะเยาะ บ้าชะมัดเลย ต้องเป็นเพราะเมื่อวานเดินทางทั้งคืนแน่เลย ไม่ได้พักผ่อน ตาลายไปหมดเลย จะเป็นไอ้เศษสวะฉินเฟิงได้ยังไงกัน
พวกเขารู้ดีว่าตอนนี้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเปลี่ยนเจ้าของแล้ว แต่ประธานกรรมการคนใหม่คนนั้น มีตัวตนลึกลับ นอกจากเฝิงกางแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ข่าวแว่วมาว่า เขาเป็นคนฝีมือยอดเยี่ยมอิทธิพลคับฟ้า
ในเมื่อเป็นถึงบุคคลที่ฝีมือยอดเยี่ยมอิทธิพลคับฟ้า ถ้าอย่างนั้นคงไม่ใช่ฉินเฟิงแล้วล่ะ
จุดนี้ เธอหลิวลานเมิ่งรับประกันได้
เศษสวะก็คือยังไงก็เป็นเศษอยู่วันยังค่ำ ถึงจะเป็นทหารมาเจ็ดปี ยังไงก็เป็นเศษสวะอยู่ดี จะไปเป็นบุคคลผู้มีอิทธิพลไปได้ยังไงกัน
หลิวลานเมิ่งส่ายศีรษะอีกครั้ง สลัดเอาความคิดนี้ออกไปจากสมองทั้งหมด
และในเวลานี้เอง ณ ชั้นบนสุดของห้องทำงาน มีเพียงฉินเฟิงกับเฝิงกางสองคนเท่านั้น ฉินเฟิงนั่งอยู่บนโซฟา ด้านหน้ามีแก้วกาแฟแก้วหนึ่งที่เฝิงกางพึ่งรินใส่แก้ว หลังจากนั้นเฝิงกางก็ยืนอยู่ตรงข้าม ยืนขาแข็งไม่กล้าก้าวไปไหน กลัวจนตัวสั่นงันงก กลัวจะทำให้ฉินเฟิงไม่พอใจ
ประธานเฝิง เมื่อกี้คุณ ไล่คนบางคนไปใช่ไหม?
ฉินเฟิงดื่มกาแฟไปหนึ่งอึก แล้วมองไปยังเฝิงกาง ด้วยสายตาเฉียบคม
ไล่หรอครับ?ไล่อะไรครับ……ผะ……ผมแค่อยาก……เอิ่ม……ผมขอนึกสักครู่นะครับ……
ขมับของเฝิงกางมีเหงื่อซึมไหลออกมาเป็นทาง เขารีบหวนนึกไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทันที การประชุมในแต่ละครั้ง เอกสารทุกฉบับ ลูกค้าแต่ละคน ใช่แล้ว บริษัทซานหยวนกรุ๊ป
เขานึกขึ้นมาได้แล้ว
ท่านประธานกรรมการครับ ก่อนหน้านี้มีคุณอิ่นซินตัวแทนบริษัทของซานหยวนกรุ๊ปเข้ามาขอเข้าพบผม แต่เพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นบริษัทระดับปลายแถว ไม่คู่ควรที่จะเป็นร่วมมือกับบริษัทของเรา ผมจึงได้ปฏิเสธที่จะพบเธอครับ
คุณลืมแล้วหรอ คราวก่อนเรื่องที่ผมให้คุณสืบ?
คำพูดประโยคเดียวของฉินเฟิง ทำให้ฉินเฟิงนึกขึ้นมาได้ทันที หลายวันก่อนฉินเฟิงให้เขาสืบเรื่องเกี่ยวกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่เพราะว่าโปรเจคที่จะรวมงานในสองวันนี้ เขาหลากหลายบริษัทเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก ทำให้เขาลืมบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นปลิดทิ้งเลย
หลังจากนั้น ฉินเฟิงก็พูดขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ทำให้เขาหัวใจหล่นวูบทันที คนคนนั้นน่ะ เป็นภรรยาของผมเอง เป็นเถ้าแก่เนี้ยบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ทะ……ท่านประธาน……ผม……
ร่างของเฝิงกางแข็งทื่อไปทั้งตัว ให้ตายยังไงเขาก็ไม่มีนึกถึง ว่าก่อนหน้านี้เขาปฏิเสธอิ่นซินไปอย่างไร้เยื่อใย คนคนนั้นกลับเป็นภรรยาของเขา เป็นเถ้าแก่เนี้ยของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นผู้บังคับบัญชาของเขา
ต่งๆ
ทันใดนั้นที่ประตู มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น มีเสียงหนึ่งลอดผ่านเข้ามา ท่านครับ ผมคือฉีหยุนครับ
เข้ามาได้
ฉินเฟิงยิ้มขึ้นมาบางๆ ตามมาด้วยการพูดกับเฝิงกางว่า เรื่องยังไม่จบนะ
ทันใดนั้น ฉีหยุนก็ผลักประตูเข้ามา ในมือของเขามีแฟ้มเอกสารแฟ้มหนึ่ง เขาเดินไปหยุดด้านหน้าของฉินเฟิง แล้วพูดขึ้นมาว่า ท่านครับ ของที่ท่านต้องการ ผมสืบมาให้แล้วครับ
ดี อ่าน
ฉินเฟิงทำสัญลักษณ์มือหนึ่งขึ้นมา
วันที่สี่เดือนพฤษภาคม วันแรกที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปมาที่เมืองเจียงเฉิง เฝิงกางได้รับเงินจากตระกูลฉินยี่สิบล้าน ได้รับตอนบ่ายเวลาสิบสามนาฬิกา ในช่วงตอนเย็นเวลาหกโมง ได้นัดสังสรรค์กับบริษัทเจี้ยนตากรุ๊ป รับเงินจำนวนสองล้าน ในตอนช่วงตีหนึ่ง บริษัทชิวสุ่ยกรุ๊ปได้โอนเงินเข้ามาในบัญชีของคุณเป็นจำนวนสามล้าน วันที่ห้าเดือนพฤษภาคม นั่นก็คือเมื่อวาน บริษัทหลินซื่อกรุ๊ปได้ส่งดาราเด็กมาอยู่กับคุณ และได้ให้คุณไปหนึ่งล้านแปดแสน จนกระทั่งถึงตอนดึกเวลาสองทุ่ม ก็ได้มีสามบริษัท โอนเงินมาให้คุณสองล้าน แบ่งเป็น……
ฉีหยุนอ่านเอกสารในแฟ้มฉบับนั้น นี่เป็นเอกสารที่ฉินเฟิงให้เขาไปสืบมาทั้งหมด
เสียงที่ล่ายยาวตามกันมา ทำให้สีหน้าของเฝิงกางซีดลงเรื่อยๆ บนใบหน้ามีเหงื่อท่วมเยอะมากขึ้น ร่างกายของเขาแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นแค่คนจนๆคนหนึ่ง ในตอนเด็กเขาอยู่แค่บ้านนอกชนบาท กลัวความจนแล้ว จนถึงหลังจากที่เขาได้รับตำแหน่ง ทำให้เขาทนกับสิ่งล่อตาล่อใจไม่ไหว สองล้าน สามล้าน รับเงินมาโดยตลอด
แต่ว่า เขาคิดไม่ถึงว่ากลับถูกสืบสาวได้
ท่านครับ เขารับมาทั้งหมด สามร้อยสี่แสนแปดหมื่นล้านครับ หนึ่งในนั้นมีคนตระกูลฉินที่เป็นหัวหน้ารับมาสองร้อยล้านครับ ฉีหยุนพูด
สามร้อยสี่แสนแปดหมื่นล้าน เฝิงกาง คุณรู้จักหาเงินจริงๆเลยนะครับ
ฉินเฟิงเคาะไปที่โต๊ะสองสามครั้ง
ต่ง
ต่ง
ต่ง
ในครั้งที่สาม เฝิงกางก็เกิดกดดันจนทนไม่ไหวแล้ว เขาล้มจนก้นจ้ำเบ้าไปกับพื้น แล้วรีบพูดขึ้น ท่านประธานกรรมการครับ……คะ……คือผมมันเลว……ผมรู้สึกผิดแล้วครับ……
เรื่องมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ถูกจับได้คาหนังคาเขา เขาทำได้เพียงยอมรับผิด ถ้ายอมรับผิดแล้ว เรื่องอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงก็ได้
หลังจากนั้น ฉีหยุนที่อยู่ข้างๆ ก็พูดขึ้นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ท่านนายพลครับ คนแบบนี้เอามันไว้ทำไมครับ เก็บมันไปเถอะครับ
ฆ่าเลยหรอ?
เฝิงกางตัวสั่นเทา กลัวจนถึงขีดสุด
พี่ชาย
อย่าขู่ฉันแบบนี้สิ
ฉันมันคนใจเสาะ รับความตกใจตื่นเต้นแบบนี้ไม่ไหวหรอกนะ มาถึงก็จะฆ่าแกงกันเลย แต่เขารู้มาเรื่องหนึ่ง ฉินเฟิงกล้าเก็บเขาจริงๆ เพราะว่าเขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘นายพล’ ฉินเทียนเคยพูดกับเขาว่า นายพลท่านนี้ เป็นคนเก็บศัตรูไปสามแสนคนในสนามรบ
บทที่12 บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปคือบิ๊กแม็ก แต่ว่า เป็นของฉันแล้ว
อิ่นซินเดินจากไปแล้ว ฉินเฟิงก็เดินออกไปเช่นกัน เขายังต้องไปหาฉีหยุนเพื่อจัดการทำธุระ
นี่ ลานเมิ่ง
พอออกจากบริษัทซานหยวนกรุ๊ปปุ๊บ อิ่นซินก็โทรศัพท์ไปหาคนคนหนึ่งทันที
หลิวลานเมิ่ง เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดของอิ่นซิน เป็นคนเมืองเจียงเฉิง และเป็นเพื่อนบ้านตั้งแต่เด็กของอิ่นซิน ทั้งสองเป็นเพื่อนสมัยมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาลัย สิบปีที่อยู่ข้างๆหน้าต่างด้วยกัน ความสัมพันธ์ดุจดั่งเหล็กกล้า ถ้าพูดตามคำพูดของผู้ชาย นั่นก็คือสวมกางเกงตัวเดียวกัน
แต่ว่า พอหลังจากที่เรียนจบ พวกเธอทั้งสองคนก็ต่างคนต่างเดินไปทำตามความชอบของตัวเอง หลิวลานเมิ่งไปเติบโตที่จิงตู เข้าไปทำงานในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เรื่องนี้ อิ่นซินรู้อยู่แล้ว
อิ่นซิน เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันกลับมาแล้ว ฉันกำลังคิดอยากจะไปหาเธอพอดีเลย
ด้านฝั่งตรงข้าม มีเสียงอันคุ้นเคยลอดผ่านหูมาพอดี
หาฉันหรอ?เธอกลับมาแล้ว? อิ่นซินรู้สึกเซอร์ไพรส์เล็กน้อย
ก็ใช่น่ะสิ บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปย้ายมาที่เมืองเจียงเฉิง ฉันเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่าจะต้องเดินทางมาก่อน วันนี้พึ่งมาถึง กำลังจะไปหาเธอพอดีเลย คิดไม่ถึงว่า เธอจะโทรศัพท์หาฉันก่อน
รอแป๊บนะ เดี๋ยวฉันไปหาเธอ!
พอหลังจากที่วางสายโทรศัพท์ปุ๊บ อิ่นซินมุ่งไปทางบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เพื่อหาหลิวลานเมิ่ง พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
เรื่องนี้ ฉันไม่กล้ารับปากเลย ฉันพูดได้แค่ว่าจะลองดูก่อน
หลิวลานเมิ่งเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ แน่นอนว่าหน้าตาดีมาก สวมกระโปรงยาวสีดำทั้งตัว ทำให้ดูเซ็กส์ซี่ขึ้นมาก แต่ไม่เหมือนกับอิ่นซินที่คลอดลูกแล้ว เธอดูจะมีความไร้เดียงสากว่า
ท่าทางก็ดูน่าพอใจมาก
แต่เวลานี้เอง เธอโทรศัพท์ไปหาออฟฟิศด้านบน สวัสดีค่ะ ประธานเฝิง
มีอะไรหรอครับ?
ในนั้นมีเสียงหนาทุ้มลอดมาเสียงหนึ่ง
ประธานในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่คนหนุ่มอะไรหรอก อย่างไรเสียต้องดูแลบริษัทใหญ่ขนาดนี้ จำเป็นต้องใช้ประสบการณ์สั่งสม โบราณกล่าวไว้ว่า บนปากไม่มีหนวด ทำงานไม่น่าเชื่อถือ
ท่านประธานคะ ดิฉันมีแผนการทำงานเกี่ยวกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปอยู่ในมือค่ะ เป็นแผนที่ทำขึ้นมาเพื่อสอดรับกับโปรเจคของเรา ดิฉันคิดว่าทำได้ดีมากเลยค่ะ ผู้จัดการอิ่นซินของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปรออยู่ด้านล่างแล้วค่ะ อยากจะให้ท่านดูสักครู่ค่ะ หลิวลานเมิ่งพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
บริษัทซานหยวนกรุ๊ป ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย จัดอยู่อันดับไหนของเมืองเจียงเฉิงหรอครับ?
เอิ่มคือ……อันดับค่อนข้างจะอยู่รั้งท้ายค่ะ แต่มีศักยภาพมากเลยนะคะ ดิฉันคิดว่า……
เสียงยังพูดไม่ทันจบ เฝิงกางก็พูดด้วยความไม่พอใจขึ้นมาว่า คราวหน้าคราวหลัง อย่าแนะนำบริษัทรั้งท้ายแบบนี้มาให้ผมอีกนะ บริษัทซานหยวนกรุ๊ป ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย บริษัทขยะอะไรเนี่ย คราวหลังบริษัทในเมืองเจียงเฉิงที่ไม่ได้อยู่หนึ่งในสอบมาติดต่อ ก็ขวางไว้ให้ฉันหมดเลยนะ
ค่ะ
สุดท้ายทำอะไรไม่ได้ หลิวลานเมิ่งวางสายลง แล้วมองไปยังอิ่นซิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ ขอโทษนะ ฉัน……คือ……
ไม่เป็นไรหรอก ฉันได้ยินหมดแล้ว
ถึงอิ่นซินจะพูดออกไปแบบนั้น แต่ความจริงแล้วยังคงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เธอก็คิดว่าจะสามารถคว้าโอกาสได้ คิดไม่ถึงว่าจะทำไม่ได้อยู่ดี กระทั่งอยากพบกับประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปสักครั้งก็ไม่สามารถทำได้ ทั้งสองปรึกษาพูดคุยกันสักพัก อิ่นซินก็เดินจากไปพร้อมกับใบหน้าอันเศร้าสร้อย เข้าทางหลิวลานเมิ่งไม่ได้ ถ้าอย่างงั้นเธอก็ไม่มีวิธีไหนแล้ว เธออับจนหนทางคิดหาวิธีแก้ไขอะไรไม่ออกแล้ว และครั้งนี้ก็ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ครั้งนี้มีความเกี่ยวข้องกับตำแหน่งประธาน
อีกทั้งขอแค่ล้มเหลวทำไม่สำเร็จ ผลสรุปสุดท้าย ไม่ใช่สิ่งที่เธอจะรับมือไหวได้
โดยเฉพาะ กำจัดเธอออกจากตระกูล!
พ่อของเธอ ได้เป็นบ้าแน่!
หลิวลานเมิ่งรู้สึกโกรธมาก เธอไม่สามารถช่วยเหลือเพื่อนสนิทได้ ในใจยังคงรู้สึกไม่มีความสุข แต่ตอนที่อยู่หน้าประตูของบริษัทนั้น เธอพบคนคนหนึ่ง
ฉินเฟิงหรอ?
หลิวลานเมิ่งมองไปที่ประตู ฉินเฟิงที่กำลังจะเดินเข้าไปในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป จึงได้เรียกเขาไว้ทันที ในสายตาเต็มไปด้วยความดูถูกดูแคลน
คุณคือ?
ฉินเฟิงกำลังจะเดินขึ้นไปบนตึก จึงหยุดชะงักลง
เพื่อนสนิทของอิ่นซิน เป็นเพื่อนรักกัน ฉันชื่อหลิวลานเมิ่ง เป็นคนที่โตมากับอิ่นซิน เรื่องของคุณกับอิ่นซิน ฉันก็มีสิทธิ์พูดเหมือนกัน ฉันไม่อนุญาตเรื่องของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้านี้ คุณในตอนนี้ ยังมีหน้าอยู่กับอิ่นซินอีกหรอ?
หลิวลานเมิ่งยิ่งพูดยิ่งโมโหมากขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ อิ่นซินเล่าเรื่องของฉินเฟิงให้เธอฟังแล้ว แต่ความรู้สึกไม่พอใจของเธอ เธอรู้สึกว่าฉินเฟิงคือคนหลอกลวง เป็นอันธพาล กลับมาคราวนี้ก็เพื่ออยู่ไปวันๆ ไม่เหมาะที่จะอยู่เคียงข้างอิ่นซินเลยแม้แต่น้อย
เธอไม่ชอบฉินเฟิง ตั้งแต่เจ็ดปีที่แล้ว
คิดไม่ถึงว่า วันนี้จะได้พบกันอีกครั้ง
ดูท่าทางของคุณสิ คุณคงจะมาหางานใช่ไหมล่ะ อ่อ ใช่แล้ว คุณกับพ่อของอิ่นซิน มีนัดกันใช่ไหมล่ะ ว่าภายในครึ่งปี จะเก็บเงินให้ได้สองล้าน แต่ดูสิ ตอนนี้บริษัท กำลังรับสมัครแค่รปภ. คุณน่าจะมาขอสมัครเป็นรปภ.รักษาความปลอดภัยใช่ไหมล่ะ ถูกไหม?
อ่อ ใช่แล้ว ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ ได้ยินอิ่นซินของฉันเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนคุณไปเกณฑ์ทหารแล้ว ตอนนี้ปลดประจำการมา ประวัติยังมีอยู่ แต่ก็เป็นได้แค่รปภ.แหละนะ คุณน่าจะได้ยินมาว่า บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปย้ายมาจากจิงตู อย่างไรเสียก็เป็นบริษัทใหญ่ เงินเดือนของรปภ.รักษาความปลอดภัยก็สูงกว่าที่อื่นอยู่มาก
ใช่ เงินเดือนสูงกว่านิดหน่อย แต่ วันนี้ฉันอยู่ อย่าหวังว่านายจะสมัครงานสำเร็จเลย
หลิวลานเมิ่งมองประเมินฉินเฟิง ท่าทางดูเป็นคนแต่นิสัยสุนัข ทำไมทำให้คนอื่นรู้สึกสะอิดสะเอียนได้ขนาดนี้กันนะ ถ้าพูดว่าเรื่องเมื่อก่อนอย่าถือสา เธอสามารถช่างมันได้ แต่ตอนนี้ฉินเฟิง เป็นคนจนๆคนหนึ่ง
คนจนคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรไปอยู่เคียงข้างกับอิ่นซิน
มีสิทธิ์อะไรกัน!
ไม่ว่ายังไงก็ตาม เธอจะไม่มีวันยอมให้ฉินเฟิงได้อยู่กับอิ่นซินอีกครั้งแน่
ยังอยากจะเป็นรปภ.รักษาความปลอดภัยที่บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปอีก ไม่มีทาง!
ตอนนี้เอง หลิวลานเมิ่งมองไปยังห้องของรปภ.รักษาความปลอดภัย พูดไปทางนั้นว่า พี่หวังคะ ขวางหมอนี้ไว้ให้หน่อยค่ะ ฉันสงสัยว่าหมอนี้ จะเป็นหนอนบ่อนไส้ที่บริษัทคู่แข่งส่งเข้ามาสืบค่ะ
อะไรนะครับ หนอนบ่อนไส้
รปภ.รักษาความปลอดภัยกลุ่มหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ประมาณสิบกว่าคน หนึ่งในนั้นเป็นชายหนุ่มที่รูปร่างใหญ่ นั่นก็คือหัวหน้ารักษาความปลอดภัย พี่หวังที่หลิวลานเมิ่งเรียกนั่นเอง
พี่หวัง ไอ้หมอนี้ วางแผนจะเข้ามาสมัครเป็นรปภ.บริษัทของพวกเรา หลังจากนั้นก็จะขโมยข้อมูลของบริษัทเราไปค่ะ
หลิวลานเมิ่งชี้ไปยังฉินเฟิง
ไอ้หมอนี่ ช่างกล้านัก แต่ วันนี้แกจะอยู่ใต้หมัดหวังเถ่ของฉันนี่แหละ
หวังเถ่ดึงไม้กระบองออกมา แยกเขี้ยวออกมา เห็นได้ถึงความดุดัน
แต่ความจริงเขาเข้าใจหมดทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น เขายืนอยู่ตรงนั้นมองเห็นทุกอย่าง หลิวลานเมิ่งเกลียดไอ้หมอนี่ แต่หลิวลานเมิ่งเกิดมาเพื่อเป็นดอกไม้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นผู้หญิงที่สวยมากๆ เขาไม่ถือสาถ้าจะถูกเธอหลอกใช้หนึ่งครั้ง
พี่หวัง ฝากพี่หน่อยนะคะ ฉันเข้าไปก่อนล่ะ
หลิวลานเมิ่งไม่ชอบการต่อสู้ จึงเดินเข้าไปด้านในทันที
แต่ เธอรู้ดี ว่าฉินเฟิงไม่ตายหรอก อย่างมากที่สุดก็แค่ร่างกายเขียวช้ำ รปภ.พวกนี้ลงมือรู้ความหนักเบา ถือซะว่าช่วยอิ่นซินสั่งสอนไอ้คนจนคนนี้
หึๆ ไอ้หนุ่ม
หวังเถ่โบกมือ ทันใดนั้นก็มีรปภ.หลายคนเข้ามาล้อมฉินเฟิงไว้ ล้อมจนไม่มีลมพัดผ่านเข้ามาได้ หลังจากนั้นก็แกว่งกระบองไปมา พูดแยกเขี้ยว วันนี้ แกโชคร้ายจริงๆ ไปยั่วยุคนที่ไม่ควรไม่ยุ่งด้วย แกว่ามาสิ แกอยากแขนหักข้างไหน?
ยืมดอกไม้ถวายพระ สู้ดุดันขึ้นมาอีกหน่อย ไอ้หมอนี้มือหักแค่ข้างเดียว มันยิ่งดีกว่าไม่ใช่หรอ
แต่ เวลานี้ ฉินเฟิงได้หยิบโทรศัพท์ออกมาโทร ฉันอยู่ข้างล่าง ถูกรปภ.ขวางไว้ ยังบอกว่าจะหักแขนฉันข้างหนึ่งด้วย
พอหลังจากที่วางสายแล้ว หวังเถ่ก็หัวเราะออกมา ไอ้หนุ่ม แกเรียกใครอย่างงั้นหรอห้ะ!ห้าๆ ให้ตายเถอะขำชะมัด แกรู้ไหมว่าบริษัทเราคือบริษัทอะไร บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเชียวนะเฟ้ย เป็นบริษัทที่มาจากจิงตู เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ ไม่มีใครกล้าแหยม แค่แกเรียกคน ก็ต้องมีคนกล้ามาว่ะ!ห้าๆ……
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จริงๆนั่นแหละ
จนกระทั่ง มีคนคนหนึ่งออกมาจากประตู
ท่านประธาน
หวังเถ่กับรปภ.คนอื่นๆมองเห็นคนคนนั้น นั่นก็คือเฝิงกาง จึงรีบหุบยิ้ม ดูกดดันขึ้นมาทันที
หลังจากนั้น ก็เห็นเฝิงที่สวมชุดสูททั้งตัว เรียบๆร้อยๆ ทำความเคารพกับฉินเฟิงอย่างไม่รีรอ โค้งทำความเคารพ ทะ ……ทะ……ท่านประธานกรรมการ!
บทที่11 อิ่นซิน ฉันมีสามีนะ
แต่ว่า บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราขอบข่ายเล็กเกินไป บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปน่าจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาหรอก เพราะฉะนั้นก่อนหน้านั้นฉันได้มีการตัดสินใจไปแล้วว่า จะร่วมมือกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป แต่ เมื่อคืน อิ่นซินกลับไปผิดใจกับฟางเย้น
นัยน์ตาของนายท่านอิ่นทั้งคู่ ครั้งนี้เขามองไปอิ่นซิน หลานสาวคนนี้ของเขา แต่กลับเป็นท่าทางที่ถามหาความผิด สายตาเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
อะไรนะ?
อิ่นซินถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีหน้าซีดลงเล็กน้อย
เธอรู้ว่าฟางเย้นคือทายาทของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป เป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป แต่เธอไม่รู้ว่าเพราะโปรเจคนั้น ทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปมีแนวโน้มที่จะร่วมมือกัน เมื่อวานนี้เพราะเกิดเรื่องอันตรายต่อลูกสาวของเธอ จึงทำให้เธอกระวนกระวายใจมาก จนเผลอด่าฟางเย้นออกไป
เสี่ยวซิน ปู่ขอถามเธอหน่อยนะ มีเรื่องนี้เกิดขึ้นไหม?
คุณท่านอิ่นมองไปยังอิ่นซิน
ใช่ค่ะ
สีหน้าของอิ่นซินซีดลง
เมื่อคืน บริษัทฟางซื่อได้โทรศัพท์หาฉันแล้ว ว่าจะตัดขาดความสัมพันธ์กับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเรา ฉันพูดอย่างชัดเจนก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหม ว่าบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีโอกาสจะได้รับโปรเจคร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
เสียงพูดของนายท่านอิ่นช้ามาก แต่สิ่งที่พูดออกมามันเต็มไปด้วยความกดดัน
ในเวลานี้นั่นเอง อิ่นป่ายที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ก้าวออกมา ในเมื่ออิ่นซินมีเรื่องผิดใจกับคุณชายฟาง ทำให้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเรา และมันยิ่งทำให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราคว้าโปรเจคนั้นของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ น้อง ก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้แล้วล่ะ
นั่นสิๆ กว่าจะคว้าโอกาสครั้งนี้มาได้ ขอแค่ได้โปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของพวกเรา ก็จะสามารถบินทะยานไปสู่ฟ้าได้
โอกาสดีๆแบบนี้ กลับถูกอิ่นซินส่งลงหลุมไปซะอย่างงั้น จริงๆเลยนะ
อิ่นซิน เธอมันไร้ความสามารถจริงๆเลย ตอนนั้นรับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเธอ แล้วเตะเธอออกจากการเป็นเจ้าบ้าน ยกศูนย์อำนาจของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปออกมา ทางเลือกนี้ ตอนนั้นเดินมาถูกทางแล้วจริงๆ
ทุกคนต่างพากันวิจารณ์ไม่หยุด สายตาที่มองไปยังอิ่นซิน เต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร
ได้ เรื่องนี้ ฉันจะรับผิดชอบเอง
อิ่นซินกัดริมฝีปาก ตอบตกลงอย่างยากลำบาก
สถานการณ์ในตอนนี้ ไม่ตอบตกลงก็คงไม่ได้แล้ว เป็นการยากที่จะทำให้ถูกใจทุกคน ยิ่งไปกว่านั้น เธอไปมีเรื่องกับหางเย้นจริงๆ
ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันได้ยินมาว่าคุณชายฟาง ชอบอิ่นซินมาโดยตลอด ยกอิ่นซินให้กับคุณชายฟาง เป็นภรรยาของคุณชายฟาง แบบนี้บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็จะได้เกี่ยวดองกัน สนิทชิดเชื้อกันมากยิ่งขึ้น อิ่นป่ายพูด
ไม่ได้
ในขณะที่อยู่ในห้องประชุมนั้น อิ่นซินรีบพูดปฏิเสธในทันที แล้วพูดต่อไปว่า ฉันเป็นคนที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว และแต่งงานแล้ว ฉันมีสามีแล้วนะ จะไปแต่งงานกับคุณชายฟางได้ยังไง
แต่งงานแล้ว มีสามีแล้วงั้นหรอ?อิ่นซิน ในห้องประชุมนี้ใครไม่รู้กัน ว่าฉินเฟิงมันเป็นคนขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถ เธอกลับยังกล้าเอามันยกขึ้นมาพูดบนนี้ ในเมื่อคุณชายฟางชอบเธอถือว่าเป็นบุญของเธอแล้วนะ
คุณชายฟางเป็นคนระดับไหน คุณชายฟางน่ะ เป็นนักเรียนนอก จบการวิจัย ไม่ว่าจะเรื่องทรัพย์สมบัติ หน้าตา ดีกว่าสามีเศษสวะของเธอ ไม่ใช่แค่ดาวครึ่งนะ
ฉันไว้หน้าเธอแล้วเธอไม่สนใจ อุบัติเหตุครั้งนี้ ความจริงเป็นสิ่งที่เธอก่อนขึ้นทั้งนั้น ไม่อย่างนั้น บริษัทฟางซื่อกรุ๊ปจะปฏิเสธการร่วมงานกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปหรอ?นี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในการคว้าโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปเลยนะ เธอกลับทำมันพัง!
อิ่นป่ายเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่ง แต่ละคำพูด ยิ่งพูดก็ยิ่งมีอารมณ์มากยิ่งขึ้น สายตาแฝงไปด้วยนัยน์ตาคมกริบอย่างหนึ่ง ที่บีบบังคับอิ่นซินจนไร้หนทาง สุดท้าย อิ่นป่ายก็เคาะโต๊ะ แล้วถามด้วยเสียงดุดัน ฉันขอถามเธอแค่หนึ่งครั้ง เรื่องนี้ เธอเป็นคนก่อขึ้นมา มันเป็นความรับผิดชอบของเธอ เธอจะเก็บกวาดเรื่องพวกนี้ไหม?
ฉัน……
กดดันจนอิ่นซินหายใจไม่ออก
ในเวลานี้นั่นเอง ด้านหลังของอิ่นซิน ก็มีเสียงหนึ่งดังลอดออกมาเสียงหนึ่ง เรื่องนี้ พวกเราจะจัดการด้วยตัวเอง แต่วิธีจะไม่เหมือนกับวิธีขอพวกคุณ อย่างไรเสีย ภรรยาผมก็พูดแล้ว ว่าเธอเป็นคนที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว!
ฉินเฟิง!
อิ่นซินหันหน้ากลับไปทันที มองเห็นฉินเฟิง ทันทีที่เธอได้ยินเสียงนี้ ก็รู้ได้ในทันที
ฉินเฟิง แกยังกล้ามาบริษัทของพวกฉันอีกหรอวะ!
อิ่นป่ายมองหน้าฉินเฟิงพร้อมกัดฟันกรอด ในสายตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ถ้าหากไม่ใช่หมอนี้ ครั้งนั้น พวกเขาก็คงสามารถบีบบังคับอิ่นซินได้สำเร็จแล้ว บังคับให้เอาหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้นออกมาได้แล้ว
คงไม่เป็นดังเช่นทุกวันนี้!
ทำไม เพราะอะไรถึงจะไม่กล้ามาล่ะ ฉันฉินเฟิงที่ทั้งการกระทำและกายเที่ยงตรง
ฉินเฟิงถามกลับไปหนึ่งประโยค
หึๆ ฉินเฟิง ฉันขอถามแกหน่อย แกจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?
อิ่นป่ายถามกลับเข้าประเด็นอีกครั้ง
เรื่องนี้คุณไม่ต้องสนใจหรอก ยังไงซะ โปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ภรรยาของผมก็สามารถเอากลับมาได้อยู่แล้ว ฉินเฟิงพูด
หึๆ มั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?ไม่กลัวลมแรงทำลิ้นพลิกรึไง?
อิ่นป่ายหัวเราะหึๆ เต็มไปด้วยการประชดประชัน
จุดนี้ คุณไม่ต้องสนใจหรอกครับ ฉินเฟิงพูด
เอาล่ะ อิ่นซิน สามีคนดีของเธอ ตัดสินใจแทนเธออีกแล้วสินะ แต่โชคชะตาของเธอในครั้งนี้ คงจะไม่โชคดีเหมือนครั้งก่อนหรอกนะ อิ่นป่ายยักคิ้ว
ต่งๆ!
และในตอนนี้เอง นายท่านอิ่นกระแทกไม้เท้า แล้วพูดออกไปว่า เสี่ยวซิน ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว ถ้าอย่างงั้นปู่ก็จะพูดกับเธอให้ชัดเจน ถ้าเธอคว้าโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งมาไม่ได้ และยื้อความสัมพันธ์ของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปกลับมาไม่ได้ จะทำให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราสูญเสียมหาศาล การสูญเสียนี้ เธอต้องเข้าใจนะ ว่ามันไม่ใช่เรื่องของเงินไม่กี่พันล้านหรอกนะ
ขอแค่ล้มเหลว การสูญเสียนี้ จะคิดบัญชีกับเธอทั้งหมด หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของเธอ ธุรกิจที่อยู่ภายใต้ชื่อของเธอ แม้กระทั่งทั้งบ้านของเธอจะถูกขับออกจากตระกูลทั้งหมด!
ในเมื่อ เธออยากจะเสี่ยงดูสักตั้ง ถ้าอย่างงั้นปู่จะขอสู้ด้วยความยินดี
เลิกประชุม
หลังจากที่เลิกประชุม ทั้งห้องประชุมก็มีเสียงหัวเราะ สายตาที่มองไปยังอิ่นซิน มีสัมผัสแห่งความสนุกแฝงเอาไว้ บริษัทเฟิ่งซิ่งกรุ๊ปเป็นบริษัทใหญ่ที่มาจากจิงตูเชียวนะ ทำไมจะต้องมาร่วมงานกับบริษัทปลายแถวเล็กๆอย่างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่เป็นบริษัทอยู่ในเมืองเจียงเฉิงด้วยล่ะ
แต่คุณชายฟาง เป็นคุณชายเพลย์บอยคนหนึ่ง แค่หิวกระหายอยากได้ร่างกายของอิ่นซินเท่านั้นเอง
คราวนี้ อิ่นซินซวยแล้ว
ซวยแน่นอน
ทั้งบ้านของอิ่นซินจบเห่แล้ว
ฉินเฟิง คุณตัดสินใจแทนฉันอีกแล้วนะ!
หลังจากที่รอทุกคนเดินออกไปแล้ว สีหน้าของอิ่นซินซีดลงเล็กน้อย จ้องไปที่ฉินเฟิงตาโต แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง คุณรู้อยู่แล้ว ว่าเรื่องนี้มันยากขนาดไหน มันใหญ่ขนาดไหน ทางออกเดียวที่มีอยู่บนตัวของคุณชายตระกูลฟาง มีแค่การจับมือกับบริษัทฟางซื่อกรุ๊ปเท่านั้น เราถึงจะมีความหวังได้รับโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ขอแค่คว้าโปรเจคของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้ ฉันถึงจะกลับไปนั่งตำแหน่งประธานได้อีกครั้ง เอาของที่มันควรเป็นของฉันกลับมาได้
โปรเจคนี้ มันสำคัญกับฉันมาก!
ช่างเถอะ พูดกับคุณไป คุณก็ไม่เข้าใจ สีซอให้ควายฟัง!โชคยังดีว่าฉันยังพอมีคนอยู่ในบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ยัยเมียบ๊องเอ้ย
ฉินเฟิงมองแผ่นหลังของอิ่นซินเดินจากไป แล้วส่ายหัว
เขาพบอะไรอย่างหนึ่ง ชุดเครื่องแบบนักธุรกิจสาวที่อยู่บนเรือนร่างของเธอนั้น บวกกับรูปร่างที่ด้านหน้านูนรับกับสะโพกที่งอนสวย ถึงเธอจะมีลูกแล้วหนึ่งคน แต่นี่ก็เรียกได้ว่าคือรูปร่างของปีศาจสาว ส่วนที่ควรใหญ่ก็ใหญ่ ส่วนที่ควรเล็กก็เล็ก ใบหน้าสวยหมดจด เครื่องหน้าทั้งห้าสมดุลย์ ดวงตาคู่สวย เหมือนซ่อนดวงดาวน้อยใหญ่เอาไว้ในนั้น สมกับที่เป็นหญิงงามแห่งเมืองเจียงเฉิง และสมกับที่เป็นภรรยาของตนเอง
ประเด็นคือ เวลาที่พาลโมโหลงกับตน ยังคงสวยอยู่เลย
บทที่10 คณะผู้บริหารของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
วันที่สอง
อิ่นซินนอนอย่างสลบไสล แม้แต่เสียงนาฬิกาปลุก เธอก็ไม่ได้ยิน
จนเสียงนาฬิกาปลุกดังครบสามครั้ง เธอถึงได้ตื่นขึ้น หลังจากตื่นนอน เธอเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าจะต้องไปส่งกั่วกั่วไปโรงเรียน
เมื่อหันไปดู พบว่ากั่วกั่วไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว
ใช่ ฉินเฟิง?
อิ่นซินคิดว่าเป็นฉินเฟิง เธอได้เดินออกไป เห็นว่ามีอาหารวางอยู่ที่บนโต๊ะ และเห็นจดหมายเขียนทิ้งไว้ ผมส่งกั่วกั่วไปโรงเรียนแล้วนะ
ถือว่ายังมีความรับผิดชอบ
หลังจากอิ่นซินคิดดังนั้นแล้ว เธอก็ได้เก็บข้าวของต่างๆ แล้วก็ไปทำงาน
เมื่อคืน เธอก็ได้คิดทบทวนอยู่นาน การตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับฉินเฟิน ดีหรือไม่ดี แต่เมื่อเห็นการกระทำของเราแล้ว การที่ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกับฉินเฟิน มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกัน
อิ่นซินเดินขึ้นไปตึกชั้นที่สูงสุดของบริษัทเพื่อเข้าร่วมประชุม เป็นการประชุมคณะผู้บริหารระดับสูงของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
การประชุมระดับคณะผู้บริหารระดับสูงนี้จะว่าด้วยเรื่องนโยบายต่างๆของบริษัท
เมื่ออิ่นซินเข้ามาถึงด้านในของบริษัท เธอเองก็รู้สึกอารมณ์ไม่ค่อยดี
เฮ้ หลานสาว มาแล้วแล้วเหรอ
ในห้องประชุมนี้ ลูกน้องแต่ละคนสีหน้าอารมณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก บนใบหน้าของท่านอิ่นมีริ้วรอยตามวัยของท่าน และใช้ไม้เท้าช่วยเดิน ตอนนี้ท่านได้หลับตาอยู่
และด้านข้างคืออิ่นป่าย กําลังมองเธอด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
อืม
อิ่นซินตอบ
หลานสาว อย่าเย็นชานักเลย อย่างน้อยก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเธอให้ฉินเฟิงขอทานนั่นเข้าบ้านเหรอ? สุดยอดจริงๆ ไอ้หมอนั่นมันทิ้งเธอกับลูกไปตั้งหลายปีขนาดนั้น เธอยังให้มันเข้าบ้านอีก คุณเริ่มกินไม่เลือกตั้งแต่เมื่อไหร่
อิ่นป่ายเลิกคิ้ว ทําท่าทีเหมือนหวังดีกับอิ่นซิน แต่หยินซินทํางานทุกที่ในคําสั่ง
เขาไปฉินเฟิงเช็คมาแล้ว และพบว่าฉินเฟิงเป็นแค่ทหารธรรมดา จากนั้นจางลี่ก็บอกเขาเกี่ยวกับข้อมูลของฉินเฟิง ว่ามีคนรวยคนหนึ่งที่ตอบแทนหนี้บุญคุณ ตอบแทนหนี้บุญคุณหมดก็ไม่มีอะไรแล้ว
จากนั้นเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขานึกว่าฉินเฟิงเป็นคนที่มีภูมิฐานอะไร ที่แท้ก็เป็นแค่เป็นทหารคนนึง
ได้เข้าบ้านจริงๆแล้วจริงเหรอว่ะ? เชี่ย ไอ้ขอทานนั่น ครั้งแรกที่ฉันเจอมัน ยังอยู่บนถนนใส่เสื้อผ้าขาดๆอยู่เลย
ไอ้หมอนั่น หลังจากที่นอนกับอิ่นซินแล้ว วันต่อมาก็ได้ทะเบียนสมรส ขโมยเงินอิ่นซินแล้วก็หนีไป จนเมื่อวานพึ่งจะกลับมา แล้วทำมาเป็นแต่งตัวดู ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
ขอทานก็คือขอทานอยู่วันยังค่ำ เป็นได้แค่คนเป็นแค่ขอทานเท่านั้นแหละ แต่ฉันคิดไม่ถึงว่า อิ่นซินจะเป็นประธานของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ตอนนี้นางหิวมากแล้ว แม้แต่ขอทานก็ไม่เว้น
ในห้องประชุม มีผู้คนไม่น้อยที่หัวเราะเยาะอิ่นซิน
สีหน้าของอิ่นซินดูน่าเกลียด แต่เธอก็ไม่ได้โต้แย้งใดๆ เพราะตลอดเจ็ดปีคําพูดเหล่านี้ก็ไม่เคยหยุดแม้แต่คําเดียว จะโต้เถียงยังไงก็ไม่เป็นผล เธอทําได้เพียงอดทนอย่างเงียบๆ
จริงด้วย ตอนนี้อิ่นซินก็เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้บริหารแล้ว
ทันใดนั้นอิ่นป่ายก็พูดขึ้น จากนั้นเดินไปข้างๆอิ่นซิน ยิ้มแล้วพูดว่า หลานสาว ฉันขอโทษนะ ที่จู่ๆก็มีคณะผู้บริหารอย่างเธอเพิ่มเข้ามา เก้าอี้ไม่เยอะขนาดนั้น เธออาจจะต้องยืนนะ
อิ่นป่ายบอกเชิงให้อิ่นซินยืนอยู่ที่จุดสุดท้าย และเขาก็กลับมาอยู่ข้างๆคุณท่านอิ่นอีกครั้ง
ได้
หัวใจของอิ่นซินเต้นรัว สุดอิ่นซินก็ต้องอดทน
ลักษณะไม่เหมือนคน ช่วยไม่ได้
ภายในใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด กลุ่มบริษัทซานหยวนกรุ๊ปนี้เธอเป็นคนก่อตั้งขึ้นมา เธอต่อสู้ทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่ใช้อำนาจของตระกูล แต่ตอนนี้มันดีขึ้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เธอได้กลับมาเป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้บริหาร ไม่เพียงอยู่ในตําแหน่งสุดท้ายเท่านั้น
ในขณะที่ทุกคนนั่ง เธอยืนอยู่คนเดียว
เห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างเหงา
แล้วในตอนนี้ คุณท่านอิ่นก็ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ เขาใช้ไม้เท้าของเขามองไปที่คณะผู้บริหาร แน่นอนว่าเขาข้ามอิ่นซินไปและพูดขึ้นว่า อีกสามวันบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะตั้งรกรากอยู่ในเมืองเจียงเฉิงอย่างเป็นทางการ นี่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ของเมืองเกียวโต หลังจากที่พวกเขามาถึง ในมือพวกเขามีที่ดินที่ซื้อมานานแล้ว มีขนาดมากกว่า 1,000 หมู่ แต่เนื่องจากพวกเขาเพิ่งตั้งรกราก และขาดกําลังคน โครงการนี้จึงจําเป็นต้องร่วมมือกับบริษัทท้องถิ่น
โครงการนี้สําคัญกับพวกเรามาก ถ้าบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราสามารถเอาชนะได้ การกลับเข้าสู่กลุ่มชั้นหนึ่งจะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และหากเราสามารถเป็นพันธมิตรระยะยาวได้ พวกเราก็จะสามารถเอาชนะกลุ่มอื่นๆได้ และตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองเจียงเฉิงได้อย่างแท้จริง
ดวงตาขุ่นมัวของคุณท่านอิ่น ดูกระปรี้กระเปร่าเล็กน้อย นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากสําหรับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเรา ดังนั้นผมจึงประกาศว่า ถ้ามีคนสามารถเอาชนะและได้รับความร่วมมือจากบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปได้ ผมจะยกตําแหน่งให้เขา เขาก็จะสามารถเป็นประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปได้
ท่านประธาน!
ทุกคนต่างตกตะลึง ประธานของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปนี่มันเยี่ยมไปเลย นี่เป็นบริษัทที่สําคัญที่สุดของตระกูลอิ่น หากพวกเขาได้ควบคุมบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว แน่นอนว่าจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลอิ่น
ท่านประธาน ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณท่านอิ่นเขาดํารงตําแหน่งประธานมาตลอด ครั้งนี้คุณท่านอิ่นยอมออกจากตำแหน่ง
ดูออกว่าการร่วมงานกับบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปในครั้งนี้สําคัญมาก ไม่อย่างนั้นคุณท่านอิ่นคงไม่เลือกทำแบบนี้
พวกคุณว่าเราจะเอามันมาได้ไหม?
เราจะเอามันมาได้ยังไง? บริษัทซานหยวนกรุ๊ปของเราเป็นบริษัทระดับ 3 ที่มีสินทรัพย์รวมเพียง 300 ล้านเท่านั้น ถึงจะรวมกับเงินที่หลี่เทียนเฉิงได้รับเมื่อวานก็ได้ไม่เท่าไหร่เอง
ทุกคนต่างพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีความหวัง มันยากเกินไป แล้วบริษัทเล็กๆในเมืองเจียงเฉิงก็มีหลายร้อยบริษัท แล้วบริษัทซานหยวนกรุ๊ปก็ดูไม่สะดุดตาเลยจริงๆ
แต่ตอนที่อิ่นซินอยู่ในอํานาจ จุดที่ย่ำแย่ที่สุดของบริษัทเราก็ผ่านมันมาแล้ว
ท่านประธาน!
เมื่อได้ยินคําพูดเหล่านี้ อิ่นซินก็หายใจถี่ขึ้น ดวงตาของเธอร้อนผาก เพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นบริษัทที่เธอสร้างขึ้นจากการทำงานอย่างหนักทีละนิดๆ เมื่อเธอได้รับความร่วมมือจากบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปแล้ว เธอก็จะสามารถกลับไปดํารงตําแหน่งประธาน และเอาของที่เป็นของเธอคืนมาได้
โครงการนี้ เธอต้องได้มันมา!
บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวของเธอ
บทที่ 9 ผมจะไม่ทิ้งพวกคุณอีก ผมสัญญา
คุณไปได้แล้ว
อิ่นซินชี้ไปทางประตู
แล้วในตอนนี้ กั่วกั่วก็ได้กอดไปที่ต้นขาของฉินเฟิงไว้ทันที พ่ออย่าทิ้งหนูไปได้ไหมคะ ทุกครั้งที่ไปโรงเรียน เพื่อนๆชอบพูดว่าหนูเป็นเด็กไม่มีพ่อ ตอนนี้หนูเจอพ่อแล้ว พ่ออย่าทิ้งหนูไปได้ไหมคะ แล้วบางครั้งแม่ก็ร้องไห้ในตอนกลางคืน พ่อคะ พ่ออยู่กับแม่ได้ไหมคะ?
เมื่อฉินเฟิงได้ฟังที่กั่วกั่วพูด หัวใจของฉินเฟิงก็สั่นสะท้าน
ฉินเฟิงหันไปมองอิ่นซิน แต่อิ่นซินไม่ได้สบตาเขา สีหน้าของเธอดูซับซ้อน
หลายปีก่อน เขาแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับอิ่นซิน แต่ไม่เคยคิดเลยว่าหลังจากเรื่องในคืนนั้น อิ่นซินจะตั้งท้อง ตลอดหลายปีมานี้ไม่รู้ว่าพวกเธอต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน ต้องถูกผู้คนเยาะเย้ยนินทาแค่ไหน
เขาไม่สามารถเป็นพ่อและสามีที่ดีได้เลยจริงๆ!
ผมขอโทษ
แล้วฉินเฟิงก็ได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่มันสําคัญ
พรึบ
ฉินเฟิงคุกเข่าลงต่อหน้าพ่อแม่ของอิ่นซิน และใช้หัวโขกพื้นอย่างแรงทำแบบนี้เรื่อยๆ จนหัวของเขามีเลือดไหลออก ขอบคุณที่หลายปีมานี้พ่อและแม่ได้เลี้ยงดูกั่วกั่วเป็นอย่างดีครับ
ลูกผู้ชายจะไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ
แต่วันนี้ เพื่อลูกสาวของเขา มันคุ้มค่า
……
อิ่นซินและพ่อแม่ของอิ่นซินต่างก็ตกตะลึง
แล้วก็มีเสียงปุ๊กดังขึ้นอีก
ฉินเฟิงโขกหัวอีกครั้ง และพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า เรื่องในหลายปีก่อนนั้น เป็นผมเองที่ไปโดยไม่ได้บอกลา ผมมันเลว ทําให้อิ่นซินต้องเสียใจ แต่ขอให้พ่อกับแม่ให้โอกาสผมอีกครั้ง ครั้งนี้ ผมจะชดเชยให้พวกเธอทั้งสอง จะดูแลปกป้องพวกเธอไปตลอด ผมขอสาบานด้วยชีวิตผม! ขอพ่อกับแม่ให้โอกาสผมด้วยเถอะครับ
ปุ๊ก ปุ๊ก ปุ๊ก ปุ๊ก
หลายสิบหัวโขกหัวลงกับพื้น!
เลือดไหลท่วมหัว!
ครั้งนี้ ต้องจริงจังนะ
ถ้าหายไปอีก กั่วกั่วก็จะเป็นเด็กไม่มีพ่ออีก
ในตอนนั้น เขาพลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว แน่นอน เขาจะต้องไม่ผิดพลาดเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน!
เออ
อิ่นซินพูดอะไรไม่ออก
สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ ฉินกั่วกั่วก็ได้คุกเข่าลงกับพื้น ร้องไห้แล้วพูดว่า แม่คะ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่กั่วกั่วจะได้เจอพ่อ กั่วกั่วไม่อยากทิ้งพ่อไป
หลังจากเงียบไปสักพัก อิ่นหยวนก็ถามอิ่นซินว่า ลูก
หนูยังไงก็ได้ค่ะ
อิ่นซินพูดสี่คํานี้ออกมา
ฉากเมื่อกี้ มันคือจุดที่อ่อนที่สุดในหัวใจของเธอแล้ว ในโรงเรียนกั่วกั่วได้รับความเดือดร้อนกับข่าวลือมากมาย ถูกเด็กคนอื่นรังแก ทั้งด่าว่าเธอไม่มีพ่อ!
ในตอนนี้ อิ่นซินได้เห็นด้วยตาของเธอเองแล้ว
นอกจากนี้ กั่วกั่วก็มักจะถือใบทะเบียนสมรสมา แล้วถามอยู่หลายครั้งว่าเมื่อไหร่พ่อของเธอจะกลับมา และทุกๆครั้งอิ่นซินก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง!
กั่วกั่ว ต้องการพ่อ
ฉันไม่เห็นด้วย ลูกเขยของฉันต้องเป็นคนที่มีความสามารถ ทหารที่พึ่งออกมาจากกองทัพอย่างนาย มีสิทธิ์อะไรที่จะมาคบกับลูกสาวของฉัน นายคิดว่าตัวเองมีอะไรที่คู่ควรกับอิ่นซินบ้าง
น้ำเสียงของจางลี่เต็มไปด้วยความรังเกียจ
อิ่นหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะยกมือขึ้นเชิงว่าพอล่ะ ฉินเฟิง มีอย่างหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกนายให้ชัดเจน เมื่อเจ็ดปีก่อน คุณกับลูกสาวผมถูกใส่ร้ายถึงได้มีสามีภรรยากัน ก่อนหน้านี้พวกเธอก็ไม่ได้รักกัน เพิ่งแต่งงาน นายก็ไปโดยไม่บอกลา หลายปีมานี้ลูกสาวผมเป็นทั้งพ่อและแม่ ต้องทนทุกข์ทรมานมากน้อยเท่าไหร่ ต้องทนทุกข์ทรมานกับข่าวลือมากมาย คุณไม่รู้หรอก แม้กระทั่งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่เธอก่อตั้งมา ก็ถูกตระกูลบังคับให้ครอบครอง ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะนาย
แต่ถึงยังไง นายก็เป็นสามีของลูกสาวของฉัน ฉันจะให้โอกาสนายสักครั้ง ลูกเขยของฉันไม่ใช่คนที่โดดเด่น แต่ก็เป็นคนเหมือนกัน
นายพึ่งออกจากกองทัพ ฉันจะให้เวลานายครึ่งปี ภายในครึ่งปีนี้ นายมีวินัยสามารถผ่านวิธีการทางกฎหมายได้ ไม่พึ่งอาศัยอิ่นซิน และหาเงินให้ได้ถึง 2 ล้าน ฉันจะอนุญาตห้องพวกเธอไม่หย่าได้
ถ้าหลังจากครึ่งปี นายไม่มีเงินสองล้าน ต่อให้ฉันต้องตาย ก็จะไม่ยอมให้ลูกสาวฉันอยู่กินกับนาย
น้ำเสียงของอิ่นหยวนมั่นคงและนัยน์ตาดูซับซ้อน เดิมทีลูกเขยคนก่อนของเขาก็เป็นคนของฟางเย้น แต่การกระทําก่อนหน้านี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าฟางเย้นไม่ใช่คนดีอะไร และคงจะไม่ดีกับอิ่นซินด้วย
มันทําให้เขาลังเล
เมื่อเห็นท่าทางที่จริงใจของฉินเฟิง เขาให้โอกาสฉินเฟิง แต่ฉินเฟิงจะสามารถคว้ามันได้ไหมก็ขึ้นอยู่กับตัวฉินเฟิงเองแล้ว
คุณคะ!
จางลี่รู้สึกไม่ค่อยพอใจ
จางลี่ คุณพอได้แล้วนะ ฟางเย้นคนนั้นคุณก็เป็นคนเลือก แล้วดูสิว่ายังไง
อิ่นหยวนทําหน้าบึ้งแข็งถลึงตาใส่จางลี่ สุดท้ายแล้วก็เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ทําให้จางลี่ไม่โต้แย้ง
ขอบคุณครับพ่อ
ฉินเฟิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
อย่าพึ่งเรียกพ่อตา ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว เรียกฉันว่าลุง อีกครึ่งปี บรรลุเป้าหมายของนาย แล้วค่อยเรียกฉันว่าพ่อตา
หลังจากพูดจบ อิ่นหยวนก็ถอนหายใจ เขาทําอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดี แล้วก็เดินขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของจางลี่ยังคงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแล้วก็เดินตามขึ้นชั้นบนไป
อิ่นซินสีหน้าไม่แสดงอารมณ์ เธอจับมือของกั่วกั่วแล้วกลับไปที่ห้องของเธอ
แต่ในตอนกลางคืน ก็เปิดประตูแง้มไว้ให้ฉินเฟิง
ฉินเฟิงอยู่ในห้องโถงใหญ่ เลือดบนหัวของเขาถูกล้างสะอาดแล้ว เพราะเป็นทหารเลยฟื้นตัวได้ดี เมื่อเห็นประตูที่แง้มไว้ เขาก็รีบเข้าไปในห้องนั้นทันที มันคือห้องของอิ่นซิน
เขาเงยหน้าขึ้นมองเห็นเป็นสไตล์ที่เรียบง่าย ตกแต่งด้วยสีชมพูมากมาย ของเล่น กิ๊บติดผม และหนังสือเรียนบางเล่ม บนหนังสือคือหนังสือเรียนของชั้นปอสอง แค่ดูก็รู้ว่าเป็นของกั่วกั่ว
ต่อไปคุณก็นอนตรงนี้ ห้ามขึ้นเตียง
อิ่นซินสวมชุดนอน ผมของเธอเปียกอยู่หน่อยๆ เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งอาบน้ำ เธอหยิบผ้าห่มออกมาแล้วมองฉินเฟิงแล้วก็วางมันลงบนพื้น ต่อไปภารกิจประจําวันของคุณก็คือการไปรับไปส่งกั่วกั่ว ใช่แล้วยังมีอีกอย่าง คือคุณไม่ต้องซื้อเสื้อผ้าใหม่กั่วกั่วนะ แม่ของฉันไม่ชอบ ฉันซื้อไปหลายครั้งก่อนหน้านี้ถูกแม่ฉีกขาดหมดเลย แม่ไม่ชอบกั่วกั่ว พ่อก็ไม่ค่อยชอบ
ครับ
ฉินเฟิงพยักหน้า
เป็นอย่างที่เขาคิด ว่าทําไมตอนที่เขาเห็นกั่วกั่วครั้งแรก กั่วกั่วจึงสวมเสื้อผ้าสีขาวที่ซักออกมา ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง
ในตอนที่ฉินเฟิงหลับไป เขารู้สึกว่ามีบางอย่างตกลงมาจากฟ้า และทับอยู่บนหน้าอกของเขา
ลูก
ฉินเฟิงมองไปที่เด็กน้อยที่นอนอยู่บนหน้าอกของเขา ด้วยความอบอุ่นในใจของเธอ นี่คือสายเลือดของเธอ นี่เป็นหลักฐานที่เธอเคยมีอยู่ในโลกนี้ และเป็นหนึ่งในคนที่มีค่าที่สุดของเขา
ฮิฮิ วันนี้หนูจะนอนกับพ่อ
กั่วกัวเบิกตากว้างและนอนลงบนตัวของฉินเฟิง แล้วใช้มือของฉินเฟิงเป็นหมอนหนุน จากนั้นมองไปที่ฉินเฟิง พ่อเล่านิทานให้หนูฟังได้ไหมคะ?
ได้ แต่จุ๊บพ่อก่อนทีหนึ่ง
จุ๊บ โดนหนวดของพ่อค่ะ
งั้นพรุ่งนี้พ่อโกนหนวด
ไม่ค่ะ หนูชอบหนวดของพ่อ เมื่อก่อนเพื่อนๆบอกว่าหนวดของพ่อทิ่มคน หนูไม่เคยเชื่อเลย แต่วันนี้กั่วกั่วรู้แล้วว่ามันทิ่มคนจริงๆ ฮิฮิ แต่หนูชอบหนวดของพ่อ พ่อเล่านิทานให้กั่วกั่วฟังหน่อย
ได้ค่ะ นานมาแล้ว มีหมาป่าสีเทาตัวใหญ่… มันชอบกินกระต่ายขาวตัวน้อย… แล้ววันหนึ่ง…
ฉินเฟิงอุ้มเด็กน้อยและเล่านิทานให้ฟัง
แต่เด็กยังไงก็คือเด็ก ไม่นานก็พิงอกของฉินเฟิงและหลับไป ใบหน้าสีชมพูของเด็กน้อยดูช่างน่ารักซะเหลือเกิน
แล้วในตอนนี้ ฉินเฟิงก็เห็นหินก้อนเล็กๆที่เขามอบมันให้กั่วกั่ว ซึ่งเธอแขวนไว้ที่คอของเธอดูแล้วดูล้ำค่ามาก บางทีอาจเป็นเพราะนี่เป็นของขวัญชิ้นแรกที่พ่อของเธอมอบให้เธอ
ยัยหนู ทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นความผิดของพ่อเอง แต่หลังจากวันนี้ พ่อจะดูแลหนูและแม่ของหนูให้ดีที่สุด ชดเชยให้กับหนูและแม่ร้อยพันเท่า ครั้งนี้ พ่อจะไม่ห่างจากหนูและแม่อีกแล้วนะ
ฉินเฟิงลูบผมของกั่วกั่ว และมองไปที่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของเธอ ดวงตาของเธอฉายแววความแน่วแน่
ทุกคนในกองทัพต่างรู้กันดีว่า รุ่นของทหารฉิน คำสัญญาสำคัญที่สุด
บทที่ 8 เพชรสีฟ้าสังเคราะห์ ขยะ
ก้อนหินก้อนหนึ่ง?
ทุกคนมองไปที่สร้อยคอเส้นนั้น มันเป็นเชือกสีแดงธรรมดา ที่ร้อยด้วยหินไข่ห่านธรรมดา ถ้าจะบอกว่าแตกต่างจากหินไข่ห่านทั่วไปตรงไหน
ก็คือส่วนด้านบนของมันเป็นหลุม เหมือนแม่น้ำที่เหือดแห้ง
ฮ่าฮ่า ฉันก็คิดว่ามันคืออะไรสักอย่าง? ท่าทางจริงจังขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นหินก้อนแตกๆก้อนหนึ่ง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าขำจะตายแล้วๆ
ทีแรกฟางเย้นจริงจังมาก แต่พอเขาดูดีๆอีกรอบ ก็พบว่ามันยังคงเป็นก้อนกรวดธรรมดาๆ และไม่ได้มีค่าอะไร เขาก็หัวเราะออกมาทันที
ก็นึกว่าจะเป็นคู่แข่งคนหนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค่พวกขยะ
ยังคงเป็นเจ้าพวกขยะที่โง่เง่า
ฉินเฟิง ฉันก็นึกว่านายจะพัฒนา ให้ของที่มันดูมีค่าหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นก้อนหินธรรมดาๆแบบนี้ เทียบกับฟางเย้นแล้ว ฟ้ากับเหวชัดๆ ในช่วงเวลาตอนนั้น ลูกสาวของฉันซวยจริงๆเลยที่มาเจอผู้ชายอย่างนาย
จางลี่ส่ายหัว แล้วมองมาที่ฟางเย้นยิ่งมองก็ยิ่งถูกชะตา
ฉินเฟิงมองไปที่หินก้อนนั้นแล้วครุ่นคิด
ในปีนั้นเขาไปทําสงครามครั้งแรก ได้เก็บหินก้อนเล็กๆก้อนนี้บนทะเลทรายโกบี เพื่อเป็นระลึก สงครามในครั้งนั้นอันตรายมากผู้คนต่างตายกันหมด เขาคือคนเดียวที่รอดชีวิต
เพียงเพราะว่าเขาใส่หินนั้นในกระเป๋าหน้าอกของเขา
แล้วมันก็กันกระสุนที่พุงเข้ามาได้พอดี
หลังจากนั้น หินก้อนนี้ก็อยู่กับฉินเฟิงมาตลอดไม่ว่าจะเป็นการสู้รบที่ใหญ่หรือเล็ก เป็นสักขีพยานว่าฉินเฟิงทำอะไรในช่วงเจ็ดปีที่ผ่านมา และยังเป็นสักขีพยานว่าฉินเฟิงจากทหารตัวเล็กๆคนหนึ่ง กลายเป็นบุคคลสุดยอดที่ไม่มีใครเทียบได้ในยุคนี้
ฉินเฟิง เรียกอีกอย่างว่าเทพเจ้าแห่งสงคราม
ดังนั้น หินก้อนนี้จึงสําคัญมากสําหรับฉินเฟิง ตลอดเจ็ดปีไม่เคยห่างจากตัวเลย
เก็บดีๆนะ นี่คือสิ่งที่มีค่าที่สุดสําหรับพ่อนอกเหนือจากลูกและแม่ของลูก ฉินเฟิงพูด
ได้ค่ะคุณพ่อ หนูชอบมัน ขอบคุณนะคะ
ฉินกั่วกั่วพยักหน้า ดีใจ
ฉินเฟิง นี่คือสิ่งที่นายเก็บมาจากทะเลทรายโกบีใช่มั้ย? แล้วนายยังจะเอาให้กั่วกั่ว? ช่างน่าสมเพชจริงๆ
เมื่อฟางเย้นเห็นฉินกั่วกั่วกําลังเล่นกับหินก้อนนั้นอย่างมีความสุข และไม่ได้สนใจเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์)ของเขา เขารู้สึกโกรธมาก
ฉินเฟิงหันหน้าไปมองฟางเย้น ดวงตาของเขาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย หินก้อนนี้ผมเก็บมาจากทะเลทรายโกบีจริง แต่ถ้าเทียบกับสร้อยคอที่ต้องแลกกับชีวิตคนเส้นนั้นของคุณ มันดีกว่าหมื่นเท่าเลยล่ะครับ
ประโยคนี้ราวกับก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกลงมาบนผิวทะเลสาบ แล้วทําให้เกิดคลื่นซัดกระเพื่อมขึ้น
ปั๊ว!
จางลี่ตบมือลงบนโต๊ะและพูดอย่างดุดันว่า ฉินเฟิง นายพูดเรื่องไร้สาระอะไร? แลกกับชีวิตคน? นายให้ของขวัญที่ดีไม่ได้ แล้วยังจะมาใส่ร้ายฟางเย้นอีก ช่างต่ำช้าไร้ยางอายจริงๆ
ฉินเฟิง นายมันเลวกว่าที่ฉันคิดไว้เยอะเลย
พ่อของอิ่นซินหันหน้าไปอีกทาง ไม่อยากแม้แต่จะชายตาแลฉินเฟิง
นัยน์ตาของอิ่นซินเต็มไปด้วยความผิดหวัง เธอคิดว่าถึงแม้ฉินเฟิงจะยังไม่ประสบความสําเร็จ ไม่มีรสนิยมก็ยังพอรับได้ แต่คิดไม่ถึงว่ารสนิยมจะแย่ได้ขนาดนี้
ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของขวัญ เธอก็ไม่คิดโทษฉินเฟิง แต่ไม่มีเงินพอที่จะซื้อของขวัญ แล้วยังไปว่าร้ายของขวัญของคนอื่น
คนแบบนี้ เลวจริงๆ
ฮ่าฮ่า ฉินเฟิง นายมันไม่มีเงินจนบ้าไปแล้วเหรอ ตัวเองจน ให้ก้อนหินที่แตกๆนั่นเป็นของขวัญก็ว่าหนักแล้วนะ ยังจะมาหาว่าของขวัญของฉันมีปัญหาอีก
ฟางเหยียนชี้ไปที่ฉินเฟิงและหัวเราะออกมา
วินาทีต่อตัวของเขาแข็งทื่อเพราะฉินเฟิงพูดออกมาว่า ถ้าเป็นของจริงแน่นอนว่ามันบำรุงรักษาพลังระบบประสาทและช่วยในการนอนหลับ แต่ถ้าเป็นของปลอมก็คงจะไม่มีสรรพคุณพวกนี้
ฉินเฟิง นายหมายความว่ายังไง!
ดวงตาของฟางเย้นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก เขาชี้ไปที่ฉินเฟิง นายมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าของชั้นปลอม? สิทธิ์ที่ว่านายไม่สามารถให้ของขวัญที่ราคาแพงแบบนี้ได้น่ะหรอ?
เพชรสีฟ้า (บลูไดมอนด์) หายากที่สุดในตลาด หายากจนไม่มีราคาคงที่ในตลาด ในท้องตลาดทั่วไปจะมองไม่เห็นแม้แต่เงาของมันเลย มีเพียงการประมูลที่มีชื่อเสียงเท่านั้นจึงจะปรากฏ
บริษัท LV ในการประมูลเมื่อปีก่อนใช้เงินสิบล้านซื้อเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) ที่มีรอยร้าวนั้น จากนั้นแยกมันออกเพื่อสร้างแบรนด์ ASD ทั้งหมด 500 แบรนด์ เพชรรุ่นหัวใจสีฟ้าจะมีรอยแตกในแต่ละชิ้น และเพื่อเป็นที่ระลึกถึงเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) ที่มีรอยแตกร้าว และก็เพื่อให้เพชรชุดนี้มีราคาสูงขึ้น เพชรรุ่นหัวใจสีฟ้าจะมีรอยแตกอยู่ระหว่างกลางของแต่ละชิ้น
ขอถามหน่อยว่า เพชรรุ่นหัวใจสีฟ้าของคุณ มีรอยแตกที่ส่วนไหน?
ฉินเฟิงถามฟางเย้นทีละประโยคๆ จนทำให้สีหน้าของฟางเย้นซีดเผือด
พออิ่นซินได้ยินดังนั้น ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและรีบไปตรวจดู แล้วเงยหน้าขึ้นพูดอย่างซับซ้อนว่า นี่เป็นเรื่องจริงค่ะ เพชรรุ่นหัวใจสีฟ้ามีรอยร้าวอยู่ตรงกลาง
บริษัทLV เป็นบริษัทสินค้าหรูชั้นนํา ในด้านนี้ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นอน และสร้อยคอของคุณมีแสงสีฟ้ามากเกินไป แม้แต่เพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) ก็ไม่ใช่ เป็นแค่เพชรสีฟ้าสังเคราะห์เท่านั้น บางทีก็อาจจะแค่สามสิบหยวน
และเพชรสังเคราะห์จะเปลี่ยนสีหลังจากการฉายรังสีเท่านั้น เพชรแบบนี้มีกัมมันตภาพรังสีที่แรงกล้า ถ้าหากสวมใส่ไปนานๆอาจทําให้เกิดอันตรายอย่างมากต่อร่างกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหากสวมใส่บนเด็กอายุหกขวบ ผลที่ตามมาจินตนาการภาพไม่ได้เลย
คุณ มีความแค้นกับลูกสาวผมอย่างนั้นเหรอ?
เมื่อฉินเฟิงพูดจบ ดวงตาของเขาก็ฉายแววดุร้ายออกมา ทำให้ฟางเย้นตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว และก็ล้มลงกับพื้นในที่สุด ส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่า ผมจ่ายเงินไปสามพันเพื่อซื้อมันมา ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอันตราย
คุณ
เมื่ออิ่นซินเห็นว่าฟางเย้นยอมรับแล้ว เธอโกรธมาก ร่างกายของเด็กเดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ถ้าหากป่วยและบวกกับใส่เพชรสีฟ้าสังเคราะห์นั่นอีก
คงตายแน่ๆ!
กั่วกั่วเป็นลูกสาวของเธอ!
ไสหัวไปเลยนะ
แล้วทันใดนั้นอิ่นซินก็ตะโกนด่าฟางเย้น จนฟางเย้นกลัวแล้วรีบวิ่งออกไป ไม่กล้าอยู่ต่อแม้แต่วินาทีเดียว ไม่รู้ว่าทําไม ก่อนหน้านี้ที่ฉินเฟิงถามเขา เขารู้สึกว่าตัวเองหายใจไม่ออกอย่างช้าๆ!
มีเพียงตอนที่เขาหนีออกจากบ้านตระกูลอิ่นเท่านั้น ที่ได้หายใจเข้าลึกๆ
หลังจากที่ฟางเย้นไปแล้ว จางลี่ก็มองไปที่เพชรสีฟ้าสังเคราะห์นั้น เห็นชัดเจนว่าเธอทำตัวไม่ถูกอึดอัดใจ มากไปกว่านั้นเธอคุยโม้โอ้อวดเพชรนี้มาตลอด คิดมาตลอดว่าฟางเย้นจะไปได้ดี แล้วนี่ก็เป็นชายหนุ่มประสบความสําเร็จที่เธอหามาด้วยตัวเอง คิดไม่ถึงว่าจะมาหลอก
จุดนี้สู้ฉินเฟิงไม่ได้เลย
ฉินเฟิง นายอย่าคิดว่าตัวเองรู้เรื่องเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) แล้วจะเก่งมากนะ สําหรับขยะอย่างนายไม่มีทางที่เราจะให้เข้าบ้านได้
จางลี่พูดออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
สีหน้าของอิ่นซินดูซับซ้อน หลายปีมานี้ หลังจากที่ฉินเฟิงจากไป ไม่มีใครรู้ว่าเธอต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ไหน น้อยใจมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้เธอจะไม่ยอมให้อภัยฉินเฟิง
อิ่นหยวนไม่ได้พูดอะไร
บทที่ 7 ของขวัญวันเกิดของกั่วกั่ว
ยังไม่เลิกแล้วค่ะ
อิ่นซินคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วบอกไป
ได้ค่ะคุณผู้หญิง ทางเราจะยกเลิกการจองให้นะคะ
ตู๊ดตู๊ด
สำนักกิจการพลเรือนวางสายโทรศัพท์
อิ่นซินหันกลับไปมองฉินเฟิง เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้นว่า คุณได้ยินชัดเจนแล้วนะ ว่าชั้นพูดว่ายัง วันนี้คุณต้องกลับไปกับฉันก่อน
พูดจบฉินเฟิงก็เดินหน้าต่อไปโดยไม่รอให้ฉินเฟิงตอบกลับ
พูดจบ ยังไม่มีการตอบรับจากฉินเฟิง เธอก็ได้เดินนำหน้าไปแล้ว
ครับ
ฉินเฟิงขานรับ แล้วรีบเดินตามไป
เห็นแค่อิ่นซินไปที่ร้านเค้กและซื้อเค้ก จากนั้นเธอก็ขึ้นรถและกลับบ้าน แน่นอนว่าเธอพาฉินเฟิงมาด้วย เมื่อมาถึงหน้าบ้าน ฉินเฟิงก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า เค้กนี่คือ?
กั่วกั่ววันนี้อายุครบหกขวบแล้ว ทีแรกฉันไม่อยากให้คุณเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าคุณไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อ แต่ในชีวิตของกั่วกั่ว ถึงยังไงก็ต้องการพ่อ แต่ก็วันนี้เท่านั้น
อิ่นซินยังคงทําหน้าเย็นชา แล้วเดินเข้าไปในบ้าน
ไม่ว่าเงินพวกนั้นฉินเฟิงจะเป็นคนเอาไปหรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่หลายปีมานี้ทําให้อิ่นซินไม่สามารถให้อภัยเขาได้ คือการจากไปโดยไม่ร่ำลา
กั่วกั่ว หกขวบแล้ว
ฉินเฟิงตัวสั่นเทา ใช่แล้ว เขาไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อจริงๆ 7 ปีแล้ว ลูกของเขาอายุหกขวบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวันครบเดือน ครบปี งานวันเกิดเขาไม่ได้มีส่วนร่วมเลย
หลังนั้น ฉินเฟิงก็เข้าไปในบ้าน และพบว่าในห้องโถงนอกจากพ่อแม่ของอิ่นซินแล้ว ยังมีฉินกั่วกั่ว และยังมีชายชุดสูทอีกหนึ่งคน ในมือสวมนาฬิกาโรเล็กซ์ ท่าทางดูมีภูมิฐาน
ฉินเฟิง แกยังกล้าเข้ามาอีก
สีหน้าของจางหลี่เปลี่ยนเป็นไม่เป็นมิตรขึ้นมาทันที
อ้อ คุณคือฉินเฟิงเหรอ? ไอ้ขอทานคนนั้นนั่นเอง ผมได้ยินมาว่าเมื่อคืนคุณช่วยตัดสินใจแทนอิ่นซิน ทำให้เสียหุ้นไป 10% คุณยังกล้ากลับมาที่บ้านนี้อีกเหรอ?
ชายในชุดสูทลุกขึ้นแล้วมองไปที่ฉินเฟิงอย่างเหยียดหยาม จากนั้นเขาก็เดินมาหาอิ่นซินแล้วพูดว่า อิ่นซิน ถ้าผมเป็นคุณ ผมจะจัดการหมอนี่แล้วโยนมันออกไปเดี๋ยวนี้เลย ถ้าคุณไม่อยากลงมือ ผมจะช่วยคุณเอง
พอพูดจบเท่านั้น ชายชุดสูทก็ถกแขนเสื้อขึ้นเตรียมจะจัดการฉินเฟิง
ฟางเย้น หยุด
แต่ถูกอิ่นซินห้ามไว้
อิ่นซิน ไอ่คนที่มันจงใจทำให้คุณเสียหุ้นถึง 10% มันคือขยะไม่มีประโยชน์ ไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรแล้ว ไล่มันออกไป หรือไม่ก็แจ้งตํารวจว่าถูกก่อกวนขังมันไว้ได้สักครึ่งเดือน
ฟางเย้นทําหน้าเหยียดหยาม
แล้วอิ่นซินก็พูดว่า ฉันไม่ได้เสียหุ้น 10% ฉันชนะแล้วฉันยังได้เข้าคณะผู้บริหารอีกครั้ง ฉินเฟิงเป็นช่วยฉัน ฉะนั้นวันนี้เขาเป็นแขก
อะไรนะ
พ่อแม่ของอิ่นซินและฟางเย้นตกใจมาก
โดยเฉพาะฟางเย้น เขานั้นมีใจให้อิ่นซินมาโดยตลอด ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าฉินเฟิงเป็นพวกไร้ประโยชน์ คิดไม่ถึงว่าฉินเฟิงจะช่วยอิ่นซินเดิมพันได้สําเร็จ
จากนั้นอิ่นซินก็ได้อธิบายให้พวกเขาฟัง
หลังจากอธิบายเสร็จ ฟางเย้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วมองไปที่ฉินเฟิง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เหอะ อาศัยบารมีของคนอื่นหรือหนี้บุญคุณที่มีต่อกันล่ะ ของแบบนี้ใช้แล้วก็หมดไป แล้วพวกเขาก็จะไม่ช่วยคุณอีก
หนี้บุญคุณที่มีต่อกัน คุณกลับเอามาใช้แบบนี้
ผมก็คิดว่าจะเก่งขนาดไหน ที่แท้ก็ยังคงเป็นพวกไร้ประโยชน์เหมือนเดิม แต่ถ้าเทียบกับเมื่อก่อนแล้วตอนนี้โง่ขึ้นนิดหนึ่ง หนี้บุญคุณที่มีต่อกัน คุณกลับเอามาใช้แบบนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงกลายเป็นไอ้ขอทาน
จางหลี่ฟังจบ ก็ยิ่งดูถูกฉินเฟิงมากขึ้นไปอีก
คนโง่ยังรู้เลยว่าหนี้บุญคุณที่มีต่อกันนั้นมีค่าขนาดไหน แต่ฉินเฟิงนี่มันช่างโง่จริงๆ
เฮ้อ
พ่อของอิ่นซินฟังจบถึงกับลูบหน้าผากตัวเอง
มีเพียงอิ่นซินเท่านั้นที่ไม่ได้พูดอะไร เพราะเธอรู้ว่าฉินเฟิงใช้หนี้บุญคุณนี้ก็เพราะเรื่องเมื่อวานนี้
อิ่นซินรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูกเมื่อคิดถึงเรื่องนี้
เสียดายที่มันดูโง่มาก
กั่วกั่ว ออกมาฉลองวันเกิดค่ะลูก
ในตอนนี้ อิ่นซินกวาดตามองทั่วห้องโถงแต่กลับไม่เจอฉินกั่วกั่ว เธอจึงเคาะประตูแต่ไม่มีเสียงตอบรับ จากนั้นอิ่นซินก็เดินเข้าไปในห้อง แล้วก็มีเสียงร้องไห้ดังออกมา แม่คะ การที่กั่วกั่วจะเจอพ่อไม่ง่ายเลย พ่อกับแม่ไม่ต้องหย่า ได้ไหมคะ?
หลังจากนั้นไม่นานเสียงร้องไห้ก็หายไป
อิ่นซินพาฉินกั่วกั่วออกมา เด็กหญิงตัวเล็กๆในชุดสีชมพูกระโปรงเก่า ตาของเธอแดงเล็กน้อย แต่เมื่อเธอเห็นฉินเฟิง ก็ได้วิ่งเข้าใส่อ้อมกอดของฉินเฟิง พ่อ กั่วกั่วคิดถึงพ่อมากเลย ฮือฮือฮือฮือฮือฮือ
พ่อก็คิดถึงลูก
ดวงตาของฉินเฟิงอ่อนยวบ เขาลูบผมของลูกสาวและสัมผัสได้ถึงความนุ่มนวลที่สุดในใจเขา
ให้ตายเถอะ
ฟางเย้นมองไปข้างๆ ดวงตาของเขาลุกโชนด้วยความโกรธ เขาตามจีบอิ่นซินมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้เอาใจฉินกั่วกั่ว และซื้อโน่นซื้อนี่ให้แต่ฉินกั่วกั่วไม่เคยรับของจากเขาเลย ไม่สนใจเขาเลยด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้อยู่ต่อหน้าฉินเฟิง ฉินกั่วกั่วยัยเด็กบ้านั่นกลับกระตือรือร้นสุดๆ
พอแล้ว พอแล้ว กินเค้กเร็ว
อิ่นซินพูดขึ้น แล้วทุกคนก็มากินเค้กด้วยกัน ในขณะที่กําลังขอพรฉินกั่วกั่วก็พูดว่า หนูขอให้พ่อกับแม่อยู่ด้วยกันตลอดไป นี่คือพรที่หนูขอค่ะ
เมื่อพูดประโยคนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
พ่อแม่ของอิ่นซิน สีหน้าดูไม่เป็นธรรมชาติ
ฟางเย้นมีใบหน้าที่ดูน่ากลัวอยู่ลึกๆ ถ้าอิ่นซินกับฉินเฟิงคืนดีกันจริงๆ แล้วเขาจะทํายังไง แต่แล้วเขาก็ต้องเก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้
หลังจากกินเค้กเสร็จ ฟางเย้นก็หยิบกล่องของขวัญเล็กๆออกมา และพูดกับฉินกั่วกั่วว่า กั่วกั่ว นี่คือของขวัญที่ลุงให้หนูค่ะ
พูดจบเขาก็เปิดมันออก ทันใดนั้นก็มีแสงสีฟ้าก็กระจายออกมา
นี่คือ? เพชรสีฟ้า (บลูไดมอนด์) !
จางลี่มองไปที่กล่องของขวัญนั้น แล้วเธอก็เอามือปิดปากตัวเองทันที รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะบนสร้อยคอน้อยๆนั้นมีเม็ดเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) เล็กๆอยู่ ถึงแม้ขนาดจะเล็ก แต่เพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) มีมูลค่าสูง มากกว่าสิบเท่าของเพชรธรรมดา
คุณป้าพูดถูกครับ นี่คือเพชรสีฟ้า(บลูไดมอนด์) เปิดตัวโดยบริษัท LV สุดหรูแบรนด์ ASD สร้อยคอแต่ละเส้นมีสรรพคุณในการบำรุงรักษาพลังระบบประสาทและช่วยให้นอนหลับครับ
ฟางเย้นพูดอย่างภูมิใจ
ฉันรู้จักรุ่นนี้ ได้ยินมาว่าแต่ละเส้นราคามากกว่าหกแสน ฟางเย้นคุณช่างเป็นคนใส่ใจรายละเอียดดีจังเลย อิ่นซินดูสิฟางเย้นเขากลับมาจากการเรียนต่อที่ต่างประเทศ จบการศึกษาระดับปริญญาโท ประสบความสําเร็จในหน้าที่การงาน มีสองถึงสามบริษัท แล้วยังเป็นทายาทของบริษัทฟางซื่อกรุ๊ป มันไม่ดีกว่าไอ้คนขยะที่อยู่ข้างๆลูกเหรอ?
นัยน์ตาของจางลี่เป็นประกาย เธอไม่ได้สนใจความรู้สึกของฉินเฟิงแม้แต่น้อย คำก็ขยะสองคำก็ขยะ แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากได้ฟางเย้นเป็นลูกเขย เธอได้ตัดสินใจแล้ว
ฉินเฟิง ของขวัญที่จะให้กั่วกั่วล่ะ อย่าบอกว่าไม่ได้เตรียมนะ หรือว่าไม่มีเงินที่จะเตรียมของขวัญ
ฟางเย้นมองไปที่ฉินเฟิงด้วยสายตาที่เยาะเย้ย
เขาจะหาของขวัญดีๆอะไรได้ เป็นแค่ขอทานจนๆคนหนึ่งไม่มีอะไรเลย ไร้ประโยชน์ ยังจะซื้อของขวัญ เขาจะมีเงินซื้อของขวัญราคาแพงๆอย่างนั้นเหรอ
จางลี่พูดกับฟางเย้น
ฉินเฟิงควานหาเชือกสีแดงที่คอของเขา แล้วถอดมันออกมาให้กับฉินกั่วกั่ว
กั่วกั่ว เชือกเส้นนี้ เคยกันกระสุนไม่ทำให้พ่อถูกยิงได้
บทที่ 6 ยกเลิกกิจการ ชั่วคราว
ประธานหลี่…….หลี่เทียนเฉิง
อิ่นป่ายมองหลี่เทียนเฉิงที่คุกเข่าให้กับอิ่นซินด้วยใบหน้าที่ร้องไห้
เขาไม่อยากจะเชื่อเลย
นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย?
หลี่เทียนเฉิงเป็นถึงประธานใหญ่ของบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ป บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปไม่ได้ใหญ่มากในเมืองเจียงเฉิง แต่ถ้าเทียบกับบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแล้ว ขนาดของมันใหญ่กว่าห้าถึงหกเท่า แต่เพราะมีประธานแบบนี้ ตอนนี้เลยต้องคุกเข่าต่อหน้าผู้หญิงอย่างอิ่นซิน ร้องไห้และขอให้อิ่นซินเซ็นสัญญาเงินทุน
สามร้อยล้านไม่เพียงพอ บริษัทของพวกเขาต้องเพิ่มอีก!
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ไม่ใช่แค่คนของคณะผู้บริหารเท่านั้นที่งง รวมถึงอิ่นซินด้วย เธอรู้จุดยืนของประธานหลี่คนนี้เป็นอย่างดี รวมถึงการแสดงออกที่เย่อหยิ่งเมื่อวาน แต่มาวันนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ประธานหลี่ คุณทำอะไรคะเนี่ย รีบลุกขึ้นเถอะค่ะพื้นมันเย็น
อิ่นป่ายรีบเข้ามาเพื่อที่จะพยุงหลี่เทียนเฉิง แต่กลับถูกหลี่เทียนเฉิงสะบัดแขนออกอย่างแรง จากนั้นก็ถลึงตาใส่อิ่นป่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย ไอ้สารเลว ถ้าไม่ใช่เพราะแกต้องร่วมมือกับฉัน ฉันก็ไม่ต้องมาถึงจุดนี้หรอก!
เกิดอะไรขึ้น?
อิ่นป่ายรู้สึกงงงวย
นี่เกิดอะไรขึ้น นายไม่รู้เลยเหรอ? ตั้งแต่เช้าหุ้นบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปของเราถูกกดโดยสมาคมที่ลับๆ ฝั่งนั้นเขามีกําลังทรัพย์ค่อนข้างสูง ยินดีที่จะชดใช้ แล้วยังทำให้ราคาหุ้นของเราร่วงถึง 12 จุด เพียงแค่สามชั่วโมงเช้านี้เราก็สูญเสียถึงสามร้อยล้าน และเพิ่มขึ้นทุกวินาที
จากนั้น เว็บไซต์ทางการของบริษัทก็ถูกแฮ็กจํานวนมาก ทําให้โฮสล่มใช้งานไม่ได้ ทุกอย่างในห้างสรรพสินค้าที่ขายตอนนี้ราคาทั้งหมดคือหนึ่งหยวน ภายในไม่กี่นาก็มีการสั่งซื้อหลายพันรายการ ขายขาดทุนไปห้าร้อยล้าน
อีกอย่าง มีหลายบริษัทที่เราได้เจรจาพูดคุยว่าจะร่วมมือกันแล้ว เหลือเพียงแค่เซ็นสัญญาเท่านั้น วันนี้โทรมาบอกว่าจะปฏิเสธการทำสัญญา และบอกว่าฉันไปยั่วโมโหใครเข้าให้แล้ว และจะเอาสัญญาเงินทุนไปขอโทษอิ่นซิน
นายบอกสิว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันกำลังจะล้มละลายแล้ว
หลี่เทียนเฉิงตะโกนใส่อิ่นป่าย ถ้าไม่ใช่เพราะอิ่นป่าย เขาก็คงจะไม่ล่วงเกินอิ่นซิน ทําให้บริษัทกลายเป็นแบบนี้
หลังด่าจบ ก็หันกลับมาพูดกับอิ่นซินทันทีว่า คุณนาย…คุณอิ่น เมื่อวานเป็นความผิดของผมเอง ผมเองที่ทำตัวไม่ดี สมควรโดนสั่งสอน สัญญาฉบับนี้ ขอร้องล่ะคุณช่วยเซ็นหน่อยเถอะ เงินทุนของบริษัทหมุนไม่ทันจริงๆ ผมให้คุณก่อนสามร้อยล้าน ส่วนที่เหลือผมจะค่อยๆทยอยโอนคืนให้
เขาพูดไปด้วย ตบหน้าตัวเองไปด้วย
……
ทุกคนตกตะลึง
บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปกําลังจะล้มละลาย?
เพราะว่าไปล่วงเกินอิ่นซิน?
อิ่นซินมีอำนาจมากขนาดนั้นเลยเหรอ?
สามารถทำให้คนอย่างหลี่เทียนเฉิงที่หยิ่งยโสอย่างนั้นเอาสัญญาให้อิ่นซินด้วยตัวเอง แล้วยังเพิ่มราคาขึ้นอีกสองร้อยล้าน สามร้อยล้าน ห้าร้อยล้าน ราวกับว่าเงินเป็นเพียงแค่กระดาษ
ต้องรู้ว่า ในตอนที่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปอยู่จุดสูงสุด ก็มีเงินรวมเพียงห้าร้อยล้านเท่านั้น
เหลือก็แค่สามร้อยล้าน อัดฉีดสามล้านทันทีที่มา ทําให้พวกเขานั้นตกใจมาก
อย่างไรก็ตาม อิ่นซินคือคนที่ตะลึงมากที่สุดในเวลานี้ เธอยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเธอก็มองไปที่ฉินเฟิง
ไม่ใช่ผม
ฉินเฟิงส่ายหัว
ก็ใช่ คนอย่างคุณคงไม่มีความสามารถขนาดนี้หรอก เหอะ
อิ่นซินหันหลัง ความหวังที่อยู่ในใจของเธอหายไปอีกครั้ง ในความเป็นจริงเธอก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ทําไมเธอถึงไม่อยากให้ผู้ชายของตัวเองเป็นวีรบุรุษล่ะ
เมื่อเห็นหลี่เทียนเฉิงที่ร้องไห้อย่างนั้น ในที่สุดอิ่นซินก็เซ็นสัญญา
ขอบคุณครับคุณนาย ขอบคุณครับคุณอิ่น
หลี่เทียนเฉิงยังคงขอบคุณอิ่นซินอยู่อย่างนี้ ทําให้หยินซินรู้สึกไม่ชิน ในความคิดของเธอ หลี่เทียนเฉิงน่าจะคนที่มีบอดี้การ์ดคอยปกป้อง สวมเสื้อผ้าหลายสิบล้าน เป็นประธานหลี่ผู้ยิ่งใหญ่
หลังจากที่เซ็นสัญญา อิ่นซินก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที นึกถึงการเดิมพันที่ฉินเฟิงเคยช่วยเธอไว้ เธอจับใบสัญญาแล้วมองไปที่ปู่ของเธอ ปู่คะ หนูจะเซ็นสัญญาแล้วนะ
ปู่ของอิ่นซินดูแข็งทื่อ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า ซินอื๋อ เป็นลูกผู้หญิงกุลสตรี ทําไมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยล่ะ
คุณปู่คะ คนเราต้องมีสัจจะนะคะ โดยเฉพาะหัวหน้าครอบครัวอย่างคุณปู่ ผู้อาวุโสของ ‘คุณธรรมและบารมีสูงส่ง’
ฉินเฟิงเน้นคำว่า ‘คุณธรรมและบารมีสูงส่ง’ อย่างหนักแน่น
เหอะ ฉินเฟิง ชั้นยังไม่ยอมรับในตัวนาย นายอย่ามาเรียกชั้นว่าปู่
สุดท้าย คุณปู่ของอิ่นซินก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไป สําหรับการเดิมพันนั้น จะไม่ยอมก็คงจะไม่ได้แล้ว เพราะตอนนั้นเธอกลัวว่าอิ่นซินจะไม่ยอมรับ จึงเรียกคนมากมายมาเป็นพยาน
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องขายขี้หน้า
ทำตัวเองแท้ๆ
ถือว่าแกโชคดี แต่ก็ไม่รู้ว่าใครที่มันกำลังช่วยแกอยู่
อิ่นป่ายมองอิ่นซินอย่างจับผิด แล้วก็เดินจากไป
สุดท้ายอิ่นซินก็เดินออกไปอย่างมีความสุข เมื่อ 7 ปีก่อนเธอถูกถีบให้ออกจากคณะผู้บริหาร คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้กลับไปที่คณะผู้บริหารอีกครั้ง ด้วยวิธีที่น่าประหลาดใจแบบนี้
ระหว่างเดินอยู่บนถนนอิ่นซินก็คิดแล้วคิดอีก ในที่สุดอิ่นซินก็หันไปมองฉินเฟิงที่เดินตามหลังเธอ ขมวดคิ้วแล้วถามว่า คุณเป็นคนทําใช่ไหม?
ใช่ แต่ผมไม่ใช่ลงมือเอง หลายปีมานี้ผมไปเป็นทหาร แล้วได้ช่วยคนรวยเอาไว้คนหนึ่ง ที่เขาทำวันนี้ก็เพื่อที่จะตอบแทนผม ฉินเฟิงพูด
คุณไปเป็นทหาร? ทำไมถึงไปเป็นทหาร?
หยินซินตั้งคําถามกับฉินเฟิง
เพื่อที่ผมจะได้ดูเหมาะสมกับคุณไง
คําพูดนั้นทําให้หัวใจของอิ่นซินสั่นสะท้าน แล้วเธอก็นึกถึงค่าสินสอด และเงินหนึ่งแสนที่ฉินเฟิงยืมแม่ของเธอ หลังจากนั้นเธอก็รู้สึกอึดอัดมาก แล้วถามขึ้นว่า แล้วเงินหนึ่งแสนที่คุณยืมแม่ฉันล่ะ? คุณกล้าพูดไหมว่าคุณไม่ได้เอาเงินแล้วหนีไป?
เงิน? เงินอะไร?
ฉินเฟิงรู้สึกงงๆ
ก็วันที่คุณไป คุณเอาค่าสินสอดทองหมั้นและบัตรเอทีเอ็มของฉันไปหมดเลย แล้วยังยืมเงินหนึ่งแสนจากแม่ของฉันด้วย
อิ่นซินหยุดพูดแล้วมองเขม็งไปที่ฉินเฟิง นี่คือสิ่งที่เธอโกรธที่สุดตลอด 7 ปีที่ผ่านมา และก็เป็นเหตุผลที่เธอคิดว่าฉินเฟิงเป็นคนเลว
ไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน ผมไปตัวเปล่า ไม่ได้เอาอะไรไปเลย
จริงเหรอ
จริงสิ
คุณสาบานสิ
ผมฉินเฟิงสาบานว่า ถ้าในตอนนั้นผมได้เอาค่าสินสอดทองหมั้น บัตรเอทีเอ็ม และยังถามยืมเงินหนึ่งแสนจากแม่ของคุณ ขอให้ผมไม่ตายดี…
หลังจากได้ฟังฉินเฟิงพูดจบ อิ่นซินก็เงียบไป ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์สายหนึ่งก็เข้ามา แล้วอิ่นซินก็ได้รับสาย สวัสดีค่ะคุณผู้หญิง การจดทะเบียนหย่าของคุณ สำนักกิจการพลเรือนได้รับการจองเรียบร้อยแล้ว เวลา 6โมงเย็นของวันนี้ขอให้คุณ…….
บทที่5 สัญญาทุนสนับสนุนมาแล้ว สามร้อยล้านพอหรือไม่
วันที่สอง
ในห้องของอิ่นซิน เธอค้นสมุดสีแดงออกมาเล่มหนึ่งเป็นทะเบียนสมรส
ฉินเฟิงเจ็ดปีก่อนคุณไปไม่บอกลา มาวันนี้อย่าหาว่าฉันใจร้ายละกัน
น้ำเสียงของอิ่นซินแสนเยือกเย็นจับทะเบียนสมรสไว้และตัดสินใจว่าหลังเลิกงานของวันนี้ เธอจะไปหย่ากับฉินเฟิง
แม่คะ กั่วกั่ว…..
ฉินกั่วกั่วเดินมาเธอสวมชุดกระโปรงน้ำตาคลอมองไปที่ทะเบียนสมรส น้ำตาของเธอรินไหลพลางพูด แม่คะ กั่วกั่วเพิ่งมีพ่อ
พ่อหนูตายไปนานแล้ว
อิ่นซินเห็นสภาพกั่วกั่วก็ใจอ่อนขึ้นมา แต่เพื่ออนาคตของพวกเขาไม่ควรมีความสัมพันธ์กับคนห่วยๆแบบนั้นแล้ว ทันใดนั้นก็อุ้มฉินกั่วกั่วออกจากบ้าน
เมื่อไปถึงบริษัทก็เห็นป้ายของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปตรงประตูแววตามีแสงระลึกถึงความหลังเปล่งออกมา เพราะบริษัทนี้เธอเป็นคนค่อยๆก่อตั้งมาเองกับมือ
ฉินเฟิง คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง!
เวลานี้ จู่ๆอิ่นซินก็เห็นร่างที่ยืนตรงอยู่ที่ประตู
ร่างนั้นเธอรู้จักคือฉินเฟิง
รอคุณไง ฉินเฟิงอมยิ้ม
รอฉัน? คุณใจดีถึงขั้นที่รอฉันเลยเหรอ? เหอะ คุณรับสินบนจากหัวหน้าตระกูลวันนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุมายอมรับผลลัพธ์กันเถอะ เมื่อฉันโอนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ไปงั้นคุณก็ควรโอนเงินค้างชำระงวดสุดท้ายมาให้ฉัน
อิ่นซินยิ่งคิดสีหน้ายิ่งไม่ดี
ไม่ใช่ ผมกับพวกนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ฉินเฟิงส่ายหัว
แต่อิ่นซินกลับไม่เชื่อ เหอะ งั้นคุณก็มีจุดประสงค์ที่สองสินะที่มาวันนี้เพื่อดูเรื่องตลกของฉันสินะ โอเคฉันจะทำให้คุณพอใจ ถ้าวันนี้เจรจาเรื่องเสร็จเราไปสำนักกิจการพลเรือนเพื่อหย่ากันเถอะฉันนัดเอาไว้แล้ว
ไม่ใช่ คุณฟังผมอธิบายก่อน
ฉินเฟิงเพิ่งพูดไปได้สองคำ อิ่นซินก็เดินจากไปพร้อมรองเท้าส้นสูงอย่างไวพร้อมกับความเย็นชาและหันกลับมาพูดประโยคนึง อย่าหลงทางล่ะ ฉันไม่อยากรออีกวัน
สำหรับคนห่วยๆอย่างฉินเฟิง อิ่นซินอยากจะหย่าด้วยตอนนี้เลย
ฉินเฟิงรีบตามไปยังไงก็เป็นตั้งเทพแห่งสงครามของประเทศต้าหัว แม้แต่ผู้หญิงคนเดียวก็ยังตามไม่ทัน โชคดีที่ห่างกันเพียงเมตรเดียวไม่เกินหรือไม่น้อยไปกว่าครึ่งนิ้ว
เมื่อเข้ามาถึงห้องประชุมคณะกรรมการ ตอนนี้ห้องประชุมเต็มไปด้วยผู้คนชายชราหัวงอกนั่งอยู่ตำแหน่งหลักแต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวา เขามองไปที่อิ่นซินที่เดินเข้ามาและค่อยๆลืมตามองไปที่ฉินเฟิงพลางเอ่ยปากพูด ที่แท้ก็แกนั่นเองคนขอทาน กลับมาจริงๆเหรอ?
สายตาแฝงความดูถูก
คุณปู่
เมื่ออิ่นซินได้ยินน้ำเสียงนี้ก็ขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะยังไงฉินเฟิงก็ยังเป็นสามีของเธอตามกฎหมาย
อิ่นซินแกจะโกรธทำไม พวกเรากำลังช่วยเธอระบายอารมณ์หมอนี่มันทำร่างกายเธอแปดเปื้อน จากนั้นเจ็ดปีก่อนไปก็ไปไม่กล่าวลาปล่อยให้เธอท้อง หลายปีมานี้ลูกไม่มีพ่อมาตลอดสารเลวแบบนี้มีค่าอะไรให้โมโหแทน?
อิ่นป่ายเดินออกมาในนามของอิ่นซินและหยิบประเด็นนี้ออกมาพูดในห้องประชุม เมื่อผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ได้ยินก็หัวเราะเยาะในใจ
เรื่องนั้นเป็นเรื่องเจ็บปวดใจของอิ่นซิน
พอแล้ว คนไร้ประโยชน์แบบนี้ไม่มีค่าที่จะหยิบออกมาพูด ที่ตามมาวันนี้เพราะมาเป็นพยานพูดเรื่องของเมื่อวานต่อดีกว่า
ปู่ของอิ่นซินโบกมือ ให้พวกเขากลับไปคุยเรื่องของเมื่อวาน
เมื่อวานอิ่นซินได้ตอบตกลงกับพวกเราแล้ว และเดิมพันไว้ว่าวันนี้จะมีเจ้านายคนไหนนำสัญญาลงทุนสนับสนุนมาไหม ถ้าไม่มีงั้นอิ่นซินต้องคืนหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์แก่ตระกูล
อิ่นป่ายยืนขึ้นและกล่าวด้วยความตื่นเต้น
ที่แท้อิ่นซินก็เป็นคนใจกว้างนี่เอง ฉันยังคิดว่าตายยังไงเธอก็คงไม่ให้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์แก่บริษัทแต่ไม่คิดว่าวันนี้เหมือนให้ฟรี ฮ่าๆ
อิ่นซินเธอคิดยังไง เดิมทีหัวหน้าตระกูลจะซื้อหุ้นนี้ด้วยราคาสูงแต่เธอกลับบอกว่านี่คือสิ่งที่เธอเหลือไว้ให้บริษัทซานหยวนกรุ๊ป และไม่เต็มใจที่จะขายมัน แต่วันนี้เธอกลับให้ฟรี
ที่แท้อิ่นซินทำเพื่อหัวหน้าตระกูลนี่เอง เมื่อก่อนฉันเข้าใจผิดสินะ
คนในห้องประชุมหัวเราะออกมา
พวกเขารู้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นี้สำคัญกับอิ่นซินแค่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้น คนในบริษัทบางคนรู้เรื่องราวภายในและรู้ว่าวันนี้คงไม่มีใครเอาสัญญาลงทุนสนับสนุนมาส่ง
แก!
อิ่นซินตัวสั่นสายตามองไปที่ฉินเฟิงที่อยู่ด้านหลังเธอด้วยความรังเกียจ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิงเธอคงไม่ต้องเอาสิ่งนี้มาเดิมพัน
จากนั้นก็ทำให้เธอประหลาดใจ ฉินเฟิงก้าวไปข้างหน้ากวาดสายตามองพลางพูด อิ่นป่ายยังมีอีกเรื่องที่นายไม่ได้พูด ก็คือถ้าวันนี้มีสัญญาลงทุนสนับสนุนจริงจะทำยังไง?
หะ? มีสัญญาลงทุนสนับสนุน
อิ่นป่ายยิ้มอย่างเยือกเย็นก่อนจะพูดต่อ ถ้าเกิดว่ามีจริงงั้นอิ่นซินก็จะได้กลับสู่ตำแหน่งคณะกรรมการ แต่ทว่าพวกคุณคิดว่าวันนี้จะมีสัญญาลงทุนไหม?
อันที่จริงกองทุนของพวกเรานั้นมีช่องโหว่ขนาดใหญ่เกินไป ต้องการทุนสามร้อยล้านจึงจะสามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ แต่ตอนนี้เมืองเจียงเฉิงไม่มีใครอยากลงทุนกับเรา
ฉันที่เป็นผู้จัดการฝ่ายรัฐมนตรีรับผิดชอบในส่วนเจรจาหารือ เมื่อเอ่ยถึงเรื่องลงทุนสนับสนุนไม่มีบริษัทไหนเต็มใจ ทุกคนต่างหลีกเลี่ยงวันนี้เกรงว่าคงยากอีกแล้ว
ไม่ใช่ว่ายากอีกแล้วแต่มันแน่นอน แต่ว่าเรายังมีอีกเจ้านึง บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปเต็มใจสนับสนุนเราแต่ประธานบริษัทชิ่งหยางหลี่เทียนเฉิงอยากรับเลี้ยงฉินกั่วกั่วเป็นลูกสาว แต่ไม่ว่ายังไงอิ่นซินก็ไม่เต็มใจ เมื่อวานปฏิเสธประธานหลี่ไปนี่มันผลักบริษัทเราลงหลุมไฟชัดๆ โชคดีที่ตอนนั้นบีบเธอออกจากคณะกรรมการ
ทุกคนเจราจาเรื่องนี้ เดิมทีอิ่นซินเป็นผู้บริหารบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นพวกเขาก็บีบอิ่นซินออกจากตำแหน่ง
อิ่นซิน อย่าหาว่าปู่รังแกแกเลย แกไม่เหมาะที่จะบริหารบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ปู่ของอิ่นซินเหล่ตาและพูดเหมือนที่คนแก่พูด
อิ่นซินสั่นไปทั้งตัว บริษัทซานหยวนกรุ๊ปที่เธอก่อตั้งมา ในวันนี้มาบอกว่าเธอนั้นไม่เหมาะที่จะบริหารบริษัทนี้!
อิ่นซิน วันนี้เธอก็หยุดฝันเถอะ ไม่มีบริษัทไหนมาหรอก จุดนี้ฉันมั่นใจมากไม่มีไอ่โง่คนไหนเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาของบริษัทเราหรอก….
อิ่นป่ายยิ้มแต่ยังไม่ทันพูดจบ
ทันใดนั้น ก็ร่างหนึ่งก็วิ่งเข้ามาจากประตูโดยถือสัญญาอยู่ในมือ เสียงป๋อมแป๋มและคุกเข่าต่อหน้าอิ่นซิน คุณหนู…..อิ่น…คุณผู้หญิง… ปล่อยบริษัทของเราไป … ได้โปรด … นี่คือสัญญา…ทุนสนับสนุน… สามร้อยล้าน … ถ้าไม่พอ …ฉันสามารถเพิ่มให้ได้ …
คำพูดนั้นสั่นสะท้านด้วยความกลัวเล็กน้อย
และเมื่อตระกูลอิ่นพบว่าร่างนั้นเป็นใคร พวกเขาจึงตกตะลึงกัน
บทที่4 ผมเป็นสามีของอิ่นซิน
แก? เหอะ แกมันแค่ขอทาน เอาอะไรมาจัดการ? หรือว่าแกจะไปอ้อนวอนประธานหลี่
อิ่นป่ายหัวเราะพลางพูด
อ้อนวอนผมเหรอ ผมไม่เต็มใจหรอกแต่ถ้าคุณสามารถคลานจากเป้ากางเกงผมได้และเรียกผมว่าพ่อ ผมอาจจะพิจารณาดู
สายตาหลี่เทียนเฉิงติดตลกหน่อยๆ
ได้ดูถูกสามีของอิ่นซิน ถือว่าเป็นเรื่องที่สมหวังมาก
ผมเป็น….ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงผมจะเอาสัญญาทุนสนับสนุนมาให้เซ็น ฉินเฟิงคิดก่อนพูด
เขาไม่ได้พูดออกไปว่าตัวเองเป็นนายพลและยังเป็นเทพแห่งสงครามของประเทศต้าหัว
เพราะมันฟังดูเหลือเชื่อเกินไป
อิ่นซินคงไม่เชื่อ บางทีเธออาจจะต้องบอกลูกสาวของตัวเองว่าพ่อของเธอเป็นคนขี้โกหก ดังนั้นจึงต้องให้เวลากับอิ่นซิน
รอวันที่อิ่นซินสามารถรับได้ ตัวเองค่อยแสดงตัวตน
ตกลง แกเป็นสามีของอิ่นซินแกมีสิทธิ์ตัดสินใจแทนอิ่นซิน งั้นเอาตามนี้ แต่ว่าท่านปู่เคยบอกแล้วว่าถ้ารอบนี้รับมือไม่ได้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายในบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของอิ่นซินต้องคืนกลับให้ตระกูล
เดิมทีอิ่นป่ายอยากหัวเราะใส่ฉินเฟิงแต่เมื่อกลอกตาก็นึกถึงเรื่องนี้ทันที รีบพูดคำพูดของท่านปู่ด้วยความไวเพื่อเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้าย
แก!
อิ่นซินก้าวไปข้างหน้าอย่างรีบร้อน
แต่อิ่นป่ายรีบพูดขึ้นมา อิ่นซิน ฉินเฟิงเป็นสามีถูกกฎหมายของแกนี่เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ เขามีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจแทนแก ตามนี้นะถ้าทำไม่สำเร็จหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของแกต้องคืนกลับให้ตระกูล
พูดจบ อิ่นป่ายไม่อยากอยู่นาน จึงรีบเตรียมตัวจากไปแต่ก่อนจะไปมีมือข้างนึงได้แตะไว้บนไหล่ของเขาเป็นฉินเฟิงพลางกล่าวขึ้น ถ้าสำเร็จล่ะ?
งั้น….อิ่นซินก็สามารถครองตำแหน่งคณะกรรมการได้
อิ่นป่ายยิ้มและกล่าว
คณะกรรมการกลายเป็นสิทธิ์ศูนย์กลางของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปไปแล้ว ได้เข้าไปที่คณะกรรมการก็ถือว่าได้เข้าไปศูนย์กลางใจของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป แต่ว่าถ้าอยากเข้าไปมันไม่ง่ายขนาดนั้น ในเมืองเจียงเฉิงมีคนไม่มากที่ต้องการจัดการปัญหานี้ของบริษัทซานหยวนกรุ๊ป
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาเคยทักทายกัน
โอเค
ฉินเฟิงตอบตกลง
ทันใดนั้นอิ่นป่ายยิ้มพลางจากไปจากวิลล่านี้พร้อมหลี่เทียนเฉิง ไม่เพียงแค่บรรลุจุดประสงค์แต่ยังได้กำไรเพิ่มอีก
หลังจากที่พวกเขาจากไปกันหมดแล้ว อิ่นซินเดินไปตรงหน้าของคนไม่รู้จักแพ้และใช้สายตาจ้องเขม็งคนไม่รู้จักแพ้ คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจแทนฉัน คุณคิดว่าคุณเป็นใคร! คุณรู้ไหมสิบเปอร์เซ็นต์สุดท้ายนั้นมันสำคัญกับฉันมากแค่ไหน? คุณไม่รู้ คุณไม่เคยรู้อะไรเลย!
ตอนนั้นเธอก่อตั้งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปด้วยน้ำมือตัวเอง เธอเป็นประธานมีหุ้นหกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากเกิดเรื่องนั้นตระกูลยึดบริษัทไปและเหลือหุ้นไว้ให้เธอแค่สิบเปอร์เซ็นต์
นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอเหลือ!
สำคัญมาก
สำคัญมากจริงๆ
ฉินเฟิง คุณไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจแทนฉัน พรุ่งนี้ไปหย่ากัน! ตอนนี้ไสหัวไปซะ!
น้ำเสียงโผงผาง อิ่นซินชี้ไปที่ประตู สั่งให้ฉินเฟิงไสหัวไป
เสี่ยวซิน ผม….
ไสหัวไป!
อิ่นซินไม่ให้ฉินเฟิงมีโอกาสอธิบาย
ฉินเฟิงแกมันแค่ขอทานคนนึงยังทำพูดคำใหญ่คำโตหน้าไม่อาย อีกอย่างแกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้นมันสำคัญกับพวกเรามากแค่ไหน อาหารการกินเสื้อผ้าที่ใส่การใช้จ่ายของครอบครัวเราอยู่ในหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นั้นหมด ไม่คิดว่าแกจะสมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าตระกูลและกลืนกินหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์นี้ไป
ครอบครัวเรานี่มันซวยจริง ที่เจอคนเนรคุณอย่างแก
จางลี่ที่อยู่อีกข้าง ก็มองฉินเฟิงอย่างไม่พอใจ
พูดมาเถอะ หัวหน้าตระกูลให้เงินแกมาเท่าไหร่จนมันทำให้แกตอบตกลงเรื่องนี้
พ่อของอิ่นซินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าผากย่นขึ้นมา ยิ่งมองฉินเฟิงยิ่งรังเกียจ
ที่แท้คุณก็เป็นคนสมรู้ร่วมคิดกับหัวหน้าตระกูลงั้นเหรอ
ครั้งนี้สายตาที่อิ่นซินก็เริ่มรังเกียจขึ้นมา หัวหน้าตระกูลยิ่งอยากได้หุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ในมือของเธอจะได้ควบคุมบริษัทซานหยวนได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้เธอล้มละลายไม่มีโอกาสฟื้นฟู
ไสหัวไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ
อิ่นซินชี้ไปที่ประตู
พรุ่งนี้ผมจะเข้าบริษัท
ฉินเฟิงรู้ว่าอธิบายตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงจากไป
ฉินกั่วกั่วอยากตามฉินเฟิงไป แต่กลับถูกอิ่นซินดึงมือไว้มือเล็กๆของฉินกั่วกั่วชี้ไปที่ฉินเฟิงที่อยู่ด้านนอก ปรารถนาเล็กน้อย แม่ แม่ พ่อเขา……
หนูไม่มีพ่อ พ่อของหนูตายไปแล้ว
อิ่นซินลากฉินกั่วกั่วเข้ามาในห้องประตูปิดเสียงดังปึ๊ง ชั่วพริบตาน้ำตาอุ่นๆก็เริ่มรินไหลพลางพูด ฉันรู้แต่แรกแล้วว่าหมอนี่มันห่วย ฉันยังจะหวังอะไรอีก
เธอเป็นประธานหญิงคนนึงแต่ก็เป็นผู้หญิงที่อ่อนแอ หลายปีมานี้เธอทนลำบากมามาก คิดว่าตลอดว่าสักวันนึงฉินเฟิงกลับมา จะต้องกลับมาช่วยเธอ
แต่วันนี้ เธอยอมแพ้แล้ว
คนห่วยก็คือคนห่วย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
………
บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ห้องทำงานระดับสูง
เฟิงซิ่ง
ฉินเฟิงยืนอยู่ห้องทำงานมือไขว้หลังมองดู ‘เฟิงซิ่ง’ สองพยางค์ที่ดูมีชีวิตชีวาอย่างนิ่งๆ เฟิงคือฉินเฟิง ส่วนซิ่งมีชื่อว่าหลี่ซิ่งเย่เป็นชื่อของแม่ของเขา
ย้อนกลับไปทีละนิดในตอนนั้น พวกเขาถูกไล่ออกจากตระกูลฉินและยังถูกริดรอนทรัพย์สินทั้งหมด จากนั้นใช้ชีวิตยากลำบากเร่ร่อนยังไงและแม่ป่วยหนักยังไง เขาไม่มีเงินรักษาตอนนี้ทั้งหมดนี้ฝังลึกเข้าไปอยู่ในใจ
ผ่านไปไม่รู้นานเท่าไหร่ มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ก้มหัวพลางพูด ท่านผู้บริหาร
เฝิงกาง เรื่องที่ผมให้คุณไปสืบเป็นไงบ้าง?
ฉินเฟิงดึงสติกลับมาและมองไปทางเฝิงกาง
เฝิงกางเป็นประธานของบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป ตอนอยู่จิงตูก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงอย่างมาก คราวนี้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปตั้งรากฐานอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง เขาก็ตามมาดูแลบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ป
ท่านผู้บริหารสืบได้แล้วครับ ได้มีการทักทายกันจริงและไม่อนุญาตให้ทุนสนับสนุนแก่บริษัทซานหยวนกรุ๊ปในตอนนี้ เฝิงกางกล่าว
เรื่องจริงสินะ
ฉินเฟิงว่าแล้ว มาถึงก็รู้สึกผิดปกติกองทุนบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเกิดปัญหาและยังรู้สึกว่าลูกชายหัวหน้าตระกูลไม่เพียงไม่รีบเท่านั้น แต่กลับบังคับอิ่นซิน
เมืองเจียงเฉิงของเรามีกองทุนเท่าไหร่?
ฉินเฟิงถาม
ท่านผู้บริหาร บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปของเรายังไม่ได้ตั้งรากฐานอยู่เมืองเจียงเฉิงอย่างจริงจัง ตอนนี้เป็นบริษัทชั่วคราว พนักงานไม่เพียงพอแต่มีบริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปเป็นบริษัทถัดไปของเราในเมืองเจียงเฉิงเราสามารถให้พวกเขาสนับสนุนทุนให้
บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปเป็นของใคร?
หลี่เทียนเฉิง
ฉินเฟิงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย บังเอิญพบหลี่เทียนเฉิงอีกแล้ว เขาพูดต่อ เฝิงกาง ใช้วิธีบางอย่างให้บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปนี้ล้มละลายที บอกพวกเขา พวกเขาได้ทำให้ใครบางคนขุ่นเคือง ทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหาก็คือพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงให้หลี่เทียนเฉิงส่งสัญญาสนับสนุนทุนให้กับอิ่นซินแห่งบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นการส่วนตัว
ช้าแม้แต่วินาทีเดียว ทำให้บริษัทชิ่งหยางกรุ๊ปล้มละลาย
บทที่3 ลูกสาวของผมใครก็ห้ามแตะ
ในวิลล่า
ฉินกั่วกั่วหลบอยู่ด้านหลังของอิ่นซิน เธอกลัวมากเมื่อเห็นฉากนี้
คุณตาและคุณยายของเธอ กำลังจะขายเธอให้คนอื่น
เรื่องนี้ ฉันตกลงไปแล้ว ประธานหลี่เป็นคนมีเงินฐานะทางบ้านก็ดีเป็นคนที่ไม่ธรรมดาตั้งแต่เด็ก ยอมรับประธานหลี่เป็นพ่อฉันคิดว่าไม่มีปัญหาหรอกแถมยังเป็นผลประโยชน์ต่อทุกคนด้วย
หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้อีกทั้งใส่ชุดหรูหราราวกับว่าเธอเป็นเจ้าของ
เธอเป็นแม่ของอิ่นซิน จางลี่
ความเห็นครั้งนี้เธอเป็นคนคิดเอง เพราะบริษัทซานหยวนกรุ๊ปของตระกูลพวกเขาเจอปัญหากองทุนขาดทุนอย่างมากต้องการหาผู้ร่วมลงทุน แต่เวลาน้อยขนาดนี้หาไม่ทัน คนเดียวที่สามารถหามาร่วมลงทุนได้มีแต่บริษัทของประธานหลี่
แต่ทว่าประธานคนนี้มีข้อตกลงข้อนึง ก็คืออยากได้ฉินกั่วกั่วเป็นลูกบุญธรรมเพื่อเป็นถงหย่างซีของลูกชายของเขา
เรื่องนี้เมื่อเธอได้ยินก็ตอบตกลง ประธานหลี่พูดไว้ไม่มีผิดตระกูลพวกเขารู้สึกว่าฉินกั่วกั่วคือความหายนะของตระกูลตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิงตระกูลของพวกเขาคงไม่ลงเอยแบบนี้และหายนะตัวนี้ก็คงไม่เกิด
ให้ประธานหลี่ไปเหมาะสมที่สุดแล้ว
ใช่ พวกคุณคิดเช่นนี้ก็ถูกแล้ว
ประธานหลี่ยิ้มแฉ่งไม่เพียงแต่วางสายตาไว้ที่ฉินกั่วกั่วและยังมองไปที่อิ่นซินอีก สายตามีความร้อนเผ่า อิ่นซินเป็นดอกไม้ที่คนทั้งเมืองเจียงเฉินจ้องอยากจะได้มาครอบครอง
ทั้งหุ่นและรูปลักษณ์ล้วนเป็นที่หนึ่ง ตอนนั้นคนที่วิ่งตามจีบเธอมีรอบทั่วเมืองเจียงเฉิงตอนนี้เธอมีลูกสาวแล้วแต่ความสง่าก็ไม่สูญหายและคนยังต้องการมากขึ้น
ได้ฉินกั่วกั่วมา เส้นทางที่จะได้อิ่นซินก็ไม่ไกลแล้ว
แต่ว่าอิ่นซินยืนอยู่ด้านหน้าของฉินกั่วกั่ว ปกป้องเธออย่างนั้นกล่าวขึ้นมา ฉันไม่สามารถให้ฉินกั่วกั่วกับคุณได้หลี่เทียนเฉิง คุณล้มเลิกไปซะเถอะ
ไม่พูดว่าหลี่เทียนเฉิงจะดีกับกั่วกั่วไหม พูดในแง่ลูกชายของเขาเกิดมาไม่ธรรมดาก็จริง อีกอย่างเกิดมาพร้อมความพิการทางสมองและอายุน้อยๆก็หนักสองร้อยกว่ากิโลกรัม ไม่ว่ายังไงเธอไม่มีวันส่งกั่วกั่วเข้าหลุมไฟนี้แน่
นี่คือลูกสาวของเธอ
ยอมแพ้เหรอ? เหอะๆ อิ่นซิน เธออย่าเห็นแก่ตัวไปหน่อยเลย
จู่ๆ บนบ้านก็มีเสียงดังขึ้นมาชายหนุ่มเดินลงมาจากบ้าน ทั้งตัวสวมชุดสูทยังมีหนุ่มวัยกลางคนที่ตามมา
อิ่นป่าย!
อิ่นซินมองไปที่ชายหนุ่ม สีหน้าดูไม่ใยดี
เพราะผู้ชายคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเป็นคนของตระกูลซึ่งตอนนี้เป็นหัวหน้าตระกูล
อิ่นซิน ฉันรู้ความมั่นใจของเธอคือพ่อนิ เธอคิดว่าพ่อจะเข้าข้างเธอแต่วันนี้ตระกูลเจอวิกฤต เธอสร้างปัญหาใหญ่ไว้ก่อนหน้านั้นบริษัทซานหยวนกรุ๊ปเกือบล้มละลายเพราะเธอ วันนี้เธอไม่คิดจะชดเชยเหรอ?
อิ่นป่ายทำท่าทีที่เป็นไปด้วยความชอบธรรม
ต่อมาพ่อของอิ่นซิน อิ่นหยวนชายวัยกลางคนที่ลงมาจากบ้านอีกคนถอนหายใจ ลูกส่งฉินกั่วกั่วให้พวกเขาเถอะ กองทุนที่ขาดทุนต้องรีบชดเชยนี่เป็นสิ่งที่ลูกติดค้างตระกูลอิ่นไว้
พ่อ!
อิ่นซินมองไปที่พ่อของตัวเองอย่างเหลือเชื่อ
เธอติดค้างตระกูลอิ่น?
เมื่อก่อนตระกูลอิ่นเป็นเพียงตระกูลเล็กๆเท่านั้นเป็นน้ำมือของเธอเองที่สร้างบริษัทซานหยวนกรุ๊ปให้มีชื่อเสียงที่โด่งดังสิ่งนี้ต่างหากทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา ต่อมาเธอได้ทำเรื่องนั้นตระกูลจึงถีบหัวส่งเธอออกมาไม่ให้มีอำนาจในบริษัทได้เป็นแค่พนักงานธรรมดา
เรื่องนั้นเธอผิดเธอยอมรับ
แต่ว่า บริษัทซานหยวนกรุ๊ปเป็นของเธอถ้าไม่ใช่เพราะเธอตระกูลอิ่นไม่มีทำได้ขนาดนี้หรอก แต่ในกำมือของพวกเขาบริหารงานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปจนเกิดปัญหานี่เป็นสิ่งที่เธอต้องรับผิดชอบเหรอ?
สิ่งที่เธอติดค้างตระอิ่น เธอต้องชดใช้?
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องเสียสละลูกสาวคนเดียวของเธอ
ลูกตัวซวยแบบนี้ มันไม่ควรปรากฏอยู่ในตระกูลของเรา ส่งตัวไปเถอะ ปู่ของลูกตกลงแล้วถ้าจดทะเบียนกับผู้ร่วมหุ้นได้สำเร็จ ก็จะให้ฉันกลับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
ดวงตาของพ่อของอิ่นซินเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขามองไปที่ฉินกั่วกั่วที่อยู่ข้างหลังอิ่นซิน
ตัวซวย!
ถ้าไม่ใช่เพราะตัวซวยนี้และพ่อของมัน ครอบครัวของพวกเขาจะถูกเตะออกจากตระกูลได้ไง
พ่อ……ท่าน!
ใจอิ่นซินสั่น ไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี
แต่ทว่าเวลานี้ มีเสียงน่าตกตะลึงดังมาจากนอกประตู ลูกสาวของผม ใครก็ห้ามแตะ
นี่มัน…..
คนในห้องตกตะลึง
จากนั้นฉินเฟิงที่อยู่ด้านนอกก็เดินเข้ามาข้างใน ในห้องหยุดนิ่งไปต่อมาก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น โดยเฉพาะอิ่นป่าย ฉันก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็คือไอ้ขอทานนั่นเอง ทำไมจากไปตั้งหลายปี ไปขอทานที่อื่นมา จากนั้นขอเงินไม่ได้? แล้วกลับมาเหรอ?
ที่แท้ก็แกนั่นเอง แกยังกล้ากลับมาอีก
พ่อแม่อิ่นซินมองไปทางฉินเฟิง สายตาไม่เป็นมิตรแม้แต่น้อย
ฉินกั่วกั่วเป็นตัวซวย แต่ท้ายที่สุดแล้วรากเหง้าก็อยู่ที่ฉินเฟิงถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิงคนนี้ ครอบครัวพวกเขาคงไม่มาถึงจุดนี้หรอก
ดังนั้นตอนที่พวกเขาแต่งงานกันเสร็จหลังจากนั้นฉินเฟิงก็ได้จากไป จางลี่ตักตวงข้าวของของอิ่นซิน จากนั้นยังบอกอีกว่าฉินเฟิงยืมเงินจากเธอไปหนึ่งแสนให้ความประทับใจที่อิ่นซินมีต่อฉินเฟิงลดน้อยลง
เห้ยๆๆ ผมนึกขึ้นมาได้แล้ว ผมเคยได้ยินเรื่องของคุณคนขอทานในตอนนั้น ได้ข่าวมาเคยขอทานหลายที่เป็นอะไรไป ครั้งนี้ให้ผมบริจาคให้ไหมครับ
หลี่เทียนเฉิงหัวเราะออกมานึกว่ามาเป็นคู่แข่งขันอะไร ไม่คิดว่าจะเป็นมือใหม่
ในปีนั้นเหตุผลที่ฉินเฟิงกลายเป็นขอทานเพราะตระกูลฉินในจิงตูให้มา ตอนนั้นแม่ของเขาป่วยหนักเขายังเป็นเด็กช่วยไม่ได้จึงต้องไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากตระกูลฉินในจิงตู แต่ว่าถูกไล่ออกมาแม่ก็ตายระหว่างทาง เขาจึงเร่ร่อนอยู่บนถนน
คุณมาทำไร?
และอิ่นซินก็ใช้สายตาที่ไม่เป็นมิตรมองไปที่ฉินเฟิง
พ่อ พ่อ
ร้ายไม่ต่างจากคนอื่น ฉินกั่วกั่วหลุดออกจากมืออิ่นซินที่จับเอาไว้ ชั่วพริบตาก็กระโจนเข้าไปที่อ้อมอกของฉินเฟิง ใบหน้าเล็กๆที่น่าถูอยู่ตรงขาของฉินเฟิง พ่อ กั่วกั่วเป็นคนที่มีพ่อ หนูไม่ต้องยอมรับคนนิสัยไม่ดีเป็นพ่อแล้ว
เด็กดี
ฉินเฟิงลูบหัวฉินกั่วกั่วเบาๆ ดวงตาของเขาฉายแววอ่อนโยน จากนั้นกลิ่นอายจักรพรรดิที่เฝ้ามองปฐพีก็ปรากฏบนร่างกายของเขา เขาเงยหน้าขึ้นและพูดกับอิ่นซิน
ผมมาครั้งนี้เพื่อช่วยคุณเรื่องทุนสนับสนุนของบริษัทพวกคุณ ผมจัดการเอง
บทที่2 นับประสาอะไรกับตระกูลฉิน
เสี่ยวซิน
ฉินเฟิงใจสั่นก้าวไปข้างหน้าก้าวนึงพลางยื่นมือออกมาอยากสัมผัสอิ่นซิน เจ็ดปีแล้ว
เจ็ดปีเต็มๆ
จู่ๆ การทักทายของอิ่นซินเป็นการตบ
เพี๊ยะ
ตบไปที่หน้าของฉินเฟิง ฉินเฟิงไม่ได้หลบ ฉีหยุนที่อยู่ด้านหลังสีหน้าเปลี่ยนไปและชักมีดออกมาแต่กลับถูกฉินเฟิงยื่นมือไปหยุดไว้
ฉินเฟิงคุณยังกล้าที่จะกลับมาอีกเหรอ! คุณยังกล้าที่จะกลับมาอีกเหรอ!
เสียงของอิ่นซินมาพร้อมกับเสียงร้องไห้
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เธอถูกคู่แข่งลอบกัดคืนนั้นเลยมีความสัมพันธ์กับฉินเฟิง ต่อมาเพราะเรื่องนั้นเริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เธอได้แต่งงานกับฉินเฟิงหลังจากนั้นก็พาฉินเฟิงกลับไปที่ตระกูลอิ่นจึงสังเกตเห็นว่าไม่สามารถทนได้ขนาดนั้น
เพราะได้แต่งงานรับทะเบียนสมรสแล้ว เธอจึงถูกบังคับให้สารภาพเหตุการณ์นั้นและสารภาพชะตากรรม เธอเตรียมที่จะพาฉินเฟิงออกมาด้วยมือของเธอเองแต่ไม่คิดว่าวันที่สองฉินเฟิงจะหนีไป
นำสินสอดและเงินทั้งหมดรวมสองแสน และยังไปยืมกับแม่หนึ่งแสนบอกว่าต้องรีบใช้
หลังจากนั้นเธอก็ท้อง เวลาเจ็ดปีเต็มไม่มีใครรู้ว่าเธอใช้ชีวิตยังไง เธอถูกประชดเสียดสี ต้องรับกับความรู้สึกน้อยใจนับไม่ถ้วนแต่เธอก็ผ่านมาได้แต่วันนี้ไอ้สารเลวนี้กลับมา
เวลานี้ กลับมาทำไร!
เสี่ยวซิน ตอนนั้น…..
ฉินเฟิงอยากอธิบายให้กับอิ่นซิน แต่อิ่นซินไม่ให้โอกาสนี้กับเขาและทำหน้าเย็นชาใส่ อธิบาย? ฉันไม่อยากฟังคำอธิบาย กั่วกั่วไปเรากลับบ้านกัน
จากนั้นลากฉินกั่วกั่วกลับบ้าน
ฉินกั่วกั่วจับมือของอิ่นซินไว้ แต่ยัยตัวเล็กคนนี้ก็หันกลับไปมองฉินเฟิงและมองฉินเฟิงอย่างทำอะไรไม่ถูก
พ่อ? แม่เคยบอกหนูแล้วว่าหนูไม่มีพ่อ หนูถูกซื้อมาจากร้านค้าที่ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งเข้าใจรึยัง แม่ไม่อนุญาตให้หนูเรียกเขาว่าพ่อเขาไม่เหมาะสมด้วยซ้ำกลับ อิ่นซินพูดอย่างเยือกเย็นมาก
หลังจากที่อิ่นซินจากไป ฉีหยุนก็พูดอย่างไม่พอใจ นายพลคุณถูกตบหน้าไปตั้งหนึ่งครั้ง คุณเป็นนายพลอันดับหนึ่งของค่ายทหารนะ เทพแห่งอีสเตอร์แลนด์อะ ฆ่ากองทัพของศัตรูไปสามแสนนายเป็นวีรบุรุษของประเทศ ทำไมต้องมารับความไม่เป็นธรรมแบบนี้?
เขาเดือดดาลอย่างมาก เพราะมีแค่เขาที่รู้ว่าหลายปีมานี้ที่ฉินเฟิงอยู่เมืองอีสเตอร์แลนด์ก็เพราะสิ่งที่ชายแดนทำและยังรู้รอยแผลที่อยู่บนตัวฉินเฟิง ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเฟิงอย่าว่าแต่เมืองเจียงเฉิงเลยจิงตูอาจจะสาบสูญไปแต่แรกแล้ว
นี่คือวีรบุรุษ
แต่ว่า ฉินเฟิงโบกมือและมองไปทางที่อิ่นซินจากไปสายตามีแต่คำขอโทษ เป็นฉันที่ติดหนี้สองแม่ลูกนี้ต่างหาก
ตอนที่อิ่นซิ่นพูดประโยคนั้น ‘หนูไม่มีพ่อ หนูถูกซื้อมาจากร้านค้าที่ซื้อหนึ่งแถมหนึ่งแม่ไม่อนุญาตให้หนูเรียกเขาว่าพ่อ เขาไม่เหมาะสมด้วยซ้ำ’ ไม่มีใครรู้ว่าใจเขานั้นเจ็บแค่ไหน
ในช่วงที่ฉินเฟิงเตรียมที่จะตามไป ก็มีรถโรลส์รอยซ์สีดำป้ายทะเบียน8888ปรากฏตรงหน้าเขา คนที่ลงมาจากรถเป็นชายชราหัวงอก ถ้ามีคนเห็นต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน
เพราะนี่คือพ่อบ้านของตระกูลฉินในจิงตู
ทันใดนั้น เขาก็โค้งคำนับ และเดินมาอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มอย่างสุภาพ และพูดอย่างถ่อมตัว พ่อบ้านตระกูลฉินในจิงตูฉินเทียนเฉิงมารับคุณชายน้อยที่อยู่ในความดูแลของตระกูลฉินกลับจิงตู
อยู่ในความดูแลของตระกูลฉินงั้นเหรอ? เหอะพ่อที่เย่อหยิ่งและอยู่ยงคงกระพันของผม ทำไมมีหน้าพูดแบบนี้ออกมา บอกมาตรงๆ อยากได้เงินของผมหรืออำนาจของผมกันล่ะ?
ฉินเฟิงเห็นคนๆนี้ก็ยกยิ้มขึ้นมาสีหน้าเปลี่ยนพลางพูด วินาทีที่หมอนั่นถีบหัวส่งแม่กับผมออกมา ผมก็ได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเขาแล้วไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันและตระกูลฉินก็ไม่เกี่ยวข้องกับผมสักนิด อีกอย่างช่วยส่งคำพูดของผมให้กับหมอนั่นด้วยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะแม่สั่งเสียก่อนตายว่าไม่ให้ล้างแค้นหมอนั่น ไม่งั้นตอนนี้มันได้อยู่ในเส้นทางนองเลือดแล้ว
ในปีที่หิมะตก เขาอายุได้เจ็ดขวบพ่อที่แสนเย่อหยิ่งของเขาได้แต่งงานกับคุณหนูของตระกูลใหญ่ พวกเขาถูกไล่ออกจากบ้านเนื่องจากชื่อเสียงและตัวตนที่ต้อยต่ำ
ต่อมาแม่ของเขาป่วยตายระหว่างทาง
และเขาก็กลายเป็นเด็กกำพร้าที่เร่ร่อนไปมา
ฉินเทียนเฉิงถอนหายใจ ในที่สุดก็ต้องโค้งคำนับก่อนจะพูด ช่วงนี้บริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปจะปักหลักอยู่ที่เมืองเจียงเฉิง ชื่อนี้เป็นชื่อที่แม่ของคุณนำชื่อของคุณและของเธอมาตั้ง ธุรกิจที่สร้างมาด้วยน้ำมือของเธอเอง ในวันนี้แม่ของคุณก็เสียแล้วงั้นบริษัทเฟิงซิ่งกรุ๊ปก็ควรเป็นของคุณ
ฉินเทียนเฟิงผมขอถามคำถามนึง ถ้าเกิดวันนี้ผมยังเป็นคนจนๆพวกคุณจะคืนมันให้กับผมไหม?
สายตาฉินเฟิงจ้องไปที่ฉินเทียนเฉิง
ฉินเทียนเฟิงน้ำท่วมปาก
คืนให้ไหม?
เกรงว่าคงไม่คืน
ตอนนั้น หลังจากที่ไล่ฉินเฟิงทั้งสองออกตระกูลฉินก็ได้ยึดบริษัททั้งหมดของพวกเขามารวมเป็นของตัวเองไม่เคยคิดที่จะคืนกลับไปแม้แต่วันเดียว
แต่ใครจะคิดว่าจะเป็นเหมือนตอนนี้
เหอะไสหัวไปเถอะ กลับไปบอกไอ้แก่นั่นด้วยอย่ามายั่วโมโหผมไม่งั้นผมจะไม่เกรงใจที่จะนำกองทหารไปเหยียบตระกูลฉินแน่ ผมฉินเฟิงพูดคำไหนคำนั้น
ฉินเฟิงโบกมือ ทันใดนั้นทำให้ฉินเทียนเฟิงตกใจจนวิ่งหนี
ใช่
ตกใจจนวิ่งหนีแถมยังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
เพราะฉินเฟิงในตอนนี้ ไม่ใช่เด็กจนๆเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้เป็นเทพเจ้าแห่งอีสเตอร์แลนด์ผู้ที่แข็งแกร่งที่ปกป้องภูเขาและแม่น้ำ
อำนาจใหญ่โตสามารถสั่งทหารได้เป็นล้าน
นายพล
ฉีหยุนที่อยู่ข้างๆเรียก
เรียกฉันว่าคุณเถอะ ฉันออกจากค่ายทหารแล้วเรียกนายพลคงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ เอาล่ะ นายก็ไปหาที่พักพักผ่อนซะนะตอนนี้ฉันขอกลับไปดูบ้านก่อน
ฉินเฟิงโบกมือ เป็นสัญลักษณ์ให้ฉีหยุนว่าไม่ต้องตามมา
ครับ ฉีหยุนกล่าว
จากนั้น ฉินเฟิงก็มาถึงวิลล่านึงที่ไม่ได้มานาน แต่ทว่าวิลล่าวันนี้มีความแปลกไปและยังมีเสียงดังจ้อกแจ้กอีก
วันนี้ฉินกั่วกั่วคนนี้ ฉันยอมรับแล้ว ฉันเคยพูดไปแล้ว ฉันจะหาถงหย่างซีให้กับลูกชายของฉัน มาเอาลูกสาวบ้านของพวกแกเพราะไว้หน้าพวกแก ยังไงพวกแกก็เป็นความหายนะไปวันๆ
คำพูดโอ้อวดที่ดังมาจากด้านในวิลล่า
ถงหย่างซี!
ความหายนะ!
สายตาของฉินเฟิงปรากฏความอยากฆ่าอย่างบ้าคลั่งออกมาและบีบมือทั้งสองข้างอย่างแน่น
บทที่1 การกลับมาของเทพแห่งสงครามพร้อมกับเด็กหญิงคนหนึ่ง
เวลาเที่ยง ณ บริเวณเขตทหาร
ในบริเวณนั้นมีชายชราหัวหงอกคนนึง แต่แต่งตัวในชุดทหาร ร่างกายเที่ยงตรงยังคงแสดงให้เห็นว่าแม้จะแก่แล้วแต่ก็ยังแข็งแรง และยศทหารบนบ่าของเขาแสดงให้เห็นถึงตัวตนของเขา
นี่เป็นคนชั้นสูงที่สุดของเขตทหารในประเทศต้าหัว
แกจะไปจริงๆเหรอ?
ชายชราใช้สายตาที่แหลมคมจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง โครงหน้าของชายหนุ่มชัดเจน บนร่างกายมีกลิ่นอายของความมีวุฒิภาวะที่ผ่านการล้างบาปจากสงคราม
ใช่ครับ
ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเล
ฉินเฟิงฉันเป็นคนเฝ้ามองแกตั้งแต่เข้ามาที่นี่ ตั้งแต่เป็นทหารยศน้อยแกก็เริ่มไม่รักชีวิตตัวเอง ภารกิจอะไรที่มันอันตราย แกก็จะสมัครใจไปทำภารกิจนั้นกระทั่งยังเข้าร่วมหน่วยกริชที่โหดเหี้ยมอำมหิต เจ็ดปี เจ็ดปีเต็มๆ รอยแผลบนตัวแกที่โดนยิงไปสามสิบสองครั้ง ในเก้าครั้งนั้นแกเกือบไม่รอด ขาข้างนึงได้เหยียบเข้าประตูนรกแล้ว
ต่อมาจึงมีรุ่นนายพลฉินที่เป็นผู้นำที่สง่าและน่าเกรงขามของเมืองอีสเตอร์แลนด์ มีสงครามมานักต่อนักชนะหมดไม่เคยพ่ายแพ้แม้แต่ครั้งเดียว ทำสงครามครั้งเดียวก็โด่งดัง ในเวลาที่ยากลำบากก็ได้ฆ่ากองกำลังศัตรูนับสามแสนนาย ทำสงครามครั้งเดียวก็ทำให้ประเทศได้รับความสงบจากภัยพิบัติแอบแฝง ผลงานแบบนี้ถ้าไม่ใช่แกเกรงว่าจิงตูคงไม่เหลือแม้แต่ซากแล้ว
ในวันนี้ ฉันอยากมอบตำแหน่งของฉันให้กับแกแต่แกกลับบอกว่าแกจะไปจากที่นี่?
ฉันขอถามแกครั้งสุดท้าย แกจะจากไปจริงๆหรอ?
สายตาของชายชราราวกับว่าเต็มไปด้วยไฟแห่งสงครามอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านหลี่ผมเพิ่งได้รับสารมาว่าผมมีลูกแล้ว อายุหกขวบ
ฉินเฟิงแสดงความเคารพแบบทหารแก่ชายชรา
จากนั้นหันหลังจากไป
……..
เมืองเจียงเฉิง
สนามบินเทียนอวี๋
นายพล เบื้องบนสั่งมาแม้จะถอนตัวแต่ต้องไม่ละทิ้งหน้าที่
ฉีหยุนผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ภายใต้กำมือของฉินเฟิน เมื่อเทียบกับฉินเฟิงแล้วเขาดูแข็งแกร่งกว่าหลายระดับ เขาก้าวเดินมายืนข้างๆฉินเฟิงก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้น
อืม เข้าใจแล้ว
ฉินเฟิงพยักหน้า เขารู้ว่านี่เป็นการตัดสินใจของท่านหลี่ที่มีต่อตัวเอง เขาปกครองเขตทหารในเมืองอีสเตอร์แลนด์มาเจ็ดปีเต็มๆ ในวันนี้โลกสงบสุข ศัตรูต่างถิ่นสลายเขาก็ควรที่จะกลับเมืองเจียงเฉิงแล้ว
อีกอย่าง ยังมีอิ่นซินอยู่
และยังมีสารที่ส่งกลับมาเมื่อวาน เธอมีลูกสาวหนึ่งคน
อิ่นซิน เธอสบายดีไหม?
ฉินเฟิงหยิบรูปออกมาใบนึง สภาพจิตใจสับสนมาก บนรูปมีคนๆนึงที่สวมเครื่องแบบOL เป็นผู้หญิงที่มีลักษณะเย็นชาด้านหลังมีข้อความนึง
ประธานบริษัทซานหยวนกรุ๊ปแห่งเมืองเจียงเฉิง
เจ็ดปีก่อน เมืองเจียงเฉิงได้สร้างเรื่องตลกไว้อย่างมาก ประธานหญิงแสนมาดเท่อย่างอิ่นซินถูกคู่แข่งลอบกัดและยังขึ้นเตียงกับขอทานอีก
ทันใดนั้น มีปัญหาจนเมืองเจียงเฉิงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน มีคนมาถามอิ่นซินทุกวัน
ขอทานคนนั้นก็คือฉินเฟิง
ต่อมา เพราะเรื่องนี้หุ้นของบริษัทซานหยวนกรุ๊ปตกไปหนึ่งหมื่นล้านหยวน เพื่อไม่ก่อให้เกิดคำนินทาอีก ตระกูลอิ่นจึงฝืนใจยอมรับเรื่องนี้และให้ฉินเฟิงเป็นลูกเขยของตระกูลอิ่นแต่ฉินเฟิงรู้สึกตัวเองนั้นไม่เหมาะกับอิ่นซิน
วันที่สองก็ได้เข้าไปเป็นทหาร
เจ็ดปี เจ็ดปีเต็มๆ ภารกิจอะไรที่มันอันตรายเขาก็จะปฏิบัติภารกิจนั้นจนได้รับฉายาในค่ายทหารว่า ‘ไอ้บ้าที่ไม่รักชีวิต’ สุดท้ายจากทหารยศน้อย กลายเป็นเทพแห่งเจ้าอีสเตอร์แลนด์ มีวีรบุรุษในกำมือนับแสนนายเป็นนายพลที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำสงครามครั้งเดียวทำลายกองทัพสามแสนนายจากประเทศศัตรู
เพียงเพราะว่า อิ่นซินยังเป็นคนที่เขาห่วงเสมอมา
ขอโทษ
ฉินเฟิงรู้ตัวเองรู้สึกผิดต่ออิ่นซิน ไม่เพียงแต่แค่คืนนั้นแต่เพราะตัวเองไม่ได้จากไปในปีนั้น
คุณผู้ชาย คุณสังเกตไหมว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นคล้ายคลึงกับคุณมาก
จู่ๆ ฉีหยุนชี้ไปทางนั้น
ฉินเฟิงก็ได้มองไป เห็นเพียงเด็กผู้หญิงที่กำลังวิ่งมาทางเขาและด้านหลังยังมีผู้ชายสองคนที่สวมชุดสูทวิ่งตามมา
ไอ้เด็กบ้า วิ่งทำไมหยุดเดี๋ยวนี้
รอเราจับแกได้ก่อน จะตีแกให้ตายแน่นอน!
สีหน้าชายหนุ่มทั้งสองเต็มไปด้วยความดุ อีกอย่างทั้งสองก็ดูโตแล้วต้องวิ่งเร็วกว่าเด็กอยู่แล้ว ไม่นานก็จะตามทันแล้วห่างเพียงแค่เอื้อมมือ
ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นยิ้ม และยื่นมือออกไปเตรียมที่จะจับเด็กนั่น
แต่ถูกฉีหยุนจับตัวได้ในมือเดียว ชายสองคนรังแกเด็กผู้หญิงคนเดียวหมายความว่าไง แน่จริงก็มาดวนกับฉันว่าไง?
คุณเหรอ? เหอะ
ชายหนุ่มสองคนมองฉีหยุนอย่างละเอียดถี่ถ้วน แว็บแรกดูเหมือนคนธรรมดา ทันใดนั้นก็แพร่สายตาที่ดูถูกออกมา คุณเนี่ยนะ? อยากเป็นวีรบุรุษ?
เด็กน้อย ตอนไปโรงพยาบาลก็จงจำไว้ว่าฉันเป็นคนต่อยแกเอง
ชายหนุ่มหนึ่งในนั้นเหวี่ยงหมัดไปที่หัวของฉีหยุน แต่ว่าฉีหยุนแค่ขยับหัวเบาๆ ก็หลบหมัดนั้นได้ สุดท้ายพูดดูถูกเบาๆ มีความสามารถแค่นี้เองเหรอ? งั้นขอโทษนะตอนไปโรงพยาบาลจงจำไว้ว่าฉันชื่อฉีหยุน
จากนั้นก็เหวี่ยงหมัดออกไป
ต่อยโดนคางของคนนั้น
จากนั้นก็ทุ่มตัวชายหนุ่มอีกคนก็ล้มลงกับพื้น ทั้งสองก็ได้หมดสติไป
เด็กน้อย อย่ากลัว
ตอนนี้เด็กคนนั้นได้วิ่งไปอยู่ตรงหน้าฉินเฟิงและหลบอยู่ด้านหลังของฉินเฟิง ฉินเฟิงลูบหัวของเธอเพื่อปลอบเธอ
ฉินเฟิงมองเด็กผู้หญิงอย่างละเอียดถี่ถ้วน อายุราวๆประมาณหกเจ็ดขวบ
ผมสั้นเท่าติ่งหู สะอาดเสื้อผ้าเก่าแต่ซักจนสะอาดสะอ้านจนเป็นสีขาว อย่างไรก็ตามนี่ไม่สามารถซ่อนความน่ารักของเด็กหญิงได้
แต่ทว่าฉินเฟิงสังเกตเห็นว่าเด็กคนนี้เหมือนเขามาก
คุณเป็นพ่อของหนูหรือเปล่า?
เด็กน้อยก็มองไปที่ฉินเฟิง จู่ๆก็กอดขาของฉินเฟิงและร้องไห้ออกมา กั่วกั่วเป็นคนที่มีพ่อแล้ว กั่วกั่วไม่ต้องยอมรับคนนิสัยไม่ดีคนนั้นเป็นพ่อแล้วฮือๆๆ…..
ร้องไห้จนทำให้คนอื่นใจสลาย
และในขณะเดียวกันก็มีผู้หญิงคนนึงใส่รองเท้าส้นสูง รีบมาสถานที่แห่งนี้ ฉินกั่วกั่ว
เมื่อได้ยินเสียงนี้ เด็กน้อยรีบกลั้นน้ำตาหันหน้ามาทางผู้หญิงคนนั้นรีบกระโจนเข้าใส่ตัวผู้หญิงคนนั้น แม่ แม่ รีบดูนี่สิ หนูหาพ่อเจอแล้ว หนูหาพ่อเจอแล้วจริงๆไม่ต้องยอมรับคนนิสัยไม่ดีคนนั้นเป็นพ่อแล้ว
แซ่ฉิน! อิ่นซิน
ในใจฉินเฟิงเหมือนโดนฟ้าผ่าในตอนกลางวันและหายใจร้อนรน มองดูผู้หญิงที่ตัวเองคิดถึงอยู่ทุกวัน เขาจำไม่ผิดแน่ แม้ว่าเพียงแค่คืนเดียว เขาก็จำไม่ผิดแน่ๆ
งั้นเด็กคนนี้!
เป็นของเราเหรอ?