The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์ – ตอนที่ 69 ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น

ตอนที่ 69 ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น

บรรยากาศในโพรงถ้ำเย็นยะเยือก ตอนกลางคืนเพื่อนร่วมกลุ่มหายไปสองก็ทำให้ขวัญผวาอยู่แล้ว คนที่เหลือกลับเกิดเรื่องขัดแย้งกันภายในอีก

สูเสี่ยนฉู่ ลั่วซินอวี่ หลิวปู้ และหวังเหลย พอคาดเดาได้ว่าพวกทหารคิดจะโจมตีเริ่นเสี่ยวซู่กับหยางเสียวจิ่น แต่พวกเขากลับโดนจัดการในชั่วพริบตา

การต่อสู้นี้จบลงด้วยเวลาเพียงชั่วลัดนิ้ว จนสูเสี่ยนฉู่ต้องประเมินพวกเขาทั้งสองเสียใหม่

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง   ทำอะไรก็ได้อย่างนั้น  

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พูดอะไรต่อ หลังจากคิดไปพักหนึ่ง ก็มองออกว่าสูเสี่ยนฉู่ไม่คิดเคลื่อนไหว

ที่ไม่เคลื่อนไหวไม่ใช่เพราะกลัวอาวุธปืน เขาเองก็มีทั้งปืนไรเฟิลทั้งปืนพกอยู่กับตัว ส่วนถ้าคิดจะฉวยลั่วซินอวี่ไป ก่อนหน้านี้สูเสี่ยนฉู่ก็มีโอกาสให้ลงมือเยอะแยะ ลั่วซินอวี่ถึงกับเข้าไปเสนอตัวถึงที่ด้วยซ้ำ เขายังไม่สนใจอะไรเลย ส่วนเรื่องน้ำ เมื่อเย็นสูเสี่ยนฉู่ก็ไปกรอกน้ำใส่กระติกไว้อยู่แล้ว ย่อมไม่คิดหมายตาน้ำสองขวดของเริ่นเสี่ยวซู่

เริ่นเสี่ยวซู่กลัวว่าสูเสี่ยนฉู่จะลงมือเพื่อรักษากฎระเบียบในกลุ่ม ทว่าทุกอย่างกลับจบลงในเร็วพลัน เขาคงไม่อยากจะนำพาอะไรต่อให้มากความ

ความมุ่งมาดสูงสุดของสูเสี่ยนฉู่คือการได้เข้าไปสำรวจความลึกลับของเขาจิ้งซาน ได้ทราบสาเหตุการกลายพันธุ์ของเหล่าสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นั่น ส่วนคนอื่นจะรอดกลับไปหรือไม่ ไม่ได้อยู่ในความสนใจของเขา

  แต่โทษของซุนจวินเจิ้งก็ไม่น่าถึงกับชีวิตหรือเปล่า   สูเสี่ยนฉู่ทอดถอนใจอีกครั้ง   ช่างเถอะ ในแดนรกร้างโทษใครก็ไม่ได้หรอก  

เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าสูเสี่ยนฉู่บรรลุแจ้งในหลักการแห่งการอยู่รอดในแดนรกร้างแล้ว ไม่มีถูกไม่มีผิด สัจธรรมเดียวคือเอาตัวให้รอด

เขาเองก็ไม่อยากพูดหรอกว่าหยางเสียวจิ่นทำถูกแล้ว แต่กำจัดภัยคุกคามย่อมไม่อาจเป็นเรื่องผิดไปได้เด็ดขาด!

เริ่นเสี่ยวซู่แบกศพทั้งสามร่างโยนออกไปนอกโพรง จากนั้นก็หันไปกล่าวกับสูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นว่า   ร่างของสูเซี่ยหายไปยังไงฉันยังหาสาเหตุไม่ได้ ทำไมพวกเราไม่ลองมาเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดดูละ  

เขาหันไปหาหยางเสียวจิ่น   ตะโกนปลุกฉันนะถ้ามีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น   จากนั้นก็นั่งลงพิงผนังหลับลงไปอีกครา

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้หลับลงไปจริงๆ เขาแค่พินิจจิตมองลงไปยังร่างแยกเงาสีดำที่อยู่ที่พระราชวังนั้น ตอนนี้เขาตื่นเต้นจนนอนไม่หลับแล้วเนี่ย!

เดิมทีเขาโคตรอิจฉาสูเสี่ยนฉู่ พลังระเบิดน้ำลายของจางเป่าเกินนั้น เขาเองก็เกิดความอิจฉาไม่น้อยเชียว

ถึงพลังระเบิดน้ำลายจะดูอ่อนแอมาก แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้ว่ามันยังโอกาสได้เติบโตอีกมากเช่นกัน

คำถามคือพลังของผู้มีพลังพิเศษสามารถเติบโตได้หรือเปล่า โดยส่วนตัวเขาคิดว่าสามารถ

ตัวเริ่นเสี่ยวซู่เอง แม้เขาจะมีพระราชวังที่ดูทรงอำนาจมาก ทว่าสิ่งที่เขาได้รับจากมันส่วนใหญ่กลับเป็นค่าพละกำลังและค่าความคล่องแคล่ว จนตอนนี้เขาแทบไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้มีพลังพิเศษอยู่แล้ว อย่างไรก็มีคนธรรมดาทั่วไปที่ถ้าฝึกฝนมากพอก็มายืนอยู่จุดเดียวกับเขาได้

ด้วยเหตุนี้ ก่อนที่เขาจะคัดลอกพลังจากสูเสี่ยนฉู่ เขาไม่ถือว่าเป็นผู้มีพลังพิเศษอันใด อย่างน้อยในแง่ของพลังรบนี่ถือว่าไม่อาจเทียบ

เริ่นเสี่ยวซู่เกิดละโมบในพลังของสูเสี่ยนฉู่ตั้งแต่เห็นว่ามันกันกระสุนได้แล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าอาวุธจำพวกปืนระเบิดนั้นน่ากลัวมาก กระสุนสามารถแล่นเร็วได้ตั้งแต่มัคเดียวถึงหลายมัค[1] คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจต้านทานอาวุธปืนได้แน่นอน

แน่ละ ไม่ใช่ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลัวปืนระเบิดแล้ว ถ้าโดนอาวุธพวกนั้นลอบโจมตีใส่เขาก็ตายแหง

ตอนนี้ในพระราชวัง เงาดำกำลังยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ข้างๆ เครื่องพิมพ์ดีดทองเหลือง เริ่นเสี่ยวซู่พินิจสำรวจเงานั้น ก่อนจะเห็นอย่างชัดเจนว่าโครงร่างของเงาคือตัวเขาเอง รูปลักษณ์เหมือนเขาทว่ามีองคาพยพเลือนราง

ทำไมเงาของสูเสี่ยนฉู่เป็นสีเทา แต่ของเขาเป็นสีดำล่ะ เขาคัดลอกทักษะจากสูเสี่ยนฉู่มาดื้อๆ เลยนะ ทำไมถึงมีข้อแตกต่างกัน

เริ่นเสี่ยวซู่เริ่มควบคุมร่างแยกเงาทันทีด้วยความรีบร้อน เขาบังคับให้มันเคลื่อนไหวไปรอบพระราชวัง ก่อนจะพบว่า…พละกำลังของร่างแยกเงาดูจะเกี่ยวข้องกับพละกำลังของเขาโดยตรง ด้วยการเชื่อมโยงทางจิต เขาจึงสามารถสัมผัสได้โดยไม่ต้องทดสอบอะไร ดูเหมือนว่าร่างแยกเงานี้ จะก่อร่างขึ้นมาโดยอิงจากพลังจิตของเขาเอง

พละกำลัง ความเร็ว กระทั่ง ‘ความหนาแน่น’ ของร่างแยกนั้นเป็นสองเท่าจากที่เริ่นเสี่ยวซู่มี ถึงว่าทำไมมันถึงกันกระสุนได้ คนธรรมดาเองก็กันกระสุนได้นะ แต่คนคงตายคาที่ ส่วนเจ้าร่างแยกเงามันไม่ตายก็เท่านั้นเอง

เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยอยู่บ้างว่า ของดูยากนิยามอย่างพลังจิตนั้นวัดค่าอย่างไร

เริ่นเสี่ยวซู่ถามพระราชวัง   พลังจิตฉันมีมากขนาดไหน  

เสียงดังตอบมาจากพระราชวัง [ไม่มีสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล]

เริ่นเสี่ยวซู่สับสน ขนาดทักษะการเอาตัวรอดระดับปรมาจารย์ของเขายังประเมินวัดระดับได้เลย ค่าพละกำลังก็วัดได้ ค่าความคล่องแคล่วก็วัดได้ ทำไมระดับพลังจิตของเขาถึงวัดไม่ได้กัน

เป็นเพราะไม่มีเกณฑ์ในการวัดค่าพลังจิต หรือว่ามีเหตุผลอื่นใด

ในเมื่อคงไม่ได้รับคำตอบในเร็วๆ นี้ เริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่อิดออด ไปนอนต่อละ!

ส่วนที่ว่าทำไมเงาของสูเสี่ยนฉู่ถึงเป็นสีเทา ส่วนเขาเป็นสีดำนั้น เริ่นเสี่ยวซู่คิดออกแล้ว เพราะร่างต้นของเขาแข็งแกร่งกว่าของสูเสี่ยนฉู่มาก เงาเลยมีความหนาแน่นมากกว่าไง!

ยามแสงอรุณสาดกระทบใบหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ลำดับแรกที่ทำตอนลืมตาคือหันไปมองจุดที่เขาโยนศพทิ้งไว้ ก่อนจะต้องประหลาดใจไปที่ศพทั้งสามร่างยังอยู่ที่เดิม ถึงว่าทำไมช่วงคืนก่อนหยางเสียวจิ่นถึงไม่ปลุกเรียกเขา ก็เพราะว่าไม่มีอะไรผิดแผกแตกต่างเกิดขึ้น

ไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว คอยหวังให้มีอันตรายเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ก็ไม่ได้ไหมล่ะ

เขาหันไปมองในโพรง แล้วสบตาเข้ากับหลิวปู้ ทว่าหลิวปู้เองไม่มีท่าทีหยิ่งผยองเหมือนแต่ออกมาจากป้อมปราการแล้ว ตอนนี้เขาพยายามหลบตาเริ่นเสี่ยวซู่จ้าละหวั่น

เมื่อคืนหลิวปู้นอนไม่ค่อยหลับนัก เขาเป็นพวกชอบรังแกผู้อ่อนแอ หวาดกลัวผู้แข็งแกร่ง พอได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่เก่งกาจมากเช่นนี้ ก็จิตใจระส่ำระสายอยู่บ้าง

จะไม่ให้กังวลเลยคงไม่ได้ เขาเอง ลั่วซินอวี่ และหวังเหลยเห็นว่าในกลุ่มแม้จะเหลือคนเพียงหยิบมือ ทว่าทุกคนกลับเป็นสัตว์ประหลาดกันหมดยกเว้นพวกเขาสามคน

สูเสี่ยนฉู่ออกไปยืนนอกโพรงถ้ำเรียบร้อยแล้ว สายตาทอดไปยังตัวป่า จิตใจคิดคำนวณอะไรบางอย่าง

หวังเหลยที่นอนอยู่บนเปลหามเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เดินมาข้างกายก็พยายามหดตัวหนี ทว่าเขาจะไวไปกว่าเริ่นเสี่ยวซู่ได้อย่างไร

เริ่นเสี่ยวซู่เลิกชายเสื้อเขาขึ้น ก้มลมมองแผลที่สูเสี่ยนฉู่แทง   เอาละ ลุกขึ้นเดินเองได้แล้ว แผลหายหมดแล้ว  

ในชั่วขณะนั้น หวังเหลยก็พบว่าตนไม่ปวดแผลแล้ว ยาดำของเริ่นเสี่ยวซู่นี่ดีเลิศขนาดนี้เลย?

…………

 

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

The First Order สู่รุ่งอรุณแห่งมวลมนุษย์ / the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

Status: Ongoing

นิยายแฟนตาซี-ระบบที่จะพาคุณไปผจญภัยและเอาชีวิตรอดในสมรภูมิโลกหลังภัยพิบัติที่เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อตกอยู่ในอันตราย ความหวังคืออาวุธ ‘ลำดับแรก’ ของมนุษย์ หลังภัยพิบัติผ่านพ้นไป สิ่งที่เหลืออยู่คือความเสื่อมโทรมของอารยธรรมมนุษย์ ไร้ธรรมเนียม ไร้กฎเกณฑ์ ไร้ซึ่งคุณธรรม มนุษย์ไม่ได้อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอีกต่อไป … ‘เริ่นเสี่ยวซู่’ เด็กหนุ่มวัย 17 ปีผู้อพยพแห่งป้อมปราการ 113 ความเป็นมาของเขาไม่แน่ชัด แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นนักล่ามือฉมัง หลังจากผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายใน ‘แดนรกร้าง’ มาได้ก็เกิดหมอกดำประหลาดขึ้นในห้วงจิต และนั่นเป็นสาเหตุของอาการป่วยทางสมองของเขา แต่อยู่มาวันหนึ่งหมอกดำในห้วงจิตก็มลายหายไป เผยให้เห็น ‘พระราชวัง’ ปริศนา ที่น่าแปลกคือหลังจากนั้นเขาก็มักจะได้ยินเสียงลึกลับจากพระราชวังที่สั่งให้เขาทำภารกิจช่วยเหลือผู้อื่น?! หลังจากทำภารกิจสำเร็จแล้ว เขาจะยังได้รับรางวัลจากพระราชวังอีกด้วย ทว่ายังไม่ทันได้สำรวจพระราชวังนั้นให้ละเอียดดี เขาก็จับพลัดจับผลูต้องไปเป็นคนนำทางเข้าไปในแดนรกร้างที่เขาพยายามเลี่ยง และนี่คือจุดเริ่มต้นการผจญภัยในแดนรกร้างของเริ่นเสี่ยวซู่ เด็กหนุ่มที่อาจกลายเป็นผู้นำพาความหวังและแสงสว่างมาสู่มนุษยชาติ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท